#Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]  (อ่าน 80244 ครั้ง)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #180 เมื่อ16-11-2017 22:13:00 »

Chapter 14

ผ่านไปหลายวันก็ยังคงไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอีกจนทุกคนแทบจะลืมเรื่องที่โจรขึ้นบ้านไปแล้ว ตอนนี้แขนของปรเมษฐ์กลับมาใช้งานได้ตามปกติและกลับไปทำงานตามเดิม ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยดี ยกเว้นก็เพียงเรื่องเดียวที่มันไม่ปกติ

“ป๊าจะไปไหน” นภธรณ์ถามเมื่อเห็นปรเมษฐ์ที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็หันไปคว้ากระเป๋าแล้วลุกเดินไปที่ประตู
ช่วงนี้ปรเมษฐ์มักจะออกจากบ้านไปแบบปุบปับ หลังจากรับโทรศัพท์หรืออ่านข้อความ และคำตอบที่ได้รับก็จะเป็นประโยคเดิมๆ

“มีนัดกับเพื่อนน่ะ”

...เพื่อน... เพื่อนที่ไหน? ป๊ายังมีใครคบอีกนอกจากหมอโม... เขาหมายถึงเพื่อนสนิทที่ต้องออกไปหาแบบทันทีทันใดแบบนี้น่ะ ถ้าบอกว่าออกไปทำคลอดด่วนเขายังจะเชื่อซะกว่า

“ที่ไหนครับ” นภธรณ์ถามต่อ

“แถวนี้แหละ เดี๋ยวมา” ปรเมษฐ์บอก

นภธรณ์ลุกจากโซฟาเดินตามไปเกาะประตูคุย “แล้ววันนี้ผมไปถ่ายรายการสด ป๊าจะไปกับผมหรือเปล่า”

“ขอโทษนะ วันนี้ไปไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวจะหาดูย้อนหลังในยูทูปนะ” ปรเมษฐ์ยกนาฬิกาขึ้นดู “เย็นนี้ต้องไปงานวันเกิดปู่แกนี่นา ถ้าแกเลิกงานกลับมาก่อนก็แต่งตัวรอเลยนะ ไม่ต้องห่วงฉันไม่พาแกไปสายแน่ๆ”

“ครับ” นภธรณ์รับคำและเดินหงอยๆ กลับไปนั่งที่โซฟา

อึดใจต่อมาผู้จัดการส่วนตัวก็ขึ้นมารับไปทำงาน ในส่วนของงานวันนี้ไม่มีอะไรมากแค่ไปแขกรับเชิญในรายการแนะนำร้านอาหาร ชิมเสร็จก็โปรโมทเพลงนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดคุณปู่เขาจึงขอให้ตฤณช่วยเคลียร์คิวให้ว่างไว้เพื่อเตรียมตัวไปงานให้ทันตอนสองทุ่ม

เพราะเป็นรายการสดที่กำหนดเวลาต้องเป๊ะ เพียงแค่ห้าโมงกว่าๆ ก็เลิกอัดแล้ว

หลังจากกล่าวลาเจ้าของร้านกับขอบคุณแฟนๆ ที่ตามมาให้กำลังใจเสร็จ นภธรณ์ก็เดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมตฤณเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้าน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์เจ็ดที่เพิ่งซ่อมเสร็จขับออกจากอู่มาไม่กี่วันก่อนจอดอยู่ในลานจอดรถของร้านอาหารฝั่งตรงข้าม

เขาเพ่งมองจนมั่นใจว่าเป็นรถของป๊าจริงๆ จึงหันไปหาผู้จัดการส่วนตัว “พี่ตฤณกลับไปก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับกับป๊า”

“ไม่ได้นะนอฟ เดี๋ยวพ่อเธอก็ว่าฉันหรอก เฮ้!” ตฤณพยายามเรียกไว้แต่ก็ไม่ทันคนที่วิ่งฉิวข้ามถนนไปเสียแล้ว

“ไม่ต้องห่วงครับ” นภธรณ์ป้องปากตะโกนมาพร้อมกับบุ้ยใบ้ไปที่รถของปรเมษฐ์เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจว่าจะกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยแน่ๆ

ตฤณถอนหายใจอย่างจนใจจะห้ามนักร้องจอมดื้อของสังกัด จึงทำแค่เพียงพยักหน้าและส่งข้อความไปรายงานท่านประธานเท่านั้น

ร้านฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นร้านอาหารกึ่งผับที่เริ่มมีคนอยู่หนาตาแล้ว นภธรณ์ขยับหมวกแก๊ปใบที่ใส่อยู่เล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจจะไม่มีใครสังเกตว่าเป็นเขาและสอดส่ายสายตาไปตามโต๊ะต่างๆ

ในที่สุดนภธรณ์ก็เห็นแผ่นหลังของคนที่มองหาอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดติดกับบาร์ เขารีบก้าวยาวๆ เข้าไปหาทันทีก่อนที่จะหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าพ่อของตนไม่ได้อยู่เพียงลำพังแต่มีคนนั่งอยู่ตรงข้ามด้วย

เธอเป็นผู้หญิงไว้ผมยาวถึงกลางหลัง นภธรณ์ไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันก็จริง แต่ท่าทางหัวร่อต่อกระซิกของคนทั้งคู่นั่นแสดงถึงความสนิทสนมไม่น้อย เขาขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกพยายามเพ่งมองผ่านพุ่มไม้ประดับในร้านไปให้ชัดๆ รู้สึกคลับคล้ายคลับคราในรอยยิ้มบนริมฝีปากอิ่มสีชมพูนู้ดน่ามองนั้นจนน่าประหลาด

และเสี้ยวนาทีที่ปรเมษฐ์ขยับตัวเปิดทางให้เขาเห็นเธอคนนั้นชัดเจน เด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่าเธอเป็นใคร ถึงแม้จะฟังมาเพียงแค่คำบอกเล่า ถึงแม้จะเคยเห็นผ่านรูปถ่ายเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็มั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนเครื่องหน้าของเธอคนนั้นมันช่างละม้ายคล้ายกันกับเขาไม่มีผิด

…ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเขาเอง…

หัวใจเต้นรัวจนจุกไปหมด เขาไม่ได้สนใจเรื่องที่ป๊ารู้แล้วว่าแม่อยู่ที่ไหนแล้วไม่บอกเขา ถึงจะมีหงุดหงิดบ้างที่ได้รู้ว่าหมู่นี้ทุกๆ ครั้งที่ป๊าออกจากบ้านก็เพื่อมาหาแม่ แต่เขาโกรธเรื่องที่ว่าทำไมป๊าต้องโกหกเขาว่าจะไปไหนกับใคร

…และสิ่งที่เกลียดยิ่งกว่าการโกหกคือการที่โกหกแล้วทำให้จับได้นี่แหละ...

เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นเตรียมจะก้าวออกไปข้างหน้า… เขาต้องการเคลียร์ จะถามทั้งป๊าและผู้หญิงคนนั้นให้ชัดๆ ไปว่ามาทำอะไรกันสองคนโดยที่ไม่บอกเขา แต่แล้วความรู้สึกอีกอย่างก็ปะทุขึ้นในอก เขาเปลี่ยนใจวางเท้าลงด้านหลังแล้วหมุนตัวกลับรวดเร็ว เขาจ้ำเท้าพรวดๆ จนเกือบจะวิ่งพยายามหนีให้พ้นจากตรงนั้น หนีให้พ้นจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มันไม่ได้ส่งมาให้แค่เขา

…เขากลัว… กลัวเหลือเกินที่จะเข้าไปแล้วพบว่าตัวเองต่างหากที่กลายเป็นส่วนเกินถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลับมา… กลัวที่จะได้รับรู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่ที่หนึ่งในใจของป๊า… และมันเป็นที่ของผู้หญิงคนนั้นมาตั้งแต่ต้น...

“จะรีบไปไหนเหรอ”

เสียงห้าวที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้นภธรณ์หยุดหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ค่อยก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวัง ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินถนนหนทางเริ่มมืดแล้ว ถึงบนถนนจะพอมีรถวิ่งสวนไปมา แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เลยถ้าหากว่าโดนจู่โจมบนทางเท้าที่ร้างผู้คน

นักข่าวสายบันเทิงเดินล้วงกระเป๋าสบายๆ เข้ามาหา “พอมีเวลาว่างสักสิบห้านาทีไหม ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”

“ผมไม่ชอบงานขายตรงครับ” นภธรณ์สูดจมูก พยายามตั้งสติให้มั่นพลางมองสำรวจคนตรงหน้าพร้อมกับค่อยๆ ล้วงมือลงควานหาของในกระเป๋าสะพาย วันนี้กรรณไม่ได้พกกล้องมาด้วยซึ่งค่อนข้างผิดปกติสำหรับคนทำข่าว และในมือนั้นก็แทนที่ด้วยซองเอกสารสีน้ำตาลใบหนึ่ง

“เป็นคนตลกนะเราน่ะ” กรรณทำเป็นหัวเราะฝืดๆ ลงคอ “อยากรู้จังว่าจะทำหน้าระรื่นแบบนั้นไปได้อีกนานแค่ไหน” พูดจบก็ส่งซองเอกสารในมือให้

“ป๊าสอนว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า” นภธรณ์พยายามถอยหนีแต่ก็โดนอีกฝ่ายก้าวมาดักทางไว้

“คนแปลกหน้าอะไร เรารู้จักกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งพ่อและผู้จัดการการของเธอก็รู้จักฉันดีนี่นา” กรรณว่าพร้อมกับยื่นซองเอกสารให้อีกครั้ง “เอาไป”

เด็กหนุ่มจึงจำใจยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับไว้เพราะคิดว่าเรื่องมันจะได้จบไวๆ

“ลองเปิดดูสิ”

นภธรณ์ทำตาม ตากลมกวาดไปทั่วแผ่นกระดาษที่เป็นตารางแสดงค่าตัวเลขและตัวอักษรซึ่งเขาไม่เข้าใจ จนกระทั่งสายตาไปหยุดลงตรงบรรทัดสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนสรุปใจความสำคัญทั้งหมดของกระดาษแผ่นนี้

“อ่านออกไหม ถ้าไม่ออกฉันจะแปลให้ฟังก็ได้นะ” กรรณพูดขึ้น เดาจากสีหน้าเด็กหนุ่มว่าคงเห็นในสิ่งที่ต้องการให้เห็นแล้ว จริงๆ เรื่องสำคัญแบบนี้เขาควรจะไปต่อรองในที่ลับและเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ แต่เด็กหนุ่มก็มีคนอื่นตามประกบตลอดจนเขาเพิ่งจะสบโอกาสเอาตอนนี้แหละ

ทันทีที่สมองแปลข้อความได้ มือทั้งสองที่ถือกระดาษสั่นเล็กน้อย นภธรณ์สูดลมหายใจเข้าลึกพยายามตั้งสติ “ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่านี่มันเป็นผลการตรวจจริงๆ ไม่ใช่ว่าคุณเมคมันขึ้นมาเอง”

“ฉันจะหลอกเธอไปเพื่ออะไรล่ะ”

“งั้นก็บอกมาสิครับว่าคุณได้มันมายังไง”

“DNA มันจะหาได้จากที่ไหนบ้างล่ะ”

“ที่ไหนล่ะครับ” นภธรณ์ถามเสียงซื่อ

“ที่เขาว่าเธอโง่ นี่ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ แต่โง่จริงๆ เรอะ” กรรณว่า “ก็จากเส้นผมของเธอกับพ่อไง”

“แล้วคุณเอาผมเราไปได้ยังไง”

“ก็ฉันนี่แหละที่เป็นคนเอาไปจากบ้านเธอ”

“คุณเป็นพวกโจรโรคจิตเหรอ!”

“ก็แค่ทำให้พวกแกไขว้เขวจะได้ไม่สาวถึงฉันง่ายๆ ” กรรณพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ก็เหมือนจะได้ผลดีใช่ไหมล่ะ”

“แล้วที่เอาผลมาให้นี่คุณต้องการอะไรจากผม” นภธรณ์ถาม

“เงินสดหนึ่งล้านบาท” กรรณยื่นข้อเสนอ “แลกกับการที่มันจะหายไปตลอดกาล”

“ผมไม่ให้” นภธรณ์ตอบเสียงเย็น

“ถ้าแกไม่ให้ก็เตรียมเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์วันพรุ่งนี้ได้เลย”

“ตามสบายเลยครับ ถ้าคุณว่างไปศาล” คุยมาถึงตรงนี้นภธรณ์ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลที่จะไม่หลุดยิ้มออกมา แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่ามันยากเหลือเกินเมื่อตอนนี้หัวใจเต้นรัวด้วยความดีใจ “ป๊าเคยบอกว่าการจะตรวจคนไข้ได้ต้องมีการให้ความยินยอม ไม่งั้นจะโดนฟ้องเอาได้... ก็ไม่รู้สินะ ผมว่างานนี้ไอ้เงินล้านนึงนั่นจะกลายมาเป็นค่าขนมของผมซะมากกว่า”

“แก... เป็นกิ๊กเด็กไอ้หมอนั่นจริงๆ ใช่ไหม” กรรณคำรามลอดไรฟัน

“อยากโดนข้อหาหมิ่นประมาทอีกกระทงเหรอครับ” นภธรณ์ล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ที่เปิดบันทึกเสียงสนทนาให้ดูแล้วยัดลงกระเป๋ารวดเร็ว “ขอบคุณที่อุตส่าห์คาบข่าวมาบอกนะครับ”

กรรณกัดฟันกรอด จริงๆ แล้วไอ้เด็กนี่ไม่ได้ใสซื่อแต่มันแกล้งโง่หลอกให้เขาพูดออกมาด้วยตนเอง เขากระโดดเข้าตะครุบตัวเด็กหนุ่มจากจากด้านหลัง “แกคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปง่ายๆ เหรอ!”

“ปล่อยนะ!” เด็กหนุ่มร้องสุดเสียงและพยายามดิ้นรนให้คนที่ขับรถผ่านไปสังเกตเห็นแต่ก็ดูจะไม่ได้ผลเอาเสียเลย

“ไหนๆ แกก็ถวายตัวเป็นเด็กไอ้หมอนั่นแล้วนี่ โดนของฉันอีกสักคนจะเป็นไรไป” เมื่อมือได้สัมผัสผิวขาวๆ นุ่มเนียนก็ทำให้สัญชาติญาณดิบเข้าครอบงำ กรรณลดมือลงล้วงผ่านขอบกางเกงและแลบลิ้นเลียข้างหู

นภธรณ์สะบัดหน้าหนีด้วยความขยะแขยง เขาดึงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับเล็งไปที่หน้าของกรรณแล้วกดสุดแรง “ปล่อยสิวะ!”

“ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!!” คนที่จู่โจมเข้ามาชะงักร้องเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นปิดตาแน่นด้วยความปวดแสบปวดร้อนและถอยหลังเปะปะไปสะดุดก้อนหินล้มลงบนพื้น

นภธรณ์มองผลงานตรงหน้า หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก ปรเมษฐ์ไม่อยากให้เขาพกของอะไรที่อาจเสี่ยงให้คนร้ายเอากลับมาทำร้ายเขาได้จึงไม่ได้ซื้ออะไรให้สักอย่าง และทันทีที่ดุริยะรู้เรื่องนั้นเขาก็แอบเอาสเปรย์ใส่ผมขนาดพกพาสูตรผสมซิลิโคนแบบเฮฟวี่สตรองมาให้ และบอกสั้นๆ ว่า ‘ฉีดแบบไม่ต้องยั้ง’

นภธรณ์อาศัยจังหวะนี้หันหลังวิ่งหนีแต่ก็มีมือที่แข็งเหมือนคีมเหล็กคว้าเข้ารอบข้อเท้าแล้วกระชากให้ล้มลง

“อย่าคิดนะว่าจะหนีฉันไปได้” กรรณคำรามลอดไรฟันด้วยความโกรธ เขาพยายามลืมตาเท่าที่จะทำได้ ตาขาวนั้นโดนฤทธิ์ของสเปรย์ทำให้แดงก่ำจนน่ากลัว

เด็กหนุ่มทั้งเตะทั้งถีบ แต่ก็ไม่หลุดง่ายๆ เขาเขย่ากระป๋องสเปรย์ในมือเตรียมจะพ่นใส่อีกครั้งเมื่อมันเอื้อมมืออีกข้างมาฉวยข้อมือเขาไว้

“คิดว่าฉันจะโง่ยอมให้แกทำอีกรอบเหรอ!” กรรณคำรามลั่น

นภธรณ์พยายามจะยื้อแย่งคืนมาและในเสี้ยวนาทีที่น่าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง วัตถุเป็นแผ่นแข็งก็ฟาดผัวะลงมาใส่กรรณจากทางด้านหลัง

“โอ๊ย!” เขาร้อง พยายามจะหันไปหันไปดูว่าเป็นใครแต่ก็โดนฟาดใส่รัวๆ แบบไม่ยั้งพร้อมกับที่เจ้าของอาวุธทั้งสองคนผลัดกันร้องตะโกนไปด้วย

“คุณตำรวจคะทางนี้ค่ะ!”

ได้ยินคำว่าตำรวจ กรรณก็ยอมผละจากเด็กหนุ่มลุกขึ้นวิ่งไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดซ่อนไว้แล้วขับบึ่งออกไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ลืมฝากคำพูดทิ้งท้ายไว้ “ระวังตัวให้ดีนะ!”

“แกน่ะแหละที่ต้องระวัง!” นภธรณ์ตะโกนไล่หลังไป ก่อนจะหันไปหาผู้ช่วยชีวิตทั้งสอง พวกเธอเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ และคนหนึ่งก็ตัวเล็กกว่าเขาด้วยซ้ำ และของที่เธอใช้ฟาดใส่คนร้ายเมื่อสักครู่ก็คือแผ่นป้ายไฟสำหรับเชียร์เขานั่นเอง

“พี่นอฟเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เด็กสาวคนที่ดูตัวใหญ่กว่าถาม เสียงของเธอก็สั่นเหมือนกัน

“แค่มีแผลถลอกนิดหน่อยน่ะ” นภธรณ์ตอบพลางส่งมือให้อีกคนช่วยดึงลุกขึ้นยืน “แล้วไหนล่ะตำรวจ” เขาถามหลังจากกวาดตามองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นว่าจะมีชายในเครื่องแบบหรือรถหวอที่ไหนวิ่งมา

“หนูโกหกค่ะ” เธอตอบ พวกเธอเป็นแฟนคลับที่ตามมาให้กำลังใจเขาวันนี้และเดินวนๆ อยู่แถวนี้เนื่องจากสังเกตเห็นว่ารถที่ขับออกไปไม่มีนักร้องขวัญใจนั่งออกไปด้วย “หนู... หนูไม่รู้จะตะโกนว่าอะไรดี แต่หนูโทรตามคนมาช่วยแล้วนะคะ”

นภธรณ์ยังไม่ทันจะถามว่าพวกเธอโทรหาใคร รถเก๋งคันหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาจอดเทียบพร้อมกับที่คนขับเปิดประตูพุ่งลงมาหา

“เกิดอะไรขึ้น!” ตฤณที่ขับรถกลับมาร้องโวยวายพร้อมกับแทรกตัวเข้าไปแย่งประคองตัวเด็กหนุ่มเสียเอง

“นักข่าวคนนั้นจะทำร้ายผมครับ” นภธรณ์บอก “โชคดีที่พวกเธอมาช่วยผมไว้ก็เลยไม่เป็นไรครับ”

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ” ตฤณยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะคว้ามือเด็กหนุ่มดึงไปขึ้นรถ

นภธรณ์นึกอะไรขึ้นได้เขาแกะมือผู้จัดการออกและเดินกลับไปหาเด็กผู้หญิงสองคนนั้น

“ขอบคุณมากที่ช่วยฉันไว้นะ ถ้าไม่ได้พวกเธอฉันคงแย่เลย” เขาบอก

“เรื่องเล็กน้อยค่ะ” เด็กสาวตอบ “พี่ตฤณบอกว่ามีคนแอบตามพี่นอฟอยู่พวกเราก็แอบเล็งๆ คนที่น่าสงสัยเอาไว้เหมือนกัน”

นภธรณ์พยักหน้า ไม่คิดว่าสิ่งที่ตฤณพูดไว้ตอนนั้นจะมีประโยชน์จริงๆ เขากลับหลังหันจะไปขึ้นรถแล้วก็นึกอะไรได้อีกครั้งจึงหันกลับมาแฟนคลับสาวทั้งสองพร้อมกับกางแขนออก

“อะไรคะ” เด็กสาวถามงงๆ

“เพื่อแทนคำขอบคุณ ฉันให้กอดคนละที แต่ห้ามถ่ายรูป ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร และมันจะเป็นความลับของเราสามคนตกลงนะ” นักร้องหนุ่มบอกแล้วรวบตัวตัวเธอเข้ามากอดทีละคน

“สัญญาค่ะ” ทั้งสองรับคำ พลางนึกขอบคุณแต้มบุญที่สะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนที่นอกจากจะทำให้ได้ช่วยคนที่ชอบแล้วยังได้กอดเป็นของแถมอีก

“นี่ก็มืดแล้วกลับบ้านไปได้แล้วไป เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง”

“ค่ะ” สองสาวรับคำ

เด็กหนุ่มเดินกลับไปขึ้นรถ และรถก็พุ่งทะยานออกไปทันที เขาหันไปมองผู้จัดการหนุ่มที่ยังดูตื่นๆ และกำลังพูดกับตัวเองเสียงดังเพื่อช่วยตั้งสติลำดับสิ่งที่ต้องทำก่อนหลัง “โทรบอกคุณแดนเรียบร้อยแล้ว คุณแดนยังไม่ให้แจ้งตำรวจ ตารางงานหลังจากนี้ไม่มีอะไร แล้วนี่ฉันยังมีใครที่ยังไม่ได้โทรหาอีกนะ... อ้อ! คุณโป้ ฉันลืมโทรบอกพ่อเธอได้ไงเนี่ย”

“ไม่ต้องโทรบอกป๊าก็ได้ครับ” นภธรณ์พยายามห้ามแต่ก็ไม่ทันการเมื่อตฤณรายงานเรื่องราวทุกอย่างด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสงเสียอีก เขาไม่อยากให้ป๊าตกใจ และที่สำคัญ ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นยังอยู่กับป๊า ถ้าเธอรู้เรื่องแล้วตามมาด้วยล่ะ เขาจะทำยังไง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเธอคิดว่าการที่เขาเจอเรื่องแบบนี้เป็นเพราะป๊าดูแลเขาไม่ดีแล้วจะเอาเขาไปอยู่ด้วยล่ะ ป๊าจะตอบเธอว่ายังไง

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #181 เมื่อ16-11-2017 22:15:39 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกปรเมษฐ์ก็พุ่งเข้ามากอดทันที นภธรณ์มองลอดวงแขนแข็งแรงของป๊ากวาดตามองไปรอบบ้านแล้วก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งใจที่ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะตามมาด้วยความแปลกใจที่เห็นดุริยะยืนอยู่ด้วย

ในที่สุดปรเมษฐ์ก็ยอมปล่อยตัวเด็กหนุ่มออกจากวงแขนก่อนจะจับหมุนไปรอบๆ เพื่อตรวจดูอะไรที่อาจบุบสลายไป “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” นภธรณ์ตอบ แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อก็ยังไม่ค่อยวางใจเท่าใดและจับไหล่เขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหนีไปไหนอีก

“สเปรย์ที่ฉันให้ไปได้ใช้หรือเปล่า” ดุริยะถามขึ้น

“ช่วยได้มากเลยครับ”

“นี่คุณให้อะไรลูกผมไป” ปรเมษฐ์ถามเสียงขุ่นนิดๆ ที่แอบให้อะไรกันโดยที่เขาไม่รู้เรื่อง

“ก็แค่สเปรย์ใส่ผมน่ะคุณโป้” ดุริยะว่าพลางโบกมือว่านั่นไม่ใช่จุดไคลแมกซ์ที่ควรให้ความสนใจตอนนี้ “ไหนๆ เจ้าหนูเล่ามาสิ เกิดอะไรขึ้น มันมาหาเธอทำไม แล้วเธอหนีมันมาได้ยังไง”

แล้วนภธรณ์ก็เล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟังโดยละเอียด โดยเว้นตรงส่วนที่กรรณเอาเอกสารมาให้ดู และไม่บอกว่าตนได้อัดเสียงสนทนาไว้

“ตกลงมันคือคนที่ขึ้นบ้านเธอจริงๆ เหรอ” ตฤณพูดขึ้นหลังจากฟังจบ “แล้วมันเอากางเกงในเธอไปทำไม”

“ถ้าหากว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปล่ะ” ดุริยะเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยในจุดที่เด็กหนุ่มเหมือนจะข้ามไป “แค่เอาไปเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจสิ่งที่มันต้องการจะเอามากกว่า คุณลองนึกดูดีๆ สิครับคุณโป้ว่าไม่มีอะไรหายแล้ว”

“ไม่มีจริงๆ ครับ ผมเช็กหลายรอบแล้ว” ปรเมษฐ์ตอบ

“แล้วนี่คุณจะเอายังไงดี แจ้งความไหม” ดุริยะถาม

“เดี๋ยวผมจะลองปรึกษาทนายดูก่อนว่าจะเอายังไงดี เราอาจเอาผิดเรื่องที่เขามาขู่นอฟได้แต่เรื่องที่มาขโมยของก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่แน่ชัด” ปรเมษฐ์บอก “แค่นี้มันก็คงไหวตัวทำลายหลักฐานหมดแล้ว ขืนทำอะไรผลีผลามอีกจะกลายเป็นไม่ได้อะไรเลย ไหนๆ จะต้องเสียเวลาไปศาลแล้วผมอยากให้มันโดนลงโทษจนถึงที่สุด”

“ถ้าไม่มีอะไรงั้นผมกลับก่อนนะครับ เห็นว่าเดี๋ยวนอฟต้องไปงานเลี้ยงต่อใช่ไหม ยังไงก็อยู่ใกล้ๆ คุณโป้ไว้นะเผื่อมันย้อนกลับมาอีก” ตฤณกำชับก่อนจะกลับออกไป

“เอาขวดใหม่ไหม” ดุริยะป้องปากกระซิบกระซาบ

เด็กหนุ่มส่ายหน้าให้แทนคำตอบพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้ง

“อย่าดุเจ้าหนูมากนะคุณโป้ แค่นี้ก็ขวัญเสียจะแย่แล้ว” ดุริยะบอกราวกับรู้ทันว่าทันทีที่พวกเขากลับออกไปอะไรจะเกิดขึ้น

“เรื่องนั้นผมตัดสินใจเองครับ” ปรเมษฐ์บอก

และก็เป็นไปตามคาด พอประตูปิดลงคนเป็นพ่อก็หันไปหาลูกชาย “ทำไมถึงออกไปเดินคนเดียวแบบนั้น”

เขาเองก็สงสัยเหมือนที่ดุริยะสงสัย บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เขารู้ว่าที่ลูกชายพูดไม่หมดเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย

“เอ่อ...” นภธรณ์พูดได้เท่านั้นแล้วเสียงก็หายไปจากลำคอ

“ไม่เป็นไรนอฟ มีอะไรก็บอกมา ฉันไม่โกรธแกหรอก”

“ป๊า... ผม...” นภธรณ์อึกอัก

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมปริปากง่ายๆ แน่ปรเมษฐ์จึงเอื้อมมือไปคว้ามือเด็กหนุ่มขึ้นมากำไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “สัญญาว่า ไม่ว่าแกจะพูดอะไรฉันจะไม่ปล่อยมือ”

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยออกไป “ป๊าไปหาแม่มาเหรอครับ”

คำตอบของเขาทำให้คนเป็นพ่อชะงักไปทันที

“บังเอิญร้านที่ไปถ่ายรายการวันนี้มันอยู่ใกล้กันน่ะ… ผมเห็นนะป๊า ที่ร้านนั้นน่ะ ป๊าอยู่กับแม่ใช่ไหม แล้วที่ช่วงนี้ป๊าออกไปข้างนอกบ่อยๆ คือไปหาแม่ใช่ไหม… ทำไมป๊าถึงไม่ยอมบอกผมล่ะ หรือว่ามีอะไรที่บอกผมไม่ได้”

“แค่คิดว่ายังไม่ถึงเวลาน่ะ” ปรเมษฐ์ตอบรวดเร็วก่อนจะปล่อยมือและหันหลังให้

เด็กหนุ่มใจกระตุกวูบ ยืนคว้างทำอะไรไม่ถูกเมื่อสิ่งที่จินตนาการไว้กำลังจะเป็นจริงขึ้นมา ริมฝีปากแห้งผากแต่คำพูดที่เอ่ยต่อไปนั้นแหบแห้งยิ่งกว่า “แต่ป๊าสัญญาว่าจะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม”

“ใช่”

“แล้วทำไมป๊า…”

“ฉันไปขอให้แม่แกเซ็นใบทะเบียนสมรสมา” ปรเมษฐ์เดินกลับมายืนตรงหน้าอีกครั้งพร้อมกับยื่นเอกสารที่เพิ่งได้มาวันนี้ให้ดู “ฉันขี้เกียจตอบคำถามใครๆ แล้วน่ะว่าแกเป็นลูกฉัน ยิ่งวันนี้ต้องไปงานวันเกิดปู่แกด้วยเลยอยากจัดการให้มันเรียบร้อยไป แกก็รู้ว่าปู่เล็กของแกกับพวกผู้ถือหุ้นกัดฉันเรื่องนี้ไม่ปล่อยมาตั้งนานแล้ว ส่วนเหตุผลที่ต้องออกไปบ่อยๆ ก็เพราะแม่แกแอบเล่นตัวน่ะ” เขาพ่นลมออกจมูกครั้งหนึ่ง “อยากให้ฉันเล่าเรื่องแกให้ฟังจนกว่าจะพอใจ แต่เธอก็ไม่ได้ว่างบ่อยๆ เหมือนกัน ก็เลยต้องออกไปเจอกันบ่อยหน่อย แล้วที่ไม่บอกก็เพราะแม่แกน่ะแหละขอไว้… เขาคิดว่ายังไม่พร้อมจะเจอแก และเท่าที่ฉันแอบถามๆ แกเรื่องแม่ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันว่าแกคงยังไม่อยากเจอเขา”

“แล้วป๊าเจอแม่ได้ไง” เด็กหนุ่มถาม

“คุณดุริยะช่วยน่ะ เขาก็บอกแกแล้วนี่ว่ารู้จักกัน เราเริ่มคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่ตอนนั้นน่ะแหละ”

นภธรณ์พยักหน้าเข้าใจ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ป๊าเริ่มสนิทกับดุริยะสินะ

“วันหลังเห็นหรือสงสัยอะไรก็ถามเลยนะ ไม่ใช่โกรธแล้วหนีไปเดินคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนั้น ขอโอกาสฉันอธิบายบ้าง” ปรเมษฐ์ลูบหัวลูกชาย “นี่คิดอะไรไร้สาระแบบที่ว่าฉันไม่รักหรือจะทิ้งอะไรอีกแล้วสินะ”

“ก็นิดหน่อย”

“ดูจากสีหน้าแล้วไม่หน่อยเลยนะ” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับประทับคำขอโทษลงข้างแก้ม “หายโกรธฉันหรือยัง”

“หายแล้ว” นภธรณ์ตอบเขินๆ

“แล้วนั่นซองอะไรน่ะ” ปรเมษฐ์พยักเพยิดไปยังซองเอกสารในมือเด็กหนุ่มที่เห็นถือไว้ไม่วางสักที

“ไม่มีอะไรครับ แค่… จดหมายที่แฟนคลับให้มา” นภธรณ์ตอบตะกุกตะกัก มันเป็นคำโกหกที่ไม่เนียนแต่ก็ฟังดูน่าเชื่อมากที่สุดแล้ว “เอ่อ… นี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว ผมไปแต่งตัวก่อนนะป๊า จะได้รีบไปงานเดี๋ยวปู่จะรอ”

“อือ”

ทันทีที่ประตูห้องปิดลงใบหน้าที่เคยฉาบยิ้มเลือนหาย เด็กหนุ่มจ้องมองซองเอกสารที่ได้มาจากกรรณก่อนจะดึงเอาเอกสารในซองออกมาอ่านซ้ำอีกครั้ง ตรงผลบรรทัดสุดท้ายที่แปลได้ความง่ายๆ และชัดเจนว่า…

‘เขาไม่ใช่ลูกชายของป๊า’

เขาเคยจินตนาการถึงสิ่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆ ความรู้สึกดีใจนั้นมันกลับน้อยมากเมื่อเทียบกับอีกหลายๆ ความรู้สึกที่ปะทุตามขึ้นมาติดๆ เมื่อภาพชายหญิงสองคนนั่งคุยกันอย่างมีความสุขปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด

ป๊ารักแม่... ป๊าเลี้ยงเขามาจนโตเพราะคิดว่าเขาเป็นลูกแท้ๆ การที่จู่ๆ จะบอกป๊าว่าเขาไม่ใช่ลูกป๊านั่นไม่ต่างอะไรกับการที่บอกว่า แม่นอกใจป๊าและหลอกให้เลี้ยงลูกคนอื่นมาสิบเจ็ดปี... เขาจะบอกได้ยังไงว่าป๊าโดนแม่หักหลัง จริงอยู่ว่าเขารักป๊า อยากให้ป๊ารักและมองแค่เขาคนเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยากทำให้ป๊าเสียใจเพราะถึงอย่างไรป๊าก็คงไม่มีวันมองเขามากไปกว่าสถานะลูกชายอยู่แล้ว ทะเบียนสมรสที่ป๊ากับแม่เพิ่งไปจดด้วยกันมานั่นเป็นหลักฐานได้ดี

และตอนนี้ก็มีอีกสองคำถามปรากฏขึ้นในใจนั่นก็คือถ้าหากเขาไม่ใช่ลูกป๊าแล้วเขาเป็นลูกของใคร? และถ้าหากว่าป๊ารู้ความจริงนี้แล้ว ป๊าจะยังรักเขาเหมือนเดิมไหม? เขาจะยังอยู่กับป๊าต่อไปได้หรือเปล่าเมื่อไม่มีสถานะพ่อลูกมาผูกพันกันอีกต่อไป
หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างเขากับป๊ามันจะสิ้นสุดลงแค่ตรงนี้…


********************************************TBC********************************************

ออฟไลน์ 1O019_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 1 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #182 เมื่อ16-11-2017 22:40:31 »

พอขึ้นเดือนนี้ก็คิดอยู่เลยค่ะว่าคุณนักเขียนจะมาอัพNovมั้ย ฮ่าๆ
ตอนนี้ไม่มีฉากสวีทเลย แง
แต่เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นปล้ว
ดีใจไม่สุดที่นอฟไม่ใช่ลูกป๊า เพราะเราคิดเหมือนนอฟเลยว่าป๊าเลี้ยงเพราะคิดว่าเป็นลูกของแม่กับป๊า
นอฟคงรักป๊ามากจริงๆ เพราะคิดเลยไปถึงว่าไม่อยากให้ป๊าเสียใจ

ออฟไลน์ SoSweetCB

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 1 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #183 เมื่อ17-11-2017 00:07:16 »

โอยยย น้องคิดมากแล้วค่ะคุณป๊า ;-;
ป๊ารู้อยู่แล้วแน่ๆ ว่าน้องไม่ใช่ลูกของตัว แต่คงมีสัญญาอะไรกันบางอย่างกับแม่น้อง
และพ่อที่แท้จริงๆ ก็คือคนที่แสดงความเป็นห่วงใย สนใจน้องชัดเจนนั่นแหละ (คิดว่านะ 555)
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ><

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #184 เมื่อ17-11-2017 00:57:18 »

สงสารน้องนอฟ คุณป๊าก็ชอบทำตัวมีความลับบ่อยๆ  :katai1:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 1 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #185 เมื่อ17-11-2017 06:53:47 »

ยะยังไงล่ะเนี่ยย นักข่าวคนนั้นเลวมากกกกกก

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #186 เมื่อ17-11-2017 10:03:56 »

เหมือนนอฟเลย พอรู้ว่าเขาไม่ใช่พ่อลูกกัน / ดีใจแต่ดีใจไม่สุด /. หวังว่านอฟจะไม่ใช่ลูกคุณดุริยะหรอกนะ งืออออ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #187 เมื่อ17-11-2017 11:57:47 »

อ้าว ลูกใครล่ะ ดุริยะเหรอ?

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #188 เมื่อ17-11-2017 19:00:32 »

เข้าข้นเรื่องพลิกไปมา น่าติดตามมากๆ นอฟฉลาดในการเอาตัวรอดมากเลยลูก
ตบเข้าฉาด  ว่าแล้วว่านอฟต้องไม่ใช่ลูกหมอโป้
บทจะรู้ความจริง ก็มาจากนักข่าวขี้เสือก แถมโรคจิตจริงๆ ด้วย
แหมะ  นอฟของช้านเกือบไม่รอด ดีนะเนี่ยมีติ่งเป้็นหูเป็นตา

เห็นใจน้องนอฟถึงแม่จะกลับมาก็ไม่ได้ดีใจ เพราะกลัวจะเสียพ่อไป มันก็อดระเเวงไม่ได้หรอก หมอโป้ก็บอกป่าวๆว่ารักแม่นักหนา
สู้ต่อไปน้องนอฟ กลิ่นบาปเจือจางลงแล้ว แต่จะดีใจก็ดีใจไม่ได้เต็มที่ มีแม่มาให้หน่วง



ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #189 เมื่อ19-11-2017 01:17:02 »

มีดราม่าซ้อนดราม่า ฮือออออ ดีใจได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีปัญหาเข้ามาต่อ ชีวิตน้องนอฟฟฟ
ไม่ใช่ลูกแต่ป๊าก็ไม่ได้มองเป็นคนรักอยู่ดี :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
« ตอบ #189 เมื่อ: 19-11-2017 01:17:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #190 เมื่อ22-11-2017 09:21:53 »

นอฟเป็นลูกของยะหรอ

ออฟไลน์ continued

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #191 เมื่อ22-11-2017 15:30:17 »

เพิ่งเห็นว่ามาอัพแล้ว ดีใจจังเลยค่ะที่ได้อ่านต่อ
สงสารน้องจัง รู้สึกว่านอฟต้องเก็บอะไรหลายๆ อย่างไว้คนเดียว
มันมากเกินกว่าเด็กอายุแค่นั้นจะรับไหวด้วยซ้ำ

รอตอนต่อๆ ไปนะคะ อยากเห็นน้องมีความสุขจากใจสักที 

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
«ตอบ #192 เมื่อ24-12-2017 21:19:47 »

Ad lib(1)

ชายวัยกลางคนในชุดสูทนั่งกอดอกอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านกาแฟ ตรงหน้ามีหนังสือการลงทุนในตลาดหุ้นกับกาแฟดำที่เจ้าตัวปล่อยจนเย็นชืด อันที่จริงหนังสือนั้นเขาก็เพียงแค่พลิกฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ไม่ได้ผ่านเข้าสู่สมองเลยแม้แต่น้อยเพราะสายตาของนั้นจับจ้องอยู่ที่นักร้องหนุ่มไฟแรงซึ่งกำลังนั่งคุยกับหญิงสาวที่โต๊ะที่อยู่ถัดออกไป

เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาเป็นระลอกของทั้งคู่ถูกตอบสนองด้วยเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเบาๆ อย่างขัดใจ
เขารู้ว่ามันเป็นงาน หญิงสาวคนนั้นเป็นบก.นิตยสารชื่อดังที่มาขอสัมภาษณ์ และคำถามที่ใช้ถามเขาก็อ่านกรองมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังอุตส่าห์มีบทสนทนาที่นอกเหนือการควบคุมมาได้อย่างเช่นตอนนี้

“น้องนอฟหน้าตาดีจังเลยนะคะ ไม่ทราบว่าชอบทานอะไรหรือคะถึงได้หล่อขนาดนี้”
นักร้องหนุ่มหยุดยิ้มเล็กน้อย นั่นยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดจะตอบอะไรก็ตอบทำไมต้องยิ้มส่งสายตาหวานแบบนั้นให้ด้วย

“ไม่รู้สิครับ เกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้วครับ”

ครั้นได้ฟังคำตอบ เขากลับรู้สึกว่าเจ้าตัวแค่นั่งยิ้มไปเฉยๆ ก็พอแล้ว
บก.สาวหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจแล้วถามคำถามถัดไป

การสัมภาษณ์เสร็จลงในอีกไม่กี่นาทีต่อมา นักร้องหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกับกล่าวลา

เมื่อบก.สาวเดินออกจากร้านไป เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนบ้าง เขาเหลียวมองซ้ายขวาอยู่พักหนึ่งในที่สุดสายตาก็มาหยุดลงตรงชายในชุดสูทที่นั่งหน้าตึงอยู่อีกโต๊ะ นึกสงสัยอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมผู้ชายคนนี้จะต้องไม่ชอบใจเสมอๆ เวลาเขาออกมาทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยอมตามมาเฝ้าทำให้ไม่คิดน้อยใจอะไรกลับกันเขายิ่งชอบเสียอีกเพราะความหงุดหงิดนั่นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังสนใจเขาอยู่ เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าและเดินเข้าไปหา

“เสร็จแล้วครับป๊า”

ปรเมษฐ์เหลือบตาขึ้นสบตาลูกชายที่ส่งยิ้มหวานมาให้แล้วเอ่ยถามออกไป “ถ่อมตัวสะกดเป็นไหม”

“ถอถุงสระออมอม้าไม้เอก ตอเต่าสระอัว” เด็กหนุ่มตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“อะไรของแก”

“ก็ป๊าถามว่าสะกดเป็นไหม”

ปรเมษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ อย่างระอาใจกับคำตอบพร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นจิบพอให้พร่องลงไม่ดูเต็มแก้วจนน่าเกลียด“กาแฟดำไม่ขมเหรอป๊า” นภธรณ์ถาม

“ขม แต่กินได้” ปรเมษฐ์ตอบ “แล้วตกลงเมื่อกี้แกตอบว่าชอบกินอะไรฮึ เสียงในร้านมันดังฉันฟังไม่ถนัด”

“ตอบว่าไม่มีอะไรที่ชอบกินเป็นพิเศษครับ แต่มีคนที่ชอบกินด้วยเป็นพิเศษ”
เครื่องหน้าที่ขมวดมุ่นมาตลอดของปรเมษฐ์ค่อยคลายออก เพราะคิดว่ารู้ตำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังลองเสี่ยงถามออกไป “ใคร?”

“แฟนคลับครับ”

ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูกกับคำตอบที่แสนขัดใจ “โกหก”

“ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย”

ปรเมษฐ์เก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินออกจากร้านไป ทำให้ลูกชายที่ยังงงๆ อยู่รีบก้าวยาวๆ เพื่อไปเดินคู่กันให้ทัน

“ป๊าจะรีบไปไหนอะ” นภธรณ์ถาม

“อยากกินกับแฟนคลับก็ไปกินกับพวกเขาสิ ฉันจะกลับบ้านล่ะ” ปรเมษฐ์ตอบเสียงห้วนพลางเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง

เด็กหนุ่มรีบเปิดรถขึ้นไปนั่งอีกฝั่งทันที “โอ๋ งอนๆ”

“เปล่า ไม่ได้งอน” ปรกฤษณ์ตอบหน้าเฉย

“แล้วเป็นอะไรครับ”

“เบื่อคนตอบไม่ตรงคำถาม”

นภธรณ์แกล้งทำเป็นนิ่วหน้าครุ่นคิดทั้งที่ในใจกำลังเต้นอย่างลิงโลด “แล้วป๊าจะให้ผมตอบให้ตรงคำถามว่า ‘ชอบกินข้าวกับป๊า’ เหรอครับ”

“แล้วตอบแบบนั้นไม่ได้เหรอ” ปรเมษฐ์ถามกลับ “ชอบกินข้าวกับฉันมันเสียหายตรงไหน”

“ก็ผมกลัวป๊าดุ”

“ตอบแบบนั้นสิฉันจะดุ” คนเป็นพ่อบอกเสียงเข้มพร้อมกับเร่งแอร์ในรถ หน้าหนาวแท้ๆ แต่ทำไมอากาศมันร้อนแบบนี้

“ป๊าอย่าดุผมนะ ผมกลัวแล้ว”

“กลัวมากไหม”

“ม๊ากมาก” นภธรณ์ลากเสียงทำหน้าทะเล้นใส่ แต่คนเป็นพ่อก็ยังหน้าตึงไม่คลายลงสักนิด

“เหรอ”

“ไม่เอาน่าป๊า เลิกงอนแล้วมาจูบคืนดีกันหน่อยมา”

“ฮึ”

เด็กหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงเอื้อมมือข้างหนึ่งไปคว้าคอเสื้อปรเมษฐ์ดึงมาจุ๊บที่ข้างแก้ม

“อะไรเนี่ย ฉันบอกว่า ‘ฮึ’ ก็แปลว่าไม่เอาสิ”

“ผมได้ยินว่า ‘อือ’ นี่นา” นภธรณ์ตอบหน้าเป็น “ตกลงหายงอนแล้ว ไม่ดุผมแล้วนะ”

“เออ!” ปรเมษฐ์ทำเป็นกระแทกเสียงใส่ซ่อนความเขินที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วหน้า

“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ ผมหิวแล้ว”

“กินอะไร”

“กินกับป๊า” นภธรณ์ยังไม่เลิกเล่น ทำเอาคนเป็นพ่อถอนหายใจเสียงดังลั่นรถ “ก็ป๊าบอกเองนี่นาว่าให้ตอบแบบนี้”

“นอฟ!”

“ผมตอบผิดอีกแล้วเหรอ ป๊าจะดุผมหรือเปล่า” เด็กหนุ่มแสร้งทำเสียงอ่อยคล้ายคนรู้สึกผิดหากแววตากับเป็นประกายวิบวับ

“ถ้าฉันดุ แกจะทำยังไง”

“ก็จะจุ๊บๆอีก” นภธรณ์ตอบทันทีพร้อมกับสาธิตด้วยการชะโงกตัวข้ามเบาะไปอย่างรวดเร็ว

“งั้นไม่ดุแล้ว” ปรเมษฐ์บอกพลางหันหน้าหนีแต่ริมฝีปากที่ยื่นยาวมานั้นก็ยังเฉียดลงตรงแก้มจนได้

“ดุเหอะอยากให้ดุ” นภธรณ์ยังไม่เลิกแหย่ กะว่ารอบหน้าจะจูบปากไม่ให้พลาดเป้าแน่ๆ

“ตกลงจะกินอะไร” ปรเมษฐ์ถามซ้ำ

“กินกับป๊า”

“นอฟ…” แล้วเสียงเข้มที่กำลังขึ้นสูงถูกปิดลงได้ทันทีด้วยริมฝีปากบาง

เด็กหนุ่มจุ๊บทิ้งท้ายเบาๆ “อยากกินป๊า”

ในที่สุดปรเมษฐ์ก็ใช้สันมือยันหน้าผากจอมแสบลงไปนั่งลงบนเบาะของตัวเองได้สำเร็จ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันกับประโยคเมื่อสักครู่ที่ฟังไม่ค่อยถนัด “กิน… อะไรนะ”

“กินกับป๊า กินอะไรก็อร่อย” นภธรณ์ตอบเสียงใส

ปรเมษฐ์ไม่ตอบโต้อะไรอีก เขาสตาร์ทรถและตัดสินใจเลือกร้านด้วยตัวเอง บนเบาะข้างกันมีเด็กหนุ่มนั่งฮัมเพลงมองวิวนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าจูบเล่นๆ แต่กำลังทำให้หัวใจของใครบางคนปั่นจริงจัง

และในขณะที่บีเอ็มดับเบิ้ลยูซีรี่ส์เจ็ดค่อยเคลื่อนตัวออกไปเงียบๆ นั้นปรเมษฐ์ก็ยังคงติดใจสงสัยว่าตกลงเจ้าลูกชายตัวดีชอบกินอะไรกันแน่

*********************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2017 21:39:59 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
«ตอบ #193 เมื่อ25-12-2017 00:08:30 »

มาอัพแล้ว ขอบคุณนะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
«ตอบ #194 เมื่อ25-12-2017 00:41:50 »

ชอบกินป๊า อยากกินป๊า  :hao7:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
«ตอบ #195 เมื่อ25-12-2017 23:41:54 »

บร๊ะ! เด็กมันร้ายยยยย

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
«ตอบ #196 เมื่อ26-12-2017 07:46:35 »

อยากกินป๊าสินะ น้องนอฟ ^^

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
«ตอบ #197 เมื่อ29-12-2017 21:30:25 »

Chapter 15

งานเลี้ยงวันเกิดปีที่ 70 ของประมุขคนปัจจุบันของตระกูล ‘บารมีไพศาลวานิช’ เจ้าของธุรกิจพันล้านนั้นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่บ้านโดยมีแค่ญาติและคนสนิทไม่กี่คนกับกรรมการผู้บริหารใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนแขกที่มาก็ปาเข้าไปร่วมร้อยคน

ปรเมษฐ์จอดรถหน้าประตูซึ่งปูพรมแดงลาดยาวนำไปสู่ด้านในก่อนจะส่งกุญแจให้คนขับรถขับไปเก็บ

“นี่บ้านป๊าเหรอครับ” นภธรณ์กล่าวอย่างตื่นเต้นกับสิ่งปลูกสร้างร่วมสมัยที่สูงสามชั้น หน้าบ้านมีสวนกว้างใหญ่กับลานน้ำพุที่ตรงกลางเป็นเด็กผู้ชายถือถุงทองใบใหญ่ การได้เข้าวงการทำให้เขาได้ไปในสถานที่หรูหราและเจอผู้คนไฮโซมากมายแต่มีครั้งนี้แหละที่อลังการมากกว่างานไหนๆ ผู้คนที่มาร่วมงานก็ล้วนแต่งตัวกันสวยงาม ประดับเครื่องเพชรเครื่องทองมาสะท้อนเล่นกับแสงไฟวิบวับ

“เคยเป็น” ปรเมษฐ์เปลี่ยนคำให้ใหม่

นภธรณ์ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เมื่อสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำตอบนั้นคือการที่ป๊าโดนไล่ออกจากบ้านเพราะมีเขาเกิดขึ้นมา และนั่นก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กหนุ่มกลับมาเครียดเรื่องผล DNA ที่กรรณเอามาให้ดูอีกครั้ง

 “ไม่ต้องเครียดน่า”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพ่อของตนที่เอ่ยปลอบ วันนี้ป๊าแต่งตัวเนี้ยบเป็นพิเศษ ป๊าเข้าใจว่าเขาตื่นเต้นที่ได้มาบ้านปู่ครั้งแรก ซ้ำยังต้องเจอญาติที่ไม่เคยพบหน้าและไหนจะเรื่องมรดกอีก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดนักเพียงแต่เขายังมีอีกเรื่องให้ต้องเครียดมากกว่าเท่านั้น

“มาสิ” ปรเมษฐ์ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากพร้อมกับส่งมือให้

นภธรณ์ค่อยคว้าฝ่ามือของป๊าไว้ มันหยาบนิดๆ แต่ก็อบอุ่นเหมือนแววตาที่มองมาเสมอ เขาจับมือปรเมษฐ์แน่น กลัวเหลือเกินว่าถ้าความจริงทุกอย่างปรากฏเขาจะไม่มีสิทธิ์ใช้ฐานะลูกจับมือนี้อีกต่อไป

“คุ้นๆ ไหม” จู่ๆ ปรเมษฐ์ก็เอ่ยขึ้น

นภธรณ์คิดอยู่อึดใจ “ป๊าหมายถึงตอนที่ผมไปโรงเรียนวันแรกเหรอครับ”

ย้อนวันวานกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เปลี่ยนจากชุดสูทหรูเป็นเด็กชายใส่เสื้อนักเรียนคลุมด้วยเอี๊ยมกันเปื้อนกับชายหนุ่มสวมเสื้อกาวน์สั้นยืนอยู่ริมถนนเตรียมข้ามไปอีกฝั่ง

‘จับมือป๊าแน่นๆ นะครับ’

‘ป๊าต่างหากที่ต้องจับมือแน่นๆ’

‘ทำไมละครับ’

‘ก็ถ้าผมตกใจผมอาจจะปล่อยมือป๊าก็ได้ แต่ป๊าจะไม่ปล่อยมือผมใช่ไหม’


มาจนถึงตอนนี้...

“เรื่องวันนี้มันก็แต่ถนนอีกเลนที่เราต้องข้ามไป” ปรเมษฐ์บอก “พอข้ามไปได้แล้วเราก็พบว่ามันง่ายนิดเดียว”

“และป๊าจะไม่ทิ้งผมไว้กลางทางใช่ไหม” เด็กหนุ่มถาม

“ต่อให้รถชนจนขาหักฉันก็จะคลานพาแกข้ามไป”

“ป๊าก็เปรียบซะน่ากลัวเลย” นภธรณ์กระแทกไหล่ปรเมษฐ์หยอกๆ โทษฐานพูดอะไรเป็นลาง หากคำพูดนั้นก็ช่วยเรียกรอยยิ้มกลับคืนมาในหน้าได้ทันที

ทั้งสองเดินผ่านประตูใหญ่เข้าสู่ด้านใน ปรเมษฐ์กวาดตามองไปรอบๆ ห้องโถงใหญ่ซึ่งใช้จัดงาน ออกจากบ้านมาสิบเจ็ดปีมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการตกแต่งรูปภาพบนผนังและคนงานในบ้านที่มีคนใหม่ๆ เข้ามาทำงานมากหน้าหลายตาจนแทบไม่เหลือใครที่เขารู้จัก แม้แต่เจ้าไซบีเรียนสามตัวที่เดินอกตั้งราวกับเป็นเจ้าของบ้านอยู่ตอนนี้ปรเมษฐ์ก็ไม่คุ้นเลยสักตัวแถมเจ้าสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าเข้ากับคนง่ายยังหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จนเขานึกใจหายอยู่ลึกๆ ว่ามันไม่มีที่เหลือสำหรับเขาในบ้านหลังนี้แล้วจริงๆ

“ป๊า” นภธรณ์เรียกเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่ฝ่ามือ

“ไม่มีอะไร” ปรเมษฐ์ตอบพยายามยิ้มเพื่อให้ลูกชายสบายใจ

“ไม่คิดว่าแกจะกลับมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งที่สองนะเนี่ย ไอ้โป้”

เสียงทักทายแบบห้วนๆ ดังขึ้นด้านหลังทำให้สองพ่อลูกหันไป

“พี่ป๋อง” ปรเมษฐ์เรียกพี่ชายคนโตก่อนจะหันไปตบไหล่ลูกชายให้ยกมือไหว้

นภธรณ์ทำตามอย่างว่าง่าย “สวัสดีครับคุณลุง”

ปรกฤษฎ์นั้นอายุมากกว่าปรเมษฐ์สี่ปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูหนุ่มแน่น รอยยับเล็กๆ ตรงหางตาไม่ได้ดูขัดตาหากกลับกลายเป็นเสน่ห์เหลือร้ายยามที่ส่งยิ้มมาให้ และด้วยความที่หน้าตาเหมือนกันมากของสองพี่น้องก็ทำให้นภธรณ์จินตนาการถึงหน้าตาของป๊าในอีกสี่ปีข้างหน้าได้ไม่ยาก ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที

“ไม่เจอกันสิบกว่าปีโตเร็วนะเราเนี่ย ครั้งล่าสุดที่เจอเธอยังตัวกระเปี๊ยกเดียว” ปรกฤษฎ์ยกมือขึ้นแค่เข่าประกอบ พลางถือวิสาสะมองเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงปรเมษฐ์จะไม่เคยกลับมาเหยียบบ้านอีกเพราะทิฐิแต่ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องไม่เคยขาดกัน และปรกฤษฎ์นี่แหละที่เป็นคนแนะนำให้ปรเมษฐ์ไปจดทะเบียนรับรองบุตร เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาตอนนภธรณ์เข้าเรียนและยังช่วยหาที่เรียนให้ด้วย “ว่าแต่ทำไมหน้าไม่เหมือนแกเลยวะ ไอ้โป้”

“เขาหน้าเหมือนแม่ไงคะป๊ะป๋า” เด็กหญิงวัยไม่เกินมัธยมต้นท่าท่างแก่นแก้วเกินวัยเดินเข้ามาร่วมวง เธอใส่ชุดอัดพลีทสีชมพูและประดับเรือนผมดำยาวเป็นมันด้วยขนนกฟู่ฟ่อง

“แล้วหนูเล็กรู้ได้ไงคะ” ปรกฤษฎ์หันไปถามลูกสาว

“ก็เขาป็นนักร้องดัง แล้วก็เคยให้สัมภาษณ์ออกทีวีตั้งหลายรอบ นอกจากข่าวธุรกิจ ป๊ะป๋าก็ต้องอ่านติดตามข่าวอื่นบ้างนะคะ” ปฏิมาบอกพ่อตนก่อนจะหันมาหาทั้งสอง “สวัสดีค่ะอาโป้ สวัสดีจ๊ะนอฟ เราชื่อปฏิมา เรียกว่าหนูเล็กก็ได้”

“ไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มโพล่งออกไป “เพราะเราอายุมากกว่า หนูเล็กต้องเราเรียก ‘พี่นอฟ’สิ”

“นอฟ” ปรเมษฐ์กระซิบลอดไรฟัน “อย่าเสียมารยาทสิ”

แต่เด็กหนุ่มไม่ทันได้ฟัง “ป๊าสอนว่าเราต้องให้เกียรติคนที่อายุมากกว่า… เอ้า! เรียกสิ ‘พี่นอฟคะ’”

“ไม่เรียก” ปฏิมาสวนกลับพร้อมยกมือขึ้นกอดอก “หนูเล็กเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่ชายสักหน่อย”

“เธอไม่รู้จักคำว่าลูกพี่ลูกน้องเหรอ” นภธรณ์ก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน

ปรเมษฐ์หันไปยิ้มแห้งให้พี่ชายอย่างจนใจจะห้าม “ขอโทษนะพี่ป๋อง”

ปรกฤษฎ์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะ เด็กเขาแหย่เล่นกัน... แล้วนี่แกเจอพ่อหรือยัง”

ปรเมษฐ์ส่ายหน้า “ผมเพิ่งมาถึงยังไม่ได้เจอใครเลยนอกจากพี่ป๋องกับหนูเล็กนี่แหละ”

“งั้นเดี๋ยวหนูเล็กพาอาโป้ไปเองค่ะ ปู่คุยอยู่กับเพื่อนตรงนู้นแน่ะ” ปฏิมายกมือเสนอตัว

“ไม่เป็นไรหรอก ให้ปู่คุยกับเพื่อนไปเถอะเดี๋ยวอาค่อยไปทักทีหลังก็ได้” ปรเมษฐ์บอกก่อนจะเหลือบไปเห็นสายตาเว้าวอนของลูกชายที่บอกว่าอยากเจอปู่ใจจะขาดแล้ว “อาฝากพานอฟไปหน่อยละกัน อาจะคุยกับพ่อหนูเล็กอยู่ตรงนี้แหละ”

“ได้ค่ะ” ปฏิมารับคำดิบดีแล้วหันไปพยักเพยิดกับนภธรณ์ก่อนจะเดินนำไป “ตามมาสิ”

“นอฟหลานปู่มาแล้วเหรอ” คุณบังเอิญร้องเสียงดังด้วยความดีใจพร้อมกับแยกตัวออกมาจากแขก โอบไหล่พานภธรณ์เข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆ “นี่หลานชายฉัน ลูกเจ้าโป้มัน”

ปรเมษฐ์รู้สึกหวิวในใจแปลกๆ ตอนที่คุณบังเอิญเดินมาหานภธรณ์นั้นได้หันมาสบตากับเขาแวบหนึ่ง ซึ่งแทบไร้ความหมายเพราะคนเป็นพ่อมองผ่านเลยเขาไปราวกับเป็นอากาศธาตุ แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยังแนะนำว่านภธรณ์เป็นลูกเขาก็ยังทำให้ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่าเดิมนัก

“แกนี่วาสนาดีนะ หลานสาวก็สวย หลานชายก็หล่อ” เพื่อนในวงสนทนาคนหนึ่งพูดขึ้น

“ขอบคุณค่ะ” ปฏิมายิ้มหวานพร้อมกับถอนสายบัวรับคำชมอย่างเต็มใจ และนั่นทำให้นภธรณ์นึกออกว่าเธอนิสัยเหมือนกับรมิดานี่เอง

“ไม่ได้หล่ออย่างเดียวนะเว้ย หลานฉันเป็นนักร้องด้วย พวกแกรู้แล้วก็ซื้ออัลบั้มกับดู MV อุดหนุนหลานฉันด้วย เข้าใจไหม” คุณบังเอิญยังไม่เลิกโอ่

“ขี้โม้ว่ะ” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของคุณบังเอิญเอ่ยขึ้น

“ไม่เชื่อเหรอ ได้! เดี๋ยวนอฟมายืนตรงนี้นะ เอ้านี่ไมค์ จัดเลยลูกเอาให้ไอ้พวกแก่ๆ แถวนี้ตาค้างไปเลย” คุณบังเอิญบอกก่อนจะหันไปหาหลานสาวอีกคน “หนูเล็กช่วยเล่นเปียโนให้ปู่ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

“ได้ค่ะปู่” ปฏิมาบอกพร้อมกับเดินนำไป

“นั่นเขาจะมีมินิคอนเสิร์ตกันเหรอ” ปรกฤษฎ์สะกิดน้องชายเมื่อเห็นคนเดินเข้าไปมุงรอบแกรนด์เปียโนที่กลางห้องโถง “ลูกแกจะร้องได้เหรอ เห็นแบบนั้นแต่ลูกสาวฉันเป็นแชมป์รุ่นเยาว์ระดับประเทศเชียวนะ”

“ไม่รู้สิ” ปรเมษฐ์ไหวไหล่ “แต่นอฟก็ไม่ใช่พวกที่ยอมให้ตัวเองหน้าแตกหรอก”

“พร้อมนะ” ปฏิมาจรดนิ้วลงบนแป้นและเริ่มบรรเลงทันทีโดยไม่มีการนัดแนะใดๆ มาก่อน

นภธรณ์ชะงักไปกับท่วงทำนองที่เป็นเพลงสากล

ปฏิมาอมยิ้มมุมปาก หลานสาวคนเดียวของตระกูลบารมีไพศาลวานิชย่อมไม่ได้มาเล่นๆ ปรัชญาขงเบ้งกล่าวว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง และข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามก็หาได้ง่ายดายเพียงแค่จิ้มนิ้วบนแป้นพิมพ์ก็จะได้ทุกอย่างในโลกอินเตอร์เน็ต นั่นจึงทำให้เธอรู้ว่านภธรณ์นั้นอ่อนภาษาอังกฤษมากและอ่านโน้ตดนตรีไม่เป็น เธอจึงเลือกเล่นเพลงสากลเพราะจะแกล้งให้เขาหน้าแตกต่อหน้าคุณปู่ เพียงเท่านี้ตำแหน่งหลานรักเบอร์หนึ่งก็จะเป็นของเธอคนเดียว

เด็กหนุ่มกำไมค์ในมือแน่น เขาใช้มือข้างที่ว่างเคาะเบาๆ ลงบนหน้าขาเพื่อจับจังหวะก่อนจะยกไมค์ขึ้นจรดริมฝีปาก และเพียงแค่เนื้อเพลงท่อนแรกเปล่งออกจากปากปลิวไปในสายลมเขาก็สะกดทุกคนในที่นั้นได้อยู่หมัด

โดยเฉพาะใครคนหนึ่ง ตาคมจับจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่ง มันไม่ใช่แค่เพียงสายตาของความภาคภูมิใจ เมื่อมองลึกเข้าไปในนั้นจะได้เห็นวันเวลาหนึ่งที่ใครๆ อาจบอกว่ามันนานแล้ว แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันนานขนาดนั้นเลย สำหรับเขาแล้วเรื่องในตอนนั้นมันก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ที่ยังคงจดจำทุกๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยวนาที

การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตมาไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งเลี้ยงคนเดียวในวันที่ไม่พร้อมซึ่งแวดล้อมไปด้วยสภาวะกดดัน ทั้งครอบครัวที่ไม่เข้าใจ ตัวเขาที่ยังเป็นนักศึกษา หนังสือก็ต้องอ่านนมลูกก็ต้องชง มันทำให้เขาสูญเสียชีวิตวัยรุ่นที่ควรจะต้องเป็นไป วันที่ไหวก็ไหว แต่ในวันที่ไม่ไหว ความรู้สึกเหงาและท้อแท้ที่เอ่อล้นอยู่ในอก คิดถึงผู้หญิงคนที่จากไป อยากเจอ อยากได้ยินเสียง อยากรับรู้ความเป็นไปว่ายังสบายดีไหม แอบหวังว่าสักวันที่เธอตามฝันสำเร็จจะกลับมาหากัน

แต่วันนั้นมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาถึงเลย

แล้วน้ำใสก็ค่อยๆ เอ่อขึ้นเต็มสองตาเมื่อความท้อแท้เริ่มกัดกินหัวใจ อยากยอมแพ้ แต่ชีวิตมันไม่ใช่เกมที่แค่รีสตาร์ทก็สามารถกลับไปเริ่มต้นใหม่ เขาต้องเดินหน้าต่อแต่จะทำได้ยังไงในเมื่อหัวใจมันไม่มีพลังงานเหลือเลย

ม่านน้ำตาบดบังดวงตาจนมองไม่เห็นทางออก แต่ตอนนั้นเองที่เสียงเพลงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่รู้สึกถึงแรงกระตุกเบาๆ ที่ชายเสื้อ

สายตาที่ยังพร่ามัวด้วยน้ำตาเหลียวไปมอง มือเล็กๆ คู่หนึ่งเกาะกุมอยู่ที่ชายเสื้อ เด็กชายตัวน้อยนั่งคุกเข่าร้องเพลง เพลงที่เจ้าตัวไม่เข้าใจความหมายด้วยซ้ำแต่กลับร้องตามได้เพราะฟังผ่านหูทุกวัน

ในขณะที่ปากบอกว่าถึงใครๆ จะทอดทิ้งแต่เด็กคนนี้จะมีเขา หากในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยเด็กคนนี้ต่างหากที่คอยอยู่เคียงข้างเขาทั้งวันที่มีรอยยิ้มและมีน้ำตา และไม่เคยทิ้งกันไปไหน

...You are my sunshine ,my only sunshine
You make me happy when skies are gray
You’ll never know dear, how much I love you
Please don’t take my sunshine away….

ขอบคุณนะที่เป็นแสงอาทิตย์ในหัวใจของฉันตลอดมา

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทันทีที่เพลงจบลง

“ทำไมนายร้องได้ล่ะ เพลงนี่เก่ามากเลยนะ” ปฏิมาถามด้วยความเจ็บใจ

นภธรณ์เลิกคิ้วก่อนจะเหลือบตามองคนเป็นพ่อที่ส่งยิ้มมาให้ “มันเป็นเพลงโปรดของป๊า” เขาบอก “ป๊าชอบเปิดเพลงนี้กล่อมนอนสมัยฉันเป็นเด็กน่ะ และมันเป็นเพลงแรกที่ฉันร้องได้ เมื่อกี้มัวแต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าเธอจะเล่นเพลงนี้น่ะเลยขึ้นท่อนแรกไม่ทัน”

“ตอนนี้ก็เด็ก” ปฏิมาว่า

“ก็โตกว่าเธอแหละคุณน้องสาว”

“เพลงโปรดแกเหรอ?” ปรกฤษฎ์หันไปเอียงคอถามน้องชาย

“แล้วมันทำไมเหรอครับ” ปรเมษฐ์ถามเรียบๆ

“ก็แค่ไม่คิดว่าจะเป็นเพลงที่พ่อใช้จีบแม่” คนเป็นพี่ว่า “แถมพ่อยังชอบเปิดเพลงนี้บ่อยๆ เสียด้วย”

“บังเอิญจังเลยนะครับ”

“ใช่… ‘บังเอิญ’จัง”

ปรเมษฐ์ทำเป็นไม่สนใจคำที่พี่ชายพยายามจะเน้นมา เขาเดินไปหาลูกชายก็พอดีกับที่พ่อบ้านประจำตระกูลประกาศให้ทุกคนมารวมตัวกันรอบเค้กวันเกิดที่ประกอบขึ้นจากคัพเค้กนับร้อยชิ้นวางเรียงกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเหมือนต้นคริสมาสต์เพื่อเตรียมร้องเพลงวันเกิดให้เจ้าของงานในวันนี้

นภธรณ์ยื่นไมค์ในมือให้หลานสาวอีกคนของบ้านเพราะคิดว่าเธอควรเป็นต้นเสียง แต่ปฏิมากลับยกมือห้ามพร้อมกับย่นปาก

“นายเป็นนักร้องมีหน้าที่ร้องก็ร้องไปสิ”

“หนูเล็กร้องเพลงห่วยมากน่ะ” ปรกฤษฎ์แอบเข้ามากระซิบ

“ป๊ะป๋า!” ปฏิมาร้องเสียงดัง “ตัวเองก็ร้องเพลงห่วยเหมือนกันแหละอย่ามาว่าแต่หนูเล็กนะคะ”
ปรกฤษฎ์ไหวไหล่ “ป๊ะป๋าเป็นนักธุรกิจนี่ครับไม่ใช่นักร้อง”

“หนูเล็กก็ไม่ใช่เหมือนกัน” เด็กสาวกอดอกทำแก้มป่อง รู้สึกเสียหน้าที่มีเรื่องที่ไม่ถนัด เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคุณหนูผู้แสนเพรียบพร้อมอย่างเธอเลยจริงๆ

“งั้นฉันร้องเอง แล้วหนูเล็กช่วยเล่นเปียโนให้หน่อยนะ” นภธรณ์บอก

คนงอนหันมามอง “หนูเล็กเล่นเก่งใช่ไหมล่ะ”

“อืม เก่งมาก” นภธรณ์ยอมรับตรงๆ และนั่นทำให้เด็กสาวแอบเขินเล็กๆ

“ปีนี้รู้สึกเพลงมันเพราะกว่าทุกปีนะ” ปรกฤษฎ์พูดขึ้นหลังจากที่เพลงอวยพรวันเกิดจบลง และตอนนี้เด็กๆ ก็กำลังเข้าไปช่วยคุณปู่ส่งเค้กแจกคนในงาน

“ก็แน่อยู่แล้ว นอฟเป็นนักร้องนี่นา” ปรเมษฐ์ว่า

“ไม่ใช่หรอก” ปรกฤษฎ์บอกพลางหันไปหาน้องชาย “ที่เพลงเพราะ เพราะทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าต่างหาก”

หลังจากแจกเค้กให้ทุกคนอย่างทั่วถึงสุรชัยก็ประกาศอีกช่วงเวลาสำคัญในค่ำคืนนี้

“ท่านประธานขอเชิญผู้มีสิทธิ์ในมรดกทุกคนกับกรรมการผู้ถือหุ้นมารวมกันในห้องประชุมด้วยครับ”
นภธรณ์เดินตามหลังปรเมษฐ์เข้าห้องไปนั่งลงตรงเก้าอี้นวมที่ถูกจัดไว้ให้ การได้ทะเลาะและร้องเพลงกับปฏิมาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก

ตอนนี้ในห้องมีแต่คนที่เขารู้จัก คุณย่านั่งอยู่ข้างๆ คุณปู่ ครอบครัวของปรกฤษฎ์นั่งอยู่ถัดออกไปและที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาคือคุณบังอาจหรือปู่เล็ก

ทนายประจำตระกูลเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่สุรชัยจะทำการปิดล็อกประตู

“ผมจะเปิดพินัยกรรมของคุณบังเอิญให้ทุกท่านทราบ” ทนายกล่าว “มรดกจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือเงินสดซึ่งจะทำการโอนให้แล้วเสร็จภายในสามวันนับจากการประกาศและอีกส่วนซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นผู้ได้รับมอบจะมีสิทธิ์ถือครองก็ต่อเมื่อคุณบังเอิญหมดลมหายใจหรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในภายหลัง ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคุณบังเอิญเอง”
ทนายหยิบเอกสารขึ้นมาตั้งต้นจะอ่านเมื่อใครคนหนึ่งยกมือขึ้นทักท้วง

“ขอโทษนะครับพี่” คุณบังอาจกล่าว “พี่บอกว่าขอพบผู้มีสิทธิ์ในมรดกกับผู้ถือหุ้นเท่านั้นนี่ครับแล้วทำไมผมถึงเห็นคนอื่นเข้ามานั่งในนี้ด้วยล่ะ”

“โป้มาในฐานะผู้ปกครองของหลานฉัน” คุณบังเอิญชี้แจงในส่วนที่รู้อยู่แล้วว่าต้องมีคนถาม

“พี่พูดว่า ‘หลาน’ อย่างนั้นเหรอครับ” คุณปู่เล็กพูดต่อ

“นอฟเป็นลูกชายอย่างถูกต้องตามกฏหมายของผม ไม่ทราบว่าคุณอามีข้อสงสัยอะไรหรือครับ” ปรเมษฐ์ถาม “ผมมีทั้งใบทะเบียนสมรสและใบรับรองบุตรยืนยันว่านอฟเป็นลูกผม”

“ลูกตามกฏหมายไม่ได้หมายความว่าจะเป็นลูกตามสายเลือดนี่นา”

ได้ยินคำนี้หัวใจนภธรณ์ก็เต้นรัวขึ้นทันที และอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมือไม้มันอ่อนแรงไปหมด เขากำมือที่ชื้นเหงื่อบนหัวเข่าแน่น ภาวนาจนสุดใจขอให้ไม่ใช่เรื่องที่คิด

“มีอะไรก็รีบๆ พูดมาอย่ามัวแต่เล่นลิ้นเจ้าอาจ” เจ้าของมรดกตัดบท

“งั้นผมสรุปเลยนะ” คุณบังเอิญลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบซองเอกสารขึ้นมาและอ่านออกเสียงดังๆ ให้ทุกคนได้ยิน “ผล DNA นี่ชี้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของนายปรเมษฐ์” มีความเย้ยหยันอยู่ในน้ำเสียงของคุณบังอาจ เขายิ้มอย่างสะใจพร้อมกับส่งเอกสารในมือวนไปให้ทุกคนดูจนครบ

“ว่าไงนะ”

“เป็นความจริงเหรอ”

คุณบังอาจปล่อยเวลาให้ข้อมูลนั้นซึมซับเข้าสู่สมองของทุกคนก่อนจะพูดอีกครั้ง “สรุปง่ายๆ เลยนะครับ เด็กคนนี้ไม่ใช่หลานพี่ และเขาไม่ใช่คนในตระกูลของเรา”

ทุกสายตาในห้องต่างจับจ้องมาที่ปรเมษฐ์ รวมทั้งนภธรณ์ที่พูดอะไรไม่ออกเช่นกันแม้จะรู้อยู่แล้ว ตอนนี้ที่เขาเป็นห่วงคือความรู้สึกป๊า ป๊าจะเจ็บช้ำแค่ไหนเมื่อได้รู้ความจริงว่าโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกให้เลี้ยงลูกคนอื่นมาตั้งสิบเจ็ดปี

นภธรณ์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ฝ่ามือชื้นเหงื่อกำอยู่บนหัวเข่าแน่น เขาเห็นคุณปู่หันมามองเขาราวกับจะตั้งคำถาม ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมีความผิดหวังฉายชัด แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก เพราะหัวใจของเขาเองก็จุกจนเจ็บไปหมดกับคำว่า ‘เขาไม่ใช่คนในตระกูล’… เพราะนั่นหมายความว่าเขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ เป็นแค่เด็กที่โดนแม่ทิ้งและไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อด้วยซ้ำ

“มีอะไรอยากจะแก้ตัวอีกไหมโป้” คุณบังอาจถาม

ความอึดอัดกำลังเข้ายึดครองไปทั่วทั้งห้องเมื่อจู่ๆ ปรเมษฐ์ก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังกลบเสียงซุบซิบในห้องประชุม “เฮ้อ~”
ทุกคนพากันเงียบและหันมองหน้ากันงงๆ

“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่คุณอาบอกน่ะแหละครับ” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงนุ่มด้วยท่าทีที่ราวกับยกภูเขาออกจากอกกับความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจมานานหลายปี “ขอโทษนะครับที่โกหกทุกคน และเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ผมกับลูกก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพินัยกรรมนี้แล้วสินะ ดังนั้นพวกเราก็ขอตัวก่อนนะครับ… เรากลับกันเถอะ นอฟ” พูดจบก็หันไปหาคว้ามือลูกชายและจูงมือเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจสายตาดูแคลนและเสียงซุบซิบนินทาของใครๆ ที่ดังตามหลังว่าเขาเป็นลูกที่ถูกเก็บมาบ้าง ปรเมษฐ์ถูกสวมเขาบ้าง

แต่สิ่งเหล่านั้นมีผลกับหัวใจของเด็กหนุ่มน้อยมากเมื่อเทียบกับนัยน์ตารื้นน้ำที่ราวกับใจสลายของผู้อาวุโสเจ้าของงานที่มองมาจนเขาต้องก้มหน้ามองพื้นเพราะไม่อาจทนเห็นได้อีกต่อไป

(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2017 22:38:27 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
«ตอบ #198 เมื่อ29-12-2017 21:46:14 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ

นภธรณ์ปล่อยให้ป๊าจูงมือออกมาและเดินไปเรื่อยๆ ถ้อยคำนับแสนล้านคำประทุอยู่ในอก ทั้งคำปลอบ คำขอโทษ และคำถามว่าป๊ารู้เรื่องนี้ได้ยังไงแต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนดี แล้วก็เป็นฝ่ายปรเมษฐ์ที่เริ่มต้นขึ้นก่อนอีกครั้ง

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

เขาหยุดยืน หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาจับไว้ที่สองไหล่ของเด็กหนุ่มและมองสบตาก่อนจะพูดต่อเสียงเบาทว่าหนักแน่น

“ขอโทษที่โกหกแกมาตลอด แต่ไม่ว่าผลการตรวจมันจะเป็นยังไง ฉันก็ยังเป็น ‘พ่อของแก’ เหมือนเดิมนะ”

เด็กหนุ่มมองตอบนัยน์ตาคู่นั้นที่มองมา มันยังเหมือนเดิมเสมอ เขากัดริมฝีปากจนเจ็บ และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้เแล้วว่าจะพูดคำไหนออกไป “ไม่ครับ มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

ปรเมษฐ์อึ้งไปชั่วขณะ ประกายกล้าในแววตาวูบไหวจนต้องหลุบลงมองพื้นเพื่อซ่อนความอ่อนไหวที่กำลังท่วมท้นขึ้นมา “ฉันขอโทษ”

“ป๊าไม่จำเป็นต้องขอโทษผมเลยครับ” นภธรณ์บอก “ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษป๊า เพราะตั้งแต่เมื่อกี้ตอนที่เห็นผลตรวจนั่นยืนยันว่าเราไม่ใช่พ่อลูกกันผมไม่รู้สึกเสียใจสักนิด แต่ผมรู้สึกดีใจมากที่จะได้เป็นอิสระจากคำว่า ‘พ่อ-ลูก’ นี้เสียที”

ปรเมษฐ์นิ่งงัน ความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมเข้ามาในหัวใจ ไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่พยายามทำมาตลอดสิบเจ็ดปีจะพังทลายลงในพริบตา “แกไม่ได้อยากเป็นลูกฉันแล้วเหรอ”

“ครับ” นภธรณ์ยืนยัน และเขาก็คิดเช่นนั้นจริงๆ “ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้อยากจับมือป๊าอีกต่อไปแล้ว แต่ผมอยากกอดป๊า... ในเมื่อตอนนี้เราไม่ใช่พ่อลูกกันผมขอยืนเคียงข้างป๊าในฐานะอื่นได้ไหมครับ”

ปรเมษฐ์ขยับเล็กน้อยคล้ายกับจะพูดอะไรแล้วก็นิ่งไป ริมฝีปากสั่นระริก มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่น

“เพราะผมรักป๊า” นภธรณ์พูดต่อ เสียงของเขาแหบพร่าทว่ามั่นคง “รักในแบบของผู้ชายคนหนึ่ง... มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ผม
ถอยกลับไม่ได้แล้ว ผมรู้ว่ามันผิด แต่ผมรักป๊าจริงๆ... ผมขอโทษครับที่คิดกับป๊าแบบนี้” เขากลั้นใจพูดรวดเดียวก่อนที่ความกล้าจะจางหายไป เสร็จแล้วก็ได้แต่ยืนนิ่งรอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย

“นอฟ... ฉัน...” ปรเมษฐ์มีท่าทีตกใจไม่น้อย เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับที่หัวหน้าพ่อบ้านก้าวยาวๆ อย่างรีบเร่งเข้ามาหาทั้งสอง

“คุณโป้ครับ คุณหนู”

“ไม่ต้องเรียกผมแบบนั้นแล้วก็ได้ครับ” นภธรณ์พยายามแก้แต่หัวหน้าพ่อบ้านไม่สนใจ

“คุณท่านให้ผมมาเชิญคุณทั้งสองกลับเข้าไปครับ คุณท่านมีเรื่องจะพูดด้วยและนี่เป็นคำสั่งครับ” สุรชัยบอก
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามไปแต่โดยดี

“มานี่สินอฟ” คุณบังเอิญกวักมือเรียกมาจากบนโซฟา

เด็กหนุ่มเหลียวมองคนอื่นๆ ที่จับจ้องมาที่เขาก่อนจะเดินเข้าไปหากล้าๆ กลัวๆ

คุณบังเอิญยกมือที่เหี่ยวย่นขึ้นมาและจับไปตามกรอบหน้าของเขา
“ตัวเล็ก หน้าหวาน ผมแดง ตาโต ร้องเพลงเก่ง... เอาจริงๆ แกก็ไม่มีอะไรเหมือนคนในตระกูลเราจริงๆ นั่นแหละ” ประมุขใหญ่ของบ้านรำพึงกับตัวเอง “แต่ใครจะสนใจเรื่องพรรค์นั้นมันก็เรื่องของเขา เพราะว่าฉันไม่สน”

“แต่ผล DNA...” นภธรณ์พยายามจะพูดแต่ก็โดนตัดบท

“ช่างผลอะไรนั่นเถอะ” คุณบังเอิญพูดเสียงดัง “คนเราไม่ได้ผูกพันกันเพียงเพราะเส้นพันธุกรรมแค่สองเส้นสักหน่อย ฉันเห็นแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยถึงจะไม่ได้เลี้ยงเองแต่ก็ฝากคนอื่นไปคอยดูแล ฉันเห็นพัฒนาการของแก เห็นแกยิ้มให้ ได้ยินแกเรียกฉันว่าปู่ แล้วแกจะเป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่หลานฉัน และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปแม้ว่าฉันจะตายไปแล้วก็ตาม”

“แต่ผม...” นภธรณ์แทบไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ฟัง เขากะพริบตาถี่ๆ ไล่หยดน้ำที่เอ่อล้นขึ้นรอบตา

“เรียกปู่สิ แล้วปู่จะเป็นปู่ของแกตลอดไป” คุณบังเอิญบอก

เด็กหนุ่มจ้องนัยน์ตาสีเทาของคนตรงหน้า แล้วจู่ๆ น้ำใสก็ค่อยไหลลงอาบสองแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ เขาพยักหน้าและเอ่ยถ้อยคำที่อีกฝ่ายอยากฟัง “ครับคุณปู่”

“นามสกุลฉันยังอนุญาตให้ใช้ได้เหมือนเดิม” คุณบังเอิญกล่าวต่อ “พ่อแกจะได้ไม่ต้องยุ่งยากไปทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลที่อำเภอ”

“ครับ” ปรเมษฐ์รับคำ

“นามสกุลใช้ได้ แต่ว่าเรื่องมรดก…” คุณบังอาจพยายามแทรกขึ้น

“ก็ยังได้ทุกอย่างเหมือนเดิม” คุณบังเอิญกล่าวเสียงเฉียบ

“ทำไมล่ะพี่ ก็ในเมื่อเด็กคนนี้…”

“แกแก่จนหูตึงหรือสติฟั่นเฟือนจนไม่ได้ยินที่นอฟเรียกฉันว่าปู่เรอะ” คุณบังเอิญว่า “แล้วหลานฉันก็มีชื่อ ช่วยเรียกให้ถูกๆ ด้วยจะชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็เรียกไปแต่อย่ามาใช้คำว่าเด็กคนนี้”

“แกไม่คิดจะห้ามพ่อแกเลยเหรอเจ้าป๋อง ส่วนแบ่งที่ลูกแกควรจะได้นั่นจะยอมให้มันไปตกอยู่กับคนนอกเหรอ” ปู่เล็กพยายามยุแยง

ปรกฤษฎ์มองลูกสาวแล้วหันไปมองปรเมษฐ์กับนภธรณ์ก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าน้องชายของผมบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกเขา ผมก็ถือว่าเขาเป็นหลานของผมเหมือนกันครับ... และนี่มันก็เป็นเงินของพ่อไม่ใช่ของผม การจะยกให้ใครก็เป็นสิทธิ์ของพ่ออยู่แล้ว”

“แต่...”

“ถ้าแกอยากให้ฉันตัดสินจาก DNA นัก ถ้าอย่างนั้นแกก็จะได้มรดกจากที่ควรจะได้แค่ครึ่งเดียวเพราะแกเป็นลูกเมียน้อย ฉันพูดแบบนี้แกโอเคไหมล่ะ” คุณบังเอิญตัดบท

“แต่พี่จะให้เด็กนอกคอกนั่นมาดูแลบริษัทของเราไม่ได้นะ!”

“ฉันเคยพูดสักคำเหรอว่าจะยกให้นอฟ” คุณบังเอิญถาม และแทบจะได้ยินเสียงร้อง ‘อ้าว?’ ดังขึ้นพร้อมกันในห้องประชุม

“แกคิดว่าเสียเงินส่งเจ้าป๋องไปเรียนบริหารถึงเมืองนอกเมืองนาแล้วจะให้มันกลับมานอนเกาพุงผลาญเงินฉันเล่นๆ เหรอ ทุกวันนี้ธุรกิจกว่าครึ่งหนึ่งมันก็เป็นคนดูแลอยู่แล้ว”

“บริหารภาษาอะไรให้ติดตัวแดงอยู่แบบนั้น”

“ถ้าคุณอาหมายถึงบริษัท Thai MED. ละก็แดงอยู่แล้วครับ” ปรกฤษฎ์อธิบาย “เพราะมันเป็นบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผมคิดกำไรค่อนข้างต่ำ และผมก็เพิ่งตัดสินใจบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่เจ้าโป้ทำงานอยู่ล็อตใหญ่ นี่เดือนก่อนเพิ่งส่งคนไปตรวจสอบการใช้งาน ได้ข่าวว่าดันไปขับชนท้ายรถเจ้าโป้จนแขนหักไปอีก… ขอโทษด้วยนะเห็นสุรชัยไปจัดการแล้ว ฉันเลยไม่ได้ทำอะไรอีก แค่นี้พ่อก็บ่นบ้านจะแตกแล้วว่าแกทำมือหลานเขาเป็นรอย” ตอนท้ายเขาหันไปพูดกับน้องชาย

“ไม่เป็นไรครับ แค่กระดูกร้าวนิดหน่อยไม่ถึงขึ้นหักอะไร” ปรเมษฐ์บอก


“ทั้งหมดนั่นอยู่ในงบกองทุนช่วยเหลือสังคมของตระกูลไพศาลวานิชครับ” สุรชัยเสริมต่อให้ “ถ้าหักลบกับกำไรของบริษัทอื่นก็ยังถือว่าคุณปรกฤษฎ์บริหารงานได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีอะไรให้น่ากังวลครับ”

“ถึงเจ้าป๋องจะดูแลได้ แต่มันก็ไม่มีลูกนะพี่” คุณบังอาจพูดต่อ

“แล้วหนูเล็กไม่ใช่ลูกมันหรือไง” คุณบังเอิญถามกลับ ถึงตรงนี้แม้แต่ปรกฤษฎ์เองก็แปลกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าพ่อของตนจะหัวสมัยใหม่อยู่เหมือนกัน

“แต่หนูเล็กเป็นผู้หญิง”

“หนูเล็กเป็นผู้หญิงแล้วยังไงเหรอคะปู่เล็ก” ปฏิมาแทรกขึ้น “คุณปู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูเล็กเป็นคนสวยแล้วก็ฉลาด แถมยังพูดได้ตั้งสามภาษาทั้งไทย จีน อังกฤษ ในอนาคตหนูเล็กจะต้องหาผู้ชายดีๆ มาแต่งเข้าบ้านเป็นหลานเขยให้คุณปู่ได้แน่ๆ ค่ะ”

ปรกฤษฎ์กุมขมับกับความแก่นเซี้ยวของลูกสาว ในขณะที่คุณบังเอิญปรบมือให้หลานสาวสุดที่รัก “ต้องอย่างนี้สิ แม่บิสซิเนสเกิร์ลของปู่”

“แต่ผู้หญิงเป็นผู้บริหารแล้วจะคุมลูกน้องนับพันของเราได้ยังไง” คุณบังอาจยังไม่เลิก

“นี่จะคศ.2018 แล้วนะคะ ผู้หญิงมีสิทธิ์และความสามารถเท่าเทียมกับผู้ชายค่ะ ถ้าปู่เล็กไม่เชื่อก็อยู่ให้ถึงวันที่หนูเล็กขึ้นเป็นผู้บริหารนะคะ แล้วหนูเล็กจะพิสูจน์ให้ดู”

“แต่...”

“พอได้แล้ว” คุณบังเอิญว่า “ฉันตัดสินใจดีแล้ว อ้อ! เรายังไม่ได้เคลียร์กันเลยนะว่าแกไปได้ผล DNA นั่นมายังไง หวังว่าแกจะไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายๆ ของหลานชายฉันช่วงนี้นะเจ้าอาจ”
“ปู่รู้ด้วยเหรอครับ” นภธรณ์ถามด้วยความแปลกใจ

“ฝากบอกพ่อแกด้วยว่าไม่ต้องไปแจ้งความจับไอ้นักข่าวนั่น” คุณปู่ว่า “เสียเวลาตำรวจเขาเปล่าๆ เพราะมันคงไม่โผล่หน้ามาให้สังคมเห็นไปอีกสักพักใหญ่ๆ”

“คุณปู่ทำอะไรเขาหรือครับ” นภธรณ์ถาม

“ทีแรกก็ว่าจะจับเผานั่งยางแต่สุรชัยบอกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้จะทำให้โลกร้อนซึ่งขัดกับนโยบายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของบริษัทเรา และเสนอว่าการทำบุญให้อาหารปลาในมหาสมุทรแปซิฟิคน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า” คุณบังเอิญพูดทีเล่นทีจริงพลางโบกมือทำนองว่าให้ลืมๆ มันไปซะ
นภธรณ์จะขำก็ไม่เต็มเสียงนัก เขารู้ว่าคุณปู่พูดเวอร์ไปแบบนั้น แต่ที่แน่ๆ นั่นก็ไม่ใช่การขู่ลอยๆ นึกสงสัยจริงๆ ว่ากรรณโดนสั่งสอนอะไรไปบ้าง

ในที่สุดคุณบังอาจก็ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้อีก ทำได้แค่นั่งกำหมัดแน่นและส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ

ผู้สูงวัยเห็นหลานรักยังตาแดงๆ ก็อดสงสารไม่ได้ เขาตบมือลงบนกระเป๋าเสื้อเพื่อหาอะไรมาช่วยซับน้ำตา “เอ้านี่”
“อะไรหรือครับ” นภธรณ์ยื่นมืออกไปรับด้วยความงงๆ ปนสงสัย เพราะแทนที่จะเป็นผ้าเช็ดหน้าคุณบังเอิญกลับส่งกระดาษใบหนึ่งให้

“ค่าทำขวัญที่ปู่เล็กทำให้แกตกใจ”

นภธรณ์เหลือบตาลงดูบนกระดาษก่อนจะรีบส่งคืนเพราะมันเป็นเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งล้านบาท “ม… ไม่เป็นไรครับปู่ ตอนนี้ผมหายตกใจแล้วครับ”

“งั้นก็ถือเป็นค่าตัวที่มางานปู่” คุณบังเอิญต่อรอง

“วันนี้ถือว่าเป็นของตอบแทนแฟนคลับ VIP ก็ได้ครับ ผมไม่คิดค่าตัวหรอกครับ”

“นอฟ” คุณปู่เน้นเสียง แค่จะให้ตังค่าขนมหลานสักหน่อยทำไมมันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้นะ
นภธรณ์กำเช็คในมือแน่น เขาหันไปหาป๊าที่พยักหน้าให้ครั้งหนึ่งจึงตอบ “ขอบคุณครับ”
คุณปู่ยิ้มแก้มแทบปริก่อนจะถามต่อ “ตกลงล้านนึงของปู่นี่ทำอะไรได้บ้าง”

“ได้ทุกอย่างเลยครับ”

“ค้างคืนก็ได้เหรอ” คุณบังเอิญแกล้งถามเพราะรู้ดีว่าปรเมษฐ์คงไม่ยอมแน่ๆ

“เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างนะครับปู่” นภธรณ์รีบบอก

“แล้วถ้าปู่ให้อีกล้านล่ะ”

“ผมขอคุยกับป๊าแป๊บนึงนะครับ”

“ไม่อนุญาต” เสียงปรเมษฐ์ดังตอบมาทันที

ปู่กับหลานมองหน้ากันพร้อมกับย่นปาก ก่อนที่คุณบังเอิญจะเปลี่ยนเรื่อง “ไปกินเค้กกันเถอะนอฟ ปล่อยไอ้คนเกลียดของหวานไว้ตรงนั้นแหละ นี่! ย่าแกเขาอุตส่าห์ไปจ้างเชฟจากอิตาลีมาทำพิเศษเลยนะ สตรอว์เบอร์รี่นั่นก็นำเข้าจากฟาร์มที่ฮอกไกโด รสชาติหวานเจี๊ยบ เนื้อฟูนุ่มละลายในปาก ปู่รับรองว่ารสชาติดีกว่าไอ้เค้กร้านหน้าคอนโดที่ป๊าแกซื้อให้กินบ่อยๆ แน่ๆ”

“ผมอดใจไม่ไหวแล้วครับ” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายและเดินคล้องแขนตามคุณปู่ออกจากห้องประชุมกลับเข้าไปในงานเลี้ยง

“มีแซลมอนด้วยนะ แต่ปู่แก่แล้วจำไม่ค่อยได้ว่าแกชอบอะไรเลยให้สุรชัยไปจัดการเหมาหมดทุกสายพันธุ์ทั้งนอร์เวย์ แทสมาเนีย คิงแซลมอน… แล้วก็มีพันธุ์อะไรอีกก็ไม่รู้เยอะแยะให้เชฟเขาเองบอกละกันนะ”
ปรเมษฐ์ที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ยกมือขึ้นกอดอกพลางส่ายหน้าน้อยๆ ถ้าลืมผล DNA นั่นไปซะแล้วดูจากนิสัย ทางนี้ต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องสงสัยเสียเองว่าโดนเก็บมาจากข้างถังขยะ

“สบายใจสักทีสินะ” ปรกฤษฎ์เข้ามาถาม “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ว่าคนอย่างแกจะยอมรับเด็กที่ไม่ใช่ลูกตัวเองมาเลี้ยง”

“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะทำไปได้” ปรเมษฐ์บอก “แต่เพราะผมทนไม่ได้ครับ ที่จะเห็นเด็กคนหนึ่งจะไม่เหลือใคร สารภาพตามตรงตอนนั้นผมคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าการเป็นพ่อคนมันเป็นยังไง ผมแค่คิดว่าไม่อยากทอดทิ้งเขาไปก็เท่านั้นเอง”

“ถ้าสารภาพกับพ่อตรงๆ แกก็จะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นได้อย่างไม่เป็นปัญหาแต่ถ้าทำแบบนั้นเด็กคนนั้นก็จะรู้อีกเหมือนกันว่าตัวเองเป็นกำพร้า” ปรกฤษฎ์วิเคราะห์ไปตามนิสัยของน้องชาย

ปรเมษฐ์พยักหน้ายอมรับ “ใช่ครับ”

คนเป็นพี่เหลือบตามองพ่อก่อนจะตวัดกลับมาหาน้องชาย เขานิ่งคิดอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยออกไป “รู้อะไรไหมโป้ ลองไปขอโทษพ่อดีๆ  สิ พี่ว่าพ่อพร้อมจะอภัยให้แกนะ”

“ทำไมพี่ป๋องคิดแบบนั้นละครับ”

“ดูจากที่พ่อทำกับเด็กคนนั้น” ปรกฤษฎ์กล่าวพลางพยักเพยิดไปทางคนต่างวัยสองคนที่กำลังคุยกันกระหนุงกระหนิง “สิ่งที่พ่อทำมันก็เหมือนกับสิ่งที่แกทำน่ะแหละ มันเป็นรักที่บริสุทธ์... เอาน่าโป้ ยอมโดนด่าอีกสักหนบ้านเราจะได้สงบสุขสักที”

“แล้วถ้ายอมให้ด่าแล้วพ่อไม่ยกโทษให้ พี่ป๋องจะให้ผมมาด่าพี่ป๋องต่อไหมล่ะ”

“ยอกย้อนนะไอ้นี่” ปรกฤษฎ์ว่า “มาพนันกันไหมล่ะ ฉันยอมให้แกเตะเลยก็ได้เอ้า! แต่ถ้าฉันคิดถูกแกต้องยอมให้ฉันเตะคืนนะ”

“ผมไม่เล่นพนันหรอกมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของลูก” ปรเมษฐ์บอกเสียงเรียบ

“ไม่ลองสักหน่อยเหรอ ฉันมั่นใจมากเลยนะว่าจะชนะ”

“พี่ป๋องไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน”

ปรกฤษฎ์หยักยิ้มอย่างเป็นต่อพร้อมกับสะบัดหน้าไปตามทาง “ถ้าอยากรู้ก็ตามมาสิ”

ด้วยความอยากรู้ปรเมษฐ์จึงยอมตามไปแต่โดยดี ทั้งสองมาหยุดยืนที่หน้าห้องหนึ่งปรเมษฐ์เหลือบตามองพี่ชายที่ยืนสองมือล้วงกระเป๋าอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วยกมือขึ้นเคาะขออนุญาตก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นห้องนอนของใครคนหนึ่ง ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ในความธรรมดานั้นมันกลับมีอะไรที่พิเศษแอบซ่อนอยู่

ชั้นหนังสือไม้แบบบิวต์อินขนาดใหญ่ที่อยู่ชิดผนังด้านหนึ่งบรรจุหนังสือการ์ตูนไว้เกินครึ่ง ตรงเหนือหัวเตียงติดโปสเตอร์ของศิลปินวงหนึ่งที่มีสมาชิกหกคนตัวอักษรภาษาอังกฤษบอกให้รู้ว่าวงนี้ชื่อวง NUVO บนโต๊ะหนังสือมีสมุดช็อตโน้ตเล่มหนึ่งวางอยู่และข้างกันนั้นคือซาวน์อะเบาท์หรือเครื่องบันทึกเทปสีเงินของโซนี่ที่ตอนนี้ไม่มีวางขายตามท้องตลาดแล้ว

ดูราวกับว่าช่วงเวลาในห้องนี้ถูกหยุดไว้ ณ ช่วงเวลาหนึ่งเมื่อในอดีต

ปรเมษฐ์เดินไปที่โต๊ะ เขาใช้ปลายนิ้วลากแตะไปตามอุปกรณ์เครื่องเขียน นอกจากจะยังสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด เหมือนมีคนดูแลอยู่อย่างสม่ำเสมอแล้วทุกสิ่งทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิม ราวกับกำลังรอคอยให้เจ้าของของพวกมันกลับมา เขาลองกดเดินเครื่องซาวน์อะเบาท์ เทปคาสเซ็ทม้วนที่ใส่อยู่กระตุกนิดหนึ่งอย่างเกียจคร้านเพราะไม่ได้ใช้งานมานานก่อนจะหมุนเดินหน้าและส่งเสียงที่มันเคยจดจำไว้ออกมา และเขาจำได้ทันทีว่ามันเป็นบันทึกการเรียนการสอนบนหอผู้ป่วยที่มีการเชิญเคสที่น่าสนใจมาเป็นกรณีศึกษาด้วย ริมฝีปากกระตุกขึ้นน้อยๆ กับความทรงจำในวันนั้นก่อนที่เขาจะกดปิดและวางมันลงที่เดิม

“สิบเจ็ดปีผ่านไปทุกอย่างในบ้านนี้เปลี่ยนไปยกเว้นเพียงอย่างเดียว” ปรกฤษฎ์เอ่ยขึ้น
ปรเมษฐ์ละสายตาจากที่ทับกระดาษซึ่งเป็นลูกแก้วกลมบรรจุน้ำไว้ข้างใน เขาเพิ่งเขย่ามันเบาๆ ทำให้กากเพชรในน้ำนั้นฟุ้งขึ้นกระทบแสงไฟวิบวับก่อนจะค่อยโปรยปรายลงมาหาครอบครัวหมีสี่ตัวที่กำลังอ่านหนังสือกันอยู่แล้วหันมาสบตา “คือห้องนี้ใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่ห้องนี้โป้” คนเป็นพี่พูดเสียงนุ่ม “ที่ฉันพยายามจะบอกน่ะ คือความรู้สึกของพ่อและพวกเราทุกคนต่างหาก มันยังมีที่ให้แกกลับมาเสมอนะ ขอแค่แกเลือกจะกลับมา”

ปรเมษฐ์หันกลับไปมองครอบครัวหมีในลูกแก้วอีกครั้ง กากเพชรชิ้นสุดท้ายค่อยลอยลงจนสงบนิ่งเหมือนกับหัวใจของเขา น้องชายตวัดสายตากลับไปหาพี่ชายอีกครั้งแล้วรอยยิ้มๆ ก็ค่อยปรากฏขึ้นตรงมุมปากของทั้งคู่
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเอ่ยอะไรออกมา ใครคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหา

“แอบย่องออกจากงานวันเกิดฉันหนีมาทำอะไรที่นี่ฮึ เจ้าป๋อง” คุณบังเอิญถามลูกชายคนโต หน้าตาของเขาดูบึ้งตึงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“เห็นพ่อพูดเรื่องจะค้างไม่ค้าง ผมก็เลยพาเจ้าโป้มาดูห้องน่ะครับเผื่อจะเปลี่ยนใจ”

“นี่ห้องป๊าเหรอครับคุณปู่” เด็กหนุ่มเยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังคุณบังเอิญพร้อมกับสอดส่ายตาไปรอบๆ ห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนจะเดินมาหยุดยืนข้างเขาตรงโต๊ะหนังสือ ดูท่าทางเด็กหนุ่มจะสนใจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคที่ไม่คุ้นตามากทีเดียว “นี่อะไรน่ะป๊า”

ปรเมษฐ์หันไปยิ้มให้ลูกชาย เขาดึงซาวน์อะเบาท์ออกจากมือจอมซนแล้วจับมือนั้นไว้แทนก่อนจะหันกลับไปสบตาพ่อของตน “ขอโทษครับ”

“เรื่องอะไร” คุณบังเอิญถามเสียงห้วน

“นอฟ...” ปรเมษฐ์ยังไม่ทันจะพูดจบก็โดนแทรกขึ้นเสียก่อน

“ฉันจะโกรธเรื่องที่แกมีหลานที่แสนน่ารักแบบนี้ให้ฉันไปทำไม” คุณบังเอิญว่า “ฟังนะโป้ ที่ฉันโกรธแก ไม่ใช่เพราะแกไปทำใครท้อง ไม่ใช่เพราะแกมีลูกทั้งที่ยังไม่พร้อม ไม่ใช่เพราะแกดึงดันจะเลี้ยงเด็กคนนั้นเองทั้งที่ตัวเองยังต้องแบมือขอเงินฉันใช้... ที่ฉันโกรธคือทำไมแกถึงเลือกที่จะโกหกและหันหลังให้ฉัน ในเมื่อฉันคือพ่อแก คือคนแรกที่แกควรจะเข้ามาหาและขอความช่วยเหลือแท้ๆ”

“ผมกลัวพ่อรับไม่ได้” ปรเมษฐ์หมายถึงเรื่องที่โกหกว่านภธรณ์เป็นลูกตัวเอง

“รับไม่ได้กับไม่รักน่ะมันคนละเรื่องกันนะ” คุณบังเอิญพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่าเห็นได้ชัด ปากว่าโกรธมากแค่ไหนแต่สุดท้ายใจก็กลับอ่อนให้ง่ายๆ กับคำขอโทษแค่คำเดียว

“ขอโทษครับ” ปรเมษฐ์กล่าวซ้ำ

“เข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจก็วันนี้แหละครับ”

นภธรณ์เอียงคอมองป๊าสลับกับปู่ ไม่ค่อยเข้าใจในบทสนทนามากนักแต่สัมผัสของฝ่ามือที่กุมมือเขาไว้แน่นกับยิ้มเล็กๆ ที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งสองเขาก็รู้ว่าทุกอย่างกำลังคลี่คลายไปในทางที่ดี


***********

“ตกลงวันนี้ไม่ค้างจริงๆ เหรอ” คุณบังเอิญเดินออกมาส่งลูกชายคนเล็กกับหลานที่หน้าประตูบ้านซึ่งคนขับรถได้นำบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7 ของปรเมษฐ์ออกมาจอดติดเครื่องรอแล้ว

“ขอกลับบ้านดีกว่าครับ มีเรื่องต้องเคลียร์กับนอฟนิดหน่อย” ปรเมษฐ์พูดยิ้มๆ พร้อมกับหันไปโอบไหล่ลูกชายไว้ในวงแขนข้างหนึ่ง
คิ้วสีดอกเลาย่นเข้าหากันอึดใจก่อนจะคลายออก เพราะถึงจะตกลงรับเป็นปู่หลานกันเรียบร้อย แต่เด็กหนุ่มยังไม่ได้คุยกับพ่อตัวเองให้เป็นเรื่องเป็นราวเลยนี่นา เมื่อเข้าใจดังนั้นคุณบังเอิญจึงไม่เซ้าซี้อะไรอีก “ขับรถดีๆ นะ”

“แต่ผมสัญญาว่าจะมาหาบ่อยขึ้น แล้วพ่อเองก็เลิกแอบไปหานอฟแบบหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยนะครับ ขอแค่โทรบอกผมก่อนก็พอ แล้วจะพากันไปกินข้าวคุยกันที่ไหนก็ตามใจ จู่ๆ ลูกชายหายไปบางทีผมก็ตกใจนะครับ เกือบจะแจ้งตำรวจแล้วด้วย”

“ก็ได้” คุณบังเอิญรับปาก รู้สึกเสียหน้าเล็กๆ ที่ถูกจับได้ทั้งที่มั่นใจว่าแนบเนียนแท้ๆ และค่อนข้างมั่นใจว่าที่แผนรั่วต้องเป็นเพราะเจ้าลูกชายคนโตคอยแอบส่งข่าวบอกน้องชายแน่ๆ

“แฟนมีตหรือคอนเสิร์ตครั้งหน้า ถ้าหาบัตรไม่ได้บอกผมก็ได้นะครับผมจะจัดการให้”

“ไม่ต้องหรอก ของแบบนั้นฉันมีปัญญาหาเองแค่ไม่อยากเล่นเส้น แล้วฉันก็อยากช่วยอุดหนุนหลานมันเฉยๆ” คุณบังเอิญบอกอย่างไว้เชิง

“แต่บัตรของผมนี่เป็น VIP All Area นะครับ” ปรเมษฐ์ว่า

“แล้วยังไง”

“ก็หมายความว่านอกจากสิทธิพิเศษทั่วไปแล้วยังได้ดูรอบซ้อม ได้เข้าหลังเวทีแถมยังได้ไปงานเลี้ยงหลังคอนเสิร์ตเลิกอีกน่ะสิครับ”

ผู้สูงวัยมองลูกชายทางหางตาด้วยความหมั่นไส้ “ถ้าวันไหนแกงานยุ่งไปไม่ได้ก็ส่งมาละกัน ฉันจะช่วยไปแทนให้”

ปรเมษฐ์ยิ้มพราย “ผมกลับแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้”
แล้วรถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7 ก็ค่อยเคลื่อนตัวออกไป คุณบังเอิญที่ยืนรอส่งจนรถเก๋งสีดำพ้นประตูรั้วก็เอ่ยเบาๆ ขึ้นกับคนสนิท
“อธิบายมาหน่อยได้ไหมสุรชัยว่าทำไมแกถึงทำพลาดเรื่องที่ฉันให้ไปสืบประวัติผู้หญิงคนนั้น”

หัวหน้าพ่อบ้านค้อมศีรษะ “ขอประธานอภัยครับคุณท่าน แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองทำงานอะไรผิดพลาด”
ใบหน้าถมึงทึงยามไร้รอยยิ้มแต่งแต้มกระตุกเบาๆ “แค่รายงานไม่หมดสินะ”

พ่อบ้านใหญ่นิ่งไป ภาพตอนที่เขาเดินถือรายงานเข้าไปหาเจ้านายเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนวนกลับเข้ามาในความคิด

“คุณท่านครับ!”

ทารกที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของประมุขตระกูลไพศาลวานิชขยับตัวและส่งเสียงร้องเบาๆ คล้ายกับตกใจที่มีคนปลุก

“อย่างเสียงดังสิสุรชัยหลานฉันตกใจตื่นแล้วเนี่ย” คุณบังเอิญเอ็ดเบาๆ 

“ขอโทษครับที่ผมทำให้เด็กคนนี้ตื่น” สุรชัยรีบก้มศีรษะลงจนตั้งฉาก

“นอฟ”

“ครับคุณท่าน”

“หลานฉันชื่อนอฟ ไม่ใช่เด็กคนนี้” คุณบังเอิญบอกเรียบๆ “แล้วนี่แกมีอะไรจะคุยกับฉันถึงได้รีบร้อนมา”

ผู้ที่ติดตามรับใช้มานานนับสิบๆ ปี จ้องมองทารกไร้เดียงสาในอ้อมแขนก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองเจ้านายตนที่แทบไม่เหลือเค้าของจอมเผด็จการยามอยู่ต่อหน้าลูกน้อง ตอนนี้คุณบังเอิญไม่ใช่ประธานบริษัทแต่เป็นคุณปู่ธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เห่อหลานชายมากๆ เท่านั้น

สุรชัยกำเอกสารในมือแน่น สมองคิดไตร่ตรองรวดเร็วก่อนจะตัดสินใจเก็บมันให้พ้นไปจากสายตาตลอดกาล “ไม่มีอะไรครับคุณท่าน ผมแค่จะมาบอกว่าอีกสิบห้านาทีคุณโป้จะเลิกเรียน คุณท่านต้องการจะอยู่คุยกับคุณโป้ก่อนหรือจะกลับเลยครับ”


หัวหน้าพ่อบ้านค้อมศีรษะลงจนตั้งฉากอีกครั้ง “ผมแค่อยากเห็นรอยยิ้มของคุณท่านครับ”

คุณบังเอิญไม่ว่าอะไรเพียงแต่กลับหลังหันเดินเข้าบ้าน แสงสีนวลจากดวงจันทร์บนฟ้าส่องมากระทบเครื่องหน้าแลเห็นเส้นลากของรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก วันนี้เป็นวันเกิดที่ดีที่สุดในรอบสิบเจ็ดปีเลยทีเดียว


**************************************TBC***********************************

ขอโทษที่หายไปนานนะค้าาา~
อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว มาม่าหมดถ้วยแล้ว ที่เหลือจะเป็นของหวานอย่างเดียวแล้วค่ะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #199 เมื่อ29-12-2017 22:43:28 »

อยากจะกรีดร้องให้ดังไป  3 โลก  :m3: :m3: :m3:  ดีใจที่เขาไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ดีใจที่ป๊ารู้มาตลอด ดีใจที่นอฟกล้าที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกมา / นาทีนี้ ไม่สนแล้วว่าใครจะเป็นพ่อนอฟ บอกได้แค่ว่า ... ฟินมากกกกก :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
« ตอบ #199 เมื่อ: 29-12-2017 22:43:28 »





ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #200 เมื่อ30-12-2017 07:42:10 »

นอฟสารภาพรักกับป๊าแล้ว ^^

ออฟไลน์ W2P5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #201 เมื่อ30-12-2017 08:31:41 »

ทุกอย่างกำลังดีเลย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #202 เมื่อ30-12-2017 09:21:44 »

ปู่น่ารักมาก

รอกินของหวาน อิอิ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #203 เมื่อ30-12-2017 09:23:54 »

ฮือออ น้ำตาไหลเป็นระลอก ๆ จะแฮปปี้แล้วววว  :mew1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #204 เมื่อ30-12-2017 21:54:36 »

คุณปู่กับหมอโป้เข้าใจกันแล้ว เหลือแต่นอฟกับหมอโป้นี่แหล่ะว่าจะกลับไปเคลียร์กันยังไง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #205 เมื่อ31-12-2017 10:04:34 »

เป็นกำลังใจให้น้องนอฟเอาชนะใจคูมป๊าาา

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #206 เมื่อ01-01-2018 22:17:43 »

ตอนนี้เรื่องราวเดินว่องไวมาก เดินเรื่องแบบติดเครื่องเต็มสูบ ความลับ DNA. มรดก คลี่คลาย พ่อ(ปู่)ลูกโป้ คืนดีกันเเล้ว เจ้านอฟก็สารภาพความในใจ ตบเข่าฉาด นอฟลูกกกก หนูทำได้ ตอนนี้ป๊ากำลังช็อค นอฟใจเย็นๆนะลูก ป๊าเค้าแก่แล้ว หัวใจไม่ค่อยดี 5555

ออฟไลน์ Rungsai

  • ใครบอกว่ารุ้งมีเจ็ดสี :D
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #207 เมื่อ02-01-2018 01:38:12 »

งื้อ เราไปอยู่ไหนมาทำไมเราเพิ่งได้อ่านเรื่องนี้
มันดีมากอะ ดีมากจริง ๆ บอกว่าใกล้จบแล้ว
ยังไม่อยากให้จบเลย งื้ออออออ

 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #208 เมื่อ02-01-2018 09:48:14 »

เพราะรักคำเดียวเลย ดีจัง

ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #209 เมื่อ17-01-2018 01:44:13 »

อ่านตั้งแต่ตั้นจนถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าบาปมันหอมหวานขนาดไหน อ่านกลางๆตอนนี่ในใจมีแต่คำว่า บาปๆๆๆๆๆ เต็มไปหมด แต่เป็นบาปที่ดีต่อใจเหลือเกิน และดีใจที่ทุกอย่างกำลังแฮปปี้ เย่ๆๆๆ ชอบนิยายของคุณมากเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องนี้กับเท็กส์บุ๊ค  o13 รอเสพของหวานหลังจากนี้ดีกว่า ฮุฮุ :hao6: :hao6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2018 09:47:30 โดย vy0Cik »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด