#Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]  (อ่าน 77198 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #150 เมื่อ04-08-2017 21:02:20 »

รอนานเหลือเกิน

เอาใจช่วยพี่ยะจนจะหมดแรงแล้วเนี่ย มาเร้ว!

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #151 เมื่อ04-08-2017 23:29:58 »

สนุกมากเลยค่า อ่านรวดเดียวมาถึงตรงนี้ แอบคิดไปว่า นอฟกะพี่โป้ ไม่ใช่พ่อลูกทางสายเลือดจริงๆ

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #152 เมื่อ18-08-2017 19:16:00 »

สงสารนอฟ เมื่อไรแต่ละคนจะรู้ความจริงซักที

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #153 เมื่อ03-09-2017 23:24:29 »

Chapter 12

“นี่คุณล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย” ดุริยะมองพานบายศรีสู่ขวัญชุดใหญ่ซึ่งวางอยู่ตรงหน้า จะว่าเป็นมุกคนที่นำมันมาให้ถึงห้องบนคอนโดก็ดูจริงจังเกินกว่าจะทำแบบนั้น

“ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าต้องซื้ออะไรมา ให้ช่อดอกไม้หรือเงินก็กลัวว่าคุณจะเข้าใจเจตนาผมผิดอีก” ปรเมษฐ์ตอบเสียงเครียดพลางหันไปหาลูกชายแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่ง

นภธรณ์ยกมือขึ้นไหว้ “ขอโทษแล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อวานนะครับ” เขาพูดจากใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเขินเกินกว่าจะมองหน้าดุริยะตรงๆ ได้ สมองมันพาลจะคิดจินตนาการต่อเรื่องหลังบานประตูนั่น ทางโน้นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นตาแก่ตัณหากลับกินไม่เลือก ในขณะที่ทางนี้ก็เสือตัวพ่อ

ดุริยะหัวเราะชอบใจในขณะที่เห็นแก้มของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อขึ้นไปจนถึงหู ถึงปากจะบอกว่าตัวเองโตตามเกมผู้ใหญ่ทัน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ประสาอะไรสักอย่าง “ขนมาซะขนาดนี้แล้วไม่เตรียมสายสิญจน์มาผูกข้อไม้ข้อมือเรียกขวัญซะด้วยเลยล่ะ” เขาแกล้งแซ็ว

“ผมลืมเรื่องนั้นไปเลย” ปรเมษฐ์ว่า “แต่ผมมีน้ำมนต์ของหลวงพ่อจากคำชะโนดนะ อันนี้น่าจะดีกว่าคุณจะได้เอาไว้ใช้ผสมน้ำอาบล้างความซวยตั้งแต่หัวจรดเท้า”

นภธรณ์พยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับกุลีกุจอหยิบขวดน้ำมนต์ในกระเป๋าออกมาส่งให้

ดุริยะยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม “พอเลยพวกคุณ ทั้งพ่อทั้งลูกจะแกล้งให้ผมขำตายใช่ไหม... เอาเป็นว่าผมรับหมด ทั้งคำขอโทษและขอบคุณ แต่พานนี่กับน้ำมนต์ไม่เอานะแค่นี้ห้องผมก็รกจะแย่แล้ว คุณเอามันกลับไปด้วย แล้วผมขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน”

“คุณอยากได้อะ...” ปรเมษฐ์ยังถามไม่ทันจบดี ดุริยะกรีดยิ้มกว้างก่อนจะกางแขนออกแล้วดึงตัวลูกชายเขาเข้าไปกอด

“พี่ยะ!” นภธรณ์ร้องโวยวายพร้อมกับขืนตัวออกห่างด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายกดจูบหนักๆ ลงมาจนแก้มบุ๋ม

ได้หอมฟอดใหญ่ข้างขวามาครั้งหนึ่งกำลังจะอ้อมไปข้างซ้าย หูก็แว่วได้ยินเสียงกระแอมไอในลำคอเบาๆ ของคนเป็นพ่อ ดุริยะจึงยอมปล่อยตัวเด็กหนุ่มแต่โดยดีแม้จะแสนเสียดาย และไม่วายแอบหยอดไปเบาๆ “แหม~ แก้มเด็กนุ่มๆ นี่มันชื่นใจกว่าหนังตึงๆ เสริมโบท็อกซ์จริงๆ ด้วย”

นภธรณ์ถอยไปยืนแอบข้างป๊าพร้อมกับยกมือขึ้นถูแก้มไปด้วย อันที่จริงเขาจะไม่เขินขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะป๊ามองอยู่ ถ้าหากป๊าเกิดเข้าใจผิดว่าเขาชอบพี่ยะขึ้นมาจะทำไง ไม่ว่ายังไงเขาก็รักป๊าของเขาคนเดียวนะ

ดุริยะอมยิ้มกรุ้มกริ่มมองเด็กหนุ่มที่ถึงจะก้มหน้าซ่อนพวงแก้มที่แดงไปจนถึงหู แต่สายตากลับแอบมองไปยังคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เขาตวัดสายตาขึ้นสบตาปรเมษฐ์ที่จ้องเขม็งมาที่เขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าหนู เพลงเวอร์ชั่นเปียโนที่เราเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันเมื่อคืนน่ะ ฉันขอเทปบันทึกเขาเอามาลงคอมแล้วตัดเสียงรบกวนออกให้หมดแล้วเธออยากลองฟังดูไหม ไม่ใช่ไม่เลว แต่ฉันว่ามันเยี่ยมเลยล่ะ เอาลงยูทูปเผลอๆ ยอดวิวจะพุ่งแซงเวอร์ชั่นปกติอีก”

“อยู่ที่ไหนครับ” นภธรณ์ถามอย่างกระตือรือร้น

“ในห้องซ้อมน่ะ เปิดไว้หน้าคอมอยู่แล้ว” โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่บอกพร้อมกับชี้มือเป็นเชิงอนุญาต

นภธรณ์จึงเปิดประตูห้องซ้อมเข้าไปอย่างคุ้นเคย

ดุริยะเดินตามไปดูให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มใส่หูฟังเปิดเพลงเรียบร้อยก่อนจะดึงประตูปิดให้สนิทและหันมาสบตาปรเมษฐ์บอกเป็นนัยว่าทางสะดวกแล้ว พร้อมกับคว้าซองบุหรี่ขึ้นจะสูบด้วยความเคยชิน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบจึงทำท่าจะยัดลงกระเป๋า
ปรเมษฐ์เห็นจึงรีบบอก “ตามสบายเลยครับ ที่นี่บ้านคุณ แล้วดูท่าหลังจากนี้คุณมีเรื่องให้ต้องเครียดอีกเยอะ”

“นอกจากบายศรีกับน้ำมนต์แล้วผมยังมีเรื่องอะไรต้องเครียดอีกเหรอ” ดุริยะถาม

“ผมไปเช็กประวัติผู้ชายคนนั้นมาแล้ว” ปรเมษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วยังไง”

“คือ... ผมรู้ว่าคุณค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ถ้าคุณคิดว่าไม่สบายตรงไหนอะไรยังไง ตัวผมเองก็เป็นหมอสูติฯ นะ ถึงปกติจะตรวจแต่ผู้หญิงแต่ของผู้ชายผมก็พอมีความรู้อยู่บ้าง หรือถ้าคุณเขินผม ผมแนะนำผู้เชี่ยวชาญให้ได้นะ รวมทั้งเรื่องตรวจเลือดหาเชื้ออะไรพวกนี้ด้วย”

“คุณโป้!” ดุริยะเรียกเสียงดัง “นี่คุณคิดว่าผมไปทำอะไรมาเนี่ย!!”

“ก็...” ปรเมษฐ์เม้มปากพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นทำนองว่าเป็นเรื่องที่รู้ๆ กัน “ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่เว้ย!” ดุริยะโบกมือไปมาพร้อมกับจุดบุหรี่ตัวใหม่ ปรเมษฐ์พูดถูกเขามีเรื่องต้องเครียดจริงๆ... เรื่องที่สองพ่อลูกนี่คิดอะไรไปไกลนี่แหละ

“ก็เห็นคุณเชิญพวกผมเข้าห้องมาแล้วไม่ยอมนั่งสักทีผมก็คิดว่าเมื่อคืนคุณคงจะจัดกันหนักไปหน่อย”

“ผมจะนั่งตรงไหนล่ะในเมื่อไอ้พานอะไรของคุณเนี่ยมันวางขวางเต็มห้องแบบนี้” ดุริยะรีบแทรก

“ถ้าไม่ใช่แล้วตกลงเมื่อคืน...”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำอย่างที่คุณว่าแหละ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามันผ่านจุดนั้นมาแล้ว เมื่อคืนเลยนั่งกินเหล้ารำลึกความหลังกันเฉยๆ ” ดุริยะรีบเฉลยความจริง

“ว้า~” ปรเมษฐ์ถอนหายใจเสียงดัง “แล้วใครกันนะที่ทำเป็นเก๊กพูดซะดิบดีว่า... ‘งานสกปรกแบบนี้มันไม่เหมาะกับพระเอกอย่างคุณหรอก ไว้เป็นหน้าที่ของผู้ร้ายอย่างผมดีกว่า’”

“นี่ตกลงเราจะเข้าเรื่องได้หรือยัง”

“แค่ไม่อยากให้คุณเครียด” ปรเมษฐ์กล่าว

“งั้นคุณก็มาถูกทางแล้วล่ะ นี่ผมขำท้องจะแตกแล้ว ฮะ ฮะ” ดุริยะทำเป็นขำแห้งๆ ประชด

“ผมอยากคุยเรื่องวา”

“เรื่องที่เธอจะกลับมาเมื่อไหร่น่ะเหรอ” ดุริยะทวนความเข้าใจ “ขอโทษนะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

“แล้วคุณจะไม่เป็นไรใช่ไหม” ปรเมษฐ์เอ่ย

“ทำไมผมต้องเป็นอะไรด้วยล่ะ” ดุริยะถามกลับ

“ก็เพราะพวกคุณสองคนเคยคบกันมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ” ปรเมษฐ์บอก “คุณเป็นรักครั้งแรกที่เธอไม่เคยลืมและดูท่าทางคุณก็ยังไม่ลืมเธอเสียด้วย”

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่หันมองปรเมษฐ์เต็มตา ไม่ได้ตกใจที่โดนรู้ความจริงแต่ที่เขาตกใจเพราะคนตรงหน้ายังดูสงบและเยือกเย็นยิ่งกว่าเขาเสียอีก

OOOOOO

หลังจากฟังเพลงจบนภธรณ์ก็ถอดหูฟังออก ใบหน้าร้อนผ่านตอนนี้เพลงนี้ไม่ใช่เพลงธรรมดาหากมันเป็นการร้องตะโกนสารภาพรักต่อหน้าคนทั้งประเทศของเขา

เพราะยังไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับดุริยะบวกกับความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงทำเป็นโอ้เอ้นั่งมองอะไรไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเปียโนที่เคยวางอยู่ตรงมุมห้อง ซึ่งวันนี้มันไม่ได้ถูกผ้าคลุมไว้เหมือนอย่างเคย

เด็กหนุ่มลุกเดินไปดูใกล้ๆ บนหลังเปียโนมีสมุดวางอยู่เล่มหนึ่ง เขาแอบแง้มปกเปิดออกดูเล็กน้อย มันเป็นสมุดที่ดุริยะใช้แต่งเพลง มีหลายเพลงที่แต่งจบแล้วและถูกนำมาขับร้องโดยนักร้องหลายๆ คน และก็มีอีกหลายเพลงที่ยังแต่งไม่จบ

เขาพลิกมาหยุดที่หน้าหนึ่ง ชื่อเพลง ‘My melody’ ไม่ได้ดึงดูดอะไร แต่เป็นรูปถ่ายใบหนึ่งที่คั่นอยู่ในหน้านั้น

ดุริยะในวัยหนุ่มนั่งเล่นเปียโนซึ่งลักษณะเฉพาะของแบรนด์เครื่องดนตรีทำให้เขารู้ว่ามันเป็นหลังเดียวกันกับที่ตั้งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ และสิ่งที่สะดุดตาคือหญิงสาวที่ยืนร้องเพลงอยู่ด้านข้าง แม้จะเห็นหน้าเธอไม่ชัดเพราะตากล้องตั้งใจจับภาพคนเล่นเปียโน แต่เขาจำได้ทันที ใบหน้านั้นถึงจะเบลอจากแสงไฟ แต่ไม่ผิดแน่... นี่คือภาพจากงานเดียวกันกับที่พ่อของเขาพกไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอดมา และผู้หญิงคนนี้คือแม่ของเขาเอง

“พี่ยะรู้จักกับแม่ด้วยเหรอ”

เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอย่างสับสน จะออกไปถามตรงๆ ก็จะความแตกว่าเขาแอบดู แต่จะให้ทนซ่อนความสงสัยนี้ไว้ต่อไปได้อึดอัดตายแน่ๆ

...แต่ว่า... มันก็แค่ถามนี่นาว่ารู้จักแม่ของเขาไหม พี่ยะไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องปิดบังหรือโกหกนี่นาว่าไม่รู้จัก... นอกเสียจากว่า... มันจะมี ‘ความลับ’ อะไรที่ทำให้บอกความจริงเขาไม่ได้

นภธรณ์ถือสมุดแน่น ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะถาม ถ้าหากโอกาสจะมีแค่สักหนึ่งในล้านว่าป๊าจะไม่ใช่พ่อของเขาจริงๆ อย่างที่เคยคิดฝัน มันก็มีพล็อตละครหลังข่าวแบบนี้แหละที่พอจะทำให้ฝันเป็นจริงมากที่สุด และเขาต้องการจะรู้ความจริงนั่น

เขาเปิดประตูพรวดออกมา “พี่ยะครับผมมีเรื่องอยากถาม” เด็กหนุ่มโพล่งออกไปกลางวง

คนอายุมากกว่าสองคนที่ยืนหน้าเครียดคุยกันอยู่ออกตกใจไม่น้อยและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“มีอะไรเหรอ” ดุริยะถาม

“พี่ยะรู้จักแม่ผมด้วยเหรอครับ” นภธรณ์ยื่นสมุดจดเพลงกับรูปถ่ายไปตรงหน้า

โปรดิวเซอร์หนุ่มเหลือบตามองปรเมษฐ์เล็กน้อยก่อนจะถามกลับ “ทำไมเธอถึงถามแบบนั้น”

“คุณแพรวชมพูบอกว่าแม่เป็นนักร้องที่กำลังจะมีชื่อเสียง” นภธรณ์ค่อยๆ เล่า “แล้วผมก็เพิ่งเจอรูปนี่ในห้องพี่ยะ ผู้หญิงคนนี้คือแม่ผมแน่ๆ ถ้าได้ทำงานร่วมกันพี่ยะต้องจำได้สิ... ถ้าอย่างนั้น... การที่แม่ท้อง...”

