ผ่านมาหลายวันแล้วแหะ พี่มิ้นยังไม่มาต่อเลยอ่ะ
ท่าทางพี่มิ้นคงจะยุ่งอยู่แน่เลย
รออ่านอยู่นะคะ รีบมาลงต่อเร็วๆน้า ^^
แฮะๆๆ
ช่วงนี้ยุ่งมากมาย เพราะต้องรีบสะสางงานที่สะสมไว้ ให้หมดก่อนสงกานต์ค่ะ พอจะอภัยกะข้ออ้างเราได้มั้ยเนี้ย
อีกอย่างก็คือพี่เคทยังแต่งเวอร์ชั่น เคน - เคลวิน ออกมาไม่จบ
พี่เคท มิ้นขออนุญาตทวงเลยนะพี่
คงต้องรอกันหน่อยนะคะ
--------------------------
ตอนที่ 10
----------------------
ตอบออกไปตามตรง ตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อเคลวินเรียกว่ารักหรือเปล่า เลยไม่อยากจะพูดให้ความหวังกับเคลวิน และครอบครัวของเขา กลัวว่าถ้ามันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกกตัญญู ตอบแทนน้ำใจดีๆที่มีให้กัน มันจะทำให้เขาเข้าใจผิด .....
“อะไรกัน จนป่านนี้แล้วยังไม่มั่นใจอีกเหรอ ฉันคิดว่าเธอกับลูกชายฉันคงไม่ได้อยู่ด้วยกันเฉยๆใช่ไหม เอ้อ...ฉันคิดว่า เธอสองคนต้อง เอ้อ...”
แม่ของเคลวินแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ทำท่าเหมือนไม่อยากจะพูดประโยค คงจะกลัวว่าผมจะอาย แต่ในท้ายที่สุดก็พูดออกมา คงคิดว่าอ้ำอึ้งไป เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิดไปอีก เลยพูดตรงๆเลยดีกว่า
“มีอะไรลึกซึ้งกันใช่ไหม”
ผมถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก มองตอบท่านประธานที่มองมาด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เล่นถามกันโต้งๆ แบบนี้ มีหรือที่ผมจะปฏิเสธได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเล่า คนที่รู้เรื่องนี้ นอกจากผมและเคลวินแล้ว ก็มีป้าหมี่และลุงเทพ ใครคนใดคนหนึ่งต้องเล่าให้แม่ของเคลวินฟังแน่ๆ ถ้าโกหกบอกว่าไม่ใช่ เรื่องก็คงจะแย่กว่าที่เป็นอยู่
“เอ้อ...ครับ...ผม...ผมขอโทษ”
กล่าวออกไปอย่างรู้สึกสำนึกผิดที่ได้ล่วงเกินลูกชายของท่านประธาน แม้ที่ผ่านมาเคลวินจะเป็นฝ่ายปลุกปล้ำผมตลอด แต่ถ้าผมไม่ยินยอมพร้อมใจด้วย เรื่องทุกอย่างคงไม่เกิด
“จะขอโทษทำไม ฉันไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องผิดซักหน่อย คนเรารักกัน มีอะไรกันก็เรื่องปกติ ที่ถามเพราะอยากรู้ว่า ลูกชายฉันรักเขาข้างเดียวหรือเปล่า ถ้าเธอไม่ได้รักเขา ฉันก็จะได้คุยกับลูกชายฉัน ให้ทำใจ เขาจะได้ตัดใจจากเธอ”
