(Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6  (อ่าน 43401 ครั้ง)

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อ่านทีเดียวจบตาแฉะแต่ฟิน

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

...ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้น...เมื่อห้าปีที่แล้ว...





…..

……….







‘ไม่เป็นไรแน่นะลูก ถ้าเงินไม่พอใช้ก็บอกได้นะ’

“พอครับ พอ.. ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”

‘..งั้นก็เดินทางดีๆ นะ อย่ากลับหอมืดค่ำนักล่ะ’

“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”

บทสนทนาระหว่างโอเมก้าหนุ่มหัวสีกับปลายสายที่แสดงความเป็นห่วงนั้นดังแว่วทำลายความเงียบยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ เวลาล่วงเลยเกือบจะเที่ยงคืนทำให้ร้านค้าต่างๆ และถนนหนทางดูเงียบผิดหูผิดตากับเมื่อตอนหัวค่ำนัก ทว่าแม้จะดึกดื่นแบบนี้ ผู้เป็นแม่ก็ยังคงโทรมาหาเขาไม่ขาดสายแม้สักวัน

หลังจากที่โคลวิสเรียนจบมหาวิทยาลัย...ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรักก็ได้จบลงไปพร้อมๆ กันด้วย ความรักที่มีให้กันจืดจางลงไปอย่างรวดเร็วเพราะอัลฟ่าที่เขารักไปเจอโอเมก้าคนใหม่ที่ทั้งเด็กกว่า น่ารักกว่า แน่นอนว่าสดใหม่กว่า.. โคลวิสก็หมดอาลัยตายอยากไปนานหลายเดือน

กระทั่งตัดสินใจจะลืมอดีตทั้งหมดและตั้งต้นชีวิตใหม่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเขา ด้วยการย้ายตัวเองมาอยู่ในเมืองใหญ่เพียงลำพังด้วยเงินเก็บของตัวเอง และเริ่มทำงานในร้านเบเกอรี่ตามความถนัดที่เรียนมา หลังร้านปิดก็ไปเป็นนักร้องตามผับบาร์เล็กๆ หารายได้เสริมยามค่ำคืน

“อากาศเริ่มหนาวแล้วแฮะ..” มือสวมกอดตัวเองเมื่อโดนลมหนาวพัดใส่ นี่ก็ระหกระเหินมาได้ครึ่งปีแล้ว ถึงแม้ชีวิตตอนนี้จะเริ่มอยู่ตัวแต่คนที่บ้านก็ยังเป็นห่วงอยู่ ก็...คงจะเป็นธรรมดาล่ะนะ…

“ขอโทษนะครับ ใช่คุณนักร้องที่อยู่ในร้านเบนิโต้เมื่อสักครู่รึเปล่า?” เสียงทักของบุคคลปริศนาเอ่ยเรียกสติของโคลวิสที่กำลังเดินเหม่อซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อ

“หืม? ..ใช่ครับ?” โคลวิสหันไปมองคนที่เข้ามาทักเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะมีหลายครั้งที่คนจะตามเขามาหลังจากจบคิวการร้องเพลงที่บาร์นั้นเพราะชอบเสียงของเขา บางครั้งก็มาจับมือขอลายเซ็นบ้างหรือเอาทิปเล็กๆ น้อยๆ มาให้ มีกระทั่งขอจีบหรือชวนไปต่อหลังเลิกงานด้วย…ซึ่งที่ผ่านมาก็โดนปฎิเสธไปทุกรายนั่นแหละ ยังดีหน่อยที่คนพวกนั้นไม่ช่างตื๊อและยอมรามือเมื่อเห็นรอยตีตราที่หลังคอซึ่งเป็นหลักฐานว่าเขาเป็นโอเมก้าที่มีคู่แล้ว...ถึงตอนนี้จะไม่มีแล้วก็เถอะ

โคลวิสพยายามไม่สบตากับชายแปลกหน้าและรีบเดินเลือกซื้อของที่ต้องการให้เร็วขึ้น

“ผมเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยนะ มาฟังคุณร้องเพลงแทบทุกคืนเลย”

นี่ไงล่ะตัวอย่างที่พูดถึง.. ชายหนุ่มที่ดูท่าทางจะอายุไล่เลี่ยพอๆ กันกับเขายิ้มแป้นแล้นให้และจ้องมองด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด “แต่..ไม่กล้าเข้าไปทักคุณสักที แถมพอหมดคิวคุณก็มักจะรีบกลับก่อนตลอดเลย”

“หน้าผมคงดูน่ากลัวสินะ” โคลวิสยิ้มน้อยๆ แล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์

“อ่ะ ผมขอเลี้ยงคุณได้มั้ย เอ่อ..ว่าไงดี คิดซะว่าเป็นการให้ทิปอย่างหนึ่งนะครับ”

“เกรงใจน่ะครับ แค่มาฟังทุกครั้งผมก็รู้สึกขอบคุณแล้วล่ะ” โคลวิสรับของจากพนักงานหลังจ่ายเงินและเดินออกจากประตูร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแฟนเพลงของเขาก็ยังคงเดินตามมาติดๆ

ในหัวของโคลวิสกำลังคิดว่าจะสลัดอีกฝ่ายให้หลุดยังไงดี ขืนยังปล่อยให้ตามติดแบบนี้มีหวังเดินตามไปส่งจนถึงหอพักแหงๆ

“คุณไม่สนใจจะไปเป็นนักร้องมืออาชีพบ้างเหรอครับ?”

“ผมแค่ชอบร้องเพลงแต่ไม่ถึงขนาดอยากมีชื่อเสียงหรอกครับ”

แม้ว่าครั้งยังเด็กมันจะเคยเป็นความฝันสูงสุดของเขา แต่ตอนนี้ก็ได้หยุดความปรารถนาที่ไกลเกินเอื้อมนั้นไปแล้ว ทว่า ถึงจะปฎิเสธไปแบบนั้น แฟนเพลงคนนี้ก็ยังคงตามตื้อเขาเสียเหลือเกิน ยิ่งรีบเดินเพื่อสลัดอีกฝ่ายทิ้งเท่าไหร่ก็เหมือนจะทำให้ถูกไล่ตามติดประชิดตัวยิ่งขึ้น จนพวกเขาเดินมาใกล้ย่านที่พักอาศัยราคาถูก ยิ่งทำให้ผู้คนเบาบางลงแถมเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินมาใกล้จนผิดปกตินี่อีก

“ผมคงต้องกลับแล้ว”

“อา...น่าเสียดายนะครับ ...งั้นคราวหน้าขอเลี้ยงข้าวคุณได้มั้ย?”

นั่นไงล่ะ… มุกคลาสสิกชะมัดเลย

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่หวังดี แต่ผมขอรับไว้แค่น้ำใจเท่านั้น” โคลวิสหยุดเดินและหันมายกมือห้ามเหมือนจะให้คนเดินตามหยุดการกระทำและการตื๊อทุกอย่าง รวมทั้งเอ่ยปฎิเสธอ้อมๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่ก็ดึกมากแล้ว ที่พักผมอยู่อีกไกลเลย เกรงว่าคุณจะเดินกลับลำบาก เพราะงั้นคงต้องแยกย้ายแล้วล่ะครับ”

“หือ? ที่พักของคุณเลี้ยวตรงหัวมุมนี้ก็ถึงแล้วนี่ครับ?”

โคลวิสหน้าซีดทันทีเมื่อพบว่าคนที่เดินตามเขามานั้นรู้ตำแหน่งหอพักของเขาทั้งที่ไม่เคยบอกใคร นี่แสดงว่าผู้ชายคนนี้แอบสะกดรอยตามเขางั้นหรือ? กี่วันแล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะเนี่ย!?

“อ่า…” แฟนเพลงปริศนาเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นปิดปากราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป บรรยากาศเงียบลงไปสักพัก โคลวิสยืนนิ่งค้างรอดูท่าทีอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นตระหนกจนปิดไม่อยู่ “เฮ้อ...พลั้งปากไปซะแล้วสิ… แต่สีหน้าคุณตอนนี้ก็น่ารักดีนะครับ”

ชัดเลย พวกโรคจิตชัดๆ!!

โคลวิสหันตัวกลับและออกวิ่งไปทางตรงข้ามกับหอพักของตัวเองพลางตะโกนร้องให้คนช่วย เขาวิ่งตรงไปยังทางที่คิดว่ายังพอมีคนพลุกพล่านบ้างอย่างพวกร้านเหล้าบาร์หรือตลาดใกล้ๆ ที่มักจะเริ่มเปิดขายของตั้งแต่กลางดึก แต่สับขาหลอกไปได้ไม่นานก็โดนจับตัวได้

ชายอันตรายคนนี้ตรงเข้าล็อกคอและเอามือปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว จากพลังกายที่มากล้นกว่าและกลิ่นฟีโรโมนที่ลอยคลุ้งแตะจมูกเมื่อถูกเข้าประชิดทำให้โคลวิสเดาได้ว่าคนคนนี้คงเป็นอัลฟ่าแน่นอน

“ตอนหนีหัวซุกหัวซุนก็น่ารักยังกับกระต่ายน้อย...” น้ำเสียงกระเส่าที่กระซิบอยู่ข้างหู ของอัลฟ่ากลัดมันชวนขนลุกผิดกับตอนที่เข้าหาเหยื่อครั้งแรก ยิ่งตอนนี้พวกเขาเพิ่งผ่านการวิ่งมาหมาดๆ ทำให้เสียงหอบที่ปะปนมานั้นน่าขยะแขยงสุดๆ “กลับไปที่ห้องของคุณกันดีกว่า...ไม่สิ ผมอยากจะเปลี่ยนมันเป็นรังรักของเราในคืนนี้เลยล่ะ”

“อื้ออ!” ไม่ว่าจะพยายามส่งเสียงร้องเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ถึงแม้จะโชคดีที่ว่ากลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าโรคจิตไม่ได้กระตุ้นตัวเขาให้เกิดอาการฮีท แต่ยังไงก็ไม่อาจสู้เรี่ยวแรงอีกฝ่ายได้ ถ้ายังดิ้นขัดขืนไร้ประโยชน์ก็มีแต่จะยิ่งทำให้หมดแรงอย่างเสียเปล่าแถมเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจนโดนลากไปข่มขืนอีกด้วย

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพยายามตั้งสติและมองไปรอบๆ เพื่อหาคนช่วย อีกไม่กี่บล็อคข้างหน้าก็จะถึงย่านสถานบันเทิงที่มีทั้งแสงไฟและผู้คนที่ออกมาท่องราตรี แต่จะทำยังไงให้ไปถึงที่นั่นได้…? จากตรงจุดที่เขาถูกดันชิดกำแพงอยู่มันมืดเกินกว่าจะมีใครมองเห็นได้ ทำให้การร้องขอความช่วยเหลือนั้นช่างดูสิ้นหวังเหลือเกิน

ทว่า...

“ทางนี้ค่ะคุณตำรวจ! ทางนี้ๆ!” เสียงตะโกนโหวกเหวกจากทางเลี้ยวบล็อกข้างๆ ทำให้ทั้งโคลวิสและสต็อคเกอร์หนุ่มหันตามไป สายตาของทั้งคู่เห็นหญิงสาวสองคนกำลังชี้มาทางนี้และหันหน้าไปทางถนนอีกด้าน ก่อนจะเห็นเงาของชายตัวสูงใหญ่กับดวงไฟจ้าแยงตาจากกระบอกไฟฉายกำลังวิ่งตรงเข้ามายังซอยเปลี่ยวที่ๆ พวกเขายืนอยู่

“ตำรวจเหรอ!?” ชายโรคจิตหน้าซีดและปล่อยตัวโคลวิสทันทีก่อนจะหันหลังวิ่งเตลิดไปยังซอยข้างๆ ที่ไร้แสงนีออนจากเสาไฟฟ้าอย่างสุดฝีเท้า

“มันจะหนีไปแล้วค่ะ!!” พลเมืองดีที่มาช่วยไว้ได้ทันท่วงทีรีบวิ่งมาชี้ไปยังทางที่ชายโรคจิตวิ่งหนีหายไป

เมื่อแสงจากไฟฉายเคลื่อนเข้ามาใกล้จุดที่พวกเขายืนอยู่ แต่คนที่วิ่งมาไม่ใช่ตำรวจหรือสายตรวจใดๆ … กลับกลายเป็นเพียงผู้ชายตัวสูงที่มาดดูไม่เหมือนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แม้แต่นิดเดียว หรือว่านี่จะเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบกัน? ...ก็ดูไม่เหมือนอยู่ดี

“หนีไปแล้วจริงๆ แฮะ ดีนะที่มันหลงเข้าใจผิด” ชายคนที่โคลวิสเข้าใจว่าเป็นตำรวจยืนมองลาดเลาสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าชายโรคจิตนั่นจะไม่กลับมาอีกอย่างแน่นอน “คุณ...ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

“ครับ… ขอบคุณที่ช่วย” โคลวิสตั้งสติแล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยิบถุงใส่ของที่ซื้อมาซึ่งเขาเผลอปล่อยตกพื้นไปตอนที่ดิ้นขัดขืน

“พวกโรคจิตแถวนี้นี่เยอะขึ้นจริงๆ นั่นแหละ บ้านอยู่แถวนี้รึเปล่า คะ ให้พวกเราเดินไปเป็นเพื่อนมั้ย?”

