พิมพ์หน้านี้ - (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: pichi ที่ 16-02-2017 16:04:56

หัวข้อ: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 16-02-2017 16:04:56
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


*****************************************************************************************



ลาซารัส โอเมก้าชายทีถูกนำมาประมูลขายในตลาดมืด ทั้งที่เตรียมใจไว้ว่าคงจะถูกซื้อไปเป็นเครื่องผลิตลูก แต่เจ้าของคนใหม่กลับไม่ได้คิดที่จะทำเรื่องแบบนั้นกับเขา เพราะว่าเขาถูกซื้อเพื่อมาเป็นหนูทดลองต่างหาก!
[/size]

 
ปล. เรื่องนี้มีผู้แต่งสองคนนะคะ Pichi & Pachai



: Warning (คำเตือน) :

 

 - นิยายเรื่องนี้เป็นแนว Yaoi ที่ผู้ชายสามารถตั้งครรภ์ได้ และมีเนื้อหาที่ดราม่าปวดตับ หากรับไม่ได้ขอความกรุณากดกากบาท X ปิดนะคะ

 

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ตัวละคร และสถานที่ เป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้นเท่านั้น

 

- โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


 


FB fanpage : https://www.facebook.com/WizardPandas/ (https://www.facebook.com/WizardPandas/)


ข้อมูลเพิ่มเติม >> http://aboth-info.wixsite.com/whatisabo (http://aboth-info.wixsite.com/whatisabo)


*****************************************************************************************



เรื่องย่อ



‘คาเล็ม รอสเกรย์’ [α] เป็นนักวิจัยยาต้านอาการฮีทในโอเมก้า [Ω] ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นยาที่ถูกควบคุมด้วยกฎหมายคร่ำครึ วันหนึ่งเขาถูกเพื่อนสนิท ‘ริชาร์ด เบอร์ตั้น’ ลากไปงานประมูลตลาดมืดแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แต่แล้วเขาก็ได้ประมูลตัว ‘ลาซารัส แมทเวย์’ ซึ่งเป็นโอเมก้าเกรด A ในราคาสูงลิ่วกลับมาที่บ้าน ไม่ใช่เพราะว่าเขาถูกใจโอเมก้าที่ตนซื้อมา แต่คาเล็มกำลังวิจัยยาต้านอาการฮีทตัวใหม่ เขาจึงต้องการ ‘หนูทดลองที่ดี’ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของยาตัวใหม่นี้ไม่ให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายของโอเมก้าที่ต้องใช้ยาติดต่อกันเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกจับคู่ที่ไม่พึงประสงค์
ทว่าลาซารัสกลับได้รับการปฏิบัติและดูแลเป็นอย่างดีมากกว่าที่ควรจะเป็นแค่หนูทดลอง นานวันเข้าลาซารัสก็เริ่มรู้สึกดีๆ ต่อคาเล็มที่ถึงภายนอกจะดูเย็นชาแต่ก็ใจดีมาก แต่เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นความรักใคร่ชอบพอหรือเปล่า เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาถูกหล่อหลอมให้เชื่อฟังคำสั่งมาตลอดโดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นอัลฟ่าเจ้าชีวิต เมื่อคาเล็มรู้เรื่องนี้เข้าก็พยายามเว้นระยะห่างจากลาซารัสไม่ให้เกิดความรู้สึกพิศวาส แต่ยิ่งทำตัวเหินห่างเจ้าตัวก็ยิ่งรุกไล่เขาจนเกือบจะพลาดท่าหลายครั้ง ส่วนสาเหตุที่คาเล็มปฏิเสธความรู้สึกของลาซารัสขนาดนี้เพราะเขาเคยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่จับคู่กับใครอีกนอกจาก ‘โนเอล’ โอเมก้าคนรักที่เสียไปหลายปีแล้ว แต่คนรอบตัวไม่ว่าจะเป็น ‘เรนเดล’ พ่อบ้านที่คอยดูแลทุกอย่างในบ้านหรือแม้กระทั่งริชาร์ดเพื่อนตัวดีต่างก็ชอบยุให้เขารวบหัวรวบหางลาซารัสอยู่นั่นแหละ รวมถึง ‘เออร์แฟน คาเฮวย์’ อัยการที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับคาเล็มเมื่อครั้งอดีตก็เข้ามาร่วมป่วนชีวิตของเขาด้วยการบอกเป็นนัยว่าหากไม่รีบตีตราจองลาซารัสก็ระวังจะเจอประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเอาได้


ตัวละคร


'ลาซารัส แมทเวย์ ' โอเมก้าที่ถูกพ่อแม่ส่งมาขัดดอกให้กับเจ้าของห้องเสื้อเล็กๆ แทนการใช้หนี้ที่หยิบยืมมา เขาแทบไม่เคยได้ออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นหรือพบเจอโลกภายนอกไกลเกินเขตชานเมืองเลยสักครั้งเพราะต้องทำงานใช้หนี้แทนพ่อแม่ โลกที่ลาซารัสรู้จักนั้นรับรู้ผ่านเพียงแค่โทรทัศน์และตัวหนังสือทั้งสิ้น จึงแอบมีความใฝ่ฝันว่าสักวันอยากออกเดินทางรอบโลก แต่ว่า...แม้จะไม่เคยเห็นก็พอมีความรู้ในเรื่องต่างๆ ค่อนข้างมากเนื่องด้วยงานอดิเรกที่ชอบอ่านและขลุกอยู่กับตำราเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั่นเอง

ทว่า สุดท้ายพ่อและแม่ของเขาก็เบี้ยวหนี้ ทิ้งลาซารัสเอาไว้และเก็บข้าวของหนีตายกันไปโดยทิ้งเด็กหนุ่มเอาไว้เพียงลำพัง

โอนเนอร์ซึ่งกำลังประสบปัญหาด้านการเงินเล็งเห็นว่าเด็กหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดน่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนได้มากกว่าจะนำไปขายทั้งที่อายุยังน้อย จึงเลี้ยงดูฟูมฟักให้การศึกษา สอนมารยาททางสังคม กำชับให้รู้จักดูแลร่างกายและป้องกันตัวเองจากอัลฟ่า ทั้งการใส่ปลอกคอและใช้น้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมน มอบวิชาชีพโดยการให้ทำงานเป็นผู้ช่วยในห้องเสื้อแห่งนั้นมาตลอดหลายปี

ลาซารัสแทบไม่เคยเจอกับอัลฟ่าตรงๆ สักครั้ง ด้วยสถานที่ที่เขาอยู่นั้นเป็นเพียงร้านเล็กๆ ในชานเมืองอันเงียบสงบ จึงไม่ค่อยมีอัลฟ่าซึ่งเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งอาศัยอยู่มากนัก แต่โอนเนอร์ก็ยังคอยพร่ำสอนถึงความสำคัญของการทำตัวเป็นโอเมก้าที่ดีและเชื่อฟังคำสั่งจนแทบจะเรียกว่าถูกล้างสมอง ลาซารัสจึงไม่คิดขัดขืนหรือหนีไปไหน ชีวิตอันสงบสุขของเขาดำเนินไปจนกระทั่งอายุได้ 24 ปี

แม้เป็นเรื่องยากที่จะได้เจอลูกค้าอัลฟ่าเข้ามาใช้บริการ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีมาเลย เนื่องจากร้านนี้ค่อนข้างมีชื่อในเรื่องบริการดีและงานประณีตอยู่แล้ว เพียงแต่อยู่นอกตัวเมืองจึงไม่มีลูกค้าระดับสูงมาใช้บริการบ่อยนัก คนที่จะมาสั่งตัดชุดคือคนที่ได้ยินจากปากต่อปาก จนกระทั่งลาซารัสได้เจอกับลูกค้าอัลฟ่าคนหนึ่งที่เข้ามาตัดสูทที่ร้าน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนโอนเนอร์แน่ใจอย่างไร้ความกังวลว่าถ้าหากลาซารัสเจอกับอัลฟ่าคนอื่นก็คงไม่ฮีทง่ายๆ หรือกลัวจนลนลาน และบอกให้ลาซารัสเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ เพื่อนำไปประมูลขายเมื่อเขาอายุครบ 25 ปี…





'คาเล็ม รอสเกรย์' เป็นแพทย์และนักวิจัยที่มีชื่อเสียงในผลงานด้านการสร้างยาระงับอาการฮีทในโอเมก้าโดยไร้ผลข้างเคียงที่ดีที่สุด เป็นอัลฟ่าที่เกิดมาพร้อมกับสติปัญญาเฉียบแหลม จบมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าแม้จะเป็นอัจฉริยะและเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่คาเล็มก็เป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลจึงไม่ได้รับส่วนแบ่งมรดกอะไรมากมาย แถมเรื่องภายในบ้านยังเละเทะเนื่องจากพ่อที่เป็นอัลฟ่าของเขามีภรรยาเป็นโอเมก้าหลายคน พวกพี่ๆและเขาต่างก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ยามปกติต่อหน้าพ่อก็มักอยู่ด้วยกันสงบสุขดี แต่ลับหลังก็แอบเสี้ยมให้ลูกของพวกตนไม่ถูกกันเอง

คาเล็มมีน้องชายอีกคนที่เป็นโอเมก้าชายเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องต่างแม่ที่เป็นอัลฟ่าทุกคน แม่ของคาเล็มเอาใจใส่เลี้ยงดูลูกชายที่เป็นโอเมก้ามากกว่าเขา และภายหลังแม่ก็ได้หนีไปจากบ้านหลังใหญ่พร้อมกับน้องชายของเขาทิ้งให้คาเล็มต้องอยู่โดดเดี่ยวโดยมีพ่อบ้านคนสนิทเพียงคนเดียวที่คอยดูแล

เมื่อผู้เป็นพ่อจากไปและไร้แม่คอยปกป้อง แถมยังไม่ค่อยจะกินเส้นกันกับพวกพี่ๆ เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะพี่ชายคนโตของบ้านที่เป็นเสาหลักของตระกูลคนปัจจุบันซึ่งเป็นถึงนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ พี่ชายอยากให้คาเล็มเรียนบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยงานที่บริษัท แต่เขากลับเลือกที่จะเรียนหมอ คาเล็มจึงโดนตัดงบค่าใช้จ่ายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองตั้งแต่เด็ก

คาเล็มส่งตัวเองเรียนด้วยการสอบชิงทุนของมหาลัยและทำงานพิเศษเป็นผู้ช่วยนักวิจัยเพื่อหาเงินเอามาเป็นค่าใช้จ่าย ในตอนนั้นเขาได้พบกับรุ่นพี่นักวิจัยที่เป็นโอเมก้าซึ่งอายุมากกว่าหลายปี แต่แทบจะไม่มีกลิ่นฟีโรโมนดึงดูดอัลฟ่าเพราะกำลังพัฒนาโครงการยาระงับอาการฮีท แต่ยังอยู่ในขั้นทดลองเอามาใช้จริงไม่ได้ ซ้ำยังไม่ค่อยมีสปอนเซอร์สนับสนุนออกทุนให้ โครงการนี้จึงยังไม่เห็นหนทางสำเร็จออกมาโดยเร็ว เขานึกสนใจในโครงการนี้รวมถึงตัวรุ่นพี่โอเมก้าจึงขอเข้าร่วมและพยายามเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก แต่อีกฝ่ายก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะปฏิสัมพันธ์กับอัลฟ่าเช่นเขาเพราะว่าที่ผ่านๆมาถูกข่มเหงมาตลอด

คาเล็มจึงไปยื่นเรื่องหาผู้สนับสนุนโครงการและได้เข้าร่วมโปรเจ็คในที่สุด ยิ่งเมื่อได้มามีส่วนร่วมทำการทดลอง ปรากฏว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็สามารถสร้างยาระงับอาการฮีทของโอเมก้าที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดนับตั้งแต่ริเริ่มโครงการมา คาเล็มถูกเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าทีมวิจัย จากวันนั้นโครงการก็ก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มมีชื่อเสียงจากผลงานชิ้นนี้ และเริ่มคบหาดูใจกับนักวิจัยรุ่นพี่ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการจนกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุด

แต่ทว่า...ความสำเร็จก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งออกมาร้องเรียนว่าได้รับผลข้างเคียงจากยา ทำให้โอเมก้าบางรายเกิดอาการแพ้ยารุนแรงจนถึงขั้นเกือบเสียชีวิต ยาจึงถูกระงับการผลิตโดยเรียกเก็บคืนทั้งหมดและห้ามไม่ให้มีการจำหน่าย แต่บางคนยังต้องการยาตัวเดิมและพยายามหาซื้อจนทำให้มีของปลอมเลียนแบบออกมาขายใต้ดินจำนวนมากซึ่งล้วนเป็นยาที่ไม่ได้คุณภาพ ทำให้โอเมก้าที่กินยาผิดกฎหมายต่อเนื่องเป็นเวลานานมีสุขภาพที่แย่ลง

ความซวยของคาเล็มยังไม่หมด เมื่อเขาต้องสูญเสียคู่ของเขาไปเพราะความประมาทที่ไม่ตีตราแสดงความเป็นเจ้าของ ทำให้ถูกอัลฟ่าคนอื่นแย่งคู่ของตัวเองไป ภายหลังอดีตคู่ของเขาได้เสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นเป็นต้นมา...คาเล็มก็กลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร แต่ยังแอบสานต่องานวิจัยเงียบๆเพียงลำพัง แม้จะรู้สึกแย่กับความผิดพลาดและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็เชื่อว่ายาระงับยังมีความจำเป็นต่อโอเมก้าอีกเป็นจำนวนมาก

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม บทนำ - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 16-02-2017 16:13:19


บทนำ



“แกชวนฉันมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ แต่รสนิยมในการพามาหาที่ท่องราตรีของแกนี่โคตรแย่” เสียงทุ้มเจ้าของวลีไม่สุภาพจากสุภาพบุรุษมากวัยในชุดทักซิโด้สีดำสวมหน้ากากครึ่งหน้ากำลังบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เพราะต้องนั่งอยู่เฉยๆมาเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงแล้ว

“อุตส่าห์พามาดูของดีๆ อย่าบ่นมากนักเลยน่า” เพื่อนสนิทที่วัยละอ่อนกว่านิดหน่อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม พลางชี้ให้ดูนกหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ซึ่งถูกนำมาประมูล ผู้เข้าร่วมงานหลายคนที่สนใจต่างก็กำลังแย่งกันชูป้ายยกขึ้นประมูลในราคาสูงลิ่ว เผลอแป๊บเดียวเจ้านกตัวนั้นก็อัพค่าตัวไปมากกว่าสิบเท่า

ที่นี่คืองานประมูล หากแต่ไม่ใช่งานประมูลธรรมดา มันคือการประมูลของหายากในตลาดมืดที่มีแต่ของผิดกฏหมายซึ่งหาที่ไหนไม่ได้ในโลกนี้

"เอาล่ะครับ ปิดไปที่ ยี่สิบหกล้านห้าแสนสี่หมื่นนะครับ" นกตัวน้อยหน้าตาน่าสงสารที่นั่งหงอยในกรงทองถูกเข็นกลับไปหลังเวทีเมื่อถูกประมูลไปเป็นที่เรียบร้อย.. "เอาล่ะครับ ต่อไปเรียกว่าเป็นไฮไลท์ของงานเลยก็ว่าได้"

ม่านถูกเปิดออกดั่งเช่นอีกหลายๆรายการที่ผ่านมา ทว่าคราวนี้ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่สัตว์หายาก แต่เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ เดินออกมาหยุดอยู่ที่แสงไฟกลางเวทีด้วยท่าทางอันสงบนิ่ง เสียงฮือฮาเริ่มเซ็งแซ่เมื่อทุกคนเห็นจอมอนิเตอร์ที่ถ่ายใบหน้าของบุคคลบนเวทีแล้วพบกับปลอกคอเรียบๆบนนั้น

"อย่างที่ทุกท่านเริ่มสังเกตได้แล้วนั่นแหละครับ คนๆนี้คือโอเมก้า" เมื่อผู้ดำเนินรายการกล่าวจบ ‘สินค้า’ ที่เข้าการประมูลก็เอื้อมมือขึ้นมาแกะปลอกคอนั้นออกไป เสียงผู้คนดังขึ้นอีกครั้งเมื่อพบว่า ไม่มีร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของใดๆอยู่บนต้นคอนั้นอย่างที่คาด "ครับ.. โอเมก้าคนนี้ ยังไม่เคยได้รับการตีตรา และจากการตรวจสอบของแพทย์ก็ยืนยันนว่ายังไม่เคยถูกล่วงล้ำเสียด้วย”

“เฮ้ยๆ! เอาจริงเหรอวะเนี่ย!” คนที่แม้จะเห็นการนำอวัยวะมนุษย์มาประมูลก็ยังทำหน้าหาว กลับทำตาโตจนหน้ากากเกือบหลุดออกจากเบ้าหน้า ขืนเป็นเช่นนั้นมีหวังถูกเชิญออกไปข้างนอกงานโทษฐานผิดกฏที่ห้ามเปิดเผยใบหน้าเป็นแน่

“ก็บอกแล้วว่าพามาดูของดีๆ ไม่งั้นฉันจะลากนายมาด้วยทำไม” สายตาคนพูดเบือนจากเพื่อนสนิทหันไปจ้องมองสินค้าบนเวทีต่อ “หวังว่ารอบนี้นายคงได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้านแล้วล่ะนะ”

“เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา หากท่านผู้มีเกียรติท่านใดสนใจซื้อไปพิสูจน์ด้วยตัวเองท่านเองก็อย่าได้ลังเล เราจะเริ่มต้นประมูลโอเมก้าชายคนนี้ด้วยราคา...ห้าแสน!”

“หนึ่งล้าน!”

“สองล้านห้าแสน!

“ห้าล้าน!”

“สิบล้าน!”

ราคาของโอเมก้าหนุ่มที่ถูกแย่งประมูลอัพพุ่งขึ้นพรวดๆ เป็นเท่าตัวทุกครั้ง ในยุคสมัยที่โอเมก้าชายหาได้ยากยิ่งหากเทียบกับจำนวนโอเมก้าหญิงที่มีมากกว่า เป็นดั่งเพชรน้ำงามที่ยากจะหาใดเปรียบ

“เฮ้ๆ ไม่คิดจะเสนอราคากับเค้าหน่อยเหรอ” ตัวเลขประมูลพุ่งไปไปที่เกือบห้าสิบล้านแล้ว ถือว่าค่าตัวสูงใช้ได้ เรียกว่างานนี้ผู้จัดได้ส่วนแบ่งงามแน่นอน ดูสีหน้าผู้จัดสิยิ้มน่าเกลียดจนแก้มแทบปริถึงใบหูแล้ว

“ระหว่างนี้ขอสาธยายประวัติโดยคร่าวของโอเมก้าคนนี้ก่อนนะครับ” ผู้จัดหยิบกระดาษสคริปขึ้นมาและเริ่มอ่านให้หลายคนที่รอฟังได้รับทราบ “ลาซารัส แมทเวย์ อายุ 25 ปี ทำงานเป็นช่างตัดสูท ไม่ขอเปิดเผยชื่อสถานที่นะครับ.. โรคประจำตัวไม่มี น้ำหนักและมวลกล้ามเนื้ออยู่ในเกณฑ์ปกติค่อนไปทางแข็งแรง เรียกได้ว่าร่างกายพร้อมจะเป็นผู้ให้กำเนิดแล้วอย่างแน่นอน”

เหมือนความพยายามบิ้วท์จะเป็นสิ่งไม่จำเป็นใดๆ เพราะทุกครั้งที่มีเสียงเสนอราคาก็ยังคงพุ่งขึ้นเรื่อยๆโดยไม่สนใจสิ่งที่ผู้จัดพล่ามอยู่ด้วยซ้ำ

โอเมก้าแต่ละตนที่ถูกนำมาประมูลในตลาดใต้ดินนี้ ส่วนใหญ่จะเสียขวัญ ร้องห่มร้องไห้ ไม่ก็พยศเสียจนงานแทบล่มไปเสียหมด แต่เพิ่งจะมีสินค้าคนนี้ที่ยังคงยืนสงบนิ่งพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรผิดกับแววตาคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ ยิ่งทำเอาผู้ประมูลอยากจะวิ่งเข้ามาฉกตัวไปให้รู้แล้วรอด

“ว่าไง.. ราคาเริ่มสูงมากแล้วนะ นายไม่คิดจะเอาอะไรกลับไปจริงๆเหรอ?”

“สองร้อยห้าสิบล้าน!!” เสียงตะโกนออกไมค์จนแทบทะลุแก้วหูแขกผู้มาร่วมงาน ตั้งแต่ที่ทำหน้าที่จัดการประมูลมา โอเมก้าชายที่อยู่ตรงนี้นับว่าสร้างมูลค่าได้มหาศาลยิ่งกว่าที่คิด

“อ๊ะ! ท่านสุภาพบุรุษตรงนั้นจะให้เท่าไหร่ครับ!” พิธีกรผายมือไปหาชายหนุ่มมากวัยที่นั่งนิ่งมาตลอดงาน และเพิ่งจะมีปฏิกิริยาก็ตอนที่เริ่มมีการประมูลโอเมก้าคนนี้ขึ้นมา จากประสบการณ์ขอฟันธงได้เลยว่าคนนี้จ่ายหนักแน่นอน

“พอดีผมไม่ได้พกเงินสดมา ขอจ่ายเป็นอย่างอื่นแทนได้มั้ย?”

“หมายถึงเช็คเหรอครับ ไม่มีปัญหา…”

“เปล่าๆ ไม่ใช่เช็ค”

“แล้วมันคืออะไรครับท่านสุภาพบุรุษ” พิธีกรพยายามเก็บอาการเซ็งเนื่องจากบรรยากาศการประมูลเริ่มชะงัก

“อืม...เกรงว่าจะพูดออกสื่อไม่ได้น่ะสิ” ชายหนุ่มมากวัยยันตัวเองขึ้นแล้วเดินผ่านเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ กับกลุ่มผู้ร่วมประมูลเดินออกไปด้านหน้าเวทีแล้วกระซิบกับพิธีกร โดยมีสายตาของคนทั้งงานรวมถึงโอเมก้าหนุ่มที่อยู่บนเวทีมองจ้องมา

พิธีกรหนุ่มแม้จะใส่หน้ากากปิดหน้าเช่นเดียวกับแขก แต่ท่าทางแสดงอาการประหม่าตกใจจนต้องขอตัววิ่งไปด้านหลังเวทีเพื่อปรึกษากับผู้จัดงานก็ทำเอาคนทั้งงานต่างรู้สึกสงสัยไปตามๆ กันว่าตกลงแล้วแลกเปลี่ยนกันด้วยสิ่งใดกันแน่

“ชื่อลาซารัสใช่มั้ย” เจ้าของเสียงทุ้มเงยหน้าขึ้นไปมองโอเมก้าชายหนุ่มที่ยังยืนสงบอยู่บนเวที

“ครับ?” ตอบรับพลางหันหลังกลับไปดูพิธีกรที่ลุกลี้ลุกลนเดินออกมาหลังจากหายไปไม่ถึงห้านาที ในที่สุดก็กลับมาประจำที่พร้อมกับเคาะแท่นดังสามครั้งเป็นอันปิดการประมูล สร้างเสียงโห่ร้องไปทั่วทั้งงาน

“ครับๆ โปรดอยู่ในความสงบก่อนนะครับทุกท่าน เนื่องจากท่านสุภาพบุรุษท่านนี้ได้เสนอสิ่งที่ทางเราไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นแล้วโอเมก้าชายคนนี้จึงตกเป็นของท่านผู้นี้ครับ ส่วนสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นอะไรนั้นทางเรามีความจำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ สำหรับวันนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน ขอจบการประมูลแต่เพียงเท่านี้ครับ!”

ลาซารัสกระพริบตาปริบก่อนถูกพากลับไปหลังเวทีเพื่อทำการส่งมอบทั้งสินค้าและเอกสารรับรองต่างๆ ซึ่งยุ่งยากกว่าสิ่งของหรือสัตว์ป่าค่อนข้างมาก แต่ก่อนจะเดินหายไป ชายหนุ่มแอบเหลือบกลับมามองผู้ที่ชนะการประมูลตนไปครอบครองอย่างสนอกสนใจ บรรยากาศรอบตัวชายคนนั้นช่างดึงดูดเขาทั้งที่ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าค่าตากันด้วยซ้ำ


ลาซารัสนั่งตัวลีบอยู่ในลีมูซีนคันใหญ่ ถึงจะคิดไว้แล้วว่าคงจะเจอคนมีเงินประมูลได้แล้วจะเจออะไรแบบนี้ แต่นี่ก็ผิดกับที่คิดไว้ไปไกลโข ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆอย่างสนอกสนใจแต่ไม่กล้าขยับไปไหน ตรงข้ามเขามีชายสองคนซึ่งหนึ่งในนั้นประมูลเขามาได้นั่งอยู่

“ดูสงบดีจังนะ เป็นไงมาไงล่ะถึงได้โดนส่งมาประมูล?” อีกคนที่ดูท่าทางจะเป็นเพื่อนของผู้ได้รับสิทธิ์ในการครอบครองเขาเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากคุยกันเพียงสองคนมานาน

“โอนเนอร์ของผมเขารับผมมาเลี้ยงแทนครอบครัวเพื่อใช้หนี้ครับ… แล้วเขาก็คิดจะขายผมต่ออยู่แล้วด้วย”

“โห..พูดเรื่องแบบนี้ด้วยสีหน้าเรียบๆแบบนั้น ท่าทางนายจะได้ของแปลกมาซะแล้วสิ” เอ่ยแซวเพื่อนที่กำลังอ่านประวัติและใบรับรองต่างๆนานาของลาซารัสเงียบๆ คนตัวเล็กกว่าที่อีกฝั่งของเบาะมองเจ้าของชีวิตตนตอนนี้ไม่วางตา

“ขอถามอะไรเสียมารยาทหน่อยได้มั้ยครับ พวกคุณเป็นอัลฟ่าจริงๆเหรอ?” ถึงจะพูดเหมือนขออนุญาตแต่ก็ถามออกไปแล้วโดยที่คนถูกถามยังไม่ทันตอบตกลงด้วยซ้ำ

“แล้วนายคิดว่าไงล่ะ?” ลาซารัสมองสุภาพบุรุษสง่างามที่อายุมากกว่าตนทั้งสองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง

“ผมไม่ค่อยแน่ใจ เพราะเคยได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่ามาบ้างเหมือนกัน แต่กลิ่นของพวกคุณไม่เหมือนกัน” ดวงตาสีฟ้าของโอเมก้าหนุ่มจ้องคนทั้งคู่ที่ยังคงสวมหน้ากากครึ่งหน้า “แต่พอมาคิดดูจากฐานะของพวกคุณแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่เบต้า งั้นก็คงเป็นอัลฟ่าจริงๆ”

เสียงปรบมือจากคุณเพื่อนสนิทของคนที่ประมูลได้เพชรงามดังรัวๆ ก่อนจะตบลงไปที่เข่าอีกฝ่ายดังฉาดจนคนโดนทำร้ายอยากจะฟาดกลับด้วยเอกสารหนาเตอะในมือ

“สเปรย์กลบกลิ่นอัลฟ่านายใช้ได้ผลว่ะ ขนาดนั่งอยู่ในรถที่ปิดกระจกแถมนั่งอยู่ใกล้แค่นี้ยังไม่ได้กลิ่นจากพวกเราเลย”

“สเปรย์อะไรนะครับ?” โอเมก้าหนึ่งเดียวในที่นี้ถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป

“ไหนข้อมูลบอกสุขภาพแข็งแรง ดูท่าทางจะหูตึงนะ” อัลฟ่าคนที่พูดน้อยมาตลอดตั้งแต่ขึ้นรถเอ่ยตอกหน้าโอเมก้าหนุ่มที่ตนประมูลกลับมาในคืนนี้ “กลับไปบ้านสงสัยคงต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกทีซะแล้วมั้ง”

“เอ๋??” ลาซารัสทำหน้างง ดูเหมือนอัลฟ่าเจ้าของตัวเขาคนนี้คงจะแปลกประหลาดกว่าที่คิดซะแล้ว

ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสำรวจเส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าไป สีหน้าของลาซารัสมองไปยังเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงสีอย่างตื่นตา เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิวทิวทัศน์อื่นๆนอกเหนือจากชนบทที่ตนจากมา และทุกการเคลื่อนไหวรวมทั้งการแสดงออกก็ถูกสังเกตจากผู้ที่ประมูลเขามาได้ทั้งสิ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวใดๆ

“อ่ะ… ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่า.. คุณชื่ออะไรเหรอครับ” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน ปล่อยให้สองหนุ่มมากวัยกว่าตนพูดคุยกันสองคน พร้อมทั้งยื่นมือออกมาพร้อมทำความรู้จัก รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าเช่นปกติไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อบุคคลตรงหน้าจนน่าประหลาดใจ “ถึงจะทราบแล้ว แต่ขอแนะนำตัวอีกทีนะครับ ผมชื่อลาซารัส แมทเวย์ ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

ดวงตาที่มีความแปลกใจอยู่หลังหน้ากากหันไปมองเพื่อนสนิทครู่หนึ่ง พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ก็ถอดหน้ากากของตนออกเผยใบหน้าให้เห็นชัดเจน หากพิจารณาจากสายตาของลาซารัสแล้ว อัลฟ่าที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นชายที่อายุมากกว่าตนเป็นสิบๆปีเลยทีเดียว ใบหน้าคมสันมีเคราตามแนวคางแต่ไม่ถึงกับยาวจนรกรุงรัง ผมหยักศกสีเข้มที่เรียบแปล้เมื่อครู่ถูกเจ้าตัวขยี้จนยุ่งเหมือนรำคาญที่ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องมากพิธี ดวงตาข้างขวาเป็นสีเขียวอ่อนปนเทา แต่อีกข้างที่มีผมหน้าปรกลงมามากกว่านั้นเขาสังเกตเห็นว่ามันกลับเป็นสีน้ำเงินเทา แต่ก่อนที่จะได้จ้องไปมากกว่านี้อัลฟ่าร่างสูงใหญ่ก็หยิบแว่นกรอบหนาที่อยู่ในกล่องแว่นขึ้นมาสวม จนโอเมก้าหนุ่มมองดวงตาคู่นั้นได้ไม่ชัดเหมือนตอนแรก

“คาเล็ม รอสเกรย์” มือหนาถอดถุงมือออกก่อนยื่นไปจับมืออีกฝ่ายเพียงครู่เดียวและรีบปล่อยมือออก สร้างความกังขาให้เจ้าตัวยิ่งกว่าเดิม รู้สึกว่าอัลฟ่าคนนี้ช่างผิดไปจากอิมเมจที่เขาเคยได้ยินมาจากปากของโอนเนอร์อย่างสิ้นเชิงเลย

“อย่าไปถือสาเลยนะ หมอนี่ไม่ได้คุยกับคนอื่นนอกจากฉันกับพ่อบ้านมาเป็นปีๆแล้วน่ะ” เพื่อนสนิทตบไหล่คนที่รีบสวมถุงมือใส่กลับตามเดิม

รถลีมูซีนคันหรูยังคงแล่นไปบนท้องถนนอีกนับชั่วโมง ทว่ายิ่งเวลาผ่านไปรถยิ่งแล่นออกห่างจากตัวเมืองเข้าไปทุกที จากถนนหลายเส้นเริ่มเหลือเพียงเส้นเดียว รถคันหรูที่ขับออกจากตัวเมืองใหญ่ก่อนจะมาจอดสนิทอยู่ตรงหน้าเนินเขาเล็กๆ กับทางแคบๆที่รถใหญ่ไม่สามารถขับไปต่อได้

“ฉันส่งนายแค่นี้นะ” ลาซารัสมองหนุ่มอัลฟ่าที่อ่อนวัยกว่าอีกคน นั่งมาตั้งนานเขาเพิ่งจะรู้ว่ารถคันนี้ไม่ใช่รถของชายที่ประมูลตัวเขามา

“ขอบใจมาก” อัลฟ่าร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากรถแล้วเรียกให้ลาซารัสเดินตามลงมา รถคันใหญ่ขับกลับไปยังเส้นทางเดิมที่เคยมา ดวงตาสีฟ้ามองไปรอบๆที่แทบไม่มีบ้านคนอยู่ นี่มันร้างผู้คนยิ่งกว่าร้านตัดเสื้อแถบชานเมืองที่เขาเคยอยู่กับโอนเนอร์ซะอีกนะ

“ตามมาสิ”

“อ่ะ ครับ...” ลาซารัสเริ่มใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แต่ก็ยังเก็บอาการประหม่าและเดินตามหลังโดยไม่พูดอะไร

ทั้งสองเดินขึ้นเนินลาดที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าตลอดทางไปเกือบสิบนาที ในที่สุดโอเมก้าหนุ่มก็เริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทางตรงหน้า บ้านสองชั้นขนาดกลางโทนสีอบอุ่นที่ตั้งตระหง่านอยู่เพียงหลังเดียวโดดเดี่ยวท่ามกลางต้นไม้และสวนเล็กๆ รายล้อมรอบตัวบ้าน

คาเล็มลั่นกระดิ่งประตูบ้านเป็นสัญญาณว่ากลับมาแล้ว ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปแอบข้างประตูทำให้ลาซารัสอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร

“หลบ…”

“เอ๋?” ยังไม่ทันจะหายสงสัย ร่างของลาซารัสก็โดนวัตถุขนาดใหญ่พุ่งกระโจนเข้าใส่เต็มแรงจนกลิ้งไปกับพื้นหญ้า ร่างกายของเขากำลังโดนคร่อมแถมใบหน้ายังโดนเจ้าหมาตัวใหญ่เท่าหมาป่าเลียอย่างหิวกระหาย

“หวาา” ลาซารัสโดนสุนัขป่าตัวใหญ่คร่อมร่างอยู่นานกว่าจะยันตัวลุกขึ้นมาจากการโดนลิ้นชุ่มน้ำลายเลียไปทั้งหน้า ปรากฎร่างชายสูงอายุผมขาวในสูทเรียบสีดำกำลังปรามหมาเฝ้าบ้านให้สงบลง เมื่อหลุดรอดได้ชายหนุ่มจึงผุดลุกขึ้นแล้วเช็ดหน้าของตน

“เอ้า เข้าไปข้างในได้แล้ว” คาเล็มก้าวเท้าเข้าไปภายในบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้คนที่ตนพามาได้ตอบรับ

“อ่ะ.. ครับๆ” ลาซารัสหยิบคว้าเอากระเป๋าของตนก่อนหันไปโค้งหัวเป็นเชิงสวัสดีคุณพ่อบ้านทีหนึ่งและรีบเดินตามร่างสูงกว่าเข้าไปภายใน

บ้านกว้างกว่าที่เห็นภายนอกถูกตกแต่งเรียบๆแต่ดูแลอย่างดีเสียจนสะอาดเอี่ยม แต่นอกจากสัตว์เลี้ยงตัวโตและพ่อบ้านแล้วก็ไม่พบใครอีกเลย ห้องมากมายดูว่างเปล่าและเงียบเหงาจนน่าใจหาย ลาซารัสมองแผ่นหลังของร่างสูงที่เดินนำหน้าอย่างใคร่จะรู้ว่าทำไมคนแบบเขาถึงปลีกวิเวกตัวเองออกมาและเขาทำงานอะไรกันแน่ สายตาปนเปไปด้วยความสงสัยมากมาย หากคาเล็มหันมาหาตอนนี้คงโดนมองออกได้ไม่ยากเลย

“คุณ.. ทำอาชีพอะไรเหรอครับ” เสียงสดใสเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจในตัวอีกคน

“นี่ไม่รู้จักฉันจริงๆรึ แต่ก็...ช่างเถอะ” คาเล็มไขกุญแจห้องๆ หนึ่ง และบอกให้โอเมก้าหนุ่มยืนรอด้านนอกก่อน

“อ่า…อะไรของเค้านะ” ลาซารัสทำหน้างงเป็นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้ คำพูดของอีกฝ่ายเมื่อกี้ก็น่าสงสัย หรือว่าจะเป็นคนดังที่มีชื่อเสียง ถึงเขาจะดูรายการทีวีและติดตามข่าวสารอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าคนๆนี้ออกสื่อเลยสักครั้ง

คาเล็มเดินออกจากห้องแล้วบอกให้เขายื่นมือออกมาข้างหน้า ชายหนุ่มก็ทำตามและได้รับกุญแจเรียบๆ ดอกหนึ่งมา
“กุญแจห้องของนาย อย่าทำหายล่ะ” กล่าวสั้นๆ ก่อนจะล็อคประตูและเดินนำไปยังห้องนอนที่ได้ยกให้โอเมก้าหนุ่ม คาเล็มใช้กุญแจอีกดอกไขเข้าไป เป็นห้องขนาดกลางไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป ตัวห้องไม่มีฝุ่นจับเพราะเพิ่งถูกเก็บกวาดไปไม่นาน ลาซารัสเดินไปที่หน้าต่างซึ่งถ้ามองจากตรงนี้ก็จะมองเห็นหน้าบ้านตลอดจนทางเดินเข้ามาที่บ้านหลังนี้

“ข้าวของไว้จะพาไปซื้อวันหลัง ตอนนี้อยู่แบบนี้ไปก่อนแล้วกัน” คาเล็มกล่าวพลางหาวหวอด “ถ้าหิวก็ลงไปบอกเรนเดลแล้วกัน ฉันขอตัวไปพักก่อนล่ะ”

“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนครับคุณคาเล็ม” ลาซารัสหันหน้ามาหาอัลฟ่าเจ้าของบ้าน “คุณจะไม่บอกผมหน่อยเหรอครับว่าคุณทำอาชีพอะไร?”

“หมอ” ดวงตาหลังกรอบแว่นปรือจะปิดอยู่รอมร่อจึงตอบส่งๆคล้ายขี้เกียจพูด ก่อนจะเดินกลับห้องตัวเองไปอย่างเพลียๆ เพราะไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานจึงเหนื่อยง่ายมาก หลังจากร่างสูงออกไปทิ้งให้ลาซารัสยืนงงอยู่ในห้อง เจ้าตัวก็เดินมานั่งที่เตียงก่อนจะเอนกายนอนแผ่ลงไป พลางมองกุญแจห้องที่อยู่ในมือ

“เป็นคุณหมอที่แปลกมากจริงๆ แฮะ”

ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้วว่าหลังจบการประมูลมืดนั้นตนจะถูกพามาที่บ้านของอัลฟ่า และคงจะโดนทำอะไรต่อมิอะไรทันที แต่นี่มันไม่เหมือนที่คิดไว้เลยสักนิด


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม บทนำ - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 16-02-2017 16:24:31


เช้าวันใหม่มาเยือนหลังจากคืนวุ่นวายผ่านไป คาเล็มงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอะจากภายนอก คุณหมอเปิดหน้าต่างเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อดูว่าใครทำลายบรรยากาศการนอนของเขา

“ไปคาบมาาา” ลาซารัสโยนจานร่อนไปสุดแแรงในสวนหย่อมหน้าบ้านเพื่อให้หมาตัวใหญ่วิ่งออกไปกระโดดคาบกลับมาคืน ชายหนุ่มอยู่ในชุดออกกำลังที่ชุ่มด้วยเหงื่อทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้เพิ่งออกมาแน่ๆ

“อ่ะ.. อรุณสวัสดิ์ครับคุณหมออ!” เมื่อลาซารัสสังเกตเห็นร่างสูงที่บนระเบียงก็โบกมือทักทายเสียงใส “ลงมาเล่นด้วยกันมั้ยครับ”

“ไม่ล่ะ” เอ่ยเสียงเบาแทบไม่ได้ยินก่อนยกมือขึ้นโบกปัดปฎิเสธไป “นายทำฉันตื่นก่อนเวลา…”

“อ่ะครับ? ไม่ค่อยได้ยินเลย” ชายหนุ่มตะโกนถามกลับยิ่งทำเอาคุณหมอปวดหัวปี๊ดจากการตื่นก่อนเวลาปกติของตน

“...ระวัง” ร่างสูงพูดเตือนด้วยเสียงที่ดังขึ้นจนลาซารัสได้ยินในที่สุด

“ครับ?” ไม่ทันจะเข้าใจว่าถูกเตือนอะไร ร่างของเขาก็โดนสุนัขตัวใหญ่กระโจนใส่พร้อมจานร่อนในปากจนล้มลงไปนอนกองให้โดนเลียจนทั่วอีกรอบ “ไม่เอาสิ ไม่เลียนะ ฮ่าๆๆ”

“โหวกเหวกชะมัด” คาเล็มเกาหัวตัวเองก่อนตัดสินใจจะเดินไปล้างหน้าล้างตา ไหนๆก็นอนไม่ลงแล้ว ตื่นมาทำงานเสียเลยคงจะดีกว่า…

หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าด้วยการเป็นเพื่อนเล่นให้ ‘จูเลียต’ สุนัขเพศเมียลูกครึ่งหมาป่า ลาซารัสก็เดินกลับเข้าบ้านมารับประทานอาหารเช้าที่เรนเดลเตรียมไว้ให้

“โชคดีจังนะครับที่มันเข้ากับคุณได้ดี เพราะกระผมก็อายุมากแล้วเลยเป็นเพื่อนเล่นให้มันไม่ค่อยจะไหว แถมปกติจูเลียตไม่ชอบคนแปลกหน้าด้วย เพิ่งจะมีคุณคนแรกนี่แหละที่ไม่โดนเคี้ยวตั้งแต่แรกเจอ”

“แหะๆ“ โอเมก้าหนุ่มหัวเราะแห้ง พอจะเดาได้ว่านี่ก็คงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่หมอคาเล็มคนนั้นต้องแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ “ว่าแต่คุณหมอไม่ลงมาทานอาหารเช้าเหรอครับ?”

“อ่อ...นายน้อยไม่ค่อยมานั่งทานที่ห้องอาหารหรอกครับ ปกติกระผมต้องยกเอาไปให้ที่ห้องทำงานของเขา” พ่อบ้านสูงวัยกล่าวพร้อมกับยกถาดอาหารเช้าเตรียมจะยกเอาไปให้เจ้านายเหมือนทุกที

“ให้ผมช่วยมั้ยครับ?” ลาซารัสเสนอตัวเพราะใจหนึ่งก็อยากเห็นห้องทำงานของผู้ชายคนนั้น

“...จะดีเหรอครับ?” เรนเดลถามอย่างชั่งใจ แต่ลาซารัสก็เข้ามาช่วยยกถาดอาหารเช้าของคุณเจ้าบ้านไปถือเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนด้วยครับ ห้องทำงานของนายน้อยอยู่ชั้นสองติดกับห้องนอนของเขานั่นแหละครับ” ชายหนุ่มโอเมก้าพยักหน้ารับให้พ่อบ้านก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องดังกล่าว

“หวังว่าคงไม่เป็นไรหรอกนะ” เรนเดลหันมาหาจูเลียตพลางพูดกับเจ้าหมาตัวใหญ่ ใครก็ตามที่ได้เห็นห้องทำงานของเจ้านายคนนั้นถ้าไม่ช็อคจนเป็นลมซะก่อนก็มักไม่มีใครกล้าเหยียบเข้าไปดูอีกเป็นครั้งที่สอง


“คุณหมอคาเล็มครับ ผมเอาอาหารเช้ามาให้คร้าบ” เสียงใสเอ่ยเรียกหลังจากเคาะประตูห้องทำงานอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเล ทว่าก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา ลาซารัสแอบกลัวว่าจะเคาะผิดห้อง.. แต่จากป้ายและข้างๆก็ห้องนอนของอัลฟ่ามากวัยคนนั้นแน่นอน… ห้องนี้ก็น่าจะถูกต้องแล้วนี่นา..

ลาซารัสตัดสินใจจะวางถาดอาหารไว้หน้าห้อง แต่พอคิดดูว่าอีกฝ่ายดูเหนื่อยๆ อาจจะง่วงจนหลับคาห้องทำงานไปแล้วก็เป็นได้

“...แค่เอาอาหารเช้ามาให้ คงไม่โกรธหรอกมั้ง” ร่างโปร่งลองเปิดประตูเข้าไปเอง ซึ่งก็พบว่ามันไม่ได้ล็อค.. ลาซารัสเปิดประตูออกแค่พอให้เดินเข้าไปได้และก้าวเท้าเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ

“ห้องมืดจังแฮะ” ขาทั้งสองข้างค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไปอย่างระมัดระวัง และสะดุดเข้ากับวัตถุกลมๆที่อยู่บนพื้น ดวงตาสีฟ้าหรี่ตามองดูดีๆว่ามันคืออะไร ก่อนจะพบว่ามันคือหัวกะโหลกศีรษะของมนุษย์

“กะ...ก็เป็นหมอนี่นะ ในห้องทำงานมันก็ต้องมีของแบบนี้อยู่แล้วเป็นธรรมดา” ลาซารัสข่มใจเย็นให้เป็นปกติทั้งที่ตะกี้ก็เกือบจะหลุดเสียงร้องตกใจออกมาเหมือนกัน โอเมก้าหนุ่มมองไปรอบๆห้องมืด ทั้งขวดโหลที่ดองอวัยวะต่างๆในร่างกายของมนุษย์ หนังสือวิชาการแพทย์มากมายที่วางเกะกะบนทั้งบนโต๊ะและที่พื้น แล้วไหนจะหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่สมจริงอีก ยังกับอยู่ในหนังสยองขวัญยังไงยังงั้น

ลาซารัสรู้สึกเหมือนถูกสายตาใครบางคนจ้องอยู่เลยเอาถาดอาหารเช้าไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วคิดว่าควรจะรีบออกไปจากห้องนี้ดีกว่า อยู่ที่นี่นานๆชักจะเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมานิดๆแล้วด้วยสิ

“เฮ้ย”

“ว้าก!” ร่างโปร่งสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไปติดกำแพงชั้นหนังสือจนบางส่วนหล่นจากชั้นลงมากระแทกใส่หัว เนื่องจากเจ้าของห้องไม่ได้เก็บเข้าชั้นให้เรียบร้อยดี

จะเรียกว่าเป็นความบังเอิญดีหรือไม่ หนึ่งในหนังสือที่ร่วงลงมาได้เปิดอ้าออกให้เห็นเนื้อหาภายในนั้น เป็นตำราที่ว่าด้วยเรื่องกายวิภาคของมนุษย์ไทป์โอเมก้าอย่างละเอียด ลาซารัสหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาพลิกดูที่หน้าปก ชื่อของคนเขียนหนังสือเล่มนี้คือ ศาสตราจารย์ ดร.คาเล็ม รอสเกรย์

“ทำห้องฉันรกหมดแล้วนะ” เสียงทุ้มบ่นคนที่กำลังช็อคขณะที่ก้มลงมาเก็บของที่หล่นกระจัดกระจาย และยื่นมือมาตรงหน้าลาซารัสเป็นการบอกว่าให้ส่งหนังสือคืนมา

“คุณหมอ…” มือที่สั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ส่งหนังสือคืนเจ้าของแต่ก็ยังจับมันเอาไว้แน่น “...ทำไมถึงประมูลซื้อตัวผมมาล่ะครับ?”

 “แล้วนายคิดว่าไง?” คาเล็มถามกลับหลังจากที่ดูปฏิกิริยาโอเมก้าหนุ่มตรงหน้า

“ผม...ทีแรกผมก็คิดว่า คุณคง...หาโอเมก้ามาสืบสกุลหรือสะสมอะไรแบบนั้น…” ลาซารัสก้มหน้ามองหนังสือเล่มอื่นๆที่ยังวางอยู่กับพื้น “แต่ว่า..คุณคงไม่ได้ประมูลผมมาผ่าดูเครื่องในใช่มั้ย”

“...หึหึ เป็นเด็กหัวไวดีนี่” ร่างสูงยิ้มกว้างไม่น่าไว้ใจ ยิ่งทำเอาคนนั่งอยู่สั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม

“.....มันจะเจ็บมั้ยครับ” สองแขนยกขึ้นกอดตัวเอง น้ำตาเริ่มเอ่ออยู่ที่เบ้าอย่างไม่อาจควบคุม

อัลฟ่ามากวัยก้มลงมาใกล้และยื่นมือมาหาเชื่องช้าแต่ทำเอาลาซารัสสะดุ้งเฮือกและหลับตาแน่น ก่อนมือใหญ่นั้นจะวางลงบนผมฟูของคนที่นั่งขดอยู่กับพื้นอย่างแรง

“หลอกง่ายเกินไปแล้ว”

“เอ๊ะ?” คนสั่นเป็นเจ้าเข้าลืมตาขึ้นมามองฉงน

“ก็ถูกครึ่งหนึ่ง ฉันเอานายมาทดลองนั่นแหละ แต่ไม่มีผ่าเผ่ออะไรหรอก” คาเล็มลุกขึ้นและเก็บหนังสือเข้าชั้นทีละเล่มอย่างใจเย็น

“....แสดงว่าคุณไม่ได้ประมูลผมมาเป็นคู่ครอง?..” ความเงียบแทนคำตอบ แต่ร่างโปร่งก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตอบผ่านสายตามาหา “ดีจัง.. จริงๆผมก็สงสัยว่าผมจะทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่ไม่ได้รักได้เหรอ….”

“...นายนี่ไร้เดียงสากว่าที่คิดอีกนะ” คาเล็มเก็บหนังสือเล่มสุดท้ายเรียงเข้าชั้นและเดินไปที่โต๊ะ มองถาดอาหารเช้าสลับกับคนที่ยังนั่งอ่อนแรงอยู่ที่พื้น “ออกไปได้แล้ว ครั้งหน้าถ้าไม่มีธุระก็ไม่ต้องเข้ามาห้องนี้อีกล่ะ”

คาเล็มหยิบน้ำตาลสี่ก้อนใส่ลงในถ้วยกาแฟก่อนจะคนให้ละลายแล้วยกขึ้นดื่ม ลาซารัสพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปที่ประตู ร่างโปร่งหันมามองอัลฟ่ามากวัยคนเดิมอีกครั้งด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม


“เห็นเข้าแล้วสินะครับ” เรนเดลกล่าวขณะที่กำลังเก็บล้างจานชามในซิงค์ ส่วนลาซารัสนั่งหมอบหมดอาลัยตายอยากกับโต๊ะอาหารโดยมีเจ้าจูเลียตเดินวนเวียนอยู่รอบๆ

“ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมาเจออะไรแบบนี้จริงๆครับคุณเรนเดล” โอเมก้าหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับปาดคราบน้ำตาที่ติดอยู่ “นอกจากผมแล้วยังมีโอเมก้าคนอื่นๆ ที่โดนพามาทดลองที่นี่ด้วยรึเปล่าครับ?”

“ใช่ครับ” เรนเดลตอบก่อนจะวางจานใบสุดท้ายลงบนที่พักจานและถลกแขนเสื้อลง “นายน้อยมักจะหาโอเมก้าคนใหม่ๆ มาทดลองงานของเขาอยู่เสมอ อย่างคนก่อนหน้าคุณก็เพิ่งย้ายออกไปเมื่อประมาณครึ่งปีก่อนได้ เป็นเจ้าของห้องที่คุณอยู่นั่นแหละครับ”

“ย้ายออก?” ลาซารัสกะพริบตาปริบและลุกขึ้นนั่งตัวตรง “เขายังมีชีวิตอยู่เหรอครับ?”

“ครับ ได้ข่าวว่าเพิ่งแต่งงานไปกับอัลฟ่าคนหนึ่งแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีที่ต่างประเทศครับ” พ่อบ้านสูงวัยกล่าวต่อ “คุณแมทเวย์คงรู้จักยาต้านอาการฮีทในโอเมก้าสินะครับ”

“รู้ครับ เคยได้ยินโอนเนอร์บอกว่ามันเป็นยาผิดกฏหมาย” ขณะที่โอเมก้าหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้ากำลังครุ่นคิดเรื่องยา เขาก็เริ่มสะกิดใจในสิ่งที่พ่อบ้านตรงหน้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “หรือว่า...จะคุณหมอเป็นคนผลิตมันขึ้นมา?”

“ใช้คำว่าเป็นคนที่คิดค้นและทดลองทำขึ้นมาดีกว่าครับ แต่จะเรียกแบบนั้นก็ว่าได้” ชายชราเดินออกไปจากห้องครัวสักพักและเดินกลับมาพร้อมอัมบั้มรูปถ่ายเล่มหนา “โอเมก้าทั้งหมดนี้เป็นคนไข้ของนายน้อยครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจจะเปิดดูก็ได้”

ลาซารัสมองอัลบั้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเปิดดูข้างใน หลายต่อหลายรูปคือกิจวัตรประจำวันทั่วๆ ไประหว่างเจ้าของชีวิตเขา คุณหมอคาเล็มและคนข้างๆที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆในทุกๆหน้า มีทั้งที่กำลังเที่ยวในสถานที่ต่างๆด้วยกันหรือแม้แต่รูปตอนนั่งยิ้มแย้มอยู่บนเตียงที่หน้าตาเหมือนเตียงผ่าตัด

เรนเดลปล่อยให้ลาซารัสเปิดดูอัลบั้มไปเรื่อยๆเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวสงบลงจากอาการกังวลเป็นที่เรียบร้อย แต่ก่อนจะได้ก้าวถอยไปทำอย่างอื่นก็โดนร่างโปร่งเรียกไว้ก่อน “คุณเรนเดลครับ คุณหมอเค้าวิจัยอะไรอยู่กันแน่ครับ?” ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยแววตาใคร่รู้และซื่อตรง

“กระผมไม่เข้าไปก้าวก่ายงานของเจ้านายหรอกครับ.. จะทราบก็เพียงแค่ เขาต้องการช่วยเหลือโอเมก้าก็เท่านั้นเอง” เรนเดลยิ้มตอบ เห็นแก่ความมุ่งมั่นบางอย่างของลาซารัสเขาจึงยอมเผยความลับเล็กน้อยนี้ให้

“...ขอบคุณครับ” สีหน้าเอาจริงเอาจังเพียงแวบเดียวถูกกลบด้วยความสดใสจากรอยยิ้มแสนเป็นมิตร ร่างโปร่งขออัลบั้มรูปไปดูต่อที่ห้องนั่งเล่นโดยมีจูเลียตเดินตามไปติดๆ ท่าทางบ้านจะไม่เงียบเหงาเหมือนที่ผ่านมาเสียแล้วสิ..


“...ฉันบอกว่าอย่าเข้ามาในห้องนี้อีกไง” คาเล็มเอี้ยวตัวมามองคนส่งอาหารคนเดิมที่บุกรุกเข้ามาในห้องทำงานเขาอย่างเช่นเมื่อเช้า

“ก็ผมมีธุระกับคุณแล้วนี่...มาส่งอาหารไง” ลาซารัสยื่นถาดให้เห็น “...แล้วผมก็อยากรู้ว่าคุณหมอวิจัยยาต้านอาการฮีทนี้ไปทำไมเหรอครับ?”

“...เรนเดลไปพล่ามอะไรให้นายฟังมาล่ะสินะ” คาเล็มบ่นพึมพำถึงพ่อบ้านที่จุ้นไม่เข้าเรื่อง ก่อนจะวางมือจากแล็ปท็อปแล้วเอนตัวไปพิงที่เก้าอี้บุนวม “ตอนที่นายฮีทนายจัดการตัวเองยังไงบ้าง?”

“เอ่อ...เรื่องนั้น” ใบหน้าของโอเมก้าหนุ่มแดงระเรื่อดั่งมีเลือดฝาด แม้จะกระดากอายอยู่บ้างแต่เมื่ออีกฝ่ายถามก็จำเป็นต้องตอบ “ช่วงที่ผมเป็น...โอนเนอร์มักจะขังผมไว้ในห้องตลอดและล่ามไว้ไม่ให้หนีหรือออกไปไหน หลังจากนั้นผมก็จะ...ระบายด้วยตัวเองครับ”

“ความรู้สึกในตอนนั้นคืออยากจะโดนใครสักคนมาช่วยปลดปล่อยนายเลยใช่มั้ย?” ศาสตราจารย์อัลฟ่าผู้ผ่านเรื่องราวของโอเมก้ามาโชกโชนถามด้วยสีหน้าปกติเหมือนหมอที่ซักถามอาการของคนไข้ในโรงพยาบาล

“...ครับ” ลาซารัสหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสด ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน แถมมือยังถือถาดอาหารเที่ยงไว้อีก ยกถาดขึ้นปิดหน้าได้มั้ย....ไม่ได้สินะ

“เอาอาหารไปวางที่โต๊ะตรงนั้นก่อนแล้วมานั่งนี่” คาเล็มสั่งโอเมก้าหนุ่มใต้อาณัติ ลาซารัสวางถาดนั้นลงแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กฝั่งตรงข้ามอัลฟ่ามากวัยกว่า

“ถึงจะอ่านประวัติของนายมาบ้างแล้วแต่ก็อยากจะถามให้แน่ใจอีกที ตอบมาตามความจริงล่ะ” สายตาจริงจังกว่าปกติมองทะลุกรอบแว่นหนามาที่ร่างโปร่งที่เผลอนั่งตัวเกร็งเหมือนเหยื่อที่โดนผู้ล่าจับจ้อง “นายไม่เคยโดนใครล่วงละเมิดร่างกายมาก่อนจริงๆเรอะ?”

“ครับ” ลาซารัสก้มหน้ารับ คราวนี้สีแดงบนใบหน้าไล่ไปจนถึงใบหูแล้ว หลังจากนั้นก็โดนคุณหมออัลฟ่าซักประวัติในเรื่องอย่างว่าจนหมดไส้หมดพุง ทั้งตัวของโอเมก้าหนุ่มตอนนี้แดงไปหมดไม่ต่างจากทารกแรกเกิด

“ว้าว…” คาเล็มบันทึกประวัติของโอเมก้ารายล่าสุดลงในแล็ปท็อปพลางเอามือลูบคางตัวเอง “ถึงฉันจะเจอโอเมก้ามาเยอะ แต่เพิ่งจะเคยเจอโอเมก้าชายที่ยังเวอร์จิ้นไม่เคยผ่านมือใครเป็นครั้งแรกนี่แหละ”

ร่างสูงวัยลุกขึ้นไปหยิบอาหารเที่ยง ก่อนจะหยิบแซนวิชที่มีปริมาณมากกว่าที่คนๆเดียวจะกินหมดยื่นให้ลาซารัสกินด้วย แต่พูดเลยว่าตอนนี้เจ้าตัวอายจนกินอะไรไม่รู้รสชาติแล้ว

คาเล็มงับแซนวิชไว้ในปากก่อนจะเปิดตู้เก็บยาแล้วหยิบขวดที่บรรจุแคปซูลเหมือนพวกวิตามินบำรุงมาวางไว้ที่โต๊ะตรงหน้าโอเมก้าหนุ่ม

“พกติดตัวไว้ ถ้าถึงช่วงที่นายฮีทเมื่อไหร่ให้กินทันทีสองเม็ด อย่ากินน้อยหรือมากไปกว่านี้ มันจะออกฤทธิ์ภายในห้านาที และจะหมดฤทธิ์ภายในสี่ชั่วโมง...” คาเล็มอธิบายการใช้ยาอย่างละเอียดให้คนตรงหน้าฟัง “เกิดนายไปฮีทขึ้นมาระหว่างที่กำลังซื้อของอยู่ในเมือง คงไม่อยากโดนอัลฟ่าที่ไม่รู้จักลากไปข่มขืนระหว่างทางหรอกใช่มั้ย?”

“ครับ..” คนโดนขู่ตัวสั่นระริก ทั้งจากการโดนซักถามเรื่องส่วนตัวแบบลับสุดยอดแม้แต่โอนเนอร์ยังไม่เคยคิดจะถาม แล้วยังจะเรื่องที่ต่อจากนี้อาจจะโดนใครต่อใครลากไปปู้ยี้ปู้ยำได้ทุกเวลา.. ชีวิตมันอยู่ยากขนาดนั้นเลยหรือนี่.. “คุณกำลังพยายามช่วยพวกเราอยู่สินะครับ”

“หือ?” คาเล็มแค่เหล่สายตามาหาแต่ใบหน้ายังมุ่งตรงอยู่ที่คอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานสุดรก

“คุณกำลังหาทางช่วยให้พวกเราไม่เจอเรื่องแย่ๆใช่มั้ยครับ” เมื่อนึกถึงความลำบากที่ต้องพบอัลฟ่าบางคนที่มาตัดเสื้อแล้วตัวเขาเผลอใจเต้นระส่ำระส่ายคล้ายกับจะฮีทก็แทบอยากจะเอาหัวพุ่งชนกำแพงให้สลบเสียตรงนั้น แม้ทุกครั้งจะผ่านมาได้ด้วยดี แต่ก็เรียกได้ไม่เต็มปากนักว่าใช้ชีวิตได้อย่างปกติ.. “ใจดีจัง ผิดกับที่คิดไว้เลย”

คาเล็มไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหารอยยิ้มกว้างแสนสดใสนั้น เขากลับไปสนใจงานบนหน้าจอต่ออย่างรวดเร็ว “ไปได้แล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม...มีอะไรจะเรียกอีกนะ”

ลาซารัสโค้งหัวให้ก่อนลุกออกไปพร้อมแซนวิชในมือและขวดยาขนาดเล็กสีสวย

“เอ้อ.. ขอบใจที่เอาไอ้นี่มาให้ด้วยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยไล่หลังอีกคนไปและชูแซนวิชในมือที่โดนกัดไปกว่าครึ่งให้ร่างโปร่งเห็น

“..ครับผม!” ลาซารัสยิ้มแฉ่งแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้หันมามอง น้ำเสียงเริงร่าตอบรับเหมือนจะบอกว่าคราวหน้าจะมาอีกแน่ๆ

สิ้นเสียงปิดประตู คาเล็มก็พับหน้าจอแล็ปท็อปลงและเลื่อนออกไปข้างๆ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างแรงจนหน้าผากเกือบจะปูดโปน

“...อย่ามาทำหน้าทำตาแบบนั้นใส่จะได้มั้ย เจ้าเด็กบ้า”

บัดนี้ศาสตราจารย์ ดร.คาเล็ม รอสเกรย์กำลังตกที่นั่งลำบาก เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองนั้นสามารถหยุดสัญชาตญาณดิบของอัลฟ่าในตัวได้ด้วยความรู้ความสามารถที่ศึกษามาตลอดทั้งชีวิต แต่ตอนนี้เขากำลังถูกโอเมก้าหนุ่มวัยละอ่อนกว่าถึงยี่สิบปีทำให้สูญเสียความยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ครอบครองตัวอีกฝ่ายอย่างที่เคยตั้งปณิธานเอาไว้ว่าโอเมก้าทุกคนคือคนไข้ของตน
 
“ถ้าหากฉันคนนี้สูญเสียความมีเหตุมีผลในตัวเองไปเมื่อไหร่ล่ะก็...ทั้งหมดก็เป็นความผิดของนายนั่นล่ะ”

ดูท่าว่าตัวทดลองคราวนี้จะสร้างความลำบากใจให้เขามากกว่าที่คิดซะแล้ว



TBC.





*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 16-02-2017 16:30:57
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: ลาซารัสน่าร๊ากกกก ชอบโอเมก้า
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 16-02-2017 16:45:34

บทที่ 1



ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้ลาซารัส แมทเวย์ พอจะเริ่มคุ้นชินกับการอยู่ที่บ้านหลังนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว กิจวัตรแต่ละวันที่เขาทำคือการออกกำลังกายและเป็นเพื่อนเล่นให้เจ้าจูเลียต ยกอาหารแต่ละมื้อไปให้คุณหมอและช่วยทำความสะอาดบ้านเป็นบางครั้งเพราะเรนเดลอายุมากแล้วบางทีก็เริ่มทำไม่ไหว ส่วนเรื่องการเป็นหนูทดลองที่โดนคุณหมอคาเล็มขู่ (เจ้าตัวเรียกแบบนั้นเพราะมันสั้นกว่าเรียกศาสตราจารย์ แล้วอีกฝ่ายก็ไม่ว่าอะไรด้วย) ตอนนี้ก็แค่ให้ทดลองกินยาแล้วก็ตรวจร่างกายเป็นบางครั้ง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
    
“รู้สึกว่างจังน้า..” ยามบ่ายแสนน่าเบื่อผ่านไปอย่างเชื่องช้า ลาซารัสเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านอยู่แล้วหันไปลูบจูเลียตที่นอนอยู่ข้างโซฟา ใจคิดอยากจะช่วยคุณหมอให้ได้มากกว่านี้ แต่สมองระดับเขาคงยังช่วยอะไรไม่ได้ เผลอๆจะไปเป็นตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ “ตอนนี้ก็แค่ช่วยงานบ้านคุณเรนเดลเอง…”

พลันนึกขึ้นได้ว่าของใช้บางอย่างในบ้านกำลังจะหมดจึงลุกจากโซฟาไปเดินสำรวจและจดลิสต์รายการที่ต้องซื้อเพิ่ม..แต่ว่า….จะเข้าไปในเมืองยังไงดี?

ร่างโปร่งเดินไปหาพ่อบ้านที่รดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนเพื่อสอบถามถึงวิธีเดินทางเข้าเมือง ทว่าเมื่อมาถึงสวนกลับพบคนที่ควรจะหมกตัวทำงานในห้องของตนนั่งสูบบุหรี่อยู่ด้วย “คุณหมอ?”

“จะเข้าเมืองน่ะ ไปมั้ย?” คาเล็มพ่นควันสีขาวออกมาและเอ่ยชวนชายหนุ่มที่โผล่เข้ามากลางวงสนทนา “ของใช้จะหมดแล้วเลยจะไปซื้อน่ะ”

“เอ่ะ...เอ่อ...คุณรู้ด้วย?”

“โผล่มาหาเสบียงกินตอนดึกแล้วมันพร่องไปเยอะ...สงสัยจะมีคนกินจุ” ว่าแล้วก็แอบเหล่มาหาโอเมก้าให้สะดุ้งเล่น

“ขอโทษครับ” ลาซารัสแทบจะก้มไปหลบด้านหลังจูเลียตด้วยความรู้สึกผิด “ต..แต่ว่า...ผมจดมาให้แล้วว่าอะไรที่ต้องซื้อเพิ่มบ้าง”

“ดี ถือโอกาสไปซื้อของใช้ของนายด้วยเลยละกัน” คาเล็มขยี้บุหรี่ลงในถาดข้างๆก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ “ไปเปลี่ยนชุดซะนะ”

“ครับ”

โอเมก้าหนุ่มยิ้มร่าเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมสุนัขตัวใหญ่ที่วิ่งไล่ตาม ระหว่างนั้นคาเล็มได้โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนสนิทคนเดิมให้ส่งรถมารับ แน่นอนว่าคงต้องรออีกเป็นชั่วโมง

ลาซารัสที่แต่งตัวเสร็จแล้วเดินลงมาสมทบกับคาเล็ม อัลฟ่าสูงวัยมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าและเอ่ยออกมาว่า “นี่แค่ออกไปซื้อของนะไม่ได้จะไปงานประกวดโมเดลลิ่ง”

“คือนี่ชุดเก่งของผมเลยนะครับ ผมว่าผมก็ไม่ได้แต่งจนโอเวอร์เลยนะ” โอเมก้าเจ้าของดวงตาสีฟ้ากล่าว แต่พอโดนแซวแบบนี้ทำเอาเสียเซลฟ์ไปเหมือนกัน

“สงสัยต้องจดรายการซื้อเสื้อผ้าธรรมดาให้นายเพิ่มด้วยแล้ว” คาเล็มเอ่ยกับตัวเองพลางยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา “สงสัยวันนี้คงได้กลับบ้านค่ำมืดอีกแหง”

ขณะที่กำลังบ่นอยู่นั้น จูเลียตได้เห่าขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นนิสัยติดตัวของมันที่ชอบเห่าไล่พวกนกที่มักบินเข้ามาในบริเวณบ้าน คาเล็มหันไปดุเจ้าสุนัขตัวโปรดให้เงียบ แต่ลาซารัสก็มาสะกิดให้เขาเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบนอีกคน

หนุ่มอัลฟ่ามากวัยแหงนหน้ามองท้องฟ้าตาม ก่อนจะถอดแว่นกรอบหนาออกมาเช็ดและสวมเข้าไปใหม่ ดูท่าว่าสิ่งที่จูเลียตเห่าจะไม่ใช่นกที่ไหนซะแล้ว

เสียงใบพัดหมุนดังมาแต่ไกล ลมแรงที่พัดเอาต้นไม้ใบหญ้าและสวนรอบๆ ปลิวสะบัดไปคนละทิศคนละทาง เฮลิคอปเตอร์สีขาวค่อยๆลงจอดในบริเวณบ้านของศาสตราจารย์คาเล็ม ก่อนที่ร่างของบุคคลที่นั่งมาจะลงมาหาเจ้าของบ้าน

“ว่าไงพวก ฉันมารับแล้---” ยังไม่ทันจะพูดจบ อัลฟ่าสูงวัยก็เดินก้าวยาวๆ เข้าไปบีบคอเพื่อนสนิท

“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเอาฮ.มารับ สวนบ้านฉันเละเทะหมดแล้วนะไอ้บ้านี่!” คาเล็มแผดเสียงลั่นใบหน้าโกรธจนริ้วรอยบนใบหน้าชัดยิ่งกว่าเดิม

“วันนี้รถมันติดนี่หว่า กลัวจะรอนานก็เลยส่งฮ.มารับ ขอบใจกันสักคำหน่อยสิเฟ้ย!” ร่างสูงพอๆ กันยกมือขึ้นบีบคอกลับ ผ่านไปเกือบสองนาทีทั้งคู่ก็แทบจะขาดออกซิเจนเลยตัดสินใจปล่อยมือแล้วหอบเอาอากาศเข้าปอดอย่างแรง ส่วนลาซารัสได้แต่มองตามอึ้งๆ พร้อมกับทรงผมที่กระเซิงเพราะลมจากเครื่องเฮลิคอปเตอร์

จะขึ้นเจ้านี่เข้าเมืองไปจริงดิ่!


“ว้าวววว” โอเมก้าหนุ่มกำลังตื่นเต้นกับวิวทิวทัศน์จากเบื้องบนที่เคยเห็นแต่เพียงในจอทีวี ทั้งป่าไม้ เนินเขา รวมทั้งเมืองที่กำลังมุ่งไปล้วนเล็กจิ๋วและอยู่ใต้เท้าของพวกเขา “หวาดเสียวกว่าที่คิดอีกนะครับบบ”

ทว่าดูจะมีแต่เขาคนเดียวที่กำลังสนุกสนานในขณะที่อัลฟ่าวัยกลางคนปลายๆจ้องมองเขาราวกับแปลกใจในท่าทีนี้

“ไม่ต้องตื่นเต้นมากนักก็ได้ เดี๋ยวก็ได้บินจนเบื่อนั่นแหละ” คาเล็มปรามอีกฝ่ายที่พยายามชะโงกหน้าไปมองวิวข้างนอก

“ขอโทษครับ.. แต่ว่า..ผมไม่เคยออกมาข้างนอกแบบนี้เลย ขึ้นเฮลิคอปเตอร์นี่ก็ครั้งแรกในชีวิตด้วย!” ดวงตาสีฟ้าสดใสเป็นประกายเหมือนเด็กที่กำลังพบเจอเรื่องสนุกอันน่าหลงใหล “มันสุดยอดไปเลยย!”

“ยังร่าเริงดีนี่หว่า นึกว่าอยู่กับนายจะขวัญผวาไปแล้วซะอีก” เพื่อนรักเอ่ยแซวคุณหมอผู้มีห้องทำงานอันน่าสยดสยอง.. “แล้วนี่..ยังไม่ได้ทำอะไรเค้าอีกเหรอ?”

คาเล็มตอบสั้นเรียบด้วยการเตะเข้ากับหน้าแข้งเพื่อนอย่างจัง แต่ไม่แรงจนถึงกับทรุดกันไปข้างอย่างแน่นอน

“เอาปลอกคอมารึเปล่า?” หยุดเพื่อนที่กำลังละลาบละล้วงได้ก็หันไปถามลาซารัสด้วยสีหน้านิ่งเฉยปกติ

“เอามาครับ” เหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้ยินที่เพื่อนของเขาถามเมื่อครู่เพราะมัวแต่มองไปนอกหน้าต่าง

“ใส่ไว้ก่อนละกัน อย่างน้อยก็กันพวกอัลฟ่าแถวล่างๆไม่ให้มายุ่มย่ามกับนายได้..”

เมื่อลาซารัสสวมปลอกคอเสร็จอย่างว่าง่าย เฮลิคอปเตอร์ก็บินมาจอดที่ยอดตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นศูนย์การค้าหรูหราขนาดใหญ่กินพื้นที่เกือบสองกิโลที่อยู่ข้างๆอ่าวกว้าง

“เจอกันสักหกโมงเย็นแล้วกัน เดทให้สนุกนะ” เพื่อนของคุณหมอเดินแยกตัวไปอีกทางเพื่อไปทำธุระส่วนตัว ปล่อยให้คาเล็มพาโอเมก้าตัวน้อยที่ดูจะตื่นเต้นกับทุกอย่างรอบตัวไปเดินซื้อของกัน

“เก็บอาการหน่อยสิ..”

“อ่ะ..ครับ”

“แล้วก็อย่าเดินห่างจากฉันมากล่ะ จะแวะดูหรือซื้ออะไรก็สะกิดบอกแล้ว...กัน” ดวงตาหลังกรอบแว่นหันไปพูดย้ำ แต่แค่ครู่เดียวคนที่เดิมตามต้อยๆก็หายไปจากสายตาเสียดื้อๆ

คาเล็มหันขวับรีบกวาดตามองหาไปรอบๆ ถึงได้เจอเจ้าโอเมก้าผู้อ่อนต่อโลกยืนเอาหน้าไปแนบกระจกส่องดูพวกสัตว์ขนฟูที่หน้าร้านขายสัตว์เลี้ยง แถมยังทำหน้าทำตาเคลิ้มไปกับความน่ารักน่ากอดของเจ้าสี่ขาในกรงพวกนั้นอีก

“คุณหมอคร้าบ” ลาซารัสหันหน้ามาหาคาเล็มด้วยแววตาอ้อนวอนสุดชีวิต ร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่ามากวัยเดินไปจับปลอกคอแล้วดึงลากออกมาจากร้านขายสัตว์เลี้ยงตรงไปที่แผนกอื่นทันที

“ขอโทษครับ พอดีเผลอไปหน่อย…” โอเมก้าหนุ่มที่เพิ่งตั้งสติได้หลังจากหลงระเริงไปกับดงก้อนขนกล่าวคำขอโทษต่อเจ้าของตน “ผมชอบพวกสัตว์ขนฟูๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ”

“แล้วมีอะไรอีก?”

“ครับ?” ดวงตาสีฟ้าเงยหน้าขึ้นมองคุณหมอทันที

“อยากได้อะไรก็ซื้อไป แต่ไม่ใช่ทำท่าอยากได้เหมือนเด็กน้อยแบบเมื่อกี้อีก” อัลฟ่าสูงวัยเปิดไฟเขียวอนุญาตให้โอเมก้าในครอบครองของตนขออะไรก็ได้ตามใจเจ้าตัว

“เอ๊ะ! ดะ ได้เหรอครับ แต่ที่บ้านคุณหมอมีเจ้าจูเลียตอยู่แล้วนี่ครับ” แม้จะดีใจแต่ก็อดเกรงใจอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะทีแรกตั้งใจว่าจะมาซื้อแค่ของใช้จำเป็นเท่านั้น

“หาเพื่อนใหม่ไปให้มันซักตัวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ฉันไม่รับประกันนะว่ามันจะญาติดีด้วยรึเปล่า” อธิบายโดยไม่ได้มีเจตนาจะขู่ให้กลัวแต่อย่างใด หากเทียบขนาดเจ้าพวกขนฟูในร้านกับเจ้าวูล์ฟด็อกตัวใหญ่ที่บ้านแล้ว เรียกว่าเหมาะจะเป็นอาหารว่างให้จูเลียตมากกว่าเป็นเพื่อนเล่นซะอีก

“งั้น...ไปเดินซื้ออย่างอื่นกันก่อนดีกว่าครับ” ลาซารัสหยิบใบลิสต์รายการของที่จำเป็นต้องซื้อออกมากางดู หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปเดินเลือกซื้อเสื้อผ้ากับของใช้ก่อนเป็นอันดับแรก โดยที่คาเล็มเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ให้โอเมก้าหนุ่มได้มีโอกาสควักเงินของตัวเองใช้เลยแม้แต่แดงเดียว

“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า” คาเล็มบอกกับลาซารัสหลังจากที่เดินช็อปปิ้งกันไปร่วมสองชั่วโมงแล้ว “ปวดขา อยากนั่งพักด้วย”

“งั้น เข้าร้านนี้ดีมั้ยครับ จะได้ไม่ต้องเดินไปไกล” ลาซารัสชี้ไปที่ภัตตาคารสำหรับครอบครัวที่อยู่ตรงหน้า เขาเคยเห็นร้านนี้ออกรายการทีวี อาหารที่นี่อร่อยและราคาไม่สูงมากขนาดเขาเองยังอยากลองมาทานดูสักครั้ง

คาเล็มเดินตรงเข้าไปในร้านที่ถูกเสนออย่างรวดเร็วเพราะอยากพักขาจะแย่โดยไม่ได้สนใจจะชั่งใจเลือกใดๆ ร้านอาหารฟิวชั่นที่กำลังได้รับความนิยมตกแต่งเรียบง่ายและดูอบอุ่นตามสไตล์ร้านสำหรับครอบครัว แต่เนื่องด้วยไม่ใช่วันหยุดและยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน ผู้คนในร้านจึงมีบางตายิ่งทำให้ร้านดูเงียบสงบยิ่งกว่าเดิม

“คุณหมออยากกินอะไรครับ” ลาซารัสเอ่ยถามเมื่อกางเมนูออกดูในขณะที่คาเล็มเพียงแค่นั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเมื่อยล้า

“สั่งอะไรก็สั่งมาเถอะ ฉันเอาแบบนาย”

“งั้นเอ่อ…” ลาซารัสเปิดดูเมนูไปทุกหน้าก่อนจะเริ่มสั่ง “สปาเก็ตตี้ปลาแซลมอนรมควัน สลัดเป็ดร่อน ซุปล็อบสเตอร์ ทั้งหมดสองที่ครับ!”

“อิ่มเหรอนั่น” คาเล็มเลิกคิ้ว เห็นออกกำลังหนักหนากว่าเขามากมายแถมเจ้าตัวก็ไม่ได้ตัวเล็กจ้อยอะไร นึกว่าจะกินมากกว่านี้เสียอีก

“ปกติก็อิ่มนะครับ” ลาซารัสเอียงคอยิ้มแป้นแต่แววตาเจือความสงสัยไว้อยู่ หมอคาเล็มจึงเปิดเมนูขึ้นมาอีกอย่างเนือยๆเรื่อยๆก่อนจิ้มไปอีกสองเมนู “เอ๋?”

“ไม่ต้องเกรงใจ ร่างกายนายต้องการพลังงานเพิ่มก็กินๆมันเข้าไปเถอะ” หมอไม่ได้บอกเหตุผลที่ต้องการให้ร่างกายของชายหนุ่มแข็งแรงอยู่เสมอเพื่อให้การทดลองดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ติดขัดเท่านั้น

เมื่อสั่งอาหารเครื่องดื่มจนเรียบร้อยร่างโปร่งจึงกุลีกุจอนั่งเช็ครายการของต่อเงียบๆ แต่คาเล็มก็สังเกตได้ว่าที่อีกฝ่ายก้มหน้าลงไปนั้นเพราะโดนสายตาจากรอบข้างจ้องมองด้วยหลากหลายความคิดความรู้สึก ท่าทางจะประหม่ามากแต่เก็บอาการอยู่เป็นแน่ “ไหวรึเปล่า?”

“ห๊ะ? ครับ?” ลาซารัสโงหัวขึ้นมาจากกระดาษในมือที่กำลังขีดฆ่ารายการต่างๆ

“...เปล่า ไม่มีอะไร” อัลฟ่าหนุ่มยกมือขึ้นเรียกบริกรเข้ามาหา “มีห้องส่วนตัวมั้ยครับ”

“มีครับผม”

“ขอย้ายโต๊ะไปห้องนั้นละกัน” พนักงานค้อมหัวรับทราบก่อนไปจัดการเปิดห้องรอให้ทั้งสองคนเก็บของและเตรียมตัวไป แม้โอเมก้าน้อยจะไม่รู้ว่าเขาย้ายไปเพราะอะไร แต่เขาก็โล่งใจที่จะได้พ้นจากสายตาผู้คนเสียที..

บริกรสาวเสิร์ฟยกน้ำมาเสิร์ฟ คาเล็มแหวกเสื้อเข้าไปหยิบขวดยาในกระเป๋าออกมาเทใส่มือ ก่อนจะดื่มน้ำตามจนหมดแก้ว

“คุณหมอเป็นอะไรรึเปล่าครับถึงต้องกินยา” สีหน้าของโอเมก้าหนุ่มแสดงความเป็นห่วง มือหนายกมือขึ้นแทนคำตอบว่าตนไม่ได้เป็นอะไร

“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน อยู่ที่นี่อย่าลุกไปไหนล่ะ” อัลฟ่าสูงวัยเอามือดันตัวขึ้นลุกจากที่นั่งเดินไปถามจากพนักงานร้าน ลาซารัสมองตามหลังนั้นไปอย่างห่วงๆ พอหันกลับมาก็เห็นกระปุกยาของหมอคาเล็มยังอยู่ที่โต๊ะจึงลองหยิบมาดู ถึงจะมีฉลากเขียนระบุเอาไว้แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นยาอะไรกันแน่

อาหารค่อยๆ ทยอยมาเสิร์ฟแต่คนที่ไปเข้าห้องน้ำก็ยังไม่กลับมา ลาซารัสมองดูนาฬิกาข้อมือที่ผ่านไปเกือบสิบนาทีแล้ว พอคิดจะลุกไปตามปรากฏว่าร่างสูงใหญ่ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี ร่างโปร่งเลยสะดุดกึกอยู่ตรงหน้าอัลฟ่าสูงวัย

“นายจะไปไหน?”

“เอ่อ ผมเห็นคุณหมอหายไปนานก็เลยเป็นห่วงน่ะครับ”

“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปไหนเอง” เอ็ดใส่คนตรงหน้าไปเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ “ท้องไส้ฉันไม่ค่อยดีเลยนั่งนานไปหน่อยแค่นั้นเอง”

“ขอโทษครับ…” ร่างโปร่งเดินมานั่งฝั่งตรงข้าม “เอ่อ...แล้วอาหารที่สั่งมานี่คุณหมอทานได้นะครับ?”

“ฉันกินได้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” คาเล็มเริ่มลงมือทานอาหารที่โอเมก้าหนุ่มเป็นคนสั่งมา ลาซารัสก็ไม่ชวนคุยอะไรอีกแล้วเริ่มทานบ้าง

“อืม...อร่อยดี” คำชมที่เอ่ยขึ้นมาทำเอาคนเลือกร้านรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมานิดๆ คาเล็มชะงักมือไปนิดหน่อยกับท่าทางที่ปิดไม่มิดนั้นของโอเมก้าหนุ่ม

ลาซารัสเห็นสายตาของอีกคนตวัดมองตนก็ก้มหน้าก้มตาลงไปกินต่อเหมือนโดนพ่อแม่จ้องเพื่อดุลูกอย่างไรอย่างนั้น บทสนทนาเงียบลงไปพักใหญ่เสียจนชวนอึดอัด คิดในแง่ดีนี่ก็เป็นบุคลิกของคุณหมออย่างที่เขาเห็นเป็นประจำ เพียงแต่พอเปลี่ยนสถานที่แล้วคงจะทำให้บรรยากาศดูแปลกตาเลยเผลอคิดว่าต้องทำตัวให้เหมือน...มาออกเดท?

คิดแค่นั้นพวงแก้มทั้งสองก็เริ่มมีสีแดงจางขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่ามันไม่รอดพ้นสายตาเฉียบคมของอีกฝ่ายเช่นกัน “เป็นอะไร?”

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเฉยๆ” นอกจากจะคิดคำแก้ตัวไม่ออกยังโกหกไม่เนียนอีกต่างหาก

“...ฮีท?”

“ไม่ใช่ครับ! ยังไม่ถึงช่วงนั้นหรอกครับ..มันคงจะอีกนานอยู่…”

“เหรอ.. นึกว่าจะได้ศึกษานายไวๆซะอีก” คำพูดของคาเล็มทำเอาแอบจุกในอกเล็กน้อย คนๆนี้คิดถึงแต่เพียงงานวิจัยจริงๆ แม้แต่ในเวลาทานอาหารที่ควรจะผ่อนคลายตัวเอง.. ก็ไม่อย่างนั้นจะเอาอาหารเข้าไปกินในห้องทำงานทำไมล่ะ?

“คุณหมอครับ..คือว่า ยังมีเวลาอยู่บ้าง” ลาซารัสเงยหน้ามองนาฬิกาที่ผนังแล้วเอ่ยทำลายความเงียบอย่างกล้าๆกลัวๆ “ไป..ดูหนังกันมั้ยครับ?”

“?..” คาเล็มเลิกคิ้วมองลาซารัสโดยที่ยังไม่ตอบอะไรไปและยิงคำถามทางสายตาว่าทำไมจู่ๆก็อยากจะชวนเขาไปดูหนังกันเล่า?

“เห็นคุณหมอเครียดๆน่ะครับ น่าจะหาเวลาพักบ้าง จะว่าไปผมก็ไม่เคยดูหนังในโรงเลยด้วย เอ...เอ่อ…” พยายามคิดหาเหตุผลมากมายแต่ในหัวกลับโล่งขาวโพลน..

“อยากดูเรื่องไหนล่ะ?”

“อ่ะ...ได้เหรอครับ”

“ครั้งสุดท้ายที่ฉันดูหนังในโรงก็ตั้งสิบปีมาแล้ว เห็นว่าเดี๋ยวนี้ถึงขนาดมีโรงหนังแบบนอนดูยังได้จริงรึเปล่า” ดวงตาหลังกรอบแว่นหนาจ้องคู่สนทนาพลางถามอย่างเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง “นานๆทีฉันก็มักจะนอนดูหนังอยู่ที่บ้านมากกว่าออกมาข้างนอก ถ้าที่นี่มีโรงหนังแบบนั้นล่ะก็เอาแบบนั้นแหละ”

“เอ่อ...คิดว่าน่าจะมีนะครับ แต่คิดว่าราคาอาจจะสูงกว่าปกติ” ลาซารัสที่ไม่เคยเข้าแม้แต่โรงหนังปกติเริ่มรู้สึกผิดนิดหน่อยที่เอ่ยชวนไป นี่เขากำลังทำให้คุณหมอเสียเวลาไม่พอยังทำให้เปลืองเงินโดยใช่เหตุรึเปล่านะ…

ยังไม่ทันที่โอเมก้าหนุ่มจะหายกังวล คาเล็มก็โทรศัพท์ศัพท์ไปถามเพื่อนสนิทเรียบร้อย “โรงหนังที่ว่าอยู่ชั้นบนสุดของห้างฯสินะ เออ...แกมีเรื่องไหนจะแนะนำบ้างมั้ย? หา? ก็บอกว่าไม่ได้มาเดทไงเฟ้ย!”

ร่างโปร่งนั่งตัวแข็งทื่อหน้าแดงเถือก ตัวเขานั้นคิดไปเรียบร้อยแล้วว่ามาออกเดทแต่คุณหมออัลฟ่าคนนี้กลับไม่คิดอะไรเลยซักนิด

อา...รู้สึกตัวเองอย่างกับคนบ้าแน่ะ


ทั้งสองมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ขายป็อปคอร์นหลังจากที่หมอคาเล็มจัดการซื้อตั๋วหนังเรียบร้อย ส่วนของที่ซื้อมาก็จัดการฝากกับเหล่าผู้ติดตามของเพื่อนให้เอาไปไว้ใกล้ๆกับที่จอดเฮลิคอปเตอร์เรียบร้อย

“เอารสอะไร” ร่างสูงยืนเว้นระยะกับโอเมก้าในครอบครองพลางเอ่ยถาม

“เอ่อ… ผมกินได้หมดแหละครับ” ตอบไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าแต่ละอย่างนั้นรสชาติแบบไหน รู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไรอย่างนั้น

คาเล็มจึงสั่งแบบชีสกับเค็มมาอย่างละกล่องเผื่อให้ลองว่าจะชอบแบบไหน แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าโรงหนังไป

โรงหนังเปิดแสงสลัวพอให้เห็นสถานที่โดยรวม เป็นเตียงกว้างพร้อมหมอนและผ้าห่มอย่างดีให้ ด้านข้างเตียงมีตู้เย็นที่สามารถหยิบน้ำกินได้ตามใจรวมทั้งยังมีกำแพงขนาดเตี้ยแค่เพียงสร้างความเป็นส่วนตัวขณะดูหนังเท่านั้นที่กั้นแต่ละเตียงไว้เป็นสัดส่วน

“นุ่มจัง” ลาซารัสเอาหมอนชันไว้กับหัวเตียงต่างพนักพิงและดึงผ้าห่มมากอดอย่างอารมณ์ดี ส่วนคาเล็มนั้นเอนตัวลงนอนข้างๆ และยังคงเว้นระยะเล็กน้อยแค่พอไม่ให้โดนตัวกันโดยง่ายเท่านั้น “ว่าแต่..ซื้อตั๋วเรื่องอะไรมาน่ะครับ”

“ไม่ได้ดูตอนซื้อเหรอ”

“ก็..ไม่ได้ดูครับ” เสียงอ่อนลงเล็กน้อยเหมือนรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่สมเป็นผู้ใหญ่อีกครา

“...ไม่เป็นไรหรอก ดูไปเดี๋ยวก็รู้เอง”

เมื่อไฟในโรงเริ่มมืดลงบทสนทนาก็เงียบหายไปเพื่อรอดูสิ่งที่กำลังจะฉาย

เพียงแค่ภาพยนต์เริ่มฉายไปไม่นาน เสียงหัวเราะของผู้ชมในโรงหนังก็เริ่มตามมาด้วยธีมของหนังที่เป็นแนวเลิฟคอเมดี้ ทั้งลาซารัสและคาเล็มเองก็สนุกไปกับเนื้อเรื่องแถมทั้งคู่ยังอินมากๆ เหมือนกันอีกต่างหาก หลายๆฉากในหนังที่ทำเอาฮาจนน้ำตาเล็ด ฉากไหนที่ซึ้งก็บิ้วท์จนแอบน้ำตาซึม ดวงตาของทั้งคู่แทบไม่ละสายตาไปจากจอฉายหนังเลยตลอดเวลาของการชมภาพยนต์จนจบเรื่อง

“หนังสนุกมากเลยเนอะครับคุณหมอ” แม้ว่าภาพยนต์จะจบไปแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังนอนเอนกายคุยอยู่บนเตียงในโรงภาพยนต์ไปอีกพักใหญ่ ป๊อบคอร์นที่ซื้อมาพร่องลงไปน้อยมากด้วยเพราะพวกเขาทานอาหารกันจนอิ่มไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังภาคที่สามแล้วล่ะ สองภาคก่อนหน้านี้ฉันก็เคยดูแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะเอามาสร้างต่อเหมือนกัน” หมอคาเล็มเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะได้ปลดปล่อยความเครียดไปเยอะ “แต่ฉันว่าภาคนี้สนุกที่สุดแล้วล่ะ”

“คุณหมอเคยมาดูกับใครเหรอครับ?”

“อ่อ...คู่ของฉันเองน่ะ”

ลาซารัสเด้งตัวลุกขึ้นนั่งและหันหน้าไปถามคาเล็มด้วยสีหน้าตระหนกตกใจมาก “คุณหมอมีคู่กับเค้าด้วยงั้นเหรอครับ!”

“ถามแบบนี้คิดจะกวนประสาทกันรึไง” คุณหมออัลฟ่าชักสีหน้าแต่ยังเก็บอารมณ์ไว้ได้ ไม่งั้นคงได้เผลอถีบโอเมก้าปากไม่สร้างสรรค์คนนี้ตกเตียงไปแล้ว

“ขอโทษครับ คือ...ผมเข้าใจว่าคุณหมออยู่ตัวคนเดียวก็เลยตกใจน่ะ”

“อา...ที่จริงนายจะเข้าใจแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก”

ขณะที่โอเมก้าหนุ่มกำลังฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ อัลฟ่าสูงวัยก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเมื่อพนักงานโรงหนังเดินเข้ามาบอกว่าจะขอเคลียร์พื้นที่สำหรับรอบถัดไป ผู้ชมทั้งสองจึงต้องลุกออกไปจากที่นั่งแห่งนั้น

“เอ่อ… คู่ของคุณ..เค้าไปไหนเหรอครับ?” ไม่รู้เป็นคำถามที่ควรถามมั้ยแต่ปากก็พูดออดไปแล้ว คาเล็มหันมามองเพียงเล็กน้อยทั้งที่ยังไม่หยุดก้าวเท้า

“ไม่อยู่แล้ว” คาเล็มตอบเบาๆอย่างตัดบทและคิดได้หลายแง่มุม ทว่าร่างโปร่งก็เดาไปต่างๆนานา รวมทั้งคิดได้อีกว่า ไม่อยู่ คำนั้นอาจจะแปลว่าไม่อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกแล้วก็ได้…

“ขอโทษครับ” ลาซารัสก้มหน้างุดเดินตามร่างสูงไปห่างๆ สองมือกอดถุงป็อปคอร์นไว้แน่นแทบจะขยำมันไปด้วย

“ไม่เป็นไร ไม่ถือหรอก นายไม่รู้เรื่องนี่”

“ครับ..”

“...”

“...เรื่องงานของคุณน่ะ… ผมอยากช่วยนะ” โอเมก้าที่เดินตามเจ้านายต้อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อทั้งสองคนอยู่ในลิฟต์ไร้ผู้คน

“หือ?” คาเล็มเหลือบตาไปมองร่างเล็กกว่าอย่างสงสัยว่าทำไมจู่ๆถึงวกกลับมาเรื่องงานเขาอีกได้?

“น้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนนั่นน่ะ.. ช่วยให้ผมใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นจริงๆนะ ตอนอยู่ที่ห้องเสื้อน่ะครับ” ดวงตาสีฟ้าหันมาสบเข้ากับอีกคนที่ยืนข้างๆอย่างจริงใจ “ขอบคุณมากครับ ที่ทำเพื่อพวกเรา”

ร่างสูงหลบตาก่อนจะก้าวออกจากลิฟต์ที่มาจอดยังชั้นที่ต้องการและเดินนำมายังร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ทั้งคู่เจอครั้งแรก “เลือกไปสิ”

“เอ๊ะ?” ลาซารัสเลิกคิ้วก่อนจะโดนแย่งถุงป็อปคอร์นในมือไป

“เอาตัวที่ร่าเริงหน่อยนะ ถ้านิ่งๆซึมๆกลัวมันจะมีโรคตามมา”

“ข...ขอบคุณครับ!” โอเมก้าหนุ่มโค้งให้อีกคนก่อนระริกระรี้เข้าไปในร้านขายสัตว์อย่างเริงร่า และเหมือนเขาจะหมายตาสุนัขขนปุยตัวใหญ่กว่าลูกหมาปกติที่ควรจะเป็น “ซามอยด์ล่ะะ! ต้องตัวใหญ่แน่ๆเลย แต่ตอนนี้ก็ยังตัวนิดเดียวเอง..”

“เอาอาหารลูกสุนัข ชามใส่อาหาร ปลอกคอ ของเล่น แล้วก็…” ขณะที่ลาซารัสยังง่วนอยู่กับการเลือกเจ้าขนฟูกลับบ้าน คาเล็มก็หันไปร่ายรายการของใช้จำเป็นสำหรับสมาชิกใหม่ใส่คนขายจนหยิบแทบไม่ทัน ดวงตาหลังกรอบแว่นเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเงินแต่ปรากฏว่าเงินสดไม่พอ

“ขอโทษนะครับ รับบัตรรึเปล่า?”

“รับครับ”

บัตรสีดำถูกยื่นให้เจ้าของร้านที่ยืนนิ่งแข็งค้างรับมาด้วยมือสั่นระรัว ระหว่างที่รอชำระเงินอัลฟ่าสูงวัยก็เดินไปหาโอเมก้าผู้ที่มีสัตว์ขนฟูเกือบทุกตัวในร้านรายล้อมรอบตัว

“คุณหมอออ”

“ให้แค่ตัวเดียว” คาเล็มตอบเสียงแข็งยืนยันว่าไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด

“ฮือ...ขอโทษนะพวกนาย” ลาซารัสกอดเจ้าสี่ขาบอกลาและร่ำไห้ปานจะขาดใจ ครั้งนี้แววตาเว้าวอนของพวกมันจ้องโฟกัสมาที่คุณหมอคาเล็มทุกตัว ประกายตาวิบวับในดวงตาที่บีบหัวใจคนมอง จนในที่สุด…

“...เหมา”

“ขอบพระคุณมากครับคุณลูกค้า!!”


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Melonlove ที่ 16-02-2017 16:55:59
:oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 16-02-2017 17:00:50

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แกจะเลิกเป็นหมอแล้วไปเพาะพันธุ์ฟาร์มสุนัขขายแทนแล้วใช่มั้ยคาเล็ม!”

เสียงหัวเราะลั่นดังไปทั่วยอดตึกศูนย์การค้าหรู ในมือของเพื่อนรักคุณหมอกำลังรัวภาพถ่ายคาเล็มกับฝูงก้อนขนฟูฟ่องอัพลงโฟลเดอร์ลับเฉพาะ ก่อนที่อัลฟ่าสูงวัยจะก้าวเท้าเร็วๆ ไปแย่งมาแล้วเขวี้ยงสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นลงพื้นจนหน้าจอแตกละเอียด

“ถ้ายังไม่หยุดขำฉันจะช่วยเย็บปากแกให้ติดกันให้เอามั้ย ไอ้คุณริชาร์ด?” แววตาหลังกรอบแว่นบอกว่าเอาจริงไม่พูดเล่นแน่นอน

“เดี๋ยวฉันเรียกลูกน้องให้มาขนไปให้ที่บ้านแกดีกว่า มาเป็นฝูงแบบนี้เอาขึ้นฮ.ไปไม่ไหวหรอก ฮึๆๆ” ขนาดเจ้าตัวเอามือปิดปากพยายามพูดเป็นปกติแต่ก็ยังอดกลั้นขำจนตัวสั่นน้ำตาเล็ดไม่ได้อยู่ดี

“ไว้เจอกันน้าเด็กๆ” โอเมก้าเพียงคนเดียวในที่นั้นบอกลาน้องหมาสี่ขาขนฟูนับสิบตัวตรงนั้นอย่างยินดีที่จะได้มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง

“พาไปดูหนัง ซื้อเสื้อผ้าให้ ไหนจะยอมให้เลี้ยงสัตว์ซะยังกะจะเปิดฟาร์ม” ริชาร์ดเดินมาเกาะไหล่คุณเพื่อนพลางเหลือบมองผ่านไหล่มาหาชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า “นี่สรุปเจ้านั่นจะเป็นแค่ ‘คนไข้’ ของนายจริงๆเรอะ?”

คาเล็มไม่ต่อปากต่อคำกับเพื่อนของตนอย่างเช่นปกติ และขยับแว่นที่เลื่อนต่ำจากการพยายามทำร้ายร่างกายคนข้างๆ(??)เมื่อครู่ให้เข้าที่ “ใช่.. ยังเป็นแค่นั้น”

ทั้งสามคนเดินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปหลังจากจัดการของทุกอย่างเรียบร้อย คาดว่าเรนเดลคงตกใจแน่ๆที่มีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้…


“นี่ครับเสบียง ส่วนถุงนี้เป็นของใช้อื่นๆ ให้ผมช่วยแยกให้นะครับ” ลาซารัสจัดแจงเก็บของที่เพิ่งซื้อมาให้เข้าที่อย่างเรียบร้อย การอยู่บ้านนี้โดยแทบไร้ภาระใดๆก็ทำให้เขามีเวลามากพอจะสำรวจว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้างจนทั่วทั้งบ้าน

“ขอบคุณมากครับ ช่วยได้เยอะเลยคุณแมทเวย์” พ่อบ้านสูงวัยยิ้มอ่อยโยนให้กับเรี่ยวแรงของคนหนุ่มซึ่งผิดกับเจ้าของบ้านที่นั่งเหนื่อยอยู่ที่โซฟา ไม่ได้ออกจากบ้าน...ไม่สิ ไม่ได้ออกจากเขตที่ทำงานและห้องนอนบ่อยนัก แถมครั้งนี้ต้องเดินตระเวนไปทั่ว เล่นเอาอัลฟ่าที่ควรจะแข็งแรงก็นั่งปวดขาได้ “นายน้อยรับอาหารทานเย็นมั้ยครับ?”

“ไม่ล่ะ ...นี่ยังไม่หมดเลย” คาเล็มโชว์ถุงป็อปคอร์นขึ้นและเริ่มหยิบกินต่อแม้จะชืดไปบ้างแล้ว “เจ้าพวกนั้นจะมาพรุ่งนี้เช้านะ”

“อ่ะครับ เดี๋ยวผมคงตื่นไปรับให้”

“เจ้าพวกนั้น?” พ่อบ้านเอียงคอและเลิกคิ้วระหว่างที่มือก็ยังคงหยิบอาหารสดใส่ตู้เย็นเรื่อยๆ

“เดี๋ยวมีเซอร์ไพรส์นิดหน่อยนะครับ” ลาซารัสยิ้มกริ่มให้เรนเดลและจูเลียตที่ทำหน้างงไม่ต่างกัน

“ฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะ” คุณหมออัลฟ่าขยับตัวลุกขึ้นพาตัวเองไปที่ห้องอาบน้ำ หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เรียบร้อยลาซารัสก็ได้เดินไปหาพ่อบ้านอีกครั้ง “คุณเรนเดลครับผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”

“มีอะไรเหรอครับ?”

“คุณหมอป่วยเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

พ่อบ้านเผลอเอียงคอทำหน้างุนงง “ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะครับ?”

“คือว่า...วันนี้ผมเห็นคุณหมอทานยาตอนที่พวกเราไปนั่งทานอาหารด้วยกันน่ะครับก็เลยสงสัย...” ดวงตาสีฟ้าสังเกตว่าสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของเรนเดลออกชัดมาก

“ทานอาหารเหรอครับ...เขาคงไม่ได้สั่งของหวานมาด้วยหรอกใช่มั้ยครับ?”

“เอ๊ะ? ไม่นะครับ ส่วนใหญ่ผมเป็นคนสั่งอาหารน่ะ” คุณพ่อบ้านดูจะโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้ตอบคำถามของลาซารัสเลย

“อืม...จริงๆ นายน้อยก็ไม่ได้ป่วยอะไรหรอกครับ ส่วนยานั่นน่ะ…” ชายชราลังเลที่จะบอกนิดหน่อย แต่คิดว่ายังไงเสียถ้าโอเมก้าหนุ่มคนนี้จะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานเดี๋ยวสักวันก็คงจะรู้อยู่ดี บอกไปตอนนี้ก็คงไม่เป็นไร “ยานั่น...เป็นยาทดลองน่ะครับ”

“เอ๋? ยาทดลอง แต่คุณหมอเค้าวิจัยเกี่ยวกับโอเมก้าไม่ใช่เหรอครับ?” ลาซารัสงงไปหมด ตกลงแล้วคุณหมอคาเล็มกำลังทำการทดลองอะไรอยู่กันแน่

“แน่นอนว่างานส่วนใหญ่ของนายน้อยคือการค้นคว้าวิจัยเพื่อช่วยเหลือโอเมก้าเป็นหลักครับ แต่เขาคนนั้นคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหากทำการทดลองให้อัลฟ่าสามารถควบคุมตัวเองได้ ปัญหาที่เกิดกับโอเมก้าก็จะยิ่งลดลง แต่อัลฟ่าส่วนใหญ่ก็อีโก้จัดทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะมายอมให้ความร่วมมือกับงานของนายน้อยหรอกครับ”

เรนเดลพยายามอธิบายให้โอเมก้าหนุ่มตรงหน้าเข้าใจได้ง่ายที่สุด 

“ท่าทางลำบากแย่เลย” แววตาเป็นห่วงของลาซารัสปรากฎออกมาชัดเจน ยิ่งรู้สึกผิดที่วันนี้เอาแต่ใจตัวเองเสียเต็มที่

“แต่กระผมรู้สึกยินดีนะ ที่นายน้อยยอมออกจากบ้านบ้าง” พอเห็นอีกคนเริ่มแสดงท่าทีสำนึกผิด พ่อบ้านจึงพูดขัดความคิดในหัวอีกฝ่ายเสียก่อน “ยังไม่ได้แก่มากมายขนาดนั้นแต่ถ้าไม่ออกมายืดเส้นสายบ้าง เดี๋ยวจะลำบากเอาภายภาคหน้า”

“อ่อครับ” นึกสภาพของคาเล็มที่ดูเหนื่อยบ่อยกว่าตนหลายครั้งออก “หรือช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังรึเปล่านะ”

“เป็นมาสักพักแล้วล่ะครับ”

“อืม… ถ้างั้นพรุ่งนี้คงต้องลากออกมาต้อนรับหน่อยล่ะ!”

“...?”

ลาซารัสทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินไปอาบน้ำต่อบ้างด้วยท่าทางเหมือนกำลังวางแผนอะไรอยู่ ปล่อยให้เรนเดลและจูเลียตที่ไม่ได้ไปทัวร์ซื้อของด้วยฉงนอยู่สองหน่อ..


รุ่งเช้าวันใหม่เปิดวันด้วยเสียงเห่าเล็กแหลมหลายเสียงของสมาชิกที่เพิ่มเข้ามาจำนวนมาก ก้อนขนตัวน้อยหลายพันธุ์วิ่งเล่นอยู่เต็มสวนหลังบ้านเสียจนเจ้าของบ้านต้องแหกตาตื่นมาดูแต่เช้า

“มาส่งไวนี่” คาเล็มยืนหาวหวอดในขณะที่ลาซารัสกลิ้งเล่นอยู่กับสัตว์ตัวจิ๋วนับสิบอย่างสนุกสนาน

“คุณหมออออ ลงมาเล่นกับพวกมันกันเถอะะะ” เสียงระรื่นเรียกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุขท่ามกลางการรุมเลียของสุนัขตัวน้อย

จูเลียตที่คราแรกมองอยู่ห่างๆอย่างตกใจในสิ่งแปลกปลอมจำนวนมากกำลังขู่ใส่เจ้าตัวเล็กที่เข้ามาทักทายเบาๆ “ท่าทางจะต้องใช้เวลาทำความรู้จักนะครับ” เรนเดลยืนอึ้งและนับจำนวนทั้งหมดช้าๆ “สิบหกตัวถ้วน…”

“ผมดูแลเองครับบบ” ลาซารัสออกตัว ไหนๆทั้งวันก็แทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากงานบ้านอยู่แล้ว…

คุณหมออัลฟ่าเดินงัวเงียลงบันไดมาที่ห้องครัวและดึงเก้าอี้ออกมานั่ง “ขอกาแฟ”

“ครับ?” ทำเอาพ่อบ้านที่อยู่รับใช้มานานแอบแปลกใจอยู่ไม่น้อย นานๆครั้งเจ้านายของตนจะลงมาทานอาหารเย็นอยู่บ้าง แต่ครั้งสุดท้ายที่ลงมากินมื้อเช้านี่นึกไม่ออกเลย

“ฉันไม่อยากให้เจ้านั่นเข้ามาวุ่นวายในห้องทำงาน” คาเล็มตอบอย่างรู้ทันคนรับใช้ “ต่อไปฉันจะลงมากินข้างล่างนี่…เดี๋ยว นายจะร้องไห้ทำไม”

“ฝุ่นเข้าตาครับ” เรนเดลหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาที่ปริ่มล้นด้วยความสุข “ว่าแต่คุณจะเลี้ยงไหวเหรอครับ?”

“ช่างเถอะ อะไรที่ให้เจ้านั่นได้ฉันก็จะให้” คาเล็มรับถ้วยกาแฟจากมือพ่อบ้านก่อนจะหยิบน้ำตาลมาจากโถแล้วใส่ลงไป “ตอนนี้จะให้อยู่แบบนั้นไปก่อน พอถึงเวลาเจ้านั่นก็จะรู้เองว่าความลำบากของการเป็นหนูทดลองมันหนักหนากว่าสิ่งที่ฉันพอจะทำให้ได้ซะอีก”

“คุณหมอออ แย่แล้วคร้าบบ” ลาซารัสเปิดประตูโผล่พรวดเข้ามาในห้องครัว อัลฟ่าสูงวัยถึงกับสำลักกาแฟที่ดื่มเข้าไปจนเรนเดลต้องมาช่วยลูบหลัง

“เกิดอะไรขึ้น!”

“รีบออกไปที่สวนหลังบ้านด่วนเลยครับ!”

เจ้าบ้านรีบลุกเดินตามหลังโอเมก้าหนุ่มไปที่สวนหลังบ้าน แล้วก็ได้เห็นภาพวูล์ฟด็อกตัวโตของบ้านกำลัง...นอนแอ้งแม้งหงายท้องโดนเจ้าพวกก้อนขนปุกปุยเกือบยี่สิบตัวรุมล้อมจนหมดสภาพ

“น่ารักเนอะ! ผมอยากถ่ายรูปเก็บไว้สุดๆเลย คุณหมอพอจะมีกล้องมั้ยครับ” ลาซารัสหันหน้ามายิ้มกว้างใบหน้าเบิกบานร่าเริงสุดขีดไม่ต่างจากเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย คาเล็มถึงกับต้องยกมือนวดขมับคล้ายความดันจะขึ้น

“มี แต่ไม่น่าจะมีแบต ไม่ได้ชาร์จไว้ด้วย” คาเล็มชี้ไปทางห้องพักผ่อนเล็กๆที่อีกทางหนึ่งอย่างต้องการจะตอบให้จบๆไป เขาจะได้กลับไปนั่งกินอาหารเช้าดีๆสักที

“อา...งั้นเดี๋ยวผมไปชาร์จไว้ก่อน เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะเช็คสายพันธุ์พวกมันแล้วก็แยกประเภทไว้นะครับ จะได้ดูแลเป็นกลุ่มๆไป” รอยยิ้มกว้างของลาซารัสฉีกกว้างอย่างมีความสุขเคล้าเสียงเห่าแหลมเล็กระงมเป็นระยะ

“ฝึกให้มันเงียบด้วย ฉันไม่อยากตื่นกลางดึกเพราะเสียงพวกมัน” ร่างสูงเดินหลบไปอีกทาง รู้สึกเหมือนไม่สามารถมองใบหน้าแบบนั้นได้นานนัก

“ได้ครับ!” แต่โอเมก้าหนุ่มดูจะยังไม่รับรู้ความผิดปกติอะไร เดินดุ่มไปทางห้องพักผ่อนแล้วเริ่มรื้อหากล้องในตู้เก็บของใกล้กับเครื่องเล่นดีวีดีและทีวีขนาดใหญ่ที่แทบไม่ได้เปิดมานานมาก

ลาซารัสค้นเจอกล้องที่ไร้แบตเตอร์รี่ที่มุมในสุดของตู้ และสะดุดตาเข้ากับแผ่นซีดีที่ไม่ได้เขียนชื่อระบุไว้ดังเช่นแผ่นอื่นๆ แต่เมื่อพลิกดูที่หลังซีดีก็เห็นว่ามีข้อมูลอยู่ ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่ามันคืออะไรในขณะที่ความเกรงใจเจ้าของบ้านก็ค้ำคอไว้

“คุณแมทเวย์ครับ อาหารเช้าได้แล้วนะครับ” พ่อบ้านเคาะประตูเรียกแม้มันจะเปิดอยู่แล้วก็ตาม

“ครับ เดี๋ยวผมตามไป” ลาซารัสวางแผ่นซีดีลงที่เดิมแล้วเอากล้องไปเสียบแบตไว้ กระนั้นใจก็อยากจะรู้อยู่ดี ...อยากรู้จักคนๆนี้มากขึ้นเลยพยายามสำรวจจากของรอบตัว… คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนโดยไม่รู้ว่าไอ้ที่คิดอยู่นี้มันคือความรู้สึกไหนกันแน่ สองเท้าก้าวออกจากห้องนั้นไปโดยทิ้งความแคลงใจไว้ในนั้นด้วย


“เป็นพันธุ์ใหญ่ 5 ตัว ขนาดกลาง 4 ตัว ที่เหลือพันธุ์เล็กหมดเลย” ลาซารัสจับก้อนขนปุยทั้งหมดใส่ปลอกคอก่อนแยกพวกมันไว้ในรั้วที่กั้นแยกแต่ละสายพันธุ์โดยเลือกจะคัดแยกตามขนาดตัว ให้อาหาร จดชื่อและใส่ปลอกคอสีตามขนาด รวมทั้งลิสต์การดูแลแต่ละพวกอย่างดี ทั้งหมดนี้กว่าจะทำเสร็จก็ปาไปบ่ายกว่าๆแล้ว “คุณเรนเดล ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ” พ่อบ้านนั่งอยู่ในรั้วเดียวกับสายพันธุ์เล็กที่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านผู้ชราภาพแล้วอย่างเขา ก่อนจะลุกออกมาเมื่อใส่ปลอกคอได้หมดทุกตัว “รับของว่างตอนบ่ายมั้ยครับ?”

“ก็ดีครับ ผมไปเช็คกล้องสักครู่นะครับ จะได้ถ่ายรูปพวกมันไว้ติดในใบรายชื่อ เผื่อลืมน่ะ” ร่างโปร่งเดินฉิวไปทางห้องเดิมที่เข้าไปหากล้องเมื่อเช้าจนทำเอาเรนเดลนึกอิจฉาในเรี่ยวแรงที่ยังมีเหลือเฟือนั้น

โอเมก้าหนุ่มเดินกลับมายังห้องที่ตนได้ชาร์ตแบตกล้องทิ้งไว้ ร่างโปร่งหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าชาร์จเต็มแล้วจึงถอดสายออกจากตัวกล้อง ดวงตาสีฟ้ามองแผ่นซีดีแผ่นเดิมอีกครั้งก่อนส่ายหน้าไปมาสะกดตัวเองว่าอย่าไปยุ่งกับข้าวของๆคนอื่น แล้วรีบเดินลงไปที่สวนหลังบ้านอีกครั้ง

คาเล็มยังคงยุ่งกับงานวิจัยในห้องทำงานของตน แต่เสียงเอะอะของทั้งคนและฝูงสุนัขก็ดังลอดเข้ามาทางหน้าต่างเรื่อยๆ จนตั้งสมาธิกับการทำงานไม่ค่อยได้ ตัวหนังสือในรายงานที่อยู่ในมือไม่เข้าหัวของอัลฟ่าสูงวัยคนนี้เลยสักนิด ท้ายที่สุด...งานของวันนี้จึงต้องพับเก็บเข้าลิ้นชักไปตามระเบียบ อย่างน้อยก็จนกว่าจะฝึกเจ้าพวกฝูงก้อนขนให้อยู่กันเงียบๆกว่านี้

...ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม

คุณหมออัลฟ่าลงมาที่สวนหลังบ้าน เห็นพ่อบ้านคนเก่าคนแก่และโอเมก้าในครอบครองคนล่าสุดกำลังวิ่งไล่จับพวกก้อนขนให้อยู่นิ่งๆเพื่อถ่ายรูป แต่ด้วยความที่เจ้าพวกตัวเล็กยังเด็กเลยคึกคะนองกันสุดฤทธิ์สุดเดช

“อ้าว? คุณหมอทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ” โอเมก้าหนุ่มหันไปถามโดยที่มือยังอุ้มเจ้าซามอยด์ที่พยายามกระโดดขึ้นมาเลียหน้า

“เสียงดังขนาดนี้ใครจะไปทำงานลง…” เสียงบ่นของอัลฟ่าโดนเสียงเห่าเล็กแหลมกลบไปหมด เขายืนดูอยู่อย่างนั้นเงียบๆ สักพักเจ้าจูเลียตที่ไม่รู้ไปแอบอยู่ที่ไหนมาก็เดินมาอ้อนเจ้านายของตน

“ไง โดนทิ้งมาเหรอจูเลียต” เสียงครางหงิงของเจ้าลูกผสมหมาป่าแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี คาเล็มนั่งลงยองๆ แล้วลูบหัวคล้ายปลอบโยน “เดี๋ยวพาไปเดินเล่นแล้วกัน”

จูเลียตทำหูตั้งกระดิกหางไปมาแล้ววิ่งวนไปรอบๆ คาเล็มเดินเข้าบ้านไปหยิบเสื้อคลุมไหมพรมมาสวมทับเสื้อเชิ้ตก่อนจะตะโกนบอกเรนเดลว่าจะพาจูเลียตไปเดินเล่นแถวๆนี้

“ดูแลตัวเองนะครับนายน้อย” เรนเดลค้อมศีรษะให้เจ้านายของตน

“ให้ผมไปด้วยได้มั้ยครับ” ลาซารัสตะโกนถามตามหลังร่างสูงไป

“นายเอาเจ้าพวกนั้นให้สงบก่อนเถอะ” หมอเพียงแค่โบกมือให้เหมือนจะบอกว่า โชคดีกับการรับมือเจ้าตัวเล็กพวกนั้นแล้วกัน.. และเดินออกไปทางหน้าบ้าน


กว่าพวกตัวเล็กจะหมดแรงก็เล่นเอาหอบอยู่ แต่พอให้กินนมกินข้าวกันเรียบร้อย แต่ละตัวก็เริ่มง่วงๆคล้อยๆจะหลับกันหมดแล้ว ทั้งสองคนจึงกลับเข้าบ้าน

“เล่นเอาหอบเหมือนกันนะครับ” ลาซารัสทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ในครัว พ่อบ้านก็ตามมานั่งพักเช่นเดียวกัน

“โชคดีนะครับที่พวกพันธุ์ใหญ่เรียบร้อยกว่าที่คิด มีแค่พันธุ์เล็กที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว”

“ฮะฮะ เดี๋ยวชินสถานที่ก็คงสงบลงเอง” โอเมก้าหนุ่มไล่ดูรูปถ่ายพวกขนปุยทีละรูป กระทั่งถึงรูปเก่าที่ค้างอยู่ในเครื่องแล้วเจ้าตัวก็ชะงักมือไป ภาพในกล้องนั้นเป็นหมอคาเล็มยืนถ่ายคู่กับคนที่เขาไม่เคยเห็นในอัลบั้มรายชื่อคนไข้ของหมอเลย แถมหมอในรูปนั้นยังดูอายุไม่เยอะเท่าปัจจุบันด้วย

“คุณเรนเดลครับ..คนนี้คือ..?” ลาซารัสยื่นกล้องให้พ่อบ้านดู

“อ้อ.. คนๆนี้..”

“ใช่...คู่ของคุณหมอรึเปล่าครับ?” เรนเดลพยักหน้ารับเงียบๆ ลาซารัสจ้องมองคนๆนั้นอยู่นานและไล่สายตาไปมองคาเล็ม...ซึ่งยิ้มแย้มดูมีความสุขผิดกับปัจจุบันที่เป็นอยู่เหลือเกิน “เขา..เป็นอะไรไปเหรอครับ?”

“นายน้อยเล่าให้ฟังแล้วเหรอครับ?” พ่อบ้านเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่นึกว่าคาเล็มจะยอมเปิดปากให้คนไข้ของตัวเองฟัง

“เปล่าครับ...แต่ก็...ใกล้ๆเคียง” ชายหนุ่มเกาแก้มไม่รู้จะตอบอย่างไรดี “แต่ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ”

พ่อบ้านปฎิเสธที่จะเผยข้อมูลของนายจ้างตนให้ลาซารัสฟัง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไร เข้าใจว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าบอกเล่าเท่าไรนัก เมื่อทั้งคู่พักจนหายเหนื่อย ต่างก็แยกย้ายไปจัดการงานบ้านส่วนที่ได้ตกลงแบ่งกันไว้ตั้งแต่ที่ลาซารัสเข้ามาอยู่ ทว่า..ใบหน้ายิ้มแย้มของคุณหมอยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหลุดไปไหน

“มันก็แค่..ภาพติดตาน่า.. ตามหลักแล้ว น่าจะเป็นการจดจำสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากปกติของสมอง…” ลาซารัสเริ่มท่องความน่าจะเป็นตามหนังสือจิตวิทยาสักเล่มที่ได้อ่านมาเพื่อให้ลืมๆไปเสียในระหว่างที่พรวนดินให้แปลงดอกไม้ที่สวนหน้าบ้าน ตะวันเริ่มจะคล้อยต่ำจนแดดเริ่มแสบผิว แต่คุณหมอก็ยังไม่กลับมา แม้จะอยากเดินไปตามหาแค่ไหนทว่าเขาก็ไม่อยากขัดคำสั่งของคาเล็มที่ไม่ให้ออกไปไหนโดยไม่ตัวติดกับเขา

โอเมก้าหนุ่มกลับเข้ามาในบ้านเงียบสงบ เสียงของเรนเดลแว่วมาจากในครัว คงกำลังเตรียมอาหารเย็นกระมัง ช่วงเวลาว่างที่เหลืออยู่นี้สมองก็พลันนึกถึงแผ่นซีดีนั้นขึ้นมาอีก… แต่คราวนี้เท้าทั้งสองพาตัวเขาก้าวกลับเข้ามาในห้องพักผ่อนที่ปิดม่านทึบแสงจนเกือบจะมืดสนิท เขาเดินไปเปิดเครื่องเล่นซีดีและทีวี ซึ่งน่าประหลาดใจที่มันยังคงใช้ได้ทั้งที่ดูไม่มีวี่แววว่าจะเคยถูกใช้ในช่วงเวลาใกล้ๆกับปัจจุบัน..

เมื่อใส่แผ่นลงไปและกดเล่นสิ่งที่อยู่ในนั้น เป็นภาพวิดีโอที่เหมือนจะเป็นใครสักคนถ่ายไว้ เสียงไม่คุ้นหูกำลังเดินถ่ายไปตามทางเดินของบ้านหลังเดิมที่ผิดแปลกไปอย่างเดียวคือทั้งใหม่และดูเหมือน ‘บ้าน’ มากกว่าตอนนี้มากนัก กล้องเลื่อนไปจนหยุดที่โซฟาตัวกว้างที่มีหมอนคาเล็มในช่วงวัยหนุ่มกว่าปัจจุบันนอนทอดกายอยู่

“ดูสะอาดจัง” โอเมก้าหนุ่มแอบวิจารณ์เสียงเบาพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู กล้องค่อยๆเลื่อนไปใกล้ร่างสูงช้าๆเหมือนพยายามไม่ทำให้ตื่น ที่ขอบจอด้านล่างมีของเล่นที่ท่าทางจะสร้างเสียงดังอย่างแน่นอนอยู่ ดูแล้วคงตั้งใจมาแกล้งคุณหมอแน่ๆ…
 

“คิดจะแกล้งกันเหรอ”


จู่ๆคาเล็มก็ลืมตาและคว้าเอาคนถือกล้องลงไปนอนทับตนเองอย่างรวดเร็วแม้แต่ลาซารัสยังแอบสะดุ้งเพราะตกใจ


“อะไรเนี่ย แกล้งหลับเหรอ”


“หึหึ ก็รอดูว่านายทำตัวลับๆล่อๆตั้งแต่เช้าแบบนั้นตั้งใจจะทำอะไรน่ะสิ”



รอยยิ้มของหมอคาเล็มตรึงสายตาของผู้ชมวิดีโอนี้ไว้นิ่งสนิท อัลฟ่าสูงวัยที่ดูปลีกวิเวกและสุขุมสงบนิ่งมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นขนาดนี้เลยหรือ


“ไม่สนุกเลย โธ่”

“หา อยากแกล้งฉันขนาดนี้เลยเรอะ งี้ต้องโดนลงโทษ”



คุณหมอในวิดีโอกอดคนถ่ายไว้แน่นก่อนเริ่มจั๊กจี้ร่างที่ทับตนไว้จนเสียงของคนอีกคนที่น่าจะเป็นคนรักของหมอนั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง กระทั่งคาเล็มพลิกตัวขึ้นมานอนคร่อมคนถ่ายไว้พลางหายใจหอบจากการฝืนยื้อร่างที่ดิ้นไปมาจากการโดนจี้


“จะถ่ายไปถึงเมื่อไหร่?”

“ไม่รู้สิ แต่หน้านายตอนนี้ดูเอาเรื่องดีนะ”



ลาซารัสเห็นด้วยกับคำพูดนั้นทุกประการ สายตาอบอุ่นขี้เล่นเมื่อครู่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการที่ดูก็รู้ว่าปรารถนาอะไรอยู่ โอเมก้าหนุ่มที่นั่งจ้องใบหน้าของคุณหมอในนั้นกำลังใจเต้นสั่นระรัวจนเสียงดังออกมาข้างนอกหน้าอกอย่างไม่อาจควบคุม

ลาซารัสตัดสินใจปิดวิดีโอนั้นก่อนจะยกมือขึ้นจับหน้าของตนเพราะรู้สึกได้ว่ามันร้อนวูบวาบไปหมด และมันก็ร้อนอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างโปร่งเอาดีวีดีออกจากเครื่องแล้วเก็บทุกอย่างให้เข้าที่อย่างรวดเร็ว และลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเล็กในห้องเพื่อสงบสติตัวเอง เมื่อสำรวจแล้วมั่นใจว่ามันไม่ใช่อาการฮีทแน่นอน เจ้าตัวก็เก็บยาเข้ากระเป๋าเสื้อไป

“....มันก็แค่ตื่นเต้นเพราะได้เห็นคนอื่นในมุมมองที่ไม่เคยเห็นน่า…” ปลอบใจตัวเองเพื่อให้หายใจเต้นสักที.. ทำไมมันยากขนาดนี้…

“คุณแมทเวย์ ทำอะไรอยู่เหรอครับ?” เสียงตะโกนของพ่อบ้านสูงวัยจากชั้นล่างดังขึ้น ลาซารัสเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วออกไปจากห้องนั้นโดยเร็ว

“ครับคุณเรนเดล ผมดูทีวีอยู่น่ะ มีอะไรรึเปล่าครับ?” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ อย่างรู้สึกผิด ก่อนเดินลงบันไดมาหาคุณพ่อบ้าน

“จวนได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ช่วยไปตามนายน้อยหน่อยได้รึเปล่าครับ”

“เอ่อ...แต่คุณหมอห้ามไม่ให้ผมไปไหนมาไหนเองนี่ครับ” คำเตือนของคุณหมออัลฟ่าที่เจ้าตัวนับเป็นคำสั่งเด็ดขาดทำให้อดกังวลไม่ได้ถ้าจะฝ่าฝืนมัน

“แถวนี้เป็นที่ส่วนบุคคลไม่มีคนอื่นอยู่หรอกครับ แต่ถ้าคุณกังวลล่ะก็เดี๋ยวกระผมจะออกไปตามเองก็ได้ คุณช่วยอยู่เฝ้าบ้านสักครู่นะครับ”

“อ่ะ อย่าเลยครับ เดี๋ยวผมไปให้ก็ได้ คุณเรนเดลเตรียมอาหารเย็นต่อเถอะนะครับ” โอเมก้าหนุ่มอาสาเพราะไหนๆแล้วจะได้ลองออกไปเดินสำรวจละแวกบ้านแถวๆนี้ด้วย

“นายน้อยคงพาจูเลียตไปเดินเล่นแถวๆ ริมแม่น้ำนะครับ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก” บอกสถานที่ที่ผู้เป็นเจ้านายมักไปเป็นประจำให้ทราบ และยื่นสิ่งคุ้มครองตัวไว้ให้

“เหวอ!” ชายชรายื่นปืนกระบอกสีดำภายในบรรจุกระสุนไว้พร้อมสำหรับยิงได้ทุกเมื่อ

“เผื่อฉุกเฉินน่ะครับ กันไว้ก่อนดีกว่า นายน้อยเองก็พกไว้เหมือนกัน” น้ำเสียงที่กล่าวราวกับเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แต่สำหรับคนที่เพิ่งมาอยู่ใหม่นั้นกลับตื่นเต้นปนหวั่นใจ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยจับปืน เกิดเขาทำปืนลั่นขึ้นมานี่ซวยแหงๆ!

(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 16-02-2017 17:08:49

ลาซารัสพาเจ้าสุนัขพันธุ์ใหญ่มาด้วยสองตัวเพื่อความอุ่นใจว่าอย่างน้อยๆ ก็มีเพื่อนมาด้วยไม่ได้มาตัวคนเดียว มือคอยแตะปืนที่เหน็บไว้ด้านหลังให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ไม่เผลอทำตกหล่นที่ไหน ว่าแต่เดินมาเกือบสิบนาทีแล้วก็ยังไม่เห็นแม่น้ำที่ว่าเลย...ไม่ใช่ว่าเขาหลงทางหรอกนะ!

“ก็เดินมาทางที่คุณเรนเดลบอกนี่นา..” ร่างโปร่งหันไปมองหลังคาบ้านที่เห็นอยู่เหนือแมกไม้เพื่อให้อุ่นใจว่ายังมองเห็นที่ๆกลับไปได้อยู่ แต่แสงที่เริ่มหมดลงก็ทำให้มองผ่านความมืดได้ยากขึ้นทุกที ถึงจะกลัวแต่ก็ทำใจดีสู้เสือต่อ มือที่จับปืนไว้เปลี่ยนมาถือไฟฉายที่พกมาแทน และยังคงเดินไปมารอบๆโดยพยายามไม่ไปไกลเกินจะมองให้เห็นตัวบ้าน

แต่ยิ่งเดินกลับรู้สึกเหมือนตัวเองหลงป่าเข้าทุกที สุนัขวัยหกเดือนทั้งสองตัวก็ยังไม่ได้ฝึกดมกลิ่น จึงไม่สามารถนำทางเขาได้ แถมดูจะสนใจทุกอย่างจนเกือบจะวิ่งไปทางอื่นอยู่เป็นระยะ

“คุณหมอครับ!” ลาซารัสลองตะโกนเรียกคนที่ตามหา แต่ไร้เสียงใดๆตอบกลับมา ซ้ำยังเริ่มกังวลและหวาดระแวงเสียงแปลกๆรอบตัวในป่าอีกต่างหาก ถึงจะเป็นป่าโปร่งแต่ไร้แสงไฟแบบนี้ก็ทำเอาใจไม่ดี อยากจะหันหลังกลับแต่ก็เป็นห่วงเจ้านายของตนจนขาไม่กล้าจะก้าวไปไหน

แซ่ก..

เสียงใบไม้ไหวไม่ใกล้ไม่ไกลจากตนทำเอาโอเมก้าหนุ่มสะดุ้งและหันไปทางต้นเสียงอย่างตื่นตระหนก ไฟฉายถูกเปลี่ยนไปถือในมือข้างที่จับสายจูง ส่วนมือที่เพิ่งว่างนั้นเลื่อนลงไปจับปืนแน่น

“มาทำอะไรกลางป่าแบบนี้”

“ว้ากกกก!!”

ลาซารัสแผดเสียงร้องลั่นจนลูกหมาทั้งสองยังสะดุ้ง หมอคาเล็มโผล่มาทางด้านหลังของชายหนุ่มเงียบๆ “อย่าโหวกเหวกสิ”

“ค...คุณหมอ..?” คนตัวเล็กกว่าตัวสั่นระริกจากความกลัว พอหันไปทางต้นเสียงแปลกๆคราแรกก็พบกับจูเลียตที่เดินตรงมาเลียลูกหมาทั้งสองตัว “ผมตามหาคุณตั้งนานอ่ะ”

“มาตามทำไม นี่บ้านฉัน ฉันไม่หลงป่าเหมือนนายหรอกน่า” คาเล็มพูดจิกอย่างรู้ทันว่าคนที่จะมาตามนั้นดันเดินพลัดหลงเสียเอง

“ก็..คุณเรนเดลทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว เลยให้ผมมา….”

คิ้วที่ขมวดอย่างขัดใจที่โอเมก้าในครอบครองของเขาขัดคำสั่ง ทว่าพอเห็นร่างเล็กสั่นอย่างหวาดกลัวแต่ยังไม่คิดจะหันหลังกลับเขาก็คลายความโมโหนั้นลงอย่างใจอ่อน “ขอบใจ แต่คราวหน้าไม่ต้องนะ”

“ครับ..” ลาซารัสก้มหน้าลงและเดินตามหลังร่างสูงไปเงียบๆ พยายามจะช่วยเหลือเจ้านายแต่กลับทำเขาลำบากมากขึ้นหรือเปล่านะ? ระหว่างที่ก้าวเท้าตามต้อยๆก็พินิจมองอีกฝ่าย พอเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างนั้นแล้วก็เผลอนึกถึงใบหน้าในวิดีโอนั้นอีก ครู่เดียวก็พยายามสะบัดเรื่องไร้สาระออกจากหัว ตอนนี้เขาควรคิดหาทางทำให้ตัวเองมีประโยชน์มากกว่านี้ก่อน!


“กินไม่ไหวแล้วคร้าบ…” ร่างโปร่งนอนอืดพุงกางเอนตัวพิงอยู่บนโซฟา พอคุณหมอคาเล็มมาร่วมวงกินข้าวเย็นด้วยเรนเดลเลยนึกคึกไปหน่อยเผลอทำออกมาปริมาณมากกว่าปกติ จะกินเหลือก็กลัวจะเสียน้ำใจคุณพ่อบ้านก็เลยต้องซัดให้เกลี้ยง

กว่าอาหารเย็นที่กินไปจะย่อยก็อีกนาน ลาซารัสเลยหยิบรีโมตขึ้นมากดดูรายการโทรทัศน์ซึ่งกำลังประกาศข่าวการแต่งงานสายฟ้าแล่บของดาราสาวที่ขึ้นแท่นนางเอกอันดับหนึ่งตลอดกาลกับลูกชายนักธุรกิจชื่อดัง ฟังผ่านๆก็ไม่คิดอะไรมากหากแต่นามสกุลของฝ่ายชายที่ดาราสาวพูดต่อหน้านักข่าวกลับดึงความสนใจของโอเมก้าหนุ่มให้ต้องลุกขึ้นมาตั้งใจฟังดีๆ นั่นก็เพราะนามสกุลที่ว่าเป็นนามสกุลเดียวกับคุณหมอคาเล็ม...ถ้าเขาฟังไม่ผิดล่ะก็นะ

“บังเอิญล่ะมั้ง…” คนนามสกุลซ้ำกันก็มีให้เห็นอยู่ ลาซารัสะบัดหัวไล่ความคิดออกไปแล้วเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่นแต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ จะว่าไปหนังที่ไปดูด้วยกันกับคุณหมอเมื่อวานก็สนุกดีเหมือนกัน

“จะได้ไปดูด้วยกันอีกมั้ยนะ…” ดวงตาสีฟ้าเหม่อลอยนิดๆ มาคิดๆดูก็แอบเสียดายที่ไม่ได้หันไปดูหน้าคุณหมอตอนที่กำลังดูหนังด้วยกัน เพราะเขากำลังตื่นเต้นที่ได้มาสถานที่แบบนั้นเป็นครั้งแรก...ว่าแต่ เขาเป็นอะไรมากมั้ยนี่ ทำไมถึงได้ติดใจที่จะเห็นหน้าคุณหมออัลฟ่าคนนั้นขนาดนี้!

ก๊อกๆๆ…

ลาซารัสหันไปทางประตูว่าใครเคาะเรียก “ครับ”

“ยุ่งอยู่รึเปล่า?” เสียงทุ้มของอัลฟ่าสูงวัยเอ่ย ลาซารัสเด้งตัวลุกขึ้นไปที่ประตูก็เจอหน้าหมอคาเล็มยืนพิงผนังอยู่

“มีอะไรเหรอครับคุณหมอ?” ร่างโปร่งมองคุณหมอที่ยืนกอดอกอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดธุระของตนออกมา

“ช่วยตัดสูทสำหรับใส่ไปร่วมงานแต่งงานให้ฉันชุดหนึ่ง”

“...เอ๊ะ…” ลาซารัสหันกลับเข้าไปในห้องที่ยังเปิดจอทิ้งไว้และกดวนมาจนเจอข่าวเดิมที่เขาเอะใจนามสกุลของฝ่ายชายเมื่อครู่ “รึว่า…”

คาเล็มพยักหน้าให้ช้าๆเหมือนไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก แต่โอเมก้าหนุ่มนั้นยืนช็อคไปเรียบร้อย ทำไมโลกมันถึงกลมขนาดนี้กันนะ “พี่ชายต่างแม่ของฉันเอง” คุณหมอตอบเสียงเรียบเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย

“....” ก็อยากจะพูดว่ายินดีด้วยอยู่..แต่สีหน้าของหมอดูจะบอกว่าไม่ค่อยอยากไปร่วมงานสักเท่าไหร่ เขาจึงไม่พูดอะไรนอกเรื่อง “งั้น...เข้ามาวัดตัวก่อนนะครับ”

คาเล็มเดินตามโอเมก้าของตนเข้ามาในห้อง ระหว่างที่ลาซารัสกำลังหาสมุดมาจดข้อมูลเขาก็กวาดตามองไปทั่วห้อง ของที่เอามาด้วยส่วนใหญ่ก็มีเพียงเสื้อผ้าเท่านั้น ส่วนตุ๊กตาที่วางเพิ่มมานั้นเป็นของที่เพิ่งได้มาจากการไปเดินช้อปกันเมื่องานนั่นแหละ… เรียกได้ว่าห้องโล่งสุดๆไปเลย…

“ดีนะที่เอาสายวัดติดตัวมาด้วย...มีอุปกรณ์อีกนิดหน่อย” คนตัวเล็กกว่ากุลีกุจอเอาของที่ต้องใช้มาวางเรียงราย “เอ่อ…ช่วยถอดเสื้อกาวน์ออกได้มั้ยครับ”

คาเล็มถอดออกอย่างว่าง่าย จะว่าไปแทบไม่เคยเห็นเขาอยู่ในชุดลำลองตามปกติเลยสักครั้ง ไม่มีเสื้อกาวน์สีขาวก็ต้องมีเสื้อคลุมทับอีกชั้นทุกที… พอเห็นแบบนี้โอเมก้าหนุ่มชักจะหวั่นใจแปลกๆ…

“ขออนุญาตนะครับ.. เงยหน้าขึ้นนิดนึง” ลาซารัสแตะปลายนิ้วพร้อมปลายสายวัดลงไปตรงกลางร่องไหปลาร้าและลากยาวตรงลงมาถึงบริเวณสะดือของอีกคน เมื่อได้ความยาวที่ชัดเจนก็หันไปจดไว้ ..แค่เริ่มก็เหมือนจะมือสั่นพิกล.. “ต่อไปก็..”

ต่อๆมาก็วัดช่วงบ่าและความยาวแขนรวมทั้งความยาวช่วงหลัง แต่พอต้องวัดรอบช่วงอก ช่างจำเป็นก็เผลอกลืนน้ำลาย “ก...กางแขนออกด้วยครับ” เมื่อคุณหมอทำตามร่างโปร่งก็เดินเข้ามากวาดแขนคล้ายจะต้องโอบตัวอีกคนเพื่อเดินสายวัดไปรอบแผ่นอก พยายามไม่ให้มือ แขน หรือส่วนใดๆไปโดนตัวอีกฝ่ายเข้า… แต่ท่าทางจะเลี่ยงไม่ไหวเพราะหมอคาเล็มตัวใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะมาก เมื่อครู่จึงเหมือนกับได้กอดตัวคุณหมอไปแวบหนึ่งก่อนจะผละตัวออกมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

ยังหายใจไม่ทั่วท้องดีก็ต้องมาโอบเอวคาเล็มอีกรอบ ในใจท่องบอกตัวเองให้มีสมาธิกับงานเพื่อไม่ให้เสียงหัวใจมันเต้นดังกว่านี้… อา.. แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ต้องวัดส่วนเป้าเสียแล้วสิ… แอบเหล่มองคนที่กำลังโดนวัดตัวก็เห็นว่าเขามองข่าวในทีวีอยู่ ยิ่งทำให้ลาซารัสรู้สึกเหมือนเป็นคนโรคจิตยังไงไม่รู้…

“ขออนุญาตนะครับ..” แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกได้ว่าเสียงสั่น ก่อนจะนั่งยองๆลงกับพื้นและกดปลายสายวัดไว้ที่แถวสะดือร่างสูงและสอดมือผ่านหว่างขาอีกคนไปจนถึงบริเวณเอวด้านหลัง เมื่อได้ความยาวที่แน่นอนก็รีบผละตัวออกมาร้อนรนจนสังเกตได้ง่าย

“มีอะไรเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นปฎิกิริยานั้นทางหางตาแว่บๆ

“ไม่มีอะไรครับ” ลาซารัสตอบเสียงดังฟังชัดแล้วหันไปจดตัวเลขเมื่อครู่ก่อนจะลืมเสียสิ้น.. “ต่อไปรอบสะโพกนะครับ”

“ถ้าไม่ไหวจะพักก่อนก็ได้” อัลฟ่าสูงวัยกล่าว

“ผม...ไม่เป็นไรหรอกครับ วัดอีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วล่ะ” เจ้าของตาสีฟ้าหลบสายตาที่จ้องมาอย่างรู้ทัน มือจับสายวัดกำลังจะวัดรอบสะโพกแต่สุดท้ายโอเมก้าหนุ่มก็หยุดมือกลางคัน

“...?” คาเล็มหันกลับมามองลาซารัสที่นั่งนิ่งไปตรงหน้าอย่างหวั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่เขาคิด

“ค….คุณหมอ…” เสียงสั่นเรียกคนตรงหน้า ลาซารัสทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แม้จะเหมือนเขินอายสุดๆอยู่มากกว่าก็ตาม “คือ...ผมฮีทอ่ะครับ”

“....” หมอยืนมองตาปริบ แม้จะเห็นการฮีทกะทันหันมานับไม่ถ้วนแต่เพิ่งมีคนแรกที่ยังคงนั่งสงบเสงี่ยมได้แบบนี้

“ข...ขอตัวสักครู่นะครับ” ร่างโปร่งรีบรุดออกจากที่ตรงนั้นแล้วปรี่ออกจากห้องไปโดยทิ้งคุณหมอผู้กำลังฉงนไว้ลำพัง

โอเมก้าหนุ่มขังตัวเองในห้องน้ำก่อนหยิบยาที่พกไว้ออกมากินตามจำนวนที่คาเล็มเคยบอก ร่างกายที่เริ่มร้อนค่อยๆผ่อนคลายลงจนกลับมาเป็นปกติหลังจากนั่งรอยาออกฤทธิ์เพียงครู่เดียว.. ทว่า ถึงจะหายจากอาการฮีทแล้วดวงหน้ามนกลับยังขึ้นสีแดงจัดอย่างอับอายที่ฮีทต่อหน้าคนๆนั้นอยู่

“อะไรกัน ยังไม่ถึงช่วงนั้นซะหน่อย” ลาซารัสเริ่มคิดหาสาเหตุต่างๆ หรือนี่จะเป็นเพราะอยู่ใกล้อัลฟ่ามากเกินไป? นานเกินไป? แต่หมอก็ฉีดน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนไว้ ทำไมยังมีผลอยู่อีก? ยิ่งคิดมือสองข้างยิ่งขยี้ผมของตนมากขึ้นเรื่อยๆจนผมสีน่ำตาลเข้มกระเซิงไม่เป็นทรง

“คุณหมอ...จะหาสาเหตุได้มั้ยนะ…” พอเริ่มอับจนหนทางก็เริ่มคิดว่ามีผู้รู้มากกว่าเขาอยู่ในบ้านนี้ทั้งที…. ติดก็แต่ว่าตอนนี้ไม่รู่ว่าอัลฟ่าคนนั้นเป็นยังไงบ้าง….. ระหว่างที่โอเมก้าตัวน้อยยังกลุ้มใจไม่เลิก คาเล็มก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำซึ่งลาซารัสขังตัวเองอยู่ในนั้นยังไม่ยอมออกมา

“นายโอเครึเปล่า?” เสียงทุ้มถามลอดประตู ร่างโปร่งที่นั่งคิดไม่ตกอยู่บนฝาชักโครกลุกขึ้นเปิดประตู แต่ก็ยังแอบๆไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็นชัดๆเพราะอายตัวเอง

“ครับ…” ตอบรับเพียงสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ”

“ถ้าหายดีแล้วก็มาที่ห้องตรวจร่างกายหน่อย” ร่างสูงของอัลฟ่ามากวัยเดินไปยังห้องทำงาน ลาซารัสจึงเดินตามหลังคุณหมอไปห้องตรวจแต่โดยดี

คาเล็มใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในห้องตรวจวัดร่างกายของโอเมก้าหนุ่มหลายๆ อย่าง ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะให้ลาซารัสไปพักที่ห้องก่อน เพราะเขาจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ในการวิเคราะห์หาสาเหตุ

ร่างโปร่งนอนแผ่ไปบนที่นอนอย่างอดกังวลไม่ได้ว่าการที่จู่ๆ เขาก็ฮีทขึ้นมานั้นจะเกิดจากความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย เพราะถึงจะเป็นโอเมก้าก็จริงแต่ที่ผ่านๆมาเขาก็พอจะรับมือกับลูกค้าที่เป็นอัลฟ่าได้เสมอ

ทำไมกันนะ...แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังคิดถึงเจ้าของใบหน้าที่อยู่ในกล้องวีดีโอเมื่อตอนนั้น

มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่นะ…?


TBC.





*****************************************************************************************

รู้สึกจะเผลอเขียนกันมันส์มือไปหน่อย ยาวจนหั่นแบ่งมาลงไม่ถูกเลย  :sad4:

เพิ่งเคยเขียนแนวโอเมก้าเวิร์สครั้งแรกกันทั้งคู่ ยังไงก็ติ-ชมกันได้นะคะ  :-[
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 16-02-2017 20:02:27
เหมือนมาเป็นลูกคุณหมอ อ้อนพ่อให้ซื้อหมาให้แล้วคุณหมดนี่ยังไงจะเปิดฟาร์มหมาหรอคะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 17-02-2017 08:40:49
ลาซารัสน่ารักจังเลยยย คุณหมอดูแลดีมาก
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.1 - Up! (16/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 17-02-2017 14:07:40
ลาซารัสน่ารักมากกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.2 - Up! (17/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-02-2017 15:11:59

บทที่ 2



เสียงนกร้องยามเช้าพร้อมกับแสงแรกของวันปลุกให้ร่างที่เผลอนอนหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ตื่นขึ้นมาจากห้วงหลับใหล ลาซารัส แมทเวย์ลุกไปล้างหน้าล้างตาจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาหาเจ้าพวกก้อนขนที่รออยู่ตั้งแต่เช้า

“ไงเด็กๆ” ทันทีที่เปิดกรงก็โดนสารพัดก้อนขนพุ่งเข้าหาจนหงายหลังล้มลงไปนอนกองกับพื้นให้เจ้าพวกตัวเล็กรุมโทรมทั้งตัวทั้งใบหน้า “อย่าน้าาา มันจั๊กจี้นะพวกนายยย”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่โอเมก้าหนุ่มกลับตะโกนอย่างมีความสุขมากกว่า หลังจากปล่อยให้ฟัดจนพอใจก็ไปเทอาหารใส่ในชามของแต่ละตัวแล้วนั่งดูพวกมันกินอย่างเอร็ดอร่อย

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแมทเวย์” เสียงของชายสูงวัยเอ่ยทักทายยามเช้ากับคนที่ลงมาถึงสวนหลังบ้านก่อน “ยังตื่นเข้าเหมือนเดิม”

“ก็มีหน้าที่เพิ่มนี่ครับ อ่ะ จูเลียตตตต” ลาซารัสเดินเข้าไปกอดหอมสุนัขตัวใหญ่ที่เดินออกมาพร้อมกับเรนเดล “วันนี้ก็ฝากน้องๆด้วยนะ”

จูเลียตก็ฉลาดพอจะเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อจึงส่งเสียงหงิงครางอ้อนแทนสัญญาณตอบรับและเริ่มเลียหน้าเขาเสียจนชุ่มต่อจากเหล่าก้อนขนนั้น “คุณเรนเดลมีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ”

“อ้อ...เกรงว่านั่นคงจะเป็นคำถามของกระผม”

“เอ๋?”

“นายน้อยเพิ่งมาบอกว่าให้กระผมช่วยคุณวัดตัวนายน้อยหน่อย เพราะต้องการจะตัดสูทน่ะครับ” เรนเดลพูดฉะฉานและดูยินดีจะช่วยเหลือ ท่าทางคาเล็มจะไม่ได้บอกเรื่องเมื่อคืน

“อ๋อครับ.. งั้นเดี๋ยวทานข้าวเช้าเสร็จจะเริ่มวัดตัวนะครับ”

ทั้งสามคนล้อมวงทานอาหารดั่งเช่นปกติบนโต๊ะทานข้าว โดยที่ลาซารัสเลือกจะไม่ติดใจอะไรเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตอนนี้เขาไม่อยากทำให้คุณหมองานยุ่งมากไปกว่านี้

“คุณเคยเป็นช่างมาก่อนหรอครับ?” โอเมก้าหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจที่เห็นพ่อบ้านวัดตัวตามที่เค้าบอกได้ถูกต้องแม่นยำกว่าที่คิด

“แค่เคยเห็นเพื่อนๆทำ กระผมก็เคยได้ช่วยเหลือเค้าบ้างเท่านั้นเองครับ” เรนเดลยิ้มและตอบอย่างถ่อมตน

“เดี๋ยวจะสั่งหุ่นลองเสื้อกับผ้ามาให้ ลิสต์รายการมาละกัน” คาเล็มพูดออกมาหลังจากวัดตัวจนเสร็จสิ้น

“ได้ครับ” ลาซารัสตอบรับแต่ไม่ได้หันไปสบตาหมอคาเล็มอย่างทุกที ยังคงไม่กล้าสู้หน้าเพราะเรื่องเมื่อคืน รวมถึงสายตาคู่นั้นที่เขายังคงติดใจ…

“สีตาของคุณหมอทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหรอครับ?” โอเมก้าหนุ่มเกิดเอะใจขึ้นมา ในวีดีโอที่เขาแอบดูเมื่อวานสีตาของคนตรงหน้าก็ดูเป็นปกติดีไม่เหมือนกับตอนนี้

“อยากรู้ไปทำไม?” ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องเจ้าของคำถาม

“คือ…” ร่างโปร่งพยายามรวบรวมความคิดในการพูดออกไป “ผมไม่เคยเห็นคนตาสองสีมาก่อนน่ะครับก็เลยสงสัยนิดหน่อย”

“อุบัติเหตุน่ะ” คาเล็มยังคงยึดแนวทางตอบสั้นกระชับไม่เหลือที่ว่างให้ชวนสนทนาต่อสำหรับคำถามที่เขาไม่อยากเล่ารายละเอียดให้ฟัง “เดี๋ยวกินข้าวกับวัดตัวเสร็จฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย มาที่ห้องทำงานฉันด้วยล่ะ”

“อ่ะ ครับ…” ลาซารัสแอบหวั่นว่าคุณหมอจะเรียกไปต่อว่าเรื่องอะไรรึเปล่า ทั้งที่พยายามจะทำตัวให้ดีๆไม่เป็นภาระ แต่อะไรๆ ก็ออกมาไม่เป็นไปตามที่คิดเลย

“ไปคุยเรื่องผลตรวจร่างกายของนายเมื่อคืน ไม่ต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นก็ได้” อัลฟ่าสูงวัยกล่าวเพราะท่าทางตื่นกลัวของโอเมก้าตัวไม่น้อยที่คาดเดาได้ไม่ยาก

“หือ? คุณแมทเวย์เป็นอะไรเหรอครับ” เรนเดลถามเพราะดูอาการแล้วคนร่วมชายคาคนใหม่ก็ไม่ได้มีท่าทีเจ็บป่วยอะไร

“อ้อ เจ้านี่เกิดฮี--”

“มะ ไม่มีอะไรหรอกคร้าบบ!” โอเมก้าหนุ่มรีบขัดจังหวะการพูดไม่ให้คุณหมออัลฟ่าประจานความน่าอายของตนออกไป

ต่อให้เดิมทีคุณพ่อบ้านอาจจะชินกับเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว แต่มันก็ไม่น่าเอามาพูดระหว่างทานอาหารเช้าอยู่ดี อย่างน้อยๆก็ช่วยสงสารเขาบ้างเถอะ นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ!

“ครับผม” เรนเดลตอบรับอย่างเป็นกลาง จริงๆเขาก็เดาได้แม้คาเล็มจะพูดออกมาไม่หมดก็ตาม เพราะงานวิจัยของนายจ้างของตนมันก็มีอยู่เพียงเรื่องเดียวนั่นแหละ


“ไม่รู้..”

“....ครับ?”

“ถึงจะตรวจอย่างละเอียดแล้ว..แต่ว่า… ไม่เจอสาเหตุอะไรเลย” คุณหมอนั่งเท้าคางกับพนักเก้าอี้ขณะมองไปยังผลต่างๆที่ได้มา แอบหมุนเก้าไปมาเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดพอตัวเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาหาคำตอบให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ “ที่ผ่านมามันก็มีโอเมก้าที่ฮีทกะทันหัน แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะต้องคลุกคลีกับอัลฟ่านานพอ ทำให้ร่างกายตอบสนองฟีโรโมน”

ลาซารัสหน้าซีดจนเห็นได้ชัด ทั้งคู่รู้ดีว่าเมื่อคืนหมอคาเล็มฉีดยาระงับกลิ่นไปแล้วเพราะแม้จะเข้าใกล้ขนาดนั้นแต่ลาซารัสกลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย แถมถ้าหากถึงช่วงฮีทแล้วจริง ตื่นมาวันนี้เขาคงไม่ได้ลุกจากที่นอนแน่ๆ… งั้นอะไรกันเล่า?

“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น ไม่ถึงตายหรอกน่ะ” เห็นอีกฝ่ายตัวสั่นก็ต้องปลอบเสียหน่อย มาเสียขวัญเอาตั้งแต่เพิ่งเริ่มคงไม่ดีแน่ๆ.. “จำได้มั้ยว่าก่อนจะฮีทรู้สึกยังไงบ้าง”

“เอ่อ… เหมือนจะ..ใจเต้นมากๆ..แบบที่ไม่เคยเป็นเลยครับ…” ตอบไปตามตรงอย่างหวังว่าจะให้ประโยชน์อะไรได้บ้าง แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองหน้าคุณหมออยู่ดี

คาเล็มได้ลองไปค้นเอกสารในตู้และเปิดแฟ้มประวัติคนไข้คนอื่นๆมาลองเทียบกันดูแล้ว ในบรรดาคนไข้โอเมก้าทั้งหมดที่เขาเคยรักษาบางคนยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติร่วมอยู่บ้าง แต่ลาซารัสนั้นเดิมทีก็มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี ไม่มีโรคประจำตัว และยังเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีอยู่เสมอ จึงไม่สามารถนำเรื่องที่ร่างกายเกิดเจ็บป่วยมาวิเคราะห์ได้

“สุขภาพดีไม่มีโรค อยู่ๆก็ใจเต้นอย่างผิดปกติ ถ้างั้นก็แสดงว่า…” มือหนาดันกรอบแว่นขึ้นให้เข้าที่ก่อนหันกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม สายตาไล่มองดูคนไข้ตรงหน้าที่แลดูลุกลี้ลุกลน ดูท่าทางคงจะกังวลน่าดูสินะ…ดูท่าทางคงจะยังไม่รู้ตัว

“ตกลงว่าผม...เป็นป่วยอะไรงั้นเหรอครับคุณหมอ” ลาซารัสจ้องตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ทั้งอย่างนั้นคุณหมอกลับทำหน้าโล่งใจเสียมากกว่า

“เป็น...แต่ไม่ใช่โรคร้ายแรง อา...ไม่สิ ไม่ใช่โรคอะไรหรอก มันเป็นอาการน่ะ”

“แล้วมันคืออะไรเหรอครับ?”

“ก่อนหน้านั้นนายช่วยตอบคำถามฉันมาข้อหนึ่งก่อน” คุณหมออัลฟ่าวางมือของตนลงบนโต๊ะทำงาน แล้วเลื่อนมือข้างหนึ่งไปกุมมือของโอเมก้าหนุ่มตรงหน้า

“คะ...คุณหมอจะถามอะไรผมเหรอครับ?” ลาซารัสตกใจที่จู่ๆหมอคาเล็มก็กุมมือเขาไว้ จะตรวจชีพจรเหรอ...ไม่อ่ะมันไม่ใช่ ดูยังไงคุณหมอก็กำลังจับมือเขาอยู่ชัดๆ!

ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องใบหน้าบริเวณแก้มของคนไข้โอเมก้าที่เริ่มขึ้นสี มีเหงื่อซึมใบหน้าและมือที่เขากุมไว้ก็เริ่มอุ่นๆ เสียงลมหายใจติดขัดเบาๆ และอาการหลายอย่างที่คาเล็มค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าใช่แน่นอนชัวร์ๆ

“อืม...ได้คำตอบแล้ว” หลังจากนั้นคุณหมออัลฟ่าก็ปล่อยมือนั้นเป็นอิสระ

“เอ๋??” ดวงตาสีฟ้าเลิกคิ้วขึ้น ทั้งๆที่เมื่อคืนคุณหมอใช้อุปกรณ์ตรวจร่างกายเขาตั้งมากมายแต่ก็ไม่พบอะไร ทว่าเมื่อกี้แค่จับมือกลับรู้สาเหตุแล้ว มันอะไรกันเนี่ย?

“กลับไปพักก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องกังวลอะไรด้วย” คาเล็มพูดก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆเพื่อให้โอเมก้าตรงหน้ารับรู้ได้ว่าเขาไม่เป็นห่วงความปกตินี้เท่าไหร่นัก “สั่งของที่นายต้องใช้ให้แล้ว สิ้นเดือนนี้ฉันต้องใช้แล้วน่ะ ทันใช่มั้ย?”

ลาซารัสหันไปมองปฎิทินบนโต๊ะทำงานของเจ้านายแล้วเริ่มคำนวณวันเวลาที่เหลือ “ทันครับ แต่อาจจะได้แค่สองชุดนะครับ”

“เหลือเฟือ ฉันไปแค่วันแต่งเท่านั้นแหละ”

ลาซารัสค้อมศีรษะเป็นเชิงกล่าวลาแล้วลุกออกจากห้องไปทั้งที่ยังคงสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ พอโอเมก้าในความดูแลของตนปิดประตูลง คาเล็มก็ยกมือขึ้นกุมขมับและถอนหายใจยาว แทนที่จะต้องเริ่มวิจัยเรื่องของโอเมก้าต่อ ตอนนี้เขาต้องแก้ปัญหากับสิ่งเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นเสียก่อน..

“เป็นเรื่องแล้วมั้ยล่ะ..” คาเล็มมั่นใจว่าตนไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกับคนไข้ของตัวเองมากพอให้อีกฝ่ายคิดอะไรเลยเถิดแล้วแท้ๆ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ เจ้าหนูนั่นไปเจออะไรเข้า เรนเดลไปเล่าอะไรให้ฟัง หรือจริงๆมันก็แค่เพราะอีกฝ่ายอ่อนต่อโลกมากเกินไปกันแน่ ร่างสูงคิดไม่ตกทั้งสาเหตุทั้งการตัดสินใจต่อจากนี้...

..ระหว่างบอกให้รู้ไปเลยกับไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวต่อไป อะไรจะดีกว่ากัน?..


ลาซารัสล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง พอกลับออกมาจากห้องทำงานของคุณหมอเขาก็วิ่งวุ่นไปช่วยงานบ้านคุณเรนเดลต่อ อย่างน้อยก็จะได้ไม่มัวแต่จดจ่อแต่กับเรื่องอาการประหลาดๆนี้.. ทว่า พอมาอยู่คนเดียวอีกคราก็เผลอกังวลอีกจนได้

“คุณหมอก็บอกว่าไม่มีอะไรแท้ๆ แต่ทำไมไม่ยอมบอกนะ?” ร่างโปร่งมุ่ยหน้าขมวดคิ้วขัดใจ ระหว่างรอของมาส่งและรออาหารเที่ยงช่างทำเอาจิตใจมันว้าวุ่นดีเหลือเกิน ร่างโปรงลุกขึ้นมานั่งกอดตุ๊กตาเอาไว้และเปิดดูสัดส่วนตัวของคนที่ต้องตัดชุดให้เพื่อคำนวณปริมาณผ้าและคิดถึงขั้นตอนแต่ละขั้นล่วงหน้า

แต่เมื่อเห็นสัดส่วนตัวของหมอเข้าก็ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบสายวัดตัวมาลองวัดส่วนที่พอจะวาดได้อย่างรอบอกหรือรอบเอว… ก็พบว่าขนาดตัวต่างกันค่อนข้างมาก “ตัวใหญ่จังแฮะ” ถึงส่วนสูงจะห่างกันไม่มากเท่าไหร่แต่ความหนาของลำตัวทำเอาคนพยายามฟิตหุ่นมาแทบตายแอบห่อเหี่ยวเบาๆ..

“สักวันจะตัวใหญ่ขนาดนั้นได้มั้ยนะ..” พอเริ่มคึกก็เริ่มคิดจะปรับการกินและหาเวลาออกกำลังเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ แต่เวลาที่มีตอนนี้ต้องเอาไปตัดเสื้อให้คนๆนั้นก่อน… พอนึกถึงคาเล็มขึ้นมาอีกก็ดันจำสัมผัสจากฝ่ามือหนานั้นได้อย่างชัดเจน โอเมก้าหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งแล้วเหม่อมองเพดานด้วยใบหน้าที่มีสีระเรื่อจางๆฉาบไว้ “มือใหญ่จัง อุ่นด้วย…”

ความทรงจำในช่วงสั้นๆเมื่อคืนเริ่มตีกลับมาให้อับอายเล่นอีกครั้ง ช่วงวัดตัวที่ได้เข้าใกล้ตัวเจ้านายของตนในระยะประชิดขนาดนั้น ไหนจะภาพใบหน้าที่ยังวนเวียนในหัวไม่ยอมหายๆไปเสียที ลาซารัสกลิ้งดิ้นไปมาบนเตียงและรวบเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้มิดชิดอย่างอับอายในตัวเอง “หวา.. ฮีท อีกแล้ว” ใบหน้ามนร้อนผ่าวใจเต้นแรงแทบหลุดออกมา ลมหายใจหอบถี่อย่างที่คุ้นเคย ร่างโปร่งเอื้อมมือไปหยิบขวดยาข้างเตียง.. ทว่าเจ้าตัวก็ตัดสินใจวางมันลงที่เดิม

“อือ…” มือทั้งสองเลื่อนต่ำลงมาหาส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัว ปลดกางเกงออกและเริ่มลูบไล้ส่วนกลางแข็งขืนของตนอย่างที่เคยทำๆมา เสียงครางกระเส่ามากขึ้นเมื่อเริ่มรูดรั้งหนักข้อเพื่อเร่งเร้าให้ตนรีบถึงที่หมายอย่างใจปรารถนา

“คุณหมอ…” เสียงสั่นครวญครางเรียกคนในห้วงคำนึงอย่างลืมตัว มือข้างหนึ่งเลื่อนต่ำเลยไปจนถึงช่องทางเปียกชุ่มที่ด้านหลังและกดแทรกเข้าไปอย่างรวดเร็วตามอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จินตนาการจมดิ่งไปกระทั่งคิดถึงขั้นที่ว่าหากถูกนิ้วและมือหนานั่นลูบไล้ปรนเปรอให้ตนนั้นจะรู้สึกดีขนาดไหน

“อึก..อ๊ะ!” ลาซารัสสะดุ้งเกร็งสั่นสะท้านจากการถึงสวรรค์ด้วยสองมือตน ในหัวขาวโพลนแต่ริมฝีปากเผยอเรียกชื่อเจ้านายของตัวเองหลายต่อหลายครั้งด้วยเสียงรัญจวน แม้พายุจะสงบลงแล้วแต่โอเมก้าหนุ่มยังนอนหอบหายใจอยู่อย่างนั้น และเอื้อมมือไปควานหาทิชชู่มาจัดการเช็ดเนื้อตัวที่เลอะน้ำรักจนไม่น่าจะมีเหลือให้ไหลเปรอะผ้าปูหรือผ้าห่มได้ ก่อนจะลุกไปล้างคราบที่ยังพอมีติดอยู่ในห้องน้ำอย่างอ่อนแรง..

“รู้สึกผิดชะมัด” ลาซารัสหน้าแดงจนถึงหูเพราะสติรู้ตัวเพิ่งกลับมาแล้วเกิดหน้าบางอับอายกับสิ่งที่ตนเผลอทำลงไป “ไปเอาเค้ามาใช้ช่วยตัวเองเนี่ยนะ นายมันแย่มาก ลาซัส…”


แต่เหมือนเวลาจะเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานนัก ของที่สั่งไปก็มีกำหนดมาส่งตอนบ่าย อาหารกลางวันก็ยังไม่เสร็จ ส่วนเจ้าพวกขนปุยก็ได้จูเลียตช่วยดูแลสั่งสอนจนเสียงเริ่มเงียบลงไปบ้าง ลาซารัสจึงเดินมาเปิดทีวีดูไม่ให้จิตใจมันว้าวุ่น

ทีวีช่วงก่อนเที่ยงกระทั่งถึงกลางวันก็มีแต่รายการสำหรับแม่บ้านทั้งนั้น นิ้วไล่กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย พอกำลังคิดว่าจะลงไปเล่นกับเจ้าตัวเล็กทั้งหลายก็ดันเจอรายการหนึ่งที่ทำเขาชะงักไป


“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันรู้สึกกลับเป็นสาวน้อยม.ต้นอีกครั้ง”

“ทั้งผมทั้งเขาต่างมีความสุขดีที่ได้อยู่ด้วยกัน เราเลยตัดสินใจจะแต่งงานกันครับ”



ลาซารัสจำผู้ชายคนนั้นได้ เขาเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังที่มีผลงานมากมาย แถมตัวเขาเองยังเป็นแฟนหนังสือของนักเขียนท่านนี้ซะด้วยสิ ร่างโปร่งจึงหยุดดูเพราะแปลกใจที่นักเขียนคนโปรดดันจะแต่งงานโดยที่แทบไม่มีข่าวหลุดออกมาเลย แต่จากการนั่งฟังไปสักพักเขาจึงรู้ว่าแอบคบกันลับๆ ฝ่ายหญิงเองก็เป็นนักถ่ายภาพมีชื่อที่นักเขียนท่านนั้นจ้างถ่ายรูปเพื่อประกอบนิยายอยู่บ่อยๆ

 
“ช่วยเล่าถึงการพบกันอันแสนวิเศษให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ”


คนสัมภาษณ์บิ้วบรรยากาศตามสคริปด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ สองคนรักในจอต่างเกาหัวเกาแก้มขวยเขินกันเสียจนแลดูน่ารักทั้งคู่

“ไม่ได้ปิ๊งกันตั้งแต่แรกเจออะไรหรอกครับ ตอนนั้นผมยังแอบคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดูติสท์มากๆ ไม่น่าเข้าถึงได้ด้วยซ้ำ”

“ค่ะ พวกเราต่างเป็นแค่คนร่วมงานกันใครตอนแรก แต่พอทำงานไปด้วยกันบ่อยๆ เริ่มคุยกันมากขึ้น ฉันก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่แค่หนุ่มอารมณ์อ่อนไหว แต่เป็นคนที่พึ่งพาได้และสุภาพมากๆเลยค่ะ นึกว่าพวกศิลปินจะขี้ม่อซะอีก!”

“พักหลังที่เริ่มรู้ตัวว่า...อาจจะชอบเธอเข้าแล้ว...ก็ตอนที่วันทั้งวันผมนั่งรออีเมลล์ภาพถ่ายเธอ ทั้งๆที่เธอก็บอกแล้วว่าจะส่งมาตอนดึกแท้ๆ ฮะๆ”

“การนัดคุยงานเริ่มไม่เหมือนเดิมแล้วน่ะค่ะ พอคิดว่าจะต้องไปเจอเขาก็ใจเต้นแรงมาก รู้สึกดีใจแล้วก็ตื่นเต้นสุดๆ”

“ผมเอาแต่คิดถึงเธอจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยครับ ถ้าไม่ได้คุยกันสักวันนี่ผมนอนเปื่อยทั้งวันยังกับคนไม่มีแรงเลย”

“นี่ล่ะข้อเสียเค้า… ฉันหมายถึง เขาชอบพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้แหละ..แต่ฉันรับได้นะคะ”



พอดูมาถึงตอนนี้ลาซารัสก็กดปิดทีวีไป เพราะรายการดูจะไม่มีอะไรมากกว่านั่งคุยสัพเพเหระสมเป็นรายการคุณผู้หญิงแม่บ้านทั้งหลายเหลือเกิน.. ประจวบกับที่มีเสียงเคาะอยู่หน้าประตู “คุณแมทเวย์ อาหารเที่ยงได้แล้วครับ”

“ครับผม” ลาซารัสวางตุ๊กตาบนตักลงกับโซฟาแล้วเดินออกจากห้องไปที่ห้องอาหารโดยไม่เร่งรีบ

“?...มีไข้รึเปล่าครับ?” เรนเดลทำหน้าตาเหมือนเป็นห่วง เพราะตอนนี้หน้าของโอเมก้าหนุ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อจางๆแม้สีหน้าจะเรียบเฉยอยู่ก็ตาม

“อ้อ..เอ่อ นิดหน่อยน่ะครับ เดี๋ยวผมก็หาย” ร่างโปร่งยิ้มตอบเพื่อให้พ่อบ้านสบายใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แม้ในใจจะเริ่มร้อนลนเมื่อพอจะเดาได้แล้วว่าสาเหตุที่ตนกลายเป็นแบบนี้เป็นเพราะอะไร…

..ทว่า เขากลับพยายามปลอบใจตัวเองว่า คงแค่คิดมากไปเอง เขาไม่ได้หลงรักคุณหมอแสนเย็นชาคนนั้นหรอกน่า..



...เย็นชาเหรอ…

คนที่ทำหน้าแบบในวิดีโอนั้นได้.. คงไม่ใช่คนเย็นชาจริงๆหรอกน่า ยอมให้เขาเอาก้อนขนพวกนั้นกลับมาเลี้ยงได้ ยอมไปดูหนังตามคำขอของเขา รู้สึกเหมือนกับว่าคุณหมอพยายามปิดกั้นตัวเองอยู่มากกว่า…

“คุณเรนเดลครับ..”

“ครับ?” พ่อบ้านเงยหน้าขึ้นมาจากอาหารที่กำลังกิน

“คุณหมอคาเล็ม..ปกติไม่ใช่คนที่นิ่งขรึมขนาดนี้ใช่มั้ยครับ? อ่ะ..ใช้คำว่า ไม่ใช่คนเย็นชาแบบนี้ น่าจะเหมาะกว่า”

“...”

“...ถ้าเล่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ” ลาซารัสยิ้มให้ชายสูงวัยกว่าที่ตนไม่เคยคิดว่าเขาเป็นพ่อบ้าน แต่เป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่คอยดูแลพวกเขาเสียมากกว่า พอเห็นเรนเดลทำหน้าลำบากใจจะพูดก็ไม่คิดจะคะยั้นคะยอต่อ “ผมแค่สงสัยเฉยๆน่ะ”

“กระผมคงเล่าอะไรให้ฟังไม่ได้ แต่กระผมอยากจะบอกคุณว่า นายน้อยผ่านอะไรๆมาเยอะมากตั้งแต่เขายังเด็ก ทั้งคนรอบข้างและเหตุการณ์หลายๆอย่างมันทำให้เขากลายเป็นตัวเขาอย่างทุกวันนี้ กระผมพูดได้เท่านี้แหละครับคุณแมทเวย์” พ่อบ้านผู้สูงวัยกล่าวเท่าที่ตนพอจะสามารถเล่าให้ฟังได้

“งั้นเหรอครับ…”

“ต้องขอโทษด้วยที่กระผมเล่ารายละเอียดให้ฟังมากกว่านี้ไม่ได้”

“หวา! อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมสิต้องขอโทษที่ทำให้คุณเรนเดลลำบากใจ แถมยังละลาบละล้วงถามเรื่องของคุณหมออีกด้วย” ลาซารัสรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อบ้านต้องลำบากใจอีกครั้ง “เอาเป็นว่าพวกเราเลิกขอโทษกันเองดีกว่านะครับ”

“นั่นสินะครับ”

หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จโอเมก้าหนุ่มก็จัดการเก็บจานไปล้าง และยกมื้อกลางวันไปให้คุณหมออัลฟ่าที่ห้องเนื่องจากต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อนจะถึงวันที่ไปร่วมงานแต่ง พอกลับลงมาก็จัดการเอาผ้าที่ซักเสร็จแล้วไปตากแดดให้

เรนเดลมองดูร่างโปร่งด้วยความเอ็นดูว่าถ้าเจ้านายของตนรู้สึกพิเศษกับคนๆนี้บ้างสักนิดก็คงจะดี

“เฮ่อ…น่าเสียดายจริงๆ” คงจะหวังได้ยากเพราะนายน้อยของตนจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยลืมคนที่อยู่ในใจไปได้เลยสักวัน

“เอ๋? เสียดายเรื่องอะไรเหรอครับ?” ลาซารัสสะบัดผ้าจะเอาขึ้นตาก อยู่ดีๆก็หันมาเห็นพ่อบ้านกำลังถอนหายใจ

“เปล่าครับ ผมก็คิดอะไรตามประสาคนแก่ไปเรื่อย”

“พูดอะไรกันครับ คุณเรนเดลยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”

“ฮะๆๆ เข้าใจพูดให้คนแก่ดีใจเล่นนะครับ”

“ผมพูดจริงๆนะครับ” ลาซารัสฉีกยิ้มกว้างไม่ได้แกล้งพูดแต่อย่างใด

“อา...ที่จริงกระผมค่อนข้างเป็นห่วงนายน้อยน่ะครับ กลัวว่าสักวันถ้ากระผมเป็นอะไรไปขึ้นมาใครจะคอยอยู่ดูแลบ้าน ไหนจะเรื่องอาหารการกิน นายน้อยน่ะเห็นเป็นแบบนั้นแต่จุกจิกเรื่องอาหารพอตัวเลยนะครับ ถ้าอาหารรสชาติไม่ถูกปากล่ะก็เขายอมอดตายเสียดีกว่า”

“หวา...แบบนั้นก็แย่สิครับ” เพิ่งรู้ว่าคุณหมออัลฟ่าที่ดูเหมือนเป็นคนชอบใช้ชีวิตง่ายๆ จะแอบมีมุมแบบนี้ด้วย

“กระผมอยากให้มีใครสักคนมาคอยดูแลนายน้อยแทนกระผม อยากเห็นเขามีครอบครัวเหมือนคนอื่นๆ น่าเสียดายที่เขาไม่เคยเปิดใจรับใครอีกเลยตั้งแต่…” พอมาถึงตรงนี้เสียงของพ่อบ้านก็แผ่วลง

“ตั้งแต่อะไรครับ?” ดวงตาสีฟ้ายืนจ้องรอว่าชายชราจะพูดอะไรต่อ

“อา...สงสัยกระผมคงพูดมากเกินไปซะแล้วสิ” เรนเดลขอตัวไปทำความสะอาดครัวต่อทิ้งให้โอเมก้าหนุ่มยืนค้างคาใจอยู่ตรงนั้น

“อ๊ะ! รอเดี๋ยวสิครับคุณเรนเดล”

ทว่าโอเมก้าหนุ่มไม่มีโอกาสได้ฟังต่อเพราะของที่สั่งไปมาส่งพอดี เขาจึงต้องเริ่มลงมือทำงานของตัวเองทันทีเพื่อให้เสร็จทันเวลาที่อัลฟ่าผู้เป็นเจ้าของชีวิตของตนต้องใช้งาน


“หมายความว่าไงที่ว่าไม่ว่าง ปกติเห็นแกชอบโดดงานเป็นว่าเล่น” คาเล็มคุยกับเพื่อนรักเพื่อนแค้นผ่านโปรแกรมสไกป์ และกำลังถกเถียงกันเรื่องที่ตนโดนเบี้ยว

“CEO อย่างฉันก็มีงานต้องทำนะครับคุณเพื่อนรัก แหม...ไม่ได้เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆสักหน่อย” ริชาร์ดกล่าวทั้งๆที่เจ้าตัวยังเอนพนักพิงเก้าอี้ประจำตำแหน่งเพราะเป็นเวลาน้ำชายามบ่ายเลยอู้ เอ้ย...ว่างมาคุยเล่นในเวลางานได้

“แล้วยังไง? ฉันอุตส่าห์ยอมถ่อไปร่วมงานเพราะเห็นว่าแกพอจะไปเป็นเพื่อนด้วยได้ แล้วจะมาทิ้งกันกลางทางแบบนี้น่ะเหรอ?”

“ก็พาน้องโอเมก้า เอ้อ...คนไข้ของนายไปด้วยสิ จับแต่งตัวดีๆหน่อยให้ดูเหมือนเป็นผู้ช่วยวิจัยอะไรก็ว่าไป ฉันว่าไม่มีใครจับได้หรอก” เสนอแนวทางให้บุคคลที่สามไปเป็นตัวแทนราวกับคำนวนไว้แล้วว่าตัวเองจะต้องไม่ว่างไปร่วมงาน ช่างบังเอิญจนน่าสงสัยเสียจริง...

“ได้กะผีน่ะสิ ในนั้นมีอัลฟ่ากว่าครึ่งค่อนงาน แค่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงแรมที่จัดงาน ขี้คร้านจมูกเจ้าพวกนั้นก็คงดมกลิ่นเจอตั้งแต่หน้าทางเข้างานแล้ว” คาเล็มสบถอย่างหัวเสียที่โดนเพื่อนกวนประสาทไม่เว้นแต่ละที แต่หนนี้เล่นแรงไปจริงๆ จนอยากประเคนเท้าให้

“จะไปยากอะไรวะ แกก็กัดคอทำรอยตีตราเป็นเจ้าของไปซะเลยสิ พาไปเปิดตัวให้ที่บ้านแกรับรู้ให้ช็อคหงายหลังไปเลย เท่านี้ใครหน้าไหนมันจะมายุ่งกับโอเมก้าของแก...”

“ไอ้ริชาร์ด!” อัลฟ่าสูงวัยจะโกนใส่ไมค์จนซีอีโอหนุ่มต้องกดปุ่มลดเสียงลงเกือบสุด

“อุตส่าห์ประมูลมาด้วยทรัพย์สินครึ่งค่อนชีวิตของแก จะปล่อยให้ไปเป็นของคนอื่นจริงๆรึไงวะ จะเอามาเป็นหนูทดลองหรือคนไข้อะไรนั่นบอกตรงๆ ว่าฉันไม่เห็นด้วยกับแกเลยสักนิดเดียว”

“ฉันไม่คิดจะมีคู่คนใหม่ แล้วก็จะไม่วางมือจากงานนี้ด้วย” คาเล็มกล่าวด้วยเสียงเด็ดขาด เรื่องนี้เขาพูดกับอีกฝ่ายมาเป็นร้อยๆครั้ง และเขาก็ตอบกลับไปด้วยประโยคนี้ทุกครั้งเช่นกัน

“...คาเล็ม แกอย่าให้ฉันต้องพูดเรื่องนี้บ่อยๆเลยนะ งานวิจัยของแกน่ะ...พอได้แล้ว” คนที่อยู่อีกฟากของหน้าจอแล็ปท็อปจ้องเขม็งมาและยังพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ

“....”

“แกยังจะทู่ซี้ทำอะไรต่ออีกในเมื่อสิ่งที่แกทำทุกวันนี้มันก็มากพอที่จะให้พวกโอเมก้าไม่ต้องใช้ชีวิตลำบากเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว โอเคมันอาจจะยังไม่ถูกกฏหมายซะทีเดียวและไม่ถูกใจพวกหัวเก่าที่ยังชอบกดขี่โอเมก้าให้เป็นแค่ชนชั้นล่างหรือมองเป็นแค่เครื่องประดับฐานะทางสังคม แต่คนส่วนใหญ่ก็เริ่มเห็นด้วยที่โอเมก้าจะมีสิทธิปกป้องสวัสดิภาพของตัวเองไม่ใช่เครื่องมือของใคร”

ริชาร์ดเทศนายาว เขาพยายามเกลี้ยกล่อมคาเล็มเรื่องนี้เสมอ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที

“ถ้าฉันหยุดแล้วใครจะสานต่อ จะมีสักกี่คนที่เห็นด้วยกับงานของฉันแล้วเดินตามรอยทำเพื่อพวกโอเมก้า ไอ้พวกที่มันเคยขัดขวางจนล้มงานวิจัยของฉันพังพินาศไปครั้งนั้นทุกวันนี้พวกมันก็ยังเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ คอยจ้องหาโอกาสเล่นงานเมื่อฉันเผลอ แล้วแกยังจะให้ฉันหยุดอีกเรอะ!”

“ฉันถึงอยากให้แกหยุดสักทีไง ฉันยังไม่อยากเห็นแกตายอย่างน่าสมเพชนะคาเล็ม”

“.....”

“ฉันชอบแกตรงที่แกไม่เหมือนอัลฟ่าคนอื่นๆ แกเที่ยวตระเวนหาโอเมก้าที่โดนกดขี่ข่มเหงมาคอยดูแลรักษาจนหายดี แล้วยังวานให้ฉันเป็นคนกลางช่วยติดต่อหาพวกอัลฟ่าไม่ก็เบต้าที่ดีพอจะรับพวกเค้าไปเป็นคู่ครองได้โดยไม่ติดใจภูมิหลัง แกเป็นอัลฟ่าที่น่ายกย่องยิ่งกว่าใครที่ฉันเจอมา” แววตาและน้ำเสียงของเพื่อนที่รู้จักกันมานานมันสื่อออกมาผ่านหน้าจอ ขนาดหมออัลฟ่ายังต้องยอมฟังในสิ่งที่คนๆนี้พูดโดยไม่เถียงต่อ

“ริชาร์ด…ฉัน...”

“เพราะงั้นฉันถึงอยากเห็นแกมีความสุขบ้าง แกต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่ใช่จมอยู่กับอดีต โนเอลคงไม่อยากเห็นแกเป็นแบบนี้ไปตลอดหรอก”

“...ขอเวลาฉันอีกหน่อยแล้วกัน” ร่างสูงกดออกจากโปรแกรมแชทและยกมือขึ้นแตะหน้าผากอย่างคนกลัดกลุ้ม


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.2 - Up! (17/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-02-2017 15:21:51


“เอ๋!? ให้ผมไปด้วย!!?” ลาซารัสเงยหน้าขึ้นมาจากการวาดชิ้นส่วนเสื้อและทำหน้าตกตะลึง

“พอดีริชาร์ดไม่ว่าง…” จะพูดว่า ‘หนีไป’ ก็กระไร บอกว่าไม่ว่างเฉยๆน่าจะดีกว่า… “ก็นั่นแหละ แต่นายคงมีสูทอยู่แล้ว”

“แล้ว...เอ่อ… แต่ว่า ในงานน่าจะมีแต่อัลฟ่าทั้งนั้นเลย…” ลาซารัสหดตัวลีบอย่างประหม่า เขาเคยเจออัลฟ่ามาแล้วก็จริง แต่ไม่เคยเจอทีเดียวเป็นฝูงแบบนี้! ข้ามขั้นเกินไปแล้ว!!

“ไปไม่นานหรอก แค่ไปแสดงความยินดีแล้วกลับเท่านั้น เพราะงั้นกินยาระงับอาการฮีทรอไว้ได้ แต่น้ำหอมระงับกลิ่นคงไม่สามารถใช้ได้...แน่นอนว่าฉันเองก็คงใช้ไม่ได้”

พอจะอ้าปากถามว่าทำไมก็พลันนึกได้ก่อนว่ามันยังผิดกฎหมายอยู่นี่นะ… กระนั้นโอเมก้าใต้บัญชาก็ไม่สามารถปฎิเสธเจ้านายของตนได้อยู่ดี “ผมต้องทำตัวยังไงบ้างครับ”

“หลักๆก็แค่อยู่ใกล้ๆฉัน ห้ามออกห่างเด็ดขาด” คาเล็มพูดเสียงแข็งหนักแน่นเพื่อยืนยันความจริงจังในการออกงานครั้งนี้ “ห้ามเข้าไปคุยกับใครโดยที่ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มคุยก่อน..”

“ครับ” เป็นครั้งแรกที่ลาซารัสรู้สึกว่านี่เป็นชีวิตแบบโอเมก้าที่เขาถูกพร่ำสอนมาจากโอนเนอร์ แต่แทนที่จะกังวล ร่างโปร่งดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “แล้วนอกนั้น?”

“ฉันยังไม่ได้คิดว่านายจะไปในฐานะอะไร ขอคิดดูก่อน” พูดจบคาเล็มก็เลี้ยวตัวเดินไปที่ประตูเพื่อกลับไปทำงาน เขาเองก็ไม่อยากกวนสมาธิของโอเมก้าของตัวเอง ยิ่งกว่านั้น เกรงว่าเด็กของตนจะคิดอะไรมากขึ้นไปอีก

..จะว่าไป ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าหนูนี่มาสักพักแล้ว..

...รอยยิ้มที่เหมือนดวงตะวันนั้น…

คาเล็มหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวกลับห้องทำงาน เขาขมวดคิ้วอย่างนึกประหลาดใจกับความคิดเมื่อครู่ ความคิดที่อยากเห็นรอยยิ้มที่เหมือนเมื่อครั้งแรกเจอนั่นอีก.. อัลฟ่าสูงวัยยกมือขึ้นถอดแว่นออกและนวดตรงสันจมูกเพราะรู้สึกปวดหัวกับเหล่าปัญหากวนใจที่ทำให้เขาทำงานได้ไม่คืบหน้าสักที “ไอ้ริชาร์ดมันพูดเก่งขึ้นรึไงนะ”

ทางด้านลาซารัสเองก็ไม่มีเวลามาให้คิดถึงเรื่องที่ตนจะต้องออกไปร่วมงานสังคมภายนอกมากนัก สิ่งที่ต้องเร่งมือทำก่อนเป็นอันดับแรกคืองานที่อยู่ตรงหน้า โอเมก้าหนุ่มรวบรวมสมาธิตั้งใจจดจ่ออยู่กับการตัดชุดสูทให้ออกมาดูดีที่สุด


เข็มนาฬิกาเคลื่อนไปเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ คุณหมออัลฟ่าเหยียดแขนยืดเส้นยืดสายก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวลงหลังจากทำงานจนเสร็จแล้ว เขาลุกไปปิดไฟห้องทำงานและเดินไปยังห้องนอน ทว่าสายตาพลันเห็นแสงไฟจากห้องที่ยกให้โอเมก้าหนึ่งเดียวของบ้านใช้เป็นห้องตัดเสื้อยังคงมีแสงสว่างเล็ดลอดออกมา

“สงสัยจะทำงานเพลินล่ะมั้ง...” คุณหมออัลฟ่าอ้าปากหาวตาปรือใกล้จะปิดและปล่อยให้ทางนั้นทำงานต่อ หลังจากเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อคลุมใส่นอน ขาทั้งสองพาร่างของตัวเองไปหาเตียงนอนกว้างที่ใหญ่เกินกว่าจะเป็นที่นอนของคนๆเดียวก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไปจนถึงตีสี่กว่าๆ คาเล็มลุกจากที่นอนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ร่างสูงใหญ่เดินสโลสเลไปตามทางในบ้านที่คุ้นชินแม้ตาจะลืมไม่เต็มที่ แสงไฟจากห้องเดิมที่เห็นก่อนไปเข้านอนยังคงเปิดไฟสว่าง นั่นหมายความว่ายังมีคนที่ทำงานอยู่ที่ห้องนั้น

“ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่เข้านอนอีกรึไงนะ” คาเล็มอดไม่ได้ที่จะเดินมาดูที่ห้องและคิดว่าจะไล่ให้อีกฝ่ายไปนอน แต่เมื่อเขาเห็นลาซารัสยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานจึงเปลี่ยนใจมายืนดูเงียบๆแทน

เขามองดูร่างโปร่งกำลังขะมักเขม้นใช้จักรเย็บต่อผ้าทีละส่วนอย่างคล่องแคล่วแต่ประณีต ใบหน้ามุ่งมั่นจริงจังกับงานตรงหน้าผิดกับเวลาปกติที่เคยเห็นอยู่ทุกวัน ตรึงให้ดวงตาที่ตอนนี้ไม่มีแว่นบดบังเผลอจ้องมองอย่างลืมตัว

“อ่ะ คุณหมอ ยังไม่นอนอีกเหรอครับ? หรือว่าผมทำเสียงดังรบกวนคุณหมอรึเปล่า” ดวงตาสีฟ้าหยุดมือก่อนเงยหน้าขึ้นมาคุยกับเจ้าของบ้านที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ

“ฉันต่างหากที่ต้องถาม นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” อัลฟ่าสูงวัยที่เพิ่งได้สติทำเสียงดุแล้วชี้ไปที่นาฬิกา โอเมก้าหนุ่มหันไปดูแล้วก็สะดุ้งที่ตัวเองลุยงานจนเลยเวลามาขนาดนี้

“หวา! ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ทำงานติดลมทีไรลืมทุกทีเลย”

“ไปนอนได้แล้ว อดนอนเดี๋ยวก็เสียสุขภาพหมด” คาเล็มสั่ง ลาซารัสจึงต้องรีบปล่อยมือจากงานที่ทำล่วงเวลาแล้วเดินไปปิดไฟห้องทำงานชั่วคราวของตนก่อนเดินตามคุณหมอออกมา

“เอ่อ...ไม่หนาวเหรอครับ” โอเมก้าหนุ่มเบนสายตาออกเมื่อเห็นชุดใส่นอนของหมออัลฟ่าในสภาพที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก

“คิดอะไรอยู่ เดี๋ยวก็ฮีทอีกหรอก” คาเล็มหรี่ตามองอีกฝ่ายที่ใบหูเริ่มแดงขึ้นมาจนสังเกตเห็นชัดแม้ไม่ได้ใส่แว่นสายตา

“ผมเปล่าคิดอะไรนะครับ” ร่างโปร่งเถียงด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่มีน้ำหนักในคำพูดเลย

ดูออกง่ายขนาดนี้ถ้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ก็โง่เต็มที...

“งานแต่งน่ะ ถ้านายกลัวและไม่อยากไปจริงๆ จะปฏิเสธฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ถึงแม้ว่าเมื่อช่วงหัวค่ำเขาจะเป็นคนชวนแกมสั่งกลายๆ แต่พอมาคิดดูดีๆมันก็เสี่ยงเกินไปอยู่ดีที่จะให้โอเมก้าไปอยู่ท่ามกลางอัลฟ่ามากมาย

“คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะไปกับคุณหมอด้วย” ลาซารัสกล่าวรับประกันว่าตนนั้นรับมือไหว

“ถ้างั้นก็...ราตรีสวัสดิ์นะ” คาเล็มเดินกลับขึ้นห้องไป ขณะที่กำลังจะปิดประตูห้อง โอเมก้าหนุ่มได้รั้งตัวเขาไว้ก่อนเพราะยังมีเรื่องที่อยากจะรู้อยู่

“เดี๋ยวก่อนครับคุณหมอ จะไม่บอกผมหน่อยเหรอครับว่าตกลงแล้วผมเป็นโรคอะไรกันแน่”

“มีอะไรไว้ค่อยคุยกันวันหลัง นี่ดึกมากแล้ว” คุณหมออัลฟ่าเลี่ยงที่จะตอบคำถามของคนไข้ในเวลานี้ และบอกให้อีกฝ่ายรีบไปเข้านอนสักที

“ครับ ขอโทษที่ผมถามเซ้าซี้นะครับ” ร่างโปร่งเดินคอตกกลับไปยังทางที่เป็นห้องนอนของตน พอเห็นสีหน้าที่แบกความกังวลใจไว้แบบนั้นแล้วคนใจแข็งก็รู้สึกอ่อนใจขึ้นมา

“ลาซารัส…”

“...ครับ?” เจ้าของชื่อที่เดินห่างไปต้องหันกลับมาเมื่อถูกอัลฟ่าผู้เป็นเจ้าชีวิตเรียกตัวไว้

“จำที่นายเคยถามฉันว่า ‘จะทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่ไม่ได้รักได้รึเปล่า’ ได้มั้ย” ร่างสูงที่ยืนอยู่ระหว่างประตูพูดสิ่งที่โอเมก้าเคยถามตนไปในครั้งก่อน

“เอ๊ะ? เรื่องนั้นมัน…” ลาซารัสคิดไปถึงตอนที่รู้สึกใจเต้นกับใบหน้าของหมอคาเล็มในวีดีโอจนร่างกายร้อนวูบวาบ แล้วไหนจะเมื่อตอนกลางวันที่เขาจินตนาการถึงอีกฝ่ายตอนกำลังปลดปล่อยตัวเองอีก “หมายความว่า ผม...”

“ฉันคิดว่า ใช่...นายคงกำลังรู้สึกแบบนั้นนั่นแหละ แต่อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่ฉันบอก ฉันอาจจะวินิจฉัยผิดพลาดก็ได้ มันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่งเพราะว่านายไม่ค่อยได้อยู่กับอัลฟ่าคนไหนนานๆมาก่อน...เออ ถึงแม้กับฉันเองก็เพิ่งจะมาอยู่ด้วยไม่นานเหมือนกันก็เถอะ”

“อา...” ใบหน้าของร่างโปร่งแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้ง “อึก...คุณหมอครับ ผม…เป็นอีกแล้ว”

คาเล็มรีบปิดประตูล็อคห้องกันตัวเองให้ห่างจากโอเมก้าหนุ่ม เพราะปกติเวลานี้จะไม่มีใครตื่นอยู่เขาเลยไม่ได้ฉีดสเปรย์ป้องกันเอาไว้ แถมยาที่เขาคอยกินเพื่อลดประสิทธิภาพการรับกลิ่นฟีโรโมนจากโอเมก้าก็หมดฤทธิ์ไปตั้งแต่ก่อนที่จะเข้านอนแล้วด้วย

“คุณหมอครับ...” ลาซารัสเริ่มแสดงอาการฮีทขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าตัวเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของหมออัลฟ่า ยาระงับอาการฮีทที่ให้พกไว้ตอนนี้มันก็อยู่ที่ห้องนอนไม่ได้อยู่กับตัวเขา

“นายรีบกลับไปกินยาแล้วล็อคห้องซะ พรุ่งนี้ฉันจะบอกเรนเดลว่านายไม่สบาย ไม่ต้องลุกขึ้นมาช่วยทำงานบ้านก็ได้” คาเล็มพูดอะไรไปตอนนี้ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับรู้แล้ว ทั้งยังเริ่มควบคุมร่างกายที่กำลังโหยหาใครสักคนและสติของตัวเองไม่ได้ด้วย

แต่เสียงหอบสั่นเครือกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่ไม่ได้รับรู้มานานยังคงไม่ยอมไปไหน ซ้ำยังคงเรียกหาเขาด้วยเสียงกระเส่าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ พอใช้ยาลดการได้กลิ่นมาตลอดมันดันส่งผลตรงกันข้าม เพราะเมื่อกลับมาได้กลิ่นตามปกติร่างกายก็ตอบสนองรวดเร็วจนน่ากลัว

“ฉันบอกให้กลับไปที่ห้องนายซะ! ได้ยินรึเปล่า” ร่างสูงรวบรวมสติทั้งหมดไว้แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงดัง ร่างโปร่งที่ขดตัวคุดคู้ที่อีกฝั่งประตูสะดุ้งถอยไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงอำนาจที่มากกว่าตนเองได้

“ค..ครับ” แม้ร่างกายจะสั่นเทิ้มอย่างต้องการคนๆนี้มากแค่ไหนแต่โอเมก้าอย่างเขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของอัลฟ่าได้ ลาซารัสก้าวเท้าเชื่องช้ากลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างว่าง่าย

เมื่อเสียงฝีเท้าและกลิ่นฟีโรโมนของคนที่อยู่นอกห้องหายไปจากระยะที่รับรู้ได้ อัลฟ่าสูงวัยก็รีบถอยห่างออกมาและทรุดตัวนั่งอยู่ที่ขอบเตียงเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง สองมือยกขึ้นมาให้สายตาได้เห็นสภาพของมัน รอยแผลจากการจิกเล็บลงไปในฝ่ามือตนเพื่อยื้อความนึกคิดของตัวเองไว้ได้ช่วยให้เขาไม่เปิดประตูออกไปลากโอเมก้าของตนเข้ามาทำอะไรต่อมิอะไรได้ ..แต่ไม้นี้คงใช้บ่อยไม่ไหว..

“ทำฉันวุ่นวายจริงๆ..” ถึงจะสบถออกไปอย่างนั้น ทว่าตอนนี้เขากลับเริ่มเป็นห่วงว่าลาซารัสจะดูแลตัวเองไหวมั้ย?

โอเมก้าหนุ่มที่กำลังต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักพาร่างของตนกลับมาถึงห้องนอน สองมือรีบคว้าขวดยาที่หัวเตียงมากรอกใส่ปากแล้วกลืนเข้าไป หลังจากนั้นไม่นานอาการปั่นป่วนก็ทุเลาลงจนกลับมาเป็นปกติ หากแต่ในหัวของลาซารัสตอนนี้กำลังมีความคิดอย่างอื่นตีกันมากมายแทน

เขาควรจะทำยังไงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ดี...




TBC.





*****************************************************************************************

เอามาลงต่ออย่างรวดเร็ว สำหรับตอนนี้อาจจะสั้นกว่าตอนแรกไปหน่อย แต่จะเอาตอนต่อไปมาลงให้อ่านอย่างต่อเนื่องนะคะ  :katai4:

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ดีใจจังค่ะที่ทุกคนเอ็นดูน้องโอเมก้าของพวกเราแบบนี้ แม่ๆปลื้มมมมม :hao5:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.2 - Up! (17/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 17-02-2017 15:42:23
ชอบลาซารัส มาลงบ่อยแบบนี้โดนจายมั่กๆๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.3 - Up! (18/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 18-02-2017 11:24:46
บทที่ 3



เช้าวันนี้พ่อบ้านเรนเดลอดแปลกใจไม่ได้ที่คนขยันตื่นเช้ามาออกกำลังกายอย่างลาซารัสยังไม่ลุกจากที่นอน มิหนำซ้ำกลับได้เห็นนายจ้างของตนมานั่งคลุกคลีอยู่กับจูเลียตและบรรดาลูกหมาขนฟูทั้งหลายแทนโอเมก้าหนุ่มคนนั้นอีก

“เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอครับ? แล้วนั่น...มือไปโดนอะไรมาครับ” ถามถึงคนที่ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นกับสาเหตุที่มือของเจ้านายมีผ้าพันแผลพันไว้รอบมือ

“ไม่มีอะไรหรอก” คาเล็มบอกปัด “แล้วก็ไม่ต้องไปปลุกหมอนั่นล่ะ ปล่อยให้นอนไปอย่างนั้นแหละ”

“ครับ” ชายชราพยักหน้ารับอย่างเข้าใจดี “รับอาหารเช้ามั้ยครับ”

“ไม่ล่ะ ยังไม่ค่อยหิว ขอกาแฟอย่างเดียว” มือหนาลูบไปบนหัวของสุนัขเฝ้าบ้านที่ครางหงิงอยู่ข้างๆ ผิดกับเจ้าพวกตัวเล็กที่ร่าเริงจนหนวกหู แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่าปล่อยให้บ้านเงียบเหงาจนเกินไป

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเรนเดล คุณหมอด้วย” เสียงทักทายอันสดใสยามเช้าเรียกให้คนแก่และเกือบแก่ต้องหันขวับไปมองสมาชิกใหม่ในบ้านที่เพิ่งจะตื่นนอนแต่อยู่ในชุดวอร์มสำหรับเตรียมไปวิ่งจ๊อกกิ้ง

“นายรีบตื่นมาทำไม ก็เมื่อคืน…” เสียงของหมออัลฟ่าแผ่วลงก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อคืนนายอยู่โยงจนทำงานดึกขนาดนั้นไม่ใช่เรอะ” 

“แหะๆ พอดีมันติดเป็นนิสัยน่ะครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” โอเมก้าหนุ่มยิ้มให้แล้วเรียกให้จูเลียตออกไปวิ่งด้วยกัน พร้อมด้วยขบวนพาเหรดก้อนขนที่วิ่งตามหัวหน้าไปติดๆ

“ก็ดูร่าเริงดีนี่ครับ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าเป็นห่วงเลย” เรนเดลหัวเราะก่อนจะไปเตรียมชงกาแฟให้เจ้านายของตน คาเล็มได้แต่มองตามหลังคนที่วิ่งออกไป

ร่าเริงตรงไหน...กำลังฝืนอยู่ชัดๆเลยเจ้าเด็กนั่น


ทั้งอาหารเช้าทั้งงานบ้านในช่วงเช้าหมดไปโดยที่ลาซารัสก็ยังช่วยงานเรนเดลเช่นเดิมแม้เจ้าตัวจะรู้อยู่แก่ใจว่าร่างกายค่อนข้างเหนื่อยล้าพอตัว เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ขอตัวไปนอนพักอีกหน่อยก่อนจะตื่นมาทานมื้อเที่ยงและเริ่มงานตัดเย็บ

“ให้กระผมไปปลุกมั้ยครับ” เรนเดลเสนอตัว

“ก็ดีเหมือนกันครับ ผมกลัวว่าจะหลับเพลินน่ะ ไม่มีนาฬิกาปลุกด้วยสิ”

คาเล็มนั่งอ่านหนังสือรออาหารย่อยบนโซฟาในห้องถัดไปได้ยินทุกอย่าง และแอบชื่นชมที่โอเมก้าคนนี้สามารถตื่นได้ตรงเวลาทุกวันแม้จะไม่มีอะไรช่วยปลุกตัวเองเลย… จู่ๆร่างสูงก็เหมือนจะคิดอะไรได้จึงลุกพรวดขึ้นจากโซฟาและเดินไปที่ประตูห้องอาหาร “มีนะ นาฬิกาข้อมือน่ะ พอจะตั้งปลุกได้อยู่ หรืออยากได้มือถือ?”

“เอ๊ะ? อ่อ...ถ้าคุณหมอไม่ได้ใช้ผมขอยืมสักวันก็ได้ครับ”

“ไม่ล่ะ ฉันให้” คาเล็มจ้ำเท้าเดินไปที่ห้องของตนอย่างรวดเร็ว เสียงค้นของดังลงมาจนถึงชั้นล่าง ท่าทางว่าจะเก็บไว้นานพอสมควร… เมื่อเสียงเงียบลง สักครู่หนึ่งคุณหมอก็เดินมาพร้อมนาฬิกาแบบหน้าจอสัมมผัสเครื่องหนึ่ง “ฉันไม่ได้ใช้แล้ว แต่ท่าทางมันคงยังพอใช้ได้”

“จ...จะให้จริงๆเหรอครับ” ลาซารัสมีท่าทีเกรงใจทว่าใบหน้ากลับมีรอยยิ้มจางฉาบไว้อย่างปิดไม่อยู่

“เอาไปเถอะ ลองกดๆหาเอาเองล่ะ ใช้ไม่ยากหรอก”

“ครับผม.. งั้นขอตัวก่อนนะครับ”

และท่าทางจะใช้ไม่ยากจริงเพราะยังไม่ทันที่โอเมก้าหนุ่มจะเดินพ้นประตูครัวก็หาปุ่มตั้งนาฬิกาปลุกได้แล้ว เจ้าตัวใส่ไว้กับข้อมือแทบจะทันทีด้วยเพราะว่ามันเป็นของที่เจ้านายให้มาโดยที่เขาไม่ได้ขอชิ้นแรก.. จะเรียกว่า ของขวัญ ได้มั้ยนะ?

แต่ใบหน้าของเรนเดลกลับมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ในขณะที่คาเล็มยกมือถือของตนขึ้นมาดูที่หน้าจอ.. โปรแกรมบางอย่างเปิดขึ้นมาพร้อมข้อมูลชีพจรและตำแหน่งของใครบางคนปรากฎอยู่บนนั้น

“นายน้อยครับ กระผมไม่อยากจะก้าวก่าย แต่แบบนี้มัน…อาจจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของคุณแมทเวย์รึเปล่า?”

คาเล็มไม่ได้ตอบโต้อะไรไป แต่แววตาแปลกประหลาดหลังแว่นนั้นก็ช่วยตอบให้คุณพ่อบ้านแทนคำพูดได้ ว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้ “เดี๋ยวฉันค่อยซื้อเรือนอื่นให้เจ้านั่น… หลังจากฉันเก็บข้อมูลที่ต้องการได้ละกัน”

“เรื่องนี้กระผมจะไม่ยุ่งด้วยนะครับ” เรนเดลกล่าวแล้วขอตัวไปล้อมรั้วแปลงดอกไม้ไม่ให้เจ้าพวกปุกปุยไปบุกรุก ปล่อยให้นายจ้างของตนขลุกอยู่กับงานต่อไป แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าทางนั้นรู้จักเพลาๆ เรื่องความจริงจังต่องานลงบ้างสักนิดก็คงจะดี

คาเล็มเปิดแล็ปท็อปในห้องทำงานขึ้นมา แล้วจัดการเชื่อมต่อข้อมูลกับโทรศัพท์มือถือเพื่อเก็บบันทึกข้อมูลลงไปในโฟลเดอร์ใหม่ ทำไปได้สักพักเสียงสั่นจากโปรแกรมแชทก็ดังขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สุดยอดเพื่อนรักของคุณหมอคาเล็ม ไอ้คุณริชาร์ดเจ้าเก่านั่นเอง

“คาเล็มมมม ฉันมีเรื่อง...”

“ไม่ว่าง” เสียงทุ้มพูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใย ทำเอาหัวใจคนฟังแทบแหลกสลาย

“เดี๋ยวสิเฟ้ย! เพื่อนกำลังเดือดร้อนแกจะไม่ช่วยรับฟังสักนิดเลยเหรอ!” ซีอีโอหนุ่มบีบน้ำเสียงให้ฟังดูน่าสงสารที่สุดในโลก แต่สำหรับหมอคาเล็มแล้วมันสุดแสนจะกวนส้นเอามากๆ

“เรื่องอะไรอีกล่ะ ทักมาทีไรก็เห็นมีแต่ชวนคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องทุกที” คุณหมออัลฟ่าย่อหน้าจอโปรแกรมแชทให้เล็กลงไปไว้ที่มุมล่างสุด แล้วนั่งกรอกข้อมูลลงในไฟล์งานต่อ

“แหม่..คือว่า พอดีฉันอยากได้สูทไปงานลูกค้าน่ะ แต่เค้าดันกำหนดธีมงานด้วย แล้วฉันดันไม่มีสูทแบบนั้น...เลยจะ…”

“ไม่.. เจ้าหนูนั่นไม่ว่าง” คาเล็มบอกปัดอย่างรู้ทันเพื่อน

“เอ๋~ ไม่ว่างนี่ นายก็ให้น้องเค้าตัดสูทให้เหมือนกันเหรอ จำได้ว่านายไม่มีสูทไปงานแต่งนี่น้า” แต่เพื่อนที่คบกันมานานก็รู้ทางหมอขี้รำคาญคนนี้ดีเช่นกัน “หรือกลัวว่าพอคนไข้นายอยู่ใกล้ฉันแล้วจะเกิดรู้สึกอะไรๆขึ้นมา?”

“เงียบน่า ยาดับกลิ่นฟีโรโมนแกก็มี ถ้าจะให้วัดตัวก็กินมาสิเว้ย”

“โอ้..พูดงี้ได้สินะเพื่อน” ริชาร์ดยิ้มแฉ่งอย่างน่าทาบรอยเท้าลงบนกลางหน้า

คาเล็มกำลังจะอ้าปากปฎิเสธ ทว่า จู่ๆก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวจนเขาชะงักนิ่งไป เพื่อนผู้รอคำตอบเห็นผ่านกล้องของคอมพิวเตอร์แล้วก็พอจะเดาได้ทันทีว่าหมอคงไม่ปฎิเสธ..

“งั้น.. จะเอาเมื่อไหร่”

“กลางเดือนหน้า แต่ที่ไม่ไปจ้างคนอื่นน่ะ เพราะแอบไปสืบมาว่าร้านที่เจ้าหนูนั่นเคยทำเป็นร้านมีฝีมือ งานเต็มตลอดต้องจองกันข้ามปีเลย…”

“ได้ แต่จ่ายค่าเหนื่อยให้หมอนั่นละกัน อะไรก็ได้ และ.. นายต้องช่วยงานฉันแทนค่าเบี้ยวสัญญาที่ไม่ไปงานนี้กับฉันด้วยอย่างหนึ่ง”

ริชาร์ดเลิกคิ้ว ชักจะเริ่มคิดว่าตัวเองคิดผิดเสียแล้วสิ “อะไรล่ะ?”

“หลังจากวัดตัว นายช่วยมาคลุกคลีกับลาซารัสที.. ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” คุณหมออัลฟ่าแจ้งเงื่อนไขแลกเปลี่ยนให้เพื่อนฟัง

คราวนี้ไอ้คุณคาเล็มมาไม้ไหนวะเนี่ย...

“เออ งั้นเดี๋ยวตอนเที่ยงฉันแวะไปหาเลยก็แล้วกัน” ถึงแม้จะรู้สึกทะแม่งๆกับคำขอแต่ก็ตอบรับข้อเสนอนั้น “ว่าแต่นั่งฮ.ไปได้มั้ย?”

“ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่าอย่ามาพังสวนบ้านฉัน” หลังจากเทศน์ไปอีกชุดใหญ่อัลฟ่ามากวัยก็กดปิดหน้าจอแล้วเริ่มทำงานต่ออีกครั้ง และกดโทรศัพท์จากห้องทำงานไปบอกพ่อบ้านว่าเที่ยงนี้จะมีแขกมาที่บ้าน ให้ทำอาหารเพิ่มอีกหนึ่งที่และไปปลุกลาซารัสมาเตรียมตัวเร็วขึ้นอีกหน่อย

ร่างโปร่งยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอน และฝันว่าตัวเองกับคุณหมอคาเล็มได้อยู่ด้วยกันในฐานะคนรัก รอยยิ้มอ่อนโยนและอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่แทบจะหลอมละลายกลายเป็นขี้ผึ้ง ร้อน...ร้อนเหลือเกิน...ร้อนเกินไปแล้ว!

ลาซารัสเด้งตัวขึ้นมาพร้อมเหงื่อที่ผุดเต็มตัว พอได้สติก็หันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับอุณหภูมิห้องที่มันร้อนสุดจะบรรยายขนาดนี้ แล้วก็พบว่าเครื่องปรับอากาศในห้องนอนมันไม่ทำงาน เขาซับเหงื่อที่ไหลตามใบหน้าและลำคอก่อนจะกดรีโมตแต่ทุกอย่างก็ยังนิ่งสนิท สงสัยจะเสียซะแล้ว

“อา...โธ่ กำลังเคลิ้มได้ที่เลย” ยกมือขึ้นมาปิดหน้าอย่างแสนเสียดายแม้จะอายอยู่บ้างก็ตาม ถึงอยากจะนอนฝันต่ออีกสักนิดแต่ร้อนขนาดนี้ก็คงไม่ไหว นาฬิกาก็ใกล้จะได้เวลาปลุกเตือนแล้วด้วย ถือโอกาสนี้รีบตื่นไปกินอาหารเที่ยงแล้วทำงานที่ค้างไว้ต่อเลยก็แล้วกัน

“โอ้ สวัสดีเจ้าหนู นอนตื่นสายเหรอ?”

“.....คุณริชาร์ด?” ลาซารัสขยี้ตาตัวเองอีกทีเผื่อว่าจะตาฝาดไป แต่เขาเห็นเพื่อนของคุณหมอนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยจริงๆนะ! และเรนเดลก็กำลังยกอาหารมาเสิร์ฟด้วย!!

“คุณแมทเวย์เพิ่งจะพักผ่อนเพราะโหมทำงานจนเกือบเช้าน่ะครับ” พ่อบ้านโค้งหัวให้ก่อนจะตอบแทนโอเมก้าที่ยังยืนงงอยู่

“รีบมากินแล้ววัดตัวให้หมอนี่ด้วย” คาเล็มเรียกสติคนใต้บัญชาและกวักส้อมในมือเรียกให้คนเพิ่งมาลงมานั่งดีๆ “งานแต่ง ธีมสีฟ้า เอากลางเดือนหน้า ไหวมั้ย?”

ลาซารัสเดินมานั่งทั้งที่ยังเบลอๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นและค้อมหัวสวัสดีริชาร์ดพอเป็นพิธีเพราะดูแล้วอีกฝ่ายกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารบนโต๊ะอยู่ “น่าจะนะครับ.. แต่สูทของคุณหมอก็จะได้แค่ชุดเดียว…” คนตัวเล็กกว่าพูดเสียงเบา ดูจากเวลาคงไม่ทันตัดชุดที่สองให้คุณหมอตามที่ตั้งใจไว้แน่ๆ

“บอกแล้วว่าเอาแค่ชุดเดียว”

“ครับ..” ทั้งๆที่เขาก็กะจะตัดให้ทดแทนคำขอบคุณที่คาเล็มอุตส่าห์ซื้อนู่นนี่ให้ตั้งเยอะแท้ๆ..

“เรื่องนั้นไว้ทีหลังนะ เป็นไงมั่งล่ะเจ้าหนู ตัวผอมลงไปนิดหน่อยรึเปล่า” ริชาร์ดเปลี่ยนเรื่องอย่างอารมณ์ดีผิดกับคาเล็มที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆโดยสิ้นเชิง..

“เอ่อ...คิดว่าไม่นะครับ” พอโดนทักว่าผอมลงโอเมก้าหนุ่มก็แอบใจแป้วเพราะตนนั้นอยากมีร่างกายที่ดูมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่านี้ แต่ยิ่งออกกำลังกายไหงถึงดูผอมลงไปได้ ก็ว่าตัวเขากินเยอะแล้วนะ “จะว่าไปคุณริชาร์ดทำงานอะไรเหรอครับ?”

“ธุรกิจส่วนตัวของที่บ้านน่ะ ฉันทำงานรับช่วงต่อมาจากพ่อ ตั้งแต่ทำงานมาก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างไปเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนเลย”

“อ้อเหรอ...เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายงานยุ่งเป็นกับเค้าด้วย”

“ถึงฉันงานยุ่งแต่ฉันก็หาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองเป็น ไม่ใช่มนุษย์เครื่องจักรทำงานตลอดเวลาแบบแกนี่หว่า”

โอเมก้าหนุ่มเพียงคนเดียวในบ้านนั่งจ้องคุณหมอกับเพื่อนสนิทเถียงกันไปมาน่าสนุก แม้จะดูเหมือนทะเลาะกันแต่สีหน้าของคุณหมอก็ดูผ่อนคลาย เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยว่าทั้งคู่คงรู้จักกันมานานถึงพูดจาเล่นหัวกันได้ขนาดนี้   

“แล้วนี่คิดไว้รึยังว่าจะให้เจ้าหนูนี่ไปกับนายในฐานะอะไร” ริชาร์ดหันมาถามคาเล็มเพราะรู้เรื่องที่โอเมก้าหนุ่มตรงหน้าจะต้องไปร่วมงานแต่งกับเพื่อนสนิทของตน

“ยังเลือกไม่ได้” คุณหมออัลฟ่าคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแต่อะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นก็ทำให้ยังตัดสินใจไม่ได้สักที
“บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดเยอะ บอกไปเลยว่าเป็นโอเมก้าของนาย!”

“ไอ้ริชาร์ด!!” คุณหมอที่นั่งเงียบจนถึงเมื่อครู่หันไปขึ้นเสียงใส่เพื่อนแถมดูท่าทางอยากจะเอาส้อมและมีดในมือจิ้มพุงเพื่อนอยู่รอมร่อ..


“งั้นขออนุญาตนะครับคุณริชาร์ด” ลาซารัสก้มหัวให้ทีหนึ่งเป็นมารยาทก่อนเริ่มการวัดตัว กลิ่นฟีโรโมนถูกระงับด้วยยา แถมประสาทรับกลิ่นของริชาร์ดยังโดนกดไว้ด้วยยาลดประสิทธิภาพ เขาอยู่ในสภาพเดียวกันกับหมอคาเล็มเมื่อวานก่อนที่เพิ่งวัดตัวไปทุกประการ

ระหว่างการวัดนั้นคาเล็มยืนมองอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง โดยที่หน้ายังก้มจ้องมองมือถือของตนอยู่ตลอดเพื่อเช็คอาการทุกอย่างของโอเมก้าหนุ่ม

“เรียบร้อยแล้วครับ สีที่ต้องการเป็นไลท์บลูนะครับ ถ้าได้แบบผ้าแล้วจะส่งไปให้เลือกก่อนเริ่มตัดจริงนะครับ” แต่กระทั่งวัดตัวจนเสร็จลาซารัสก็ไม่มีปฎิกิริยาใดๆที่จะทำให้เจ้าตัวฮีทขึ้นมาเลย มีเพียงบางจังหวะที่ต้องโอบแขนเพื่อเดินสายวัดที่มีใจเต้นอยู่บ้าง… ทว่า นั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้คาเล็มตัดสินใจเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อ

“ไวดีนี่ ไหนๆก็ไหนๆให้ของตอบแทนที่ช่วยไว้เลยได้มั้ย?”

“??” โอเมก้าเพียงคนเดียวในห้องเอียงคอสงสัย ริชาร์ดจึงไปหยิบกล่องๆหนึ่งออกมาจากเสื้อโค้ท

“พอดีมันรีบน่ะ เลยไม่รู้จะซื้ออะไรให้ ไว้ตัดเสร็จจะจ่ายค่าตัดดีๆอีกทีนะ” ริชาร์ดวางกล่องโทรศัพท์มือถือราคาแพงใส่มือร่างโปร่งซึ่งตอนนี้ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้ว

“เอ๊ะ!? หา!!? ไม่ต้องหรอกครับ ผมตัดให้เฉยๆก็ได้” ลาซารัสไม่กล้าแม้แต่ขยับเพราะกลัวทำมันหล่นจากมือ

“เอาไปเหอะน่า เดี๋ยวนายก็คงต้องมีออกไปไหนคนเดียวบ้างใช่มั้ย? เผื่อเอาไว้ติดต่อแบบฉุกเฉินไง”

คนได้รับของขวัญพยักหน้าเกร็งๆ พลางค่อยๆเปิดกล่องนั้นออกเพื่อลองหยิบโทรศัพท์นั้นขึ้นมาลองใช้ดู

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว แลกเบอร์กันไว้เลยก็ได้นะ เผื่อชุดมันถูกใจจะมาใช้บริการใหม่ไง!”

ลาซารัสได้แต่ยืนอึ้งเพราะตามอีกฝ่ายไม่ทัน พอบอกว่าจะแลกเบอร์เขาก็หันไปมองคาเล็มที่นั่งกดโทรศัพท์ตนเองอยู่ หมอท่าทางจะรับรู้ถึงสายตานั้นก็ยักไหล่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้ว่าอะไรมาให้

“อ่าฮะ.. อยากได้เบอร์คุณคาเล็มก่อนล่ะซี่ ได้ๆ เดี๋ยวฉันบันทึกให้ก่อน ประเดิมเบอร์แรกในเครื่องเลยละกัน!” นอกจากจะช่างสังเกตุพอกันยังเป็นคนขวานผ่าซากมากๆอีกต่างหาก…

หมายเลขแรกถูกบันทึกลงในเครื่องเป็นที่เรียบร้อยตามด้วยเบอร์ของคนที่ให้โทรศัพท์เป็นค่ามัดจำชุด หลังจากเสร็จเรื่องริชาร์ดก็ขอตัวกลับไปที่บริษัทเพราะมีประชุมตอนบ่ายต่อ

“ขอบใจน้าลาซัส ไว้เจอกัน~ ” ซีอีโอหนุ่มโบกมือเรียกชื่ออย่างสนิทสนมแล้วเดินไปยังรถที่จอดรออยู่ที่เนินข้างล่าง

โอเมก้าหนุ่มยิ้มและโบกมือลาแขกพ่วงตำแหน่งลูกค้าคนแรกนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมเพื่อนของคุณหมอถึงไม่ไปร้านที่เดินทางได้สะดวกกว่าที่นี่ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้มีงานทำก็นับเป็นเรื่องที่ดี

ลาซารัสหยิบมือถือออกมาและจ้องดูเบอร์ที่มีในเครื่องอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงกดเมมอีกเบอร์หนึ่งเข้าไปเพิ่ม เบอร์ของร้านที่เขาเคยทำงานเป็นช่างตัดเสื้ออยู่ที่นั่นจนถึงเมื่อไม่นานมานี้…

อยากจะโทรไปไถ่ถามว่าทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ปิดเครื่องมือสื่อสารและเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง

“เอาล่ะ เริ่มงานต่อเลยดีกว่า” ร่างโปร่งหันกลับเข้าไปในบ้านและตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของตน ทว่าเสียงโปรแกรมแชทของมือถือก็ดังขึ้นซะก่อน

“คุณริชาร์ดทักมารึไงน้า…” นิ้วเลื่อนกดดูไปบนหน้าจอสไลด์ และต้องประหลาดใจที่คนส่งคำขอมาเป็นคุณหมอคาเล็ม ลาซารัสตกใจจนเกือบทำมือถือเครื่องใหม่หล่นแล้วรีบกดรับแอดอีกฝ่ายทันที

“คุณหมอมีอะไรรึเปล่าครับ?” โอเมก้าหนุ่มพิมพ์ข้อความส่งไปและรออยู่สักพักคุณหมอคนดังกล่าวก็ตอบกลับมา

“คืนนี้ห้ามโต้รุ่งอีก เข้าใจนะ” คำสั่งที่ส่งมาผ่านตัวหนังสือแถมด้วยสติกเกอร์ตัวการ์ตูนที่ทำท่าทางโมโหปิดท้ายทำเอาโอเมก้าหนุ่มหลุดหัวเราะ

“ครับผม :3 “ ลาซารัสเห็นสติ๊กเกอร์แมวที่แถมมาให้ก็ส่งกลับไปด้วย แต่รอบนี้คุณหมอไม่ได้ส่งอะไรตอบกลับมา ทำเอาคนรอใจเสียไปเล็กน้อย แต่หมอดูท่าทางจะงานยุ่ง ขืนไปเซ้าซี้คงไม่ดีแน่ๆ…ลาซารัสสลัดความน้อยใจทิ้งไปแล้วรีบแจ้นกลับไปตัดชุดต่อ...โดยทิ้งคำถามให้ตัวเองต่อว่า สรุปแล้วตนรู้สึกยังไงกันแน่…


“ซื้อไปให้แล้วนะ แล้ว...ไงต่อ?” ริชาร์ดคอลกลับมาหาคาเล็มอีกครั้งหลังกลับไปไม่นาน คนที่เสนอให้ซื้อมือถือให้ก็เป็นตัวคุณหมอเอง แน่นอนว่ามันอยู่ในแผนการที่เขาต้องการทดลอง….ไม่สิ… เรียกว่าทดสอบจะดีกว่า..

“นายว่างเมื่อไหร่ก็มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหนูนั่นที.. ท่าทางจะต้องทำงานนี้อีกนาน เดี๋ยวจะเฉาซะก่อน”

“ทำไมนายไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนเค้าเองเล่า นั่นโอเมก้า..คนไข้ของนายนะ” ริชาร์ดเกาหัวอย่างงุนงงว่าทำไมเพื่อนรักของเขาต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ “นายไม่เห็นสายตาของลาซัสรึไง ท่าทางจะหลงนายซะแล้วนะ”

คาเล็มถอนหายใจแต่ไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อน ซึ่งมันผิดวิสัยของคนๆนี้อย่างมาก ริชาร์ดหรี่ตามองเพื่อนที่อีกฟากจอแล้วส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มหน่ายใจ

“ได้ๆ ไม่รู้หรอกว่านายต้องการอะไร แต่จะทำให้ละกัน จบงานนี้ถือว่าเจ๊ากันเรื่องฉันติดธุระนะ”

“นายเบี้ยว ไม่ใช่ติดธุระ”

“เออๆ”

สไกป์ดับลงแต่หมอยังคงทำงานต่อเนื่องโดยไม่มีเวลามาสนใจอย่างอื่นๆ ที่คิดจะให้มาอยู่เป็นเพื่อนนั้นพูดจริง ทว่าถูกแค่ครึ่งเดียว… อีกกว่าครึ่งคือการทดลองให้ลาซารัสอยู่กับอัลฟ่าคนอื่นดู ในขณะอีกส่วนนึงที่เค้าต้องการจะรู้นั้น..

หากว่าอยู่กับอัลฟ่าที่เป็นมิตรและเป็นกันเองยิ่งกว่าตัวเขา โอเมก้าผู้ไร้เดียงสาคนนี้จะเริ่มไขว้เขวบ้างรึเปล่า..

ก็แค่อยากลองทดสอบดูเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรมากไปกว่านี้ คาเล็มย้ำกับตัวเอง

ก่อนถึงมื้อเย็น ลาซารัสได้ส่งข้อความไปหาคาเล็มว่าตัดชุดเสร็จแล้ว อยากจะให้ลองใส่ดูเผื่อว่ามีตรงไหนต้องแก้ คุณหมออัลฟ่าแอบแปลกใจที่โอเมก้าในครอบครองของตนทำงานเสร็จเร็วมาก เป็นเพราะว่าไม่มีคิวงานเหมือนที่ร้านรึเปล่าถึงได้ทำงานไวขนาดนี้

“เดี๋ยวไป” อัลฟ่าสูงวัยตอบข้อความแล้วกดปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ไว้ไม่ได้กดชัตดาวน์เครื่องเพราะตั้งใจจะขึ้นมาทำงานต่อ เขาเดินไปยังห้องตัดเสื้อชั่วคราวของโอเมก้าหนุ่มที่กำลังรอเจ้านายอย่างเขาอยู่

“อ่ะ สักครู่นะครับ” ลาซารัสกำลังเช็คความเรียบร้อยของชุดอีกครั้ง ก่อนจะหันมาหาหมอคาเล็มที่มายืนรออยู่แล้ว ร่างโปร่งยื่นชุดสูทสีเทาที่ตนตั้งใจตัดเย็บให้อีกฝ่าย “เชิญเลยครับคุณหมอ”

“ทำงานช้ากว่านี้หน่อยก็ได้ไม่เห็นต้องรีบเลย”

“แหะๆ มันเคยชินน่ะครับ บางทีก็มีลูกค้าที่ชอบให้ตัดชุดเร่งด่วนเข้ามาบ่อยๆ”

“อืม งั้นฉันเอาไปลองก่อนนะ” อัลฟ่าสูงวัยเดินออกไปเปลี่ยนชุดในห้องของตน ระหว่างนั้นลาซารัสก็เดินวนไปวนมาที่ห้องตัดชุดรอดูผลอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งๆที่ตัดสูทมาตั้งมากมายแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกตื่นเต้นเท่าครั้งนี้เลย

“คุณแมทเวย์ อาหารเย็นเสร็จแล้วนะครับ” พ่อบ้านเรนเดลเคาะประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้ก่อนชะโงกหน้าเข้ามาบอก “อ้าว ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ”

“ครับ คุณหมอกำลังเอาชุดไปลองอยู่ เดี๋ยวก็คง...มา” ดวงตาสีฟ้าจ้องมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังชายชราที่หน้าประตู คุณพ่อบ้านหลบให้คุณหมอที่แต่งชุดสูทเต็มยศเดินเข้ามาให้ช่างเช็คดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม

ลาซารัสยืนนิ่งมองหมอที่เดินมาเช็คความเรียบร้อยที่กระจกเต็มตัว ปกติที่จะอยู่ในชุดกาวน์เสมอๆทำให้ไม่เห็นสัดส่วนชัดเจนมากขนาดนี้ แถมพอเปลี่ยนชุดลุคของคาเล็มก็เปลี่ยนทันที กลายเป็นชายผู้สง่างามดั่งที่เขาเห็นเมื่อวันที่เจอกันในงานประมูล

“ว่าไง?” คาเล็มหันมาถามเพราะเห็นโอเมก้าของตนนิ่งจังงังไปแล้ว

“!! ครับ! ….เอ่อ คิดว่าคงต้องเก็บเอวด้านหลังอีกนิดนึง” ลาซารัสหยิบเข็มกลัดตามแนวตะเข็บให้ช่วงเอวรัดเข้ามาอีกสักนิด “ยกแขนขึ้นข้างบนทีครับ”

คาเล็มทำตามเพื่อให้การวัดตัวเสร็จโดยไว ลาซารัสจดส่วนที่ต้องเย็บเข้าหรือตัดออกเพื่อให้เข้าทรงมากกว่านี้จนครบ ความหิวก็เริ่มร้องเรียกด้วยเสียงร้องจากท้องทั้งคู่ “หมดแล้วใช่มั้ย?”

“กางเกงไม่มีปัญหาใช่มั้ยครับ ลองนั่งคุกเข่าเหมือนจะผูกเชือกรองเท้าดูหน่อยได้มั้ยครับ” เมื่อคุณหมอนั่งลงตามที่บอก ลาซารัสก็เห็นว่ายังเก็บงานส่วนขอบกางเกงไม่ดีพอ คงต้องแก้ทรงยาวเลยสำหรับกางเกง.. ก็เพราะทำไปแล้วมัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องนั่นแหละ… “ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะรีบแก้ให้”

“บอกแล้วว่าไม่ต้องรีบ ไปกินข้าวได้แล้ว” คาเล็มลุกขึ้นและตรงออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อกลับคืน ลาซารัสพยักหน้าให้ทั้งคาเล็มและเรนเดลที่มายืนดูภาพตรงหน้าอย่างเอ็นดู เมื่อทั้งสองคนออกจากห้องไปแล้วร่างโปร่งก็ตรงดิ่งไปที่เตียงแล้วหยิบหมอนมาปิดหน้าและร้องอย่างยินดีจนสุดเสียง

“ค….คุณหมอใส่แล้วขึ้นสุดๆเลยอ่ะ” พอเห็นหมอใส่ชุดที่ตนจัดให้ แม้จะยังไม่สมบูรณ์ดีแต่แค่เห็นเขาได้ใส่มันดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้

ลาซารัสอดจินตนาการไม่ได้เลยว่ารูปร่างหน้าตาอย่างคุณหมอคาเล็มถ้าใส่สูทเต็มยศและจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงนั้นให้เรียบร้อยคนๆนั้นอาจจะดูดียิ่งกว่านี้อีก แถมจากบุคลิกก็น่าจะเหมาะกับการเป็นประธานบริษัทชั้นแนวหน้ามากกว่าจะเป็นคุณหมอเสียอีก

“บ้าจริงลาซัส คิดอะไรของนายอยู่กันน่ะ” ร่างโปร่งลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียง หากคุณหมออัลฟ่าคนนั้นเป็นท่านประธานใหญ่ล่ะก็ป่านนี้คงได้ไปจับคู่แต่งงานกับโอเมก้าจากตระกูลผู้ดีสักคนไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็คงไม่มีโอกาสได้มาเจอคนๆนั้นและได้มาอยู่ที่นี่หรอก

...หากคืนนั้นคนที่ประมูลได้ตัวเขาไปเป็นอัลฟ่าคนอื่นที่ไม่ใช่หมอคาเล็มล่ะก็ ป่านนี้ตัวเขาจะไปอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตยังไง กำลังทำอะไรอยู่นะ ทั้งที่เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะต้องตกไปเป็นคู่ให้ใครสักคนก็ช่างเพราะมันเป็นชะตาของโอเมก้าอย่างเขา แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าโชคดีมากๆแล้วที่ได้มาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยๆก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ถึงแม้จะเป็นตัวทดลองก็เถอะ…

แล้วถ้าเกิดจบการทดลองล่ะ คุณหมอคาเล็มจะทำยังไงกับเขาต่อ…

เสียงข้อความจากโทรศัพท์ของโอเมก้าหนุ่มดังขึ้นเรียกสติ ลาซารัสเปิดดูก็เห็นคุณหมอทักมาบอกให้รีบลงไปกินข้าวก่อนที่มื้อเย็นของเขาจะกลายเป็นอาหารเย็นของจูเลียตแทน ร่างโปร่งจึงเก็บความกังวลไว้ในใจแล้วรีบลงไปร่วมโต๊ะโดยเร็ว


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.3 - Up! (18/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 18-02-2017 11:38:57

“ปกติไม่ดูกีฬาเลยเหรอ”

“ไม่ครับ เอ่อ...แต่ก็พอเข้าใจกติกา”

“ว้า.. แย่จริง ฉันกะจะชวนดูรอบชิงเทนนิสรอบนี้หน่อย นี่ถ่ายทอดสดเลยนะ!”

วันนี้ริชาร์ดที่กำลังว่างมานั่งเล่นอยู่ในห้องทำงานชั่วคราวของโอเมก้าหนุ่มและกำลังนั่งลุ้นเทนนิสอย่างออกนอกหน้า ในขณะที่ลาซารัสกำลังแก้ชุดของเจ้านายอยู่.. ร่างโปร่งได้แต่สงสัยว่าเขาจะมาที่นี่ทำไม ถึงมีธุระก็คงไม่ใช่กับเขาแน่ๆ… หรือมาดักรอคุณหมอ? ก็ไม่มีเหตุผลให้เข้ามานั่งในนี้อีก.. เหงารึไง?

“ทำหน้าแปลกๆนะ ฉันกวนสมาธินายรึเปล่า” ริชาร์ดหันมาถามทั้งที่ในมือยังหยิบคุ้กกี้เข้าปากอยู่เรื่อยๆ

“ไม่ครับ ปกติทำงานในร้านก็เปิดนู่นนั่นนี่ดูไปด้วยอยู่แล้ว” บรรยากาศที่ไม่เงียบเหงาเกินไปช่วยทำให้ชายหนุ่มไม่ง่วงหงาวจนแอบหลับไป “ก็อยากพาเด็กๆเข้ามาเล่นเป็นเพื่อนนะครับ แต่กลัวจะทำข้าวของเละเทะ..”

“พูดถึงลูกหมาพวกนั้น มีตัวนึงที่ตามฉันแจเลยล่ะ ชื่อ สก็อต มั้ง” ผู้ครองตำแหน่งซีอีโอทำตัวตามสบายและเริ่มพูดถึงเรื่องรอบตัวมาตลอดตั้งแต่โผล่มาที่นี่ ทำให้ลาซารัสไม่เกร็งมากเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกๆแล้ว “นายว่ามันจะชอบฉันมั้ย!?”

“สก็อตน่ะเหรอ สงสัยจะอย่างนั้นมั้งครับ” เจ้าของฟาร์มสุนัขขนาดย่อมนึกถึงเจ้าขนปุยพันธุ์สปิตสีขาวทั้งตัวที่มักจะชอบแยกตัวจากกลุ่มบ่อยๆ แม้จะไม่ได้ป่วยอะไรก็ตาม “ปกติไม่ตามใครแท้ๆ แปลกจัง..”

ทั้งอัลฟ่าที่กินยาต้านฟีโรโมนและลดการได้กลิ่นมาและโอเมก้าที่ใสซื่อไร้การระวังตัวกำลังพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองราวกับเรื่องของไทป์ที่แตกต่างนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่

“จะว่าไปแล้ว คุณริชาร์ดกับคุณหมอรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?” ร่างโปร่งเปลี่ยนไปชวนเพื่อนสนิทของคุณหมออัลฟ่าคุยเรื่องของทั้งคู่แทน เพราะแอบสนใจว่าคุณหมอที่น่าจะมีเพื่อนเป็นคนวงการเดียวกันทำไมถึงไปรู้จักกับซีอีโออย่างริชาร์ดได้

“อืม...รู้จักกันตอนไหนงั้นเหรอ?” ริชาร์ดนั่งนึกไปถึงครั้งแรกตอนที่เขาได้เจอกับคาเล็ม “ในงานศพน่ะ”

“อ่ะ หา!?” มือที่ถือกรรไกรซึ่งกำลังตัดทรงกางเกงสูทอยู่ถึงกับชะงัก ไหงสถานที่พบเจอกันครั้งแรกของคนทั้งคู่ถึงเป็นงานไม่มงคลซะงั้นล่ะ…

“รู้มั้ยลาซัส ฉันน่ะเกิดมาจากโอเมก้าที่เป็นผู้ชายล่ะ แถมเค้ายังอายุไม่ถึงสิบหกปีด้วยตอนที่คลอดฉันออกมา” ริชาร์ดเกริ่นเรื่องของตนก่อน “และหลังจากที่ฉันเกิดมา คนที่ให้กำเนิดฉันก็มีร่างกายที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในโรงพยาบาลมาตลอดเลยล่ะ”

ลาซารัสเผลอหยุดมือเพราะตัวเขาเริ่มสนใจอยากฟังประเด็นที่ริชาร์ดกำลังเล่า การที่โอเมก้าชายจะคลอดเด็กทารกสักคนออกมาแล้วปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่ยากมาก ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งมีความเสี่ยง โอเมก้าชายมักจะต้องผ่าคลอดไม่เหมือนกับโอเมก้าผู้หญิงที่คลอดตามธรรมชาติได้ง่ายกว่า

“ตัวฉันเองก็ไม่ค่อยจะได้เจอคนๆนั้นบ่อยนัก เพราะพ่อมักจะกันฉันให้อยู่ห่างๆ จะอนุญาตให้เจอกันก็แค่ปีละครั้งในวันเกิดของฉันเท่านั้น ฉันเฝ้าตั้งตารอใจจดใจจ่อทุกๆปีให้ถึงวันเกิดตัวเองเร็วๆ” สีหน้าของคนที่มักพูดคุยอย่างสนุกสนานเวลานี้กลับสงบนิ่ง “แต่แล้วในวันเกิดปีที่สิบสอง ฉันก็ถูกห้ามไม่ให้เจอคนๆนั้นอีกเป็นอันขาด ฉันถูกพ่อส่งไปเรียนเมืองนอกที่เป็นโรงเรียนประจำไม่ได้กลับมาที่บ้านหลายปี วันที่ฉันได้รับอนุญาตให้กลับมาก็คือวันที่จัดพิธีศพของคนๆนั้น...และเป็นวันเกิดปีที่สิบเจ็ดของฉัน”

“คุณริชาร์ดครับ ไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้...” ลาซารัสเห็นดวงตาของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความเหงาและเศร้าในเวลาเดียวกัน แต่ริชาร์ดก็ขอเล่าต่อให้จบเพราะตั้งแต่ตรงนี้ไปคือจุดเริ่มต้นการพบกันของเขากับคาเล็ม

“ในงานนั้นมีแต่พวกญาติสนิทกับแขกไม่กี่คนที่รู้จักกัน ทุกคนต่างมาแสดงความเสียใจกับฉัน แต่ฉันแทบจะไม่ได้พูดคุยกับใครเลย ฉันช็อคจนไม่สามารถแสดงความเศร้าหรือแม้แต่จะร้องไห้ออกมา ตอนนั้นเองที่มีผู้ชายใส่แว่นที่อายุมากกว่าเกือบสิบปีมานั่งข้างๆฉัน”

“คนๆนั้นคือ คุณหมอคาเล็มใช่มั้ยครับ…” โอเมก้าหนุ่มคาดเดา ริชาร์ดพยักหน้าแทนคำตอบ

“หมอนั่นพูดกับฉันตอนที่เจอกันครั้งแรกว่าไงรู้มั้ย?” เจ้าของคำถามหันหน้ามาและยิ้มก่อนจะเฉลยทันที “สุขสันต์วันเกิดอายุครบสิบเจ็ดปี ริชาร์ด เบอร์ตั้น”

ดวงตาสีฟ้าอ้าปากค้าง ริชาร์ดหัวเราะลั่นเพราะโอเมก้าหนุ่มทำหน้าตกตะลึงได้ฮามาก

“ฉันแทบจะประเคนหมัดใส่หน้าไอ้บ้านั่นสักสองสามหมัดที่มาพูดอวยพรไม่ดูกาลเทศะ ยังดีที่มีกรรมการห้ามมวยทัน แล้วหมอนั่นก็เอากล่องของขวัญมายัดใส่มือฉันตั้งห้าหกกล่องแน่ะ!”

ร่างโปร่งช็อคจนนิ่งค้างไม่ต่างจากหุ่นลองเสื้อที่อยู่ในห้อง ริชาร์ดเลยต้องลุกไปเขย่าตัวให้โอเมก้าหนุ่มได้สติกลับคืนมา

“ตอนแรกฉันเองก็โกรธมากเหมือนกัน แต่ตอนหลังฉันก็มารู้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นของขวัญวันเกิดตลอดห้าปีที่ผ่านมาซึ่งคนๆนั้นรอวันที่จะมอบให้กับฉันทุกๆปี” ซีอีโอหนุ่มพาร่างโปร่งมานั่งที่โซฟาแล้วเล่าต่อว่าของขวัญทั้งหมดนั่นเค้าได้ฝากมันไว้กับคาเล็ม หมอเจ้าของไข้ที่คอยดูแลคนๆนั้นมาตลอดนับตั้งแต่เข้ามาทำงานที่โรงพยาบาล

หลังงานศพผ่านไป ริชาร์ดได้ยินมาจากญาติๆฝั่งพ่อที่เล่าให้ฟังว่าถ้าไม่ได้คาเล็มคอยดูแลล่ะก็คนๆนั้นคงจะตายไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว และทั้งๆที่ควรจะหมดหวังเพราะไม่สามารถเจอหน้ากันได้ แต่คาเล็มก็คอยให้กำลังใจอยู่เสมอว่าจะช่วยรักษาให้อาการดีขึ้น แล้วสักวันจะพาไปให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันอีก แต่ร่างกายของคนๆนั้นก็อดทนมาได้แค่นี้ พร้อมกับฝากให้คาเล็มมาอวยพรวันเกิดให้แทนตัวเองที่ไม่อยู่แล้ว

“เรื่องที่ฉันได้มาเจอกับคาเล็มก็เป็นอย่างที่เล่าไปนั่นล่ะ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเจ้านั่นก็ลาออกจากโรงพยาบาลไปทำวิจัยคนเดียว ส่วนฉันหลังจากเรียนจบก็กลับมาช่วยบริหารงานที่บริษัทต่อจากพ่อทันที จะเรียกว่าช่วยงานก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอก แบบว่าฉันยึดบริษัทของพ่อมาเป็นของตัวเองเลยน่ะนะ” อัลฟ่าหนุ่มเล่าไปหัวเราะไป จากตอนแรกที่สงสารริชาร์ดจับใจ มาตอนนี้ลาซารัสนั่งห่อตัวลีบขณะที่ฟังอีกฝ่ายสาธยายว่าใช้วิธีไหนในการยึดอำนาจจากพ่อตัวเองมาได้

คุณหมอเค้า..เป็นคนใจดีจริงๆด้วย.. ร่างเล็กแอบยิ้มอยู่เงียบๆในขณะที่ริชาร์ดเริ่มกลับไปสนใจเกมการแข่งต่อเพราะกำลังแข่งกันดุเดือด อีกเพียงไม่กี่แต้มก็สามารถตัดสินได้ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

“อ่ะ ขอโทษทีๆ ดันยึดนายไว้ตรงนี้ซะได้” อัลฟ่าปล่อยมือจากลาซารัสเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าตนกอดคออีกฝ่ายไว้นานเสียจนจะไม่ได้ทำงานเอา “ถ้ากีฬาไม่สนุกอยากดูอะไรมั้ยล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมฟังได้ ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะครับ” โอเมก้าหนุ่มผุดลุกขึ้นมาแก้ชุดของเจ้านายต่อ

เหตุการณ์ทั้งหมดถูกคุณหมอแอบมองผ่านช่องประตูอยู่เงียบๆสลับกับมองมือถือของตนเป็นระยะ โอเมก้าในครอบครองของเขาดูจะไม่มีอาการอะไรเป็นพิเศษ วันนี้จึงไม่ได้อะไรกลับไปเท่าไหร่ คาเล็มเดินกลับไปห้องของตนแล้วจัดการทำงานต่อ...อย่างสบายใจ..

ความรู้สึกโล่งใจนี่มันอะไร?..


“หา...ไม่ต้องฉีดน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมน?” เมื่อลาซารัสลงไปเตรียมข้าวเย็นช่วยเรนเดล หมอก็รีบมาบอกภารกิจต่อไปให้เพื่อนรักทันที

“ใช่ แต่กินยาต้านอาการฮีทไว้เหมือนเดิมนะ”

“...เดี๋ยว ครั้งก่อนๆฉันไม่สนใจหรอกว่านายต้องการให้ทำอะไร แต่คราวนี้ฉันไม่โอเคจริงๆว่ะ นายอยากทำอะไรกันแน่วะ” ริชาร์ดกอดอกมองเพื่อนอย่างเอาเรื่อง “ไม่เชื่อใจเจ้าหนูนั่นเหรอ?”

“เปล่า แต่ถ้าฉันจะพาลาซารัสไปงานด้วยจริง… หมอนั่นจะต้องอยู่ท่ามกลางดงอัลฟ่าเกือบร้อยคน ถ้าแค่กลิ่นฟีโรโมนของนายคนเดียวยังทนไม่ไหว ฉันก็ไม่เสี่ยงพาไปด้วยหรอก” คาเล็มนั่งเท้าคางกับโซฟาแล้วกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยอย่างไม่รู้จะดูอะไร

“....ก็ถูกของนาย..” เพื่อนรักของคุณหมอเกาหัว ถึงจะกินยาต้านอาการฮีท แต่ถ้ายังหลงระเริงกับกลิ่นฟีโรโมนได้ยังไงฟีโรโมนของโอเมก้าหนุ่มคนนั้นก็จะยังแปรปรวนจนสัมผัสได้อยู่ดี..

“มาอีกทีวันไหน”

“โห.. คงอีกสามสี่วันเลยล่ะ มีงานนิดหน่อย แต่คิดว่าเคลียร์ได้” อีกเพียงสองอาทิตย์ก็ถึงงานวันแต่งของคนในครอบครัวที่คุณหมอไม่ค่อยจะอยากเจอหน้าเท่าใดนัก

“คุณหมอคุณริชาร์ดครับ อาหารเย็นได้แล้วคร้บ” ลาซารัสเคาะประตูเรียกทั้งคู่และเปิดเข้ามาหา

“เดี๋ยวไป” คาเล็มโบกมือให้เหมือนจะรีบไล่ให้ออกไปก่อน

“ครับผม”

“....ปกตินายไม่เย็นชาใส่พวกโอเมก้าขนาดนี้นะ คนอื่นๆนายก็ทำตัวปกติ.. มีอะไรงั้นรึ?” ริชาร์ดขยับเข้ามากระซิบถามเมื่อโอเมก้าของเพื่อนรักเดินหายไปแล้ว

“มีเรื่องนิดหน่อย” เสียงทุ้มตอบเบาแต่ยังดังพอให้ได้ยินกันสองคน “หมอนั่นดันเกิดฮีทขึ้นมาตอนที่ฉันไม่ทันระวังตัว เกือบจะพลาดท่าด้วยกันทั้งคู่”

“แหม่! น่าเสียดาย นึกว่างานนี้จะได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้คุณหมอคาเล็มกับเค้าแล้ว” ริชาร์ดวิ่งหลบเท้าเพื่อนรักแล้วหนีไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว ครั้งนี้จัดเซอร์วิสให้ด้วยการไปนั่งกินข้าวข้างๆลาซารัส แถมยังคอยตักอาหารใส่จานให้อีกฝ่ายอย่างดีอีก นี่ถ้าป้อนใส่ปากด้วยได้คงทำให้ไปแล้ว

“มากไปแล้วริชาร์ด” เสียงทุ้มติงกับการกระทำที่ ‘เยอะไป’ ของอีกฝ่าย

“คนนี้หวงก็บอกสิครับคุณคาเล็มมม” อัลฟ่าเพื่อนรักโยกหัวหลบมีดที่จ้องจะจิ้มเสียบตนแทนสเต็กเนื้อสันที่เป็นมื้อเย็นวันนี้ ลาซารัสที่คิดว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งแหย่คุณหมอเล่นก็ได้แต่หัวเราะตามน้ำไป

หลังอิ่มหนำสำราญจากมื้ออาหาร ริชาร์ดก็โบกมือลาพร้อมกับยกมือถือหันไปหาลาซารัสคล้ายๆจะบอกว่าไว้คุยกันต่อคืนนี้ โอเมก้าหนุ่มที่แสนซื่อก็โบกมือยิ้มให้โดยที่ไม่ได้รู้สึกถึงรังสีมาคุเบาๆ ที่แผ่อยู่ข้างหลังตน

“สนิทสนมกันดีนะ เริ่มชอบหมอนั่นขึ้นมาแล้วรึไง?”

“ครับ ก็คุณริชาร์ดคุยด้วยสนุกดีออก ทั้งยังเล่าอะไรๆให้ผมฟังตั้งเยอะ” โอเมก้าหนุ่มไม่ได้ขยายความคำพูดว่าเรื่องอะไรๆ ที่ว่านั้นก็คือเรื่องตัวของคุณหมออัลฟ่าเอง ทำเอาคาเล็มคิ้วกระตุกไปนิดหนึ่ง

“เข้าบ้านได้แล้ว ล็อคประตูด้วย” อัลฟ่าสูงวัยสั่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปนั่งทำงานต่อแต่ก็ไม่มีสมาธิเท่าไหร่นัก

เสร็จงานนี้เมื่อไหร่ คุณหมออัลฟ่าคงจะได้รวบยอดเตะก้นเพื่อนรักเป็นสิบประตูแน่นอน โทษฐานที่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งโดยไม่บอก...


“คุณหมอเค้าดูหงุดหงิดจัง หรือเพราะเครียดจากงานนะ ไหนจะคุณริชาร์ดชอบบุกมาหาอีก” ลาซารัสเปรยให้เรนเดลฟังราวกับขอความเห็นระหว่างที่ช่วยล้างจานชามด้วยกัน 

“คุณริชาร์ดไม่ค่อยมาบ่อยเท่าไหร่ มาติดๆกันแบบนี้กระผมก็สงสัย” เรนเดลตั้งแง่แต่ก็ไม่ได้รังเกียจที่บ้านคึกครื้นขึ้นแต่อย่างใด

“อาจจะเป็นห่วงคุณหมอก็ได้...หลายวันมานี้เก็บตัวมากๆเลยครับ นอกจากทานข้าวแล้วผมแทบไม่ได้เจอหน้าเขาเลย” ลาซารัสถอนหายใจ ตั้งแต่ฮีทกลางดึกวันนั้นคาเล็มก็แทบจะหลบหน้าเขาทุกเวลา ทำเอาโอเมก้าหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นไปอีก..

“...ไม่ต้องห่วงหรอกครับ นายน้อยคงไม่ได้เป็นอะไรหรอก ก็บ้าทำงานเป็นช่วงๆแบบนี้แหละครับ” เห็นเด็กหนุ่มข้างๆซึมไปก็ได้แต่พูดปลอบ เมื่อทั้งคู่ล้างจานจนเสร็จและทำการเก็บข้าวของจนเรียบร้อย ลาซารัสก็เดินไปเช็คว่าเจ้าพวกตัวเล็กทั้งหลายอยู่สบายดีไหม

“เอ๋?” ลาซารัสชะงักเมื่อเห็นว่ามีสุนัขตัวหนึ่งนอนกอดของเล่นที่ริชาร์ดซื้อมาฝากฝูงสุนัขของเขา สก็อตนอนกอดไว้ราวกับหวงของๆมันจากตัวอื่นๆอย่างไรอย่างนั้น “แกคิดถึงคุณริชาร์ดเหรอ?”

ร่างโปร่งจึงจัดแจงถ่ายรูปมันหลายต่อหลายรูปแล้วส่งให้ริชาร์ดดูความน่าเอ็นดูของมัน โดยทั้งหมดนี้ถูกแอบมองจากคุณหมอที่ไม่มีสมาธิทำงานจนต้องมายืนสูบบุหรี่ตรงหน้าต่างห้องทำงานตน คาเล็มมองลงไปยังคนในการดูแลที่ทำตัวร่าเริงเป็นปกติเหมือนเมื่อครั้งมาอยู่ใหม่ๆ ...ซึ่งตอนนี้เขาเริ่มอิจฉาริชาร์ดเบาๆที่ลาซารัสอยู่ด้วยได้โดยไม่เกร็งเหมือนตอนอยู่กับตนเอง…

เดี๋ยวก่อนนะ...แล้วทำไมเขาต้องอิจฉาด้วย…?

“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว…” มือหนาขยี้บุหรี่ในมือทิ้งแล้วเดินไปอาบน้ำให้หัวสมองโล่งผ่อนคลายมากกว่านี้ ในเมื่อริชาร์ดไม่ว่างในช่วงนี้เขาเองก็ต้องคิดวิธีทดสอบให้ลาซารัสคุ้นเคยกับการอยู่ต่อหน้าฝูงชนเท่าที่จะทำได้ แต่ครั้นจะพาออกไปข้างนอกก็อาจจะทำให้งานของอีกฝ่ายล่าช้าลงไปอีก แล้วจะทำยังไงต่อดีนะ…



TBC.





*****************************************************************************************


หลังๆมานี้ชักเริ่มจะอวยริชมากกว่าหมอแล้ว เปลี่ยนพระเอกตอนนี้ทันมั้ย-----//โดนหมอเตะ  :z6:

สงสัยต้องลองทำแท็ค #ทีมหมอ #ทีมริช ซะแล้ว ขอเสียงโหวตลุงๆอัลฟ่าหน่อยค่----- //โดนหมอเตะตัดขา
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.3 - Up! (18/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 18-02-2017 15:30:40
เรายังโลเลอยู่เลยเลือกมะได้ ขอฮาเร็มได้ไหม55555
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.4 - Up! (19/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 19-02-2017 13:36:23

บทที่ 4



“ทำยังไงดีครับคุณหมอ วันนี้สก็อตก็ไม่ยอมกินอาหารอีกแล้ว” ลาซารัสอุ้มเจ้าตัวเล็กขนปุยสีขาวที่เอาแต่ร้องหงิงๆไม่ยอมไปวิ่งเล่นเหมือนตัวอื่นๆ ซ้ำยังไม่ยอมกินอะไรมาเกือบสองวันแล้วมาหาหมอคาเล็ม

คุณหมออัลฟ่าเกาหัวอย่างจนปัญญา เรื่องอาการป่วยของสัตว์เลี้ยงมันเกินกว่าวิชาชีพของเขาที่เน้นรักษาคนมากกว่าสัตว์จะหาสาเหตุของลูกหมาตัวนี้ได้

“ลาซารัส วันนี้นายพอจะว่างรึเปล่า?” อัลฟ่าผู้เป็นเจ้านายถามโอเมก้าในความดูแลของตน

“ครับ ชุดที่แก้ก็ใกล้เสร็จแล้วด้วย ทำไมเหรอครับ?”

“ไปเปลี่ยนชุดแล้วเอาเจ้าตัวนี้ใส่กระเป๋า เดี๋ยวจะพาไปให้หมอดูอาการที่โรงพยาบาลสัตว์”

“เอ๊ะ? จะไปยังไงเหรอครับ ที่นี่ไม่มีรถนี่ครับ” โอเมก้าหนุ่มทัก คาเล็มก็ทำท่าเหมือนเพิ่งจะนึกออก

“จริงสิ รถที่ส่งเข้าศูนย์ไปตั้งแต่เดือนที่แล้วก็ยังซ่อมไม่เสร็จเลย” ดวงตาหลังกรอบแว่นสบถพลางยกมือถือขึ้นมา “งั้นเดี๋ยวฉันโทรตามริชาร์ดก่อน แต่เวลานี้หมอนั่นน่าจะยุ่งอยู่นะ”

“มีครับ” พ่อบ้านสูงวัยโผล่หน้ามาหลังจากได้ยินบทสนทนาและยิ้มกว้างให้ทั้งสองคน “มีรถเก่าที่กระผมไม่ได้ใช้อยู่คันหนึ่ง จะยืมไปใช้ก่อนก็ได้นะครับ”

“เฮ้ๆ รถนั่นนายหวงมากไม่ใช่เรอะ เดี๋ยวฉันติดต่อให้ริชาร์ดส่งรถมารับก็ได้” คาเล็มกล่าวเพราะรู้ว่ามันเป็นรถที่พ่อบ้านทั้งรักทั้งหวงเหมือนลูกชายคนหนึ่ง

“เอาไปใช้เถอะครับ จอดทิ้งไว้ก็น่าเสียดายเปล่าๆ”

ชายชราเดินนำทั้งสองคนและลูกหมาหนึ่งตัวที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าไปที่โรงจอดรถก่อนจะก้มลงไขกุญแจ แล้วขอแรงให้ลาซารัสช่วยยกประตูขึ้น

“ว้าวววววว เท่สุดๆไปเลยครับ!” ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายวาววับจ้องบิ๊กไบค์คลาสสิคสีดำในโรงจอดรถไม่วางตา คาเล็มหันมามองพ่อบ้านที่ดูจะยืดอกภูมิใจที่ได้อวดเจ้าลูกชายที่อุตส่าห์ถนอมมาอย่างดี

“ขับดีๆนะครับนายน้อย อย่าให้มีรอยขีดข่วนกลับมาเลยเชียวนะครับ” พ่อบ้านสูงวัยส่งกุญแจรถให้พร้อมกับย้ำคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“...อืม จะรักษาเท่าชีวิตเลย” แม้ปกติเรนเดลจะนอบน้อมกับเขาเสมอ แต่พอเป็นเรื่องรถล่ะก็จะแทบจะเปลี่ยนอารมณ์เป็นคนละคน

แน่นอนว่าก่อนจะออกไปข้างนอกลาซารัสโดนกำชับให้กินยาระงับอาการฮีทไว้เผื่อว่าจะต้องไปเจอเข้ากับอัลฟ่าคนอื่นๆ แม้ปริมาณเบต้าจะมีมากกว่าก็ตาม.. แถมยังโดนสั่งไม่ให้เดินห่างจากตัวเขาอีก

“เกาะดีๆนะ” เจ้านายสั่งให้คนในครอบครองที่ซ้อนท้ายตนหาที่เกาะให้ดี แต่ลาซารัสมองยังไงก็มีแต่ต้องเกาะเอวอีกคนเท่านั้นนี่นา… แถมเพราะเป็นรุ่นเก่า เบาะที่นั่งก็ไม่กว้างมาก ทำให้ต้องนั่งชิดกับตัวร่างสูงแทบจะแนบสนิท

“....ครับ” ลาซารัสเอากระเป๋าใส่สก็อตวางไว้ระหว่างเขาและคุณหมอเพื่อกันไม่ให้มันร่วงลงไปและจับเสื้ออีกฝ่ายไว้แทนที่จะโอบไปเต็มๆ.. คุณหมอคงไม่ขับเร็วมากหรอกมั้ง..


เร็วสุดๆเลยต่างหาก!

ทีแรกกะว่าจะแค่จับเสื้อร่างสูงไว้ แต่ตอนนี้เขาก้มลงกอดเอวคาเล็มไว้แน่นเพราะกลัวจะร่วงตกจากบิ๊กไบค์ที่ขับเข้าเมืองด้วยความรวดเร็ว ความจริงก็ไม่ได้เร็วจนเวอร์หรือผิดกฎหมายอะไร แต่ลาซารัสไม่เคยขี่หรือซ้อนใครมาก่อน มันก็เลยค่อนข้างจะเร็วมากๆสำหรับเขา… เมื่อขับมาจนถึงเขตเมืองหมอก็ลดความเร็วลงจนอีกฝ่ายเริ่มที่จะไม่กลัวแล้ว..

อุ่นจัง.. พอความกลัวค่อยๆหายไป ลาซารัสก็เริ่มรู้สึกถึงตัวตนของคนที่เกาะอยู่ กล้ามเนื้อแน่นที่สัมผัสได้แม้จะใส่เสื้อปกปิดอยู่สองสามชั้นก็ชวนรู้สึกเคลิ้มยังไงไม่รู้

“จะกอดอีกนานมั้ย?” คาเล็มหันมาถามเมื่อทั้งคู่จอดติดไฟแดงอยู่

“ว้ากกก! ขอโทษครับ” ร่างโปร่งเด้งตัวออกจากอีกคนรวดเร็วและเปลี่ยนมากอดกระเป๋าที่มีสก็อตอยู่ข้างในไว้แทน หมอคาเล็มแอบหยิบมือถือของตัวเองออกมาดูเพราะรู้สึกว่ามันสั่นมาสักพัก ระดับชีพจรของโอเมก้าด้านหลังเขาพุ่งขึ้นเรื่อยๆจนถึงเมื่อครู่และยังคงที่ในตอนนี้ ทำเอาหมอต้องถอนหายใจ..

คาเล็มมาหยุดที่ศูนย์รักษาสัตว์เลี้ยงศูนย์หนึ่งซึ่งไม่ได้เข้าไปใกล้ศูนย์กลางเมืองมากนัก ลาซารัสเดินตามหมอเข้าไปและรอให้เขาคุยกันจนเรียบร้อยจึงพาสก็อตเข้าไปตรวจ..ทว่า เจ้าตัวน้อยกลับไม่ยอมให้สัตวแพทย์จับตัวง่ายๆ คอยแต่จะวิ่งกลับเข้ากระเป๋าทุกครั้ง

“ไม่เอาน่าสก็อต คุณหมอเค้าไม่ทำร้ายนายหรอก” แม้ร่างโปร่งจะปลอบจะลูบมันเท่าไหร่ สก็อตก็ไม่มีทีท่าจะยอมให้หมอตรวจเลยสักนิด คาเล็มที่ยืนมองเหตุการณ์ห่างๆก็เดินไปหยิบกระเป๋าออกมาเพื่อไม่ให้สุนัขตัวน้อยมีที่หนี ทว่าพอทำแบบนั้นสก็อตยิ่งครางร้องเสียงดังจนผิดปกติ

“เอ...ไม่ทราบว่าในกระเป๋ามีอะไรอยู่รึเปล่าครับ” สัตวแพทย์เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น

“...เจ้านี่รึ?” ร่างสูงหยิบของเล่นที่ริชาร์ดซื้อให้ออกมาจากกระเป๋า สก็อตคาบมันมาด้วยตอนที่ลาซารัสอุ้มมันใส่กระเป๋ามา

“ขอผมหน่อยครับ” คุณหมอผู้หาทางสยบเจ้าขนปุยก็หยิบของเล่นชิ้นนั้นมาและลองทำการล่อสก็อตให้ไปหา และได้ผล มันรีบปรี่ไปหาคุณหมอทันที เมื่อหยอกล้อเล่นกับมันสักครู่มันจึงยอมสงบลงทั้งที่ยังยืนคร่อมของเล่นไว้เหมือนจะไม่ยอมให้ห่างตัว “ของชิ้นนี้พวกคุณซื้อให้มันรึเปล่าครับ?”

“ไม่ใช่ครับ คนอื่นเอาให้น่ะ”

“อ๋อ งั้นผมคิดว่ามันก็คงแค่คิดถึงคนนั้นเฉยๆน่ะครับ ลองตรวจดูแล้วไม่มีความผิดปกติอะไรเลย.. แต่ว่าถ้าไม่ยอมกินข้าวแบบนี้คงมีปัญหาแน่ๆ”

“คุณริชาร์ดจะมาอีกทีวันไหนเหรอครับ?” ลาซารัสหันไปถามเจ้านายตนอย่างเป็นห่วงสุขภาพของเจ้าตัวเล็ก

“อีกสองวันน่ะ..”

“งี้กว่าสก็อตจะยอมกินข้าว… เดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี” ร่างโปร่งอุ้มเจ้าตัวน้อยไปใส่ไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิมและเดินตามคาเล็มออกมาจากศูนย์ ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ที่รถและกำลังครุ่นคิดว่าจะเอายังไงต่อดี ในที่สุดคุณหมออัลฟ่าก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์คนที่คุ้นเคยแล้วกรอกเสียงลงไป

“ฉันเอง เออ เดี๋ยวจะแวะไปที่บริษัทของแกหน่อย” อัลฟ่าสูงวัยคุยกับเพื่อนอีกสองสามประโยคก่อนกดวางสายแล้วหันมาบอกโอเมก้าข้างตัว “ขึ้นรถ”

“จะไปหาคุณริชาร์ดจริงๆเหรอครับ” ลาซารัสรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องรบกวนคุณหมอคนเดียวไม่พอนี่ยังลามไปถึงเพื่อนสนิทของเจ้าตัวด้วย

“ก็มันไม่มีวิธีอื่นแล้วนี่นา” คาเล็มยื่นหมวกกันน็อคให้ลาซารัสและก็สวมให้ตัวเอง ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไปยังเส้นทางที่มุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางเมืองใหญ่

ทางด้านริชาร์ดที่กำลังงงหลังจากที่เพื่อนวางสายไปก็ได้แต่พึมพำกับตัวเองว่าสงสัยวันนี้หิมะคงจะตก อัลฟ่าผู้ชอบเก็บตัวคนนั้นถึงได้ยอมก้าวเท้าออกจากบ้านมาหาเขาด้วยตัวเอง ทั้งที่ปกติไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็มักจะเป็นคนเรียกให้เขาต้องถ่อไปหาเองเสมอ แต่วันนี้มาแปลกจริงๆ...

ซีอีโอหนุ่มหันไปสั่งเลขาฯหน้าห้องว่าหากมีคนชื่อคาเล็ม รอสเกรย์ติดต่อมาให้อนุญาตเข้าพบได้ทันที ก่อนจะหันไปจ้องตัวเลขที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์และเซ็นเอกสารที่ทำค้างไว้ต่อ


“ใหญ่…ไม่สิ สูงโคตร!” เสียงของโอเมก้าหนุ่มติดจะสั่นเล็กๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังตึกสูงที่คำนวนคร่าวๆ ด้วยสายตาแล้วคงสูงมากกว่าร้อยชั้นเป็นแน่ นี่มันแค่บริษัทแน่เหรอเนี่ย!

“ที่นี่มีทั้งศูนย์การประชุม อาคารสำนักงานระดับสูง พื้นที่ค้าปลีก และโรงแรม เฉพาะเงินลงทุนสร้างอาคารทั้งหมดก็เกือบสองหมื่นล้านเข้าไปแล้ว” คุณหมออัลฟ่าแจกแจงรายละเอียดของตึกระฟ้าตรงหน้าให้โอเมก้าหนุ่มฟัง “เป็นไง ชักเริ่มสนใจอยากเป็นคู่ให้เจ้าริชาร์ดมันรึยังล่ะ”

“ยะ อย่าล้อเล่นสิครับคุณหมอ ผมไม่เคยคิดกับคุณริชาร์ดเค้าแบบนั้นเลยนะครับ” ร่างโปร่งกอดกระเป๋าสุนัขไว้กับตัวแน่น รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางมากๆ นี่ถ้าไม่เห็นมากับตาจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดเลยว่าคุณหมอรู้จักกับคนรวยล้นฟ้าขนาดนี้

“จะเข้าไปล่ะนะ” ร่างสูงก้าวเท้ากำลังจะเดินเข้าไปแต่ลาซารัสดึงชายเสื้ออีกฝ่ายรั้งไว้ก่อน

“ดะ เดี๋ยวสิครับ เค้าจะให้พวกเราเข้าไปได้จริงๆเหรอ” ร่างโปร่งมองไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่จ้องหน้าเข้มมาที่พวกเขาสองคนซึ่งแต่งตัวไม่เข้ากับสถานที่แห่งนี้เอามากๆ

แต่ไม่ทันที่คาเล็มจะตอบอะไรก็เปลี่ยนไปคว้าข้อมือของร่างโปร่งแล้วลากเข้าไปในตึกทั้งอย่างนั้น จากที่ประหม่าเพราะสถานที่กลายเป็นว่าโดนดึงความสนใจไปที่มือที่โดนกุมอยู่จนหมด.. แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าไปลาซารัสก็สะดุ้งทันที เพราะกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าหลายกลิ่นพุ่งเข้าปะทะประสาทสัมผัสจนเขาเริ่มใจสั่น.. ร่างโปร่งเดินตามเจ้านายของตนแทบจะตัวติดกันเพราะรับรู้ได้ว่าโดนจ้องมองจากสายตาหลากหลายคู่

เมื่อคาเล็มเดินไปแจ้งว่ามีธุระกับใคร สายตาของประชาสัมพันธ์ก็เปลี่ยนไปทันที คนที่นั่งอยู่กระวีกระวาดโทรติดต่อหลายต่อหลายคนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีพนักงานหญิงสาวสวยเดินออกมารับทั้งคู่ไปที่ลิฟต์

“...ไหวมั้ย?” คาเล็มกระซิบถามโอเมก้าข้างๆตนเมื่อเห็นว่าลาซารัสก้มหน้างุดและเกาะแขนเขาไว้แน่นขณะที่อยู่ในลิฟต์กว้างที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรา

“เอ๊ะ? เอ่อ...ไหวครับ” ร่างโปร่งเงยหน้าตอบเจ้านายของตน ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลจนปกปิดไม่มิด คาเล็มเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น...แต่ไม่เท่าเมื่อครู่ที่เขาถูกกอดเอวไว้เมื่อตอนซ้อนบิ๊กไบค์อยู่.. ซึ่งดูผิดปกติจากค่าที่ควรจะเป็น เพราะโดนอัลฟ่าล้อมรอบแบบนี้ควรจะตื่นตัวมากกว่านี้แท้ๆ


“ไงๆ มาหาถึงนี่มีอะไรเร่งด่วนเหรอครับ” ริชาร์ดเดินมาต้อนรับถึงหน้าลิฟต์ เมื่อเลขาฯของเขาเห็นดังนั้นก็เลยขอตัวไปอีกทางเพราะหมดหน้าที่ของตนแล้ว

“สก็อตมันคิดถึงนาย..” คาเล็มตอบเสียงเรียบ ทำเอาคนได้ยินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

“ห้ะ? นายเลยพามันมาหาฉัน?” เพื่อนรักปิดปากกลั้นขำที่คนตรงหน้ายอมทำเรื่องเสียเวลาขนาดนี้เพื่อน้องขนปุยตัวเดียว?

“คือ..มันไม่ยอมกินข้าวมาสองวันแล้วครับ ผมกลัวว่าถ้ารอให้คุณริชาร์ดไปหาเอง...มันจะเป็นอะไรไปซะก่อน” ลาซารัสยื่นกระเป๋าให้อัลฟ่าตรงหน้า ซึ่งพออยู่ใกล้กับคนที่อยากเจอขนาดนี้ สก็อตก็เริ่มร่าเริงขึ้นมาจากที่ก่อนหน้านี้มันซึมจนเหมือนกับจะป่วยแท้ๆ

“เห.. ขนาดนั้นเลยเหรอ” ริชาร์ดอุ้มเจ้าตัวเล็กสีขาวสะอาดขึ้นมากอดไว้ ท่าทางมันมีความสุขสุดๆที่ได้เจอกับเขา ทั้งหมดเลยเข้าไปที่ห้องทำงานของเขาแล้วจัดแจงเอาอาหารให้สก็อตกิน ซึ่งดูจะได้ผล สก็อตยอมกินอาหารแล้ว แถมทำท่าเหมือนโชว์ให้ริชาร์ดดูด้วยว่า ดูนี่สิ ฉันกินข้าวแล้วนะ..

“เก่งมากเจ้าหนู” อัลฟ่าผู้อยู่ในชุดสูททำงานเต็มยศนั่งลงกับพื้นเป็นเพื่อนสก็อตอย่างเป็นกันเอง ภาพตรงหน้าช่างน่ารักเสียจริง..

“คุณหมอครับ… ถ้าให้สก็อตอยู่กับคุณริชาร์ดเลยจะดีไหม”

“หือ? ...แล้วนายโอเคมั้ยล่ะ?” คาเล็มเหลือบตามามองปฎิกิริยาของอีกคน

“มันท่าทางมีความสุขดีน่ะครับ เลยคิดว่า ถ้าได้อยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วยคงจะดีกว่า” ลาซารัสหันมายิ้มให้อีกฝ่าย “ก็เศร้าที่ต้องจากกันนะ แต่ผมก็กลัวว่าเดี๋ยวสก็อตจะหงอยอีก”

“งั้นก็ไปบอกหมอนั่นละกัน” ร่างสูงหลบสายตาจากรอยยิ้มนั้นแล้วผลักไหล่อีกคนเบาๆให้เดินไปหาเพื่อนของตน ลาซารัสตกใจเล็กน้อยที่โดนดันตัวออกมาแต่ก็ตั้งตัวได้แล้วเดินไปหาซีอีโอหนุ่มที่นั่งอยู่ที่มุมห้อง

“คุณริชาร์ดครับ.. ถ้าจะฝากให้เลี้ยงสก็อตเลยจะได้มั้ยครับ?”

“....ฉันไม่เคยเลี้ยงสัตว์นะ.. แต่จะลองดูละกัน” อัลฟ่าหนุ่มตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองก็น่าตื่นเต้นดี “ชีวิตฉันจะยุ่งขึ้นอีกขนาดไหนน้า”

“ไม่หรอกครับ สก็อตน่ะเรียบร้อยจะตาย”

คาเล็มยืนมองโอเมก้าในครอบครองของตนยืนคุยกับเพื่อนรักอย่างเป็นกันเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามาหากะทันหันแบบนี้ ริชาร์ดไม่ได้กินหรือฉีดยาใดๆไว้แน่ๆ มือใหญ่ล้วงเอามือถือของตนขึ้นมาเช็ค ทว่า ลาซารัสไม่มีอาการที่เหมือนจะฮีทใดๆเลย มีเพียงใจเต้นผิดปกติเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ได้กลิ่นอัลฟ่าใกล้ขนาดนี้..

“คุณหมอมีธุรอะไรรึเปล่าครับ? เห็นหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยๆ” ร่างโปร่งหันมาเห็นคุณหมออัลฟ่ากำลังดูหน้าจอมือถือของตน

“ไม่มีอะไร แค่เช็คข่าวในบอร์ดน่ะ” นิ้วกดปุ่มเลื่อนไปยังเว็บบอร์ดที่เอาไว้ใช้กลบเรื่องงานที่ตนกำลังทดสอบอยู่ในขณะนี้

“มีข่าวเด่นประเด็นร้อนอะไรบ้างล่ะช่วงนี้” ริชาร์ดถามไปแบบไม่ได้คิดอะไรก็แค่ชวนคุยไปตามปกติ คาเล็มเลยต้องไล่สายตาเลือกมาสักข่าวเพื่อตอบกลับไป

“เพิ่งมีข่าวล่าสุดเมื่อชั่วโมงก่อน ช่างตัดเสื้อชื่อดังแห่งหนึ่งถูกจี้ชิงทรัพย์ยามวิกาลเมื่อคืนวานขณะเดินกลับบ้าน อาการบาดเจ็บสาหัสเพราะต่อสู้ขัดขืนคนร้าย แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายหลังได้พลเมืองดีพบเข้าและนำตัวส่งโรงพยาบาลในละแวกได้ทันท่วงที”
เมื่ออ่านข่าวจบดวงตาหลังกรอบแว่นก็เงยหน้าขึ้นมาพบว่าใบหน้าของโอเมก้าของตนซีดลง แต่ชีพจรกลับเต้นผิดจังหวะเพราะกำลังตื่นตระหนกกับข่าวที่ได้ยิน

“เรื่องเกิดขึ้นที่ไหนครับคุณหมอ?” ร่างโปร่งเดินมาหาด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่คาเล็มเก็บโทรศัพท์ตัวเองแล้วบอกให้ลาซารัสสงบสติตัวเองเอาไว้

“ใจเย็นๆก่อนลาซัส อาจจะไม่ใช่โอนเนอร์คนนั้นก็ได้” ริชาร์ดกล่าว แม้จะแปลกใจนิดๆ ที่โอเมก้าแสดงความเป็นห่วงมากกว่าจะรู้สึกยินดีกับข่าว ทั้งที่ผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนที่ขายเจ้าตัวให้กับตลาดมืดนั่นแท้ๆ

ลาซารัสสงบสติได้แล้วก็ยกมือถือของตนขึ้นมาเช็คข่าวย้อนหลังเอง เขาเปิดดูวีดีโอรายงานข่าวที่มีชื่อของเหยื่อในข่าวออกอากาศ แล้วมันก็ใช่อย่างที่โอเมก้าหนุ่มสังหรณ์ใจไว้

“เป็นโอนเนอร์ของผมเองจริงๆครับ”

“ให้ตายสิ โลกกลมชะมัด” ริชาร์ดแอบสบถเบาๆ ส่วนเจ้าลูกหมาก็เงยหน้ามองอีกฝ่ายคล้ายกับสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ขอบใจเรื่องสก็อตนะริชาร์ด พวกฉันขอตัวก่อนล่ะ” คุณหมออัลฟ่าตัดบทด้วยการขอตัวกลับก่อน ซีอีโอหนุ่มจึงแจ้งเลขาฯให้พาแขกของตนไปส่งหน้าตึก คาเล็มเรียกให้ลาซารัสเดินตามซึ่งร่างโปร่งนั้นยังดูเหม่อเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่
ตลอดเวลาที่ลงลิฟต์ไปจนถึงที่จอดรถ ลาซารัสเดินตามคุณหมออย่างเงียบๆ ซึ่งผิดปกติวิสัยเจ้าตัวอย่างมาก

“หิวรึเปล่า ไปหาอะไรกินแถวนี้มั้ย?” เสียงทุ้มถามออกไปแต่ใบหน้ามนส่ายหน้าแทนคำตอบ

เห็นสภาพแล้วคาเล็มก็ได้แต่พาคนตัวเล็กกว่ากลับบ้านไปทั้งอย่างนั้น ซึ่งเขาได้โทรไปบอกให้เรนเดลเตรียมข้าวเที่ยงให้เรียบร้อย ขากลับร่างสูงขับให้ช้าลงอีกนิดอย่างไม่อยากให้อีกคนรู้สึกแย่อะไรเพิ่มเติม

เมื่อกลับมาถึงบ้าน คาเล็มก็เอารถของพ่อบ้านไปจอดไว้ที่เดิมดั่งเช่นเมื่อตอนที่เอาออกมาและปิดล็อคโรงรถให้เรียบร้อย “อาหารคงใกล้จะได้แล้ว...หือ?”

มือของโอเมก้าหนุ่มดึงแขนเสื้อเจ้านายไว้ทั้งที่ยังคงก้มหน้านิ่ง แววตาแฝงความกังวลไว้ชัดเจน

“...อยากไปเยี่ยมเขารึเปล่า?”

“ไม่เป็นไรครับ” ลาซารัสส่ายหน้าเล็กน้อย “โอนเนอร์กำชับไว้ว่า.. ไม่ให้กลับไปหาเขาอีก..”

“...”

“คุณหมอ..”

“หือ?”

“ผมขอกอดหน่อยได้มั้ยครับ”

อัลฟ่าสูงวัยสะดุ้งเพราะคำขอเหนือคาดที่ไม่น่าออกมาจากปากคนขี้อายแบบนี้ได้ แต่เห็นสายตาเว้าวอนช้อนอ้อนมาแล้วทำเอาเขาปฎิเสธไม่ลง.. ร่างสูงหันหน้าไปหาแล้วผายมือให้น้อยๆแทนคำตอบ ก่อนจะโดนสวมกอดเสียเต็มรัก

“ผมเป็นห่วงโอนเนอร์…” เสียงอู้อี้เพราะอีกฝ่ายมุดหน้าลงกับอกเขา อ้อมแขนเล็กโอบกอดแน่นจนที่เขาโดนกอดตอนซ้อนบิ๊กไบค์นั้นเทียบไม่ได้ คาเล็มวางมือไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดีก็ได้แต่เพียงปล่อยให้โอเมก้าของตนอยู่แบบนั้น..

“เขาปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” มือหนาลูบไปบนเส้นผมสีน้ำตาลอย่างเบามือแทนการปลอบโยน “วันนี้นายไม่ต้องทำงานก็ได้ ไปพักผ่อนให้สบายเถอะ”

“ขออยู่แบบนี้อีกสักพักนะครับ ได้โปรด…” ไหล่ของร่างโปร่งสั่นระริก คาเล็มไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ยืนเป็นหลักให้อีกคนได้สวมกอดตนอยู่อย่างนั้น

พ่อบ้านที่เดินมาตามทั้งคู่ให้ไปทานอาหารเที่ยงกำลังจะเอ่ยทัก แต่คุณหมออัลฟ่ายกมือห้ามและชี้ให้เรนเดลกลับเข้าไปข้างในบ้านก่อน ชายชราจึงค้อมตัวรับและหลบออกไปเงียบๆ และแม้ว่าโทรศัพท์ของคาเล็มจะสั่นแรงแค่ไหนเจ้าตัวก็ไม่หยิบมันออกมาเช็คดู

เพราะ...ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องทดสอบ ‘เรื่องนั้น’ อีกแล้ว


หลังจากเดินกลับเข้ามาในบ้าน ลาซารัสขอแยกตัวไปนั่งทานอาหารกลางวันคนเดียวที่ห้องพักผ่อนซึ่งมีโทรทัศน์เครื่องใหญ่เพราะต้องการกดดูข่าวเผื่อว่าจะได้รู้อะไรเพิ่มเติม

“สก็อตล่ะครับนายน้อย?” เรนเดลสอบถามถึงเจ้าขนปุยสีขาวที่เจ้านายของตนออกพาไปพร้อมกับโอเมก้าหนุ่มที่ตั้งแต่กลับมาก็มีท่าทีแปลกไป “หรือว่าเจ้าสก็อตมันป่วยจริงๆหรือครับ คุณแมทเวย์ถึงได้เป็นแบบนั้น”

“เปล่า ฉันยกเจ้าหนูสก็อตให้ริชาร์ดไปแล้ว” คาเล็มใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจานของตนไปมา “แต่ที่ลาซารัสซึมไปนั่นเพราะคนที่เคยดูแลหมอนั่นเพิ่งถูกทำร้ายมา ตอนนี้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองที่เขาเคยอยู่”

พ่อบ้านพยักหน้าอย่างเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “สำหรับคุณแมทเวย์แล้วเขาคงเป็นเหมือนครอบครัวคนเดียวที่มีอยู่นั่นล่ะครับ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมายังไงก็คงต้องรู้สึกใจหายเป็นธรรมดา”

“เพราะปกติหมอนั่นก็ดูร่าเริงดี จนฉันเองก็ลืมไปสนิทว่าจริงๆแล้วเจ้านั่นอาจจะคิดถึงคนในครอบครัวของตัวเองก็ได้” คาเล็มถอนหายใจ “บอกตามตรงว่าความรู้สึกที่คิดถึงบ้านจับใจนั่นฉันเองก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนคนอื่น เลยอาจจะไม่เข้าใจลาซารัสตรงนี้ก็ได้”

“แต่ตอนนี้เขาก็เป็นสมาชิกของบ้านหลังนี้นี่ครับนายน้อย เขายังรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวอยู่อีกเหรอครับ?”

“ที่นายพูดนั่นก็ถูกเรนเดล แต่ว่า...เจ้าหนูนั่นคงยังไม่คิดว่าที่นี่เป็นบ้านจริงๆหรอก อีกอย่างฉันก็ปฏิบัติตัวกับเขาเหมือนหมอกับคนไข้ ไม่ใช่รูปแบบอย่างของคนในครอบครัว”

เรนเดลลอบถอนหายใจกับเรื่องนี้ “แล้วทำไมไม่ทำให้เป็นคนในครอบครัวจริงๆซะเลยล่ะครับ?”

“นายหมายความว่าไง?” ดวงตาหลังกรอบแว่นหันไปจ้องหน้าพ่อบ้าน

“ก็เห็นกอดกันกลมอยู่หน้าโรงจอดรถนี่ครับ” สายตาของพ่อบ้านมีแววยินดีเล็กๆ เพราะไม่ได้เห็นเจ้านายของตนใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มานานเป็นสิบปีแล้ว

“นั่นมันไม่ใช่อย่างที่นายคิดเรนเดล” คุณหมออัลฟ่ารีบปฏิเสธทันควัน

 
ลาซารัสนั่งจ้องทีวีอย่างเหม่อลอย เพราะว่าคนที่ถูกทำร้ายไม่ใช่คนใหญ่คนโต ข่าวที่เผยแพร่มาจึงไม่ได้มีการประโคมใหญ่โตอะไรมากนัก ไม่มีรายละเอียดอะไรมากแค่บอกว่าพ้นขีดอันตรายและกำลังดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดเท่านั้น โอเมก้าหนุ่มหันกลับมาเล็มอาหารที่เหลืออยู่มากกว่าครึ่งช้าๆ เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้สังเกตเลย กว่าจะรู้ตัวก็เพราะสปาร์เก็ตตี้ในจานเย็นชืดหมดแล้ว..

เสียงร้องของจูเลียตครางเรียกจากข้างตัว ทำให้คนถูกทักได้สติแล้วกันไปกอดซบสุนัขตัวใหญ่ไว้

“ขอบคุณนะที่มาอยู่เป็นเพื่อน..โอนเนอร์ต้องไม่เป็นไรเนอะ” รอยยิ้มเหงาหงอยยิ้มส่งให้จูเลียต ยิ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขายิ่งคิดมาก.. หากว่าโอนเนอร์เป็นอะไรไป แล้วถ้าการทดลองของหมอคาเล็มเสร็จสิ้นลงสักวัน.. เขาจะเป็นยังไงต่อ? จะโดนขายอีกครั้งงั้นหรือ?? ..ทั้งที่คิดว่าเตรียมใจมาในฐานะโอเมก้าคนนึงที่จะตกไปอยู่ในมือใครก็ได้แล้ว แต่เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

ยิ่งนึกถึงอ้อมกอดอุ่นๆของคุณหมอที่ยอมให้เขากอดไว้นานสองนานเขายิ่งจินตนาการไม่ออกว่าในนอนาคต.. จะมีคนยอมให้เขาหาที่พักพิงเวลาเศร้าเสียใจอีกหรือเปล่า?

เขาจะกลายเป็นเพียงเครื่องประดับอย่างที่ถูกพร่ำบอกมา

หรือจะได้มีครอบครัว มีบ้านให้กลับ เหมือนกับคนอื่นเขา?


ในขณะที่คนหนึ่งกำลังกังวล หมอคาเล็มที่กลับมานั่งนิ่งในห้องทำงานของตัวเองก็กำลังคิดหนักในหลายๆเรื่องๆ รวมทั้งเรื่องของลาซารัส.. ใบหน้าเศร้าหมองนั้นรบกวนจิตใจเขาจนไม่เป็นอันทำงาน ในระหว่างที่กำลังจมอยู่กับตัวเองนั้น จู่ๆก็มีเมลหนึ่งเด้งขึ้นมาที่มุมคอมพิวเตอร์

เป็นข้อความจากโรงพยาบาลที่ยังให้การสนับสนุนงานวิจัยของเขา.. เมื่อเปิดอ่านสักพักคาเล็มก็ยกมือขึ้นกุมขมับ ท่าทางจะต้องเดินหน้าทำการทดลองจริงๆต่อเสียแล้ว..

คาเล็มส่งข้อความไปหาลาซารัสว่าให้ยกกาแฟมาให้ ทว่ารออยู่สักพักก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา อัลฟ่าสูงวัยจึงลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินไปดูว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ แต่เดินหาจนทั่วบ้านก็ไม่เห็นร่างของโอเมก้าหนุ่มคนนั้น จึงเดินไปถามจากพ่อบ้านว่าลาซารัสไปไหน

“เขาออกไปเดินเล่นใกล้ๆนี่ครับ แล้วก็พาจูเลียตไปด้วย” คุณพ่อบ้านรายงานนายจ้างของตน “อย่าว่าคุณแมทเวย์เลยนะครับที่ออกไปโดยไม่ได้บอกนายน้อย กระผมเป็นคนบอกให้เขาไปเดินเล่นเองล่ะครับ จ้องอยู่แต่หน้าจอโทรทัศน์ไปก็มีแต่จะทำให้กังวลเปล่าๆ”

“อืม...งั้นเดี๋ยวฉันกลับมา” หมออัลฟ่ากล่าวก่อนจะเดินออกไปข้างนอก คาเล็มยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตำแหน่งของลาซารัสห่างจากบ้านไปไม่ไกลมากนัก รีบเดินตามไปเร็วๆหน่อยก็คงจะไล่ทัน


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.4 - Up! (19/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 19-02-2017 14:30:36

“ทำไงดีล่ะเนี่ยลาซัส...” โอเมก้าหนุ่มบอกตัวเองขณะที่ดวงตาจ้องลงไปมองจูเลียตที่เดินวนไปมารอบๆ ต้นไม้ ตอนนี้ลาซารัสกำลังประสบปัญหาใหญ่ที่นึกย้อนไปก็อยากตีตัวเอง

เขาจูงจูเลียดออกมาเดินเล่นคลายเครียด แต่ก็มาเจอลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้ที่สูงเอาเรื่อง ด้วยความสงสารก็เลยปีนขึ้นต้นไม้แล้วพามันกลับไปหาพี่ๆน้องๆที่อยู่บนรัง แต่ขากลับตอนจะลงดันเพิ่งมารู้สึกกลัวจนขาสั่นไม่กล้าปีนกลับลงไป

“แล้วตอนขึ้นขึ้นไปยังไงเล่า?” เสียงคุ้นเคยทักมาจากอีกทางหนึ่ง คาเล็มเดินมาใกล้ต้นไม้ที่เขาอยู่ หน้าคมขมวดคิ้วสงสัยว่าสูงขนาดนั้นกล้าปีนขึ้นไปได้ยังไง…

“ก็...ลูกนกมัน…” ลาซารัสตอบพร้อมมองขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่อยู่สูงขึ้นไปอีกนิด

“เห้อ… งั้นค่อยๆลงมา เดี๋ยวบอกให้ว่าทางไหนเหยียบได้บ้าง” คาเล็มขยี้หัวตนเอง โอเมก้าบนต้นไม้พยักหน้าและค่อยๆกลับไปอยู่ในท่าที่ปีนได้ถนัดกว่า และค่อยๆขยับไปตามที่คุณหมอแนะนำ

“ก้าวเท้าซ้ายต่อ.. นั่นแหละๆ กิ่งนั้น” เห็นนิ่งแบบนี้แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าคนข้างบนจะร่วงลงมาหรือเปล่า แต่ก็ลงมาได้จนเหลือแค่เกือบๆสองเมตรเท่านั้น “โอเค คงโดดลงมาได้นะ”

“อ่ะครับ” ลาซารัสก้มมองระยะจากพื้นผ่านหว่างขาตนที่วางมั่นคงบนกิ่งไม้ใหญ่ก่อนตัดสินใจโดดลงมา...โดยลืมเช็คว่าคาเล็มยืนอยู่ด้านหลังเขาพอดี… หมอเดินเข้ามาใกล้ต้นไม้เพราะกะจะรอรับเผื่อว่าอีกฝ่ายร่วงลงมาโดยไม่ทันรู้ตัว

“เอ๊ะ?”

“ห้ะ?”

ลาซารัสล้มกลิ้งไปพร้อมกับคาเล็มที่อยู่ในตำแหน่งลงจอดพอดิบพอดี เจ้านายเองก็มือไวพอจะเปลี่ยนโดนหล่นใส่มาเป็นคว้าตัวอีกคนไว้ แต่น้ำหนักที่ไม่ใช่น้อยเหมือนรูปร่างทำเอาไม่สามารถยืนอยู่ได้จนต้องกลิ้งลงไปกับพื้น

หากนี่เป็นละครก็คงต้องเรียกว่าพล็อตซ้ำซากและเดาทางได้ ทว่าทั้งสองคนกลับนอนนิ่งในสภาพที่โอเมก้าคร่อมร่างเจ้านายอัลฟ่าของตัวเองไว้ ส่วนวงแขนกว้างกอดเอวและตัวลาซารัสไว้แน่นเพราะกลัวจะกระเด็นไปไหนต่อไหน..

“ขอโทษครับคุณหมอ! ผมไม่ทันมองดูให้ดีๆเอง”

“ช่างเถอะ...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” คาเล็มปล่อยมือออกอย่างช้าๆ ร่างโปร่งยันตัวขึ้นและค่อยๆขยับถอยออกมา แต่คุณหมออัลฟ่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาแต่อย่างใด

“คุณหมอ ลุกไหวมั้ยครับ? ระ หรือว่าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ!” โอเมก้าหนุ่มละล่ำละลักถามออกไปด้วยเกรงว่าหมออัลฟ่าอาจจะเจ็บตัวจากการเอาตัวเองเป็นเบาะรองรับตัวเขาเอาไว้

“แว่น…” เสียงทุ้มเอ่ยทั้งที่ยังนอนแผ่อยู่กับพรมพื้นหญ้าและใบไม้ ลาซารัสได้ยินดังนั้นจึงกวาดสายตามองหาของที่กระเด็นหลุดไปจากใบหน้าของหมอคาเล็ม

กร๊อบ…

“.......” โอเมก้าหนุ่มเบือนหน้าไปหาที่มาของต้นเสียง ก่อนจะพบว่าเจ้าวูล์ฟด๊อกตัวโตได้คาบมาคืนให้พร้อมกับเลนส์แว่นที่แตกและขาแว่นหักไปเป็นที่เรียบร้อย

“จู...เลียต” ดวงตาสีฟ้าจ้องหน้าสุนัขพันธุ์ผสมที่นอนหมอบคล้ายสำนึกผิด ร่างโปร่งลุกขึ้นไปดูคุณหมอที่ค่อยๆยันตัวขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้า “คุณหมอครับ แว่นมัน…”

“ช่างเถอะ แว่นมันก็เก่าแล้วล่ะ แถมค่าสายตาฉันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว แค่ไม่มีเวลาไปตัดใหม่น่ะ” คุณหมออัลฟ่าโบกมือไปมาว่าไม่เป็นไร แต่พอจะดันตัวเองลุกขึ้นยืนก็ปรากฏว่า...ลุกไม่ขึ้น

“...ให้ผมช่วยพยุงกลับบ้านนะครับ”

“อืม...ฝากด้วย”

ลาซารัสพยุงร่างสูงไว้โดยการให้อีกฝ่ายพาดแขนไว้บนคอตนแล้วค่อยๆเดินกลับไปด้วยกัน แม้ตอนนี้จะอยู่ใกล้กันแทบจะเหมือนกับเมื่อครู่แต่โอเมก้าหนุ่มกลับไม่มีกะจิตกะใจจะนึกถึงความใกล้ชิดนี้ เขาเริ่มรู้สึกผิดที่ตัวเองทำคุณหมอเสียเวลาทำงานเสียแล้ว

“ผมขอโทษครับ” ลาซารัสเอ่ยเสียงเบา

“ทำไมรึ” คาเล็มหันไปทางต้นเสียง ด้วยความพร่าของตาตอนนี้ทำเอามองไม่เห็นว่าอีกคนทำหน้าแบบไหนอยู่แม้จะอยู่ใกล้ขนาดนี้แล้วก็ตาม

“ผมทำคุณหมอต้องพาออกไปข้างนอก ไปรบกวนคุณริชาร์ดด้วย… แถมทำแว่นคุณหมอพังอีก” ลาซารัสก้มหน้าลงเล็กน้อยและก้าวขาช้าลง

“ช่างมันเถอะ” อัลฟ่าตอบกลับเพื่อให้อีกคนไม่คิดมากแต่ดูจะไม่เป็นผล “งานวิจัยโดนเลื่อนกำหนดออกไปแล้วด้วย ยังมีเวลาอีกเยอะ”

“เอ๋?” ร่างโปร่งหยุดเดินและหันมามองหน้าเจ้านายของตนโดยลืมไปเสียสิ้นว่าหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กันขนาดไหน “ท..ทำไมเหรอครับ เกิดอะไรขึ้น?”

“เรื่องที่ทางโรงพยาบาลน่ะ แต่นายไม่ต้องรู้หรอก ปวดหัวเปล่าๆ”

“ได้ไงล่ะครับ ตอนนี้ผมเป็น...ตัวทดลองของคุณนะ ผมก็กังวลนะถ้าเกิดว่า...งานของคุณจะต้องชะงักไป”

“.......” คาเล็มไม่ได้พูดหรือสวนตอบกลับไป เขาเพียงแต่บอกให้ร่างโปร่งที่ช่วยพยุงตนไว้รีบพากลับบ้านเพราะดูท่าทางหลังของตนจะกระแทกพื้นแรงเอาเรื่องอยู่ ลาซารัสจึงเร่งฝีเท้าแต่ก็คอยระวังไม่ให้ร่างกายคุณหมออัลฟ่าต้องกระเทือนจากการเดินเร็วจนเกินไป

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เรนเดลต้องตกใจกับสภาพที่เห็น โอเมก้าหนุ่มหิ้วปีกร่างของนายจ้างกลับมาแถมเนื้อตัวทั้งคู่ยังมีทั้งเศษหญ้าและใบไม้ติดตามตัวเต็มไปหมด

“ลาซารัส พาฉันขึ้นห้องที” หมอคาเล็มสั่งเรียบๆ มือข้างหนึ่งจับราวบันไดโดยมีโอเมก้าหนุ่มคอยพยุงก้าวขึ้นไปยังห้องพักช้าๆ ทุกอย่างอยู่ในสายตาของพ่อบ้านจนกระทั่งประตูห้องปิด ก่อนที่ชายชราจะหันมามองเจ้าสุนัขเฝ้าบ้านตัวใหญ่

เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ บรรยากาศดูไม่เหมือนทุกทีเลย…

ลาซารัสค่อยๆปล่อยร่างกายของคุณหมอเอนกายไปบนที่นอนช้าๆ พอละตัวออกมาก็กวาดสายตามองไปรอบๆห้องของอัลฟ่าสูงวัย มีข้าวของใช้ที่มากเกินกว่าจะเป็นห้องของคนๆเดียววางอยู่เต็มไปหมด แถมขนาดเตียงนอนก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามันกว้างพอจะนอนได้มากกว่าหนึ่งคนเสียอีก ดวงตาสีฟ้าจ้องมองไปยังกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆเตียง เป็นรูปถ่ายยืนคู่กันของผู้ชายสองคนที่โอเมก้าหนุ่มเคยเห็นในอัลบั้มก่อนหน้านี้

“นั่นรูปถ่ายคุณหมอกับใครเหรอครับ…” ลาซารัสถามไปอย่างนั้นทั้งที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าคนในรูปที่ยืนอยู่ข้างๆคุณหมอสมัยหนุ่มก็คือคนรักของคนๆนี้

มือหนาเอื้อมไปหยิบกรอบรูปมาดูและลูบอย่างทะนุถนอม แม้ว่าสายตาที่ปราศจากแว่นจะมองเห็นภาพตรงหน้าไม่ชัดนักแต่ก็จดจำได้แม่นยำ รอยยิ้มของคนในรูป สถานที่ที่อยู่ในรูป ทิวทัศน์ในวันนั้น จำได้แม่นยำไม่เคยลืม

“วานอะไรหน่อยสิ”

“อะไรเหรอครับ?”

“ช่วยไปหยิบแล็ปท็อปในห้องทำงานมาให้ฉันหน่อย” คาเล็มวางกรอบรูปไว้ที่เดิมและดันตัวอยู่ในท่านั่งเอนหลัง

“นอนพักก่อนไม่ดีกว่าเหรอครับ” เอ่ยด้วยความเป็นห่วงสุขภาพแต่ดวงตาคมคู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องโดยไม่พูดอะไร หัวใจขอลาซารัสกระตุกวูบเหมือนโดนดุผ่านทางสายตาจึงพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปจากห้องนอนตรงไปยังห้องทำงานตามคำสั่งของอัลฟ่าเจ้านายของตน

ร่างโปร่งเดินตรงไปที่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวของคุณหมอที่เปิดค้างทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านไป มือจับถอดปลั๊กที่อยู่เกือบติดพื้นออกแล้วพันไว้ลวกๆพอที่จะไม่ให้เกะกะก่อนจะลุกขึ้นมาถือแล็ปท็อป ดวงตาสีฟ้าเผลอมองหน้าจอที่มีอีเมล์จากทางโรงพยาบาลส่งมา 

สายตากวาดผ่านๆอย่างไม่ตั้งใจจะก้าวก่าย แต่คำบางคำที่ได้อ่านนั้นมันมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจ้างทนายและการว่าความ ลาซารัสหน้าซีดลงเมื่อเริ่มรู้ว่าคาเล็มกำลังเจอกับอะไรอยู่… แต่ไม่ได้รู้เนื้อหาทั้งหมดอย่างละเอียด เขาจึงไม่สามารถคิดหรือแสดงความเห็นได้.. แม้แต่การคิดในใจก็รู้สึกผิดแล้ว

ลาซารัสยกแล็ปท็อปมาให้โดยไม่พูดอะไร และยืนรออยู่สักพักว่าคุณหมอจะวานอะไรเขาอีกหรือเปล่า..

“ขอบใจมาก นายไปพักก่อนแล้วกัน” คาเล็มเอ่ยปากบอกกับโอเมก้าของตน

“ครับ”

“อ่ะ เดี๋ยวก่อน”

“...?”

“ขอกาแฟให้ฉันแก้วนึงสิ” คาเล็มพยายามหรี่ตามองไปยังร่างโปร่งเพื่อมองให้ชัดๆ ทำให้หน้าของคุณหมอดูน่ารักจนลาซารัสเผลอหัวเราะออกมา “ตลกอะไรของนาย”

“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมเอามาให้”

เมื่อโอเมก้าหนุ่มเดินหายไปจากห้อง คาเล็มก็ถอนหายใจพลางนึกถึงเหตุการณ์ของวันนี้ทั้งวัน.. แค่วันเดียวเขาได้เข้าใกล้อีกฝ่ายเกินจำเป็นไปถึงสามครั้งเชียวหรือ..

เมื่อลาซารัสเอากาแฟไปเสิร์ฟให้เรียบร้อย เจ้าตัวก็กลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง เขายืนมองสูทสีเทาที่ยังแก้ไม่เสร็จดีอยู่สักพักก่อนจะเริ่มลงมือทำงานต่อโดยมีจูเลียตนอนมองอยู่ข้างๆ “คุณหมอเอง..ก็สู้อยู่.. นายจะมามัวนั่งเศร้าไม่ได้นะ..” การจะทำให้ตนหายรู้สึกผิดได้ก็มีแต่ทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ถึงที่สุดเท่านั้น ส่วนหลังจากนี้ก็จะพยายามไม่เป็นภาระของคุณหมอเท่าที่จะเป็นไปได้..


“โห.. ฉันว่ามันดูดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วรึเปล่า” ริชาร์ดมาหาอีกครั้งในวันที่เขาว่างตามที่บอกไป เขายืนจ้องมองสูทสีเทาที่ลาซารัสกำลังแก้กระดุมอยู่ นอกจากจะแก้ขนาดแล้วลาซารัสยังเพิ่มรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเข้าไปอย่างเดินเส้นขอบสีดำเพื่อขับให้ปกดูเด่นขึ้น

“ผมก็...อยากให้คุณหมอใส่แล้วดูดีที่สุดน่ะครับ” ใบหน้าเจือสีแดงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงว่าคาเล็มใส่แล้วจะออกมาแบบไหน.. เมื่อรู้ตัวอีกทีริชาร์ดก็เข้ามาจ้องหน้าเขาเสียใกล้แล้ว “ว้ากกก!!”

“ตรงไปตรงมาดีนะเจ้าหนู” มือหนาของอีกคนขยี้หัวช่างตัดเสื้อจำเป็นอย่างเอ็นดู “พอเห็นแบบนี้ก็ชักอยากให้นายตัดสูทของฉันให้ดูเร็วๆซะแล้วสิ”

“ฮ่ะๆ ทนรออีกหน่อยนะครับ ผมก็จะพยายามทำให้ชุดของคุณริชาร์ดออกมาดูดีที่สุดเหมือนกัน” ช่างตัดเสื้อโอเมก้ากล่าวด้วยรอยยิ้มและเอามือจัดทรงผมของตัวเองที่โดนอีกฝ่ายยีหัวเมื่อครู่ 

“สัญญาแล้วนะลาซัส นี่ฉันอุตส่าห์ลงทุนไม่กินเป็ดปักกิ่งของโปรดเพราะกลัวลงพุงจนใส่สูทที่นายตัดให้ไม่ได้เลยเชียวนา”

“แทนที่จะอดอาหารก็ไปออกกำลังกายแทนสิ” เสียงทุ้มเข้ามาขัดบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ พอได้ยินคำว่าออกกำลังกายริชาร์ดก็ทำหน้ามุ่ยเบ้หน้าหนีไปอีกทางทันที

“แว่นเก่าแกไปไหนซะล่ะคาเล็ม?” อัลฟ่าเพื่อนสนิททักหลังจากเห็นแว่นอันใหม่ของคุณหมอคนเก่ง

“จูเลียตทำพังไปแล้ว” เจ้าสี่ขาที่นอนกินที่โซฟาไปครึ่งหนึ่งสะดุ้งแล้วโดดลงไปหลบหลังโซฟาแทนเพราะคิดว่าโดนเจ้านายเอ็ด ทำเอาริชาร์ดและลาซารัสหัวเราะพร้อมกัน

“แต่ฉันว่าแกน่าจะใส่คอนแทคเลนส์ไปดีกว่านะ” ซีอีโอหนุ่มเสนอความคิดที่น่าจะยิ่งเพิ่มความคูลให้เพื่อนรักเพิ่มเข้าไปอีก ถึงแม้วัยนี้จะดูคูลยากกว่าพวกอัลฟ่าหนุ่มๆก็เถอะ

“ผมก็ว่าดีนะครับ” ลาซารัสเออออตามไปด้วยเพราะอีกใจก็อยากเห็นเหมือนกันว่าจะออกมาดูดีขนาดไหน

“เข้าขากันดีเหลือเกินนะพวกนายนี่” คาเล็มกอดอกยืนมองทั้งเพื่อนรักตัวแสบและโอเมก้าใต้อาณัติ “เจ้าสก็อตเป็นไงบ้าง?”

“อ้อ! เจ้าหนูนั่นน่ะกลายเป็นขวัญใจพวกคนรับใช้ในบ้านฉันไปหมดแล้ว แต่ก็ตามติดฉันแจเหมือนเดิม ขนาดจะออกไปทำงานยังร้องตามไม่หยุด ต้องรีบเคลียร์งานแล้วตรงดิ่งกลับบ้านเลย นี่ฉันเถลไถลออกไปเที่ยวไหนตอนเลิกงานไม่ได้เลยเนี่ย” ริชาร์ดเล่าวีรกรรมของเจ้าขนปุยด้วยสีหน้ามีความสุขมากกว่าที่จะรำคาญ “เอ้อ ไหนๆก็มาแล้ว ฉันฝากซองช่วยงานแต่งไปกับนายด้วยเลยแล้วกัน”

“นายไม่ว่างไปไม่ใช่เรอะ งั้นก็ไม่เห็นต้องฝากซองมาก็ได้”

“เอาไปเหอะน่า” ริชาร์ดก้าวเข้ามาใกล้เอาซองยัดใส่มือคาเล็มแล้วกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน “จะเปิดดูก็ได้นะไม่ว่ากัน”

“...เออ ขอบใจก็แล้วกัน” ดวงตาคมจ้องเพื่อนสนิทด้วยสายตาที่เป็นอันรู้กันสองคนและยัดซองดังกล่าวใส่ไว้ที่กระเป๋าหลังกางเกงก่อนจะหันมาหาลาซารัส “ชุดเสร็จแล้วรึยัง?”

“เสร็จพอดีเลยครับ” ร่างโปร่งหันมาพร้อมกับยื่นชุดสูทที่แก้รอบสุดท้ายเสร็จแล้วให้คุณหมอคาเล็มเอาไปลองใส่

“ใจเต้นไม่หยุดเลยน้า~” ริชาร์ดแซวและเอาศอกเขี่ยเอวอีกคนที่ยืนเกร็งนิ่งรอดูผลลัพธ์ วันนี้ไม่ได้ฉีดน้ำหอมระงับกลิ่นมา กินมาเพียงยาระงับอาการฮีท ทำให้เขาเข้ามาใกล้โอเมก้าหนุ่มได้เป็นระยะๆเท่านั้น และเลือกที่จะเข้ามาตอนที่ต้องการแซวหรือแกล้งด้วย..

“ก็! ตื่นเต้นที่จะได้เห็นชุดที่ตัดอยู่บนคนที่เค้าต่องการมันนี่ครับ” ลาซารัสรัวลิ้นแทบจะกัดมันอยู่รอมร่อ ก่อนถอยออกห่างจากตัวอัลฟ่าข้างๆเพื่อป้องกันตัวเองเพราะรับรู้ถึงฟีโรโมนที่ชัดเจนจากตัวเขา

คาเล็มเดินกลับเข้ามาในชุดสูทของลาซารัสที่ถูกแปลงโฉมเสียจนคนใส่ยังอึ้งกับรูปลักษณ์ของตัวเองที่เปลี่ยนไป คนตัดกับเพื่อนเองก็มองตาค้างเพราะไม่เคยเห็นคาเล็มในสภาพราวกับชนชั้นสูงขนาดนี้

“คิดว่าไง..” คาเล็มหันมาถามความเห็นของทั้งสองคน ลาซารัสเดินมาหาเงียบๆแล้วใช้สองมือเสยผมของเขาที่ปรกหน้าอยู่ขึ้นไปให้มากที่สุด แม้จะมีปอยผมเด้งหลุดรุ่ยออกมาบ้างแต่มันก็ดูเรียบร้อยกว่าเมื่อครู่อยู่

“...ดูดีมากเลยครับ!” โอเมก้าหนุ่มยิ้มให้อย่างตื้นตันใจที่เจ้านายของตนออกมาผิดหูผิดตาขนาดนี้ ใบหน้ามนเจือสีแดงไว้จางๆ ลาซารัสรับรู้ได้ว่าตนใจเต้นเสียจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน…

“ไม่ต้องไปร่วมงานหรอกว่ะคาเล็ม เดี๋ยวเจ้าภาพงานได้หน้าจืดเพราะโดนแกขโมยซีนเอา”

“นั่นก็เว่อร์ไป เดี๋ยว! จะเอาแว่นฉันไปไหน!” คาเล็มโดนเพื่อนสนิทดึงแว่นออกทำให้มองเห็นไม่ชัด ริชาร์ดถือโอกาสถ่ายรูปคาเล็มในชุดสูทบันทึกลงโทรศัพท์เครื่องใหม่แล้วรีบเก็บลงกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว

“พนันกันมั้ยล่ะว่างานนี้คุณหมอคาเล็มได้แจ้งเกิดแน่ เอ...หรือเรียกว่ากลับไปเป็นอย่างที่ควรจะเป็นดี…” ปากของริชาร์ดโดนอุดเอาไว้ด้วยมือของคุณหมออัลฟ่าไม่ให้พล่ามไปมากกว่านี้ โชคดีที่ลาซารัสมัวแต่สนใจภาพลักษณ์ใหม่ของคาเล็มเลยไม่ทันได้ยินอะไรจากปากคนพูด

“ผมเองก็...จะพยายามแต่งออกมาให้ดูดีไม่แพ้คุณหมอเลยครับ” ดวงตาสีฟ้าหมายมั่นกับการเปิดตัวครั้งนี้ว่าจะไม่ทำให้เจ้านายของตนต้องอับอาย

“นายน่ะแต่งให้ตัวเองจืดจางที่สุดก็พอแล้วลาซัส” อัลฟ่าหนุ่มพูดดับความหวังของโอเมก้าในครอบครองของเพื่อนสนิทแทบจะทันที

“เอ๋?? ทำไมล่ะครับ!”

“ถ้าขืนนายแต่งตัวดีไปเข้าตาอัลฟ่าในงานรับรองได้เลยว่าโดนลากไปไหนต่อไหนแน่” ซีอีโอหนุ่มที่เป็นอิสระจากมือของหมอคาเล็มอธิบายเพิ่ม

“ตะ แต่วันงานผมจะใส่ปลอกคอไปด้วย ถ้างั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนี่ครับ”

“ทำตามที่ริชาร์ดบอกนั่นล่ะ ฉันไม่อยากให้ใครจำนายได้” คาเล็มหันมาพูดกับลาซารัส “ถ้าเกิดในงานมีอัลฟ่าที่เคยไปร่วมงานประมูลในตลาดมืดเหมือนพวกฉันเกิดจำหน้านายได้มันจะมีเรื่องยุ่งตามมา”

“นั่นมันก็จริงแฮะ” โอเมก้าตัวลีบลงเพราะสิ่งที่สองอัลฟ่าพูดมาเป็นความจริงทั้งสิ้น “ก็ได้แหละครับ”

“บอกแล้วว่าให้ตีตราเลย ไม่มีใครมายุ่งแน่นอน” ริชาร์ดเสนอสิ่งที่ทำยากที่สุดและง่ายสุดๆต่อไป ลาซารัสที่ได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งสุดตัวพร้อมกับสีแดงที่ฉีดขึ้นมาบนใบหน้า

“แกนี่มัน…” คาเล็มสับสันมือลงกางกระหม่อมอีกคนแรงพอให้เคาะเอาความคิดนั้นหลุดๆออกไปบ้าง

เพราะหากมีรอยตรีตราชัดเจน อย่างน้อยตอนนี้กฎหมายก็มีความคุ้มครองในเรื่องสิทธิ์ในการครอบครองโอเมก้าตนนั้นได้.. เพียงแต่ลาซารัสไม่ได้ได้มาอย่างถูกกฎหมายเสียเท่าไหร่เนี่ยสิ…

“พล่ามมากนักนะ เอาแต่บอกคนอื่น นายก็เอาเวลาไปหาคู่ของตัวเองมั่งเซ่”

“ขอโทษคร้าบ คุณหมอ.. แต่หมออายุตั้งปูนนี้แล้วก็ควรจะมีครอบครัวได้แล้วจริงๆนะ”

สองอัลฟ่าปะทะฝีปากกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ปล่อยให้ลาซารัสยืนจินตนาการไปไกลว่าตนเองจะมีชีวิตเคียงคู่คุณหมอได้มั้ยนะ… แล้วก็เดินไปเก็บห้องที่รกเละเทะจากการทำงานต่อเนื่องทั้งที่หน้ายังขึ้นสีจัดอยู่อย่างนั้น

เสียงข้อความจากโทรศัพท์ของลาซารัสดังขึ้นทำให้เจ้าตัวหยิบขึ้นมาดู ริชาร์ดแอบส่งรูปของหมอคาเล็มที่ถ่ายไว้เมื่อกี้ส่งมาให้ ทำเอาโอเมก้าหนุ่มปิดปากกลั้นเสียงแทบไม่ทัน

“แล้วนี่จะอยู่กินมื้อเที่ยงด้วยรึเปล่า จะได้บอกให้เรนเดลทำส่วนของแกเพิ่ม”

“ไม่ล่ะ วันนี้ฉันกะจะชวนพวกนายไปทานมื้อเที่ยงที่บ้านฉัน สะดวกมั้ย?” เอ่ยถามความสมัครใจ แต่อันที่จริงนั้นได้ให้พ่อครัวที่บ้านจัดเตรียมอาหารรอไว้เรียบร้อยแล้ว

แบบนี้เค้าเรียกมัดมือชกตั้งแต่ในมุ้งแล้ว

“ทำไมต้องไปบ้านแกด้วย?” คุณหมออัลฟ่าถามหน้าตึง ทั้งที่บนใบหน้าไม่มีอะไรจะให้ตึง...

“เอ้า! นี่นายจะพาลาซัสไปร่วมงานแต่ง แต่ไม่คิดจะสอนมารยาทบนโต๊ะอาหารให้สักหน่อยเหรอ หรือคิดจะไปอวยพรใส่ซองเสร็จปุ้บกลับเลยรึไง?”

“สอนที่นี่ก็ได้ ทำไมต้องไปบ้านนายด้วย”

“ฉันจะ…” จู่ๆริชาร์ดก็เกิดใบ้รับประทานชั่วขณะ “จะ...จะอะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่ามื้อนี้ฉันเป็นเจ้าภาพเอง แกห้ามปฏิเสธฉันด้วย!”

“วันนี้แกทำตัวมีพิรุธนะ” คาเล็มมองเพื่อนซี้ตาขวางก่อนจะหันไปถามความเห็นของโอเมก้าในครอบครองว่าอยากไปทานมื้อกลางวันนอกบ้านรึเปล่า

“อ่ะ ไปครับไป” ลาซารัสเพิ่งจะรู้ตัวก่อนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “ว่าแต่เราจะไปไหนกันเหรอครับ?”

“....นี่ไม่ได้ฟังอะไรเลยสินะ” เดดแอร์เกิดขึ้นรอบห้อง มีแต่เสียงเห่าของจูเลียตที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบของทั้งสามคน


ที่นี่ไม่ใช่บ้าน ต้องเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก!

พื้นที่ใช้สอยขนาดกว้างมากกว่า 40 เอเคอร์ ประกอบด้วย 10 ห้องนอน 12 ห้องน้ำ มีสระว่ายน้ำทั้งนอกและในบ้าน เท่านั้นยังไม่พอบ้านหลังนี้มีสวนขนาดใหญ่ที่แทบจะเรียกว่าป่าขนาดย่อมๆ เมื่อเดินทะลุออกไปก็จะพบกับชายหาดส่วนตัว

สก๊อต! นายนี่มันหมาตกถังข้าวสารชัดๆเลย!

“ไงสก็อตตต อยู่ดีกินดีล่ะสิ” ลาซารัสคุกเข่าลงเล่นกับเจ้าขนปุยที่เดินมาหา สีหน้าของเจ้าตัวน้อยดูสดใสขึ้นมากแม้จะเพิ่งมาไม่กี่วัน ท่าทางคิดถูกแล้วที่ยกให้คุณริชาร์ดมาดูแล

“ต้อนรับยังกะเตรียมการไว้ก่อนแล้วเลยนะ..” คาเล็มแอบจับพิรุธของเพื่อนซี้

“เอาน่าๆ คุณเรนเดลรีบตามมาสิครับบบ” ริชาร์ดโบกมือเรียกเรนเดลที่ทำตัวไม่ถูกที่โดนต้อนรับเยี่ยงบุคคลสำคัญเสียเอง

ห้องอาหารถูกตกแต่งหรูหราและโปร่งโล่งเปิดด้านต่างระเบียงทุกด้านให้ลมพัดเอื่อยเข้ามา ด้านนอกเห็นวิวทะเลสาบและภูเขาหลังบ้านที่อีกด้าน ตรงกลางถูกจัดเป็นโต๊ะสีขาวสะอาดเตรียมเสิร์ฟอาหารพร้อม และมีช้อนส้อมมีดจำนวนมากวางไว้จนลาซารัสแอบชะงักไปครู่หนึ่ง

“มีอะไรรึ?” คาเล็มหันมาถามโอเมก้าของตนที่ยืนมองโต๊ะเงียบๆ

“....ผมจำลำดับไม่ได้…” ร่างโปร่งพูดออกมาตรงๆอย่างไม่คิดจะปกปิด “คือ..เคยอ่านนะครับ เคยลองฝึกด้วย แต่ว่า...ผมก็ยังจำไม่ได้เพราะไม่ได้กินจริงๆ แค่ลองวาดอากาศเท่านั้นเอง”

“งั้นดีเลย จะได้ฝึกซะตอนนี้ไงล่ะ!!” ริชาร์ดเดินมาตบหลังร่างเล็กกว่าและโอบไหล่ลากไปนั่งจนคุณหมอหรี่ตามองไม่พอใจ..

“ฟังนะ เมื่อเข้ามาถึงที่โต๊ะ ตามมารยาทนั้นต้องให้ผู้อาวุโสกว่านั่งก่อน แล้วก็ตามด้วยคุณผู้หญิง ที่จริงก็มีบริกรคอยเลื่อนเก้าอี้ให้อยู่แล้ว แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหายหรอก” ลาซารัสเผลอนั่งตัวเกร็ง ขนาดนี่เพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น 

“เฮ้ย...ทำไมกันฉันมานั่งซะห่างเลยฟะ” คาเล็มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะห่างออกไปถามคุณเพื่อนรักที่พาตัวเองไปนั่งข้างๆโอเมก้าในครอบครองของตน โดยมีเรนเดลนั่งยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ

“อย่าบ่นน่าเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก” ริชาร์ดแอบเหน็บใส่ก่อนจะหันมาหาลาซารัสเพื่อสอนขั้นต่อไป “ฉันจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง แล้วนายก็คอยดูและทำตามเวลาที่ฉันกินก็ได้ ไม่ยากหรอก”

“ครับ” ร่างโปร่งพยักหน้าแล้วเริ่มทำตามที่ซีอีโอหนุ่มสอนไปทีละขั้นตอน โดยมีสายตาของคาเล็มมองตามเป็นระยะๆ

“อะแฮ่ม...นายน้อยครับ พวกเราเองก็มาทบทวนมารยาทบนโต๊ะอาหารกันบ้างดีมั้ย?” พ่อบ้านกระแอมเสียงเบาให้นายจ้างของตนได้สติ

“ฉันจำวิธีได้ไม่เห็นต้องทบทวน”

“แต่ตอนนี้นายน้อยนั่งเอามือเท้าแขนอยู่นะครับ มันผิดมารยาท”

“.....” คุณหมออัลฟ่าที่โดนท้วงจากพ่อบ้านยกแขนออกก่อนจะยืดอกและนั่งตัวตรง

“ผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงคุณแมทเวย์หรอกครับ พวกเรามาทบทวนกันดีกว่า ไม่งั้นคนที่จะขายหน้าตอนไปร่วมรับประทานอาหารอาจจะเป็นนายน้อยซะเองนะครับ” เรนเดลยิ้มอ่อนและขออนุญาตทำหน้าที่เป็นติวเตอร์สอนให้กับเจ้านายของตัวเอง

เมื่อทบทวนทั้งหมดได้ครบ แถมลาซารัสก็ดูท่าจะหัวดีพอ การทานอาหารก็เริ่มขึ้น รายการฟูลคอร์สเสิร์ฟมาทีละอย่างตามลำดับที่ได้บอกไว้ คาเล็มจำได้อย่างแม่นยำหลังจากทวนความจำไปเพียงครั้งเดียว ส่วนลาซารัสมีสะดุดบ้าง แต่ก็แก้ตัวกลับลำได้เองโดยที่ไม่ต้องให้ริชาร์ดช่วยเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทุกคนบนโต๊ะแอบทึ่งความตั้งใจอยู่พอสมควร

กระทั่งถึงของหวานปิดท้าย ทุกคนจึงเริ่มผ่อนคลายตัวเองลง และเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกันแล้ว

“แบบนี้ไม่น่าห่วงแล้วม้าง” ริชาร์ดขยี้ผมโอเมก้าเพียงคนเดียวในที่นั้น “ออกงานได้สบายๆเลยล่ะ”

“ขอบคุณครับ” รู้สึกเหมือนตนโดนคนๆนี้ลูบหัวบ่อยเสียจนรู้สึกว่าจะกลับเป็นเด็กอีกรอบ

“ยังวางใจไม่ได้น่า ยังมีปัญหาเรื่องอัลฟ่าอีก ไหนจะคนอาจจะจำเจ้าหนูนี่ได้จากงานประมูลอีก” คาเล็มแย้งและจ้องทั้งสองคนหนักข้อ ยิ่งทำให้เพื่อนซี้แกล้งหยอกด้วยการทำตัวสนิทสนมกับโอเมก้าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมากกว่าเดิม

“โอ๋~ ไม่ทำหน้าแบบนั้นซี่ น่ากลัวนะคุณหมอ” พอริชาร์ดพูดแบบนั้นลาซารัสก็เงยหน้าขึ้นมาจากของหวานแล้วหันไปมองคาเล็ม.. เมื่อพบสายตาจ้องมองอย่างกินเลือดเนื้อส่งมาให้ก็เผลอสะดุ้งจนช้อนแทบหล่น เขานั่งนึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าจนตัวลีบลงไปอีก “ผมขอโทษนะครับ งั้นเอาเป็นว่าจะขอทำการขอขมาด้วยสิ่งนี้ละกัน”

ริชาร์ดดีดนิ้วหนึ่งทีก่อนหน้าต่างทุกบานจะปิดลงอย่างรวดเร็วรวมทั้งไฟในห้องก็ดับลงทั้งหมด แม้จะไม่ได้มืดสนิทเพราะยังคงเที่ยงวันแต่ก็ทำเอาลาซารัสร้องเสียงหลงเพราะตกใจได้อยู่… ประตูทางเข้าเปิดออกพร้อมกับสาวเสิร์ฟจำนวนหนึ่งที่เดินนำหน้ารถเข็นอาหารเข้ามาและเปิดให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เค้กวันเกิดขนาดใหญ่ปรากฎต่อสายตาทุกคน ทำเอาคนไม่รู้เรื่องทั้งสามคนนั่งนิ่งฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“สุขสันต์วันเกิดปีที่ 46 นะครับ คุณคาเล็ม รอสเกรย์!”

“ห้ะ!?” อัลฟ่าสูงวัยตกตะลึงก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดตัวเอง มือหนายกขึ้นกุมหน้าผากของตน “เฮ้อ...เสียท่านายจนได้สิเนี่ย”

เสียงเพลงอวยพรวันเกิดที่บรรเลงด้วยไวโอลินดังขึ้นไปทั่วทั้งห้อง และเมื่อสิ้นเสียงปรบมือเจ้าของวันเกิดก็เป่าเค้กวันเกิดที่เพื่อนรักแอบทำเซอร์ไพรซ์ให้ในวันนี้

“ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับนายน้อย อย่าฝืนทำงานมากจนเกินไปนะครับ” เรนเดลกล่าวอวยพรวัยเกิดให้กับนายของตน

“รีบๆแต่งงานซะนะคาเล็ม ฉันรอเป็นพ่อทูนหัวให้ลูกแกจนรากงอกแล้วเนี่ย” ริชาร์ดก้มหัวหลบเทียนวันเกิดที่โดนขว้างใส่มา

“เอ่อ...ขอให้คุณหมอประสบความสำเร็จและสมหวังในทุกๆเรื่องนะครับ” ลาซารัสที่ตื่นเต้นไปกับบรรยากาศหันมาอวยพรให้คุณหมอที่เป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง

“ขอบใจมากนะทุกคน” คาเล็มกล่าวและยิ้มให้อย่างที่น้อยครั้งนักที่ใครจะได้เห็นจากใบหน้าของคุณหมออัลฟ่า

เจ้าภาพยื่นมีดให้เจ้าของวันเกิดตัดเค้กแบ่งกันทาน เรนเดลทักว่าส่วนของเขาขอแค่ชิ้นเล็กๆพอ เพราะกินของหวานมากๆไม่ได้ ริชาร์ดก็เช่นกันแต่นั่นเพราะว่าแต่เดิมไม่ใช่คนที่ชอบทานของหวานอยู่แล้ว เค้กส่วนที่เหลือเลยตกเป็นของคาเล็มและลาซารัสที่ต้องช่วยกันกิน

หลังจากงานฉลองวันเกิดที่มีการซ้อมทานอาหารบังหน้าผ่านพ้นไป ริชาร์ดก็ได้พาทั้งสามคนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปส่งที่บ้าน ลาซารัสมองทิวทัศน์ผ่านเครื่องยนต์บินบนฟ้าแล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่าเขาอยากจะซื้อของขวัญวันเกิดให้กับหมอคาเล็ม อย่างน้อยๆก็เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องที่ผ่านๆมา


(ยังมีต่อ...)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.4 - Up! (19/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 19-02-2017 14:46:35

‘ปกติคุณหมอชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?’ สุดท้ายลาซารัสก็คิดไม่ออก ต้องยอมพิมพ์ไปถามริชาร์ดอยู่ดี

‘คำถามโคตรยากเลยเจ้าหนู’ คำตอบดูจะไม่ช่วยอะไรได้เท่าไหร่..

ทั้งสองคนพิมพ์คุยกันอยู่นานสองนานหลังจากแยกย้ายกันกลับมาพักผ่อนที่ห้องของตน

‘ผูกโบว์ที่กลางอกแล้วเดินไปหาเจ้านั่นเลย!’

‘ไม่เป็นไรครับ!’ ลาซารัสหน้าแดงถึงใบหูกับคำแนะนำสุดอีโรติกที่แม้จะซื่อขนาดไหนก็รู้จุดประสงค์ของการทำแบบนั้น

‘ฮ่าๆๆ นายนี่ดูออกง่ายจริงๆ’

‘ครับ?’

‘ชอบคาเล็มตรงไหนล่ะ?’

ร่างโปรงสะดุ้งขึ้นมานั่งโดยไร้เหตุผล สองมือพิมพ์ๆลบๆอยู่หลายครั้งจนสุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรอัลฟ่าคนสนิทของเจ้านายไป

‘คุณหมอใจดี’ สุดท้ายก็พิมพ์ไปง่ายๆ คิดอะไรไม่ออกกระทั่งคิดถึงรอยยิ้มของคุณหมอในวันนี้ เขาจำได้ว่าเผลอมองหน้าคาเล็มนานมาก นานพอให้ริชาร์ดต้องสะกิดเรียกเพราะเค้กยกมาเสิร์ฟเขาเรียบร้อยแล้ว… ‘แล้วก็มีรอยยิ้มอบอุ่นมากๆด้วย’

‘เห.. ไปแอบยิ้มให้กันตอนไหนล่ะเจ้าหนู ถึงได้หลงเขาขนาดนั้น’ ริชาร์ดแซวกลับมาเรื่อยๆจนโอเมก้าหนุ่มหน้าแดงร้อนไปทั่ว

‘แต่คุณหมอไม่มีท่าทีจะยอมให้ผมเข้าหาเลย..’ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าพิมพ์ระบายใส่คุณเพื่อนไปเสียอย่างนั้น ก็เขาไม่มีคนอื่นให้บ่นแล้วนี่นา.. แถมจะพูดกับคุณเรนเดลก็กลัวว่าคุณพ่อบ้านจะกังวลอะไรรึเปล่า

‘ไม่แปลกหรอก’ ริชาร์ดที่นอนเอนกายบนเก้าอี้รับลมบนระเบียงบ้านสุดหรูของตนกำลังยิ้มให้เด็กน้อยที่อีกฟากอย่างเอ็นดู ‘แต่เขาก็หึงนายเรื่อยๆอยู่น้า ไม่ว่านายจะแอบจีบอะไรเขาไป ฉันว่าคงได้ผลอยู่หรอก’

เหมือนคำพูดคำแนะนำจะทำโอเมก้าหนุ่มเขินอายขึ้นเรื่อยๆจนอยากจะเปลี่ยนหัวข้อ แต่ก็ต้องจำยอมทนต่อไปเพราะเขาต้องการจะรู้จักเจ้านายของตนมากขึ้น ‘แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนะครับ’

‘จริงเร้อ~ เห็นยิ้มน่ารักๆแบบนั้นบ่อยๆ งั้นฉันคิดว่านายคงทำไปไม่รู้ตัวแหงๆ’

‘ครับ?’

‘ยิ้มบ่อยๆนะเด็กน้อย ยิ้มแบบที่ใครเห็นก็ละลายได้เลยนั่นน่ะ’

สุดท้ายก็จบการสนทนาด้วยการคุยเรื่องการเตรียมตัวเพื่อเจออัลฟ่านับสิบนับร้อยในอาทิตย์หน้า โดยที่ลาซารัสยังคงสงสัยว่า แค่เค้ายิ้มนี่มันเกี่ยวอะไรกัน? ...คุณหมอหลบหน้าตลอดด้วยซ้ำตอนที่เค้ายิ้มให้…

คิดแบบนี้แล้วห่อเหี่ยวชะมัดเลย…


แสงไฟจากหน้าจอแล็ปท็อปในห้องนอนยังคงสว่าง คาเล็มปรือตาแถมสัปหงกอยู่หลายครั้งเพราะหนังท้องตึงจากงานเลี้ยงวันเกิดเมื่อกลางวัน ถึงจะยังไม่มืดค่ำแต่ก็ง่วงนอนเสียจนแทบรอให้นาฬิกาเดินถึงเที่ยงคืนอย่างทุกทีไม่ไหว ทว่าถ้าดื่มกาแฟเข้าไปตอนนี้มีหวังคืนนี้เขาคงนอนไม่หลับเพราะตาค้างเป็นแน่

“หลับสักตื่นแล้วกัน” อัลฟ่าสูงวัยจึงหยุดทำงานแล้วหยิบมือถือมาตั้งเวลาปลุกตัดสินใจว่าจะงีบหลักสักครึ่งชั่วโมง ก่อนจะฟุบหลับคาที่นอนไปทั้งอย่างนั้น

ผ่านไปสิบนาทีหลังจากคุณหมอคาเล็มหลับ ลาซารัสได้มาเคาะประตูห้องเพราะเห็นว่าคาเล็มไม่ลงไปที่ห้องทานอาหาร หรือจะยังอิ่มเพราะฟูลคอร์สจัดเต็มนั้นอยู่กันนะ

“ขออนุญาตนะครับ” ร่างโปร่งค่อยๆเปิดประตูเข้าไปดูแล้วก็เห็นว่าคุณหมออัลฟ่ากำลังหลับอยู่จึงไม่อยากรบกวน แต่อีกใจก็คิดว่านี่เป็นโอกาสดีเลยแอบย่องเข้าไปขอดูหน้าเจ้าของห้องใกล้ๆสักนิดหนึ่งก็ยังดี

ดวงตาสีฟ้าพยายามสงบจิตใจไม่ให้ตื่นเต้นแต่ก็ทำได้ยากยิ่ง ลาซารัสนั่งลงที่ข้างเตียงเอาแขนเท้าที่นอนพลางจ้องดูใบหน้าของอัลฟ่าสูงวัยที่ผ่อนคลายและหลับสนิทอย่างไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครแอบบุกรุกเข้ามาในห้องนอน

“ขนาดตอนหลับยังคิ้วขมวดเลย…” โอเมก้าหนุ่มจ้องไปที่หว่างคิ้วแล้วนึกอยากเอานิ้วไปจิ้มเผื่อว่ามันจะคลายออกจากกัน คาเล็มขยับพลิกตัวหันไปอีกทางทำเอาลาซารัสสะดุ้งโหยงต้องรีบก้มหน้าหลบ หน้าผากกระแทกพื้นเบาๆแต่เจ้าตัวก็กลั้นเสียงร้องไว้ไม่ให้อีกคนรู้สึกตัวตื่น

“หลับไม่รู้เรื่องเลยแฮะ…” ร่างโปร่งเอามือลูบหน้าผากตัวเอง เห็นแผ่นหลังกว้างแล้วก็นึกถึงตอนที่ได้ซ้อนท้ายซิ่งรถไปกับคนๆนี้ ลาซารัสหลับตากำมือแน่นแล้วตัดสินใจรวบรวมความกล้าอันน้อยนิดขยับเข้าไปใกล้แล้วก้มลง…วางกล่องของขวัญกล่องเล็กๆไว้ที่ข้างหมอนของคุณหมอ

“สุขสันต์วันเกิดนะครับคุณหมอ” ใบหน้ามนเจือสีแดงระเรื่อเอ่ยเสียงเบาแล้วค่อยๆย่องกลับเปิดประตูออกไปและปิดอย่างเบามือ ก่อนที่ร่างซึ่งรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่แรกจะค่อยๆดันกายลุกขึ้นมานั่ง

ดวงตาคมหันไปจ้องกล่องของขวัญเรียบๆที่ผูกด้วยริบบิ้นสีเขียวอ่อน เมื่อเปิดออกมาก็พบว่าเป็นคุ้กกี้เนยสดรูปหน้าสุนัขที่ทั้งน่ารักและน่ากิน

“..รสชาติไม่ได้เรื่อง…” คาเล็มชิมไปบ่นไป แต่ก็กินจนหมดทั้งกล่องในคราวเดียวแล้วแอบยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ร่างสูงมองกล่องเปล่าในมือและพลิกไปมา ก่อนสะดุดกับลายมือที่ดูพยายามจะบรรจงสุดชีวิตเขียนอยู่ใต้กล่อง

‘คุณหมอพักผ่อนเยอะๆ มีอะไรก็บอกผมได้นะครับ ผมจะช่วยเหลือคุณหมอทุกอย่างเลย’

คาเล็มมองข้อความนั้นอยู่นานด้วยแววตาวูบไหว สองคิ้วเลิกขึ้นอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ทั้งที่เป็นเพียงข้อความแท้ๆ แต่เขารู้สึกได้ว่าหน้าของตนกำลังร้อนขึ้นทีละน้อย


ร่างโปร่งกำลังนั่งทบทวนลำดับมารยาทบนโต๊ะอาหารอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะจำได้แล้วแต่เขาก็กลัวว่าจะลืมอีกก็เลยให้เรนเดลมาช่วยดูให้อีกครั้ง

“ถูกต้องหมดนะครับคุณแมทเวย์ กระผมว่ารอใกล้ๆวันค่อยลองทบทวนอีกทีน่าจะดีก่อนนะครับ”

“นั่นสินะครับ ขอบคุณมากครับคุณเรนเดล” ลาซารัสลุกขึ้นเก็บช้อนส้อมทั้งหมดให้เข้าที่และมองไปที่อาหารเย็นของคาเล็มที่ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตื่นมากิน “คุณหมอคงจะเหนื่อยมากๆ…”

“ครับ ยิ่งช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง..” เรนเดลเก็บจานไปหาวิธีจัดการอย่างคุ้นชิน เพราะคาเล็มก็มักจะทำงานจนลืมทานอาหารบ่อยๆ ไม่ก็สลบจนเลยเวลาไปเลยก็มี

“ผมอยากจะช่วยคุณหมอนะครับ แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องเจออะไรบ้าง หรือต้องทำตัวแบบไหน”

เรนเดลยิ้มน้อยๆให้อีกคน เห็นความตั้งใจที่อยากทำเพื่อเจ้านายของโอเมก้าคนนี้แล้วเขายิ่งรู้สึกเอ็นดูเข้าไปใหญ่ “งั้นเอางี้มั้ยครับ ถ้าตอนนี้พอจะมีเวลาว่างจากการตัดชุด ลองอ่านงานของคุณหมอได้นะครับ”

“จริงด้วย..” ลาซารัสลืมนึกไปเสียสนิทว่าอย่างคุณหมอต้องมีหนังสือที่อ้างอิงหรือหนังสือที่เขียนเองอยู่บ้างนี่นา

“ห้องสมุดของนายน้อยอยู่ตรงข้ามห้องทำงานเลยครับ ปกติจะล็อคไว้เสมอ แต่ถ้าขอดีๆกระผมว่านายน้อยคงให้เข้าไปอยู่”

“...ต้องขอสินะครับ” ร่างโปร่งไหล่ลู่ตกอย่างกับจะปลดปลงกับความดุและเย็นชาของคุณหมอ ยิ่งช่วงนี้ดูชอบทำหน้าดุๆส่งมาให้ยิ่งสยองใจ..

“งั้นก็ลองอ้อนดูสิครับ” เรนเดลหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของลาซารัสที่ทำหน้าตกใจกับคำแนะนำของตน “เห็นใจแข็งแบบนั้นแต่ก็แพ้ทางคนช่างตื๊อนะครับ”

“จริงเหรอครับ” ถามเพื่อความแน่ใจเพราะดูยังไงก็คิดว่าไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น

“ก็ดูอย่างคุณริชาร์ดไงครับ ตอนแรกนายน้อยก็พยายามตีตัวออกห่างเพราะรู้สึกว่าชีวิตโดนคุกคาม แต่พอนานๆเข้าก็กลายเป็นว่าสนิทกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อบ้านสูงวัยเล่าไปยิ้มไป โอเมก้าหนุ่มได้ยินแล้วยังอดทึ่งไม่ได้

“ตกลงครับ ถ้างั้นผมจะลองอ้อนคุณหมอดู”


“ไม่ได้!” เสียงทุ้มตะโกนตอกใส่หน้าโอเมก้าหนุ่มจนแทบจะผงะถอยหลังเผ่นออกจากห้องทันที หมอคาเล็มที่เพิ่งจะตื่นนอนได้ไม่นานทำหน้างัวเงียและเอามือเคาะหัวหวังดึงสติให้ตื่นจากความง่วง “โทษทีที่เสียงดัง…นายจะเข้าไปอ่านงานวิจัยของฉันทำไม?”

น้ำเสียงกลับมาเป็นโทนปกติก่อนดันแว่นขึ้นให้เข้าที่ ลาซารัสจึงคิดว่าคงพูดออกไปได้แล้ว

“ผมอยากศึกษาเรื่องของโอเมก้าเพิ่มเติมน่ะครับ เผื่อว่ามันจะช่วยให้ผมได้เข้าใจงานของคุณหมอมากขึ้น” ร่างโปร่งอธิบายด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้น

“ครั้งก่อนแค่เห็นหนังสือกายวิภาคร่างกายของโอเมก้านายยังขยาดจนตัวสั่น แล้วคิดว่ายังจะรับไหวอีกเหรอ?” คาเล็มกอดอกและสวนกลับไป “ยิ่งรู้มากก็จะยิ่งมีแต่จะทำให้นายกลัวมากขึ้นเท่านั้น”

“ก็จริงครับ แต่เป็นเพราะว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณหมอเลย แต่ถ้าเป็นตอนนี้ผมเชื่อว่าผมรับได้แน่ครับ แล้วถ้าหาก…”

“ถ้าหาก?” คาเล็มนั่งรอว่าโอเมก้าในครอบครองของตนจะพูดอะไรออกมา

“หากว่า...มีใครมาพูดจาว่าร้ายให้ผมฟังว่าคุณหมอหลอกให้ผมมาเป็นตัวทดลอง ผมจะได้กล้าพูดใส่หน้าคนๆนั้นว่างานวิจัยของคุณหมอไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่พวกเขาเข้าใจ มันมีคุณค่าต่อการช่วยชีวิตโอเมก้าคนอื่นๆเหมือนอย่างผม”

สายตาของลาซารัสสื่อออกมาชัดเจนว่าพูดออกมาจากใจจริงจนคาเล็มเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกตื้นตันแค่ไหนที่ได้ยินเช่นนี้

“นะครับคุณหมอ ผมขอร้องล่ะครับ” ร่างโปร่งทำน้ำเสียงเว้าวอนและส่งสายตาอ้อนเหมือนเจ้าพวกก้อนขนในวันที่คุณหมออัลฟ่าไปเหมามาทั้งร้าน ผิดกับท่าทางเอาจริงเมื่อครู่จนแทบปรับท่าทีไม่ทัน

“เฮ่อ…” อัลฟ่าสูงวัยถอนหายใจยาวและกวักมือเรียกให้ลาซารัสเดินเข้าไปหา ก่อนจะยื่นกุญแจให้ “ฉันมีอยู่แค่ดอกเดียว ใช้ห้องเสร็จแล้วก็ล็อคให้ดีแล้วเอามาคืนฉันทุกครั้งล่ะ”

“ครับ!” ลาซารัสยิ้มกว้างอย่างยินดีเป็นที่สุด ก่อนจะโค้งตัวให้แล้วขอตัวไปยังห้องสมุดทันที คาเล็มที่เจอใบหน้าสดใสที่ไม่ได้เห็นมานานถึงกับแทบสลบเหมือดกับพระอาทิตย์ที่เจิดจ้าดวงนั้น

“บอกแล้วว่าอย่ามาทำหน้าแบบนั้นใส่…” แต่พูดไปก็เท่านั้น คาเล็มได้แต่บ่นกับตัวเองไปงั้น โดยที่ไม่กล้าบอกอีกฝ่ายเลยว่ารอยยิ้มแบบนั้นทำเขาลำบากใจขนาดไหน


ลาซารัสเข้ามาในห้องเก็บงานวิจัยที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย แต่ละเล่มหนาหลายร้อยหน้า แบ่งสัดส่วนและหมวดหมู่ชัดเจนจนง่ายต่อการค้นหา ส่วนใหญ่คืองานวิจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องหรือหนังสืออ้างอิง ส่วนชั้นเล็กๆที่มุมในสุดเป็นเอกสารหลายต่อหลายแฟ้มที่ท่าทางเป็นของคาเล็มเอง ลาซารัสตัดสินใจค่อยๆศึกษาทีละเรื่อง เขาเลือกที่จะอ่านกายวิภาคของโอเมก้าก่อน เพราะหนังสือที่เจาะละเอียดจริงๆแทบไม่มีขายในท้องตลาด คนส่วนใหญ่ก็รู้จักโอเมก้าแค่เท่าที่ทุกคนรับรู้

“เอ๊ะ มีอัลฟ่ากับเบต้าด้วยนี่..” ใช่อยู่ว่าคุณหมอเน้นที่โอเมก้า แต่การศึกษาอีกสองไทป์ไปด้วยก็คงมีความสำคัญอยู่ เจ้าตัวก็เลยหยิบมาหมด… ด้วยความที่ตัวเขาเองเป็นหนอนหนังสืออยู่แล้ว การอ่านปริมาณขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็น “วันสองวันก็หมดมั้ง”
ร่างโปร่งโผล่หน้าเข้าไปในห้องนอนที่กลายเป็นห้องทำงานของหมออีกครั้งเพื่อมาคืนกุญแจ เมื่อเห็นว่าคาเล็มยังคงนอนสลบอยู่ที่เตียงก็เคาะเบาๆอีกครั้งเพื่อเช็คว่าคนบนเตียงไม่หลับไปอีกรอบแล้ว? ….ทว่าไร้วี่แววและเสียงตอบกลับ ลาซารัสเลยเดินเข้ามาหาเพื่อวางกุญแจไว้ที่ชั้นวางของตัวเตี้ยติดหัวเตียง

“...” แอบเหล่มองคาเล็มอีกครั้ง เห็นว่าอีกฝ่ายนอนไปโดยไม่ได้ถอดแว่นออกด้วยซ้ำก็เริ่มกังวลว่ากลัวจะพลิกตัวแล้วทับแว่นพังไปเสียก่อน โอเมก้าหนุ่มเลยยื่นมือสั่นๆออกไปหาและค่อยๆดึงแว่นอีกฝ่ายออกช้าๆ ก่อนจะวางมันไว้ข้างๆกุญแจห้องสมุด

“หวา!” จู่ๆร่างโปร่งก็โดนดึงหงายหลังลงไปกับที่นอนกว้าง วงแขนแข็งแรงโอบรัดแน่นจนโอเมก้าหนุ่มดิ้นไม่หลุด “คะ... คุณหมอ!”

“เรียกทำไม?” คาเล็มถามเสียงงึมงำ ใบหน้ายังซุกอยู่ที่บริเวณท้ายทอยของคนที่ตนกอดไว้ไม่ต่างจากหมอนข้าง

“อะ เอ่อ...ผมขอโทษที่ทำให้ตื่นครับ” ลาซารัสนอนตัวเกร็งเพราะทำอะไรไม่ถูก โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าที่คุณหมออัลฟ่าทำไปนั้นไม่ได้เป็นเพราะว่ากลิ่นฟีโรโมนของตัวเองที่กระตุ้นให้อยากทำ แต่หมอคาเล็มแค่อยากแกล้งให้อีกฝ่ายตกใจเพราะนึกว่าโดนเล่นงานเท่านั้นเอง

“อ่านเสร็จแล้วเหรอ? เร็วจังนะ” เสียงทุ้มเอ่ยข้างๆหูโอเมก้าในครอบครอง “อ่านเรื่องอะไรไปแล้วบ้างล่ะ?”

“อ่ะ...เอ่อ ช่วยปล่อยก่อน ดะ...ได้มั้ยครับ” ใบหน้ามนขึ้นสีแดงจัดและเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หัวใจเต้นแรงอย่างกับมันจะทะลุออกมาข้างนอกเสียให้ได้

“พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย ตอบฉันมาก่อนสิ” หมอคาเล็มทำเมินคำขอร้องของโอเมก้าหนุ่มแล้วกดจมูกลงไปใกล้กับหลังคอที่มีเสื้อคอเต่าใส่ปิดคอไว้

“อึ่ก...กะ กายวิภาคของโอเมก้า เบต้า และก็อัลฟ่าครับ” จากที่นอนเกร็งตอนนี้ร่างกายกลับสั่นและก็อ่อนยวบ เสียงของคุณหมอมันต่างจากทุกที มันเหมือนกับเสียงที่เคยได้ยินจากวีดีโอเมื่อครั้งนั้น

“ฉลาดเลือกนะ มันต้องมีความรู้พื้นฐานของเรื่องที่อ่านก่อนจะต่อยอดขยายความ” ร่างสูงเอ่ยชมอย่างไม่เคยจะทำมาก่อนจนลาซารัสแอบที่จะคิดไม่ได้ว่าเขาผสมอะไรผิดสำแดงลงไปในคุกกี้หรือไร ทำไมจู่ๆหมอก็แปลกไปขนาดนี้ ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อมือที่โอบกอดตนข้างหนึ่งเลื้อยลงต่ำแทรกตัวเข้าไปในเสื้อของเขาเสียแล้ว

“เดี๋ยว! คุณหมออ!!” โอเมก้าหนุ่มแผดเสียงลั่นทั้งตกอกตกใจสุดชีวิตทั้งยังไม่เข้าใจสถานการณ์ใดๆ ร่างกายที่ตอบสนองต่อบุคคลนี้เป็นทุนเดิมเจอการสัมผัสจากใครอื่นนอกเสียจากการปลุกเร้าของตัวเองจึงทำเอาร่างกายร้อนและเริ่มสั่น “เหวอ...ไม่นะ”

เสียงหอบหายใจและใบหน้าขึ้นสีแดงจัดไปทั่ว กับความรู้สึกวูบวาบที่ช่วงล่างกำลังประท้วงร่างกายว่าเขาฮีทเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมั่นใจว่าคาเล็มไม่รับรู้กลิ่นฟีโรโมนนี้แต่เขาก็คงดูออกว่าร่างสั่นเทิ้มในวงแขนกำลังปั่นป่วนจากการถูกรุกล้ำแน่ๆ

“ไวเหมือนกันแฮะ” เสียงของคาเล็มกลับเป็นปกติที่เป็นมาตลอดตั้งแต่แรกเจอ ลาซารัสถูกกดลงบนเตียงก่อนยาประหลาดสีขาวจะถูกยื่นจ่อให้ต่อหน้าโดยที่คุณหมอคร่อมร่างเขาไว้จนไร้ทางหนี “กินนี่..แล้วลองรอสักสี่ห้านาทีเหมือนเดิมนะ”

“เอ๊ะ?” คนนอนแผ่กระพริบตาปริบมองยาไม่น่าไว้ใจตรงหน้า มันไม่ใช่ยาระงับอาการฮีทที่กินเป็นปกตินี่นา?

“อ้าปาก” คำสั่งเจืออำนาจของอัลฟ่าเล็ดลอดออกจากปากของเจ้านายผู้ควบคุมทุกอย่างตอนนี้ โอเมก้าหนุ่มได้แต่ทำตามแต่โดยดีแล้วหยิบยานั้นมากินเข้าไป “เคี้ยวแล้วกลืนซะ”

ร่างโปร่งเคี้ยวยาตามคำสั่งที่ได้รับและกลืนลงไปอย่างยากลำบากเพราะไม่มีน้ำเปล่าช่วยใดๆ เมื่อกินลงไปแล้วคาเล็มก็ลุกไปหยิบเอากระดาษและปากกาแถวๆนั้นมาวางไว้ใกล้ๆ ในขณะที่เขาตรวจสอบทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งรูม่านตา ชีพจร ความดัน และหลายๆอย่างเหมือนกำลังตรวจหาความผิดปกติ แต่ยิ่งโดนสัมผัสตัวด้วยมือหนานั้นไปมากเท่าไหร่ลาซารัสก็เหมือนถูกกระตุ้นมากขึ้นเท่านั้น

ช่วงเวลาที่โหยหาการปลดปล่อยผ่านไปเนิ่นนานสำหรับคนที่กำลังทรมาณ กระทั่งครบเวลาที่ตั้งไว้ คนบนเตียงก็ยังไม่มีทีท่าที่จะหยุดใดๆ

“คุณหมอ…” เสียงสั่นพร่าครางเรียกหาผู้เฝ้ามอง

“...ลดสารที่สร้างความเสี่ยงต่อการสะสมระยะยาวไปแล้ว..แต่ใช้ไม่ได้เหรอเนี่ย” คาเล็มมองและผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น..ไม่สิ ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยเสียจะดีกว่า..ร่างสูงกะจะเก็บเอากระดาษบันทึกกลับไปวางที่โต๊ะคืน ทว่าก่อนจะได้ลุกไปไหน จู่ๆคาเล็มก็สะดุ้งเพราะกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่เริ่มเข้มข้นขึ้นจนแตะจมูกทั้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

“คุณคาเล็มครับ” ลาซารัสยันร่างของตนเข้ามาใกล้ ทั้งยังเกาะเอาแขนเสื้อทั้งสองเขาไว้แน่น สายตาเต็มไปด้วยความต้องการมองมาหาอัลฟ่าตรงหน้าอย่างกระหายการปลดปล่อย

บัดนี้ยาระงับกลิ่นรวมทั้งยาลดประสิทธิภาพที่ฉีดไว้ใกล้จะหมดฤทธิ์เต็มที..

สถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่น่ากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นหากอยู่ใกล้ชิดกันโดยไม่มีการป้องกันได้เกิดขึ้นจนได้

“ลาซารัส ปล่อยมือซะ” เสียงทุ้มออกคำสั่งอย่างยากลำบาก ร่างกายของคาเล็มเริ่มตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนยั่วยวนของโอเมก้าและสัญชาตญาณดิบที่มีอยู่ในตัวของอัลฟ่าทำให้เขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนครั้งที่แล้ว “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”

“คุณคาเล็ม…” ดวงตาสีฟ้าจ้องอย่างอ้อนวอนขอความปรารถนา ร่างโปร่งสั่นเทิ้มด้วยความกระสันอยากอย่างรุนแรง มือที่รั้งแขนของอีกฝ่ายเลื่อนไปหาส่วนกลางลำตัวของอัลฟ่าสูงวัยที่เริ่มตื่นตัวก่อนลูบไล้ไปมาผ่านเนื้อผ้ากางเกง “ได้โปรดเถอะครับ ช่วยปลดปล่อยผมให้พ้นจากความทรมานนี้ที”

“...ฉันขอโทษ”

ฉึก!!

ปากกาในมือของร่างสูงแทงเข้าที่ขาของตน คาเล็มร้องคำรามลั่นและดึงมันออกมาแทงซ้ำลงไปอีกสองถึงสามครั้ง

“คุณหมอ!!” ลาซารัสเบิกตากว้างกับภาพที่คุณหมออัลฟ่ากำลังทำร้ายตนเองจนเผลอปล่อยมือออก และร่างสูงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือที่กำปากกาชุ่มเลือดนั้นและยังคงแทงตัวเองซ้ำไม่หยุดราวกับคลุ้มคลั่ง “คุณเรนเดล!! ช่วยด้วยครับ!! ช่วยคุณหมอด้วย!!”

พ่อบ้านที่ได้ยินเสียงเอะอะรีบบึ่งขึ้นมาในห้องของเจ้านาย ชายชราหน้าซีดแต่ก็ตั้งสติได้เร็ว เขาหันไปคว้าเอากล่องยาของคาเล็มเปิดเอาเข็มฉีดยาและตรงเข้าไปหาร่างที่อาบไปด้วยสีแดงชุ่มก่อนจะจับร่างสูงกดไว้กับที่นอนไม่ให้ดิ้นไปไหนได้และฉีดมันเข้าไปที่ต้นแขนของหมอคาเล็ม

ยาระงับออกฤทธิ์แทบจะในทันที คาเล็มหอบหายใจหนักร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มโชกก่อนจะหมดสติไป เรนเดลดึงแขนของลาซารัสออกให้ห่างจากตัวนายน้อยของเขาแล้วสั่งให้โอเมก้าหนุ่มรีบไปกินยาระงับอาการฮีทโดยเร็ว และรีบหันกลับไปยังห้องเดิมเพื่อดูอาการของคาเล็ม



TBC.





*****************************************************************************************


สุขสันต์วันแก่คุณหมอด้วยแผลฉึกๆนะคะ //หมอบอกจะฆ่ากันรึไง  o22

ชอบแกล้งหมอแต่ทำไปทั้งหมดเพราะความรักนะคะ หุๆๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.4 - Up! (19/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 19-02-2017 15:15:38
เย้มาเร็วทันใจ มาต่อบ่อยๆอย่างนี้คือดีงาม สู้ๆน้า :hao7:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.5 - Up! (20/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 20-02-2017 18:35:50

บทที่ 5



คาเล็มปรือตาขึ้นหลังจากสลบไปนานพอสมควร ร่างสูงเวียนหัวตึ้บไปหมดเพราะยาที่ถูกฉีดเข้ามานั้นทำเอาทุกอย่างในร่างกายเสียสมดุลย์ไปหมด ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามีคนนั่งอยู่ข้างๆเขา

“คุณหมอ” เสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกเสียงเบา ลาซารัสปิดหนังสือในมือแล้วเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ๆกับเจ้านายของตน

“กี่โมงแล้ว” คาเล็มมองไม่เห็นนาฬิกาบนผนังเพราะแว่นถูกถอดวางไว้ที่อื่นที่เขาควานหาด้วยมือตัวเองไม่เจอ

“ตีห้าครับ..” ร่างโปร่งตอบเสียงสั่นจนคนที่นอนอยู่ต้องหันมามองช้าๆ แม้จะไม่ได้ใสแว่นอยู่ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตาแดงขนาดไหน ท่าทางจะเพิ่งหยุดร้องไปไม่นานนัก “คุณหมอจะนอนต่อก็ได้นะครับ ยังไม่ทันจะเช้าเลย”

“ไม่เป็นไร นอนจนอิ่มแล้ว” มือหนายกขึ้นลูบหน้าของตนเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสตัวเอง ก่อนจะนึกได้ว่าไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนของลาซารัสทั้งที่ยาที่โดนฉีดก่อนจะหมดสติน่าจะหมดฤทธิ์แล้ว จึงได้หันไปมองและถามกับคนที่นั่งข้างๆ

“ผมฉีดน้ำหอมระงับกลิ่นไปน่ะครับ” โอเมก้าหนุ่มยิ้มให้คนที่ยังนอนอยู่

“งั้นเหรอ..” คาเล็มไล่สายตาไปตามขาของตนที่โดนยกพาดไว้กับหมอนหลายใบเพื่อให้มันสูงขึ้นเล็กน้อย “ได้นอนบ้างรึยัง”

คำถามทำเอาคนโกหกไม่เก่งเงียบลง ท่าทางจะยังไม่หลับตั้งแต่เกิดเรื่อง ทำเอาคุณหมอทำหน้าเหมือนหัวเสียเล็กน้อย “ผมนอนไม่หลับครับ..”

“บอกแล้วว่าเดี๋ยวสุขภาพเสีย..” ร่างสูงเปรยเสียงเบาเพราะไม่อยากจะดุอีกฝ่ายตอนนี้ พอนึกถึงเรื่องที่จะทดลองยากะทันหันเมื่อวานจนเกิดเรื่องก็คิดจะเอ่ยขอโทษคนในครอบครองให้เรียบร้อย แต่คนข้างๆกลับหลั่งน้ำตาออกมาเสียก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ

“ผมขอโทษครับ” เสียงสั่นปนเสียงสะอื้นเบาๆหลุดออกจากปากของโอเมก้าหนุ่ม “ถ้าผมเชื่อฟังคุณหมอให้มากกว่านี้ พกยาติดตัวตลอด คุณหมอคงไม่ต้องเจ็บตัว..”

“เฮ้..คือเรื่องนี้..”

“ผมอยากช่วยคุณหมอแท้ๆ แต่ยิ่งทำงานคุณหมอช้าลงไปอีก หลายทีแล้วด้วย” ลาซารัสเริ่มร้องไห้งอแงจนฟังไม่รู้เรื่อง คาเล็มถึงกับทำตัวไม่ถูก

“อย่าโทษตัวเองเลยลาซารัส ครั้งนี้นายไม่ผิดหรอก” มือหนาเอื้อมไปลูบหัวปลอบใจ แต่กลับยิ่งทำให้โอเมก้าหนุ่มร้องไห้เป็นเด็กๆยิ่งกว่าเดิม “นี่ หยุดร้องได้แล้ว ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”

“ผมกลัว...ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเลย ตัวคุณหมอมีเลือดเต็มไปหมดแต่ผมกลับ...ได้แต่มองตัวสั่นอยู่ตรงนั้น”

“แต่นายเรียกเรนเดลให้มาช่วยฉัน นายทำได้ดีแล้ว” มือที่ลูบหัวเปลี่ยนมาเป็นเช็ดน้ำตาให้แทน “แถมนายยังเฝ้าฉันทั้งคืนอีก ขอบใจนะ”

“ฮือ...คุณหมอออออ” ร่างโปร่งสะอื้นจนน้ำตาน้ำมูกไหลเต็มหน้าตาจนดูแทบไม่ได้ ลาซารัสพุ่งตัวไปกอดเอวคาเล็มไว้ คุณหมออัลฟ่าขยับหนีไปไหนไม่ได้เพราะขาเจ็บอยู่จึงต้องปล่อยให้โดนเกาะเป็นลูกหมีโคอาล่าไปทั้งอย่างนั้น

เสียงเอะอะยามเช้ามืดดังไปถึงในห้องครัว พ่อบ้านที่ตื่นเวลานี้เป็นปกติถอนหายใจโล่งอกที่ดูอะไรๆ จะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด เรนเดลยกมื้อเช้าไปเสิร์ฟที่ห้องนอนของเจ้านาย พร้อมกับยื่นถ้วยซุปหัวหอมให้คนเจ็บได้ทานรองท้องก่อนกินยา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจส่งให้ลาซารัสแทน

“ฝากด้วยนะครับคุณแมทเวย์ เดี๋ยวผมจะขึ้นมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ทีหลังนะครับ” ชายชราขยิบตาให้ก่อนรีบเดินออกไปจากห้อง ทำเอาโอเมก้าหนุ่มงงว่าหมายถึงอะไร เขาจ้องถ้วยซุปในมือสลับกับคุณหมอคาเล็ม ก่อนจะเข้าใจความหมายที่พ่อบ้านต้องการจะสื่อว่า...ให้เขาป้อน

ร่างโปร่งหยุดสะอื้นแล้วนั่งมองถ้วยซุปอย่างเขินอายโดยไม่กล้ามองหน้าคาเล็มด้วยซ้ำ ยิ่งเกิดเรื่องเมื่อวานที่เขาทำตัวแบบนั้นใส่ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเข้าไปอีก

“ฉันกินเองได้ ไม่ต้องป้อน” คาเล็มยื่นมือมาขอถ้วยซุปในมือจากโอเมก้า

“คะ...ครับ” ลาซารัสส่งให้คุณหมอไปกินเองแต่โดยดี พอเห็นคาเล็มกินได้ปกติก็เผลอยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

“ไม่กลัวฉันรึ” พอยกถ้วยซุปกินจนหมดก็กินยาที่เรนเดลจัดให้ตามลงไปพลางเอ่ยถาม

“ครับ?”

“...ฉันหลอกให้นายมาทดลองยา...แถมทำตัวแปลกๆใส่อีก..ไม่กลัวฉันเลยเหรอ”

ลาซารัสนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อวานเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจากที่เขาไม่ทันตั้งตัว และคาเล็มก็ลืมเช็คเวลาที่ยาออกฤทธิ์ จะเรียกว่าเกิดขึ้นเร็วมากก็ได้กระมัง..

“ผม.. ก็กลัวครับ ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร แต่สถานการณ์มันพาไป ตอนทำผมอาจจะไม่รู้สึกแย่..” ร่างโปร่งเรียบเรียงคำพูดผิดๆถูกๆ “แล้ว...พอคิดว่าเป็นคุณหมอ… ผมก็ดันรู้สึกว่า ไม่เป็นไร...ขึ้นมา..”

เสียงตะกุกตะกักค่อยๆอ่อนลงพร้อมๆกับสีแดงที่สูบฉีดขึ้นมาบนหน้ามน คนบนเตียงเองก็นั่งอึ้งกับคำตอบเหนือความคาดหมาย

“ผม...ง่วงแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ แต่ถ้าคุณหมอมีเรื่องอะไรจะใช้ผมก็เรียกได้ตลอดนะครับ!” ร่างโปร่งลุกพรวดแล้วเดินจ้ำเท้าเร็วๆออกไปจากห้องนอน อัลฟ่าที่ตั้งใจจะรั้งตัวไว้ก่อนเลยได้แต่มองตาปริบๆ

“สารภาพเสร็จแล้วก็หนีไปเลยเนี่ยนะ…ไม่คิดจะฟังทางนี้บ้างเลยรึไงเจ้าเด็กบ้า” คาเล็มเอามือลูบหน้าตัวเอง รู้สึกว่าอุณหภูมิมันร้อนผิดปกติ สงสัยว่าคงจะไข้ขึ้น…

ว่าไปนั่น...รู้แก่ใจดีว่ามันไม่ได้เป็นเพราะพิษไข้สักหน่อย


ลาซารัสเอาหน้าซุกหมอนแล้วตะโกนใส่สุดเสียง เมื่อกี้นี้นายพูดอะไรออกไปน่ะลาซัส! แล้วจากนี้จะมองหน้าคุณหมอยังไง! บ้าๆๆๆ!!

“บ้าๆจริงเลย…” ใบหน้ามนแดงเป็นมะเขือเทศสุกในตอนที่คิดว่าจะโดนคุณหมอทำเรื่องแบบนั้น แม้ว่าเขาจะต่อต้านในทีแรกแต่ตอนที่ร่างกายโดนมือคู่นั้นสัมผัสกลับรู้สึกดีจนนึกเสียดายที่เป็นแค่การแสดงของคุณหมออัลฟ่า ลาซารัสเริ่มรู้ตัวแล้วว่าลึกๆในใจนั้นตัวเขาเรียกร้องให้อีกฝ่ายกระทำการล่วงเกินก่อนที่ร่างกายจะฮีทขึ้นมาเสียอีก

น้ำเสียงนั้น...สายตาคู่นั้น...มือคู่นั้น...ร่างกายของคนๆนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่างมันวนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่หยุด

“อีกแล้ว…” ร่างโปร่งกอดตัวเองแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาดึงผ้าห่มมาคลุมโปงไว้และปลดกางเกงร่นลงมาพอให้มือแตะต้องสัมผัสส่วนอ่อนไหวของตัวเองได้ถนัด

“คุณหมอ…” เสียงกระเส่าเรียกคนที่เข้ามายึดพื้นที่ความคิดของตนทั้งหมด ร่างกายบิดเร้าใต้ผ้าห่มอุ่นที่กระทำการช่วยเหลือตัวเองอีกครั้ง มืออีกข้างสอดเข้าไปใต้เสื้อไล่สัมผัสร่างกายเหมือนอย่างที่โดนคุณหมออัลฟ่าปลุกเร้าก่อนหน้านี้ มือของคาเล็มที่ทั้งใหญ่และร้อนราวกับไฟ แค่โดนสัมผัสก็แทบจะหลอมละลายไปในอ้อมแขนนั้น

“คุณคาเล็ม...ผม...อะ อ๊ะ!” ดวงตาสีฟ้าหลับตาแน่น จินตนาการถึงตัวเองที่ถูกอ้อมแขนแข็งแรงนั้นโอบกอดร่างกายนี้และถูกมือคู่นั้นสัมผัสไปทุกๆที่จนไม่เหลือที่ว่าง มือที่กำลังลูบไล้แก่นกายขยับขึ้นลงเร่งให้ตนถึงจุดหมาย ก่อนที่ร่างโปร่งจะใช้มือของอีกข้างของตนเลื่อนไปแตะช่องทางนุ่มที่ชุ่มแฉะด้านหลัง นิ้วทั้งสามดุนดันและสอดเข้าไปในทีเดียว แตะต้องส่วนที่ลึกที่สุดในร่างกายของตัวเองพลางจินตนาการว่าเป็นแก่นกายของอัลฟ่าคนนั้นได้รุกล้ำเข้ามาที่ช่องทางนี้

“ฮ้ะ! อ๊ะ! คะ...คาเล็ม!” นิ้วสัมผัสโดนปุ่มกระสันด้านในอย่างรุนแรงจนผนังด้านในถึงกับตอดรัดนิ้วของตนถี่ยิบจนขยับลำบาก ริมฝีปากครางหวานร่ำร้องเรียกชื่อของคุณหมอคนนั้นจนตัวเองยังอายที่ได้ยินเสียงร้อนร่านนี้หลุดจากปากของตัวเอง ลาซารัสเร่งจังหวะปรนเปรอตัวเองทั้งด้านหน้าและหลังพร้อมๆกันจนใกล้จะถึงฝั่งฝัน

“อึ่ก! อ๊า!!” แก่นกายกระตุกพร้อมปลดปล่อยของเหลวสีขาวข้นออกมาเลอะเต็มที่นอนมากกว่าทุกครั้ง ช่องทางด้านหลังยังตอดรัดไม่หยุดจนลาซารัสต้องค้างไว้แบบนั้นถึงค่อยๆดึงนิ้วออกมาได้ ร่างโปร่งหอบหายใจหนักราวกับแข่งวิ่งมาราธอนบนยอดเขาสูง ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าจะปรือปิดแล้วหลับไปด้วยความอ่อนล้าที่สะสมมาทั้งคืน


“นายน้อยครับ มีใครทักมาหรือเปล่า” เรนเดลที่กำลังทำความสะอาดแผลเพื่อเปลี่ยนผ้าพันแผลให้นายจ้างของตนก็สังเกตเห็นมือถือที่สั่นมากกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง

“ริชาร์ดมั้ง เดี๋ยวค่อยโทรกลับ” คาเล็มนั่งมองหน้าจอตรวจชีพจรที่พุ่งสูงพร้อมกับสารบางอย่างที่พุ่งขึ้นรวดเร็ว จนทำให้เจ้าของมือถือรู้ได้ทันทีว่าโอเมก้าของตนทำอะไรๆไปแล้ว..

เลยเป็นความสงสัยว่า ยาต้านอาการฮีทนี้ มันก็แค่ยืดระยะเวลาออกไป กดสารที่หลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นให้มีความตื่นตัวทางเพศไว้แล้วรอมันระเบิดออกมาหรือเปล่า?

แม้จะเพิ่งโดนสารภาพรักมาหมาดๆแต่ในหัวสมองคุณหมอกลับยังสามารถคิดงานหรือตั้งสมมุติฐานต่อได้ ...อย่างต้องการจะลืมเรื่องเมื่อครู่ไปก่อน….

“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ?”

“ทำไมรึ”

“เห็นหน้านายน้อยดู….มีชีวิตชีวาดีน่ะครับ” เรนเดลยิ้มกริ่มอย่างเอ็นดูเพราะตั้งแต่เข้ามาก็เห็นเจ้านายของตนนั่งเงียบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยสีแดง

“ไม่มีอะไร!” คาเล็มเผลอขึ้นเสียงทั้งที่ขาก็ยังปล่อยให้พ่อบ้านทำแผลให้ทั้งอย่างนั้น

“งั้นรึครับ น่าเสียดายๆ หึหึหึ” ชายสูงวัยกว่าหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ทำเอาจูเลียตเอียงคอสงสัย

ดวงตาหลังกรอบแว่นมองข้าวของไปรอบๆห้องนอน ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่กรอบรูปที่โต๊ะข้างเตียง

“เรนเดล…”

“ครับนายน้อย?” มือของคนที่กำลังเก็บผ้าพันแผลลงกล่องหันมาถาม

“ฉันกำลังคิดว่า...จะจัดห้องนี้ใหม่สักหน่อย คิดว่าไง?”

“จัดใหม่?” พ่อบ้านสูงวัยอดแปลกใจไม่ได้ เพราะหลายสิบปีมาแล้วที่คาเล็มไม่ยอมให้เขาแตะต้องหรือย้ายข้าวของในห้องนี้ออกไปไว้ที่อื่น “...คิดดีแล้วเหรอครับ”

“ริชาร์ดบอกว่าให้ฉันเลิกจมอยู่กับอดีต แถมของพวกนี้มันก็ทำให้ฉันลืมโนเอลไม่ได้เลยสักวัน” มือหนาเอื้อมไปหยิบกรอบรูปของตนที่ถ่ายกับคนรักซึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาลูบอย่างคิดคนึงหา “มันคงถึงเวลาที่ฉันต้องเริ่มต้นใหม่จริงๆแล้วล่ะ...ไม่สายไปใช่มั้ย?”

“ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการนับหนึ่งใหม่หรอกครับ” พ่อบ้านยิ้มให้แล้วขอตัวเอากล่องยาไปเก็บ “ถ้ายังไงจะให้ตามคุณแมทเวย์มาช่วยเก็บของด้วยมั้ยครับ ขาเป็นแบบนั้นนายน้อยอาจจะเคลื่อนไหวไม่ถนัด”

คาเล็มส่ายหน้าให้พ่อบ้านที่ดูจะรีบร้อนยิ่งกว่าตนเสียอีก “ยังไม่ต้องรีบไปตามหรอก ปล่อยให้นอนไปก่อนเถอะ”

“ครับ แล้ววันนี้คุณริชาร์ดจะมาอีกมั้ยครับ กระผมจะได้เตรียมมื้อกลางวันไว้ต้อนรับ”

“คิดว่าคงจะมาแหละ ทำเผื่อไว้ก่อนแล้วกัน”

พ่อบ้านโค้งรับคำสั่งเจ้านายก่อนจะขอตัวลงไปจัดการงานบ้านส่วนของวันนี้ พร้อมกับหันไปยิ้มให้เจ้าสี่ขา

“ท่าทางนายเราจะได้มีข่าวดีเร็วๆนี้แล้วล่ะนะจูเลียต”


“เมื่อคืนมีใครเมาอาละวาดรึไง” ริชาร์ดทำหน้างงสุดชีวิตเมื่อเห็นสภาพคนในบ้าน เพื่อนรักที่ขาพังเป็นรูและยังมีผ้าพันแผลชุ่มเลือดซิบๆอยู่บ้าง ส่วนลาซารัสก็หน้าซีดเซียวราวกับคนอดนอน เรนเดลที่ดูเหนื่อยๆเพราะวันนี้ลาซารัสไม่อยู่ช่วยงานตอนเช้าทำให้ภาระงานบ้านและดูแลสัตว์เลี้ยงกลายเป็นของเขา

“ฉันจับลาซารัสลองยา เขาเลยฮี..”

“มีเรื่องนิดหน่อยครับ!” โอเมก้าหนุ่มตอบเสียงดังกลบคำตอบของคาเล็มเสียมิด

“....เออ เอาเถอะ ยังลุกมากินข้าวอร่อยๆได้แสดงว่าอาการยังไม่แย่สินะ” เพื่อนซี้ตบบ่าหมออย่างแรงโดยมิเกรงใจว่าจะสะเทือนถึงแผล

“นายแหกตาดูสภาพสิ กว่าจะลงมากินข้าวกับแกถึงนี่มันลำบากนะว้อย” ยิ่งคาเล็มดุเพื่อนของตนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำเอาลาซารัสตัวลีบลงเท่านั้น จนกระทั่งหมอหันมาเห็นคนข้างๆห่อตัวจนแลน่าสงสารก็ปลอบใจโอเมก้าตนอีกรอบ “ไม่ได้ว่านายซะหน่อย ไม่เห็นต้องรับไปเลย”

ริชาร์ดมองเพื่อนที่ยกแขนขึ้นลูบหัวโอเมก้าตัวน้อยในโต๊ะแล้วก็เหล่ไปหาเรนเดล..ซึ่งมองกลับมาพร้อมๆกันและยิ้มอย่างรู้กันเองสองคน ...หรือคิดไปเองก็ไม่รู้

“แล้ววันนี้จะฉลองวันแรกที่อายุ 46 ปีด้วยเรื่องอะไรดีครับผม” ริชาร์ดเท้าคางหันไปถามเพื่อนต่างวัยด้วยเสียงกวนประสาท

“จัดห้องใหม่มั้ง...มาช่วยด้วยเลยนะ”

การประกาศว่าจะจัดห้องใหม่ของคุณหมอทำเอาแขกผู้มาเยือนเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจสุดฤทธิ์ ก่อนจะหันไปหาลาซารัสที่กำลังดูอยากช่วยคุณหมอเต็มที่โดยยังไม่เข้าใจถึงความสำคัญของมันอย่างแท้จริง

ริชาร์ดหันไปหาพ่อบ้านอีกครั้งเพื่อขอคำยืนยันในสิ่งที่เขากำลังคิด เรนเดลก็แค่ยิ้มให้แทนคำตอบ เพื่อนที่เพิ่งมาก็เริ่มคลี่ยิ้มน่าตบให้คนสองคนที่อยู่ตรงข้าม

“ยิ้มอะไรของแก น่าขยะแขยง” คาเล็มเห็นสายตาและรอยยิ้มมีเลศนัยแล้วอดขนลุกไม่ได้

“เปล๊าาา ไม่มีอะไร” ซีอีโอหนุ่มทำเสียงสูงแล้วถูมือตัวเองไปมา วันนี้เขาพร้อมที่จะเป็นพนักงานเก็บกวาดให้คุณหมอคาเล็มใช้งานฟรีๆหนึ่งวันเต็ม “อยากรู้จริงๆว่าใต้เตียงคุณคาเล็มจะมีหนังสือปลุกใจซ่อนเอาไว้รึเปล่า”

“จ้างให้ก็หาไม่เจอหรอก” คุณหมออัลฟ่าปล่อยมุขกลางโต๊ะก่อนยกกาแฟขึ้นซด แต่สิ่งที่พูดเสมือนว่าเป็นเรื่องจริงนั้นทำเอาโอเมก้าหนุ่มที่นั่งข้างๆสำลักของที่กำลังกินจนหน้าแดง


หลังทานมื้อกลางวันเสร็จทุกคนก็ขึ้นไปบนห้องนอนของคาเล็ม เรนเดลยกกล่องเปล่าเอามาใส่ข้าวของที่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ เพื่อแยกไปไว้ที่โรงเก็บของหลังบ้านรอวันคัดทิ้งอีกที

ส่วนริชาร์ดนั้นกำลังสนุกกับการรื้อข้าวของมากกกว่าจะเรียกว่าช่วยคัดแยกของ จนคาเล็มต้องมาคอยคุมใกล้ๆไม่ให้เอาแต่เล่น ส่วนลาซารัสมีหน้าที่ขนกล่องที่ใส่ของจนเต็มแล้วยกไปไว้ที่โรงเก็บของที่มีแต่ของเก่าเก็บแถมฝุ่นจับและมีใยแมงมุมเกาะทั้งนั้น เรียกว่าปล่อยทิ้งไว้มานานเป็นปีๆจนดูน่าสยดสยองไม่น้อย เห็นแล้วอดไม่ได้อยากลุกขึ้นมาปัดกวาดซะให้เรี่ยมเร้เรไร

ร่างโปร่งเดินกลับขึ้นมาที่ห้อง เห็นภาพคุณหมอกับเพื่อนสนิทกำลังเถียงกันเรื่องทาสีบ้านใหม่เพราะสีเดิมมันหม่นหมองเกินไปเนื่องจากโดนทั้งแดดเลียทั้งโดนน้ำฝนมาเป็นสิบปี ทำให้บ้านหลังนี้ดูเก่าไม่น่าอยู่ ไปๆมาๆ ก็ลามไปถึงเรื่องรีโนเวทบ้านใหม่ทำตรงนั้นตรงนี้เพิ่ม

จากจัดห้อง กลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…

“เนี่ย ไหนๆจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งที เอาสีสวยๆมาทาใหม่น่าจะดีกว่านา เฟอร์นิเจอร์บางตัวก็เกินจะเยียวยาเหลือหลาย หามาวางใหม่บ้างเหอะน่า” ริชาร์ดยังคงหว่านล้อมไม่หยุดทั้งที่มือยังคงขนเอาของใส่ลงในลังต่อเนื่อง”

“ขอโทษนะครับคุณแมทเวย์ ที่ต้องให้คุณเป็นคนเอาลังไปเก็บคนเดียว ถ้าผมยังหนุ่มกว่านี้ก็คงไม่ลำบาก..”

“ไม่เป็นไรครับคุณเรนเดล” ลาซารัสยิ้มให้ชายสูงวัยกว่าแล้วยกเอากล่องลังเล็กๆที่ถูกปิดผนึกเรียบร้อยจากพ่อบ้านไปทีเดียวสองสามลัง

“นี่ๆลาซัส ถ้าคุณหมอจะทาสีบ้านใหม่นายคิดว่าสีอะไรดีล่ะ” พอเสียงเดียวของตนไม่สามารถหว่านล้อมได้ ริชาร์ดก็หันไปเรียกพรรคพวก

“เอ๋!? ทาสีใหม่?” ร่างโปร่งที่กำลังเดินออกไปหยุดยืนมองด้วยสายตาประหลาดใจ “นั่นสินะ… ถ้าทาสีขาวคงจะสว่างขึ้น หรือสีครีมอ่อนๆก็อบอุ่นดีนะครับ”

โอเมก้าผู้แสนซื่อนึกว่าคุณหมอจะทาสีใหม่จริงก็เลยออกความเห็นเต็มที่ทั้งรอยยิ้มยินดี จนคนที่ทีแรกจะไม่ยอมรับข้อเสนอของเพื่อนชักเริ่มโดนรอยยิ้มดวงตะวันนั้นสะกดจิตเอาเสียแล้ว.. ร่างโปร่งเดินเอาของไปเก็บตามหน้าที่ต่อหลังจากมั่นใจว่าได้ช่วยเหลือคุณหมอไปนิดหน่อยแล้ว ทว่ามันกลับไปช่วยให้ริชาร์ดชักจูงเจ้านายตนได้ง่ายขึ้นซะมากกว่า..

“แล้วไง เจ้าหนูนี่ช่วยละลายหัวใจน้ำแข็งคุณหมอเหรอครับ” แต่แทนที่จะใช้เหตุการณ์ที่เป็นต่อมาพูดโน้มน้าว เพื่อนแสนดีคนนี้กลับอยากกินเผือกเลยแซวคาเล็มด้วยเสียงเบา

อัลฟ่าสูงวัยกระทุ้งศอกใส่เพื่อนทีหนึ่งซะเต็มแรง แต่มันก็ใช้แทนคำตอบได้เป็นอย่างดี คาเล็มเร่งรีบเก็บของต่อแต่ก็ชะงักมือเมื่อเห็นกรอบรูปบนชั้นวางของข้างเตียงที่เดิม เขาหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกหลากหลาย ริชาร์ดจ้องมองเพื่อนอยู่นานว่าจะทำอย่างไรต่อแต่ก็ไม่เห็นว่าคุณหมอจะขยับเสียทีจึงเดินมากอดคอคนอาลัยอาวรณ์

“นายลืมเค้าไม่ได้หรอก...ฉันไม่ได้บอกให้ลืมด้วย…” ริชาร์ดพูดเสียงเบาและจริงจังกว่าปกติที่เจ้าตัวเป็น “นายแบกมันไว้ได้ นายคิดถึงโนเอลได้...เพียงแต่…อย่าให้มันทำให้นายขังตัวเองไว้กับอดีตสิ”

“...”

“นายไม่คิดจะให้โอกาสตัวเองเจอรักใหม่เลยรึไง”

คาเล็มมองเพื่อนรักข้างๆด้วยหางตา มือที่ถือกรอบรูปนั้นสั่นเล็กน้อยด้วยภาวะอารมณ์ที่ถาโถมราวกับพายุในอก แต่เมื่อได้ยินเสียงสดใสดังโวยวายมาจากนอกหน้าต่าง เขาทั้งคู่รวมทั้งเรนเดลก็หันไปมอง ลาซารัสยืนอยู่ตรงสวนหลังบ้านที่ซึ่งสามารถมองเห็นได้พอดิบพอดีจากห้องของคาเล็ม

“คุณหมอคร้าบบบ! ดูนี่สิ ดอกทานตะวันในสวนมันบานแล้วน้าาา” โอเมก้าหนุ่มโบกมือระรัวให้ทั้งสามคนด้านบน รอบๆเขาคือสวนดอกทานตะวันกว้างกินพื้นที่สวนหลังบ้านไปเสียเยอะ เหล่าลูกน้องพลพรรคขนปุยก็วิ่งเล่นในสวนกันสนุกสนานจนน่าเอ็นดู “วันนี้ไม่ได้ลงมาดูเลยอ่ะ เพิ่งเห็นว่าบานหมดแล้ววว”

รอยยิ้มแสนสดใสของโอเมก้าในครอบครองกับท่าทางที่กระฉับกระเฉงผิดกับวิสัยคนนอนไม่พอนั้นทำเอามือของคาเล็มที่ถือกรอบรูปอยู่หยุดสั่นลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ริชาร์ดจับสังเกตได้ก็เลยหันไปมองหน้าเพื่อนรักแล้วต้องประหลาดใจที่ตอนนี้มีรอยยิ้มจางประดับไว้ที่มุมปากของคุณหมออย่างไม่เคยเป็นมาหลายปี

“วันนี้พระอาทิตย์แยงตาดีเนอะ แสบตาไปหมดแล้วเนี่ย” เพื่อนรักเอ่ยแซวและผละตัวไปเก็บอย่างอื่นเพราะท่าทางจะไม่ต้องช่วยปลอบใจอะไรคาเล็มแล้วกระมัง


ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงหลังจากขนย้ายเอาของที่ไม่ใช้แล้วออกไปจากห้องนอนเสร็จก็มานั่งพักทานของว่างพลางคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยนอกเหนือจากเรื่องบ้าน

“โห! นายอ่านงานวิจัยของคาเล็มรู้เรื่องด้วยเหรอเนี่ย” เพื่อนอัลฟ่าของหมอถามปนแซวหลังจากที่รู้ว่าลาซารัสไปศึกษาเรื่องนี้มาเพื่อช่วยงานของคาเล็ม

ร่างโปร่งหัวเราะจนแก้มมีสีระเรื่อเล็กๆ เพราะหลังจากที่อ่านงานวิจัยก็ดันมีเรื่องหลังจากนั้นต่อ ทำให้ต้องหาเรื่องอื่นมาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน

“เอ่อ...ปกติคุณริชาร์ดชอบไปเที่ยวที่ไหนเหรอครับ? ปีนเขา ตีกอล์ฟ หรือไปดำน้ำอะไรงี้”

“เที่ยวกลางคืนน่ะ” ตอบหน้าตาเฉยขณะที่กำลังกัดแซนวิชคำโต ส่วนคนถามถึงกับหน้าชาเพราะผิดความคาดหมาย แต่ก็คงเป็นเรื่องปกติของคนรวยล่ะนะ

“ยังเที่ยวอยู่อีกเรอะ นึกว่าตั้งแต่โดนมอมเหล้าจนเกือบโดนลากไปกินคิดว่านายจะเลิกไปแล้วซะอีก”

“แหม...มันก็มีบ้าง ไอ้ฉันมันต้องไปเลี้ยงสังสรรค์กับลูกค้าเพื่อเจรจาธุรกิจนี่นา ไหนจะโดนเชิญไปงานเปิดตัวที่นู่นที่นี่ ถึงตอนนี้ฉันจะโยกหน้าที่เลี้ยงรับรองให้คนอื่นทำแทนไปแล้วก็เถอะ” ซีอีโออัลฟ่าเล่าพลางบ่นกลายๆ กับงานที่รัดตัวแน่นจนอึดอัดไปหมด “นี่ๆ ไว้ว่างๆพวกเราไปเที่ยวบ่อน้ำร้อนกันมั้ย หรือจะไปตั้งแคมป์บนเขากันดี”

“ว่างรึไงฮึพ่อซีอีโอ” คาเล็มอดไม่ได้ที่จะแขวะเพื่อนรักเบาๆ

“ก็อยากไปอ่ะ ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยเซ่” ริชาร์ดนอนกลิ้งไปมาเหมือนเด็กร้องจะเอาของเล่น

“ถ้าว่างๆจะไปด้วยนะ” คาเล็มตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง ยังไงเขาก็คิดว่าคนชวนไม่มีเวลาว่างหรอก…

“บ่อน้ำร้อน...ภูเขา…” โอเมก้าหนุ่มตาเป็นประกายอยู่ลำพัง ท่าทางอยากจะไปจนออกนอกหน้า เหมือนที่ใดๆในโลกก็ดูจะน่าตื่นตาสำหรับเขาไปซะหมด

“เดี๋ยวจบงานแต่งที่ฉันจะไปเดือนหน้าเราไปเที่ยวทะเลแทนมั้ย!? หน้าร้อนงี้มันต้องทะเลสิ” ริชาร์ดเสนอโดยหันไปหว่านล้อมคนตัวเล็กกว่าแทน…

“เอ๋!? ทะเล!!?” หากมีหางคงกระดิกให้คนถามไปแล้ว..

“ค่อยดูอีกที” คุณหมอคว้าเอาหัวของโอเมก้าของตนให้หยุดยื่นไปหาเพื่อนรักอย่างต้องการจะไปเที่ยวราวเด็กๆ นี่เขาเป็นพี่เลี้ยงหรือไงนะ

“แล้วคุณหมอมีอะไรถึงคิดจะเก็บห้องที่ไม่ได้เก็บมาน๊านนานนั่นล่ะครับ” ความสนิทที่เพิ่มขึ้นของเพื่อนซี้และโอเมก้าของเขาทำให้อดที่จะแหย่คุณหมอเล่นไม่ได้

คาเล็มชะงักจากการกินแล้วนั่งนึกคำตอบอยู่นานผิดปกติ ยิ่งโดนสายตาสงสัยจากร่างโปร่งข้างๆจ้องมาหาอย่างซื่อๆเพราะต้องการจะทราบด้วยแล้วยิ่งทำคุณหมออัลฟ่ากระอักกระอ่วน

“ห้องมันรกก็ต้องเก็บสิ แปลกตรงไหนกัน” แซนวิชในมือถูกยัดเข้าปากโดยเร็วเพื่อไม่ให้ปากว่างตอบคำถามนั้นต่อ

“คร้าบบบ จะพยายามเชื่อก็แล้วกัน” ริชาร์ดบิดขี้เกียจก่อนจะหันไปตบไหล่โอเมก้าหนุ่มเบาๆ “ขอบใจนะลาซัส”

“เอ๋? เรื่องอะไรเหรอครับ?” ดวงตาสีฟ้างงตึ้บที่จู่ๆก็โดนเพื่อนรักคุณหมอกล่าวคำนี้

“ก็แค่อยากพูดน่ะ ป้ะ! ลุยกันต่อ!” ซีอีโอหนุ่มลุกยืนขึ้นพร้อมหมุนไหล่และคออย่างพร้อมจะลุยงานต่อ “อ้อ!คาเล็ม นายนั่งไม่ต้องรีบมาก็ได้ นั่งพักขาไปก่อนเถอะ ลาซัสนายก็ด้วยนะ เดินขึ้นเดินลงยกของอยู่คนเดียวคงจะล้า พักให้หายเหนื่อยก่อนซะล่ะ”

“ผมยังไหวครับ” คนที่หนุ่มที่สุดในที่นี้กล่าวแล้วก็หันไปบอกพ่อบ้านให้พักอยู่ตรงนี้กับเจ้านาย เดี๋ยวที่เหลือเขาจะช่วยจัดการแทนเอง แล้วร่างโปร่งก็เดินเร็วๆตามหลังริชาร์ดไปติดๆ

“บอกเจ้าตัวไปสักหน่อยก็ได้นี่ครับ” เรนเดลรินกาแฟใส่ถ้วยของเจ้านายเพิ่มให้

“...อยู่ต่อหน้าเจ้าริชาร์ดใครมันจะกล้าพูด เดี๋ยวก็โดนมันแซวสนุกปากอีก” ดวงตาหลังกรอบแว่นพูดแล้วหันหน้ามองไปทางอื่น

“เขินสินะครับนายน้อย” ผู้สูงอายุเอามือป้องปากแล้วเอ่ยเสียงเบา

“นายก็เป็นไปกับเค้าด้วยเรอะเรนเดล!”



(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.5 - Up! (20/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 20-02-2017 18:44:25

ข้าวของส่วนใหญ่นั้นคาเล็มได้คัดแยกไว้แล้วเก็บลงกล่องไปเสียหมดแล้ว เหลือแค่จัดให้เรียบร้อยแล้วนำไปเก็บเท่านั้น เพราะงั้นแค่จัดการปิดปากกล่องแล้วยกไปที่โรงเก็บของก็พอแล้ว ทั้งริชาร์ดและลาซารัสจึงช่วยกันแพ็คกล่องอยู่บนห้องนั้นให้หมดไปแล้วจึงจะยกลงไปทีเดียว

“ฝุ่นเยอะชะมัดเลย เดี๋ยวเก็บหมดคงต้องทำความสะอาดสักหน่อยล่ะ” เห็นแบบนี้แต่ริชาร์ดก็แอบรักสะอาดอยู่บ้าง ข้าวของที่วางไว้ที่เดิมไร้การจับต้องทำให้ฝุ่นจับจนหนา จะหยิบอะไรก็มีละอองฝุ้งกระจายไปหมด

“แบบนี้คงจะป่วยง่ายแน่ๆเลย” ลาซารัสจามไปหลายครั้งจากฝุ่นพวกนั้น

“ก็ไม่เคยเห็นมันป่วยนะ”

โอเมก้าหนุ่มแอบยิ้มก่อนจะสะดุดกับกล่องๆหนึ่งที่มีกรอบรูปของคุณหมอใส่อยู่ รูปคาเล็มกับคนรักที่ยืนคู่กันวางแอบไว้ที่มุมของกล่อง ชายหนุ่มจึงหยิบขึ้นมาดูเพราะเห็นว่าเจ้าของของมันไม่ได้อยู่บนห้อง

“เขาชื่อโนเอลน่ะ” ริชาร์ดเห็นโอเมก้าตัวน้อยจ้องมองรูปนั้นนิ่งก็เลยอธิบาย “คาเล็มคงไม่ได้บอกนายใช่มั้ยล่ะ”
ลาซารัสส่ายหน้าช้าๆ “เขาดูไม่ค่อยเหมือนโอเมก้าเลย..”

“นายก็เหมือนกันแหละ” อัลฟ่าตรงหน้ายิ้มให้แล้วยื่นมือมาขยี้หัว “หึงเหรอ”

“เปล่าครับ!” ร่างโปร่งเผลอพูดเสียงดังแล้วนั่งลงกับพื้นข้างๆกล่องที่กำลังเก็บ “จริงๆผมก็รู้ชื่อของเขาแล้ว”

“หือ?” คนสูงวัยกว่าเบิกคิ้วสงสัย

“ผมเห็นชื่อเขากับรูปถ่ายในงานวิจัยของคุณหมอ..หลายฉบับเลยครับ” ลาซารัสมองคนในรูปตาเป็นประกายราวกับกำลังชื่นชมมากกว่า “เขาเก่งมากๆเลย ช่วยให้งานคุณหมอก้าวหน้ามาได้ตั้งเยอะ”

“ก็นะ...ถ้าไม่ใช่เพราะโนเอล คาเล็มก็คงไม่เริ่มหันมาวิจัยเรื่องโอเมก้าอย่างจริงจังหรอก” ริชาร์ดดึงเทปกาวปิดปากกล่องไปเล่าไปพลาง “โนเอลน่ะเป็นทั้งรุ่นพี่ที่มหา’ลัย เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน และคนรักของคาเล็มในเวลาเดียวกัน บ้านหลังนี้เองแต่เดิมก็เป็นบ้านที่พวกนั้นตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่านั่นแหละ ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็นะ”

แม้จะพูดเหมือนไม่แน่ใจแต่ลาซารัสก็รู้สึกว่าริชาร์ดนั้นจำได้แม่นกว่าที่เจ้าตัวคิดเสียอีก

“นี่ลาซัส ฉันถามตรงๆเลยนะ นายอยากเป็นโอเมก้าของคาเล็มรึเปล่า ฉันหมายถึง...นายอยากเป็นคู่ของหมอนั่นรึเปล่า”

“อ่ะ...เอ่อ คือว่า…” ร่างโปร่งหน้าขึ้นสีลนลานกับคำถามที่จ่อตรงประเด็นเหมือนพวกดารานักแสดงที่โดนนักข่าวสัมภาษณ์ “คือผมก็...ไม่ได้รังเกียจคุณหมอหรอกนะครับ”

“งั้นฉันจะถือว่านายอยากเป็นคู่ของคาเล็มเลยก็แล้วกัน” ริชาร์ดสรุปเอาเองเสร็จสรรพก่อนดึงลาซารัสเข้ามาคุยใกล้ๆ กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าของอีกฝ่ายทำเอาโอเมก้าหนุ่มสัมผัสได้แต่ยังไม่ทำให้รู้สึกได้มากเท่าตอนอยู่ใกล้หมอคาเล็ม “ถ้านายไม่อยากตกไปเป็นโอเมก้าของคนอื่นเหมือนโนเอล นายต้องพยายามทำให้คาเล็มตีตราเป็นเจ้าของนายให้ได้”

“คุณ...หมายความว่ายังไงครับ?”

“ฉันก็บอกนายอยู่นี่ไงเจ้าหนู โนเอลน่ะกลายเป็นของอัลฟ่าคนอื่นเพราะคาเล็มดันหัวรั้นไม่ยอมตีตรา สุดท้ายหมอนั่นเลยต้องเสียคนรักของตัวเองไป แล้วหลังจากนั้นโนเอลก็…”

ซีอีโอหนุ่มเอามือปิดปาก ดูเหมือนเขาจะเผลอพูดมากเกินไปแล้ว แต่ลาซารัสก็พอจะคาดเดาได้เพราะรู้ว่าโอเมก้าคนรักของคาเล็มเสียไปนานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้รายละเอียดหลังจากนั้น

“แล้ว...คุณโนเอลเขาเสียไปเพราะอะไรเหรอครับ?” โอเมก้าหนุ่มลองถามไปเพราะอยากรู้จริงๆ ริชาร์ดเงียบไปครู่หนึ่งและกำลังชั่งใจว่าจะบอกดีมั้ย แต่พอคิดๆดูแล้วเขาควรจะบอกเรื่องนี้ให้ลาซารัสรู้ไว้จะดีกว่า

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่...แต่อย่างน้อยๆถ้าฉันบอกไปนายจะได้ระวังตัวไว้”

“เอ๊ะ?” ลาซารัสงงกับคำพูดของริชาร์ด หรือการจากไปของโนเอลจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เขาคิด

“โนเอลเคยพยายามหนีจากอัลฟ่าที่เป็นเจ้าของเพื่อจะกลับมาหาคาเล็มอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ พอช่วงหลังๆก็ไม่มีใครได้ข่าวโนเอลอีกเลย จนกระทั่ง...”

ลาซารัสฟังเงียบๆ หัวใจเหมือนถูกบีบจนหายใจลำบาก เมื่อริชาร์ดเล่าว่างานศพของโนเอลถูกจัดขึ้นอย่างเงียบๆ มีคนรู้อยู่แค่ไม่กี่คน กว่าคาเล็มจะรู้ข่าวนี้ก็ผ่านไปหลายสัปดาห์แล้ว

พอถามไปยังผู้เกี่ยวข้องต่างก็บอกว่าโนเอลเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ แต่ก็มีข่าวลือว่าโนเอลฆ่าตัวตาย ความจริงของเรื่องนี้เป็นยังไงไม่มีใครกล้าออกมาพูดโต้แย้งเลย คาเล็มเองก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นคนนอก 

“คุณโนเอล..” ลาซารัสหดหู่กับการจากไปอย่างมีเงื่อนงำนี้จนคอตก

“เล่าให้ฟังไว้ระวังตัวไม่ใช่ให้มาเศร้านะ” ร่างสูงที่กอดคออยู่ตบบ่าอย่างแรงจนคนโดนแทบทรุด

“ระวังตัว..?” ร่างโปร่งเงยหน้ามาถามพลางลูบไหล่ข้างที่โดนตบจนไหล่แทบหลุด

“อย่างที่รู้ว่างานของคาเล็ม..เป็นได้แค่ของที่ขายกันอย่างผิดกฎหมาย.. แต่นั่นเพราะมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่อยากให้มันถูกกฎหมาย” ริชาร์ดเริ่มทำเสียงขรึมอีกรอบ “พวกเขาอยากให้โอเมก้าเป็นแค่...นั่นแหละ อย่างที่เรารู้กันอยู่”

ลาซารัสเงียบฟังคนข้างๆ ความเชื่อที่เขาโดนยัดฝังหัวมาเริ่มเสื่อมศรัทธาลงตั้งแต่ได้รับการปฎิบัติตัวจากคนรอบตัวที่แตกต่างจากสิ่งที่ได้ยินมาอย่างกับหนังคนละม้วน

“ตอนนี้เรื่องยาของคาเล็มยังถกกันอยู่ในศาล หลายปีแล้วล่ะ เพราะคนสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่พอจะสู้กับคนที่คัดค้าน”

“ทำไมล่ะครับ?”

“เพราะผลเสียที่คนพวกนั้นโจมตีมามันยังเป็นเรื่องจริงน่ะสิ..” ริชาร์ดหลุบตาลงต่ำ โอเมก้าหลายตนที่อยากมีชีวิตอย่างปกติสุขและออกมาเดินเหินได้อย่างอิสระจำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน กระทั่งเกิดโรคต่างๆตามมา หรือหนักสุดก็ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนจนเสียชีวิต ซึ่งจากการชันสูตรล้วนเป็นเพราะยาอย่างแน่นอน..

“...” ลาซารัสนึกถึงยาที่ตนได้ใช้มาบ้างในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยได้ออกไปไหนอยู่แล้วจึงไม่ได้ใช้เยอะขนาดนั้น รู้สึกโชคดีขึ้นมานิดหน่อย…

“แต่ก็นะ ถ้าพวกอัลฟ่าบ้าอำนาจพวกนั้นลดการกดขี่โอเมก้าลงบ้างแล้วมองๆกันในฐานะมนุษย์เหมือนกัน...ยาก็แทบไม่ต้องใช้แล้ว” คุณเพื่อนพ่นลมหายใจฮึดฮัดอย่างไม่พอใจจนใบหน้าดูตลก “เพราะงั้น...พวกนั้นน่ะ...เลยหันมาใช้วิธีสกปรกโจมตีคาเล็มตรงๆ...เพื่อให้เค้าไม่สามารถวิจัยต่อได้ไง”

ยิ่งได้รู้ความจริงที่ริชาร์ดเล่ามากเท่าไหร่ ลาซารัสก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มันหนักหนาไม่ใช่เล่นๆเลย คนๆนั้นต้องต่อสู้มามากแค่ไหน ต้องเจอเรื่องอะไรมาบ้าง เพื่อที่จะช่วยเหลือพวกโอเมก้าที่เป็นส่วนน้อยอย่างเขา ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่อัลฟ่าอย่างคุณหมอจะต้องมาลำบากลำบนเผชิญเรื่องเสี่ยงอันตราย แต่เขาก็ยังคงทำในสิ่งที่เชื่อมั่นว่ามันคือความหวังให้พวกโอเมก้าได้ลืมตาอ้าปากในสังคมโดยไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ให้ใครมาครอบครองหรือบงการชีวิต

“ผมจะทำอะไรเพื่อคุณหมอได้บ้างมั้ยนะ…”

“ได้สิ แค่นายคอยอยู่ข้างๆและเป็นกำลังใจให้คาเล็มก็พอ” มือหนาบีบบ่าร่างโปร่งหวังให้กำลังใจอีกฝ่าย “อาจจะฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กแต่ที่จริงแล้วมันสำคัญมากๆเลยนะ”

ลาซารัสเงยหน้ามองริชาร์ดแล้วพยักหน้าให้ “ผมจะพยายามครับ แล้วก็...ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ฟัง คุณริชาร์ดเองก็ชอบคุณหมอเพราะแบบนี้สินะครับ”

ซีอีโอหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อถูกพูดแทงใจตรงๆ มือที่บีบบ่าเปลี่ยนมาเป็นเกาหัวตัวเองแก้เขิน “รีบๆทำงานกันต่อเถอะ เดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” เปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปปิดเทปกาวที่กล่องต่ออย่างขะมักเขม้น

“ครับ!”


การขนย้ายและทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จทันก่อนตะวันตกดิน ทว่าเรี่ยวแรงที่แทบไม่เหลือทำเอาแต่ละคนอ่อนล้าไปกันหมด โดยเฉพาะคุณหมอที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกับพ่อบ้านที่ใช้แรงเกินสังขาร สองคนนั้นต่างก็สลบเหมือดแน่นิ่งไปแล้วทั้งคู่

“หิวจัง…” ส่วนริชาร์ดก็มานั่งลูบท้องข้างๆสมุนปุกปุยที่พากันวิ่งบ้างกระโดดบ้างทำเหมือนเขาเป็นเพื่อนเล่น ทั้งๆที่ไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้วขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ รู้งี้เชื่อฟังที่คาเล็มบอกให้รู้จักออกกำลังกายซะก็ดี “ลาซัส...มีอะไรกินบ้างมั้ย?”

“เอ่อ…” โอเมก้าหนุ่มเปิดหาของกินในตู้เย็น ตาสีฟ้าหันไปมองเรนเดลที่สลบไปตั้งแต่ก่อนหน้าจนไม่ได้เตรียมแม้แต่อาหารเย็นไว้เลย “มีแต่อาหารของคุณหมอที่ซีลเก็บไว้หลายมื้อ แต่คิดว่าน่าจะเอามาอุ่นกินได้นะครับ”

“อะไรก็ได้ตอนนี้ ฉันหิวจนจะกินช้างได้ทัังตัวแล้ว…” ซีอีโอหนุ่มเปรียบเปรยความหิวของตน

“คุณริชาร์ดเคยเห็นช้างด้วยเหรอครับ?” ร่างโปร่งทยอยหยิบอาหารมาแกะห่อแล้วนำไปเข้าเตาไมโครเวฟและหันมาถามด้วยความอยากรู้

“อื้อ...เคยเห็นตอนไปสวนสัตว์น่ะ ตัวใหญ่เท่านี้...” ริชาร์ดกางแขนออกก่อนจะปล่อยตกเพราะค้างไว้ไม่ไหว “ถ้านายสนใจไว้ฉันจะพาไปดูเอามั้ย?”

“พรุ่งนี้แกทำงานไม่ใช่เรอะ” เสียงทุ้มแทรกขัดบทสนทนา คาเล็มยันตัวเองขึ้นจากเก้าอี้เพื่อจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่ขาก็สั่นจนแทบยืนตัวตรงไม่ได้ ไหนจะเจ็บขาข้างที่เอาปากกามาแทงตัวเองอีก

“ไล่แต่คนอื่นให้ไปออกกำลัง นายก็เหมือนกันนั่นแหละ” ริชาร์ดหัวเราะให้กับท่าทางของหมอที่ดูเก้กังในการเดินสุดๆ และแม้ว่าคาเล็มจะส่งสายตาเชือดเฉือนมาเท่าไหร่เพื่อนรักก็ไม่ยอมหยุดขำเสียงดัง

“ให้ผมช่วยมั้ยครับ” ลาซารัสเสนอตัว ทำไมกลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่ยังมีแรงเดินอยู่คนเดียวนะ

“อุ่นข้าวให้ริชาร์ดไปเหอะ ฉันไปเองได้”

“ถ้าแค่อุ่นอาหารล่ะก็ผมยังทำได้นะครับ” เรนเดลค่อยๆลุกจากโซฟามาทำหน้าที่แทน

กลายเป็นว่าลาซารัสต้องพยุงหมอให้ไปเข้าห้องน้ำ หลังก็ยังไม่หายดี ขายังมาเจ็บต่ออีก อะไรจะซวยได้ขนาดนี้… เมื่อมาถึงหน้าห้องน้ำคาเล็มก็ขอเข้าไปเอง ซึ่งโอเมก้าหนุ่มก็เข้าใจดีว่ามันคงไม่ค่อยสมควรเท่าไหร่ ก็เลย…

“ขอบใจนะจูเลียต” คาเล็มต้องกึ่งหมอบคลานเกาะจูเลียตเข้าไปและออกมาจากห้องน้ำแทน… ลาซารัสยืนมองภาพเจ้านายตนสภาพนี้ด้วยสายตาไม่อาจจะบรรยายได้…

“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะ” คุณหมอเรียกสติคนเหม่อให้มาพยุงตัวเองกลับขึ้นไป ซึ่งยากกว่าพาลงไปเยอะ…

“ตัวคุณหมอหนักจัง..” เห็นตัวต่างกันไม่มากก็นึกว่าจะพอๆกัน ลาซารัสแอบจะเสียหลักอยู่หลายครั้งเมื่ออีกคนจำเป็นต้องโถมน้ำหนักตัวใส่เขาแทบทั้งหมด แต่ขนาดตัวตอนวัดเพื่อตัดสูทก็บ่งบอกอยู่แล้วล่ะนะว่าตัวหนาผิดกันขนาดไหน

“..เพิ่งเคยเห็นนายบ่นนะเนี่ย” คาเล็มเลิกคิ้วแปลกใจที่โอเมก้าที่ดูสบายๆในทุกเรื่องและแสนจะขี้เกรงใจออกปากมาแบบนี้

“เอ๊ะ!? ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ลาซารัสรีบขอโทษเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรไป

“ไม่เห็นเป็นไร ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนี่ มันก็ต้องมีบ้างแหละ” มือหนาข้างที่ว่างยกขึ้นลูบหัวอีกฝ่าย

ลาซารัสยิ้มกว้างออกมา ท่าทางของคุณหมอดูผ่อนคลายและเป็นกันเองมากขึ้น ด้วยสาเหตุอะไรนั้นเขายังไม่แน่ใจ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…

คาเล็มปล่อยมือออกแล้วแอบหันหน้าไปทางอื่นเพราะทนมองใบหน้านั้นนานๆไม่ไหว “ว่าแต่นายน่ะ...ไม่เหนื่อยบ้างเรอะ เท่าที่ดูแล้วนายใช้แรงงานเยอะที่สุดเลยนะวันนี้”

“อ๋อ สงสัยเพราะผมยังหนุ่มอยู่ล่ะมั้งครับก็เลยฟิตกว่านิดหน่อย แหะๆ” ร่างโปร่งถือโอกาสแอบยอตัวเองนิดหน่อย และดีใจด้วยที่วันนี้ได้ทำตัวมีประโยชน์กับคุณหมอ “แล้วเรื่องทาสีบ้านใหม่คุณหมอจะเอายังไงต่อเหรอครับ?”

“อันนั้นคงต้องเรียกช่างให้มาจัดการล่ะนะ แต่คงมีอะไรๆให้ทำอีกเยอะ ต้องค่อยๆคิดกันไป” คาเล็มเริ่มคิดแผนการจัดบ้านใหม่ในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานจนไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้มาเป็นสิบปี “นายล่ะอยากได้อะไรมั้ย ท่าทางจะต้องติดอยู่กับฉันอีกนาน ถ้ามีก็บอกมาเลย”

“อา...คือ” ร่างโปร่งหยุดเดินอยู่ที่กลางบันไดให้ตัวเองได้ตั้งหลักและพยุงคุณหมอขึ้นไปต่อ “...ผมคิดว่า ต่อไปถ้าเจ้าพวกนั้นตัวโตขึ้นคงเลี้ยงไว้ในบ้านไม่ได้แน่ๆ ถึงจะมีเจ้าพวกตัวเล็กมากกว่าก็เถอะ แต่ก็อยากจะทำฟาร์มให้พวกมันน่ะครับ”

คุณหมออัลฟ่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “จริงสินะ ทุกวันนี้เดินไปตรงไหนก็มีเจ้าพวกก้อนขนเดินพันแข้งพันขาตลอด ทำฟาร์มแยกไว้แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”

คุยไปเรื่อยๆ ในที่สุดลาซารัสก็พาคุณหมอก้าวขึ้นมาจนถึงชั้นบนได้ รู้สึกว่าเป็นการเดินขึ้นบันไดที่ยาวนานที่สุดที่เท่าเคยทำมา ขนาดคนที่โดนแบกยังรู้สึกเหนื่อยแทน

“แผลจะหายทันก่อนถึงวันไปงานแต่งมั้ยครับ เป็นแบบนี้คุณหมอเดินลำบากแย่เลย” โอเมก้าหนุ่มแสดงความเป็นห่วง คาเล็มเอามือจับขาตัวเองที่เริ่มปวดอีกครั้ง

“นั่นสินะ ชักอยากจะเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วเหมือนกัน ไหนจะเรื่องของนายอีกคน”

“คุณหมอไม่อยากให้ผมไปด้วยขนาดนั้นเลยเหรอครับ...” ลาซารัสหน้าเจื่อนลงพอคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของหลายๆเรื่อง

“อืม...เพราะฉันเป็นห่วงนาย แต่ว่า...ถ้าไม่ไปก็ไม่มีโอกาสได้ใส่ชุดที่นายอุตส่าห์ตัดให้น่ะสิ ไม่ค่อยมีใครชวนฉันออกงานบ่อยนักหรอก” ประโยคแรกทำเอาลาซารัสเผลอดีใจจนหน้าแดง

“แสดงว่าผมไปได้จริงๆแล้วใช่มั้ยครับ!”

“ใช่ แล้วอีกอย่าง...สภาพเป็นแบบนี้ ถึงฉันจะไม่อยากให้นายไปแล้วแต่ก็คงต้องให้นายฝืนไปช่วยพยุงด้วยอยู่ดีล่ะ”

“ได้เลยครับ” ลาซารัสยิ้มกว้างอย่างยินดี จนลืมเรื่องที่ต้องไปเจออัลฟ่าเป็นกองทัพไปเสียสนิท ทั้งสองคนเดินกลับไปที่ห้องอย่างไม่รีบร้อนและพักรอจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นสุขสันต์.. ท่าทางวันนี้ริชาร์ดต้องกลับดึกเสียหน่อยซะแล้ว…



(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.5 - Up! (20/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 20-02-2017 19:18:52
“แผลเป็นยังไงมั่งครับ” ลาซารัสถามขณะที่สวมสูทชุดใหม่ฝีมือเขาเองให้กับเจ้านายของตนที่ตอนนี้ดูจะเดินได้เองบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินเร็วหรือเดินนานๆได้เท่าใดนัก

“ดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่ต้องพยุงตลอดเวลาก็ได้..” คาเล็มจัดแจงชุดให้เข้าที่และลูบผมเสยขึ้นไปอย่างที่ลาซารัสทำให้ในวันนั้น ร่างโปร่งมองตามแล้วแอบใจเต้นกับลุคของคุณหมอตอนนี้เอามากๆ

วันงานมาถึงอย่างรวดเร็ว ลาซารัสรู้สึกเหมือนเพิ่งจะรู้เรื่องนี้ไม่นานแท้ๆ แต่อาจจะเพราะข่าวที่สื่อช่วยกันประโคมทำเอาแต่ละวันแทบจะรู้ความเคลื่อนไหวของสองบ่าวสาวทุกฝีก้าว.. คาเล็มหันไปมองโอเมก้าในครอบครองของตนที่อยู่ในชุดสูทเรียบร้อยสีน้ำเงินเข้ม “ไม่มี...ที่เด่นน้อยกว่านี้แล้วเหรอ”

“เอ๋? นี่ก็ธรรมดาสุดๆแล้วนะครับ” ร่างโปรงเสียความมั่นใจไปเล็กน้อยเพราะไม่สามารถทำตามที่เจ้านายสั่งได้ แต่คาเล็มก็รู้ดีว่าที่มันยังคงดูสะดุดตาอยู่ไม่ใช่เพราะชุดหรอก..

“ปลอกคอล่ะ?”

“อ่ะ อยู่นี่ครับ” ลาซารัสหยิบมันขึ้นมา เป็นปลอกคอสีดำด้านที่ไม่เด่นมากสลักลายวิจิตรสีทองไว้เพียงเล็กน้อย หรูหราแต่ไม่เด่นจนเกินไป “ใส่ไว้เลยสินะครับ”

“อื้อ” ร่างสูงหยิบมันจากมืออีกคนแล้วจับร่างโปร่งหันหลังให้ตนก่อนจะบรรจงใส่มันให้เองกับมือ ชายหนุ่มที่โดนเจ้าของใส่ปลอกคอให้มันชวนให้รู้สึกอีโรติกยังไงก็ไม่รู้.. สีแดงจางแต้มพวงแก้มคนคิดเลยเถิด ดีที่กินยาต้านอาการฮีทไปแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่รอด… “พกขวดยาไปด้วยล่ะ”

“ครับผม”

ทั้งสองคนเดินออกจากบ้านโดยมีเรนเดลยืนส่งอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อเดินมาจนถึงถนนก็พบรถรับส่งคันหรูของเจ้าภาพงานแล่นมาจอดตามเวลาที่นัดหมายพอดิบพอดี พนักงานขับรถเดินมาทำความเคารพและขอดูบัตรเชิญ ก่อนจะเปิดประตูให้ทั้งสองคนเข้าไป

“เกร็งรึเปล่า?” คาเล็มหันไปถามคนข้างๆที่ดูจะตื่นตระหนกน้อยๆ

“ก็...นิดหน่อยครับ.. ผมไม่เคยเจอคนเยอะๆหรือไปงานอะไรแบบนี้เลย”

“อดทนไปก่อนแล้วกัน แล้วก็อย่าลืมที่บอกล่ะ อย่าไปไหนเอง อยู่ใกล้ๆฉันไว้ แม้แต่ตอนลุกเข้าไปเข้าห้องน้ำนายก็ต้องสะกิดให้ฉันไปเป็นเพื่อนด้วย”

“เอ่อ...ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ลาซารัสรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ต้องมีผู้ปกครองไปคุมเวลาไปไหนมาไหนคนเดียว

“จะไม่ทำก็ได้ ถ้านายอยากจะโดนอัลฟ่าคนอื่นลากไปทำมิดีมิร้ายในห้องน้ำกลางงานแต่งงานก็ตามใจนะ” ดวงตาคมหันมาจ้องพร้อมคำขู่ที่ฟังแล้วเสียวหลังคอ

“ครับ ผมจะเชื่อฟังคุณหมอทุกอย่างเลยครับ”

“ดี...เป็นเด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่แบบนี้สิ” คาเล็มแอบยิ้มน้อยๆ แต่เป็นเหมือนยิ้มเยาะเสียมากกว่า

“โธ่...อย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กๆสิครับคุณหมอ” อัลฟ่าสูงวัยยักไหล่เหมือนจะไม่สนคำประท้วงของโอเมก้าตัวน้อย 

รถคันหรูวิ่งไปบนถนนมุ่งเข้าสู่โรงแรมที่จัดงานใจกลางเมือง คาเล็มและลาซารัสหันมาเช็คความพร้อมให้กันก่อนที่จะต้องออกไปพบปะกับเหล่าคนแปลกหน้าที่มารวมตัวในงานมงคล

“อ้อ...ใช่ อยู่ในงานนายไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหมอนะ เรียกชื่อดีกว่า”

“เอ๋? ทำไมเหรอครับ” จู่ๆก็มาบอกกะทันหัน แบบนี้เขาจะเผลอหลุดปากออกไปรึเปล่านะ

“ทำตามที่บอกไปเถอะ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง” คุณหมออัลฟ่าก้าวขาออกจากรถช้าๆ ตามด้วยโอเมก้าในครอบครองของตนที่เดินลงมาติดๆ และช่วยประคองอีกฝ่ายเอาไว้ “เข้าใจตามนี้นะ?”

“ครับคุณหมอ” มือรีบยกขึ้นปิดปากเพราะโดนสายตาดุส่งมาให้หนึ่งที

“ตะกี้ว่าไงนะ?”

“เอ่อ...ครับ คุณคาเล็ม...” ลาซารัสยิ้มแห้ง แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปยังประตูที่มีพนักงานต้อนรับยืนรออยู่

สถานที่จัดงานแต่งอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงซึ่งต้องขึ้นลิฟต์ไปอีกหลายสิบชั้น ภาพในลิฟต์มีคนอีกหลายคนที่มาร่วมงานอื่นๆ ที่จัดในโรงแรมวันเดียวกันเข้าไปแออัดอยู่ภายในนั้น แต่เป็นโชคดีที่ส่วนใหญ่มีแต่พวกเบต้าซึ่งไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าหรือโอเมก้าอย่างพวกลาซารัส ทั้งคู่จึงขึ้นมาถึงชั้นจัดงานได้อย่างปลอดภัย ทว่าจากนี้ไปนี่แหละของจริง

เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ ผู้คนมากมายที่แต่งตัวในชุดสุภาพละลานตาอยู่กันเต็มบริเวณ แถมยังคงทยอยมาเพิ่มเรื่อยๆอีกต่างหาก.. กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่ามากมายเข้าสู่ประสาทสัมผัสของลาซารัส แค่เข้ามาในงานไม่กี่วินาทีแต่โอเมก้าที่ไม่เคยพบเจออัลฟ่าจำนวนมากขนาดนี้พร้อมกันก็เริ่มเหงื่อตก เขาจะอยู่รอดออกจากงานนี้ไปได้จริงๆเหรอ…

สายตาของหลายคู่เริ่มหันมาทางเขาทั้งสอง เพราะว่าไม่สามาถจะฉีดยาระงับกลิ่นที่ผิดกฎหมายได้ทำให้ตอนนี้ลาซารัสแทบจะเหมือนลูกกวางในดงเสือ ร่างโปร่งมองผู้คนรอบด้านเร็วๆแล้วก็ก้มหน้ามองพื้นเพราะแววตาของอัลฟ่าแต่ละคนนั้นให้ความรู้สึกคนละเรื่องกับคาเล็มหรือริชาร์ดอย่างเทียบกันไม่ได้

...สายตาที่เหมือนกำลังมองคนที่ต่ำต้อยกว่า...

...หรือบางทีอาจจะไม่ใช่คนเสียด้วยซ้ำ…

“ไหวมั้ยน่ะ?” คาเล็มรู้สึกได้ว่ามือที่เกาะอยู่กับแขนตนเริ่มสั่นเบาๆ

“....เดี๋ยวก็ชินล่ะมั้งครับ” ลาซารัสเงยหน้ามายิ้มให้เจ้านายของตน แม้มันจะดูออกอย่างง่ายดายว่าฝืนอยู่ก็ตามที

โชคดีที่พอจะมีอัลฟ่าที่มีจิตสำนึกอยู่บ้าง เมื่อเห็นปลอกคอของลาซารัสก็เบือนหน้าหนีกันไปบ้างอย่างไม่สนใจ เหลืออยู่ไม่กี่คนที่แม้โอเมก้าคนนี้จะมีเจ้าของแล้วก็ยังคงมองอย่างน่ารังเกียจอยู่..

“ดื่มซักหน่อยมั้ย เผื่อจะช่วยได้” คาเล็มยื่นแก้วไวน์ทรงสูงมาให้คนข้างๆเพื่อไม่ให้ร่างโปร่งไปสนใจสายตาของคนอื่นมากนัก

ลาซารัสรับแก้วนั้นมาแต่โดยดีและค้อมหัวขอบคุณเงียบๆ เมื่อเริ่มสงบใจลงได้บ้าง เขาก็เห็นว่านอกจากเขาแล้ว ยังมีคนอื่นที่เอาโอเมก้าของตนมาร่วมงานด้วยเช่นกัน ทว่า ...แม้จะมีโอเมก้าบางคนที่สภาพใกล้ๆเคียงกับเขา แต่ก็เหมือนเดินตามผู้เป็นนายราวกับแสดงตนว่าอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่ามากๆ แถมเจ้าของบางคนยังไม่สนใจเลยว่าโอเมก้าของตนจะรู้สึกกดดันจนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไม่ก็บางคนที่สภาพเหมือนเป็นเพียงของเล่นชิ้นงามของอัลฟ่าก็มี เห็นแบบนี้ร่างโปร่งก็รู้สึกสลดเล็กน้อยแล้วหันกลับมามองแก้วไวน์ในมือที่คาเล็มยื่นมาให้เขากับมือ ...ทำไมเขาถึงได้โชคดีขนาดนี้กันนะ?

คาเล็มมองหาเจ้าภาพงานไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ คิดว่าคงไปต้อนรับบุคคลสำคัญหรือไม่ก็รอทำเซอร์ไพรส์อะไรคนมาร่วมงานอยู่กระมัง ร่างสูงจึงพาโอเมก้าของตนออกไปยืนกันที่ระเบียงกว้างของห้องจัดงานที่ยื่นออกมาจากตัวตึกและเปิดโล่งให้ลมโกรกเย็นสบาย

“อยู่ตรงนี้กันก่อนดีกว่า ข้างในเสียงเจี๊ยวจ๊าวชะมัด” คาเล็มเท้าแขนกับระเบียงเพื่อพยุงตัวและบอกให้ลาซารัสปล่อยแขนตน “ขอบใจที่ช่วยพยุงมาจนถึงนี่นะ”

“ม...ไม่เป็นไรครับ” คนตัวเล็กกว่ายิ้มน้อยๆแล้วยืนเกร็งๆอยู่ข้างๆไม่ยอมห่างตัว ทีแรกก็ห่วงว่าจะตื่นเต้นจนเดินดูนู่นนี่ไปทั่ว แต่ดูจะกลัวจนไม่กล้าออกห่างจากเขาเองซะแล้ว...ซึ่งก็ดี

“ถ้าไม่อยากไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนในงานก็อย่าฝืนเลย ฉันเองก็ไม่ชอบนั่งกินในงานอะไรแบบนี้ พิธีรีตองเยอะจนน่าปวดหัว” สายตาทอดมองไปยังทิวทัศน์ยามใกล้พลบค่ำ แสงสีของตัวเมืองที่แทบไม่เคยดับเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบมาแต่ไหนแต่ไร ดูเผินๆมันก็สวยงามแต่ในเวลาเดียวกันก็วุ่นวายชวนสับสน “ถ้าริชาร์ดมาด้วยล่ะก็อัลฟ่าพวกนั้นไม่กล้าทำสายตาแบบนั้นใส่นายแน่ เขาเป็นอัลฟ่าที่เหนือกว่าเจ้าพวกนั้นเยอะไม่เหมือนกับฉัน”

“แต่ผมดีใจนะครับที่ได้มางานนี้ มันทำให้ผมเปิดโลกใหม่...ไม่สิ ต้องเรียกว่าตาสว่างเลยล่ะ ได้เห็นกับตาเลยว่าปกติพวกอัลฟ่ามองโอเมก้าอย่างผมด้วยสายตาแบบไหน” ลาซารัสกระดกไวน์ดื่มไปอึกใหญ่

เขาเรียนรู้จากโอนเนอร์มาตลอดชีวิตว่าโอเมก้าเป็นสิ่งที่พวกอัลฟ่าอันเป็นชนชั้นสูงสุดต้องการ เพราะคนเหล่านั้นไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลเองได้ จึงต้องมีโอเมก้ารับหน้าที่อันแสนสำคัญนี้เพื่อให้มีอัลฟ่ารุ่นใหม่ๆเกิดขึ้นมาได้

“คุณหมอครับ อัลฟ่ากับโอเมก้านี่ถึงแต่งงานแล้วแต่ก็สามารถหย่าร้างกันได้รึเปล่าครับ…” ดวงตาสีฟ้าที่เคยสดใสบัดนี้อับแสง คาเล็มจ้องดวงตาคู่นั้นแล้วก็แอบสงสารที่จะต้องเล่าให้ฟัง แต่ถึงจะปิดเงียบไปยังไงเดี๋ยวโอเมก้าของเขาก็ต้องรู้เข้าสักวันอยู่ดี

“ถ้าเป็นอัลฟ่ากับโอเมก้าชนชั้นกลางก็มีเยอะแยะไป แม้ว่าจะมีลูกด้วยกันแต่ก็ไม่ได้ช่วยกระชับความผูกพันให้มากขึ้น ยิ่งถ้าเป็นพวกชั้นสูงส่วนมากก็ทนอยู่ด้วยกันเพราะครอบครัวของแต่ละฝ่ายต่างตกลงจับคู่ให้กันไว้แล้ว เพราะงั้นการเลิกรากันจึงเหมือนเป็นการหักหน้าอีกฝ่าย แล้วความสัมพันธ์หรือผลประโยชน์ที่เคยมีร่วมกันก็จะเป็นโมฆะ แต่พวกที่ชื่นชอบและเห็นโอเมก้าเป็นของประดับฐานะจนไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือเลยสักรายก็มี พ่อฉันเองก็เป็นประเภทนั้นเหมือนกัน”

“คุณหมอ…” ลาซารัสมองใบหน้าด้านข้างที่เหม่อมองไปรอบๆ ก่อนจะหันมาทำเสียงขรึมใส่เขาที่เผลอเรียกไม่ตรงกับที่ตกลงกันไว้แม้จะอยู่กันตามลำพังก็ตาม

“มีสติหน่อยสิ ต้องระวังตัวตลอดนะรู้มั้ย” คาเล็มเอ็ดเสียงเบาแม้จะไม่มีใครอยู่ใกล้ๆก็ตาม

“ขอโทษครับ”

“...อา..มาแล้วสินะ” ทั้งสองคนหันไปทางต้นเสียงของฝูงชนที่กำลังรายล้อมบางอย่างอยู่ เสียงดนตรีบรรเลงในงานเบาลงจนเงียบไปและเป็นเสียงของพิธีกรที่ทำการเชิญคู่บ่าวสาวขึ้นมาบนเวที

“ไม่เข้าไปข้างในเหรอครับ? ..คุณคาเล็ม” โอเมก้าหนุ่มหันมาถามเจ้านายของตน

“ไม่ล่ะ คนแน่นขนาดนั้นเป็นลมพอดี” สายตาว่างเปล่ามองไปยังคนสองคนที่โดดเด่นอยู่บนเวทีราวกับไม่ใช่คนรู้จักกันทั้งที่คาเล็มก็เป็นคนบอกเองว่านั่นเป็นพี่ชายต่างมารดาของตน ลาซารัสได้แต่เดาว่าพวกเขาคงไม่ถูกกันสักทางแน่ๆ แต่คุณหมอก็ยังยอมมางานแต่ง? เพราะอะไรกันนะ??

“ลืมเรื่องซองซะสนิท..” คาเล็มยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง ซองที่ริชาร์ดมอบให้มาก็ยังอยู่กับตัว…

“จะเดินไปวางมั้ยล่ะครับ เดี๋ยวผมช่วยพยุงไป” ลาซารัสเดินมาใกล้เหมือนจะบอกว่ายังคงสามารถให้ร่างสูงเกาะไปได้

“เป็นอะไรล่ะคาเล็ม? ถึงต้องให้เจ้าหนูน้อยนั่นพยุงไปไหนมาไหน” เสียงไม่คุ้นหูเอ่ยทักจากอีกด้าน อัลฟ่าร่างใหญ่ยืนควงคู่กับสาวสวยทรงเสน่ห์จนแทบละสายตาไม่ได้ ทั้งสองคนเดินมาหาพวกเขาเชื่องช้า

“ลื่นล้มเข่ากระแทกน่ะ” คาเล็มตอบกลับด้วยเสียงเย็นชาผิดกับที่ผ่านมาจนแม้แต่ลาซารัสยังต้องหันมามองเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด

“เย็นชาจังน้า พูดกับพี่ๆแบบนี้ได้ไง” ร่างอรชรแย้มยิ้มมาให้ แต่มันกลับไม่รู้สึกเป็นมิตรเลย “แล้วนั่น.. ของดีเลยนี่นา ไปขุดหามาจากไหนล่ะน้องรัก”

ร่างโปร่งตัวแข็งทื่อเพราะสายตาคมสวยคู่นั้นมองมาทางเขา กลิ่นของอัลฟ่ารุนแรงจากทั้งสองคนทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นอัลฟ่าที่เหนือกว่าคุณหมอแน่ๆ คาเล็มยื่นแก้วในมือตนให้ลาซารัสถือก่อนก้าวเท้ามายืนบังคนที่ทำตัวไม่ถูก “มีอะไรก็รีบพูดมา”

“ยังทำตัวดุเหมือนเดิมเลย” ช่ายอีกคนหัวเราะร่วน “เห็นว่าริชาร์ดฝากของมาให้น่ะ พี่เลยมาถามซะหน่อย”

คาเล็มหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนหันมากระซิบกับโอเมก้าของตน “รออยู่ตรงนี้ อย่าไปไหนแล้วก็ห้ามคุยกับใครเด็ดขาดเลยนะ”

ลาซารัสพยักหน้าอย่างหวั่นใจ ไหนว่าสั่งห้ามเขาออกห่างจากหมอ แต่เขากลับทิ้งกันเองเนี่ยนะ! ...แต่เอาเถอะ ตรงนี้ก็โล่งแจ้งพอสมควร แถมคนก็ยังออกันอยู่ในงาน คงไม่เป็นไรหรอก… คาเล็มเดินตามสองคนนั้นไปที่ด้านในส่วนที่ไม่ค่อยมีคน ก่อนร่างสูงจะหายไปจากสายตา

“เกร็งไปหมดเลย..” ลาซารัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพิ่งเคยเจออัลฟ่าที่ทรงอำนาจจนแผ่รังสีออกมาได้ขนาดนี้ในระยะประชิดเป็นครั้งแรก… “ทำไมคุณริชาร์ดไม่เห็นดูน่ากลัวแบบนั้นเลย”

เสียงคุยรบกวนความเงียบบอกให้โอเมก้าผู้โดดเดี่ยวรับรู้ว่ามีคนเดินออกมาจากห้องเพื่อมายืนสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลจากที่เขาอยู่มากนัก ทว่าลาซารัสก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วยืนรอคุณหมอต่อไปด้วยใจไม่สู้ดี หางตาแอบเห็นว่าทั้งสองคนนั้นก็หันมามองเขาอยู่เป็นระยะ ไม่เอาน่า ไม่สนใจพวกเขา..

“มาทำอะไรตรงนี้คนเดียวเล่า.. โดนเจ้าของทิ้งเหรอ”

ว้อยยยยยยยยยยยยย…

ลาซารัสยืนตัวแข็งทื่อติดขอบระเบียง อัลฟ่าสองคนตรงหน้ายืนขนาบเยื้องมาทางด้านหน้าปิดทางหนีทุกช่องทาง “เปล่าครับ” ตอบเสียงสั่นออกไป..ทั้งๆที่คุณหมอก็เตือนว่าห้ามคุยกับใครแท้ๆ

“โหยยย มันกล้าพูดกับอัลฟ่าด้วยฟ่ะ” หนึ่งในสองคนนั้นทำหน้าแปลกใจสุดๆยังกับเห็นของแปลก

“นึกว่าจะหงอๆเหมือนคนอื่นซะอีก” อีกคนหนึ่งยื่นหน้ามาใกล้ จนเกินไป… “อยู่ใกล้พวกเราขนาดนี้ยังไม่แสดงอาการฮีทเลย โดนฝึกมาดีขนาดไหนเนี่ย”

จากฟีโรโมนของทั้งสองคน ดูไม่ใช่อัลฟ่าแบบพี่ชายและพี่สาวของคุณหมอเลยสักนิด.. แต่ก็จะประมาทไม่ได้… ลาซารัสหายใจเข้าลึกๆแล้วทำใจแข็งพยายามเดินฝ่าออกไป “ขอโทษนะครับ ผมโดนห้ามไม่ให้คุยกับคนอื่น”

ข้อมือโดนจับรั้งเอาไว้ไม่ให้โอเมก้าหนุ่มได้มีโอกาสชิ่งหนี “จะรีบไปไหนเล่า อยู่คุยกันก่อนสิ นานๆจะเจอของหายากแบบนี้สักที”

“มองไกลๆทีแรกก็คิดว่าเป็นเบต้าผู้ติดตามของใครสักคน แต่กลิ่นงี้ฟุ้งเชียว” อัลฟ่าอีกคนยื่นหน้าเข้ามาดมกลิ่นจนจมูกเกือบโดนหลังคอลาซารัส ร่างโปร่งสะดุ้งหันหนีพลางชักสีหน้าไม่พอใจ

“อย่ามาทำรุ่มร่ามกับผมนะ!” ดวงตาสีฟ้าเกรี้ยวกราด ทั้งรังเกียจและกลัวคนพวกนี้จับใจ ขนาดอยู่ในที่ที่มีสายตาคนมากมายจ้องมองยังกล้าทำอะไรหน้าไม่อายกับโอเมก้าของคนอื่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“โห...สายตาเอาเรื่องดีว่ะ น่ากลั๊วน่ากลัว” หนุ่มอัลฟ่าทั้งสองหัวเราะชอบใจกับท่าทีต่อต้านยิ่งพาลให้อยากแกล้งดูว่าโอเมก้าพรรค์นี้จะกล้าหือพวกตนได้สักแค่ไหน “น่าสนใจดีว่ะ เจ้าของนายเป็นใครกันไหนบอกหน่อยซิ”

“พวกคุณจะรู้ไปทำไม?” ลาซารัสเห็นท่าไม่ค่อยดี สายตาของสองคนนี้อันตรายยิ่งกว่าเดิม

“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากจะขอยืมตัวเช่าสักคืน รับรองเลยว่าพวกฉันสองคนจัดให้นายถึงใจจนอยากบอกลาไอ้แก่อัลฟ่าคนนั้นได้เลย”

ใบหน้าของโอเมก้าหนุ่มรู้สึกด้านชาไปหมดกับคำพูดโสมมผิดกับรูปลักษณ์ผู้ดี คนพวกนี้เห็นเขาเป็นตัวอะไรกัน!

ซ่าา…

“เฮ้ย! แกกล้าดียังไงเอาไวน์มาสาดใส่ชุดพวกฉันวะ!!” อัลฟ่าทั้งสองตะโกนเสียงดังจนแขกที่อยู่ใกล้ๆระเบียงหันมามอง ลาซารัสผลักทั้งคู่ให้หลีกทางแต่ก็โดนล็อคแขนเอาไว้ “สูทพวกฉันราคาเป็นหมื่นนะเฟ้ย คิดจะชดใช้ยังไงไม่ทราบ!”

“เป็นหมื่นเหรอ…?” ดวงตาสีฟ้าไล่สายตามองชุดสูทที่เปื้อนไวน์ของอัลฟ่าทั้งสองแล้วแทบอยากจะหัวเราะ “คงไม่มีร้านให้เช่าสูทที่ไหนคิดราคาทีเป็นหมื่นหรอกครับ หรือถ้าราคาถึงจริงพวกคุณก็โดนหลอกเสียเงินฟรีแล้วล่ะ”

อัลฟ่าทั้งสองคนมองหน้ากันคล้ายจะถามว่าโอเมก้าตรงหน้าว่ารู้ได้ยังไงว่าชุดของพวกเขาเป็นชุดสูทเช่า “พอดีผมเป็นช่างตัดสูทครับ บอกให้ฟังเผื่อว่าอยากจะรู้”

“โฮ่..งั้นก็น่าจะมีปัญญาตัดให้ใหม่ค่าทำพวกฉันเสียหน้า” สองอัลฟ่าฉุดร่างเล็กกว่าให้ก้าวไปอีกทาง ซึ่งอับแสงไฟจากประตูและหน้าต่างที่เปิดให้เห็นตัวงาน “แต่ตอนนี้ต้องจ่ายด้วยอย่างอื่นก่อนเป็นค่าเสียเวลา”

สายตากับคำพูดของคนพวกนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมากก็เข้าใจได้ทันที ลาซารัสหน้าซีดลงจนเห็นได้ชัด พอจะเปิดปากตะโกนก็โดนมือหนาบีบแก้มปิดปากไว้ ..ทำไมอัลฟ่าถึงแรงเยอะขนาดนี้.. ทั้งที่เขาก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอแท้ๆ คนหนึ่งล็อคแขนทั้งสองของเขาไว้ข้างหลังได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว มืออีกข้างก็ปิดปาก ส่วนอีกคนก็เริ่มปลดเสื้อเขาออกอย่างเร่งร้อน

จะว่าไป สองคนนี้อยู่ใกล้เขานานจนฟีโรโมนไปทำให้สัญชาตญาณของอัลฟ่าตื่นตัวซะแล้ว..


“อุตส่าห์หลบมาอยู่ตรงนี้ ยังต้องเจอเรื่องอีกเหรอ.. แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วนะ”

เสียงปริศนาดังขึ้นจากอีกด้าน อัลฟ่าผู้หิวกระหายสองคนสะดุ้งและมองไปทางต้นเสียง ปรากฎร่างของชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนสูบบุหรี่และหันมาทางพวกเขา

“ถอยไปที่อื่นเหอะน่า ตรงนี้พวกฉันมาถึงก่อนนะเว้ย” เมื่อจบประโยค ทั้งสองคนโดนชายในชุดสูทดำสนิทสองคนรวบตัวไว้อย่างรวดเร็วจากมุมมืด เป็นจังหวะให้ลาซารัสสะบัดตัวหนีออกมาได้ และรีบถอยห่างจากคนพวกนั้น

“ปลอกคอสวยขนาดนั้น จะอ้างว่าไม่เห็นก็ฟังไม่ขึ้นหรอกนะครับ” ชายปริศนามองอัลฟ่าหื่นไม่ดูตาม้าตาเรือด้วยแววตาเย็นเยียบ “โทษจำคุกที่ไปยุ่งกับโอเมก้าของคนอื่นมันหนักนะ หรือวันๆไม่ได้ติดตามข่าวสาร เอาแต่กดหัวคนอื่นไปเรื่อยเล่า?”

รัศมีทรงอำนาจแผ่ออกมาจากตัวผู้ชายผมยาวที่โผล่มาช่วยเขาจนลาซารัสเผลอมองจ้องอย่างพิศวง ผมและดวงตาสีบรอนด์อ่อนกับใบหน้าได้รูป.. หากไม่ติดที่ร่างกายสูงใหญ่แบบนี้เขาคงคิดว่าเป็นผู้หญิงไปเสียแล้ว…

“หา..นั่นโอเมก้าของพวกเราต่างหากล่ะ” สองอัลฟ่ายังคงหาทางเอาตัวรอด แต่ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการจับกุมของชายในชุดสีดำพวกนั้นได้

“ผมไม่ได้โง่นะครับ อย่างพวกคุณเนี่ยนะจะมีโอเมก้าที่เกินเอื้อมแบบนี้ได้ ทรัพย์สินทั้งชีวิตคุณยังซื้อราคาเขาสักคืนอย่างปากว่าเมื่อครู่ไม่ได้เลยครับ” ผู้ถูกตอกหน้าทั้งสองหน้าซีดเผือดที่รู้ว่ามีคนแอบได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดไป มือเรียวยกมือถือของตนขึ้นมาเปิดข้อความเสียงที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานอีกต่างหาก “แล้วก็.. ข้อหาพยายามข่มขืน ข้อหาพูดจาหมิ่นประมาท หวังว่าจะมีเงินจ้างทนายนะคุณ”

เมื่อทั้งสองคนโดนลากออกไปด้วยเสียงเอะอะก็เหลือเพียงลาซารัสกับชายปริศนาที่ดูสง่างามยืนอยู่เพียงสองคน

“...ขอบคุณครับ” ร่างโปร่งเอ่ยเสียงเบา แม้จะถูกช่วยไว้ แต่เขาก็ไม่คิดจะไว้ใจอัลฟ่าตรงหน้า ยิ่งรับรู้ได้จากฟีโรโมนว่าไม่ใช่พวกอัลฟ่ากิ๊กก๊อกแบบเมื่อครู่ด้วย…

“โง่จริง.. ไปทำพวกมันโกรธจนเกือบโดนข่มขืนแล้วไง” ร่างสูงหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ลาซารัสก้มหน้านิ่ง เมื่อครู่เขากลัวจริงๆ หากว่าถูกทำอะไรๆไป… แค่คิดก็แทบอยากจะร้องไห้

“เจ้าคาเล็มนี่ ปล่อยคนของตัวเองทิ้งไว้งี้ ประมาทไปเยอะ สงสัยจะแก่จนเริ่มเลอะเลือน”

“...เอ๋?”

“เอ้า ไหนๆก็ไหนๆ” ร่างสูงเดินมาประชิดและกอดคอลาซารัสไว้ราวกับว่าสนิทกันมาตั้งแต่แรก “ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ กำลังเบื่องานนี่พอดีเลย”

“ห้ะ!? เดี๋ยว!?” ความกลัวเมื่อครู่พุ่งกลับมาโจมตีความคิดอีกรอบ

“เฮ้ย ไม่ทำอะไรหรอกน่า แค่นั่งกินข้าวจริงๆ” ดวงตาสีทองมองเอือมระอาใส่คนตัวเล็กกว่าพลางเปลี่ยนไปโอบเอวอีกคนให้เดินตามเขาไป มือว่างอีกข้างคว้าเอาข้อมือที่กำลังผลักตนไว้ เขาหันไปหาชายในชุดสีดำที่ดูจะเป็นบอดี้การ์ดของตัวเองแล้วออกคำสั่ง

“ไปบอกคาเล็ม รอสเกรย์ด้วยนะ.. ว่าโอเมก้าสุดน่ารักของเขานั่งกินข้าวอย่างสุขสำราญสุดๆอยู่กับคุณเออร์แฟน คาเฮวย์ ที่ชั้นดาดฟ้า”

รอยยิ้มไม่เป็นมิตรส่งมาให้คนในอ้อมแขน ...ทำไมวันนี้เขาถึงซวยได้ขนาดนี้ฟะ…


“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ลาซารัส แมทเวย์”


TBC.





*****************************************************************************************


วันนี้มาอัพเลทไปหน่อย  ขอโทษที่ให้รอนะคะ พอดีมีคนจากสนพ.ติดต่อมาคุยเรื่องทำรวมเล่ม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนิยายเรื่องนี้ยังเดินเรื่องไปได้ไม่ถึงไหน เลยอยากขอเวลาคิดดูก่อนค่ะ //คุยกับเพื่อนที่เขียนนิยายเรื่องนี้ด้วยกันยังไม่อยากจะเชื่อว่ากาวที่ดมกันเล่นๆจะไปเข้าตาสนพ.เข้า :z13:

มาลุ้นกันว่าพ่อโอเมก้าน้อยๆของเราจะรอดหรือไม่  หุๆๆๆ :hao6:


ตอนนี้ทำเพจไว้สำหรับอัพนิยายโดยเฉพาะแล้วค่ะ https://www.facebook.com/WizardPandas/
 (https://www.facebook.com/WizardPandas/)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.5 - Up! (20/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-02-2017 19:51:45
คุณหมอคาเล้ม ลาซารัส  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.5 - Up! (20/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 20-02-2017 23:55:56
จิ้ม
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.6 - Up! (21/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 21-02-2017 02:33:40

บทที่ 6



ร้านอาหารบนชั้นดาดฟ้าเปิดโล่งของโรงแรมที่มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบทั้ง 360 องศา บรรยากาศสุดโรแมนติกของท้องฟ้ายามราตรี อาหารดินเนอร์เลิศรสกับไวน์ชั้นยอดจากต่างประเทศ เคล้าคลอไปกับเสียงดนตรีเบาๆ ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านไปอย่างช้าๆ

มันคงจะดีมากๆ เลยถ้าได้มาทานมื้อค่ำที่สุดแสนโรแมนติกนี้กับคนที่เรารัก ทว่า...

“สลัดอะโวคาโด สเต็กแซลมอน ผักโขมอบชีส และซี่โครงแกะย่างราดซอสโรสแมรี่ไวน์แดงที่สั่งได้ครบแล้วนะครับ” บริกรหนุ่มทบทวนรายการหลังยกอาหารมาเสิร์ฟให้แก่ลูกค้าเป็นที่เรียบร้อย โดยทั้งหมดนั่นเป็นของคนๆเดียว

“โอ้! น่าทานมาก” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามลาซารัสคืออัลฟ่าชายแปลกหน้าที่ได้ช่วยเหลือเขาจากการถูกคุกคามทางเพศ แต่กลับลากเขาออกมาจากงานวิวาห์แถมให้มานั่งร่วมโต๊ะด้วยสองต่อสองหน้าตาเฉย

ถึงจะบอกว่าสองต่อสอง.. แต่รอบๆตามมุมต่างๆ รวมทั้งทางเข้าออกดาดฟ้าเต็มไปด้วยบอร์ดี้การ์ดร่างใหญ่หนาอย่างกับรถถัง ลาซารัสมองไปรอบๆก่อนหันกลับมาที่อาหารตรงหน้าที่ถูกเออร์แฟนบังคับสั่งมาให้ สปาร์เก็ตตี้แซลมอนซอส ลาซานญ่าเนื้อลูกวัว กับสลัดผลไม้ และเครื่องดื่มสีสวยไร้แอลกอฮอล์วางตั้งไว้ตรงหน้าเขามาสักพัก ร่างโปร่งไม่กล้าแตะต้องของพวกนี้แม้ว่ามันจะน่ากินน้ำลายสอขนาดไหนก็ตาม

“คุณเออร์แฟน…? รู้จักกับคุณคาเล็มด้วยเหรอครับ” ลาซารัสถามอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ดีกว่าให้บรรยากาศมันเงียบจนน่าอึดอัดล่ะนะ

“แค่รู้จัก ไม่ได้สนิทกัน” ร่างสูงสง่าตอบหลังจากกลืนชิ้นเนื้อลงไปเรียบร้อย “แต่หมอนั่นไม่ค่อยชอบหน้าฉันหรอก”

“...?”

“คดีของคนรักของคาเล็มเมื่อหลายปีก่อนน่ะ.. มือดีของบริษัทฉันเป็นคนว่าความให้ฝั่งจำเลย..” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าลาซารัสที่กำลังตั้งใจฟังกลับแทบหยุดหายใจ “ถ้ากินฉันจะเล่าต่อ เดี๋ยวช็อคจนเป็นลมแล้วจะไม่ได้ฟังที่ฉันพูด”

เออร์แฟน คาเฮวย์ อัยการผู้โด่งดังจากการว่าความที่มีเปอร์เซ็นต์การชนะคดีเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของการว่าความทั้งหมด บริษัทที่ปรึกษากฎหมายในเครือคาเฮวย์มีชื่อขนาดว่าลาซารัสที่ไม่ค่อยได้ตามข่าวยังได้ยินชื่อนี้อยู่บ่อยครั้ง เมื่อครู่ที่เขาเพิ่งได้ยินชื่อของคนๆนี้เขาถึงกับอึ้งกิมกี่ที่คนระดับนี้มาอยู่ในงานด้วย ไม่สิ อาจจะมีคนที่น่าตกใจกว่านี้อีกเยอะก็ได้

ลาซารัสจำใจต้องยอมทานอาหารบนโต๊ะอย่างช่วยไม่ได้เพราะอยากรู้เรื่องเพิ่มเติม.. ..อา อร่อยจัง.. ร่างโปร่งเคี้ยวอาหารรสเลิศแก้มตุ่ยอย่างปิดความรู้สึกไม่อยู่ ก็มันอร่อยจริงๆนี่!

“ไม่รู้ว่าคาเล็มเล่าให้ฟังหรือเปล่านะ ตอนนี้บริษัทยากับโรงพยาบาลที่เป็นตัวแทนผลิตยาที่คาเล็มวิจัยกำลังต่อสู้กับพวกคนในกระทรวงวัฒนธรรมในชั้นศาลอยู่” เออร์แฟนเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ดังพอให้คนตัวเล็กกว่าได้ยินชัดเจน ในที่นี้ไม่มีแม้แต่บริกรของโรงแรม มีเพียงบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวทั้งสิ้น

ลาซารัสกลืนอาหารลงคอตามด้วยเครื่องดื่ม เมื่อครู่เขาเผลอเคลิ้มไปกับรสชาติของอาหารเลิศรสไปหน่อยจนเกือบจะไม่ได้ฟังเรื่องสำคัญไปแล้ว

“คุณคาเล็มไม่ได้เล่าให้ผมฟังหรอกครับ” โอเมก้าหนุ่มกล่าว แต่ไม่ได้บอกทั้งหมดว่าตนพอรู้มาบ้างแล้วด้วยความบังเอิญ เออร์แฟนพยักหน้าเล็กน้อยและปรายตาหันไปมองข้างหลังร่างโปร่ง

“มาสายนะคาเล็ม”

ดวงตาสีฟ้าหันไปด้านหลังก็พบว่าเจ้านายของตนมาถึงแล้วพร้อมกับบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งที่ช่วยพยุงตัวเอาไว้ ลาซารัสทำท่าจะรีบลุกไปหาแต่คุณหมออัลฟ่ายกมือห้ามและเดินกะเผลกมานั่งร่วมโต๊ะกับทั้งสองคน

“จะสั่งอะไรมั้ย?”

“ไม่ล่ะ คุยธุระกับนายเสร็จเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“จะรีบร้อนไปไหน คนของนายยังกินไม่อิ่มเลย นานๆทีนายกับฉันจะได้มานั่งทานอาหารไปคุยไปแบบนี้หายากนะ” อัยการหนุ่มดีดนิ้วให้ลูกน้องชุดดำเรียกบริกรมารับออร์เดอร์เพิ่ม คาเล็มจึงต้องร่วมวงเสวนามื้อค่ำนี้อย่างจำยอม “เมื่อกี้เรากำลังคุยกันถึงเรื่องคดีบริษัทยา…”

“เออร์แฟน ฉันขอล่ะ เรื่องนี้เอาไว้คุยทีหลัง” เสียงทุ้มกล่าวห้ามเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะพูดถึงเรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่

“หือ? นายคิดจะปิดหูปิดตาไม่ให้เด็กนี่รับรู้อะไรเลยงั้นเหรอ?” นิ้วเรียวชี้ไปที่ร่างโปร่งที่นั่งมองทั้งคู่สลับไปมา บรรยากาศดีๆเมื่อครู่ดูจะอึมครึมขึ้นมาทันที 

“เขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้..”

“ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมแล้วล่ะ” เออร์แฟนเอนหลังพิงเก้าอี้หรูแล้วจิบไวน์สบายใจ “นายพาหมอนี่มางานครั้งนี้ก็ถือว่าประกาศให้ไอ้พวกบ้าอำนาจนั่นรับรู้ ว่านายมีจุดอ่อนให้โจมตีเพิ่ม”

คาเล็มจ้องอีกฝ่ายเขม็ง สองมือกำแน่นอย่างสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเอง คนๆนี้พูดถูกทุกอย่างและเขาเองก็รู้ตัวดี…

“งั้นที่คุณโนเอล...ก็เป็นเพราะคนที่พยายามขัดขวางงานคุณคาเล็มเหรอครับ” ลาซารัสกัดฟันและเอ่ยถามแทรกขึ้นมา ร่างสูงกำลังจะออกปากห้าม แต่เมื่อหันมาเห็นแววตาของโอเมก้าหนุ่มก็ชะงักนิ่งไป ดวงตาสีฟ้าสดจ้องไปหาเออร์แฟนอย่างต้องการคาดคั้นและไม่เกรงกลัวแม้อีกฝ่ายจะเป็นอัลฟ่าที่เหนือว่าเจ้านายของตนก็ตาม

“เป็นความลับของผู้ว่าจ้าง ผมไม่สามารถให้คำตอบได้” ร่างสูงที่หัวโต๊ะเท้าคางมองตอบไปหาโอเมก้าผู้กล้าหาญด้วยสายตานิ่งสงบผิดกับรอยยิ้ม

“งั้นรอบนี้คุณเองก็จะขัดขวางงานคุณคาเล็มเหรอ..”

“ลาซารัส!” คาเล็มปรามอีกฝ่ายที่เริ่มใจกล้าเกินเหตุ

“โว้วๆ ใจเย็นครับคุณผู้ชาย รอบนี้ฝั่งที่กำลังสู้คดีอยู่กับเจ้านายสุดที่รักของคุณไม่ใช่ผมหรือใครในสังกัดของผมหรอกนะ” นิ้วเรียวสวยลูบไปมาบนปากแก้วทรงสวยและยกขึ้นมาสูดกลิ่นไวน์ที่ยังเหลือปริ่มก้นแก้ว “แต่ถ้าฝั่งคุณมาจ้างผมก็จะคิดราคาพิเศษให้นะครับ”

“บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันไม่อยากจ้างทนายสกปรกแบบนาย” คาเล็มเริ่มออกปากบ้างเพราะทนที่โดนตามตื้อยื่นข้อเสนอมาสักพักแล้ว อาหารที่สั่งไปยกมาเสิร์ฟลงตรงหน้า แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะกินโดยสิ้นเชิง

เออร์แฟนมีชื่อเสียงจากการชนะคดีก็จริง แต่ก็มีชื่อเสียจากวงในว่าเป็นอัยการหน้าเลือด หากสูบฉีดเงินมากพอเขาก็ทำได้ทุกวิธีเพื่อให้ฝ่ายตนชนะ ไม่ว่าจะเงินใต้โต๊ะ สร้างหลักฐานปลอม ปิดปากพยานด้วยวิธียัดเงินบ้างไปจนถึงข่มขู่เอาชีวิตโดยนักเลงในการดูแลของเขาเอง

“แหม..ผมอุตส่าห์คิดราคาแค่ครึ่งเดียวของที่ควรจะได้นะครับ”

“ถ้านายอยากจะช่วยจริงก็คงไม่เอาเรื่องนี้มาพูดหรอกมั้ง”

“ผมมีชีวิตอีกเป็นพันที่ต้องดูแลนะครับ แน่นอนรวมทั้งแม่บ้านยันยามหน้าตึกผม.. จะให้ทำงานเป็นการกุศลเลยก็ทำไม่ได้หรอก”

“งั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยแล้วนี่” คาเล็มเริ่มหัวเสียแล้วลุกขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้แตะอาหารเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะส่งสายตาเรียกให้โอเมก้าของตนรู้ว่าได้เวลากลับแล้ว

ลาซารัสกระวีกระวาดลุกตามไป แต่ยังไม่เดินออกไปจากโต๊ะอาหาร.. เขามองจ้องไปยังอัลฟ่าที่ยังนั่งมองพวกเขาอยู่ที่เดิมโดยไม่มีทีท่าจะรั้งอะไรต่อ “ทำไมคุณถึงมาเสนอความช่วยเหลือล่ะครับ?”

“พอแล้วน่าลาซารัส” คาเล็มถอนหายใจแล้วสะกิดแขนอีกคน

“อีกฝ่ายเป็นถึงกระทรวง… น่าจะมีเงินจ้างคุณอย่างแน่นอน คุณจะเรียกเท่าไหร่ก็ได้..แต่กลับมาหาพวกเรา?” ลาซารัสมองเข้าไปในดวงตาสีทองนั้นตรงๆ “และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มาจ้างทนายที่ดีที่สุดด้วย”

“ยอกันเกินไปแล้ว ผมไม่ใช่ทนายที่ดีที่สุดหรอกครับ แค่มีวิธีแผลงๆเยอะแยะเฉยๆ”

“งั้นยิ่งแล้วใหญ่เลย คุณไม่น่าจะอยากช่วยพวกเราเพราะมนุษยธรรมด้วยครับ” ร่างโปร่งคาดคั้นจนเผลอขึ้นเสียง

คนที่นั่งอยู่จึงลุกขึ้นมา วางแก้วในมือลงแล้วเดินมาหาลาซารัส มือข้างหนึ่งคว้าใบหน้ามนนั้นไว้แล้วโอบเอวอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิด คาเล็มที่จะเข้ามาห้ามก็โดนสายตาสีทองดุตวัดมองเย็นเยียบจนเขาเผลอชะงัก บอร์ดี้การ์ดสองคนเข้ามารวบตัวเขาไว้แทบจะทันที

“ปล่อย..” คาเล็มหันไปออกคำสั่งกับคนที่คว้าตัวเขาไว้ แต่ไม่มีปฎิกิริยาใดๆตอบกลับมา

“พวกเขาไม่ฟังคุณหรอกครับ เป็นเบต้าเพ็ดดีกรีที่ฝึกมาแล้วทั้งนั้น”

ดวงตาสีฟ้ายังคงมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ทั้งที่ความจริงมือทั้งสองที่พยายามออกแรงดันร่างสูงใหญ่ออกจากตัวเขานั้นเริ่มสั่นจากแรงกดดันมหาศาลของตัวอัลฟ่า

“ผมเกลียดคนโง่ แต่ไม่ได้รังเกียจคนกล้าหรอกนะครับ” กลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอมคละคลุ้งแตะจมูกปะปนมากับกลิ่นฟีโรโมนที่ยังคงสงบนิ่งอย่างไม่สนใจจะตอบรับกลิ่นโอเมก้าของเขาแม้แต่น้อย “คุณแทบจะเป็นคนแรกที่กล้าตั้งคำถามกับผม และผมก็ประทับใจมากด้วย”

“สรุปคุณต้องการอะไรครับ?” ลาซารัสรู้สึกได้ว่าแม้คนตรงหน้าจะดูเหมือนกับบ้าอำนาจ แต่จริงๆแล้ว..เขายังสามารถคุยด้วยเหตุผลได้อยู่

“ผมบอกแล้วว่าผมเกลียดคนโง่” ดวงตาสีทองมองไปทั่วใบหน้าของคนใต้การควบคุม “เจ้าพวกโง่เง่าที่คิดว่าโอเมก้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยกว่าตัวเองนั่นน่ะ มันน่าเจาะเอาขี้เลื่อยกับอีโก้บ้าบอนั่นออกมาจากสมองเล็กๆให้หมด”

คาเล็มกระพริบตาปริบ แม้ตอนนี้จะหวั่นใจว่าคนในครอบครองของเขาจะโดนทำอะไรแปลกๆหรือไม่แต่เขาก็เริ่มสนใจระคนประหลาดใจในสิ่งที่ได้ยิน

“อัลฟ่าเกิดมาพร้อมด้วยกำลังและอำนาจ แต่ถ้าไม่มีโอเมก้า คิดเหรอว่าพวกเราจะอยู่ค้ำฟ้ามานานนมขนาดนี้?” มือเรียวที่จับใบหน้านั้นเปลี่ยนไปลูบดวงหน้ามนที่ยังคงจ้องมองมาหาตน “แล้วสิ่งที่พวกโง่นั่นทำคืออะไร? กดหัวเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถให้กำเนิดอัลฟ่าเพ็ดดีกรีได้เนี่ยนะ แค่คิดก็สมเพชแล้ว”

“...คุณไม่ใช่คนไม่ดีจริงๆด้วยสินะ” ลาซารัสยิ้มออกมาในที่สุด ทำเอาคนที่เพิ่งพล่ามความคิดตนออกไปชะงักนิ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังโดยไม่สนใจว่าตนจะดูหลุดจากบุคลิกเดิมแม้แต่น้อย

“อะไรวะเนี่ยคาเล็ม เด็กนี่ไม่ได้ฟังที่นายคุยกับฉันเมื่อกี้เหรอ เขาบอกว่าฉันเป็นคนดีล่ะ” เออร์แฟนยังคงหัวเราะไม่หยุดในขณะที่ลาซารัสกลายเป็นฝ่ายตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแทน แต่ไม่ทันจะได้เข้าใจอะไร ใบหน้าของเขาก็โดนจับให้เชิดขึ้นแล้วถูกประทับจูบลงมารวดเร็วเกินจะตั้งตัว

ลาซารัสหน้าชากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงของคาเล็มดังแว่วเข้ามาในการรับรู้ก่อนเขาจะตั้งสติได้แล้วพยายามผลักร่างสูงออกจากตัว แต่ไม่เป็นผลใดๆ เรือนผมสีทองไต่ไล้ลงกับใบหน้าพร้อมกับรสจูบนุ่มนวลผิดกับสายตาน่ากลัวนั้นทำเอาร่างโปร่งแทบทรุด

“อย่าบอกว่าฉันเป็นคนดีอีกล่ะเด็กน้อย” เมื่อเออร์แฟนถอนจูบออกก็กระซิบข้างหูของคนในอ้อมแขนและผลักโยนร่างโปร่งคืนให้คาเล็มที่โดนปล่อยตัวพร้อมๆกัน

“แก…” คาเล็มกัดฟันแน่นแล้วมองตรงไปหาอัลฟ่าอีกคนอย่างเกรี้ยวกราด

“ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยก็ตัดใจตีตราให้เจ้าหนูนี่ซะนะ” เออร์แฟนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอย่างสบายใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เด็กๆ ส่งแขกหน่อย”

บอร์ดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งที่น่าจะเป็นหัวหน้าผายมือเชิญคนทั้งสองและเดินไปส่งถึงทางออกหน้าโรงแรมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดียวกับที่ลาซารัสต้องเจอในห้องจัดเลี้ยงงานแต่ง

คุณหมออัลฟ่าและโอเมก้าที่ยังช็อคไม่หายนั่งรถคันหรูที่มีหน้าที่รับส่งผู้แขกผู้มาร่วมงาน รถขับออกไปยังถนนเส้นหลักที่มีการจราจรคับคั่งอย่างผิดปกติ ทำให้ต้องติดอยู่บนรถนานกว่าเดิม

คาเล็มหันไปมองลาซารัสที่เอาแต่นั่งเงียบและไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่ขึ้นรถมา ดวงตาคมไล่มองชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่ยับย่นก่อนกระเถิบเข้ามานั่งใกล้โอเมก้าของตน “ทำไมชุดเป็นแบบนี้?”

“อ่ะ…” ดวงตาสีฟ้าหลุบต่ำไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ คาเล็มจับใบหน้าของลาซารัสให้หันมาหา แต่ทางนั้นก็หลับตาก้มหน้าหนีและพยายามผละออก “ผมไม่เป็นอะไร…”

“โกหก…” เสียงทุ้มยกมือขึ้นลูบหัวและหลังของโอเมก้าที่กำลังสั่น “ฉันผิดเอง...ขอโทษด้วยที่ทิ้งนายไว้คนเดียว”

ร่างโปร่งยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองและไม่ทันไรก็ส่งเสียงสะอื้น มือหนาดึงตัวให้คนข้างๆลงมาซุกกับบ่าและลูบหลังปลอบโยนอยู่อย่างนั้น

“ครั้งหน้าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีก” เสียงทุ้มกล่าวข้างหู “วันนี้กลับบ้านแล้วพักผ่อนเถอะนะ”

“คุณหมอ…” เสียงอู้อี้สั่นเครือเรียกหาคนตรงหน้าซ้ำๆ มือที่ปิดหน้าเลื่อนไปโอบตัวอีกฝ่าย เขารู้ดีว่ามันไม่สมควรแต่เขาอยากได้ไออุ่นจากคนๆนี้ช่วยให้จิตใจที่กำลังหวาดกลัวและสับสนได้สงบลง 
 
โลกภายนอกที่เคยวาดภาพไว้ว่าสวยงามน่าหลงใหลแท้จริงกลับอันตรายถึงเพียงนี้เชียว…

หรือจิตใจคนเรากันแน่ที่แปดเปื้อนสกปรกเสียจนทำลายความฝันของคนๆหนึ่งให้พังทลายย่อยยับได้อย่างง่ายดาย



หลังจากกลับถึงบ้าน ลาซารัสก็ขอตัวไปพักผ่อนทันทีและยังพาพวกก้อนขนเข้าไปนอนในห้องด้วยเกือบทั้งหมด และริชาร์ดที่ติดต่อมาทันทีที่พวกเขากลับถึงบ้านเพื่อถามถึงการเปิดตัวในงานแต่งวันนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้างราวกับซีอีโอหนุ่มคำนวนเวลาไว้แล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าโดนเซอร์ไพรซ์ด้วยเรื่องที่อัยการหน้าเลือดคนนั้นดันโผล่หน้ามาแจม แถมยังทำเรื่องงามหน้าต่อหน้าเจ้าของโอเมก้าอย่างคาเล็มอีก

เรียกว่าหยามน้ำหน้ากันสุดๆก็ไม่เกินไปเลยสักนิด

“แกปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ยังไงวะคาเล็ม!” ริชาร์ดตะโกนใส่หน้าจอด่าเพื่อนรักที่ตอนนี้ชักจะไม่รักเหมือนทุกที โทรศัพท์ของคุณหมออัลฟ่าสั่นสะเทือนราวกับคนที่พูดผ่านวีดีโอคอลกำลังจะมุดตัวทะลุออกมากระชากคอเสื้อตนให้ได้อย่างไรอย่างนั้น

“ถ้าฉันรู้ว่าจะเจอหน้ามันด้วยฉันจะไม่โผล่หน้าไปที่งานเด็ดขาดเหมือนกันนั่นแหละ” คาเล็มถอดชุดสูทไปพลางโต้ตอบกับเพื่อน น้ำเสียงของคนที่มักเฉยชากับปัญหาเกือบทุกอย่างแม้จะฟังผ่านอุปกรณ์ก็ยังรับรู้ได้ว่ามีน้ำโหสุดๆเช่นกัน “แกเองก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ใช่เรอะ ไม่งั้นคงไม่พลาดที่จะไปโต้วาทีกับเจ้านั่นหรอก”

“แกมั่นใจนะว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรก่อนหน้านั้น”

“...ตอนเจอหน้าก็ยังดีๆอยู่..คิดว่าไม่มีอะไร” พอนึกถึงคนอ่านง่ายคนนั้นขึ้นมาก็ปวดใจที่ต้องเห็นโอเมก้าของตนโดนคนอื่นล่วงเกิน แม้จะเพียงแค่จูบ แต่ตัวเขาที่ทำอะไรไม่ได้เลยในตอนนั้นยิ่งตอกย้ำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ที่สูญเสียคนรักคนก่อนไป…

'ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยก็ตัดใจตีตราเจ้าหนูนี่ซะนะ'

คาเล็มนิ่งไปนานจนริชาร์ดต้องร้องทักเพื่อน “หือ? อะไรเหรอ?”

“แล้วลาซัสล่ะ?”

“ไปพักแล้ว ...ฉันควรไปดูซักหน่อยมั้ย?” คุณหมอหันไปถามเพื่อนรักอย่างไม่แน่ใจว่าควรทำตัวยังไง

“...ปกติฉันคงจะบอกให้นายรีบไปนะ..” ริชาร์ดยกมือขึ้นเกาหัวและลูบใบหน้าของตน “แต่ตอนนี้ ฉันว่า… เออๆ ไปหาหน่อยก็ดี... แล้วทำไมแกมาขอความเห็นคนไม่เคยมีคู่อย่างฉันฟะ”


คาเล็มยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องของโอเมก้าหนุ่มสักพักก่อนจะเคาะขออนุญาตเข้าไป เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเสียงคุ้นเคยจะตอบรับให้เข้ามาได้ มือหนาเปิดประตูและเข้าไปข้างใน

ลาซารัสนั่งอยู่บนโซฟากลางห้องพร้อมด้วยสุนัขน้อยใหญ่ที่รายล้อมทั้งบนโซฟาเหมือนกันและที่พื้น แต่ละตัวครางหงิงเสียงอ่อนแล้วคอยเลียปลอบร่างโปร่งไปทั่วตัว

“ขอบใจนะ ดีขึ้นแล้วล่ะ” ลาซารัสยิ้มเศร้าส่งให้เจ้าตัวน้อยทั้งหลายก่อนจะอุ้มบางตัวลงจากโซฟาเพื่อให้คุณหมอได้นั่งข้างๆ

“ไม่นอนอีกเหรอ เริ่มดึกแล้วนะ”

“ผมคงนอนไม่หลับหรอกครับ” โอเมก้าหนุ่มยิ้มเหนื่อยๆให้เจ้านายของตน “แต่เดี๋ยวเหนื่อยก็หลับไปเองมั้ง”

มือหนายกขึ้นลูบหัวคนข้างๆ เขารู้สึกแย่เหลือเกินที่ปล่อยให้ลาซารัสต้องไปเจออะไรเพียงคนเดียว “ขอโทษทีนะ ถ้ารู้ว่าหมอนั่นไปด้วยคงไม่ไปแต่แรกน่ะ”

“หมายถึงคุณเออร์แฟนเหรอครับ?” ร่างโปร่งมองถามอย่างสงสัย

“อือ”

“...คือ...เรื่องคุณเออร์แฟน...ผมช็อคที่โดน….ไปก็จริง… แต่… มีอีกเรื่องที่มันไม่ยอมหลุดออกจากหัวไปสักที”

“หือ?” คาเล็มเลิกคิ้ว ความหวั่นใจที่แล่นเข้ามาเกาะกุมจิตใจเริ่มทำเขาใจไม่ดี “เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นเหรอ”

“...มีคนสองคนพยายามจะพาผมไปทำ….เรื่องแบบนั้น” เสียงนุ่มเริ่มสั่นอีกครั้ง ถึงเออร์แฟนจะทำเรื่องแย่ๆเหมือนกันแต่เทียบกับสองคนนั้น… “คุณเออร์แฟนเค้ามาช่วยผมทันพอดี ไม่งั้น…”

“.......” คาเล็มมองลาซารัสที่เอามือกอดตัวเองแน่นพร้อมกับจิกนิ้วลงไปที่แขนโดยไม่รู้ตัว เขาเองก็ช็อคจนพูดอะไรไม่ออกเช่นกันที่เกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้นในงานแต่งงานท่ามกลางสายตาคนมากมาย

ทว่าแม้จะโกรธพวกที่มารังแกโอเมก้าของตนแค่ไหน คาเล็มก็นึกโมโหตัวเองยิ่งกว่าที่ประมาทเลินเล่อคิดว่าลาซารัสจะสามารถเอาตัวรอดเองได้

“ผมกลัว...กลัวมากๆ...ในใจพยายามเรียกให้ใครสักคนมาช่วย...แต่...ไม่มีเลย…” สายตาของคนที่อยู่ในงานเลี้ยงที่แสร้งทำเป็นเมินเฉยต่อการกระทำหยาบคาย ในบรรดาคนเหล่านั้นมีแค่อัยการหนุ่มคนนั้นที่เข้ามาจัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด “ดังนั้น...ที่โดนคุณเออร์แฟนทำ...ผมจะคิดซะว่านั่นเป็นการตอบแทนก็ได้ครับ”

“นายไม่ควรคิดแบบนี้ลาซารัส ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิมาทำเหมือนกับนายเป็นของเล่นของคนพวกนั้น” อัลฟ่าสูงวัยแตะที่มือของร่างโปร่งและพยายามแกะมือที่จิกแขนตัวเองจนเป็นรอยให้คลายออก “มันมีวิธีที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนายอีก แต่...ฉันไม่อยากทำ”

ลาซารัสเงยหน้าขึ้น เขารู้ดีว่าวิธีที่หมอคาเล็มพูดนั้นหมายถึงอะไร “ทำไมล่ะครับ เพราะอะไร...ผมก็เคยบอกไปแล้วว่าผมไม่รังเกียจคุณหมอเลย…”

“เพราะฉัน...ตั้งใจไว้แต่แรกว่าเสร็จจากงานวิจัยนี้ ฉันจะยกนายให้อัลฟ่าคนอื่น” เสียงทุ้มบอกความจริงถึงเหตุผลที่เขาไม่ต้องการจะครอบครองโอเมก้าหนุ่มคนนี้ และคอยหลบเลี่ยงทุกครั้งที่เกือบจะพลั้งมือกระทำการล่วงเกินอีกฝ่าย

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้คาเล็มตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่กับโอเมก้าคนนี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ทำให้เขาตระหนักรู้ได้อีกครั้งว่าเขาไม่มีอำนาจพอที่จะปกป้องลาซารัสได้เลย

“ฟังนะลาซารัส ฉันอายุตั้ง 46 เข้าไปแล้ว ถึงนายจะมาเป็นคู่ให้ฉันแต่ฉันก็คงจะอยู่กับนายได้อีกไม่นานหรอก หากฉันตีตรานายในตอนนี้ก็เท่ากับว่าตัวนายมีเจ้าของเป็นอัลฟ่าแก่ๆคนหนึ่ง และถ้าเกิดว่าฉันเป็นอะไรขึ้นมาจะมีใครมาดูแลนายในวันที่ฉันไม่อยู่อีกแล้ว”

“แต่ผม…” ริมฝีปากถูกหยุดไว้ด้วยปลายนิ้วมืออย่างไม่ต้องการให้โต้แย้งสิ่งที่ตนกำลังพูด

“เชื่อฉันเถอะ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะให้ได้” คาเล็มยกปลายนิ้วขึ้นเช็ดน้ำตาที่ปริ่มรอบดวงตาสีฟ้า “ขอบใจนะที่มีความรู้สึกดีๆให้ฉัน แต่ฉันคงรับไว้ไม่ได้”


“ฉันบอกให้ไปปลอบไม่ใช่ไปทำเขาร้องไห้อีกรอบโว้ยย!!” ริชาร์ดแผดเสียงใส่โทรศัพท์เสียลั่นจนคนฟังต้องเลื่อนมือถือห่างจากหู ไม่งั้นเขาคงได้หูดับแน่ๆ

“ขอโทษที…” คาเล็มคอตกและลูบหน้าตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่าทำอะไรลงไป

“อย่างน้อยๆถ้าจะปฎิเสธต้องไม่ใช่เมื่อกี้..” เพื่อนที่ยกสายอยู่อีกด้านก็กุมขมับไม่แพ้กัน “เอาจริงดิ ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่ะ”

“ฉันเป็นห่วงลาซารัสนี่ อนาคตกับตาแก่ไม่ใกล้ฝั่งแบบนี้จะมีความสุขได้อีกกี่ปีกัน” คาเล็มล้มตัวลงนอนบนเตียงช้าๆเพราะขาและหลังที่ยังไม่ค่อยดีนัก “ให้ไปใช้ชีวิตสบายๆกับใครสักคนน่าจะดีกว่า..”

“หยุด.. ฉันรู้ว่าแกเล็งจะยกให้ฉันล่ะสิ” ริชาร์ดดักคอเพื่อนของตนอย่างรู้ทัน “เห็นผลักไสมาหาเหลือเกิน ฉันไม่เอาหรอกว้อย หมอนั่นเฉาตายพอดี”

“ฉัน...คิดว่าเค้าคงแค่หลงเพราะไม่เคยอยู่กับอัลฟ่ามาก่อนเลย..มากกว่า” คาเล็มพยายามให้เหตุผล..เพื่อให้ตัวเองตัดใจ เขาไม่ควรคิดอะไรเข้าข้างตัวเองต่อ “ถ้าให้อยู่กับแกนานเข้า บางทีเขาอาจจะตัดใจจากฉันได้สักวันมั้ง…”

ริชาร์ดที่ปลายสายเงียบไปเพราะอึ้งกิมกี่จนคนรอฟังที่อีกด้านต้องเรียกเพื่อให้มั่นใจว่าสายไม่ได้หลุด “แก...โทษว่ะ แต่ขอหน่อยเหอะ แกคิดแบบนี้ออกมาได้ยังไงวะ”

“ก็…”

“แกบอกให้ฉันหยุดฉีดน้ำหอมกลบกลิ่นฟีโรโมน ฉันก็ทำ ขนาดทำตัวสนิทสนมแถมให้ด้วยฉันก็ทำ เอ่อ..แต่นี่คงเกินหน้าที่..”

“ก็เห็นสนิทกันดีนี่ ก็แชทกันทุกวันไม่ใช่เหรอ”

“ใช่! แชทกันทุกวัน ลาซัสถามแต่เรื่องนายทุกวันเลยไง!” ซีอีโอหนุ่มแว้ดเสียงใส่โทรศัพท์เผื่อว่ามันจะได้ทะลุแก้วหูเข้าไปถึงสมองของคุณหมออัลฟ่าอัจฉริยะแต่ดันโง่เรื่องหัวใจคนนั้นสักที “ฉันอุตส่าห์บอกถึงขนาดนี้แล้วนะ ถ้าขืนยังมัวแต่ลังเลสับสนอยู่แบบนี้ล่ะก็แกเองนั่นแหละที่จะเสียใจทีหลัง แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะไอ้คุณคาเล็ม!”

ริชาร์ดกล่าวทิ้งท้ายพร้อมกับตัดสายทิ้งแถมปิดเครื่องหนีไม่ให้โอกาสคุณหมออัลฟ่าได้มีโอกาสโต้แย้งใดๆกลับไป คาเล็มถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าอย่างปวดหัว ก่อนจะวางมือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียงและไม่ลืมที่จะชาร์จแบต เขาล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้มว่าจากนี้จะเอายังไงต่อดี

ระหว่างทำในสิ่งที่ใจปรารถนาแต่ทุกอย่างอาจพังทลาย หรือ สิ่งที่ดีต่อทุกฝ่ายแม้ว่ามันจะต้องฝืนความรู้สึกที่แท้จริงก็ตาม



(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.6 - Up! (21/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 21-02-2017 02:56:01

นอนไม่หลับ…

หลายเหตุการณ์ที่เจอในวันเดียวกันทำให้ร่างโปร่งต้องลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเตียง ทั้งๆที่ร่างกายควรจะอ่อนเพลียจนผล็อยหลับ แต่ที่เป็นแบบนี้คงเพราะเจอแต่เรื่องสะเทือนใจจนสมองสั่งให้หลับไม่ลงเป็นแน่

ลงไปหาอะไรอุ่นๆ ดื่มดีกว่า…

ลาซารัสค่อยๆ ลุกจากที่นอนเพื่อไม่ให้พวกปุกปุยที่กำลังหลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา ขาค่อยๆก้าวข้ามที่ละตัวจนถึงประตูและเดินลงบันไดไปยังห้องครัว ทว่าแสงไฟจากชั้นล่างกลับสว่างผิดปกติ ร่างโปร่งชะโงกหน้าออกไปดูแล้วก็พบว่าคุณหมอคาเล็มลงมาหากาแฟดื่มเช่นกัน

“..........” เกิดความเงียบน่าอึดอัดขณะที่ทั้งคู่มองหน้ากัน และหมอคาเล็มเป็นฝ่ายหันหน้าหนีไปก่อน ทำเอาร่างโปร่งหน้าซีดเพราะว่าโดนอีกฝ่ายหลบหน้า

“ยังไม่นอนเหรอครับคุณหมอ…”

“อืม…” ตอบรับเพียงแค่นั้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป

ลาซารัสเดินคอตกก่อนไปเปิดตู้หาถุงชา แต่ของอยู่สูงเกินไปจึงต้องเขย่งปลายเท้าควานหา ก่อนที่มือหนาของคนที่คิดว่าออกไปแล้วจะเอื้อมมาหยิบให้อย่างรู้ทันด้วยว่าเขากำลังจะหยิบถุงชาที่ดื่มเป็นประจำ

“หานี่อยู่เหรอ?”

“...ขอบคุณครับ” มือยื่นไปรับของจากร่างสูง แต่คาเล็มกลับไม่ปล่อยมือจากมันจนลาซารัสต้องเงยหน้าขึ้นจ้องคล้ายจะถามคุณหมอว่ามีอะไรรึเปล่า

“นาฬิกาที่เคยให้ไป พรุ่งนี้ช่วยเอามาคืนฉันด้วย” ดวงตาสีฟ้าอึ้งไป ทั้งๆที่เคยคิดว่าได้รับมาเป็นของขวัญ แต่แล้วคนๆนี้ก็มาทวงมันคืนไป “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวฉันจะซื้อให้ใหม่เอง”

“ไม่เอา…”

“เฮ้...อย่าดื้อสิ เรือนนั้นมันเก่าแล้ว เดี๋ยวฉันพานายไปเลือกซื้อด้วยก็ได้” คาเล็มพูดหว่านล้อมก็เพื่อให้โอเมก้าตัดใจคืนนาฬิกากลับมา

“ผม...ไม่อยากได้เรือนใหม่หรอกครับ ถึงแม้ว่ามันจะสวยกว่าหรือแพงกว่าเรือนที่คุณหมอให้มาก็ตาม”

คุณหมอยืนมองร่างเล็กกว่าที่จับข้อมือข้างที่ใส่อยู่ไว้แน่นราวกับไม่ยอมให้มันหายไปไหน “ลาซารัส คือว่าอันนั้นน่ะ..”

“ผมขอได้มั้ยครับ..” คนตัวเล็กกว่ามองช้อนขึ้นมา “มัน..เป็นของชิ้นแรกที่คุณหมอให้มาโดยที่ผมไม่ได้ร้องขอ.. ผมก็เลยดีใจมากๆ”

คาเล็มจุกกับคำพูดนั้น เขากลืนความจริงเรื่องที่มันเป็นตัววัดอะไรๆลงคอไป ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจ ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะรับมันไปด้วยความรู้สึกไหน จะว่าไปมาขอคืนแบบนี้ บวกกับเพิ่งโดนเขาปฎิเสธอีก มันคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ

“ผมอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆเหรอครับ” ลาซารัสยังคงตื้ออีกฝ่าย รู้อยู่ว่าไม่สมควรเพราะอัลฟ่าของเขาตัดสินใจไปแล้ว..

ร่างสูงมองหน้ากับดวงตาหม่นหมองที่แดงก่ำเพราะเสียน้ำตามาตลอดตั้งแต่หัวค่ำ ไม่มีคำตอบรับหรือปฎิเสธใดๆออกมาจากปาก ความเงียบโรยตัวลงมาระหว่างเขาทั้งคู่

“ผมขอตัวก่อนนะครับ..” ลาซารัสวางถุงชาลงกับส่วนเคาท์เตอร์แล้วโค้งให้เจ้านายของตนอีกทีเพื่อลากลับห้อง คาเล็มมองตามหลังเล็กที่เริ่มสั่น เขาลังเลอยู่ระหว่างว่าจะรั้งไว้หรือปล่อยเขาไป ...แต่ถ้ารั้งไว้แล้วเขาตอบว่าอะไรดี?

สุดท้ายลาซารัสก็เดินหายกลับขึ้นไปชั้นบน ทิ้งอัลฟ่าสูงวัยไว้ลำพังที่ห้องครัว

“มีอะไรเหรอครับนายน้อย” เสียงของพ่อบ้านทำเอาคาเล็มสะดุ้งเบาๆ ไม่นึกว่าเขาจะตื่นลงมาดู.. “อ่ะ กินกาแฟกลางดึกอีกแล้วเหรอ มันไม่ดีนะครับ”

คาเล็มมองแก้วกาแฟในมือแล้ววางมันลงเพราะเขาไม่อยากจะกินมันแล้ว “ขออะไรอุ่นๆสักแก้วสิ..”

“ได้ครับ” แม้จะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนแต่เรนเดลก็เดินมาชงอะไรให้หมอดื่มโดยไม่อิดออด ดีด้วยซ้ำที่นายจ้างตนจะได้ไม่กระดกกาแฟเอากลางค่ำกลางคืน มีหวังตาสว่างจนเวลานอนผิดเพี้ยนอีก


“...สรุปว่าก็บอกความจริงไปสินะครับ” เรนเดลวางถ้วยน้ำขิงลงบนโต๊ะทานข้าวเยื้องตัวคาเล็มไปเล็กน้อย

“อืม..” ร่างสูงยกขึ้นเป่าแล้วจิบช้าๆเหมือนใช้ความคิดอย่างหนัก “ความจริงควรบอกไปตั้งนานแล้ว ก่อนที่มันจะเลยเถิดขนาดนี้”

“มันเป็นการตัดสินใจของนายน้อย กระผมพูดอะไรไม่ได้หรอกครับ” เรนเดลนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆเขา

คาเล็มนั่งเงียบอยู่สักพักโดยไม่ได้บอกให้พ่อบ้านกลับไปพักผ่อนต่อเพราะเขายังต้องการคนปรึกษาหลังจากที่ไม่ได้คิดจะทำมานาน “ถึงจะบอกว่าอยากจะเริ่มต้นใหม่ แต่แบบนั้นมันดีจริงๆแล้วเหรอ”

เรนเดลไม่ตอบอะไร นั่งรอให้คนตรงหน้าพูดสิ่งที่คิดออกมาให้หมด

“เรนเดล...ถ้าขอถามความเห็นแบบไม่ต้องเกรงใจฉัน นายคิดว่าฉันควรทำยังไงดี” ท่าทางจะตันจริงๆจนต้องหวังพึ่งความเห็นคนที่ดูสงบนิ่งกว่าเขาตอนนี้

“งั้นนายน้อยครับ.. งานที่นายน้อยกำลังทำอยู่คือช่วยเหลือให้โอเมก้าใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนอื่นใช่มั้ยครับ”

“อืม..”

“นายน้อยต้องการให้พวกเขาได้มีสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างปกติชนใช่มั้ยครับ?”

“อ่าฮะ” คาเล็มยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงุนงงเล็กน้อย

“งั้น...กระผมจะขอให้นายน้อยลองเริ่มก้าวแรกเล็กๆนี้ ด้วยการเคารพการตัดสินใจของคุณแมทเวย์ด้วยนะครับ” เรนเดลพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่งน่าฟังและไม่ใช่เชิงต่อว่า แต่เป็นการชี้อีกมุมมองให้คุณหมอได้ฉุกคิด “พวกเขาเองก็มีสิทธิที่จะเลือกรักคนที่เขารัก ไม่ใช่ให้อัลฟ่ามาตัดสินว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ ถูกต้องมั้ยครับ”

คาเล็มมองหน้าคนสูงวัยกว่าอย่างไม่เคยจะนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน สิ่งที่เรียกว่าความเคยชินมันนช่างน่ากลัว เขาลืมกระทั่งหนึ่งในจุดประสงค์ใหญ่ที่เขาต่อสู้เพื่อมันมาตลอดไปได้ไง

“อย่างน้อยๆก็บอกความจริงเรื่องนาฬิกาไปเถอะครับ คุณแมทเวย์ไม่โกรธรอก” คาเล็มที่พยักหน้ารับมาตลอดจนกระทั่งถึงประโยคนี้ทำเอาเกือบสำลักน้ำขิงในมือ

“จะดีเหรอ…” ดวงตาหลังแว่นชำเลืองมองชายชราผู้ผ่านโลกมามากและมีมุมมองกว้างกว่าเขา

“ก็ดีกว่าปล่อยให้เขาเข้าใจผิดอยู่แบบนั้นนะครับ” เรนเดลลุกขึ้นและขอตัวไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้า “อย่านอนดึกมากนะครับนายน้อย เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ”

หลังพ่อบ้านไปเข้านอนแล้ว คุณหมออัลฟ่าเจ้าบ้านก็นั่งครุ่นคิดอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะดื่มน้ำขิงจนหมดถ้วยแล้วเดินกลับขึ้นชั้นบน ทว่าด้วยขาที่ยังเจ็บอยู่ทำให้การก้าวขึ้นบันไดเป็นไปอย่างเชื่องช้า

รู้งี้บอกให้เรนเดลช่วยพยุงขึ้นไปซะก็ดี...

คาเล็มเดินหอบขึ้นบันไดมาถึงชั้นบนได้ก็ลากขาเดินต่อไปจนถึงหน้าห้องของลาซารัส เขาไม่รู้ว่าเวลานี้โอเมก้าหนุ่มคนนั้นจะหลับไปแล้วหรือยัง แต่มือก็ลองเคาะประตูห้องไปก่อนแล้ว

ไร้เสียงใดๆตอบกลับ แสดงว่าคงหลับไปแล้ว…

ร่างสูงยืนถอนหายใจและถอดใจเดินกลับไปที่ห้องนอนของตน ค่อยๆนั่งลงบนที่นอนช้าๆ มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความก่อนกดส่งให้ลาซารัส การบอกเรื่องสำคัญผ่านอุปกรณ์สื่อสารมันอาจดูมักง่ายไปหน่อย แต่เขาก็คิดว่าวิธีนี้คงทำให้คุยกันง่ายกว่ามานั่งปรับความเข้าใจกันตรงๆ

อีกอย่าง...พอเห็นใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตานั้นแล้วเขาก็กลัวว่าตัวเองจะขี้ขลาดไม่กล้าบอกความจริงไปอีก การสารภาพผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆนี่จึงเป็นทางออกเดียวสำหรับคนปากหนักเช่นเขา

‘ขอโทษนะลาซารัสที่ฉันทวงของคืนโดยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของนาย’

‘ที่จริงแล้วฉันมีเรื่องจะสารภาพ...นาฬิกาเรือนนั้นน่ะมันติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเอาไว้ จะว่าไงดี...คือว่าไอ้นั่นน่ะมันก็เป็นอุปกรณ์ทดสอบอีกอย่างของฉันเองอีกนั่นแหละ’

‘ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากจะทดสอบอะไรนายอีกแล้ว ฉันเลยอยากขอคืนเพราะไม่อยากละเมิดความเป็นส่วนตัวของนายไปมากกว่านี้แล้ว’

‘นี่ลาซารัส...นายจะยกโทษให้ฉันได้มั้ย?’

‘ฉันรู้ว่ามันยาก แต่ว่า...ให้โอกาสฉันได้แก้ตัวสักครั้งจะได้ไหม?’

‘แล้วก็...ต้องขอโทษนะที่ส่งมาเวลานี้ นายคงจะหลับไปแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้านะ ราตรีสวัสดิ์’


ข้อความที่พิมพ์ส่งไปหาผู้รับทั้งหมดขึ้นคำว่าอ่านแล้ว แต่รอเท่าไหร่ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา คาเล็มจึงทำได้เพียงกดปิดเครื่องแล้ววางมันลงข้างโต๊ะก่อนจะเอนตัวลงนอนและพยายามข่มตาให้กลับในคืนนี้ 


เสียงแหลมเล็กของฝูงสุนัขจากด้านนอกปลุกคาเล็มให้ตื่นขึ้นมาแม้จะยังนอนไม่อิ่มดีก็ตาม ร่างสูงปวดหัวจนต้องนั่งค้างไว้เพื่อปรับตัวก่อน มือหนาควานหาแว่นที่โต๊ะข้างเตียงแล้วหยิบมาใส่...ก่อนจะนึกได้ว่าพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ จึงรีบเอามือถือมาเปิดดู..และลาซารัสทิ้งข้อความไว้ตั้งแต่เช้าจริงๆด้วย

‘มันเอาไว้ทำอะไรเหรอครับ?’

ประโยคเดียวสั้นๆของคนที่ปกติจะระรัวข้อความมาทำเอาเขาลังเลที่จะบอก...แต่เดินหน้ามาขนาดนี้แล้วก็ต้องทำให้สุดสิ..

‘ตรวจชีพจรกับความดัน ฉันเอาไว้เช็คว่านายจะฮีทเมื่อไหร่ สุ่มเสี่ยงว่าจะฮีทหรือเปล่าแล้วก็เป็นเครื่องติดตามตัวด้วย’

คาเล็มกดส่งไปหา ในใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขึ้นว่า อ่านแล้ว แทบจะทันที ข้อความหยุดนิ่งไปนานจนคุณหมอหวั่นใจจะลุกออกไปหา แต่ก็มีข้อความพิมพ์มารั้งเขาไม่ให้ลุกจากเตียงง่ายๆ

‘ตั้งแต่ผมได้นาฬิกามาผมช่วยตัวเองไปกี่ครั้งครับ’

ร่างสูงเลิกคิ้วแปลกใจกับความกล้าถามของอีกฝ่าย...จริงๆเขาไม่ควรตะตกใจขนาดนี้เพราะเมื่อคืนก็เห็นๆอยู่ว่ากล้าไปท้าทายอัลฟ่าที่เขาแสนเกลียดคนนั้นขนาดไหน

‘สองครั้ง ครั้งแรกเป็นวันถัดมาหลังจากที่นายฮีทตอนวัดตัวให้ฉัน อีกครั้งก็ตอนที่โดนฉันทดลองยา เช้าวันถัดมานายก็ทำเลย’

กล้าถามก็กล้าตอบ.. แต่พิมพ์ไปคาเล็มก็แอบละอายใจที่ทำตัวเหมือนสต็อกเกอร์ขนาดนี้ เมื่อเขาตอบไปก็ไม่มีข้อความใดๆตอบมาอีก กระทั่งมีเสียงเคาะที่หน้าประตู คาเล็มเดินไปเปิดประตูอย่างยากลำบาก และพบกับลาซารัสที่ยื่นนาฬิกาใส่หน้าแทบจะทันทีที่เขาโผล่หน้ามาให้เห็น ใบหน้าของโอเมก้าขึ้นสีแดงจัดจนทั่ว

“คุณหมอโรคจิตอ่ะ…”

“หา!? ก็นายถามนี่ ฉันก็ตอบตามตรง” ร่างสูงหยิบนาฬิกาคืนจากมืออีกฝ่าย

“ก็ไม่เห็นต้องพิมพ์ละเอียดขนาดนั้นเลย” สองมือว่างยกปิดหน้าตัวเองอย่างอับอายที่โดนล่วงรู้เรื่องส่วนตัว

“กลัวนายไม่เชื่อนี่นา” ใช่ว่าคนพิมพ์จะไม่รู้สึกอะไร เขากระดากนิ้วละอายใจแทบตายอยู่เหมือนกัน อีกมือหนึ่งยกขึ้นลูบผมของอีกคนเบาๆ “เมื่อคืนขอโทษนะ… นายเจอเรื่องแย่ๆมาทั้งวันแล้วแท้ๆ”

“ช่างเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้วนี่” เสียงอู้อี้ตอบทั้งที่มือยังปิดหน้าอยู่

“นายหายโกรธแล้วใช่มั้ย” มือหนาผละออกพร้อมๆกับที่ดวงตาสีฟ้าส่งสายตาดุและคิ้วขมวดมุ่นมาให้...แต่ไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัวเลยสักนิดเดียว

“อย่าเข้าใจผิดสิครับ ที่เอานาฬิกามาคืนให้นี่ไม่ได้แปลว่าผมยกโทษให้คุณหมอสักหน่อย” ลาซารัสกอดอกแล้วยังหันหลังให้คุณหมออัลฟ่า ร่างสูงเอามือเท้าขอบประตูยืนจ้องคนที่ดูออกง่ายดายว่าหายโกรธไปตั้งนานแล้ว

“แล้ว...ต้องทำยังไงถึงจะยกโทษให้ล่ะ” คาเล็มลองง้อคนโมโหไม่จริงดู ร่างโปร่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาจ้องเพราะคิดวิธีบางอย่างออก

“ถ้าอย่างนั้น…” โอเมก้าหนุ่มหันตัวกลับมา “คุณหมอช่วยหลับตาแป๊บนึงสิครับ”

“หือ?”

“ไม่ทำอะไรแผลงๆหรอกครับ” พออีกฝ่ายยืนยันแบบนี้แล้วคุณหมอก็ยอมหลับตาให้ตามคำขอ คาเล็มรู้สึกได้ว่าลาซารัสเอาอะไรสักอย่างมาติดไว้ที่หัวของตน ก่อนจะได้ยินเสียงกดถ่ายรูปของโทรศัพท์มือถือ สักพักก็ลืมตาขึ้นแล้วจ้องโอเมก้าหนุ่มที่กำลังอมยิ้มจนแก้มปริ

“ถ่ายรูปอะไรไปน่ะ?” ถามพลางยกมือขึ้นแตะสิ่งที่ติดอยู่บนหัวและหยิบมาดู มันเป็นที่คาดผมสีดำกับอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกับ...หูแมว

“ลา - ซา - รัส!”

ร่างโปร่งวิ่งหนีคุณหมอไปพร้อมกับกองทัพปุกปุย คาเล็มคิดจะวิ่งตามไปไล่เตะก้นแต่ทั้งขาและหลังก็พร้อมใจกันเจ็บจี๊ดขึ้นสมองจนต้องเกาะผนังเป็นจิ้งจก อัลฟ่าสูงวัยซึ่งเสียท่าทำได้แค่ตะโกนไล่หลังจนเสียงดังลั่นบ้านว่า “ลบเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” 

ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ริชาร์ดก็โทรเข้าเครื่องของคาเล็มพร้อมกับแนบรูปที่ลาซารัสเพิ่งถ่ายส่งไปให้ดู ตอนนี้คุณหมออัลฟ่าเดาได้เลยว่าเพื่อนรักเพื่อนทรยศของตนต้องกำลังหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งอยู่แน่ๆ แล้วคนที่เป็นเจ้าของหูแมวอันนั้นก็คงไม่ใช่ใครอื่นหรอก

“รอให้ฉันขาหายเจ็บซะก่อนเถอะ จะตามไปเตะก้นแกถึงบริษัทเลย ไอ้ริชาร์ด!!”

“ไม่ต้องไปถึงนั่นก็ได้ม้าง” จู่ๆเสียงของคนที่เพิ่งสาปส่งไปก็ดังขึ้นข้างๆ คาเล็มหันไปเจอริชาร์ดที่อุ้มสก็อตยืนมองเขาทั้งรอยยิ้มอยู่ ทีแรกเขานึกว่าตัวเองหลอนไปเองกระทั่งต้องหยิกแก้มตนเพื่อพิสูจน์

“มาทำอะไรแต่เช้า…”

“วันนี้วันฉีดวัคซีนเจ้าตัวเล็กนี่ไง ลาซารัสไม่ได้บอกเหรอ” ริชาร์ดยื่นสก็อตใส่หน้าหมอให้มันเลียทักทาย

“..อ้อ… บอกวันก่อนโน้น.. ลืมไปสนิทเลย” หมอยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ มีเรื่องให้คิดมากเกินไปจนลืมอะไรๆไปหมดแล้ว

“ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวสักพักหมอก็มาละ” เพื่อนรักปล่อยสก็อตลงเดินแล้วเข้ามาพยุงหมอเพื่อให้ลงไปกินข้าวพร้อมๆกันได้ เมื่อมาถึงครัว ลาซารัสกับเรนเดลก็เตรียมอาหารไว้รอเรียบร้อย


“โฮววววววววว ลาซัสที่น่าสงสาร โชคดีเหลือเกินที่นายไม่เป็นอะไรมาก” ริชาร์ดพุ่งเข้าไปกอดโอเมก้าข้างๆหลังจากถามไถ่สิ่งที่เกิดขึ้น ลาซารัสเองก็เริ่มทำใจได้นิดหน่อยจึงยอมเล่ารายละเอียดให้ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสามฟังแต่โดยดี

“เวอร์ไปแล้ว..” คาเล็มเอามีดมาจ่อหน้าเพื่อนเพื่อไล่อีกฝ่ายให้ปล่อยมือออกจากร่างโปร่งที่นั่งตัวลีบให้เขากอดอยู่เฉยๆ

“นายอิจฉาก็มากอดเขาบ้างสิ” ริชาร์ดเอาส้อมของตัวเองมาปัดมีดของหมอไปมาจนเหมือนสองหนุ่มสูงวัยกว่ากำลังสู้รบปรบมือกันอยู่ยังไงยังงั้น

“อย่าเอาส้อมมีดมาเล่นกันสิครับ” เรนเดลเอ็ดทั้งสองคนเสียงเบา

“ไม่เป็นไรจริงๆเรอะ ไหวแล้วแน่นะ” ริชาร์ดเปลี่ยนมานั่งจ้องอีกคนเขม็งไปทั่วทุกอนูเพื่อสำรวจหารอยตำหนิ

“ไม่ครับ ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ” ลาซารัสยิ้มเหนื่อยๆให้ เมื่อวานร้องไห้ไปเยอะ แถมนอนดึก ตื่นก็เช้า ไม่ล้าก็ให้มันรู้ไป แต่มีความจำเป็นที่จะต้องรอฉีดวัคซีนให้เจ้าพวกตัวเล็กจึงต้องยอมตื่นมา เรนเดลคนเดียวคงดูแลไม่ทั่วถึงแหงๆ “ผมจะรีบตัดสูทให้ของคุณริชาร์ดให้นะครับ”

“ไม่ต้องรีบก็ได้ พักสักวันสองวันงานมันคงไม่ช้าลงไปเท่าไหร่หรอก”

คาเล็มแอบเหล่มองคนสองคนที่คุยกันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ เริ่มยอมรับเสียทีว่าเขาอิจฉาริชาร์ดที่คุยกับโอเมก้าของเขาได้อย่างปกติ เทียบกับเขาแล้ว… จะคุยอะไรแต่ละทีเขาแทบต้องเค้นสมองอย่างหนัก อีกฝ่ายก็ดูเกร็งๆ ...น่าอิจฉาจริงๆน้า…

“คุณหมอเป็นอะไรเหรอครับ”

“หือ? เอ้อ...เปล่า…” จู่ๆลาซารัสก็หันกลับมาแล้วเห็นหน้าคาเล็มที่กำลังเหม่อพอดีจึงลองถามดู คนถูกถามก็แค่หันกลับมาทานอาหารต่อ ก่อนจะถูกมือเล็กยื่นมาแตะเข้าที่ข้างลำคอ..

“มีไข้รึเปล่าครับ..” น้ำเสียงเป็นห่วงอย่างซื่อบริสุทธิ์เอ่ยถาม ริชาร์ดนั่งกลั้นขำตัวสั่นมองคุณหมอที่ตัวแข็งทื่อไปแล้วอย่างสนุกสนาน

“...ไม่มี ฉันไม่เป็นไร” คาเล็มค่อยๆดันมือของโอเมก้าของตัวเองออก “รีบกินเถอะ จะได้รีบไปเตรียมตัวรอสัตวแพทย์...เค้าจะมากี่โมงนะ”

“สิบโมงครับ” ลาซารัสก็หันกลับไปจัดการข้าวเช้าในจานต่อรวดเร็ว เรนเดลที่นั่งเงียบมองเหตุการณ์แสนอบอุ่นที่กลับมาได้ดังเดิมอย่างโล่งใจ นึกว่าเรื่องเมื่อวานจะทำให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเสียแล้ว แต่ท่าทางเขาจะประเมินความเข้มแข็งของลาซารัสต่ำไปหน่อย

“แล้วจูเลียตล่ะต้องฉีดวัคซีนด้วยมั้ย?” ซีอีโอหนุ่มถามพลางหันไปมองเจ้าตัวใหญ่ประจำบ้านที่กำลังคุมพวกตัวเล็กเล่นไม่ให้ซนมากไป

“ไม่ล่ะ จูเลียตไม่ถูกโรคกับคนแปลกหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เดี๋ยวถ้าสัตวแพทย์มาฉีดยาให้พวกตัวเล็กคงต้องเอาไปขังไว้ในกรงก่อนไม่งั้นอาละวาดแน่” คาเล็มบอกเพื่อนรักและอาจจะต้องไหว้วานให้ริชาร์ดช่วยพาจูเลียตไปเข้ากรงด้วย

“เอ๋? แปลว่าไม่เคยพาจูเลียตไปฉีดวัคซีนเลยงั้นเหรอครับ” ลาซารัสแอบเป็นกังวล แม้จะเคยได้ยินมาว่าสุนัขบางตัวต่อให้ไม่เคยฉีดวัคซีนก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จนแก่ตายเลยก็ตาม

“เปล่าครับ ปกติวัคซีนของจูเลียตนายน้อยจะเป็นคนไปรับมาจากคลีนิคและฉีดให้เอง” เรนเดลอธิบาย

“แบบนั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอ ให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการให้จะปลอดภัยกว่ารึเปล่า เกิดพลาดขึ้นมาเดี๋ยวมันจะเป็นอะไรไปซะก่อน” แม้ว่าริชาร์ดจะไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน แต่พอมีเจ้าสก็อตเขาก็คอยหาเวลาว่างไปศึกษาเรื่องพวกนี้เพิ่มเติมจนพอจะทำความเข้าใจได้บ้างแล้ว

จูเลียตหันไปมองเจ้านายและผองเพื่อนที่กำลังถกเถียงเรื่องของตัวมันเองด้วยความสงสัยว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม...

 
เมื่อถึงเวลาตามนัด สัตวแพทย์ชายและหญิงผู้ช่วยได้มาทำการฉีดวัคซีนให้พวกสก็อต ซึ่งก็วุ่นวายอยู่บ้าง บางตัวก็ยอมนอนหมอบให้ฉีดแต่โดยดี บางตัวก็ดื้อคอยเห่าด้วยเสียงเล็กแหลม พอจัดการฉีดให้เสร็จทุกตัวก็ลงไปนอนครางหงิงกันถ้วนหน้าเป็นที่น่าสงสาร

“เรียบร้อยแล้วครับ จากนี้ก็ขอให้งดอาบน้ำพวกตัวเล็กสักเจ็ดวัน แล้วก็ช่วงนี้อาจจะมีไข้อ่อนๆ กินอาหารน้อยลง หรือเจ็บปวดบริเวณที่โดนฉีด ขอให้เจ้าของคอยหมั่นสังเกตและดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติล่ะก็ให้รีบพาไปที่คลีนิคทันทีเพราะอาจจะเกิดจากการแพ้วัคซีนก็ได้”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ลาซารัสรู้สึกเป็นห่วงพวกตัวเล็กขึ้นมากลัวว่าจะเป็นอะไรไป

“ก็มีบ้างแหละครับโดยเฉพาะพวกสัตว์เลี้ยงที่ซื้อมาจากร้านขายสัตว์ ถ้าโชคร้ายไปเจอร้านของคนขายมักง่ายเอาลูกสัตว์ตัวเล็กๆมาปล่อยขายทั้งๆที่ยังไม่ทันหย่านมจากแม่เลยก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ แต่คิดว่าเจ้าตัวเล็กพวกนี้คงไม่เป็นอะไร แต่ก็อย่าประมาทแล้วกันครับ ถ้ามีอะไรก็โทรมาปรึกษาที่คลีนิคเราได้ตลอดเวลา”

หลังจากคุยและให้คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับพวกสก็อตและเพื่อนๆไปอีกพักใหญ่ สัตวแพทย์หนุ่มกับผู้ช่วยก็ขอให้ลาซารัสพาไปดูจูเลียตที่อยู่ในกรงขัง โดยมีคาเล็มและริชาร์ดตามไปช่วยดูด้วย และให้เรนเดลคอยเฝ้าดูอาการของเจ้าพวกตัวเล็กไป

สัตว์แพทย์หนุ่มถึงกับร้องว้าวและหัวเราะชอบใจที่ได้เห็นเจ้าสี่ขาขนฟูตัวใหญ่ แถมยังเดินวนไปรอบๆกรงขังอย่างไม่เกรงกลัวเสียงเห่านั้นเลยแม้แต่น้อย ลาซารัสอดหวาดเสียวไม่ได้ว่าถ้าประตูเกิดหลุดขึ้นมามีหวังสัตวแพทย์คนนั้นคงโดนจูเลียตขย้ำเป็นแน่

“ดูจากสภาพแล้วคงไม่จำเป็นต้องฉีดอะไร แต่ผมจะให้ยากำจัดเชื้อราไว้ทาแทนนะครับ” หมอยื่นยาให้ลาซารัสแล้วอธิบายวิธีใช้ให้อย่างละเอียด จนสองอัลฟ่ารู้สึกแหม่งๆแยกตัวออกมากระซิบกันสองคน

“ไอ้หมอคนนั้นมันคุยแต่กับลาซัสตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ..” ริชาร์ดมองสัตวแพทย์ตาขวาง

“เห็นว่าดูสนิทกับพวกขนฟูสุดล่ะมั้ง แต่ก็ไม่ชอบใจอยู่ดี” รังสีที่แผ่ออกมาอย่างไม่เป็นมิตรของทั้งสองคนทำเอาคุณหมอเบต้าเสียวสันหลังวูบวาบแต่ก็ยังไม่รู้ตัวว่าบรรยากาศเย็นยะเยือกนี่มาจากไหน

สัตวแพทย์และผู้ช่วยขอตัวกลับหลังจากหมดธุระ โดยมีริชาร์ดกับคาเล็มเดินออกไปส่งเพียงสองคน เพราะลาซารัสโดนบอกให้อยู่ดูแลเจ้าตัวเล็กที่นอนซึมกันอยู่ที่ห้องทำงานชั่วคราวของโอเมก้าหนุ่ม

“นอนนิ่งกันหมดเลย ปกติออกจะดื้อแท้ๆ” ร่างโปร่งอุ้มตัวน้อยให้ไปนอนที่มุมห้องที่เขากั้นรั้วขึ้นมาสำหรับแยกพวกมันไว้ตอนเขาทำงาน

“เอาไว้ในนี้คุณแมทเวย์จะมีสมาธิทำงานเหรอครับ” เรนเดลช่วยอุ้มตัวเล็กๆบางตัวไปวางในรั้วพอไหวก็ช่วยผ่อนแรงคนเพิ่งเจอเรื่องร้ายๆได้บ้าง

“ไหวครับ พอเห็นพวกมันอยู่ข้างๆแล้วก็ชื่นใจน่ะครับ พักนี้ก็เอาไปนอนด้วยเพราะพวกมันเริ่มไม่ค่อยเห่าตอนกลางคืนแล้ว”

“ระวังเป็นภูมิแพ้เอาสักวันนะครับ”

“จะระวังครับ ฮะๆ….เอ๋?” ลาซารัสรู้สึกแปลกๆเหมือนอุณหภูมิร่างกายมันสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะทำงานหนักไปหรือ? ก็ไม่นี่ นอกจากวิ่งจับพวกตัวเล็กแล้วเขาแทบไม่ได้ทำงานบ้านช่วยคุณพ่อบ้านเลยแท้ๆ

“งั้นเดี๋ยวผมจะไปทำอาหารว่างให้นะครับ...คุณแมทเวย์?” เรนเดลที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปหันมาเห็นว่าร่างโปร่งหอบหายใจผิดปกติ พอเห็นลาซารัสทรุดลงต่อหน้าจึงรีบวิ่งเข้ามาหา “คุณแมทเวย์!?”

โอเมก้าหนุ่มหน้าแดงจัดและใจเต้นระรัว ช่วงล่างตนร้อนวูบวาบอย่างคุ้นเคยทำให้ลาซารัสยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เรนเดลเข้าพยุง “ไม่เป็นไรครับ..”

อาการฮีทที่จู่ๆก็พุ่งขึ้นกะทันหันทำให้ร่างโปร่งเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเขาเข้าช่วงฮีทของปีแล้วนี่หว่า…

“รอเดี๋ยวนะครับ กระผมจะไปตามคนมาช่วย!” พ่อบ้านผละออกจากร่างโปร่งเพื่อไปตามอัลฟ่าทั้งสองคนมาช่วย ลาซารัสรีบหยิบขวดยาในเสื้อเอามากินสองเม็ดหวังจะให้มันช่วยระงับอาการฮีทลงได้บ้าง

ริชาร์ดที่เข้ามาในบ้านก่อนได้กลิ่นฟีโรโมนจากตัวลาซารัสแม้ว่าตนจะยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวโอเมก้าหนุ่มมากแต่ก็รับรู้กลิ่นได้ทันที เขารีบถอยหลังแล้ววิ่งออกไปบอกคาเล็มด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก

“ลาซัสแย่แล้ว…นายรีบไปดูเร็ว” เพราะต้องพยายามอดกลั้นต่อการถูกกลิ่นกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนนี้ริชาร์ดเลยแทบไม่มีสติจะพูดอธิบาย ขนาดว่าเขากินยาเพื่อเซฟตัวเองไว้แล้วแต่ฟีโรโมนโอเมก้าของลาซารัสมันดันมีผลกับตัวเขาเองมากกว่าที่คิด 

คาเล็มพอจะเดาจากสภาพของเพื่อนรักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และปล่อยริชาร์ดไว้ตรงนั้นแล้วพยายามเดินกลับเข้าบ้านให้เร็วที่สุด เขาบีบจมูกตัวเองแล้วใช้วิธีหายใจทางปากเพื่อลดโอกาสการรับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าเข้ามาโดยตรง แต่มันก็ยังมีโอกาสส่งผลต่อร่างกายของอัลฟ่าอยู่ดี ดวงตาหลังแว่นมองหาร่างโปร่งที่นอนทรุดอยู่ที่พื้นห้องทำงานด้วยความทรมาน

“ลาซารัส!” คาเล็มรีบเข้าไปดูใกล้ๆ อาการแบบนี้แสดงว่าเข้าช่วงฮีทของปีแล้วแน่ๆ เขาพยุงร่างโปร่งโดยข่มความเจ็บปวดที่ขาไว้อย่างสุดความสามารถ

“คุณหมอ…” ลาซารัสเงยหน้าขึ้นมองคาเล็ม ใบหน้าแดงซ่านและเหงื่อออกมากราวกับไปออกกำลังกายมาอย่างหนัก ยาต้านอาการฮีทที่กินไปนั้นออกฤทธิ์แล้วแต่เขาก็ยังคงมีความต้องการอยู่แถมยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย “ผม...ขอโทษ”

ลาซารัสดึงตัวคาเล็มลงมาทาบทับกับตัวเองจนแนบชิดและสวมกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ร่างสูงพยายามเอามือยันพื้นเอาไว้สุดแรงที่มี “ลาซารัส ปล่อย!”

“ผม…” ขอบตารื้นด้วยน้ำตาแห่งความทรมาน เขาแทบจะทนความต้องการที่พุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุใกล้ระเบิดนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“อดทนไว้ ฉันจะช่วยนายเอง!” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่คาเล็มเองก็จวนเจียนทนต่อไปจะไม่ไหวเช่นกัน เมื่อครู่เขาเองก็เผลอสูดกลิ่นฟีโรโมนของลาซารัสเข้าไปและมันก็กระตุ้นให้สัญชาตญาณดิบจนตื่นตัวเต็มที่

“ช่วยผมที” แขนทั้งสองโอบท้ายทอยกว้างให้ใบหน้าคมโน้มลงมาและตัวเขาก็ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนฯ “ช่วย...ปลดปล่อยผมที คุณคาเล็ม”



TBC.





*****************************************************************************************

 ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก... โชคดีนะคะหมอ //ยิ้มชั่ว o18
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.6 - Up! (21/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 21-02-2017 21:57:19
ติดตามน้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.6 - Up! (21/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 22-02-2017 00:59:17
อัพเร็วทันใจฉับไวมากค่ะ
รำคาณหมอเหมือนกันนะคะ อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้วแต่ก็ยังไม่รู้ตัวว่าควรทำอะไร
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.7 - Up! (22/02/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 22-02-2017 02:56:21

บทที่ 7



“ไหวมั้ยครับคุณริชาร์ด?” พ่อบ้านสูงวัยลากซีอีโอหนุ่มมานั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน เพราะริชาร์ดเข้าใกล้บริเวณบ้านในตอนนี้ไม่ได้เลย กลิ่นฟีโรโมนของลาซารัสเป็นอันตรายต่ออัลฟ่าอย่างมาก หากไม่อยู่ให้ห่างขนาดนี้มีหวังเขาคงได้หน้ามืดเข้าไปทำมิดีมิร้ายโอเมก้าคนนั้นกลางบ้านเพื่อนรักแน่ๆ

“เวลาแบบนี้ผมล่ะอิจฉาเบต้าอย่างคุณเรนเดลชะมัดเลย” หนุ่มอัลฟ่ามากวัยหัวเราะเจื่อน เวลาที่พวกอัลฟ่าอย่างเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะถูกกลิ่นฟีโรโมนกระตุ้นมันแทบไม่ต่างอะไรกับสัตว์ตัวผู้ที่อยากวิ่งเข้าไปผสมพันธุ์ตัวเมียอย่างไม่เลือกหน้า มีแต่ไทป์เบต้านี่แหละที่ดูจะสมเป็นมนุษย์ปกติที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสองไทป์ที่เหลือ “ปล่อยผมไว้ตรงนี้ก็ได้ คุณเข้าไปช่วยคาเล็มกับลาซัสเถอะ”

“กระผมคิดว่า...เรื่องนี้ให้นายน้อยจัดการเองดีกว่าครับ” ชายชรานั่งลงข้างๆเพื่อนสนิทของเจ้านาย

“คาเล็มคนเดียวจะรับมือไหวแน่งั้นเหรอ?”ริชาร์ดอดสงสัยไม่ได้ต้องเบนสายตาหันไปหาพ่อบ้าน

“ถ้าไม่ไหวก็...นั่นสินะครับ” สายตาของพ่อบ้านมองไปยังตัวบ้านที่มีเสียงเอะอะดังมาเป็นระยะ “มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่ครับ นายน้อยเองก็เจอคนไข้หลายคนฮีทแบบนี้มาเยอะแล้ว ให้กระผมไปยุ่งก็เกะกะเปล่าๆ”

ริชาร์ดรู้สึกหนาวไปถึงสันหลังกับความคิดของพ่อบ้านที่ดูแลเพื่อนรักของตนมาหลายสิบปี ทีแบบนี้ล่ะทิ้งให้เจ้านายตัวเองเผชิญชะตากรรมได้หน้าตาเฉย “...คุณนี่ แอบร้ายกว่าที่เห็นนะ”

“หึๆ พูดเรื่องอะไรเหรอครับ กระผมก็แค่เชื่อใจนายน้อยเท่านั้นเอง” แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ซีอีโอหนุ่มรู้สึกเหมือนเห็นเรนเดลมีเขากับหางเดวิลงอกออกมายังไงยังงั้น


“เรนเดลโว้ยย!! หายหัวไปไหนของนายฟร้า!!”

คาเล็มตะโกนเรียกพ่อบ้านที่ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ตอนนี้เขากำลังตกที่นั่งลำบากสุดๆเพราะลาซารัสไม่ฟังอะไรเลยแม้ว่าเขาจะออกคำสั่งให้หยุดก็ตาม

“คุณหมอออ” โอเมก้าหนุ่มที่ตอนนี้เหมือนโดนอัดยาปลุกเซ็กส์ไม่ยอมฟังที่เขาพูดเลยสักนิดเดียว พอจะรู้สาเหตุที่โอนเนอร์เจ้าของคนเก่าของลาซารัสจำเป็นต้องขังเจ้าตัวไว้ในห้องทั้งวันทั้งคืนไม่ให้ออกไปไหนแล้ว ในบรรดาคนไข้โอเมก้าที่เคยเจอมาไม่เคยเจอใครที่ฮีทหนักจนถึงกับลุกขึ้นมาไล่ปล้ำชาวบ้านขนาดนี้

นี่น่ะเหรออีกด้านของโอเมก้าแสนซื่อไร้เดียงสาคนนั้น นิสัยเปลี่ยนไปยังกับคนละคน!

คาเล็มพยายามหันหน้าหลบไม่ให้ลาซารัสจูบตนได้แต่ก็กลายเป็นโดนงับและเลียใบหูจนสะท้านไปทั้งตัว ร่างโปร่งยกขาขึ้นเกี่ยวเอวให้ช่วงล่างของคุณหมอเข้ามาแนบชิดกับตัวเอง ส่วนกลางลำตัวของอัลฟ่าสูงวัยกำลังตื่นตัวเมื่อโดนสัมผัสกับความเร่าร้อนของโอเมก้าเบื้องล่าง

“ลาซารัส…” หมออัลฟ่ามองต่ำ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหูร่างโปร่งที่ทำสีหน้ายั่วยวนอย่างไม่ปิดบัง “ตรงนี้ฉันทำไม่ถนัด ขากับหลังฉันก็ยังไม่ดีขึ้นด้วย ไปที่ห้องฉันเถอะ”

“ครับ…” พออัลฟ่าสูงวัยตอบรับโอเมก้าหนุ่มก็เชื่อฟังอย่างว่าง่าย และลุกขึ้นพยุงร่างสูงพาขึ้นไปข้างบนห้องอย่างที่บอก แต่ยังไม่ทันจะไขกุญแจเปิดห้องเข้าไปร่างโปร่งก็ดันตัวคุณหมอจนติดอยู่ที่หน้าประตู

“ใจเย็นก่อน อดทนอีกนิดสิ” คาเล็มดุเบาๆ ตอนนี้มือของลาซารัสเริ่มอยู่ไม่สุขและยังเอาตัวเข้ามาเบียดเสียดจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับคุณหมออัลฟ่า

“จูบผมหน่อยสิครับ” เสียงนุ่มหอบสั่นเอ่ยคำขออย่างไม่นึกอาย “ผมอยากให้คุณหมอช่วยลบจูบของคุณเออร์แฟนออกไปที”
ดวงตาสีฟ้าจับจ้องมองนัยน์ตาคมก่อนยื่นมือไปลูบไล้เคราบนใบหน้า ปลายเท้าเขย่งขึ้นไปจนริมฝีปากเกือบจะแนบชิดกัน แต่คาเล็มหมุนลูกบิดให้ประตูเปิดเข้ามาในห้องได้ก่อน โอเมก้าหนุ่มจึงพลาดจูบนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

“ไปรอที่เตียง แล้วอย่าหันมามองล่ะ” เสียงทุ้มต่ำมีอำนาจสั่งให้ร่างเล็กกว่าทำตาม ลาซารัสจึงจำใจต้องผละตัวออกและไปนั่งรอที่ปลายเตียงพร้อมกับหันหน้าหลบไปทางอื่นไม่มองร่างสูงตามที่สั่ง เขารอจนกระทั่งคาเล็มเดินเข้ามาใกล้และค่อยๆสวมกอดจากด้านหลัง ก่อนที่จะ…

“อื้อ!” ลมหายใจขาดห้วงเพราะถูกผ้าขนหนูอุดจมูก ได้กลิ่นฉุนจนแทบเวียนหัวชวนสลบ ร่างกายโดนแขนล็อคไว้ไม่ให้ดิ้นหนี พอพยายามขัดขืนก็ถูกดันลงกับเตียงและกดผ้าโปะยาสลบซ้ำลงมา แม้จะพยายามกลั้นหายใจไม่สูดดมเข้าไปแต่ก็ไร้ผล สองนาทีต่อมาลาซารัสก็ตาพร่า สมองมึนและเบลอก่อนที่เรี่ยวแรงจะค่อยๆหายไป และในที่สุดเขาก็หมดสติไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป

คาเล็มทรุดตัวลงข้างๆนั่งหอบหายใจเพราะเหนื่อยที่ต้องพยายามฝืนสัญชาตญาณตัวเอง แม้ร่างโปร่งจะหลับไปแล้วแต่ฟีโรโมนอ่อนๆยังแผ่กลิ่นจางออกมาเรื่อยๆ คุณหมออัลฟ่ารีบรุดจากที่นอนไปคว้ายาต้านอาการฮีทและลดการได้กลิ่นของตัวเองมากิน

เมื่อความต้องการลดลงจนสงบดีแล้วเขาก็เดินถือขวดยาออกไปข้างนอกเพื่อไปหาริชาร์ด

“อ้าว? คาเล็ม?” เพื่อนซี้ที่นั่งพักอยู่ที่สวนด้านนอกเห็นคุณหมอเดินมาก็แปลกใจ คาเล็มยื่นกระปุกยาให้เป็นคำสั่งว่ากินเสีย

“ทำไมไม่เข้าไปช่วยฉันล่ะเรนเดล..” อัลฟ่าสูงวัยแอบหัวเสียที่เห็นเขานั่งอยู่กับเพื่อนซี้ซะสบายอารมณ์

“กระผมเชื่อว่านายน้อยเอาตัวรอดเองได้อย่างแน่นอนน่ะสิครับ” พ่อบ้านยิ้มอย่างยินดีที่คาเล็มยังอยู่รอดปลอดภัยดี(??)

“ยาออกฤทธิ์ก็ไปช่วยอุ้มลาซารัสกลับไปไว้ที่ห้องที” คาเล็มถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับเพื่อนของตน

“จิตแข็งเอาเรื่องเลยนะนาย เจ้าหนูนั่นปล่อยฟีโรโมนออกมารุนแรงขนาดนั้นยังทนได้อยู่อีก”

“เออ.. เป็นคนแรกที่ยาฉันเอาไม่อยู่ตอนถึงช่วงฮีทนี่แหละ..” ร่างสูงมองกระปุกยาของลาซารัสที่เขาแอบเก็บมา เพราะเห็นแล้วว่าเจ้าตัวคงกินไปก่อนที่เขาจะไปถึง “แบบนี้อีกตั้งอาทิตย์กว่าถึงจะพ้นช่วงอันตรายงี้ไป คงต้องขังไว้ในห้องจนกว่าจะปลอดภัยนั่นแหละ”

“ฟังดูโหดร้ายจังน้า.. ทั้งที่มีวิธีทำให้ช่วงฮีทจบลงง่ายกว่านี้แท้ๆ”  ริชาร์ดลุกขึ้นไปกอดคอเพื่อนรักแล้วหยิบซองหน้าตาคุ้นๆให้..

“ไม่เอาโว้ย!!” คาเล็มแทบจะปากล่องถุงยางคืนให้ริชาร์ด “มันก็แค่เรื่องลือหนาหูมาเฉยๆเท่านั้นแหละ ไอ้ที่ว่า...ทำเรื่องอย่างว่าบ่อยๆตอนช่วงฮีทแล้วมันจะหายไวขึ้นน่ะ!!”

“นายน้อยครับ มันเป็นความจริงที่ว่าไม่มีหลักฐานพิสูจน์เป็นเรื่องเป็นราว แต่นายน้อยเองก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันไม่จริงเสียหน่อยนี่ครับ” เรนเดลแจกแจงด้วยน้ำเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้มอย่างปกติที่เป็นมา แต่ตอนนี้รอยยิ้มนั้นกลับดูกวนสุดๆสำหรับคาเล็ม

“พูดได้ดีครับคุณเรนเดล.. แกจะรู้ได้ไงวะว่ามันได้ผลหรือเปล่าถ้ายังไม่ได้ลอง” ริชาร์ดยัดกล่องถุงยางของตนลงในกระเป๋าเสื้อของคนที่เขากอดคออยู่ “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไง”

คาเล็มปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อโดนคนสองคนรุมหว่านล้อมในเรื่องที่เขาเองก็หาอะไรมาเถียงไม่ได้ “ม...ไม่อยากก็ไม่อยากไง!”

“ถ้านายสามารถพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จริง อัลฟ่าบางคนจะได้เลิกใช้มันเป็นข้ออ้างในการล่วงเกินโอเมก้าในช่วงฮีทไง”

“หรือถ้ามันดันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา… นายน้อยอาจจะหาต้นเหตุของการลดอาการฮีทหลังจากมีอะไรกับคนอื่นได้ไงครับ.. อาจจะสร้างยาขึ้นมากินเพิ่มหรือลดสารบางตัวเพื่อหลอกร่างกายว่ามีการร่วมรักไปแล้วอะไรแบบนั้น”

เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ… “ที่พวกนายเสนอมา..ฉันก็ว่ามันน่าสนใจ หากพิสูจน์ได้จริงคงช่วยโอเมก้าได้อีกหลายช่องทาง แต่ขอโทษจริงๆ ฉันทำไม่ลงหรอก”

“ให้ฉันทำแทนมั้ยล่ะ”

คาเล็มเบิกตากว้างหันไปมองริชาร์ดที่กอดคอเขาอยู่ ใบหน้าของเพื่อนบอกว่าไม่ได้ล้อเล่นแน่ๆ

“...ไหนก่อนหน้านี้แกพูดว่าไม่อยากได้เจ้าหนูนั่นไง เกิดเปลี่ยนใจแล้วเรอะ?” คุณหมออัลฟ่าจ้องหน้าเพื่อนที่เสนอตัวรับอาสาจะช่วย

“แล้วแกจะปล่อยให้ลาซัสโดนขังอย่างทรมานอยู่ในห้องแบบนั้นเป็นอาทิตย์เรอะ แถมตอนนี้ยาของแกก็ช่วยอะไรเค้าไม่ได้อีกด้วย” ริชาร์ดอธิบายเหตุผลประกอบ

“มันต้องมีทางอื่นที่ฉันหรือแกไม่ต้องพิสูจน์ด้วยการทำเรื่องแบบนั้นก็ได้นี่” คาเล็มยังคงแย้ง

“วิธีไหนล่ะฮึ ไหนบอกมาซิ?”

“ตอนนี้ฉันยังคิดไม่ออก…”

“เยี่ยมเลยคาเล็ม แกคิดไม่ออกสินะ...แล้วแกจะคิดออกตอนไหนไม่ทราบวะ!” จู่ๆ อัลฟ่าเพื่อนสนิทก็ขึ้นเสียงตะโกนอัดใส่หน้าหมอเสียงดัง

“เป็นบ้าอะไรวะริชาร์ด! ทำตัวเหมือนหมาตัวผู้ได้กลิ่นสาปตัวเมีย เสี้ยนนักเรอะไงแกน่ะ!”

“หาว่าฉันเสี้ยน แกมันก็เป็นตาแก่โรคจิตวิปริตถ้ำมองที่วันๆเอาแต่ส่องดูชีวิตส่วนตัวชาวบ้านเค้าไปทั่วเหมือนกันนั่นแหละ!”

“แล้วแกคิดว่าฉันอยากดูมากนักเรอะไง! ฉันก็อยากจะล้มๆไอ้งานวิจัยพรรค์นี้ซะทีเหมือนกัน!”

“งั้นก็เลิกๆไปซะสิฟะ! ”

“เพราะเลิกไม่ได้ถึงต้องอยู่กับมันมาทั้งชีวิตนี่ไงเล่า ไม่เข้าใจอีกเรอะ!”

“ไม่เข้าใจโว้ย! แกนั่นแหละเมื่อไหร่แกจะวางมือแล้วไปใช้ชีวิตธรรมดาๆมีครอบครัวเหมือนคนปกติกับเค้าบ้างซะทีวะ!”

“พวกคุณสองคนน่ะใจเย็นๆก่อนสิครับ!” พ่อบ้านเข้ามาห้ามทัพอัลฟ่าทั้งสองคนที่จ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน เรนเดลรู้สึกว่ามันทะแม่งๆแปลกๆ

“รู้ตัวมั้ยครับว่าไอ้ที่พวกคุณทั้งคู่มาทะเลาะกันเองรุนแรงอย่างนี้ ยังกับพฤติกรรมก้าวร้าวของพวกสัตว์เพศผู้ที่ชอบเขม่นกันเพื่อจะแย่งตัวเมียในฤดูผสมพันธุ์ยังงั้นแหละ” ชายสูงวัยที่สุดในที่นี้พูดปรามและแอบด่าทั้งสองไปพร้อมๆกัน “ค่อยๆ พูดจากันด้วยเหตุผลสิครับอย่าใช้อารมณ์”

สองอัลฟ่าหันหน้าออกไปคนละทางเพื่อทำให้จิตใจสงบลง ก่อนจะค่อยๆหันมาพูดกันอีกครั้ง

“ขอเวลาฉันคิดคืนหนึ่ง แต่ถึงยังไงฉันก็ยังไม่เห็นด้วยกับความคิดของแกอยู่ดี” คาเล็มพูดขึ้นก่อน

“เออ ตามใจแก แต่ฉันขอถามหน่อยเถอะ...ถ้าแกหาสาเหตุที่ยาใช้ไม่ได้ผลหรือหาวิธีหยุดอาการฮีทไม่ได้ วันข้างหน้าถ้าเกิดลาซัสเป็นขึ้นมาเหมือนวันนี้อีกรอบนายก็จะขังเจ้าหนูนั่นไว้เหมือนเดิมทุกๆปีงั้นเหรอ”

“ถ้ามันจำเป็นก็ต้องทำ…ไม่งั้นถ้าปล่อยไว้ก็เป็นอันตรายกับคนที่อยู่ใกล้ๆ รวมทั้งตัวเจ้านั่นเองด้วย”

“ฉันสงสารลาซัสว่ะ อุตส่าห์ได้มีชีวิตใหม่แต่ก็ยังถูกทำเป็นตัวทดลองวิจัย นี่ยังไม่นับว่าที่ผ่านๆมาเค้าต้องถูกขังอยู่อย่างนั้นมาตลอดจนกว่าจะพ้นช่วงอันตรายไปได้อีกนะ”

“ก็ฉันไม่ได้มีโอเมก้าคนอื่นๆไว้ผลัดเปลี่ยนคอยศึกษาพฤติกรรมที่เกิดขึ้นปีละครั้งอย่างนี้นี่ คนอื่นๆที่ผ่านมาแค่กินยาของฉันมันก็ได้ผลตลอด” 

“อยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าลืมล่ะว่าถ้าคืนนี้แกยังคิดไม่ออก พรุ่งนี้ฉันจะบุกมาบ้านแกแล้วฉุดลาซัสไปจริงๆล่ะนะโว้ย!”

“ไอ้ริชาร์ด!!”

“เอาล่ะครับคุณสองคนน่ะหยุดทะเลาะกันแล้วก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว!!” เรนเดลชักจะเหลืออดกับความหัวร้อนของสองอัลฟ่าที่เกือบจะวางมวยอีกรอบ

หลังจากพาลาซารัสที่หมดสติไปไว้ที่ห้องนอนพร้อมกับล็อคกุญแจเรียบร้อย ริชาร์ดก็พาเจ้าสก็อตกลับบ้านไปทั้งอย่างนั้น แล้วก็ยังย้ำกับเพื่อนสนิทเรื่องเส้นตายคืนนี้ว่าจะทำยังไงกับเรื่องของโอเมก้าหนุ่มต่อไป


คืนนั้นคาเล็มนั่งคิดวิธีอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเองเพียงลำพัง แม้เวลาจะเริ่มใกล้วันใหม่เข้าไปทุกที ยาที่ไม่สามารถกินเกินขนาดได้เพราะจะทำให้ความดันตกและอาจจะช็อคเอาได้ ส่วนจะขังไว้แบบนี้ริชาร์ดก็ไม่ยอมอีก จริงๆเขาเองก็สงสารลาซารัสเหมือนกัน….แต่เขาก็ยังคงยืนยันว่าไม่อยากจะล่วงเกินโอเมก้าหนุ่มของตน

“จริงๆยกให้ริชาร์ดไปก็จบแล้วแท้ๆ…” แล้วค่อยหาเวลาไปทดลองอะไรๆตามสมควร หากแต่ไม่รู้ว่างานวิจัยจะเสร็จเมื่อไหร่...หรือจะเสร็จหรือเปล่า?

แถมพอคิดว่าจะต้องยกให้คนอื่นจริงๆ แม้แต่กับเพื่อนที่ไว้ใจที่สุด...เขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“บ้าเอ๊ย..” คาเล็มขยี้ผมอย่างแรงจนจูเลียตที่นอนอยู่ข้างๆหันหน้าขึ้นมามอง

“นายน้อยครับ กระผมเอาน้ำขิงมาให้” เสียงของเรนเดลดังอยู่ข้างหน้าประตู ดูท่าจะไม่มีมือว่างมาเคาะ ร่างสูงจึงลุกไปเปิดประตูให้พ่อบ้านของตน

“ขอบใจนะ ...ไม่นอนเหรอ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านี่” หมอเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง จริงๆขาของเขาอาการดีขึ้นมากระทั่งแทบไม่ต้องให้ใครพยุงแล้ว..

“กระผมก็ต้องตื่นเช้าทุกวันนั่นแหละครับ” เรนเดลยิ้มแล้ววางแก้วน้ำขิงให้เจ้านาย “แต่ถ้านายน้อยยังต้องเจอปัญหาแบบนี้ พ่อบ้านคงหนีไปนอนไม่ได้หรอกครับ”

คาเล็มยิ้มตอบให้คนที่คอยดูแลเขาเสมอมา “ขอบใจ”

“แล้ว...เป็นยังไงบ้างครับ” พ่อบ้านนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆแล้วลูบหัวจูเลียตไปด้วย

“มืดแปดด้าน” ร่างสูงถอนหายใจ

“กระผมบอกให้นายน้อยให้เกียรติการตัดสินใจของคุณแมทเวย์ก็จริง แต่กระผมก็ไม่คิดจะฝืนใจนายน้อยนะครับ...หากไม่อยากจะล่วงเกินคุณแมทเวย์จริงๆ… กระผมก็อยากให้นายน้อยคิดให้ละเอียดอีกครั้งว่าสรุปว่าเพราะอะไร”

“บอกไปแล้วนี่… อยู่กับฉันไปเขาก็ไม่มีความสุขหรอก”

“หรือนายน้อยกลัวว่าจะเสียเขาไปเหมือนครั้งคุณโนเอลมากกว่ารึเปล่า?” คาเล็มสะบัดหน้ามามองเรนเดลอย่างประหลาดใจ นั่นทำให้พ่อบ้านถอนหายใจแทน “นายน้อยครับ...ที่ผ่านๆมากระผมทำได้เพียงแนะนำ และตอนนี้ก็อีก.. กระผมทำได้เท่านั้นเพราะการตัดสินใจต้องเป็นนายน้อยที่ทำ”

“...”

“คุณแมทเวย์น่ะเข้มแข็งกว่าที่คุณคิด กล้าหาญกว่าที่คุณเห็น และยังสมองดีด้วย เพราะงั้น… ผมว่านายน้อยอาจจะแค่ลองเชื่อใจเขาเท่านั้นเองครับ”

“ฉัน...แค่คิดว่าจะเอายังไงในวันพรุ่งนี้ก็เต็มกลืนแล้ว..” คาเล็มเหม่อมองไปบนหนังสือที่เขากางไว้มากมาย “ไม่ได้คิดอะไรไกลขนาดนั้น..”

“คุณริชาร์ดเองก็ไม่ได้อยากจะล่วงเกินคุณแมทเวย์หรอกนะครับ.. แต่กระผมว่าคุณก็ทราบดี”

“รู้.. มองตาก็รู้แล้ว” ที่คาเล็มหงุดหงิดเมื่อกลางวันนั่นเพราะเพื่อนรักของเขาเองก็ฝืนทำในสิ่งที่เขาก็ไม่ได้อยากเหมือนกัน ทำไมคนรอบๆตัวเขามีแต่พวกทุ่มหมดหน้าตักแบบนี้นะ!? พ่อบ้านมองเจ้านายของตนอย่างเอ็นดู

“จริงๆมันก็มีวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการให้คุณแมทเวย์นะครับ”

“หือ?”

“เพียงแต่ไม่แน่ใจว่านายน้อยจะทำได้หรือเปล่า..”

“อะไรรึ?” คาเล็มเด้งตัวขึ้นมาจากพนักเก้าอี้อย่างอยากจะรู้

“และมันพ่วงกับสิ่งที่ผมเสนอไปเมื่อกลางวัน…” พ่อบ้านยิ้มกริ่มน่าสงสัย ก่อนจะลุกพรวดแล้วรีบเดินออกจากห้อง “ก็ในเมื่อคุณทั้งคู่ไม่อยากทำผมก็จะบอกว่าไม่ต้องทำก็ได้”

ประตูห้องปิดลงในขณะที่อัลฟ่าสูงวัยยังคงนั่งฉงนกับคำเสนอแนะในค่ำคืนนี้… “ไม่ต้องทำ…” เหมือนไอเดียบางอย่างจะวิ่งเข้ามาในสมอง คาเล็มยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วรีบโทรหาริชาร์ดอย่างไม่เกรงใจเวลา…


“....แกว่านี่ได้ผลเหรอ..” เช้าตรู่วันต่อมา ซีอีโอวัยกลางคนมาหาแต่เช้าพร้อมของที่เพื่อนรักวานให้ไปหามาให้ด้วยเวลากระชั้นชิด

อุปกรณ์น่าอายจำนวนหนึ่งวางอยู่ในถุงกระดาษแน่นิ่ง ทุกชิ้นเพิ่งซื้อมาสดๆร้อนๆก่อนร้านอย่างว่าพวกนี้จะปิดไม่นาน

“ขอบใจที่เป็นธุระให้” คาเล็มแกะเอาของแต่ละชิ้นออกมาอย่างไม่เกรงใจสายตาของอีกสองคน

“เดี๋ยวๆ...คือเมื่อคืนยังสับสน ขอดีๆอีกทีซิ?” ริชาร์ดเอามือมาแตะเพื่อนรักให้หยุดแกะพวกมัน

“ก็ทำการทดลองไง..” คุณหมอวางนาฬิกาอันเดิมลงบนโต๊ะและตามด้วยยาระงับอาการฮีทและยาลดประสิทธิภาพของอัลฟ่า “ใส่เจ้านี่ให้ลาซารัส.. แล้วพวกเราก็กินยาทุกอย่างให้เสมือนเรากลายเป็นแค่เบต้าที่นกเขาไม่ขันจากนั้นก็ตามนั้น… ค่าใดๆที่วัดได้จะถูกส่งเข้ามือถือฉัน ทดลองได้สองเรื่องพร้อมกันเลย”

“ก็อยากจะชมว่าสมเป็นอัจฉริยะอยู่หรอก แต่กระดากปากชอบกลว่ะ…” พอคิดว่าโอเมก้าคนนั้นต้องโดนของเล่นที่ซื้อมาแต่ละอย่างเข้าไปแล้วก็รู้สึก...อยากเห็นอยู่เหมือนกัน

ไม่ใช่แล้วโว้ย!

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้แกพูดว่าพวกเรา หมายถึงฉันก็ต้องเป็นหนูทดลองให้แกด้วยงั้นเหรอ?”

“ก็ถ้าฉันทดลองอยู่คนเดียวแล้วจะบันทึกผลระหว่างนั้นได้ยังไง” คุณหมออัลฟ่าทดลองกดปุ่มของเล่นบางชิ้นและแอบตกใจที่มันสั่นสะเทือนแรงจนน่ากลัว คนเรานี่ก็ช่างประดิษฐ์สร้างของพวกนี้ขึ้นมาได้

“...แล้วแกโอเคเหรอวะ ถามลาซารัสแล้วรึยัง?”

“ถ้าเป็นแกล่ะก็ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ส่วนเจ้าหนู...ตอนนี้อย่าว่าแต่คุยเลย พูดอะไรไปก็แทบจะไม่ฟัง เอาแต่ร้องขออยากจะทำๆอย่างเดียว” คาเล็มรู้สึกหดหู่เมื่อนึกถึงตอนที่ลาซารัสรู้สึกตัวตื่นหลังจากหมดฤทธิ์ยาสลบ

“ลำบากหน่อยนะ…” ริชาร์ดตบไหล่เพื่อนปลอบใจ “แต่ฉันคงมาช่วยทุกวันไม่ได้หรอก นี่เดี๋ยวสายๆต้องเข้าไปประชุมที่บริษัทแล้ว”

“ลาหยุดซักอาทิตย์ไม่ได้เรอะ?” ขอกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม และไร้ซึ่งความเกรงใจโดยสิ้นเชิง

“แล้วแกจะจ่ายค่าเสียเวลาให้ฉันมั้ยล่ะ” นี่ยังไม่ได้เก็บเงินค่าของเล่นที่เขารูดจ่ายให้ไปก่อนเลย

“หยุดงานแค่นี้ไม่ทำให้บริษัทแกล้มละลายหรอกมั้ง” ซีอีโอหนุ่มอยากจะด่าเพื่อนรักแต่ก็รู้ว่าคาเล็มพูดไปอย่างนั้น สุดท้ายก็บอกให้เขากลับไปก่อนแล้ววันหลังค่อยแวะมาใหม่

วันนี้คาเล็มคงต้องลุยคนเดียวก่อน…


ร่างสูงยืนอยู่หน้าห้องของลาซารัสที่ค่อนข้างเก็บเสียง อันที่จริงเขาสร้างห้องนี้ไว้ให้โอเมก้าอยู่แล้วเนื่องด้วยเขาต้องการให้ห้องนี้เป็นห้องของโอเมก้าโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ตอนสร้างบ้าน… คาเล็มสูดหายใจลึก เมื่อมั่นใจว่าไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนใดๆเพื่อยืนยันว่ายาออกฤทธิ์แล้ว เขาก็เปิดเข้าไปในห้อง..

ร่างโปร่งบนเตียงสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาในห้อง ตาสีฟ้าปรือมองไปทางประตูทั้งที่ร่างกายยังคงสั่นสะท้านจนลุกเดินลำบาก “คุณหมอ..?”

“อยากให้นายทานอะไรก่อนสักหน่อยนะ ไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว..” คาเล็มวางถาดอาหารเช้าที่เรนเดลจัดการให้หยิบกินง่ายๆเป็นคำๆไว้ข้างหัวเตียง ลาซารัสยันตัวเองขึ้น ท้องไส้เริ่มหิวประท้วงทะลุราคะของตนออกมาจนต้องยื่นมือมาหยิบไปกินช้าๆ เครกเกอร์ที่สอดไส้ด้วยสลัดไข่กับทูน่ารสหวานไม่เลี่ยนมากและให้พลังงานสูงดูเหมาะกับสถานการณ์ดีสมกับที่พบเจอเหตุการณ์นี้มาจนชิน

“นั่นอะไร..” คงเพราะตอนนี้คาเล็มฉีดน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนมาด้วยทำให้ลาซารัสไม่คุ้มคลั่งเหมือนเมื่อวาน ตอนนี้ยังพอสื่อสารกันได้บ้างเล็กน้อย

“...พูดตรงๆตอนที่นายยังมีสติเหลือนะ.. ทั้งหมดนี่คือเซ็กส์ทอย” คาเล็มวางถุงกระดาษลงบนเตียงเบาๆ และหยิบนาฬิกาออกมาใส่ให้ข้อมือข้างที่ไม่ได้กำลังหยิบอาหารมาแทะกิน “ขอโทษนะ แต่ฉันต้องทำการทดลองต่อ.. นายไม่ได้เข้าช่วงฮีทบ่อยๆด้วย”

เมื่อดื่มน้ำตามจนหมดแก้วร่างโปร่งก็พยักหน้ารับช้าๆเหมือนสติยังเลื่อนลอยอยู่ มือที่เพิ่งว่างยื่นมาดึงเสื้ออีกฝ่ายเพื่อเรียกร้องให้คนตรงหน้าเข้ามาหา “คุณคาเล็มอยากให้ผมทำอะไรผมก็ทำ” สายตาเว้าวอนมองอ้อนและเริ่มเกาะแกะตัวเขา
ขนาดว่ากินยาระงับอาการฮีทคาเล็มยังหวั่นๆใจว่าจะไม่เผลอทำอะไรจริงๆหรือ?

แต่ใช่ว่าจะถอยได้ ร่างสูงควานหากุญแจมือมาสวมให้อีกคนแล้วล่ามไว้กับหัวเตียง แม้ไม่อยากทำแต่อย่างน้อยเขาก็ขอป้องกันไม่ให้ลาซารัสเผลอทำอะไรเองตามใจ..

“คุณหมอ..” เสียงครางเรียกหาผู้อยู่เบื้องหน้า คาเล็มจำต้องแตะลงไปตรงส่วนสงวนของร่างโปร่งอย่างช่วยไม่ได้ ณ เวลานี้ไม่ต้องปลุกเร้าอะไรลาซารัสก็ตื่นตัวอยู่แล้ว “อือ..”

เสียงครางเปล่งออกมาเมื่อถูกมืออุ่นลูบไล้อยู่ที่ส่วนอ่อนไหว ขนาดว่ายังไม่ได้ทำอะไรมากแท้ๆ… สองมือปลดกางเกงของโอเมก้าในครอบครองของตนเองออกไป เครื่องเพศความเป็นชายแข็งตัวเต็มที่และมีน้ำหล่อลื่นเปียกเยิ้มออกมาเต็มช่องทางด้านหลัง

“ไม่เกร็งนะ” คาเล็มที่พอมีประสบการณ์มามากพอให้รู้ว่าจะเริ่มทำให้กับมือใหม่ยังไงก็เริ่มกดวนปลายนิ้วสองนิ้วของเขารอบๆช่องทางนั้นแล้วแทรกนิ้วเข้าไปช้าๆ

“อ๊ะ! อ่ะ.. !” ร่างโปร่งสะดุ้งเพราะการรุกล้ำจากสัมผัสไม่คุ้นเคย แต่ก็รู้สึกโหยหามากจนลืมความเจ็บไปจนหมด เสียงครางค่อยๆเพิ่มขึ้นและดังขึ้นทุกครั้งที่คาเล็มขยับนิ้วเข้าออก จากเชื่องช้าก็เริ่มรวดเร็ว

แม้จะกินยาต้านอาการฮีทมาแล้วแต่ใช่ว่าจะไม่มีความรู้สึกอะไร ภาพตรงหน้าช่างเย้ายวนเสียจริง… แต่คาเล็มก็ส่ายหน้าแล้วหยิบเอาอุปกรณ์ที่ดูแสนเข้าใจง่ายออกมา “ลาซารัส.. อันนี้ห้ามเกร็งเด็ดขาดเลยนะ”

“เอ๋? ค...คุณคาเล็ม ไม่ใช่เข้ามา?” ร่างโปร่งที่สั่นระริกเพราะกระสันอยากต้องการสิ่งที่มากกว่าเพียงแค่นิ้ว

“ขอโทษนะ..” อัลฟ่าสูงวัยกลั้นใจค่อยๆสอดใส่ของเล่นชิ้นขนาดกลางๆเข้าไปในช่องทางชุ่มของคนที่นอนอยู่ และหยุดคาเอาไว้อย่างนั้นให้ส่วนคับแคบคุ้นชินกับมันก่อนจะขยับเข้าออกช้าๆ

“อึ้ก! อ๊ะ!” ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกกำลังสอดแทรกเข้ามายังช่องทางลับที่ไม่เคยมีใครบุกรุกเข้ามา ดวงตาสีฟ้าหันไปจ้องมองตาของอัลฟ่าที่เลี่ยงจะสบตากับเขา “ค...คุณคาเล็ม อ๊ะ!”

มือหนาใส่แรงขยับอุปกรณ์ให้เร็วขึ้นเพื่อเร่งให้โอเมก้าของตนถึงที่หมาย ช่องทางตอดรัดแน่นจนดึงเข้าออกลำบาก

“ผม...ต้องการคุณ...คาเล็ม”

เสียงสั่นเอ่ยความต้องการที่ปรารถนา คุณหมออัลฟ่าต้องทำเป็นไม่ได้ยินคำขอร้องเอาแต่ใจของคนไข้ มือข้างที่ว่างยกสะโพกให้สูงขึ้นแล้วกดของเล่นให้เข้าไปได้ลึกกว่าเดิมและกระแทกเข้าออกจนร่างโปร่งกระตุกเกร็งปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมาเลอะเต็มที่นอน

ลาซารัสอ้าปากหอบหนักแต่ร่างกายยังคงถวิลหาสิ่งที่เร่าร้อนมากกว่านี้ สองแขนที่ยังคงถูกตรึงด้วยกุญแจมือไว้บนหัวเตียงพยายามดึงออกอย่างไร้ผล

เขาอยากกอด อยากสัมผัสร่างกายอบอุ่นของคนๆนี้ เขาไม่อยากได้ของพวกนี้เลยแม้แต่น้อย

“คุณ...รังเกียจผมเหรอครับ…” ดวงตาสีฟ้าเอ่อนองด้วยน้ำตา “ขอแค่ครั้งเดียว...ช่วยกอดผมหน่อยได้มั้ยครับ...ได้โปรด” ดวงตาคมหันหน้าหนีแล้วยื่นมือไปยังถุงกระดาษค้นเอาสิ่งที่คล้ายลูกบอลกลมๆมาใส่ไว้ในปากของโอเมก้าตรงหน้า แต่ลาซารัสกลับสั่นหน้าเพราะอึดอัดคล้ายไม่พอใจกับของเล่นชิ้นนี้เลย

“อือ!..อื้อ!” เสียงอื้ออึงประท้วงเพราะไม่สามารถส่งเสียงหรือพูดอะไรออกไปได้ เขาได้แต่มองดูคุณหมออัลฟ่าจัดแจงให้เขานอนคว่ำหน้าพร้อมยกสะโพกขึ้นแล้วเปลี่ยนของเล่นชิ้นใหม่แทนอันเก่าก่อนจะสอดใส่มันเข้ามาในตัวเขา ทั้งที่ตอนนี้ใจเขาไม่อยากได้อะไรมาช่วยให้เขารู้สึกดีอีกแล้ว แต่ร่างกายกลับไม่ปฏิเสธและยินยอมต้อนรับให้มันเข้ามาอีกครั้ง

“อุ่ก!! อื๊อ!!” ร่างกายบิดเร้าและสั่นสะท้านเพราะของเล่นที่เหมือนกับชิ้นก่อนหน้า แต่สามารถเพิ่มแรงสั่นได้ตามระดับของรีโมตที่อยู่ในมือของอัลฟ่าที่คอยมองตัวเขาสลับกับมือถือ

“อย่าเกร็งลาซารัส ผ่อนคลายมากกว่านี้ มันไม่อันตรายหรอก” คาเล็มปลอบและค่อยๆเพิ่มระดับจากน้อยสุดไประดับกลาง
ร่างกายของโอเมก้าบิดเร้าเมื่อถูกกระตุ้นปรนเปรอได้โดนจุดจนถึงกับกำมือจิกเล็บลงบนมือตัวเองแน่น ก่อนที่คนควบคุมจะกดปุ่มเพิ่มไปจนถึงระดับสูงสุด ช่องทางตอดรัดถี่ราวกับจะกลืนทุกสิ่งเข้าไป แล้วแก่นกายก็ปลดปล่อยออกมาอีกหลายต่อหลายครั้ง

กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกคุณหมอทดสอบให้เสร็จกับเซ็กส์ทอยไปถึงสี่ห้าครั้ง จนเห็นสมควรว่าวันนี้ควรพอได้แล้วจึงหยุด ร่างโปร่งอ้าปากหอบเอาลมหายใจเข้าไปและหลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอย่างห้ามไม่อยู่

สุดท้าย...คุณก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมมากไปกว่าตัวทดลองคนหนึ่งจริงๆ สินะ….


ลาซารัสหมดเรี่ยวแรงจนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า คาเล็มเก็บอุปกรณ์แล้วจัดการเปลี่ยนชุดเพื่อทำความสะอาดร่างกายให้กับโอเมก้าของตนก่อนออกไปจากห้องนอนโดยไม่ลืมล็อคประตู และตรงไปยังห้องทำงานเพื่อบันทึกผลครั้งแรกในวันนี้ลงในแล็ปท็อป

“ฉันขอโทษนะ…” มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมหน้าตัวเอง สายตาที่ส่งมาในตอนนั้นเขารู้ความหมายดี และต้องอดทนอดกลั้นฝืนใจอย่างยากลำบากอยู่หลายครั้ง สติที่พร้อมจะสลัดทิ้งไปได้ทุกเมื่อที่เห็นดวงตาสีฟ้าต้องทรมานกับการกระทำของเขาเอง ถึงแม้จะช่วยให้ลาซารัสปลดปล่อยถึงฝั่งไปหลายครั้งแต่หัวใจของเด็กนั่นกลับเจ็บปวดสวนทางกับร่างกาย

คาเล็มได้ข้อสรุปในวันแรกของอาการฮีทในโอเมก้าว่า ทุกครั้งที่ถูกทำให้เสร็จตัวโอเมก้าจะค่อยๆมีสติกลับมา ไม่เหมือนกับตอนที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยที่เอาแต่พร่ำเพ้อหาถึงอัลฟ่า

เรียกว่าผลการทดสอบวันแรกจัดว่าได้ผลดีก็ไม่เชิงนัก เพราะตัวผู้ทดสอบอย่างลาซารัสไม่พอใจกับการใช้อุปกรณ์มาช่วย ซึ่งเหตุผลนี้คาเล็มเองก็รู้ดีแก่ใจ…

(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.7 Up! (22/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 22-02-2017 03:10:55

เสียงเรียกของมือถือส่งเสียงเตือนเจ้าของมันว่าคนที่สวมนาฬิกาไว้มีอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นและสารต่างๆในร่างกายเริ่มเพิ่มระดับขึ้น คาเล็มรู้ว่าลาซารัสตื่นขึ้นมาแล้ว เขาเองก็เผลองีบไปเล็กน้อยจึงหันไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง ปาไปบ่ายกว่าแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกหิวเลย โอเมก้าคนนั้นก็คงไม่อยากจะกินอะไรหรอกมั้ง? แต่ไหนๆก็ไหนๆ เอาไปเผื่อก็แล้วกัน… คาเล็มหยิบยาที่มีมากินให้พร้อม แต่ว่า...ยาระงับอาการฮีทของเขากลับหมดไปแล้ว…

“อะไรวะ..” ร่างสูงสบถขัดใจ เสียงมือถือก็ร้องเตือนว่าลาซารัสตื่นตัวเต็มที่แล้ว ไม่มีเวลาให้ไปค้นยาที่เก็บไว้เลย “แค่ดับกลิ่นฟีโรโมนกับลดการได้กลิ่นก็พอมั้ง”

คาเล็มเดินถือจานอาหารที่เรนเดลเอามาวางเตรียมไว้ให้ไปด้วย ตอนนี้พ่อบ้านก็พาจูเลียตออกไปเดินสำรวจรอบๆบริเวณอย่างรู้งาน

เมื่อเปิดประตูเข้าไปร่างของลาซารัสก็สะดุ้งแล้วโงหัวขึ้นมามองคุณหมอที่เพิ่งเข้ามาในห้อง ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงที่ลาซารัสนอนขดอยู่ “หิวรึเปล่า?” ร่างโปร่งส่ายหน้าช้าๆทั้งที่ยังคงกอดซุกอยู่กับหมอนข้างใบหนา ร่างสูงจึงวางจานไว้ที่ข้างหัวเตียงที่เดิมแล้วนั่งลงข้างๆร่างสั่นเทานั่น

“คุณคาเล็ม...ขอร้องล่ะครับ ช่วยกอดผมที..” เสียงอ้อนวอนปนความเศร้าเล็กๆไม่ยากเกินจับสังเกต คาเล็มนั่งลังเลอยู่นานก่อนจะตัดใจเริ่มทำเหมือนเมื่อเช้าอีกครั้ง

มือสั่นคว้าข้อมือที่กำลังเอื้อมไปค้นหาของในถุงแน่น คาเล็มพยายามไม่มองหน้าร่างโปร่ง แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้กลิ่นอะไรแต่เขาก็ไม่ไว้ใจตัวเองพอ “คุณเกลียดผมเหรอครับ..” ร่างสูงชะงักมือไปแต่ยังไม่กล้ามองหน้าคนที่นอนทรมานบนเตียงอยู่ดี

“ผมขอโทษ..” ลาซารัสเริ่มเพ้อเพราะอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายตีกันจนสับสน แม้จะกระสันในความต้องการขนาดไหนแต่เขาก็หยุดร้องไห้ไม่ได้ “ถ้าผมเอาแต่ใจเกินไปผมขอโทษ ..อย่าเกลียดผมเลยนะ”

โอเมก้าหนุ่มค่อยๆลากตัวเองมาใกล้อีกฝ่ายแล้วกอดร่างสูงไว้แน่น คาเล็มไม่กล้าแกะร่างสั่นระริกนั้นออกทั้งที่เขารู้ว่ามันชักจะอันตรายเกินไปแล้ว

“คุณคาเล็มจะทำอะไรผมก็ได้นะ แต่อย่าทิ้งผม...อย่าส่งผมไปอยู่กับคนอื่นเลยนะครับ”

คำพูดที่บีบหัวใจคนฟังจนจุกอก ดวงตาหลังแว่นหันมามองดูคนที่ตัวสั่นราวกับเด็กตัวเล็กๆที่กลัวจะถูกทอดทิ้ง มือหนาลูบหัวปลอบโยนเหมือนที่เคยทำมาตลอดหวังให้โอเมก้าตัวน้อยของตนสงบใจลง

“ฉันไม่ได้เกลียดนาย” เสียงทุ้มที่อ่อนโยนยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยินจากอัลฟ่าสูงวัยเอ่ย แค่คำพูดสั้นๆคำเดียวแต่หัวใจคนที่ได้ยินก็รู้สึกเหมือนได้รับน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจที่แห้งเหือด มือที่สวมกอดยิ่งโอบแน่นราวกับต้องการพิสูจน์เพราะกลัวว่าคนพูดจะเป็นแค่ภาพฝัน

“ถ้างั้น…”

“แต่ฉันก็ยังไม่ได้รักนาย”

ร่างที่สั่นเทาหยุดกึกเหมือนโดนแช่แข็ง คำพูดดั่งสายน้ำเมื่อครู่กลายเป็นแท่งน้ำแข็งทิ่มบาดลึกคนฟัง โอเมก้าหนุ่มปล่อยมือออกช้าๆ พร้อมกับน้ำตาที่หยุดไหลและแววตาสีฟ้าที่มืดหม่นลง

“ไม่ต้องรักก็ได้…” ลาซารัสดึงเสื้อของตัวเองขึ้นโดยที่ยังพูดเหมือนคนไม่มีสติ “คุณไม่ต้องรักผมก็ได้ แต่ขอให้ผมได้รักคุณด้วยเถอะ...นะครับ”

จังหวะที่คาเล็มถอยหลังเพื่อจะหนี ความเจ็บที่หลังก็แล่นแปล๊บขึ้นมาจนชะงัก ร่างโปร่งดันกายของเขานอนราบลงไปกับเตียงแล้วตวัดขาคร่อมทับทำให้ลุกขยับไปไหนไม่ได้

ดวงตาคมเงยหน้ามองโอเมก้าหนุ่มที่ตอนนี้ไม่เหลือเสื้อผ้าติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว แม้ว่าจะกินและฉีดยาป้องกันมาแล้วแต่ภาพวาบหวามตรงหน้ามันก็ทำให้ความต้องการตามธรรมชาติของเพศชายตื่นตัวขึ้นมา

“ลาซารัส อย่าทำแบบนี้…” หมออัลฟ่าต้องข่มใจพูดอย่างยากลำบาก ตัวเขาเริ่มหายใจติดขัดและอึดอัดที่ส่วนล่างซึ่งสะโพกของคนข้างบนนั่งทับอย่างหมิ่นเหม่ กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าหนุ่มยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมจนจมูกของคาเล็มได้กลิ่นจางๆแม้จะเล็กน้อยมากก็ตาม

กลิ่นหอมของดอกไม้ที่แสนอันตราย ล่อลวงเหยื่อทำให้บ้าคลั่งและลุ่มหลงจนอยากแหวกดงหนามเข้าไปเด็ดมาเชยชม

สองแขนอยากจะยกขึ้นผลักหรือห้ามคนข้างให้หยุดแต่ถูกกดไว้กับเตียงด้วยเพราะยามปกติโอเมก้าคนนี้ก็เรี่ยวแรงดีอยู่แล้ว ไม่ต้องนับว่าเขากำลังเจ็บขาและหลังรวมทั้งตอนนี้ลาซารัสกำลังถูกอาการฮีททำให้คลุ้มคลั่งด้วยอีก…

คนข้างบนก้มลงมาหาและจูบลงกับปากเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว คาเล็มหันหน้าหนีแต่ร่างโปร่งก็หาได้สนใจ ไล้ปลายลิ้นไปทั่วอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้ไม่ได้กลิ่นอัลฟ่าใดๆจากตัวคาเล็มแต่ที่เขาต้องการจริงๆคือกลิ่นกายของคนตรงหน้าต่างหาก “คุณหมอ..หอมจัง..”

“ลาซารัส! หยุด!!” ส่วนล่างเปืยกชื้นจากน้ำหล่อลื่นจากทั้งส่วนหน้าและหลังกำลังขยับบดเบียดแก่นกลางลงกับความเป็นชายของอัลฟ่าที่เขาโหยหา และไล่จูบไปทั้งคอของคุณหมอที่ไม่มีเสื้อผ้าปิดบัง ตอนนี้ท่าทางพูดอะไรไปคงไม่ยอมฟังแล้ว

มือเรียวข้างหนึ่งเปลี่ยนลงมาลูบไล้ส่วนกลางใต้ร่มผ้าที่แข็งตัวเต็มที่จากทั้งกลิ่นฟีโรโมนรุนแรงที่โชยทะลุยาต้านเข้ามาได้ และทั้งการปลุกเร้าที่เก้ๆกังๆทว่าตรงจุดเสียวซ่านของเพศชายทั้งหมด..

ร่างโปร่งปลดกางเกงอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเลเพราะคุณหมอพยายามขัดขืนทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่พ้นให้ลาซารัสพาส่วนตื่นตัวออกมาจากกางเกงได้อยู่ดี “ใหญ่จัง… น่าอิจฉาจัง…” ลาซารัสมองมันด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความต้องการ

“ใจเย็นก่อนนะ ทำแบบนี้ไปนายมีแต่จะเป็นฝ่ายเสีย..” เรี่ยวแรงที่สู้ไม่ได้แถมยังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆทำให้คาเล็มลนจนต้องหาแผนอื่น แต่ท่าทางคนข้างบนจะไม่อยากคุยด้วยเท่าไหร่ ลาซารัสยื่นหน้ามาหาเหมือนจะจูบเขาอีกรอบ คาเล็มจึงเอามือมายื้อไม่ให้ร่างโปร่งเข้ามาใกล้ “นี่! ช่วยฟังกันหน่อยสิ!”

“ไม่เอา… ทีคุณหมอยังไม่เคยฟังผมเลย” ความเอาแต่ใจขั้นสุดเพราะถูกแรงอารมณ์พาไป เมื่อหมอยุ่งอยู่กับการป้องกันเอกราชด้านบน ลาซารัสจึงจับเอ็นอุ่นร้อนของอีกคนให้มั่นแล้วกดสะโพกของตนลงไปหา

“อ๊าา!! อ๊ะ..! อ่ะ!” แม้จะถูกเบิกทางด้วยของเล่นเมื่อเช้าไปแล้ว แต่ของจริงกับของเล่นมันก็ต่างกันมากพอดู เขากดร่างตัวเองไปได้เพียงครึ่งเดียวก็หยุดชะงักเพราะรู้สึกเหมือนร่างกายจะแยกเป็นเสี่ยงๆ “เจ็บ...เจ็บ…”

“ลุกออกไปเถอะลาซารัส ฉันขอล่ะ” คาเล็มปิดตาแน่นข่มอารมณ์ตนไว้ ช่องทางร้อนคับแน่นกำลังค่อยๆกลืนกินความเป็นชายของเขาเข้าไป ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลายปีนี้ทำเอาเขาแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่อยากจะกระแทกสวนเข้าไป แต่ถ้าทำแบบนั้นทุกอย่างที่สู้อดทนทำมาทั้งหมดจะพังลงทันที

“ผม...อยากให้คุณ...เป็นคนแรก” โอเมก้าหนุ่มเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ถ้าคุณหมออยากจะผลักไสผมไปให้คนอื่น อย่างน้อย...ก็ขอให้ผมได้เป็นของคุณสักครั้ง”

คาเล็มกัดฟันกรอดกำมือแน่นจนจิกเข้าไปในเนื้อ เสียงนุ่มหอบกระเส่ายื่นใบหน้าเข้ามาจูบข้างแก้มและดึงแว่นหนาเกะกะออกไป “ผมอยากเป็นของคุณคนเดียว คุณคาเล็ม...ผมรักคุณ รัก...ที่สุด”

“พอแล้ว…” มือหนาจับเอวของร่างโปร่งแล้วกดสะโพกคนข้างบนลงมา ลาซารัสร้องลั่นร่างกายกระตุกเกร็งเจ็บปวดกับช่องทางด้านหลังที่เหมือนกับฉีกขาดไปแล้ว “ฉันอดทนกับนายมามากพอแล้ว”

ร่างสูงดันกายขึ้นแล้วพลิกตัวมาเป็นฝ่ายอยู่ข้างบน มือเกาะเกี่ยวยกสะโพกโอเมก้าหนุ่มยึดไว้กับลำตัวจนสองร่างเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน

“ผม...เจ็บ” โอเมก้าหนุ่มน้ำตาไหลอย่างน่าสงสาร คาเล็มที่เคยไร้เรี่ยวแรงต่อต้านเพราะสังขารตามกาลเวลาของอัลฟ่าสูงวัยกลับมามีแรงคึกดั่งม้าหนุ่มที่เครื่องติด เพราะกลิ่นฟีโรโมนโอเมก้าที่รุนแรงนั้นส่งผลให้ร่างกายทุกส่วนตื่นตัว สมองสั่งให้คิดถึงแต่เรื่องตรงหน้าที่ควรทำโดยไม่แม้แต่จะรู้สึกปวดที่หลังหรือเจ็บที่ขาอีก

“ทั้งที่ฉันไม่อยากทำ แต่ในเมื่อนายต้องการแบบนี้ก็อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดของฉันทีหลังแล้วกัน” ไม่มีแววตาของเห็นใจจากคุณหมออัลฟ่าคนเดิม ดวงตาคู่นั้นมีแต่ความกระหายอยากเหมือนกับสัตว์ป่าอย่างที่ลาซารัสเคยประสบเจอในงานเลี้ยง

ไม่ใช่...นี่ไม่ใช่คุณหมอคาเล็มที่เขารู้จัก!

“มะ...ไม่...ไม่เอาแล้ว!” ความกลัวในสิ่งที่จะเจอกับเหตุการณ์ครั้งนั้นกดความต้องการที่ท่วมท้นจนแทบระเบิดหายไป

“เพิ่งจะกลัวเหรอ? แต่ร่างกายนายไม่ปฏิเสธฉันเลยนะ” ยิ่งออกแรงดิ้นเท่าไหร่ช่องทางคับแน่นของโอเมก้าที่สอดประสานกับแก่นกายใหญ่ของคุณหมออัลฟ่าก็ยิ่งตอดรัดเป็นอย่างดี ยิ่งสะโพกหนาขยับเอวกดเข้าไปให้ลึกเท่าไหร่ช่องทางร่วมรักก็ยิ่งตอบสนองอย่างเร่าร้อนมากขึ้น

“ฮ้ะ! อ่ะ!” ลิ้นร้อนไล่เลียตุ่มไตที่หน้าอกร่างโปร่ง ดูดดุนด้วยเสียงจาบจ้วงอย่างหิวกระหายสลับกับใช้ฟันคมขบเนินเนื้อให้เสียวซ่าน อีกข้างก็ถูกนิ้วสะกิดเขี่ยเล่นปลุกกระตุ้นให้อารมณ์กลับมาพุ่งสูงไม่แพ้กัน

“เมื่อกี้ฉันบอกให้นายหยุดแต่นายก็ไม่ฟัง เด็กดื้อแบบนี้ต้องโดนลงโทษ” เสียงทุ้มหอบกระเส่าไล่เลียมาถึงต้นคอที่ได้กลิ่นหอมของฟีโรโมนรุนแรงที่สุด หมอคาเล็มที่เคยสุขุมเย็นชาถูกความกระหายอยากครอบงำจนสติไม่เหลือชิ้นดี ลิ้นไล่ชิมสลับกับฟันคมขบที่หลังคอเบาๆ แต่ยังไม่ขบแรงพอจะขึ้นเป็นรอยตีตรา เป็นเพียงแค่รอยประทับสีกุหลาบจางๆเท่านั้น

ไม่รอให้ร่างโปร่งได้ปฎิเสธหรือแก้ตัว คนข้างบนเริ่มขยับสะโพกกระแทกเข้าไปทีละนิดเพื่อให้ทางชุ่มชื้นด้านหลังขยายตัวมากพอให้เขาได้กระทำอะไรๆให้สะดวกกว่านี้

“อ๊ะ!… คุณหมอ…” เสียงครางกระเส่าเปล่งออกมาทีละนิดเมื่อถูกกระแทกกระตุ้นรุนแรงขึ้น ความกลัวเมื่อครู่กำลังเริ่มถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยเจอ ส่วนแข็งขืนร้อนระอุที่อยู่ในตัวเขาทำเอาอะไรๆที่โดนไปเมื่อเช้าเทียบไม่ติด

คาเล็มยกสะโพกอีกฝ่ายขึ้นให้สูงพอดีกับส่วนล่างตนเพื่อเริ่มรุกล้ำรุนแรง เขาโน้มตัวลงมาคร่อมลาซารัสไว้ “แยกขาออกอีก”
คำสั่งเสียงกร้าวทำเอาคนถูกสั่งสะดุ้งจากการตื่นกลัวในอำนาจที่เหนือกว่าแล้วทำตามอย่างว่าง่าย คาเล็มเริ่มขยับกระแทกกระทั้นตามแรงอารมณ์ของตัวเองโดยไม่สนใจว่าคนรองรับจะไหวหรือไม่

“อ๊า! ฮ่ะ..! อ๊ะ!! คุณหมอ!” ร่างด้านใต้แผดเสียงครางลั่นห้องนอนกว้างฟังไม่ได้ศัพท์ มือทั้งสองเกาะจิกลงหมอนนุ่มที่รองหนุนตัวอยู่

“ขอให้หยุดตอนนี้ฉันไม่หยุดให้หรอกนะ” คนข้างบนกดแก่นกายลงมาอีกและเปลี่ยนมาใช้แขนทั้งสองจับขาเรียวแยกออกให้กว้างขึ้นเพราะลาซารัสนั้นไม่ค่อยจะได้ดั่งใจเท่าไหร่

“เปล่า..อึ่ก! เปล่าครับ!” ร่างโปร่งเรียบเรียงคำพูดอย่างยากลำบากเพราะความเป็นชายของอีกฝ่ายยังคงกระแทกเข้ามาไม่หยุด แถมมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้น “มัน..อ๊ะ!.. มัน...รู้สึกดีสุดๆ!!”

ดวงตาสีฟ้ารื้นน้ำตาแห่งความสุขสมมองตรงเข้าไปในดวงตาสองสีนั้นอย่างกับว่ากำลังบอกให้คาเล็มลงมือบดขยี้เขาให้สมอยากใจได้เลย

คนฟังนึกแปลกใจแล้วเผยอยิ้มให้ใบหน้าสีแดงจัดนั้น ในเมื่อขอมาก็จัดให้ คาเล็มรัวสะโพกใส่ร่างเล็กกว่าอย่างหิวกระหายสัมผัสแสนหฤหรรษ์นี้มานาน

“อ๊าา!! คาเล็ม..! คุณคาเล็ม.. แรงอีก! อ๊ะ!!” เสียงน่าอายครวญครางลั่นอย่างไร้สติ ส่วนล่างที่เพิ่งเคยถูกรุกล้ำครั้งแรกเริ่มขยับรับกับจังหวะของคนนำพา “คุณหมอ.. คุณหมอครับ..”

“ว่าไงเด็กดื้อ จะเอาอะไรอีกล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเสียงพร่า

“กอดผมที.. จูบผม… ทำให้ผมเป็นของคุณที” คำร้องขอเอาแต่ใจรัวออกจากปากเมื่อห้วงอารมณ์ใกล้ถึงฝั่งฝัน ร่างโปร่งแอ่นตัวตอบรับทุกสัมผัสร้อนร่านที่ถูกมอบให้โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

ริมฝีปากหนาเลียปากตัวเองสลับกับมองภาพคนเบื้องล่าง ใบหน้าที่เคยยิ้มสดใสอย่างไร้เดียงสามาตอนนี้กลับแดงจัดด้วยแรงตัณหา ริมฝีปากที่พร่ำเรียกหาแต่ตัวเขาช่างแสนยั่วยวนชวนให้อยากลิ้มลอง เขาหยุดซอยสะโพกกลางคันแล้วโน้มใบหน้าลงมาหาคนที่ถูกทำให้ชะงัก

“พูดได้ไม่อายปากเลยนะลาซารัส” เสียงทุ้มเย้าแหย่ ปลายนิ้วโป้งไล้ไปตามริมผีปากหยักได้รูปและกดนิ้วลงไปเบาๆ ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจร้อนแรงจรดใบหน้า “อ้าปากสิ”

โอเมก้าหนุ่มเผยอปากอ้าออกให้อัลฟ่าเจ้าของตนบดจูบเข้ามา ลิ้นร้อนแทรกกระหวัดวนไปทั่วปากราวกับกำลังสำรวจดินแดนใหม่ ปลายลิ้นไล่เลียไปทั่วริมฝีปากของคนที่ยังไร้ประสบการณ์ถึงขนาดว่าเผลอกลั้นหายใจจนเกือบจะแย่

“แฮ่ก...ฮ่ะ...คุณหมอ อื้ม!” ลาซารัสพักหายใจได้เพียงครู่เดียว คาเล็มก็สอดมือเข้าไปใต้หลังคอให้ใบหน้ามนเงยรับกับมุมที่ตนจูบได้ถนัด คราวนี้ลิ้นของชายผู้มากวัยกว่าจูบเอาลิ้นของตัวเองสัมผัสกับลิ้นของโอเมก้าตัวน้อยอย่างดูดดื่มจนคนอ่อนประสบการณ์ตามไม่ทัน

“สงสัยคงต้องสอนอีกเยอะ” ใบหน้าคมกระตุกยิ้มแต่ก็ไม่ได้รังเกียจที่อีกฝ่ายตามเกมรุกของเขาไม่ทัน ก่อนพลิกร่างของอีกฝ่ายให้อยู่ในท่าคุกเข่ากางขาออกและเอาสองมือยันที่นอนเหมือนสุนัข มือหนาจับเอวร่างโปร่งไว้และเริ่มบรรเลงรักรอบสุดท้ายด้วยการกดแก่นกายที่ตื่นตัวเต็มที่ของตนสอดใส่เข้าไปและเริ่มขยับซอยสะโพกจากช้าไปเร็วในทันที

“อ๊า! อ๊า! อึ้ก!! ฮ้ะ! จะ..เจ็บ! อ๊ะ!” เสียงร้องแผดลั่นเมื่อท่อนเอ็นร้อนกระแทกกับผนังด้านในเข้ามาลึกมากเสียจนเขาทั้งเจ็บและจุก “คะ...คุณหมอ เบากว่านี้ อ๊ะ! ผมเจ็บครับ..ฮ้ะ!”

คาเล็มจิปากแล้วผ่อนแรงช้าลงก่อนจะโน้มตัวลงนอนหงายแล้วให้ลาซารัสคร่อมตัวเขาไว้เหมือนกับตอนแรก “ถ้าฉันทำแล้วเจ็บงั้นนายก็ขยับเอาเองแล้วกัน”

“อ่ะ...แต่ว่า อ๊ะ!” สะโพกหนากระแทกสวนขึ้นไป มือหนาข้างหนึ่งจับแก่นกายของร่างโปร่งรูดขึ้นลงปรนเปรอให้คนข้างบน “คุณหมอ...ใจร้าย”

“ใช่ ฉันเป็นหมอนิสัยไม่ดี” นิ้วโป้งกดส่วนปลายที่มีน้ำหล่อลื่นปริ่มแล้วจิกเล็บกดย้ำวนไป “จะทำหรือจะหยุดก็แล้วแต่นาย”

ลาซารัสต้องจำยอมทำเองตามความทรงจำที่เหล่าชายหนุ่มล้วนต้องเคยเห็นเรื่องแบบนี้ผ่านตามาบ้าง หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วท่านี้เข้ามาลึกกว่าท่าเมื่อครู่เสียอีก แต่ร่างโปร่งก็พยายามดันตัวเองลงไปจนสุด กระทั่งติดกับเนื้อใกล้ๆโคนที่บวมกว่าปกติจนเขาไม่กล้ากดลงไปจนมิด

“อื้ม!... อ๊ะ..” ลาซารัสปล่อยร่างกายขยับไปตามแรงอารมณ์อย่างโหยหาความสุขทางกาย เขาขยับกระแทกตัวลงไปทีละน้อยกระทั่งสามารถกลืนกินความเป็นชายทั้งหมดของอัลฟ่าเบื้องล่างได้

พอความเจ็บปวดที่มีมันหายไปก็เหลือแค่ความเสียวสะท้านแล่นไปทั้งตัวทุกครั้งที่ถอนตัวขึ้นเสียเกือบหลุดและกดลงไปสุด คนข้างล่างไม่ปล่อยให้โอเมก้ามือใหม่ทำคนเดียว คาเล็มเอื้อมมือไปบีบเค้นเอาสะโพกแน่นนั้นอย่างหมั่นเขี้ยวพลางขยับตัวกระแทกสวนขึ้นมาด้วย

ทั้งคู่เริ่มประสานเกมรักเป็นจังหวะเดียวกัน ลาซารัสเจอจุดกระสันที่ทำให้ตนร้อนวูบวาบในอกและอยากจะกรีดร้องออกมาแต่ยังไม่เชี่ยวพอจะสามารถเน้นย้ำมันได้ทุกครั้ง “คุณหมอ...อ๊ะ! ช่วยผมที.. มันทรมานจัง” เสียงครางอ้อนพร้อมตาปรือหยาดเยิ้มเว้าวอนขอคนข้างล่างที่ดูจะใกล้ถึงสวรรค์เช่นเดียวกัน

“หันหลังให้ฉัน แล้วเอนลงมานี่” อัลฟ่าสูงวัยออกคำสั่งอย่างรู้ว่าทำยังไงถึงจะเจอจุดกระตุ้นของอีกคน ร่างโปร่งทำตามอย่างว่าง่าย เขาอยู่ในท่าที่เกือบๆจะเอนตัวทับคุณหมออยู่แล้ว มือสองข้างยันตัวไว้ข้างๆเอวของคาเล็มเพื่อไม่ให้ล้มลง “แยกขาออกกว้างๆแล้วยกสะโพกไว้นิดนึง”

ถึงจะแอบรำคาญแต่พอนึกถึงสิ่งที่ร่างโปร่งจะเจอก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะเห็นสีหน้านั้น สองมือหนาจับเชิงกรานอีกฝ่ายไว้ก่อนกระแทกสวนขึ้นมาจนมิด ลาซารัสสะดุ้งแทบลุกหนีแต่มือทั้งสองกดเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน

“อ๊า! อ๊ะ!! คุณ..อ๊ะ!! คุณหมอ..!!” เสียงครางลั่นเพราะถูกกระแทกกระทั้นเสียดสีกับส่วนที่อ่อนไหวภายในอย่างรุนแรงเร่งเร้า โอเมก้าหนุ่มรู้สึกดีมากเสียจนร้องไม่เป็นภาษา สะโพกที่คราแรกจะขยับหนีความรู้สึกนั้นตอนนี้กลับขยับรับจังหวะของคนข้างล่าง ริมฝีปากเผยอเรียกชื่อคาเล็มซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างควบคุมไม่ได้

ความรู้สึกเสียวสะท้านแล่นไปทั้งตัวก่อนลาซารัสจะเกร็งตัวตอบรับและปลลดปล่อยตัณหาทุกหยาดหยดออกมา “อ๊าาา!! อ๊ะ..! อ๊า!!” แรงอารมณ์ส่งให้โอเมก้าหนุ่มพุ่งถึงสวรรค์อย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่องทางอุ่นนุ่มเกร็งแน่นตอดรัดความเป็นชายของอีกฝ่ายถี่กระชั้น คาเล็มเผลอสนองตอบร่างเล็กด้านบนนั้นด้วยการกระแทกแท่งเอ็นอุ่นเข้าไปเสียมิด

“อึ่กก!! ฮ่ะ!” สองมือกดเอวอีกคนลงให้สะโพกแน่นนุ่มแนบชิดร่างของเขาและปล่อยน้ำรักอุ่นร้อนเข้าไปลึกเต็มช่องทางคับแคบและล้นทะลักออกมาเปรอะไปทั่ว

คาเล็มจับตัวลาซารัสเอนลงนอนข้างๆ แล้วกอดร่างของโอเมก้าที่แทบหมดสิ้นเรี่ยวแรงเข้ามาแนบชิด มือหนาลูบปลอบขวัญและจูบที่ขมับชื้นเหงื่อ ส่วนล่างที่เชื่อมต่อระหว่างกันไว้นั้นยังคงต้องค้างเอาไว้เพราะไม่สามารถถอนตัวออกไปจนกว่าเวลาจะผ่านไประยะหนึ่งได้

ถึงตอนนั้นคงต้องรีบลุกไปหยิบยาคุมฉุกเฉินของโอเมก้ามาให้เด็กดื้อคนนี้กินโดยเร็วไม่อย่างนั้นมีหวังเขาคงได้เป็นพ่อคนเอาตอนแก่แน่ๆ

หรือจะไม่ต้องให้กินดี…

คุณหมออัลฟ่าสะบัดหัวไล่ความคิดชั่ววูบนั้นออกไปแล้วเหยียดแขนแทนหมอนให้ร่างโปร่งหนุนนอน ใบหน้ามนปรือตาเงยหน้าขึ้นช้อนตามองดวงตาคมก่อนที่จะก้มหน้าซุกอกอีกฝ่ายหนีความอาย

“จะเขินทำไม ไม่ทันแล้ว” เสียงทุ้มกระเซ้าเย้าแหย่ก่อนจะเชยคางใบหน้าที่แดงจัดขึ้นมากดจมูกลงไปหอมแก้มแถมกระซิบข้างหูให้สยิวเล่น “ไม่เบานี่ เล่นเอาซะฉันรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งเลยล่ะ”

“งื้อออ” ลาซารัสกำมือทุบลงไปที่อกคุณหมอจนร่างสูงแอบจุก ก่อนที่คนโดนทำร้ายจะพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างโปร่งที่พยายามหดตัวหนี

“คุณหมอจะเล่นเกมลงโทษอะไรอีกเหรอครับ” โอเมก้าตัวน้อยถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ดูเหมือนว่าสติจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหลังจากที่ได้ผ่านศึกหนักไปแล้ว

“...เจ็บมากมั้ย?” มืออุ่นยกขึ้นลูบใบหน้าด้านข้างก่อนปาดนิ้วเช็ดคราบน้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไหลไปได้ไม่นานของดวงตาสีฟ้าคู่สวย “ฉันขอโทษนะที่ทำรุนแรงกับนาย ฉัน…”

“ผม...มีความสุขมากครับ” เสียงนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ปนเขินอายเพราะยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง “ถึงมันจะเจ็บบ้าง...แต่ก็...ดีใจที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับคุณ”

คาเล็มโน้มตัวลงกอดร่างเล็กกว่าไว้แน่น ความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจแต่ก็เหมือนได้รับการปลดปล่อยจากคนที่ยกโทษให้ทั้งๆที่เพิ่งเขาถูกล่วงเกินไป “...ฉันขอโทษ...ขอบคุณมากที่นายไม่เกลียดฉัน”

“ผมจะไปเกลียดคุณลงได้ยังไงล่ะครับ” วงแขนสวมกอดคนข้างบนพลางลูบแผ่นหลังกว้างที่ตนหลงใหล “ก็ผมรักคุณคาเล็มไปแล้วนี่นา”

“...ขอบใจนะ” โดนพูดไปแบบนั้นแต่โอเมก้าในอ้อมแขนเขาก็ยังคงรักเขาอยู่จากใจ.. ทำไมถึงได้ซื่อบริสุทธิ์ขนาดนี้นะ…
สองร่างนอนกอดก่ายกันอยู่เนิ่นนานกระทั่งส่วนโคนของความเป็นชายของคุณหมอเริ่มยุบตัวลง แต่ลาซารัสดูไม่มีทีท่าอยากจะปล่อยอ้อมกอดนี้ไปเลยแม้แต่น้อย “คุณหมอบอกว่า ยังไม่ได้รักผม?”

“..อ่าฮะ?” ร่างสูงขมวดคิ้วสงสัยว่าจู่ๆลาซารัสก็ถามขึ้นมาเพราะอะไร

“แสดงว่า… คุณหมอยังมีโอกาสจะรักผมใช่มั้ยครับ?”

คาเล็มชะงักนิ่ง หลายๆครั้งที่เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าสรุปแล้วเขาคิดยังไง แต่ตอนนี้คงต้องพูดอะไรๆออกไปตรงๆเสียแล้วสิ “คือว่า… ฉันก็คงไม่ได้รู้สึกกับนายแค่คนไข้หรอก..” คนฟังหัวใจพองโต แต่เมื่อเห็นแววตาของคุณหมอก็เกิดความสงสัยว่าปัญหาของคนตรงหน้าคืออะไร

“อย่างที่เคยบอก...ฉันคงอยู่ได้อีกไม่กี่ปี.. ถ้าฉันไม่อยู่แล้วใครจะดูแลนาย…” คาเล็มมองหน้าลาซารัสตรงๆ เพื่อบอกว่าเรื่องที่กำลังพูดนี้เป็นเรื่องจริงจังนะ “ต่อมาคือ… ตอนนี้โรงพยาบาลที่สนับสนุนฉัน กำลังสู้คดีอยู่ โนเอลก็รับเคราะห์จากการที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามจะทำให้ฉันหยุดทำงานวิจัย..”

ลาซารัสหลบตาลง เขารู้สึกแย่ที่คุณโนเอลโดนคนไม่ดีทำเรื่องแบบนั้น แต่หนักกว่าคือคนตรงหน้า คุณหมอเจอเรื่องโหดร้ายมามากขนาดไหนเขาไม่อยากจะนึกเลย

“ฉันไม่อยากให้นายเข้ามาเกี่ยวด้วย มันอันตรายเกินไป”

“คุณหมอครับ.. ผมไม่เป็นไรหรอก” ดวงตาสีสดใสจ้องกลับมาอย่างแน่วแน่ “ผมอยากช่วยคุณหมอนะ จะทำทุกอย่างเลย”

“ม..ไม่ต้องขนาดนั้น” แรงกอดที่เพิ่มขึ้นจนแนบแน่นทำให้คาเล็มเริ่มไขว้เขวจากความตั้งใจเดิม

“คุณหมอสู้อยู่คนเดียวแบบนี้ ต้องเหนื่อยมากๆแน่เลย”

“...”

“ขอผมช่วยแบ่งเบามาบ้างสักนิดก็ยังดีนะครับ” รอยยิ้มสดใสฉาบบนใบหน้าราวกับช่วยละลายความกังวลทุกอย่างทิ้งไปจนหมดสิ้น คาเล็มกอดโอเมก้าของตนไว้แน่นก่อนจะพลิกตัวกลับมาคร่อมทับตัวอีกฝ่ายไว้

“ขอบใจนะลาซารัส..” รอยยิ้มอ่อนโยนของคุณหมอที่ปรากฎให้อีกฝ่ายเห็นครั้งแรกทำเอาใจเต้นระส่ำก่อนคาเล็มจะก้มซุกไปกับลำคอของอีกคน “เจ็บนิดนึงนะ”

คมเขี้ยวกัดลงบนต้นคอขาวเพื่อตีตราประทับว่า โอเมก้าคนนี้เป็นสมบัติของเขาแล้ว..

(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.7 Up! (22/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 22-02-2017 03:39:13

“แน่ใจเหรอว่าฉันแวะไปหาได้แล้ว? รอให้ชัวร์กว่านี้ดีกว่ามั้ย” ริชาร์ดคุยกับคุณหมอเพื่อนรักผ่านหน้าจอโปรแกรมเหมือนอย่างเคย พลังจากที่ไม่ได้ติดต่อไปเลยถึงห้าวันเต็มๆ

หรือพูดให้ถูกคือต้องบอกว่าติดต่อไม่ได้เลยตลอดห้าวันต่างหาก

คาเล็มพิมพ์ข้อมูลที่บันทึกได้ลงในคอมพิวเตอร์ ในช่วงสามวันแรกนั้นโอเมก้าของเขามีอาการฮีทตลอดเวลาทุกครั้งที่ตื่นจนถึงเข้านอน แต่พอเข้าวันที่สี่อาการฮีทก็ไม่ปรากฏเป็นเวลาเกือบทั้งวัน แต่ก็มาฮีทอีกทีหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว พอลองสังเกตการณ์ในวันที่ห้าหรือก็คือเมื่อวานทุกอย่างก็เป็นปกติดีแต่ก็ฮีทอีกครั้งก่อนจะเข้านอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง คุณหมออัลฟ่าคาดการณ์ว่าอีกวันสองวันที่เหลืออาการฮีทก็คงจะเกิดขึ้นหลังจากเข้านอนไปแล้ว แถมระยะเวลาที่ฮีทในช่วงเวลาหลังๆก็สั้นลงเรื่อยๆ เหลือเพียงไม่ถึงชั่วโมง

“เออ ปลอดภัยแล้ว อย่างน้อยๆตอนนี้ลาซัสก็ไม่ฮีทตลอดเวลาเหมือนวันนั้นแล้วล่ะ”

“ลาซัส?...” ซีอีโอหนุ่มทวนคำเรียกชื่อที่เพื่อนสนิทเอ่ยถึงโอเมก้าคนนั้น “นายเรียกเขาว่าลาซัสตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เอ่อ...ก็” คาเล็มอึกอักเมื่อรู้ว่าพลาดไป แถมเสียงของลาซารัสที่ตะโกนเรียกให้คุณหมอไปอาบน้ำด้วยโทนเสียงเหมือนคู่รักในเวลาฮันนีมูนยังแว่วดังเข้ามาอีก ไอ้ที่ตั้งใจจะปิดไว้ก่อนก็เลยผิดแผนหมด

“นั่นแน่...มิน่าล่ะถึงหายหัวไปติดต่อไม่ได้ ที่แท้ก็…” อัลฟ่าเพื่อนยากยิ้มกว้างยกนิ้วชี้หน้าคุณหมอผ่านหน้าจอ

“เออ! มันช่วยไม่ได้โว้ย! เหตุสุดวิสัยจริงๆนี่หว่า” หมอคาเล็มหมุนเก้าอี้หันหน้าหนีเพื่อนที่หัวเราะอัดใส่ลำโพงดังจนเหมือนเจ้าตัวมานั่งหัวเราะอยู่ใกล้ๆ

“คร้าบๆ แหมๆ ยังไม่ทันพูดอะไรเลย อย่าร้อนตัวสิครับคุณคาเล็ม” ริชาร์ดหันไปลูบหัวเจ้าสก็อตที่มาคลอเคลียเพราะอยากเล่นกับเจ้านาย “ว่าแต่ตีตราแล้วใช่มั้ย?”

“อือ...ทำไปแล้ว” ร่างสูงหมุนเก้าอี้กลับมา สีหน้าโล่งอกแต่ก็ยังไม่ถึงกับวางใจร้อยเปอร์เซ็น

“ดี อย่างน้อยก็จะได้วางใจได้ว่าต่อไปไม่มีใครมายุ่งกับโอเมก้าของนายแน่ แต่ก็ได้แค่กับคนที่มีสามัญสำนึกล่ะนะ พวกอัลฟ่าที่ชอบลักขโมยกินของชาวบ้านพรรค์นั้นมันก็ยังมีอยู่”

“เรื่องนี้ฉันเองบอกลาซัสไปแล้ว และบอกให้เขาระวังตัวอย่าเพิ่งวางใจเวลาออกไปไหน”

“เออ แต่ว่า…”

ดวงตาหลังแว่นจ้องเพื่อนรักที่อยู่อีกฝั่งของหน้าจอ “มีอะไรเหรอ?”

“แกจะได้เป็นป๊ะป๋ากับเค้าแล้วสินะ ยินดีด้วยครับคุณเพื่อน!!” ริชาร์ดปรบมือแสดงความยินดีรัวๆ

“ไม่เป็นโว้ย! ฉันให้ลาซัสกินยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว!” คาเล็มว้ากจนหมดแรงจะเถียงสู้ ส่วนริชาร์ดก็เบ้ปากทำหน้าเสียดายสุดๆ “จะให้มีลูกตอนแก่แบบนี้มัน….”

“มันอะไร?” ซีอีโอหนุ่มเอามือเท้าคางแล้วนั่งรอฟังคำตอบ

“มันน่าอายนี่หว่า...เด็กมันจะคิดยังไงที่มีพ่อแก่ขนาดนี้…”

“ก็รักมันมากๆ เดี๋ยวมันก็ไม่สนใจเรื่องอายุของแกเองนั่นแหละ” ริชาร์ดหมุนเก้าอี้ไปมาอย่างอยากจะได้หลานมาอุ้มไวๆ “นี่ๆ เล่าประสบการณ์เปิดซิงเด็กครั้งแรกให้ฟังทีสิ”

“ปากเสียเกินไปแล้วแกน่ะ!” คาเล็มด่าใส่เพื่อนที่อยู่อีกฟากจอ ลาซารัสก็เดินมาดูว่าทำไมจู่ๆคุณหมอก็โวยวายเสียลั่น

“เป็นอะไรเหรอครับ..อ่ะ คุณริชาร์ด” โอเมก้าหนุ่มเดินเข้ามาใกล้หน้าจอด้วยชุดเสื้อคลุมเตรียมพร้อมจะอาบน้ำ “สวัสดีครับ ..หวัดดีสก็อต นายไม่แพ้ยาสินะ”

“ไงลาซัส ดีขึ้นแล้วเหรอ” คุณเพื่อนที่รักเปลี่ยนไปนั่งเก็กเป็นหนุ่มแสนดีผิดกับที่ล้อเลียนคาเล็มเมื่อครู่

“ครับผม”

คาเล็มจ้องมองคนข้างๆที่ก้มมาทักทายเพื่อนของเขาสักพัก ก่อนจะเอามือดึงเสื้อคลุมนั้นให้ปิดมากขึ้น ลาซารัสสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆคาเล็มก็เอามือมาแตะตน “ครับ?”

“เห็นหมดแล้ว”

“เอ๋?” ทั้งร่างโปร่งทั้งเพื่อนที่อยู่อีกฟากจอทำหน้างงพอกัน เห็น? เห็นอะไร? ..โอเมก้าหนุ่มก้มมองเสื้อคลุมตนที่คลุมไว้หลวมๆ ก็แหวกให้เห็นแค่ช่วงไหปลาร้าแค่นิดเดียว “อะไรอ่ะครับ?”

“ไม่มีอะไร ไปอาบน้ำเถอะ” คาเล็มออกปากไล่ด้วยเสียงเรียบนิ่งเป็นปกติ ลาซารัสผงกหัวให้แล้วกล่าวลาริชาร์ดก่อนออกจากห้องไป ปกติคงกลัวเขาหัวหด แต่รอบนี้เหมือนจะเข้าใจธรรมชาติของคาเล็มมากขึ้นกระมัง

“หวงเหรอ” ริชาร์ดยิ้มกริ่มให้เพื่อน

“....เออ” คาเล็มตอบอย่างไม่ยี่หระต่อความเขินอายอีกต่อไป

“วันนี้คงเข้าไปได้ล่ะนะ จะเข้าไปกินอาหารฝีมือคุณเรนเดลซะหน่อย” ริชาร์ดลูบหัวสก็อตเรื่อยๆจนมันเผลอหลับไปคาตัก “ไปแสดงความยินดีกับพวกนายด้วยไง”

“มาดูแลลาซัสแทนฉันต่างหาก”

“...ห้ะ?... เฮ้ย เดี๋ยวๆ มีเรื่องอะไรอีก?” ริชาร์ดเด้งตัวกลับมาจ้องหน้าจอจนสก็อตสะดุ้งตื่นขึ้นมา

“วันนี้ฉันต้องพาเรนเดลไปหาหมอ ตรวจสุขภาพประจำปีน่ะ คงใช้เวลาไม่นานหรอก แต่ฉันไม่อยากทิ้งหมอนั่นไว้คนเดียว”

“อ้อ… ให้ฉันพาคุณเรนเดลไปแทนมั้ยล่ะ ไม่น่าจะยุ่งยากมาก เผื่อนายสองคนจะได้สวีทกันเพิ่มไง” ยังไม่ยอมเลิกแซวจนจากที่หมอไม่อายแล้วจะกลับมาเขินอีกครา

“นั่นแหละเหตุผล.. ขืนอยู่กันทั้งวันทั้งคืนตอนนี้ได้ฟ้าเหลืองพอดี ฉันพาเรนเดลไปเอง นายก็มาเฝ้าบ้านแทนหน่อยละกัน”

“เรียกยังกะหมา.. ให้เอาการ์ดไปมั้ย?”

“...สักนิดก็ดี”

ทั้งสองคนแอบมีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย บ้านคาเล็มที่ต้องมาตั้งห่างไกลผู้คนแบบนี้เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย จะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างคือจะได้ไม่ตกเป็นเป้าโจมตีง่ายๆ… แต่หากถูกหาเจอก็ไม่มีใครช่วยเหลือได้เลยนั่นเอง… เป็นความเสี่ยงที่สูงพอดู แต่ริชาร์ดก็เข้าใจหัวอกเพื่อนมากพอ เลยจัดคนเฝ้าระวังห่างๆตัวบ้านไว้อย่างเงียบๆให้เสมอ

“เดี๋ยวฉีดน้ำหอมไปนะ แต่ยาต้านอาการฮีทกับลดประสิทธิภาพการได้กลิ่นหมดอ่ะ เดี๋ยวไปขอนายกินที่โน่นเลยละกัน”

“หมดเหมือนกัน…”

“....อะไรนะ!?”

“ฉันเลยต้องไปทำเรื่องเบิกยามาด้วยไง เลยให้นายไปไม่ได้” เหตุผลที่แท้จริงปรากฎ คาเล็มเกาหัวอย่างเสียมิได้ มีหวังแม้จะพ้นช่วงฮีทไปแล้ว เขาก็คงได้ปลุกปล้ำกับโอเมก้าของตนทุกวี่วันแน่ๆ “เอ้อ...เห็นว่าสูทนายเริ่มตัดแล้ว จะได้มาดูด้วย”

เพื่อนรักอ้าปากค้างเหมือนคำสบถมันติดอยู่ริมฝีปาก แล้วกลืนกลับเข้าไป “.....แกจะให้อัลฟ่าที่ประสาทสัมผัสเต็มร้อยไปอยู่กับโอเมก้าที่ยังไม่พ้นช่วงฮีทดี!? จะบ้าเหรอ!?” ริชาร์ดแผดเสียงจนสก็อตตกใจกระโดดลงจากตักของเขา

“ฉันเชื่อใจแกไง… ครั้งก่อนๆตอนที่แกไม่ได้ใช้ยาอะไรเลย ก็อยู่กันได้ ครั้งนี้ก็แค่ ไม่ใกล้กันเกินไปก็พอแล้วมั้ง”

“มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว ติดเชื้อลาซัสมาหรือไง” ซีอีโอหนุ่มเอามือนวดขมับ ไอ้ที่วันนั้นรอดมาได้นี่นับว่าโชคดีสุดๆแล้ว “ถามหน่อยเถอะนี่เอาอะไรมารับประกันฟะว่าฉันจะไม่หน้ามืดปล้ำเด็กแก”

“ไม่มีหรอก แต่มีจูเลียตเป็นบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของลาซัส ถ้าแกทำอะไรไม่ดีรับรองได้เป็นมื้อดึกให้หมาฉันแน่” น้ำเสียงจริงจังจนฟังดูไม่เหมือนพูดเล่นทำเอาเพื่อนรักคุณหมอต้องอุทานว่าเอาจริงดิ่

ริชาร์ดนึกภาพตัวเองโดนวูล์ฟด็อกตัวใหญ่ขย้ำด้วยเขี้ยวขาวๆฟันแหลมๆฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วขุนลุกเกรียว สมัยที่เพิ่งรู้จักกับคาเล็มใหม่ๆจำได้ว่าเจ้าหมานั่นโคตรดุและหวงเจ้านายมาก กว่าจะมาซี้กันได้ขนาดนี้เขาก็เกือบโดนลากไปกินเสียหลายครั้ง

“เฮ้อ…..” คนอยู่อีกฟากของหน้าจอลากเสียงยาว ในเมื่อเชื่อใจกันถึงขนาดนี้ล่ะก็...

“เออๆ...เดี๋ยวไปเฝ้าให้ก็ได้ แต่ขอเวลาเตรียมตัวแป้บ อีกสองชั่วโมงเจอกัน” ริชาร์ดปิดหน้าจอออกจากโปรแกรมแล้วนั่งใช้ความคิดอยู่อีกสักพักใหญ่ๆ

เขาควรเอาตัวเองไปเสี่ยงดีมั้ยนี่...ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจตัวเอง แต่ไอ้ความเป็นอัลฟ่านี่แหละที่มันโคตรจะยุ่งยากวุ่นวายและน่ารำคาญสุดๆเลย

ริชาร์ดเปิดลิ้นชักหาของเผื่อว่าจะเจอยาหลงเหลืออยู่ตามซอกหลืบสักเม็ดสองเม็ด และนับว่าโชคดีที่ควานหาเจอยาลดประสิทธิภาพหลงอยู่เม็ดหนึ่งพอดี แต่เขาดันไม่แน่ใจว่ายานี่มันหมดอายุไปแล้วหรือยังนี่สิ..

“เออ ก็ยังดีกว่าไม่หาทางป้องกันล่ะวะ” ริชาร์ดกลืนเม็ดยานั้นลงคอ ก่อนจะพาสก็อตใส่กระเป๋าสุนัขและหยิบกุญแจรถคันเก่าขับออกไปหาอัลฟ่าเพื่อนสนิท เพื่อไม่ให้สะดุดตาจนเกินไปเวลาที่เขาขับรถออกไปนอกเมือง


ริชาร์ดใช้เวลาขับรถมาถึงบ้านของคาเล็มนานกว่าปกติ จนคาเล็มที่ยืนรออยู่หน้าบ้านอดสงสัยไม่ได้ว่าไปแวะที่ไหนมาระหว่างทางถึงได้ช้าขนาดนี้

“ไปหลีสาวก่อนจะมานี่รึไงถึงได้ช้านัก?” คุณหมอกอดอกยืนมองเพื่อนรักที่หิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาเต็มมือ

“อย่าบ่นสิว้า...แค่แวะไปซื้อของนิดหน่อย” ซีอีโอหนุ่มกล่าว แม้ปริมาณที่ตาเห็นจะไม่หน่อยอย่างที่ว่าก็ตาม

“ซื้ออะไร?” คาเล็มมองดูเพื่อนสนิทหยิบสิ่งที่คล้ายหน้ากากกันแก๊สมาสวมหัว รับประกันได้เลยว่าปลอดภัยไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนโอเมก้าในระยะประชิดแน่นอน ช่างลงทุนซะเหลือเกิน แล้วก็มองถุงที่ริชาร์ดยื่นมาให้ พอเปิดดูของข้างในถึงกับเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท

“ริชาร์ด นี่แก…” ร่างสูงมองปืนสีดำสนิทที่น่าจะเพิ่งซื้อมาจากร้านขายอาวุธหมาดๆ

“ให้ลาซัสพกไว้ป้องกันตัวเถอะ ไม่งั้นฉันไม่สบายใจว่ะ” คาเล็มอ่านสีหน้าคนตรงหน้าไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ลงทุนทำขนาดนี้

“ดีใจที่นายเป็นห่วงลาซัสนะ.. แต่ทำขนาดนี้เดี๋ยวหมอนั้นจะกลัวขึ้นมาซะเองมากกว่า” คาเล็มยื่นถุงคืนให้เพื่อนรัก

“...”

“แกกลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ!?” คาเล็มเห็นเพื่อนทำหน้าไม่สู้ดีก็แอบสงสารไปด้วย

“ทำไงได้ล่ะ แกก็เพื่อนฉัน นั่นก็เมียเพื่อน!” ประโยคหลังทำเอาคนพูดเกือบโดนบุหรี่จี้หน้า “เปลี่ยนๆ อีกคนก็คนที่ฉันเอ็นดูไง ไม่อยากให้ทั้งนายทั้งเจ้านั่นเจอเรื่องแย่ๆ ...แล้วขืนฉันทำลงไปมีหวังไม่กล้ามองหน้าแกอีกแน่ๆ”

อัลฟ่าสูงวัยถอนหายใจ ใช่ว่าเขาจะไม่ห่วง แต่ปล่อยลาซารัสไว้คนเดียวน่าห่วงกว่าอีกเป็นไหนๆ เขาแค่ตบบ่าเพื่อนรักเหมือนจะบอกว่า สู้ๆนะ… เรนเดลเตรียมตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมาสมทบโดยมีจูเลียตเดินออกมาส่ง “ไปก่อนนะ”

ริชาร์ดโบกมือลาเพื่อนและพ่อบ้านของเขาขึ้นรถเขาไป “ไงจูเลียต ช่วยกัดเรียกสติกันด้วยล่ะ” ร่างสูงเดินขึ้นไปตามทางเล็กๆเพื่อตรงไปยังบ้านของคาเล็ม เมื่อเข้ามาถึงเขตสวนก็พบว่าลาซารัสกำลังตากผ้าอยู่ที่ข้างๆบ้าน

“คุณริชาร์ด สวัสดีอีกครั้งครับ!” ลาซารัสโบกมือให้และรีบตากผ้าที่เหลือ “เข้าไปรอในบ้านก่อนเลยครับผม”

“อา…” รอยยิ้มสดใสแบบนั้นไม่ได้ทำคาเล็มเสียสติไปคนเดียวหรอกนะ.. แม้จะคิดแบบนั้นแต่ก็พูดออกมาไม่ได้อยู่ดี


จริงๆมาเฝ้าก็ไม่ได้อะไรมา ริชาร์ดก็แค่นั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องโถงส่วนลาซารัสก็หมกตัวทำงานอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของตัวเอง แทบไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกัน แม้จะดูเงียบๆจนง่วงนอนแต่ก็ดีกว่าไปเสี่ยงล่ะน้า จะดีไม่น้อยถ้าหากลาซารัสมัวแต่มีสมาธิทำงานจนกระทั่งคาเล็มกลับมา

“คุณริชาร์ดเอาชาหรือกาแฟมั้ยครับ”

เพิ่งคิดไปหยกๆเมื่อกี้เลย..

“ไม่เป็นไรหรอก รายการกำลังมันส์เลย” ริชาร์ดกำลังดูรายการที่จะตระเวนไปหาของมือสองมาขัดสีฉวีวรรณจนเหมือนใหม่ก่อนเอาไปขายในราคาที่สูงขึ้น แม้จะเรียบง่าย แต่การถ่ายทำก็ทำให้เรื่องพื้นๆมันน่าสนใจขึ้นมาก

“อ้อ รายการนี้ ผมจำได้ว่าเคยดูหลายปีก่อน!” ร่างโปร่งเดินมาใกล้โซฟาที่เขานั่งอยู่ แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้นั่งลงข้างๆเหมือนเคย ก็ดูระวังตัวมากขึ้นอยู่ ซึ่งนับว่าดีต่อพวกเขาทั้งคู่

“หลายปี? ไม่ได้ดูทีวีบ่อยหรอกเหรอ” ริชาร์ดไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนใดๆจากตัวอีกคน บอกกับตอนนี้เขาไม่น่าจะมีกลิ่นใดๆแผ่ออกไป ทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

“ไม่ล่ะครับ ยิ่งโตงานก็ยิ่งยุ่ง ปกติผมก็ไม่ได้สิทธิครอบครองรีโมทจากโอนเนอร์อยู่แล้ว” คนตัวเล็กยกมือขึ้นเกาศีรษะเขินอายในความไม่ทันสมัยของตน “มือถือก็เพิ่งได้จากคุณริชาร์ดเป็นเครื่องแรก ขอบคุณมากๆเลยล่ะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก คิดซะว่าค่าตัดเสื้อ เดี๋ยวจะโอนที่เหลือให้ด้วยละกัน” ริชาร์ดบอกปัดไปและหันไปสนใจรายการทีวีต่ออย่างโล่งใจ ท่าทางจะไม่ต้องห่วงอะไรมาก

“หา? ไม่ต้องก็ได้ครับ แค่นี้เอง!” ลาซารัสร้องท้วงเรื่องค่าตอบแทน

“อย่าทำงานฟรีๆสิลาซัส โตขึ้นแล้วก็ต้องคิดเรื่องหาเงินไว้ใช้ชีวิตตอนแก่เฒ่าด้วย ไหนจะเรื่อง…” กำลังจะพูดเรื่องเลี้ยงลูก แต่ดูอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องระหว่างเขากับคาเล็มแล้วแหง ๆ “เรื่อง.. เอาเงินที่ได้มาช่วยปรับปรุงบ้าน ดูแลบ้านอะไรงี้ไง”

“แต่ว่า...ผมไม่อยากได้เงินจากคุณริชาร์ดจริงๆนี่ คุณช่วยเป็นเพื่อนให้ผม แถมยังคอยช่วยคุณหมอมาตลอดเลย” ร่างโปร่งเดินมานั่งบนโซฟาเดียวกับเขาแล้วเริ่มทำตาเหมือนจะร้องไห้ออกมา ..ท่าทางอ้อนแบบนี้มัน...ไอ้ที่เขาสอนให้ทำใส่คาเล็มนี่หว่า!!

“เอ่อ...ถ้าไม่อยากรับเป็นเงินงั้นก็...อยากกินอะไรมั้ยเดี๋ยวไว้จะพาไปเลี้ยงคราวหน้า” ถามไปพลางร่ายรายการทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารไทย อาหารจีน ที่คิดว่าลาซารัสคงยังไม่เคยลองกินแน่ๆ

“อืม...อยากลองกินดูจัง ไว้ไปกินด้วยกันกับคุณหมอแล้วก็คุณเรนเดลดีมั้ยครับ?”

“ได้ๆ ไปให้หมดทุกคนนี่แหละ” ถอนหายใจโล่งอกที่ลาซารัสเขยิบตัวออกไปแล้ว แต่…

“อ๊ะ! คุณริชาร์ดอยากลองสวมชุดดูมั้ยครับ จะได้เช็คว่ามีตรงไหนต้องแก้บ้าง” ระยะห่างกระเถิบเข้ามาใกล้อีกครั้งแถมยังชิดกว่าเดิม โน่วววววว

ริชาร์ดเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วถอยหลังไปที่ประตู พอเห็นลาซารัสทำหน้าสงสัยก็ตอบไปว่าปวดท้องเลยจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็วิ่งสุดฝีเท้าออกไปข้างนอกซึ่งเป็นคนละทิศกับห้องน้ำ

อันตราย! ไม่ระวังตัวยิ่งกว่าที่คิดอีก!!

“คุณริชาร์ด ห้องน้ำไม่ได้อยู่ข้างนอกนะครับ” ร่างโปร่งโผล่ออกมาตาม ซีอีโอหนุ่มสะดุ้งโหยงคิดในใจว่าจะตามมาทำไม เขาพยายามรักษาระยะห่างอยู่นะ!

“คุณแปลกๆไปนะครับวันนี้ เป็นอะไรรึเปล่า?” สีหน้าวิตกกังวลของโอเมก้าหนุ่มมองมายังอัลฟ่าเพื่อนสนิทคุณหมอ แถมยังเดินเข้ามาหาอีก จะบอกยังไงดีวะเนี่ยว่าเขาชักจะได้กลิ่นอันตรายที่เป็นภัยต่อชีวิตของเด็กในสังกัดเพื่อนแล้ว

“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย เข้าไปนอนพักในห้องคุณหมอก่อนมั้ยครับ มาครับเดี๋ยวผมช่วย” ร่างโปร่งยังคงก้าวเข้ามาใกล้โดยไม่คิดอะไรเลยเหมือนเดิม

ริชาร์ดเลยตัดสินใจ...บอกไปตรงๆก็ได้วะ! “ละ ลาซัส! ถ้าเข้ามาใกล้กว่านี้ฉันปล้ำนายจริงๆนะ!”

ได้ผล...โอเมก้าหนุ่มหยุดกึกแถมยังถอยหลังออกไปหลายก้าว แต่...ความน่าเชื่อถือในตัวเขาลดฮวบฮาบเลยทีเดียว

เออ...ก็ดีกว่าปล่อยให้เข้าใกล้กว่าเมื่อตะกี้แหละวะ...

“...ขอโทษที่ไม่ระวังตัวครับ” ร่างโปร่งตั้งสติได้ก็ลดการระวังตัวที่เกินเหตุลงก่อนจะกลับมายิ้มแห้งๆให้ “คงทำคุณลำบากใจ ขอโทษอีกทีนะครับ”

“เออๆ ไม่เป็นไรหรอก พ้นช่วงฮีทเมื่อไหร่ค่อยกลับมาคุยสนิทๆกันใหม่ก็ได้น่า” ริชาร์ดถอนหายใจ ในที่สุดลาซารัสก็รู้ตัวสักที “จริงๆก็สนใจกาแฟนะ ช่วยไปทำให้หน่อยสิ”

“อ่ะ ได้ครับ!” ลาซารัสยิ้มอกมาได้อีกครั้งก่อนเดินกลับเข้าบ้านไปชงกาแฟให้ ริชาร์ดค่อยๆเดินตามเขามาทีหลัง จมูกยังคงคอยดมกลิ่นรอบๆดีๆ เพราะยังไม่ไว้ใจยาที่ดูเหมือนจะหมดอายุอยู่รอมร่อ


แต่กาแฟที่ลาซารัสชงให้...มันไม่ค่อยจะอร่อยเลยฟ่ะ…

“....นาย...ไม่เคยชงเหรอ?” ร่างสูงนั่งจิบมันได้เพียงนิดก็วางลงบนโต๊ะคืน

“ไม่เลยครับ” ลาซารัสยืนอยู่แถวๆเค้าท์เตอร์ซึ่งห่างจากโต๊ะทานอาหารพอสมควร เขาก้มหน้างุดอย่างสำนึกผิดที่เอากาแฟแบบนั้นไปเสิร์ฟ “จริงๆคือ...ผมไม่เคยแตะงานในครัวจำพวกทำอาหารเลยครับ”

“แม้แต่ชงโกโก้กิน?”

“ทำได้อย่างมากก็เวฟของสำเร็จรูปหรือถุงชาเองครับ” คำสารภาพทำเอาคนพูดน้ำตาเอ่อในความไร้ความสามารถของตัวเอง

“เห้อ...งั้นมานี่..” ริชาร์ดผู้ทนไม่ได้ที่เห็นหนึ่งในของอร่อยสุดๆบนโลกใบนี้ถูกทำให้แปดเปื้อน(??) “ที่นี่มีแต่แบบผงสินะ มันก็แค่ตักตามอัตราส่วนที่ต้องการ เช่น…”

ลาซารัสอยากรู้อยากเห็นจนลืมเรื่องอาการฮีทของตัวเองที่ยังไม่พ้นช่วงอันตราย และริชาร์ดเองก็ขะมักเขม้นในการสอนเด็กน้อยชงกาแฟให้ได้ กระทั่งลองชงอีกรอบ ลาซารัสก็ชงออกมาให้กินได้เป็นที่เรียบร้อย!

“สุดยอด! เรียนรู้ไวเหมือนกันนะ!” ริชาร์ดตบบ่าอีกคนที่จิบๆกาแฟที่ตนเพิ่งลองชงใหม่อย่างพิศวง

“ม...มันก็ไม่ได้ยากนี่นา..”

“ทำไมนายไม่ได้ทำงานในครัวเลยล่ะ?”

“โอนเนอร์บอกว่าตอนเด็กๆผมเกือบทำบ้านไฟไหม้หลายรอบเพราะพยายามช่วยงานในครัวอ่ะครับ..เขาเลยไม่ยอมให้ผมช่วยทำอาหารเลย โตขึ้นก็สอนให้ช่วยล้างจานอย่างเดียว” เล่าไปก็สลดไป “ขนาดว่า..แค่ล้างจานเอง.. ผมยังเกือบทำน้ำท่วมบ้านไปตั้งทีนึงแหน่ะ..”

หรือดวงอาจจะไม่มีให้ใช้ในครัวนะ… พอคิดแบบนี้ริชาร์ดก็แอบรู้สึกผิดที่ลากเขามาชงกาแฟ….แต่แค่ชงกาแฟคงไม่ไฟไหม้บ้านหรอกน่า

“ขอบคุณที่สอนผมนะครับ” ร่างโปร่งหันไปยิ้มให้ดังเดิม ซึ่งริชาร์ดก็ยิ้มตอบพลางลูบผมอีกคนอย่างเอ็นดู แต่เมื่อทั้งคู่เหมือนคิดอะไรได้ก็ต่างถอยออกจากกันคนละก้าวสองก้าว

“โทษที ลืมตัว”

“เหมือนกันครับ” หัวเราะให้โดยไม่คิดอะไรแบบนี้น่าเป็นห่วงกว่ากลัวๆเขาไปเลยเสียอีก…

“แต่ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ท่าทางยาก็ยังใช้ได้ผลอยู่นี่หว่า” ริชาร์ดเลิกคิ้ว แม้จะกินยาเก่าและกินไม่ครบตามจำนวนแต่ก็ถือว่าได้ผล...มั้ยนะ?

“คุณริชาร์ดป้องกันมานี่เอง..ดีจัง”

“ดีจังบ้าอะไรล่ะ นายเองก็ต้องระวังตัวเองด้วย” อัลฟ่าหนุ่มแอบดุร่างเล็กกว่าเบาๆ “ฉันไม่ไดกินยาระงับอาการฮีทมานะ อยู่ห่างๆแล้วพยายามอย่าดมกลิ่นอะไรเข้าไปล่ะ”

“คร้าบ..” โอเมก้าหนุ่มยักไหล่แล้วขอตัวกลับขึ้นไปทำงานต่อ ปล่อยให้ริชาร์ดยืนอยู่ในห้องครัวลำพังกับจูเลียตที่เพิ่งเดินเข้ามาหา

“ไง..ฉันทำได้ดีใช่มั้ยล่ะ?” ริชาร์ดหอบร่างเหนื่อยอ่อนไปนั่งพักที่โซฟาอีกรอบ ทำงานเหนื่อยมาตลอดสัปดาห์ ยังต้องมาเจออะไรแบบนี้ไม่ขำเลยสักนิด เปิดทีวีวนไปเรื่อยๆในห้องเงียบและบรรยากาศรอบบ้านที่สงบแบบนี้ ทำเอาร่างสูงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว


เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นปลุกเขาจากฝันกลางวันแสนดี ริชาร์ดมองไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าอยู่แล้ว ส่วนคนที่โทรเข้ามานั้นเป็นเพื่อนรักที่ฝากบ้านไว้ให้เขาดูแลนั่นเอง

“ไง นี่เพิ่งทำเรื่องเบิกยา กว่าจะกลับก็อีกสักพัก เอาอะไรมั้ยจะซื้อเข้าไปให้กินเลย” คาเล็มร่ายยาวมาอย่างครอบคลุมทุกเหตุการณ์ในไม่กี่ประโยค คนเพิ่งตื่นจึงงัวเงียอย่างไม่ค่อยจะได้ยินนัก “นี่แกเผลอหลับเหรอ? แล้วลาซัสล่ะ?”

“ทำงานอยู่...จะว่าไปก็ไม่ได้ลงมาอีกเลยแหะ” หรือจะทำงานเพลินจนลืมเวลากันนะ… “ว่าแต่ทำไมไปนานจัง ฉันนึกว่าไปกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”

“อา พอดีว่าฉันเองก็ต้องตรวจร่างกายเหมือนกัน” คาเล็มเล่าให้เพื่อนรักฟัง ซึ่งริชาร์ดก็ไม่แปลกใจนักเพราะเห็นอาการของฝ่ายนั้นไม่หายสนิทสักที อายุก็ถือว่ามากแล้วพอเจ็บตัวแต่ละทีก็ต้องใช้เวลารักษาตัวนานกว่าร่างกายจะฟื้นสภาพเป็นปกติ

“งั้นเดี๋ยวแค่นี้ก่อนละกัน แกกับคุณเรนเดลเองก็รีบๆกลับล่ะ อยู่กับเจ้าหนูแบบนี้นานๆ บอกตามตรงว่าใจคอไม่ดีเลยว่ะ...” วางสายพร้อมเอ่ยคำพูดเป็นนัยตามจริง ซีอีโอหนุ่มบิดขี้เกียจแล้วลุกจากโซฟาเดินไปที่ห้องครัวเผื่อว่าพอจะทำอะไรรองท้องก่อนพวกคาเล็มกลับมาได้บ้าง

เสียงลมพัดและใบไม้วูบไหวแรง ท้องฟ้าด้านนอกมีเมฆครึ้มพัดเอากลิ่นฝนที่คาดว่ากำลังจะตกในอีกไม่ช้า ริชาร์ดมองผ่านกระจกห้องครัวเห็นว่าฝนกำลังจะตกแล้วแต่ผ้าที่ตากไว้ก็ยังไม่ได้เก็บ

“ลาซัสลืมรึไงนะ?” ร่างสูงวางมือจากครัวก่อนเดินไปเปิดประตูหลังบ้านแล้วเก็บผ้าที่ปลิวสะบัดตามแรงลมจนแทบคลุมหัวตัวเอง สักพักฝนก็เทลงมาโครมใหญ่ ริชาร์ดวิ่งกลับเข้าบ้านพร้อมตะกร้าผ้า ถ้าหากว่าช้ากว่านี้อีกนิดเดียวคงได้ซักใหม่กันยาว

“ลาซัส ผ้าพวกนี้จะให้เอาไปไว้ไหน” ร่างสูงเดินไปถามคนที่น่าจะยังอยู่ที่ห้องทำงานชั่วคราว มือจับลูกบิดเปิดประตูออกแล้วก็ต้องชะงักเมื่อร่างโปร่งลงไปนอนคุดคู้ตัวสั่นอยู่ที่พื้น เขาเกือบจะวิ่งเข้าไปช่วยแต่จมูกของอัลฟ่าพลันได้กลิ่นฟีโรโมนเจ้าปัญหาแบบคราวก่อนขึ้นมา

“คุณริชาร์ด…” โอเมก้าหนุ่มเงยหน้าหันไปมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู แม้สมองจะยังพอมีสติอันน้อยนิดเหลืออยู่บ้างแต่ร่างกายและใบหน้าของตนกลับร้อนไปหมดและตอนนี้ความต้องการของเขาก็กำลังปะทุอีกครั้ง

ทว่าริชาร์ดนั้นกำลังแย่กว่า...

ร่างสูงก้าวเข้ามาในห้องทำงานและปิดประตูลง ก่อนจะมาคร่อมร่างของโอเมก้าที่ส่งกลิ่นฟีโรโมนฟุ้งจนสัญชาตญาณดิบของอัลฟ่ามันครอบงำทั้งร่างกายและจิตสำนึกของอีกฝ่ายไปหมดสิ้น มือหนาพลิกตัวร่างโปร่งให้หันมาเผชิญหน้ากับตน

“คุณริชาร์ด...ไม่นะครับ” ลาซารัสสั่นหน้าและกอดตัวเองแน่น แววตาของคนขี้เล่นที่เคยเอ็นดูเขามาตลอดบัดนี้เปลี่ยนเป็นหิวกระหายเหมือนสัตว์ป่าที่หิวโหยจ้องจะกินเหยื่อชั้นดี มือกระชากเสื้อผ้าเนื้อดีขาดวิ่นเป็นชิ้น เนคไทถูกนำมารัดข้อมือทั้งสองไม่ให้เหยื่อดิ้นรนขัดขืน ลาซารัสกรีดร้องลั่นบ้านขอร้องให้ริชาร์ดหยุดแต่เสียงนั้นก็ไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของอัลฟ่าที่หน้ามืดไปแล้วได้เลย

สายฝนเทกระหน่ำราวกับพายุ ทั่วทั้งบ้านมืดสนิทไร้ซึ่งแสงไฟ มีเพียงแสงจากฟ้าที่ผ่าลงมาพร้อมเสียงฟ้าร้องที่กลบเสียงร้องของใครบางคนในบ้านหลังนั้นจนสิ้น



TBC.





*****************************************************************************************

มองเวลาอัพ...ช่างประจวบเหมาะกับเนื้อเรื่องตอนนี้จริงๆค่ะ :o8:

เอาใจช่วยลูกเป็ดน้อยๆของเราด้วยนะคะ //ใครคือเป็ดน้อย? คนแต่งทั้งสองเรียกลาซัสแบบนั้นเองล่ะค่ะ //_\\
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.7 Up! (22/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-02-2017 05:44:40
เอาละสิ มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
แต่ทำไมรู้สึกยิ่งเรื่องมันจะพีคไปอีก ไรท์สุดยอดดด
ลาซัส กับคาเล็มและริชาร์ด
โอเมก้า ใสๆ วัยขบเผาะ น่ารักมีเสน่ห์กับสองอัลฟ่า
ท่าทางจะไปกันได้ดี 3p ชอบบบบบบ
ถ้าไม่เกิดอะไรกันซะก่อน สองอัลฟ่าน่าจะดูแลลาซัสได้ดีมากๆ
จะต้องมีเด็กเล็ก แฝดไม่เหมือนเกิดหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.7 Up! (22/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 22-02-2017 06:06:17
3pเย้ๆๆๆๆคือดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.7 Up! (22/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 22-02-2017 18:38:22
แง่วววว :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.8 Up! (22/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 22-02-2017 23:47:19

บทที่ 8



“นี่มันอะไรกัน…?” คาเล็มมองสภาพภายในบ้านที่ไม่เหมือนเดิม เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เขาไม่อยู่กัน ดวงตาหลังแว่นมองหาร่างของคนสองคนที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน “ริชาร์ด! ลาซัส!”

หมออัลฟ่ารู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่ที่พายุไต้ฝุ่นเข้าทำให้เขาและพ่อบ้านต้องติดอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน กว่าจะกลับมาถึงได้ก็มืดค่ำ พอมาถึงก็เห็นไฟในบ้านดับหมด พอไฟติดก็เห็นข้าวของกระจัดกระจายราวกับขโมยขึ้นบ้าน ตัวเขาถึงกับทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้ที่ทางเดินแล้ววิ่งตะโกนไปทั่วบ้าน

จูเลียตเห่าเสียงดังอยู่ที่หน้าห้องทำงานชั่วคราวของลาซารัส คาเล็มกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปดูแล้วก็ต้องตกใจจนแทบเข่าอ่อน ริชาร์ดนอนคว่ำจมกองเลือดอยู่ที่พื้นตัวซีดหายใจรวยริน  “ริชาร์ด! เฮ้ย! แกได้ยินฉันมั้ย!?”

คาเล็มรีบเข้าไปพยุงเพื่อนรักแล้วตบแก้มเรียกให้คนหมดสติฟื้นขึ้นมา สักพักร่างที่เหมือนจะแน่นิ่งไปก็ลืมตาตื่นขึ้นมา “คาเล็ม…?”

“เกิดอะไรขึ้น แล้วลาซัสล่ะ?”

“...น่าจะอยู่ที่ห้อง” เสียงทุ้มแหบฝืนใจตอบไป “...ขอโทษ”

“อะไรนะ?”

“ฉัน…” ยังไม่ทันจะได้เอ่ยริชาร์ดก็หมดสติไปอีกครั้ง เดือดร้อนถึงเรนเดลต้องมาช่วยห้ามเลือดก่อนจะพยุงออกไปหลังติดต่อเรียกเฮลิคอปเตอร์ให้มารับคนเจ็บหนักไปส่งที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าบ้านไปดูโอเมก้าหนุ่มที่ขังตัวเองอยู่ในห้อง คาเล็มไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าลาซารัสคลุมโปงตัวสั่นงันงกอยู่ที่มุมห้องอย่างหวาดกลัว

“ลาซัส นี่ฉันเองนะ” เสียงทุ้มเรียกหาและกดเปิดสวิตซ์ไฟพร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปหาร่างโปร่ง แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวอีกฝ่ายก็ปัดมือเขาออกราวกับไม่ต้องการให้แตะเนื้อต้องตัว

“อย่าเข้ามา…” ร่างสูงได้ยินแต่น้ำเสียงสั่นและหวาดกลัวอีกทั้งยังสะอื้นเหมือนคนที่เพิ่งจะหยุดร้องไห้ได้ไม่นาน

“ลาซารัส?” หมออัลฟ่าเรียกชื่อเต็ม แล้วค่อยๆดึงผ้าห่มออก ดวงตาหลังแว่นเบิกกว้างเมื่อพบว่าชุดของโอเมก้าหนุ่มโดนฉีกขาดวิ่น เนื้อตัวมีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด แม้เจ้าตัวจะพยายามเอามืดปิดไว้แต่ก็ไม่สามารถพ้นสายตาของเขาไปได้

“ใครทำ?...หรือว่าริชาร์ด?” ร่างสูงย่อตัวลงมาหาแล้วไต่ถามทั้งๆที่ไม่อยากเอ่ยมันออกมาเลย ร่างโปร่งสะดุ้งแล้วพยักหน้ารับช้าๆ ครั้งนี้คาเล็มเข่าอ่อนนั่งทรุดลงกับพื้นอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“บ้าเอ๊ย!!!!” เสียงตะโกนแหกปากลั่นได้ยินไปทั่วทั้งบ้าน เรนเดลตามขึ้นมาดูที่ห้องก็พบว่าเจ้านายของตนกำลังอาละวาดจึงรีบเข้าไปห้าม ทว่าคาเล็มกลับไม่ยอมฟังอะไรซ้ำยังสบถด่าเพื่อนด้วยถ้อยคำหยาบคาย

เรนเดลมองไปที่ลาซารัสและเห็นท่าทางโอเมก้าหนุ่มไม่สู้ดีจึงพยุงพาไปนั่งที่เตียง แล้วลากเจ้านายที่กำลังขาดสติออกไปข้างนอก

“ใจเย็นก่อนเถอะครับนายน้อย คุณแมทเวย์กำลังกลัวคุณมากแล้วนะครับ”

“แล้วจะให้ฉันทนอยู่เฉยๆได้ยังไงหา!”

“อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้ สงบจิตสงบใจก่อนเถอะครับ คุณริชาร์ดก็อาการหนักแล้วคุณจะยังมาเสียสติไปอีกคนแบบนี้อะไรๆ มันมีแต่จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่นะครับ” พ่อบ้านสูงวัยพยายามสงบพายุในบ้านด้วยความใจเย็น แม้มันจะแทบไม่ช่วยดับไฟคนที่กำลังร้อนรนจะเป็นจะตายได้เลยก็ตามที


เช้าวันต่อมาที่โรงพยาบาล ริชาร์ดตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมีทั้งผ้าพันแผลและถุงเลือดห้อยอยู่ที่เสามีสายเชื่อมต่อมาที่แขน ดวงตากวาดมองไปรอบๆ ห้องสีขาวจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ร่างของเพื่อนสนิทซึ่งนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้

ด้วยความกระหายน้ำแต่เกรงใจคนกำลังหลับ คนเจ็บจึงค่อยๆลุกไปหยิบเหยือกมารินใส่แก้วที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงคนไข้ แต่ก็พลาดทำหลุดมือทำให้คนเฝ้าไข้สะดุ้งตื่น

“อ...อรุณสวัสดิ์” ซีอีโอหนุ่มกล่าวทักทายเพื่อน คาเล็มจ้องเขาตาเขม็งแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ก่อนจะถอดแว่นออกมาเช็ดแล้วกดปุ่มเรียกพยาบาลเมื่อเห็นว่าคนป่วยฟื้นแล้ว สักพักแพทย์ก็เข้ามาตรวจดูอาการโดยรวมที่ค่อยๆดีขึ้นกว่าเมื่อคืนที่ถูกนำตัวมาส่งที่โรงพยาบาล พอโดนซักถามว่าไปโดนใครยิงมาก็ได้คำตอบว่าคนไข้ทำปืนลั่นใส่ตัวเอง จึงได้ลงบันทึกสาเหตุไปว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุ จากนั้นทั้งแพทย์และพยาบาลก็ขอตัวไปตรวจห้องอื่นต่อ

“เอาล่ะ...เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวหน่อยล่ะ” คาเล็มที่นั่งรออยู่นานโพล่งขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจเลยว่าคนเจ็บจะอยากพักหรือไม่ “เมื่อวานนายทำอะไรลาซัส?”

“อา...ฉันขอโทษ” ริชาร์ดก้มหน้ากล่าวสำนึกผิด “ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เลย…”

“แกก็เลยเกือบจะขืนใจลาซัส แต่แกก็บ้าพอที่จะเอาปืนใหม่ถอดด้ามมายิงตัวเองแล้วให้หมอนั่นไปขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ให้ออกมาข้างนอก อย่างนั้นใช่มั้ย?” คาเล็มเอ่ยสิ่งที่ได้ฟังมาจากโอเมก้าหนุ่มที่หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็เล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้ฟัง

“อืม...ตามนั้นแหละ” มือลูบผ้าพันแผลที่เริ่มรู้สึกชาๆ หนึบๆ เพราะยาหมดฤทธิ์ ยังนับว่าโชคดีที่กระสุนไม่ฝังใน แต่สารภาพเลยว่าตัวเขานั้นฝันว่าตนกำลังนั่งเรือจะข้ามไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำมาด้วย “แล้วลาซัสล่ะเป็นไงบ้างแต่ ป่านนี้คงเกลียดฉันแย่แล้วมั้ง…”

คาเล็มไม่ได้ตอบอะไรต่อ ลาซารัสเล่าให้ฟังแล้วก็จริง แต่เขายังไม่ได้แสดงความเห็นใดๆออกมา และอัลฟ่าสูงวัยเองก็ไม่ได้ชวนอีกฝ่ายมาด้วยเพราะจากสภาพแล้วคงไม่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกใจนัก เพื่อนรักนั่งก้มหน้าคอตกอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างสำนึกผิด ริชาร์ดอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ชะงักไปก่อนเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรได้

“เดี๋ยวนะ.. ลาซัสบอกว่า เกือบ?” คนไข้เงยหน้าขึ้นมาถามเสียงแผ่วอย่างไม่แน่ใจ ทำเอาคนเล่าเมื่อครู่เริ่มใจคอไม่ดี

“....แล้วคือ...ไม่ใช่เหรอ?” อุตส่าห์โล่งอกได้เรื่องหนึ่งก็ดันต้องเริ่มคิดถึงเหตุไม่ดี...จนอารมณ์ที่เย็นลงแล้วกลับเริ่มก่อตัวอีกรอบ ริชาร์ดกระพริบตาปริบแล้วเริ่มร้อนรนแต่ก็ยังเรียบเรียงคำไม่ถูก “พูดมาสิ!”


“ไม่บอกนายน้อยไปแบบนี้จะดีจริงๆเหรอครับ” เสียงนุ่มของพ่อบ้านเอ่ยถามอย่างห่วงใยในขณะที่มองร่างโปร่งข้างๆตน รถยนต์คันหรูแล่นออกไปเรื่อยๆตรงไปยังโรงพยาบาลที่ริชาร์ดรักษาตัวอยู่ “ซักวันนายน้อยก็ต้องรู้อยู่ดีนะครับ”

ลาซารัสยกมือขึ้นจับปลอกคอที่ใส่ไว้ ข้างหนึ่งเห็นรอยที่คาเล็มกัดไว้ชัดเจน ทว่า..อีกข้างนั้นเป็นรอยกัดใหม่ที่แอบอยู่ใต้ปลอกคอได้พอดิบพอดีอย่างกับฟ้าเบื้องบนเห็นใจ ทว่าถ้าสังเกตดีๆก็ยังจะเห็นรอยช้ำจากการกัดเสียจมเขี้ยวอยู่บ้าง ดวงตาสีฟ้าเหม่อมองกระเช้าของเยี่ยมที่พ่อบ้านเตรียมให้อย่างเลื่อนลอย

เหตุการณ์เมื่อวานยังคงตามมาหลอกหลอนเขาอยู่เป็นระยะ ริชาร์ดที่ขาดสติแบบนั้นดูน่ากลัวกว่าคุณหมอหลายเท่า แถมเมื่อเขาได้กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าที่พุ่งสูงขึ้นตามแรงอารมณ์อีกฝ่าย สุดท้ายคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ก็กลายเป็นเขาอีกคน… กว่าความนึกคิดจะกลับมาลาซารัสก็พบว่าตัวเองสวมกอดริชาร์ดไว้แน่นและรับรู้ได้ถึงของเหลวอุ่นร้อนที่ฉีดเข้ามาเต็มส่วนล่างของตน จำยังไม่ได้ด้วยซ้ำว่าร่วมรักกับเพื่อนของเจ้านายตนไปกี่ครั้งกี่ครา

แต่ไม่นึกว่าคนๆนั้นจะรู้สึกผิดจนคว้าปืนมายิงตัวเองแบบนั้น..

“แล้วทำไมคุณริชาร์ดถึงต้องยิงตัวเองด้วยล่ะครับ?” เรนเดลเปลี่ยนเรื่องถาม เผื่อว่าลาซารัสจะยอมปริปากพูดอะไรออกมาบ้าง

“เขา...เห็นว่าผมเหมือนจะฮีทอีกรอบ...ก็เลยชิงหยุดตัวเองก่อน…” โอเมก้าหนุ่มตอบเสียงเบา เมื่อวานเขาตกใจมากจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวไปห้ามเลือดให้อีกฝ่าย ตอนนั้นลาซารัสถึงได้รู้ว่าริชาร์ดก็ยังคงเป็นคุณริชาร์ดที่ห่วงใยเขาอยู่เสมอมา “แต่ว่า.. ถึงขนาดนั้นคุณริชาร์ดก็ยังบอกให้ผมกลับห้องไป ล็อคประตูแล้วรอจนกว่าคุณหมอจะกลับมา”

“ไม่เป็นไรนะครับ ตอนนี้คุณริชาร์ดก็พ้นขีดอันตรายแล้ว” เรนเดลยกมือขึ้นลูบหลังอีกคนเพื่อปลอบประโลม ตอนนี้นอกจากเป็นห่วงคุณริชาร์ดแล้ว.. ลาซารัสยังกลัวว่าจะโดนคุณคาเล็มเกลียดจนจับใจ แม้จะวางใจได้ระดับหนึ่งว่าเขารีบไปค้นเอายาคุมมากินตามที่ได้รับมาอย่างทันท่วงที แต่ก็ยังไม่หายเครียดสักที..

รถสีดำสนิทจอดอยู่ที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล ทั้งสองคนเดินลงมาอย่างไม่รีบร้อน เรนเดลเป็นคนเดินนำไปติดต่อเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์และทำเรื่องทั้งหมดแทนลาซารัสที่เพิ่งเคยมาโรงพยาบาลใหญ่เป็นครั้งแรก..เมื่อทั้งสองคนเดินมาใกล้กับห้องที่จะไปเยี่ยม พวกเขาก็เริ่มได้ยินเสียงเอะอะจากที่หมายและมีบุรุษพยาบาลวิ่งวุ่นอยู่จำนวนหนึ่ง เรนเดลและลาซารัสจึงรีบวิ่งตามไป

ภาพตรงหน้าคือบุรุษพยาบาลสองสามคนกำลังล็อคตัวคาเล็มไว้ให้ออกมาจากห้องของริชาร์ดในสภาพที่ดูจะโมโหราวจะฆ่าคนให้ได้ ส่วนริชาร์ดนั้นล้มตัวอยู่ข้างเตียงโดยมีพยาบาลคอยพยุงอยู่ ใบหน้ามีรอยช้ำและเลือดไหลซิบจากการโดนชกที่ดูท่าทางคงจะไม่ได้โดนไปเพียงหมัดเดียวแน่ๆ

“ปล่อยฉัน! ฉันจะฆ่ามัน!” คาเล็มแผดเสียงลั่นห้องคนไข้แล้วพยายามสลัดบุรุษพยาบาลออกแต่ก็ไม่เป็นผล เขาถูกลากออกไปได้ในที่สุด ดวงตาหลังแว่นมองร่างโปร่งที่ยืนตัวแข็งทื่อก่อนเข้าไปประคองเพื่อนรักของเขาที่เพิ่งจะถูกเขาทำร้ายร่างกายซ้ำไปอีก

เรนเดลเข้ามาพาตัวเจ้านายของตนออกไปสงบสติอารมณ์ที่ดาดฟ้าของโรงพยาบาล ขณะที่เดินออกไปคาเล็มเอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมพูดจากับพ่อบ้านของตน

“ขอฉันอยู่คนเดียว…” หมออัลฟ่าบอกกับพ่อบ้าน ลับหลังชายชราออกไปแล้วร่างสูงยืนเกาะตะแกรงเหล็กก่อนจะแผดเสียงตะโกนลั่นพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งออกมาไม่ขาดสาย

“ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย” ภาพของเพื่อนรักเพียงคนเดียวที่เชื่อใจและใบหน้าของคนรักที่มีรอยยิ้มดั่งดวงอาทิตย์ของเขา ภาพทุกอย่างแตกสลายเป็นชิ้นๆเหมือนบานกระจกที่ถูกทุบ 

อยากจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วหนีไปอยู่ที่ไหนไกลๆ สักที่ที่ไม่ต้องเจอใครอีกเลย

โทรศัพท์ดังขึ้นโชว์เบอร์คุ้นตาที่ไม่ต้องการจะกดรับสายใครทั้งสิ้นในเวลานี้ แต่ปลายนิ้วมือเจ้ากรรมดันเลื่อนไปโดนทำให้ต้องฟังเสียงปลายทางอย่างช่วยไม่ได้

“ไงคาเล็ม คิดว่านายจะไม่รับสายพี่ชายคนนี้แล้วซะอีกนะ”

“มีธุระอะไรว่ามา?”

“หือ? เสียงนายแปลกๆไปนะ ไม่สบายงั้นเหรอ?”

“ถ้าไม่รีบพูดมาฉันจะวางสายเดี๋ยวนี้”

“โอเคๆ ก็ไม่มีอะไร เห็นว่าริชาร์ดเข้าโรงพยาบาล เป็นอะไรงั้นรึ?”

“ใครคาบข่าวไปบอกนายกัน”

“แสดงว่าเรื่องจริงสินะ ฉันว่าจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย แล้วจะได้แวะไปเจอหน้านายด้วย”

“...อยากมาเยี่ยมก็เชิญ แต่ฉันไม่ขออยู่รอเจอหน้านายหรอก แค่นี้”

คาเล็มตัดสายของพี่ชายทิ้งอย่างไม่ลังเล ดูท่าว่าเขาจะไม่มีเวลามานั่งคร่ำครวญเสียใจนานนัก ปัญหาใหม่ก็รุมเร้าถาโถมเข้ามาดั่งระลอกคลื่น

ร่างสูงเดินกลับเข้าไปยังห้องพักฟื้น แต่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าไว้ไม่ให้เข้าเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องกันอีก เขาจึงต้องเรียกให้ลาซารัสออกมาคุยแทน

“รีบกลับบ้านไปเก็บข้าวของซะ”

“เอ๊ะ? เดี๋ยวนะครับ คุณหมอหมายความว่ายังไง?” โอเมก้าหนุ่มยืนนิ่งช็อคกับสิ่งที่ได้ยินออกมาจากปากของคุณหมออัลฟ่า

“ทำตามที่ฉันบอก แล้วก็จากนี้ไปนายไม่ใช่โอเมก้าของฉันอีกแล้ว” คาเล็มชี้นิ้วไปที่ปลอกคอของคนตรงหน้า “ไปอยู่กับริชาร์ดซะ ลาซารัส”

“ม...ไม่นะครับคุณหมอ ฟังผมอธิบายก่อน” ดวงตาสีฟ้าส่ายหน้า มือจับแขนของร่างสูงแต่คาเล็มจับมือเขาดึงออก “ขอร้องล่ะครับ ได้โปรดอย่าไล่ผมเลย…”

“ฉันไม่ได้ไล่นาย ฉันแค่บอกให้นายไปอยู่กับหมอนั่น”

“แล้ว...มันจะต่างกันตรงไหนล่ะครับ” น้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวย ที่บอกให้ไปอยู่กับอีกคนนั่นก็หมายความว่าไม่ต้องการเขาอีกแล้วไม่ใช่เหรอ

“นายถูกตีตราซ้ำลงไปแล้ว ตามความเป็นจริง..นายก็เป็นของริชาร์ดแล้ว” คาเล็มเสียงสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้ พอพูดแบบนี้แล้วเขาก็เจ็บจึกไปทั้งอก แต่ทำยังไงได้ล่ะ…

“มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ.. คุณจะกัดซ้ำใหม่ก็ได้นี่” สองมือยกขึ้นลูบลำคอของตนที่ยังคงมีปลอกคอประดับอยู่ แต่ไม่มีคำพูดใดๆออกมาต่อปากคำให้มากความ ลาซารัสก้มหน้านิ่งทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด “คุณหมอ… ที่ทำแบบนี้เพราะเป็นธรรมชาติของอัลฟ่าเหรอครับ”

“...?” คาเล็มเงยหน้ามองร่างโปร่งที่ดูจะสั่นมากกว่าเดิม และเสียงที่เริ่มฟังไม่รู้เรื่อง

“เพราะผมเป็นโอเมก้าเหรอ คุณหมอเลยบอกให้ผมไปอยู่กับคุณริชาร์ดง่ายๆแบบนี้” มือบางที่กุมอยู่ที่คอแทบจะจิกลงไปบนนั้น

“...จะว่าแบบนั้นก็ได้นะ…” คาเล็มหลับตาลง พยายามไม่มองคนตรงหน้าและหาทางพูดให้อีกฝ่ายยอมตัดใจไปจากเขาเสียที

“งั้นคุณหมอจะทำการทดลองนี่ต่อไปทำไมล่ะครับ!?” ร่างเล็กกว่าเผลอขึ้นเสียงแล้วเดินเข้าไปประชิดอีกคน ใบหน้าอาบน้ำตาเงยขึ้นมาสบตาอย่างต้องการคำตอบ “คุณหมอต้องการอะไรจากการวิจัยเหรอ.. ไม่ใช่ให้พวกเราเป็นอิสระจากเรื่องแบบนี้เหรอครับ!!?”

คาเล็มเผลอก้าวถอยไปเล็กน้อยเพราะตกใจที่คนอ่อนน้อมและดูไม่ค่อยจะสู้คนพูดความรู้สึกออกมาตรงๆแบบนี้

“เลิกมองว่าผมเป็นโอเมก้าของคุณได้มั้ย...ช่วยมองผมในฐานะคนๆนึงที่มีจิตใจที…” ลาซารัสยกมือทั้งสองจับเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่น ทนฝืนกลั้นน้ำตาของตัวเองแล้วเค้นความคิดทั้งหมดพูดทุกสิ่งที่คิดอยู่ออกมา “ผมรักคุณคาเล็มนะครับ.. ต่อให้คุณจะอยู่ในฐานะอะไรผมก็รักคุณนะ”

“...” ร่างสูงไม่กล้ามองร่างเล็กกว่าตรงๆ เขาเบนสายตาหลบไปทางอื่น ..ถ้าขืนพูดมากกว่านี้…

“...ถ้าคุณต้องการให้ผมไปจริงๆ… ผมก็จะไป” ลาซารัสก้มหน้าลงอย่างหมดหวัง เขาปล่อยมือออกจากคนที่ตนรักแล้วแกะปลอกคอออกช้าๆก่อนจะส่งมันคืนให้คาเล็ม “แต่ผมขอคุณหมอเรื่องนึงได้มั้ย?”

คาเล็มรับบปลอกคออันนั้นมาแล้วตั้งตารอคำพูดของลาซารัส มือเรียวยกขึ้นลูบรอยกัดของคุณหมอบางเบา “ถ้าสักวันนึง ถ้าคุณคาเล็มหายโกรธผมแล้ว ช่วยมองผมเป็นแค่คนๆนึง ไม่ใช่โอเมก้าได้มั้ยครับ”

“...โชคดีล่ะ” คาเล็มเก็บปลอกคอใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไปทิ้งให้ลาซารัสยืนเคว้งคว้างอยู่ตรงนั้น เขากำมือแน่นพยายามบังคับใจตัวเองไม่ให้หันกลับไปมอง

ฉันขอโทษ...แต่ฉันจำเป็นจริงๆ


พอริชาร์ดรู้เรื่องที่ลาซารัสโดนทิ้งก็นอนอยู่ไม่สุข เขาพยายามโทรติดต่อก็แล้ว ส่งข้อความไปก็แล้วแต่หมออัลฟ่าก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา มีแค่ประโยคสั้นๆส่งมาครั้งเดียวว่า ‘ฝากดูแลลาซารัสด้วย’

ทว่า...พอเลื่อนอ่านลงไปยังบรรทัดต่อมาริชาร์ดก็นิ่งไป ‘พี่ชายรู้ที่อยู่ฉันแล้ว และตอนนี้ก็กำลังจะไปเยี่ยมนายที่โรงพยาบาล ถ้าหมอนั่นถามเรื่องของลาซารัสให้นายใช้อภิสิทธิ์ในฐานะเจ้าของปกป้องเขาด้วย’

“เวรละไง…” ริชาร์ดหันไปมองลาซารัสที่นั่งซึมอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ซีอีโอหนุ่มเรียกซ้ำอยู่สองสามครั้งกว่าโอเมก้าหนุ่มจะรู้สึกตัวแล้วเดินมาหาเขาที่เตียง “เดี๋ยวพี่ชายของคาเล็มจะมาเยี่ยมฉัน นายช่วยแกล้งเล่นละครว่าเป็นโอเมก้าของฉันทีนะลาซัส”

ร่างโปร่งทำหน้างุนงงและสับสนกับคำสั่งของอัลฟ่าผู้เป็นเจ้าของคนใหม่ “อะไรนะครับ?”

“คืองี้ ขอเล่าแบบรวบรัดเลยละกันนะ เวลามีไม่มาก” เขากระดิกนิ้วให้ลาซารัสก้มหน้าลงมาใกล้ๆเพื่อจะได้ไม่ต้องพูดเสียงดังเกินไป “คนที่แย่งโนเอลไปจากคาเล็ม ก็คือพี่ชายของหมอนั่นเอง”

ดวงตาสีฟ้าชะงักไปกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ยังมีสติพอจะฟังสิ่งที่ริชาร์ดเล่าต่อ “คาเล็มมีพี่ชายและพี่สาวที่เป็นอัลฟ่าทุกคน แน่นอนว่าพวกนั้นแทบไม่เคยญาติดีกับคาเล็มเลย เพราะที่บ้านของหมอนั่นสืบทอดแต่งานบริหารธุรกิจไม่ก็เล่นการเมือง เรียกว่ามีอิทธิพลทั้งตระกูลยกเว้นคาเล็มที่แทบจะตัดสัมพันธ์กับพวกพี่ๆและเครือญาติไปนานแล้ว ในจำนวนนั้นพี่ชายคนโตสุดเป็นพวกหัวโบราณคลั่งธรรมเนียมเก่าคร่ำครึ แถมยังชอบกดหัวโอเมก้ายิ่งกว่าอะไรดี ถึงฉากหน้าจะดูเป็นมิตรกับคนอื่นๆแต่ที่จริงเขาอันตรายมาก”

ริชาร์ดจับมือลาซารัสแน่น “แต่นายไม่ต้องกลัวนะ ตอนนี้นายอยู่กับฉัน ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่ทำอะไรนายแน่นอน” เสียงทุ้มยืนยันหนักแน่นเพื่อให้คนตรงหน้ามั่นใจในตัวเขา สักพักประตูห้องก็เปิดออก

ชายสูงวัยใบหน้ามีเค้าคล้ายคลึงหมอคาเล็มเดินถือไม้เท้าก้าวเข้ามาในห้องพักฟื้นคนไข้พร้อมส่งยิ้มเป็นมิตรทักทายคนป่วย แม้จะเดินโดยมีไม้เท้าช่วยแต่ก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจนสัมผัสได้

“นั่นใครรึ? ไม่คุ้นหน้าเลย” ดวงตาของอัลฟ่าสูงวัยยิ่งกว่าหมอคาเล็มจ้องมองไปที่โอเมก้าหนุ่มที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆเตียงคนป่วย

“แหม...ท่านประธาน สนใจโอเมก้าของผมมากกว่ามาเยี่ยมผมอีกงั้นเหรอครับเนี่ย” ริชาร์ดเอ่ยติดตลกก่อนจะจับมือลาซารัสแน่น “ออกไปนั่งรอข้างนอกก่อนนะเดี๋ยวฉันขอคุยกับท่านประธานแป๊บนึง”

“ไม่ต้องหรอก ฉันแค่นั่งรถผ่านมาก็เลยแวะเอากระเช้ามาเยี่ยม เท่าที่เห็นก็ยังสบายดีอยู่สินะ” ชายสูงวัยหันไปพยักหน้าให้คนติดตามเอากระเช้าไปวางไว้ที่โต๊ะวางของเยี่ยมคนป่วย “แต่ไม่ยักรู้มาก่อนว่าเธอหาโอเมก้าของตัวเองได้แล้ว”

“ก็เพิ่งจะเจอกันได้ไม่นานนี่เองน่ะครับเลยยังไม่อยากรีบเปิดตัว” ซีอีโอหนุ่มเล่าไปพลางเกาแก้มแก้เขิน แต่ลาซารัสมองดูแล้วไม่เนียนเอาซะเลย

“อืม...ก็ดี ฉันหวังว่าเธอคงจะมีข่าวดีเร็วๆนี้นะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยถ้าเจ้าน้องชายเจ้าปัญหาของฉันเอาแต่ก่อเรื่องรบกวนเธอ” ท่านประธานกล่าวก่อนจะคุยกันอีกสองสามประโยคแล้วขอตัวกลับ แต่สายตาก็ยังมองสำรวจมายังโอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวในห้องนั้น “ฉันกลับก่อนล่ะ ขอให้หายเร็วๆล่ะ”

“ขอบคุณครับท่านประธาน” ริชาร์ดก้มหน้าแทนการคำนับจนกระทั่งแขกที่มาเยี่ยมเดินกลับออกไป คนเจ็บที่นั่งตัวเกร็งอยู่นานถึงกับล้มตัวลงนอนอ่อนเปลี้ยหมดแรง

“คุณริชาร์ด..!” ร่างโปร่งปรี่เข้ามาดูคนที่จู่ๆก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างแรง

“ไม่เป็นไรๆ เห้อ… คนอะไรอยู่ด้วยแล้วลำบากทั้งกายทั้งใจขนาดนี้” คนป่วยยกมือขึ้นโบกไปมาเสริมคำตอบว่าตนสบายดี “นายไหวมั้ย เห็นสั่นงกๆเลย”

“ก็...จริงๆก็ไม่ค่อยครับ” พูดจบลาซารัสก็ทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง แค่ถูกปรายตามองก็รู้สึกเหมือนไม่อาจจะขัดขืนอะไรได้เลย แค่ความรู่สึกแบบนี้มันคุ้นๆแฮะ…

“...เฮ้อ… งั้นฉันจะปูดเรื่องคาเล็มต่อละนะ” ริชาร์ดยกมือขึ้นลูบแก้มที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาจางๆของอีกคนอย่างเอ็นดู “หมอนั่นไม่ได้ทิ้งนายหรอก ไม่ต้องกังวลไปนะ”

“...ครับ.. พอคุณริชาร์ดเล่าเรื่องคุณโนเอลให้ฟัง.. ผมก็คิดว่าคุณหมอกลัวว่าจะเกิดเรื่องซ้ำรอยเดิมเลยส่งผมมาอยู่กับคุณริชาร์ด..” ลาซารัสก้มหน้าลง เขาเริ่มคิดว่าที่พูดใส่คาเล็มเมื่อครู่นั้นอาจจะแรงไป เพราะเขายังไม่รู้เจตนาจริงๆของคุณหมอเลย “แล้วแบบนี้คุณหมอจะเป็นอันตรายมั้ยครับ!?”

“ตอนนี้ยังวางใจได้น่า อย่าเพิ่งวิตก.. เห็นแบบนั้นแต่พี่ชายของคาเล็มก็ไม่ใช่คนทำอะไรเอะอะบุ่มบ่าม เขายังไม่ทำอะไรคาเล็มในเร็วๆนี้หรอก”

“เร็วๆนี้… ก็แสดงว่าคุณหมอกำลังแย่จริงๆน่ะสิ..” โอเมก้าหนุ่มยังไม่คลายความกังวลของตัวเอง “เพราะเรื่องงานวิจัยของคุณหมอเหรอครับ?”

ริชาร์ดพยักหน้าตอบ “มันดันไปขัดกับแนวคิดของคุณพี่เค้าเข้าน่ะสิ” ร่างสูงยันตัวขึ้นนั่งแล้วเอาหมอนรองหลังเอาไว้เพื่อให้คุยกันได้สะดวก

ลาซารัสยกมือถือขึ้นมองข้อความที่เขาส่งไปหาคาเล็ม ไม่มีกระทั่งการเปิดอ่านเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเป็นห่วงคุณหมอจับใจ แต่แม้จะอยากช่วยเหลือแค่ไหน แบบเขาจะทำอะไรให้ได้บ้าง?

“ท่าทางหมอนั่นจะสนใจนายจริงๆด้วย..”

“ฮะ?..ครับ?”

“ไอ้คุณท่านประธานน่ะ สายตาที่มองนายมันน่าขยะแขยงสุดๆเลยใช่มั้ยล่ะ” อัลฟ่าขี้เล่นทำสายตาล้อเลียนจนน่าขำ

“อะไรกันน่ะครับ มันไม่ตลกขนาดนี้ซะหน่อย” ลาซารัสเผลอหัวเราะกับท่าทางนั้นของเจ้าของใหม่ของตน มือหนายกมาลูบผมเขาอย่างแรงเสียยุ่งเหยิง

“หัวเราะออกแล้วนี่..” รอยยิ้มที่เอ็นดูร่างโปร่งส่งมาให้เหมือนทุกๆครั้ง “เห็นนายซึมไปขนาดนั้นฉันก็ใจคอไม่ดีนะ”

โอเมก้าหนุ่มยิ้มตอบคนบนเตียงก่อนจะนึกอะไรได้ เขาหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเปิดหาบางอย่างช้าๆ มือเรียวหยิบเอากระดาษขนาดเล็กสีเข้มออกมา สิ่งที่เขาได้มาจากการเสียจูบแรกให้กับคนที่ไม่คาดคิด นามบัตรส่วนตัวของเออร์แฟน คาร์เฮวย์ที่เขาแอบหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อของลาซารัสไว้ตอนที่เอาตัวเข้าไปแนบชิดกัน แม้ไม่เข้าใจจุดประสงค์ แต่ลาซารัสก็เก็บมันไว้เพราะเผื่อว่าเขาอาจจะต้องทำอะไรเพื่อคุณหมอที่เขารักบ้างในสักวัน…


“ของเยอะเหมือนกันนะครับ มาอยู่ได้แค่เดือนกว่าๆเอง” เรนเดลแอบบ่นกับเจ้านายของตนเบาๆเมื่อช่วยเก็บของๆลาซารัสออกมาจนหมด

คนขนของที่ริชาร์ดส่งมาให้แทบจะทันทีที่รู้ความตั้งใจของเพื่อนโดยไม่ต้องเอ่ยถามให้มากความนั้นกำลังช่วยกันยกข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดขขึ้นรถอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเหล่ากองทัพขนฟูที่ส่งเสียงร้องเรียกเจ้าของที่ยืนมองพวกมันนิ่งๆ

“บ้านคงเงียบลงไปเยอะเลย” แม้จะบ่นอย่างรำคาญแต่สายตานั้นกลับส่งพวกมันไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ จูเลียตนั่งยิ่งครางหงิงอยู่ข้างๆเจ้านาย “นายก็คงคิดถึงเด็กๆใช่มั้ย?”

“นายน้อยครับ” พ่อบ้านเอ่ยเรียกอัลฟ่าที่ยืนมองการเคลื่อนย้ายอยู่ ก่อนจะเอาเสื้อสูทสีขาวสวยที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนออกมาให้ดู “กระผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย..”

“...เจ้าหนูนั่น..” คาเล็มเดินมามองและลูบผ้าเนื้อดีที่ยังตัดไม่เสร็จดี แต่มันก็สวยจนแทบไม่ต้องตกแต่งอะไรเพิ่มเติมแล้วด้วยซ้ำ ขนาดตัวที่ดูก็รู้ว่าตัดไว้ให้ใครทำให้คาเล็มตัดสินใจจะเก็บมันไว้กับตัว “นายจะไปก็ได้นะ...ที่นี่คงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่แล้ว”

“ไม่ล่ะครับ กระผมไม่อยู่แล้วใครจะทำอาหารให้นายน้อยกันล่ะ กินแต่ของแข่แข็งมันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” เรนเดลยิ้มบางอย่างอ่อนโยนให้เจ้านายของตนที่เขาตามคอยดูแลมาตั้งแต่เด็กๆ

“..ขอบใจนะ” ร่างสูงหันมายิ้มให้พ่อบ้านของตนและหยิบเอาสูทสีขาวนั้นกลับเข้าบ้านไปด้วย

งานของเขายังต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.8 Up! (23/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 23-02-2017 00:50:08

เย็นวันเดียวกันนั้น ข้าวของของลาซารัสก็ถูกขนเข้ามาอยู่ในบ้านของริชาร์ดรวมทั้งพวกสี่ขาตัวกลมทั้งหลายก็ถูกพามายังบ้านใหม่ด้วย ส่วนเจ้าสก็อตเจ้าถิ่นดูจะซึมๆไปเพราะไม่ได้เจอเจ้าของมาตั้งแต่ตอนเข้าโรงพยาบาล ซึ่งกว่าทางแพทย์จะอนุญาตให้กลับมาพักที่บ้านได้ก็ต้องรอดูอาการพรุ่งนี้อีกที

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอคุณริชาร์ดแล้วนะ เป็นเด็กดีรอต้อนรับเค้ากลับบ้านนะสก็อต” ลาซารัสอุ้มเจ้าตัวเล็กมากอดและลูบปลอบมัน ก่อนจะปล่อยให้ไปวิ่งเล่นกับพวกพ้องที่กำลังทำการสำรวจบ้านใหม่อย่างตื่นเต้น

บรรดาคนรับใช้เข้ามาช่วยขนของและนำทางแขกของเจ้านายไปยังห้องพัก ทำเอาร่างโปร่งรู้สึกเกร็งกับการต้อนรับเหมือนเป็นแขกคนสำคัญอีกครั้ง

“เอ่อ...ห้องนี้มัน…” โอเมก้าหนุ่มยืนแข็งค้างเมื่อเดินเข้ามาในห้องพักที่กว้างขวางหรูหรา อุตส่าห์บอกเจ้าของบ้านไปแล้วว่าขออยู่ห้องเล็กๆ แต่นี่ใหญ่กว่าห้องเดิมของเขาตั้งสามเท่า พอหันไปถามเมดก็ได้ความว่าห้องพักห้องนี้เล็กสุดแล้ว ก่อนจะโค้งตัวให้และขอไปทำงานอื่นต่อ

“เล็กแล้วเหรอเนี่ย?” ร่างโปร่งเดินสำรวจห้องใหม่ ห้องสีขาวนวลกว้างกับเตียงเดี่ยวที่นุ่มจนแทบจะจมไปกับที่นอน พอเปิดหน้าต่างก็มองเห็นทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป เขาเปิดกระเป๋าหยิบของออกมาจัดเรียงในห้อง เสื้อผ้าและรองเท้าก็จัดแจงเก็บเข้าตู้ จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงมื้อค่ำก็มีคนมาตามไปที่ห้องอาหาร และแม้ว่าจะมีแค่เขากินอยู่คนเดียวแต่ปริมาณเมนูก็เยอะมากกว่าที่จะทานคนเดียวหมด

ในห้องอาหารกว้างมีแค่เขาคนเดียวที่นั่งทาน โดยมีคนรับใช้ก็คอยยืนบริการอยู่ข้างๆ อาหารนั้นอร่อยถูกปากมากแต่การนั่งทานคนเดียวแบบนี้มันช่าง...เหงาเหลือเกิน

“เอ่อ...ปกติคุณริชาร์ดอยู่คนเดียวแบบนี้ตลอดเหรอครับ?” หลังทานมื้อค่ำเสร็จ โอเมก้าหนุ่มลองชวนคนรับใช้คนหนึ่งคุยดู แล้วก็ได้คำตอบตรงกับที่ตนคาดเดาเอาไว้

มิน่าล่ะถึงได้แวะมากินข้าวที่บ้านคุณหมอบ่อยๆ…

เขาเดินไปดูเจ้าพวกปุกปุยสี่ขาที่อยู่ห้องอื่น ทุกตัวนอนกลิ้งหลับสนิทไปกับเบาะนอนหลังกินอิ่มและเล่นอย่างเต็มที่ แทบไม่มีอะไรที่เขาต้องจัดการเลยทั้งเรื่องงานบ้านและดูแลสัตว์เลี้ยง พออาหารค่ำย่อยดีแล้วเขาก็ไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำที่กว้างขวางยิ่งกว่าที่คิด แถมยังมีคนคอยช่วยอาบให้อีกจนต้องบอกปัดไปว่าขอจัดการเอง ทุกอย่างมันช่างสะดวกสบายไปหมดเสียจนอย่างกับฝันไปเลย

ลาซารัสลุกขึ้นจากอ่างไปเช็ดตัว เขาหยุดยืนมองดูตัวเองที่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ ดวงตาสีฟ้ามองรอยกัดทั้งสองแห่งบนต้นคอของตน หากเทียบกับรอยแรกที่คุณหมอคาเล็มทำไว้ รอยตีตราของริชาร์ดนั้นเน้นย้ำชัดเจนยิ่งกว่า จนแอบกลัวว่ารอยประทับของคุณหมอจะจางหายไปเข้าสักวัน

“แต่...รอยตีตรามันไม่หายไปอยู่แล้วนี่เนอะ..” หลายสื่อหลายปากของจากผู้คนมากมายรอบตัวล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เรียวนิ้วไล้อยู่บนรอยแผลที่คาเล็มกัดไว้อย่างแผ่วเบา

ข้อความหลายต่อหลายประโยค ทั้งคำขอโทษ คำถาม และรวมทั้งการชวนพูดคุยเรื่องทั่วๆไปนั้น ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย แม้แต่การเปิดอ่านก็ไม่มี.. เห็นแบบนี้โอเมก้าหนุ่มก็รู้สึกเคว้งคว้างยิ่งกว่าเดิม บ้านหลังโตกับห้องโล่งๆและผู้คนที่ทำตัวห่างเหินเขาเสียจนน่าใจหาย ลาซารัสนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงในขณะที่นั่งนึกว่าวันเวลาแบบนี้ควรจะทำตัวยังไงดี…. เอ๊ะ? มีเสื้อคุณริชาร์ดที่ยังไม่เสร็จนี่หว่า!!

ร่างโปร่งเด้งตัวออกมาจากห้วงความเหงาแล้วกุลีกุจอเอาของใช้ของทำงานออกมาวางเรียงราย เขาค้นเอาเสื้อสีฟ้าอ่อนที่ทำไปได้เพียงครึ่งทางออกมาจัดการทำต่อ แม้จะไม่รู้ว่าสภาพริชาร์ดจะไปร่วมงานไหวไหมแต่เขาก็ควรจะรีบทำให้ทันกำหนดอยู่ดี

“คุณริชาร์ดตัวใหญ่กว่าคุณหมออีกแหะ” พอเอาเสื้อที่ตัดค้างไว้ออกมานั่งพินิจก็เริ่มเห็นความแตกต่าง แต่ที่เขาสงสัยมากกว่าเรื่องขนาดตัวนั้นคือ.. เสื้อสีขาวที่เขาแอบตัดให้คุณหมอหายไปไหนเสียแล้ว? ..ลาซารัสตัดสินใจส่งข้อความไปถามหามันอย่างเคยชิน กว่าสติจะเริ่มรู้ว่าไม่น่าส่งไปถามอะไรอีกก็ไม่ทันให้นิ้วได้กดลบออก...แน่นอนว่าไม่มีอะไรตอบกลับมาเช่นเดิม

“....เดี๋ยวค่อยหาก็ได้มั้ง” โอเมก้าหนุ่มคอตกแล้วเริ่มกลับมาสนใจงานตรงหน้า แม้เวลาจะล่วงเลยไปเสียดึกแล้วแต่การไม่ทำอะไรเลยแล้วปล่อยให้เวลาและชีวิตไหลไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายมันทำเขารู้สึกแย่เกินไป “...ผ้าก็เหลืออยู่...ถ้าตัดไปให้คุณหมออีกสักชุดเขาจะรับมั้ยนะ…”

ครืด...ครืด…

เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสั่น ลาซารัสหยิบมาเปิดดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของเรนเดลจึงกดรับสายด้วยสีหน้าปิติยินดีแล้วเอ่ยทักทายพ่อบ้านไป “สวัสดีครับคุณเรนเดล ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”

“ครับ คุณแมทเวย์เป็นยังไงบ้าง กระผมโทรมารบกวนรึเปล่าครับ”

“เปล่าครับ พอดีผมตัดสูทให้คุณริชาร์ดอยู่น่ะครับ”

“อย่านอนดึกมากนะครับเดี๋ยวจะเสียสุขภาพ” เสียงที่คุ้นเคยถามด้วยความห่วงใย แม้จะเจอกันไปเมื่อตอนกลางวันแต่พอตอนเย็นก็ไม่ได้เจอกันแล้วมันก็แอบใจหายอยู่ไม่น้อย

“คุณเรนเดลก็เหมือนกันนะครับ” น้ำเสียงสดใสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามออกไป “เอ่อ...แล้วคุณหมอเป็นยังไงบ้างครับ”

“อ่อ รายนั้นก็เหมือนเดิมแหละครับ นี่กระผมเลยต้องไปบอกให้เข้านอนได้แล้ว” พ่อบ้านสูงวัยแอบพูดถึงนิสัยติดตัวที่แก้ไม่หายของเจ้านายตน ลาซารัสหัวเราะเพราะเดาไว้แล้วไม่มีผิด

“แล้วจูเลียตล่ะครับเป็นไงบ้าง?” ถามถึงเจ้าวูล์ฟด็อกที่จากมาโดยยังไม่ทันจะได้บอกลาอะไรกันเลย ป่านนี้มันคงคิดว่าเขาทิ้งมันมาแน่ๆ

“ก็ซึมๆไปนิดหน่อย แต่คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอกครับ” เรนเดลพยายามปลอบไม่ให้คนปลายสายรู้สึกแย่ไปกว่านี้ “คุณแมทเวย์ครับ สูทสีขาวตัวนั้นอยู่ที่นายน้อยนะครับ กระผมโทรมาบอกเท่านี้ล่ะครับ”

“เอ๊ะ? คุณเรนเดลรู้ได้ยังไงครับว่าผมกำลังหาชุดสูทตัวนั้นอยู่…” โอเมก้าหนุ่มประหลาดใจที่พ่อบ้านบอกเรื่องนั้นได้ถูกเวลาจนดูเหมือนจงใจ ราวกับว่ารู้ล่วงหน้าว่าเขากำลังจะถามถึงสูทตัวนั้น

“กระผมบอกไม่ได้หรอกครับว่านายน้อยให้กระผมมาบอกคุณแมทเวย์น่ะ เท่านี้ก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์” จู่ๆ คุณพ่อบ้านก็รีบวางสายอย่างผิดปกติ ร่างโปร่งมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของตนงงๆ

“เรียบร้อยแล้วครับนายน้อย” เรนเดลหันไปบอกกับร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ แถมยังขมวดคิ้วส่งมาให้อย่างคาดโทษ “แหม...ตอบอะไรกลับไปบ้างก็ดีนะครับ ทางนั้นเขาจะรู้สึกไม่ดีเอา”

“บอกไปทำไมว่าฉันใช้นายให้มาบอก”

“อ้าว? กระผมเผลอพูดไปเหรอครับ แย่จริงๆ แก่แล้วก็เลอะเลือนแบบนี้แหละครับ” พ่อบ้านโค้งตัวและผงกหัวขอโทษ ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อนตามเดิม

“...ถ้าแก่ขึ้นแล้วจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ฉันว่าต่อไปคงต้องระวังนายเอาไว้บ้างแล้วกระมัง”


ลาซารัสที่ยังนั่งเอ๋ออยู่กับสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นก็ทิ้งตัวลงนั่งกับขอบเตียง แล้วก็หยิบหมอนมาปิดหน้าและร้องอัดใส่อย่างที่ทำประจำ “ว้ากกกกก คุณหมอเห็นแล้วอ่ะะะะ มันยังไม่เสร็จเลย ยัง...ยังไม่เสร็จดีเลย ฮืออออ” พอโวยวายใส่หมอนใบนุ่มให้สมใจจนอารมณ์สงบลงก็เหลือเพียงความยินดีปนเศร้านิดๆ

“คงมีเรื่องจำเป็นสินะ…” โอเมก้าหนุ่มปลอบตัวเองพลางยิ้มบางๆออกมาเมื่อรู้ว่าคาเล็มไม่ได้ทิ้งเขามาจริงๆ… หรือถึงจะทิ้งจริงๆคุณหมอก็ไม่ได้เกลียดเขา คิดได้ดังนั้นก็กลับไปเช็คของและขั้นตอนที่เหลืออีกทีก่อนจะปิดไฟและโดดขึ้นเตียงนอนตามคำกล่าวอย่างเป็นห่วงของเรนเดล ด้วยความเหนื่อยสะสมจากช่วงหลายวันมานี้ทำเอาเขาหลับไปแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน


ทางด้านของคาเล็มที่ยังคงไม่ยอมนอนคืนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่งานที่ยังค้างคา แต่เขากำลังมองหาที่ลี้ภัยหลังใหม่อยู่เงียบๆในห้องของตน แสงแล็บท็อปเป็นสิ่งเดียวที่เปิดไว้เคียงคู่โคมไฟสลัวข้างเตียง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรมากนัก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยโดนตามตัวเจอ ย้ายที่อยู่มาหลายครั้งแล้ว ที่นี่ก็แค่หนึ่งในนั้น..

เมื่อตาล้าจากการเพ่งมองจอนานๆก็จำเป็นต้องละออกมา ร่างสูงหลับตาลงแล้วถอนหายใจ นี่แก่จนแค่นั่งมองคอมพิวเตอร์นานมากไม่ได้แล้วหรือ… เขาหันไปเจอเข้ากับสูทสีขาวที่ห้อยอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าอย่างไม่ต้องการจะเก็บกลับเข้าไปในตอนที่เพิ่งเอามันเข้ามา

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าจะใส่ออกมาเป็นยังไงแม้มันจะยังไม่เสร็จดี คาเล็มจึงลุกจากเตียงไปลองสวมมันเสียเต็มยศ
ตัวเองในกระจกที่ไม่เหลือรูปลักษณ์คุณหมอดูแปลกตาตัวเองอย่างยิ่ง สองมือยกขึ้นลองเปลี่ยนทรงผมให้เหมือนกับวันที่ลาซารัสตรงเข้ามาทำให้ “นี่เห็นฉันเป็นเจ้าชายหรือไง..” แม้แต่ตัวเองยังคิดว่าดูดีผิดคาด

คาเล็มแอบยิ้มบางๆเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมองเขาด้วยความนึกคิดแบบไหนผ่านกระจกตรงหน้า ...แล้วก็นึกไม่ออกว่าตัดชุดนี้เสร็จเขาจะได้เอาไปใช้ในงานไหนกันเล่า?.. งานแต่งรึไง…

“...คิดอะไรไร้สาระจริง” ร่างสูงถอดชุดสูทออกแล้วแขวนไว้ตามเดิม เรื่องแต่งงานนั้นเขาสลัดมันทิ้งไปจากหัวตั้งนานเป็นสิบๆปีแล้ว และไม่เคยมีความคิดนั้นอีกเลยจนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้...กับอดีตโอเมก้าของเขา

คำพูดทุกคำพูด น้ำเสียงที่ตะโกนออกมาในตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเขายังจดจำมันได้ดี และโล่งใจที่ลาซารัสยอมตัดใจไปอยู่กับริชาร์ด อย่างน้อยก็วางใจได้เปลาะหนึ่งว่าที่นั่นปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องที่เพื่อนรักได้ล่วงเกินโอเมก้าของตนไปนั้น คาเล็มมาคิดดูส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดของเขาเองด้วยที่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันในช่วงอันตราย แม้จะยังทำใจได้ยากแต่ก็ต้องข่มใจยอมรับผลของมัน และยังมีเรื่องที่ทำให้เป็นกังวลอีกอย่างเกี่ยวกับลาซารัสก็คือว่าโอเมก้าคนนั้นจะตั้งครรภ์หรือไม่

ตลอดช่วงสัปดาห์ที่อยู่ด้วยกันเขากับลาซารัสมีอะไรกันตลอด แถมล่าสุดนั้นอีกฝ่ายก็ทำกับริชาร์ดไปด้วย ต่อให้กินยาคุมป้องกันไว้แต่เปอร์เซ็นที่จะเกิดก็ยังมีอยู่ คาเล็มได้แต่ภาวนาขอให้ยาตัวนั้นมันได้ผล เพราะสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ...หากลาซารัสท้องขึ้นมาจริงๆ เขาอาจจะยิ่งทำใจยอมรับได้ยากถ้าต้องเสียโอเมก้าที่รักไปอีกคน...ขออย่าให้มันเกิดขึ้นเลย


“ตอนนั้นแค่ให้ไปเล่นๆ ไม่คิดว่าจะติดต่อมาจริงๆเลยนะ ลาซารัส แมทเวย์” เสียงที่อยู่ปลายสายกำลังยิ้มระรื่น อันที่จริงเออร์แฟนก็คาดไว้แหละว่าอาจจะมีเรื่องติดต่อมาในสักวัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะเร็วถึงขนาดนี้

“...อย่างคุณคงไม่มีทางให้ไว้เล่นๆหรอกมั้งครับ” ลาซารัสพูดออกไปอย่างมิเกรงกลัวอัลฟ่าที่อีกปลายสาย ร่างโปร่งนั่งอยู่ที่ระเบียงรับลมในห้องของตนเพื่อให้มองเห็นว่ารถที่ไปรับริชาร์ดจะกลับมาเมื่อไหร่ สูทค่อยๆตัดกระเตื้องไปทีละนิดอย่างไม่รีบร้อนเพราะมีเวลาอีกมากมายให้ทำ พอเวลามันเหลือใช้ขนาดนี้ลาซารัสจึงมีเวลาไตร่ตรองเรื่องของคาเล็มมากพอที่จะคิดหาทางช่วยเหลือคนที่เขารักได้

“แล้วว่าไง โทรมานี่มีธุระอะไรรึ” เออร์แฟนวางมือจากหนังสือที่กำลังอ่านพลางยกขาขึ้นพาดกับโต๊ะตัวเตี้ย เอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายกาย วันหยุดพักผ่อนทั้งทีก็เลยอยู่บ้านทำสปาประทินผิวตั้งแต่หัวจรดเท้า หากไม่ติดที่หน้าที่การงานอันโหดร้ายก็ทำตัวราวกับเป็นชนชั้นสูงใช้ชีวิตหรูหราทั่วไป..

“งั้นเอาตรงๆเลยนะครับ คุณหมอ..ไม่สิ...คุณคาเล็มมีสิทธิ์จะชนะคดีที่กำลังฟ้องร้องกันอยู่มั้ยครับ”

“เอ.. ก็.. จริงๆก็ยากนะ แต่ไม่มากเท่าไหร่หรอกเพราะคนสนับสนุนก็มากขึ้นเรื่อยๆ” อัยการหนุ่มเท้าคางลงกับพนักโซฟาอย่างผิดหวัง โทรมาทั้งทีก็กลายเป็นเรื่องงานที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมันในเวลาพักผ่อนเสียนี่… แต่เพราะเป็นคดีนี้เขาเลยยอมที่จะคุยต่อ “ที่ยากคือฝั่งกระทรวงวัฒนธรรมน่ะแหละ พวกหัวโบราณแต่มีอำนาจน่ะให้การสนับสนุนฝั่งนี้อยู่เยอะ แถมเล่นไม่ซื่อทั้งยัดเงินปิดปากพวกหมอคนอื่นๆ กว้านซื้อโอเมก้าที่มีปากเสียงพอจะให้การไปเป็นของเล่นของพวกมันหมด….แน่นอนว่าพี่ชายคาเล็มก็ด้วย”

“งั้นเหรอ..” เสียงของปลายสายเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน คิดอยู่แล้วว่ามันคงเกินกำลังที่เขาจะทำอะไรได้ แต่ลาซารัสก็ไม่อยากจะนั่งอยู่เฉยๆอยู่ดี “คุณ...ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆเหรอครับ”

“ถ้ายอมจ่ายเงินมาแล้วยอมทำตามวิธีของฉัน ก็รับประกันให้ได้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแน่นอน..อย่างน้อยๆก็ประเทศนี้”

“คุณเรียกค่าว่าความไปเท่าไหร่เหรอครับ”

“ห้าร้อยล้าน นี่ลดให้แล้วนะ ถือว่าอุดมการณ์เดียวกัน”

“หา!!?” โอเมก้าหนุ่มเผลอแผดเสียงใส่โทรศัพท์อย่างตกใจในตัวเลข ทีแรกเขาคิดว่าอาจจะหลายสิบล้านเท่านั้นเอง “ย...เยอะ”

“นี่.. คิดดีๆนะเจ้าหนู อย่างที่บอกวันนั้น ฉันมีลูกน้องต้องจ้าง ทุกคนมีภาระต้องจับจ่าย ไหนจะแม่บ้าน ยาม แล้วก็พวกเด็กๆส่งเอกสารในตึก ฉันทำงานนี้ก็ต้องเรียกว่าทุ่มหมดตัว อะไรเอามาใช้ได้ก็จะใช้ให้หมด ถ้าขืนไม่ได้เงินตอบแทนเลยพวกฉันจะเอาอะไรกินล่ะ”

“ผมเข้าใจครับ...แต่ว่า ก็ตกใจอยู่ดี” ลาซารัสเสียงแผ่ว ท่าทางเขาจะทำอะไรไม่ได้จริงๆซะด้วยสิ

“ส่วนเรื่องวิธีการ.. ฉันจะบอกนายก็ได้ ยังไงก็ไม่ใช่ความลับเพราะเคยบอกคาเล็มไปแล้ว” เออร์แฟนเปลี่ยนมานั่งตัวตรงปกติและปล่อยให้สาวใช้จัดการนวดฝ่าเท้าของตน “ก่อนอื่น..ฝั่งโน้นใช้แค่อำนาจวงใน ไม่สามารถออกสื่อได้ เพราะงั้น เราจะใช้สื่อโจมตีพวกมัน..”

“เอ๋? ยังไงเหรอครับ”

“นายคิดว่าอะไรคือสิ่งที่มีอิทธิพลสูงสุดสำหรับสังคมล่ะ? ก็ต้องพวกสื่อบันเทิงหรือพวกสำนักข่าวนี่แหละ ถ้าสามารถดึงพวกมันให้โจมตีหรือประโคมข่าวเรื่องสิทธิของโอเมก้าได้ ศาลจะโอนอ่อนตามไปเอง”

“ศาลจะโอนอ่อน? ผู้พิพากษาเขาคงไม่สนใจหรอกมั้งครับ” ลาซารัสเอียงคอสงสัย

“ผิดแล้วเจ้าหนู ผู้พิพากษาก็คนเหมือนพวกรานี่แหละ มีพี่มีน้องมีครอบครัว ยังไงเขาก็ได้รับการไซโคจากคนรอบๆอยู่แล้ว การสู้กันในชั้นศาลน่ะ ถ้าเราทำให้ศาลเชื่อได้ก็คือชนะ” ร่างสูงสำรวจเล็บมือของตนก่อนส่งสัญญาณให้สาวใช้ว่าช่วยทำเล็บต่อให้ด้วย “ต่อไปก็หลักฐาน.. ฝ่ายเราไม่มีข้อแก้ต่างที่ฟังขึ้นมากพอเรื่องยา.. มันยังมีผลกระทบต่อคนที่กินมันติดต่อกันนานๆจริง”

“อา...เรื่องนั้น..” ลาซารัสคอตก ทำไมหนทางข้างหน้ามันมืดมนขนาดนี้

“จริงๆเรื่องนี้มันง่ายมาก.. แต่เราไม่มีตัวทดลองมากพอเท่านั้นแหละ” เออร์แฟนปลอบคนที่ปลายสายเมื่อได้ยินเสียงที่ราวกับหมดหวังนั่น “จากการสืบของฉันเอง ฉันก็รู้มาว่าโอเมก้าทุกคนที่กินมันล้วนเป็นโอเมก้าที่ไม่มีร่างกายสมบูรณ์พร้อมทั้งนั้น”

“ร่างกาย…” เขานึกถึงตอนที่คาเล็มประมูลเขามาด้วยการทุ่มเงินจำนวนมากไป.. นี่อาจเป็นเหตุผลให้คุณหมอยอมทำขนาดนั้น? จะว่าไป โอเมก้าที่เขาเจอในงานแต่งวันนั้นล้วนมีแต่คนที่ไม่น่าจะเรียกได้ว่าร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีด้วยซ้ำ บางคนยังแอบเห็นรอยช้ำจากการถูกทำร้ายร่างกายอีกด้วย

“คนป่วยอยู่แล้ว มาเจอยาที่ไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการกดฟีโรโมนและเปลี่ยนธรรมชาติของร่างกายที่จะฮีทตอนเจอกับฟีโรโมนของอัลฟ่า มันก็เรื่องปกติที่จะมีผลกระทบ แต่ขืนเป็นงี้ต่อไป งานวิจัยหมอนั่นก็ไม่คืบหน้าหรอก” เออร์แฟนถอนหายใจบ้าง เพราะความหัวรั้นของคาเล็มที่ไม่ยอมให้ใครอื่นลำบากไปด้วย แม้เพื่อนรักของเขาจะมีกำลังทรัพย์มากพอจะเฟ้นหาโอเมก้าที่ดี หรือแม้แต่โอเมก้าที่เขาเคยช่วยไว้หลายต่อหลายคนก็ยอมจะเป็นตัวทดลองให้… เขาก็ไม่ยอมรับความช่วยเหลือนี้… “เคยได้ยินใครบ่นว่าหมอนั่นหัวดื้อมั่งมั้ยล่ะ?”

“เอ่อ...ไม่เคยครับ” ถึงจะเคยได้ยินริชาร์ดกับเรนเดลบ่นบ้าง แต่เขาก็นึกว่าแค่พูดกันขำๆนี่หว่า.. “แล้วถ้าคุณเออร์แฟนจะช่วยจริงๆ จะเริ่มจากอะไรเหรอครับ”

“ยังไม่ได้คิด ก็คาเล็มไม่คิดจะจ้างนี่หว่า”

“...ครับ.. ขอบคุณครับคุณเออร์แฟน คุณนี่เป็นคนดีจริงๆด้วย”

“หา.. ยังไม่เข็ดเหรอ?” ร่างสูงส่งเสียงหงุดหงิดใส่เมื่อโดนอีกคนทักในเรื่องเดิมๆ

“ก็คุณอุตส่าห์ไปหาข้อมูลมาให้ว่าโอเมก้าที่กินยาไม่ใช่คนแข็งแรงทุกคน ไหนจะลดค่าว่าความให้ เมื่อตอนที่...ขโมยจูบผมไปก็เพื่อกระตุ้นให้คุณหมอยอมตีตราผม...แถมยังคิดหาวิธีชนะคดีไว้ให้แล้ว ...ผมว่าคุณเป็นคนดีนะครับ” น้ำเสียงสดใสกล่าวให้กับอัลฟ่าที่กำลังคุยด้วยอย่างจริงใจทำให้อีกฝ่ายถึงกับอึ้งในความโลกสวยของอีกคน….

“มีแค่นี้ใช่มั้ยไอ้หนู ฉันจะวางแล้วนะ เดี๋ยวอัลฟ่าที่รักของนายจะเขม่นฉันอีก”

“เอ่อ...เรื่องนั้น...คงไม่ต้องห่วงหรอกครับ” น้ำเสียงเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้เออร์แฟนขมวดคิ้วสงสัย

“มีอะไร?” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยถามอย่างเค้นเอาคำตอบจนคนโดนถามสะดุ้ง แม้จะเป็นการคุยผ่านโทรศพท์ก็ตาม

“ผม...โดนคุณหมอมอบให้คุณริชาร์ดแล้วล่ะครับ..” ลาซารัสจำยอมตอบไปอย่างช่วยไม่ได้

“เหรอ.. เสียใจด้วยละกัน งั้นขอตัวก่อนล่ะ” พูดจบก็ยังไม่ทันให้อีกฝ่ายกล่าวลาดีๆ เออร์แฟนก็วางสายลงทันทีที่จบประโยค ร่างสูงวางโทรศัพท์ลงอย่างเหนื่อยล้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นนวดขมับราวกับกำลังคิดหนัก ข่าวเรื่องที่พี่ชายของคาเล็มเริ่มเคลื่อนไหวแปลกๆมันคงไม่ใช่แค่ข่าวลือสินะ...  “ปล่อยเรื่องมานานจนมันยุ่งยากซะแล้วนะไอ้โง่คาเล็ม..”


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.8 Up! (23/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 23-02-2017 01:17:17

“ฮัด...เช้ย!” คุณหมออัลฟ่าจามพลางนึกสงสัยว่าเป็นหวัดขึ้นมารึไง ทั้งที่ยังเป็นฤดูร้อนอยู่เลยแท้ๆ

“ไม่สบายหรือครับนายน้อย?” เรนเดลที่ยกมื้อเที่ยงมาให้ถึงกับถามว่าเป็นอะไร

“เปล่า สงสัยมีคนนินทา” คาเล็มส่ายหน้าปฏิเสธ

“โทรศัพท์ดังอีกแล้วนะครับ?” พ่อบ้านมองเครื่องมือสื่อสารที่เจ้านายปล่อยให้มันสั่นไม่ยอมรับสาย

“โทรมาได้ไม่หยุดหย่อนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ดวงตาหลังแว่นปรายตามองเบอร์ของพี่ชายที่ปรากฏบนหน้าจอ ก่อนจะกดปิดเครื่องแล้วดึงซิมการ์ดออก นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปิดโทรศัพท์ไม่ได้เพราะเกรงว่าจะมีคนจับสัญญาณจากโทรศัพท์มาเจอบ้านหลังนี้เข้า “หนีไปเมืองนอกกันมั้ยเรนเดล?”

“กระผมไม่ขัดข้องหรอกนะครับ” พ่อบ้านเอ่ยอย่างเข้าใจ ที่จริงแล้วคาเล็มมีบ้านพักอยู่ต่างประเทศ ถ้าหากย้ายไปที่นั่นก็อาจตัดปัญหาเรื่องถูกตามรังควานไปได้ “ถ้าหากนายน้อยตัดสินใจกระผมก็จะติดตามไปทุกที่”

“เฮ้อ...ฉันล้อเล่นหรอกน่า” คาเล็มโบกมือไปมา “ขืนไปจริงก็เท่ากับหนีน่ะสิ”

คุยกันต่อได้สักพัก โทรศัพท์ของเรนเดลก็ดังขึ้นมา พ่อบ้านสูงวัยเปิดเครื่องดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของลาซารัสติดต่อมาอีกครั้ง “คุณแมทเวย์อยากคุยด้วยนะครับนายน้อย”

“บอกไปว่าฉันยุ่งอยู่” ร่างสูงให้พ่อบ้านบอกปัดคนโทรออกไป

“ครับ” เรนเดลรับคำสั่งแล้วเอ่ยตอบไปตามนั้น คุณหมออัลฟ่าแอบมองอยู่ห่างๆ เห็นสีหน้าของพ่อบ้านเปลี่ยนไปนิดหนึ่งก่อนหันกลับมาอีกครัง “คุณแมทเวย์บอกว่าได้ติดต่อไปหาอัยการคนนั้นมาน่ะครับ”

“ว่าไงนะ!...แค่กๆ!” คาเล็มสำลักจนอาหารติดคอ พอหายใจหายคอคล่องแล้วก็ยื่นมือออกไปขอคุยกับคนที่โทรมาก่อนกรอกเสียงที่ดังกว่าปกติออกไป “ทำบ้าอะไรของนาย!”

“ขะ...ขอโทษครับคุณหมอ” เสียงปลายสายสั่นที่โดนดุผ่านโทรศัพท์จากอัลฟ่าเจ้าของคนเก่า “ผมแค่อยากช่วยคุณหมอก็เลยลองคุยกับคุณเออร์แฟนไปดูน่ะครับ”

คาเล็มยกมือนวดขมับ เขาอุตส่าห์ส่งลาซารัสไปอยู่กับริชาร์ดหวังจะให้ปลอดภัยไม่โดนลูกหลง แต่ทางนั้นก็ยังกระโดดเอาตัวเข้ามาเสี่ยงในวังวนปัญหาโลกแตกนี้จนได้ “นายอย่าหาเรื่องใส่ตัวได้มั้ย นี่เป็นปัญหาของฉัน อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องน่า”

“คุณหมอ ผมขอถามอะไรหน่อยสิครับ”

“เรื่องอะไร?” ร่างสูงแปลกใจในน้ำเสียงของโอเมก้าที่ตนได้ยิน

“ตอนที่คุณหมอประมูลตัวผมมาจากตลาดมืด คุณหมอประมูลไปเท่าไหร่ครับ?”

คาเล็มโดนยิงคำถามที่ชวนให้คิดถึงเรื่องในคืนนั้นขึ้นมา ก่อนจะตอบออกไปเป็นมูลค่าที่ลาซารัสเองก็ยังถึงกับอ้าปากค้าง

“เงินตั้งขนาดนั้น ทำไมคุณไม่เอาไปจ้างคุณเออร์แฟนล่ะครับ!” โอเมก้าหนุ่มแทบจะเป็นลมตอนนั่งนับเลขศูนย์ในใจ ค่าตัวของเขานั้นเรียกว่าสามารถจ่ายเงินเต็มจำนวนเป็นค่าจ้างว่าความให้อัยการหนุ่มคนนั้นได้โดยไม่ต้องลดราคาให้ด้วยซ้ำ

“ก็เคยได้ยินไปแล้วไม่ใช่เรอะว่าฉันไม่ชอบวิธีการของเจ้านั่นน่ะ” คุณหมออัลฟ่าเน้นย้ำชัดเจน แต่คนปลายสายนั้นเริ่มเข้าใจที่เออร์แฟนพูดไปเมื่อเช้าแล้วว่าคาเล็มเป็นคนหัวดื้อจริงๆ ดื้อเกินไปด้วยซ้ำ!

“คุณหมอครับ…” ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อผ่อนคลายหลังจากตกใจหนักมากไปแล้ว “ผมเพิ่งคุยกับคุณริชาร์ดมา คุณริชาร์ดบอกว่าเขาอยากจะจ่ายเงินค่าประมูลตัวผมให้คุณหมอน่ะครับ”

“อ้อ...” คาเล็มเลื่อนจานอาหารออกแล้วเอนหลังพิงไปกับเก้าอี้ “ที่โทรมาก็เพราะเรื่องนี้เองสินะ”

“ก็...ใช่ครับ แต่เพราะติดต่อคุณหมอไม่ได้เลยผมเลยต้องโทรเข้าเบอร์คุณเรนเดลแทน” 

“ฉันปิดโทรศัพท์ไว้น่ะไม่งั้นจะโดนแกะรอยเจอ” คาเล็มตอบไปตามจริงโดยไม่ปิดบัง เพราะคาดว่าลาซารัสเองก็คงพอจะรู้สถานการณ์ตอนนี้ไม่มากก็น้อยแล้ว

“คุณหมอ...ปลอดภัยดีอยู่รึเปล่าครับ?” น้ำเสียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หมออัลฟ่าที่ได้ยินดังนั้นก็เผลอใจอ่อนยวบจนอยากแสดงความรู้สึกจริงๆออกไป แต่ก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะตอนนี้อีกฝ่ายไม่ใช่คนของเขาอีกต่อไปแล้ว

“อย่านอกเรื่องสิ ธุระของนายคือเรื่องเงินค่าตัวไม่ใช่เรอะ” คาเล็มวกกลับเข้าเรื่องเดิม “แต่ฝากไปบอกกับริชาร์ดด้วยว่าฉันขอคืนแค่ครึ่งเดียวพอ เพราะว่านายก็เคย...กับฉันมาแล้วน่ะ”

“อา...นั่นสินะครับ” ดวงตาสีฟ้าที่อยู่ในสายหม่นลงเล็กน้อย ตัวเขานั้นได้ผ่านการเป็นของคนอื่นมาก่อนแล้ว มูลค่าของตัวเองก็ย่อมลดลงตามไปด้วย

“ถ้าทำได้...เงินน่ะฉันไม่อยากได้คืนหรอก” เสียงทุ้มเบาลงจนเกือบคิดว่าวางสายไปแล้ว “ฉันอยากให้นายกลับมามากกว่า”
ใบหน้าของโอเมก้าหนุ่มเห่อร้อนจนแดงซ่าน ไม่ใช่เพราะเขินอายแต่เสียงของคาเล็มที่ได้ยินนั้นมันแฝงไปด้วยความคิดคะนึงหาต่อตัวเขา แม้เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม เขาเองก็คิดถึงอัลฟ่าเจ้าของคนเดิมที่เขารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“ผมก็...อยากกลับไปครับ” ร่างโปร่งจับโทรศัพท์แน่น “ผมอยากเห็นใบหน้าและรอยยิ้มของคุณ อยากสัมผัสอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่ผมเพิ่งเคยได้รับเป็นครั้งแรก อยากกลับไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ หลังนั้นด้วยกันพร้อมหน้า บ้านที่มีทั้งหมอกับคุณเรนเดล จูเลียต แล้วก็เจ้าตัวเล็กพวกนั้น… แต่ผม...กลับไปไม่ได้แล้วสินะครับ”

“ลาซารัส…” คาเล็มได้ยินเสียงสั่นจากคนพูด แม้จะไม่ได้ร้องไห้เพราะกำลังข่มกลั้นมันไว้ก็ตาม แต่ก็คงจะกำลังทรมานใจอยู่แน่นอน “ฉันขอโทษนะ ที่ดูแลนายไม่ได้”

“ไม่ครับ ผมได้รับการดูแลมาดีเกินไปด้วยซ้ำ ถึงจะ...มีบ้างที่ไม่ชอบใจเพราะคุณหมอเอาผมไปเป็นหนูทดลองยาก็เถอะ” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยแซวและหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนเพราะใกล้จะสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวแล้ว

“...เดี๋ยวฉันจะโทรติดต่อไปอีกทีแล้วกัน”

“ครับ รักษาตัวด้วยนะครับคุณหมอ” ลาซารัสบอกลาแต่ยังไม่กดวางสายไป คาเล็มเองก็เช่นกัน เขายังถือสายอยู่แบบนั้นเหมือนกำลังรอที่จะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายนานขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี

“ผมรู้ว่าคุณคงเบื่อที่จะฟังแล้ว แต่ผมก็อยากจะบอกอีกครั้ง...ผมรักคุณนะครับ คุณคาเล็ม”

เสียงปลายสายพูดจบไปแทนที่ด้วยความเงียบหลังสิ้นบทสนทนา ร่างสูงจ้องมองโทรศัพท์อยู่เนิ่นนานก่อนจะคืนมันให้พ่อบ้าน

“อาหารจะเย็นหมดแล้วนะครับ” เรนเดลเอ่ยหลังจากเจ้านายนั่งนิ่งอยู่นานไม่ยอมทานต่อ พ่อบ้านเดินไปลูบหัวจูเลียตที่ทานอาหารไปเพียงครึ่งเดียวแล้วนอนหมอบอยู่เฉยๆ แม้จะชวนมันออกไปเดินเล่นหลังอาหารแต่ก็ไม่ยอมลุกทั้งที่ปกติชอบการเดินเล่นเป็นที่สุด

ดวงตาหลังกรอบแว่นมองไปรอบๆ บ้านหลังนี้กว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอไม่มีเสียงร้องหนวกหูของพวกขนปุยแล้วบ้านมันเงียบเหงาได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

“เรนเดล…”

“ครับนายน้อย?” ชายชราหันมาหาจ้านายของตนที่ยังคงใช้ส้อมเขี่ยอาหารในจานไปมาไม่ยอมกินต่อ

“ขอยืมโทรศัพท์อีกครั้งสิ” คุณหมออัลฟ่าเอ่ยขอ พ่อบ้านยื่นโทรศัพท์ให้นายน้อยของตนอีกครั้งและมองดูว่าจะติดต่อไปหาใคร “นี่ฉันเอง”

“วันนี้มันวันอะไรเนี่ย มีแต่คนโทรหาฉันทั้งวันไม่ได้หยุดพักผ่อนเลย” เออร์แฟนบ่นอย่างเสียอารมณ์ขณะนอนคว่ำให้สาวใช้นวดหลัง “มีอะไรว่ามา แต่ถ้าจะบ่นที่ฉันแอบให้เบอร์อดีตโอเมก้าของนายไปล่ะก็ฉันจะวางสายทันที”

“ฉันให้แกสองเท่า”

“หา?” อัยการหนุ่มยกมือบอกให้สาวใช้หยุดมือแล้วพลิกตัวมานั่งคุยให้ถนัด “อะไรคือให้ฉันสองเท่า?”

“ค่าจ้างว่าความไง จะเอามั้ย? ถ้าไม่พอจะเพิ่มให้…”

“เดี๋ยวๆๆ ไปกินยาอะไรมาวะแกน่ะ!” เออร์แฟนตั้งตัวไม่ทันจนเผลอหลุดมาดเดิม ก่อนจะไล่ให้สาวใช้ออกไปก่อนเพราะไม่มีสมาธิจะผ่อนคลายอารมณ์แล้วตอนนี้ 

“ไม่มีอะไรนี่ ฉันแค่เปลี่ยนใจแล้ว” คาเล็มยังคงเอาส้อมเขี่ยผักและอาหารในจานเล่นอย่างเหม่อลอยแต่น้ำเสียงจริงจังหนักแน่น

“คิดถึงเจ้าหนูนั่นจนยอมใจอ่อนแล้วเหรอ” เออร์แฟนเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยแซวคนที่เขาตื้อให้จ้างมาตลอดหลายปี “ฉันบอกแล้วจะเอาแค่นั้น ให้มากกว่านั้นก็ถือเป็นน้ำใจละกัน”

“....ไม่ให้หรอก ถ้านายจะเอาแค่นั้นฉันก็จ่ายแค่นั้น..” คุณหมอถอนหายใจก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วลุกเอาจานไปเก็บทั้งที่ยังถือหูกับอีกฝ่ายอยู่ “ฉันต้องการให้มันจบสักที…”

“....ใช่จะไม่เข้าใจนะ” เสียงที่เคยเกลียดนักหนาตอนนี้อ่อนลงเล็กน้อยเหมือนโล่งใจที่จะได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที

“แต่ก่อนอื่น ขอให้ตอบฉันมาตรงๆได้มั้ย ไหนๆจะทำงานด้วยกันแล้ว ฉันอยากจะแน่ใจอะไรสักหน่อย”

“เอาสิ”

“นายอยากช่วยฉันไปทำไม… ไม่สิ ทำไมนายถึงอยากให้ยาพวกนี้มันถูกกฎหมาย อัลฟ่าจะมีอำนาจในการปกครองโอเมก้าลดลง ...แต่นายไม่น่าใช่คนที่ทำเพื่อคุณธรรมอะไรนั่นแน่ๆ”

เออร์แฟนเงียบไปครู่ใหญ่ แต่เสียงของทีวีทำให้คาเล็มรู้ว่าคู่สนทนายังคงอยู่ปลายสายไม่ได้หายไปไหน “งั้นฉันจะตอบตามตรง ถ้ารับไม่ได้ก็เรื่องของนายนะ”

“อือ..” คาเล็มพิงตัวกับเค้าท์เตอร์ในครัวด้วยความอยากรู้สุดชีวิต เรนเดลที่คอยดูอยู่เป็นระยะถึงกับต้องหยุดล้างจานมามองว่าทำไมนายน้อยของตนถึงเปลี่ยนท่าทางไป

“ฉันอยากหาแฟน..”

“....อะไรนะ?”

“ใช่ ฉันอยากหาแฟน นายก็รู้ว่าโอเมก้าต้องหลบๆซ่อนๆ หาตัวลำบากยากเข็ญขนาดไหน!? แล้วการจะหาแฟนในสเป็คให้ได้นี่ มันก็ยากขึ้นไปอีก!” คาเล็มอ้าปากค้างทำหน้าเหมือนเจอสิ่งแปลกประหลาดสุดชีวิต “ถ้าหากยานี่ผ่านแล้วได้รับการพัฒนาต่อ แน่นอนว่ามันจะทำให้โอเมก้ามีสิทธิ์ที่จะออกมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น! คนกว่าครึ่งโลกจะออกมาให้พบเจอมากขึ้น หนึ่งในนั้นต้องมีโอเมก้าที่ฉันถูกใจแน่ๆ!”

“...ไอ้บ้าเอ๊ย” คาเล็มสบถแล้วเผลอหัวเราะออกมา

“อย่ามาขำนะเว้ย นี่เรื่องจริงจังมากเลยนะ!” แม้เออร์แฟนจะพูดแบบนั้นแต่เขาเองก็กำลังยิ้มอย่างสบายใจที่ได้พูดๆมันออกไปอยู่
“ฉันไม่ได้หัวเราะนายสักหน่อย ฉันหัวเราะตัวเองต่างหาก โธ่เอ๊ย...ปล่อยให้ทางนี้หลงเข้าใจนายผิดอยู่ได้ตั้งนาน” คาเล็มคุยไปยิ้มไป จนเรนเดลเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้เจ้านายของตนยอมญาติดีกับอัยการหนุ่มคนนั้นได้

“แล้วนายเคยคิดจะฟังฉันมั้ยล่ะ เอาแต่ถือทิฐิอยู่ฝ่ายเดียว หาว่าเล่นไม่ซื่อบ้างล่ะ ใช้วิธีการสกปรกไร้สามัญสำนึกบ้างล่ะ” เออร์แฟนว่าประชดประชันด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่อย่างว่าแหละจะให้ทำใจยอมรับวิธีการของทางเขาให้ได้นั้นมันคงยากและเจ็บใจไม่น้อย ก็ครั้งหนึ่งเคยสูญเสียและพ่ายแพ้อย่างหมดท่าไปเพราะคนของเขานี่นา

“ก็แล้วมันจริงมั้ยล่ะ” คุณหมออัลฟ่าย้อนคำพูดใส่คนที่คุยด้วย “เออ...ถ้าเป็นตัวฉันเมื่อเร็วๆนี้ก็คงตอบแบบนั้น แต่ตอนนี้จะยังไงก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อวิธีการขาวสะอาดมันช่วยอะไรไม่ได้ งั้นฉันก็จะไม่เกรงใจแล้วเหมือนกัน”

“โห...น่ากลัวแฮะ คาเล็ม รอสเกรย์คนนั้นจะออกจากมาลงสนามไม่เอาแต่มุดหัวอยู่ในรูแล้ว แบบนี้ทั้งวงการคงช็อคสั่นสะเทือน” อัยการหนุ่มไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด หากไม่เลือกเดินบนเส้นทางที่อยู่เบื้องหลังการผลิตยาผิดกฏหมาย ชีวิตของทายาทคนเล็กของตระกูลรอสเกรย์คงโรยด้วยกลีบกุหลาบมากกว่านี้

ที่คาเล็มยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนแก่ป่านนี้ไม่ได้เป็นเพราะโชคดีมีเพื่อนอย่างริชาร์ด เบอร์ตั้น ซีอีโอชื่อก้องในแวดวงธุรกิจคอยหนุนหลังอย่างเดียว แต่อิทธิผลที่ตัวคุณหมออัลฟ่ามีอยู่ในมือนั้นมันมีอำนาจพอที่จะปกป้องตัวเองได้ระดับหนึ่ง แต่เพราะความรู้สึกผิดที่ผลงานซึ่งน่าจะนำมาซึ่งความสุขกลับกลายเป็นผลเสียต่อผู้คนและยังสูญเสียคนรักไปในเวลาเดียวกัน จึงเดินลงจากเวทีไปอย่างผู้แพ้และถูกรุกไล่ต้อนให้ต้องเป็นฝ่ายถอยหนีอยู่เสมอ

“ฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ถ้าต้องแพ้ก็จะสู้ให้ถึงที่สุด”

“นายจะแพ้ได้ยังไง ในเมื่อนายยอมลงแทงข้างฉันแล้ว ไม่มีทางที่นายจะแพ้ใครได้อีก”

“อย่ามัวแต่อวยตัวเองนักเลย แสดงให้ฉันดูหน่อยแล้วกันว่านายทำได้อย่างที่พูดมั้ย แต่ถ้าไม่ชนะอย่างมากนายก็แค่โสดต่อไปเท่านั้นเองแหละเจ้าคนเรื่องมากเอ๊ย”

พ่อบ้านสะดุ้งเมื่อยิ่งมองเจ้านายคุยโทรศัพท์ก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างที่ไม่เห็นมานาน เรนเดลสังหรณ์ใจไม่ดีเลยว่าอาจจะเกิดเรื่องวิปโยคขึ้นในเร็ววันนี้แน่นอน


“เป็นไงมั่งล่ะ” ริชาร์ดเอ่ยถามเมื่อเห็นลาซารัสเดินกลับมาที่ห้องโถงสำหรับพักผ่อน อัลฟ่าคนเดิมในชุดลำลองสบายๆเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวพร้อมเครื่องเกมกดในมือ

“คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อมาคุยรายละเอียดอีกทีครับ” ลาซารัสนั่งลงที่โซฟาตัวเล็กข้างๆและหยิบหนังสือติดมือมากะว่าจะอ่านไปด้วย… แต่ไหนๆอยู่กับริชาร์ดทั้งทีก็น่าจะคุยอะไรกันสักหน่อย “แผลของคุณเป็นยังไงบ้างแล้วครับ”

“...ขอโทษทีนะ”

“ครับ?”

“ขอโทษที่ดันทำกับนายเมื่อวานไง” ร่างสูงวางเกมส์ในมือลงกับตักโดยปล่อยให้มันเกมโอเวอร์ไปทั้งอย่างนั้น

“เอ่อ...นั่นมันเรื่องสุดวิสัย...ไม่เป็นไรหรอกครับ” ลาซารัสก้มหน้าลง ไม่กล้ามองสบตากับอีกฝ่ายเมื่อคิดถึงเรื่องนั้นทั้งที่กับคุณคาเล็มเขาสามารถทำตัวปกติได้ต่อทันทีเลยแท้ๆ… “อ่ะ แต่คุณหมอบอกว่าจะเอาแค่ครึ่งเดียวนะครับ...เงินน่ะ”

“อ๋อ อืมๆ.. ไงก็ได้” ริชาร์ดเท้าคางเหม่อมองออกไปข้างนอก ท่าทางจะคิดถึงเพื่อนรักอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะทักไปหา เห็นได้จากที่นั่งมองมือถืออยู่หลายครั้งแค่ก็ไม่ทำอะไรต่อ

“คุณริชาร์ด….ไม่เหงาเหรอครับ...บ้านใหญ่โตขนาดนี้” ลาซารัสเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นคนที่เคยมีรอยยิ้มอยู่เสมอได้ซึมลงไป

“หือ...อ้อ! ไม่หรอก ต้องเรียกว่า..ชินแล้วล่ะมั้ง” พอถูกชวนคุยคนที่นั่งเงียบอยู่ก็กลับมาเป็นปกติ.. แต่ดูก็รู้ว่าแค่พยายามไม่ให้บรรยากาศมันแย่ลงเท่านั้น “มันก็มีเงียบๆบ้างแหละ แต่พวกสาวใช้ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็ทำบ้านมีสีสันดีนะ”

“มีเจ้าพวกตัวเล็กแล้วด้วย พวกเค้าคงวิ่งวุ่นกันมากกว่าเดิมอีก” ลาซารัสที่ตื่นมาตอนเช้าในเวลาเดิมๆของตัวเองก็พบว่าเหล่าแม่บ้านและสาวใช้ต่างกำลังวิ่งไล่จับแก๊งค์ขนฟูอยู่ในสวนอย่างสนุกสนาน เป็นภาพที่น่ารักแปลกตาดีสำหรับบ้านหรูหราแบบนี้

“นั่นแหละ ...ว่าแต่นายโอเคขึ้นแล้วเหรอ” ริชาร์ดมองไปหาอีกคนเพื่อสำรวจทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะดวงตา “ทำใจเร็วดีนี่”

“ก็ไม่ได้เร็วอะไรหรอกครับ.. ยัง...อยากกลับไปหาคุณหมออยู่ตลอดแหละ แต่คุณหมอเค้าตัดสินใจแล้วนี่นา” ร่างโปร่งทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อยและหันไปทางอื่น “แต่จบเรื่องนี้...ผมคงจะได้กลับไปหาคุณหมอสินะครับ”

ริชาร์ดเงียบไปโดยไม่ให้คำตอบใดๆ.. ทั้งที่เขาตอบตกลงได้ทันทีซะด้วยซ้ำแต่ทำไมเขาถึงเงียบไว้ก็ไม่อาจทราบ แค่ยกโอเมก้าคืนให้เพื่อนแล้วเอาเงินคืนมันไม่ได้ยากอะไรเลยแท้ๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาทำลายความเงียบ ก่อนแม่บ้านสูงวัยในชุดมิดชิดเรียบร้อยจะเดินเข้ามา “ได้เวลาเปลี่ยนผ้าพันแผลแล้วค่ะคุณผู้ชาย” ใบหน้าอ่อนโยนราวกับคุณแม่ส่งยิ้มมาให้ ด้านหลังเธอคือสาวใช้ที่อายุยังน้อยสองคนถือกล่องพยาบาลและเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาให้

“อ้อ โอเค” ริชาร์ดลุกขึ้นนั่งและถอดเสื้อตัวหลวมออก แม่บ้านเข้ามาทำแผลให้อย่างคล่องแคล่วเหมือนฝึกมาอย่างดี ลาซารัสแอบมองอย่างเป็นห่วง รอยแผลยังไม่หายไปแม้มันจะเริ่มปิดแล้วแต่ก็ยังมีเลือดซึมอยู่บ้างรวมทั้งรอยช้ำรอบๆยังคงชัดเจน..
แต่ที่เขามองต่อจากแผลคือขนาดตัวของริชาร์ดที่ดูทั้งแน่นและฟิตกว่าคาเล็มอย่างเห็นได้ชัด ลาซารัสขมวดคิ้วจนหน้ามุ่ยแล้วจับลูบไปตามตัวของตัวเอง นึกอิจฉาเหล่าอัลฟ่าที่ตัวใหญ่ล่ำสมชายกันขนาดนั้น ทั้งที่เขาอุตส่าห์พยายามมาแทบตายแท้ๆ ทว่ากลับเทียบพวกเขาไม่ได้เลย

“ทำไมทำหน้าตลกแบบนั้นล่ะลาซัส” ร่างสูงเอ่ยถามขณะกำลังโดนสาวเล็กสาวใหญ่รุมล้างแผล แม่บ้านสูงวัยเองก็ถือโอกาสสอนเหล่าสาวใช้วัยรุ่นเรื่องการล้างแผลที่ถูกต้องไปด้วย การเปลี่ยนผ้าครั้งนี้จึงค่อนข้างนานเป็นพิเศษ

“เอ๋? ผมทำหน้าแบบไหนเหรอ?” คนโดนทักสะดุ้งแล้วถามกลับตาใสแป๋ว

“ก็จ้องยังกับจะกินเลือดกินเนื้อกันน่ะ” ไม่ว่าเปล่าริชาร์ดยังทำหน้าล้อเลียนเขาอีกต่างหาก แต่นั่นเรียกเสียงหัวเราะจากโอเมก้าหนุ่มได้

“ผมไม่น่าจะทำหน้าแบบนั้นนะครับ” รอยยิ้มสดใสประดับใบหน้าทำเอาสาวๆในห้องหยุดสนใจการสอนของแม่บ้านสูงวัยไปชั่วขณะกระทั่งโดนหญิงสูงอายุกว่ากระแอมเรียกพวกเธอให้ได้สติกลับมาเรียนรู้ต่อ

“...ดีจัง คิดว่านายมาอยู่นี่แล้วจะเฉาซะอีก ยังยิ้มได้แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย” ริชาร์ดยิ้มตอบอีกฝ่ายแล้วเอื้อมมือมาขยี้ผมอีกคนจนหัวยุ่งกระเซิงไปหมด “เป็นห่วงแทบแย่”

“อ๋า!? ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ!” ลาซารัสก้มหัวให้ทีหนึ่ง เขาเพิ่งนึกได้ว่ามัวแต่ซึมแบบนี้คุณริชาร์ดคงไม่สบายใจ สายตาของอัลฟ่าตรงหน้าบ่งบอกว่าเป็นห่วงเป็นใยเขาจริงๆ ทำให้ความรู้สึกไม่คุ้นชินสถานที่ในคราแรกจึงเริ่มคลายตัวลง แต่เมื่อถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองนานเข้าเขากลับเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม “เอ่อ..งั้น… ผมขอตัวไปตัดสูทให้คุณริชาร์ดต่อนะครับ”

ลาซารัสรีบจ้ำเท้าออกจากห้องไปอย่างไม่คุ้นชินกับริชาร์ดที่ทำตัวแบบนี้ ส่วนคนที่ยังคงโดนล้างแผลอยู่ก็ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแล้วเริ่มรู้สึกผิดที่ทำเด็กกลัว..

เผลอตัวไปหน่อยแฮะ..


หลังทำแผลเสร็จแล้วเจ้าบ้านก็เดินไปที่ห้องทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์เช็คอีเมล์และส่งข้อความไปยังเลขาของตนว่าจะหยุดพักอยู่บ้านสักระยะ หากมีงานเร่งด่วนก็ให้คนส่งเอกสารมาให้ที่บ้าน และหากใครต้องการขอพบให้เลื่อนนัดไปก่อน ซึ่งปกติริชาร์ดมักจะทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องเข้าบริษัทตลอดก็ได้อยู่แล้ว แต่เดี๋ยวยามหน้าออฟฟิศจะจำหน้าคนจ่ายเงินเดือนให้ไม่ได้พาลจะไม่ให้เขาเดินเข้าไปในตึกผู้บริหารซะเปล่า อาทิตย์หนึ่งจึงต้องเข้าบริษัทซักสามสี่วันเป็นอย่างน้อย

ซีอีโอหนุ่มเปิดโทรศัพท์เช็คดูอีกครั้ง คาเล็มไม่ตอบกลับมาแม้แต่ข้อความเดียวเช่นเคย แต่ก็พอจะเข้าใจดีเพราะสถานการณ์ตอนนี้มันแทบจะไม่ต่างไปจากตอนที่เกิดเรื่องกับโนเอล เขาไม่อาจตอบได้ว่าเรื่องครั้งนี้มันเลวร้ายกว่าในตอนนั้นหรือไม่ ริชาร์ดก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนรักจะยอมติดต่อมาบ้างสักนิดก็ยังดี ให้โดนด่าจนอยากไปเกิดใหม่ยังดีซะกว่าโดนเมินเฉยราวกับตัดขาดกันแบบนี้

“เฮ่อ...หนักใจจริงจริ๊ง…”

ขณะที่กำลังปวดหัว อะไรบางอย่างก็มานัวเนียที่ขา พอก้มลงไปมองดูก็เห็นเจ้าปุกปุยสีขาวคาบของเล่นมาตั้งใจจะให้เจ้านายมาเล่นด้วยกัน แต่ริชาร์ดรีบคว้าเอามาซ่อนไว้เพราะมันเป็นของเล่นอย่างว่า พร้อมกับกระซิบเสียงเบาถามเจ้าสก็อตว่าไปเอามาจากไหน

“สก็อต! เอาคืนมานะ…” ร่างโปร่งวิ่งหน้าตั้งตามหลังสก็อตที่ตอนนี้หลบไปอยู่ด้านหลังริชาร์ดให้เจ้านายออกหน้าแทน ทั้งคู่ยืนจ้องกันนิ่ง ตอนนี้ริชาร์ดรู้แล้วว่าเจ้าหมาน้อยตัวป่วนไปขโมยของเล่นของใครมา

“คือ...ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ” ลาซารัสพูดทั้งที่หน้าแดงโดยที่เจ้าบ้านยังไม่ทันถามอะไรเลย “ผมก็เพิ่งรู้ว่าคุณหมอให้ของพวกนี้มาด้วย คือผม...กำลังจะเอาไป...ทิ้ง...แล้ว...พอดี”

“อา...เข้าใจแล้วๆ นายไม่ต้องพยายามอธิบายหรอก” อัลฟ่าเจ้าของบ้านมองโอเมก้าที่พยายามแก้ความเข้าใจผิดให้เขาฟังด้วยเสียงตะกุกตะกัก “เอาไปเก็บไว้ดีๆ ไม่ต้องทิ้งหรอก เสียดายของน่ะ”

กลายเป็นว่าพอพูดไปแล้วใบหน้าของร่างโปร่งยิ่งแดงหนักกว่าเดิม เดี๋ยวนะ...นี่เขาพูดอะไรผิดเหรอทำไมต้องเขินถึงขนาดนั้นด้วย!

“.....ครับ” ลาซารัสเดินหันหลังกลับไปแล้วยิ่งซอยเท้าเร็วขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่งหนี ปล่อยให้ริชาร์ดยืนทื่อมองดูอย่างไม่เข้าใจท่าทีนั้นต่อไป

แต่ที่อันตรายก็คือ...เขาดันรู้สึกว่าลาซารัสน่ารักขึ้นมานี่สิ….



TBC.




*****************************************************************************************


คืนนี้ขอตัวนอนก่อนนะคะ สติไม่เหลือพอจะคุยท้ายตอนแล้ว อะแหะ...   :t3:

//ควรเปลี่ยนไปอัพตอนกลางวันเหมือนเดิม แต่กลางคืนมันมีสมาธิกว่า O]=[
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.8 Up! (23/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 23-02-2017 02:21:21
จริงๆแล้ว...อยากให้ริชาต์ดเป็นพระเอกอ่ะ ทำไงดี5555 หลงรักริชาต์ดไปแล้วอ่ะคะ ขอโทษ ฮือออ แต่งดีมากเลยย มีทุกรสชาติ นิยายยอดเยี่ยมแห่งปีไปเลยคะะ
ปล.อยากให้ริชาต์ดเป็นพระเอกจริงๆนะ
ปล2. ซารางเฮ ริชาต์ดพระเอกกกก555555 :hao7: :hao6: :z2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.8 Up! (23/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 23-02-2017 11:14:32
สนุกมากเลยค่ะ อ่านเมามันมาก อัพรัวๆ ขนาดนี้ ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.8 Up! (23/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 23-02-2017 12:07:58
ริชาดนิคือดีจริงๆด้วย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.9 Up! (24/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 24-02-2017 12:14:02

บทที่ 9



“ชุดเสร็จแล้วนะครับคุณริชาร์ด” ผ่านไปสามวันในที่สุดชุดสูทสีฟ้าอ่อนของซีอีโอหนุ่มก็เสร็จสมบูรณ์ งานของลาซารัสก็เลยจบลงเพราะไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว กลายเป็นว่าตอนนี้เขากลับมาว่างสุดๆอีกครั้ง รู้อย่างนี้ไม่น่ารีบเก็บงานเพลินจนเสร็จเลยก็ดี

“ใส่สบายดีจัง” ทันทีที่สวมกับตัวริชาร์ดก็รับรู้ได้ว่ามันค่อนข้างต่างกับสูทราคาแพงตัวอื่นๆ “รู้สึกได้ถึงความใส่ใจเลยล่ะ”

“ขอบคุณครับ ขอเช็คขนาดตัวหน่อยนะครับ” ลาซารัสเดินวนเพื่อเช็คดูส่วนที่ต้องเก็บงานต่อ วันนี้ดูจะเริ่มชินกับเจ้าของใหม่ของตัวเองแล้วจึงเป็นธรรมชาติขึ้นเยอะ ซึ่งก็ดีที่ริชาร์ดจะได้ไม่เกร็งมากตามไปด้วย

“อีกตั้งอาทิตย์กว่าจะถึงวันงาน ไม่ต้องรีบมากนักก็ได้”

“ผมอยากรีบทำน่ะ… คุณริชาร์ดครับ พอจะทราบมั้ยว่าคุณหมอเค้าชอบกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

“หือ?” ร่างสูงมองสงสัยพลางถอดสูทออกให้

“ผม..อยากลองทำน่ะครับ รู้ว่าทำไม่เก่งแต่มันก็ต้องเก่งสักวันละน่า!” ลาซารัสยิ้มอย่างมั่นใจ ท่าทางอยากทำจริงๆจนริชาร์ดเผลอยิ้มตาม

“เอาสิ! จริงๆฉันว่าแค่ทำไปให้เจ้านั่นก็ดีใจแล้วน่า” อัลฟ่าอีกคนพูดปลอบแต่ก็แอบอยากลองกินฝีมือของลาซารัสดู.. ทว่า... พอนึกถึงกาแฟง่ายๆที่ได้กินไปเขาก็เปลี่ยนใจปิดปากที่เกือบจะขออาสาเป็นหนูทดลอง “สู้เค้านะ! ถ้าอยากใช้ครัวก็ตามสบายเลย!”

“ขอบคุณมากนะครับ!”


เมื่อรู้เมนูที่คุณหมอชอบลาซารัสก็เดินหาห้องครัวในบ้านหลังใหญ่ไปเสียเกือบชั่วโมง เมื่อเดินเข้าไปพร้อมมือถือที่เปิดสูตรพุดดิ้งในมือก็เตรียมตัวมองหาอุปกรณ์… แต่ด้วยความหรูเกินจะเป็นครัวสามัญชนทำให้ร่างโปร่งยืนลังเลอยู่สักพักเพราะกลัวทำอะไรต่ออะไรพัง…

“อุ๊ย! คุณแมทเวย์ มาทำอะไรเหรอคะ” ชาวใช้วัยละอ่อนกว่าโอเมก้าหนุ่มสองสามคนเดินผ่านห้องครัวมาพอดีจึงทักถาม

“อ่ะ! สวัสดีครับ..ผม...เอ่อ… มาหัดทำขนมน่ะครับ” ลาซารัสตอบตะกุกตะกักแล้วห่อตัวลีบอย่างเขินอายที่โดนเจอเข้าแถมยังทำตัวลับๆล่อๆน่าสงสัยอีก

“เอ๋~ คุณแมทเวย์จะทำขนมอะไรเหรอ ให้พวกเราสอนมั้ยคะ”

“จะทำไปให้ใครเหรอ คุณริชาร์ดเหรอคะ”

สามสาวในชุดเมดมิดชิดเดินเข้ามารุมล้อมตัวเขาแล้วเสนอตัวช่วยอย่างเป็นมิตร แต่ลาซารัสที่...แทบไม่เคยเจอผู้หญิงเลยตลอดชีวิตก็ได้ยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกให้สาวๆเข้ามาจัดแจงช่วยหาอุปกรณ์มาวางเตรียมไว้ให้

“ข..ขอบคุณมากครับ”

แม้จะทำอย่างทุลักทุเลแต่ด้วยความช่วยเหลือปนเอ็นดูของเหล่าสาวน้อยเขาก็ทำออกมาเสร็จได้ในที่สุด… ซึ่งแน่นอนว่ามันกินไม่ได้อย่างที่คิดไว้… ความสามารถในการทำอาหารของลาซารัสคงจะติดลบเกินจะเยียวยาอย่างแน่นอน

“ไม่เป็นไรน้าคุณแมทเวย์ ลองใหม่ก็ได้” ร่างอรชรเข้ามาปลอบเมื่อเห็นว่าโอเมก้าหนุ่มดูเฉาลงไป

“อื้อ! ขอบคุณมากครับ” รอยยิ้มกว้างฉาบบนในหน้าของลาซารัสทำเอาสาวๆเคลิ้มกันไปเป็นแถบ แต่ท่าทางคนโปรยความสดใสจะไม่รู้ตัว….

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากแม่บ้านสูงวัยที่เข้ามาดูว่าในครัวเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะพบว่าเมดสาวๆ พากันรุมล้อมแขกของคุณผู้ชาย “พวกเธอทำงานบ้านเสร็จแล้วรึไงจ๊ะ?”

สิ้นคำถาม สาวเมดทั้งสามคนพากันแตกตัวเหมือนผึ้งแตกรังแยกย้ายกันไปทำงานแทบไม่ทัน แม่บ้านสูงวัยเดินเข้ามาดูว่าแขกของคุณผู้ชายกำลังทำอะไรอยู่ พอเห็นสภาพขนมก็ถึงกับอุทานแล้วเอามือทาบอก

“คุณแมทเวย์ นี่พุดดิ้งหรือคะ?” แม่บ้านมองขนมในถ้วยอย่างพิจารณาจากรูปร่าง แม้สีสันจะไม่ค่อยเหมือนพุดดิ้งเท่าไหร่ก็ตาม

“อ่า...ใช่ครับ ขอโทษด้วยครับที่ทำออกมาเสียของ” ร่างโปร่งยืนตัวลีบข้างๆแม่บ้านสูงวัยที่กำลังชิมพุดดิ้งของเขาแล้วต้องบ้วนทิ้งแทบจะทันที

“อืม...ดิฉันแนะนำว่าครั้งต่อไปลองตวงส่วนผสมไว้ก่อนค่อยลงมือทำดีมั้ยคะ ตอนทำขนมจะได้ไม่ลนว่าใส่มากหรือน้อยเกินไป” หญิงชราลูบแขนปลอบใจ “ครั้งหน้าถ้าอยากทำขนมล่ะก็มาบอกดิฉันได้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะช่วยดูให้”

“แต่ผม...ทำพลาดตั้งขนาดนี้” โอเมก้าหนุ่มเริ่มไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และกลัวว่ามันจะลงอีหรอบเดิมซ้ำๆ เหมือนครั้งนี้อีก

“พลาดแค่ครั้งสองครั้งอย่าเพิ่งท้อสิคะ ครั้งนี้อาจจะทำได้ไม่ดี แต่ครั้งต่อไปต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ” หญิงสูงวัยยังคงให้กำลังใจ ลาซารัสพยักหน้าแล้วเริ่มยิ้มตอบอย่างมีความหวังขึ้นมาบ้าง

“ขอบคุณครับ ครั้งหน้าผมคงต้องขอรบกวนด้วยนะครับ”

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ” รอยยิ้มของแม่บ้านมอบกำลังใจให้เขาอีกครั้ง ตอนอยู่กับเมดสาวๆอาจจะเกร็งอยู่บ้าง แต่พอเป็นหญิงชราคนนี้เขากลับรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก


เรนเดลได้รับข้อความภาพจากลาซารัส พ่อบ้านถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่จนเจ้านายที่กำลังหัวหมุนกับการรวบรวมเอกสารไปใช้สู้คดีถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น “นายน้อยดูเอาเองแล้วกันครับ”

“ไหน?” คาเล็มหยิบโทรศัพท์ของพ่อบ้านมาดูภาพพุดดิ้งที่ตกแต่งด้วยสติกเกอร์เหมือนกับว่าขนมในรูปได้ตายจากไปพร้อมข้อความไว้อาลัย “นี่มันอะไรกัน?”

“คุณแมทเวย์หัดทำพุดดิ้งครั้งแรกครับ แล้วก็กินไม่ได้เลยต้องทิ้งมันลงถังขยะน่ะ” เรนเดลยังคนกลั้นขำ ส่วนคุณหมออัลฟ่านั้นทำหน้าอึ้งไป

ริชาร์ดมันทำบ้าอะไรถึงปล่อยให้ลาซารัสเข้าครัวได้เนี่ย!

“ขนมของโปรดนายน้อยไม่ใช่เหรอครับ สงสัยคงกำลังหัดทำให้นายน้อยทานอยู่แน่ๆ” พ่อบ้านแอบหยอดมุขให้เจ้านายของตน แต่สีหน้าของคนฟังดูท่าทางจะไม่ชอบใจมุขนี้สักเท่าไหร่นัก

“...เรนเดล นายอย่ามาล้อเล่นนะ” ดวงตาหลังแว่นไม่สบอารมณ์นิดๆ แต่สำหรับพ่อบ้านที่อยู่ด้วยมานาน สายตาขู่เหมือนแมวแค่นี้ไม่ทำให้เขากลัวไปได้หรอก...

“ก็ไม่รู้สินะครับ แล้ว...จะให้ตอบกลับไปว่ายังไงดีครับ?”

“นายก็ตอบไปสิ” คาเล็มหันไปตั้งหน้าตั้งตารวบรวมเอกสารต่อ ปล่อยให้หน้าที่ส่งข้อความเป็นของพ่อบ้านไป

“งั้นกระผมจะตอบไปว่านายน้อยจะรอทานอย่างใจจดใจจ่อนะครับ” พูดจบนิ้วของชายชราก็จัดการพิมพ์และกดส่งไปทันที

“เรนเดล!”


ข้อความจากเรนเดลทำเอาคนกำลังท้อมีแรงฮึดอีกรอบ คราวนี้เขาลองค้นหาถ้วยตวงตามคำแนะนำของแม่บ้านมาเตรียมรอไว้ พรุ่งนี้คุณแม่บ้านถึงจะซื้อของมาให้เผื่อเขาได้ลองผิดลองถูกให้สาแก่ใจจนกว่าจะเบื่อพุดดิ้งกันไปข้างหนึ่ง…

“น่าตกใจที่คุณหมอชอบอะไรน่ารักๆแบบนี้แฮะ” ลาซารัสเดินอมยิ้มไปตามทางเดินกว้างเพื่อกลับไปจัดของในห้องต่อ… ของที่สก็อตไปคุ้ยออกมาให้เขาอับอายคุณริชาร์ดเล่นๆ…

เมื่อมาถึงห้องและล็อคประตูเรียบร้อยเพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามาเห็นเขาก็รีบตรงไปจัดการกับของเล่นสุดพิเรนที่ไม่รู้ว่าคาเล็มจะให้มาทำไม “เยอะขนาดนี้เลยเหรอ.. คุณหมอนี่โรคจิตนิดๆรึเปล่านะ”

ลาซารัสมองพินิจเซ็กส์ทอยหน้าตาแปลกๆหลายๆอันที่ล้วนไม่เคยเห็นได้ตามปกติ ในใจก็อยากรู้แต่จิตสำนึกมันกำลังอับอายที่ต้องมานั่งมองของอย่างนี้อยู่

สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นฝ่ายชนะ ร่างโปร่งลองหยิบแต่ละอันออกมาอ่านวิธีใช้ตามข้างกล่องทั้งที่ใบหน้าแดงซ่านด้วยความอายแม้จะไม่มีใครอยู่ก็ตาม บางอันที่หยิบจับมาก็จำได้แม่นยำว่าเคยโดนคาเล็มเอามาลองใช้กับตนเป็นที่เรียบร้อย ยิ่งทำเอาคนหน้าบางอยากเอาหัวโขกกำแพงตายด้วยเพราะความทรงจำมันชัดเสียเหลือเกิน “คุณหมอ..จะคิดถึงเราแบบที่เราคิดอยู่นี่บ้างมั้ยนะ…”

ลาซารัสเริ่มหายใจติดขัดเพราะดันคิดถึงเรื่องสัปดนที่ทำไปกับคนที่รักตลอดช่วงฮีทที่ผ่านมา แม้จริงๆของเล่นพวกนี้จะทำเขาถึงสวรรค์ได้บ่อยและสุขสมกว่าแต่ความสุขทางใจมันเทียบไม่ได้กับความยอดเยี่ยมที่คาเล็มมอบให้เลย ความอบอุ่นของทั้งมือใหญ่และร่างกายร้อนชื้นไปด้วยเหงื่อ กับสายตาที่เต็มไปด้วยราคะนั่นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน

“อือ…” ร่างกายร้อนระอุและหอบหายใจถี่ขึ้นจากอาการที่คุ้นเคย แม้จะเพิ่งผ่านช่วงฮีทมาหมาดๆแต่ด้วยสุขภาพที่เรียกได้ว่าพร้อมต่อการสืบพันธุ์แบบสุดๆนี้ก็ฮีทขึ้นมาได้เพียงเพราะจินตนาการที่เด่นชัดในความทรงจำ “...คุณหมอ…”

ลาซารัสถือแท่งเลียนแบบเครื่องเพศชายในมือแล้วเริ่มชะโลมเลียด้วยลิ้นร้อนพลางจินตนาการว่ามันเป็นแก่นกลางที่เคยสอดใส่ตนมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่รสสัมผัสกับกลิ่นของซิลิโคนก็ทำเขาหงุดหงิดเล็กน้อย จึงยอมเอาเจลหล่อลื่นมาเทลงไปบนแท่งนั้นแทน...

มือปลดซิปและดึงกางเกงลงมากองที่เตียงให้ทำกิจกรรมด้วยตัวเองได้ถนัด ร่างโปร่งนอนคว่ำและยันเข่าให้สะโพกยกขึ้นมา มือสั่นเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าต้องมาทำอะไรแบบนี้ในบ้านคนอื่นตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ดวงตาสีฟ้าหลุบลงก่อนสูดลมหายใจเข้าผ่อนคลายตัวเอง เขาค่อยๆดันส่วนหัวของเครื่องเพศชายปลอมเข้ามาในช่องทางลับที่เตรียมพร้อมแล้ว

“อ่ะ...คุณคาเล็ม...ฮึก...อา!” มือขยับดึงเข้าออกช้าๆและค่อยๆเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นทีละนิด ลาซารัสหลับตาและจินตนาการว่าแท่งซิลิโคนในมือคือแก่นกายร้อนของคุณหมออัลฟ่าที่รัก “อ๊ะ! ฮ้า...คะ...คุณหมอ!”

ภาพความเร่าร้อนตลอดวันคืนที่ร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง ภาพที่ร่างสูงนั้นกระแทกเข้ามาในกายของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหิวกระหายและครอบครองไว้เพียงผู้เดียว

“คุณหมอ...คาเล็ม...อ๊ะ! อื๊อ!” สะโพกขยับรับกับของเล่นที่ตนสอดใส่เข้ามา ภายในช่องทางแคบตอดรัดกับแก่นกายปลอมที่ไร้ซึ่งความเร่าร้อนที่รุนแรง มืออีกข้างเลื่อนลงมาที่แก่นกลางซึ่งมีหยาดน้ำใสปริ่มส่วนปลายเพื่อปรนเปรอด้านหน้าของตนไปพร้อมกับด้านหลัง

ครืด...ครืด…

“อึ่ก!...ใคร?” โอเมก้าหนุ่มสะดุ้งที่โทรศัพท์มือถือข้างตัวดันสั่นขึ้นมาในเวลานี้ มือข้างที่จับของเล่นตั้งใจจะเลื่อนไปกดปิดทว่าปลายนิ้วดันกดรับสาย แล้วเสียงทุ้มที่แสนคิดถึงก็ดังแทรกเข้ามา

“ฮัลโหล?” คาเล็มกรอกเสียงลงไปเพราะว่ามีคนกดรับสายแต่กลับไม่ได้ยินเสียงเจ้าของเครื่อง “ลาซัส นายอยู่รึเปล่า?”

ร่างโปร่งเอามือปิดปากตัวเองกลั้นเสียงครางไม่ให้เล็ดลอดออกไป ทำไมคุณหมอถึงได้โทรมาในเวลาแบบนี้ล่ะ! แล้วเขาจะทำยังไงดี...แต่ถ้าไม่รับตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะโทรมาอีกเมื่อไหร่ด้วย

“ค...ครับ อยู่ครับ” ร่างโปร่งพยายามทำเสียงให้ปกติ แต่มันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

“พอดีฉันจะโทรมาบอกว่า..ฉันจ้างเออร์แฟนแล้ว..ก็หวังว่าเรื่องมันจะจบเร็วๆนี้” คาเล็มหมุนเก้าอี้ไปมาหน้าโต๊ะทำงานพลางมองเอกสารในมือที่จะส่งต่อให้โรงพยาบาลอีกที เมื่อรายงานเรื่องที่จะบอกเรียบร้อยเขาก็รอฟังปฎิกิริยาของคนที่เข้ามายุ่งจนเขาใจอ่อน ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบกลับมาแถมยังได้ยินเสียงแปลกๆที่ฟังไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก “ลาซัส?”

“ครับ!?” เสียงสั่นสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกเรียกชื่อ ตอนนี้เขาอยากได้ยินเสียงคุณหมอมากๆ แต่ถ้าเผลอพูดอะไรมากมีหวังโดนจับได้แน่ๆ

“เป็นอะไรรึเปล่า? ..ฉันมารบกวนอะไรนายมั้ย?” คาเล็มเริ่มสงสัยแต่ก็ยังไม่มั่นใจจึงลองถามไปตรงๆ

“ไม่ครับ..ไม่ได้รบกวน” ลาซารัสเอื้อมมือลงไปที่ส่วนล่างเพื่อเอาอะไรๆที่สอดใส่ทิ้งไว้ออกไปก่อน แต่มือสั่นกลับเผลอไปกดโดนสวิตซ์เปิดระบบสั่นที่ไม่รู้ว่ามันมีอยู่เข้าจนเผลอครางลั่นออกไป “อ๊า!..”

“ลาซัส… นายฮีทอีกเหรอ?” คุณหมอหยุดทุกการเคลื่อนไหวของตัวเอง แอบอึ้งนิดๆที่อีกฝ่ายยังมีแรงเหลือให้ฮีททั้งที่ก็ทำไปตั้งขนาดนั้นแล้ว

“...ครับ” คนโกหกไม่เป็นจำยอมตอบด้วยเสียงเบา ความเสียวซ่านจากแรงสั่นสะเทือนที่ช่องทางด้านหลังนั้นกำลังเร่งเร้าอารมณ์เขาขึ้นมาทีละนิด เสียงของคนที่แสนคิดถึงก็ดังอยู่ข้างหูนี่แล้ว ยิ่งทำเอาสติแทบเตลิด “ผมคิดถึงคุณคาเล็มนี่นา..”

“... นายอยู่กับเจ้าของใหม่แล้ว..ทำแบบนี้ฉันลำบากใจนะ” คาเล็มถอนหายใจขณะที่อีกฝ่ายดูจะเริ่มเรียกหาเขาเรื่อยๆ “งั้นฉันวางสายก่อนนะ”

“ผมอยากได้ยินเสียงคุณ...” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยอ้อนคนที่กำลังจะหนีด้วยเสียงรัญจวนที่ท่าทางจะถูกกระตุ้นจนเครื่องติดไปแล้ว “ช่วยบอกรักผมหน่อยสิครับ เรียกผมก็ได้..”

ร่างสูงที่อีกปลายสายเริ่มมีอารมณ์กับเสียงกระเส่านั้นขึ้นมาทีละนิด เสียงเดียวกับช่วงที่พวกเขาเสพสมกันเสียแทบจะลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ทำไมร่างกายเขามันถึงจำสัมผัสของร่างเล็กสั่นระริกนั้นได้ดีขนาดนี้นะ..

“คุณคาเล็ม…?”

“..ลาซัส.. ตอนนี้ใช้เซ็กส์ทอยอันไหนอยู่” คาเล็มยอมแพ้ให้กับความต้องการของตัวเองก่อนจะเอนตัวพิงลงกับเก้าอี้แล้วใช้มือเพียงข้างเดียวปลดเอาส่วนกลางที่กำลังเริ่มตื่นตัวออกมา

“อ...อันไหน?” สติที่เลือนลางกำลังคิดประมวลผลอย่างหนัก ตอนที่เอาออกมาดูก็จำไม่ได้ด้วยสิ.. มือเรียวจึงค่อยๆดึงมันออกมาเพื่อสังเกตุหน้าตาของมัน “อ...อันสีม่วงๆ ที่สั่นได้สี่ระดับ..”

“อ่าฮะ ...หาอันสีดำที่ไม่มีระบบสั่นมาใช้แทนนะ” คาเล็มออกคำสั่งระหว่างกำลังเริ่มลูบไล้แก่นกายของตนแล้วหลับตาลงเพื่อฟังเสียงหอบของอีกฝ่ายให้ชัดเจน

ร่างโปร่งทำตามอย่างว่าง่าย ของเล่นที่เอาออกมาวางกองกันไว้อยู่แล้วทำให้ง่ายต่อการมองหา “ครับ..เจอแล้ว..”

“ตอนนี้นายอยู่ในสภาพไหนล่ะ อธิบายให้ฟังทีสิ” คุณหมอลุกขึ้นจากเก้าอี้เพราะนั่งทำไม่ถนัดมือแล้วตรงไปที่เตียง เอาหมอนสองสามใบมาวางซ้อนไว้เพื่อให้นั่งพิงกึ่งๆจะนอนราบได้สบายตัว

“ผ...ผม… ผมถอดกางเกงออก...ใส่แค่เสื้อ..ครับ”

“อ่าฮะ นั่งอยู่เหรอ?..หรือนอนอยู่?”

“นอนครับ...นอนหงายอยู่...” ลาซารัสเอาโทรศัพท์แนบหูในขณะที่อีกสองมือกำลังหยอดเจลหล่อลื่นใส่กับของเล่นที่คาเล็มเลือกให้.. แม้ไม่มีออฟชั่นอะไรเลยแต่ขนาดของมันทำเอาคนกำลังเตรียมตัวแอบหวั่นใจไม่น้อย “คุณหมอ… ผมคิดถึงคุณหมอจัง”

“อ่าฮะ.. นี่ ช่วยครางให้ฟังหน่อยสิ”

“เอ๋?” หน้ามนที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงซ่านเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดขอร้องตรงๆ

“ฉันก็ต้องการอะไรกระตุ้นนะ ของเล่นพวกนั้นก็ให้นายไปหมดแล้ว” คาเล็มพูดหยอกในขณะที่มือกำลังเริ่มรูดรั้งความเป็นชายให้แข็งตัวขึ้น

ลาซารัสมองลงไปที่ส่วนกลางของตนที่หยาดเยิ้มด้วยน้ำหล่อลื่นก่อนจะวางเซ็กส์ทอยสีดำในมือลงแล้วเริ่มขยับมือปรนเปรอตัวเอง “อ่ะ...อ๊ะ!.. คุณหมอ” เสียงครางสั่นกระเส่าดังอยู่ข้างหูคุณหมอคาเล็มจนส่วนอ่อนไหวถูกกระตุ้นให้แข็งตัวเสียง่ายๆ ขนาดว่าไม่ได้เห็นหน้ากันแท้ๆ…

“นี่…” จู่ๆ คาเล็มก็เกิดจุดประกายความคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “เปิดวีดีโอคอลได้มั้ย?”

“เอ๋!?” มือที่กำลังกระตุ้นส่วนอ่อนไหวชะงัก “คุณหมอ...โรคจิตอ่ะ”

“เพิ่งรู้ตัวเหรอว่าฉันโรคจิตน่ะ” เสียงทุ้มหัวเราะเสียงเบาในลำคอ “ไม่อยากเห็นหน้าฉันเหรอลาซัส?”

“อือ...ขี้โกง” รู้ทั้งรู้ว่าเขาคิดถึงแทบขาดใจแต่ก็ยังพูดแบบนี้อีก “ก็ได้ครับ…”

ร่างโปร่งทำใจอยู่สักพักก่อนละมือมากดเปิดวีดีโอคอล พอได้เห็นใบหน้าของคนที่คิดถึงกำลังทำสีหน้าต้องการเช่นเดียวกับตนแบบนี้แล้วมันยิ่งกระตุ้นอารมณ์วาบหวามแปลกๆ “คุณคาเล็ม…ยะ ยังไงต่อครับ?”

“อย่าใจร้อนสิ” ตอนแรกแค่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก็ทำเอาคุณหมออารมณ์เตลิดไปถึงไหนแล้ว พอได้เห็นหน้ากันชัดๆแบบนี้ยิ่งรู้สึกอยากจะกอดคนในวีดีโอแทบบ้า “เลื่อนโทรศัพท์ลงมาให้ฉันดูตรงนั้นที”

โอเมก้าหนุ่มหน้าแดงซ่านแต่ก็ยอมทำตาม เขาเลื่อนโทรศัพท์ลงไปยังจุดหมายตามที่เจ้าของคนเก่าบอก คาเล็มเผลอกลืนน้ำลายลงคอและเลียริมผีปากอย่างเผลอตัว คิดถึงวันคืนที่ได้ลิ้มรสชาติร่างกายหอมหวานของลาซารัสครั้งแล้วครั้งเล่ามิรู้เบื่อตอนที่ร่วมรักกัน

“คุณหมอ...ผมจะรอไม่ไหวแล้วนะครับ” เสียงสั่นเอ่ยอย่างเว้าวอนน่าสงสาร อารมณ์ที่ขาดช่วงทำให้เขาทรมานจากร่างกายที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยเสียที “ผม...ใส่มันเข้าไปได้รึยังครับ?”

“ถ้านายพร้อมก็ใส่เลยสิ ตั้งกล้องวางไว้ก็ได้จะได้ทำได้ถนัดหน่อย” คุณหมออัลฟ่าแนะนำคล่องเสียจนร่างโปร่งชักสงสัยแล้วสิว่าทำไมคุณหมอถึงได้ดูเชี่ยวชาญขนาดนี้ แต่ก็ได้แค่เก็บคำถามนั้นไว้แล้วตั้งกล้องโทรศัพท์ไว้ที่ปลายเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเซ็กส์ทอยสีดำแล้วเริ่มสอดใส่มันเข้าไปช้าๆ 

“อ๊ะ!.. อ่ะ.. มันใหญ่จัง” ขนาดที่คาเล็มบอกให้ใช้ดันเป็นอันที่ดูจะเกินกำลังร่างโปร่งจะรับไหว น้ำตาหยดใสเริ่มเล็ดจากดวงตาสีสดเพราะความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามา “เจ็บอ่ะ..คุณหมอ..”

“ไม่งอแงสิลาซัส ค่อยๆเอาเข้าไป” เห็นใบหน้าทรมานของอดีตโอเมก้าของตนแล้วรู้สึกได้ว่าส่วนกลางของเขาเริ่มกระตุกเบาๆตามจังหวะที่ร่างโปร่งในจอสะดุ้งจากความเจ็บปวด ดวงตารื้นน้ำมองมาหาเขาที่อยู่ในมือถือด้วยสีหน้าที่ดูยั่วยวนสุดๆจนเขาไม่อยากจะทน “...ฉันเปลี่ยนใจแล้ว นายยัดเข้าไปจนมิดด้ามเดี๋ยวนี้เลย”

“เอ๋!? ไม่..ไม่เอา..” ลาซารัสสั่นศีรษะรัว ขืนยัดเข้ามาหมดนี่เขาได้ร้องลั่นแน่ๆ แถมมันดูท่าจะเจ็บเอาเรื่องอยู่

“ลาซัส.. คิดซะว่านั้นเป็นไอ้นี่ของฉันละกัน นายไม่อยากได้มันเร็วๆเหรอ?” คาเล็มเลื่อนกล้องออกไปให้เห็นส่วนสงวนของตนที่ตื่นตัวแข็งเต็มที่พร้อมออกศึกจากภาพตรงหน้าที่ดูเย้ายวนเหลือคณา มือหนารูดรั้งมันช้าๆอย่างจงใจให้คนที่ดูอยู่รู้สึกวูบวาบที่ส่วนล่างเบาๆ

“...คือ..” เสียงหอบลังเลที่จะตอบ

“ฉันอยากเข้าไปในตัวนายแล้วนะลาซัส.. คิดถึงช่องแน่นๆแสนน่ารักนั้นจะตายอยู่แล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยคำพูดสุดสัปดนที่ทำเอาคนฟังสะท้านทั้งกายทั้งใจ ก่อนร่างโปร่งจะขมวดคิ้วจนหน้าดูน่ารักน่าชัง

“คุณหมอโรคจิตจริงๆด้วยอ่า..” มือเรียวข้างหนึ่งกำจิกลงบนผ้าห่มก่อนมืออีกข้างจะออกแรงดันเซ็กส์ทอยชิ้นใหญ่เข้ามาจนสุดด้ามตามคำสั่งของอัลฟ่าสูงวัย “อ๊าา!! อ๊ะ!! เจ็บ!!”

“ฮ้ะ..!” เสียงร้องกับสีหน้าแสนเร้าอารมณ์ของคนที่ตนมองดูอยู่ทำเอาคาเล็มเผลอครางลอดไรฟันออกมา มือหนาออกแรงบีบตามภาพที่เห็นพลางจินตนาการว่าเขาเองที่เป็นคนสอดใส่ส่วนแข็งขืนนั้นเข้าไปในตัวโอเมก้าคนนี้ “ดึงออกมาใหม่แล้วใส่เข้าไปแบบเมื่อกี้อีกสิ”

ร่างโปร่งทำตามทั้งที่ทั้งตัวสั่นระริกจากความเจ็บปวด เมื่อสอดเสียดกระแทกวัตถุจำลองเครื่องเพศเข้ามาเช่นครั้งแรกอีกครั้ง..และอีกครั้ง… เรื่อยๆจนร่างกายเริ่มคุ้นชิน ความเจ็บปวดในครั้งแรกก็จางหายไป เหลือเพียงความเสียวสะท้านแล่นเข้ามาทุกครั้งที่มือจับมันกระแทกเข้ามา

“อ๊า! อ๊ะ! อ๊ะะ!! คุณ..หมอ… คุณหมอครับ!”

“ไม่เอา… เรียกชื่อฉันสิ ลาซัส..” คาเล็มใช้มือตามจังหวะสอดใส่ของลาซารัสและเร่งเครื่องขึ้นตามความเอาแต่ใจของอีกคน “แยกขาออกอีกหน่อยสิ”

“คุณ..คาเล็ม..อื้ออ” เสียงครางตอบรับและยอมทำตามแต่โดยดีโดยไม่มีความเหนียมอายใดๆ ตอนนี้เขามีเพียงภาพการร่วมรักกับอดีตเจ้าของของตนอยู่เต็มหัว “คุณคาเล็ม! ฮ้ะ!.. แรงอีก..ได้มั้ย อ๊ะ..!!”

“ได้สิ.. จะทำจนนายเดินไม่ไหวเลยล่ะ” ร่างสูงขยับมือรวดเร็วขึ้นเพื่อเป็นคนกำหนดจังหวะมือให้ลาซารัสทำตาม

“อ๊ะ! อึก.. ฮ้ะ!! ลึกจังคุณคาเล็ม! ผม...ผมเสียวจัง!” โอเมก้าหนุ่มเผลอขยับของเล่นเข้าออกตามภาพตรงหน้าอย่างลืมตัว ร่างกายกำลังหลอกตัวเองว่าคนที่อยู่ในโทรศัพท์นั้นกำลังร่วมรักกับตนอย่างร้อนแรง ความต้องการพุ่งสูงขึ้นหลังจากหยุดไปกลางทางจนแทบจะถึงสวรรค์อยู่รำไร “คาเล็ม..อึก! ช่วยปล่อยข้างในนี้ได้มั้ย อ่ะ! ขอ...ลึกๆเลยได้มั้ย”

“อื้อ...ได้” มือหนาขยับรูดรั้งเร็วขึ้นและกำแน่นให้เสียดสีกับมือของตนมากขึ้นราวกับว่าช่องทางคับแคบในภาพหน้าจอนั้นกำลังบีบรัดแก่นกายร้อนที่จวนใกล้จะระเบิดนี้ “ลาซัส...ลาซัส…”

“ฮ้า! คาเล็ม...ผมใกล้จะ...อื้อ! ไม่ไหวแล้ว!” โอเมก้าหนุ่มหอบหายใจแทบไม่ทันและใกล้จะไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนคาเล็ม

“อือ...ฉันก็ด้วย…พร้อมกันนะ” เสียงทุ้มแหบพร่าหอบหนักพร้อมกับย้ำให้ร่างโปร่งกดปุ่มเล็กๆที่ตัวของเล่นสีดำด้วย สายตาหื่นกระหายจ้องภาพในโทรศัพท์แทบไม่วางตา

“อ๊ะ! อ๊าา! คาเล็ม!!”

“อึ้ก! อ่ะ!!”

มือกดเซ็กส์ทอยดันเข้าจนลึกสุดๆ ราวกับมันกระแทกเข้าไปถึงปราการชั้นในสุดของช่องทางคับแคบ ปุ่มที่คุณหมอสั่งให้กดก็ฉีดเอาน้ำอุ่นๆเข้ามาข้างในด้วย

ร่างสูงกระตุกเกร็งจากการปลดปล่อย ของเหลวสีขาวขุ่นฉีดพ่นออกจากแก่นกายร้อนจนล้นมือที่ใช้ปรนเปรอ อัลฟ่าสูงวัยหอบถี่เสียงกระเส่าจ้องมองร่างโปร่งที่หอบหน้าแดงอยู่อีกฟากของโทรศัพท์

“...เด็กไม่ดี” คาเล็มกรอกเสียงพูดลงไปทั้งที่ยังหอบเสียงหนัก มือหนาหันไปหยิบทิชชู่มาเช็ดคราบเปื้อนที่เปรอะไปทั่ว

“อือ...ว่าผมทำไมครับ?” ลาซารัสหลับตาปรือเพราะเหนื่อยจากกิจกรรมที่เพิ่งจะเสร็จไป

“ก็นายชอบแอบทำตอนกลางวันทุกที ไม่เกรงใจคนอื่นบ้างเลย” คุณหมออัลฟ่าดุอย่างไม่จริงจังนัก

“ความผิดคุณคาเล็มนั่นแหละครับ”

“ฉันทำอะไร?”

“ทำให้ผมคิดถึงคุณจนทนไม่ไหวนี่…” ใบหน้ามนเขินอายกับสิ่งที่พูดไป คาเล็มอดเสียดายไม่น้อยที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นคงจับมาหอมแก้มแดงๆ นั้นซักฟอดให้หนำใจ

“อือ...ขอโทษนะ” เสียงทุ้มเจือความเศร้าไว้นิดๆ เขาเองก็คิดถึงไม่น้อยไปกว่าคนพูดหรอก แต่จะพูดออกไปก็รู้สึกกระดากปาก แค่ที่เพิ่งเล่นเสียวผ่านโทรศัพท์กันไปหมาดๆนี่ก็รู้สึกผิดต่อริชาร์ดมากพอแล้ว

“เอ่อ…” ความเงียบปกคลุมทั้งที่เพิ่งจะผ่านเรื่องร้อนแรงกันไป ลาซารัสจึงพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย “ตะกี้คุณคาเล็มพูดว่าจ้างคุณเออร์แฟนแล้วสินะครับ”

“อา...ใช่” คาเล็มวกกลับเข้าเรื่อง “แต่ก่อนจะคุยต่อ นายช่วยปิดวิดีโอคอลก่อนได้มั้ย”

ร่างโปร่งที่เพิ่งนึกขึ้นได้กุลีกุจอรีบมาปิดหน้าจอแล้วยกโทรศัพท์มาแนบหูฟัง “อยู่ๆทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะครับ?”

“อืม...ว่ายังไงดีล่ะ.. ฉันอยากรีบจบเรื่องล่ะมั้ง” คาเล็มเอาโทรศัพท์แนบหูแล้วถอยตัวลงมานอนแผ่สบายตัวหลังจากปลดปล่อยอะไรๆออกมาจนหมด “จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมากมายอีกแล้ว”

“อืม.. คุณหมอเหนื่อยมามากแล้วนี่เนอะ” ลาซารัสหยิบทิชชู่มาเช็ดร่องรอยเปรอะเปื้อนบนตัวของตัวเองด้วยระหว่างที่ฟังคาเล็มเล่าไปด้วย

“เหนื่อยมาก.. แล้วพอทุกอย่างมันจบ ฉันจะได้หาวิธีเอานายคืนมาได้โดยไม่คิดเรื่องอื่นไง”

คำพูดของคาเล็มทำเอาโอเมก้าหนุ่มชะงักนิ่งไป เขาเงียบลงเสียนานจนคุณหมอนึกว่าสายหลุดไปแล้ว ลาซารัสยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดีพร้อมน้ำตาที่เอ่อบนดวงตาอีกครั้ง “ผมจะรอนะครับ”

“ร้องอีกแล้วเหรอ ขี้แยเอ๊ย..” คาเล็มยิ้มให้เสียงที่คุ้นเคยนั้น แม้ลาซารัสจะไม่เห็นแต่เขาก็รับรู้ได้เช่นกันว่าคุณหมอเองก็กำลังยิ้มให้เขาอยู่

“ระหว่างนั้น..ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะครับ ผมยินดี!”

“....อ่าฮะ ขอบใจมากนะ”

บทสนทนาจบลงอย่างเรียบง่ายแต่หัวใจของลาซารัสรู้สึกพองโตเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ร่างโปร่งค่อยๆลุกขึ้นเก็บของทุกอย่าง.. ทีแรกก็กะจะทิ้งหรอก..แต่เก็บไว้ก่อนก็ได้..

กว่าร่างกายจะหายดีก็ปาไปเกือบจะถึงมื้อเย็น ลาซารัสเดินช้าๆมาที่ห้องอาหารโดยระหว่างทางสาวใช้บางคนก็ทักเขาอย่างเป็นกันเองมากขึ้น แต่ก็มีบางคนที่ดูจะอายๆเวลามองหน้าเขาจนน่าสงสัย?

หรือว่าความหล่อแมนสมชายชาตรีของเราจะเพิ่มขึ้นกันนะ…

ก็คิดเข้าข้างตัวเองไปอย่างนั้น…

(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.9 Up! (24/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 24-02-2017 13:01:25

พอมาถึงห้องอาหาร ริชาร์ดนั่งรออยู่ก่อนแล้วเพราะกะเวลาเดินมาจากห้องไม่ถูก ร่างกายที่ยังไม่หายดีทำให้เขาไม่อยากจะเดินด้วยความเร็วปกติ พอคำนวณเวลาเผื่อไว้ก็ดันพลาดไปเยอะ…

“สวัสดีครับคุณริชาร์ด” ลาซารัสเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารในห้องทานข้าวขนาดใหญ่ที่พร้อมรองรับคนนับสิบที่ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนที่นั่งอยู่

ริชาร์ดนั่งพิงพนักเก้าอี้พลางยิ้มกริ่มน่าสงสัยก่อนจะเปลี่ยนมานั่งเท้าคางและกวักมือเบาๆเรียกให้ร่างโปร่งขยับเข้ามาใกล้เหมือนต้องการจะกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันเพียงสองคน “คิดถึงคุณหมอมากจนทนไม่ไหวเลยเหรอเจ้าหนู”

“...เอ๊ะ?” หน้ามนที่เก็บอาการไม่เป็นขึ้นสีแดงเรื่อฉาบมาบนแก้ม “ท...ทำไม…?”

“ครางลั่นจนเดินผ่านประตูก็ได้ยินแล้ว” ริชาร์ดเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กับใบหูที่เริ่มขึ้นสีแดงสดแล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง “นี่ฉันผ่านไปได้ยินพอดี เลยต้องยืนเฝ้าไล่คนที่เดินผ่านไปมาให้ไปทางอื่น...มันลำบากนะเด็กน้อย”

“ห้ะ? ...เอ๊!?” โอเมก้าหนุ่มหน้าแดงร้อนจนกลายเป็นมะเขือเทศแล้วก้มหน้าลงเพราะอับอายที่โดนเพื่อนรักของคุณหมอรู้เข้า… นอกจากคุณริชาร์ดท่าทางจะมีสาวใช้บางคนไปได้ยินเข้าเหมือนกัน มิน่าล่ะ เมื่อครู่ถึงมีสาวๆบางคนทำหน้าเหมือนเขินอายที่เจอเขา!

“ข...ขอโทษครับคุณริชาร์ด” สองมือยกขึ้นปิดหน้าอย่างไม่กล้าสู้หน้า “ผมเป็น...โอเมก้าของคุณแล้วแท้ๆ”

“เฮ้ย คิดมากน่ะ ฉันไม่ได้อยากมองนายด้วยฐานะแบบนั้นซะหน่อย” ริชาร์ดยกมือขึ้นลูบหัวอีกคนอย่างอยากจะปลอบโยน “นี่ก็ได้นายมาด้วย...เอ่อ… ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก”

“...ครับ?” ลาซารัสเงยหน้าขึ้นมองอัลฟ่าเจ้าของชีวิตคนใหม่อย่างสงสัย “คุณ...ลำบากใจที่จะให้ผมอยู่ด้วยเหรอ?”

“เอ… จะว่างั้นก็ได้นะ.. แต่ไม่ได้หมายความว่านายแย่หรือไม่ดีอะไรหรอก” ร่างสูงขยี้ผมที่ปกติจะเสยเรียบจนมันฟูยุ่งแปลกตา “ฉันก็เหมือนคาเล็มอ่ะ ไม่ชอบวิธีการซื้อขายโอเมก้ายังกับของชิ้นหนึ่งแบบนี้หรอก”

“อ๋อ..ครับ ผมเข้าใจ… แต่คุณหมอคงมีเรื่องจำเป็นใช่มั้ยครับ” ร่างเล็กกว่ายิ้มบางๆให้ เขาก็รู้ดีว่าคนตรงหน้ารวมทั้งคนที่เขารักนิสัยยังไง

“ฮื่อ พูดจรงๆคือเค้าต้องการให้ฉันใช้สิทธิ์ในฐานะเจ้าของปกป้องนายไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอยโนเอล” ริชาร์ดยักไหล่อย่างรู้ทันเพื่อน “เพราะงั้น..ตอนนี้ก็ต้องขอให้นายทำตัวว่าเป็นโอเมก้าของฉันก่อน”

“ได้ครับ..” ลาซารัสตอบรับเสียงนิ่ง ก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด

“...ยังไงก็ลำบากใจที่จะเรียกนายว่า ‘โอเมก้าของฉัน’ จริงๆนั่นแหละ” ริชาร์ดยังคงเท้าคางมองอีกฝ่ายไม่วางตาจนคนถูกจ้องเริ่มอยู่ไม่สุข “เอาคนทั้งคนมาอยู่ด้วยเนี่ย ใช้เงินซื้อมาก็ได้เหรอ..งี่เง่าเกินไปแล้ว”

“คุณริชาร์ดไม่ต้องคิดเรื่องนี้มากก็ได้มั้งครับ” โอเมก้าหนุ่มปลอบอีกฝ่ายเพราะท่าทางจะยังไม่ยอมเลิกคิดเรื่องนี้สักที

“ถ้านายไม่อยากมาอยู่กับฉันด้วยตัวเองมันจะมีความหมายอะไรล่ะ”

“....เอ๊ะ?”

ความเงียบโรยตัวลง ริชาร์ดยังคงมองอีกฝ่ายนิ่งสงบราวกับประโยคเมื่อกี้เป็นแค่ลมพัดผ่าน เสียงล้อเลื่อนถาดอาหารยกมาเสิร์ฟทำให้ทั้งคู่ผละออกจากเกมจ้องตาแล้วหันมาทานข้าวเย็นกัน โดยที่ลาซารัสยังคงมีคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว

...เมื่อครู่คุณริชาร์ด...ต้องการจะสื่ออะไร?


เวลาเดียวกันนั้นเอง ทางด้านเออร์แฟนได้นัดให้คาเล็มมาเจอกันที่คอนโดหรูของอัยการหนุ่มที่มีไว้เพื่อเป็นห้องทำงานส่วนตัวและที่พักชั่วคราวใกล้ที่ทำงานเสียมากกว่าจะเป็นบ้านที่ใช้พักอาศัย

“นายคงไม่ได้เอาเงินค่าจ้างว่าความของฉันมาจ่ายค่าคอนโดนี่หรอกนะ” คาเล็มมองไปรอบๆห้องกว้างที่อยู่เกือบชั้นสูงสุดของคอนโด อีกทั้งยังสามารถมองเห็นวิวได้เกือบทั้งเมืองผ่านกระจกอีกด้วย

“ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย ของแค่นี้ลำพังฉันมีปัญญาจ่ายอยู่แล้ว ที่สำคัญคือมันมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมที่สุดในเมืองนี้ต่างหาก”

“นั่นสินะ ทำงานแบบนี้คงต้องมีคนจ้องเล่นงานบ้างไม่มากก็น้อยแหละ”

“ทำเป็นพูดดี นายเองก็ไม่ได้ต่างจากฉันเท่าไหร่หรอก ไม่งั้นคงไม่อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เป็นหนูในท่อระบายน้ำหรอกใช่มั้ย” อัยการหนุ่มนั่งลงที่โซฟาในห้องรับแขก “เอาล่ะ ไหนเอาเอกสารออกมาให้ดูหน่อยสิ”

“เอ้านี่…”

“เยอะโคตร...นี่นายคิดจะให้ฉันอ่านสักกี่เดือนกัน” เออร์แฟนมองกระเป๋าเดินทางล้อลากที่คาเล็มเอาใส่เอกสารมาจนเต็ม ทีแรกก็คิดว่าข้างในเป็นเสื้อผ้าที่จะเอามานอนค้างเสียอีก เขามองซองสีน้ำตาลนับคร่าวๆได้เกือบสามสิบซอง อัยการหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับปริมาณที่เหลือจะกล่าวนี้

“ก็นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากได้ข้อมูลอย่างละเอียดที่สุดน่ะ” คาเล็มย้อนอัยการหนุ่มก่อนที่จะส่งแฟลชไดรฟ์ให้มาเพิ่มอีกอัน “ถ้าหามาเพิ่มได้เดี๋ยวจะเอามาให้อีก”

“ยังไม่หมดอีกเรอะ?” เขาไล่สายตาดูคร่าวๆ ถึงแม้จะดูเหมือนเยอะแต่ข้อมูลทุกหน้าได้สรุปผลออกมาให้อ่านทำความเข้าใจได้ง่ายไว้เรียบร้อย แล้วยังสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลโต้แย้งในชั้นศาลได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องให้พวกทนายในสังกัดมานั่งแปลงข้อมูลวิจัยที่คนทั่วไปอาจทำความเข้าใจได้ยากให้เสียเวลาอีกด้วย เรียกว่าคาเล็มได้เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีเพื่อสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว

“เอาจริงเอาจังจนน่ากลัวเลยนะ” เออร์แฟนลอบยิ้มอย่างพอใจ เขาเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสชนะคดีอย่างโปร่งใสมากขึ้นแม้จะไม่ทั้งหมดซะทีเดียวก็ตาม

แต่เยอะขนาดนี้สงสัยคงจะต้องขอใช้วันหยุดพักร้อนทั้งหมดของปีนี้นั่งไล่อ่านซะแล้วล่ะมั้ง...

“ไม่ทำขนาดนี้ก็แย่สิ ฉันเดิมพันด้วยชีวิตเชียวนะ” อาจฟังดูโอเวอร์เกินจริงแต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด หากแพ้ในเกมนี้ล่ะก็ทั้งเงินทั้งแรงที่อุทิศให้งานวิจัยทั้งชีวิตนี้ทุกอย่างจะหายไปในพริบตา แล้วคาเล็มก็จะไม่เหลืออะไรอีกเลย เลวร้ายที่สุดคือชีวิตที่เหลือก็อาจต้องไปนอนอยู่ในคุกโทษฐานสร้างยาผิดกฏหมายขึ้นมาก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นริชาร์ดก็คงช่วยอะไรเขาไม่ได้เพราะจะพลอยติดร่างแหไปด้วย

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นไปหรอก อย่างน้อยๆ ถ้าสามารถทำให้ยาผิดกฏหมายกลายเป็นยาควบคุมพิเศษได้ก็ถือว่าเราชนะอยู่ดี”

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยาควบคุมพิเศษ เป็นยาที่จ่ายได้ (จำหน่ายได้) เฉพาะต่อเมื่อมีการนำใบสั่งยาจากแพทย์มาซื้อยาเท่านั้น ยากลุ่มนี้เป็นยาแผนปัจจุบันที่มีความเป็นพิษภัยสูง และ/หรือ อาจก่ออัน ตรายต่อสุขภาพได้ง่ายแม้จะใช้อย่างถูกต้อง จึงเป็นยาที่ต้องถูกจำกัดการใช้ ดังนั้น ยานี้จึงต้องผ่านการควบคุมดูแลในการใช้ยาจากแพทย์โดยใกล้ชิด ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้นที่มีอำนาจสั่งจ่ายยาควบคุมพิเศษนี้ เนื่องจากแพทย์แผนปัจจุบันจะมีความรู้ว่าเมื่อใดมีความจำเป็นต้องใช้ยา และเมื่อใดสมควรจะต้องหยุดการใช้ยาควบคุมพิเศษนั้นๆ อนึ่ง ยาควบคุมพิเศษนี้สามารถจำหน่ายได้เฉพาะในร้านขายยาที่มีใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันที่มีใบอนุญาตจำหน่ายยาควบคุมพิเศษ เท่านั้น

ข้อมูลอ้างอิง https://goo.gl/S2UA3y (https://goo.gl/S2UA3y)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เมื่อก่อนยาต้านอาการฮีทและยาอื่นๆที่ใช้ร่วมกันก็เคยเกือบจะได้เป็นยาควบคุมพิเศษแล้ว แต่เพราะมีผู้ใช้แพ้ยาเป็นจำนวนมากเลยถูกฟ้องร้องให้ชดใช้ค่าเสียหาย สั่งระงับและให้ยกเลิกการผลิตไปนานหลายปี กว่าคาเล็มจะสามารถหาผู้สนับสนุนเงินทุนให้กลับมาวิจัยปรับปรุงพัฒนายาต่อได้ก็แทบจะต้องล้มเลิกไปหลายครั้ง

“เท่ากับว่าโอเกมก้าที่โตพอและเข้าช่วงฮีทก็สามารถทำเรื่องขอจ่ายยาระงับอาการฮีทได้สินะ” เรื่องคดีก็อีกเรื่องหนึ่ง คาเล็มกำลังคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากยาของเขาเป็นสิ่งถูกกฎหมายได้ เพียงเท่านั้นก็สามารถทำให้โอเมก้ามีชีวิตที่ดีขึ้นได้มากโขแล้ว “เอ่อ...แล้วเรื่องที่ทำเหมือนโอเมก้าเป็น….สิ่งของ?”

“นั่นอยู่นอกเหนือสิ่งที่เราทำอยู่ ขอโทษทีนะ คงช่วยอะไรเรื่องนั้นมากไม่ได้ นอกจากจะรอให้พวกไดโนเสาร์ไร้สมองรีบๆตายไปให้หมด” เออร์แฟนพูดพลางโบกกระดาษในมือไปมาเป็นเชิงปฎิเสธว่าไม่สามารถเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ได้ “แต่ถ้าเราชนะคดีนี้ พวกองค์กรสิทธิมนุษยชนก็คงออกมาเคลื่อนไหวเองนั่นแหละ เพราะถ้ายานี่ไม่ผิดกฎหมายเมื่อไหร่ เท่ากับว่าทิศทางของสังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว.. การเปลี่ยนแปลงน่ะ มันไม่ได้ทำได้แค่เดือนสองเดือนหรอกนะ”

“เข้าใจ.. อย่างน้อยๆคงต้องอีกหลายปี กว่าคนที่มีความคิดน่ารังเกียจแบบนั้นจะหายไปหมด”

“หายไป? ไม่มีทาง ขนาดเรื่องเหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติ ทุกวันนี้ยังมีอยู่เลย” ทนายหนุ่มเอนตัวลงบนโซฟาแล้วเหมือนจะนึกอะไรได้ “เอ้อ ช่วยติดต่อโอเมก้าที่นายเคยดูแลให้หน่อยสิ”

“ทำไมเหรอ?” คาเล็มเริ่มใจไม่ดี เขาไม่อยากจะให้ใครต้องพลอยติดร่างแหจากการต่อสู้นี้ไปด้วยเลย

“การจะทำให้ข่าวถูกประโคมได้ คงต้องเป็นอะไรที่แปลกและขายได้สักหน่อย เอาคนที่ชีวิตดราม่าหน่อยละกัน แล้วก็มาให้สัมภาษณ์ว่าพอได้ยาของนายช่วยแล้วชีวิตดีขึ้นยังไง ประสบความสำเร็จแบบไหนบ้าง จะดีมาก”

ในบรรดาโอเมก้าทั้งหมดที่คุณหมอได้ให้การช่วยเหลือไว้ หลายต่อหลายคนนอกจากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองประกอบกิจการหรือกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้มากมาย ทำให้คาเล็มเองก็ได้เปิดโลกขึ้นมาอีกว่า โอเมก้าไม่ใช่แค่ชนชั้นสองที่เป็นเพียงผู้สืบพันธุ์ แต่พวกเขามีมุมมองและความสามารถพอจะขับเคลื่อนสังคมเช่นกัน เพราะเหตุนี้เขาจึงยังยอมทำการทดลองเรื่อยมา…

“แต่ฉันไม่อยากรบกวนพวกเขา อีกอย่างถ้าดึงมาร่วมด้วยกลัวว่าจะอันตรายต่อพวกนั้นเอง…”

“นายไม่เข้าใจเหรอคาเล็ม ตอนนี้พวกเราต้องงัดทุกอย่างมาใช้นะ” เออร์แฟนวางกระดาษปึกใหญ่ลงกับโต๊ะอย่างหงุดหงิด “ไม่ต้องขอร้องหรอก แค่ถามว่าสมัครใจจะช่วยมั้ยเท่านั้น”

“....ก็ได้..” ชายสูงวัยกว่าถอนหายใจ เขารู้ดีว่าแค่เอ่ยปาก ทุกคนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้ล้วนเต็มใจจะมาทั้งนั้น… นั่นแหละเขาถึงได้ไม่อยากขอร้อง…

“โอเค งั้นนัดวันมาละกัน ฉันจะนัดพวกกองบอกอมาให้”

“งั้นเจอกันใหม่” คาเล็มกล่าวลาสั้นห้วนแล้วลุกออกจากห้องรับแขกแสนหรูหรานั้นไป

“...คาเล็ม” แต่ก่อนที่คุณหมอจะเดินออกจากห้อง เออร์แฟนก็เรียกลูกความของตนไว้ก่อน

“...?”

“ขอโทษเรื่องโนเอลด้วยนะ..”

ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ คาเล็มอึ้งไปเล็กน้อยที่จู่ๆคุณอย่างทนายผู้เย่อหยิ่งคนนี้กลับเอ่ยคำขอโทษออกมากะทันหัน แววตาสีทองจ้องมองมาอย่างจริงใจมิใช่เพียงการขอโทษส่งๆ ทำให้แขกผู้มาเยือนคลี่ยิ้มออกมา “ช่างมันเถอะ ...เป็นเรื่องในอดีตไปแล้วนี่”

“เดินทางดีๆละกัน”

เมื่อคาเล็มเดินออกจากห้องไป เจ้าของห้องก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ราวกับว่าได้ยกสิ่งหนักอึ้งบนอกออกไปเป็นที่เรียบร้อย.. ถึงจะบอกว่ามันคือหน้าที่ แต่เออร์แฟนก็รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ลูกน้องของตนทำลงไปจริงๆ…

หนทางเดียวที่พอจะชดใช้ให้ได้ ก็คือใช้โอกาสนี้ช่วยให้คาเล็มชนะคดีความเท่านั้น เขาจะได้โล่งใจสักทีหลังจากที่แบกความรู้สึกผิดมาตลอดหลายปี

อัยการหนุ่มนั่งเอนหลังไปกับโซฟาก่อนจะปรายตามองเอกสารจำนวนมหาศาลของลูกความ ดูท่าทางช่วงนี้คงจะต้องทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำกันหน่อยล่ะ


“เรียบร้อยดีมั้ยครับนายน้อย?” เรนเดลที่นั่งรออยู่ในรถหันมาถามเจ้านายที่กลับออกมาจากคอนโดและเข้ามานั่งตรงที่นั่งคนขับ

“ก็ดีกว่าที่คิดไว้เยอะ” หมออัลฟ่าคาดเข็มขัดก่อนสตาร์ทรถและขับออกไปตามเส้นทางถนนสายหลัก “แล้วก็เรื่องเซฟเฮ้าส์ฉันหาได้แล้ว นายกับจูเลียตเตรียมย้ายไปอยู่ที่นั่นก่อนได้เลยนะ”

“แล้วนายน้อยล่ะครับ?” ชายชราถามด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของคนข้างตัว

“ฉันคงยังต้องวิ่งเต้นกับคดีไปอีกพักใหญ่ๆ คงยังไปซ่อนตัวอยู่เงียบๆไม่ได้” คาเล็มหยุดรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟแดงของป้ายจราจร “ไม่ใช่แค่ลาซารัสหรอกนะที่ฉันไม่อยากให้เข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ด้วย

“ทำเหมือนกระผมเป็นคนอื่นคนไกลไปได้นะครับ” เรนเดลแอบยิ้มให้กับความปรารถนาดีที่คาเล็มมีให้เหมือนเขาเป็นญาติสนิทจริงๆอีกคนหนึ่ง “แล้วนายน้อยจะไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”

“ยังไม่รู้ แต่คิดว่าปลอดภัยหายห่วงได้แน่” เมื่อสัญญาณไฟเขียวปรากฏคาเล็มก็ขับรถต่อ สายตามองไปที่กระจกมองหลังเป็นระยะๆ “เรนเดล ฉันว่ามีคนกำลังขับรถตามพวกเรามา”

“คันไหนเหรอครับ?” พ่อบ้านสูงวัยมองตามกระจกรถด้านข้าง

“มอเตอร์ไซด์ที่มีคนนั่งสองคนทางด้านขวา” ดวงตาคมหลังแว่นเพ่งมองรถมอเตอร์ไซด์ที่มีคนขับและคนซ้อนท้ายสวมหมวกกันน็อคกำลังขับไล่ตามโดยทิ้งระยะห่างอยู่พอสมควร คาเล็มไม่รู้ว่าพวกมันมีปืนรึเปล่า แต่คิดว่าทางนั้นคงไม่กล้าลงมือทำอะไรอุกอาจกลางเมืองแน่ ต้องรีบสลัดให้หลุดก่อนที่รถจะขับไปถึงเส้นทางเปลี่ยวที่เป็นทางกลับบ้านของพวกตน “คาดเข็มขัดให้แน่นๆแล้วก็พยายามก้มหัวไว้นะ”

“ครับ?”

เสียงเหยียบคันเร่งจนมิดกลายเป็นคำตอบให้กับพ่อบ้านได้ดียิ่งกว่าอะไร หมออัลฟ่าหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวหลบแซงรถที่ขับอยู่ข้างหน้าคันแล้วคันเล่าจนเกือบจะชนหวุดหวิดไปหลายต่อหลายคัน

การจราจรที่คับคั่งวุ่นวายภายในเมืองทำให้คาเล็มสามารถหลบหนีจากการโดนติดตามมาได้ คุณหมอจอดรถแอบไว้ข้างปั้มน้ำมันระหว่างทางกลับบ้านเพื่อเช็คว่ามีใครตามมาหรือเปล่า แต่มองอยู่สักพักก็ไม่เห็นวี่แววของคนน่าสงสัย เขาจึงถอนหายใจ

“ปลอดภัยแล้วล่ะ” อัลฟ่าสูงวัยหันไปบอกกับพ่อบ้านของตน

“ไม่ได้เจอแบบนี้ซะนาน เล่นเอาตกใจอยู่เหมือนกันนะครับ” เรนเดลหัวเราะทั้งที่เพิ่งผ่านการซิ่งทะลุนรกมา.. แต่ทั้งชีวิตเขาก็เจอแบบนี้มาบ่อยแล้ว เพียงแค่มีคนสะกดรอยนี่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่พักหลังๆที่คาเล็มหมกตัวไม่ยอมสู้คดีจริงๆจังๆนี้ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามลดการตามล่าตัวเขาลงไป “ข่าววงในนี่มันน่ากลัวจริงๆนะครับ”

“อือ.. ประมาทพวกนั้นไม่ได้เลย..” คาเล็มเลี้ยวรถออกจากปั๊มน้ำมันไป และขับตรงกลับบ้าน เจอเรื่องแบบนี้เข้าไปยิ่งทำให้เขากังวลที่จะลากโอเมก้าที่เคยช่วยเหลือไว้เข้ามาเกี่ยวข้อง ท่าทางคงต้องคัดเลือกโอเมก้าที่มีคู่ครองเป็นผู้มีอิทธิพลพอจะปกป้องตัวเองได้ซะแล้วสิ…

“จะว่าไป ไม่ขอคนคุ้มกันจากคุณเออร์แฟนเหรอครับ?” เรนเดลนึกถึงบอร์ดี้การ์ดของอัยการหนุ่มที่มักจะห้อมล้อมตัวเขาอยู่เสมอ

“นั่นสินะ… ไว้จะลองขอดู ตอนที่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกละกัน”


ทางด้านของลาซารัส หลังจากที่ทานอาหารเย็นแล้วก็ไม่ได้คุยอะไรกับริชาร์ดอีกเลย ยิ่งทำให้เจ้าตัวครุ่นคิดหนักเข้าไปอีก สายตาที่ริชาร์ดส่งให้เขาก่อนจะเริ่มทานมื้อเย็นกันอย่างปกตินั่นทำเอาลาซารัสสงสัย... สายตาที่เขาไม่เคยเห็นจากคนๆนั้น..

“...คุณริชาร์ดหัวกระแทกพื้นตอนล้มรึเปล่านะ…” ร่างโปร่งนอนมองเพดานเหม่อลอยและพยายามหาสาเหตุของความผิดปกตินั้น แต่คิดได้เพียงครู่เดียว เขาก็หันไปนอนกดมือถือดูสูตรและเทคนิคการทำขนมต่อไป นอกจากพุดดิ้งที่คาเล็มชอบ ลาซารัสเองก็อยากลองทำขนมง่ายๆอย่างอื่นบ้างเหมือนกัน

“บ๊อก!” เสียงเห่าเรียกสติเขาให้หันไปหา เจ้าพวกขนปุยที่เขาพาเข้ามานอนด้วยกำลังส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากลาซารัสอยู่

“หือ? เหงาเหรอ ขอโทษที่ไม่ได้เล่นด้วยนะ แต่นี่มันดึกแล้ว” โอเมก้าหนุ่มลุกจากเตียงมานั่งลูบเจ้าตัวเล็กทีละตัว ส่วนพวกพันธุ์ใหญ่ก็จำเป็นต้องแยกไว้อีกที่หนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงทำบ้านพังอย่างแน่นอน “พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่นะ”

ก็อก..ก็อก….

เสียงเคาะประตูอย่างเกรงอกเกรงใจดังเรียกเจ้าของห้องให้ลุกไปส่องที่ช่อง “เอ๋? คุณริชาร์ด?” ลาซารัสเอียงคอสงสัยถึงจุดประสงค์ที่เจ้าของใหม่ของตนมาหา ทว่าเขาก็เปิดประตูแต่โดยดี

“พรุ่งนี้ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกันมั้ย?” ริชาร์ดเอ่ยถามทันทีที่ลาซารัสเปิดประตูให้

“หือ? พรุ่งนี้...คุณริชาร์ดไม่พักเหรอครับ?” คนถูกชวนก้มลงมองตำแหน่งรอยแผลที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดนอนเรียบหรูของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เดินนิดหน่อย ถ้าไม่วิ่งซะอย่างก็ไม่กระเทือนแผลหรอกน่า” ร่างสูงยิ้มให้และทำท่าทางเหมือนจะอวดว่าร่างกายแข็งแรงดี “นายไม่เคยไปใช่มั้ยล่ะ?”

“ค..ครับ ไม่เคย” ดวงตาสีฟ้าสะท้อนความสนใจออกมาอย่างปิดไม่อยู่ แม้จะยังเป็นห่วงอัลฟ่าตรงหน้ามากก็ตาม “งั้น...ก็ตามที่คุณริชาร์ดสะดวกก็ได้ครับ”

“เฮ้.. เรียกชื่อซะเต็มยศแบบนี้มันดูเหินห่างจัง”

“เหรอครับ ก็มันติดปากไปแล้วอ่ะ” ลาซารัสยิ้มแห้งส่งให้

“....เรียก ริช ก็ได้นะ”

“หา!?”

“ก็ฉันยังเรียกนายว่าลาซัสเลย” ริชาร์ดยกแขนขึ้นเท้าเอวทั้งสองข้างอย่างกับว่ากำลังรอฟังอยู่

“...ค...คุณ...ริช?”

“อย่างนั้นแหละ เด็กดี!” รอยยิ้มกว้างฉาบใบหน้าคนตัวใหญ่กว่าแล้วตบฝ่ามือลงบนบ่าเล็กนั่นอย่างแรงด้วยความพอใจ “จะบอกว่าเรียก ริช เฉยๆก็ได้ ...แต่มีคำว่า คุณ นำหน้าแล้วก็สมเป็นนายดี ราตรีสวัสดิ์นะ เจอกันพรุ่งนี้”

“ครับ ราตรีสวัสดิ์” เมื่อริชาร์ดเดินกลับไปทางที่เขามา ลาซารัสก็ขยับตัวกลับเข้ามาในห้องอย่างงุนงง  จู่ๆก็โดนชวนไปเที่ยว แถมมาขอให้เปลี่ยนวิธีเรียกชื่อ… ไม่มีซึ่งความเนียนเลยสักนิด… “ไม่มั้ง..คิดมากไปเองแน่ๆลาซัส”

หลังจากไล่ความคิดเรื่อยเปื่อยออกไป ร่างโปร่งก็ตัดสินใจเข้านอนทันทีและเฝ้ารอให้ตอนเช้าวันพรุ่งนี้มาถึงเร็วๆ

“...อยากไปกับคุณคาเล็มด้วยจัง” โอเมก้าหนุ่มคิดในใจ ก่อนจะหลับตาลงแล้วผล็อยหลับไปในเวลาไม่นาน

(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.9 Up! (24/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 24-02-2017 13:13:53

ลาซารัสตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชินเป็นกิจวัตร หลังจากออกกำลังกายตอนเช้ากับพวกสก็อตและเหล่าสหายสี่ขาไปแล้วก็มาทานอาหารเช้าที่เมดเตรียมไว้

“คุณริชล่ะครับ?”

“คุณเจสกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้คุณผู้ชายอยู่เจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงมาแล้ว” สาวใช้วัยรุ่นตอบและค้อมตัวให้เพื่อขอตัวไปจัดการงานครัวต่อ คุณเจสที่พวกเธอเรียกก็คือเจสสิก้า หญิงสูงวัยที่เป็นเหมือนหัวหน้าแม่บ้านของคฤหาสน์หลังนี้

รออยู่สักพักคนถูกพูดถึงก็เดินเข้ามาในห้องทานอาหาร ริชาร์ดนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะที่ประจำ “นึกว่านายจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับซะอีกนะ”

“ก็ตื่นเต้นอยู่บ้างแต่ไม่ถึงขนาดนอนไม่หลับหรอกครับ” ลาซารัสยิ้มสดใสและเริ่มลงมือทานอาหารเช้าสลับกับมองริชาร์ดที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปทานอาหารไป “มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้างมั้ยครับ?”

“อืม...ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ” ซีอีโอหนุ่มพับหนังสือพิมพ์เก็บก่อนวางไว้บนโต๊ะแล้วเริ่มลงมือกินอย่างตั้งใจ “พิพิธภัณฑ์เปิดตอนสายๆนะ ไม่ต้องรีบก็ได้”

“อ่ะ เหรอครับ” ถึงจะพยายามไม่แสดงความตื่นเต้นแต่อาการรีบกินเร็วกว่าปกติของเขาก็คงทำให้ซีอีโออัลฟ่าจับได้ว่าเขาแอบตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

“จะไปเดทกันหรือเจ้าคะ?”

“แค่กๆ!” ร่างโปร่งสำลักน้ำเปล่าที่กำลังดื่มก่อนหันไปมองบรรดาสาวใช้ที่ทำตาวิบวับทำหน้าเขินอายกันใหญ่ จนแม่บ้านต้องกระแอมแล้วไล่ให้ไปเตรียมเสิร์ฟของหวานมาได้แล้ว

เดท…? งั้นเหรอ?

ดวงตาสีฟ้าหันไปสบตากับอัลฟ่าเจ้าบ้านที่ดูจะไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับคำพูดของเมดสาวเลย แบบนี้มันเหมือนกับยอมรับเลยไม่ใช่เหรอว่าพวกเขาไปเดทกันจริงๆน่ะ…

“พาเด็กน้อยไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาต่างหากล่ะ เนอะ?” คุณผู้ชายของบ้านหันมายิ้มใส่โอเมก้าที่ปั้นสีหน้าไม่ถูก “เห็นนายไม่อยากรับเงินค่าตัดชุดฉันก็เลยพาไปเที่ยวเป็นการตอบแทนไง”

“ครับ” ลาซารัสตัวลีบลงไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ได้แต่ตามน้ำอีกฝ่ายไปก่อน โดนห้อมล้อมด้วยคนเยอะแยะแต่ไม่ได้สนิทกันแบบนี้มันชวนอึดอัดยังไงไม่รู้ แอบนับถือริชาร์ดที่ใช้ชีวิตแบบนี้อยู่หมือนกัน..

“เสร็จแล้วก็ไปแวะร้านหนังสือมั้ย ได้ข่าวว่าชอบอ่านหนังสือนี่?” ริชาร์ดเสนอพลางตักของหวานเข้าปาก

“เอ๋? ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว” ร่างโปร่งเอ่ยเลิ่กลั่ก ช้อนขวานในมือจึงทำพันนาคอตต้าชิ้นเล็กที่ตักออกมทร่วงลงไปในจานคืน “ผมไม่อยากให้แผลคุณฉีกด้วยอ่ะ”

“บอกแล้วว่าไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่เสนออะไรที่ฉันลำบากตัวเองหรอกน่า อีกอย่าง ได้หยุดทั้งที อยู่แต่บ้านก็น่าเบื่อแย่เลย” ร่างสูงกรอกตามองไปมาราวกับจะนึกหาที่เที่ยวที่อื่นเพิ่มเติม “นี่ยังคิดว่าอยากไปกินปูหิมะเลยนะ สนใจมั้ย?”

ลาซารัสกระพริบตาปริบ ใช่ว่าที่กล่าวมาเขาจะไม่อยากไปไม่อยากกิน แต่เขาเป็นห่วงคนตรงหน้าจริงๆนี่นา.. “แล้วแต่คุณแล้วกันครับ.. แต่ผมขออย่างนึง”

“ว่ามาสิ” ริขาร์ดเงยหน้ามามองอย่างตั้งอกตั้งใจฟังจนออกนอกหน้า

“ถ้าคุณไม่ไหว.. ต้องรีบบอกผมนะ… แล้วเราจะรีบกลับกันทันทีเลย” โอเมก้าหนุ่มพูดเสียงหนักแน่นจริงจังจนคนฟังเผลอหลุดหัวเราะออกมา

“ได้สิ บอกแล้วว่าฉันไม่ทำอะไรให้ตัวเองลำบากหรอก”

“ครับ งั้นผมขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ”

ลาซารัสลุกออกจากโต๊ะไปอย่างรวดเร็ว ดูก็รู้ว่าตื่นเต้นแค่ไหนที่จะได้ออกไปข้างนอก ริชาร์ดเท้าคางกับโต๊ะมองคนตัวเล็กกว่าเดินจ้ำหายไปจากสายตา

“คุณผู้ชายควรรีบไปเตรียมตัวบ้างแล้วนะเจ้าคะ” เจสสิก้าเข้ามาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเรียกสตินายจ้างของตนที่นั่งมองเหม่อไปในทิศทางนั้นอยู่นานสองนาน

“วันนี้ไม่ต้องเตรียมอาหารเย็นนะ คงกลับค่ำหน่อย” ริชาร์ดกำชับหัวหน้าแม่บ้านไว้เสร็จสรรพเพราะวันนี้คงออกร่อนทั้งวัน แผลของเขาเองก็ดีขึ้นมากคาดว่าคงไม่มีการกลับก่อนเวลาแน่นอน

“อย่าทานอาหารนอกบ้านมากเกินไปนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าคนแก่ไม่เตือน” เจสสิก้าพูดเป็นนัยก่อนเรียกสาวใช้มาเก็บจานบนโต๊ะ

“เข้าใจแล้วค้าบคุณแม่” เสียงล้อเลียนของเจ้าบ้านทำเอาหญิงสูงวัยต้องเอ็ดว่าอย่าได้พูดล้อเล่นกับคนแก่แบบนี้ต่อหน้าพวกคนรับใช้คนอื่น เดี๋ยวจะเสียการปกครองเอาได้

ลาซารัสมายืนรอที่หน้าประตูบ้านจนกระทั่งริชาร์ดเดินออกมา ดวงตาสีฟ้ามองร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเข้ารูปสีชมพูอ่อนกับกางเกงสีขาวและสวมแว่นกันแดดแฟชั่นกับทรงผมที่ไม่ได้เซ็ตให้เนี้ยบเหมือนเวลาปกติ เป็นภาพลักษณ์ที่ดูสบายๆเหมือนที่เขาคุ้นเคย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ายังดูดีกว่าปกติในเวลาที่แวะเวียนไปบ้านของหมอคาเล็ม

“ไปกันเถอะ” ร่างสูงควงกุญแจรถในมือ แม้ว่าคนขับรถจะขออาสาช่วยขับรถให้เจ้านายทั้งวันเพราะเป็นห่วงสุขภาพร่างกาย แต่ริชาร์ดก็ยืนยันที่จะขับรถไปด้วยตัวเองอยู่ดี

จากัวร์เอฟไทป์สีดำหรูแล่นผ่านถนนกว้างของชานเมืองเข้าไปหาความคับคั่งของเมืองใหญ่เรื่อยๆ สองข้างทางถูกปลูกด้วยต้นไม้ใหญ่จนร่มรื่นเป็นระยะตลอดทาง ด้านหนึ่งมองเห็นทะเลสาบระดับแสงแดดจนแสบตา

แต่ลาซารัสไม่สามารถจะชื่นชมวิวสวยงามนี้ได้เต็มตานักเพราะมัวแต่นั่งเกร็งในรถคันงามอย่างหวาดระแวงจะทำรถราคาแพงนี้เสียหาย

“ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก รถนะไม่ใช่ของเล่นจะได้พังง่ายขนาดนั้น” ริชาร์ดเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันในท่าทางของคนข้างๆ

“งืออออ ผมขอเวลาปรับตัวสักหน่อยละกันครับ” ร่างโปร่งยิ้มแห้งให้ ริชาร์ดแอบเหลือบมามองท่าทีของอีกฝ่ายเป็นระยะ ถนนกว้างโล่งแทบจะไม่มีรถใดๆขับผ่านเพราะไม่ใช่ที่สัญจรของคนทั่วไปทำให้คนที่ขับรถอยู่แบ่งความคิดมาพินิจมองโอเมก้าของตนได้บ้าง

ลาซารัสในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวทับด้วยสูทแฟชั่นสีน้ำตาลอ่อนพับแขนเสื้อขึ้นมาจนถึงศอก บวกกับกางเกงยีนส์เข้ารูปและรองเท้าผ้าใบแบบสบายๆสไตล์เดินเที่ยวทำเอาอัลฟ่าผู้กำลังขับรถเผลอเหล่มามองอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเพราะความแปลกตาที่ไม่เคยเห็นชายหนุ่มในลุคแบบนี้

“ไม่เคย...ออกไปไหนเลยจริงๆเหรอ?” ริชาร์ดเปิดบทสนทนาหลังจากเงียบมาสักพัก

“อ๋อ.. ไม่เชิงว่าไม่เคยหรอกครับ ก็มีบ้างที่โอนเนอร์ให้กินยาระงับอาการกับฉีดน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนแล้วออกไปร่วมงานเทศกาลน่ะ” ร่างโปร่งตอบเสียงดังฟังชัด ท่าทางจะไม่ใช่อดีตที่เลวร้ายสักเท่าไหร่.. “แต่หลักๆก็แค่ไปจ่ายตลาดกับไปโบสถ์บ้างบางครั้ง”

“อ่าฮะ ดีที่อย่างน้อยไม่กลายเป็นราพันเซลไปเลยน่ะนะ” ริชาร์ดเลิกคิ้ว ถ้าขังไว้แต่ในบ้านตลอดนี่คงน่าเศร้าเกินไป แต่พอรู้แบบนี้ก็ไม่แปลกใจที่สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ไวดีอย่างนี้

“แต่พอรู้ว่าตัวเองมีเรื่องยังไม่รู้อีกเยอะ...ก็แอบเสียดายช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งยี่สิบห้าปีเหมือนกันครับ” ลาซารัสหัวเราะบางเบาในลำคอ “...อย่างขับรถนี่ ผมก็อยากลองนะครับ!”

“โฮ่ เอาสิ เดี๋ยวเอาที่ราคาไม่แพงมากมาให้นะ ไม่งั้นมัวแต่นั่งกลัวว่าจะทำพังก็ไม่ได้หัดกันพอดีเนอะ”

“ครับ… รบกวนคุณริชาร์ดอีกแล้วอ่า” คนตัวเล็กกว่าไหล่ลู่ตกจนแลน่าสงสาร

“หือ? เมื่อกี้ว่าไงนะ”

“อ่ะ! คุณริชๆ ...รบกวนคุณริชอีกแล้ว…”

“หึหึ.. ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เล็กน้อยมาก” ริชาร์ดยกมือข้างที่ไม่ได้จับพวงมาลัยมาลูบหัวคนข้างๆเบาๆอย่างเอ็นดู “ตอนนี้นายเป็นโอเมก้าของฉันนะ.. ขออะไรฉันก็ให้ได้หมดทุกอย่างนั่นแหละ”

คำพูดกำกวมที่ดูไม่แน่ใจในเจตนาสร้างความฉงนให้ลาซารัสสอีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อวานกระทั่งตอนนี้...ดูเหมือนริชาร์ดจะดูพยายามเอาใจเขาอยู่ยังไงก็ไม่รู้… แต่นั้นกลับทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก “ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ได้อยากได้อะไรจากคุณริชหรอกครับ แค่คุณใจดีกับผมก็มากเกินพอแล้ว”

“อ่าฮะ จะว่าไป ไม่เคยไปทะเลใช่มั้ย?”

“ครับ?”

“พอคาเล็มหมดเรื่องคดีแล้ว พวกเราไปเที่ยวทะเลด้วยกันมั้ย ทุกคนเลยน่ะ กินอาหารทะเลให้อิ่มหนำไปเลยเป็นไง แน่นอนว่าปิ้งกันเองด้วย” ริชาร์ดเสนอด้วยเสียงรื่นเริงเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องสนุกๆที่อยากทำบนชายหาด ทั้งตีแตงโม เล่นวอลเล่ย์ ดำน้ำ และอื่นๆอีกมากมาย

“น่าสนุกนะครับ!” ลาซารัสยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย ทะเลของจริงกับภาพที่เห็นในทีวีและภาพถ่ายต่างๆมาตลอดมันจะต้องให้ความรู้สึกต่างกันมากๆแน่ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใด… ถ้าได้ไปกับคุณคาเล็ม สำหรับเขาแล้วจะไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

“ดีเลย… เดี๋ยวเอาแพลนนี้ไปบอกกับหมอนั่นตอนที่ไม่ปวดหัวกับเรื่องพวกนั้นแล้วละกัน” ร่างสูงเปิดเพลงเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ความจริงเขาแอบมองคนข้างๆที่ยิ้มแก้มปริอยู่ไม่วางตา…

รอยยิ้มที่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้… พอพูดถึงคาเล็มแล้วลาซารัสก็ระบายรอยยิ้มสดใสนั้นออกมาอย่างง่ายดาย ทั้งที่เขาพยายามมาตลอดแต่กลับไม่เคยได้เห็นมันอีกเลยตั้งแต่ได้โอเมก้าคนนี้มาครอบครอง…

..น่าเจ็บใจจังน้า..

รถคันหรูขับแล่นเข้าไปยังที่จอดรถของอควาเรี่ยม ริชาร์ดและลาซารัสลงจากรถแล้วเดินเข้าไปที่ประตูทางเข้าซึ่งต้องจ่ายค่าบริการเข้าชมด้วย แม้ว่าจะเป็นวันธรรมดาที่คนมาเที่ยวไม่หนาแน่น แต่ก็มีเด็กๆที่ทางโรงเรียนพามาเที่ยวชมดูพันธุ์สัตว์น้ำซึ่งถือเป็นการเรียนรู้นอกสถานที่อย่างหนึ่ง

“ว้าวววว” ดวงตาสีฟ้ามองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยกระจกกั้นระหว่างฝูงชนกับสัตว์ใต้ท้องทะเล ลาซารัสตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่มิด ขายาวก้าวเดินดูพันธุ์ปลารอบๆโดยไร้ซึ่งความประหม่าแม้จะมีคนอยู่มาก

“ลาซัส ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” ร่างสูงอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเขาจะเดินตามโอเมก้าของตนไม่ทันจนคลาดกันเสียก่อน ความรู้สึกที่เหมือนพาลูกออกมาเที่ยวนอกบ้านครั้งแรกแทนที่จะเหมือนที่ตั้งใจไว้เลยพาลติดลบหมด

“คุณริช! แมงกะพรุนล่ะครับ!” ร่างโปร่งชี้ให้ดูสัตว์รูปร่างคล้ายร่มที่ว่ายเป็นฝูงในตู้กระจกขนาดใหญ่ สักพักก็เปลี่ยนไปยังตู้ที่มีเต่าทะเลแหวกว่ายอย่างเพลิดเพลิน รอยยิ้มสดใสที่ไม่ได้เห็นมานานระบายบนใบหน้ามน ทำให้ดวงตาหลังแว่นกันแดดเผลอมองเพลินจนแทบไม่ได้สนใจสัตว์น้ำที่แสดงอยู่ที่นี่เลย

“คราวหน้าถ้าไปทะเล ไปดำน้ำดูของจริงใกล้ๆเลยดีมั้ย” ริชาร์ดเสนอแล้วเดินมาหยุดยืนข้างๆคนตัวเล็กกว่าติดขอบตู้กระจก พวกเขาต่างกินยาระงับอาการฮีทและยาลดประสิทธิภาพการได้กลิ่นลงเพื่อออกมาข้างนอกได้อย่างไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นฟีโรโมนของคนอื่น

แต่ไม่ได้ฉีดน้ำหอมดับกลิ่นของตนออกมา...ไม่งั้นคนอื่นจะสงสัยเรื่องการใช้ยาเอาได้

“ครับ! ผมอยากลองดำน้ำดู.. แต่มันต้องเรียนนี่?” ลาซารัสจ้องมองร่างสูงด้วยตาเป็นประกาย แม้จะยังกังวลเรื่องการดำน้ำ..เดี๋ยวนะ นี่คิดไปถึงการดำน้ำประเภทไหนเนี่ย

“หือ? ถ้าดำแบบสน็อกเกิลก็ไม่ต้องเรียนอะไรมากหรอก แค่ฝึกนิดหน่อยแถวๆหาดก็ได้แล้ว” ริชาร์ดหัวเราะแล้วโอบไหล่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ..เพราะความเป็นธรรมชาติและรูปร่างภายนอกที่ดูสมบูรณ์ดีเกินกว่าโอเมก้าปกติทำให้อัลฟ่าหลายๆคนตรงนั้นเริ่มเหล่มองอย่างช่วยไม่ได้

“อ๋อ.. ผมนึกว่า..เอ่อ.. แบบที่ใส่ถังอ็อกซิเจนน่ะครับ” คนตัวเล็กกว่ายิ้มแก้เขิน พอเห็นมือหนาโอบตนเข้าไปหาก็เริ่มทำตัวไม่ถูก “คุณริช..คือ…”

“ไปดูปลาน้ำลึกกันมั้ย?” ริชาร์ดเสนอแกมบังคับพาลาซารัสไปให้ห่างจากจุดที่มีคนเยอะเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนมองด้วยสายตาไม่ประสงค์ดีของอัลฟ่าคนอื่น

ทั้งสองคนมาหยุดอยู่ส่วนที่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงไฟแบ็คไลท์จากตู้ที่คอยส่องสว่างให้เห็น ทว่า ด้วยเพราะหน้าตาแสนแปลกประหลาดและไร้ความหวือหวา ผู้คนจึงไม่ค่อยมาเดินในส่วนนี้กัน เมื่อมาถึงจุดปลอดภัย ร่างสูงก็ปล่อยให้ลาซารัสที่เดินตัวเกร็งเป็นอิสระ “ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

“ก็..ชวนมาแล้วลืมคิดว่าจะต้องมาเจอคนเยอะน่ะ… อัลฟ่าไร้ยางอายก็เยอะตามไปด้วย”

“อ่ะ..อ๋อ..” คนตัวเล็กกว่าเหมือนจะเพิ่งนึกได้ มือยกขึ้นลูบปลอกคออันใหม่ที่ประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าอ่อนทึบแสงบนคอของตน เขาเองก็ลืมปัญหาใหญ่ข้อนี้ไปชั่วขณะเพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่กำลังพบเจอ

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เดินเล่นแถวนี้ไปก่อนจนกว่าจะถึงช่วงโชว์โลมาละกันนะ” ริชาร์ดถอนหายใจแล้วเดินดูสัตว์น้ำที่ไม่คุ้นตาอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ” ลาซารัสยิ้มจางให้อีกฝ่าย เขามักจะให้คนอื่นปกป้องอยู่เสมอ ทำยังไงจะดูแลตัวเองได้มากกว่านี้กันนะ… “คุณริช แผลไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”

“ฮื่อ สบายมาก โทษทีนะ เจ้าพวกนี้หน้าตาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่เลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบอ่านประวัติพวกมันนะ ตั้งแต่เห็นในหนังสือแล้วครับ”

ทั้งสองคนเดินวนไปตามทางเดินสลัวแสงสีเย็นตา ลาซารัสหยุดแวะอ่านข้อมูลของเหล่าสัตว์น้ำน้อยใหญ่หลากหลายชนิดแทบจะทุกตู้ และหันมาวิเคราะห์ ถาม หรือแม้แต่วิจารณ์และตั้งข้อสังเกตใส่คนที่พามาด้วยอย่างไม่รู้จักเหนื่อย แม้จะตอบไม่ได้ทั้งหมด แต่ริชาร์ดก็ยินดีที่จะเดินตามอีกฝ่ายอย่างไม่ปริปากบ่น แว่นกันแดดถูกถอดออกเพื่อให้มองในที่มืดได้ชัด

เสียงของเด็กๆบางคนที่มากับคุณครูหรือผู้ปกครองเริ่มส่งเสียงดังขึ้นมาเมื่อประกาศเริ่มการแสดงโชว์โลมาของทางพิพิธภัณฑ์ คนที่มีประปรายกำลังทยอยเดินออกไปเพื่อไปจับจองที่นั่งรับชมความน่ารักของพวกมัน

“โลมาล่ะ!” เด็กโข่งทำตาใส่แป๋วและเกาะแขนเสื้อของริชาร์ดราวกับเด็กๆจริงๆ

“นี่.. ก่อนไปดู ขอเวลาแป๊ปนึงได้มั้ย?” ร่างสูงหยุดฝีเท้าทั้งที่ยังไม่ได้ก้าวไปใกล้ทางออกของส่วนแสดงสัตว์น้ำลึกด้วยซ้ำ

“ครับ?”

“เผื่อจะเข้าใจผิด ที่พยายามเอาใจนายมาสองสามวันนี้ ฉันไม่อยากเห็นนายเศร้าน่ะนะ” ริชาร์ดยิ้มให้คนตัวเล็กแล้วยกมือขึ้นลูบหัวอย่างเบามือ “คงเจอเรื่องแย่ๆมาเยอะ เหนื่อยใช่มั้ย?”

“อ๋อ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ” ร่างโปร่งยิ้มตอบแล้วผงกศีรษะ “ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง ผมก็แปลกใจอยู่ตั้งนานว่าทำไมคุณดูทำตัวแปลกๆ”

“ยังไงรึ?”

“ก็แบบ.. คุณริชชอบพูดเหมือนกำลังจีบผมยังไงก็ไม่รู้..” ลาซารัสแค่นยิ้มอย่างนึกตลกตัวเอง “แต่ก็ดีที่ผมแค่คิดมากไปเอง”

“อ๋อเหรอ? แล้วนี่ไม่เคย..โดนจีบ?” ริชาร์ดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและยังจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตา

“ไม่ครับ!”

“คาเล็มก็ด้วย?”

“เอ่อ… กรณีคุณหมอ ผมเองที่เป็นคนไปยุ่งวุ่นวายกับคุณหมอน่ะครับ” ร่างโปร่งก้มหน้าหลบราวกับสารภาพผิดอยู่

“งี้นี่เอง” อัลฟ่าสูงวัยกว่าเหล่มองรอบตัวที่คนเริ่มออกจากห้องไปจนหมด ก่อนขยับมายืนขวางหน้าลาซารัสในระยะประชิด “ถึงจะไหวพริบดีแต่ไม่ค่อยระวังตัวเลยแฮะ”

“ครับ?”

คนตัวเล็กกว่ากำลังจะเงยหน้ามาถามเพราะประโยคที่ดูคลุมเครือ แต่มือหนาของเจ้าของชีวิตตนก็ยกขึ้นมาจับใบหน้ามนนั้นให้เงยหน้าสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ก่อนริมฝีปากของริชาร์ดจะตามลงมาประกบลงกับปากของอีกฝ่าย แม้จะเป็นการบุกที่รวดเร็วจนลาซารัสตั้งตัวไม่ทัน แต่จูบที่ได้รับมากลับนุ่มนวลผิดกับสถานการณ์ ความอบอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายแนบชิดโดยไร้ซึ่งการสอดไล้ลิ้นอย่างจาบจ้วง เป็นเพียงจูบบางเบาอย่างทะนุถนอมจนคนถูกจู่โจมไม่รู้ตัวได้แต่ยืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก

“นายคิดถูกแล้วล่ะ” เมื่อริชาร์ดเลื่อนใบหน้าออกไปก็ยิ้มกวนให้ รอยยิ้มที่แสนคุ้นตาแต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิมในเวลานี้

“อ่ะ….อ่ะ….!” ลาซารัสเพิ่งตั้งสติได้ เลือดสูบฉีดขึ้นมาบนหน้าจนแดงก่ำก่อนจะรีบก้มหลบ

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ แต่ฉันมันพวกตรงไปตรงมา” ร่างสูงหัวเราะให้กับท่าทีที่เดาเอาไว้แล้ว “และต่อจากนี้ก็ ขอบอกไว้ก่อนให้นายเตรียมใจเลยละกัน”

“ต...เตรียมใจ?” ลาซารัสคิดอะไรไม่ออก ในหัวตอนนี้ทั้งขาวโพลนทั้งสับสน

“ตอนนี้ฉันได้นายมาแค่ตัว...ฉันไม่อยากให้นายอยู่กับฉันต่อเพียงเพราะนายถูกซื้อมา แต่ฉันจะทำให้นายอยากอยู่กับฉันด้วยความต้องการของนายเอง” รอยยิ้มกว้างกับแววตามุ่งมั่นอย่างเอาจริงมองตรงเข้ามาในดวงตาสีฟ้าสดใสที่กำลังมองกลับด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก “ฉันจะเอาหัวใจนายมาด้วย”

เดี๋ยวสิ นี่มันมีบางอย่างผิดพลาด!


TBC.





*****************************************************************************************

จริงๆแล้วเนื้อเรื่องตอนนี้ควรจะลงดึกๆ แต่มันก็ทำตอนกลางวัน...ก็เลย...ตามนั้นล่ะค่ะ //จริงๆคือง่วงมากจนอัพตอนดึกไม่ไหว  :monkeysad:

ปกติแล้วอ่านกันตอนไหนเหรอคะ อยากรู้น่ะ แฮ่ะ... :o8:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.9 Up! (24/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-02-2017 16:09:51
ริชชช พ่อคุณทูนหัวผู้แสนดี
แต่ไม่สามารถเอาใจอิชั้นออกห่างจากชายแก่สับสนชีวิตอย่างคาเล็มได้หรอกเจ้าค่ะ หุหุ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.9 Up! (24/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 24-02-2017 22:23:55
อย่าทิ่งคนแก่นะหนุ่มๆอย่างน้อยถ้าท้องก็เป็นแฝดแบบลูกคุณหมอคนนึงลูกริชคนนึงก็ได้ สงสารคุณหมอ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.9 Up! (24/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 25-02-2017 00:53:18
ขอให้พระเอกเป็นริชาต์ด สาธุ :3123: :hao7: :z10:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 25-02-2017 01:26:23

บทที่ 10



“ไม่กินเหรอ?”

“อ่ะ...กินครับกิน”

ริชาร์ดพาลาซารัสมานั่งทานปูหิมะในร้านอาหารญี่ปุ่นตามที่ได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าหลังจากสารภาพให้โอเมก้าของตนรู้ว่าเขาคิดยังไง อีกฝ่ายก็ดูจะทำตัวไม่ค่อยถูก แม้ว่าตอนพาไปดูโชว์ปลาโลมา หรือพาไปดูนกเพนกวินจะร่าเริงเป็นปกติ แต่พอไม่มีสิ่งดึงดูดความสนใจแล้วเจ้าตัวก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับตัวนัก

สายตาลอบมองร่างโปร่งที่กำลังแกะเนื้อออกจากขาปูด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ก่อนจะคีบขาปูของคนตรงหน้ามาแล้วแกะเนื้อปูพร้อมกับคีบส่งให้

“อ่ะ ขอบคุณครับ” โอเมก้าหนุ่มค้อมรับและลงมือทาน รสหวานของเนื้อปูหิมะที่เพิ่งเคยลิ้มลองเป็นครั้งแรกในชีวิตนั้น อร่อยมากๆจนแทบจะบินได้

“กินเยอะๆเลย ไม่ต้องเกรงใจ” พอเห็นท่าทางชอบใจแบบนั้นแล้วริชาร์ดก็แกะเนื้อให้ไม่หยุดจนลาซารัสต้องเบรกก่อนที่จานของเขาจะพูนไปด้วยภูเขาเนื้อปู

“แล้วจากนี้อยากจะไปไหนต่อเหรอ?” อัลฟ่ามากวัยหันมาถามหลังจากทานมื้อเที่ยงกันจนอิ่มแล้ว

“ไปซูเปอร์มาเก็ตได้มั้ยครับ ผมอยากซื้อวัตถุดิบไปลองทำขนมน่ะ” โอเมก้าเจ้าของใบหน้ามนเสนอ เพราะไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนต่อ อีกทั้งยังอยากกลับเพื่อที่คนชวนจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย

“ได้สิ เดี๋ยวไปห้างที่เคยพานายไปคราวก่อนละกัน” หลังจากตกลงกันได้แล้วก็เรียกเช็คบิลพนักงานให้เก็บเงิน พอเห็นบิลค่าอาหารมื้อนี้เข้าไปลาซารัสถึงกับหน้าซีด แต่คนจ่ายกลับยิ้มระรื่นแถมยังให้ค่าทิปไปอีก

ซีอีโอหนุ่มขับรถพาโอเมก้าของตนไปยังห้างสรรพสินค้าหรูที่เคยพาเขานั่งเฮลิคอปเตอร์ไปในครั้งแรกที่เจอกันอย่างเปิดเผย
“คุณริชเป็นคนชวนคุณหมอไปงานประมูลตลาดมืดสินะครับ” ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถจากัวร์ ลาซารัสก็หันมาชวนคุย “คุณรู้จักงานนั้นได้ยังไงเหรอครับ?”

“หือ? นายสงสัยฉันเหรอ?”

“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น...ก็แบบว่า สถานที่แบบนั้นผมเคยคิดว่าจะมีแต่คนที่น่ากลัวและอันตราย แต่กลับได้มาเจอคุณริชกับคุณหมอ เลยอดแปลกใจไม่ได้น่ะครับว่าไปได้ยินข่าวมาจากไหน”

ตอนที่ลาซารัสยังอยู่ที่บ้านของคาเล็มก็ได้ฟังเรื่องนี้มาจากปากของคุณหมออัลฟ่า แม้แต่ตอนที่ถูกชวนไปถึงที่จัดงาน คาเล็มเองก็ไม่รู้เรื่องเลยจนกระทั่งไปถึงที่นั่น

“นายรู้ใช่มั้ยว่าคาเล็มมักจะตามหาโอเมก้าที่โดนขายแบบนายมารักษาตัวแล้วก็หาบ้านใหม่ที่ดีขึ้นให้น่ะ”

“ครับ”

“อำนาจของคาเล็มคนเดียวหาข่าวพวกนี้ไม่ได้หรอก ฉันเลยเป็นธุระให้เรื่องหาโอเมก้าที่โดนขายตามตลาดใต้ดินหรือไม่ก็โดนทำร้ายมาจนต้องเข้าโรงพยาบาล.. นักสิทธิมนุษย์ก็เข้ามาตัดสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของกับเจ้าของเก่าแล้วส่งให้คาเล็ม” ริชาร์ดอธิบายพลางเปิดเพลงฟังคลายเครียด “โอ๊ะ นี่เพลงโปรด”

“งี้นี่เอง” ลาซารัสพยักหน้า โชคดีเหลือเกินที่เขาได้เจอกับทั้งสองคน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีชีวิตที่ดีเช่นนี้แน่ๆ

“แต่เห็นช่วงนี้คาเล็มดูเฉาๆ ฉันเลยลากไปด้วย ไหนๆก็ต้องให้คาเล็มดูแลก่อนอยู่แล้ว ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ” อัลฟ่าเริ่มโยกตัวอย่างสบายใจตามจังหวะเพลง “ไม่นึกว่าจะได้โอเมก้ามาเป็นคู่ครองซะงั้น”

ร่างเล็กกว่าหน้าขึ้นสีเมื่อโดนแซว แต่พอนึกถึงเรื่องที่พิพิธภัณฑ์เมื่อครู่ก็ทำเอาไม่กล้าหันไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีกด้วยซ้ำ

“รู้งี้ประมูลนายมาเองซะก็ดี”

“คุณริชาร์ด!”

“เอ้า! พูดจริงๆ”

ความเป็นกันเองที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้จะเกิดเหตุการณ์ที่คนทั่วๆไปน่าจะถือเป็นเรื่องพิเศษมากๆ ทำให้ลาซารัสยังคงทำตัวเป็นปกติได้อย่างน่าประหลาด

ดีแล้ว.. ริชาร์ดฮัมเพลงอย่างพึงพอใจ แม้จะรู้สึกผิดต่อเพื่อนอยู่บ้างก็ตาม…


ทั้งสองเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต ทีแรกลาซารัสตั้งใจจะซื้อแค่นม น้ำตาล ไข่ไก่ และส่วนผสมทำพุดดิ้งอีกไม่กี่อย่าง แต่ว่าริชาร์ดที่ได้รู้วีรกรรมการเข้าครัวของโอเมก้าในปกครองมาจากหัวหน้าแม่บ้านเห็นว่าควรซื้อไปทีละเยอะๆดีกว่า...เผื่อว่าทำพลาดจนวัตถุดิบร่อยหรอลงจะได้ไม่ต้องออกมาซื้อบ่อยๆ

“อยากได้อะไรเพิ่มมั้ย? ”

“ไม่เอาแล้วครับ” ลาซารัสยกมือห้ามเพราะเกรงว่าหากซื้อมากกว่านี้เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าซื้อของไปเปิดร้านเบเกอรี่แหงๆ

“ถ้าทำขนมแล้วเอามาให้ฉันช่วยลองชิมก็ได้นะ เจสอายุมากแล้วขืนให้ทานของหวานคงไม่ดีกับสุขภาพเท่าไหร่” คนขอเป็นผู้ช่วยชิมเสนอตัวแม้ปกติจะไม่ค่อยได้ทานของหวานเหมือนเพื่อนสนิทของตน

“อ่ะ ครับ…” ร่างโปร่งเข็นรถเข้าไปที่แคชเชียร์ ระหว่างให้พนักงานคิดเงินก็หันไปชวนที่คนมาด้วยกันคุย “ว่าแต่คุณริชชอบทานขนมอะไรมั้ยครับ?”

“หือ?” คนถูกถามยืนนิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม...ทาร์ตไข่ล่ะมั้ง”

“งั้นกลับไปผมจะลองฝึกทำดูนะครับ”

“เฮ้ ไม่ต้องก็ได้ จะฝึกทำพุดดิ้งไม่ใช่เหรอ” ริชาร์ดส่งบัตรเครดิตให้พนักงานหลังคิดเงินเสร็จแล้ว

“ผมอยากทำอะไรตอบแทนคุณบ้างน่ะครับ อ่ะ...แต่เรื่องรสชาติคงจะ…” แม้จะตั้งใจไว้แต่จริงๆก็แอบกังวลอยู่ดี

“...จะตั้งตารอเลยนะ” มือหนายกขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบถุงแล้วเดินนำหน้าโอเมก้าหนุ่มไปที่จอดรถ ลาซารัสจึงไม่ทันเห็นว่าตัวริชาร์ดนั้นแอบอมยิ้มแก้มปริขนาดไหน

“จะว่าไปเรื่องขับรถก็…” ลาซารัสพูดขึ้นมาลอยๆในขณะที่จัดของอยู่ที่ประตูเบาะหลังรถคันหรูที่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นรถจ่ายตลาดชั่วคราว

“อยากหัดแล้วเหรอ? รีบจังนะ” ริชาร์ดถือถุงเต็มสองมือ แต่ท่าทางเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงน้ำหนักใดๆ ทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่หายดีแท้ๆ

“ก็.. มันอยู่เฉยๆนี่ครับ ปกติมีงานบ้านให้ทำตลอด ผมเลยไม่ค่อยมีเวลาทำอะไร ตอนนี้พอว่างแล้วก็อยากลองไปหมดทุกอย่างเลย”

“เอาสิ เดึ๋ยวเอารถพวกพ่อบ้านมาให้ลองขับนะ ให้สอนด้วยเลยละกัน” ริชาร์ดเสนอทางที่ไร้การเสียเงินใดๆ เพราะขืนต้องออกตังค์อีก ลาซารัสต้องปฎิเสธแน่นอน

“ขอบคุณมากครับ!” ร่างโปร่งหันมาทำตาลุกวาวอย่างปิดไม่อยู่ ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยและก้มหน้างุดลง รีบกุลีกุจอรับของจากมืออัลฟ่ามาเก็บอย่างรวดเร็ว

“มีอะไรเหรอ?” ริชาร์ดเห็นท่าทางแปลกๆน่าตลกขบขันก็อดถามไม่ได้

“เปล่าครับ!” ลาซารัสตอบเสียงแข็งแล้วรีบปิดประตูและเดินกลับไปขึ้นรถตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะยอมมองหน้าเขา ริชาร์ดจึงเดินตามไปนั่งฝั่งคนขับแล้วเริ่มจัดแจงใส่เข็มขัดและสตาร์ทรถ

“เพิ่งรู้ตัวเหรอว่าทำตัวน่ารักน่ะ”

“...ผมไม่ได้ตั้งใจให้ท่าคุณนะ”

“รู้ แต่เพราะแบบนี้แหละนายเลยน่ารัก” หมัดเล็กๆชกใส่แขนผู้เป็นนายเบาๆอย่างไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ก่อนเสียงหัวเราะของคนโดนทำร้ายจะดังขึ้น ทั้งสองมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านอย่างไม่เร่งรีบและกินลมชมวิวไปพลาง ต่างคนต่างนึกเพียงว่าจะทำอะไรต่อไป

ต่างกันที่ อีกคนกำลังหาทางมัดใจคนใจแข็งกับอีกคนที่กำลังหาทางออกให้ตัวเอง…


เวลาหลายอาทิตย์ที่คาเล็มติดต่อกับโอเมก้าที่ตนเคยช่วยเหลือไว้ทำเอาแทบไม่ได้ออกมาเจอแสงเดือนแสงตะวัน แถมเออร์แฟนก็มากดดันถึงบ้านให้รีบๆทำตามที่บอกเสียอีก

“รับน้ำชาเพิ่มไหมครับ” เรนเดลค้อมตัวลงมาถามอัลฟ่าผู้สง่างามที่กำลังนั่งพักจากการเขียนสำนวนยื่นเรื่องอยู่

“ขอบคุณครับ”

“เมื่อไหร่นายจะกลับๆไปซักที…” คาเล็มที่เอนตัวลงนอนพักหลังเอ่ยไล่แขกที่ไม่เต็มใจให้อยู่นัก

“ก็จนกว่านายจะติดต่อได้ครบทุกคน เรื่องนี้เดิมพันทั้งชีวิตนายนี่ รีบๆทำซะสิ”

“แล้วทำไมต้องเอาการ์ดมายืนเต็มบ้านด้วย” คุณหมอผงกหัวขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง พบชายใส่สูทดำสวมแว่นยืนเรียงรายนอกบ้านเป็นจุดๆ

“ปกป้องลูกความไง นี่กะจะส่งมาอยู่กับนายสักโหลนึง” เออร์แฟนเอ่ยแซวขณะที่หยิบของว่างในจานมากิน “อร่อยจัง ทำเองเหรอครับ”

“หา!? ไม่เอาด้วยหรอก จูเลียตเครียดตายเลย เจอคนแปลกหน้าคราวละมากๆขนาดนี้” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สุนัขตัวใหญ่ที่ถูกยกมาอ้างก็กำลังวิ่งเล่นกับการ์ดบางส่วนที่ทำหน้าที่ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างไม่เกรงใจแผนของเจ้าของบ้านสักนิด….

“นายน้อยครับ คุณแมทเวย์ได้ใบขับขี่แล้วล่ะครับ” เรนเดลแทรกขึ้นมากลางวงสนทนาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“อ้อเหรอ เออ ก็ดี…..อะไรนะ!!?” คาเล็มเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาแล้วคว้ามือถือของพ่อบ้านมาดู

ข้อความจากริชาร์ดแนบรูปถ่ายลาซารัสที่นั่งอยู่ในรถตรงตำแหน่งคนขับ มือหนึ่งยกขึ้นชูสองนิ้วอย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่อีกมือถือใบขับขี่อยู่ และข้อความต่อมานั้นเขียนไว้ว่า ‘ขับเก่งมาก มีพรสวรรค์ผิดกับการทำอาหารเลยล่ะ’

“โห...ท่าทางอยู่กับทางนั้นจะไปรุ่งกว่านะเนี่ย” คาเล็มตวัดสายตามองมองอัยการหนุ่มที่แอบชะเง้อหน้ามาดูรูปในโทรศัพท์ “มัวแต่ชักช้าระวังจะเสียของรักไปอีกรอบนะคราวนี้”

ทว่า...แทนที่จะตีหน้าเครียดกว่าเดิม คุณหมออัลฟ่ากลับทำสีหน้าสงบนิ่งผิดไปจากที่เออร์แฟนคาดเอาไว้ ก่อนจะยื่นมือถือคืนให้พ่อบ้านของตนแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อโดยไม่พูดอะไร

“ไม่ตอบอะไรกลับไปหน่อยเหรอครับนายน้อย” พ่อบ้านสูงวัยถาม

“นายก็ตอบกลับไปเองสิ ฉันกำลังยุ่งอยู่”

เออร์แฟนและเรนเดลมองหน้าคุณหมออัลฟ่าที่จู่ๆ ก็งานล้นมือขึ้นมาทันที อัยการหนุ่มหันไปสะกิดแขนพ่อบ้านแล้วขอยืมโทรศัพท์เครื่องเดิมมาพิมพ์ข้อความก่อนกดส่งไปให้ริชาร์ด

เสียงข้อความเข้าในเวลาต่อมา ซีอีโอหนุ่มคิดว่าเป็นข้อความจากเพื่อนจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาอ่าน

‘มีความสุขซะให้พอเถอะเจ้าแมวขโมย’

“ห้ะ?” ริชาร์ดไม่รู้ว่าเออร์แฟนเป็นคนส่งมา และกลับเข้าใจไปว่าเป็นคาเล็ม เขากดเบอร์โทรศัพท์ต่อสายไปหาทันที พอจะพูดกรอกเสียงลงไปก็ได้ยินเสียงที่ไม่ได้เข้าหูมานานเป็นคนรับ

“คาเล็มไม่ว่าง มีธุระอะไรจะฝากมั้ย?” อัยการหนุ่มเดินถือโทรศัพท์ออกไปคุยข้างนอกบ้านไม่ให้เป็นการรบกวนเจ้าของบ้าน

“...เออร์แฟน เมื่อกี้นายเป็นคนส่งข้อความเรอะ” ริชาร์ดกดเสียงต่ำอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ใช่ ฉันส่งไปเอง เพราะคาเล็มคงไม่อยากคุยกับนายเท่าไหร่” สายตาหันกลับไปมองคนในบ้านให้แน่ใจว่าทางนั้นจะไม่ได้ยินเสียงของตนคุยโทรศัพท์กับปลายสาย “สถานะของนายกับฉันมันกลับกันแล้ว ตอนนี้คาเล็มคงเหม็นหน้านายเหมือนที่ฉันเคยโดนมาก่อนนั่นแหละ”

“...” ริชาร์ดหรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจ ถูกอยู่ที่เขาคงโดนเพื่อนรักเกลียดเพราะเรื่องที่ทำไป แต่พอเป็นคำพูดจากปากคนๆนี้เขากลับไม่อยากจะเชื่อนัก… “รู้น่า”

“หลงเจ้าหนูนั่นอีกคนแล้วสินะนาย” เห็นคนที่ปลายสายไม่ปฎิเสธก็เริ่มรุกไล่เค้นเอาความคิดอ่านของริชาร์ดเพิ่มแม้จะพอรู้สถานการณ์อยู่บ้างแล้วก็ตาม

“ก็ถูกอย่างที่นายพูด” ความรู้สึกเหมือนโดนสอบสวนนี้มันไม่น่าอภิรมณ์สักนิด “รู้อยู่หรอกน่าว่ามันผิดกับคาเล็ม แต่ฉันก็ไม่ได้เอามาอย่างผิดกฎหมายซะหน่อย”

“เรื่องคาเล็มยกให้นายฉันก็รู้” เออร์แฟนเอนตัวพิงกับระเบียงหน้าบ้าน “แต่เขาทำด้วยความจำเป็น นายก็อย่าใช้ความไว้ใจของเพื่อนฉวยโอกาสยึดเจ้าหนูนั่นเป็นของตัวเองสิ”

“คนแบบนายพูดเรื่องแบบนี้ได้ด้วย...อ่ะ นี่ชมนะ” ซีอีโอหนุ่มเดินออกจากลานทดสอบเพื่อคุยให้ห่างจากระยะการได้ยินของคนอื่น “แน่นอน ฉันไม่ถือโอกาสความเป็นเจ้าของยึดเขาไว้หรอก”

“หือ?”

“จบงานนี้ถ้าคาเล็มมาขอเขาคืน… ก็ถามลาซารัสเองก็แล้วกันว่าเขาอยากอยู่กับใคร”

“อืม..แล้วมันแฟร์ตรงไหนล่ะเนี่ย นายเล่นอยู่ทำแต้มกับเขาทั้งวันทั้งคืนขนาดนั้น…”

“ไม่มีกลางคืนเฟ้ย!” ถึงเออร์แฟนจะไม่ชอบใจแต่ก็นับถือเรื่องที่ริชาร์ดตรงไปตรงมาแบบนี้นี่แหละ…


“หายไปไหนมา” คาเล็มมองไปหาคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในบ้าน

“คุยโทรศัพท์” เออร์แฟนส่งโทรศัพท์คืนให้พ่อบ้าน “ใช้ของคุณเรนเดลจะได้ไม่โดนจับสัญญาณน่ะ.. อาทิตย์หน้าไปหาริชาร์ดกับฉันที่ตึกหมอนั่นนะ”

“หา?” คุณหมอขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัยระคนไม่พอใจ “ทำไมนายถึงโทรไปหาหมอนั่น?”

“เรื่องพยานนั่นแหละ ริชาร์ดเป็นเจ้าของลาซารัส แมทเวย์อยู่นี่”

“....นายจะให้ลาซัสเป็นพยาน?”

“ใช่”

“ไม่” คาเล็มปฎิเสธเสียงแข็ง

“โอเมก้าที่ร่างกายสมบูรณ์ขนาดนี้หายาเต็มทีแล้ว อีกสองเดือนจะเริ่มไต่สวนใหม่ ไม่มีเวลาไปหาคนมารับยาทดลองแทนหรอก” เออร์แฟนเดินมานั่งลงที่เดิมอย่างใจเย็น

“แต่….เรื่องที่มาของลาซัส…”

“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครกล้าขุดหรอก ขืนมีคนสงสัยก็จะโดนกังขาเรื่องที่ว่าเขารู้ได้ไงอีกอยู่ดี ยังไงก็ซวยกันทั้งยวง…” ร่างโปร่งเอนตัวไปกับเบาะนุ่ม “พวกใต้ดินเองก็แบ็คหนาพอจะไม่ยอมให้เรื่องนี้หลุดแน่ๆ หลักฐานปลอมที่พวกนั้นสร้างมาก็ตรวจสอบได้ยังกับเข้าระบบพลเมืองไว้แล้ว”

“...”

“เอาเป็นว่าไปคุยดูก่อนละกัน”

คาเล็มกัดฟันแน่น.. เขารู้อยู่เต็มอกว่าลาซารัสจะต้องไม่ปฎิเสธอย่างแน่นอน… แต่เรื่องที่เขาห่วงไม่ใช่แค่นั้นหรอก…

….เพราะคนในครอบครัวเขาเคยเห็นหน้าลาซารัสตอนที่ไปงานแต่งกับเขาแล้วนี่สิ….

“เป็นอะไรไป?” ดวงตาสีทองมองอัลฟ่าสูงวัยที่ตีหน้าเครียดหนักกว่าเดิม คาเล็มจึงบอกสิ่งที่ตนกังวลใจออกไป ถึงแม้ในงานแต่งเขาจะไม่ได้บอกพวกนั้นไปว่าลาซารัสเป็นอะไรกับตนก็ตาม

อัยการหนุ่มนั่งนิ่งใช้ความคิดครู่หนึ่ง “ก็ยังดีที่อย่างน้อยๆ นายก็ไม่ได้โกหกไปว่าเป็นผู้ช่วยวิจัยเหมือนที่ริชาร์ดมันแนะนำ”

“แล้วถ้าเกิดพวกนั้นสงสัยว่าลาซัสที่ควรจะเป็นโอเมก้าของริชาร์ดทำไมถึงโผล่หน้าไปร่วมงานแต่งกับฉันได้ล่ะ?…”

“พอเป็นเรื่องเจ้าหนูนั่นทีไรนายชอบลนจนเสียความเยือกเย็นทุกทีเลยนะคาเล็ม” เออร์แฟนมองหน้าคาเล็มแล้วก็พอจะเดาออกว่ากังวลเรื่องอดีตโอเมก้าของตัวเองมากแค่ไหน

“.....”

“ทุกอย่างจะเรียบร้อย ถ้านายเชื่อว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกมาตลอดก็ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะแพ้” มือเรียวแต่ไม่ถึงกับบางยื่นไปแตะไหล่คุณหมอเบาๆเป็นเชิงปลอบ “แต่ไม่ว่ายังไงคดีนี้ฉันก็ไม่มีวันปล่อยให้ทางนั้นได้หัวเราะเยาะนายอีกเป็นครั้งที่สองแน่”
ดวงตาหลังกรอบแว่นแหงนหน้าขึ้นสบตามองเออร์แฟน ทั้งสายตาและคำพูดนั้นไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้คนฟังสบายใจ แต่เชื่อว่าต้องทำได้ คาเล็มยกมือขึ้นแตะมือของอีกคนที่ยังวางอยู่บนไหล่กว้างซึ่งแบกรับความหวังของเหล่าคนที่อยู่ข้างหลังอีกมากเอาไว้

“...ขอบใจนะที่นายยอมอยู่ข้างฉัน”

“........”

“เรนเดล เย็นนี้ทำอะไรกินเหรอ?” พอละสายตาจากอัยการหนุ่มก็หันไปทางคนดูแลที่เพิ่งออกไปเสิร์ฟของว่างให้เหล่าการ์ดที่เฝ้ายามอยู่รอบๆบ้าน

“สตูว์เนื้อแกะครับ” เรนเดลตอบ และแอบขำที่เจ้านายของตนทำหน้าเซ็งเพราะช่วงนี้กินแต่เนื้อแกะติดๆกัน

“งั้นก็ทำเยอะๆ เลยแล้วกัน พวกการ์ดข้างนอกจะได้กินด้วย” บอกพ่อบ้านเสร็จก็หันหน้ากลับมาหาอัยการที่ยังนั่งแข็งค้างอยู่ “แล้วนายล่ะจะกินด้วยกันมั้ย?”

“.....ฉันว่าเย็นนี้หิมะข้างนอกคงตกแหงๆ ที่นายชวนฉันกินมื้อเย็น”

“พูดงี้แสดงว่าจะไม่กิน?”

“กิน!”

การ์ดคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องถึงกับหลุดขำพรืดหลังได้ยินบทสนทนา พร้อมกับยกนาฬิกาวิทยุสื่อสารไปบอกคนอื่นๆว่าเย็นนี้มีสตูว์เนื้อแกะรออยู่



“อืม…”

“ปะ...เป็นไงบ้างครับ?” ดวงตาสีฟ้านั่งลุ้นหลังจากที่ทดลองทำทาร์ตไข่มาให้อัลฟ่าเจ้าของตนทดลองชิม ก่อนที่ริชาร์ดจะลองกัดเน้นย้ำรสชาติดูอีกคำ

“...มันยังนุ่มไม่พอน่ะ” ในที่สุดร่างสูงก็ให้คำวิจารณ์ออกมา “แต่รอบนี้รสชาติใช้ได้อยู่นะ”

“ไชโยยยย” ร่างโปร่งชูแขนขึ้นจนสุด หลังจากลองมาหลายรอบในที่สุดก็สามารถทำอะไรให้ออกมากินได้บ้างเสียที

“อย่าเพิ่งดีใจสิ ยังทำได้ดีกว่านี้น่า” ริชาร์ดกินเข้าไปจนหมดและกำลังหยิบชิ้นที่สองขึ้นมากินอย่างเสียดาย

“แค่ทำให้กินได้ผมก็แทบกระอักแล้วครับ” ลาซารัสลากเก้าอี้มานั่งอย่างเหนื่อยล้า ด้านข้างมีทาร์ตไข่ที่ดูท่าทางใช้การไม่ได้วางแปะไว้สองสามชิ้น รอบนี้เสียทรัพยากรไปน้อยกว่าที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีก็ได้มั้ง

“แล้วพุดดิ้ง?” ร่างสูงถามหาของกินอีกอย่างที่ลาซารัสเคยบอกไว้ว่าต้องการจะหัดทำ

“อ๋อ.. พักอยู่ในตู้เย็นครับ อีกสักยี่สิบนาทีถึงจะเอาออกมาได้”

“เหรอ ถ้ารอบนี้กินได้ อร่อยดีก็คงพร้อมแล้วมั้ง”

“พร้อม?”

“อาทิตย์หน้าเออร์แฟนจะนัดนายกับฉันไปคุยด้วย เรื่องการขึ้นให้การเป็นพยานเรื่องยาของคาเล็ม”

“พยาน.. แน่นอนครับ ผมอยากช่วย” ร่างโปร่งยืดหลังนั่งตรงอย่างแน่วแน่

“ฉันรู้ ใครก็รู้ ไอ้ที่จะไปคุยเนี่ย ไปคุยเรื่องขั้นตอนการทดลองยา ว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง” ริชาร์ดเท้าคางมองแล้วหัวเราะท่าทีของโอเมก้าในครอบครอง

“อ่อครับ….คุณหมอก็มาด้วย?”

“ในที่นี้มีแต่หมอนั่นที่รู้เรื่องยาดีที่สุด นายคิดว่าเค้าจะไม่มาได้ยังไงล่ะ?” มือหนายกมาขยี้ผมสีน้ำตาลเข้มจนยุ่งเหยิง “คาเล็มคงดีใจตายเลย”

แต่แทนที่ลาซารัสจะยิ้มแก้มปริเหมือนที่ผ่านมา โอเมก้าหนุ่มกลับมองตรงไปหาเจ้านายของตนอย่างนิ่งสงบ ทำเอาริชาร์ดชะงักไปเพราะฉงนสงสัย “คุณริชไม่ว่าเหรอครับ?”

“....ทำไมล่ะ แค่ขนมเอง” ดวงตาคมที่มักจะมีแววขี้เล่นเป็นมิตรกลับวูบไหวเพียงเพราะคำถามราวกับขออนุญาตผู้ปกครองของคนตรงหน้า “ไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว หมอนั่นเองก็คงอยากคุยเรื่องอื่นกับนายนอกจากเรื่องงานด้วยล่ะมั้ง”

“แล้วคุณริชล่ะครับ?” ลาซารัสจ้องคนตรงหน้า “คุณเองก็อยากคุยกับคุณหมอรึเปล่า”

“...แค่เสียงฉัน คาเล็มยังไม่อยากได้ยินเลยมั้ง” ร่างสูงหันหน้าไปมองทางอื่น จริงอยู่ที่เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับโอเมก้าที่น่ารักนิสัยดีอย่างลาซารัส แต่พอไม่ได้ไปเจอหน้าเพื่อนรักก็มีบ้างที่รู้สึกเหงาอย่างประหลาด “แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ฉันเองก็ไม่อยากไปกวนใจหมอนั่นด้วย 

“คุณริช…”

“พรุ่งนี้ฉันต้องเข้าไปประชุมที่บริษัท นายอยู่บ้านฝึกทำขนมไปนะ แต่ถ้าอยากออกไปขับรถเล่นก็ไปเอากุญแจรถที่คนขับรถได้เลย” ซีอีโอหนุ่มเปลี่ยนเรื่องก่อนหยิบทาร์ตไข่อีกชิ้นมากินและขอตัวไปเตรียมงานพรุ่งนี้

ดวงตาสีฟ้ามองตามหลังร่างสูงที่เดินออกไป ถึงจะแค่แว่บเดียวแต่เขาก็สังเกตเห็นแววตาของริชาร์ดว่ามันไม่มีประกายสดใสอย่างเคย

“เราจะทำยังไงดีนะ...คิดสิลาซัส คิด...คิด…” ร่างโปร่งก้มหน้างุดพยายามนึกหาวิธีดีๆ ที่จะช่วยให้ทั้งสองคนคืนดีกันก่อนจะถึงวันนัดคุยเรื่องของเขา ระหว่างที่กำลังหัวหมุนอยู่นั้นโทรศัพท์ของตนก็ดังขึ้น ที่หน้าจอโชว์เบอร์ของพ่อบ้านเรนเดลอย่างบังเอิญ ราวกับรู้ว่าเขากำลังมีปัญหาในตอนนี้

“ช่วยด้วยครับคุณเรนเดล! ผมปวดหัวมากเลยตอนนี้” โอเมก้าหนุ่มกรอกเสียงขอความช่วยเหลือลงไปในสายแทบจะทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณแมทเวย์?” พ่อบ้านสูงวัยถามด้วยความเป็นห่วง จากนั้นอีกฝ่ายก็เล่าให้ฟังว่าต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใด “อา...เรื่องนี้เองสินะครับ”

“พอจะมีวิธีช่วยให้พวกเค้าคืนดีกันได้มั้ยครับ?”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลานายน้อยกับคุณริชาร์ดมีปากเสียงกันก็พอจะมีคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยอยู่หรอกนะครับ” ดวงตาสีฟ้าแลดูมีความหวังขึ้นมาจึงถามถึงบุคคลที่เป็นคนกลางที่ว่านั้น ก่อนที่ความหวังจะดับวูบลงในวินาทีต่อมา เพราะคนที่ว่านั้นก็คือโนเอลซึ่งไม่อยู่แล้วในตอนนี้

“แล้วคุณโนเอลทำยังไงเหรอครับ?” แม้คนเคลียร์จะไม่อยู่ แต่อย่างน้อยก็ขอรู้วิธีที่ทำให้เด็กโข่ง(?)สองคนกลับมาดีกันได้เหมือนเดิมก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

“คุณแมทเวย์ครับ กระผมไม่แนะนำให้คุณใช้วิธีเดียวกับคุณโนเอลช่วยให้สองคนนั้นคืนดีกันหรอกนะครับ”

“ทำไมเหรอครับ?”

“ตอนนั้นทั้งนายน้อยและคุณริชาร์ดต่างก็ทะเลาะกันหนักจนเกือบจะถึงขั้นเลิกคบค้าสมาคมกันไปเลย คุณโนเอลก็เลยนัดสองคนนั้นไปตระเวนแฮงค์เอาท์ทั้งร้านเหล้า เข้าผับเข้าบาร์ ดื่มกันจนเมาเละเทะทั้งสามคน พอสองคนนั้นเริ่มเมาจนคุมไม่อยู่ก็ขึ้นไปชกต่อยกันที่เวทีกลางร้าน คุณโนเอลขึ้นไปห้ามจนโดนสองคนนั้นประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าใส่เข้าพอดีจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นนายน้อยกับคุณริชาร์ดก็โดนลากไปนอนสงบสติในห้องขังที่โรงพักข้อหาเมาและทะเลาะวิวาท แล้วคุณโนเอลก็ถ่อสังขารไปประกันตัวทั้งคู่ออกมาทั้งๆที่ยังใส่เผือกที่คออยู่เลยล่ะครับ พอเห็นคุณโนเอลเจ็บตัวเพราะพวกเขา สองคนนั้นก็ขอโทษขอโพยกันใหญ่จนลืมเรื่องที่ทะเลาะกันไปเสียสนิท”

หลังจากถามไปและได้คำตอบกลับมา ดวงตาสีฟ้าก็อึ้งไปกับวิธีการเกลี้ยกล่อม...ไม่สิ เอาตัวเข้าแลกที่เหนือความคาดหมายกว่าที่ตนคิดไปไกล “ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ!?”

“ครับ จากนั้นมาพวกเขาก็ไม่เคยทะเลาะกันอีกเลย อาจจะมีเคืองกันบ้าง โกรธกันบ้างตามประสาแต่ไม่ถึงครึ่งวันก็กลับมาดีกันเหมือนเดิมแล้วครับ”

“ผมทำไม่ได้แหงๆเลยครับ…” ลาซารัสถึงกับเสียงอ่อน สองคนนั้นตัวใหญ่กว่าเขาทั้งคู่ ถ้ากินหมัดเข้าไปคงไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มไม่ต่างจากโนเอลแน่ๆ

“ใช่มั้ยล่ะครับ” พ่อบ้านแอบโล่งใจที่อย่างน้อยๆลาซารัสคงไม่กล้าเลียนแบบแน่นอน

“แต่...ผมจะพยายามนะครับ เพราะงั้นผมขอรบกวนคุณเรนเดลช่วยผมทีนะครับ”

พ่อบ้านสูงวัยแทบช็อคจนหัวใจจะหยุดเต้นกับความกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงของโอเมก้าหนุ่ม ไม่ใช้แค่อีกฝ่ายเท่านั้น ถ้าเจ้านายของตนรู้ว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับแผนนี้ด้วยล่ะก็งานนี้มีหวังโดนไล่ออกจากการเป็นพ่อบ้านก่อนเกษียณตัวเองจริงๆแน่

“...ตกลงครับ แต่ถ้ากระผมตกงานล่ะก็คุณแมทเวย์ต้องรับผิดชอบด้วยนะครับ” ท้ายที่สุดเรนเดลก็ยอมใจอ่อนร่วมมือกับลาซารัสแต่โดยดี แล้วทั้งคู่ก็เริ่มนัดแนะแผนการคืนดีให้กับเจ้านายและเจ้าของตนเป็นมั่นเป็นเหมาะในอีกสามวันถัดมาที่บาร์แห่งหนึ่ง 


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 25-02-2017 01:36:16

“ไม่คิดว่านายจะอยากดื่มเลยนะเนี่ย” ริชาร์ดที่อยู่หลังพวงมาลัยกำลังเลี้ยวรถเข้าไปจอดในสถานที่จอดรถของร้านอาหารกึ่งบาร์แถวชานเมืองแห่งหนึ่ง เป็นที่เงียบสงบและไม่ค่อยมีคนรู้จัก รับแขกรายทางที่เดินทางผ่านไปมาเท่านั้น

“ผมก็ดื่มเป็นนะครับ แค่ไม่เคยลองมา..นั่งดื่มข้างนอก..แบบว่า ทำตัวสบายๆ พักผ่อน อะไรแบบนั้น..” ลาซารัสสรรหาคำมาบรรยายความนึกคิดอย่างยากลำบากจนได้ประโยคแปลกประหลาดออกมาแทนที่

ริชาร์ดเลิกคิ้วแล้วจึงอมยิ้มขบขัน “นายทำตัวแปลกๆนะ ตื่นเต้นหรือไง” โชคดีที่ริชาร์ดมองโลกในแง่ดีพอจะมองข้ามความผิดปกตินี้ไป

“ครับ ผมไม่เคยออกมานั่งดื่มในร้านแบบนี้เลย โอนเนอร์จะซื้อมาให้ดื่มที่บ้านอย่างเดียว”

“โอเค งั้นวันนี้ถือว่ามาพักผ่อนแล้วก็เปิดหูเปิดตาละกัน” ร่างสูงปลดเข็มขัดนิรภัยและถอดแว่นกันแดดออกมาเก็บ ก่อนดึงชายเสื้อเชิ้ตด้านในสูทสีเข้มออกมานอกกางเกง ดึงไทด์ออกไปพร้อมปลดคอเสื้อลงมาราวกับว่าอึดอัดกับเครื่องแบบนี่เต็มทน “...มองอะไร?”

“เปล่าครับ” ลาซารัสตวัดสายตากลับมามองตรงแข็งทื่อ เขาเผลอจ้องนายของตนเพื่อหาช่องทางการเกลี้ยกล่อมจนลืมตัว

“หือ.. เริ่มหลงเสน่ห์เสี่ยแล้วเหรอ?”

“ไม่ครับ!”

เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในร้านก็พบบรรยากาศเงียบสงบและผู้คนบางตา ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวสุดๆ พร้อมการตกแต่งเรียบง่าย ลาซารัสเดินนำมาจับจองโต๊ะตัวในที่ค่อนข้างอับสายตาคนอย่างรวดเร็วจนริชาร์ดต้องเดินตามมาให้ทัน

“รีบจังนะ”

“....หิวแล้วน่ะครับ” ร่างโปร่งแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ซึ่งอัลฟ่าที่นั่งตรงข้ามก็ดันไม่นึกสงสัยอะไรเสียด้วย

“งั้นอยากกินอะไรก็สั่งเลย” พนักงานเดินเอาเมนูอาหารมาวางไว้ให้พร้อมแนะนำเครื่องดื่มบางชนิดที่เป็นเมนูแนะนำก่อนจะเดินจากไปเพื่อให้ลูกค้าได้มีเวลาเลือก

ริชาร์ดสั่งรายการอาหารและเครื่องดื่มของตนเสร็จแล้ว แต่ลาซารัสยังเลือกไม่ได้แถมยังคอยเอาแต่ทำท่าทางแปลกๆ อย่างมองนาฬิกาข้อมือไม่ก็เอามือไปแตะโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง

“เป็นอะไรรึเปล่า?” ร่างสูงเอ่ยถามอีกครั้ง เริ่มจับพิรุธอาการผิดปกติของโอเมก้าของตนขึ้นมาตงิดๆ

“ผะ...ผมลืมกินยาน่ะครับ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

“เฮ้ เดี๋ยวฉันไปด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมมาแป๊บเดียว” ร่างโปร่งลุกพรวดขึ้นแล้วเดินไปยังทางที่ลูกศรชี้ทางไปห้องน้ำ ก่อนจะรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องด้านในสุดแล้วพิมพ์ข้อความหาเรนเดลว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว

“อีกประมาณสิบนาทีเหรอ ทำไงดีล่ะ?” ลาซารัสเริ่มลนก่อนพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่กลิ่นในห้องน้ำชายไม่ชวนให้รู้สึกฮึดขึ้นมาเท่าไหร่จึงเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกแทน

เสียงปรบมือของคนในร้านดังขึ้นเมื่อนักร้องรับเชิญขึ้นเวทีมาทำการร้องเพลงและเล่นดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศในร้านให้ครึกครื้น

เสียงดนตรีโฟล์คคลอขึ้นมาพร้อมเสียงทุ้มนุ่มของนักร้องที่สะกดให้คนฟังเคลิ้มตามได้อย่างง่ายดาย ลาซารัสที่กำลังวิตกกังวลเองก็เผลอยืนฟังอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน อาจจะเพราะไม่เคยฟังเพลงเล่นสดๆแบบนี้ เขาจึงตื่นเต้นและสนใจเป็นอย่างมาก “เก่งจัง”

“อืม...เก่งจริงๆนั่นแหละ”

“ว้าก!” ลาซารัสสะดุ้งตัวโยน เผลอส่งเสียงหลงอย่างตกใจเพราะจู่ๆคนที่ไม่คาดคิดก็โผล่มาข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ “ค...คุณหมอ…?”

“มาทำอะไรที่นี่?” คาเล็มยกมือขึ้นเท้าเอวอย่างเค้นเอาคำตอบ ด้านหลังมีเรนเดลยืนเหงื่อตกอยู่

“ผม...มาเปลี่ยนบรรยากาศครับ” คนตัวเล็กกว่าถอยออกมาเว้นระยะเล็กน้อยแล้วพยายามทำให้ตัวเองเป็นปกติ

คาเล็มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วกวาดตามองไปทั่วร้าน พลันตาสายไปสะดุดกับเพื่อนรักซึ่งนั่งอยู่มุมหนึ่งของร้านเข้าพอดี ริชาร์ดที่ยังไม่เห็นเขาก็กำลังรินเหล้าใส่แก้วใบสวยแล้วบอกให้พนักงานนำไปมอบให้นักร้องเพื่อตอบแทนบทเพลงยอดเยี่ยมที่เพิ่งจะจบลง

“มาเดทกัน?”

“เปล่านะครับ!” ลาซารัสรีบแก้ตัว “อ่ะ...ไหนๆ ก็ได้เจอกันแล้ว คุณหมอกับคุณเรนเดลมานั่งด้วยกันสิครับ”

“ไม่…” ดวงตาหลังกรอบแว่นมองดวงตาสีฟ้าที่จ้องเหมือนจะขอร้องก็ทำเอาประโยคปฏิเสธหลุดกระเด็นหายไปจากปากทันที

...รู้สึกตัวอีกทีก็มานั่งร่วมโต๊ะกันสี่คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อาหารถูกทยอยนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พนักงานที่ผลัดกันมาเสิร์ฟต่างรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุของลูกค้าที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน แม้ทั้งสี่คนจะพูดคุยไปพลางกินดื่มเป็นปกติก็จริง แต่คาเล็มกับริชาร์ดก็ไม่แม้แต่จะปริปากคุยกันเลยสักคำเดียว

พูดให้ถูกคือคาเล็มไม่เปิดช่องให้ริชาร์ดได้พูดอะไรกับเจ้าตัวเลยมากกว่า นอกจากนั้นสถานการณ์ยังผิดแผนไปจากที่วางไว้อีก เพราะทั้งคุณหมอและซีอีโอต่างก็คุมปริมาณการดื่มไม่ให้เกินลิมิตที่ร่างกายรับไหว

แล้วจะมอมเหล้ายังไงล่ะทีนี้!!

ลาซารัสหันหน้าไปตั้งใจจะขอความช่วยเหลือจากพ่อบ้านสูงวัย แต่เรนเดลเองก็สายหน้าไม่รู้จะทำยังไงดีเช่นกัน แถมอาหารบนโต๊ะก็เริ่มพร่องลงเรื่อยๆ หากกินอิ่มเมื่อไหร่คุณหมอก็คงจะเช็คบิลเดินออกจากร้านไปทันทีแน่

เป็นไงเป็นกัน วัดดวงให้รู้กันไปเลย!

ลาซารัสหยิบขวดเหล้ามารินใส่แก้วตัวเองแล้วกระดกดื่มเพียวๆ จนเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสามคนหันมามองตาค้าง แถมยังตะโกนสั่งบริกรให้เอาเหล้าดีกรีแรงกว่านี้มาเพิ่มอีก

“ลาซัส! เดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มหรอก” คาเล็มปรามเสียงเข้ม แต่ดวงตาสีฟ้าตวัดมองมาด้วยแววตาแข็งกร้าวจนคุณหมอเผลอถอยหลังติดเก้าอี้ไม่รู้ตัว

ริชาร์ดมองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ อยากจะเอ่ยห้ามโอเมก้าของตนอยู่หรอก เพียงแต่ว่าภาพแบบนี้มันทำเขารู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด เมื่อเขาเผลอสบตาเข้ากับคาเล็ม พลันภาพในอดีตเรื่องหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวพวกเขาพร้อมกันราวกับนัดไว้ ทั้งสองคนเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีไปสู่โหมดจริงจังขึ้นทันที

“ลาซัส.. ที่นายอยากออกมากินเหล้าวันนี้นี่วางแผนไว้เหรอ?” ริชาร์ดเริ่มตะล่อมถามก่อน เพราะคาเล็มเพิ่งโดนมองแรงใส่เมื่อครู่คงไม่กล้าถามเองอีกสักพักหนึ่ง

“...เปล่าครับ!” ร่างโปร่งหันหน้าหนีแล้วปฎิเสธเสียงแข็งด้วยกิริยาที่น่าสงสัย ดูยังไงก็โกหกอยู่แน่นอน คงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์กระมัง เขาถึงดูก้าวร้าวดื้อด้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

คุณหมอหันไปหาพ่อบ้านของตนที่น่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถบอกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นนี้กับลาซารัสได้ เรนเดลทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ เผลอกันแค่เล็กน้อยโอเมก้าเพียงคนเดียวก็ยกแก้วดื่มน้ำเมาเข้าไปจนหมดไปอีกแก้ว และกำลังจะรินเพิ่มอีกต่างหาก ทั้งคาเล็มและริชาร์ดก็รีบคว้าเอาทั้งแก้วและขวดเหล้าหนีออกจากมือเล็กนั่นกันอย่างสามัคคี

“ลาซัส นายทำแบบนี้ไปทำไม” คาเล็มถามเสียงดุขึ้น

“ก็คุณหมอกับคุณริชไม่ยอมคืนดีกันสักที…” ลาซารัสตอบเสียงดังฟังชัด ดวงตาสีฟ้าสดจ้องทั้งคู่สลับกันเหมือนเขาจะเป็นฝ่ายโกรธเสียมากกว่ายังไงยังงั้น

คาเล็มเลื่อนสายตาไปมองเพื่อนรักที่โดนเรียกด้วยสรรพนามแสนสนิทสนมอย่างไม่ชอบใจนัก ริชาร์ดเพียงแค่ยักไหล่แล้วหันไปปรามร่างเล็กกว่าที่ดูจะเริ่มอาละวาดด้วยการพยายามแย่งขวดเหล้าคืน “ไม่ใช่แบบนั้น ที่อยากช่วยเนี่ยพวกเราซึ้งใจนะ แต่ทำไมต้อง...วิธีนี้?”

“ผมนึกอะไรไม่ออกนี่..” ลาซารัสมุ่ยหน้าอย่างไม่พอใจ “เลยลองทำแบบที่มันเคยได้ผลดูเท่านั้นเอง”

“แต่มันเสี่ยงนี่ นายก็น่าจะรู้” อัลฟ่าสูงวัยส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะกล้าทำตามสิ่งบ้าบิ่นที่อดีตคนรักของตนได้เคยทำไว้ “ถ้าพวกฉันไม่หยุดมือเหมือนตอนโนเอลล่ะ? หรือนายอาจจะได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่โนเอลเคยโดนล่ะ?”

“ผมเตรียมใจไว้แล้วนะ! ผมไม่ชอบใจเลยเวลาคุณสองคนทะเลาะกันแบบนี้” ลาซารัสเริ่มทำตัวเอะอะ ดีที่เสียงดนตรีคลอเคล้ายังคงพอจะกลบเสียงของโอเมก้าคนนี้ได้ ไม่งั้นพวกเขาได้กลายเป็นเป้าสายตาแน่ๆ

“คุณแมทเวย์ สงบสติอารมณ์ก่อนนะครับ” พ่อบ้านที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับคนเริ่มเมาพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อน ลาซารัสดูจะใจเย็นลงนิดหน่อยแต่ท่าทางยังไม่ยอมหายพยศง่ายๆ

“ผมแค่...อยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม...ผมคิดถึงจูเลียต คิดถึงอาหารที่คุณเรนเดลทำ” พอไม่ได้จับแก้วดื่มเหล้า ร่างโปร่งก็นั่งตัวสั่นและสุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมา “...ผมคิดถึงคุณหมอด้วย...ฮึ่ก”

ทั้งสามเริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทีของคนที่เปลี่ยนเร็วจนตั้งรับไม่ทัน บริกรของร้านอาหารชะโงกหน้ามาดูกลุ่มลูกค้าที่ดูจะเริ่มส่อแววก่อปัญหา ริชาร์ดเลยเรียกให้มาเช็คบิลอย่างด่วนเพื่อแยกย้ายและพาโอเมก้าของตนกลับบ้าน ก่อนออกจากร้านคนคออ่อนยังไม่วายออกแรงดิ้นงอแงจะขึ้นรถกลับไปกับพวกคาเล็มด้วย


บรรยากาศตลอดทางที่ขับรถกลับคฤหาสน์เต็มไปด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด แม้ว่าจะมีเสียงเพลงจากเครื่องเล่นในรถช่วยขับกล่อมก็ตาม ริชาร์ดแอบมองลาซารัสที่เอาแต่หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ

“ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเวลานายเมาก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ” ซีอีโอหนุ่มมองหน้าปัดน้ำมันรถ คาดว่าคงต้องแวะปั๊มเติมสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคงกลับไม่ถึงบ้านที่ยังอยู่อีกไกลกว่าจะถึงแน่นอน

“...ขอโทษครับคุณริช” ดวงตาสีฟ้าที่ยังมีคราบน้ำตาเหม่อมองทิวทัศน์ข้างทางอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“อืม...ช่างมันเถอะ ฉันเข้าใจว่านายคงอัดอั้นมานานพอดู” มือหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนเลนก่อนจะกดหยุดเล่นเพลงที่เริ่มฟังไม่เข้าหูแล้ว “อยู่กับฉันนายคงไม่ค่อยมีความสุขสินะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ!” ใบหน้ามนหันมาปฏิเสธ แต่...

“พูดออกมาตรงๆ เถอะ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเสียน้ำใจหรอก” ริชาร์ดหันมามองเขาและยิ้มให้อย่างเข้าใจ

“...ขอโทษครับ” ร่างโปร่งพูดเสียงค่อยและก้มหน้านิ่ง

“นี่ อย่าขอโทษแล้วเงียบไปแบบนั้นสิ ฉันใจหายนะ” คนพูดถอนหายใจเบาๆ และค่อยๆ เลี้ยวรถขับเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ก่อนเปิดประตูลงไปเติมน้ำมันด้วยตัวเอง

“รออยู่นี่นะแป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันเข้ามินิมาร์ทไปซื้อน้ำกับผ้าเย็นให้ นายเอาอะไรเพิ่มมั้ย?”

“ขอเกลือแร่แล้วกันครับ” ลาซารัสบอก ร่างสูงพยักหน้ารับแล้วให้ร่างโปร่งนั่งรออยู่ในรถ หายไปได้สักพักพอเดินกลับมาที่รถก็เห็นคนรอนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว

“วันหลังจะไม่ให้ออกมาดื่มข้างนอกอีกแล้ว” ริชาร์ดส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มบาง เขาเอื้อมไปปรับระดับเบาะคนนั่งข้างๆ ให้เอนลงเพื่อให้คนหลับได้นอนสบายมากขึ้นอีกนิด ดวงตาคมมองใบหน้ามนที่หลับสนิทอย่างอดใจไม่ไหวก่อนก้มหน้าลงไปจูบที่ปลายจมูกเบาๆ

“...คุณหมอ…” เสียงพึมพำเบาๆ ถึงคนในฝัน ทำให้อีกคนหยุดชะงักและเผลอขบริมปีปากตัวเองแน่น

“คิดถึงหมอนั่นกระทั่งในฝันแบบนี้ ฉันเองก็หึงเป็นนะ…” มือหนาเชยคางอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อยให้ริมฝีปากเผยอออก ก่อนก้มลงไปแนบจูบลึกล้ำเนิ่นนานจนคนหลับเริ่มละเมอด้วยความอึดอัด

ริมฝีปากถอนออกมาเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะตื่นอยู่รอมร่อ ก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งคนขับตามเดิมและขับกลับไปอย่างระมัดระวังกว่าเดิม เหมือนเจ้าตัวจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำผิดอะไรไป ความละอายใจที่เผลอปล่อยตัวตามใจตัวเองไปเลยเริ่มเกาะกุมหัวใจ

“ไม่กล้าแบบนี้ตอนเขาตื่นอยู่มั่งล่ะริชาร์ดเอ๊ย…”


เมื่อขับกลับมาจนถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย ร่างสูงก็อุ้มคนหลับไม่รู้เรื่องกลับไปที่ห้องเงียบๆ เพราะค่อนข้างจะดึกมากแล้วจึงไม่อยากปลุกอีกฝ่าย ริชาร์ดไขประตูห้องของโอเมก้าในครอบครองเข้าไปเงียบๆ แต่ก็ดังพอให้พวกขนปุยที่นอนกองกันอยู่ที่มุมห้องสะดุ้งตื่นมาต้อนรับได้

“ชู่ว…” อัลฟ่าทำเสียงส่งสัญญาณให้ทุกตัวเงียบเอาไว้ ซึ่งพวกมันก็ถูกฝึกมาดีพอจะเข้าใจสัญญาณนั้น ริชาร์ดวางร่างโปร่งในอ้อมแขนลงกับเตียงอย่างระมัดระวัง แต่ลาซารัสก็รู้สึกตัวปรือตาขึ้นมา

“อือ…?” คนเพิ่งตื่นกระพริบตาปริบและเริ่มมองรอบๆเพื่อสำรวจว่าตนอยู่ที่ไหน

“ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ นอนต่อเถอะ” ริชาร์ดกระซิบเสียงเบาราวกับกำลังกล่อมเด็ก อีกมือหนึ่งดึงผ้าห่มหนาเข้ามาห่มให้มิดชิด

“...ต้องเปลี่ยนชุดก่อน…” ลาซารัสสะลึมสะลือลุกพรวดขึ้นมาทั้งอย่างนั้น ท่าทางฤทธิ์แอลกอฮอล์จะยังอยู่ถึงได้ทำตามใจตัวเองขนาดนี้ คนตัวเล็กกว่ามองผู้พามาส่งอย่างคาดเดาความคิดไม่ได้ “ทำไมคุณริชซกมก จะให้นอนทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อ”

“...ฉันจะเปลี่ยนให้นายได้ไงเล่า” ร่างสูงเอื้อมมือมาขยี้ผมยุ่งเหยิงนั้นเบามือ “ฉันไปนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์นะ”

ร่างสูงลุกออกไปจากห้องนอน ปล่อยให้พวกปุกปุยทั้งหลายดูแลเจ้านายตัวเอง ลาซารัสถอดเสื้อและกางเกงออกก่อนเดินโซเซไปเปิดตู้เสื้อผ้า เจ้าสี่ขาที่อยู่แถวนั้นก็คาบชุดของเจ้านายเอาไปลงตะกร้าให้อย่างรู้งาน ร่างโปร่งสวมชุดนอนเสร็จก็เดินมาแล้วก็ล้มตัวนอนกลิ้งทับเจ้าตัวเล็กที่อยู่บนที่นอนจนร้องเสียงหลง

“อา...ขอโทษนะ…” สิ้นน้ำเสียงที่แทบไม่เหลือสติ ดวงตาสีฟ้าก็ปรือหลับไปอีกครั้ง ทุกตัวที่อยู่ในห้องก็กระโดดขึ้นมานอนข้างๆ เจ้านายที่รักแนบไออุ่นจนแทบไม่ต้องห่มผ้านอน


พอกลับมาถึงที่พัก เรนเดลก็โดนนายน้อยของเขาเอ็ดเอาตามที่คาด แต่ก่อนที่คุณหมอจะได้บ่นพ่อบ้านไปมากกว่านี้ เสียงโทรศัพท์ของชายชราก็ดังขึ้น

“จากคุณริชาร์ดครับ อยากคุยกับนายน้อย” มือที่เต็มไปด้วยรอยย่นส่งมือถือให้เจ้านาย คาเล็มถอนหายใจก่อนจะรับมาแล้วกรอกเสียงลงไป

“มีอะไรก็ว่ามา”

“ดีจังที่นายรับสาย” ริชาร์ดแอบโล่งอกเพราะนั่งลุ้นตั้งแต่ตอนกดเบอร์ว่าอีกฝ่ายจะยอมลดทิฐิมาคุยกับเขาหรือยัง “คาเล็ม ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบวันนี้อีก กลัวว่าลาซัสจะเล่นอะไรแผลงๆ อีก”

“รู้แล้ว ฉันก็ไม่อยากให้เขาเครียดเหมือนกัน” นึกถึงใบหน้าของโอเมก้าที่เคยอยู่ด้วยกันก็ปวดใจขึ้นมา

“งั้นเราก็...ดีกันได้แล้วใช่มั้ย?” ซีอีโอเพื่อนรักนั่งลุ้นรอคำตอบ รู้สึกเครียดยิ่งกว่าตอนประชุมกรรมการผู้ถือหุ้นบริษัทเป็นไหนๆ

“เออ แต่ไม่ได้ทำเพื่อนายหรอกนะ รู้ไว้ซะด้วย” ดวงตาหลังกรอบแว่นตวัดหางตาไปมองพ่อบ้านที่แอบหลุดขำจนเขาได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะเหมือนจะขาดใจนั่น

“อา...ไม่เป็นไร ไม่ต้องทำเพื่อฉันก็ได้” คนพูดรู้สึกโล่งใจอีกครั้ง เหมือนได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกเสียที “เอ่อ...ขอโทษ แล้วก็ขอบใจแทนลาซัสด้วยนะคาเล็ม”

“อือ...แล้วเจอกัน แค่นี้นะ” คุณหมออัลฟ่ากดวางสายแล้วรีบส่งคืนให้พ่อบ้านของตน “มองอะไร? ไปนอนได้แล้ว”

“ครับนายน้อย” ชายชราหยักหน้าให้ก่อนเก็บโทรศัพท์ของตน “ดีใจด้วยที่ได้เพื่อนรักกลับมานะครับ”

“บอกให้ไปนอนไงเล่า!!” ตะโกนเสียงแหวลั่นห้อง จนการ์ดของเออร์แฟนที่เผลองีบหลับอยู่ใกล้ๆ ยังต้องสะดุ้งตื่นกับเสียงของคนพูด

“ไปเจอเรื่องอะไรมาล่ะนั่น” คนนอนพักผ่อนบนโซฟาลุกขึ้นมานั่งแล้วนวดขมับเบาๆ ท่าทางจะเพิ่งหลับไปไม่นานถึงได้เวียนหัวขนาดนี้

“ไม่มีอะไร… แค่ลาซัสทำป่วนนิดหน่อย” คาเล็มเดินไปชงอะไรอุ่นๆกินแก้เครียดในครัว

“ลาซัส?” ด้วยความอยากรู้ที่เอาชนะทุกอาการปวดศีรษะ เออร์แฟนเดินตามอัลฟ่าสูงวัยเข้าครัวไปด้วยและเริ่มเปิดหาน้ำผักที่ตนเอามาใส่ไว้ในตู้เย็นอีกฝ่ายไว้กินตอนกระหาย “...เจ้าหนูนั่นวางแผนเป็นด้วยเหรอ?”

“แผนตื้นๆน่ะ… แต่บ้าบิ่นสิ้นดี”

“แล้วไง คืนดีกับคุณเพื่อนแล้วเหรอ” ใจความที่พอจะยังได้ยินก่อนสติจะตื่นเต็มที่สร้างความสงสัยให้อัยการหนุ่ม

“อืม เห็นแก่ลาซัสนั่นแหละ” กลิ่นมอลล์ลอยอบอวลห้องครัว ในขณะที่มือชงเครื่องดื่ม สายตาก็เลื่อนลอยออกไปไกลเกินกว่าจะเป็นการจับจ้องแก้วตรงหน้า

“คาเล็ม?” เห็นอีกฝ่ายดูผิดปกติเลยลองทักเรียก คุณหมอที่เพิ่งได้สติก็สะดุ้งแล้วหันนตามเสียงเรียกนั้น “เป็นอะไร พ่อเป็ดน้อยร่ายมนตร์อะไรใส่อีกล่ะ”

“เป็ด?”

“ก็เห็นผมกระดกเหมือนหางเป็ด..” มือเรียวยกขึ้นวาดอากาศเป็นทรงที่ตนจำได้เพื่อประกอบคำอธิบาย

“ไม่มีอะไรนี่” คาเล็มยืนนิ่งสักพักก็ยกแก้วมอลล์เดินออกจากครัวแล้วตรงกลับไปที่ห้องของตน ปล่อยให้เออร์แฟนยืนยิ้มอย่างรู้ทันคนเพียงลำพัง

“ออกนอกหน้าแล้ว… แต่คืนดีกันแล้วก็ดี จะได้ทำงานง่ายขึ้นหน่อย”

ผู้ที่ยังตื่นอยู่เดินออกจากบ้านไปทางรถตู้หลายคันที่จอดไว้ในสวนของคาเล็ม แม้เส้นทางจะขึ้นมาลำบาก แต่เหล่าการ์ดก็สามารถหาเส้นทางลับให้ขับขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในเมื่อเจ้านายอยู่ที่นี่ เหล่าลูกน้องก็ต้องมาปักหลักลงเต๊นท์และเปิดรถบ้านคันเล็กไว้สำหรับพักผ่อนผลัดเวรกันด้วย

“จัดตารางนัดคุยเรื่องยาที่จะทดสอบวันพุธหน้าให้รายชื่อเหล่านี้ด้วย” เออร์แฟนยื่นรายนามผู้อาสามาเป็นตัวทดสอบสำหรับยาที่ตอนนี้ยังคงผิดกฎหมายอยู่ “ติดต่อบอกอไว้รึยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ ทางสำนักข่าวขอสัมภาษณ์อีกสองอาทิตย์ ส่วนเวลาจะแจ้งมาภายในพรุ่งนี้ครับ”

“ดี งั้นวันนี้พักผ่อนด้วยล่ะ” เมื่อสั่งงานเสร็จสรรพ ผู้เป็นนายก็เดินไปลูบหัวจูเลียตที่นอนอยู่กับเหล่าการ์ดอย่างเป็นมิตร ทว่าก่อนจะผละตัวจากไปจริงๆ เออร์แฟนเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “แล้ว..พี่ชายเจ้าคาเล็มล่ะ?”

“ปิดข่าวไว้เงียบสนิทเลยครับ ไม่สามารถทราบการเคลื่อนไหวได้เลย”

“...อันตรายจริงๆ ยังไงก็เฝ้าสังเกตุการณ์ไว้ อย่าให้พลาดอะไรล่ะ”


..เพราะทุกอย่างมันดูราบรื่นจนน่าสงสัย..



ณ คฤหาสน์ตระกูลรอสเกรย์

สองอัลฟ่าชายหญิงคู่หนึ่งกำลังผ่อนคลายอารมณ์อยู่ที่สระว่ายน้ำในตัวบ้าน ก่อนที่คนเป็นน้องสาวจะเปิดบทสนทนาขึ้นมาหลังจากพี่ชายขึ้นมาจากสระ และเดินตรงมานั่งเช็ดตัวที่เก้าอี้สระว่ายน้ำตัวข้างๆ หล่อน

“พี่ใหญ่นี่ก็ใจเย็นอยู่ได้ ขืนปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวเจ้าคาเล็มกับเออร์แฟนมันก็ทำสำเร็จหรอก” คาเซล่า ผู้เป็นพี่คนที่สามและหญิงสาวที่เป็นอัลฟ่าเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องของคาเล็มบ่น ‘พี่ใหญ่’ หรือก็คือ ‘ผู้นำ’ คนปัจจุบันของตระกูลอย่างไม่สบอารมณ์ที่ปล่อยให้น้องชายอัลฟ่าคนสุดท้องกลับมาก่อเรื่องให้ปวดหัวได้อีก

“จะบ่นไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ยังไงเราก็เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้อยู่ดี” คาร์เรย์ พี่ชายอัลฟ่าคนที่สองแต่มีอายุเท่าๆกับคาเซล่าเพราะเกิดในปีเดียวกันปรามอีกฝ่ายให้ลดอารมณ์ฉุนเฉียวลงเสียบ้าง “ยังไงก็ทำอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกถ้าพี่ใหญ่ยังไม่ได้ไพ่ตายมาไว้ในมือ”

“มาตามหาเอาป่านนี้คงจะเจอหรอก” หญิงสาวที่แม้จะอายุมากแล้วหากแต่รูปร่างหน้าตายังคงจัดว่าสวยสะพรั่งเมื่อเทียบกับคนวัยห้าสิบด้วยกัน “ตัวแม่มันน่ะป่านนี้คงแก่ตายไม่ก็เตรียมตอกฝาลงโลงไปแล้ว ส่วนตัวน้องชายก็คงแต่งงานเปลี่ยนนามสกุลไปเป็นชาติแล้วมั้ง”

“จะยังไงก็เถอะ ถ้าพาสองแม่ลูกนั่นมาได้ คาเล็มมันคงจะยอมถอยในที่สุดแหละ ก็เป็นแม่กับน้องชายของมันแท้ๆนี่นา”

“แม่ที่อุ้มน้องชายแล้วหนีออกจากบ้านทิ้งให้ตัวเองเผชิญชะตากรรมในบ้านหลังใหญ่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว เป็นฉันต่อให้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งก็ไม่มีทางญาติดีด้วยได้หรอก” หญิงสาวมากวัยเบือนหน้าจากหนังสือนิตยสารก่อนหันไปหยิบแก้วเครื่องดื่มสีสวยมาจิบแก้กระหาย “พูดถึงคาเล็ม ตกลงเจ้าเด็กโอเมก้าที่มาด้วยกันในงานแต่งตอนนั้นเป็นใครกันแน่นะ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมง้างปากบอก”

“หึ...ใครมันจะบอกให้โง่เล่า พี่ใหญ่เรายิ่งชอบขโมยของเล่นของน้องเล็กพวกเราอยู่ด้วยเธอก็รู้” พูดพลางนอนเอนกายลงบนเก้าอี้ทอดมองสายตาไปเรื่อย “สงสัยชาตินี้คงไม่มีวันได้เห็นสองคนนั่นปรองดองกันได้แหงๆ”

“พี่ใหญ่กับคาเล็มเนี่ยนะ ถ้าเป็นจริงล่ะก็คงเป็นที่วันสึนามิถล่มแน่ๆ” คาเซล่าลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมออกแล้วก็ลงไปว่ายน้ำเล่นบ้าง คาร์เรย์เองก็หลุดหัวเราะไปกับคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูท่าทางจะเป็นจริงตามนั้น

“ใครจะอยู่ใครจะไปกันนะเกมนี้” เขานอนทอดกายมองท้องฟ้าโปร่งที่แสงแดดแรงจนแทบแยงตาทะลุแว่นกันแดด ต่อให้พี่น้องคนใดคนหนึ่งจะแพ้หรือชนะเขาก็ไม่ใส่ใจนักหรอก แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องของสองคนนั้นอยู่แล้ว ขอแค่มันไม่กระทบกับการใช้ชีวิตของตนจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของใครก็ช่างมัน เขาไม่เหมือนกับคาเซล่าที่เอะอะก็ฟังแต่คำสั่งของพี่ใหญ่ เห็นแล้วก็น่าอดสู…

“แต่...เด็กของคาเล็มนั่นก็น่าเอ็นดูไม่เลวเลยน้า”


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 25-02-2017 01:50:47

 
“งือ…” ร่างโปร่งนอนหมดสภาพบนเตียงกว้างที่รอยล้อมไปด้วยเหล่าขนปุยที่ครางหงิงๆ รอบตัวเจ้านาย เพราะลาซารัสดื่มมากเกินไปจึงเกิดอาการแฮงค์ นี่ก็ปาไปครึ่งค่อนวันแล้วแต่ยังไม่สามารถงัดตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงได้เลย

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ ทว่าลาซารัสไม่มีแม้แต่แรงจะตอบออกไป สักพักหญิงสูงวัยผู้ดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์เปิดประตูเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม ด้านหลังมีสาวใช้เข็นรถขนถาดอาหารเข้ามาด้วย “คุณแมทเวย์ อาหารเที่ยงมาแล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ แต่ผมยังทานไม่ไหวหรอกครับ” ลาซารัสปรือตามองหญิงสูงวัย

“ยังไม่ดีขึ้นเลยหรือ..” เจสสิก้าขมวดคิ้วอย่างวิตก “ชาร์ล็อต ไปทำน้ำผึ้งมะนาวผสมน้ำขิงให้หน่อยนะ แล้วก็ตามนิน่ากับเจนมาช่วยกันเช็ดตัวคุณแมทเวย์ด้วยนะ”

“เอ๋?” ร่างโปร่งหันศีรษะมามองอย่างตกใจ แต่นั่นทำให้มึนหัวจนต้องหลับตาลงและนิ่งไป

“อย่าเพิ่งขยับตัวเร็วแบบนั้นสิเจ้าคะ”

“ไม่ต้องเช็ดตัวก็ได้ครับ เดี๋ยวหายแฮงค์ผมจะไปอาบน้ำเอง”

“อ๋อ.. ไม่ต้องกังวลนะคะ แค่เช็ดบริเวณใบหน้ากับลำตัวช่วงบนๆเท่านั้นค่ะ ไม่ได้เช็ดทั้งตัว จะช่วยให้สดชื่นขึ้นนะคะ”

“อ่ะ...ครับ…” ตอนนี้ลาซารัสรู้สึกเหมือนเขามีคุณแม่คอยดูแลอย่างไรอย่างนั้น

สาวใช้กลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มแก้อาการแฮงค์ให้โอเมก้าหนุ่มค่อยๆจิบจนหมด ก่อนลาซารัสต้องนั่งทำใจอยู่สักพักเพื่อถอดเสื้อท่อนบนให้ผู้หญิงตั้งสามสี่คนช่วยกันรุมเช็ดตัวให้...คุณริชาร์ดเขาไม่อายได้ยังไงกันนะ… แต่ถึงจะปฎิเสธยังไงเจสสิก้าก็ยังยืนยันจะให้เช็ดตัวเพื่อลดอาการลง ทำให้ลาซารัสต้องยอมทำตาม

“คุณแมทเวย์เคยทำงานที่ร้านตัดเสื้อหรือคะ?”

“สูทที่ตัดให้คุณริชาร์ดตัวนั้นดูดีมากเลยค่ะ ซักรีดก็ง่าย”

“อ่ะ...ค..ครับ...ขอบคุณ” ลาซารัสไม่รู้จะตอบคำถามที่ระดมยิงมาอันไหนก่อนดี สาวใช้ที่แม้จะยังดูวัยรุ่นอยู่ แต่ก็ได้รับการอบรมมาดี พวกเธอใช้วิธีชวนคุยอย่างเป็นกันเองเพื่อให้โอเมก้าหนุ่มลดอาการประหม่าลง ซึ่งก็ได้ผล เพราะลาซารัสดูไม่เกร็งเหมือนคราแรกแล้ว

“ฝึกทำขนมเป็นอย่างไรบ้างแล้วคะ”

“ค่อยๆดีขึ้นแล้วครับ”

“ดีจัง อีกสักพักก็คงทำได้หลากหลายขึ้นแล้วสินะคะ”

“เห็นว่าขับรถเป็นแล้วด้วยใช่มั้ยคะ เท่จังเลย”

“ข...ขอบคุณครับ”

“พวกเธอ ค่อยๆพูดสิ คุณแมทเวย์ยังมึนหัวอยู่เลย” เจสสิก้าเริ่มปราม แม้จะเห็นว่าลาซารัสดูชอบใจที่โดนผู้หญิงมองว่าเขาดูสมชายชาตรีมากขึ้นก็ตาม “ขออนุญาตนะคะ”

“คุณริชาร์ดล่ะครับ?” ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องถามหาเจ้านายของตน ปกติริชาร์ดต้องเข้ามาวอแวในห้องเขาบ้างหากไม่เห็นเขาลงไปที่ห้องอาหารในตอนเช้า ก่อนจะหลับตาลงให้เจสสิกาเช็ดตามใบหน้าได้ถนัด

“ไปสนามยิงปืนค่ะ เดี๋ยวเย็นๆก็กลับแล้ว”

“เอ๋? สนามยิงปืน??”

“ค่ะ คุณผู้ชายไปซ้อมทุกเดือน แต่เดือนก่อนประสบอุบัติเหตุไปก็เลยงด คุณแมทเวย์เพิ่งจะรู้สินะคะ”

“อืม……”


ริชาร์ดที่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้านก็เปิดโทรศัพท์เช็คข้อความ ปรากฎข้อความจากโอเมก้าในครอบครองของตนเขียนทิ้งไว้ เขามองข้ามทั้งอีเมลและข้อความจากคนอื่นๆเสียสิ้นแล้วรีบเปิดอ่านอย่างตื่นเต้นระคนดีใจที่ลาซารัสส่งข้อความมาทั้งที่พอรู้ว่าริชาร์ดตั้งใจจะจีบตนก็พยายามหลบหน้ามาตลอดแท้ๆ

‘ผมอยากลองยิงปืนด้วยครับ!’

“...ห้ะ? โน่ว!!” ร่างสูงเผลอร้องเสียงหลงจนสมาชิกคนอื่นๆหันมามอง ริชาร์ดกำลังจะพิมพ์ตอบข้อความ แต่พอคิดดูอีกที...โทรไปเลยดีกว่า อยากได้ยินเสียงที่ไม่ได้ฟังมาตั้งแต่เช้า!

“ครับคุณริช?” ลาซารัสที่อาการดีขึ้นเยอะแล้วรับสายจากอัลฟ่าเจ้าของตน

“จะเปลี่ยนจากทำขนมมาหัดยิงปืนแทนเหรอ ขี้เบื่อง่ายจังน้า” ริชาร์ดแกล้งหยอกคนที่โทรไปหา

“เปล่านะครับ ผมแค่อยากเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างไว้เท่านั้นเอง อีกอย่างเรื่องยิงปืนนี้ผมจะได้เอาไว้ป้องกันตัวด้วย” โอเมก้าหนุ่มให้เหตุผลที่ฟังขึ้น ถึงจะมีเหตุผลแอบแฝงในใจเพราะอยากดูเท่ด้วยส่วนหนึ่งก็ตาม

“อืม...แต่ถึงจะยิงปืนเป็นแต่นายก็ต้องมีใบอนุญาตนะถึงจะพกปืนติดตัวอย่างถูกกฏหมายได้ ไหนจะต้องส่งเอกสารขอทำเรื่องอีก ยุ่งยากน่าดูเลยนะ”

“...ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ” น้ำเสียงอ่อนจนฟังดูน่าเห็นใจ ทำเอาคนถือสายพูดอยู่อยากบินกลับบ้านไปลูบหัวปลอบซะเดี๋ยวนี้เลย

“เอ่อ...จะว่าได้มันก็ได้อยู่หรอกนะ” ซีอีโอหนุ่มแอบเกาหัวตัวเองครุ่นคิด “แต่ว่า...ฉันนึกว่านายจะกลัวปืนไปแล้วซะอีกนะ”

พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็พาลนึกย้อนไปถึงวันที่เกิดเรื่องที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ มือหนาลูบแผลเป็นที่ขาซึ่งตัวเขาเป็นคนยิงใส่ตัวเองเมื่อครั้งก่อน “แต่ถ้านายอยากยิงปืนจริงๆ ต้องสัญญากับฉันมาก่อนเรื่องนึงนะ”

“อะไรเหรอครับ?” ร่างโปร่งถามและตั้งใจฟังสิ่งที่อีกคนกำลังจะพูด

“...ใช้มันเพื่อปกป้อง อย่าใช้เพื่อทำลาย”

“เอ๋??” ลาซารัสลากเสียงด้วยความสงสัย แต่ก็...พอจะเข้าใจความหมายแฝงลึกๆนั้นอยู่บ้าง

“แค่นี้แหละ ทำได้ใช่มั้ย?” อัลฟ่ามากวัยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ได้ครับ!” ลาซารัสตอบเสียงหนักแน่น เขาก็คิดง่ายๆตื้นๆเพียงแค่อยากทำตัวให้ดูเท่หรือแค่อยากเรียนรู้ ถ้าการใช้งานล่ะก็… นอกจากป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกลากไปทำมิดีมิร้ายง่ายๆเหมือนเมื่อครั้งงานแต่งพี่ชายของคุณหมอ เขาก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะต้องใช้มันฆ่าใคร…

“คราวนี้หวังว่าจะมีดวงเหมือนขับรถนะ”

“ใช้คำว่ามีฝีมือสิครับ!”

“ฮ่าๆ เหมือนๆกันนั่นแหละ ดวงก็เป็นพรสวรรค์อย่างนึงเหมือนกันนะ” ริชาร์ดเริ่มเอ่ยแซวอย่างอารมณ์ดีผิดกับความจริงจังเมื่อครู่ “หายดีแล้วเหรอ โทษที เมื่อเช้าก็กะจะเข้าไปปลุก แต่คิดว่านายคงยังไม่อยากตื่นหรอก”

“ครับ.. เวียนหัวหนักพอดูเลย..”

“ก็ดื่มไปขนาดนั้นนี่ ว่าไป..เดี๋ยวฉันต้องไปปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนมะรืนนี้ นายสนใจไปด้วยมั้ย?”

“ให้ผมไป? จะดีเหรอครับ?” ลาซารัสเลิกคิ้ว เขาเอนตัวลงพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องนอนและพับปิดหนังสือในมือไปอย่างสนอกสนใจ “มันน่าจะเป็นส่วนตัวเกินกว่าจะให้คนนอกเข้ารึเปล่า?”

“คนนอกอะไรเล่า..นายก็….”

“.......คุณริช…”

“ขอโทษๆ ก็...ไม่เชิงส่วนตัวหรอก หมอนี่มันชอบจัดงานยิ่งใหญ่เกินจำเป็นอยู่แล้ว” ริชาร์ดรีบเปลี่ยนเรื่อง กำลังจะหลุดปากไปอยู่แล้วว่าลาซารัสเป็นโอเมก้าของเขา ..ซึ่งเจ้าตัวดูไม่ชอบใจเท่าไหร่ “อีกอย่าง หมอนี่ก็เป็นคนที่ไม่ชอบการกดขี่โอเมก้าหรอก ปกติเวลามีงานปาร์ตี้ที่บ้านมันก็จะจัดห้องรับรองสำหรับโอเมก้าโดยเฉพาะด้วย มีเบต้าคอยดูแลอยู่”

“อืมมมม…” ลาซารัสลากเสียงยาวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ซึ่งคนที่อีกปลายสายก็ดูออก

“ไม่เอาน่า เผลอไปนิดเดียวเอง…”

“แล้วคุณริชจะพาผมไปในฐานะอะไรล่ะครับ” ลาซารัสถามเสียงนิ่ง แต่ความนิ่งแบบนี้ทำเอาอัลฟ่าเจ้าของชีวิตตัวแข็งทื่อ

“....ย...ยังไม่ได้คิด..” ริชาร์ดเกาหัวและตอบส่งๆไปก่อน

“ไปด้วยก็ได้นะครับ ถ้าคุณริชกลัวจะเหงาน่ะ” สุดท้ายลาซารัสก็ตัดสินใจจะไปด้วย ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ออกไปเปิดหูเปิดตาเพิ่มเติมบ้างคงไม่เป็นไร และริชาร์ดก็ยืนยันเรื่องความปลอดภัยแล้ว คงไม่มีอะไรต้องห่วง

“โอเค งั้นเจอกันมื้อเย็นนะ” เมื่อวางสายไปริชาร์ดก็เข่าอ่อนลงไปทรุดนั่งอยู่ข้างรถของตัวเอง ร่างสูงก้มหน้ากอดเข่าเหมือนกำลังเรียกขวัญกอดปลอบตัวเองหลังจากโดนโอเมก้าของตัวเองดูออกว่าจะพาไปเปิดตัวในฐานะโอเมก้าของเขา “ไม่ยอมเปิดช่องให้เลยแฮะ ตั้งแต่วันนั้นก็ทำตัวดุขึ้นเยอะเลยน้า”

วันนั้นที่ริชาร์ดพูดถึงคือวันที่เขาสารภาพความนึกคิดของตัวเองให้ลาซารัสฟัง หลังจากนั้นเขาก็โดนเว้นระยะมาตลอด แม้อีกฝ่ายจะเผลอตัวบ้างแต่ก็ไม่ยอมให้เขาได้มีโอกาสทำคะแนนใดๆเลย

“เจ้าคาเล็มน่าอิจฉาชะมัดเลยน้อ…” พอพูดถึงเพื่อนรัก โทรศัพท์ก็มีเสียงโทรเข้ามาทันที “คาเล็ม?”

ซีอีโอหนุ่มรับสายจากเพื่อนทันที

“จะพาลาซัสไปไหน?” เสียงของคุณหมอที่เอ่ยปลายสายฟังดูมีน้ำโหไม่ใช่เล่นๆ

“เฮ้ย!! นี่ถึงกับโทรไปฟ้องนายเลยเหรอ!?” ริชาร์ดหน้าเหวอไม่คิดว่าโอเมก้าของตนจะทำแบบนี้ นี่เขาต้องขออนุญาตคาเล็มพาเด็ก(?)ของตัวเองออกไปเที่ยวงั้นเหรอเนี่ย!? โอ้มายก็อด!

“...ระวังอย่าให้หมอนั่นเมาจนก่อเรื่องอีกล่ะ” คาเล็มเตือนเพื่อนในเรื่องที่เพิ่งจะเจอด้วยกันไปหมาดๆ “พกยาไปให้พร้อมด้วยจะได้ไม่เกิดเรื่อง อีกไม่กี่วันหมอนั่นต้องมาร่วมทดสอบยาแล้ว ถ้าดื่มมากเกินไปเดี๋ยวจะเป็นปัญหาทีหลัง”

“อา...จะระวังให้นะ” ริชาร์ดให้สัญญากับเพื่อนรัก “เออนี่...ลาซัสบอกว่าอยากยิงปืนน่ะ”

“รู้แล้ว เพิ่งจะมาขออนุญาตฉันก่อนโทรไปบอกนายนี่เอง”

“อะไรว้า...ทำไมนายได้รู้ข่าวก่อนฉันอีกเนี่ย ไม่ยุติธรรมเลย” คาเล็มฟังเสียงริชาร์ดแล้วเห็นภาพอีกฝ่ายเป็นเด็กชายร้องงอแงเอาแต่ใจ...ไม่ได้น่าเอ็นดูเลยสักนิด

“ตกลงว่านายจะเป็นคู่แข่งฉันแทนแล้วใช่มั้ย?” คุณหมออัลฟ่าชักเริ่มสงสัยในตัวเพื่อนสนิทว่าจะคิดไม่ซื่อกับอดีตโอเมก้าของตนเข้าแล้ว

“เอ่อ...โทษทีๆ ปากมันไวไปหน่อย”

“ฉันฝากดูแลลาซัสด้วยก็แล้วกัน เพราะเป็นนายหรอกฉันถึงได้ไว้ใจอีกครั้ง” เอ่ยจบคุณหมออัลฟ่าก็กดวางสายแล้วลอบยิ้ม ปล่อยให้เพื่อนรักยืนทึ้งหัวตัวเองเป็นคนบ้าในสนามฝึกยิงปืนอยู่อย่างนั้น

“ไอ้คนขี้โกงงงงงง”


หลังจากวางสายจากคาเล็มไป ลาซารัสก็ยังคงนั่งจ้องมือถือของตัวเองอยู่สักพัก.. เขากำลังคิดไม่ตกเรื่องของริชาร์ด..ว่าเขาควรจะบอกคาเล็มดีหรือไม่ เรื่องที่ริชาร์ดเริ่มคิดเลยเถิดไป…. แต่บอกแล้วจะได้อะไรนอกจากทำให้สองคนนั้นแตกหักกันหนักข้อยิ่งกว่าเดิม.. หรือถ้าคิดในแง่ดี พวกเขาอาจจะได้คุยกันใหม่เข้าใจไปเสียแต่เนิ่นๆ?

“ไม่กล้าบอกอีกแล้ว…” ร่างโปร่งถอนหายในพลางลูบสุนัขบนตักสองตัวที่พยายามเบียดตัวอยู่บนนี้ทั้งคู่ ส่วนที่เหลือเองก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่แทบเท้าของเขา

ตั้งแต่ที่ริชาร์ดสารภาพออกมา เขาก็คิดมาตลอดว่าจะบอกคาเล็ม..แต่ไม่มีโอกาสไหนเลยที่เขาสามารถพูดได้ เรียกว่าไม่เหมาะจะดีกว่า.. “หรือปิดไว้อย่างนี้ต่อไปดี” อย่างน้อยๆก็ควรบอกเรนเดลหรือเปล่านะ? ...แต่ก็ไม่มั่นใจว่าคาเล็มจะอยู่แถวนั้นหรือเปล่านี่สิ ทำไมเรื่องแบบนี้มันจัดการยากนักนะ!?

“คุณริชจะโดนคุณหมอว่าอะไรมากมั้ยเนี่ย” มือหนึ่งเอื้อมลงไปลูบหัวสก็อตที่มานอนกองอยู่ด้วย “พยายามไม่ทำให้คุณริชคิดอะไรเกินเลยเพิ่มแล้วแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ผลเลยแหะ… แถมทำตัวแบบนี้ไม่ชอบเลย หือ?”

เสียงข้อความดังขึ้นมา ลาซารัสจึงเปิดมือถือขึ้นมาดู ปรากฎข้อความจากริชาร์ดที่ส่งมาพร้อมภาพสติ๊กเกอร์ร้องไห้ว่า ‘ทำไมต้องฟ้องคาเล็มด้วย ฉันไม่ได้จะลักพาตัวนายไปทำอะไรไม่ดีนะ’

โอเมก้าหนุ่มแอบหัวเราะแล้วพิมพ์ตอบกลับไปทันที ‘ก็คุณทำตัวน่าสงสัยนี่ครับ คุณลุงโรคจิต’

‘ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นนะ!’

‘คุณสนใจเรื่องนั้นมากกว่าที่โดนด่าว่าโรคจิตอีกเหรอ!?’

‘โดนนายด่ามันไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก แต่ฉันยังหนุ่มยังแน่นน่า!’

‘โรคจิตแล้วยังมาโซด้วย!!’

ระหว่างที่ลาซารัสกับตอบข้อความกับริชาร์ดอยู่ เจสสิก้าก็เดินเข้ามาเพื่อเอาอาหารว่างมาให้ หญิงสูงวัยที่คราแรกกะจะร้องทักชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นอกระเบียงห้องนอนนั้นกลับต้องชะงักแล้วยิ้มบางๆออกมา เธอวางถาดอาหารว่างไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยที่กลางห้องนอนและเดินออกไปเงียบๆ

เพราะเธอไม่อยากขัดจังหวะลาซารัสที่กำลังยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขนั้นเลย


TBC.





*****************************************************************************************

ลงตอนหน้าได้อีกตอนเดียวก็จะหมดสต็อกที่อัพรายวันได้อีกแล้ว  :hao5: ต้องขอหายไปแต่งมาเพิ่มกันก่อนนะคะ //ที่มาอัพได้ทุกวันนี่เพราะกาวกันไว้ครึ่งค่อนปีแล้ว มาช่วงหลังๆที่เราทั้งคู่งานยุ่งจนยังไม่ได้เขียนตอนใหม่เพิ่ม แต่จะไม่ให้รอนานเกินไปนะคะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 25-02-2017 18:05:37
ตามอ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ สนุกมากกกก ลาซัสน่ารักอ่ะ ฮื้อออ คาเล็มไม่ยอมทำคะแนนจนตอนนี้จะปันใจให้ริชาร์ดมาเป็นพระเอกแทนแล้วนะ 55555 รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 25-02-2017 18:23:37
ฮีทสิลาซัส ริชาต์ดจะได้จัดการกับแก ว้ายยย ริชาต์ดคือพระเอก :hao7:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 25-02-2017 20:58:33
อย่าทิ้งกันเกินอาทิตย์น้าค้า :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 25-02-2017 22:43:25
ความสุขเล็กๆของลาซัสสส งื้ออ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.10 Up! (25/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 25-02-2017 22:51:20
 :3123:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 26-02-2017 04:28:42

บทที่ 11



เสียงดนตรีรื่นเริงเปิดดังกระหึ่ม อีกทั้งแสงไฟระยับจนแสบตาและดีเจรับเชิญชื่อดังยังมาเล่นเพลงสร้างสีสันให้กับเหล่าคนที่กำลังยืนดิ้นกันสะบัดลืมวัย ถ้าไม่บอกว่าทั้งหมดที่ว่านี้จัดในบ้านพักส่วนตัวล่ะก็ ลาซารัสคิดว่าตัวเองคงโดนริชาร์ดหลอกพามาเที่ยวผับเป็นแน่

ส่วนอีกด้านของงานที่เห็นคนกำลังเต้นๆ ดิ้นๆ ตะโกนร้องเพลงกันอยู่นั่น ดูแล้วคนที่อายุน้อยสุด(ไม่นับตัวเขา)ก็น่าจะเกินสามสิบกันทั้งนั้น แต่เพลงที่เปิดนี่นึกว่าอยู่ในคอนเสิร์ตเคป๊อบยังไงยังงั้น จี๊ดกันไปไหนครับ!

ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ใกล้ๆ บริเวณโต๊ะอาหารค็อกเทล ชุดสูทดูดีที่อุตส่าห์เลือกมาใส่กลายเป็นว่าแทบจะกลมกลืนไปกับบริกรที่อยู่ในงานจนโดนทักผิดไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว!

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องแต่งเต็มยศขนาดนี้ก็ไม่เชื่อ” ริชาร์ดยิ้มขบขันใส่คนที่พามาด้วยพลางยกแก้วเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ขึ้นจิบหลังจากเพิ่งไปเต้นเรียกเหงื่อกับเจ้าของวันเกิดมา “อย่างน้อยก็ถอดเสื้อสูทออกดีมั้ย?”

ร่างโปร่งส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้าเกิดผมถอดแล้วเผลอเอาไปวางไว้ที่อื่นเดี๋ยวเสื้อก็หายกันพอดีสิครับ”

“แล้วทำไมไม่ไปอยู่ที่ห้องรับรองล่ะ?” ริชาร์ดหยิบอาหารมาใส่จานแล้วลากเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆ ลาซารัส

“ผม...กลับห้องไม่ถูกครับ” คำตอบเหนือความคาดหมายทำเอาร่างสูงสำลักจนอาหารเกือบติดคอ “ก็...ที่นี่มันกว้างไปหมด ผมเดินออกมาเข้าห้องน้ำแล้วพอจะกลับ อยู่ดีๆก็มีคนมาลากออกไปยกอาหารที่ครัว ผมเลยบอกว่าไม่ใช่บริกรเขาก็ขอโทษ พอผมจะเดินกลับห้องรับรองก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหน...”

ริชาร์ดยกน้ำขึ้นดื่มจนกลับมาหายใจหายคอคล่อง และกล่าวขอบคุณพระเจ้าที่ลาซารัสไม่โดนอัลฟ่าที่ไหนหิ้วไปซะก่อน ไม่งั้นคาเล็มได้จับเขาไปผ่าร่างสดๆ แถมไม่เย็บแผลให้ด้วยแน่นอน!

“งั้นเดี๋ยวพาไปส่งที่ห้อง ฉันรู้ทาง” ร่างสูงยืนขึ้นแล้วจับมืออีกคนให้เดินตาม แต่เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่ควรเลยรีบปล่อยมือออก “โทษที...ลืมตัวอีกแล้ว”

“...ไม่เป็นไรครับ” ลาซารัสค่อยๆชักมือกลับราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเดินตามร่างสูงไปอย่างว่าง่ายพลางมองสำรวจรอบคฤหาสถ์หลังโตไปด้วย เจ้าของบ้านหลังนี้ตกแต่งบ้านจนแทบจะกลายเป็นปราสาทอยู่แล้ว ด้านอกนั้นมองเห็นอ่าวขนาดใหญ่สวยงามและรอบบ้านล้วนเป็นสวนสวยกว้างขวาง ประดับด้วยน้ำพุเป็นระยะๆ ซึ่งภาพลักษณ์ผิดกับปาร์ตี้ลืมโลกแบบนี้สุดๆ…

“อ่ะ ถึงแล้ว” ริชาร์ดเรียกสติคนตัวเล็กกว่ากลับมาและพามาหยุดหน้าห้องรับรองที่เป็นประตูขนาดไม่ใหญ่มาก “ปล่อยแขนฉันได้รึยัง?”

“หือ?” ลาซารัสเลิกคิ้วสงสัยและก้มมองแขนของริชาร์ด...เขารีบดึงมือตัวเองออกมา ไม่รู้ว่าเผลอไปเกาะแขนร่างสูงตั้งแต่เมื่อไหร่ “ขอโทษครับ!”

“อืม.. งั้นถือว่าหายกันเนอะ?”

“หายกันอะไรล่ะ ผมไม่ได้คิดมากซะหน่อย คุณก็จับมือจับแขนผมเป็นปกติตั้งแต่อยู่กับคุณหมอแล้ว”

“อย่าพูดงี้สิ ฉันดูเหมือนพวกโรคจิตเลยนะ”

“ใกล้ๆเคียง… ขอบคุณที่มาส่งครับ” ลาซารัสรีบเดินกลับเข้าไปในห้องโดยไม่หันกลับมามองคนที่พามาเลยแม้แต่นิด

ด้านในห้องรับรองที่จัดแยกให้นั้นมีเฉพาะโอเมก้าหรือคนขับรถคนสนิทของผู้มางานวันเกิด แม้จะดูเหมือนแบ่งแยก แต่ลาซารัสก็รู้สึกปลอดภัยสุดๆในห้องนี้ แถมโอเมก้าคนอื่นก็ไม่ได้ดูเหมือนโดนเจ้าของกดขี่ใดๆ ซ้ำยังมีหลายคนที่ดูเหมือนสภาพร่างกายและความเป็นอยู่จะดีพร้อม...เหมือนเขา..

เสียตรงที่เขาไม่รู้จักใครเลยนี่สิ

ลาซารัสเดินไปแอบนั่งอยู่มุมห้อง ดนตรีเบาๆคลออยู่ทำให้ที่นี่ดูสงบกว่าสถานที่เมื่อครู่อย่างผิดหูผิดตา บางคนก็เริ่มจับคู่เค้นรำกับคนรู้จักเหมือนอยากสร้างบรรยากาศให้ห้องรับรองเฉยๆ ส่วนใหญ่ก็นั่งหรือยืนจับกลุ่มคุยกันอย่างเป็นมิตร ลาซารัสมองภาพตรงหน้าแล้วก็แอบคิดว่าพวกเราไม่ได้แตกต่างอะไรกับอัลฟ่าเหล่านั้นเลยแท้ๆ…

“หือ? นั่นมัน?” ลาซารัสสะดุดตากับนักร้องที่อยู่บนพื้นต่างระดับข้างนักดนตรี เหมือนจะเคยเห็นคนๆนี้มาก่อน “คุณนักร้องที่ร้านอาหารนี่นา”

ชายหนุ่มร่างกายขนาดพอๆกับเขาและมีผมสีแดงเด่นสะดุดตา บวกกับสีผมสุดแสบตาที่ถูกย้อมไว้ด้านใน ถูกเผยให้เห็นด้วยการมัดรวบขึ้นไปครึ่งค่อนศีรษะ หากจำไม่ได้ก็คงต้องไปให้หมอตรวจสมองเสียหน่อยแล้ว

ลาซารัสรอจังหวะที่เสียงเพลงจบลงตามด้วยเสียงปรบมือของโอเมก้าทุกคนในห้องที่มอบให้กับผู้ขับร้องเงียบลง เมื่อวงโคฟเวอร์ทั้งกลุ่มหยุดการเล่นดนตรีเพื่อพักดื่มน้ำทานอาหารว่าง ร่างโปร่งก็ถือโอกาสเดินเข้าไปทักทายนักร้องหนุ่มที่หันหน้ามาทางเขาพอดี

“ขอเพลงเหรอครับ? รอนิดนะครับขอพักกันแป๊บนึง”

“เอ่อ...เปล่าครับไม่ได้จะขอเพลง” เสียงนุ่มพยายามผ่อนคลายไม่ให้ตนเกร็งจนเกินไป “ผมลาซารัส แมทเวย์ครับ”

“...โคลวิสครับ” แนะนำตัวเองให้ผู้มาใหม่รู้จักพร้อมกับชี้แนะนำตัวเพื่อนแต่ละคนในวง จากนั้นก็ได้รับเชิญให้มานั่งเก้าอี้ร่วมวงคุยกันอย่างเป็นกันเอง “เอ?...เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า?”

นักร้องหัวสีสุดจี๊ดหันมามองลาซารัสอย่างคับคล้ายคับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพื่อนๆ ที่อยู่รอบๆ เลยเอ่ยแซวว่าจะจีบคนเพิ่งเจอหน้ากันเลยรึไง

“จะบ้าเรอะ โอเมก้าเหมือนกันจะจีบไปเพื่อ?” โคลวิสหันไปเอามือตีไหล่มือกีตาร์ที่เป็นคนแซวตน

“ครับ ผมเคยเห็นคุณไปร้องสดที่ร้านอาหารแถวชานเมือง” ลาซารัสตอบแล้วยิ้มเขินๆ แต่โคลวิสก็ยังรู้สึกตงิดๆ ว่าตนต้องเคยเห็นหน้าอีกฝ่ายมาก่อนหน้านั้นแล้วแน่ๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกนี่สิ 

“นี่ๆ ปกตินายงานทำอะไรเหรอ?” มือคีย์บอร์ดผู้อยากรู้อยากเห็นถามลาซารัสบ้าง “ปกติพวกเรามีงานประจำของตัวเองน่ะ แต่พอมีคนติดต่อเข้ามาก็จะมารวมตัวกันเล่นดนตรีเหมือนงานนี้แหละ อย่างโคลวิสนี่เห็นแบบนี้แต่งานหลักของเขาคือเป็นบาริสต้านะ”
“ยอดไปเลยครับ!” ดวงตาสีฟ้าหันไปมองนักร้องนำอย่างชื่นชมที่กำลังเอาไมค์ไล่เคาะหัวเพื่อนที่พูดมาก “เมื่อก่อนผมเป็นช่างตัดเสื้อน่ะครับ”

“เมื่อก่อน?” นักร้องและนักดนตรีอีกสองคนหันมามองคนพูด

“คือ...ตอนนี้ไม่ค่อยได้ทำแล้วน่ะครับ แต่ตอนว่างๆ ผมก็หัดขับรถกับฝึกทำขนมบ้าง อ่ะ...ชอบอ่านหนังสือด้วยครับ” โอเมก้าหนุ่มพยายามหาเรื่องชวนคุย “ว่าแต่พวกคุณทำวงกันมานานแล้วเหรอครับ?”

“ไม่กี่ปีมานี่เอง ได้โคลวิสมาช่วยรวมตัวให้”

หลังจากเริ่มคุยกันสักพักลาซารัสก็ลดอาการเกร็งลง ร่างโปร่งดูดีใจมากที่ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นและทุกคนก็เป็นกันเอง สุดท้ายจึงแลกเบอร์และอีเมล์กันไว้เผื่อคุยเล่นหรือนัดเจอกันใหม่

“นายเป็นโอเมก้าเหรอเนี่ย ไม่บอกนี่ดูแทบไม่ออกเลยนะ”

“ก็เบต้าอย่างนายไม่ได้กลิ่นเขานี่” โคลวิสยักไหล่แล้วดื่มน้ำอุ่นจนหมดแก้ว “แต่ภายนอกก็ดูไม่ออกจริงๆนั่นแหละ ปกติต้องตัวเล็กจิ้มลิ้ม ดูนุ่มนิ่มกว่านี้..”

“เอ่อ...ชมใช่มั้ยครับ?” ลาซารัสเอียงคอสงสัยไม่มั่นใจว่าหนุ่มหัวสีข้างๆตนต้องการจะสื่ออะไร เพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นจึงหลุดขำกันออกมาเสียงดัง

“ชมสิ! เอ้อ ว่าแต่มากับใครเหรอ” โคลวิสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะเห็นปลอกคอสีสวยบนคอของเพื่อนใหม่

“เอ่อ...คุณริชครับ.. ริชาร์ด เบอร์ตั้นน่ะครับ”

เมื่อลาซารัสตอบออกไป ทั้งโต๊ะก็เงียบลง หลายคนกระพริบตาปริบและหันไปหาโคลวิส ร่างโปร่งหันตามไปมองอย่างสงสัย นักร้องผมสีคนนั้นมองเขาด้วยความอึ้งเล็กน้อยก่อนจะกลับมาหาเรื่องพูดทำลายความเงียบ “อ่อเหรอ ก็ดูเหมาะกันดีนี่”

“....” ลาซารัสกระพริบตาระรัวอย่างทำตัวไม่ถูก จะบอกว่าไม่ใช่สถานะแบบนั้นก็กระไรอยู่เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน จึงทำได้แค่ปิดปากเงียบ

“เห็นครองโสดมาตั้งนาน นึกว่าอยากนั่งเล่นบนคานจนแก่เฒ่าซะอีก”

“เอ๋? คุณโคลวิสรู้จักคุณริชเหรอครับ?”

“หึหึ.. ก็นิดหน่อย” โคลวิสยิ้มอย่างมีนัยยะแล้วลุกขึ้นเพราะมีพนักงานมาแจ้งว่าถึงเวลาโชว์ต่อแล้ว “ไว้เจอกัน”

“ห้ะ? อ่ะ...แล้วเจอกันครับ” ลาซารัสเองก็ไม่ควรจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อก็ลุกออกจากโต๊ะทานอาหารของเหล่านักดนตรีแล้วเดินกลับไปที่ส่วนกลาง

“เพลงนี้ สำหรับอวยพรให้เพื่อนใหม่ของผมนะครับ”

ลาซารัสรู้ทันทีว่าเสียงที่ประกาศผ่านไมค์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนั้นกำลังพูดถึงตัวเขาแน่นอน บทเพลงไพเราะผ่อนคลายขับขานมาให้อย่างเข้ากับบรรยากาศ ลาซารัสทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนยิ้มให้คนบนเวทีที่ไม่แม้แต่จะหันมามองเขาด้วยซ้ำ

แต่เพลงยังไม่จบดีนัก โทรศัพท์ของโอเมก้าหนุ่มที่ยืนหลบอยู่ที่มุมห้องก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ริชาร์ดส่งมาว่ากำลังจะกลับแล้ว ให้เขาเตรียมตัวได้..

“ยังไม่ได้บอกลาพวกเขาเลย...แต่ส่งข้อความทิ้งไว้ก็ได้มั้ง”

ลาซารัสเดินออกจากห้องรับรองไปเงียบๆโดยไม่ได้หันกลับมาเห็นว่าโคลวิสที่อยู่บนเวทีนั้นกำลังมองตามเขาไปด้วยสายตาแสนเศร้าอยู่…


“เป็นยังไงบ้าง” ริชาร์ดยืนรออยู่ที่ทางเดินใกล้ๆเอ่ยทักเมื่อโอเมก้าของเขาเดินมาหา

“ก็ดีครับ ผมเจอนักร้องที่เราเจอในร้านอาหารวันก่อนด้วยล่ะ”

“หือ? อ๋อ โคลวิสเหรอ? ไม่ยักรู้ว่าหมอนั่นรับงานที่นี่ด้วย”

“รู้จักกันเหรอครับ” ลาซารัสถามอยากใคร่รู้และเดินตามผู้เป็นเจ้าของของตนไปที่สนามหญ้าหลังคฤหาสถ์ซึ่งตอนนี้กลายสภาพเป็นลานจอดรถหรูหลายต่อหลายคัน

“หมอนั่นทำงานที่ตึกฉันน่ะ เป็นบาริสต้าในร้านกาแฟประจำตึก” ริชาร์ดแจกแจง “ชงได้อร่อยมากๆเลยล่ะ”

“งี้นี่เอง...เอ๊ะ..ร้านกาแฟ?” ร่างโปร่งเหมือนฉุดคิดอะไรได้ ภาพความทรงจำเมื่อครั้งที่เขาพาสก็อตไปหาริชาร์ดถึงตึกนั้นลอยกลับเข้ามาในหัว สองเท้าหยุดก้าวตามคนข้างหน้าไปเสียดื้อๆจนอัลฟ่าที่เดินนำต้องหันกลับมามองอย่างสงสัย “เอ่ะ...อ่ะ! อ๋าาา!!”

“เป็นอะไรน่ะ!?” จู่ๆลาซารัสก็ร้องเสียงหลงออกมาทำเอาริชาร์ดถึงกับสะดุ้งแล้วรีบเดินเข้าไปประชิดตัว

“คือ...คือ…อาจจะเคยเห็นผมอยู่กับคุณหมอตอนที่ไปตึกคุณริชก็ได้ เพราะเขาบอกว่าคุ้นๆหน้าผมด้วย” ร่างเล็กกว่ายกมือขึ้นทึ้งผมอย่างแรง “แต่...เมื่อกี้ผมตอบไปว่าผม…เป็นโอเมก้าของคุณริชอ่ะ…”

“อ่ะ...เหรอ” แม้จะกังวลเหมือนกับคนพูด แต่พอได้ยินคำว่าโอเมก้าของเขา รอบๆตัวริชาร์ดก็เหมือนจะมีดอกไม้โปรยลงมาแปลกๆ….

“ทำยังไงดีครับคุณริช!?” ลาซารัสสับสนและลนลานจนเหมือนสติไม่อยู่กับตัว ร่างสูงจับบ่าอีกคนให้ใจเย็นๆ ก่อน

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง นายไม่ต้องกังวลไปหรอกนะลาซัส” มืออุ่นลูบไปบนเรือนผมสีน้ำตาลปลอบโยน “ป่ะ เรากลับบ้านกันเถอะนะ”

ดวงตาสีฟ้าเก็บความกังวลไว้ในใจก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรายชื่อที่เพิ่งเมมเข้าไปล่าสุด อุตส่าห์คิดว่าได้เจอเพื่อนใหม่แล้วทั้งที แต่ดันเกิดเรื่องแบบนี้ซะได้


เช้าวันต่อมา ริชาร์ดเดินเข้าบริษัทตั้งแต่หัววันจนพนักงานเฝ้ายามยังนึกว่าเช้านี้ลมอะไรหอบมา ซีอีโอที่นานๆทีจะเข้าบริษัทถึงได้มาเร็วผิดปกติ อย่าบอกนะว่าหุ้นกำลังจะตก!?

ร่างสูงเดินไปที่ร้านกาแฟซึ่งยังไม่เปิดดี แต่ก็มีพนักงานและลูกค้าประจำบางส่วนมายืนเข้าแถวต่อคิวรอจนแถวยาวไปเกือบสิบคน ริชาร์ดเองก็ไปยืนต่อคิวกับเค้าด้วย แม้ว่าพนักงานที่จำเจ้านายได้จะขยับตัวลัดคิวให้ แต่ซีอีโอก็ยกมือและส่ายหน้าปฏิเสธไม่ขอรับน้ำใจนี้

ผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาทีริชาร์ดก็ได้คิวสั่งกาแฟ พอโคลวิสเงยหน้าขึ้นมารับออร์เดอร์ถึงกับชะงักเพราะปกติลูกค้ารายใหญ่คนนี้แทบจะไม่มาซื้อกาแฟที่ร้านด้วยตัวเองเลย

“รับอะไรดีครับ?” แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพจึงยิ้มต้อนรับลูกค้าได้อย่างไม่ติดขัด

“ขอ...เอสเปรสโซ่แก้วนึงแล้วกัน” มองเมนูอยู่นานก่อนเงยหน้าขึ้นมาสั่งและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บาริสต้าหนุ่มรับรายการและบอกให้ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนเดี๋ยวจะยกไปเสิร์ฟให้ แต่ริชาร์ดเลือกที่จะยืนรอ ทำเอาพนักงานและเจ้าของร้านแอบเกร็งเพราะคิดว่าเจ้าของตึกมาตรวจดูเพื่อประเมินการบริการของทางร้าน

แต่จนกระทั่งลูกค้าได้กาแฟและจ่ายเงินออกไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โคลวิสแอบโล่งใจ ก็คงแค่มาซื้อกาแฟเฉยๆนั่นแหละ ทว่าพอไปยืนตรงที่เครื่องคิดเงินนับแบงค์ที่เพิ่งได้มาจากลูกค้า ปรากฏว่ามีเศษกระดาษเล็กๆเขียนชื่อและเบอร์ส่วนตัวพร้อมข้อความสั้นๆแนบมาว่าว่างแล้วให้โทรหาด้วย

จู่ๆ บาริสต้าหนุ่มก็ช็อคเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางตัวจนแทบล้มลงกลางร้าน นับว่ายังโชคดีที่มีสติพอจะบริการลูกค้าต่อได้โดยไม่เผลอชงกาแฟผิดสูตรไปซะก่อน

“ทำไมจู่ๆคุณริชาร์ดก็เดินมาซื้อกาแฟเองล่ะ ปกติจะให้เลขามาสั่งให้แท้ๆ” บาริสต้าอีกคนยื่นหน้ามาถามอย่างสงสัย

“ฉันก็อยู่กับนายตรงนี้ จะไปรู้ได้ไงล่ะ” โคลวิสขมวดคิ้วใส่เพื่อนร่วมงานพร้อมเก็บกระดาษนั้นลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว และทำหน้าที่ของตนต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน


ริชาร์ดนั่งมองหน้าจอคอมที่กำลังเปิดโปรแกรมคุยกับลูกค้าเรื่องงานที่เพิ่งได้รับมา ความจริงจะส่งให้เหล่าหัวหน้าแต่ละแผนกทำไปเลยก็ยังได้ แต่เขาอยากหาอะไรทำเพื่อให้เลิกคิดเรื่องลาซารัสบ้างเท่านั้น

ครืด...ครืด….

เสียงมือถือสั่นเรียกเป็นสัญญาณว่ามาสายเข้าซึ่งเขาก็พอจะเดาได้ว่ามาจากใคร “ไง”

“สวัสดีครับ...คุณริชาร์ด?” เสียงที่อีกปลายสายคือโคลวิสที่ดูยังลังเลว่าโทรถูกคนหรือเปล่า

“ใช่ๆ ฉันเอง” ร่างสูงเปลี่ยนมานั่งยกเท้าขึ้นพาดกับเก้าอี้สำหรับรองเท้าที่ตั้งไว้ข้างๆ “เอ่อ เท้าความก่อนเลยนะ นายจำลาซารัสได้มั้ย?”

“อ๋อ เจ้าหนูคนนั้นเอง” โคลวิสพยักหน้าทั้งที่ยังงุนงงอยู่

“ไม่ใช่เจ้าหนูนะ อายุพอๆกับนายนั่นแหละ”

“ครับๆ ว่าแต่ทำไมเหรอ?” เสียงปลายทางแอบหาวเบาๆ ท่าทางจะไม่ได้สนใจเรื่องที่กำลังจะคุยกันเท่าไหร่ “เมื่อวานไม่มีใครจีบโอเมก้าของคุณหรอกครับ ไม่ต้องห่วง”

“เปล่าๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” แต่ได้ยินบาริสต้าหนุ่มพูดแบบนี้ก็แอบโล่งใจอยู่ สายตาใต้กรอบแว่นที่จะใส่เฉพาะเวลาทำงานมองไปยังนาฬิกาตั้งโต๊ะของตนที่บอกว่าใกล้ได้เวลาเลิกงานแล้ว “นายปิดร้านรึยัง?”

“ครับ?” ตอบรับและไม่วายสงสัยว่าอีกคนจะอยากรู้ไปทำไม

“งั้นรอฉันสัก 10 นาทีที่ร้านนายนะ เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินแล้วนั่งคุยกันหน่อย”

“เอ๋!!?” โคลวิสรีบเอามือปิดปากหลังจากเผลอร้องเสียงหลงจนเพื่อนที่อยู่ด้วยหันมามอง “ดะ เดี๋ยวก่อนนะครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“เรื่องก็คือ ฉันหิว แล้วเรื่องที่จะคุยกับนายมันก็ยาวเอาเรื่องอยู่ เพราะงั้นไปกินข้าวกัน อ่ะ! แต่นายจะปฏิเสธก็ได้ถ้าไม่สะดวกใจจะไปกับฉัน แล้วนี่ก็ไม่ใช่คำสั่งอะไรด้วย” ซีอีโอหนุ่มรีบออกตัวเพราะเดี๋ยวจะโดนหาว่าใช้อำนาจโดยใช่เหตุ “ถ้าตกลงล่ะก็นายจะเลือกร้านเองก็ได้ เดี๋ยวฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง”

“เอ่อ…” โคลวิสหัวหมุนติ้วเมื่อโดนยิงคำถามรัวๆ พอหันไปขอคำปรึกษาเพื่อนอย่างด่วนว่าจะทำยังไงดี ทางนั้นก็ยกนิ้วให้บอกว่าสู้ๆ นะ...สู้กับผีอะไรเล่า!!

“เดี๋ยวฉันเก็บของก่อนนะ นายก็คิดไว้จนกว่าฉันจะเดินไปถึงแล้วกัน” ริชาร์ดตัดบทเอาดื้อๆ ก่อนกดวางสายแล้วตรวทานงานอยู่อีกสักพักก่อนเซฟแล้วกดปิดคอมพิวเตอร์ของตน

“มันอะไรกันวะเนี่ย!?” บาริสต้าหนุ่มจะกำลังจะเป็นบ้าจนแทบอยากจะวิ่งออกนอกตึกมันซะเดี๋ยวนี้

“เป็นโอกาสดีเลยไม่ใช่เหรอโคล นายเองก็ชอบคุณริ…”

“โอกาสดีบ้าบออะไร เขามีโอเมก้าของตัวเองอยู่แล้วเฟ้ย!” หันไปว้ากใส่เพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเพราะยังไม่ได้เล่าให้ฟัง

“อ้าว!? แล้วเขามาจีบนายทำไมเนี่ย?” เพื่อนบาริสต้าด้วยกันทำหน้าเสียดายแทน

“ไม่ได้จีบ! แค่มีเรื่องจะคุยด้วยเฉยๆ” พยายามพูดอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง แต่ต่อให้มาจีบจริงๆ ก็ไม่ดีใจหรอกตอนนี้น่ะ...

“...เฮ้อ นึกว่าทางนั้นจะติดใจรสชาติกาแฟของนายจนอยากได้ไปเป็นคนชงให้ดื่มทุกเช้าที่เตียงแล้วซะอีก” เห็นทางนั้นเล็งคุณอัลฟ่าซีอีโอมาตั้งหลายปีแต่ไม่ยอมรุกเข้าหาสักที นึกว่าเทพแห่งเมล็ดกาแฟจะยิงศรใส่ให้ซะแล้ว

“ถ้ายังไม่หยุดปากมากเดี๋ยวพ่อจะจับหัวโขกกับเครื่องคั่วกาแฟเดี๋ยวนี้แหละ!” โคลวิสเงื้อมือขึ้นทำท่าเหมือนจะจับหัวเพื่อนโขกจริงๆ แต่เพื่อนร่วมงานเองก็อยู่ด้วยกันมานานพอจะรู้ว่าเจ้าตัวแค่ขู่เฉยๆเท่านั้น “ระวังปากแกหน่อย คุณริชาร์ดเค้ามีโอเมก้าของตัวเองแล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดเอา..”

“เออๆ โทษที” ปกติแล้วอัลฟ่าจะมีโอเมก้าในครอบครองกี่คนก็ได้ เพียงแต่คนทั้งบริษัทแทบทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าริชาร์ดไม่ใช่อัลฟ่าแบบนั้น และนั่นอาจเป็นที่มาของความฮ็อตของเขาเองโดยไม่รู้ตัว…


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 26-02-2017 04:48:07

“ขอโทษที่ต้องรบกวนนายนะ” ริชาร์ดเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสบายๆหลังจากสั่งอาหารเสร็จ ทั้งคนโดนชวนและคนชวนนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ร้านโปรดของโคลวิสที่มักจะมาทานประจำเนื่องด้วยราคาไม่สูงและอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน จนแทบจะเป็นขาประจำอยู่แล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้ยุ่งอะไร” คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้าเบาๆและยื่นใบเมนูคืนพนักงาน

“งั้นเอ่อ.. ขอเข้าเรื่องเลยได้มั้ย?” ริชาร์ดไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เจ้าตัวเลือกบริเวณด้านในสุดของร้านเพื่อไม่ให้ใครได้ยินเรื่องที่คุยกันเพื่อความเป็นส่วนตัว “พอดีเรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน...แล้วก็ยาวพอสมควร”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“ก็...ลาซัส...เอ่อ ลาซารัสน่ะ จริงๆแล้ว ก่อนหน้านี้เค้าไม่ได้เป็นโอเมก้าของฉัน” ร่างสูงโน้มตัวเข้ามาและเท้าคางลงกับโต๊ะอาหาร “...แต่จะบอกว่าตอนนี้เป็นของฉัน ก็ไม่ใช่เชิง..”

“?..” หนุ่มผมแดงเลิกคิ้วสงสัย ชักเริ่มสนใจว่านายจ้างของตนจะเล่าอะไรต่อไป

“พอดีว่าเพื่อนของฉันเป็นคนรักกับลาซารัส.. แต่มีเรื่องนิดหน่อย ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วก็อันตราย เขาก็เลยต้องส่งลาซารัสมาอยู่กับฉันก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่..” ริชาร์ดยักไหล่ เล่าอย่างรวบรัดและพยายามไม่พูดถึงรายละเอียดของเรื่องราว ก่อนจะเงียบลงเพราะพนักงานมาเสิร์ฟน้ำให้ “ก่อนอื่นเลย นายพอจะคุ้นหน้าหมอนั่นมั้ย?”

“เหมือนจะคุ้นครับ แต่อาจจะไปเหมือนใครเข้าก็ได้ วันๆนึงผมเจอคนตั้งไม่รู้กี่ร้อยคน” โคลวิสยักไหล่แล้วยกแก้วขึ้นดื่ม “คุณคงไม่ลากมาเพื่อคุยเรื่องแค่นี้ใช่มั้ยครับ”

“ไม่ๆ ตอนนี้ต้องการให้นายเข้าใจสถานะทางนี้ก่อนน่ะ ส่วนหลังจากนี้คือ อยากขอความช่วยเหลือนิดหน่อย”

“ความช่วยเหลือ?” ร่างเล็กแอบสะดุ้งและนั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว หัวใจพองโตเมื่อเห็นคนที่แอบปลื้มมาตลอดทำท่าทางคิดไม่ตก

“ตอนนี้ลาซารัสอยู่กับฉันก็จริง… แต่เขากับเพื่อนของฉันก็ยังรักกันอยู่ ส่วนปัญหาน่ะ…” ริชาร์ดเม้มปาก เหมือนพยายามรวบรวมความกล้ายังไงยังงั้น โคลวิสเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็แอบรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ “ฉันดัน เผลอตัวไปรักโอเมก้าคนนั้นเข้าจริงๆซะแล้ว”
มือที่ถือแก้วน้ำชะงักไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้ดูออกจนผิดสังเกต โคลวิสลอบมองสีหน้าของอัลฟ่าตรงหน้าเขาที่มีท่าทางเขินนิดหน่อย ซึ่ง...เขาไม่เคยเห็นซีอีโอคนนี้เป็นแบบนี้มาก่อนเลย

“แล้ว...คุณอยากจะให้ผมช่วยอะไรครับ?” มือวางแก้วลงบนที่รองแก้วด้วยเกรงว่าจะเผลอได้ยินอะไรชวนช็อคจนทำหลุดมือเข้า ถึงขนาดลงทุนมาคุยด้วยตัวเองแบบนี้ท่าทางจะเรื่องใหญ่พอดู

ริชาร์ดประสานมือกันไว้ที่หน้าตักพลางบีบมือแน่นก่อนตัดสินใจพูดออกไป “ขอตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยแล้วกัน นายช่วยฉันคิดวิธีจีบลาซัสหน่อยสิ”

อึ้ง…

“...จีบ?” โคลวิสทวนประโยคที่เพิ่งได้ยินจากปากคนตรงหน้า “ปกติแล้ว...จำเป็นด้วยเหรอครับ?”

“หือ? ทำไมพูดอะไรแปลกๆงั้นล่ะ?” ริชาร์ดทำหน้างง เขาว่าตัวเองก็พูดตรงๆแล้วนะ เข้าใจยากตรงไหนเนี่ย....

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ...คือ แบบว่า ปกติแล้วอัลฟ่าแทบไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องแบบนั้นเลย เท่าที่ผมเคยเห็นมาน่ะ” บาริสต้าหนุ่มพูดอธิบายโดยพยายามไม่ให้ฟังดูเสียมารยาทจนเกินไปนัก

“อืม...จะบอกว่าอัลฟ่าปกติแล้วเค้าไม่จีบโอเมก้ากันว่างั้นสิ?” ริชาร์ดสรุปจากคำพูดของโคลวิส ซึ่งทางนั้นก็พยักหน้ารับแต่โดยดี “สงสัยฉันคงจะเป็นอัลฟ่าที่ไม่ปกติล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ”

ร่างสูงหัวเราะยิ้มกว้างซะจนเห็นฟันเรียงกันสวย โคลวิสก็เผลอมองตามและจ้องอยู่สักพัก จนกระทั่งอาหารที่สั่งไปเริ่มทยอยถูกนำมาเสิร์ฟ ทั้งคู่จึงลงมือทานกันก่อน แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรามากมายเหมือนกับอาหารญี่ปุ่นในโรงแรมที่ซีอีโอหนุ่มมักจะได้ทานบ่อยๆ แต่ก็ถือว่ารสชาติดีมากเมื่อเทียบกับราคาที่คนระดับกลางสามารถจ่ายได้

“คุณอยากจะจีบเขา ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นคนรักของเพื่อนคุณน่ะเหรอ?” โคลวิสคีบซาซิมิแซลมอนจิ้มวาซาบิก่อนส่งเข้าปากตัวเอง “แบบนั้นจะไม่มีปัญหาเอาทีหลังหรือครับ?”

“ฉันรู้ว่ามันต้องเป็นปัญหาทีหลัง” ริชาร์ดถือตะเกียบค้างไว้ขณะกำลังเล็งว่าจะคีบชิ้นไหนมากิน “แต่ฉันก็อยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้วลาซัสยังเลือกที่จะกลับไปอยู่กับเพื่อนของฉัน ฉันก็จะปล่อยเขาไป”

“...แต่พวกเขาก็รักกันแล้วนะครับ… คุณยังคิดจะเอาชนะใจเขาอีกเหรอ” คำพูดของโคลวิสแอบแฝงความผิดหวังเล็กๆที่ไม่ยากเกินสังเกตไว้

“...มันดูแย่จริงๆนั่นแหละ” ริชาร์ดหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะคีบซาชิมิกิน “จะเรียกมือที่สามก็ไม่ผิดอะไร”

“แล้วลาซารัสเขาคิดยังไงบ้างล่ะครับ” เห็นอีกฝ่ายเริ่มลงมือทานก็หยิบตะเกียบมาคีบเนือปลาชิ้นสวยเข้าปากบ้างพลางถามถึงคนที่อีกฝ่ายกำลังหาทางมัดใจอยู่

“ไม่มีทีท่าว่าจะยอมใจอ่อนเลย” คนตัวใหญ่ลู่ไหล่ห่อตัวอย่างน่าสงสาร “แถมยังดูพยายามทำตัวเหินห่างด้วย”

“อา…” ภาพผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างในตึกระฟ้าที่เขาทำงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกำลังหดหู่น่าเห็นใจนี้ดูแปลกตาจนคนเห็นทำตัวไม่ถูก “งั้นขอบอกก่อนนะครับ ผมไม่ขอช่วยเหลือกรณีนี้ เพราะเห็นแล้วว่าคุณเป็นคนแส่หาเรื่องก่อน ผมไม่อยากสนับสนุนเรื่องการแย่งของๆคนอื่นมาน่ะ”

“อ่าฮะ เข้าใจๆ จริงๆแค่มาฟังฉันระบายบ้างก็ขอบใจมากแล้ว” ริชาร์ดน้ำตาตกใน แต่มันก็ไม่ได้เกินคาดแต่อย่างใด เขาเตรียมใจจะโดนต่อว่ามากกว่านี้ด้วยซ้ำ

“แต่ผมขอชมเรื่องที่คุณไม่ใช้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทำอะไรๆตามใจตัวเองนะครับ” โคลวิชยกถ้วยมิโสะขึ้นซดก่อนจะพูดปลอบ “ขอบคุณที่ให้เกียรติพวกเรานะ..”

โคลวิส หรือชื่อเต็มว่า โคลวิส เดนิส เป็นโอเมก้าที่ภาายนอกและการใช้ชีวิตเหมือนกับเบต้าจนคนอื่นแทบจะไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นโอเมก้า

โคลวิสเติบโตมาในบ้านหัวสมัยใหม่ที่ไม่ศรัทธาในระบบที่กดขี่โอเมก้า และเขาเป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องอัลฟ่าที่ได้รับการดูแลจากทั้งพ่อแม่อย่างดีไม่ต่างจากพี่หรือน้อง และได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการใช้ยาระงับอาการฮีทและน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนมาตลอด

เมื่อเข้าเมืองกรุงมาหางานทำก็ได้งานบาริสต้าในร้านคาเฟ่ในตึกของริชาร์ดพอดี

“อืม เรื่องแบบนั้นน่ะ ก็อยากให้หายๆไปสักทีน่ะ”

พอเห็นริชาร์ดแสดงด้านที่หาดูได้ยากสำหรับเหล่าอัลฟ่าออกมาแบบนี้ โคลวิสก็เผลอใจอ่อนจนได้ “งั้นขอถามสักนิดนะครับ ลาซารัสเขาอยู่กับเพื่อนคุณนานรึยัง”

“น่าจะ...สองเดือนมั้ง” ระหว่างที่คุย ริชาร์ดก็เริ่มหยิบเมนูมาดูต่อ ท่าทางจะยังไม่อิ่ม

“....เอ่อ…”

“หือ?”

“เขารักกันในสองเดือน?”

“อ่าฮะ” ริชาร์ดยกมือขึ้นเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารเพิ่ม “เอาแซลม่อนโรลรมควัน เซ็ทซูชิวากิว กับไข่ม้วนครับ..นายเอาอะไรเพิ่มมั้ย?”

“เอาซาชิมิหมึกขาวครับ ...ขอผมถามหน่อยสิ ลาซารัสเขาเคยเป็นของใครหรือเคยรักใครมาก่อนหน้านี้มั้ยครับ?”

“...รู้สึกจะไม่เคยนะ” ริชาร์ดขมวดคิ้วและมองไปทางอื่นเหมือนกำลังนึกถึงทุกเรื่องที่คุยกัน

“เพื่อนของคุณริชาร์ดนี่คืออัลฟ่าคนแรกที่เขาเคยอยู่ด้วยใช่มั้ยครับ?”

“ใช่” ทีแรกริชาร์ดยังไม่เข้าใจที่โคลวิสถาม ทว่าเมื่อนั่งนึกดีๆอีกครั้งถึงความเชื่อมโยงของมัน เขาก็ชะงักมือที่กำลังคีบเนื้อปลาจนมันหล่นตกลงไปอยู่ในจานดังเดิม “...อ่ะ…”

...แบบนี้ถือว่าช่วยยุยงหรือเปล่านะ...

มือใหญ่วางตะเกียบลงแล้วหันไปหยิบน้ำชามาดื่ม เรื่องที่เขาพูดไปทีแรกว่าอยากให้อีกฝ่ายช่วยเรื่องจีบโอเมก้าในครอบครองของตนนั้นก็แค่หาเรื่องคุยแก้ขัดไปก่อนจะเข้าเรื่องจริงจัง แต่ตอนนี้ดันกลายเป็นว่ามีประเด็นให้น่าขบคิดยิ่งกว่าเดิม

“นี่มัน...ป๊อบปี้เลิฟชัดๆเลย…” แม้อายุของคนถูกพูดถึงจะเลยวัยที่จะใช้คำๆนี้เรียกไปแล้ว แต่ว่านี่คงสื่อความหมายได้ดีที่สุดหากจะให้เปรียบเทียบกับความรักของโอเมก้าหนุุ่มคนนั้น

“...ถ้างั้น ฉันก็พอจะหวังได้สินะ” ใบหน้าที่มีรอยยิ้มน่าอดสูก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มของคนที่เริ่มมองเห็นแสงสว่างรำไร ส่วนบาริสต้าหนุ่มก็นึกอยากตบปากตัวเอง ดูเหมือนคำพูดของตนจะไปจุดประกายไฟแปลกๆให้คนที่เป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวซะแล้วสิ

อาหารชุดใหม่มาเสิร์ฟเพิ่ม แต่โคลวิสดูจะไม่เจริญอาหารเหมือนตอนแรกสักเท่าไหร่ มือที่ถือตะเกียบคีบเนื้อรสเลิศเข้าปากแต่เคี้ยวไปแล้วเหมือนลิ้นมันไม่รู้รสชาติยังไงยังงั้น

“เป็นอะไรไป อิ่มแล้วเหรอ?” ส่วนริชาร์ดที่กระเพาะทำงานดีเป็นพิเศษก็กำลังกินเอาๆ “ถ้าไม่ค่อยหิวจะสั่งเอากลับบ้านมั้ย?”

“ไม่เป็นไรครับ พอดีทานเร็วไปหน่อยเลยจุก” แน่นอนว่าสาเหตุที่จุกไม่ใช่เพราะของกินอย่างเดียว… “งั้น...แบบนี้ผมคงไม่ต้องช่วยเหลืออะไรคุณแล้วสินะครับ”

“อืม...เรื่องจีบน่ะช่างเถอะ แต่อีกเรื่องนี่ยังไงก็ต้องรบกวนนายนะ”

“ยังมีอีกเหรอ เอ่อ...ผมหมายถึง ยังมีเรื่องสำคัญเรื่องอื่นอีกสินะครับ”

ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนกลืนโรลแซลมอนชิ้นสุดท้ายเข้าปากและดื่มน้ำตาม “สำคัญมากๆเลยล่ะ คือ...นอกจากนายแล้วฉันก็ไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นที่เชื่อว่าลาซารัสเป็นโอเมก้าของฉันจริงๆ อยู่รึเปล่า ถ้าเกิดมีคนสงสัยขึ้นมามันจะเป็นเรื่อง ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนะ แต่ฉันอยากให้แน่ใจก็เลยจะป้องกันเอาไว้ก่อนน่ะ”

“พูดตรงๆ มาเลยก็ได้ครับว่ามีคนที่คิดว่าคุณกำลังโกหกพวกเขาอยู่อย่างนั้นล่ะสิ” สีหน้าและท่าทางของโคลวิสที่อ่านขาดทำเอาริชาร์ดรู้สึกทึ่งในตัวคนร่วมโต๊ะอยู่ไม่น้อย “ตอนที่ได้ยินว่าคุณมีโอเมก้าในครอบครองแล้ว บอกตามตรงว่าผมเองก็เกือบไม่เชื่อเหมือนกัน เพราะมันไม่มีวี่แววมาก่อนหน้านี้เลยว่าคุณจะมีคู่เป็นของตัวเอง”

“ใช่...ถูกอย่างที่นายพูด แต่รายละเอียดมันค่อนข้างซับซ้อนซึ่งฉันคงเล่าไม่ได้ในตอนนี้ แต่เอาเป็นว่าถ้าหากนายเห็นคนพวกนี้หรือมีใครมาถามก็ช่วยบอกไปทีว่าลาซารัสเป็นคู่ของฉันจริง แล้วหลังจากนั้นนายก็ติดต่อมาหาฉันทันทีตามเบอร์ที่ให้ไปก่อนหน้านี้นั่นแหละนะ”

หลังการสนทนาที่จริงจังและรับประทานอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญผ่านไป ทั้งคู่ก็ได้แยกย้ายกันกลับ เพราะโคลวิสปฏิเสธที่จะให้ไปส่งเนื่องจากที่พักของเขามันอยู่คนละทางกับทางกลับบ้านของริชาร์ด



“ลืมบอกไปเลยแฮะว่าจะกลับช้า แถมยังกินจากข้างนอกมาแล้วอีก”

ริชาร์ดกลับมาถึงคฤหาสน์ช้ากว่าปกติไปมาก ไม่ใช่แค่เพราะพาเพื่อนใหม่(?)ไปเลี้ยงข้าวเย็น แต่ยังแวะซื้อดอกไม้ระหว่างทางติดมือกลับมาด้วย

ไม่ได้จะโรแมนติกอะไร...ก็แค่อย่างน้อยๆ ถ้าเกิดโดนบ่นก็จะได้ใช้แทนคำขอโทษนั่นล่ะ

ร่างสูงเดินกลับเข้าบ้านและโดนเจสิก้าบ่นไปตามระเบียบที่ไม่ยอมโทรบอกก่อนเรื่องทานอาหารเข้ามาแล้ว ทว่าเขากลับไม่เห็นลาซารัสเลย

“คุณแมทเวย์กลับเข้าไปพักผ่อนแล้วค่ะ อ่ะ แล้วเขาก็ฝากขนมให้คุณผู้ชายด้วย” แม่บ้านกวักมือเป็นสัญญาณให้สาวใช้นำขนมในถาดมาให้ ทาร์ตไข่ที่ริชาร์ดเคยบอกไปเมื่อครั้งก่อนยกมาเสิร์ฟ.. ท่าทางลาซารัสจะลองทำอีกแล้ว

แต่วันนี้รสชาติมันดีขึ้นยังไงไม่รู้สิ…

ริชาร์ดก้าวมาหยุดหน้าห้องของโอเมก้าหนุ่ม ตัวเลขบนนาฬิกาข้อมือปาไปเกือบห้าทุ่มแล้ว ไม่แน่ใจว่าลาซารัสจะยังตื่นอยู่รึเปล่า แต่เจ้าของบ้านก็ทำใจเคาะไป ..แต่รออยู่พักหนึ่งก็ยังไร้เสียงตอบรับจากอีกฝั่ง.. ร่างสูงจึงถอนหายใจและหันหลังกลับ ทว่า เสียงปลดล็อกกุญแจก็ดังขึ้นแล้วประตูบานสวยค่อยๆแง้มออกมาต้อนรับความคาดหวังของเขา

“มีอะไรเหรอครับ” ลาซารัสโผล่หน้าออกมาหาด้วยท่าทางสะลึมสะลือ เหมือนเพิ่งจะหลับมาไม่นานนัก

“ขอโทษที่รบกวนนะ นึกว่านายยังไม่นอน”

“เพิ่งกลับมาเหรอครับ?”

“อืม ไปคุยกับโคลวิสมาน่ะ เรื่องนายนั่นแหละ” ริชาร์ดพูดกว้างๆอย่างไม่เจาะจงรายละเอียด “เขาเข้าใจแล้วก็คงให้ความร่วมมือแหละ

“ครับ...เข้าใจแล้ว” ลาซารัสขยี้ตาให้ตื่นมาคุยกับอัลฟ่าตรงหน้า

“แล้วก็ทาร์ตไข่น่ะ อร่อยมากเลยนะ คราวนี้ทำเต็มที่เลยล่ะสิ” รอยยิ้มแฝงความภูมิใจระคนยินดีฉาบบนใบหน้าก่อนเอื้อมมือไปลูบหัวร่างเล็กกว่าอย่างเคยชิน “ขอบใจนะ”

“ครับ...หือ? กลิ่นอะไรน่ะ”

“อ้อ ดอกไม้น่ะ พอดีแวะซื้อมา เผื่อขอโทษสาวๆที่ทำให้รอ” ริชาร์ดแถไปไหนต่อไหน ทีแรกจะมาง้อคนตรงหน้าเสียหน่อยแต่ดูท่าทางเขาไม่โกรธอะไร

“ไม่ใช่ครับ ...คือ…” ลาซารัสรีบดึงมือหนาบนหัวตนออกแล้วก้าวถอยห่างจากอัลฟ่าตรงหน้า ริชาร์ดทำหน้าฉงนก่อนจะเห็นว่าลาซารัสดูตื่นตระหนกขนาดไหน

“ลาซัส?” ในคราแรกริชาร์ดยังไม่รู้ตัว แต่เมื่อนึกถึงเวลาที่ล่วงเลยมาขนาดนี้ น้ำหอมหรือยาใดๆที่ลาซารัสมักจะกินกันไว้คงไม่เหลือแล้ว… และเขาเอง เนื่องจากต้องออกไปทำงานจึงไม่ได้ใช้น้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนตัวเอง นอกเสียจากยาระงับอาการฮีท..ที่ดูท่าทางคงจะหมดฤทธิ์ไปตามเวลาใช้งานแล้วนั่นแหละ แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่ได้กลิ่นอะไร แต่ร่างเล็กคงรับรู้ไปเต็มๆ

“ยา...มีรึเปล่า?” ริชาร์ดก้าวถอยหลังออกมาห่างๆ แต่ก็ยังคงถามด้วยความเป็นห่วง ลาซารัสพยักหน้าแต่สีหน้าก็ยังไม่คลายกังวล

“ผมกินยาไปมากกว่านี้ไม่ได้ครับ...” เป็นคำตอบที่รู้ๆ กันดีในหมู่พวกคนที่ใช้ยาระงับด้วยกันว่าการใช้ปริมาณยาแต่ละครั้งต่อวันจะต้องอยู่ในความพอดีเพื่อไม่ให้ร่างกายรับภาระจากผลข้างเคียงที่ใช้ยามากเกินไป “ละ...แล้วมะรืนนี้ก็เป็นวันนัดทดสอบยาของคุณหมอด้วยครับ”

“พลาดแล้วสิ…” ร่างสูงยืนถอยไปจนหลังติดกำแพงพร้อมกับสบถตัวเองที่เผลอลืมเรื่องนี้ไป ลาซารัสจำเป็นต้องงดยาตัวเดิมที่กินเป็นประจำก่อนเข้ารับการทดสอบยาตัวใหม่ เรื่องนี้เขาก็จำได้แต่ดันอยากเจอหน้าอีกฝ่ายเลยเผลอคิดไปว่าแค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไรไปซะได้

กลื่นฟีโรโมนแสนอันตรายของลาซารัสที่ริชาร์ดเคยเปรียบเหมือนดั่งเกสรดอกไม้ที่ล่อหลอกแมลงให้บินเข้าไปหา เริ่มกระตุ้นตัวเขาให้สูญสิ้นความนึกคิดที่เคยตั้งมั่นไว้ให้สั่นคลอนอีกครา ตัวโอเมก้าหนุ่มเองก็ยืนมือเกาะขอบประตูแน่น ดวงตาสีฟ้ามองไปยังตัวอัลฟ่าร่างสูงพลางเม้มปากตัวเองแน่นด้วยพยายามระงับลมหายใจที่ร้อนผ่าวอย่างผิดปกตินี้

“ลาซัส ฉัน...อยากช่วยนะ แต่ว่า…”  ริชาร์ดข่มน้ำเสียงที่เริ่มหอบให้เป็นปกติ ไม่รู้ว่าควรจะเสนอตัวช่วยอะไรดีหรือไม่ แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ร่างโปร่งก็คงไปหาวิธีระบายเอาอะไรๆออกด้วยตัวเองเหมือนอย่างที่เคยๆทำมา

“คุณพูดแบบนี้ทั้งที่ผมไม่ได้รักคุณเนี่ยนะ…” ลาซารัสปิดประตูใส่หน้าเจ้าของบ้านและเจ้าของชีวิตก่อนล็อคลงกลอนทุกชั้นที่มี

“เอ๊ย! ขอโทษลาซัส ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ!” ริชาร์ดเด้งตัวเข้ามาใกล้ประตู แต่เมื่อเข้ามาถึงในระยะ กลิ่นฟีโรโมนที่โชยอบอวลจากอาการฮีทก็เล่นงานเขาจนสมองแทบจะคิดคำพูดอะไรไม่ออก “ขอโทษ… พูดตรงๆคือฉันก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้..”

ลาซารัสที่อีกฝั่งนั่งทรุดอยู่ข้างประตู แม้จะรู้ว่าตนแทบไม่ไหวแล้ว แต่ความใคร่รู้มันทำให้เขาไม่เดินกลับไปที่เตียงสักที

“นายไม่ต้องรักฉันก็ได้” ร่างสูงพูดแผ่วเบาแต่ก็ดังพอให้คนที่อยู่อีกด้านได้ยิน “แต่ขอให้ฉันได้พยายามทำเพื่อนายสักหน่อยเถอะ..”

ประโยคเดียวกันที่ลาซารัสได้พูดกับคาเล็มไปเมื่อสองเดือนก่อนออกมาจากปากของคนที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ร่างเล็กหยุดทุกการเคลื่อนไหวและความคิดก่อนเหลือบมองผ่านไหล่ไปยังประตูด้านหลังตน เงาที่ลอดผ่านช่องแสงใต้ประตูทำให้เขารู้ว่าริชาร์ดกำลังก้าวเท้าออกห่างไป

คนที่เพิ่งจะพูดความในใจออกไปอีกครั้งได้ชะงักเท้าลงเพราะเสียงเปิดประตู เขาหันกลับไปมองโอเมก้าของตนที่ยืนสั่นอยู่ด้านในห้องมืดสนิทนั้น “นาย…”

“ผมไม่รู้ว่าผมตัดสินใจเปิดประตูทำไม” ร่างเล็กกว่าหลบตาอีกฝ่าย “บางทีผมอาจจะแค่อยากรู้คำตอบ…”

“เรื่องอะไรเหรอ?” ซีอีโอหนุ่มยืนอยู่กับที่พยายามไม่เข้าไปใกล้แม้ว่าจะได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก

“สัญญากับผมได้มั้ย...” ลาซารัสที่ยืนอยู่หลังประตูกำมือบีบแขนตัวเองแน่นก่อนกลั้นใจถามออกไป “...ว่าคุณจะไม่พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคุณหมออีก”

“....” เหตุการณ์ในครั้งก่อนที่ริชาร์ดพลั้งปากบอกเพื่อนรักในโรงพยาบาลไปว่าตนได้ล่วงเกินโอเมก้าตรงหน้าหวนกลับคืนมาในความทรงจำ และสิ่งที่ลาซารัสกำลังบอกให้เขาทำตามข้อตกลงนั้นก็ทำให้ตนลำบากใจอยู่ไม่น้อยที่จะต้องมีความลับกับคาเล็มอีกครั้ง ทว่า...

“...ตกลง ฉันสัญญา”

(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 26-02-2017 05:03:31

เสียงบานประตูห้องนอนและสลักกลอนปิดลงอย่างรวดเร็วทันทีที่เจ้าของบ้านตอบตกลงสัญญา มือหนาดึงร่างโปร่งมาดันจนแผ่นหลังติดประตูและก้มลงจูบโดยไม่ให้คนตั้งรับได้ทันตั้งตัว คล้ายกับกลัวว่าโอกาสอันน้อยนิดนี้จะหลุดลอยไป

ปลายลิ้นรุกล้ำล่วงเกินเข้าหาริมฝีปากอุ่นที่ยังตื่นตระหนก ใบหน้าคมสันจึงผละออกห่างชั่วครู่ก่อนเปลี่ยนมาจูบปลอบประโลมที่หน้าผากและค่อยๆไล่ไปตามแก้มแล้ววนกลับมาที่ปากนุ่มอย่างอย่างช้าๆไม่ให้โอเมก้าในครอบครองของตนตื่นกลัวเขาเหมือนครั้งก่อน ทั้งๆที่กลิ่นฟีโรโมนจากตัวอีกฝ่ายมันทำให้เขาแทบคลั่งเหมือนคนที่ฉีดสารเสพติดเข้าไปในร่างกายจนมันออกฤทธิ์ได้ที่แล้ว

“หอมจัง…” ริชาร์ดฝังจมูกลงสูดกลิ่นกายของลาซารัสที่ยังมีกลิ่นสบู่จางๆติดอยู่ ลิ้นอุ่นร้อนไล่เลียซอกคอหอมหวานก่อนใช้ปลายนิ้วปลดเอาปลอกคอที่ร่างเล็กกว่ายังคงสวมไว้ออก มือหนาดึงรูดเนคไทเส้นโปรดที่เวลานี้แสนเกะกะก่อนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดีแล้วช้อนตัวอุ้มร่างโปร่งขึ้นไปวางที่เตียงแล้วคร่อมตัวทาบทับลงไป

แม้จะเป็นคนตกลงใจยอมไปแต่ลาซารัสกลับยังสับสนในตัวเองอยู่ ทั้งรู้สึกผิดถึงก้นบึ้งหัวใจแต่ร่างกายเริ่มตอบสนองสัมผัสร้อนแรงนั้นทีละนิดอย่างไม่อาจควบคุม ส่วนล่างปวดหนึบกระหายการปลดปล่อยเสียจนเสียงครางเรียกร้องเริ่มอ่อนหวานขึ้นเรื่อยๆ
ริชาร์ดปลดกระดุมชุดนอนผ้าลื่นออกอย่างยากเย็นเพราะสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และลากปลายลิ้นลงไปหาขอบกางเกงอีกฝ่ายรวดเร็ว

“ด...เดี๋ยวครับคุณริช..จะทำอะไร..” ลาซารัสท้วงถามแม้จะพอเดาได้จากท่าทางที่เขาเคยเห็นจากเหล่าหนังผู้ใหญ่ที่พบเจอได้บ่อยๆ

“ระหว่างรอให้ยาฉันหมดฤทธิ์ดี นายคงอัดอั้นน่าดู” พูดจบริชาร์ดก็ดึงขอบกางเกงอีกฝ่ายลงจนลาซารัสต้องยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองจากความอับอาย แม้จะเคยร่วมรักกับคนตรงหน้าไปแล้วแต่พอส่วนสงวนถูกมองตรงๆแบบนี้มันก็รู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ทั้งที่ตอนคาเล็มมองเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยแท้ๆ

“งืออออ คุณริชอย่าจ้องมันสิ!” มือบางทุบบ่าอีกฝ่ายเมื่อแอบเหลือบมองแล้วเห็นว่าริชาร์ดยังคงมองน้องชายเขาอยู่

“ขอโทษๆ พอดีว่านายน่ารักจนอดใจไม่ไหว” ร่างสูงก้มลงชะโลมเลียเครื่องเพศที่ตื่นตัวอย่างเบามือและใช้ปากครอบครองมันไว้เสียมิด

“ฮ่ะ! อ่ะ!..” ลาซารัสครางกระเส่าตามจังหวะริมฝีปากที่เริ่มรูดขึ้นลงช้าๆและเริ่มเพิ่มความร้อนแรงขึ้นทีละนิด แม้จะพยายามไม่ร้องออกไป แต่ยิ่งกลั้นเท่าไหร่ริชาร์ดยิ่งเร่งจังหวะหนักข้อ จนสุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนตามการชักนำของอัลฟ่าเจ้าของชีวิต

แม้จะเคยทำอะไรถึงไหนๆกันมาแล้ว แต่ภาพตรงหน้าก็ยังคงเร้าอารมณ์คนปรนเปรอได้อยู่ดี ยาที่กินเข้าไปหมดฤทธิ์จนสิ้นทำให้ได้กลิ่นหอมเย้ายวนจากตัวอีกคนเต็มที่ ความต้องการที่พุ่งสูงในขณะที่สติยังพอมีทำให้ริชาร์ดตัดสินใจใช้นิ้วกดแทรกเข้าไปในช่องทางชุ่มน้ำที่อยู่ใกล้ๆนั่น

“อ๊ะ! คุณริช! ฮ่ะ..” ลาซารัสหุบขาเข้ามาอย่างลืมตัว แต่มืออีกข้างของคนคุมเกมส์รักก็จับยึดไว้ให้มันแยกออกเหมือนเดิม “เดี๋ยวครับ...อย่าเพิ่งสิ!”

ทว่าริชาร์ดก็ทำหูทวนลมไม่ยอมผ่อนลงสักนิด เมื่อนิ้วทั้งสองควานพบจุดที่ทำเอาร่างเล็กสะดุ้งอย่างผิดปกติก็จัดการสัมผัสทั้งลูบไล้กระทั่งกดเป็นจังหวะเดียวกับปากตน เล่นเอาโอเมก้าหนุ่มครางต่อเนื่องและบิดกายเร่าอย่างเสียวซ่าน

“อ๊ะ! อื้อ..อ่ะ..!” มือทั้งสองจิกลงกับทั้งหมอนทั้งผ้าปูเสียยับย่นเพื่อระบายความรู้สึกกระสันนี้ ไม่นานนักทั้งร่างก็สะดุ้งเกร็งและมือเปลี่ยนมากดศีรษะผู้ใช้ปากกับส่วนแข็งขืนตนลงไปจะมิดก่อนปล่อยน้ำรักสีขุ่นออกมาพร้อมๆกับเสียงครางหวานโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“ไวจังนะ ช่วงนี้ไม่ได้ทำ?” ริชาร์ดกลืนลงไปจนหมดอย่างไม่นึกรังเกียจ และจูบไปตามต้นขาเปลือยเปล่าอย่างหลงใหล

“ไม่..” ลาซารัสตอบอย่างซื่อตรง อาจจะเพราะริชาร์ดเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้จึงปล่อยให้สัญชาตญาณของอัลฟ่าออกมาเต็มที่ ผู้ถูกถามจึงไร้ซึ่งความคิดจะขัดขืนโดยสิ้นเชิง แม้จะเพิ่งปลดปล่อยอะไรๆไปแล้วทว่าด้วยความที่กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่ายังคงโชยอบอวล ร่างกายที่สั่นระริกก็ยังโหยหาสัมผัสจากคนที่ทาบทับร่างตนอยู่

“น่ารักชะมัดเลย ลาซัส..” ผู้เป็นนายเคลื่อนตัวขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับโอเมก้าหนุ่มแล้วค่อยๆสอดแทรกแก่นกายร้อนของตนเข้าไปในร่างคนที่ตนลุ่มหลง

“อ๊ะ! ด..เดี๋ยวครับ! อ่ะ!” ร่างกายที่เพิ่งผ่านการถึงจุดสุดยอดมามันยังไวต่อสัมผัสเกินไป ความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกนี้ทำเอาทั้งร่างสั่นเกร็งจนคนข้างบนไปต่อไม่ได้

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเกร็ง” ริชาร์ดเท้าแขนลงข้างหัวของคนด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างอุ้มร่างกายท่อนล่างให้อยู่ในท่วงท่าที่รุกล้ำได้ง่าย หน้าผากชุ่มเหงื่อแตะลงกับหน้าผากอีกคน “มองตาฉันสิ ถ้ากลัวก็บอก ฉันจะค่อยๆเข้าไป”

“อือ…” ลาซารัสผ่อนคลายตัวเองลงแล้วปล่อยร่างสูงให้จัดการขยับเข้ามาตามใจชอบ สองแขนยกขึ้นโอบคออีกฝ่ายไว้อย่างไม่ตั้งใจ ริชาร์ดทั้งจูบและหอมอย่างอ่อนโยนจนรู้ตัวอีกที ความเป็นชายที่ตื่นตัวเต็มที่ของเจ้าบ้านก็อยู่ในร่างของโอเมก้าหนุ่มจนหมดทั้งลำ

“ผ่อนคลายนะ จะได้ไม่เจ็บมาก…” คำปลอบที่ฟังดูยังไงๆก็ไม่พ้นว่าต้องเจ็บตัวแน่ๆ แต่ร่างโปร่งก็พยักหน้าแล้วหลับตาลงปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นผู้บรรเลงอย่างที่ต้องการ ริชาร์ดขยับสะโพกเข้าออกเน้นย้ำช้าๆให้ช่องทางแคบค่อยๆปรับตัวรับสิ่งเร้าที่เข้าแทรกไป พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เขาก็ไม่รอช้าที่จะโถมกายเข้าใส่ช่องทางร่วมรักจนสุดแรง

“อึ่ก!...อ๊า!” เสียงร้องครางหวานสะท้านไปทั้งห้องจนริชาร์ดได้ยินแล้วยังอดใจไม่ไหวกระแทกกายซ้ำๆเข้าออกให้ลาซารัสเปล่งเสียงรัญจวนซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เสียงนายน่ารักมากเลยลาซัส” ร่างสูงโน้มใบหน้าลงมาพร่ำเสียงกระเส่าข้างหูคนที่กำลังรองรับอารมณ์ดิบของตน “ฉันอยากเข้าไปลึกๆอีก ใช้มือของนายช่วยเปิดทางหน่อยสิ”

“ฮ้ะ! อ่ะ...ยังไงครับ?” ดวงตาสีฟ้าที่ยังหลับตาแน่นรู้สึกแปลกๆ ที่น้ำเสียงของคนที่มักเอ็นดูเขาเสมอกลับดูยินดียามที่ได้แกล้งเย้าแหย่ตนในเวลาแบบนี้

ร่างสูงหยุดขยับสะโพกกลางคัน มือหนาที่จับเรียวขาเปลี่ยนเป็นเลื่อนมาจับที่ข้อมือทั้งสองข้างของโอเมก้าหนุ่มให้ลงมาที่ช่องทางด้านล่างที่แก่นกายอุ่นของตนยังสอดคาเอาไว้อยู่อย่างนั้น

“ตรงนี้มันแน่น นายก็ขยายมันออกแบบนี้นะ” พูดอธิบายพร้อมกับใช้มืออีกฝ่ายสาธิตในการช่วยเบิกทางให้ส่วนนั้นเปิดรับตัวตนของเขาเข้าไปได้มากขึ้น

“อ่ะ...คะ คุณริช มัน...อ๊ะ...รู้สึกดีมากๆเลย ฮ้ะ!!” ร่างโปร่งเผลอแอ่นตัวรับการสอดใส่เข้ามาและใช้มือของเขาเองช่วยเปิดทางให้อัลฟ่าเจ้าของชีวิตเข้ามาได้ลึกขึ้น

“อา...ข้างในนี้ของตัวนายมันอุ่นมากเลยล่ะลาซัส” ริชาร์ดปล่อยมือก่อนเลื่อนขึ้นไปจับที่เอวสมส่วนเป็นหลักยึดให้ตนซอยสะโพกเร็วและเพิ่มแรงมากขึ้น เสียงท่อนเอ็นดังกระทบกับช่องทางชุ่มจนเกิดเสียงที่น่าอาย ที่นอนนุ่มสั่นไปตามแรงอารมณ์ที่โหมกระพือด้วยไฟตัณหาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง

“อ๊ะๆๆ แรงอีก...ยิ่งกว่านี้อีก อ๊ะ!!” สติรับรู้ของลาซารัสว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ความต้องการอันมหาศาลเข้าแทนที่ ริชาร์ดจึงเร่งจังหวะกระแทกเข้าไปให้ร่างเล็กถึงจุดหมาย “อ๊า! คุณริช! “

น้ำรักปลดปล่อยออกมาอีกครั้งในเวลาติดๆกัน ดวงตาสีฟ้าปรือหยาดเยิ้มหอบหายใจแรงใบหน้ามนเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลชื้น

“ไปก่อนฉันอีกแล้วน้าลาซัส ขี้โกงจัง” อัลฟ่ามากวัยยิ้มมากกว่าที่จะไม่พอใจเหมือนคำพูด เหงื่อที่ไหลซึมจนเสื้อเชิ้ตขาวเปียกชุ่ม ร่างสูงรีบแกะกระดุมถอดออกอย่างเร่งรีบจนเม็ดกระดุมขาดกระเด็นหลุดไป แต่เขาไม่มีเวลามาสนเรื่องนั้น มือดึงแขนคนที่แทบหมดแรงไปแล้วให้ขึ้นมาอยู่ในท่านั่งตักซ้อนบนตัวเขา

“เดี๋ยวครับ...ขอผมพักก่อน”  ใบหน้าของร่างโปร่งที่เหนื่อยอ่อนและแดงระเรื่อนั้นยั่วยวนเกินกว่าที่เจ้าตัวจะรู้ แต่อัลฟ่าตรงหน้าเขานั้นมองมาด้วยสายตาที่บอกเป็นนัยว่าไม่คิดจะหยุดพักแม้สักนาทีเดียว

“ฉันยังค้างเติ่งอยู่เลยนะ อย่าใจร้ายกับฉันนักเลยเด็กดี” ปลายนิ้วเชยคางมนขึ้นมาและบรรจงจูบดูดดื่มปลุกเร้าให้โอเมก้าในครอบครองกลับมามีอารมณ์ร่วมอีกครั้ง

“อืออ อ่ะ!” เสียงครวญครางรัญจวนใจดังเล็ดลอดช่องว่างน้อยนิดระหว่างริมฝีปากของทั้งคู่ เรียวลิ้นจากคนที่ยังคงเต็มไปด้วยตัณหาช่วยปลุกราคะที่ยังคุกรุ่นของอีกฝ่ายให้โหมกระพือง่ายดาย สุดท้ายลาซารัสก็ตื่นตัวขึ้นมาอีก และเริ่มรับรู้ได้ว่ามือหนาทั้งสองข้างกำลังจับยกร่างของตนให้ขยับปรนเปรอความเป็นชายร้อนผ่าวนั้น

“ถ้าเหนื่อยแล้วเดี๋ยวฉันทำเอง นายกอดไว้ก็พอแล้ว” เสียงทุ้มหอบต่ำกระซิบบอกทั้งยังเริ่มยกสะโพกแน่นนุ่มขยับขึ้นลงช้าๆและกำลังเริ่มเร็วขึ้นตามความต้องการที่มี

“อือ...อ่ะ.. อ่ะ! ดีจัง..” ลาซารัสกอดคออีกฝ่ายไว้แล้วซุกหน้าลงกับบ่ากว้างทำให้ริชาร์ดได้ยินทุกเสียงที่เขาครางออกมาชัดเจน
“ครางข้างหูกันแบบนี้ ต้องการอะไรรึเปล่า” ร่างสูงคิดเองเออเองเรียบร้อยว่าลาซารัสกำลังอ้อนวอนเขาอยู่ จึงจัดการจับสะโพกอีกฝ่ายกระแทกลงกับหน้าตักตนอย่างรวดเร็วตามความต้องการที่ถูกปลุกเร้าอย่างไม่ตั้งใจ

“อ๊ะ! อ๊า! คุณริช..! อ่ะ!!” ลาซารัสเผลอกอดอีกฝ่ายไว้แน่นและเริ่มจิกเล็บระบายความเสียวซ่านลงกับแผ่นหลังกว้าง แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้กลับยิ่งทำให้ผู้คุมเกมกระทำการรุนแรงขึ้นไปอีก

“เริ่มแน่นแล้วนะ จะเสร็จอีกแล้วงั้นเหรอ” ริชาร์ดจูบกัดไปทั้วลำคอและบ่าเล็กอย่างลืมตัว ท่อนเอ็นของเขาถูกตอดรัดถี่ขึ้นเพราะราคะที่เริ่มจะปะทุอีกครั้ง ความคุ้มคลั่งที่ครอบงำสติจนสิ้นทำให้เขาวางคนในอ้อมแขนคว่ำลงกับเตียงแล้วจับเอวลาซารัสไว้มั่นเพื่อให้ขยับสอดใส่และกระแทกส่วนแข็งขืนของตนได้สะดวกมากขึ้น

“อื้อ! มะ...มันลึก ฮ้ะ!” ท่วงท่าที่กระทำอยู่ยิ่งทำให้แก่นกายใหญ่สอดใส่เข้ามาได้ลึกและยังกระแทกถูกจุดกระสันด้านหลังได้อย่างดี ร่างโปร่งเองก็ยกสะโพกของตนขึ้นรับการกระแทกที่รุนแรงเร่งเครื่องให้เร็วจนลาซารัสแทบจะขาดใจ “อ๊า! อ๊ะ! คุณริช...ช่วยปล่อยเข้ามาข้างในทีครับ”

“...ได้” ร่างสูงเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับแก่นกายเล็กที่ฉ่ำเยิ้มด้วยน้ำรักที่ปลดปล่อยไปก่อนหน้านี้ มือร้อนรูดรั้งขึ้นลงและยังคงปรนเปรอที่ด้านหลังไม่หยุด ปลายนิ้วกดลงที่รอยหัวหยักส่วนปลายอย่างแรงจนร่างเล็กใต้ร่างของเขาสะดุ้ง

“อ๊าา! จะ...เจ็บ เบากว่านี้...อึ่ก!” มือจิกกำทึ้งผ้าปูแน่นระบายความเสียวซ่านทั้งด้านหน้าและหลังพร้อมๆกัน แต่น่าประหลาดที่พอถูกชักจูงด้วยความเอาแต่ใจแบบนี้ โอเมก้าหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกสุขสมในอกมากกว่าสิ่งที่พูดออกไปอย่างตรงกันข้าม

“เสียใจด้วยนะลาซัส ตอนนี้ฉันหยุดไม่ได้แล้วล่ะ” เขาพลิกร่างโปร่งให้หันหน้ามาอีกครั้งและจ้องมองสีหน้าแดงสุกปลั่งนั้นอย่างปิดไม่มิด “...หน้านายมันออกชัดเลยว่าชอบให้ฉันทำเรื่องลามกแบบนี้”

“อือ...ยะ อย่ามองนะครับ!” ลาซารัสยกมือบังหน้าตัวเองหลบสายตาที่เหมือนจะกลืนกินเขาให้หมดทั้งตัวนั่นด้วย

“น่าเสียดายนะที่ไม่ใช่ช่วงนั้น…” ร่างสูงเอ่ยเสียงเบาราวกับจะพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับคนที่กำลังร่วมรักด้วย

“อะ อะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ชัด?” ดวงตาสีฟ้าถามเสียงสั่นติดขัด แต่ริชาร์ดส่ายหน้าบอกไม่มีอะไร สร้างความสับสนให้เขาเหลือเกิน

“อา…ลาซัส.. หลับตาไว้ก็ได้นะ” ริชาร์ดกระซิบเชิงออกคำสั่ง คราแรกนั้นลาซารัสไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด แต่เมื่อเขาสบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความต้องการมากล้น ใบหน้าคุ้นตาแปรเปลี่ยนเป็นอัลฟ่าที่กระหายในตัวเขาเต็มตัวเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะยั้งมือใดๆแล้ว

มือหนาทั้งสองยกสะโพกลาซารัสขึ้นให้พอเหมาะแล้วเริ่มละเลงอารมณ์ดิบของตนที่ใกล้ถึงจุดหมายเต็มทีใส่ช่องทางร่วมรักอย่างรุนแรง “อ๊าา! ค..คุณริ…!! อ๊ะ! เดี๋ยว..อ้ะ! อ๊า!!” โอเมก้าหนุ่มกรีดร้องไม่เป็นภาษากับการเพิ่มระดับความร้อนแรงบนเตียงอย่างฉับพลันและปิดตาลงตามคำสั่งอย่างจำใจ

“…ไม่กลัวเหรอ” ริชาร์ดถามเสียงหอบสั่นด้วยแรงอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูง

ลาซารัสที่ทีแรกก็ปิดตาลงไปเพราะไม่อยากเห็นความเป็นอัลฟ่านั้นตรงๆ แต่เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นซ้ำๆดวงตาสีฟ้ากลับยอมมองจ้องมาหาอย่างไม่นึกเกรงกลัวและส่ายหน้าให้แทนคำตอบ “ผมก็…อ่ะ! ไม่เข้าใจ”

คำพูดอันแสนสับสนเปลี่ยนเป็นเสียงครางครวญต่อเนื่องเมื่อริชาร์ดโถมแรงทั้งหมดเข้าใส่อัดกระแทกส่วนร้อนแข็งขืนเข้ามาในช่องทางร่วมรักของโอเมก้าหนุ่มทั้งถี่กระชั้นจนขาเตียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแข่งกับเสียงร้องของลาซารัส

“อ๊า!! ค...คุณริช ผมจะ...อ๊าา!!” หยาดน้ำรักปลดปล่อยออกมาอีกครั้งจนร่างโปร่งแทบหมดสติ ก่อนที่อัลฟ่าผู้กระทำจะเสร็จสมจนถึงจุดหมายด้วยการกระแทกครั้งสุดท้ายเข้าไปในร่างกายเร่าร้อนนั้นจนสุดและฉีดเอาน้ำทุกหยดในกายของตนเข้าไปอย่างที่คนใต้ร่างร้องขอก่อนหน้านีั

เสียงหอบพร่าดังไปทั่วทั้งห้องกว้าง ริชาร์ดที่ใช้แรงไปจนแทบหมดโถมตัวทิ้งน้ำหนักลงทาบทับร่างเล็กกว่าและประกบจูบริมฝีปากนุ่มที่ยังหอบหายใจอย่างไม่ทันหายเหนื่อยดี

“อือ...อืม” สมองโล่งไปหมดคิดอะไรไม่ออกนอกจากจูบตอบรับลิ้นอุ่นร้อนอยู่เนิ่นนานจนอีกฝ่ายถอนลิ้นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้

“เด็กดี...หลับซะนะ” มือหนายกขึ้นลูบหน้าผากชื้นเหงื่อและจุมพิตลงไปแนบแน่นอย่างรักใคร่หวงแหน ก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายของทั้งคู่และนอนกอดร่างอันแสนรักนั้นไว้พร้อมกับนอนหลับไปด้วยกัน


ก่อนรุ่งเช้าจะมาเยือน ลาซารัสปรือตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดสะโพกจนจี๊ดขึ้นสมองที่ทำเอาลุกไม่ขึ้นจนต้องนอนต่อทั้งแบบนั้น ก่อนที่จะพบว่าข้างๆตัวเขามีเจ้าของชีวิตที่นอนกรนเบาๆแถมยังโอบตัวเขาไว้ตลอดทั้งคืนนอนหลับตาพริ้มอยู่

ร่างโปร่งที่หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกับอัลฟ่ามากวัยยังไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าทำไมเขาถึงได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับคนตรงหน้าได้อย่างหน้าไม่อายขนาดนี้ ทั้งๆที่ในใจก็ยังคงคิดถึงคุณหมอคนที่ตนเองรักอยู่ตลอด

ทั้งที่รู้สึกผิดกับอีกคน แต่กลับกำลังกอดคนอื่นที่อยู่ด้วยกัน เสพสมกับร่างกายของผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของหัวใจตัวเอง…

...ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ



TBC.





*****************************************************************************************

ถ้าตอนนี้อ่านแล้วมึนๆสับสนเป็นบางช่วงต้องขออภัยด้วยค่า //สติปลิวไปแล้ว  :really2:

กำลังปั่นตอนใหม่กันอยู่ ตอนหน้าอาจจะมาช้าหน่อยนะคะ อิชๆๆ :katai4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 26-02-2017 09:14:30
ใจเย็นๆ ก่อนหนุ่มน้อย อันนั้นมันออเดิร์ฟ อย่าเพิ่งอิ่ม ให้รออาหารหลักอย่างพ่อโคแก่คาเล็มก๊อนนน  :laugh:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 26-02-2017 16:47:13
ได้กันล้าวววว
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 26-02-2017 18:16:26
เราชอบริชาร์ดมากกว่าคาเล็มนะ
แต่ลาซัสคงเลือกไม่ถูก 3p ได้ไหมมมม
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: numberll ที่ 26-02-2017 18:32:08
ถ้าเป็นแนวเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด เราคงต้องขอบายไปก่อนและกัน
เข้ามาอ่านนึกว่าจะแบบรักหนึ่งเดียว
ขอบคุณน้า ที่เขียนผลงานดีๆ ออกมา แต่คงไม่ใช่แนวเรา
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-02-2017 20:27:34
คาเล็ม เป็นคนรัก
ริช ก็ดี น่ารัก และรักลาซัส เช่นกัน
ถ้าทั้งสองเข้าใจ และยอมรับกันได้
ทั้งหมดก็มีความสุข คิดว่า 3p ก็ไปได้สวย
เพราะทั้งคาเล็ม และริช เป็นเพื่อนรักกันนานมาก
ถูกใจคนรักคนเดียวกัน มันก็เป็นไปได้
สามารถปกป้องลาซัสได้ดียิ่งขึ้น
เพราะท่าทางไอ้พี่ตัวแสบจ้องขโมยอยู่แล้ว
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: 
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 26-02-2017 21:56:37
สามพีสิจ๊ะคนดี55555555
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 26-02-2017 22:00:35
สงสารคุณหมอ เรียกมาร่วมวงด่วนน
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 26-02-2017 23:33:38
คนแต่งคะ ขอร้องละคะ เปลี่ยนแนวเรื่องเป็น3pด้วยเถอะคะ เพราะว่าน้องไม่สามารถทนให้ ริชาร์ดไปคู่กับคนอื่นได้ แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากเสียหมอไป(หรือจะตัดอีหมอไปเลยก็ได้คะ เพราะชอบริชาร์ดมากกว่า) อยากให้คนเขียนพิจารณา ฮืออ เรารู้ว่ายังมีคนคิดแบบน้องอยู่อีก น้องแค่แสดงความคิดเห็น แต่ถ้าคนเขียนจะทำแบบ3p ให้เราจะดีใจมากคะ ส่งเลขที่บัญชีมาเดี้ยวโอนตังให้55555 แต่ถ้าไม่ทำเราก็ได้คะ แต่เราคงจะรู้สึกตึงจนไม่มีอารมร่วม แต่เราก็จะอ่านต่อไปคะ เพราะว่าเรารักเรื่องนี้ รักคนเขียนนะคะ ซารังเฮ :mew1: ยาวมากจากใจ5555 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 01-03-2017 20:24:05
คือ ลาซัสรัก คาเล็มอยู่ แต่ชื่อเรื่องยกหัวใจให้ฉันได้ไหม แสดงว่าพระเอกคือริชาร์ดอ้ะเปา

แล้วบาริสต้า กับ อัยการ  :ruready
นี่ต้องมีอะไรมากกว่าที่คิด
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: phasau ที่ 05-03-2017 20:26:20
เพิ่งเคยอ่านครั้งแรก สนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
ปล.ขอให้เป็น 3p ทีเถอะ ไม่อยากให้ริชาร์ดอกหักเลย ><
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.11 Up! (26/02/17) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 06-03-2017 00:17:21
บทที่ 12



“นายไม่เป็นอะไรเลยเหรอลาซัส?” หลังจากตื่นมาอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ริชาร์ดก็เอ่ยถามและมองดูลาซารัสอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากทำอะไรๆกันมาแล้วเป็นครั้งที่สอง

“เอ่อ...ก็...ปวดเอวนิดหน่อย...ครับ” คำตอบที่ทำเอาคนพูดหน้าแดงซะเอง ส่วนคนฟังก็เกือบจะสติหลุดพุ่งเข้าไปฟัดใบหน้ามนแสนน่ารักนั้นอีกรอบ แต่ขืนบุกต่อวันนี้คงได้ลางานครึ่งวันแน่...

“ไม่ใช่ๆ ฉันหมายถึงนายไม่มีอาการแปลกๆอย่างปวดท้อง ปวดหัว หรือคลื่นไส้อาเจียนบ้างเลยเหรอ?”

“ผมยังไม่ท้องสักหน่อยนะครับคุณริช!” โอเมก้าหนุ่มตวาดใส่อัลฟ่ามากวัยกว่า

“ไม่ช้ายยย ไม่เกี่ยวกับเรื่องท้องหรอก” ...ถึงจะแอบหวังลึกๆให้ท้องจริงๆอยู่บ้างก็ตาม...“ฉันเคยได้ยินว่าหลังจากตีตราแล้วฟีโรโมนของโอเมก้าคนนั้นจะไม่มีผลกับอัลฟ่าที่ไม่ใช่คู่ของตัวเอง แต่ฉันก็ยังคงได้กลิ่นตัวนายเหมือนเดิม”

“ผมเองก็...ประหลาดใจครับ ยังกับว่าตัวเองเป็นโอเมก้าที่ผิดปกติยังไงยังงั้น”

ตั้งแต่วันนั้นแม้จะผ่านมานานแล้วฟีโรโมนของลาซารัสก็ยังคงมีผลกับริชาร์ดและอัลฟ่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ถูกตีตราความเป็นเจ้าของถึงสองคนแล้วแท้ๆ นั่นเลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องคอยระวังและดูแลลาซารัสเป็นพิเศษ นี่ถ้าหากไม่มีเรื่องของประธานรอสเกรย์เข้ามาเกี่ยวกะทันหันล่ะก็คาเล็มคงได้หาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับโอเมก้าคนนี้ต่ออย่างแน่นอน

“นายไม่ได้ผิดปกติหรอก” ซีอีโอหนุ่มพูดปลอบใจคนในความดูแลของตัวเอง “ขนาดโอเมก้าบางคนเองยังเข้าช่วงฮีทเดือนละครั้งเลย”

“แต่นั่นก็เป็นโอเมก้าผู้หญิงใช่มั้ยล่ะครับ” ลาซารัสเคยได้ลองศึกษาจากในหนังสืองานวิจัยของคาเล็มมาว่าแม้แต่ในไทป์โอเมก้าด้วยกันเอง โอเมก้าหญิงจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้บ่อยครั้งกว่าโอเมก้าชาย ด้วยเพศสภาพดั้งเดิมที่พร้อมจะเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์นี้อยู่แล้ว

“เอ่อ...คิดว่านะ” ริชาร์ดไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้เข้าไปคลุกคลีกับงานของเพื่อนโดยตรง ก็แค่พอจะรู้มาบ้างว่าแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน “มันก็คงจะถูกอย่างที่นายว่านั่นแหละ”

เพราะถ้าหากโอเมก้าเข้าช่วงฮีทแถมตั้งท้องได้แค่ปีละครั้งแบบที่ลาซารัสเป็นก็จะมีอัลฟ่ากับโอเมก้าเกิดใหม่ในแต่ละปีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอเมก้าที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะมากพอที่จะให้ทางโรงพยาบาลใช้เครื่องมือแพทย์ตรวจหาเพศสภาพของลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดนั้นด้วยเพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูง บางคนกว่าจะรู้ว่าลูกของตนมีเพศรองเป็นอะไรก็ต้องรอจนกว่าจะโตเป็นวัยรุ่น เพราะอาการฮีทจะไม่แสดงออกในช่วงที่พวกเขายังเป็นเด็กอยู่ บางคนก็อาจถึงขั้นต้องขอลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่สามารถทนอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมเดิมที่มีนักเรียนไทป์อัลฟ่าซึ่งยังควบคุมสัญชาตญาณตัวเองไม่ได้เรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันด้วย

ขนาดอัลฟ่าผู้ใหญ่ยังควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ถ้าไม่ใช้ยาต้านอาการฮีทช่วย แล้วเด็กวัยรุ่นที่ร่างกายยังไม่พร้อมจะรับยาพรรค์นี้ได้จะไปเหลืออะไร

“ผม...จะรอให้คุณหมอจบคดีนี้ก่อน ค่อยลองตรวจดูก็ได้มั้งครับ” ลาซารัสตอบเสียงแผ่วและปิดหนังสือในมือ ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ที่ระเบียงห้องนอน เขาปิดหน้าต่างให้เรียบร้อยเพราะวันนี้ลมค่อนข้างแรงแต่เช้า เกรงว่าจะพัดเอาเศษใบไม้หรืออะไรแปลกๆเข้าห้อง

“...นายไหวรึเปล่า?” ริชาร์ดมองอีกฝ่ายที่พอพูดถึงคาเล็มก็ดันหดหู่ลงเสียดื้อๆ

“ผมไม่เป็นไรครับ” คนตัวเล็กกว่าเดินผ่านร่างสูงที่เดินเข้ามาหาเพื่อเอาหนังสือในมือไปวางเก็บไว้บนชั้นวางข้างเตียง “นี่จะได้เวลาอาหารเช้าแล้ว รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวคุณเจสสิก้าจะดุเอาอีก”

“อ่าฮะ เดินไหวรึเปล่า? ขอโทษที่รุนแรงไป..”

“ผมไม่ค่อยหิวครับ คุณริชไปทานก่อนเถอะ” ลาซารัสพูดแทรกขึ้นมา

“เอ๋?” ริชาร์ดพยายามสังเกตุสีหน้าอีกคน แต่เหมือนลาซารัสเองก็พยายามหลบตาไม่มองหน้าเจ้าของชีวิตตอนนี้ตรงๆ “ลาซัส?”

“ขอผมอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ยครับ?”

“...อืม.. อย่าลืมหาอะไรกินด้วยล่ะ” ริชาร์ดเอ่ยอย่างเป็นห่วงและยอมเดินออกไปจากห้องของลาซารัสอย่างง่ายดาย

เมื่อเสียงประตูปิดลง ลาซารัสก็เดินมานั่งลงกับเตียงช้าๆอย่างหมดเรี่ยวแรง สองมือยกขึ้นลูบใบหน้าและบีบนวดขมับราวกับคิดไม่ตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น มือถือสั่นแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ดวงตาสีฟ้าสดแอบเหลือบไปมอง เป็นข้อความจากเรนเดล โดยปกติก็จะส่งมาทักทายแทบทุกเช้า แต่เช้านี้เขากลับรู้สึกไม่อยากจะเปิดขึ้นมาอ่านอย่างไรอย่างนั้น

“นายทำตัวเอง ลาซัส” ความรู้สึกผิดจุกแน่นในอกแทบหายใจไม่ออก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน และตอนนี้เขาก็เริ่มคิดถึงเรื่องการสร้างไทม์แมชชีนจริงๆเสียแล้วสิ… ในหัวมีแต่คำถามที่พร่ำถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนี้ ทำไมเมื่อคืนเขาถึงเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาทั้งๆที่มันมีทางออกอื่นให้เลือกแท้ๆ

เสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง ท่าทางเรนเดลกำลังเป็นห่วงที่เขาไม่ตอบทั้งที่ปกติแม้จะไม่มีงาน เขาก็ควรจะตื่นแล้วแท้ๆ มือเรียวเอื้อมไปหยิบมือถือของตนมา แต่ก็ไม่กล้าพิมพ์อะไรตอบไปอยู่ดี… พลันนึกถึงอัลฟ่าที่เป็นเจ้าของชีวิตตนเองก็ยิ่งรู้สึกแย่ สีหน้าลำบากใจของริชาร์ดที่โดนบอกให้เก็บความลับไว้ยังคงติดตาเขาอยู่เช่นกัน…

“โดนเกลียดแหงๆเลย..” ลาซารัสพึมพำก่อนจะตอบกลับเรนเดลด้วยข้อความดังเช่นปกติ ในวันพรุ่งนี้จะต้องไปเจอหน้าคาเล็มแล้ว เขาจะกล้าสารภาพบาปออกไปมั้ยนะ?


ริชาร์ดยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องของโอเมก้าในครอบครองของตนเอง ใจหนึ่งก็เป็นห่วงอีกฝ่าย แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรพูดอะไรมากในตอนนี้ แม้จะแอบฟังก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร ...ยิ่งน่าเป็นห่วงแฮะ…

อัลฟ่ามากวัยกดเบอร์โทรศัพท์หาโคลวิสทันที ตัวเขาตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงกับโอเมก้าของตน จึงทำได้เพียงลองปรึกษาโอเมก้าคนอื่นเผื่อว่าจะหาทางออกที่ดีกว่าการนั่งคิดคนเดียวได้

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์แต่เช้าทำเอาคนที่โดนปลุกก่อนเวลาปกติหงุดหงิด มือควานหาโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงแล้วกดรับสายทันทีโดยไม่ทันดูว่าหน้าจอเป็นชื่อของใคร

“ใครวะ…?”

“เอ่อ...ฉันเอง ขอโทษที่โทรมารบกวนแต่เช้านะ” พอได้ยินเสียงคุ้นเคย จากที่เมาขี้ตาอยู่ก็ตื่นเต็มตาและลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าที่เตียงอย่างลืมตัว

“เวรล่ะคุณริช!” บาริสต้าหนุ่มเผลอสบถทั้งๆที่ยังถือสายพูดกับซีอีโอของบริษัทอยู่ “อ่ะ! ผมไม่ได้ว่าคุณนะครับ!”

“ฮ่ะๆๆ ไม่เป็นไรๆ” สารภาพเลยว่าเผลอสะดุ้งไปเหมือนกันตอนที่ได้ยินปลายสายพูด “เออนี่ ถ้าฉันจะขอถามอะไรค่อนข้างส่วนตัวสักหน่อย นายจะสะดวกมั้ย?”

“ได้ครับ! ถามได้ทุกอย่างเลยครับ!” ขอแค่อย่าสั่งปิดร้านกาแฟของเขาก็พอ วันหลังจะดูชื่อคนโทรมาก่อนทุกครั้งเลย ไม่สิ...ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าเฉพาะไว้เลยดีกว่า!

“ตอนพวกนายฮีทพวกนายทำยังไง…”

“ห๊าาาาาาา!!” ยังไม่ทันจะได้ฟังจนจบประโยคดีโอเมก้าหนุ่มหัวสีก็แหวเสียงลั่นออกมา เสียงของโคลวิสทำเอาอัลฟ่ามากวัยกว่าถึงกับต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหูตัวเองเพราะทนเสียงบาดแก้วหูนั่นไม่ไหว

เออ...สมแล้วจริงๆที่เป็นนักร้อง...

“ใจเย้นน! นี่ไม่ใช่จะละลาบละล้วงนะ คือว่า...ฮัลโหล? เฮ้! อย่าเพิ่งวางสายนะโคลวิส!” ซีอีโออัลฟ่าพยายามรั้งปลายสายไว้สุดชีวิต “นี่เรื่องคอขาดบาดตายนะ อย่างน้อยๆก็ถือว่าช่วยอัลฟ่าแก่ๆคนนึงเอาบุญทีเถอะ”

“คุณมันแย่ที่สุดเลย...” โคลวิสยกมือปิดหน้าตัวเอง ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าคนที่ตัวเองชอบจะเป็นคนแบบนี้

“เออ...ยอมรับก็ได้ แต่ฉันมีเหตุผลนะ” ริชาร์ดเปลี่ยนไปคุยทีอื่นเพราะกลัวว่าเสียงของตนจะดังไปถึงหูลาซารัสที่ยังอยู่ในห้อง “งั้นเปลี่ยนคำถามก็ได้ ปกติโอเมก้าอย่างพวกนายใช้บริการอะไรเวลาเกิดฮีทขึ้นมาเหรอ แบบ...แบบว่าตอนที่ทนไม่ไหวสุดๆ เอ่อ…อุปกรณ์ก็เอาไม่อยู่แล้ว”

ริชาร์ดเพิ่งรู้สึกตัวว่ายิ่งพูดยิ่งเหมือนพวกโรคจิตที่เที่ยวโทรหาเบอร์คนแปลกหน้ายังไงยังงั้น

“โอเค ผมพอจะเข้าใจคำถามแล้วครับ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” โคลวิสพอจะเดาสถานการณ์ออกคร่าวๆแล้วว่าซีอีโอคนนั้นคงเจอไอ้เหตุการณ์อย่างที่ว่ามาแน่ๆ “กรณีของพวกโอเมก้าที่ไม่มีคู่เป็นของตัวเองแต่เกิดฮีทจนทนไม่ไหวชนิดว่าต้องการใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ก็จะไปใช้บริการของบริษัทจัดหาคู่สำหรับโอเมก้าที่ต้องการอัลฟ่ามาช่วยตอนที่ฮีท ก็...คงคล้ายๆ กับพวกโฮสต์นั่นแหละครับ ”

โคลวิสพยายามเลือกใช้คำที่ปลอดภัยเท่าที่ตนพอจะนึกออก เพราะงานบริการแบบนี้มันก็รู้ๆกันอยู่ว่าต้องทำอะไรๆ

“อ๋อ..” ริชาร์ดเริ่มจะนึกอะไรได้ เหมือนเคยได้ยินโอเมก้าบางคนที่เคยรู้จักเล่าให้ฟังอยู่ “นั่นก็น่าสนใจ งั้นขออีกนิดสิ… ตอนที่พวกนายฮีทนี่… จะควบคุมตัวเองได้ขนาดไหนเหรอ?”

“แล้วแต่กรณีสุดๆเลยครับ” โคลวิสเกาศีรษะ ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรก่อนดีเพราะมันเยอะจนไม่รู้จะจัดหมวดหมู่อย่างไร “แต่ส่วนใหญ่จะลดเหตุผลลงทั้งนั้น… ยิ่งถ้ามีอัลฟ่าที่ไม่ได้รังเกียจอยู่ใกล้ๆ ก็มีสิทธิ์ทำอะไรโง่ๆเยอะอยู่”

“งั้นเหรอ” คนฟังแอบรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตเล็กน้อย

“...ลาซารัสเค้าฮีทเหรอครับ?” คำถามตรงไปตรงมาถามใส่ปลายสายจนริชาร์ดเปลี่ยนสีหน้าระรื่นมายิ้มแห้งทันที

“ก็ใช่…”

คำตอบเสียงแผ่วของริชาร์ดทำให้โคลวิสพอจะเดาสีหน้าท่าทางของซีอีโอคนนี้ได้ไม่ยาก และเดาได้ว่าคงเผลอล่วงเกินไปแล้วคิดไม่ตกสินะนี่? “ขอโทษเขาไปแล้วรึยังล่ะครับ?”

“หือ? อ่อ...ก็ขอโทษไปแล้วล่ะ… แต่ยังซึมอยู่เลย”

“เปล่าครับ ผมหมายถึงเพื่อนคุณน่ะ ที่เป็นแฟนลาซารัสน่ะครับ”

ริชาร์ดนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาสัญญาอย่างหนักใจไปแล้วว่าจะไม่บอกคาเล็มนี่สิ “ยัง..”

“...รีบบอกไปก็ดีนะครับ ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนคุณจะอยากฆ่าคุณมั้ย แต่มันโล่งใจกว่าเยอะนะ”

“ฮะๆ..ก็….” รอยยิ้มเจื่อนปรากฎที่มุมปากของอัลฟ่าสูงวัย ครั้งที่แล้วเขาเกือบจะโดนฆ่าจริงๆแล้วมั้งนั่น… “งั้น...ไม่กวนนายแล้วก็ละกัน ขอบใจมากนะโคลวิส”

โคลวิสเงียบเสียงไม่ตอบอะไรอีกฝ่ายกระทั่งริชาร์ดตัดสายไป โอเมก้าที่โดนปลุกก่อนเวลายังคงนั่งอยู่ท่าเดิมและปิดหน้าจอมือถือของตัวเอง “ไม่รบกวนหรอกน่า…” แต่เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกไปด้วยซ้ำ…

ริชาร์ดมองโทรศัพท์และเบอร์คุ้นเคยอีกเบอร์อยู่ไม่ห่างจากห้องของลาซารัสนัก เขามองหน้าจอสลับกับประตูห้องนั้นสักพักและตัดสินใจเดินออกมา ตรงไปที่ห้องอาหารก่อนจะถึงเวลามื้อเช้าเสียด้วยซ้ำ

“ขอโทษทีนะลาซัส” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะกดโทรศัพท์และโทรไปหาเบอร์นั้นระหว่างที่นึกว่าเช้านี้จะได้กินอะไรกันนะ?


“คุณริชาร์ดโทรมาครับนายน้อย” เรนเดลส่งโทรศัพท์ของตนให้กับมือของเจ้านายที่ยังสะลึมสะลือเพราะกว่าจะได้นอนก็ราวๆตีสี่ เรียกว่าอยู่โยงจนเกือบถึงเช้า

“มีเรื่องอะไรถึงโทรมาแต่เช้าแบบนี้?”

“กระผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”

“เรื่องลาซารัสรึเปล่านะ…” คาเล็มยกโทรศัพท์ขึ้นมาและกรอกเสียงลงไปคุยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ว่าไง?”

“......คาเล็ม” น้ำเสียงของปลายสายที่เรียกชื่อตนฟังดูแล้วอาการน่าเป็นห่วงอย่างมาก

“มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

“มี…ฉันเลยอยากขอโทษนายไว้ก่อน” ริชาร์ดรวบรวมความกล้าเท่าที่มีบอกออกไป “ลาซัสฮีทเมื่อคืน ฉันก็เลย...ทำลงไปอีกแล้วล่ะ”

“..........”

“คาเล็ม...ฉันขอโทษจริงๆนะ แต่มันจะไม่มีผลกระทบอะไรกับการทดสอบยาในวันพรุ่งนี้ใช่มั้ย?”

“ไม่...ไม่มี” หมออัลฟ่าเอ่ยปฏิเสธ “แค่นี้สินะ ฉันหิวแล้ว”

“คาเล็ม เดี๋ย-ว!” ร่างสูงรีบวางสายทิ้งแล้วเดินเอาโทรศัพท์ไปคืนเรนเดล ก่อนจะขอตัวไปล้างหน้าล้างตา กว่าจะลงมาทานอาหารเช้าก็นับว่าใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวตอนเช้านานอย่างผิดปกติ จนอัยการที่มาค้างบ้านลูกความและรอร่วมโต๊ะอาหารมื้อเช้าด้วยนั้นทานล่วงหน้าไปก่อนแล้วเพราะรอไม่ไหว

“ท้องเสียรึไง นึกว่าหลับในห้องน้ำไปแล้วซะอีก”

“...โทษที”

เออร์แฟนมองอย่างนึกแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ด่าสวนคำพูดกลับมาอย่างทุกที แถมชายสูงวัยก็ดูจะยังตื่นไม่เต็มตาหรือไงไม่ทราบถึงได้ดูไม่มีแรงแม้แต่จะจับมีดและส้อมเอาซะเลย

“ถ้านายไม่กินเดี๋ยวฉันกินคนเดียวหมดนะ”

ท่าทางเหม่อลอยและสายตาว่างเปล่าของคาเล็มทำเอาอาหารรสเลิศของคุณพ่อบ้านจืดชืดลงไปเหมือนกัน

“...อืม” อัลฟ่าสูงวัยตอบรับอย่างเชื่องช้าพร้อมกับวางมีดและส้อมลงข้างจาน “ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

สายตาของอัยการหนุ่มและพ่อบ้านมองตามหลังหมอคาเล็มที่เดินขึ้นบันไดกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง

“ดูแปลกๆชอบกล ก่อนหน้านี้ยังกระตือรือร้นดูมีไฟอยู่เลยแท้ๆ”

“อาจจะเหนื่อยก็ได้นะครับ ก็เล่นโหมงานมาตลอดทั้งสัปดาห์เพื่อให้ทันวันพรุ่งนี้นี่นา” ชายชรากล่าวกับแขก แต่ลางสังหรณ์บอกว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะตั้งแต่วางสายจากริชาร์ดก็เห็นซึมไปทันทีเลย

คาเล็มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเดิม สมองนึกย้อนถึงเรื่องที่เพื่อนรักโทรมาสารภาพกับตนเมื่อเช้านี้แล้ว เขาได้แต่ฟังเงียบๆไม่ได้ตอบอะไรกลับไปมากเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าควรจะโกรธ เกลียดหรือควรจะรู้สึกยังไงดี รู้แต่เพียงว่าเขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน…

“เดี๋ยวมันก็จบแล้ว…” มือหนาถอดแว่นสายตาเอาออกมาเช็ดเพราะเลนส์พร่ามัวทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่เพราะแว่นตา ที่ภาพอะไรๆมันเบลอไปหมดนั้นเป็นเพราะน้ำตามันบดบังทุกอย่างในสายตาของตนเอง

คาเล็มสลัดความเศร้าทิ้งไปจากหัว แม้จะเจ็บปวดกับเรื่องลาซารัสและเพื่อนรักของตน แต่ก็ยังไม่เท่ากับตอนที่เขาสูญเสียโนเอลไปอย่างไม่มีวันกลับคืน

เขาต้องมุ่งมั่นเดินหน้าหน้าต่อ ไม่มีเวลาว่างพอจะมาหยุดอยู่กับเรื่องเศร้าเหล่านี้ มือยกเอาแว่นตาขึ้นมาสวมคืนและมองรายชื่อคนที่ทั้งเสนอตัวมาและเขาไปสอบถามความสมัครใจในการเป็นคนลองยาให้กับเขา ตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่คนที่เขาต้องไปคุยด้วยในวันพรุ่งนี้…แน่นอนว่ามีลาซารัสอยู่ในลิสต์เช่นกัน

คาเล็มแบ่งยาที่อยู่ในขั้นทดลองออกมาเป็นหมวดหมู่และกระจายมันไปให้แต่ละคนทดลองกินสักระยะ แต่ว่า…สักระยะที่ว่านั้นก็นานนับปีเพื่อให้เห็นผลชัดเจน เวลาเป็นปีๆนี้ ถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนคงรู้สึกว่านาน ทว่าสำหรับคาเล็มตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่ามันเข้าใกล้ความจริงอย่างรวดเร็วจนตัวเองยังนึกแปลกใจ

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะที่คุ้นหูดังเรียกสติเจ้าของบ้าน คุณหมอส่งเสียงขานรับทุ้มต่ำเพื่อให้พ่อบ้านเปิดเข้ามาได้ “ผมเอาของว่างมาให้ เห็นทานข้าวไปแค่นิดเดียว เกรงจะไม่มีแรงทำงานต่อน่ะครับ”

“ขอบใจนะ” คาเล็มตอบเรียบๆและจัดแจงเอกสารบางอย่างลงกระเป๋า

“เรื่องยาเป็นยังไงบ้างครับ?”

อัลฟ่าสูงวัยหันมามองชายชราอย่างประหลาดใจเล็กน้อยเพราะปกติเรนเดลแทบจะไม่มายุ่งเรื่องงานเขาเลย นอกเสียจากมาทำความสะอาดนานๆครั้ง “ก็…ดี ปรับลดสารบางตัวแล้ว โดยเฉพาะพวกตระกูลที่กดประสาท ถึงบางตัวจะยังมีส่วนประกอบอันตรายอยู่ แต่ไม่ถึงชีวิตหรอก”

“อย่างนี้นี่เอง แล้วคุณแมทเวย์จะได้ยาตัวไหนไปล่ะครับ?”

“…เป็น..ยาที่ค่อนข้างจัดหนักอยู่ นั่นน่ะเพราะเขาอยู่ในหมวดโอเมก้าที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุด เลยพอจะรับความเสี่ยงได้บ้าง”

“น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะครับ” เรนเดลขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่เขาคงดีใจนะครับ ในที่สุดก็ได้ทำอะไรเพื่อคุณบ้าง”

“อ่าฮะ…”

“…..และผมคิดว่าเขาคงยินดีที่จะรับฟังทุกอย่างที่คุณพูดในวันพรุ่งนี้นะครับ” เรนเดลพูดเสียงนุ่มอย่างปลอบประโลมจนคาเล็มต้องหันมามองพ่อบ้านของตนอีกครั้ง แต่ชายชราก็ก้าวเท้าออกไปจนถึงประตูและโค้งให้เขาเหมือนจะขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อเสียแล้ว

เมื่อประตูปิดลง คาเล็มยังคงนั่งนิ่งมองไปทางที่พ่อบ้านผู้ไหวพริบดีเดินจากไป

“……ยุ่งน่า…” คาเล็มสบถเบาหัวเสียเล็กน้อย เขาหันกลับไปหาโต๊ะทำงานของตัวเอง พลันสายตาก็สบเข้ากับนาฬิกาที่เคยให้ลาซารัสใส่เพื่อเก็บข้อมูลอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเองที่คาเล็มเหมือนจะนึกอะไรออกและลุกออกจากโต๊ะไปทันที

คุณหมอขอยืมโทรศัพท์จากพ่อบ้านแล้วติดต่อไปยังคนของศูนย์วิจัยเดิมของตนให้จัดอุปกรณ์ดังกล่าวมาให้อีกนับสิบๆเรือนภายในวันพรุ่งนี้

“นั่นอะไรน่ะ ลืมของสำคัญที่ต้องใช้พรุ่งนี้รึไง?” อัยการหนุ่มหันไปถามพ่อบ้านว่านาฬิกาที่คาเล็มต้องใช้นั้นมันคืออะไร พอได้รู้คำตอบนั้นแล้วเออร์แฟนก็มองด้วยสายตาสงบนิ่ง และยิ่งรู้สึกโชคดีมากขึ้นไปอีกที่เขาไม่ได้เกิดมาเป็นโอเมก้าจริงๆนั่นแหละ

“อยากเปลี่ยนใจมาเป็นพ่อบ้านให้ผมแทนหมอนั่นเมื่อไหร่ก็บอกได้นะคุณเรนเดล เผื่อจะเอือมระอากับรสนิยมถ้ำมองของหมอนั่น” เออร์แฟนแอบกระซิบเสียงเบาแค่พอให้ได้ยินสองคน

“กระผมขอรับไว้แค่น้ำใจแล้วกันครับ” ชายชรายิ้มให้อย่างสุภาพ เมื่อนานมาแล้วริชาร์ดเองก็เคยมาพูดแบบนี้กับเขาเช่นกัน

“อย่าคิดว่าอยู่ไกลแล้วฉันจะไม่ได้ยินนายกำลังนินทาแล้วก็ล่อลวงคนของฉันนะเฮ้ยเออร์แฟน!”

ทีแบบนี้ล่ะหูดีขึ้นมาเลยเชียว...

“งั้นก็ถามตรงๆได้สินะว่านายจะเอานาฬิกาพวกนั้นไปทำอะไร” เออร์แฟนเดินเข้ามาและหยิบอุปกรณ์รูปร่างคล้ายนาฬิกามาทำท่าจะลองสวมดู

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง” มือหนายื่นไปคว้านาฬิกาเอากลับคืนมาและเอาไปเก็บในกล่อง

“บอกตอนนี้เลยไม่ได้รึไง?”  ดวงตาหลังแว่นของคุณหมออัลฟ่ามองจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาที่อ่านได้ชัดว่าขี้คร้านจะบอก “มันทำงานยังไงรึ?”

คาเล็มถอนหายใจในความช่างซักช่างถามของเออร์แฟน  นี่เป็นเพราะความอยากรู้ตามนิสัยวิชาชีพหรืออย่างไรไม่ทราบถึงต้องการรู้ให้ได้ไปหมดทุกเรื่อง

สุดท้ายก็ยอมบอกแต่โดยดีว่าเรือนที่ใช้อยู่ที่นี่เป็นรุ่นเก่า ของที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้เป็นรุ่นล่าสุดที่ปรับปรุงใหม่แล้ว การทำงานยังคงระบบดั้งเดิมไว้เพียงแต่เพิ่มฟังก์ชั่นให้แจ้งเตือนได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องกินยาเพื่อการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และหากร่างกายยังไม่ได้รับยาภายในห้านาที นาฬิกาจะทำการยิงเข็มฉีดยาเข้าเส้นเลือดให้ทันที และแน่นอนว่าผู้สวมจะไม่สามารถถอดเองได้เพราะควบคุมด้วยรหัสคำสั่งเฉพาะ

“ให้ใส่ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ถอดแบบนั้น แล้วมันจะไม่พังเอาง่ายๆ รึไงนั่น?”

“ทนทายาด กันน้ำกันกระแทกไม่มีการสึกหรอแม้แต่รอยขีดข่วน วิธีเดียวที่จะเอาออกได้มีแต่ต้องตัดข้อมือทิ้งเท่านัันแหละ” 

“ไม่โหดเกินไปหน่อยรึนั่นน่ะ” อัยการหนุ่มยกมือกอดอก ก่อนจะโดนสวนกลับว่านี่ยังไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของวิธีการที่เขาและลูกน้องเคยใช้เพื่อให้ตนชนะในการว่าความหรอก

“คนที่คิดพัฒนาเจ้าเครื่องนี่ไม่ใช่ฉันสักหน่อย” พอหันไปจะหยิบของว่างมาทานก็โดนอีกฝ่ายยึดไป มาไม้นี้คงต้องการให้เขาคายชื่อเจ้าของไอเดียออกมาอีกนั่นแหละว่าอีกฝ่ายคือใคร

“ไม่คิดจะแนะนำพ่อคนรสนิยมแย่พอๆกับนายให้ฉันรู้จักหน่อยรึ?” คุณหมอจ้องคนที่พูดโดยไม่วายแอบจิกกัดเขาเล็กๆน้อยๆ มันน่าเล่าให้ฟังมั้ยนี่...

“ก็แค่เพื่อนเก่าในศูนย์วิจัยที่ออกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรอก” บอกปัดเพราะไม่มีความจำเป็น อีกทั้งยังไม่อยากจะนึกถึงอีกฝ่ายแม้ว่าจะเป็นคนต้นคิดอุปกรณ์พวกนี้ก็ตาม

“นายนี่มนุษย์สัมพันธ์แย่จริง เค้าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่แท้ๆ” ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าเออร์แฟนจงใจเน้นเสียงคำว่าแก่เป็นพิเศษ “ลองบอกชื่อมาสิ เผื่อว่าฉันอาจจะรู้อะไรๆมากกว่าที่นายคิดก็ได้”

“นายหมายความว่าไง?”

“ช่วงวันสองวันมานี้ลูกน้องที่ฉันสั่งให้จับตาดูพวกพี่ๆของนาย ดูเหมือนจะได้เรื่องได้ราวอะไรมาบ้างแล้วล่ะ”

“พวกนัันคิดจะทำอะไรอีก!?” คาเล็มลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ อัยการหนุ่มยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือจานอาหารว่างไปแตะบ่าให้คุณหมออัลฟ่าหัวร้อนใจเย็นๆแล้วนั่งลง

“ไม่รู้ว่าจะได้ทำรึเปล่านะ ได้ยินว่าประธานรอสเกรย์จู่ๆก็ล้มป่วยจนต้องให้แพทย์และพยาบาลมาเฝ้าดูอาการในบ้านอย่างใกล้ชิด ดีไม่ดีคงได้วางมือเร็วๆ นี้แล้วให้คนอื่นกุมบังเหียนบริษัทแทนแล้วล่ะ”

นี่จะนับว่าเป็นข่าวดีได้รึเปล่านะ…ที่อุปสรรคชิ้นใหญ่ในชีวิตที่คอยคุกคามเขามาตลอดกำลังจะหายไป

“ได้ยินว่าแพทย์คนนั้นเคยทำงานที่ศูนย์วิจัยเกี่ยวกับยาต้านอาการฮีทในโอเมก้ามาก่อน จู่ๆมาเป็นหมอส่วนตัวให้พี่ชายของนายก็เลยรู้สึกตงิดๆน่ะ”

“...หมอนั่นคงไม่ได้ชื่ออาเซล ฟลอยด์หรอกใช่ไหม?”

“บิงโก ชื่อเดียวกันเป๊ะ” เออร์แฟนวางจานของว่างลงที่เดิมก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งที่หน้าโต๊ะทำงานของคาเล็ม “เวลามีไม่มาก เล่ามาให้หมดเปลือกซะ” 

“ทำไมไม่สืบเองอย่างทุกที”

“ไอ้สืบน่ะฉันสืบแน่ เริ่มจากเค้นเรื่องราวของเจ้านั่นจากนายก่อนเนี่ยแหละ”

เรนเดลเดินหลบฉากเพื่อไปจัดการงานบ้านทั้งที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำแล้วปล่อยให้ทั้งคู่ได้สนทนาเรื่องสำคัญกันต่อ

“ถึงจะบอกว่าเพื่อนเก่า แต่ฉันกับหมอนั่นก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนักหรอก ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเท่าไหร่นัก”

“ไม่ถูกกันรึ?”

“ก็ไม่เชิง แต่หมอนั่นก็ค่อนข้างทำตัวเป็นกลางนะ ไม่ได้เข้าข้างโอเมก้าแต่ก็ไมได้คิดว่าอัลฟ่าเป็นพวกมีอภิสิทธิ์ชนเหนือใคร”

“อ่าฮะ...งั้นแสดงว่าคงเป็นเบต้าล่ะสิ”

“อืม เคยได้ยินว่ามีบรรพบุรุษเป็นอัลฟ่า แต่ว่าทั้งตระกูลไม่ได้ยึดติดธรรมเนียมอะไรเลยแต่งงานกับเบต้ามาตลอด และในครอบครัวเองก็ไม่เคยมีใครเกิดมาเป็นอัลฟ่าเลยด้วย”

“แล้วที่ว่าฝ่ายนั้นลาออกไปนี่เพราะมีความเห็นไม่ลงรอยกันรึไง?”

“ปัญหาก็คือเรื่องทัศนคติในที่ทำงาน คนที่ศูนย์วิจัยส่วนใหญ่รวมทั้งฉันอยู่ฝ่ายพวกที่สนับสนุนการปกป้องสิทธิของโอเมก้า พอหมอนั่นมีความเห็นต่างขึ้นมาก็เลยมีคนที่ไม่ชอบเท่าไหร่”

“รวมทั้งนายด้วย?”

“ฉันแสดงออกชัดไม่พอรึไงว่าอยู่ข้างโอเมก้าน่ะ”

“โอเค สรุปว่าก็ไม่ค่อยถูกกันอยู่ดีสินะ แล้วที่ว่าออกจากศูนย์วิจัยน่ะตั้งแต่เมื่อไหร่”

“นานมากแล้ว ก็ตั้งแต่ที่ข่าวเรื่องยาต้านอาการฮีทเริ่มส่งผลเสียระยะยาวให้ผู้ใช้ยาจนโดนฟ้องร้องทั้งคณะ หลายคนก็เลยทยอยถอนตัวออกจากงานวิจัยรวมถึงอาเซลด้วย”

เมื่อฟังเรื่องราวมาจนถึงตรงนี้อัยการหนุ่มชักเริ่มรู้สึกสะกิดใจบางอย่าง

“นายเคยนึกสงสัยบ้างมั้ยว่าตัวเองอาจจะโดนกลั่นแกล้งโดยเพื่อนร่วมงานเพราะความอิจฉา”

“...นายสงสัยหมอนั่น?” คาเล็มขมวดคิ้วจ้องเออร์แฟนตาเขม็ง

“ก็นิดหน่อย ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยนี่นา ผลงานทุ่มทุนสร้างที่ประสบความสำเร็จแต่มีแค่ชื่อของนายที่ได้รับการยอมรับอย่างออกหน้าออกตา แถมพอเกิดเรื่องเสียหายขึ้นมายังเก็บข้าวของฉวยโอกาสหนีไปอีกต่างหาก”

“นั่นมันเป็นเพราะความผิดพลาดของฉันเองต่างหากล่ะ”

“จะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่นาย แต่หลังจากการทดสอบวันพรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปสืบเรื่องของหมอนั่นอีกที หวังว่าคงไม่ขัดข้องนะ”

“ต่อให้ฉันขอให้นายไม่ไปยุ่งเรื่องหมอนั่น ยังไงๆนายก็คงจะทำอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”

“ก็รู้ดีนี่นา”

“...เออๆ แต่อย่าต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมมากจนเกินไปแล้วกัน ถ้าทำได้ฉันก็ไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มนักหรอก”

“ขอบใจที่ให้ข้อมูลดีๆนะ” เออร์แฟนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มองดูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าในหัวนั้นกำลังวางแผนอะไรที่คาดเดาไม่ได้อยู่หรือเปล่า แต่คุณหมออัลฟ่าก็ไม่อยากจะถามออกไปเท่าไหร่นัก

“เฮ่อ…” คาเล็มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหยิบอาหารว่างที่เริ่มเย็นชืดขึ้นมาทาน ในใจยังคงหวังให้เรื่องของเพื่อนเก่าที่อัยการเจ้าเล่ห์ระแวงเป็นเพียงแค่สิ่งที่อีกฝ่ายคิดกังวลจนเกินเหตุไปเท่านั้น




(ยังมีต่อ)

ปล. สำหรับเนื้อหาตอนนี้จะค่อยๆทยอยเอามาลงนะคะ ผู้เขียนทั้งสองงานเข้าทั้งคู่เลยยังเขียนไม่จบตอนดี ต้องขอโทษที่ให้รอนานจริงๆค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (06/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 06-03-2017 10:55:18
ติดตามจ้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (06/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 06-03-2017 11:42:29
 :mew1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (06/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-03-2017 14:16:15
ดูท่าเพื่อนร่วมงานเบต้าของคาเล็มหักหลังนะ
ลาซารัส มีโอกาสจะตั้งท้องแฝดใช่มั้ย
คาเล็ม ริชาร์ด ต่างก็ให้ความรัก เอ็นดูลาซารัสดีมาก
อยากเห็นเพื่อนซี้ มีคูรักคนเดียวกัน
พี่คาเล็ม วางแผนไรอีก แกล้งป่วย
ทำเป็นวางมือหรือเปล่า ให้คาเล็มตายใจสินะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (06/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: phasau ที่ 07-03-2017 18:19:37
เดาเรื่องไม่ถูกเลย รอมาต่อนะคะ :)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (06/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 08-03-2017 21:35:03
เราเลือกไม่ถูกอ่ะ ขอ3pนะคะจะได้ไม่มีใครเจ็บปวด รวมถึงเราด้วย :monkeysad: :call: :call:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (15/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 15-03-2017 20:42:14
 :mew1:m
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (15/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 15-03-2017 22:04:34
(ต่อ)

ด้วยความที่ยิ่งอยู่เฉยก็กลัวตัวเองจะคิดฟุ้งซ่านไม่หยุด ลาซารัสเลยลงมาหาอะไรทำที่ห้องครัว ตอนแรกก็คิดจะขับรถพาตัวเองไปยังสนามยิงปืนก่อนถึงวันที่นัดกับริชาร์ดว่าจะไปด้วยกัน แต่การออกไปข้างนอกเขาต้องกินยาและฉีดน้ำหอมซึ่งตอนนี้ต้องงดใช้ของเหล่านั้นไปจนกว่าจะพ้นวันพรุ่งนี้

“ทำเค้กดีมั้ยนะ…?” ขนมง่ายๆก็พอจะทำเป็นแล้ว แต่ของที่ต้องใช้เวลาทำและฝีมืออย่างเค้กนี่ไม่รู้จะเกินตัวไปรึเปล่า แต่ขืนทำขนมแบบง่ายๆ ใช้เวลาแป๊บเดียวก็คงเสร็จแล้ว ตอนนี้เขาอยากจะจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่างนานๆด้วย “หรือลองทำอาหารดูบ้างดีกว่า”

...จะฝึกสกิลไปเป็นแม่บ้านรึไงลาซัส

“อ้าว คุณแมทเวย์ มาอยู่ที่นี่เอง” เจสสิก้าเอ่ยทักคนที่ยืนลังเลอยู๋ในครัว “หิวหรือคะ?”

“เปล่าครับ ผมแค่..มาหาอะไรทำน่ะครับ”

“ดิฉันแนะนำให้หาอะไรทานก่อนก็ดีนะคะ การจะทำอาหารหรือขนมก็ใช้แรงมิใช่น้อย”

“ค..ครับ” โดนแม่บ้านขู่ปนดุไปเล็กน้อยลาซารัสจึงเดินตามเจสสิก้าไปแต่โดยดี

“ถ้าคุณแมทเวย์อยากหาอะไรทำให้สงบจิตสงบใจ ดิฉันแนะนำให้ลองเล่นรอยัลไอซิ่งมั้ยเจ้าคะ” เจสสิก้าพาลาซารัสมานั่งที่โต๊ะเล็กๆในห้องพักอาหารเพื่อหาของว่างให้กิน “มันอาจจะดูไม่ยุ่งยาก เน้นความคิดสร้างสรร แถมต่อให้ทำออกมาไม่ดียังไงก็ไม่มีทางรสชาติแย่หรอกค่ะ”

“อ๋อ..ที่เอาไว้แต่งหน้าเค้ก...รึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มเอียงคอ เคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่ที่จำได้ก็มีแต่พวกของตกแต่งบนเค้กเท่านั้นเอง “ต...แต่ก็ต้องทำเค้กก่อนสินะ”

“เราจะวาดบนคุ้กกี้ต่างหากล่ะ อย่างน้อยคุณแมทเวย์ก็อบคุ้กกี้เป็นแล้วใช่มั้ยคะ?” เจสสิก้ายิ้มอบอุ่นให้ราวกับเป็นคุณแม่ก็ไม่ปาน ความจริง หากเขายังอยู่กับครอบครัว แม่แท้ๆของลาซารัสก็คงอายุราวๆนี้

“ครับ”

“ดีเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะบอกให้เด็กๆเตรียมอุปกรณ์ให้นะคะ” หญิงสูงวัยวางถาดปอเปี๊ยะกุ้งชีสลงตรงหน้าลาซารัสก่อนจะเดินออกไปอีกทางเพื่อไปตามเหล่าสาวใช้ให้มาช่วยเขา “หากว่ากำลังเศร้าหรือวิตกกังวล ดิฉันแนะนำให้อยู่กับคนอื่นจะดีกว่านะคะ แม้จะไม่ได้พูดปัญหาในใจออกไปอย่างน้อยเราก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวนะ”

“...ขอบคุณมากครับ” ไม่รู้ว่าเจสสิก้ารู้อะไรมากแค่ไหน แต่ท่าทางเธอก็เป็นห่วงเขาอยู่ ระหว่างรอลาซารัสจึงเปิดวิดีโอการทำรอยัลไอซิ่งคุ้กกี้ดูไปพลางขณะกินปอเปี๊ยะ ..อืม ก็น่าสนุกดีนะ...

“คุณแมทเวย์อยากทำคุ้กกี้ทรงไหนดีคะ” เสียงใสเจื้อยแจ้วของสาวใช้สองสามคนที่เขายังจำชื่อไม่ได้ดังทักมาจากประตู ต่างคนต่างถืออุปกรณ์เตรียมมาสำหรับละเลงครัวให้เละเทะกันทั้งนั้น

“เอ๊ะ? เอ่อ...ยังไม่ได้คิดเลยครับ”

“จะทำไปให้ใครรึเปล่าคะ” สามสาวเริ่มเอ่ยแซวแทบจะทันทีที่เห็นว่าลาซารัสดูไม่มีพิษภัย จนชายหนุ่มคนเดียว ณ ที่นี้ตัวลีบเล็กลงแทบจะหายไปกับโต๊ะ “ดิฉันคิดว่ารูปหัวใจก็ดีนะคะ ใช้ได้หลายโอกาสเลยล่ะค่ะ”

“ห...หัวใจ” รู้สึกเหมือนกำลังจะได้ทำอะไรที่โคตรไม่ใช่สิ่งที่หนุ่มๆเขาทำกันยังไงยังงั้นเลยล่ะ…

“คุณแมทเวย์ทานให้อิ่มก่อนนะคะ เดี๋ยวพวกเราไปเตรียมวัตถุดิบให้”

“ม..ไม่เป็นไรครับ ผมอิ่มพอดี” จะให้สาวๆเตรียมให้ก็ไม่ค่อยจะแมนเสียเท่าไหร่ ลาซารัสเดินตามร่างอรชรที่จ้ำเท้าได้เร็วเกินคาดไป ทิ้งให้ปอเปี๊ยะอีกสองสามชิ้นบนโต๊ะตกเป็นของสก็อตและแก๊งค์ขนฟูอีกหลายตัวที่แอบตามมา… แม้จะยังสลัดเรื่องความรู้สึกผิดออกไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งซึมเศร้าไปเสียเฉยๆ

ตอนนี้มานั่งคิดก่อนดีกว่าว่าจะทำคุ้กกี้แบบไหนออกมาดีนะ...


เหตุการณ์ในตอนเช้าส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ และมันก็มาถึงตัวซีอีโอหนุ่มอีกคน หลังจากเข้ามานั่งทำงานที่บริษัทแต่เช้าเพื่อให้ลืมๆเรื่องปวดหัวลงไปบ้าง ทว่าวันนี้กลับกลายเป็นว่าริชาร์ดดันว่างงานไม่มีอะไรให้ทำมากนัก เพราะเขาเร่งมือให้ทุกอย่างเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อให้ช่วงวันสองวันนี้ตนมีเวลาว่างพาลาซารัสไปจัดการเรื่องทดสอบยากับคาเล็มตามนัดในวันพรุ่งนี้

“รู้งี้ไม่น่าขยันซะก็ดี…” เพราะมันเป็นนิสัยติดตัวที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จเพื่อให้มีเวลาว่างมากพอจะไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวล ดูท่าทางเขาคงต้องหาเรื่องออกไปไหนก็ได้สักที่หนึ่ง ขืนกลับบ้านไปเจอลาซาลัสตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะโดนหลบหน้าอีกมั้ย...นั่นน่ะมันโคตรปวดใจเลยนะ

“...พักเที่ยงเร็วกว่าปกติหน่อยก็แล้วกัน” ร่างสูงมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงและเก็บเอกสารลงกระเป๋าออกไปหาอะไรทานโดยไม่ลืมสั่งเลขาฯว่าจะกลับมาอีกทีตอนบ่าย พลันสายตาหันไปเห็นเด็กฝาแฝดชายหญิงสองคนอายุราวสี่ห้าขวบกำลังนั่งเล่นอยู่ที่โซฟาในห้องรับรองแขกที่เป็นห้องกระจกใส

“เด็กที่ไหนน่ะ?” ซีอีโอหนุ่มถามเลขาฯ และได้คำตอบว่าเป็นลูกของพนักงานชายที่พามาที่ทำงานด้วยเพราะภรรยาต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันจึงไม่มีคนดูแลเด็ก แม้จะตักเตือนไปแล้วว่าไม่ควรพามาที่ทำงานด้วยแต่ทางนั้นก็บอกว่ามีความจำเป็นจริงๆ จึงขอแค่วันนี้เท่านั้นแล้วจะรีบหาพี่เลี้ยงมาดูแลชั่วคราวไม่ก็พาไปฝากไว้ที่เนอสเซอรี่

“แต่พวกเขาก็ไม่ดื้อไม่ซนหรือไปรบกวนพนักงานคนอื่นๆ เลยล่ะค่ะ ก็เลยปล่อยให้เล่นกันเงียบๆอยู่ในห้องนั้นไป” เลขาฯสาวพยายามพูดเพราะเกรงว่าเจ้านายของเธอจะไม่พอใจเอาได้ เนื่องจากจ้องมองเด็กสองคนนั้นไม่วางตามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

“เรียกพนักงานคนนั้นให้ไปพบฉันที่ห้องด้วย” ริชาร์ดสั่งเสียงเรียบก่อนหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน เลขาฯสาวลอบถอนหายใจก่อนเดินไปเรียกผู้ปกครองของเด็กแฝดทั้งสองให้ไปพบเจ้านายโดยเร็ว

เสียงเคาะประตูจังหวะเชื่องช้าดังขึ้นเป็นเชิงขออนุญาตก่อนริชาร์ดจะบอกให้เข้ามา ชายที่ดูอ่อนวัยกว่าเขาค่อยๆก้าวเข้ามาในห้องทำงานกว้างอย่างเก้ๆกังๆ ใบหน้าซีดเพราะกำลังจินตนาการถึงสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการพาเด็กทั้งสองมาที่บริษัท

“คุณคงรู้ว่าผมเรียกมาทำไม” ริชาร์ดที่ปกติจะดูเหมือนคุณลุงใจดียิ้มง่าย ตอนนี้กลับมีใบหน้าจริงจังและเรียบนิ่ง

“ครับ เรื่องลูกๆของผม” ชายหนุ่มในชุดพนักงานออฟฟิศทั่วๆไปก้มหน้าลงเล็กน้อย แม้แอร์จะเย็นชื่นใจแค่ไหนแต่เหงื่อกลับผุดขึ้นมาเต็มสองข้างขมับ

“ผมเข้าใจคุณนะครับ และเห็นใจเรื่องภรรยาคุณด้วย” เจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างบนตึกนี้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้และถอนหายใจ “แม้เด็กๆจะไม่ดื้อหรือซน แต่หากผมไม่ตักเตือนคุณบ้าง พนักงานคนอื่นจะเอาอย่างได้ เกรงว่าจะมีคนทำตามอีกแล้วอ้างว่าเดือดร้อนน่ะครับ”

“ผมไม่ได้โกหกนะครับ!” ลูกจ้างของเขาดูตื่นตระหนกขึ้นมากกว่าเดิม “ผมขอโทษที่ทำอะไรโดยพลการครับ”

“อืม… ยังหาพี่เลี้ยงไม่ได้ใช่มั้ยครับ?”

“ครับ”

“งั้นพักงานไปหาให้เรียบร้อยเสียก่อนดีมั้ย?”

“เอ๊ะ? เอ่อ...คือ…” ใบหน้าของผู้เป็นเบี้ยล่างซีดเผือด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถามต่อริชาร์ดก็ส่งยิ้มกวนมาให้

“ลางานไปหาคนดูแลเด็กๆก่อนเถอะครับ เด็กๆจะเบื่อเอานะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เล่นนักหรอก”

“ค...ครับ?”

“ผมจะบอกฝ่ายบุคคลว่าลงเป็นทำเรื่องลากิจย้อนหลังละกัน แล้วมาทำงานล่วงเวลาหรือชดเชยวันอื่นแทนก็แล้วกันครับ” ริชาร์ดยื่นข้อเสนอที่ดูท่าทางเหมือนจะออกคำสั่งด้วยใบหน้าเป็นมิตรมากกว่า “แล้วก็ขอโทษหัวหน้าแผนกด้วยละกันนะครับ ที่ต้องหยุดไปช่วงครึ่งบ่าย”

“อ...เอ่อ..ครับ! ขอบคุณมากครับ!!” พนักงานที่ยืนตัวลีบอยู่เมื่อครู่รีบขอบคุณเป็นการใหญ่และขอตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

“เด็กๆเหรอ…”

เห็นแล้วรู้สึกอยากมีลูกชะมัด… เดี๋ยวสิ คิดอะไรอยู่เนี่ย!?

ริชาร์ดสะบัดหัวไล่ความคิดเหล่านั้นออกไปแล้วรีบจ้ำเท้าออกไปหาอะไรกินให้ท้องอิ่มเผื่อจะหลับๆไปเสียในช่วงบ่าย ช่างเป็นผู้บริหารที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างเสียจริง…

ในระหว่างที่กำลังเดินไปลิฟต์จู่ๆโทรศัพท์ก็มีสายเรียกเข้า ทีแรกริชาร์ดคิดว่าเลขาโทรกลับมาตามไปตรวจงานด่วนหรือประชุมเรื่องเอเจนซี่งี่เง่าอะไรอีก ทว่าเมื่อยกมือถือขึ้นมาดูก็ดันเป็นเบอร์คุณพ่อบ้านของเพื่อนรักซะนี่

“ว่าไง?” มือรีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว ใจเต้นระทึกว่าจะโดนด่าเสียหมาขนาดไหน “ห้ะ? ฝากซื้อของ?”

“ยังไงบ่ายวันอังคารแบบนี้นายไม่มีประชุมอะไรอยู่แล้วนี่?” คาเล็มพูดเสียงเรียบขณะที่กำลังจัดการแยกยาใส่ซองไว้ให้เรียบร้อย สองมือยังไม่ว่างเขาจึงต้องหนีบโทรศัพท์ไว้กับคอแทน

“ได้อยู่ จะเอาอะไรล่ะ?” แม้จะสงสัยว่าทำไมคนที่น่าจะอยากซิ่งรถมาฆ่าเขาถึงออฟฟิศถึงโทรมาวานซื้อของซะอย่างนั้น?

“แหวน”

“อ่ะ...เอ่อ…” ริชาร์ดขมวดคิ้ว ยิ่งสงสัยหนักข้อเข้า มือว่างอีกข้างเอื้อมไปกดเรียกลิฟต์รอขณะที่คุยต่อไป “ให้ลาซัส?”

“ใช่” เสียงปลายสายอ่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ตอบมาเต็มปากเต็มคำ

“...ได้สิ...แต่ไม่มาเลือกเองจะดีเหรอ”

“เลือกไว้แล้วต่างหาก” คาเล็มแอบยิ้มเล็กน้อยแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเห็น “เดี๋ยวส่งรูปไปให้ ร้านที่จะไปซื้อนั่น นายก็คงจะรู้เอง”

คาเล็มตอบมาแค่นั้นแล้วก็วางสายกันไป ริชาร์ดได้เพียงมองโทรศัพท์ของตัวเองอย่างฉงนงุนงง ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงข้อความก็ดังพร้อมกับลิฟต์ที่มาถึงพอดิบพอดี เมื่อริชาร์ดเปิดดูตอนที่ก้าวเข้าไปในลิฟต์เขาก็เผลอช็อคจนลืมกดปิดลิฟต์ให้เปลืองค่าไฟเล่นเพิ่มอีกนิด

“เอางี้เหรอฟะ?” แม้ว่าตัวรูปลักษณ์ของแหวนในภาพที่ส่งมาและมูลค่าของมันจะไม่ได้สูงเลอค่า แต่ก็ถือว่าน้ำงามมีราคาพอตัว พอกดดูชื่อร้านจิวเวลรี่และเซิร์จเปิดแผนที่เช็คที่ตั้งของร้านก็พอจะไปเองถูกอยู่เหมือนกัน

เดี๋ยวแวะไปซื้อก่อนค่อยออกไปหาอะไรกินแถวนั้นทีหลังก็แล้วกัน


ทางด้านคาเล็มที่คุยธุระเสร็จก็คืนมือถือให้เรนเดลตามเดิม กะว่าหลังจากนี้คงต้องหาเบอร์ใหม่มาใช้แทนซิมเก่า เพราะคงไม่สะดวกนักหากจะยืมของคนอื่นมาใช้บ่อยๆ

“กระผมอบขนมปังพิซซ่าไว้ใกล้จะได้ที่แล้ว เสร็จงานแล้วรีบลงมาทานนะครับ” พ่อบ้านสูงวัยกล่าวก่อนขอตัวไปจัดเตรียมมื้อเที่ยงต่อ

“จะไม่ว่าอะไรฉันหน่อยเหรอเรนเดล?”

“อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะครับ กระผมไม่ขัดข้องหรอก” แม้จะพูดแบบเอาใจเจ้านาย แต่คุณหมอก็แอบจับสังเกตจากน้ำเสียงคนที่อยู่ด้วยกันมานานได้ดี

“...ถ้าทำได้ ฉันก็อยากให้อะไรๆ มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ”

...แม้รู้แก่ใจดีว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

“ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดครับนายน้อย ไม่ว่าผู้คน สถานที่ จิตใจ หรือความสัมพันธ์ อาจจะดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ก็แย่ลงกว่าเก่าก็ได้ทั้งนั้น” พ่อบ้านที่แม้จะเก็บตัวไม่ต่างจากผู้เป็นนายแต่ก็ป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาก่อนอยู่ดี “สิ่งไหนสำคัญก็รักษาไว้ดีๆเถอะครับ แต่ว่าต่อให้เก็บใส่กล่องทะนุถนอมไว้ ถ้าข้างในมันพังแล้วสักวันก็คงต้องเอาไปทิ้งอยู่ดี”


“รอบนิ้วเท่าไหร่คะ?”

“ครับ?” ริชาร์ดกะพริบตาปริบเมื่อเจอคำถามของพนักงานหญิงร้านจิวเวลรี่หลังจากส่งแบบแหวนในรูปให้ดู

“ขนาดนิ้วเจ้าของแหวนน่ะค่ะ เท่าไหร่คะ?”

“เอ่อ…” เขาดันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปสนิท ระหว่างขับรถมาก็ดันมัวแต่คิดเรื่องอื่นเลยไม่ได้เอะใจว่าขาดข้อมูลสำคัญไป “...สักครู่นะครับ”

พนักงานหญิงยิ้มให้ตามมารยาทก่อนหันไปดูแลลูกค้ารายอื่นระหว่างรอให้ซีอีโอหนุ่มยืนนึกเรื่องสำคัญที่สุด ไอ้คุณเพื่อนรักก็ส่งมาให้แต่รูป ไม่ได้บอกขนาดนิ้วของเจ้าตัวมาด้วย

ส่วนเขาน่ะ...ก็ไม่รู้เหมือนกัน!

ริชาร์ดคิดว่าคาเล็มเองก็คงไม่รู้เช่นกัน เขาเลยรีบกดเบอร์โทรเข้าบ้านแล้วไหว้วานให้เจสสิก้าช่วยหาทางวัดขนาดนิ้วของลาซารัสให้ที เพราะขืนเขาถามเจ้าตัวตรงๆ ก็คงไม่ยอมบอกแน่ ต่อให้บอกความจริงไปว่าคาเล็มฝากเขามาซื้อแหวนก็คงไม่เชื่อเขาอยู่ดี

แหงสิ...ตอนนี้เขาทำคะแนนติดลบฮวบฮาบสุดๆเลย ความไว้วางใจแทบจะไม่มีเหลือแล้วมั้ง…

ระหว่างที่ริชาร์ดยืนรอให้คุณแม่บ้านติดต่อมา พนักงานจิวเวลลี่ก็เข้ามาแนะนำให้ดูเครื่องประดับอย่างอื่นในร้านไปด้วย เผื่อจะได้อะไรติดไม่ติดมือกลับไปเพิ่ม

ดูท่าทางจะมีสายตาแหลมไม่เบาถึงได้มั่นใจว่าเจอลูกค้ากระเป๋าหนัก

ขอโทษนะครับ แต่ตอนนี้มาซื้อของให้เพื่อนเพื่อให้มันเอาไปเปย์คนอื่นน่ะ...คิดแล้วก็อยากร้องไห้นิดๆเหมือนกัน เฮ่อ...



“คุณแมทเวย์คะ ปกติใส่แหวนไซส์ไหนเหรอคะ?”

“ห้ะ? ครับ?” ลาซารัสที่กำลังใจจดจ่อกับการวาดลายเบี้ยวๆบนไอซ์ซิงที่ยังไม่แห้งดีก็พลันหยุดมือหันขึ้นมามองสาวใช้ที่ทำหน้าลำบากใจข้างๆ “ทำไมเหรอครับ?”

“คือว่า ใกล้จะถึงวันเกิดแฟนดิฉันแล้วค่ะ เลยคิดว่าจะซื้อแหวนให้ แต่ไม่รู้ว่าจะรู้รอบนิ้วเค้าได้ยังไง” เด็กสาวทำหน้าลำบากใจพลางมองมือถือในมือ “แต่พอเห็นคุณแมทเวย์ตอนทำอาหารก็รู้สึกว่าขนาดตัวขนาดมือใกล้เคียงกับแฟนดิฉันมากๆ เลยขอเสียมารยาทถามนิดนึงน่ะค่ะ”

“อ๋อ เอ่อ...ผมก็ไม่รู้หรอกครับ” ลาซารัสกระพริบตาปริบ

“เอ..เคยอ่านมาว่าเอาเชือกวัดรอบนิ้วแล้วเทียบกับไม้บรรทัดก็ได้นะ” สาวใช้อีกคนเสนอขณะที่กำลังเอาคุ้กกี้ถาดหนึ่งมาวางบนโต๊ะ

สุดท้ายลาซารัสก็โดนวัดขนาดนิ้วไปเสียทุกนิ้วบนมือ เจ้าตัวรู้สึกเหมือนกลายเป็นของเล่นสาวๆไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มยินดีของคนที่กำลังตกที่นั่งลำบากแล้วเขาก็รู้สึกดีขึ้นมา

“ขอบคุณมากค่ะคุณแมทเวย์”

“ไม่เป็นไรครับ คุณเจนก็ช่วยผมตั้งหลายอย่าง”

“จำชื่อพวกเราได้แล้วเหรอคะ?”

“เอ๋? ก็อยู่ช่วยมาทั้งวันก็ต้องจำได้สิครับ!”

สามสาวหัวเราะสนุกสนานที่ได้หยอกล้อเด็กหนุ่ม เจนเปิดมือถือของตัวเองขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความไปหาหัวหน้าของตัวเอง…
เจสสิก้าที่กำลังจดบันทึกรายจ่ายที่ซื้อของต่างๆ เข้ามาในบ้านก็หยิบมือถือขึ้นมามองก่อนคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ

“ขอบใจนะเจน” เธอพึมพำ เห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าลาซารัสแล้วว่าไม่มีทางที่จะตามมารยาหญิงที่ถูกฝึกมาอย่างดีของเหล่าสาวใช้ในคฤหาสน์เบอร์ตั้นทันอย่างแน่นอน จึงได้วานทั้งสามคนให้หาวิธีเอาขนาดนิ้วของเด็กหนุ่มมาให้เธอให้ได้ “ค่ะ คุณผู้ชาย ได้ขนาดนิ้วของคุณแมทเวย์มาแล้วนะคะ”

เมื่อเป้าหมายบรรลุเธอก็โทรไปรายงานผลให้เจ้าของคำขอฟังทันที

“อา..ขอบใจมากนะเจสสิก้า” ริชร์ดถอนหายใจ รู้สึกเหมือนมีแม่ที่ไม่ว่าจะหาอะไรไม่เจอหาไม่ได้ก็ขอแค่บอกเท่านั้น คุณแม่ก็จะสามารถเดินไปหยิบมาให้ได้ทั้งหมด “เอ่อ...แล้ว.. ลาซัสเป็นยังไงบ้าง?”

“กำลังโดนสาวๆ รุมแกล้งอยู่กระมัง” เสียงอ่อนนุ่มแอบหัวเราะ เท่าที่เห็นครั้งสุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะยังคงทำตัวไม่ถูกอยู่ดี

“อ่าฮะ ฝากดูแลด้วยนะครับ” ริชาร์ดทิ้งท้ายก่อนวางสายไป และเอาขนาดนิ้วที่ได้ไปปรึกษาช่างที่กำลังเตรียมเครื่องมือสำหรับขัดแหวนไว้รอ เมื่อตกลงเรื่องขนาดกับแบบได้ลงตัวก็นั่งรอ อีกครู่เดียวเขาก็จะได้ออกไปหาข้าวกิน… นั่นสิ ลืมเลยว่าจะออกมาหาอะไรกิน….


ยามบ่ายแสนเงียบเหงาในวันทำงานดังเช่นเดิมทำเอาโคลวิสแทบจะหลับคาเคาท์เตอร์อยู่หลายรอบ ช่วงเช้ากระทั่งถึงตอนเที่ยงคนก็แน่นและคิวยาวเหยียด แต่พอตกบ่ายเหมือนทุกคนพร้อมใจกันก้มหน้าก้มตาทำงาน ทำให้ร้านกาแฟค่อนข้างโล่ง มีคนมานั่งคุยงานบ้างก็เพียงประปราย ร้านกาแฟในตึกสำนักงานก็ไม่ค่อยมีขาจรแบบนี้ล่ะนะ..

“แกเห็นตัวอย่างหนังใหม่ยังวะ” เพื่อนพนักงานที่กำลังเล่นมือถืออย่างเมามันยื่นหน้าจอมาให้โคลวิสดูเผื่อจะแก้ง่วงได้บ้าง

“เรื่องอะไร?” หนุ่มหัวสีรับมือถือมาพร้อมกับถาม “อ้อ..เรื่องนี้.. อ้าว ตัวอย่างใหม่เรอะ”

“คุณคนขายจะขายกาแฟมั้ยครับ?”

เสียงเรียกคุ้นหูของลูกค้าที่โผล่มาไม่ทันตั้งตัวทำเอาโคลวิสและเพื่อนนเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ พบว่าเจ้าของตึกนี้กำลังยืนมองเมนูที่ด้านหลังเคาท์เตอร์เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะกินอะไรดี สองหนุ่มเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้แทบจะทันที เกรงว่าถ้าช้าอีกสักเสี้ยววินาที ริชาร์ดคงพิจารณาสั่งยุบร้านเป็นแน่แท้

“อ..เอาเหมือนเดิม?” โคลวิสโดนเพื่อนผลักไสออกมารับหน้า ส่วนเจ้าคนแอบอู้ก่อนก็หลบไปเก็บมือถือและหูฟังอยู่ด้านหลังเขาอีกที

“อืม...วันนี้ขอเปลี่ยนแนวดูบ้างดีกว่า” ริชาร์ดหรี่ตาลงเหมือนคิดไม่ตก “เอามัคคิอาโต้ละกัน”

“หวานนิดนึงนะครับ” โคลวิสเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและเตือนถึงรสชาติที่อาจไม่ถูกปากคนสั่ง

“ลองดูไง” แต่เหมือนริชาร์ดจะอยากลองของ เขาจึงได้แค่พยักหน้าและไล่เพื่อนไปทำตามออเดอร์มา ส่วนเขาก็กดเครื่องคิดเงินและจัดการรับและทอนเงินให้เรียบร้อย “พรุ่งนี้ห้องประชุมนั่นจะว่างมั้ย?”

“หือ?” โคลวิสมองตามนิ้วของริชาร์ดไป ภายในร้านกาแฟจะมีกระจกฝ้ากั้นไว้สองสามห้องเผื่อให้ลูกค้าบางกลุ่มมาใช้ร้านกาแฟนั่งประชุมเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ปกติจะเต็มตลอดต้องจองล่วงหน้าสักวันสองวันไม่อย่างนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ “น่าจะว่างห้องนึงนะ ทำไมเหรอครับ?”

“เดี๋ยวจะขอใช้สักห้อง จองไว้เลยแล้วกัน” ริชาร์ดรับแก้วกาแฟที่แยกชั้นนมและกาแฟออกจนเป็นสองสีสวยงามมา “ดูดีนี่.. พรุ่งนี้เพื่อนฉันจะมาหาลาซัสน่ะ เลยอยากให้บรรยากาศมันสบายๆหน่อย”

“เพื่อน...อ้อ…” ร่างเล็กรู้ทันทีว่าริชาร์ดพูดถึงใคร ทีแรกก็คงจะเดาไม่ออกแต่เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายก็เดาได้แทบจะทันที “ไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร แต่ก็พยายามอย่าฆ่ากันซะล่ะครับ”

“ข..ขอบใจที่เตือน” ริชาร์ดยกแก้วขึ้นชิมของใหม่ที่ได้ลองกิน ปกติจะสั่งแค่เอสเปรสโซ่เท่านั้น แต่ช่วงนี้เหมือนเครียดหลายเรื่องเหลือเกิน สมองต้องการน้ำตาลบ้าง สีหน้าพอใจปิดไม่อยู่ของคนตรงไปตรงมาปรากฎขึ้นมาก่อนที่เขาจะหันหลังเดินออกจากร้าน โคลวิสแอบมองตามกระทั่งร่างสูงใหญ่ลับสายตาไป เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และนั่งลงตามเดิม

“พรุ่งนี้คุณริชาร์ดจะมาอยู่ใกล้ๆนี่ทั้งวันเลยนะ”

“หุบปาก!” หมัดชกใส่เพื่อนเบต้าของตัวเองทีเล่นทีจริงกับคำหยอกล้อ “อัล...แกเลิกล้อแบบนั้นสักทีเหอะ”

“แกก็อย่าทำตัวน่าแหย่สิวะ” จบประโยคก็เหมือนคนเพิ่งเตือนอย่าให้เกิดการฆ่าแกงกันก็กำลังลงมือประทุษร้ายคุณเพื่อนร่วมอาชีพอย่างจริงจัง แต่ก็เป็นเพียงการกลั่นแกล้งกันระหว่างเพื่อนอย่างเงียบๆที่ด้านหลังเคาท์เตอร์เท่านั้น “เอ..แต่พรุ่งนี้จะได้เห็นหน้าโอเมก้าของคุณริชาร์ดแล้วนี่นา”

“เคยเห็นแล้วน่า”

“อ้าว เมื่อไหร่วะ?”

“เคยเจอกันที่งานเลี้ยงที่ฉันไปรับร้องเพลงในงานน่ะ”

“งี้นี่เอง ไงๆ เป็นคนยังไงบ้าง?”

“ขี้เสือกจังนะแก.. ไม่ได้เลวร้ายอะไร ออกจะซื่อๆ” โคลวิสนึกย้อนกลับไปถึงโอเมก้าคนอื่นๆที่เคยมาติดพันริชาร์ดอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ที่เข้ามาหาก่อนล้วนมาเพื่อหวังเกาะเอาตัวรอดจากการโดนอัลฟ่าคนอื่นกดขี่ทั้งนั้น แต่ก็มีบ้างที่หวังแต่เงินทองของชายคนนั้น แน่นอนว่าแม้ริชาร์ดจะทำตัวราวกับไม่ใช่คนที่อยู่บนยอดพีระมิดอย่างอัลฟ่าแต่เขาก็ดูออกและสลัดหลุดมาได้ทั้งนั้น.. ส่วนโอเมก้าที่มีปัญหาเรื่องโดนกดขี่มานั้น...ตอนนี้หายไปไหนเขาก็ไม่อาจจะรู้ได้…. “น่าจะยังไม่เจนโลก”

“โอว...หายากจังนะ” คุณเพื่อนผิวปาก “ไปตกมาได้จากหลืบไหนล่ะนั่น หรือจะเป็นคุณหนูโอเมก้าจากตระกูลไหนสักคน?”

“ไม่รู้” โคลวิสตอบเพื่อนเหมือนจงใจกวน “ฉันเพิ่งเจอเขาแค่ครั้งสองครั้ง ไม่รู้เรื่องส่วนตัวของทางนั้นหรอก แต่ถ้าให้เดาก็ไม่น่าจะเป็นโอเมก้าลูกผู้ดีที่ไหน”

“ทำไมถึงรู้?”

“คุณริชาร์ดไม่ชอบการผูกมัดเพื่อผลประโยชน์นี่” แม้จะเป็นนักธุรกิจชั้นนำแต่กลับมีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่เจ้าตัวไม่เอาด้วย หลายปากเสียงที่ได้ยินมาจากบรรดาพนักงานในตึกที่มานั่งดื่มกาแฟที่ร้านล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคนระดับนั้นจะหาโอเมก้ามาเลี้ยงดูสักกี่คนก็ได้ แถมดูท่าทางจะเลี้ยงดีไม่ปล่อยให้เป็นแค่ของประดับบารมีเหมือนอัลฟ่าเห็นแก่ตัวแบบคนอื่นๆ

“งั้นก็คงบังเอิญไปเจอกันเข้าล่ะมั้ง แต่ยังไงเขาก็เป็นคนโชคดีที่มีคนอย่างคุณริชาร์ดดูแลนั่นแหละน้า…นี่ล่ะมั้งหนูตกถังข้าวสาร” อัลพูดไปเรื่อยแต่พอเห็นสีหน้าของเพื่อนหมองลงก็รู้ตัวว่าเผลอพูดมากเกินเลยรีบตบปากตัวเอง

“อย่างน้อยเขาก็เป็นที่ต้องการล่ะนะ…” โคลวิสยกมือแตะที่หลังคอของตน ผมที่ยาวมาถึงท้ายทอยปิดข้างหลังจนมิดและสีผมโดดเด่นที่เขาย้อมทำให้แทบไม่มีใครสังเกตเห็นรอยกัด และก็ไม่ได้ใส่ปลอกคอสำหรับโอเมก้าปิดรอยมันไว้ด้วย เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเป็นโอเมก้าที่มีเจ้าของ เพราะว่าตอนนี้ตัวเขาไม่มีคนที่ว่านั้นอยู่อีกแล้ว

อัลฟ่าดีๆ ที่รักเดียวใจเดียวกับคู่ของตัวเองตลอดชีวิตก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่อัลฟ่าดีๆที่ว่าก็หาได้ยากพอๆกัน บางคู่รักใคร่อยู่ด้วยกันดีๆ แถมยังตีตราโอเมก้าคู่ของตนแล้วเรียบร้อย ทว่าพอเจอคนที่ดีกว่าก็ทิ้งขว้างคนเก่าไปง่ายๆ

ถ้าโอเมก้าเป็นที่ต้องการจริง… เขาก็คงเป็นส่วนน้อยที่ไม่เป็นที่ต้องการกระมัง


ที่ลานจอดรถในอาคาร ริชาร์ดเปิดประตูรถเลกซัสสีขาวตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลย เขาสตาร์ทเครื่องและนั่งแช่อยู่ในรถสักพัก สายตามองไปยังที่นั่งข้างคนขับที่มีถุงสี่เหลี่ยมสีเทาเล็กๆใส่กล่องแหวนที่เพื่อนรักฝากซื้อไว้ข้างใน

“เฮ่อ…” ร่างสูงเท้าแขนเอาหัวซุกกับพวงมาลัยรถ สมองเริ่มคิดอะไรไม่เข้าท่าให้เหนื่อยใจเล่นอีกตามเคย

คาเล็มจะขอลาซารัสแต่งงานเลยรึเปล่านะ? หรือว่าแค่หมั้นจองตัวไว้เฉยๆ? แต่ลาซัสก็ยังอยู่กับเขานะ... ไหนว่าจะฝากไว้ก่อนกันไม่ให้พี่ชายมายุ่งไง แบบนี้ก็เสียเรื่องหมดสิ

“คิดมากไปก็ปวดหัวริชเอ๊ย…” เขาบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหันมาจับพวงมาลัยค่อยๆ ถอยรถออกช้าๆ ก่อนจะเหยียบเบรคจนเกือบหัวทิ่มเพราะมีรถตู้สีเงินวิ่งมาจอดขวาง

“บ้าเอ๊ย! ไม่เห็นรึไงว่าคนกำลังจะถอยรถออก” ริชาร์ดสบถหัวเสียแต่สักพักก็เริ่มรู้สึกเอะใจเพราะรถตู้คันดังกล่าวไม่มีทีท่าจะขยับเปิดทางให้เขา แถมมองประจกหลังก็เห็นพวกนั้นเปิดประตูแถมใส่โม่งคลุมหน้าลงมาด้วย

ชิบหายละไง!

ริชาร์ดรีบกดล็อคประตูรถไม่ให้พวกนั้นเปิดประตูได้ เสียงเคาะกระจกจากคนที่อยู่ด้านนอกทำให้เขาลดกระจกลงเล็กน้อยพอให้ได้ยินเสียงพูดคุยของอีกฝ่าย

“พวกนายต้องการอะไร?”

“มากับเราเสียดีๆ มิสเตอร์เบอร์ตั้น”

ซีอีโอหนุ่มมองไปรอบๆ ตัว พวกนั้นไม่มีอาวุธอยู่ในมือ แต่มากันประมาณสี่ห้าคน เป้าหมายคงไม่ใช่ทำร้ายร่างกายแล้วจี้ชิงทรัพย์แต่เป็นตัวเขา

“ถ้าปฏิเสธล่ะ?”

“งั้นคงต้องใช้กำลัง”

เหล่าผู้ไม่หวังดีออกแรงประทุษร้ายทุบรถคันงามจนกระจกรถแตก คนที่พยายามเปิดประตูผ่านกระจกที่โดนทุบกินหมัดจากเจ้าของรถเสยเข้าหน้าไปเต็มๆ ร่างสูงรีบเปิดประตูข้างที่นั่งคนขับให้กระแทกใส่หน้าคนร้ายอีกคนที่กำลังพยายามงัดเข้ามาและคว้าถุงใส่แหวนวิ่งออกไป แต่แล้วก็มีรถมอเตอร์ไซด์ BMW สองคันที่ขี่มาด้วยความเร็วขับมาวนรอบเป็นกำแพงขวางทางไม่ให้เหยื่อหนีไปไหนรอด

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รับแจ้งว่ามีดังเสียงผิดปกติในบริเวณลานจอดรถจึงรีบรุดไปดู ก่อนจะพบว่ารถของซีอีโอเบอร์ตั้นถูกทุบกระจกจนเละ และก็ไม่พบร่างเจ้าของรถอยู่บริเวณนั้นเลย...


(ยังมีต่อ)


พยายามจะอัพรายสัปดาห์ แต่ก็มีหลายๆเรื่องให้จัดการจนเขียนได้ช้าและมาเลทกว่าที่ตั้งใจ ขออภัยอีกครั้งนะคะ :z3:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (15/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 15-03-2017 23:08:12
คุณริชของอิช้านนนน :katai1: :sad4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (15/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 16-03-2017 14:12:39
มาต่อเร็วๆน้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (15/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 16-03-2017 14:16:26
สนุกจังเลยยยย
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (15/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 16-03-2017 17:22:13
ริชชี่ตกที่นั่งลำบากแล้ว
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (17/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-03-2017 21:56:43

ข่าวเรื่องซีอีโอริชาร์ด เบอร์ตั้นหายตัวไปถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆภายในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา โทรศัพท์ของเจ้าตัวก็ถูกตัดขาดติดต่อไม่ได้ อัยการเออร์แฟนที่รู้ข่าวนี้ตั้งแต่ก่อนที่โทรทัศน์จะประโคมข่าวเสียใหญ่โตก็กำลังติดต่อถามความคืบหน้าจากพวกลูกน้อง แต่ก็แทบจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมนัก ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร แต่ถึงกับกล้าลงมือกลางวันแสกๆ แบบนี้ ถ้าไม่มั่นใจว่าแบ็คอัพหนาพอล่ะก็ไม่กล้าลงมืออุกอาจแบบนี้แน่นอน

คาเล็มเองก็รีบติดต่อไปหาลาซารัส พบว่าทางนั้นยังปลอดภัยดี เพียงแต่ตอนนี้ที่คฤหาสน์กำลังวุ่นวายเพราะคุณเจสสิก้าเป็นลมวูบไปหลังจากได้ยินข่าว ตอนนี้บริษัทซึ่งเป็นที่เกิดเหตุและที่บ้านก็มีรถตำรวจและนักข่าวมารออยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าขนกันมาจากไหน

“คุณหมอครับ แล้ววันพรุ่งนี้…” โอเมก้าหนุ่มพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น ทั้งที่พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญแท้ๆ แต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สิ เขาควรจะทำอย่างไรดี?...

“นายอยู่ที่นั่นแหละ เรื่องวันพรุ่งนี้ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ทุกอย่างจะผ่านไปได้”

“แต่…”

“เชื่อฉันสิ ริชาร์ดไม่เป็นอะไรหรอก หมอนั่นเคยเจอเหตุการณ์ที่แย่กว่านี้มาแล้วยังรอดมาได้เลย นายไม่ต้องเป็นห่วงหมอนั่นนะ…” คุณหมออัลฟ่าพยายามปลอบใจ สิ่งที่เขาพูดก็ไม่ได้พูดเกินจริง เมื่อก่อนเพื่อนรักของเขาเคยประสบภัยระหว่างท่องเที่ยวบ่อยจนคิดว่าจะตายเสียหลายครั้ง แต่หมอนั่นก็ดวงแข็งรอดกลับมาได้ตลอด เพียงแต่ครั้งนี้อาจต่างออกไป...

“คุณหมอ...ช่วยคุณริชาร์ดด้วยนะครับ ได้โปรด…” มาถึงตรงนี้ลาซารัสแทบไม่อาจสะกดกลั้นความอดทนเอาไว้ได้ แต่คนอื่นๆในบ้านกำลังขวัญเสีย เขาเองก็จะทำตัวอ่อนแออีกคนตอนนี้ไม่ได้ “เมื่อเช้า...ผมพูดจาไม่ดีกับเขาเอาไว้ ผม…”

“ฉันรู้…” คาเล็มพูดเพียงแค่นั้น ไม่ได้บอกความจริงว่าเขารู้หมดทุกอย่างแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ “มีอะไรคืบหน้าแล้วฉันจะติดต่อไปนะ แค่นี้ก่อน”

คาเล็มวางสายและถอนหายใจหนัก ดวงตาหลังกรอบแว่นหันไปมองอัยการหนุ่มที่ดูจะหัวเสียไม่ต่างกัน “เรนเดล เครื่องเก่าฉันอยู่ไหน?”

“นายจะทำอะไร?” เออร์แฟนหันหน้ามาหาลูกความของตนทั้งที่มือยังถือสายคุยกับลูกน้องอยู่

“ฉันจะโทรไปคุยกับพี่ชาย…”

“อย่าหาเรื่องใส่ตัวน่ะ” เขาสบถและกดวางสาย “เรื่องนี้เป็นฝีมือพี่ชายนายหรือเปล่าก็ไม่รู้ นายอยู่เฉยๆเถอะ ถ้าคนพวกนั้นมันต้องการอะไรล่ะก็จะต้องติดต่อมาแน่”

“ฉันไม่รอ” ดวงตาคมจ้องดวงตาสีทองอย่างไม่สนใจคำเตือน “ริชาร์ดกำลังรอความช่วยเหลืออยู่”

เออร์แฟนส่ายหน้าให้กับความหัวรั้นนั้น เขาปล่อยให้หมออัลฟ่าทำตามใจแล้วนั่งลงกับโซฟา

“นี่ครับนายน้อย” เรนเดลเดินกลับมาพร้อมโทรศัพท์ของคาเล็มที่ใส่ซิมการ์ดเดิมเข้าไปแล้ว โชคดีที่แบตยังไม่หมดไปเสียก่อน
ดวงตาหลังแว่นมองเบอร์ของคนที่โทรเข้ามาแต่ไม่ได้รับสายระหว่างที่เขาปิดเครื่องไป ปลายนิ้วกดเบอร์ส่วนตัวของพี่ชาย รอสายอยู่สักพักก็มีคนรับ แต่ไม่ใช่เสียงของพี่ใหญ่คนนั้น

“โทรมาเวลาแบบนี้คงไม่ได้จะมาดูใจพี่ใหญ่หรอกใช่มั้ยน้องเล็ก” คาร์เรย์พี่ชายคนรองเป็นคนรับสายแทน คาเล็มฟังน้ำเสียงเจ้าของคำเรียกตัวเขาที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนก่อนจะเอ่ยธุระของตนออกไป

“ฝีมือพวกไหน ถ้ารู้ก็รีบตอบมา”

“เฮ้อออ…” เสียงลากยาวจากปลายสายทำเอาคุณหมออัลฟ่าหงุดหงิดใจอย่างมาก “จะบอกก็ได้ แต่...แกต้องมากินข้าวที่บ้านพร้อมกับพาพ่อหนูโอเมก้าคนนั้นมาด้วย”

“คนไหน?” คาเล็มเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจกับข้อเสนอ

“ก็คนที่นายหิ้ว...ไม่สิ หิ้วนายที่ขากะเผลกมาในงานแต่งวันนั้นไง โอเมก้าที่ดวงตาสีฟ้าสดใสคนนั้น” คาร์เรย์พูดติดตลกนึกถึงเรื่องวันนั้น แต่คนโทรมาเริ่มจะไม่ตลกด้วยแล้ว

“ฝีมือพวกแกจริงๆใช่มั้ย!”

“ชู่ว...อย่าเสียงดังน่าเดี๋ยวพี่ใหญ่ก็ตื่นหรอก หมอยิ่งกำชับให้พักผ่อนมากๆอยู่ด้วย” คาร์เรย์ยกนิ้วขึ้นทำท่าจะให้น้องชายคนเล็กเบาเสียงลงด้วยสีหน้าที่กำลังสนุกสนาน “พูดไปแล้วนี่ว่าถ้าพามาด้วยแล้วฉันจะบอกน่ะ แก่แล้วหูตึงรึไง?”

“...เมื่อไหร่?” คาเล็มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยากจะรีบไปบีบคออีกฝ่ายมันเสียเดี๋ยวนี้เลย

“เอาตามที่นายสะดวกได้เลย ฉันว่างเสมอน้องชาย” พูดจบก็ชิงกดวางสายไปก่อนลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาชายสูงวัยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงกว้างรายล้อมไปด้วยเครื่องมือแพทย์ “เดี๋ยวน้องเล็กจะมาเยี่ยมด้วยนะพี่ใหญ่ ดีใจมั้ยครับ?”


“ว่าไงล่ะ?” เออร์แฟนมองสีหน้าของอัลฟ่ามากวัยที่เหมือนพร้อมจะบีบคอใครก็ได้ที่อยู่ใกล้มือตอนนี้ แต่คาเล็มไม่ตอบอะไรกลับมา คงโดนปั่นหัวมาอีกตามเคย… “จะให้ช่วยอะไรไหม?”

“มี..แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก” คาเล็มที่โดนอะไรต่อมิอะไรรุมเร้าก็เดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาเหมือนไมเกรนจะกินอยู่รอมร่อ เรนเดลเอายามาให้พร้อมกับผ้าชุบน้ำเย็นเผื่อจะให้นายน้อยได้เช็ดหัวให้เย็นลงบ้าง

“ดูเป็นห่วงเพื่อนผิดกับลุคนะ” เออร์แฟนเอ่ยแซวเล็กน้อยแต่สายตาและนิ้วยังคงคอยสั่งการผ่านโทรศัพท์ระรัวจนดูแล้ว นิ้วเรียวนั่นยังไม่หยุดขยับมาสักพัก.. 

“....ฉันโกรธหมอนั่นจนอยากจะฆ่าทิ้งก็จริง.. แต่พอคิดว่าจะตัดขาดกันมันก็ไม่ไหว…” คาเล็มถอดแว่นออกและเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยผ้าเย็นฉ่ำก่อนจะพับผ้าเป็นผืนเล็กๆวางทาบไว้บนหน้าผากของตนเอง คุณหมอเอนหลังลงพิงโซฟานุ่มเหมือนอยากจะพักผ่อนสมองบ้าง “ค่อยให้มันชดใช้ด้วยอย่างอื่นเอาละกัน”

เออร์แฟนอมยิ้มและส่ายหัวเบาๆ “ให้ฉันส่งเด็กๆไปที่บ้านริชาร์ดมั้ย? เป็ดน้อยนั่นอยู่คนเดียวนี่?”

“บอร์ดี้การ์ดนายน่ะเหรอ?” คาเล็มถามพลางนึกถึงหน้าชายร่างสูงใหญ่น่ากลัวเป็นกองทัพที่กลายเป็นทาสหมาของจูเลียตไปหมดแทบทุกคน “ไม่ต้องหรอก”

“หือ?” เออร์แฟนหยุดการเคลื่อนไหวใดๆแล้วหันไปมองคาเล็มที่กำลังลอบยิ้มอยู่

“ที่ฉันส่งลาซัสไปอยู่กับริชาร์ดเนี่ย ก็เพราะที่นั่นปลอดภัยที่สุดแล้ว”


ลาซารัสคอยนั่งเฝ้าช่วยเหล่าสาวใช้พยุงร่างอ่อนแรงของเจสสิก้าขึ้นมานั่งบนโซฟาดีๆ เมื่อเธอเริ่มมีแรงและสติ สาวๆก็กุลีกุจอเอาน้ำและยาดมมาให้จนในโถงรับแขกวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณเจสสิก้า ไม่เป็นไรนะครับ?” ลาซารัสนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเล็กข้างๆถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“อา..ไม่ไหวเลย พอเป็นเรื่องของคุณผู้ชายทีไรก็จะเป็นแบบนี้ตลอด” เจสสิก้าถอนหายใจและรับแก้วน้ำจากสาวใช้ข้างๆมาจิบทีละนิด “ดิฉันดูแลเขาเหมือนลูกคนหนึ่งเลยล่ะค่ะ แต่นั่นอาจจะเพราะดิฉันไม่มีลูกก็ได้กระมัง ก็เลยทุ่มเทมากไปหน่อย”

“เอ่ะ เอ่อ…” ลาซารัสไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้เพียงนั่งฟังที่เจสสิก้าเล่าออกมาราวกับกำลังระบายความในใจ

“แต่ดิฉันคงจะอายุมากแล้วล่ะมั้งคะ แค่นี้ก็เป็นลมเป็นแล้งซะอย่างนั้น” เจสสิก้ายิ้ม และหันไปหาสาวใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องรับแขก “ลอร่า ไปบอกคนอื่นๆแล้วก็พวกพ่อบ้านด้วยนะว่า เข้าโหมดเฝ้าระวังคฤหาสน์เบอร์ตั้นได้”

“ค่ะ คุณเจสสิก้า”

“ห่ะ? เอ๊ะ?? โหมดเฝ้าระวัง?” ชายหนุ่มคนเดียวในห้องนั้นขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขามองไปทางสาวใช้คนอื่นๆที่กำลังลุกเดินออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว

“คุณแมทเวย์คะ กรุณาอย่าเพิ่งออกจากห้องนี้ไปไหนนะคะ” เจสสิก้าหันมาบอกเขาด้วยสายตาที่หนักแน่นกว่าปกติ น้ำเสียงอ่อนโยนกลับกลายเป็นเชิงออกคำสั่งจนตัวเขาได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อหญิงสูงวัยลุกขึ้นและเดินออกจากโถงตามคนอื่นๆไป

ลาซารัสนั่งนิ่งไม่กล้าขยับไปไหน แค่เครียดเรื่องเมื่อคืนก็แทบเป็นบ้าอยู่แล้ว ริชาร์ดยังมาโดนลักพาตัวอีก พรุ่งนี้ก็ต้องไปหาคุณหมอเรื่องยา...จะได้ไปไหมเนี่ย?.. แล้วตอนนี้เหลือเขาอยู่คนเดียวในบ้านหลังโตที่เขายังเดินไม่ทั่วด้วยซ้ำ ลาซารัสยกมือถือขึ้น..แต่ก็ไม่กล้าจะโทรไปหาเรนเดลหรือคาเล็ม ทางนั้นเองก็คงจะวุ่นวายกันแน่ๆ ทั้งเรื่องนี้และเรื่องพรุ่งนี้

รู้สึก โดดเดี่ยวยังไงก็ไม่รู้…

เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งเดินมาทางห้องที่ลาซารัสนั่งอยู่ เมื่อเขาหันไปมอง ก็พบว่าสาวใช้กลุ่มเดิมเดินกลับมา...ในยูนิฟอร์มที่เปลี่ยนไป… ชุดสาวใช้ที่ปกติจะเรียบร้อย ตอนนี้กระโปรงกลับสั้นขึ้นมาจนถึงหน้าตัก ใบหน้าสดใสของแต่ละคนกลายเป็นใบหน้าสงบนิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้น เสียงเอะอะจากด้านนอกทำให้โอเมก้าหนุ่มต้องหันไปมอง

เหล่านักข่าวที่ทีแรกยังรวมตัวกันอยู่รอบบ้านและในสวนกำลังล่าถอยออกไป เมื่อเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงขู่คำรามของสัตว์ดังแว่วมา ลาซารัสเดินไปส่องดูที่หน้าต่างและพบว่าพ่อบ้านแต่ละคนกำลังจูงสุนัขตัวใหญ่หลากหลายสายพันธุ์คนละตัว

“ขออภัยที่จำเป็นต้องขอให้พวกคุณช่วยออกไป แต่ที่ๆพวกคุณกำลังยืนเหยียบอยู่คือพื้นที่ส่วนตัวของคุณริชาร์ด เบอร์ตั้น” เสียงของเจสสิก้าดังขึ้นที่หน้าบ้าน เธอยืนเด่นสง่าอยู่ที่ประตูหน้าบ้านที่ถูกยกสูงจากพื้น บันไดทางเข้าบ้านเต็มไปด้วยพ่อบ้านที่จูงฝูงพิทบูลตัวใหญ่ “หากไม่ออกไปภายในสิบนาที ดิฉันจะไม่รับประกันความปลอดภัยของพวกคุณ แน่นอนว่าเนื่องด้วยการป้องกันตัวเองด้วยนะคะ”

เหล่าสาวใช้จำนวนมากเดินไปปิดผ้าม่านหน้าต่างทุกบานของคฤหาสน์ แน่นอนว่าจุดที่ลาซารัสยืนอยู่ก็ด้วย.. เมื่อร่างอรชรเข้ามาใกล้ ลาซารัสก็สังเกตุเห็นวัตถุสีดำที่แอบอยู่หลังโบว์อันใหญ่ที่เอวด้านหลังของพวกเธอ.. ปืน! ปืนนี่!! โอเมก้าหนุ่มหน้าซีดทันที เมื่อสาวใช้เห็นดังนั้นก็แอบขำออกมา

“คุณแมทเวย์ไม่ต้องกลัวหรอกนะคะ ใช่ว่าพวกเราจะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้”

“เจน วานเธอจัดเวรยามตอนกลางคืนที ไปบอกพวกคนสวนให้เปิดไฟในสวนให้สว่างทุกส่วนในตอนมืดค่ำด้วยนะ” เจสสิก้าเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมๆกับประตูทางเข้าที่ปิดลง “ลอร่า บอกพวกพ่อบ้านว่าฉันปลดคำสั่งห้ามพกอาวุธ”

“อ...อาวุธ…” ลาซารัสหัวหมุนยืนตัวลีบอยู่ติดกำแพงมองสาวๆแต่ละคนที่เดินผ่านไป สาวใช้บางคนเลิกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อตรวจเช็คปืนที่เก็บไว้ข้างใต้กับมีดอีกสองสามอัน...นี่เขาอยู่กลางสนามรบเหรอ!?

“คุณแมทเวย์ อาจจะอึดอัดสักหน่อย แต่รับรองว่าจะไม่มีนักข่าวมาวุ่นวายกับคุณแน่ๆค่ะ” เจสสิก้าเดินมาหาโอเมก้าหนุ่มที่ดูท่าทางกำลังกลัวจนตัวสั่น

“ค..ครับ.. ต..แต่ว่า ต้องทำขนาดนี้?”

หญิงสูงวัยยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนก่อนจะพาเขามานั่งลงบนโซฟาตามเดิม “นี่เป็นบ้านของคนที่ดิฉันรักเยี่ยงลูกชายคนหนึ่ง ดิฉันจึงต้องทำหน้าที่ปกป้องมันไว้ ไม่มีอะไรโหดร้ายไปกว่าการไม่มีบ้านให้กลับหรอกนะคะ”

“...อ..อืม นั่นสินะครับ” ลาซารัสรู้สึกผ่อนคลายลง คงเพราะความอบอุ่นคล้ายความเป็นแม่ที่คอยปลอบประโลมเขาอยู่ “แล้ว..ทุกคนใช้...ปืน.. เป็นเหรอครับ?”

“แน่นอนค่ะคุณแมทเวย์” สาวใช้ร่างเล็กคนหนึ่งตอบเสียงฉะฉาน ในมือมีถาดอาหารว่างยามบ่ายยกมาให้ราวกับวันนี้ก็เป็นวันปกติทั่วๆไป “พวกเราทุกคนที่นี่ก็ได้คุณผู้ชายช่วยเอาไว้จากเรื่องร้ายๆ แค่เรียนรู้การต่อสู้เพิ่มเพื่อรักษาความปลอดภัยน่ะเรื่องเล็กน้อยเองค่ะ”

“...และคุณผู้ชายก็กำชับไว้ว่า ให้ดูแลคุณด้วย”

“ผม?”

“คุณผู้ชายไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม แต่ดิฉันจำคุณได้ตั้งแต่วันที่คุณมาหาพวกเราครั้งแรก.. คุณรอสเกรย์ดูสดใสขึ้นมากเลยนะคะ” เจสสิก้าแอบหัวเราะ ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเขินอายให้สาวๆขำกันคิกคัก

“ผ...ผมก็ไม่เห็นคุณหมอจะเปลี่ยนไปเท่าไหร่…” ลาซารัสพยายามพูดตอบโต้บ้าง พลางหยิบขนมขึ้นมากินแก้เขิน

“หึหึหึ สาวๆเขาดูออกกันนะคะ”

นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าเซนส์ของลูกผู้หญิง...น่ากลัวจริงๆ เลยครับ

พอลาซารัสเห็นถึงศักยภาพของเหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ก็รู้สึกหายห่วงเจ้าชีวิตของตนไปได้เปลาะหนึ่ง ดูเหมือนพวกที่ลักพาตัวคนๆ นั้นไปจะเล่นงานผิดคนเสียแล้วกระมัง...




TBC.




*****************************************************************************************

ลงจนจบตอนเสียที รู้สึกยาวนานมาก คิดว่าควรเขียนให้จบตอนก่อนค่อยเอามาลงทีเดียวดีมั้ย...แต่ก็กลัวจะรอนานเกินไปเหมือนกันค่ะ :z10:

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (17/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 18-03-2017 00:58:49
จัดหนักจัดเต็ม
คุณพี่ชายนอนท่ามกลางอุปกรณ์การแพทย์คืออะไร
ไม่ใช่ว่าคุณพี่โดนสอยไปด้วยนะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (17/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-03-2017 07:17:58
ใครกันนะ ลักต้วริชาร์ด  :katai1:
ใช่พี่ชายคาเล็มหรือเปล่า
     
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (17/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 18-03-2017 23:06:51
ตกที่นั่งลำบากเสียแล้วนะคะ... คุณรอสเกรย์คนพี่
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (17/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 20-03-2017 13:25:58
สนุก แต่ยังอ่านไม่ทันตอนล่าสุด ขอเม้นก่อน มันอัดอั้นมาก อิน
ชอบลุงคาเล็ม เชียร์ลุง
ช็อคมากตอนที่ลาซัสตกเป็นของริชาร์ด ริชจะว่าเป็นคนดี ก็พูดได้ไม่้เต็มปาก
ตอนแรกอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือยังไงละ นั่นเมียเพื่อนนะ อยากให้ริชได้กับคนอื่นมากกว่า รู้สึกแปลกๆ ถ้าจะ 3P  คือสงสารลุง คราวของโนเอลลุงก็น่าจะเจ็บหนัก ถึงได้ปิดตัวเองนานขนาดนั้น
มาคราวนี้เพื่อนสนิทตีท้ายครัวอีก
อยากให้ลุงมีความสุขบ้าง ได้รับความรักจากลาซัสไปคนเดียวไม่ต้องแบ่งใคร

ติดตามต่อนะ รอคนเขียนมาต่อนะ แต่งตามที่คิดเลย เราคอมเม้นตามความอิน อย่าพึ่งนอยด์กับคอมเม้นละ ถ้าอ่านแล้วไม่ได้ลุ้น ไม่ได้อยู่ทีมใครสักคน รักกันง่ายไปก็ไม่สนุกสิ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (17/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 20-03-2017 16:55:09
ลุ้นนนนนนมากกกก เลย
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.12 Up! (17/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 21-03-2017 01:47:45
อ่านทันแล้ว
ริชโดนอุ้ม สมน้ำหน้า ริชาร์ดทำให้ความสัมพันธ์มันยุ่งไปอีก
รู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำ ไม่ปฏิเสธ
แถมดึงคุณนักร้องที่ไม่ควรเจ็บมาเจ็บด้วยอีก
ฝั่งคุณหมอก็ตกอยู่ในสภาพทำอะไรไม่ได้
จนแอบกลัว เผลอคิดในแง่ร้ายสุดๆไปแล้วว่า ลาซัสอาจจะเป็นน้องชายหมอ
คงไม่ดราม่าเบอร์นั้นใช่มั้ย
อยากจะให้ลาซัสรักกับคุณทนายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้สมน้ำหน้าเจ้าสองคนนั้น
หมอก็ไม่เข้าข้างแล้ว ดูจะรักเพื่อนมากกว่าเมียซะอีก โกรธหมอแล่ว

ปล.เขียนผิดน้อยมากเลย ชื่นชม และแต่ละตอนยาวสะใจมาก
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (29/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 29-03-2017 12:29:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (29/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 29-03-2017 19:32:47
ปกติอ่านเงียบๆแต่มาเรื่องนี้อดจะเม้นท์ไม่ได้ (ขอโทษนะคะ) ฟฟฟฟฟ
ต้องขอปักป้าย #ทีมคุณหมอคาเล็ม เคราะห์กรรมระกำซัดยิ่งกว่านายเอกซะอีก โบกธงเชียร์.
อ่านมาถึงตอนล่าสุดยิ่งไม่ชอบริชาร์ดเลยอ่ะ ความชอบหมดไหตั้งแต่ไปเอาเมียเพื่อนสนิทตัวเองอ่ะ ไม่ชอบคนไม่มีสำนึกนี้ถือว่าตีท้ายครัวเพื่อนเลยน่ะ. ซะใจตอนเออร์แฟนด่าแทน แต่นางก็ไม่รู้สึก...  แล้วยิ่งมาตอนนี้ล่าสุด บอกจะขอโทษค่ะคุณหมอ แต่กำลังคิด"“ขอโทษทีนะลาซัส” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะกดโทรศัพท์และโทรไปหาเบอร์นั้นระหว่างที่นึกว่าเช้านี้จะได้กินอะไรกันนะ?" ว่าจะกินอะไรดี คือโห้ยยยถ้าไม่มีความตั้งใจและรู้สึกผิดอยากจะขอโทษจริงๆ ไม่ต้องก็ได้น่ะริชาร์ด เสียเวลาคิดเมนูจะกินอะไรดีของนายซะเปล่า เก็บเอาไว้เถอะ
แล้วเออเรางงลาซารัสที่เปิดประตูบอกว่าอยากได้คำตอบ  คำตอบของเรื่องอะไรเรอ ทำไมพอตื่นมายังสับสนไปอีก เพราะนางตอนแรกปูมาเหมือนฉลาดอ่ะ ดูเป็นนายเอกที่เก่งและฉลาด. ไหวพริบดีงี้ แต่พอโดนเพื่อนของสามีเอาก็ดูสับสนวุ่นวายไปเลยเนอะ
ไม่เข้าใจความสับสนที่นางว่า ทั้งที่นางก็เป็นคนเลือกให้เป็นแบบนั้นเองนิ
ส่วนคุณหมอเราก็นางเอกดีๆนี้แหละ โดนเพื่อนเอาเมียไปแดกก็ไม่อะไรให้อภัย นี้พ่อประเสิรฐไปแล้วววววว คือพ่อคนดีจะรู้มั้ยว่าเพื่อนมันตั้งใจจะเอาเมีย ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรลับหลังก็จ้องจีบเมียตัวเองอยู่ ว้อยยยยยยยยย อยากให้คุณหมอรู้และเลิกคบไปเลย จะให้ชดเชยอะไรกับเพื่อนแบบนี้ค่ะ. อะไรก็ไม่คุ้มค่ะ มีแต่หัวใจที่เจ็บกลับมาค่ะคุณหมอ. แต่อาจจะคุ้มที่ได้เห็นธาตุแท้ของริชาร์ด
อยากมอบเพลง ด้านได้อายอด ให้จริงๆเล้ย
แต่อันนี้เรางงและสงสัยค่ะ เรื่องฮีท มันมีหลายระดับฮีทเรอคะบางทีก็ฮีทมีสติ บางทีก็ไม่มี ทั้งๆที่บอกว่าฮีทเหมือนกัน หรือว่ามันมีข้อแตกต่างมั้ยค่ะ แล้วก็สังคมโอเมก้าใช้บริการโฮสต์อัลฟ่า คือถ้าฮีทอยู่แล้วออกไปใช้บริการจะไม่ถูกฉุดกลางทางก่จากที่โคลวิสบอก ซึ่งมันตรงข้ามที่เออร์แฟนพูดว่าพวกโอเมก้าไม่ค่อยออกสังคมและค่อนข้างปิดตัวอ่า หรือเราจำผิดไปก็ไม่แน่ใจค่ะ
แต่ขอเป็นแรงเชียร์ให้คุณหมอชนะคดีให้จงได้ค่ะ #คุณหมอคาเล็ม
และรอดูความพังพินาศของริชาร์ด. (ซึ่งไม่รู้ว่าเขาหรือคุณหมอจะพินาศก่อนกันฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ) :sad4:
ส่วนลาซารัสจะคู่ใคร ก็เอาเถอะค่า 5555555 แต่ถ้าได้คุณหมอxเออร์แฟน ก็ดีน่ะ 555555555 ตามเค้ามานานอ่ะต้องได้แล้วล่ะ? ก๊ากกกกกก
ปล ง่วงเบลอๆมากขออภัยหากพิมพ์ไม่รู้เรื่อง

จริงๆ เราเห็นด้วย เรื่องอิตาริชาร์ด
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (29/03/17) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 29-03-2017 23:56:38
บทที่ 13



“จะให้นั่งรออีกนานแค่ไหน?” ริชาร์ดนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวในห้องรับรองสุดหรู ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพโดนมัดมือมัดเท้าโดนซ้อมรุมกินโต๊ะ หรือถูกขังในห้องโกดังสกปรกเยี่ยงคนที่ถูกลักพาตัวมาควรจะเป็น มีแค่คนยืนเฝ้าประหนึ่งบอร์ดี้การ์ดสองคน และหนึ่งในนั้นก็มีคนที่มีรอยช้ำที่มุมปากซึ่งก็เกิดจากหมัดของเขาเองนั่นแหละ

“กรุณารออยู่เฉยๆเถอะครับ พวกผมไม่อยากเจ็บตัว” สถานะดูจะกลับกัน ปกติมีแต่คนร้ายขู่เหยื่อไม่ให้ขัดขืนหากไม่อยากเจ็บตัว แม้แต่คนโดนพาตัวมาเองก็ยังสงสัยว่าเป็นบ้าอะไรกันไปหมด

คนรับใช้ที่กำลังจะเสิร์ฟกาแฟเพิ่มให้ แต่แขกที่ถูกเชิญมาแบบไม่เต็มใจนักยกมือปฏิเสธเนื่องจากดื่มรอเจ้านายของคนพวกนี้ไปหลายแก้วแล้ว เกรงว่าคาเฟอีนจะทำให้คืนนี้นอนไม่หลับ แต่เอาเข้าจริงโดนหิ้วมาแบบนี้ต่อให้ได้นอนบนเตียงคิงไซส์เหมือนโรงแรมห้าดาวยังไงก็หลับไม่ลงหรอก

“เขาเป็นใคร?” ซีอีโอหนุ่มหันไปถามอีกคนที่ยืนกดโทรศัพท์เงียบๆ อีกฝ่ายเลยหยุดมือเงยหน้าขึ้นมาตอบเขากวนๆ ว่า ‘เดี๋ยวก็รู้’

ให้ตาย...เป็นการโดนลักพาตัวที่น่าเบื่อมาก ไม่เห็นตื่นเต้นเหมือนในละครสักนิด

ริชาร์ดนั่งเงกไร้ความตื่นเต้นไปอีกพักใหญ่ๆ จนในที่สุดคนที่สั่งให้ไปพาตัวเขามาก็ปรากฏตัวเสียที เท่าที่ริชาร์ดประเมินด้วยสายตาดูแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าเขาหน้าตาค่อนไปทาง ‘คนใจดี’ พอใช้ได้ แอบคิดในใจคงอายุมากกว่าเขานิดหน่อยแต่ก็คงแค่ไม่กี่ปี และไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน ทั้งๆที่เพิ่งจะเคยพบกันเป็นครั้งแรก

อีกฝ่ายยื่นมือมาให้เพื่อทักทาย ซีอีโออัลฟ่าจึงต้องลุกขึ้นยืนจับมือตามมารยาท และแอบยืดในใจเพราะตนสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ต้องขอโทษมิสเตอร์เบอร์ตั้นด้วยจริงๆ ที่เด็กๆ ของทางนี้ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุไปหน่อย” เมื่อปล่อยมือออก ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ส่งผ้าเช็ดมือมาให้เจ้านายของตนเช็ดมือราวกับเพิ่งแตะต้องสิ่งสกปรกมา

ควรจะขอโทษที่ปล่อยให้เขารอจนเอียนกาแฟสำเร็จรูปรสชืดๆ พวกนี้ดีกว่าไหม? แล้วไอ้ท่าทางราวกับเห็นเขาเป็นสิ่งน่ารังเกียจแบบนี้มันหมายความว่าไง

“คุณเป็นใคร แล้ว ‘เชิญ’ ผมมาที่นี่ต้องการอะไร?” ริชาร์ดจงใจเน้นเสียงนิดหน่อย ยังแอบหัวเสียเพราะรถคันโปรดโดนลูกน้องของทางนั้นทุบเสียจนหมดราคา ถึงมีประกันรถแต่ขอเรียกเก็บค่าซ่อมกับค่าทำขวัญเพิ่มด้วยได้มั้ย?

“ถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นคนทำให้ประธานรอสเกรย์ต้องนอนหมดสภาพอยู่ที่บ้านของตัวเอง คุณจะยังอยากทำความรู้จักกับผมอยู่มั้ยครับ” รอยยิ้มและคำพูดแสนนุ่มนวลออกมาจากปากคนตรงหน้า แต่ด้วยสิ่งที่เอ่ยออกมาทำเอาริชาร์ดเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ คนตรงหน้าช่างคล้ายกับตัวร้ายในหนังสมัยนี้ที่ดูเป็นผู้ดีรักสันติแต่จริงๆ ทั้งอันตรายและร้ายลึก

“คุณเป็นโอเมก้างั้นเหรอ?” แม้จะไม่ได้กลิ่นฟีโรโมน แต่ด้วยความที่ตนก็เคยเห็นโอเมก้ามามากพอจะแยกแยะออกได้ด้วยรูปร่างภายนอก หรือแม้แต่คนที่ภายนอกดูคล้ายเบต้าอย่างลาซารัสเขาก็คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาสักพักใหญ่พอจะจับสังเกตได้

แววตาของอีกฝ่ายถลึงจ้องมองมาที่เขาราวกับเข็มแหลมทิ่มแทง หากแต่ริมฝีปากปากกลับยังคงยิ้มดังเดิม “สมแล้วที่เป็นนายหน้าค้าโอเมก้า มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยสินะครับ”

“ห้ะ? ว่าใครเป็นนายหน้ากันนะ?” ซีอีโอหนุ่มกังขากับอาชีพใหม่ที่โดนยัดเยียดให้ แต่ก็พอจะเดาได้แล้วว่าทำไมตนถึงโดนอุ้มมาแบบนี้ “นายเข้าใจอะไรผิดแล้วจับตัวมาผิดคนรึเปล่า ฉันไม่ได้ทำงานแบบนั้นสักหน่อยนะ”

“อยากจะปฏิเสธยังไงก็เรื่องของคุณเถอะครับ” อีกฝ่ายเชิญตัวเองนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ ร่างสูงก็ขอนั่งตามแม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้นั่ง ดูท่าทางเขาจะเจอคนหัวรั้นประเภทพูดอธิบายด้วยไม่รู้เรื่องเข้าให้ซะแล้ว แถมดูท่าทางจะเกลียดชังอัลฟ่าเข้ากระดูกดำเลยด้วย

“ประธานเขาไปทำอะไรให้คุณ ถึงต้องไปทำร้ายเขาด้วย”

“ถามตามมารยาทหรือว่าเป็นห่วงเขาจริงๆกันล่ะครับ”

“เอาตรงๆ ก็ถามไปงั้นล่ะ แอบสะใจด้วยซ้ำ”

“โฮ่…” โอเมก้ามากวัยกว่ายกมือเท้าคางมองริชาร์ดด้วยแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนจะพอใจที่อัลฟ่าตรงหน้าไม่ได้ลงรอยกับประธานคนนั้น “เห็นมิสเตอร์เบอร์ตั้นบอกว่าผมเข้าใจคุณผิด งั้นจะช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเรื่องจริงๆ เป็นยังไง”

ปกติแล้วซีอีโอหนุ่มแทบจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่ดูจากสายตาเอาจริงคู่นั้นแล้วลองเขาไม่คายความลับออกมาดูสิ ได้ไปนอนเป็นผักตามพี่ชายคาเล็มอีกคนแหงๆ

ให้ตาย...เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอโอเมก้าที่น่ากลัวกว่าอัลฟ่าก็วันนี้แหละ

เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ริชาร์ดนั่งเล่าพลางอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่าเหตุใดเขาจึงติดต่อกับอัลฟ่ามากหน้าหลายตาและส่งตัวโอเมก้าซึ่งเป็นผู้ป่วยของเพื่อนให้คนเหล่านั้นรับไปดูแลต่อ

“จำเป็นถึงขนาดต้องส่งตัวโอเมก้าให้อัลฟ่าพวกนั้นด้วยหรือครับ ถ้ารักษาจนแข็งแรงหายดีได้ขนาดนั้นก็น่าจะจบแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตต่อจากนั้นด้วยตัวเอง”

ริชาร์ดมุ่นคิ้วแต่ก็นั่งฟังต่อ ดูท่าทางคนตรงหน้าเขาจะไม่ค่อยชอบใจวิธีการนี้สักเท่าไหร่

“พวกคุณดูถูกโอเมก้าอย่างเราเกินไป คิดหรือว่าเราจะเอาตัวรอดกันไม่ได้หากขาดอัลฟ่าคุ้มหัว คุณและเพื่อนอาจจะทำไปด้วยความหวังดีต่อโอเมก้าที่ถูกกดขี่ แต่ในมุมมองของผมมันเหมือนกับพวกคุณเก็บสัตว์ที่บาดเจ็บเพราะถูกทำร้ายมารักษาจนหาย แล้วหาคนใจดีมารับไปเลี้ยงดูแทน”

“ถ้าใช่แล้วมันผิดด้วยหรือ หรือสิ่งที่พวกเราทำมันยังไม่ดีพอ คุณบอกมาสิว่าเราควรช่วยเหลือพวกเขายังไงต่อ?”

“นั่นก็…” จู่ๆ โอเมก้ามากวัยกว่าก็ชะงักไป ทำไมเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ถึงกลายเป็นการปรึกษาเพื่อหาทางออกให้ทุกฝ่ายก็ไม่ทราบ “...เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าคุณไม่ได้ทำเรื่องผิดมนุษยธรรมอย่างที่ทางเราได้เข้าใจผิดไป มิสเตอร์เบอร์ตั้น”

“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” แม้ว่าในใจจะยังโกรธในหลายๆ เรื่องจนอยากฟ้องร้องให้ไปสู้กันในชั้นศาล แต่ริชาร์ดก็เห็นสมควรว่ายอมๆ ให้มันจบเรื่องไปเสียดีกว่า อย่างไรเสียมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด “แต่ว่าก็ว่าเถอะ…คุณไปได้ยินข่าวลือพรรค์นั้นมาจากไหนว่าผมเป็นนายหน้าค้าโอเมก้า?”

“มีใครบางคนที่เจ็บแค้นเพราะสิ่งที่คุณทำไว้กับเขาบอกผมมาน่ะ”

แล้วเอ็งก็หลงเชื่อเนี่ยนะ?

“ใคร?” เขากอดอกพยายามนั่งนึก ถึงจะไม่คิดว่าตัวเองไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนแต่บางทีก็คงไปเหยียบหางใครเข้าโดยที่ไม่รู้ตัวแน่ๆ

“พ่อของคุณนั่นแหละมิสเตอร์” ชายหนุ่มโอเมก้าหัวเราะคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนคิ้วหนาๆ นั้นแทบจะพันกันเป็นโบอยู่รอมร่อ “ผมถูกใจไวน์ที่เขาผลิตเลยเดินทางไปติดต่อซื้อขายไวน์ถึงที่ฟาร์ม แล้วพวกเราก็ดื่มกันไปพอสมควร แต่เขาเมามากก็เลยพล่ามเรื่องของลูกชายเนรคุณที่เอาพ่อไปทิ้งไว้ที่บ้านนอกแล้วก็เรื่องอื่นๆ ให้ฟังเยอะแยะเลยล่ะครับ เขาด่าคุณว่าสารเลวซะจนผมมองภาพลักษณ์คุณติดลบไปเลยล่ะ”

ไอ้แก่เอ๊ย! ให้ไปทำไร่องุ่นอยู่สงบๆ แถบชนบทดีๆ ไม่ชอบ ดูท่าจะอยากโดนส่งไปบ้านพักคนชรามากกว่าสินะ!

“โว้ย! จบเรื่องเมื่อไหร่จะโทรไปด่าให้ลืมวิธีหมักไวน์เลยคอยดู!” จากที่รักษามาดมาตลอด ตอนนี้ริชาร์ดโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยากวิ่งไปเตะก้นพ่อบังเกิดเกล้าที่ปากพาจน เกือบจะส่งลูกตัวเองไปนอนก้นทะเลแล้วมั้ยล่ะ

“เดี๋ยวผมจะให้เด็กๆ ไปส่งคุณก็แล้วกัน ส่วนเรื่องค่าเสียหายและเรื่องอื่นๆ ทางผมจะรับผิดชอบเอง”

มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว! ซีอีโอหนุ่มได้แต่ว้ากคนเดียวในใจ โทรศัพท์และถุงจากร้านจิวเวลลี่ที่โดนยึดไปในตอนแรกถูกส่งคืน เขาเปิดดูกล่องแหวนเช็คความเรียบร้อยว่ายังไม่บุบสลายก่อนจะเปิดเครื่องเพื่อโทรหาเจสสิก้าว่าตนปลอดภัยดีแล้วซะอีก

“เหวอ! โทรมาให้เพียบ” ปลายนิ้วกดโทรหาคนที่กระหน่ำติดต่อเขาแทบจะเรียงคนเพราะดูท่าทางจะพิมพ์อธิบายไม่ไหว จนกระทั่งถึงเบอร์เพื่อนสนิท “เออๆ ไม่เป็นไรแล้ว แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย”

โอเมก้ามากวัยกว่ามองดูริชาร์ดที่อิมเมจผิดกับที่ตนคาดไว้ ถึงจะเป็นอัลฟ่าแต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายขนาดนั้น ก่อนจะหันไปสั่งคนให้เตรียมรถไปส่งซีอีโอเบอร์ตั้น

“อืม...แล้วเจอกันนะคาเล็ม” ร่างสูงกดวางสายพลางถอนหายใจ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจ้านายของพวกที่ลักพาตัวเขาจ้องมองมาทางนี้ด้วยสายตาตกตะลึงผิดปกติ

“ตะกี้คุณคุยกับใคร?”

“เอ่อ เพื่อนน่ะ คนที่เป็นหมอรักษาโอเมก้าที่เล่าให้ฟัง”

“ชื่อล่ะ? เขาชื่ออะไร?” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าทางนั้นดูลนๆ พิกล

“ศจ.ด็อกเตอร์คาเล็ม รอสเกรย์ น้องชายของประธานรอสเกรย์ แต่พวกนั้นไม่ถูกกันหรอกนะ พี่กับน้องนี่คนละเรื่องกันเลย” ริชาร์ดรีบแก้ต่างให้เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะเล่นงานคุณพี่ชายจนหมดสภาพไปหมาดๆ เกรงว่าจะพาลไปถึงพวกน้องชายด้วย

“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว” อีกฝ่ายถอนหายใจแล้วยกมือขยี้ผมตัวเองเบาๆ “งั้นเหรอ...เผลอเสียมารยาทกับเพื่อนของเขาซะแล้วสินะ”

“ห้ะ?”

“มิสเตอร์เบอร์ตั้น ผมอยากจะรบกวนขอให้คุณพาผมไปเจอกับด็อกเตอร์คาเล็มหน่อยจะได้รึเปล่า”

ประโยคขอร้องแต่ฟังดูราวกับเหมือนจะบังคับกลายๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วใครล่ะจะกล้าปฎิเสธ



(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (30/03/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-03-2017 06:06:26
คนที่จับริชาร์ด มาเป็นหัวหน้าและเป็นโอเมก้า  :katai1: :katai1: :katai1:
ท่าทางชื่นชอบคาเล็ม เพราะคาเล็มผลิตยาเพื่อโอเมก้า
เข้าใจผิดกัน เพราะพ่อริชาร์ด แต่ไม่สืบเรื่องริชาร์ดมาก่อนเลย
แต่เกิดเรื่องนี่ทำให้ริชาร์ดเข้าใจพ่ออีกระดับหนึ่งละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (30/03/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 30-03-2017 17:17:35
ในที่สุดเราก็เจอโอเมก้าแซ่บๆ
เชียร์อิตาโอเมก้าคนนี้ ทำไมไม่จัดการอิตาริชสักดอกสองดอกค่อยคุยกันน้า เสียดายจัง  :laugh:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (30/03/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 30-03-2017 19:23:25
ฉันไม่นึกว่าจะหักมุมแบบนี้
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (30/03/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 31-03-2017 13:52:39
รู้สึกเหมือนจะหักมุมนิดๆๆๆๆๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (30/03/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 31-03-2017 13:55:35
 :mew1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (10/04/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 10-04-2017 19:12:42

“กลัวรึเปล่าคะคุณแมทเวย์?”

“ไม่ครับ…ไม่” จะพูดว่ากลัวพวกคุณมากกว่าก็กระไร… ลาซารัสนั่งตัวลีบหดอยู่ในรถคันหรูโดยมีสองสาวใช้นั่งขนาบข้างและอีกหนึ่งคนนั่งที่ด้านหน้า แน่นอนว่าทุกคนแม้แต่คนขับรถยังคงอยู่ในโหมด ‘เฝ้าระวัง’ ที่มีอาวุธครบมือ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ตึกสำนักงานของริชาร์ดเพื่อพบกับคาเล็มในช่วงบ่าย แดดจ้าภายนอกไม่สามารถช่วยเพิ่มอุณหภูมิในตัวของลาซารัสได้แม้แต่น้อย รถแอร์ก็เย็น ตัวเขาก็เย็นไปด้วย…

“วันนี้คุณแมทเวย์ไม่ได้กินยาระงับอาการฮีท น้ำหอมก็ไม่ได้ฉีดมา เกรงจะเกิดอันตรายต่อคุณได้ คุณริชาร์ดก็เลยบอกว่าให้พวกเรามาด้วยน่ะค่ะ” เจนหันมาอธิบายชายหนุ่มที่ทำตัวไม่ถูก

“ปลอดภัยจริงๆสินะครับ” ลาซารัสโล่งอก แม้ตอนนี้อัลฟ่าเจ้าของชีวิตจะไม่ได้โผล่มาให้เห็นว่ายังครบสามสิบสองดี แต่ก็ทำให้โล่งใจไปมาก ตอนนี้เขาเลยเริ่มตื่นเต้นที่จะได้เจอกับคาเล็มมากกว่า หลังจากที่แอบนัดไปเจอกันที่ร้านอาหาร พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย… แค่เดือนนิดๆเอง ทำไมรู้สึกนานขนาดนี้กันล่ะ

“ถึงแล้วสาวๆ พาคุณแมทเวย์ขึ้นไปหาคุณเบอร์ตั้นดีๆล่ะ อย่าลากไปกินกันซะก่อน” พี่ชายคนขับรถที่ดูจะแก่กว่าเพียงไม่กี่ปีพูดแซว

“ดูแลรถดีๆล่ะกันย่ะ เดี๋ยวก็โดนทุบพังอีกคัน” ลอร่าแซวกลับและเปิดประตูลงไป ทั้งสามสาวอยู่ในชุดสูทลำลองสบายๆอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน คงเพื่อที่จะได้ออกมาข้างนอกได้สบายๆตัว

ลาซารัสที่ตอนนี้ไร้ปราการป้องกันใดๆก้าวเข้าไปในตึกสูงใหญ่อย่างกล้าๆกลัวๆ พอไม่ได้กินยามาแล้วก็กลัวตัวเองจะไปเผลอฮีทตอนได้กลิ่นอัลฟ่าที่ไหนจริงๆ.. แต่เนื่องจากตอนนี้เวลาบ่ายกว่าๆ แดดจ้าสว่างยันด้านในตัวอาคาร เหล่าพนักงานคนอื่นๆก็เข้าไปทำงานกันหมดแล้ว เหลือเพียงพนักงานต้อนรับที่ดูจะรู้ว่าควรพาพวกเขาไปที่ไหนเมื่อเห็นหน้าของสาวใช้ที่มาด้วย

พนักงานต้อนรับชายเดินพาพวกเขาไปยังที่นัดพบ ลาซัสใจเต้นระส่ำ เขาจะได้เจอคาเล็มแล้ว.. จะได้ลองยาแบบไหน? ที่สำคัญคือเขาอยากขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อนด้วย… ตอนนี้หลายต่อหลายเรื่องตีกันในหัวโอเมก้าหนุ่มจนเหม่อลืมมองทางและปล่อยให้สาวๆลากเขาไป

“คุณแมทเวย์คะ ถึงแล้วค่ะ”

“ฮ้ะ?”

“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ค่ะ หน้าซีดหมดแล้ว” เจนหัวเราะและพาเขาเข้ามาในร้านกาแฟขนาดใหญ่ที่อยู่ในอาคาร พนักงานประปรายภายในร้านบ้างหันมามองเขาเหมือนจะแปลกใจที่มีลูกค้าขาจรเข้ามา แต่ก็ไม่ได้จ้องอยู่นานเพราะกำลังรีบปั่นงานกันอยู่…

“ค...คุณริชเค้านัดที่นี่เหรอ?” ร่างโปร่งมองไปมาก่อนไปสะดุดตากับบาริสต้าแสนคุ้นเคยตรงเคาท์เตอร์ สีผมจัดจ้านนั้นทำให้เขาจำได้ในทันที “คุณโคลวิส?”

“สวัสดีลาซารัส” โคลวิสกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ทำหน้าตื่นเชียว ไม่ได้มาครั้งแรกไม่ใช่เหรอ?”

“ครับ.. แต่ ไม่เคยเดินมาแถวๆนี้น่ะ” ลาซารัสพูดไปเรื่อยพลางกวาดตามองหาคนอื่นๆที่นัดไว้ “แล้ว...คุณริช...เอ๊ย! คุณ ริชาร์ดล่ะครับ?”

“ยังไม่มา แต่เหมือนเพื่อนเขาจะมาแล้วล่ะ” บาริสต้าหัวสีเดินพาเขาไปที่หน้าห้องประชุมที่ริชาร์ดได้ทำการจองไว้ ความจริงพอรู้ว่าริชาร์ดจำเป็นต้องใช้ ห้องอื่นๆก็ดันพากันโล่งโจ้งราวกับไม่อยากรบกวนเจ้านาย “เอาอะไรมั้ย?”

“ไม่เป็นไรครับ”

“โอเค งั้นคุณผู้หญิงเชิญลือกที่นั่งได้เลยครับ” โคลวิสหันไปหาสาวน้อยที่ท่าทางจะรู้จักกันอยู่แล้ว

“ค่า”

“ขอมอคค่าเหมือนเดิมนะ!”