“เธอกำลังจะบอกว่าฉันเป็นพ่อเธอเหรอ” จู่ๆ ดุริยะก็โพล่งออกไป

เด็กหนุ่มชะงักกึก “เดี๋ยวก่อน เปล่านะ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“แล้วคิดอะไร” ดุริยะว่า “ก็เธอจะบอกว่าแม่เธอท้องตอนทำเพลง แล้วฉันก็เป็นคนทำเพลงนั้นเอง... ฉันคนนี้ที่ขึ้นชื่อว่านอนกับนักร้องเกือบทุกคนที่ทำเพลงให้... มันจะแปลเป็นอะไรได้อีกล่ะ ถ้าเธอไม่คิดว่าฉันทำแม่เธอท้อง”

“ผมแค่สงสัยว่าพี่ยะน่าจะรู้จักแม่ต่างหาก...” นภธรณ์อึกอักพลางเหลือบมองผู้เป็นพ่อ เห็นแววตาที่เคยนิ่งสงบสั่นไหวแปลกๆ เขารักป๊า ถึงจะไม่ใช่รักในแบบที่ควรจะรัก แต่เขาก็ทำลายความรักที่ป๊าให้เขามาไม่ได้ “แบบว่า... เผื่อพี่ยะจะรู้ว่าแม่ไปไหน คือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอะไรแบบนี้”

“เสียดายจัง นึกว่าอยากเป็น” ดุริยะแสร้งถอนหายใจ “แต่ถ้าขืนเป็นจริงๆ ก็ทำอะไรๆ ไม่ได้สินะ”

“แล้วตกลงรู้จักไหมครับ” นภธรณ์ถามซ้ำ

“รู้จัก” ดุริยะยอมรับ “แต่ว่าแต่งเพลงให้เสร็จก็แยกย้าย และฉันเองก็ไม่ได้ข่าวแม่เธอมานานพอๆ กับเธอและพ่อนั่นแหละ”

“เหรอครับ” นภธรณ์รับคำ

“จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้” ดุริยะพูดต่อ “เราบังเอิญเจอกัน ได้นั่งคุยกันสั้นๆ แต่นั่นก็นานพอจะทำให้ฉันรู้ว่าเธอเป็นลูกเขา และนี่เป็นสาเหตุที่ฉันอยากทำเพลงให้เธอ ฉันเพิ่งคุยเรื่องนี้กับพ่อเธอเมื่อกี้นี้เอง”

“ครับ”

“นิสัยไม่ดีแอบดูของคนอื่น” ดุริยะเดินเข้าไปดีดหน้าผากเด็กหนุ่มเป็นการลงโทษ แต่เขาไม่ได้ดึงสมุดจดเพลงคืนมาและเปิดกลับไปที่หน้าซึ่งรูปถ่ายใบนั้นเคยถูกสอดไว้ “เพลงนี้ฉันแต่งให้แม่เธอ แต่เธอไม่เคยได้ร้องมัน”

“ก็พอจะเดาได้ว่าเพราะอะไร...” นภธรณ์ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ก็แม่พลาด...”

“มันไม่ใช่ความผิดพลาด” ดุริยะพูดแทรกเสียงดัง “ฉันเข้าใจนะที่เธอจะไม่ชอบหรือรักแม่น้อยไปหน่อยเพราะเขาทิ้งเธอไป ฉันไม่กล้าพูดด้วยว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่เท่าที่ฉันสัมผัสได้อย่างน้อยก็ตอนที่เธอเกิด มันคือ ‘ความรัก’ ไม่ใช่ ‘ความผิดพลาด’... เอ่อ หรือถ้าเธอถ้าเธอไม่เชื่อก็ลองถามพ่อเธอดูสิ”

เด็กหนุ่มหันไปมองพ่อ “แล้วทำไมพี่ยะต้องมาพูดแทนแม่ด้วยละครับ”

“ก็...” ดุริยะอึกอักไปเล็กน้อย “ฉันไม่ได้พูดแทนแม่เธอหรอก ฉันพูดในฐานะ... ฉันนี่แหละ ที่เห็นอะไรก็พูดแบบนั้น”

“ครับ” นภธรณ์รับคำทั้งที่ยังติดใจสงสัยว่าในคำบอกเล่าของดุริยะนั้นยังมีสิ่งอื่นแอบซ่อนอยู่อีก... เขารู้ว่าพี่ยะไม่ได้โกหกก็แค่พูดความจริงไม่หมด แล้วทำไมเขาจึงไม่พูดล่ะ เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่อย่างที่ป๊าชอบพูดอย่างนั้นเหรอ... ไหนจะท่าทีของทั้งสองคนตอนเขาเดินออกมาอีกแล้วตกลงเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไรกันล่ะ

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เจ้าของบ้านออกแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมากันเยอะแยะไปหมด เขาเดินไปเปิดประตู

ผู้ที่เพิ่งมาถึงแต่งกายด้วยสูทหรูผูกเนกไทด์สีดำสนิท กะอายุด้วยสายตาคงคิดว่าเพิ่งเข้าวัยกลางคน แต่อายุจริงนั้นเกือบถึงวัยเกษียณแล้ว

ชายคนนั้นค้อมศีรษะให้นภธรณ์ครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการ “สวัสดีครับคุณดุริยะ ผมสุรชัย หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลบารมีไพศาลวานิช ขอโทษที่มารบกวนโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้านะครับ”

“พี่ชัยมาทำอะไรที่นี่ครับ” นภธรณ์ร้องเสียงดังอย่างลืมตัวและรีบเดินเข้าไปหา

“สุรชัยเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ปู่ส่งมาคอยดูแลนอฟในวันที่ผมไม่ว่างน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “แต่ช่วง 4-5 ปีหลังนี่ไม่ค่อยได้มาแล้วเพราะนอฟโตพอจะอยู่คนเดียวได้แล้ว”

ได้ยินดังนั้นดุริยะจึงดึงประตูเปิดกว้างขึ้นเชิญให้เข้ามาแม้จะยังงงๆ ว่ามาทำอะไรที่บ้านตน

หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลบารมีไพศาลวานิชค้อมศีรษะขอบคุณและรีบกล่าวธุระของตน “คุณท่านให้ผมมาส่งบัตรเชิญให้คุณหนูครับ” บอกพร้อมกับหยิบซองสีแดงขึ้นมาส่งให้

“บัตรเชิญ?” นภธรณ์รับมางงๆ โดยยังไม่ได้เปิดดู “ไปร้องเพลงเหรอ? พี่ชัยต้องไปบอกพี่ตฤณนะ ผมไม่มีสิทธิ์รับงานเอง มันเป็นกฏของบริษัทน่ะ”

“ไม่ใช่ครับคุณหนู” สุรชัยรีบบอก “บัตรเชิญไปงานวันคล้ายวันเกิดปีที่70 ของคุณท่านครับ”

“วันเกิดปู่เหรอ” นภธรณ์ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหันไปหาพ่อของตน “ผมไปได้ไหมครับ”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณปรเมษฐ์ครับ” สุรชัยตัดบท “เพราะอีกนัยหนึ่งนี่คืองานประกาศตัวทายาทผู้รับมรดกและประธานบริษัทรุ่นต่อไป คุณปรเมษฐ์ซึ่งโดนตัดออกจากมรดกแล้วไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานนี้ แต่คุณหนูซึ่งเป็นหลานยังมีสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นทุกประการครับ”

“ทรัพย์สินที่ว่านั้นมันแค่ไหนกันเหรอ” ดุริยะถามอย่างสนอกสนใจ

“ไม่นับคุณนาย ผู้มีสิทธิ์ในมรดกนั้นได้แก่น้องชายคุณท่าน คุณปรกฤษฎ์ซึ่งเป็นลูกชายคนโต คุณหนูเล็กลูกสาวคุณปรกฤษฎ์ และคุณหนู ถ้าหารแบ่งเท่าๆ กันเฉพาะเงินสดก็คนละไม่เท่าไหร่หรอกครับ”

“ไม่เท่าไหร่นี่มันเท่าไหร่ล่ะ” ดุริยะถามต่อ “ล้านนึงหรือสองล้าน?”

“สิบล้านครับ” สุรชัยพูดต่อ “แต่นั่นยังไม่รวมเครื่องเพชรและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกนะครับ”

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่เหลือบตามองคน ‘โดนตัดออกจากกองมรดก’ ที่ยืนทำหน้าเครียดอยู่ข้างๆ

“ป๊าครับ” นภธรณ์เหลือบตามองขออนุญาตอีกครั้ง เขาไม่ได้สนใจมรดกอะไรนั่นแต่เขาอยากเจอปู่

“นอฟจะไปก็ต่อเมื่อมีฉันไปด้วย” ปรเมษฐ์ยื่นคำขาด

“คุณท่านคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” สุรชัยว่า “ตกลงตามนั้นครับ เพราะคุณหนูเองก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในฐานะผู้ปกครองคุณมีสิทธิ์นั้น แต่ขอได้โปรดจำไว้นะครับว่าคุณจะไปในฐานะผู้ติดตามเท่านั้น และนั่นเป็นไปตามข้อตกลงที่คุณให้ไว้กับคุณท่านเอง”

“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว” ปรเมษฐ์รับคำเสียงเข้ม

“ผมเพียงแต่กำชับตามคำสั่งของคุณท่านครับ” สุรชัยกล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะก่อนจะหันไปหาเจ้าของบ้าน “ขอโทษคุณดุริยะด้วยนะครับที่มารบกวน พอดีผมมีธุระกับคุณด้วยจึงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะรวบงานทั้งหมดไว้ในครั้งเดียว”

“ผม?” ดุริยะเลิกคิ้ว

สุรชัยหยิบซองสีขาวออกมาส่งให้ “คุณชาญณรงค์กับคุณท่านเป็นคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกันมายาวนาน นี่แทนคำขอบคุณที่ช่วยแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดเมื่อคืนครับ”

ดุริยะเปิดแง้มปากซองออกดูตัวเลขบนเช็คเงินสดที่มีเลขศูนย์เยอะจนตาเริ่มลาย “จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ถ้าผมไม่รับก็จะเสียน้ำใจสินะ ฝากขอบคุณท่านของคุณด้วยนะครับ” พูดจบก็ยัดซองเก็บใส่กระเป๋า

สุรชัยพยักหน้ารับ “ขอลานะครับ”

“ไว้เจอกันนะครับพี่ชัย” นภธรณ์ร้องบอกพร้อมกับโบกมือให้

สุรชัยพยักหน้ารับ “ครับคุณหนู”

“เอ่อ... ป๊าครับ ผมขอลงไปส่งพี่ชัยที่รถนะครับ” นภธรณ์ขออนุญาต แต่ยังไม่ทันที่ผู้เป็นพ่อจะตอบเขาก็วิ่งฉิวออกประตูไปแล้ว
ปรเมษฐ์ขยับจะเรียกแต่ก็ไม่ทันเจ้าตัวดีที่วิ่งหายเข้าไปในลิฟต์แล้วจึงได้แต่ถอนหายใจ

เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคนอีกครั้งดุริยะจึงพูดขึ้น “เล่าความจริงให้ผมฟังได้ไหม”

“อะไรครับ”

“คุณบอกว่ายินดีถ้าวาจะกลับมา แต่เท่าที่ผมสังเกตดูคุณจะไม่ได้อยากให้เธอกลับมาในความหมายของครอบครัวสักเท่าไหร่... มันเกี่ยวกับเรื่องมรดกอะไรนั่นไหม เพราะเท่าที่ตามข่าวบันเทิงธุรกิจมาภรรยาของพี่ชายคุณร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงและอายุมากแล้วคงมีลูกอีกคนไม่ได้ และถึงจะมีก็คงไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้ผู้ชาย สำหรับตระกูลคนจีนเก่าแก่แล้วคนที่มีสิทธิ์รับตำแหน่งประธานคงมีแค่เจ้าหนูนั่นคนเดียวสินะ”

ปรเมษฐ์หันไปสบตา “ผมไม่ได้ต้องการเงิน” เขาสรุปความความคิดให้ฟัง “แค่อยากทำให้อะไรๆ มันชัดเจนไปก็เท่านั้น จะได้ไม่ต้องมีใครมาตั้งคำถามอีกว่านอฟเป็นลูกผมจริงไหม”

“แล้วตกลงคุณต้องการอะไรจากเธอ”

“ทะเบียนสมรส”