“ไม่เป็นไรครับ..” โคลวิสเผลอจ้องมองชายร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาสีทอง...ผมสีน้ำตาลเข้มจัดทรงเรียบ ใบหน้ามีเคราจางๆ แต่แต่งกายสะอาดเนี้ยบ ดูจากขนาดตัวแล้วมองยังไงก็อัลฟ่าอย่างแน่นอน แถมไม่ใช่อัลฟ่ากิ๊กก๊อกปลายแถวอย่างคนเมื่อครู่แน่ๆ แต่ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายมากไปกว่านี้โคลวิสก็ควานหากาแฟกระป๋องในถุงที่เขาซื้อมาเป็นเสบียงสำหรับพรุ่งนี้ยื่นให้ทั้งสามคน

“หือ?”

“แทนคำขอบคุณสำหรับเมื่อกี้น่ะครับ ผมคงรู้สึกไม่ดีนักถ้าหากถูกช่วยฟรีๆ โดยไม่ได้ตอบแทนอะไร”

“ขอบคุณค่า อุ้ย!” หญิงสาวตัวเล็กผมสั้นหยักศกยื่นมือออกไปรับมาด้วยความยินดีแต่ถูกเพื่อนสาวผมดำตีมือเข้าให้

“...เอ่อ คือก็เข้าใจนะครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบกาแฟกระป๋องน่ะ ให้แค่พวกเธอแล้วกัน” ร่างสูงยกมือขึ้นบอกปัดและยิ้มแห้งๆ ดูก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้ปฎิเสธน้ำใจเป็นมารยาทอย่างแน่นอน

“ครับ ถ้างั้นผมขอตัว...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” โคลวิสไม่คิดจะดื้อดึงเพราะเขาเองก็อยากกลับไปพักผ่อนเต็มที แต่เมื่อเท้ากำลังจะก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่เพื่อกลับที่พักของตน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า...อัลฟ่าโรคจิตคนนั้นมันรู้ที่อยู่ของเขานี่หว่า!?

“ขอบใจพวกเธอมากเลยนะ เอาล่ะ...งั้นก็รีบกลับกันเหอะ อากาศชักจะหนาวแล้วด้วยสิ”

“อ่ะ...เดี๋ยวก่อนนะครับ!” โคลวิสร้องเรียกผู้ช่วยชีวิตตนทั้งสามคนเมื่อครู่ไว้

“คะ?” สาวน่ารักผมสั้นหันขวับมามองก่อนใครเพื่อน

“คือว่า...ขอโทษที่ต้องรบกวนพวกคุณไม่เข้าเรื่อง แต่...ช่วยไปส่งผมที่หอของเพื่อนหน่อยจะได้มั้ยครับ?”

“หือม์?” คราวนี้สาวผมดำทำหน้าเคร่งเครียดใส่เขา

“คือ... ไอ้โรคจิตนั่นมันรู้จักหอพักผมน่ะ เกรงว่าถ้ากลับไปตอนนี้อาจจะเจอมันดักรอเอาได้น่ะครับ” โคลวิสแจกแจงด้วยสีหน้าวิตก แม้จะพยายามคุมสติตัวเองแล้วแต่ใบหน้านั้นก็ปิดความกังวลไม่มิดอยู่ดี

“...ริชาร์ด”

“ครับ?”

“ผมชื่อ ริชาร์ด... คนผมดำนี้คือนาตาชา ส่วนอีกคน…”

“โอลิเวียค่า”

“นั่นล่ะ รู้จักชื่อไว้ ตอนนั่งรถไปคุยไปจะได้เรียกกันถูกนะครับ” อัลฟ่าร่างสูงใหญ่คลี่ยิ้มเป็นมิตรมาให้ แม้ไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฎิเสธที่จะไปส่ง แต่คำพูดนั่นก็แทนคำตอบได้ดีทีเดียว

“โคลวิสครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ คุณผู้หญิงทั้งสองคนด้วย”

เมื่อพูดคุยบอกสถานที่กับคนขับรถเรียบร้อยพวกเขาทั้งหมดก็ขึ้นไปนั่งบนรถคันหรูของริชาร์ด ที่จริงโคลวิสก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าริชาร์ดคงไม่ใช่อัลฟ่าธรรมดา แต่นั่งรถหรูราคาเหยียบแสนแบบนี้ก็ทำเอาเขานั่งตัวเกร็ง กลัวจะทำรถเขาเสียหายแล้วไม่มีปัญญาจ่าย!

ระหว่างที่นั่งรถผ่านถนนยามค่ำคืนไปด้วยความเงียบ โคลวิสแอบเหล่มองริชาร์ดที่นั่งข้างๆ เขาคั่นกลางกับหญิงสาวผมดำอีกคนอยู่ ร่างสูงพิมพ์อีเมล์ตอบใครสักคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอมองใกล้ๆ แบบนี้ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายคงมีอายุมากกว่าเขา ทั้งการวางตัวและบุคลิกดูภูมิฐานน่าเกรงขาม แต่ท่าทางขี้เล่นบวกกับรอยยิ้มเมื่อครู่นั้นช่วยลดความตึงเครียดของโคลวิสลงไปมากโข

“ออกมาทำอะไรดึกดื่นแบบนี้ล่ะคะ? หรือว่าหิวเลยมาหามื้อดึกเหรอ?” เหมือนโอลิเวียจะจับได้ว่าโอเมก้าผมสีแสบทรวงจะเหล่มองริชาร์ดอยู่ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรและเปิดบทสนทนาทำลายความเงียบ

“เปล่าครับ พอดีเพิ่งกลับจากที่ทำงานก็เลยแวะซื้อของน่ะ” โคลวิสตอบโดยไม่เจาะจงรายละเอียดมากนัก แม้คนข้างๆ จะดูไม่มีพิษภัย แต่เขาเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงในชีวิตมา เลยยังคงระแวงพวกอัลฟ่าอยู่บ้าง กระนั้นที่ต้องหน้าด้านขอติดรถมานี่มันเพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ..

“...เป็นโอเมก้าแต่มาทำงานดึกดื่นแบบนี้มันอันตรายนะ แถมยังไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้อีกยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่” นาตาชาที่เงียบขรึมเปิดปากพูดบ้าง

“คนที่ทำงานตอนกลางคืน แบบนี้ก็ต้องระวังอันตรายทุกรูปแบบทั้งนั้นแหละครับ หือ?” โคลวิสขมวดคิ้วจนย่นเมื่อจู่ๆ ริชาร์ดที่นั่งฟังเงียบๆ ก็ยื่นขวดบางอย่างมาให้ ขวดรูปร่างหน้าตาสุดจะคุ้นเคยแบบนี้มัน… “น้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมน?”

“ของผมเอง แต่จะให้คุณเอาไว้ใช้แล้วกัน”

“หา?” โอเมก้าหนุ่มหัวสียิ่งสงสัยหนักข้อ ทำไมจู่ๆ ริชาร์ดถึงมอบมันให้เขา? ในบรรดาของที่เกี่ยวข้องกับโอเมก้าทั้งหมดนั้น น้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนนี่นับว่าแพงติดอันดับต้นๆ ของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยยับยั้งการรับรู้กลิ่นของอัลฟ่าและโอเมก้า ไม่นับยาระงับอาการฮีทอย่างดีที่ราคาแพงติดโผทุกแบบสอบถามของแต่ละสำนักข่าว ...และแน่นอนว่าตอนนี้พวกของปลอมลอกเลียนแบบที่กำลังระบาดมันก็ผิดกฎหมายด้วย เนื่องจากไม่มีการรับรองความปลอดภัยและตัวยาเองก็มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างจะเป็นอันตรายอยู่ เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกห้ามจำหน่ายแก่คนทั่วไป

“คุณ...ให้ของแบบนี้กับคนเพิ่งเจอหน้ากันง่ายๆ เลยเหรอ? …”

“คุณก็ขอติดรถผมมาง่ายๆ เหมือนกันนี่” ริชาร์ดหันมายักคิ้วกวนประสาทใส่ แต่ก็ยังคงยัดเยียดขวดน้ำหอมนั้นมาให้ จนโคลวิสต้องรับมันมาอย่างจำใจ

“แต่มันแพงมากเลยนะ...แถมตอนนี้เขาก็ประกาศห้ามใช้ด้วยไม่ใช่เหรอครับ?” แม้จะมั่นใจว่าน้ำหอมของคนตรงหน้าเป็นของแท้แน่นอน แต่เขาก็เคยเจอพวกที่โดนหลอกให้ซื้อของปลอมราคาแพงมาไม่น้อย

“อืม ผมรู้ แต่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะมาพังเรื่องแบบนั้นคงไม่ดีใช่มั้ยล่ะครับ มีของที่ทำมาเพื่อไว้ให้เซฟตัวเองแต่กลับออกกฏหมายไม่ให้ใช้ เหมือนกับที่บางประเทศห้ามไม่ให้ผู้หญิงพกสเปรย์พริกไทยนั่นแหละ”

“รับไปเถอะค่า มันดีต่อตัวคุณนะ คราวหน้าถ้าเจอพวกโรคจิตแบบนั้นอีกอาจไม่โชคดีแบบครั้งนี้นะคะ” โอลิเวียพยายามโน้มน้าวให้รับของกำนัลอีกคน

“อย่าไปกดดันนักสิ เขาถูกช่วยไว้แล้วยังจะให้รับของแบบนี้อีก เป็นใครก็ลำบากใจทั้งนั้นแหละ”

“...” ถูกอย่างที่นาตาชากล่าว โคลวิสหลบสายตาจากใบหน้าคมที่ส่งยิ้มมาให้ จะว่าไป...อยู่ใกล้ขนาดนี้เขากลับไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าของอีกฝ่ายเลย.. “คุณริชาร์ดก็ฉีดไว้เหรอ?”

“ใช่ พอดีวันนี้นัดเจอเพื่อนน่ะ แถมยังพาโอเมก้าของตัวเองมาอีกด้วยก็เลยฉีดกันไว้ก่อนเพราะไม่อยากให้เป็นปัญหาน่ะ” ริชาร์ดกดส่งข้อความแล้วปิดมือถือของตัวเอง “จริงสิ ผมได้ยินมาจากลูกค้าประจำในร้านอาหาร เห็นบอกว่านักร้องของที่ร้านนั่นก็เป็นโอเมก้าด้วย หายากนะ โอเมก้าที่ได้ทำงานเหมือนคนปกติเนี่ย บางที่นี่แทบจะไม่รับคนไทป์นี้เข้าทำงานเลยด้วยซ้ำ”

โคลวิสคิ้วกระตุกเล็กน้อย นี่เขาเจอโรคจิตตามติดชีวิตอีกคนหรือเปล่านี่? เพราะที่ร้านเบนิโต้นั้น นักร้องที่เป็นโอเมก้าก็มีแค่เขาคนเดียวเสียด้วยสิ แต่ขืนพูดออกไปตรงๆ ถ้ามันเกิดดันไม่ใช่ขึ้นมา... คงจะโดนคนตรงหน้าฟ้องหมิ่นประมาทเอาแหงๆ

“เหรอครับ...แล้วคุณจำหน้าเขาได้มั้ย?”

“น่าเสียดาย แค่มองยังไม่เห็นเลยครับ ผมอยู่ในมุมที่มองไม่เห็นตรงเวทีด้านในร้านน่ะ” ริชาร์ดถอนหายใจบางเบา “เสียงเพราะมากเลยล่ะ ยังแอบนึกอยู่เลยว่าเป็นนักร้องดังจากค่ายเพลงที่ไหนหรือเปล่า”

“อ่าฮะ”

“เสียงร้องมีพลังดีมากๆ ความจริงผมก็ชอบร้านที่มีเพลงคลอเบาๆ มากกว่า แต่คนนี้ร้องเพลงได้สะกดอารมณ์คนฟังดีจริงๆ” ริชาร์ดเอ่ยชมไม่หยุดปากโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าโคลวิสด้วยซ้ำ “แต่ว่า...กว่าจะถามสารทุกข์สุขดิบเพื่อนจบ นักร้องก็เปลี่ยนคิวกันซะแล้วน่ะสิ...อดเลี้ยงเหล้าสักแก้วเลย”

“ไว้วันหลังคุณค่อยไปเจอเขาก็ได้นี่นา”

“ไม่ได้มาแถวนี้บ่อยๆ น่ะ แต่ถ้ามาอีกล่ะก็รับรองว่าแวะไปแน่”

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกันเลยไปเรื่องอื่นๆ จิปาถะแล้ว โคลวิสยังคงเท้าคางมองไปนอกหน้าต่างรถและแอบอมยิ้มอยู่เพียงคนเดียว… แสงไฟของเมืองยามราตรีรายทางสาดส่องเข้ามาเป็นจังหวะ ฉายให้เห็นความปิติในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของโอเมก้าหนุ่ม หัวใจพองโตจากคำชมไร้เจตนาแอบแฝง และ... รอยยิ้มของคนข้างๆ ที่ยังติดตาแม้จะมองเหม่อไปไกลแค่ไหนก็ตาม...

