ตอนที่ 6
ตาเรียวจ้องคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่นั่งตรงข้ามกันด้วยความขัดเคือง ใบหน้ายังร้อนผ่าวไม่หาย ใบหูนี่ไม่ต้องพูดถึง…แดงก่ำจนน่าอาย
“พิซซ่าที่พระจันทร์ เฌอแตมทาซอสสวยกว่าชิ้นของผมอีก”
ยังมีหน้ามาทำเสียงเอาใจ… ช็อคโกแลต ฌามา ไอ้คนนิสัยไม่ดี
หลังจากโดนขโมยจูบและใบหูจนหัวหมุน ช็อคโกแลต ฌามาก็ประคองเขาที่หมดแรงไปนั่งพักที่โต๊ะกินข้าว ปล่อยเขาสงบสติอารมณ์ส่วนตัวเองก็เดินอารมณ์ดีไปจัดเตรียมจาน
แล้วก็ยังยิ้ม ชวนพูดคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น… ไม่ได้รับผิดชอบความรู้สึกและการกระทำของตัวเองเลย คิดแล้วก็โมโห เลยหยิบพิซซ่ามากัดแรงๆระบายความอัดอั้น
อยากจะถลาไปตั๊นหมัดสักหมัดใส่หน้ายิ้มนั่น…แต่ความเขินมันมากกว่าความโมโห เลยทำได้แค่ฮึดฮัดอยู่คนเดียว
ฌาม์ ทำเป็นไม่สนใจความขัดเคืองที่ฉายชัดบนใบหน้าของพระจันทร์ เฌอแตม ถูกใจนักเชียวกับท่าทางแบบนี้ มันดีกว่าการทำหน้านิ่งๆ พูดจาระมัดระวังและยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ประหนึ่งยืนอยู่หลังกำแพงปราสาทสูงลิบลิ่ว
คนอะไร…สร้างกำแพงให้ตัวเองขนาดนั้น
เฌอแตม เหมือนกับไม่สนใจอะไร ท่าทางเฉยเมยที่นิ่งสงบเหมือนกับปูนที่หล่อตัวตนจริงๆไว้ข้างในจนอยากจะกระเทาะให้แตกคามือ
ยิ้มก็ยิ้มไม่สุด หัวเราะก็ครึ่งๆกลางๆ ทุกอย่างมันช่างฝาดเฝื่อนและเลื่อนลอยหาความรู้สึกจริงๆไม่เจอ เหมือนตัวตนจริงๆมันถูกซ่อนไว้ในซอกมุมไหนที่เจ้าตัวไม่อยากให้ใครเจอ ซึ่งคนที่จะเป็นแบบนี้ได้
คงเจอเรื่องราวอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจน่าดู…ถึงปฏิเสธคนรอบข้างได้มากขนาดนี้
เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถกะเทาะเปลือกแข็งกระด้างของเฌอแตมออกมาได้ แต่นั่นหมายถึงการก้าวเข้าไปอยู่ในชีวิตของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัว มีความผูกพัน มีการสานสัมพันธ์จนทำให้เปิดใจ
ถ้าจะบอกว่าทำในฐานะเพื่อน… ตอนนี้เขารู้สึกอยากรู้จัก อยากเป็นเพื่อน แต่การกระทำของตัวเองที่ปฏิบัติกับอีกฝ่าย ยังไงก็ไม่ใช่เพื่อน
ถ้าย้อนไปมองว่าเคยมีการปฏิสัมพันธ์กันมาแล้วหนึ่งคืน มันก็อยู่ในขอบเขตของการพิสูจน์การทดลองร่วมกัน จบจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะกลับไปมีสัมพันธ์กันอีกได้ มันไม่ใช่ความพึงพอใจร่วมกันที่นำไปสู่ค่ำคืนนั้น…แต่กลับมีการนำผลลัพธ์ไปพิสูจน์ทางวิชาการซะมากกว่า
ถ้าจะบอกว่าความพึงพอใจในตัวเขาที่มีต่อเฌอแตมมาจากทางด้านร่างกายนั้นก็กล้าพูดว่า ไม่จริง แต่เป็นแค่หนึ่งปัจจัยร่วมซึ่งมีผลน้อยกว่าอิทธิพลหลักนั่นคือ… ลักษณะบุคลิก
เพราะอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ เป็นใครสักคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังกำแพงปราสาท ใครสักคนที่ซ่อนตัวตนไว้ในปูนหล่อที่รอวันกะเทาะออก
ใคร…ที่เขาอยากรู้จัก…
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็อยู่ในกรอบวงกลมที่ว่า… เขาอยากเข้าไปในชีวิตเฌอแตมจริงๆหรือเปล่า?
ดีลคืนนั้นทำไมเฌอแตมถึงอยากพิสูจน์ว่าตัวเองสามารถมีอะไรกับคนที่ไม่รู้จักได้?
คนเราไม่อยากพิสูจน์อะไรสักอย่างหรอกถ้าไม่เกิดความสงสัย? ทำไมถึงสงสัย? ถ้าการกระทำนั้นไม่ได้รีเฟอไปถึงใครบางคน คนที่ซ่อนอยู่ในใจ สาเหตุที่นำมาสู่ความอยากรู้อยากเห็น
เฌอแตม มีคนในใจ…
แค่คิดก็หงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย… แต่ก็ไม่มากพอที่จะโมโห เท่ากับว่าระดับความรู้สึกของตัวเขาเองมันยังไม่ได้สูงเท่าไหร่นัก อยู่ในจุดที่พึงพอใจในเบื้องต้น
เฮ้อ… พอลองคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลเหมือนเด็กสายวิทย์ชอบทำแล้ว… คำตอบคือตัวเองไม่ควรยุ่งกับอีกฝ่าย ถ้าความรู้สึกมันยังไม่มากพอ
แล้วถ้าคิดแบบศิลปะนำทางล่ะ?
“นี่”
“ครับ?”
ฌาม์หลุดจากภวังค์ความคิดมองคนหน้าหงุดหงิดที่ตอนนี้เกือบจะกลับไปนิ่งสนิทเหมือนเดิมแล้ว
“กินให้หมด เดี๋ยวล้างจานให้”
ตาหลุบมองจานตัวเองที่พิซซ่าเกลี้ยงไปแล้ว เหลือแต่ชิ้นในมือ… คิดไปกินไปโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดอะไรหรือจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดไม่ต่างกัน?
“พระจันทร์ เฌอแตม”
“หือ?”
“เปล่าครับ เรียกเฉยๆ”
หัวเราะเบาๆก่อนจะอ้าปากกินพิซซ่าคำสุดท้ายและส่งจานเปล่าให้คนผิวซีดที่ขมวดคิ้วชั่วครู่ก็กลับมาหน้านิ่งสนิทยกจานไปล้างให้
เฌอแตมล้างจานอยู่ในซิงค์น้ำที่เปิดโล่ง ไม่มีกำแพงกั้น แต่ยังสามารถมองผ่านไปยังอีกฟากของตัวบ้านชั้นหนึ่งที่ช็อคโกแลต ฌามายังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
ร่างสูงของอีกฝ่ายหันออกไปทางหน้าบ้าน มือยกขึ้นลูบปากตัวเองเหมือนใช้ความคิด… ฌามามีห้วงเวลาที่ตกอยู่ในความคิดของตัวเองเป็นพักๆ สังเกตได้ตั้งแต่ที่ร้านกาแฟ
อีกฝ่ายชอบใช้สมาธิอยู่ในโลกส่วนตัวในบางที การนั่งเงียบๆทอดมองไปยังจุดๆหนึ่งนานๆไม่ใช่เพราะสนใจสิ่งนั้น แต่คือการคิดในหัวของตัวเอง
คิดเรื่องอะไร? คิดเหมือนกันหรือเปล่า?
มือที่ถือฟองน้ำชะงัก… อยากจะให้คิดเหมือนกันทำไม?
ถ้าคิดเหมือนกัน แล้วตัวเขาคิดอะไร?
โคลงหัวไล่ความคิดแปลกๆออกไปจากตัว จะให้คิดอะไร? ทุกอย่างไม่มีความชัดเจน พิสูจน์อะไรไม่ได้เลย ถ้ามันเลื่อนลอยฟุ้งๆในอากาศ… มันไม่แน่ไม่นอนพอที่จะนำมาใส่หัว
ถ้าจมไปกับมันเหมือนกับตกลงไปในก้อนเมฆ… สุดท้ายก้อนเมฆฟุ้งๆก็รับน้ำหนักเราไม่ไหว ร่วงหล่นลงไปบนพื้นโลกอยู่ดี…
ความเพ้อฝันและมโนภาพกับความจริง มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
“ผมขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อ้อ ครับ ผมล้างจานเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวกลับเลย”
“งั้นขออาบเสร็จก่อน เดี๋ยวไปส่งที่บีทีเอส ห้ามปฏิเสธนะครับ”
พยักหน้ารับก่อนจะล้างอุปกรณ์ทำครัวที่อีกฝ่ายทำจนเลอะเทอะไว้ต่อ เขาชอบทำงานบ้าน จริงๆเมื่อก่อนก็ไม่ได้ชอบแต่ไม่มีใครทำให้ก็ต้องทำ ทำทุกวันก็ชิน คราวนี้ก็ไม่ทำแล้วหงุดหงิด อะไรเลอะๆก็ต้องขัดให้ออก มีฝุ่นนิดเดียวก็ไม่ชอบต้องกวาดให้สะอาด
บ้าความสะอาดจนชาร์ลเลอน้องชายคนเล็กเลิกอยู่คอนโด หนีไปอยู่หอพักเพราะพออยู่ห้องติดกันเขาก็เข้าไปวุ่นวายห้องน้องมันด้วย อยู่ไปได้ไงห้องรกๆ… แหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคเลยนะ
เชอเบทน้องฝาแฝดที่อยู่ร่วมคอนโดก็คงอึดอัด สุดท้ายก็แยกย้ายกันไป… และเขาก็กลับมาอยู่คนเดียวเหมือนเดิม หรือเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียวและตายไปคนเดียว?
ตาเรียวมองรอบบ้านกระจกกว้างๆที่ล้อมไปด้วยสวน บ้านนี้ค่อนข้างสะอาด ไม่รู้ว่าสะอาดเพราะเจ้าของรักความสะอาด หรือมีแม่บ้านคอยทำให้
ความคิดวุ่นวายหยุดชะงักลงเมื่อกระจกฝั่งครัวมีรอยเปื้อนบางอย่าง กระจกใสแต่กลับมีรอยเลอะแค่จุดเดียว ขายาวก็พาตัวเองไปหยิบผ้าเช็ดโต๊ะชุบน้ำเดินไปขัดกระจกทันที ขัดเอี่ยมอ่องจนสะอาดก็ไพล่ไปเห็นพระจันทร์ในก้อนเมฆที่อีกฝ่ายวาดไว้… เช็ดไปด้วยเลยแล้วกัน
โชคดีที่เป็นกระจกมันถึงเช็ดพวกปากกาเคมีออกได้ง่าย ขัดแปปเดียวก็ได้กระจกใสปิ๊งกลับมาเหมือนเดิม ยิ้มด้วยความพอใจก็หันไปเจอปากกาที่ร่วงหล่นบนพื้น เจ้าปากกาที่ใช้วาดกระจกนี่แหละ
หยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะเรียบร้อย… จานในตู้ก็น่าจัดเหมือนวางสลับไซส์ไม่ตั้งใจ จานต้องเรียงจากบานใหญ่ไปเล็กสิ…
เอ๊ะ แล้วนั่น… ช้อนส้อมวางสลับปนกันได้ยังไง…
การจัดครัวครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้น
ฌามาเดินเช็ดหัวลงมาด้านล่างก็ไม่เห็นแขกของตัวเองซะแล้ว ขายาวใต้กางเกงผ้าเดินไปตามกำแพงกระจกเพื่อมองรอบบ้านเผื่ออีกฝ่ายจะเดินเล่นอยู่ข้างนอก แต่แล้วก็ต้องหยุดเท้าเมื่อเจอแขกของตัวเองกำลังคุกเข่าขัดพื้นกระเบื้อง
“พระจันทร์ เฌอแตม นั่นคุณกำลังทำอะไรครับ”
“หา อ๋อ พื้นมันเลอะ ผมเลยขัด… ตามซอกกระเบื้อง”
คนตกอยู่ในภวังค์มหกรรมทำความสะอาดเงยหน้ามามองเจ้าบ้าน ก่อนจะหน้าร้อนผ่าวเพราะเผลอแสดงนิสัยส่วนตัวออกมา รีบลุกขึ้นยืน
“คุณ ขัดพื้น?”
“เอ่อ… ขอโทษที…มันขัดหูขัดตาน่ะ”
ใบหน้านิ่งสงบตลอดเวลาคราวนี้กลายเป็นความขวยเขินยิ่งทำให้ฌาม์หัวใจเต้นแรง นอกจากจะมีจุดอ่อนที่ใบหูแล้วอย่าบอกนะว่าพระจันทร์ของเขาชอบทำความสะอาด
“คุณ ชอบทำความสะอาดหรอครับ?”
“ก็… ชินอ่ะ โทษที”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โอ้ย คุณน่ารักไปแล้วนะ ขอกัดหูอีกทีได้ไหม”
“หยุด!”
มือถือผ้าเช็ดโต๊ะยกขึ้นชี้หน้าช็อคโกแลต ฌามา อีกมือปิดหูตัวเองถึงจะปิดได้ข้างเดียวก็เถอะ ความรู้สึกที่ตัวเองไม่คุ้นเคยยามถูกแตะต้องที่ใบหูมันทำเอารู้สึกไม่มั่นคง
“น่า…”
ขายาวใต้กางเกงผ้านำพาร่างตัวเดินเข้าหาคนผิวซีดช้าๆ ทีละก้าว เฌอแตมถอยหลังหนีไปเรื่อยๆจนชนกับตู้เย็น ฌามาก็ยกแขนกักคนหมดทางหนีไว้ในอ้อมแขนทันที
“หนีไม่ได้แล้วครับ มาให้ผมกัดหูซะดีๆ”
“ไม่เอา… ถอยไปนะ”
“นิดเดียว…”
“นี่… อื้ออออ”
ข้อมือถูกยึดไว้ไม่ให้หนีไปไหน กลิ่นโคโลญจน์สะอาดๆแบบผู้ชายลอยล่องอยู่รอบตัว เสียงต่ำที่ทุ้มนุ่มแผ่วเบาอยู่ข้างหู ก่อนสัมผัสที่เปียกชื้นจะแตะลงที่ใบหูช้าๆ
แข้งขาหมดเรี่ยวแรง หัวใจเต้นรัว… เสียงครางที่ไม่เป็นตัวเองดังออกมาจนต้องเม้มปากแน่น…แค่ฟันขบกับใบหูเบาๆเท่านั้นทำไมเหมือนถูกสูบพลังวิญญาณ
“หูคุณน่ารักจัง…”
“ถะ ถอยไป อื้อ… อย่ากัด…”
หัวใจเต้นแรง เสียงหายใจหอบเหมือนคนออกกำลังกายมาอย่างหนัก และสุดท้ายจากใบหูก็ค่อยๆไล้มาตามข้างแก้ม และจบลงที่กลีบปาก… แต่เพียงครู่เดียวใบหูอีกข้างก็ถูกจู่โจม
แข้งขาหมดเรี่ยวแรงจนทรุดลงแต่อ้อมแขนแกร่งกว่าก็รวบประคองไว้มั่น…
“พระจันทร์ เฌอแตม…”
เสียงกระซิบชิดใบหูจนขนลุก… ตาเรียวเริ่มหยาดน้ำเพราะความรู้สึกวาบหวามประหลาด สองแขนเกาะบ่ากว้างไว้เป็นหลัก ปล่อยให้ใบหูถูกรุกรานจนต้องหลับตาแน่น
ชั่วครู่แต่ช่างยาวนานในความรู้สึก… ช็อคโกแลต ฌามาถึงผละออกช้าๆมาหอมแก้มเนียนแผ่วเบา ปล่อยให้คนหมดแรงได้พักอาการไม่เป็นตัวเอง
“อะ ไอ้เหี้ย”
การด่าที่หยาบคายแต่เสียงช่างแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนจากช็อคโกแลต ฌามา
“พระจันทร์ เฌอแตม… เหี้ยนี่ตัวอะไรครับ?”
จริงๆคำนี้ก็รู้แต่อยากกวนประสาทเฉยๆ… และมันก็ได้ผล คนหน้าแดง หูแดงถลึงตาใส่และยกขายันเขาเต็มแรงจนเซ
ช็อคโกแลต ฌามาเหวอไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแรงเยอะขนาดนี้ ดีนะที่ตั้งตัวทันไม่งั้นคงลงไปกองกับพื้นแล้ว
“ไอ้บ้าเอ้ยยยยย ให้ตายเหอะ!”
มือที่ยังกำผ้าเช็ดโต๊ะไว้ตลอดการลวนลามใบหูอันยาวนาน เหวี่ยงผ้าเน่านั่นใส่หน้าโจรขโมยหู ก่อนจะก้าวเท้าผ่านออกมาที่ประตูบ้าน อยากจะหนีไปไกลๆไอ้คนนิสัยเสีย
แต่ยังไม่ทันพ้นประตูรั้ว… ฝนโครมใหญ่ก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย…
“อ้าวฝนตก”
กลอกตาไปมากับน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเสียดายแต่หน้าตาถูกอกถูกใจของเจ้าบ้าน
“มีร่มไหม?”
“ไม่มีครับ”
“ไม่เชื่อ บ้านไหนไม่มีร่ม?”
“บ้านผม มันไม่มีจริงๆนะครับอย่าทำหน้าเหมือนผมหลอกลวงสิครับ”
“เดี๋ยวจะโทรเรียกแท็กซี่”
“คุณไม่มีเบอร์หรอก”
น้ำเสียงชักไม่มั่นใจ
“หาในเน็ตก็ได้ไหมล่ะ?”
“อ่าว แบบนี้ขี้โกงนี่นา”
พระจันทร์ เฌอแตมยกแขนกอดอกมองใบหน้าคนคนสำออย ใช่สำออย… ผู้ชายตัวโต ผมหมาดชื้นปรกหน้า ใส่เสื้อยืดคอกว้าง กางเกงผ้า ใบหูมีบาร์เบลเจาะทแยง ไม่ได้เหมาะเลยกับการทำหน้าบู่ปากแบบเด็กๆ
“ใครกันแน่ขี้โกงบอกว่าบ้านไม่มีร่ม”
“ก็…ถ้าผมไม่มีจริงๆล่ะ”
นัยน์ตาคมฉายแววบางอย่างที่ทำเอาไม่กล้าเถียงกลับ แต่จากคอมมอนเซนส์ทั่วไปบ้านที่พักอยู่อาศัยของคนปกติมันต้องมีร่มไม่ใช่หรือไง?
“แล้วถ้ามันมี?”
“ดีลกันไหมล่ะครับ”
“ว่ามา”
“ถ้าคุณหาร่มเจอ ผมจะไม่รั้งคุณไว้อีก จะเรียกแท็กซี่และจ่ายค่าแท็กซี่ให้ด้วย”
“แล้วถ้าผมหาไม่เจอ?”
“คุณต้องยอมให้ผมกัดหูอีกรอบ”
ตาเรียวเบิกกว้างมือยกปิดหูอัตโนมัติ เงื่อนไขละเมอเพ้อเจ้อที่มีใบหูเป็นเดิมพันเนี่ยนะ? ขายาวก้าวถอยหลังจนชิดประตูกระจก
“ทำไมคุณชอบเดินหนีผม?”
“ก็คุณจะทำบ้าอะไรกับหูผมอีก!”
ช็อคโกแลต ฌามายกยิ้มมุมปาก สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงเอียงคอเล็กน้อย
“ผมว่าที่ทำมันก็ไม่ได้บ้านะครับ คุณก็รู้สึกดี”
“ไม่จริง”
“คุณอย่าทำหน้าแดงใส่ผมได้ไหม? ผมเขินนะ”
มียกมือเกาท้ายทอยอีก…
“ไอ้… โอ้ย อะไรวะเนี่ย”
ถึงกับน็อตหลุด อารมณ์ที่นิ่งเหมือนน้ำสงบเสมอเหมือนถูกกวนจนเป็นน้ำวน หัวที่คิดแผนการอะไรต่างๆมาตลอดกลับสติกระจัดกระเจิงไปหมดเพียงแค่นึกถึงตอนเรียวฟันคมขบลงมาที่ใบหู…
แค่คิดก็หน้าร้อนผ่าว…
“ตกลง…เรามาดีลกันนะครับ?”
“ไม่!”
“น่า…”
“อย่าเข้ามาใกล้!”
“ผมเปล่าซะหน่อย…”
เปล่าบ้าอะไร เขยิบเข้ามาจนแทบจะชิดกัน
“ผมถีบจริงๆนะ”
“ถ้าถีบผม ผมจะกัดหูคุณทั้งคืนเลยคอยดู!”
โอ้ย…ไอ้คนหน้าด้านเอ้ย!!!
===================================================
เสพติดความหวานละมุนนี้ไว้ เพราะตอนหน้า... จะเป็นตอนสุดท้าย
เรื่องนี้... โรแมนติกสีเทาค่ะ อิอิ
ย้ำอีกครั้ง...
ถ้าคนอ่าน ฟ้าลั่นรัก มาก่อน... เฌอแตมไม่มุ้งมิ้งนะคะ