สีหน้าแววตาและคำพูดเต็มไปด้วยความเด็ดขาดจริงจัง จนผมรู้สึกเกรง ท่าทางเอาเรื่องแบบนี้ เหมือนเคลวินไม่มีผิด ถ้าหากผมจะบ่ายเบี่ยงโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ผมคงต้องถูกเล่นงานอย่างไม่ต้องสงสัย
“อย่ากลัวที่จะตอบความจริง ถ้าเธอกำลังกลัวว่า คำพูดของเธอจะทำให้ฉันไม่พอใจ และจะไล่เธอออกล่ะก็ เธอคิดผิด เรื่องของความรักมันฝืนใจกันไม่ได้ ถ้าเธอไม่รักลูกชายฉัน ก็เป็นเพราะเธอกับเขาไม่ได้ถูกสร้างมาคู่กัน มีบางอย่างที่ไปด้วยกันไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเธอกับเขา และฉันจะไม่ขับไล่ใสส่งคนที่ไม่มีใจให้กับลูกฉันหรอก มันจะเป็นการแพ้แล้วพาล ซึ่งไม่ใช่นิสัยของพวกเรา”
ถึงแม้ว่าท่านประธานจะรับรองกับผมว่าทุกสิ่งที่ผมพูดออกไป จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อหน้าที่การงานของผมทั้งสิ้น ผมก็ยังไม่กล้าพูดอยู่ดี
“ขอถามอีกครั้ง เธอรักลูกชายฉันหรือเปล่า”
“เอ้อ...ผมไม่รู้จะตอบอย่างไรครับท่านประธาน ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อคุณเคลวิน เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่าผมรู้สึกดีกับเขา รู้สึกเป็นห่วง อยากให้เขามีความสุข...อยากเห็นเขายิ้ม ไม่อยากเห็นเขาเศร้าครับ”
ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดทุกสิ่งที่เป็นความรู้สึกที่ผมมีต่อเคลวิน ท่านประธานใหญ่นั่งฟังอย่างตั้งใจ มีรอยยิ้มน้อยๆระบายในหน้า พี่สาวของเคลวินก็มีอาการดุจเดียวกัน ดูเหมือนว่าผมจะมาถูกทาง ทั้งสองน่าจะถูกใจไม่น้อย
“ขอบใจนะ ที่พูดความรู้สึกของตัวเองให้ฟัง แม้เธอจะไม่ได้บอกว่ารักลูกชายฉัน แต่สิ่งที่เล่ามา ก็บอกได้ว่าเธอคิดอย่างไร และฉันก็เชื่อว่าลูกชายฉันไม่ได้คิดเอาเองฝ่ายเดียวแน่”
ท่านประธานส่งยิ้มที่เป็นมิตรมาให้ผม มันทำให้ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ที่พวกเขาเข้าใจผม และไม่เซ้าซี้จะเอาคำรักออกจากปากผมให้ได้ ซึ่งทำให้ผมได้มีเวลาคิดไตร่ตรองว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเคลวิน ไม่ใช่รีบตอบเพื่อที่จะเอาใจ ให้ตัวเองอยู่รอดได้ในบริษัทนี้
“เคลวินฝันอยากเป็นเจ้าสาวมาตลอด ตั้งแต่เป็นเด็กแล้วที่เขาแย่งดอกไม้เจ้าสาวมาครอบครอง เขาก็ไม่เคยที่จะคิดเป็นเจ้าบ่าวอีก ฉันรู้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลกๆที่บ้านเราจะยอมให้ลูกชายแต่งงานกับผู้ชาย แทนที่จะหาเจ้าสาวมาแต่งงานด้วย แต่อะไรที่มันเป็นความสุขของลูก คนเป็นพ่อแม่คงไม่นิ่งดูดาย....”
เมื่อได้ฟังคำตอบจากปากผมแล้ว ท่านประธานใหญ่ก็เอ่ยปากเผาลูกชายให้ฟัง คำพูดของท่านแสดงให้เห็นถึงความรักและความเข้าใจที่มีในตัวลูกชายอย่างเปี่ยมล้น สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้สำหรับครอบครัวของเคลวิน คือความรักที่มีให้กันอย่างเปี่ยมล้น ยอมรับได้ในสิ่งที่คนในครอบครัวเป็น ไม่ชิงชังรังเกียจ หรือต้องการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมเป็นที่ยอมรับของสังคม
“ เราจะไม่ขัดขวางความรักของเขา จะไม่ขีดเส้นให้เขาเดิน ไม่ฝืนใจให้เขาทำในสิ่งที่พวกเราเป็นสุข แต่ตัวเขาต้องเป็นทุกข์ ถ้าสิ่งไหนที่เคลวินทำแล้วสบายใจ มีความสุข เราก็พร้อมจะสนับสนุน และนั่นหมายรวมถึง หากลูกอยากจะอยู่กินกับคนรักที่เขาเลือกไว้ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย พวกเราก็พร้อมจะยอมรับ”
ช่างเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ฟังแล้วน่าปลื้มแทนเคลวินยิ่งนัก ที่คนในครอบครัวรักและเข้าใจเขาขนาดนี้ มิน่าเคลวินถึงได้มั่นอกมั่นใจตัวเองนัก และกล้าที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่เกรงใจใคร ที่แท้เพราะครอบครัวสนับสนุนนี่เอง
“แม่กับพี่สเตฟานี่ คุยอะไรกับเคนอยู่ครับ”
หลังจากผมถูกแม่ของเคลวินล้วงความลับของหัวใจได้สักพัก เคลวินก็เดินยิ้มแฉ่งออกมาจากห้องครัว สงสัยจะแอบฟังเรื่องที่พวกเราคุยกัน เลยอารมณ์ดี เมื่อได้ยินคำตอบของผม
คนเจ้าเล่ห์เดินมานั่งเบียดกับผมที่โซฟา ตัวเขาใหญ่โตมาก ในขณะที่โซฟาที่ผมนั่งอยู่มันสำหรับคนเดียวนั่งสบายๆ พอเขามาเบียดนั่งด้วย ก็เลยดูอึดอัด ผมกวาดตามองไปยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอื่นๆ แล้วก็มองเคลวินเป็นเชิงให้เขาไปหาที่นั่งที่เหมาะสม แต่ประธานสองหน้ากลับนิ่งเฉย ไม่ยอมขยับ แถมหันหน้ามายิ้มให้ผมอีก ท่าทางไม่ลุกไปไหนง่ายๆแน่ แล้วผมก็ย้ายที่นั่งไม่ได้ด้วย เดี๋ยวมันจะน่าเกลียด ผมก็เลยได้แต่ทอดถอนใจ แล้วก็ปล่อยเลยตามเลย นั่งเบียดกับเขาในโซฟาอยู่อย่างนั้น
“คุยเรื่องของเราอยู่นั่นแหละ เคลวิน ทำไมมีคนรักแล้วไม่ยอมบอกคนในครอบครัวให้รู้ ทำไมต้องปิดเงียบ แล้วหนีมาอยู่กันสองคนด้วย”
พี่สาวคนสวยของเคลวินพูดขึ้นบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายฟังผมกับแม่ของพวกเขาตอบโต้กันอยู่นาน
“ก็ ผมยังไม่แน่ใจนี่นาว่าเคน เขาจะยอมรับรักผมหรือเปล่า”
นั่นแน่ะ โยนเรื่องมาให้ผมเสียแล้ว เจ้าเล่ห์นัก ตอนนี้แม่กับพี่ของเคลวินละสายตาจากเขามามองที่ผมเป็นตาเดียว ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆให้ จำไว้เลยนะเคลวิน ร้ายกาจนักนะ กะให้แม่กับพี่ช่วยเรื่องของเราหรือยังไง ถึงไง ผมก็ยังงอนเขาอยู่ รอให้สองสาวออกจากห้องก่อนเถอะ ผมจะจัดการกับเคลวินให้สาสม
ว่าแต่...ผมจะจัดการอย่างไรดีเนี่ย...
ปล้ำเขาเอาคืนบ้างดีไหม.....