“แค่นั้นเองเหรอ”ดุริยะถามย้ำ “คุณไม่ได้ยังรักเธออยู่หรอกเหรอ”

“ถามว่ารักไหมก็รักครับ” ปรเมษฐ์ตอบ “แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่สำคัญอีกแล้วนับตั้งแต่วันที่เธอเดินจากไป ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมต้องการจะทำคือปกป้องคนที่รักผม”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2017 23:28:38 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
«ตอบ #154 เมื่อ03-09-2017 23:27:59 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)
พอเข้ามาในลิฟต์สุรชัยก็ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา และยืนประสานมือไว้เบื้องหน้าอย่างสงบนิ่งตามอย่างมาตรฐานของพ่อบ้านใหญ่ประจำตระกูลบารมีไพศาลวานิช จนกระทั่งลิฟต์เปิดออกเขาก็เดินนำลิ่วๆ ออกไป

นภธรณ์วิ่งตามหากก็ยังไม่ทัน พวกเขาคลาดกันที่ตรงล็อบบี้เพราะมีสาวๆ กลุ่มใหญ่เดินสวนเข้ามาพอดี เด็กหนุ่มรอจนพวกเธอเดินผ่านไปจึงเดินออกไปด้านหน้าคอนโดที่ว่างเปล่า เขาเหลียวมองซ้ายขวาไปบนท้องถนนที่ไร้ผู้คนแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะกลับหลังหันเพื่อกลับขึ้นไปบนห้อง รถเบนซ์สีดำสนิทคันหนึ่งก็แล่นอย่างเงียบเชียบมาจอดที่ด้านหลัง ประตูรถเปิดออกก่อนที่มือคู่หนึ่งจะเอื้อมมาดึงตัวเด็กหนุ่มหายเข้าไปในรถแล้วก็ขับออกไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก นภธรณ์หันไปมองนอกหน้าต่างรถที่ภาพเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ แล้วหันมาผู้ที่นั่งอยู่บนเบาะในตอนหลังของรถ เขาเป็นชายร่างใหญ่หน้าตาดุดันในชุดสูท สองมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของผู้ผ่านโลกมามากกว่าครึ่งศตวรรษกุมอยู่บนหัวไม้เท้าสีนิลที่แกะสลักอย่างวิจิตรเป็นรูปหัวสิงโตคำราม

“จะพาผมไปไหนเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม

ชายสูงวัยไม่ตอบคำถามนั้น เขาเหลือบมองทางหางตาก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อและหยิบกระดาษใบหนึ่งยื่นมาตรงหน้า “ดูนี่ซะ”

นภธรณ์รับมาดู มันเป็นใบแจ้งหนี้ที่มีมูลค่ามากถึงครึ่งแสน “มันคืออะไรเหรอครับ”

“เห็นแบบนี้แล้วยังจะทำมาเป็นไขสืออีกเรอะ!” ชายสูงวัยร้องลั่นจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

“ผม... ผม...”

“ปู่อุตส่าห์เสียเงินเหมาอัลบั้มแกมาเป็นร้อยอัลบั้มแล้วยังไม่ได้เข้างานแฟนมีตครั้งก่อนหมายความยังไง ไหนบอกมาสิ! ไอ้คนที่ได้เข้านั่นมันทุ่มไปคนละกี่แผ่น ห๊ะ! หรือว่างานนั้นมันมีนอกมีใน มีบัตรสปอนเซอร์ บอกปู่มาเดี๋ยวนี้นะนอฟ”

“คุณปู่โชคไม่ดีเองมันก็แค่นั้นแหละ” นภธรณ์รีบบอก “บางคนซื้ออัลบั้มเดียวยังได้เลย”

“ชิส์!” ผู้นำตระกูลบารมีไพศาลวานิชคนปัจจุบันย่นปากพร้อมกับหันหน้าหนี

“ไม่เอาไม่งอนน่าคุณปู่เดี๋ยวตีนกาถามหานะครับ” นภธรณ์รีบเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ และยกมือขึ้นบีบนวดลงบนท่อนแขนให้อารมณ์ดี

“ไม่ต้องมาพูดเลย” คุณบังเอิญทำเป็นเชิดใส่ทั้งที่แอบเอียงไหล่ให้เด็กหนุ่มบีบนวดขึ้นมาถึงแนวบ่าได้อย่างถนัดถนี่

“แล้วผมต้องทำยังไงคุณปู่ถึงจะหายงอนละครับ”

“ปู่ซื้อตั้งร้อยแผ่นนะ ปู่ควรจะได้เซลฟี่ ลายเซ็นหรือไฮทัชก็ยังดี”

“เอาไว้คราวหน้าคุณปู่ซื้อสักพันแผ่นสิ ผมการันตีว่าได้เข้างานแน่ๆ”

คนฟังตาโต “ตกลงพันแผ่นได้เข้าใช่ไหม โอเค ได้ยินแล้วนะสุรชัย วันหลังนายไปกว้านซื้อมาตามนี้เลยนะ”

“ครับคุณท่าน” คนขับรถสบตาเจ้านายผ่านกระจกมองหลังและพยักหน้าขึงขัง เห็นดังนั้นนภธรณ์จึงรีบพูดต่อก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่

“ผมล้อเล่นน่า อย่างคุณปู่ต่อให้ไม่ซื้อผมก็ให้กอดครับ ส่วนลายเซ็นจะเอาสักกี่อันก็ได้ อ้อ! ผมมีอะไรจะให้คุณปู่ด้วยนะ” รีบเปิดกระเป๋าเป้และหยิบเอาของสิ่งหนึ่งส่งให้

ชายสูงวัยเหล่ตามองอัลบั้มในมือทำเป็นเก๊กขรึมทั้งที่อยากรีบรับมาใจจะขาด “ไม่เอาหรอก ปู่มีตั้งร้อยแผ่นแล้ว”

“แต่อันนี้พิเศษนะครับเพราะว่าเป็นก๊อปปี้ที่สอง ผมตั้งใจเก็บไว้ในคุณปู่โดยเฉพาะเลยนะ นี่ไง ผมเซ็นชื่อไว้ตรงนี้ ดูสิครับคุณปู่ นี่ไงๆ ผมตั้งใจเซ็นมากเลยนะมีชื่อคุณปู่เขียนไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ”

“แล้วก๊อปปี้แรกล่ะ” ปู่แกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“อันนั้นเป็นของป๊าครับ” นถธรณ์บอก “ตกลงคุณปู่ไม่เอาใช่ไหมผมจะได้เก็บ...”

“เอาสิ” ชายสูงวัยรีบคว้ามาถือไว้ในมือ และทั้งที่ปากบอกว่าไม่สนใจแต่กลับเอาไปลูบๆ คลำๆ ตรงที่เขียนว่า ‘ปู่เอิญของผม’ อย่างแสนรัก “น่ารักจริงๆ หลานฉัน”

“เดี๋ยวคุณปู่ให้พี่ชัยวนไปส่งผมได้แล้วครับ หายตัวมานานๆ ป๊าจะเป็นห่วง แล้วคุณคุณปู่ก็เลิกได้แล้วนะครับไอ้มุกดักฉุดแบบนี้น่ะ ใช้มาตั้งแต่สมัยผมอยู่อนุบาลไม่เบื่อบ้างเหรอครับ” นภธรณ์ขำ

“ขอโทษทีปู่ก็ลืมไปว่าตอนนี้แกดังแล้ว เกิดมีคนเข้าใจผิดแล้วเป็นข่าวขึ้นมามันจะยุ่งสินะ”

“นั่นก็ใช่ครับ แต่ผมกลัวความแตกเรื่องแอบมาหาคุณปู่มากกว่า ถ้าหากโดนป๊าจับได้ขึ้นมาผมโดนป๊าไล่ออกจากบ้านแน่”

“ก็ดีสิ แกก็มาอยู่กับปู่ไง บ้านปู่หลังใหญ่กว่าห้องพักเก่าๆ นั่นอีกนะ แถมยังมีสระว่ายน้ำกับหมาอีกสองตัวด้วย”

“งั้นป๊าก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิครับ”

“แล้วปู่ล่ะ แกไม่ห่วงปู่เหรอ”

“คุณปู่ยังมีคุณย่าครับ มีปู่น้อย ลุงป๋อง คุณป้าแล้วก็น้องเล็ก อ้อ! หมาอีกสองตัวด้วย แต่ป๊าไม่มีใครนอกจากผมนะ”

“แกนี่รักโป้จริงๆ เลยนะ” คุณบังเอิญย้อนด้วยความหมั่นไส้

“นอกจากป๊า คุณปู่ผมก็รักนะครับ”

“ได้ยินที่หลานฉันพูดไหมสุรชัย หลานฉันบอกว่ารักฉันด้วยล่ะ”

“ครับคุณท่าน” สุรชัยตอบรับผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะเลี้ยวรถมาจอดหน้าคอนโดของดุริยะอีกครั้ง

“ผมไปนะครับ” นภธรณ์ยกมือไหว้ก่อนจะชะโงกตัวเข้าไปกอดครั้งหนึ่งแล้วผลัดกันหอมแก้มคนละทีตามธรรมเนียมของบ้านก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

“วันเกิดปู่จะส่งชุดใหม่มาให้นะอยากได้คลาวินไคล์ อาร์มานี่ เวอร์ซาเช่หรืออะไรก็ว่ามาปู่จะได้โทรไปสั่งช่าง” คุณบังเอิญลดกระจกลงมาถาม

“แล้วแต่คุณปู่เลยครับ ผมชอบทุกอย่างที่คุณปู่ซื้อให้น่ะแหละ”

“งั้นเอาไปยี่ห้อละชุด แล้วแกก็ไปเลือกเองละกันนะว่าจะใส่ชุดไหนมา” คุณบังเอิญกดกระจกขึ้นแล้วรถก็ค่อยเคลื่อนตัวออกไป

นภธรณ์มองตามจนสุดสายตา มันไม่ยุติธรรมจริงๆ ที่คุณปู่รักเขาแต่เลือกที่จะโกรธป๊าทั้งที่ความจริงเขาเองก็เป็นสาเหตุด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถ้ามันจะมีหนทางไหนที่จะทำให้คุณปู่กับป๊าคืนดีกันได้เขาก็อยากจะทำ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ย้อนกลับไปตรงจุดที่ตัวเองสวดมนต์ภาวนาเช้าเย็นว่าขอให้ไม่ใช่ลูกชายของป๊าจริงๆ เผื่อว่าความรักต้องห้ามนี้จะมีโอกาสเป็นไปได้บ้าง หรือจริงๆ แล้วเขาควรตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีในเมื่อป๊าเสียสละมามากมายเพื่อเขา แล้วเขาจะดิ้นรนทำลายสิ่งที่ป๊าลงทุนทำมาทำไม
เด็กหนุ่มหันหลังกลับด้วยสีหน้าที่สลดลงเล็กน้อย

“หายไปไหนมา”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังขึ้น นภธรณ์เหลียวมองไปยังผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหา พลันริมฝีปากก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เครื่องหน้าของเจ้าของเสียงนั้นแทบจะพันมารวมกันตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด

“รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วง”

“ผมไปเข้าเข้าห้องน้ำมา... อ๊ะ! ป๊า... อย่า...” นภธรณ์เสียงสั่นเมื่อมือใหญ่เอื้อมบิดหูเขาแรงๆ เป็นการลงโทษ เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นดิ้นรนขัดขืนในขณะที่แอบเอียงหน้าให้อีกฝ่ายจับติ่งหูขยี้ได้ถนัดๆ

...ขอโทษนะครับคุณปู่ ป๊าด้วย แต่ผมเปลี่ยนใจแล้วเพราะผมคงตัดใจจากป๊าไม่ได้จริงๆ นั่นแหละและบางทีให้คุณปู่เกลียดป๊าแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ฉวยโอกาสนี้เป็นคนเดียวที่ได้อยู่เคียงข้างป๊าต่อไปเรื่อยๆ ยังไงล่ะ

“ท้องเสียหรือไงถึงได้เข้านานจัง” ปรเมษฐ์ถามพร้อมกับดึงมือกลับ

นภธรณ์ยกมือขึ้นจับใบหูที่แดงไปถึงไหนต่อไหน เขาไม่ได้เจ็บแค่กำลังเพลินและแอบเซ็งเล็กน้อยที่ป๊าปล่อยมือเร็วไปหน่อย “เปล่าครับ แค่เผลอไถทวิตเช็กเรตติ้งเพลินไปหน่อย”

“แล้วดีไหมล่ะ”

“ก็ใช้ได้ครับ... แล้วนี่ป๊าคุยกับพี่ยะเสร็จแล้วเหรอ ผมยังไม่ได้ลาเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันพูดแทนให้แล้ว”

ทั้งสองเดินกลับมาขึ้นรถและขับออกไป ในขณะที่รถกำลังแล่นไปเรื่อยๆ ปรเมษฐ์ก็เอ่ยขึ้น

“นอฟ ฉันมีเรื่องอยากถามแกหน่อย”

“อะไรเหรอป๊า” นภธรณ์หันไปถาม

“ถ้าหากว่าแม่กลับมาหาเราแกจะดีใจไหม”

ทันทีที่ได้ยินเรื่องของผู้หญิงคนนั้น หน้าที่ยิ้มอยู่ก็ตูมลงทันที “แล้วป๊าคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“ฉันถามแกอยู่นะ”

“ผมยังไงก็ได้ครับ ถ้าป๊ามีความสุขผมโอเคทั้งนั้นแหละ” นภธรณ์ตอบ

“แล้วถ้าแม่เขาอยากพาแกไปอยู่ด้วยล่ะ”

นภธรณ์ขยับหันมาทั้งตัวเพื่อมองหน้าผู้เป็นพ่อให้ชัดๆ “แค่ผม?”

