ตอนพิเศษ [16]
----------------------
“ผมรู้ครับ ว่าผมมันก็แค่พนักงานต่ำต้อยคนหนึ่งในบริษัทของท่าน คนอย่างผม ไม่มีค่าอะไร ถ้าเทียบกับเคลวิน แต่สิ่งที่ผมมีไม่แพ้คนอื่น คือหัวใจ...ผมรักเคลวินมาก และผมจะไม่มีวันทำให้เคลวินพบกับความลำบากอย่างแน่นอน ถ้าท่านยอมยกเคลวินให้ผม ผมสัญญาว่าจะดูแลเขาอย่างดี”
น่าแปลกที่เคนไม่โกรธ เขากลับอ้อนวอนขอให้พ่อเห็นใจยอมยกผมให้เขาอย่างไม่ย่อท้อ เห็นความพยายามของสามีแล้ว มันทำให้ผมทนนิ่งเฉยไม่ได้
“พ่อครับ ให้เราอยู่ด้วยกันเถอะนะครับ ที่ผ่านมา เคนดูแลผมดีจริงๆ ผมอยู่กับเคนแล้วมีความสุขมากๆครับ”
“ไม่ได้”
พ่อตวาดใส่หน้า
“ลำพังตัวเอง ยังจะเอาตัวไม่รอดเลย ริอ่านจะมาเลี้ยงดูลูกชายฉัน ฝันไปหรือเปล่า พรุ่งนี้จะถูกไล่ออกจากงานอยู่รอมร่อแล้ว ยังจะมีหน้ามาขอดูแลลูกฉันอีก เตี้ยแล้วยังจะมาอุ้มค่อม ลูกจ้างอย่างเธอ ไม่มีวันทำให้ประธานบริษัทมีความสุขได้หรอก”
นับเป็นถ้อยคำดูถูกที่รุนแรงมาก ปกติพ่อผมจะไม่ใช่คนที่ไม่รักษาน้ำใจคนอื่น แม้จะดุ แต่ก็ไม่เคยเหยียบย่ำ ซ้ำเติมใคร หรือแบ่งชั้นวรรณะ แต่วันนี้พ่อผมทำตัวต่างจากที่เคยเห็น คงเป็นเพราะต้องการกำจัดเคนไปจากวงจรชีวิตของผม ไม่ให้เข้ามาทำให้ผมไขว้เขว ผมเห็นใบหน้าสามีสุดที่รักถอดสี แต่เขากลับไม่ถอดใจ กลับตอบอย่างเชื่อมั่น
“ถ้าท่านให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเอง ผมจะทำให้ท่านได้เห็นว่าผมสามารถทำให้เคลวินมีความสุขได้จริงๆ”
“ให้โอกาสเราสองคนนะครับพ่อ”
ช่วยเสริมคำพูดของสามี และรอฟังคำตอบจากพ่อ
“ถ้าเป็นกรณีอื่น ฉันอาจจะให้โอกาส แต่กรณีนี้ ฉันไม่ยอม กลับเข้าห้องแกไปได้แล้วเคลวิน ไม่ต้องมาพูดช่วยพนักงานบริษัทตัวเองหรอก รู้จักรักศักดิ์ศรีของประธานบริษัทบ้างนะ”
พูดจบ พ่อก็ไล่ให้ผมกลับเข้าห้อง เมื่อเห็นผมยังดื้อด้าน นั่งข้างเคนไม่ยอมขยับ พ่อก็ส่งเสียงเรียก ให้คนรับใช้ในบ้าน ตัวล่ำ ๆ สองสามคน มาดึงตัวผมไป ผมพยายามดิ้น แต่เคนส่ายหน้า แล้วมองผมเป็นเชิงปราม ผมเห็นความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของสามี เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพ่อของผมอย่างไม่หวาดหวั่น ท่าทางเหมือนไม่อยากให้ผมต่อต้าน ด้วย ปฏิกิริยารุนแรง สามีของผมคงจะพยายามใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว บางที วิธีการของสามีอาจจะถูกก็ได้
“เธอออกจากบ้านฉันไปได้แล้ว”
ยังไม่ทันที่ผมจะคล้อยหลัง พ่อก็หันมาเล่นงานเคน เบื้องหลังเขามีรปภ.ที่พ่อจ้างให้มาดูแลบ้านยืนอยู่
“ได้โปรดเถอะครับท่าน...”
