ตอนพิเศษ [7]
----------------------
“แสดงว่ามีเหตุผลอื่นอีก....”
ทำเสียงเยาะเย้ยเขาอีก เคลวินยิ่งจ๋อยหนักเข้าไปใหญ่ แต่เขาก็ยังมีสติดีพอ รีบอธิบายต่อเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของผม
“ใช่ครับ อย่างแรกเลยก็คือ ห้องเช่าของคุณไกลจากที่ทำงานมาก ไปมาก็ลำบาก ต้องใช้เวลาไปกลับหลายชั่วโมง มันทำให้คุณเหนื่อยเกินความจำเป็น แทนที่จะเอาเวลาทั้งหมดที่เสียไปกับการเดินทาง ก็สู้เอาเวลาเหล่านั้นมาทำอะไรให้เกิดประโยชน์ดีกว่า”
ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับเขา เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ผมรู้สึกท้อใจ ที่ต้องตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปจอดไว้ที่ริมฟุตบาท ตรงถนนใหญ่ ต่อรถเมล์เพื่อไปทำงาน ซึ่งบางครั้งก็โชคดีได้นั่ง บางวันก็ต้องยืนยาว กว่าจะถึงที่ทำงานก็เหงื่อตก
แถมตอนกลับบ้าน วันไหนงานเยอะ ต้องอยู่ทำโอที กว่าจะกลับมาถึงบ้าน ปั่นจักรยานกลับก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด แถมบางวัน ภรรยาจอมหื่นก็ยังกวนใจไม่ให้ผมได้หลับได้นอนอีก
ผมเคยคิดจะย้ายบ้านเช่าหลายครั้งเหมือนกัน แต่ยังไม่สบโอกาส เนื่องจากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ผมต้องแบ่งเงินไว้ใช้สำหรับตัวเอง ส่งให้พ่อแม่และน้องๆ และยังเป็นค่าเช่าบ้านอีก
จะไปอยู่อาศัยในเมือง ผมก็คงสู้ค่าที่พักไม่ไหว เลยต้องพับโครงการไว้ก่อน ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะเจอคนใกล้ตัวจับมัดมือชก อยู่ดีๆก็กลายเป็นคนไร้ที่อยู่ที่เป็นของตัวเอง
“ข้อที่สอง บ้านของคุณ อยู่ในซอยลึก เปลี่ยว น่ากลัวมาก ถึงห้องเช่าจะราคาถูก แต่ก็ไม่ค่อยปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน หากคุณกลับมาดึกๆ แล้วมีผู้ประสงค์ร้ายดักจี้ชิงทรัพย์คุณระหว่างทาง คุณจะทำอย่างไร ผมมารอคุณอยู่ที่นี่ ไม่รู้ไม่เห็น ก็ไม่สามารถช่วยเหลือคุณได้”
ข้อนี้ก็จริงของเคลวินอีกเช่นกัน บ้านเช่าราคาถูก มักอยู่ไกล และเปลี่ยว ราคาจึงเป็นเครื่องจูงใจให้คนตัดสินใจมาเช่าอยู่ หากผมมีเงินเยอะ ผมก็คงอยู่ในที่ปลอดภัยกว่านี้
“อาหารการกินก็ลำบาก หาซื้อได้ยาก ต้องซื้อตั้งแต่ปากซอยเข้ามา หากวันไหนกลับมาดึกๆ ลืมซื้ออะไรเข้ามากิน ก็จะต้องนอนหิวทั้งคืน”
นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมเคยรู้สึกหงุดหงิด เพราะบางที ผมทำงานเพลินๆ รู้สึกหิวอยากหาอะไรกิน แต่แถวบ้านไม่มีอะไรขาย อยากจะกินก็ต้องเดินออกไปซื้อที่ปากซอย
สมัยก่อนไม่มีตู้เย็นแช่ของ ผมก็ต้องกินให้อิ่มก่อนเข้าบ้าน หรือไม่ก็ซื้อเข้ามาทาน แต่ก็ต้องซื้อให้พอกิน เพราะถ้าซื้อมาน้อย ก็ต้องทนหิว ถ้าซื้อมาเยอะ ก็ไม่มีที่เก็บ ต้องทิ้งให้เน่าเสีย
“ที่สำคัญ ห้องของเคนแคบมาก ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของผู้ช่วยเลขาของประธานบริษัท คุณน่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่านี้ จะได้สมฐานะนะครับ ทำงานในบริษัทใหญ่โต จะทำตัวกระจอกงอกง่อยได้ไง”
ในท้ายที่สุดข้อสรุปของเขาก็มาลงที่ความมีหน้ามีตาในสังคมจนได้ ผมไม่เห็นด้วยเลย กับเปลือกนอกสวยงาม ที่ทุกคนพยายามจะให้ความสำคัญกับมัน ผมสนแต่เรื่องของจิตใจมากกว่า
“ถึงผมจะเอาหนังราชสีห์มานุ่งห่ม แต่ยังไงผมก็คงเป็นได้แค่หมาตัวหนึ่ง จะให้ผมแสร้งทำเป็นคนรวย ผมคงทำได้ไม่เนียน เหมือนพวกผู้ดีมีสกุลหรอกครับ”
ตอบอย่างประชดประชัน เคลวินนิ่งอึ้งไปสักพัก ใบหน้าของเขาถอดสี รีบปฏิเสธเสียงลั่น
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ผมไม่เคยดูถูกเรื่องความรวยความจน ไม่ได้เห็นว่ามันสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา
แต่ที่ผมพูดแบบนั้นก็เพราะว่า เคนทำงานอยู่ในบริษัทของผม ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการเงินและความมั่นคง สินค้าและการบริการของเราช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ลูกค้าดูดี
เราขายภาพลักษณ์ที่สวยหรูมีระดับ นั่นหมายความว่า เราต้องทำให้ลูกค้าของเราเชื่อว่าเราเป็นพวกคนชั้นแถวหน้าจริงๆ ถ้าเราทำสวนทางกับสิ่งที่เรานำเสนอ แล้วลูกค้าจะเชื่อมั่นศรัทธาเราได้อย่างไร”
เหตุผลที่เขาอธิบายฟังพอเข้าท่าบ้าง ในแง่ของเจ้าของกิจการคงต้องคำนึงถึงหน้าตาขององค์กรเป็นหลัก แต่ในฐานะสามีภรรยากัน จำเป็นด้วยหรือที่ต้องยึดถือหน้าตามากกว่าหัวใจ
“การที่ผมบอกว่า ไม่ให้คุณทำตัวกระจอกงอกง่อย ผมไม่ได้กำลังบอกให้คุณทำตัวฟุ้งเฟ้อ ผมแค่ให้คุณทำตัวสมกับฐานะ
คุณเป็นเลขาของท่านประธานนะครับ ประธานที่มีบริษัทในเครือมากมาย จะปล่อยให้ลูกน้องตัวเองอยู่ในบ้านซอมซ่อได้อย่างไร มันแสดงให้เห็นว่าผมไม่เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานในบริษัท ภาพลักษณ์ขององค์กรจะเสียหายไปด้วย”
นี่เขาห่วงภาพลักษณ์ขององค์กรมากกว่าจิตใจของผมหรือนี่ แล้วที่ผ่านมานั้นมันคืออะไร เขาหลอกผมให้ตายใจ
คิดว่าเขายอมทำทุกอย่างเพราะรักผม เพื่อหวังจะให้ผมตกลงปลงใจกับเขาใช่ไหม พอผมตัดสินใจเลือกเขา เคลวินก็ถือโอกาสเปลี่ยนแปลงผมอย่างที่ตัวเองต้องการ ทำแบบนี้ผมรับไม่ได้
“เคนครับ เชื่อผมเถอะนะ ผมหวังดีกับคุณจริงๆ ผมรักคุณนะครับ”
เขาบอกรักผม เมื่อก่อนนี้ผมอาจจะเชื่อ แต่ตอนนี้ผมเริ่มคลางแคลงใจในตัวเขาเสียแล้ว ความโกรธที่เคลวินทำอะไรลงไปโดยพลการ ยังไม่เท่ากับการที่เขาทำร้ายจิตใจผมด้วยการพูดจากคล้ายดูถูกกันเช่นนี้
ใช่สิ ผมมันกระจอก ผมมันไม่คู่ควรกับเขา ผมไม่ได้รวยล้นฟ้า มีทรัพย์สินมากมาย เป็นคุณหนูอย่างเขานี่ บางที
ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา เพราะถึงยังไง กาก็ต้องเป็นกาอยู่วันยังค่ำ ไปรวมอยู่กับฝูงหงส์ คงไม่เป็นหงส์ ขึ้นมาได้
ความน้อยเนื้อต่ำใจที่เคลวินเห็นศักดิ์ศรีหน้าตามีราคามากกว่าหัวใจของผม ทำให้ผมไม่อยากให้ความสำคัญกับเคลวินอีกต่อไป
ผมหมุนตัวเดินหนีเขาเข้าห้อง และขังตัวอยู่ในนั้น ไม่ยอมออกมาทานข้าว แม้เขาจะร้องเรียกอ้อนวอนอย่างไร ผมก็ไม่ยอมออกมา จวบจนกระทั่งได้เวลานอน คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมนอนแยกจากเขา นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
หลังจากเหตุการณ์ไม่ลงรอยกันในวันนั้น ผมก็พยายามเลี่ยงที่จะเจอหน้าเคลวิน ผมนอนก่อนเขา และตื่นทีหลังเขา เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเจอกัน ผมจะทานข้าวเย็นก่อนเคลวิน ทานเสร็จก็จะหมกตัวอยู่แต่ในห้องซึ่งเคลวินเตรียมไว้ให้แขกที่มาเยี่ยมเยียนได้พัก แต่ผมยึดเอาไว้เป็นของตัวเอง ใช้เวลาส่วนใหญ่อ่านหนังสือพวกฮาวทูต่างๆ ที่เคลวินขนมาให้อ่าน
เขากลัวว่าผมจะไม่มีอะไรทำตอนที่ถูกพักงาน 30 วัน เลยค้นหาหนังสือที่เกี่ยวกับบริหาร การจัดการคนมาให้ผมได้ศึกษา เขาเคยพูดกับผมว่า ผมเป็นคนดีมีความสามารถ วันหนึ่งผมจะเป็นใหญ่เป็นโต และผมควรจะเรียนรู้ทุกอย่างให้เยอะเข้าไว้ ความรู้สามารถหามาจากหลายๆแหล่ง ทั้งการเข้ารับการอบรม การอ่านตำรา และการลงมือปฏิบัติ ถ้าผมขยันและมุ่งมั่น ผมต้องประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
หนังสือทุกเล่มที่เขาให้มา ผมอ่านและศึกษาค้นคว้าภายในเวลารวดเร็ว ที่จริงผมไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไม่มีอะไรทำ และต้องการหนีหน้าเคลวิน หนังสือจึงเป็นที่พึ่งสุดท้าย บางครั้งผมหนีเขาไม่ได้ ผมก็งัดหนังสือขึ้นมาอ่าน และไม่สนใจเขา ทำให้เคลวินเลิกตอแยผมไปโดยปริยาย
ดูเหมือนว่าเคลวินจะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี เขารู้ว่าผมโกรธเขามาก กับคำพูดของเขา โดยปกติเคลวินจะมาอ้อน มานัวเนียใกล้ๆ ทำให้ผมวุ่นวายใจ แต่คราวนี้เขากลับถอยห่าง คงอยากปล่อยให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง พอเวลาผ่านไป ผมอาจจะได้คิดและเลิกโกรธเขาก็ได้ แต่คงไม่มีวันนั้น
-----------------------------
TBC