ปรเมษฐ์พยักหน้า “แม่เขาคิดถึงแก เขาอยากพาแกไปอยู่ด้วย”

“ถ้าผมไปแล้วป๊าจะไม่คิดถึงผมเหรอ” นภธรณ์ถามกลับ “ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ครับ ขอแค่มีป๊าอยู่ด้วย” พูดจบก็หันหน้าหนีมองออกไปหน้าต่าง

“นอฟ” ปรเมษฐ์เรียก “ตกลงแกจะอยู่กับฉันใช่ไหม”

“ครับ”

“ไม่เปลี่ยนใจนะ”

“นอกเสียจากว่าป๊าจะไม่อยากให้ผมอยู่ด้วยแล้ว” นภธรณ์บอกก่อนจะไม่พูดไม่จาอะไรอีก

“งอนหรือไง” ปรเมษฐ์ถาม

“ครับ เพราะผมคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วซะอีก”

“ไม่เอาไม่งอนน่า ฉันแค่ถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเอง” ปรเมษฐ์บอก “ง้อแล้วเนี่ย จะให้ทำยังไงถึงจะหายงอนไหนบอกมาสิ”
ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อยหันหน้ามาหา “จูบหน่อย”

“รอให้ถึงบ้านก่อนนะ”

“ไม่เอา ผมจะเอาตอนนี้” นภธรณ์ยื่นคำขาด

ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูก “กล้าต่อรองด้วยเหรอ”

“แล้วทำไมผมถึงจะต้องไม่กล้าด้วยล่ะครับ”

คนเป็นพ่อหัวเราะหึในลำคอ “ก็เพราะใครบางคนเพิ่งจะแอบไปหาปู่มาโดยคิดว่าฉันจะไม่รู้น่ะสิ”

เด็กหนุ่มหน้าเหวอทันที “ป๊ารู้ได้ไง”

“ถามว่ารู้มานานแค่ไหนแล้วดีกว่า” ปรเมษฐ์ย้อนถาม “มีเรื่องอะไรของแกบ้างที่ฉันไม่รู้ หืมมม เจ้าเด็กดื้อ ”

“มีสิครับ” นภธรณ์เถียงกลับทันควัน

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่อง...” เด็กหนุ่มพูดไม่ออก จะให้เขาตอบออกไปได้ยังไงว่าคือ ‘เรื่องที่เขารักป๊า’

“เรื่องอะไร” ปรเมษฐ์ถามย้ำ

“เรื่องที่ผม...” นภธรณ์กัดริมฝีปากจนเจ็บแต่จนแล้วจนรอด เขาก็สารภาพออกไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะกลัวความผิดหวัง เขายอมรับได้กับการอกหัก แต่เขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเสียรอยยิ้มกับสายตาที่มองมาด้วยความอาทรนี้ไป

“ตอบไม่ได้สินะ” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ “มีเรื่องปกปิดกันแบบนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่าลูกชายรักป๊าคนนี้จริงๆ หรือเปล่าน้า หรือว่าแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว”

“จะเชื่อได้ยังไง พอฉันเผลอก็แอบไปหาปู่แล้วเมื่อกี้ก็ยังจะไปทึกทักว่าคนอื่นเป็นพ่ออีก”

“ผมเปล่าสักหน่อย พี่ยะต่างหากที่ทึกทักไปเอง ยังไงพ่อของผมก็มีป๊าแค่คนเดียวนะ”

“จริงเหรอ” ปรเมษฐ์ยังไม่เลิกกระเซ้า

“จริงสิครับ”

“ถ้างั้นก็บอกรักให้ฟังหน่อยสิ”

“ผม...” เด็กหนุ่มขยับปากเป็นปลาทองขาดน้ำ ทำไมจู่ๆ ป๊าถึงได้อยากฟังอะไรเอาตอนนี้นะ

รถจอดติดไฟแดงพอดี ปรเมษฐ์จึงหันหน้ามาถามเสียงอ่อย “นอฟไม่รักป๊าแล้วเหรอครับ” ซ้ำยังเปลี่ยนไปใช้สรรพนามเดิมที่เรียกแทนตัวตั้งแต่สมัยเขาเป็นเด็ก

ใจที่บอบบางอยู่แล้วยิ่งสั่นไหว เด็กหนุ่มใช้สองกำหัวเข่าตัวเองแน่น “มะ... ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”

“งั้นบอกรักให้ป๊าชื่นใจหน่อยสิครับ” ปรเมษฐ์ยังไม่เลิกอ้อนทั้งยังชะโงกตัวข้ามเบาะเข้ามาใกล้ “นะครับคนเก่งของป๊า”

“ผม...” นภธรณ์เม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตามองจ้องคนตรงหน้าราวกับโดนสะกดนิ่งในขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกที “ผม... รัก...”

แล้วคำพูดก็ถูกหยุดไว้แค่นั้นเมื่อรถตู้คันหลังที่ขับมาด้วยความเร็วเกิดเบรกไม่ทันและชนเข้าที่ท้ายรถของพวกเขาเข้าอย่างจัง

โครมมมม!


******************************************TBC**********************************************

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #155 เมื่อ04-09-2017 00:21:42 »

ตัดจบได้ค้างมากค่าาาา  :ling3:

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #156 เมื่อ04-09-2017 02:37:04 »

โอ้โหห คนแต่งกลับมาทีเอาซะไปไม่เป็นนเลยย  :katai1:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #157 เมื่อ04-09-2017 08:17:34 »

เดี๋ยวววววววววววววววววว โหหหหหหหหหหห คือตัดจบได้สะดุ้งมากค่ะ !!

โดยปกติ นิยายของคุณ leGGyDan ก็ไม่เห็นมีเรื่องไหน? มีปมเรื่องราวแบบธรรมดาๆอยู่แล้ว ยิ่งทิ้งช่วงให้เราคิดถึงนานขนาดนี้ บอกเลยว่าใจไม่ใหญ่พอจะเดาทางเนื้อเรื่องเลยจริงๆ ขอตามอ่านและให้กำลังใจแบบเจียมเนี้อเจียมตัวไปละกันนะคะ  :mew6:  ภาษาของคุณ leGGyDan สวยจริงๆ ชอบมากเลยอ่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #158 เมื่อ04-09-2017 08:24:41 »

 :katai1: ค้างไปอีก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #159 เมื่อ04-09-2017 09:52:23 »

จะเป็นไรไหมเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
« ตอบ #159 เมื่อ: 04-09-2017 09:52:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #160 เมื่อ04-09-2017 15:31:11 »

ค้างระดับสิบ  :ling1:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #161 เมื่อ04-09-2017 16:30:31 »

ม๊ายยยยยย  ค้างคาาาาา
แต่ไม่เป็นอะไรหรอกใช่ไหมคะ  :mew2:

แต่ว่าชอบคุณปู่จัง วัยรุ่นซะด้วย คุณปู่น่ารัก

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #162 เมื่อ04-09-2017 17:52:28 »

เย้ยยยย รถชน!!!

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #163 เมื่อ04-09-2017 18:41:14 »

อารายยยยย  จะมาตัดฉับแบบนี้ไม่ได้นะ
เค้ากำลังจะบอกรักกัน จะมามีรถชนอย่างเง้ได้งายยยยย
ค้างงงงงงงง

ออฟไลน์ QmanBaaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #164 เมื่อ12-09-2017 18:30:08 »

คุณเลกกี้ ม่ายยยยยยยยย
นอกจากเป็นห่วงทุกคนแล้ว
ยังตื่นเต้นกับเหตุการณ์หลังจากนี้มากค่ะ
ความแตก ดีเอ็นเอ น้องนอฟมีเฮ หรือคุณปู่จะเป็นลมไหม
โฮๆ :a5:

ออฟไลน์ abbaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #165 เมื่อ16-09-2017 11:10:44 »

ตัดจบใจรายมากค่า :hao5:

ออฟไลน์ nutipkra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #166 เมื่อ16-09-2017 15:55:43 »

 :ling2: จะบอกยังไงละ ถ้า สมมุติว่า แม่นอฟ ท้องกับคนอื่น พอคลิดแล้วทิ้งไว้ เพื่อไปตามความฝัน ที่เห็นแก่ตัว แล้วป๊ามาเจอเด็กน้อยที่น่ารักดั่งเทวดาก็ตกหลุมรัก ปิ๊งๆๆ 5555555 หน้าตานอฟกับป๊า ไม่เหมือนกันนี้เนาะ หรือว่า นายยะจะเป็นพระเอกน่า พระเอกชอบร้าย 55 รอลุ่นค่ะ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #167 เมื่อ15-10-2017 13:09:36 »

Chapter 13

ทันทีที่ทราบข่าวอุบัติเหตุของเพื่อนรักกับลูกชาย เอกรงค์ก็รีบกระหืดกระหอบมาด้วยความเป็นห่วง เขายืนหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปถามหาเอากับใคร ก็เห็นร่างสูงของเพื่อนเดินออกมาจากประตูห้องฉุกเฉินโดยมีคุณพยาบาลช่วยพยุงออกมาด้วย

เอกรงค์รีบเดินเข้าไปหา ก้มศีรษะขอบคุณพยาบาลและเข้ามาประคองเสียเอง “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

ปรเมษฐ์ออกแปลกใจนิดหน่อยที่เจอเพื่อนรักที่นี่ “แค่ได้แผลมานิดหน่อยกับกระดูกข้อมือขวาร้าวน่ะต้องใส่เฝือกอาทิตย์หนึ่งที่เหลือปกติดี” เขาบอกอาการพลางชี้ให้ดูผ้าก๊อซที่พันอยู่ตรงแขนกับมือซ้ายที่โดนกระจกบาดและมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย

เอกรงค์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แล้วนี่นายมาได้ยังไง” ปรเมษฐ์ถาม

“นอฟโทรบอกน่ะสิ” เอกรงค์บอก

“แล้วตอนนี้เจ้าคนโทรบอกอยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็เพิ่งมาถึงนี่แหละยังไม่เจอใครเลย แต่นอฟมันไม่ได้เป็นอะไรนี่นา ตอนโทรหาฉันเห็นบอกแบบนั้น”

ปรเมษฐ์รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาด้วยความร้อนใจ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าลูกชายปลอดภัยดีจนกระทั่งแยกกันที่หน้าห้องฉุกเฉินเพราะเขาต้องไปทำแผลและตรวจอาการบาดเจ็บโดยละเอียด

ยังไม่ทันจะมีคนกดรับสาย ปรเมษฐ์ก็เห็นคนที่โทรหาปรากฏตัวขึ้นที่สุดทางเดิน สองมือถือถุงใบใหญ่กับหอบหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรัง

“ป๊า!” นภธรณ์ส่งเสียงเรียกด้วยความดีใจพร้อมกับเร่งฝีเท้าเข้ามาหา

“หายไปไหนมาเนี่ย” มีความดุอยู่กลายๆ ในน้ำเสียงของคนเป็นพ่อด้วยความเป็นห่วงที่จู่ๆ ลูกชายก็หายตัวไป “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปไหนไกล”

“ผมไปรับยาให้ป๊ามา” นภธรณ์โชว์ของในมือ “คนที่ชนเราเขาต้องไปทำธุระต่อ เขาให้นามบัตรไว้กับเจ้าหน้าที่ประกันของเรา แล้วผมก็ขอไว้อีกใบหนึ่งเก็บใส่กระเป๋าไว้ให้ป๊านะครับเผื่อป๊าต้องคุยอะไรกับเขาอีก” เด็กหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวระหว่างที่พ่อของตนหายเข้าไปในห้องฉุกเฉิน “คุณตำรวจที่มาฝากบอกว่าถ้าป๊าทำแผลเสร็จก็ไปติดต่อที่สถานีด้วยนะครับเขาจะได้ออกเอกสารแจ้งความให้ เขาว่าต้องไปใช้เบิกพรบ.”

“แล้วนี่แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เอกรงค์ถามไถ่อาการ

“ผมไม่เป็นอะไรครับ” นภธรณ์บอก “แล้วป๊าล่ะหมอว่าไงบ้าง”

“แค่กระดูกข้อมือขวาร้าวนิดหน่อยน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันยังไม่ตายสักหน่อย แผลแค่นี้ไกลหัวใจตั้งเยอะน่า” เขารีบเสริมเมื่อเห็นสายตาของเด็กหนุ่มที่มองเฝือกด้วยความเป็นห่วง

“แล้วนี่หมอให้ป๊าลางานกี่วัน”

“อาทิตย์นึง” คนเป็นพ่อบอก

“แค่อาทิตย์เดียวจะหายเหรอป๊าทำไมไม่ขอลาสักเดือนนึงล่ะ” นภธรณ์ว่า

“แกจะให้ลามาเป็นเจ้าที่เจ้าทางเฝ้าบ้านหรือไงตั้งเดือนนึง”

“อ้าว ก็เห็นป๊าอายุเยอะแล้วกระดูกมันจะติดง่ายๆ เหรอ”

“มันแค่ร้าวเว้ย ไม่ได้หัก” พูดจบปรเมษฐ์ก็ดีดมะกอกเข้ากลางแสกหน้าเด็กหนุ่มอวดศักยภาพนิ้วมือที่ยังคงแข็งแรงดี

“โอ๊ย! มันเจ็บนะป๊า” นภธรณ์คลำหัวป้อยก่อนจะหันไปหาเอกรงค์ “แล้วนี่พ่อโมจอดรถไว้ไหนครับ”

“อยู่ที่อาคารจอดรถไง” เอกรงค์บอก “ถามทำไมเหรอ”

“ก็ป๊าแขนเจ็บขับรถไม่ไหว ของก็ตั้งเยอะตั้งแยะ ผมก็จะให้พ่อโมขับรถไปส่งผมกะป๊าที่บ้านไงไม่งั้นผมจะโทรตามพ่อโมมาทำไมล่ะครับ”

“แหม~ ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้านอฟ ฉันไม่ใช่สารถีของเจ้าคุณปู่แกนะเว้ย งานฉันก็ต้องทำ” เอกรงค์แกล้งทำเป็นโวยวาย

“แล้วตกลงพ่อโมจะไปส่งไหม ถ้าไปไม่ได้ผมจะได้โทรเรียกแท๊กซี่”

“แน่ะ! พูดแค่นี้ทำงอน ไม่ต้องเรียกแท็กซี่หรอกเดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

“พูดถึงปู่” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้น “แกรู้ใช่ไหมนอฟ ว่าอย่าให้เรื่องนี้ถึงหูปู่แกเด็ดขาด ไม่งั้นเรื่องไม่จบง่ายๆ แน่ๆ”

“มันเป็นอุบัติเหตุครับ ปู่ไม่ว่าอะไรป๊าหรอกน่า”

“แต่ถ้าคุณโป้มีความระมัดระวังมากกว่านี้ อุบัติเหตุก็อาจจะไม่เกิดนะครับ” สุรชัยเดินเข้ามาแทรกกลางวง หน้าที่ของเขาคือติดตามดูความเรียบร้อยของทุกคนในบ้าน และตั้งแต่ปฏิบัติหน้าที่นี้มาตั้งแต่วัยรุ่นจนใกล้เกษียณก็ยังไม่เคยมีครั้งใดที่ทำงานขาดตกบกพร่อง “คุณคงไม่ลืมข้อตกลงใช่ไหมครับ ว่าถ้าหากวันใดที่คุณดูแลคุณหนูไม่ดี คุณท่านจะขอรับคุณหนูไปดูแลเอง เพราะคุณหนูเป็นคนสำคัญของตระกูลของเรา”

“ไม่เอาน่าพี่ชัย ผมบอกแล้วว่ามันเป็นอุบัติเหตุ รถคันหลังเขามือใหม่เลยเหยียบเบรคพลาดไปโดนคันเร่งเอง ไม่เกี่ยวกับป๊าสักหน่อย” นภธรณ์รีบพูดพร้อมกับเดินเข้าไปเกาะแขนข้างหนึ่ง “พี่ชัยอย่าบอกเรื่องนี้กับปู่นะครับ”

“ผมมีหน้าที่นำเรียน ส่วนเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปก็สุดแล้วแต่คุณท่านจะสั่งการครับ” สุรชัยกล่าวพร้อมกับดึงแขนกลับอย่างสุภาพ ก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าหยิบพลาสเตอร์ปิดแผลสีชมพูออกมาแผ่นหนึ่งแล้วติดลงบนหลังมือเด็กหนุ่มตรงที่มีรอยถลอกจางๆ จนแม้แต่เจ้าตัวยังไม่สนใจ “เวลาร้องเพลงออกทีวีน่ะ กล้องชอบซูมมือครับ”

เด็กหนุ่มไม่ตอบได้แต่ส่งยิ้มบางให้พี่เลี้ยงขี้บ่นที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่ใช่แค่พลาสเตอร์สีชมพูหรอกนะแต่เขามีพกไว้ทุกสีที่คนในบ้านชอบ

“เรื่องรถผมจะช่วยเคลียร์กับประกันให้” สุรชัยพูดต่อ

“ไม่เป็นไรครับเรื่องนั้นผมจัดการเอง” ปรเมษฐ์รีบค้าน

“ให้ผมเป็นคนดูแลจะสะดวกกว่าครับเพราะรถคันนั้นเป็นชื่อคุณท่าน และผมคิดว่าคุณโป้มีเรื่องอื่นที่ต้องขบคิดมากกว่านั้น”

“เรื่องคนที่ขับรถมาชนหรือเปล่า” ปรเมษฐ์พูดต่อให้ราวกับจะเดาใจถูก

“ครับ” สุรชัยพยักหน้าพร้อมกับขอตัวกลับ “ฝากดูแลคุณหนูด้วยนะครับคุณเอกรงค์”

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” เอกรงค์ตอบรับ เขาเคยเจอสุรชัยหลายครั้งแล้วตั้งแต่สมัยยังเข้านอกออกในบ้านปรเมษฐ์ได้

“แผลลูกแมวข่วนแค่นี้ไม่เห็นต้องโอ๋กันเลย” ปรเมษฐ์พูดด้วยความหมั่นไส้

“แต่ข่วนแรงจนกระดูกร้าวเลยนะ” เอกรงค์พูดยิ้มๆ โดยไม่ขยายความอะไรอีก เสี้ยวนาทีที่สบตาพ่อบ้านตระกูลไพศาลวานิชไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่า คำเรียก ‘คุณหนู’ นั้นหมายถึงเพื่อนรักของเขามากกว่าจะเป็นลูกชาย

เอกรงค์ปล่อยให้ปรเมษฐ์ยืนหน้าตึงอยู่แบบนั้นและออกเดินนำไปยังรถของตน ก่อนจะหันมาพยักหน้าเรียกสองพ่อลูกให้ตามมาด้วยกัน

“แล้วเรื่องคนขับรถนั่นหมายความว่าไง” เอกรงค์กระซิบถามเพื่อให้ได้ยินกันสองคนหลังจากที่เดินคู่กันมาได้สักพัก

ปรเมษฐ์เหลือบตามองลูกชายที่เดินตามมาข้างหลังให้แน่ใจว่าจะไม่ได้ยินพร้อมทั้งหยิบนามบัตรคู่กรณีขึ้นมาส่งให้เอกรงค์ดู “ในนี้บอกว่าเป็นพนักงานของบริษัท Thai MED.”

เอกรงค์กรอกตาครุ่นคิดอยู่อึดใจ เขาพอตามข่าวธุรกิจอยู่บ้างเพื่อไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนสำหรับลดหย่อนภาษี “ใช่บริษัทลูกของที่พ่อนายยกให้พี่ชายนายดูแลอยู่ตอนนี้ไหม ได้ข่าวว่าผลกำไรไม่ค่อยดี เหมือนจะติดตัวแดงอยู่พอสมควร แล้วมันมีอะไรเกี่ยวข้องกันจนถึงขั้นต้องเป็นห่วงเหรอ”

“วันนี้สุรชัยมาส่งบัตรเชิญนอฟไปงานวันเกิดและวันประกาศตัวผู้รับทายาทของปู่” ปรเมษฐ์เล่าต่อ

เอกรงค์พยักหน้าเข้าใจเรื่องราวในทันที “การที่จู่ๆ พนักงานของบริษัทพี่แกที่กำลังไปได้ไม่สวยจะมาจอดติดไฟแดงท้ายรถแก แล้วดันเหยียบเบรคผิดเป็นคันเร่งมาชนในวันที่พ่อบ้านใหญ่ประจำตระกูลมาส่งบัตรเชิญไปงานประกาศตัวผู้รับมรดกร้อยล้าน… ดูเป็นเรื่องบังเอิญจนน่ากลัวเลยนะ แล้วแกจะเอายังไง”

“พี่ป๋องไม่ใช่คนแบบนั้น” ปรเมษฐ์บอกอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง

เอกรงค์มองหน้าเพื่อน เขาเข้าใจความรู้สึกเพื่อนดี และตัวเองก็ได้เจอหน้าปรกฤษณ์พี่ชายของปรเมษฐ์อยู่หลายครั้ง พี่ชายผู้อบอุ่นใจดี เป็นทาสหมาแถมยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการจัดการเกี่ยวกับนภธรณ์หลายๆ เรื่อง เริ่มตั้งแต่การแนะนำและลากปรเมษฐ์ที่ประกาศว่าจะเลี้ยงลูกเอง แต่ยังไม่เข้าใจถึงความยากลำบากอะไรสักอย่างไปจดทะเบียนรับรองบุตร ซื้อหนังสือวิธีการเลี้ยงลูกส่งไปรณีย์มากองไว้หน้าบ้านเป็นลังๆ จนถึงช่วยเลือกโรงเรียนอนุบาล ตอนนภธรณ์ป่วยนอนโรงพยาบาลที่ท้องเสียเขาก็ไปเยี่ยม ดูยังไงก็ไม่น่าใช่คนที่จะมาวางแผนอะไรแบบนี้... หรือนี่แหละที่เรียกว่าใจดีแล้ว คือแค่ขู่ให้กลัวจะได้ไม่มายุ่ง เพราะพูดถึงเงินเป็นล้านก็ไม่เข้าใครออกใครยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบาก จะว่าไปตอนปรเมษฐ์เคยเล่าว่าตอนเขายืนยันกับครอบครัวว่าจะมาเรียนหมอพี่ชายก็ไม่ได้ห้ามแถมยังส่งเสริมอีกต่างหาก... และนั่นคือความใจดีหรือแค่แผนการที่ไม่อยากให้ใครมาแย่งสมบัติ? โดยเฉพาะครอบครัวคนจีนเก่าแก่ที่คงจะให้ค่าของลูกชายคนโตเป็นสำคัญแบบแสนลำเอียง แล้วตอนนี้ตำแหน่งหลานชายคนโตและคนเดียวของบ้านก็คือนภธรณ์เสียด้วยสิ

“ฉันเคยปฏิเสธพ่อไปแล้ว แต่นายก็เคยเจอพ่อฉัน บางเรื่องเราก็ทำได้แค่พูด แต่เขาไม่รับฟัง” ปรเมษฐ์บอก

“ฉันรู้ว่านายจะจัดการมันได้” เอกรงค์ให้กำลังใจ “ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่ป๋องทำจริงหรือเปล่า ฉันไม่กล้าพูดด้วยว่าฉันเชื่อใจเขาเหมือนที่นายเชื่อใจเพราะฉันไม่ได้รู้จักเขาดีเหมือนนาย แต่ฉันเชื่อว่านายจะผ่านมันไปได้” เขาพยักเพยิดไปทางเด็กหนุ่มที่เดินตามมาข้างหลัง “นอฟคือเครื่องพิสูจน์ ที่เป็นทั้งอุปสรรคและรางวัลของนายไม่ใช่เหรอ

ปรเมษฐ์ตวัดสายตาตามไปและก็บังเอิญสบตากับลูกชายพอดี เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ตัวกำลังโดนพูดถึงทำหน้าทะเล้นส่งยิ้มมาให้ เขาไม่ยิ้มตอบเพียงแต่พ่นลมออกจมูกและหันกลับมา เขาไม่ได้พูดตอบอะไรเพราะคนที่เดินตามมานั้นคือคำตอบของทุกอย่างแบบที่เพื่อนรักว่าจริงๆ

“และถ้าเรื่องราวมันจะเลวร้ายถึงขนาดนั้นจริงๆ” เอกรงค์พูดต่อ “ในเมื่อนายกล้าจะก้าวออกจากบ้านมาได้แล้วครั้งหนึ่ง ฉันคิดว่าการทำอีกครั้งมันคงไม่ยากไปกว่าเดิมเท่าไหร่ แล้วครั้งนี้นายก็ไม่ได้ออกมาคนเดียวด้วยแต่ยังมีนอฟอีกคน ส่วนฉันขอยืนรออยู่หน้าประตูนะ... ก็อยากจะไปรับข้างในเหมือนกัน แต่นายก็รู้ว่าเจ้าเซบาสเตียนกับเพื่อนๆ ของมันโคตรดุเลยแล้วพวกมันก็เกลียดขี้หน้าฉันสุดๆ ด้วย” เขาพูดติดตลกตอนท้ายถึงสุนัขพันธุ์บางแก้วที่ปรกฤษณ์เคยเลี้ยงไว้

ปรเมษฐ์ยิ้มตอบ “ขอบใจนะ”

OOOOOO

“ระวังอย่าให้เฝือกโดนน้ำนะ เวลาจะอาบน้ำก็ใช้พลาสติกคลุมไว้” เอกรงค์ช่วยถือของเดินไปส่งสองพ่อลูกที่ห้อง ปากก็ย้ำเรื่องการดูแลข้อมือข้างที่เจ็บไปด้วย “เฝือกมันจะชื้น ขึ้นรา แล้วก็ทำให้ผิวหนังข้างในเปื่อยติดเชื้อได้”

“รู้แล้วน่าฉันเองก็เป็นหมอนะเว้ย” ปรเมษฐ์ว่า

“ฉันบอกนอฟ ไม่ได้บอกแก เพราะเดี๋ยวแกต้องรั้นทำอะไรไม่เข้าเรื่องแน่ๆ ยิ่งเป็นพวกไม่ค่อยชอบอยู่เฉยๆ อีก เขาให้หยุดพักก็พักไปไม่ต้องดิ้นรนหางานมาทำ” เอกรงค์หันไปเถียง “เข้าใจไหมนอฟ อย่าให้พ่อแกทำอะไรมากล่ะเดี๋ยวกระดูกจะติดแบบเบี้ยวๆ เวลาอาบน้ำถ้าดูแล้วลำบากแกก็เช็ดตัวให้พ่อแกไปก่อนก็ได้ เวลานอนก็ให้เอาผ้ารองยกแขนให้สูงกว่าระดับหัวใจไว้จะได้ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดี”

นภธรณ์พยักหน้ารับอย่ากระตือรือร้น พยายามจดจำทุกอย่างไว้ในหัว “แล้วแบบนี้จับช้อนได้ไหมครับ ผมต้องช่วยป้อนข้าวป้อนน้ำป๊าหรือเปล่า”

“ถ้าได้ก็ดี”

“พวกแกสองคนใจเย็นนะ ฉันแค่กระดูกข้อมือร้าวไม่ได้เป็นง่อย หรือเป็นอัมพาตจะได้ต้องให้คนเช็ดตัวป้อนข้าวป้อนน้ำ” ปรเมษฐ์รีบแก้ความเข้าใจลูกชายใหม่ “จริงๆ ไปทำงานยังไหวเลยก็แค่ไม่ต้อง...”

“นั่นไงล่ะนอฟ ฉันพูดขาดคำที่ไหนเห็นไหม” เอกรงค์หันไปส่ายหน้าอย่างระอากับลูกชายเพื่อนสนิท “ส่วนเรื่องไปรับส่งนอฟที่โรงเรียนกับที่ทำงานก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะเดี๋ยวฉันจัดการเอง จริงๆ เรื่องนี้ฉันก็ทำมาตั้งนานแล้ว แกอยู่บ้านไปเฉยๆ น่ะแหละ”

“ฉันไม่เถียงล่ะ เอาที่พวกแกสองคนสบายใจเลย…”
   
แล้วการถกเถียงของทั้งสามคนก็ถูกยุติไว้แต่เพียงเท่านั้นเมื่อปรเมษฐ์เปิดประตูห้องเข้าไปพบว่าภายในห้องถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย

“เกิดอะไรขึ้น! มีโจรขึ้นบ้านเหรอ” นภธรณ์ร้องเสียงดัง กำลังจะเดินเข้าไปข้างในก็โดนคนเป็นพ่อดึงไหล่ไว้ให้มาหลบข้างหลัง

“ฉันโทรแจ้งตำรวจให้นะ” เอกรงค์บอกเสียงเครียด

ปรเมษฐ์พยักหน้า “เดี๋ยวฉันขอตรวจดูก่อนว่ามีของอะไรหายไปบ้าง ช่วงนี้ดวงตกหรือไงวะเนี่ยถึงได้มีแต่เรื่องเข้ามาติดๆ กัน”

“เดี๋ยวผมช่วยนะป๊า” นภธรณ์รีบเสนอตัว

“ไม่ต้องเลย” ปรเมษฐ์รีบบอก “มันอันตราย แกอยู่เฉยๆ กับโมตรงนี้แหละ เดี๋ยวแกไปจับโดนอะไรทำที่เกิดเหตุเปลี่ยนอีก ให้ฉันดูเองคนเดียวดีกว่า”

นภธรณ์พยักหน้ารับคำ แต่พอปรเมษฐ์คล้อยหลังก็ทำท่าจะเดินไปดูอีกห้องจึงโดนเอกรงค์ดุด้วยสายตาและคว้าตัวมายืนข้างๆ
ผ่านไปราวสิบนาทีปรเมษฐ์ก็เดินกลับออกมา

“เป็นไง มีอะไรหายบ้าง” เอกรงค์ถาม

“ไม่มีนะ” ปรเมษฐ์ส่ายหน้าหลังจากเดินดูจนทั่ว “เครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรก็อยู่ครบ พวกสมุดบัญชีฉันเก็บไว้กับตัว ของมีค่าอย่างอื่นฉันก็ฝากไว้ในเซฟที่ธนาคาร”

“จะขนพวกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ ออกไปก็จะเด่นเกินไป เพราะแบบนี้หรือเปล่าโจรมันเลยหงุดหงิดเล่นซะเละเพราะไม่ได้อะไรติดมือกลับไป” เอกรงค์ออกความเห็น

ยังไม่ทันที่ปรเมษฐ์จะสรุปอะไรเพราะไม่คิดว่าจะมีโจรกระจอกที่ไหนลงทุนงัดเข้าห้องในคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองที่มีกล้องวงจรปิดและยามเฝ้ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วยอมกลับไปมือเปล่า เขาก็สังเกตเห็นว่าลูกชายตัวดีหายไป “นี่นอฟไปไหนเนี่ย”

เอกรงค์หันควับไปรอบตัว “อ้าว เมื่อกี้ยังยืนอยู่ข้างๆ ฉันเลย เผลอแป๊บเอง ลูกแกนี่ไวเป็นลิงจริงๆ”

“นอฟ! อยู่ไหน” ปรเมษฐ์ตะโกนเรียก

“ป๊า!”

เสียงเด็กหนุ่มเรียกอย่างร้อนรนดังออกมาจากห้องนอน ผู้ใหญ่สองคนมองหน้ากันแล้ววิ่งเข้าไปทันที

ปรเมษฐ์พุ่งผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไป “มีอะไร!”

ตามมาติดๆ ด้วยเอกรงค์ที่เกือบสะดุดโคมไฟตั้งพื้นล้มหน้าทิ่ม “เกิดอะไรขึ้น?”

เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่ถูกรื้อกระจุย เขาหันมาหาทั้งสองด้วยใบหน้าตื่นตระหนก และนั่นยิ่งทำให้คนเป็นพ่อกับเพื่อนพ่อตกใจไปด้วย

“มันหายไปอะ” นภธรณ์พูดตาแดงๆ

“อะไรหาย!?”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
«ตอบ #168 เมื่อ15-10-2017 13:14:16 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“กางเกงในหาย!”

“อย่าเสียงดังสิพี่ตฤณไหนว่าไม่อยากเป็นข่าวไง” นภธรณ์จุ๊ปากให้ผู้จัดการส่วนตัวเบาเสียงลงด้วยเกรงว่าเสียงจะดังออกไปนอกห้องซ้อมจนคนอื่นๆ ในบริษัทได้ยิน ทีแรกเขาก็คิดว่าจะไม่บอกใคร แต่ปรเมษฐ์คิดว่าเล่าให้ฟังไว้ก็ดีเผื่อว่าจะได้ช่วยระวังเป็นหูเป็นตาเวลามาทำงานเพราะดูแล้วโจรคนนี้มีพฤติกรรมแปลกๆ

หลังจากตำรวจเข้ามาตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าของที่หายไปมีแค่นั้นจริงๆ ปรเมษฐ์จึงไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรมากแค่ลงบันทึกประจำวัน กับแจ้งนิติกรของคอนโดเพื่อจัดการเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้นเมื่อพบว่ากล้องวงปิดตัวที่น่าจะเห็นหน้าคนร้ายชัดดันเสียไปซะเฉยๆ ตัวอื่นๆ ก็เห็นแค่ว่าเป็นคนใส่ฮู้ดสีดำสวมแว่นกันแดดและไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

“โทษทีๆ ฉันตกใจมากไปหน่อย” ตฤณรีบบอก

“แล้วหายไปกี่ตัวล่ะ” ท่านประธานแดเนียลถามต่อ

“หมดทุกตัวเลยครับ” นภธรณ์ว่า

“อ้าว แล้วตอนนี้ใส่อะไรมาล่ะ หรือว่าไม่ได้ใส่” ดุริยะได้ทีรีบลุกจากเก้าอี้เข้ามาชะโงกดูใกล้ๆ

“ใส่สิครับ” นภธรณ์รีบดึงขอบกางเกงไว้แน่น “หมอโมพาออกไปซื้อมาใหม่เมื่อวาน”

“โจรคนนี้แปลกๆ นะบุกขึ้นคอนโดเพื่อขโมยแต่กางเกงใน” ปรเมษฐ์พูดเสียงเครียด

“ผมว่าไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย” ดุริยะว่า

“แปลกสิครับ ก็ถ้าเป็นพวกโรตจิตจริงทำไมเอาแต่ของนอฟไปล่ะ ไม่เห็นเอาของผมไปด้วย”

“เอาของคุณไปด้วยสิครับถึงแปลก” ดุริยะหัวเราะคิกคักในลำคอ “แต่ถ้าคุณโป้เสียดายที่โจรมันไม่เอาไป เอามาให้ผมก็ได้นะเดี๋ยวผมจะช่วยรับไว้เอง”

“ผมไม่ตลกด้วยนะครับ” ปรเมษฐ์พูดด้วยเสียงที่เข้มขึ้นกว่าเดิม

“ขอโทษที ผมแค่ไม่อยากให้ทุกคนเครียดมากน่ะ” ดุริยะว่าก่อนจะกระแอมครั้งหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “คือ... ยังไงดี มันก็ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแหละ แต่มันก็เกิดขึ้นบ่อยๆ กับคนในวงการบันเทิง คือผมคิดว่าอาจเป็นพวกสตอล์กเกอร์ธรรมดาๆ น่ะ”

“สตอล์กเกอร์?” ปรเมษฐ์ทวนคำ

“พวกคลั่งไคล้ศิลปินอะไรมากๆ จนถึงขั้นเฝ้าตามติดทุกฝีก้าวแบบนี้น่ะครับ” ตฤณช่วยอธิบายเพิ่ม “ดารานักร้องดังๆ ก็เคยโดนกันมาหลายคนแล้ว มีทั้งขโมยของใช้ส่วนตัว กับของที่ใช้แล้วอย่างกระดาษทิชชูช้อนส้อมหรือขวดน้ำที่กินเหลือไว้ เรื่องขโมยชุดชั้นในนี่ถือว่าเบาๆ เลยนะครับ เคยมีพระเอกหนังคนหนึ่งเคยได้รับจดหมายรักเขียนด้วยเลือดด้วย ประมาณว่าจะเล่นของให้หันมาชอบหรืออะไรแบบนั้นน่ะครับ”

“แล้วคุณเคยโดนไหม?” ปรเมษฐ์หันไปถามดุริยะ

โปรดิวเซอร์ใหญ่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่อึดใจ “ถ้าเป็นขโมยกางเกงในนี่ผมไม่เคยโดนนะ ส่วนใหญ่ที่หายนี่เพราะไปลืมไว้ที่ไหนก็ไม่รู้มากกว่า”

“หมู่นี้นายเห็นใครแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนรอบๆ ตัวนอฟบ้างหรือเปล่า” แดเนียลหันไปถามผู้จัดการส่วนตัวของเด็กหนุ่ม

“ถ้าเป็นคนแปลกหน้าไม่มีนะครับ” ตฤณตอบตามตรงถึงจะดูเป็นคนไม่ค่อยได้เรื่องแต่ก็เป็นคนที่วางใจได้มากทีเดียว “มีแต่คนที่เราคุ้นเคยกันดีนี่แหละที่มาให้เห็นบ่อยๆ”

“ใครเหรอ” แดเนียลถามต่อ

“กรรณไงครับ” ตฤณบอก “ขอโทษครับที่ไม่ได้รายงาน เพราะหมอนั่นก็มาวนเวียนหาข่าวฉาวๆ เป็นปกติอยู่แล้ว ก่อนจะหายไปช่วงหนึ่งตอนที่คุณโป้หมายหัวไปกลางงานแถลงข่าววันนั้นแล้วโผล่มาให้เห็นอีกครั้งวันก่อนที่หน้าโรงแรมหลังงานเลี้ยงน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้มายุ่งอะไรกับนอฟนะเหมือนมาหาข่าวทั่วๆ ไป แฟนคลับส่วนใหญ่ที่ตามนอฟผมก็รู้จักดี บ้านแฟนคลับใหญ่ๆ นี่ผมส่องเป็นประจำก็ไม่เคยเห็นปล่อยข่าวหรือภาพอะไรแปลกๆ ขนาดนอฟไปออกงานวันก่อนเผลอหลับในรถเสื้อยับยังช่วยรีดผ้าด้วยโฟโต้ชอปให้เลย ถ้ามีคนไม่น่าไว้ใจปะปนเข้ามาพวกเขาน่าจะบอกให้ผมรู้บ้าง แต่ยังไงผมจะลองไปแอบถามๆ ดูอีกทีนะครับจะได้ช่วยฝากให้เป็นหูเป็นตาให้เราได้อีกแรง”

แดเนียลพยักหน้า “ฉันฝากด้วยนะ”

“นี่เจ้าหนู” อยู่ดีๆ ดุริยะก็ถามขึ้นมา

“อะไรครับ”

“ยังไงช่วงนี้เธอมานอนกับฉันไหม” ดุริยะเสนอ “เพราะห้องนั้นดูไม่ปลอดภัยสำหรับเธอแล้ว มันอาจจจะย้อนกลับมาขโมยอะไรอีกก็ได้ บางทีพวกนี้มันก็ไม่ได้อยากได้แต่ของนะ พรหมจรรย์มันก็อยากได้ ป๊าเธอก็ต้องไปทำงานไม่ได้อยู่ห้องทุกวันนี่ แล้วถ้ามันมาดักรอล่ะ เธอจะทำยังไง”

“ตอนนี้อยู่ทุกวันแล้วครับ” ปรเมษฐ์รีบบอกพลางยกมือขวาให้ดู “อย่างน้อยก็อีกเจ็ดวัน… ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงลูกของผม”

“ก็เพราะเป็นลูกคุณน่ะสิครับผมถึงเป็นห่วง” ดุริยะพูดยิ้มๆ “นี่ผมว่าคุณซื้อพวกอุปกรณ์ป้องกันตัวอะไรให้เจ้าหนูมันติดตัวไว้บ้างก็ดีนะ ตอนผมอยู่อเมริกาเห็นพวกแม่ๆ ให้ลูกพกกันทุกคนเลย”

“พวกนกหวีดอะไรแบบนี้น่ะเหรอครับ”

“เอาไว้เป่าชวนโจรมันออกกำลังกายเหรอครับ แหม~” ดุริยะว่า “อันนั้นก็ดีครับแต่ผมว่าเป่าให้ตายคนไทยก็ยังไม่สนใจหรอก เราไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพวกนี้ถึงแม้เราจะสนใจเรื่องชาวบ้านเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ที่ผมพูดน่ะหมายถึงพวกมีด สเปรย์พริกไทย ที่ช๊อตไฟฟ้าอะไรแบบนี้มากกว่า”

“เห็นปกติเล่นๆ แต่วันนี้คุณก็พูดดูเป็นการเป็นงานเป็นเหมือนกันนะครับเนี่ย” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “ผมจะเอาไปพิจารณาครับ สเปรย์พริกไทยนั่นน่าสนใจอยู่ แต่มีดกับที่ช๊อตไฟฟ้าคงขอผ่าน เพราะนอกจากนอฟจะใช้ไม่เป็นแล้วผมกลัวว่าจะซุ่มซ่ามให้โจรแย่งมาทำร้ายตัวเองได้มากกว่า และก็คงพกไปโรงเรียนไม่ได้ด้วย”

ดุริยะพยักหน้าตามก่อนจะพูดต่อ “ดูช่วงนี้ดวงคุณกับลูกตกๆ นะคุณโป้ อะไรกันโดนรถชนแล้วยังโจรขึ้นบ้านอีก ถ้ายังไงเอาน้ำมนต์ที่ให้ผมมาวันก่อนไปอาบล้างความซวยก่อนไหม นี่ผมลองแล้วนะ แค่หยดไปสองฝา ร้อนวูบวาบดีจัง รู้สึกจิตใจผ่องใสเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หรือคุณจะลองมาอาบด้วยกันที่บ้านผมก็ได้นะ อ่างจากุซซี่ที่บ้านผมใหญ่ สองคนลงพร้อมกันก็ยังมีที่ว่างให้ขยับตัวทำอะไรต่อมิอะไรได้สบายๆ เลย”

ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูก “ขอถอนคำพูดที่ชมไปเมื่อสักครู่คืนนะครับ”

“อะไรกันแซ็วแค่นี้ทำเป็นถอนหายใจเฮือกๆ เดี๋ยวก็แก่ไวหรอกคุณ” ดุริยะยังไม่ยอมเลิก

“คุณก็เลิกแหย่ผมสักทีสิครับ” ปรเมษฐ์กล่าวด้วยท่าทีอ่อนอกอ่อนใจเต็มที

“ไม่เอาหรอก ผมชอบสีหน้าเวลาคุณลำบากใจมันตลกดี” โปรดิวเซอร์ใหญ่อมอิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาใกล้ๆ ให้อีกฝ่ายต้องขยับตัวหนี

“เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ พวกคุณก็ดูสนิทกันขึ้นมาล่ะ” แดเนียลเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “หรือว่าที่หายไปด้วยกันหลังงานเลี้ยงวันก่อนมีอะไรดีๆ เหรอครับ”

คนโดนแซ็วสองคนมองหน้ากัน แดเนียลกับตฤณไม่รู้เรื่องที่นภธรณ์โดนแพรวชมพูหลอกไปให้สปอนเซอร์ และพวกเขาก็คิดตรงกันว่าทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องรู้

“ไม่มีอะไรนี่ครับ” ปรเมษฐ์รีบบอก

“แค่คนบางคนเหล้าเข้าปากก็พูดจ้อไม่หยุดน่ะครับ” ดุริยะได้ทีรีบโม้ ทำเอาคนโดนใส่ความหันมามองจ้องเขม็ง

“ผมไม่ได้…”

“คนเมาที่ไหนก็พูดว่าตัวเองไม่ได้เมาทั้งนั้นแหละ หรือน้องโป้ว่าไงครับ” ดุริยะขยิบตาใส่อย่างเป็นต่อก่อนจะหันไปหัวเราะกับคนอื่นๆ

ยกเว้นคนเดียวที่ไม่มีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย นภธรณ์มองดุริยะที่ส่งสายตาแปลกๆ ให้ปรเมษฐ์และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นอกจากป๊าจะไม่ตีหน้ายักษ์ใส่แล้วยังทำเหมือนยอมๆ กันไป และเขาคิดว่ามันคงไม่ได้มีแค่เรื่องของเขา… ตอนที่เขาไปคุยกับแพรวชมพู ดุริยะกับป๊าก็แอบไปคุยกันสองต่อสองงั้นเหรอ แล้วสองคนนี้มีเรื่องอะไรให้คุยกัน แล้วมันเรื่องสำคัญแค่ไหนที่ทำให้ปรเมษฐ์ยอมเงียบไม่โต้ตอบคำโกหกของดุริยะได้

“เอาเป็นว่าคุณโป้ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตอนอยู่บริษัทกับตอนไปทำงานผมจะให้ตฤณคอยตรวจสอบคนที่จะเข้าใกล้นอฟให้มากขึ้น” แดเนียลสรุปอีกครั้ง “เหลือแค่ที่บ้าน ถ้าหากคุณรู้สึกไม่สบายใจจะย้ายที่อยู่ก็บอกผมได้นะครับ เผื่อจะได้ช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้”

ได้ฟังดังนั้นปรเมษฐ์ก็ค่อยสบายใจขึ้น “ขอบคุณมากครับ”

OOOOOO

“ป๊าคิดว่าโจรที่ขึ้นบ้านเราจะเป็นพวกสตอล์กเกอร์อย่างที่พี่ยะพูดจริงๆ หรือเปล่าครับ” นภธรณ์ถามพลางช่วยป๊าถอดเสื้อและสวมปลอกพลาสติกคลุมแขนด้านขวาตามที่เอกรงค์สอนมาเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ

“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยเจอโจรขึ้นบ้านนี่แหละ ยิ่งพวกสตอล์กเกอร์อะไรนี่เพิ่งเคยได้ยิน แต่ที่แน่ๆ แกก็ระวังตัวให้ดีๆ ล่ะ ที่บ้านยังงัดเข้ามาได้ ที่อื่นฉันยิ่งกลัวเลย เขาว่าเลี้ยงลูกตอนเล็กน่ะเลี้ยงยากมีเรื่องให้ห่วงสารพัด ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าโตมาแล้วจะยิ่งมีเรื่องให้ห่วงมากกว่าเดิมอีก เขาว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน นี่นึกว่ามีลูกชายจะสบาย ที่ไหนได้โจรยังย่องมาแอบขี้ถึงในบ้านอีก”

“ผมไม่ใช่ส้วมนะป๊า” นภธรณ์เริ่มโอดครวญเล็กๆ มันใช่ความผิดของเขาซะที่ไหนกันล่ะที่เกิดมาหน้าตาดีมีคนมาแอบชอบเยอะแยะ ยกเว้นคนเดียวที่อยากให้ชอบก็ดันชอบไม่ได้อีก

“เข้าใจคำว่าเปรียบเปรยไหม เด็กโง่” ปรเมษฐ์ถอนหายใจเสียงดัง “ไม่ต้องมาขำ จับแกใส่กระเป๋าไปทำงานได้ฉันทำไปแล้วนะเนี่ย เป็นห่วงเนี่ยเข้าใจไหมว่าเป็นห่วง เจ้าตัวดื้อด้าน” พูดพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้ผมเจ้าตัวดีที่หัวเราะคิกคักเผื่อความรู้สึกมันจะซึมเข้าสมองไปบ้าง

“ป๊าไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกน่า ผมดูแลตัวเองได้ มีสองมือสองเท้าเหมือนๆ กันถ้าโจรมันเข้ามานะ ฮึ่ม! เสร็จผมแน่”

“แกจะทำอะไรมัน ยกมือไหว้แล้วบอกว่าอย่าผมเลยคร้าบ~” คนเป็นพ่อว่าพร้อมกับประนมมือขึ้นท่วมหัวทำท่าล้อเลียนลูกชาย “แบบนี้เหรอ”

“ป๊าอะ” นภธรณ์โวย “อย่าดูถูกลูกชายแบบนั้นสิ”

“แล้วตกลงผิดไหม” ปรเมษฐ์ถาม

“หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้นใครจะไปมัวเสียเวลาไหว้ละป๊า” นภธรณ์ว่า “เท้ามีก็วิ่งดิ เห็นแบบนี้ก็แต่ผมก็แชมป์วิ่งเก่านะ”

“ในการแข่งขันที่มีแค่แกกับไอ้ด่างคู่ปรับเก่าหน้าปากซอยน่ะนะ”

นภธรณ์เหล่ตามองคนที่รู้ทันตนไปเสียทุกเรื่องและเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วนี่ป๊าจะสระผมยังไง หัวเริ่มเหนียวแล้วนะ เมื่อวานก็ไม่ได้สระนี่นา เน่าแล้วมั้งเนี่ย เศษฝุ่นเต็มหัวเลยมีเลือดด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้” แล้วแกล้งเขย่งตัวขึ้นทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะย่นปากใส่

“ทนไปอีกคืนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะลงไปสระที่ร้านทำผมข้างล่าง” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปบิดจมูกเชิดๆ รั้นๆ น่าหมั่นไส้นั่น

“ยี้~ ขืนทนอีกคืนหนอนก็ฟักเป็นตัวพอดี เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวผมสระให้ก็ได้ แต่ขอห้าร้อย ตกลงปะ” เด็กหนุ่มกรีดยิ้มยียวนพร้อมกับแบมือไปตรงหน้า “เอางี้ ถ้าป๊าตอบตกลงภายในห้านาทีนี้ผมจะไดร์ผมกับเแถมขัดขี้ไคลที่หลังให้ด้วย โห~ โปรโมชั่นดีขนาดนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะเนี่ย สนเปล่า~”

“ฉันให้พันหนึ่งแล้วแคะขี้หูให้ด้วย”

“ป๊าเอาจริงดิ” นภธรณ์ถึงกับไปไม่เป็นเพราะเขาแซ็วไปแบบนั้นไม่คิดว่าพ่อของตนจะเล่นด้วยจริงๆ แถมยังไม่พูดเปล่าปรเมษฐ์ยังถอดเข็มขัดออกโยนไว้บนเตียงแล้วเริ่มต้นปลดกางเกงลงไปกองไว้กับพื้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นตอนป๊าโป๊... จริงๆ แล้วบ่อยด้วย แต่นั่นมันก็ตอนเด็กๆ และตอนนั้นกับตอนนี้มันก็ไม่เหมือนกัน

เด็กหนุ่มอยากจะยกสองมือขึ้นปิดหน้าด้วยความเขิน แต่ความอยากดูมันมีมากกว่าเขาจึงต้องทนเก๊กหน้านิ่งแล้วปล่อยให้สายตาทำหน้าที่สอดรู้สอดเห็นไปตามผิวกายแน่นๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของคนอายุใกล้สี่สิบแล้ว เรื่อยลงไปจนถึงจุดที่เขาทำได้แค่มองแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างแสนเสียดายเมื่ออีกฝ่ายตวัดผ้าเช็ดตัวพันรอบเอว

“แกเองก็ถอดเร็วๆ สิ” ปรเมษฐ์เร่ง

นภธรณ์สะดุ้งเฮือก “ถ… ถอด… ถอดอะไรครับ”

“ถอดเสื้อไง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วแกก็อาบพร้อมกันไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา”

…อาบน้ำด้วยกัน…

ภาพฟองสบู่นุ่มๆ ฟูฟ่องกับภาพสโลว์โมชั่นชวนฝันเหมือนอยู่ในโฆษณาครีมอาบน้ำสุดวาบหวานที่เคยเห็นในทีวีลอยขึ้นมาในหัวเด็กหนุ่ม พยายามงัดประตูห้องน้ำมาตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จสักที บทจะได้นี่มันง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ
 
“ยังเอาแต่ยืนเฉยอีก ตกลงแกจะสระผมให้ฉันจริงหรือเปล่าเนี่ย อ้อ! เงินไม่มาผ้าไม่หลุดสินะ” ปรเมษฐ์หยอกลูกชายพร้อมกับหันไปคว้ากระเป๋าสตางค์บนเตียงหยิบธนบัตรสีเทาออกมาส่งให้ “เอาไป”

“…” เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่ง ลังเลว่าจะเอายังไงดี เขากลัวตัวเองอดใจไม่ไหว ไม่ก็เลือดกำเดาพุ่งเป็นลมตายในห้องน้ำเสียก่อนจะอาบเสร็จแน่ๆ

“แน่ะ มีเล่นตัว” ปรเมษฐ์เปิดกระเป๋าอีกครั้งแล้วดึงธนบัตรสีเทาออกมาอีกใบ “พอไหม? ไม่พอเหรอ?” และหยิบออกมาเพิ่มอีกใบ
นภธรณ์ยืนมองกล้ามอกแน่นสลับกับธนบัตรในมือตาปริบๆ ได้ดูของดีแถมยังได้ตัง บางทีนี่อาจเป็นพรข้อสุดท้ายก่อนตายที่พระเจ้าประทานให้เขาก่อนจะถีบลงนรกก็ได้ แบบนี้ไม่รีบฉวยก็โง่แล้วสินะ

คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็โยนสามัญสำนึกของลูกชายที่ดีทิ้งแล้วพุ่งเข้าไปกราบงามๆ ลงบนอกกว้างนั่น “วันนี้ป๊าอยากได้แบบไหนบอกมาได้เลยฮะ เดี๋ยวผมจัดให้ จะเอาแบบสมูทแอดซิลก์ นุ่มเบาดุจแพรไหม หรือสายร๊อคฮาร์ดคอร์หนักหน่วงได้หมดเลยฮะ”

“เดี๋ยวนะ นี่แกพูดถึงอะไรเนี่ย” ปรเมษฐ์ขำคนที่ทำท่าทางเลียนแบบพริตตี้ขายของได้น่าถีบมากกว่าน่ารัก

“ป๊าอยากให้เกาเบาๆ หรือเกาแรงๆ ละฮะ” นภธรณ์ถาม

“ไม่ต้องแรงมากเดี๋ยวหนังหัวฉันถลอกหมด”

“ตามผมมาเลยฮะ ไม่ต้องเขินนะครับฮะ ทำตัวตามสบายปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง”

“ปากดีอีกล่ะ” ปรเมษฐ์โคลงศีรษะอย่างระอา

“อย่างอื่นก็ดีครับ ไม่เชื่อเดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้ดู” เด็กหนุ่มขยิบตาให้ครั้งหนึ่งพร้อมกับสะบัดเสื้อออกจากตัวแล้วรุนหลังคนเป็นพ่อเข้าห้องน้ำไป

ทำเป็นพูดดีว่าอาบน้ำด้วยกันสุดท้ายเขาก็แค่ได้เข้าไปสระผมให้ตรงอ่างล้างมือเสร็จแล้วก็ออกมานอนดูทีวีรออาบเป็นคนต่อไปอยู่ข้างนอก

เด็กหนุ่มกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อย่างเบื่อหน่าย พลันภาพก็มาหยุดลงที่ช่องหนึ่งซึ่งกำลังนำเสนอวิธีการทำอาหารง่ายๆ สำหรับคนป่วย

“อาหารที่รับประทานในช่วงนี้ควรเป็นอาหารที่สดใหม่ สุก สะอาดและมีสารอาหารครบห้าหมู่นะครับ” พิธีกรหนุ่มหล่อเกริ่นนำเข้าสู่เมนู “ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำข้าวต้มปลากันครับ โดยเราเลือกปลากระพงซึ่งนอกจากจะย่อยง่ายแล้วยังอุดมไปด้วยโอเมก้าทรี...”

“ป๊าเองก็ป่วยอยู่นี่นา” นภธรณ์รำพึงแล้วเขาก็คิดได้ ความคิดที่จะทำกับข้าวให้ป๊ากินเมื่อครั้งวันเกิดถึงจะล้มไม่เป็นท่าแต่ก็เอามาทำวันนี้ได้นี่นา

เด็กหนุ่มรีบพุ่งไปยังครัวรื้อค้นก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่อึดใจแล้วเขาก็ค้นพบว่านี่เรื่องจริงไม่ใช่การ์ตูนหรือรายการอาหาร ที่พอเปิดประตูตู้เย็นก็จะได้วัตถุดิบครบถ้วน เขายืนมองดูอาหารสดที่มีแค่ไข่กับนมแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดหาเอกรงค์ก็คิดขึ้นได้ว่าหมอโมมีฝีมือทำอาหารไม่ต่างจากป๊าเท่าใดนัก เขายืนมองไข่บนโต๊ะ ข้าวสารก็ไม่มี คิดไปพลางเคาะโทรศัพท์กับปลายคางด้วยคิดไม่ตก แล้วเขาก็นึกถึงใครคนหนึ่ง แต่เสียงรอสายนั้นก็ดังยาวนานจนเขาแทบตัดใจ แล้วก่อนจะกดวางสายนั่นเองที่ปลายสายยอมกดรับ

[ว่าไงเจ้าหนู]

“สวัสดีครับ” นภธรณ์ทักทายออกไปอย่างเป็นทางการมากกว่าปกติ รู้สึกเกร็งๆ ที่โทรหาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องตอนดึกๆ ดื่นๆ ซ้ำยังไม่เกี่ยวกับงานเสียด้วย “คือผมมีเรื่องอยากปรึกษา แต่ถ้าพี่ยะไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ”

[มีอะไรก็ว่ามา]

“คือผมจะปรึกษาเรื่องการทำอาหาร... ให้ป๊าน่ะ คือวัตถุดิบมีแค่...”

แล้วนภธรณ์ก็เผลอเล่านู่นเล่านี่เสียยืดยาว กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าเวลาผ่านไปนานพอสมควรแล้วก็ตอนที่ปลายสายทักมาว่า

[ระวังไหม้นะ]

เขากล่าวขอบคุณดุริยะที่ช่วยชี้แนะวิธีการทำอาหารอย่างละเอียดยิบจึงได้วางโทรศัพท์ เด็กหนุ่มยังยืนอมยิ้มอยู่กับโทรศัพท์อีกเกือบนาที รู้สึกอิ่มในใจที่มีใครอีกคนให้คำปรึกษาได้ในยามที่ต้องการ

เช่นเดียวกันกับคนที่อยู่ปลายสาย จริงๆ ก็ปิดไฟนอนแล้ว ปกติดุริยะไม่ชอบโดนปลุก และจะหงุดหงิดมากถ้าหากต้องตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ แต่สำหรับสายนี้ นอกจากจะไม่รำคาญใจ เขายังรู้สึกดีที่ได้เป็นพึ่งให้ใครคนหนึ่งแม้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากก็ตาม

“คุยกับใครอยู่เหรอ หัวเราะเสียงดังได้ยินไปถึงในห้องน้ำเลย” ปรเมษฐ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเช็ดผมออกจากห้องน้ำมา

“พี่ยะครับ” นภธรณ์ตอบเสียงใส

“เหรอ” ปรเมษฐ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อเข้าห้องนอน

เด็กหนุ่มรีบลุกไปคว้าแขนไว้ “อย่าเพิ่งนอนสิป๊า กินข้าวก่อนจะได้กินยา”

“ข้าว?” ปรเมษฐ์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู

นภธรณ์พยักหน้าพร้อมทั้งดึงกึ่งลากผู้เป็นพ่อที่ไม่ยอมเชื่อใจฝีมือการทำอาหารของเขาเขาเข้าไปในครัว “หมอโมย้ำว่ายาแก้ปวดกับยาคลายกล้ามเนื้อที่ป๊าได้มามันกัดกระเพาะ ห้ามกินตอนท้องว่างเด็ดขาด แล้วเมื่อเย็นป๊าก็กินข้าวไปนิดเดียว จะโทรไปสั่งร้านข้างล่างก็ปิดแล้วผมเลยทำอาหารให้ป๊ากินเอง”

“กินได้แน่นะ” ปรเมษฐ์ทำเป็นปั้นหน้าเครียดถามเมื่อเด็กหนุ่มวางชามอาหารลงตรงหน้า เขาคิดไว้แล้วว่าลูกชายเขาคงจะทำอะไรไม่ได้มาก

“โจ๊กหมูใส่ไข่ครับ” นภธรณ์สาธยายเมนูของตัวเอง “พี่ยะบอกว่า ป๊าเจ็บแขนพออยู่แล้ว ดังนั้นผมไม่ควรเสี่ยงหาเรื่องให้ป๊าท้องเสียอีก ก็เลยแนะนำให้วิ่งลงไปร้านสะดวกซื้อแล้วซื้อโจ๊กสำเร็จรูปมาต้มใส่ไข่ แต่ผมไม่ได้ลงไปหรอกนะเพราะบังเอิญในตู้กับข้าวมีอยู่สองซองผมเลยใส่หมดเลย ป๊ากินเยอะๆ นะมีเต็มหม้อเลย”

“มีเต็มหม้อ หรืออืดเต็มหม้อ” ปรเมษฐ์ล้อพลางตักอาหารใส่ปาก มันก็แค่โจ๊กสำเร็จรูปไม่ได้วิเศษเลิศเลอ แต่เพราะวันนี้พิเศษตรงใส่ใจคนทำลงไปด้วยก็เลยอร่อยกว่าครั้งก่อนๆ ที่เคยกินมา

“อร่อยไหม”

“ตอนทำ ไม่ได้ชิมหรือไง”

“ชิมแล้ว แต่อยากได้ความเห็นป๊า”

“เค็ม” ปรเมษฐ์ให้คำจำกัดความสั้นๆ “ไร้ไฟเบอร์ และอุดมไปด้วยโซเดียม ถ้าฉันต้องล้างไตรับผิดชอบพาไปเลยนะ”

“ป๊าก็เวอร์ไป” เด็กหนุ่มว่าพลางลุกเดินไปหยิบนมกล่องในตู้เย็นมาเจาะรูใส่หลอดดูดแล้ววางลงตรงหน้า “เสริมแคลเซียมด้วยครับ กระดูกจะได้ติดเร็วๆ... แก่แล้วก็อย่างนี้แหละ”

“อยากโดนอีกทีเรอะ” ปรเมษฐ์ยกมือขึ้นทำท่าจะดีดมะกอกใส่หัวกลมๆ นั่นอีกรอบ “คำก็อายุเยอะ สองคำก็แก่ แกไม่แก่มั่งให้มันรู้ไป”

“ไม่แก่ดีแล้วครับ” นภธรณ์ว่า “ผมแก่แล้วใครจะดูแลป๊าตอนเกษียณล่ะ”

“ไปดูแลแฟนแกนู่นไม่ต้องมาดูแลฉัน”

“ก็ดูแลทั้งแฟนและป๊าน่ะแหละ” เด็กหนุ่มบอก “ป๊าบอกเองนี่ว่าถ้ามีแฟนแล้วไม่ดีก็ไม่ต้องมีแล้วอยู่เป็นโสดจนแก่ตายไปกับป๊าเลยก็ได้”

“ถ้าฉันตายก่อนแกจะไม่เหงาเหรอ”

“ถ้าเหงาก็นั่งดูรูปป๊าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หมดวันหมดเวลาเหงาเองแหละ แค่รูปตอนเด็กก็มีเป็นสิบๆ อัลบั้มดูจนตายก็ไม่หมดหรอก” นภธรณ์บอก “หมอโมเคยบอกว่าคนเราตายแล้วจะไปมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของอีกคน... ป๊าก็มาอยู่กับผมละกัน พอผมตายแล้วเราค่อยไปเกิดใหม่พร้อมกัน”

“เกิดพร้อมกันก็ไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแล้วนะ” ปรเมษฐ์ท้วง

นภธรณ์ไหวไหล่ “เป็นเพื่อนกันก็ดี ชาติหน้าผมจะได้เตะตูดป๊าเอาคืนที่... โอ๊ย!!!” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อในที่สุดมะกอกที่ง้างรอไว้นานสองนานจะได้ประทับลงกลางแสกหน้า

“พูดมาก ไปนอนได้แล้ว” คนเป็นพ่อลุกขึ้นเก็บจานแล้วเดินเข้าห้องนอน

จริงอย่างที่เอกรงค์พูดไว้ ไม่ว่าข้างหน้าจะมีเรื่องราวร้ายๆ เข้ามาอีกสักแค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยผ่านอุปสรรคที่ยากที่สุดในชีวิตและก็ได้รางวัลนั้นมาครอบครองแล้ว

**********************************************TBC******************************************


ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #169 เมื่อ15-10-2017 13:45:16 »

คิดถึวมาสักที

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
« ตอบ #169 เมื่อ: 15-10-2017 13:45:16 »





ออฟไลน์ 1O019_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #170 เมื่อ15-10-2017 15:19:01 »

ดีใจมากที่มาต่อ
นอฟน่ารักมากๆ
พอเรียกป๊าเป็นคุณหนูแล้วตลกดีค่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #171 เมื่อ15-10-2017 16:21:31 »

โดนชนท้าย! กางเกงในนอฟหาย!  เอิ่มมมม อยากคิดว่าต้องมีประเด็นเกี่ยวกันแน่เลย แต่มันก็แอบขำหน่อยๆอ่ะเนอะ 55555

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #172 เมื่อ15-10-2017 17:38:49 »

นอฟลูกกกก คิดถึงละเกิน
กลับมาครานี้ มีเรื่องลึกลับหักเหลี่ยมเฉือนคมซ่อนปมเยอะเเยะเลย
แหม่ๆ ป๊าละก็ "เกิดครั้งหน้าไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแล้วนะ"....  เกิดอีกทีต้องมีเธอ เอาใจช่วยลูกพ่อลูกคู่นี้ให้ได้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #173 เมื่อ15-10-2017 17:52:48 »

น้องนอฟสายแบ๊ว อิ้ววว น่ารัก

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #174 เมื่อ15-10-2017 19:50:41 »

ีดีใจที่หมอโป้กับนอฟไม่เป็นอะไรมาก

แต่เรื่องโจรขึ้นบ้านนี่ ขโมยเกงในบังหน้ารึป่าว จะได้โดนเบี่ยงประเด็นง่าย ๆ เพราะแค่หาเกงในทำไมต้องค้นทั้งบ้านขนาดนั้น

ที่พี่ยะใจดีกับนอฟเพราะอะไรกันแน่น้ออออ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #175 เมื่อ15-10-2017 23:06:52 »

ดวงตกแบบนี้มีคนบงการแน่ๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #176 เมื่อ15-10-2017 23:45:44 »

น่าจะไม่ธรรมดา นี่เป็นแค่ขู่แน่เลย

นอฟบ้า เงินมาผ้าหลุด ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #177 เมื่อ16-10-2017 01:40:46 »

อ่านไปก็ลุ้นไป
พี่ยะแน่ๆที่เป็นพ่อ จะเฉลยเมื่อไหร่นะ
มาอืรุงตุงนังกับปู่ด้วย แอบน่าสงสารถ้ารู้ว่าไม่ใช่หลานแท้ๆ  :katai1:

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #178 เมื่อ16-10-2017 02:00:10 »

ดีที่คุณป๊าไม่เป็นไรมากค่ะ ส่วนคุณยะนี่มีความสัมพันธ์กับนอฟยังไงกันแน่นะคะ

ติดตามรอลุ้นต่อไปค่า ^^

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
«ตอบ #179 เมื่อ18-10-2017 11:44:00 »

พอดีคิดไปถึงเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นในตอนต่อๆไปก็ปวดใจ :ling3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด