ฌ.๒
บรรยากาศบ่ายแก่ๆ ผู้คนเข้าออกร้านบางตา มีบ้างที่เป็นออเดอร์ทางโทรศัพท์จากสำนักงานแถวนี้ แล้วส่งตัวแทนมารับกาแฟไปทั้งเซ็ตใหญ่ๆ ไม่มีคนมานั่งใช้เวลาว่างเลยสักคนนอกจากผู้ชายผิวสีแทนที่ย้ายตัวเองไปนั่งโต๊ะติดกระจก
บาริสต้าผิวซีดลอบสังเกตผู้ชายที่เอ่ยอ้างว่าเป็นสถาปนิก จากการสัมผัสมือที่ผิวค่อนข้างหยาบ บอกเลยว่าเป็นมือของคนทำงานหนัก มีร่องรอยแผลเป็นเหมือนมีดบาดจางๆที่บางรอยก็สังเกตเห็นได้ชัด คล้ายๆเหมือนตอนน้องชายฝาแฝดโดนคัตเตอร์บาดตอนปั่นโปรเจค
แต่แค่นั้นมันไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายพูดความจริง…อาจจะเป็นนักศึกษาคณะทางนี้ก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาติดใจเท่าไหร่ ในเมื่อจะจริงไม่จริงก็ไม่ได้มีผลอะไรอย่างที่เคยพูดไปแล้ว
การแต่งตัวบอกได้ว่าอีกฝ่ายมีเซนส์ด้านแฟชั่น เสื้อแขนยาวคอเต่าสีดำสนิทที่ดูขัดกับอากาศร้อนของเมืองไทย กางเกงยีนส์เข้ารูปสีเดียวกัน ตัดกับรองเท้าหนังเนื้อดี ผมสั้นด้านหลังซอยรับกับท้ายทอย ด้านหน้าเซ็ตให้เปิดหน้ายุ่งๆเหมือนไม่ตั้งใจ คล้ายผมบ๊อบซอยปลายของผู้หญิงนิดหน่อยด้ายซ้าย แต่ด้านขวาเปิดหูจนเห็นบาร์เบลเงินปลายลูกศรที่เจาะทะแยงเหมือนดามหูไว้… เป็นรูปลักษณ์ที่แปลกตาดี อย่างน้อยผมทรงแนวๆนี้ก็มักจะเห็นผู้หญิงตัดมากกว่า
กำไลเหล็กแบบผู้ชายที่ข้อมือนั่นอีก… อ้อ ปลอกนิ้วเงินตรงข้อนิ้วนางซ้ายด้วย เป็นผู้ชายที่มีแฮสเซสเซอรี่เยอะคนหนึ่งจริงๆ แต่มันทำให้ดูเท่ห์มากกว่าดูเยอะ…
“นั่นต้นอะไร?”
ตาคมหันมาถาม ก่อนจะชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ้ด้านนอกซึ่งเป็นสวนเล็กๆของร้านกาแฟที่เขาทำงานพิเศษอยู่นี่
“ไม่ทราบครับ ผมไม่ถนัดเรื่องต้นไม้”
“ขอออกไปดูได้ไหม? ผมว่ากลิ่นหอมๆนี่น่าจะมาจากต้นนี้”
ไม่ทันได้เอ่ยปากอีกฝ่ายก็เดินออกไปแล้ว แปลกตาเล็กน้อยที่เห็นผู้ชายตัวใหญ่โน้มตัวแตะปลายจมูกแผ่วเบาใกล้กลุ่มดอกไม้สีขาวนวล ตาคมหลับลงชั่วอึดใจก่อนจะเผยออกพร้อมแววตาถูกใจ รอยยิ้มที่มุมปากขับให้เครื่องหน้านั่นมีเสน่ห์
… เขาว่าอีกฝ่ายอาจจะเหมาะกับการถ่ายแบบมากกว่าตัวเขาด้วยซ้ำ หน้าตามีเอกลักษณ์แปลกตาแบบที่หาได้ไม่บ่อย โดดเด่นในตัวเอง… ช่วงขายาว ผิวสีแทนที่บอกได้เลยว่าขึ้นกล้องกว่าผิวซีดๆแบบเขาแน่ๆ
ตาเรียวหลุบลงทำเป็นสนใจแก้วกาแฟในมือเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับเข้ามา หัวใจเต้นรัวเพราะกลัวอีกฝ่ายจับได้ว่าเช็ดแก้วใบนี้มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ออกไปจนเดินกลับเข้ามาก็ยังเป็นแก้วเดิม
“คุณมีเศษกระดาษกับดินสอไหม ปากกาก็ได้… ผมอยากสเก็ตภาพเจ้าต้นนี้ไว้หน่อย”
“ไม่ถ่ายรูปล่ะครับ? กล้องมือถือ”
คนถูกทักกลับหัวเราะออกมา รอยยิ้มที่ไปถึงนัยน์ตา
“ผมไม่พกมือถือ”
“หืม?”
“ผมอยู่ในช่วงพักผ่อน และ หนีบางอย่าง”
“งั้น สักครู่ครับ เหมือนมีใบเสร็จเหลือๆ แต่มันจะแผ่นเล็กหน่อยคุณโอเคใช่ไหม?”
“ได้ครับ”
ร่างสูงเดินกลับออกไปข้างนอกแล้ว กะสายตาด้วยส่วนสูงอีกฝ่ายดูจะสูงกว่าเขาอยู่นิดหน่อยซึ่งหาได้ยาก ตัวเขาเองก็แตะ 185 แล้ว แต่หน้าตาอีกฝ่ายก็บ่งบอกว่าเป็นเอเชีย ส่วนเขา…ครึ่งอเมริกา
ส่ายหัวไล่ความหมกมุ่นของตัวเองที่ติดตามอีกฝ่ายมากเกินไปหน่อยจนเช็ดแก้วไม่เสร็จสักที ทำงานเถอะ…อีกฝ่ายก็แค่ผ่านมา และเดี๋ยวคงจะผ่านไป
“คุณเลิกงานกี่โมง?”
“หกโมงครับ เจ้าของร้านจะมาดูแลต่อเอง”
“งั้น ผมรอเลิกงานพร้อมคุณ”
คิ้วเรียวขมวดเพราะแพลนชีวิตประจำวันมีอีกคนเข้ามาแทรก จริงๆร้านกาแฟนี่อยู่เยื้องๆคอนโดเขาแค่นี้เอง เดินข้ามสะพานลอยก็กลับห้องตัวเองได้แล้ว
“คุณไม่มีธุระอะไรหรอ?”
“พูดเหมือนไล่”
“เปล่า…แต่ก็ใช่มั้ง?”
ยิ้มขำ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมา
“ก็…อยากชวนไปทานข้าว”
“อยากกินอะไร?”
“คุณเลือกดีกว่า”
“ไม่ต้องมาตามใจ”
“เปล่า…ผมไม่รู้จักอะไรสักที่ในกรุงเทพเลย โยนภาระให้คุณต่างหาก”
ขยิบตาแกล้งทำเป็นเด็กถูกจับได้เมื่อทำความผิด
“แต่คุณก็มาร้านนี้ถูก”
หรี่ตามองไม่ยอมให้อีกฝ่ายเนียนง่ายๆ
“บีทีเอส และ รีวิวในอินเตอร์เน็ต”
“โอเค ข้าวมันไก่ไหม? แถวนี้มีร้านอร่อย น้ำจิ้มเขาเผ็ดหน่อยแต่ผมว่าเผ็ดๆถึงจะดี ผมชอบไปกินบ่อยๆเวลาอ่านหนังสือดึก”
ดูท่าอีกฝ่ายจะหาเหตุผลให้ได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกนั่นแหละ ก็ไม่เห็นเป็นไรแค่กินข้าว ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเพราะส่วนตัวก็กินข้าวกับเพื่อนออกจะบ่อย
“โอเคครับ ทำงานของคุณเถอะ ผมนั่งรอ”
สามโมงลูกค้าเริ่มเข้ามาในร้านกันมากขึ้น มีบางส่วนยกโน๊ตบุ๊ค หรืองานมาทำในร้าน ซึ่งเปิดให้ใช้ Wifi ฟรีสำหรับลูกค้า บาริสต้าหนุ่มเลยเดินไปเปิดเพลงจังหวะบอสซ่าที่เข้ากับบรรยากาศนุ่มๆของร้านกาแฟ
แต่ก็แปลกใจที่ลูกค้าที่มาตั้งแต่บ่ายกลับขมวดคิ้ว…
“ไม่ชอบฟังเพลงแนวนี้หรอครับ?”
“เปล่า…ผมฟังเพลงไม่เก่ง เลยไม่ชอบสักแนว…ข้อเสียของผมน่ะ แก้ไม่หาย เวลาใช้สมาธิผมชอบอยู่ในความเงียบ เงียบ…สนิท”
“ตอนนี้คุณใช้สมาธิอยู่หรือเปล่า?”
“อือฮึ…ผมกำลังตั้งใจมองคุณอยู่”
รอยยิ้มมุมปาก ผ่านแววตาคมทำเอาหัวใจเต้นรัว…แต่ก็บังคับตัวเองให้ยิ้มขำเล็กน้อยเหมือนไม่รู้สึกอะไร เดินผ่านไปเก็บแก้วจากโต๊ะอื่นที่ลูกค้าเพิ่งลุกออกไป…
โชคดีที่ยืนในมุมนี้…มุมที่หันหลังให้อีกฝ่าย…ทำให้ไม่เห็นว่ามือที่จับแก้วมันสั่น…
ทั้งๆที่ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกเลยด้วยซ้ำ…บริบทไม่ให้ บรรยากาศไม่เอื้อ… ปัจจัยแวะล้อมก็ไม่มี ถ้าเปรียบกับการทดลอง…ตัวแปรเดียวคงจะเป็นเสียงทุ้มนุ่มนั่น
แค่น้ำเสียง…มันส่งผลขนาดนี้ได้หรอ?
หรือจะเป็นแววตา?...ตาสวยกว่านี้ก็เคยเห็น
ปัญหาคือความหวั่นไหว…สมมุติฐานยังหาไม่เจอ
พิสูจน์อะไรไม่ได้เลย… ติดไว้ก่อนแล้วกัน
“ขอบคุณมากนะจ๊ะ วันนี้กลับก่อนได้เลย เดี๋ยวพี่ดูต่อเอง”
“ครับพี่เมย์ งั้นผมไปเก็บผ้ากันเปื้อนก่อน”
“จ้ะ”
เดินเอาผ้ากันเปื้อนไปเก็บหลังร้าน พอเดินออกมาลูกค้าทรงผมแปลกตาก็ลุกออกไปยืนรอหน้าร้านแล้ว ตาคมยังคงหันไปมองต้นไม้ในสวนต้นเดิม
“พี่เมย์ครับ ผมสงสัย”
“หืม อะไรหรอแตม”
“ต้นนั้น ที่ดอกขาวๆเหลืองนวลๆนั่นต้นอะไรหรอครับ?”
“แหม ชอบต้นไม้ด้วยหรอเรา อยู่มาตั้งนานไม่เห็นสนใจ…นั่นต้นหอมหมื่นลี้จ้ะ ปลูกมาตั้งนานเพิ่งจะออกดอก พี่เกือบท้อแล้วเชียว”
“ออกดอกยากหรอครับ?”
“มากกกกก โตช้ามากกกกก คนที่ปลูกต้องตั้งใจมากเลยล่ะกว่าจะโตกว่าจะออกดอก ความหมายดีด้วยนะ ได้ชื่อว่าเป็น ไม้หอมอมตะนิรันดร์กาลที่เติบโตบนดวงจันทร์ โรแมนติกกว่ากุหลาบซะอีกนะพี่ว่า”
ความเชื่อมโยงที่บังเอิญกับชื่อเล่นใหม่… หอมหมื่นลี้ที่เติบโตบนดวงจันทร์ ขมวดคิ้วเมื่อต่อว่าตัวเองในใจ มันจะบังเอิญยังไง มันบังเอิญกับอีกฝ่ายต่างหากที่คิดชื่อดวงจันทร์ สงสัยจะชอบสีเหลืองนวล
…ผิวคุณสวยนะ สะท้อนแสงไฟแล้วสว่างดี…นวลๆเหมือนแสงจันทร์
น้ำเสียงทุ้มๆจากอีกฝ่าย ดังซ้ำอีกครั้งในหัวจนชวนหัวใจเต้นแปลกๆอีกครั้ง…หูเจ้ากรรมก็เหมือนปิดการรับรู้ไม่ได้ยินว่าพี่เมย์พูดอะไร
“แตมๆ”
“อ้ะครับ”
“แหม…เหม่อแบบนี้คิดถึงสาวไหนหรือเปล่าจ๊ะ โดนตำนานหอมหมื่นลี้สะกดแล้วมั้งเนี่ย”
“เปล่าครับ กำลังคิดว่าจะมาแอบตัดตอนไหนดีต่างหาก”
ละสายตาจากต้นไม้ไปขยิบตาแซวเจ้าของร้าน
“ว้ายไม่ได้ย่ะ นอกจากจะเอาไปจีบสาวอ่ะพี่ยกให้ได้ คิกๆ”
“ไม่มีหรอกครับ ความรักสำหรับผมน่ะมียากกว่าดอกหอมหมื่นลี้ของพี่เมย์อีก”
“จะบอกว่าถ้ามีแล้วจะอมตะนิรันด์กาลแบบหอมหมื่นลี้ด้วยใช่มะ?”
หัวเราะกับคำแซวของเจ้านาย อยากจะบอกว่าเคยมีแล้ว…ตายแล้วด้วย…สงสัยจะเป็นคนละต้นกันเพราะอันนั้นโตเร็วแต่ดันตายเร็วอีกด้วย
“ไปแล้วครับพี่เมย์ สวัสดีครับ”
ยกมือไหว้อีกรอบก่อนจะเดินออกไปหาคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก
“ต้นหอมหมื่นลี้”
บอกคนที่ยังจดจ้องไปที่ต้นไม้ต้นเดิม
“หือ?”
“ที่คุณชอบ ผมถามเจ้าของร้านให้แล้ว ชื่อหอมหมื่นลี้”
“ชื่อเพราะ…”
“ออกดอกยากด้วยแต่หอมนาน มันเพิ่งออกดอกผมก็ไม่เคยสังเกต คุณนี่ตาถึง”
“เปล่า…สีดอกมันนวลเหมือนแสงจันทร์”
เผลอกำมือแน่นเมื่อตาคมละจากดอกไม้กลิ่นหอมหันมาสบตา
“เหมือนผิวคุณ…”
ปากบางเม้มแน่น แต่สายตาไม่อาจละจากตาคมที่มองมาได้
“ผมชอบเพราะมันเหมือนคุณ…ถ้าจะบอกว่าผมตาถึง คงต้องบอกว่าคุณต่างหาก…ที่มาวนเวียนอยู่ในความคิดผมมากเกินไป”
ตึก ตึก ตึก ….
บริบทใช่… บรรยากาศลมเย็นๆแบบนี้ก็ใช้… แววตานี่ก็จัดว่าใช่…
จัดว่าเป็นตัวแปรการทดลองหาสาเหตุการเต้นแรงของหัวใจได้หรือยัง?
“พูดเล่นแบบนี้บ่อยๆหรอ”
เสียงต่อว่าแผ่วเบาจนอยากด่าตัวเอง ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายมันยังเต้นเร็วกว่า
“ไม่ได้พูดเล่น…ผมแค่พูดตรงๆ”
“พูดอ้อมๆก็ได้”
“อ้าว…พูดตรงๆก็อยากให้พูดอ้อมๆ…เขาเรียกอะไรนะ? คนปากตรงกับใจใช่ไหม? ผมไม่ใช่คนปากแข็งนี่ครับ คิดยังไงก็พูดแบบนั้น เสรีทางความคิดและการแสดงออก อเมริกาจงเจริญ เย้”
อีกฝ่ายหัวเราะอารมณ์ดีทำให้บรรยกาศประหม่าชวนหายใจไม่ออกจางหายไป รอยยิ้มขำแต่งแต้มใบหน้าซีดอีกครั้งหนึ่ง
“งั้น ไปร้านข้าวมันไก่เลยไหม?”
“ได้ครับ ร้านอยู่ไหนล่ะ? ต้องไปยังไง?”
“เดินไป ไม่ไกลหรอก ข้ามถนนแล้วเดินต่อไปไม่กี่ซอย”
“โอเค คุณนำเลย ทัวร์ข้าวมันไก่”
อีกฝ่ายดูจะตื่นเต้นกับการเดินบนฟุตบาท ยิ้มนุ่มนวลประดับอยู่บนใบหน้าคมชวนมองนั่นตลอดทาง แม้เหงื่อจะซึมเพราะชุดช่างไม่เข้ากับบรรยากาศก็เถอะ
“คุณไม่ได้หลอกผมเดินอ้อมใช่ไหม?”
เดินมาสักพักผ่านมาแล้วก็หลายซอยยังไม่มีวี่แววร้านข้าวมันไก่สักที
“โทษที ผมเดินประจำจนชิน คนไม่ชินทางอาจจะรู้สึกไกล”
“คุณชอบเดินหรอ?”
“ดึกๆก็เดินรับลมให้หัวโล่งก็ดีนะ รถไม่ติดเหมือนตอนเย็นแบบนี้ด้วย”
ตลอดทางที่เดินรถติดยาวเป็นพรืดเพราะนี่มันถนนเส้นเศรษฐกิจของกรุงเทพ หกโมงเวลาเลิกงานรถราเลยคับคั่งจนชวนอึดอัดไปหมด
“คุณ บ้านอยู่แถวนี้หรอ?”
“อือฮึ เดินไปอีกทางกับที่เดินมาร้านข้าวมันไก่ ผมอยู่คอนโด”
“ว้าว”
“ห้องเล็กๆน่ะคุณ ไม่ได้หรูหรอก น้องชายซื้อไว้ ผมแค่คนอาศัย”
เพราะเดินนำอยู่ก้าวหนึ่งทำให้คนเดินตามไม่เห็นแววตาที่หม่นแสงลงเล็กน้อย
“ผมไม่ชอบคอนโดเท่าไหร่ ผนังรอบด้านมันชวนอึดอัด แต่ต้องยอมรับว่ามันสะดวกดี และความปลอดภัยก็ไว้ใจได้มากกว่า ที่ซานฟรานเพนเฮ้าส์ผมอยู่ย่านดาวน์ทาวน์เลย ถ้าไปซื้อบ้านคงเครียดจิตตก มีแต่โฮมเลส เยอะและหนาแน่นพอๆกับนิวยอร์ก”
“ซานฟรานเนี่ยนะ? ไหนว่าโรแมนติก”
“คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่พวกห้างร้านที่ซานฟรานปิดตั้งแต่สองทุ่ม…สองทุ่มครึ่งก็หาของกินยากแล้วครับ โรแมนติกในยามเช้า ชวน
หลอนในยามเย็น อยู่แรกๆผมก็ไม่ชิน”
“ดีจัง…ผมไม่เคยไปเมืองนอกเลย ไม่มีตังค์”
หัวเราะขำเหมือนเป็นมุกตลกทั่วไป… ลูกครึ่งที่ไม่เคยไปเหยียบประเทศของพ่อตัวเอง สำเนียงก็ไม่ดีเหมือนลูกครึ่งคนอื่น… ปมด้อยที่โดนล้อแต่เด็ก ดีที่โตมาหน้ากลืนกับคนไทยหน่อยมองเผินๆก็แยกไม่ออก
“ในไทยดีกว่าเยอะ ผมอยากไปวัดพระแก้วมาก อยากไปดูเขาเพนท์กำแพง ลงรักปิดทอง ไม่เคยไปเลย”
“หือ วัดพระแก้วไม่เคยไป? โคตรเชย”
“งั้น…พาไปทีสิ ผมจะได้ทันสมัยสักที”
=======================================
แบบนี้เขาเรียกเดทหรือเปล่าน้า? ตอนนี้รู้กันแล้วเนอะว่าพระจันทร์ชื่ออะไร แล้วช็อคโกแลตชื่ออะไรต้องติดตามกันต่อไป อิ้อิ้