เคนพยายามจะอ้อนวอนพ่อผมต่อ ทว่า รปภ.สองคนตรงเข้ามาหิ้วปีกเขาให้ลุกขึ้น ตามคำสั่งของพ่อ
“อย่าเสียเวลาเลย ไม่มีประโยชน์หรอก อาทิตย์หน้าเคลวินก็จะหมั้นแล้ว เธอตัดใจเสียดีกว่า”
เพื่อให้เคนไปจากผม พ่อถึงกับงัดไม้ตาย เอาเรื่องการหมั้นหมายที่จะเกิดขึ้นใน 1 อาทิตย์ข้างหน้ามาบอกให้เคนได้รับรู้ พ่อผิดสัญญาที่ให้ไว้กับผม เขาบังคับให้ผมยอมรับเรื่องการหมั้น โดยแลกกับการที่เคนจะได้ทำงานในบริษัทต่อไป แต่เมื่อครู่พ่อไล่เคนออก ไม่ให้ทำงานที่บริษัทแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่ยอมล้มเลิกสิ่งที่ได้คุยกันไว้ พ่อยังคิดจะให้ผมแต่งงานกับโบว์ ทั้งที่พ่อเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงระหว่างเรา แล้วผมจะโง่ยอมทำตามเพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร
“จริงหรือเคลวิน คุณจะแต่งงานจริงๆ เหรอ”
เคนหันมาถามผม น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ใช่นะเคน ผม...ผมจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากคุณคนเดียว”
ตะโกนบอกเขา ทว่าพ่อสวนโพล่งขึ้นมาทันควันว่า ผมไม่มีสิทธิเลือก ยังไง ผมก็ต้องแต่งงานกับโบว์ เพื่อสร้างครอบครัว มีลูกมีหลานสืบทอดวงศ์ตระกูล ฟังดูมันหัวโบราณมาก ไม่น่าเชื่อ ว่าฝรั่งอย่างพ่อจะคิดเรื่องการรักษาสมบัติ ด้วยการบังคับให้ลูกดองกับคนที่พ่อหามาให้ ผมพยายามปฏิเสธไม่ยอม แต่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรให้เคนเข้าใจ ผมก็ถูกพาไปที่ห้องนอน โดยมีป้าหมี่ตามไปติดๆ เพื่อช่วยดูแลผม
ประตูห้องนอนถูกปิดจากข้างนอก ผมเดินไปนั่งที่เตียงอย่างกลัดกลุ้ม โดยมีป้าหมี่เดินมายืนอยู่ใกล้ๆ ผมอ้าแขนออกกว้าง ป้าหมี่เดินเข้ามาหาผมอย่างรู้งาน ผมโอบกอดร่างของหญิงวัยกลางคนแนบแน่น
“ป้าหมี่ พ่อจะทำอะไรเคนหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ คุณหนู คุณพ่อคงแค่ไล่คุณหนูเคนออกไปจากบ้านแค่นั้น คงไม่ถึงกับทำร้ายร่างกายหรอก ถึงพ่อของคุณหนูจะดุ แต่ก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรอกค่ะ คุณเคลวินก็น่าจะรู้จักพ่อตัวเองนี่คะ”
แม่นมที่เลี้ยงผมมาแต่เล็ก กล่าวปลอบใจ ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น พ่อไม่ใช่คนที่จะทำร้ายใครด้วยความเกลียดชัง พ่อมีวิธีการฆ่าคนทางอ้อมด้วยคำพูด ซึ่งประสิทธิภาพของมันชะงัดนัก คนที่ได้ฟังพ่อผมพูดเหน็บเชือดเฉือน มักจะบ่นบอกเป็นเสียงดีกัน ว่ามันแสบเข้าไปถึงทรวง ทำให้เสียความรู้สึกได้มากกว่า ดังนั้นผมจึงเชื่อมั่นว่า พ่อคงไม่จับเคนไปต้มยำทำแกงที่ไหน แต่คงจะใช้วาทศิลป์ทำให้เคนอึดอัดไม่สบายใจ และยอมพ่ายแพ้ไปในที่สุด
“หนีออกจากบ้านกันดีไหมป้าหมี่ ผมไม่อยากได้แล้วสมบัติพัสถานอะไรเนี่ย ผมอยากอยู่กับเคน เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน”
ปรึกษาแม่นมที่ผมสนิทที่สุด แต่ป้าหมี่ไม่เห็นด้วยกับการที่ผมจะต่อต้านพ่อของตัวเองแบบนั้น มันเป็นความคิดของเด็กๆ ผมเป็นถึงผู้บริหารบริษัท คงไม่เห็นแก่ความรักจนต้องละทิ้งพนักงานอีกหลายร้อยชีวิตที่ต้องดูแล คนเหล่านั้น เขาก็รักผมเช่นกัน และหากผมยอมแพ้ลาออกจากบริษัท พ่ออาจจะเข้าไปควบคุมเอง หรือจ้างคนอื่นไปดูแล รากฐานที่ผมเพิ่งวางใหม่ให้บังคับใช้ในบริษัทอาจจะถูกล้มเลิก แล้วบริษัทก็เข้าสู่รูปแบบเดิมอย่างที่พ่อของผมเคยดูแลมาก่อน
คำแนะนำของป้าหมี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ถึงแม้ป้าหมี่จะเป็นเพียงแม่บ้าน เป็นคนที่คอยดูแลผมและคนในครอบครัว แต่แกก็สนใจใฝ่หาความรู้ เมื่อมาอยู่บ้านประธานบริษัท ต้องต้อนรับแขกที่เป็นลูกค้าคนสำคัญบ่อยๆ เพื่อให้การต้อนรับเป็นที่น่าประทับใจ แม่ของผมก็จะจับคนในบ้านติวเข้ม เรื่องการดูแลให้บริการ ให้ทุกคนทำหน้าที่ให้มากกว่าการเป็นแค่คนรับใช้ในบ้าน แถมให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวบ้างเล็กๆน้อยๆ เช่น ครอบครัว ทำอะไร มีกิจการอะไรเป็นต้น เวลามีใครมาถามอะไร จะได้พอตอบได้บ้าง ไม่ให้เสียชื่อว่าเป็นคนของประธานบริษัทซึ่งมีกิจการใหญ่โต คนในบ้านทุกคนก็ต้องรอบรู้ด้วย
ป้าหมี่แกเคยเป็นพนักงานในโรงงานของพ่อมาก่อน ทำตำแหน่งแม่บ้าน แม่เห็นหน่วยก้านดี ก็เลยให้มาทำงานที่บ้าน พอแม่ท้องผม ป้าหมี่ก็เลยได้รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง คอยดูแลผมอีกด้วย บางทีผมมีเรื่องไม่สบายใจที่บริษัทซึ่งไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ ก็จะมาพูดให้แกฟังเสมอ ป้าเป็นผู้รับฟังที่ดี นานวันเข้า แกก็ขยับมาให้คำแนะนำผมในบางครั้ง
“ผมจะบ้าตายแล้วนะป้าหมี่ อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ แล้วจะให้ผมทำไงดีล่ะเนี่ย”
เมื่อไม่รู้จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ผมก็เลยบ่นอย่างหงุดหงิด