“ฉันเอาลาเต้เย็น”

เหมือนคนที่พามาจะรู้งาน พวกเธอผละออกจากลาซารัสไปเมื่อมาส่งถึงที่หมายอย่างสวัสดิภาพและไปเลือกโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ลาซารัสหันมามองประตูกระจกฝ้าเบื้องหน้า เงาคนสองคนในนั้นก็พอจะเดาได้ว่ามีใครอยู่ข้างในบ้าง

ตอนนี้ในอกเขาบีบแน่นไปหมด ประหม่าสุดๆทั้งที่ก็มั่นใจว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว จะทำหน้ายังไงดี? ไม่สิ แค่ทำตัวปกติก็พอแล้วนี่? ทำไมมันยากจัง! ร่างโปร่งสูดหายใจเข้าลึกและกลั้นใจเปิดประตูเข้าไปข้างใน

“อ้าว มาคนเดียวรึ?” เออร์แฟนทักเขาขึ้นมาก่อน โต๊ะขนาดกลางกับเก้าอี้ห้าถึงหกตัวถูกวางอย่างระเกะระกะเล็กน้อยเหมือนกับว่าเมื่อเช้าเพิ่งจะมีคนเข้ามาใช้แล้วลืมเก็บ

“ครับ” ลาซารัสตอบสั้นๆ ดวงตาสีฟ้าสดเลื่อนไปมองอีกคนที่นั่งจ้องแท็ปเล็ตในมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นปกติ เขาอยากจะทักเหลือเกินแต่ความกล้าที่มีมันก็ดันฟ่อซะหมด โอเมก้าหนุ่มยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆขยับไปนั่งที่เก้าอี้ที่ใกล้ตัวเขาที่สุดตอนนั้น

“มานี่” ในที่สุดคาเล็มก็ละสายตามาหา เขายกมือขึ้นกวักเรียกเหมือนเรียกเด็กตัวน้อยที่กำลังกลัว ลาซารัสสะดุ้งแล้วลุกพรวดไปหาแทบจะทันที “นั่งตรงนี้”

“ค...ครับ” ร่างโปร่งตอบรับเสียงสั่นแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆคาเล็ม คุณหมอยกกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วหยิบซองยาจำนวนมากออกมาวางไว้ รวมทั้งขวดน้ำหอมที่สีด้านในดูแปลกตากว่าปกติ และนาฬิกาเจ้ากรรมนั่น! เขาต้องใส่มันอีกเหรอ!?

“...เอ่อ..”

“พอดีไม่ค่อยมีเวลาน่ะ คงต้องบอกเรื่องเวลากินยาเลย..แล้วก็ผลข้างเคียงที่ต้องรีบหยุดยาแล้วรายงานฉันได้” คาเล็มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดอะไรมากความและเริ่มสาธยายเรื่องยาตัวใหม่ที่เขาจะจ่ายให้ “ซองนี้ ยาระงับอาการฮีท คล้ายกับแบบปกติที่ให้นายกิน แต่ฉันเปลี่ยนไปใช้สารตัวอื่นที่ไม่มีการตกค้าง ไม่แน่ใจเรื่องการออกฤทธิ์ว่ามันจะมีประสิทธิภาพขนาดไหน เพราะงั้น กินแค่หนึ่งเดือนแล้วบันทึกผลมาให้ฉัน เดี๋ยวจะพิจารณาเปลี่ยนยาให้”

ยาหลายต่อหลายซองถูกยกขึ้นมาวางและเก็บลงไปพร้อมกับคำอธิบายยาวพรืด แต่ด้วยภาษาเข้าใจง่ายทำให้ไม่ยากต่อการจำ ลาซารัสเองก็กันพลาดด้วยการจดตามจากกระดาษที่ยึดสมุดของคาเล็มมาเขียนโดยที่คาเล็มเองนั่นแหละที่ยื่นมาให้

“สุดท้าย..นายอาจจะไม่ชอบมัน แต่ก็คงต้องขอให้ใส่มันไว้”

“ครับ..” ลาซารัสยิ้มแห้งให้กับนาฬิกาที่คาเล็มยกขึ้นมาให้ดู ส่วนเรื่องที่ว่ามันทำอะไรได้บ้างเขาก็จำได้แม่นยำทีเดียว แต่เหมือนเรือนนี้จะขนาดใหญ่กว่าอันเก่าหรือเปล่านะ?

“แต่อันนี้ไม่เหมือนอันเดิมนะ มันจะคอยเตือนให้นายกินยาด้วย กันลืมน่ะ” คาเล็มหยิบข้อมืออีกฝ่ายขึ้นมาอย่างถือวิสาสะและใส่ให้ทันที “และ..มันจะฉีดยาให้นายทันทีถ้านายไม่ได้รับยา…”

“หา!?”

“ริชาร์ดมาแล้วนะ” เออร์แฟนเงยหน้าขึ้นมาบอกคาเล็มที่กำลังง่วนอยู่กับการพยายามใส่นาฬิกาให้อีกฝ่าย “....เรื่องสัญญาเดี๋ยวฉันไปคุยกันข้างนอก ยังไงก็ให้โอเมก้าฟังไม่ได้อยู่แล้ว”

ว่าแล้วเออร์แฟนก็เดินออกจากห้องประชุมนี้ไป ปล่อยให้คุณหมอกับตัวทดลองอยู่ในห้องกันลำพังสองคน คาเล็มจัดการนาฬิกาให้กระชับแน่นพอจะไม่ให้หล่นหายไปไหนแม้จะเล่นกีฬาหนักขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อเขาสวมมันให้ลาซัสได้เรียบร้อย เขายังไม่ยอมปล่อยมือนั้นออก ...ทั้งสองไม่ได้มองหน้ากัน…

“...หัวใจเต้นเร็วนะ” คาเล็มพูดเมื่อเห็นว่านาฬิกามันแสดงอัตราการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายบนหน้าปัด แต่ไม่ต้องมองมันเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร… “เหนื่อยเหรอ?”

“นิดหน่อยครับ” ลาซารัสตอบสั้นๆ พยายามไม่ให้เสียงสั่น “คุณหมอ...สบายดีรึเปล่า?”

“ก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร” คำพูดที่แสนคุ้นเคยจากคนที่เคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ลาซารัสแอบโล่งใจที่คุณหมอคาเล็มก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“เรียบร้อยแล้ว นายกลับไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ”

“เอ๊ะ? เดี๋ยวนะครับ ให้กลับเลยเหรอ?”

ทว่าร่างโปร่งก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่มารับยาทดลองวันนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว บางทีคุณหมออาจจะต้องคุยเรื่องยากับคนอื่นๆอีกก็เป็นได้ แต่นี่ก็เขาไม่เห็นใครอื่นเลย “แล้ว...คนอื่นๆล่ะครับ?”

“ถ้าหมายถึงโอเมก้าที่สมัครใจมาเป็นตัวทดลองเหมือนกับนายล่ะก็ พวกเขามารับยาเสร็จแล้วก็กลับไปแล้วล่ะ นายเป็นคนสุดท้ายของวันนี้”

“งั้นหลังจากนี้คุณหมอก็ว่างแล้วสินะครับ”

“ก็นะ...แต่เดี๋ยวฉันต้องไปเคลียร์ธุระส่วนตัวอีก เสร็จแล้วก็คงจะกลับเลย” ลาซารัสไม่แน่ใจว่าตนรู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่าเหมือนคาเล็มจะพยายามไล่ให้เขากลับบ้านเร็วๆ ยังไงก็ไม่รู้ นี่เขาเพิ่งจะมาถึงเองนะ ทำไมทำอย่างกับว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่คนไข้มารอพบหมอตามนัดแล้วก็ได้ยากลับไปกินเพื่อรอดูผลอีกทีแบบนี้ล่ะ!

“ผม...ขอคุยกับคุณหมอหน่อยได้มั้ยครับ คือ…” คนตัวเล็กกว่าแอบกำมือแน่น ชั่งใจอยู่สักพักจึงสารภาพออกไป “ก่อนหน้านี้ผมดันฮีท แล้วก็...ทำกับคุณริชไป”

“อืม...ฉันรู้แล้ว”

“เอ๋?”

“...รู้แยู่แล้วล่ะว่ามันคงจะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา” คาเล็มตอบโดยที่พยายามทำหน้านิ่งเป็นปกติ ไม่ให้ลาซารัสจับสังเกตได้ว่าเขารู้มาจากริชาร์ดก่อนหน้านี้แล้ว ทว่า...

“คุณริชบอกไปแล้วใช่มั้ยครับ…” แม้จะพูดเหมือนตั้งคำถาม แต่โอเมก้าหนุ่มค่อนข้างแน่ใจว่าอัลฟ่เจ้าของคนปัจจุบันจะต้องโพล่งไปแล้วแน่ๆ เรียกว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของคนๆนั้นเลยก็ว่าได้ที่ไม่คิดจะปิดบังความลับกับคนตรงหน้าเขา

“อือ…” ดวงตาหลังกรอบแว่นมองอดีตโอเมก้าของตนที่แอบกัดปากแน่นจนเขาต้องบอกให้อีกฝ่ายหยุด ไม่งั้นคงได้กัดจนปากห้อเลือดเป็นแน่ “เดี๋ยวปากจะเป็นแผลเอานะ”

ดวงตาสีฟ้าพยายามข่มความโกรธเอาไว้ จริงๆแล้วเขาไม่มีสิทธิจะโกรธคนๆนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า...เขาเองก็อุตส่าห์ขอร้องไม่ให้ริชาร์ดบอกคุณหมอ ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ผิดคำพูดกับเขาได้อย่างหน้าตาเฉย

จู่ๆลาซารัสก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้จนคาเล็มยังสะดุ้งตกใจ ร่างโปร่งหันหลังให้คุณหมออัลฟ่าตั้งใจจะออกจากห้องไปชกหน้าคนปากโป้งให้หายแค้นสักที

“เดี๋ยวสิ มานั่งคุยกันก่อนดีกว่าน่า” คาเล็มกุลีกุจอลุกไปลากลาซารัสกลับลงมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างผิดสังเกตุ “อ่า.. คงจะเริ่มบทสนทนาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เอาใหม่ละกันนะ”

“....ที่คุณเออร์แฟนบอกว่า โอเมก้าฟังไม่ได้อะไรนั่นรึเปล่าครับ?” เห็นความผิดปกตินั้นลาซารัสก็ลองถามคาเล็มไปตรงๆ คนถูกถามสะดุ้งแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าบางส่วนเหมือนตกใจที่โอเมก้าหนุ่มเดาได้แม่นเกินคาดเดา “สัญญาอะไรเหรอครับ?”

“ถ้าโอเมก้ารู้ได้ฉันจะรั้งนายไว้ในนี้เหรอ?”

“...นั่นน่ะสิ”

“จริงๆ..ฉันก็ยังอยากคุยกับนายอยู่” เมื่อคุณหมอเอ่ยออกมาแบบนั้นลาซารัสก็เงยหน้าขึ้นมาสบเข้ากับดวงตาสองสีที่หลังกรอบแว่น ตอนนี้มันแลดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย สีหน้าที่เคยเคร่งเครียดอยู่เสมอก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้คนหัวร้อนเริ่มใจเย็นลงบ้าง “เอาเรื่องทั่วๆไปก็ได้ เรื่องนั้นก็...ช่างมันเถอะ”

“ครับ!” เด็กหนุ่มยิ้มออกมาแทบจะทันที “ตอนนี้...เอ่อ ผมทำขนมดีขึ้นแล้วนะครับ! แต่กล่องอยู่กับเจนข้างนอกน่ะ เดี๋ยวออกไปได้แล้วผมจะเอามาให้คุณหมอชิมนะครับ”

“อ่าฮะ” หลังจากพยายามมาหลายต่อหลายครั้งจนรูปซากศพขนมที่ทำพลาดจำนวนมากเรียงรายอยู่ในกล่องข้อความของเรนเดลเพื่อส่งมาให้คุณหมอดูก็พอจะเดาได้ “แต่ไม่นึกว่านายจะทำมาวันนี้นะ.. ได้นอนมั้ยเนี่ย?”

“ไม่ได้ทำของยากมากน่ะครับ รอยัลไอซิ่งเอง” คาเล็มหุบยิ้มลง นี่เขาคาดหวังให้เป็นของโปรดของเขาอย่าง พุดดิ้ง แสนอร่อยนั่นนะ! “พอดีผมไม่มีสมาธิเลยอ่ะครับ เลย..”

“อืมๆ ไม่เป็นไรหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่แววตากับสีหน้าเหมือนโลกใบนี้พังทลายลงก็ปรากฎบนใบหน้าคาเล็มชัดเจนจนลาซารัสรู้สึกขำมากกว่า ร่างโปร่งกลั้นหัวเราะเอาไว้จนกลายเป็นการทำหน้าตาตลกใส่เสียนี่ โชคดีที่คาเล็มไม่ได้เงยหน้ามามอง “ได้ข่าวว่าขับรถเป็นแล้ว? แถมดูจะเก่งกว่าทำอาหารด้วย?”

“ครับ…” เหมือนโดนแซวเรื่องฝีมืออันห่วยแตกของงานครัวจนคนโดนว่าทำตัวลีบเล็กลงไปอีก “ต่อไป ก็กะว่าอยากจะลองเรียนยิงปืนเหมือนที่บอกคุณหมอนั่นแหละครับ”

“อือฮึ ยังไม่ได้ถามเลย ทำไมถึงอยากลองล่ะ”

“คือว่า.. พอนึกว่าคุณหมอส่งผมมาอยู่กับคุณริชเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยแล้ว ผมก็เป็นห่วงคุณหมอเหมือนกัน คุณริชเล่าเรื่องพี่ชายของคุณหมอให้ฟัง...ท่าทางจะเป็นคนอันตรายน่าดูเลย” ลาซารัสก้มหน้าลง พอนึกถึงสายตาของพี่ชายคนโตตระกูลรอสเกรย์เขาก็เผลอนั่งตัวเกร็งขึ้นมา “เป็นคนน่ากลัวมากด้วย.. ถ้าผมมีทักษะอะไรที่พอจะช่วยคุณหมอได้ ผมก็อยาก…”

คาเล็มถอนหายใจให้กับความคิดตื้นๆราวกับเด็กๆ และหลุดส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “ขอบใจที่เป็นห่วงนะ แต่ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า เจอมาเยอะแยะแล้ว”

“ก็เพราะแบบนั้น ผมเลยไม่อยากถ่วงคุณหมอนี่นา! ...อ..อีกอย่างมันก็ดูเท่ดี..”

“นายจะฝึกเพราะมันเท่เฉยๆนั่นแหละ”

“เปล่านะครับ ผมอยากเป็นกำลังให้คุณหมอจริงๆ! คิดดูสิครับ สมมุติว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นผมจะได้ปกป้องคุณหมอได้ไง!” ลาซารัสมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตามุ่งมั่นจนคาเล็มแอบรู้สึกปลื้มปิติในใจ

“ขอบใจนะ ดีใจที่นายอยากช่วย แต่เรื่องใหญ่ขนาดว่าต้องชักปืนมายิงกันเนี่ยมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายขนาดนั้นเหมือนในหนังหรอกน่า”

โครม!

เสียงดังเอะอะจาดด้านนอกห้องทำเอาทั้งสองคนสะดุ้งจนลุกขึ้น ก่อนเสียงคนโวยวายจะดังแว่วมาเข้าหู นั่นเป็นเสียงของเออร์แฟนแน่นอน แต่อีกเสียงนั้นทั้งลาซารัสทั้งคาเล็มไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเขามองหน้ากันก่อนตัดสินใจจ้ำเท้าเดินตรงไปที่ประตู

“นายไม่ต้องก็ได้” คาเล็มยกแขนขึ้นกันร่างโปร่งที่เดินตามเขามาติดๆให้ถอยกลับไป

“ทำไมล่ะครับ?”

“ถ้าเกิด..เป็นไอ้พวกไม่หวังดีเกี่ยวกับคดี…” ดวงตาของคุณหมอเจือด้วยแววความเป็นห่วงและวิตกกังวลชัดเจน “เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งออกไปจนกว่าฉันจะบอกว่าปลอดภัยนะ”

คาเล็มแง้มประตูออกมาดูเหตุการณ์ภายนอก โต๊ะร้านกาแฟตัวหนึ่งลงไปกลิ้งเอกเขนกบนพื้นพร้อมกับเก้าอี้หนึ่งตัว แก้วกาแฟที่หมดเกลี้ยงแล้วก็แตกอยู่ใกล้ๆที่นั่น ตอนนี้เขาเห็นแค่เออร์แฟนที่ยืนทำหน้าตื่นตระหนก..ระคนด้วยความ...สับสน? ไม่สิ...สีหน้าของชายหนุ่มรูปงามออกแนวโกรธเกรี้ยวเล็กน้อยอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อเหล่ไปทางสามสาวใช้ที่มากับลาซารัส พวกเธอกลับทำแค่นั่งตะลึงอยู่เฉยๆ.. เท่าที่รู้จักกันมา คนใช้บ้านริชาร์ดก็สัญชาตญาณดีพอจะตัดสินใจว่าเหตุการณ์มันย่ำแย่จนพวกเธอต้องออกมาควบคุมสถานการณ์หรือไม่

เห็นดังนั้นคาเล็มก็เปิดประตูออกมาโดยพยายามไม่เปิดจนสุดเพื่อไม่ให้ลาซารัสถูกใครก็ตามที่ก่อเรื่องเห็นตัวเข้า “เกิดอะไรขึ้น?” คุณหมออัลฟ่าหันรีหันขวางเพื่อมองหาคนอธิบาย จะบอกว่าริชาร์ดไม่พอใจสัญญาก็คงไม่ใช่ หมอนั่นไม่ใช่คนโมโหร้ายแบบนี้หรอก

“โทษทีคาเล็ม ทำพวกนายตกใจหมดเลย” ริชาร์ดที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะตอบออกมา...ทว่า อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขานั้นกลับไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เท่าที่มองด้วยสายตา ขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็กแม้จะใส่เสื้อตัวหนาก็ยังคงปกปิดไม่ได้นี่.. โอเมก้า? ทำไมมีโอเมก้าคนอื่นอยู่ตรงนี้? แถมจากการแต่งตัวก็ไม่น่าใช่พวกที่เขาหรือเพื่อนเคยช่วยจากการโดนกดขี่แน่ๆ

“คาเล็ม?...” ชายแปลกหน้าที่สวมแว่นกันแดดปกปิดดวงตาเอาไว้หันมาหาเขา แม้จะนึกไม่ออกว่าไปเจอกันที่ไหน แต่ทำไมบรรยากาศของคนๆนี้ถึงคุ้นนัก?

“...ริชาร์ด...ใครวะ?” คุณหมอแง้มประตูไว้เผื่อลาซารัสอยากดูสถานการณ์ ก่อนเขาจะเดินมาลากแขนเพื่อนตัวเองออกมากระซิบให้ห่างจากที่เกิดเหตุ “ว่าแต่แกไม่เป็นไรใช่มั้ย ที่โดนลักพาตัวไปน่ะ นี่หนีออกมาได้เรอะ?”

“ไม่ได้หนี ก็ไอ้คนพาตัวฉันไปก็หมอนั่นแหละ”

ยิ่งพูดยิ่งทำให้สองคิ้วขมวดแทบจะผูกเป็นเส้นเดียวกัน หางตาแอบเหลือบเห็นว่าชายที่ดูอ่อนวัยกว่าเขาอยู่หลายปีนั้นยังคงจับจ้องมา “หา? แล้วแกพาผู้ร้ายลักพาตัวมาทัวร์บริษัทรึไง?”

ก็ไม่ได้อยากเลยสักนิดครับท่าน นี่น่ะโดนบังคับให้พามาด้วย ไม่งั้นไม่ได้กลับมาครบสามสิบสองอย่างที่เห็นนี่หรอก...ริชาร์ดทำหน้าปลดปลงอยากโพล่งออกไปใจจะขาด “เขาอยากมาเจอแกด้วย”

“ฉัน?” แม้จะเจอโอเมก้ามาขอความช่วยเหลือมากมาย แต่ดูจากท่าทางของฝ่ายนั้นแล้วอย่าว่าแต่มาขอความช่วยเหลือเลย ดูท่าทางจะแกร่งกว่าโอเมก้าหน้าไหนๆที่เขาเคยเจอมาทั้งชีวิตอีก

โอเมก้าปริศนาดันร่างสูงใหญ่ของซีอีโอให้ถอยห่างก่อนจะมายืนประจันหน้ากับคุณหมอ ลาซารัสเห็นท่าไม่ค่อยดีเลยเดินมาเอาตัวขวางไม่ให้เข้าใกล้ตัวคาเล็ม

“ไอ้หนู ถอยไป” แม้จะใส่แว่นกันแดดสีเข้มสนิทจนแทบมองไม่เห็นดวงตา แต่น้ำเสียงข่มขู่ก็ทำเอาโอเมก้าด้วยกันเองยังประหม่า คนๆนี้ใช่โอเมก้าแน่เหรอ? บอกว่าเป็นอัลฟ่ายังจะเชื่อมากกว่าอีก

“ม...ไม่ครับ! ผมไม่ให้คุณทำร้ายคุณหมอหรอก!” ดวงตาสีฟ้าจ้องกลับแม้จะแอบกลัว คาเล็มพยายามดึงร่างโปร่งให้ถอยมาอยู่ข้างหลังเขา ทว่าโอเมก้าที่ท่าทางอันตรายคนนั้นกลับหัวเราะใส่ทั้งคู่

“หึๆ ฉันอาจจะสั่งสอนพวกอัลฟ่าน่ารังเกียจมาเยอะ แต่กับเขา...ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่ะ” คำอธิบายนั่นไม่ได้ช่วยให้คนฟังคลายกังวลลงเลยสักนิด แถมยังระแวงหนักกว่าเดิมเสียอีก

“นายเป็นใคร? ฉันไปทำอะไรให้งั้นรึ?” ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องตอบและดึงแขนลาซารัสให้มาอยู่ข้างๆตัว เมื่อเห็นดังนั้นริชาร์ดก็ออกอาการเป็นห่วงทั้งคู่ แต่ข้างหลังเขามีลูกน้องของโอเมก้าคนนั้นประกบอยู่เลยเข้าไปใกล้ไม่ได้

“ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย” คนกล่าวถอดแว่นกันแดดออกมาเก็บ โอเมก้าคนดังกล่าวมีดวงตาสีเขียวอ่อนปนเทาเหมือนกับคุณหมอคาเล็มไม่มีผิดเพี้ยน และเป็นดวงตาแบบเดียวกับคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี...ดวงตาที่เหมือนกับแม่ของเขา

“นาย...หรือว่าจะเป็น...” แทบทุกสายตาหันมาจับจ้องคุณหมอรอสเกรย์ที่ดูท่าจะรู้จักแขกไม่ได้รับเชิญคนนี้ “นายคือคาร์เมนเหรอ?”

“...อือ” คำตอบรับแสนเรียบง่ายพร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกอยากจะเข้าไปปลอบนี่มันช่าง...

“เฮ้ย! / หวา!”

เสียงร้องฮือฮาดังไปทั่วบริเวณเมื่อโอเมก้านามคาร์เมนโผเข้ากอดร่างของคาเล็ม แถมคุณหมอก็ยังกอดตอบอย่างไม่ลังเล ทำเอาทุกคนที่จ้องดูมวยอยู่ดีๆ ต่างก็คิดมโนกันไปต่างๆ นานา นี่ถ้าไม่มีความเกรงใจคงได้ยกกล้องมือถือมากดถ่ายรูปไปแล้ว
ลาซารัสยืนแข็งตัวค้างเป็นหิน กว่าจะขยับตัวได้อีกทีก็ตอนที่เห็นทั้งคู่คลายวงแขนออกจากกัน

“คาเล็ม คนรู้จักเหรอ?” ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้กอดกันแน่นขนาดนั้นทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากัน ส่วนลาซารัสนั้นแม้จะอยากกอดคุณหมอแทบตายยังทำได้แค่คิดด้วยซ้ำ!

“น้องชายฉันเอง”

“ห้ะ!?” เพื่อนรักที่ไม่รู้ว่ายังโดนนับเป็นเพื่อนรักเหมือนเดิมอยู่มั้ยทำหน้าปั้นยาก “เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนนะ! คนนี้เหรอที่เคยเล่าว่า…”
เสียงของอัลฟ่ามากวัยเงียบลงเมื่อโดนมือของใครบางคนมาจับบ่า “เออร์แฟน? มีอะไร เรื่องสัญญาไว้ทีหลังได้มั้ย”

“...ทายาทที่เป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวของตระกูลรอสเกรย์ที่เคยตกเป็นข่าวซุบซิบเมื่อสี่สิบปีก่อนว่าถูกแม่อุ้มหายไปหลังงานศพของผู้นำตระกูลสินะ” อัยการหนุ่มกล่าวสรุปใจความให้คนที่อยู่ในวงล้อมได้ยินกันแค่นั้น “สำหรับตระกูลนั้นแล้วการมีลูกที่เกิดมาเป็นโอเมก้านับเป็นความอับอายไม่ต่างไปจากการมีลูกที่เกิดกับคนรับใช้ แม่ของคาเล็มคงคิดดีแล้วล่ะถึงได้พาหนีไปตั้งแต่เล็ก”

ไปเอาข้อมูลนั้นมาจากไหนวะครับคุณอัยการ เรื่องมันเกิดก่อนที่เอ็งจะเกิดอีกไม่ใช่เหรอ! หลายคนในที่นั้นได้แต่คิดสงสัยในใจ
ลาซารัสแอบจ้องมองไปยังใบหน้าน้องชายของคุณหมอ ความรู้สึกโล่งอกเหมือนได้ยกภูเขาออกไปนั้นทำเอาเขาแทบทรุดลงนั่งพื้นเลย

“แต่...พวกนายทั้งคู่ก็ไม่เคยเจอกันเลยไม่ใช่เหรอ?” ริชาร์ดมองสองพี่น้องที่กอดกันกลมเมื่อสักครู่ราวกับคิดถึงแทบใจจะขาด “ไม่สิ...สำคัญกว่านั้นคือทำไม เอ่อ...คุณคาร์เมนถึงอยากมาเจอพี่ชายกันล่ะ”

ริชาร์ดไม่กล้าเรียกชื่อน้องชายเพื่อนห้วนๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าคาร์เมนเป็นโอเมก้าที่ ‘พิเศษ’ เสียจนแม้แต่อัลฟ่ายังแอบหงออย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน แม้จะเคยพบโอเมก้าที่เกิดในตระกูลที่อัลฟ่าเป็นใหญ่ก็ยังไม่รู้สึกเกร็งขนาดนี้

“ไปหาร้านหรือที่เป็นส่วนตัวกว่านี้นั่งคุยก่อนดีกว่า เรื่องมันยาว” คาร์เมนสรุปก่อนจะสวมแว่นกันแดดกลับเหมือนเดิมแล้วเดินไปหาเจ้าของร้านกาแฟ มือล้วงเข้าไปในเสื้อตัวใหญ่และหยิบแบงค์เป็นปึกส่งให้กับมือโคลวิส คนที่นั่งจ้องอยู่ใกล้ๆถึงกับตาวาวส่วนคนรับเงินมาก็เกร็งจนทำตัวไม่ถูก

“ค่าเสียหายที่ทำร้านพัง ไม่พอเดี๋ยวจะเซ็นเช็คให้”

ไม่ต้องครับพี่! แค่นี้ผมก็ซื้อโต๊ะซื้อแก้วยกชุดใหม่ได้ทั้งร้านแล้ว!

ทุกคนต่างคิดเหมือนกันหมดว่า เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอโอเมก้าที่ ‘แมนสมเพศ’ ขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ!


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (17/04/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-04-2017 00:27:01
คาร์เมนเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่าหลังจากแม่หนีออกมาจากบ้านใหญ่ตระกูลรอสเกรย์ ก็ได้พาคาร์เมนที่ยังเล็กกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมของเธอ แต่ก็ถูกปฏิบัติราวกับไม่เคยเป็นลูกบ้านนี้ และไม่นับคาร์เมนเป็นหลานแท้ๆด้วยซ้ำ เธอต้องทำงานอย่างหนักไม่ต่างจากพวกคนงานแต่กระนั้นเธอก็ยังเลี้ยงดูคาร์เมนเป็นอย่างดี แม้จะลำบากแต่ก็มีความสุขตามประสาแม่ลูก

ทว่าด้วยสภาพร่างกายของโอเมก้าที่ไม่ได้ถูกสร้างมาให้แบกรับการทำงานใช้แรงกาย พอหลายปีเข้าผู้เป็นแม่ก็ล้มป่วยเพราะทำงานหนักเกินไป เขาคิดว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไปล่ะก็แม่คงอยู่ได้อีกไม่นาน จึงเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้วพาแม่หนีออกบ้านไปตายเอาดาบหน้ากันสองแม่ลูก ทำงานแลกเงินมาได้เท่าไหร่ก็เอามาเป็นค่ายาค่ารักษาแม่จนหมด เพิ่งจะมามีรายได้มั่นคงดีขึ้นก็ตอนที่เขาโตพอจะหาเงินได้มากพอจะจ้างพยาบาลและคนดูแลแม่ได้

“ถึงจะหาคนมาดูแลอย่างดีแล้ว แต่….พูดตรงๆคิดว่าแม่คงอยู่ได้อีกไม่นาน…” คาร์เมนเอ่ยเสียงเบากับพี่ชายที่นั่งข้างๆ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดได้ย้ายที่จากบริษัทมานั่งคุยที่บ้านพักนอกเมืองของริชาร์ด ถ้าจะเรียกแบบเข้าใจง่ายๆ ก็เซฟเฮาส์เพราะบ้านคาเล็มก็ไม่สามารถไปได้ ไม่อย่างนั้นความลับเรื่องที่อยู่ของคุณหมออาจจะหลุดออกไปได้ เพราะริชาร์ดเองก็กำลังเป็นที่จับตามองของพวกนักข่าว จะให้คาเล็มมาโดนหางเลขถูกโจมตีในเวลาที่กำลังเตรียมการจะสู้คดีไม่ได้

ตอนนี้ในห้องรับรองของบ้านพักของริชาร์ดมีคาเล็มกับคาร์เมนที่กำลังถามไถ่ทุกข์สุขกันอย่างคร่าวๆ กับริชาร์ดที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยนั่งแยกไปคุยกับเออร์แฟนและลาซารัสอยู่อีกมุมห้อง

“นั่นแหละ ถ้านายยินยอมตามนี้ก็ลงชื่อตรงนี้นะ” เออร์แฟนอธิบายเรื่องสัญญาของเจ้าของโอเมก้าให้ฟังจนหมดแล้วก็อธิบายไปว่า หากเกิดแพ้ยามากๆก็สามารถขอหยุดการทดลองได้ และมีการคุ้มครองหลังจากรักษาตัวจากผลค้างเคียงและอาการแพ้ยาจากโรงพยาบาลได้ตลอดจนกว่าจะกลับเป็นปกติ “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่ะ ตอนนี้นายเป็นเจ้าของพ่อเป็ดน้อย นายก็ต้องเป็นคนลงชื่อนั่นแหละ”

“เป็ดน้อย?” ลาซารัสขมวดคิ้ว ริชาร์ดเองก็ทำหน้างงงวยไม่แพ้กัน

“อ่านดูก็แฟร์ดี” ริชาร์ดนั่งไล่อ่านสัญญานับสิบหน้าอย่างละเอียดเป็นรอบที่สามเพื่อตรวจสอบทุกอย่างโดยละเอียด ติดเป็นนิสัยจากการทำข้อตกลงทางการค้ามานักต่อนัก ทำเอาเออร์แฟนต้องพูดเสริมไปซะหลายข้อกว่าเจ้าตัวจะยอมคว้าปากกามาลงชื่อรับ
“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงโดนน้องชายหมอนั่นจับไปล่ะ? เขาเข้าใจผิดอะไรรึ?” อัลฟ่าผู้สง่างามมองไปทางคาร์เมนที่ยังคงคุยเรื่องคุณแม่ที่ล้มป่วยกับคาเล็มอยู่

“โดนพ่อฉันปั่นหัวเอาน่ะสิ ไอ้แก่นั่น...ต้องจัดการให้หลาบจำซะแล้วมั้ง” พูดไปริชาร์ดก็กัดฟันกรอด ตอนนี้บทสนทนาดูจะไม่ได้จริงจังมาก บรรยากาศผ่อนคลายลง ลาซารัสเองก็สังเกตุว่าเออร์แฟนมองไปทางคาร์เมนไม่วางตาจนน่าสงสัย

“งี้นี่เอง..” อัยการหนุ่มแอบขำที่เรื่องมันบานปลายเพราะปัญหาพ่อลูกไม่ลงรอยกัน

“ขอโทษครับ.. เมื่อตอนที่อยู่ในร้านกาแฟ ทำไมจู่ๆ คุณคาร์เมนถึงได้…” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยถามเมื่อทั้งสองเงียบจากการพูดคุยไปสักพัก

“...อ๋อ” ริชาร์ดยกมือขึ้นเกาศีรษะ “เอ่อ… มัน.. ค่อนข้างน่าประหลาดใจนิดหน่อย”

“หมอนั่นเป็นโซลเมทกับฉัน”

“......ห้ะ?” ลาซารัสตัวแข็งทื่อมองอัยการหนุ่มสลับกับโอเมก้าที่ดูแล้วอายุคงจะเกือบๆ สี่สิบในอีกไม่กี่ปี

“อย่าเสียงดังนักสิ เดี๋ยวเขาก็อาละวาดอีกหรอก” เจ้าของบ้านปรามไม่ให้เออร์แฟนพูดดังจนไปเข้าหูของคนที่ถูกพูดถึงอยู่ “ก็เห็นอยู่นี่ว่สตอนนั้นเขาโมโหจนคว่ำโต๊ะไปเลย”

“อย่างกับว่าฉันโอเคงั้นแหละ” ดวงตาสีทองตวัดมามองอย่างไม่พอใจ “แต่ดีนะว่าฉันควบคุมตัวเองได้น่ะ”

“เอ่อ.. มันไม่โอเคตรงไหนเหรอครับ?” ลาซารัสถามต่อหลังจากที่นิ่งไปนาน ถึงจะไม่เคยเจอกับตัวสักครั้งแต่ก็ได้ยินมาว่าโซลเมท หรือคู่แห่งโชคชะตานั้นว่ากันว่าน้อยคู่นักที่จะมีโอกาสได้เจอกัน แม้แต่ในตลอดช่วงชีวิตของอัลฟ่ากับโอเมก้าแห่งพรหมลิขิตที่ฟ้าให้เกิดมาคู่กันก็ใช่ว่าจะได้เจอกันง่ายๆ

นี่มันไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจหรอกเหรอ?

อัยการอัลฟ่ากันมาจ้องโอเมก้าเจ้าของดวงตาสีฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย

“นี่… นายมองไปทางนั้นนะ” เออร์แฟนชี้นิ้วสั่งให้จ้องมองคาร์เมนอย่างแอบๆ และก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสามคน “ตาลุงวัยกลางคนขี้โมโห อีโก้จัด ชอบวางอำนาจอยู่เหนืออัลฟ่า ที่สำคัญไม่ใช่สเป็คฉันเลยสักนิด นี่มันเรียกว่าเลวร้ายสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอ!?”

“ได้ยินนะโว้ย!” คาร์เมนตะโกนตอบมาจากอีกมุมห้องหนึ่ง จะหูดีเกินไปแล้ว! “พูดอะไรช่วยดูตัวเองบ้างเหอะ อัยการหน้าเลือดที่ขูดรีดคนอื่น มีทั้งบ่อนฟอกเงินทั้งแก็งค์มาเฟียในครอบครอง แถมทำงานให้คนสกปรกตั้งเยอะแยะน่ะ ฉันเองก็ไม่อยากได้นายเป็นโซลเมทเหมือนกันนั่นแหละ!”

“หา!? นี่พวกนายเป็นโซลเมทกัน!!?” คุณหมอเพิ่งจะรู้เรื่องก็ทำหน้าแตกตื่นแล้วมองทั้งสองคนสลับกันระรัว “เอ๊ะ? แล้ว...ทำไม…”

“ผมกินยาต้านอาการฮีทไว้... ยาที่พี่สร้างมานั่นแหละ” คาร์เมนหันกลับมาตอบคุณพี่ชายเมื่อเดาประโยคคำถามที่ยังไม่ทันจะออกจากปากดี ด้วยน้ำเสียงนุ่มฟังแล้วรื่นหูต่างจากที่ตวาดใส่อัยการหนุ่มเหมือนร็อคเกอร์แทบจะฟ้ากับเหว

“ความจริงฉันก็เกือบแย่... แต่ความรู้สึกที่ว่า เหมือนฟ้าลงโทษนี่มันทำเอาหมดอารมณ์ทุกอย่างเลย” เออร์แฟนยักไหล่ ดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของคาร์เมนเท่าไหร่ ลูกค้าหรือคู่กรณีปากร้ายกว่านี้ก็เจอมาแล้ว แค่นี้นับว่าเด็กๆ

“เด็กเหลือขออย่างแกอย่าหวังเลยว่าฉันจะเอา”

เหมือนเห็นเค้าลางหายนะจากคู่โซลเมทที่ไม่ได้มีความโรแมนซ์ให้แก่กันเหมือนในเรื่องเล่าเลยสักนิด  แต่ละคนเลยต้องทำหน้าที่กรรมการห้ามมวยไม่ให้ทั้งคู่เข้าใกล้ในระยะที่จะฟาดเท้าฟาดปากกันได้

เมื่อจบเรื่องจบธุระของทั้งเออร์แฟนทั้งคาเล็ม รวมทั้งธุระไม่คาดหมายของคาร์เมน ทุกคนก็มานั่งรวมโต๊ะกันอีกครั้ง สาวใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยทั้งในฐานะบอร์ดี้การ์ดและคอยดูแลรับใช้ก็ยกทั้งขนมของว่างและชายามบ่ายมาเสิร์ฟอย่างรู้งาน

“อ่ะ คาเล็ม นี่ของที่ฝากซื้อ” ริชาร์ดยื่นถุงในมือที่ใส่กล่องแหวนให้กับเพื่อน

“ฝากซื้อ? พี่ฝากเขาซื้อแหวนไปทำไมรึ?” คาร์เมนเงยหน้ามามองอย่างสงสัย อัลฟ่าทั้งสองถึงกับหันไปมองเป็นตาเดียวกัน นี่ยึดทรัพย์สินตอนลักพาตัวไปแล้วยังแอบส่องดูของข้างในอีกเหรอ!?

“แหวน?” ทั้งลาซารัสและเออร์แฟนมองทั้งสองด้วยสายตาแปลกประหลาดแต่คนละห้วงอารมณ์ ลาซารัสนั้นดูจะงุนงง แต่เออร์แฟนนี่สิ ท่าทางจะคิดว่าพวกเขากลายสภาพจากเพื่อนรักกลายเป็นรักเพื่อนไปแล้ว

“...เอาเป็นว่านี่มันเรื่องของฉัน ...แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่นายคิดด้วยเออร์แฟน!” คาเล็มตวาดใส่คนที่ยังไม่หยุดมอง “ในเมื่อหมดธุระแล้ว..ก็แยกย้ายได้แล้วมั้ง?”

“ยัง มีเรื่องพี่ชายตัวดีของนายที่ยังไม่ได้เคลียร์อยู่” เออร์แฟนเปิดประเด็นใหม่ต่อทันที

ลาซารัสและริชาร์ดหันขวับมาทางคนพูด งานนี้พี่ชายของคาเล็มมาเกี่ยวอะไรด้วย?

อัยการหนุ่มเล่าว่าตอนที่ริชาร์ดหายตัวไป คาเล็มโทรศัพท์ติดต่อไปที่บ้านใหญ่เพราะคิดว่าเป็นฝีมือของพวกอดีตลูกความในความดูแลของตน

ริชาร์ดเหล่ไปทางคาร์เมนที่ลอบยิ้มชวนสยองเบาๆ ก่อนเขยิบย้ายก้นนั่งเว้นระยะห่างออกมา

“จะไปเยี่ยมหน่อยมั้ย ไม่สิ...ผมว่าพี่ควรรีบไปดูใจพี่ชายใหญ่นั่นก่อนจะได้เจออีกทีในงานศพจะดีกว่านะ”

แต่ละคนรู้สึกหนาวสันหลังแปลกๆ กับใบหน้าของโอเมก้าวัยกลางคนที่ยิ้มสดใสจนใบหน้าดูลดอายุลงไปหลายปี ตรงกันข้ามกับวาจาที่พูดเหมือนต้องการแช่งให้ฝ่ายนั้นลงโลงไปในเร็ววัน



“แหมๆๆ อุตส่าห์ชวนมาแค่สองคน แต่สงสัยนายจะหูตึงจริงๆนั่นแหละคาเล็ม นี่ฉันนับรวมกันได้สองโหลเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ!”

คาร์เรย์หัวเราะลั่นเมื่อน้องชายอัลฟ่าคนเล็กยกพวกมาบุกบ้าน ซึ่งนอกจากจะมีเพื่อนซี้อัลฟ่าตัวพ่ออย่างซีอีโอยักษ์ใหญ่กับอัยการหน้าเลือดติดมาด้วยแล้ว ที่เหลือก็เป็นบอร์ดี้การ์ดในชุดเมดกับลูกน้องเบต้าสูทดำมาดมาเฟีย แต่แทนที่พี่รองจะหัวเสียกลับดูไม่สะทกสะท้านสักนิด แถมยังสั่งให้พวกพ่อบ้านรีบเตรียมสำรับดินเนอร์เพิ่มอย่าให้ขาดตกบกพร่อง

เมื่อเข้ามาถึงด้านในห้องโถงกลางบ้าน คาเล็มก็เห็นพี่ใหญ่ที่นั่งตาลอยอยู่บนรถวีลแชร์โดยมีอาเซลอดีตเพื่อนร่วมงานที่สถาบันวิจัยเป็นคนเข็นและดูแลใกล้ๆไม่ห่าง พอฝ่ายนั้นเห็นคาเล็มก็หลบสายตาและเข็นรถเดินผ่านไปทางสวนหย่อม

“คาเซล่าไม่อยู่หรอก ตอนนี้เป็นตัวแทนประธานบริษัททำงานแทนพี่ใหญ่ เดี๋ยวเย็นๆก็กลับแล้ว” แม้จะไม่ได้มีใครถามแต่เห็นน้องเล็กหันหน้าเหมือนมองหาใครบางคนเขาก็เลยชิงบอกก่อน

“ฉันไม่ได้มองหาคาเซล่า แต่เป็นพี่สะใภ้ต่างหาก” จะเรียกคำนั่นก็พูดได้ไม่เต็มปาก เจ้าสาวที่อายุน้อยคราวลูกมาแต่งงานกับอัลฟ่าแบบพี่ชายคนนั้นได้นี่คิดยังไงก็คงเพราะผลประโยชน์ของทางครอบครัวอยู่แล้ว

“หย่ากันแล้ว” คาร์เรย์ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป “เห็นสภาพพี่ใหญ่แล้วนี่ คิดว่าใครจะทนอยู่ด้วยได้ล่ะ นอกจากหมอนั่น”

“หมอนั่น?” ดวงตาหลังกรอบแว่นหันไปดูพี่ชายและเพื่อนเก่าที่กำลังพาเดินเล่นอยู่ในสวน สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเกินกว่าใบหน้าของหมอที่ดูแลผู้ป่วยแบบนั้นของอาเซลเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตอนที่ทำงานด้วยกัน “หรือว่า...อาเซลชอบพี่ใหญ่งั้นเหรอ!?”

คาเล็มยื่นใบหน้าเข้าไปถามเสียงเบา

“โอ้ละหนอชีวิต รักฝ่ายเดียวที่เป็นไปไม่ได้ของเบต้าชายธรรมดาที่หลงรักอัลฟ่าชายผู้แบกรับหน้าตาของตระกูลไว้ ช่างน้ำเน่าเสียยิ่งกว่าบทละครเสียอีกว่ามั้ย ฮะๆๆ!”

คาร์เรย์หัวเราะดังราวกับจะให้เสียงนั้นได้ยินไปถึงหูคนข้างนอก แต่ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่เขาก็หาได้สนใจความรู้สึกคนถูกว่ากระทบ

“แต่ว่าความรักที่เป็นไปไม่ได้พรรค์นั้นก็ยังเทียบไม่ได้กับโศกนาฎกรรมที่พี่ใหญ่เป็นคนเริ่มหรอกนะ”

ทุกคนถูกคาร์เรย์เชิญมายังห้องที่รายล้อมไปด้วยภาพเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลรอสเกรย์ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัยพวกเขาก็สร้างความรุ่งเรืองเป็นหน้าตาให้แก่ประเทศเสมอมา ในฐานะตระกูลที่ให้กำเนิดบุคคลสำคัญที่เป็นดั่งฟันเฟืองขับเคลื่อนประทศ

แต่ทว่า...สิ่งนั้นกลับไม่ได้แสดงให้เห็นในคนรุ่นปัจจุบันดังที่รุ่นเก่าเคยทำไว้เลย

สำหรับผู้นำตระกูลรอสเกรย์ที่มีหน้ามีตาในสังคม ก็ย่อมต้องการทายาทที่ดีพร้อมเหมือนที่ผู้นำคนก่อนให้กำเนิดสายเลือดอัลฟ่าออกมามากมาย แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่พระเจ้าก็ไม่เคยประทานลูกให้กับคาร์บฮอลล์ผู้นำคนปัจจุบันเลย

ไม่ว่าจะมีภรรยาสักกี่คน ใช้ยากระตุ้นช่วยเพิ่มสมรรถภาพ อีกทั้งยังปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เด็กที่จะสืบทอดเป็นผู้นำคนต่อไปเกิดขึ้นมา แต่ก็ไร้ความหมาย...

‘อัลฟ่าไร้น้ำยา’ นั่นคือคำปรามาสที่คนอื่นพูดถึงเขาลับหลัง เป็นเวลาหลายปีกว่าที่เขาจะยอมตัดสินใจไปตรวจร่างกายเพื่อพบว่าตัวเขาไม่สามารถมีลูกได้ ไม่ใช่ความผิดของพวกโอเมก้าหรือเบต้าผู้หญิงคนใด แต่เขาเองต่างหากที่ขาดคุณสมบัตินั้น

‘ไม่...มันต้องไม่เป็นแบบนี้’

‘มันไม่ใช่ความผิดของฉัน พวกนั้นต่างหากที่มีลูกให้ฉันไม่ได้’

ความกดดันเหล่าทำให้พี่ใหญ่เครียดและต้องกินยาอยู่เสมอ  แต่ผลข้างเคียงจากยาระงับความเครียดที่สะสมมาเป็นเวลานานก่อให้เกิดผลข้างเคียง บุคคลิกของคาร์บฮอล์ลบ้างเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งเฉยชาแต่อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาเสียสติจนคุมไม่อยู่ เรื่องนี้ถูกปิดไม่ให้คนนอกรู้เพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล แม้แต่คาเล็มที่ตอนนั้นออกจากบ้านไปใช้ชีวิตของตัวเองข้างนอกแล้วก็ไม่รู้เรื่องนี้

จนกระทั่งครั้งที่คาร์บฮอลล์ได้รู้ข่าวที่คาเล็มโด่งดังเพราะประสบความสำเร็จในการผลิตยาระงับอาการฮีทในโอเมก้าที่แทบไม่มีผลข้างเคียงและมีคนรักที่กำลังจะแต่งงานกัน ตรงข้ามกับเขาที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ จากปัญหาสุขภาพทำให้ไฟแค้นที่สุมในอกระเบิด

‘ฉันคนนี้เป็นพี่ชายคนโตและผู้นำตระกูล แต่กลับถูกน้องชายแซงหน้าไปก่อน ยกโทษให้ไม่ได้!’

แล้วคาร์บฮอล์ลก็ได้วางแผนทำลายน้องชายร่วมสายเลือดให้ย่อยยับคามือ เขาดึงตัวอาเซลที่หลงรักตัวเองมาเป็นพวกเพื่อใช้วิธีสกปรกทำให้คาเล็มเสียความน่าเชื่อถือ ใช้คนของตนลักพาตัวเอาคนรักมาจากคาเล็ม กักขังหน่วงเหนี่ยวและบังคับข่มขืน ทว่า...เมื่อโนเอลสามารถตั้งท้องลูกของพี่ใหญ่ได้เขาจึงเปลี่ยนท่าทีมาคอยประคบประหงมดูแลอย่างดีเพื่อให้เด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัย แต่โนเอลกลับทำร้ายร่างกายตัวเองจนแท้งลูกและเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากไประหว่างทางที่นำตัวส่งโรงพยาบาล

หลังงานศพของโนเอลจบลงพร้อมกับการยัดเงินมหาศาลเพื่อจ้างทนายว่าความจากคนของเออร์แฟนที่ได้ผลสรุปในชั้นศาลลงความเห็นว่าโนเอลเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ คาร์บฮอล์ลก็ต้องเข้ารับการบำบัดเป็นเวลานานกว่าจะเริ่มกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เกือบตลอดเวลา

เขาตัดใจเรื่องที่จะหาวิธีมีทายาทสืบสกุลแล้วแต่งงานการเมืองกับหญิงสาวจากตระกูลผู้ดีทัดเทียมกันแต่อายุน้อยคราวลูกหลาน ทว่าก็ยังผูกใจเจ็บไม่ยอมตัดใจเรื่องคาเล็ม พอเห็นน้องชายกำลังจะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหลังจากถูกเหยียบจมดินไปแล้ว เขาก็คิดหาทางที่จะถอนรากถอนโคนไม่ให้กลับมาผงาดได้อีก แต่คาเล็มที่เก็บตัวมาเป็นสิบปีไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครก็ไม่มีจุดอ่อนให้เล่นงานมากนัก จะลงมือทำอะไรริชาร์ดที่เป็นเพื่อนสนิทก็กลัวจะเอิกเกริกเกินไป จึงต้องลองเสี่ยงวัดดวงกับตัวเลือกอันน้อยนิด

คาร์บฮอลล์ได้ไปว่าจ้างนักสืบให้ตามหาแม่และน้องชายของคาเล็มเพื่อคิดจะใช้ต่อรองกับน้องชายตัวปัญหา แต่สิ่งที่ผู้เป็นพี่ใหญ่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็คือน้องชายโอเมก้าเพียงคนเดียวที่คิดว่าคงจะไร้พิษสงนั้นกลับเป็นตัวอันตรายเสียยิ่งกว่าคาเล็มที่เคยคิดว่าเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่

ตอนที่ได้ยินว่าคาร์เมนทำงานอยู่ในเขตย่านเริงรมย์ซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่ซึ่งเบื้องหลังทำงานผิดกฏหมายแต่ตำรวจไม่มีอำนาจทำอะไรได้ เขาคิดว่าน้องชายโอเมก้าตัวน้อยๆ ที่ทำงานประเภท ‘รับแขก’ ให้คนเหล่านั้นจะมาต่อกรอะไรกับอำนาจของประธานรอสเกรย์ได้

ทว่า...มันเกินกว่าที่คาดหมายไปมาก

‘อย่าเข้าไปยุ่งกับคาร์เมน เขาอันตรายเกินไป’ นั่นเป็นคำเตือนจากนักสืบที่เขาจ้าง แต่ไม่บอกรายละเอียดอะไรราวกับถูกข่มขู่มาว่าหากปากโป้งจะได้ไปนอนเป็นอาหารปลาในทะเลน้ำลึก

ในเอกสารที่นักสืบให้มามีรายละเอียดไม่มากนัก รูปที่ถ่ายติดใบหน้าของคาร์เมนรูปเล็กๆจากระยะไกล ซึ่งในข้อมูลบอกว่าเขาทำงานเฉพาะช่วงกลางคืนและกลางวันจะแวะมาคอยดูแลแม่ที่เจ็บออดๆ แอดๆ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นเหมือนบ้าน คาร์บฮอล์ลคิดว่างานนี้จะหวานหมูจึงสั่งคนให้ไปพาตัวแม่ของคาร์เมนมาเพื่อใช้ล่อตัวลูก แต่พวกลูกน้องที่ส่งไปไม่มีใครได้กลับมาตัวเป็นๆ แต่กลับมาเป็น ‘ชิ้นส่วน’

กว่าคาร์บฮอล์ลจะรู้ตัวว่าไปแตะต้องสิ่งที่ไม่ควรยุ่งเข้า เขาก็ถูกข่มขู่สารพัดจนโรคเก่ากำเริบกลับมาเสียสติอีกครั้งแถมอาการรุนแรงกว่าเดิม และหวาดระแวงกลัวว่าจะถูกคาร์เมนทำร้าย ยากล่อมประสาทที่กินเกินขนาดก็ไปทำให้เห็นภาพหลอนวิญญาณของโนเอลมาตามรังควาน เขาสะดุ้งตื่นกลางดึกและวิ่งหนีออกไปที่ระเบียง และพลาดตกลงมาศีรษะกระแทก เส้นเลือดแตกและคั่งในสมอง กะโหลกส่วนที่แตกทิ่มทำให้สมองบางส่วนเสียหาย กลายเป็นอัมพาตไปทั้งตัว

แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ข่าวนี้ เพราะขืนปล่อยให้ข่าวแพร่กระจายชื่อเสียงของรอสเกรย์ก็จะยิ่งดิ่งลงเหว นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมพวกคาเล็มและเออร์แฟนถึงเตรียมการต่างๆไปได้อย่างราบรื่น

“พี่ใหญ่ก็ต้องวางมือเพราะล้มป่วย น้องชายก็จะได้ล้างมลทินที่โดนป้ายสี เป็นอันว่าแฮ้ปปี้กันถ้วนหน้าทุกคนเลยเนอะพวกนายว่างั้นมั้ย! นี่ฉันกะว่าจะเอาบทไปขายทำเป็นละครเวทีหรือละครโทรทัศน์เรตติ้งคนดูคงพุ่งกระฉูดได้เอามาฉายซ้ำแหงๆ!”

มีเพียงแค่คาร์เรย์ที่เล่าความพังทลายของพี่ใหญ่ด้วยความบันเทิง ผิดกับเหล่าผู้ฟังที่แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป

คาเล็มช็อคจนสมองว่างเปล่าตอนที่ได้รู้ว่าอดีตคนรักของเขาต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่กลับไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ส่วนริชาร์ดกับเออร์แฟนนั้นดูจะหน้าซีดเพราะเรื่องของคาร์เมนเสียมากกว่า

“แหมๆ ตอนที่ได้ยินว่าคุณริชาร์ดโดนอุ้มไปนั่นคิดว่าจะแย่แล้วซะอีก เท่าที่รู้มาดูเหมือนคาร์เมนจะมีงานอดิเรกที่ชอบสั่งสอนอัลฟ่าซะด้วย รอดมาได้ไงโดยไม่มีรอยขีดข่วนสักนิด เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย”

“ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” ริชาร์ดตอบ

“อ้อ... โชคดีนะนี่ที่เขายอมฟังคุณ ตอนที่พี่ใหญ่โดนเล่นงานนี่ไม่มีโอกาสได้เจรจาต่อรองเลยสักนิดเดียว สงสัยเขาอาจจะอยากเก็บคุณไว้เล่นด้วยวันหลังก็ได้”

ริชาร์ด เบอร์ตั้นรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวจะโดนโอเมก้าคนนั้นทำอะไรๆ คงเพราะว่าได้เห็นสภาพของประธานรอสเกรย์นั่นล่ะ ส่วนอีกคนก็ได้รู้ว่าโซลเมทของตนผ่านโลกมามากและเป็นตัวอันตรายขนาดไหนก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จาทั้งที่ไม่ใช่นิสัยติดตัวของอัยการเออร์แฟนเลย

“อย่าเพิ่งทำหน้าเหม็นเบื่อแบบนั้นสิพวกนาย ฉันยังมีเรื่องอีกตั้งเยอะแยะจะเล่าให้ฟังนะ เรื่องของคาร์เมนงี้ยาวเป็นหางว่าวเล่าวันเดียวก็คงไม่จบ อ้อ! แล้วก็ยังมีเรื่องที่ว่าหุ้นบริษัทรอสเกรย์กำลังร่วงเอาๆ ยังกะน้ำตกนี่ก็เด็ดมากเลยนะ!” พี่รองมองสีหน้าน้องชายกับเพื่อนและฉีกยิ้มกว้าง สีหน้าพวกเขาตอนนี้ล้วนสุดยอดยิ่งกว่าที่คิดจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียจริงๆ

แต่...เขาล่ะสงสัยจริงว่าทำไมเออร์แฟนถึงทำสีหน้าขุ่นเคืองไม่แพ้สองคนนั้นเลย อยากรู้จริงว่าอะไรทำให้คุณอัยการไร้พ่ายคนนั้นทำหน้าเหมือนโลกแตกแบบนี้

“เฮ้อ...แต่ฉันน้อยใจแกจริงๆ ว่ะคาเล็ม บอกแล้วไงว่าให้พาโอเมก้าตาสีฟ้าสวยคนนั้นมาให้เจอหน้าหน่อย ขอแค่นี้ทำเป็นหวงไปได้ นี่อุตส่าห์คายเรื่องพี่ใหญ่จนหมดเปลือกแล้วแท้ๆเลยน้า”

“ขอโทษด้วยนะ แต่เกรงว่าโอเมก้าคนนั้นที่ว่าจะเป็นคนของฉันน่ะ” ริชาร์ดที่กลับมาตั้งสติได้รีบออกตัว “วันนั้นฉันติดธุระไปร่วมงานแต่งไม่ได้ แถมขาของคาเล็มก็ไม่ค่อยจะดีเลยฝากให้เขาไปดูแลชั่วคราวน่ะ”

“อ้าวเหรอ? ว้า...คุณนี่โชคดีจังริชาร์ด แต่งเมื่อไหร่รีบบอกนะ ฉันจะรีบไปอวยพรให้เจ้าสาวเป็นคนแรกเลย”

หน้าด้านโคตร! พี่ใหญ่ที่อัมพาตกินไปแล้วของนายแค่ใช้สายตาหยาบโลน แต่นี่เล่นจะเข้าถึงเนื้อถึงตัว ไอ้คนตระกูลนี้มันยังไงกันฟะ!...ยกเว้นคาเล็มคนเดียวนะ

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น คาเซล่าซึ่งรีบกลับจากที่ทำงานปรี่มาหาพี่ใหญ่ก่อนใคร แถมพอเห็นหน้าเหล่าบรรดาแขกรับเชิญของคาร์เรย์ก็ปฎิเสธการนั่งร่วมโต๊ะขอแยกตัวไปนั่งกินอาหารเย็นกับพี่ชายคนโตและหมออาเซลยังดีซะกว่า

แม้อาหารจะเลิศหรูรสชาติโอชาเพียงใด แต่บรรยากาศก็ยังอึมครึม มีแค่เจ้าภาพคนเดียวที่ทำตัวราวกับเป็นงานนัดพบและพยายามพูดชวนคุยทั้งที่ส่วนใหญ่ไม่อยากจะเสวนาด้วยแล้ว

“จริงๆ ก็อยากจะจัดปาร์ตี้ต้อนรับการกลับมาของนายมากกว่านะ บ้านเราไม่เคยอยู่กันพร้อมหน้าขนาดนี้มาตั้งนานแล้ว”

“อยากหาเรื่องจัดงานเลี้ยงเองล่ะสิไม่ว่า” คาเล็มรู้นิสัยพี่รองของตนดีว่าเป็นพวกหนุ่มเจ้าสำราญแถมยังไม่ชอบทำงาน  ทั้งที่เรียนจบได้เกียรตินิยมมาตั้งไม่รู้กี่สถาบัน แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งที่มีคนใหญ่คนโตมาทาบทามหรือจะตั้งบริษัทเป็นของตัวเองก็ย่อมได้แต่กลับไม่ทำ

“แล้วนี่เรื่องยาไปถึงไหนแล้วล่ะ” คาร์เรย์เอ่ยถามคนเป็นน้องอย่างสนอกสนใจ “อ่ะ แต่นายคงไม่ตอบฉันหรอกเนอะ”

“ใช่ เพราะงั้นอย่าคิดว่าจะได้รู้อะไรอีก” คาเล็มตอบด้วยเสียงสุดจะรำคาญ ไม่อยากจะให้พี่ๆ คนไหนเข้ามายุ่งเรื่องคดีนี้แม้แต่คนเดียว

“อย่าทำหน้าดุสิ หน้าจะแก่เกินอายุเอานะ” พี่รองแสนชิลแอบแซวคุณหมอและหันไปสนใจอาหารในจานต่อ “เรื่องคดีนี่ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ทำไปเหอะ พี่ใหญ่น่ะมัวแต่ยึดติดไอ้ค่านิยมงี่เง่านั่นเลยมีสภาพแบบนี้ไง ฉันไม่เอาด้วยหรอก”

“สมกับที่ใครต่อใครเรียกว่าเสือขี้เกียจแห่งรอสเกรย์เลยนะ” เออร์แฟนเอ่ยสมญานามที่โดนคนนอกแต่งตั้งให้อย่างไม่เป็นทางการใส่หน้าเจ้าภาพ คาร์เรย์หัวเราะชอบใจ ท่าทางเจ้าตัวจะประทับใจชื่อนี้มากกว่าโกรธเคืองซะอีก

“เอาล่ะ งั้นเลิกคุยเรื่องเครียดๆดีกว่า” ก็เหมือนจะมีแต่พ่อเสือสำราญคนนี้แหละที่ไม่ได้เครียดอยู่คนเดียว “แต่คราวหน้าขอเจอหน้าโอเมก้าคนนั้นหน่อยละกันนะคุณริชาร์ด”

“นายจะอยากเจอไปทำไม?” ริชาร์ดตัดบทไร้เยื้อใย

“แหม ก็นานๆ จะเจอโอเมก้าดวงตาสวยแบบนั้นนี่ อยากเห็นหน้ายลโฉมอีกสักครั้งน่ะนะ”

คาเล็มได้แต่นั่งเก็บอาการเอาไว้ ตอนนี้แม้พี่ใหญ่จะสิ้นฤทธิ์แล้วแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี อย่างน้อยๆก็ขอให้คดีมันจบจริงๆเสียก่อน เขาจะได้เอาเวลาที่เหลือไปหาที่ปลอดภัยแล้วค่อยพาลาซารัสกลับมาก็ยังได้ ...ถ้ายังอยากกลับมาอยู่ด้วยน่ะนะ

คาร์เรย์แอบสังเกตุปฎิกิริยาน้องชายอยู่เป็นระยะไม่ให้ใครจับได้ ...ไม่เนียนเลยนะไอ้น้องชาย…


(ยังมีต่อ)
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (17/04/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-04-2017 00:36:50

ทางด้านลาซารัสที่โดนปล่อยให้อยู่กับคาร์เมนสองคนในบ้านพักนอกเมืองที่สงบเงียบ เขาได้แต่นั่งเกร็งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันกับคาร์เมน โอเมก้าที่ดูจะเป็นรุ่นน้ารุ่นอาได้นั้นกำลังหยิบป็อปคอร์นใส่เข้าปากไปพลางดูหนังไปด้วยอย่างสบายใจ

“ไม่กินเหรอ” คาร์เมนที่ตอนนี้ไม่ได้ใส่แว่นกันแดดและเสื้อคลุมตัวหนาได้ยื่นถ้วยป็อปคอร์นมาให้

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ลาซารัสยกมือทำปางห้ามญาติ

พอไม่มีเสื้อกันหนาวตัวใหญ่เสริมไหล่แล้ว คาร์เมนก็ตัวเล็กกว่าลาซารัสเสียอีก แม้จะเล็กน้อยแต่มวลกล้ามเนื้อก็ต่างกันค่อนข้างมากทำให้อีกฝ่ายดูผอมกว่าเขามาก

ทว่า...ทั้งการวางตัว บุคลิกและอำนาจที่เขามีทำให้คนข้างๆ นี้ดูน่าเกรงขาม จนลาซารัสอยากเป็นแบบนี้บ้าง โอเมก้าที่ทำตัวได้ทัดเทียมกับอัลฟ่านี่หาได้ยากเหลือเกิน

“ใครเป็นเจ้าของนายน่ะ?” เผลอเหม่อครู่เดียวคาร์เมนก็ขยับเข้ามาใกล้เขาและเริ่มซักประวัติกันเสียแล้ว “ริชาร์ด?”

“เอ่อ..ใช่ครับ”

แม้ไม่ได้โกหก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังแคลงใจ เขาจึงวางถ้วยป็อปคอร์นลง..แล้วดันร่างลาซารัสลงไปนอนราบกับโซฟาอย่างง่ายดาย!

“ห้ะ!? เดี๋ยวๆ!!” สองมือยกขึ้นจะผลักอีกฝ่ายออก แต่โดนคว้ารวบได้หมด ร่างที่ผอมกว่าขึ้นคร่อมทับไว้กลางลำตัวทำให้ไม่สามารถดันตัวลุกขึ้นได้ นี่มันโคตรจะเชี่ยวชาญชัดๆ!

“คุณ..คาร์เมน!!”

“นิ่งซะ ไม่งั้นฉันอัดร่วงแน่” คำขู่ได้ผลชะงัก ลาซารัสที่สัมผัสมาได้ตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วว่าอีกฝ่ายโหดพอตัวทำให้ร่างกายสงบนิ่งลงตามที่สั่ง คาร์เมนก้มลงแกะปลอกคอของคนข้างล่างออกด้วยฟันของตัวเองเพราะสองมือยังไม่ยอมปล่อยจากข้อมือของลาซารัส

เมื่อแกะปลอกคออันสวยออกได้เขาก็พบรอยกัดสองรอยอยู่บนคอของลาซารัส มือหนึ่งยอมปล่อยมาจับหน้าของโอเมก้าอ่อนวัยกว่าหันไปมาเพื่อสำรวจรอยสองรอยนั้น

“..ขนาดฟันไม่เท่ากัน โดนกัดจากอัลฟ่าสองคนสินะ”

“ครับ..” โดนต้อนจนมุมแถมยังโดนอ่านขาดหมดแบบนี้ลาซารัสก็ทำได้แค่ไม่ไปกระตุกต่อมอารมณ์ให้อีกฝ่ายโมโหจนพลั้งมือฆ่าเขาเท่านั้น..

“หนึ่งในสองคนนั้นคือพี่...คาเล็มเหรอ?”

“ …” ใบหน้ามนขึ้นสีแดงจางเห็นได้ชัดเจน กับดวงตาสีฟ้าที่หลบไปทางอื่น ไม่ต้องตอบก็ยังได้ คาร์เมนเม้มปากเล็กน้อยแล้วลุกออก ปล่อยตัวลาซารัสให้เป็นอิสระ

“ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะ” คนตัวเล็กกว่าดึงอีกฝ่ายขึ้นมานั่งตามเดิมและส่งปลอกคอคืนให้

จะพูดว่าไม่เป็นไรก็ดูเป็นการโกหกไปนิด ลาซารัสรับปลอกคอคืนมาและสวมมันคืน สักพักนาฬิกาบนข้อมือก็สั่นเบาๆ เตือนให้กินยา ซึ่งเขาก็รีบไปจัดแจงหายามากินทันที

“นั่นยาตัวใหม่ของคาเล็มเหรอ?” อีกฝ่ายสนอกสนใจอย่างมากและเดินตามมาส่องดู

“ใช่ครับ” พอกลืนยาจนหมดดีก็ดื่มน้ำตามต่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องกินยาตัวใหม่ของคุณหมอ ต้องคอยสังเกตุอาการตัวเองสินะ?

“ดีจังนะ ฉันเองก็อยากเข้าร่วมด้วย แต่อย่างฉันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก..”

“เอ่อ.. ถ้าลองถามดูคุณหมออาจจะ..” แต่ไม่ทันจะพูดจบคาร์เมนก็จรดปลายนิ้วลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้าช้าๆ เป็นการบอกว่าคงเป็นไปไม่ได้

ดวงตาสีฟ้าเผลอมองต่ำลงไปยังชายเสื้อกล้ามที่โผล่พ้นเอวของโอเมก้ามากวัยกว่า รอยแผลผ่าตัดใต้ร่มผ้าที่รูปร่างแบบนั้นมันดูเหมือนกับว่า…

“สนใจเจ้านี่เหรอ?” ร่างเพรียวกว่าเลิกเสื้อตัวเองขึ้นจนเปิดเห็นไปถึงไหนต่อไหน ทำเอาลาซารัสเป็นฝ่ายเขินเสียเอง แต่พอลืมตามองดูชัดๆ ก็พบว่าไม่ได้มีแผลแค่ที่เดียว

“ขายไปแล้วล่ะเจ้าพวกนี้น่ะ”

“เอ๊ะ?” ลาซารัสมองหน้าคาร์เมนสลับกับแผลเป็นเหล่านั้น “ที่ว่าขายไปแล้วหมายถึง...อวัยวะ?”

“กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ฉันก็ผ่านอะไรมาเยอะกว่าที่นายคิดอีกนะ” เขาพูดและหันหลังให้ดูแผลเป็นเพิ่ม “แน่นอนว่าที่ขายน่ะไม่ได้มีแค่ที่ตาเห็นหรอก”

“...ทำไมถึงเอาให้ผมดูล่ะครับ?” ร่างโปร่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ซึมออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “หรือจะบอกให้ผมเตรียมใจไว้เผื่อสักวันต้องเป็นอย่างคุณ?”

“ฉลาดไม่เบา แต่ฉันคิดว่าอย่างนายคงไม่โดนอะไรแบบนี้หรอก” ดูจากอัลฟ่าที่เป็นเจ้าของเด็กหนุ่มโอเมก้าคนนี้คงไม่มีทางเจอเรื่องร้ายๆ อย่างที่เขาเคยเจอมาแน่นอน “ไปเจอกันได้ยังไงล่ะ? ฉันรู้มาว่าคาเล็มเก็บตัวเงียบน่าดู”

“คือ เรื่องมันค่อนข้างยาวน่ะครับ…”

“ไม่เป็นไร ฉันอยากฟัง ไม่สิ...เล่ามาให้หมดเปลือกซะ” คาร์เมนเอ่ยบังคับกลายๆ สายตาที่เหมือนคุณหมออัลฟ่าแต่กลับดูน่ากลัวกว่าทั้งที่เป็นโอเมก้าเหมือนกันทำเอาปฏิเสธไม่ลง นี่สลับเพศรองกันรึเปล่าเนี่ย!

“อย่างนี้นี่เอง…” พอรีดเค้นเรื่องราวทั้งหมดจากลาซารัสได้แล้วคาร์เมนก็บีบถ้วยป๊อบคอร์นจนแหลกคามือ ส่วนที่หล่นกระจายลงพื้นก็โดนเหยียบจนบี้แบนไม่เหลือเค้าข้าวโพดคั่วน่าทานอีกต่อไป “ไว้กลับมาเมื่อไหร่ฉันจะเชือดเจ้าริชาร์ดนั่นเอง!”

“ใจเย็นๆก่อนนะครับคุณคาร์เมน!” ลาซารัสเอยห้ามเพราะมีพวกสาวใช้ของริชาร์ดอยู่ด้วย แค่นี้บรรยากาศในบ้านก็แย่พอแล้วเพราะว่าตัวการที่ลักพาตัวเจ้านายของพวกเธอนั่งอยู่ที่นี่ พวกสาวๆ เลยไม่ชอบใจนักที่ต้องมาทำหน้าที่ดูแล นี่ถ้าเขาไม่อยู่ตรงนี้ล่ะก็สงสัยบ้านหลังนี้ได้เละเป็นโจ๊กแน่!

“ฉันไม่ได้ทำเพื่อนายสักหน่อยเจ้าหนู” โอเมก้ามากวัยกว่ากำหมัดแน่น “ฉันโกรธที่เจ้านั่นมันทำให้คาเล็มต้องเจ็บปวด แล้วก็ไม่สนเหตุผลหรอกว่าหมอนั่นจะตั้งใจหรือว่าพลาดท่าเสียทีนาย”

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นนะครับ!” ลาซารัสตะโกนเสียงสั่น “ผมเองก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเลยสักนิดเดียว!”

“แต่มันเกิดขึ้นไปแล้ว พวกนายสองคนทำพลาดและทำร้ายจิตใจคาเล็มทั้งคู่ บอกตามตรงนะฉันว่าจบเรื่องนี้แล้วพวกนายสองคนน่ะเลิกมาข้องแวะกับเขาจะดีกว่า มีแต่จะตอกย้ำแผลในใจเขาขึ้นมาใหม่ซ้ำๆ...นี่พวกหล่อนว่างมากนักรึไงฟะ!? สาระแนจริง!” คาร์เมนชี้นิ้วใส่คนตรงหน้าและหันหน้าไปตะคอกไล่พวกสาวใช้ที่มาแอบฟังพวกตนคุยกัน “สมแล้วที่เป็นคนรับใช้เจ้านั่น เลี้ยงดูสั่งสอนกันมาแบบไหนแค่ดูนิสัยพวกคนที่ตามก้นต้อยๆ ก็พอจะเดาสันดานเจ้านายมันออกแล้ว”

“คุณพูดเกินไปแล้วนะครับคุณคาร์เมน พวกเธอแค่ต้องคอยเฝ้าดูผมตามที่คุณริชสั่งเท่านั้นเอง” ร่างโปร่งออกตัวปกป้องพวกผู้หญิง “แล้วก็ถึงคุณจะห้ามผมไม่ให้เจอคุณหมอก็คงต้องผิดหวังหน่อยนะครับ เพราะว่าผมน่ะมีสัญญาที่ต้องเป็นตัวทดลองยาตัวใหม่ให้กับคุณหมอ ยังไงก็ช่วยรอจนกว่าผมจะทนการทดลองไม่ไหว หรือไม่ก็จนกว่ายาจะเสร็จสมบูรณ์แล้วกันนะครับ”

ไอ้เด็กนี่ไม่ได้หงอเหมือนอย่างที่คิดเลยนี่หว่า…

“ก็ได้ แล้วฉันจะรอดูแล้วกัน” คาร์เมนหยิบเสื้อคลุมมาสวมตามเดิมและเดินออกไปทางประตู แต่ก็หันหน้ากลับมาพูดทิ้งท้ายกับลาซารัส “อ้อ...ฝากคำพูดไปบอกเจ้าอัยการหน้าเลือดนั่นด้วยก็แล้วกันว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดี ถ้าขืนโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกล่ะก็คราวหน้าจะชกให้หน้ายุบจนต้องไปศัลยกรรมใหม่ทั้งหน้าเลย”

แต่นั่นมันโซลเมทคุณไม่ใช่รึไงครับ!!


TBC.




*****************************************************************************************


ต่อไปคิดว่าจะรอให้จบตอนก่อนแล้วมาลงทีเดียวนะคะ O]=[
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (17/04/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-04-2017 00:06:45
สนุกดี
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.13 Up! (17/04/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 19-04-2017 00:51:50
ตัวเล็กดูเกเรกว่าใคร
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14 Up! (8/5/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 08-05-2017 12:08:24
บทที่ 14



แม้จะลั่นวาจาไปเช่นนั้น ทว่าตอนนี้คาร์เมนกำลังนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆพี่ชายของตนในขณะที่อีกข้างนั้นมีเออร์แฟนนั่งกดมือถือระรัวนิ้วสั่งงานลูกน้องอยู่ ทั้งสามกำลังกลับไปที่บ้านของคาเล็มด้วยรถของอัยการหนุ่ม แต่บรรยากาศในรถตอนนี้มันเคร่งเครียดสิ้นดี…
“ทำไมนายต้องมาด้วยล่ะเนี่ย?” ในที่สุดคาร์เมนก็เอ่ยถามไปยังโซลเมทของตัวเอง
“คาเล็มเป็นลูกความฉัน จะมาส่งก็ไม่แปลกนี่ นายนั่นแหละ ไม่กลับบ้านกลับช่องรึไง” เออร์แฟนตอบโดยที่นิ้วเริ่มเปลี่ยนไปเสิร์ชหาข้อมูลเรื่องโซลเมทเพิ่มเติม เผื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเพียงความเข้าใจผิดกันเท่านั้น...
“พี่น้องไม่ได้เจอกันตั้งหลายสิบปี ไม่คิดจะให้อยู่พูดคุยกันก่อนเลยเรอะ”
คาเล็มที่นั่งนิ่งเป็นกำแพงกั้นไม่ให้สองคนนี้ลงมือต่อยตีกันในรถก็ทำได้เพียงถอนหายใจและทำตัวสงบเสงี่ยมอย่างเหนื่อยหน่ายใจกระทั่งถึงหน้าบ้าน…
เออร์แฟนขอตัวกลับก่อนเพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเจอโซลเมทตัวเอง… แม้จะไม่ชอบใจเพราะความคาดหวังถึงโอเมก้าในอุดมคติต้องมลายสิ้น แต่ร่างกายมันก็ส่งสัญญาณเรียกร้องอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาที่วนเวียนใกล้ๆ ตัวคาร์เมน
“พรุ่งนี้ฉันว่าจะไปหาแม่สักหน่อย เพราะงั้นขอพักเรื่องคดีวันนึงนะ” คาเล็มยื่นหน้าเข้ามาในรถเพื่อแจ้งธุระกับทนายของตน
“โอเค คิดซะว่าพักผ่อนละกัน” เออร์แฟนยักไหล่ “ให้คนมารับมั้ย?”
“ก็ดี มีบอร์ดี้การ์ดนายแล้วอุ่นใจขึ้นมาเยอะ”
“คาเล็ม…บอกตรงๆนะ ถึงพี่ชายนายจะเป็นแบบนั้นไปแล้ว แต่ฉันยังรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่ดี” เออร์แฟนเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้นเพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเองด้วย “อย่าเพิ่งลดการระวังตัวละกัน”
“...อืม”
เมื่อตกลงนัดหมายเวลากันเรียบร้อย รถสีดำติดฟิล์มทึบสองสามคันก็แล่นจากไป เหลือเพียงสองพี่น้องยืนอยู่หน้าบ้าน
“มาแอบอยู่นี่เอง” คาร์เมนเริ่มเดินสำรวจรอบๆ แม้จะมืดแล้วก็มีแสงจากเสาไฟรอบๆพอส่องให้เห็นอาณาบริเวณได้ทั่ว “มิน่าล่ะ พวกนั้นถึงหาพี่ไม่เจอสักที”
“อา.. ช่างเรื่องพวกพี่ใหญ่เขาก่อน ฉันว่าเรนเดลคงตกใจที่ได้เจอนายแน่ๆ”
“เรนเดล! คุณเรนเดลยังอยู่สินะ!”
“นี่แช่งเขารึไง”
เป็นไปตามคาด เมื่อพ่อบ้านเพียงคนเดียวของที่นี่เดินออกมาต้อนรับแล้วรู้ว่าคาร์เมนติดรถมาด้วยเขาก็แทบจะทรุดลงร้องไห้ สำหรับเขาแล้วทั้งสองคนเขาก็ดูแลมาราวกับเป็นลูกของตัวเองไปแล้วจริงๆ ยิ่งคาร์เมนตอนเด็กที่เกิดมาเป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวในตระกูลที่เต็มไปด้วยลูกหลานอัลฟ่า เขายิ่งรู้ดีว่าชีวิตของเด็กน้อยคงไม่สวยงามแน่ๆ…
“เปลี่ยนไปเยอะเลยนะคุณเรนเดล คุณดูแก่ลงไปเยอะเลย สงสัยผมคงได้จับคุณอุ้มสูงๆ แทนแล้วมั้ง” น้องชายโอเมก้าของคุณหมอยังจำได้ดีว่าตอนยังเด็กนั้นเขาเห็นเรนเดลเป็นเหมือนพ่อมากกว่าพ่อบังเกิดเกล้าแท้ๆ ของตนเสียอีก
ในความทรงจำต่อผู้คนที่ทำดีกับเขาเพียงน้อยนิดนั้น พ่อบ้านตรงหน้าเป็นคนรับใช้เพียงไม่กี่คนในบ้านใหญ่ที่เอ็นดูเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่ทำตัวเหินห่างราวกับเป็นคนอื่น
“กระผมเองก็จำคุณชายน้อยแทบไม่ได้เลยเหมือนกันครับ แต่แววตาของคุณเหมือนคุณนายมากๆ...”
“ผมไม่ใช่คุณชายน้อยแล้วนา... นี่อย่าบอกนะว่ายังเรียกพี่ว่านายน้อยอยู่อีก” คาร์เมนหันไปหัวเราะพี่ชายของตนเมื่อพ่อบ้านพยักหน้าแทนคำตอบ “มาเรียกผู้ชายรุ่นลุงสองคนเป็นเด็กๆ แบบนี้ไม่เขินแย่เลยเหรอ”
“ขอประทานโทษครับ กระผมพูดจนมันติดเป็นนิสัยไปแล้ว”
“ให้เรนเดลเรียกไปเถอะ เขาเคยชินของเขาแบบนั้นจะมาเปลี่ยนอะไรเอาป่านนี้”
“ก็จริงเนอะ แต่อย่างผมนี่คงเป็นคุณชายน้อยกับเค้าไม่ไหวแล้วมั้ง” คาร์เมนชี้ให้ดูรูปร่างหน้าตาของตน ทำเอาพ่อบ้านและพี่ชายเผลอขำไปตามๆกัน คาร์เมนเองก็ยิ้มตาม เหมือนบรรยากาศวันวานแสนสุขกลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานนับสิบๆปี
คาเล็มวานให้พ่อบ้านไปจัดห้องและที่นอนให้น้องชายพักค้างคืน แต่คาร์เมนขอเลือกนอนที่โซฟาเพราะปกติเขาต้องไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลก็เลยคุ้นชินกับการนอนโซฟามากกว่าเตียง
“โซฟามีเจ้าของแล้วนะ ต้องขออนุญาตเจ้าตัวข้างหลังนายก่อน” คาร์เมนมองตามที่พี่ชายชี้นิ้วไปก็เจอสุนัขตัวใหญ่โดดเข้ามาคลอเคลียในระยะประชิด
“ว้าก! ใหญ่โคตร! แต่ไหงเชื่องจังเนี่ย!” คาร์เมนลงไปฟัดกับจูเลียตที่พื้น คงเพราะพักนี้เจอคนแปลกหน้าบ่อยเลยทำเอาสัตว์เลี้ยงที่คอยไล่แขกกลายเป็นรับแขกทุกคนไปแล้ว
คุณหมอปล่อยให้น้องชายนั่งเล่นกับสัตว์เลี้ยง ส่วนตนเดินไปเก็บข้าวของที่วางเกลื่อนไว้ที่โต๊ะเนื่องจากสั่งเรนเดลไว้ว่าอย่าเพิ่งรีบเก็บกวาด
“ขอผมดูห้องทำงานของพี่หน่อยได้มั้ย?” ถามไปตามมารยาทแล้วก็ลุกพรวดเดินตามไปติดๆ พอมาถึงห้องทำงานก็แสดงปฏิกิริยาเหมือนตอนที่ลาซารัสมาเห็นห้องนี้เป็นครั้งแรกไม่มีผิด ทำเอาเจ้าของห้องเผลอเหม่อลอยไม่รู้สึกตัวกระทั่งน้องชายโอเมก้าเดินเข้ามาประชิดตัวนั่นแหละถึงได้สะดุ้งตื่นจากภวังค์
“พี่เหนื่อยเหรอ?” คาร์เมนถอดแว่นเก็บมองสีหน้าของผู้เป็นพี่ที่ดูค่อนข้างเหนื่อยล้า
“อืม...ก็นิดหน่อยน่ะ วันนี้เจออะไรๆ พร้อมกันตั้งหลายเรื่องนี่นะ”
“...ให้ผมช่วยผ่อนคลายให้เอามั้ยล่ะ?”
“หา?”
คาเล็มที่ยังไม่เข้าใจคำพูดของน้องชายแท้ๆดี ก็โดนคาร์เมนดันร่างเขาจนติดประตูห้องทำงาน มือหนึ่งของโอเมก้าคนน้องเอื้อมไปปิดล็อคห้องก่อนอีกมือจะประคองหน้าของพี่ชายให้รับจูบจากตนอย่างรวดเร็ว แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่โดนกดริมฝีปากเข้ามาหา คาเล็มก็ยกสองมือขึ้นจับบ่าอีกฝ่ายแล้วดันออกให้ห่างจากเขา แต่คาร์เมนไม่ยอมผละตัวออกไปง่ายๆ สองแขนตรงเข้าโอบเอวพี่ชายไว้แน่นจนท่อนล่างพวกเขาแนบชิดกัน
“ทำอะไรของนาย!?” แม้จะดันอีกฝ่ายออกจากหน้าได้ แต่ตอนนี้เขากำลังถูกคาร์เมนซุกหน้าอยู่ข้างตัวเหมือนกำลังสูดดมกลิ่นฟีโรโมนของเขาอยู่
“ก็..ผ่อนคลายให้พี่ไง” คาร์เมนกระซิบด้วยน้ำเสียงซุกซนโดยไม่สนใจความสมัครใจของอีกฝ่าย กลิ่นฟีโรโมนหอมเย้ายวนโชยฟุ้งเป็นสัญญาณว่าเขาคงเริ่มถูกกลิ่นของคาเล็มกระตุ้นเข้าให้แล้ว แม้ทั้งสองคนจะฉีดน้ำหอมดับกลิ่นไว้ แต่เวลานี้มันคงจางไปหมดแล้วเป็นแน่
“คาร์เมน ฉันไม่รู้หรอกว่านายกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แต่หยุดซะ!” คุณหมอออกแรงแกะแขนน้องชายออกอย่างง่ายดาย แล้วดันอีกฝ่ายออกห่างจากตน “แบบนี้...มันไม่เหมาะสม แล้วอีกอย่าง..ฉันก็มีโอเมก้าของตัวเองแล้ว”
“หมายถึงลาซารัสน่ะเหรอ?”
“นายรู้?”
“อืม เค้นจากเจ้าหนูนั่นมาหมดแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ยิ่งไม่ควรทำแบบนี้เข้าไปใหญ่!” คาเล็มขึ้นเสียงเล็กน้อย “ไม่สิ ถึงฉันจะไม่มีโอเมก้าของฉัน แต่นายก็..”
“กับเจ้าเด็กนั่นที่คอยแต่ทำให้พี่เจ็บปวดน่ะนะ?” คาร์เมนขัดคำพูดของอีกฝ่ายแล้วมองตรงเข้าไปยังดวงตาสองสี “พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กนั่นมันรักพี่จริงๆ แล้วอีกอย่าง...ผมไม่สนใจเรื่องที่ว่าเราเป็นพี่น้องกันหรอก”
คุณหมอสะอึกกับคำพูดของน้องชายแถมยังแอบตกใจกับความคิดแบบนั้นจนไม่รู้จะหาคำไหนมาโต้ตอบ คาร์เมนที่ตัวผอมบางกว่าลาซารัสค่อนข้างมากกลับทำให้เขานิ่งงันได้โดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย แค่เพียงดวงตาแฝงความคาดเดาไม่ออกกับรอยยิ้มยั่วยวนนั้นก็ทำเขาละสายตาไม่ได้ราวกับต้องมนต์สะกด
“พี่ไม่เหมือนอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่คอยแต่จะกดหัวโอเมก้า แต่พี่พยายามทำเพื่อพวกเราตั้งมากมาย ตอนที่เห็นพี่เปิดตัวยาที่วิจัยในทีวีวันแรก ผมก็ใจเต้นไม่หยุด รู้สึกอยากอยู่ข้างๆ พี่มาตั้งแต่ตอนนั้น”
พอเห็นว่าคาเล็มนิ่งเงียบไปก็ได้เริ่มอธิบายความคิดตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบใบหน้าของพี่ชายที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากอายุที่มากขึ้นและความทรุดโทรมจากการโหมงานหนักมายาวนาน “พี่ทุ่มเทเพื่อคนอื่นตลอดมา ผมรู้...แค่เห็นข่าวก็พอจะเดาได้เลยล่ะ เพราะงั้น…”
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ คาร์เมนเลื่อนมือลงต่ำไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วลูบไปตรงส่วนกลางของพี่ชายที่เริ่มจะตื่นตัวเพราะกลิ่นฟีโรโมนของคาร์เมนที่เริ่มอบอวล
“เฮ้ย!? เดี๋ยว..!”
“..และผมก็ไม่เห็นว่าไอ้หนูนั่นจะเหมาะกับพี่ตรงไหน” ร่างเล็กกว่ายกแขนข้างหนึ่งโอบคอคาเล็มไว้แล้วซุกหน้าลงไปบนบ่าอีกฝ่าย ทำให้จมูกของพี่ชายอยู่ใกล้กับจุดปล่อยฟีโรโมนตรงซอกคอของตนจนกลิ่นที่ได้รับนั้นเข้มข้นชัดเจน ทั้งยังมือที่นวดเฟ้นช่วงล่างก็ทำหน้าที่อย่างเชี่ยวชาญจนไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างกายของอัลฟ่าที่โดนไล่ต้อนก็เริ่มร้อนรุ่มไปหมดแม้กระทั่งลมหายใจ “เชื่อสิ...ผมทำให้พี่สนุกได้มากกว่าเจ้าเด็กไม่ประสีประสานั่นอีก”
“อึก…” คาเล็มกลืนน้ำลายลงคอ สติของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนคราวที่ลาซารัสเข้าช่วงฮีทในรอบปี กลิ่นหอมที่ทำให้อัลฟ่าต่างคลั่งซะจนสูญเสียความมีเหตุผลไปจนสิ้น ส่วนกลางที่คับแน่นกางเกงตื่นตัวเต็มที่ด้วยมือที่ช่ำชองของคนคุมเชิง ฝ่ายน้องชายโอเมก้าเองก็สัมผัสได้ว่าใต้ร่มผ้าของตนเริ่มชื้นเพราะน้ำหล่อลื่นซึมออกมา ร่างกายสั่นระริกด้วยความกระสันอยากถูกพี่ชายร่วมสายเลือดสัมผัสจนทนไม่ไหว
“พี่ไม่เห็นเหรอว่าร่างกายของผมมันต้องการพี่แค่ไหน...” คาร์เมนดึงมือของพี่ชายให้สัมผัสผิวกายของตน และเผลอส่งเสียงครางเบาเมื่อคุณหมอถอดเสื้อนอกของเขาออกให้มันลงไปกองที่พื้น พร้อมกับเริ่มกดจูบไล้ปลายลิ้นร้อนไปตามซอกคอและไหปลาร้าของตน
“คาร์เมน…” คุณหมอเรียกชื่ออีกฝ่ายเหมือนคนละเมอ มือทั้งสองลูบคลำสะโพกแน่นและเลื่อนลงไปกดช่องทางคับแน่นด้านหลังกดคลึงตรงจุดไวต่อสัมผัสผ่านเนื้อผ้า ร่างเล็กกว่าเขาเองก็เริ่มทนไม่ไหวปล่อยมือออกจากแกนกลางร่างสูงและรีบถอดเข็มขัดรูดซิปกางเกงตัวเองลงจนร่นลงมาพอให้เริ่มบรรเลงต่อได้ทันที
“เข้ามาสิพี่…” น้ำเสียงเชื้อเชิญต้องการอย่างที่สุด แต่คาเล็มก็เหมือนจะยังพยายามฝืนสัญชาตญาณของตัวเองอยู่ คาร์เมนจึงกระชากตัวพี่ชายให้นั่งลงมาที่พื้นโดยที่หลังยันประตูไว้ ส่วนตนนั่งกดสะโพกลงมาทับความเป็นชายที่ยังคงคับแน่นใต้กางเกงอยู่แบบนั้น “หรือถ้าไม่อยากใส่เข้ามาล่ะก็เดี๋ยวผมทำให้พี่เสร็จทั้งแบบนี้เลยนะ”
“ถ้าหากไม่หยุดตอนนี้...นายกับฉันก็จะไม่ใช่พี่น้องกันอีกแล้วนะ” คาเล็มเค้นคำพูดอย่างยากลำบาก ตอนนี้ร่างกายมันไม่ฟังคำสั่งของเขาแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาให้น้องชายเป็นคนหยุดสถานการณ์นี้ลงเสียที “และฉันจะ...ไม่ไปเจอแม่กับนายอีกเลยตลอดชีวิต”
“......” เหมือนจะได้ผล คาร์เมนหยุดการเล้าโลมทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่ลุกไปจากตัวเขา
แสดงว่ามาถูกทางสินะ...
“ไม่ใช่แค่ไม่ไปเจอ แต่นายจะไม่ได้เห็นหน้าฉันอีกเลย ต่อให้ใช้เวลาอีกทั้งชีวิตนายก็จะไม่มีทางได้เห็นฉันอีกแม้แต่เงา เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่นายหรือพี่ใหญ่ก็หาฉันไม่เจอ...”
“ทำไมต้องขู่กันถึงขนาดนี้ด้วยล่ะพี่…” ดวงตาสีสวยสลดลงเหมือนคนถูกลงโทษทัณฑ์รุนแรง คาเล็มต้องเมินหน้าหนีเพราะกลัวว่าจะเผลอใจอ่อน สุดท้าย...คาร์เมนก็ถอดใจหยิบยาระงับในกระเป๋าเสื้อนอกของตนมากิน แต่เป็นปริมาณที่เยอะจนคุณหมออัลฟ่ายังตกใจ “แล้วยาของพี่ล่ะ?”
ดวงตาหลังกรอบแว่นชี้ไปที่กระเป๋าซึ่งวางไว้บนโต๊ะทำงาน “มียาทดลองตัวใหม่ของฉันอยู่ในนั้น”
น้องชายจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบขวดยาและเข็มฉีดมาให้ ราวกับรู้จักดีว่าพวกอัลฟ่ามียาระงับฉุกเฉินที่ออกฤทธิ์ได้ผลเร็วกว่ายากิน
...แล้วสถานการณ์สุ่มเสี่ยงก็จบลงด้วยดีชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดอีกครั้ง
“เฮ่อ...ประเมินพี่ต่ำไปหน่อยแฮะ ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครรอดเวลาโดนผมกดเลยแท้ๆ” คาร์เมนทำหน้าเซ็งหลังปรับอารมณ์ทุกอย่างกลับเข้าที่
“คิดว่านายจะเกลียดพวกอัลฟ่าเข้าไส้ซะอีก…” ไหนจะกลั่นแกล้งริชาร์ดจนหัวปั่น ทั้งยังสาบานว่าชาตินี้ไม่มีวันเอาโซลเมทอย่างเออร์แฟน การกระทำอันอุกอาจแฝงความเอาแต่ใจนี้มันทำให้อยากรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นน้องชายร่วมสายเลือดไปเจออะไรมาบ้าง
“เกลียดสิ แต่เวลาเห็นสีหน้าตอนที่พวกนั้นพลาดท่าเสียประตูหลังให้โอเมก้าอย่างผมมันสะใจกว่าอีก” คนเป็นพี่ชายแทบช็อคเมื่อได้รู้ว่าน้องชายโอเมก้าของตนเป็นนักล่าแต้ม แถมตัวผอมแค่นี้ยังจะกดอัลฟ่าได้อีกด้วย!
ในฐานะพี่ชายควรจะห้ามดีมั้ย!?
“ฉันอยากให้นายเลิกทำพฤติกรรมเสี่ยงแบบนั้นนะคาร์เมน และอีกอย่างตอนนี้นายก็ได้เจอโซลเมทของตัวเองแล้วด้วย นายน่าจะ...”
“ใครจะไปสนเรื่องหลอกเด็กแบบนั้น!” คาร์เมนเผลอตะโกนเสียงลั่นก่อนจะกดเสียงตัวเองให้เบาลง “...ผมไม่ต้องการเป็นคู่ของไอ้เด็กอัลฟ่าหน้าเลือดเห็นแก่เงินพวกสารเลวพรรค์นั้นหรอก”
“มันเป็นงานของเขานี่ หมอนั่น...เออร์แฟนเองก็เลือกลูกความตามใจชอบไม่ได้หรอกนะ”
“แต่จะปฏิเสธก็ได้ไม่ใช่รึไง! ถ้าไม่ใช่เพราะพี่โดนพวกนั้นเล่นงานจนถอดใจยอมแพ้ไปครั้งหนึ่ง ป่านนี้ยาของพี่ก็คงจะถูกกฏหมายไปนานแล้ว และพวกโอเมก้าก็ไม่ต้องไปซื้อยาระงับห่วยๆ ราคาถูกเกรดต่ำมากินจนร่างกายพังไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่หรอก!”
“ก็จริง...แต่ตอนนี้เขาอยู่ข้างเราแล้ว ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” คุณหมอจ้องน้องชายโอเมก้าที่กำลังโกรธจนหน้ามืดตามัว ช่างเหมือนตัวเขาเมื่อก่อนที่เกลียดชังฝ่ายนั้นซึ่งว่าความให้กับพวกพี่ชายต่างแม่ไม่มีผิด
คาร์เมนกัดฟันตัวเองแน่นพยายามข่มโทสะที่โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิต ทว่าแค่นึกถึงตอนที่ได้กลิ่นฟีโรโมนจากตัวอัยการหนุ่มคนนั้น คาร์เมนก็รู้สึกเอ่อล้นด้วยความต้องการอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกจากอัลฟ่าคนไหนมาก่อนในชีวิต แม้ว่าเมื่อกี้นี้จะได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าผู้เป็นพี่ชาย แต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันก็เทียบกันไม่ได้ หากว่าเขาไม่กินยาระงับที่พกติดตัวไว้ก่อนก็คงกระโจนเข้าใส่เออร์แฟนอย่างไร้ยางอายไปตั้งแต่ตอนที่เจอหน้ากันแล้ว
“แล้วก็..” คาเล็มเรียกสติน้องชายให้กลับสู่ปัจจุบันเพื่อฟังเขาพูดต่อ ใบหน้าสูงวัยกว่าขมวดคิ้วเข้าหากันคล้ายจะไม่พอใจเล็กน้อย “ที่นายบอกว่าลาซารัสไม่เหมาะกับฉันน่ะ อันนี้มันออกจะก้าวก่ายไปหน่อยนะ”
“...ผมก็แค่พูดตามที่เจ้าเด็กนั่นเล่าให้ฟัง” ที่จริงควรจะบอกว่าอีกฝ่ายซื่อบื้อเกินไปหรือโกหกไม่เป็นดี... อาจจะกลัวเขาจนเปิดปากออกมาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ก็เพราะเห็นว่าเขาเป็นน้องชายของคาเล็ม... เอาเถอะ จะอย่างไหนก็เหมือนๆกัน เพราะว่าเขารู้เรื่องเกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว
“ก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอก แต่ว่า..” คาเล็มถอนหายใจ “นี่ชีวิตของฉัน ฉันขอตัดสินใจเองว่าอะไรเหมาะหรือไม่สำหรับตัวฉันเอง”
คาร์เมนแอบเม้มปากตัวเอง ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนหลังจากที่บทสนทนาเงียบหายไปสักพัก และจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เพราะได้ยินเสียงเรนเดลเรียกหาพวกเขาทั้งคู่ดังแว่วมาจากด้านนอก
“งั้นผมจะทำตัวแบบนี้ต่อไปก็ได้สินะ”
“หือ? มันไม่เหมือนกันนะ นั่นฉันเตือนนายเพราะ...”
“ผมก็เตือนพี่เหมือนกันแหละ” น้องชายขัดคอแล้วมุ่ยหน้าใส่ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป “พรุ่งนี้ไปหาแม่กันก่อน ค่อยมาว่ากันเรื่องนี้ ...บอกก่อนเลยว่าผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก!”
ไปได้ความดื้อมาจากใครกันนะ?
คาเล็มถอนหายใจและเดินตามออกมาแล้วตรงกลับไปที่ห้องตัวเอง ในขณะที่คาร์เมนเองก็จ้ำเท้าไปยังห้องที่เรนเดลเตรียมไว้ให้ เมื่อปิดประตูห้องโดยกล่าวราตรีสวัสดิ์กับพ่อบ้านเพียงหนึ่งเดียวในบ้านนี้ คาร์เมนก็ตรงไปทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนุ่มพร้อมผ้าปูใหม่เอี่ยมหอมกลิ่นแดดทันที ริมฝีปากเผลอหอบหายใจถี่และปิดตาแน่นคล้ายจะเวียนหัวคลื่นเหียน ผลจากยาส่งผลค่อนข้างแรงเนื่องจากอวัยวะภายในของตัวเองก็ไม่ได้เพียบพร้อมพอจะรับผลกระทบที่ส่งมายังร่างกาย
ทว่า ถ้าไม่กินเข้าไปขนาดนั้นยาก็ไม่สามารถหยุดอาการฮีทของเขาได้…
“อย่าเพิ่งไปเป็นตัวถ่วงพี่เขานะ…” คาร์เมนเอ่ยกับตัวเองแล้วลืมตามองมือของตนที่ออกอาการสั่นระริกบางเบา แม้จะไม่มาก แต่มันก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่าเขาไม่ควรจะกินยาเกินขนาดแบบนี้บ่อยๆเหมือนสมัยที่ยังแข็งแรงดีอยู่ ความจริงเขาอยากจะรอให้เรื่องวุ่นๆรอบตัวของของคาเล็มจบไปก่อนค่อยมาพบกัน ...แต่เวลามันไม่มีแล้วนี่สิ...
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14 Up! (8/5/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 08-05-2017 12:13:04
“คุณผู้ชาย ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
“อื้อ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะทุกคน” ริชาร์ดยืนเป็นหลักให้เจสสิก้าที่ปรี่เข้ามาหาเขา หญิงสูงวัยแทบจะโผเข้ากอดเหมือนได้ลูกชายคืนจากการโดนเรียกค่าไถ่ ไหนจะสาวใช้อีกหลายชีวิตที่รุมล้อม จะให้ปลอบสาวๆ ทั้งหมดนี่ทีเดียวคงใช้เวลานานโข!
ลาซารัสยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ไม่อยากเข้าไปรบกวนอะไร เขาเดินไปนั่งลงที่โซฟาใกล้ๆ คิดทบทวนเรื่องราวในวันนี้รวมทั้งตรวจเช็คยาว่ากินครบถ้วนดีหรือยัง ถึงเขาจะจำได้แต่ก็กันลืมไว้ด้วยการจดไว้ในมือถือของตัวเอง
“มียาที่ต้องตื่นมากินด้วยนี่นา..” ว่าแล้วปลายนิ้วก็จิ้มตั้งเวลาปลุกไว้อย่างรวดเร็ว
‘..จบเรื่องนี้แล้วพวกนายสองคนน่ะเลิกมาข้องแวะกับเขาจะดีกว่า มีแต่จะตอกย้ำแผลในใจเขาขึ้นมาใหม่ซ้ำๆ..’ คำพูดของคาร์เมนยังวนเวียนอยู่ในหัวของลาซารัสจนโอเมก้าหนุ่มเผลอนั่งเหม่อไปพักใหญ่แม้บรรยากาศจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม ดวงตาสีฟ้าหลบต่ำแม้ไม่มีใครจ้องมองอยู่ ความรู้สึกเจ็บจุกในอกที่รู้สึกอยู่ตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้าคาเล็มวันนี้เหมือนยิ่งชัดเจนขึ้น
“นี่ๆ ไม่เป็นอะไรแล้วน่า เพราะงั้นเลิกร้องไห้กันได้แล้วนะ...หือ?..” เจ้าของบ้านหันไปเห็นว่าลาซารัสนั่งซึมอยู่จึงต้องขอตัวจากเหล่าบริวารที่แสดงความห่วงใยแล้วปลีกตัวไปหา
“อ่ะ...คุณเจสสิก้าล่ะครับ?” โอเมก้าหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาและเปลี่ยนไปมองที่กลุ่มสาวใช้กับพ่อบ้านที่กำลังแยกย้ายกัน ในนั้นมีเจสสิก้าที่เดินออกไปโดยมีสาวๆสองสามคนคอยประคอง แต่ใบหน้าโล่งใจของเธอทำให้เขาคลายกังวลลงโดยไม่ต้องให้ริชาร์ดตอบเลย
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ..นายล่ะ?” คนถามทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเล็กข้างๆ “เป็นอะไรรึเปล่า?”
แม้จะมีเรื่องมากมายสุมในอกแต่ลาซารัสไม่สามารถพูดออกไปได้ เขาเรียบเรียงลำดับอะไรในหัวไม่ถูกสักอย่าง แต่กระนั้นริชาร์ดก็นั่งรอเขาตอบโดยไม่ได้เร่งเร้า ลาซารัสจึงตัดสินใจพูดความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดออกมาก่อน
“ผม..รู้สึกผิดกับคุณหมอน่ะ” เขาถอนหายใจรอบที่ร้อยออกมาหลังจากพูดจบ
“อืม..” ริชาร์ดพยักหน้า พอเห็นใบหน้าเพื่อนรักวันนี้ยิ่งทำเอาอยากต่อยตัวเองเข้าไปใหญ่ ไม่ได้เจอกันแค่พักเดียวแต่คาเล็มดูซูบลงไปเยอะ “คาเล็มคงไม่ได้พูดอะไรกับนายหรอกมั้ง? ...แต่คาร์เมนนี่สิ”
“จะคนไหนพูดก็เหมือนกันแหละครับ” โอเมก้าหนุ่มหันมามองดุ “มันเรื่องจริงนี่นา”
“ขอโทษๆ ...พอดีเลย.. ฉันกำลังคิดว่าจะตัดใจน่ะ”
“ตัดใจ?”
“ใช้คำผิดไปหน่อย.. ต้องบอกว่า ฉันจะเลิกเป็นมือที่สามแล้วไง” ริชาร์ดยิ้มให้อีกฝ่ายเหมือนกับที่ผ่านมา แต่ทำไมวันนี้มันดูฝืนชะมัดเลย.. “ความจริงฉันไม่ควรจะคิดอะไรกับนายแต่แรกแล้วล่ะนะ”
ลาซารัสไม่ได้ตอบอะไร เขามองหน้าอัลฟ่าเจ้าของชีวิตในตอนนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมาหยุดตรงหน้า ..และชกเข้าไปที่เบ้าหน้าอีกฝ่ายเสียเต็มแรงจนริชาร์ดแทบตกจากโซฟา ถึงจะบอกว่าเต็มแรงแต่ก็ไม่ได้มากพอจะทำให้คนโดนร้องโอดโอยแต่อย่างใด
“ชกผม”
“เฮ้ย!?”
“บอกให้ชกผมไงครับ!”
“ใครจะไปทำลงฟะ!?”
เมื่อเห็นริชาร์ดไม่คิดจะสวนคืน เจ้าตัวก็เลยจัดการชกตัวเองไปเต็มแรง แต่ท่าทางจะแรงกว่าที่อัดใส่ร่างสูงไปมาก ลาซารัสที่แทบหมดสภาพจึงล้มลงไปคลานข้างๆ โซฟา
“อูย.. ถือว่าหายกันนะครับ”
“หายกันอะไรเล่า!? นายทำบ้าอะไรเนี่ย” แม้จะเจ็บหน้าตัวเอง แต่ริชาร์ดก็ยังพยายามดูว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรมากไหม เห็นว่าไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออกก็โล่งใจไปเล็กน้อย
“ไม่รู้สิครับ แค่อยากทำ”
“หา?”
“งั้น..ต่อจากนี้ มาทำข้อตกลงกัน!” ลาซารัสเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับลุกขึ้นมายืนต่อหน้าเจ้าของบ้านอีกครั้ง “ตอนนี้ผมที่กินยาอยู่ตลอดคงไม่ฮีทง่ายๆแล้ว แต่นอกจากเวลาออกไปข้างนอก ผมจะฉีดน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนตลอด รวมทั้ง...คุณกับผมห้ามเข้าใกล้กันเกินจำเป็นแล้วด้วย!”
“...เอ่อ..” ริชาร์ดตามความคิดอีกฝ่ายไม่ทันเลยทำได้แค่พยักหน้าตอบ
“ขอโทษนะครับที่ต้องทำแบบนี้ทั้งที่มาขออาศัยบ้านคุณแท้ๆ..” ลาซารัสก้มหัวลงเสริมสิ่งที่ตนพูด “แต่ผมจะให้เกิดเรื่องแบบเมื่อวันก่อนไม่ได้ ผม..ไม่อยากทรยศคุณหมออีกแล้ว”
“อ..อืม เข้าใจ”
“รวมทั้งคุณเองด้วยครับคุณริช”
“...?” ริชาร์ดเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงนสงสัย โอเมก้าหนุ่มเลยยกแขนข้างที่สวมนาฬิกาไว้ขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น บนหน้าปัดนั้นมีนาฬิกาจริงๆ อยู่เพียงหนึ่งในสี่ของหน้าจอ ที่เหลือคือเวลานับถอยหลังสำหรับกินยาแต่ละเม็ด หน้าจอแจ้งเตือนอาการฮีท และอัตราการเต้นของหัวใจ…จนในที่สุดลาซารัสก็ได้คำตอบที่ตนคาใจมาตั้งแต่ตอนนั้น
“ผม..ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณครับ..พูดตรงๆ ตอนนี้ผมรู้สึกกลัวคุณนิดหน่อยด้วยซ้ำ..”
“อื้อ...เข้าใจแล้ว” อัลฟ่ามากวัยกว่าถอนหายใจยาวพร้อมกับยิ้มออกมาเหมือนทุกที “ก็อย่างที่บอกว่าฉันผิดเองแหละที่ดันไม่ห้ามใจตัวเองน่ะ”
ความเงียบลงปกคลุมไปทั่วโถงรับแขก มีเพียงเสียงนาฬิกาเรือนโตที่คอยส่งเสียงว่าเวลายังคงไหลไปไม่มีหยุด จนทั้งสองตัดสินใจกลับไปพักผ่อนเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ระหว่างเดินกลับขึ้นไปชั้นสองเพื่อแยกย้ายไปห้องของตัวเอง ทั้งคู่ก็ไม่ได้ปริปากอะไรออกมาแม้แต่น้อย
“งั้นราตรีสวัสดิ์นะครับ” โอเมก้าหนุ่มค้อมศีรษะให้เล็กน้อยแล้วหันเดินไปอีกฝั่ง
“เอ้อ... ลาซัส” ริชาร์ดเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อนจะแยกไปคนละทาง เขาอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งเหมือนกำลังคิดเพื่อจะเรียบเรียงคำพูด
“ครับ?”
“ฉันขอโทษนะ” คำพูดเรียบง่ายไร้การปรุงแต่งใดๆ ออกจากปากมาในที่สุด “ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเลย”
“...เอาไว้ค่อยมาแก้ตัววันหลังแล้วกันนะครับ..ผมเองก็ด้วย”
“อืม.. แล้วก็..ฉันเองก็อยากกลับไปเป็นพี่ชายนาย...เหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ให้เวลาฉันหน่อยแล้วกัน”
ลาซารัสไม่พูดอะไรต่อ เขาทำได้แค่ยิ้มบางๆตอบและหันหลังเดินกลับไปห้องของตัวเอง เมื่อร่างโปร่งลับตาหายเข้าไปหลังบานประตู รอยยิ้มของคนที่มักจะทำตัวสบายๆ อยู่เสมอก็หุบลงกลายเป็นรอยยิ้มแห้งแสนเหน็ดเหนื่อยและปวดร้าวแทน แต่เขาไม่คิดจะให้ใครเห็นมันอย่างแน่นอน
“...เจ็บชะมัดเลยแฮะ…”



“มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือครับคุณ?” บาร์เทนเดอร์เอ่ยถามชายหนุ่มผู้เป็นลูกค้าซึ่งกำลังนั่งดื่มเพียงลำพังตั้งแต่เข้ามาในร้าน จนใกล้จะได้เวลาปิดร้านก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ทีแรกก็คิดว่านัดคนไว้แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่แบบนั้น
“...ชีวิตนี่มันมีเรื่องตลกร้ายได้เสมอเลยนะมาสเตอร์” อัยการหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในสภาพกึ่มๆได้ที่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั่งควงแก้วเหล้าสีสวยในมือ...เป็นแก้วที่ห้า
“อยากระบายมั้ยล่ะครับ?” แววตาของบาร์เทนเดอร์ประจำบาร์ใจกลางเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดของเออร์แฟนจ้องมองไปยังดวงตาของลูกค้าที่ตอนนี้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยากไปแล้ว
มือที่เช็ดแก้วนำไปวางหลังเคาท์เตอร์เปลี่ยนมาชงเหล้าสูตรพิเศษของตัวเอง เพราะไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากชายหนุ่มรูปงามซึ่งคงจะเป็นแขกรายสุดท้ายของร้านในค่ำคืนนี้แล้ว “แก้วนี้ผมเลี้ยงแล้วกันนะครับ”
“คิดจะมอมเหล้าลูกค้ารึไง?” เออร์แฟนเงยหน้าขึ้นมาหลังแก้วเหล้าถูกเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์หัวเราะเบาๆ ก่อนยกขึ้นมาจิบเองอึกหนึ่ง
“ทดสอบพิษให้แล้วครับ” มาสเตอร์โค้งสวยๆให้ทีหนึ่ง อัยการหนุ่มเผลอหลุดขำเลยตกลงยอมดื่มต่ออีกสักแก้ว คงไม่ถึงกับเมาจนเดินกลับห้องไม่ถูกหรอกกระมัง…
เครื่องดื่มรสเบาแต่ร้อนแรงแสบไปทั้งคอและทรวงอก ทำเอารู้สึกเหมือนได้รับการถ่ายทอดความรู้สึกมากมายในใจให้แสดงออกมาเป็นการเจ็บปวดทางกายภาพ เออร์แฟนค่อยๆจิบเครื่องดื่มรสเลิศไปทีละนิดและเริ่มเปิดปากถึงสิ่งที่อัดอั้น “มาสเตอร์เคยผิดหวังในความฝันของตัวเองมั่งมั้ย”
“ก็หลายครั้งนะครับ” บาร์เทนเดอร์ตอบและเริ่มเก็บกวาดเคาท์เตอร์ไปพลางในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ “ผมไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกๆหรอกครับ กว่าจะมีร้านนี้ได้ก็ลำบากแทบแย่”
“ไม่ๆ ผมหมายถึง เรื่องคู่ครองในฝันของคุณ”
“ครับ?”
“เรารึอุตส่าห์ตั้งความหวังว่าสักวันจะต้องเจอคู่แท้ที่เกิดมาเพื่อเรา ทั้งสวย นิสัยน่ารัก ฉลาดแล้วก็เรียบร้อยเป็นกุลสตรี เป็นคนที่เหมาะสมกับการลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย” การลงทุนที่เออร์แฟนพูดถึงก็คงเปรียบเปรยกับการผลักดันให้ยาของคาเล็มเป็นยาถูกกฎหมายให้ได้นั่นเอง ทว่าบาร์เทนเดอร์หนุ่มก็คงไม่รู้ว่าเออร์แฟนหมายถึงอะไร เพราะเขากำลังทำสีหน้าฉงนสงสัยอย่างปิดไม่อยู่ “แล้วมันดันมาพังทลายเพราะดันเจอโซลเมท! ...โซลเมทที่ทำให้ความฝันที่จะมีครอบครัวแสนสมบูรณ์แบบในอุดมคติของฉันปลิวหายไปนั่นน่ะ!!”
“อ๋อ..” คนฟังพอจะจับใจความได้แล้วจึงยิ้มบางเบาให้อย่างต้องการปลอบประโลม “แหม มันจะเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ยิ่งกว่าที่คุณคิดแน่นอน!” เออร์แฟนชี้นิ้วไปหาอีกฝ่าย แต่ทางบาร์เทนเดอร์ก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาหาเรื่อง เพียงแต่อารมณ์มันพาไปเท่านั้น “เป็นโอเมก้ารุ่นคุณลุง ไร้การดูแลตัวเองโดยสิ้นเชิง แถมยังปากดีขี้หาเรื่อง ไม่มีเศษเสี้ยวของคำว่าน่ารักเลยสักนิด!”
“งี้นี่เอง แล้วคุณรู้จักเขามานานหรือยังครับ?”
“ครึ่งวัน”
“หา?” บาร์เทนเดอร์สะบัดหน้ากลับมามองอีกฝ่ายหลังจากหันหลังไปจัดการเก็บแก้วที่ด้านหลังให้เป็นระเบียบ “คุณเพิ่งเจอเขาเองนี่ครับ”
“ใช่”
“อืม...ถ้าอยากได้คำแนะนำ ผมว่าลองติดต่อพูดคุยทำความรู้จักกันอีกสักพักไม่ดีกว่าเหรอครับ เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงไม่น่าจะทำให้รู้จักเขาดีหรอกกระมัง” ถึงที่ผ่านมาบาร์เทนเดอร์หนุ่มจะทำหน้าที่รับฟังเท่านั้น แต่กรณีนี้เขาอยากจะออกปากเสียจริง มีอย่างที่ไหนถึงมาฟูมฟายราวคนอกหักโดยที่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกับอีกฝ่ายเลย!?
ถึงจะหัวแข็งแค่ไหนแต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปค่อนข้างมาก ทำให้อัยการหนุ่มหรี่ตามองและพยักหน้าเหมือนเพิ่งโดนเตือนสติ เขาเงียบและครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ภายใต้บรรยากาศเงียบสงบในร้าน มีเพียงพนักงานไม่กี่คนที่กำลังเก็บกวาดร้าน เออร์แฟนลุกพรวดขึ้นจนมาสเตอร์ยังตกใจและวางเงินค่าเหล้าไว้ในจำนวนที่เกินราคาไปมาก
“ไม่ต้องทอน” ร่างสูงพูดดักคอเมื่อเห็นบาร์เทนเดอร์กำลังจะหาเงินทอนให้เขาและเดินออกจากร้านมาทั้งอย่างนั้น ด้านนอกมีรถของเขาที่จอดรออยู่พร้อมบอร์ดี้การ์ดสามคนเดินเข้ามาประคอง แต่เออร์แฟนก็ยกมือห้ามเป็นสัญญาณว่าเขาเดินเองได้
อัยการหนุ่มมองขึ้นไปบนฟ้า คืนนี้ดวงจันทร์เพียงครึ่งเดียวนั้นฉายแสงเดียวดายที่ด้านบนหัว ก่อนเออร์แฟนจะตะโกนออกมา “หึ… คิดว่าแค่นี้จะทำให้ฉันยอมแพ้รึไง อยากเห็นฉันหมดท่าล่ะสิ ไม่มีทางหรอกโว้ย! ฮ่าๆๆ!”
ลูกน้องทั้งสามรีบเข้ามารวบตัวหัวหน้าของตนเข้าไปในรถและขับออกจากบริเวณนั้น ท่าทางเขาจะเมาจนไม่รู้เรื่องอีกแล้ว…


รถฟอร์ดกาแล็กซี่สีดำที่บอร์ดี้การ์ดของเออร์แฟนมาคอยประกบคุ้มกันคาเล็มและคาร์เมนได้ขับไปถึงโรงพยาบาลที่แม่ของทั้งคู่พักฟื้นอยู่ แม้ว่าผู้เป็นน้องชายจะไม่ชอบใจนักที่ต้องเดินทางมาโดยอาศัยรถของโซลเมทคู่อาฆาต แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนๆ นั้นเอาใจใส่และระวังความปลอดภัยให้พี่ชายของเขาดีมากอยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะทำให้ความชิงชังที่มีต่อเออร์แฟนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วลดลงได้
“งั้นพวกเราจะรออยู่ที่รถนะครับคุณหมอ” หนึ่งในคนคุ้มกันเอ่ยและสั่งให้บอร์ดี้การ์ดตามไปคุ้มกันทั้งสองข้างในโรงพยาบาลเพียงคนเดียว โอเมก้าผู้เป็นน้องชายจึงเดินนำพี่ชายเข้าไปยังอาคารผู้ป่วยในและพาขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่มารดานอนพักรักษาตัวอยู่ โดยมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
“วันนี้พาเพื่อนมาเยี่ยมคุณแม่เหรอคะคุณคาร์เมน?” พยาบาลสาวท่าทางใจดีทักทายคาร์เมนอย่างคุ้นเคยและยิ้มให้ชายที่มากับญาติคนไข้
“นี่พี่ชายผมเองครับ” พอได้ยินดังนั้นสีหน้าของคุณพยาบาลก็แปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคนไข้ที่เธอดูแลอยู่และมักจะเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลแห่งนี้มาเป็นปีจะมีลูกชายถึงสองคน “เพิ่งจะหากันเจอกันเมื่อวานนี้เอง”
“อย่างนั้นเองเหรอคะ ถ้างั้นก็เชิญตามสบายนะคะ”  เมื่อพยาบาลพิเศษเดินออกไปแล้วคาเล็มก็แอบสังเกตเห็นว่าคาร์เมนยังมองตามหลังเธอไปอยู่
“นายชอบเธอเรอะ?” ผู้เป็นพี่ชายสะกิด น้องชายเลยหันขวับไปมุ่นคิ้วใส่พร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ
“เค้าแค่ดูแลแม่ดีมาตลอด ผมก็เลยถูกใจพยาบาลคนนี้มากก็เท่านั้นเอง” คาร์เมนเดินไปที่เตียงคนไข้ ใบหน้าก้มลงหอมแก้มผู้เป็นแม่ที่ยังนอนอยู่ “แม่ครับ ผมมาเยี่ยมแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงลูกชายที่รัก หญิงชราร่างกายซูบผอมก็ค่อยๆปรือตาขึ้นมาช้าๆ และหันใบหน้าไปหาต้นเสียง
“คาร์เมน? ไปไหนมาเหรอลูก เมื่อวานไม่เห็นมาอยู่เป็นเพื่อนแม่เลย งานยุ่งเหรอ?” แม้ว่าเสียงจะแหบแห้งและพูดเนิบช้า แต่ก็ถามถึงลูกชายเสียยืดยาว
“นิดหน่อยครับแม่” คาร์เมนหันไปพยักหน้าให้คาเล็มเดินเข้ามา “ลุกไหวมั้ย ผมพาคนมาเยี่ยมแม่ด้วยล่ะ”
“ใครเหรอ?” หญิงชรายิ้มแปลกใจเพราะไม่มีใครนอกจากลูกชายของเธอมาเยี่ยมคนแก่ใกล้ลาโลกคนนี้มานานแล้ว “แหมๆ ขอบคุณมากนะคะที่แม่เยี่ยมดิฉัน ไม่ทราบว่าคุณเป็น…”
ใบหน้าที่ซูบผอมหันไปหาร่างสูงสวมแว่นกรอบหนาที่ยื่นช่อดอกลิลลี่สีเหลืองมาเยี่ยมไข้เธอ หญิงชรารับมาถือไว้ด้วยความขอบคุณ “เอ...แปลกจัง ดิฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุณอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะค่ะ หรือเพราะแก่แล้วก็เลยหลงๆ ลืมๆ กันนะ?”
“แม่…” เสียงทุ้มสั่นเครือเพียงแค่เริ่มต้นเอ่ยประโยคแสนสั้น “คุณแม่...สบายดีรึเปล่าครับ?”
“อา ก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ คนแก่ร่างกายเจ็บออดๆ แอดๆ เป็นภาระให้ลูกไม่เว้นแต่ละวันเลย” เธอหันหน้าไปหอมแก้มคาร์เมนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างรักใคร่และภูมิใจในตัวลูกชาย “แม่ล่ะเป็นห่วงจริงๆ ว่าใครจะมาช่วยดูแลลูกคนนี้ได้บ้าง ชอบทำเป็นเก่งอยู่เรื่อยเลยเด็กคนนี้ ตัวก็เล็กนิดเดียวว่ามั้ยคะ”
“แม่ครับ...อย่าเพิ่งเผาผมต่อหน้าพี่สิ”
“พี่?” ผู้เป็นแม่กะพริบตาสองสามทีด้วยความงุนงงก่อนหันกลับไปมองใบหน้าของแขกที่มาเยี่ยมไข้อย่างพินิจดูดีๆ อีกครั้ง “ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยถอดแว่นแล้วเข้ามาใกล้ๆหน่อยจะได้มั้ยคะ ดิฉันสายตาไม่ค่อยดีแล้วน่ะค่ะ”
 คาเล็มเดินมานั่งข้างๆ เตียงผู้ป่วยอีกฝั่งก่อนจะถอดแว่นที่สวมอยู่และปัดผมที่ปรกใบหน้าออก พอหญิงชราได้เห็นใบหน้าในระยะใกล้แบบนี้แล้ว หัวใจก็เต้นรัวเสียจนแทบจะระเบิดออกมา
“พระเจ้า! ค...คาเล็ม นี่ลูกจริงๆเหรอ!?” มือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นยกขึ้นปิดปากตัวเองคล้ายกลัวว่าจะส่งเสียงร้องออกมาดังมากเกินไป
  “ครับ” คาเล็มตอบสั้นๆก่อนจะโดนสองแขนของแม่ที่ห่างหายไปนานสวมกอดไว้ เขาตอบรับด้วยการกอดกลับหลวมๆ เพราะเกรงจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ
“แม่นึกว่าจะไม่มีวันได้เจอลูกอีกแล้ว..” เสียงของหญิงชราแหบแห้งสั่นเครือด้วยความปิติ มือลูบแผ่นหลังกว้างคล้ายจะปลอบโยนทั้งที่ตัวเธอเองก็กำลังหลั่งน้ำตาแห่งความสุขอยู่ เมื่อทั้งสองผละออกจากกันคาเล็มก็เรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ทั้งที่ก่อนมาเขาคิดไว้อย่างดีแล้วแท้ๆว่าจะกล่าวอะไรกับผู้เป็นแม่บ้าง แต่พอเห็นหน้าเธอเขาก็ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
“คือ..ผม.. ขอโทษที่ไม่ได้ตามหาคุณแม่กับคาร์เมน” พอตั้งสติได้เขาก็เอ่ยคำขอโทษออกมาก่อน ที่ผ่านมาเขามีโอกาสที่จะหาทั้งสองคนตั้งหลายครั้ง แต่ความน้อยใจเล็กๆ ในก้นบึ้งของหัวใจก็ดันรั้งเขาไว้ บวกกับไม่มั่นใจว่าสาเหตุที่แม่พาคาร์เมนหนีไปแล้วไม่ได้พาเขาไปด้วยนั้นเป็นเพราะอะไร
หากว่าเขาหาทั้งสองคนเจอ แต่ทั้งสองไม่ได้อยากเห็นหน้าเขาล่ะ?
“ถ้าหากว่าผมพาแม่กับน้องมาอยู่ด้วย ทั้งสองคนคงไม่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้.. เอ่อ..” คาเล็มก้มหน้าไม่กล้าสบตากับผู้เป็นแม่ ความกังวลใจที่อัดแน่นกระจัดกระจายภายในหัวอย่างช้าๆ จนทำให้ตอนนี้คำพูดของเขาดูติดขัดไปหมด “แต่ว่าผมไม่ได้โกรธเรื่องที่โดนปล่อยไว้ในบ้านนั้นคนเดียวหรอกนะครับ.. ผมเข้าใจทั้งสองคนดี..”
ทว่า ก่อนคาเล็มจะพูดจนจบดี ผู้เป็นแม่ก็ยื่นมือมาแตะที่มืออุ่นของลูกชายเบาๆ คล้ายจะบอกให้เขาหยุดพูดเสียก่อน รอยยิ้มแสนงดงามแม้จะโรยราตามสังขารส่งมาหาลูกชายของตนอย่างรักใคร่ อีกมือยกขึ้นลูบหยดน้ำใสที่กำลังคลอเบ้าตาของคาเล็มเบาๆ ท่าทางลูกชายของเธอจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“แม่ขอโทษนะ ..ที่ทิ้งลูกไว้ที่นั่นคนเดียว”
หยาดน้ำตาใสไหลอาบลงมาจากดวงตาสองสีคู่นั้นอย่างห้ามไม่อยู่จนแม่ต้องดึงลูกชายคนโตของตนเข้ามากอดปลอบ คาเล็มซุกหน้าลงบนไหล่เล็กของผู้เป็นแม่เหมือนเด็กน้อยโหยหาความอบอุ่นจากคนตรงหน้า
“แม่กับน้องไม่เคยโกรธลูกเลย แต่ก็ไม่กล้าพอจะกลับไปหาลูกเหมือนกัน” มือของหญิงชรายกขึ้นลูบผมของคาเล็ม แม้จะผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแต่เธอก็พยายามนั่งเป็นหลักให้ลูกชายของตัวเองได้พักพิง “ตอนที่ยังเห็นหน้าลูกในทีวี แค่นั้นใจแม่ก็แทบสลาย ว่าทำไมแม่ถึงทำให้ลูกมีดวงตาเศร้าสร้อยขนาดนั้นได้ลงคอ”
คาร์เมนที่นั่งเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ ที่ข้างเตียงเองก็โดนคุณแม่ดึงเข้ามากอดด้วยอีกคน เป็นครั้งแรกที่สามแม่ลูกได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า สามสิบกว่าปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีความหมายเท่ากับช่วงเวลาแสนล้ำค่านี้เลย
เวลาช่างผ่านไปเร็ว เมื่อหมดเวลาเยี่ยมเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน คาร์เมนก็เดินออกมาคุยกับพี่ชายของตนที่สวนหย่อมในพื้นที่ของโรงพยาบาล
“แล้วนายจะเอายังไงต่อคาร์เมน ให้พี่พาแม่ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมกว่านี้ดีมั้ย?” คาเล็มยกกาแฟกระป๋องขึ้นดื่มไปพลางปรึกษาเรื่องแม่กันต่อ
“ไม่ล่ะ ผมไม่ได้ไปหาพี่เพราะอยากให้ช่วยเรื่องแม่หรอก แค่อยากให้เจอกันก่อนจะสายเกินไปน่ะ” คาร์เมนเอนหลังไปกับม้านั่ง และปล่อยควันจากบุหรี่ในปากให้ลอยขึ้นไปช้าๆ “ตอนนี้ก็ทำให้แม่สมหวังอย่างที่ตั้งใจแล้วด้วย สบายใจขึ้นเป็นกองเลย”
“แต่ดูแม่ก็สบายดีนะ ตอนแรกคิดว่าจะแย่กว่านี้ซะอีก” จากที่น้องชายโอเมก้าเล่าให้ฟังทีแรก เขาคิดว่าแม่คงอาการแย่จนไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรได้เหมือนพี่ใหญ่ แต่ก็นับว่าดีแล้ว...
“อืม...ภายนอกก็ดีอยู่หรอก...” คาร์เมนเอ่ยเสียงเบาลงและขยี้บุหรี่ที่หมดมวนแล้วทิ้ง “ยังไงก็ขอบคุณที่มาเจอแม่ด้วย ตั้งแต่พรุ่งนี้พี่ก็คงไม่ว่างแล้วสินะ ไหนจะเรื่องทดสอบยาตัวใหม่กับวิ่งเต้นทำเรื่องให้ลิขสิทธิ์ยาของตัวเองถูกกฏหมายอีก”
“แต่ถ้าพอมีเวลาฉันก็จะมาเยี่ยมแม่นะ”
“อย่าเลย รบกวนพี่เปล่าๆ มีพยาบาลคอยดูแลแม่ตลอดอยู่แล้วด้วย แต่ถ้าจะมาก็ติดต่อผมมาก่อนได้ แม่คงดีใจที่ได้เจอหน้าพี่อีก”
“แล้วนายล่ะคาร์เมน?”
“หือ?” ดวงตาหลังแว่นกันแดดหันมาจ้องหน้าพี่ชาย “ผมทำไมเหรอ?”
“ฉันว่านายเองก็ควรได้รับการรักษาที่ถูกต้องได้แล้วนะ ร่างกายเป็นแบบนั้นแล้วยังกินยามากขนาดนั้นมันจะรับไม่ไหวเอาได้” คาร์เมนทำหน้าเซ็งไปนิดหน่อย ดูเหมือนจะโดนจับได้ซะแล้วว่าร่างกายไม่สมประกอบ สมแล้วล่ะที่พี่ชายของตนคลุกคลีอยู่กับผู้ป่วยโอเมก้ามานับไม่ถ้วน
“หึๆ ถ้าผมไม่กินขนาดนั้น พี่ก็ได้กลายเป็นของๆผมไปแล้วนะ” คนตัวเล็กกว่าหัวเราะแล้วขยับตัวมานั่งเบียดพี่ชายอัลฟ่าของตัวเอง “ขนาดผมเป็นอย่างนี้พี่ยังขัดขืนแทบไม่ได้เลย ถ้ารักษาจนผมดีขึ้นล่ะก็พี่อาจจะไม่รอดก็ได้นะ”
“ยังจะมาล้อเล่นแบบนี้อีก วันนี้นายกลับบ้านไปเอาของที่จำเป็นมาค้างอยู่บ้านฉันสักระยะก่อน ฉันจะปรับสูตรยาระงับที่เหมาะกับร่างกายนายในตอนนี้ให้” ร่างสูงลุกขึ้นหนีก่อนโยนกระป๋องกาแฟที่ดื่มหมดแล้วลงถังขยะ
“เฮ้ๆ! ผมต้องทำงานนะพี่ ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาแม่กันล่ะ” คาร์เมนแย้ง แค่หยุดงานไปวันเดียวเขาก็เสียรายได้ไปมากแล้ว ถ้าหยุดนานกว่านี้เกรงว่าจะกระทบค่าใช้จ่ายเอาได้
“เรื่องแม่น่ะนายทำมามากพอแล้ว ที่เหลือให้ฉันจัดการเอง ถ้านายไม่รักษาตัวซะตั้งแต่ตอนนี้นายเองก็จะแย่ตามไปด้วย”
“ผมไม่…” พอจะปฏิเสธความช่วยเหลือจากคุณพี่ชายก็ถูกหยุดด้วยสายตาดุที่จ้องเขม็งมา แม้ปกติเขาจะไม่กลัวอัลฟ่าหน้าไหน แต่กับคาเล็มเป็นข้อยกเว้นกรณีพิเศษ
มือของคุณหมอยกขึ้นบีบบ่าทั้งสองข้างของน้องชาย “ทำเพื่อตัวเองบ้างเถอะคาร์เมน หรือไม่ก็ทำเพื่อแม่อีกสักนิด ถ้านายเป็นอะไรไปซะก่อน แม่คงใจสลาย”
“...พี่นี่ชอบเอาแม่มาอ้างให้ผมยอมแพ้ตลอดเลย” เป็นอีกครั้งที่คำขู่ของคุณหมออัลฟ่ามีผลต่อน้องชายโอเมก้า แพ้ทางจริงๆ เลยให้ตาย...
“ก็นายดื้อเองนี่” คาเล็มปล่อยมือแล้วขยี้ผมอีกฝ่ายจนยุ่งไม่เป็นทรง
“โอเคๆ ผมยอมให้พี่รักษาก็ได้ แต่ไม่ขออยู่บ้านเดียวกับพี่หรอกนะ”
“ทำไมล่ะ? หรือว่า...นี่นายยังคิดจะเล่นพิเรนท์กับฉันอีก!” ร่างสูงถอยออกมาตั้งหลักเตรียมตั้งการ์ดเผื่อโดนจู่โจมกลางวันแสกๆ
โถ...ทำยังกับน่ากลัวตายเลยคุณพี่ชาย...
“ผมบอกแล้วนี่ว่าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก แต่เหตุผลหลักจริงๆ เพราะผมไม่อยากเห็นหน้าไอ้ทนายคนเก่งของพี่ด้วย หมอนั่นเข้าๆ ออกๆ บ้านพี่ตลอดเลยใช่มั้ยล่ะ?”
“ตอนที่เออร์แฟนมาที่บ้านฉัน นายก็ขังตัวเองอยู่ในห้องชั้นบนไปสิ ถ้ากลัวว่าลงมาเจอกันแล้วจะเป็นเรื่องน่ะ” คาเล็มเสนอทางออกให้ทั้งสองฝ่าย ต่อให้เป็นโซลเมทกันแต่ถ้าไม่อยู่ใกล้กันในระยะอันตรายยังไง ฟีโรโมนก็ไม่มีผลอยู่ดี แม้จะไม่รู้ว่าตอนที่คาร์เมนฮีทจะปล่อยฟีโรโมนดึงดูดรุนแรงเหมือนลาซารัสรึเปล่าก็เถอะ
“เหอะ...ทนายดีๆ มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นไอ้เด็กอวดดีนั่นด้วยนะ” คาร์เมนบ่นโดยไม่แคร์เลยว่าลูกน้องของเออร์แฟนจะยืนคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ และได้ยินเจ้านายโดนนินทาในระยะเผาขน
“ถ้าไม่ใช่เออร์แฟนเราก็ไม่มีทางทำอะไรได้ราบรื่นหรอก โชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้เป็นศัตรูกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” แม้จะพูดไปตามความจริง แต่คนน้องก็อดคิดไม่ได้เลยว่าพี่ชายกำลังอวยอัลฟ่าคนที่ตนไม่ชอบหน้าคนนั้นอยู่
“ครับๆ คุณพ่อพระมาโปรด ถ้างั้นก่อนแวะไปบ้านผมก็ช่วยพาไปหาอะไรกินหน่อยนะครับ น้องหิวจนจะกินพี่คาเล็มได้ทั้งตัวแล้ว” ไม่พูดเปล่าแต่มือยังลูบคางที่เต็มไปด้วยเคราชวนจั๊กจี้ของพี่ชายสุดที่รักอีก
“อยากกินรองเท้าแทนมั้ย?” ดวงตาหลังกรอบแว่นมองตาขวางคล้ายจะเตือนกลายๆ ว่าเอาจริงนะ
“โหย...พี่หยาบคายจัง แต่ผมก็ชอบนะ” พูดจบก็ชิ่งหนีเข้าไปหลบในรถฟอร์ดที่อยู่ห่างออกไป ก่อนที่คุณหมอจะได้ทันถอดรองเท้ามาเขวี้ยงใส่น้องชายตัวดีเสียอีก
ทำไมรอบตัวเขามีแต่พวกกวนประสาทกันนะ ไม่เข้าใจเลยว้อย!
“แต่ก่อนอื่น...ขอยืมโทรศัพท์หน่อย” คาเล็มตามมาขึ้นรถแล้วยื่นมือมาหาน้องชาย ซึ่งคาร์เมนก็หยิบขึ้นมาให้แต่โดยดี แม้จะสงสัยว่าพี่ชายจะโทรหาใครแต่คิดว่าเดี๋ยวก็คงรู้เองนั่นแหละ…
คุณหมอกดเบอร์ที่แสนคุ้นเคยแล้วโทรออก รอให้ปลายสายรีบๆ รับเสียที…

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมากลางโต๊ะอาหารทำให้เจ้าของบริษัทอย่างริชาร์ด เบอร์ตั้นซีอีโอคนปัจจุบันหันไปมอง เขาสั่งห้ามเลขาฯไม่ให้เอาเบอร์ส่วนตัวของเขาให้ใครในองค์กรหรือลูกค้าไปแล้ว และเบอร์ที่ปรากฎก็ไม่ใช่เบอร์ที่คุ้นตาอีกต่างหาก
คนโทรผิดรึเปล่านะ...เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล?”
“ฉันเอง” เสียงของคาเล็มทำเอาริชาร์ดเลิกคิ้วแปลกใจ “นี่เบอร์น้องฉัน วันนี้พาลาซัสไปไหนรึเปล่า?”
“อ๋อ...ว่าจะพาไปนั่งที่ร้านกาแฟในตึกก่อนน่ะ เดี๋ยวตอนบ่ายหลังจบประชุมฉันจะพาเขาไปฝึกยิงปืนที่เคยขอไว้ มีอะไรรึ?” ริชาร์ดหันไปมองคนที่ถูกถามถึง ซึ่งลาซารัสเองก็รู้ตัวแล้วว่าคนที่โทรมาคงถามหาตัวเขาจึงมองกลับไปด้วยสายตาฉงน
“เหรอ งั้นอีกสักสองชั่วโมงฉันจะไปหาที่นั่นนะ” เมื่อบอกกล่าวเสร็จก็ไม่รอให้ถามถึงเหตุผล คาเล็มกดวางสายอย่างรวดเร็วแล้วยื่นมือถือคืนแก่คาร์เมนซึ่งนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ “...อะไร?”
“ไม่เข้าใจพี่เลยจริงๆ ทำไมถึงยึดติดกับสองคนนั่นขนาดนั้น โดยเฉพาะเจ้าหนูโอเมก้านั่น” คาร์เมนคว้ามือถือของตัวเองคืนอย่างหัวเสีย “ผมก็นึกว่าเรื่องด่วนซะอีก”
“ด่วนสิ”
“เฮ้อ..” น้องชายถอนหายใจยาวอย่างสุดจะเซ็ง
“แต่ก็ไปเก็บของที่บ้านนายก่อนละกัน”

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14 Up! (8/5/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 08-05-2017 12:14:40

จากกำหนดการณ์เดิมที่น่าจะเรียบร้อยดีกลายเป็นว่าตอนนี้ลาซารัสกำลังไร้สมาธิในการอ่านหนังสือที่พกมาโดยสิ้นเชิง เพิ่งจะเจอคาเล็มไปเมื่อวานนี้ แต่เรื่องมันเยอะจนเขาตั้งสติไม่ทัน โฟกัสกับอะไรไม่ได้เลยทำได้แค่พยายามกินยาให้ตรงเวลาก่อน มาวันนี้คิดว่าคงจะมีแค่โปรแกรมไปฝึกยิงปืนอย่างที่อยากเรียนเฉยๆ แต่คุณหมอกำลังจะมาหาเขาอีกรอบ!?
“ทำหน้าตลกจังนะลาซารัส” เสียงคุ้นหูทักเรียกสติเขา โคลวิสเดินเอาแก้วกาแฟมาเสิร์ฟตามที่ลาซารัสสั่งไว้แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ “มานั่งรอคุณริชาร์ดเหรอ?”
“ค..ครับ” เมื่อสติรู้ตัวกลับเข้าร่างเขาก็หยิบกาแฟแก้วเล็กขึ้นมาจิบ มันขมไปสักหน่อยจึงได้เอาน้ำตาลกับคอฟฟี่เมทที่แนบมาข้างๆ ถ้วยเทลงไปจนหมดที่มี
“หวานนะแบบนั้น”
“ผมไม่ใช่คอกาแฟที่ดีเท่าไหร่ แต่กลิ่นกาแฟในร้านหอมมาก ก็เลย...สั่งสุ่มๆมา” คำตอบนั้นทำเอาโคลวิสหลุดขำเพราะเห็นอยู่แล้วว่าลาซารัสมองเมนูอยู่สักพักหนึ่งก็สั่งกาแฟไอริชมาซะอย่างนั้น
“ฮะๆๆ ขอโทษนะ ฉันควรจะถามนายก่อน จะได้แนะนำแบบดื่มง่ายๆให้” หนุ่มผมสียิ้มอย่างเอ็นดู “เปลี่ยนมั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับ! อุตส่าห์ชงมาแล้ว” ลาซารัสยกแก้วขึ้นลองจิบ ดีขึ้นมาหน่อยแต่เขาก็ยังอยากได้น้ำตาลเพิ่มอยู่ดี…
ในร้านกาแฟวันนี้ผู้คนบางตา อาจจะเพราะงานด่วนที่เข้ามาเลยไม่มีใครกล้ามานั่งเอ้อระเหยในร้านกาแฟเท่าไหร่ จะมีก็แต่คนแวะมาซื้อด้วยท่าทีเร่งรีบจนบาริสต้าอยากจะเสกกาแฟให้ลูกค้าแทนการชงเลย เมื่อไม่มีคนแล้วโคลวิสจึงเดินมานั่งเป็นเพื่อนลาซารัสที่ดูเหมือนจิตใจจะไม่อยู่กับหนังสือในมืออย่างเป็นห่วง
“หรือว่า...กำลังรอคุณหมอคนนั้นอยู่เหรอ?”
“ใช่ครับ” ในที่สุดลาซารัสก็ปิดหนังสือในมือลง จะฝืนอ่านตอนนี้คงไม่มีอะไรเข้าหัวอย่างแน่นอน “ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณหมอมีธุระอะไร..”
“มาขอหมั้นมั้ง?”
พรึ่ด! กาแฟที่กำลังจิบแทบจะพ่นออกจากปาก โชคดีที่ไม่ได้หกเลอะเทอะ แต่ลาซารัสก็สำลักไปเล็กน้อยอยู่ดี
“แกล้งสนุกจริงๆด้วย!” โคลวิสยกมือขึ้นปิดปากกุมท้องและตัวสั่นจากการกลั้นขำไม่ให้ดังจนเกินไป
“คุณ...โคลวิส! ตอนนี้ผม…” ลาซารัสหน้าแดงจนถึงหู พยายามจะอธิบายหรือแก้ต่างอะไรต่อมิอะไร “หรือว่าคุณ...รู้เรื่องของผมแล้ว?”
โคลวิสพยักหน้าให้เหมือนจะรู้ว่าลาซารัสจะถามอะไร พอรู้แบบนั้นแล้วแทนที่ลาซารัสจะตกใจหรือสับสน เขากลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก...
แต่โคลวิสก็เปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันแย่จนเกินไป การที่มีลูกค้านั่งอมทุกข์อยู่ในร้านคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก ตอนนี้กลายเป็นว่าทั้งสองคนเริ่มสอบถามเรื่องชีวิตประจำวันของกันและกันแทน หลังจากแลกเบอร์กันวันนั้นทั้งคู่ยังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย วันนี้จึงเรียกได้ว่าพวกเขาเพิ่งจะได้ทำความรู้จักอีกฝ่ายจริงๆ จังๆ
“แล้วนายจะร้องไห้ทำไมเนี่ย...”
“ก็…” ลาซารัสนั่งน้ำตาเอ่อเพราะได้ฟังช่วงชีวิตวัยรุ่นแสนระทมทุกข์ของโคลวิส ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขกับแฟนอัลฟ่าที่สุดในโลก วาดภาพความฝันของอนาคตไว้ด้วยกันอย่างดิบดี สุดท้ายเขาก็ถูกทิ้งเพียงเพราะอีกฝ่ายเจอโอเมก้าที่ถูกใจมากกว่า..
“ไม่เอาสิ ฉันว่าที่นายโดนขายตั้งสองสามรอบมันน่าหดหู่กว่าอีกนะ” บาริสต้าหนุ่มหันไปหยิบทิชชู่มายื่นให้เด็กขี้แง “ไม่รู้สึกแย่กับตัวเองบ้างรึไง?”
“นิดหน่อยครับ...แต่ตอนที่คุณพ่อเอาผมมาทิ้งไว้กับโอนเนอร์...ผมยังจำความไม่ค่อยได้เลย พูดตามตรงว่าตอนนี้ก็จำหน้าพวกเขาไม่ได้แล้ว…” ลาซารัสพูดทั้งที่เช็ดน้ำตาน้ำมูกออกจากหน้าตัวเอง “ส่วนโอนเนอร์...เขาเลี้ยงดีก็จริง แต่ว่า..ก็แค่เลี้ยงไว้น่ะนะ”
ลาซารัสก้มหน้าลงเล็กน้อย เขานึกถึงคำพูดของเจสสิก้าที่พูดกับเขาวันก่อน
'ไม่มีอะไรโหดร้ายไปกว่าการไม่มีบ้านให้กลับหรอกนะคะ’
เขาไม่มั่นใจว่าเข้าใจคำนั้นดีหรือเปล่า บ้านสำหรับเขามันก็คือที่อยู่อาศัยสินะ? เท่าที่ผ่านมาเขาก็อยู่โดยการได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ และโดนบอกเสมอมาว่าจะไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เมื่อตอนที่ลาซารัสออกจากบ้านของโอนเนอร์มาก็ไม่มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ใดๆเลย.. มันผิดปกติหรือเปล่านะ?
“...น่าสงสารจริงๆ” โคลวิสส่ายหัวแล้วยกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายเหมือนเจ้านายลูบปลอบสุนัข แม้จะเป็นสุนัขที่ตัวใหญ่กว่าเขาก็ตาม
“เอ๋!? ผมไม่เป็นอะไรนะครับ! ผมว่าผมโชคดีด้วยซ้ำที่เจอแต่คนดีๆ คอยดูแลน่ะ” ลาซารัสพูดออกไปแบบนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ปัดมือของโคลวิสออก แถมยังปล่อยให้ลูบอยู่แบบนั้นต่อด้วย “ก็..อย่างโอนเนอร์เขาก็ดูแลดีนะครับ สอนผมตั้งหลายอย่าง หรือคุณหมอเองก็คอยเป็นห่วง...แถม… อ่า.. ใช่! คุณริชาร์ดก็..”
“พอแล้วน่า ฟังจนฉันเริ่มจิตตกจะแย่แล้ว” โคลวิสยิ้มแห้งๆ ให้อีกคน นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องที่เข้าใจไม่ยากให้ฟังเชียวนะ... เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘บ้าน’ ที่ควรจะเป็นจริงๆมันคืออะไร…
“อ่า ขอโทษครับ”
“ไม่ต้องหรอกๆ! ว้า~ บรรยากาศแย่ลงอีกแล้วสิ”
“ผม..คงมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย” ทั้งที่เคยคิดเสมอว่าตนโตพอจะรู้ทุกอย่างดี แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้รู้อะไรเลย...
“งั้นอยากถามหรือปรึกษาอะไรก็โทรหาหรือทักแชทมาได้ตลอดนะ” โคลวิสยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มแสนจริงใจที่ไม่เคยเห็นจนลาซารัสรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก “โอ๊ะ? คนที่นายรอมาหาแล้วแน่ะ”
เมื่อหันไปทางประตูร้าน คาเล็มที่เพิ่งมาถึงก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาแทบจะทันที ภายในร้านก็ไม่มีใครนั่งอยู่นี่นะ จึงไม่จำเป็นต้องกวาดตามองหาด้วยซ้ำ
“เอสเพรสโซ่แก้วนึง” คาเล็มหันไปบอกกับบาริสต้าอีกคนที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ ซึ่งคาร์เมนที่เดินตามมาติดๆเองก็ยกมือขึ้นให้สัญญาณว่าเอาแบบเดียวกัน ทั้งสองเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับลาซารัสแล้วก็โคลวิส ซึ่งเจ้าของร้านเองก็ขอตัวออกมาก่อนเพราะอยากให้ลูกค้าทั้งสามได้คุยกันเป็นส่วนตัวมากขึ้น
“ขอโทษที่นัดเจอกะทันหันนะ” คาเล็มนั่งพักสักครู่ ท่าทางจะรีบเดินมาเพราะลาซารัสแอบเห็นคุณหมอหอบเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ คุณหมอพักก่อนก็ได้” ไม่รู้หรอกว่าคาเล็มมีเรื่องอะไรจะคุยด้วย แต่เขาเห็นอีกฝ่ายดูรีบร้อนแบบนี้ก็รู้สึกใจคอไม่ดี ดวงตาของคาเล็มเองก็มีสีแดงจางๆอยู่ นี่เขาไม่สบายรึเปล่า!? “อ่ะ..สวัสดีครับคุณคาร์เมน”
“สวัสดีไอ้หนูไฝ”
“หะ...หา!?”
“จำชื่อไม่ได้น่ะ” คาร์เมนยิ้มกวนให้ แต่เขาจำชื่อเรียกยากของอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ… จึงเรียกสิ่งที่ตนเห็นแล้วจำได้ทันทีนั่นคือไฝใต้หางตาทั้งสองข้างของโอเมก้าหนุ่มรุ่นน้อง ที่แทบจะเป็นจุดตำหนิเดียวบนใบหน้ามนนั้น ...พูดไปก็แอบอิจฉาเบาๆนะเนี่ย
“ผมชื่อ ลาซารัส แมทเวย์ครับ” แม้จะแนะนำตัวไปทีหนึ่งแล้วเมื่อวานแต่เขาก็กัดฟันพูดชื่อตัวเองให้อีกฝ่ายฟังอีกรอบ
“เรียกยากชะมัด เรียกไฝน้อยนี่แหละ น่ารักเหมาะกับนายจะตาย”
“...เรียกว่าเป็ดน้อยนี่ดูน่ารักไปเลยแฮะ..”
“คุณหมอ!?” ลาซารัสหันไปมองคาเล็มด้วยสายตาสุดเสียใจที่แม้แต่คุณหมอก็ยังสรรหาชื่ออื่นมาให้เขา ว่าแต่ทำไมต้องเป็ดด้วยล่ะ!?
“โอ้ว นั่นก็ดีนะพี่ ไอเดียดีจริงๆ” คาร์เมนทำมือทำไม้บอกใบ้ให้รู้ที่มา คำว่าเป็ดนี่มาจากปลายผมของลาซารัสที่มักจะกระดกจนเป็นหางเป็ดนั่นเอง
“นี่ไอเดียเออร์แฟน”
“....ผมจะเรียกไฝน้อยต่อไปละกัน” เพราะว่าไม่อยากเรียกชื่อล้อเลียนซ้ำซ้อนกับใครอื่นที่ไม่ชอบหน้านั่นเอง
“ไม่เอาทั้งนั้นครับ!”
“พอๆ ...ลาซัส คือ...ฉันจะมาบอกว่า ฉันคงไม่ได้มาเยี่ยมนายบ่อยๆ หรือบางครั้งการเก็บข้อมูลยาก็คงจะติดต่อผ่านโทรศัพท์หรือไม่ก็ให้พวกผู้วิจัยคนอื่นมาหาแทนนะ” คาเล็มแจงสิ่งที่เขาต้องการจะมาบอกอีกฝ่าย “ขอโทษที่ต้องรีบมาบอก เพราะหลังจากนี้ฉันคงต้องทำงานหนักขึ้น แถมยังต้องดูแลแม่กับรักษาคาร์เมนด้วย”
“ครับ ผมเข้าใจ” ลาซารัสยิ้มบางให้คาเล็ม “ผมก็จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คุณหมอไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
“อีกอย่างคือ.. เรื่องพี่ชายของฉัน ตอนนี้คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แต่ฉันก็อยากจะบอกนายว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆล่ะ” คาเล็มเบาเสียงและยื่นหน้าเข้าไปเพื่อกระซิบให้ชัดถ้อยคำ
“อ่ะ.. ได้ครับ” โอเมก้าหนุ่มพยักหน้าจนผมที่เพิ่งโดนล้อกระดกส่ายตามแรงโยกศีรษะ “เอ...แต่ถ้าจะบอกเรื่องพวกนี้...โทรบอกผมก็ได้นี่ครับ”
คาร์เมนที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่ชายพยักหน้าเห็นด้วยกับลาซารัสโดยไม่หันมามองหน้าเขา คาเล็มจึงคลี่ยิ้มจางๆให้ ก่อนจะหยิบเอากล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทสีอ่อน สิ่งที่คาเล็มหยิบออกมาจากกล่องนั้นทำเอาทั้งลาซารัสทั้งคาร์เมนนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ นี่ยังไม่รวมโคลวิสซึ่งเดินถือแก้วกาแฟมาเสิร์ฟก็ตะลึงไม่ต่างกัน ก็เขาเพิ่งจะเล่นมุขนี้ไปเองนะ!
ในมือของคาเล็มตอนนี้คือแหวนสีเงินเรียบหรูสลักลายซิมโบลของพระอาทิตย์ขนาดเล็กไว้กลางวง เขาคว้ามือของลาซารัสขึ้นมาและใส่มันเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรระหว่างนี้สักคำ
“...หลวมแฮะ” คาเล็มมุ่นคิ้ว อุตส่าห์คิดว่าเพื่อนรักที่ตนวานไปซื้อแทนให้น่าจะเลือกมาได้พอดิบพอดีแล้วซะอีก ชักอยากจะรู้ว่าใช้วิธีวัดนิ้วมาแบบไหนกัน..
“อา…” ลาซารัสกระพริบตาปริบๆ มองแหวนบนนิ้วตัวเองโดยที่มือหนาของคุณหมอยังไม่ยอมปล่อยมือเขา “คุณหมอ..? นี่คือ?”
“..ลาซัส.. ที่ผ่านมาฉันยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเพื่อนายเลย...ไม่ได้หมายถึงเรื่องให้ที่อยู่หรือเลี้ยงดูนะ..” คาเล็มหมุนแหวนให้รูปพระอาทิตย์มาอยู่ตรงกลางนิ้วพอดี “นายพยายามจะเอาชนะใจฉันอยู่คนเดียวมาตลอดตอนที่อยู่ด้วยกัน พอนายไม่อยู่ฉันก็เพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้กลับไปทำเรื่องที่สมควรจะทำนี่เลยสักครั้ง”
“ค..ครับ? เรื่องอะไรเหรอ?” ตอนนี้ในหัวลาซารัสหมุนติ้วไปหมด สมองโล่งขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ไม่ใช่แค่การกระทำ..แต่กลิ่นนี้มัน…
“ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่เตรียมใจไว้เถอะ ฉันจะทำให้นายหลงฉันหัวปักหัวปำเลย” คาเล็มจูบลงบนแหวนและจงใจให้ริมฝีปากอุ่นแตะกับผิวเนื้อตรงโคนนิ้วเบาๆพอให้รู้สึกวาบหวาม ดวงตาสองสีช้อนมองลาซารัสด้วยแววตาเอาจริง แบบเดียวกับที่เขาเคยเห็นในวิดีโอที่บังเอิญไปเจอเข้าเมื่อตอนที่ยังอยู่บ้านของคาเล็ม..
เพียงแต่ไม่ใช่แค่ภาพเคลื่อนไหว คราวนี้เขารับรู้ได้ทั้งสัมผัส เสียง และ...กลิ่น… กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าที่โชยฟุ้งด้วยความรู้สึกลุ่มหลงอย่างห้ามไม่ได้ แต่ลาซารัสที่กินยาของคาเล็มตามเวลาไว้อยู่แล้วนั้นก็เพียงแค่ใจเต้นโครมครามเสียงดัง ใบหน้าแดงจัดและทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยเจอคาเล็มในโหมดนี้ด้วยซ้ำ!
ทว่าคนที่โดนผลกระทบจากกลิ่นและสัญชาตญาณของอัลฟ่าเพียงคนเดียวในที่นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ลาซารัส.. ทั้งคาร์เมนและโคลวิสต่างก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกับลาซารัส และทั้งสองคนไม่ได้กินยาระงับอาการฮีทดักไว้ด้วย!
“อุ๊บ..”
“อึก…อา..”
ทั้งคู่ฮีทพร้อมกันจนส่งกลิ่นฟีโรโมนของตนออกมาชัดเจน โชคดีที่ร้านกาแฟเป็นร้านแบบปิดกลิ่นของทั้งคู่จึงไม่ได้โชยออกไปด้านนอก คาร์เมนล้วงหายาในกระเป๋าแจ็คเก็ตของตนออกมาให้ตัวเองกินเท่าที่สติจะพอมี แต่โคลวิสนี่สิ.. ร่างของบาริสต้าหัวสีนั่งคุดคู้อยู่กับพื้น มือหนึ่งยกขึ้นพยายามปิดปากปิดจมูกตัวเองไม่ให้สูดเอากลิ่นนั้นเข้าไปพร้อมๆกับพยายามไม่ส่งเสียงแปลกๆจากร่างกายที่เริ่มโหยหาอ้อมกอดใครสักคนออกมา แม้มันจะไม่ได้ผลก็ตาม
“ขอโทษนะ ฉันน่าจะบอกนายก่อน” คาเล็มหันมาแกะซองยาให้คาร์เมนที่มือสั่นจนแกะให้ตัวเองไม่ได้ เมื่อหันไปหาโอเมก้าอีกคนก็พบว่าเพื่อนบาริสต้าของทางนั้นรีบนำยากับน้ำมาให้แล้ว เรื่องแบบนี้ใช่จะไม่เคยเกิดขึ้นในร้าน อัลจึงรับมือกับมันได้ทันท่วงที
ลาซารัสยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง หัวใจเต้นแรงและรับรู้ได้ว่าหน้าเขานั้นร้อนมาก คล้ายกับตอนที่ฮีท ทว่าตอนนี้เขายังคงปกติดีและไม่ทรมานจนถึงกับทรุดลงไปเหมือนอีกสองคน ค่าที่อ่านได้จากนาฬิกาถูกส่งเข้าไปที่มือถือของคาเล็มจนมันร้องเตือนว่าเก็บข้อมูลทางกายภาพได้ครบแล้ว
“อืม...ยาได้ผลดีสินะ” ตัวอัลฟ่าคนก่อเรื่องดูจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนและหยิบกระดาษขึ้นมาจดสิ่งที่เกิดขึ้น “รู้สึกยังไงบ้างลาซัส?”
“คุณหมอช่วยดูสถานการณ์ก่อนสิครับ!!” นี่มันใช่เวลามาทำการทดลองมั้ย! แถมยังทำน้องชายตัวเองกับเพื่อนของเขาเกือบซวยไปด้วยเนี่ย!
เมื่อยาออกฤทธิ์ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ แต่โคลวิสนั้นไม่กล้าเฉียดมาใกล้โต๊ะที่พวกคาเล็มนั่งอยู่อีกเลย ทำได้แต่มองดูห่างๆอยู่ที่เคาท์เตอร์ จนกระทั่งลูกค้าที่แอบก่อปัญหาให้ตนเบาๆ ดื่มกาแฟจนเสร็จและลุกออกไปนั่นแหละ คุณเจ้าของร้านกาแฟถึงได้กล้าเดินมาหาคนที่เพิ่งจะได้หมั้นสายฟ้าแล่บที่ร้านของตนไปหมาดๆ
“แหม เห็นคู่อื่นๆ ขอหมั้นกันกลางร้านอาหารมาก็เยอะ แต่เพิ่งจะเคยเจอกับร้านตัวเองนี่แหละนะ” บาริสต้าหนุ่มถือวิสาสะนั่งลงคุยกับโอเมก้าหนุ่มอ่อนวัยกว่าที่กำลังทำหน้ามีความสุขยิ่งกว่าที่เคยเจอกันครั้งไหนๆ
“มะ...ไม่เอาสิครับ! แค่นี้ผมก็เขินจะแย่อยู่แล้วนะ” โอเมก้าอ่อนวัยกว่ายกกาแฟขึ้นมาดื่มแก้เขิน รสชาติขมติดลิ้นแม้จะใส่เครื่องปรุงไปแล้ว แต่ก็พอจะดึงสติให้กลับมาได้นิดหนึ่ง
“แล้วคุณริชาร์ดไม่ว่าอะไรเหรอ?”
พอโคลวิสพูดมาแบบนั้น ลาซารัสก็แอบรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย เขาเพิ่งจะพูดตัดรอนอีกฝ่ายไปไม่ทันไร มาวันนี้ก็โดนคุณหมอขอหมั้นถึงที่บริษัท ถึงแม้ซีอีโออัลฟ่าคนนั้นบอกว่าจะยอมถอยห่างออกมาก็เถอะ
“ลูกค้ามาแล้วนะ” อัลเดินมาสะกิดเรียกเพื่อนเมื่อลูกค้าเริ่มทยอยมาซื้อกาแฟช่วงพักกันแล้ว โคลวิสเลยต้องขอตัวลุกไปทำงานก่อน
“ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน แต่อย่าลืมนะลาซารัส ไม่ว่านายจะเลือกทางไหน ก็จะมีอีกคนที่ต้องเจ็บปวดอยู่ดี”
“เดี๋ยวครับคุณโคลวิส!” มือที่รีบร้อนวางถ้วยกาแฟเอ่ยเรียกเจ้าของร้าน เพราะเขาเองก็คงต้องกลับไปที่ห้องทำงานของริชาร์ดแล้วเหมือนกัน “ไม่มีวิธีดีๆ ที่จะรักษาน้ำใจของทุกคนไว้เลยเหรอครับ?”
“...บางทีการพยายามฝืนทำดีกันต่อไปแบบนั้น มีแต่จะเป็นการทำร้ายทุกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะ อีกอย่าง...คุณริชาร์ดก็น่าเห็นใจอยู่” น้ำเสียงของคนพูดฟังดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสีฟ้ามองดูสีหน้าของผู้ที่ให้คำปรึกษากับเขาก็เกิดนึกอยากถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา...
“ถ้าหากคุณโคลวิสเป็นผม คงจะเลือกคุณริชาร์ดสินะครับ”
“หาาา!?” ใบหน้าที่ซึมเหมือนตัวเอกเอ็มวีเพลงเศร้าหันขวับมาทันที “ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“ไม่ใช่ว่าคุณชอบคุณริชหรอกเหรอครับ” 
หนุ่มโอเมก้าเจ้าของร้านหันขวับไปหาเพื่อนบาริสต้าที่รีบส่ายหน้าปฏิเสธว่าตนไม่ได้ปากโป้งเรื่องนี้ออกไปให้ใครรู้แน่นอน ก่อนจะหันกลับมาหาลาซารัสอีกทีคล้ายจะถามว่าไปรู้มาจากไหน
 “คือ...เวลาที่พูดถึงคุณริชหรือตอนที่เค้ามาอยู่ใกล้ๆ ผมมักจะได้กลิ่นฟีโรโมนของคุณโคลวิสน่ะครับ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่”   
“.......” มือที่ชงกาแฟมานักต่อนักนวดขมับตัวเอง ทั้งที่คิดว่าพยายามทำตัวไม่ให้ใครจับได้แล้ว แต่ไอ้ฟีโรโมนเจ้าปัญหานี่ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ด้วยสินะ “...ขอร้องล่ะนะ ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ที”
“ครับ…” คนอ่อนวัยกว่าตกปากรับคำโดยไม่ถามอะไรต่อ เพราะเขาก็พอจะเข้าใจเหตุผลของคนตรงหน้าดี การจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนหลังจากผ่านอดีตอันแสนเจ็บปวดมามากมายนั้นมันไม่ง่ายเลย
ลาซารัสแอบตั้งคำถามกับตัวเองในใจ ตัวเขาจะสามารถแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ผ่านมาและกล้าพอที่จะเดินหน้าเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือไม่ แล้วมันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกันล่ะ…
ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ ทั้งสองคนรวมทั้งพนักงานต่างก็ไม่ได้สนใจรอบข้างมากนัก อีกมุมหนึ่งของร้านมีลูกค้าที่เพิ่งจะคุยกับฝ่ายขายของบริษัทเสร็จ แม้จะจบลงด้วยการปฎิเสธงานเพราะตารางงานไม่สามารถทำร่วมกันได้ แต่ท่าทางลูกค้าเองก็ดูสนใจจะติดต่อกลับมาอีกครั้ง
“ไว้คราวหน้าหากตารางงานของทางนี้ว่างแล้วผมมีโปรเจ็คใหม่พอดี จะลองมาคุยดูใหม่นะครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”
“ไม่เป็นไรครับ หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีก อ่ะ..แล้วก็เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่...”
“อ๋อ ผมไม่ถือสาหรอกครับ มันทำให้บรรยากาศน่ารักไปอีกแบบด้วย ฮะๆ”
สองมือยกขึ้นจับมือกันด้วยท่าทีทางการ ก่อนพนักงานขายของตึกจะลุกออกจากตรงนั้นไปก่อนเพราะลูกค้ายังอยากจะนั่งจิบกาแฟเพลินๆ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูและเริ่มเช็คข้อความ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยทำข้อตกลงในร้านกาแฟนี้ ทว่าสิ่งที่ลูกค้ารายใหม่กำลังเขียนส่งไปหาใครบางคนที่อีกปลายทางของอีเมล์นั้นกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเมื่อครู่เลย
'โอเมก้าตาสีฟ้าคนนั้นเป็นของคาเล็ม รอสเกรย์อย่างแน่นอนครับ’
เมื่อกดส่งออกไป คุณลูกค้าจำเป็นก็นั่งรอเพียงไม่ถึงนาทีก็ได้รับข้อความกลับมาด้วยคำสั้นๆง่ายๆ
'ขอบคุณ’
เมื่ออ่านจบ ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นและออกจากร้านไปเงียบๆโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งนั้น แถมยังเดินไปเอ่ยปากชมรสชาติกาแฟของร้านอย่างเป็นกันเอง
ริชาร์ดที่เพิ่งจะเลิกประชุมรีบเดินมาที่ร้านกาแฟหลังจากอะไรๆสงบลงไม่นานนัก เขาเดินมาสั่งอะไรกินเป็นแก้วที่สองแก้เครียด ปกติจะกินกาแฟให้หายง่วงแต่ตอนนี้อยากได้น้ำตาลเข้าสมองมากกว่า..
“กินน้ำตาลเยอะไปแล้วครับ” อัลที่รับหน้าที่ชงเครื่องดื่มแทนหันมาแซวเจ้าของตึก..
“อืม.. แค่ช่วงนี้แหละ” พอหันไปทางลาซารัสก็พบว่าเขากำลังนั่งคุยกับโคลวิสด้วยท่าทางสนใจอะไรบางอย่างในมือถืออย่างมาก ความอยากรู้มีมากเกินสติที่ยังไม่กลับจากการประชุมดีเลยทำให้เขาก้าวไปหาทั้งสองคน
“อ่ะ คุณริชาร์ด สวัสดีครับ” โคลวิสหันมาค้อมหัวให้ซึ่งริชาร์ดก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องทำตัวเป็นทางการมากนักก็ได้
“ดูอะไรอยู่น่ะ?”
“ผมกำลังสนใจเอ็มเอ็มเอครับ” ลาซารัสยกมือถือใส่หน้าอีกฝ่าย ในภาพปรากฎศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบร่วมสมัยที่กำลังเป็นที่นิยม “ถ้า..ไม่ว่าอะไร ผมก็อยากลองเรียนดูน่ะครับ”
“เอาสิ ดีต่อตัวนายด้วยซ้ำ” ระหว่างที่พูด สายตาก็เหลือบไปเห็นแหวนที่นิ้วของลาซารัส เขาจำมันได้ทันที ก็เลือกมากับมือนี่นะ.. ที่คาเล็มขอมาเจอลาซารัสก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง “แต่จะไหวรึ เดี๋ยวก็จะเรียนยิงปืนด้วยแล้วนะ?”
“แค่นี้ยังทำไม่ได้ผมคงจะอ่อนแอกว่าสาวๆในบ้านคุณริชอีกล่ะมั้ง…”
“โอเคๆ.. นายเสนอให้เหรอ?” เขาหันไปถามบาร์ริสต้าข้างๆ แล้วหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เพื่อนั่งพักและรอเครื่องดื่มของตน
“เห็นบอกว่าอยากดูเท่น่ะ” พอได้ยินคำตอบจากปากโอเมก้าหัวสีแล้วริชาร์ดถึงกับกรอกตาแล้วยิ้มอย่างอาดูร
พวกเขานั่งคุยกันสักพัก เครื่องดื่มที่สั่งก็ยกมาเสิร์ฟ ช็อกโกแลตร้อนที่ปกติจะหวานบาดคอตอนนี้ถูกดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วเหมือนประชดชีวิต โคลวิสแอบมองริชาร์ดที่แม้จะทำตัวปกติ แต่เมื่อลาซารัสเผลอเขาก็ยังส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ไปหาอย่างช่วยไม่ได้ ..ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกหรอกนะ…
“ขอบใจที่ดูแลลาซัสให้นะ” ริชาร์ดหันมากล่าวขอบคุณกับโคลวิสแล้วลุกขึ้นเป็นสัญญาณให้ลาซารัสเตรียมตัวไปได้แล้ว
“ไม่เป็นไรครับ แต่ได้แค่วันที่ลูกค้าน้อยๆนะ” โคลวิสยักไหล่ให้แล้วรีบเดินกลับไปหลังเคาท์เตอร์ทันทีที่ตนหมดธุระ
ทั้งริชาร์ดและลาซารัสเดินออกจากร้านไป จะว่าไปแล้ว เรื่องยานี่ต้องทดลองกินกันเป็นปีๆ แถมเท่าที่เห็น เหมือนว่าคาเล็ม รอสเกรย์จะไม่ได้มาเยี่ยมลาซารัสบ่อยๆแล้ว.. เด็กคนนั้นจะทนรอได้ขนาดไหนกันนะ…
แต่ความสงสัยในใจของโคลวิสก็ได้ภาพรอยยิ้มของลาซารัสตอนที่เขามองแหวนบนนิ้วให้คำตอบ บาริสต้าหนุ่มส่ายศีรษะ ก่อนกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ ภาพตัวเองในสมัยที่ยังคงเชื่อในความรักสุดหัวใจนั้นซ้อนทับขึ้นมา
“เด็กน้อยจริงๆ..”

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14 Up! (8/5/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-05-2017 15:45:36
แม้ปากจะบอกว่ายุติความสัมพันธ์แต่สายตาริช ยังอาดูร
แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ใช่แค่แพ้ฟีโรโมนของลาซารัสเท่านั้น
มันมีความชอบพอแอบแฝงตัวอยู่ด้วย

คาร์เล็ม ให้แหวนนี่ดีต่อการแสดงความเป็นเจ้าของ
ริช ก็รับรู้ว่าคนนี้ของเพื่อน
ลาซารัส ก็มั่นใจในความรักของคาร์เล็ม

อย่างนี้น่าจะดีต่อโคลวิส ว่าริชว่างแล้ว

แต่ใครที่รับข้อความว่าโอเมก้าตาสีฟ้าเป็นของคาร์เล็ม :katai1:
       :L1: :L1: :L1: 
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14 Up! (8/5/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 14-06-2017 06:21:57
 o12 :z8:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 15-06-2017 23:08:57

บทที่ 15

 
 
เสียงลมทะเลและคลื่นซัดโขดหินริมหาดแว่วมากระทบใบหูสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย เคล้าเสียงนกนางนวลที่บินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หาดทรายสีขาวค่อนข้างร้างผู้คนเพราะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวและเดินทางมาค่อนข้างลำบาก รวมทั้งความเจริญที่ยังไม่แผ่ขยายมาถึงทำให้หาดเล็กๆนี้ยังไม่เป็นที่นิยม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครย่างกรายมาเสียทีเดียว คนที่เสาะแสวงหาบรรยากาศดีๆและธรรมชาติที่ยังคงสวยงามก็เดินทางมาถ่ายรูปกันอยู่

“คุณแม่ไม่น่าลงมาเดินแบบนี้นะครับ” คาเล็มเอ่ยกับหญิงชราข้างกายที่เขาคอยพยุงไว้ คุณแม่ที่เริ่มดีขึ้นจากการพักรักษาตัวและเปลี่ยนมาอยู่ที่โรงพยาบาลที่คาเล็มทำงานอยู่ ซึ่งมีความพร้อมและวิจัยเรื่องสรีระของโอเมก้ามายาวนานกว่าที่อื่น ผ่านมาได้เกือบปี ตอนนี้คุณแม่คาร่าของเขาก็เริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้นจนพอจะเดินได้แล้ว

“ก็แม่เบื่อรถเข็นแล้วนี่นา” หญิงร่างเล็กยิ้มให้ลูกชายและก้าวเท้าช้าๆลงไปที่หาดทรายสีขาว “มาทะเลทั้งทีถ้าเท้าไม่ได้แตะทรายเลยก็เหมือนมาไม่ถึงเนอะ”

ว่าแล้วเธอก็ถอดรองเท้าออกช้าๆและวางเท้าลงบนทรายอุ่นและค่อยๆย่ำไปบนนั้นด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เห็นแบบนี้คาเล็มก็ทำได้เพียงลอบถอนหายใจแล้วจูงมือแม่ของตนเดินไปเรื่อยๆ

“แม่อยากกินอะไรตอนเที่ยงนี้มั้ยครับ?” คาร์เมนก้มลงเก็บรองเท้าผู้เป็นแม่ขึ้นมาและเดินตามทั้งสองมาช้าๆ

“กินจุขึ้นนะเรา เพิ่งจะกินไปเมื่อช่วงสายนี่เอง ก็รีบพูดถึงมื้อเที่ยงแล้วเหรอ” คุณแม่คาร่าหันมาแซวลูกชายคนเล็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอแม่ดูทะเลก่อนสิ แม่ยังไม่เคยมาเลยนะ”

คาร์เมนยักไหล่แล้วเดินกลับไปที่รถระหว่างที่คาเล็มยังคงเดินจูงมือเธอเดินเล่นบนหาด น้องชายขึ้นไปบนรถฝั่งคนขับและถอยรถลงมาที่หาดก่อนเปิดท้ายรถออกและนำเก้าอี้พับที่นำมาด้วยมากางตั้งเป็นที่นั่งรอให้คุณแม่คาร่าที่คงจะเหนื่อยในอีกไม่นานมานั่งรับลมแทน จะว่าไป พอเขาไม่ต้องไปทำงานอะไรๆที่เคยทำอยู่ ตอนนี้ร่างกายเขาก็ค่อยๆดีขึ้น แม้อวัยวะจะยังคงไม่ครบอยู่แบบนี้ก็ตาม...

“ว่าแต่คาเล็ม เห็นคุณเรนเดลบอกว่าลูกมีแฟนแล้วเหรอ?”

“พรึ่ด...”

คุณแม่คาร่าถามลูกชายด้วยดวงตาเป็นประกายจนลูกคนโตสำลักน้ำที่กำลังดื่ม ส่วนคาร์เมนนั้นก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างเห็นได้ชัด

“ลูกดูแลแม่มาตั้งนาน ไม่เห็นจะบอกแม่สักคำเลย”

“ก็...เรื่องมันยาว แล้วตอนนี้งานผมก็ยุ่งๆ…” คุณหมอดันแว่นขึ้น ทำตัวไม่ถูกพอโดนถามตรงๆ อุตส่าห์บอกเรนเดลแล้วแท้ๆว่าอย่าเพิ่งพูด! “ผมแค่อยากจะเคลียร์ไปทีละเรื่องน่ะครับ”

“มัวแต่เอาเวลาไปทุ่มเทกับงาน แล้วยังต้องมาดูแลแม่กับน้องอีก แบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลแฟนล่ะจ๊ะ” หญิงชราตื่นเต้นเพราะคาดหวังที่จะได้เห็นหน้าคนรักของลูกชาย

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกแม่ มีคนคอยดูแลแฟนพี่เค้าให้อยู่แล้ว”

“คาร์เมน!” คุณหมอหันไปแว้ดเสียงดังใส่น้องชายที่ปากสว่างพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาต่อหน้าแม่

“หมายความว่ายังไงกัน?” คาร่ามองลูกชายทั้งสองของเธอที่ทำเหมือนกำลังปิดบังเรื่องสำคัญกับเธอไว้

“เอ่อ…”

“ก็พอดีว่าพี่ชายของแฟนพี่เค้าน่ะดันขี้หวงน่ะสิครับแม่ นานๆจะให้มาเจอกันสักที”

คุณน้องชายที่แกล้งพูดจาตบหัวพี่ชายจนเกือบทิ่มชายหาดก่อนจะดึงขึ้นมาลูบหลังช่วยชีวิตไว้หันไปพยักหน้าให้ “หวงยังกับจงอางหวงไข่เลยเนอะพี่”

“เออ…” คาเล็มตอบรับไปตามน้ำ ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ตัวดี!

“แหม...ลำบากแย่เลยนะ”

“เรื่องนี้ไว้ทีหลังแล้วกันครับ” คาเล็มตัดบทสนทนาและพาแม่กับน้องชายกลับขึ้นรถหลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยและมุ่งหน้าไปยังที่หมายต่อไปของการขับรถเล่นในวันพักผ่อน…

กว่าหนึ่งปีแล้วที่เขาแทบจะไม่ได้ไปเจอลาซารัสที่ยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านของริชาร์ด สิ่งทำได้ก็เพียงมีแต่โทรหาวันละครั้งหรือสองครั้ง แชทคุยผ่านมือถือกันบ้างเท่าที่เวลาว่างจะมี ทว่าทุกครั้งก็ไม่เคยใช้เวลามากเกินกว่าสิบนาทีเพราะเขาเองไม่ใช่คนพูดเก่งช่างคุยอะไรนัก แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคุณหมอ แค่ได้ยินเสียงว่าอีกฝ่ายสบายดีก็มีกำลังใจล้นปรี่ ลุยงานต่อได้

แต่กับอีกฝ่ายนี่สิ.. แม้จะให้แหวนหมั้นไปแล้วแต่คาเล็มก็ยังคงเผื่อใจไว้ว่า เวลาที่ผ่านมามันอาจจะนานเกินไปจนอดกังวลไม่ได้ว่าลาซารัสจะยังรู้สึกพิเศษกับตนอยู่หรือเปล่า.. ซึ่งหากมันลงเอยแบบนั้น เขาก็คงมีแต่ต้องยอมรับ..

 
“คุณแมทเวย์กำลังออกกำลังกายอยู่น่ะค่ะ อาจจะช้าสักนิด ต้องขออภัยด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมมากะทันหันเอง” เออร์แฟนยิ้มให้แม่บ้านสูงวัยที่มาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง เจสสิก้าโค้งให้เขาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปบอกสาวใช้ให้ไปตามคนที่อัยการหนุ่มมีธุระด้วยมาหา

“ริชาร์ดไม่อยู่เหรอครับ?”

“กำลังกลับมาค่ะ รายนั้นก็คงเพิ่งจะโดนลูกค้าถล่มอยู่กระมังคะ” เจสสิก้าเอ่ยติดตลกราวกับแซวลูกชายตัวเองเล่น

“ครับ งั้นเดี๋ยวรอเขาก่อนก็ได้ จะได้คุยทีเดียวเลย” เออร์แฟนยิ้มให้แม่บ้านอย่างเป็นมิตร วันนี้เขาต้องมาคนเดียวเพราะคาเล็มมีนัดพาแม่ของเขาไปเที่ยว ซึ่งเออร์แฟนก็ไม่ว่าอะไรเพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยสลักสำคัญอะไรนัก

“สวัสดีครับคุณเออร์แฟน” เสียงคุ้นหูทักมาจากอีกฝั่งของห้องรับแขก ลาซารัสในชุดออกกำลังชุ่มเหงื่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทักทายเขาอย่างรีบร้อน นี่ถ้าเป็นอัลฟ่าคนอื่นมาได้กลิ่นฟีโรโมนที่มาพร้อมกับหยาดเหงื่อของเจ้าตัวจะทำยังไงกันนะ…

เออร์แฟนได้แต่แอบบ่นในใจ ยังไงก็เป็นเจ้าหนูที่ไม่ค่อยระมัดระวังตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“ไง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน...ตัวใหญ่ขึ้นรึเปล่า?” ดวงตาสีทองอ่อนหรี่มองสำรวจร่างกายของโอเมก้าตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

“ครับ!... เอ… ตัวใหญ่นี่หมายถึงล่ำขึ้นใช่มั้ยครับ” โดนทักแบบนี้ก็ชวนคิดไปอีกทางว่าเขาอาจจะอ้วนขึ้น...นี่ก็คุมอาหารแล้วนะ!

“ไม่รู้สิ ร่างกายนาย นายก็ต้องดูแลเอาเอง” เออร์แฟนยักไหล่แล้วยกชาขึ้นจิบ ความจริงจะพูดว่าล่ำขึ้นอย่างเต็มปากเต็มคำก็พูดได้.. แต่เขาอาจจะติดเชื้อคาเล็มมาก็ได้ พักนี้เลยคิดว่าการแกล้งคนตรงหน้ามันก็สนุกดี…

“....วันนี้มีเรื่องอะไรเหรอครับ ทำไมมาไม่บอกล่วงหน้าเลย” ลาซารัสเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ “ปกติคุณจะโทรมาบอกล่วงหน้าตลอดนี่นา”

“นิดหน่อย พอดีฉันต้องวิ่งเอาไอ้นี่ไปให้ทุกคนน่ะ” อัยการหนุ่มยื่นซองสีน้ำตาลปิดผนึกอย่างดีให้กับอีกฝ่าย “คำสั่งเบิกตัวพยานจากศาลน่ะ”

“เอ๋!? เดี๋ยวนะครับ ไม่ใช่ว่าการพิจารณาคดีครั้งต่อไปมันต้องอีกสามเดือนเหรอ?”

“ตอนแรกน่ะใช่… แต่จู่ๆศาลก็เปลี่ยนวันนัด กำลังสงสัยอยู่ว่าทางบ้านรอสเกรย์เป็นต้นเหตุรึเปล่า แต่ส่งลูกน้องไปสืบแล้ว ตอนนี้ยังอยู่กันสงบเรียบร้อยเหมือนเดิมเลย” ว่าไปพลางก็มองมือถือตัวเองไปด้วย ไร้วี่แววข้อความหรือสายเรียกเข้าสักสาย “ที่เหลือรอริชาร์ดกลับมาแล้วค่อยคุยทีเดียวเลยแล้วกัน”

“ครับ...อ่ะ! คุณหมอ.. ไม่ได้มาด้วยสินะ..” ลาซารัสพูดเสียงเบาลงเหมือนผิดหวังเบาๆ หลายครั้งที่เออร์แฟนมาหาเขาที่บ้านของริชาร์ด แต่คาเล็มก็แทบจะไม่ได้มาด้วยเลยสักครั้ง.. ปลายนิ้วลูบแหวนบนนิ้วของตนที่ยังคงสวมมันไว้ตลอดมาด้วยสีหน้าเหงาหงอยเล็กน้อย

“วันนี้คาเล็มพาแม่กับน้องชายไปเที่ยวพักผ่อนที่ทะเลน่ะ”

“ทะเลเหรอครับ?” เมื่อปีที่แล้วจำได้ว่าริชาร์ดเคยบอกว่าจะพาเขาและคุณหมอไปทะเลพร้อมกัน แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเลย “แล้วอาการของพวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ก็ดีนะ ตอนนี้แม่ของเขากลับมาเดินได้แล้วหลังจากทำกายภาพมาเป็นปี”

“คุณคาร์เมนล่ะครับ หาคนบริจาคอวัยวะที่เข้ากันได้แล้วรึยัง?”

แม้จะไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนัก แต่คาร์เมนก็ได้เปิดใจเล่าเรื่องตอนที่ยังไม่เจอกับพี่ชายให้ลาซารัสฟังว่า...เพื่อที่จะหาเงินจำนวนมากในเวลาอันสั้นมารักษาแม่ คาร์เมนยอมขายอวัยวะภายในบางส่วนของตัวเองให้กับตลาดมืด เพราะอวัยวะของโอเมก้าที่ต้องใช้ผ่าตัดปลูกถ่ายนั้นมีคนบริจาคน้อย จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากและมีราคาสูงลิบลิ่ว

“...คงยากหน่อย ปกติการจะหาอวัยวะที่เข้ากันได้ก็ต้องรอคิวนาน ยิ่งเป็นโอเมก้าด้วยแล้วแทบจะต้องพลิกแผ่นดินกันหาเลยทีเดียว”

ในโอเมก้ารายที่เจ็บป่วยจนถึงกับต้องทำการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะนั้นใช่ว่าจะมีโอกาสทำได้ง่ายๆ เพราะว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของความเข้ากันได้และไม่ได้ของอวัยวะระหว่างผู้บริจาคกับผู้รับ ดังนั้นจึงเป็นอะไรที่ทำได้ยากยิ่ง ส่วนใหญ่ที่เห็นสามารถเข้ากันได้มักเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเดียวกัน แต่ก็มีส่วนน้อยอีกนั่นแหละที่ยอมสละอวัยวะตัวเองให้กับโอเมก้า และการทำเช่นนั้นเองร่างกายก็จะทรุดลงอย่างรวดเร็ว

คาร์เมนก็รู้เรื่องนั้นดี...แต่สำหรับเจ้าตัวแล้วชีวิตของแม่นั้นไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ต่อให้ต้องขายอวัยวะจนร่างกายอาจไม่เหลือสักชิ้นให้นำไปทำพิธีทางศาสนาหลังจากที่ตายไปแล้วก็ตาม

“ไม่มีวิธีที่จะได้มาเร็วกว่านี้เลยเหรอครับ”

“นายจะสละตัวเองให้คาร์เมนรึไง?”

“เอ่อ...ก็ถ้าหากว่าอวัยวะของผมจะเข้ากันได้กับร่างกายของเขาล่ะก็…”

“หยุดเลย!” เออร์แฟนรีบยกมือขึ้นมาห้ามทันที “ขืนนายทำแบบนั้นคาเล็มจะรู้สึกยังไง ต่อให้เป็นน้องชายแต่นายก็สำคัญกับเจ้านั่นนะ”

“...ขอโทษที่คิดอะไรตื้นๆนะครับ” ลาซารัสพอจะรู้มาว่าต่อให้มีอวัยวะไม่ครบ แต่ถ้าดูแลตัวเองดีๆ ให้ร่างกายแข็งแรงก็ไม่เกิดผลเสีย ดูอย่างคาร์เมนสิขนาดอวัยวะภายในพร่องไปตั้งหลายอย่าง แต่ยังมีแรงงัดข้อกับอัลฟ่าได้อย่างสูสีเลย

“อยากเจอคาเล็มมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“...ครับ” ลาซารัสพยักหน้าน้อยๆอย่างไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกตัวเอง “แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณหมอต้องหยุดงานมาหรอกครับ เพราะสิ่งที่คุณหมอทำเองก็จะช่วยเหลือโอเมก้าคนอื่นได้อีกเยอะแยะ แถมตอนนี้คุณหมอเองก็เจอกับคุณแม่ที่ไม่ได้เจอมานาน… ควรให้พวกเขาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดคงจะดีกว่า”

“...เฮ้อ! ให้ตายเถอะ” จู่ๆเออร์แฟนที่นั่งฟังเงียบๆก็ถอนหายใจแล้วสบถออกมาอย่างแรงจนโอเมก้าหนุ่มที่นั่งตรงข้ามถึงกับสะดุ้ง “ทีแรกก็กะจะเซอร์ไพรส์ตามที่หมอนั่นขอนะ แต่เห็นหน้านายแล้วมันอดสมเพชไม่ได้จริงๆ”

“ครับ?” ลาซารัสกระพริบตาปริบ

“วันนี้คาเล็มตั้งใจจะมาจัดปาร์ตี้วันเกิดที่นี่”

“...เดี๋ยวนะ วันเกิดคุณหมอมันอาทิตย์ที่แล้วนี่ครับ?” ดวงตาสีฟ้าขมวดคิ้ว เขาไม่น่าจะจำผิดหรอก แถมยังโทรไปอวยพรคุณหมอตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว หากว่าจะจำวันคลาดเคลื่อนคาเล็มก็คงจะแซวจนเขาจนอายไปชั่วลูกหลานแหงๆ

“ใช่ แต่อาทิตย์ที่แล้วเขาฉลองที่บ้านกับแม่และน้องชายไง ...คาเล็มก็อยากเจอนายเหมือนกันนะ”

“...อย่างนี้เอง” ลาซารัสพยักหน้าเชื่องช้าเหมือนยังไม่ค่อยจะเชื่อที่ได้ยินมากนัก แต่ครู่เดียวใบหน้ามนก็เริ่มมีรอยยิ้มน้อยๆระบายอยู่ ความยินดีที่ปิดไม่อยู่นี้ทำให้อัยการหนุ่มส่ายหน้าและอมยิ้มตาม

“นายนี่คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมดเลยนะ”

“ง..งั้นผมขอตัวสักครู่นะครับ!” ลาซารัสลุกพรวดขึ้น ตั้งใจจะไปอาบน้ำล้างตัวแล้วเปลี่ยนกำหนดการณ์ตัวเองในวันนี้เพื่อรอเจอหน้าคุณหมอเลยทีเดียว

“ไม่ต้องรีบหรอก คงออกไปทำธุระก่อน กว่าจะมาถึงที่นี่ก็เย็นๆล่ะมั้ง”แต่พูดไม่ทันจบดีร่างโปร่งก็รีบแจ้นกลับไปทางที่มาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เออร์แฟนนั่งจิบชาและคุ้กกี้ที่แม่บ้านนำมาให้เพียงลำพังในห้องรับแขก จนสาวใช้ต้องเดินมาขอโทษขอโพยที่โดนปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนั้น แต่เออร์แฟนก็ไม่ได้ว่าอะไรและขอไปนั่งฆ่าเวลาที่ห้องสมุดของบ้านแทน…

 
 
เมื่อส่งแม่กลับไปพักที่บ้านโดยมีคาร์เมนและเรนเดลคอยดูแลแทน คาเล็มก็ขับรถออกมาในเมืองเพียงลำพังเพราะคาร์เมนยืนยันว่าจะไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดย้อนหลังนั่นด้วยถ้าหากว่าอัยการหน้าเลือดคนนั้นอยู่! ...นั่นทำให้เขาได้ฉายเดี่ยวเป็นวันแรกหลังจากที่รับน้องชายของตนมาอยู่ด้วย เพราะคาร์เมนแทบจะเกาะติดหนึบเขาไปทุกที่ยกเว้นตอนที่ต้องคุยงานกับเออร์แฟน..
คาเล็มขับรถมาจอดหน้าร้านกาแฟเล็กๆ ร้านหนึ่งและตรงเข้าไปสั่งเครื่องดื่มแก้กระหายก่อนจะเลือกเข้าไปนั่งที่มุมในสุดที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของร้าน ไม่นานนักคนที่เขานัดไว้ก็เดินเข้ามาในร้านอย่างตรงต่อเวลา

“ไง ขอโทษที่ทำให้รอ” เสียงคุ้นหูของเพื่อนรักเพียงคนเดียวเอ่ยทักให้เขาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์

“ไม่หรอก เพิ่งจะมาไม่นาน” มือกดปิดเกมที่เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่นาทีลงแล้วหันมาสนใจคนที่นัดหมายกันไว้แทน “ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้าง?”

“เจอลูกค้าอวดดีน่ะสิ ไม่ได้มีความรู้เลยแท้ๆ แต่พยายามออกไอเดียจนงานเละเทะไปหมด” ริชาร์ดบ่นแบบสรุปรวบยอดพลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย

“แล้วพวกสาวๆล่ะ?” คาเล็มกวาดตามองออกไปนอกร้านก็ไม่พบกับสาวใช้ที่ริชาร์ดบอกว่าพาออกมาซื้อของไปจัดงานปาร์ตี้ตามที่ได้คุยตกลงกันไว้

“ยังซื้อของไม่เสร็จ... จริงๆ คือเสร็จแล้วล่ะ แต่ฉันปล่อยให้เดินช็อปของส่วนตัวพวกหล่อนบ้าง”

“อ่าฮะ” คาเล็มพยักหน้ารับรู้ กาแฟที่พวกเขาสั่งมาเสิร์ฟหอมกรุ่นช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายทั้งคู่ ต่างคนต่างเงียบลงไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังนึกอยู่ว่าจะเริ่มต้นประโยคสนทนาอย่างไรดี เพราะที่นัดมาเจอกันก่อนจะเข้าไปที่บ้านของริชาร์ดนั้น คาเล็มบอกว่าอยากเคลียร์อะไรบางอย่าง ซึ่ง...ริชาร์ดเองก็พอจะเดาได้ไม่ยาก

“จะครบปีแล้วเหรอเนี่ย...ที่ประมูลลาซัสมาน่ะ” คาเล็มพูดทำลายความเงียบ บรรยากาศในร้านกาแฟทำเอาอยากจะเปลี่ยนสถานที่ไปนั่งเปิดใจกันที่ร้านเหล้า แต่ติดที่กลางวันแสกๆ แบบนี้คงไม่มีร้านไหนเปิด

ริชาร์ดพยักหน้ารับน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ว่าตนฟังอยู่ แม้จะผ่านมานานแล้วแต่ความรู้สึกผิดในตอนนั้นยังคงตามเล่นงานเขาอยู่ ตอนนี้จะพูดว่ากลับมาเป็นปกติก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก แม้คาเล็มจะกลับมาคุยกันเหมือนเดิม แต่เหมือนมีเส้นบางๆที่มองไม่เห็นกั้นพวกเขาอยู่อย่างไรไม่รู้ และกับลาซารัสนั้น.. พวกเขาก็คุยกันได้เหมือนเมื่อตอนที่พบกันแรกๆ โดยไม่มีความคิดเกินเลยนั้นอีกแล้ว.. พอเป็นแบบนี้ริชาร์ดเลยเริ่มสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าในตอนนั้นทำไมเขาถึงหลงใหลลาซารัสขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขายังไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยเลยแท้ๆ?

“ไม่ต้องเครียดหรอก.. ไม่ได้มาพูดเรื่องนั้น… ไม่สิ ต้องบอกว่า ฉันไม่ถือโทษโกรธอะไรแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันเอาแหวนให้ลาซัสไป นายก็ไม่ได้ยุ่งกับเขาแล้วนี่?”

“อา...ใช่” เพื่อนรักผงกหัวขึ้นลงช้าๆ ตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าจะตัดใจ ริชาร์ดก็เว้นระยะห่างเต็มที่จนทำเอาคนในบ้านอึดอัดไปพอสมควร “งั้น...ก่อนอื่น เรื่องในตอนนั้น ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัวด้วย ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้นายเสียความรู้สึก”

“โฮ้ย! พอๆ...ขอโทษกันไปมาแบบนี้ไม่จบไม่สิ้นสักที” คาเล็มยกมือห้ามริชาร์ดก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มหัวลงไปจนติดชิดเข่าเสียก่อน “บอกแล้วว่าฉันไม่ติดใจแล้ว และอีกอย่างคือ…”

เสียงคาเล็มเบาลงจนทำเอาซีอีโออ่อนวัยกว่าเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย แต่คาเล็มก็ไม่มีคำตอบอื่นต่อจากประโยคเมื่อครู่ ซึ่งคนรอฟังก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรพลางยกแก้วกาแฟนั่งจิบรอในท่ามกลางบรรยากาศร้านที่เริ่มมีผู้คนคึกคัก

“ให้ตายสิ ทำไมฉันไม่ใจกล้าเหมือนกับแกบ้างนะ” คุณหมอบ่นอุบออกมาแล้วเปลี่ยนมานั่งหลังตรงราวกับกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อเตรียมใจที่จะพูดอะไรบางอย่าง “ฉันขอโทษ เรื่องแม่ของแกด้วยนะ”

“....ห้ะ?” ริชาร์ดขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น เรื่องแม่ของเขาที่เสียไปตั้งแต่เขาเป็นวัยรุ่นหัวร้อนเมื่อครั้งนั้นมันก็… จะยี่สิบปีแล้ว “ขอโทษเรื่องอะไร?”

“ที่ฉันยื้อชีวิตคนๆนั้นไว้ไม่ได้” ดวงตาหลังกรอบแว่นมองใบหน้าของลูกชายอดีตคนไข้ในความดูแลของตน

“นั่นมันก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” จริงอยู่ว่าตอนที่จัดงานศพก็เห็นคาเล็มเอาแต่พูดขอโทษอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าแม้กระทั่งตอนนี้จะยังรู้สึกผิดอยู่อีก

“นั่น...เพราะว่าฉันเป็นคนทำให้เป็นแบบนั้นเอง”

“นาย...ว่าไงนะ?” มือที่ถือแก้วกาแฟพลันวางลงกับโต๊ะเพราะรู้สึกได้ว่ามือของตนมันสั่นแปลกๆ “ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง? นายตั้งใจปล่อยให้แม่ฉันตายงั้นเหรอ?”

“........” ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของคาเล็ม จะมีก็แต่ใบหน้าที่แสดงออกว่ายอมรับผิดทุกอย่างต่อสิ่งที่ทำลงไป

“ทำไมนายทำแบบนี้ เพราะแม่ฉันขอร้องให้นายทำเหรอ?” ริชาร์ดไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างคาเล็มจะทำอะไรแบบนั้นได้ลงคอ หรือไม่อย่างนั้นมันต้องมีเหตุผลอื่นที่บีบบังคับให้ต้องทำอย่างแน่นอน

“ฉันบอกคนๆนั้นไปว่าหมดหนทางที่จะรักษาแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถกลับไปเป็นปกติได้และต้องอยู่ในสภาพนอนติดเตียงไปตลอดชีวิต”

“แล้วยังไงอีก…” ริชาร์ดพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น “นายเลยบอกให้แม่ฉันทำใจยอมรับสภาพจนท่านตรอมใจตายไปทั้งอย่างนั้นงั้นเหรอ?”

“เปล่า...ฉันเสนอตัวเลือกให้สองทาง อย่างแรกคือให้ฉีดยาที่ช่วยให้ไปอย่างสงบไม่ต้องทนทรมานกับการรักษาที่ไร้ประโยชน์ และสอง...คือให้ยาที่อาจทำให้ร่างกายมีโอกาสกลับมาพอเดินได้…แต่อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงและโรคแทรกซ้อนเพราะร่างกายของคนๆนั้นอ่อนแอเกินไปจะรับไม่ไหวเอาได้”

“...แล้วแม่ก็เลือกข้อแรก?” คนฟังคาดเดา และคุณหมอก็พยักหน้าช้าๆ

“ต่อให้กลับมาเดินได้ แต่ก็ไม่มีทางได้เจอหน้าและกอดลูกชายเพียงคนเดียวอีกแล้ว แม่นายพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจให้ฉันฉีดยา…” 

มือหนากำแน่นจนสั่นเกร็ง ขอบตารื้นจนแดงหากแต่ไม่มีน้ำตาใดๆไหลออกมา จะมีก็แต่เสียงที่สบถดังทำเอาคนทั้งร้านต้องหันมามองก่อนเจ้าตัวจะออกไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำเพียงลำพัง เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย ต่อให้เป็นการตัดสินใจของคนไข้ แต่การที่ต้องมารับรู้ความจริงทีหลังแบบนี้ มันก็…

“ทำไมถึงต้องมาทำให้ฉันอยากเกลียดนายขึ้นมาอีกครั้งด้วย…”
 

 
“ต่อให้ไม่ผิดกฏหมายเพราะประเทศนี้อนุญาตให้หมอทำการุณยฆาตผู้ป่วยได้ตามความสมัครใจที่จะไม่รักษาต่อแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่ามันผิดจริยธรรมของหมอที่มีหน้าที่รักษาอยู่ดี”

เออร์แฟนร่ายมาตรากฏหมายให้ฟังในห้องสมุดของคฤหาสน์เบอร์ตั้นที่เจ้าบ้านเข้ามาขอคุยด้วยหลังจากไปรับตัวเจ้าภาพวันเกิดมาตามกำหนดการณ์เดิม ทว่าก็มากันเร็วกว่าที่นัดไว้ “สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวผู้ป่วยหรอก แต่เป็นคนในครอบครัวมากกว่า พวกหมอเองก็ต้องระวังเรื่องทางกฎหมายมากขึ้น เพราะงั้นถึงจะบอกว่าเป็นเจตนารมย์ของตัวผู้ป่วยเอง แต่ถ้าญาติไม่ยินยอมด้วยและเอาเรื่องหมอที่รักษา ก็สามารถเป็นคดีความได้เหมือนกัน”

“...ที่คาเล็มปิดเงียบมาจนถึงตอนนี้เพราะถึงฟ้องร้องไปตอนนี้ก็ไม่มีความหมายสินะ” เรื่องมันตั้งยี่สิบปีก่อน คดีคงจะหมดอายุความไปเรียบร้อยแล้ว “ให้ตาย...ไอ้เรารึก็มองหมอนั่นเป็นพ่อพระนักบุญมาตลอดแท้ๆ”

“มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเหมือนฉันน่ะหาไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ” ริชาร์ดถึงกับต้องแอบหันไปทำท่าอ้วกเบาๆ แต่คนตาไวก็เห็นอยู่ดี “รู้แบบนี้แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ?”

“เรื่องคาเล็มน่ะรึ?”

“อืม.. พูดตรงๆ นี่เป็นเรื่องไม่สมควร แต่ฉันอยากให้พวกนายเลิกแล้วต่อกันไป เพื่อไม่ให้กระทบลูกความฉันน่ะ หลายเดือนมานี้คาเล็มดูผ่อนคลายลงเยอะถึงจะยังโหมงานไม่หยุดก็เถอะ” พูดแล้วก็หันไปจิบชาที่โต๊ะข้างๆอย่างไม่รีบร้อน และเพื่อไม่ให้เป็นการกดดันริชาร์ดมากเกินไปด้วย.. “ถ้าสภาพจิตใจเขากลับมากลัดกลุ้มใจอีก มันจะกระทบงานฉันด้วย”

“.....” ริชาร์ดไม่ตอบ ทว่าเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ทิ้งให้อัยการหนุ่มนั่งอ่านหนังสือรอบทสรุปต่อไป ก็หวังเพียงแต่ว่าทั้งสองคนจะเคลียร์กันได้ก่อนมื้อเย็น ไม่งั้นแผนที่วางไว้ว่าจะมาสังสรรค์กันคงกร่อยไม่เป็นท่าแน่นอน...

“คาเล็มเอ๊ย...จะสารภาพบาปก็เลือกจังหวะให้มันดีๆ หน่อยสิวะ”

เมื่อเดินจากห้องอ่านหนังสือมาครู่หนึ่งก็ถึงห้องนอนของเจ้าของคฤหาสถ์ ริชาร์ดเดินเข้าห้องและตรงดิ่งไปตรงชั้นวางของที่มีข้าวของกระจัดกระจาย เขานั่งลงกับพื้นและเปิดลิ้นชักล่างสุดออก ข้างในนั้นถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบผิดกับของบนโต๊ะทั้งหมด กล่องของขวัญสีซีดและแอบมีฝุ่นจับเล็กน้อยเรียงรายอยู่ข้างในนั้น แม้จะเป็นเพียงกล่องเปล่าแต่เขาก็เก็บมันไว้ทุกชิ้นอย่างดี ส่วนของขวัญข้างในนั้น เขาได้นำมันออกมาใช้แล้วทั้งหมด ไม่ว่าจะนาฬิกาข้อมือเก่าคร่ำครึที่ยังคงสวมไว้ ปากกาแท่งสวยที่แม้หมึกจะหมดไปนานมากแล้วแต่เขาก็ยังคงเหน็บมันไว้คู่กระเป๋าเสื้อ และอีกอย่างที่เขาเก็บและรักษามันอย่างดี ริชาร์ดหยิบเอาซองจดหมายเล็กๆข้างกล่องหน้าสุดออกมาเปิดอ่านอย่างระมัดระวังเพราะมันเริ่มจะกรอบหมดแล้ว..

 
ถึงริชาร์ด
แม่ขอโทษนะ ที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ขอโทษที่ไม่ได้เจอลูกอีกเลยช่วงหกปีหลังมานี้ แม่อยากจะแข็งแรงขึ้นแล้วเดินไปกอดลูกด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้แค่แรงจะเขียนจดหมายนี้ก็แทบไม่เหลือแล้ว

แก้วตาดวงใจของแม่ ขอให้ลูกมีความสุขมากๆนะ  ขอให้แข็งแรงแล้วก็โตไปเป็นคนที่อ่อนโยน แม่ทำให้ลูกได้เพียงแค่อวยพร แม่ทำให้ได้เพียงเท่านี้ ขอบคุณลูกที่หมั่นมาเยี่ยมเสมอ มันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดในชีวิตของแม่แล้ว

ปล. คุณหมอรอสเกรย์เองก็ต้องเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากกับความเอาแต่ใจของแม่เหมือนกัน เพราะงั้น ถ้าลูกทำได้ก็ช่วยอยู่เคียงข้างคุณหมอด้วยนะ

ทั้งหมดนี้ คือการตัดสินใจของแม่เอง

แม่รักลูกนะ


 

ริชาร์ดอ่านจดหมายนั้นด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เขาเคยร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังด้วยความเสียใจหลังจากอ่านจดหมายนี้จบ แน่นอนว่าคนที่เอามันมาให้เขานั้นคือคาเล็ม แต่ตอนนั้นด้วยความที่ความคิดอ่านยังเด็ก บวกกับยังไม่ทราบความจริง ริชาร์ดก็เลยตีความไปอีกทางหนึ่ง ว่าคาเล็มนั้นพยายามเต็มที่แล้วในการช่วยต่อชีวิตแม่ของเขามาได้จนเขาโตเป็นวัยรุ่น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้จดจำหน้ามารดาของตัวเองเป็นแน่..

เขาเงยหน้าขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้ายามเย็นมี่เริ่มเปลี่ยนสีทีละน้อย เหมือนกำลังถามแม่ของตัวเองข้างบนสวรรค์ว่าเขาควรทำอย่างไรดี..
 
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 15-06-2017 23:17:21
 
ตอนนี้คาเล็มนั่งนิ่งอยู่บนโซฟารับแขกตัวกว้างของบ้านริชาร์ด แม้ริชาร์ดจะใจเย็นลงแล้วแต่สีหน้าแววตาของอีกฝ่ายทำเอาคาเล็มยังรู้สึกแย่อยู่ แม้ว่าจะโล่งใจที่ในที่สุดเขาก็กล้าพูดออกไปสักที หลังจากเก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจมานานกว่ายี่สิบปีราวกับยกภูเขาก้อนใหญ่ไปจากอก แต่ก็ได้อีกก้อนมาแทนที่เพราะเคยสัญญากับคนที่จากไปแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ริชาร์ดรู้...

“คุณหมอ..”

น้ำเสียงคุ้นหูดึงสติคาเล็มออกจากอาการเหม่อลอย ก่อนคนถูกเรียกจะเงยหน้าขึ้นช้าๆตามทิศทางเสียง..

ลาซารัสยืนนิ่งข้างโซฟาฝั่งที่คาเล็มนั่งอยู่ ร่างโปร่งสมส่วนที่ดูหนาขึ้นผิดตากับใบหน้าได้รูปแสนคุ้นเคยทำเอาคาเล็มอยากลุกขึ้นไปกอดมันเสียเดี๋ยวนั้น แต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังคงมีสถานะเป็นโอเมก้าของริชาร์ดอยู่นั่นแหละ.. ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันสักคำ แถมพอมันเงียบแบบนี้ยิ่งทำเอาประหม่า ต่างคนต่างหลบหน้าหลบตาไปทางอื่น ลาซารัสนั่งลงบนโซฟาข้างๆคุณหมอ และนั่งเงียบกันอยู่นาน...

“คุณหมอสบายดีมั้ยครับ?” คำถามไม่เข้ากับสถานการณ์อย่างแรง เพราะพวกเขามักจะส่งข้อความหากันตลอด หรือไม่ก็โทรคุยกันไปเลย ทำให้ยังไงเสียก็รู้สารทุกข์สุกดิบกันอยู่ก่อนแล้ว

“ก็เรื่อยๆ.. ว่าแต่อ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย?”

“...นี่ผมก็ออกกำลังกายตลอดนะครับ”

“กินเยอะด้วยล่ะสิ” คาเล็มยังคงพูดหยอกต่อไป ก็เห็นหน้าลำบากใจของลาซารัสแล้วเขารู้สึกสนุก..เหมือนเมื่อไม่นานมานี้

“ไม่ครับ.. เอ่อ ...คือ…”

“คิดถึงนายชะมัดเลย” จู่ๆคาเล็มก็เปลี่ยนบทสนทนา แล้วเอื้อมมือมาจับมืออีกฝ่ายไว้โดยไม่ให้ตั้งตัว

“คุณหมอ...เป็นอะไรรึเปล่า?” แม้ใบหน้าจะเริ่มขึ้นสีเพราะเขินแค่ไหน แต่ความเป็นห่วงก็มีมากกว่า จำได้ว่าริชาร์ดและคาเล็มออกไปเจอกันข้างนอกก่อนจะมาที่บ้านหลังนี้ ทว่าบรรยากาศของอัลฟ่าทั้งสองดูหนักอึ้งยังไงก็ไม่รู้ “ทะเลาะกับคุณริชมาเหรอ…”

“เปล่า เพิ่งเคลียร์กันมา ก็แค่...คงต้องใช้เวลาสักหน่อย” คาเล็มเลือกที่จะไม่บอกรายละเอียดกับลาซารัส เขาเริ่มกลัวขึ้นมาอีกครั้งว่าจะโดนเกลียดเหมือนกับริชาร์ดก่อนที่จะรู้ความจริงเรื่องที่เขาปิดบังไว้

“ครับ...แต่ผมว่าคุณริชคงเข้าใจคุณหมอนะ”

“คิดยังงั้นเหรอ?” ใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนเงยขึ้นมาสบตาสีฟ้า

“อื้ม...ขนาดผมอยู่กับเขามาแค่ปีเดียวยังรู้เลยว่าคุณริชเค้าแคร์คุณหมอมากขนาดไหน คุณหมอสิรู้จักคุณริชมานานกว่าผมอีก เพราะงั้นก็น่าจะรู้ดีกว่าผมนะครับ”

“.....ขอกอดทีนะ”

“ห้ะ? ครับ?” ไม่ทันจะได้ตั้งตัว วงแขนกว้างก็ดึงมืออีกฝ่ายเข้าหาตัวและโอบกอดร่างโปร่งเข้ามาแนบชิด ลาซารัสที่หน้าแดงระเรื่ออยู่แล้วก็ยิ่งเขินอายหนักขึ้นอีกจนเพิ่มระดับเป็นแดงเท่าลูกมะเขือเทศ

“ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ…” เสียงทุ้มต่ำที่ทำเอาใจสั่นไปหมด ลาซารัสเองก็ใจเต้นระรัวจนแทบจะระเบิดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว จมูกได้รูปกดฝังลงที่ต้นคอสูดกลิ่นหอมรัญจวนจากฟีโรโมนที่ปล่อยออกมา

เดี๋ยว!...นี่มันกลางบ้านคุณริชนะครับ!

“ขอบใจที่รอฉันนะ” มือหนาข้างที่ยังคงจับมือลาซารัสไว้ลูบบนแหวนที่เขาเป็นคนให้อย่างเบามือ

“...ครับ” มือที่ยังว่างโอบกอดคุณหมอตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เมื่อยอมลดอาการเกร็งลงแล้วสวมกอดตอบ กลับพบว่าร่างอีกฝ่ายสั่นเล็กน้อย ลาซารัสจึงเงี่ยหูฟังดีๆ.. “คุณหมอ!?”

“โทษทีๆ ฉันนี่ไม่ไหวเลย” คาเล็มเช็ดดึงแว่นออกไปให้พ้นทางแล้วซุกหน้าลงบนบ่าของคนที่ตนรัก ปล่อยให้น้ำตาจากความกังวลใจและความกลัวต่างๆนานาไหลลงเปรอะเสื้อของคนที่กอดอยู่

ลาซารัสไม่ว่าอะไร แต่ปล่อยคาเล็มไว้แบบนั้นพลางลูบปลอบเหมือนปลอบเด็กไปเรื่อยๆ เนิ่นนานเสียจนนาฬิกาบนผนังจะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงดินเนอร์ คาเล็มที่เริ่มสงบสติลงได้ก็ผละออกแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองให้เรียบร้อย และจัดแจงเสื้อผ้าทรงผมแว่นตาให้อยู่ในที่ทางเดิมของมัน

“ขอบใจนะ” คาเล็มยิ้มน้อยๆให้คนที่ทำตัวเป็นที่รองน้ำตาตัวเอง…

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าทำให้คุณหมอสบายใจขึ้นได้บ้างก็ดีใจแล้ว” ลาซารัสยิ้มตอบ รู้สึกโล่งใจที่เห็นคุณหมอดีขึ้น แต่ติดตรงที่ยังใจเต้นไม่หายเลยนี่สิ..

“อา ใช่.. จะบอกว่าเย็นนี้ไม่ต้องกินยาระงับอาการฮีทนะ”

“เอ๋?”

คาเล็มไม่พูดเปล่า เขาดึงข้อมือข้างที่มีนาฬิกาของโรงพยาบาลขึ้นมาและเริ่มจิ้มหน้าจอไปมาเหมือนจะสั่งยกเลิกการบังคับฉีดยาระงับอาการฮีทที่จะฉีดให้ทันทีหากลืมกินตามกำหนด.. “แค่ยาลดการรับรู้กลิ่นก็พอแล้ว” ร่างสูงแอบขยิบตาให้ก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นเป็นอิสระ

“อ่ะ...เอ่อ…” ลาซารัสหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเพราะพอจะเดาได้ว่าคาเล็มวางแผนจะทำอะไร แม้จะคิดไม่ออกว่าจะหาเวลาไหนปลีกตัวออกมาก็ตาม “ค...คุณหมอครับ.. นี่มันออกจะ...”

“ขอโทษนะ แต่ฉันตั้งใจไว้แบบนี้แต่แรกแล้วล่ะ” เรื่องจัดงานฉลองวันเกิดย้อนหลังนั้นไม่ได้โกหก เพียงแต่จุดประสงค์ที่แอบแฝงอยู่ก็คือการมาเจอกันเพราะเรื่องนี้ “จะเรียกว่า...อยากเจอนายจนทนไม่ไหวแล้วก็ได้”

“คุณหมออ่า…” ลาซารัสหน้าแดงจนถึงใบหู แถมตอนนี้ยังละจากสายตาที่จ้องมาอย่างหิวกระหายชัดเจนนั้นไม่ได้เลย

เมื่อทั้งสองลุกออกจากห้องนั่งเล่นและเดินไปหาเออร์แฟนในห้องอ่านหนังสือเพื่อไปทานมื้อเย็นพร้อมๆกัน พวกเขาก็เจอเข้ากับริชาร์ดที่เดินสวนมาจากอีกทางพอดี เท่านั้นเองบรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่ก็ดูจะอึมครึมขึ้นมาอีกครั้ง ริชาร์ดยกมือขึ้นโบกทักทายลาซารัสช้าๆ พร้อมรอยยิ้มระบายมุมปากจางๆ คนถูกทักก็เลิกคิ้วก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อย.. ซึ่งปกติพวกเขาก็ทักทายกันแต่เพียงเท่านี้อยู่แล้ว

“จะไปตามเออร์แฟนเหรอ?” ริชาร์ดเอ่ยถามเสียงเบา แม้ใบหน้าจะยังยิ้มแย้ม แต่แววตานั้นมีร่องรอยความเศร้าอยู่ชัดเจน

“อืม” คาเล็มพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะยืนรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ ซึ่งริชาร์ดเองก็เฉไฉสายตาไปทางอื่นเหมือนกำลังคิดอยู่

“ขอถามตรงๆเลยนะ.. ที่นายยกโทษให้ฉันเรื่องลาซัสนี่… ก็เพราะอยากให้ฉันยกโทษให้นายเหมือนกันเหรอ?” คำถามทำเอาลาซารัสมึนงง ไม่รู้ว่าพวกเขามีเรื่องอะไรกัน แล้วที่สำคัญคือ คุณหมอต้องการให้ริชาร์ดยกโทษให้เรื่องอะไร? พวกเขาไปทำอะไรมาเมื่อกลางวัน??

“...ใช่...แต่ก็แค่ส่วนหนึ่ง” คุณหมอหลับตาลงเป็นสัญญาณของการจำยอมต่อความรู้สึกของตัวเอง “ถึงนายจะไม่ให้อภัยฉันก็ไม่ว่าอะไร มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

“...ทำไมไม่คิดว่า เป็นการช่วยให้คนๆหนึ่งไม่ต้องทรมานไปมากกว่านี้ล่ะ?”

“เคยคิด..” คาเล็มกำมือตัวเองแน่นก่อนจะกลั้นใจพูดทุกสิ่งในใจออกมา “แต่พอเวลาผ่านไป ฉันกลับมีความคิดที่ว่า… ถ้าตอนนั้นฉันเก่งกว่านี้ มีความรู้ หรือมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่านี้… ฉันคงช่วยเขาได้”

“คุณ...หมอ?” ลาซารัสเผลอเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วจับแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ

“แม่นายคงจะรอด.. แล้วฉันก็ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้น!”

“พอแล้ว” น้ำเสียงเรียบของริชาร์ดดึงสติของคาเล็มไว้ เมื่อคุณหมอเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน กลับพบภาพของริชาร์ดที่กำลังเงื้อหมัดใส่หน้าเขาอยู่ ปฎิกิริยาโต้ตอบสั่งให้เขาหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นป้องกันตัว

“คุณริช!?” ลาซารัสกำลังจะเข้ามาห้าม ...ทว่าร่างโปร่งก็หยุดชะงักนิ่งไปทันที

แปะ…

หมัดที่กำแน่นแตะลงบนแก้มของคาเล็มบางเบาผิดกับทีท่าที่เงื้อเสียสุดตัว ริชาร์ดค้างหมัดตัวเองไว้แบบนั้นสักครู่ก่อนเอามือไปให้พ้นหน้าเพื่อน

“ฉันโกรธมากนะรู้มั้ย...ที่นายมีอะไรก็ไม่บอกกันอยู่เรื่อยเลย” หน้าของริชาร์ดเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ็บปวดจนปิดไม่อยู่ “นายเป็นเพื่อนฉันนะโว้ย! รู้จักกันมาตั้งแต่ฉันทำไมไม่ยอมปริปากเวลาไม่สบายใจมั่งเลยวะ!?”

“...?...??” คุณหมอยังคงทำหน้าฉงน แม้จะรับรู้รับทราบทุกคำพูดของอีกฝ่ายก็ตาม

“ใช่ ฉันมันพวกโมโหร้าย! แต่...ไม่ใช่ว่านายก็รู้จักฉันดีรึไง ฉันเคยจะเลิกคบนายจริงๆบ้างมั้ย…”

ช่วงชีวิตมิตรภาพที่ผ่านมา ใช่ว่าจะราบรื่นลงเอยด้วยดีทุกครั้ง ด้วยนิสัยแทบจะคนละขั้วทำให้สองอัลฟ่าทะเลาะและจิกกัดกันบ่อยครั้ง บ้างก็หนักถึงขั้นแทบเลิกรากัน แต่สุดท้ายไม่ว่าจะด้วยเวลาช่วยเยียวยาหรือมีใครกล่อมเล็กๆน้อยๆ ทั้งคู่ก็กลับมามองหน้ากันได้เช่นเดิม.. แต่หนนี้เหมือนปัญหาที่คั่งค้างสะสมมานานจะใหญ่เกินกว่าที่คาเล็มจะจินตนาการออกว่าอีกฝ่ายจะให้อภัยเขาได้อย่างไร...กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้…

“...ขอโทษ” คาเล็มเอ่ยเสียงเบาทั้งที่ยกมือขึ้นกุมหน้าที่ถูกต่อยด้วยหมัดเบาหวิวนั่น

“เออ! ...ก็แค่นี้เอง!”

“แค่นี้ก็ได้เหรอ?..”

“แล้วจะอะไรมากมายวะ!?” ริชาร์ดยักไหล่แล้วถอนหายใจ “...ให้พูดจากใจจริงฉันก็ยังโกรธ.. แต่พอได้ไปนั่งสงบสติอารมณ์ก็ถึงได้รู้ว่า ที่ผ่านมานายก็รู้สึกผิดมามากแล้ว.. จากการกระทำของนายน่ะนะ”

คาเล็มเหลือบไปมองลาซารัสที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เขาเอาแรงผลักดันจากเรื่องนี้มาเป็นความต้องการที่จะช่วยเหลือโอเมก้าคนอื่นๆให้แรงกล้าขึ้น อย่างน้อยๆก็เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าได้ทำอะไรไถ่โทษสิ่งที่ตนทำไปบ้าง แม้จะรู้ว่ามันเทียบกันไม่ได้ก็ตาม “...ต่อยคนแก่มาได้ มันเจ็บนะ…”

“...เฮ้อ” ริชาร์ดถอนหายใจแรงแล้วเดินเข้าไปกอดคาเล็มไว้ด้วยสภาพเหมือนพ่อกอดลูกชายยามที่ต่อยแพ้เพื่อนกลับมาบ้าน “ขอโทษครับคุณหมออออ คราวหน้าจะไม่ใช้กำลังแล้วครับ”

แปะๆๆ…

เสียงปรบมือรัวดังมาจากข้างหลังจนสองอัลฟ่าที่กอดกันอยู่ต้องหันมาดูก็พบว่าลาซารัสบ่อน้ำตาแตกไปแล้ว แถมยังโผเข้ามาขอผสมโรงกอดทั้งคู่แน่นอีก

“เล่นอะไรกันน่ะพวกนาย?” เออร์แฟนที่เดินออกมาจากห้องอ่านหนังสือมองดูสามคนที่กอดกันกลมยังกับเพิ่งจบงานปัจฉิมนิเทศ แต่ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าอะไรทำให้ต้องอยู่กันในสภาพนั้น

อย่างน้อยๆก็เคลียร์กันจบได้สวยกว่าที่คิดล่ะนะ เขานึกว่าลุงอัลฟ่าสองคนนี้จะซัดกันหมัดต่อหมัดจนกว่าจะหมอบก่อนจะปรับความเข้าใจกันได้แบบในหนังลูกผู้ชายซะอีก


งานวันเกิดย้อนหลังของหมอคาเล็มในวันนี้เลยถือเป็นการฉลองที่เพื่อนรักทั้งสองกลับมาคืนดีกันได้อีกครั้ง หลังจากผ่านเรื่องยุ่งๆหลายเรื่องกันมาเป็นปี ทั้งอาหารคาวหวานมากมายหลากหลายเมนูแทบจะเป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติที่ล้วนลิสต์มาจากอาหารที่คาเล็มค่อนข้างชอบทั้งสิ้น แต่จะอะไรก็คงไม่อร่อยเท่าพุดดิ้งที่รักอีกแล้ว

“คุณหมอครับ กินเยอะขนาดนั้นเดี๋ยวค่าน้ำตาลในเลือดจะพุ่งเอานะ..” ลาซารัสที่นั่งข้างๆอยู่คอยห้ามปราม ถึงจะไม่ค่อยได้ผลนักก็ตามเพราะนี่ก็จานที่สี่เข้าไปแล้ว..

“นานๆทีเองน่า...นี่ฉันไม่ได้กินมาตั้งนานแล้วนะ” คาเล็มพูดเสียงอ่อน แม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งก็ตาม

“เป็นหมอแต่ไม่ดูแลตัวเองเลยเนี่ยนะ?” เออร์แฟนเห็นท่าว่าโอเมก้าเพียงคนเดียวในที่นี้จะห้ามไม่ไหวเลยช่วยพูดด้วย “นายอย่าลืมสิว่ามีเค้กรออยู่อีก”

“หมอก็คนนะ ต้องมีอะไรที่ชอบกินแม้มันจะไม่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้นแหละ ส่วนเค้กก็ให้ลาซัสกินไปสิ”

“ทำไมให้ผมกินคนเดียวล่ะ!?”

“ฉันช่วยกินก็ได้นะ” ริชาร์ดแทรกขึ้นมาก่อนจะดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้สาวใช้เดินไปหรี่ไฟลงให้ห้องเริ่มสลัว ก่อนประตูทางเข้าห้องทานอาหารส่วนตัวจะเปิดออก เค้กวันเกิดขนาดใหญ่ที่น่าจะกินได้ทั้งคฤหาสน์ก็เข็นเข้ามา

เพลงวันเกิดถูกขับร้องด้วยทำนองที่เป็นกันเองและทั้งสี่คนก็ร่วมร้องไปด้วย แต่เทียนที่ปักไว้อยู่สูงเกินกว่าคาเล็มจะเป่าได้ กว่าจะหาวิธีเป่าให้ดับได้ก็กินเวลาไปนานกว่าร้องเพลงนานโข… โดยใช้สมุดที่คาเล็มพกติดกระเป๋ามาแล้วยืนบนเก้าอี้เพื่อพัดให้มันดับแทนการเป่า อนาถไปสักนิดทว่าก็ไม่มีใครคิดอะไร ซ้ำยังรู้สึกตลกดีด้วยที่เห็นคุณหมอมาดนิ่งขี้รำคาญยอมทำอะไรแบบนี้

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ฉันเตรียมเกมพิเศษมาให้เล่นแก้เหงาด้วย เผื่อจะเบื่อกัน” เออร์แฟนพูดขึ้นระหว่างกำลังตัดเค้กแจกจ่ายให้สาวใช้และพ่อบ้านเอาไปกินกัน

“ไม่นึกว่าคนแบบนายก็ชอบเล่นเกม” ริชาร์ดเลิกคิ้วระหว่างที่กำลังรินเหล้าต่อเนื่อง

“คุณริชดื่มมากไปรึเปล่าครับ?” ตั้งแต่เริ่มงานมาก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายห่างจากแก้วเหล้าเลยอดเป็นห่วงนิดๆไม่ได้

“อย่าเพิ่งรีบเมาซะล่ะ เพราะเกมนี้นายได้ซัดเป็นแก้วแน่” เออร์แฟนหยิบเอากระดาษม้วนสี่ชิ้นขึ้นมาจากกระเป๋า “เกมพระราชา”
เกมพระราชาในกฎของเออร์แฟนนั้น ต้องหมุนขวดเลือกคนเป็นราชา ก่อนทั้งสี่จะสุ่มหยิบเลขจากกระดาษม้วนสี่ใบนี้ และให้พระราชาเลือกเลขและสั่งให้คนที่ได้เลขนั้นทำอะไรก็ได้ ในช่วงแรกๆก็มีทั้งเล่าความลับหรือแฉตัวเองจนถึงการดื่มเหล้าให้หมดแก้วหรือกินเค้กคนละคำ

แต่...คนที่ซวยที่สุดคือเออร์แฟนที่โดนลงโทษในเกมพระราชาอย่างต่อเนื่อง เพราะริชาร์ดกับคาเล็มดันดวงขึ้นได้เป็นพระราชาสลับกันรอบต่อรอบ แถมยังอุตส่าห์เดาเลขถูกเกือบจะทุกรอบ จนหวยแทบจะลงใส่ตัวคนเสนอเกมซะเอง ส่วนลาซารัสนั้น ถ้าโดนลงโทษก็จะโดนอนุโลมเสียทุกครั้ง หรือได้เป็นพระราชาก็ไม่กล้าสั่งอะไรแรงๆอยู่ดี

“ห..ให้หมายเลขสาม...หอมแก้มคุณริชหนึ่งที..”

“เสียใจด้วยนะลาซัส ฉันเองแหละหมายเลขสาม” ริชาร์ดโชว์เลขในมือให้ดูเป็นการยืนยันพลางหัวเราะร่วน ท่าทางจะเมาไประดับหนึ่งแล้วเสียด้วย ซึ่งสภาพก็ไม่ได้ต่างกับเออร์แฟนมากนัก เพราะอัยการหนุ่มโดนลงโทษซดเหล้าไปหลายอึกเนื่องจากโดนหวยลงบ่อยกว่าใครเพื่อน

“งั้น..หอมแก้มคุณหมอก็ได้ครับ” ด้วยความสงสารเออร์แฟนเลยเปลี่ยนทิศทางการลงโทษไปลงกับคาเล็มแทน ขอโทษนะครับคุณหมอ!

“ไหงงั้นล่ะ!?” คาเล็มแผดเสียง แม้จะไม่ได้เมามายเท่าอีกสองคนเพราะดื่มไปน้อยกว่าและคอแข็งกว่ามาก แต่ท่าทางก็เริ่มกรึ่มๆแล้วเช่นกัน “เฮ้ย! หยุดเลยไอ้ริชาร์ดดด!!”

“กฎก็ต้องเป็นกฎซี่!!”

พอมาถึงเกมรอบสุดท้ายก่อนปิดงานเพราะนาฬิกาตีบอกเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ก็เลยถึงคราวที่เออร์แฟนได้โอกาสเป็นพระราชาปิดเกม เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องยิ่งใหญ่! อัยการหนุ่มที่โดนแกล้งมาตลอดงานจึงหัวเราะชั่วร้ายเป็นพิเศษบวกกับฤทธิ์เหล้าที่ทำคนคออ่อนบุคคลิกเปลี่ยนจนจำแทบไม่ได้

“ขอสั่งให้หมายเลขสองกับสามจูบกันแบบเฟรนส์คิสเดี๋ยวนี้!”

แล้วหวยก็มาลงที่ริชาร์ดกับคาเล็ม อันที่จริงต้องบอกว่าหวยล็อคด้วยซ้ำเพราะว่าเออร์แฟนสังเกตเห็นหมายเลขของทั้งคู่ที่จับได้ในรอบนี้ คนโดนสั่งสองคนแทบจะพ่นน้ำเปล่าที่กำลังจิบ

“ไม่เอาโว้ย!” คาเล็มโวยวายขึ้นมา แค่หอมแก้มก็แย่แล้ว!!

“คำสั่งของพระราชาถือเป็นที่สุด” เออร์แฟนชี้นิ้วใส่หน้าคาเล็มและวนเป็นวงกลมเหมือนกำลังทำท่าสะกดจิต

“เป็นลูกผู้ชาย คำไหนก็คำนั้น!” นี่ก็เมากู่ไม่กลับแน่นอน ริชาร์ดโผเข้าหาเพื่อนจนล้มลงไปกองที่พื้นทั้งคู่ สองมือจับหน้าคาเล็มไว้มั่นหมายจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่คุณหมอก็สู้สุดชีวิตรักษาเอกราชจากการโดนอัลฟ่าด้วยกันรุกราน ซึ่งก็ไม่พ้นสู้แรงเพื่อนไม่ได้ จำต้องรับจูบรสเหล้าเข้าปากไปนานสองนานด้วยสีหน้าราวกับจะตายเอาให้ได้… จนริชาร์ดหลับทับบนตัวเขาไปทั้งอย่างนั้น

“ไอ้ริชาร์ด!! รอแกตื่นก่อนเหอะ!....แกด้วยไอ้เออร์แฟน!!” คาเล็มร้องโหวกเหวกและชี้นิ้วขึ้นมาใส่อัยการหนุ่มที่นั่งขำจนจะตกเก้าอี้

“ฉันก็เดาไปเรื่อย นึกว่าจะให้นายได้จูบเป็ดน้อยให้สมการรอคอยหน่อยไง” แม้จะเมาแล้วแต่ก็ยังคงแก้ตัวให้พ้นผิด ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอย่างโซเซแล้วกดมือถือเรียกลูกน้องตัวเองที่นั่งรออยู่อีกห้องให้มารับและพาเขากลับเพื่อหนีสายตาอาฆาตแค้นของคาเล็ม “กลับล่ะ เจอกันพรุ่งนี้”

“อ่ะ? ให้ผมไปส่งที่หน้าประตูมั้ยครับ?”

“ไม่ต้องๆ นายเอาเจ้าบ้านกลับห้องไปนอนดีๆเหอะ” แม้จะเมาแล้วแต่ท่าทางสติรับรู้จะดีกว่าริชาร์ดเยอะมาก..

“หลับไปแล้วจริงๆด้วยอ่ะ..” ลาซารัสเดินมาช่วยยกร่างหนักอึ้งของริชาร์ดออกจากตัวคุณหมอก่อนคาเล็มจะขาดอากาศหายใจเพราะโดนทับ พอเช็คสำรวจสติก็พบว่าริชาร์ดได้สลบเหมือดไปแล้ว และท่าทางปลุกไปก็คงไม่ยอมตื่นง่ายๆแน่

เมื่อเออร์แฟนเดินหายออกจากห้องไป คาเล็มก็ลุกขึ้นมาหยิบแก้วน้ำเปล่ากินล้างปากไปหลายอึก ด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนจะรับไม่ได้อย่างแรง… “มันไม่ได้เมาจริงๆ หรอก ฉันคิดว่างั้นนะ”

“งั้นเหรอครับ?” ลาซารัสยิ้มแห้ง ก่อนจะเดินไปบอกพ่อบ้านที่ยังคงรออยู่ให้มาเก็บกวาดโต๊ะอาหารทั้งหมด “คุณหมอกลับยังไงเหรอครับ?”

“ไม่ได้กลับ…คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่”

ลาซารัสพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคาเล็มบอกเป็นนัยอะไรเขาไว้เมื่อตอนหัวค่ำ ทำให้ดวงหน้ามนที่มีสีแดงจางจากแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปเพียงนิดนั้นแดงจัดขึ้นมา “อ่ะ...เอ่อ...งั้นขอหิ้วคุณริชกลับไปห้องนอนก่อนนะครับ”

“มา ฉันช่วย”

ทั้งสองคนช่วยกันหิ้วปีกคนตัวใหญ่สุดกลับห้องอย่างทุลักทุเล แม้จะตบๆหน้าเรียกสติให้ริชาร์ดรู้ตัวและตื่นมาเดินกลับเอง แต่เจ้าตัวก็ทำแค่มุ่ยหน้าและส่งเสียงหงุดหงิดใส่เท่านั้น ...ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้กันนะ

กว่าจะมาถึงห้องนอนของเจ้าของบ้านก็เล่นเอาหอบเหมือนเพิ่งไปแข่งกีฬามา จัดแจงถอดเสื้อนอกออกแล้วห่มผ้าอะไรให้เรียบร้อยจึงค่อยๆย่องออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ

“คุณหมอจะอาบน้ำก่อนมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไป…”

“ไปห้องนายก่อน เดี๋ยวค่อยอาบทีเดียว” คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้คนฟังสงบใจลงได้เลย ในเมื่อมันมีความหมายว่า ‘ให้ไปอาบน้ำด้วยกันหลังจากนี้’ ...ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่ใจก็ยังไม่พร้อมเลยอยู่ดี!

โอเมก้าหนุ่มไม่มีเวลาให้ได้เตรียมใจนานนัก เพราะห้องนอนของเขาไม่ได้ไกลจากห้องของเจ้าบ้านเลย ขณะที่กำลังไขกุญแจห้องลาซารัสก็นึกขึ้นได้ว่าในห้องยังมีเจ้าพวกขนฟูนอนอยู่ด้วย

“คุณหมอครับ ห้องนี้คงจะไม่ได้ พวกก้อนขนนอนอยู่…”

ดวงตาหลังกรอบแว่นมองเข้าไปในห้องก็เห็นเหล่าองครักษ์(?)ขนฟูนอนเกลือกกลิ้งกันเต็มพื้นจนแทบจะกลืนไปกับพรม  ส่วนพวกตัวเล็กก็หลับเรียงเป็นฮอทด็อกอยู่บนเตียงกว้าง

“ฉันเมาแล้วรึเปล่านะ รู้สึกจำนวนมันเยอะขึ้นยังไงไม่รู้” คาเล็มลองถอดแว่นออกมาเช็ด

“แหะๆ แมร์รี่เพิ่งจะคลอดลูกออกมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองครับ เกิดวันเดียวกับคุณหมอเลย”

เขาควรจะดีใจมั้ยที่มีลูกหมามาเกิดวันเดียวกันเนี่ย…คุณหมอจึงต้องถอนตัวจากห้องนอนของลาซารัสอย่างช่วยไม่ได้ หมอก็เกรงใจหมาเป็นเหมือนกันนะ

“อ้าว? คุณหมอรอสเกรย์ ดิฉันนึกว่ากลับไปพร้อมคุณอัยการแล้วเสียอีกค่ะ” เจสสสิก้าที่กำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยของบ้านเพื่อเตรียมปิดไฟในคฤหาสน์ พอเห็นคาเล็มกับลาซารัสอยู่ด้วยกันสองคน หญิงชราก็ยกมือขึ้นปิดปากเล็กน้อย แล้วหล่อนก็รีบนำทางไปยังห้องพักและจัดแจงจัดที่นอนให้แขกของเจ้านายได้พักผ่อนทันที

“คืนนี้พักผ่อนได้ตามสบายนะคะ อย่าหักโหมมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้คนยกอาหารมาให้ตอนสายๆ ค่ะ” หญิงชราค้อมหัวให้ตามมารยาทก่อนเดินออกไปจากห้อง ดูจากรอยยิ้มที่หัวหน้าแม่บ้านส่งมาให้ทั้งสองคนแล้ว คาดว่าหล่อนคงจะคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“คุณหมอครับ…” โอเมก้าหนุ่มยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเหมือนอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี โดนคุณแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมานานมองออกทะลุปรุโปร่งหมดเลยแบบนี้ พรุ่งนี้จะกล้ามองหน้ากันติดได้ยังไง!

“...อย่าทำให้คนแก่เสียน้ำใจสิ” คาเล็มกดปิดกลอนล็อคประตูห้องแล้วเริ่มปลดประดุมข้อมือตัวเอง

คุณหมอยังจะเดินหน้าต่อได้อีกเหรอครับ! จะมีความมุ่งมั่นแบบแปลกๆเกินไปหน่อยรึเปล่า!

“คือว่า...ช่วยรอแป๊บได้มั้ยครับ ผมจะไปเอาของที่ห้องสักหน่อย ตะกี้ลืมหยิบมา”

“ถ้ายาคุมกับถุงล่ะก็ฉันเตรียมมาแล้ว” คาเล็มตอบหน้านิ่งเสียจนลาซารัสอยากจะกรีดร้อง ทำไมพร้อมยังกับวางแผนมาแล้วได้ขนาดนี้ครับ!

“เดี๋ยวมาครับ!” ร่างโปร่งไม่รอให้อัลฟ่ามากวัยกว่าอนุญาตแล้วรีบพุ่งตัวออกไปจากห้องทันที คุณหมอก็เลยเดินไปนั่งรอที่ปลายเตียง แต่ก็ยังไร้เงาของคนที่บอกว่าจะไปแป๊บเดียว

“เอาเถอะ…” พอคิดว่าลาซารัสคงกำลังเตรียมใจอยู่ เขาก็ขยับตัวเอนลงไปนอนที่หัวเตียงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาน้องชาย เพราะรู้ดีว่าเวลานี้คาร์เมนยังไม่เข้านอน “ไง แม่หลับรึยัง?”

“หลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วล่ะพี่” เสียงของน้องชายฟังไม่ค่อยถนัดนัก คาดว่าจะเป็นเสียงแทรกจากโทรทัศน์ เพราะคืนนี้มีรายการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่น้องชายชอบ “เลี้ยงดีๆสิวะ เดี๋ยวก็โดนยิงนำไปก่อนหรอก!”

“เชียร์เบาๆสิ เดี๋ยวแม่ตื่น” คนเป็นพี่เอ็ดน้องชายที่ดูจะอินกับเกมการแข่ง “พรุ่งนี้คงจะกลับบ่ายๆนะ เอาอะไรมั้ยเดี๋ยวซื้อกลับไปฝาก?”

“ไม่ล่ะ อ้อ! เห็นคุณเรนเดลบอกว่าหลอดไฟห้องน้ำมันเหมือนจะเสียแล้วล่ะพี่ เมื่อเย็นไฟมันตกน่ะ”

“งั้นเดี๋ยวจะซื้อเข้าไปให้ มีแค่นี้สิ...นะ”

“พี่? เป็นอะไรรึเปล่า?” คาร์เมนกรอกเสียงถามเพราะจู่ๆพี่ชายของตนก็เงียบไป

“ไม่มีๆ แค่นี้ก่อนนะ แบตจะหมดแล้วล่ะ” น้ำเสียงของคาเล็มดูลนๆ รีบร้อนผิดปกติ ก่อนที่สายจะตัดไป เหลือทิ้งไว้แต่ความสงสัยของน้องชาย เพราะว่าปกติพี่ชายก็พกเพาเวอร์แบงค์สำรองตั้งสองสามก้อน จะกลัวแบตหมดไปทำไม…?


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 15-06-2017 23:22:48
“มาตรวจกะดึกเหรอ?” คาเล็มวางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนพร้อมกับกระตุกรอยยิ้ม ก่อนจะจ้องไปมองลาซารัสที่เข้ามาในห้องพร้อมกับชุดที่...ต้องบอกว่าโคตรจะเร้าใจ โอเมก้าหนุ่มในชุดคอสเพลย์เป็นนางพยาบาลชุดสีชมพูกระโปรงสั้นเหนือเข่า แถมยังใส่ถุงน่องสูงมาอีก ก็ว่าทำไมถึงได้หายไปนานนัก เพราะใช้เวลาหมดไปกับการแต่งตัวนี่เอง

“....ก็เห็นคุณหมอบอกว่าชอบชุดพยาบาล…” ลาซารัสตอบคำถามทั้งที่คาเล็มยังไม่ได้ถามอะไร เจ้าตัวเดินมาใกล้กับเตียงกว้างที่คาเล็มเลื่อนตัวลงไปทำทีเป็นเป็นคนไข้นอนรอให้พยาบาลมาตรวจ “ที่คุยกันอาทิตย์ก่อนไง..”

“นายเลยไปซื้อมาเหรอ?” สายตาของคุณหมอไล่มองสำรวจตั้งแต่ใบหน้าสีแดงจัดลงมาจนถึงชายกระโปรงที่ขึ้นมาสูงทุกครั้งที่คนใส่ขยับตัว

“ตัดเองต่างหาก” ลาซารัสเลื่อนมือมาดีดหน้าผากให้คาเล็มหยุดหัวเราะและเลิกใช้สายตาแทะโลมแบบนั้น ก่อนเขาจะเขินจนหน้าแดงไปมากกว่านี้ แล้วที่ยอมลงทุนตัดเองนี่ก็เพราะไซส์ที่สั่งซื้อทางเน็ตมันไม่มีนี่ “...แต่...ผ้าที่มีอยู่ไม่พอตัด ก็เลย…”

“คับไปหน่อย?” ต้องบอกว่าทั้งคับทั้งสั้นเลยต่างหาก เห็นแล้วขึ้น...

“....” ไม่พูดตอบ แต่โอเมก้าหนุ่มพยักหน้าให้แทน “...แล้ว...แล้วผมต้องทำอะไรมั่ง?”

“อ้าว เป็นพยาบาลจะมาถามคนไข้ได้ไงล่ะ?” คาเล็มหัวเราะร่วนแล้วนอนรอดูว่าลาซารัสจะทำอะไรต่อไปด้วยใจที่เต้นระทึก ทั้งตื่นเต้นที่ได้เห็นคนรักในชุดสุดลามกสำหรับเขา ยิ่งมันแน่นไปหมดตั้งแต่อก เอว กระทั่งถึงสะโพกขนาดนี้ มีหรือจะไม่ให้คิดไปไกลจนเขาเริ่มรู้สึกได้ว่าคาเล็มน้อยเริ่มตื่นตัวหน่อยๆ โดยไม่ต้องพึ่งกลิ่นฟีโรโมนของลาซารัสแล้ว

“....งั้น… คุณหมอ...เอ ตอนนี้ต้องเรียกคุณคาเล็มนี่นา?” ลาซารัสคลานเข่าขึ้นมาบนเตียงข้างหนึ่งเพื่อเอามือมาแตะที่หน้าผากของคาเล็มก่อนจะค่อยๆเลื่อนผ่านข้างแก้มมาจนถึงลำคอ “ไม่มีไข้นี่นา แต่คงต้องเอาปรอทมาวัดให้แน่ใจก่อนนะครับ”

“คุณพยาบาลไม่เรียบร้อยเลยนะ” คาเล็มคว้ามือที่ยื่นมาจับคอของเขาไว้ ส่วนอีกมือแตะลงบนช่วงอกที่เสื้อด้านบนไม่สามารถติดกระดุมได้ ไม่รู้เขาคิดไปเองรึเปล่าว่าช่วงกลางอกดูจะแน่นขึ้นกว่าเก่า...

“ม….มันติดไม่ได้น่ะครับ” ลาซารัสตกใจกับการแตะเนื้อต้องตัวที่ไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้นิ้วของคาเล็มไล้ไปมาอยู่อย่างนั้น

“แล้วก็เครื่องแบบพยาบาลเค้าไม่ให้ใส่ถุงน่องสีเข้มนะ มันต้องสีขาวสิ” คาเล็มเปลี่ยนไปลูบต้นขากระชับไร้ส่วนเกินข้างที่ยกขึ้นมาบนเตียง สัมผัสของเนื้อถุงน่องทำเอาความนึกคิดเตลิดไปไกล  “ปรอทวัดไข้นี่มันต้องเอาติดตัวมาแต่แรกรึเปล่า เป็นพยาบาลแต่ขี้ลืมนี่ใช้ไม่ได้เลยนะ”

“ค...คือ.. ปรอทน่ะ…” ลาซารัสคลานขึ้นมานั่งคุกเข่าคร่อมร่างคาเล็มแล้วเลื่อนมือลงไปปลดกระดุมเสื้อช่วงล่างออกไปสองสามเม็ด ก่อนเปิดชายเสื้อที่ยาวปิดต้นขาเป็นกระโปรงขึ้น ให้เห็นส่วนกลางที่เริ่มแข็งขืนของตนเอง “ย...อยู่นี่แล้วครับ”

“....ไอ้เด็กลามก” คาเล็มยันตัวขึ้นแล้วรวบเอวอีกฝ่ายลากลงมานอนแผ่กับเตียงกว้าง และตามไปประกบจูบแนบแน่นอย่างโหยหา สองมือลูบไล้ตั้งแต่ต้นขากระชับไปจนสะโพกแน่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ปลายนิ้วซุกซนไต่ขึ้นมาถึงส่วนชายกระโปรงชุดพยาบาลไล่ขึ้นมาจนถึงขอบถุงน่องที่เอว เมื่อจูบแลกลิ้นจนหนำใจก็เลื่อนตัวลงไปหาความเป็นชายที่อัดแน่นในกางเกงของคนใต้ร่าง

“คุณ...หมอ…” ลาซารัสเปล่งเสียงครางสั่นเครือเบาๆทุกครั้งที่โดนจมูกได้รูปกดลงไปหยอกล้อกับแก่นกลางของตนอย่างห้ามไม่อยู่

“ได้ยินเสียงนายโดยไม่ผ่านมือถือนี่ดีจริงๆ” คาเล็มเม้มปากและกัดเอาถุงน่องบางตรงช่วงกลางตัวเสียขาดวิ่นอย่างใจร้อน “วิวดีนะตรงนี้”

“งือ...เพิ่งจะซื้อมาเองนะครับ” โอเมก้าหนุ่มในชุดพยาบาลแอบประท้วง ถึงจะไม่ใช่ของราคาแพงแต่เพิ่งจะเริ่มก็โดนคุณหมอฉีกเล่นซะแล้ว

“ไว้ซื้อให้ใหม่น่า เอาแบบที่มีลูกไม้ด้วย” เสียงทุ้มต่ำเริ่มหายใจแรงแต่ยังคงอดทนและกดปลายนิ้วเล่นหยอกล้อกับแกนกลางที่เริ่มมีหยาดน้ำสีใสของนางพยาบาลปริ่มออกมา

“อึ่ก...คุณหมอ...ชอบแบบนี้เองเหรอครับ” ร่างโปร่งบิดเร้าเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้สึกหวิวๆ ที่ช่องท้องไปหมด แถมตอนนี้มือของคาเล็มก็กำรูดตัวตนของเขาเชื่องช้าสลับกับเร็วเหมือนกับว่าจงใจจะแกล้งให้ปั่นป่วน

“ชอบเพราะนายเป็นคนใส่ให้ดูต่างหากล่ะ” มือหนาปล่อยแก่นกลางของคนรักออกแล้วใช้ปากครอบครองแทน ร่างโปร่งถูกยกสะโพกขึ้นสูงจนลอยขึ้นจากเตียงนุ่มให้อยู่ในตำแหน่งที่ร่างสูงกว่าก้มลงมาปรนเปรอได้ถนัด

“อะ! เดี๋ยวครับ ฮะ! ช้ากว่านี้หน่อยคุณหมอ” ปลายลิ้นร้อนลากเลียสลับดูดดุนส่วนหัวจรดปลาย หยอกเล่นกับรอยหยักเสียจนลาซารัสเสียวซ่านไปหมดเผลอหนีบขาเข้ามา ก่อนจะถูกมือหนาจับแยกออกกว้าง เกร็งเสียจนแทบจะเป็นตะคริวจนเจ้าของเสียงครางหวานต้องขอร้องให้หยุดทำกามกิจ “ฮ่ะ...อ่ะ ทำไมใจร้อนจังครับ”

“ฉันรอนายมาตั้งปี แล้วนายก็ใส่ชุดโคตรยั่วนี้มาหาฉัน จะให้ฉันใจเย็นลงไหวหรือเด็กน้อย?” คาเล็มผละออกห่างเพียงเล็กน้อยเพื่อปลดกระดุมเสื้อถอดออกทิ้งให้มันตกลงไปข้างเตียง “ยังวัดไข้ไม่เสร็จเลย ปรอทนี่สั่นไปหมดเลยนะ”

คาเล็มก้มลงมาปรนเปรอที่แกนกลางร่างเล็กกว่าอีกครั้งอย่างหิวกระหายกว่าคราแรก โพรงปากอุ่นร้อนแทบจะครอบครองจนมิดทำเอาคนถูกต้อนร้องเสียงหลง มือปัดป่ายหาที่ยึดจิกทึ้งทั้งหมอนและที่นอน ยิ่งครางด้วยความเสียวซ่านเท่าไหร่ ปลายลิ้นชำนาญกลับยิ่งดูดเม้มราวกับจะรีดเร้นสิ่งที่จวนจะระเบิดในร่างกายให้ปะทุดั่งแม็กม่าในปล่องภูเขาไฟออกมา 

“อ๊ะ! อ๊าา!” ร่างโปร่งกระตุกเกร็งฉีดเอาน้ำอุ่นเข้าไปในโพรงปากที่รอรับอยู่จนเต็มล้นทะลักออกมาเลอะมุมปากของคุณหมอ แถมยังกลืนลงไปจนเกือบหมดเหลือแค่ส่วนที่ไหลเยิ้มปริ่มตามท่อนเอ็นเท่านั้น “ข...ขอโทษครับ ผมไปก่อนคุณหมอซะแล้ว”

“ก็ฉันตั้งใจนี่” ปลายนิ้วหัวแม่มือปาดคราบสีขาวขุ่นมุมปากออก “วัดไข้ได้เท่าไหร่ล่ะคุณพยาบาล?”

“ม...ไม่มีไข้ครับ” ใบหน้ามนแดงซ่านแต่ยังคงพูดตามที่คนไข้เล่นสวมบทบาท ดวงตาสีฟ้ามองตามมือของร่างสูงที่ตอนนี้ปลายนิ้วเลื่อนลงไปยังช่องทางร่วมรักของตนที่เริ่มมีน้ำหล่อลื่นเตรียมพร้อมรอแล้ว

“เหรอ...แต่คุณพยาบาลดูท่าทางจะไม่สบายซะเองนะ ทั้งหน้าแดง ทั้งหอบหายใจแรง ตัวก็สั่น สงสัยจะหนาว” เสียงทุ้มวินิจฉัยอาการคนใต้ร่าง มาคราวนี้พยาบาลดูท่าจะกลายเป็นคนไข้เสียเองแล้ว

“คุณหมอ…” ลาซารัสเผลอกลืนน้ำลายเมื่อมืออีกข้างของคาเล็มเริ่มปลดเข็มขัดและรูปซิปกางเกงที่คับแน่นลง

“หมอคงต้องฉีดยาให้สักสองสามเข็มแล้วล่ะ”   

ลาซารัสกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ได้เจอคาเล็มน้อยมานานสงสัยเขาจะลืมความรู้สึกตอนถูกรุกล้ำไปแล้วแน่ๆ ก็ตอนนั้นเขาเข้าช่วงฮีทจะไปเหลือสติอะไรให้จดจำล่ะ “..ม...ไม่เจ็บใช่มั้ยครับคุณหมอ?”

“ไม่หรอก แค่มดกัดนิดเดียว” คาเล็มดึงตัวคุณพยายาลให้เข้ามาหาและวางสะโพกของลาซารัสไว้บนตักตนก่อนมือจะจับเอาส่วนแข็งขืนจ่อไว้ที่ช่องทางด้านหลังที่ชุ่มน้ำหล่อลื่นไปหมด เมื่อกดส่วนหัวให้เข้าไปได้เล็กน้อยแล้วเขาก็จับขาเรียวทั้งสองแยกออกให้เหมาะทั้งท่วงท่าและถนัดมือ ก่อนจะสอดใส่เข้ามาจนมิดด้ามในคราเดียว

“อ๊ะะ!! อ๊า…!” ร่างโปร่งกรีดร้องลั่นอย่างเจ็บปวดระคนสุขสมเต็มอก ทั้งเจ็บที่โดนล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวก่อนและยังโหยหาสัมผัสจากคนรักจนความรู้สึกมันปนเปกันไปหมด “ฮ่ะ..อา… คุณหมอโกหกอ่ะ”

“มันเป็นแค่คำปลอบเฉยๆ เด็กประถมยังรู้เลย” คาเล็มขยับสะโพกออกมาแล้วกระแทกสวนเข้าไปแบบเดิมซ้ำๆอยู่อีกหลายครั้งกว่าช่องทางนั้นจะเริ่มขยับขยายรับได้พอดีกับตัวเขา “อา...ของนายนี่แน่นดีจริงๆ..”

“คุณหมอ หลุดแล้ว..” ร่างที่ถูกบังคับขยับอย่างเอาแต่ใจเอ่ย เขาไม่ได้หมายถึงลำท่อนที่หลุดหรอก แต่เป็นสติของคุณหมออัลฟ่านี่แหละที่เตลิดหลุดไปไกลแล้ว

“ก็นายน่ารัก” คาเล็มเลียริมฝีปากตัวเองและปลดกระดุมเสื้อของนางพยาบาลออกจนหมด สายตาไล่เชยชมร่างกายที่ฟิตมาอย่างดี แม้พูดไม่ได้เต็มปากว่าเนื้อแน่นมีมัดกล้ามอย่างอัลฟ่า แต่สำหรับโอเมก้าแล้ว นี่นับว่าเป็นร่างกายที่สมส่วนยอดเยี่ยมอย่างหาดูได้ยากไปเลย

“อ่ะ..อื้อ…!” ลาซารัสกัดฟันแน่นเมื่อจู่ๆคาเล็มก็ก้มลงมากัดเข้าที่คอเขา...ฝั่งที่เป็นรอยกัดของริชาร์ดเมื่อปีก่อน คาเล็มกัดย้ำลงไปใหม่ซึ่งมันต้องกัดแรงกว่าเดิมเพื่อตีตราทับ ระหว่างนั้นคุณหมอยังทำการขยับท่อนล่างฉีดยาต่อเพื่อดึงความสนใจไม่ให้คนรักเจ็บปวดมากอีกด้วย

“เท่านี้ก็เรียบร้อย” พูดจบคาเล็มก็ผละจากต้นคอแล้วลากลิ้นยาวลงมาจนถึงแผ่นอกที่กำลังกระเพื่อมไหวอย่างแรงจากการหอบหายใจ ทั้งดูดเม้มและกัดทิ้งรอยจูบสีเข้มกับรอยฟันไว้ทั่ว ยังดีว่าที่อื่นนอกจากคอก็ไม่มีรอยไหนที่ออกมาข้างนอกร่มผ้า

“คุณหมอครับ ช่วยฉีดยาเข้ามาที” วงแขนโอบรอบคอให้ใบหน้าของทั้งคู่ขยับเข้ามาใกล้ชิดกัน กลิ่นฟีโรโมนที่ต่างคนต่างได้กลิ่น กระตุ้นความกระสันอยากจากเดิมเป็นเท่าทวี อีกทั้งยังความรู้สึกโหยหาที่ต่างก็ไม่ได้สัมผัสตัวตนของกันและกันมานาน ในเวลานี้ไม่มีอะไรที่จะมาหยุดความคลั่งไคล้ที่ต่างคนต่างมีให้กันไม่เคยเสื่อมคลาย

“เด็กดี เจ็บนิดหน่อยนะ” คาเล็มปลอบโยนเสียงอ่อน เขาอยากถนอมร่างนี้ไว้แนบกาย แต่ตัวเขาก็ต้องการอีกฝ่ายจนแทบไม่ไหว อยากจะครอบครองมาตลอดตั้งแต่สูญเสียไป อยากสัมผัสทั้งใบหน้า แก้ม จมูก ริมฝีปาก ทุกส่วนของร่างนี้...ต้องการไปหมดแทบทุกอย่าง

เสียงหอบหายใจสองเสียงแทบจะดังประสานกันสลับกับเสียงครางหวานกระเส่าด้วยแรงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ

กว่าหนึ่งปีที่ได้เห็นและพูดคุยกันผ่านเพียงหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ เพียงอย่างเดียว กว่าสิบสองเดือนของการรอคอยที่ไม่รู้ว่าจะมีใครลืมความรู้สึกที่เคยให้สัญญาต่อกันเอาไว้ กว่าสามร้อยหกสิบห้าวันที่เฝ้าฝันถึงวันที่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งเป็นครอบครัว มิใช่เพียงผู้อยู่อาศัยกับเจ้าชีวิต

ต่างคนต่างต้องการ...และทั้งหมดนั้นได้ถูกเติมเต็มในตอนนี้ ณ ค่ำคืนนี้

“ผมรักคุณหมอนะครับ…”

“ฉันก็รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากนาย…”

คาเล็มโน้มลงไปจูบและสวมกอดร่างด้านใต้ไว้แนบแน่นก่อนขยับสะโพกกระแทกเข้าไปจนมิดและปลดปล่อยความต้องการของตัวเองเข้าไปในตัวอีกฝ่าย แต่ยังมีสติพอที่จะไม่เผลอดันเข้าไปข้างในจนสุด ไม่งั้นเกมรักคงได้จบลงตั้งแต่ตรงนี้

“เข็มที่หนึ่งนะครับ หันหลังมารับอีกเข็มนะเด็กดี” พูดจบคาเล็มก็ถอนความเป็นชายของตนที่ยังแข็งขันสู้งานอยู่ออกมา ลาซารัสยันตัวขึ้นนั่งและถอดชุดพยาบาลแสนเกะกะนั้นทิ้งไป แม้จะหวั่นแอบใจบ้างเพราะท่านี้เขามักจะจุกเพราะส่วนนั้นมันจะเข้าไปลึกมากจนแทบทนเจ็บไม่ไหวทุกที… แต่คราวนี้เขากลับมีความรู้สึกอยากลองขึ้นมาอีกครั้งเสียดื้อๆ

“เข็มนี้เจ็บแหงเลย..” ลาซารัสบ่นอุบแต่ก็นอนคว่ำลงกับเตียง ปล่อยคาเล็มจัดแจงยกสะโพกของเขาขึ้นให้อยู่ในท่าคุกเข่าเพื่อให้สอดใส่ได้ถนัด

“เป็นคุณพยาบาลที่รู้ดีจริงๆ” คุณหมอกดแทรกท่อนเอ็นร้อนของตนเข้าไปในช่องทางนุ่มที่มีน้ำรักสีขุ่นเปรอะอยู่ทั่ว และนั่นก็ช่วยทำตัวเป็นสารหล่อลื่นด้วยอีกแรง ทำให้รอบที่สองนี้เขาเข้าไปได้ง่ายกว่ามาก

“อึ่ก! อ๊า!! อ๊ะ.. คุณหมอ ช้ากว่านี้หน่อย!” โอเมก้าหนุ่มร้องระงมเพราะคาเล็มเล่นโถมตัวใส่อย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่ม ทำให้ร่างโปร่งปรับตัวไม่ทันที่โดนรุกล้ำเข้ามาด้วยท่วงท่านี้

“ขอโทษที..” ถึงจะเอ่ยขอโทษออกไปแต่การกระทำนั้นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งสอดใส่รุนแรงเท่าไหร่เสียงครางกระเส่าของลาซารัสยิ่งหวานรัญจวนใจยิ่งนัก แผ่นหลังชื้นเหงื่อเริ่มเต็มไปด้วยรอยจูบสีเข้มของคาเล็ม ริมฝีปากกัดและดูดเม้มทิ้งร่องรอยเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดที่หลังคอของลาซารัส

“ฮ่ะ..อ๊า คุณหมอ...ผมจะ..” ช่องทางร่วมรักเริ่มบีบตัวแน่น สะโพกของลาซารัสที่คอยขยับหนีความเจ็บปวดเมื่อครู่เริ่มตอบรับพร้อมกับขยับรับจังหวะที่เร็วและแรงขึ้น ยิ่งจุดกระสันด้านในโดนเสียดสีหนักข้อเข้า อะไรๆที่ยังคั่งค้างก็เตรียมปะทุออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

“อย่างนั้นแหละ เด็กดี…” มือข้างหนึ่งเท้าแขนอยู่ข้างศีรษะของคนข้างล่าง ส่วนอีกข้างเอื้อมลงไปหาส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายและช่วยปรนเปรอด้วยอีกต่อ เพื่อเร่งเร้าให้อีกฝ่ายถึงที่หมายเร็วขึ้น

“อ๊าา! ฮ่ะ..! อ๊ะ..?” ร่างโปร่งกระตุกเกร็งก่อนจะปลดปล่อยความต้องการทั้งหมดออกมาจนเปรอะเลอะผ้าปูที่นอน ช่องทางด้านหลังตอดรัดท่อนเอ็นขนาดใหญ่ร้อนระอุที่ยังคงกดตัวแทรกอยู่ราวกับกำลังเรียกร้องให้รุกล้ำข้างในตัวเขาอีก แต่รอบนี้คาเล็มไม่ได้เสร็จด้วย และเมื่อสติรับรู้เริ่มกลับมา เขาจึงได้ถึงรู้สึกถึงแรงกัดที่หลังคอของตัวเอง “คุณหมอ...กัดทำรอยเพิ่มอีกแล้วเหรอครับ?”

“ใช่...ครั้งหน้าถ้ามีใครมาทำอะไรอีกจะได้รู้ว่านายมีเจ้าของแล้ว” ฟันคมแกล้งงับลงบนแก้มคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว

“นี่คุณหมอยังกลัวว่าจะมีใครมาทำอะไรผมอีกเหรอครับ?”

“ก็...ไม่รู้สินะ ขนาดริชาร์ดที่ฉันเคยคิดว่าการ์ดป้องกันแข็งยังเผลอตัวได้ กับอัลฟ่าคนอื่นฉันยิ่งไม่ไว้ใจใหญ่เลย” ร่างสูงทิ้งน้ำหนักตัวลงทาบทับจนลาซารัสเผลอร้องเป็นกบโดนรถทับ “ถ้าไม่ใช่หมอนั่นล่ะก็ฉันฆ่าทิ้งไปนานแล้ว”

“ขืนทำแบบนั้นพวกคุณเจสสิก้าตามเอาคืนคุณหมอแหงๆ เลยครับ” พอคิดภาพกองทัพสาวเมดในคฤหาสน์เบอร์ตั้นยามพร้อมรบนั้นน่ากลัวขนาดไหน เขาก็นึกภาพคาเล็มหนีรอดจากพวกเธอไม่ออกเลย…

“งั้น...หนีตามกันเลยได้มั้ย”

“เอาจริงเหรอครับ! ผมไปเก็บของตอนนี้ทันมั้ย?” จมูกได้รูปของโอเมก้าหนุ่มโดนบีบเบาๆ เพราะคุณหมอแค่แกล้งพูดไปอย่างนั้น แต่ลาซารัสกลับรับมุขเป็นจริงเป็นจังจนน่าอ่อนใจ

“ยัง...แต่อีกไม่นานหรอก พอเรื่องจบแล้วฉันกะว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ช่วยอดทนรออีกนิดนะ” นิ้วที่บีบจมูกเปลี่ยนไปลูบผมสีน้ำตาลที่ยาวขึ้นเล็กน้อย แต่ผมก็ยังกระดกเป็นเป็ดน้อยเหมือนเดิม

“...ครับ ผมรอได้” ดวงตาสีฟ้ายิ้มปริ่มด้วยความสุขจนกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นไว้ไม่อยู่ คาเล็มก้มลงมาจูบซับน้ำตา ก่อนจะเลื่อนลงมากดจมูกที่ซอกคอคนรักอีกครั้ง “...คุณหมอ?”

“ยังฉีดยาไม่ครบเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ใบหน้าที่กำลังซึ้งจนถึงเมื่อกี้เลยกลับมาแดงเห่อร้อนอีกครั้ง

“คุณหมอออ ช่วยเบาๆมือหน่อยสิครับ! อ๊าา!”
   
 
 

TBC.





*****************************************************************************************

หายไปนาน ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ แอร๊... O]=[

ขอโทษที่ทำให้คอยนานนะคะ จะพยายามเคลียร์ตารางชีวิตให้ดีกว่านี้แล้วหาเวลามาปั่นต่อค่ะ Y_Y
   
 
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 16-06-2017 20:55:55
โอ้วววววว ยาเข็มหย่ายยยยยยยย  :z13:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: joyly ที่ 17-06-2017 20:42:05
คุณหมออออ :katai1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 18-06-2017 03:05:41
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ตอนนี้เพิ่งอ่านจบไป 4 ตอน

ตัวละครแต่ละตัวมีลักษณะนิสัยที่น่าสนใจมากค่ะ
ส่วนเนื้อเรื่องเองก็ปูประเด็นได้ดีเช่นกัน

ส่วนตัวคิดว่าเป็นนิยายที่ดี ไม่ซ้ำกับเรื่องอื่น น่าอ่าน น่าติดตาม นับถือคนเขียนเลยค่ะ

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางจุดที่เห็นว่าควรปรับอยู่เช่นกัน
ในฐานะคนที่ยังอ่านไม่ครบทุกตอน เราจึงขอแสดงความคิดเห็นเฉพาะเนื้อหาช่วงตอนแรกก่อนนะคะ (พอตามอ่านจนครบแล้วจะกดเม้นอีกรอบนึง)

1. การใช้คำพูดของพระเอก ถ้าคิดตามว่าเป็นชายวัย45 ทั้งยังเป็นด็อกเตอร์ด้วยแล้ว เรามีความรู้สึกว่าลักษณะและคำพูดคำจาน่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่ สุขุม เยือกเย็นกว่านี้ค่ะ โดยเฉพาะถ้าอิงตามที่โปรยเหตุการณ์หนักหนาสาหัสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตเอาไว้ตอนต้นเรื่องแล้วด้วย คิดว่าตัวตนของพระเอกน่าจะเรียบนิ่งหรือเย็นชากว่านี้

2. อาการฮีทของโอเมก้า ตามหลักแล้วจะมีช่วงเวลาของการฮีทอยู่ค่ะ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการฮีทขึ้นกระทันหันก็จริง แต่นั่นคือกรณีของการถูกกระตุ้นด้วยสภาพแวดล้อม ผลข้างเคืองจากการใช้ยา หรือการได้กลิ่นของอัลฟ่าที่เป็นFated pair ความเขินอายและอารมณ์ทางเพศไม่ได้นำไปสู่อาการฮีทนะคะ นึกภาพไม่ออกเลยค่ะว่าต้องมีความรู้สึก 'อยาก' ขนาดไหนกันนะถึงจะกระตุ้นให้ฮีทได้(...) เราไม่ได้จะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่มันมีเปอร์เซ็นต่ำมาก ใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เลยอยากให้คนเขียนแยกอาการฮีทกับการมีอารมณ์ออกจากกัน

3. ฟีรีโมนของโอเมก้าเวลาเข้าสู่ฮีทจะรุนแรงมากและยังสามารถแผ่รัศมีฟุ้งกระจายได้กว้างมากเลยทีเดียว ดังนั้นการอยู่แยกห้องจึงเป็นเพียงทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าถึงตัวกันและกันยากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ทำให้หลีกเลี่ยงการรับรู้กลิ่นได้นะคะ

นี่เป็นความขัดข้องใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรารู้สึกได้ในตอนนี้ค่ะ
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะคนอ่าน แต่ไม่ได้แปรว่าเราตั้งใจจะบังคับให้เปลี่ยนแปลงอะไรตามเรานะคะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ค่ะ
เราจะพยายามตามอ่านให้ทันนะคะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 19-06-2017 17:15:07
: ตอบคุณ ZYSQ_

ขอบคุณเรื่องบทพูดของคุณหมอนะคะ อาจจะปรับแก้หลังจากนี้ไม่ก็ตอนรีไรท์ แต่อาจจะไม่มากเพราะกลัวบุคลิกจะเปลี่ยนจากตอนแรกมากไป

แต่เรื่องอาการฮีทของโอเมก้างี้ ทางเราเข้าใจแบบนี้เองตั้งแต่ต้น แถมหลายเรื่องก็นิยาม+อาการรุนแรงไม่เหมือนกัน เลยเอาเท่าที่เข้าใจค่ะ ถ้าหากเปลี่ยนตอนนี้เกรงว่าจะขัดกับช่วงแรกเกินไป แต่ถ้าในภายภาคหน้าถ้าได้มีการเขียนเกี่ยวกับโอเมก้าเวิร์สอีกจะเอาไปปรับปรุงนะคะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.15 Up! (15/6/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 20-06-2017 21:00:46
แทบจะรอตอนต่อไปไม่ไหวแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.16 Up! (18/7/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 18-07-2017 00:50:01
บทที่ 16



สถานการณ์ฝั่งบ้านของคุณหมอคาเล็มในเวลาต่อมา

“แม่ครับ เช้านี้มีอะไรกิน...แก! เสนอหน้ามาอีกแล้วเหรอ!?” คาร์เมนตะโกนโหวกเหวกลั่นบ้านทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็เจอหน้าคนที่ชวนให้ความดันขึ้นแต่เช้า

“คาร์เมน อย่าเสียมารยาทกับแขกสิลูก” คาร่าดุลูกชายคนเล็กก่อนจะหันมาค้อมหัวเบาๆ ให้แขกร่วมโต๊ะ ซึ่งทางคนที่นั่งอีกฝั่งของโต๊ะอาหารเองก็ไม่ได้ถือสา แถมยังยิ้มน้อยๆทักทายคนเพิ่งตื่นอย่างเป็นมิตรเสียจนคาร์เมนขนลุกไปหมด

“ไม่เป็นไรครับมาดาม” เออร์แฟนส่งยิ้มชวนละลายมาให้ จนคุณแม่แทบจะหลงเสน่ห์อัยการหนุ่มเสียเอง

แม่อย่าไปหลงกลมันสิครับ! ไม่เห็นหางที่มันซ่อนไว้ข้างหลังเหรอ!?

“พี่ยังไม่กลับ” คาร์เมนตอบด้วยโทนเสียงอ่อนสุดจะอดกลั้นเพื่อไม่ให้แม่เขาต้องเอ่ยปากดุอีก โอเมก้าร่างเล็กขยับตัวเดินชิดติดผนังไปทางครัวเพื่อหาอะไรกินและพยายามไม่สบตากับอีกฝ่าย นี่ก็ชอบโผล่มาหาไม่บอกกล่าวก่อน ถ้าไม่ได้กินยาระงับดักไว้ทุกวันล่ะก็มีหวังเกิดเรื่องแน่!

“ผมไม่ได้มาหาคุณคาเล็มครับ ผมก็ทราบว่าเขายังไม่กลับมา แต่ผมมาเยี่ยมคุณแม่น่ะ เห็นลูกชายคนโตไม่อยู่เกรงว่าจะมีอะไรขาดตกบกพร่อง” ว่าแล้วก็ตักอาหารส่งให้หญิงชราด้วยท่วงท่าสง่างามกับถ้อยคำแสนสุภาพ ทำแต้มชนะใจคุณแม่เข้าไปทุกที “แล้วก็มาดูด้วยว่าคุณลำบากอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ - ลำ - บาก -อะ - ไร -  เลย” สุดท้ายก็ชงเพียงกาแฟแก้วเดียวเพราะไม่อยากจะอยู่ในครัวนานไปกว่านี้แล้ว

“คาร์เมน มากินข้าวกับแม่สิ” ประกาศิตของมารดาบังเกิดเกล้าทำเอากาแฟที่ยังไม่โดนดื่มแม้แต่หยดเดียวต้องร่ำไห้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากกินข้าวนะ แต่พอเห็นไอ้คนที่นั่งหัวโด่ปล่อยออร่าเจ้าชายจอมปลอมน่าหมั่นไส้คนนั้นแล้วมันกินอะไรไม่ลง!

“ผมยังไม่ค่อยหิวครับ” คนดื้อแพ่งตอบปฏิเสธเสียงอ่อน ก่อนยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม แต่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสความขมกลมกล่อม  เพียงแค่ได้กลิ่นแตะจมูก คาร์เมนก็แทบจะเทกาแฟที่เพิ่งชงใหม่ๆมาทิ้งไป

ทำไมกลิ่นกาแฟวันนี้มันพิลึกแบบนี้วะ? จะว่าคุณเรนเดลปล่อยให้ของหมดอายุก็ไม่น่าจะใช่…

“เหม็น…” คาร์เมนเอามือปัดกลิ่นไปมาพลางมองหาว่าต้นตอของกลิ่นมาจากไหน “คุณเรนเดลลืมทิ้งขยะเหรอ?”

“คาร์เมน กินข้าว…” น้ำเสียงของคาร่าเปลี่ยนไป เท่านั้นแหละคุณลูกชายถึงได้รีบย้ายก้นมานั่งลงข้างๆแม่ เพราะรู้ว่าแม่เริ่มหงุดหงิดแล้ว พอเออร์แฟนเห็นท่าทางเกรงใจมารดาของโซลเมทตัวเองก็พยายามกลั้นขำเต็มที่ ก่อนจะเผลอหลุดร้องเสียงหลงเพราะโดนเตะหน้าแข้ง คาร์เมนยิ้มเยาะได้แค่ครู่เดียวก็โดนแม่หยิกใบหูจนนิ่วหน้า

“เจ็บๆๆ! หูจะหลุดแล้วแม่ครับ!”

“เจ็บแล้วก็จำด้วยว่าอย่าเกเร ชอบแกล้งคนอื่นจริงๆเลยลูกคนนี้” คาร่าปล่อยมือเมื่อเห็นว่าลูกชายตัวดีร้องครางหงิง เธอตักอาหารใส่จานให้คาร์เมน แต่ลูกชายกลับเบือนหน้าออกจากจานเสียอย่างนั้น “เป็นอะไรน่ะลูก นี่ของโปรดของลูกไม่ใช่เหรอ?”

“มัน...กลิ่นแปลกๆ แม่ไม่ได้กลิ่นเลยเหรอครับ?” เขาเลื่อนจานออกห่างจากตัว

“ไม่สบายรึเปล่าลูก” เธอยกมือขึ้นแตะหน้าผากแต่ก็ไม่เห็นรู้สึกว่าลูกชายจะมีไข้ 

“ก็คิดว่าไม่ครับ” ทีแรกก็ว่าปกติดีอยู่หรอก แต่ทำไมจู่ๆก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนขึ้นมายังไงก็ไม่รู้…



“หือ? ไม่สบายเหรอ?” คาเล็มขยี้ตาช้าๆ มือควานหาแว่นที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียงมาสวมก่อนจะลุกขึ้นนั่งเรียกสติตัวเอง “ไปทำอะไรมารึเปล่า?”

“ไม่รู้สิ เมื่อคืนก็ปกติดี แถมตอนลงมาจากห้องยังปากดีใส่คุณเออร์แฟนได้ปกติสุดๆเลยด้วย แต่จู่ๆก็เวียนหัวแล้วอาเจียนไม่หยุดเลย” คาร่าพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงลูกชายคนเล็กของตน แม้จะแอบจิกไปเล็กน้อย แต่คาเล็มก็รู้ว่าแม่นั้นเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน “ดีที่คุณเออร์แฟนมาหาแต่เช้า เลยพามาส่งที่โรงพยาบาลก่อน”

“อา..” จะถามว่าเพราะเหม็นหน้าอัยการหนุ่มคนนั้นจนป่วยหรือเปล่าก็คงไม่เหมาะสินะ “งั้นเดี๋ยวผมไปหานะครับ”
เมื่อวางสาย คาเล็มกำลังจะหันไปปลุกคนข้างตัว ก็พบแต่ความว่างเปล่า.. เมื่อครู่รับสายโทรศัพท์ก็ไม่ได้สำรวจรอบๆก่อนเสียด้วย แต่เขาก็ได้คำตอบว่าลาซารัสหายไปไหนก็เมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกนั่นเอง “อ้าว.. ผมทำเสียงดังไปรึเปล่า?”

“ไม่ๆ พอดีแม่ฉันโทรมา เหมือนคาร์เมนจะไม่สบายน่ะ” คุณหมอตอบรวบรัดและลุกขึ้นไปควานเอาเสื้อผ้าที่ติดตัวมาเปลี่ยนจากในกระเป๋า “เดี๋ยวคงต้องตามไปที่โรงพยาบาล ..ขอโทษนะ พอดีกะทันหันไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ ไปดูคุณคาร์เมนเถอะ” ลาซารัสเดินมากอดอีกฝ่ายแล้วหอมแก้มคล้ายจะให้กำลังใจ “ผมเองก็กะว่าจะออกไปเรียนทำขนมกับคุณโคลวิสด้วย”

“โคลวิส? ...โอเมก้าร้านกาแฟที่นายเล่าให้ฟังบ่อยๆ?”

“ใช่ครับ”

“งั้นจะรอกินนะ” คาเล็มยิ้มตอบและเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

ลาซารัสเดินออกจากห้องไป เขาจัดแจงบอกกับเจสสิก้าว่าคาเล็มอาจจะไม่ได้อยู่ทานข้าวเช้าเพราะรีบกลับ ให้จัดรถไปส่งให้แทน ส่วนตัวเขาเองนั้นก็เดินไปห้องอาหารตามเวลาเดิมที่เคยทำมาตลอด ถึงจะยังปวดทั้งเอวทั้งสะโพกเพราะคุณหมอจัดเสียหนักก็ตาม..

“อ้าว.. นึกว่าจะแฮงค์อยู่ซะอีก”

“ทักอะไรไม่เป็นมงคลเล้ย” ริชาร์ดที่ควรจะนอนหมดสภาพบนเตียงจากการดื่มมากเกินไปนั้น กลับนั่งเท้าคางมองหนังสือพิมพ์ในมือด้วยท่าทางที่… ควรไปนอนต่ออย่างที่สุดอยู่..

“คุณหมอจะรีบไปหาคุณคาร์เมนนะครับ คงไม่ได้มาทานข้าวเช้าด้วย”

“หือ? เป็นอะไรน่ะ?”

“ไม่สบายจนเข้าโรงพยาบาล ..ถ้าไม่เป็นไรมากก็คงดี”

“เอ๋!?” ริชาร์ดเองก็ดูตกใจไม่น้อยกับข่าวที่ได้ยิน ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางสงบนิ่งข้างตัวขึ้นมา

“ถ้าจะเลื่อนนัดประชุมก็หยุดเลยครับ”

“นี่ไม่ได้สำคัญมากซะหน่อย” ริชาร์ดมุ่ยหน้าเมื่อโดนอ่านใจได้

“แต่อาทิตย์ก่อนคุณเองก็เลื่อนประชุมไปรอบนึงแล้ว เป็นถึงซีอีโออย่าทำแบบนี้บ่อยสิครับ เดี๋ยวลูกน้องก็เอาอย่างหรอก” ลาซารัสยกแขนขึ้นกอดอกแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุ ทำเอาอัลฟ่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะหงอไปเล็กน้อย “ถ้าเป็นห่วง ประชุมเสร็จค่อยไปเยี่ยมก็ได้ครับ คุณหมอคงเข้าใจ”

“กลายเป็นคุณแม่ไปแล้วจริงๆด้วย” ริชาร์ดเอนตัวหลบหมัดที่ลอยมาอย่างเชื่องช้าพลางดื่มกาแฟดำแก้เมาค้าง ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เคยโดนริชาร์ดแซวเรื่องการทำตัวเป็นคุณแม่คอยดูแลเขาและความเรียบร้อยในบ้าน สงสัยจะปล่อยไว้กับพวกสาวใช้มากไป ตอนนี้แทบจะกลายเป็นเจสสิก้าคนที่สองแล้ว

“และกันคุณเบี้ยว เดี๋ยวผมขับไปส่งที่ตึกเอง”

“โหย นี่ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นหรอกครับพ่อคุณ ขับพาคุณหมอไปส่งที่โรงพยาบาลไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ผมให้คนไปส่งแทนแล้ว อีกอย่างผมมีนัดกับคุณโคลวิสด้วย” ลาซารัสกดมีดหั่นไข่แดงอย่างแรงจนไข่เหลวๆมันพุ่งขึ้นมาเหมือนโดนมีดหมอหั่นลงไปในเนื้อคนเป็นนัยว่า ถ้าปฎิเสธเขาอาจจะมีสภาพไม่ต่างกับไข่ในจานนั้นมากนัก

“ค้าบ กลัวแล้วครับ” ริชหน้าซีดลงเล็กน้อย ช่วงเกือบปีที่ผ่านมาลาซารัสเรียนทั้งยิงปืนจนสามารถขอใบอนุญาตพกอาวุธมาได้เมื่อไม่นานมานี้ ไหนจะไปร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้เพื่อเอามาป้องกันตัวอย่าง MMA จนคล่องแคล่วซะอีก แม้ขนาดตัวจะต่างกัน แต่ริชาร์ดก็มั่นใจว่าเขาคงโดนอีกฝ่ายจับหักแขนได้ไม่ยากนักในตอนนี้.. แถมกล้ามเนื้อที่เริ่มแน่นมากขึ้นจากการออกกำลังต่อเนื่อง แม้จะไม่มาก แต่ก็มั่นใจได้ว่าคงไม่โดนใครฉุดเอาง่ายๆเหมือนเมื่อก่อนอย่างแน่นอน

“ให้เวลาสี่สิบนาที แล้วผมจะไปรอที่รถนะครับ”

“ห๊ะ!? นายไม่ให้เวลาหายแฮงค์ก่อนเลยเหรอ!?”

“หายแล้วนี่ครับ” ลาซารัสยิ้มกวนส่งให้ “ไปสายไม่ดีต่อภาพลักษณ์บริษัทนะ”

“ครับ…” สุดท้ายริชาร์ดก็ทำได้แค่ตอบรับเงียบๆ และรีบยัดอาหารเช้าแสนอร่อยตรงหน้าลงไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น…



เมื่อลาซารัสขับรถมาจอดส่งเจ้าของบริษัทเข้าตึกไปแล้วเขาก็นำรถไปจอดและเดินขึ้นตึกสำนักงานไปยังร้านกาแฟที่นัดหมายกันไว้ หลายครั้งที่เขาว่างจากการเรียนอะไรต่อมิอะไรที่ต้องการ เขาก็มานั่งเล่นกับโคลวิส ไม่ก็ขอให้สอนทำขนมให้ ซึ่งเทียบกับอย่างอื่นๆแล้ว มันดันเป็นสิ่งที่ยากแสนยากสำหรับเขาเหลือเกิน…

“มาเช้าจัง” โคลวิสผงะเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอกับคนที่นัดไว้

“เดี๋ยวผมนั่งรอตรงโน้นนะ”

“ชามิ้นท์?”

“ครับผม” ลาซารัสพยักหน้าแล้วรีบเดินไปที่มุมในสุดของร้าน ช่วงเช้าที่ผู้คนจะแห่มาซื้อกาแฟไปช่วยเปิดผนึกดวงตาที่แสนอ่อนล้ากันนั้นทำเอาหลังเคาท์เตอร์วุ่นวายไม่น้อย พนักงานก็มีแค่สองคนนี่นา.. ความจริงเขาก็อยากจะมาทำงานด้วยอยู่หรอก แต่แค่ชงกาแฟให้กินได้ยังทำแทบไม่ได้ เดี๋ยวทำชื่อเสียงของร้านป่นปี้ซะเปล่าๆ…

“ขอกาแฟดำกับมอคค่า แล้วก็แซนวิชไข่เบคอนด้วยค่ะ”

“โอ๊ะ? นั่นคุณเลขานี่นา” ลาซารัสสังเกตเห็นเลขาสุดสวยของริชาร์ดที่เข้าคิวมาสั่งกาแฟไปให้เจ้านาย ส่วนเมนูหลังคงเป็นมื้อเช้าของตัวเอง ปกติมักจะมีออร่าหว่านเสน่ห์ตลอดเวลา แต่สงสัยตอนนี้คงจะงานล้นมือจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้นกระมัง เลยทำเอาใบหน้าสวยเผยตัวตนจริงๆ โผล่ออกมาซะแล้ว…

แต่ก็.. อยากให้มาซื้อกาแฟด้วยตัวเองชะมัด คุณโคลวิสคงดีใจไม่น้อยเลย

“โทษทีนะลาซัส แต่ช่วยเอาขนมกับกาแฟนี่ใส่ถุงให้ลูกค้าหน่อยได้มั้ย?” เมื่องานในร้านล้นมือเกินกว่าที่คิด บาริสต้าหนุ่มจึงต้องไหว้วานเพื่อนให้ช่วยเป็นพนักงานชั่วคราว

“อื้อ ได้สิ” พอตกปากรับคำ อัลก็ส่งผ้ากันเปื้อนยูนิฟอร์มของร้านให้พนักงานจำเป็นแทบจะในทันที ถึงจะเก้ๆกังๆอยู่บ้างเล็กน้อย แต่สักพักพนักงานมือใหม่ก็เป็นงานเร็ว ตั้งแต่รับออร์เดอร์ เสิร์ฟ ยันคิดเงินด้วยเครื่อง จึงช่วยให้ทั้งโคลวิสและอัลให้ผ่านพ้นวิกฤตซอมบี้กาแฟตอนเช้าไปได้

อัลนั่งชาร์ตแบตด้วยลาเต้มัทฉะสเปเชี่ยลหลังเจอศึกหนักอยู่ใต้เคาท์เตอร์ จนโคลวิสต้องมาไล่ให้ไปนั่งที่อื่นเพราะเกะกะ แม้จะพ้นช่วงเวลาโด๊ปคาเฟอีนเร่งด่วน แต่คนซื้อก็ยังมากันเรื่อยๆมิได้น้อยลง

“วันนี้คนเยอะจังเลยนะครับ”

“ใกล้วันหยุดยาวแล้วก็เลยต้องเร่งปิดจ๊อบกันน่ะสิ บางคนนี่เห็นเดินมาซื้อกาแฟแต่งตัวชุดเดิมกับเมื่อสองวันก่อนเลย สงสัยจะอยู่โยงยังไม่ได้กลับบ้านกัน”

“เห…” ลาซารัสนึกถึงริชาร์ดที่ทำท่าจะไม่เข้าบริษัทเมื่อเช้านี้ อยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีเต็ม เขาเห็นรายนั้นทำงานอยู่ที่บ้านแทบจะตลอด ผิดกับสภาพเหล่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไปลิบลับจริงๆนั่นล่ะ “ว่าแต่คุณคาร์เมนจะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ?”

ร่างโปร่งกดมือถือถามไปยังคุณหมอที่ตอนนี้น่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว แต่ถึงจะขึ้นว่ามีคนอ่านทว่าก็ไม่มีสัญญาณใดๆตอบกลับมา รู้สึกเป็นห่วงคุณคาร์เมนขึ้นมาซะแล้วสิ

“งั้นวันนี้ลองทำเจ้านี่แล้วกันนะ” โคลวิสยื่นการบ้านของวันนี้ให้ลาซารัส เป็นขนมที่ยากเอาเรื่องเลย

“มาการองเลยเหรอครับ?”

“อันนี้ให้ไปฝึกทำที่บ้าน เพราะเดี๋ยวฉันก็คงต้องปิดร้านช่วงหยุดยาว พอดีมีจ๊อบกับวงในงานเทศกาลดนตรีช่วงกลางคืนน่ะ เลยว่าจะหยุดไปซ้อมช่วงกลางวันกันหน่อย”

“โคลลล! นายจะทิ้งให้ฉันเฉาตายกับช่วงหยุดยาวแบบนี้เหรอ” อัลคุกเข่ากอดขาเพื่อนบาริสต้า ไม่อายสายตาคนในร้านที่จ้องมาด้วยความขบขัน

“งั้นนายก็มาเปิดร้านเอามั้ย? น่าจะมียามหรือช่างซ่อมบำรุงแวะเข้ามาที่ตึกเกือบทุกวันอยู่หรอก”

“นึกได้ว่ามีเกมที่ซื้อมาดองไว้ ช่วงหยุดยาวว่าจะนั่งเคลียร์ให้จบน่ะ” อัลปล่อยขาเพื่อนร่วมอาชีพแล้วนั่งดูดอากาศเพราะครื่องดื่มในแก้วหมดไปตั้งนานแล้ว “ว่าแต่งานดนตรีจัดที่ไหน เมื่อไหร่น่ะ?”

“เข้าเน็ตหาเอง” บาริสต้าหัวสีจงใจตอบกวน “ไม่มีตั๋วเข้าฟรีให้หรอกนะ”

“ไหงงั้นเล่าาา”

“เคลียร์เกมไปสิ” อัลดีดดิ้นเป็นปลิงโดนน้ำร้อน ส่วนลาซารัสก็ได้แต่มองพลางยิ้มอ่อน เพราะกำลังหนักใจกับเจ้ามาการองเพราะวิธีทำไม่ได้ง่ายเท่าไหร่ แถมยังหวานเอามากๆด้วย สงสัยต้องขับรถไปซุปเปอร์ฯซื้อของมาเตรียมไว้เยอะๆซะแล้วสิ


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.16 Up! (18/7/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 18-07-2017 00:55:48
ณ โรงพยาบาล

“คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่เป็นกรดไหลย้อนเท่านั้นเอง” คำวินิจฉัยอาการของแพทย์หญิงหลังจากตรวจดูอาการของคาร์เมนที่นอนอยู่ในห้องพักฟื้น ทำเอาแต่ละคนโล่งใจไปตามๆกัน

“โล่งอกไปที นึกว่าจะเป็นอะไรมากซะอีก” คาร่าผู้เป็นแม่ที่กังวลมาตลอดทางถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

“แล้ว...คุณคนไหนชื่อคุณเออร์แฟนคะ?” คุณหมอหญิงที่ได้ตรวจดูอาการของคาร์เมนถามหาเจ้าของชื่อ “หมอขอคุยด้วยสักครู่นะคะ”

“ครับ?” ร่างสูงผมยาวอยู่คุยกับคุณหมอต่อ ส่วนคาเล็มกับแม่ขอตัวไปดูอาการของคาร์เมน “มีอะไรเหรอครับ?”

“ที่จริงแล้ว...คนไข้ได้ขอร้องหมอเอาไว้ว่าให้บอกอาการป่วยต่อหน้าญาติๆไปแบบนั้นน่ะค่ะ”

“อ่ะ…” อัยการหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบกลับมาตั้งสติถามต่อ “แล้วที่จริงเขาป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?”


เมื่อแม่และพี่ชายของโซลเมทออกมาจากห้องเยี่ยมเพื่อขอตัวลงไปซื้อกระเช้าผลไม้ เออร์แฟนก็ เดินเข้าไปในห้องพักฟื้นต่อทันที เขาเห็นโอเมก้ามากวัยทว่าร่างเล็กกว่าตนนั่งเอนหลังหลับตาอยู่บนเตียง สีหน้าดูเหนื่อยอ่อนเพราะเพิ่งจะเริ่มมีเรี่ยวแรงหลังจากได้น้ำเกลือไปประมาณหนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างสูงขยับเก้าอี้เข้ามานั่งจ้องมองเขาที่ข้างเตียง

“...คุณเป็นยังไงบ้าง?” เออร์แฟนถามด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ

“ก็ดี…” คาร์เมนเองก็เหมือนจะรับรู้ เพราะเขาไม่ได้พูดห้วนใส่หน้าอีกฝ่ายเหมือนที่เคยทำมาตลอด “ได้ยินที่หมอพูดแล้วใช่ไหม…”

“ครับ...” เรื่องอัยการหนุ่มรู้สึกใจไม่ดีนัก ถึงแม้สภาพร่างกายของคนป่วยตรงหน้าจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะดีพร้อมเหมือนคนที่มีร่างกายปกติ “เธอบอกว่าที่คุณยังอยู่มาได้จนป่านนี้ต้องบอกว่าปาฏิหารย์ คนปกติขาดอวัยวะภายในไปตั้งขนาดนี้คงอยู่ได้ไม่นาน...”

“แต่ก็ดันอยู่รอดมาจน...ป่านนี้ได้ ไม่รู้ว่าพระเจ้ามีเมตตาหรือใจร้ายดีนะ” คาร์เมนเอ่ยอย่างปลดปลงชีวิต เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มแต่ดันสำลักจนเลอะเทอะไปหมด เออร์แฟนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับให้ คาร์เมนเห็นลายปักที่ผ้าเนื้อดี ดูแค่นี้ก็พอจะรู้ว่าแล้วว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ผืนเดียวมีราคาแพงแค่ไหน

“เธอบอกแค่นั้นสินะ” คาร์เมนหมายถึงหมอหญิงที่เรียกเออร์แฟนไปคุยด้วยก่อนจะเข้ามา

“ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ คราวนี้อะไร!? ระ...หรือคุณหมอบอกคุณจะอยู่ได้อีกไม่นาน?”

“ใจเย็นๆ สิไอ้นี่! ยังไม่ตายตอนนี้โว้ย” คาร์เมนมองดูอัลฟ่าโซลเมทที่ร้อนใจผิดนิสัย ดูท่าทางคงต้องบอกตรงๆ มัวแต่อ้อมแอ้มอยู่แบบนี้ไม่ได้ จะได้นัดแนะอะไรๆต่อได้ถูก

“แล้ว...ตกลงว่า?” เออร์แฟนที่ดึงสติกลับมาเข้าที่นั่งลงฟังดีๆอีกครั้ง

“มีเด็กแล้ว…”

“........หา!?” อัยการหนุ่มถึงกับยืนขึ้นร้องลั่นห้องจนคาร์เมนต้องจับปอยผมยาวอีกฝ่ายดึงลงมาให้นั่งที่เดิม

“เบาๆสิโว้ย! เดี๋ยวก็ดังออกไปข้างนอกหรอก” คาร์เมนพยายามลดเสียงเบาเหมือนไม่อยากเอ่ยออกมานัก เพราะกลัวพี่ชายกับแม่จะเปิดประตูเข้ามาได้ยินพอดี “ฉันไม่อยากบอกพวกเค้าตอนนี้ เพราะงั้นนายก็รูดซิปปากไว้ให้ดีๆด้วย”

เออร์แฟนพยักหน้ารับช้าๆ เหมือนระบบคำสั่งเพิ่งเข้าสมอง

“หมอบอกว่าสองเดือนกว่าแล้ว ก็น่าจะเป็นตอนที่ฉันเข้าช่วงฮีทเมื่อสามเดือนที่แล้วนั่นพอดีกับที่...พลาดทำกับนายไป” คาร์เมนยกมือนวดขมับ ในชีวิตต่อให้เข้าช่วงฮีทมากี่ครั้งก็รักษาตัวให้ปลอดภัยไม่มีปล่อยให้ตั้งครรภ์มาได้ตลอดแท้ๆ แต่กลับมาท้องกับโซลเมทเสียได้

“คุณจะไม่ปรึกษาทั้งสองคนนั้นจริงๆเหรอ?” ถึงยังไงนี่ก็หลานของทั้งคู่ แถมเรื่องใหญ่แบบนี้ยังไงเสียอีกไม่กี่เดือนก็ต้องรู้อยู่ดี
“ไม่ต้อง ไม่งั้นฉันจะเรียกนายมาคุยด้วยทำไมกันล่ะ” ชีวิตดีๆของสามคนแม่ลูกกำลังไปด้วยดี จะมาพังเพราะเรื่องนี้เขาไม่ยอมเด็ดขาด

“แล้ว…จะให้ผมช่วยอะไรคุณบ้าง?”

“นายไม่ต้องช่วยหรือรับผิดชอบอะไร ฉันจะยกเด็กให้ทันทีหลังคลอดออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว”

“เดี๋ยวนะ...คุณหมายความว่าไง?”

คาร์เมนถอนหายใจหนัก “อย่ามาฉลาดน้อยตอนนี้จะได้มั้ย ฉันพูดเข้าใจยากตรงไหน”

“ไม่ๆๆ คุณอย่ามาตัดสินใจเอาเองแบบนี้ ผมไม่ได้ต้องการโอเมก้ามาเป็นแม่อุ้มบุญแค่คลอดเด็กให้เหมือนที่คนอื่นทำ ผมเคยพูดให้ฟังแล้วว่าผมอยากมีครอบครัวที่…”

“แล้วฉันมีอะไรที่ดีพร้อมเหมือนนายบ้าง ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” นิ้วมือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือคาอยู่ชี้มาที่ตนเอง “ถ้าหากฉลาดเหมือนที่ชอบคุยอวดดีให้ฟังนักหนา ก็เอาเด็กไปแล้วหาคนดีๆให้มาเป็นแม่มันแล้วก็เมียแกซะ ไม่ใช่โอเมก้าแก่กว่าเป็นสิบปีร่างกายไม่สมประกอบแบบนี้ เออ...แต่บางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้คลอดออกมาลืมตาดูโลกก็ได้…”

เออร์แฟนไม่คิดจะพูดปลอบด้วยถ้อยคำแสนคุ้นหูเหมือนเช่นที่หลายๆคนชินชา.. ทุกอย่างจะดีขึ้น หรือ สู้ๆนะ.. ตอนนี้ในหัวเขามีแต่หนทางเป็นไปได้ที่จะช่วยโซลเมทของตัวเองให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นแม้สักนิดก็ยังดี ซึ่งอะไรๆในหัวก็แสดงออกทางสีหน้ามาหมดทุกอย่างจนคาร์เมนแทบไม่ต้องเดา

“ฉันบอกให้ตัดใจ ไม่ใช่หาทางออก”

“ถ้ายอมแพ้ง่ายๆก็ไม่ใช่ผมแล้ว” เออร์แฟนยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจจนน่าประเคนหมัดให้สักสองสามชุดเผื่อว่าหน้าคมคายเหมือนรูปปั้นแกะสลักนั้นจะดูเป็นคนมากขึ้น “ผมบอกคุณไปตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนแล้วนี่”

“...นายมันเป็นไอ้บ้าเหมือนที่พี่พูดไว้เลย..” คาร์เมนส่ายหน้าแล้วหันไปทางอื่น เป็นเพราะว่าไม่อยากจะต่อปากต่อคำอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ “ต้องหาข้ออ้างที่จะไม่ให้พวกเค้ารู้ แม่กับพี่ต้องจับไต๋ได้แน่ถ้าฉันยังอยู่ที่บ้านกับพวกเค้า”

“คุณคิดจะทำอะไร?”

“ฉันจะไปอยู่ที่อื่นสักพัก หนีไปคลอดเด็กก่อนแล้วค่อยกลับมาบ้าน” คาร์เมนกำลังนั่งนึกถึงเพื่อนเก่าที่ตนจะสามารถไปขออาศัยอยู่ชั่วคราวได้

“มาอยู่กับผม”

“ว่าไงนะ?”
“คุณไม่ต้องไปแอบคลอดที่ไหนหรอก มาอยู่กับผมนี่แหละ”

“พูดจาไม่รู้เรื่องรึไง ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้พวกพี่เค้ารู้”

“ผมมีวิธีดีๆ แต่ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องย้ายมาอยู่กับผม ถ้าปฏิเสธผมจะบอกเรื่องนี้กับคาเล็ม”

“ไอ้…” คาร์เมนโกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง ไม่น่าไปหวังขอความร่วมมือจากอัยการบ้านี่เลยจริงๆ “...อย่าบอกนะว่าไอ้วิธีการดีๆที่ว่าคือแต่งเข้าบ้านนายน่ะ!?”

“...ก็มีส่วนตรงสเป็คผมอยู่นะ” เออร์แฟนยิ้มกว้างให้อย่างพึงพอใจแทนที่จะตกตะลึงที่โดนอ่านทางเสียขาด แต่นั่นกลับยิ่งทำให้คาร์เมนกุมขมับตัวเองหนักกว่าเดิม “ผมไม่ดีตรงไหนล่ะ?”

“ทุกอย่างเลย!” คาร์เมนแผดเสียงใส่ นั่นทำเอาเขาสำลักน้ำลายแทบขาดใจอยู่ครู่ใหญ่ “ช่วยสนใจฟังกันหน่อยได้มั้ย ไอ้นิทานหลอกเด็กนั่นมันก็แค่เรื่องเล่า! นายไม่เข้าใจเหรอ!? ใครมันจะบ้าไปรู้สึกชอบคนที่เพิ่งเจอหน้ากันตั้งแต่แรกเจอได้กัน!!?”

“หรือคุณจะปฎิเสธว่าไม่รู้สึกอะไรกับผมเลย?”

“เออ!” คาร์เมนรีบตอบโดยไร้ความลังเล แม้ในใจลึกๆเขาจะยังคงกังขาความรู้สึกแปลกประหลาดที่ควบคุมไม่ได้นี้อยู่ หัวใจเต้นผิดจังหวะแทบทุกครั้งที่เจอหน้า หรือจะกลิ่นฟีโรโมนที่หอมเย้ายวนกว่าทุกๆคนที่เคยเจอมา แต่..เขาก็มีสติพอจะตั้งคำถามและหาคำตอบ หากไม่มีเหตุผลที่ตัวเองยอมรับได้ เรื่องของ โซลเมท ก็เป็นอะไรที่เขาไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก “ฉันไม่เคยเชื่อว่า โซลเมท มันจะมีจริงหรอกนะ”

“เหรอ ดีจังนะ ผมก็ไม่เชื่อเรื่องแบบนั้นเหมือนกัน” ร่างสูงสง่ายักไหล่ “แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ขอปฎิเสธ ว่ารู้สึกพิเศษกับคุณ… แน่นอนว่ามันออกจะไร้เหตุผลไปหน่อย ผมก็รู้”

“........ปกติแกอ่านนิยายน้ำเน่ากับเค้ามั้ย?”

“มีบ้าง บทประพันธ์ทุกรูปแบบมีความงามของมัน อยู่ที่จะมองหารึเปล่าเท่านั้น” เออร์แฟนส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายเคยเห็นมาก่อนหน้านี้..ก็เมื่อตอนที่พลาดไปครั้งนั้นนั่นแหละ..

คาร์เมนหรี่ตามองคนข้างเตียง ตั้งแต่วันที่หมอนี่โผล่หน้ามาบอกโต้งๆว่าจะขอจีบต่อหน้าต่อตาทั้งพี่ชายและคุณแม่ในบ้านพักอาศัยก็แทบทำเอาเขาอยากมุดดินหนีจะตาย ไม่นึกว่าเด็กน้อยข้างๆจะจริงจังถึงขั้นกัดไม่ปล่อย ทั้งปฎิเสธเสียงแข็ง ออกปากไล่ กระทั่งหลบหน้าก็แล้ว...คนบ้าคนนี้ก็ตื๊อไม่เลิกราสักที “ทำได้งั้นก็ลองเกลี้ยกล่อมฉันดูสิ ก่อนที่ฉันจะหนีออกจากบ้านน่ะ”

เมื่อพูดไปแบบนั้น จู่ๆสองมือหนาของอัลฟ่าก็คว้ามือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือไปกุมไว้ ทำเอาคาร์เมนถอนหายใจออกมาอีกรอบ แต่เมื่อจะหันมาห้ามปรามอะไรก็เจอเข้ากับใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามาใกล้กว่าปกติเล็กน้อย ดวงตาสีทองเช่นเดียวกับผมสลวยจ้องมองมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาคนโดนมองคล้ายต้องมนตร์สะกดจนไม่อาจละสายตาได้

“ผม...อา คุณไม่ชอบให้พูดแบบนี้นี่นา” เออร์แฟนหลบตาไปเล็กน้อยก่อนหันกลับมามองหน้าอีกฝ่ายอีกรอบ “ถ้าไม่อยากจะอยู่กับผม ยังไงก็ช่วยสู้ต่อเพื่อแม่คุณกับคาเล็มก็ยังดีครับ ตราบใดที่คุณยังอยู่ ผมก็ยังไม่ยอมแพ้เหมือนกัน”

“...ไอ้เด็กขี้โกง” เจอคำพูดออดอ้อนตรงไปตรงมาแบบนี้ทีไรเขาออกปากไล่อีกฝ่ายไปไม่ได้เสียทุกที แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่แต่คาร์เมนก็ไม่สามารถปฎิเสธจุมพิตที่โน้มลงมาหาได้เลย…

ทั้งที่ปกติจะเกลียดกลิ่นโคโลญจน์ชวนเวียนหัวของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้มันกลับหอมหวนชวนเคลิ้มฝันจนยากจะถอนตัว

“...พอได้แล้ว” กว่าคนถูกรุกจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากแม่ที่ส่งไลน์มาหา ทว่าเออร์แฟนก็ยังไม่ผละตัวออกง่ายๆ

“ผมไม่ได้สัมผัสคุณมาตั้งนาน ขออีกนิดนึงนะ…” ไม่รอให้โอเมก้าโซลเมทตอบรับหรือปฏิเสธ ริมฝีปากหยักก็ประกบแนบลงมาอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ กว่าจะยอมถอยก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิดเข้ามา

“หิวมั้ยลูก แม่ซื้อของกิน...อ้าว? ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะจ๊ะ มีไข้เหรอ?” หญิงสูงวัยวางของในมือก่อนจะปรี่เข้าไปดูอาการ คาร์เมนรีบยกมือปัดบอกไปว่าแอร์มัยเสียก็เลยร้อน “เอ...แต่แม่ก็ว่าเย็นอยู่นะ”

คาเล็มแอบเดินไปสะกิดหลังของอัยการหนุ่มที่ยืนเก็บสีหน้าเกือบจะไม่มิดพลางกระซิบถาม

“ฉันได้กลิ่นฟีโรโมนของคาร์เมน นายทำอะไรเขารึเปล่า?”

“ก็...นิดหน่อย” เออร์แฟนตอบก่อนจะยิ้มกว้าง คุณหมอแอบขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองน้องชายของเขาที่กำลังออดอ้อนแม่

...ไม่น่าจะหน่อยหรอกมั้ง

“เดี๋ยวหลังจากนี้ขอคุยเรื่องคาร์เมนหน่อย”

“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ?”

“เดี๋ยวก็รู้น่าคุณพี่”

“ตะกี้ว่าไงนะ?” คาเล็มหันขวับเพราะคิดว่าหูแว่วไปเอง แต่อัลฟ่าอายุน้อยกว่ากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  นับวันเออร์แฟนชักจะคล้ายริชาร์ดเข้าไปทุกทีแล้ว

“คือจะบอกว่า.. ให้คาร์เมนไปอยู่กับฉันก่อนก็ได้นะ” เออร์แฟนคุยกับคาเล็มเสียงเบาไม่ห่างจากเตียงมากนัก

“หา? ทำไม??” คาเล็มเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นกอดอก “เทียวไปเทียวกลับบ้านฉันแทบทุกวันอยู่แล้วจะหอบคาร์เมนไปอยู่ด้วยเพื่อ?”

“ก็จากคอนโดฉันมาถึงโรงพยาบาลมันใกล้กว่าแถมสะดวกกว่าด้วย ไม่รู้ว่าจะออกอาการอีกเมื่อไหร่ แถมตอนนี้นายก็ยุ่งสุดๆอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“นายก็ยุ่งไม่ต่างจากฉันนี่.. อีกอย่างเรื่องนี้ไม่น่าจะคุยกันสองคนได้ ขอถามแม่กับคาร์เมนก่อนละกัน”

กลายเป็นว่าทั้งหมดในห้องนั้นกำลังตกลงกันเรื่องที่พักใหม่ของคาร์เมนที่เออร์แฟนเสนอให้ โดยคอนโดดังกล่าวอยู่ในย่านที่พักอาศัยกลางเมืองที่ไม่ได้ไกลจากโรงพยาบาลนี้มากนัก เรื่องความปลอดภัยนั้น เออร์แฟนก็มีลูกน้องบอร์ดี้การ์ดอยู่เป็นโหลๆ หากต้องการ.. ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไรต้องห่วงมากเท่าไหร่ จะเหลือก็แต่…

“แต่ว่า...พวกเธอเนี่ยเป็นโซลเมทกันใช่มั้ยจ๊ะ? แบบนี้มันไม่…” คาร่ามองทั้งสองคนสลับกันด้วยสายตาที่ดูก็รู้ว่าห่วงเรื่องอะไรอยู่ “สรุปว่าลูกโอเคกับพ่อหนุ่มคนนี้แล้วเหรอ?”

“ไม่ครับ” คาร์เมนตอบคำถามด้วยคำตอบเดิมเหมือนที่เขาบอกกับผู้เป็นแม่มาตลอดตั้งแต่แม่รู้ว่าอัลฟ่าอัยการคนนี้เป็นโซลเมทกับลูกตัวเอง “เดี๋ยวผมหาทางออกให้ปัญหาผมเองก่อน ผมถึงจะบอกเรื่องอื่นๆ กับแม่นะครับ”

“อืม.. แม่เข้าใจจ้ะ การท้องเนี่ยมันก็เรื่องใหญ่จริงๆนั่นแหละนะ”

“ขอบคุณ.... อะไรนะครับ!?” คนป่วยจ้องหน้ามารดาหน้าซีด “แม่ครับ ผมไม่ได้ท้องนะแม่”

“คาร์เมน แม่น่ะมีลูกมาตั้งสองคนแล้วนะ อาการแบบนี้ปิดแม่ไม่ได้หรอกจ้ะ” คาร่ายิ้มอ่อนให้ลูกชายโอเมก้าของเธอ “สามเดือนก่อนลูกก็เข้าช่วงฮีทด้วย แม่ว่ายังไงก็คงไม่ผิดหรอกจ้ะ.. แค่แม่ตกใจนิดหน่อยตรงที่แม่ไม่รู้ว่าลูกสองคนแอบไปกุ๊กกิ๊กกันตอนไหน”

ขณะที่คาเล็มมองแม่กับน้องชายอยู่นั้น ดวงตาหลังกรอบแว่นก็ชำเลืองไปหาอัยการอัลฟ่าที่กำลังแกล้งโทรศัพท์หาลูกน้อง

“มีอะไรจะสารภาพมั้ย?” ต่อให้คุมโทนเสียงเดิม แต่เออร์แฟนก็รู้เลยว่าที่อากาศมันหนาวขึ้น สาเหตุไม่ใช่มาจากแอร์แน่นอน นั่นเพราะเขากำลังเหงื่อตกอยู่นี่ไง

“...จำเลยยอมรับผิดเต็มประตูแล้วครับ” แม้ปากจะพูดเหมือนสำนึก แต่สีหน้ากลับชื่นมื่นจนศาลอยากเพิ่มโทษมากกว่าลดโทษให้ซะอีก เห็นแบบนั้นคาเล็มเลยทำได้แค่ถอนหายใจเพราะไม่อยากก่อเรื่องอะไรในโรงพยาบาล บวกกับคุณแม่เองก็ดูจะถูกใจพ่ออัยการคนนี้อยู่ไม่น้อย..

“สรุปว่ายอมเค้าแล้วจริงๆ ใช่มั้ยลูก” คาร่าก้มลงกระซิบกับลูกชายโอเมก้าด้วยหน้าตาดีอกดีใจจนออกนอกหน้า ก็แหงล่ะ...อัลฟ่ามาดเจ้าชายในนิทานสาวน้อยแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ แม้จะเป็นแค่ฉากหน้าเพื่อเอาใจผู้เป็นแม่ก็ตาม..

“ไม่ครับ!”

“โถๆ ปากแข็งจริงๆเลยลูกคนนี้”

พูดอย่างนี้ก็จับใส่พานมัดถวายเลยก็ได้ครับแม่!!


“ขอบคุณที่ช่วยนะลาซัส” โคลวิสเดินมาตบบ่าพนักงานจำเป็นที่เพิ่งจะถูพื้นจนเสร็จเรียบร้อย วันนี้ปิดตั้งแต่บ่ายเนื่องจากหลังจากพรุ่งนี้ไปก็เป็นวันหยุดยาวแล้ว ทางออฟฟิศเองก็คงจะเงียบเหงาลงไปพอสมควร โคลวิสและอัลจึงเล็งเห็นว่า รีบชิ่งก่อนจะเสียค่าไฟฟรีจะดีกว่า

“ไม่เป็นไรครับ คิดซะว่าตอบแทนที่ช่วยสอนทำอาหารละกัน..อ่ะ ขอบคุณ” ลาซารัสวางไม้ถูพื้นลงก่อนจะรับแก้วน้ำเปล่าจากอัลมาดื่มจนหมดในคราเดียว

“ไปไหนกันต่อน่ะ?” อัลถามพลางรับแก้วน้ำเปล่าคืนมาและยกขวดขึ้นใส่หน้าลาซารัสเป็นการถามว่าอยากได้อีกสักแก้วไหม แต่เขาก็ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ

“ไปซื้อของมาตุนน่ะสิ นี่สต็อกก็จะเกลี้ยงแล้ว” โคลวิสพูดพลางเปิดตู้รื้อดูทุกตู้เพื่อสำรวจว่าต้องซื้ออะไรเพิ่มบ้าง และเดินวนเวียนเข้าออกทั้งหน้าร้านหลังร้านอย่างต้องการเช็คให้ชัวร์ “แล้วก็จะซื้อของไปทำอาหารกินเย็นนี้กันด้วย”

“หา!? พวกนายจะไปกินข้าวเย็นกันไม่ชวนฉันเหรอ!?” อัลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก็อาหารฝีมือโคลวิสน่ะอร่อยสุดๆไปเลยนี่นา “ข..ขอฉันไปด้วยนะ”

“ที่ไม่ได้ชวนนายเพราะกะจะให้ลาซัสทำอาหารต่างหาก”

“....อ่ะ..อ้อ….งั้น...ไม่เป็นไรน่า! คิดซะว่ามีคนชิมไง!”

“นี่อยากไปกินฟรีสินะครับ” ลาซารัสพูดเสียงเบา

“...ฉันก็แค่เหงาเท่านั้นเอง พวกนายอย่าทิ้งฉันเซ่” อัลลงไปนั่งกอดขาเพื่อนรักที่เดินมาทางนี้พอดิบพอดี น้ำเสียงออดอ้อนกับท่าทางน่าสงสารนั่นทำให้โคลวิสตัดสินใจอนุญาตให้เพื่อนเบต้าตามไปกินอาหารรสชาติแรนด้อมฝีมือลาซารัสได้

 “งั้นแวะซุปเปอร์ตรงหัวมุมเมืองก่อนก็ได้...หือ?” ระหว่างทั้งสามคนกำลังเดินไปยังชั้นจอดรถใต้ดิน พวกเขาก็พบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งที่เหมือนจะมองซ้ายมองขวาอย่างลนลานอยู่ที่ทางเดิน ลาซารัสจึงเอ่ยทักขึ้นมาก่อน “ขอโทษครับ มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?”

“อ่ะ...เอ่อ… ผมจำทางไปลานจอดรถไม่ได้น่ะครับ ตึกสำนักงานนี่ก็ใหญ่ชะมัดเลย” ชายคนนั้นยิ้มแห้งส่งให้ เหมือนจะอายนิดๆที่ดันลืมทางกลับเสียได้

“พวกเราเองก็กำลังเดินไปลานจอดรถพอดี เดินตามพวกเราไปก็ได้ครับ” โคลวิสส่งยิ้มให้ แอบจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่มาติดต่อเรื่องซื้อขายอยู่สองสามครั้งในร้านกาแฟ แต่เท่าที่แอบฟังได้คือไม่ลงตัวกันเรื่องของแผนงาน แต่ก็ไม่ได้รู้ละเอียดนัก ที่เขาจำได้ก็เพราะคนๆนี้มักจะใส่เสื้อโค้ทตัวหนาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูไม่เข้ากับบุคลิกทุกครั้งที่เจอนั่นเอง

“ด..ได้เหรอครับ? ขอบคุณมากๆเลยครับ!” อีกฝ่ายค้อมหัวให้อย่างสุภาพและเดินตามพวกเขาไปโดยเว้นระยะห่างสักเล็กน้อย
ทั้งสามคนเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เท้าพากันเดินมาถึงลิฟต์ที่จะลงไปยังลานจอดรถภายในตึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพวกเขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีอีกคนตามมาด้วย ลาซารัสกดลิฟต์ไปยังชั้นที่เขาเอารถไปจอดไว้ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ขึ้นมาด้วยอาจจะไม่ได้จอดชั้นเดียวกัน

“อ่ะ จอดรถไว้ที่ชั้นไหนเหรอ...ครับ?”

แต่ภาพที่เห็นเมื่อเขาหันไปมองคือ ชายวัยกลางคนที่ยืนประชิดอยู่กับตัวโคลวิส ในมือถือปืนสีดำขนาดเล็กที่โดนซ่อนไว้จากกล้องวงจรปิดด้วยแขนเสื้อโค้ทที่ใหญ่เทอะทะนั่นพอดิบพอดีนั้น กำลังเล็งจ่อไว้ที่เอวของโอเมก้าหัวสีจนปากกระบอกนั้นกดติดลำตัวไม่เว้นระยะใดๆ

“ชั้นแอลสอง” ชายแปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามปกติ หากแต่สีหน้านั้นออกอาการประหม่าได้ชัดเจน แม้จะรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่มีประสบการณ์ในการก่อเรื่องแบบนี้ แต่ลาซารัสก็ไม่อยากเสี่ยงพลาดพลั้งอะไร.. ช่างเลือกคนได้ถูกจริงๆ เพราะถ้าหากมาจี้เขาแทนคงยังพอจะยื้อแย่งปืนนั่นมาได้ อัลเองก็ตัวแข็งทื่อไม่แพ้กัน เขามองหน้าโคลวิสสลับกับลาซารัสไปมาเพราะทำอะไรไม่ถูก

ลาซารัสกัดฟันแล้วกดชั้นตามที่อีกฝ่ายบอก อย่างน้อยๆถ้าลงไปในพื้นที่โล่งอาจจะพอทำอะไรได้บ้าง สายตาเพ่งมองว่ามันคือปืนรุ่นอะไร แต่เมื่อเห็นได้ชัดเจนลาซารัสก็แอบสบถในใจเพราะดันเป็นปืนที่เหมาะเจาะ น้ำหนักเบา แถมแม่นยำในการยิงระยะประชิดเสียอีก สงสัยจะไม่ใช่โจรกระจอกซะแล้วสิ...

ระหว่างที่กำลังคิดหาทางออก ลิฟต์ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้ดีเกินกว่าตึกใดๆในเมืองก็มาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว เมื่อประตูหนาเปิดออก พวกเขาก็พบกับชายในชุดสูทสีเทาเข้มอีกสองคนที่ใส่แว่นตาปกปิดดวงตายืนรออยู่อีกสองสามคนโดยที่โดยรอบไม่มียามอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ปกติจะมีอยู่ชั้นละสองสามคนสิ!

“เดินไป นิ่งๆล่ะ ถ้าโหวกเหวกล่ะก็ไม่รับประกันความปลอดภัยนะ” ชายแปลกหน้าที่ติดมาด้วยเอ่ย ทั้งสามคนจึงต้องยอมเดินออกไปแต่โดยดี ไม่งั้นก็เดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ต้องการอะไรเหรอครับ พวกเราไม่มีเงินให้หรอกนะ” ลาซารัสเริ่มต่อรอง อย่างน้อยๆขอรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรก็ยังพอจะหาทางรอดได้

“ไม่ได้ต้องการเงินหรืออะไรหรอก แค่ตามไปดีๆ สัญญาว่าจะไม่ทำอันตราย” ชายร่างใหญ่อีกสองคนเดินตามมาประกบพวกเขา ทั้งหมดถูกบีบให้เดินไปทางลานจอดรถที่แสงค่อนข้างน้อย และไปหยุดข้างรถตู้สีดำคันใหญ่คันหนึ่ง เมื่อไปถึง ประตูรถตู้ก็เปิดออกพอดี “ขึ้นไปสิ ค่อยๆขึ้นล่ะ อย่าตื่นตูม”

“ไหนว่าโอเมก้าตาสีฟ้านี่คนเดียวไง” ชายในชุดสูทอีกคนบนรถท้วง

“ก็เห็นพวกมันมาด้วยกัน เลยช่วยไม่ได้ ต้องเอามาหมด”

ลาซารัสกัดฟันกรอด นี่เขาพาทั้งสองคนมาซวยหรือนี่!?

ทั้งสามถูกพาขึ้นรถและจับปิดตาไม่ให้มองเห็นแถมยังมัดมือไม่ให้ขัดขืน รถตู้สีดำค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากอาคารจอดรถอย่างไม่รีบร้อน

“เฮ้ ปลดล็อคนาฬิกาของเป้าหมายด้วย เผื่อมี GPS ติดตามตัวขึ้นมาล่ะยุ่งเลย” คนที่นั่งข้างคนขับสั่งไปยังพวกที่คุมตัวทั้งสามด้านหลังรถ ลาซารัสถูกดึงข้อมือที่โดนพันธนาการไว้

“บอกรหัสมา” น้ำเสียงข่มขู่และแรงบีบข้อมือนั้นไม่ปรานีแม้ว่าจะเป็นเป้าหมายที่ถูกพาตัวมาก็ตาม

“ผมไม่รู้รหัส…” ถึงจะเคยเห็นคุณหมอคาเล็มปลดล็อคมาแล้วหนหนึ่ง แต่ตอนนั้นมันตั้งตัวไม่ทันก็เลยจำอะไรไม่ค่อยได้

“ช่วยไม่ได้ งั้นออกจากตึกไปแล้วก็รีบชิ่งให้ไวเลย” คนสั่งการสบถอย่างไม่สบอารมณ์นักพลางยกมือถือขึ้นโทรหาคนจ้างวาน แต่สามคนที่ถูกลักพาตัวก็แอบใจชื้นขึ้นมาว่าอาจยังพอมีความหวังที่จะมีคนตามมาช่วย ทว่า...กว่าจะถึงตอนนั้น พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง



หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.16 Up! (18/7/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 18-07-2017 01:04:09
“ลาซัสยังไม่กลับ?”

“ใช่ ฉันเลยโทรมาถามเนี่ยว่าเขาได้ไปเยี่ยมคาร์เมนที่โรงพยาบาลรึเปล่า?”ริชาร์ดติดต่อมายังเพื่อนสนิทหลังจากที่กลับบ้านมาแล้วพวกสาวๆ รายงานว่าโอเมก้าหนุ่มยังไม่กลับมาเลยตั้งแต่ออกไป

“ไม่ได้มานะ นี่ก็เพิ่งจะกลับจากพาคาร์เมนไปส่งที่คอนโดเออร์แฟนชั่วคราวเพราะยังต้องเข้าออกโรงพยาบาลอีกหลายครั้งได้ไม่นานเอง”

แม้ในใจของริชาร์ดจะงุนงงและเต็มไปด้วยคำถามว่าไปทำอีท่าไหน สองคนนั้นถึงได้ย้ายไปอยู่ด้วยกันยังกับคู่แต่งงานใหม่ แต่ตอนนี้เรื่องของลาซารัสต้องมาก่อน “ปกติก็ไม่เคยเถลไถลไปไหนมาไหนโดยไม่บอกกล่าวนี่นา น่าเป็นห่วงแล้วสิ แถมยังปิดเครื่องอีกต่างหาก ติดต่อไม่ได้เลยเนี่ย”

“เมื่อเช้าบอกว่าจะไปทำขนมกับคนที่ชื่อโคลวิสนี่”

“เออ...จะว่าไปวันนี้ร้านกาแฟก็ปิดเร็วตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วด้วย งั้นก็น่าจะแยกกันตั้งนานแล้วนี่นา” ซีอีโอเบอร์ตั้นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาก็น่าจะราวๆสองสามชั่วโมงได้แล้ว”

คาเล็มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ไดีอย่างไรก็ไม่รู้ คุณหมออัลฟ่าเปิดกระเป๋าหยิบแท็บเล็ตของตัวเองขึ้นมาและรีบเปิดแอพของนาฬิกาที่ให้ลาซารัสสวมไว้ตลอดเวลา “เดี๋ยวฉันจะลองเช็คดูก่อนว่าตอนนี้ลาซัสอยู่ที่ไหนแล้ว”

นิ้วมือรีบกดเข้าไปดูอย่างเร่งร้อน เมื่อจุดสีแดงปรากฏขึ้นบนหน้าจอสี่เหลี่ยม คาเล็มก็รีบโทรศัพท์พร้อมกับส่งต่อข้อมูลไปให้เออร์แฟนที่คอนโดรีบตรวจสอบว่าตอนนี้ลาซารัสไปอยู่ที่ไหน

“ทำอะไรของมันอยู่เนี่ย รีบๆรับเร็วๆสิวะเออร์แฟน!”



คาร์เมนที่ย้ายเข้ามาในคอนโคของเออร์แฟนอย่างกะทันหันกำลังสอดส่ายสายตามองไปทั่วห้องที่ถูกเก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“สะอาดดีใช้ได้นี่” คำชมนั้นทำเอาเจ้าของห้องแอบยืดในใจ ไม่เสียแรงที่สั่งแม่บ้านให้มาทำความสะอาดด่วนไว้ล่วงหน้า “ไหนดูซิ... ซ่อนอะไรน่าอายไว้บ้างรึเปล่า”

คนเค้าเพิ่งเก็บจนเรียบไปเองนะ...

"โฮ่...ชอบแบบนี้นี่เองสินะ" รวดเร็วจนเจ้าของห้องยังอึ้งว่าทำไมหาเจอง่ายขนาดนี้ เมื่อคาร์เมนเจอของเล่นที่เออร์แฟนซุกไว้ก็หยิบขึ้นมาไล่ดู แต่ละอันนี่เข้าข่ายโรคจิตใช้ได้

"แหม่...มันก็..." เออร์แฟนแอบเกาแก้มแก้เขินและหันไปมองทางอื่น

"ทิ้งซะเลยดีมั้ย" ว่าแล้วก็เดินมองหาถังขยะ เอาเท้าเหยียบที่แท่นทำท่าจะทิ้ง ซึ่ง...อัยการหนุ่มรีบเดินกึ่งวิ่งไปคว้ามาไว้ในมือแล้วกอดไว้แน่นราวกับเด็กหวงของ ท่าทีแบบนั้นทำเอาโอเมก้าร่างเล็กทำหน้าดูแคลน "เล่นเป็นรึไงไอ้หนู?"

“เปลี่ยนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว" อัลฟ่าอ่อนวัยกว่ายิ้ม มันใช่เรื่องที่น่าภูมิใจมั้ย

"โรคจิตใช่เล่นนี่หว่า" คาร์เมนหัวเราะเบาๆ แล้วรื้อนู่นนี่ต่อจนห้องกลับมาเละเทะอีกรอบ

"นี่...หยุดรื้อสักทีได้มั้ย ก่อนที่ฉันจะจับนายเล่นของเล่นพวกนี้จนหนำใจ..." แม้จะขู่ไปแบบนั้น แต่อีกคนก็ยังรื้อต่อทำเป็นหูทวนลม แถมหาเจออีกแล้ว นี่มีเรดาห์ตรวจจับของลามกรึไง

"ว้าว...ยังมีซุกไว้ที่โต๊ะนี้อีกแฮะ"

"...คาร์เมน" เจ้าของห้องเรียกด้วยน้ำเสียงดุ แล้วเดินมาจับข้อมือทั้งสองข้างจากด้านหลัง "ผมรู้นะว่าคุณกำลังท้าทายผมน่ะ"
"คิดมากไปมั้ยไอ้หนู ฉันแค่ช่วยทิ้งของไม่จำเป็นออกไปจากห้องให้นายต่างหาก" คาร์เมนพยายามสลัดมือออก แต่อีกฝ่ายเพิ่มแรงบีบไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

"ทำไมล่ะ ไม่ชอบของเล่นพวกนี้เหรอ?" เออร์แฟนเอาคางมาเกยบ่าอีกฝ่ายไว้แล้วเริ่มหายใจเอาลมร้อนใส่ต้นคอของคาร์เมน
"แล้วจำเป็นต้องชอบอะไรเหมือนนายด้วยรึไง?" คาร์เมนรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มตอบสนองต่ออีกฝ่ายขึ้นมาอีกแล้ว อะไรๆมันก็ปลุกขึ้นมาได้ง่ายดายเหลือเกินเมื่อเป็นสัมผัสจากโซลเมทคนนี้

"ไม่ใช่อย่างนั้น.. แต่.." ใบหน้าคมคายซุกหน้าลงไปบนต้นคอแล้วเริ่มจูบดูดเม้มอย่างแรง พอคาร์เมนจะก้มหนีก็ปล่อยมือตัวเองมาจับใบหน้าให้เงยขึ้น "ผมอยากเห็นคุณตอนโดนใช้ของเล่นพวกนี้แล้วสิ"

เพิ่งย้ายเข้ามายังไม่ทันข้ามวันก็จะเอาเลยเรอะ...แต่ดูจากปริมาณของเล่นในห้องแล้ว สงสัยว่าจะไม่ได้ทำกับใครเลยมาสักพักใหญ่แล้วล่ะ

"...ลองมาแลกกันสิ" เหมือนจะไม่คิดปฏิเสธคำขอเอาแต่ใจของอีกฝ่าย "ถ้านายยอมใส่แพมเพิร์ส ฉันจะเล่นด้วยก็ได้"

"....เรื่องสิ" เออร์แฟนไม่สนใจข้อแลกเปลี่ยน แล้วล้วงมือเข้าไปในกางเกงอีกฝ่ายแม้คาร์เมนจะต่อต้านแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้อยู่ดีเพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา มือของอีกคนเริ่มลงมือลูบไล้แก่นกลางที่เริ่มตื่นตัว "แค่นี้ก็แข็งซะแล้วเหรอ ช่วงนี้ความรู้สึกไวจังนะ.. งั้นผมไม่เล่นของเล่นก็ได้ แต่คุณจะโดนผมกินตอนนี้นี่แหละ"

“ไอ้หื่นนี่!”

ไม่พูดเปล่า คนตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมาหมายตั้งใจจะจูบ แต่คาร์เมนเบี่ยงหลบ “คุณเนี่ย ถ้าดูไปทีละส่วนก็สวยดีนะ..” เออร์แฟนไล่สายตามองตาสีเขียวอ่อนสลับกับมองริมฝีปากปากหยักได้รูปที่มักจะพล่ามแต่คำพูดเสียดหูคนฟัง ซึ่งก็คงมีแต่เขาคนเดียวนี่แหละมั้งที่โดนบ่อยกว่าใครเพื่อน

"ดูตรงนี้สิ ยังงดงามไร้ตำหนิอยู่เลย" ดวงตาสีทองจ้องมองต้นคอที่ยังไร้รอยกัด กว่าคาร์เมนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฟันขาวคมก็กัดที่ต้นคอเข้าอย่างจัง คนตัวเล็กกว่าที่เรี่ยวแรงเคยมีเหลือเฟือพลันอ่อนยวบขึ้นมาเสียดื้อๆ ความเจ็บปวดจากต้นคอแผ่ซ่านไปทั่วร่าง กระนั้นอีกความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นมากลับกำลังร่ำร้องอย่างยินดีในอกยังไงยังงั้น

"ไม่พยศแล้วเหรอ ร่างกายคุณนี่ซื่อตรงน่ารักกว่าที่คิดอีกนะ"

"แก!! กล้าดียังไงมากัดคอคนอื่น!!"

"ผมก็แค่ตีตราจองโซลเมทของตัวเองต่างหาก" เออร์แฟนยิ้มกวนให้ก่อนจะเลียรอยกัดอย่างเอาแต่ใจ แม้คาร์เมนจะพยายามออกแรงดิ้นแต่เออร์แฟนก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ก็ลองปล่อยมือตอนนี้ดูสิ คงถูกแมว(?)ตะปบหน้าแหกทันทีแน่นอน

แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มทำอะไรอย่างที่ใจอยาก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะและเป็นระฆังช่วยชีวิตคาร์เมนด้วย

“ใครโทรมาตอนนี้?” ยกมือถือขึ้นดูเห็นชื่อคนโทรมา พอเห็นว่าเป็นสายจากคาเล็มก็เลยรีบรับทันที “ว่าไง?”

“มีเรื่องให้ช่วยด่วนเลย ลาซัสยังไม่ได้กลับบ้าน” เท่านั้นเองเออร์แฟนก็รีบปล่อยมือผละออกจากโซลเมททันที

“ที่นี่มัน…” พอได้ฟังรายละเอียดจากคุณหมอ อัยการหนุ่มก็รีบเดินไปเปิดคอมแล้วตรวจสอบให้ตามที่ถูกไหว้วานทันที
คาร์เมนที่คูลดาวน์ตัวเองด้วยการกินยาระงับอาการฮีทเดินมาดูเออร์แฟนที่กำลังเคร่งเครียดเรื่องของพี่ชายตน เขาเดินมาอยู่ข้างหลังคนที่กำลังกดมือถือหาลูกน้องมือเป็นระวิง

“เกิดอะไรขึ้น?” ดวงตาสีเขียวอ่อนจ้องไปที่หน้าจอคอมบนโต๊ะที่มีจุดสีแดงและแผนที่แสดงตำแหน่งของจุดที่สีแดงกะพริบอยู่ “มีเรื่องอะไรที่เขตเริงรมย์นี่กัน?”

เออร์แฟนหันขวับมาแทบจะทันที “คุณรู้เหรอว่าที่นั่นคือที่ไหน!?”

“นี่นายคิดว่าฉันทำงานแถวนั้นมากี่ปีแล้ว ถนนทุกซอยแม้แต่หมาทุกตัวก็จำได้หมดนั่นแหละ” คาร์เมนหันไปจ้องดูที่หน้าจออีกครั้ง “บอกได้รึยังว่ามีเรื่องอะไรกัน?”

“แป้บนะ” เออร์แฟนมองโทรศัพท์ที่ข้อความแจ้งเตือนระรัวเพราะลูกน้องหลายคนเข้ามารายงานแทบจะพร้อมๆ กัน “จุดสีแดงนั่นดูเหมือนจะเป็นลาซารัสที่ถูกลักพาตัวไป”

“แย่แน่...ขืนชักช้าล่ะก็ เจ้าหนูนั่นอาจจะโดนทำให้เจอฝันร้ายไปตลอดชีวิตก็ได้” คาร์เมนเดินไปหาโทรศัพท์ของตนต่อสายหาพรรคพวกที่ยังคงติดต่อกันอยู่บ้าง “นี่ฉันเอง เออ อยากให้ช่วยเช็คดูให้ทีว่ามีโอเมก้าผู้ชายโดนพาตัวไปที่นั่นรึเปล่า จุดเด่นคือตาสีฟ้า มีไฝใต้หางตาทั้งสองข้าง อ่อ! ผมชี้เหมือนเป็ดด้วย รีบหน่อยล่ะ!”

อัยการหนุ่มลอบมองดูคนที่พยายามหาทางช่วยอีกแรง “ผมคิดว่าคุณจะไม่ชอบลาซารัสเสียอีก”

“ใครมันจะไปชอบเจ้าเป็ดน้อยนั่นกัน แต่นี่มันคนละเรื่อง” คาร์เมนต่อสายใหม่ไปยังคนของสถานีตำรวจที่ตนพอจะใช้งานได้ในเวลาแบบนี้ แต่จากบทสนทนาที่ลอบฟังดูก็ออกแนวขู่บังคับปลายสายไม่มากก็น้อย “ถ้าไม่อยากโดนเด้งกลับไปเป็นจราจรก็ทำตามที่ฉันบอกซะ!”

อัยการหนุ่มลอบคิดในใจ คาร์เมนเคยบอกว่าเขาหน้าเลือดและเจ้าเล่ห์ไม่เลือกวิธีการ แต่เจ้าตัวก็กำลังใช้วิธีการคล้ายๆกันกับเขาอยู่เหมือนกัน...

ครู่ต่อมา ทางเบ๊ของคาร์เมนเองก็ส่งข่าวมาบอกว่าไม่พบโอเมก้ารูปพรรณตรงตามที่ว่า จะมีก็แต่เบต้าผู้ชายคนหนึ่งโดนลากมาทิ้งไว้ก็เท่านั้น

“ส่งรูปมา” คาร์เมนสั่งและรอประมาณ 2-3 นาทีก็ได้รูปถ่ายใบหน้าของคนที่ว่า “หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” ว่าแล้วก็กดส่งรูปไปในแชทกลุ่มที่ตนเพิ่งตั้งขึ้นมาในระหว่างที่รอให้พรรคพวกดำเนินการ ทั้งริชาร์ดและคาเล็มที่โดนดึงเข้ามาในกลุ่มก็จะได้ตามข่าวจากคาร์เมนอีกทางหนึ่ง

“ใครรู้จักหมอนี่บ้าง” คาร์เมนส่งรูปไปให้ดู

“อัล?” ริชาร์ดจำได้ว่าผู้ชายในรูปเป็นเพื่อนที่ทำงานของโคลวิส “ทำไมเขาถึงโดนลากไปที่นั่นได้ล่ะ?”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่นั่นน่ะถึงจะเป็นเบต้า ถ้ารูปร่างหน้าตาพอจะเอามาขายได้ก็ไม่แน่อยู่...” คาร์เมนกล่าวไว้ในแชท ทำเอาคนที่เห็นข้อความนั้นไม่รู้จะคอมเมนท์ตอบอย่างไรดี

ขณะที่แต่ละคนกำลังสับสนอยู่นั้น ลูกน้องของเออร์แฟนก็รายงานว่ามีรถตู้สีดำคันใหญ่เข้าไปในคฤหาสน์รอสเกรย์ แถมติดฟิล์มดำทั้งหมดจึงไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง

“สรุป...คนที่อยู่เขตเริงรมย์คืออัล แล้วทำไมนาฬิกาของลาซัสถึงได้ไปอยู่ที่นั่นด้วยล่ะ?” ริชาร์ดเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแบบสุดๆแล้ว “คาเล็ม ฉันว่าเครื่องมันไม่ได้ติดอยู่ที่ลาซัสแล้วล่ะ!”

“ไม่บอกก็รู้แล้ว! ริชาร์ด! แกรีบล่วงหน้าไปที่คฤหาสน์ก่อนเลย!” คาเล็มวางสายไป เพิ่งกลับมาถึงบ้านและพาแม่ขึ้นไปนอนกลางวันได้ไม่เท่าไหร่ก็เกิดเรื่องเสียแล้ว “เรนเดล ฝากแม่ด้วยนะ”

เรนเดลยื่นกระเป๋าสัมภาระที่เตรียมอย่างเร่งด่วนให้ ทว่าคาเล็มก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจมันเลยสักนิด เขาคว้าเอากุญแจรถกับเสื้อคลุมของตัวเองและรีบก้าวเท้าไปยังโรงจอดรถอย่างรวดเร็ว ส่งตัวเองเข้าไปนั่งประจำที่และเสียบกุญแจสตาร์ทเครื่องเตรียมออกตัว...แต่คาเล็มก็หยุดชะงักไปทั้งอย่างนั้น ดวงตามองจ้องไปยังสองมือบนพวงมาลัยที่สั่นระริก

ความหวาดวิตกเริ่มครอบงำจิตใจ ความรู้สึกที่เขาเกือบจะลืมมันไปได้แล้วตั้งแต่ทำใจเรื่องคนรักเก่าได้มันหวนมาหลอกหลอนเขาอีกรอบ คาเล็มกัดฟันแน่นพยายามข่มความรู้สึกตัวเองให้เป็นปกติ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งแย่ลง..

ก็อก..ก็อก…

เสียงเคาะกระจกรถทำให้คาเล็มหลุดจากห้วงความคิด เขาหันไปทางต้นเสียงซึ่งอยู่ข้างนอกนั่น เรนเดลมองเข้ามาด้วยความเป็นห่วง แต่ในมือก็ยังคงยื่นกระเป๋าโชว์ให้คาเล็มดูว่าเขาลืมของ..

“กระผมรวมของที่อาจจะจำเป็นต้องใช้ไว้ให้ พกติดตัวไว้ก็ดีนะครับ” พ่อบ้านสูงวัยพูดด้วยน้ำเสียงราวกับปลอบโยน “ไหวรึเปล่าครับนายน้อย?”

“...ไหว” คุณหมอเปิดกระจกรับกระเป๋าขนาดพกพาสะดวกมาพลางตอบอย่างไม่มั่นใจนัก

“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยครับ” เรนเดลยื่นมือเข้ามาลูบบนบ่าของนายจ้างตน “ตอนนี้ไม่เหมือนครั้งนั้น นายน้อยมีทั้งเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเต็มที่ ครอบครัวคอยให้ที่พักพิง เพราะฉะนั้นตอนนี้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้นะครับ”

“...ขอบคุณนะเรนเดล” แม้จะยังกังวลอยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มพูนขึ้นมาในใจของคุณหมออัลฟ่าคือ ความหวัง.. อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็ไม่ได้สู้อยู่คนเดียวเหมือนเมื่อตอนนั้นแล้ว คาเล็มปิดกระจกและถอยรถออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วโดยมีเรนเดลตะโกนไล่หลังตามไปว่าให้ระมัดระวังตัวด้วย..

ขอให้ทันทีเถอะ! คาเล็มภาวนาในใจตลอดทาง และแม้จะดูไม่ดีนักแต่เขาก็ขอร้องให้ดวงวิญญาณของโนเอลช่วยคุ้มครองลาซารัสให้ปลอดภัย อย่าให้ต้องพบเจอกับโศกนาฎกรรมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเลย



เพี้ยะ!!

“เมื่อไหร่จะเลิกทำเรื่องบ้าๆแบบนี้สักที!” หญิงสาวอัลฟ่าตบหน้าพี่น้องของเธออย่างแรงจนตัวเองมือเจ็บไปด้วย “นายอยากจะไปมั่วนอกบ้านที่ไหนมันก็เรื่องของนาย แต่พี่ใหญ่กับฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาทำเรื่องพรรค์นี้ที่บ้านอีก!”

“ว้า~.. นิดๆหน่อยๆเอง” คาร์เรย์ยิ้มแห้งขณะยกมือลูบแก้มข้างที่โดนตบ แม้จะไม่เห็นแต่เขามั่นใจว่าตอนนี้มันกำลังแดงจัดอย่างแน่นอน “เฮ้อ.. อย่างที่ได้ยินน่ะแหละพวกนาย เดี๋ยวไปเปิดห้องข้างนอกเอาละกันนะ”

คาร์เรย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องหันกลับเข้าไปและตะโกนบอกเหล่ามิตรสหายมากหน้าหลายตาซึ่งล้วนเป็นอัลฟ่าปลายแถวซะส่วนใหญ่ มีบ้างที่จะเป็นอัลฟ่าเพ็ดดีกรีแบบเขา แต่ก็ทำตัวเหลวแหลกไม่ต่างกันนัก บางส่วนในนั้นคือโอเมก้าที่มีจำนวนน้อยกว่าอัลฟ่าเยอะ จากสภาพเกือบเปลือยของแต่ละคนอีกทั้งยาและเครื่องดื่มมึนเมาที่ยกมาวางเรียงรายก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขามามั่วสุมทำอะไรกัน..

“ขอโทษนะคร้าบคุณพี่สาว” เพื่อนบางคนที่เมาได้ที่แล้วก็กำลังจัดแจงแต่งตัวและทยอยออกจากห้องไปเพื่อไปหาความสำราญกันที่อื่น

“อย่าเพิ่งไป นายน่ะอยู่นี่ก่อน มีเรื่องจะคุยด้วย” คาเซล่าเรียกพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวของตนไว้ “เรื่องพี่ใหญ่นั่นแหละ”

“จะอะไรอีกล่ะ ตอนนี้พี่เค้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว แถมเธอก็เป็นคนคุมงานบริษัททั้งหมดแทน อยากทำอะไรก็ทำไปสิ” คาร์เรย์โบกมือใส่พี่น้องคนละแม่ของตนแล้วหันหลังเดินออกมาโดยไม่คิดจะอยู่ฟังสิ่งที่คาเซล่ากำลังจะพูดให้จบ

เขาย่างเท้าอ้อยอิ่งไปยังโรงจอดรถของคฤหาสน์รอสเกรย์ แต่ก่อนจะก้าวออกจากบ้านไป หางตาก็พลันสะดุดเข้ากับกลุ่มบอร์ดี้การ์ดของตระกูลกำลังแอบกระซิบกระซาบและเดินกันขวักไขว่จนผิดสังเกต คาร์เรย์แอบมองตามทิศทางที่บอร์ดี้การ์ดเดินไปนั้น คือทางที่มุ่งไปยังห้องของพี่ใหญ่อดีตผู้นำของตระกูล ในทีแรกนั้นคาร์เรย์ยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารับรู้ได้ว่าต้องมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคาร์บฮอลล่ะก็ คาเซล่าต้องเป็นคนไปดูเองแล้ว ไม่ปล่อยให้เหล่าสมุนทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้แน่นอน

“เอ… เกิดอะไรขึ้นกันน้า…” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาก่อนเขาจะยกโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อน “ออกไปกันก่อนเลย ไปที่บ้านพักส่วนตัวฉันเหมือนเคยก็ได้ เดี๋ยวให้คนดูแลบ้านไขกุญแจให้ ขอตรวจความเรียบร้อยในบ้านซะหน่อยว่ามีใครแอบทำอะไรไม่ดีไว้รึเปล่า หึๆๆ”



“คุณโคลวิส ยังอยู่รึเปล่าครับ?” ลาซารัสที่ยังโดนผูกผ้าปิดตาไว้เรียกหาคนที่ถูกพามาด้วยกัน เพราะก่อนหน้านี้อัลก็ถูกคนอื่นลากลงไปจากรถกลางคัน เขาจึงกังวลกลัวว่าเพื่อนโอเมก้าอีกคนที่ติดร่างแหมาด้วยจะเป็นอันตราย

“ยังอยู่ดี นายล่ะเป็นยังไงบ้าง?” เสียงตอบรับที่ดังชัดทำให้เบาใจว่าทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันไม่มีใครหายไปไหน แต่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดแบบนี้ก็ใจเสียได้เหมือนกัน “ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”

“...ก็พอตัวครับ” โอเมก้าอ่อนวัยกว่าตอบพลางเอามือที่โดนจับมัดไพล่หลังลูบข้อมือข้างที่โดนบังคับถอดนาฬิกาออกไป เพราะคนพวกนั้นพยายามที่จะถอดทิ้งออกไปให้ได้จึงลงมือหนักเสียจนนึกว่าโดนตัดข้อมือทิ้งไปแล้วซะอีก

“ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคนสินะ” โคลวิสถามเสียงเบาเพราะไม่แน่ใจว่ายังมีคนเฝ้าอยู่มั้ย

“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ ไม่ได้ยินเสียงคนอื่นคุยกันมาสักพักแล้วด้วย”

“นี่...แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงต้องการตัวนายล่ะ?” บาริสต้าหนุ่มเอ่ยสิ่งที่ตนคาใจมาตลอดทาง “...คือฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะสงสัยนายหรอกนะ แต่แบบว่ามัน...”

“อา เข้าใจครับ” โดนจับมาโดยไม่รู้อะไรเลยแบบนี้เป็นใครก็ต้องวิตกเป็นเรื่องธรรมดา “แต่...ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าเป็นพวกไหน แต่ถ้าจะให้เดา...คงเป็นฝีมือพวกพี่ๆของคุณหมอคาเล็ม”

“คุณหมอ? ที่เป็นเพื่อนคุณริชาร์ดน่ะเหรอ? แล้วพี่ชายคุณหมอคนนั้นมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?”

“อ่า...เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนน่ะครับ ถ้าให้เล่าแบบละเอียดคงยาว...”

ลาซารัสจึงเล่าเรื่องแบบรวบรับที่สุดเท่าที่พอจะทำให้โคลวิสเข้าใจสถานการณ์ระหว่างพวกเขาสามคน กับปัญหาคาราคาซังของพี่น้องรอสเกรย์เท่าที่พอจะเล่าให้ฟังได้

“ขอโทษนะครับที่พาคุณกับคุณอัลมาซวยไปด้วย”

บาริสต้าหนุ่มได้ฟังเรื่องราวเกือบทั้งหมดก็เลยกระจ่างเสียทีว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง เขานิ่งไปราวกับกำลังใช้ความคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ที่จริงแล้วเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นความผิดของลาซารัสเลยแม้แต่น้อย มีแต่พวกอัลฟ่าหัวเก่านี่แหละที่มักก่อปัญหาสร้างความลำบากให้กับโอเมก้าอย่างพวกเขา

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ แต่ถ้าลองเป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่าตอนนี้นายกำลังตกอยู่ในอันตรายสุดๆเลยไม่ใช่เหรอ” แม้ว่าตนจะถูกพาตัวมาด้วยแต่ก็ยังไม่น่าห่วงเท่าลาซารัสที่ตกเป็นเป้าหมายตั้งแต่แรก

“ผม…” ลาซารัสเม้มริมฝีปากแน่น เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยในเวลาแบบนี้ ทั้งๆที่ตลอดหนึ่งปีมานี้เขาพยายามเรียนรู้วิธีการที่จะปกป้องตัวเองจนมั่นใจว่าจะสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องรบกวนหรือให้ใครคุ้มครอง แบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเลยสักนิด “ไม่ต้องกลัวนะครับคุณโคลวิส ผม...ผมจะปกป้องคุณเอง!”

“หา?” โอเมก้าหนุ่มหัวสีงงไปหมดที่จู่ๆ ลาซารัสก็พูดอะไรเหมือนพระเอกหนังออกมาในเวลาแบบนี้ จากที่เครียดจนถึงเมื่อครู่ก็พลันหลุดหัวเราะออกมา “ฮะๆๆ! โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจหัวเราะนายนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ลาซารัสยิ้มให้ตัวเอง นั่นสินะ...จะช่วยคนอื่นก็เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะลาซัสเอ๋ย…

“ขอบใจนะ” โคลวิสยิ้มบาง แต่เพราะปิดตาอยู่ลาซารัสจึงไม่ได้เห็นว่าเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยคามเศร้าเล็กๆ เอาไว้ด้วย

อา...พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้วล่ะว่าทำไมคุณริชาร์ดถึงได้ชอบนาย ถึงจะดูซื่อๆ อ่อนโลกตามใครไม่ค่อยทัน แต่ความตรงไปตรงมาและสดใสแบบนี้ เป็นใครก็คงหลงรักได้ไม่ยากหรอก

“ถ้านายเป็นอะไรไป คุณริชาร์ดคงเสียใจมากแน่ๆ...” เสียงของโคลวิสเบาลงเมื่อเอ่ยถึงชื่ออัลฟ่าคนนั้นออกมา “นายนี่...น่าอิจฉาจริงๆเลย”

“คุณโคลวิส…”

เสียงประตูเปิดออกขัดบทสนทนาระหว่างสองโอเมก้าที่ถูกจับมา เสียงฝีเท้าก้าวเดินตรงไปหาลาซารัสก่อนจะโดนปลดผ้าปิดตาออก ดวงตาสีฟ้าสดค่อยๆลืมตาขึ้นและเงยหน้าเพื่อมองดูว่าใคร และก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มเบต้าผมสีอ่อน อายุน่าจะมากกว่าตนหลายปีอยู่ ดูๆไปแล้วไม่น่าจะใช่พวกที่จับตัวเขามาแต่ก็รู้สึกไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย สายตาจ้องมองมาที่เขาอย่างพินิจพิจารณา มันเหมือนกับ...สายตาของเหล่าผู้คนที่สวมหน้ากาก เป็นสายตาที่จดจ้องเพื่อประเมินมูลค่าสินค้าเหมือนในงานซื้อขายตลาดมืดครั้งนั้น

“ตาสวยดีนี่นา…” ปลายนิ้วมือกดลงมาที่ใบหน้าของลาซารัสพร้อมกับสายตาที่แสนชิงชังจ้องมองราวกับจะควักลูกตาออกเสียให้ได้ “ลุกขึ้นแล้วตามมานี่”

“จะพาเขาไปไหน!?” แม้ตามองไม่เห็นแต่โคลวิสก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนอื่นๆที่เข้ามาหิ้วตัวลาซารัสออกไป ก่อนที่เขาจะโดนปลดผ้าปิดตาออกบ้าง ชายหนุ่มเบต้าคนเดิมจ้องมาที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า

“คนนี้ฉันไม่ได้บอกให้พาตัวมา ถ้าพวกนายอยากจะเอามาเล่นสนุกก็ตามสบาย...” พูดจบก็เดินหันหลังให้อย่างไม่ใยดี สิ้นเสียงประตูปิดลงพร้อมสลักกลอน กลุ่มชายที่ลักพาตัวโอเมก้าก็พากันจ้องมองมาที่โคลวิสและคุยกันว่าจะเอายังไง

“ก็อยากทำอยู่หรอก แต่เอาไปขายแล้วแบ่งเงินกันใช้ดีกว่า” ข้อเสนอที่ต่างคนต่างเห็นดีเห็นงาม ทว่าตัวคนที่กำลังจะถูกเอาไปขายนั้นหน้าถอดสีจนแทบไร้เลือดฝาด

“หน้าตาน่ารักใช้ได้อยู่ แต่ว่าจะมีตำหนิรึเปล่า ไหนดูซิ” หนึ่งในคนเหล่านั้นจับหัวโคลวิสกดเอาหน้าลงกับพื้น “ว้า...มีรอยกัดอยู่ที่หลังคอด้วยแฮะ แบบนี้ราคาก็ตกหมดสิ”

“เอาน่า คิดซะว่าหาเงินค่าขนมละกัน” คนที่นั่งยองๆข้างๆโคลวิสซึ่งโดนจับกดลงพื้นจนขยับแทบไม่ได้เอ่ยติดตลก แต่คนฟังไม่ตลกไปด้วย มือหยาบไล่เขี่ยเส้นผมและไล้ลงมาตามซอกคอ “แต่ว่า...ก่อนจะส่งสินค้าเนี่ย เดี๋ยวต้องขอลองเช็คสภาพทั้งตัวดีๆก่อนนะ เกิดมีตำหนิอื่นอีกล่ะก็ยุ่งเลย”

ไอ้การเช็คสภาพเนี่ย.. โคลวิสกำลังคิดถึงกรณีเลวร้ายที่สุดไว้อยู่เลย…


“นี่มัน..” ลาซารัสโดนจับลากตามมาหยุดในห้องนอนขนาดใหญ่ห้องหนึ่งที่ตกแต่งหรูหรา ทว่าโดนปิดม่านและไฟแทบจะมืดสนิท มีเพียงแสงเรืองๆผ่านม่านบางที่หน้าต่างกว้างส่องเข้ามาเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะใจจะพินิจความสวยงามของการตกแต่ง แต่สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คนๆหนึ่ง ซึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงกว้างราวกับไร้ชีวิต ผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ตอนที่ริชาร์ดเข้าโรงพยาบาล

“คุณคาร์บฮอลล์?”

“รู้จักด้วยเหรอ? งั้นก็ดีเลย จะได้รู้ว่าต้องทำอะไร” เบต้าหนุ่มที่ตอนนี้สวมเสื้อคลุมคล้ายแพทย์ปลดพันธนาการที่ข้อมือเขาออก แต่ลาซารัสก็ไม่สามารถต่อต้านได้เพราะบอร์ดี้การ์ดสองคนข้างหลังนั้นยกมือขึ้นจับกระบอกปืนตรงเอวรอไว้อยู่แล้ว

“คุณจะทำอะไร?” ก่อนลาซารัสจะได้คำตอบ เขาก็เห็นอีกฝ่ายหยิบขวดน้ำหอมเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหยดมันลงบนทิชชู่

“นิ่งๆซะ” ชายที่ลาซารัสกำลังนึกว่าเป็นใครอยู่นั้นเอาทิชชู่เช็ดป้ายไปทั่วคอของเขาซึ่งโดนปลดปลอกคอทิ้งไปตั้งนานแล้ว “คนรักของเจ้าคาเล็มอยู่นี่แล้วครับคุณคาร์บฮอลล์”

สิ้นเสียงของชายตรงหน้า จู่ๆร่างที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงบนเตียงก็เริ่มขยับตัว เท่านั้นเองลาซารัสก็รู้ว่าสิ่งที่เขาโดนทาไว้คืออะไร

“ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันต้องสานต่อความฝันของเขา อย่างน้อยก็ให้สำเร็จสักเรื่อง” แพทย์ประจำตัวของคาร์บฮอลล์เอามือล้วงกระเป๋าหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาแล้วบอกให้บอร์ดี้การ์ดล็อคตัวโอเมก้าหนุ่มเอาไว้ “ถ้าดิ้นมากๆ ระวังเข็มจะหักคาไม่รู้ด้วยล่ะ”

“คุณทำแบบนี้ทำไม!?” ลาซารัสไม่ยอมอยู่นิ่งอีกต่อไป แม้จะไม่รู้ว่าเข็มฉีดยานั่นคืออะไรแต่ดูจากรูปการณ์แล้วคงเป็นยากระตุ้นสักอย่างแน่นอน “ปล่อยผมนะ!”

“คุณคาร์บฮอลล์อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว…” มือที่ถือเข็มฉีดยาคลำหาเส้นที่แขนของลาซารัสซึ่งโดนบอร์ดี้การ์ดจับไว้แน่น “ฉันจะต้อง...ทำให้เขามีความสุข”

“แต่ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง!” ลาซารัสงัดแขนขึ้นปัดเข็มออกจนมันกระเด็นหล่นพื้น หลอดที่ทำจากแก้วแตกจนยาหกหมด สายตาของแพทย์เบต้าเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาจับขั้วหัวใจ

“หุบปาก…” เข็มฉีดยาสำรองถูกหยิบออกมาอีกครั้ง “จะถูกหรือผิดฉันไม่สน แกน่ะอยู่นิ่งๆไปซะ”

ฉึก!!



…….

‘คุณ...หมอ’



TBC.
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.16 Up! (18/7/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-07-2017 03:46:03
กรี๊ดดดดด  :z3: :z3:

อย่าให้มีอีกซ้ำสองเลย แค่ริชาร์ดก็พอแล้ว

ขอให้คาเร็มไปช่วยทันเถอะนะ ฮือ

ทั้งเด็กคุณริชาร์ดก็ด้วย อย่าให้พวกนั้นได้ทำอะไรเลย
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.16 Up! (18/7/17) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-07-2017 07:50:28
ทำม้าย อะไรๆ ต้องประเดประดังมาที่ลาซาลัส
พวกนี้ไม่มีปัญญาหาคู่ของตัวเองจริงหรือนี่
ทั้งที่เป็นอัลฟาซะเปล่า ดีแต่แย่งคนของน้องชาย
เป็นอัลฟ่าห่วยแตก ไม่มีฝีมือ
พวกลูกขุนพลอยพยัก ก็พยักตามแบบทูนหัวทูนเกล้า
นายเป็นบ้า ขี้ข้าเป็นบอ ชัดๆ

ลาซาลัส ต้องไม่เป็นนายบำเรอคาร์บฮอลล์ นะ  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14.5 Up (15/9/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 15-09-2017 13:52:29

บทที่ 14.5




‘โซลเมท’ หรือ ‘คู่แห่งโชคชะตา’ สำหรับอัลฟ่าและโอเมก้าแล้วมันคือคำเรียกคู่แท้ที่เกิดมาเพื่อกันและกัน ไม่ว่าจะแตกต่างกันด้วยชาติกำเนิดหรือสถานะทางสังคม ทุกอย่างล้วนไร้เหตุผลเมื่อโชคชะตาได้ลิขิตให้คนสองคนถูกดึงดูดเข้าหากัน และการที่โซลเมทจะเกลียดกันตั้งแต่แรกพบนั้นเรียกว่าแทบจะไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย


...แต่คนบางคน ให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อในเรื่องคู่แท้พรหมลิขิตนี่น่ะสิ



…..

……….


“คุณคาร์เมนนี่ชื่อคล้ายผู้หญิงเลยนะครับ โอ๊ย!” ลาซารัสโดนเตะหน้าแข้งลงโทษเพราะดันเผลอพูดสิ่งที่คนฟังไม่อยากจะได้ยิน “ทำอะไรน่ะครับ ผมแค่จะบอกว่าชื่อเพราะดีเท่านั้นเอง”

“ชมว่าชื่อเพราะอย่างเดียว จะแซวว่าเหมือนชื่อผู้หญิงไปเพื่อ?” สาเหตุที่โอเมก้ารุ่นพี่เคืองไม่ใช่เพราะชื่อตนคล้ายผู้หญิงหรอก แต่มันเป็นชื่อของผู้หญิงเลยต่างหาก! “ตอนที่แม่ท้อง แม่คิดว่าฉันต้องเกิดมาเป็นลูกสาวแน่ๆ ก็เลยตั้งใจเลือกชื่อนี้ แต่ดันออกมาเป็นลูกชาย...แถมเป็นโอเมก้าอีก”

สงสารอยู่หรอก แต่ก็เอ็นดูแปลกๆ...

หลายเดือนแล้วที่ลาซารัสไม่ได้เจอหน้าคาเล็มเลย ที่พอจะได้เห็นหน้ากันบ้างก็เพียงแค่ตอนที่นัดตรวจดูผลของยานานๆครั้งเท่านั้น รอบนี้ก็เหมือนกัน เขาเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาหลังจากแอดมิดเข้าไปได้เกือบอาทิตย์ ยาที่คาเล็มปรับเพิ่มให้ ปริมาณมันมากเกินจะรับไหว พอสะสมในร่างกายมากๆเข้า ร่างกายของเขาก็ทรุดลงถึงขนาดอาเจียนไม่หยุด  ตอนนี้เลยต้องหยุดยาแล้วกลับมาใช้ยาตัวเก่าปริมาณเท่าเดิมระหว่างรอคาเล็มปรับยาตัวใหม่…

หลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้านของริชาร์ดได้แล้ว จู่ๆ คาร์เมนก็โทรมาชวนเขาออกมาเตร็ดเตร่เสียอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่ปฎิเสธเพราะอาการดีขึ้นจนแทบจะเรียกว่าเป็นปกติแล้ว

อา...อันที่จริงคือคาร์เมนไม่ยอมให้เขาปฎิเสธด้วยแหละ ...เหมือนทุกๆครั้ง.. เพราะคาร์เมนต้องการหลบหน้าเออร์แฟน ก็เลยมักจะโทรมาชวนเขาออกไปข้างนอกเสมอ ทั้งที่เคยบอกให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณหมอเลยนึกว่าจะพาลไม่ชอบหน้าเขาซะอีก..เป็นคนที่เข้าใจยากชะมัดเลย

“แล้วคุณแม่ไม่ให้เปลี่ยนชื่อเลยเหรอครับ?”

“เปล่า...แม่ไม่ห้าม แต่ฉันไม่เปลี่ยนเอง” โอเมก้าหนุ่มรุ่นพี่หันไปคว้าจานแพนเค้กราดน้ำผึ้งไซรัปมากินตั้งแต่พนักงานเสิร์ฟยังไม่ทันเอามาวางตรงหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ

ลาซารัสมองคาร์เมนที่จ้วงแพนเค้กหนาสามชั้นกินแบบไม่กลัวเบาหวานพุ่ง คุณหมอก็อีกคน...เห็นคุณเรนเดลบอกว่าต่อให้ทำงานจนลืมกินลืมนอนยังไง แต่ขนมหวานกับกาแฟนี่ขาดไม่ได้เด็ดขาด ทำไมสองพี่น้องคู่นี้ถึงได้ชอบของหวานกันขนาดนี้นะ

“เอ่อ..วันนี้เรียกผมออกมาข้างนอกทำไมเหรอครับ?”

“บอกแล้วนี่ว่าจะพาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา” คาร์เมนวางส้อมลงและหยิบกระดาษเช็ดปากหลังจากทานจนหมด นี่กินหรือยัด เร็วไปแล้วครับ!

“รู้ครับ ว่าแต่จะไปที่ไหนเหรอ ทำไมถึงไปกันแค่สองคน?” ตอนที่น้องชายคุณหมอคาเล็มโทรนัดให้มาเจอกัน เขาคิดว่าโอเมก้าหนุ่มรุ่นพี่จะชวนคนอื่นๆ ไปด้วยซะอีก

“โฮสต์อัลฟ่า” 

พรูดดด!

ชามินท์ที่ลาซารัสดื่มไปพุ่งพรวดออกจากปากทันที “หา!? อะ...ขอโทษครับ!” ดวงตาสีฟ้าจ้องไปยังโอเมก้ารุ่นพี่ที่กำลังซับหน้าเพราะชามินท์กระเด็นเข้าหน้าเต็มๆ

“เฮ้ยๆ  แค่เที่ยวโฮสต์ไม่ได้ไปซื้อบริการอย่างว่าสักหน่อย อ่ะ...แต่อย่างหลังนั่นฉันก็ตั้งใจจะไปซื้อของฉันเองอยู่แล้วล่ะนะ” คาร์เมนถอดแว่นกันแดดออกมาเช็ด ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกว่าดวงตาสีเขียวอ่อนของคาร์เมนมีเสน่ห์ดึงดูดมากจริงๆ นั่นแหละ

“แล้วมันจะไม่เป็นอะไรเหรอครับ เราสองคนเป็นโอเมก้าทั้งคู่เลยนะ”

“เมื่อก่อนฉันเคยไปร้านนี้ประจำ ปลอดภัยหายห่วงน่ะ” พอใส่แว่นกลับก็มองดูสีหน้าของโอเมก้าหนุ่มรุ่นน้องที่ยังกังวลอย่างปิดไม่มิด “ถ้ากลัวล่ะก็จะฉีดน้ำหอมกับกินยาดักไว้ก่อนก็ได้”

“แล้ว...ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ” เขาพยายามปฏิเสธ เพราะก่อนหน้านี้ก็เจอเหตุการณ์อะไรๆ มาหลายเรื่อง จะระแวงพวกอัลฟ่าบางคนก็ไม่แปลกหรอก “อีกอย่าง...ผมกลัวคุณหมอจะรู้ว่าผมไปเที่ยวที่แบบนั้นด้วย”

คาร์เมนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ก็ไม่ได้คิดว่าลาซารัสจะโอเคกับคำชวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งลองโทรไปชวนโคลวิส และก็โดนปฏิเสธมาแบบเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงจะไปว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้หรอก ในเมื่อสองคนนี้มีคนรักกับคนที่แอบชอบอยู่แล้ว จะไปเที่ยวสนุกเหมือนคนที่ไม่มีใครผูกมัดเห็นทีคงจะไม่ถูกนัก

“ก็ได้ๆ ไว้ถ้าเกิดวันไหนสนใจอยากลองเมื่อไหร่ก็บอกละกัน” คาร์เมนจ้องดูลาซารัสที่ถอนหายใจโล่งอก “...โทษทีที่ทำให้เสียเวลานะ”

โอเมก้าหนุ่มรุ่นพี่ลุกขึ้นและวางเงินไว้ให้ลาซารัสเช็คบิล ส่วนตัวเองเดินเปิดประตูออกจากร้านแล้วโบกรถแท็กซี่ขึ้นรถไปทันที

“คุณคาร์เมน! อ่า...ไปซะแล้ว” ลาซารัสรีบเดินตามออกมาแต่ก็ไม่ทัน ดวงตาสีฟ้าได้แต่มองตามแท็กซี่คันที่คาร์เมนนั่งไป อันที่จริงเขาก็อยากจะตามไปดูแลเผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่มาคิดดูแล้วคงไปขัดแข้งขัดขาโอเมก้ารุ่นพี่เสียมากกว่า


จริงๆแล้วใช่ว่าคาร์เมนจะอยากมาเที่ยวหาความสำราญเหมือนเมื่อก่อนหรอก แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ในหัวก็มีแต่จะคิดถึงหน้าเจ้าอัยการอัลฟ่าคนนั้น

ให้ตายเถอะ...อยู่มาจนจะสี่สิบแล้วทำไมเพิ่งจะมามีความรู้สึกใจเต้นเวลานึกถึงหน้าใครคนอื่นนอกจากพี่ชายของตัวเองด้วยนะ
แถม...นับวันเออร์แฟนยิ่งทำตัวแปลกขึ้นทุกที เจอหน้ากันครั้งแรกยังกัดกันจะเป็นจะตายอยู่เลย

หลังจากที่คาเล็มให้แหวนกับลาซารัสไป ไม่กี่วันต่อมาเออร์แฟนก็ดันโผล่มาพร้อมช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ยื่นใส่หน้าเขาต่อหน้ามารดาแล้วขอคบเป็นแฟนซะอย่างนั้น! แน่นอนว่าเขาปฎิเสธเสียงแข็งตอนที่หมอนั่นมาชวนไปเดท แต่เออร์แฟนพอรู้ว่าจีบเขาตรงๆไม่ได้ ก็เข้าหาแม่คาร่าของเขาหนักหน่วงขึ้นทุกวันๆ ทั้งซื้อข้าวของที่จำเป็นมาให้ ชวนคุณแม่และเรนเดลไปเที่ยวสปารีสอร์ทที่คนสูงวัยชอบกัน  พอว่างเมื่อไหร่ก็ยังมาช่วยดูแลถึงที่บ้านอีก จนคุณแม่คาร่าเริ่มหลงเสน่ห์อัยการหนุ่มมาดเจ้าชายแสนดีคนนี้ไปเต็มๆแถมไม่ใช่แค่เริ่มเอนเอียงเทใจไปให้ทางนั้น นี่บางทีแม่ยังหลงเข้าใจผิดคิดว่าโดนจีบซะเองอีก!!

แถม...นี่ก็ใกล้ช่วงฮีทของเขาแล้วด้วย เขาเองก็ฮีทเต็มๆเจ็ดวันต่อเนื่องในรอบปี เพราะงั้นยิ่งอยู่ใกล้ไอ้เออร์แฟนไม่ได้เด็ดขาด! ขืนรู้ว่าเขากำลังจะฮีท มีหวังกุลีกุจอตามติดยิ่งกว่าเดิมให้น่ารำคาญไปอีก

“ฮัลโหล กำลังไปหานะ” คาร์เมนยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดกับปลายสายที่นานๆ จะติดต่อไปสักที แต่คุยเพียงเท่านั้นแล้วก็วางสายไป แท็กซี่แล่นเข้าไปในย่านสถานบันเทิงที่ตอนนี้ยังไม่มีร้านไหนเปิดบริการเต็มรูปแบบดีนักเพราะยังไม่ทันจะถึงเวลาที่ลูกค้าจะออกท่องราตรีเลย

คาร์เมนจ่ายเงินและลงจากแท็กซี่ก่อนเดินตรงไปยังจุดหมายของตัวเอง ร้านโฮสต์อัลฟ่าที่เปิดบริการในตรอกเล็กๆ ขนาดร้านไม่ใหญ่มาก แต่ตกแต่งอย่างเป็นกันเองและค่อนไปทางน่ารักน่านั่งเพราะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโอเมก้าขี้เหงาหรือไม่ก็…

“จะเข้าช่วงฮีทของนายแล้วนี่นะ” สาวสวยร่างสูงใหญ่ในชุดสูทลำลองเดินออกมาเปิดประตูร้านต้อนรับเขา ผมสีน้ำตาลยาวสลวยถูกมัดรวบเป็นหางม้าต่ำเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน ใบหน้าบ่งบอกถึงวัยที่เริ่มมากแต่ก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคาร์เมน กระนั้นก็จัดเป็นผู้หญิงสวยดุและเป็นผู้ใหญ่ที่ทรงเสน่ห์อยู่ดี

“ร้านเพิ่งเปิดเหรอ?” คาร์เมนเลิกคิ้ว เขานึกว่าตอนนี้ร้านคงเปิดเสร็จเรียบร้อยแล้วเสียอีกเลยรีบบึ่งมา จำได้ว่าแต่ก่อนร้านมักเปิดตั้งแต่ยังไม่ทันตะวันจะตกดิน

“ใช่ ช่วงนี้พวกคนเก่าๆ เริ่มออกไปมีครอบครัวกันบ้างแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็คงรับแขกได้ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน เลยเปิดช้าลงแล้วก็ปิดไวขึ้น” หญิงสาวเดินไปหลังเคาท์เตอร์ที่อยู่หน้าร้านแล้วควานเอาขวดวิสกี้ออกมารินให้คาร์เมน

“ให้หาคนใหม่มาให้อีกมั้ยล่ะ?” คาร์เมนถามพลางยกวิสกี้ขึ้นดื่มไปสองสามอึก “พวกอัลฟ่าหน้าใหม่ฐานะค่อนไปทางแย่ที่อยากได้เงินน่าจะมีเยอะอยู่”

“ก็เปิดรับสมัครเรื่อยๆ แหละ แต่คนที่ทัศนคติผ่านน่ะแทบไม่มี”

“ยังเฮี้ยบไม่เปลี่ยนเลยนะ สเตล่า”

“แหงสิ ไม่งั้นพวกโอเมก้าอย่างนายจะมีที่ไหนให้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้อย่างปลอดภัยอีก” สเตล่ายิ้มส่งให้ ก่อนยกแก้วตัวเองขึ้นไปชนกับแก้วของคาร์เมนจนเกิดเสียงใสกังวาล

“อ่ะ นั่นคุณคาร์เมนนี่นา!” เสียงใสของหนุ่มวัยรุ่นหลายคนดังจอแจมาจากทางประตูหลังร้าน เหล่าอัลฟ่าแสนดูดีในหลากหลายสไตล์การแต่งตัวค่อยๆทยอยออกมาจากหลังร้าน เมื่อพวกเขาเห็นคาร์เมนก็ยิ้มส่งให้อย่างเป็นมิตรกันแทบทุกคน “หายไปนานเลยนะครับ”

“สวัสดี สบายดีมั้ยพวกแก” คาร์เมนยิ้มตอบและถอดแว่นกันแดดตัวเองออก มีแค่ที่นี่เท่านั้นแหละที่เขาเต็มใจที่จะมองอัลฟ่าที่รายล้อมอย่างยินดี พลางยื่นมือไปหาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ผายมือมาให้ อีกสองสามคนเริ่มเดินมานั่งข้างๆและยืนล้อมเขาไว้เหมือนเป็นคนสำคัญของที่แห่งนี้

“ดูแลไปก่อนนะ เฮ้...นายสองคนน่ะมาช่วยกันจัดโต๊ะทีสิ” สเตล่าเดินออกจากเคาท์เตอร์ไปและลากพวกเด็กหนุ่มอัลฟ่าไปช่วยจัดการในร้านก่อนถึงเวลาเปิดประตูให้เรียบร้อย ปล่อยให้คาร์เมนได้รับการดูแลจากโฮสต์หนุ่มสาวอัลฟ่าที่เป็นลูกจ้างของตน และแน่นอนว่าคาร์เมนก็เป็นขาประจำของที่นี่รวมทั้งเป็นคนคอยดูแลเรื่องหาคนมาทำงานในนี้อีกด้วย

“ทำไมดูทำหน้าเครียดๆ จังเลยคะ?” อัลฟ่าสาววัยรุ่นคนหนึ่งจับสังเกตได้เลยถามออกไป

“เฮ่อ...ก็ดันเจออัลฟ่าหัวรั้นมาตอแยน่ะสิ” คาร์เมนเท้าคางและเริ่มบ่นกระปอดกระแปด

“ปกติคุณคาร์เมนก็ไล่ตะเพิดไปได้ทั้งนั้นนี่ครับ? ครั้งนี้เจอคนขี้ตื๊อเหรอ?” หนุ่มอัลฟ่าผมดำผิวเข้มที่นั่งข้างๆ ทำสีหน้าเป็นกังวลเพราะหนนี้คาร์เมนดูเหนื่อยหน่ายอย่างบอกไม่ถูก

“สุดๆ เลยล่ะ ไม่รู้ว่าทำไมต้องยึดติดขนาดนั้น เบื่อจนต้องหนีมาที่นี่เลยแหละ”

“คุณคาร์เมนกำลังจะฮีทเลยเริ่มเสน่ห์แรงมั้งครับ?” ฟังดูอาจเหมือนคำชม แต่ในที่นี้ความหมายก็คือกลิ่นโฟโรโมนของคาร์เมนจะรุนแรงจนเขาสามารถตกอัลฟ่ารอบๆ ตัวมากินได้ไม่อั้น....

“หรืออาจจะคิดว่าคุณคาร์เมนเป็นโซลเมทอีกคนก็ได้มั้งคะ” สาววัยรุ่นนางเดิมเอ่ยขึ้น ที่ผ่านมาก็มีคนที่ชอบใช้มุกโซลเมทบอกรักคาร์เมนมาหลายราย แน่นอนว่าก็โดนถีบส่งไม่ใยดีไปทั้งหมด

“.....” แต่แทนที่โอเมก้ามากวัยท่ามกลางดงอัลฟ่าอ่อนวัยเหล่านั้นจะเล่นมุขอะไรต่อเหมือนอย่างเคย เขากลับเงียบและจิบวิสกี้อย่างเคร่งเครียดแทน ทำเอาเด็กๆ ที่รายล้อมร้องกันเสียงหลง

“เอ๋!? คุณคาร์เมนเจอโซลเมทจริงๆ แล้วเหรอครับ!?”

“ใช่! ...แต่ฉันไม่เชื่อเรื่องแบบนั้นหรอกนะ!” คาร์เมนตะคอกออกมา แต่ก็ไม่มีใครตรงนั้นตกใจกลัวหรือไม่พอใจ เพราะรู้นิสัยโอเมก้าคนนี้กันดีว่าที่ทำไปก็แค่ตะเบ็งเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างเท่านั้น “เรื่องหลอกเด็กแบบนั้นมันไม่เคยมีอยู่จริงหรอกน่า!!”

“นั่นสินะครับ ยังพิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ด้วย อาจจะแค่ใจตรงกันเลยเรียกกันสวยๆ ว่าโซลเมทเนอะ” อัลฟ่าอีกคนที่ดูนิ่งสงบที่สุดท่าทางจะเป็นงานในเรื่องการปลอบประโลมอารมณ์ลูกค้าให้เย็นลงเริ่มออกปากและเดินมาบีบนวดบ่าคนหัวเสีย “ว่าแต่ จะเข้าช่วงฮีทแล้วใช่มั้ยครับ? ได้บอกคุณแม่ไว้รึยัง?”

“บอกแล้ว”

“สมเป็นคุณคาร์เมน รอบคอบจริงๆ คราวนี้หาคนดูแลคุณแม่ได้ไวสินะครับ”

“อ๋อ ยังไม่ได้บอกพวกนายนี่นา ฉันเจอพี่ชายแล้วล่ะ ตอนนี้เลยให้พี่กับพ่อบ้านของพี่ช่วยดูแลแม่ด้วยอีกแรง”

“จริงเหรอคะ! ยินดีด้วยน้า คุณคาร์เมนอยากเจอพี่ชายคนนั้นมาตลอดเลยสินะคะ” เด็กสาวเดินจากเก้าอี้ไปหาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเพิ่มเพื่อฉลอง ใครๆ ในที่นี้ก็รู้ว่าคาร์เมนนั่นแอบชอบพี่ชายตัวเองที่ไม่เคยเจอหน้ามากขนาดไหน

“งั้น...ได้ลองกับคุณพี่รึยังเอ่ย?” เด็กหนุ่มผมฟูบุคลิกเหมือนพวกดาราหลงยุคเดินมาทำหน้าทะเล้นใส่

“ไม่.. พี่ไม่เปิดช่องให้เลย แถมยังมีคนรักแล้วด้วย” คำตอบที่ทำเอาทั้งวงเงียบกริบ คาร์เมนยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มจนหมดแล้วลุกเดินไปนั่งตรงโซฟาที่มุมในสุดของร้านเพื่อไม่ให้กินพื้นที่หากลูกค้าคนอื่นจะเข้ามา เมื่อไปถึงโซฟาก็เริ่มกอดรัดฟัดและทำร้ายตุ๊กตาตัวโตตรงนั้นอย่างหาที่ลงไม่ได้ “ให้ตายสิ! ก็รู้อยู่หรอกว่าอายุขนาดนั้นพี่คงมีแฟนอยู่แล้ว...แต่มันก็...ฮึ่มมมม!!”

ทว่า แม้จะแสดงกิริยาไม่งามเช่นนั้นออกไป เหล่าอัลฟ่าในร้านกลับไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด ซ้ำยังคิดว่ามันเป็นท่าทางที่น่ารักมากกว่าด้วยซ้ำ

“เอ้าๆ เปิดร้านแล้ว แยกย้ายๆ” สเตล่าเดินมาไล่เหล่าลูกจ้างให้กลับไปทำงานตามเดิม แล้วตัวเองก็เดินมารินวิสกี้ให้คาร์เมนอีกแก้ว “ได้ยินว่าเจอโซลเมทแล้วสินะ ...ไม่ชอบอีกฝ่ายรึไง?”

“เกลียดสุดๆ!” พูดแล้วก็กอดตุ๊กตาตัวใหญ่แน่นและล้มตัวลงนอนกลิ้งไปบนโซฟา

“เลวร้ายขนาดนั้นเชียว?” สเตล่าหัวเราะในลำคอแล้วเดินมานั่งข้างหัวคาร์เมน ก่อนโอเมก้าร่างเล็กกว่าเธอจะขยับตัวขึ้นมานอนหนุนตักในท่ากอดตุ๊กตาตัวเดิม

“...รู้จักเออร์แฟน คาเฮวย์มั้ย?”

“อัยการที่ว่าหล่อ เอ้อ...ชื่อดังคนนั้นเหรอ!?” คุณสเตล่าครับ...ความในใจมันหลุดออกมานิดหนึ่งแล้วนะนั่น

“อือ ถึงตอนนี้จะมาช่วยพลิกคดีของพี่แล้ว แต่สิ่งที่เจ้านั่นเคยทำไว้ก็ใช่ว่าจะลบล้างได้นี่นา”

“ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจนะ แต่มันก็อดีตไปแล้วนะเรื่องนั้น แล้วเขามาช่วยพี่นายด้วยความเต็มใจหรือเปล่าล่ะ?” สเตล่าลูบเรือนผมสีเข้มของอีกฝ่ายเบามือคล้ายปลอบประโลม

“...เห็นว่าเพราะรู้สึกผิดกับเรื่องนั้นเลยมาช่วยพี่น่ะ” คาร์เมนเสียงอ่อนลง

“นิสัยล่ะ? หน้าตาก็ได้”

“นี่อยากรู้ไปทำไมน่ะ!?”

“ก็จะถามว่าใช่คนนี้รึเปล่า?”

“หา?” คาร์เมนเงยหน้ามองเพื่อนอย่างฉงนสงสัยก่อนไล่สายตามองตามเรียวนิ้วอีกฝ่ายไป...แล้วก็พบกับเออร์แฟนที่ยืนมองเขาอยู่! “เวรเอ๊ย!! แกมาที่นี่ทำไม!?”

“มาตามคุณกลับไงครับ” เออร์แฟนเอ่ยเสียงเรียบด้วยใบหน้านิ่งเฉยอันเป็นสีหน้าปกติเวลาที่เขาทำงานข้างนอกอยู่แล้ว

“ไม่กลับ! ...แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่!?” คาร์เมนถอยกรูดไปจนติดขอบโซฟาอีกฝั่งเมื่อเห็นเออร์แฟนเดินเข้ามาใกล้ตน “สตอร์คเกอร์!”

“ลาซารัสบอก” ไม่พูดเปล่าแต่ยกมือถือขึ้นโชว์หน้าจอแชทที่ลาซารัสอธิบายว่าตัวเขากำลังจะไปที่ไหนด้วย

นี่มันขายเพื่อนชัดๆ เลยไอ้เจ้าหนูไฝ!!

“เดาจากนิสัยคุณแล้วก็เดินเช็คร้านโฮสต์อัลฟ่าที่เข้าข่าย แค่นี้ก็หาไม่ยากหรอกครับ แถมโอเมก้าลักษณะแบบคุณก็ไม่ค่อยจะมีเยอะนัก ยิ่งตามตัวเจอง่ายเข้าไปใหญ่”

“....ถ้าไม่กลับแล้วจะทำไมล่ะ?” คาร์เมนกอดอกแล้วมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย

“อืม ผมไม่มีสถานะอะไรที่จะขอร้องให้คุณกลับซะด้วยสิ แต่ถ้า…” นิ้วเรียวจิ้มสลับหน้าจอมือถือของตัวเองให้เป็นหน้าการโทรศัพท์...ที่กำลังโทรอยู่ด้วย โดยชื่อในสายนั้นมัน..

‘ฉันเคยขอให้นายเลิกเที่ยวร้านแบบนี้ไปแล้วนะ...’

เสียงของคาเล็มดังจากลำโพงโทรศัพท์ออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายปนเสียงถอนหายใจออกมาด้วย ทำเอาใจของคาร์เมนหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว

‘บอกก่อนว่าลาซัสไม่ได้ฟ้อง ฉันเห็นพวกนายออกไปกันสองคน แต่พอฉันโทรเช็คกลับเจอลาซัสอยู่คนเดียวเลยเค้นถามเองน่ะ’

นี่พี่โอ๋เจ้าหนูนั่นขนาดนี้เลยเรอะ!… คาร์เมนแอบรู้สึกน้อยใจที่พี่ชายตนออกตัวปกป้องลาซารัสมากอย่างออกนอกหน้า แต่ถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติล่ะก็ มันก็.. น่าหงุดหงิดชะมัดเลย

‘กลับมาแล้วขอคุยด้วยหน่อย แต่วันนี้ฉันคงยุ่งกับเอกสารยันดึกเลย คงได้คุยตอนเช้านะ’

คาเล็มตัดบทและวางสายไปโดยไม่รอให้น้องชายพูดตอบอะไร แต่คาร์เมนก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าเพราะเขากำลังจะเข้าช่วงฮีท เลยมาหาที่ระบายอย่างที่เคยทำมาตลอด แน่นอนว่ามันไม่เคยจะมีปัญหาด้วยเพราะทุกคนในร้านนี้ไม่ใช่พวกอัลฟ่าที่จ้องจะกดขี่โอเมก้าและการป้องกันก็ถูกต้องไว้ใจได้ เขาถึงได้มาที่นี่ตอนนี้ ...แต่ขืนพูดไปไม่รู้เจ้าเออร์แฟนจะยิ่งใช้โอกาสนี้กักตัวเขาไว้หรือรุกเข้าหาหนักกว่าเดิมรึเปล่านี่น่ะสิ!?

“ไปๆ กลับก็กลับ” โอเมก้ารุ่นใหญ่ร่างเล็กลุกขึ้นอย่างเสียมิได้ ขอแค่ถึงบ้านแล้วหายากินให้เรียบร้อยก่อนก็พอ แล้วค่อยบอกคาเล็มตอนที่เออร์แฟนไม่อยู่ก็ได้วะ!

คาร์เมนจำใจเดินออกจากร้านประจำของตนพลางกัดฟันกรอด โชคชะตามันจะเล่นตลกอะไรขนาดนี้ ทั้งสองคนเข้าไปในรถและขับตรงกลับไปยังบ้านของคาเล็มที่นอกเมืองทันที ระหว่างทางไร้คำพูดสนทนาใดๆ ระหว่างสองโซลเมท เหมือนกับว่าเออร์แฟนแค่โดนวานมาช่วยรับคาร์เมนกลับไปเท่านั้น

ด้านสภาพอากาศเองก็ไม่เป็นใจ หลังจากรถยนต์คันหรูขับออกจากโฮสต์อัลฟ่ามาได้สักพัก ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตามที่พยากรณ์อากาศได้บอกไว้ว่าเย็นนี้จะมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้การจราจรติดขัดเป็นระยะ ยิ่งเป็นเวลาเลิกงานด้วยแล้วถนนบางเส้นก็ติดหนักราวกับเป็นอัมพาต

แต่...อะไรก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าสถานการณ์ในรถตอนนี้ นั่นเพราะคาร์เมนที่ตั้งใจจะออกมาหาความสำราญนอกบ้านแต่แรก ไม่คิดว่าจะมาเจอโซลเมทข้างนอก ก็เลยไม่ได้พกยาระงับฉุกเฉินติดตัวมาเลย แถมคาร์เมนก็ใกล้ช่วงฮีทอีกด้วย เพราะงั้นกลิ่นฟีโรโมนที่ได้รับในรถตอนนี้เลยยิ่งหอมหวนอบอวลเป็นพิเศษ …สถานการณ์สุ่มเสี่ยงสุดๆ!

“ถึงรถจะไม่ได้แล่นอยู่แต่ก็คาดเข็มขัดด้วยสิครับ” อัยการหนุ่มโน้มตัวเอื้อมมือไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยฝั่งข้างคนขับ จมูกเจ้ากรรมของคาร์เมนก็ดันเผลอสูดกลิ่นระยะประชิดเข้ามาอีก กลิ่นฟีโรโมนของเออร์แฟนที่ลอยเข้ามาแตะจมูกบางเบามันทั้งหอมน่าหลงใหลชวนดึงดูดขึ้นมาก จนคาร์เมนต้องรีบกดปุ่มเปิดหน้าต่างรถออกเพื่อระบายกลิ่นออกไปให้เบาบางลง แม้มันจะทำให้เขาโดนฝนที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างก็ตาม

“ทำอะไรน่ะ!? เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก!” เจ้าของรถมิได้ห่วงว่าเบาะรถจะเปียกแต่คิดถึงสุขภาพคนที่นั่งข้างๆ แล้วรีบกดปุ่มเลื่อนหน้าต่างขึ้นล็อค ก่อนจะรู้สึกตัวได้ว่าในรถมันมีกลิ่นหอมกลิ่นอื่นที่มิใช่น้ำหอมปรับอากาศในรถของตน

“คุณ...ไม่ได้ฉีดน้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมนไว้เหรอ?” เออร์แฟนทักขึ้นเมื่อรับรู้ถึงได้กลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้เอะใจว่าคาร์เมนเข้าช่วงฮีทหรืออะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติของอัลฟ่าและโอเมก้าที่เข้าใกล้กัน แถมนี่ก็นั่งอยู่ห่างกันไม่มาก ไม่แปลกหรอกถ้าหากจะได้กลิ่นบ้าง แค่รู้สึกว่ามันรุนแรงชัดเจนกว่าทุกที

“โดนสั่งห้ามใช้ยาและของที่เกี่ยวข้องหมดทุกอย่างถ้าไม่จำเป็น” คาร์เมนที่เปียกปอนไปครึ่งตัวตอบเสียงแข็งเพราะไม่อยากจะเสวนาด้วย และเอื้อมไปกดหรี่แอร์เพราะอากาศเริ่มจะหนาวขึ้นมา

“ก็ดีเหมือนกัน ร่างกายคุณจะได้พักฟื้นบ้าง” เออร์แฟนเคยเห็นตอนที่คาร์เมนกินยาอยู่สองสามครั้ง ปริมาณมันมากกว่าปกติของคนทั่วไปที่แพทย์จ่ายให้ จนเขาเองก็กังวลว่าตับไตของโซลเมทตัวเองจะพังเอาได้ ยิ่งเหลืออยู่ข้างเดียวแล้วด้วย...

‘ชิบ...มันเอาแล้วไง’ คาร์เมนสบถในใจ กลิ่นฟีโรโมนจากโซลเมทของเขามันหอมเย้ายวนขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้มีหวังเขาได้ฮีทก่อนจะถึงบ้านพี่ชายแน่ๆ ไม่รู้ว่าเออร์แฟนได้พกยาฉีดระงับอาการฮีทไว้มั้ย แต่ก็สุ่มเสี่ยงเกินไปที่จะถามอยู่ดี “เลี้ยวซ้ายแยกหน้า”

“หือ? ทำไมเหรอครับ?”

“ไปอพาร์ตเม้นท์ฉัน”

“เอาของ..? หรือคุณจะแวะเปลี่ยนชุด?”

“บอกให้ไปก็รีบไปเถอะน่า!!” คาร์เมนหันมาตวาดใส่คนขับรถ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนนับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเลยที่เออร์แฟนโดนคนข้างๆ ขึ้นเสียงอย่างมีน้ำโหจริงจังขนาดนี้ เขาเลยยอมทำตามโดยเก็บความสงสัยไว้ในใจและขับรถเลี้ยวไปตามทางที่คาร์เมนบอกแต่โดยดี ระหว่างขับไปอัยการหนุ่มก็เริ่มเอะใจที่กลิ่นฟีโรโมนมันยิ่งทวีความหอมรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

เมื่อมาถึงหน้าอพาร์ตเม้นท์ในย่านที่พักอาศัยของคนทำงานกลางคืน ฝนก็ยิ่งเทกระหน่ำตกลงมามากขึ้นจนพื้นถนนมีน้ำเอ่อล้นขึ้นมาถึงระดับข้อเท้า เออร์แฟนนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยเพราะเขาเริ่มมั่นใจแล้วว่าโซลเมทของเขาคงฮีทแน่ๆ แถมกลิ่นนี้มันหอมรัญจวนยิ่งกว่ากลิ่นไหนๆ ที่เออร์แฟนเคยได้รับรู้มา แต่สติยั้งคิดยังพอจะเหลืออยู่บ้าง และเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยคาร์เมนโดยที่ไม่มีการล่วงเกิน

“จะเอายาหรืออะไรก็บอกผม เดี๋ยวขึ้นไปเอามาให้”

“ไม่ต้อง...นายกลับไปได้แล้ว ฉันจะนอนค้างที่นี่” ไม่พูดเปล่า มือกดเปิดประตูรถหรูและปิดกระแทกเสียงดัง ก่อนก้าวสามขุมฝ่าฝนเดินล้วงกระเป๋าหาคีย์การ์ดสำหรับเปิดประตู แต่เหมือนจะทิ้งช่วงไม่ได้มานานเกินไป หรือไม่ก็บัตรมันเปียกน้ำจนขัดข้องประตูจึงไม่ยอมเปิด คาร์เมนพยายามเช็ดคีย์การ์ดให้แห้งและเอาบัตรรูดเครื่องซ้ำๆ จนชักหงุดหงิดที่อะไรๆ วันนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง นี่ถ้าเออร์แฟนไม่โผล่มาที่ร้านเขาก็คงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้หรอก

พอเสียงเครื่องรูดคีย์การ์ดทำงานได้สักที คาร์เมนก็เดินตรงไปยังหน้าลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดออกขณะกำลังจะรีบก้าวเข้าไปด้านในก็ต้องชะงักกึก เพราะเออร์แฟนกลับเดินตัวเปียกชุ่มผ่านประตูลิฟต์เข้ามาด้วย นี่เดินตามหลังเขาเข้ามางั้นเหรอ!?

“จะตามมาทำไม! บอกว่าให้กลับไปไง!” คาร์เมนรู้สึกพลาดที่ไม่รอให้ประตูเข้าออกที่พักปิดสนิทดีก่อน เพราะไม่คิดว่าเออร์แฟนจะตามติดถึงขนาดนี้ “กลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะเรียกคนดูแลอพาร์ตเม้นท์มาไล่นายออกไป”

“สภาพนี้คุณจะดูแลตัวเองยังไง มาค้างนอกบ้านกะทันหัน แล้วไหนจะเสื้อผ้าสำหรับใส่เปลี่ยนกับเสบียงตุนสำหรับเก็บตัวในห้องตลอดสัปดาห์อีกล่ะ แล้วอุปกรณ์สำหรับช่วยตัวเองคุณมีแล้วรึไง?” อัยการหนุ่มร่ายเป็นชุด ทำเอาคาร์เมนไม่รู้จะเถียงกลับไปยังไง เพราะไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนั่นเขาไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยสักอย่าง (ก็ที่โฮสต์อัลฟ่ามันมีครบเครื่องอยู่แล้ว เขาก็เลยมาตัวเปล่าๆ)

เดี๋ยวนะ...เจ้าเด็กนี่รู้เรื่องที่เขาเข้าช่วงฮีทแล้วงั้นเรอะ! ความแตกจนได้  แถมพอรู้ตัวอีกที ลิฟต์ก็ขึ้นมาถึงชั้นที่เขาพักอยู่เสียแล้ว 

โอเมก้ารุ่นใหญ่ทว่าร่างเล็กเดินหงุดหงิดนำหน้าโซลเมทไปถึงห้องพัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว ดวงตาสีทองของร่างสูงก็กวาดมองไปทั่วห้องที่ว่างเปล่าแทบไม่มีอะไรเลย นอกจากโซฟาและเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานของห้องพักทั่วไป และเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชิ้นอย่างทีวีตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ ที่เหลือก็แทบจะไม่มีข้าวของอะไรเกินจำเป็นอยู่เลย ยังกับเช่าห้องทิ้งไว้อย่างนั้น ที่พอจะดูดีหน่อยก็คงเป็นที่นอนซึ่งดูจะเป็นชิ้นที่สภาพดีที่สุดแล้วในห้องนี้

“...อยากได้ของใช้อะไรบ้าง ผมจะไปจัดการให้” เออร์แฟนถามความต้องการของเจ้าของห้องแทนการเสนอให้ไปเช่าโรงแรมที่ดีกว่านี้อยู่ เพราะรู้ดีว่าคาร์เมนต้องโวยวายแน่หากเขาเสนอความคิด

“ยังไม่ใช้ ถ้าอยากได้เดี๋ยวจะติดต่อไปเอง”

“งั้นผมจะซื้อมาให้เอง ตกลงมั้ย?” อีกฝ่ายมัดมือชกและทำท่าจะกดมือถือสั่งลูกน้องในทันที นี่คิดว่าเป็นทีวีไดเร็ครึไง! กลัวว่าถ้าไม่โทรในสิบนาทีจะอดได้ทั้งส่วนลดและของแถมเนี่ย!

“ไอ้คนดื้อด้านเอ๊ย..” คาร์เมนสบถแล้วยอมถอดใจสั่งของที่จำเป็นต้องใช้สำหรับหมกตัวเป็นมนุษย์ถ้ำอยู่ในห้องพักตลอดทั้งอาทิตย์ “ขอย้ำเลยนะว่าอย่าซื้ออะไรเกินจำเป็นมา ไม่งั้นฉันโยนทิ้งแน่”

“แล้วจะให้บอกคาเล็มมั้ยว่าคุณอยู่ที่นี่?” เพราะเดิมทีตั้งใจจะมาพาอีกฝ่ายกลับบ้าน แต่ดูจากสีหน้าของคนถูกถามแค่นี้ก็พอจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าคงไม่กลับไปตอนนี้แน่นอน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันบอกพี่เอง นายไปได้แล้ว” คาร์เมนส่งแขกก่อนแล้วล็อคประตูคล้องโซ่แน่นหนา หลังจากแน่ใจว่าโซลเมทไม่อยู่แล้ว เขาก็หันหลังนั่งลงที่หน้าประตูอย่างเหนื่อยใจและก้มหน้ามองดูสภาพตัวเองที่กำลังย่ำแย่เต็มที ด้านหลังของกางเกงมันเริ่มมีน้ำหล่อลื่นซึมออกมาหน่อยแล้ว ร่างกายก็ร้อนยังกับกำลังโดนย่างสด ร่างเล็กพยายามคลานเข่าลากตัวเองไปนอนที่เตียง จัดการถอดกางเกงและชั้นในให้ร่นลงมาพอทำอะไรๆ ได้ถนัด มือข้างหนึ่งรูดรั้งแก่นกายที่มีน้ำใสปริ่ม อีกมือใช้นิ้วควานในโพรงปากให้ชุ่มน้ำลาย ดวงตาสีเขียวอ่อนหลับตาพยายามนึกถึงใบหน้าของพี่ชายที่ใช้จินตนาการเวลาช่วยตัวเอง แต่หนนี้แทนที่จะเป็นเช่นเคยมันกลับกลายเป็นใบหน้าของเออร์แฟนขึ้นมาแทนที่

ออกไปจากหัวฉันสักทีไอ้เด็กเวร! คำสบถในใจที่หากตะโกนได้คงทำไปแล้ว แถมร่างกายยังรู้สึกดีไปอีก นี่เขาเป็นบ้าอะไรไปแล้วถึงได้อยากถูกไอ้หนูผมยาวนั่นกอดกัน!?

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14.5 Up (15/9/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 15-09-2017 14:47:46
คาร์เมนดึงนิ้วออกจากปากตนและกดแทรกเข้าไปในช่องทางแคบด้านหลังที่ชุ่มอยู่ก่อนแล้ว ปลายนิ้วดันเข้าไปจนสุดโคนนิ้วและค่อยๆ ขยับหมุนวนไปมาในช่องทางที่กำลังบีบรัดนิ้วของตัวเขาเอง

“อึ่ก! อ่ะ...” ร่างเล็กปรนเปรอตัวเองทั้งด้านหน้าและหลังอย่างรุนแรงจนหอบหายใจหนัก และพลิกตัวจากเดิมที่นอนตะแคงข้างขึ้นมาอยู่ในท่าชันเข่า ใบหน้าซุกหมอนสะกดกลั้นเสียงครวญครางอย่างพึงพอใจในความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มของตัวเขาเอง

“อ...ฮ้ะ!” คาร์เมนหลดปล่อยอารมณ์ให้พุ่งถึงขีดสุด น้ำสีขุ่นเลอะเปรอะที่นอนเบื้องล่างพร้อมๆกับที่ด้านหลังตอดรัดนิ้วของตัวเองจนทั้งมือและนิ้วชาไปหมด เป็นเวลาหลายนาทีกว่าที่ร่างกายจะสงบลงให้เขาได้นอนกลิ้งนั่งก่นด่าตัวเองในใจ ก็เพราะว่าไอ้ที่ทำจนเสร็จหนนี้มันดันนึกถึงแต่หน้าไอ้เด็กอัยการนั่นน่ะสิ!

“เกลียดตัวเองจริงโว้ย!” มือกำแน่นทุบไปบนที่นอนซึ่งมันก็เด้งสปริงกลับมา คาร์เมนจึงต่อยระบายกับเตียงแทนที่กระสอบทรายมันซะเลย “นอนแม่ง…”

ดวงตาสีเขียวอ่อนหลับตาลงผล็อยหลับจากกิจกรรมที่ทำให้เหนื่อยอ่อนแรง โดยลืมนึกไปว่าเพิ่งจะเปียกฝนมาและยังไม่ได้ทำให้ตัวแห้งเลยตั้งแต่มาถึงห้องนี้


…...


ก็อก...ก็อก...ก็อก

เสียงเคาะประตูจากนอกห้องปลุกคาร์เมนที่หลับไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงให้งัวเงียขึ้นมา มือที่ยังเปรอะคราบคาวปัดป่ายไปหามือถือที่อยู่ข้างๆ มาเปิดดูเวลา นี่เขาเพิ่งนอนไปแค่สองชั่วโมงเท่านั้นหรือ? แต่ฝนฟ้าข้างนอกก็ยังคงตกลงมาไม่หยุด โอเมก้าร่างเล็กพลิกตัวและขยี้ตา เพราะเริ่มรำคาญเสียงเคาะที่ดังมาเป็นระยะ มันคงเป็นใครไม่ได้แน่นอกจากเออร์แฟน  แต่เข้ามาในอพาร์ตเม้นท์เขาได้ยังไงหลังจากออกไปแล้วกัน? แอบจิ๊กคีย์การ์ดไปเรอะ!?

ทว่า ก่อนจะนึกหาคำตอบนั้นต่อ คาร์เมนเริ่มรู้สึกมึนหัวและครั่นเนื้อครั้นตัวราวกับว่าตัวเองจะมีไข้ สงสัยไอ้ที่เผลอหลับไปทั้งที่ยังตัวเปียกจะได้เรื่องซะแล้ว..

ก็อก..ก็อก..ก็อก…

“รู้แล้วโว้ย” เจ้าของห้องส่งเสียงหงุดหงิดตอบไปและพยุงตัวเองขึ้นเดินไปเปิดประตูด้วยใบหน้าอารมณ์เสียสุดๆ

“ของได้แล้ว แล้วนี่ก็ยาระงับกับน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมน เผื่อพรุ่งนี้คุณต้องไปหาคาเล็ม” เออร์แฟนยื่นของทั้งหมดเต็มสองมือใส่หน้าคาร์เมนเมื่อประตูห้องเปิด

“...” ไร้คำขอบคุณใดๆ คาร์เมนรับของทั้งสองถุงใหญ่และถุงยาขนาดเล็กมา แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะหนักมากเลยไม่ได้ตั้งตัว เลยโดนน้ำหนักของถุงทั้งหมดดึงสองแขนจนแทบจะทรุดลงพื้น

“ไม่สบายเหรอครับ?” เออร์แฟนที่กำลังจะเดินกลับดันสังเกตเห็นความผิดปกติได้ เลยหันกลับมาถาม

“...สบายดี” คาร์เมนตัดบทแล้วพยายามจะก้มลงไปยกของขึ้นมา แต่อนิจจา ร่างกายที่เริ่มออกอาการว่าจะเป็นไข้ดันมาทำให้หน้ามืดจนแทบทรงตัวไม่อยู่เสียได้

“...คุณยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้ออีกเหรอ?” เออร์แฟนก็เพิ่งเห็นว่าคาร์เมนอยู่ในชุดเดิมเหมือนตอนที่ตากฝนตอนเดินเข้ามาในห้องพักเลย “ถึงไม่มีชุดเปลี่ยนแต่ก็น่าจะอาบน้ำสักหน่อยนะ”

ร่างสูงก้าวเข้ามาในห้องแล้วตรงไปพยุงร่างเล็กกว่าไว้ แต่คาร์เมนก็ปัดมือนั้นออกทั้งที่ตัวเองก็แทบจะลุกไม่ขึ้น

“กลับไปเหอะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” คาร์เมนจ้องกลับดวงตาสีทองที่มองมาอย่างเป็นห่วงนั่น “อยู่ต่อมีหวังฉันกับนายพลาดทำ…”

“ผมป้องกันมาแล้วนะ” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมให้ช่วย เออร์แฟนก็ปล่อยให้คาร์เมนนั่งอยู่ที่เดิมต่อ

โอเมก้ามากวัยกว่าเงยหน้าขึ้น จะว่าไป...เขาก็ไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนของโซลเมทมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเหมือนกัน “...นายฉีดน้ำหอมมา?”

“ใช่ ฉีดยาระงับอาการฮีทมาด้วย” เออร์แฟนแจกแจงเพิ่มแล้วรวบถุงทั้งหมดขึ้นมาและถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้อง เอาของกินทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะที่น่าจะเอาไว้นั่งกินข้าวเพียงตัวเดียวในห้องนั้น ก่อนเดินไปที่เตียง…

“เฮ้ย! เดี๋ยว!?” คาร์เมนเดินเอื่อยๆตามมา เขายังต้องใช้มือพยุงตัวมาตามกำแพงเพราะฤทธิ์ไข้ เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้จัดการคราบอะไรๆ บนเตียงออกเลยด้วยซ้ำ

“ผ้าปูผืนใหม่อยู่ไหนครับ”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำเอง!”

“ด้วยสภาพนั้น?” ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง คาร์เมนไม่สามารถเถียงได้ว่าเขามีแรงพอทำอะไรๆ ต่อ เลยได้แต่ชี้นิ้วไปที่ลิ้นชักตู้เก็บของข้างๆ ตู้เสื้อผ้า แล้วพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้ไม่ไกลจากเตียงนัก เออร์แฟนพยักหน้ารับรู้แล้วรื้อผ้าปูที่ยังหมาดด้วยน้ำฝนและเลอะน้ำสีขาวขุ่นเป็นจุดๆ อย่างไม่คิดอะไรมาก และนำผ้าปูใหม่มาเปลี่ยนให้อย่างเรียบร้อย พอหันมาจะเปิดปากเรียกเจ้าของห้อง ก็พบว่าคาร์เมนฟุบลงไปกับโต๊ะแล้ว “คุณไหวรึเปล่า?”

“อือ…” แม้จะตอบเสียงเบา แต่เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเจ้าของห้องยังพอมีสติอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ มือหนึ่งยกขึ้นแตะข้างแก้มอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเช็คความร้อน และเป็นไปตามคาด ร่างกายของคาร์เมนร้อนมากจนสัมผัสเบาๆ ก็รับรู้ได้ ซึ่งคาเล็มเองก็เคยพูดให้ฟังว่าต้องระวังเรื่องสุขภาพให้มาก เพราะอวัยวะภายในที่ขาดไป หากเจ็บป่วยขึ้นมาก็จะทรุดเร็วและหายช้ากว่าคนปกติ

“ทำอะไร?” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์เอ่ยถามเมื่อคนตรงหน้าจับแขนเขาให้ไปคล้องคอตัวเองไว้ เออร์แฟนไม่ตอบแต่รวบโอเมก้าตัวเล็กกว่าไว้ในสองแขนอย่างง่ายดาย แล้วพาไปนั่งบนเตียงสบายๆ เหมือนไม่ได้ยกของหนักอะไรมากมาย “...แค่เดินมาที่เตียงมันไม่ได้ลำบากนักหรอก…”

“ถอดเสื้อครับ”

“หา?”

“ใส่เสื้อตัวนั้นต่อไม่ได้หรอก ยังชื้นอยู่เลย” ว่าแล้วเออร์แฟนก็ถอดเสื้อชั้นนอกของตัวเองออกและกำลังจะถอดเสื้อตัวในให้ “เอาเสื้อผมไปใส่ก่อน”

“แล้วแกจะแก้ผ้ากลับไปรึไง!” คาร์เมนคว้าเสื้อนอกเออร์แฟนแล้วปาใส่คืนเจ้าของ เสื้อสูทเนื้อดีตกลงไปกองกับพื้นโดยที่ร่างสูงไม่สนใจจะหยิบมันกลับขึ้นมาเลย และยังทำเมินด้วยการเดินเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ ก่อนจะออกมาพร้อมกับกะละมังใบย่อมใส่น้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก

“เช็ดตัวครับ” ร่างสูงเดินมาวางอุปกรณ์ลงข้างเตียงเจ้าของห้องและหันหลังเดินกลับไป “พรุ่งนี้ชุดของคุณที่ผมวานให้ลูกน้องไปซื้อก็คงจะมาส่งให้แล้ว ทนเอาหน่อยสักคืนแล้วกันนะครับ”

เสียงประตูห้องปิดลงพร้อมกับคนที่โดนปล่อยทิ้งไว้ลำพังกับอุปกรณ์เช็ดตัวและเสื้อนอกของโซลเมท คาร์เมนโล่งใจที่อีกฝ่ายออกไปได้สักที และถอดชุดเก่าออกเพื่อเช็ดตัว จะเหลือก็แต่ผมที่ยังชื้นนี่แหละ คงมีแต่ต้องเดินไปสระผมในห้องอาบน้ำเท่านั้น
ทางด้านเออร์แฟนที่นั่งเช็คมือถืออยู่ที่โซฟาตัวเล็กนอกห้องก็กำลังแชทบอกคาเล็มว่าวันนี้คงไม่สะดวกพาน้องชายของคุณหมอกลับบ้าน เพราะฝนตกหนักและการจราจรในเมืองหลวงติดนรกชนิดขยับไปไหนไม่ได้ พอเห็นว่าคาเล็มอ่านข้อความแล้ว เออร์แฟนก็ปิดมือถือลงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ว่างมาตอบเหมือนเดิม แต่แค่ให้รับรู้ก็ถือว่าเขาบรรลุหน้าที่แล้ว ตอนนี้เลยเปลี่ยนมานั่งเหม่อมองสายฝนที่ยังคงตกลงมาไม่ขาดสายนอกหน้าต่างแทน

เขาทำตัวน่าขนลุกใส่คาร์เมนและเขาก็รู้ตัวเองดี แต่เอาจริงๆ แล้วคือเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี? ทีแรกก็รู้สึกฝืนอยู่เหมือนกันที่ต้องทำใจรักโซลเมทที่ไม่มีอะไรตรงสเป็คกับที่ตนวาดฝันไว้สักอย่าง แต่ที่เออร์แฟนต้องการเปิดใจลองคบอีกฝ่ายดูนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของบาร์เทนเดอร์คนนั้นคนเดียว เขาใช้เวลานั่งคิดอยู่นานพอสมควรหลังจากสร่างเมาแล้ว ว่ามีเหตุผลอะไรไม่ให้เขาลองทำความรู้จักกับอีกฝ่ายก่อน? ทั้งๆ ที่อาชีพอัยการของเขาก็เป็นอาชีพที่ว่าด้วยเรื่องของเหตุและผลอยู่ หากจะทำตัวเป็นเด็กๆ ด้วยการไม่ยอมรับตัวตนของคนๆ หนึ่งโดยไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอกันสักนิดก็คงไม่เป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย

แต่...สิ่งที่เขาทำอยู่นี่ก็เหมือนการดันทุรังแบบเด็กๆ รึเปล่านะ?

นี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนๆ แล้ว แต่คาร์เมนดูไม่ค่อยอยากจะเปิดใจด้วยสักเท่าไหร่ เรื่องนี้พอจะเข้าใจได้ เขาเองก็ลองหมดทุกวิถีทางแล้ว ท่าทางอีกฝ่ายคงไม่ชอบหน้าเขาจริงๆ ซะด้วย…เพราะเรื่องที่ทำไว้กับพี่ชายของอีกฝ่ายงั้นสินะ?...

แอ้ด..

ประตูห้องนอนเปิดออกแล้ว คาร์เมนที่เพิ่งสระผมมาดูเแปลกตาไปมากแทบไม่เหลือเค้าแยงกี้คนเดิม โอเมก้ารุ่นใหญ่ร่างเล็กเช็ดตัวจนแห้งแล้วก็เดินโงนเงนออกมาคุ้ยหาของกินในถุงที่ตั้งไว้บนโต๊ะโดยไม่มองหน้าเจ้าของเสื้อที่เขากำลังสวมอยู่ด้วยซ้ำ

“นี่อะไร?” คาร์เมนหยิบกระป๋องทูน่าแบบแคลลอรี่ต่ำและขนมปังโฮลวีทออกมา “ฉันไม่ได้สั่งนะ”

“อ่ะ อันนั้นของผมเอง” เออร์แฟนเดินไปหยิบทั้งสองอย่างออกมาจากมือของคาร์เมน และเอาของๆ ตัวเองที่มีปริมาณน้อยแยกออกมาต่างหาก “ที่นี่มีเครื่องปิ้งขนมปังมั้ยครับ?”

“อยู่ในกล่องใต้เคาท์เตอร์ข้างตู้เย็น” คาร์เมนบอกโดยไม่คิดจะลุกไปหาให้ แต่อย่างน้อยๆ ก็โชคดีที่ในห้องนี้ยังพอมีข้าวของเครื่องใช้สำหรับทำของกินอย่างง่ายๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ยังมีเครื่องเรือนสำหรับใช้สอยน้อยเกินไปอยู่ดี

ระหว่างที่กำลังอบขนมปังรอให้ได้ที่อยู่นั้น ดวงตาสีทองดันเหลือบไปมองช่วงต้นขาของอีกฝ่าย โชคดีที่ขนาดตัวค่อนข้างผิดกันเยอะ เสื้อเชิ้ตของเขาก็เลยยาวจนปิดส่วนสำคัญของอีกฝ่ายจนมิดชิด..

“หิวชะมัด..” คาร์เมนบ่นอุบอิบแล้วหยิบซีเรียลออกมาเทกินกับนม แถมยังกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยมากๆอีก และนั่น...นมเลอะปากจนได้

น่ารัก… เออร์แฟนเผลอคิดว่าท่าทางแบบนั้นกับการแต่งตัวมันช่างขัดกับใบหน้านั้นอย่างแปลกๆ แต่ถึงจะอายุย่างเข้าเลขสี่แล้ว คาร์เมนก็ยังมีบรรยากาศน่าเอ็นดูอยู่ดี..ผิดกับตอนที่อยู่ข้างนอกเยอะเลยแฮะ

“...จ้องอะไรไอ้เด็กโรคจิต”

ไม่น่ารักแล้ว…

“ขอโทษด้วยละกัน” อย่างน้อยเขาก็ไม่ปฎิเสธว่าแอบมองอยู่ล่ะนะ เออร์แฟนเดินกลับไปนั่งที่โซฟาแล้วเปิดมือถือเช็คข้อความอีกรอบ แน่นอนว่าไม่มีข้อความใดๆ ตอบกลับมาจากคาเล็มเหมือนเดิม.. นาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว นี่คุณหมอคนขยันยังทำงานอยู่อีกเหรอ!?

หลังจากกินซีเรียสชามโตจนหมดตามด้วยยาลดไข้ คาร์เมนก็เอาถ้วยไปวางทิ้งไว้ตรงซิงค์ล้างจานโดยไม่คิดจะล้างใดๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไปช้าๆ ทั้งป่วยเพราะพิษไข้แล้วก็อาการฮีทที่ยังรุมๆ อยู่อีก ดีที่โซลเมทของเขาฉีดทั้งน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนและกินยาระงับอาการฮีทมา  เขาเลยไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำ

“เดี๋ยวผมล้างให้เอง”

“ไม่ต้อง..” คาร์เมนตอบแค่พอให้ได้ยินแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ทำให้เออร์แฟนได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินไปล้างจานให้แม้ไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม...แม้จะดูสิ้นหวัง แต่เขาก็ทำได้แค่ทำดีกับคาร์เมนแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยหวังว่ามันจะช่วยให้อีกฝ่ายยอมใจอ่อนลงให้เขาบ้าง


…….

ร้อน… ร่างกายร้อนแทบจะละลายอยู่แล้ว

ร่างเล็กยังคงมีไข้สูงร่วมกับอาการฮีทอยู่ด้วย แม้จะกินยาระงับอาการฮีทที่เออร์แฟนเอามาให้แล้วอีกสักพักก็คงบรรเทาลงไปเอง แต่มันก็ยังทรมานเพราะพิษไข้ร่วมด้วยอยู่ดี แม้ในใจจะก่นด่าอีกฝ่ายเรื่องที่ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องไปสักที ทว่ายิ่งคิดมันก็มีแต่จะทำให้อารมณ์ร้อนตามอุณหภูมิร่างกาย เพราะงั้นคาร์เมนเลยตัดสินใจช่างแม่งแล้วก็ตั้งใจที่จะหลับๆ ไปเสียที...

ทว่า...ก่อนที่จะหลับไปจริงๆ เขาก็รู้สึกถึงสัมผัสที่หน้าของตัวเอง มือของเออร์แฟนไล่จับและเช็คความร้อนจากหน้าผากของเขา ถึงจะไม่ชอบใจแต่ก็สิ้นแรงต่อต้าน ซ้ำยังง่วงเพราะฤทธิ์ยาลดไข้จนหนังตาหนักไปหมด.. ก่อนความรู้สึกเย็นจนตัวสะดุ้งจะเข้ามาแทนที่ แผ่นเจลลดไข้ค่อยๆ ทาบลงมาบนหน้าผากร้อนผ่าว

“..ไอ้หนู?...” ดวงตาสีเขียวอ่อนพยายามปรือมองขึ้นไปหา แต่พอเริ่มรู้สึกสบายหัวเพราะความเย็นที่แผ่อยู่บนหน้าผาก ร่างกายก็ดันสั่งให้นอนพักเสียนี่

...สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือนัยตาสีทองสดสวยที่กำลังมองมาที่เขาอย่างเป็นห่วงเท่านั้น



กระทั่งรุ่งเช้ามาถึง สายฝนยังคงโปรยปรายต่อเนื่องไร้วี่แววว่าจะหยุด บานหน้าต่างเต็มไปด้วยหยดน้ำที่เกาะอยู่ด้านนอก ท้องฟ้าก็ยังคงเป็นสีเทามัวหมองเคล้าเสียงฝนอยู่แบบนั้น อากาศเย็นจนตัวสั่นทำเอาคนป่วยต้องตื่นขึ้นมาเพื่อจะลุกไปเปิดฮีทเตอร์ แม้จะไม่อยากลุกจากเตียงด้วยซ้ำ

คาร์เมนค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งเพราะไม่มั่นใจว่าที่ยังมึนๆ นี่เพราะพิษไข้หรือนอนไม่พอ แต่พอลองเอามือแตะสำรวจตัวเองไปสักพักก็พบว่าไข้ลดลงไปเยอะแล้ว ถ้าได้นอนต่อยาวๆ อีกสักหน่อยคงจะดีขึ้นมาก แต่ต้องไม่ใช่ในสภาพอากาศหนาวชวนแข็งตายแบบนี้...

ทว่า...คาร์เมนที่กำลังก้าวเท้าจะลงจากเตียงไปเปิดฮีทเตอร์ ก็พบกับร่างของอัยการหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงเขา ดูท่าทางเออร์แฟนคงไปลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าเขาทั้งคืน ศีรษะได้รูปชิดติดผนังและเอนตัวพิงหัวเตียงเป็นหลักนอนเสียอย่างนั้น ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว สองแขนยกขึ้นกอดอกเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นลงแม้ดูจะไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่นัก

นี่นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยเรอะ? แล้ว...ได้นอนเมื่อไหร่ล่ะนั่น?

“...ไม่ได้ขอให้ทำสักหน่อย” คาร์เมนจ้องอีกฝ่ายอยู่สักพัก ไม่ว่าจะมองยังไงเออร์แฟนก็เหมือนรูปแกะสลักของพวกรูปปั้นสมัยโบราณชัดๆ แทบจะหาตำหนิใดๆ ไม่ได้เลย

คาร์เมนสะบัดหัวไล่ความคิดทุกอย่างออกไปและรีบเดินไปเปิดฮีทเตอร์ อีกสักพักห้องก็คงจะอุ่นขึ้นแล้ว ร่างเล็กกลับขึ้นเตียงมานอนต่อเพราะยังเวียนหัวอยู่เล็กน้อย
...ไม่หลับแฮะ… ไม่ว่าจะพยายามข่มตายังไงก็เห็นแต่หน้าเจ้าเด็กอัยการนั่นลอยไปมาให้น่าหงุดหงิด ไหนจะกลิ่น...ชิบหาย!!
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเวลานี้ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ป่านนี้ยาที่กินหรือน้ำหอมที่ฉีดไว้คงหมดฤทธิ์ไปแล้ว ทั้งกลิ่นฟีโรโมนจากตัวโซลเมท แล้วก็ไหนจะกลิ่นที่ตกค้างอยู่ตามเสื้อของอีกฝ่ายที่เขาสวมแทนชุดนอน มันอบอวลแตะจมูกไปทั่วจนสติเริ่มไม่อยู่กับตัว ท่าทางไอ้ที่เขาตื่นนี่คงไม่ใช่เพราะว่าอากาศหนาวอย่างเดียวแล้วมั้ง!?

“อึก…” ใจอยากจะลุกไปหยิบยามากินให้หายคุ้มคลั่งกับกลิ่นของคนที่ไม่ชอบหน้า แต่ร่างกายไม่ยอมฟังที่สมองสั่ง คาร์เมนมุดผ้าห่มคลุมโปงให้ตัวเอง สองมือเริ่มลูบไล้ลงไปใต้ร่มผ้าและตรงเข้ากอบกุมเครื่องเพศที่กำลังตื่นตัวนั่น ริมฝีปากเม้มแน่นพยายามจะไม่ส่งเสียงใดๆ ออกไปเผลอปลุกเออร์แฟนที่กำลังหลับอยู่ข้างเตียง เขารู้ว่าทำแบบนี้มันเสี่ยง...แต่มันทนไม่ไหวแล้วโว้ย! ฮีทมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ตอนนี้มันถึงขีดจำกัดแล้ว!!

คาร์เมนดึงปกเสื้อของเออร์แฟนขึ้นมา กลิ่นหอมเย้ายวนจางๆ ของโซลเมทที่หลงเหลือติดอยู่ยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวง่ายเสียจนตัวเองยังประหลาดใจ ประสบการณ์ครั้งแรกตั้งแต่ตอนยังเป็นวัยรุ่นที่เขาได้รับรู้ถึงกลิ่นของอัลฟ่าคู่ขาคนแรกมันก็ทำเขาสติเตลิดไปเหมือนกัน แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เป็นถึงขนาดนี้…ไม่ว่าจะพยายามข่มตาหลับคิดถึงใบหน้าของคาเล็มหรือจินตนาการถึงตอนที่ร่วมรักกับใครต่อใครที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ภาพในหัวของคาร์เมนมีแต่เออร์แฟนเท่านั้น

“ฮึ่ก...อ่ะ..” เสียงครวญในลำคอพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ดังออกไปนอกผ้าห่ม ร่างเล็กดิ้นพล่านอย่างทรมานในพิษราคะอยู่ใต้ผืนผ้าหนา แต่ลำพังแค่มือและนิ้วของตัวเองมันไม่สามารถตอบสนองต่อความใคร่ดุจพายุโหมนี้ได้ สิ่งที่เขาต้องการคือไออุ่นของร่างกายใครสักคนที่จะมาดับความหิวกระหายนี้ให้มอดลง “...อ ไอ้หนู”

“....” ดวงตาสีทองที่ลืมตาตื่นตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงคาร์เมนลุกเดินไปเปิดฮีทเตอร์ แต่ยังแกล้งทำเป็นนอนหลับต่อเพื่อจะหาโอกาสออกไปเงียบๆ ใครจะไปคิดว่าจะได้มาเห็นภาพอะไรชวนหวิวแต่เช้าตรู่แบบนี้

ทีแรกก็กะจะแอบย่องออกไปแล้วเชียว ทว่าอีกฝ่ายก็กลับเรียกตัวเขาด้วยเสียงราวกับคนละเมอแบบนี้มันเหมือนเชิญชวนกันอยู่ชัดๆ แถม...กลิ่นฟีโรโมนของคาร์เมนตอนนี้ก็ดึงสติที่มีอยู่น้อยนิดจนกระเจิงไปหมดแล้ว 

เออร์แฟนสะบัดหัวแล้วเผลอเอามือตบแก้มตัวเองจนเสียงดัง เท่านั้นเองร่างที่ขยับไหวอยู่ใต้ผ้าห่มก็หยุดกึกโดยอัตโนมัติ คงจะรู้ตัวว่าทำเขาตื่นแล้วแน่ๆ...ถึงจริงๆ จะตื่นอยู่ตั้งนานแล้วก็เถอะ

“....เฮ้ย ตื่นแล้วเรอะ?” เสียงอู้อี้ปนหอบลอดผ่านผ้าผืนหนาเอ่ยถาม นี่ไม่คิดจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นจริงๆ สินะ

“สักพักแล้วครับ ตั้งแต่คุณลุกไปนั่นแหละ” ในเมื่อโดนจับได้ก็ไม่คิดจะตีเนียนนั่งอยู่เงียบๆ อีกต่อไปแล้ว

“เวร...แล้วแกก็ยังจะนั่งบื้ออยู่ได้อีกนะ” คาร์เมนลุกขึ้นตลบผ้าห่มออกเพราะเริ่มหายใจไม่ออก ไหนจะเพราะฮีทเตอร์ที่ทำงานแล้วอีก มือดึงแผ่นเจลลดไข้ที่หายเย็นไปนานแล้วออก ทำให้เออร์แฟนมองหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจนขึ้น ดวงตาสีทองมองใบหน้าของโซลเมทที่ยังแดงเรื่อเพราะพิษไข้ที่เพิ่งจะซาลง อีกทั้งทรงผมยังยุ่งไม่เป็นธรรมชาติเพราะไม่ได้เซ็ตผมเสยขึ้นไปอย่างทุกที แล้วไหนจะอยู่ในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตตัวเดียวของเขาอีก…

...ให้ตาย เขาดันเผลอคิดว่าคาร์เมนที่อยู่ในสภาพอ่อนแอแบบนี้น่ารักขึ้นมาอีกแล้ว

“โทษที ผมจะไปเอายามาให้คุณแล้วกัน” อัยการหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าสภาพการณ์แบบนี้มันสุ่มเสี่ยงเกินไป ต่อให้มีสติแค่ไหนก็คงขาดผึงในไม่ช้านี้แน่ 

“...ไม่ต้อง” คาร์เมนคว้ามือไปดึงผมยาวสลวยของคนที่กำลังจะลุกหนีไปจากห้องให้ลงมานั่งข้างเตียง “ฉันไม่ทนแล้ว”

“เอ๊ะ?” ร่างสูงโดนคนตัวเล็กกว่าลากขึ้นเตียงให้ไปนอนเอนหลังพิงหัวเตียง ก่อนจะโดนปลดเข็มขัดออกอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน “ดะ เดี๋ยว!”

“....ขนเกลี้ยงเชียวนะแก” คาร์เมนพูดเสียงนิ่งขณะใช้มือกอบกุมส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย “แต่ขนาดกับรูปร่างก็พอจะคาดหวังได้อยู่”

เออร์แฟนรีบเอามือดันไหล่ร่างเล็กออกห่างเมื่อคาร์เมนทำท่าว่าจะใช้ปากกับส่วนนั้นของเขา ทว่าดวงตาสีเขียวอ่อนก็แค่ถอนหายใจออกมาบางเบา

“ไม่ใช่ว่าแกเองก็ต้องการแบบนี้อยู่แล้วรึไงไอ้หนู?” มือเล็กกว่าปัดมือของอัยการหนุ่มออก “ฉันจะยอมทำกับแกให้มันจบๆ ไปก็ได้ แล้วก็เลิกคิดที่อยากจะเอาชนะฉันด้วยการเสแสร้งทำเป็นจีบฉันสักที”

“เสแสร้ง? คุณคิดว่าที่ผมเทียวไปเทียวมาหาคุณตลอดนี่เพื่อจะมาจีบคุณเล่นๆ งั้นรึไง?” เออร์แฟนขมวดคิ้วมุ่นจนยับย่นด้วยความไม่พอใจนัก และเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าเพราะอะไรทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาคาร์เมนถึงได้ตั้งกำแพงสูงไม่ยอมใจอ่อนลงให้เขาเลย “คาร์เมน ผมจริงจังกว่าที่คุณคิดนะ”

“จริงจัง? เหอะ...งั้นถามหน่อยว่าถ้าฉันไม่ใช่โซลเมท แกจะลงทุนจีบคนรุ่นลุงอย่างฉันมั้ย?” ปากไม่พูดเปล่า ปลายนิ้วแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ออกจนเปิดเผยเนื้อหนังไปถึงไหนต่อไหน “คนชอบของสวยงามสมบูรณ์แบบอย่างแกมีเหรอจะชอบของมีตำหนิแบบนี้น่ะ หา?”

เออร์แฟนจ้องดวงตาสีเขียวอ่อนที่พยายามปกปิดความน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเองด้วยความแข็งกระด้าง เขาเขยิบตัวเข้ามาใกล้แล้วดึงคาร์เมนเข้ามากอดในอ้อมแขน ทั้งที่รู้ว่ายิ่งสัมผัสใกล้กันในตอนที่ไร้การป้องกันแบบนี้มันมีแต่ความเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งทำอะไรๆ ลงไป

“ของมีตำหนิเหรอ? แปลกดีที่ผมมองว่าของแบบนี้ก็สวยงามไปอีกแบบนะ” มืออุ่นลูบรอยแผลตามร่างกายแต่ละแห่งบนตัวของโซลเมท กลิ่นฟีโรโมนที่หอมเย้ายวนของทั้งสองยิ่งดึงดูดให้ต่างคนต่างแนบชิดเข้าหากันยิ่งกว่าแม่เหล็กคนละขั้ว “ผมอาจจะเลิกสนใจของสวยงามไปตั้งแต่วินาทีที่เจอคุณแล้วก็ได้”

“...น้ำเน่าโว้ย” คาร์เมนทำท่าอยากจะอ้วกแล้วผลักเออร์แฟนจนนอนหงายลงไปก่อนตวัดขาขึ้นมานั่งทับเหนือแผ่นอกจนร่างสูงแทบหายใจไม่ออก “ปากแบบนี้เองสินะที่พูดจาหว่านล้อมแม่ฉันจนใจอ่อนน่ะ”

ปลายนิ้วหัวแม่มือของโอเมก้ารุ่นใหญ่แหย่เข้าไปในโพรงปากของคนที่อยู่เบื้องล่าง อีกมือขยับควานหามีดพับที่อยู่ใต้เสื้อแจ๊คเก็ตของตัวเองออกมาส่องกระทบแสงสีเงินวาววับ “เลาะฟันกับตัดลิ้นปลิ้นปล้อนนี่ทิ้งซะดีมั้ย?”

“ค...คาร์เมน” เออร์แฟนหน้าซีดเมื่อโลหะสีเงินจ่อเข้ามาใกล้ใบหน้า แต่มันกลับเลื่อนต่ำลงไปกรีดเสื้อสูทของเขาเป็นรอยยาวแทน “มันอันตรายนะครับ เดี๋ยวพลาด…”

“ถ้าไม่อยากให้มันกรีดลงบนหน้าของแกก็อยู่นิ่งๆ ซะ” คาร์เมนเสียบมีดจนมิดด้ามไว้ที่หัวเตียงและเลื่อนตัวลงมาหาส่วนอ่อนไหวของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง “ฉันอนุญาตให้ซนได้เฉพาะไอ้หนูของแกเท่านั้น”

ปลายนิ้วและมือที่ชำนาญกิจกอบกุมท่อนเอ็นอุ่นให้ตื่นตัวจนมันแข็งสู้ ก่อนคาร์เมนจะยกสะโพกขึ้นและจับให้มาจ่ออยู่ตรงปากทางเข้าของตัวเอง “ใครใช้ให้แกดู หลับตาไป หรืออยากโดนควักลูกตา หา?”

ดวงตาสีทองรีบหลับลงตามคำสั่งนั้น ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความอุ่นคับแน่นที่กดลงมาตอดรัดส่วนหัวของเอ็นอุ่นจนเผลอกัดปากด้วยความเสียวซ่าน ตอนนี้คาร์เมนกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เขาอยากลืมตาขึ้นมองดูเป็นที่สุด แต่ก็แอบกลัวว่านั่นอาจเป็นภาพสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนจะต้องตาบอดไปตลอดชีวิต

“ฮ่ะ! อ่ะ..” เสียงครางต่ำของคาร์เมนเริ่มเปล่งออกมาตามแรงอารมณ์ของตัวเองที่พุ่งขึ้นสูง ความกระสันซ่านได้รับการตอบรับนี้ทำให้เนื้อเต้นจนแทบเป็นบ้า

“...” เออร์แฟนเม้มปากแน่น สะกดกลั้นตัวเองไม่ให้เผลอทำอะไรโง่ๆ ตามใจตัวเองเพราะเกรงว่ามีดที่ปักอยู่บนฟูกใกล้ๆนั้นจะเปลี่ยนมาเสียบกลางกบาลเขาแทน แต่สัมผัสเสียวซ่านที่คาร์เมนขยับตัวปรนเปรอตัวเองอย่างเอาแต่ใจนั้นมันจะทำเขาสติหลุดอยู่หลายครั้งเหมือนกัน

กลิ่นฟีโรโมนหอมหวนจากตัวทั้งคู่เริ่มฟุ้งไปทั่ว คาร์เมนมองลงมายังอัยการหนุ่มใต้ร่างที่หลับตาแน่นอย่างน่าเอ็นดูจนเขาเผลอกระตุกยิ้มออกมา อยากจะก้มลงไปสูดกลิ่นหอมๆ นี่ให้เต็มปอดอยู่หรอก แต่เขาไม่อยากก้มลงไปใกล้ไอ้หมอนี่นี่นา!

“ชันเข่าขึ้นมาหน่อย” คาร์เมนเอ่ยปากขอด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับ เออร์แฟนก็ทำตามให้อย่างว่าง่าย สองแขนใช้เข่าของอีกฝ่ายเป็นหลักยึดตัวเองก่อนเริ่มขยับสะโพกเร่งเร้าขึ้นกว่าเดิม “อ่ะ! ฮ้ะ!...”

ช่องทางร่วมรักดูจะจริงใจต่อความรู้สึกที่สุดแล้ว ทั้งตอบรับความรู้สึกของคาร์เมนด้วยการตอดรัดส่วนแข็งขืนรุนแรง ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นจนน่าหงุดหงิด แต่มันก็รู้สึกดีเกินกว่าที่จะคิดเรื่องอื่น รู้สึกดีเกินไปแล้ว!

“ฮ่ะ…อา” เสียงครางต่ำลอดไรฟันของคนที่อยู่เบื้องล่างเองก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน ภายในตัวของคาร์เมนมันทั้งนุ่มทั้งลื่นและร้อนแรงจนเขาแทบคลั่ง สาบานได้เลยว่าไม่เคยเจอใครลีลาเด็ดเสียจนทำเขายอมสยบได้ขนาดนี้ “ดี...ดีจัง”

“อย่ามาทำหน้าพอใจเหมือนว่าแกได้อะไรจากฉัน ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” สะโพกแน่นยกขึ้นจนเกือบสุดก่อนกดกระแทกลงมาในทีเดียว 

“ฮ้ะ! ดี...แบบนั้น อา!” ร่างเล็กครางอย่างสุขสม ช่องทางอุ่นคับแน่นกลืนกินส่วนแข็งขืนของร่างสูงจนหมด ภายในเต้นตุบๆ อย่างหิวกระหายแถมยังกระแทกลงมาซ้ำๆอย่างเอาแต่ใจ “ทำตัวดีๆ น่ารักให้ได้แบบนี้สิ เดี๋ยวฉันจะตบรางวัลให้เอง”

“...ของแบบนั้น ผมไม่อยากได้หรอก” อัยการหนุ่มกัดฟันพูดตอบ ในที่สุดเขาก็อดทนต่อแรงเสียดสีเร่าร้อนรุนแรงนี้ไม่ไหว สองมือคว้าจับเอวคนข้างบนแน่นให้กดลงมาในจังหวะที่สะโพกของเออร์แฟนกระแทกสวนขึ้นไป เอ็นร้อนกระตุกกายปลดปล่อยหยาดน้ำสีขาวขุ่นเข้าไปในช่องทางคับแน่นของคาร์เมน

“อะ...ไอ้เด็กเวร ใครอนุญาตให้แกเสร็จเร็วขนาดนี้วะ!” ดวงตาสีเขียวอ่อนเบิกตากว้างที่อีกฝ่ายเสร็จสมภายในตัวเขาแถมยังดันเข้ามาจนเกือบสุดอีก

“คุณเล่นทำอยู่ฝ่ายเดียวจะให้ผมควบคุมตัวเองได้ไง!” ร่างสูงยื่นอุทธรณ์ต่อคนข้างบนที่กล่าวหาเขา “ถ้าอยากจะควักลูกตาผมก็เอาเลย เพราะผมก็จะไม่ทนแล้วเหมือนกัน”

“ฮะ เฮ้ย!?” ร่างเล็กเสียหลักเพราะอีกฝ่ายเอาเข่าลงกะทันหัน เขาจับคาร์เมนคว่ำหน้าและพลิกมาเป็นฝ่ายนำอยู่ข้างบน “ปล่อย! แกไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับฉันนะ!”

“คุณเริ่มก่อนเองนะครับ ผมพยายามอดทนแล้ว” จมูกได้รูปโน้มตัวลงมาที่หลังคอปราศจากร่องรอยใดๆ ของร่างเล็กแล้วแกล้งอ้าปากงับเหมือนจะกัด “น่าแปลกใจจริงนะที่อายุขนาดคุณยังไม่เคยถูกตีตรามาก่อน”
 
“อย่านะ! อย่ากัด!” คาร์เมนออกแรงดิ้นแต่ท่วงท่าดันเสียเปรียบกว่าที่คิด ถ้าโดนกัดล่ะก็มีหวังเขาต่อต้านขัดขืนเจ้าเด็กนี่ไม่ได้แน่ แค่กลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่ายก็ทำเขาสติหลุดจนคว้าตัวมากอดระบายความใคร่จนมันเลยเถิดมาแบบนี้แล้ว

พอเห็นคาร์เมนทำสายตาขอร้องสุดชีวิตแบบนั้นแล้วเออร์แฟนก็ใจอ่อนอยู่เหมือนกัน

“ผมไม่กัดหรอก ยังจีบคุณไม่ติดเลยจะให้ข้ามขั้นตอนได้ไง” แม้ใจจะอยากทำขนาดไหน แต่ในเมื่อเขาตั้งใจไว้แล้วก็จะขอทำตามแผนเดิมจนถึงที่สุด

“...ไอ้ที่กำลังทำอยู่นี่มันก็ข้ามไปหลายขั้นแล้วล่ะมั้ง” ถึงจะเป็นเพราะเขาที่ดันเริ่มพาข้ามก่อนก็เถอะ

“โอเค งั้นไว้ค่อยถอยกลับไปตั้งต้นใหม่แล้วกันนะครับ ไหนๆ ก็มาไกลขนาดนี้แล้ว มาต่อให้มันจบกันดีกว่า” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายบนใบหน้าของอัยการหนุ่ม 
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14.5 Up (15/9/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 15-09-2017 15:33:17
“...ไอ้เด็กเมื่อวานซืน…” คาร์เมนกัดฟัน แต่ตอนนี้สมองคิดอะไรไม่ออกแล้ว เพราะช่องทางด้านหลังถูกกดแทรกเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็วจนคนข้างล่างสะดุ้งเล็กน้อย

ทางเออร์แฟนก็ลำบากอยู่ไม่น้อยเพราะสองมือของเขาต้องกดข้อมืออีกฝ่ายไว้ไม่ให้ควานหาอะไรมาควักลูกตาเขาได้อย่างที่ปากว่า.. แต่คาร์เมนที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยความต้องการใดๆ ออกมาก็ให้ความร่วมมืออย่างดีจนไม่น่าเชื่อ ร่างเล็กยกสะโพกขึ้นเบียดหาความหฤหรรษ์จากคนข้างบน คลับคล้ายกับร่างกายกำลังอ้อนหาการปลุกเร้าของเขาอยู่ ผิดกับใบหน้าที่พยายามซุกซ่อนสีแดงจัดที่ฉาบไว้ เออร์แฟนเลยเผลอยิ้มให้ท่าทีน่ารักแบบนั้นและเริ่มขยับสะโพกกระแทกถี่กระชั้นขึ้นอีก

“อึกก!! ย..อย่าเร่งนักสิ!” คาร์เมนเอ่ยห้ามปรามด้วยเสียงอ่อนลงมากว่าเมื่อครู่มาก แต่สีหน้าตอนนี้กลับตรงกันข้าม ทั้งเรียกร้องและสุขสมจนปิดไม่อยู่ “อ่ะ..อ๊ะ! ไอ้..เด็กเวรเอ๊ย!”

ริมฝีปากอ้ากัดแน่นเข้ากับผ้าห่มหนาเพื่อปิดกั้นเสียงร้องของตนก่อนส่วนอ่อนไหวจะปล่อยน้ำรักสีขุ่นข้นออกมาจำนวนมาก มันมากกว่าตอนที่เขาทำกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ผ่านมาจนน่าเจ็บใจ… และไม่อยากจะยอมรับว่าเออร์แฟนทำให้เขารู้สึกดีมากแบบที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนเลย!

ร่างสูงก้มลงพรมจูบไปทั่วแผ่นหลังของคาร์เมน พยายามอดกลั้นไม่เผลอตัวกัดลงไปสร้างรอยตีตราใดๆ ให้อีกคนโมโหร้ายทีหลัง “ทำต่อเลยไหวมั้ยครับ?”

“ห้ะ? แกคิดว่าพูดอยู่กับใคร” จู่ๆ โอเมก้ามากวัยกว่าก็ดูฉุนกึกขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ปล่อยมือฉัน!”

“ถ้าสัญญาจะไม่คว้ามีดมาปักบนหัวผมล่ะก็นะ” เออร์แฟนบอกข้อแลกเปลี่ยน

“เออ! ก็ได้!”

พอได้ยินดังนั้นอัยการหนุ่มก็ปล่อยข้อมือทั้งสองออกให้เป็นอิสระ คาร์เมนดันร่างคนข้างบนออกเล็กน้อยแล้วขยับตัวพลิกมานอนหงายอย่างเปิดเผยจนอัยการหนุ่มเห็นอะไรๆ ไปถึงไหนต่อไหนหมด

“นึกว่าไม่อยากให้มองซะอีก”

“ขนาดฉันขู่ให้แกหลับตายังไม่ยอมฟัง แล้วจะห้ามไม่ให้ดูไปให้เสียเวลาทำไม” สองขายกขึ้นเกี่ยวเอวของเออร์แฟนไว้ให้ตัวเองอยู่ในท่าที่กระทำการใดๆได้สะดวกสำหรับทั้งสองฝ่าย “รีบทำให้มันเสร็จๆซะแล้วรีบพาฉันกลับสักที!”

“รู้แล้วครับๆ” เออร์แฟนขยับตัวแทรกส่วนตื่นตัวของตนเข้าไปในช่องทางชุ่มนั้นอีกครั้ง ก่อนจะก้มตัวลงมาตั้งใจจะประทับจูบกับอีกฝ่ายเสียหน่อย แต่คาร์เมนก็ใช้มือยันหน้าเขาไว้เสียก่อน “อื๋อ?”

“อย่าสะเออะมาจูบฉัน..” ดวงตาสีเขียวอ่อนฉาบไว้ด้วยความรังเกียจอยู่เบื้องลึกในไฟราคะ

“...ก็ได้” ร่างสูงถอนหายใจแล้วเลื่อนตัวลงไปจูบขบเม้มตามซอกคอและแผ่นอกเรียบที่มีรอยแผลเป็นอยู่บ้างประปราย เขาพยายามไม่กัดให้เป็นรอยแดงจนเด่นชัด ส่วนท่อนล่างก็ค่อยๆเร่งเร้าตามแรงอารมณ์ของตน ตัณหาใดๆที่มอดลงไปเมื่อครู่ก็กลับมาติดใหม่อีกคราอย่างง่ายดาย ช่องทางร่วมรักเองก็คับแน่นขึ้นมาอีกครั้ง

ร่างเล็กด้านใต้คว้าเอาหมอนมาสอดรองใต้สะโพกตัวเองอย่างรู้งาน พอได้ที่ทางเหมาะเจาะ ลำท่อนเอ็นร้อนปราศจากขนส่วนเกินก็แทรกเข้ามาเสียดสีกับจุดกระสันด้านในของตัวเขาเองอย่างพอดิบพอดี เสียงครางหวานหลุดลอดริมฝีปากที่พยายามเม้มแน่นออกมาเรื่อยๆ ร่างกายแอ่นรับสัมผัสจากทั้งริมฝีปากและนิ้วที่ลูบไล้ไปทั่วร่างอย่างควบคุมไม่ได้ แถมยังกลิ่นฟีโรโมนของเออร์แฟนก็หอมหวนชวนฝันเสียเหลือเกิน

“อึก...อ่ะ! ไอ้หนู ขยับมานี่” เสียงพร่าเอ่ยเรียก เออร์แฟนก็ก้มลงไปหาอย่างว่าง่าย คาร์เมนยกสองแขนกอดคอคนข้างบนไว้ให้ซบลงมาบนซอกคอเขา เพื่อที่ตนเองก็จะได้สูดเอากลิ่นแสนเย้ายวนนั้นได้เต็มที่ ยิ่งรับเอากลิ่นแสนรัญจวนใจนั้นเข้ามามากเท่าไหร่ ความกระสันจากช่วงล่างยิ่งทวีความเสียวซ่านจนร่างบิดเร้าด้วยความปรารถนาที่เอ่อล้น

“อา…” ใช่จะมีแต่คาร์เมนที่มัวเมาไปกับมัน เออร์แฟนก็แทบสิ้นสติควบคุมตัวเองไม่อยู่ ได้แต่ปล่อยตัวไปตามสัญชาตญาณดิบนี้ สองมือจับเอาเรียวขาทั้งสองด้านยกแยกออกกว้างให้เขากระแทกกระทั้นเข้าไปอย่างเอาแต่ใจมากขึ้น แม้ว่าจะเผลอทำรุนแรงขนาดนี้แต่ช่องทางคับแน่นกลับตอบรับอย่างดีเยี่ยม ร่างกายทั้งคู่สอดประสานจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

“อ๊ะ! อ๊า! อืมม!!” กระทั่งร่างเล็กสะดุ้งตัวโยน ร่างกายสั่นเทิ้มจากความต้องการที่แผ่ซ่านไปทั่วตัวและปลดปล่อยน้ำสีขุ่นออกมาอีกรอบ แต่ครั้งนี้คาร์เมนกลั้นเสียงร้องด้วยการกัดลงกับบ่าของเออร์แฟนจนแทบจมเขี้ยว ปลายเล็บคมจิกลงกับแผ่นหลังกว้างที่ยังมีเสื้อปกปิดอยู่แบบนั้นเพื่อระบายความรู้สึก ทั้งยังกัดไปทั่วบ่าอีกฝ่ายจนเป็นรอยฟันทั่วบริเวณ กลิ่นเลือดจางๆลอยแตะจมูกปะปนมากับกลิ่นฟีโรโมนก่อนหน้านี้

“รุนแรงจังนะ แต่ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่” เออร์แฟนยันตัวเองขึ้นเมื่อรู้ว่าคาร์เมนเริ่มสงบลงบ้างแล้วหลังจากเสร็จสมไปอีกครั้ง แต่ส่วนล่างยังคงค่อยๆขยับสอดใส่ให้เกมรักยังดำเนินต่อเนื่องเพราะตัวเขาเองก็ยังไม่เสร็จดี

“...” ภาพของคนที่อยู่ข้างบนตอนนี้มันชวนมองจนยากจะละสายตา ผมสีทองยุ่งเหยิงแต่ก็ดันเข้ากับรูปหน้าของอีกฝ่ายอย่างประหลาด ไหนจะ...สีหน้าและดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยราคะแบบนั้น เหมือนนักล่าที่กำลังล่าเหยื่ออย่างหิวกระหาย อีกด้านที่ไม่เคยเห็นนี้ทำเอาเผลอใจเต้นไม่น้อย

“ฝนข้างนอกเริ่มซาแล้ว คงต้องรีบทำเวลาหน่อยนะครับ…” เออร์แฟนยันตัวขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วเสยผมทั้งหมดขึ้น สองมือจับเอวคนใต้ร่างเอาไว้มั่น

“หา? อ่ะ! เดี๋ยวๆ!!” ร่างกายเพิ่งจะปลดปล่อยอะไรๆออกไป จู่ๆก็โดนรุกเร้ารุนแรงอีกครั้งจนร่างเล็กเผลอกรีดร้องครางเพราะความรู้สึกมากมายเอ่อล้นเข้ามาอีกรอบ เครื่องเพศที่กำลังสงบลงก็ดันตื่นตัวขึ้นมาอีกเพราะจุดกระสันที่ช่องทางนั้นถูกเสียดสีรุนแรงเป็นจังหวะ “อ๊ะ! ฮ่ะ! ก็รู้ว่ารีบ..อ๊า! แต่…”

เมฆฝนด้านนอกเริ่มเปิดทางให้แสงแดดของวันใหม่สาดส่อง แต่ภายในห้องๆหนึ่งของอพาร์ทเม้นกลับโหมด้วยพายุราคะ ภายในห้องนอนแคบมีแต่เสียงหอบครางวาบหวามสลับกับเสียงเนื้อกระทบกระแทกเป็นจังหวะอย่างน่าอายบนเตียงที่ยับย่นเต็มไปด้วยคราบร่องรอยของการร่วมรักที่ปลดปล่อยนับครั้งไม่ได้

“อา...อีก เอาอีกครั้ง” น้ำเสียงหอบพร่าเอ่ยคำๆนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ทั้งที่เหนื่อยจนแทบขาดใจตาย แต่ร่างกายกลับโหยหาแต่ความรุ่มร้อนราวกับเสพยาปลุกเซ็กส์ “มากกว่านี้...ทำยิ่งกว่านี้อีกสิ”

คาร์เมนแทบไม่รู้ตัวแล้วว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน เขาเสพสุขกับเออร์แฟนจนลืมนับว่าถูกทำให้เสร็จไปกี่ครั้ง ร่างกายที่ควรจะหมดแรงกลับไฟติดทุกครั้งที่เริ่มเกมรักใหม่ เวลานี้แทบจะไม่มีสิ่งไหนมาหยุดไฟตัณหาที่พร้อมจะแผดเผาทั้งคู่ให้มอดไหม้ลงได้

จนกระทั่ง…



ครืด...ครืด...

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเกมรัก ดึงสติให้คนทั้งคู่กลับมาจากห้วงฝันอันแสนเร่าร้อน เออร์แฟนเอื้อมมือไปดูชื่อบนจอคนโทรเข้ามาก่อนกดตัดสายทิ้งทันที

“เฮ้ย...เมื่อกี้พี่ชายฉันโทรมาไม่ใช่เหรอ?” ดวงตาสีเขียวอ่อนเห็นแว่บหนึ่งว่าชื่อคนโทรเข้ามาคือคาเล็ม “ไปตัดสายเอาดื้อๆ อะ! แบบนั้นมันจะดีเรอะ เกิดเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมา…อ๊ะ! หยุดกระแทกเข้ามาก่อนได้มั้ยไอ้นี่นิ่!”

“จะให้คาเล็มรู้ว่าผมอยู่กับคุณตอนเช้าขนาดนี้มันจะดีเหรอครับ?” ดวงตาสีทองฉายแววกรุ้มกริ่มดูไม่ทุกข์ร้อนจนน่าหมั่นไส้ เห็นแล้วมันน่าประเคนเท้า!

“....อ ไอ้..งั้นก็รีบทำให้ไวเลย!”

“ครับ” ร่างสูงยิ้มตอบรับสั้นๆแล้วเริ่มขยับตัวอีกรอบ สะโพกที่รองรับอารมณ์ต่างๆถูกยกขึ้นแทบลอยจากหมอนที่เอารองไว้ เสียงกระทบน่าอายกับของเหลวขาวขุ่นที่ปริ่มเยิ้มไปทั่วต้นขาเสียจนเหนียวเหนอะช่วยทำให้ภาพเบื้องหน้าแสนเร้าใจเหลือเกิน ยิ่งสอดใส่รุนแรงเท่าไหร่เหมือนว่าช่องทางนั้นจะยิ่งตอดรัดจนท่อนเอ็นอุ่นของเขารู้สึกดีสุดๆ “อา..คาร์เมน..”

“ไม่..อ๊ะ! ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน!” คาร์เมนหลบหน้าไปทางอื่น แต่ก็ไม่พ้นอยู่ดี ใบหน้าแดงจัดจนถึงหู รวมทั้งดวงตาสีเขียวอ่อนปรือหยาดเยิ้มน่ามองและสะโพกที่เริ่มขยับตอบรับจังหวะอย่างโหยหาทั้งที่เพิ่งจะถึงสวรรค์ไปแท้ๆ พอรู้ตัวอีกที เออร์แฟนก็ก้มลงมาใกล้จนลมหายใจรดระไปทั่วใบหน้าของร่างเล็กกว่า คาร์เมนเลยเผลอสบกับดวงตาสีทองคู่นั้นโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงหันกลับมา…

สองมือที่เมื่อครู่กำผ้าปูจนยับย่นคลายออกและเลื่อนขึ้นมาโอบคอคนข้างบนลงมาหา ประทับจูบดูดดื่มลึกล้ำอย่างลืมตัว ก่อนเออร์แฟนจะกดเครื่องเพศเข้าไปเสียจนสุด ลำท่อนแข็งขืนแทรกตัวเข้าไปจนมิดและฉีดพ่นน้ำรักจำนวนมาก การกระแทกเสียมิดด้ามครั้งสุดท้ายทำเอาคาร์เมนแอ่นสะโพกรับเพราะเสร็จสมไปอีกรอบ โดยที่พวกเขายังไม่ละริมฝีปากออกจากกันแม้แต่น้อย

“อ…” เสียงที่เบาราวกับละเมอนั้นเปล่งลอดออกมาเมื่อปลายลิ้นทั้งคู่ละจากกัน “ไอ้หนู…”

“ครับ…” เสียงทุ้มหอบเหนื่อยขานตอบ จมูกได้รูปกดลงสูดกลิ่นหอมที่ยังไม่จางหาย ก่อนจะโดนมือของคนใต้ร่างคว้าจับแก้มทั้งสองข้างไว้ให้หันมามองหน้ากันตรงๆ

“...ครั้งสุดท้ายนั่นแกใส่เข้ามาจนสุดเป้งเลยใช่มั้ยหา!? ไอ้เด็กเวร!” คาร์เมนสบถและพยายามจะขยับถอนกายออก แต่แน่นอนว่าเพราะกิจกรรมเร่าร้อนที่เพิ่งทำจนเสร็จไปทำให้ตรงนั้นของทั้งคู่มันเชื่อมติดกันอยู่

“....” อัยการหนุ่มไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ตรงไหนเลยได้แต่ซุกลงที่กลางอกของคาร์เมน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยายามจิกทึ้งผมของเขาขึ้นมาเพื่อจะด่าซ้ำให้หายโมโห แต่พอเห็นสีหน้าเขินอายนั้นแล้ว ปากก็ดันหยุดชะงักขึ้นมาดื้อๆ

“แล้วแกจะเขินทำไม!?”  อย่าว่าแต่อีกฝ่ายเลย ใบหน้าของคาร์เมนเองก็แดงระเรื่อด้วยเหมือนกัน “ฮึ่ย! ก้มหน้าลงไปเลยนะแก”

“จะไม่ด่าผมต่อเหรอครับ?” คนที่ฟุบหน้าลงนอนทับบนตัวคนสั่งกระซิบถาม

“...เหนื่อยจนขี้เกียจจะด่าแล้ว” คาร์เมนยกแขนพาดลงบนหน้าผากอย่างครุ่นคิด

ทำบ้าอะไรของเขาลงไปกันนะ... ไม่ใช่เด็กแรกรุ่นที่เพิ่งฮีทครั้งแรกสักหน่อย ที่จะได้ไม่รู้จักวิธีควบคุมอารมณ์ช่วยเหลือตัวเองแล้วน่ะ!

ยาคุมฉุกเฉินก็ไม่มี ทั้งยังไม่ได้ป้องกันด้วยการใส่ถุงอีก จะท้องมั้ยเนี่ย? แต่ที่ผ่านมาขนาดมีอะไรกันข้ามวันข้ามคืนก็ยังไม่เคยท้องกับใครง่ายๆ ครั้งนี้ก็คงจะเหมือนกัน...มั้ง? ดวงตาสีเขียวอ่อนมองเพดานห้องโล่งจนแทบหาวเพราะทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนนิ่งๆ เลยมองลงมากะจะชวนเออร์แฟนคุยฆ่าเวลาแทน

“เฮ้ย...หลับยัง?” คาร์เมนเห็นอีกคนเงียบไปเลยคิดว่าคงหมดแรงสลบไปแล้ว ไหนจะยังนอนไม่พอเพราะนั่งเฝ้าไข้เขาเกือบทั้งคืนอีก

“...มีแรงจะด่าผมต่อแล้วเหรอครับ?” พอถามดีๆ ก็โดนย้อนด้วยคำพูดแกมประชด เดี๋ยวปั๊ดทำให้หลับไม่ต้องตื่นซะเลยนี่!

“ได้ข่าวว่ารัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงอะไรนั่นมาทาบทามไปเป็นลูกเขยนี่ โอ๊ย! จะรีบลุกทำไมวะ!?” โอเมก้ามากวัยนิ่วหน้าด้วยความเจ็บที่ช่วงล่างเพราะร่างสูงดันทะลึ่งลุกพรวดขึ้นมา

“คุณรู้ได้ยังไง เห็นขลุกอยู่แต่ที่บ้านคาเล็มตลอดนี่?” ดวงตาสีทองมองสำรวจตัวเอง “แอบติดเครื่องดักฟังไว้ที่ผมเหรอ?”

ใครมันจะลงทุนเพื่อสอดเรื่องชาวบ้านขนาดนั้นวะไอ้นี่...

“เออ ตกลงว่าจริงใช่มั้ยล่ะ?” คาร์เมนยกแขนขึ้นหนุนคอนอนคุยสบายอารมณ์ผิดกับเออร์แฟนที่เม้มปากไม่อยากเล่าสักเท่าไหร่ “รีบๆ เล่ามาซะดีๆ”

“เฮ่อ…” อัยการหนุ่มยกมือเท้าแขนกับใบหน้าและยอมเปิดปากคุย“ผมปฎิเสธไปแล้วครับ”

“ห้ะ? เอาจริงดิ่? ได้ข่าวว่าลูกสาวของทางนั้นสวยยังกับนางฟ้าแถมเป็นกุลสตรีอีก โคตรจะตรงสเป็คแกสุดๆเลยไม่ใช่เรอะ? ถึงจะไม่ใช่โอเมก้าก็เถอะ”

อัยการอัลฟ่าคิดในใจว่าถ้าจะรู้ลึกรู้จริงขนาดนี้ เขายังจำเป็นต้องเล่าให้ฟังอยู่อีกเหรอ...“ก็ผมจีบคุณอยู่ จะให้จับปลาสองมือได้ยังไงล่ะครับ?”

“โง่รึเปล่าเนี่ย ถ้าได้พ่อตาเป็นถึงรัฐมนตรี อนาคตและหน้าที่การงานของแกก็จะยิ่งสดใสเลยไม่ใช่เรอะ” คาร์เมนเอานิ้วดีดมะเหงกใส่จมูกโด่งนั้นจนแดงเหมือนเพิ่งโดนผึ้งต่อยมา “แล้วทำยังกับว่ามาวิ่งตามจีบฉันแล้วฉันจะยอมคบกับแกงั้นแหละ”

“ผมแค่ปฏิเสธไปว่ายังไม่พร้อมจะมีครอบครัวตอนนี้ แต่อยากให้คบหาดูใจกันไปก่อน” ดวงตาสีทองลอบมองดูปฏิกิริยาของโซลเมท “และอีกอย่างตอนนี้ผมต้องการช่วยคาเล็มอย่างเต็มที่ด้วย เรื่องในอนาคตอย่างการแต่งงานน่ะไว้ทุกอย่างพร้อมและลงตัวกว่านี้แล้วค่อยว่ากันทีหลังก็ได้”

“...เออ นี่สิถึงจะเรียกว่าคนรู้จักใช้สมองให้เป็น” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่สายตาก็ไม่ได้มองมาที่เออร์แฟนเลยแม้แต่น้อย “ผ่านไปกี่นาทีแล้ววะเนี่ย มันยังไม่คลายตัวอีกเหรอ?”

  “ผมโกหกน่ะ…”

“...ว่าไงนะ” จากที่ทำเมินเฉยอยู่ ตอนนี้โอเมก้ามากวัยกว่าหันมาจ้องอัยการหนุ่มตาเขม็ง

“ผมปฏิเสธไปตรงๆ ว่าไม่สนใจลูกสาวของทางนั้น” เออร์แฟนก้มหน้าลงมาหาคาร์เมนที่ถอยหนีจนหัวแทบจะจมไปกับหมอน “ไม่อยากรู้เหรอครับว่าทำไมผมถึงปฏิเสธไปแบบนั้น?”

“ไม่อยาก…” ดวงตาสีเขียวอ่อนหลบสายตาไปทางอื่น “แต่แกน่ะ...โง่มากนะที่ตัดโอกาสตัวเองไปแบบนั้น”

ทำไมกันนะ...พอรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ปฏิเสธไปแล้วมันถึงได้โล่งอกแปลกๆ เขาไม่ควรจะมารู้สึกอะไรแบบนี้สิ...เป็นบ้าอะไรไปอีกคนแล้วเนี่ย!?

“คาร์เมน”

“อะไรอีก!” ร่างเล็กชักเริ่มรำคาญแล้ว นี่ถ้าไม่เป็นเพราะตัวติดกันอยู่ล่ะก็จะถีบให้หลังเดาะเลย!

“แต่งงานกับผมนะ”

“...........”



....ห้ะะะะ!?




“.......ไม่โว้ย!” หลังจากสมองชัตดาวน์หยุดทำงานไปชั่วขณะ มือของคนปฏิเสธกดหัวของคนขอแต่งงานให้ก้มหน้าต่ำลงไป “ไม่! ไม่! ไม่รับโว้ย!! เป็นบ้าอะไรของแกอีกไอ้เด็กเวร!?”

“อ่ะ ผมเผลอข้ามขั้นอีกแล้ว...งั้นขอถอยไปตั้งหลักตั้งแต่ตอนจีบใหม่อีกรอบนะครับ” สองมือรวบกอดร่างด้านใต้ไว้แน่น ไม่เห็นจะเป็นการเริ่มต้นเหมือนกับที่พูดเลยสักนิด! “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยึดติดกับคุณนัก แต่ที่มั่นใจแน่ๆคือตอนเห็นหน้าคุณผมใจเต้นทุกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า...ผมคงรู้สึกพิเศษกับคุณจริงๆ”

โอเมก้ามากวัยเงียบและฟังสิ่งที่อัยการหนุ่มพล่ามออกมา เขากำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองก็รู้สึกแบบเดียวกับอีกฝ่ายไม่ต่างกันนัก แต่...นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่เขาจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ และไม่ใช่เพราะเรื่องที่อัยการอัลฟ่าเคยทำในอดีตต่อพี่ชายเขา คาร์เมนโตพอจะรู้ความว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว คิดแค้นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา และเออร์แฟนเองก็พยายามแก้ไขสิ่งที่ตัวเองเคยทำลงไปอยู่

เพียงแต่...ต่อให้มีความรู้สึกต้องการกันและกันมากขนาดไหน เขาก็ไม่อยากผูกมัดเออร์แฟนไว้เพียงเพราะว่าเป็นโซลเมท สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตอนนี้ มัน...ไม่ได้เป็นเพราะความรักด้วยซ้ำ ที่เขาต้องการกอดอีกฝ่ายก็เพราะเข้าช่วงนั้นของปี แถมยังเป็นการบังคับฝืนใจด้วยในทีแรก มานั่งนึกเสียใจกับความผิดพลาดตอนนี้ก็สายไปแล้ว

“คาร์เมน…” เห็นโอเมก้ามากวัยกว่านิ่งเงียบไปเขาเองก็ใจคอไม่ดีนัก “ผมขออะไรคุณสักอย่างสิครับ”

“มีอะไร?...”

“ช่วยเรียกชื่อผมสักครั้งได้มั้ยครับ นะ…” เสียงทุ้มต่ำอ้อนขอจนใจอ่อนยวบ ทีแรกคิดว่าจะขอต่ออีกยกซะอีก...ทำไมคิดได้แต่เรื่องแบบนี้วะ?

“...เออร์” แค่ประโยคแรกก็ไปต่อไม่เป็นแล้ว กะอีแค่เรียกชื่อเอง มันยากเย็นตรงไหนเนี่ย!? “ฟ...ฟะ”

พูดออกไปสิว้อยคาร์เมน! แกจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย!?

“เสียงดังมากเลยนะครับ”

“หา?” โอเมก้ามากวัยกว่างงเป็นไก่ตาแตก อยู่ในห้องแค่สองคนเขาไม่เห็นจะได้ยินเสียงอย่างอื่นเลย แถมยังไม่ได้พูดชื่ออีกฝ่ายด้วยซ้ำ

“เสียงหัวใจคุณมันดังมากเลย…” เพราะใบหน้าที่ซุกอยู่ตรงนั้นมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะได้ยิน

“รีบๆลุกออกไปเลย ไป๊!” กำปั้นหนักรัวทุบเข้าที่หลังที่มีรอยเล็บและฟันของตน

“มันติดครับ ลุกไปก็เอาออกไม่ได้อยู่ดี” แต่แทนที่จะบ่นว่าเจ็บ คนโดนทำร้ายกลับลอบยิ้ม ทำไมกันนะ...หรือต่อมมาโซเพิ่งจะมารู้สึกเอาตอนนี้

“ว้อย!! มีดอยู่ไหนวะ จะเอามาเฉือนแม่งให้หลุดเดี๋ยวนี้แหละ!”

คาร์เมนอาละวาด แล้วบนเตียงก็เกิดความโกลาหลย่อมๆ อีกครั้ง



“ครับคุณหมอรอสเกรย์ บอสมีงานด่วนนิดหน่อย ถ้าเสร็จธุระแล้วผมจะบอกให้รีบติดต่อไปครับ”  มือขวาของอัยการอัลฟ่ากดวางสายหลังจากที่คุณหมอติดต่อมาที่เขาเพราะว่าโทรหาเจ้านายของตนไม่ติดนั่นเอง

การ์ดหนุ่มเบต้าเพ็ดดีกรีกดมือถือโทรเข้าเบอร์เจ้านายอีกครั้งก็ยังคงติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม  เขาเลยได้แต่นั่งตากแอร์รอในรถท่ามกลางฝนที่เพิ่งจะหยุดตกที่หน้าอพาร์ทเม้นอยู่อย่างนั้น

จวบจนกระทั่งรุ้งกินน้ำปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าเหนือมหานครแห่งความสับสนวุ่นวายนั่นแหละ บอสของเขาจึงได้ติดต่อมา ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่น้ำเสียงดูจะสดใสกว่าทุกที

ถ้าเอาเรื่องนี้ไปคุยในวงเหล้ากับบอร์ดี้การ์ดคนอื่นๆ สงสัยเขาคงโดนหาว่าเป็นบ้าแน่นอน





-----------------------


ตอนพิเศษ(รึเปล่า?) ของคู่คุณอัยการกับน้องชายคุณหมอค่ะ //เห็นหลายคนตกใจว่าไปท้องด้วยกันตอนไหน เรามาเฉลยให้แล้ว 55555

ตอนหลักอาจจะมาต่อสัปดาห์หน้าหรือสิ้นเดือนนะคะ ขออภัยที่หายยาวอีกแล้วค่าาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.14.5 Up (15/9/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 17-09-2017 11:56:38
เรียบร้อยโรงเรียนคาเมนไปแล้ว 555+
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (23/9/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 23-09-2017 06:59:30

บทที่ 17



“ทีงี้ล่ะไม่เอาเฮลิคอปเตอร์มารับเหมือนตอนบินไปพังสวนบ้านคาเล็มนะ”

“ก็คอนโดนายมีที่จอดที่ไหนกันล่ะ” ระหว่างที่คาเล็มกำลังรีบขับรถบึ่งไปที่คฤหาสน์ของตระกูลรอสเกรย์ ริชาร์ดก็ขับรถของตนมารับเออร์แฟนถึงหน้าคอนโด “เฮ้ย! แล้วนายจะไปด้วยทำไมน่ะคาร์เมน!?”

“พี่ฉันกำลังบึ่งไปบ้านใหญ่ใช่มั้ยล่ะ จะให้นั่งรออยู่เฉยๆ รึไง” น้องชายของคุณหมอเปิดประตูหลังเข้ามานั่งในรถคันหรูโดยไม่เอ่ยปากบอกหรือขออนุญาตเจ้าของรถเลยด้วยซ้ำ “พวกนายเองก็เหมือนกัน จะไปบุกบ้านคนพวกนั้นตัวเปล่าๆ นี่คิดดีแล้วเหรอ?”

“ไม่ต้องห่วง ฉันส่งพวกสาวใช้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”

“สาวใช้?” คู่โซลเมทที่นั่งข้างคนขับและที่นั่งหลังรถต่างก็ทวนคำพูดด้วยความสงสัย

“เออน่า ไว้ใจได้มากกว่าพวกเราก็แล้วกัน” ซีอีโอหนุ่มตอบอย่างไม่อายแถมยังยืดอกภูมิใจอีก “สาวๆ พวกนั้นถูกฝึกมาดี เห็นอ้อนแอ้นอย่างนั้นน่ะล้มผู้ชายตัวใหญ่กว่าได้สบายๆ”

“โห...ไม่ยักรู้ว่าคนรับใช้บ้านนายเป็น SS  (Secret Service) กันหมด” คาร์เมนอดที่จะแซวคนขับไม่ได้

“ก็ต้องมีกันบ้าง” อย่างน้อยก็อุ่นใจไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

“แต่ขนาดมีบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวก็ยังไม่วายโดนพวกของฉันอุ้มไปอยู่ดี” คาร์เมนหัวเราะใส่พลางตบเบาะรถ ริชาร์ดเลยหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย

เมื่อทุกคนตกลงใจขึ้นรถมากันพร้อมหน้า  ริชาร์ดก็เหยียบคันเร่งจนมิดราวกับว่าถนนมันโล่งนัก.. แต่นับว่ายังโชคดีที่ตอนนี้รถยนต์บนถนนไม่เยอะมากเพราะเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ทำงานกันหมด กระนั้นก็ต้องขับปาดแซงซ้ายทีขวาทีไปตลอดทางอยู่ดี และแน่นอนว่าขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด

“เวรละไง พ่อแกมาโน่นแล้ว!” คาร์เมนหันไปมองหลังรถ เสียงไซเรนจากรถของตำรวจจราจรกำลังไล่จี้รถของพวกเขาตามมาติดๆ

“จับให้แน่นๆนะ” ริชาร์ดหมุนพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าซอยแคบโดยไม่สนว่ารถหรูของตนจะชนเข้ากับแผงลอยเมื่อหลุดจากตรอก หรือสอยถังขยะของเทศบาลจนกระเด็นลอยไปตกใส่หัวใคร

“เฮ้ย! ข้างหน้าเป็นคลอง!” คาร์เมนร้องตะโกนบอก ก่อนที่รถคันหรูของริชาร์ดจะแล่นทะยานบินข้ามคลองไปลงอีกฟากได้อย่างเฉียดฉิว และแล้วพวกเขาทั้งสามก็สามารถสลัดหลุดจากรถของสายตรวจไปได้

จบงานนี้บอกได้เลยว่าเจอใบสั่งยาวเป็นหางว่าวแน่...

“ถึงจะบอกว่าให้รีบก็จริง แต่ก็...ช่วยขับดีๆ หน่อยละกัน…” อัยการหนุ่มกล่าวด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย แม้จะคาดเข็มขัดแล้วแต่ก็ใช้สองมือควานหาที่จับยึดไปด้วย ก่อนจะหันไปมองโซลเมทของตนที่อยู่เบาะหลังว่ายังอยู่ดีหรือไม่ และอย่างที่คาด โอเมก้าเพียงคนเดียวในรถกลิ้งไปทางซ้ายทีขวาทีอยู่บนเบาะหลังเป็นที่เรียบร้อย “คาดเข็มขัดด้วยสิครับ!”

“โทษทีๆ ...พอดีครั้งนี้เหตุการณ์มันคล้ายๆ กับเมื่อครั้งโน้นเลยใจร้อนไปหน่อย...แต่คราวนี้ฉันพอจะช่วยอะไรเจ้านั่นได้แล้วเท่านั้นเอง” ซีอีโออัลฟ่าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบผิดกับการกระทำ รถคันหรูแต่เครื่องแรงดั่งรถซิ่งในสนามแข่งเริ่มขับออกห่างจากใจกลางเมืองมุ่งหน้าไปทางชานเมืองเงียบสงบเร็วขึ้นอีก

อัยการหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เรื่องครั้งก่อนที่ริชาร์ดพูดถึงก็คงหมายถึงเรื่องคนรักของคาเล็ม.. ในตอนนั้นเขาเองก็มีส่วนที่ปล่อยให้ลูกน้องไปรับงานนั้นมาทำ แล้วร่วมมือกับพวกพี่ชายคุณหมอใช้ทั้งอิทธิพลมืดและอำนาจเงิน เล่นลูกไม้ตุกติกอีกสารพัดจนผู้นำตระกูลรอสเกรย์พ้นผิดไปได้

“อ่าฮะ ก็พอเข้าใจนะ  แล้วทำไมตอนนั้นนายถึงไม่ยื่นมือมาช่วยพี่ฉันล่ะ?” คาร์เมนยื่นหน้ามาฝั่งคนขับ สองมือเกาะเบาะหน้าไว้แน่นเกรงว่าจะกระเด้งเป็นลูกบอลอีก

“ตอนที่เกิดเรื่องฉันยังตัวเปล่าไม่มีอะไรเลย ยังเรียนมหา’ลัยอยู่ด้วยซ้ำ” ริชาร์ดตอบ ดวงตาสีเขียวอ่อนของคาร์เมนที่ซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นกันแดดแอบเห็นว่าคนขับรถตอนนี้กัดฟันกรอดราวกับเจ็บใจสุดชีวิตอยู่ “ไม่มีอำนาจพอจะต่อรองกับพ่อได้หรอก แล้วพ่อเองก็เกรงกลัวอิทธิพลพวกรอสเกรย์ด้วย ...ตอนนั้นทั้งตระกูลนั่นแทบจะเรียกว่าครองเมืองยังได้เลย”

“นายก็เลยรอจังหวะตอนที่พอจะมีอำนาจหน้าที่ในบริษัทแล้วเตะตูดพ่อตัวเองออกไปทำไร่องุ่นใช่มั้ย?”

“หึหึหึ รู้ด้วยเหรอ”

“ข่าวใหญ่ดังออกจะตาย เจ้าลูกเนรคุณ” เออร์แฟนหัวเราะในลำคอ “ฉันเองก็มีส่วนทำให้ชีวิตหมอนั่นตกต่ำลงเหมือนกัน ถึงจะขอโทษไปแล้ว ช่วยแก้ต่างเรื่องคดียาก็แล้ว… แต่ทุกวันนี้แค่คิดถึงเรื่องในตอนนั้นก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี…”

“ไม่พูดว่าต้องเลี้ยงปากท้องคนในบริษัทแล้วเหรอ?” คาร์เมนหันมาแขวะโซลเมทตัวเอง

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ผมที่เพิ่งเป็นอัยการได้ไม่กี่ปีเองก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์เลือกลูกความ เราทุกคนล้วนทำตามหน้าที่ แต่ไม่ได้แปลว่าผมไม่รู้สึกผิดต่อคาเล็มพี่ชายคุณนะ”

“เออๆ เอาเถอะ” คาร์เมนถอยไปนั่งที่เบาะหลังแล้วคาดเข็มขัดให้เรียบร้อยแม้ตอนนี้ริชาร์ดจะไม่ได้ขับฉวัดเฉวียนให้เวียนหัวแล้วก็ตาม “...ฉันเองก็ไม่ได้อยู่ทำอะไรเพื่อพี่ตอนนั้นเหมือนกัน ไม่มีสิทธิ์ต่อว่าพวกนายสองคนหรอก ว่าแต่...”

“อะไร?”

“ในรถนายมีถุงมั้ย จะอ้วก…” คาร์เมนยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทำท่าพะอืดพะอม

“เฮ้ย! เดี๋ยววว! กลั้นไว้ก่อนสักนาทีได้มั้ย!?” สองอัลฟ่าในรถกุลีกุจอรีบหาอะไรสักอย่างมารองรับ

“เอ้า! ใช้แก้วนี่ไปก่อน!” เออร์แฟนคว้าแก้วกาแฟที่อยู่ในลิ้นชักข้างคนขับส่งให้คาร์เมน

“ว้าก! ไอ้นั่นไม่ได้นะ!”

ช้าเกินกว่าที่จะห้ามทัน แก้วกาแฟของร้านโคลวิสรุ่นลิมิเต็ดที่ริชาร์ดได้มาหลายปีแล้ว กลายสภาพไปเป็นกระโถนรองให้คาร์เมนเรียบร้อย และซีอีโอหนุ่มคงไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกเป็นครั้งที่สองแน่

“ทีหลังเมารถก็ไม่ต้องตามมานะ…” ริชาร์ดขับต่อไปพลางถามตัวเองว่าทำไมไม่จอดรถซะตั้งแต่ทีแรก ต้องเสียแก้วใบสวยไปฟรีๆ เลย

“ไม่ได้เมา แต่กลิ่นในรถนายโคตรเหม็น”

“พูดซะเสียเลย ฉันให้คนทำความสะอาดรถตลอดนะ นายน่ะเป็นอะไรรึเปล่าเห็นเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาด้วยนี่?”

“เออ งั้นสงสัยคงแพ้ท้องมั้ง”

“อ่อ แล้วไป...หา!?” ริชาร์ดหน้าเหวอหันมาจ้องหน้าน้องชายเพื่อนสนิท จนเออร์แฟนต้องช่วยหมุนพวงมาลัยหลบรถคันข้างหน้า หวิดเสยท้ายจนเกิดอุบัติเหตุแล้วมั้ยล่ะ “นะ...นายท้องเหรอ? เฮ้ย! งั้นไอ้ที่ย้ายมาอยู่คอนโดของเออร์แฟนนี่มันก็หมายความว่า…”

“เออ ไว้คุยเรื่องนี้ทีหลัง แต่ถ้าไปช่วยพี่ชายฉันไม่ทันล่ะก็คราวนี้นายโดนอุ้มไปโยนทะเลจริงๆแน่”

หลังจากนั้นในรถก็มีแต่ความเงียบ เพราะอัลฟ่าทั้งสองไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามเรื่องนี้ออกมาให้โอเมก้าที่อยู่เบาะหลังรำคาญหู

“เหนื่อยหน่อยนะเออร์แฟน...” ริชาร์ดมองอย่างเข้าใจคนหัวอกคล้ายๆกัน เพราะที่บ้านเขาเองก็มีโอเมก้าที่อัพเลเวลจนแข็งแกร่งอีกคนหนึ่งเช่นกัน

“ขอบใจ…”

“พวกนายคุยอะไรกันวะ?”

“ไม่มีอะไรคร้าบคุณคาร์เมน” สองอัลฟ่าตอบด้วยความเกรงใจอย่างพร้อมเพรียงกัน

สถานะพีระมิดของผู้อยู่จุดสูงสุดตอนนี้สลับกันอย่างเห็นได้ชัดเลย...



เสียงประตูห้องนอนบานใหญ่ปิดสนิทลงพร้อมกับแสงจากทางเดินที่หายวับและใบหน้าสุดเย็นชาของแพทย์ประจำตัวของคาร์บฮอลล์ที่มองร่างของลาซารัสที่กำลังสั่นเทิ้มอยู่กับพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบของห้องนอนจนวินาทีสุดท้าย

“อือ...อา..” เสียงครวญครางจากโอเมก้าหนุ่มกับกลิ่นฟีโรโมนที่ถูกทาป้ายไปทั่วคอยิ่งเรียกร้องเชิญชวนให้อัลฟ่าสูงวัยบนเตียงค่อยๆ ลุกเดินมาหาเขาด้วยสัญชาตญาณ

ร่างสูงใหญ่ทว่าก็แสนซูบผอม กระนั้นลาซารัสก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นคนที่ตัวใหญ่และแข็งแรงมากมาก่อน คาร์บฮอลล์จับบ่าลาซารัสแล้วออกแรงเพียงนิดพลิกร่างโอเมก้าตัวเล็กกว่าให้นอนราบไปกับพื้น ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างสองขาเรียวนั่นอย่างรวดเร็ว สองมือปัดป่ายไปทั่วร่างกายเบื้องล่างก่อนเริ่มฉีกกระชากเสื้อลาซารัสออกอย่างยากลำบาก

“ได้ล่ะ!” แต่เมื่อคาร์บฮอลล์เท้าแขนขวาลงมาบนตัวเขา เรียวขาทั้งสองก็ตวัดขึ้นรวบเอวอีกฝ่ายไว้ แขนข้างซ้ายของลาซารัสเลื่อนมาจับข้อมือของอัลฟ่าสูงวัยที่อยู่บนตัวของตัวเองไว้มั่นส่วนอีกมือคอยกันไม่ให้คาร์บฮอลล์แกะออก เมื่อล็อคไว้แน่นพอแล้วขาซ้ายของลาซารัสก็ปล่อยการ์ดและเปลี่ยนมาถีบยันตรงสะโพกคนข้างบนไว้แล้วดันยกร่างกายท่อนล่างของตัวเองให้สูงขึ้น

จังหวะที่คาร์บฮอลล์กำลังงุนงง ขาขวาของลาซารัสก็ปล่อยเอวคนข้างบนแล้วยกแทรกขึ้นมาระหว่างตัวพวกเขา ตรงเข้าล็อคคออัลฟ่าด้านบนทันที ทั้งขาหนีบของลาซารัส และแขนขวาของคาร์บฮอลล์ที่โดนจับยึดไว้ทำให้เกิดการบีบรัดคอของอีกฝ่ายขึ้น

“อึ่ก! อั่ก!” ร่างสูงเริ่มดิ้นเพราะเส้นเลือดที่คอทั้งสองข้างถูกบีบและเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองจนเริ่มทรมาน

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้อยากทำร้ายคุณ แต่…” แขนขวาของร่างสูงที่โดนล็อคไว้โดนปัดออกไปทางด้านซ้ายของตัวเขาเอง ก่อนลาซารัสจะยกขาขวาของตนขึ้นมาล็อคคออีกฝ่ายเสริมแรงบีบ ตอนนี้ขาเรียวแต่มากด้วยกำลังทั้งสองล็อคอีกฝ่ายไว้เป็นรูปเลขสี่ชัดเจนจนร่างสูงอ่อนแอไม่มีทางจะดิ้นหลุด ทีแรกลาซารัสก็เกรงว่าจะต้องชกหรือตีศอกใส่ด้วย แต่เพราะอีกฝ่ายอายุมากแล้ว รวมทั้งร่างกายกับสมองที่เริ่มไม่ปกติ ทำให้คาร์บฮอลล์สิ้นฤทธิ์ในเวลาไม่นาน…

เมื่อเช็คแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายสลบไป ลาซารัสจึงปล่อยท่าที่ล็อคอยู่แล้วรีบลากร่างอ่อนแรงของคาร์บฮอลล์ไปวางไว้บนเตียง แต่ก็ดึงเสื้อคลุมตัวนอกที่เขาใส่อยู่ไปผูกมัดร่างนั้นไว้แน่นจนแน่ใจว่าถ้าตื่นขึ้นมาก็คงไปไหนเองไม่ได้

“....อา..ขอบคุณครับคุณหมอ..” ลาซารัสเช็คสภาพร่างกายของตัวเอง เขาไม่ได้ฮีทจากการถูกบังคับฉีดยากระตุ้นเลย ไม่แน่ใจว่าเพราะยาของคาเล็มที่กินต่อเนื่องจนร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกัน หรือเพราะยาที่กินไปก่อนจะโดนจับมามันยังออกฤทธิ์อยู่ หรือยาของแพทย์คนนั้นไม่ได้ผลกับเขา? ...แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขาต้องรีบไปช่วยโคลวิสก่อน!!

ลาซารัสย่องไปที่หน้าต่างเพื่อสังเกตรอบๆ คฤหาสน์ ภายนอกเป็นสวนกว้างและไกลออกไปเป็นวิวทะเลสาป ก่อนจะเห็นเมืองอยู่ห่างออกไปลิบๆ...ไกลเอาเรื่องอยู่ ท่าทางคงต้องขโมยรถสักคันเพื่อหนีไปจากที่นี่แล้ว.. ลาซารัสเดินมาที่ประตูและส่องดูที่ช่องใต้ประตูทุกมุมเพื่อหาจำนวนบอร์ดี้การ์ดที่น่าจะมีอยู่นอกห้อง “...หนึ่งคนเหรอ… น่าจะไหวล่ะมั้ง”

ลาซารัสลองบิดประตูเบาๆ พบว่ามันถูกล็อคจากด้านนอกตามที่คาด ถ้าจะออกไปทางนี้ก็มีแต่ต้องให้คนจากด้านนอกเปิดเข้ามาเท่านั้น และเขาก็ไม่อยากเสี่ยงปีนหนีออกไปทางหน้าต่างด้วย จะทำยังไงดีนะ...ขืนชักช้าล่ะก็โคลวิสจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

ช่วยไม่ได้ คงต้องเล่นไม้นี้ซะแล้วล่ะ…

“มะ มีคนอยู่ข้างนอกมั้ยครับ?” ร่างโปร่งเคาะประตูเรียกคนคุ้มกันหน้าห้องให้เข้ามา

“มีอะไร?” บอร์ดี้การ์ดต้นห้องถามเสียงแข็ง

“ช่วยเข้ามาข้างในทีครับ” บอร์ดี้การ์ดทำหน้างง เพราะคิดว่าจะถูกบอกให้เปิดประตูช่วยปล่อยออกไปเหมือนโอเมก้าคนอื่นๆที่เคยโดนลากมาที่ห้องนี้เสียอีก

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

“คุณคาร์บฮอลล์บอกให้ชวนคุณมาสนุกด้วยกันครับ” ลาซารัสพูดไปก็อยากเอาหัวโขกประตู แต่ตอนนี้ยังทำแบบนั้นไม่ได้!

“...พูดเป็นเล่น”

“จริงครับ ตะ...แต่ถ้าคุณอยากจะยืนรอหน้าห้องอยู่แบบนั้นก็ไม่เป็นไร” ลาซารัสยืนลุ้นอยู่หลังประตูว่ามุขตื้นๆ แบบนี้จะใช้ได้ผลมั้ย แต่ท่าทางอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมเข้ามาง่ายๆ… งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ! “อ่ะ!? คุณคาร์บฮอลล์ ..ตรงนี้ไม่ได้นะครับ”

“...” แต่คนเฝ้าที่อีกฟากประตูก็จิตแข็งพอจะทำเป็นไม่สนใจเสียงของโอเมก้าในห้องแล้วหันกลับไปยืนสงบนิ่งดังเดิม

...ยังไม่พออีกเรอะ… ลาซารัสหน้าแดงก่ำและเป่าแก้มอย่างขัดใจเพราะจำเป็นต้องแกล้งแสดงให้มันสมจริงมากกว่านี้ “อ่ะ! อ๊า! ดีจัง… คุณคาร์บฮอลล์! แรงอีก!! อ๊าา!!”

อยากจะเอาหัวโขกกำแพงจริงๆ ซะแล้วสิ...

ฝ่ายบอร์ดี้การ์ดหน้าห้องได้ยินดังนั้น ทั้งน้ำเสียงแสนเย้ายวนและดวงหน้ามนที่เห็นก่อนที่คนที่พวกเขาจับมาจะเข้าไปในห้องนั้นก็ลอยเข้ามาในจินตนาการ ดวงตาสีฟ้าสดสวยและรูปร่างสะโอดสะองสมบูรณ์ผิดกับโอเมก้าปกติ พอจินตนาการไปไหนต่อไหนความอดทนจึงหมดลงทันที เขาหันซ้ายขวาอยู่สักพักก่อนจะปลดล็อคประตูแล้วแทรกตัวเข้าไปในห้องอย่างเร็ว

“ไหนๆ...อั่ก!” สบตากับรอยยิ้มเสแสร้งของโอเมก้าหนุ่มยังไม่ถึงสองวิ ก็โดนใช้สันมือกระแทกใต้คางพร้อมกับเข่าที่กระแทกเข้าท้องน้อยและเป้ากางเกงซ้ำอย่างจัง แค่ไม่กี่ทีบอร์ดี้การ์ดหน้ามืดก็ลงไปกุมเป้ากองกับพื้น ขอบคุณผลของการฝึกร่างกายมาตลอดหนึ่งปีเต็มนี้จริงๆ!

แต่...ไอ้มุขยั่วสวาทที่คุณคาร์เมนสอนมาตะกี้นี้นี่ขอไม่นับได้มั้ย!

ไม่มีเวลาให้ชื่นใจผลงานได้นาน ลาซารัสรีบสับเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของตนกับบอร์ดี้การ์ด โชคดีว่าตัวเขาใส่ได้แทบจะพอดีตัว และเพื่อความชัวร์ร้อยเปอร์เซ็น ลาซารัสลากตัวบอร์ดี้การ์ดที่เกือบเปลือยกายไปไว้ที่ปลายเตียงแล้วนำสายไฟในห้องมามัดมือและเท้าเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวไปไหนได้

ลาซารัสถอนหายใจหลังออกแรงไปพักใหญ่ ก่อนขยี้ผมตัวเองเพิ่มอีกให้มันไม่เหมือนทรงเดิม พอมั่นใจประมาณหนึ่งว่าคงพอจะตบตาคนอื่นได้บ้างแล้วก็เปิดประตูห้องออกมามองซ้ายขวา แล้วรีบสาวเท้าไปตามทางเดินในคฤหาสน์กว้าง แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่แทบไม่เจอบอร์ดี้การ์ดคนอื่นเลยก็ตาม

ผััวะ!


“อั่ก…” ร่างโปร่งทรุดลงนอนราบไปกับพื้น ก่อนจะได้ยินเสียงอุทานตามมาหลังจากนั้น

“ว้าย! คุณแมทเวย์นี่นา ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะคะ!?” เหล่าสาวใช้สายบู๊ของบ้านริชาร์ดที่ลอบเข้ามาช่วยลาซารัส กลายเป็นว่าเผลอลงมือจัดการคนที่พวกเธอตั้งใจจะมาช่วยสลบคาพื้นไปแล้ว

รู้งี้ไม่น่าเปลี่ยนชุดเลยให้ตาย...

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ เจ็บตรงไหนมั้ย?”

ก็ที่หัวอ่ะครับ จังๆ เลย...

“ไม่เป็นไรๆ แต่….ขอนั่งพักสักแป๊ป” ลาซารัสยันตัวเองขึ้นมานั่งให้หายมึนก่อน “นอกจากผมยังมีคุณโคลวิสด้วย...เอ่อ เป็นโอเมก้าผมสีแดง แล้วก็ตัวเล็กกว่าผมนิดนึง”

“พวกเราเพิ่งมาถึงเองค่ะ เมื่อครู่แอบไปค้นตามห้องอื่นๆ บ้างแล้ว แต่ยังไม่พบคนที่ตรงกับที่คุณแมทเวย์ว่าเลย” สาวใช้คนที่ฟาดเขาเสียเกือบหลับนั้นเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบา “เราสี่คนขึ้นมาสำรวจชั้นบนแต่ตอนนี้อีกสองคนแยกไปอีกทาง ยังมีอีกแปดคนอยู่ที่ชั้นล่าง คุณแมทเวย์พอจะรู้มั้ยคะว่าเพื่อนของคุณอยู่ที่ไหน?”

“จำได้ครับ เดี๋ยวผมนำทางไป” ลาซารัสยื่นมือออกมาขออาวุธติดตัวจากสาวๆ  พวกเธอให้ปืนเขาไปกระบอกหนึ่ง หลังจากลาซารัสหายมึนดีแล้วเขาก็เดินนำทั้งสองคนไปตามทางเดินที่เงียบสนิท น่าแปลก... ตั้งแต่ที่เขามาครั้งแรกแล้ว ทำไมแทบไม่มีบอร์ดี้การ์ดเฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ เลย เท่าที่เห็นก็มีแต่ทางเข้าแล้วก็หน้าห้องบางห้องเท่านั้นเอง… ถึงจะดีสำหรับพวกเขา แต่นี่มันก็แปลกเกินไป

ลาซารัสเดินกลับไปยังห้องแรกที่โดนพาตัวมา แน่นอนว่ามีบอร์ดี้การ์ดโดนจัดการนั่งหมอบแอบอยู่หลังกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ไปแล้วสองคน พวกเขาเลยคิดว่าโคลวิสถูกช่วยไว้เรียบร้อยแล้ว

แต่...พอเดินเข้าไปในห้องกลับไม่ใช่ภาพที่พวกเขาหวังไว้เสียอย่างนั้น

“อ่ะ!?” ทั้งสามคนร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะในห้องนั้น.. พบทั้งคนร้ายที่ลักพาตัวลาซารัสกับโคลวิสมานอนสลบอยู่...รวมทั้งสาวใช้จากบ้านของริชาร์ดอีกสองคนที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน...แถมนั่น...เลือด!? โดนยิงเหรอ!? ดวงตาสีฟ้าตวัดมองไปยังมุมห้องมุมหนึ่ง เขาเห็นโคลวิสกำลังนั่งขดตัวอยู่ และร่างของคนอีกคนที่ไม่ได้เห็นมาก่อนหน้านี้กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งและผายมือไปทางโคลวิสราวกับกำลังเชื้อเชิญ

“อะไรกันอีกล่ะเนี่ย?” บุคคลปริศนาหันมาหาผู้มาเยือนคนใหม่ เมื่อลาซารัสเห็นหน้าชัดๆ เขาก็จำได้แทบจะทันทีว่านั่นเป็นพี่ชายคนรองของตระกูลที่เจอกันในงานแต่งเมื่อปีก่อน “โอ๊ะโอ… นั่นมันพ่อหนูสุดที่รักของคาเล็มนี่นา”

“ถอยออกมาจากคุณโคลวิสนะครับ” ลาซารัสเล็งปืนไปทางอัลฟ่าที่นั่งอยู่โดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ปล่อยให้สองสาวเข้าไปปฐมพยาบาลเพื่อนของพวกเธอที่นอนอยู่

“โอ๊ะๆ ไม่เอางี้สิ” ทว่า..มืออีกข้างคาร์เรย์ซึ่งอยู่ในมุมอับสายตาเมื่อครู่ก็ยกปืนขึ้นจ่อกลางหน้าผากของโคลวิส

“....” ลาซารัสเม้มปากแน่น ทว่าก็ไม่ยอมลดปืนที่เล็งอยู่ลงเหมือนกำลังลองเชิงกัน “จะทำอะไรกับเขาน่ะครับ?”

“นายเดาไม่ได้จริงๆ เหรอ?” คาร์เรย์หัวเราะร่วนพร้อมรอยยิ้มกว้างเสียจนเห็นฟันทุกซี่ ไหนจะน้ำเสียงแสนร่าเริงที่ดูน่ารังเกียจเหลือเกินในเวลานี้ “แต่ฉันไม่นึกเลยแฮะ ว่าไอ้หมอนั่นจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงขนาดลักพาตัวนายมาจริงๆ แถมยังได้โอเมก้าน่ารักๆ ติดมาด้วยอีกคนแน่ะ”

ลาซารัสเดาว่าไอ้หมอนั่นที่คาร์เรย์ว่าคงหมายถึงนายแพทย์คนนั้นที่เป็นต้นเรื่องลักพาตัวเขาจนพาเพื่อนๆ มาติดร่างแหด้วย “ไม่ใช่ว่าพวกคุณร่วมมือกันหรอกเหรอครับ?”

“โว้วๆ เอาฉันไปรวมกับพวกนั้นก็แย่สิ อ่ะ...แต่คนที่พูดไปว่าถ้าอยากให้พี่ใหญ่ดีใจก่อนตายก็ไปลักพาตัวนายมานั่นก็ไอเดียฉันเองล่ะนะ ก็แค่พูดเล่นๆ ไปอย่างนั้น ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้”

ลาซารัสขมวดคิ้วแน่นจนแทบเป็นปม “ปล่อยเพื่อนผมเดี๋ยวนี้นะครับ”

“ก็ไม่ได้จับตัวเอาไว้สักหน่อยนี่” คาร์เรย์แกล้งกวนโมโหทั้งๆ ที่มือข้างที่ถือปืนพร้อมจะเหนี่ยวไกได้ทุกเมื่อ “ถ้าอยากจะให้ปล่อยเพื่อนนายล่ะก็มีข้อแม้อยู่นะ…”

“อะไรครับ?”

“ยิงพวกสาวๆ ที่มากับนายซะ แล้วฉันจะปล่อยเพื่อนของนาย ให้เวลาสามนาทีถ้าไม่ยิงล่ะก็ฉันจะยิงเพื่อนนายทิ้ง” คาร์เรย์ไม่พูดเปล่าแต่ยังยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมานับถอยหลัง

“ดะ เดี๋ยว!” ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างกับเกมตัวเลือกแสนบีบคั้น แต่คาร์เรย์ก็ยังเคาท์ดาวน์ไปเรื่อยๆไม่สนใจแถมยังกดปากกระบอกปืนติดหน้าผากจนโคลวิสตัวสั่นน้ำตาไหลออกมา

“คุณแมทเวย์…” สายตาของสองสาวใช้หันหน้ามาทางลาซารัสเหมือนจะบอกให้ยิงพวกเธอได้ไม่เป็นไร แต่ร่างโปร่งส่ายหน้าด้วยสีหน้าเจ็บปวด จะให้เขายิงพวกเธอได้ยังไง นี่มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว!

“ดูนายสิ ทำหน้าตาได้น่ารักชะมัดเลย” คาร์เรย์ยิ้มกว้างมองโคลวิสที่หวาดกลัวจนแม้จะอยากร้องก็ร้องไม่ออก เวลาก็นับถอยหลังไปเรื่อยๆ ตอนนี้มือของลาซารัสสั่นและมีเหงื่อซึม สมองเค้นความคิดหาวิธีช่วยเพื่อนจนแทบจะระเบิด “เหลืออีกแค่สองนาทีครึ่งน้าา”

“ขอร้องล่ะครับ ปล่อยเพื่อนผม แล้วจะให้ผมทำอะไรก็ได้”

“อะไรที่ว่านี่คือ?” คาร์เรย์ยิ้มร่าสนุกสนานก่อนยื่นจมูกไปแตะแก้มโคลวิสที่หลับตาแน่น “ว้าว! มีกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟด้วย ขอชิมได้มั้ยเอ่ย?”

“มะ...ไม่เอา” บาริสต้าหนุ่มเบือนหน้าหลบสัมผัสขยะแขยงชวนสะอิดสะเอียนจากผู้คุกคาม ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย “ฮึ่ก...คุณริชาร์ด ช่วยด้วย...”

“พ่อพระเอกขี่ม้าขาวคงมาไม่ทันหรอกมั้ง” คนพูดเอ่ยและหันกลับไปยังลาซารัสอีกครั้ง “นี่...ถ้าไม่เลือกยิงสักทีล่ะก็สุดท้ายนายก็จะช่วยใครไม่ได้เลยนะ”

“ทำไมถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ล่ะครับ พวกคุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ!?”

“หึๆๆ...รู้สึกสิ พอเห็นทุกคนดิ้นพล่านอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วมันก็รู้สึกสนุกจนหยุดไม่ได้เลย” คาร์เรย์หัวเราะเหมือนคนเสียสติเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งจะเล่นยากับพวกเพื่อนเสเพลมาด้วย ทั้งยาทั้งของมึนเมาก็เลยเสพมาจนแทบจะเรียกว่าเสียสติก็ได้ “นี่... ถ้าจะยื้อเวลาเพื่อรอใครมาช่วยล่ะก็ฉันอาจจะเป่าสมองน่ารักๆ  ของเพื่อนนายให้กระจุยไปก่อนก็ได้นะ”

“หยุดนะ! อย่าทำอะไรโคลวิสเด็ดขาด!”

“ชีวิตบางครั้งมันก็ต้องเลือกนะ เอ้า! ว่ายังไงล่ะ เลือกได้รึยัง? ถ้าไม่ยิงล่ะก็ฉันจะได้ช่วยลดตัวเลือกให้” ปากกระบอกปืนของคาร์เรย์เล็งมาที่นักร้องหัวสีอีกครั้ง “น่าเสียดายจัง แต่สงสัยคงต้องบอกลากันตรงนี้ซะแล้วล่ะ”

“ลาซัส!!” เสียงทุ้มตะโกนลั่นดังมาแต่ไกล ลาซารัสหันไปเห็นร่างของคาเล็มที่กำลังวิ่งสุดชีวิตตรงมาทางนี้ ขณะที่กำลังจะเปล่งเสียงขานตอบออกไปนั้น…

ปังงง!!

เสียงปืนลั่นกระชากหัวใจให้หล่นวูบ ดวงตาสีฟ้าพลันหันกลับมาพร้อมกับภาพที่เต็มไปด้วยสีแดงฉาน ร่างของโคลวิสล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาตามตัวและนองไปกับพื้นย้อมเสื้อเชิ้ตสีเข้มจนเปียกชุ่มไปหมด

“อ๊าาาา!!”

ปัง!

ปัง!!

ปัง!!!


เสียงปืนในมือของลาซารัสลั่นไปสามนัดเข้าใส่ร่างของคนที่ปลิดชีพเพื่อนของตน จังหวะเดียวกับที่คาเล็มพุ่งเข้าถึงตัวลาซารัสและจับให้มือที่ถือปืนยกขึ้นไปข้างบน

“ลาซัส! ใจเย็นๆก่อน! นั่นมันปืนปลอม!!” คาเล็มยื้อแย่งปืนคืนมาและตบใบหน้ามนเรียกสติให้กลับมา ทันทีที่คำพูดของคุณหมอกรอกเข้าหู โอเมก้าหนุ่มก็ได้สติกลับมา

“เอ๊ะ!? ไม่จริง…” ลาซารัสหันกลับไปและรีบพุ่งไปหาโคลวิสที่นอนหมดสติไป มือสัมผัสลงไปกับหน้าท้องเพื่อนก็พบว่ามีรูจากการถูกปืนยิงจ่อเหมือนที่เขาจินตนาการไว้ แต่มันไม่ได้ลึกมากหากเทียบกับระยะที่ยิง ทำไมล่ะ...?

“อ่ะ ฮะๆๆ ว้าว...เสียงร้องน่ารักถูกใจพี่จริงๆเลย” คาร์เรย์ที่นอนหายใจรวยรินหัวเราะลอดปากที่กระอักเลือดออกมา “แหม..อยากให้ร้องให้ฟังในเวลาอื่นจัง♡”

“เงียบปากไปเลยไอ้เวร!” คาเล็มนั่งลงดูอาการพี่ชายคนรองของตน โชคดีไม่มีกระสุนฝังในแต่คาร์เรย์ก็เลือดออกมากจนน่ากลัวว่าอาจช็อคเพราะเสียเลือดเอาได้ เขารีบห้ามเลือดปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ทั้งสองร่างที่นอนกองอยู่ทันที

“ด...ได้ไง ก็สองคนนั้น…” ลาซารัสตบหน้าตัวเองเรียกสติสักครู่ ก่อนจะเริ่มนึกขึ้นได้ว่า กระสุนยางแม้จะไม่ได้ใช้สำหรับยิงหวังปลิดชีพ แต่หากยิงในระยะประชิดก็สาหัสอยู่ ซ้ำร้ายหากเข้าจุดสำคัญอย่างหัวหรือหัวใจก็ตายได้เหมือนกัน เคยโดนยิงจากระยะเกือบสิบเมตรโดยใส่เสื้อกันกระสุน ตัวเขายังเขียวจ้ำช้ำไปเป็นอาทิตย์เลย ...แม้จะโล่งใจที่อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย แต่ปล่อยไว้นานก็ไม่ได้เหมือนแหละ!!

“แค่ก..ดูทำหน้าเข้าสิ เดี๋ยวพี่ก็ไม่ทนหรอก…”

“บอกให้หุบปากไงโว้ย สภาพนี้ยังจะทำตัวโรคจิตอยู่อีก!”

เสียงปืนที่ลาซารัสยิงไปเมื่อครู่นั้นไม่มีกระบอกเก็บเสียงแต่อย่างใด ทำให้พวกคนในคฤหาสน์บางส่วนก็เริ่มแห่กันมาที่นี่ แน่นอนว่ารวมทั้งอาเซลแพทย์ประจำตัวของคาร์บฮอลล์ด้วย เสียงฝีเท้าแรกที่วิ่งมาคือสาวใช้และพ่อบ้านอีกกลุ่มของริชาร์ด ทุกคนรีบเข้ามาแบกพรรคพวกคนเจ็บออกจากห้องไปก่อน

“ตั้งสติก่อนนะลาซัส” คาเล็มหันมาปลอบ มืออบอุ่นลูบไปทั่วหน้าของลาซารัสเพื่อปลอบขวัญ “รีบไปจากที่นี่กันก่อน”

“ค..ครับ” ลาซารัสหันไปหยิบปืนที่ตนวางทิ้งไว้ขึ้นมาอีกครั้ง และเก็บปืนที่คาร์เรย์วางทิ้งไว้ติดมาด้วย.. แต่ตอนนี้มือเขาสั่นจนไม่มั่นใจว่าจะจับปืนได้.. ไม่สิ เขาช็อคเกินกว่าจะกล้ายิงใครได้อีก…

“...ได้ลองยิงของจริงสักที เดี๋ยวนัดต่อไปมันก็ง่ายขึ้นเองแหละ” เสียงแหบพร่าของคนที่เพิ่งโดนกระสุนฝังไปพูดลอยๆ ขึ้นมา ลาซารัสหันไปมองตามเสียงนั้น และพบรอยยิ้มที่ไม่สามารถบ่งบอกนัยยะได้ฉาบอยู่บนหน้าของคาร์เรย์

ก็นี่ไม่ใช่เหรอ สิ่งที่เขารอจะทำมาตลอด..ที่ผ่านมาเขาเพียงแค่ฝึกยิงเป้าที่ไม่ใช่คนหรือใช้กระสุนยางสำหรับซ้อมยิง แต่ก็ได้รับการฝึกมาให้ยิงขาหรือแขนเพื่อไม่ให้เป้าหมายตอบโต้หรือขยับเขยื้อนได้อยู่บ้าง... 

ลาซารัสมองกลับมาที่หน้าคาเล็มซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการแบกร่างของพี่ชายอย่างทุลักทุเล แม้คนของริชาร์ดจะอาสาช่วยแต่คุณหมอก็ปฏิเสธ 

“ฉันยังไม่แก่ ยังมีเรี่ยวแรงพอจะแบกไอ้บ้านี่ได้อยู่หรอกน่า” ...ไม่มีใครพูดอะไรเลยครับคุณหมอ

“ขืนนายแบกเองพี่จะตายคามือนายก่อนถึงโรงพยาบาลอีกนะ” คาร์เรย์ที่ปากเปื้อนเลือดหันไปยิ้มใส่ลาซารัส “ถ้าเป็นไปได้อยากให้เด็กนายแบกฉันมากกว่า”

“เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งซะหรอกไอ้นี่นิ่!”

“ทำหน้าตาน่ากลัวเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอกน้องชาย”

“ถ้ากวนประสาทได้แบบนี้ก็ช่วยเดินเองได้จะเป็นพระคุณมาก”

“ไม่ล่ะ จะเกาะเป็นตัวถ่วงนายแบบนี้ล่ะ” ไม่พูดเฉยๆ  แต่มือยังเกาะแน่นอีกต่างหาก คิดผิดรึเปล่านะที่จะช่วยมันเนี่ย!?
ลาซารัสเห็นคาร์เรย์ท่าทางสบายดีกว่าที่คิดก็โล่งใจไปได้บ้าง แต่ครั้งต่อไปเขาคงจะมาใจเสาะอีกไม่ได้แล้ว ถ้าหากนั่นเป็นปืนจริงแต่แรกป่านนี้โคลวิสคงจะ...

“คุณหมอครับ อยู่ข้างหลังผมนะ”

“...อืม ฝากด้วยนะ” แม้ไม่อยากให้คนรักออกไปเสี่ยงอันตราย แต่ดูจากสายตาของลาซารัส ตอนนี้ก็น่าจะใจเย็นลงและพร้อมกว่าเมื่อครู่แล้วแน่นอน

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (23/9/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-09-2017 12:30:32
  o13 o13
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (23/9/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2017 14:22:26
เออร์เฟน คาร์เม็น โซลเมท ร้อนแรงจริงๆ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ลาซาลัส เก่งเอาเรื่องนะเนี่ย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

พี่น้องบ้านคาร์เล็ม ดูจิตๆกันทั้งนั้นเลย คาร์เรย์ก็จิตไมใช่ย่่อย
รอตอนใหม่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (17/12/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-12-2017 01:36:50
เหล่าพ่อบ้านติดอาวุธและกองกำลังสาวใช้บางส่วนที่ไม่ได้พยุงคนเจ็บคอยช่วยดูต้นทางและเลือกทางเดินภายในบ้านที่หลบสายตาผู้คนได้มากที่สุด เพื่อลอบออกไปโดยเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็น เนื่องจากจำนวนคนเป็นรองกว่ามาก

“จะเล่นบทพระเอกไปให้เหนื่อยทำไมนะพวกนายเนี่ย มีวิธีที่ง่ายกว่านี้ตั้งเยอะ” คนเจ็บหนักเงยหน้าขึ้นมาพูดกวนประสาทท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด

“พูดบ้าอะไร…” ยังไม่ทันที่หมอคาเล็มจะถามพี่ชายจบก็ต้องเงียบลง เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยเอะอะของเหล่าการ์ดในบ้านก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“ทุกคนเตรียมตัวนะครับ อาจจะต้องปะทะกันที่ทางข้างหน้านี้แล้ว” หนึ่งในพ่อบ้านของริชาร์ดให้สัญญาณมือ ทว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายประจัญหน้ากัน คาร์เรย์ รอสเกรย์กลับตะโกนร้องลั่นและจับแขนของน้องชายมาล็อคคอตัวเองไว้

“พวกแก! แหกตาดูดีๆหน่อยสิวะ! ฉันโดนจับเป็นตัวประกันอยู่นะ หลีกไปเซ่!!” จู่ๆ พี่รองก็จัดฉากสร้างสถานการณ์ ทำเอาพวกคาเล็มและกองกำลังคนรับใช้หันมามองหน้ากันเอง

เล่นบ้าอะไรทำไมไม่นัดกันก่อน!?

“ถะ ถอยไปนะครับ!” ลาซารัสสวมบทตีเนียนไปกับละครปาหี่นี้ แต่เหมือนจะได้ผลอยู่บ้างเพราะการ์ดเฝ้าคฤหาสน์บางคนก็ยอมหลีกทางให้เพราะน้องชายผู้นำตระกูลโดนจับเป็นตัวประกัน เลยสามารถเลี่ยงการปะทะในพื้นที่แคบของตัวบ้านได้ ถึงบริเวณบ้านมันจะไม่ได้แคบอย่างที่ว่าก็เถอะ...

แม้จะผ่านกลุ่มแรกมาได้แล้วก็ยังมีบ้างที่ต้องยิงตอบโต้หรือทำให้สลบไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นเอาชีวิต กระทั่งพวกเขาทั้งหมดสามารถลงมาถึงชั้นล่างได้แล้ว อีกไม่ไกลก็จะสามารถหลบออกทางประตูหลังที่เป็นทางเข้าออกของพวกคนใช้ในคฤหาสถ์ได้ และยังต้องรีบทำเวลาเพราะรถที่เตรียมไว้จะวนกลับมารับตามนัดในแผนอีกไม่ถึงสิบนาทีนี้

ทว่า อาเซลเองก็คาดเดาไว้ จึงพาบอร์ดี้การ์ดจำนวนหนึ่งยืนดักรอที่ทางออกนั้นแล้ว พวกเขากำลังไล่พวกคนใช้ให้ออกไปจากบริเวณดังกล่าวหากไม่อยากโดนลูกหลง

“พวกมันจะไม่มีวันได้ออกไป” ใบหน้าเรียวซูบผอมของอาเซลแสดงสีหน้าโกรธจัดออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่แสดงออกให้เห็นแต่ใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชามาตลอด “ส่วนคาร์เรย์...ถ้ามันบังเอิญซวยโดนลูกหลงตายไป ก็ถือเป็นความผิดของเจ้าพวกนั้น”


“อีกนิดเดียวก็จะออกไปได้แล้วเชียว..” ลาซารัสสบถเบาออกมา พวกเขาแอบอยู่ตรงโถงทางเดินที่จะเลี้ยวออกประตูหลังของคฤหาสถ์ เมื่อเงี่ยหูฟังดีๆ ก็เริ่มได้ยินเสียงคนจากอีกด้านหนึ่งกำลังมาทางนี้ด้วย แทบจะเรียกได้ว่าพวกเขาโดนบีบจากทุกทิศทาง

“จะฝ่าออกไปก็พอทำได้ค่ะ แต่ต้องมีอาวุธครบมือกว่านี้…” สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้น ตอนนี้พวกเธอและพ่อบ้านมีเพียงปืนพกเท่านั้น แถมดูจากจำนวนแล้วคงต้องมีคนบาดเจ็บเพิ่มแน่ๆ หรืออย่างเลวร้ายสุดก็อาจมีคนไม่รอด..

“ไม่มีคนตามมาสมทบเลยเหรอ?” คาเล็มถามพลางหันไปเช็คอาการของคาร์เรย์เป็นระยะ ตอนนี้พี่ชายประสาทกลับของเขาเริ่มไม่มีสติตอบโต้จนกลัวว่าจะไม่รอดก่อนไปถึงโรงพยาบาล

“มีบอร์ดี้การ์ดของคุณคาเฮวย์กำลังตีวงเข้ามาในสวนข้างหลังอย่างลับๆ ถ้าให้สัญญาณแล้วยิงพร้อมกัน อาจจะได้เปรียบกว่าครับ” พ่อบ้านคนหนึ่งที่ดูจอมือถืออยู่กำลังติดต่อกับการ์ดของเออร์แฟน

“ให้การ์ดของคุณเออร์แฟนล่อไปทางหน้าบ้านมั้ย?” ลาซารัสเสนอ “ให้เกิดการปะทะทางโน้น พวกเขาจะได้หันไปสนใจประตูหน้าแทน แล้วเราอาศัยจังหวะหนีออกไป การป้องกันน่าจะหละหลวมขึ้นนะครับ”

พอตัดสินใจจะเอาตามนั้นเพราะไม่มีแผนอื่นแล้ว พ่อบ้านก็ส่งข้อความไปบอกการ์ดของเออร์แฟนให้แยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกไปก่อกวนที่ทางสวนหน้าบ้านรอสเกรย์ อีกกลุ่มให้รอช่วยยิงเสริมและรอรับพวกเขาตามเดิม เมื่อทางด้านคนที่อยู่ข้างนอกตอบรับ พวกเขาก็ได้แต่รอให้เกิดเสียงเอะอะจากทางหน้าบ้านก่อน..

“เสียงอะไรน่ะ..?” อาเซลที่ยืนดักรอตรงทางออกหลังบ้านพูดออกมาและทำท่าทางตื่นตระหนก “พวกแกไปเช็คสิวะ รออะไรอยู่!?”

เสียงปืนจากการปะทะกันเริ่มดังขึ้น รวมทั้งเสียงฝีเท้าที่วิ่งหายไปทางจากทางออกที่พวกเขาต้องการจะมุ่งหน้าไป รวมทั้งอาเซลเองก็เดินกัดฟันด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดออกไปจากบริเวณนั้นแล้วด้วย ตอนนี้เหลือการ์ดในชุดสูทเทาเข้มแค่เกือบสิบคนยืนรออยู่เท่านั้น

“รอสัญญาณนะครับ..” มือของพ่อบ้านยกขึ้นตั้งฉากกับพื้นเพื่อเป็นตัวบ่งสัญญาณการปะทะ ทุกวินาทีผ่านไปช้าๆ  อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงปืนที่หน้าบ้านดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ประสานกับลมหายใจแสนอึดอัดของแต่ละคนที่รออยู่..

ปัง! ปัง!

“เฮ้ย!?”

“มันอยู่โน่น!!”

การ์ดที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าขยับตัวหาที่กำบังและเล็งปืนออกไปทางที่วิถีกระสุนพุ่งมาอย่างรวดเร็ว

“ไป!!” ทันทีที่สัญญาณมือสะบัดลง พ่อบ้านสองสามคนขยับออกจากที่ซ่อนและวิ่งเข้าหาที่กำบังในระยะที่เข้าใกล้จุดปะทะมากกว่าเดิม เหล่าสาวใช้และลาซารัสขยับตัวไปอยู่แทนที่ตำแหน่งเดิมของพ่อบ้านเมื่อครู่ ทั้งหมดยิงออกไปยังบอร์ดี้การ์ดที่แอบอยู่ในโถงทางเดินหลังบ้านโดยไม่เล็งจุดตาย แค่ยิงที่แขนและขาเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวเท่านั้น

การจู่โจมกะทันหันจากสองทางทำให้การ์ดเหล่านั้นตั้งตัวไม่ทัน มีพวกที่โดนยิงจนล้มและไม่สามารถเคลื่อนไหวตามคำสั่งไปสองสามคน รวมทั้งด้านนอกที่ล้มลงไปนอนโอดโอยจำนวนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่อยู่ในที่กำบังมิดชิดยังคงยิงสวนเข้ามาอยู่

“โธ่เว้ย..” ลาซารัสกัดฟัน มุมที่เขาและสาวใช้ใช้กำบังตนไม่ใช่จุดที่มองเห็นการ์ดอีกสามคนที่ยังอยู่ได้ จะออกไปตอนนี้ก็เสี่ยงเกินไปเสียอีก.. ชั่วแวบหนึ่งนั้น ลาซารัสมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งปิดสนิทไว้ กระจกใสที่พอจะเห็นภาพลางๆ ของบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งซึ่งอยู่หลังเสาหินอ่อนต้นสวยนั้น พอไล่สายตาไปก็พบกับชั้นเก็บของที่เปิดอ้าซ่าไว้ คาดว่าคงเพราะเมื่อครู่พวกคนใช้น่าจะกำลังเก็บของหลังจากทำความสะอาดบ้านไปก่อนจะเกิดความโกลาหล บนชั้นนั้นมีน้ำยาทำความสะอาดที่เขาจำได้ว่ามันค่อนข้างจะอันตรายมากๆ ตอนที่ยังอยู่ช่วยงานบ้านกับคุณเรนเดล เขายังต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันให้ดีระดับหนึ่งเลย…

ปัง! ปัง! ปัง!

ลาซารัสตัดสินใจรัวกระสุนใส่ชั้นวางน้ำยาทำความสะอาดตรงนั้นจนสารพัดขวดสารเคมีแตกกันระนาว และสาดใส่บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งตรงนั้นจนกรีดร้องเสียงหลงเหมือนถูกน้ำกรดราดออกมาอย่างน่าสงสาร

...ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ…พอลาซารัสจัดการไปได้คนหนึ่ง เสียงปืนจากทิศทางที่ไม่มีคนอยู่แต่แรกก็ดังขึ้น กระจกจากอีกฝั่งกำแพงที่การ์ดของเออร์แฟนอยู่แตกออก และเข้าไปที่ตัวของบอร์ดี้การ์ดบ้านรอสเกรย์ทั้งสองคนอย่างแม่นยำ จนพ่อบ้านและเมดของริชาร์ดที่กำลังรุกคืบจากที่กำบังเดิมทำหน้าฉงน แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขาก็ทำหน้าโล่งอก เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูที่ดังมาจากประตูหลังนั้น

“พวกนายโอเคมั้ย! มีคนบาดเจ็บกี่คน?” ริชาร์ดตะโกนถามมาเพราะไม่อยากเสี่ยงโผล่หน้าไปให้ใครทำปืนลั่นใส่เล่น แม้จะรู้ว่าคนของตัวเองไม่ได้ไร้ฝีมือขนาดนั้นก็ตาม เหล่าผู้หลบหนีที่ติดแหง่กอยู่เมื่อครู่ก็เลยรีบกรูกันออกมาจากคฤหาสน์รอสเกรย์ และเดินตามการ์ดของเออร์แฟนเพื่อไปขึ้นรถ

“กว่าจะมาได้นะ.. แล้วนี่ขับมาคนเดียวเรอะ?” คาเล็มเอ่ยถามเพื่อนพลางส่งตัวคาร์เรย์และโคลวิสกับพวกสาวใช้ที่ยังหมดสติอยู่ให้เหล่าบอร์ดี้การ์ดพยุงไปที่รถเพื่อลำเลียงคนเจ็บ

“เออร์แฟนบอกว่าจะไปลากตำรวจมาช่วยทั้งกรม แต่คงอีกเกือบสิบนาทีกว่าจะมาถึงน่ะ” ริชาร์ดไม่ได้พูดให้ฟังทั้งหมดว่าที่จริงแล้วคาร์เมนก็กะจะตามเขามาช่วยคาเล็มด้วย แต่โดนอัยการอัลฟ่าคนนั้นขังไว้ในรถไม่ให้ลงมาเสี่ยงกินลูกปืนในดงกระสุน
ซีอีโอหนุ่มมองสำรวจพวกคนเจ็บ ซึ่งพี่ชายของเพื่อนรักนั้นอาการน่าเป็นห่วงสุดๆ หน้าซีดเซียวปากก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงจางๆ อีกด้วย “...สาหัสเหมือนกันแฮะ ฝีมือใครเนี่ย?”

“รถพอรึเปล่าครับ?” ลาซารัสวิ่งตามไปช่วยจัดแจงที่นั่งสำหรับคนที่โดนยิงภายในรถ แต่ดูเหมือนจะเกะกะคนของเออร์แฟนซะมากกว่า

“พาไปส่งที่นี่เลยนะ” คาเล็มวิ่งมาเปิดมือถือเพื่อเปิดที่อยู่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแล้วโยนทั้งเครื่องให้กับชายในชุดสูทดำที่กำลังจะเปิดประตูรถเข้าไปฝั่งคนขับ เมื่อได้ที่อยู่แล้วรถสีดำสนิทติดฟิล์มทึบทุกด้านสองสามคันก็รีบออกตัวไปตามเส้นทางด้านหลังของบ้านเพื่อนำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลให้ทันเวลาก่อน

“รถฉันจอดอยู่ไม่ไกล” ริชาร์ดเอ่ย แต่มองจำนวนคนที่เหลือแล้วคงไม่สามารถยัดเข้าไปได้จนหมดแน่ ถึงจะมีรถของการ์ดของเออร์แฟนอยู่อีกสองคัน แต่พวกที่อ้อมไปทางด้านหน้าบ้านเองก็ยังอยู่ ขืนขับออกไปทั้งอย่างนี้แล้วทิ้งพวกที่เหลือไว้มันก็คงไม่ดีเท่าไหร่…

“แล้วคาร์บฮอลล์ล่ะ?” คาเล็มหันมาถามลาซารัส “ได้เจอเขารึเปล่า?”

“ครับ แต่ผมมัดเขาเอาไว้ แล้วก็..คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก…ล่ะมั้ง?” พอนึกถึงว่าตัวเองทำอะไรไว้ก็กลัวว่าจะสลบแล้วไม่ฟื้นอีกเลย ยิ่งเห็นประธานอัลฟ่าคนนั้นสุขภาพย่ำแย่ขนาดนั้นด้วยแล้วก็รู้สึกว่าเขาทำเกินไปมั้ย...

พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว นี่เขาเล่นจัดการพี่ชายของคุณหมอไปตั้งสองคนเลย...แต่นั่นมันก็ช่วยไม่ได้นี่

ปัง!

ยืนหลบมุมคุยกันได้เพียงครู่เดียวเสียงปืนก็ดังขึ้นอีก ทั้งหมดเลยรีบไปหาที่กำบัง ทั้งรั้วบ้านขนาดใหญ่ ต้นไม้ พุ่มไม้ หรือใดๆ ก็ตาม แต่เสียงปืนที่ดังไม่ได้เล็งที่พวกเขา มันตรงไปยิงเข้าแก้มยางของล้อรถสองคันที่จอดอยู่ถนนด้านหลังบ้านนั่นต่างหาก...

“โว้ย! เป็นอะไรกันนักหนาถึงชอบทำร้ายลูกชายฉันกันเนี่ย!” ซีอีโออัลฟ่าโมโหจนเผลอตัวสบถ เพราะหนึ่งในรถสองคันนั้นก็คือรถคันโปรดของริชาร์ดด้วย

“พวกแกจะไม่ได้กลับออกไป รู้ไว้ด้วย!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธของอาเซลดังลั่นออกมาพร้อมๆ กับกระสุนปืนจากมือที่กราดยิงมาใส่ทางด้านที่พวกเขาหลบอยู่ โชคดีที่มันก็แค่การยิงระบายความคับแค้นใจเท่านั้น ไม่ใช่การยิงหวังผล ...แต่หลังจากนี้น่ะสิ ท่าทางจะแย่จริงๆ เสียงฝีเท้าทำให้รู้ว่ามีบอร์ดี้การ์ดของตระกูลรอสเกรย์เดินมาล้อมพวกเขาจากทุกทิศทาง รวมทั้งคนที่เล็งปืนลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วย แม้ประตูหลังบ้านจะเปิดไว้ แต่ตอนนี้รถก็หมดสภาพใช้ขับไปไหนไม่ได้อยู่ดี

“เออร์แฟนโว้ย เมื่อไหร่แกกับพวกจะมาสักที!” ริชาร์ดก้มมองมือถือตัวเองอย่างร้อนรน เพราะตอนนี้พวกเขากำลังงานเข้าสุดๆ เลยนี่นา!

“เมื่อกี้ฉันเห็นแกอยู่ด้วยใช่มั้ยไอ้คาเล็ม!” อาเซลส่งสัญญาณมือให้พรรคพวกเริ่มตีวงล้อมให้แคบลง การ์ดทุกคนกระชับปืนในมือแน่นแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปหา “ครั้งนี้ใจกล้าดีนี่หว่า ทีตอนโนเอลล่ะปล่อยทิ้งให้เน่าตายทั้งเป็นอยู่ในบ้านนี้ได้ตั้งเป็นปีๆ แกนี่มันใจดำอำมหิตซะจริง”

“อย่าออกไปนะคาเล็ม มันกำลังยุให้นายโมโห” ริชาร์ดรีบคว้าตัวเพื่อนเอาไว้ไม่ให้พุ่งออกไป ขืนโผล่หน้าไปล่ะก็มีหวังได้โดนยิงพรุนกลายเป็นต้นกระบองเพชรประดับสวนบ้านนี้แน่

อาเซลยังคงตะโกนยุแหย่เพื่อให้อดีตเพื่อนร่วมงานวิจัยโผล่หน้าออกมา มือก็เปลี่ยนปลอกใส่กระสุนปืนในมือไปพลาง “แล้วนี่มีใครเล่าให้แกฟังรึเปล่าว่านอกจากโนเอลจะตกเป็นเมียคาร์บฮอลล์แล้ว ไอ้สวะคาร์เรย์มันก็ยังตีท้ายครัวเมียเก่าแกด้วย”

“ปล่อยฉัน!” คาเล็มโมโหจนเลือดขึ้นหน้าและออกแรงสลัดริชาร์ดที่แรงเยอะกว่าจนหลุดและพยายามแย่งปืนไปจากมือของลาซารัส “เอาปืนมาให้ฉัน!”

“ไม่นะครับคุณหมอ” ดวงตาสีฟ้าวอนขอร้องและกุมมือหนาสั่นเทาที่กำปืนในมือของเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับหยดน้ำตาของคาเล็มที่หล่นเผาะลงมาที่ปืน “คุณหมอ…”

“โนเอล…” คาเล็มปากสั่นเปล่งเสียงเรียกชื่ออดีตคนรัก “ฉัน...ขอโทษ ฉัน...เป็นคนฆ่าโนเอลเอง…”

“เอ๋?” ไม่ใช่เพียงลาซารัส แต่ริชาร์ดก็ทำหน้าไม่อยากเชื่อเช่นกัน ก็ไหนเคยบอกว่าโนเอลเสียชีวิตเพราะคนพวกนั้นไง…

“ถ้ายังไม่ออกมา จะให้ฉันสาธยายให้ฟังเล่นไปพลางๆ มั้ยว่าสภาพโนเอลเมียแกมันเละเทะเป็นผ้าขี้ริ้วเน่าๆ ขนาดไหน!”

“อย่าไปนะครับ คุณ...หมอ?” เป็นครั้งแรกที่ลาซารัสรู้สึกว่าดวงตาของคาเล็มเปลี่ยนไป มันทั้งน่ากลัวและเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้

ปัง!

“อยู่ตรงนั้นใช่มั้ย!? โผล่หัวออกมาสิวะ!” เสียงตะโกนพร้อมยิงปืนขู่มายังที่ซ่อนตัวของเหล่าผู้บุกรุก ก่อนที่ร่างๆหนึ่งจะโผล่ออกมายืนประจันหน้ากัน “ทำไมแกถึงอยู่ที่นี่ได้!?”

“....” นายแพทย์เบต้าจ้องโอเมก้าหนุ่มผู้ถูกลักพาตัวมา ฝ่ายตรงข้ามยืนขึ้นพร้อมยกสองแขนขึ้นให้เห็นว่าตนปลอดอาวุธใดๆ แต่ที่จริงแล้วแอบซ่อนปืนไว้ที่ด้านหลังของเสื้อ ลาซารัสเสี่ยงลงทุนออกไปเจออาเซลแทนคุณหมอที่กำลังหัวร้อนเพราะโดนริชาร์ดล็อคตัวไว้ และพยายามคิดหาเรื่องคุยเจรจาเพื่อถ่วงเวลาให้พวกเออร์แฟนและตำรวจมาช่วยทันเวลา

“แกทำอะไรคุณคาร์บฮอลล์วะไอ้เด็กเวร!” พอเห็นลาซารัสที่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่กลับยืนอยู่ต่อหน้าก็ยิ่งร้อนรนที่ทุกอย่างผิดแผนเข้าไปใหญ่

“ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ แค่จับให้นอนนิ่งๆเอง…”

ปัง!

“แกทำอะไร!? ถ้าไม่บอกฉันจะส่งแกไปนอนรอไอ้คาเล็มที่โลกหน้าก่อนมันเลย!”

ดวงตาสีฟ้ามองตามวิถีกระสุนที่เฉี่ยวเอาปลายผมด้านข้างของตนไปด้วย ท่าทางจะไม่อยากคุยกับเขาดีๆเสียแล้วสิ...

“ผมแต่ทำให้เขาสลบไปเท่านั้น เขายังไม่ตายหรอกครับ” ลาซารัสตอบตามตรงออกไป เอาจริงๆ นะ... ตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าจะโกหกไปเพื่ออะไร “ถ้าไม่เชื่อจะรีบไปดูเขาก่อนก็ได้ครับ สัญญาจะไม่ไปไหน”

“หุบปาก!” อาเซลตะโกนออกมาแล้วยกปืนขึ้นเล็งไปที่กลางศีรษะของลาซารัส “แกไม่ต้องมาเล่นลิ้น คิดว่าฉันโง่นักรึไง!”

“ไม่ครับ ผมแค่แสดงความจริงใจเท่านั้นเอง”

“จริงใจ? ในสถานการณ์แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน? คิดว่าเป็นพระเอกการ์ตูนรึไง?”

“ถ้าเป็นพระเอกการ์ตูนจริงผมคงดวลปืนยิงสู้กับคุณแล้ว” แม้จะพูดติดตลกแต่สีหน้าและแววตาของโอเมก้าหนุ่มนั้นจริงจังและสงบนิ่ง  ถึงแม้ว่ามือจะแอบสั่นเพราะมันก็มีโอกาสที่เขาจะโดนยิงจนพรุนอยู่ แต่เวลานี้… ถ้าหากคาเล็มยังตั้งสติไม่ได้ งั้นเขาเองนี่แหละที่ต้องควบคุมสถานการณ์ไว้ “แต่ว่า...ทำไมคุณถึงได้แค้นคุณหมอขนาดนี้? เรื่องงานวิจัยยาเหรอครับ?”

………


…..





หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (17/12/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-12-2017 01:37:21
“อาเซล ทำไมนายไม่เอายานั่นไปฉีดให้อาสาสมัครล่ะ?”

“จำเป็นต้องทดลองต่อด้วยเหรอ? นี่เราปรับส่วนผสมมาหลายครั้ง พวกอาสาสมัครเองก็ใกล้จะโอเวอร์โดสแล้วด้วย”

คาเล็ม รอสเกรย์ กับ อาเซล ฟลอยด์ ในวัยแค่ยี่สิบปลายๆ เป็นหนึ่งในทีมแพทย์ที่วิจัยเรื่องยาระงับอาการฮีทของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และนอกจากยาแล้วยังมีการว่าจ้างนักปรุงน้ำหอมหลายคนให้เข้าร่วมทดลองทำน้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมนอีกด้วย

การทดลองปรับปรุงน้ำหอมสำเร็จไปบางส่วนแล้ว แต่ยาระงับอาการฮีทกับยากดประสาทส่วนการรับกลิ่นของเหล่าอัลฟ่าหรือโอเมก้านั้น ยังคงมีผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรงอยู่ แต่หากปรับลดส่วนผสมลง ยาจะมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน แม้ว่ามันจะถูกกฎหมายในปัจจุบันก็ตาม

“ฉันอยากให้งานนี้สำเร็จก่อนจะถึงวันประเมินผลงาน ถ้าหนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอีก พวกนั้นคงหาเรื่องตัดงบประมาณวิจัยพวกเราแน่” 

“แต่ถ้ามันไม่ทันจริงๆ ยังไงก็คงต้องขอให้เลื่อนออกไปก่อน อาสาสมัครพวกนั้นก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน” อาเซลกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล วันนี้เขาต้องวิ่งวุ่นฉีดมอร์ฟีนเพื่อลดอาการเจ็บปวดของอาสาสมัครไปตั้งสามสี่คนแล้วด้วย  “ฉันรู้นายกังวลเรื่องเงินทุนสนับสนุน แต่ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”

“เฮ่อ...ก็ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะไปขอร้องให้ยืดเวลาออกไปก่อนแล้วกัน” คาเล็มได้แต่ยอมทำตามที่ลูกทีมเสนอ เขาเองก็รู้ดีว่างานนี้มันค่อนข้างเสี่ยง

คาเล็มในสมัยที่ยังเป็นนักวิจัยและพัฒนายาระงับอาการฮีทนั้น แม้จะเป็นหัวหน้านักวิจัยหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในทีม แต่ทุกคนก็ให้ความนับถือและเคารพในการตัดสินใจแทบทุกอย่าง เพราะนับตั้งแต่คาเล็ม ทายาทคนเล็กจากคนตระกูลรอสเกรย์ยื่นมือเข้ามาปัดฝุ่นโครงการนี้เสียใหม่เกือบหมด สื่อเลยให้ความสนใจและประโคมข่าวเสียดังใหญ่โต ทั้งที่แต่เดิมโครงการนี้เกือบจะถูกยุบไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะแม้จะเป็นผลงานที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง แต่มันไม่สร้างกำไรที่น่าพอใจควรค่าแก่การลงทุนต่อ

ทว่า...มีแค่อาเซล ฟลอยด์คนเดียวในทีมวิจัยที่กล้าให้ความเห็นต่างออกไป แน่นอนว่าที่ทำไปส่วนหนึ่งเพราะนึกอิจฉาหัวหน้าทีมซึ่งอ่อนวัยกว่าตน แต่อีกฝ่ายกลับทำผลงานแซงหน้าไปไกล ถึงจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่นว่าแสดงท่าทางต่อต้านโดยมีอคติส่วนตัวนั่นมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้

เพราะอะไรเขาถึงได้ไม่ชอบหน้าคาเล็มน่ะเหรอ? มันก็เห็นๆกันอยู่นี่ มีแต่คนพวกนั้นที่คล้อยตามต่างหากที่เป็นบ้ากันไปหมด เห็นดีเห็นงามไปกับไอ้คนที่ชุบมือเปิบเอาผลงานตั้งต้นของโนเอลไปเป็นของตัวเองคนนั้นน่ะ…


“มาพักเหนื่อยเหมือนกันเหรอ อาเซล?” กาแฟกระป๋องที่หายเย็นไปนานจนมีหยดน้ำเกาะยื่นส่งให้เพื่อนนักวิจัยที่มายืนสูบบุหรี่ใกล้กับราวกั้นของชั้นดาดฟ้า ดูแล้วคงแอบปลีกวิเวกมาหาความสงบอยู่คนเดียว

“...แอบไปนอนอู้อยู่ที่ไหนมาน่ะ โนเอล?” ควันกลิ่นฉุนพ่นใส่หน้าคนให้กาแฟจนอีกคนสำลักเข้าปอดไปเต็มๆ

“แค่กๆ ก็อยู่บนดาดฟ้านี่ตลอดนะ” แม้จะโดนเพื่อนแกล้ง แต่โนเอลก็ยิ้มละไมจนเหมือนมีดอกไม้บานรอบๆ เจ้าตัว “แหม...ถึงอยู่ในห้องวิจัยก็เกะกะเปล่าๆ คาเล็มเขาทำงานส่วนของผมไปหมดแล้วอ่ะ” 

“...รู้แบบนั้นแล้วนายก็ไม่คิดจะโกรธหมอนั่นบ้างรึไง? ขโมยผลงานนายไปแท้ๆ” อาเซลที่กล้าเอ่ยเรื่องที่ไม่มีใครอยากพูด ทำเอาคนฟังรู้สึกเหมือนโดนหมัดเสยคาง

อาเซลและโนเอลเคยเป็นเพื่อนร่วมคณะรวมทั้งร่วมชมรมเดียวกันเมื่อครั้งอยู่มหา’ลัย แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก ต่างคนต่างมีสังคมเพื่อนฝูงของตัวเอง กระทั่งเรียนจบถึงได้พบว่าได้ถูกเสนอชื่อเข้าโครงการเดียวกันเพราะความสามารถของทั้งคู่เองก็โดดเด่นใช่ย่อย แต่ก็นั่นแหละ...งานวิจัยที่โนเอลทุ่มเทเวลาให้จนอดนอนไปมากมายช่วงที่ยังเรียนอยู่นั้นโดนคาเล็มที่เพิ่งจะโผล่หน้ามาแย่งไปทำผลงานต่อเพราะลำพังแค่พวกเขายังพัฒนาตัวยาไปไม่ถึงไหนสักทีนี่ก็… ถึงจะไม่ได้สนิทกัน แต่เขาก็แอบเคืองแทนโนเอลไม่ได้

“พูดแรงไปหน่อยนะอาเซล เขาเรียกว่าเอาไปพัฒนาต่อต่างหาก เพราะอย่างนี้ไงใครๆ ก็มองว่านายน่ะปากไม่มีหูรูด แล้วอีกอย่าง...คาเล็มก็ไม่ใช่คนที่ชอบเอาหน้าหรือทำเพื่อหวังผลให้ตัวเองดูดีอย่างที่นายเข้าใจหรอกนะ ถึงเขาจะมาจากตระกูลรอสเกรย์มันก็ไม่เกี่ยวกันนี่นา ครอบครัวก็ส่วนครอบครัว เขาก็ส่วนเขา อย่าเหมารวมกันไปหมดสิ”

อาเซลกลอกตามองบน นี่ก็ยังคงเป็นคนโลกสวยไม่เปลี่ยน แถมยังหน้าละอ่อนจนน่าหมั่นไส้อีก...

“ถือหางกันเข้าไปเถอะกับพ่อคนดีที่โลกยกย่องคนนั้นน่ะ” เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนร่วมชมรมที่เคยเรียนมหา’ลัยเดียวกันกับตนถึงได้ไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่โดนเอาเปรียบนี้ แม้ว่าสิ่งที่คาเล็มทำมันจะมีความประสงค์ดีและทำเพื่อคนจำนวนมากก็เถอะ... “ยังไงฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าหมอนั่นอยู่ดี”

“เฮ้อ…ถ้าได้พูดคุยกันดีๆ ผมว่านายกับคาเล็มก็น่าจะเข้าขากันได้ดีแท้ๆ เชียว” โนเอลเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคงไม่ดื่มกาแฟที่ให้ไปแล้วแน่นอน เลยหยิบกลับมาเปิดดื่มเองซะเลย

“แล้วตกลงว่าคบกันแล้วเรอะ? เห็นว่างทีไรเป็นต้องไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนตลอด” ปากที่พ่นควันจากยาสูบหันมาแซวคนข้างๆ ที่สำลักกาแฟไปเรียบร้อย

“แค่กๆ เอ่อ...ก็” ใบหน้าของคนโดนถามขึ้นสีระเรื่อ “อ่า...แค่เริ่มดูใจกันก่อนน่ะ”

“โฮ่! เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าชอบกินเด็ก”

“โธ่ อาเซล เลิกแซวผมซะทีเถอะ” ฝ่ายคนเขินหันหน้าหนี ก่อนจะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัด โนเอลกดรับสายทันที ดูจากประโยคที่คุยกันแล้วคงจะเป็นคาเล็มที่โทรมา “...อื้อ อยู่ดาดฟ้าน่ะ เดี๋ยวลงไปนะ”

อาเซลทำเป็นเมินแล้วหันไปสูบต่อ พอเสียงสนทนาจบลง บุหรี่ก็หมดมวนพอดี

“คาเล็มโทรมาชวนไปกินข้าวน่ะ ไปด้วยกันมั้ย?”

“ไม่” ...ก็ว่างั้นแหละนะ

“น่าเสียดายนะ นายน่าจะได้เห็นข้าวกล่องที่พ่อบ้านของคาเล็มเค้าทำมาให้ ผมนี่รอให้ถึงมื้อเที่ยงเร็วๆ แทบทุกวันเลย” พูดไปพลางจินตนาการถึงสุดยอดข้าวกล่องของอีกฝ่ายขึ้นมาทันที

“...ไม่รีบไปเดี๋ยวข้าวกล่องก็หมดซะก่อนหรอก” เห็นใบหน้าชวนเคลิ้มเพราะของกินของทางนั้นแล้วก็ได้แต่บ่นในใจว่าอะไรจะเว่อร์ขนาดนั้น นั่น...รีบวิ่งไปนู่นแล้วไง

อาเซลมองโนเอลที่หนีไปกินมื้อเที่ยงแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า แม้จะเป็นโอเมก้าที่มีพรสวรรค์หลบซ่อนแต่ก็ยังไร้เดียงสาเกินไป ทั้งที่เคยกลัวพวกอัลฟ่าซึ่งเคยรังแกมาตลอด แต่พอเจอคาเล็มเข้าก็เปลี่ยนความคิดหันมามองโลกในแง่ดีทันที คนแบบนี้หากไม่ระวังตัวก็คงโดนหลอกใช้ประโยชน์เอาง่ายๆ


แล้วสิ่งที่อาเซล ฟลอยด์คาดเดาไว้มันก็เกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อมา...

หลังจากลองผิดลองถูกกันมามาก ในที่สุดยาระงับอาการฮีทก็เสร็จสมบูรณ์ นับได้ว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงการแพทย์ที่สามารถผลิตยาที่แทบจะไม่เกิดผลข้างเคียงกับตัวผู้ใช้โอเมก้าออกมาได้ ภาพของคาเล็ม รอสเกรย์ลงพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ และยังถูกเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ให้สัมภาษณ์ พร้อมกันนั้นก็ได้รับเกียรติเสนอชื่อรับรางวัลงานวิจัย ในขณะที่ทีมงานคนอื่นมีแค่ชื่อเครดิตและภาพรวมในกรอบเล็กๆ ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังยินดีอย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่นับรวมอาเซลเข้าไปด้วย

“นายนี่ทำหน้าบูดทุกรูปเลยนะ” โนเอลยืนมองดูรูปภาพรวมทีมวิจัย ไม่ว่าภาพไหนๆ อาเซลก็ยืนอยู่แทบจะตกกรอบไม่ก็หลบไปด้านหลังแทบมองไม่เห็นหน้า “ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้สวยเลยนะ ยิ้มให้มันดีๆ หน่อยสิ”

“นายโอเครึไงที่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้? ชื่อนายและคนอื่นๆ แทบไม่มีคนสังเกตเห็นแล้วเนี่ย โดนนามสกุลเจ้าหมอนั่นมันกลบซะมิด” สายตาไม่พอใจของอาเซลที่สื่อออกมาตลอดหลายปีนั้น โนเอลรับรู้ถึงมันได้อย่างดี แล้วก็ยังคงยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานเหมือนเดิม

“นายเคยนั่งดูรายชื่อสต๊าฟนับร้อยคนที่ทำภาพยนตร์หนึ่งเรื่องจนจบเอ็นด์เครดิตมั้ยอาเซล?” นักวิจัยโอเมก้าย้อนถามเพื่อนที่ส่ายหน้าเมื่อถูกเขาถาม “คนส่วนใหญ่จำได้แต่นักแสดงหลักและผู้กำกับ หรือคนเขียนบทก็จริง แต่หนังภาพยนตร์เรื่องนั้นมันจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยนะถ้าหากไม่มีทีมงานเบื้องหลังมากมายคอยซัพพอร์ต พวกเขาต่างก็ช่วยกันคนละเล็กละน้อยทุ่มเทให้กับผลงานหนึ่งชิ้นนั้น เพื่อให้ผู้ชมจำนวนมากได้ดูหนังที่ดีที่สุดนะ”

“หนังห่วยๆ ตกเกรด ผู้กำกับหรือคนเขียนบทเกรดต่ำมันก็มีถมเถไป” อาเซลพยายามโต้แย้งแม้จะดูเหมือนแถจนสีข้างถลอกมากกว่าก็ตามที โนเอลทำได้เพียงถอนหายใจที่กล่อมเพื่อนไม่สำเร็จอีกครั้ง “หืม? นายใส่แหวนตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“อ่ะ นี่น่ะเหรอ…คาเล็มให้มาน่ะ” โนเอลยกมือข้างที่สวมแหวนไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ฟัง “ฉันกำลังจะแต่งงานน่ะ”

“.......หา!!?” เสียงร้องอุทานของคนฟังดังมากจนเพื่อนนักวิจัยโอเมก้าต้องยกมือปิดปากอีกฝ่ายให้ลดเสียงลง “นี่นายยังจะหน้ามืดไปแต่งงานกับมันอีกเรอะ!? สมองยังดีอยู่มั้ย!?”

“เอ่อ ก็ยังจำสูตรส่วนผสมยาได้อยู่นะ”

“ฉันพูดประชด!” อาเซลอยากจะเอาเท้าก่ายหน้าผาก “ใจเร็วด่วนได้กันไปมั้ยพวกนายสองคน…”

“เอ่อ...ที่จริงแล้วคาเล็มก็เพิ่งจะมาสารภาพกับผมเมื่อไม่นานนี่เองว่าที่มาทำงานวิจัยเพราะอยากให้ผมวางมือแล้วไปอยู่ด้วยกันน่ะ” โนเอลเล่าไปพลางทำหน้าเขินอายม้วนไปด้วย บรรยากาศสีชมพูราวกับอยู่ในทุ่งดอกไม้ก็ไม่ปาน...โคตรจะเลี่ยน

...แบบนี้ก็เท่ากับว่าคาเล็มมันเอาทั้งงานทั้งตัวโนเอลไปหมดเลยสินะ ให้ตาย...โลภชะมัดเลยไอ้เจ้าหมอนั่น   

ความจริงสองคนนั่นจะลงเอยกันยังไงเขาก็ไม่ว่าหรอก เป็นการตัดสินใจของคนสองคนล้วนๆ เพียงแต่เรื่องที่เขายังคงไม่ชอบใจก็ยังเป็นเรื่องเดิม ไหนจะเรื่องการทดลองที่ดูเร่งรัดไปหมดทุกอย่าง อาสาสมัครที่มาทดลองยาควรได้เวลาในการติดตามผลอย่างต่ำๆก็ครึ่งปี ถึงจะตัดสินใจเปลี่ยนส่วนผสม นี่เจ้าคาเล็มรีบให้เปลี่ยนยาตั้งแต่สี่เดือนแรก …..แต่ผลที่ออกมาก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าหมอนั่นมันเป็นอัจฉริยะที่กล้าได้กล้าเสียจริงๆ ก็หวังว่าผลงานนี้มันจะรอดไปได้ตลอดรอดฝั่งล่ะนะ


งานแต่งของทั้งคู่ก็จัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนถัดมา แม้ว่าทีแรกฝ่ายเจ้าบ่าวจะเชิญแค่คนรู้จักที่สนิทกันจริงๆ มาร่วมงานไม่มาก แต่ก็มีแขกระดับวีไอพีมาร่วมงานมากกว่าที่คาดเอาไว้อยู่ดี อิทธิพลของตระกูลรอสเกรย์ล้วนๆ ทำเอาหลายคนไม่รู้จะไปนั่งอยู่มุมไหนของงานเลย เป็นเซเล็ปไปเกือบครึ่งงาน

“ครั้งหน้าหัดเลือกสถานที่จัดให้มันพอดีกับคนมางานหน่อยนะ” อาเซลที่มางานพิธีเกือบสายเอ็ดเจ้าบ่าวที่ทำหน้าย่นบอกบุญไม่รับ เห็นแล้วก็ตลกดี

“ใครจะไปคิดล่ะว่าแขกจะมากันขนาดนี้” ดูท่าทางเจ้าบ่าวเองก็หงุดหงิดในงานมงคลของตัวเองที่ไม่สามารถรองรับแขกให้ดีกว่านี้ได้ ยังดีที่เป็นงานแต่งแบบจัดงานในสวนกว้างบนดาดฟ้าของโรงแรมที่มีมุมโต๊ะเครื่องดื่มค็อกเทลกับอาหารพอจะรองรับแขกได้เต็มความจุพอดี นับว่าพ่อบ้านของเขาฉลาดในเรื่องเตรียมความพร้อมของสถานที่ได้ดีทีเดียว “คิดว่านายจะไม่มาซะอีก”

“มากินฟรี” อาเซลหันไปฉีกยิ้มเมื่อตากล้องงานแต่งเข้ามาถ่ายรูปให้

คาเล็มตบหลังเพื่อนร่วมงานไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ แล้วอาเซลก็เดินตรงไปที่โต๊ะอาหารค็อกเทลตามที่ว่าจริงๆ “กินให้พุงกางจนสูทปลิ้นออกมานอกกางเกงละกัน”

โนเอลอดขำไม่ได้ที่คาเล็มมีความแอบแช่งเพื่อนร่วมงานเบาๆ ก่อนจะส่งซองที่อาเซลแอบยัดใส่มือตนให้กับเจ้าบ่าว

“เหลืออะไรกินบ้างเนี่ย?” เพราะมาสายนั่นแหละ อาหารส่วนใหญ่เลยพร่องลงไปเยอะ เห็นว่าพ่อบ้านของคาเล็มเป็นคนจัดอาหารเองด้วย เขาหยิบจานใบเล็กมาตักอาหารว่างสองสามอย่าง แต่มองหาเก้าอี้ที่ว่างไปรอบๆ แทบไม่มีที่นั่งตรงไหนว่างพอให้แทรกได้เลย...ดูท่าทางจะต้องยืนกินซะล่ะมั้ง “โอ๊ะ! เจอละ…”

ตุ้บ

“อ่ะ ขอโทษครับ” ด้วยความรีบร้อนไปนิดเลยบังเอิญไปชนไหล่ผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งเข้า ตัวสูงเสียจนอาเซลยังต้องเงยหน้าขึ้นคุย

หวา...ผู้ชายอะไรดูดีจนเพศเดียวกันยังต้องเหลียวหลังมอง คงเป็นไทป์อัลฟ่าแหง…

“...อืม” สายตาที่มองมาราวกับไม่สนใจนั่นทำเอาเผลอหงุดหงิดไปนิดหนึ่ง หน้าตาคล้ายใครบางคนที่ไม่ชอบหน้าเอาเสียเลย ...แต่ก็เผลอมองแผ่นหลังกว้างนั้นจนเพลินอยู่ดี

“ไหงหน้าบูดขนาดนั้น?” เสียงคุ้นหูทักเขามาจากด้านหลัง โนเอลเดินมาทักทายเพื่อนร่วมงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเดิม “อาหารไม่อร่อยเหรอ?”

“เปล่า มีคนทำให้อารมณ์เสียน่ะ” อาเซลหยิบอาหารขึ้นมากินประกอบคำพูด “คนอะไรก็ไม่รู้มองคนอื่นยังกะเป็นขยะ”

“อืม?....คนนั้นใช่มั้ย?” โนเอลยกมือขึ้นชี้ไปทางคนที่อาเซลพูดพุงอย่างแม่นยำ

“หา? นายเห็นที่เค้าทำเมื่อกี๊?”

“ไม่หรอก แต่ว่า...นั่นน่ะพี่ชายคนโตของบ้านรอสเกรย์น่ะ” โนเอลกระซิบเสียงเบา แต่แค่นั้นก็ทำเอาอาเซลแทบสำลักอาหารสุดหรูในปากได้ “จะทำกิริยาแบบนั้นก็ไม่แปลก ถ้าไม่ใช่คนที่เขาสนใจก็โดนแบบนายทุกคนแหละ”

แต่คำพูดหลังจากนั้นของโนเอลไม่ได้เข้าหูเขาโดยสิ้นเชิง ดวงตาหลังกรอบแว่นของอาเซลจับจ้องไปยังชายคนนั้นอย่างไม่วางตา พอโนเอลขอตัวไปรับแขกอีกทางหนึ่ง อาเซลเลยตัดสินใจเดินตามพี่ชายคนโตคนนั้นไปอย่างหงุดหงิด จะว่าไปก็พอจะเริ่มคุ้นหน้า ใบหน้าหล่อเหลาของชายมีอายุที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลของตระกูลรอสเกรย์ เรียกได้ว่าแทบกลบรัศมีของเหล่าน้องๆคนอื่นหรือแม้แต่ผู้เป็นพ่อได้เลยหากยืนอยู่เคียงข้างกัน

ทว่า เมื่อครู่ที่เขาจำคนๆนี้ไม่ได้ เป็นเพราะสายตาเหยียดหยามนั้นช่างผิดกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่อยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารใดๆที่เคยเห็นมาโดยสิ้นเชิง

“เดินตามมามีอะไรรึเปล่าครับ?”

“อ่ะ…”

พอรู้ตัวอีกทีอาเซลก็เดินตามอีกฝ่ายมาจนเกือบจะเดินตามไปทางห้องน้ำของโรงแรมเสียแล้ว แบบนี้มันดูเหมือนคนโรคจิตชัดๆเลย! นั่น...ยิ่งไอ้หมอนี่มองด้วยสายตาที่ไม่คิดจะปิดบังความคิดนั่นอีก ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก

“เปล่า… แค่หงุดหงิดที่คุณทำสายตาแบบนี้ใส่” ก็สมกับที่โนเอลหรือคนอื่นๆชอบพูดว่าสักวันเขาจะตายด้วยปากของตัวเอง…

“ขอโทษครับ พอเห็นว่าเป็นทีมวิจัยของคาเล็มเลยเผลอตัวไป” คาร์บฮอล์ลยักไหล่แล้วหันหน้าไปทางอื่น

“ไม่ชอบหมอนั่นขนาดนั้นแล้วจะมางานทำไมล่ะ?” เขาเองก็ได้ยินคาเล็มเล่าให้ฟังบ้างว่าไม่ถูกกัน

“รู้จักคำว่าทำตามมารยาทมั้ยครับ?” ชายร่างสูงใหญ่ถอนหายใจ

“อ่า…” อาเซลยักไหล่ “ไม่รู้ว่าพวกคุณทะเลาะอะไรกัน แต่ผมก็พอจะเข้าใจนะ ว่าคุณไม่ชอบคาเล็มเพราะอะไร”

“...?” คาร์บฮอล์ลแอบเหลือบตากลับมา เท้าที่กำลังจะก้าวไปยังห้องน้ำตามความคิดแรกเริ่มก็ชะงักลง “หืม?”

“ผมทำงานวิจัยกับหมอนั่น ไม่ได้แปลว่าผมชอบเค้านักหรอก” สงสัยช่วงนี้จะไม่ค่อยมีคนบ่นมั้ง เลยพลั้งปากออกมาแบบนี้ หรือจริงๆเขาอาจจะแค่ต้องการคนฟังที่ไม่คิดจะแย้งเขาเหมือนที่โนเอลทำประจำกระมัง.. “ขอโทษที่รบกวนคุณละกัน”

“งี้เราก็พวกเดียวกันน่ะสิ”

อาเซลเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัยและสบเข้ากับดวงตาสีเขียวหม่นที่แสนดึงดูดน่าประหลาด ใบหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรกลับเปลี่ยนมาแต้มด้วยรอยยิ้มที่คาดเดาความคิดไม่ได้ สีหน้าที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยกับท่าทางองอาจแบบนั้น เหมือนกำลังโปรยเสน่ห์ใส่เขาจนไม่สามารถละสายตาไปไหนได้

“รอสักแป๊บนึงได้มั้ยครับ? เดี๋ยวเราค่อยหาที่เงียบๆ คุยเรื่องเจ้าหมอนั่นกัน”

“...ได้ครับ”



อาเซล...นั่นน่ะอัลฟ่านะ ส่วนนายน่ะเบต้า...เขาบอกเหมือนจะเตือนสติตัวเอง





TBC.


------------------------------------------------


ขอโทษที่หายหน้าหายตาไปนานเกือบสามเดือนค่ะ เจอมรสุมชีวิตหนักหน่วงมาก ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว จะพยายามเขียนมาลงให้อ่านกันต่อนะคะ ขอโทษด้วยค่าาาาา  :mew6:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (17/12/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 17-12-2017 10:24:41
รออ่านตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (17/12/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-12-2017 14:26:41
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.17 Up (17/12/17) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-12-2017 20:12:10
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.18 Up (8/2/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 08-02-2018 23:01:46

บทที่ 18



นับตั้งแต่ในอดีตที่ความรักของคนเพศเดียวกันกลายเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับในสังคมมากขึ้น แต่กระนั้นสิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการที่สุดก็คือพยานรักที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน มีความพยายามที่จะพึ่งพานักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อที่จะให้เด็กคนหนึ่งเกิดมาจากพ่อและแม่ที่เป็นชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงด้วยกัน

มีโครงการการวิจัยศึกษาเพื่อให้คู่รักร่วมเพศสามารถให้กำเนิดทารกจากเพศเดียวกันได้ ซึ่งงานวิจัยนี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาให้คู่รักเหล่านั้นไม่ต้องว่าจ้างผู้หญิงเพื่อให้ตั้งครรภ์ลูกของพวกตนแทนแล้ว วิทยาการสมัยใหม่ยังก้าวหน้าไปถึงขนาดที่สามารถทำให้ผู้ชายตั้งครรภ์ได้เองโดยไม่ต้องอาศัยแม่อุ้มบุญ

แต่กระนั้นในการทดลองก็มักจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอย่างไม่คาดคิดเสมอ

‘เด็กที่เกิดมามีอวัยวะทั้งสองเพศ’ กลายเป็นความบกพร่องที่สร้างความปวดร้าวให้เหล่าพ่อแม่ที่ต่างคิดว่าลูกของตนเกิดมาผิดปกติ ทว่า...เมื่อได้ศึกษาและวิจัยอย่างจริงจังก็พบว่าเด็กที่มีทั้งสองเพศในคนเดียวกันนี้สามารถทำให้ความรักระหว่างเพศเดียวกันมีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะไม่ว่าจะเกิดเป็นเพศอะไรก็สามารถให้กำเนิดลูกกับคนที่รักได้ กล่าวคือ ทั้งอัลฟ่าและโอเมก้านั้นถือกำเนิดจากกลุ่มเด็กที่เกิดขึ้นมาในระหว่างการทดลองทางกระบวนการวิทยาศาสตร์เหล่านี้ก็ว่าได้

ทว่า...เมื่อกลุ่มเด็กที่มีเพศสภาวะที่สองหรือ ‘เพศรอง’ เพิ่มจำนวนขึ้นก็เกิดปัญหาใหม่ตามมา เพราะสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่อาจหาคำตอบและควบคุมได้ก็คือกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าและโอเมก้าที่ทำให้คนทั้งสองไทป์นี้ถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างบ้าคลั่งเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เกิดเป็นความต้องการอย่างรุนแรงจนในที่สุดก็เริ่มก่อปัญหาการแก่งแย่งคู่ระหว่างอัลฟ่าด้วยกันเพราะจำนวนเด็กที่เกิดมาเป็นโอเมก้านั้นมีจำนวนน้อยกว่าอัลฟ่ามากมายนัก

เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น จึงมีกฎหมายออกมาว่าหากอัลฟ่าคนใดตีตราความเป็นเจ้าของแก่โอเมก้าคนนั้นแล้วจะต้องรับผิดชอบเป็นคู่ชีวิต ด้วยเพราะเมื่อถูกล่วงละเมิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ร่างกายของโอเมก้าคนนั้นจะเกิดการผูกพันธะกับอัลฟ่าเจ้าของรอยประทับ ทำให้ไม่สามารถไปจับคู่กับใครใหม่ได้เพราะร่างกายจะเกิดปฎิกริยาต่อต้านอย่างรุนแรง เว้นเสียแต่อัลฟ่าคู่ครองจะเสียชีวิตหรือร่องรอยถูกตีตราจากอัลฟ่าคนเก่าหายไปจึงจะสามารถปลดพันธะไปจับคู่กับคนใหม่ได้ ในขณะที่อัลฟ่าหนึ่งคนอาจมีโอเมก้าในครอบครองมากกว่าคนเดียวหากเป็นไปด้วยความยินยอมของเจ้าตัวและครอบครัว ด้วยเพราะผู้ที่เป็นอัลฟ่าส่วนใหญ่มักจะเกิดในตระกูลผู้ดีมีฐานะที่สามารถดูแลโอเมก้ามากกว่าหนึ่งคนได้

ด้วยกฎหมายนี้ ทำให้อัลฟ่าหรือโอเมก้าบางคนที่ต้องการความสงบในชีวิตออกมาเรียกร้องผ่านสื่อ เพราะหลายครั้งการจับคู่เกิดขึ้นด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ เมื่อโอเมก้าเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์และเข้าช่วงฤดูผสมพันธุ์ หรือที่เรียกกันว่าอาการฮีทจะส่งกลิ่นฟีโรโมนรุนแรงทำให้อัลฟ่าที่อยู่รอบๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หรือกลิ่นฟีโรโมนจากอัลฟ่าก็สามารถที่จะไปกระตุ้นให้โอเมก้าฮีทได้เหมือนกัน จะปัดความรับผิดชอบว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็มิได้ นักวิจัยจึงได้ริเริ่มโครงการน้ำหอมระงับกลิ่นที่จะช่วยกลบกลิ่นฟีโรโมนไม่ให้ไปกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของแต่ละฝ่าย หรือยาคุมที่ช่วยไม่ให้โอเมก้าต้องตั้งครรภ์ด้วยเหตุอันไม่พึงประสงค์จากการถูกอัลฟ่าหรือเบต้าข่มเหงรังแกยามป้องกันตัวเองไม่ได้ ซึ่งยาเหล่านี้ยิ่งมีคุณภาพดีเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งพุ่งสูงตาม ทำให้เกิดยาปลอมลอกเลียนแบบคุณภาพต่ำออกมากระจัดกระจายเป็นวงกว้างจนต้องออกกฎหมายควบคุมห้ามมิให้ซื้อยามากินเองโดยเด็ดขาดหากแพทย์หรือเภสัชกรไม่ได้เป็นผู้สั่งจ่ายยา

จำนวนยาและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ถูกสร้างออกมามากมายเพื่อให้อัลฟ่าและโอเมก้าเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ง่ายขึ้น สิ่งที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบันก็คือยาระงับอาการฮีทของโอเมก้าและอัลฟ่าแบบฉับพลัน ยิ่งออกฤทธิ์ได้เร็วเท่าไหร่ทั้งอัลฟ่าและโอเมก้าก็จะไม่ต้องจับคู่กันโดยไม่ตั้งใจ แต่ยาตัวนี้จัดว่าเป็นยาควบคุมฮอร์โมนที่เสี่ยงอันตรายต่อร่างกายหากได้รับในปริมาณมากเกินไปแม้จะใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม ทีมวิจัยจึงต้องระดมทุนมหาศาลและบุคลากรมืออาชีพเพื่อพัฒนายาให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด

หลังจากลองผิดลองถูกกันมาหลายปีจนเกือบจะต้องระงับโครงการ ในที่สุดก็มีผู้ที่สร้างยาออกมาได้จนเสร็จสมบูรณ์และเผยแพร่ออกสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก นั่นก็คือหัวหน้าทีมวิจัย ดร.คาเล็ม รอสเกรย์ น้องชายของประธานคาร์บฮอล์ล รอสเกรย์ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นข่าวซุบซิบที่รู้กันเฉพาะกลุ่มว่าสองพี่น้องคู่นี้ไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

การที่คาเล็มแยกตัวออกไปทำในสิ่งที่แตกต่างนั่น ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วยการไม่เดินตามรอยเหมือนที่ครั้งหนึ่งผู้เป็นบิดาเคยทำ เพียงแต่มันไม่ใช่ในด้านการแยกตัวไปทำธุรกิจอื่นตามความชอบ แต่แหกคอกไปทำในสิ่งที่ใครต่อใครก็คาดไม่ถึง ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่คาเล็มแสดงออกในทางที่แปลกแยกแตกต่างไปจากพี่น้องคนอื่นๆ เมื่อทุกคนถูกสั่งสอนให้สนใจเรียนด้านบริหารจัดการ คาเล็มกลับสนใจเรื่องการแพทย์ตั้งแต่ยังอยู่ชั้นประถม ทำให้ผู้เป็นพ่อยิ่งตั้งความหวังและฝากทุกอย่างของตระกูลเอาไว้กับพี่ชายคนโตเช่นเขาและปล่อยให้คาเล็มทำตามใจตัวเองไป

ทว่าแม้จะเลือกเดินคนละเส้นทางก็ยังไม่ทำให้คาร์บฮอล์ลไม่พอใจน้องชายมากเท่ากับการที่เจ้าตัวไปทำวิจัยเรื่องยาระงับอาการฮีท ทั้งที่จะไปเป็นศัลยแพทย์ก็ดีหรือจะมักน้อยอย่างไปเปิดคลีนิคหมอฟันหรือเป็นสัตวแพทย์ฉีดยาตัดไข่หมาแมวมันก็ยังไม่ทำให้พี่ชายโมโหได้เท่ากับเรื่องนี้ และนั่นคือสาเหุตที่ทำให้สองพี่น้องมีปากเสียงกันจนเจ้าตัวถึงกับเก็บข้าวของออกจากบ้านไปเพราะทนไม่ได้กับการที่พี่ชายทำตัวเหมือนผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการครอบครองโอเมก้าไว้ในตระกูลหลายคนไม่ต่างจากสมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ต้องบอกว่ามีมากกว่าด้วยซ้ำ พี่น้องอัลฟ่าคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครคัดค้านหรือเห็นต่างกับความคิดนี้เลยสักคน นั่นเป็นสิ่งที่คาเล็มเกลียดที่สุด

“สรุปแล้ว...พวกคุณไม่ลงรอยกันเพราะเรื่องแค่นั้นเนี่ยนะ” อาเซลหน้านิ่วคิ้วขมวดหลังจากที่ฟังสาเหตุที่คาร์บฮอล์ลและคาเล็ม...ไม่สิ ต้องบอกว่า สาเหตุที่ทำให้คาเล็มไม่ยอมญาติดีกับพี่น้องคนอื่นๆ ไปด้วยมากกว่า

“นั่นมันเรื่องใหญ่นะคุณ” คาร์บฮอล์ลถอนหายใจ “อย่างน้อยๆก็กับอัลฟ่า”

“เอ่อ…” ชายหนุ่มเบต้าทำหน้าปลงชีวิต ดูเหมือนคุณพี่ชายใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าเขาหมายถึงอย่างอื่น ไอ้ปัญหาทะเลาะกันของสองพี่น้องนี่ดูยังไงมันก็คือเรื่องที่คนตรงหน้ามีเมียเยอะเกินไปจนน้องชายดูแคลนมากกว่านะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนั้นก็ได้มั้ง ขืนพูดมากเดี๋ยวหัวหลุดจากบ่า...

ทั้งสองคนปลีกตัวเข้ามานั่งในห้องรับรองด้านในแทน ระหว่างที่ข้างนอกก็ยังคงสังสรรค์กันเพื่อรอเวลาเริ่มงานอย่างเป็นทางการ โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ไม่งั้นได้ทำหน้าแบบเดียวกับอาเซลอย่างแน่นอน

“คือ.. ผมไม่ใช่อัลฟ่า ถึงรุ่นคุณทวดจะเคยมี แต่พวกญาติๆ ปัจจุบันไม่มีใครเป็นอัลฟ่าด้วย มีแต่น้าสะใภ้ที่เป็นโอเมก้าคนเดียว..เลยไม่ค่อยจะเข้าใจความคิดคุณหรือเจ้าคาเล็มหรอก”

“หึๆ ดีใจที่ได้ยินคุณพูดความจริงนะครับ หลายคนชอบทำเหมือนว่าเข้าใจทั้งที่ก็ไม่เข้าใจเอาซะเลย” คาร์บฮอล์ลยิ้มเหนื่อยหน่ายและยกกาแฟขึ้นจิบ “แต่เจ้าคาเล็มนี่ก็...ทำสำเร็จจนได้”

“ด้วยความคิดริเริ่มจากแฟนหมอนั่นน่ะแหละ” อาเซลยังคงกัดเพื่อนควบตำแหน่งหัวหน้างานไปด้วย

“อ้อ อันนั้นผมก็พอจะรู้ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะทำสำเร็จหรอก แต่มันมีผลกระทบกับงานของผมด้วย ถ้าหมอนั่นไม่ใช่น้องชายแท้ๆ และไม่ได้ใช้นามสกุลรอสเกรย์ผมจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยเลย ยิ่งถ้าหากยานั่นได้รับการยอมรับไปทั่วโลกล่ะก็มันจะทำให้พวกอัลฟ่าผู้ร่วมธุรกิจคนอื่นนอกจากผมมีปัญหาภายหลังแน่ๆ แค่ทุกวันนี้จะหาตัวโอเมก้าสักคนมาแต่งเข้าตระกูลก็แทบจะเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว” คาร์บฮอล์ลได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอกจึงเดาได้ว่าพิธีการจะเริ่มแล้ว

“ขอถามอะไรโง่ๆหน่อยนะครับ” อาเซลพูดออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีจะลุกไปร่วมงาน “ทำไม.. พวกคุณถึงคิดว่าการมีโอเมก้าไว้กับตัวเองหลายๆ คน...อ่า เป็นการแสดงอำนาจ? หรือ เอ่อ...เค้าเรียกอะไรนะ เครื่องประดับยศ? ไม่รู้สิ ผมไม่เข้าใจจริงๆ แล้วการที่มีโอเมก้าไว้ได้แค่คนเดียวมันดูด้อยกว่าคนอื่นยังไงเหรอ?”

“...ผมก็ไม่รู้หรอกครับ”

“อ้าว!?”

“เรื่องนี้น่ะ คุณไปถามเอากับคนอื่นแล้วกันครับ แต่การที่ผม...เที่ยวเฟ้นหาโอเมก้ามาสะสมตามที่สื่อพวกนั้นนั่งเทียนเขียนไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพียงแต่ผมมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้เท่านั้นเอง” อัลฟ่าร่างสูงใหญ่ลุกขึ้น “ขอตัวก่อนนะครับ”

อาเซลมองตามแผ่นหลังอีกฝ่ายไปไม่ละสายตา แม้จะอายุมากกว่าเขาเกือบหนึ่งรอบ แต่กลับยังดูสง่าผ่าเผย อีกทั้งยังมีร่างกายกำยำแข็งแรงที่แม้จะปกปิดไว้มิดชิดแต่ก็เห็นได้ชัดเจนภายใต้เสื้อสูทเนื้อดีนั่นจนน่าอิจฉา ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยจากอายุที่มากขึ้น และแม้จะมีไรผมขาวแซมของคนอายุย่างเข้าเลขสี่ มันก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายด้อยลงเลยสักนิด  รวมกับบุคลิกที่ดูลึกลับน่าค้นหานั่นยิ่งรู้สึกติดใจอีกฝ่ายยากจะถอนตัว ทว่า...กลับเป็นคนที่ดูไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คาดเดาสิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่ายไม่ออกเลย ผิดกับน้องชายคนเล็กลิบลับ

อาเซลลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าตนให้เข้าที่บ้าง เมื่อเดินกลับเข้าไปในงานแล้วทั้งเขาทั้งคาร์บฮอล์ลต่างก็กลับเข้าสังคมของตัวเอง แม้เขาจะพยายามมองหาจนอีกฝ่ายหันมาสบตา แต่ก็ไม่ได้เข้าไปพูดคุยด้วยกันอีกเลยจนกระทั่งจบพิธีการ…




“ขึ้นรถสิ”

“ห้ะ?”

อาเซลยืนงงขณะที่กำลังยืนรอเพื่อจะขอติดรถใครสักคนไปลงที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่กลับมีรถเฟอร์รารี่คันหรูมาจอดเกยอยู่ตรงหน้า และคนที่นั่งอยู่ข้างหลังคนขับรถก็ไม่ใช่ใครอื่น ประธานคาร์บฮอล์ล รอสเกรย์ นั่นเอง

“คุณนั่นแหละ” ชายมากวัยกว่าย้ำเมื่อเห็นนักวิจัยเบต้ามองซ้ายทีขวาที “อาเซล ฟลอยด์ จะขึ้นหรือไม่ขึ้น?”

เล่นบอกชื่อระบุตัวตนขนาดนี้ก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขาแล้วล่ะ... อาเซลเดินอ้อมไปเปิดประตูด้านหลังแล้วนั่งข้างๆ ท่านประธานรอสเกรย์ตัวเกร็งเล็กน้อย เพราะโดนสายตาของคนขับรถจ้องเขม็งมาอย่างไม่ปิดบัง

“คุณ...มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ?” คนถามนึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมตนถึงได้รับเชิญให้ขึ้นมานั่งในรถหรูคันนี้

“คุณสนใจจะมาทำงานให้ผมมั้ย?” คาร์บฮอล์ลถามตรงๆ ส่วนอีกคนก็หันขวับมาทำหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“งานอะไรครับ แล้วถ้าผมตอบปฏิเสธจะโดนปล่อยลงข้างทางมั้ย?” อย่างน้อยก็อย่าปล่อยลงทางเปลี่ยวเลยนะ…

“...ผมอยากให้คุณมาทำงานวิจัยสร้างยาให้ผม”

“คุณป่วยงั้นเหรอ?” อาเซลหันมามองดูอีกฝ่ายชัดๆ ทั้งที่ภายนอกดูแข็งแรงดี มองยังไงก็ไม่เหมือนคนกำลังป่วยเลยสักนิด

“ผมไม่รู้ แต่ผมต้องการยาที่จะช่วยให้ผมมีทายาทโดยเร็ว” ดวงตาสีเขียวหม่นพูดต่อโดยไม่ได้หันไปมองสีหน้าคนข้างๆ

“ผมถามคุณตรงๆเลยนะ... ที่คุณมีโอเมก้าหลายคนก็เพื่อเพิ่มโอกาสมีลูกใช่มั้ย?”

คาร์บฮอล์ลไม่ตอบ แต่ความเงียบนั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพอแล้ว

“...ยังมีวิธีผสมเทียมอยู่นะครับ มีตั้งหลายวิธีให้เลือกโดยไม่จำเป็นต้องหวังพึ่งพาการตั้งครรถ์ของโอเมก้าอย่างเดียว” อาเซลบอกเผื่ออีกฝ่ายยังไม่ได้ลอง

“ผมทำมาหมดทุกวิธีแล้ว ทำแม้กระทั่งยอมกินอาหารพิสดารที่ได้ชื่อว่าช่วยเพิ่มสมรรถภาพจนตอนนี้นึกภาพอาหารปกติไม่ออกแล้ว” เขาหันมามองอาเซลเพราะคิดว่าอีกคนคงแอบหัวเราะเยาะตนเป็นแน่ หากแต่นักวิจัยเบต้ากลับดูนิ่งผิดปกติ

“คาเล็มมันรู้เรื่องนี้มั้ยครับ?”

“หึ...ถ้ามันรู้เข้าคงหัวเราะเยาะแน่”

“เอาเป็นว่า...ผมจะลองไปหาวิธีอื่นมาก่อน เพราะถ้าให้ใช้ยา ผมเกรงว่ามันจะมีผลข้างเคียงกับตัวคุณระยะยาวได้”

“สรุปว่าคุณจะมาทำงานให้ผมแล้วใช่ไหม?”

“ยังครับ เพราะผมคงทำคนเดียวไม่สำเร็จแน่ ต้องหาคนช่วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้คนที่มีความรู้ความสามารถเทียบเท่าน้องชายคุณ ไหนจะห้องแล็ปที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์พร้อม อาสาสมัครทดลองประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยา ลูกทีมนักวิจัยอีกเป็นร้อยแบ่งหน้าที่กันทำในแต่ละฝ่ายด้วยถึงจะทำสำเร็จในเวลาสั้นๆ แต่ยังไงก็ต้องใช้เวลาพอสมควรอยู่ดีเพราะต้องรอผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาจจะเป็นปีๆ เลยก็ได้กว่ายาตัวหนึ่งจะทำออกมาสำเร็จ”

“คุณต้องการหรือขาดเหลืออะไรก็บอกผมมา จะเงินทุนค่าวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศที่ฉลาดและมีสมองกว่าเจ้าคาเล็มผมก็หามาให้คุณได้” ความเป็นนักธุรกิจที่กล้าเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนคงเป็นนิสัยติดตัวคนในสายเลือดของตระกูลนี้ ทั้งพี่ชายคนโตหรือน้องชายคนเล็กต่างก็มีนิสัยคล้ายกัน จะแตกต่างก็แค่อุดมการณ์และวิธีการของแต่ละคน

“...ผมขอกลับไปคิดดูก่อนก็แล้วกันครับ” อาเซลตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ อีกฝ่ายเล่นเสนอทุกอย่างมาให้โดยที่ไม่ต้องไปก้มหัวขอร้องผู้สนับสนุนเหมือนตอนร่วมงานกับคาเล็มแบบนี้ก็เพิ่งจะเคยเจอเป็นคนแรก

“ได้ ผมจะให้เวลาคุณคิดสามวัน” เจ้าบ้านรอสเกรย์เอ่ยคำพูดที่คล้ายคำสั่งบังคับ ดวงตาสีเขียวหม่นยามอยู่ท่ามกลางแสงแดดแต่เมื่ออยู่ในที่มืดบนรถกลับสว่างเข้มแลดูเรืองอำนาจจ้องมองมาราวกับพญาเสือดำ ทำเอาคนโดนขีดเส้นตายเกร็งไปทั้งตัว “และผมขอเตือนคุณไม่ให้เอาเรื่องนี้ไปแพร่งพรายหรือบอกคนอื่นอย่างเด็ดขาด”

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่บอกใครหรอก”

“แล้วก็เอาเบอร์ติดต่อคุณมาด้วย เมล์หรืออะไรที่ใช้แลกเปลี่ยนกันได้บอกผมมาให้หมดทุกอย่าง”

เอาที่อยู่บ้านด้วยเลยมั้ย...สรุปว่ากะจะไม่ให้ปฏิเสธกันเลยสินะ รู้สึกพลาดแล้วที่ก้าวขึ้นรถของอีกฝ่ายมานี่ แต่ก็ทำให้อาเซลได้รู้เรื่องหนึ่งเพิ่มขึ้นมาแล้ว

พี่น้องคู่นี้นี่...นิสัยเสียเหมือนกันเลยจริงๆ





“ไหงจู่ๆ ก็อยากรู้เรื่องที่บ้านคาเล็มขึ้นมาล่ะ?” โนเอลถือสายคุยอยู่กับเพื่อนเบต้า ส่วนคุณสามีป้ายแดงนั้นนอนหมดสภาพไปนานแล้วตั้งแต่เสร็จพิธี ปกติก็ไม่ใช่คนชอบงานสังคมอยู่แล้ว ยิ่งต้องมารับแขกเยอะขนาดนั้นก็ย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา

“เอาเหอะน่า รู้อะไรบ้างก็เล่ามาเถอะ” ตอนแรกอาเซลก็ลังเลอยู่ว่าจะโทรหาเพื่อนดีมั้ย เพิ่งเป็นเจ้าสาวหมาดๆ ก็ควรจะอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่โนเอลก็โทรมาหาเขาก่อนพอดีเลยถือโอกาสนี้หาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายของคู่แข่งเพิ่ม

“คาเล็มก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ผมฟังหรอกนะ บอกแค่ว่าไม่ค่อยถูกกับพวกพี่ๆ โดยเฉพาะพี่คนโตที่ชอบวางท่าใหญ่โต ทัศนคติไม่ตรงกันรึไงนี่แหละเลยทะเลาะกันรุนแรงจนเขาทนไม่ไหวเลยเก็บของออกจากบ้านมาอยู่ด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กแล้ว”

“แค่นั้นเองเหรอ?”

“ผมก็รู้แค่นี้แหละ อ่ะ! เท่านี้ก่อนนะ คาเล็ม! ดะ เดี๋ยว…”

อาเซลชิงกดวางสายก่อนที่จะได้ยินเสียงเพื่อนครางวาบหวิวชวนนอนฝันร้ายทั้งคืนมากไปกว่านี้ สุดท้ายก็เลยไม่รู้อะไรเพิ่มเติมจากที่ค้นข้อมูลในหนังสือและบทความทางอินเตอร์เน็ตเลย ข่าวสารเก่าๆ ก็ไม่ค่อยลงรายละเอียดเรื่องพี่น้องบ้านแตกด้วย แม้แต่กระทู้กอซซิบเม้าท์เรื่องคนดังยังมีแค่ไม่กี่บรรทัด แถมไอ้คนที่ตอบกระทู้ล่าสุดนี่ก็ยังกับเป็นคนรับใช้เอาเรื่องเจ้านายมาแฉซะอย่างกับละครดราม่าตบตีแย่งชิงทรัพย์สินมรดกกันอีก อ่านมากๆ แล้วปวดหัวจนไมเกรนจะขึ้น เรื่องของพี่น้องทะเลาะกันนี่ไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปเอี่ยวด้วยเลยจริงๆ

“นอนดีกว่า…”





ยังไม่ทันจะข้ามวัน เบอร์ปริศนาก็โทรเข้ามาที่มือถือของอาเซล ตอนที่รับสายแล้วได้ยินเสียงของคาร์บฮอล์ลทำเอาใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

นี่ยังไม่ถึงสามวันเลยนะ!

“เดี๋ยวผมให้คนไปรับ มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”

เบต้าหนุ่มนักวิจัยคิ้วขมวดแทบจะชนกัน ยังไม่ได้ตอบตกลงเลยแล้วจะให้คุยอะไรกัน หรืออีกฝ่ายจะระแวงว่าเขาจะเอาความลับไปแพร่งพราย ถ้าไปเจอกันจะกลับมาครบสามสิบสองมั้ย? ในหัวของอาเซลเริ่มฟุ้งซ่านคิดไปไกล จนคนที่ถือสายรอการตอบรับต้องขยายคำพูดเพิ่ม

“แค่ชวนไปกินข้าว ไม่ได้จะเอาไปทิ้งทะเล”

ประโยคหลังไม่ต้องพูดก็ได้!!

“อยากกินอะไรล่ะ?”

“อะ อะไรก็ได้ครับ”

“เลือกมา”

“....ร้านข้าวหน้าเนื้อก็ได้ครับ”

“เนื้อย่างแล้วกัน”

แล้วจะมาถามทำไมเล่า ไอ้เจ้าคนบ้าอำนาจเอ๊ย!!



อาเซลหลงคิดไปว่าคนระดับคาร์บฮอล์ลคงจะชวนไปนั่งที่ร้านภัตตาคารห้าดาว แต่กลับกลายเป็นว่ามานั่งกันที่ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าแทน แต่ถึงจะเป็นร้านอาหารในห้างก็เป็นร้านอาหารชั้นนำที่มีเนื้อวากิว A5 ที่แค่เห็นราคาบนเมนูแล้วก็โคตรจะเกรงใจคนพามาเลี้ยง

“เอ่อ...มาร้านแบบนี้กลิ่นมันจะไม่ติดชุดเอาเหรอครับ?” ดวงตาเหล่มองคนที่ใส่สูทนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พอทักไปแบบนั้นประธานหนุ่มมากวัยกว่าก็ถอดสูทตัวเองออก ยิ่งเห็นมวลกล้ามเนื้อแน่นใต้ร่มผ้าชัดเจนไปอีก

ไม่ๆๆ ตั้งสติไว้อาเซล นายเป็นเบต้า แล้วนั่นอัลฟ่า!

“ไม่สั่งมาเยอะเกินไปเหรอครับ?” คาร์บฮอล์ลเห็นเขาไม่กล้าสั่งสักที คงกลัวจะหมดเวลาพักเที่ยงก่อนก็เลยสั่งให้แทน

“ทานไม่หมดคุณก็เอากลับไปกินที่บ้านสิ” ประธานหนุ่มมากวัยยกน้ำชาขึ้นจิบและวางลงที่เดิม ก่อนจะยกกระเป๋าสีดำขึ้นมาเปิดแล็ปท็อปเพื่อทำงาน ขนาดอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟก็ยังไม่ปล่อยมือจากแป้นพิมพ์ ปล่อยให้อาเซลคีบเนื้อย่างบนเตาไปพลางๆ ก่อน

“ขยันเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะครับ” พอได้ยินดังนั้นนิ้วมือที่รัวคีย์บอร์ดอยู่ก็พลันหยุดชะงัก แล้วกดเซฟงานก่อนปิดหน้าจอลงและเริ่มคีบเนื้อย่างให้ตัวเองบ้าง

ไม่ชอบให้เปรียบเทียบว่านิสัยเหมือนกันสินะ…

“เมื่อกี้...ตอนที่ผมเดินผ่านร้านแบรนด์น้ำหอม แบบว่ายี่ห้อมันชื่อเดียวกับนามสกุลคุณเลยนะครับ” อาเซลหาเรื่องคุย เพราะคาร์บฮอล์ลเล่นคีบเนื้อย่างเอาๆ ไม่พูดไม่จา ไหนล่ะที่บอกว่าจะคุยด้วย…

“อ่อ...นั่นก็ธุรกิจครอบครัวผมเหมือนกัน”

“ห้ะ?” เนื้อที่คีบหล่นลงถ้วยน้ำจิ้มของเบต้าหนุ่มนักวิจัย ดีที่ไม่กระเด็นเลอะเสื้อขาว

“กิจการดั้งเดิมของพวกญาติๆ น่ะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกผม”

ยิ่งฟังอาเซลก็ยิ่งงง เพราะเมื่อกล่าวถึงตระกูลรอสเกรย์แล้วมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ตระกูลนั้นมีชื่อเสียงในด้านการทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์มูลค่าหลายแสนล้านและยังมีอิทธิพลมากกว่านักการเมืองบางกลุ่มอีกด้วย

“ตั้งแต่สมัยปู่ทวด ตระกูลรอสเกรย์ไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ เดิมทีเราเป็นเพียงครอบครัวชาวสวนที่มีรายได้จากการปลูกดอกไม้ส่งออกน่ะ...”

จนกระทั่งลูกหลานคนหนึ่งของปู่ทวดได้ไปร่ำเรียนเป็นนักปรับปรุงพันธุ์พืช ได้ทำการทดลองตัดต่อพันธุกรรมพืชเพื่อสร้างกุหลาบพันธุ์ใหม่ แต่สิ่งที่ได้ออกมานั้นดันเป็นดอกกุหลาบสีเทา แม้ว่าจะมีกลิ่นหอมกว่ากุหลาบสายพันธุ์ปัจจุบันมาก แต่กุหลาบสีหม่นหมองนี้ไม่สวยงามจึงไม่ได้รับความนิยม พวกเขาจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการส่งกุหลาบพันธุ์นี้ไปสกัดเพื่อเอาไปทำเป็นหัวน้ำหอมส่งออกขาย กลิ่นชวนลุ่มหลงเย้ายวนของกุหลาบสีเทาสร้างมูลค่าและรายได้เป็นกอบเป็นกำอย่างมหาศาลจนเป็นรากฐานให้ตระกูลรอสเกรย์ ถึงขนาดที่ว่าน้ำหอมขวดเล็กๆขวดเดียวมีค่าเทียบเท่าแหวนเพชรน้ำงามสิบห้ากะรัตเลยก็ว่าได้

ความสำเร็จที่ได้มานี้ทำให้พวกเขากลายเป็นตระกูลเศรษฐีใหม่ในเวลาอันสั้น ต่อมาทวดของคาร์บฮอล์ลได้แยกตัวไปจับธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของบรรดาญาติพี่น้องตระกูลหลักในเวลานั้น ทว่าด้วยความสามารถของเจ้าตัวก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี ธุรกิจนำเข้าและส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ของประเทศเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม แม้ว่าทวดจะออกจากตระกูลหลักไปแล้วแต่ก็มิได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่ ทางด้านธุรกิจน้ำหอมจากกุหลาบสีเทาก็ยังดำเนินกิจการต่อมาได้จนถึงปัจจุบัน 

“งะ งั้นเหรอครับ” อาเซลจ้องเนื้อในจานตัวเองที่หายร้อนไปนานแล้ว จู่ๆ ก็เล่นเล่าเรื่องของตระกูลให้ฟังแบบนี้ทั้งที่ยังไม่สนิทกันดีนี่คนปกติเค้าทำกันด้วยเหรอ?

แต่ก็สุดยอดไปเลยที่ต้นตระกูลยกระดับจากชนชั้นแรงงานถีบตัวเองขึ้นมาจนเป็นชนชั้นสูงที่ไม่มีใครกล้าดูถูกได้แบบนี้

“เอ๊ะ? เนื้อมัน…” มัวแต่ฟังอีกคนเล่าเพลิน ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าเนื้อบนเตามันพร่องลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอหันไปมองคนตรงหน้าก็เลยได้คำตอบ จานเปล่าไปสุมอยู่ทางนั้นหมดเลย นี่สายบริโภคเนื้อหรอกเรอะ!?

“คุยธุรกิจต้องร้านอาหาร แต่ถ้าจะคุยเปิดใจต้องร้านเนื้อย่าง”

“ไปเอามาจากไหนล่ะนั่น” อาเซลเร่งคีบเนื้อตักใส่พักในจานของตน แต่ความเร็วในการสวาปามเข้าปากก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี

กินจุเกินไปแล้ว! ซัดไปขนาดนี้ทำไมหุ่นยังเฟิร์มได้อีก โลกไม่ยุติธรรม!
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.18 Up (12/2/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 12-02-2018 15:22:10
“คุณเชื่อเรื่องโซลเมทมากน้อยแค่ไหน? ”

“อ่า นั่นยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แถมผมไม่ค่อยได้เจอเคสพวกนี้ด้วย เป็นเรื่องเล่าพอๆ กับตำนานเมืองเลยก็ว่าได้”
หลังจากถล่มเนื้อย่างราวกับไปเหมาร้านบุฟเฟต์จนอาเซลคงไม่กินเนื้อไปอีกสามเดือน ประธานรอสเกรย์ก็กำลังต่อด้วยไอศกรีมชาเขียวถั่วแดง เอาไอ้ที่กินก่อนหน้านี้ไปเก็บไว้ตรงไหน มีกระเพาะหลุมดำเหรอ...

“แต่พ่อผมน่ะเชื่อนะ”

“หา? ” อาเซลเกือบสำลักน้ำชา “แต่ผมเคยได้ยินว่าพ่อคุณมีภรรยาเป็นโอเมก้าตั้งสี่คนนี่ครับ ถ้าเชื่อเรื่องเล่าแบบนั้นก็ไม่น่าจะ...”

“ก็เพราะมัวแต่รอจนเลิกหวังนั่นแหละถึงได้มีเมียเยอะประชดโชคชะตา” คาร์บฮอล์ลวางช้อนไอศกรีมลงหลังทานเสร็จก่อนของหวานจะละลายซะอีก... “เขามีลูกกับบรรดาเมียทุกคน แต่ไม่เคยตีตราคนไหน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกๆ เป็นอัลฟ่าได้ทุกคน อ้อ...ไม่ใช่ทุกคนสิ”

“น้องชายคนเล็กที่ว่าเป็นโอเมก้าน่ะเหรอครับ”

“คุณนี่รู้มากกว่าที่คิดนะ”

“อ่า...ไม่รู้ละเอียดขนาดนั้นหรอกครับ” อาเซลหวนคิดถึงบทความในกระทู้ที่อ่านไปเมื่อคืน สรุปว่าเรื่องจริงสินะที่ว่าแม่ของคาเล็มมีลูกอีกคนเป็นโอเมก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะหายตัวออกจากบ้านไปหลังผู้นำตระกูลคนก่อนเสียชีวิตไปแล้ว

“ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่หอบหิ้วลูกหนีไป ป่านนี้เจ้าคาเล็มอาจจะมาช่วยงานผมไปแล้ว ไม่ออกนอกลู่นอกทางไปเป็นนักวิจัยยาเพื่อโอเมก้าอะไรนั่นหรอก”

ไอ้คนที่ทำงานวิจัยที่คุณกำลังพูดแขวะอยู่นั้นมันก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้านี้ไงเล่า!

“อ่อ ขอโทษที ผมแค่หงุดหงิดน่ะ เพราะน้องชายคนรองเล่นไม่เอาอ่าวอะไรเลยสักอย่าง ถ้ามันสลับตัวกับคาเล็มได้ผมจะยินดีมาก”

อย่าว่าแต่คาเล็มเลย ลองมีพี่ชายที่ชอบบงการชีวิตแบบนี้ต่อให้เป็นเขาก็คงเผ่นหนีออกจากบ้านเหมือนกัน ชักจะเริ่มเห็นใจเพื่อนร่วมงานที่เคยเหม็นขี้หน้าขึ้นมานิดๆ ซะแล้ว

“ฟังดูแล้วเหมือนคุณจะไม่ค่อยชอบพวกโอเมก้าเลยนะครับ คุณเองก็มีแม่เป็นโอเมก้าไม่ใช่เหรอ? ” เป็นอีกครั้งที่อาเซลโพล่งถามคำถามออกไป แต่คาร์บฮอล์ลก็ดูจะไม่ได้ว่าอะไรกับความเสียมารยาทของเขา

“ผมเองก็ใช่ว่าจะเกลียดโอเมก้าไปซะทุกคนหรอกนะ แต่โอเมก้าที่ทำตัวน่าสงสารเรียกร้องความเห็นใจเพียงเพราะว่าตัวเองเกิดเป็นโอเมก้ามันน่าสมเพช แถมคนประเภทนั้นก็ดันมีเยอะจนน่าหงุดหงิดอีกต่างหาก ถ้ายอมแพ้ต่อโชคชะตางั้นก็สมควรแล้วล่ะที่จะเป็นได้แค่เครื่องมือผลิตลูกให้อัลฟ่า”

อาเซลนั่งฟังโดยไม่ได้เอ่ยขัด ก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้เหตุผลซะทีเดียว

“ยังดีที่เจ้าคาเล็มมันมีสมองพอจะเลือกคนมีความสามารถมาเป็นคู่ได้”

“แปลว่าคุณยอมรับน้องสะใภ้สินะครับ? ” ก็ว่าทำไมถึงได้ยอมมาร่วมงานแต่งของน้องชายที่ไม่กินเส้นกันขนาดนั้น ทั้งที่แทบจะตัดขาดกันไปเสียตั้งหลายปี “จริงๆ แล้วคุณก็เป็นห่วงหมอนั่นเหมือนกันนะ”

“ใครๆ ก็บอกคุณว่าผมน่ะเป็นพี่ชายใจร้ายงั้นสิ”

“ก็...พอดีว่าส่วนใหญ่ได้ยินมาแบบนั้นด้วย” โดยเฉพาะเรื่องที่ไอ้คนในกระทู้นั้นเขียนโม้ไว้ซะเพียบนั่นแหละ แต่จริงเท็จแค่ไหนเขาเองก็ไม่รู้หรอก บางทีคนตรงหน้าอาจจะกำลังเล่นละครตบตาให้เขาเชื่อใจเพื่อให้ตอบรับเข้าร่วมงานลับๆ นี่ก็เป็นได้ “แต่คุณนี่ก็ไม่ยอมผ่อนปรนกันเลยนะ ไม่ใช่แค่เข้มงวดกับพวกน้องชายอัลฟ่า กับโอเมก้าก็ยังไม่มีคำว่าปรานีเลย”

“ถ้าจะให้อภิสิทธิ์แค่เพราะเกิดมาเป็นโอเมก้าก็น่าสงสารมากพอแล้ว งั้นอัลฟ่าที่เกิดจากครอบครัวชนชั้นล่างหรือเบต้าคนธรรมดาอย่างพวกคุณก็ยอมรับความไม่เท่าเทียมกันนี้ได้งั้นเหรอ”

“...นั่นมันก็ออกจะรับไม่ได้เหมือนกันจริงๆ นั่นแหละ”

“แล้วไม่ใช่เพราะเบต้าอย่างพวกคุณรึไงที่ทำให้มีเด็กอัลฟ่ากับโอเมก้าเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้ มันจะมีมนุษย์อย่างพวกผมเกิดมาได้มั้ยถ้าเบต้าอย่างพวกคุณล้มเลิกความคิดที่จะทำให้คู่รักเพศเดียวกันสร้างลูกหลานสร้างครอบครัวสืบสายเลือดขึ้นมาได้”

“.......”

“ผมไม่เชื่อว่ามนุษย์ถูกกำหนดด้วยโชคชะตางี่เง่าอะไรนั่น ถ้าหากคิดจะอยู่เหนือกว่าคนอื่นก็ต้องลุกขึ้นมาพิสูจน์ตัวเอง หรือถ้าใครยังไม่เห็นหัวความพยายามอะไรนั่นอีกก็ช่างหัวพวกมันสิ”

อาเซลเผลอหัวเราะและก้มหน้าลงเพราะน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ที่ผ่านมาเขาได้แต่นึกอิจฉาอัลฟ่าอย่างคาเล็มที่ใครต่อใครยกย่องสรรเสริญ และรู้สึกไม่ยุติธรรมที่สังคมเห็นใจโอเมก้ามากกว่า ต่อให้เบต้าอย่างเขาพยายามมากแค่ไหนก็ได้แค่คำชมปลอบใจเพราะด้านศักยภาพและรูปร่างหน้าตาหรือฐานะทางสังคม ยังไงมันสู้พวกอัลฟ่าไม่ได้อยู่ดี

“...ตกลงครับ” เสียงสูดลมหายใจเข้าจมูกหลังจากชายหนุ่มเบต้าตั้งสติได้แล้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาคู่สนทนา “ผมจะทำงานนี้ให้คุณ”

คาร์บฮอล์ลยิ้มและยื่นมือออกไป

“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะ อาเซล ฟลอยด์”



“พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าคาเล็มเลยนะ”

แม้จะตอบรับคำชวนไปแล้ว แต่กว่าทุกอย่างจะเตรียมการพร้อมก็ต้องรอไปอีกระยะหนึ่ง อาเซลจึงยังคงเข้าๆ ออกๆ สถาบันวิจัยอยู่ รวมทั้งโนเอลด้วย

“ช่วงนี้คาเล็มเค้ายุ่งๆ น่ะ พอดีคนไข้ที่ดูแลมาหลายปีเริ่มอาการไม่ค่อยจะดีแล้ว”

“คนไข้นั่นก็หนึ่งในหนูทดลองของหมอนั่นด้วยรึ? ”

“ไม่ใช่สักหน่อย คาเล็มเขาตั้งใจรักษาอย่างจริงจังนะ” โนเอลยืนเอาแฟ้มเอกสารเรียงเข้าชั้น “ว่าแต่นายมาทำอะไรในวันหยุดแบบนี้ล่ะ? ”

“นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ” อาเซลแกล้งดึงปกคอเสื้อเพื่อน “เห? นี่มันรอยคิสมาร์คธรรมดานี่หว่า ไม่เห็นมีรอยกัดเลย”

“อาเซลแย่ที่สุด! ” คนโดนแกล้งเขินจัดจนเอาแฟ้มฟาดใส่เพื่อนไม่ยั้ง

“ไหนว่าแต่งงานแล้วจะลาออกจากงานไง? ”

“ผมยังต้องจัดการงานส่วนของผมจนกว่าคนใหม่จะชินกับงานนะ แล้วบ้านใหม่ของคาเล็มก็ยังไม่เสร็จดี คงอยู่ต่ออีกสักเดือนสองเดือนล่ะมั้ง”

“ย้ายไปที่ไหนล่ะ? ”

“จะไปช่วยย้ายของให้เหรอ? ”

“เปล่า เผื่อจะไปเผาบ้าน”

“หวา...งั้นไม่บอกดีกว่าแฮะ” เมื่อเรียงเอกสารเข้าชั้นเสร็จเป็นที่เรียบร้อยก็หันมาชวนคุยต่อ “จะว่าไป...นายมีแฟนแล้วงั้นเหรอ? ”

“หา!? ”

“ก็เห็นช่วงนี้นายดูจะติดโทรศัพท์มากผิดปกติน่ะ เห็นติดยกขึ้นมาดูเหมือนกำลังรอใครติดต่อมาตลอดเลย แต่ก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้”

“ไม่ใช่แฟน นั่นน่ะ…” อาเซลชะงักคำพูดกลืนลงคอ เกือบเผลอหลุดปากว่านั่นน่ะพี่ชายของคาเล็มออกไปซะแล้ว

“แน่ะ...มีพิรุธแบบนี้ของจริงแหงๆ เลย”

“เออๆ อยากจะคิดแบบนั้นมันก็เรื่องของนาย” เพื่อนนักวิจัยยอมรับตามสภาพ ปล่อยให้เข้าใจผิดไปแบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้ เวลาที่เขาหายไปข้างนอกนานๆ จะได้ไม่ถูกสงสัยว่าไปทำงานให้กับพี่ชายของคู่แข่งด้วย ถึงจะแค่ช่วยทำยาเฉพาะบุคคลไม่ได้ไปเข้าร่วมกับองค์กรอื่น แต่การแอบไปทำโดยบอกใครไม่ได้นี่ก็แอบรู้สึกผิดอยู่นิดๆ

“อยากรู้จังว่าแฟนสาวของนายจะเป็นผู้หญิงแบบไหน” โนเอลกำลังเข้าโหมดจินตนาการ “ลึกลับเงียบขรึมไม่ค่อยพูดรึเปล่า หรือจะเป็นสาวน้อยร่าเริงอารมณ์ประมาณน้องสาวเหรอ? ”

อาเซลขมวดคิ้วลำบากใจพลางนึกใบหน้าของคาร์บฮอล์ลขึ้นมาเหมือนรูปถ่ายที่ตัดแปะลงไปบนตัวภาพหญิงสาวในมโนของเพื่อน...ขอยืมเอามาแก้ต่างก่อนละกัน

“…เป็นคนเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจแถมยังชอบวางตัวเหนือกว่า แล้วก็บ้าอำนาจแบบสุดๆ ”

“โห..อาเซลชอบแบบราชินีงั้นเหรอเนี่ย!? ” โอเมก้าหนุ่มนักวิจัยยกมือปิดปากทำหน้าเขินอายกับสเป็คแฟนของเพื่อน “เพิ่งรู้ว่าชอบแบบดุเด็ดเผ็ดมันนี่เอง”

อยู่กับคาเล็มมากๆ แล้วนิสัยเปลี่ยนไปรึไงนะเจ้านี่...

“งั้นไว้แนะนำให้รู้จักด้วยนะ”

“ไม่มีทาง…”

“แค่นี้ก็ต้องหวงด้วย”

“ไปทำงานซะทีไป๊! ”



เมื่อคาร์บฮอล์ลได้สั่งลูกน้องให้เตรียมการทุกอย่างจนพร้อมและเรียกอาเซลมาทำงาน พร้อมกับมอบหมายให้เป็นแพทย์ดูแลประจำตัว ทำให้อาเซลสับสนเพราะตนคิดว่าจะได้เป็นหัวหน้าทีมวิจัย นี่มันออกจะผิดไปจากที่คิดไว้ แต่ประธานรอสเกรย์ได้ให้เหตุผลว่ามีผู้ร่วมวิจัยบางคนไม่พอใจถ้าหากจะให้อาเซลเป็นหัวหน้า

“เพราะผมเป็นเบต้า…? ” นักวิจัยหนุ่มกัดฟัน แม้แต่ที่นี่ก็ด้วย

“คุณไม่พอใจที่ได้เป็นแพทย์ส่วนตัวของผมรึ? ”

“ก็ เปล่า..คือผมคิดว่า”

“ที่ผมให้คุณทำหน้าที่ตรงนี้เพราะผมไว้ใจคุณที่สุดนะอาเซล” ประธานอัลฟ่าวางมือบนบ่าคู่สนทนา “ถ้าหากใครทำให้คุณไม่พอใจก็รายงานให้ลูกน้องผมทราบ เดี๋ยวผมจะจัดการหาคนมาแทนให้”

“...นานแค่ไหนครับ? ”

“หืม? ”

“คุณมีเวลาให้ผมเท่าไหร่สำหรับงานนี้? ” แม้จะมีเหงื่อซึมผุดพรายบนใบหน้าแต่ชายหนุ่มเบต้าก็ถามออกไปโดยไม่หลบสายตา “...ก่อนที่คุณจะหาคนอื่นมาทำงานแทนผม”

“...หึๆ ๆ คุณนี่ฉลาดกว่าเบต้าทั่วไปจริงๆ ” มือหนาฟาดลงไปที่แผ่นหลังนายแพทย์คนใหม่อย่างถูกใจ “อย่าให้ผมรอนานเกินไปก็แล้วกัน ขอตัว”

ประธานหนุ่มใหญ่อัลฟ่าเดินผ่านคนตัวเล็กกว่าไป อาเซลยกมือบีบบ่าตัวเองแน่นก่อนจะหัวเราะเบาๆ ทั้งน้ำตายังไหลออกมาเงียบๆ

ถูกหลอกเข้าเต็มเปา...หลงติดกับดักที่อีกฝ่ายวางเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนกันนะ กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว


“ใจร้ายจังเลยนะพี่ใหญ่ ล้อเล่นกับหัวใจคนอื่นแบบนี้ระวังพระเจ้าลงโทษนะ”

“เอาเวลาที่แกสั่งสอนฉันไปทำงานทำการให้สมกับที่ขยันล้างผลาญซะบ้างสิคาร์เรย์” ประธานหนุ่มเอ็ดน้องชายคนรองที่นั่งเอกเขนกบนโซฟาห้องทำงานแถมยังเอาเท้าขึ้นมาวางบนโต๊ะรับแขกอีก

“ร้อนใจขนาดนี้เพราะน้องชายคนเล็กของพวกเราทำท่าจะแซงหน้าไปก่อนงั้นเหรอ โอ๊ะๆ ๆ! ” ศีรษะของคนกวนประสาทโยกหลบแฟ้มที่พุ่งลอยมา “ฮู้ว...ไปดีกว่า อยู่ที่นี่นานๆ เดี๋ยวเงาหัวจะไม่มี”

คาร์เรย์ รอสเกรย์เดินออกไปจากห้องทำงานของผู้นำตระกูลที่ด่าไล่หลังตนตามเสียงประตูปิดมา

“ก็อุตส่าห์เตือนในกระทู้นั่นไปแล้ว คุณผิดเองนะที่หลงเชื่อคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างพี่ชายผมน่ะคุณอาเซล”


ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ชีวิตของคาเล็มก็ยิ่งดีวันดีคืน ทั้งชีวิตคู่ที่กำลังดำเนินไปด้วยดี ไหนจะเรื่องงานก็ไปได้สวยถึงขนาดมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงต่างประเทศ ภาพที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ด้วยสีหน้าแสนภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเหล่าโอเมก้านั้นเหมือนมีดที่กรีดลึกสร้างรอยแผลให้ผู้นำตระกูลรอสเกรย์ไม่เว้นแต่ละวัน

ขณะที่อาเซลสภาพจิตใจแย่ลงทุกวันด้วยความเครียดสะสมเพราะคาร์บฮอล์ลเป็นต้นเหตุ แม้ว่าทีมวิจัยของประธานอัลฟ่าจะทุ่มแรงกายและความรู้ทั้งหมดที่มีแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใกล้ความสำเร็จ ลงทุนเสี่ยงแม้กระทั่งทำการทดลองสร้างยาที่ช่วยเร่งให้โอเมก้าตั้งครรถ์ก่อนเวลาสืบพันธุ์ จนบรรดาโอเมก้าในครอบครองของคาร์บฮอล์ลต้องเจอผลข้างเคียงเพราะได้รับยามากเกินขนาดไปหลายคน หนักกว่านั้นก็คือบางคนแพ้ยาอย่างรุนแรงจนอาการโคม่าก็มี การที่เรื่องอื้อฉาวนี้ยังไม่แพร่งพรายออกไปก็เพราะใช้อิทธิพลและเงินปิดปากคนเหล่านั้นให้อยู่เงียบๆ ส่วนทางครอบครัวของโอเมก้าคนไหนที่มีปากเสียงไม่พอใจก็ถูกทำให้หายเงียบไปจากสังคมเลยก็มี

อาเซลนึกรังเกียจตัวเอง เขากำลังทำในสิ่งที่เคยสบประมาทคาเล็มเอาไว้ แต่หมอนั่นยังไม่เคยทำผิดพลาดมากขนาดนี้ เขาควรจะบอกให้คาร์บฮอล์ลหยุดแล้วขอร้องให้ยอมรับความจริงซะก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงไปมากกว่านี้ บางทีอัลฟ่าก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบไปซะทุกเรื่อง แต่อีกใจก็กลัวเพราะตนเป็นคนที่ล่วงรู้ความลับของอีกฝ่ายหลายเรื่องมากเกินไป คนโมโหร้ายแบบนั้นจะสั่งเก็บหรือจับเขาถ่วงน้ำโยนลงทะเลเป็นอาหารให้ฉลามก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เหมือนที่ทีมวิจัยบางคนถูกทำให้หายไปเพราะขอถอนตัวกลางคันนั่นแหละ

“ถ้าชีวิตคาเล็มมันพังพินาศ อะไรๆ ก็คงจะดีขึ้น” วูบหนึ่งที่นายแพทย์เบต้าเผลอคิดเรื่องเลวร้ายออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาพยายามสลัดความคิดอันตรายพวกนี้ออกไป อยู่ที่นี่นานๆ เข้าก็เริ่มจะซึมซับเอาความร้ายกาจของคาร์บฮอล์ลมาไว้ในตัวแล้ว
อยากจะหยุดทุกสิ่งพักเรื่องพรรค์นี้แล้วหนีไปที่ไหนไกลๆ แต่ช่วงนี้แทบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยเพราะถูกคนของประธานรอสเกรย์จับตาดูอยู่ไม่ห่างเวลาออกไปข้างนอกแต่ละที

เสียงมือถือสั่นในกระเป๋าเสื้อกาวน์ที่ถูกแขวนอยู่บนราว ไม่อยากจะขยับร่างกายลุกจากเตียงไปรับสายใครก็ตามในเวลานี้ แต่หากเป็นเรื่องด่วนจากประธานอัลฟ่าคนนั้นก็ไม่ควรปล่อยให้ทางนั้นถือสายรอนานจนพาลหงุดหงิดเอาได้

“โนเอล? ” ดวงตาที่เหมือนปลาตายกะพริบตาปริบ รู้สึกโล่งใจที่ปลายสายไม่ใช่คนที่อยู่ในความคิด

“นายเป็นยังไงบ้าง? พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลยนะ” ชายหนุ่มโอเมก้าที่ลาออกจากสถาบันวิจัยไปเป็นแม่บ้านเต็มตัวแล้วโทรมาถามความเป็นอยู่ของอดีตเพื่อนร่วมงาน เพราะได้ยินมาจากคนอื่นๆ ที่สถาบันวิจัยว่าอีกฝ่ายแทบไม่โผล่หน้าไปทำงานเป็นเดือนๆ แล้ว

“ฉัน..ช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดีน่ะเลยขลุกอยู่แต่ที่บ้าน” ชายหนุ่มเบต้าได้แต่โกหกบอกปัดว่าตนป่วยหนัก กับที่ทำงานเดิมก็แจ้งไว้ว่าขอลาหยุดจนกว่าจะรักษาตัวให้หายดีก่อน “นายล่ะเป็นไงบ้าง เมื่อไหร่จะมีลูกสักที? ”

“นายก็เป็นไปอีกคนเหรอ ทำไมพอใครๆ เห็นหน้าผมถึงต้องถามไปซะทุกครั้งเลยเนี่ย” โนเอลเอ่ยประชดเบาๆ พลางถอนหายใจยาว “ถึงผมจะเป็นโอเมก้าแต่ก็ใช่ว่าจะตั้งท้องได้ง่ายๆ เหมือนผู้หญิงนะ ช่วงฮีทหนักๆ ก็มีแค่ปีละครั้งเอง จะไปคาดหวังให้ลูกติดทันทีคงไม่ได้หรอก”

“งั้นเหรอ...เจ้าคาเล็มนี่ไม่มีน้ำยากว่าที่คิดซะอีก” อาเซลหัวเราะด้วยความรู้สึกเวทนา หวังว่าคงไม่ลงเอยแบบพี่ชายหมอนั่นหรอกนะไอ้เรื่องที่เป็นอัลฟ่าแต่ไม่มีปัญญาทำใครท้องได้เนี่ย

“ปากเสียเหมือนเดิมเลยนะนายเนี่ย ได้ทีเป็นต้องแขวะเขาตลอด เฮ่อ…”

โนเอลนึกอยากระบายให้ฟังเสียเหลือเกินว่าอัลฟ่าคู่ชีวิตของตัวเขาเองน่ะไม่ใช่ว่าไม่เก่งเรื่องอย่างว่าหรอกนะจะบอกให้… “ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอก แต่ท่าทางคาเล็มดูจะไม่ได้อยากมีลูกด้วยกันเท่าไหร่เลยด้วย”

“หา? ทั้งๆ ที่รีบขอนายแต่งงานเร็วขนาดนั้นเนี่ยนะ? ” สงสัยคงกลัวอัลฟ่าคนอื่นจะมาชิงตัดหน้าไปก่อนก็เลยรีบรวบหัวรวบหางเพื่อนโอเมก้าของตนแหง “...แล้วนี่อย่าบอกนะว่าจนป่านนี้หมอนั่นก็ยังไม่ตีตรานายอีก? ”

“อืม…”

“จริงเหรอเนี่ย ทำไมเป็นงั้นล่ะ? ” สาบานได้เลยว่าอาเซลไม่เคยเจออัลฟ่าคนไหนแปลกประหลาดเท่าคาเล็มอีกแล้ว หรือเพราะเจอคนที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากมีลูกเต็มแก่ก็เลยรู้สึกว่าอีกฝ่ายผิดปกติกันนะ?

“บางที...เขาอาจจะไม่ได้อยากจับคู่กับผมก็ได้ ช่วงนี้คาเล็มเองก็งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาอยู่ติดบ้านเลย ถูกเชิญไปร่วมงานประชุมสัมมนาวิชาการแพทย์แทบทุกเดือน ถึงจะไม่ได้ไปดูแลคนไข้ที่โรงพยาบาลแล้ว แต่กว่าจะกลับมาถึงบ้านแต่ละวันก็เหนื่อยจนแทบจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันเหมือนเมื่อก่อนเลย…” เสียงปลายสายสั่นเหมือนกับพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองแสดงความเสียใจออกมา

“หมอนั่นก็แค่ยุ่งแล้วก็เหนื่อยมากไปหน่อยเท่านั้นแหละ เดี๋ยวพอเคลียร์ตารางงานเสร็จทีนี้คนที่จะไม่มีเวลานอนคงเป็นนายแน่” เขาพยายามปลอบประโลมเพื่อนทั้งที่ปกติไม่ถนัดอะไรแบบนี้

“อ่ะ ฮ่ะๆ แต่ว่านะ...ผมเองก็อายุมากกว่าเขาตั้งหลายปี แล้วยิ่งโอเมก้าอายุมากขึ้นโอกาสมีลูกก็จะน้อยลงไปด้วย...”

“ไม่เอาน่ะโนเอล นายอย่าคิดอะไรที่มันทำร้ายตัวเองเลย”

“อืม...ขอโทษทีนะที่โทรมาเล่าอะไรก็ไม่รู้ให้นายฟัง”

“อา...ไม่เป็นไร ไว้ถ้านายอยากจะบ่นหรือระบายเวลาหมอนั่นมันทำตัวงี่เง่าก็โทรมาได้ แต่ถ้าฉันไม่ได้รับสายทันทีจะรีบโทรกลับนะ”

“ขอบคุณนะอาเซล ขอบคุณมากจริงๆ ...”

หลังจากเพื่อนโอเมก้าวางสายไปได้สักพัก อาเซลก็อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าหากเขายุแยงให้สองคนนั้นขาดความเชื่อใจกัน ทำให้โนเอลหลงเชื่อว่าสิ่งที่คาเล็มลงทุนทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองเจอโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาล่ะก็...นี่นับเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทำลายชีวิตสุขสันต์ของมันให้พังทลาย

ทว่า...ถึงแม้จะเกลียดชังอีกฝ่ายแค่ไหนเขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ และต่อให้สะใจที่ได้เห็นคู่แข่งสิ้นท่าแต่สุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจและเจ็บปวดที่สุดก็คือโนเอลต่างหาก

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.18 Up (12/2/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 12-02-2018 15:45:14
ประธานรอสเกรย์สั่งพักการทดลองชั่วคราว ด้วยเพราะรายงานของหัวหน้าทีมวิจัยที่บอกว่าบรรดาโอเมก้าไม่มีคนไหนที่อยู่ในสภาพพร้อมพอจะรับยาต่อไหว เรื่องนี้แม้แต่เงินก็คงช่วยอะไรไม่ได้ อาเซลแอบแปลกใจเล็กน้อยที่โครงการถูกสั่งพักได้ ทั้งที่เจ้าตัวดูร้อนรนมากแท้ๆ ตอนที่หัวหน้าทีมตัดสินใจรายงานให้คาร์บฮอล์ลรู้เรื่องก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะได้รับอนุมัติด้วยซ้ำ…

อาเซลเก็บของใช้บางส่วนที่ใช้ประจำกลับลงกระเป๋าใบเล็ก คิดซะว่าได้พักร้อนหลังจากทำงานหนักหน่วงโหดร้ายมานานหลายเดือน แต่ถ้าโอเมก้าที่เป็นหนูทดลองยาอาการดีขึ้นจนพร้อมเมื่อไหร่ เขาก็คงต้องกลับมาที่นี่อีกสินะ?

สองเท้ากำลังก้าวออกจากห้องวิจัยก่อนใครเพื่อนเพราะไม่ค่อยอยากอยู่พบปะหน้าอัลฟ่าเก่งๆ คนไหน แต่เดินออกมาได้สักพักฝีเท้าก็ช้าลงจนหยุดนิ่งอยู่กับที่ อาเซลยืนเหม่อมองร่างสูงใหญ่คุ้นหน้าคุ้นตาดีที่อยู่อีกฝั่งทางเดิน ท่ายืนสง่าผ่าเผยในทุกๆ ครั้งที่พบเจอเปลี่ยนไปโน้มตัวเท้าแขนกับขอบหน้าต่างที่เปิดกระจกไว้ สายตาล่องลอยแทบไม่ต่างจากเขาตอนนี้ ...และทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าโดนหลอกมาใช้งานเต็มเวลา จะดีหน่อยก็ตรงที่จ่ายหนักเท่านั้น...แต่อาเซลก็เดินตรงเข้าไปหาคาร์บฮอล์ล

“ร้อนใจเหรอครับ? ” ที่ถามไปนั่น เขากำลังเป็นห่วงหรือกลัวตัวเองจะโดนเด้งออกจากทีมกันนะ?

“เปล่า กำลังคิดว่าจริงๆ ผมก็รู้คำตอบนี้อยู่แล้ว” คาร์บฮอล์ลหลับตาลงและถอนหายใจออกมาเงียบงัน “พวกโอเมก้าไม่ได้ผิดปกติอะไรหรอก แต่ผมปฏิเสธมันมาตลอด”

“อ่า…” อาเซลไม่รู้จะตอบอะไรกับท่าทีสงบนิ่งไม่วางก้ามเป็นใหญ่เช่นที่ผ่านมา ถึงจะเย่อหยิ่งยังไงเขาก็เป็นมนุษย์ และอย่างน้อยคนคนนี้ก็ยอมรับความจริงเป็น...

“ถ้าเปลี่ยนมาทำยาให้ผมแทนจะกระทบอะไรมากรึเปล่า? ” คาร์บฮอล์ลเอ่ยถามออกมาทั้งๆ ที่รู้ว่าอาเซลไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมวิจัย ราวกับแค่ต้องการความเห็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“หมายถึง...ให้ทำยากระตุ้นการเร่งสร้างอสุจิ? ของแบบนั้นหาได้ทั่วไปนี่? ”

“ผมต้องการแบบที่แรงกว่าเดิม”

“บ้าแล้ว เขาคำนวณมาแล้วว่าปริมาณที่กินได้ในท้องตลาดคือปลอดภัยนะครับ”

“ช่างมันปะไร ขอแค่ลบคำสบประมาทของไอ้พวก..”

“คุณแคร์อะไรกับอีแค่ขี้ปากสามัญชนกันล่ะครับ!? ” อาเซลเถียงคำสู้อีกฝ่ายจนคาร์บฮอล์ลยังต้องชะงักปากไปเพราะแทบไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้ใส่มาตั้งแต่เด็กแล้ว “ไอ้พวกที่ดีแต่จ้องจับผิดมันเคยทำอะไรสำเร็จได้เท่าครึ่งหนึ่งของคุณมั้ย ก็ไม่! แล้วคุณยังต้องการอะไรอีก!? ”

“...” คาร์บฮอล์ลยืนมองอาเซลด้วยสายตานิ่งคมกริบแต่ไร้แววเชือดเฉือนเช่นที่ผ่านมาเวลาเขาโดนใครทัดทานการตัดสินใจ

“...อ่ะ ขอโทษครับ” อาเซลหลบสายตาสีเขียวหม่นที่จ้องมาหา “มันเสี่ยงไปหน่อย ผมเลยเป็นห่วง”

“นี่ผมก็ให้คนอื่นเสี่ยงแทนมาตั้งนานแล้ว คงจะดูขี้ขลาดไปหน่อยถ้าผมจะเอาแต่หลบอยู่หลังฉากแบบนี้” คาร์บฮอล์ลเมินกิริยาไร้มารยาทอีกฝ่ายแล้วกลับไปเหม่อมองข้างนอกเช่นเดิม “กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะเสียเวลาพักผ่อนหมด”

คาร์บฮอล์ลออกปากไล่อีกฝ่ายแล้วเจ้าตัวก็ชิงเดินออกมาก่อนเพราะไม่ต้องการเปิดการสนทนาใดๆ อีก ปล่อยให้อาเซลอ้าปากพะงาบค้างไว้เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีกเหมือนกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็คิดไม่ซื่อกับคนคนนั้นทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอัลฟ่ามาได้สักพักแล้ว จะโดนหลอกหรืออะไรเขาก็ไม่สนใจ เพราะทางนั้นก็ไม่ได้มีแต่ด้านเลวร้ายไปเสียหมด นั่นต่างหากที่ทำให้ความรู้สึกผิดแผกในใจมันก่อตัวขยายใหญ่โตหนักข้อขึ้นทุกวี่วัน อาจจะเพราะแบบนี้แหละเขาจึงยังยอมทำงานอยู่ในนรกนี่ได้…

แต่เขาก็พอเข้าใจว่าใครที่ทำให้พี่ใหญ่ของบ้านรอสเกรย์ต้องถีบตัวเองเอาดีเป็นที่หนึ่งในทุกๆ ด้านกระทั่งเรื่องทายาทขนาดนี้… เพราะตัวน้องชายที่แทบจะเรียกว่าใช้ชีวิตได้สมบูรณ์แบบเกือบเทียบเท่าเขาในทุกๆ ด้าน ติดก็แค่เรื่องไม่ได้สืบทอดมรดกของตระกูลต่อก็เท่านั้น

ถ้าหาก.. คาเล็มตัดสินใจจับมือปรองดองกับพี่บ้าง คาร์บฮอล์ลคงจะไม่ต้องมานั่งเครียดกับทุกสิ่งทุกอย่างขนาดนี้รึเปล่า?

“บ้าจริง...กลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะเรา…”

อาเซลส่ายหน้าไล่ความคิดเลวร้ายใดๆ ในหัวออกไป ความคิดที่หากเพื่อนของตนพังทลายลง พี่ใหญ่คนนี้คงหยุดทะเยอทะยานเสียที


“ซกมกที่สุด! ” เสียงตะโกนลั่นของอดีตนักวิจัยโอเมก้าที่บ่นไปพลางเร่งมือเก็บกวาดห้องพักที่รกสุดจะบรรยาย “นี่ห้องนอนคนหรือโรงงานเก็บขยะกันเนี่ย อยู่เข้าไปได้ยังไง!? ”

หลังจากหยุดพักนอนหลับเต็มตื่นมาได้สองวัน หนุ่มนักวิจัยเบต้าที่ก็ได้ฤกษ์ลุกมาเก็บกวาดห้องพักที่ปล่อยรกจนเรียกว่าเน่ามาเป็นเดือนๆ บางทีคงต้องจ้างแม่บ้านให้มาทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ไหนๆ ก็พอจะมีเงินจากการไปเป็นแพทย์จำเป็นของประธานรอสเกรย์อยู่แล้ว ถ้าไม่เอามาใช้สงสัยตัวเองคงได้นอนตายจมกองขยะเข้าสักวัน

แต่สำหรับวันนี้คงต้องพึ่งตัวช่วยไปก่อน…ถือเป็นโชคดีของเขาที่โนเอลเอาของมาเยี่ยม แต่ทนรับสภาพห้องไม่ได้เลยเข้าโหมดแม่บ้านเต็มสูบไล่เก็บกวาดห้องทุกห้อง ล้างจานที่ล้นอ่าง ขัดห้องน้ำที่ตะไคร่จับ ปัดกวาดเช็ดถูจนห้องทึบๆ เหม็นอับเริ่มมีอากาศให้หายใจสะดวกมากขึ้น

“อาเซล! อาหารกล่องพวกนี้มันหมดอายุไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนะ! ” โนเอลหันหน้ามาต่อว่าเพื่อนที่เพิ่งเดินลากสังขารออกมาจากห้องน้ำหลังจากเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง

“อ่า...ซื้อมาไว้กะจะกินแต่สลบยาวเลยลืม” น้ำเสียงงัวเงียของคนที่ยังไม่ค่อยสดชื่นทั้งที่ปาไปเที่ยงวันแล้วกล่าว

“จะบ้าตาย...ทำไมแฟนนายไม่มาดูแลเลยเนี่ย ปล่อยให้นายใช้ชีวิตเป็นหนูท่ออยู่แบบนี้ได้ยังไง” กล่องข้าวร้านสะดวกซื้อถูกโยนลงถังขยะไปอย่างน่าเสียดายที่ไม่โอกาสได้ทำให้คนซื้อไปอิ่มท้อง

“เอ่อ…” ลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายยังเข้าใจผิดเรื่องนั้นอยู่เลย เอาไงดีหว่า...จะบอกความจริงหรือเฉไฉต่อไปดีนะ “...โนเอล คือว่าเรื่องนั้นน่ะ”

“หืม? ”

“คือ...แฟนฉันตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศน่ะ” อยากจะเอาหัวโขกกำแพงห้อง ทำไมยังจะโกหกหน้าด้านๆ ต่ออีกเนี่ยอาเซล!?

“งั้นเหรอ ลำบากหน่อยนะ” โนเอลยังคงเชื่อสนิทใจ หลังจากเคลียร์ตู้เย็นเอาของค้างขึ้นราและหมดอายุไปทิ้งเสร็จก็พบว่าไม่เหลืออะไรที่พอจะเอามาเป็นวัตถุดิบทำอาหารให้เพื่อนได้เลย “สงสัยคงต้องไปหาซื้อของมาใส่ตู้เย็นบ้างแล้วล่ะ”

คิดได้ดังนั้นสองเพื่อนร่วมอาชีพก็พากันไปที่ซูเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ โดยที่อาเซลมีหน้าที่เข็นรถอย่างเดียว ปล่อยให้โนเอลเลือกผักเลือกเนื้อใส่รถเข็น แถมยังคอยหันมาดุเป็นระยะเวลาที่เขาหยิบอาหารกระป๋องหรือซีเรียลมาใส่รถเข็นอีก

“หัดกินของที่มีประโยชน์กับร่างกายบ้างสิ” นี่เพื่อนหรือแม่ครับ…

“ฉันเป็นคนจ่ายเงินนะ จะกินอะไรมันก็เรื่องของฉันสิ” เถียงกลับบ้างแล้วก็หยิบกาแฟสำเร็จรูปมายัดใส่รถเข็นรัวๆ “ว่าแต่ออกมาข้างนอกคนเดียวแบบนี้มันจะดีเรอะ? อย่างน้อยก็น่าจะใส่ปลอกคอป้องกันไว้หน่อยนะ”

“ฉีดน้ำหอมมาแล้วหายห่วงน่ะ” หนุ่มโอเมก้าตอบโดยไม่ได้หันมาเพราะกำลังเลือกกระปุกน้ำสลัดในมืออยู่ “เอาแบบไหนดี? ”
“อย่างไหนก็ได้เลือกๆ มาเถอะ หิวแล้ว” พอโดนเร่งแบบนั้นเข้า โนเอลเลยเลือกน้ำสลัดครีมหยิบใส่รถเข็นแล้วตรงไปคิดเงินที่แคชเชียร์ทันที

“เผลอซื้อมาซะเยอะเลย ให้ผมช่วยออกเงินมั้ย? ”

“ไม่เป็นไร” อาเซลหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้พนักงานรูด พอหันมาหาเพื่อนโอเมก้าถึงกับต้องถามเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่าย “ทำหน้าตกใจทำไม? ”

“เดี๋ยวนี้พกบัตรด้วย? แต่ก่อนไม่เห็นใช้”

“มันก็สะดวกดีน่ะ” เขาเซ็นชื่อลงบนกระดาษจากนั้นก็ส่งให้พนักงาน แล้วแบ่งของส่วนใหญ่มาหิ้วถือเอง “หนักวุ้ย…”

“มาๆ ผมช่วย” ช่วยที่ว่านี่ไม่ได้ช่วยแค่นิดหน่อย แต่หิ้วไปเกือบหมดเลย แถมทำท่าเหมือนไม่หนักเลยสักนิดเดียว นี่แรงเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนรึเปล่านะ?

ออกมาจากซูเปอร์มาเก็ตได้สักพักพอเดินผ่านหน้าร้านขายเบเกอรี่ โนเอลก็สังเกตเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังยืนจ้องขนมที่วางโชว์อยู่บนตู้กระจก เด็กชายคนนั้นผมสีน้ำตาลชี้รูปร่างเล็กค่อนข้างไปทางผอม หนุ่มโอเมก้าหยุดก้าวขาและยืนมอง พออาเซลเห็นเพื่อนไม่เดินตามมาก็สงสัย

“ฝากถือแป๊บหนึ่งนะ” โนเอลยื่นถุงจากซูเปอร์มาเก็ตส่งให้เพื่อนที่ยังไม่ทันจะยื่นแขนออกไปรับก็ปล่อยมือทันทีแล้วเดินฉับๆ ตรงไปที่ร้านเบเกอรี่ราวกับกลัวว่าร้านขนมมันจะหายไป

“ทำอะไรน่ะ? ” หนุ่มนักวิจัยเบต้าก้มลงเก็บของที่หล่นบนพื้น โชคดีที่ไม่มีพวกของที่แตกง่าย และพอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเพื่อนนั่งยองๆ กับพื้นคุยกับเด็กคนดังกล่าว ทำท่าทางเหมือนจะบอกให้เจ้าเด็กนั่นรออยู่ตรงนี้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้านสักพักแล้วออกมาพร้อมกล่องขนมเค้กกล่องเล็กในมือ

“อ้ะนี่ เอากลับไปกินที่บ้านนะ” โนเอลส่งรอยยิ้มสดใสพร้อมกับยื่นกล่องเค้กให้เด็กน้อยรับเอาไป

“ขะ...ขอบคุณครับพี่ชาย” ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายและแก้มกลมๆ ที่มีสีแดงระเรื่อกล่าวขอบคุณและโค้งตัวจนหน้าเกือบจะทิ่มพื้น โนเอลโบกมือให้เด็กน้อยที่วิ่งด้วยท่าทางมีความสุขจนลับสายตาไปก่อนเดินกลับมาหาเพื่อนที่ยืนรอจนเมื่อย

“ขอโทษที่ให้รอนะ” มือกลับมาหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอีกครั้ง

“อย่าใจดีกับเด็กจรจัดสิ พวกนี้หากินกับความใจดีของคนอื่นนะรู้ไหม? ” อาเซลเดินนำหน้าและสั่งสอนให้เพื่อนรู้จักระวังตัวมากกว่านี้

“เอาน่า เด็กคนนั้นน่าสงสารออกนะ วันเกิดตัวเองทั้งทีแต่ไม่มีโอกาสได้กินเค้กแสนอร่อยแบบนั้นคงเป็นความทรงจำที่แย่มากๆ ” โนเอลก้าวขาเดินตามหลังและยิ้มเศร้าๆ “ทำไมครอบครัวถึงปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ หิวโซแบบนั้นกันนะ”

“เด็กที่เกิดมาในครอบครัวยากจนที่พ่อแม่ไม่มีปัญญาหาเลี้ยงก็เป็นแบบนี้แหละ ลำพังแค่ปากท้องของตัวเองวันๆ ยังจะเอาตัวไม่รอดก็ไม่รู้จักป้องกัน ปล่อยให้เด็กเกิดมาในสภาพแวดล้อมแย่ๆ สร้างภาระให้ตัวเองและสังคมขึ้นมาไม่รู้เท่าไหร่ ไร้ความรับผิดชอบชะมัด” พูดบ่นไปก็พลันนึกถึงหน้าของใครบางคนที่มีพร้อมไปเสียทุกอย่างแต่สิ่งที่อยากได้มากที่สุดกลับไม่มี “...ตลกร้ายชะมัด ทีคนที่อยากมีลูกใจจะขาดล่ะกลับมีไม่ได้”

“อืม…” โนเอลพยักหน้าเห็นด้วยเพราะสิ่งที่เพื่อนพูดนั้นฟังไปแล้วก็คล้ายกับตัวเอง

ทั้งคู่เดินกลับมาถึงห้องพัก แยกของสำหรับเก็บเข้าตู้เย็นกับส่วนที่จะทำอาหารไว้ในครัว โดยคนอาสาทำอาหารมื้อนี้บอกกับเจ้าของห้องว่าให้ไปนั่งรอที่โซฟาก่อน แต่เจ้าตัวขอยืนอยู่คุยด้วยในครัวทั้งแบบนั้น

“...โนเอล จริงๆ แล้วตอนนี้ฉันน่ะ…กำลังกลุ้มใจเรื่องหนึ่งอยู่” คนพูดยืนพิงอยู่ข้างๆ ไมโครเวฟ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับไม่สบายใจนักถ้าหากพูดออกไป

“อะไรเหรอ? ” โนเอลลงมือต้มเส้นสปาเกตตีไปพลางรับฟังปัญหาของเพื่อน

“คือว่า...คนรู้จักของฉันคนหนึ่งเขาอยากมีลูกมากๆ แต่ทำยังไงก็มีลูกไม่ได้สักที แล้วเขาก็เลยมาขอให้ฉันช่วยน่ะ แต่ฉันไม่ค่อยอยากเสี่ยงกับวิธีที่เขาเสนอให้ฉันช่วยสักเท่าไหร่”

ระหว่างรอเส้นสุก โนเอลก็จ้องมองสีหน้าของอาเซลที่ดูจะเครียดเอามากๆ “ถ้ากลุ้มใจขนาดนั้นทำไมไม่ลองพาเขาไปที่สถาบันวิจัยดูล่ะ เผื่อจะช่วยอะไรได้”

“...พอดีว่าเขาเป็นอัลฟ่าน่ะ” หนุ่มนักวิจัยเบต้าเสี่ยงวัดดวงพูดออกไป ถ้าไม่เผลอพูดชื่อคนคนนั้นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรหรอกมั้ง?

“หา! อัลฟ่า!? ” ถาดไข่ไก่ที่ถือไว้ในมือเกือบจะร่วงหล่นลงพื้น ยังดีที่รับไว้ทัน “เดี๋ยวนะ นายช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อย เพื่อนที่ว่ามีลูกไม่ได้นี่เพราะเป็นอัลฟ่าผู้หญิงแต่อยากตั้งท้อง หรือว่าเป็นอัลฟ่าผู้ชายที่ทำให้คู่ครองตั้งท้องไม่ได้กัน”

“อ่า...อย่างหลัง” อาเซลเหงื่อตกและใจเต้นระส่ำ ลึกๆ กลัวว่าเรื่องที่กำลังพูดอยู่นี้จะไม่ไปเข้าหูประธานอัลฟ่าคนนั้นเข้าเพราะถูกกำชับไว้ว่าห้ามบอกคนนอก แต่พยายามคิดในแง่ดีว่าทางนั้นคงไม่ลงทุนทำถึงขนาดแอบส่งคนมาติดเครื่องดักฟังเอาไว้ในห้องพักของตนหรอก

“เขาอายุมากแล้วรึเปล่า? ” พ่อครัวเริ่มไม่ได้สนใจเส้นสปาเกตตีในหม้อต้มแล้ว

“ก็...ยังไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แต่ลองพยายามทุกวิธีแล้วก็ยังไม่สำเร็จเลยน่ะ” ไม่กล้าบอกอายุจริงออกไป แค่นี้ก็ทำเอากลัวว่าความจะแตกแล้ว

“ถึงจะเป็นอัลฟ่าก็เถอะ แต่ถ้าอายุมากก็มีลูกได้ยากเป็นธรรมดาเพราะปริมาณน้ำเชื้อจะลดลง ยิ่งถ้าหากดื่มเหล้าสูบบุหรี่ด้วยล่ะก็อสุจิที่แข็งแรงก็จะน้อยลงไปอีก” มือของโอเมก้าหนุ่มหมุนปิดแก๊สที่เตาลง “บ่อยครั้งโอเมก้าก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้แม้ว่าจะจับคู่กับอัลฟ่าไปแล้วเพราะปัญหาเหล่านี้แหละ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยยอมรับความจริงกันหรอกว่าเป็นเพราะสภาพร่างกายของตัวเอง”

หนุ่มนักวิจัยเบต้าลอบถอนหายใจ สภาพร่างกายของประธานรอสเกรย์คนนั้นเป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่ามาเกือบทั้งหมด ด้วยเพราะต้องแบกรับหน้าที่การเป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่อายุยังน้อยจึงละเลยการมีครอบครัวในวัยที่ร่างกายมีความพร้อมที่สุด และการเข้าสังคมแต่ละครั้งก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการดื่มสังสรรค์ไปได้ ไม่ต้องพูดถึงการออกกำลังกายที่จำเป็นที่สุดเลย ตลอดเวลาที่แอบไปทำงานให้ฝ่ายนั้นเขาแทบจะไม่เคยเห็นคาร์บฮอล์ลพักผ่อนหย่อนใจเลยด้วยซ้ำ

“ต่อให้มีลูกได้ก็ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ อีก โอเมก้าอาจจะแท้งลูกระหว่างตั้งท้องหรือไม่เด็กที่คลอดออกมาก็อาจมีความผิดปกติได้” นี่ไม่ใช่ปัญหาใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่อย่างใด การมีบุตรยากนับเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ตลอดและเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพียงแต่ว่ากรณีดังกล่าวน้อยครั้งที่จะเกิดขึ้นกับคู่ของอัลฟ่าและโอเมก้า

“สรุปว่ายังไงก็คงไม่มีหวังสินะ” อาเซลรู้สึกอับจนหนทาง ลำพังแค่เขากับทีมวิจัยอย่างไรเสียก็คงไม่สามารถช่วยอะไรคนคนนั้นได้จริงๆ

ถ้าเกิดว่าคาร์บฮอล์ลได้เจอคู่แห่งโชคชะตา ต่อให้โอกาสมีลูกจะน้อยแค่ไหนแต่ปาฏิหาริย์ก็อาจจะเกิดขึ้นรึเปล่านะ?

“อาเซล...” อดีตนักวิจัยโอเมก้าเห็นเพื่อนที่เคยร่วมงานกันทำหน้าซึมก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “นายดูเป็นกังวลเรื่องอัลฟ่าคนนั้นมากเลยนะ”

“แปลกรึไงกัน? ”

“แปลกสิ แปลกมากด้วย แววตาของนายมันบอกชัดเลยว่านายแคร์เขามากแค่ไหนน่ะ ผมไม่เคยเห็นนายคิดถึงความรู้สึกของใครมากเท่านี้มาก่อนเลยล่ะ”

“...จะบอกว่าที่ผ่านมาฉันมันนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยเรอะ” ความรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าทำเอาอยากบีบคอคนข้างๆ นัก

“อ้าว? นี่นายไม่รู้ตัวหรอกเหรอ? ”

นี่มันด่ากันจริงๆ เลยนี่หว่า!

“โนเอล! ” เจ้าของห้องวิ่งไล่จับเพื่อนที่วิ่งหนีไปรอบๆ ห้อง “ฉันจะเอาเลือดหัวนายมาใส่สปาเกตตีแทนซอสมะเขือเทศเดี๋ยวนี้แหละ! ”

“ช่วยด้วยยยย” คนตัวเล็กกว่าวิ่งพล่านไปรอบห้อง ทั้งลากเก้าอี้ขวางทั้งโดดหลบไปอยู่หลังโซฟา นี่ถ้าห้องข้างๆ มาได้ยินเสียงโครมครามนี่เข้าคงนึกว่ามีคนกำลังจะฆ่ากันตายจริงๆ แหง


“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องให้ฉันไปส่งน่ะ? ”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมกลับเองได้จริงๆ ” โนเอลยกมือปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนร่วมงาน “อาหารที่ผมทำไว้ให้ก็เอาออกมาอุ่นไมโครเวฟกินให้หมดด้วยล่ะ ไว้กลับไปบ้านผมจะขอให้คุณเรนเดลสอนทำสตูเนื้อแกะสูตรพิเศษให้ คราวหน้าจะได้มาทำให้นายกินบ้าง”

“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกน่ะ เอาเวลาไปฝึกวิธียั่วสวาทสามีตัวเองให้ขยันปั๊มลูกดีกว่า”

“เดี๋ยวเถอะ! ” คนถูกแซวทุบตีไหล่อีกฝ่ายจนร้องโอดโอย “นายก็ด้วยแหละ รีบๆ พาแฟนมาเปิดตัวให้ผมรู้จักได้แล้ว”

“ทำไมถึงได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องแฟนคนอื่นขนาดนี้นะนายเนี่ย” อาเซลยกมือลูบบริเวณที่โดนเพื่อนทำร้ายร่างกาย มือหนักจริงวุ้ย...

“ผมจะได้สบายใจสักทีไงว่านายมีคนดีๆ ที่พร้อมจะดูแลกันไปตลอดชีวิตแล้ว เพราะยังไงนายก็เป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุดนะ”

ชายหนุ่มเบต้ามองคนตรงหน้าที่พูดด้วยรอยยิ้มกว้าง ในใจเหมือนถูกบีบรัดด้วยความตื้นตันดีใจปะปนไปกับความรู้สึกผิดกับการที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าเพื่อนสนิท

“...เออ ไว้ถ้านายมีลูกได้เมื่อไหร่ฉันจะพาแฟนไปเจอก็แล้วกัน” ปากก็พูดไปอย่างนั้น แต่คนฟังกลับทำหน้าตื่นเต้นดีใจแบบสุดๆ

“ได้! สัญญาแล้วนะ ห้ามเบี้ยวกันล่ะ! ”

นี่แยกไม่ออกรึไงว่าอันไหนพูดจริงอันไหนล้อเล่นเนี่ย!?

หลังจากเพื่อนโอเมก้าจอมจุ้นกลับไปแล้ว คนที่หลวมตัวปากพล่อยไปเอ่ยสัญญาก็ต้องมานั่งกุมขมับที่โซฟาของตัวเอง ระหว่างลุ้นให้โนเอลตั้งท้องกับให้เขาไปหาแฟนมาเปิดตัวนี่...ไอ้อย่างแรกยังดูจะเป็นไปได้มากกว่าซะอีก!


“แกล้งแรงเกินไปรึเปล่านะ? ” โนเอลพึมพำกับตัวเองขณะนั่งรถแท็กซี่กลับ อันที่จริงพอเขาไปเยี่ยมอาเซลวันนี้ก็พอจะจับไต๋ได้แล้วล่ะว่าเรื่องที่เจ้าตัวมีแฟนนั้นเป็นเรื่องโกหก ข้าวของอะไรต่างๆ ทั้งในห้องนอนและห้องน้ำก็มีแค่ของคนคนเดียว ถ้ามีแฟนจริงๆ ต่อให้ไปอยู่ต่างประเทศยังไงก็ต้องมีของใช้คู่กันหรือข้าวของส่วนตัวหลงเหลือติดห้องอยู่บ้าง แต่นี่ไม่มีเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ขนาดถุงยางสักชิ้นก็ยังไม่มี...

ทำไมถึงต้องปิดบังและยอมรับว่าตัวเองมีคนรัก ถ้าแค่กลัวเสียฟอร์มเพราะว่าเขาแซวไปเมื่อคราวก่อนนั่นก็ไม่สมกับเป็นหมอนั่นเลย

“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณผู้โดยสาร เห็นทำหน้าเศร้าๆ ” คนขับแท็กซี่เห็นลูกค้าของตนเอาแต่เหม่อแล้วก็ถอนหายใจทิ้งมาสองสามรอบแล้วจึงชวนคุย

“อ่อ...กลุ้มใจเรื่องเพื่อนนิดหน่อยน่ะครับ” พอถูกชวนคุยก็หลุดจากภวังค์ “ว่าแต่วันนี้รถติดน่าดูเลยนะครับ แทบจะไม่ขยับเลย”

“ครับ แบบนี้กว่าผมจะไปส่งคุณผู้โดยสารถึงบ้านคงได้มืดค่ำก่อนแหงเลย” สายตาของคนขับรถแอบปรายตามองผู้โดยสารที่นั่งอยู่เบาะหลัง “ว่าแต่...คุณเป็นโอเมก้าเหรอครับ? ”

“แล้วคุณโชเฟอร์คิดว่าไงครับ ผมดูเหมือนโอเมก้ารึเปล่า? ” โนเอลพยายามเก็บอาการไม่ให้ตกใจจนผิดสังเกตทั้งๆ ที่แอบขนลุกซู่เมื่อถูกจ้องมองตาเขม็ง

“อืม...ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมชอบทายลูกค้าเล่นไปเรื่อยน่ะ หลายครั้งก็เดาผิดไทป์อยู่บ่อยๆ เดี๋ยวนี้แค่มองรูปร่างภายนอกมันบอกไม่ได้แล้วนะครับว่าใครเป็นไทป์ไหน แถมคุณก็ไม่ได้ใส่ปลอกคอเพราะงั้นไงๆ ก็คงไม่ใช่โอเมก้าแน่ๆ ” คนขับรถหัวเราะขบขัน หารู้ไม่ว่าคนที่นั่งโดยสารในรถนั้นหายใจไม่ทั่วท้องแล้วตอนนี้

“นั่นสินะครับ อ่ะ...โอ๊ย! ” โนเอลนิ่วหน้าร้องเสียงดังและกุมท้องตัวเองจนตัวงอ “ขะ...ขอโทษด้วยครับ ผมปวดท้อง โอ๊ย! ”

“ปะ เป็นอะไรรึเปล่าครับ? ” พอเห็นผู้โดยสารเริ่มมีอาการผิดปกติก็เริ่มขวัญเสีย

“โอ๊ยๆ! ...ขอลงตรงนี้เลยแล้วกันครับ ผมไม่ไหวแล้ว นี่ครับเงิน ไม่ต้องทอน! ” มือควักแบงก์วางไว้เบาะหลังก่อนจะรีบคว้ากระเป๋าแล้วเปิดประตูรถวิ่งออกไปทันที สร้างความสงสัยให้โชเฟอร์ว่าคนปวดท้องทำไมถึงวิ่งได้เร็วขนาดนั้นกัน?

โนเอลซอยเท้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลมหายใจหอบเหนื่อยก่อนจะค่อยๆ ลดความเร็วลงจนกระทั่งหยุดวิ่งในที่สุด จะหาว่าเขาระแวงเกินเหตุก็ได้แต่ถ้าไม่ทำขนาดนี้เขาคงไม่อยู่รอดปลอดภัยมาจนอายุปูนนี้หรอก...ถึงจะยังไม่แก่ขนาดนั้นก็เถอะ

“ว่าแต่เราอยู่แถวไหนแล้วนะตอนนี้? ” พอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ตึกที่รายล้อมก็ต้องตาเหลือกเพราะที่นี่มันย่านเลิฟโฮเต็ล!

ถึงจะเคยคิดอยากมาที่นี่กับคาเล็ม แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะอยากมาตอนนี้เลยสักหน่อย!





TBC.
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.18 Up (12/2/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-02-2018 22:01:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.18 Up (12/2/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Husky ที่ 19-02-2018 01:11:03
 o13 o13
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.19 Up (21/2/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 21-02-2018 00:04:28

บทที่ 19



“โอ๊ะ โอ๋? ดูซิว่าเจอใครเข้า? ” เสียงที่..จะว่าคุ้นหูไหมก็ไม่เชิงนักลอยทักมาในระยะไม่ห่างจากตัวมาก โนเอลรีบหันตามเสียงไปก็พบอัลฟ่าคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขาในระยะประชิด

คาร์เรย์ รอสเกรย์ ส่งยิ้มเป็นมิตรที่ดูน่าขนลุกมากกว่ามาให้ในขณะที่ยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน สายตาไล่พินิจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ไม่ใช่การสำรวจว่าเป็นคนรู้จักหรือเปล่าแน่ๆ แววตาแทะโลมจนขนาดเด็กยังรู้สึกได้ขนาดนี้คงไม่น่าจะใช่การพบเจอที่ดีเท่าไหร่แน่นอน

“คุณน้องสะใภ้มาทำอะไรในที่แบบนี้เหรอ? หรือว่าเบื่อสามีแล้ว? ”

“เปล่าครับ ผมแค่เดินหลงมาเฉยๆ กำลังจะกลับแล้วล่ะ คาเล็มคงรออยู่ทางโน้นแล้ว” โนเอลรวบรัดและก้าวถอยจากพี่ชายของสามีตัวเองอย่างนุ่มนวลไม่ให้ดูเสียมารยาท ยกเอาคนที่ไม่ได้มากับตนด้วยตามคำอ้างมาพูดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรแปลกๆ ถ้าหากคำพูดของคาเล็มไม่ผิดละก็.. คนที่เขาควรระวังตัวอย่าเข้าใกล้ที่สุดในบ้านรอสเกรย์อาจจะไม่ใช่พี่ใหญ่คาร์บฮอล์ล แต่เป็นคนคนนี้ต่างหาก

“เหรอ? ” คาร์เรย์ลากเสียงพลางเลิกคิ้วขึ้นทำสีหน้าสุดกวน “แต่ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้คาเล็มไม่อยู่นี่? กว่าจะกลับมาก็คงเดือนหน้าล่ะมั้ง”

ชิบ...ดันรู้อีก

“โกหกผู้ใหญ่แบบนี้เป็นเด็กไม่ดีเลยน้า”

“ต้องการอะไรครับ? ”

“โอ๋ๆ ๆ ไม่ทำหน้าน่ากลัวสิ ผมแค่อยากชวนไปกินข้าว ไม่คิดว่าโอเมก้าหลงเดินเข้ามาในย่านแบบนี้คนเดียวมันจะอันตรายไปหน่อยเหรอ? ” คาร์เรย์พูดพลางเหล่มองไปทั่วบริเวณทำให้โนเอลต้องมองตาม ผู้คนรอบๆ ตัวเขาเริ่มหันมามองบ้างประปราย คนขับแท็กซี่เมื่อครู่ไม่รู้ว่าเขาเป็นโอเมก้าก็จริง แต่พวกคนที่อยู่ที่นี่มีหรือจะแยกไม่ได้ แม้ไม่ได้กลิ่นใดๆ จากตัวเขาก็ตาม..

“ถ้า..ขอให้พาผมไปส่งที่อื่นแทนจะได้มั้ยครับ? ” แม้จะไม่อยากอยู่ที่นี่นานนักแต่ก็ยังไม่ไว้ใจอีกฝ่ายอยู่ดี

“อะไรกัน ไร้เยื่อใยกับพี่ชายขนาดนี้ไม่ดีนะ” คาร์เรย์ถือวิสาสะเดินเข้ามาโอบไหล่โนเอล แม้เจ้าตัวจะไม่ชอบแต่วิธีนี้ได้ผลทันควัน สายตาที่จ้องมองมายังตัวเขาลดน้อยลงแล้ว บางคนก็เดินหนีไปทางอื่นแทบจะทันที “ป่ะ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

“ผมเดินเองได้ครับ” อดีตนักวิจัยโอเมก้าพยายามขืนตัวออกจากการเกาะกุม แต่คราวนี้เลยถูกโอบเอวแทน “คุณ..! ”

“ตามมาดีๆ เถอะน่า ถ้าเดินห่างกันเดี๋ยวถูกใครฉุดเข้าไปในโรงแรมแถวนี้ผมไม่รู้ด้วยนะ” คนพูดแกล้งขู่กระซิบข้างหู คนฟังพลันยกมือขึ้นตะปบข้างหูซะจนเกือบเอามือฟาดหน้าคนมีเจตนาแอบแฝงไปด้วย คาร์เรย์พาเดินออกมาจากย่านเลิฟโฮเต็ล พอเริ่มเห็นร้านค้าปกติข้างทางแล้วชายหนุ่มโอเมก้าก็เริ่มใจชื้นขึ้นมา “เลี้ยวหน้าก็ถึงแล้ว”

ชายหนุ่มอัลฟ่าพาคนที่ลากมาด้วยเข้าซอยเปลี่ยวที่แทบไม่มีแสงไฟเหมือนทางที่เพิ่งเดินผ่านมา แถมในซอยยังมีกลิ่นควันแปลกๆ อีก จนโนเอลชักจะเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาแล้ว

“...ยังไม่ถึงอีกเหรอครับ? ”

“ใกล้แล้วๆ ทะลุออกจากซอยนี่ก็เจอ... อั่ก! ” แขนข้างที่โอบเอวโดนบิดข้อมือ ร่างของชายหนุ่มอัลฟ่าโดนผลักติดกำแพงตามด้วยความรู้สึกเหมือนถูกฟาดหัวอย่างแรงจนค่อยๆ ร่วงลงกับพื้น

“อยากกินก็เชิญไปกินคนเดียวเถอะ” คนพูดหอบหายใจเมื่อตนออกแรงซัดอีกฝ่ายไปเมื่อครู่ และคว้ากระเป๋าเตรียมจะวิ่งกลับทางเดิมแต่โดนคว้าข้อเท้าเอาไว้จนเกือบสะดุดล้ม

“มือหนักไม่ใช่เล่นๆ เลย แบบนี้สิค่อยเร้าใจหน่อย” คาร์เรย์ที่พูดจาเหมือนคนโรคจิตสติไม่ดีอยู่นั้นก็ถูกกระทืบซ้ำลงมาอีก แต่ก่อนที่จะได้แผลฟกช้ำไปมากกว่านี้จู่ๆ โนเอลก็รู้สึกตาลาย ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ ก่อนที่เสียงฝีเท้าของคนหลายคนจะดังเข้ามา

พรรคพวกของคาร์เรย์กว่าสิบคนที่สวมหน้ากากพากันเข้ามาดักทั้งข้างหน้าข้างหลังรุมล้อมเอาไว้ ชายหนุ่มโอเมก้าถอยห่างจากคนที่ตนอัดยับยืนหลังพิงกำแพง เปลือกตาหนักอึ้งลงทุกขณะราวกับถูกรมยา...หรือว่ากลิ่นแปลกๆ ตอนเดินเข้ามาในซอยนั่นมันจะเป็น...ยาสลบ!

บ้าเอ๊ย…

สติสัมปชัญญะสุดท้ายเลือนรางลงก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำสนิทไปหมด









เสียงโหวกเหวกแว่วเข้ามาในหู โนเอลค่อยๆ ฟื้นคืนสติก่อนจะพยายามลืมตาขึ้นมองหาต้นตอของเสียงนั้น ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวจนแยกยากว่าตนอยู่ที่ไหน แต่สัมผัสทางกายรับรู้ถึงความอุ่นนุ่มของที่ที่ตนนอนอยู่จึงพออนุมานได้ว่าเขาคงนอนอยู่บนเตียง...แต่ว่าที่ไหน?

“!? ” ความทรงจำก่อนหมดสติไปเริ่มกลับเข้ามาในสมอง พอรู้ว่าตนเองเพิ่งโดนรมยาไปจึงรีบใช้สองแขนพลิกตัวฝืนขึ้นนั่ง

“แกจะหาเรื่องให้ฉันเดือดร้อนอีกรึไง ทำอะไรไม่คิด! ” น้ำเสียงที่เหมือนจะคุ้นแต่ก็ไม่อีกเสียงดังจากอีกฝั่งของห้องนอนกว้าง โนเอลพยายามมองให้ชัดว่าใครที่กำลังยืนคุยกันอยู่ตรงหน้าประตูไม่ไกลนักนั้น

“แค่พามาพักเฉยๆ น่าพี่” คาร์เรย์ที่มีรอยแดงช้ำบนหน้าซึ่งไม่ได้เกิดจากกระเป๋าของเขา ดูแล้วเหมือนเพิ่งโดนชกมามากกว่า…

“พักบ้าอะไรถึงได้ขึ้นไปคร่อมน้องสะใภ้แบบนั้น!? แกไปเล่นยามาอีกแล้วใช่มั้ย!? ” คาร์บฮอล์ล พี่ใหญ่ของบ้านรอสเกรย์นั่นเองที่กำลังตะโกนดุด่าน้องชายตนอย่างเลือดขึ้นหน้า แต่พอรู้ว่าตนกำลังจะโดนทำอะไรโนเอลก็เปลี่ยนมาก้มมองที่ร่างกายตน เสื้อท่อนบนโดนปลดกระดุมออกจนหมด โชคดีที่กางเกงยังอยู่ครบเป็นสัญญาณว่ายังไม่โดนล่วงเกินลงไปจนเลยเถิด สองมือรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างกายตนมิด แต่การเคลื่อนไหวนั้นเรียกความสนใจจากสองอัลฟ่ารอสเกรย์ให้หันไปมองพอดี

“ตื่นแล้วเหรอ เจ้าหญิงนิทราตัวน้อย”

“แกน่ะหุบปากไปเลย! แล้วรีบลงไปให้คาเซล่าทำแผลโน่น เดี๋ยวฉันต้องคุยกับแกจริงๆ จังๆ สักทีคาร์เรย์”

“มาอีกแล้ว ชั่วโมงฟังเทศนาของพี่ใหญ่” คาร์เรย์ทำหน้าเบื่อหน่ายและพลิ้วตัวโยกหลบฝ่ามือที่กำลังจะฟาดซ้ำลงมาแล้วรีบก้าวออกจากห้อง แต่ยังมิวายส่งสายตาชวนขนลุกและโบกมือมายังคนบนที่นอนก่อนไป “บ๊ายบาย ไว้จะมาเล่นด้วยใหม่นะ”

ปังง!!

เสียงปิดประตูใส่หน้าอย่างแรงทำเอาคนถูกลักพาตัวมาทำมิดีมิร้ายสะดุ้ง ร่างสูงใหญ่สบถดังก่อนจะหันมาทางน้องสะใภ้แล้วถอนหายใจแรง เขาเดินไปลากเก้าอี้ในห้องมานั่งแล้วยกมือนวดขมับคล้ายกำลังเหนื่อยใจอย่างมาก

“เอ่อ…” ดูจากท่าทางและมืออีกข้างที่สั่นระริกราวกับเพิ่งจะใช้ออกแรงไปเมื่อครู่แล้ว พี่ใหญ่แห่งบ้านรอสเกรย์คงเป็นคนที่สั่งสอนน้องชายตัวปัญหาแล้วเข้ามาช่วยเขาเป็นแน่ “ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วย”

“ฉันไม่ได้ทำเพื่อนาย ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” น้ำเสียงทุ้มหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ไหนจะดวงตาสีเขียวหม่นที่จ้องคาดโทษมาทางนี้อีก “ไปทำอะไรมาถึงโดนลากมาที่นี่ได้ล่ะ? ”

“...ก็ไปถามน้องชายคุณเอาเองสิ” คนพูดชักสีหน้าไม่พอใจ เหมือนถูกกล่าวหาว่าตนเป็นคนผิดทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้เสียหายต่างหาก โนเอลรีบติดกระดุมเสื้อโดยไม่สนว่าจะเรียบร้อยดีแล้วหรือยังก่อนก้าวขาลงจากเตียง แต่เรี่ยวแรงก็ดูจะยังไม่กลับเข้าที่นัก

“สภาพแบบนั้นคิดว่าจะกลับบ้านได้หรือไง? เดี๋ยวก็โดนฉุดไปกลางทางอีกหรอก” สายตามองอย่างดูถูกว่าอีกคนคงไม่มีทางไปไหนรอดถ้าหากเขาไม่ยื่นมือช่วยเหลือ

“ผมหาทางกลับเองได้ครับ ไม่รบกวนพวกคุณหรอก” โนเอลใช้เท้าเขี่ยเสื้อนอกที่ถูกถอดกองอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมใส่

“บอกที่อยู่มา เดี๋ยวจะให้คนไปส่ง” คาร์บฮอล์ลหมายความตามที่กล่าวจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง แต่คนที่โดนน้องชายของเขาหิ้วมาดูจะระแวดระวังไปหมดถึงมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจขนาดนั้น

“ผมกลับเองได้” ความหัวรั้นนี่เหมือนใครบางคนไม่มีผิด… “เอาเวลาสนใจผมไปสั่งสอนน้องชายเจ้าปัญหาของคุณจะดีกว่า”

เจอคำพูดตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้าทำเอาคาร์บฮอล์ลถึงกับกระตุกคิ้วย่น เป็นแค่โอเมก้าแท้ๆ แต่กล้าต่อปากต่อคำกับอัลฟ่าเช่นเขาอย่างไม่เกรงกลัว ตอนที่เจอหน้ากันในงานแต่งของคาเล็มเห็นท่าทางหงิมๆ ดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเลยคิดว่าจะหงอกว่านี้ซะอีก ตลอดชีวิตที่ผ่านมานอกจากคาเล็มที่เป็นน้องชายร่วมสายเลือดแล้วก็แทบไม่เจอใครเลยที่อาจหาญพอจะวางท่าทางอวดดีและกล้าท้าทายใส่แบบนี้ นี่ยังไม่นับคาร์เรย์ที่ชอบสร้างปัญหาให้ตามแก้ไม่เว้นแต่ละวันจนจะเป็นโรคประสาทอยู่แล้ว

ประธานอัลฟ่ายืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้ามาใกล้คนที่เพิ่งพูดจากระด้างกระเดื่องกับตน และเกือบหลุดหัวเราะเมื่อมองดูโอเมก้าน้องสะใภ้ที่ถอยหลังไปจนเกือบติดหัวเตียงเมื่อเห็นเขาแสดงท่าทางคุกคามใส่

“นั่นสินะ...แล้วน้องชายตัวปัญหาอีกคนนี่คิดว่าฉันควรจะสั่งสอนมันยังไงดีล่ะ? ”

“คุณจะทำอะไร!? ” ความกังวลกลัวว่าคนตรงหน้าที่มีอิทธิพลในมือจะทำอันตรายคนรักของตนแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด

“ไม่เห็นต้องทำอะไรนี่...ก็แค่อยากรู้ว่าถ้านายหายตัวไปทั้งคน คาเล็มมันจะรู้สึกยังไง” รอยยิ้มหยักขึ้นมุมปากพึงใจเมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มลนลาน

“คุณ!! ” ใบหน้าถูกจับเชิดแหงนขึ้น ดวงตาสีเขียวหม่นก้มลงมาใกล้ส่งสายตาดุดันเสียจนแทบจะลืมวิธีหายใจ

“อยู่ที่นี่ก็ทำตัวดีๆ อีกสองวันจะให้คนพาออกไป แต่ถ้าคิดหนีละก็ฉันไม่รับประกันหรอกนะว่านายจะได้ออกไปอย่างปลอดภัย คฤหาสน์นี้ทั้งพ่อบ้าน คนสวนหรือยามเฝ้าประตูก็เป็นอัลฟ่าทั้งหมด ถ้าไม่อยากได้สามีใหม่ก็อย่าเที่ยวเดินไปทั่วละกัน” ถ้อยคำข่มขู่และกล่าวเตือนกลายๆ คล้ายจะบอกให้ระวังตัว แต่ทำไปเพื่อไม่ให้โอเมก้าตรงหน้าเขาคิดอะไรโง่ๆ อย่างการพยายามหนีออกไปเหมือนพวกตัวเอกในนิยายหรือละคร

คาร์บฮอล์ลปล่อยมือออกและก้าวขาออกจากห้อง โนเอลวิ่งตามมาทุบประตูทั้งตะโกนบอกให้ปล่อยตัวเขาออกไป ทว่าประตูนั้นถูกล็อกจากข้างนอกเอาไว้ พอเห็นว่ายังไงก็ไม่มีทางเปิดออกจึงหันไปมองหาหน้าต่างภายในห้อง เมื่อเปิดออกไปมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่เป็นสระน้ำนิ่งขนาดกว้างก็หน้าซีด เพราะสังเกตเห็นเงาตะคุ่มขนาดใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ พลันมือทั้งสองข้างรีบปิดหน้าต่างกลับเข้าที่ดังเดิมก่อนจะทรุดตัวลงนั่งชันเข่าหันหลังพิงผนังห้อง

“สองวัน…” โนเอลเปิดโทรศัพท์ตัวเองเพื่อดูปฏิทิน พรุ่งนี้เขาจะเข้าฤดูฮีทแล้ว… ยาฉุกเฉินที่พกไว้ก็มีพอสำหรับแค่วันเดียว น้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมนก็มีติดตัวอยู่หรอก แต่ว่าแค่นั้นมันจะช่วยเขาได้ขนาดไหนกันนะ? ความกังวลและความเครียดประดังเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ถ้าหากว่าเขากะเวลากินยาดีๆ ก็อาจจะทำให้พ้นวิกฤตนี้ไปได้

“คาเล็ม...ช่วยผมด้วย”







“โอ๊ยๆ! เบาๆ มือหน่อยสิ” คาร์เรย์ร้องโอดครวญเพราะคนทำหน้าที่พยาบาลกดสำลีเข้าที่แผลฟกช้ำนั้นโดยมิได้ทะนุถนอมคนเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“ขยันหาเรื่องเจ็บตัวเองนี่” หญิงสาวอัลฟ่าทิ้งสำลีและหันมาจ้องหน้าพี่น้องตัวเองอย่างแสนระอาในความขยันก่อเรื่องของคนข้างๆ “เมื่อไหร่จะเลิกสักที ทั้งเพื่อนบ้าๆ ทั้งยาพวกนั้น มันไม่ได้ทำให้ชีวิตนายดีขึ้นเลยนะคาร์เรย์”

“พูดยังกับว่าฉันเคยมีชีวิตดีๆ งั้นแหละ” ซองบุหรี่ถูกหยิบออกมาก่อนจะโดนน้องสาววัยไล่เลี่ยกันริบไปขยำทิ้งลงถังขยะต่อหน้าต่อตา “เฮ้... นี่กะจะให้ลงแดงตายกันไปข้างเลยเหรอ? ”

“ถึงทำตัวเหลวไหลประชดพี่ใหญ่ไป คนที่ชีวิตจะพังก็มีแค่นายคนเดียวนั่นแหละ”

“ต่อให้ฉันเป็นอะไรไปก็ไม่มีผลกระทบกับตระกูลหรอกน่า”

“จะไม่มีได้ยังไง ถ้าหากนายยังใช้นามสกุลรอสเกรย์ยังไงมันก็ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตระกูลเราอยู่ดีนั่นแหละ”

“ฮู่ว...น่าเบื่อจริง ไปดีกว่า” คาร์เรย์ยืนบิดขี้เกียจแล้วก้าวขาเดินออกจากห้องรับแขกไปโดยไม่ฟังเสียงของคาเซล่าที่ยังคงบ่นไล่หลังมาจนพ้นระยะได้ยิน ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาก๊วนเพื่อนเสเพลชวนกันออกไปหาความสนุกข้างนอกบ้านเหมือนทุกคืน

“คาร์เรย์มันไปไหน? ” ประธานอัลฟ่ามากวัยเอ่ยถามน้องสาวที่กำลังเก็บกล่องปฐมพยาบาล

“ออกไปแล้วค่ะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวของบ้านถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่ก็เตือนจนปากเปียกปากแฉะขนาดนี้ก็ยังไม่เคยคิดจะฟังกันบ้างเลย

“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ร่างสูงใหญ่เรียกคนรับใช้ให้ไปหยิบเครื่องดื่มของตนมา รออยู่สักพักแก้วน้ำทรงสวยที่เต็มไปด้วยน้ำสมุนไพรสีดำก็ถูกนำมาเสิร์ฟนายใหญ่ของคฤหาสน์ ดวงหน้าที่ประดับด้วยเครื่องสำอางมองพี่คนโตที่จิบน้ำรสชาติเหลือรับเหล่านั้นแล้วก็อยากจะสำรอกออกมาแทน

เห็นดื่มมาตั้งหลายปีก็ไม่เห็นจะช่วยให้มีลูกได้ก็ยังจะดันทุรังอยู่อีก กลุ้มใจกับพี่ชายเราจริงๆ ...







เช้าวันต่อมา ประธานรอสเกรย์ได้สอบถามคนเฝ้าห้องว่าน้องสะใภ้โอเมก้าทำตัวเรียบร้อยดีหรือไม่ ก่อนจะได้ฟังรายงานว่าทางนั้นเพิ่งจะหลับไปเมื่อช่วงรุ่งสางก็เลยยังไม่ตื่น

“สงสัยจะอาละวาดจนหมดแรง” ร่างสูงใหญ่คาดเดาและให้คนเฝ้าเปิดประตูห้องเพื่อเข้าไปดู ดวงตาสีเขียวหม่นเห็นคนที่ถูกขังไว้ในห้องตั้งแต่เมื่อเย็นวานนอนสลบอยู่บนเตียงโดยในมือเปิดหนังสือนิยายเล่มหนาค้างไว้ และยังมีอีกหลายเล่มที่เป็นเรื่องเดียวกันกองอยู่ข้างๆ อย่างกระจัดกระจาย ไอ้ที่เดาไปว่าเพิ่งนอนเมื่อตอนก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นนั่นดูท่าทางจะไม่ใช่เพราะอาละวาดซะแล้ว แถมสภาพห้องก็ไม่มีการรื้อข้าวของกระจัดกระจายจนเละเทะอีกต่างหาก...จะบอกว่าทำตัวดีว่าง่ายสมกับที่เขาขู่เอาไว้นี่มันก็เหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว

“อืม...เช้าแล้วเหรอคาเล็ม? ” โนเอลสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาแล้วหันไปมองคนที่เข้ามาในห้อง ก่อนสมองจะประมวลผลได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้านของคนรักสักหน่อย!

“เสียใจด้วยที่ไม่ใช่นะ” คาร์บฮอล์ลเอ่ยและมองคนที่รีบหลบไปอยู่หลังผ้าม่านเหมือนกลัวว่าจะถูกตำหนิ

โชคดีชะมัด… โนเอลคิดในใจ เขาอุตส่าห์นั่งถ่างตารอเวลาให้อาการฮีทเริ่มแสดงผลชัดเจนถึงได้กินยาระงับ ซึ่งก็ล่วงเวลามาเกือบเช้า ทำเอาง่วงหงาวหาวนอนขั้นสุด และไม่ลืมที่จะฉีดน้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมนไว้ด้วย แต่ยาก็เหลืออีกแค่ 2 เม็ด เม็ดหนึ่งอยู่ได้เต็มที่ 8 ชั่วโมงนั่นแหละ ถ้าพรุ่งนี้เช้าเขาได้ออกจากบ้านหลังนี้ก็จะรอดปลอดภัย….เหลือแค่ภาวนาว่าอีกฝ่ายจะทำตามที่พูดหรือเปล่าเท่านั้น...

“ถ้าตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำกินข้าวเช้าได้แล้ว” เจ้าบ้านรอสเกรย์ออกคำสั่ง

“ผมไม่อาบครับ” ขืนอาบละก็น้ำหอมที่ฉีดไว้ก็โดนล้างออกหมดน่ะสิ

“....ตามใจ” คาร์บฮอล์ลขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงจึงตัดบทไป และออกไปบอกเหล่าแม่บ้านให้ยกอาหารมาให้แขกภายในห้องแทนเพราะเกรงว่าจะระแวงจนไม่ยอมออกมากินข้าวอีก เขาก็แค่อยากหาเรื่องแกล้งคาเล็มให้หัวเสียเล่นบ้างไม่ได้ต้องการให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตมากนัก ...ว่าแต่เมื่อครู่มันกลิ่นอะไรกันนะ?

แต่ก่อนที่จะได้สงสัยเรื่องนั้น น้องชายคนรองที่หายหัวไปตั้งแต่เมื่อคืนก็เดินเยี่ยงคลานกลับเข้ามาในบ้าน ทั้งกลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นยาสูบฉุนกึกตีกันตลบอบอวลแทบจะกลบกลิ่นหอมอ่อนๆ ในทีแรกไปจนหมด

“ตะวันไม่โผล่ก็ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องเลยรึไง? ” คาร์บฮอล์ลยืนเท้าเอวมองหน้าคาร์เรย์ที่พยายามงัดตัวเองขึ้นมาจากพื้น

“นิดหน่อยเองน่า” คนที่ยังหมอบอยู่ที่ท่าเดิมกล่าว “แล้วนี่น้องสะใภ้กลับบ้านไปแล้วเหรอ? ”

“...เออ” ประธานอัลฟ่าเลี่ยงที่จะบอกความจริง แต่สาวใช้ดันยกอาหารถาดอาหารมาหยุดอยู่ตรงหน้าตนและน้องชายเข้าพอดี

“อาหารเช้านี่ให้ยกไปไว้ในห้องคุณคาร์เรย์เลยใช่มั้ยเจ้าคะนายใหญ่? ”

“ของผมเหรอ? ” คนที่ตัวติดพื้นทำหน้าสงสัยและยื่นหน้าขึ้นมาดู

“ไม่ใช่ของแก” มือหนาสะบัดไล่ให้คนรับใช้ออกไป

ดูท่าว่าคนที่อยู่ในห้องนอนของเขาตั้งแต่เมื่อคืนจะยังไม่ได้กลับบ้านไปแล้วอย่างที่เข้าใจ

“แหมๆ สุดท้ายพี่ก็ขังเจ้าหญิงไว้ในหอคอยเหรอเนี่ย? ” คาร์เรย์ลุกขึ้นยืนและเอาหน้าตัวเองเข้าไปกระแซะใบหน้าหล่อเหลาของพี่ชายตน “อยากกินเองก็ไม่บอก ขอกันดีๆ ก็ได้ อั้ก! ”

เจอหมัดต่อยเข้าที่ลิ้นปี่ทำเอาคนปากพล่อยต้องลงไปนอนกองกับพื้นอีกรอบ คาร์เรย์นอนกุมท้องกลิ้งไปมาโดยที่คาร์บฮอล์ลไม่สนใจจะช่วยพยุงตัวน้องชายขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็อย่าเที่ยวไปก่อเรื่องอะไรเพิ่มอีกล่ะ” ผู้เป็นพี่ชายสั่งและก้าวขาออกจากบ้านไปขึ้นรถที่คนขับจอดรออยู่สักพักแล้ว

“...ฝันไปเถอะ” คนจุกฝืนตัวลุกขึ้นแล้วจับราวก้าวขึ้นบันไดบ้านไปยังห้องนอนของตนที่มีคนเฝ้าอยู่หน้าห้อง แน่นอนว่าโดนท้วงจากคนเฝ้าไม่ให้เข้าไปด้านใน แต่ถึงจะห้ามไปก็เท่านั้น คนอย่างเขาขนาดพี่ใหญ่ยังหยุดไม่ได้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะทำได้เลย

“ว่าไงครับเจ้าหญิงตัวน้อยผู้น่าสงสาร ร้องไห้อยู่รึเปล่าเอ่ย? ” นักแสดงปาหี่เปิดประตูเข้ามาในห้องหวังจะให้คนข้างในตกใจเล่น แต่ต้องชะงักซะเองเมื่อเห็นน้องสะใภ้โอเมก้าที่กำลังร้องไห้อยู่หันหน้ามาทางตน นี่หรือว่า...จะเสร็จพี่ใหญ่ไปแล้วจริงๆ เหรอวะเนี่ย!?

แต่พอเลื่อนสายตามองดูสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าตนแค่มโนไปเอง หนังสือนิยายในมือเจ้าตัวนั่นคงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหญิงที่โดนจับตัวมาร้องไห้จนตาแดงเป็นแน่

“ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ อินอะไรจะขนาดนั้น? ” คาร์เรย์แกล้งแซวคนที่กำลังใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาตัวเอง ก่อนที่ทางนั้นจะปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นจากเตียงถือมันวิ่งเข้ามาหาเขา นี่คิดจะฟาดกันด้วยสันหนังสือเลยเรอะ!?

“มีเล่มต่อมั้ยครับ!? ”

คนถูกถามทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกที่ถูกน้องสะใภ้โอเมก้าถามหาหนังสือนิยายด้วยแววตาเจิดจ้าเหมือนเด็กน้อยเจอนักเขียนในดวงใจ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ทำเอาคนทำตาเป็นประกายเมื่อครู่ทำหน้าจ๋อยทันที

“โธ่...กำลังถึงช่วงพีคสุดๆ เลย ทำไมถึงไม่มีเล่มต่อล่ะครับ? ”

“ก็...คนเขียนลอยแพเลิกแต่งเรื่องนี้ไปแล้วก็เลยไม่มีเล่มจบไง”

“ซะงั้นอ่ะ…” โนเอลทำหน้าอย่างแสนเสียดายที่จะไม่ได้อ่านบทสรุปของนิยายที่กลายเป็นหนังสือเล่มโปรดในชั่วข้ามคืน ถ้าไม่ได้หนังสือพวกนี้ช่วยไว้เขาคงไม่สามารถถ่างตาอยู่ได้จนเกือบเช้าหรอก แต่...อดีตนักวิจัยโอเมก้าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไอ้คนที่ทำให้เขาติดแหง่กอยู่ที่นี่จนต้องมาพะวงเรื่องใกล้เข้าช่วงฮีทของตัวเองมันคือไอ้คนที่อยู่ตรงหน้าเขานี่!

“อย่าเข้ามาใกล้ผมนะ! ” โนเอลตะโกนและถอยหลังหนีไปหลบอยู่ข้างตู้หนังสือ

แล้วเมื่อตะกี้นี้ใครกันที่วิ่งโร่เข้ามาหาเขาก่อนกันน่ะ...

“...เล่มต่อน่ะไม่มีหรอก แต่ถ้าไฟล์ที่เขียนค้างไว้ละก็ยังมีอยู่”

“.........หา? ”

“จะอ่านมั้ยล่ะ? ” คาร์เรย์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงกันแทบจะครบทุกซี่

“ค...คุณเป็นคนเขียนงั้นเหรอออ!? ” โนเอลทำหน้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แถมออกแรงตกใจมากไปจนหนังสือในตู้ร่วงลงมาตกใส่หัว ส่วนนักเขียนตัวจริงนั้นหัวเราะลั่นห้องจนลงไปกลิ้งกับที่นอนแล้ว และยังเหมือนจะสะใจเอามากๆ เลยด้วยที่ได้แกล้งแฟนหนังสือของตัวเองให้หน้าหงาย “ไม่จริงน่ะ อย่างคุณน่ะเหรอจะเขียนนิยายสนุกได้ขนาดนี้! ”

“อ้อ หน้าไม่ให้เลยสินะ ก็แน่อยู่หรอก นิยายพวกนั้นฉันเขียนตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลแล้ว” คนหัวเราะเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งคุยดีๆ

“แล้วทำไมคุณถึงเลิกเขียนไปล่ะครับ? ”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ คนที่บ้านสั่งห้ามฉันเลยเลิกเขียนมันก็เท่านั้น อีกอย่างมันก็แค่งานอดิเรกทำฆ่าเวลาเล่นๆ ฉันไม่ได้จริงจังอะไรกับมันอยู่แล้ว” คนพูดยกแขนขึ้นทำท่าทางไม่ยี่หระใดๆ

“จะเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ? ” คำถามที่เหมือนจะทะลุไปถึงจิตใจคนฟังให้ต้องหันกลับมาหาคนที่พูด “ตัวหนังสือที่คุณถ่ายทอดมันออกมาผ่านตัวละครทุกตัว มันสะท้อนความนึกคิดของคนเขียนออกมาได้นะครับ ถ้าคุณแค่เขียนเล่นๆ อย่างที่ว่า คนอ่านอย่างผมก็คงจะไม่อินขนาดนี้หรอก”

“...พูดมากจริงๆ เลยนะ” สุดท้ายคาร์เรย์ก็ไปหยิบแลปท็อปเครื่องเก่าของตัวเองที่ยังคงเก็บไฟล์นิยายไว้มาให้น้องสะใภ้อ่านจนได้ และพาตัวเองไปนั่งรออยู่ที่เก้าอี้อีกมุมหนึ่งของห้อง เพราะไม่งั้นโนเอลจะไม่ยอมนั่งอ่านบนเตียงดีๆ น่ะสิ…

พอเริ่มสร่างเมาทั้งเหล้าทั้งยาที่หมดฤทธิ์ไปแล้ว สมองก็หวนคิดถึงภาพวันวานเก่าๆ ที่เริ่มตีย้อนกลับมา





‘สนุกมากๆ เลยค่ะ อัพต่อเร็วๆ น้าา’





‘จากตัวแทนสำนักพิมพ์ค่ะ ทางเราชอบนิยายของคุณมาก อยากจะชวนมารวมเล่มกับสำนักพิมพ์ของเรา หากสนใจติดต่อกลับมาที่อีเมลนี้นะคะ หวังว่าจะได้ร่วมงานกันค่ะ’





‘มัวแต่เขียนนิยายไร้สาระอยู่ได้ หัดเอาเวลาไปทบทวนบทเรียนซะบ้างสิ’





“ฮืออออ มันดีมากๆ เลยครับ! ”

เสียงชมปนร้องไห้สะอึกสะอื้นของโนเอลดังเข้ามาเรียกสติให้คนที่นั่งเหม่อลอยกลับมาอยู่กับปัจจุบัน

“ค้างอ่ะ…” คนอ่านคอมเมนท์กลับมายังนักเขียนในสองประโยค เพราะเนื้อเรื่องที่กำลังเข้มข้นเข้าช่วงไคลแม็กซ์ แต่เนื้อหาที่ต่อจากนั้นมีเพียงความว่างเปล่าขาวโพลน “จะไม่เขียนต่อแล้วจริงๆ เหรอครับ? ”

“ไอเดียในหัวมันตันไปหมดแล้ว ดันทุรังเขียนไปก็เท่านั้นล่ะ เสียใจด้วยนะที่ทำให้ค้างคา” คาร์เรย์ตอบโดยไม่มีความยียวนกวนประสาทใดๆ ทั้งสิ้น

“...น่าเสียดายนะครับที่คุณ...อ่ะ” นาฬิกาปลุกในมือถือเด้งเตือนขึ้นมาและโนเอลก็ทำท่าทีลุกลี้ลุกลนรีบหยิบยาในกระเป๋าตัวเองมากินโดยที่คาร์เรย์ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเป็นยาอะไร

“ป่วยอยู่เหรอเจ้าหญิง? ” ถึงจะหายเมาค้างแล้วก็ยังอดเอ่ยแซวอีกฝ่ายเล่นไม่ได้

“อ่า...โรคประจำตัวน่ะครับ” โนเอลปิดหน้าจอแลปท็อปและส่งคืนให้เจ้าของ “นี่ครับ ขอบคุณที่ให้ยืมอ่าน”

“เหรอ ดูไม่ค่อยเหมือนคนป่วยเลยนะ” คาร์เรย์เปรยไปเรื่อย ก่อนจะลุกขึ้นไปเก็บแลปท็อปตัวเองคืน แต่ชั่วขณะที่เดินเข้าไปใกล้ อยู่ๆ ก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ที่คุ้นเคยเหลือเกิน แต่มันก็เบาบางมากจนไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า

คาร์เรย์หันไปสบเข้ากับดวงตาของโนเอล แววตาหวาดหวั่นลึกๆ ที่แอบซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าแสนเป็นธรรมชาตินั้นยากที่ใครจะดูออก แต่สำหรับเขามันไม่ได้เดายากจนเกินไปเลยว่าอีกฝ่ายกำลังปิดบังเรื่องอะไรอยู่ เขาเก็บข้าวของตัวเองเข้าลิ้นชักแล้วเดินออกจากห้องมาเงียบๆ

แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีและใช้ชีวิตอยู่ด้วยการดื่มด่ำเมามายไปกับแอลกอฮอล์มากมายนับไม่ถ้วนเพื่อให้หลงลืมความเจ็บปวด แต่ไฟแค้นลึกๆ ที่สุมอยู่ในอกนั้นไม่เคยจางหายไปไหน…

ทำไมเขาต้องเกิดมาในตระกูลนี้และมีพี่น้องเป็นอัลฟ่าที่ทั้งน่ายกย่องและน่าชิงชังถึงสองคนด้วย

พี่ชายแสนยิ่งใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเขามากมาย และน้องชายที่มีชีวิตในแบบที่เขาใฝ่ฝันแทบทุกอย่าง รวมถึงชื่อเสียงของรอสเกรย์ที่เขาพร่ำบอกตัวเองว่าเกลียดชื่อนี้นักหนา…

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.19 Up (21/2/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 24-02-2018 10:11:10
โนเอลน่าสงสารจัง
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.19 Up (5/3/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 05-03-2018 12:54:57
ครอบครัวของเขานั้นดีแต่ห่วงหน้าตาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมาตั้งแต่คนรุ่นเก่า ตัวเขาในวัยเยาว์ที่หลงใหลพวกตัวเอกในหนังภาพยนตร์และใฝ่ฝันอยากเดินไปในเส้นทางสายนักประพันธ์นั้นถูกทั้งพ่อและแม่สั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ถึงขนาดสั่งให้คนรับใช้ในบ้านเอาหนังสือของเขาไปทิ้งและเผาจนหมดไม่มีเหลือ บังคับให้เรียนแต่สิ่งที่ไม่ชอบและไม่เป็นตัวเอง ทั้งที่พี่ใหญ่และคาเซล่าก็ถูกบังคับเหมือนกันแต่สองคนนั้นมีความตั้งใจจะสืบทอดธุรกิจของตระกูลอยู่แล้วจึงทำได้ดีต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าเขาจะซุ่มแอบเขียนเรื่องสั้นส่งไปประกวดและได้รางวัลชนะเลิศมา หรือใช้เวลาว่างจากการเรียนพิเศษแสนน่าเบื่อมาแต่งนิยายโพสต์ตามเว็บบอร์ด จนกระทั่งไปเข้าตาสำนักพิมพ์และนวนิยายเรื่องแรกก็ได้ตีพิมพ์จนติดอันดับหนังสือขายดีและถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลขายต่างประเทศด้วยก็ตาม เมื่อทุกคนในบ้านทราบข่าวนี้แทนที่จะยินดีกับเขา กลับยังคงเย็นชาและเอาแต่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าให้เลิกเล่นเป็นนักเขียนช่างฝันแล้วจริงจังกับการสืบทอดธุรกิจเสียที

สิ่งที่เขาทุ่มเทกับมันมากที่สุดกลับถูกมองว่าทำเป็นเล่น หัวใจรู้สึกเคว้งคว้างจนแทบไม่มีกะจิตกะใจอยากจะทำอะไรต่อ ผลการเรียนก็ทำได้แค่ดีพอใช้ ด้านกีฬาก็เป็นได้แค่ตัวสำรองไม่เคยได้ลงเล่นสนามจริง กระทั่งสอบเข้าคณะบริหารตามที่พี่ชายบังคับก็ทนเรียนไปไม่รอดจนต้องดรอปออกมา ตอนที่เห็นสีหน้าผิดหวังของพี่ชายคนโตก็เตรียมใจไว้แล้วว่าคงจะโดนดุด่าเหมือนทุกที แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของพี่ใหญ่ในวันนั้น เขายังคงจำฝังใจได้ไม่มีวันลืม

‘ถ้าแกรู้จักเอาสมองที่มีแต่โลกนิยายเพ้อฝันไร้สาระไปทำอย่างอื่นที่มันได้เรื่องได้ราวอย่างคาเล็ม ฉันคงไม่ว่าอะไรและไม่ต้องมานั่งปวดหัวอย่างทุกวันนี้’

ทำไมล่ะ...ทำไมพี่ต้องเปรียบเทียบเขากับเจ้าหมอนั่นด้วย ไหนเคยบอกว่ามันเป็นแกะดำนอกคอกไง คนที่เดินออกนอกเส้นทางของตระกูลแถมยังเลือกเข้าข้างพวกโอเมก้าพรรค์นั้น ทำไมพี่ถึงยอมรับมันมากกว่าเขาอีกล่ะ…หรือว่าพี่สิ้นหวังในตัวน้องชายคนนี้แล้วงั้นเหรอ?

งั้นก็ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองอะไรนั่นอีกแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามทำให้ครอบครัวยอมรับตัวเขา คนไร้ความสามารถก็เป็นได้แค่คนไร้ค่าในบ้านหลังนี้เท่านั้น ถ้าอย่างนั้น… ถึงเขาจะทำอะไรยังไงกับชีวิตก็คงไม่ต้องสนใจอีกต่อไปแล้วสินะ...

นับตั้งแต่นั้นมา คาร์เรย์ก็ประชดชีวิตด้วยการทำลายตัวเอง ไม่สนใจเรียนต่อแล้วยังโยนความฝันของตัวเองทิ้งไปพร้อมกับทำตัวเสเพลเที่ยวกินเหล้าเมายาคบเพื่อนที่ชีวิตไม่เป็นโลเป็นพายดีแต่กอดคอพากันลงเหวก่อเรื่องทะเลาะวิวาทให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไม่เว้นแต่ละวัน จนถูกคู่อริลากไปข่มขืนถ่ายวิดีโอเซ็กส์หมู่วิตถารแบล็กเมล์จนเรื่องคาวๆ ดังแพร่สะพัดออกไปทั่ว เมื่อเรื่องถึงหูคาร์บฮอล์ลจึงเร่งสั่งลูกน้องให้ไปเก็บกวาดทั้งคนทำทั้งวิดีโออื้อฉาวของน้องชายไม่ให้เหลือร่องรอยหลักฐานใดๆ แต่ถึงกระนั้นคาร์เรย์ก็ไม่ได้ทำตัวดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งจมดิ่งไปกับความตกต่ำที่ถลำลึกจนเกินกว่าจะฉุดกลับขึ้นมา ไม่ยินดียินร้ายกับชีวิตตัวเองและคนรอบข้างอีกต่อไป

เขาอยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้มันหายไปจากชีวิตซะให้หมด…

จู่ๆ สมองก็ดันนึกเรื่องเลวทรามสุดสยองเข้ามาในหัวอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ยังขยาดความคิดเหล่านั้น ทว่า...หากทำแบบนั้น ทุกๆ อย่างจะพังทลายลงไปทั้งหมด

“พี่ใหญ่จะกลับมาเมื่อไหร่กันนะ? …” คาร์เรย์ลอบยิ้มชั่วร้าย กระนั้นกลับมีน้ำตาไหลอาบลงมาบนแก้มโดยไม่รู้ตัว ภาพโนเอลที่อ่านนิยายของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจทำเอาเจ็บไปหมดทั้งอกตอนที่คิดไปว่าเขากำลังจะส่งคนคนนั้นไปเจอกับอะไร…

ถ้ามันจะต้องพัง ก็จะขอลากทุกคนให้ตกนรกตามกันไป




“เจอตัวโนเอลแล้วรึยัง!? ”

“แกใจเย็นๆ ก่อนได้มั้ยวะ! เพิ่งจะโทรมาถามเมื่อสิบห้านาทีที่แล้วนี่เอง จะให้ฉันบอกอีกกี่รอบว่าถ้าเจอตัวแล้วจะรีบบอกทันทีน่ะ! ” อาเซลกำลังหัวเสียและร้อนรนหลังจากได้รับโทรศัพท์จากคาเล็มที่โทรจิกจนสายแทบไหม้

ตอนที่ได้รู้ข่าวจากพ่อบ้านของคู่กัดเมื่อตอนเช้าว่าจนถึงตอนนี้คนรักโอเมก้าของเจ้านายตนยังไม่กลับบ้านทั้งยังติดต่อไม่ได้แถมไม่รู้ด้วยว่าไปอยู่ที่ไหนอีก ทำเอานักวิจัยเบต้าลนลานอยู่ไม่สุขหุนหันพลันแล่นวิ่งออกจากห้องน้ำจนแทบลืมนุ่งกางเกงเพื่อที่จะรีบออกไปตามหาเพื่อน มิหนำซ้ำเจ้าคนไหว้วานแกมบังคับยังอยู่ระหว่างรอขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับ เขาเลยยิ่งถูกบีบให้ไปตามหาตัวคนหายโดยลำพัง แถมยังโทรมาย้ำไม่รู้อีกกี่รอบว่าให้รีบตามตัวให้เจอโดยเร็วที่สุดเพราะตอนนี้คงเข้าช่วงฤดูฮีทของทางนั้นแล้ว!

นี่มันวันนรกแตกอะไรกันวะเนี่ย!?

หลังจากออกไปตามหาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันตกดิน ตอนนี้อาเซลเริ่มท้อและเหนื่อยจนขาลากพื้น แต่ก็ยังไม่เจอเพื่อนที่หายตัวไป เขาจำใจต้องหอบร่างของตัวเองกลับมาที่ห้องพักเพื่อไตร่ตรองว่าควรจะทำยังไงต่อไป

แจ้งความคนหายกับตำรวจดีมั้ย? เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้องดูอย่างหนักใจว่าจะโทรไปถามคาเล็มดีหรือไม่ ก่อนจะกดเลื่อนลงไปหาหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งเป็นเบอร์ส่วนตัวของนายจ้างคนใหม่ที่ปกติแล้วจะติดต่อกันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น แทบจะไม่เคยโทรไปหาด้วยเรื่องส่วนตัวเลย

แต่...หนนี้มันเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ลำพังแค่เขาคงไม่มีปัญญาหาตัวคนคนเดียวเจอแน่ ต่อให้นั่นจะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม มีแต่ต้องลองเสี่ยงวัดดวงให้ประธานอัลฟ่าคนนั้นเมตตาช่วยเขาสักครั้ง ต่อให้ไม่ค่อยญาติดีกับน้องชายแต่ยังไงนั่นก็น้องสะใภ้ของอีกฝ่ายทั้งคน ถึงแม้โอกาสมันจะน้อยจนแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ไม่ลองดูก็ไม่รู้!

ว่าแล้วเขาก็โทรหาประธานรอสเกรย์เพื่อขอร้องให้ช่วยส่งคนมาตามหาเพื่อนของตน และ...ได้รับคำตอบที่ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้จริงๆ

“รออีกสักพักเดี๋ยวก็คงกลับบ้านเองนั่นแหละ อยู่มาได้จนป่านนี้โดยไม่ถูกตีตราก็ไม่น่าจะถูกใครพาตัวไปไหนได้ง่ายๆ หรอก”

“ก็...นั่นสินะครับ ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับ” อาเซลตอบรับเสียงแห้ง ไม่คิดจะต่อว่าที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือเพราะความหวังค่อนข้างริบหรี่อยู่แล้ว อะไรทำให้เขาเผลอคิดไปได้นะว่าทุกอย่างจะราบรื่นโดยง่าย ว่าแต่...อีกฝ่ายรู้ได้ยังไงกันว่าเพื่อนเขายังไม่ถูกตีตรา?

“....คิดมากไปมั้งเรา” แม้จะบอกตัวเองเช่นนั้น แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาซะเลย…

หลังจากที่วางสายไปได้ไม่นาน ประธานรอสเกรย์ก็ลอบยิ้มอย่างพึงใจที่ได้รู้ว่าน้องชายคนเล็กกำลังเดือดเนื้อร้อนใจกับการที่คนรักหายตัวไป แม้มันจะทำให้นักวิจัยเบต้าคนนั้นพลอยติดร่างแหไปด้วยจนรู้สึกผิดนิดๆ ก็ตาม ก่อนจะได้รับรายงานจากคนเฝ้าบ้านเรื่องที่น้องชายคนรองตัวดีบุกเข้าหาน้องสะใภ้ แต่ดูเหมือนจะโชคดีอยู่บ้างที่ไม่เกิดเรื่องผิดศีลธรรมขึ้นในบ้าน ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวใหญ่โตให้ทั้งตระกูลถูกนินทาเป็นขี้ปากชาวบ้านไปทั่ว

“...พอแค่นี้ดีกว่า” คาร์บฮอล์ลถอนหายใจกลัดกลุ้ม ดูท่าทางคงจะต้องหยุดปั่นหัวคาเล็มไว้เท่านี้แล้วพาโนเอลออกไปจากบ้านโดยเร็ว ก่อนที่อะไรๆ มันจะยุ่งวุ่นวายกว่าเดิม



“ใกล้ได้เวลากินยาแล้ว…”

โอเมก้าหนุ่มเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาดูนาฬิกา เขายังคงหมกตัวอยู่ในห้องตลอดทั้งวันจนเย็นไม่ยอมออกไปไหน จำยอมทนไม่ไปอาบน้ำเพราะเกรงว่าประสิทธิภาพของสเปรย์น้ำหอมระงับฟีโรโมนจะจางลงแล้วกลิ่นเจ้าปัญหาจะฟุ้งไปทั่วอีก ยอมปล่อยให้เนื้อตัวอาบเหงื่อสกปรกสักวันสองวันคงไม่เป็นไร

แต่เสียงคนเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยที่ไม่ได้เคาะตามมารยาทก็ทำเอาโนเอลสะดุ้งเฮือกจนยาในมือเกือบหลุดมือร่วงตกลงพื้น

“ได้ยินว่าคาร์เรย์มันเข้ามาหา? ” พอก้าวเข้ามาในห้องได้คาร์บฮอล์ลก็ยิงคำถามแบบไม่สนใจถามไถ่สิ่งอื่นอย่างที่ตนมักทำเป็นประจำ…

“ก็นี่ห้องนอนของเขานี่ครับ แปลกเหรอ? ” โนเอลพูดแก้ต่างให้นักเขียนคนโปรด ราวกับไม่ติดใจเรื่องที่เกือบโดนทำมิดีมิร้ายไปเมื่อค่ำวานนี้

“แปลกตรงที่มันไม่ได้เข้ามาในห้องนี้หลายปีแล้ว…แต่ก็คงเพราะมีนายอยู่นี่แหละ” คาร์บฮอล์ลถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและเบนสายตาไปทางอื่น แววตาที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายปนรังเกียจในพฤติกรรมของน้องชายคนละแม่ฉายชัดบนใบหน้าที่แสดงออกว่าไม่ได้คิดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับน้องชายเลย...แต่นั่นกลับทำให้โนเอลเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเสียอย่างนั้น “มองฉันด้วยสายตาแบบนั้นทำไม? ”

“เขาไม่ได้เข้ามาทำอะไรผมครับ ออกจะวางตัวดีด้วยซ้ำ” ใบหน้ามนอ่อนกว่าวัยจ้องเขม็งใส่อัลฟ่าเจ้าของบ้านอย่างไม่คิดปิดบัง โนเอลพูดทุกอย่างออกไปตามจริงด้วยน้ำเสียงฉะฉาน นั่นทำให้พี่ใหญ่ของบ้านรอสเกรย์กระตุกคิ้วย่น ดวงตาสีเขียวหม่นเลื่อนไปจับจ้องหนังสือกองหนึ่งบนเตียงที่ไม่ได้เก็บเข้าชั้นให้เรียบร้อยดังเล่มอื่นๆ

“อ้อ…” ถึงแม้จะไม่เคยอ่านสักครั้ง แต่ใช่ว่าภาพบนหน้าปกหนังสือจะไม่เคยเห็นผ่านตามาก่อน “ที่แท้ก็ติดใจงานอดิเรกของเจ้านั่นน่ะเอง พวกหนอนหนังสือเหมือนกันนี่ท่าทางจะถูกชะตากันดีนะ คงได้เพื่อนคุยกันถูกคอเลยล่ะสิ”

“คุณนี่มัน...มิน่าล่ะคาเล็มถึงทนอยู่ไม่ได้จนต้องออกจากบ้านไป” โนเอลพูดเสียงต่ำลงราวกับสะกดโทสะในใจ ยิ่งทำให้คาร์บฮอล์ลหันมามองเขาด้วยดวงตาเยียบเย็น กระนั้นโอเมก้าที่เนื้อตัวเริ่มสั่นเทาก็ยังจ้องตาเขาโดยไม่หลบสายตาหนีไปไหน “งานเขียนระดับนี้น่ะ ถ้าหากคนแต่งไม่รักมันมากๆ ก็ต้องเป็นอัจฉริยะเท่านั้นล่ะถึงจะทำออกมาได้! พวกน้องๆ คุณน่ะโชคร้ายชะมัดที่ดันต้องมาเกิดในครอบครัวที่มีพี่ชายจอมบงการแบบนี้... อึ่ก! ”

มือใหญ่บีบกรามคนตัวเล็กกว่าแน่นและจับยกขึ้นมาจนเท้าแทบลอยจากพื้น ปากที่พร่ำพูดเมื่อครู่ปิดลงสนิทเพราะแรงบีบทำให้พูดอะไรต่อไม่ได้ แต่ดวงตาท้าทายคู่นั้นก็ยังจ้องตอบกลับมาโดยไม่หลบสายตา

“เป็นแค่โอเมก้าแท้ๆ แต่ปากกล้ากับอัลฟ่าได้ขนาดนี้ นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าไปทำอะไรเข้าตาจนคาเล็มมันถูกใจถึงได้เลือกมาแต่งงานด้วย หรือเวลาอยู่ต่อหน้าหมอนั่นก็แกล้งทำตัวดีไปอย่างนั้นเอง? ” ใบหน้าหล่อเหลาคราวนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกคับข้องใจในถ้อยคำต่อว่าตัวเขาเหล่านั้นของน้องสะใภ้

“เขา...ถึงจะเป็นอัลฟ่า แต่ก็ไม่ได้มองว่าคนอื่นต่ำต้อยกว่าเหมือนคุณนี่…” ดวงตาสีเขียวหม่นบัดนี้วาวโรจน์ยามจับจ้องมายังตัวเขาทั้งที่สีหน้ายังคงเรียบเฉยอย่างน่ากลัว

“โฮ่….ปากดีซะจริง หือ? ” ประธานอัลฟ่าสังเกตว่ามือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายกำไว้แน่นและยังพยายามจะแกะมือของเขาออกอย่างผิดธรรมชาติ ทำให้ร่างสูงใหญ่ใช้มือข้างที่ว่างยกขึ้นมาแงะกำปั้นข้างนั้นออกจนเม็ดยาในมือของอีกฝ่ายหล่นไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ ทว่า...กลิ่นหอมของบางอย่างที่เริ่มรุนแรงขึ้นก็หยุดการกระทำของคาร์บฮอล์ลเอาไว้ก่อน

“...อ่ะ! ” โนเอลหน้าซีดทันควันเพราะรู้ตัวว่ายาหมดฤทธิ์แล้ว จึงพยายามขืนตัวออกแต่ไม่เป็นผล เรี่ยวแรงของโอเมก้าที่กำลังฮีทอย่างเขานั้นสู้อัลฟ่าอย่างคาร์บฮอล์ลไม่ได้เลย

ไม่นะ...ทำไมต้องมาเป็นเอาตอนนี้ด้วย

“....นายกำลังฮีทอยู่? ” สายตาของคาร์บฮอล์ลที่จ้องมานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกับความต้องการทางเพศจนกลายเป็นสีหน้าที่ดูแปลกตาอย่างบอกไม่ถูก

ความแตกจนได้

โนเอลไม่ตอบโต้ด้วยคำพูดใดๆ เหมือนอย่างทุกที แต่ท่าทางระแวดระวังตัวสุดๆ นั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว

“…หอม” ลมหายใจของร่างสูงใหญ่ร้อนดั่งไฟเผา แววตาสีเขียวหม่นบัดนี้แวววาวราวกับนักล่าแห่งรัตติกาล มือหนาคลายพันธนาการออกและดันตัวน้องสะใภ้ลงไปนอนแผ่กับเตียงก่อนจะคร่อมตามลงมาแล้วเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ซอกคอที่ปราศจากตำหนิใดๆ

“อ้าวๆ ทำแบบนี้กับน้องสะใภ้มันไม่ดีไม่ใช่เหรอพี่ใหญ่? ” คอเสื้อของคนถูกกระชากโดนเหวี่ยงลงจากเตียงจนร่างของเจ้าบ้านหัวกระแทกชนขอบโต๊ะ “โอ๊ะ...โทษที ไม่ได้ตั้งใจน่ะ”

“คาร์เรย์! ” คาร์บฮอล์ลที่กลิ้งลงไปกับพื้นเงยหน้าขึ้นมองคาดโทษคนที่เข้ามาขัดขวางไม่ให้ตนเผลอย่ำยีโอเมก้าที่อยู่ในห้องได้ทันเวลา แม้จะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายตั้งใจห้ามเกินเหตุก็ตาม

“โอ้ ยังจำชื่อน้องตัวเองได้แบบนี้แสดงว่ายังมีสติอยู่แฮะ” คนพูดเอ่ยแดกดัน มือที่สวมถุงมือยางสีขาวเตรียมเอาไว้แล้วเปิดกระเป๋าอะลูมิเนียมขนาดเล็กและหยิบหลอดยาพร้อมกับเข็มฉีดออกมา

“เร็วๆ เข้าสิวะ ชักช้าจริง” ประธานรอสเกรย์พับแขนเสื้อตัวเองขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองน้องชายคนรองด้วยความสงสัย “ทำไมแกถึงไม่เป็นอะไรล่ะ? ”

“รู้ตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วล่ะว่าเจ้าหญิงเข้าฤดูฮีทเลยกินยาดักเอาไว้ก่อน” คาร์เรย์ยักไหล่แล้วเช็ดแอลกอฮอล์ก่อนฉีดยาเข้าที่ต้นแขนให้กับพี่ชายของตน “ยาของน้องเล็กนี่ได้ผลดีจริงๆ นะ ทำไมไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ”

“ใครอยากจะหวังพึ่งยาวิเศษของมันก็เชิญ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เอาด้วย” ประธานรอสเกรย์กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ และนั่งอยู่นิ่งๆ เพื่อรอเวลาให้ยาออกฤทธิ์โดยเร็ว

“เอาล่ะ ต่อไปก็…” คาร์เรย์ยืนมองน้องสะใภ้โอเมก้าที่นอนกระสับกระส่ายกอดตัวเองอยู่บนเตียงด้วยความทรมาน ดวงตาไล่มองใบหน้าแดงก่ำดั่งผลไม้สุกงอมที่กำลังหอบหายใจและร่างกายร้อนผ่าวเหมือนคนจับไข้ พอยื่นมือไปแตะเบาๆ ร่างเล็กกว่าก็สะดุ้งไหวจนหลุดเสียงร้องครางหวานออกมา

“คุณคาร์เรย์…” ดวงตาที่คลอด้วยหยดน้ำตาช้อนมองอย่างใจชื้นเพราะดีใจที่อีกฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ

กำลังได้ที่เลยทีเดียว...ยาสีแดงขวดเล็กถูกดูดเข้าเข็มฉีดกระบอกใหม่ก่อนคนทำจะกดเข็มลงไปบนสะโพกของโอเมก้าที่พยายามเงยหน้าขึ้นมามอง

“นั่น...ยาอะไรน่ะครับ? ” เมื่อจ้องสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก็เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่ยาระงับอาการฮีทแบบฉับพลันของโอเมก้าอย่างแน่นอน

“สมแล้วที่เคยทำงานเป็นนักวิจัยยามาก่อน ของแบบนี้ดูออกจริงๆ ด้วยสินะ” เข็มฉีดยาอันใหม่ในมือถูกทิ้งลงถังขยะพร้อมถุงมือสีขาว คาร์เรย์พลิกข้อมือขึ้นมาดูเวลาบนนาฬิกา “อีกเดี๋ยวยาก็คงออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว ขอให้สนุกนะทั้งสองคน”

“คาร์เรย์! แก...นี่มันไม่ใช่ยาต้านกลิ่นฟีโรโมนนี่! ” มือหนาคว้าแขนของน้องชายเอาไว้แน่นไม่ให้เดินออกไปจากห้อง ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ร่างกายมันกลับไม่ยอมสงบลงแม้แต่น้อย

“หืม? ก็ไม่ได้เอายาระงับหรือยาต้านมาฉีดให้สักหน่อย เข้าใจผิดไปเองนี่” คาร์เรย์ฉีกยิ้มหยันและตบบ่าพี่ชายคนโตที่กำลังสั่นสะท้านด้วยความใคร่ที่ก่อตัวขึ้นตามสัญชาตญาณ “อย่าห่วงเลยน่า ก็พี่น่ะมันอัลฟ่าไม่มีน้ำยา แล้วน้องสะใภ้พวกเราก็อายุขนาดนั้นต่อให้ทำจนฟ้าเหลืองไปก็ไม่ท้องหรอก”

“ไอ้ระยำ! ” ร่างสูงใหญ่เงื้อหมัดขึ้นชกเข้าหน้าตัวการอย่างเหลืออด หากแต่ยังไม่ทันจะได้สั่งสอนเจ้าน้องชายตัวดีให้แหลกคามือ กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่ถูกกระตุ้นด้วยยาก็คลุ้งไปทั่วห้องจนแม้แต่คาร์เรย์ที่กินยาระงับไปก็ยังรู้สึกได้

“ฮ่า…” แน่นอนว่ากับคาร์บฮอล์ลยิ่งไม่ต้องพูดถึง...จ้องตาเป็นมันราวกับเสือที่หิวโหยพบกวางเนื้อนุ่มแสนโอชาเสียขนาดนั้น ถ้ายังมีสามัญสำนึกอยู่ได้ก็ใจแข็งเกินคนธรรมดาแล้ว

ร่างสูงใหญ่เดินมาที่เตียงพลางปลดเนกไทและสูทนอกสีเข้มราคาแพงออกไป ใบหน้าก้มลงมาสูดกลิ่นหอมที่ซอกคอพร้อมกระหวัดปลายลิ้นเลียชิมหยาดหยดเหงื่อบนร่างกาย รสชาติเร้าอารมณ์ของเหยื่อยิ่งสร้างความกระสันอยากเป็นทวีคูณ ร่างกายมันต้องการสิ่งหอมหวานที่อยู่ตรงหน้ามาช่วยปลดปล่อยความร้อนรุ่มดั่งไฟสุมทรวงในตอนนี้

ทว่า…

“ไม่...ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นไปตามที่แกต้องการหรอก” คาร์บฮอล์ลกัดฟันกรอด มือกำแน่นจิกเข้าเนื้อจนเลือดซึมเพื่อสะกดกลั้นสัตว์ร้ายในตัว แม้จะไม่รู้ว่าคาร์เรย์ฉีดยาอะไรเข้ามาในตัวเขา แต่มันต้องไม่ใช่ยาต้านอย่างแน่นอน

“เฮ้อ...ถ้าพี่ไม่เอาล่ะก็ผมเอาเองนะ” คาร์เรย์ผลักร่างของพี่ชายออกไป แม้ว่าตนจะไม่ได้ถูกครอบงำด้วยสัญชาตญาณดิบ แต่ภาพของคนที่นอนบิดเร้าส่งเสียงครางกระเส่าด้วยความโหยหาบนเตียงมันก็กระตุ้นให้อยากเป็นผู้ลงมือกระทำมากกว่าจะยืนดูพี่ตัวเองกับน้องสะใภ้เล่นหนังสดอยู่เฉยๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ทีแรก “อึดอัดแย่แล้วใช่มั้ยเจ้าหญิง เดี๋ยวจะช่วยให้สบายตัวเดี๋ยวนี้แหละ”

“ไม่...หยุดนะ ได้โปรด” โนเอลปฏิเสธทว่าเสียงช่างเบาบางนัก ตัวสั่นเทิ้มด้วยความอยากที่ไม่ได้เกิดจากความต้องการของตัวเอง ร่างกายที่ไม่ยอมฟังคำสั่งทำได้เพียงบ่ายเบี่ยงเพื่อหลบเลี่ยงทั้งที่มันเปล่าประโยชน์ “คาเล็ม...ช่วยด้วย”

“เสียใจด้วยนะ แต่เรื่องนี้ไม่มีเจ้าชายปีนหอคอยมาช่วยหรอก” มือหยาบสอดเข้ามาใต้เสื้อแตะต้องร่างกายที่ขัดขืนอย่างหยาบโลน คนถูกล่วงเกินส่ายหัวไปมาแต่เมื่อลิ้นสากดูดเลียขบกัดเนื้อตัวกลับสั่นสะท้านจนแอ่นกายขึ้นมาตอบสนองต่อการชักนำที่น่ารังเกียจของอีกฝ่าย

“หึๆ ๆ ร่างกายซื่อตรงน่ารักจริงๆ เลย” เสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนเลื่อนอีกมือปลดกางเกงเอาสิ่งปกปิดที่อยู่บนร่างกายผอมออกไปจนหมดและลูบคลำไปทั่วโดยไม่สนเสียงประท้วงห้ามที่กลายเป็นถ้อยคำหวานหูยิ่งกว่าอะไร “นี่...ไม่สนใจร่วมสนุกด้วยกันจริงๆ เหรอพี่ใหญ่? ”

ดวงตาสีเขียวหม่นจ้องด้วยสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ผ่านไปกว่าสิบนาทียาคงออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว ตัวการแสยะยิ้มและฉุดแขนโอเมก้าที่ตัวสั่นเทิ้มให้ไปนั่งคร่อมทับประธานอัลฟ่าที่ใกล้ขาดสติเต็มที

คิดว่าทนได้ก็ทนไป

กลิ่นของฟีโรโมนทำให้หน้ามืดตามัวยิ่งกว่าไปนอนแช่ในอ่างน้ำเมา ดึงเอาห้วงความคิดให้ดำดิ่งราวกับร่างกายกำลังจมลงไปน้ำทะเลที่ไร้ก้น และแล้วคาร์บฮอล์ลก็ขยับตัวไปตามสัญชาตญาณที่สมองไม่อาจสั่งการควบคุมความนึกคิดผิดชอบชั่วดีได้อีก มือหนาดึงร่างเปลือยเข้ามาแล้วเล้าโลมเลียชิมซอกคอชิ้นเหงื่อ กลิ่นกายสาบที่ไม่ได้ผ่านการอาบน้ำไม่มีผลใดๆ ที่จะทำให้อัลฟ่าวัยฉกรรจ์ซึ่งหิวรสชาติเนื้อคาวโลกีย์นึกขยะแขยงจนปล่อยเหยื่อให้หลุดมือไป

“นั่นแหละ…ดีมาก” คาร์เรย์ยิ้มเยาะเย้ยราวกับปิศาจร้ายที่แฝงอยู่ในเงามืด ผู้คุมค่ำคืนแห่งหายนะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามเล่ห์กลที่วางไว้ ให้ราตรีกาลนี้เต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่จะแผดเผาตระกูลรอสเกรย์จนมอดไหม้ดั่งไฟนรกขุมสุดท้ายจนมิเหลือแม้แต่เถ้าถ่าน

...ให้มันสูญสิ้นไม่เหลือแม้แต่จิตวิญญาณความเป็นคนของตัวเอง


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.19 Up (5/3/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 05-03-2018 12:56:22





สามเดือนผ่านไป ประธานรอสเกรย์ก็มีคำสั่งลงมายังหัวหน้าทีมให้เรียกรวมตัวนักวิจัยอีกครั้ง ช่วงเวลานรกแตกวนลูปกลับมาหลังจากทิ้งช่วงไปนานจนคิดว่าคงล้มเลิกโครงการไปแล้ว ทว่ามาคราวนี้ไม่ใช่การต่อยอดสร้างยากระตุ้นสำหรับโอเมก้า แต่เป็นยาที่ช่วยเร่งการผลิตอสุจิให้กับเขาเอง…

แน่นอนว่าทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างหน้าซีดและมีสีหน้าลำบากใจ การกินยาที่แรงเกินขนาดและปริมาณมากเกินไปนั้นแม้แต่เด็กประถมยังรู้เลยว่ามันอันตรายมาก ถึงกระนั้นคนคนนี้ก็ยอมเสี่ยงงั้นหรือ?

ช่างห่วงแต่เพียงภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบของตนเองจริงๆ

อาเซลที่รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้วก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งรับคำสั่ง เขาคงห้ามปรามอะไรไม่ได้แล้วสินะ…

ท้องฟ้าวันนี้มีเมฆฝนอึมครึมก่อตัวตั้งแต่เช้า สภาพอากาศเลวร้ายบวกกับบรรยากาศในที่ทำงานหม่นหมองเสียจนแทบไม่มีไฟทำงาน นอกจากจะต้องมาเริ่มต้นทำโปรเจ็คใหม่สุดเฮงซวยนี่ ข่าวคราวของเพื่อนโอเมก้าที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก็ยังไม่ไปถึงไหน

คาเล็มได้แจ้งความคนหายไปแล้ว แต่ผ่านมาตั้งนานก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ขนาดตำรวจท้องที่เช็กดูจากกล้องวงจรปิดทุกตัวแล้วก็ยังระบุไม่ได้ว่าร่องรอยหายไปตั้งแต่ตรงไหน ถ้าหากโนเอลประสบอุบัติเหตุก็คงจะมีข่าวปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์บ้าง แต่ลงท้ายก็ไม่เจออีกเช่นกัน

เวลานี้พวกเขาต่างคนต่างก็เครียดจนใกล้จะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าทางนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง...

ชายหนุ่มเบต้าถอนหายใจ ขณะกำลังจะก้าวขาเดินกลับไปห้องทำงาน พลันสายตาก็ดันไปสบเข้ากับคาร์เรย์ที่ยืนแอบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องและกวักมือเรียกเบาๆ เหมือนจะบอกให้เข้าไปหา

อาเซลเดินไปตามสัญญาณมือนั่น ก่อนจะตกใจกับสภาพคนตรงหน้าที่เรียกได้ว่ายับเยิน เบ้าตาเขียวคล้ำมีอายแพดปิดตาไว้ข้างหนึ่ง ปากแตกบวมเจ่อแถมฟันหักไปหลายซี่และยังพันผ้าที่แขนขาเป็นมัมมี่กับใส่เฝือกที่คอ ได้ยินแว่วๆ ว่าไปโดนรถบรรทุกเสยมาเลยมีสภาพสะบักสะบอมอย่างที่เห็น แต่ก็ยังรอดมาได้ครบสามสิบสองอีก…

“มีของจะให้” คนเจ็บยัดเยียดแผ่นซีดีใส่มือให้เบต้าที่ทำงานให้พี่ชายตน

“นี่อะไร? ” คนรับของมองหน้าคนให้ บนกล่องใสไม่มีตัวหนังสืออะไรที่บ่งบอกให้รู้เขียนไว้เลย

“ซีดีไง” ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มีร่องรอยฟกช้ำกล่าวสั้นๆ

“เห็นก็รู้แล้ว ข้างในมันคืออะไรกันล่ะ? ข้อมูลผลตรวจร่างกายของคุณคาร์บ...ของท่านประธานในช่วงสามเดือนที่ผ่านมางั้นเหรอ? ”

“ถ้าอยากรู้ล่ะก็เปิดดูเอาสิ แต่หลังดูจบแล้วจะจัดการกับมันยังไงก็เป็นเรื่องของนายล่ะนะ ไปล่ะ” คนพูดหันหลังแล้วโบกมือให้ ก่อนจะจากไปในสภาพมีไม้เท้าค้ำทั้งสองข้าง

“อะไรวะนั่น? ” อาเซลชักสีหน้าให้กับความกวนประสาทของน้องชายนายจ้างที่ไม่ถูกชะตาด้วย แต่เจ็บตัวหนักขนาดนี้ก็ยังจะถ่อเดินกะเผลกมาที่ห้องวิจัยเพื่อจะเอาซีดีแผ่นเดียวมาให้เขาเนี่ยนะ? ลงทุนมากไปมั้ย...สงสัยข้อมูลในซีดีนี่คงจะสำคัญมากถึงขนาดไม่ยอมฝากคนอื่นเอามาให้

ไม่รู้ว่าเนื้อหาข้างในมันคืออะไร เขาเก็บความสงสัยเอาไว้รอจนตัวเองเลิกงาน แย่ตรงที่ต้องเดินเท้าฝ่าสายฝนหนาวเหน็บจากห้องวิจัยลับที่ประธานรอสเกรย์เป็นคนออกทุนสร้าง กว่าจะมาถึงห้องพักที่กลับมาสภาพเละเทะเหมือนเดิมก็ใกล้พลบค่ำ เล่นเอาตัวซีดปากสั่นไปหมด

เมื่อแช่น้ำอุ่นชำระร่างกายและแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินไปชงกาแฟก่อนมานั่งที่เก้าอี้ นำซีดีที่ได้มาไปเปิดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ดูให้หายข้องใจ นิ้วขยับเมาส์คลิกเปิดโปรแกรมจนกระทั่งคลิปหนึ่งรันขึ้นมา

‘อย่านะ ..หยุด ไม่เอา อ๊ะ! ’

“ไอ้ฉิบหาย! ” ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอทำเอาชายหนุ่มเบต้าเผลอสบถหยาบคายด้วยความตกใจเพราะว่ามันเป็นหนังแนวขืนใจ เขารีบเช็ดกาแฟที่กระฉอกเลอะแป้นพิมพ์พร้อมกับตะโกนด่าคาร์เรย์ที่เอาหนังบ้าอะไรไม่รู้มาแกล้งเขา นี่มันไม่ใช่แนวโว้ย!

‘คาเล็ม...ช่วยด้วย! ’

เสียงที่หลุดออกมาจากปากนักแสดงทำให้มือที่กำลังจะกดหยุดเล่นต้องชะงักและเงยหน้าขึ้นมาดู ภาพตัวเอกที่กำลังถูกผู้ชายสองคนรุมทั้งหน้าและหลังมันคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อจ้องดูดีๆ ดวงตาพลันเบิกกว้างหน้าซีด ทีแรกก็คิดว่าตัวเอกหน้าคุ้นๆ อยู่เหมือนกัน แต่นี่มัน...โนเอลงั้นเหรอ!?

‘ฮึ่ก...ปล่อย อย่าเอามันเข้ามา ได้โปรด’

เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือแสนบีบหัวใจคนดู ร่างของเพื่อนที่กำลังร้องไห้ดิ้นรนขัดขืนคนข้างหลังที่สอดแท่งเนื้อร้อนเข้ามา ก่อนจะถูกคนที่อยู่ด้านหน้าบังคับให้ใช้ปากอมปรนเปรอไร้ซึ่งเสียงประท้วงต่อ แล้วคนคุมด้านหลังก็กระแทกอัดเข้าไปในตัวเพื่อนของเขาอย่างรุนแรง สองอัลฟ่าทำกับเหยื่ออย่างบ้าคลั่งเหมือนเดรัจฉานติดสัดจนคนถูกกระทำชำเรายับเยินแทบหมดสภาพ

นิ้วมือสั่นกดหยุดโปรแกรมเล่นคลิปวิดีโอเอาไว้เพียงเท่านั้นเพราะไม่อาจทนดูต่อได้แล้วกลับมาทิ้งตัวลงนั่งหมดเรี่ยวแรงที่โซฟา สมองขาวโพลนไปหมดคิดเรื่องอะไรดีๆ ไม่ออกทั้งนั้น...หัวใจหดหู่ไปกับภาพติดตาในวิดีโอที่อดีตเพื่อนร่วมงานถูกอัลฟ่าสองคนข่มขืน ทุกๆ ภาพที่ปรากฏไม่มีการเซนเซอร์ ไม่มีการเปลี่ยนมุมกล้องซูมเข้าออกเน้นย้ำสีหน้านักแสดง เว้นแต่เสียงในคลิปที่จงใจทำให้ชัดจนไม่อาจคาดเดาเป็นเสียงคนอื่นไปได้ ที่สำคัญนี่มันไม่ใช่หนัง...มันคือของจริง!

แม้จะเห็นหน้าชายอีกสองคนไม่ชัดแต่สำหรับเขามันเดาออกไม่ยากเลยว่าทั้งคู่เป็นใคร!

เขาหยิบมือถือขึ้นมาจ้องจะกดโทรหาคาร์บฮอล์ลเพื่อเค้นถามความจริงมันซะตอนนี้ แต่มือกลับสั่นไม่หยุด ทำให้เขาตัดสินใจวางมันลงไปที่เดิม ก่อนจะนึกถึงคำพูดของคาร์เรย์ที่ย้อนเข้ามาในหัว…

‘จะจัดการกับมันยังไงก็เป็นเรื่องของนายล่ะนะ’

หรือจะแจ้งตำรวจ ..ใช่! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องแจ้งตำรวจสิ! เพื่อนเขาถูกลักพาตัวไปข่มขืนนะ! หลักฐานคามือขนาดนี้หากเป็นคนปกติดีก็ต้องวิ่งแจ้นไปแจ้งความทันทีแล้ว

แต่...

ปิ๊งป่อง!

เจ้าของห้องพักที่กำลังฟุ้งซ่านจนสมองแทบจะตีกันเองหันหน้าไปทางประตูที่มีคนกดกริ่งเรียก ใครมากันนะทั้งที่ฝนข้างนอกก็ตกหนักแถมยังมืดค่ำซะขนาดนี้

“นั่นใครน่ะ? ”

“เปิดประตูที...” แค่ประโยคเริ่มต้นก็เหมือนหนังสยองขวัญเกรดบีแล้ว…

บรรยากาศชวนอึดอัดไม่ชอบมาพากลจนหวาดระแวงว่าจะมีใครจัดฉากแกล้งตน เขาเดินไปมองลอดช่องตาแมวที่ประตู

“โนเอล!? ” พอเห็นหน้าของคนที่เพิ่งเจอในคลิปก็รีบหุนหันเปิดประตูออกไปทันที

“อาเซล...” โอเมก้าที่เนื้อตัวเปียกปอนด้วยน้ำฝนเงงหน้ามองเพื่อนเบต้า ดวงตาบวมช้ำเงยหน้าขึ้นมองคนเปิดประตูต้อนรับทั้งน้ำตา “ผม...ฮึ่ก! ”

“รีบเข้ามาก่อนเถอะ! ” เขาจับแขนเพื่อนเข้ามาแล้วมองข้างนอกดูว่ามีใครอื่นอีกหรือไม่ ก่อนจะลงกลอนล็อกคล้องโซ่สองชั้นและค่อยๆ ประคองร่างสั่นเทามานั่งที่โซฟาอย่างเบามือ

อาเซลรินน้ำชามาวางไว้ให้แม้รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากจะดื่มมันตอนนี้ก็ตาม ในหัวไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามอะไรก่อนดีเพราะเขาดันรู้เข้าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนโอเมก้าคนนี้บ้าง “นาย...หายไปไหนมา แต่ดีแล้วล่ะนะที่ปลอดภัย”

“...” โนเอลไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตาหลบหน้าเขาทั้งยังร้องไห้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง มันก็แน่นอนอยู่แล้ว! นี่เขาถามบ้าอะไรออกไปฟะ!

“...ว่าแต่ นายผอมไปเยอะเลยนะ...ฉันทำอะไรง่ายๆ ให้กินมั้ย? ” ดวงตามองสำรวจร่างกายของคนที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดนับจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ทั้งๆ ที่ปกติก็แทบจะเพรียวบางกว่าโอเมก้าชายทั่วไปอยู่แล้ว “...มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้างมั้ย? ”

“ผม…” ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริกเอ่ยปากพูดออกมา “ผมอยากกลับไปหาคาเล็ม...แต่ผมกลับไปไม่ได้แล้ว”

“ทำไมถึงกลับไปไม่ได้ล่ะ? ” อาเซลถามด้วยความไม่เข้าใจทั้งที่รู้สาเหตุอยู่เต็มอก เจอเรื่องช็อกมากขนาดนั้นไม่ว่าใครก็ต้องอยากกลับไปหาคนในครอบครัวมากที่สุด

เขามองสภาพเพื่อนที่ต่างไปจากเดิม ปกติโนเอลไม่ได้ชอบติดกระดุมจนถึงด้านบนปกเสื้อขนาดนี้ ทว่า...แม้จะแต่งกายมิดชิดแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจปิดบังรอยกัดใต้คอที่โผล่พ้นขอบนั่นได้

“นั่นมัน หรือว่า...” เขาเห็นร่องรอยตีตราที่เด่นชัดเหมือนต้องการประจานเจ้าของร่างกายว่าผ่านมือใครมาบ้าง แถมรอยกัดยังมีมากกว่าจะเป็นของคนคนเดียวอีกด้วย!

“...อาเซล” มือผอมกอดตัวเองแน่น ริมฝีปากสั่นระริกเม้มจนห้อเลือดที่ต้องบอกเรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นออกมา...สิ่งที่เขาไม่อยากพูดออกมามากที่สุด “ผม...ท้อง”

เปรี้ยง!

สายฝนและเสียงฟ้าผ่าฟาดลงมาราวกับจะตอกย้ำความจริงอันแสนโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิท

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จริงสิ… ก่อนอื่นต้องรีบบอกคาเล็มว่านายอยู่ที่นี่...เอ๊ะ? ” อาเซลโดนเพื่อนคว้ามือทั้งสองเอาไว้ แม้คนทำจะแทบไม่มีเรี่ยวแรงแต่เขาก็หยุดมือวางโทรศัพท์ลงทันที “ท...ทำไมล่ะ? ”

“ม..ไม่เอา! ” คนขอร้องส่ายหน้าปฏิเสธท่าเดียว “ผม…ผมยังไม่อยากให้เขาเจอผมในสภาพนี้”

“แต่หมอนั่นเป็นห่วงนายมากนะ ตามหาไม่ได้หยุดเลยตั้งแต่นายหายตัวไป”

“ขอร้องล่ะ ให้ผมอยู่ที่นี่สักพักเถอะ อย่าเพิ่งบอกคาเล็มตอนนี้นะ...นะ? ”

“อะ...อื้อ” หนุ่มนักวิจัยเบต้าจำต้องรับปากเพื่อนที่กำลังขวัญเสีย คงยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องไปเจอคนรักในสภาพแบบนี้ เขานั่งปลอบอยู่นานจนเพื่อนสงบลงแล้วลุกไปจัดที่นอนเตรียมไว้ให้คนที่อ่อนล้าทั้งกายและใจได้พักผ่อน แล้วหยิบหมอนกับผ้าห่มของตัวเองออกมานอนที่โซฟาข้างนอก

อาเซลยังไม่เข้านอน เขานั่งเครียดจนแทบจะเอาเท้าก่ายหน้าผากเพราะว่ายังลังเลที่จะโทรไปบอกคาเล็มว่าเจอตัวคนหายแล้ว ถ้าอีกฝ่ายรู้เข้าคงจะรีบขับรถพุ่งมาหาเขาทันทีแน่

ชายหนุ่มเบต้าต้องคอยดูแลเพื่อนที่อาการไม่สู้ดีตลอดทั้งคืน เพราะเพื่อนโอเมก้าลุกขึ้นมาอาเจียนและร้องไห้โฮทุกสองชั่วโมงจนเขาแทบจะไม่ได้นอน แต่ถึงยังไงก็ข่มตาหลับไม่ลงอยู่แล้ว เขาจึงกลับมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์อีกครั้งและกดเอาแผ่นซีดีเก็บเข้ากล่องตามเดิม

พอมาลองนึกดูดีๆ แล้ว คาร์เรย์คิดอะไรอยู่ถึงได้เอาหลักฐานมัดมือตัวเองกับพี่ชายมายื่นให้เขา?

ลำพังตัวน้องชายน่ะไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ถ้าประธานอัลฟ่าคนนั้นถูกจับกุมล่ะก็มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ไหนจะชื่อเสียงของตระกูลพังพินาศ โครงการทั้งหมดจะต้องถูกยุบ แบบนั้นพวกนักวิจัยคนอื่นๆ จะไม่ซวยกันหมดเหรอ!?

แล้วชายหนุ่มเบต้าก็ตัดสินใจบางอย่าง… “เป็นไงเป็นกันวะ! ”

อาเซลที่ไม่ได้นอนพักเลยสักงีบลุกขึ้นมาเตรียมอาหารง่ายๆ ไว้ให้โนเอลตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เสร็จแล้วก็รีบออกจากที่พักเร็วกว่าปกติ โดยเขียนโน้ตทิ้งไว้ว่ามีธุระด่วนจะรีบกลับมาตอนสายๆ

เขาตรงดิ่งไปที่บ้านพักสองชั้นหลังเล็กคล้ายเซฟเฮาส์ไม่ห่างจากศูนย์วิจัยลับมากนัก คาร์บฮอล์ลมักจะชอบมาขลุกอยู่ที่นี่ตอนรอฟังรายงานความคืบหน้าและติดตามผลงานของพวกนักวิจัย และเขาก็จำได้ว่าอีกฝ่ายรักสุขภาพมากจนต้องตื่นแต่เช้ามืดมาออกกำลังกายเกือบทุกวันเสียด้วย...

ชายหนุ่มเบต้ายืนอยู่หน้าบ้านพักของประธานรอสเกรย์ที่เงียบผิดวิสัย คนเจ้าระเบียบและตรงต่อเวลา ชอบทำทุกอย่างตามกำหนดการแบบนั้นคาดเดาพฤติกรรมได้ไม่ยากว่าในแต่ละช่วงเวลานั้นจะไปอยู่ที่ไหนและทำอะไรบ้าง ทว่า...ไฟสลัวในบ้านบอกให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ข้างในบ้านไม่ได้ไปวิ่งออกกำลังกายอย่างแน่นอน

อาเซลเคาะประตูให้ดังพอระดับหนึ่ง เนื่องด้วยเขากำลังสะกดกลั้นอารมณ์มากมายที่อยู่ในอก เสียงเดินเข้ามาใกล้ประตูทุกฝีก้าวนั้นจึงบีบรัดหัวใจของเขาทุกขณะ

แอ๊ด..

“คุณคาร์บ...ฮอล์ล..? ” อาเซลแปลกใจที่คนตรงหน้าเป็นเจ้านายของเขาไม่ใช่บอร์ดี้การ์ดอัลฟ่าที่มาเปิดประตูให้ กำลังจะเอ่ยถามอย่างไร้มารยาทด้วยการข้ามขั้นตอนการทักทายยามย่ำรุ่งวันใหม่ แต่เขาก็เงียบปากลงเมื่อเห็นสีหน้าเจ้าของบ้านที่ออกมาเปิดประตูให้ด้วยตัวเอง...

“มีอะไร? ” ประธานอัลฟ่าที่มักจะดูสง่างามมีราศีทรงอำนาจเพราะดูแลตัวเองดีอยู่เสมอ ตอนนี้ซูบผอมลงกว่าปกติ ใบหน้าขมวดคิ้วยับย่นให้มีเคราหนากว่าทุกที ถุงใต้ตาเริ่มช้ำคล้ำเหมือนคนไม่ได้หลับได้นอนมาหลายคืน

“...เกิดอะไรขึ้นกับคุณ? ” อาเซลสลัดเรื่องเพื่อนของตัวเองออกไปจากหัวก่อนทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาที่สวมแว่นเผลอลอบมองเข้าไปในบ้านพักที่ตอนนี้ข้าวของกระจัดกระจายอย่างกับมีใครอาละวาดไปเมื่อไม่นานนี้

“มันไม่ใช่เรื่องของคุณ ถ้าหากไม่มีธุระสำคัญแล้วล่ะก็กลับไปทำงานของคุณซะ…”

“มีครับ! ” อาเซลรีบท้วงขึ้นมาก่อนที่จะถูกไล่กลับ “พวกคุณสองคนทำอะไรกับโนเอล!? ”

มือควานลงไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์หยิบแผ่นซีดีออกมาให้ประธานอัลฟ่าดู “ข้างในนี้เป็นวิดีโอแอบถ่ายที่คาร์เรย์กับคุณกำลัง...ทำร้ายเพื่อนผม”

“...รู้เรื่องแล้วงั้นเหรอ? ” พอเอ่ยออกไปแบบนั้นนักวิจัยเบต้าก็พยักหน้าช้าๆ ทำให้คาร์บฮอล์ลกัดฟันกรอดแน่นและปิดตาลง

“คุณทำจริงๆ เหรอครับ? ” เมื่อหลายนาทีก่อนเขายังปักใจเชื่ออย่างเต็มอกว่าคนอย่างประธานรอสเกรย์คงไม่ลดตัวลงมาทำเรื่องเลวทรามแบบนี้ แต่...พอเห็นสภาพของคนตรงหน้า ตอนนี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคาร์บฮอล์ลตั้งใจลงมือทำไปจริงๆ หรือเปล่า? “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ!? ”

“เออ! ใช่! ผมนี่แหละทำเอง! ”

คาร์บฮอล์ลตวาดเสียงดังจนอาเซลตกใจและก้าวถอยหลังไป เขาเพิ่งเคยเจอคนคนนี้โมโหเกรี้ยวกราดใส่เลยได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับไปไหน

“..โว้ยย!! ” ร่างสูงใหญ่เปิดประตูทิ้งไว้แล้วเดินกลับเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวในบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พอเห็นคาร์บฮอล์ลนั่งกุมขมับเหมือนคิดไม่ตกแบบนั้นเขาก็เดินตรงเข้ามาในบ้านช้าๆ ไปหาเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่พร้อมขวดสุรามากมายเกะกะบนโต๊ะ “ไอ้คาร์เรย์…มันใช้ยาบัดซบนั่นกับผม ไม่งั้นก็คงไม่เกิดเรื่องระยำจนผมต้องอยู่อย่างอับอายขายขี้หน้าแบบนี้ อยากจะฆ่ามันให้ตาย! ”

ถึงจะทำลายวิดีโอเจ้าปัญหาไปแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าน้องชายตัวดีก็เอาคลิปนรกนั่นไปเผยแพร่บนเน็ตให้ตามไล่ลบไม่หวาดไม่ไหว แต่มันก็ยังผุดกลับมาอีกไม่จบสิ้น

”ผมทำลายชีวิตเพื่อนคุณ ถ้าอยากจะแจ้งความก็ทำไปเลย...” ยังไงเสียหน้าตาในสังคมตอนนี้ก็พังป่นปี้ไม่มีชิ้นดี จากเดิมที่เป็นอัลฟ่าไร้น้ำยาในวงนินทาของพวกไฮโซ ตอนนี้เขากำลังตกเป็นขี้ปากของพวกนักเลงคีย์บอร์ดที่ดีแต่เห่าอยู่หลังหน้าจอว่าแม้แต่อัลฟ่าที่เป็นชนชั้นสูงอย่างคาร์บฮอล์ล รอสเกรย์ก็ยังตกต่ำลงถึงขนาดมาทำเรื่องกักขฬะไม่ต่างจากขยะสังคม

อาเซลคุกเข่าลงตรงหน้าเพื่อสบตากับคาร์บฮอล์ล “ถ้าอย่างนั้น...ทำไมคุณถึงไม่มอบตัวเองตั้งแต่แรกล่ะ? ”

“...” คาร์บฮอล์ลนิ่งเงียบไม่ตอบ

“เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้น...คุณน่ะถูกคาร์เรย์ลอบกัดไม่ใช่เหรอ? ” น่าเศร้าที่พี่น้องกันแท้ๆ ต่างจ้องจะทำลายกันเองแทนที่จะรักและคอยช่วยเหลือกัน “แล้วก็…”

“.....” น่าแปลกที่เจ้าของดวงตาสีเขียวหม่นยังคงอยากที่จะฟังอีกคนพูด

“หน้าตาของตระกูลหรือของคุณเอง มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ” มือข้างหนึ่งยกขึ้นแต่ไม่แน่ใจว่าจะกุมมืออีกฝ่ายได้ไหม เก้ๆ กังๆ อยู่สักพักก็ตัดสินใจวางมือทาบลงไปอย่างแผ่วเบา รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้มีค่าไปกว่าคนงานผลิตยาของอีกฝ่ายแต่ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ ว่าเขามองเห็นความหวังริบหรี่ที่อาจจะทำให้ความรู้สึกที่ยังฝังแน่นในอกนี้ได้รับการตอบสนองบ้าง “ถ้าหากว่าคุณยอมสละบางเรื่องทิ้งไปบ้างล่ะก็…มันจะใช้ชีวิตสบายกว่านี้มั้ย? ”

“...เด็กน้อย” คาร์บฮอล์ลขัดด้วยเสียงบางเบาแต่มีพลังเหลือเชื่อ “เรื่องบางเรื่อง...ถ้าไม่ยืนอยู่ในจุดนั้นด้วยตัวเองยังไงก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก”

ยิ่งกับความกดดันมากมายที่เขาแบกรับ ชีวิตของน้องอีกสองคนที่แม้จะไม่เอาอ่าวไปแล้วหนึ่ง แต่ยังไงเขาก็ยังนับเป็นคนในครอบครัว ญาติสนิทที่จ้องแต่จะฮุบสมบัติของพวกเขาแม้ว่าทางโน้นเองก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร และแม้คาเซล่าจะเป็นอัลฟ่าแต่เขาก็ถูกผู้เป็นพ่อย้ำนักย้ำหนาก่อนตายว่าให้ดูแลเธอให้ดีเพราะเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวทั้งยังเป็นน้องสาวของเขา

เมื่อผู้นำคนก่อนจบชีวิตลง ก็ไร้ซึ่งคนคอยเฉลี่ยแรงกดดันมหาศาลนั่น คาร์บฮอล์ลในวัยยี่สิบต้นๆ ที่แม้จะถูกฝึกฝนและเรียนรู้งานของพ่อตั้งแต่เด็กให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปก็แทบเป็นบ้าสิ้นสติเมื่อต้องพบกับโลกที่โหดร้ายเกินกว่าจะจินตนาการ กว่าจะกลับมาตั้งหลักให้ตัวเองได้ก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่นานสองนาน เพื่อนที่สนิทชิดเชื้อเริ่มตีตัวห่างเพราะเหตุผลของเหล่าผู้ใหญ่ที่เขาไม่มีวันเข้าใจ ลูกน้องหลายคนไม่เชื่อฟังทั้งยังตั้งแง่หาว่าเขาแบ่งแยกชนชั้นเลือกปฏิบัติ จนเขาต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกและการวางตัวใหม่ทั้งหมดเรียกว่าแทบจะยกเครื่องตัวเอง

ยิ่งนานวันยิ่งเติบใหญ่ไปในทิศทางที่แสนเลวร้าย

ชินชากับการตัดสินใจอย่างเผด็จการ และการถูกสภาพแวดล้อมบีบบังคับสร้างตัวเขาขึ้นมาให้เป็นผู้นำสมบูรณ์แบบจนลืมความอะลุ่มอล่วยและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจนแทบสิ้น

ลืมไปด้วยซ้ำว่าไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ…

“ถ้าหากผมล้มไปคนหนึ่ง อีกหลายร้อยชีวิตจะไม่มีที่ให้พักพิง ยิ่งกับพวกคนที่จ้องคอยจะรุมทึ้งอยู่นี่คงเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้ามาแก่งแย่งอะไรๆ ในตระกูลกันจนวุ่นวายแน่ๆ ”

“แต่...คุณไม่จำเป็นต้องแบกอะไรไว้คนเดียวก็ได้ คุณก็มีน้องชายอีกตั้ง...อีกคนหนึ่ง? ” อาเซลพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยหนทางที่ตนเองก็รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ ร่วมงานมาหลายเดือนทำไมเขาจะไม่ทันสังเกตอีกฝ่าย คาร์บฮอล์ลไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้นต่อให้ ไร้เพื่อนสนิท แม้แต่กับคนในครอบครัวก็แทบไม่ได้คุยอะไรนอกเหนือจากงานและการจัดการภายในบ้าน

โดดเดี่ยวเหลือเกิน

จินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร ต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง...

“หึหึ…พวกคุณนี่น่าอิจฉานะ” คาร์บฮอล์ลยิ้มจางราวกับจะร้องไห้ออกมาให้คนตรงหน้าเห็นด้านที่อ่อนแอของตัวเองเป็นคนแรก “ถึงพลาดพลั้งหรือท้อแท้ยังไงก็มีที่ให้ถอยไปตั้งหลักด้วย…”





แววตาสีเขียวหม่นแสนเศร้าในวินาทีนั้น ทำให้อาเซลตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ...





“ถ้างั้นผมก็จะอยู่กับคุณ ไม่ว่าคุณสั่งอะไรผมก็จะทำ ต่อให้มันไร้เหตุผลหรือเลวร้ายแค่ไหนผมก็จะไม่คัดค้านคุณเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว”

“ยังไงล่ะ? ” คาร์บฮอล์ลขมวดคิ้วให้กับคำพูดนั้น “แค่พูดง่ายๆ น่ะทำให้ผมเชื่อไม่ได้หรอกนะ”

“ก็ไม่ได้ขอให้เชื่อตอนนี้หรอกครับ” ลืมสิ้นทุกเหตุผลที่สมควรทำ สิ่งที่อาเซลเห็นตรงหน้าตอนนี้คือหนทางที่จะทำให้คาร์บฮอล์ลรู้ว่าเขามิได้เพียงแค่หลงใหลรูปลักษณ์แสนสง่างามนั้น

ประธานอัลฟ่าจ้องมองพลางครุ่นคิดด้วยสายตาที่มักใช้ประเมินค่าคนอื่นเป็นปกติวิสัย ตั้งแต่ที่เห็นอาเซล ฟลอยด์ครั้งแรกก็คิดแค่จะดึงเอาคนตรงหน้ามาใช้ประโยชน์ในเรื่องงานเพียงอย่างเดียว แต่กลับได้ตัวหมากที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้ โดยไม่คิดถึงอนาคตตัวเองเลยว่าหากก้าวพลาดถูกกลืนกินไปแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร

“...พาโนเอลกลับมา แล้วทำลายชีวิตคาเล็มให้ล่มจมเพื่อกลบข่าวเน่าเฟะของผมได้มั้ยล่ะ? ”

ไม่ได้เหนือจากที่คาดไว้สักนิด อาเซลขบฟันแน่น เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาต้องการมาหาความจริงไปช่วยเหลือเพื่อนของเขา แต่ดูตอนนี้สิ...





ไม่ว่าจะสั่งอะไร...ผมก็จะทำ





“ถ้าหากเป็นสิ่งที่คุณต้องการ…” อาเซลขยับตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าของคาร์บฮอล์ล อีกฝ่ายไม่ได้ขยับหนี เพียงแต่รอดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ เมื่อไม่เห็นท่าทีต่อต้านหรือปัดป้องใดๆ ชายหนุ่มเบต้าจึงประทับจูบแสนเบาลงไปแทนคำตอบรับประโยคนั้น และแทนคำยืนยันที่เขาพูดไปก่อนหน้า...





ถ้ามันจะทำให้ผมมีคุณค่าในสายตาของคุณเพิ่มขึ้นมาสักนิดล่ะก็...ผมยินดีทำทุกอย่าง ต่อให้ต้องทำลายชีวิตใครก็ตาม


TBC.
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.19 Up (5/3/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-03-2018 17:57:45
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.20 Up (17/4/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-04-2018 08:20:18
บทที่ 20


โนเอลไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา... ภาพสุดท้ายที่จำได้ก็คือหลังจากที่เขาทานอาหารเช้าและนอนพักจนหลับไปอีกรอบได้ไม่นาน เพื่อนเบต้าของตนก็กลับมาพร้อมคนแปลกหน้าที่แต่งตัวคล้ายหมออีกสองสามคนเข้ามาในห้อง หลังจากนั้นอาเซลก็เดินเข้ามาลูบหัวเขาเหมือนกับจะปลอบที่มาช้า และเขาก็สลบไปอีกครั้ง…ก่อนตื่นมาพบกับภาพคุ้นตาที่ไม่อยากจะเห็นอีก

ไม่...ทำไมถึงกลับมาอยู่ที่นี่อีกล่ะ!?

ห้องนอนขนาดเล็กที่มีเพียงของใช้จำเป็น คือห้องที่เขาอยู่อย่างทรมานใจมานานกว่าสามเดือนก่อนหน้านี้ในคฤหาสน์รอสเกรย์ …

“ต้องหนี...” ใบหน้าซีดเผือดตั้งสติและลุกพรวดขึ้นนั่ง พลันสายตาหันไปเจอกับคนคุ้นหน้าตรงมุมห้องไม่ห่างจากประตูทางออกมากนัก

“รู้สึกตัวแล้วเหรอ…” อาเซล ฟลอยด์เอ่ย ร่างที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ยอมเข้ามาใกล้ เหมือนกับรอเพื่อให้โนเอลตื่นมาพบ

“อาเซล...? ” ครู่หนึ่งขณะที่ชายหนุ่มโอเมก้ากำลังจะอ้าปากถามอะไรต่อ แต่ใบหน้าของเพื่อนสนิทกลับหลบหันไปทางอื่น ดวงตาหม่นหมองปนเปด้วยความรู้สึกผิด เพียงเท่านั้นโนเอลก็แทบใจสลาย ดวงตารื้นน้ำใสเสียใจจนร่างกายสั่นสะท้าน แม้ไม่มีคำบอกกล่าวอธิบายอะไรออกมาจากปากชายหนุ่มเบต้าเพื่อนรัก แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ได้แทบจะทันที

ทว่า…เพราะอะไรกัน เขาอุตส่าห์บากหน้ามาขอความช่วยเหลือ ทำไมต้องทำกันแบบนี้...

“...โอเมก้าที่ถูกตีตราไปแล้วต่อให้เป็นเพราะการบังคับขืนใจแต่ก็ต้องกลายเป็นคู่ของคนที่ทำ...ตราบใดที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายคร่ำครึที่เอื้อเฟื้อผลประโยชน์นี้ให้พวกอัลฟ่า ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” อาเซลพึมพำให้ได้ยินไปถึงหูของเพื่อนที่ยกสองมือขึ้นปิดหน้าไปแล้ว

“เรื่องนั้นน่ะผมรู้ดี แต่ที่ผมเสียใจก็คือ...แม้แต่นายก็ยังหักหลังผมงั้นเหรอ”

เขายืนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสุดร้าวระทม ไม่มีคำพูดใดๆ จากปากทั้งคู่อีก มีแต่เสียงสะอื้นร้าวรานบาดลึกลงไปในใจกับห้องสีขาวสะอาดที่เงียบเชียบ

หลังจากเหตุการณ์ในคืนวันนั้นที่โนเอลถูกสองพี่น้องรอสเกรย์ขืนใจไป ก็ไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นอีก ซ้ำยังได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนกับว่าที่ทำไปเพื่อจะลบล้างความผิดทุกอย่าง

ทว่า ทั้งคู่ก็ไม่เคยโผล่หน้ามาหาเขาอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือตอนที่คาร์เรย์พรวดพราดเข้ามาและไล่พวกคนรับใช้ออกไปจากห้อง ใบหน้ามีร่องรอยถูกอัด ที่รอบคอมีรอยแดงราวกับโดนอะไรสักอย่างรัดมาอย่างแรง ...คลับคล้ายจะเป็นรอยมือ รวมๆ กับรอยช้ำเขียวตรงดวงตา ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคงมีเรื่องทะเลาะกับพี่ชายคนโตอีกนั่นแหละ เขาโยนเสื้อผ้าและวิกผมเพื่อปกปิดตัวตนและยังบอกเส้นทางหลบหนีที่เตรียมไว้ให้อีก

ตอนนั้นโนเอลไม่อยากจะเชื่อแต่สายตาคนคนนั้นกลับทำให้ใจเขาสงบลง ไม่ใช่แววตาสนุกสนานอย่างที่เคยพูดคุยกัน มันช่างว่างเปล่าจนน่าใจหาย…

ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะยกโทษให้กับสิ่งที่ทั้งคาร์เรย์เคยทำ แถมคาร์บฮอล์ลก็เลือกที่จะปกป้องน้องชายตัวเองทั้งที่รู้ว่าทำผิด แล้วนี่เขายังต้องมาโกรธเกลียดเพื่อนของตัวเองที่ร่วมมือกับคนที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขาอีกเหรอ?

“แล้วฉันจะมาเยี่ยมบ่อยๆ …” มือแตะที่ลูกบิดประตู ก่อนที่อาเซลจะหันหลังให้เพื่อนโอเมก้าและเดินออกมา

“เป็นจริงอย่างที่นายว่าเลยนะ…” โนเอลนั่งกอดเข่ามองแผ่นหลังของเพื่อนที่กำลังจะเดินจากไป “ผมมันเป็นไอ้โง่ที่ชอบหลงเชื่อคนอื่นอย่างที่นายเคยพูดไว้จริงๆ ”

อาเซลชะงักมือไปเล็กน้อย ไม่กล้าหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย เขาเปิดประตูและออกจากห้องไปเงียบๆ ตามเดิม ปล่อยให้โนเอลร่ำไห้คนเดียวเงียบๆ แล้วได้แต่หวังว่าพวกเขาจะยังสามารถคุยกันได้…

“เป็นยังไงบ้าง” เมื่อเท้าก้าวมาถึงบันไดสำหรับลงไปชั้นสองก็พบพี่ใหญ่ของบ้านยืนรออยู่ที่สุดขั้นบันไดข้างล่าง

“สงบกว่าที่คิดครับ…” อาเซลตอบเสียงเรียบแล้วค่อยๆ เดินลงมา เขานึกว่าอีกฝ่ายจะสติแตกกว่านี้เสียอีก

“เหรอ..” พออาเซลเดินลงมาหยุดอยู่ต่อหน้า คาร์บฮอลล์ก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเบาๆ และไล้หลังมือลงมาตามกรอบหน้านิ่งเฉยของคุณหมอ “งั้นฝากไปเยี่ยมคาร์เรย์อีกคนแทนผมทีนะ”

“แต่ผมยังมีงานค้างอยู่…”

“ยังไม่ต้องรีบหรอก มีเรื่องอื่นที่อยากให้ทำด้วย”

“...ครับ”

“อ้อ และอีกอย่างหนึ่ง...กลับไปทางนั้นแล้วก็จับตาดูคาเล็มไว้ด้วย อย่าให้เรื่องนี้ถึงหูหมอนั่น” ประธานอัลฟ่าย้ำคำสั่งต่อหมอเบต้าที่ยังคงทำงานควบอยู่ที่สถาบันวิจัยเดิมร่วมกับน้องชายอีกคนของตน

“ถ้าเขารู้ว่าเมียตัวเองอยู่ที่นี่จะให้ทำยังไงครับ? ” อาเซลแอบเน้นย้ำสถานภาพของเพื่อนให้อีกฝ่ายได้ยิน ถึงอย่างไรสังคมภายนอกก็รับรู้ว่าคาเล็มกับโนเอลเป็นคู่สามีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต่อให้การครอบครองด้วยการตีตราเป็นข้อบังคับใช้เรื่องการจับคู่ แต่ถ้าว่ากันตรงๆ ยังไงฝ่ายเราก็ทำผิดอยู่ดี

“เรื่องนั้นผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง คุณทำตามที่ผมสั่งก็พอ”

อาเซลกำมือแน่นที่ไม่ว่าจะทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล ทว่า…เขาได้สัญญาไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็จะทำ ต่อให้ต้องกัดฟันทนก็ยอม







“อยู่ว่างๆ ก็ปอกผลไม้ให้กินทีสิคุณ”

มาถึงก็ใช้งานกันเลยทีเดียว

อาเซลหยิบแอปเปิลและมีดปอกพร้อมจานมานั่งอยู่ที่โซฟาข้างเตียงคนที่ทำลายชีวิตทุกคนแต่ยังมีอารมณ์สุนทรีย์มานั่งเขียนนิยายโลกสวย

“ขอรูปคุณกระต่ายนะ” คนรอกินเอ่ยขอ

เรื่องมากจริงโว้ย!

“ทีแรกนึกว่าจะเอากุญแจมือกับพาตำรวจมาเยี่ยมกันซะอีกนะ” คาร์เรย์เปลี่ยนมาเอนหลังนอนเตียงพิมพ์ตอนจบของนิยายบนแล็ปท็อปอย่างสบายใจเฉิบราวกับไม่รู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไป แถมยังทำหน้าระรื่นใส่อาเซลที่มาเยี่ยมเขาอีก

“ทำไมคุณถึงได้ชอบก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน หรือชอบโดนตำรวจลากไปนอนในคุกมากกว่าโดนพี่ชายกักบริเวณงั้นเหรอ? ” อาเซลถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ถ้าไม่ติดว่าคาร์บฮอล์ลขอล่ะก็เขาคงไม่มาหรอก ไม่อยากจะเห็นหน้าคนคนนี้เท่าไหร่นัก

“อย่างน้อยๆ เพื่อนผมที่โดนจับเป็นแพะแทนในห้องขังก็เป็นพวกน่าคบหามากกว่าพี่ใหญ่แล้วกัน”

“เหรอ ดูท่าทางจะคบแต่เพื่อนดีๆ ทั้งนั้นเลยนะ น่าจับไปอยู่ในฟาร์มเดียวกันให้หมดจริงๆ ”

“แล้วทำไมไมทำซะล่ะ? ไม่คิดบ้างรึไงว่าถ้าผมกับพี่กลายเป็นผู้ต้องหา เบต้าแบบคุณที่เป็นคนเปิดโปงก็อาจจะมีชื่อเสียงกับเค้า ไม่ต้องเดินตามก้นเป็นลูกไล่อัลฟ่าอย่างพี่ชายผม ขนาดก่อนหน้านี้ทำงานวิจัยก็ยังไม่วายเป็นได้แค่ลูกน้องเจ้าคาเล็มมันอีกคน ไม่เจ็บใจบ้างรึไงครับคุณอาเซล ฟลอยด์? ”

ถ้อยคำแดกดันราวกับจะยั่วให้บันดาลโทสะ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใบหน้าของคนคนนี้ถึงได้ไม่เคยไร้รอยฟกช้ำ ปากคอเราะร้ายชอบพูดจาวอนอ้อนเท้าเสียขนาดนี้ก็สมควรแล้ว

“ถึงผมแจ้งความเอาผิดไป แต่พวกนั้นคงไม่อยากเอาหน้าที่การงานตัวเองมาเสี่ยงหรอก พวกตำรวจที่คิดจะเอาคุณเข้าห้องขังน่ะโดนอิทธิพลพี่ชายคุณทำให้เด้งออกจากงานไปกี่คนแล้วล่ะ”

“หึหึ นั่นสิ...น่าเศร้าจังเลยน้า อิทธิพลของพี่ใหญ่เนี่ยแม้แต่ตำรวจก็ยังไม่กล้าแตะเแท้ๆ แต่กลับอ่อนไหวกะอีแค่เรื่องที่ข่มขืนน้องสะใภ้ตัวเองจนท้อง ทั้งที่คนอื่นน่ะทำเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์มากกว่านี้แต่ก็ยังเดินลอยหน้าลอยตาในสังคมทั้งที่ประวัติเหม็นเน่ายิ่งกว่าพี่อีก ว่างั้นมั้ย? ”

“คุณก็เลยเล่นงานเขาตรงจุดนั้น ทำกับครอบครัวตัวเองลงได้ยังไง”

“คุณก็อีกคน ช่างน่าสงสารซะจริง ที่ดันมาหลงรักคนที่เขาไม่เคยชายตามองด้วยซ้ำ”

“แล้วไอ้คนที่จัดฉากทำลายชีวิตพี่น้องของตัวเองนี่สมควรจะเรียกว่าอะไรดี! ”

เขาอุตส่าห์ทิ้งงานถ่อมาหาตัวการถึงที่ตามคำสั่งเจ้านายที่รักและภักดี ตั้งใจว่าจะเค้นถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่เพื่อนถูกลักพาตัวไปด้วย แม้เจ้าตัวจะเปิดปากเล่าทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยถ้อยคำกระแนะกระแหนใส่เขาอีกอยู่ดี

“เอาน่าๆ ยังไงตอนนี้ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะถือโทษโกรธเคืองกันไปทำไม”

อาเซลไม่คิดจะต่อปากต่อคำเถียงกลับไปเพราะมันเป็นเรื่องจริง ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนต้องเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต ไอ้คนที่ทำก็อยู่ตรงหน้าแต่เขากลับเลือกที่จะช่วยปกป้องมันเอาไว้เพียงเพราะไม่อยากให้คาร์บฮอล์ลต้องโดนหางเลขไปด้วย

“รู้ใช่มั้ยว่าพี่ใหญ่น่ะสนใจแต่โอเมก้าที่จะให้กำเนิดทายาทอัลฟ่าได้เท่านั้น อย่างคุณน่ะเขาไม่คิดจะสานสัมพันธ์ด้วยหรอก” คาร์เรย์ปิดหน้าจอสี่เหลี่ยมพับลงและหยิบองุ่นในตะกร้ามากิน

มีดที่อยู่ในมือนักวิจัยเบต้ายังคงบรรจงปอกเปลือกผลไม้สีแดงในมือและหั่นวางเรียงอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าตัวเองเห็นแก่ตัวและเกลียดตัวเองด้วยที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ามองดูโนเอลต้องทุกข์ทรมาน ปล่อยให้คนชั่วตัวจริงลอยนวลนั่งหัวโด่อยู่ต่อหน้า

“หรือคิดว่าขอแค่ได้อยู่ข้างๆ แบบนี้ต่อไป สักวันเขาก็คงจะเมตตามอบความรักให้? ” คนที่เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวมุ่ยปากที่คนเยี่ยมทำเป็นไม่สนใจเขา “นี่...ช่วยบอกหน่อยสิ สีหน้าของโนเอลตอนที่หัวใจสลายน่ะมันเป็นยังไงเหรอ? ”

คนยุลอบมองสีหน้าของคนที่แกล้งทำเป็นเมินคำพูดของตน ได้ผล...มือที่บรรจงปอกผลไม้หยุดมือลงทันที

“แต่ก็เดาไม่เห็นจะยากเลยนี่เนอะ ถูกเพื่อนที่ไว้ใจอย่างนายขายได้ลงคอนี่นา ทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา ไหนจะเสียงกรีดร้องน่ารักน่าฟังนั่นอีก คุณเองก็ได้ดูในคลิปนั่นไปแล้วด้วยนี่ คิดว่ายังไงบ้าง? ได้บอกเจ้าคาเล็มมันแล้วรึยังว่าเมียมันน่ะท้องลูกของพี่ชาย...อั้ก!! ”

เคร้ง!

จานหล่นแตกพร้อมกับผลไม้ที่กระจัดกระจายตกลงพื้น มีดในมือปักเข้าไปที่คอของคนพูดจาน่ารังเกียจ อยากจะตัดหลอดลมของเจ้าคนที่เอาแต่พ่นคำพูดแสนระคายหู แม้จะแทงไม่เข้าเพราะติดเฝือก แต่การกระทำที่ก้าวร้าวและลงมีดอย่างไม่ลังเลนั้นทำเอานักเขียนวิปลาสถึงกับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าก็มิได้กลัวว่าจะถูกฆ่าแต่อย่างใด

“ที่ฉันยอมทำเรื่องสกปรกก็เพื่อปกป้องคุณคาร์บฮอล์ลจากเรื่องที่แกสร้างภาพให้เขาถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนผิด และถ้าแกยังไม่เลิกสร้างปัญหาอีกล่ะก็ต่อให้เป็นน้องชายของเขา แต่ฉันก็จะฆ่าโดยไม่ลังเลเลย! ”

“น่ากลัวจัง…” คนพูดยิ้มหน้าเป็นราวกับไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่พูดออกมา “แต่นายก็กำลังคิดจะทำลายชีวิตคาเล็มที่เป็นคนรักของเพื่อนทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงเพื่อช่วยคนเห็นแก่ตัวอย่างพี่ชายฉัน วิธีการต่ำช้าแบบนั้นมันต่างจากฉันตรงไหนกันล่ะ? ”

เป็นอีกครั้งที่เขาหาอะไรมาโต้เถียงคำพูดแทงใจดำของคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ อาเซลหยุดแทงและปล่อยมือออก เขาหันหลังให้คาร์เรย์โดยไม่ได้ดึงมีดที่ปักคาอยู่ออกไป

“ระวังให้ดีนะ สักวันนายนั่นแหละจะเป็นเหมือนกันกับฉัน...”

“....” ไร้คำพูดใดๆ โต้ตอบ แล้วร่างของคนเยี่ยมก็เดินออกไปจากห้องโดยไม่มีคำเอ่ยลาใดๆ เมื่อพยาบาลพิเศษเดินสวนเข้ามาเพราะได้เวลาทานยาของคนเจ็บก็ตกใจกับภาพหวาดเสียวในห้องราวกับมีเหตุทะเลาะวิวาทจนเกือบหวีดร้องออกมา





...สุดท้ายแล้วชีวิตของนายจะเหลืออะไรบ้างนะ? อาเซล ฟลอยด์


“วันนี้ก็ไม่ยอมทานอะไรเหมือนเดิมครับหมอฟลอยด์”

“อีกแล้วเหรอ…” นายแพทย์เบต้ามองถาดอาหารที่ไม่ถูกแตะต้องแม้แต่ช้อน “ถ้างั้นก็ให้เหมือนทุกทีก็แล้วกัน”

“ครับ” คนดูแลที่มีหน้าที่ยกอาหารไปให้โอเมก้าซึ่งอาจตั้งครรภ์ลูกของนายใหญ่รายงานต่อคุณหมอเบต้าที่เจ้านายสั่งให้มาเป็นแพทย์ประจำตัวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

สองเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่ถูกพาตัวกลับมาคฤหาสน์รอสเกรย์ โนเอลแทบจะไม่ยอมกินอะไรราวกับต้องการจะอดอาหารให้ตายไปเสียเพื่อประชดชีวิต แถมพอถูกบังคับให้กินอาหารก็อาเจียนออกหมดจนร่างกายซูบผอมอย่างรวดเร็ว อาเซลเลยต้องเปลี่ยนมาให้อาหารเหลวผ่านสายยางทดแทนและเสริมด้วยน้ำเกลือ ถึงจะช่วยไม่ให้น้ำหนักลดลงไปมากกว่านี้ แต่การที่คนป่วยทำร้ายตัวเองทางอ้อมเช่นนี้ก็ย่อมส่งผลต่อเด็กในครรภ์

“โนเอล...ฉันขอล่ะนะ เห็นแก่ชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมาเถอะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปจะเป็นอันตรายกับนายและลูกในท้องเอาได้นะ”

“....” ไม่ว่าเขาจะพยายามพูดโน้มน้าวสักเท่าไหร่ แต่โนเอลก็ไม่ยอมสบตาหรือพูดคุยกับเขาสักคำและทำหน้าเหม่อลอยเหมือนปิดกั้นตัวเองจากสภาพเลวร้าย

“อีกไม่นานนายก็จะได้กลับบ้านไปเจอคาเล็มแล้วนะ อดทนอีกหน่อยเถอะ”

“คา...เล็ม…” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยชื่อคนรักจากริมฝีปากที่ซีดเซียวซึ่งไม่ปริปากพูดอะไรเลยมาหลายเดือน ก่อนที่น้ำตาจะหลั่งไหลอาบแก้มไม่ขาดสายจนสุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมากรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติและเริ่มทำร้ายตัวเอง จึงต้องจับล็อกมัดมือเอาไว้ติดกับเตียง

ปล่อยไว้แบบนี้แย่แน่ๆ ไม่ใช่แค่อดอาหารแต่สภาพจิตใจของโนเอลเริ่มไม่คงที่แถมยังทำร้ายตัวเองหนักขึ้นทุกวัน เขาคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง…

เย็นวันนั้นเขาจึงซื้อโทรศัพท์มือสองและซิมเบอร์ใหม่มาใส่เครื่องและกดโทรหาคาเล็ม แม้รู้ดีว่าถ้าหากคาร์บฮอล์ลรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ตนอาจจะถูกเล่นงานเอาได้ แต่เขาทนมองเพื่อนตกนรกทั้งเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

“โนเอล โทรศัพท์ของนายน่ะ” นายแพทย์เบต้ายื่นมือถือมาจ่อที่ข้างหูของเพื่อนที่เพิ่งจะตื่นหลังจากอาละวาดจนหมดแรงหลับไป รออยู่สักพักจนกระทั่งปลายสายกดรับเบอร์แปลกหน้า

‘ฮัลโหล นั่นใครครับ? ’

“คาเล็ม…” ดวงตาที่เหมือนคนที่ตายไปแล้วกลับมีประกายบางเบาขึ้นมา โนเอลคว้ามือถือของเพื่อนเบต้าไปจากมือแล้วพูดกับปลายสายด้วยความตื้นตัน “คาเล็ม นี่ผมเองนะ! ”

‘โนเอล? นั่นนายใช่มั้ย? ตอนนี้อยู่ที่ไหน!? เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงหายไปไม่ติดต่อมาเลย!? ’

“นี่ๆ ...ผมมีข่าวดีจะบอกล่ะ? ”

อาเซลเห็นเพื่อนโอเมก้าพูดจาท่าทางแปลกๆ ก็เริ่มใจไม่ดี ข่าวดีที่ว่านั่นน่ะหมายความว่าจะบอกที่อยู่ของตัวเองให้รู้งั้นเหรอ ให้คุยกันแค่นี้พอแล้วดีกว่า...ดูเหมือนโนเอลจะไม่ได้อาการแย่อย่างที่คิดแล้วด้วย

‘ข่าวดีเหรอ? เรื่องอะไรล่ะบอกมาสิ’

“ผมท้องแล้วนะ นี่ลูกของเราสองคนไง”

‘ว...ว่าไงนะ!? ’

“โนเอล…นั่นนายพูดอะไรออกมา? ” อาเซลถามเสียงเบาออกไปเพราะกลัวเสียงจะลอดเข้าไปในสาย แต่โนเอลดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของเขา... ขนาดยืนอยู่ใกล้แค่นี้แต่กลับถูกเมินเฉยราวกับเป็นอากาศธาตุ

“ผมอยากให้ลูกของเราเกิดเป็นอัลฟ่าจัง จะได้ไม่ต้องมีชีวิตลำบากแบบผม” โนเอลยิ้มราวกับว่ากำลังมีความสุขที่สุดในโลก “นี่...เราจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดีล่ะ ถ้าเป็นลูกสาวผมอยากให้ชื่อไลลานะ…คุณชอบมั้ย? ”

‘โนเอล นาย...ท้องเหรอ? ใครเป็นคนทำ..? ’

“เอ๊ะ?? ไม่ใช่ลูกของพวกเราหรอกเหรอ? ” สีหน้าของคนพูดซีดลงก่อนก้มมองหน้าท้องที่นูนของตัวเองและพึมพำไม่หยุด “ใคร...ใครกัน ใครทำผม ไม่นะ...ไม่ๆ ๆ ม่ายยยยยยย!! ”

อาเซลตัดสายทิ้งทันทีและรีบห้ามปรามเพื่อนที่กำลังอาละวาด แต่ครั้งนี้อาการรุนแรงมากจนต้องฉีดยากล่อมประสาทให้สงบลงและนอนหลับไปอีกครั้ง...เขาทำพลาดแล้วที่ให้ทั้งคู่ได้คุยกัน



ในตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าตนจะต้องเสียทั้งเพื่อนและหลานไปตลอดกาล...





เวลาต่อมา มีคนพบโนเอลนอนหมดสติอยู่ที่พื้นขณะกำลังจะเข้าไปทำความสะอาด แม้จะไม่มีบาดแผลแต่อาการของคนป่วยกลับทรุดลงอย่างรวดเร็ว กว่าอาเซลจะรู้เรื่องนี้จากคนรับใช้ก็นำตัวส่งโรงพยาบาลช้าเกินไป สามวันหลังจากนั้นโนเอลก็เสียชีวิตพร้อมกับเด็กในท้องที่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด

กว่าที่คาเล็มจะรู้ว่าโนเอลเสียชีวิตและพิธีศพก็ถูกจัดเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็ตอนที่เห็นป้ายหลุมศพของคนรักตัวเองในสุสาน ทุกอย่างมันกะทันหันจนตั้งรับไม่ทัน เหมือนโลกทั้งใบพังทลาย หัวใจของเขาแตกสลายไม่มีชิ้นดี

“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง!? ”

คาเล็มทรุดลงกับพื้น มือกำต่อยพื้นไม่สนว่ามือจะเคล็ดหรือช้ำจนเลือดออก มันยากจะหักห้ามความรู้สึกที่ทั้งเจ็บปวดและเกลียดชังตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้

“คุณคงเป็นดร.คาเล็ม รอสเกรย์สินะ”

“ใคร? ” คาเล็มหันหน้าไปหาต้นเสียง มองชายแปลกหน้าในชุดเจ้าหน้ารัฐที่ยืนสบตาเขา

หมายศาลถูกส่งถึงมือคาเล็ม รวมทั้งโรงพยาบาลที่ให้ความร่วมมือในการวิจัยยา โดยตรวจพบว่ามีสารในยาบางตัวที่ผิดกฎหมายเป็นส่วนประกอบของยาระงับอาการฮีทอีกด้วย

นอกจากจะต้องมาพบเจอเรื่องน่าสลดอย่างการจากไปของคนรักตัวเองแล้วก็ยังถูกพวกนักข่าวโจมตีเรื่องนี้ สื่อต่างๆ พร้อมใจกันประโคมเรื่องที่เกิดขึ้น คาเล็มต้องวิ่งหาหลักฐานและทนายมาแก้ต่างข้อกล่าวหากับทางตำรวจจนวุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาไปสืบหาความจริงเรื่องการตายของโนเอล

แน่นอนว่าคนที่เอาข้อมูลนี้ไปให้กระทรวงไดโนเสาร์ทั้งหลายก็ไม่พ้นเหล่าคนที่ทำงานให้กับผู้นำของตระกูลรอสเกรย์ โดยได้ผลวิจัยต่างๆ อย่างลับๆ มาจากอาเซลอีกทีหนึ่ง ทั้งภาพถ่ายและบันทึกต่างๆ ช่างดูเลวร้ายผิดกับความเป็นจริง โดยเฉพาะเรื่องโอเมก้าที่อาสามาเป็นคนทดสอบยานั้นไม่ได้อาการทรุดลงจากผลข้างเคียงจนเข้าขั้นอันตราย แต่หากอ่านเพียงตัวอักษรและเห็นรูปภาพผลงานวิจัยไม่กี่รูปแล้วล่ะก็...จินตนาการของคนเรานั้นก็อาจพาให้เข้าใจผิดไปได้ไกลกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมากมายนัก...





ตรึ๊ง...

ครืด….ครืด…

เสียงข้อความและโทรเข้าจากมือถือของอาเซลดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ เบอร์ที่โทรมาก็มีทั้งเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ญาติพี่น้องคนในครอบครัว รวมทั้งคาเล็มด้วย แต่อาเซลไม่รับสายใครทั้งสิ้น เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิ้งตัวอยู่บนโซฟาหรูตัวใหญ่ในบริเวณบ้านอันแสนกว้างขวางโอ่อ่ามานานจนตะวันแทบจะลับฟ้า กลิ่นชาหอมกรุ่นเจือจางจนแทบไม่เหลือและยังไม่ได้รับการแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว

บ้านอะไรใหญ่โตสวยงามแต่เงียบเหงาสิ้นดี…

“อาเซล”

เสียงเรียกทำให้เขาหลุดจากภวังค์และหันไปหาต้นเสียงช้าๆ ก่อนจะพบมือหนาของคนคุ้นเคยยื่นมาลูบตามกรอบใบหน้าคล้ายจะปลอบโยน คาร์บฮอล์ลเดินเข้ามาประชิดเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

“ผมสั่งฟ้องเจ้าคาเล็มแล้ว แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้มีใครสงสัยผมกันรายชื่อทีมวิจัยของหมอนั่นไว้จำนวนหนึ่ง รวมถึงคุณด้วย” คาร์บฮอล์ลแจงสิ่งที่เขาหายหน้าหายตาไปจัดการตลอดวันนี้ “จะไม่ให้โดนเรียกไปเป็นพยานด้วย ไม่ต้องห่วงหรอกนะ”

“...ขอบคุณครับ” อาเซลซบหน้าลงกับมือนั้นราวกับเหน็ดเหนื่อยเหลือคณา แต่เขาก็ต้องรีบผละออกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าไม่คุ้นหู ราวกับมีคนพยายามวิ่งทั้งที่ใส่ส้นเข็มเดินมาทางนี้

“พี่ใหญ่! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!? รีบเล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ” เสียงแหลมของสาวสวยดวงตาสีหยกดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของเธอที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางที่พวกเขาอยู่

ทว่า เมื่อพบว่ามีคนอื่นนอกจากพี่ชายต่างมารดาของตนอยู่ด้วยก็สำรวมกิริยาใหม่แทบจะทันที

“มันเกิดอะไรขึ้นกับโนเอล? ...แล้ว…. แล้วทำไมเจ้าคาเล็มถึงโดนกระทรวงเล่นงานล่ะ? ”

นั่นคงเป็น คาเซล่า รอสเกรย์ เขาเพิ่งได้เจอตัวจริงครั้งแรกเพราะได้ข่าวว่าเธอไปเรียนรู้งานที่ต่างประเทศจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับทางนี้

“เรื่องนั้นไว้ให้หมอประจำตัวพี่เล่าให้ฟังแล้วกัน” โยนภาระกันดื้อๆ อาเซลได้ยินแบบนั้น...ไม่สิ ประโยคหลังนั่น.. จู่ๆ เขาก็ใจพองโตขึ้นมา

“หมอประจำตัว? ” คาเซล่ายังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็มองไปที่อาเซลซึ่งนั่งทำหน้างงอยู่เหมือนกัน

“ฝากด้วยนะ ผมต้องไปสั่งการคนให้จัดหาทนายอีก” คาร์บฮอล์ลเอ่ยกับอาเซล มือหนาเลื่อนขึ้นไปลูบข้างศีรษะเขา ปลายนิ้วแทรกตัวไปตามเรือนผมจนผละออกเมื่อถึงช่วงไรผมที่ท้ายทอยพอดี ประธานรอสเกรย์เดินจากไป ทิ้งน้องสาวของตนและนายแพทย์เบต้าไว้ในห้องโถงโล่งนั้น

อาเซลยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตนที่โดนปลายนิ้วไล้เล่น มันช่างไม่เข้ากับสถานการณ์ภายนอกบ้านหลังใหญ่นี้เลย แต่ใจเขากลับเต้นไม่เป็นจังหวะ…

ก็เพราะแบบนี้แหละนะ เลยติดกับคนๆ นั้นเข้าจังๆ จนมาติดอยู่ที่นี่...

ทั้งสองคนที่เหลืออยู่ต่างเข้ามาทักทายกันพอเป็นพิธีและแนะนำตัวกันอย่างมีมารยาท โชคดีที่คาเซล่าไม่ใช่ไอ้โรคจิตแบบคาร์เรย์ ดูเป็นคนที่คุยรู้เรื่องและเป็นงานกว่ามากมายนัก อาเซลเล่าทุกอย่างในมุมมองของเขาก่อน และจึงค่อยขยับขยายเป็นข้อมูลจากฝั่งของคนอื่น.. ทั้งคาร์บฮอล์ล คาร์เรย์ และโนเอล.. ยิ่งพูดน้ำตาของเขายิ่งไหลออกมาเป็นสายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นไม่แปลกเลย เขาเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าถ้าหากพูดเรื่องนี้ขึ้นมายังไงซะจิตใจของเขาที่แบกรับความกดดันทั้งหมดไว้มันต้องรับไม่ไหวแน่ๆ

คาเซล่าได้แต่นั่งปลอบอยู่ไม่ห่าง แต่เธอเองก็ยังไม่ได้วางใจอาเซลเต็มร้อยนัก จึงนั่งอยู่เพียงครู่เดียวแล้วจากไป ทิ้งท้ายไว้แค่ว่าหากหมอของพี่ชายมีอะไรให้ช่วยก็บอกเธอได้..





กระนั้นจนถึงทุกวันนี้ เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากขออะไรจากเธอหรือจากใคร





เขาหายไป หายจากชีวิตคนรอบตัวอย่างกับไม่เคยมีตัวตน





เขาทำผิด เขารู้ ไม่เช่นนั้นแผ่นดีวีดีหลักฐานชิ้นนั้นมันคงโดนทำลายไปแล้ว แต่เขาก็เลือกจะเก็บไว้ รอว่าสักวันจะกล้าพอเอามันไปทำในสิ่งที่ถูกสักที





กระทั่งทุกอย่างล่วงเลยไป จนชีวิตของคาเล็มแทบพังทลายไปอย่างที่คาร์บฮอล์ลต้องการ





แต่เขาก็ปล่อยทุกอย่างทิ้งไว้ไม่เคยได้ทำอะไรเลย…





“โดดเดี่ยวอย่างแท้จริงแล้วนะ อาเซล..”


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.20 Up (17/4/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-04-2018 08:54:29

………

…..







ภาพความทรงจำหลายช่วงที่ผ่านมาผุดเป็นฉากๆ ทุกเรื่องที่เขาจำได้ สิ่งที่เขาฟังมาจากคนอื่นอีกที ไม่ว่าจะเป็นจากปากคาร์บฮอล์ลหรือคาร์เรย์ เรื่องราวที่ปะติดปะต่อกันเข้ามาในช่วงเสี้ยววินาทีนั้นทำให้อาเซลเผลอลดปืนลงเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดหัวอย่างแรงและจ่อปืนตรงไปยังหัวของลาซารัสที่ยืนนิ่งไม่กระดิกอยู่ที่เดิมอีกครั้ง

“…คิดจะหลอกให้ฉันพูดเพื่อถ่วงเวลารอให้คนมาช่วยรึไง? ฉลาดนักนะแต่คิดง่ายไปแล้ว กว่าพวกมันจะมาช่วยแกก็กลายเป็นศพไปแล้วไอ้เด็กโลกสวย! ”

แม้ลำกล้องปืนจะจ่ออยู่ตรงหน้า แต่ว่าลาซารัสก็ยังคงทำใจดีสู้เสือ…

“คุณจะไม่บอกเหตุผลหน่อยเหรอครับ”

เขาคิดถึงภาพของคาเล็มที่ทนทุกข์ทรมานกับการจากไปของคนรัก ไหนจะทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อให้โอเมก้าอย่างพวกเขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยยาที่ปลอดผลข้างเคียง… และเขาก็อยากรู้ว่าสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเหล่านี้คืออะไร?

“ทำไมฉันต้องบอกแกด้วย? ”

“คุณจะให้เรื่องราวทั้งหมดมันคาราคาซังอยู่แบบนี้เหรอครับ? ” ดวงตาสีฟ้าจ้องมองอย่างแสนเศร้า “เรื่องบาดหมางระหว่างพวกคุณ ผมไม่เคยรู้และไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากขึ้นด้วย ทั้งผมทั้งคุณโนเอลก็แค่คนที่โดนลูกหลงเข้ามาติดในวังวนที่พวกคุณก่อ ถ้าพวกคุณไม่คิดจะยุติความแค้นที่มีให้กัน อย่างน้อยก็ช่วยพูดออกมาทีเถอะว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน ผมแค่ต้องการรู้ความจริงเท่านั้นเอง”

“พูดไปทุกอย่างมันก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอก...” อาเซลกดเสียงลงต่ำราวกับกำลังกลั้นสะกดโทสะของตัวเอง

“แล้วต้องรอให้ทุกอย่างพังจนแก้ไขอะไรไม่ได้ก่อนถึงจะหยุดเหรอครับ ลองมองไปรอบๆ ตัวคุณสิ” เขาผายมือออกไปตามทิศทางที่ทุกฝ่ายซึ่งเห็นเหตุการณ์มองพวกตนอยู่ “ทุกคนบาดเจ็บทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเค้าด้วยเลย”

ทั้งโคลวิสที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยแต่ต้องมาโดนลูกหลงเพราะอยู่กับเขา แล้วยังจะพวกบอร์ดี้การ์ดของเออร์แฟนกับสาวใช้ของริชาร์ดที่ต้องมาเจ็บตัวจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อมาช่วยเขาอีก…

“พูดไปแกก็ไม่ได้คำตอบอะไรจากเรื่องพวกนี้หรอก ตายไปทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยนั่นแหละดีแล้ว! ”

“ไม่ใช่เพื่อผมหรอก… แต่เพื่อตัวคุณเองต่างหาก…คุณอาเซล” ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมาที่คนเล็งปืนมาที่ตนอย่างไม่หวั่นไหว

...ถ้าหากอาเซล ฟลอยด์เป็นคนเลวจริงๆ ทำไมถึงได้มีแววตาโศกเศร้าแบบนั้น...

“...พวกแกมันบ้ากันหมดทั้งตระกูล…” ไม่รู้อะไรดลใจให้นายแพทย์เบต้าพูดออกมา น้ำเสียงนั้นเหมือนพูดเพื่อให้อดีตเพื่อนร่วมงานอย่างคาเล็มได้ฟังมากกว่าจะให้โอเมก้าตรงหน้ารับรู้เพียงคนเดียว “หัวรั้นถือทิฐิไม่เข้าท่า จ้องแต่จะเหยียบย่ำกันเอง ไม่เคยคิดจะรับฟังความเห็นต่าง ใครมีปัญหาก็เอาแต่เก็บเงียบแบกรับไว้แล้วหาทางแก้ไขผิดๆ ทั้งที่ถ้าพวกแกพี่น้องทุกคนหันหน้ามาคุยกันดีๆ เรื่องมันก็จะไม่เป็นแบบนี้”

คาเล็มยืนขึ้นเพื่อจะฟังให้ชัดๆ แต่ริชาร์ดคอยดึงแขนเอาไว้ไม่ให้โผล่หน้าออกไป ทว่าชั่วแวบหนึ่งที่หางตาของเขาเห็นว่าอาเซลมีสีหน้าที่เจ็บปวด แต่เพราะอะไรล่ะ?

“ต่างคนต่างเกลียดกันจนไม่เห็นใจอีกฝ่าย เอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้อง โทษกันเองไปมาไม่รู้จักจบสิ้น…” อาเซลเงยหน้าขึ้นมองลาซารัสที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร “ไอ้หนู ถ้าแกคิดว่าตัวเองกับคาเล็มเป็นผู้เคราะห์ร้ายล่ะก็ผิดแล้ว เคยรู้บ้างมั้ยว่าฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน! ”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกคุณ! ” ลาซารัสเม้มปากแน่นอีกครั้ง แต่คราวนี้สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของอาเซล ก่อนที่อีกฝ่ายจะลั่นไกปืนออกไปเข้ากลางลำตัวและช่วงอกของเขา

“อั่ก…” ร่างโปร่งกระอักไอออกมาเป็นเลือดก่อนล้มลงแทบจะทันที

“ลาซัสส!! ” คาเล็มร้องลั่นและสะบัดตัวหลุดจากวงแขนของริชาร์ด เขาวิ่งออกไปอย่างสิ้นสติหลังจากเห็นร่างของคนรักลงไปนอนกับพื้น แต่อาเซลก็เร็วกว่า

ปังง!

เขายิงเข้าที่ขาข้างหนึ่งของคาเล็มจนร่างของอดีตเพื่อนร่วมงานล้มลงไปทั้งที่ยังไม่ทันวิ่งมาถึงร่างของลาซารัส อาเซลย่างสามขุมมาหาโดยไม่สนใจร่างของโอเมก้าที่นอนจมกองเลือดอยู่ด้วยซ้ำ ริชาร์ดตั้งใจจะออกไปช่วยเพื่อน แต่โดนกระสุนจากบอร์ดี้การ์ดฝั่งโน้นยิงสะกัดกั้นเอาไว้ไม่ให้ออกมาขวางอีกคน

“แก! ...อั่ก! ” คาเล็มกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าฝ่าเท้าของอาเซลก็ย่ำลงมากลางหัวของเขาและกดให้แนบจมไปกับพื้นดิน

“เพราะแก...เพราะพวกแก! นี่โนเอลตายทั้งหมดมันก็เป็นเพราะพวกแกทุกคน!! ” อาเซลตะโกนลั่นเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งเตะทั้งกระทืบร่างด้านใต้ราวกับสั่งสมความแค้นมาทั้งชีวิต “ทำไมวะ กะอีแค่ยอมเปิดปากคุยกันดีๆ มันยากนักหรือไง มันจะตายใช่มั้ยถ้าหายใจร่วมโลกกันน่ะ!? ทำไมพวกแกมันถึงได้เป็นไอ้งั่งไร้สมองเหมือนกันขนาดนี้!? ชีวิตมันดีเกินไปเหรอวะถึงได้ทำตัวมีปัญหานักน่ะ!!? ”

“อึ่ก!! ” ความเจ็บปวดที่กดทับลงมาที่หัวและตามตัวแล่นแปล๊บไปทั้งร่าง ความหนักอึ้งเหมือนถูกก้อนอิฐยักษ์ทับนี้อาจจะเป็นน้ำหนักของสิ่งที่อาเซลแบกรับไว้ก็ได้ หยดน้ำตาร่วงเผาะลงบนใบหน้าบอบช้ำของคาเล็มจนไม่แน่ใจแล้วว่าที่ร้องไห้นี่เพราะเหตุใดกันแน่...

“หยุดได้แล้ว!! ”

เสียงหญิงสาวแสนคุ้นหูดังมาจากด้านหลังของอาเซล เขารีบหันกลับไปมองแล้วก็พบกับเงาขนาดใหญ่ทาบทับตัว เสียงเครื่องเรือนเซรามิกแตกกระจายหลังจากฟาดเข้ากับหัวของอาเซลเต็มๆ จนร่างนั้นเซล้มไปอีกทาง

คาเซล่ายืนเด่นท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมด เธอหอบหายใจยาวหนักหน่วงเหมือนกำลังโมโหสุดขีดมากกว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการแบกไหขนาดครึ่งค่อนตัวมาทุ่มใส่คนของพี่ชาย

“พวกแกทั้งหมดน่ะ หยุดได้แล้ว! ” หล่อนประกาศกร้าวกับเหล่าบอร์ดี้การ์ดด้วยเสียงดังลั่น

“ต...แต่ว่าหมอฟลอยด์เขา…”

“บอกให้หยุดก็หยุดสิ! ใครเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้พวกแกกัน!? หมอนั่นหรือว่าฉัน!? ” น้ำเสียงทรงอำนาจสมกับเป็นอัลฟ่า แม้เป็นหญิงสาวแต่ก็ควบคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัด “ถ้ายังไม่คิดจะหยุด งั้นฉันจะปล่อยไอ้เคี่ยมในสระให้มาไล่ขย้ำพวกแกไปเป็นอาหารมันทุกคนเลย! ”

“ค..ครับ!! ” บอร์ดี้การ์ดทั้งหมดลดปืนลงแต่โดยดีและถอนตัวออกจากที่กำบังทีละน้อยจนหมด

“ส่วนพวกนายก็ออกมาได้แล้ว! ” คาเซล่าหันไปมองกลุ่มของพวกริชาร์ดที่ยังแอบอยู่ในที่กำบังของตน “เออร์แฟนติดต่อมาหาฉันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นและกำลังพาตำรวจมาที่นี่...เอ้า พวกแก! มาจับตัวอาเซลไว้แล้วส่งตัวให้ตำรวจซะด้วย”

“ชักช้าชะมัดเจ้าบ้าเออร์แฟน…” ริชาร์ดที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งอก แต่ก็ได้แค่ครู่เดียว เขารีบวิ่งออกไปดูเพื่อนของตัวเองและลาซารัสที่บาดเจ็บหนักอยู่ ซึ่งคาเล็มที่สะบักสะบอมก็ลากตัวเองไปนั่งอยู่ข้างตัวคนรักเรียบร้อยแล้ว

“คาเล็ม ลาซัสเป็นยังไงบ้าง!? ” เขาพุ่งปรี่มาหาคาเล็มที่กำลังฉีกเสื้อของลาซารัสมาใช้ห้ามเลือดฉุกเฉินโดยมีเหล่าสาวใช้บ้านเบอร์ตั้นตามมาช่วยสมทบ

“อาการไม่ดีเลย ต้องรีบส่งโรงพยาบาล” คุณหมอพูดเสียงสั่นแต่ยังพยายามตั้งสติไม่ให้ตนทำอะไรลนลานเกินไปจนแผลมันแย่กว่าเดิม

“รอก่อนนะ เดี๋ยวจะไปขอยืมรถสักคัน...” ริชาร์ดลุกขึ้นไปหาคาเซล่าเพื่อขอยืมรถอย่างเร่งด่วน แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นกลับเป็นอาเซลที่เพิ่งฟื้นจากการโดนของหนักฟาดเข้าเต็มกบาลกำลังแย่งปืนมาจากบอร์ดี้การ์ดและยิงคนคุมตัว ก่อนจะหันปืนมาทางนี้เพื่อเล็งยิงคาเล็มและลาซารัส

ทุกอย่างอยู่ในสายตาของริชาร์ด ทว่าเขาไม่มีเวลาที่จะตะโกนเรียกเตือนทั้งสองให้หลบไปด้วยซ้ำ เท้าทั้งสองข้างพุ่งถีบตัวออกไปแทบจะทันทีที่เสียงไกปืนลั่น

ปังงง!!

“ระ…” เสียงของคาเล็มถูกกลืนหายไปเมื่อร่างของเพื่อนสนิทล้มลงหลังจากที่ตนถูกผลักออกไปให้พ้นวิถีกระสุน สีแดงฉานละเลงไปทั่วพื้นแทบจะเป็นรอยเดียวกับเลือดของลาซารัสที่เคยนอนกองอยู่ตรงนั้น “ริชาร์ดดด!! ”

“ไม่นะ! คุณผู้ชาย!! ” สาวใช้ของเบอร์ตั้นรีบกรูกันเข้ามาหาผู้เป็นนาย แม้จะดูสับสนแต่ก็พยายามช่วยกันทำแผลห้ามเลือดอย่างเต็มที่ให้ทั้งเจ้านายและเพื่อนที่ลืมความเจ็บจากกระสุนปืนที่ถูกยิงเข้าที่ขานัดหนึ่งไปแล้ว

“...พวกแกนี่โชคดีซะจริงเลยนะ...”

มีทั้งเพื่อนที่เข้าใจ...ทั้งคนรักที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง...ชีวิตที่มีทั้งความสุขและทุกข์ปนๆ กันไปมา ชีวิตแบบที่เขาหวังว่าสักวันจะหลุดออกไปจากที่แห่งนี้แล้วได้พบเจอมันบ้าง

ดวงตาปราศจากกรอบแว่นพร่าเลือนหันมองไปยังตำแหน่งห้องนอนของคนที่เขาเคยตกหลุมรักและยังคงหลงหัวปักหัวปำอยู่จนถึงเมื่อไม่นานมานี้…

นี่คงเป็นบทลงโทษของการตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ในวันนั้น

“ส่วนฉัน...พอแล้วล่ะ…” ปากกระบอกปืนที่แต่เดิมเล็งเพื่อหมายจะเอาชีวิตคนทั้งคู่เปลี่ยนตำแหน่งไปจ่ออยู่ในปากของคนถือปืนเสียเอง

...จบแล้วสินะ...นรกของฉัน…แต่ทำไมถึงได้เห็นใบหน้าของโนเอลขึ้นมาได้นะ เป็นภาพหลอนหรือวิญญาณของเพื่อนเก่ากำลังเรียกหาเขางั้นรึ? ...

ปัง!!

“!!? ” ร่างของนายแพทย์เบต้าล้มลงไปต่อหน้าต่อตาพยานผู้เห็นเหตุการณ์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น นอนแน่นิ่งจมกองเลือดไปโดยไม่ต้องหวังจะยื้อด้วยวิธีใดทั้งสิ้น...

“ไอ้...บ้าเอ๊ย…” คาเซล่ายืนช็อกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบถออกมา “ดันทิ้งปัญหาไว้แล้วชิงตายหนีเอาตัวรอดคนเดียว! ”

ทว่าเธอเองก็บ่นอะไรมากไม่ได้...แต่ไหนแต่ไรแล้วที่เธอไม่สามารถช่วยอะไรใครได้เลย ด้วยเพราะเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของบ้าน ถึงจะเป็นอัลฟ่าแต่ก็ไม่ได้รับความคาดหวังสูงอะไรเหมือนพี่ชายทั้งสอง ทุกครั้งที่เกิดเรื่องก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ เรื่องของโนเอลก็เกิดขึ้นในจังหวะที่เธอเดินทางไปต่างประเทศ กลับมาอีกทีก็ตอนที่คดีใกล้จะปิดไปแล้วแถมไม่มีใครคิดจะบอกรายละเอียดให้เธอรู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ มีก็แต่คำบอกเล่าของอาเซลนี่แหละที่ทำให้เธอพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ เท่านั้น… เท่านั้นจริงๆ

...คราวนี้ก็เหมือนกัน กว่าจะรู้ว่าเรื่องราวมันใหญ่โตขนาดนี้ก็สายเกินแก้…

“คุณคาเซล่า มีรถตำรวจมา..” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งเดินมาพูดด้วยท่าทียำเกรงต่อหญิงสาว

“เออ ให้เข้ามาเลย! ”

เหลือแค่เธอแล้วสินะ...ในบ้านหลังนี้..



คาเล็ม ลาซารัส และริชาร์ดถูกหามส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว โดยทีมแพทย์ที่ตามมากับรถกู้ภัยฉุกเฉินของเออร์แฟน ซึ่งเจ้าตัวดูหงุดหงิดอย่างมากที่มาไม่ทันการณ์ทำให้ความเสียหายมีมากกว่าที่คิด ขืนคาร์เมนรู้เรื่องเข้าล่ะก็ได้โดนฆ่าแน่…ทางนั้นส่งคนของตัวเองไปช่วยเพื่อนของโคลวิสออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว โชคดีที่ยังไม่ได้โดนจับไปคว้านเอาเครื่องในไปขายหรือทำอะไรรุนแรง ทว่าเจ้าตัวก็ยังเสียขวัญอยู่และกำลังรอให้ปากคำอยู่ที่โรงพัก

“สุดท้ายก็เลือกจบชีวิตตัวเองสินะ...คุณฟลอยด์” อัยการหนุ่มอัลฟ่ายืนมองร่างของอาเซลระหว่างที่กองพิสูจน์หลักฐานของตำรวจกำลังทำการจัดเก็บวัตถุพยาน

แม้จะฆ่าตัวตายด้วยวิธีที่สบายที่สุดแต่ก็ยังตายตาไม่หลับ…

อัยการหนุ่มนั่งย่อตัวลงใช้ฝ่ามือลูบปิดดวงตาของคนตาย เปลือกตาปิดแนบสนิทพร้อมกับหยดน้ำตาสุดท้ายที่ไหลออกมาจากดวงตาของชายหนุ่มเบต้าผู้เลือกเดินทางผิดจนต้องจบชีวิตตัวเองลงอย่างน่าเวทนา





-----------





“เซ็งชะมัดเลย คิดว่าจะตื่นมาเจอนางฟ้าชุดขาว แต่ดันเป็นนางยักษ์ซะได้” คาร์เรย์ที่ฟื้นสติในห้องบำบัดผู้ป่วยของโรงพยาบาลตื่นมาเจอหน้าคาเซล่าและเออร์แฟนกับตำรวจอีกสองนายที่นั่งอยู่ตรงโซฟาซึ่งห่างออกไปไม่มาก

“อาเซลฆ่าตัวตายหนีความผิดไปแล้ว” หญิงสาวอัลฟ่าบอกข่าวน่าสลดให้พี่ชายคนรองฟัง ทว่าเจ้าตัวกลับทำสีหน้าเซ็งเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

“เลือกตอนจบได้น่าเบื่อชะมัดเลย”

“คาร์เรย์…” ดวงตาสีหยกและน้ำเสียงของน้องสาวกดดันเสียจนตำรวจรอบข้างต่างตัวเกร็งกันไปหมด ยกเว้นคนเจ็บที่ยังกวนประสาทได้ไม่หยุด

“ครับๆ อย่าทำเสียงน่ากลัวแบบนั้นสิ พี่ชายจะร้องไห้แล้วนะ”

“...ยอมมอบตัวซะ”

“หือ? ”

“เรื่องที่อาเซลทำไว้มันต้องมีใครสักคนรับผิดชอบ” หญิงสาวอัลฟ่าพยายามเกลี้ยกล่อมพี่ชายตัวเอง

“ก็เลยจะให้ฉันเป็นแพะรับบาปสินะ”

“แพะงั้นเหรอ? ถ้าจะพูดให้ถูกล่ะก็เรื่องทั้งหมดมันมาจากคืนนั้นที่นายลากโนเอลเข้ามาในบ้านนั่นแหละ เรื่องมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้! ” คาเซล่าตวาดลั่นด้วยความเหลืออด

“แต่คนที่กักขังหน่วงเหนี่ยวโนเอลไว้หลังจากนั้นมันพี่ใหญ่ไม่ใช่เรอะ ฉันผิดคนเดียวซะที่ไหนกัน”

“ใช่ เรื่องนั้นก็ด้วย...นายต้องรับโทษแทนพี่ใหญ่ทั้งหมด เพราะพี่เขา...”

“หือ? ”

“พี่ใหญ่น่ะไม่ไหวแล้ว สภาพร่างกายแบบนั้นถึงจะติดคุกไปแต่ก็คงอยู่ได้ไม่นาน ฉันไม่อยากให้พี่เขาต้องทรมานในวาระสุดท้าย”

“เฮ้อ…ให้มันได้อย่างนี้สิ” แม้น้องสาวจะพูดถึงขนาดนั้น แต่สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนไปราวกับไม่รู้สึกเห็นใจพี่ชายที่ป่วยหนักใกล้ตายแม้แต่น้อย

“แต่ว่า...ฉันสัญญาว่าจะหาทนายที่ดีที่สุดมาช่วยผ่อนโทษหนักเป็นเบาให้นายเอง เพราะฉะนั้น...ขอร้องล่ะคาร์เรย์ ทำเพื่อพี่ใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ”

“เหอะ... เธอโดนเจ้าหมอนั่นมันหว่านล้อมมาล่ะสิท่า ใครเชื่อก็โง่แล้ว” เขาเบนสายตาไปมองเออร์แฟนที่จ้องมาทางนี้เช่นกัน “จริงด้วยสิ แล้วน้องโอเมก้าตาสีฟ้าสวยคนนั้นล่ะปลอดภัยดีมั้ย? ”

“คนอย่างนายนี่มัน...! ”

“ถ้าหมายถึงลาซารัสล่ะก็อยู่ในห้องไอซียู” อัยการเออร์แฟนถือโอกาสเดินเข้ามาพูดแทรก

“พระเจ้า! คาเล็มมันทำบ้าอะไรอยู่ถึงปล่อยให้เด็กน่ารักแบบนั้นถูกยิงได้เนี่ย!? ”

“คาเล็มก็ถูกยิงเหมือนกัน แต่ยังโชคดีที่ถูกยิงแค่ขา แต่ริชาร์ดนี่สิ…”

“พอๆ ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องเป็นตายร้ายดีของพ่อซีอีโอนั่น เจ้านั่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวเราสักหน่อยแต่เสนอหน้าเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเอง”

ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีสวยเม้มแน่น หญิงสาวอัลฟ่ากระชากคอเสื้อพี่ชายด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และ...

เพี้ยะ! เพี้ยะ!! เพี้ยะ!!!

“เลิกพูดเรื่องบ้าๆ ได้แล้ว! พี่ใหญ่ก็ชีวิตพังพินาศ โนเอลกับหลานของพวกเราที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกก็ตายไปแล้ว นี่อาเซลก็เพิ่งจะฆ่าตัวตายไปอีกคน ยังไม่สาแก่ใจนายอีกรึไง!? ต้องมีคนตายอีกกี่คนนายถึงจะหยุด!? ฉันทนรับสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วนะ!! ”

มือเรียวสวยผิดกับเรี่ยวแรงมหาศาลตบคนเจ็บหน้าแดงช้ำจนแก้มแตก

“ก็ได้! ถ้าไม่อยากเข้าคุกงั้นก็ตายมันซะที่นี่แหละ! แล้วก็ให้ตำรวจมาลากฉันเข้าคุกไปแทน ฉันจะชดใช้เรื่องที่พวกนายกับพี่ใหญ่ทำทั้งหมดด้วยชีวิตของฉันเอง เท่านี้พอใจนายแล้วรึยังไอ้เจ้าบ้า!! ”

ตำรวจสองนายที่อยู่ในห้องเข้ามาช่วยกันจับหญิงสาวอัลฟ่าที่กำลังจะทำร้ายผู้ต้องหาให้เละคามือ

“...มันเจ็บนะ” คนถูกตบจนหัวสั่นหัวคลอนยกมือห้ามฝ่ามือที่กำลังจะฟาดลงมาอีกรอบ

“อย่ามาสำออยนะ! ทีโดนยิงจนพรุนเป็นกระบองเพชรยังไม่เห็นร้องสักแอะ! ” เจอคาเซล่าสวนกลับไปทำเอาคนถูกตบหน้าเลือดกบปากยอมสงบปากสงบคำ

“พาคุณคาเซล่าออกไปก่อนครับ ผมต้องการคุยกับเขาสองคน” อัยการหนุ่มเอ่ยขอ ตำรวจเชิญตัวหญิงสาวอัลฟ่าที่มีแรงมากกว่าพวกตนสองคนออกไปรอด้านนอก

“มีอะไรก็รีบๆ พูดเข้านะ ฉันต้องการพักผ่อน” คนเจ็บยกมือลูบหน้าตัวเองแต่แค่แตะโดนก็ร้องครางหงิงแล้ว

“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณหรอก แต่มีข้อความจากพี่ชายคุณฝากมา” เออร์แฟนวางจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของคาร์บฮอล์ลไว้ที่โต๊ะข้างเตียงคนป่วยไว้ “ส่วนคุณจะอ่านมันหรือฉีกทิ้งไปก็สุดแล้วแต่คุณ”

“.....”

“ผมขอตัวก่อน แล้วพรุ่งนี้จะมาใหม่ แต่จะให้ตำรวจผลัดกันมาเฝ้าเวรทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อกันคุณหนีออกจากโรงพยาบาล”

เสียงประตูปิดลง คาร์เรย์ทำหน้าไม่สบอารมณ์ขณะยื่นมือไปหยิบจดหมายมาถือไว้ มือกำขยำทิ้งขว้างลงถังขยะอย่างไม่ไยดี แต่...สักพักเขาก็สบถด่าตัวเองก่อนจะลุกเดินกะเผลกลงจากที่นอนไปคุ้ยจดหมายกลับมาเปิดอ่านในที่สุด





-----------



หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.20 Up (17/4/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 17-04-2018 08:56:44
วันถัดมา

“...เอ๋? ” สติสัมปชัญญะที่เลือนรางในความมืดเริ่มกลับมาทำงาน ประสาทสัมผัสเริ่มรับรู้ได้ถึงสิ่งรอบข้าง ลาซารัสลืมตาขึ้นช้าๆ อาการมึนชาที่หัวยังคงอยู่และดวงตาเหมือนไม่ได้สัมผัสแสงไฟมานานจนสู้แสงแรกที่ลืมตาขึ้นมามองไม่ไหว

ถ้าจำไม่ผิด...ก่อนเขาจะหมดสติไปนั้น เขาโดนอาเซลรัวกระสุนใส่ไปตั้งสองหรือสามนัด แน่นอนเขาพยายามหลบแล้ว แต่ก็ไม่ทันความเร็วกระสุนหรอก...

“ที่นี่...ที่ไหน? ” ทันทีที่ลืมตาก็พบเพดานสีขาวสะอาดกับได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนจมูกที่คุ้นเคยแต่ไม่ใคร่ชอบเท่าไหร่นัก

“โรงพยาบาล” ดวงตาสีฟ้าหันไปหาเจ้าของเสียงทุ้มที่ให้ความกระจ่าง ใบหน้ามากวัยที่ปราศจากแว่นกรอบหนานั่งบนเก้าอี้ทำหน้าเหมือนคนโล่งใจ มือหนากุมมือเขาอยู่ข้างๆ และบีบแน่น

“ผม...ยังไม่ตายเหรอ? ”

“เด็กบ้าอย่างนายน่ะไม่ตายง่ายๆ หรอก” คาเล็มลูบมือไปบนหน้าผากลาซารัสด้วยความเป็นห่วง “แต่ฉันนี่สิจะหัวใจวายตาย เล่นหลับไม่ตื่นไปเกือบวัน คิดยังไงถึงได้ไปยั่วโมโหอาเซล”

“ผมแค่อยากช่วย…อูย”

“พอ ไม่ต้องพูดแล้วเดี๋ยวกระเทือนแผล นอนพักไปเลย” คุณหมอกล่าวกับคนไข้ทั้งที่มีสถานะเป็นคนเจ็บไม่ต่างกัน

“ผม...จำได้แค่ตอนที่ถูกคุณอาเซลยิงแล้วก็หมดสติไป...นึกเรื่องอะไรต่อจากนั้นไม่ค่อยออกเลยครับ”

“ก็…”

พอคาเล็มเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังจากที่ลาซารัสสลบไปแล้วให้ฟัง ใบหน้ามนก็ช็อกเพราะเหมือนเป็นความผิดของเขาเองด้วยที่ถามไถ่เรื่องราวจนกดดันอาเซลมากเกินไป ทำให้อีกฝ่ายถูกต้อนจนมุมและฆ่าตัวตายหนีความผิด

“ละ...แล้วคุณริชล่ะเป็นยังไงบ้างครับ!? ”

“...เจสสิก้าให้พวกคนรับใช้ผลัดกันมาเฝ้าและคอยกันไม่ให้นักข่าวเข้ามารบกวน ตอนนี้ริชาร์ดยังไม่ได้สติเพราะถูกยิงเข้าที่จุดสำคัญ ถึงกระสุนจะยิงทะลุผ่านไม่ฝังในแต่ก็เสียเลือดมากทำให้เกิดภาวะช็อก ตอนนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลอย่างใกล้ชิดในห้องไอซียูเพื่อเฝ้าระวังดูอาการจนกว่าจะพ้นขีดอันตราย”

“ไม่จริง…”

“เพราะหมอนั่นเอาตัวเข้ามากันตอนที่อาเซลจะยิงฉันกับนาย ก็เลยเป็นแบบนี้…” เสียงคาเล็มสั่นเครือขึ้นมาจนปิดไม่มิด ลาซารัสจึงกุมมืออีกฝ่ายแน่นขึ้น

“...คุณหมอครับ คุณริชจะต้องไม่เป็นอะไร ผมเชื่ออย่างนั้นนะ”

“ฉันก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าหากริชาร์ดต้องตายไปอีกคนล่ะก็...”

ดวงตาสีฟ้ามองใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาบวมช้ำและรอยคล้ำใต้ตาเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าคนๆ นี้คอยเฝ้ามาตั้งแต่เมื่อวานจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน

“คุณหมอ...ได้นอนพักบ้างรึเปล่าครับ? เดี๋ยวร่างกายจะทรุดเอานะ”

อาจเพราะกลัวว่าเมื่อตื่นมาจะต้องพบกับการสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไปจึงไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้

“ฉันไม่เคยรักษาสัญญาอะไรได้เลย ทั้งกับแม่ของริชาร์ด ทั้งโนเอล ฉันทำให้สองคนนั้นต้องตาย...”

“...เล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ”

“แน่นอน...มาถึงตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะปิดบังนายอีกแล้วล่ะ”

คาเล็มเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดเอาไว้ในอดีต

เริ่มจากรีส โอเมก้าชายที่เป็นแม่ของริชาร์ด รีสเคยพูดไว้ตอนที่อาการยังทรงตัวดีอยู่ว่าที่จริงแล้วยังไม่อยากตาย ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนานๆ อยากจะเห็นลูกชายของตัวเองได้เจอคนดีๆ สร้างครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน

‘ลูกชายของคุณต้องได้เจอคนดีๆ แน่นอน’

คาเล็มที่เป็นหมอเจ้าของไข้ในตอนนั้นถูกรีสขอร้องไว้ล่วงหน้าว่าถ้าหากตนหมดหนทางรักษาเมื่อไหร่ ก็ให้คุณหมอทำการการุณยฆาตได้เลย เพราะได้คุยตกลงกับญาติทุกฝ่ายและพ่อของริชาร์ดไว้แล้ว แต่ต้องไม่บอกเรื่องนี้กับริชาร์ดเพราะว่าเจ้าตัวยังเด็ก คงยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

‘ถ้างั้น...ขอฝากคุณหมอคาเล็มช่วยดูให้หน่อยได้มั้ยว่าเด็กคนนั้นจะได้เจอคนแบบนั้นแน่นอน ฉันน่ะคงอยู่ไม่ได้จนถึงตอนที่ริชาร์ดพาแฟนมาแนะนำหรอก’

‘อย่าฝากฝังเรื่องลูกชายสุดที่รักของคุณไว้กับผมมากนักเลย ผมเป็นแค่หมอไม่ได้ความที่รักษาคุณให้หายยังไม่ได้ด้วยซ้ำ’

‘ขนาดคุณยังช่วยไม่ได้ ก็คงไม่มีหมอที่ไหนรักษาฉันได้แล้วล่ะ และอีกอย่างนะ...เลิกพูดว่าตัวเองเป็นหมอไม่ได้ความเถอะ คุณทำเพื่อฉันจนเกินหน้าที่หมอไปตั้งมากแล้วนะคุณคาเล็ม’

‘รีส คุณอายุยังน้อย ผมแค่อยากให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปให้นานขึ้นอีกสักนิด…’

‘เป็นห่วงคนไข้มันก็ดีอยู่หรอก แต่คุณหมอก็มีแฟนแล้วนะ ควรเอาเวลาไปดูแลทางนั้นดีกว่า’

‘ผม...ว่าจะขอเขาแต่งงาน’

‘จริงเหรอ! ’

‘ผมเคยคิดว่าถ้ารักษาคุณหายแล้ว...ก็อยากจะให้คุณไปร่วมงานด้วย’

‘ไปเป็นแขกในงาน? ’

‘...เพื่อนเจ้าบ่าว’

‘...คุณหมอ!? เอาเวลาคุยกับฉันไปหาเพื่อนคนอื่นบ้างเถอะฉันขอร้องล่ะ! ’

ด้วยความที่เป็นหมอเจ้าของไข้มานาน ทำให้คาเล็มสนิทสนมกับคนไข้รายนี้เป็นพิเศษจนเหมือนเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย แม้สุดท้ายแล้วรีสจะไม่สามารถมาร่วมงานแต่งได้และเสียชีวิตลงในที่สุด แต่คาเล็มก็ได้สัญญากับตัวเองต่อดวงวิญญาณของรีสว่าจะคอยเฝ้ามองริชาร์ดอยู่ห่างๆ

แต่กลับกลายเป็นว่าลูกชายตัวดีของเพื่อนดันเปลี่ยนสถานะมาเป็นเพื่อนรักของเขาจนถึงทุกวันนี้ และคงเป็นเพราะอย่างนั้นไม่ว่าริชาร์ดจะทำอะไรเขาก็ไม่เคยถือโทษโกรธอย่างจริงจังได้เลยสักครั้ง

“ลาซารัส ในตอนที่ฉันบอกให้นายไปอยู่กับริชาร์ด นายอาจจะผิดหวังที่ฉันทำเหมือนทอดทิ้งนายหลังจากที่นายมีอะไรกับเพื่อนฉัน แต่ฉันอยากให้รู้ไว้นะว่า…สำหรับฉันแล้ว... ริชาร์ดเป็นทั้งเพื่อน ทั้งน้องชาย เขาเป็นอีกคนที่เชื่อและคอยให้กำลังใจในวันที่ฉันสิ้นหวังแล้วกับทุกสิ่ง เป็นครอบครัวที่สำคัญเพียงไม่กี่คนที่ฉันมี..”

มือหนาที่สั่นเทาคลายออกและเปลี่ยนมากุมมือของลาซารัสเอาไว้แน่น

“ผมเข้าใจแล้วครับ และตอนนี้ผมก็รู้แล้วด้วยว่า...จริงๆ แล้วในงานประมูลครั้งนั้นคุณหมอต้องการให้ผมมาเป็นคู่ของคุณริชาร์ดตั้งแต่แรกสินะครับ”

“...ในตอนนั้นฉันก็แค่ต้องการช่วยเหลือนายออกมา แต่ว่า...ใช่ ฉันคิดที่จะยกนายให้ริชาร์ดทันทีเมื่อถึงเวลาสมควรแต่หมอนั่นก็ปฏิเสธไม่ยอมท่าเดียว และเมื่อฉันได้อยู่ใกล้ๆ นาย...ได้เห็นรอยยิ้มของนายที่เป็นเหมือนแสงสว่างส่องเข้ามาในใจฉันอีกครั้ง หลังจากนั้นฉันก็เลย...ล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองที่จะยกนายให้ริชาร์ด...”

“แต่...ผมกับคุณริชก็ดันทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยทั้งคู่” ดวงตาสีฟ้าสลดกับเรื่องในคืนนั้นที่เขาเผลอมีอะไรกันกับริชาร์ด แม้จะออกจากบ้านของคาเล็มไปอยู่ด้วยกันที่คฤหาสน์เขาก็ยังทำมันอีกเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ติดค้างในใจ ลาซารัสอยากรู้ว่าสาเหตุที่ร่างกายตัวเองไม่ปฏิเสธอัลฟ่าคนอื่นทั้งที่ถูกคุณหมอตีตราไปก่อนแล้วนั้นเป็นเพราะว่าเขากับริชาร์ดเป็นคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่นด้วยรึเปล่า ซึ่งเขาได้คำตอบที่แน่นอนแล้วว่ามันไม่ใช่สิ่งที่พิเศษแบบนั้น...เขาก็แค่โอเมก้าผิดปกติคนหนึ่งที่มีร่างกายซึ่งไม่อาจผูกพันธะกับคู่ของตนได้

“อย่างน้อย...ถ้าเป็นริชาร์ด ฉันก็สามารถฝากอนาคตของนายไว้ได้ ไม่เหมือนโนเอล...เขาไม่มีโอกาสแบบนั้น ฉันปล่อยให้โนเอลต้องตายอย่างเดียวดายโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

ตอนที่รู้ว่าโนเอลถูกข่มขืนจนตั้งท้อง…เขาทั้งเจ็บปวดและสับสนว่าทำไมมันถึงได้เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นกับครอบครัวของเขา หัวใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนอยากจะฆ่าพวกคนที่มันทำกับคนรักของเขา แต่คนที่ทำให้โนเอลต้องเจ็บปวดที่สุดก่อนตาย...คือคำพูดของเขาเองต่างหาก

แทนที่จะช่วยเหลือปลอบประโลมคนรักที่จิตใจบอบช้ำเพราะถูกเหยียบย่ำ แต่ในใจมันกลับรับไม่ได้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่เคยสัญญา...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะปกป้องและไม่ทอดทิ้งกัน…แต่สุดท้ายเขาก็รักษาคำพูดไว้ไม่ได้ เขาทิ้งให้โนเอลต้องตายทั้งเป็น!

“ฉันฆ่าเขา...ฉันผิดเอง..” คาเล็มร่ำไห้ระบายความในใจที่อัดอั้นมาตลอด และคงเพราะอย่างนั้นพระเจ้าถึงได้ลงโทษให้เขาต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิดนี้มาตลอดหลายปี

ลาซารัสไม่รู้ว่าจะหาคำพูดใดๆ มาปลอบคุณหมอได้ เขาทำได้เพียงอยู่ข้างๆ ในเวลานี้เท่านั้น...





-----------





“เมื่อเช้าผมเข้าไปคุยกับเขามาอีกครั้ง คาร์เรย์ไม่ยอมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะกลัวจะเสียรูปคดี” เออร์แฟนยืนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้ทุกคนในห้องพักฟื้นของลาซารัสฟังว่า... พอเขาเปิดประตูเพื่อเข้าไปคุยกับคาร์เรย์อีกรอบ จากสภาพที่เห็นคือข้าวของในห้องกระจุยกระจายเหมือนมีใครระบายอารมณ์ไป แล้วคาร์เรย์ก็ยอมรับผิดโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีก “ตอนนี้ต้องรอจนกว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาลได้ แล้วจะนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพทีหลัง”

“ไม่ต้องพาไปทำแผนที่ไหนหรอก ฉันจะไปกระทืบมันให้ไส้แตกเดี๋ยวนี้แหละ! ”

คาร์เมนมาเยี่ยมลาซารัสและพี่ชาย หลังจากได้ยินว่าคาร์เรย์เป็นตัวการที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดนอนพักฟื้นอยู่ห้องพิเศษที่มีตำรวจคอยเฝ้าอย่างเข้มงวด ก็โมโหจนหน้าดำหน้าแดง

“กรุณาอย่าทำให้เสียเรื่องครับ” เพิ่งห้ามไปไม่ทันไรก็คิดจะไปรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาซะแล้ว

“ให้ตายเถอะ! กับคนเลวๆ แบบนั้นยังคิดจะให้โอกาสมันอีกเรอะ”

“ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำมันจะร้ายแรงจนไม่น่าให้อภัย แต่คนที่จะตัดสินว่าเขาสมควรได้รับโทษอย่างไรก็คือกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ศาลเตี้ยที่คุณจะอ้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้” คำพูดของอัยการหนุ่มทำให้คนถูกอบรมทางอ้อมแยกเขี้ยวยิงฟันขู่ด้วยความไม่พอใจนัก “ยิ่งเราบีบคั้นกดดันทำให้ผู้ต้องหาจนมุม เท่ากับว่าเรามีส่วนทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฆ่าตัวตาย”

...เหมือนกับที่อาเซลเลือกจะจบชีวิตด้วยมือตัวเอง...

“ที่จริงแล้ว...ทั้งเขาและคุณอาเซลเอง เดิมทีก็อาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายทั้งคู่ก็ได้นะครับ” แม้จะทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นได้หน้าตาเฉย แต่ลาซารัสมั่นใจว่าคาร์เรย์ที่พูดเตือนสติเขาในตอนที่เผลอลั่นไกใส่ไปนั้นคงทำไปเพราะตั้งใจจะช่วยชี้แนะเขาแน่ๆ ส่วนอาเซล...เขาไม่คิดเลยว่ามันจะลงเอยแบบนี้

“โอ้โห...แม้แต่ไอ้หนูไฝที่เพิ่งรอดจากการโดนลากไปข่มขืนก็ยังเข้าข้างพวกมันอีกคน นี่เป็นบ้าอะไรกันไปหมดเนี่ย!? ” ระหว่างที่ไปอยู่วงนอกคอยสั่งคนโน้นคนนี้ให้ไปช่วยเพื่อนของไอ้หนูบาริสต้า เขาพลาดเรื่องสำคัญอะไรไปรึเปล่า? “ว่าแต่...ริชาร์ดอยู่ห้องไหนล่ะ? ”

“ยังอยู่ห้องไอซียู ตอนนี้ยังไม่ฟื้น” คาเล็มบอกด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนเพราะยังไม่ได้นอนเต็มอิ่มเลยตั้งแต่เกิดเรื่องมา

“จะรอดมั้ยล่ะนั่น? ”

“ต้องรอด ฉันกับมันยังมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันอยู่”

“แต่ถ้าหมอนั่นม่องเท่ง พี่กับไอ้หนูนี่ก็แฮ้ปปี้เอนดิ้งกันไม่ใช่รึไงเล่า? ” คาร์เมนผายมือไปทางพี่ชายตัวเองและลาซารัสที่ยังนั่งเอนตัวพิงหมอนอยู่บนเตียง

“คาร์เมน เงียบซะ” ถ้อยคำของผู้เป็นพี่ทำให้น้องชายโอเมก้าหุบปากสนิทแล้วเดินหน้าจ๋อยไปนั่งหลบที่มุมห้องทำตัวเหมือนเป็นอากาศธาตุ

แม้คาร์เรย์จะยอมมอบตัวแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังไม่คลี่คลาย ยังมีเรื่องที่อัยการหนุ่มต้องทำอีกมากทั้งการรวบรวมพยานหลักฐาน การดำเนินการฟ้องร้องหลังจากนี้อีก “ส่วนเรื่องยาของนายคงต้องขอเลื่อนออกไปก่อนนะคาเล็ม หรือนายคิดว่าไง? ”

คาเล็มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมา สมองเริ่มล้าจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว “...เอาตามที่นายเห็นสมควรแหละ”

“อืม ไว้จะจัดการให้ ตอนนี้พักผ่อนก่อนเถอะ เข้าใจนะว่าเป็นห่วงริชาร์ดแต่ถ้าไม่พักซะบ้าง ตัวนายเองนั่นแหละที่จะแย่เอา”

เมื่อหมดธุระที่เขาพอจะทำได้แล้ว เออร์แฟนก็ขอตัวกลับก่อน โดยมีคาร์เมนเดินตามหลังออกไปด้วยติดๆ พอประตูห้องพักคนไข้ปิดลงเจ้าตัวก็เดินก้าวขาไวๆ ออกจากที่ตรงนั้น เห็นอาการแบบนี้เออร์แฟนก็กรอกตาไปมา รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรก่อนจะก้าวขาเร่งฝีเท้าจ้ำตามไปให้ทัน

“นึกว่าอยากจะอยู่กับพี่ชายซะอีกนะครับ”

“อยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่ ถึงจะเจ็บใจก็เถอะ แต่คนที่พี่ต้องการในเวลานี้ไม่ใช่ฉันหรอก...” น้ำเสียงประโยคหลังเบาบางลงจนน่าสงสาร

“ก็รู้ดีนี่ครับ”

“แกนี่มัน…” คาร์เมนอยากจะกระโดดถีบยอดหน้าคนน่าหมั่นไส้ให้ลงไปกองสักที

“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แม่ของคุณไม่รู้เรื่องใช่มั้ยครับ? ”

“ฉันโทรไปกำชับเรนเดลไม่ให้บอกแม่แล้วและสั่งไม่ให้เปิดทีวีด้วย เดี๋ยวจะเป็นลมพาลอาการทรุดลงไปอีก เพิ่งจะดีขึ้นได้ไม่ทันไรเลย” ว่าแล้วคาร์เมนก็กดมือถือส่งข้อความไปย้ำอีกรอบ… แม้จะมั่นใจว่าเรนเดลไม่เคยทำงานพลาดและเขาก็เป็นพ่อบ้านที่ตัดสินใจในทุกสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย

“คุณเองก็ต้องระวังตัวไว้ด้วยนะครับ ชอบทำอะไรบ้าระห่ำอยู่เรื่อย เดี๋ยวมันจะเป็นอันตรายกับเด็กในท้องเอาได้” ถึงจะพูดไปแบบนั้นก็จริง แต่มือของอัยการหนุ่มก็ยกขึ้นลูบหลังปลอบโซลเมทตัวเองเบาๆ

“ห่วงเด็กซะเหลือเกินนะ” พูดไปก็ยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง แม้ไม่ได้โป่งโตจนเห็นชัด แต่ก็เริ่มจะนูนออกมานิดหน่อย มือลูบลงไปดันรู้สึกเหมือนอ้วนขึ้นเสียมากกว่า

“ห่วงคุณด้วยครับ”

เจอพูดแบบนี้ใส่จะให้ตอบอะไรกลับไปได้กันล่ะ ไอ้เด็กขี้โกง… “ว่าแต่...พ่อนกแก้วล่ะ? ”

“นกแก้ว? ” เออร์แฟนขมวดคิ้วหันไปมองคู่สนทนา

“ไอ้หนูบาริสต้านั่นไง ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลก่อนพวกพี่ฉันอีกไม่ใช่เรอะ? ”

“อ้อ...ถ้าหมายถึงโคลวิสล่ะก็เขาไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ แต่ด้านสภาพจิตใจคงจะต้องรอดูอีกสักพัก”

“เจอเรื่องแบบนั้นมาคนธรรมดาคงรับไม่ไหวหรอกมั้ง คงจะช็อคน่าดู ฉันว่าแวะไปดูอาการสักหน่อยดีกว่า”

“งั้นผมไปเป็นเพื่อน ให้ไปคนเดียวเดี๋ยวคุณก็ก่อเรื่องอีก”

“นี่แกเป็นผู้ปกครองของฉันรึไง!? ” คาร์เมนโวยวายยกใหญ่ แต่ก็เดินไปโดยมีเออร์แฟนเดินโอบไหล่เล็กนั่นตลอดทาง ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนใดๆ





“อะ.. สวัสดีครับ” โคลวิสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีคนเข้ามาเยี่ยม แต่พอเห็นว่าเป็นใครเขาก็ถอนหายใจโล่งอก

“ไม่ต้องระแวงหรอกน่า บอร์ดี้การ์ดหมอนี่ยืนเฝ้าอยู่ตั้งสี่ห้าคน” เออร์แฟนลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียงคนป่วยอย่างรวดเร็วแล้วยกมือขึ้นหยิบแอปเปิ้ลในจานมากิน เพราะมันโดนปอกทิ้งไว้จนเหี่ยวหมดแล้ว “ปอกไว้แล้วทำไมถึงไม่กินล่ะ? ”

โคลวิสก้มหน้า มือที่กำลังปอกอีกลูกหยุดลง “ผม.. ใจไม่ค่อยสงบเลยน่ะ เลยหาอะไรทำให้ลืมๆ อ่ะ...ว่าแต่ลาซารัสกับคุณหมอเป็นยังไงบ้างครับ? ” เขาหันไปถามเออร์แฟนที่กำลังจะตีมือคาร์เมนให้หยุดกิน

“ยังไม่มีใครมาบอกสินะ ลาซารัสฟื้นแล้วล่ะ คาเล็มเองก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว เดี๋ยวพอแผลดีขึ้นสองคนนั้นเค้าคงเดินมาหาคุณเอง” เออร์แฟนเอ่ยและยิ้มให้เพื่อเสริมคำพูดให้คนฟังมั่นใจขึ้น “โดยเฉพาะพ่อเป็ดน้อย รายนั้นก็ถามหาคุณอยู่เหมือนกัน”

โคลวิสยิ้มโล่งใจขึ้นมา ก่อนจะหุบลงแทบจะทันที “แล้วคุณริชาร์ด...? ”

เออร์แฟนกับคาร์เมนมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรพูดดีไหม ตอนนี้จิตใจโคลวิสดีขึ้นแล้วก็จริง แต่หากมีอะไรร้ายๆ เข้ามากระทบ เกรงว่าจะกลับมาซึมเศร้าอีก

“เอาเถอะ ยังไงก็ต้องรู้…” คาร์เมนเคี้ยวแอปเปิ้ลอีกชิ้นจนหมดแล้วจึงเริ่มพูด

“เอ๋? ..” ชายหนุ่มบาริสต้าหน้าซีด ใจนึกไปถึงเรื่องเลวร้ายที่สุดก่อนแล้ว

“เดี๋ยวๆ ใจเย็น ยังไม่ตาย” คาร์เมนยกมือทำปางห้ามญาติ แล้วรีบอธิบายอาการของริชาร์ดให้ฟัง โดยมีเออร์แฟนช่วยยืนพูดแก้ประโยคให้เป็นระยะ.. ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่า ‘ซีอีโอบริษัทนำเข้าอะไหล่อิเล็กทรอนิก ริชาร์ด เบอร์ตั้น กำลังจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ’

“อา...งั้นก็ยังต้องรอดูอาการต่อสินะ” โคลวิสถอนหายใจ เขาสงบกว่าที่ทั้งสองคนคิดไว้ แต่ก็น่าทึ่งตั้งแต่ที่ปรับตัวให้เกือบจะเป็นปกติได้ในเวลาไม่นานหลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ มาแล้วนี่ล่ะ

“คุณเข้มแข็งมาก ขอชื่นชมนะครับ” เออร์แฟนเอ่ย นั่นทำให้คาร์เมนหันไปมองทันที “ครับ? ”

“แหม ไม่พูดกับแฟนตัวเองแบบนี้มั่งล่ะ? ”

“เอ๊ะ? ...แฟน? ” โคลวิสเลิกคิ้ว มองทั้งสองคนสลับกันไปมา “เอ๋!? ”

“ตกใจอะไรขนาดนั้น!? ” คาร์เมนโวยวายตามบ้าง แต่ก็โดนเออร์แฟนหยิบแอปเปิ้ลยัดใส่ปากทั้งคู่ไม่ให้เสียงดังจนเกินไป “หน้าฉันไม่เหมือนคนจะมีแฟนได้รึไง? ”

“เปล่าครับ… ไม่ใช่ว่า…” โคลวิสยกมือขึ้นดึงแอปเปิ้ลออกจากปากตัวเอง แล้วทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจไปทางเออร์แฟนที่เหนื่อยหน่ายใจจนยกแก้วกาแฟร้อนที่ติดมือขึ้นมาจิบ “ไม่ใช่ว่าคุณเออร์แฟนเล็งลาซัสด้วยอีกคนอยู่หรอกเหรอ? ”

พรูด! เออร์แฟนสำลักพ่นกาแฟออกมาจนเลอะเสื้อไปเล็กน้อย ส่วนคาร์เมนนั้นขมวดคิ้วเสียแทบผูกเป็นโบว์ได้แล้วหันไปมองอัยการหนุ่ม

“อ...พูดอะไรน่ะครับ? ทำไมคิดแบบนั้น? ”

“ก็...ลาซัสเล่าว่าตอนเจอกันครั้งแรก คุณเคย...จูบเค้า” โคลวิสหรี่ตามอง ความไว้ใจอัลฟ่าผู้ดีภูมิฐานเริ่มหดหายลดลงจากแววตาสีน้ำตาลอ่อนอย่างเห็นได้ชัด “สรุปว่า พอคุณเจอโซลเมทก็เลยไม่สนใจเขาแล้ว? ”

โชคดีที่เขาสั่งคาร์เมนห้ามพกอาวุธเข้ามาในโรงพยาบาลด้วย กระนั้นความน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวโอเมก้าคนนี้กลับไม่ได้ลดลงเลย ซ้ำยังเพิ่มดีกรีขึ้นกว่าปกติมากมายจนโคลวิสที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักในการจู่โจมของสัตว์ร้ายยังเสียวสันหลังวาบตามไปด้วย

“ไอ้คุณเจ้าชาย ออกไปคุยกันหน่อย” คนตัวเล็กลุกขึ้น พูดเสียงต่ำแล้วย่างก้าวช้าๆ มาหาอย่างน่าหวาดกลัว

“เดี๋ยวครับ ตอนนั้นผมมีเหตุผล..” แต่คำพูดแบบนี้มันเหมือนข้อแก้ตัวของพวกผู้ร้ายโรคจิตเลยนะ!

ดั่งสวรรค์ได้ยินคำวิงวอนแล้วเมตตา เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคาร์เมนดังขึ้นขัดบรรยากาศน่าขนลุกด้วยเสียงริงโทนสุดร็อค เจ้าของเครื่องดึงมันออกมาอย่างหงุดหงิด ทว่าเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมาเขาก็ชะงักและเปลี่ยนท่าทีก่อนจะกดรับสาย

“ครับแม่? ”



…..

……..





“ลาซัส..”

“ครับ? ”

คาเล็มเอ่ยเรียกคนรัก หลังจากที่ชงโกโก้ร้อนสำเร็จรูปแบบซองมาให้เจ้าตัวจิบระหว่างนั่งดูรายการทีวีแสนน่าเบื่อไปด้วย เขานั่งลงตรงเก้าอี้ที่เดิมและจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นอย่างจริงจัง “ถ้า..สถานการณ์มันดีขึ้นแล้ว ฉันอยากพานายไปเจอแม่ฉันน่ะ”

“อ...เอ๋!? ” ลาซารัสแทบสำลักโกโก้ ดวงตาเบิกกว้างทำหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย

“ฉันบ่ายเบี่ยงเขามาตั้งปีเลยนะ บอกว่านายมีคนดูแลอยู่บ้าง ไม่สะดวกบ้าง...เห็นแก่ว่าตอนนั้นฉันให้นายอยู่ในฐานะโอเมก้าของริชาร์ดนั่นแหละ” คาเล็มยื่นมือไปรับแก้วมาวางไว้และกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น “แต่ตอนนี้.. ฉันอยากพานายไปเจอแม่ฉัน…”

“ได้ครับ! ” ลาซารัสตกปากรับด้วยเสียงดังจนคาเล็มเผลอหลุดหัวเราะน้อยๆ “แต่ว่า… ผม.. ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเลยอ่ะ คือ...ฝีมือทำอาหารผมยังห่วยแตกเหมือนเดิมเลย แถม...หวา! .. ผมไม่ได้ตัวเล็กน่ารักเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ! ”

“นายกำลังชมตัวเอง? ” จะบอกว่าตอนนี้หรือตอนที่เจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้ขนาดตัวต่างกันมากนักหรอก...

“...เปล่านะครับ! ”

“ช่างมันสิ ถึงนายทำอาหารไม่ได้เรื่อง แต่นายขับรถนิ่มสบายกว่าฉันอีกนะ? ” คาเล็มยิ้มละมุนส่งให้ น่าจะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบวันที่ผ่านมานี้เลย “แถมหนุ่มแน่นแข็งแรงกว่าฉันซะอีก ช่วยเหลือทั้งฉันทั้งเรนเดลได้ตลอดเลย อ้อ...อย่าลืมว่านายตัดเสื้อสวยด้วยล่ะ”

“คุณหมอ…” ลาซารัสขอบตาร้อนๆ ไม่เอาน่ะ จะมาซาบซึ้งอะไรกับเรื่องแค่นี้

“ยังเรียกคุณหมออยู่อีกเหรอ..? ”

“คุณ..คาเล็ม? ” ลาซารัสเรียกชื่อคนรัก ก่อนจะหน้าร้อนไปหมดแทน “ไม่เอาอ่ะครับ เรียกยากกว่า คุณหมออีก! ”

“ฝึกไว้สิ จะได้ชินไง” คาเล็มจูบลงบนมือที่เขาจับเอาไว้อย่างรักใคร่ “ยังพอมีเวลา เอาไว้เจ้าริชาร์ดฟื้นและนายหายดีเมื่อไหร่ เราค่อยไปด้วยกันนะ”

“..ครับ” ลาซารัสยิ้มให้คาเล็ม ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายโผล่มากลางคันอีก แค่นี้ใครต่อใครก็เจ็บปวดไปหมดทั้งกายใจแล้ว ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะพูดอะไรกับคุณแม่ของคาเล็มดี จู่ๆ ก็โดนมือหนาโอบไหล่ไว้ คาเล็มขยับขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยอีกคน “ค...คุณหมอ...ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ”

“นายก็รู้นี่ว่าฉันชอบบทรักแบบไหน? ” คาเล็มยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ “ไม่ต้องห่วงหรอก แค่จูบเท่านั้นแหละ”

ลาซารัสถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็ตามน้ำไป มือขยับเลื่อนไปประคองใบหน้าที่ตอนนี้หนวดเคราขึ้นหนากว่าเดิมเพราะไม่ได้โกนหรือตัดแต่งให้เรียบร้อย ก่อนรับจูบแนบแน่นนั้นโดยดีไม่มีเกรงใจสถานที่

“พี่!! ” เสียงของคาร์เมนที่ดังเกินมาตฐานของโรงพยาบาลมาพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออกอย่างไร้มารยาท ก่อนที่จะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่ชายอัลฟ่าของตนกำลังผละตัวเองลงจากเตียงคนป่วย “...พี่กับผมก็หน้าไม่อายพอๆ กันนั่นแหละ…”

“มีอะไร? ” คาเล็มถามเสียงแข็ง หัวเสียที่โดนขัดเวลาโรแมนติกอันแสนน้อยนิดไม่พอ ยังโดนน้องชายบังเกิดเกล้าเหน็บเอาอีก…

“เอ้อ! ข่าวร้ายโคตรๆ เลยพี่! ” คาร์เมนเดินจ้ำแถมกอดตัวเองจนเล็กลีบเข้ามาหาเหมือนโลกกำลังจะแตก “แม่รู้เรื่องที่พี่โดนยิงแล้ว แถมกำลังบึ่งมาโรงพยาบาลแล้วเนี่ย!! ”

“หา!? ได้ไง? ก็บอกให้เรนเดลกันไม่ให้รู้ได้ทุกทางแล้วนี่! ”

คาร์เมนหน้าซีด นิ้วมือทั้งสองเกี่ยวกันพัลวัน สายตาหลังแว่นเรย์แบนล่อกแล่กไปมาเหมือนเด็กทำผิดแล้วโดนผู้ปกครองจับได้ “ผม...ส่งข้อความไปย้ำกับเรนเดลว่าห้ามบอกแม่ แล้วก็อย่าเพิ่งให้แม่ดูข่าวทางทีวี” คาร์เมนเดินไปหาแล้วยื่นมือถือตัวเองให้พี่ชายอ่านข้อความทั้งหมด

“แล้ว…? ” คาเล็มขมวดคิ้วหลังอ่านจบ

“แม่...ดันเห็นข้อความตรงหน้าล็อกสกรีนน่ะสิ”





บรรลัยของจริงล่ะทีนี้! ...




TBC.
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.20 Up (17/4/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 12-07-2018 07:26:58
บทที่ 21



หน้าจอแล็ปท็อปสว่างจ้าอยู่ท่ามกลางไฟสลัวที่เปิดไว้ในห้องพักตามความต้องการของคนป่วย เข็มของนาฬิกาเดินบอกเวลาว่าล่วงเลยมาจนตะวันใกล้ลับฟ้า ทว่าคนที่ระรัวนิ้วอยู่บนเตียงผู้ป่วยก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดพักทานอาหารที่พยาบาลยกมาให้เลยสักนิด ตำรวจสองนายที่ถูกส่งมาคุมเข้มถึงกับต้องนั่งหลับบนโซฟาภายในห้องอย่างช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขาต้องผลัดกันมาคอยเฝ้าเผื่อว่าผู้ต้องหาจะแอบลักลอบทำอะไรน่าสงสัยบ้าง

คาร์เรย์เอ่ยปากขอแล็ปท็อปของเขาหลังจากอ่านจดหมายที่เออร์แฟนนำมาให้ และยืนกรานว่าหากไม่ได้สิ่งนี้จะไม่ยอมให้ความร่วมมือใดๆ ในการสืบสวนทั้งสิ้น หลังจากคุยกันนานกว่าครึ่งค่อนวันและคาร์เรย์ก็ไม่มีทีท่าจะยอมอ่อนข้อให้กับการโน้มน้าวของตำรวจนอกเครื่องแบบเลยแม้แต่น้อย…พวกเขาจึงต้องจำยอมทำตามคำขอของผู้ต้องหาคนสำคัญโดยมีข้อแม้ข้อเดียวคือห้ามเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตหรือส่งต่อข้อมูลใดๆ หากไม่ได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ก่อนอย่างเด็ดขาด

“เอ้า..”

สมาธิที่จดจ่ออยู่บนหน้าจอหลุดแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงบางเบาคุ้นหู คาร์เรย์หันไปทางต้นเสียง และพบแก้วชาอุ่นๆ ยื่นใส่หน้า คาเซล่ายืนอยู่ข้างเตียงในใส่ชุดลำลองที่เคลื่อนไหวได้สะดวกผิดกับลุคเดิมๆ จึงแปลกตาอยู่บ้าง เพราะต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านและโรงพยาบาลเพื่อมาเฝ้าไข้คนป่วยเนื่องจากไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นๆ แล้ว

“ขอบใจ” มือทั้งสองยื่นไปรับแก้วนั้นมาด้วยความระมัดระวัง และยกดื่มจิบเพียงนิด ก่อนจะหันไปสนใจหน้าจอสีขาวของตัวเองต่อ

นิยายที่เขาเขียนค้างไว้มานานปีและไม่ติดจะหวนกลับมาสานต่อให้มันเสร็จสิ้น ตอนนี้เขากำลังใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่อไว้ ปลายนิ้วพิมพ์ให้เร็วให้ทันความนึกคิดในหัวอย่างสุดความสามารถ เห็นภาพนั้นคาเซล่าจึงไม่ทักท้วงเรื่องอาหารหรือบอกกล่าวว่าเจ้าตัวอยู่แบบนี้มาแทบจะทั้งวัน.. นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากคาร์เรย์?

หญิงสาวเดินมาที่โต๊ะวางของ และหยิบสิ่งที่ตำรวจนำติดมาด้วยขึ้นพิจารณา หนังสือเล่มหนาหลายเล่มที่เธอคุ้นตาเป็นอย่างดี… แต่ไม่เคยได้อ่านมันเลยสักครั้ง เธอพลิกมันไปมา สำรวจรูปเล่มให้ทั่วอย่างใคร่รู้ ก่อนจะค่อยๆเปิดหน้าแรก…

แต๊ก..

เสียงพิมพ์หยุดลงกระทันหัน ความเงียบภายในห้องทำให้คาเซล่าหันกลับไปที่เตียง

“...เสร็จ” คาร์เรย์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ระโหยโรยแรงราวกับใช้พลังหมดทั้งชีวิตไปกับมันแล้ว

คาเซล่าเดินมาหาเขาช้าๆ ยื่นหน้าเข้าไปพอให้เห็นภาพบนจอเป็นจังหวะพอดีกับที่ตำรวจทั้งสองสะดุ้งตื่น หันรีหันขวางราวกับจะตรวจดูว่ามีใครแอบจับสังเกตุว่าพวกเขาเผลอหลับ

“...ไหนว่าเหลืออีกเยอะ?” หญิงสาวถามพลางทำสีหน้าฉงน

“ใช่ แต่ก็เหลือแค่พิมพ์ออกมา” คาร์เรย์เอนตัวลงพิงกับหมอนที่รองหลังเต็มน้ำหนัก “คิดน่ะยากกว่าเขียนเยอะ”

“...นาย… แต่งมันจนจบแล้วเหรอ? หมายถึง ตั้งแต่เมื่อตอนนั้น?” คาเซล่าเบิกตาขึ้น ออกจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก เธอเห็นแต่คนตรงหน้าขยันออกไปเมาเหล้าพี้ยาอยู่ตลอด เอาเวลาไหนไปคิด?

“เป็นสิ่งที่นักเขียนที่ดีควรทำเลยนะ คิดเรื่องไว้ตั้งแต่ต้นจนจบน่ะ” คาร์เรย์ยิ้มอย่างภาคภูมิในและหันหน้าจอให้ตำรวจทั้งสองตรวจสอบว่าเขาทำอะไรไปบ้าง หนึ่งในนั้นกำลังโทรเรียกเจ้าหน้าที่ด้านไอทีเข้ามาตรวจสอบให้อีกชั้นหนึ่ง “ถ้าจะถามว่าคิดอะไรอยู่ตลอดล่ะก็.. คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นต่างหาก…”

“ฉันไม่เข้าใจหรอกนะ” หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะยิ้มออกมาให้ “แต่แค่นี้นายก็..? เอ๊ะ?”

คาร์เรย์ยังคงมองหน้าจอนั้น จอที่เขียนคำว่า END ไว้ที่บรรทัดสุดท้ายของหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิก ก่อนน้ำตาเป็นสายจะไหลลงมาอาบเต็มสองแก้ม

“ความจริง..มันก็แค่นี้เอง..” คาร์เรย์ยิ้มบางๆออกมา “ฉันเป็นบ้าอะไรอยู่ตั้งนานนัก”

คาเซล่ายืนเงียบอยู่ที่เดิม ใช่ เธอไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนั่นแหละ ครั้งคาเล็มกับโนเอลก็หนหนึ่ง กระทั่งอย่างน้อยแค่ช่วยอยู่ข้างคาร์เรย์ในตอนที่เขาต้องการยังทำไม่ได้เลย

“...ไว้ฉันจะลองอ่านดู หลังจากจบเรื่องพวกนี้แล้ว” ในเมื่อแก้อะไรกับอดีตไม่ได้ อย่างน้อยเธอก็ขอรักษาครอบครัวที่เหลืออยู่ไว้ให้ดีที่สุด มือข้างหนึ่งเลื่อนไปโอบศีรษะพี่น้องต่างมารดาของตนมากอดไว้หลวมๆ

“เธอไม่ชอบเนื้อเรื่องแบบนี้หรอก..” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คาร์เรย์ก็ยิ้ม ยิ้มออกมาในแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน “แต่ว่า..ก็อยากให้เธอลองอ่านอยู่นะ”

แม้จะเห็นภาพตรงหน้าแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องตรวจสอบแล็ปท็อปเครื่องนั้นตามหน้าที่อยู่ดี พลางคิดไปเรื่อยว่าพวกเขามีชีวิตอยู่กันมาอย่างไรถึงได้ไม่เคยแม้แต่จะทำความรู้จักกับงานอดิเรกชิ้นเอกของคนในครอบครัวแบบนี้….




คาร่าซึ่งถ่อมาไกลจนถึงโรงพยาบาล เมื่อเห็นสภาพของลูกชายคนโตก็แทบลมจับดังที่ลูกชายคนเล็กคาดการณ์ไว้ คาเล็มและคาร์เมนออกมารอรับมารดาของพวกเขาตั้งแต่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล แม้ว่าคนพี่จะต้องลากเสาน้ำเกลือออกมาด้วยก็ตาม

“คาร์เมน ทำไมลูกไม่บอกอะไรแม่สักคำเลยล่ะว่าพี่เค้าเจ็บหนักขนาดนี้!? แล้วนี่ลูกขยับตัวไหวแล้วเหรอถึงออกมาเดินแบบนี้!?” คาร่าตรงเข้าไปบีบแขนทั้งสองข้างของคาเล็มด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะเค้นกำลังสุดแรงของเธอแต่ก็ยังเรี่ยวแรงน้อยเกินกว่าจะทำให้ลูกชายรู้สึกเจ็บ “รู้มั้ยว่าแม่เป็นห่วงแค่ไหน พอคิดว่าจะต้องเสียลูกไปแล้วแม่ก็แทบใจสลาย...”

ใบหน้าซีดเซียวและดวงตาช้ำที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักระหว่างทางที่นั่งรถมาราวกับอกจะแตกตายให้ได้ทำเอาคุณลูกชายทั้งสองหางลู่หูตกอย่างรู้สึกผิดที่ปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้น

“ขอโทษด้วยครับแม่ ผมแค่...ไม่อยากให้แม่ต้องกังวล” คาเล็มตอบเสียงอ่อน สองมือที่มีสายน้ำเกลือโอบกอดแม่ของตนเช่นเดียวกับที่อ้อมแขนลีบเล็กของผู้เป็นมารดาสวมกอดเข้ามาแทบจะทันทีที่เขาพูดจบ

“โถ่..แล้วนี่แม่ดูเหมือนคนไม่กังวลเลยเหรอ? แม่อาจช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากมารู้ทีหลังว่าลูกเจอเรื่องแย่ๆ มานะ พอคิดว่าแม่จะไม่ได้เจอลูกอีกแล้วมันก็...” คาร่ากระชับวงแขนแน่นเหมือนกลัวว่าลูกชายคนสำคัญจะหายไป  “แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ลูกไม่เป็นอะไรไป!”

“เป็นสิแม่ นี่พี่โดนยิงมานะ” คาร์เมนว่าแล้วก็จิ้มนิ้วลงใกล้ๆ ตำแหน่งที่พี่ชายตนโดนกระสุนยิงเข้าไป 

“คาร์เมน!” คนพี่ดุน้องชายที่ปากมากพูดเรื่องจริงแต่ไม่ดูสถานการณ์

“อย่าซนสิ เดี๋ยวพี่เค้าก็อาการทรุดลงหรอก!” คนแม่ตีมือลูกคนเล็กดังเพี้ยะ เพราะกลัวว่าจะทำให้ลูกอีกคนเป็นอะไรหนักกว่าเดิม

“อ้าว!? ทำไมผมโดนรุมซะงั้นล่ะเนี่ย”

“แล้วนี่มีใครเป็นอะไรอีกรึเปล่า? เห็นเรนเดลบอกว่าเพื่อนๆ ของลูกก็โดนหางเลขไปด้วย?” คาร่าผละตัวออกมา เงยหน้ามองตาลูกชายคนโตตาเขม็งอย่างเค้นเอาคำตอบ

“เอ่อ… ริชาร์ดยังไม่รู้สึกตัว ตอนนี้นอนอยู่ที่ห้องไอซียูครับ ส่วนคนอื่นๆ อย่างคาร์เรย์ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว ทางตำรวจเลยควบคุมตัวไว้สอบปากคำ”

“คาร์เรย์เหรอ?...เขาปลอดภัยดีสินะ” หญิงชราถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เสียดายนะ ไอ้หนูไฝน่าจะยิงให้มันตายๆ ไปซะเลย” บ่นได้ไม่ทันไรก็ถูกแม่หยิกเข้าที่ใบหู นี่เขาผิดอะไรอีกเนี่ย!

คนเจ็บพาหญิงชราไปนั่งคุยกันที่โซฟาใกล้ๆ ระหว่างที่รอให้พ่อบ้านซึ่งน่าจะกำลังเอารถไปจอดมาสมทบ “มีแค่สองคนนี้เหรอลูก ในข่าวบอกว่าบาดเจ็บกันเยอะเลยนี่”

“ยังมีอีกหลายคนครับ... แต่เท่าที่ผมรู้คือลาซารัสกับโคลวิสพ้นขีดอันตรายทั้งคู่แล้ว ตอนนี้กำลังนอนพักฟื้นอยู่”

“ลาซารัส...กับโคลวิส?” คาร่าเลิกคิ้วขึ้น สองชื่อที่ไม่คุ้นหูทำให้เธอเอียงคอสงสัย

“โอเมก้าที่เป็นแฟนของพี่กับเพื่อนของแฟนพี่” คาร์เมนที่นั่งประกบมารดาคนละฝั่งกับพี่ชายเฉลยให้ นั่นทำให้คุณแม่คาร่าตาเบิกกว้าง

“เอ๋? ทำไมแฟนของลูกถึงไปอยู่ที่บ้านนั้นได้กันล่ะ? หรือว่า...”

“...โดนลักพาตัวไปครับ” คาเล็มตอบด้วยสีหน้าเรียบ ทว่าบรรยากาศกลับหนักอึ้งและเงียบจนน่าอึดอัด “แต่ทั้งคู่ปลอดภัยดี ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนะครับ”

“...แม่โล่งใจที่เรื่องทุกอย่างจบลงก่อน ไม่งั้นคงมีใครสักคนเป็นเหมือนกับคุณโนเอลและโอเมก้าคนอื่นๆ ที่ถูกคาร์บฮอล์ล...” คาร่ารู้เรื่องทุกอย่างดี ถึงเรื่องมันจะผ่านมานานแต่สำหรับคนที่เคยอาศัยและคลุกคลีอยู่ในตระกูลนั้น เรื่องทุกอย่างก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน และแม้ว่าจะไม่เคยเจอหน้าแฟนคนก่อนของคาเล็มแต่ทั้งเธอและคาร์เมนก็รู้ดีว่าต้องเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นกับโนเอลแน่ สิ่งเดียวที่คนเพียบพร้อมอย่างผู้นำตระกูลรอสเกรย์ต้องการคือทายาท จึงไม่เลือกวิธีการต่อให้ต้องทำเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมหรือกฎหมาย ขอเพียงแค่ให้ได้สิ่งที่ต้องการมาอยู่ในมือ...

“ตอนนั้นแม่เองก็กลัวเขามากจนต้องพาคาร์เมนหนีออกมาเพราะไม่ไว้ใจเขาทุกครั้งที่สายตาคู่นั้นจ้องมองมาที่เราสองแม่ลูก…” มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบหัวลูกชายคนโตอย่างที่ชอบทำเมื่อครั้งที่ยังอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ “ความจริงแล้ว ถ้าวันนั้นแม่พาลูกหนีออกมาด้วยก็คง...”

“แม่ครับ เราคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดถึงมันอีกไม่ใช่เหรอ?” คาเล็มกุมมือที่ลูบลงมาจนถึงแก้มที่เต็มไปด้วยเคราของเขา “เรื่องมันผ่านมานาแล้วก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดีขึ้นแล้ว ...อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้นนะ”

ทั้งสองคนแม่ลูกสวมกอดกันอีกครั้ง เป็นกอดหลวมๆ ที่อบอุ่นไม่แพ้อ้อใกอดแบบไหนๆ  คาร์เมนเห็นแบบนั้นแล้วก็เอนตัวลงมาซบแผ่นหลังของแม่ด้วยอีกคนเหมือนจะบอกว่าอย่าเพิ่งลืมเขาสิ

“นี่.. แม่อยากเจอลาซารัสแฟนของลูกน่ะ เขาพอจะสะดวกให้แม่เยี่ยมมั้ยจ๊ะ?”

อา…เอาจนได้สิ


ลาซารัสนั่งเหงื่อตกอยู่บนเตียงแม้ว่าแอร์จะเย็นฉ่ำปอด ความคิดวิ่งวนไปมาในห้องเงียบที่มีเพียงเสียงรายการวาไรตี้ทีวีดังเป็นเพื่อน คุณแม่ของคุณหมอกำลังมา...เขากำลังจะได้เจอแม่ของคนรัก! แต่ตอนนี้เขาไม่พร้อมอะไรเลย!!

ดวงตาสีฟ้าก้มมองดูสภาพตัวเองตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ ทั้งผมเผ้ากระเซิง ใบหน้าซูบโทรมขั้นสุด แล้วไหนจะกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนจมูกไปทั้งตัวอีก ถึงจะแก้ตัวได้ว่าเพราะเขายังต้องรักษาตัวจากการบาดเจ็บ แต่การเจอหน้ากันครั้งแรกกับแม่ของแฟนมันก็น่าจะดูดีกว่านี้สิ!

เสียงเคาะประตูดังทำลายความนึกคิด ร่างโปร่งสะดุ้งนั่งหลังตรงแต่ก็เกร็งสุดชีวิต พอเสียงประตูห้องเปิดดังขึ้นหัวใจมันก็ยิ่งเต้นระส่ำ แขกสี่คนที่เดินเข้ามาเยี่ยมนั้นเป็นคนที่รู้จักกันดีไปแล้วเสียสามคน แต่หญิงชราที่เขาไม่เคยเห็นหน้าและกำลังเดินตามหลังคุณหมอเข้ามานั้น...ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเธอเป็นใคร

“ลาซัส ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนนะ..” คาเล็มจูงมือแม่ของเขามายืนที่ข้างเตียงคนไข้ เขาดูประหม่าก็จริง แต่เบื้องหลังแววตาทั้งสองสีที่ปราศจากแว่นนั้นมีความยินดีแฝงไว้ “นี่แม่ฉันเอง คาร่า.. คุณแม่ นี่ลาซารัสแฟนผมครับ”

“ส...สวัสดีครับ ลาซารัส แมทเวย์ครับ” คนเจ็บบนเตียงค้อมศีรษะให้จนสุดตัวแทนคำทักทาย หญิงชราเบื้องหน้ายังดูสวยงามกว่าวัยจนน่าตกใจแม้สังขารจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตาม

“ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ” น้ำเสียงละมุนและรอยยิ้มกว้างสุดแก้มจนเกือบตาหยีช่วยลดความตึงเครียดของชายหนุ่มโอเมก้าลงไปได้มาก รอยยิ้มแบบนี้...มิน่าล่ะ คุณคาร์เมนได้จากคุณแม่มาสินะ? “เจ็บตรงไหนบ้างมั้ยจ๊ะ?”

“อ่ะ ไม่เลยครับ ไม่ได้เป็นอะไรมากเลย” ลาซารัสยิ้มแห้งให้ จะว่าไม่เป็นไรก็ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ทั้งสายน้ำเกลือและผ้าพันแผลมันฟ้องเสียขนาดนี้… มือไม้ยกขึ้นโบกไปมาเพราะหาที่วางไม่ได้ ทั้งยังอยากยืนยันว่าตนสบายดีมากๆ อีกด้วย เห็นแบบนั้นคาร่าจึงหลุดขำด้วยความเอ็นดูออกมาเล็กน้อย

“น่ารักจัง” หญิงสูงวัยเอ่ยตามสิ่งที่เห็น “ลูกชายแม่เล่าเรื่องของคุณลาซารัสให้ฟังมาบ้างนิดหน่อย ดีใจที่ได้เจอกันนะจ๊ะ”
ถึงจะไม่รู้ว่าเล่าอะไรไป แต่อย่างน้อยก็สร้างความประทับใจแรกได้ดีมากลาซัส!!

โอเมก้าหนุ่มชื่นชมตัวเองในใจ ก่อนที่คนในห้องทั้งหมดจะนั่งชุมนุมกันอยู่ในห้องพักฟื้นของเขาครู่ใหญ่ พูดคุยแลกเปลี่ยนเหตุการณ์ผ่านมุมมองของแต่ละคนในที่เกิดเหตุ เพื่อให้คนที่ไม่รู้เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้ตรงกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นและอะไรบ้างที่กำลังจะตามมาหลังจากนั้น

ส่วนเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดจะจบลงตรงนี้แล้วจริงๆ หรือจะมีเรื่องอื่นตามมาอีก...พวกเขาก็ทำได้แค่คาดเดาว่าจะไม่มีอีกแล้วเท่านั้น
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง คาร่าตบท้ายก่อนที่จะต้องขอตัวกลับไปพักผ่อนด้วยการถามไถ่พูดคุยสัพเพเหระทั่วไปเกี่ยวกับลาซารัส ส่วนใหญ่เป็นการทำความรู้จักเบื้องต้นเพราะว่าหญิงสูงวัยเริ่มอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลจึงพูดคุยนานกว่านี้ไม่ได้แม้จะยังอยากอยู่ต่อก็ตาม ก่อนกลับไปพร้อมเรนเดลเธอยังเข้าไปกอดลูกชายทั้งสองคนให้กำลังใจทิ้งทวน เพราะคาเล็มต้องพักฟื้นและอยู่จัดการเรื่องคดีกับอัยการเออร์แฟนต่อ คาร์เมนเองก็ต้องรีบไปด้วยธุระเรื่องสำคัญที่ร้านโฮสต์ของเพื่อนเขา แถมพยาบาลเองก็เข้ามาย้ำเตือนอีกหนแล้วว่าให้เยี่ยมไข้ได้ถึงแค่ห้าโมงเย็นเท่านั้นด้วย ซึ่งนี่ก็ใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว

ลาซารัสมองภาพความห่วงใยของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของคนรัก แม้แต่คนหยาบกระด้างอย่างคาร์เมนเมื่ออยู่ใกล้โอเมก้าหญิงผู้ให้กำเนิดก็ยังแสดงออกด้วยท่าทางออดอ้อนราวกับเป็นเด็กน้อย ความอบอุ่นของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเขาเองยังรับรู้ได้ว่าแต่ละคนก็มีความห่วงใยในกันและกันอย่างเปี่ยมล้น

เขานึกถึงตอนที่ยังอยู่บ้านเดียวกับคุณหมอ คุณเรนเดลและจูเลียต ถึงจะมีเรื่องไม่ชอบอยู่บ้างในตอนที่ถูกให้ทดสอบยาแต่บรรยากาศเป็นกันเองของที่นั่นก็อบอุ่นมากเช่นกัน และตอนนี้คุณหมอก็ได้เจอน้องชายกับคุณแม่แล้ว ทั้งสามได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอีกครั้ง ถึงแม้เหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะเลวร้ายจนแทบไม่น่าเชื่อ แต่ในท้ายที่สุดตอนนี้ทุกคนก็มีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว

เมื่อทุกคนออกจากห้องไป ลาซารัสยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเตียงลากเสาน้ำเกลือเดินไปที่หน้าต่างบานโตช้าๆ ดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้าภายนอกมองลงไปยังสวนหย่อมด้านล่างที่เหล่าคนไข้ซึ่งนั่งบนรถเข็นและมีพยาบาลคอยดูแลใกล้ชิดมักจะลงไปเดินเล่นรับลมหรือนั่งสูดอากาศกัน หลายคนมีพ่อแม่ที่เพิ่งเลิกงานรีบเดินทางมาเยี่ยมลูก บ้างก็มีคนรักที่คอยเฝ้าดูแลเอาใจอยู่ไม่ห่าง ครอบครัวของบางคนก็พาลูกหลานตัวเล็กวัยกำลังหัดเดินมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจคนไข้ที่แก่ชราให้มีกำลังใจและรอยยิ้ม มือไม้เต็มไปด้วยของฝากเล็กๆ น้อยๆ บวกกับภาพของคุณหมอคาเล็มกับครอบครัวเมื่อครู่อีก ลาซารัสถึงได้เพิ่งจะย้อนมองตัวเอง...และเพิ่งรู้สึกตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น เขาไม่มีใครเลย…

ใบหน้าของพ่อแม่ที่แท้จริงก็ช่างแสนเลือนรางเพราะเด็กชายโอเมก้าถูกขายเพื่อใช้ล้างหนี้ตั้งแต่ยังเล็ก โอนเนอร์เองก็อบรมสั่งสอนเลี้ยงดูประคบประหงมเพื่อให้เขาถูกประมูลซื้อต่อในราคาสมน้ำสมเนื้อกับที่ชุบเลี้ยงมาอย่างดี...พอคิดแบบนั้นแล้วใบหน้ามนก็เศร้าหมองลง แม้จะเสียใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาออกมา ตอนนี้เขาพอจะรู้แล้วล่ะว่า ‘บ้าน’ ที่คุณเจสสิก้าเคยพูดถึงคืออะไร...

ทว่าตัวเขาล่ะ จะมีครอบครัวที่แท้จริงแบบนั้นได้รึเปล่า…?

...

ท่าทางคืนนี้เขาคงจะนอนไม่หลับ

...


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.21 Up (12/7/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 12-07-2018 07:36:21

“นี่ๆ ไม่กินจริงๆ เหรอ อุตส่าห์ซื้อมาฝากเลยนะ”

“แกจะบ้าเหรอ คนป่วยเขาไม่ให้กินของที่มันทำลายสุขภาพนะ!”

“แค่โคล่าเนี่ยนะ!?”

“เออดิ! โคล่านี่แหละตัวดีเลย”

เสียงถกเถียงพูดคุยดังระงมในห้องพักผู้ป่วยของโคลวิส เหล่าเพื่อนพ้องนักดนตรีแห่กันมาทั้งวงและรวมตัวอัดแน่นในห้องอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ต่างคนต่างก็มีของฝากติดมือมาคนละสองสามอย่างจนแทบจะไม่มีที่วางในตู้เย็น ส่วนโคลวิสนั่งจมกองตุ๊กตาไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะดันมีเพื่อนแสนดีคนหนึ่งรู้ว่าโอเมก้าชอบของนุ่มนิ่มจึงแห่ซื้อกันมาแทนของเยี่ยมไข้ แถมช่างใจดีเลือกมาแต่ตัวโตๆ อีกต่างหาก

“พอเหอะน่า ยกให้คนอื่นไปก็ได้ ถ้าไม่กลัวอ้วนกันล่ะก็นะ” โคลวิสยิ้มและพูดห้ามมวยว่าด้วยเรื่องสุขภาพของเพื่อน

“แกไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะนะ” มือเบสที่ดูเป็นผู้เป็นคนสุดก็นั่งอยู่ที่ขอบเตียงและแกะคุ้กกี้ของฝากออกมากินไม่เกรงใจคนเอามาฝากสักนิด พลางเหล่มองสายน้ำเกลือที่ถูกถอดออกมาเพราะหมอลงความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว โคลวิสเองก็เริ่มทานอาหารได้ตามปกติและยังอนุญาตให้ออกไปเดินเล่นรับลมเปลี่ยนบรรยากาศได้ที่สวนหย่อม ทว่าต้องแจ้งกับพยาบาลเสียก่อน “แล้ว...ลาซารัสล่ะ?”

หลังจากที่เจอกันครั้งแรกในงานปาร์ตี้วันเกิด พวกเขาต่างก็แลกเบอร์ติดต่อและเพิ่มเพื่อนทางโซเชียลมีเดียกันไปแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก จะมีก็แต่โคลวิสนี่แหละที่ได้พบหน้าโอเมก้าคนนั้นบ่อยที่สุด

“อยู่ตึกฝั่งตรงข้ามน่ะ อาการคงจะดีขึ้นแล้วเหมือนกัน พวกแกจะไปเยี่ยมเขามั้ยล่ะ?”

“ไป!” แน่นอนว่ายังมีตุ๊กตาอีกหนึ่งโหลและขนมอีกเต็มกระเช้ามาให้ด้วยเช่นกัน…

“งั้นก็รีบหน่อยนะ คงใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว”

โคลวิสอาสาจะพาไปเอง เพราะถ้าหากจู่ๆ เพื่อนเขาโผล่ไปหาทั้งฝูงเลยทั้งหมดทีเดียว เกรงว่าทั้งลาซารัสทั้งพยาบาลคงตกใจไม่น้อย แต่พอหยิบของกินของฝากกำลังจะเดินออกจากห้อง ประตูก็เปิดสวนเข้ามา รวมทั้งคนที่คิดจะไปเยี่ยมก็ทะลึ่งโผล่หน้าเข้ามาเหมือนอ่านใจกันได้เสียนี่

“...ลาซัส! นายเดินมาคนเดียวเหรอ!?” โคลวิสเบิกตากว้างเพราะตกใจที่เห็นเพื่อนโอเมก้าของตัวเองลากเสาน้ำเกลือเดินมาหาเขาถึงห้องพักซึ่งอยู่คนละตึกแค่คนเดียว

“ก็...อยู่แต่ในห้องมันเบื่อน่ะ แถมคุณหมอเองก็ต้องนอนพักด้วย ผมเลยบอกพยาบาลว่าขอออกไปซื้อน้ำที่ตู้กดเลยยอมให้ออกมา”

“…นายเองก็เป็นคนไข้ที่ต้องพักฟื้นเหมือนกันนะ เออ...เอาเถอะ รีบเข้ามาสิ” ในเมื่อเจ้าตัวถ่อมาถึงนี่แล้วจะไล่ให้กลับไปก็กระไรอยู่ สุดท้ายห้องของโคลวิสก็กลายเป็นที่ชุมนุมเยี่ยมไข้ไปเสียอย่างนั้น



“เจน ทำไงดีล่ะ เจ้าสก๊อตมันยังไม่ยอมกินข้าวเลย..”

“นี่ก็สองวันแล้วนะ อาจจะป่วยเป็นอะไรรึเปล่า?”

“ก็น่าจะต้องเป็นอยู่แล้ว ทำยังไงก็ไม่ยอมกินสักนิดเลย เอาแต่เดินวนไปมาที่หน้าประตูทางเข้ากับหน้าต่างไม่ยอมไปไหนเลย”
สองสาวใช้ที่รับหน้าที่ดูแลสุนัขของคุณผู้ชายบ้านเบอร์ตั้นกำลังหนักใจกับสัตว์เลี้ยงที่เหมือนจะคิดถึงเจ้านายของตัวเองมาก ตลอดสองวันมานี้ถึงได้ไม่เป็นอันกินอันนอน พอพยายามจะอุ้มกลับให้ไปนอนที่ห้องของมันเองก็เอาแต่เห่าร้องและเอาขาหน้าตะกุยประตูจนต้องยอมปล่อยออกมาทุกครั้ง

“จะพาไปหาหมอดีมั้ยนะ?” สาวใช้ตัวสูงร่างเพรียวที่ชื่อเจนครุ่นคิด แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น แค่จะพากลับไปนอนดีๆ ยังทำไม่ได้เลย คงมีแต่จะต้องเรียกสัตวแพทย์มาตรวจที่บ้านแล้วกระมัง

“งั้นพรุ่งนี้เราให้พวกพ่อบ้านขับรถไปรับหมอมาตรวจเจ้าสก็อตดีมั้ย? ฉันจะได้รีบไปบอกพวกเขาก่อน”

“ก็ดีนะ ปล่อยไว้แบบนี้ก็น่าเป็นห่วง”

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น หนึ่งในสาวใช้ก็ก้าวเท้าออกไปอีกทางเพื่อแจ้งให้พ่อบ้านสักคนไปพาตัวสัตวแพทย์มาตรวจดูอาการของเจ้าขนปุยฝนวันพรุ่งนี้นี้สักหน่อย

“อย่าเป็นอะไรเลยนะสก็อต เดี๋ยวคุณผู้ชายก็กลับมาหาแกแล้วนะ”

เสียงร้องหงิงตอบอย่างแผ่วเบา สายตาของมันยังจดจ้องไปที่ประตูรอคอยให้เจ้านายที่รักกลับมาอย่างทุกวัน

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว วันนี้ริชาร์ดก็ยังไม่กลับบ้านเหมือนเดิม

......

….

..



“ฉันตกใจหมดเลยนะ รู้มั้ยว่าเป็นห่วงแทบแย่ตอนที่ไม่เห็นนายอยู่ที่ห้อง”

“ผมก็เขียนโน้ตทิ้งไว้แล้วนะครับ แถมส่งข้อความให้ทางมือถืออีก..”

ลาซารัสกำลังโดนคาเล็มเอ็ดเพราะเดินมาหาแล้วไม่พบเจ้าตัวอยู่ที่ห้อง ในใจก็กังวลว่าจะเป็นอะไรไปอีก โชคดีที่เหล่าเพื่อนของโคลวิสพามาส่งที่ห้องได้ทันก่อน ไม่งั้นคาเล็มคงจะวิ่งแจ้นไปโวยกับพยาบาลว่าคนรักของเขาหาย...

“ก็ฉันปิดเครื่องเลยไม่เห็น...อืมๆ ขอโทษละกัน ฉันไม่เห็นมันเอง” ร่างสูงถอนหายใจยาว ทั้งโล่งอกทั้งหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ตรวจดูให้ดีๆ ก่อน

“...ผมไม่หายไปไหนหรอกนะครับ” ลาซารัสขนเอาตุ๊กตามาไว้ที่โต๊ะวางของแล้วเดินมาพิงซบคนรัก “งั้นคราวหน้าถ้าจะไปไหนผมจะบอกก่อนนะครับ”

หมับ!

“คะ...คุณหมอ?” จู่ๆ ร่างโปร่งก็ถูกดึงเข้าไปกอดแน่น .ทำเอาตั้งตัวไม่ทัน

“...ฉันกลัวจริงๆ ว่าสักวันนายจะหายไปจากฉัน…” คาเล็มซุกใบหน้าลงที่บ่า มือไล้ไปตามท้ายทอยเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลออก ปลายนิ้วสะกิดไล้วนรอบรอยกัดที่อยู่เหนือต้นคอของโอเมก้าที่รัก ต่อให้มีสัญลักษณ์ตีตรานี้ แต่มันก็ไม่ได้สร้างความมั่นใจว่าลาซารัสจะเป็นของเขาคนเดียวตลอดไป 

“ผมไม่หายไปแบบคุณโนเอลหรอกครับ” วงแขนโอบเอวคุณหมออัลฟ่าตอบ รู้สึกผิดลึกๆ ที่ทำให้อีกคนเป็นห่วงมากขนาดนี้ “ผมแค่เหงาก็เลยออกไปหาเพื่อนคุยเท่านั้นเองครับ”

“เพราะแม่ฉันมาเยี่ยมเหรอ นายถึงได้คิดถึงบ้านขึ้นมา?”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดถึงบ้าน แค่เหงานิดหน่อยจริงๆ”

“สายตานายมันฟ้องขนาดนี้ยังจะปฏิเสธอีก”

“....” 

“ไม่จำเป็นต้องอดทนทำเป็นเข้มแข็งหรอกลาซัส แค่นายยอมรับมันตรงๆ ไม่ได้แปลว่านายเป็นคนอ่อนแอหรอกนะ” 

“...ฮึ่ก ฮือ” ดวงตาสีฟ้าซุกหน้าลงกับบ่ากว้างสะกดกลั้นเสียงร้องที่ขึ้นมาจุกลำคอ

การร้องไห้ราวกับเป็นเด็กๆ แบบนี้ ไม่ชอบเลย…

เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องแค่นี้ต้องทนได้สิ คนอื่นๆ เจอเรื่องแย่กว่านี้ยังไม่มีใครโวยวายเลยสักคน…เขาจะมาทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจได้ยังไง

คาเล็มปล่อยให้ลาซารัสร้องไห้เงียบๆ ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ นอกจากการกอดและลูบหัวเบาๆ ผ่านไปเกือบสิบนาทีร่างโปร่งก็สงบจิตใจลงได้

“พอแล้วเหรอ?”

“...ผมหิวแล้วครับ”

คาเล็มเอียงคอและยิ้มขำ “ที่เลิกร้องนี่เพราะว่าหิวงั้นเหรอ?”

“ครับ ผมอยากกินข้าว...ฝีมือคุณเรนเดล”

“?”

“ผมอยากกลับบ้านแล้วครับคุณหมอ อยากกลับไปอยู่ด้วยกันอีกเหมือนเดิม...เหมือนเมื่อก่อน”

“ฉันก็อยากให้นายกลับมา” มือลูบเช็ดน้ำตาให้กับคนขี้แยที่ยังสะอื้นไห้ “ช่วยรอจนกว่าริชาร์ดจะฟื้นได้ไหม? ฉันสัญญาว่าคราวนี้จะพูดให้ชัดๆ ไปเลย”

“เดี๋ยวคุณหมอก็ไม่กล้าพูดอีกอยู่ดี รักเพื่อนมากกว่าผมอีก” ลาซารัสหน้ามุ่ยเหมือนเป็นเด็กน้อยที่ชอบพองแก้มเวลางอน

“เพื่อนคนนั้นเอาตัวรับกระสุนแทนเราสองคนจนป่านนี้ยังไม่ฟื้นเลยนะ ฉันไม่อยากฉวยโอกาสตอนที่หมอนั่นยังอาการโคม่าอยู่แบบนี้”

“ก็ได้ครับ ผมจะรอ…แต่”

“หือ?”

“แต่ถ้าคุณหมอไม่เคลียร์กับคุณริชให้จบ ก็ไปบอกคุณแม่เอาเองนะครับว่าทำไมแฟนถึงไปอาศัยกินนอนอยู่กับเพื่อนสนิทตัวเองได้”

...เอาแม่มาขู่อีกคนแล้ว ติดนิสัยจากใครมาเนี่ย!?



หลายวันต่อมา

คาร์เรย์ออกจากโรงพยาบาลและถูกนำตัวไปห้องสอบสวนที่โรงพัก เขารับสารภาพกับตำรวจทุกอย่างว่าตนคือคนบงการเรื่องราวทั้งหมดและยอมรับผิดโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทนายชื่อดังของคาร์เรย์แทบจะไม่ได้ทำหน้าที่ของตนตามที่คาเซล่าได้จ้างมาเพื่อช่วยลดหย่อนโทษพี่ชายของเธอเลยด้วยซ้ำ

เขาเล่าทุกอย่างหมดเปลือกตั้งแต่ตอนที่ลักพาตัวโอเมก้าซึ่งเป็นน้องสะใภ้มากักขังหน่วงเหนี่ยวในบ้านและใช้ยากับพี่ชายซึ่งเป็นผู้นำตระกูล ทำให้เจ้าตัวสูญเสียความเป็นตัวเองจนลงมือก่อเรื่องผิดศีลธรรมในครอบครัวทำให้น้องสะใภ้ตั้งครรภ์ พออีกฝ่ายเสียชีวิตในบ้านก็ใช้อิทธิพลของตระกูลเพื่อจัดฉากว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุ และใส่ร้ายป้ายสีงานวิจัยของดร.คาเล็ม รอสเกรย์ที่เป็นน้องชายคนละพ่อเพื่อกลบข่าวลืออื้อฉาวของผู้นำตระกูล แล้วการสอบสวนก็จบลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

นอกจากจะรับสารภาพว่าตนเป็นคนทำเรื่องทุกอย่างเองแล้วก็ยังบอกกับตำรวจฝ่ายสอบสวนว่าจะไม่ขอใช้อภิสิทธิ์ให้ลดโทษกับความผิดใดๆ ที่เขาก่อ มาถึงตรงนี้ทนายของคาร์เรย์จึงต้องเบรกเพื่อไม่ให้ลูกความของตนคงได้ติดคุกจนแก่ตาย แน่นอนว่าทางตำรวจย่อมลดโทษให้กับคนร้ายที่ยอมรับสารภาพตามกฎอยู่แล้ว ทว่า...คาร์เรย์กับลุกขึ้นชกหน้าตำรวจจนเลือดตกยางออก ทำให้โดนเพิ่มข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงานไปอีกหนึ่งข้อ

การกระทำของผู้ต้องหารายนี้สร้างความกังขาว่าเหตุใดถึงได้พยายามก่อเรื่องให้ตัวเองถูกเพิ่มโทษโดยไม่จำเป็น
แม้แต่ในขั้นตอนการเข้าไปรับฟังการพิจารณาคดีในชั้นศาล ต่อหน้าคาเล็มที่เป็นน้องชายและคู่กรณี เขาก็ยอมรับทุกข้อกล่าวหาที่เออร์แฟนเตรียมมาเพื่อใช้เล่นงานจำเลย จนดูเหมือนถูกยัดเยียดบทให้เป็นแพะทั้งที่เป็นคนร้าย ซึ่งดูแล้วน่าเห็นใจในสายตาของคนที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษาไปเลย

สุดท้ายศาลตัดสินให้คาร์เรย์ รอสเกรย์จำคุกและปรับเงินเพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คาเล็ม รอสเกรย์ เป็นอันสิ้นสุดคดีที่พี่น้องตระกูลดังฟ้องร้องกันเอง

คาร์เรย์ถูกควบคุมตัวออกมาเพื่อไปยังห้องขังที่เรือนจำ นักข่าวหลายสำนักซึ่งยืนรอสัมภาษณ์ต่างกรูกันเข้ามารุมล้อมพยายามยื่นไมค์เพื่อจะขอฟังความรู้สึกของผู้ต้องหาที่ก่อคดีซึ่งเป็นน้องชายของผู้นำตระกูลรอสเกรย์ชื่อดัง รับรองเลยว่างานนี้ได้เป็นข่าวใหญ่พาดหัวขึ้นหน้าหนึ่งไม่ยาก

คาร์เรย์ยื่นมือที่สวมกุญแจมือทั้งสองข้างไปคว้าไมค์ของนักข่าวสาวคนหนึ่งมาด้วยตัวเองและพูดออกกล้องไปว่า ‘นิยายภาคจบของผมกำลังจะกลับมาเร็วๆ นี้แล้ว’

ทั้งนักข่าวและผู้ชมต่างอึ้งไปตามๆ กัน บ้างหัวเราะเยาะบ้างก็สงสัยหลังจากดูข่าวด้วยคิดว่าหมอนี่ต้องบ้าไปแล้ว ใครมันจะมาสนใจซื้อหนังสือที่คนร้ายเป็นคนเขียน แถมยังไม่บอกแม้แต่ชื่อเรื่องอีก

ทว่าเมื่อนิยายของคาร์เรย์ได้เผยแพร่ลงอีบุ้ค ทั้งแฟนๆ ที่รอคอยตอนจบของเรื่องนี้มานานและคนที่ลองสั่งซื้อมาอ่านเล่นๆ จากรีวิวการให้คะแนนอีบุ้คยอดนิยมก็ได้ทราบความจริงว่าผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ที่ตอนนี้กำลังติดคุกหัวโตนั้น กลับเป็นคนๆ เดียวกับนักเขียนชื่อดังระดับ Best Seller เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักตัวจริงจนกระทั่งได้ปรากฎตัวออกสื่อเป็นครั้งแรก นักอ่านที่รู้ข่าวจากหน้าจอโทรทัศน์และทางโซเชี่ยลฯ ต่างพูดถึงเรื่องนี้เป็นสองกระแสทั้งด้านบวกและลบ

ถึงกระนั้นยอดซื้ออีบุ้คก็ยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ร้านหนังสือมือสองขนเอาหนังสือมาปัดฝุ่นขายใหม่ เว็บประมูลมีการปั่นราคามากขึ้นเป็นสามสี่เท่าของราคาจริง ถึงขนาดมีแฟนนักอ่านเรียกร้องให้มีการตีพิมพ์เล่ม เก่าซ้ำและจัดพิมพ์อีบุ้คภาคจบเป็นหนังสือ แม้ว่าทางสำนักพิมพ์ซึ่งเคยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จะอยากสนองความต้องการแฟนๆ แค่ไหน แต่เรื่องการพิมพ์เพื่อจำหน่ายในแบบรูปเล่มก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในโต๊ะประชุมสำนักพิมพ์อยู่ดี ถึงจะยุติปัญหาด้วยการสั่งให้คนอัพโหลดนิยายยกเลิกการขายอีบุ้คก็ยังมีกลุ่มคนที่เอาไฟล์นิยายมาแจกจ่ายให้อ่านฟรีๆ อีกเป็นจำนวนมาก

ความวุ่นวายนี้ส่งผลกระทบไปถึงเรือนจำเพราะมีกลุ่มแฟนคลับใจกล้าที่อยากไปเจอตัวจริงถึงในคุก ทำให้ตารางเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังอย่างคาร์เรย์มีคนแน่นไม่เว้นแต่ละวัน จนเหล่าผู้คุมพากันหมั่นไส้ไปตามๆ กัน



“จะมาเอาลายเซ็นเหรอ? ไหนล่ะหนังสือ” คาร์เรย์ยกหูโทรศัพท์คุยหยอกล้อกับน้องชายคนเล็ก

“ฉันไม่ใช่ติ่งนิยายของนายสักหน่อย” คาเล็มตอบเสียงเหนื่อยหน่าย เขาแค่แวะมาดูพี่ชายคนรองที่ถูกขังอยู่ที่เรือนจำก่อนไปเยี่ยมริชาร์ดซึ่งเป็นทางผ่านไปโรงพยาบาลพอดี คุณหมออัลฟ่าอยากจะรู้ว่าหลังจากติดคุกแล้วอีกฝ่ายจะมีอาการซึมเศร้าบ้างมั้ย แต่เท่าที่เห็นก็ยังคงเป็นคาร์เรย์คนเดิมไม่เปลี่ยน

“แหมๆ ถ้านายเอาหนังสือที่มีลายเซ็นฉันไปขายตอนนี้ราคาคงพุ่งสูงลิบลิ่วเลยนะ”

“จะมานึกอยากแจกลายเซ็นอะไรเอาป่านนี้”

“ก็นั่นสินะ นายคงอยากมาดูสภาพน่าสมเพชของฉันตอนนี้มากกว่า” ถ้อยคำค่อนขอดจากพี่ชายคนรองผู้ไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน ผลสุดท้ายก็ก่อเรื่องจนต้องมาชดใช้ในคุก “เสียใจด้วยนะ แต่ฉันสุขสบายดี ในนี้มีเพื่อนดีๆ เยอะแยะ”

“ถ้านายโอเคฉันก็หายห่วง”

“เดี๋ยวนี้เผื่อแผ่ความใจดีให้กระทั่งอัลฟ่าด้วยเหรอ คุณหมอคาเล็มพ่อพระของเหล่าโอเมก้า?”

“ฉันไม่ได้มานี่เพื่อให้นายกวนประสาทเล่นนะคาร์เรย์” มือควานเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบซองจดหมายสีขาวออกมา “คาเซล่าฝากฉันเอามาให้นาย จดหมายของคาร์บฮอล์ล”

“ฉันไม่อ่าน นายเอากลับไปคืนไม่ก็ทิ้งมันไปซะ” น้ำเสียงขี้เล่นเปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์ทันควัน สีหน้าของคนที่อยู่อีกฝั่งของกระจกใสดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด

“งั้นฉันจะอ่านให้ฟัง” เขาดึงจดหมายออกมาและแนบหูโทรศัพท์ไว้ข้างๆ แต่ต้องหยุดการกระทำเมื่อพี่ชายกระแทกหูโทรศัพท์ใส่และเรียกผู้คุมให้พาตัวกลับเข้าห้องขัง ดวงตาหลังกรอบแว่นอันใหม่มองแผ่นหลังในชุดนักโทษเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ก่อนจะลุกขึ้นคว้าไม้ค้ำยันเดินกระเผลกออกไปจากห้องเยี่ยมผู้ห้องหา ก่อนจะได้รับข้อความทางโทรศัพท์ แจ้งข่าวดีว่าริชาร์ดรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาแล้ว คาเล็มจึงรีบโบกแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงพยาบาลทันที

ร่างสูงถือจดหมายอ่านขณะที่รถโดยสารกำลังออกวิ่งไปบนถนน ตัวหนังสือในจดหมายเป็นลายมือที่อ่านยากเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงจะจับปากกา ข้อความสั้นๆ ไม่ต่อเนื่อง ราวกับว่าแค่รวมเอาสิ่งที่อยากจะพูดมาเรียงกันเอาไว้ก็เต็มกลืนแล้ว


‘ถึงคาร์เรย์...’


‘ฉันขอโทษนะ’

‘ฉันเสียใจจริงๆ’

‘ได้โปรดยกโทษให้ด้วย’

‘ดูแลตัวเองด้วย ลาก่อน’



‘จาก คาร์บฮอล์ล’



จดหมายสั่งลา…

คาเล็มคิดแบบนั้นหลังจากที่ได้เห็นใบหน้าที่ประทินโฉมอย่างดีมีแต่คราบน้ำตาของคาเซล่าตอนที่ยื่นจดหมายนี้ให้เขา
เขาควรจะเก็บจดหมายนี้ไว้รอให้คาร์เรย์หัวเย็นลงก่อนค่อยเอามาให้อีกทีวันหลัง หรือควรจะทิ้งมันไปอย่างที่อีกฝ่ายต้องการดี…

มานึกย้อนดูดีๆ...คาร์เรย์อาจจะเป็นคนที่ว่างเปล่าที่สุดในบรรดาพี่น้องรอสเกรย์ทุกคนก็คงใช่ พรสวรรค์ในวัยเด็กที่ไม่เคยได้รับความสนใจจากใคร ดวงตาที่อ้างว้างทำได้แต่มองหลังของพี่ชายที่ได้รับสืบทอดทุกอย่าง พอหันกลับมามองน้องสาวที่ไม่จำเป็นต้องแบกรับความกดดันอะไร และน้องชายอย่างเขาที่ต่อให้ใครถีบหัวส่งก็สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้

ความอิจฉาของคาร์เรย์ที่มีต่อพี่น้องอาจจะเริ่มก่อตัวนับตั้งแต่ตอนนั้นก็เป็นได้...ถ้าหากว่ามีใครสักคนที่เข้าใจคอยอยู่ข้างๆ บางทีชีวิตของหมอนั่นอาจไม่จบลงอย่างน่าอดสูเช่นนี้

ชีวิตของนักเขียนเองใช่ว่าจะมีตอนจบที่สวยงามเหมือนอย่างบทประพันธ์ที่สรรค์สร้างมาเยียวยาจิตใจผู้คน



ฉันหวังว่าวันที่นายได้ออกมาเห็นแสงสว่างข้างนอกนี่อีกครั้ง นายจะยังมีแรงก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไปนะ...พี่ชาย


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม ch.21 Up (23/7/18) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 23-07-2018 01:03:49
เหล่าคนรับใช้จากคฤหาสน์เบอร์ตั้นพากันมารอเยี่ยมเจ้านายเนืองแน่นราวกับเป็นญาติสนิท แต่เนื่องจากริชาร์ดยังนอนอยู่ห้องไอซียูเลยเข้าไปเยี่ยมได้แค่ครั้งละสองสามคนตามที่พยาบาลกำชับไว้

“ริชาร์ด...ฉันมาเยี่ยม”

คาเล็มเปิดประตูห้องไอซียูเข้ามา ทีแรกคิดว่าจะเจอพวกสาวใช้ล้อมรอบเตียงร้องไห้ดีใจที่เจ้านายสุดที่รักฟื้นแล้ว แต่...คนที่อยู่ในห้องกลับเป็นโคลวิสและเจสสิก้ากับสาวใช้อีกคนเท่านั้น

“ไง...รู้สึกเหมือนเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” คนป่วยที่เพิ่งฟื้นไม่นานทักทายเพื่อนด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าของซีอีโอหนุ่มซูบตอบลงและมีหนวดเคราหนาขึ้นรก กระนั้นมันก็พยายามยิ้มส่งให้เพื่อนเพื่อบอกว่าเขาสบายดีมากๆ

“แกเล่นนอนหลับไปตั้งสองอาทิตย์จะไม่ให้นานได้ยังไง”

“ฉันไปเที่ยวแม่น้ำสติกซ์มาว่ะ” ริชาร์ดขำที่เพื่อนและแม่บ้านทำหน้าเครียด “แต่โดนไล่กลับมาก่อนจะได้ข้ามไปอีกฝั่ง”

“คุณผู้ชาย ไม่ตลกนะคะ” เจสสิก้าเอ็ดเจ้านายที่เล่นมุกไม่สร้างสรรค์

...สงสัยผิดเล่นจังหวะไปนิด

“เออ...แล้วพี่ชายนายเป็นยังไงบ้าง? คาร์เรย์น่ะ” คนเจ็บหันมาเปลี่ยนเรื่องคุย

“ก็นะ ต้องติดคุกหัวโตหลายปีอยู่ กว่าจะออกมาเจอกันได้อีกคงหัวหงอกกันหมดแล้ว”

“เหรอ…” ริชาร์ดพยักหน้ารับรู้ ก็หวังว่าโดนไปขนาดนั้นจะทำให้มีสติคิดเรื่องดีๆ อย่างกลับตัวกลับใจให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างล่ะนะ “แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง?”

“ก็...ไม่เป็นไรแล้วครับ กลับไปทำงานได้ตามปกติแล้ว” หนุ่มโอเมก้าหัวสีตอบซีอีโอหนุ่ม โคลวิสยิ้มส่งให้อย่างเช่นปกติ แน่นอนเขาเองก็ใช่จะหายหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่อยากดูอ่อนแอในสายตาของริชาร์ด “ไม่ได้ฝืนด้วยครับ ไม่ต้องห่วง”

“ดีแล้วล่ะนะ ฉันเป็นห่วงนายกับแฟนแทบแย่ อยู่ๆ ก็โดนฉุดไปเจอเรื่องแบบนั้นคงเสียขวัญมากเลยสินะ”

“เอ๋? แฟน?”

“ก็...นายกับอัลไง”

“ผมกับอัล? ไม่ใช่นะครับ! อัลเป็นเพื่อนแล้วก็พนักงานร้านผม เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างที่คุณริชาร์ดเข้าใจนะ” โคลวิสรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน “ทำไมถึงเข้าใจผิดไปแบบนั้นได้ล่ะครับ!?”

“อ้าว? ก็...พวกนายสองคนมาเช่าพื้นที่เปิดร้านกาแฟในตึกด้วยกันไม่ใช่เหรอ ฉันก็นึกว่ากำลังช่วยกันทำงานเก็บเงินเพื่อจะแต่งงานกันซะอีก”

“มั่วแล้วครับ! ไปได้ยินใครเค้าพูดกันมาเนี่ย!?”

“ก็...เห็นพวกคนในออฟฟิศพูดถึงนายกับอัลแบบนั้นนี่นา” ริชาร์ดพูดไปตามที่ได้ยินมาจากเหล่าพนักงานช่างเมาท์ว่าทั้งคู่กำลังคบหาดูใจกันอยู่บ้างล่ะ ไม่ก็กำลังจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้บ้างล่ะ “สรุปแล้ว...ไม่ใช่หรอกเหรอ?”

“คุณเอาตาไปมองที่ไหนกันถึงได้ไม่รู้ว่าผมน่ะ…!?”

“...?”

“...ไม่มีอะไรครับ แต่ช่วยเลิกเข้าใจพวกผมแบบผิดๆ ด้วย”

แล้วโคลวิสก็ขอตัวกลับไปเปิดร้านต่อ ถึงซีดีโอเบอร์ตั้นจะยังนอนอยู่โรงพยาบาล แต่กระนั้นออฟฟิศและสำนักงานต่างๆ ก็ยังเปิดทำการได้เป็นปกติ โดยมีคณะผู้บริหารคอยจัดการและตัดสินใจเรื่องต่างๆ แทนเขา ในเวลาแบบนี้คนพวกนั้นยิ่งต้องการคาเฟอีนจำนวนมากไปดื่มกินกันเสียด้วย

“...แค่เข้าใจผิดเอง ทำไมเขาต้องโกรธฉันขนาดนั้นด้วยล่ะ?” ริชาร์ดถามคาเล็ม แต่คุณหมอเพื่อนรักก็ไม่ค่อยเข้าใจพอๆ กัน เจสสิก้าได้เพียงแอบขำในความซื่อบื้อของคุณผู้ชายและเพื่อนสนิท แต่ครู่เดียวเธอก็ทำหน้าสลดลงไม่ต่างจากที่เข้ามาหาเขาครั้งแรกเมื่อตอนเขาฟื้น “มีอะไรเหรอเจสสิก้า?”

“...คุณผู้ชายคะ ดิฉันมีเรื่องที่ต้องบอก…” เธออึกอักอยู่นาน แต่ก็รู้ว่าคงปิดบังริชาร์ดได้ไม่นานนัก “คือว่าสก็อต…”

“สก็อต?”

ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่ฉลาด ซื่อสัตย์ และรักผู้เป็นนายเอามากๆ นอกจากจะเชื่อฟังคำสั่งและสามารถฝึกให้ทำสิ่งต่างๆ ได้ดั่งใจมนุษย์แล้ว ต้องไม่ลืมว่ามันเองก็มีความจำที่ดี โดยเฉพาะในเรื่องกลิ่นและเสียง อาจจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทุกคนคิดออก ทว่า หลายคนที่เลี้ยงสุนัขอาจจะสังเกตได้ว่ามันจดจำได้มากกว่านั้น มันจำได้กระทั่งว่ารถประจำตัวของเจ้านายแต่ละคนคือคันไหน หากบ้านหลังนั้นมีรถมากกว่าหนึ่งคัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะเห่ารถแปลกหน้าที่แล่นผ่านไปมาหรือเข้ามาในบริเวณบ้าน แต่กลับวิ่งกระดิกหางมารับเมื่อเห็นว่ารถของผู้เป็นนายกำลังแล่นเข้ามา

‘เจน ไปเตรียมชุดน้ำชาให้หน่อยสิ คุณหมอกำลังมาแล้ว’

‘โอเค เธอก็เตรียมร่มไปด้วยนะ ฝนตกหนักมากเดี๋ยวคุณหมอจะเปียกเอา’

สองสาวที่คอยดูแลสก็อตต่างมอบหน้าที่ให้กันและกัน แยกย้ายไปทำตามสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ปล่อยสุนัขตัวน้อยที่แทบจะตรอมใจให้กลับมากระดิกหางอีกครั้งและกระโดดโลดเต้นเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นหู ไม่ทันได้ระวังว่าเปิดประตูทิ้งเอาไว้เพราะต่างคนต่างรีบร้อนไปทำอย่างอื่น เมื่อสก็อตตะกุยเปิดประตูหน้าบานใหญ่ไม่ได้ มันก็วิ่งพล่านไปทั่วเพื่อหาทางออกไปเจอกับคนที่มันรอคอยมาหลายวัน

เท้าเล็กๆ กวดวิ่งออกไปทางประตูเล็กด้านข้างที่เปิดทิ้งไว้ วิ่งออกไปสุดฝีเท้าด้วยความยินดีท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด แต่สก็อตก็ตรงไปหาแสงไฟเรืองรองสองคู่ที่คุ้นตา

ไฟสว่างวาบนั้นคงเป็นภาพสุดท้ายที่มันเห็น

ความอึดอัดและสลดใจปกคลุมไปทั้งห้อง ทุกคนเงียบสนิทเมื่อรู้ว่าสุนัขของเจ้าของคฤหาสน์เบอร์ตั้นได้จากไปเมื่อคืนนี้ เจสสิก้าเล่าทั้งน้ำตา เธอรู้ว่าไม่ควรพูดสิ่งนี้เป็นเรื่องแรกๆ เมื่อตอนที่ผู้เป็นนายของตนฟื้นจากอาการบาดเจ็บ แต่สีหน้าของเธอคงฟ้องทุกอย่างแล้วว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เธอจึงตัดสินใจเล่าเพื่อไม่ให้มันค้างคาเสียจะดีกว่า

ริชาร์ดเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะสูดหายใจลึกและถอนหายใจยาว “สังหรณ์ใจแปลกๆ อยู่แล้วเชียว…”

“หมายความว่าไง?” คาเล็มที่นั่งฟังข่าวสลดกับเพื่อนถามขึ้น

“บอกแล้วนี่ว่าไปเที่ยวแม่น้ำสติกซ์มาจริงๆ” ริชาร์ดพยายามจะอธิบายอีกครั้ง “ตอนที่กำลังนั่งเรือข้ามแม่น้ำ ฉันได้ยินเสียงสก็อตเลยหันหลังไปดูแล้วเจอมันกำลังตะกุยขาว่ายน้ำตามมา ฉันพยายามตะโกนไล่ให้มันกลับไปแต่มันก็ไม่ฟัง แถมพยายามจะปีนขึ้นเรือจนสุดท้ายเรือก็พลิกคว่ำ ฉันจมลงไปในแม่น้ำแล้วสก็อตก็ว่ายเข้ามาหา พอรู้สึกตัวอีกที...ฉันก็ฟื้นขึ้นมา”

“ฮึ่ก…” เจสสิก้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว สาวใช้ข้างๆ เองก็ได้เพียงกอดประคองเธอไว้ไม่ให้ล้มลง ถึงจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ทุกคนก็เชื่อว่าสก็อตคงมาช่วยริชาร์ดไว้จริงๆ

“ขอโทษนะ...กลับไปจะทำอนุสาวรีย์ให้…” ริชาร์ดพยายามพูดติดตลก แต่ใบหน้าของเขาเศร้าเกินกว่าจะเชื่อว่าเขากำลังขำให้กับคำพูดของตัวเอง “ไม่เป็นไรแล้ว… พวกเธอกลับไปพักก่อนก็ได้ ที่บ้านคงวุ่นวายน่าดู”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราจัดเวรกันไว้แล้ว” สาวใช้คนหนึ่งตอบขึ้น แต่ก็เก็บข้าวของออกไปแต่โดยดี “มีอะไรก็เรียกได้นะคะ พวกเราจะอยู่ผลัดกันเฝ้าข้างนอกนี้ค่ะ”

ทั้งสองคนค้อมศีรษะให้ริชาร์ด และเดินประคองพาหัวหน้าแม่บ้านออกจากห้องไปตามคำพูดของเขา เหลือเพียงอัลฟ่าเพื่อนรักสองคนนั่งเงียบกันในห้อง แม้จะไม่มีน้ำตาแต่คาเล็มก็รับรู้ได้ว่าริชาร์ดกำลังเศร้าขนาดไหน ยิ่งเป็นแบบนี้เขายิ่งไม่กล้าพูดเรื่องจะขอตัวลาซารัสคืนเพราะคาเล็มก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับคนรักของเขา ไอ้หงุดหงิดน่ะมันก็ใช่ แต่...เขารู้ว่าตอนนี้ควรให้ความสำคัญกับอะไรก่อนเท่านั้น

“นายจำการ์ตูนเรื่องที่มีสุนัขเป็นฮีโร่ได้มั้ย?” ริชาร์ดเอนตัวลงนอนและหาเรื่องคุยทำลายความเงียบ

“รู้…แกเคยบอกว่ามันไม่สนุกเลยตอนที่ลากฉันไปดูหนัง” คาเล็มตอบตามจริง

“อืม.. สงสัยตอนนี้ถ้าให้ดูซ้ำอีกที ฉันต้องร้องไห้แน่เลยว่ะ” รอยยิ้มเศร้าฉาบบนใบหน้า แต่ทั้งสองก็หัวเราะแห้งๆ ให้กัน “เออ พอดีเลย ลาซัสหายดีรึยัง?”

“ใกล้แล้วล่ะ ปากแผลก็ปิดหมดแล้ว แต่ตอนนี้ต้องระวังเรื่องการติดเชื้ออยู่”

“อ่าฮะ” ริชาร์ดหันไปมองตาเพื่อนแล้วยิ้มจางให้ “ถ้าเขาหายดีแล้วก็พาเขากลับบ้านทีนะ”

“ก็ได้ แล้ว...ทำไมไม่บอกเจสสิก้าล่ะ?” คาเล็มขมวดคิ้ว

“เปล่าๆ ฉันหมายถึง ให้เขากลับไปกับนายน่ะ กลับไปอยู่ที่บ้านนาย”

ดวงตาสองสีของคาเล็มเบิกกว้างขึ้น นี่เขาโดนอ่านใจหรือยังไง? คิ้วทั้งสองเลิกขึ้นแล้วจึงกลับมาขมวดแน่นกว่าเดิม “แต่...นาย…?”

“ขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้ด้วยนะ”

“นายเคยขอโทษแล้ว…”

“ใช่ แต่ก็พูดอีกไม่ได้เรอะ? อย่าทำเสียมู้ดสิ” แขนข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือชกใส่ไหล่คาเล็มเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ “ตอนนี้นายก็ปลอดภัยจากเรื่องบ้าบอพวกนี้แล้วไง พาเขากลับไปบ้านได้แล้วนะ สัญญาด้วยล่ะว่าจะดูแลอย่างดี”

“เออๆ แน่นอนอยู่แล้ว” คาเล็มชักรำคาญ แต่สายจริงจังของริชาร์ดทำเขาต้องนั่งหลังตรงขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวสันหลัง “ฉันจะดูแลเขาให้ดีที่สุด...สัญญา”

“อืม นายทำได้อยู่แล้ว” รอยยิ้มโล่งใจปรากฏขึ้นมา ก่อนริชาร์ดจะหลับตาลง “ขอนอนต่ออีกหน่อยละกัน”

“แกนอนมาเป็นอาทิตย์แล้ว”

คาเล็มแซวทิ้งท้าย และเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมบอกพยาบาลและหมอเจ้าของเคสให้รับรู้ ทั้งหมอและพยาบาลรับหน้าที่ดูแลริชาร์ดต่อ ในขณะที่เขาได้แต่เดินถ่อไม้ค้ำอย่างสับสน ตัวเองคิดจะไปพูดอย่างห้าวหาญว่าขอโอเมก้าของเขาคืนแท้ๆ แต่โดนเพื่อนพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจแทนจนหมดเปลือกเสียอย่างนั้น รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล…

เรื่องคดีนั้น เออร์แฟนจะจัดการให้ทุกอย่าง คาเซล่าเองก็ไม่อยากให้มันเลยเถิดไปกว่านี้แล้วแน่นอน ส่วนเรื่องวิจัยยา…หลังจากเขาหายดีก็คงมีเรื่องให้ทำต่ออีกมากมาย เพราะคนที่เป็นผู้หนุนหลังรายใหญ่อย่างตระกูลรอสเกรย์หายไป พวกที่คอยโจมตีเขาทางกฎหมายเองก็คงไม่คิดจะเข้ามายุ่งแล้ว หวังว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางสักที

เพราะเขาเองก็อยากใช้ชีวิตสงบๆ บ้างแล้วเหมือนกัน…

เพียงไม่กี่วัน ลาซารัสก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ร่างกายของเขาแข็งแรงและฟื้นตัวได้ไวมาก ทว่า...เจ้าตัวกลับดูหวาดหวั่นเสียจนพยาบาลกังวลว่าจะมีอาการแทรกซ้อน ตรวจกันละเอียดยิบอีกหลายหนให้แน่ใจว่าลาซารัสเพียงแค่วิตกกังวลไปเอง

เขากำลังจะได้กลับไปอยู่กับคุณหมอ…นั่นเป็นเรื่องที่เขายินดีที่สุด...แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคุณคาร่าก็อยู่ด้วยนี่!!

“ผม...จะทำตัวยังไงดีครับ?” หลายปีที่ถูกโอนเนอร์ฝึกสอนทุกอย่างมานั่นก็เพื่อให้เขาเป็นทาสรองรับอารมณ์เจ้านายและเป็นสัตว์เลี้ยงที่หิ้วไปไหนมาไหนได้ไม่อายใคร แต่โอนเนอร์ไม่ได้สอนว่าควรทำตัวยังไงเมื่อต้องไปเป็นสะใภ้นี่หว่า!

“คิดมากเกินไปแล้ว” คาเล็มเหงื่อตกเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของคนรัก “แม่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนายนะ”

“...แล้วจะอธิบายเรื่องที่ผมไปอยู่กับคุณริชาร์ดว่ายังไงล่ะครับ แม่คุณหมอต้องถามแน่ๆ เลย”

“....เรื่องนั้น… ฉันกับคาร์เมนค่อยๆ เล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว…”

“หาาา!!?” จากความกังวลเปลี่ยนเป็นความช็อคแทบจะทันที “ไหงงั้น!? บอกอะไรคุณคาร่าไปบ้างน่ะครับ!?”

“ใจเย็นก่อนนะลาซัส คุณคาร่าดูไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่นายคิดหรอก” โคลวิสที่แวะมาช่วยเก็บของให้แต่เช้าก็เข้ามาช่วยปลอบขวัญเพื่อน เขาเองก็เคยเจอคุณแม่ของคาเล็มครั้งสองครั้ง ถึงได้มองออกว่าเป็นคนมีวุฒิภาวะพอสมควร

“ฮือ.. ขอบคุณครับโคล” ลาซารัสโผกอดเพื่อนโอเมก้าอย่างต้องการที่พึ่งพิงทางใจ “แล้ว...โคลจะไปส่งผมถึงบ้านมั้ย?”

“ฮะๆ คงไม่ได้หรอก ฉันแวะมาช่วยเก็บของแล้วก็จะไปเยี่ยมคุณริชาร์ดต่อน่ะ” แถมเขายังต้องรีบกลับไปช่วยอัลที่ร้านด้วย ช่วงนี้ยิ่งบ่นว่าเสิร์ฟกาแฟจนยกแขนแทบไม่ขึ้นแล้ว

“อ๋อ…” ลาซารัสหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจับบ่าเพื่อนหมุนไปทางประตูทางออกและผลักเบาๆ เป็นสัญญาณให้รีบไปทำธุระของเขาต่อ “งั้นก็ สู้เค้านะครับ”

โคลวิสเพียงแต่หันมามองสายตาดุปนประหม่า เขากล่าวลาคาเล็มและก้าวเท้าฉับไวออกจากห้องไปโดยไม่หันมามองลาซารัสที่โบกมือส่งเลย

คาเล็มกะพริบตาปริบอย่างสงสัย “สู้? สู้อะไร?”

“...คุณหมอนี่ไม่ได้เรื่องเลยครับ” ลาซารัสถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และหยิบกระเป๋าสัมภาระที่เต็มไปด้วยของเยี่ยมและตุ๊กตาเสียส่วนใหญ่ขึ้นมา “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวคุณคาร่ารอนาน...ผมเองก็ต้องสู้ๆ เหมือนกัน”

เสียงเคาะประตูดังเป็นสัญญาณขออนุญาต ก่อนสาวใช้คนหนึ่งจะเดินมาเปิดต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมนายของตน โคลวิสยิ้มและทักทายเธออย่างมีมารยาท เขาเดินตรงเข้าไปหาริชาร์ดซึ่งนอนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่บนเตียง เมื่อร่างกายฟื้นตัวและอาการพ้นขีดอันตราย ซีอีโอหนุ่มก็ถูกย้ายเตียงมาที่ห้องพักผู้ป่วยในวันถัดมา แต่ยังคงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกหลายวัน

“สวัสดีครับคุณริชาร์ด”

“หวัดดีๆ” มือข้างที่กุมรีโมทไว้ยกขึ้นโบกทักทายร่วมกับคำพูดกล่าว “เฮ้อ.. นอนนิ่งๆ เฉยๆ มันน่าเบื่อชะมัด…”

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ คุณยังไม่หายดีนี่นา” โคลวิสหยิบเอาผลไม้ออกมาจากกระเป๋าผ้าที่พกมา “สตรอว์เบอร์รี่มั้ยครับ?”

“โอ้วว! ดีเลย!!” ริชาร์ดทิ้งรีโมทและยื่นมือไปกะจะคว้ามาเข้าปากสักลูก แต่โดนมือของโคลวิสตีจนต้องชักกลับไปก่อน

“ล้างก่อนสิครับ” โคลวิสตอบเสียงดุ และนำสตรอว์เบอร์รี่เหล่านั้นไปล้างน้ำสักครู่ ก่อนลงมือผ่ามันด้วยมีดผ่าผลไม้เล่มเล็กที่พกมาด้วย เพราะผลค่อนข้างใหญ่เขาจึงผ่าครึ่งเพื่อให้ทานได้พอดีคำมากขึ้น “วันนี้ในบริษัทก็ยังวุ่นวายอยู่เลย”

“ไม่แปลกหรอก..” ริชาร์ดขยับมือเข้าไปหยิบส้อมอันเล็กและจิ้มเอาสตรอว์เบอร์รี่ที่โดนหั่นแล้วมากินอย่างหวาดระแวงจะโดนมีดจิ้มนิ้วเอา แต่เมื่อไม่เห็นสัญญาณห้ามเตือนเขาก็กินต่ออย่างเอร็ดอร่อย “ขอบใจที่มาเยี่ยมทุกวันนะ ไหนจะของฝากอีก แค่นี้ก็รบกวนนายจะแย่”

คำพูดไร้ความนัยแบบนี้มันทั้งน่ายินดีและเจ็บในอกไปพร้อมๆ กัน โคลวิสยิ้มและส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “ก็เพื่อนคุณแต่ละคนงานยุ่งกันหมด น่าสงสารจะตายถ้าปล่อยไว้คนเดียว”

“ขอบพระคุณขอรับ” ริชาร์ดก้มหัวให้เหมือนซามูไรคำนับเจ้านาย “นายเองก็เหอะ เจอไปขนาดนั้นยังทำตัวปกติได้ เจ๋งเหมือนกันนะ”

“ผมแค่กลัวคนในตึกคุณจะลงแดงกันเพราะขาดคาเฟอีนต่างหากครับ”

“ก็ยังเก่งอยู่ดี.. จริงๆ ถ้าไม่ไหวจะหยุดพักไปก่อนก็ได้ ถึงแผลจะหายดีแล้วแต่ว่า..”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ!” โคลวิสเผลอพูดเสียงดังจนริชาร์ดยังสะดุ้ง เขานิ่งค้างไปเล็กน้อยแล้วหยิบสตรอว์เบอร์รี่มาหั่นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โคลวิสรู้เรื่องที่ริชาร์ดเสียสุนัขที่เขารักไป และรู้เรื่องที่ลาซารัสจะกลับไปอยู่กับคาเล็มแล้ว เขาเป็นห่วงริชาร์ดเกินกว่าจะมานั่งจิตตกหรือหวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น “ถึงตอนนี้จะยังตกใจเสียขวัญกับเสียงดังอยู่บ้าง แต่ผมอยากรีบกลับไปทำงานเร็วขึ้น และใช้ชีวิตเหมือนปกติครับ”

“...งั้นเหรอ” ริชาร์ดขมวดคิ้วงุนงง ช่างเป็นคนที่ขยันขันแข็งอะไรขนาดนี้ “นายนี่สุดยอดไปเลยนะ”

คำชมจากปากคนคนนี้ก็เพียงพอให้โคลวิสยิ้มออกมาได้แล้ว เขาแค่อยากอยู่ข้างๆ ให้ริชาร์ดรู้ว่ายังมีเขาอยู่เป็นเพื่อนต่อให้ไม่เหลือสิ่งใด หรืออย่างน้อยๆ ในเวลาที่ยากลำบากแบบนี้เขาก็สามารถช่วยหาสิ่งที่ริชาร์ดต้องการมาให้ได้

จะเรียกว่าทำแต้มในช่วงที่มีโอกาสก็ได้ คนเรามันอยู่ได้ด้วยความหวังนี่นา

“อยากดื่มกาแฟของนายไวๆ แล้ว..”

“ก็รีบหายเร็วๆ สิครับ”

ใช่...สิ่งที่เขาทำก็เพราะหวังให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเมื่อวันวาน วันที่ริชาร์ดกลับไปทำงานและแวะมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านอีกครั้ง เขาก็จะชงกาแฟอร่อยๆ มาเสิร์ฟให้เหมือนทุกที

ตอนนี้ค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อยก็แล้วกัน…โคลวิสคิดอย่างนั้น

ถ้าหากริชาร์ดไม่ซื่อบื้อเกินไปน่ะนะ...

---------

“เอาของที่จำเป็นมาครบหมดแล้วนะ” คาเล็มถามหลังจากที่เขาขับรถพาลาซารัสกลับมาเอาของใช้ส่วนตัวที่คฤหาสน์เบอร์ตั้น

“ครับ จะเหลือก็แต่…” ลาซารัสมองไปยังเจ้าพวกแก๊งค์ขนฟูที่กำลังตะกุยร้องครางหงิงๆ อยู่ที่ประตูบ้าน ตอนที่เขาขนของออกมาจากห้องนอน พวกมันก็พยายามงับยื้อแย่งไม่ให้เอาออกไป เหมือนกับรู้ว่าเจ้านายกำลังจะไปจากที่นี่ เล่นเอาเหนื่อยหอบไม่น้อยเหมือนกัน

“...เอาไว้ค่อยพาพวกมันกลับไปวันหลังก็แล้วกันนะ” คุณหมอยกนาฬิกาขึ้นมาดู “ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ”

“ครับ” ลาซารัสเปิดประตูแล้วนึกขึ้นได้ “ให้ผมขับให้มั้ยครับ คุณหมอน่าจะยังเจ็บขาอยู่นี่นา”

“ฉันไหวหรอกน่า” คาเล็มเปิดประตูที่นั่งคนขับ รัดเข็มขัดแล้วสตาร์ทรถขับออกไป ร่างโปร่งหันหลังไปมองภาพคฤหาสน์ที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จริงอยู่ว่าเดี๋ยวก็ต้องกลับมาที่นี่อีกไม่ช้าก็เร็ว แต่...พอคิดว่าต้องไปจากที่นี่จริงๆ แล้วมันก็อดใจหายไม่ได้อยู่เหมือนกัน…

“มาแล้วเหรอจ๊ะ กำลังรออยู่เลย” หญิงชราเอ่ยต้อนรับเมื่อลูกชายพาคนรักมาที่บ้าน ซึ่งพ่อบ้านกำลังง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหารอาหารเย็นที่ดูหรูหรากว่าปกติ จนลาซารัสอดแปลกใจไม่ได้ว่าทุกคนกำลังจัดงานฉลองอะไรกัน

“อ่ะ คุณเรนเดล ให้ผมช่วยนะครับ” โอเมก้าหนุ่มตรงเข้าไปหวังจะช่วยพ่อบ้านสูงวัยอีกแรง แต่ถูกคุณหมอดึงตัวเอาไว้ก่อน

“นายอย่าไปเกะกะเขาน่ะ เป็นเจ้าภาพก็มานั่งอยู่นี่” คาเล็มลากเก้าอี้แล้วจับลาซารัสนั่งลงไปแล้วเดินไปช่วยเรนเดลยกจานแทน

“เอ๋?” ดวงตาสีฟ้ากลอกตาไปมามองคนนั้นคนนี้ที “มันเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“งานเลี้ยงต้อนรับนายไงล่ะไอ้หนู”

“ง่ะ...ทำไมคุณคาร์เมนถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”

“หา? ทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้ฟะ?” คาร์เมนแกล้งล็อกคอลาซารัสแน่นด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อย “นี่ฉันอุตส่าห์ลงทุนมาช่วยจัดห้องให้ใหม่เลยนะ ขอบคุณกันสักหน่อยสิ”

“คาร์เมน อย่าแกล้งคุณลาซารัสเขาสิลูก”

“โห...ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย พี่ดูสิ ไม่ทันไรแม่ก็ลำเอียงละ” คาร์เมนปล่อยโอเมก้ารุ่นน้องให้เป็นอิสระแล้วแกล้งเนียนไปขอความเห็นใจด้วยการซบไหล่พี่ชายตนเหมือนเด็กน้อยที่โดนแม่ดุ แต่ก็โดนคาเล็มเอามือยันหัวออก เลยงอนเดินหนีไปหยิบอาหารบนโต๊ะกินก่อนใครเพื่อน

“คุณชายน้อยพาคุณแมทเวย์ขึ้นไปดูห้องก่อนก็ได้ครับ ตรงนี้เดี๋ยวกระผมจัดการเอง”

รู้สึกเหมือนโดนพ่อบ้านกำลังไล่ทางอ้อมว่าอย่าเพิ่งมากินอาหารยังไงยังงั้น...

“นั่นสินะ เอาของไปเก็บให้เรียบร้อยกันก่อนเถอะ” เขาหันไปบอกให้โอเมก้ารุ่นน้องลากกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไปบนห้อง เมื่อเปิดประตู...ลาซารัสก็ต้องช็อกกับห้องนอนสไตล์ม่านรูดธีมทาร์ซาน

“อะไร? ทำหน้าแบบนั้นทำไม นี่อุตส่าห์จัดให้ทุกตารางนิ้วนุ่มพอที่พี่ฉันจะเล่นกับนายได้ทุกท่าโดยที่ไม่ปวดเข่าเลยนะ”

ถึงจะบอกว่าโอเมก้าชอบของนุ่มนิ่ม แต่เล่นปูพื้นห้องด้วยพรมขนสัตว์กับเอาโซฟาขนเฟอร์มาไว้ในห้องนอนนี่ลงทุนเยอะไปมั้ย!?

“คุณหมอเห็นห้องนี้รึยังครับ?”

“ยัง เพิ่งจัดเสร็จหมาดๆ เลย กำลังจะเรียกพี่มาดูเนี่ย เผื่ออยากได้ออพชั่นเพิ่ม”

“ดีครับ งั้นก็ช่วยผมเคลียร์ห้องใหม่เดี๋ยวนี้เลย!”

“นายคิดจะทำลายความพยายามของพี่ชายคนนี้เรอะ?!” คาร์เมนเถียงแว้ดทั้งน้ำตาอย่างจริตแตก

“พี่ชาย?”

“เออสิ มาอยู่บ้านนี้แล้วก็ต้องเป็นน้องชายฉันไง และพอคิดแล้วว่าน้องชายได้พี่ชายไปก็รู้สึกเจ็บน้อยกว่าคนอื่นมาแย่งพี่ไปด้วย...”

...แบบนี้ก็ได้เหรอ?

คนตัวเล็กกว่าเดินมาใกล้และยกมือขึ้นลูบหัวลาซารัสอย่างเบามือ “บอกตามตรง...ตอนเจอกันทีแรกก็ไม่ชอบแกหรอก แต่ตอนนี้เกลียดไม่ลงแล้วล่ะ”

“ทำไมเหรอครับ? ทีเมื่อตอนที่ผมเล่าให้คุณฟังตอนเราเจอกันครั้งแรกคุณไม่เห็นจะใจดีกับผมแบบนี้เลย”

“นั่งสิ” คาร์เมนดึงตัวลาซารัสให้นั่งลงกับโซฟาขนเฟอร์สุดอลัง “ฉันเล่าเรื่องของนายให้แม่ฟังหมดทุกอย่างแล้ว”

“หา!?” ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง แบบนี้แม่ของคุณหมอก็รู้กำพืดของเขาหมดแล้วสิว่าเป็นใครมาจากไหน ทั้งเรื่องที่ถูกประมูลซื้อมาจากตลาดมืด เรื่องหนูทดลอง รวมถึงเรื่องที่เขาเคยเป็นโอเมก้าของคุณริชาร์ดด้วย

หมดกัน...ภาพพจน์ดีๆ ในสายตาของคุณแม่ที่มีต่อเขาจะเหลือมั้ยเนี่ย!?

“แม่บอกว่าแกน่าสงสาร ไหนจะถูกพ่อแม่ขายทิ้งๆ ขว้างๆ ทั้งยังถูกคนรับเลี้ยงเอาไปสั่งสอนให้เป็นเครื่องมือประดับบารมีของอัลฟ่าเป็นสิบๆ ปี ถึงจะโชคดีได้พี่คาเล็มประมูลไถ่ตัวมาแต่ไม่ทันไรก็ต้องไปอยู่กับคนที่ตีตราตามกฎหมาย ถึงพี่ฉันจะทำไปเพื่อปกป้องนายจากคนตระกูลรอสเกรย์ นายก็ต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ไม่ได้รักแล้วยังโชคไม่ดีที่ถูกลักพาตัวไปอีก” หนุ่มโอเมก้ามากวัยกว่านั่งเล่าสิ่งที่มารดาพูดกับเขาเมื่อวันก่อนๆ “...ถึงสุดท้ายจะหลุดพ้นจากปัญหาทุกอย่าง แต่แม่ฉันก็ไม่อยากให้นายรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป เลยขอให้ฉันช่วยดูแลนายเหมือนเป็นน้องชายอีกคน”

วินาทีนั้นลาซารัสเข้าใจทันทีว่าทำไมช่วงหลังๆ มานี้คาร์เมนมักจะโทรมากวนใจเล่นไม่ก็นัดไปโน่นมานี่บ่อยๆ ทั้งชวนไปเที่ยวที่ที่ ยังไม่เคยไปหรือนัดไปกินดื่มไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือกลางคืน ถึงจะมีบางครั้งที่ต้องแอบหลบให้พ้นสายตาริชาร์ดเพราะคาร์เมนชอบพาไปเปิดโลกที่แปลกๆ บ้าง แต่เขาก็ไม่เคยได้รับอันตรายใดๆ …ไหนจะมีของฝากให้ตอนไปปรับยาที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้ง เริ่มพอจะเข้าใจแล้วว่าคนที่ออกตัวว่าไม่ชอบหน้าเขาจะทำแบบนี้ไปทำไม…ถ้าไม่ใช่คุณแม่ขอร้องมา

“ถึงยังไงก็...ขอบคุณนะครับที่คอยดูแลผม” ใบหน้ามนยิ้มให้ด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงๆ

“ไม่ต้องมาทำซึ้งเลย แม่ฉันแค่ไม่อยากให้แกเหงาเท่านั้นแหละ เอ้า! จะรื้อก็รีบๆ รื้อซะสิ”

“ครับคุณพี่”

โอเมก้าทั้งสองช่วยกันรื้อของตกแต่งเกินจำเป็นอย่างพวกพรมหรือผ้าปูลายแปลกๆ ออกกันจนหมดได้ทันก่อนคาเล็มจะเดินขึ้นมาตามลงไปทานข้าวเย็นเพราะอาหารพร้อมแล้ว คาร่าต้อนรับลูกชายอีกคนอย่างอบอุ่น ทั้งกอดและหอมแก้มอย่างรักใคร่เพราะรู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยคนนี้เจอสิ่งใดมาบ้าง

บรรยากาศอบอุ่น อาหารแสนอร่อยในบ้านเล็กๆ ที่ลาซารัสไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาอยู่ในที่แบบนี้

“หมอนัดตรวจครรภ์วันไหนเหรอลูก?” คาร่าหันไปถามคาร์เมนที่นั่งลูบท้องตัวเองมาสักพักหลังจากทุกคนทานอาหารกันจนหมด

“อาทิตย์หน้าครับ”

“อยากรู้จังว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาวกันนะครับ แต่ถ้าเป็นอัลฟ่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยวสินะ” ลาซารัสหันหน้ามาถามอย่างใคร่รู้ว่าคุณแม่มือใหญ่อยากให้เด็กที่เกิดมาเป็นเพศอะไร

“ขอแค่เกิดมาแข็งแรงดีก็พอแล้ว” คาร์เมนยังไม่ละสายตาจากท้องตัวเอง มันยังไม่ป่องออกมาให้เห็นชัดมากนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่ากางเกงมันชักจะเริ่มใส่ไม่ได้แล้ว “นี่ผมต้องใส่ชุดคลุมท้องจริงเหรอ?”

เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากทุกทิศทาง ทำเอาคนถามเลิ่กลั่กหน้าแดงด้วยความกระดากอาย

“หัวเราะอะไรไอ้หนู เดี๋ยวแก…เดี๋ยวนายก็ต้องใส่บ้างเหมือนกันน่ะแหละ!!”

“คุณแมทเวย์ท้องแล้วเหรอครับ?” เรนเดลหันมาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ยังครับ!”

“น่าเสียดายจัง นึกว่าจะได้อุ้มหลานทีเดียวสองคนเลย”

“พี่การ์ดแข็งจะตาย พยายามรุกหน่อยแล้วกันนะ”

ทำไมเขารู้สึกเหมือนโดนทุกคนรุมอยู่คนเดียวล่ะ!?

“คุณลาซารัสอย่าโกรธคาร์เมนเลยนะจ๊ะ ลูกแม่คนนี้ก็ปากไม่ค่อยดีแบบนี้แหละ อภัยให้เขาหน่อยนะ” คาร่าเอื้อมมือมาตีไหล่คาร์เมนเบาๆ และกล่าวขอโทษด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ค…ครับ ผมว่าผมชินแล้ว…หืม?” ลาซารัสยิ้มแห้งแล้วหันหลังไปพบว่าคาเล็มกำลังถอดปลอกคอที่เขาได้มาจากริชาร์ดออก…ก่อนจะแทนที่ด้วยปลอกคอเส้นใหม่ “คุณหมอ?”

“ยังเรียกห่างเหินแบบนั้นอีกเหรอ?” คาเล็มเลิกคิ้วมอง “จากนี้ไปนายไม่ต้องทดลองยาอีกแล้วนะ ฉันเก็บข้อมูลมาได้มากพอแล้วล่ะ”

“ลูกคนนี้ก็ไม่ไหวเลย ทำไมถึงใช้แฟนทำเรื่องเสี่ยงๆ แบบนี้น้า”

“มันจำเป็นนี่ครับแม่!”

“ผมอยากช่วยคุณหมอเองครับ!”

“ว้อย...เหม็นความรัก” คาร์เมนยกมือบีบจมูกทำมือปัดไปมา

เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอก การพูดคุยหยอกเอินเป็นกันเองยังคงดังต่อเนื่องกระทั่งเวลาล่วงเลยไปมากโข บทสนทนาเริ่มลดลงพร้อมๆ กับอาหารที่ถูกย่อยไป คาร์เมนเองก็เริ่มง่วงแล้วจึงขอตัวไปนอนก่อน

“คุณลาซารัส” คาร่าเรียกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตน น้ำเสียงนุ่มนวลและการวางตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีจนลาซารัสเผลอเกร็งขึ้นมาเพราะยังไม่คุ้นชิน

“ค…ครับ?”

“ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรานะจ๊ะ”

“…ครับ! ฝากตัวด้วยนะครับ!”

*****************************************

ตอนหน้าจะเป็นตอนอวสานแล้วนะคะ :) รอพบเซอร์ไพรซ์ได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 24-07-2018 02:29:15
บทส่งท้าย

เช้าวันใหม่แสนสดใสกับแดดจ้าผ่านทิวเมฆลงมาหาพื้นเบื้องล่าง บ้านหลังน้อยหลังเดิมที่ตั้งโดดเดี่ยวแยกตัวจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ หลังเรื่องวุ่นวายทั้งหลายจบลง คาร์เมนก็กลับไปอยู่กับเออร์แฟนเนื่องจากเป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพของตัวเองรวมถึงลูกในท้อง คาร่าเองก็ขอไปอยู่กับคาร์เมนเพราะเป็นห่วงลูกชายคนเล็กที่ท้องไส้ชักจะโตขึ้นทุกวัน วันดีคืนดีก็ลุกมากินดอกไม้ในแจกันขึ้นมาดื้อๆ คงเป็นอาการตามประสาคนท้องเพราะคาร่าเองก็เคยอยากกินเกสรดอกไม้สดๆ ตอนตั้งท้องคาเล็มเหมือนกัน…

แต่บ้านที่ควรจะเงียบเหงาลงกลับมีเสียงโหวกเหวกของเจ้าของบ้านดังแว่วมาหลายวัน เคล้ากับเสียงสุนัขต่างไซส์หลากหลายสายพันธุ์ล้วนเห่าเสียงดังไปทั่วบริเวณบ้านเพราะกำลังออกกำลังยามเช้ากันอยู่ในสวน

วันนี้ก็มีเรื่องให้คุณหมอคาเล็ม รอสเกรย์ต้องปวดหัวอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่า...

"ถ้าผมรุกคุณหมอบ้างจะเป็นยังไงกันนะ..."

พรูดด!

“นายว่าอะไรนะลาซัส!?” คาเล็มพยายามเช็ดคราบกาแฟที่เผลอพ่นออกมาหลังจากสนทนากับโอเมก้าของตนไปสองสามประโยค

“ผม...อยากลองเป็นฝ่ายกอดคุณหมอบ้างครับ! แบบ...แบบว่า...อยากเห็นหน้าคุณหมอตอน... ตอนโดน...หนักๆ” สองมือยกขึ้นปิดหน้าเขินอายกับคำพูดสุดสยิวที่เพิ่งพูดออกไป

นี่ลืมชาติกำเนิดตัวเองรึไงลาซัส นายเป็นโอเมก้านะ!!

นี่ก็เป็นสาเหตุของเสียงโวยของคาเล็มแทบจะทุกวันไปเสียแล้ว แต่วันนี้ออกจะหนักหนาหน่อยเพราะลาซารัสดันพูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมแอ้มเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

“เล่นมุกเอพริลฟูลเดย์แบบนี้ไม่ขำหรอกนะ”

“คุณหมอครับ นี่ไม่ใช่วันโกหก ผมพูดจริงๆ นะ”

“เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วนะ" คาเล็มขมวดคิ้ว ส่วนลาซารัสช้อนตามอง ดวงตาสีฟ้าฉายแววเอาจริงจนคุณหมอต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา ก่อนจะลุกไปหยิบผ้ามาเช็ดโต๊ะที่เปื้อนกาแฟ ดีที่ไม่โดนงานที่เขาเอามานั่งอ่านด้วย "คาร์เมนสั่งมาให้แกล้งฉันรึไง? "

"ไม่นะครับ ทำไมคุณหมอไม่คิดว่าผมอยากลองเองมั่งล่ะ นี่ความตั้งใจของผมเองล้วนๆ เลย”

"จะล้อเล่นกับคนแก่ก็ให้มันพอดีๆ หน่อย" คุณหมออัลฟ่าพยายามเสียงแข็ง

"ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ" ลาซารัสเดินมาใกล้ ดวงตาสีฟ้าสดใสเป็นประกายให้เห็นความจริงใจอันน่าเหลือเชื่อ...

"คืนนี้อยากนอนนอกบ้านสินะ" คาเล็มเริ่มขู่และทำท่าเอาจริง ซึ่งได้ผล ลาซารัสสะดุ้งแล้วก้าวถอยไปเล็กน้อยเหมือนเว้นระยะไม่ให้ดูล่วงเกินอีกฝ่ายมากเกินไป

"ม...ไม่ครับ" ลาซารัสพูดเสียงสั่นสลับกับยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาที่แอบล้นออกมาเบาๆ

"...ล้อเล่นหรอกน่ะ" แอบรู้สึกผิดนิดๆ ที่พูดไปแบบนั้น ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดแล้วก้มหน้าคอตกไปเขาก็เริ่มสำนึกได้ว่าไม่ควรขู่ราวกับทำโทษสัตว์เลี้ยงแบบนั้น “เอ่อ...ไม่ต้องร้องไห้ก็ได้ ขอโทษที”

"ผมก็แค่รู้สึกดีมากๆ ...เลยคิดว่าถ้าทำให้คุณหมอรู้สึกดีได้บ้างคงจะ...." ร่างเล็กกว่าพยายามพูดทั้งที่เสียงยังสั่นเพราะเกรงจะโดนไล่ไปนอนกับเหล่ากองทัพขนฟูที่คอกหลังบ้าน "...แล้วผมก็อยากรู้ด้วยว่าทำให้คนอื่นมันรู้สึกยังไง"

ขอบใจนะลาซัส แต่ไม่ต้องพยายามหรอก!

"ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอกนะ แต่ว่า..." คุณหมอเกาหัวตัวเองพร้อมกับคิดเรื่องโอเมก้าชายที่อยากจะเป็นฝ่ายรุกในหัวตัวเองหนักมาก

นี่เขาทำอะไรผิดไป? ก่อนหน้านี้ได้ให้ยาตัวไหนเกินขนาดจนเกิดผลข้างเคียงรึเปล่า? ทำไมโอเมก้าที่ใสซื่อในคราแรกคนนั้นเป็นได้ถึงขนาดนี้กันเล่า!?

ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ก็อาจเป็นเจ้าน้องชายตัวแสบที่แอบสอนอะไรแปลกๆ ให้คนรักของเขารึเปล่านะ?

"ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งแท้ๆ แต่ทำเรื่องแบบนั้นไม่เป็น.. จะว่าไปโอนเนอร์ก็ไม่เคยสอนด้วย..." ลาซัสถอนหายใจแล้วเดินเอื่อยๆ จากไปอีกทางแต่ก็ยังไม่ออกไปพ้นประตูห้องทานอาหาร เพราะคาเล็มทำท่าเหมือนพยายามจะหลบหน้าเขาด้วยการหนีไปล้างแก้วกาแฟที่ดื่มจนหมดแล้ว "...ถ้าไปขอทำกับคุณริชาร์ดจะให้ลองมั้ยนะ? "

ยังจะทำมาเป็นเหล่ตามอง อยากให้เขาหึงสินะ...

"...ก็ลองถามดูสิ" คุณหมอถึงกับขายเพื่อน...แต่ก็ยังดีกว่าให้ตัวเองเป็นเหยื่อเจ้าหนูนี่แหละ

"คุณริชไม่ตอบอ่ะ..." ไวกว่าที่คาเล็มคาดการณ์ไว้ ลาซารัสจัดการส่งข้อความไปหาอัลฟ่าเพื่อนรักของคุณหมอเป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่อถามเสร็จสรรพ ริชาร์ดกลับทำแค่อ่านข้อความเขาแล้วไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลย

...ก็แหงสิ...

"แต่ยังไงผมก็อยากทำกับคุณหมอมากกว่านี่นา"

"...นี่แอบไปดื่มเหล้ามารึเปล่า? " คาเล็มขมวดคิ้วอีกรอบ แก้วที่เพิ่งล้างจนเสร็จเกือบจะลื่นหลุดมืออยู่หลายครั้งจนเขาต้องประคองสติให้ดีๆ ตอนนี้ในหัวเขาเริ่มคิดจะแอบฉีดยากล่อมประสาทใส่อีกฝ่ายให้สงบจิตสงบใจลงมาบ้างเสียแล้ว

ลาซารัสส่ายหน้าระรัวจนปลายผมเป็ดๆ กระดกไปมา "คุณหมอครับ ผมก็ต้องมีความรู้สึกอยากเป็นนักล่ามั่งสิ! " โอเมก้าหนุ่มแผดเสียงขึ้นมาเล็กน้อยจนจูเลียตที่กำลังกินอาหารใกล้ๆ ผงกหัวขึ้นมามอง

"......เฮ้อ" คุณหมอถอนหายใจปลดปลง เขาไม่กล้าเดินออกมาจากบริเวณหน้าอ่างล้างจานเพราะเกรงอีกฝ่ายจะเข้ามาอ้อนใกล้ๆ อีก ยิ่งแพ้ทางเจ้าเด็กนี่อยู่ด้วย...

"...ผมรักคุณหมอนะครับ" ลาซารัสเดินมาเกาะแขนคาเล็มถึงในครัว "นะๆ ๆ ครั้งเดียวเอง แล้วผมจะไม่ขออีกแล้ว"

คนเป็นอัลฟ่าที่ควรจะเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารตอนนี้กลับกำลังทำสีหน้าลำบากใจสุดๆ อย่างปิดไม่อยู่ "คือ...ร่างกายอัลฟ่าไม่ได้ถูกสร้างมาแบบโอเมก้านะ แล้วนายก็ไม่มีประสบการณ์ มันอาจจะเจ็บตัวทั้งสองฝ่ายได้"

ในเมื่อปฏิเสธตรงๆ ไม่ได้ก็ต้องยกข้อมูลอ้างอิงเข้าสู้

"...แต่ก็มีคู่ที่ไม่ใช่อัลฟ่ากับโอเมก้าอยู่ใช่มั้ยล่ะครับ พวกเขาก็ทำกันได้...ถึงผมจะไม่เคยมีประสบการณ์เป็นฝ่ายรุกคนอื่น คุณหมอก็แค่สอนผมไงครับ ง่ายจะตาย! " ลาซารัสยิ้มกว้าง ดวงตาสีฟ้าสดใสมองมาทางเจ้าของชีวิตด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง

นี่เขาลงทุนทำตัวอ้อนสุดชีวิตขนาดนี้เพื่อจะได้ลองทำอะไรๆ ที่ผู้ชายเขาก็ทำกันเป็นเชียวนะ!

"ฉันว่านายเปลี่ยนใจดีกว่า” คาเล็มหลบหน้าไปทางอื่นแล้วพูดเสียงแข็งให้อีกฝ่ายตัดใจเสียที

".....ก็ได้ครับ" โอเมก้าหนุ่มคอตกแล้วยอมแพ้แต่โดยดีแล้วปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ลาซารัสเดินออกจากครัวไปโดยที่มีจูเลียตมองตามไม่วางตากระทั่งเขาหายไปอีกห้อง คาเล็มถอนหายใจโล่งอก นึกว่าจะต้องคิดวิธีเอาตัวรอดด้วยวิธีอื่นเสียแล้ว...





แต่หลังจากนั้นก็เกิดมหกรรมเด็กน้อยเอาแต่ใจแสนอลหม่าน…

ลาซารัสเริ่มเปิดเว็บไซต์หาพวกร้านที่ให้บริการโอเมก้าอะไรแนวนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส พอไม่รู้จะเริ่มจากที่ไหนก่อนก็เมล์ไปถามเอาจากโคลวิส และแน่นอนว่าหนุ่มบาริสต้าคนนั้นดูจะตกตะลึงความคิดของลาซารัสมากพอดู แม้จะรู้ว่ามีโอเมก้าแนวๆ นี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอกับตัวตรงๆ แบบนี้หรอก...

"รอให้ผมเก่งก่อนเถอะ จะทำให้คุณหมอมีความสุขเอง! " ลาซารัสนั่งพูดตอนอยู่คนเดียวกลางบ้าน หลังจากจัดแจงทำงานบ้านส่วนของตัวเองจนเกลี้ยง

"........." ส่วนคาเล็มก็กำลังกลุ้มใจว่าเขาเลี้ยงดูผิดพลาดอะไรตรงไหนถึงเป็นแบบนี้ไปได้ “ลาซัส ฉันอยากกินพุดดิ้ง”

“อ่ะ ได้ครับ” แม้จะเริ่มหมกมุ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ช่วงเวลาปกติลาซารัสก็ยังทำตัวไม่ต่างจากเดิมมากนัก

เอาน่ะ...อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าปล่อยให้เป็ดน้อยวนเวียนหาวิธีทดลองออกล่าเหยื่อล่ะนะ

"คุณหมอๆ ที่นี่น่าสนใจจังครับ" ดูท่าว่าลาซารัสคงจะเจอร้านที่ถูกใจเข้าแล้ว เขาจึงเปิดมือถือใส่หน้าคาเล็มตอนที่เอาพุดดิ้งมาให้ ดวงตาสีฟ้าจ้องตาเป็นประกายพร้อมรอยยิ้มเหมือนเด็กเจอของเล่น "คุณคาร์เมนก็บอกว่าที่นี่เป็นร้านของเพื่อนเขาเองเพราะงั้นไว้ใจได้ชัวร์"

คาเล็มขมวดคิ้วใส่ นี่ถึงขั้นไปไถเอาจากน้องชายตัวดีของเขาเลยเหรอ!?

"ก็..โตแล้วนี่ อยากทำอะไรก็ทำ"

แต่ลาซารัสแอบหน้าบูดเล็กน้อยเพราะนอกจากคาเล็มดูจะไม่สนใจแล้วเขาเองก็หวังอยากให้คุณหมอหวงเขาบ้างอะไรบ้าง

ได้! งั้นต้องแสดงออกว่าจะไปจริงๆ ให้มากกว่านี้!

"งั้นพรุ่งนี้ผมจะไม่อยู่นะครับ แต่จะทำพุดดิ้งทิ้งไว้ให้ อ้อ! แต่ว่าจะทำงานบ้านให้เสร็จก่อนครับ! "

“อืม ตามใจเถอะ” คาเล็มพูดพลางตักพุดดิ้งเข้าปาก

อา.. วันนี้จืดแฮะ...

พุดดิ้งที่ปกติลาซารัสทำออกมาพอกินได้ ทุกวันนี้คาเล็มต้องเจอของโปรดรสชาติแรนด้อมตั้งแต่จืดชืดยันหวานเกินขนาดไปนิด เนื่องจากอีกฝ่ายดูจะไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ฝีมือแสนไม่ได้เรื่องก็เลยทำพิษใส่เขาเข้าเต็มๆ ...

รสชาติเพี้ยนน่ะไม่มีปัญหาเท่าไหร่หรอก แต่การที่ลาซารัสกำลังงอนเขาเบาๆ อยู่นี่เลยรู้สึกเหมือนโดนทดสอบความอดทนอยู่น่ะสิ…

แน่นอนว่าเขาก็เริ่มไม่ทนแล้วเหมือนกัน







วันต่อมา

"...คุณหมอทำงี้ได้ไง" ลาซารัสยืนมองยางรถที่แบนจนไม่น่าจะขับออกไปไหนได้

คาเล็มที่เดินมาส่งยืนกอดอกพิงประตูโรงรถและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ที่ดูออกง่ายดายเหลือเกินว่าใครเป็นคนร้าย

"ฉันเปล่า จูเลียตทำ" ตบด้วยการโบ้ยความผิดให้เจ้าวูล์ฟด็อกตัวใหญ่ที่เดินตามมาอย่างสงสัยว่าเจ้านายจะไปไหนกัน

"คุณหมอไม่ยอมทำกับผมก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมต้องห้ามผมด้วย..." ลาซารัสเริ่มอยากร้องไห้ รู้สึกเหมือนโดนควบคุมไปหมดทุกอย่างยังไงไม่รู้ "ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าแต่ผมก็แค่อยากลองสักครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้นเอง"

"ไม่รักไม่เป็นห่วงฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้กับนายหรอก" พอเห็นลาซารัสอึดอัดจนเป็นแบบนี้ก็เริ่มใจอ่อนอีกครั้ง ทว่า...อ่อนให้มากไปก็คงจะไม่ดีต่อตัวเขาและสวัสดิภาพประตูหลังแน่ๆ คาเล็มหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปปลอบอีกฝ่าย “แต่ถ้ายังอยากจะไปเดี๋ยวฉันจะขอให้ริชาร์ดไปเป็นเพื่อน”

"งั้นเดี๋ยวผมคุยกับคุณริชาร์ดเอง"

โอเมก้าหนุ่มมุ่ยหน้าใส่คุณหมอแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อส่งข้อความไปหาซีอีโออัลฟ่า และเอ่ยความในใจจริงๆ ออกมา "...ใจจริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากทำกับคนอื่นเหมือนกัน..."

"....." ชักเริ่มรู้สึกผิดที่เสนอไปแบบนั้น ทั้งที่เอาจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากให้คนรักออกไปลองของที่ไหน ถึงจะขออนุญาตยังไงแต่มันก็เหมือนการนอกใจกลายๆ อยู่ดี

"ผมรักคุณหมอ แต่ถ้าคุณหมอไม่ชอบผมก็ต้องไปเรียนรู้เองที่อื่น ผม...ไม่อยากฝืนใจคุณหมอ แต่ผมก็…" ลาซารัสบ่นอุบอิบพอให้คาเล็มได้ยิน สองมือที่กำลังพิมพ์ข้อความหยุดลงและเจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ผมก็แค่อยากเป็นคนมอบความสุขกลับบ้าง ไม่ใช่เป็นฝ่ายได้รับอยู่คนเดียว”

จะอยากรู้อยากลองอะไรขนาดนั้นพ่อคุณ….

"...ผมก็รู้ดีว่าไม่ควรจะคิดมากกับเรื่องแค่นี้" ท่าทางลาซารัสเริ่มสับสน "จริงๆ ผมไม่ควรไปมีอะไรกับใครและ...ผมไม่ควรกดดันคุณหมอแบบนี้...แต่ว่า...แต่ว่า...อ๊าาาา"

คาเล็มเห็นคนกำลังตบตีกับสองขั้วความคิด...

"ผมต้องอดทน ...คุณหมอครับ ผมจะทำยังไงดี เหมือนมีเทวดากับปิศาจทะเลาะกันในหัวผมเลย! "

"ให้ฉันผ่าสมองนายดูมั้ย? "

"อ่ะ...ม..ไม่ครับ" อีกฝ่ายกลับมาตั้งสติอีกครั้ง นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ลาซารัสกลัวคำขู่ของคาเล็มเอามากๆ ร่างโปร่งเดินออกจากโรงรถตามคาเล็มที่หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป

หลังทานอาหารมื้อเย็น ลาซารัสก็ยังมาป้วนเปี้ยนกวนใจคุณหมอที่สิงอยู่ในห้องทำงาน

"...ถ้าหากอายุมากขึ้นร่างกายจะเริ่มแข็งแรงน้อยลงใช่มั้ยครับ? "

"อืม.. ร่างกายคนเรามันก็เสื่อมสภาพลงไปทุกวันๆ กับอัลฟ่าก็ไม่มีข้อยกเว้นหรอก"

"งั้น...ผมจะรอวันที่ผมสามารถเป็นฝ่ายอยู่เหนือคุณหมอได้ครับ! "

คุณหมอรอสเกรย์กุมขมับให้กับความดันทุรังนั้น

"ตกลงว่านายเป็นโอเมก้าจริงๆ ใช่มั้ยฟะ! " คุณหมออัลฟ่าเริ่มรู้สึกอยากจับลาซารัสไปตรวจร่างกายใหม่ตั้งแต่ต้นเผื่อว่าจะเจออะไรแปลกๆ ที่โรงพยาบาลอาจจะมองข้ามไป

"ใช่สิครับ! แต่ผมก็ยังเป็นผู้ชายนะ อยากมีมาดเข้มสุดเท่ที่ดูแล้วน่าหลงใหลมั่ง...ไม่ใช่น่าเอ็นดู" โอเมก้าหนุ่มน้ำตาตกใน ที่ผ่านมามีแต่คนพากันหยอกเย้าแกล้งแหย่เขาด้วยความเอ็นดู ขนาดพวกเมดสาวๆ ที่บ้านของริชาร์ดยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นคุณน้องชายที่น่ารักของพวกเธอเลย

"อยากลองเป็นผัวดูว่างั้น" คาเล็มเริ่มหยาบคายไม่อายคนน้อยใจข้างๆ

"ใช่ครับ! " ซึ่ง...ด้านมาก็ด้านตอบไม่โกง

"หึ...รอฉันตายก่อน นายค่อยไปหาคนอื่นมาทำเมียแล้วกัน" ยิ้มเย้ยอย่างเหนือกว่าราวกับว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางจะเป็นนักล่าที่เหนือกว่าตนได้อย่างแน่นอน

แต่คำพูดนั้นกลับทำเอาลาซารัสหน้าซีดลง

"...ค...คุณหมอห้ามตายนะ" พอหายช็อกแล้วร่างโปร่งก็เดินมาเกาะ

ทำไมอารมณ์เปลี่ยนไวขนาดนี้เล่า…

“ม...ไม่พูดแล้วๆ”

"เอาแบบนี้มั้ยครับ ถ้าคุณหมอไม่อยากโดนผมทำ...คุณหมอใช้ของเล่นก็ได้นะ ผมอยากเห็นสีหน้าคุณหมอตอนที่กำลังเล่นเสียวอ่ะครับ”

คาเล็มเริ่มอยากตรวจเช็คสมองของลาซารัสขึ้นมาแล้ว ทำไมเด็กน้อยที่เคยว่านอนสอนง่ายคนนี้ดูจะซาดิสต์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สงสัยต่อจากนี้ไปเขาต้องงดใช้ของเล่นด้วยแล้วกระมัง? หรือว่า...เป็นเพราะเขาเองนี่แหละที่ชอบเล่นพิเรนทร์บ่อยๆ จนอีกฝ่ายเก็บกดอยากเอาคืน...พอคิดแบบนั้นแล้วก็ยกมือปิดหน้า ตะโกนลั่นในใจอย่างเกรี้ยวกราดว่า ใครก็ได้เอาลาซัสใสๆ คนเดิมกลับมาที!

"....แต่ถ้าผมทำไปแล้วเกิดคุณหมอเกลียดผมขึ้นมา...ผมก็ไม่อยากทำหรอก" พอเห็นอีกคนหลบตาเขาด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มสุดฤทธิ์ลาซารัสก็ก้มหน้าลง "ต่อให้คุณหมอจะไม่มีแรงสู้ผมแล้วก็เถอะ"

"...นายว่าใครหมดแรงสู้? " ได้ยินแบบนั้นคาเล็มก็หันหน้ามาจ้องเขม็ง "ให้รออีกสิบปีนายก็ยังกดฉันไม่ได้หรอก"

"นั่นสินะ..." ลาซารัสถอนหายใจแล้วทำหน้าปลง "ผมคงต้องไปเกิดใหม่แล้วก็อธิษฐานด้วยว่าขอให้พระเจ้าอย่าส่งผมมาเกิดเป็นโอเมก้าอีกเลย"

...แปลว่าชาติหน้านายคงไม่อยากเกิดมาคู่กับฉันแล้วสินะ?

คาเล็มเดินมาโอบไหล่อีกฝ่าย ซึ่งยังคงงอนหน้ามุ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ เห็นแบบนั้นเขาก็อยากจะเบนความสนใจไปเรื่องอื่นให้บรรยากาศมันดีขึ้นมาบ้าง ทว่ากลับนึกอะไรไม่ออกเลยนอกจาก...

"อยากกินพุดดิ้ง ทำให้กินที"

“คุณหมอกินบ่อยเกินไปแล้วนะครับ!”







ในเวลาต่อมา ลาซารัสก็เลิกงอแงเรื่องที่อยากจะออกไปล่าเหยื่อแล้ว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวทำท่าปลงแล้วทุกสิ่งในชีวิตจนออกนอกหน้า ซ้ำร้ายยังอิดออดไม่ยอมทำการบ้านกับคาเล็มสักเท่าไหร่…แบบนี้มันประท้วงกันทางอ้อมชัดๆ!

“คุณหมอครับ เอาอาหารว่างมาให้...เอ๋?” ลาซารัสเอากาแฟและขนมยามบ่ายมาเสิร์ฟให้อัลฟ่าคนรักที่ชอบทำงานลืมวันลืมคืนภายในห้องทำงาน แต่กลับไม่พบคนที่ตามหา เขาจึงค่อยๆ เดินกลับออกมาและตรงไปที่ห้องนอนของคุณหมอแทน

ก็อก ก็อก…

เสียงเคาะดังสะท้อนในความเงียบของบ้านเวลาบ่ายแก่ๆ ปกติเรนเดลจะเป็นคนเอาของว่างมาให้ แต่วันนี้คุณพ่อบ้านกำลังคุมช่างตัดต้นไม้ให้ตัดแต่งรั้วไม้เลื้อยที่เริ่มรกอยู่ด้านนอกบ้าน เมื่อไม่มีเสียงตอบรับลาซารัสก็ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป จะว่าเสียมารยาทก็ใช่ แต่เขาก็อยากจะดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับอยู่หรือเปล่า

“...ฟี้..” เสียงกรนเบาๆ ของคาเล็มบอกให้รู้ว่าคุณหมอสลบคาเตียงไปแล้ว ร่างสูงนอนเอกเขนกหลับอยู่บนเตียงทั้งที่ยังมีกองเอกสารวางระเกะระกะเต็มไปหมด

“เฮ้อ…” โอเมก้าหนุ่มเดินเข้ามาและวางถาดขนมกับกาแฟไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะก้มลงเก็บแผ่นกระดาษทั้งหมดมารวมๆ กันไว้ไม่ให้ห้องมันรกมากนัก

เมื่อเก็บทุกอย่างที่กระจัดกระจายให้ห้องดูสะอาดตาขึ้นมาบ้าง จู่ๆ คาเล็มก็ส่งเสียงงึมงำแล้วขยับตัวเล็กน้อย ลาซารัสหยุดมองเพราะเกรงว่าจะทำอีกฝ่ายตื่น ปกติคุณหมอไม่ค่อยจะนอนตรงเวลาสักเท่าไหร่ พอเห็นอีกฝ่ายได้พักบ้างเขาก็ไม่อยากจะรบกวน

ร่างโปร่งเผลอมองคาเล็มที่นอนหลับบนเตียงอยู่นาน ความคิดแย่ๆ เริ่มเข้าครอบงำจนตัวเขาค่อยๆ ขยับตัวขึ้นไปคร่อมร่างอีกฝ่ายบนเตียงไว้…ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคุณหมอในมุมมองนี้ แต่นั่นมันกรณีที่เขาอยู่ในท่าออนท็อปนี่นา…

ถ้าหาก...คนคนนี้เป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างบ้างจะทำหน้ายังไงนะ?

“อือ..” พอคิดเรื่องสัปดนแบบนั้น จู่ๆ คาเล็มก็ส่งเสียงในลำคอตอบเหมือนอ่านความคิดเขาได้ ลาซารัสกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งและลองก้มลงไปซุกกับซอกคอคาเล็มช้าๆ อย่างเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่น เขาอ้าปากกัดเบาๆ ค่อยๆ เพิ่มแรงขึ้นทีละนิด เหมือนจะลองเลียนแบบตอนที่คาเล็มกัดตีตราเขาเมื่อครั้งโน้น ซึ่งก็ไม่กล้าจะงับลงไปจริงๆ อยู่ดี ไม่งั้นมีหวังคุณหมอตื่นขึ้นมาแหงเลย…

ทำอะไรอยู่เนี่ย? ...

ยางอายกลับมาช่วยดึงสติ ร่างโปร่งลุกออกจากตัวคนหลับและย่องออกจากห้องไปเงียบๆ เมื่อประตูปิดสนิท ลาซารัสก็รีบแจ้นกลับห้องอย่างเร็วราวกับกลัวว่าคาเล็มจะรู้แล้ววิ่งตามมา โอเมก้าหนุ่มพุ่งเข้าห้องตัวเองไปและล็อกกลอนทรุดนั่งพิงประตูทันที สองมือยกขึ้นปิดใบหน้าแดงซ่านพลางกรีดร้องอย่างไร้เสียงเหมือนคนบ้า

“ฮืออออ คุณหมอน่ารักชะมัดเลยยย!!”

อีกด้าน...คาเล็มที่โดนทิ้งให้นอนอยู่คนเดียวในห้องตามเดิมก็ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดใบหน้าตัวเองที่เริ่มออกสีจนถึงใบหู

“นี่ยอมให้สุดๆ แล้วนะ...” เขาอุตส่าห์แกล้งหลับและเก็บอาการสุดชีวิตเผื่อว่าคนรักจะได้ลองทำอะไรๆ ให้สมใจอยากแล้วเลิกหมกมุ่นเสียที แต่ทางนั้นกลับไม่กล้าลงมือซะเอง และ...แม้ว่าทั้งคู่จะฉีดน้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมนไว้ก็ตาม แต่ระยะขนาดนั้นก็ไม่มีทางจะไม่ได้กลิ่นหอมจางๆ จากตัวของกันและกันแน่นอน “...ไอ้เด็กบ้านี่..”

“ฮือ.. ฮีทซะแล้ว…”

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 24-07-2018 02:35:48


“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณแมทเวย์?”

“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร”

ลาซารัสตอบคำถามของคุณพ่อบ้านขณะที่กำลังจับเหล่าแก๊งขนฟูมาอาบน้ำทีละตัวด้วยสีหน้าเหม่อลอยจนเรนเดลต้องเอ่ยถามพลางเป่าขนให้ตัวที่อาบเสร็จไปแล้ว โอเมก้าหนุ่มดูไม่ค่อยร่าเริงเป็นปกติเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทำอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่อุตริคิดจะจับเจ้าก้อนขนพวกนี้มาขัดสีฉวีวรรณกะทันหันแบบนี้หรอก

“...กำลังหาอะไรทำเพื่อให้ลืมเรื่องที่คิดอยู่รึเปล่าครับ?” ถึงจะไม่รู้ว่าคนรักของเจ้านายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ทว่าช่วงสองสามวันมานี้เขาก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะหมกมุ่นกับอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ สัญชาตญาณของผู้ผ่านโลกมาเยอะกว่าทำให้เรนเดลพอจะจับเค้าลางอะไรได้ “อยากมีลูกแล้วเหรอครับ?”

“ไม่ใช่ครับ!” ลาซารัสแผดเสียง ใบหน้ามนแอบขึ้นสีแดงเรื่อเพราะโดนคาดเดาไปคนละทิศทางกับเรื่องที่อยู่ในหัวของเขา “...คุณเรนเดลครับ คุณหมอมีจุดอ่อนอะไรรึเปล่า?”

“หือ? จุดอ่อน?”

“แบบว่า…ถ้าพูดออกไปหรือทำอะไรให้แล้วคุณหมอเค้าจะต้องไม่ปฏิเสธแน่นอนน่ะครับ” แววตาเอาจริงเอาจังของคนถามทำเอาเรนเดลเลิกคิ้วประหลาดใจ มีอะไรที่นายน้อยของตนจะปฎิเสธคนรักของตัวเองด้วยหรือ?

“กระผมนึกไม่ออกหรอกครับ แต่ขอแนะนำว่าอย่าเอาน้ำราดใส่หน้าดอลลี่จะดีกว่า”

โอเมก้าหนุ่มสะดุ้งและก้มลงมองสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนตัวน้อยที่ดิ้นพล่านเพราะโดนอุ้มจนหัวเข้าไปใกล้กับสายน้ำจากก็อกที่เปิดทิ้งไว้เสียหน้าเปียกชุ่ม

“ว้ากก! ขอโทษๆ!” เขาจับเจ้าตัวเล็กออกมาแต่ท่าทางจะช้าไปนิด ดอลลี่ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้แล้ว เรนเดลถอนหายใจโล่งอกที่สัตว์เลี้ยงไม่จมน้ำตายก่อนวัยอันควร

พ่อบ้านสูงวัยแอบเห็นบางอย่างอยู่ที่หางตาจึงหันไปทางด้านในของบ้าน นายน้อยของเขานั่นเองที่กำลังแอบมองออกมาจากในห้องนั่งเล่น ทั้งๆ ที่ปกติก็ไม่ได้สนใจเวลาพวกเขาดูแลพวกขนฟูเท่าไหร่ หรือถ้าอยากจะร่วมวงด้วยก็คงจะเดินมาหาแล้ว ทำไมวันนี้นายน้อยเหมือนไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้กันนะ?

เรนเดลแอบเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ลาซารัสเพื่อกระซิบกับอีกฝ่าย “นายน้อยแอบมองอยู่น่ะครับ”

“หือ?” ได้ยินดังนั้นลาซารัสจึงเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปรอบๆ และเห็นคาเล็มที่รีบเดินหลบเข้าไปในบ้านได้ทันก่อนที่จะลับสายตาไป

“ทะเลาะกับนายน้อยเหรอครับ?”

“เอ๋...ไม่นะครับ ผมไม่ได้ทะเลาะกับคุณหมอ” เขาก็แค่...งอนนิดหน่อยเท่านั้นเอง...คิดว่านะ

“งั้นก็ดีแล้วครับ”

“ทำไมคุณหมอต้องหลบหน้าด้วยนะ?” เท่านั้นเองโอเมก้าหนุ่มก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคาเล็มอาจจะรู้ตัวเมื่อตอนที่เขาแอบลักหลับก็ได้! “คุณเรนเดลครับ ฝากอาบให้บ็อบต่อทีนะครับ!”

เมื่อฝากฝังเสร็จลาซารัสก็วางดอลลี่ที่ตัวสั่นเพราะหนาวลงตรงหน้าเรนเดลให้จัดการเช็ดตัวสุนัขตัวน้อยที่ตอนนี้ขนลีบไปหมดแลดูน่าสงสาร และก็ยังโชคดีที่เหลือแค่ชิวาว่าตัวน้อยชื่อบ็อบแค่ตัวเดียว ไม่งั้นเรนเดลเองก็นึกภาพตัวเองจับพวกพันธุ์ใหญ่อาบน้ำไม่ออกจริงๆ

ลาซารัสก้าวเท้าว่องไวตามทิศทางที่คาเล็มหลบหน้าเขาไป จะห้องนั่งเล่นหรือห้องครัวก็ไม่อยู่ ห้องสมุดห้องเอกสารก็คงจะไม่…ร่างโปร่งจึงเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองและตรงไปห้องทำงานของเจ้าของบ้านทันที ภาพตรงหน้าคือคาเล็มกำลังแสร้งนั่งทำงานตัวแข็งทื่อผิดธรรมชาติดูน่าขำจนเขาต้องกลั้นหัวเราะไว้

“คุณหมอแอบดูผมทำไมครับ?”

“เปล่านี่ นายคิดไปเอง” คนถูกถามตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มันก็ปิดไม่อยู่เพราะเขาเพิ่งจะรีบจ้ำเท้าขึ้นมา ด้วยอายุปูนนี้มันก็ทำเอาหอบไปเล็กน้อย

เห็นคนปากแข็งไม่ยอมรับ ลาซารัสก็ถอนหายใจอย่างเอ็นดูอีกฝ่ายและเริ่มยิงคำถามที่ค้างคาใจตัวเองออกไป “เมื่อกี้น่ะคุณหมอตื่นอยู่ใช่มั้ยครับ?”

พูดไปก็แอบอายตัวเองเสียเหลือเกิน

“....ใช่” คาเล็มรู้แล้วว่าหนีไม่รอดก็ยอมจำนนแต่โดยดี “เปิดทางให้ขนาดนั้นแล้วยังไม่กล้าอีก แบบนี้ยังริจะมาเป็นผู้ล่า?”

"ถ้าคุณหมอไม่พูดว่าเต็มใจผมก็ไม่อยากหรอกนะครับ" โอเมก้าหนุ่มมุ่ยหน้าแม้อีกคนจะไม่หันมามอง

ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้นะหนูน้อยเอ๊ย คาเล็มยกสองมือขึ้นนวดขมับเพราะปวดเศียรเวียนเกล้ากับความซื่อตรงกับความดันทุรังของลาซารัส ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายนิสัยยังไง แต่ไม่ต้องเป็นแบบนี้กับทุกเรื่องจะได้มั้ย!

"แล้ว...ผมอยากเห็นหน้าคุณหมอตอนที่รู้สึกตัวด้วยครับ ถ้าคุณหมอแกล้งหลับอยู่แบบนั้นมันก็ไม่เห็นน่ะสิ! "

เอ็งไม่รู้เหรอว่านี่ก็ยอมสุดชีวิตแล้ว!

อัลฟ่าเจ้าของบ้านแลดูจะกลุ้มใจจนฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ อยากจะเอาหัวโขกมันซะให้รู้แล้วรอด แต่ทำแบบนั้นเกิดสมองพังขึ้นมาเรื่องงานจะทำยังไง? เขาทำได้เพียงแค่คิดและสบถทุกอย่างในใจ ตอนนี้ดูท่าทางพูดอะไรไปลาซารัสก็คงไม่ฟัง เป็ดน้อยของเขาดูเอาแต่ใจขึ้นรึเปล่า?

“...ถึงอย่างนั้นนายก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไงอยู่ดีแหละ”

ลาซารัสยิ้มกริ่มแล้วเดินมาเปิดมือถือใส่หน้าคาเล็มอย่างภาคภูมิใจราวกับลูกน้อยเอาผลสอบระดับท็อปชั้นปีมาโชว์คุณพ่อ ท่าทางจะไปศึกษาทุกอย่างมาหมดแล้ว

“ผมหาในเน็ตและถามคุณคาร์เมนมาแล้วว่าต้องทำแบบไหนยังไง…แต่ก็แค่ทฤษฎีน่ะครับ เหลือแค่ปฏิบัติ!”

"เอาเถอะ...โดนของนายไปมันก็คงไม่เจ็บเท่าไหร่มั้ง" ในที่สุดคาเล็มก็ยอมพูดออกมาด้วยเสียงบางเบา ยอมแพ้ต่อความมุมานะอย่างผิดๆ ของอีกคน ลาซารัสที่ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าลิงโลดโคตรมีความสุขน่าหมั่นไส้แม้จะแอบโดนดูถูกเรื่องขนาดน้องชายเบาๆ

"ผมจะเบามือสุดๆ เลยครับ! " โอเมก้าหนุ่มตาเป็นประกายและวิ่งเข้ามากอดอีกฝ่ายเต็มรัก "ผมจะทำให้คุณหมอมีความสุขเอง! "

คุณหมอเถียงอยู่ภายในใจด้วยเสียงอันดังลั่นว่า แกทำอย่างอื่นก็ด๊ายยยย…

ถึงจะเห็นว่าอีกฝ่ายดูดีใจขนาดไหนแต่เขาก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเลย ซ้ำยังคิดว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดแน่ๆ แล้ว "ท้องผูกยังเจ็บแทบตาย ไอ้นั่นมันจะไม่เจ็บได้ยังไง"

"...ก็คิดซะว่าให้ผมเอาคืนตอนที่คุณหมอกระแทกเข้ามาครั้งแรกละกัน ตอนนั้นผมยังไม่ได้ตั้งตัวเลย" ลาซัสพูดให้นึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่บังคับขืนใจคาเล็มครั้งนั้น…

อา…จะว่าไปครั้งนี้ก็บังคับขืนใจอยู่กลายๆ นี่หว่า...

"นี่ตกลงว่าจะแก้แค้นกันใช่มั้ยไอ้เด็กเวร! " คาเล็มชักจะหัวร้อน แต่เขาก็ขี้เกียจจะดิ้นให้หลุดจากวงแขนของอีกฝ่ายที่ดูพยายามจะกอดเขาไว้ให้รอบ

"แต่ผมก็อยากให้คุณหมอรู้สึกมีความสุขสุดๆ จริงๆ นะครับ ถึงผมจะไม่เก่งแต่ผมก็คงจะทำได้ดีในสักวัน"

"สรุป...นายก็ไม่ได้คิดจะทำแค่ครั้งเดียวนี่! "

“อ้าว? ก็ถ้าเกิดครั้งแรกผมทำได้ไม่ดีก็ต้องขอแก้ตัวสิครับ ขนาดตอนฝึกทำขนมยังต้องลองชิมของที่ทำพลาดตั้งไม่รู้กี่ครั้งถึงจะออกมาดีจนกินได้นะ”

“เซ็กซ์มันไม่เหมือนการทำขนมนะเฟ้ย!”

“ขะ...ขอโทษครับ ผมก็แค่จะเปรียบเทียบดู”

“.....” คุณหมออัลฟ่าเครียดจนผมหงอก (?) ขืนปล่อยให้โอเมก้าของตนลองผิดลองถูกด้วยตัวเองมีหวังสะโพกกับประตูหลังของเขาเองนี่แหละที่จะพังเสียก่อน แบบนั้นคงลุกขึ้นมาใช้การใช้งานอีกไม่ได้แน่

ครืดดด...ครืด....

เสมือนท้องฟ้ากลั่นแกล้งหรือไรไม่ทราบ โทรศัพท์ของคาเล็มดังขึ้น ก่อนจะหยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรมา และก็แจ๊คพ็อตเพราะว่าน้องชายแสนประเสริฐบอกว่าจะพาโอเมก้าตัวน้อยเปิดโลกกว้างเอง ได้ยินดังนั้นแล้วคุณหมอจึง...บล็อคเบอร์น้องชายในทันที

ขืนให้เจ้าคาร์เมนเป็นติวเตอร์ตัวต่อตัว อย่าว่าแต่ลาซารัสจะได้เห็นมิติใหม่เลย อาจจะติดใจจนไม่อยากกลับมาเป็นฝ่ายรับอีกเลยก็ได้!

“ใครโทรมาเหรอครับคุณหมอ?”

“...คาร์เมนน่ะ ว่าแต่นายช่วยปล่อยฉันก่อนได้ไหม?”

“อ่ะ ครับ” ร่างโปร่งปล่อยให้ร่างสูงเป็นอิสระ แม้จะยังอยากกอดอีกสักนิดก็ตาม

“คืนนี้หลังจากเรนเดลเข้านอนไปแล้ว นายมาหาฉันที่ห้องด้วย”

“เอ๊ะ? ...หมายความว่า…” ใบหน้ามนจ้องดวงตาสองสีด้วยสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด

“เออ...ฉันจะสอนนายเองว่านักล่าเค้ากินกันยังไง”

ในหัวสมองสุดจีเนียสของคุณหมอรอสเกรย์กำลังคิดวางแผนเพื่อจะทำให้โอเมก้าในครอบครองล้มเลิกความคิดหรือหมดความมั่นใจในการเป็นฝ่ายรุก เพื่อการนั้นแล้วคงต้องยอมลงทุนเสี่ยงดวงกันหน่อยล่ะ


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 24-07-2018 02:37:36
ตกดึก ลาซารัสเดินออกมาจากห้องหลังจากที่มั่นใจว่าเรนเดลหลับไปแล้ว เขาก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบไปเคาะประตูห้องคาเล็ม สักพักร่างสูงก็มาเปิดประตูให้เข้าไป โอเมก้าหนุ่มใจเต้นระส่ำทั้งที่ปกติพวกเขาก็ทำอะไรๆ ด้วยกันไปหลายครั้งแล้วแท้ๆ

“คือ…” ลาซารัสตื่นเต้นมากจนแทบจะเรียกว่าลนลาน สภาพแบบนี้น่ะนะจะมาเป็นนักล่า?

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไหนๆ จะลองแล้วก็ใจกล้าหน่อย” ร่างสูงเดินมาโอบอีกฝ่ายเข้าหาตัว ก่อนจะก้มลงบรรจงจูบให้ลาซารัสผ่อนคลายลงพร้อมๆ กับปลุกเร้าไปในตัว...แต่ทำไมเขาไม่รับรู้ถึงความผิดปกติทางร่างกายของโอเมก้าในอ้อมกอดเลย? ซ้ำร้าย ดูเหมือนจะเขาจะเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาเพราะกลิ่นฟีโรโมนจากตัวของลาซารัสซะเอง

“แหะๆ คุณคาร์เมนแนะนำมาน่ะ ว่าให้กินยาลดประสาทรับกลิ่นไว้” ลาซารัสยิ้มให้อีกฝ่ายที่เริ่มหน้าถอดสี

“ไอ้เด็กนี่…” คาเล็มสบถเพราะไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายเสียท่าให้เด็กน้อยซะเอง ร่างสูงโดนดันลงไปนอนราบกับเตียง เสื้อใส่นอนที่ติดกระดุมไว้เพียงไม่กี่เม็ดโดนลาซารัสปลดออกจนหมด ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกเพราะเขาเคยทำงานในร้านตัดเสื้อจะปลดจะติดกระดุมก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

“หน้าคุณหมอตอนมีอารมณ์ดูซ็กซี่ดีจัง ปกติผมไม่ได้สังเกตเลยครับ” ลาซารัสมองลงมาอย่างคลั่งไคล้ แม้ร่างกายจะเริ่มมีปฏิกิริยาแต่ไม่ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนตอนที่ได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่า

“ขี้โกงนี่”

“ก็นิดหนึ่งครับ ถ้าเล่นด้วยวิธีตรงๆ คุณหมอไม่มีทางยอมแน่ๆ คงจะหาวิธีพลิกกลับมาเป็นคนใส่เหมือนเดิมแหงเลย”

เจ้าคาร์เมนมันสอนอะไรลาซัสมากันวะเนี่ย!? คาเล็มพยายามจะดันตัวลุกขึ้นเพื่อหนีจากสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้า แต่คงลืมไปว่าจริงๆ แล้วเขาแทบจะสู้แรงลาซารัสที่ไม่ได้ฮีทไม่ได้ด้วยซ้ำ

เสียท่าเจ้าเด็กนี่เข้าจนได้!

ลาซารัสก้มลงจูบบนซอกคออีกฝ่ายในขณะที่ช่วงล่างแทรกตัวอยู่ระหว่างขาของคาเล็มเพื่อกันไม่ให้คุณหมอถีบได้ สองมือของคนข้างล่างถูกจับตรึงไว้ด้วยมือที่อ่อนประสบการณ์ไว้บนเหนือศีรษะ นี่ก็เพื่อป้องกันหากคุณหมอของเขาสู้แรงกลับ เมื่อจับแขนไว้แบบนี้คาเล็มก็หมดสิทธิ์จะขัดขืนทั้งหมด เรียวลิ้นลากวนอยู่บนแผ่นอกที่กระเพื่อมไหวถี่จากแรงอารมณ์ ดูดเม้มและกัดเบาๆ ไปทั่ว

“อ่ะ..อย่าไปเล่นตรงนั้น!” คาเล็มผงกหัวขึ้นมามองลาซารัสที่กำลังใช้ลิ้นดูดดุนยอดอกเขาอย่างสนุกปาก

“ทำไมล่ะครับ ก็คุณหมอดูจะชอบให้ทำแบบนี้นี่” พูดแล้วก็กดปลายลิ้นลงบนตุ่มไตแข็งขืนลงไปพอให้ร่างสูงสะดุ้งไหว แม้ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาแต่แค่นี้ก็ทำให้โอเมก้าหนุ่มพึงพอใจ “น่ารักจังครับ”

“ถ้าจะทำก็ช่วยทำไปเงียบๆ หน่อยสิ!”

“อะไรเล่า ทีคุณหมอยังชอบแซวผมเลย”

“...อยากจะทำอะไรก็ทำไป” คาเล็มยอมแพ้ให้กับสปิริตผิดที่ผิดทาง แรงต้านตรงข้อมือหายไปทำให้ลาซารัสปล่อยมือทั้งสองเป็นอิสระแล้วเริ่มเลื่อนลงมาลูบไปทั่วตัวของคุณหมอ

“งั้นถ้าคุณหมออยากให้ทำอะไรก็บอกผมนะครับ” คำพูดกระซิบข้างหูพร้อมลมหายใจร้อนของเด็กน้อยที่กำลังอยากกินคนตรงหน้าเต็มที่ทำเอาสยิวกิ้วไปทั้งตัว ริมฝีปากไต่ไล่ไปตามแนวกรามที่เต็มไปด้วยเครา ลาซารัสลากปลายลิ้นผ่านลำตัวของคาเล็มลงไปจนถึงช่วงท้องน้อย ส่วนกลางคับแน่นนูนเด่นถูกรั้งไว้ด้วยกางเกงชั้นในสีเข้ม แต่ลาซารัสยังไม่ยอมโจมตีจุดอ่อนตรงๆ หรอกน่า!

“อึก...” คาเล็มเผลอส่งเสียงออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากจูบดูดเม้มไปทั่วหน้าท้องเลื่อนไปจนถึงต้นขาสลับกับมองขึ้นมาดูปฏิกิริยาของอัลฟ่าที่ตกเป็นเบี้ยล่างเป็นระยะ “อย่าจ้องนักสิ...”

“ก็ผมอยากเห็นหน้าคุณหมอนี่ ไม่ต้องอายหรอกนะครับ” รอยยิ้มแสนจริงใจชวนปวดหัวทำให้คาเล็มหลบสายตาไปทางอื่น

มือเรียวดึงกางเกงชั้นในอีกฝ่ายลงและถอดมันออกไปให้พ้นๆ ก่อนจะจรดริมฝีปากบนลำท่อนแข็งขืนและเริ่มปรนเปรอมันด้วยลิ้นร้อนกับโพรงปากอุ่นชื้น คาร์เมนให้เทคนิคมาเล็กน้อยเรื่องส่วนหัวและจุดอ่อนไหวเล็กๆ ระหว่างลูกบอลทั้งสองกับช่องทางด้านหลัง มือหนึ่งจับประคองให้ความเป็นชายของคาเล็มอยู่ในมุมที่เขาใช้ปากอมได้สะดวก ส่วนอีกมือไต่นิ้วลงไปหาจุดที่ว่าซึ่งเริ่มนูนบวมออกมาเล็กน้อย

“อ่ะ! อา...” ร่างสูงเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ตั้งใจ เรียวลิ้นของลาซารัสกดจี้ลงบนส่วนหัวเบาๆ เป็นจังหวะกับมือที่รูดรั้งแก่นกายสลับกับใช้ปากครอบครองมันลงไปถึงเพียงบริเวณคอหยัก

‘จะไทป์ไหนก็เหมือนๆ กัน ขอแค่เป็นผู้ชายใครๆ ก็ดิ้นพล่านเมื่อเจอแบบนี้ได้ทั้งนั้นแหละ’

มืออีกข้างที่ว่างอยู่กดไปบนจุดเพอริเนียมที่ถูกบอกมา คนที่โดนกึ่งบังคับจับสลับตำแหน่งตอนนี้กลับโอนอ่อนตามทุกการปลุกเร้า มือหนาเลื่อนลงมาจิกเรือนผมสีน้ำตาลเข้มราวกับหาที่ระบายความรู้สึกวาบหวามนี้

แต่ถ้าแค่นี้ก็ไม่ต่างจากปกติที่พวกเขาทำๆ กันน่ะสิ

“อ๊ะ! อึ่ก! ทำอะไร!!?” คาเล็มสะดุ้งแล้วดันตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองการกระทำของอีกฝ่าย ลาซารัสใช้นิ้วทั้งสองดันเข้าไปในช่องทางคับแคบที่แทบไม่เคยโดนรุกล้ำมาก่อน

“ก็ต้องลองดูน่ะครับ เปิดทางไว้ตอนนี้คุณหมอจะได้ไม่เจ็บมากไง”

“ยะ...อย่างไหนก็เจ็บเหมือนๆ ...อ๊ะ!” จะห้ามอะไรก็คงไม่ฟังแล้ว ร่างโปร่งกดนิ้วเข้าไปเรื่อยๆ และควานไปทั่วอย่างช้าๆ โดยใช้จังหวะของมือที่ขยับปรนเปรอส่วนหน้าเป็นตัวกำหนด

“สุดยอดเลย คุณหมอเซ็กซี่สุดๆ ไปเลยครับ” ภาพตรงหน้าแสนรื่นรมย์เสียเหลือเกิน ใบหน้าแดงซ่านของคาเล็มกับร่างกายที่บิดเร้าเพราะการกระตุ้นทั้งหน้าและหลังพร้อมๆ กัน เขาแอบหยอกด้วยการจี้ปลายลิ้นลงบนส่วนหัวที่ปริ่มด้วยหยาดน้ำใสแล้วยิ่งทำให้คาเล็มแทบคลั่ง “อา...ผมชักอยากเห็นสีหน้าน่ารักๆ ของคุณหมอมากกว่านี้แล้วล่ะ”

“ลาซัส…?” นิ้วที่เพิ่งจะเบิกทางได้ครู่เดียวถูกถอนออก คาเล็มเริ่มหน้าซีดเมื่อเห็นว่าลาซารัสเปิดขวดเจลหล่อลื่นเทลงตรงช่องทางที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ร่วมรักของตน “ด...เดี๋ยวสิ มันยัง…”

“คุณหมอ...ขอผมฟังเสียงคุณหมอหน่อยน้าาา” ลาซารัสจับขาของอัลฟ่ามากวัยกว่าแยกออกแล้วแทรกความเป็นชายของตนเข้าไปช้าๆ

“อ๊า! อึกก!! ลา..ซัส.. อย่าเพิ่ง!” คาเล็มยันร่างอีกฝ่ายไว้ไม่ให้รุกล้ำได้มากกว่านี้ แค่เข้ามาเพียงนิดเดียวเขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ถึงขนาดของโอเมก้าจะไม่ได้ใหญ่เท่าพวกอัลฟ่าแต่อย่างไรเสียการเป็นคนถูกสอดใส่มันไม่มีทางที่จะไม่เจ็บหรอก!!

ลาซารัสเปลี่ยนมาคร่อมร่างคาเล็มไว้แล้วก้มลงไปแลกจูบร้อนแรงกับคุณหมอที่รัก เมื่อผ่อนคลายอารมณ์อีกคนลงได้ร่างโปร่งก็ค่อยๆ ดันท่อนเอ็นของตนเข้าไปทีละนิด แต่คาเล็มเกร็งเสียจนเขาขยับต่อไม่ได้

“คุณหมอไม่เกร็งสิครับ แบบนี้ผมขยับไม่ได้นะ”

“ลาซัส...ฉันจะตายอยู่แล้ว อ๊ะ! ช่วยหยุดที” เสียงทุ้มในโทนที่ไม่เคยได้ยินเอ่ยเสียงสั่น และไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเพราะดวงตาหลังกรอบแว่นมีน้ำตารื้นปริ่มจนคนที่เป็นฝ่ายกอดใจอ่อนยวบ ลาซารัสดึงแว่นกรอบสีเข้มออกก่อนจูบซับน้ำตาปลอบคุณหมอคนรัก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ถ้าคุณหมอยังเกร็งแบบนี้เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอาได้” มืออุ่นปัดผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายออก “นะครับคุณหมอคนดี ผมสัญญาแล้วไงว่าจะทำให้คุณหมอมีความสุขเอง”

“เออ...แต่หลังจากนี้ฉันจะเอาคืนเป็นสิบเท่าเลย คอยดูเถอะ...” คาเล็มเม้มปากแน่นจนน่าเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ ปรับอารมณ์ตัวเองให้โอนอ่อนตามเกมรักที่เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ช่องทางด้านหลังเริ่มผ่อนคลายไม่รัดแน่นเหมือนเมื่อครู่ ลาซารัสทั้งจูบ กอด คอยพูดปลอบโยนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสามารถกดท่อนเอ็นของตนเข้าไปได้จนมิด

“คุณหมอเก่งมากเลยครับ”

“อย่าพูดเหมือนปลอบเด็กๆ สิฟะ!”

“งั้น...ผมจะทำต่อแล้วนะ อย่าดื้ออีกนะครับ” ไม่ได้พูดขู่ แต่ลาซารัสเริ่มขยับสะโพกช้าๆ การสอดใส่สั้นๆ และเนิบนาบเพื่อให้คาเล็มได้ชินกับมันเริ่มเป็นผล อัลฟ่ามากวัยกว่าไม่มีทีท่าต่อต้านแล้ว ลาซารัสจึงเปลี่ยนมาคุกเข่าแล้วจับขาของอีกฝ่ายแยกออกเลียนแบบท่าทางเหมือนกับที่เขาเคยโดนมา “สบายๆ นะครับคุณหมอ”

“อึก...อ่ะ..!” ช่วงล่างเริ่มถูกเร่งจังหวะสอดใส่จนเขาเผลอส่งเสียงแปลกๆ ออกมา แต่คาเล็มก็เพียงแค่รู้สึกจุกและปวดหนึบตรงช่วงล่างเท่านั้น “ลาซัส! มัน..แปลก..”

“งั้นคุณหมอยกสะโพกขึ้นนิดหนึ่งนะครับ” พูดจบลาซารัสก็หันไปคว้าเอาหมอนที่อยู่ใกล้มือมารองสะโพกของคาเล็มไว้ ก่อนสองมือจะจับขาทั้งสองของคุณหมอแยกออกและยกขึ้นจนเข่าแทบจะโดนดันลงมาติดกับหน้าอก

เมื่อท่าทางเริ่มเข้าที่ การรุกล้ำก็ทวีความร้อนแรงขึ้น ขนาดที่เล็กตามมาตรฐานของโอเมก้าก็ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะจุดกระสันของร่างกายผู้ชายมันก็ไม่ได้อยู่ลึกสักเท่าไหร่

“อ๊ะ! ..อ่ะ!!” เสียงครางแหบพร่าของคาเล็มบ่งบอกให้ลาซารัสรับรู้ว่าเขาเจอจุดศูนย์รวมความวาบหวามที่ทำให้คนรักรู้สึกเสียวซ่านเข้าให้แล้ว

“คุณหมอ...ทำหน้าเซ็กซี่จัง” โอเมก้าที่กำลังทำตัวเป็นผู้ล่าเริ่มกระแทกย้ำๆ ตรงจุดที่ทำให้คาเล็มครางเสียงกระเส่าออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เหมือนทรมานปนเปกับความสุขสม ใบหน้ามนชื้นเหงื่อก้มลงกัดตรงซอกคอคล้ายกับว่ากำลังเลียนแบบการตีตราและพรมจูบไปทั่วบริเวณอย่างหลงใหล กลิ่นฟีโรโมนที่คราแรกไม่ค่อยจะรับรู้เพราะยาที่กินเข้าไป มันกลับชัดเจนเมื่อเขากดจมูกลงบนต้นคอของคาเล็ม “อา.. คุณหมอ...แน่นสุดยอด”

พออะไรๆ เข้าที่และการร่วมรักผิดตำแหน่งเริ่มไปได้ดี คาเล็มก็มีอารมณ์ร่วมเต็มที่ มือข้างหนึ่งยกขึ้นโอบคนรักไว้ให้ก้มมาจูบกับตน ส่วนอีกมือก็ลงไปสัมผัสปรนเปรอความเป็นชายของตัวเองไปด้วย

“อือ..” เสียงครางในลำคอส่งเสียงตอบรับทุกจังหวะการกระแทกที่แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญ แต่ก็โดนส่วนอ่อนไหวภายในเป็นระยะจนสร้างความหฤหรรษ์แปลกประหลาดแล่นไปทั่วร่าง

“อึก..คุณหมอ..”

“เรียกชื่อ...อ๊ะ! เรียกชื่อฉันสิ ลาซัส”

“คาเล็ม...” เสียงเรียกเย้ายวนเพราะแรงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงของโอเมก้าทำให้สติของคนฟังแทบเตลิด น้ำหล่อลื่นจากช่องทางร่วมรักของลาซารัสไหลเลอะออกมาเป็นทางจนถึงส่วนที่กำลังสอดใส่อยู่ ยิ่งทำให้เกมรักร้อนแรงนี้ดำเนินต่อได้ไม่มีสะดุด “คาเล็ม...ผม...รู้สึกดีมากๆ”

“อ๊ะ!! ฮ่ะ... อ๊า!” ร่างสูงสะดุ้งไหววูบเพราะลาซารัสก้มลงกอดร่างสั่นเทิ้มเขาไว้แน่น ท่อนเอ็นร้อนของอีกฝ่ายกระแทกกระทั้นรุนแรงเหมือนว่าลาซารัสกำลังจะถึงสวรรค์อยู่รำไร “อ่ะ! ลาซัส!! ช้ากว่านี้หน่อย!”

“อือ.. ม...ไม่เอา” คนรุกไล่เริ่มเอาแต่ใจ ริมฝีปากเผยอขึ้นดูดดุนตุ่มไตแข็งของคาเล็มเหมือนกำลังหาที่ระบาย ส่วนสะโพกกดกระแทกเข้ามามิดด้ามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเร่งเร้าอารมณ์คนรองรับให้ใกล้จะถึงที่หมายไปด้วยอีกคน “อา...คาเล็ม ผมขอเสร็จข้างในได้มั้ย?”

“หา!? ฮ่ะ! อึก.. ไม่..ไม่ได้! จะเอาออกยังไง!?” คาเล็มตั้งสติประท้วงอีกฝ่าย แต่ดูจะไม่เป็นผลเพราะลาซารัสดูจะไม่รับรู้คำพูดเขาแล้ว

“อ๊ะ! อ๊าา!!” เสียงครางหวานของโอเมก้าหนุ่มเปล่งออกมาพร้อมๆ กับร่างกายที่สะท้านเกร็ง น้ำรักข้นถูกสูบฉีดเข้าไปข้างในช่องทางร่วมรักที่ผิดธรรมชาติเสียลึกจากการกดลงไปจนมิด ร่างโปร่งหอบเหนื่อยทั้งที่ยังกอดคาเล็มไว้แน่น แต่จากสัมผัสก็รู้เลยว่าเครื่องเพศของโอเมก้าหนุ่มที่เพิ่งหัดล่ายังไม่ยอมสงบลงง่ายๆ

“ทำคู่นอนค้างแบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ” คาเล็มเอ่ยเรียกคนที่ยังไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรๆ ต่อ

“อ่ะ...คุณหมอยังไม่เสร็จเลยนี่นา” สติที่เหมือนเพิ่งจะกลับมาของโอเมก้าหนุ่มทำให้เขาได้สังเกตเห็นความอ่อนด้อยของตัวเอง “อา...ผมขอโทษครับ”

“หึ...ไม่เห็นจะเก่งเหมือนที่คุยไว้เลยนะ” คุณหมอยิ้มเยาะก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างลาซารัสไว้ โอเมก้าหนุ่มที่อารมณ์ยังคงคุกรุ่นอยู่ก็เตรียมตัวเตรียมใจรอรับชะตากรรมที่จะต้องโดนคาเล็มเอาคืนอย่างสาสม วันพรุ่งนี้เขาอาจจะลุกไม่ขึ้นก็ได้

“เอ๊ะ?” ทว่า...เขากลับประหลาดใจที่ท่วงท่าตอนนี้มันผิดกับที่เขาคิดเอาไว้

“ฉันบอกแล้วนี่ว่าจะสอนนายเอง” ตอนนี้คาเล็มที่กำลังคร่อมตัวเขานั้นกลับจับเอาท่อนเอ็นอุ่นที่ชุ่มด้วยน้ำสีขาวขุ่นของโอเมก้าหนุ่มให้มาจ่ออยู่ที่ช่องทางด้านหลังของตนที่มีน้ำรักไหลเยิ้มออกมาเล็กน้อย

“อึ่ก…” ลาซารัสเผลอกลืนน้ำลายลงคอกับภาพวาบหวามที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสได้เห็นจากคุณหมอที่รักมาอยู่ข้างบนตัวเขาในตำแหน่งนี้ “ระ รบกวนช่วยสั่งสอนผมด้วยครับ!”

“...ไอ้เด็กโรคจิตนี่” ถึงเขาจะไม่มีสิทธิ์ว่าคนใต้ร่างก็เถอะ นี่ติดนิสัยจากเขามารึไงกันนะ? “อยู่เฉยๆ อย่าทำอะไรพิเรนทร์ท์จนกว่าฉันจะสั่งนะ”

ด้วยคำพูดของคุณหมออัลฟ่าสุดที่รัก ลาซารัสก็เลยไม่กล้าขัดคำสั่งนั้น เขาเพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยให้ท่วงท่าของตนเข้าที่เข้าทางแล้วจ้องมองดูคาเล็มกำลังขยับขึ้นลงอยู่บนกายของเขา ก่อนที่มือของร่างสูงจะเชยปลายคางของเขาให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

“ไหนบอกว่าอยากดูหน้าฉันไง แล้วมัวมองอะไรอยู่ได้ เจ้าเด็กลามก” สะโพกหนาแกล้งกระแทกลงมาแรงพอให้ร่างโปร่งด้านใต้จุกจนต้องร้องโอดโอยไปทีหนึ่ง

“ขะ...ขอโทษครับ จะตั้งใจมองแล้วครับ” แม้จะทรมานกับการลงโทษของคุณหมอแต่เขาก็ยังรู้สึกดีมากๆ แต่จู่ๆ คาเล็มก็หยุดขยับเอาเสียดื้อๆ ลาซารัสก็เลยอารมณ์ค้างไปด้วย “คุณหมอ?”

“ลาซัส นั่นอะไร?” ดวงตาคมที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างหลังตุ๊กตาหมาใส่แว่นที่พวกเพื่อนนักดนตรีซื้อให้เป็นของขวัญโอเมก้าหนุ่มมันมีวัตถุสีดำรูปร่างคุ้นๆ วางอยู่ พอยื่นมือไปคว้ามาดูถึงได้เห็นว่าเป็นกล้องถ่ายวีดีโอของเขานั่นเอง แถมกดปุ่มทำงานทิ้งไว้ด้วย! “นี่แอบอัดเอาไว้ดูด้วยเหรอไอ้เด็กเวร!?”

“ม่ายยย! อย่าลบนะครับ ผมอยากเก็บเอาไว้ดูวันหลังอีกอ่ะคุณหมอ!” ทั้งคู่ต่างยื้อแย่งกล้องวีดีโอกันอยู่อย่างนั้น วงแขนของร่างโปร่งเลยรวบเอาตัวคนอยู่ข้างบนลงมาเกลือกกลิ้งบนเตียงเพื่อแย่งคืน “ทีคุณโนเอลยังแอบถ่ายคุณหมอได้เลย ขอให้ผมถ่ายเก็บเอาไว้บ้างสิ”

“นายรู้ได้ยังไงว่าโนเอลเคยแอบถ่ายฉันมาก่อน?” เสียงดุถามอย่างจ้องจับผิด ทำเอาคนโดนจับได้หน้าเจื่อน “ไปเห็นไอ้นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็...ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งมาอยู่บ้านหลังนี้ใหม่ๆ เลยครับ” โอเมก้าหนุ่มรับสารภาพเพราะรู้สึกผิดขึ้นมาที่ไปแอบดูโดยไม่ได้ขออนุญาต “ตะ แต่ผมไม่ได้ดูวีดีโอนั่นจนจบนะครับ สาบานเลยก็ได้!”

คาเล็มถอนหายใจ เขาไม่ได้โกรธที่ลาซารัสมาละลาบละล้วงของส่วนตัวหรอก เขาเองก็ดันเลินเล่อไม่ได้เก็บของพวกนั้นให้ดีเอง เพราะเห็นว่าตอนย้ายมาใหม่ๆ ก็ดูเป็นเด็กเรียบร้อยเชื่อฟังดี ใครจะไปคิดว่าจะมีรสนิยมแบบนี้…

แต่...เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกัน! ไอ้ที่มาถ่ายวีดีโอแล้วทำอย่างว่ากันโดยไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันวะ!

“ของแบบนี้พังแม่มเลยละกัน!” คาเล็มที่ไม่ยอมเป็นนายเอก GV ไปมากกว่านี้ยุติปัญหาด้วยการพังกล้องตัวดังกล่าวจนหักเป็นชิ้นๆ ทำเอาลาซารัสร้องระงมด้วยความเสียดาย รู้งี้น่าจะตั้งกล้องไว้ห่างๆ เสียก็ดีหรอก…

“ฮือ...คุณหมอใจร้ายอ่ะ ขอแค่นี้เองก็ไม่ได้” หนุ่มโอเมก้าร้องงอแงเป็นเด็กโดนคุณแม่พังของเล่นแม้ว่ามันจะไม่ใช่ของของ เขาก็ตามที

“ให้ตายเถอะ นายกับโนเอลนี่เป็นพวกบ้ากล้องเหมือนกันรึไงนะ?” คุณหมออัลฟ่าที่ยังหัวร้อนเก็บกล้องที่พังเป็นสองส่วนเอาไปทิ้งลงถังขยะ สายตามองหากางเกงที่กองอยู่บนพื้นก่อนหยิบขึ้นมาสวมลวกๆ ร่างโปร่งเห็นดังนั้นเลยพุ่งลงมาจากเตียงคว้าเอวคนรักที่เกือบจะเสียหลักล้มลงไปแล้ว “จะเอาอะไรอีก!?”

“ก็...คุณหมอยังไม่เสร็จเลยนี่ครับ!”

ดูมัน...ขนาดนี้แล้วคิดว่าเขายังมีอารมณ์จะต่อยกสองอีกรึไง!

“ลาซัส! นั่งลง!” คาเล็มชี้นิ้วสั่งราวกับโอเมก้าของตนเองเป็นเจ้าสุนัขตัวโตประจำบ้าน แต่ลาซารัสก็ปล่อยมือแล้วนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างเรียบร้อย แถมยังโค้งตัวสำนึกผิดอีก “นั่งอยู่ตรงนี้ห้ามลุกไปไหน เข้าใจมั้ย?”

พูดจบคาเล็มก็เดินออกจากห้องหายไปพักใหญ่ จนคนที่ถูกสั่งให้รอเริ่มใจเสียเพราะคิดว่าคงโดนลงโทษให้นั่งสำนึกผิดเป็นชั่วโมงแน่ แต่แล้วคุณหมอก็เดินกลับเข้าห้องมาพร้อมอุปกรณ์และล็อคประตูลงกลอนแถมคล้องโซ่อีกชั้น

“คุณหมอ...เอาเชือกมาทำอะไรเหรอครับ?” ดวงตาสีฟ้าจ้องเชือกสีแดงในมือหนา หนังตาข้างขวาชักกระตุกแปลกๆ คล้ายมีลางสังหรณ์ว่าไอ้ที่อยู่ในมือนั่นต้องเป็นอุปกรณ์ใช้ในเกมลงโทษเขาแหงๆ

“โห...คุณลาซารัส แมทเวย์ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเชือกน่ะเอาไว้ทำอะไร?” ได้ยินแบบนั้นลาซารัสก็เริ่มหน้าซีด แต่ไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งของคาเล็มได้ ก็เลยยอมโดนมัดแต่โดยดี ทำใจไว้แล้วว่าต้องโดนเอาคืนสาสมแน่ๆ

“คุณหมอเมตตาผมด้วยนะครับ...” โอเมก้าหนุ่มอ้อนวอนขอร้องอัลฟ่าเจ้าชีวิตตนด้วยสายตาสำนึกผิด

“ไม่มีทาง นายต้องโดนลงโทษที่ทำอะไรไม่ยอมขออนุญาตฉันก่อน” คาเล็มผูกข้อมือทั้งสองของลาซารัสไว้กับหัวเตียงก่อนก้มลงปลุกเร้าร่างเล็กกว่าข้างใต้อย่างเชื่องช้า จงใจให้ลาซารัสทำเสียงอิดออดอย่างเว้าวอน ไม่ใช่แค่คาเล็มที่ยังคงค้างคาอยู่หรอกนะ...

“อึก...คุณหมอ?” ระหว่างที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับการเล้าโลมที่เหนือชั้นกว่ากันมาก จู่ๆ ผ้าสีทึบก็ปิดลงบนดวงตาสีฟ้า คาเล็มจับอีกฝ่ายมัดและปิดตาอย่างคล่องแคล่วเหมือนกับว่าเคยมาทำแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ความน่าตื่นเต้นนี้ไม่สามารถคลายความกังวลใจของลาซารัสได้เลย

“เด็กดื้อต้องโดนทำโทษ” เสียงพร่ากระซิบข้างหูร้อนผ่าว ทว่าสัมผัสที่ลาซารัสได้รับกลับไม่ใช่การโดนรุกรานเหมือนที่เคย คาเล็มกลับมาคร่อมร่างเขาไว้อีกครั้งและเริ่มบรรเลงเกมต่อเนื่องจากเมื่อครู่ “น่าเสียดายนะที่นายคงไม่ได้เห็นหน้าฉันตามที่ต้องการแล้วล่ะ”

“หา!? อ่ะ...อะไรกัน” วิดีโอก็โดนทำลายไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้เห็นหน้าคุณหมอที่รักทำหน้าตาเซ็กซี่เหมือนที่จินตนาการไว้อย่างจุใจอีก เลวร้ายสุดๆ เลยนี่นา!

“ทำหน้าตาตลกดีนี่นา” คาเล็มแอบแซวและขยับกายปรนเปรอตนเองและคนข้างล่าง แกล้งอีกฝ่ายด้วยการครางเสียงสั่นที่ข้างหูอย่างจงใจให้ลาซารัสสติแตก มือข้างหนึ่งยันร่างของตนไว้แต่อีกข้างตรงลงไปรูดรั้งแก่นกลางของตนเพื่อเร่งเร้าอารมณ์ให้ถึงสวรรค์โดยไวหลังจากค้างคามาสองรอบ

“คุณหมอ ได้โปรดอย่าแกล้งผมแบบนี้เลยครับ อย่างน้อยก็ช่วยเอาผ้าปิดตานี่ออกที” แทนที่จะขอให้แก้มัดกลับขอให้เปิดตา ส่อเจตนาชัดเจนเลยว่าอยากรู้อยากเห็นขนาดไหน

“ไม่ นายก็จินตนาการเอาเองสิว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่” อัลฟ่ามากวัยยั่วทั้งน้ำเสียงและการกระทำ ลมหายใจขาดห้วงเพราะตัวเองก็ใกล้จะถึงฝั่งฝันเต็มที

“แต่ผมอยากเห็นของจริงมากกว่านี่ครับ!” โอเมก้าหนุ่มออกแรงดิ้นแต่เชือกก็ไม่หลุดง่ายๆ ตอนนี้ได้ยินแต่เสียงหายใจผิดปกติของคุณหมอคนรักที่ทำเอาสมองของเขาคิดเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“หึๆ ฉันไม่อนุญาต อื้อ! อ๊ะ! อ๊า!” เสียงครางลั่นมาพร้อมกับน้ำสีขาวขุ่นจำนวนมากที่ปลดปล่อยออกมาเลอะเต็มมือของคนทำ และบางส่วนยังกระเด็นไปอยู่บนร่างที่โดนพันธนาการด้านใต้อีก

“ค...คุณหมอเสร็จแล้วเหรอครับ!?”

“อื้อ ออกมาเยอะเลยล่ะ” น้ำเสียงหอบปนสนุกสนานพูดยั่วให้คนที่มองไม่เห็นดีดดิ้นด้วยความเสียดาย ก่อนจะลุกขึ้นถอนกายออกแล้วคว้าเอาทิชชู่หัวเตียงมาเช็ดทำความสะอาด

“ฮือ…” ลาซารัสเสียดายจนอยากจะร้องไห้ที่ไม่ได้เห็นฉากไคลแม็กซ์ ทุกอย่างจบลงเร็วมากอย่างไม่ทันตั้งตัว พอคุณหมอจัดการสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็มาปลดผ้าผูกตาออกให้เขา แถมยังจะมาทำหน้ายิ้มเยาะอีก!

ลาซารัสพองแก้มแล้วเบือนหน้าหันไปทางอื่น มือหนาเลยบีบคางของโอเมก้าหนุ่มให้หันกลับมาก่อนจะก้มหน้าลงหอมแก้มไปฟอดใหญ่


“สามเดือน”

“ครับ?”

“ลงโทษนายด้วยการงดกิจกรรมอย่างว่าไงล่ะ”

“อ...เอ๋!!? ไม่จริงงงง”

“แต่ถ้าทนไม่ไหว อยากจะไปล่าเหยื่อนอกบ้านก็ตามใจนายนะ”

“ฮือ...ไม่อ่ะ ผมจะไม่งอแงเอาแต่ใจอีกแล้วครับ คุณหมออย่าลงโทษผมแบบนี้เลยนะ”

“งั้น...ถ้านายทำอาหารที่ฉันกินได้โดยไม่ต้องให้เรนเดลช่วยเมื่อไหร่ ฉันจะลองคิดดูอีกทีแล้วกัน” คาเล็มหัวเราะอีกครั้งเมื่อพ่อเป็ดน้อยของเขาทำหน้าสิ้นหวังแล้วชีวิตนี้

สุดท้ายแล้วพัฒนาการด้านการทำอาหารของลาซารัสก็ยังทำได้แค่… ‘พอกระเดือกลง’ ไม่นับว่าอร่อยเลยด้วยซ้ำ แถมเกมลงโทษของคุณหมอที่บอกจะไม่ยอมมีอะไรกันไปอีกสักพักใหญ่ๆ ก็ยังคงเป็นไปตามนั้น แต่จะโวยวายอะไรได้เล่า...ก็ทำตัวเองทั้งนั้นเลย







-------





ทางฝั่งคาร์เมนที่นั่งดูบอลโลกกำลังเซ็งจิตเพราะทีมที่เชียร์ดันแพ้ตกรอบ แต่พอเห็นข้อความจากลาซารัสก็ชูมือร้องดีใจราวกับผีเข้า โอเมก้าหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะสะใจเมื่อน้องสะใภ้แชทมางอแงใส่ว่าพี่ชายของเขาไม่ยอมมีอะไรด้วยเลยตั้งแต่ที่ไปเสียบประตูหลังคุณหมอ

สะใจจริงๆ เลยโว้ยยย!

“หึๆ ๆ ไม่เสียแรงที่คอยเสี้ยมกรอกหูเจ้าหนูไฝให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเป็นนักล่าขึ้นมาหน่อย” คาร์เมนยกแก้วน้ำในมือชูขึ้นเหนือหัวเสมือนว่าได้ถ้วยรางวัล ในเมื่อเขาไม่ได้กดพี่ชายตัวเอง งั้นพี่ก็จงโดนแฟนตัวเองยิงเข้าประตูหลังไปนั่นแหละสาสมแล้ว!

“ทีมแพ้ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมดีใจซะอย่างกับได้แชมป์?” เออร์แฟนที่ลุกไปหยิบขนมขบเคี้ยวมาให้คาร์เมนถามด้วยความสงสัย

“ประตูอื่นโดนยิงเข้าแทนไงล่ะ อยากรู้มั้ยว่าอะไร?” รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่าอุ้มท้องลูกของอัยการเบอร์หนึ่งของเมือง เออร์แฟนเลยส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงว่าไม่ขอรู้จะดีกว่า







Fin.
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 26-07-2018 00:14:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-07-2018 10:38:01
 :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1: :3123: :3123: :m13: :m13: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-07-2018 15:29:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 28-07-2018 21:13:05
อ่านทีเดียวจบตาแฉะแต่ฟิน
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม -End- Up! (24/7/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 01-08-2018 05:19:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม Special Up (12/8/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 12-08-2018 12:28:44

...ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้น...เมื่อห้าปีที่แล้ว...





…..

……….







‘ไม่เป็นไรแน่นะลูก ถ้าเงินไม่พอใช้ก็บอกได้นะ’

“พอครับ พอ.. ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”

‘..งั้นก็เดินทางดีๆ นะ อย่ากลับหอมืดค่ำนักล่ะ’

“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”

บทสนทนาระหว่างโอเมก้าหนุ่มหัวสีกับปลายสายที่แสดงความเป็นห่วงนั้นดังแว่วทำลายความเงียบยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ เวลาล่วงเลยเกือบจะเที่ยงคืนทำให้ร้านค้าต่างๆ และถนนหนทางดูเงียบผิดหูผิดตากับเมื่อตอนหัวค่ำนัก ทว่าแม้จะดึกดื่นแบบนี้ ผู้เป็นแม่ก็ยังคงโทรมาหาเขาไม่ขาดสายแม้สักวัน

หลังจากที่โคลวิสเรียนจบมหาวิทยาลัย...ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรักก็ได้จบลงไปพร้อมๆ กันด้วย ความรักที่มีให้กันจืดจางลงไปอย่างรวดเร็วเพราะอัลฟ่าที่เขารักไปเจอโอเมก้าคนใหม่ที่ทั้งเด็กกว่า น่ารักกว่า แน่นอนว่าสดใหม่กว่า.. โคลวิสก็หมดอาลัยตายอยากไปนานหลายเดือน

กระทั่งตัดสินใจจะลืมอดีตทั้งหมดและตั้งต้นชีวิตใหม่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเขา ด้วยการย้ายตัวเองมาอยู่ในเมืองใหญ่เพียงลำพังด้วยเงินเก็บของตัวเอง และเริ่มทำงานในร้านเบเกอรี่ตามความถนัดที่เรียนมา หลังร้านปิดก็ไปเป็นนักร้องตามผับบาร์เล็กๆ หารายได้เสริมยามค่ำคืน

“อากาศเริ่มหนาวแล้วแฮะ..” มือสวมกอดตัวเองเมื่อโดนลมหนาวพัดใส่ นี่ก็ระหกระเหินมาได้ครึ่งปีแล้ว ถึงแม้ชีวิตตอนนี้จะเริ่มอยู่ตัวแต่คนที่บ้านก็ยังเป็นห่วงอยู่ ก็...คงจะเป็นธรรมดาล่ะนะ…

“ขอโทษนะครับ ใช่คุณนักร้องที่อยู่ในร้านเบนิโต้เมื่อสักครู่รึเปล่า?” เสียงทักของบุคคลปริศนาเอ่ยเรียกสติของโคลวิสที่กำลังเดินเหม่อซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อ

“หืม? ..ใช่ครับ?” โคลวิสหันไปมองคนที่เข้ามาทักเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะมีหลายครั้งที่คนจะตามเขามาหลังจากจบคิวการร้องเพลงที่บาร์นั้นเพราะชอบเสียงของเขา บางครั้งก็มาจับมือขอลายเซ็นบ้างหรือเอาทิปเล็กๆ น้อยๆ มาให้ มีกระทั่งขอจีบหรือชวนไปต่อหลังเลิกงานด้วย…ซึ่งที่ผ่านมาก็โดนปฎิเสธไปทุกรายนั่นแหละ ยังดีหน่อยที่คนพวกนั้นไม่ช่างตื๊อและยอมรามือเมื่อเห็นรอยตีตราที่หลังคอซึ่งเป็นหลักฐานว่าเขาเป็นโอเมก้าที่มีคู่แล้ว...ถึงตอนนี้จะไม่มีแล้วก็เถอะ

โคลวิสพยายามไม่สบตากับชายแปลกหน้าและรีบเดินเลือกซื้อของที่ต้องการให้เร็วขึ้น

“ผมเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยนะ มาฟังคุณร้องเพลงแทบทุกคืนเลย”

นี่ไงล่ะตัวอย่างที่พูดถึง.. ชายหนุ่มที่ดูท่าทางจะอายุไล่เลี่ยพอๆ กันกับเขายิ้มแป้นแล้นให้และจ้องมองด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด “แต่..ไม่กล้าเข้าไปทักคุณสักที แถมพอหมดคิวคุณก็มักจะรีบกลับก่อนตลอดเลย”

“หน้าผมคงดูน่ากลัวสินะ” โคลวิสยิ้มน้อยๆ แล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์

“อ่ะ ผมขอเลี้ยงคุณได้มั้ย เอ่อ..ว่าไงดี คิดซะว่าเป็นการให้ทิปอย่างหนึ่งนะครับ”

“เกรงใจน่ะครับ แค่มาฟังทุกครั้งผมก็รู้สึกขอบคุณแล้วล่ะ” โคลวิสรับของจากพนักงานหลังจ่ายเงินและเดินออกจากประตูร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแฟนเพลงของเขาก็ยังคงเดินตามมาติดๆ

ในหัวของโคลวิสกำลังคิดว่าจะสลัดอีกฝ่ายให้หลุดยังไงดี ขืนยังปล่อยให้ตามติดแบบนี้มีหวังเดินตามไปส่งจนถึงหอพักแหงๆ

“คุณไม่สนใจจะไปเป็นนักร้องมืออาชีพบ้างเหรอครับ?”

“ผมแค่ชอบร้องเพลงแต่ไม่ถึงขนาดอยากมีชื่อเสียงหรอกครับ”

แม้ว่าครั้งยังเด็กมันจะเคยเป็นความฝันสูงสุดของเขา แต่ตอนนี้ก็ได้หยุดความปรารถนาที่ไกลเกินเอื้อมนั้นไปแล้ว ทว่า ถึงจะปฎิเสธไปแบบนั้น แฟนเพลงคนนี้ก็ยังคงตามตื้อเขาเสียเหลือเกิน ยิ่งรีบเดินเพื่อสลัดอีกฝ่ายทิ้งเท่าไหร่ก็เหมือนจะทำให้ถูกไล่ตามติดประชิดตัวยิ่งขึ้น จนพวกเขาเดินมาใกล้ย่านที่พักอาศัยราคาถูก ยิ่งทำให้ผู้คนเบาบางลงแถมเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินมาใกล้จนผิดปกตินี่อีก

“ผมคงต้องกลับแล้ว”

“อา...น่าเสียดายนะครับ ...งั้นคราวหน้าขอเลี้ยงข้าวคุณได้มั้ย?”

นั่นไงล่ะ… มุกคลาสสิกชะมัดเลย

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่หวังดี แต่ผมขอรับไว้แค่น้ำใจเท่านั้น” โคลวิสหยุดเดินและหันมายกมือห้ามเหมือนจะให้คนเดินตามหยุดการกระทำและการตื๊อทุกอย่าง รวมทั้งเอ่ยปฎิเสธอ้อมๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่ก็ดึกมากแล้ว ที่พักผมอยู่อีกไกลเลย เกรงว่าคุณจะเดินกลับลำบาก เพราะงั้นคงต้องแยกย้ายแล้วล่ะครับ”

“หือ? ที่พักของคุณเลี้ยวตรงหัวมุมนี้ก็ถึงแล้วนี่ครับ?”

โคลวิสหน้าซีดทันทีเมื่อพบว่าคนที่เดินตามเขามานั้นรู้ตำแหน่งหอพักของเขาทั้งที่ไม่เคยบอกใคร นี่แสดงว่าผู้ชายคนนี้แอบสะกดรอยตามเขางั้นหรือ? กี่วันแล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะเนี่ย!?

“อ่า…” แฟนเพลงปริศนาเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นปิดปากราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป บรรยากาศเงียบลงไปสักพัก โคลวิสยืนนิ่งค้างรอดูท่าทีอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นตระหนกจนปิดไม่อยู่ “เฮ้อ...พลั้งปากไปซะแล้วสิ… แต่สีหน้าคุณตอนนี้ก็น่ารักดีนะครับ”

ชัดเลย พวกโรคจิตชัดๆ!!

โคลวิสหันตัวกลับและออกวิ่งไปทางตรงข้ามกับหอพักของตัวเองพลางตะโกนร้องให้คนช่วย เขาวิ่งตรงไปยังทางที่คิดว่ายังพอมีคนพลุกพล่านบ้างอย่างพวกร้านเหล้าบาร์หรือตลาดใกล้ๆ ที่มักจะเริ่มเปิดขายของตั้งแต่กลางดึก แต่สับขาหลอกไปได้ไม่นานก็โดนจับตัวได้

ชายอันตรายคนนี้ตรงเข้าล็อกคอและเอามือปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว จากพลังกายที่มากล้นกว่าและกลิ่นฟีโรโมนที่ลอยคลุ้งแตะจมูกเมื่อถูกเข้าประชิดทำให้โคลวิสเดาได้ว่าคนคนนี้คงเป็นอัลฟ่าแน่นอน

“ตอนหนีหัวซุกหัวซุนก็น่ารักยังกับกระต่ายน้อย...” น้ำเสียงกระเส่าที่กระซิบอยู่ข้างหู ของอัลฟ่ากลัดมันชวนขนลุกผิดกับตอนที่เข้าหาเหยื่อครั้งแรก ยิ่งตอนนี้พวกเขาเพิ่งผ่านการวิ่งมาหมาดๆ ทำให้เสียงหอบที่ปะปนมานั้นน่าขยะแขยงสุดๆ “กลับไปที่ห้องของคุณกันดีกว่า...ไม่สิ ผมอยากจะเปลี่ยนมันเป็นรังรักของเราในคืนนี้เลยล่ะ”

“อื้ออ!” ไม่ว่าจะพยายามส่งเสียงร้องเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ถึงแม้จะโชคดีที่ว่ากลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าโรคจิตไม่ได้กระตุ้นตัวเขาให้เกิดอาการฮีท แต่ยังไงก็ไม่อาจสู้เรี่ยวแรงอีกฝ่ายได้ ถ้ายังดิ้นขัดขืนไร้ประโยชน์ก็มีแต่จะยิ่งทำให้หมดแรงอย่างเสียเปล่าแถมเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจนโดนลากไปข่มขืนอีกด้วย

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพยายามตั้งสติและมองไปรอบๆ เพื่อหาคนช่วย อีกไม่กี่บล็อคข้างหน้าก็จะถึงย่านสถานบันเทิงที่มีทั้งแสงไฟและผู้คนที่ออกมาท่องราตรี แต่จะทำยังไงให้ไปถึงที่นั่นได้…? จากตรงจุดที่เขาถูกดันชิดกำแพงอยู่มันมืดเกินกว่าจะมีใครมองเห็นได้ ทำให้การร้องขอความช่วยเหลือนั้นช่างดูสิ้นหวังเหลือเกิน

ทว่า...

“ทางนี้ค่ะคุณตำรวจ! ทางนี้ๆ!” เสียงตะโกนโหวกเหวกจากทางเลี้ยวบล็อกข้างๆ ทำให้ทั้งโคลวิสและสต็อคเกอร์หนุ่มหันตามไป สายตาของทั้งคู่เห็นหญิงสาวสองคนกำลังชี้มาทางนี้และหันหน้าไปทางถนนอีกด้าน ก่อนจะเห็นเงาของชายตัวสูงใหญ่กับดวงไฟจ้าแยงตาจากกระบอกไฟฉายกำลังวิ่งตรงเข้ามายังซอยเปลี่ยวที่ๆ พวกเขายืนอยู่

“ตำรวจเหรอ!?” ชายโรคจิตหน้าซีดและปล่อยตัวโคลวิสทันทีก่อนจะหันหลังวิ่งเตลิดไปยังซอยข้างๆ ที่ไร้แสงนีออนจากเสาไฟฟ้าอย่างสุดฝีเท้า

“มันจะหนีไปแล้วค่ะ!!” พลเมืองดีที่มาช่วยไว้ได้ทันท่วงทีรีบวิ่งมาชี้ไปยังทางที่ชายโรคจิตวิ่งหนีหายไป

เมื่อแสงจากไฟฉายเคลื่อนเข้ามาใกล้จุดที่พวกเขายืนอยู่ แต่คนที่วิ่งมาไม่ใช่ตำรวจหรือสายตรวจใดๆ … กลับกลายเป็นเพียงผู้ชายตัวสูงที่มาดดูไม่เหมือนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แม้แต่นิดเดียว หรือว่านี่จะเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบกัน? ...ก็ดูไม่เหมือนอยู่ดี

“หนีไปแล้วจริงๆ แฮะ ดีนะที่มันหลงเข้าใจผิด” ชายคนที่โคลวิสเข้าใจว่าเป็นตำรวจยืนมองลาดเลาสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าชายโรคจิตนั่นจะไม่กลับมาอีกอย่างแน่นอน “คุณ...ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

“ครับ… ขอบคุณที่ช่วย” โคลวิสตั้งสติแล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยิบถุงใส่ของที่ซื้อมาซึ่งเขาเผลอปล่อยตกพื้นไปตอนที่ดิ้นขัดขืน

“พวกโรคจิตแถวนี้นี่เยอะขึ้นจริงๆ นั่นแหละ บ้านอยู่แถวนี้รึเปล่า คะ ให้พวกเราเดินไปเป็นเพื่อนมั้ย?”

“ไม่เป็นไรครับ..” โคลวิสเผลอจ้องมองชายร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาสีทอง...ผมสีน้ำตาลเข้มจัดทรงเรียบ ใบหน้ามีเคราจางๆ แต่แต่งกายสะอาดเนี้ยบ ดูจากขนาดตัวแล้วมองยังไงก็อัลฟ่าอย่างแน่นอน แถมไม่ใช่อัลฟ่ากิ๊กก๊อกปลายแถวอย่างคนเมื่อครู่แน่ๆ แต่ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายมากไปกว่านี้โคลวิสก็ควานหากาแฟกระป๋องในถุงที่เขาซื้อมาเป็นเสบียงสำหรับพรุ่งนี้ยื่นให้ทั้งสามคน

“หือ?”

“แทนคำขอบคุณสำหรับเมื่อกี้น่ะครับ ผมคงรู้สึกไม่ดีนักถ้าหากถูกช่วยฟรีๆ โดยไม่ได้ตอบแทนอะไร”

“ขอบคุณค่า อุ้ย!” หญิงสาวตัวเล็กผมสั้นหยักศกยื่นมือออกไปรับมาด้วยความยินดีแต่ถูกเพื่อนสาวผมดำตีมือเข้าให้

“...เอ่อ คือก็เข้าใจนะครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบกาแฟกระป๋องน่ะ ให้แค่พวกเธอแล้วกัน” ร่างสูงยกมือขึ้นบอกปัดและยิ้มแห้งๆ ดูก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้ปฎิเสธน้ำใจเป็นมารยาทอย่างแน่นอน

“ครับ ถ้างั้นผมขอตัว...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” โคลวิสไม่คิดจะดื้อดึงเพราะเขาเองก็อยากกลับไปพักผ่อนเต็มที แต่เมื่อเท้ากำลังจะก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่เพื่อกลับที่พักของตน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า...อัลฟ่าโรคจิตคนนั้นมันรู้ที่อยู่ของเขานี่หว่า!?

“ขอบใจพวกเธอมากเลยนะ เอาล่ะ...งั้นก็รีบกลับกันเหอะ อากาศชักจะหนาวแล้วด้วยสิ”

“อ่ะ...เดี๋ยวก่อนนะครับ!” โคลวิสร้องเรียกผู้ช่วยชีวิตตนทั้งสามคนเมื่อครู่ไว้

“คะ?” สาวน่ารักผมสั้นหันขวับมามองก่อนใครเพื่อน

“คือว่า...ขอโทษที่ต้องรบกวนพวกคุณไม่เข้าเรื่อง แต่...ช่วยไปส่งผมที่หอของเพื่อนหน่อยจะได้มั้ยครับ?”

“หือม์?” คราวนี้สาวผมดำทำหน้าเคร่งเครียดใส่เขา

“คือ... ไอ้โรคจิตนั่นมันรู้จักหอพักผมน่ะ เกรงว่าถ้ากลับไปตอนนี้อาจจะเจอมันดักรอเอาได้น่ะครับ” โคลวิสแจกแจงด้วยสีหน้าวิตก แม้จะพยายามคุมสติตัวเองแล้วแต่ใบหน้านั้นก็ปิดความกังวลไม่มิดอยู่ดี

“...ริชาร์ด”

“ครับ?”

“ผมชื่อ ริชาร์ด... คนผมดำนี้คือนาตาชา ส่วนอีกคน…”

“โอลิเวียค่า”

“นั่นล่ะ รู้จักชื่อไว้ ตอนนั่งรถไปคุยไปจะได้เรียกกันถูกนะครับ” อัลฟ่าร่างสูงใหญ่คลี่ยิ้มเป็นมิตรมาให้ แม้ไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฎิเสธที่จะไปส่ง แต่คำพูดนั่นก็แทนคำตอบได้ดีทีเดียว

“โคลวิสครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ คุณผู้หญิงทั้งสองคนด้วย”

เมื่อพูดคุยบอกสถานที่กับคนขับรถเรียบร้อยพวกเขาทั้งหมดก็ขึ้นไปนั่งบนรถคันหรูของริชาร์ด ที่จริงโคลวิสก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าริชาร์ดคงไม่ใช่อัลฟ่าธรรมดา แต่นั่งรถหรูราคาเหยียบแสนแบบนี้ก็ทำเอาเขานั่งตัวเกร็ง กลัวจะทำรถเขาเสียหายแล้วไม่มีปัญญาจ่าย!

ระหว่างที่นั่งรถผ่านถนนยามค่ำคืนไปด้วยความเงียบ โคลวิสแอบเหล่มองริชาร์ดที่นั่งข้างๆ เขาคั่นกลางกับหญิงสาวผมดำอีกคนอยู่ ร่างสูงพิมพ์อีเมล์ตอบใครสักคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอมองใกล้ๆ แบบนี้ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายคงมีอายุมากกว่าเขา ทั้งการวางตัวและบุคลิกดูภูมิฐานน่าเกรงขาม แต่ท่าทางขี้เล่นบวกกับรอยยิ้มเมื่อครู่นั้นช่วยลดความตึงเครียดของโคลวิสลงไปมากโข

“ออกมาทำอะไรดึกดื่นแบบนี้ล่ะคะ? หรือว่าหิวเลยมาหามื้อดึกเหรอ?” เหมือนโอลิเวียจะจับได้ว่าโอเมก้าผมสีแสบทรวงจะเหล่มองริชาร์ดอยู่ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรและเปิดบทสนทนาทำลายความเงียบ

“เปล่าครับ พอดีเพิ่งกลับจากที่ทำงานก็เลยแวะซื้อของน่ะ” โคลวิสตอบโดยไม่เจาะจงรายละเอียดมากนัก แม้คนข้างๆ จะดูไม่มีพิษภัย แต่เขาเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงในชีวิตมา เลยยังคงระแวงพวกอัลฟ่าอยู่บ้าง กระนั้นที่ต้องหน้าด้านขอติดรถมานี่มันเพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ..

“...เป็นโอเมก้าแต่มาทำงานดึกดื่นแบบนี้มันอันตรายนะ แถมยังไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้อีกยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่” นาตาชาที่เงียบขรึมเปิดปากพูดบ้าง

“คนที่ทำงานตอนกลางคืน แบบนี้ก็ต้องระวังอันตรายทุกรูปแบบทั้งนั้นแหละครับ หือ?” โคลวิสขมวดคิ้วจนย่นเมื่อจู่ๆ ริชาร์ดที่นั่งฟังเงียบๆ ก็ยื่นขวดบางอย่างมาให้ ขวดรูปร่างหน้าตาสุดจะคุ้นเคยแบบนี้มัน… “น้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมน?”

“ของผมเอง แต่จะให้คุณเอาไว้ใช้แล้วกัน”

“หา?” โอเมก้าหนุ่มหัวสียิ่งสงสัยหนักข้อ ทำไมจู่ๆ ริชาร์ดถึงมอบมันให้เขา? ในบรรดาของที่เกี่ยวข้องกับโอเมก้าทั้งหมดนั้น น้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนนี่นับว่าแพงติดอันดับต้นๆ ของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยยับยั้งการรับรู้กลิ่นของอัลฟ่าและโอเมก้า ไม่นับยาระงับอาการฮีทอย่างดีที่ราคาแพงติดโผทุกแบบสอบถามของแต่ละสำนักข่าว ...และแน่นอนว่าตอนนี้พวกของปลอมลอกเลียนแบบที่กำลังระบาดมันก็ผิดกฎหมายด้วย เนื่องจากไม่มีการรับรองความปลอดภัยและตัวยาเองก็มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างจะเป็นอันตรายอยู่ เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกห้ามจำหน่ายแก่คนทั่วไป

“คุณ...ให้ของแบบนี้กับคนเพิ่งเจอหน้ากันง่ายๆ เลยเหรอ? …”

“คุณก็ขอติดรถผมมาง่ายๆ เหมือนกันนี่” ริชาร์ดหันมายักคิ้วกวนประสาทใส่ แต่ก็ยังคงยัดเยียดขวดน้ำหอมนั้นมาให้ จนโคลวิสต้องรับมันมาอย่างจำใจ

“แต่มันแพงมากเลยนะ...แถมตอนนี้เขาก็ประกาศห้ามใช้ด้วยไม่ใช่เหรอครับ?” แม้จะมั่นใจว่าน้ำหอมของคนตรงหน้าเป็นของแท้แน่นอน แต่เขาก็เคยเจอพวกที่โดนหลอกให้ซื้อของปลอมราคาแพงมาไม่น้อย

“อืม ผมรู้ แต่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะมาพังเรื่องแบบนั้นคงไม่ดีใช่มั้ยล่ะครับ มีของที่ทำมาเพื่อไว้ให้เซฟตัวเองแต่กลับออกกฏหมายไม่ให้ใช้ เหมือนกับที่บางประเทศห้ามไม่ให้ผู้หญิงพกสเปรย์พริกไทยนั่นแหละ”

“รับไปเถอะค่า มันดีต่อตัวคุณนะ คราวหน้าถ้าเจอพวกโรคจิตแบบนั้นอีกอาจไม่โชคดีแบบครั้งนี้นะคะ” โอลิเวียพยายามโน้มน้าวให้รับของกำนัลอีกคน

“อย่าไปกดดันนักสิ เขาถูกช่วยไว้แล้วยังจะให้รับของแบบนี้อีก เป็นใครก็ลำบากใจทั้งนั้นแหละ”

“...” ถูกอย่างที่นาตาชากล่าว โคลวิสหลบสายตาจากใบหน้าคมที่ส่งยิ้มมาให้ จะว่าไป...อยู่ใกล้ขนาดนี้เขากลับไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าของอีกฝ่ายเลย.. “คุณริชาร์ดก็ฉีดไว้เหรอ?”

“ใช่ พอดีวันนี้นัดเจอเพื่อนน่ะ แถมยังพาโอเมก้าของตัวเองมาอีกด้วยก็เลยฉีดกันไว้ก่อนเพราะไม่อยากให้เป็นปัญหาน่ะ” ริชาร์ดกดส่งข้อความแล้วปิดมือถือของตัวเอง “จริงสิ ผมได้ยินมาจากลูกค้าประจำในร้านอาหาร เห็นบอกว่านักร้องของที่ร้านนั่นก็เป็นโอเมก้าด้วย หายากนะ โอเมก้าที่ได้ทำงานเหมือนคนปกติเนี่ย บางที่นี่แทบจะไม่รับคนไทป์นี้เข้าทำงานเลยด้วยซ้ำ”

โคลวิสคิ้วกระตุกเล็กน้อย นี่เขาเจอโรคจิตตามติดชีวิตอีกคนหรือเปล่านี่? เพราะที่ร้านเบนิโต้นั้น นักร้องที่เป็นโอเมก้าก็มีแค่เขาคนเดียวเสียด้วยสิ แต่ขืนพูดออกไปตรงๆ ถ้ามันเกิดดันไม่ใช่ขึ้นมา... คงจะโดนคนตรงหน้าฟ้องหมิ่นประมาทเอาแหงๆ

“เหรอครับ...แล้วคุณจำหน้าเขาได้มั้ย?”

“น่าเสียดาย แค่มองยังไม่เห็นเลยครับ ผมอยู่ในมุมที่มองไม่เห็นตรงเวทีด้านในร้านน่ะ” ริชาร์ดถอนหายใจบางเบา “เสียงเพราะมากเลยล่ะ ยังแอบนึกอยู่เลยว่าเป็นนักร้องดังจากค่ายเพลงที่ไหนหรือเปล่า”

“อ่าฮะ”

“เสียงร้องมีพลังดีมากๆ ความจริงผมก็ชอบร้านที่มีเพลงคลอเบาๆ มากกว่า แต่คนนี้ร้องเพลงได้สะกดอารมณ์คนฟังดีจริงๆ” ริชาร์ดเอ่ยชมไม่หยุดปากโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าโคลวิสด้วยซ้ำ “แต่ว่า...กว่าจะถามสารทุกข์สุขดิบเพื่อนจบ นักร้องก็เปลี่ยนคิวกันซะแล้วน่ะสิ...อดเลี้ยงเหล้าสักแก้วเลย”

“ไว้วันหลังคุณค่อยไปเจอเขาก็ได้นี่นา”

“ไม่ได้มาแถวนี้บ่อยๆ น่ะ แต่ถ้ามาอีกล่ะก็รับรองว่าแวะไปแน่”

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกันเลยไปเรื่องอื่นๆ จิปาถะแล้ว โคลวิสยังคงเท้าคางมองไปนอกหน้าต่างรถและแอบอมยิ้มอยู่เพียงคนเดียว… แสงไฟของเมืองยามราตรีรายทางสาดส่องเข้ามาเป็นจังหวะ ฉายให้เห็นความปิติในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของโอเมก้าหนุ่ม หัวใจพองโตจากคำชมไร้เจตนาแอบแฝง และ... รอยยิ้มของคนข้างๆ ที่ยังติดตาแม้จะมองเหม่อไปไกลแค่ไหนก็ตาม...

“คุณผู้ชายคะ ดิฉันกับโอลิเวียขอลงตรงนี้เลยแล้วกันค่ะ”

“อ้อ...ได้สิ กลับดีๆ ล่ะ” ริชาร์ดอนุญาต แต่โคลวิสหันหน้ามาเพราะคำที่หญิงสาวเรียกชายหนุ่มราวกับเป็นเจ้านาย…

“สาวๆ พวกนี้เป็นคนรับใช้ที่บ้านของผมน่ะ วันนี้วันหยุดพวกเธอแล้วบังเอิญเจอกันที่ร้านเลยชวนกลับด้วยกัน อย่าเข้าใจผิดซะล่ะ” รอยยิ้มขี้เล่นหันมามองคนที่จ้องตน

โคลวิสรู้สึกหน้าแตกนิดหน่อยเพราะเผลอคิดไปว่าสาวสวยกับสาวน่ารักทั้งสองคนเป็น...เป็นอะไรสักอย่างกับอัลฟ่าผู้มีพระคุณ ว่าแต่…? ทำไมเขาต้องโล่งใจด้วยล่ะ







“ขอบคุณที่มาส่งครับ” โคลวิสโค้งตัวแสดงความจริงใจให้คนที่พามาส่งถึงหน้าหอเพื่อนของตน ซึ่งเพื่อนร่วมวงของนักร้องโอเมก้าก็หลับไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยอมตื่นมารับเพื่อนด้วยสภาพงัวเงียสุดๆ

“เรื่องเล็กน้อยน่า คุณเองก็...ไปแจ้งความไว้ก่อนก็ได้นะ ถ้าหมอนั่นสะกดรอยไปขนาดนั้นแล้วเกรงว่าคุณคงจะพักอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้วล่ะ” ริชาร์ดกล่าวเตือนด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น

“แน่นอนครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง...ว่าแต่...มีอะไรที่ผมพอจะตอบแทนคุณได้บ้างมั้ยครับ? คือ...เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ผมอยากขอบคุณที่ช่วยผมไว้แล้วยังพามาส่งตามที่ขอร้องอีก” แม้ริชาร์ดจะปฎิเสธเรื่องนี้มาตลอดทาง แต่โคลวิสก็ไม่ยอมเลิกล้มความคิดที่จะตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายอยู่ดี

“คุณนี่ตรงไปตรงมาดีนะ” ริชาร์ดยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าตัวเองอย่างคิดไม่ตก เขาตัดสินใจหยิบเอานามบัตรจากกระเป๋าเสื้อของตัวเองยื่นให้โอเมก้าหนุ่ม “ตอนนี้ดึกแล้ว มีอะไรก็ติดต่อไปที่นี่วันหลังละกันนะ”

โคลวิสรับนามบัตรนั้นมาอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้ก้มลงอ่านอะไรในนั้น เขามองตามอัลฟ่าร่างสูงใหญ่ไปกระทั่งอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูกลับขึ้นรถ แต่...ความรู้สึกที่ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว บวกกับเขาเองก็ไม่อยากเก็บความไม่สบายใจไว้กับตัวอีกด้วย หนุ่มโอเมก้าหัวสีจึงสลัดความลังเลใจและพูดสิ่งที่ค้างคาออกไป

“ขอถามอะไรหน่อยสิครับ!”

“หือ?” ริชาร์ดชะงักตัวและหันกลับมามอง ซึ่งเสียงเรียกของโคลวิสก็ทำเอาทั้งริชาร์ดและเพื่อนร่วมวงที่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้านมองเขาด้วยความฉงนเหมือนกันทั้งคู่

“ทำไม...พวกคุณถึงช่วยผม..ไม่สิ คุณ...ทำไมถึงยอมเสี่ยงเอาตัวเข้ามาช่วยล่ะ?”

ริชาร์ดเลิกคิ้วเมื่อเจอคำถามแปลกหูเข้า เขากรอกตาไปมาเหมือนกำลังทบทวนสิ่งที่ถูกถามอยู่ ซึ่งนักร้องหนุ่มก็นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรออกมาตรงๆ

ที่โคลวิสถามไปเช่นนั้นเพราะว่าการที่อัลฟ่าจะจับโอเมก้าไปเป็นคู่แม้จะไม่ยินยอมนั้นเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติจนชาชินกันเลยทีเดียว แถม...อัลฟ่าส่วนใหญ่ก็ล้วนมีเส้นสายและอำนาจพอจะทำให้ตัวเองพ้นผิดด้วยซ้ำ

ซึ่ง...ความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังติดอยู่ในความรู้สึกจนถึงตอนนี้ และมือของเขาก็ยังคงสั่นแม้จะเล็กน้อยก็ตามที

ดังนั้น จึงมีน้อยคนนักที่จะทำหน้าที่พลเมืองดีช่วยเหลือโอเมก้าที่ตกเป็นเหยื่อ ก็เพราะไม่มั่นใจว่าพวกอัลฟ่าที่ลงมืออุกอาจแบบนั้นเป็นใครมาจากไหน เผลอๆ จะซวยถึงขั้นไม่มีเงาหัวเอาได้ถ้าไปขัดขวางความต้องการของอัลฟ่าเลือดร้อนที่ดันเป็นคนมีอำนาจ…จะบอกว่าเขาโชคดีก็ได้ที่คนร้ายเป็นแค่พวกอัลฟ่าปลายแถวไม่มีแบ็คอัพ แล้วก็มีคนดีๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน…

โคลวิสก็ยืนรอคำตอบอย่างใจจ่อโดยไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย แต่เพื่อนที่ยืนรอรับโอเมก้าหนุ่มอยู่ก็ดูจะเริ่มง่วงอีกรอบ ริชาร์ดเลยยอมเปิดปากพูด...

“...การช่วยใครสักคนมันก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ คุณนี่บ๊องจัง”

“หา!?” โคลวิสอุทานเสียงหลง แต่ก่อนจะได้ถามอะไรต่อนั้น ริชาร์ดก็ชิ่งหนีขึ้นรถไปเสียก่อน เขาจึงทำได้แค่มองตามหลังรถคันงามที่แล่นหายไปในความมืดโดยที่ยังคงอยากรู้คำตอบนั้นต่อไป

“...อะไรของเขาล่ะเนี่ย?”







ในเช้าวันต่อมา โคลวิสรีบตื่นไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ แต่ก็พบว่าคนร้ายเมื่อคืนนั้นโดนจับได้ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเพราะคนข้างห้องที่พักอยู่หอเดียวกันนั้นแอบเห็นตอนที่ชายอัลฟ่าโรคจิตเดินป้วนเปี้ยนไปมาหน้าห้องของเขาและพยายามจะงัดประตูเข้ามาในห้อง จึงได้บอกเจ้าของหอให้โทรเรียกตำรวจมารวบตัวได้ทัน ซึ่งก็ต้องขอบคุณเพื่อนข้างห้องคนนั้นล่ะนะที่มีสอบในเช้าวันนั้นพอดี ก็เลยซัดกาแฟจนตาสว่างเพื่ออ่านหนังสือโต้รุ่ง ไม่งั้นข้าวของอย่างเสื้อผ้าหรือกางเกงชั้นในอาจถูกขโมยไปด้วยก็ได้...คิดแล้วก็สยอง

โคลวิสทำการชี้ตัวคนร้ายและให้ปากคำนิดหน่อยในช่วงเช้าก็ออกจากสถานีตำรวจและเดินทางไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ตามเดิม

“ก็ตามนั้นล่ะ ฉันขอค้างอยู่ที่ห้องนายสักพักจนกว่าจะหาหอใหม่ได้ละกันนะ”

‘ได้ๆ ถ้านายทนความรกของห้องฉันได้ก็เอาเลย’

“ขอบใจมาก เดี๋ยวเลิกงานวันนี้มาช่วยขนพวกเสื้อผ้ากับของใช้เล็กๆ น้อยๆ หน่อยละกัน มีไม่เยอะหรอก”

‘โอเค เอาไมโครเวฟนายมาด้วยล่ะ ส่วนตู้เย็นน่ะใช้ของฉันก็ได้’

“อ่าฮะ งั้นไว้เจอกัน”

หลังจากวางสายไปพร้อมๆ กับรถเมล์ที่รอแล่นมาจอดตรงป้ายพอดิบพอดี ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาบนตึกใกล้ๆ เป็นป้ายของสถาบันฝึกสอนทำอาหารที่กำลังเปิดรับสมัครคน หนึ่งในหลักสูตรนั้นคือคอร์สการเรียนชงกาแฟที่เปิดสอนโดยบาริสต้ามืออาชีพ... โคลวิสหยุดนิ่งไม่ยอมเดินขึ้นรถจนคนขับต้องเอ่ยทักว่าจะไปมั้ย แต่เขาก็ยกมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นเชิงปฎิเสธและขอโทษ...แล้วเดินกึ่งวิ่งไปทางตึกนั้นแทบจะทันที

...ผมไม่ค่อยชอบกาแฟกระป๋องน่ะ…

“ขอโทษครับ ผมขอไปสายนิดหนึ่งนะครับ” โคลวิสไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด อีกฝ่ายก็บอกแล้วแท้ๆ ว่าไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน แต่เท้าของเขากลับยังคงจ้ำตรงไปยังตึกเรียนนั้น หลังจากวางสายกับเจ้าของร้านเบเกอรี่ เขาก็ยกกาแฟกระป๋องในมืออีกข้างนั้นดื่มจนหมดและทิ้งลงถังอย่างรวดเร็ว แม้สายตาจะจดจ้องไปยังที่ๆ มุ่งหน้าตรงไป แต่ในหัวเขาตอนนี้กลับมีเพียงรอยยิ้มกวนประสาทของคนที่ช่วยเขาเอาไว้เมื่อคืนอยู่เต็มหัวไปหมด


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม Special Up (12/8/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 12-08-2018 12:31:57


……..

…..

...





“คัมปายยยยย!!”

เสียงแก้วกระทบกันดังลั่นบาร์เงียบสนิทที่ไร้ลูกค้า มีเพียงพนักงานสองสามคนที่กำลังเก็บโต๊ะและจัดการเช็ดถูพื้น แต่ก็ยังคงกันพื้นที่เล็กๆ มุมหนึ่งให้เหล่านักดนตรีประจำร้านได้นั่งดื่มกันเนื่องในโอกาสพิเศษ..

“ในที่สุดวงเราก็ครบปีแล้วเนอะ”

“ไม่ได้แยกย้ายล้มหายตายจากไปไหนกันว่ะ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี!”

“ปากเสียนะแก” นักร้องของวงเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ กับแกล้มชิ้นพอดีคำเรียงรายในจานถูกยกมาวางแทรกกลางวงเหล้าจนละลานตา

“นายก็เคยพูดเหอะโคล!” เพื่อนมือกลองร่างท้วมใหญ่ท้วงขึ้นทำเอาคนทั้งวงหัวเราะเสียงร่ากันออกมาจนดังลั่นร้าน “โอ้ววว ลาภปากแท้ ได้กินอาหารฝีมือนายน่ะ”

“น้อยๆ หน่อย ก็ได้กินตลอดนั่นแหละ” โคลวิสถอนหายใจดีดเข้าที่กลางหน้าเพื่อนร่วมวงก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างที่เว้นไว้ให้ “แต่ก็ไม่นึกว่าจะอยู่กันได้นานขนาดนี้จริงๆ นั่นแหละ ตอนตั้งวงใหม่ๆ ยังกลัวอยู่เลยว่าจะไม่รอดถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ”

“โอยยย.. ตอนนั้นแค่ยังไม่ลงตัวเท่านั้นเอง” มือกีต้าร์ตัวสูงโย่งยื่นแก้วเหล้าให้กับนักร้องควบตำแหน่งหัวหน้าวงของตัวเอง

งานสังสรรค์เล็กๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเวลาว่าจะล่วงเลยไปขนาดไหน เพราะมีไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้มานั่งล้อมวงกันแล้วพูดคุยเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากงาน

ตอนนี้โคลวิสเองก็ย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ เพียงแต่อยู่คนละห้องกัน ซึ่งค่าเช่าห้องที่นี่ราคาสูงกว่าที่หอพักเดิม แต่ก็มีดีกว่าด้วยเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการเดินทางเวลาจะนัดซ้อมดนตรี

หนึ่งปีที่ผ่านมานั้นพวกเขาฝีมือดีขึ้นมาก ถึงขนาดมีคนมาเสนอให้ลองไปเดบิวท์กับทางค่ายเพลง ทว่ามันก็ไม่ได้ราบรื่นนักเพราะสมัยนี้พวกบอยแบนด์กับนักร้องไอดอลได้รับความนิยมและขายดีมากกว่า ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีรายการเพลงใหญ่ๆ ติดต่อเข้ามา กระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่ย่อท้อและยังคงเดินตามฝันเพื่อทำในสิ่งที่รักต่อไป

“เอ้อ...จะว่าไปแล้วพักนี้ไม่เห็นพูดถึงอัลฟ่าขี่ม้าขาวคนนั้นเลยนะ”

พรูดดด

จู่ๆ มือเบสร่างเล็กก็เปิดประเด็นที่แต่ก่อนเคยแซวหัวหน้าวงอยู่พักใหญ่ๆ กันขึ้นมา “เห็นเงียบหายไปเลย นี่หรือว่านายชวดซะแล้วเหรอ?”

“แค่กๆ ...ชวดเชิดอะไรกันล่ะ ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอไงว่าไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น” โอเมก้าเพียงคนเดียวกลางวงสำลักน้ำ อุตส่าห์นึกว่าลืมกันไปหมดแล้วแท้ๆ ยังจะขุดขึ้นมาพูดอีกแน่ะ!

“น่าเสียดายออก นี่เขาก็อุตส่าห์ให้นามบัตรมาแล้วทำไมไม่ลองติดต่อไปล่ะ?”

“ทำหายไปตั้งนานแล้ว ตอนนั้นมันยุ่งๆ หลายเรื่อง ไหนจะขนของย้ายหนีสต็อกเกอร์ออกจากหอเก่าอีก แล้วฉันก็...ไม่ได้สนใจอะไรเขาสักหน่อย!”

“แน่ะ นี่สินะไอ้ที่เค้าเรียกกันว่าซึนเดเระน่ะ”

“ซึนบ้าอะไร! ฉันเองก็อยากจะตอบแทนน้ำใจเขา แต่ในเมื่อนามบัตรมันหายไปแล้วก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า” โคลวิสปฎิเสธเสียงแข็ง แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่นั่นก็เพราะว่ามันเป็นเหตุการณ์ค่อนข้างสะเทือนใจเลยยังจำได้ไม่ลืมก็เท่านั้นเอง

ทว่า...ถึงจะมั่นใจในความคิดของตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง แต่โคลวิสก็แอบสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา.. มือกุมขวดน้ำหอมที่ยังคงเหลืออยู่เต็มขวดไว้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดและอบอุ่นอยู่ในอก ตั้งแต่วันที่ได้รับมานั้นเขาไม่ได้ใช้มันเลยแม้แต่นิดเดียว

...ความรู้สึกที่เขาเองก็พอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่นัก

“แล้วพ่อเทวดามาโปรดคนนั้นชื่ออะไรยังจำได้อยู่มั้ยล่ะ?” มือเบสคนเดิมถามหาชื่อเสียงเรียงนาม เผื่อว่าลองเสิร์ชข้อมูลแล้วอาจจะเจอก็ได้

“เอ...ริชาร์ด เบอร์ตั้น...เหมือนจะเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรสักอย่างล่ะมั้ง?” โคลวิสนึกชื่อผู้มีพระคุณที่ได้อ่านจากนามบัตรเพียงครั้งเดียว เพียงแค่นักร้องนำเอ่ยชื่อคนๆ นั้นออกมา ทุกคนในวงก็รีบยกมือถือของตนเองขึ้นมากดพิมพ์หาข้อมูลกันมือเป็นระวิง ราวกับอยากจะรู้จักฮีโร่ของคุณเพื่อนเสียเต็มประดา และเมื่อค้นเจอภาพของชายหนุ่มตามชื่อดังกล่าว ทุกคนก็หันมือถือไปให้โคลวิสชี้ตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เครื่องเดียวก็พอแล้ว!” เขาตวาดเมื่อหน้าจอสมาร์โฟนทั้งหลายของเพื่อนๆ ยื่นมาจ่อหน้ายังกับนักข่าวยื่นไมค์สัมภาษณ์ดาราเซเล็ป ก่อนที่นิ้วจะจิ้มไปยังภาพใบหน้าคุ้นเคยอันรางเลือนของคนที่ช่วยชีวิตตนไว้ “คนนี้แหละ…”

เมื่อสไลด์เข้าไปอ่านข้อมูลประวัติส่วนตัว เหล่านักดนตรีต่างก็พากันตะลึง บ้างก็ยกมือป้องปาก บ้างก็ทำตาโตอย่างไม่เชื่อสายตาจนโคลวิสอดสงสัยไม่ได้

“คนดังรึไงถึงได้ทำหน้ากันแบบนั้น?”

“นายเอาไปอ่านเองแล้วกัน” มือหนาอวบของมือกลองยื่นแท็บเล็ตเครื่องใหญ่กว่าใครในที่นี้ให้ เผื่อเพื่อนนักร้องนำจะได้อ่านชัดๆ หน่อย โคลวิสจึงรับมาแล้วไล่สายตาอ่านอย่างช้าๆ

‘ริชาร์ด เบอร์ตั้น ซีอีโอบริษัทนำเข้าอะไหล่อิเล็กทรอนิกและเจ้าของตึกสำนักงานที่สูงที่สุดในเมืองหลวงมูลค่านับพันล้าน ในปีนี้ติดอันดับอัลฟ่าที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ...’

คำโฆษณาเพียงไม่กี่บรรทัดที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของอัลฟ่าชั้นแนวหน้า แค่นั้นก็เรียกเสียงฮือฮาให้กับเหล่านักดนตรีทั้งวงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนักร้องนำอย่างโคลวิสที่ได้เจอตัวจริงมาแล้ว

‘ริชาร์ด เบอร์ตั้น เศรษฐีหนุ่มเจ้าเสน่ห์และนักธุรกิจไฟแรง ปฏิเสธว่าไม่ได้คบหาดูใจกับโอเมก้าสาวไฮโซ ทั้งที่เคยควงฝ่ายหญิงไปออกงานการกุศลเพื่อเด็กยากไร้หลายต่อหลายครั้ง เผยความสัมพันธ์ของทั้งคู่ว่าเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน’

จากนั้นทุกคนยกเว้นโคลวิสที่ยังอึ้งกิมกี่ก็สวมวิญญาณนักสืบเข้าไปอ่านกระทู้ หรือแม้แต่เว็บบอร์ดข่าวซุบซิบที่มีเนื้อหาประวัติส่วนตัวตั้งแต่วันเดือนปีเกิดยันมูลค่าทรัพย์สิน ขอเพียงมีชื่อและภาพถ่ายที่ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งความอยากรู้อยากเห็นนี้ได้

“อื้อหือ! ขนาดไม่ได้เป็นดาราดัง แต่ข่าวพี่แกเยอะกว่าพระเอกหนังบางคนซะอีก” แม้ว่าจะไม่ได้หน้าตาดีเท่านักแสดงแต่รูปหลุดที่แอบถ่ายโดยปาปารัซซี่ที่เป็นภาพเจ้าตัวกำลังพักผ่อนในเวลาส่วนตัวก็ทำเอาหลายคนร้องว้าว ภาพที่เพิ่งขึ้นจากสระน้ำบนเรือโชว์หุ่นล่ำขยี้ใจสาวน้อยสาวใหญ่หลายคน อาจจะรวมไปถึงโอเมก้าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่บางคนที่เห็นแล้วยังอดใจสั่นไม่ได้

“โคลวิสสส! นายรีบไปหามิสเตอร์เบอร์ตั้นให้ไวเลยนะ!”

“จะไปหาทำแมวน้ำอะไรเล่า! ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้สนใจเขาน่ะ!”

“ไอ้บ้าเอ๊ย! อัลฟ่ารวยๆ นิสัยดีๆ แถมน่ากิน แบบนี้หาได้ง่ายๆ ซะที่ไหน! ถ้าแกไม่เอาฉันเอาเองแล้วกัน”

“แกเป็นเบต้าจะอ่อยเขาไปเพื่อ...!?”

“เออ! ...โทษที ลืมตัวไปนิด” มือเบสยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็นิ่งไปสักครู่ก่อนจะตวาดขึ้นมา “เป็นเบต้าแล้วยังไงล่ะ!? ฉันก็โฉบเขาได้เหมือนกันนั่นแหละ!”

เสียงหัวเราะและการรุมกลั่นแกล้งของเพื่อนร่วมวงดังลั่นไปทั่วร้าน หลังจากได้รู้ข้อมูลของอัลฟ่าที่ช่วยตนไว้เมื่อปีก่อนแทบจะละเอียดยิบ...

ไม่สิ.. เขาไม่แน่ใจว่านี่มันเป็นการสร้างภาพของคนคนนั้นหรือว่าพวกนักข่าวปรุงเสริมเติมแต่งอะไรบ้างรึเปล่า โคลวิสจึงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในข่าวให้มากนัก แต่อย่างน้อยการที่ได้รู้ว่ายังมีอัลฟ่าบางคนที่ไม่ได้นิ่งดูดายยามที่เห็นคนถูกรังแกและคิดว่าจะทำอะไรกับโอเมก้าอย่างพวกเขาก็ได้ แค่นี้มันก็พอจะทำให้โคลวิสได้รู้จักตัวตนส่วนที่ดีของอีกฝ่ายมากขึ้น

ซึ่งนั่น...ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ไม่ได้พยายามติดต่อกลับไปอีก ริชาร์ด เบอร์ตั้น ผู้มีทุกสิ่งอย่างที่ชีวิตของเขาทั้งชีวิตคงไม่มีทางได้สัมผัสมัน คนระดับนั้นคงไม่อยากได้อะไรจากเขาหรอก…





--------





แล้วเราจะถ่อมาที่นี่ทำไมกันฟะ? …โคลวิสพูดกับตัวเองในใจตอนที่พาตัวเองมายืนอยู่หน้าอาคารสูงใหญ่ที่ทั้งหรูหราและทันสมัยที่สุดในเมือง รู้สึกตัวเองช่างเล็กกะจ้อยร่อยนัก รู้งี้ไม่น่ามาซะก็ดี...

‘โคลวิส! แกกำลังหาทำเลเปิดร้านกาแฟไม่ใช่เหรอ ลองไปที่ตึกนั้นดูสิฉันว่าเขาน่าจะมีพื้นที่แบ่งให้เช่าอยู่นะ’

‘ตึกใหญ่แบบนั้นคงมีร้านกาแฟชื่อดังไปเปิดร้านตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แถมค่าเช่าที่ก็คงไม่ใช่ถูกๆ ด้วย’

‘เฮ้ย! ลองไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่ อีกอย่างเปิดร้านกาแฟในสำนักงานยังไงก็ไม่มีทางขาดทุนหรอก อย่าดูถูกมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องซดกาแฟแทนข้าวเช้าทุกวันไม่งั้นสมองไม่แล่นสิพวก’

‘...เออๆ แค่ไปดูก็พอแล้วใช่มั้ย แล้วมีใครจะไปกับฉันบ้าง?’

‘นายน่ะฉายเดี่ยวไปเลย บุกเข้าไปหาคุณริชาร์ด เบอร์ตั้นให้ได้นะโคล!’

‘นั่นคือใจจริงของพวกนายใช่มั้ย!?’

โคลวิสยกมือลูบหน้าพลางนวดขมับตัวเองเมื่อนึกถึงหน้าพวกเพื่อนๆ ที่ยุยงส่งเสริมให้มาให้ได้ แต่...ให้ตายสิ! จะมาเป็นเพื่อนกันสักคนก็ไม่ได้รึไงเจ้าพวกนี้นี่..

เอาวะ ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสีย อย่างมากก็แค่โดนปฏิเสธ คิดซะว่าเริ่มเดินสายมองหาที่ทางทำกินแล้วกัน…

“คุณครับ คุณ…”

นักร้องหนุ่มโอเมก้ามองไปรอบๆ รู้สึกเหมือนมีคนเรียก คิดไปเองรึเปล่านะ?

“คุณพี่ชายผมแดงครับ ทางนี้ๆ”

ชัดละ หมายถึงเราแน่นอน… โคลวิสหันไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วจึงได้เห็นว่ามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันโบกมือน้อยๆ พลางยิ้มให้ “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“คุณเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกใช่มั้ยครับ?”

“...ครับ?” รู้ได้ไง...อย่าบอกนะว่าเขาเจอสต็อคเกอร์อีกแล้วน่ะ!?

“ดีเลย เราสองคนเข้าไปข้างในด้วยกันมั้ย? พอดีผมจะมาติดต่อขอเช่าพื้นที่เปิดร้านน่ะครับ แต่ไม่กล้าเข้าไปคนเดียวน่ะ” อีกฝ่ายบอกจุดประสงค์ของตน นักร้องหนุ่มโอเมก้ามองดูแฟ้มและเอกสารที่อีกฝ่ายหอบพะรุงพะรังมาให้เพียบ ส่วนเขานั้นมีแค่แฟ้มเล่มบางๆ กับซองเอกสารสำคัญไม่กี่อย่างเท่านั้น

“จะเปิดร้านอะไรเหรอครับ?”

“ร้านกาแฟครับ คุณล่ะ?”

“อา...เหมือนกันเลยครับ”

ทั้งสองมองตากันปริบๆ มาเสนอเปิดร้านกาแฟเหมือนกันแบบนี้ มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่านะ แต่โคลวิสก็ไม่คิดอะไรมาก พวกเขาเดินเข้าไปในตึกนั้นพร้อมๆ กัน...ไหนๆ ก็จะเข้าไปอยู่แล้ว สองคนย่อมดีกว่าหนึ่งคนแน่นอน แม้จะเพิ่งเจอหน้ากันก็ตาม

“ผมชื่อ อัล ไลรอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เบต้าหนุ่มร่างโปร่งโย่งยื่นมือมาทักทายทำความรู้จัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโดนรอยยิ้มเบียดจนตาหยีแสดงความเป็นมิตร

“โคลวิส ฟิลเบิร์ต” โอเมก้าหนุ่มยิ่นมือไปจับอย่างเป็นกันเอง

“ว่าแต่ คุณโคลวิสเคยเปิดร้านมาก่อนรึเปล่าครับ?”

“ไม่เคยเลย เพิ่งเรียนจบคอร์สซะด้วยซ้ำครับ” โคลวิสตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกนี่นะ..

“เหมือนกันเลย!”

อา...นี่คือหนึ่งในข้อพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่า คนประเภทเดียวกันจะดึงดูดกันรึเปล่านะ? กว่าทั้งคู่จะหาทางมาที่ห้องสัมภาษณ์ได้ก็เล่นเอาปวดขาไปตามๆ กัน ตึกบ้านี่จะใหญ่และซับซ้อนไปไหน!

เมื่อมาถึง พวกเขาก็พบกับคนอีกสามถึงสี่คนที่นั่งรออยู่ก่อนและกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงสุขุม ก็สถานที่มันออกจะทางการขนาดนี้ จะเรียกว่าบรรยากาศพาไปก็คงได้

“ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว ขอเมล์ติดต่อหรือแลกเบอร์กันไว้ได้มั้ยครับ?” อัลหันมายื่นมือถือตนให้โดยไม่คิดจะรอฟังคำตอบ ซึ่งโคลวิสก็รับมาอย่างเสียมิได้ คิดซะว่าได้ติดต่อกับคนที่จะทำอาชีพเดียวกันในอนาคตก็แล้วกัน…





หลังจากสัมภาษณ์จนครบทุกคน ซึ่ง.. ยังไม่ทราบผลภายในวันนี้ แต่ผู้สัมภาษณ์ที่มานั่งคุยอย่างเป็นกันเองในห้องประชุมขนาดเล็กนั้นก็ยืนยันจะส่งอีเมล์แจ้งผลให้ทุกคนรับทราบไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ก็ตาม ซึ่งก็ดี เพราะบางที่นั้นไม่ยอมแจ้งอะไรเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้รอเก้อ หรือบางทีคิดว่าไม่ได้แล้วแน่ๆ ก็เลยไปเสนอเปิดร้านที่อื่นแล้วถึงเพิ่งจะเมล์มาบอกว่าสอบผ่านก็มี…

“เที่ยงพอดี ไปหากินอะไรด้วยกันมั้ยครับ?” อัลถามเมื่อพวกเขากำลังลงลิฟต์มายังชั้นแรกเพื่อออกจากตึกใหญ่โตนี้ “ผมรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ ไม่ไกลจากที่นี่นะ”

“ไว้วันหลังแล้วกันครับ เย็นนี้ผมมีคิวร้องเพลงน่ะ ต้องไปเตรียมตัวกับเพื่อนๆ”

“โอ้ ที่เล่าให้ฟังสินะ ไม่เป็นไรๆ งั้นเอาไว้เจอกันนะครับ”

อัลโบกมือลาและหันหลังให้เขาเดินไปอีกทางหนึ่งด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง โคลวิสก็โบกมือช้าๆ ให้ ทำไมถึงได้ไฟแรงขนาดนี้นะ.. เทียบกับเขาแล้ว รู้สึกตัวเองเฉื่อยชาขึ้นมาเลย

โคลวิสเดินเอื่อยๆ มาตามถนน และได้ยินพนักงานที่เพิ่งกลับจากพักเที่ยงคุยกันว่าตอนค่ำวันนี้ซีอีโอของตึกจะไปเดินร่อนแถวย่านสถานบันเทิงของเมือง

“นี่ๆ ไปแอบส่องคุณเบอร์ตั้นชุดไปรเวทกันเหอะ อยากเห็น”

“ไม่ไหวอ่ะแก งานยังท่วมอยู่เลย คืนนี้คงต้องโอทีแล้วล่ะ”

“แหม่...เดี๋ยวค่อยกลับมาโต้รุ่งก็ได้น่า”

ดูท่าจะป็อปจริงๆ .. โคลวิสแอบคิดในใจ นี่เดินผ่านสาวน้อยใหญ่ไปสองสามกลุ่มแล้ว เหมือนจะพูดถึงแต่ ริชาร์ด เบอร์ตั้น อัลฟ่านิสัยดีคนนั้นกันหมด ตอนนี้อายุก็น่าจะย่างเข้าสามสิบกว่าแล้ว วัยกำลังน่าเคี้ยวสำหรับสาวๆ ที่หวังจะมีครอบครัวเลยนี่นา…

แต่...ย่านสถานบันเทิงเหรอ? คืนนี้เขาจะต้องไปร้องเพลงที่นั่นพอดี จะบังเอิญได้เจอกันมั้ยนะ?

ในใจโอเมก้าหัวสีกำลังพองโตด้วยความหวัง

แต่เดี๋ยวสิ.. เขากำลังหวังอะไรอยู่? ศีรษะส่ายไปมาเพื่อไล่ความคิดของตัวเองออกจากหัว

นายก็แค่ชื่นชมที่เขาเป็นคนดี แล้วก็อยากขอบคุณที่เขาอุตส่าห์มาช่วยในวันนั้นเท่านั้นแหละ…อย่าได้คิดอะไรมากไปกว่านี้เด็ดขาด







เมื่อตะวันลับฟ้าไป ดวงดาวหลากหลายเริ่มปรากฎขึ้นมาบนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเบื้องบน เมืองเริ่มละลานด้วยแสงไฟจากโคมไฟริมถนนและร้านดื่มกินยามค่ำคืน ผู้คนหลากหลายเดินขวักไขว่ด้วยต่างจุดหมายและความรู้สึก

โคลวิสมาเตรียมตัวที่ร้านประจำดังเช่นปกติ แต่วันนี้เขากลับไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร สายตาสอดส่องผู้คนที่เข้าๆ ออกๆ ร้านอยู่ตลอด เผื่อว่าจะเจอใครบางคนที่เขาต้องการพบเข้า…

“คุณหัวหน้าวงครับ จะถึงคิวแล้ว ช่วยกรุณาอย่าลุกลี้ลุกลนสิท่าน” มือกลองหันมาเอ็ดเข้าให้

“วันนี้ไปสัมภาษณ์มาเป็นไงมั่ง?” เพื่อนมือเบสถามขึ้นเพื่อดึงความสนใจของโคลวิส ทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลังจูนสายอยู่แท้ๆ

“อ๋อ...ก็..ดีมั้ง”

“ไม่ได้เจอคุณริชาร์ด เบอร์ตั้น เลยเหรอ?”

“แค่สัมภาษณ์งาน ทำไมซีอีโอต้องลงมาสัมภาษณ์เองด้วยล่ะ” โคลวิสรีบตัดบทและดื่มน้ำอุ่นล้างคอตัวเองรอ ก่อนจะเดินขึ้นเวทีไป

แม้จะเรียกว่าเวที ทว่าสภาพของมันก็เป็นเพียงแค่พื้นต่างระดับที่สูงขึ้นมาไม่ถึงสองฟุตเท่านั้น เพราะร้านต้องการบรรยากาศเป็นกันเอง และอยากให้พนักงานในร้านซึ่งก็รวมถึงนักดนตรีได้ใกล้ชิดกับแขกให้มากเท่าที่จะทำได้ ระหว่างที่กำลังกล่าวทักทายคนฟังและทำนองเพลงบรรเลงเพื่อเป็นสัญญาณเริ่มงาน พลันสายตาก็หันไปพบกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านและตรงปรี่ไปหาคนรู้จักของเขาทันที..

ริชาร์ด เบอร์ตั้น...ตัวเป็นๆ ตัวจริงเสียงจริง นั่งลงไปในกลุ่มของชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานตรงมุมร้าน ในตอนนั้นอัลฟ่าร่างสูงใหญ่ไม่ได้มองมายังเวที เขากำลังไล่ทักทายคนในโต๊ะด้วยท่าทีเป็นกันเองสุดๆ อย่างที่เคยเห็นเมื่อปีก่อน แทบไม่เคยเปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลย..

แต่งานก็ต้องเป็นงาน โคลวิสหันหน้าไปอีกทางและเริ่มทำงานของตัวเอง นักร้อง นักดนตรี หน้าที่ที่เรียกได้ว่าสำคัญไม่แพ้คนครัวหรือเหล่าบาร์เทนเดอร์ ผู้สร้างสีสันและบรรยากาศดีๆ ให้กับคนที่เข้ามาฟัง พอได้เปิดปากร้องเพลงแล้วเขาก็ไม่มีกะใจจะมองไปไหนอีก สองมือดีดกีต้าร์ตามท่วงทำนอง และภายในร้านก็เหมือนต้องมนต์สะกด หัวสมองโล่งว่างอย่างน่าประหลาดดังเช่นทุกๆ ครั้ง แม้จะเหนื่อยแต่ก็ยอมรับว่า เขามีความสุขที่ได้ขึ้นมาร้องเพลงที่นี่ในทุกๆ คืน..

“ยังเพราะเหมือนเดิมเลยนะโคลวิส”

“เอ้า! แก้วนี้ฉันเลี้ยงนะคะ”

“เอากับแกล้มไปให้นักร้องทีสิ เก็บบิลที่โต๊ะนี้นะ”

เมื่อพักเบรค เปลี่ยนเป็นเสียงดนตรีจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง ลูกค้าที่นั่งฟังเพลงในร้านต่างก็พากันแย่งประเคนอาหารเครื่องดื่มให้เหล่านักร้องนักดนตรีจนบริกรรับและส่งของกินกันแทบไม่ทัน

“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวเพลงต่อไปคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นรีเควสได้นะครับผม” แน่นอนว่าต้องให้เกียรติสุภาพสตรีก่อน แถมลูกค้าสาวสวยเองก็เป็นตัวช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายได้ไม่เลว “ส่วนคุณพี่ผู้ชายตรงโน้น ขอบคุณสำหรับหอยแครงลวกจานนี้นะครับ แต่แหม...แย่จริง เหมือนมือกลองเราจะแพ้อาหารทะเลนะครับ”

“อย่ามามั่ว นายจะเก็บไว้กินคนเดียวน่ะสิ” คนสั่งเมนูขึ้นไปให้ตะโกนท้วงขึ้นมาเพราะสั่งให้กินหลายครั้งแล้วก็เห็นคนทั้งวงแทบจะกลายเป็นแร้งรุมทึ้งเหยื่อทุกครั้งไป เสียงหัวเราะเซ็งแซ่ดังไปทั่วบริเวณพร้อมกับใบหน้านักร้องนำที่ทำหน้าเสียดายที่โดนอ่านเกมออก

“โคลวิส โต๊ะโน้นให้เอาผ้าเย็นมาให้” บริกรเดินมากระซิบและยื่นถุงผ้าเย็นในมือให้เมื่อเห็นว่ามีจังหวะให้แทรก พร้อมแนบกระดาษโน๊ตเล็กๆ มาด้วย

‘นายนี่เอง’

โคลวิสแทบหยุดหายใจเมื่อพอจะเดาได้ว่าใครเป็นเจ้าของโน้ตนี้ โอเมก้าหัวสีค่อยๆ เงยหน้าไปทางมุมหนึ่งของร้าน ที่เต็มไปด้วยกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่สลัดชุดทำงานนั่งคุยสังสรรค์กันเงียบๆ สบายอารมณ์ หนึ่งในนั้นมองสบตาเหมือนจ้องเขามาสักพัก ริชาร์ดยกแก้วเหล้าในมือขึ้นเป็นการทักทาย ซึ่งโคลวิสเองก็ยกแก้วในมือตอบ ...หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ารำคาญ..

ไม่ไหว…ทั้งที่คิดว่าตนไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแต่วันนั้น แต่พอเจอหน้าอีกฝ่ายจริงๆ เข้า ทำไมความรู้สึกนี้มันยิ่งชัดเจนกว่าเดิมทั้งที่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้วแท้ๆ

ริชาร์ดทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง โคลวิสหลุดจากภวังค์และพยายามแปลข้อความจากปากอีกฝ่าย ได้ใจความคร่าวๆ ว่า จะรอหลังเลิกงานนะ ซึ่ง..เขาก็พยักหน้ารับไปแม้จะไม่มั่นใจว่าแปลถูกมั้ย..







หลังจากหมดคิวเมื่อเวลาล่วงเลยจนเกือบจะขึ้นวันใหม่ โคลวิสขอแยกกับเพื่อนๆ ที่กะจะไปรวมกลุ่มกันทำปาร์ตี้หม้อไฟที่ห้องของมือเบส ซึ่งแต่ละคนก็แซวเขาเล่นเสียยกใหญ่ก่อนจะเดินหายจากร้านไป ปล่อยให้โคลวิสเดินตัวลีบมานั่งที่เคาท์เตอร์มุมในสุดคนเดียวเพื่อรอให้อีกฝ่ายคุยธุระของเขาให้เสร็จเสียก่อน โอเมก้าหัวสีมองเหม่อไปยังแก้วเหล้าที่มีเหล้าสีสวยอยู่ข้างในนั้น หวังให้ใจมันสงบลงบ้าง

...นี่เขาจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย?

“ขอโทษที่ให้รอนะ” เสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมาเสียนานเอ่ยทักจนโคลวิสสะดุ้ง เขาหันไปตามทิศทางที่ถูกเรียก ก็พบริชาร์ดเดินมาหาและนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ

“ไม่เป็นไร” โคลวิสเลื่อนแก้วเหล้าอีกแก้วให้ “ผมเลี้ยงละกัน”

“ไม่ต้องก็ได้นะ แค่จะมาทักทาย เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ” ริชาร์ดยกมือขึ้นทำปางห้ามญาติเพื่อบอกปฏิเสธ เมื่อโคลวิสมองไปยังโต๊ะเดิมที่ริชาร์ดนั่งเมื่อครู่ก็พบว่าเพื่อนๆ ของซีอีโอมากวัยกว่านั้นกำลังทยอยกลับกันหมดแล้ว

“จะไปเที่ยวกันต่อเหรอครับ?”

“ไม่ไหวหรอก เห็นงี้ฉันก็ไม่ใช่สายเที่ยวกลางคืนนักหรอกนะ” ริชาร์ดยิ้มแห้งส่งให้ “แก่แล้วก็เงี้ย”

“พูดไม่เกรงใจคนแก่กว่าคุณเลยนะ” โคลวิสหัวเราะแล้วยกแก้วขึ้นกระดกจนหมดในทีเดียว “วันนี้มาเยี่ยมเพื่อนเหรอครับ?”

“ใช่.. ปกติไม่ได้มาแถวนี้หรอก แต่เพิ่งรู้นะว่านายเป็นนักร้องที่พวกเพื่อนๆ ชมกันใหญ่”

“จริงเหรอครับ ขอบคุณครับ ดีใจจังที่ชอบ”

ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ ถามตั้งแต่เรื่องทั่วไปกระทั่งถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน แต่ตอนนี้โคลวิสก็ไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรร้ายๆ แบบนั้นอีกแล้ว เมื่อเห็นว่าได้เวลาสมควร โคลวิสก็กระดกเหล้าในแก้วที่เหลือจนหมดในคราวเดียวแล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านตั้งใจจะแยกย้ายไปคนละทาง

“ให้เดินไปส่งที่หอพักมั้ย?” ริชาร์ดเสนอ “เดี๋ยวเจอเรื่องแบบตอนนั้นอีกจะแย่เอา”

“คนเราไม่ซวยซ้ำซ้อนอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” โอเมก้าหัวสีหัวเราะในลำคอ ความจริงเขาก็อยากให้อีกฝ่ายเดินไปส่งนั่นแหละ...ก็แค่เสียดายที่ต้องแยกกันแล้วเท่านั้นเอง “ขอบคุณสำหรับน้ำใจครับ”

“อา งั้นก็โชคดีนะ มีโอกาสจะแวะมาเที่ยวที่นี่อีก” ริชาร์ดค้อมหัวให้เล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ ทำไมถึงได้สุภาพแม้แต่กับคนระดับเขาด้วยนะ.. โคลวิสพยักหน้าและโน้มศีรษะตอบ เขามองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินหายไปอีกทาง..

เหมือนเมื่อปีที่แล้ว.. ที่เขายังคุยค้างคาไว้โดยไม่ได้ติดต่ออะไรกันไปอีกเลย..

“เดี๋ยวครับ!”

“หือ? มีอะไรเหรอ?”

จู่ๆ โคลวิสก็เปล่งเสียงเรียกริชาร์ดไว้โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าจะยื้อเขาไว้ทำไม.. โอเมก้าหนุ่มลุกลี้ลุกลนรีบหาเหตุผลมาพูดให้ได้.. “ม..มา.. ช่วยตามผมไปที่ห้องพักได้มั้ยครับ!?”

“....ห้ะ?”


หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม Special Up (12/8/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: pichi ที่ 12-08-2018 12:33:54




แม้จะยังฉงนงุนงง แต่ริชาร์ดก็เดินตามอีกฝ่ายมาแต่โดยดี…

ห้องพักราคาเบาๆ ใจกลางเมืองนั้น แม้จะปัดกวาดเช็ดถูยังไงก็ยังดูเหมือนรูหนูอยู่ดี เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีชีวิตอย่างไร จากทั้งข่าวที่ลงไว้และอาคารสูงใหญ่ที่เขาเพิ่งจะไปมาเมื่อกลางวัน โคลวิสเดินเงียบกริบมาตลอดทางโดยไม่กล้ามองหน้าริชาร์ดด้วยซ้ำ อับอายสุดขีดชีวิตที่ดันทำตัวแปลกๆ ใส่อีกฝ่าย นี่พามาถึงห้องขนาดนี้จะโดนมองว่าเป็นคนยังไงกันเนี่ย!?

“โอ๊ะ? หอมแฮะ นายคั่วกาแฟเองด้วยเหรอ?” แต่ริชาร์ดก็ไม่ได้สนใจขนาดหรือความเก่าของห้องแม้แต่น้อย อัลฟ่าร่างสูงใหญ่ทำจมูกฟุดฟิดอย่างสนอกสนใจกลิ่นที่ลอยมาเตะจมูก

“อ่ะ..ใช่…” ตอนนั้นเหมือนว่าโคลวิสจะนึกอะไรได้พอดี เขารีบถอดเสื้อคลุมออกไปโยนไว้บนไม้แขวนแล้วเชิญอีกฝ่ายมานั่งรอที่โซฟาทันที “ขอเวลาสักครู่ครับ ไม่นานๆ แล้ว...เอ่อ… เดี๋ยวผมพาไปส่งที่เดิมนะครับ!!”

“อ่า..ได้ๆ” ริชาร์ดในท่าทีสบายๆ ทำให้เจ้าของห้องผ่อนคลายจากอาการลนลานลงมาบ้าง เขานั่งลงบนโซฟาตามที่ถูกเชิญโดยไม่มีความรังเกียจใดๆ และยังหยิบหนังสือบนโต๊ะมาพลิกไปมาและเปิดอ่านอย่างสนใจอีกด้วย





...นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ โคลวิส…





ครู่ต่อมา โคลวิสก็เดินกลับมาพร้อมแก้วกาแฟกระดาษในมือก่อนจะยื่นให้ริชาร์ดด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ คนนั่งรอก็มองมันด้วยสายตาสงสัยระคนแปลกใจอีกต่างหาก

“ตอบแทนน่ะ...เมื่อปีที่แล้ว…”

“ยังจำได้อยู่อีกเหรอ!?”

“ก็มันคาใจนี่ครับ!” โคลวิสยังคงยื่นให้ค้างในท่านั้นจนริชาร์ดต้องยอมรับแก้วกาแฟนั้นไปแต่โดยดี “เห็นคุณบอกว่าไม่ชอบกาแฟกระป๋อง..ก็เลย…”

“....ขอบใจนะ” รอยยิ้มกว้างระบายบนใบหน้าของซีอีโอมากวัยกว่า แม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่ได้รับกาแฟมาดื่มหลังเที่ยงคืนแบบนี้ก็ตาม เขาก็ยกดื่มตามารยาท ทว่า… “อร่อย!”

โคลวิสเผลอยิ้มออกมาอย่างโล่งอก หัวใจพองโตจนแทบจะหลุดออกจากอก นี่เขาตัวสั่นนิดๆ ด้วยเหรอ? “ดีจัง..”

“คุณเปิดร้านกาแฟได้เลยนะ ต้องขายดีมากๆ แน่!” ริชาร์ดหันขวับมาด้วยดวงตาเป็นประกาย “อ่ะ จริงสิ ผมกำลังหาคนมาเปิดร้านที่ตึกสำนักงานผมพอดีเลย สนใจมาเป็นบาริสต้ามั้ยครับ!?”

“...ผมไปสมัครมาเมื่อกลางวันนี้เองครับ”

“จริงเหรอ เยี่ยมเลย!” ริชาร์ดลิงโลดเป็นเด็กๆ และลุกขึ้นยื่นมือข้างหนึ่งมาจับมือโคลวิสไปทำท่าเช็คแฮนด์จนไหล่อีกฝ่ายแทบหลุด “ไม่ต้องห่วงหรอก กาแฟรสชาติดีๆ แบบนี้ ใครปล่อยให้หลุดมือไปคงโง่เต็มที”

“เอ่อ... คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” โดนชมซะขนาดนี้ก็ทำเอาเขินจนทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“เชื่อสิ ไว้เปิดร้านเมื่อไหร่ฉันจะมาอุดหนุนทุกวันเลยนะ”

“ดื่มกาแฟมากไปก็ใช่ว่าจะดีนะครับ” แม้จะดีใจที่ได้ลูกค้าประจำรายแรกเป็นผู้มีพระคุณ แต่ก็อดเป็นห่วงสุขภาพไม่ได้

“ไม่ดื่มมันอยู่ไม่ได้นี่นา เห็นใจพนักงานออฟฟิศตาดำๆ หน่อยสิคร้าบ”

จะแซวดีมั้ยว่าระดับซีอีโอนี่เขาไม่นับว่าเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไปหรอกนะ…

“งั้น...เอ่อ.. ให้ผมไปส่งที่เดิมนะครับ” โคลวิสเสนอตัวก่อนจะรีบลุกไปหยิบเสื้อโค้ทของตัวเอง ทว่า ก็โดนมือหนาคว้าบ่าไว้ก่อน แค่ออกแรงบีบเล็กน้อยเขาก็เดินต่อไม่ได้แล้ว.. อา เรี่ยวแรงของอัลฟ่ามันผิดกับโอเมก้าแบบนี้นี่เอง

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันกลับเอง แค่กาแฟแก้วนี้ก็คุ้มแล้วล่ะ” ริชาร์ดเดินผ่านร่างเล็กกว่าไป ฝากแก้วอุ่นนั้นให้โคลวิสถือและหยิบเสื้อของตัวเองมาสวม “อีกอย่าง ถ้านายไปส่งฉัน ขากลับจะทำยังไงเล่า?”

“อ่ะ...เอ่อ…” เพราะเถียงอะไรไม่ได้ก็เลยทำได้แค่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกไป “ขอโทษนะครับ ที่ลากคุณมากระทันหัน”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปล่ะ เจอกันนะ เดี๋ยวให้เลขาฉันเมลมาบอกเรื่องผลละกัน” ริชาร์ดทิ้งท้ายและหยิบแก้วกาแฟนั้นไปถือตามเดิมก่อนจะเดินออกจาห้องไป ซึ่งโคลวิสก็ยินโบกมือส่งอยู่ที่เดิม จนเมื่อประตูปิดสนิท เขาก็เดินมาล็อคกลอนให้เรียบร้อย

“หวา…” โคลวิสยืนนิ่งอยู่ตรงประตู สองมือยกขึ้นปิดใบหน้าแดงก่ำของตัวเองไว้เหมือนกับว่าริชาร์ดยังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วจะเห็นว่าเขานั้นเขินอายขนาดไหน

ในคราแรกเขาก็นึกว่าจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชื่นชม และเขาเองก็กลัวเกินกว่าจะเริ่มรักครั้งใหม่ แถมกับอีกฝ่ายที่ช่างต่างกันฟ้ากับเหวขนาดนี้ ความหวังมันริบหรี่เสียจนโคลวิสเองก็พยายามไม่คิดอะไรแล้ว แต่ วันนี้...รอยยิ้มแสนจริงใจผิดกับสถานะทางสังคม ฝ่ามือหนาแสนอบอุ่นที่สัมผัสไหล่เมื่อครู่ ไหนจะคำชมนั้นอีก ความพยายามที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนจะตอบแทนเขาจนหมดสิ้นด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้แล้ว

“...ลองดูอีกสักครั้งก็ได้มั้ง…”







“สรุปแล้วก็เลยได้เปิดร้านกาแฟสมใจนายแล้วสินะโคลวิส อย่างนี้ต้องฉลอง!”

“พอเลยๆ เอะอะก็ฉลอง ตอนนี้ฉันต้องเอาเงินเก็บไปลงทุนเปิดร้านแล้วนะ จะฉลองอะไรก็เกรงใจกระเป๋าตังค์กันบ้าง” นักร้องวงปรามเพื่อนๆ ที่จริงแล้วเขาแยกระหว่างบัญชีเงินเก็บกับค่าใช้จ่ายแต่ละวันไว้อยู่แล้ว แต่ช่วงนี้ก็ต้องเซฟตัวเองไว้ก่อนเผื่อต้องควักเนื้อขึ้นมาจะได้ไม่เข้าตัวมาก

“แล้วเจ้าหนุ่มคนที่ว่าจะเปิดร้านกาแฟเหมือนกันล่ะเป็นไงแล้ว?” มือกีต้าร์

“อ่อ...เรื่องนั้น พอเขาขอลองชิมกาแฟที่ฉันทำก็เลยถอนตัวไปแล้วล่ะ”

“อ้าว…” ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกัน แต่เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้หรอก

“เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยมาขอสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดร้านเลย…” โคลวิสส่ายหน้าพลางหัวเราะ อันที่จริงตอนที่ผู้ชายที่ชื่ออัลนั่งคอตกเพราะเห็นว่าตัวเองฝีมือสู้เขาไม่ได้ก็แอบหวั่นใจว่าตัวเองจะโดนมองเป็นคู่แข่งรึเปล่า แต่ปรากฏว่าดันลงเอยแบบนี้เสียอย่างนั้น แถมยังบอกด้วยว่าสามเดือนแรกไม่เอาค่าแรง แต่ขอเป็นอาหารสองมื้อแทน

“แต่...ว่า!” เพื่อนมือเบสเอาแขนล็อคคอนักร้องนำของวง “คืนนั้นหลังเลิกงาน นายได้เจอคุณริชาร์ดด้วยใช่มั้ย!? เห็นเดินไปส่งที่หอพักด้วย เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเล่ามาให้ฟังซะดีๆ!”

“นี่พวกนายแอบตามไปดูด้วยรึไง!?” โคลวิสพยายามแงะท่อนแขนที่รัดแน่นเป็นปลาหมึกออก “จะแซวเล่นก็ไม่ว่าหรอกแต่ช่วยเล่นให้มันพอดีๆ หน่อย ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”

พอโดนเพื่อนนักร้องนำวงดุจริงจัง เพื่อนๆ ทุกคนก็สงบปากสงบคำลง “แล้วมีอะไรให้พวกเราช่วยมั้ย?”

“งั้นก็ช่วยเสนอเมนูมาหน่อยแล้วกัน ยังไม่ต้องเยอะหรอก เอาแค่เมนูพื้นๆ ก่อน แล้วถ้ามันไปรุ่งก็ค่อยๆ เพิ่มเข้าไปทีหลัง”

จากนั้นผองเพื่อนก็ช่วยกันเสนอความคิด ทั้งเมนูคาวหวานยอดนิยมในร้านกาแฟ และออกไอเดียจัดร้านให้น่าสนใจ เพราะเดี๋ยวนี้คนนิยมถ่ายรูปเช็คอินตามร้านที่ไปนั่ง น่าจะช่วยให้คนสนใจร้านมากขึ้น แน่นอนว่าอาจจะต้องลงทุนเพิ่มอีกหน่อยเพื่อให้มีมุมสวยๆ ไว้ถ่ายรูป

“แล้วมีชื่อร้านรึยังล่ะ?” มือกลองแทรกถามขึ้นมา ทำเอาทุกคนหยุดคิดเรื่องจัดแต่งร้านไปครู่หนึ่ง นั่นน่ะสำคัญยิ่งกว่ารายการอาหารที่กำลังนั่งลิสต์กันอยู่เสียอีก

“คิดไว้แล้วล่ะ” โคลวิสยิ้มกริ่มแล้วเอาชื่อที่จดไว้ในกระดาษโชว์ให้เพื่อนๆ เขาดู “Roland COFFEE”

“....จำยากไปป่ะ?”

“นึกว่าจะใช้ชื่อ On the RICH อะไรแบบนั้นซะอีก”

“แย่มากพวกแก!!” โคลวิสเขกหัวเรียงคน ก่อนจะเริ่มสาธยายที่มาของมัน “Roland เนี่ย เป็นชื่อของฮีโร่ในวรรณกรรมเก่าแก่ของบ้านเกิดฉันเชียวนะ แล้ว...ชื่อของเขาก็.. แปลว่า ความกล้าหาญ.. เหมือนชื่อคุณริชาร์ด…”

เสียงที่เบาลงเรื่อยๆ จากความกระดากอายไม่ได้ทำให้เพื่อนๆ หยุดล้อเขาได้ แถมจะยิ่งแซวหนักข้อขึ้นอีกต่างหาก แต่ตอนนี้โอเมก้าหนุ่มเพียงคนเดียวในวงกลับไม่ได้คิดจะห้ามเพื่อนๆ แล้ว ตอนนี้เขาเอาแต่ยิ้มอายๆ รับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า

ปล่อยเจ้าพวกนี้ไปละกัน สักวันคงเลิกล้อไปเองนั่นแหละ...





…..

……….





“แหมๆ ๆ แหม~” คาร์เมนและอัลประสานเสียงสูงแทบจะพร้อมกัน ทันทีที่โคลวิสยอมเล่าว่าไปตกหลุมรักซีอีโอเบอร์ตั้นเอาตอนไหน “มาการองในมือมันจืดไปหมดแล้วเนี่ย”

“งั้นขอคืนนะ” พอโดนโคลวิสพูดแบบนั้น ขนมสีหวานก็โดนดึงจานหนีก่อนที่เพื่อนบาริสต้าริบไปจริงๆ ในตอนนี้โคลวิสเขินจนแทบจะเอาหน้ามุดเครื่องคั่วกาแฟไปแล้ว

“แล้ว..ยังไงล่ะ แอบรักข้างเดียวมาตั้งห้าหกปี...โดยไม่คิดจะทำอะไรเลยงั้นเรอะ!?” คาร์เมนทุบสองมือลงโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ทำเอาคนในร้านกาแฟที่พอจะมีหันมามองเป็นตาเดียวกัน

“เบาๆ สิ! ถึงจะไม่ใช่พักเที่ยง แต่คนก็ยังเยอะนะ!” โคลวิสห้ามปราม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวต้องมีเรื่องรายงานไปยังหูเจ้าพนักงานในตึกแหงๆ

“นั่นสิ… ผมว่าน่าเสียดายออกนะ” ลาซารัสที่นั่งฟังเงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่เริ่มออกความเห็น ทำให้ทั้งสามคนหันมามองเป็นตาเดียว “อ...อะไร?”

“นั่นสิน้า คุณลาซารัส แมทเวย์ ที่มัดใจอัลฟ่าไปได้ตั้งสองคนเนี่ย ต้องมีเคล็ดลับอะไรให้เรารู้กันบ้างล่ะ” คาร์เมนทำเสียงล้อเลียนแล้วเท้าคางมองลาซารัส

“หา!? ไม่มีครับ!”

“เบาๆ หน่อยสิลาซัส” โคลวิสหันมาเอ็ดเพิ่มอีกคน พอสองโอเมก้านี้อยู่ด้วยกันทีไรต้องมีทะเลาะกันเสียทุกครั้งไป

“ขอโทษครับ.. แต่..ตามที่คุณคาร์เมนบอก ผมว่าน่าเสียดายนะครับ อย่างน้อยๆ ก็บอกให้เขารู้หน่อยก็ดีนะครับ”

“ให้แนะนำมั้ย?” คาร์เมนเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้แล้วยกสองแขนขึ้นอ้าออกเหมือนกำลังทำตัวเป็นเจ้าลัทธิอะไรสักอย่าง “งดยาระงับซะ แล้วนายก็ชวนเขาไปห้องนายอีกรอบ บอกว่ามีกาแฟสูตรใหม่อยากให้ชิม จากนั้นก็ใส่ชุดที่เน้นสัดส่วนสักนิด ที่เหลือก็ปล่อยให้อะไรๆ มันพาไปก็พอ”

“อย่าไปฟังเขานะครับ” ลาซารัสเอนตัวไปกระซิบกับโคลวิสแต่ก็พูดดังพอให้คนร่วมโต๊ะอีกสองคนได้ยิน ซึ่งโคลวิสเองก็พยักหน้าตอบด้วยสีหน้าระอาสุดทน

“เฮ้! นี่ได้ผลทุกครั้งเลยนะ”

“มันก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอกครับ เอาจริงๆ แค่โคลพูดตรงๆ ก็พอแล้ว ที่ยากก็คือพูดออกไปนี่แหละ”

“งั้นคงเป็นไปไม่ได้อ่ะ” อัลพูดเสริมและเท้าคางมองเพื่อนบาริสต้าของตัวเอง เป็นเพื่อนกันมาตั้งห้าหกปีก็เลยรู้ดีว่าโคลวิสนั้นจริงๆ ขี้อายกับเรื่องแบบนี้ขนาดไหน..

“...ม...ไม่ล่ะ ขออยู่แบบนี้ต่อไปแหละ ฉันก็มีความสุขดี” โคลวิสยกมือทำท่าปางห้ามญาติเป็นเชิงปฏิเสธ ดวงตาหลบไปทางอื่นอย่างไร้ความมั่นใจในตัวเอง

“...โคล ผมรู้ว่าคุณยังกลัว แต่ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปคุณก็ลืมคุณริชไม่ได้ เท่ากับว่าคุณโดนผูกติดกับเขาโดยปริยายเลยนะครับ”

“นายลืมไปแล้วเรอะ เมื่อกี้ก็เพิ่งเล่ามานี่ เกือบโดนอัลฟ่าโรคจิตลากไปทำมิดีมิร้าย แถมยังโดนลักพาตัวไปพร้อมกับเป็ดน้อยนี่อีก… ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน จะตายเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลย” พอพูดแบบนี้ทั้งลาซารัสทั้งอัลต่างสะดุ้งแล้วหันมามองอย่างตกตะลึง ..จำเป็นต้องตรงขนาดนี้ไหม.. “ตอนนี้นายมีความสุขดี..ใช่ แล้วอนาคตล่ะ? ยอมรับได้เหรอที่สักวันริชาร์ด เบอร์ตั้น อาจจะมีคนรักคนอื่นแล้วนายก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสให้บอกเค้าว่านายรู้สึกยังไง หรือถ้าสักวันนาย..อาจจะเป็นอะไรไปก็ได้ แล้วก็หมดโอกาสไปอีก?”

แม้จะรู้สึกว่าคาร์เมนพูดตรงไปนิด แต่ลาซารัสและอัลก็เห็นด้วยทุกคำ โคลวิสก้มหน้านิ่งอยู่นานก่อนเขาและอัลจะลุกไปเพราะมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน “ขอตัวนะ เดี๋ยวค่อยคุยต่อ”

“...กดดันเขาไปรึเปล่า?” ลาซารัสกระซิบถามคาร์เมนที่ยังคงนั่งเอนหลังท่าเดิม

“คนเราเวลาออกจากเซฟโซนมาเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมากๆ ก็จะถอยกลับเข้าไปลึกกว่าเดิม.. แล้วพ่อนกแก้วนั่นไม่ได้ใจกล้าแบบนายด้วยเจ้าหนูไฝ...”

ถึงตัวเองจะโดนด่าไปด้วย แต่ลาซารัสก็เผลอหลุดขำสรรพนามที่น้องชายคุณหมอเรียกโคลวิสอยู่ดี ก็ผมสีนั้นมันทำเอานึกถึงนกแก้วได้จริงๆ นี่นะ…

“รับอะไรดีครับ...อ่ะ!?” ระหว่างที่โคลวิสกำลังรับออเดอร์ตามลำดับคนที่มาต่อคิวกัน พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับคนที่เพิ่งจะพูดถึงกันไป ช่างตายยากอะไรขนาดนี้

“ขอเอ็กเพรสโซ่” ริชาร์ดดันโผล่มาอยู่ในแถวด้วย นี่เขาเบลอจนไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในร้านเลยงั้นเหรอ!? เห็นคนที่เพิ่งโดนนินทาไปโผล่มาแบบนี้ ทั้งลาซารัสและคาร์เมนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในร้านก็ยื่นคอขึ้นมาดูแทบจะยืดยาวเป็นยีราฟด้วยความสนใจ “อ้าวนั่น สองคนนั้นก็อยู่เหรอ มีอะไรทำไมมารวมตัวกันได้เนี่ย?”

“เย็นนี้จะไปกินข้าวที่บ้านผมน่ะ” โคลวิสตอบเสียงเรียบและตัดบทไปด้วยการโบกมือไล่เจ้าของตึกให้หลีกทางให้ลูกค้าคนข้างหลัง “คิวต่อไป รับอะไรดีครับ”

พอโดนไล่มาแบบนั้นริชาร์ดเลยเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับโอเมก้าทั้งสองอย่างไม่คิดมาก ทว่า โคลวิสที่ยังคงต้องทำงานอยู่เริ่มเสียสมาธิเสียแล้ว คำพูดของคาร์เมนมันวนเวียนในหัวเขาไม่หยุดถึงขั้นเหม่อลอยเป็นพักๆ จนอัลต้องคอยเรียกสติตลอด

“เอาไปเสิร์ฟคุณริชาร์ดทีสิ” อัลยื่นแก้วกาแฟมาให้เพื่อนที่กำลังคิดเงินอยู่

“ไหงงั้น นายเอาไปสิ”

“แค่คิดเงินฉันก็ทำได้น่า รีบไปซะที ไป๊!”

ปกติจะปฏิเสธหัวชนฝาไปแล้ว แต่รู้ตัวอีกทีโคลวิสก็กำลังวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะซะแล้ว.. แม้จะพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่า ใบหน้าของเขาดูจะปิดไม่มิดซะแล้ว

"วันนี้ดูเครียดๆ นะ ไม่สบายรึเปล่าน่ะ? " ริชาร์ดหันมาเจอเข้าพอดีเพราะสายตาทั้งสองของโอเมก้าร่วมโต๊ะจ้องไปยังบาริสต้าหัวสีเป็นตาเดียว

"...ไม่ได้เป็นอะไรครับ"

"แน่เหรอ เดี๋ยวเกิดทรุดขึ้นมาใครจะมาชงกาแฟอร่อยๆ ให้ริชาร์ดกันล่ะ? " คาร์เมนต่อยหมัดตรงแบบไม่ถงไม่ถามหรือเตี๊ยมกันสักคำ

"เพราะพวกนายดันพูดเรื่องแบบนั้น..” คนที่มักเก็บอาการเขินได้ดีมาตลอด พอมาตอนนี้ความอดทนเริ่มปะทุจนใกล้จะถึงลิมิต ทั้งเสียงสั่นทั้งมือเย็นไปหมด ทำไมไอ้คุณริชาร์ดต้องโผล่มาตอนนี้ด้วย!? นี่โชคชะตาบอกให้เขาต้องพูดเหรอ? มันต้องพูดแล้วจริงๆ เหรอ!?

"หือ? แกล้งอะไรกันก็อย่าเกินเลยล่ะ เดี๋ยวไม่เป็นอันทำงานพอดี" ริชาร์ดหันไปหัวเราะใส่ลาซารัสกับคาร์เมนที่ดูท่าทางคงจะรวมหัวกันแกล้งเพื่อนเป็นแน่ โดยเฉพาะน้องชายของคุณหมอเพื่อนรักนี่แหละตัวเสี้ยมกว่าใครเลย

"คุณนั่นแหละต้นเรื่องเลย! " โคลวิสหลุดตะโกนเสียงดังจนทุกคนแปลกใจ

"หา? " ริชาร์ด เบอร์ตั้นแอบงงว่าตัวเองไปทำอะไรให้ไม่พอใจตอนไหน เพราะปกติไม่ว่าใครจะยุแหย่ หรือเจอลูกค้าเหวี่ยงใส่แค่ไหน บาริสต้าหนุ่มคนนี้ก็ใช้สติและความใจเย็นแก้ปัญหาได้เสมอ "ฉันไปทำอะไรให้นายเหรอ? "

พอโคลวิสไม่ยอมพูดอะไรต่อเพราะกำลังตกใจที่เขาใช้อารมณ์ใส่คนตรงหน้าขนาดนี้... ริชาร์ดเลยหันไปมองคนที่เหลือ ซึ่งสายตากับสีหน้าที่แสดงออกมาก็เดาไม่ออกอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนโคลวิสนั้นกลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้

"...ดูเหมือนฉันอยู่ตรงนี้จะทำให้นายอึดอัดสินะ" ซีอีโออัลฟ่าลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปทั้งที่ยังดื่มกาแฟไม่หมด "ถ้าทำให้รู้สึกไม่ดีก็ขอโทษนะ"

"ม...ไม่ใช่นะครับ! " โคลวิสเผลอใช้สองมือคว้าแขนเสื้ออีกฝ่ายแล้วฉุดไว้เสียจนคนตัวสูงกว่าที่ไม่ได้ตั้งหลักแทบจะล้มใส่ "ไม่...ไม่ได้อึดอัดเลยสักนิดครับ!! "

ตอนนี้สมองของบาริสต้าหนุ่มหมุนติ้วจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว ไอ้สิ่งที่ออกจากปากไปเมื่อครู่นั้นก็ไม่ได้คิดคำแก้ตัวไว้เลยสักอย่าง...

"แล้วเพราะอะไรล่ะ บอกได้มั้ย? " สายตาของริชาร์ดจะจ้องเอาคำตอบอย่างจริงจัง

"บอก...ตรงนี้ ไม่ได้! " เหมือนสมองจะไปแล้วแต่ยังดึงสติไว้ได้อยู่ "อ๊า! เพราะพวกนายเลย!! "

โคลวิสปิดหน้าแล้วลงไปนั่งยองอยู่กับพื้น สองมือยกขึ้นปิดหน้าไม่กล้าสบมองใครทั้งนั้น

ในเมื่อพูดไม่ได้...ก็ไม่ต้องพูดสิ!

โคลวิสคิดได้ดังนั้นก็เลยหยิบเอากระดาษจดเมนูออกมาเขียนอะไรยุกยิกอย่างไวแล้วยื่นให้ริชาร์ดเอาไปอ่าน ส่วนตัวเองยังนั่งคุดคู้อยู่กับพื้น

"? " มือหนาหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วพลิกอ่าน ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนสีเล็กน้อย "อ่า..."

"อะไรๆ ๆ เขียนว่าอะไรเหรอ!? " เหล่าเพื่อนมุงพากันมารุมล้อมซีอีโอ แต่ริชาร์ดยกมือขึ้นสูงสุดความยาวแขน

"โทษทีนะ แต่นี่ของฉัน" ใบหน้าของซีอีโอหนุ่มยิ้มกว้างแล้วพับกระดาษเก็บลงกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหันไปมองคนที่สารภาพด้วยปลายปากกา ริชาร์ดย่อตัวลงมานั่งกอดเข่าเป็นเพื่อนโคลวิสที่ยังคงก้มหน้านิ่ง "...ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? "

ร่างเล็กกว่าสะดุ้งแล้วออกอาการสั่นเล็กๆ ทำใจอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมตอบออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา "...ตอนที่คุณช่วยผมไว้จากพวกโรคจิตครับ..."

คนถามเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะเป็นเหตุการณ์ในตอนนั้นตั้งแต่แรก เพราะคนตรงหน้าไม่เคยแสดงออกให้เขาเห็นเลยว่ารู้สึกอะไรแบบนั้น

"อ่ะ! ไม่ต้องคิดมากนะครับ ผมไม่ได้คิดจะจีบคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อันที่จริงอยู่แบบนี้ผมก็มีความสุขดี แล้วผมก็คิดว่าคุณเองก็คงมีคนที่เหมาะสมกว่านี้อยู่แน่ๆ อะ..ไร... แบบนั้น" โคลวิสกล่าวโดยที่ไม่รู้ตัวว่าน้ำตามันกำลังไหลเอ่อล้นออกมา คำพูดมากมายที่อัดอั้นอยู่ในใจมาแสนนานเปล่งออกไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ออก แต่สำหรับริชาร์ดที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้ว มันค่อนข้างชัดเจนพอให้จับเนื้อความได้อยู่ "เพราะแบบนี้ผมก็เลย...ไม่กล้าบอกคุณ..."

"เพราะอะไรถึงไม่บอกล่ะ? " ริชาร์ดยังคงยิงคำถามต่อเนื่องพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายเอาไปซับน้ำตาก่อน

"ผม...เคยผิดหวังมาก่อน ก็เลยไม่อยากตั้งความหวัง ยิ่งเป็นคนระดับคุณด้วยผมก็เลย..." โคลวิสรับผ้าเช็ดหน้ามาถือไว้ เสียงเบาลงจนไม่ได้ยินคำพูดหลังจากนั้น แต่คนฟังก็พอจะจับใจความได้

"แล้วสารภาพแบบนี้ไม่กลัวผิดหวังอีกครั้งรึ? "

"...จริงๆ เพราะโดนพวกนั้นกดดันมากๆ เลยสติหลุดก็ส่วนหนึ่ง..." คนโดนกล่าวถึงสะดุ้งไปนั่งตัวตรงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และมองไปทางอื่น "และ...ผมเคยคิดว่ามันก็อาจเป็นแค่ความหลงใหลชั่วคราว แต่จนถึงตอนนี้.. ไม่ว่าจะเห็นหน้าคุณกี่ครั้ง ผมก็เหมือนกลับมาตกหลุมรักคุณอีกรอบซะทุกที"

พูดมาถึงตรงนี้โคลวิสยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้าแม้ดวงหน้าจะแดงก่ำขนาดไหนก็ตาม

"ผมไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลังที่ไม่ได้พูดมันออกไปครับ" จากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างที่สุด “ถ้าเกิด...ต้องตายไปโดยไม่ได้บอกความรู้สึกจริงๆ ออกไป ผมคงตายตาไม่หลับแน่”

กองเชียร์ต่างรู้สึกประทับใจจนน้ำตาจะไหล บ้างก็ผิวปากด้วยความถูกใจในความกล้าของเพื่อนบาริสต้าหนุ่ม

"...ขอบใจนะ แต่ขอรับไว้แค่ความรู้สึกแล้วกัน" เพราะไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่ายเกินเลย ริชาร์ดจึงได้ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล แต่...แทนที่จะเห็นใบหน้าอันผิดหวัง โคลวิสกลับพยักหน้ารับแต่โดยดี ราวกับรู้แต่แรกว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง

"....ผมก็คิดไว้แล้วล่ะว่าคุณคงพูดแบบนี้ แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ" คำพูดที่ทำเอาผู้ฟังทั้งหลายที่รายล้อมเป็นสักขีพยานล้วนอยากจะปรบมือให้ โดยเฉพาะลาซารัสที่เคยใช้ไม้นี้เอาชนะใจอัลฟ่าใจแข็งอย่างหมอคาเล็มมาได้

"ผมอาจจะรีบร้อนสารภาพไปทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมใจมาดีพอ..." โคลวิสยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยใบหน้าแสนมีความสุขราวกับริชาร์ดตอบรับคำบอกรักไปแล้ว "ขอเวลาผมสักนิดแล้วผมจะบอกคุณอีกครั้งนะ อ่ะ... แต่คราวหน้าจะพูดแทนการเขียนนะครับ"

บาริสต้าหนุ่มหัวเราะแก้เขิน ไม่รู้ทำไม...พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของโคลวิส จู่ๆ ริชาร์ดก็รู้สึกว่ามันน่ามองมากกว่าทุกที

อันตรายจริงๆ ไม่ดีกับใจเลยแบบนี้

"ฉันว่า...นายตัดใจตอนนี้ดีกว่านะ"

"อะไรกัน โดนโอเมก้ารุกจีบก่อนแค่นี้ถึงกับจะถอยห่างกันเลยเหรอริชาร์ด นายเป็นอัลฟ่าไม่ใช่เหรอ..." คาร์เมนเอ่ยเสียงสูงกว่าปกติพลางมองจิกผ่านแว่นกันแดด “หรือรังเกียจโอเมก้าที่เคยมีเจ้าของแล้ว?”

“พูดงี้มาต่อยปากกันเลยดีกว่ามั้ย?”

“จะเอาสินะ” คาร์เมนหักนิ้วดังกร๊อบรออยู่แล้ว ริชาร์ดเองก็ลืมตัวไปว่าน้องชายโอเมก้าของเพื่อนไม่ใช่พวกที่จะมาข่มได้ง่ายๆ พอหันกลับมาทางโคลวิสที่หน้าเจื่อนลงจึงต้องรีบอธิบายอย่างด่วนก่อนจะเข้าใจผิด

“มันไม่ใช่เรื่องที่นายเคยผ่านอะไรๆ มาหรอก แต่...ฉันเองไม่ได้เป็นคนดีเลิศอะไรขนาดนั้น นายอาจจะประทับใจที่ฉันเคยช่วยเหลือเอาไว้หลายครั้ง แต่นั่นน่ะฉันไม่ได้ทำกับนายเป็นพิเศษคนเดียวหรอกนะ” ระหว่างพูดก็พาอีกฝ่ายกลับขึ้นมานั่งเก้าอี้ตามปกติไปด้วย “เพราะงั้น...อยากให้นายค่อยๆ คิดอย่างใจเย็น ของแบบนี้มันต้องดูกันไปนานๆ”

“แอบมองมาตั้งหกปีนี่นานพอมั้ย?” คาร์เมนพูดแทรก ก่อนจะโดนลาซารัสเอามือปิดปากให้หยุดสอดเรื่องคนอื่นสักที แต่ก็โดนรุ่นพี่ตัวเล็กกว่ากัดนิ้วจนร้องเสียงหลง “ไอ้หนูโคล ฉันจะขอพูดอะไรหน่อยนะ ชีวิตน่ะมันสั้น อยากทำอะไรก็รีบๆ ทำซะ”

ถ้าเป็นคนอื่นพูดคงไม่คิดอะไร แต่เพราะเป็นคาร์เมนที่ผ่านโลกมาเยอะนั่นแหละถึงได้รู้สึกว่าคำพูดนั้นมันมีน้ำหนักขึ้นมาทันที

“ว...วันเสาร์นี้ว่างมั้ยครับ?”

“หือ?”

“....ไป..กินข้าวกันมั้ยครับ.. แล้วก็ มีสวนสนุกเปิดใหม่ที่นอกเมือง..ถ้าคุณไม่รังเกียจ...”

เพื่อนทั้งสามคนมองอึ้งกิมกี่ก่อนจะเริ่มแสดงอาการพยายามอดกลั้นไม่ให้ลิงโลดจนออกนอกหน้า ไม่นึกว่าพอเครื่องสตาร์ทติด โคลวิสจะกล้าบุกขนาดนี้!

“...ได้สิ งั้นไว้นัดเวลาอีกทีนะ ฉันต้องไปประชุมแล้ว”

พอริชาร์ดขอตัวออกไปก่อน ทั้งสามคนที่นั่งลุ้นอยู่ก็แทบจะเป็นบ้า รีบปรี่เข้ามากอดเต็มรักว่าในที่สุดเพื่อนคนนี้ก็บ้าบิ่นพอจะเริ่มรุกอัลฟ่าก่อนสักที

“ยินดีด้วยนะครับโคล!!”

“ร้ายกว่าที่คิดอีก! นกแก้วหงิมๆ เมื่อกี้บินไปไหนแล้ววะ!?”

“โอยยย!! ฉันลุ้นตัวแทบขาด นายเกือบจะทำฉันหัวใจวายตาย!!” อัลเดินมานั่งลงข้างๆ เพื่อนของตัวเองแล้วแย่งกันกอดกับลาซารัส “เป็นไงมั่งล่ะ ขอสัมภาษณ์หน่อยสิ”

“...ล ..โล่งอก” คำพูดเดียวที่ตอนนี้โคลวิสคิดออกหลุดออกมาจากปากสั่นเครือ เขาทิ้งตัวไปตามแรงโยกของทั้งสองคนแล้วใช้สองมือกอดตอบ “ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆ เลย”

ระหว่างที่ร้านกาแฟกำลังเอะอะ ริชาร์ดก็จ้ำเท้ากลับไปห้องประชุมด้วยท่าทีไม่รีบร้อนดังคราแรก ร่างสูงจิบกาแฟทีละนิดเป็นระยะๆ ก่อนจะทำหน้าอธิบายไม่ถูก

“...ทำไมวันนี้กาแฟมันหวานจังล่ะ? …”





หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Give your heart to me? ยกหัวใจให้ฉันได้ไหม Special Up (12/8/18) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 15-04-2019 09:56:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: peppermintt ที่ 15-07-2019 17:03:57
หลายอารมณ์มากเรื่องนี้ กว่าจะแฮปปี้ ลุ้นมากเลย ฮืออ
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 19-07-2019 01:31:48
จบแล้วหรอกำลังสนุกเลย
นิยายเรื่องนี้หลากหลายอารมณ์มากบอกเลย
แอบไม่ค่อยชอบตอนที่ลาซาลัซไปมีอะไรอะไรกับริชาร์ด บอกว่ารักหมอแต่ไปมีอะไรกับเพื่อนหมอ
จริงๆเราชอบนี้มากเลยนะเพราะก่อนหน้านี้ก็อ่านแนวนี้มา
แต่เรื่องนี้แอบไม่พอใจนายเอกนิดหน่อย
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:47:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำหูู้ปาโก๋ ที่ 04-10-2020 00:00:35
คือดือมากกกกก
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 06-10-2020 19:05:20

 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 07-10-2020 16:55:09
 :L2:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: tong_pub ที่ 10-10-2020 16:24:11
แง...ขอโทษที่อ่านไม่จบค่ะ อ่านมาถึงตอนที่ลาซารัสอยู่กับริชาร์ดตอนยังไม่หายฮีท บทก็ส่งให้ริชาร์ดมาเลย เราช็อกมากเพราะไม่อ่านแนว3p แถมมีรอยกัดด้วยคือปกติหาอ่านแนวนี้เรื่องที่ชอบยากมาก แต่มาเจอเรื่องนี้เลยแอบผิดหวัง เสียใจง่ะ สนุกนะคะแต่เราคงทำใจอ่านต่อไม่ได้  :hao5:
หัวข้อ: Re: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 24-10-2020 22:35:01
 :hao5: