แหมๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ได้ตั้งใจให้ค้างนะ แค่อยากให้ลุ้น (อืม

มันต่างกันตรงไหนหว่า)

ตอนพิเศษ [12]
--------------------------
เคนน้อยไม่ได้ออกกำลังกายเลยนะครับ เดี๋ยวสุขภาพไม่แข็งแรงนะครับ”
ไม่พูดเปล่า คนเจ้าเล่ห์เอามือนวดคลึงจนน้องชายของผมตื่นตัวขึ้น ในที่สุดผมก็ตบะแตก ทนให้เขาปลุกอารมณ์แต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ผมหันขวับแล้วจับใบหน้าเคลวินไว้ แล้วจูบที่ริมฝีปากเชิญชวนของเขา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากที่เราสองคนยืนแลกจูบกันหน้าห้องจนอารมณ์ผมเตลิดได้ที่ ผมก็เป็นฝ่ายดึงเคลวินเข้าห้อง และจัดการลงโทษเคลวินตามที่คิดเอาไว้ คนตัวโตให้ความร่วมไม้ร่วมมือเต็มที่ ตอบสนองผมเหมือนคนอดอยากหิวโหยมานาน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราทั้งคู่ก็นอนหอบหายใจเคียงข้างกัน โดยที่ผมนอนหมดแรงอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ผมรักเคนมากที่สุดเลยครับ”
กระซิบแรกหลังจากเราผ่านช่วงเวลาหฤหรรษ์มาด้วยกัน ผมยิ้มให้เขา เอามือลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มฝรั่งเจ้าเล่ห์ เคลวินมองผมตาปรอย มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าผมเช่นกัน
“เราหายโกรธกันแล้วใช่ไหมครับ”
เขาถามผมอย่างไม่แน่ใจ ผมยิ้มขำ จนป่านนี้แล้ว ยังจะถามอีก เขากลายเป็นคนไม่มั่นใจตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ยังมั๊ง”
แกล้งเขาเล่นๆ แต่ผมคงโกหกคนไม่เก่ง เคลวินมองหน้าผมสักครู่ก็หัวเราะออกมา เขาเอียงศีรษะมาซุกซบผม
“ต่อไปนี้ ผมสัญญาว่า ผมจะไม่ทำให้เคนไม่สบายใจอีกแล้ว มีอะไรผมก็จะปรึกษาคุณตลอดเลยนะครับ”
“เห็นพูดอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังทำทุกที”
แอบค่อนแคะเขา
“ขอโทษครับ ผมนี่แย่จริง ไม่รักษาสัญญากับคุณเลย ก็สมควรแล้วที่เคนจะโกรธ”
คนตัวโตทำหน้าเหมือนสำนึกผิด ผมเอามือลูบแก้มเขาอย่างแผ่วเบา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องคิดมาก ผมหายโกรธแล้วนะ”
“จริงหรือครับ เคนไม่โกรธผมจริงๆนะ”
หน้าตาของเคลวิน แสดงให้รู้ว่าเขาดีใจมาก ที่ผมให้อภัยเขา
“อืม....จะโกรธทำไมล่ะ เคลวินทำไปเพราะหวังดีกับผมไม่ใช่เหรอ”
พูดจากใจจริง ผมไม่ได้รู้สึกโมโหเขาแล้ว เข้าใจถึงความห่วงใยที่เคลวินที่มีให้ผม จนทำให้เขาเผลอทำผิดทำพลาดไปบ้าง ในเมื่อเขาทำให้ผมถึงทุกอย่าง ผมจะใจจืดใจดำ โกรธเขาลงได้อย่างไร
“เย้...ดีใจจังที่คุณเข้าใจ ขอบคุณมากๆเลยครับ”
คนตัวโตทำอากัปกริยาเหมือนเด็กๆ เขาผวาเข้ากอดผมเสียแน่น และหอมแก้มผมแรงๆหลายฟอด พลางให้คำมั่นสัญญา
“ผมก็ขอบคุณเคลวินเช่นกัน ที่รักและดีกับผมเสมอมา คุณทำอะไรให้ผมตั้งมากมาย ผมเสียอีก ที่ไม่เคยทำอะไรเพี่อคุณเลย ต่อไป ผมก็จะพยายามทำตัวดีๆ ไม่ให้คุณต้องเป็นห่วงครับ”