“คุณผู้ชายคะ ดิฉันกับโอลิเวียขอลงตรงนี้เลยแล้วกันค่ะ”

“อ้อ...ได้สิ กลับดีๆ ล่ะ” ริชาร์ดอนุญาต แต่โคลวิสหันหน้ามาเพราะคำที่หญิงสาวเรียกชายหนุ่มราวกับเป็นเจ้านาย…

“สาวๆ พวกนี้เป็นคนรับใช้ที่บ้านของผมน่ะ วันนี้วันหยุดพวกเธอแล้วบังเอิญเจอกันที่ร้านเลยชวนกลับด้วยกัน อย่าเข้าใจผิดซะล่ะ” รอยยิ้มขี้เล่นหันมามองคนที่จ้องตน

โคลวิสรู้สึกหน้าแตกนิดหน่อยเพราะเผลอคิดไปว่าสาวสวยกับสาวน่ารักทั้งสองคนเป็น...เป็นอะไรสักอย่างกับอัลฟ่าผู้มีพระคุณ ว่าแต่…? ทำไมเขาต้องโล่งใจด้วยล่ะ







“ขอบคุณที่มาส่งครับ” โคลวิสโค้งตัวแสดงความจริงใจให้คนที่พามาส่งถึงหน้าหอเพื่อนของตน ซึ่งเพื่อนร่วมวงของนักร้องโอเมก้าก็หลับไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยอมตื่นมารับเพื่อนด้วยสภาพงัวเงียสุดๆ

“เรื่องเล็กน้อยน่า คุณเองก็...ไปแจ้งความไว้ก่อนก็ได้นะ ถ้าหมอนั่นสะกดรอยไปขนาดนั้นแล้วเกรงว่าคุณคงจะพักอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้วล่ะ” ริชาร์ดกล่าวเตือนด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น

“แน่นอนครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง...ว่าแต่...มีอะไรที่ผมพอจะตอบแทนคุณได้บ้างมั้ยครับ? คือ...เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ผมอยากขอบคุณที่ช่วยผมไว้แล้วยังพามาส่งตามที่ขอร้องอีก” แม้ริชาร์ดจะปฎิเสธเรื่องนี้มาตลอดทาง แต่โคลวิสก็ไม่ยอมเลิกล้มความคิดที่จะตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายอยู่ดี

“คุณนี่ตรงไปตรงมาดีนะ” ริชาร์ดยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าตัวเองอย่างคิดไม่ตก เขาตัดสินใจหยิบเอานามบัตรจากกระเป๋าเสื้อของตัวเองยื่นให้โอเมก้าหนุ่ม “ตอนนี้ดึกแล้ว มีอะไรก็ติดต่อไปที่นี่วันหลังละกันนะ”

โคลวิสรับนามบัตรนั้นมาอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้ก้มลงอ่านอะไรในนั้น เขามองตามอัลฟ่าร่างสูงใหญ่ไปกระทั่งอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูกลับขึ้นรถ แต่...ความรู้สึกที่ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว บวกกับเขาเองก็ไม่อยากเก็บความไม่สบายใจไว้กับตัวอีกด้วย หนุ่มโอเมก้าหัวสีจึงสลัดความลังเลใจและพูดสิ่งที่ค้างคาออกไป

“ขอถามอะไรหน่อยสิครับ!”

“หือ?” ริชาร์ดชะงักตัวและหันกลับมามอง ซึ่งเสียงเรียกของโคลวิสก็ทำเอาทั้งริชาร์ดและเพื่อนร่วมวงที่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้านมองเขาด้วยความฉงนเหมือนกันทั้งคู่

“ทำไม...พวกคุณถึงช่วยผม..ไม่สิ คุณ...ทำไมถึงยอมเสี่ยงเอาตัวเข้ามาช่วยล่ะ?”

ริชาร์ดเลิกคิ้วเมื่อเจอคำถามแปลกหูเข้า เขากรอกตาไปมาเหมือนกำลังทบทวนสิ่งที่ถูกถามอยู่ ซึ่งนักร้องหนุ่มก็นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรออกมาตรงๆ

ที่โคลวิสถามไปเช่นนั้นเพราะว่าการที่อัลฟ่าจะจับโอเมก้าไปเป็นคู่แม้จะไม่ยินยอมนั้นเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติจนชาชินกันเลยทีเดียว แถม...อัลฟ่าส่วนใหญ่ก็ล้วนมีเส้นสายและอำนาจพอจะทำให้ตัวเองพ้นผิดด้วยซ้ำ

ซึ่ง...ความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังติดอยู่ในความรู้สึกจนถึงตอนนี้ และมือของเขาก็ยังคงสั่นแม้จะเล็กน้อยก็ตามที

ดังนั้น จึงมีน้อยคนนักที่จะทำหน้าที่พลเมืองดีช่วยเหลือโอเมก้าที่ตกเป็นเหยื่อ ก็เพราะไม่มั่นใจว่าพวกอัลฟ่าที่ลงมืออุกอาจแบบนั้นเป็นใครมาจากไหน เผลอๆ จะซวยถึงขั้นไม่มีเงาหัวเอาได้ถ้าไปขัดขวางความต้องการของอัลฟ่าเลือดร้อนที่ดันเป็นคนมีอำนาจ…จะบอกว่าเขาโชคดีก็ได้ที่คนร้ายเป็นแค่พวกอัลฟ่าปลายแถวไม่มีแบ็คอัพ แล้วก็มีคนดีๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน…

โคลวิสก็ยืนรอคำตอบอย่างใจจ่อโดยไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย แต่เพื่อนที่ยืนรอรับโอเมก้าหนุ่มอยู่ก็ดูจะเริ่มง่วงอีกรอบ ริชาร์ดเลยยอมเปิดปากพูด...

“...การช่วยใครสักคนมันก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ คุณนี่บ๊องจัง”

“หา!?” โคลวิสอุทานเสียงหลง แต่ก่อนจะได้ถามอะไรต่อนั้น ริชาร์ดก็ชิ่งหนีขึ้นรถไปเสียก่อน เขาจึงทำได้แค่มองตามหลังรถคันงามที่แล่นหายไปในความมืดโดยที่ยังคงอยากรู้คำตอบนั้นต่อไป

“...อะไรของเขาล่ะเนี่ย?”







ในเช้าวันต่อมา โคลวิสรีบตื่นไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ แต่ก็พบว่าคนร้ายเมื่อคืนนั้นโดนจับได้ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเพราะคนข้างห้องที่พักอยู่หอเดียวกันนั้นแอบเห็นตอนที่ชายอัลฟ่าโรคจิตเดินป้วนเปี้ยนไปมาหน้าห้องของเขาและพยายามจะงัดประตูเข้ามาในห้อง จึงได้บอกเจ้าของหอให้โทรเรียกตำรวจมารวบตัวได้ทัน ซึ่งก็ต้องขอบคุณเพื่อนข้างห้องคนนั้นล่ะนะที่มีสอบในเช้าวันนั้นพอดี ก็เลยซัดกาแฟจนตาสว่างเพื่ออ่านหนังสือโต้รุ่ง ไม่งั้นข้าวของอย่างเสื้อผ้าหรือกางเกงชั้นในอาจถูกขโมยไปด้วยก็ได้...คิดแล้วก็สยอง

โคลวิสทำการชี้ตัวคนร้ายและให้ปากคำนิดหน่อยในช่วงเช้าก็ออกจากสถานีตำรวจและเดินทางไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ตามเดิม

“ก็ตามนั้นล่ะ ฉันขอค้างอยู่ที่ห้องนายสักพักจนกว่าจะหาหอใหม่ได้ละกันนะ”

‘ได้ๆ ถ้านายทนความรกของห้องฉันได้ก็เอาเลย’

“ขอบใจมาก เดี๋ยวเลิกงานวันนี้มาช่วยขนพวกเสื้อผ้ากับของใช้เล็กๆ น้อยๆ หน่อยละกัน มีไม่เยอะหรอก”

‘โอเค เอาไมโครเวฟนายมาด้วยล่ะ ส่วนตู้เย็นน่ะใช้ของฉันก็ได้’

“อ่าฮะ งั้นไว้เจอกัน”

หลังจากวางสายไปพร้อมๆ กับรถเมล์ที่รอแล่นมาจอดตรงป้ายพอดิบพอดี ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาบนตึกใกล้ๆ เป็นป้ายของสถาบันฝึกสอนทำอาหารที่กำลังเปิดรับสมัครคน หนึ่งในหลักสูตรนั้นคือคอร์สการเรียนชงกาแฟที่เปิดสอนโดยบาริสต้ามืออาชีพ... โคลวิสหยุดนิ่งไม่ยอมเดินขึ้นรถจนคนขับต้องเอ่ยทักว่าจะไปมั้ย แต่เขาก็ยกมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นเชิงปฎิเสธและขอโทษ...แล้วเดินกึ่งวิ่งไปทางตึกนั้นแทบจะทันที

...ผมไม่ค่อยชอบกาแฟกระป๋องน่ะ…

“ขอโทษครับ ผมขอไปสายนิดหนึ่งนะครับ” โคลวิสไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด อีกฝ่ายก็บอกแล้วแท้ๆ ว่าไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน แต่เท้าของเขากลับยังคงจ้ำตรงไปยังตึกเรียนนั้น หลังจากวางสายกับเจ้าของร้านเบเกอรี่ เขาก็ยกกาแฟกระป๋องในมืออีกข้างนั้นดื่มจนหมดและทิ้งลงถังอย่างรวดเร็ว แม้สายตาจะจดจ้องไปยังที่ๆ มุ่งหน้าตรงไป แต่ในหัวเขาตอนนี้กลับมีเพียงรอยยิ้มกวนประสาทของคนที่ช่วยเขาเอาไว้เมื่อคืนอยู่เต็มหัวไปหมด



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura


……..

…..

...





“คัมปายยยยย!!”

เสียงแก้วกระทบกันดังลั่นบาร์เงียบสนิทที่ไร้ลูกค้า มีเพียงพนักงานสองสามคนที่กำลังเก็บโต๊ะและจัดการเช็ดถูพื้น แต่ก็ยังคงกันพื้นที่เล็กๆ มุมหนึ่งให้เหล่านักดนตรีประจำร้านได้นั่งดื่มกันเนื่องในโอกาสพิเศษ..

“ในที่สุดวงเราก็ครบปีแล้วเนอะ”

“ไม่ได้แยกย้ายล้มหายตายจากไปไหนกันว่ะ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี!”

“ปากเสียนะแก” นักร้องของวงเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ กับแกล้มชิ้นพอดีคำเรียงรายในจานถูกยกมาวางแทรกกลางวงเหล้าจนละลานตา

“นายก็เคยพูดเหอะโคล!” เพื่อนมือกลองร่างท้วมใหญ่ท้วงขึ้นทำเอาคนทั้งวงหัวเราะเสียงร่ากันออกมาจนดังลั่นร้าน “โอ้ววว ลาภปากแท้ ได้กินอาหารฝีมือนายน่ะ”

“น้อยๆ หน่อย ก็ได้กินตลอดนั่นแหละ” โคลวิสถอนหายใจดีดเข้าที่กลางหน้าเพื่อนร่วมวงก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างที่เว้นไว้ให้ “แต่ก็ไม่นึกว่าจะอยู่กันได้นานขนาดนี้จริงๆ นั่นแหละ ตอนตั้งวงใหม่ๆ ยังกลัวอยู่เลยว่าจะไม่รอดถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ”

“โอยยย.. ตอนนั้นแค่ยังไม่ลงตัวเท่านั้นเอง” มือกีต้าร์ตัวสูงโย่งยื่นแก้วเหล้าให้กับนักร้องควบตำแหน่งหัวหน้าวงของตัวเอง

งานสังสรรค์เล็กๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเวลาว่าจะล่วงเลยไปขนาดไหน เพราะมีไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้มานั่งล้อมวงกันแล้วพูดคุยเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากงาน

ตอนนี้โคลวิสเองก็ย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ เพียงแต่อยู่คนละห้องกัน ซึ่งค่าเช่าห้องที่นี่ราคาสูงกว่าที่หอพักเดิม แต่ก็มีดีกว่าด้วยเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการเดินทางเวลาจะนัดซ้อมดนตรี

หนึ่งปีที่ผ่านมานั้นพวกเขาฝีมือดีขึ้นมาก ถึงขนาดมีคนมาเสนอให้ลองไปเดบิวท์กับทางค่ายเพลง ทว่ามันก็ไม่ได้ราบรื่นนักเพราะสมัยนี้พวกบอยแบนด์กับนักร้องไอดอลได้รับความนิยมและขายดีมากกว่า ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีรายการเพลงใหญ่ๆ ติดต่อเข้ามา กระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่ย่อท้อและยังคงเดินตามฝันเพื่อทำในสิ่งที่รักต่อไป

“เอ้อ...จะว่าไปแล้วพักนี้ไม่เห็นพูดถึงอัลฟ่าขี่ม้าขาวคนนั้นเลยนะ”

พรูดดด

จู่ๆ มือเบสร่างเล็กก็เปิดประเด็นที่แต่ก่อนเคยแซวหัวหน้าวงอยู่พักใหญ่ๆ กันขึ้นมา “เห็นเงียบหายไปเลย นี่หรือว่านายชวดซะแล้วเหรอ?”

“แค่กๆ ...ชวดเชิดอะไรกันล่ะ ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอไงว่าไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น” โอเมก้าเพียงคนเดียวกลางวงสำลักน้ำ อุตส่าห์นึกว่าลืมกันไปหมดแล้วแท้ๆ ยังจะขุดขึ้นมาพูดอีกแน่ะ!

“น่าเสียดายออก นี่เขาก็อุตส่าห์ให้นามบัตรมาแล้วทำไมไม่ลองติดต่อไปล่ะ?”

“ทำหายไปตั้งนานแล้ว ตอนนั้นมันยุ่งๆ หลายเรื่อง ไหนจะขนของย้ายหนีสต็อกเกอร์ออกจากหอเก่าอีก แล้วฉันก็...ไม่ได้สนใจอะไรเขาสักหน่อย!”

“แน่ะ นี่สินะไอ้ที่เค้าเรียกกันว่าซึนเดเระน่ะ”

“ซึนบ้าอะไร! ฉันเองก็อยากจะตอบแทนน้ำใจเขา แต่ในเมื่อนามบัตรมันหายไปแล้วก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า” โคลวิสปฎิเสธเสียงแข็ง แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่นั่นก็เพราะว่ามันเป็นเหตุการณ์ค่อนข้างสะเทือนใจเลยยังจำได้ไม่ลืมก็เท่านั้นเอง

ทว่า...ถึงจะมั่นใจในความคิดของตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง แต่โคลวิสก็แอบสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา.. มือกุมขวดน้ำหอมที่ยังคงเหลืออยู่เต็มขวดไว้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดและอบอุ่นอยู่ในอก ตั้งแต่วันที่ได้รับมานั้นเขาไม่ได้ใช้มันเลยแม้แต่นิดเดียว

...ความรู้สึกที่เขาเองก็พอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่นัก

“แล้วพ่อเทวดามาโปรดคนนั้นชื่ออะไรยังจำได้อยู่มั้ยล่ะ?” มือเบสคนเดิมถามหาชื่อเสียงเรียงนาม เผื่อว่าลองเสิร์ชข้อมูลแล้วอาจจะเจอก็ได้

“เอ...ริชาร์ด เบอร์ตั้น...เหมือนจะเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรสักอย่างล่ะมั้ง?” โคลวิสนึกชื่อผู้มีพระคุณที่ได้อ่านจากนามบัตรเพียงครั้งเดียว เพียงแค่นักร้องนำเอ่ยชื่อคนๆ นั้นออกมา ทุกคนในวงก็รีบยกมือถือของตนเองขึ้นมากดพิมพ์หาข้อมูลกันมือเป็นระวิง ราวกับอยากจะรู้จักฮีโร่ของคุณเพื่อนเสียเต็มประดา และเมื่อค้นเจอภาพของชายหนุ่มตามชื่อดังกล่าว ทุกคนก็หันมือถือไปให้โคลวิสชี้ตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เครื่องเดียวก็พอแล้ว!” เขาตวาดเมื่อหน้าจอสมาร์โฟนทั้งหลายของเพื่อนๆ ยื่นมาจ่อหน้ายังกับนักข่าวยื่นไมค์สัมภาษณ์ดาราเซเล็ป ก่อนที่นิ้วจะจิ้มไปยังภาพใบหน้าคุ้นเคยอันรางเลือนของคนที่ช่วยชีวิตตนไว้ “คนนี้แหละ…”

เมื่อสไลด์เข้าไปอ่านข้อมูลประวัติส่วนตัว เหล่านักดนตรีต่างก็พากันตะลึง บ้างก็ยกมือป้องปาก บ้างก็ทำตาโตอย่างไม่เชื่อสายตาจนโคลวิสอดสงสัยไม่ได้

“คนดังรึไงถึงได้ทำหน้ากันแบบนั้น?”

“นายเอาไปอ่านเองแล้วกัน” มือหนาอวบของมือกลองยื่นแท็บเล็ตเครื่องใหญ่กว่าใครในที่นี้ให้ เผื่อเพื่อนนักร้องนำจะได้อ่านชัดๆ หน่อย โคลวิสจึงรับมาแล้วไล่สายตาอ่านอย่างช้าๆ

‘ริชาร์ด เบอร์ตั้น ซีอีโอบริษัทนำเข้าอะไหล่อิเล็กทรอนิกและเจ้าของตึกสำนักงานที่สูงที่สุดในเมืองหลวงมูลค่านับพันล้าน ในปีนี้ติดอันดับอัลฟ่าที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ...’

คำโฆษณาเพียงไม่กี่บรรทัดที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของอัลฟ่าชั้นแนวหน้า แค่นั้นก็เรียกเสียงฮือฮาให้กับเหล่านักดนตรีทั้งวงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนักร้องนำอย่างโคลวิสที่ได้เจอตัวจริงมาแล้ว

‘ริชาร์ด เบอร์ตั้น เศรษฐีหนุ่มเจ้าเสน่ห์และนักธุรกิจไฟแรง ปฏิเสธว่าไม่ได้คบหาดูใจกับโอเมก้าสาวไฮโซ ทั้งที่เคยควงฝ่ายหญิงไปออกงานการกุศลเพื่อเด็กยากไร้หลายต่อหลายครั้ง เผยความสัมพันธ์ของทั้งคู่ว่าเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน’

จากนั้นทุกคนยกเว้นโคลวิสที่ยังอึ้งกิมกี่ก็สวมวิญญาณนักสืบเข้าไปอ่านกระทู้ หรือแม้แต่เว็บบอร์ดข่าวซุบซิบที่มีเนื้อหาประวัติส่วนตัวตั้งแต่วันเดือนปีเกิดยันมูลค่าทรัพย์สิน ขอเพียงมีชื่อและภาพถ่ายที่ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งความอยากรู้อยากเห็นนี้ได้

“อื้อหือ! ขนาดไม่ได้เป็นดาราดัง แต่ข่าวพี่แกเยอะกว่าพระเอกหนังบางคนซะอีก” แม้ว่าจะไม่ได้หน้าตาดีเท่านักแสดงแต่รูปหลุดที่แอบถ่ายโดยปาปารัซซี่ที่เป็นภาพเจ้าตัวกำลังพักผ่อนในเวลาส่วนตัวก็ทำเอาหลายคนร้องว้าว ภาพที่เพิ่งขึ้นจากสระน้ำบนเรือโชว์หุ่นล่ำขยี้ใจสาวน้อยสาวใหญ่หลายคน อาจจะรวมไปถึงโอเมก้าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บางคนที่เห็นแล้วยังอดใจสั่นไม่ได้

“โคลวิสสส! นายรีบไปหามิสเตอร์เบอร์ตั้นให้ไวเลยนะ!”

“จะไปหาทำแมวน้ำอะไรเล่า! ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้สนใจเขาน่ะ!”

“ไอ้บ้าเอ๊ย! อัลฟ่ารวยๆ นิสัยดีๆ แถมน่ากิน แบบนี้หาได้ง่ายๆ ซะที่ไหน! ถ้าแกไม่เอาฉันเอาเองแล้วกัน”

“แกเป็นเบต้าจะอ่อยเขาไปเพื่อ...!?”

“เออ! ...โทษที ลืมตัวไปนิด” มือเบสยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็นิ่งไปสักครู่ก่อนจะตวาดขึ้นมา “เป็นเบต้าแล้วยังไงล่ะ!? ฉันก็โฉบเขาได้เหมือนกันนั่นแหละ!”

เสียงหัวเราะและการรุมกลั่นแกล้งของเพื่อนร่วมวงดังลั่นไปทั่วร้าน หลังจากได้รู้ข้อมูลของอัลฟ่าที่ช่วยตนไว้เมื่อปีก่อนแทบจะละเอียดยิบ...

ไม่สิ.. เขาไม่แน่ใจว่านี่มันเป็นการสร้างภาพของคนคนนั้นหรือว่าพวกนักข่าวปรุงเสริมเติมแต่งอะไรบ้างรึเปล่า โคลวิสจึงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในข่าวให้มากนัก แต่อย่างน้อยการที่ได้รู้ว่ายังมีอัลฟ่าบางคนที่ไม่ได้นิ่งดูดายยามที่เห็นคนถูกรังแกและคิดว่าจะทำอะไรกับโอเมก้าอย่างพวกเขาก็ได้ แค่นี้มันก็พอจะทำให้โคลวิสได้รู้จักตัวตนส่วนที่ดีของอีกฝ่ายมากขึ้น

ซึ่งนั่น...ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ไม่ได้พยายามติดต่อกลับไปอีก ริชาร์ด เบอร์ตั้น ผู้มีทุกสิ่งอย่างที่ชีวิตของเขาทั้งชีวิตคงไม่มีทางได้สัมผัสมัน คนระดับนั้นคงไม่อยากได้อะไรจากเขาหรอก…





--------





แล้วเราจะถ่อมาที่นี่ทำไมกันฟะ? …โคลวิสพูดกับตัวเองในใจตอนที่พาตัวเองมายืนอยู่หน้าอาคารสูงใหญ่ที่ทั้งหรูหราและทันสมัยที่สุดในเมือง รู้สึกตัวเองช่างเล็กกะจ้อยร่อยนัก รู้งี้ไม่น่ามาซะก็ดี...

‘โคลวิส! แกกำลังหาทำเลเปิดร้านกาแฟไม่ใช่เหรอ ลองไปที่ตึกนั้นดูสิฉันว่าเขาน่าจะมีพื้นที่แบ่งให้เช่าอยู่นะ’

‘ตึกใหญ่แบบนั้นคงมีร้านกาแฟชื่อดังไปเปิดร้านตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แถมค่าเช่าที่ก็คงไม่ใช่ถูกๆ ด้วย’

‘เฮ้ย! ลองไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่ อีกอย่างเปิดร้านกาแฟในสำนักงานยังไงก็ไม่มีทางขาดทุนหรอก อย่าดูถูกมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องซดกาแฟแทนข้าวเช้าทุกวันไม่งั้นสมองไม่แล่นสิพวก’

‘...เออๆ แค่ไปดูก็พอแล้วใช่มั้ย แล้วมีใครจะไปกับฉันบ้าง?’

‘นายน่ะฉายเดี่ยวไปเลย บุกเข้าไปหาคุณริชาร์ด เบอร์ตั้นให้ได้นะโคล!’

‘นั่นคือใจจริงของพวกนายใช่มั้ย!?’

โคลวิสยกมือลูบหน้าพลางนวดขมับตัวเองเมื่อนึกถึงหน้าพวกเพื่อนๆ ที่ยุยงส่งเสริมให้มาให้ได้ แต่...ให้ตายสิ! จะมาเป็นเพื่อนกันสักคนก็ไม่ได้รึไงเจ้าพวกนี้นี่..

เอาวะ ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสีย อย่างมากก็แค่โดนปฏิเสธ คิดซะว่าเริ่มเดินสายมองหาที่ทางทำกินแล้วกัน…

“คุณครับ คุณ…”

นักร้องหนุ่มโอเมก้ามองไปรอบๆ รู้สึกเหมือนมีคนเรียก คิดไปเองรึเปล่านะ?

“คุณพี่ชายผมแดงครับ ทางนี้ๆ”

ชัดละ หมายถึงเราแน่นอน… โคลวิสหันไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วจึงได้เห็นว่ามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันโบกมือน้อยๆ พลางยิ้มให้ “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“คุณเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกใช่มั้ยครับ?”

“...ครับ?” รู้ได้ไง...อย่าบอกนะว่าเขาเจอสต็อคเกอร์อีกแล้วน่ะ!?

“ดีเลย เราสองคนเข้าไปข้างในด้วยกันมั้ย? พอดีผมจะมาติดต่อขอเช่าพื้นที่เปิดร้านน่ะครับ แต่ไม่กล้าเข้าไปคนเดียวน่ะ” อีกฝ่ายบอกจุดประสงค์ของตน นักร้องหนุ่มโอเมก้ามองดูแฟ้มและเอกสารที่อีกฝ่ายหอบพะรุงพะรังมาให้เพียบ ส่วนเขานั้นมีแค่แฟ้มเล่มบางๆ กับซองเอกสารสำคัญไม่กี่อย่างเท่านั้น

“จะเปิดร้านอะไรเหรอครับ?”

“ร้านกาแฟครับ คุณล่ะ?”

“อา...เหมือนกันเลยครับ”

ทั้งสองมองตากันปริบๆ มาเสนอเปิดร้านกาแฟเหมือนกันแบบนี้ มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่านะ แต่โคลวิสก็ไม่คิดอะไรมาก พวกเขาเดินเข้าไปในตึกนั้นพร้อมๆ กัน...ไหนๆ ก็จะเข้าไปอยู่แล้ว สองคนย่อมดีกว่าหนึ่งคนแน่นอน แม้จะเพิ่งเจอหน้ากันก็ตาม

“ผมชื่อ อัล ไลรอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เบต้าหนุ่มร่างโปร่งโย่งยื่นมือมาทักทายทำความรู้จัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโดนรอยยิ้มเบียดจนตาหยีแสดงความเป็นมิตร

“โคลวิส ฟิลเบิร์ต” โอเมก้าหนุ่มยิ่นมือไปจับอย่างเป็นกันเอง

“ว่าแต่ คุณโคลวิสเคยเปิดร้านมาก่อนรึเปล่าครับ?”

“ไม่เคยเลย เพิ่งเรียนจบคอร์สซะด้วยซ้ำครับ” โคลวิสตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกนี่นะ..

“เหมือนกันเลย!”

อา...นี่คือหนึ่งในข้อพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่า คนประเภทเดียวกันจะดึงดูดกันรึเปล่านะ? กว่าทั้งคู่จะหาทางมาที่ห้องสัมภาษณ์ได้ก็เล่นเอาปวดขาไปตามๆ กัน ตึกบ้านี่จะใหญ่และซับซ้อนไปไหน!

