Chapter 15
งานเลี้ยงวันเกิดปีที่ 70 ของประมุขคนปัจจุบันของตระกูล ‘บารมีไพศาลวานิช’ เจ้าของธุรกิจพันล้านนั้นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่บ้านโดยมีแค่ญาติและคนสนิทไม่กี่คนกับกรรมการผู้บริหารใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนแขกที่มาก็ปาเข้าไปร่วมร้อยคน
ปรเมษฐ์จอดรถหน้าประตูซึ่งปูพรมแดงลาดยาวนำไปสู่ด้านในก่อนจะส่งกุญแจให้คนขับรถขับไปเก็บ
“นี่บ้านป๊าเหรอครับ” นภธรณ์กล่าวอย่างตื่นเต้นกับสิ่งปลูกสร้างร่วมสมัยที่สูงสามชั้น หน้าบ้านมีสวนกว้างใหญ่กับลานน้ำพุที่ตรงกลางเป็นเด็กผู้ชายถือถุงทองใบใหญ่ การได้เข้าวงการทำให้เขาได้ไปในสถานที่หรูหราและเจอผู้คนไฮโซมากมายแต่มีครั้งนี้แหละที่อลังการมากกว่างานไหนๆ ผู้คนที่มาร่วมงานก็ล้วนแต่งตัวกันสวยงาม ประดับเครื่องเพชรเครื่องทองมาสะท้อนเล่นกับแสงไฟวิบวับ
“เคยเป็น” ปรเมษฐ์เปลี่ยนคำให้ใหม่
นภธรณ์ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เมื่อสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำตอบนั้นคือการที่ป๊าโดนไล่ออกจากบ้านเพราะมีเขาเกิดขึ้นมา และนั่นก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กหนุ่มกลับมาเครียดเรื่องผล DNA ที่กรรณเอามาให้ดูอีกครั้ง
“ไม่ต้องเครียดน่า”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพ่อของตนที่เอ่ยปลอบ วันนี้ป๊าแต่งตัวเนี้ยบเป็นพิเศษ ป๊าเข้าใจว่าเขาตื่นเต้นที่ได้มาบ้านปู่ครั้งแรก ซ้ำยังต้องเจอญาติที่ไม่เคยพบหน้าและไหนจะเรื่องมรดกอีก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดนักเพียงแต่เขายังมีอีกเรื่องให้ต้องเครียดมากกว่าเท่านั้น
“มาสิ” ปรเมษฐ์ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากพร้อมกับส่งมือให้
นภธรณ์ค่อยคว้าฝ่ามือของป๊าไว้ มันหยาบนิดๆ แต่ก็อบอุ่นเหมือนแววตาที่มองมาเสมอ เขาจับมือปรเมษฐ์แน่น กลัวเหลือเกินว่าถ้าความจริงทุกอย่างปรากฏเขาจะไม่มีสิทธิ์ใช้ฐานะลูกจับมือนี้อีกต่อไป
“คุ้นๆ ไหม” จู่ๆ ปรเมษฐ์ก็เอ่ยขึ้น
นภธรณ์คิดอยู่อึดใจ “ป๊าหมายถึงตอนที่ผมไปโรงเรียนวันแรกเหรอครับ”
ย้อนวันวานกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เปลี่ยนจากชุดสูทหรูเป็นเด็กชายใส่เสื้อนักเรียนคลุมด้วยเอี๊ยมกันเปื้อนกับชายหนุ่มสวมเสื้อกาวน์สั้นยืนอยู่ริมถนนเตรียมข้ามไปอีกฝั่ง
‘จับมือป๊าแน่นๆ นะครับ’
‘ป๊าต่างหากที่ต้องจับมือแน่นๆ’
‘ทำไมละครับ’
‘ก็ถ้าผมตกใจผมอาจจะปล่อยมือป๊าก็ได้ แต่ป๊าจะไม่ปล่อยมือผมใช่ไหม’
มาจนถึงตอนนี้...
“เรื่องวันนี้มันก็แต่ถนนอีกเลนที่เราต้องข้ามไป” ปรเมษฐ์บอก “พอข้ามไปได้แล้วเราก็พบว่ามันง่ายนิดเดียว”
“และป๊าจะไม่ทิ้งผมไว้กลางทางใช่ไหม” เด็กหนุ่มถาม
“ต่อให้รถชนจนขาหักฉันก็จะคลานพาแกข้ามไป”
“ป๊าก็เปรียบซะน่ากลัวเลย” นภธรณ์กระแทกไหล่ปรเมษฐ์หยอกๆ โทษฐานพูดอะไรเป็นลาง หากคำพูดนั้นก็ช่วยเรียกรอยยิ้มกลับคืนมาในหน้าได้ทันที
ทั้งสองเดินผ่านประตูใหญ่เข้าสู่ด้านใน ปรเมษฐ์กวาดตามองไปรอบๆ ห้องโถงใหญ่ซึ่งใช้จัดงาน ออกจากบ้านมาสิบเจ็ดปีมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการตกแต่งรูปภาพบนผนังและคนงานในบ้านที่มีคนใหม่ๆ เข้ามาทำงานมากหน้าหลายตาจนแทบไม่เหลือใครที่เขารู้จัก แม้แต่เจ้าไซบีเรียนสามตัวที่เดินอกตั้งราวกับเป็นเจ้าของบ้านอยู่ตอนนี้ปรเมษฐ์ก็ไม่คุ้นเลยสักตัวแถมเจ้าสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าเข้ากับคนง่ายยังหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จนเขานึกใจหายอยู่ลึกๆ ว่ามันไม่มีที่เหลือสำหรับเขาในบ้านหลังนี้แล้วจริงๆ
“ป๊า” นภธรณ์เรียกเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่ฝ่ามือ
“ไม่มีอะไร” ปรเมษฐ์ตอบพยายามยิ้มเพื่อให้ลูกชายสบายใจ
“ไม่คิดว่าแกจะกลับมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งที่สองนะเนี่ย ไอ้โป้”
เสียงทักทายแบบห้วนๆ ดังขึ้นด้านหลังทำให้สองพ่อลูกหันไป
“พี่ป๋อง” ปรเมษฐ์เรียกพี่ชายคนโตก่อนจะหันไปตบไหล่ลูกชายให้ยกมือไหว้
นภธรณ์ทำตามอย่างว่าง่าย “สวัสดีครับคุณลุง”
ปรกฤษฎ์นั้นอายุมากกว่าปรเมษฐ์สี่ปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูหนุ่มแน่น รอยยับเล็กๆ ตรงหางตาไม่ได้ดูขัดตาหากกลับกลายเป็นเสน่ห์เหลือร้ายยามที่ส่งยิ้มมาให้ และด้วยความที่หน้าตาเหมือนกันมากของสองพี่น้องก็ทำให้นภธรณ์จินตนาการถึงหน้าตาของป๊าในอีกสี่ปีข้างหน้าได้ไม่ยาก ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที
“ไม่เจอกันสิบกว่าปีโตเร็วนะเราเนี่ย ครั้งล่าสุดที่เจอเธอยังตัวกระเปี๊ยกเดียว” ปรกฤษฎ์ยกมือขึ้นแค่เข่าประกอบ พลางถือวิสาสะมองเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงปรเมษฐ์จะไม่เคยกลับมาเหยียบบ้านอีกเพราะทิฐิแต่ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องไม่เคยขาดกัน และปรกฤษฎ์นี่แหละที่เป็นคนแนะนำให้ปรเมษฐ์ไปจดทะเบียนรับรองบุตร เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาตอนนภธรณ์เข้าเรียนและยังช่วยหาที่เรียนให้ด้วย “ว่าแต่ทำไมหน้าไม่เหมือนแกเลยวะ ไอ้โป้”
“เขาหน้าเหมือนแม่ไงคะป๊ะป๋า” เด็กหญิงวัยไม่เกินมัธยมต้นท่าท่างแก่นแก้วเกินวัยเดินเข้ามาร่วมวง เธอใส่ชุดอัดพลีทสีชมพูและประดับเรือนผมดำยาวเป็นมันด้วยขนนกฟู่ฟ่อง
“แล้วหนูเล็กรู้ได้ไงคะ” ปรกฤษฎ์หันไปถามลูกสาว
“ก็เขาป็นนักร้องดัง แล้วก็เคยให้สัมภาษณ์ออกทีวีตั้งหลายรอบ นอกจากข่าวธุรกิจ ป๊ะป๋าก็ต้องอ่านติดตามข่าวอื่นบ้างนะคะ” ปฏิมาบอกพ่อตนก่อนจะหันมาหาทั้งสอง “สวัสดีค่ะอาโป้ สวัสดีจ๊ะนอฟ เราชื่อปฏิมา เรียกว่าหนูเล็กก็ได้”
“ไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มโพล่งออกไป “เพราะเราอายุมากกว่า หนูเล็กต้องเราเรียก ‘พี่นอฟ’สิ”
“นอฟ” ปรเมษฐ์กระซิบลอดไรฟัน “อย่าเสียมารยาทสิ”
แต่เด็กหนุ่มไม่ทันได้ฟัง “ป๊าสอนว่าเราต้องให้เกียรติคนที่อายุมากกว่า… เอ้า! เรียกสิ ‘พี่นอฟคะ’”
“ไม่เรียก” ปฏิมาสวนกลับพร้อมยกมือขึ้นกอดอก “หนูเล็กเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่ชายสักหน่อย”
“เธอไม่รู้จักคำว่าลูกพี่ลูกน้องเหรอ” นภธรณ์ก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน
ปรเมษฐ์หันไปยิ้มแห้งให้พี่ชายอย่างจนใจจะห้าม “ขอโทษนะพี่ป๋อง”
ปรกฤษฎ์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะ เด็กเขาแหย่เล่นกัน... แล้วนี่แกเจอพ่อหรือยัง”
ปรเมษฐ์ส่ายหน้า “ผมเพิ่งมาถึงยังไม่ได้เจอใครเลยนอกจากพี่ป๋องกับหนูเล็กนี่แหละ”
“งั้นเดี๋ยวหนูเล็กพาอาโป้ไปเองค่ะ ปู่คุยอยู่กับเพื่อนตรงนู้นแน่ะ” ปฏิมายกมือเสนอตัว
“ไม่เป็นไรหรอก ให้ปู่คุยกับเพื่อนไปเถอะเดี๋ยวอาค่อยไปทักทีหลังก็ได้” ปรเมษฐ์บอกก่อนจะเหลือบไปเห็นสายตาเว้าวอนของลูกชายที่บอกว่าอยากเจอปู่ใจจะขาดแล้ว “อาฝากพานอฟไปหน่อยละกัน อาจะคุยกับพ่อหนูเล็กอยู่ตรงนี้แหละ”
“ได้ค่ะ” ปฏิมารับคำดิบดีแล้วหันไปพยักเพยิดกับนภธรณ์ก่อนจะเดินนำไป “ตามมาสิ”
“นอฟหลานปู่มาแล้วเหรอ” คุณบังเอิญร้องเสียงดังด้วยความดีใจพร้อมกับแยกตัวออกมาจากแขก โอบไหล่พานภธรณ์เข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆ “นี่หลานชายฉัน ลูกเจ้าโป้มัน”
ปรเมษฐ์รู้สึกหวิวในใจแปลกๆ ตอนที่คุณบังเอิญเดินมาหานภธรณ์นั้นได้หันมาสบตากับเขาแวบหนึ่ง ซึ่งแทบไร้ความหมายเพราะคนเป็นพ่อมองผ่านเลยเขาไปราวกับเป็นอากาศธาตุ แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยังแนะนำว่านภธรณ์เป็นลูกเขาก็ยังทำให้ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่าเดิมนัก
“แกนี่วาสนาดีนะ หลานสาวก็สวย หลานชายก็หล่อ” เพื่อนในวงสนทนาคนหนึ่งพูดขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” ปฏิมายิ้มหวานพร้อมกับถอนสายบัวรับคำชมอย่างเต็มใจ และนั่นทำให้นภธรณ์นึกออกว่าเธอนิสัยเหมือนกับรมิดานี่เอง
“ไม่ได้หล่ออย่างเดียวนะเว้ย หลานฉันเป็นนักร้องด้วย พวกแกรู้แล้วก็ซื้ออัลบั้มกับดู MV อุดหนุนหลานฉันด้วย เข้าใจไหม” คุณบังเอิญยังไม่เลิกโอ่
“ขี้โม้ว่ะ” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของคุณบังเอิญเอ่ยขึ้น
“ไม่เชื่อเหรอ ได้! เดี๋ยวนอฟมายืนตรงนี้นะ เอ้านี่ไมค์ จัดเลยลูกเอาให้ไอ้พวกแก่ๆ แถวนี้ตาค้างไปเลย” คุณบังเอิญบอกก่อนจะหันไปหาหลานสาวอีกคน “หนูเล็กช่วยเล่นเปียโนให้ปู่ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ค่ะปู่” ปฏิมาบอกพร้อมกับเดินนำไป
“นั่นเขาจะมีมินิคอนเสิร์ตกันเหรอ” ปรกฤษฎ์สะกิดน้องชายเมื่อเห็นคนเดินเข้าไปมุงรอบแกรนด์เปียโนที่กลางห้องโถง “ลูกแกจะร้องได้เหรอ เห็นแบบนั้นแต่ลูกสาวฉันเป็นแชมป์รุ่นเยาว์ระดับประเทศเชียวนะ”
“ไม่รู้สิ” ปรเมษฐ์ไหวไหล่ “แต่นอฟก็ไม่ใช่พวกที่ยอมให้ตัวเองหน้าแตกหรอก”
“พร้อมนะ” ปฏิมาจรดนิ้วลงบนแป้นและเริ่มบรรเลงทันทีโดยไม่มีการนัดแนะใดๆ มาก่อน
นภธรณ์ชะงักไปกับท่วงทำนองที่เป็นเพลงสากล
ปฏิมาอมยิ้มมุมปาก หลานสาวคนเดียวของตระกูลบารมีไพศาลวานิชย่อมไม่ได้มาเล่นๆ ปรัชญาขงเบ้งกล่าวว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง และข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามก็หาได้ง่ายดายเพียงแค่จิ้มนิ้วบนแป้นพิมพ์ก็จะได้ทุกอย่างในโลกอินเตอร์เน็ต นั่นจึงทำให้เธอรู้ว่านภธรณ์นั้นอ่อนภาษาอังกฤษมากและอ่านโน้ตดนตรีไม่เป็น เธอจึงเลือกเล่นเพลงสากลเพราะจะแกล้งให้เขาหน้าแตกต่อหน้าคุณปู่ เพียงเท่านี้ตำแหน่งหลานรักเบอร์หนึ่งก็จะเป็นของเธอคนเดียว
เด็กหนุ่มกำไมค์ในมือแน่น เขาใช้มือข้างที่ว่างเคาะเบาๆ ลงบนหน้าขาเพื่อจับจังหวะก่อนจะยกไมค์ขึ้นจรดริมฝีปาก และเพียงแค่เนื้อเพลงท่อนแรกเปล่งออกจากปากปลิวไปในสายลมเขาก็สะกดทุกคนในที่นั้นได้อยู่หมัด
โดยเฉพาะใครคนหนึ่ง ตาคมจับจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่ง มันไม่ใช่แค่เพียงสายตาของความภาคภูมิใจ เมื่อมองลึกเข้าไปในนั้นจะได้เห็นวันเวลาหนึ่งที่ใครๆ อาจบอกว่ามันนานแล้ว แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันนานขนาดนั้นเลย สำหรับเขาแล้วเรื่องในตอนนั้นมันก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ที่ยังคงจดจำทุกๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยวนาที
การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตมาไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งเลี้ยงคนเดียวในวันที่ไม่พร้อมซึ่งแวดล้อมไปด้วยสภาวะกดดัน ทั้งครอบครัวที่ไม่เข้าใจ ตัวเขาที่ยังเป็นนักศึกษา หนังสือก็ต้องอ่านนมลูกก็ต้องชง มันทำให้เขาสูญเสียชีวิตวัยรุ่นที่ควรจะต้องเป็นไป วันที่ไหวก็ไหว แต่ในวันที่ไม่ไหว ความรู้สึกเหงาและท้อแท้ที่เอ่อล้นอยู่ในอก คิดถึงผู้หญิงคนที่จากไป อยากเจอ อยากได้ยินเสียง อยากรับรู้ความเป็นไปว่ายังสบายดีไหม แอบหวังว่าสักวันที่เธอตามฝันสำเร็จจะกลับมาหากัน
แต่วันนั้นมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาถึงเลย
แล้วน้ำใสก็ค่อยๆ เอ่อขึ้นเต็มสองตาเมื่อความท้อแท้เริ่มกัดกินหัวใจ อยากยอมแพ้ แต่ชีวิตมันไม่ใช่เกมที่แค่รีสตาร์ทก็สามารถกลับไปเริ่มต้นใหม่ เขาต้องเดินหน้าต่อแต่จะทำได้ยังไงในเมื่อหัวใจมันไม่มีพลังงานเหลือเลย
ม่านน้ำตาบดบังดวงตาจนมองไม่เห็นทางออก แต่ตอนนั้นเองที่เสียงเพลงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่รู้สึกถึงแรงกระตุกเบาๆ ที่ชายเสื้อ
สายตาที่ยังพร่ามัวด้วยน้ำตาเหลียวไปมอง มือเล็กๆ คู่หนึ่งเกาะกุมอยู่ที่ชายเสื้อ เด็กชายตัวน้อยนั่งคุกเข่าร้องเพลง เพลงที่เจ้าตัวไม่เข้าใจความหมายด้วยซ้ำแต่กลับร้องตามได้เพราะฟังผ่านหูทุกวัน
ในขณะที่ปากบอกว่าถึงใครๆ จะทอดทิ้งแต่เด็กคนนี้จะมีเขา หากในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยเด็กคนนี้ต่างหากที่คอยอยู่เคียงข้างเขาทั้งวันที่มีรอยยิ้มและมีน้ำตา และไม่เคยทิ้งกันไปไหน
...You are my sunshine ,my only sunshine
You make me happy when skies are gray
You’ll never know dear, how much I love you
Please don’t take my sunshine away….
ขอบคุณนะที่เป็นแสงอาทิตย์ในหัวใจของฉันตลอดมา
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทันทีที่เพลงจบลง
“ทำไมนายร้องได้ล่ะ เพลงนี่เก่ามากเลยนะ” ปฏิมาถามด้วยความเจ็บใจ
นภธรณ์เลิกคิ้วก่อนจะเหลือบตามองคนเป็นพ่อที่ส่งยิ้มมาให้ “มันเป็นเพลงโปรดของป๊า” เขาบอก “ป๊าชอบเปิดเพลงนี้กล่อมนอนสมัยฉันเป็นเด็กน่ะ และมันเป็นเพลงแรกที่ฉันร้องได้ เมื่อกี้มัวแต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าเธอจะเล่นเพลงนี้น่ะเลยขึ้นท่อนแรกไม่ทัน”
“ตอนนี้ก็เด็ก” ปฏิมาว่า
“ก็โตกว่าเธอแหละคุณน้องสาว”
“เพลงโปรดแกเหรอ?” ปรกฤษฎ์หันไปเอียงคอถามน้องชาย
“แล้วมันทำไมเหรอครับ” ปรเมษฐ์ถามเรียบๆ
“ก็แค่ไม่คิดว่าจะเป็นเพลงที่พ่อใช้จีบแม่” คนเป็นพี่ว่า “แถมพ่อยังชอบเปิดเพลงนี้บ่อยๆ เสียด้วย”
“บังเอิญจังเลยนะครับ”
“ใช่… ‘บังเอิญ’จัง”
ปรเมษฐ์ทำเป็นไม่สนใจคำที่พี่ชายพยายามจะเน้นมา เขาเดินไปหาลูกชายก็พอดีกับที่พ่อบ้านประจำตระกูลประกาศให้ทุกคนมารวมตัวกันรอบเค้กวันเกิดที่ประกอบขึ้นจากคัพเค้กนับร้อยชิ้นวางเรียงกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเหมือนต้นคริสมาสต์เพื่อเตรียมร้องเพลงวันเกิดให้เจ้าของงานในวันนี้
นภธรณ์ยื่นไมค์ในมือให้หลานสาวอีกคนของบ้านเพราะคิดว่าเธอควรเป็นต้นเสียง แต่ปฏิมากลับยกมือห้ามพร้อมกับย่นปาก
“นายเป็นนักร้องมีหน้าที่ร้องก็ร้องไปสิ”
“หนูเล็กร้องเพลงห่วยมากน่ะ” ปรกฤษฎ์แอบเข้ามากระซิบ
“ป๊ะป๋า!” ปฏิมาร้องเสียงดัง “ตัวเองก็ร้องเพลงห่วยเหมือนกันแหละอย่ามาว่าแต่หนูเล็กนะคะ”
ปรกฤษฎ์ไหวไหล่ “ป๊ะป๋าเป็นนักธุรกิจนี่ครับไม่ใช่นักร้อง”
“หนูเล็กก็ไม่ใช่เหมือนกัน” เด็กสาวกอดอกทำแก้มป่อง รู้สึกเสียหน้าที่มีเรื่องที่ไม่ถนัด เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคุณหนูผู้แสนเพรียบพร้อมอย่างเธอเลยจริงๆ
“งั้นฉันร้องเอง แล้วหนูเล็กช่วยเล่นเปียโนให้หน่อยนะ” นภธรณ์บอก
คนงอนหันมามอง “หนูเล็กเล่นเก่งใช่ไหมล่ะ”
“อืม เก่งมาก” นภธรณ์ยอมรับตรงๆ และนั่นทำให้เด็กสาวแอบเขินเล็กๆ
“ปีนี้รู้สึกเพลงมันเพราะกว่าทุกปีนะ” ปรกฤษฎ์พูดขึ้นหลังจากที่เพลงอวยพรวันเกิดจบลง และตอนนี้เด็กๆ ก็กำลังเข้าไปช่วยคุณปู่ส่งเค้กแจกคนในงาน
“ก็แน่อยู่แล้ว นอฟเป็นนักร้องนี่นา” ปรเมษฐ์ว่า
“ไม่ใช่หรอก” ปรกฤษฎ์บอกพลางหันไปหาน้องชาย “ที่เพลงเพราะ เพราะทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าต่างหาก”
หลังจากแจกเค้กให้ทุกคนอย่างทั่วถึงสุรชัยก็ประกาศอีกช่วงเวลาสำคัญในค่ำคืนนี้
“ท่านประธานขอเชิญผู้มีสิทธิ์ในมรดกทุกคนกับกรรมการผู้ถือหุ้นมารวมกันในห้องประชุมด้วยครับ”
นภธรณ์เดินตามหลังปรเมษฐ์เข้าห้องไปนั่งลงตรงเก้าอี้นวมที่ถูกจัดไว้ให้ การได้ทะเลาะและร้องเพลงกับปฏิมาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
ตอนนี้ในห้องมีแต่คนที่เขารู้จัก คุณย่านั่งอยู่ข้างๆ คุณปู่ ครอบครัวของปรกฤษฎ์นั่งอยู่ถัดออกไปและที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาคือคุณบังอาจหรือปู่เล็ก
ทนายประจำตระกูลเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่สุรชัยจะทำการปิดล็อกประตู
“ผมจะเปิดพินัยกรรมของคุณบังเอิญให้ทุกท่านทราบ” ทนายกล่าว “มรดกจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือเงินสดซึ่งจะทำการโอนให้แล้วเสร็จภายในสามวันนับจากการประกาศและอีกส่วนซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นผู้ได้รับมอบจะมีสิทธิ์ถือครองก็ต่อเมื่อคุณบังเอิญหมดลมหายใจหรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในภายหลัง ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคุณบังเอิญเอง”
ทนายหยิบเอกสารขึ้นมาตั้งต้นจะอ่านเมื่อใครคนหนึ่งยกมือขึ้นทักท้วง
“ขอโทษนะครับพี่” คุณบังอาจกล่าว “พี่บอกว่าขอพบผู้มีสิทธิ์ในมรดกกับผู้ถือหุ้นเท่านั้นนี่ครับแล้วทำไมผมถึงเห็นคนอื่นเข้ามานั่งในนี้ด้วยล่ะ”
“โป้มาในฐานะผู้ปกครองของหลานฉัน” คุณบังเอิญชี้แจงในส่วนที่รู้อยู่แล้วว่าต้องมีคนถาม
“พี่พูดว่า ‘หลาน’ อย่างนั้นเหรอครับ” คุณปู่เล็กพูดต่อ
“นอฟเป็นลูกชายอย่างถูกต้องตามกฏหมายของผม ไม่ทราบว่าคุณอามีข้อสงสัยอะไรหรือครับ” ปรเมษฐ์ถาม “ผมมีทั้งใบทะเบียนสมรสและใบรับรองบุตรยืนยันว่านอฟเป็นลูกผม”
“ลูกตามกฏหมายไม่ได้หมายความว่าจะเป็นลูกตามสายเลือดนี่นา”
ได้ยินคำนี้หัวใจนภธรณ์ก็เต้นรัวขึ้นทันที และอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมือไม้มันอ่อนแรงไปหมด เขากำมือที่ชื้นเหงื่อบนหัวเข่าแน่น ภาวนาจนสุดใจขอให้ไม่ใช่เรื่องที่คิด
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมาอย่ามัวแต่เล่นลิ้นเจ้าอาจ” เจ้าของมรดกตัดบท
“งั้นผมสรุปเลยนะ” คุณบังเอิญลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบซองเอกสารขึ้นมาและอ่านออกเสียงดังๆ ให้ทุกคนได้ยิน “ผล DNA นี่ชี้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของนายปรเมษฐ์” มีความเย้ยหยันอยู่ในน้ำเสียงของคุณบังอาจ เขายิ้มอย่างสะใจพร้อมกับส่งเอกสารในมือวนไปให้ทุกคนดูจนครบ
“ว่าไงนะ”
“เป็นความจริงเหรอ”
คุณบังอาจปล่อยเวลาให้ข้อมูลนั้นซึมซับเข้าสู่สมองของทุกคนก่อนจะพูดอีกครั้ง “สรุปง่ายๆ เลยนะครับ เด็กคนนี้ไม่ใช่หลานพี่ และเขาไม่ใช่คนในตระกูลของเรา”
ทุกสายตาในห้องต่างจับจ้องมาที่ปรเมษฐ์ รวมทั้งนภธรณ์ที่พูดอะไรไม่ออกเช่นกันแม้จะรู้อยู่แล้ว ตอนนี้ที่เขาเป็นห่วงคือความรู้สึกป๊า ป๊าจะเจ็บช้ำแค่ไหนเมื่อได้รู้ความจริงว่าโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกให้เลี้ยงลูกคนอื่นมาตั้งสิบเจ็ดปี
นภธรณ์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ฝ่ามือชื้นเหงื่อกำอยู่บนหัวเข่าแน่น เขาเห็นคุณปู่หันมามองเขาราวกับจะตั้งคำถาม ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมีความผิดหวังฉายชัด แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก เพราะหัวใจของเขาเองก็จุกจนเจ็บไปหมดกับคำว่า ‘เขาไม่ใช่คนในตระกูล’… เพราะนั่นหมายความว่าเขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ เป็นแค่เด็กที่โดนแม่ทิ้งและไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อด้วยซ้ำ
“มีอะไรอยากจะแก้ตัวอีกไหมโป้” คุณบังอาจถาม
ความอึดอัดกำลังเข้ายึดครองไปทั่วทั้งห้องเมื่อจู่ๆ ปรเมษฐ์ก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังกลบเสียงซุบซิบในห้องประชุม “เฮ้อ~”
ทุกคนพากันเงียบและหันมองหน้ากันงงๆ
“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่คุณอาบอกน่ะแหละครับ” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงนุ่มด้วยท่าทีที่ราวกับยกภูเขาออกจากอกกับความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจมานานหลายปี “ขอโทษนะครับที่โกหกทุกคน และเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ผมกับลูกก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพินัยกรรมนี้แล้วสินะ ดังนั้นพวกเราก็ขอตัวก่อนนะครับ… เรากลับกันเถอะ นอฟ” พูดจบก็หันไปหาคว้ามือลูกชายและจูงมือเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจสายตาดูแคลนและเสียงซุบซิบนินทาของใครๆ ที่ดังตามหลังว่าเขาเป็นลูกที่ถูกเก็บมาบ้าง ปรเมษฐ์ถูกสวมเขาบ้าง
แต่สิ่งเหล่านั้นมีผลกับหัวใจของเด็กหนุ่มน้อยมากเมื่อเทียบกับนัยน์ตารื้นน้ำที่ราวกับใจสลายของผู้อาวุโสเจ้าของงานที่มองมาจนเขาต้องก้มหน้ามองพื้นเพราะไม่อาจทนเห็นได้อีกต่อไป
(ต่อข้างล่างค่ะ)