พูดถึงความตั้งใจของตัวเองให้เขาฟังเช่นกัน ผมอยากทำตัวดีๆ ตอบแทนเคลวิน ไม่อยากให้เขาลำบากใจ เขาทำเพื่อผมมาเยอะ ผมควรจะทำให้เขาบ้าง
“ที่จริงผมก็ไม่ต้องการอะไรมากมายเลย แค่เคนดีกับผม ผมก็พอใจแล้วล่ะ ผมสัญญานะว่า ต่อไปผมจะไม่ทำอะไรโดยพลการ ผมจะปรึกษาคุณก่อน ในฐานะหัวหน้าครอบครัวนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกเคลวิน มาถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้ซีเรียสว่าใครจะเป็นผู้นำหรือผู้ตามแล้วล่ะ คุณอยากจะทำอะไร ก็ทำไปเถอะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณชอบ ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามผมทุกอย่าง จนสูญเสียความเป็นตัวเอง ผมเชื่อว่าคุณรักและหวังดีกับผม และคุณก็จะระมัดระวังไม่ทำให้เราเกิดปัญหากันอีก”
ผมอนุญาตให้เคลวินได้เป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับผม ไม่บีบบังคับว่าเขาจะต้องมาคอยทำอะไรตามใจ เคลวินเป็นคนฉลาด เขาคงจะรู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวต่อผมอย่างไร การทะเลาะเบาะแว้งกันที่ผ่านมา คงทำให้เขารู้ดีว่า อะไรที่ผมชอบ และอะไรที่ผมไม่พอใจ หากเขายังทำตัวอย่างเดิม เขาอาจจะสูญเสียผมไปอีกครั้งก็ได้
“ขอบคุณครับที่ไว้เนื้อเชื่อใจผม และขอบคุณที่ให้ผมได้เป็นตัวของตัวเอง ผมจะเป็นภรรยาของเคนให้ดีที่สุดครับ”
เขารับคำเป็นมั่นเหมาะ ทำให้ผมเบาใจ ไม่ได้คาดหวังว่าเคลวินจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเองจนสิ้นเชิง เพราะมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย ถ้าตัดความเจ้ากี้เจ้าการวุ่นวายออกไป มองถึงเนื้อในรักแท้ที่เขามีให้ มันก็เป็นสิ่งดีที่เขาทำเพื่อผม เรื่องเล็กน้อยบางอย่างถ้าเรามองข้ามไป ไม่เก็บมาคิดมาใส่ใจ เลือกมองแต่สิ่งดีๆ ก็จะทำให้ใจเรามีความสุข
เคลวินเป็นคนดี และเขาก็รักผมมาก ผมรู้สึกมีความสุขเวลาอยู่ร่วมกันกับเขา ทะเลาะกันบ้าง แล้วก็กลับมาคืนดีกัน ลิ้นกับฟันมีกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา เราเป็นสามีภรรยาก็ย่อมมีเรื่องขัดแย้งพราะเห็นไม่ตรงกัน แต่ความรัก จะนำพาให้เราเข้าใจกันได้ในที่สุด
“โคร๊กกกกกกกกกกกกกกกก”
ขณะที่เราสองคนกำลังดื่มด่ำกับความสุขอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ผมมองหน้าเคลวินแล้วหัวเราะ เสียงที่ได้ยินดังมาจากในท้องของพวกเรานั่นเอง ได้เวลาทานข้าวเย็นแล้ว เรามัวแต่ทานของหวานกันจนลืมอาหารหลักที่จะทำให้อิ่มท้อง อาการหิวกระหายก็เลยฟ้องขึ้นมา จนทำให้นอนกอดกันอยู่บนเตียงไม่ไหว เด้งตัวขึ้นมาพร้อมกัน เคลวินสวมเสื้อผ้า แล้วรีบเข้าครัว เพื่อทำอาหารสำหรับเราสองคน ส่วนผมเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะไปทานอาหารค่ำกับภรรยาสุดที่รัก
หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่แม่กับพี่สาวของเคลวินมาหาเราสองคนที่เพนเฮ้าส์ บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น สิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน เริ่มจากตอนเย็นวันศุกร์เคลวินกลับมาบ้าน ใบหน้ายุ่งๆ ท่าทางเหนื่อยหน่าย เขาไม่ได้เข้าครัวมาช่วยผมทำอาหารเหมือนเคย แต่ปล่อยให้ผมจัดการเอง ไม่มาเจ้ากี้เจ้าการ หรือเดินมาเฉียดใกล้
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เขาก็ยังหมกตัวอยู่ที่โซฟา ตาจ้องไปยังจอแอลซีดีที่เขาเปิดทิ้งไว้ ทว่าเคลวินไม่ได้สนใจ ละครหรือข่าวในทีวีแม้แต่น้อย
การที่เขาเงียบขรึม ไม่ร่าเริงเหมือนเคย ทำให้ผมรู้สึกผิดปกติ พอผมทำกับข้าวเสร็จ ก็เดินไปหาเขาที่โซฟาทางด้านหลัง แล้วโน้มตัวเข้าไปกอดเขาไว้
“เหนื่อยไหมครับ”
คำถามแรกเพื่อดูอารมณ์ของเคลวิน เขาเอาแต่เหม่อ ไม่ได้ยินที่ผมพูดเลยต้องถามซ้ำ
“เคลวินเป็นอะไรเหรอ ที่ทำงานมีเรื่องยุ่งๆหรือครับ”
ถามซ้ำอีกครั้ง ใจผมคิดไปถึงเรื่องที่บริษัท อาจจะมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สบายใจ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
เขาปฏิเสธ และแหงนเงยหน้าขึ้นมองผม ผมก้มลงจูบที่หน้าผาก แล้วเลื่อนไปที่ริมฝีปากของเขา ก่อนจะยืดตัวขึ้นและเลื่อนตัวไปนั่งตรงพนักโซฟา มือหนึ่งยื่นไปลูบไล้แก้มของฝรั่งตัวโต
“ผมไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องการทำงานของเคลวิน แต่ในฐานะสามีผมมีสิทธิ์ถาม แต่หากคุณไม่บอกก็ไม่เป็นไร แค่อยากให้รับรู้ไว้ ว่าผมเป็นห่วงเคลวินนะครับ”
พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน เคลวินช้อนตาขึ้นมองผม เขาพยายามยิ้มให้แต่มันดูฝืนๆชอบกล
“มีเรื่องที่ทำงานนิดหน่อยครับ”
ในที่สุดเขาก็เปิดปากเล่าให้ฟัง ไม่ปกปิดเหมือนครั้งแรก คงเพราะผมแสดงออกว่าห่วงเขา เลยอยากแบ่งปันให้ผมได้รู้บ้าง ถึงสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจ เรื่องเล่าไหลผ่านปากของเขาออกมาอย่างต่อเนื่อง ท่าทางของเคลวินเคร่งเครียดขณะพูด
เรื่องมันเกิดขึ้นกับแผนกช่าง ภายใต้การดูแลของผู้จัดการชาตรี พนักงานเกิดแข็งข้อ ไม่เชื่อฟัง ความจุกจิกจู้จี้ ขี้บ่น และชอบโวยวายใส่ลูกน้อง ทำให้พนักงานหลายคนไม่ชอบ โดยเฉพาะแผนกช่าง ถึงขนาดรวมตัวกันประท้วงหยุดงาน และให้เปลี่ยนตัวผู้จัดการออก เคลวินได้เรียกคุณชาตรีมาไต่สวน แต่ก็พบว่า นอกเหนือจากการวางตัวเป็นเจ้านายเข้มงวดดุดันแล้ว นายชาตรีก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้นการย้ายผู้จัดการไปอยู่แผนกอื่น หรือให้ลาออกตามข้อเสนอของพนักงาน จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เคลวินไม่ยอมทำตาม และไม่ยอมให้ลูกน้องข่มขู่ แถมยังประกาศว่า หากใครไม่พอใจ อยากจะลาออกก็เชิญ แต่ถ้ายังรักจะทำงานก็อยู่ต่อ เขาจะไม่ยอมให้คนที่ใช้ศาลเตี้ย มาบีบบังคับหรือเปลี่ยนกฏเกณฑ์ของบริษัทอย่างเด็ดขาด
การตัดสินใจของเคลวิน ทำให้ถูกพนักงานมองว่า เขาเข้าข้างแต่ผู้บริหาร ไม่เห็นใจพนักงาน พวกหัวแข็งก็เลยรวมตัวประท้วงไม่ยอมทำงาน ซึ่งหนึ่งในแกนนำในการประท้วง ก็คือคนที่มีเรื่องกับผมนั่นเอง
คนที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงก็คือ หัวหน้างาน ผู้จัดการชาตรี เขาไปเจรจาให้แกนนำยุติการประท้วง แต่พนักงานหัวแข็งเหล่านั้นไม่เชื่อฟัง แถมซ้ำยังโจมตีนายชาตรี เรื่องรักซ่อนเร้นกับยามบริษัท คือมอด ไม่รู้ว่านายชาตรีไปพลาดให้พวกนั้นเห็นได้อย่างไร พนักงานพวกนั้นใส่สีตีไข่ บอกกล่าวกันต่อ ว่านายชาตรีไม่มีความชอบธรรมในการเป็นหัวหน้างาน เพราะมีพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรม ขนาดครอบครัวยังไม่ซื่อสัตย์ แล้วจะมาดูแลพนักงานอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างไร
หลังจากประท้วงไปได้ สามวัน สร้างความเดือดร้อนไปทั้งบริษัท ทำให้ภาพพจน์เสียหาย และงานบางอย่างที่ต้องอ้างอิงกับฝ่ายช่างไม่เดิน แม้จะมีพนักงานบางคนกลับใจกลับมาทำงานแล้ว แต่เมื่อจะไปทำงานในแผนกก็ถูกข่มขู่ ทำให้ไม่กล้าทำงาน เคลวินจึงจัดการขั้นเด็ดขาด ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้การประท้วงขยายผลและสร้างความเดือดร้อนได้อีก ในเมื่อแกนนำเป็นคนทำเรื่องยุ่ง เขาจึงให้ฝ่ายทรัพยากรจัดการคนเหล่านั้น ตามกฏเกณฑ์ของบริษัท
แกนนำทั้งหมดถูกไล่ออกจากงาน โดยบริษัทยังใจดี มีเงินชดเชยสามเดือน ทว่าพนักงานเหล่านั้นไม่พอใจ ก่อความวุ่นวาย ทำลายข้าวของของบริษัท จนต้องเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจัดการ จับนักเลงในคราบพนักงานกลุ่มนั้นไปปรับ และลงบันทึกประจำวันเอาไว้
ผมไม่เคยรู้เลยว่าช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เรามีความสุขกัน เคลวินต้องเผชิญกับปัญหาในที่ทำงานหนักขนาดไหน ถ้าเขาไม่เอ่ยปาก ผมก็ไม่มีทางรู้ เพราะกลับถึงบ้าน เคลวินก็จะยิ้มแย้มมีความสุข และตัวผมเอง ก็ไม่ได้ออกไปวุ่นวายนอกที่พักของเคลวิน เพราะไม่อยากให้ใครเห็น เดี๋ยวจะเอาไปลือจนเสียมาถึงเคลวิน จึงหมกตัวอยู่แต่ในเพนท์เฮ้าส์ และศึกษาตำรับตำราเกี่ยวกับการบริหารงาน จะได้ช่วยเหลือเคลวินได้
เมื่อไม่ได้ไปไหน ผมก็เลยไม่ได้รับรู้ข่าวสาร แม้แต่มอดที่ทำงานต่ำลงไปอีก 1 ชั้น ผมก็ไม่ได้ลงไปพูดคุยด้วย ทำให้ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พอมาได้ฟังจากปากของเคลวิน ผมก็รู้สึกสงสารเขาอย่างบอกไม่ถูก นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเครียดหนัก จนแสดงอาการออกมาให้ผมเห็น
“แย่จังเลย ตอนที่คุณเผชิญปัญหา ผมไม่ได้อยู่เคียงข้างคุณด้วย”
รู้สึกเสียใจที่ตัวเองถูกพักงาน หากผมอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่พวกนั้นมาทำลายข้าวของของบริษัท ผมจะได้ช่วยเคลวินจัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คนพวกนั้นออกจากบริษัทไปแล้วครับ คงไม่มากวนใจอีก”
น่าแปลกตรงที่เคลวินพูดคำนี้ด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง เหมือนว่าเรื่องมันยังไม่จบอย่างที่เขาบอก สังหรณ์ใจว่ามันจะต้องมีเรื่องอะไรที่ทำให้ทั้งเขาและผมไม่สบายใจ และอาจจะถึงขั้นทำให้เราแยกทางกัน
ทว่าเมื่อเคลวินไม่พูด ผมก็ไม่กล้าเซ้าซี้มาก บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรจริงๆ ก็ได้ ผมอาจจะคิดมากไปเอง เห็นเคลวินเหนื่อยก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้ สงสัยต้องทำให้เคลวินคลายเครียดแล้ว
“ถ้างั้น เคลวินก็ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะครับ เดี๋ยวมาทานข้าวกัน วันนี้ผมทำกับข้าวไว้เยอะแยะ อยากให้คุณลองชิมดู ว่าฝีมือผมพอไหวไหม”
ดึงเขาลุกขึ้นจากโซฟา แล้วพาไปส่งหน้าห้องน้ำ
“ท่าทางเคลวินจะเหนื่อยมาก หน้าโทรมเชียว เหี่ยวเป็นคนแก่แล้ว เดี๋ยวคืนนี้ผมช่วยนวดกระชับผิวหน้าให้นะครับ”
อาสาเป็นหมอนวดให้เขา ที่จริงผมก็ไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญอะไร เคยบีบนวดพ่อกับแม่บ้าง คงพอจะทำให้เขาคลายเครียดได้
“อย่างอื่นก็เหี่ยวครับ อยากให้เคนนวดฟื้นฟูให้มันคึกคักบ้าง หวังว่าเคนคงไม่ปฏิเสธ”
ฝรั่งตัวโตพูดสองแง่สองง่าม แถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์อีก ผมมองค้อนเขา เคลวินนี่ไม่ละโอกาสในการที่จะวกเข้าเรื่องใต้สะดือจริงๆ ไม่รู้จะหื่นไปถึงไหนกัน
“ล้อเล่นนะครับ คืนนี้คงงด เพราะผมเหนื่อยจริงๆ แค่อยากนอนให้เคนกอดเท่านั้น”
“ไม่ขัดข้องครับ เดี๋ยวจัดห้ายยยยยย”
รับคำเสียงยานคาง พลางผลักคนเกเรเข้าห้องน้ำไป
วันศุกร์ซึ่งเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ เคลวินตื่นไปทำงานแต่เช้า ช่วงนี้บริษัทมีปัญหา เขาจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล และคุณชาตรี คอยร่วมสอดส่องไม่ให้พนักงานที่ถูกให้ออก กลับมาสร้างปัญหาอีก
ผมขออนุญาตไปทำงาน เพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนเวลาเขามีปัญหา แต่เคลวินไม่ตกลง เขาไม่อยากให้ผมเดือดร้อน ทุกอย่างจัดการได้ด้วยกลไกของบริษัท และที่สำคัญ ผมอยู่ในระหว่างการภาคฑัณฑ์ หากผมโผล่ไปที่บริษัท ต้องมีคนสงสัยแน่ๆ
แม้จะรู้สึกอึดอัดใจที่ไม่ได้ช่วยเหลือเคลวินเลย แต่ผมก็ต้องยอมรับในกฏเกณฑ์ของบริษัทที่วางไว้ ทำได้แต่เพียงส่งกำลังใจ ให้เขาจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยด้วยดี
“รีบกลับบ้านมาเร็วๆนะครับ วันนี้ผมจะทำอาหารอร่อยๆให้เคลวินทานอีก”
พูดกับภรรยาของผม หลังจากที่ผละออกมาจากการจูบลาที่ยาวนาน เขายิ้มแล้วให้คำสัญญากับผมว่าจะรีบมาอยู่กับผม แล้วจะใช้เวลาวันหยุดอยู่ด้วยกัน ไม่ออกไปไหน
ตอนกลางวัน เคลวินโทรมาหาผมก่อนจะออกไปทานข้าวกลางวันกับลูกค้า เขาห่วงว่าผมจะหิว ไม่มีอะไรกิน ให้ผมสั่งอาหารตามสั่งมากิน แต่ผมเตือนเขาว่า ผมอยู่ในระหว่างพักงาน หากมีคนมาเห็นผมอยู่กับเคลวิน คงเกิดปัญหาแน่ และตอนนี้ผมพอทำอาหารกินเองได้บ้างแล้ว คงไม่ลงไปข้างล่างให้ใครจับได้ จากนั้นก็แซวเขาว่าเคลวินขี้ลืมเป็นตาแก่ เมื่อเช้ายังห้ามไม่ให้ผมลงไปไหน ตกบ่ายจะให้ผมไปหาอะไรกินเสียแล้ว เขาก็หัวเราะชอบใจ
ห้าโมงเย็นได้เวลากลับบ้าน ผมได้รับโทรศัพท์จากเคลวิน ว่ามีงานคั่งค้าง อาจจะกลับบ้านช้าหน่อย ผมก็บอกเขาไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง จัดการงานให้เสร็จผมรอได้ และรายงานว่าผมกำลังทำอาหารให้กับเขา โดยกางตำราทำ เขาก็หยอดคำหวานว่ามันต้องอร่อยแน่ๆ เขาจะรีบกลับมาทาน
ประมาณ 1 ทุ่ม เคลวินโทรมาด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี บอกว่าที่บ้านโทรมาหาเขา บอกว่าพ่อไม่สบาย และส่งลุงเทพให้มารับกลับบ้าน เขารู้สึกเป็นห่วงพ่อมาก พอๆกับที่ห่วงผม อยากไปดูพ่อ แต่ก็กลัวว่าผมจะอยู่คนเดียว แม้ว่าผมจะอยากอยู่กับเคลวิน แต่ผมก็เห็นแก่ตัวไม่ได้ ตั้งแต่ผมกับเคลวินอยู่ด้วยกัน เขาแทบไม่ได้กลับบ้านเลย ถ้าแม่กับพี่ไม่มาหาที่เพนท์เฮ้าส์ เขาก็คงไม่มีโอกาสเจอหน้าญาติๆของตัวเอง ตอนนี้พ่อของเขาไม่สบาย และคิดถึงลูกชายมาก ผมเลยไม่อยากรั้งเขาไว้ อยากให้เคลวินไปมีเวลาอยู่กับครอบครัวบ้าง
“ถ้าพ่อค่อยยังชั่วแล้ว ผมจะรีบกลับบ้านมานะครับ”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินทางโทรศัพท์ ก่อนที่เขาจะหายไปทั้งคืน โดยไม่ส่งข่าวมา
วันรุ่งขึ้น ผมอยู่เพนท์เฮ้าส์คนเดียวอย่างเงียบเหงา เอากับข้าวที่ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน มาอุ่นบนเตา เตรียมพร้อม เผื่อว่าเคลวินจะกลับมา เขาจะได้ทานข้าวเลยไม่ต้องรอ ทว่า ตลอดทั้งวันเสาร์ นอกจากจะไม่เห็นเงาของเคลวินแล้ว เสียงของเขาก็ยังไม่ได้ยิน ทั้งโทรศัพท์บ้าน และโทรศัพท์มือถือนิ่งสนิท ไม่มีใครสักคนติดต่อเข้ามา
วันอาทิตย์ ผมรอการติดต่อจากเคลวินอย่างกระวนกระวาย ใจนึกเป็นห่วงไปสารพัด กลัวว่าที่บ้านของเขาจะมีปัญหา บางทีพ่อของเคลวินอาจจะป่วยหนัก และเคลวินต้องดูใจ ทำให้ไม่สามารถติดต่อมาหาผมได้ ผมฟุ้งซ่าน คิดมาก แต่ละเรื่องที่แว่บเข้ามา มีแต่เรื่องเลวร้าย จนผมต้องสลัดศีรษะ ขับไล่ความคิดที่ไม่ดีออกไป ไม่อยากแช่งคนในครอบครัวของคนที่ผมรัก บางทีผมอาจจะคิดมากไป มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้
ถ้างั้น....เคลวินไปไหน ทำไมถึงไม่ติดต่อกลับมา....
วันสุดสัปดาห์ผ่านไป โดยไร้เคลวินข้างกาย ผมอยู่เพนท์เฮ้าส์อย่างเดียวดาย โดยที่เจ้าของบ้านหายตัวไปไม่ส่งข่าวคราวให้ทราบ ผมรู้แค่ว่า เคลวินกลับบ้าน เพราะพ่อป่วย แต่เรื่องราวหลังจากนั้น ผมไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าอาการของพ่อเคลวินเป็นอย่างไรบ้าง และตอนนี้เคลวินอยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาที่เพนท์เฮ้าส์เมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาหาผมบ้าง ขาดการติดต่ออย่างนี้ ผมใจคอไม่สู้ดี กลัวว่าเราต้องแยกจากกัน
เมื่ออยู่คนเดียว ผมก็มีเวลาทบทวนเรื่องอะไรหลายต่อหลายอย่าง สิ่งหนึ่งที่ค่อยๆกระจ่างชัดในใจผม คือความรู้สึกที่มีต่อเคลวิน เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า ผมรักเคลวิน เพราะสงสารที่เขาทำดีกับผม แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ความรักที่มีต่อเคลวิน เป็นรักเพื่อรักเท่านั้น ผมรักเคลวิน เพราะคุณงามความดีของเขา ไม่ได้รักเขาเพราะผมสงสารเขาอย่างที่เข้าใจเอาเองแต่แรก ผมอยากใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา อยากได้เขาเป็นภรรยา โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิง ผมมองข้ามตรงจุดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว มองที่จิตใจของเคลวินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
และนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ผมรัก การหายไปนานๆอย่างนี้ไม่ใช่นิสัยของเคลวิน ถึงเขาจะงานยุ่งแค่ไหน เขาก็จะพยายามปลีกตัวมาหาผม หรือหาวิธีติดต่อให้ได้ แต่นี่ไม่มีแม้กระทั่งโทรศัพท์มาให้ได้ยินเสียง ถึงจะยุ่งสักแค่ไหน ก็น่าจะมีช่วงเวลาโทรมาหาผมบ้าง สัก สองสามนาทีก็ยังดี
โทรศัพท์มือถือที่เขาให้ผมมา ถูกนำออกมาใช้ หลังจากลังเลใจอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจโทรไปหาเขาทันที สิ่งที่ได้กลับมาคือการตอบรับอัตโนมัติ แจ้งให้ฝากข้อความเอาไว้ ผมฝากไปหลายสิบข้อความ ส่วนใหญ่ให้เขาโทรกลับ แต่ก็ไร้วี่แวว เคลวินไม่โทรมาหาผมสักที
เช้าวันจันทร์ ผมรอเคลวินด้วยความกระสับกระส่าย คืนที่ผ่านมาผมนอนไม่เต็มตา เป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องยุ่งกับครอบครัวเขา ทำให้เคลวินต้องอยู่รอเพื่อแก้ไข ขณะที่ผมพยายามหาเหตุผลให้เคลวิน ใจผมก็เริ่มหวาดระแวง
ผมนั่งดูข่าวตลอดทั้งวัน เพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นข่าวซุบซิบ เม้าท์แตก ข่าวสังคม ข่าวเด็ดต่างๆ เพื่อดูว่ามีข่าวเกี่ยวกับเขาบ้างไหม
----------------------------
TBC
เห็นมะ ไม่ได้ค้างซะหน่อยก็มันมีแค่นั้น