เมื่อมาถึง พวกเขาก็พบกับคนอีกสามถึงสี่คนที่นั่งรออยู่ก่อนและกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงสุขุม ก็สถานที่มันออกจะทางการขนาดนี้ จะเรียกว่าบรรยากาศพาไปก็คงได้

“ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว ขอเมล์ติดต่อหรือแลกเบอร์กันไว้ได้มั้ยครับ?” อัลหันมายื่นมือถือตนให้โดยไม่คิดจะรอฟังคำตอบ ซึ่งโคลวิสก็รับมาอย่างเสียมิได้ คิดซะว่าได้ติดต่อกับคนที่จะทำอาชีพเดียวกันในอนาคตก็แล้วกัน…





หลังจากสัมภาษณ์จนครบทุกคน ซึ่ง.. ยังไม่ทราบผลภายในวันนี้ แต่ผู้สัมภาษณ์ที่มานั่งคุยอย่างเป็นกันเองในห้องประชุมขนาดเล็กนั้นก็ยืนยันจะส่งอีเมล์แจ้งผลให้ทุกคนรับทราบไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ก็ตาม ซึ่งก็ดี เพราะบางที่นั้นไม่ยอมแจ้งอะไรเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้รอเก้อ หรือบางทีคิดว่าไม่ได้แล้วแน่ๆ ก็เลยไปเสนอเปิดร้านที่อื่นแล้วถึงเพิ่งจะเมล์มาบอกว่าสอบผ่านก็มี…

“เที่ยงพอดี ไปหากินอะไรด้วยกันมั้ยครับ?” อัลถามเมื่อพวกเขากำลังลงลิฟต์มายังชั้นแรกเพื่อออกจากตึกใหญ่โตนี้ “ผมรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ ไม่ไกลจากที่นี่นะ”

“ไว้วันหลังแล้วกันครับ เย็นนี้ผมมีคิวร้องเพลงน่ะ ต้องไปเตรียมตัวกับเพื่อนๆ”

“โอ้ ที่เล่าให้ฟังสินะ ไม่เป็นไรๆ งั้นเอาไว้เจอกันนะครับ”

อัลโบกมือลาและหันหลังให้เขาเดินไปอีกทางหนึ่งด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง โคลวิสก็โบกมือช้าๆ ให้ ทำไมถึงได้ไฟแรงขนาดนี้นะ.. เทียบกับเขาแล้ว รู้สึกตัวเองเฉื่อยชาขึ้นมาเลย

โคลวิสเดินเอื่อยๆ มาตามถนน และได้ยินพนักงานที่เพิ่งกลับจากพักเที่ยงคุยกันว่าตอนค่ำวันนี้ซีอีโอของตึกจะไปเดินร่อนแถวย่านสถานบันเทิงของเมือง

“นี่ๆ ไปแอบส่องคุณเบอร์ตั้นชุดไปรเวทกันเหอะ อยากเห็น”

“ไม่ไหวอ่ะแก งานยังท่วมอยู่เลย คืนนี้คงต้องโอทีแล้วล่ะ”

“แหม่...เดี๋ยวค่อยกลับมาโต้รุ่งก็ได้น่า”

ดูท่าจะป็อปจริงๆ .. โคลวิสแอบคิดในใจ นี่เดินผ่านสาวน้อยใหญ่ไปสองสามกลุ่มแล้ว เหมือนจะพูดถึงแต่ ริชาร์ด เบอร์ตั้น อัลฟ่านิสัยดีคนนั้นกันหมด ตอนนี้อายุก็น่าจะย่างเข้าสามสิบกว่าแล้ว วัยกำลังน่าเคี้ยวสำหรับสาวๆ ที่หวังจะมีครอบครัวเลยนี่นา…

แต่...ย่านสถานบันเทิงเหรอ? คืนนี้เขาจะต้องไปร้องเพลงที่นั่นพอดี จะบังเอิญได้เจอกันมั้ยนะ?

ในใจโอเมก้าหัวสีกำลังพองโตด้วยความหวัง

แต่เดี๋ยวสิ.. เขากำลังหวังอะไรอยู่? ศีรษะส่ายไปมาเพื่อไล่ความคิดของตัวเองออกจากหัว

นายก็แค่ชื่นชมที่เขาเป็นคนดี แล้วก็อยากขอบคุณที่เขาอุตส่าห์มาช่วยในวันนั้นเท่านั้นแหละ…อย่าได้คิดอะไรมากไปกว่านี้เด็ดขาด







เมื่อตะวันลับฟ้าไป ดวงดาวหลากหลายเริ่มปรากฎขึ้นมาบนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเบื้องบน เมืองเริ่มละลานด้วยแสงไฟจากโคมไฟริมถนนและร้านดื่มกินยามค่ำคืน ผู้คนหลากหลายเดินขวักไขว่ด้วยต่างจุดหมายและความรู้สึก

โคลวิสมาเตรียมตัวที่ร้านประจำดังเช่นปกติ แต่วันนี้เขากลับไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร สายตาสอดส่องผู้คนที่เข้าๆ ออกๆ ร้านอยู่ตลอด เผื่อว่าจะเจอใครบางคนที่เขาต้องการพบเข้า…

“คุณหัวหน้าวงครับ จะถึงคิวแล้ว ช่วยกรุณาอย่าลุกลี้ลุกลนสิท่าน” มือกลองหันมาเอ็ดเข้าให้

“วันนี้ไปสัมภาษณ์มาเป็นไงมั่ง?” เพื่อนมือเบสถามขึ้นเพื่อดึงความสนใจของโคลวิส ทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลังจูนสายอยู่แท้ๆ

“อ๋อ...ก็..ดีมั้ง”

“ไม่ได้เจอคุณริชาร์ด เบอร์ตั้น เลยเหรอ?”

“แค่สัมภาษณ์งาน ทำไมซีอีโอต้องลงมาสัมภาษณ์เองด้วยล่ะ” โคลวิสรีบตัดบทและดื่มน้ำอุ่นล้างคอตัวเองรอ ก่อนจะเดินขึ้นเวทีไป

แม้จะเรียกว่าเวที ทว่าสภาพของมันก็เป็นเพียงแค่พื้นต่างระดับที่สูงขึ้นมาไม่ถึงสองฟุตเท่านั้น เพราะร้านต้องการบรรยากาศเป็นกันเอง และอยากให้พนักงานในร้านซึ่งก็รวมถึงนักดนตรีได้ใกล้ชิดกับแขกให้มากเท่าที่จะทำได้ ระหว่างที่กำลังกล่าวทักทายคนฟังและทำนองเพลงบรรเลงเพื่อเป็นสัญญาณเริ่มงาน พลันสายตาก็หันไปพบกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านและตรงปรี่ไปหาคนรู้จักของเขาทันที..

ริชาร์ด เบอร์ตั้น...ตัวเป็นๆ ตัวจริงเสียงจริง นั่งลงไปในกลุ่มของชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานตรงมุมร้าน ในตอนนั้นอัลฟ่าร่างสูงใหญ่ไม่ได้มองมายังเวที เขากำลังไล่ทักทายคนในโต๊ะด้วยท่าทีเป็นกันเองสุดๆ อย่างที่เคยเห็นเมื่อปีก่อน แทบไม่เคยเปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลย..

แต่งานก็ต้องเป็นงาน โคลวิสหันหน้าไปอีกทางและเริ่มทำงานของตัวเอง นักร้อง นักดนตรี หน้าที่ที่เรียกได้ว่าสำคัญไม่แพ้คนครัวหรือเหล่าบาร์เทนเดอร์ ผู้สร้างสีสันและบรรยากาศดีๆ ให้กับคนที่เข้ามาฟัง พอได้เปิดปากร้องเพลงแล้วเขาก็ไม่มีกะใจจะมองไปไหนอีก สองมือดีดกีต้าร์ตามท่วงทำนอง และภายในร้านก็เหมือนต้องมนต์สะกด หัวสมองโล่งว่างอย่างน่าประหลาดดังเช่นทุกๆ ครั้ง แม้จะเหนื่อยแต่ก็ยอมรับว่า เขามีความสุขที่ได้ขึ้นมาร้องเพลงที่นี่ในทุกๆ คืน..

“ยังเพราะเหมือนเดิมเลยนะโคลวิส”

“เอ้า! แก้วนี้ฉันเลี้ยงนะคะ”

“เอากับแกล้มไปให้นักร้องทีสิ เก็บบิลที่โต๊ะนี้นะ”

เมื่อพักเบรค เปลี่ยนเป็นเสียงดนตรีจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง ลูกค้าที่นั่งฟังเพลงในร้านต่างก็พากันแย่งประเคนอาหารเครื่องดื่มให้เหล่านักร้องนักดนตรีจนบริกรรับและส่งของกินกันแทบไม่ทัน

“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวเพลงต่อไปคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นรีเควสได้นะครับผม” แน่นอนว่าต้องให้เกียรติสุภาพสตรีก่อน แถมลูกค้าสาวสวยเองก็เป็นตัวช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายได้ไม่เลว “ส่วนคุณพี่ผู้ชายตรงโน้น ขอบคุณสำหรับหอยแครงลวกจานนี้นะครับ แต่แหม...แย่จริง เหมือนมือกลองเราจะแพ้อาหารทะเลนะครับ”

“อย่ามามั่ว นายจะเก็บไว้กินคนเดียวน่ะสิ” คนสั่งเมนูขึ้นไปให้ตะโกนท้วงขึ้นมาเพราะสั่งให้กินหลายครั้งแล้วก็เห็นคนทั้งวงแทบจะกลายเป็นแร้งรุมทึ้งเหยื่อทุกครั้งไป เสียงหัวเราะเซ็งแซ่ดังไปทั่วบริเวณพร้อมกับใบหน้านักร้องนำที่ทำหน้าเสียดายที่โดนอ่านเกมออก

“โคลวิส โต๊ะโน้นให้เอาผ้าเย็นมาให้” บริกรเดินมากระซิบและยื่นถุงผ้าเย็นในมือให้เมื่อเห็นว่ามีจังหวะให้แทรก พร้อมแนบกระดาษโน๊ตเล็กๆ มาด้วย

‘นายนี่เอง’

โคลวิสแทบหยุดหายใจเมื่อพอจะเดาได้ว่าใครเป็นเจ้าของโน้ตนี้ โอเมก้าหัวสีค่อยๆ เงยหน้าไปทางมุมหนึ่งของร้าน ที่เต็มไปด้วยกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่สลัดชุดทำงานนั่งคุยสังสรรค์กันเงียบๆ สบายอารมณ์ หนึ่งในนั้นมองสบตาเหมือนจ้องเขามาสักพัก ริชาร์ดยกแก้วเหล้าในมือขึ้นเป็นการทักทาย ซึ่งโคลวิสเองก็ยกแก้วในมือตอบ ...หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ารำคาญ..

ไม่ไหว…ทั้งที่คิดว่าตนไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแต่วันนั้น แต่พอเจอหน้าอีกฝ่ายจริงๆ เข้า ทำไมความรู้สึกนี้มันยิ่งชัดเจนกว่าเดิมทั้งที่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้วแท้ๆ

ริชาร์ดทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง โคลวิสหลุดจากภวังค์และพยายามแปลข้อความจากปากอีกฝ่าย ได้ใจความคร่าวๆ ว่า จะรอหลังเลิกงานนะ ซึ่ง..เขาก็พยักหน้ารับไปแม้จะไม่มั่นใจว่าแปลถูกมั้ย..







หลังจากหมดคิวเมื่อเวลาล่วงเลยจนเกือบจะขึ้นวันใหม่ โคลวิสขอแยกกับเพื่อนๆ ที่กะจะไปรวมกลุ่มกันทำปาร์ตี้หม้อไฟที่ห้องของมือเบส ซึ่งแต่ละคนก็แซวเขาเล่นเสียยกใหญ่ก่อนจะเดินหายจากร้านไป ปล่อยให้โคลวิสเดินตัวลีบมานั่งที่เคาท์เตอร์มุมในสุดคนเดียวเพื่อรอให้อีกฝ่ายคุยธุระของเขาให้เสร็จเสียก่อน โอเมก้าหัวสีมองเหม่อไปยังแก้วเหล้าที่มีเหล้าสีสวยอยู่ข้างในนั้น หวังให้ใจมันสงบลงบ้าง

...นี่เขาจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย?

“ขอโทษที่ให้รอนะ” เสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมาเสียนานเอ่ยทักจนโคลวิสสะดุ้ง เขาหันไปตามทิศทางที่ถูกเรียก ก็พบริชาร์ดเดินมาหาและนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ

“ไม่เป็นไร” โคลวิสเลื่อนแก้วเหล้าอีกแก้วให้ “ผมเลี้ยงละกัน”

“ไม่ต้องก็ได้นะ แค่จะมาทักทาย เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ” ริชาร์ดยกมือขึ้นทำปางห้ามญาติเพื่อบอกปฏิเสธ เมื่อโคลวิสมองไปยังโต๊ะเดิมที่ริชาร์ดนั่งเมื่อครู่ก็พบว่าเพื่อนๆ ของซีอีโอมากวัยกว่านั้นกำลังทยอยกลับกันหมดแล้ว

“จะไปเที่ยวกันต่อเหรอครับ?”

“ไม่ไหวหรอก เห็นงี้ฉันก็ไม่ใช่สายเที่ยวกลางคืนนักหรอกนะ” ริชาร์ดยิ้มแห้งส่งให้ “แก่แล้วก็เงี้ย”

“พูดไม่เกรงใจคนแก่กว่าคุณเลยนะ” โคลวิสหัวเราะแล้วยกแก้วขึ้นกระดกจนหมดในทีเดียว “วันนี้มาเยี่ยมเพื่อนเหรอครับ?”