หรือว่าจะแกล้งยั่วให้อยากแล้วจากไป ทรมานเขาเล่นดี
เอ๊ะ...ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย...ตกลงผมโกรธเขาจริงใช่ไหม ทำไมบทลงโทษที่คิดได้ มันถึงแปลกๆจัง
ผมนั่งนึกวุ่นวายอยู่ในใจ เกี่ยวกับตัวเคลวิน มารู้ตัวอีกที ก็เมื่อประธานสองหน้าเอามือโอบรอบเอวผมไว้ แล้วเบียดมาชิดผมอีก
“นี่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็คงไม่คิดจะบอกพ่อแม่หรือคนที่บ้านให้รู้เลยสินะ ..มันน่าน้อยใจนัก ที่พวกเรารู้ทีหลังคนรับใช้ในบ้าน”
คนเป็นแม่ตัดพ้อต่อว่าอย่างน้อยอกน้อยใจ คนรับใช้ที่ว่านั้น ก็คงไม่พ้น ป้าหมี่และลุงเทพแน่ๆ ก็น่าอยู่หรอกที่แม่ของเคลวินจะไม่พอใจ ขนาดตัวเองเป็นผู้ให้กำเนิดยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกชายเลย คนทำงานบ้านกลับได้รู้ก่อน
“แม่ครับ พี่ครับ ผมขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะปิดจริงๆครับ แต่ผมต้องการคำตอบจากเคน อยากให้แน่ใจก่อนว่าเขามีใจให้ผมบ้าง ผมก็กะจะพาเคนเข้าบ้านให้พ่อกับแม่และพี่ๆดูตัวครับ”
เคลวินบอกสิ่งที่คิดไว้ออกมา เล่นเอาผมถึงกับสะดุ้ง เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะมีความคิดเปิดตัวผมเช่นนี้ นอกจากจะเป็นจอมบงการแล้ว ยังเป็นจอมวางแผนอีก ร้ายนักนะ
“ตอนนี้ก็เปิดตัวได้แล้วสิ เพราะเคนเขาก็รู้สึกดีกับเรานี่ ไม่เห็นเขาจะมีทีท่าว่าเกลียดเคลวินตรงไหน”
แม่กับลูกรับส่งเข้าขากันดีจริง พอลูกพูดจบ แม่ก็เสริม เปิดทางให้เสร็จสรรพ
“จริงหรือครับที่รัก เคนรู้สึกดีกับผมจริงๆใช่ไหม”
พอได้ยินแม่พูดอย่างนั้น คนเจ้าเล่ห์ก็ก้มหน้าลงมาหาผมซะใกล้ ก่อนจะกระซิบถามเสียงหวาน มือที่กอดเอวไว้หลวมๆก็กระชับแน่นเข้า
“ฝากไว้ก่อนนะเคลวิน”
ผม กระซิบตอบลอดไรฟัน แต่เคลวินแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขู่ของผม เขาตอบกลับแม่ตัวเองด้วยเสียงร่าเริง
“ครับแม่ เดี๋ยวถ้าไง ผมจะพาเคนไปให้คนในครอบครัวเราดูตัวกันอีกครั้งนะครับ จะนัดวันไป ยังไงก็อยู่กันให้ครบๆนะครับ”
พูดเองเออเองเสร็จสรรพ ไม่ถามผมสักคำ ว่าอยากไปด้วยไหม เรื่องห้องพักของผมก็ยังไม่เคลียร์ให้จบ กลับมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องใหม่อีก เคลวินนี่หน้ามึนจริงๆ
“ต้องพาไปจริงๆนะเคลวิน แม่เองก็อยากเปิดตัวลูกเขยเต็มแก่แล้ว ดูสิว่าคนอื่นจะชอบเคนอย่างที่แม่ชอบไหม”
“ลูกเขย” “ชอบเคน” สองคำนี้ดังก้องอยู่ในหัวของผม มันทำให้ผมตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าแม่ของเคลวินจะยอมรับผมง่ายดายอย่างนี้ แค่พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ยอมรับผมแล้วหรือ จะตัดสินใจเร็วไปหน่อยไหม
ไม่ใช่แค่แม่ของเคลวินอย่างเดียวที่แสดงออกว่ายอมรับผมเป็นลูกเขย พี่สาวเคลวินเองก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ บ้านนี้เขาจะไม่คิดขัดคอกันเลยใช่ไหม ตามใจกันแบบนี้เคลวินถึงเหลิง ลูกจะชอบใคร ไม่ว่าซักคำ แค่ลากตัวผมมาซักถาม แล้วก็สรุปจบว่าพอใจ อะไรมันจะง่ายขนาดนี้
รู้สึกงงไปหมด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อครู่นี้ ผมยังงอนเคลวินอยู่ จะหนีออกจากบ้าน ลงไปข้างล่าง เจอแม่เคลวิน แล้วก็ถูกพากลับขึ้นมา ถูกซักถูกถาม ผมยังหวาดหวั่นกลัวเกรงอยู่เลย ตอนนี้ผมกลายเป็นลูกเขย กลายเป็นคนที่แม่ชอบไปแล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวเลย
“ดีใจจังที่แม่กับพี่ชอบเคนเหมือนผม รู้งี้ พาไปเปิดตัวตั้งแต่ทีแรกก็ดี ทุกอย่างมันจะได้ง่ายกว่านี้”
คนเจ้าเล่ห์พูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข เขากอดผมแน่น ก้มหน้ามาใกล้ และต่อหน้าต่อตาแม่ เขาก็หอมแก้มผมฟอดใหญ่ จนผมถึงกับสะดุ้ง ทำไมเขาถึงไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจแม่ของตัวเองบ้างนะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฝรั่งมังค่ากันทั้งครอบครัว แต่มาอยู่เมืองไทยนานขนาดนี้ จะซึมซับประเพณีวัฒนธรรมไทยมาใช้หน่อยไม่ได้หรือไง การนัวเนียใกล้ชิด กิจกรรมของคนรัก มันควรจะทำกันแค่สองต่อสองใช่ไหม ทำไมต้องมาทำให้คนอื่นเห็นด้วย เขาไม่อาย แต่ผมอายนี่
“ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอก รีบเปิดตัวตอนนี้ก็ดีนะ หลายต่อหลายคนเริ่มสงสัยแล้วล่ะ ว่าเคลวินหายไปไหนหลายเดือนไม่ยอมกลับบ้านช่อง ก่อนที่จะมีคนแห่มาที่บริษัทเพื่อหาสาเหตุการหายตัวไปของเธอ เธอก็ควรชิงเปิดตัวคนรักให้คนในครอบครัวเราได้รับรู้ไว้นะ”
พี่สาวเสนอความคิด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ทำให้ผมตกใจ คนในครอบครัวนี้เขาคิดอะไรกันอยู่ เปิดตัวว่าลูกชายอยู่กินกับผู้ชายด้วยกันนี่นะ ไม่อายเหรอ ไม่กลัวคนนินทาให้เสื่อมเสียชื่อเสียงทั้งตระกูลหรือไง
“ดูเคนสิ ทำหน้าตกใจใหญ่แล้ว คงไม่คิดว่าบ้านเราจะยอมรับกันง่ายขนาดนี้”
แม่ของเคลวินคงเห็นผมมีสีหน้าแตกตื่น ก็เลยเอ่ยปากแซวขึ้นมา เคลวินเอี้ยวตัวมามองหน้าผม แล้วหัวเราะ
“เราปกครองคนในครอบครัวด้วยความรักจ๊ะเคน ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครชอบสิ่งไหน และถ้ามันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไป เราไม่เคยห้าม ไม่เคยกีดกัน ทุกคนโตแล้ว คิดเองได้ ถ้าคิดแล้วผิด ก็ต้องยอมรับชะตากรรมไป พวกเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่จะสนับสนุนให้กำลังใจจ้ะ”
สเตฟานี่พี่สาวของเคลวินแก้ข้อสงสัย ผมรู้สึกดีใจแทนเคลวินไปด้วย ที่ถือกำเนิดมาในครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความเข้าใจ ซึ่งหาได้ไม่ง่ายในสังคม ส่วนใหญ่พ่อแม่ก็อยากให้ลูกของตัวเองได้ดิบได้ดี เป็นในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไว้
บางครอบครัวถึงกับบีบบังคับให้ลูกทำอย่างที่ตัวเองต้องการ ถ้าหากไม่ได้ดั่งใจก็ลงโทษลูก แต่ไม่ใช่กับครอบครัวเคลวิน พวกเขาแคร์ความรู้สึกของกันและกันมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง คงเป็นเพราะพวกเขาเป็นฝรั่ง การเลี้ยงดูเลยเน้นหลักประชาธิปไตย เคารพสิทธิส่วนบุคคล ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ทุกคนจึงมีเสรีในการใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างเต็มที่
“ไม่ต้องกลัวพวกเรานะเคน เราไม่ใช่ครอบครัวใจร้าย ที่จะกีดกันลูกเขย หรือสะใภ้ หากไม่ชอบใจ เรื่องฐานะครอบครัว หรือความแตกต่างทางสังคม เราไม่เอามาเป็นประเด็นในการเลือกคนเข้ามาอยู่ในครอบครัวเรา ลูกหลานเราชอบใคร เราชอบคนนั้นด้วย ความสุขของเขาคือความสุขของเรา เคลวินรักเธอ พวกเราก็รักเธอด้วย”
ท่านประธานแม่ของเคลวินคงกลัวว่าผมจะเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น เลยพูดให้ผมสบายใจ ยอมรับตามตรงว่าผมเครียดตั้งแต่เห็นพวกเขาที่ลานจอดรถข้างล่าง พอถูกซักถามก็เป็นกังวล กลัวเคลวินจะมีปัญหา และกลัวว่าแม่และพี่ของเคลวินจะแสดงความรังเกียจผม คิดไปต่างๆนานาว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับเคลวิน กลัวจะได้ยินคำพูดดูหมิ่นดูแคลน เหมือนที่เคลวินหลุดปากพูดออกมา ทว่าสิ่งที่กลัวไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งแม่และพี่ของประธานเจ้าเล่ห์ปฏิบัติต่อผมด้วยท่าทีเป็นมิตร มีทีท่าพึงพอใจกับคำตอบของผมด้วย
“เคนเป็นคนน่ารัก และมีเสน่ห์ ใครเห็นก็อดจะหลงรักไม่ได้ ขนาดแม่กับพี่ได้เจอเคนแค่วันเดียว ยังหลงรักเลย แล้วผมล่ะ ต้องเจอหน้าเคนทุกวัน จะไม่รักเคนได้ไง”
เคลวินพูดด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม และชมเสียจนผมเขิน จะปิดบังอารมณ์ตัวเองสักนิดก็ไม่มี รู้สึกอายน่ะ มีบ้างไหม
“ก็จริงนะ เคนน่ารัก ดูซื่อๆดี ก็เหมาะกับคนเจ้าเล่ห์อย่างเธอแหละ เคลวิน”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินพี่น้องหยอกเอินกัน และผมก็เห็นด้วย เคลวินเจ้าเล่ห์มากๆ
“ผมเจ้าเล่ห์แต่ก็รักจริงนะครับ ผมรักเคนคนเดียวเท่านั้น”
พูดจบเขาก็กอดผมแน่น ผมพยายามแกะมือเคลวินออก รู้สึกอายที่เขาแสดงความรักที่มีต่อผมอย่างโจ่งแจ้ง ไม่อายคนในครอบครัว ผมมองสองสาวต่างวัยด้วยสายตาตื่นๆ ทว่าสายตาที่มองกลับมา แสดงความเอ็นดูแกมขำ
“เชื่อแล้วว่ารักจริงๆ แต่ไม่ต้องแสดงออกมากก็ได้ สงสารเคน คงไม่ชินกับการแสดงความรู้สึกอย่างนี้”
-------------------------
TBC