“ป้าว่าใจเย็นๆ ก่อน รอดูท่าทีคุณท่านก่อนเถอะค่ะ อีกอย่าง บ้านโน้นก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า บางทีอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้”
จริงสินะ ผมลืมคิดประเด็นนี้ไปเลยพวกผู้ใหญ่นัดกันมาพูดคุยเรื่องหมั้น แต่ครอบครัวของโบว์ยังมาไม่ถึง และไม่มีการติดต่อกลับมาด้วย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า หรือว่าโบว์ทำให้พ่อแม่เปลี่ยนใจได้สำเร็จ ผมน่าจะโทรไปถามน้องสาวตาโต ว่าที่เราตกลงกันเรียบร้อยไหม บางทีมันอาจจะช่วยทำให้พ่อเปลี่ยนใจก็ได้ หากทางฝ่ายว่าที่คู่หมั้นของผมไม่อยากเกี่ยวดองกับพวกเราอีกต่อไป
“เดี๋ยวป้าจะไปสืบข่าวมาให้นะคะ คุณหนูเคลวินก็ใจเย็นๆนะคะ”
คนอาสาคลายทุกข์ให้ผม ลุกไปปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนม ผมกล่าวขอบคุณป้า แล้วบอกให้แกระวังตัว อย่าให้พ่อผมจับได้ พ่อผมไม่ชอบให้ลูกน้องทรยศตัวเอง และพ่อจะลงโทษคนที่หักหลังอย่างสาสม
แม่นมของผม ทำอะไรให้ผมมากมาย เป็นทั้งพี่เลี้ยงคอยดูแล เป็นคนที่ปลอบโยนให้กำลังใจ ในยามที่แม่ไปเข้าข้างพ่อ แล้วผมไม่เหลือใคร แถมซ้ำยังเป็นหน่วยกล้าตาย คอยเป็นสปายสืบข่าว และเป็นนางนกต่อให้ผมอีก นี่ถ้าสาวกว่านี้ แกคงไปทำงานในหน่วยข่าวกรองได้สบายๆ เพราะแกทำอย่างเต็มที่ด้วยใจ ผมรู้ว่าแกรักผม และผมก็รักป้าหมี่เช่นกัน หากผมกับเคนสมหวังในความรัก ผมจะตอบแทนป้าหมี่ให้สมกับที่แกทำเพื่อผม
“อะไรนะ ป้าหมี่ น้องโบว์กินยานอนหลับเกินขนาดเหรอ”
ผมถามย้ำอย่างตกใจ เมื่อป้าหมี่กลับเข้ามาอีกครั้งในตอนเย็น กับข่าวที่ไปสืบมา เป็นอย่างที่คาด พ่อไล่เคนกลับไป แล้วก็ใส่ไฟเรื่องผมให้เคนรู้ เคนเสียใจมาก เลยถอดใจยอมออกจากบ้านโดยดี สิ่งที่ผมได้ฟัง มันทำให้ผมรู้สึกปวดร้าวมากที่พ่อทรยศหักหลังกับผมอย่างนี้ แต่สิ่งที่ผมได้ยินเรื่องต่อมา กลับทำให้ผมตกใจ ลืมความเศร้าที่ตัวเองเจอเสียสิ้น
“ค่ะ คุณเคลวิน ตอนนี้ทางบ้านคุณหนูโบว์ อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ เฝ้าอาการป่วยกันอยู่ และรู้สึกจะบอกเลิกการหมั้นไปเรียบร้อยแล้ว”
ข่าวต่อมาทำให้ผมรู้สึกยินดี การที่ไม่ต้องหมั้นกับคนที่ผมไม่ได้รัก ทำให้ผมรู้สึกเป็นสุข แต่ผมก็รู้สึกแย่ ที่การล้มเลิกการหมั้น มาจากการที่โบว์ตัดสินใจฆ่าตัวตาย รู้สึกเศร้าใจที่ลูกๆต้องใช้ชีวิตเป็นเครื่องต่อรอง เพื่อไม่ให้พ่อแม่บังคับจิตใจ ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่ฟังความต้องการของเด็กบ้าง มาคิดได้ตอนนี้ มันสายไปไหม
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันป้าหมี่”
ความสงสารในชะตากรรมของน้องสาวคนสวย ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้โบว์จะเป็นอย่างไรบ้าง ที่บอกว่าจะหาทางให้พ่อเปลี่ยนใจให้ได้ มันคือการกินยาเพื่อฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือโง่จริงๆ เลยเด็กคนนี้ วิธีการอื่นมีถมเถไปทำไมไม่เลือกใช้ ทำไมต้องทำร้ายตัวเองด้วย
ป้าหมี่คงเห็นผมมีสีหน้าวิตกกังวล ป้าเลยปลอบให้ใจเย็นๆ อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว โบว์ปลอดภัย โชคดีที่ไปถึงมือหมอได้ทันการ ผมฟังข่าวของโบว์อย่างโล่งใจที่สาวน้อยน่ารักคนนั้นไม่เป็นอะไรมาก พอเห็นผมคลายความกังวล ป้าหมี่ก็เริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาให้ผมฟัง
หน่วยสอดแนมสูงอายุเล่าว่า เมื่อตอนเช้า แม่ของโบว์ขึ้นไปปลุกลูกสาวให้แต่งตัวเพื่อจะมาที่บ้านผม แต่เรียกเท่าไหร่ โบว์ก็ไม่ขาน จนกระทั่งสาย ก็ไม่ยอมออกมา รู้สึกผิดสังเกต เลยพังประตูกันเข้าไป เห็นโบว์นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น รอบตัวเกลื่อนไปด้วยยานอนหลับ ข้างตัวมีจดหมายลาตาย โบว์ขอโทษพ่อแม่ที่ทำให้ผิดหวัง แต่โบว์อยากเลือกชีวิตของตัวเอง โบว์อยากทำงานบันเทิง ไม่อยากแต่งงาน ในเมื่อพ่อแม่ขัดขวาง โบว์ก็ขอคืนชีวิตโบว์ให้พ่อแม่ พวกเขาอ่านจดหมายที่โบว์เขียน ก็รู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้ลูกคิดสั้น หลังจากพาลูกสาวไปหาหมอที่โรงพยาบาลแล้ว ก็ปรึกษากันว่า จะตามใจลูก ไม่บังคับฝืนใจอีกต่อไป ในเมื่อลูกไม่อยากแต่งงาน พวกเขาก็จะให้อิสระ ให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการ เมื่อตกลงใจกันได้แล้ว ก็เลยโทรมายกเลิกการหมั้นกับพ่อของผม
“แล้วพ่อว่าไงบ้าง”
อยากรู้ความรู้สึกของพ่อนัก การเอาแต่ใจของตัวเอง เกือบทำให้เด็กสาวคนหนึ่งต้องจบชีวิตลง พ่อจะเสียใจ หรือรู้สึกผิดบ้างไหม แล้วยังคิดจะบังคับใจเราอีกหรือเปล่า หรือว่าพ่อต้องการเห็นโศกนาฏกรรมมันเกิดขึ้นในครอบครัวตัวเองบ้าง จะได้เลิกฝืนใจคนอื่น
“คุณพ่อคุณหนูไม่พูดอะไรเลยค่ะ นั่งหน้าเครียดเมื่อรู้ข่าว ดูเหมือนคุณแม่จะไม่เห็นด้วยกับการหมั้นนะคะ ยิ่งพอได้รับข่าวคุณหนูโบว์ คุณแม่ยิ่งไม่อยากให้คุณหนูแต่งงานใหญ่ นี่คุณแม่ก็นั่งคุยอยู่กับคุณพ่อในห้อง คงกำลังพยายามทำให้คุณพ่อคุณหนูเปลี่ยนใจ”
น่ายกตำแหน่งสปายยอดเยี่ยมให้ป้าหมี่จริงๆ ป้าแกเก็บรายละเอียดเรื่องราวต่างๆ มาบอกเล่าให้ผมได้รับรู้ โดยที่ผมไม่ต้องออกไปยุ่งวุ่นวายข้างนอก ผมกล่าวขอบคุณป้าหมี่ที่มาเล่าเรื่องให้ผมฟัง และฝากให้แกไปช่วยหาข่าวเกี่ยวกับเรื่องเคนต่อ ผมอยากรู้ว่าเคนสุดที่รักของผมเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากโดนพ่อไล่ไปแล้ว เขากลับบ้าน หรือยังอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์ ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็ยังพอมีหวังว่าจะพูดคุยให้เขาเข้าใจได้ แต่ถ้าเคนถอดใจไม่อยู่ที่กรุงเทพแล้ว ผมคงตามเขาลำบาก
ส่วนเรื่องพ่อคงต้องปล่อยให้แม่จัดการ ผมจะไม่พูดอะไรกับพ่ออีก เพราะเราสองคนคุยเรื่องนี้กันไม่รู้เรื่อง แม่เข้าข้างผมอยู่แล้ว แม่เห็นใจในความรักของผม แต่ที่ผ่านมา แม่ไม่อยากขัดใจพ่อ เกิดเรื่องของโบว์ขึ้นมา แม่คงรู้สึกผิดที่เป็นส่วนหนึ่งให้โบว์คิดสั้นฆ่าตัวตาย แม่คงต้องหาทางลบล้างความผิดในใจ หวังว่าแม่คงจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร พ่อถึงจะยอมเลิกรา ปล่อยมือจากผมกับเคน และไม่บังคับใจเราอีก
สำหรับเรื่องน้องโบว์ ผมตัดสินใจจะหาโอกาสไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล อาจจะไปด้วยตัวเอง หากผมสามารถหากุญแจรถมาได้ หรือพ่ออนุญาตให้ลุงเทพขับรถให้ผม หรือหากพ่อกับแม่ออกไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล ผมก็จะขอตามไปด้วย แม้เราจะพูดคุยกันไม่กี่ครั้ง ผมก็รู้สึกถูกชะตากับสาวสวยคนนี้ ผมนับถือความใจเด็ดของเธอ ที่กล้าเอาชีวิตเข้าเดิมพัน และสามารถเปลี่ยนใจพ่อแม่ได้สำเร็จ หากเธอทำพลาด พ่อแม่มาไม่ทัน เธออาจจะไม่มีโอกาสได้ฟื้นขึ้นมาทำตามความฝันของตัวเอง ต้องขอบคุณเธอที่ทำให้เรื่องมันคลี่คลายไปในทางที่ดี การกินยาฆ่าตัวตายของเธอ นอกจากจะทำให้การหมั้นของเราล้มเลิก มันอาจจะช่วยทำให้พ่อของผมคิดขึ้นมาได้บ้าง
ตอนบ่ายของวันนั้น หลังจากที่พ่อแม่และผมกลับมาจากโรงพยาบาล เพื่อเยี่ยมอาการของน้องโบว์ ความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น พ่อของผมเงียบขรึมยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าที่ดุดัน เชิดหยิ่ง กลับดูอ่อนล้า ท่าทางเหมือนคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ภาพใบหน้าซีดเซียวของน้องโบว์ที่นอนอยู่บนเตียง คงสะเทือนอารมณ์พ่อผมไม่น้อย
ยิ่งได้เห็นน้ำตาของผู้เป็นแม่ ที่ร่ำไห้สะอึกสะอื้น โทษตัวเองที่ไม่ฟังเสียงลูก เอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ว่าลูกสมควรได้รับอะไรบ้างที่จะทำให้ลูกมีความสุข มันยิ่งทำให้พ่อผมเครียดหนัก ตลอดระยะเวลาที่นั่งรถกลับมาบ้านด้วยกัน พ่อเงียบราวคนใบ้ ใช่แต่พ่อคนเดียวที่เหมือนไม่ได้เอาปากมา ทุกคนก็พากันสงบปากสงบคำ ไม่มีใครปริปากพูดคุยกัน เราต่างคนต่างนั่งเงียบจนกระทั่งถึงบ้าน และแยกย้ายเข้าห้องนอนตัวเอง
แม่กับพ่อเข้าห้องนอนไปพร้อมๆกัน ส่วนผมเรียกป้าหมี่มาคุยในห้อง ตอนผมขยิบตาเรียกป้าหมี่ ผมเห็นพ่อชำเลืองมองมาที่เราสองคน แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องของเคนทำให้ผมไม่สนใจว่าพ่อจะสงสัยในตัวเราสองคนหรือไม่
“ติดต่อเคนได้หรือเปล่าป้าหมี่”
ทันทีที่ลับสายตาคนอื่น ผมก็เอ่ยปากถามความคืบหน้าจากป้าแม่บ้านคนสนิท รู้สึกกระวนกระวายใจที่ไม่ได้ข่าวคราวจากสามีสุดที่รัก อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง คำพูดของพ่อทำร้ายเคนมากน้อยแค่ไหน ผมไม่อาจจะรู้ได้ ภาวนาขอให้เคนอย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจปล่อยมือจากผมตอนนี้ เรื่องราวอาจจะจบลงด้วยดี หากพ่อเห็นตัวอย่างจากโบว์แล้วคิดได้ว่าไม่ควรฝืนใจลูก พ่ออาจไฟเขียวให้เราได้แต่งงานกัน
“ไม่ได้เลยค่ะคุณหนูเคลวิน คุณหนูเคนปิดมือถือ ป้าโทรไปหลายรอบก็ไม่มีการตอบกลับมาค่ะ”
ข่าวของป้าหมี่สร้างความทุกข์ใจให้ผมไม่น้อย เคนไปไหน ทำไมถึงไม่ยอมติดต่อกลับมา หรือว่าเขาจะเชื่อว่าผมจะแต่งงานจริงๆ และถอดใจกลับบ้านต่างจังหวัดไปแล้ว โธ่เอ๊ย ผมจะทำอย่างไรดี จะลอบหนีไปหาเคนที่เพนเฮ้าส์ดีไหม ว่าแต่เขาจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
ผมลองให้ป้าหมี่โทรไปที่เพนท์เฮ้าส์ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง ไม่มีใครรับโทรศัพท์ แสดงว่าเคนไม่ได้อยู่ที่ห้อง ผมให้ป้าหมี่ลองโทรไปที่มอด ซึ่งเป็นรปภ.เฝ้ายามประจำชั้นที่ผมใช้เป็นที่พัก มอดก็ตอบกลับมาว่า เคนออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามาหาผมที่บ้าน เคนออกมาแล้ว และไม่ได้กลับเข้าไปอีก ถ้าอย่างนั้น เคนไปอยู่ที่ไหน
ยิ่งคิดยิ่งกังวลใจ เขาไม่มีที่อาศัยที่อื่นอีก นอกจากบ้านผม เพราะบ้านเช่าก็คืนไปแล้ว ญาติพี่น้องที่เคนรู้จักก็อยู่ต่างจังหวัดกันหมด แล้วเขาจะไปพึ่งพาอาศัยใครได้....
“ป้าหมี่....”
ผมนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง จึงเรียกชื่อแม่นมของผมอย่างตื่นเต้น
“ป้าช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหมครับ”
ขณะที่ผมกำลังมืดมนหาหนทางแก้ปัญหาไม่เจอ อยู่ๆ ชื่อของใครบางคนก็ปรากฏในห้วงความคิด ผมมัวแต่กังวลใจเรื่องที่ติดต่อกับเคนไม่ได้ เลยทำให้ลืมอะไรไปบางอย่าง
เคนขึ้นมาทำงานที่กรุงเทพเพียงลำพัง แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ญาติขาดมิตร อย่างน้อยๆก็มีญาติสองคนของเคนที่ขึ้นมาหางานทำในกรุงเทพ วันที่เราไปดูหนังด้วยกัน ผมเจอญาติของเขาตอนออกมาจากโรงหนัง และเก็บเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ในมือถือ และในสมุดโทรศัพท์ซึ่งอยู่ในกระเป๋าเอกสาร ผมทิ้งมันไว้ในรถ ตอนที่รีบร้อนกลับมาบ้าน มาดูอาการป่วยของพ่อ ไม่ได้นำมันกลับมาบนห้อง แล้วก็ถูกกักตัวเอาไว้ ไม่ให้ไปไหน ไม่ให้ใช้รถ หากป้าหมี่ไปเอากุญแจจากลุงเทพไขเอาสมุดโทรศัพท์ออกมาได้ และโทรไปหาญาติของเคน บางทีอาจจะรู้ว่าเขาไปไหนก็ได้
นักสืบรุ่นเดอะของผม รับคำแล้วออกจากห้องผมไปดำเนินการ ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ป้าก็กลับมาพร้อมกับรายงานความคืบหน้าที่ทำให้ผมพอใจ
“คุณหนูเคนอยู่กับญาติค่ะ ป้าหมี่โทรไปเจอตัวพอดี แต่ถ้าทางเหมือนจะไม่ค่อยสบายใจ คงน้อยใจคิดว่าคุณหนูเคลวินจะแต่งงานจริงๆ แต่ป้าแก้ตัวให้แทนแล้วนะคะ ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน คุณหนูถูกคุณพ่อบังคับ ไม่ได้ต้องการแต่งงานแต่อย่างใด”
สุดยอดมากป้าหมี่ ให้มันได้อย่างนี้สิ นอกจากจะเป็นสปายสืบความลับมาให้ ยังทำหน้าที่เป็นกาวใจประสานให้อีกด้วย ผมดึงป้าหมี่มากอดแน่น กล่าวขอบคุณที่แกช่วยดูแลผมมาตลอด ป้าหมี่กอดตอบ และบอกว่า แกรักผมเหมือนลูกในไส้ แกอยากเห็นผมมีความสุข แกเชื่อว่าเคนคือคนที่สำคัญที่สุดของผม และแกก็พยายามจะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะต้องโดนไล่ออกก็ตาม
เมื่อได้รับทราบความเป็นไปของเคนแล้ว ผมก็สบายใจขึ้น ที่รู้ว่าเขาไม่ได้หนีหายไปไหน เขาคงถูกพ่อผมให้ออกจากเพนท์เฮ้าส์ ทำให้เขาต้องไปอาศัยกับญาติ ป้าหมี่บอกว่าเคนเข้าใจในตัวผมแล้ว โชคดีที่เคนเข้าใจอะไรง่ายๆ เขาเลยมีกำลังใจจะสู้ต่อ ผมเองก็มีกำลังใจเช่นกัน
ที่จริงอยากพูดอยากคุยกับเขา ไม่ต้องอาศัยป้าเป็นล่ามให้ แต่ผมถูกควบคุมในเรื่องการใช้โทรศัพท์ มือถือก็ถูกยึดไป โทรศัพท์ในห้อง ก็ถูกดึงออก พ่อต้องการให้ผมตัดขาดจากเคน จึงบังคับผม ราวกับว่าผมเป็นเด็กเล็กๆ ไม่ใช่ชายหนุ่มที่อายุ 30 ปีแล้ว ที่ผ่านมาผมยอมทุกอย่าง เพราะพ่อขู่ผมไว้เยอะเรื่องเคน แต่ตอนนี้ ผมจะไม่ยอมให้พ่อข่มขู่ผมอีก รอเพียงแค่ข่าวจากเคนเท่านั้น ว่าจะให้ผมทำอะไร ผมก็พร้อมจะทำตามแผน เพื่อให้เราได้อยู่ร่วมกัน
-----------------------------------------------
TBC
ปล. รบกวนช่วยบอกหน่อยจะกด + ได้ยังไง