“ใช่.. ปกติไม่ได้มาแถวนี้หรอก แต่เพิ่งรู้นะว่านายเป็นนักร้องที่พวกเพื่อนๆ ชมกันใหญ่”

“จริงเหรอครับ ขอบคุณครับ ดีใจจังที่ชอบ”

ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ ถามตั้งแต่เรื่องทั่วไปกระทั่งถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน แต่ตอนนี้โคลวิสก็ไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรร้ายๆ แบบนั้นอีกแล้ว เมื่อเห็นว่าได้เวลาสมควร โคลวิสก็กระดกเหล้าในแก้วที่เหลือจนหมดในคราวเดียวแล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านตั้งใจจะแยกย้ายไปคนละทาง

“ให้เดินไปส่งที่หอพักมั้ย?” ริชาร์ดเสนอ “เดี๋ยวเจอเรื่องแบบตอนนั้นอีกจะแย่เอา”

“คนเราไม่ซวยซ้ำซ้อนอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” โอเมก้าหัวสีหัวเราะในลำคอ ความจริงเขาก็อยากให้อีกฝ่ายเดินไปส่งนั่นแหละ...ก็แค่เสียดายที่ต้องแยกกันแล้วเท่านั้นเอง “ขอบคุณสำหรับน้ำใจครับ”

“อา งั้นก็โชคดีนะ มีโอกาสจะแวะมาเที่ยวที่นี่อีก” ริชาร์ดค้อมหัวให้เล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ ทำไมถึงได้สุภาพแม้แต่กับคนระดับเขาด้วยนะ.. โคลวิสพยักหน้าและโน้มศีรษะตอบ เขามองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินหายไปอีกทาง..

เหมือนเมื่อปีที่แล้ว.. ที่เขายังคุยค้างคาไว้โดยไม่ได้ติดต่ออะไรกันไปอีกเลย..

“เดี๋ยวครับ!”

“หือ? มีอะไรเหรอ?”

จู่ๆ โคลวิสก็เปล่งเสียงเรียกริชาร์ดไว้โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าจะยื้อเขาไว้ทำไม.. โอเมก้าหนุ่มลุกลี้ลุกลนรีบหาเหตุผลมาพูดให้ได้.. “ม..มา.. ช่วยตามผมไปที่ห้องพักได้มั้ยครับ!?”

“....ห้ะ?”



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura




แม้จะยังฉงนงุนงง แต่ริชาร์ดก็เดินตามอีกฝ่ายมาแต่โดยดี…

ห้องพักราคาเบาๆ ใจกลางเมืองนั้น แม้จะปัดกวาดเช็ดถูยังไงก็ยังดูเหมือนรูหนูอยู่ดี เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีชีวิตอย่างไร จากทั้งข่าวที่ลงไว้และอาคารสูงใหญ่ที่เขาเพิ่งจะไปมาเมื่อกลางวัน โคลวิสเดินเงียบกริบมาตลอดทางโดยไม่กล้ามองหน้าริชาร์ดด้วยซ้ำ อับอายสุดขีดชีวิตที่ดันทำตัวแปลกๆ ใส่อีกฝ่าย นี่พามาถึงห้องขนาดนี้จะโดนมองว่าเป็นคนยังไงกันเนี่ย!?

“โอ๊ะ? หอมแฮะ นายคั่วกาแฟเองด้วยเหรอ?” แต่ริชาร์ดก็ไม่ได้สนใจขนาดหรือความเก่าของห้องแม้แต่น้อย อัลฟ่าร่างสูงใหญ่ทำจมูกฟุดฟิดอย่างสนอกสนใจกลิ่นที่ลอยมาเตะจมูก

“อ่ะ..ใช่…” ตอนนั้นเหมือนว่าโคลวิสจะนึกอะไรได้พอดี เขารีบถอดเสื้อคลุมออกไปโยนไว้บนไม้แขวนแล้วเชิญอีกฝ่ายมานั่งรอที่โซฟาทันที “ขอเวลาสักครู่ครับ ไม่นานๆ แล้ว...เอ่อ… เดี๋ยวผมพาไปส่งที่เดิมนะครับ!!”

“อ่า..ได้ๆ” ริชาร์ดในท่าทีสบายๆ ทำให้เจ้าของห้องผ่อนคลายจากอาการลนลานลงมาบ้าง เขานั่งลงบนโซฟาตามที่ถูกเชิญโดยไม่มีความรังเกียจใดๆ และยังหยิบหนังสือบนโต๊ะมาพลิกไปมาและเปิดอ่านอย่างสนใจอีกด้วย





...นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ โคลวิส…





ครู่ต่อมา โคลวิสก็เดินกลับมาพร้อมแก้วกาแฟกระดาษในมือก่อนจะยื่นให้ริชาร์ดด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ คนนั่งรอก็มองมันด้วยสายตาสงสัยระคนแปลกใจอีกต่างหาก

“ตอบแทนน่ะ...เมื่อปีที่แล้ว…”

“ยังจำได้อยู่อีกเหรอ!?”

“ก็มันคาใจนี่ครับ!” โคลวิสยังคงยื่นให้ค้างในท่านั้นจนริชาร์ดต้องยอมรับแก้วกาแฟนั้นไปแต่โดยดี “เห็นคุณบอกว่าไม่ชอบกาแฟกระป๋อง..ก็เลย…”

“....ขอบใจนะ” รอยยิ้มกว้างระบายบนใบหน้าของซีอีโอมากวัยกว่า แม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่ได้รับกาแฟมาดื่มหลังเที่ยงคืนแบบนี้ก็ตาม เขาก็ยกดื่มตามารยาท ทว่า… “อร่อย!”

โคลวิสเผลอยิ้มออกมาอย่างโล่งอก หัวใจพองโตจนแทบจะหลุดออกจากอก นี่เขาตัวสั่นนิดๆ ด้วยเหรอ? “ดีจัง..”

“คุณเปิดร้านกาแฟได้เลยนะ ต้องขายดีมากๆ แน่!” ริชาร์ดหันขวับมาด้วยดวงตาเป็นประกาย “อ่ะ จริงสิ ผมกำลังหาคนมาเปิดร้านที่ตึกสำนักงานผมพอดีเลย สนใจมาเป็นบาริสต้ามั้ยครับ!?”

“...ผมไปสมัครมาเมื่อกลางวันนี้เองครับ”

“จริงเหรอ เยี่ยมเลย!” ริชาร์ดลิงโลดเป็นเด็กๆ และลุกขึ้นยื่นมือข้างหนึ่งมาจับมือโคลวิสไปทำท่าเช็คแฮนด์จนไหล่อีกฝ่ายแทบหลุด “ไม่ต้องห่วงหรอก กาแฟรสชาติดีๆ แบบนี้ ใครปล่อยให้หลุดมือไปคงโง่เต็มที”

“เอ่อ... คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” โดนชมซะขนาดนี้ก็ทำเอาเขินจนทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“เชื่อสิ ไว้เปิดร้านเมื่อไหร่ฉันจะมาอุดหนุนทุกวันเลยนะ”

“ดื่มกาแฟมากไปก็ใช่ว่าจะดีนะครับ” แม้จะดีใจที่ได้ลูกค้าประจำรายแรกเป็นผู้มีพระคุณ แต่ก็อดเป็นห่วงสุขภาพไม่ได้

“ไม่ดื่มมันอยู่ไม่ได้นี่นา เห็นใจพนักงานออฟฟิศตาดำๆ หน่อยสิคร้าบ”

จะแซวดีมั้ยว่าระดับซีอีโอนี่เขาไม่นับว่าเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไปหรอกนะ…

“งั้น...เอ่อ.. ให้ผมไปส่งที่เดิมนะครับ” โคลวิสเสนอตัวก่อนจะรีบลุกไปหยิบเสื้อโค้ทของตัวเอง ทว่า ก็โดนมือหนาคว้าบ่าไว้ก่อน แค่ออกแรงบีบเล็กน้อยเขาก็เดินต่อไม่ได้แล้ว.. อา เรี่ยวแรงของอัลฟ่ามันผิดกับโอเมก้าแบบนี้นี่เอง

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันกลับเอง แค่กาแฟแก้วนี้ก็คุ้มแล้วล่ะ” ริชาร์ดเดินผ่านร่างเล็กกว่าไป ฝากแก้วอุ่นนั้นให้โคลวิสถือและหยิบเสื้อของตัวเองมาสวม “อีกอย่าง ถ้านายไปส่งฉัน ขากลับจะทำยังไงเล่า?”

“อ่ะ...เอ่อ…” เพราะเถียงอะไรไม่ได้ก็เลยทำได้แค่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกไป “ขอโทษนะครับ ที่ลากคุณมากระทันหัน”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปล่ะ เจอกันนะ เดี๋ยวให้เลขาฉันเมลมาบอกเรื่องผลละกัน” ริชาร์ดทิ้งท้ายและหยิบแก้วกาแฟนั้นไปถือตามเดิมก่อนจะเดินออกจาห้องไป ซึ่งโคลวิสก็ยินโบกมือส่งอยู่ที่เดิม จนเมื่อประตูปิดสนิท เขาก็เดินมาล็อคกลอนให้เรียบร้อย

“หวา…” โคลวิสยืนนิ่งอยู่ตรงประตู สองมือยกขึ้นปิดใบหน้าแดงก่ำของตัวเองไว้เหมือนกับว่าริชาร์ดยังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วจะเห็นว่าเขานั้นเขินอายขนาดไหน

ในคราแรกเขาก็นึกว่าจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชื่นชม และเขาเองก็กลัวเกินกว่าจะเริ่มรักครั้งใหม่ แถมกับอีกฝ่ายที่ช่างต่างกันฟ้ากับเหวขนาดนี้ ความหวังมันริบหรี่เสียจนโคลวิสเองก็พยายามไม่คิดอะไรแล้ว แต่ วันนี้...รอยยิ้มแสนจริงใจผิดกับสถานะทางสังคม ฝ่ามือหนาแสนอบอุ่นที่สัมผัสไหล่เมื่อครู่ ไหนจะคำชมนั้นอีก ความพยายามที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนจะตอบแทนเขาจนหมดสิ้นด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้แล้ว

“...ลองดูอีกสักครั้งก็ได้มั้ง…”







“สรุปแล้วก็เลยได้เปิดร้านกาแฟสมใจนายแล้วสินะโคลวิส อย่างนี้ต้องฉลอง!”

“พอเลยๆ เอะอะก็ฉลอง ตอนนี้ฉันต้องเอาเงินเก็บไปลงทุนเปิดร้านแล้วนะ จะฉลองอะไรก็เกรงใจกระเป๋าตังค์กันบ้าง” นักร้องวงปรามเพื่อนๆ ที่จริงแล้วเขาแยกระหว่างบัญชีเงินเก็บกับค่าใช้จ่ายแต่ละวันไว้อยู่แล้ว แต่ช่วงนี้ก็ต้องเซฟตัวเองไว้ก่อนเผื่อต้องควักเนื้อขึ้นมาจะได้ไม่เข้าตัวมาก

“แล้วเจ้าหนุ่มคนที่ว่าจะเปิดร้านกาแฟเหมือนกันล่ะเป็นไงแล้ว?” มือกีต้าร์

“อ่อ...เรื่องนั้น พอเขาขอลองชิมกาแฟที่ฉันทำก็เลยถอนตัวไปแล้วล่ะ”

“อ้าว…” ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกัน แต่เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้หรอก

“เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยมาขอสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดร้านเลย…” โคลวิสส่ายหน้าพลางหัวเราะ อันที่จริงตอนที่ผู้ชายที่ชื่ออัลนั่งคอตกเพราะเห็นว่าตัวเองฝีมือสู้เขาไม่ได้ก็แอบหวั่นใจว่าตัวเองจะโดนมองเป็นคู่แข่งรึเปล่า แต่ปรากฏว่าดันลงเอยแบบนี้เสียอย่างนั้น แถมยังบอกด้วยว่าสามเดือนแรกไม่เอาค่าแรง แต่ขอเป็นอาหารสองมื้อแทน

“แต่...ว่า!” เพื่อนมือเบสเอาแขนล็อคคอนักร้องนำของวง “คืนนั้นหลังเลิกงาน นายได้เจอคุณริชาร์ดด้วยใช่มั้ย!? เห็นเดินไปส่งที่หอพักด้วย เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเล่ามาให้ฟังซะดีๆ!”

“นี่พวกนายแอบตามไปดูด้วยรึไง!?” โคลวิสพยายามแงะท่อนแขนที่รัดแน่นเป็นปลาหมึกออก “จะแซวเล่นก็ไม่ว่าหรอกแต่ช่วยเล่นให้มันพอดีๆ หน่อย ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”

พอโดนเพื่อนนักร้องนำวงดุจริงจัง เพื่อนๆ ทุกคนก็สงบปากสงบคำลง “แล้วมีอะไรให้พวกเราช่วยมั้ย?”

“งั้นก็ช่วยเสนอเมนูมาหน่อยแล้วกัน ยังไม่ต้องเยอะหรอก เอาแค่เมนูพื้นๆ ก่อน แล้วถ้ามันไปรุ่งก็ค่อยๆ เพิ่มเข้าไปทีหลัง”

จากนั้นผองเพื่อนก็ช่วยกันเสนอความคิด ทั้งเมนูคาวหวานยอดนิยมในร้านกาแฟ และออกไอเดียจัดร้านให้น่าสนใจ เพราะเดี๋ยวนี้คนนิยมถ่ายรูปเช็คอินตามร้านที่ไปนั่ง น่าจะช่วยให้คนสนใจร้านมากขึ้น แน่นอนว่าอาจจะต้องลงทุนเพิ่มอีกหน่อยเพื่อให้มีมุมสวยๆ ไว้ถ่ายรูป

“แล้วมีชื่อร้านรึยังล่ะ?” มือกลองแทรกถามขึ้นมา ทำเอาทุกคนหยุดคิดเรื่องจัดแต่งร้านไปครู่หนึ่ง นั่นน่ะสำคัญยิ่งกว่ารายการอาหารที่กำลังนั่งลิสต์กันอยู่เสียอีก

“คิดไว้แล้วล่ะ” โคลวิสยิ้มกริ่มแล้วเอาชื่อที่จดไว้ในกระดาษโชว์ให้เพื่อนๆ เขาดู “Roland COFFEE”

“....จำยากไปป่ะ?”

“นึกว่าจะใช้ชื่อ On the RICH อะไรแบบนั้นซะอีก”

“แย่มากพวกแก!!” โคลวิสเขกหัวเรียงคน ก่อนจะเริ่มสาธยายที่มาของมัน “Roland เนี่ย เป็นชื่อของฮีโร่ในวรรณกรรมเก่าแก่ของบ้านเกิดฉันเชียวนะ แล้ว...ชื่อของเขาก็.. แปลว่า ความกล้าหาญ.. เหมือนชื่อคุณริชาร์ด…”

เสียงที่เบาลงเรื่อยๆ จากความกระดากอายไม่ได้ทำให้เพื่อนๆ หยุดล้อเขาได้ แถมจะยิ่งแซวหนักข้อขึ้นอีกต่างหาก แต่ตอนนี้โอเมก้าหนุ่มเพียงคนเดียวในวงกลับไม่ได้คิดจะห้ามเพื่อนๆ แล้ว ตอนนี้เขาเอาแต่ยิ้มอายๆ รับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า

ปล่อยเจ้าพวกนี้ไปละกัน สักวันคงเลิกล้อไปเองนั่นแหละ...





…..

……….





“แหมๆ ๆ แหม~” คาร์เมนและอัลประสานเสียงสูงแทบจะพร้อมกัน ทันทีที่โคลวิสยอมเล่าว่าไปตกหลุมรักซีอีโอเบอร์ตั้นเอาตอนไหน “มาการองในมือมันจืดไปหมดแล้วเนี่ย”

“งั้นขอคืนนะ” พอโดนโคลวิสพูดแบบนั้น ขนมสีหวานก็โดนดึงจานหนีก่อนที่เพื่อนบาริสต้าริบไปจริงๆ ในตอนนี้โคลวิสเขินจนแทบจะเอาหน้ามุดเครื่องคั่วกาแฟไปแล้ว

“แล้ว..ยังไงล่ะ แอบรักข้างเดียวมาตั้งห้าหกปี...โดยไม่คิดจะทำอะไรเลยงั้นเรอะ!?” คาร์เมนทุบสองมือลงโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ทำเอาคนในร้านกาแฟที่พอจะมีหันมามองเป็นตาเดียวกัน

“เบาๆ สิ! ถึงจะไม่ใช่พักเที่ยง แต่คนก็ยังเยอะนะ!” โคลวิสห้ามปราม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวต้องมีเรื่องรายงานไปยังหูเจ้าพนักงานในตึกแหงๆ

“นั่นสิ… ผมว่าน่าเสียดายออกนะ” ลาซารัสที่นั่งฟังเงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่เริ่มออกความเห็น ทำให้ทั้งสามคนหันมามองเป็นตาเดียว “อ...อะไร?”

“นั่นสิน้า คุณลาซารัส แมทเวย์ ที่มัดใจอัลฟ่าไปได้ตั้งสองคนเนี่ย ต้องมีเคล็ดลับอะไรให้เรารู้กันบ้างล่ะ” คาร์เมนทำเสียงล้อเลียนแล้วเท้าคางมองลาซารัส

“หา!? ไม่มีครับ!”

“เบาๆ หน่อยสิลาซัส” โคลวิสหันมาเอ็ดเพิ่มอีกคน พอสองโอเมก้านี้อยู่ด้วยกันทีไรต้องมีทะเลาะกันเสียทุกครั้งไป

“ขอโทษครับ.. แต่..ตามที่คุณคาร์เมนบอก ผมว่าน่าเสียดายนะครับ อย่างน้อยๆ ก็บอกให้เขารู้หน่อยก็ดีนะครับ”

“ให้แนะนำมั้ย?” คาร์เมนเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้แล้วยกสองแขนขึ้นอ้าออกเหมือนกำลังทำตัวเป็นเจ้าลัทธิอะไรสักอย่าง “งดยาระงับซะ แล้วนายก็ชวนเขาไปห้องนายอีกรอบ บอกว่ามีกาแฟสูตรใหม่อยากให้ชิม จากนั้นก็ใส่ชุดที่เน้นสัดส่วนสักนิด ที่เหลือก็ปล่อยให้อะไรๆ มันพาไปก็พอ”

“อย่าไปฟังเขานะครับ” ลาซารัสเอนตัวไปกระซิบกับโคลวิสแต่ก็พูดดังพอให้คนร่วมโต๊ะอีกสองคนได้ยิน ซึ่งโคลวิสเองก็พยักหน้าตอบด้วยสีหน้าระอาสุดทน

“เฮ้! นี่ได้ผลทุกครั้งเลยนะ”

“มันก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอกครับ เอาจริงๆ แค่โคลพูดตรงๆ ก็พอแล้ว ที่ยากก็คือพูดออกไปนี่แหละ”

“งั้นคงเป็นไปไม่ได้อ่ะ” อัลพูดเสริมและเท้าคางมองเพื่อนบาริสต้าของตัวเอง เป็นเพื่อนกันมาตั้งห้าหกปีก็เลยรู้ดีว่าโคลวิสนั้นจริงๆ ขี้อายกับเรื่องแบบนี้ขนาดไหน..

“...ม...ไม่ล่ะ ขออยู่แบบนี้ต่อไปแหละ ฉันก็มีความสุขดี” โคลวิสยกมือทำท่าปางห้ามญาติเป็นเชิงปฏิเสธ ดวงตาหลบไปทางอื่นอย่างไร้ความมั่นใจในตัวเอง

“...โคล ผมรู้ว่าคุณยังกลัว แต่ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปคุณก็ลืมคุณริชไม่ได้ เท่ากับว่าคุณโดนผูกติดกับเขาโดยปริยายเลยนะครับ”

“นายลืมไปแล้วเรอะ เมื่อกี้ก็เพิ่งเล่ามานี่ เกือบโดนอัลฟ่าโรคจิตลากไปทำมิดีมิร้าย แถมยังโดนลักพาตัวไปพร้อมกับเป็ดน้อยนี่อีก… ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน จะตายเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย” พอพูดแบบนี้ทั้งลาซารัสทั้งอัลต่างสะดุ้งแล้วหันมามองอย่างตกตะลึง ..จำเป็นต้องตรงขนาดนี้ไหม.. “ตอนนี้นายมีความสุขดี..ใช่ แล้วอนาคตล่ะ? ยอมรับได้เหรอที่สักวันริชาร์ด เบอร์ตั้น อาจจะมีคนรักคนอื่นแล้วนายก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสให้บอกเค้าว่านายรู้สึกยังไง หรือถ้าสักวันนาย..อาจจะเป็นอะไรไปก็ได้ แล้วก็หมดโอกาสไปอีก?”

แม้จะรู้สึกว่าคาร์เมนพูดตรงไปนิด แต่ลาซารัสและอัลก็เห็นด้วยทุกคำ โคลวิสก้มหน้านิ่งอยู่นานก่อนเขาและอัลจะลุกไปเพราะมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน “ขอตัวนะ เดี๋ยวค่อยคุยต่อ”

“...กดดันเขาไปรึเปล่า?” ลาซารัสกระซิบถามคาร์เมนที่ยังคงนั่งเอนหลังท่าเดิม

“คนเราเวลาออกจากเซฟโซนมาเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมากๆ ก็จะถอยกลับเข้าไปลึกกว่าเดิม.. แล้วพ่อนกแก้วนั่นไม่ได้ใจกล้าแบบนายด้วยเจ้าหนูไฝ...”

ถึงตัวเองจะโดนด่าไปด้วย แต่ลาซารัสก็เผลอหลุดขำสรรพนามที่น้องชายคุณหมอเรียกโคลวิสอยู่ดี ก็ผมสีนั้นมันทำเอานึกถึงนกแก้วได้จริงๆ นี่นะ…

“รับอะไรดีครับ...อ่ะ!?” ระหว่างที่โคลวิสกำลังรับออเดอร์ตามลำดับคนที่มาต่อคิวกัน พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับคนที่เพิ่งจะพูดถึงกันไป ช่างตายยากอะไรขนาดนี้

“ขอเอ็กเพรสโซ่” ริชาร์ดดันโผล่มาอยู่ในแถวด้วย นี่เขาเบลอจนไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในร้านเลยงั้นเหรอ!? เห็นคนที่เพิ่งโดนนินทาไปโผล่มาแบบนี้ ทั้งลาซารัสและคาร์เมนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในร้านก็ยื่นคอขึ้นมาดูแทบจะยืดยาวเป็นยีราฟด้วยความสนใจ “อ้าวนั่น สองคนนั้นก็อยู่เหรอ มีอะไรทำไมมารวมตัวกันได้เนี่ย?”

“เย็นนี้จะไปกินข้าวที่บ้านผมน่ะ” โคลวิสตอบเสียงเรียบและตัดบทไปด้วยการโบกมือไล่เจ้าของตึกให้หลีกทางให้ลูกค้าคนข้างหลัง “คิวต่อไป รับอะไรดีครับ”

พอโดนไล่มาแบบนั้นริชาร์ดเลยเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับโอเมก้าทั้งสองอย่างไม่คิดมาก ทว่า โคลวิสที่ยังคงต้องทำงานอยู่เริ่มเสียสมาธิเสียแล้ว คำพูดของคาร์เมนมันวนเวียนในหัวเขาไม่หยุดถึงขั้นเหม่อลอยเป็นพักๆ จนอัลต้องคอยเรียกสติตลอด

“เอาไปเสิร์ฟคุณริชาร์ดทีสิ” อัลยื่นแก้วกาแฟมาให้เพื่อนที่กำลังคิดเงินอยู่

“ไหงงั้น นายเอาไปสิ”

“แค่คิดเงินฉันก็ทำได้น่า รีบไปซะที ไป๊!”

ปกติจะปฏิเสธหัวชนฝาไปแล้ว แต่รู้ตัวอีกทีโคลวิสก็กำลังวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะซะแล้ว.. แม้จะพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่า ใบหน้าของเขาดูจะปิดไม่มิดซะแล้ว

"วันนี้ดูเครียดๆ นะ ไม่สบายรึเปล่าน่ะ? " ริชาร์ดหันมาเจอเข้าพอดีเพราะสายตาทั้งสองของโอเมก้าร่วมโต๊ะจ้องไปยังบาริสต้าหัวสีเป็นตาเดียว

"...ไม่ได้เป็นอะไรครับ"

"แน่เหรอ เดี๋ยวเกิดทรุดขึ้นมาใครจะมาชงกาแฟอร่อยๆ ให้ริชาร์ดกันล่ะ? " คาร์เมนต่อยหมัดตรงแบบไม่ถงไม่ถามหรือเตี๊ยมกันสักคำ

"เพราะพวกนายดันพูดเรื่องแบบนั้น..” คนที่มักเก็บอาการเขินได้ดีมาตลอด พอมาตอนนี้ความอดทนเริ่มปะทุจนใกล้จะถึงลิมิต ทั้งเสียงสั่นทั้งมือเย็นไปหมด ทำไมไอ้คุณริชาร์ดต้องโผล่มาตอนนี้ด้วย!? นี่โชคชะตาบอกให้เขาต้องพูดเหรอ? มันต้องพูดแล้วจริงๆ เหรอ!?

"หือ? แกล้งอะไรกันก็อย่าเกินเลยล่ะ เดี๋ยวไม่เป็นอันทำงานพอดี" ริชาร์ดหันไปหัวเราะใส่ลาซารัสกับคาร์เมนที่ดูท่าทางคงจะรวมหัวกันแกล้งเพื่อนเป็นแน่ โดยเฉพาะน้องชายของคุณหมอเพื่อนรักนี่แหละตัวเสี้ยมกว่าใครเลย

"คุณนั่นแหละต้นเรื่องเลย! " โคลวิสหลุดตะโกนเสียงดังจนทุกคนแปลกใจ

"หา? " ริชาร์ด เบอร์ตั้นแอบงงว่าตัวเองไปทำอะไรให้ไม่พอใจตอนไหน เพราะปกติไม่ว่าใครจะยุแหย่ หรือเจอลูกค้าเหวี่ยงใส่แค่ไหน บาริสต้าหนุ่มคนนี้ก็ใช้สติและความใจเย็นแก้ปัญหาได้เสมอ "ฉันไปทำอะไรให้นายเหรอ? "

พอโคลวิสไม่ยอมพูดอะไรต่อเพราะกำลังตกใจที่เขาใช้อารมณ์ใส่คนตรงหน้าขนาดนี้... ริชาร์ดเลยหันไปมองคนที่เหลือ ซึ่งสายตากับสีหน้าที่แสดงออกมาก็เดาไม่ออกอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนโคลวิสนั้นกลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้

"...ดูเหมือนฉันอยู่ตรงนี้จะทำให้นายอึดอัดสินะ" ซีอีโออัลฟ่าลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปทั้งที่ยังดื่มกาแฟไม่หมด "ถ้าทำให้รู้สึกไม่ดีก็ขอโทษนะ"

"ม...ไม่ใช่นะครับ! " โคลวิสเผลอใช้สองมือคว้าแขนเสื้ออีกฝ่ายแล้วฉุดไว้เสียจนคนตัวสูงกว่าที่ไม่ได้ตั้งหลักแทบจะล้มใส่ "ไม่...ไม่ได้อึดอัดเลยสักนิดครับ!! "

ตอนนี้สมองของบาริสต้าหนุ่มหมุนติ้วจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว ไอ้สิ่งที่ออกจากปากไปเมื่อครู่นั้นก็ไม่ได้คิดคำแก้ตัวไว้เลยสักอย่าง...

"แล้วเพราะอะไรล่ะ บอกได้มั้ย? " สายตาของริชาร์ดจะจ้องเอาคำตอบอย่างจริงจัง

"บอก...ตรงนี้ ไม่ได้! " เหมือนสมองจะไปแล้วแต่ยังดึงสติไว้ได้อยู่ "อ๊า! เพราะพวกนายเลย!! "

โคลวิสปิดหน้าแล้วลงไปนั่งยองอยู่กับพื้น สองมือยกขึ้นปิดหน้าไม่กล้าสบมองใครทั้งนั้น

ในเมื่อพูดไม่ได้...ก็ไม่ต้องพูดสิ!

โคลวิสคิดได้ดังนั้นก็เลยหยิบเอากระดาษจดเมนูออกมาเขียนอะไรยุกยิกอย่างไวแล้วยื่นให้ริชาร์ดเอาไปอ่าน ส่วนตัวเองยังนั่งคุดคู้อยู่กับพื้น

"? " มือหนาหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วพลิกอ่าน ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนสีเล็กน้อย "อ่า..."

"อะไรๆ ๆ เขียนว่าอะไรเหรอ!? " เหล่าเพื่อนมุงพากันมารุมล้อมซีอีโอ แต่ริชาร์ดยกมือขึ้นสูงสุดความยาวแขน

"โทษทีนะ แต่นี่ของฉัน" ใบหน้าของซีอีโอหนุ่มยิ้มกว้างแล้วพับกระดาษเก็บลงกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหันไปมองคนที่สารภาพด้วยปลายปากกา ริชาร์ดย่อตัวลงมานั่งกอดเข่าเป็นเพื่อนโคลวิสที่ยังคงก้มหน้านิ่ง "...ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? "

ร่างเล็กกว่าสะดุ้งแล้วออกอาการสั่นเล็กๆ ทำใจอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมตอบออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา "...ตอนที่คุณช่วยผมไว้จากพวกโรคจิตครับ..."

คนถามเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะเป็นเหตุการณ์ในตอนนั้นตั้งแต่แรก เพราะคนตรงหน้าไม่เคยแสดงออกให้เขาเห็นเลยว่ารู้สึกอะไรแบบนั้น

"อ่ะ! ไม่ต้องคิดมากนะครับ ผมไม่ได้คิดจะจีบคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อันที่จริงอยู่แบบนี้ผมก็มีความสุขดี แล้วผมก็คิดว่าคุณเองก็คงมีคนที่เหมาะสมกว่านี้อยู่แน่ๆ อะ..ไร... แบบนั้น" โคลวิสกล่าวโดยที่ไม่รู้ตัวว่าน้ำตามันกำลังไหลเอ่อล้นออกมา คำพูดมากมายที่อัดอั้นอยู่ในใจมาแสนนานเปล่งออกไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ออก แต่สำหรับริชาร์ดที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้ว มันค่อนข้างชัดเจนพอให้จับเนื้อความได้อยู่ "เพราะแบบนี้ผมก็เลย...ไม่กล้าบอกคุณ..."

"เพราะอะไรถึงไม่บอกล่ะ? " ริชาร์ดยังคงยิงคำถามต่อเนื่องพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายเอาไปซับน้ำตาก่อน

"ผม...เคยผิดหวังมาก่อน ก็เลยไม่อยากตั้งความหวัง ยิ่งเป็นคนระดับคุณด้วยผมก็เลย..." โคลวิสรับผ้าเช็ดหน้ามาถือไว้ เสียงเบาลงจนไม่ได้ยินคำพูดหลังจากนั้น แต่คนฟังก็พอจะจับใจความได้

"แล้วสารภาพแบบนี้ไม่กลัวผิดหวังอีกครั้งรึ? "

"...จริงๆ เพราะโดนพวกนั้นกดดันมากๆ เลยสติหลุดก็ส่วนหนึ่ง..." คนโดนกล่าวถึงสะดุ้งไปนั่งตัวตรงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และมองไปทางอื่น "และ...ผมเคยคิดว่ามันก็อาจเป็นแค่ความหลงใหลชั่วคราว แต่จนถึงตอนนี้.. ไม่ว่าจะเห็นหน้าคุณกี่ครั้ง ผมก็เหมือนกลับมาตกหลุมรักคุณอีกรอบซะทุกที"

พูดมาถึงตรงนี้โคลวิสยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้าแม้ดวงหน้าจะแดงก่ำขนาดไหนก็ตาม

"ผมไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลังที่ไม่ได้พูดมันออกไปครับ" จากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างที่สุด “ถ้าเกิด...ต้องตายไปโดยไม่ได้บอกความรู้สึกจริงๆ ออกไป ผมคงตายตาไม่หลับแน่”

กองเชียร์ต่างรู้สึกประทับใจจนน้ำตาจะไหล บ้างก็ผิวปากด้วยความถูกใจในความกล้าของเพื่อนบาริสต้าหนุ่ม

"...ขอบใจนะ แต่ขอรับไว้แค่ความรู้สึกแล้วกัน" เพราะไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่ายเกินเลย ริชาร์ดจึงได้ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล แต่...แทนที่จะเห็นใบหน้าอันผิดหวัง โคลวิสกลับพยักหน้ารับแต่โดยดี ราวกับรู้แต่แรกว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง

"....ผมก็คิดไว้แล้วล่ะว่าคุณคงพูดแบบนี้ แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ" คำพูดที่ทำเอาผู้ฟังทั้งหลายที่รายล้อมเป็นสักขีพยานล้วนอยากจะปรบมือให้ โดยเฉพาะลาซารัสที่เคยใช้ไม้นี้เอาชนะใจอัลฟ่าใจแข็งอย่างหมอคาเล็มมาได้

"ผมอาจจะรีบร้อนสารภาพไปทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมใจมาดีพอ..." โคลวิสยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยใบหน้าแสนมีความสุขราวกับริชาร์ดตอบรับคำบอกรักไปแล้ว "ขอเวลาผมสักนิดแล้วผมจะบอกคุณอีกครั้งนะ อ่ะ... แต่คราวหน้าจะพูดแทนการเขียนนะครับ"

บาริสต้าหนุ่มหัวเราะแก้เขิน ไม่รู้ทำไม...พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของโคลวิส จู่ๆ ริชาร์ดก็รู้สึกว่ามันน่ามองมากกว่าทุกที

อันตรายจริงๆ ไม่ดีกับใจเลยแบบนี้

"ฉันว่า...นายตัดใจตอนนี้ดีกว่านะ"

"อะไรกัน โดนโอเมก้ารุกจีบก่อนแค่นี้ถึงกับจะถอยห่างกันเลยเหรอริชาร์ด นายเป็นอัลฟ่าไม่ใช่เหรอ..." คาร์เมนเอ่ยเสียงสูงกว่าปกติพลางมองจิกผ่านแว่นกันแดด “หรือรังเกียจโอเมก้าที่เคยมีเจ้าของแล้ว?”

“พูดงี้มาต่อยปากกันเลยดีกว่ามั้ย?”

“จะเอาสินะ” คาร์เมนหักนิ้วดังกร๊อบรออยู่แล้ว ริชาร์ดเองก็ลืมตัวไปว่าน้องชายโอเมก้าของเพื่อนไม่ใช่พวกที่จะมาข่มได้ง่ายๆ พอหันกลับมาทางโคลวิสที่หน้าเจื่อนลงจึงต้องรีบอธิบายอย่างด่วนก่อนจะเข้าใจผิด

“มันไม่ใช่เรื่องที่นายเคยผ่านอะไรๆ มาหรอก แต่...ฉันเองไม่ได้เป็นคนดีเลิศอะไรขนาดนั้น นายอาจจะประทับใจที่ฉันเคยช่วยเหลือเอาไว้หลายครั้ง แต่นั่นน่ะฉันไม่ได้ทำกับนายเป็นพิเศษคนเดียวหรอกนะ” ระหว่างพูดก็พาอีกฝ่ายกลับขึ้นมานั่งเก้าอี้ตามปกติไปด้วย “เพราะงั้น...อยากให้นายค่อยๆ คิดอย่างใจเย็น ของแบบนี้มันต้องดูกันไปนานๆ”

“แอบมองมาตั้งหกปีนี่นานพอมั้ย?” คาร์เมนพูดแทรก ก่อนจะโดนลาซารัสเอามือปิดปากให้หยุดสอดเรื่องคนอื่นสักที แต่ก็โดนรุ่นพี่ตัวเล็กกว่ากัดนิ้วจนร้องเสียงหลง “ไอ้หนูโคล ฉันจะขอพูดอะไรหน่อยนะ ชีวิตน่ะมันสั้น อยากทำอะไรก็รีบๆ ทำซะ”

ถ้าเป็นคนอื่นพูดคงไม่คิดอะไร แต่เพราะเป็นคาร์เมนที่ผ่านโลกมาเยอะนั่นแหละถึงได้รู้สึกว่าคำพูดนั้นมันมีน้ำหนักขึ้นมาทันที

“ว...วันเสาร์นี้ว่างมั้ยครับ?”

“หือ?”

“....ไป..กินข้าวกันมั้ยครับ.. แล้วก็ มีสวนสนุกเปิดใหม่ที่นอกเมือง..ถ้าคุณไม่รังเกียจ...”

เพื่อนทั้งสามคนมองอึ้งกิมกี่ก่อนจะเริ่มแสดงอาการพยายามอดกลั้นไม่ให้ลิงโลดจนออกนอกหน้า ไม่นึกว่าพอเครื่องสตาร์ทติด โคลวิสจะกล้าบุกขนาดนี้!

“...ได้สิ งั้นไว้นัดเวลาอีกทีนะ ฉันต้องไปประชุมแล้ว”

พอริชาร์ดขอตัวออกไปก่อน ทั้งสามคนที่นั่งลุ้นอยู่ก็แทบจะเป็นบ้า รีบปรี่เข้ามากอดเต็มรักว่าในที่สุดเพื่อนคนนี้ก็บ้าบิ่นพอจะเริ่มรุกอัลฟ่าก่อนสักที

“ยินดีด้วยนะครับโคล!!”

“ร้ายกว่าที่คิดอีก! นกแก้วหงิมๆ เมื่อกี้บินไปไหนแล้ววะ!?”

“โอยยย!! ฉันลุ้นตัวแทบขาด นายเกือบจะทำฉันหัวใจวายตาย!!” อัลเดินมานั่งลงข้างๆ เพื่อนของตัวเองแล้วแย่งกันกอดกับลาซารัส “เป็นไงมั่งล่ะ ขอสัมภาษณ์หน่อยสิ”

“...ล ..โล่งอก” คำพูดเดียวที่ตอนนี้โคลวิสคิดออกหลุดออกมาจากปากสั่นเครือ เขาทิ้งตัวไปตามแรงโยกของทั้งสองคนแล้วใช้สองมือกอดตอบ “ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆ เลย”

ระหว่างที่ร้านกาแฟกำลังเอะอะ ริชาร์ดก็จ้ำเท้ากลับไปห้องประชุมด้วยท่าทีไม่รีบร้อนดังคราแรก ร่างสูงจิบกาแฟทีละนิดเป็นระยะๆ ก่อนจะทำหน้าอธิบายไม่ถูก

“...ทำไมวันนี้กาแฟมันหวานจังล่ะ? …”






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ peppermintt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #159 เมื่อ15-07-2019 17:03:57 »

หลายอารมณ์มากเรื่องนี้ กว่าจะแฮปปี้ ลุ้นมากเลย ฮืออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
« ตอบ #159 เมื่อ: 15-07-2019 17:03:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #160 เมื่อ19-07-2019 01:31:48 »

จบแล้วหรอกำลังสนุกเลย
นิยายเรื่องนี้หลากหลายอารมณ์มากบอกเลย
แอบไม่ค่อยชอบตอนที่ลาซาลัซไปมีอะไรอะไรกับริชาร์ด บอกว่ารักหมอแต่ไปมีอะไรกับเพื่อนหมอ
จริงๆเราชอบนี้มากเลยนะเพราะก่อนหน้านี้ก็อ่านแนวนี้มา
แต่เรื่องนี้แอบไม่พอใจนายเอกนิดหน่อย

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #161 เมื่อ16-04-2020 11:47:48 »

 :pig4:

ออฟไลน์ น้ำหูู้ปาโก๋

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #162 เมื่อ04-10-2020 00:00:35 »

คือดือมากกกกก

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #163 เมื่อ06-10-2020 19:05:20 »


 :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #164 เมื่อ07-10-2020 16:55:09 »

 :L2:

ออฟไลน์ tong_pub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-5
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #165 เมื่อ10-10-2020 16:24:11 »

แง...ขอโทษที่อ่านไม่จบค่ะ อ่านมาถึงตอนที่ลาซารัสอยู่กับริชาร์ดตอนยังไม่หายฮีท บทก็ส่งให้ริชาร์ดมาเลย เราช็อกมากเพราะไม่อ่านแนว3p แถมมีรอยกัดด้วยคือปกติหาอ่านแนวนี้เรื่องที่ชอบยากมาก แต่มาเจอเรื่องนี้เลยแอบผิดหวัง เสียใจง่ะ สนุกนะคะแต่เราคงทำใจอ่านต่อไม่ได้  :hao5:

ออฟไลน์ mrsnikiforov

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
«ตอบ #166 เมื่อ24-10-2020 22:35:01 »

 :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด