| Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4  (อ่าน 45519 ครั้ง)

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ก็ยังเหมือนเดิมง่ะ ยังเดาอะไรไม่ถูกเหมือนเดิม เหมือนมันจะหาที่แก้ปมเจอแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อยู่ดี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีความลับกันเยอะนัก เดียวก็เอากรรไกรมาตัดปมทิ้งซะเลยหรอก ไม่แก้แล้วตัดทิ้งเลยล่ะกัน555 :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ใครจะหลอก ใครจะลวง ใครจะรัก เรารอเฉลยดีกว่า ไม่พยายามแก้ปมในหัวแล้ว  ไม่งั้นเราต้องเอาไปฝันอีกแน่เลย แงงงงง
เราจะอ่านแบบสบายๆปล่อยใจไปกับเทพนิยายสายโหดของธชา จะไม่ขัดใจกับความอยากรู้แต่ไม่อยากถามของแฟร์ และจะปักธงทีมเชนคนกวน คนอะไร..กวนไปหมด 55555

เราชอบซีนเล็กๆของการดูแลต้นไม้ อะไรที่มากเกินก็ไม่ดี แต่จะไม่ใส่ใจเลยก็ไม่ได้นะชา

ที่ประทับใจที่สุดของตอนนี้คือ ที่มาของคำว่าบีบบังคับ ตลกกก 555555555

คุณเจ้าอ่านเก่งและเขียนเก่งมากอะ ยอมมมม :call: :call: :call:


ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบแปด


   พี่ชายสังหารข้าเพื่ออภิเษกกับเจ้าหญิง!
   - The Singing bone


 
   การสอบกลางภาคผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

   ผมก็อยากให้มันเป็นอย่างที่บอกอยู่หรอก

   "ทำไมอาจารย์ต้องมาประกาศผลผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างนี้ด้วยนะ"

   แถมเวลาที่ประกาศคือสิบโมงเช้าวันอาทิตย์ ไอ้คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ดีแค่ไหนอย่างผมนี่นอยด์รับประทานไปตั้งแต่ตอนแจ้งเมื่อวันจันทร์ วันธรรมดามันก็ยังต้องไปเรียนตามปกติเลยมีเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจ แต่พอใกล้ถึงวันจริงแล้วผมอยู่ด้วยความหวาดวิตกสุดๆ

   ตอนนี้อีกห้านาทีจะสิบโมงตรง ผมตื่นมาตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี เอาผ้าไปลงเครื่องซักแล้วก็ออกไปรดน้ำต้นไม้รอบบ้านระหว่างรอปั่น พอตากเสร็จก็กลับเข้ามาเคลียร์พวกห้องครัวให้เรียบร้อย ทุกอย่างลงตัวตอนเก้าโมงกว่า จากนั้นก็ได้เวลาของการมานั่งจ๋องอยู่หน้าโน้ตบุ๊ก

   ไม่ค่อยได้อัปเดตเรื่องภายนอกเลยเปิดอ่านข่าวที่น่าสนใจในช่วงนี้ จ้องตัวอักษรอยู่บนหน้าจอได้ไม่เท่าไหร่ก็ยอมแพ้แล้วกลับมาเปิดหน้าต่างเว็บประกาศคะแนนค้างเอาไว้

   หมุนเก้าอี้อ่านหนังสือไปมา ลองเปลี่ยนท่านั่งมาหลายแบบแล้วเพื่อพบว่าการขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้แคบๆ นี่มันสบายกว่าที่คิดเอาไว้ สงบสติอารมณ์ด้วยการมองออกไปทางแสงยามสายที่ลอดผ่านม่านเข้ามา คิดว่าเช้าวันอาทิตย์คงไม่มีใครสัญจรไปมาเท่าไหร่เลยเปิดหน้าต่างห้องนอนเอาไว้ จะว่าไปแล้วต้องเอาม่านไปซักบ้างแล้วล่ะ

   "ซักม่าน ...เอาหนังสือของครึ่งเทอมหลังออกมาวางไว้ ...แล้วก็..."

   ตอนที่คิดหมุนตัวอยู่สายตาเลยไม่ได้จับจ้องไปตรงส่วนหนึ่งส่วนใด พอแรงส่งน้อยลงแรงเฉื่อยมันก็มากขึ้น เก้าอี้ที่เคยหมุนรอบตัวเองเลยหยุดได้จังหวะสวยงามจนน่าหัวเสีย ตรงหน้าของผมตอนนี้คือก้านดอกไม้ไร้ความสวยงามวางเอาไว้โดดเดี่ยวบนโต๊ะตัวเล็กสำหรับการนั่งทำการบ้านบนพื้น

   ...

   ควรจะเอามันไปทิ้งเสียที

   ดอกกุหลาบที่เคยเป็นสีแดงสดหลงเหลือเพียงความแห้งเหี่ยว น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกว่าสีของมันสวยงามยิ่งกว่าตอนแรกรับเสียอีก

   ใจหนึ่งก็บอกให้ผมทิ้งไปให้หมด แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่าถ้าผมได้ 'ปลูก' กุหลาบดอกนี้จริงมันอาจจะช่วยพาผมไปหาคำตอบที่ต้องการอยู่ก็ได้

   เลยกลายเป็นว่าทุกครั้งที่กลับเข้ามาในห้องแล้วเห็นมันวางอยู่ หัวใจก็พลอยกระตุกวูบเสียทุกครั้ง มันทั้งตอกย้ำแล้วก็ซ้ำเติมทุกอย่างที่เคยอยู่แค่ในความคิดของผมให้เด่นชัดมากขึ้น ธชามีความลับที่เก็บเอาไว้ เขามีใครคนที่ซ่อนเอาไว้อยู่

   ที่ไม่ใช่ผม

   มือยกขึ้นไปแตะเครื่องประดับตรงใบหูไม่รู้ตัว ลองนึกย้อนไปว่าตัวเองพลาดข้อมูลตรงส่วนไหนไปบ้างหรือเปล่า มันเป็นคำตอบที่ไม่รู้ว่าต้องพยายามแค่ไหน ต้องแลกกับอะไรบ้าง ถึงจะได้มันมา

   "...สิบโมงแล้ว"

   ลากสติออกมาจากเรื่องฟุ้งซ่านได้ก็ตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกแจ้งเตือน ผมตั้งเอาไว้เผื่อว่าลืมไง ดูสิว่าพะว้าพะวังได้ถึงขั้นไหน

   กลับไปตั้งใจพิมพ์ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน กดเข้าไปตามส่วนคำสั่งต่างๆ จนถึงหน้าจอของการประกาศคะแนน ผมเลื่อนสกอร์บาร์ลงมาทีเดียวให้ถึงช่วงสุดท้ายเพื่อที่จะได้ดูค่าเฉลี่ยของคะแนน พอเห็นว่ามันไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ก็ไล่ขึ้นไปทีละน้อยพร้อมกับใจที่เต้นระทึก

   ตัวเลขบอกว่าคะแนนของผมอยู่สูงเกินกว่าระดับคะแนนเฉลี่ยมากพอสมควร มันช่วยให้พ่นลมหายใจระบายความกังวลออกมาได้ นอกจากตัวนี้แล้วก็ไม่มีตัวอื่นที่ต้องห่วงล่ะ

   ยังไม่ทันได้ปิดหน้าต่างลงเครื่องมือสื่อสารข้างตัวก็แผดเสียงจนตกใจ ผมมองดูชื่อของสายที่โทรเข้ามาแล้วทำหน้าเบื่อโดยอัตโนมัติ รูปกุหลาบหนึ่งดอกพาหนึ่งใบหน้าเข้ามาทักทาย

   ชั่งใจแล้วว่าต่อให้ไม่รับธชาก็ต้องหาทางติดต่ออื่นจนได้ ถ้าไม่อยากโดนรังควาญอีกก็ควรรับไปให้สิ้นเรื่อง

   (คะแนนดีใช่ไหม?)

   ยังไม่ทันได้ทักปลายสายก็ส่งคำถามมาเสียแล้ว "ก็ดี มากกว่าที่คิดเอาไว้"

   (อืม)

   "ขอบคุณสำหรับชีต"

   ถ้าผมไม่ได้ชีตผีบอกของธชาแล้วบางเรื่องคงตอบได้น้อยกว่านี้ ยังคงย้ำเหมือนเดิมว่าการสรุปของเขามันดีมากจนน่าจะเปิดทำเป็นธุรกิจให้รู้แล้วรู้รอด

   (ยินดีเสมอ)

   ต่อให้คุยกันกี่ครั้งผมก็ยังไม่ชินเสียงที่ผ่านมาตามสายอยู่ดี ธชาเสียงทุ้ม แต่พอมันต้องเดินทางผ่านตัวกลางก่อนที่จะถึงผมแล้วมักจะให้ความรู้สึกประหลาดอยู่เสมอ

   "แล้ว...มีอะไรอีกหรือเปล่า"

   สงสัยเมื่อไหร่ก็ถามออกไปเมื่อนั้น เขาคงไม่ได้ลงทุนโทรมาหาด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการรู้คะแนนมิดเทอมอย่างเดียว ระหว่างที่ปลายสายยังไม่มีการตอบกลับผมก็นั่งคิดทบทวนไปว่าตัวเองติดค้างอะไรไว้หรือเปล่า ของก็ไม่ได้ลืมไว้ที่คอนโด หรือว่าจะเผลอเอาหนังสือเรียนของเขากลับบ้านมาด้วย

   (ตอนสิบเอ็ดโมงไง)

   "สิบเอ็ดโมง?"

   (ที่นัดกันซื้อของไปทำซุ้ม) ธชาต้องรู้แล้วแหงว่าผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย (บอกตั้งแต่วันพุธ เมื่อวานก็เตือนในไลน์แล้ว)

   "อ่า..."

   ผมจำไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเปิดแอปไลน์ไปกี่ครั้งในสัปดาห์นี้ พออธิบายรายละเอียดให้เข้าใจแล้วผมก็ได้แต่ผุดลุกออกจากที่นั่งไปยืนหน้าตื่นอยู่ตรงตู้เสื้อผ้า กวาดตามองเร็วๆ ว่าควรจะหยิบเสื้อกับกางเกงตัวไหนมาใส่ให้เข้ากัน ชุดที่เพิ่งซักยังไม่มีทางแห้งอยู่แล้ว

   "งั้นก็เจอกันที่หน้าซอยสิบแปดนะ"

   (เข้าไปรับที่บ้านได้)

   "ไม่ต้องเข้ามาหรอก มันกลับรถยาก"

   (ถ้าจะเลทก็โทรมาบอกหน่อย)

   "เราไม่ใช่เชน"

   (เผื่อเอาไว้)

   พอจบการนัดหมาย สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการเตรียมตัวออกนอกบ้าน ตอนแรกไม่นึกว่าจะไปไหนเลยใส่ชุดที่สบายต่อการเคลื่อนไหวเป็นหลัก คงต้องเปลี่ยนให้เหมาะกับการเข้าไปในมหาวิทยาลัยหน่อย ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเครื่องแบบหรือชุดสุภาพมีผลอะไรต่อการเรียนแต่ก็ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวกลายเป็นพวกขวางโลกไปอีก

   เลือกเป็นเสื้อยืดไม่มีลายสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงยีนส์ ตบท้ายด้วยการหยิบแว่นทรงกลมขึ้นมาใส่ เป่าลมออกจากปากเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเอง

   เอาล่ะ วันนี้ก็ขอให้อสูรอารมณ์ดีด้วยเถอะ

 
   
   อย่างที่ได้รู้กันไปแล้วว่าผมถูกธชาโยนหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องซุ้มภาษามาให้ พูดแบบคนไม่มีความรับผิดชอบเลยก็ได้ว่าถึงจะได้ตำแหน่งนั้นมาผมยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้สมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คนที่ถูกวางงานมาตั้งแต่ต้นอย่างอสูรก็ไม่เคยประสานงานลงมาให้รับทราบเพิ่มเติม ผมก็ลอยตัวไป

   จนประชุมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากหมดช่วงการสอบกลางภาคไปแล้วทุกคนก็พร้อมตะลุยงานของคณะต่อ ผมผู้ซึ่งเป็นเพียงตุ๊กตาให้ธชาหยิบไปด้วยก็เลยได้เข้าไปนั่งฟังการอัปเดตงานในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงได้รับมอบหมายหน้าที่พิเศษบางอย่างด้วย

   อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดงานควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายพัสดุ แต่มันก็มีบางอย่างที่ควรไปเลือกเองเพื่อป้องกันความผิดพลาด หนึ่งในนั้นคือดอกไม้ที่จะใช้ ตอนที่ผมได้ยินเขาไล่มาว่าอยากได้ดอกไม้ชนิดและพันธุ์ไหนบ้างก็ยังคิดเลยว่าฝ่ายจัดงานตัดสินใจถูกแล้วที่ให้ธชามาเลือกซื้อเอง

   "ทำไมถึงต้องใช้ดอกไม้ด้วยล่ะ"

   ผมมองง่ายๆ แค่ว่ามันยุ่งยาก ต้องมาซื้อเองแล้วยังมีหน้าที่กลับไปแต่งให้มันเป็นช่ออย่างที่ต้องการอีก ดอกไม้ที่จะเป็นของตอบแทนเล็กน้อยสำหรับการเข้ามาใช้บริการแบบมีค่าใช้จ่าย

   "ผู้หญิงชอบดอกไม้"

   อย่าลืมว่าคณะของผมเกือบเป็นโรงเรียนหญิงล้วนไปแล้ว "ก็จริง"

   "แล้วมันก็เป็นอะไรที่ลงตัวสำหรับงานดี"

   ซุ้มภาษามีบริการเสริมเป็นช่อดอกไม้หลากหลายแบบ มาพร้อมกับความหมายในภาษาอังกฤษ เนี่ย พอซื้อเสร็จผมก็ต้องกลับไปเช็กว่าข้อมูลที่หามาแล้วมันถูกต้องหรือไม่ ถ้าเกิดข้อผิดพลาดในวันจริงคงดูไม่จืดเท่าไหร่

   "เราไม่ค่อยอินกับมันเท่าไหร่"

   "แค่ทำงานให้เสร็จก็พอ"

   ปลายทางของเราในวันนี้คือแหล่งรวมดอกไม้สดและดอกไม้แห้งนานาชนิด ผมค่อยๆ เดินลัดเลาะไปตามทางเดินเท้าระหว่างที่สายตาก็มองซ้ายขวาดูช่อดอกไม้หลายสี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้มาเหยียบตลาดอย่างนี้ ปกติแล้วผมคุ้นเคยกับดอกไม้ตรงรั้วบ้านมากกว่า

   "แฟร์ เดินดูทางด้วย"

   "...ก็ดูอยู่ตลอด"

   เขาคว้ามือของผมไปจับเอาไว้โดยไม่ขอความเห็น "มองแต่ข้างทาง"

   "แล้วนี่เราจะเดินไปไหนเหรอ" ผมว่าเราผ่านมาเป็นสิบร้านได้แล้วแต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุดพักที่ไหนเลย ไม่แม้จะปรายตาดูว่ามันมีดอกไม้ที่ตามหาหรือไม่ด้วยซ้ำ

   "ร้านขายดอกไม้"

   "แล้วที่ผ่านมานี่ขายปุ๋ยหรือไง"

   "เปล่า" เขาเหมือนประชดผมเลยล่ะ พอจบประโยคนั้นธชาก็หยุดกึกอยู่ตรงหน้าร้านขายดอกไม้ที่อธิบายสภาพไม่ค่อยถูก มีแบบที่จัดช่อเอาไว้แล้ววางเรียงเอาไว้ตรงหน้าร้านแล้วก็มีขายแยกเป็นดอกไม้ชนิดเดียว สะดุดตาก็ตรงคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ข้างในร้านนี่แหละ "นี่ร้านประจำ"

   "ว่าไงน้องชา"

   ผู้หญิงผมมวยในชุดกระโปรงยาวเล่นลายเถาวัลย์ไต่ระดับจากล่างขึ้นบน ใบหน้าตกแต่งเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางสวยงามหมดจด นัยน์ตาแต่งแต้มสีสันเอาไว้หรี่ลงนิดหน่อยยามเรียกชื่อของเขา ดูแล้วเธอควรจะไปเดินเล่นอยู่ในสยามหรือไม่ก็แหล่งรวมวัยรุ่น ไม่ใช่ตลาดดอกไม้อย่างนี้

   "สวัสดีครับ"

   "คราวนี้มาสั่งกุหลาบอีกเหรอ"

   "เปล่าครับ"

   "..."

   ได้รู้เพิ่มเติมมาอีกหนึ่งอย่างว่า 'กุหลาบ' พวกนั้นถูกสร้างที่นี่

   "หืม แปลกใจที่ตัวเองทายพลาด แล้วนั่นใครล่ะ"

   นิ้วชี้มาทางผมชัดเจน เล็บสีดำเคลือบเงาสวยดูเข้าแล้วก็แปลกประหลาดไปในคราวเดียวกัน

   "กุหลาบช่อสุดท้าย"

   "อ๋อ...ที่ใหญ่ที่สุด"

   "นั่นแหละครับ"

   อยู่ดีๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองเหมือนเป็นแค่หุ่นให้พวกเขาได้ชื่นชมและวิจารณ์ตามใจ เจ้าของร้านกับลูกค้าสบตากันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่อสูรตัวร้ายจะบอกจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้

   "มารับดอกไม้ที่สั่งไปเมื่อกลางสัปดาห์"

   "เกือบลืม ชาสั่งเอาไว้แล้วนี่นา"

   ชายกระโปรงพลิ้วไปตามจังหวะการขยับ พี่สาวคนสวยหายไปทางม่านกั้นเข้าสู่ทางด้านหลัง ผมมองความปกติธรรมดาของร้านที่แตกต่างจากตัวตนของเจ้าของ ทั้งการตกแต่งที่ไม่มีอะไรนอกจากกระเบื้องลายเก่ากับชั้นวางสำหรับแยกชนิดของดอกไม้ แล้วก็มีพวกโบกับริบบิ้นวางถัดออกไป

   "ร้านนี้ขายถูก เลยมาบ่อย"

   "นี่ทำการสำรวจมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"

   "ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย" สบตากับคนเล่า ธชาโคลงหัวไปมาก่อนเล่าต่อ "คนนี้แหละ คนวาดดอกเดอะพิงก์"

   "อ่า..."

   พอเขาบอกอย่างนี้แล้วเสียงของพี่ช่างสักตอนเล่าว่ามันเป็นของจาก 'แฟนเก่า' ก็ย้อนกลับเข้ามาเล่น นึกภาพตอนที่พวกเขาคบกันแล้วสงสัยว่าระยะเวลายาวนานแค่ไหน ดูจากภายนอกแล้วเป็นพวกรักอิสระทั้งคู่จูนเข้าหากันยากจะตาย

   "ตอนนั้นคบกันได้สักพักแล้ว เลิกตอนปีหนึ่งเทอมสอง"

   "ก็นานอยู่"

   ต่างหูที่เคยหนักเมื่อแรกรับรู้ตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเคยชินไปแล้ว เชนก็แซ็วไม่ยอมเลิกจนอยากจะถอดแล้วปาใส่หน้าให้รู้แล้วรู้รอด

   "คนไหนที่ดีกับเราก็ควรเก็บเอาไว้"

   "มีใครกล้าทำตัวไม่ดีกับนายด้วยเหรอ"

   "ก็คนตรงหน้านี่ไง"

   "..."

   "ทั้งตัดรอนแล้วก็ผลักไสสารพัดเลย"

   ทั้งที่เป็นห้องโล่งไม่ได้ปิดอะไรผมกลับรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ค่อยออก คำพูดกึ่งตัดพ้อนั้นเหมือนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ

   "ที่สั่งไว้ได้ครบนะ ถ้าตรงไหนไม่พอก็รีบบอก จะได้หาให้ทันก่อนต้องใช้งาน"

   ขอบคุณที่พี่เขากลับมาในจังหวะดีสุดๆ ตอนแรกก็ว่าจะยิ้มให้แต่พอมองกองดอกไม้ในรถเข็นคันใหญ่แล้วอยากจะยกมือขึ้นมานวดขมับ ถ้าไม่เกรงใจนี่อยากจะทรุดลงไปเสียตรงนี้ด้วยซ้ำ ต่อให้ลากเชนมาด้วยก็คงต้องใช้แรงงานกันคนละมากกว่าสองรอบแน่นอนเลยล่ะ

   "ขอบคุณครับ"

   "ไว้มาคราวหน้าจะให้ส่วนลดพิเศษ" ผมมวยที่เคยตรงอยู่กลางศีรษะเอียงไปข้างหนึ่งตามองศาของใบหน้า "แต่ถ้าเป็นอย่างนี้พี่ก็ไม่มีออเดอร์ดอกกุหลาบแล้วสิ"

   นัยน์ตาแพรวระยับเต็มไปด้วยรอยล้อเลียน ผมตีหน้านิ่งทำเป็นก้มตรวจของบนรถเข็นคันใหญ่ทั้งที่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอะไรบ้าง หูตั้งใจฟังว่าธชาจะตอบมันกลับไปอย่างไร

   "อะไรก็เกิดขึ้นได้นี่ครับ"
   
   และคำตอบก็ยังสมกับเป็นอสูรอยู่ดี

 

   พอได้ของทั้งหมดแล้วจุดหมายถัดไปของเราสองคนก็คือใต้ถุนตึกคณะ ช่วงวันหยุดก่อนที่จะมีงานใหญ่ในสัปดาห์หน้าพาให้นักศึกษาจำนวนมากมารวมพลกันอยู่ที่นี่ไปโดยปริยาย ผมอุ้มช่อดอกไม้จำนวนมากเอาไว้ในแขน หลบหลีกเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการทำงานบนพื้นเหมือนกับกำลังเล่นเกมหลบช่องระเบิด

   "ให้เราช่วยไหม?"
   
   "ก็ดี"

   มองใบหน้าของเพื่อนร่วมเอกแล้วไม่ต้องคิดอะไรให้มากความเลย ผมส่งของในมือส่วนหนึ่งไปให้เขาช่วยถือเอาไว้ หันไปมองว่าคนที่ไปซื้อด้วยกันหายไปไหนแล้ว

   "นี่มีอีกส่วนไปช่วยชาขนแล้ว ไม่ต้องห่วง"

   "อ้อ..." แสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอว่ากำลังคิดอะไร เขาถึงได้ทักได้ถูกเผง "ของเยอะ แบกมาตอนแรกก็เกือบแย่"

   "อย่าเพิ่งโล่งใจ ไปเจอด้านในก่อน"

   อีกฝ่ายหัวเราะร่า เปิดประตูกระจกเพื่อผ่านเข้าไปสู่อาณาจักรของการใช้แรงงานที่แท้จริง มุมของซุ้มภาษาอยู่ด้านในสุดของห้องประชุม มีคนคุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้สองสามคนนั่งเตรียมกระดาษอยู่ก่อนแล้ว ผมผงกหัวทักทายไปพร้อมกับวางช่อดอกไม้ทั้งหมดลงกับพื้น รอเวลารับคำสั่งต่อไป

   "ให้เราเริ่มตรงไหนดีอะแฟร์"

   ไม่คุ้นเลยล่ะที่ได้ยินชื่อตัวเองจากปากของคนอื่น ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เห็นหน้าบ่อยก็เถอะ ผมเหลียวมองซ้ายขวาหาตัวช่วยที่ดีที่สุดอย่างธชา ทีเวลาผมต้องการล่ะก็ดันไม่อยู่อีก

   "...เดี๋ยวรอธชาเอาของมาทั้งหมดก่อนแล้วกัน"

   "ชาไปคุยกับฝ่ายสถานที่อยู่ไม่ใช่เหรอ"

   "..."

   แล้วทำไมภาระในการตัดสินใจต้องอยู่ที่ผมด้วยล่ะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาไปคุยกับฝ่ายอื่น ผมนี่ลงจากรถแบกของให้มากที่สุดแล้วก็เดินลิ่วมาไม่สนใจอะไรเลย

   "งั้น...เอาไงดี"

   "เอาดอกไม้ออกมาแยกไว้ไหม จะได้เตรียมทำเป็นช่อเล็ก"

   "อย่างนั้นก็ได้"

   ตอนนี้อะไรผมก็โอเคทั้งหมด จากคนที่รับคำสั่งมาตลอดพอมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องชี้ขาดตัดสินอะไรบ้างแล้วมันก็น่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย ถ้าการตัดสินใจของผมมันผิดล่ะ สิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อจากนั้นมันจะหนักหนาขนาดไหน

   คนที่อยากจะเป็นผู้นำนี่บ้าเกินทน

   เพราะงานเริ่มพุธ เราเลยเลือกที่จะใช้ดอกไม้แห้งเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้มันคงอยู่ได้นานโดยไม่ต้องดูแลอะไรมาก ผมเคยเห็นดอกไม้พวกนี้ตอนงานรับปริญญาหรือว่างานแสดงความยินดี ไม่รู้ความหมายแต่ก็คิดว่ามันสวยไม่น้อย ธชาเองก็คงคัดเลือกมาแล้วล่ะ

   เพื่อนผู้หญิงในฝ่ายดูมีความสุขกับการได้แยกดอกไม้เป็นช่อเล็กๆ อย่างนี้ ปากก็บอกว่าสวยไม่มีหยุด ผมเปลี่ยนมาดูกองกระดาษสกรีนลายหนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศกับผ้ากระสอบแล้วก็เชือกฟางที่วางกองเอาไว้อีกมุม ต่อจากการแบ่งชนิดแล้วยังต้องจัดเป็นช่อตกแต่งเอาไว้ให้สวยงาม งานที่ดูจำนวนแล้วคิดว่าต่อให้เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันงานก็ยังไม่น่าจะเสร็จสมบูรณ์ได้ง่ายๆ

   "นี่ทุนปีนี้มีใครได้ส่งไปไหม?"

   พอลงมือทำได้สักพักก็มีการเปิดหัวข้อการสนทนาเพื่อให้มันไม่เงียบเหงา ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองว่าเพื่อนวงทำงานแสดงออกอย่างไรบ้าง ทุนที่ว่าคือทุนการศึกษาให้ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศหนึ่งปี คุณสมบัติต้องเลิศเลอเสียจนผมมองผ่านประกาศไป

   "ไม่อะ ไม่ค่อยอยากกลับมาซ้ำชั้น ...แต่เหมือนชาจะส่งนะ"
   
   คนอื่นรู้เรื่องของธชาเยอะกว่าผมจริงๆ นะ เมื่อกี้ก็ทีหนึ่งแล้ว มาเรื่องทุนอะไรนี่อีก

   "หูย ถ้าชาลงนี่สู้ยากเลย"

   "คนอื่นก็โหดอะ ไม่รู้จะสู้ไหวไหม"

   "แค่งานวรรณกรรมก่อนหน้าก็จะตายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงทุน" พอคำว่างานวรรณกรรมมันออกจากปากผมก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากหลายทิศทาง "นี่แฟร์ทำเรื่องอะไรเหรอ"

   มันคืองานที่ผมทำคู่กับอสูรนั่นแหละ ส่งงานไปแล้วพอคะแนนออกก็เอามาคุยกันต่อว่าทำไมถึงได้มากน้อย คุ้มกับการลงแรงไปหรือไม่

   "เราทำบิวตี้แอนด์เดอะบีสต์"

   "โอ๊ะ เหมาะดีนะ"

   ผมปั้นหน้าให้คำชมนั้นไม่ถูกเลย

   "แล้วตัวเองทำเรื่องอะไรล่ะ"

   "เราเหรอ เราทำกระดูกขี้ฟ้อง"

   "หา?" ผมว่านั่นไม่น่าใช่ชื่อเรื่องที่แท้จริงหรอกนะ

   "ชื่อ Singing Bone อะ พี่ชายกับน้องชายที่ออกไปฆ่าหมูป่าตามคำสั่งของพระราชา ทีนี้คนน้องฆ่าได้แต่ระหว่างทางกลับก็โดนคนพี่ผลักตกน้ำตาย แล้วพี่ก็แบกหมูป่ากลับไปสวมรอยว่าเป็นของตัวเอง ได้หน้าได้เมีย"

   เป็นการเล่าที่อินเนอร์แรงมากเลยในความคิดผม ทั้งหน้าตาแล้วก็น้ำเสียงมาครบ

   "ล่ะหลายปีต่อจากนั้นก็มีคนเลี้ยงแกะมาพบกระดูกของคนน้อง แล้วเขาก็เอากระดูกนั้นมาทำเป็นเครื่องเป่า แต่ว่าเสียงที่ออกมากลับเป็นการเล่าเรื่องของคนน้องว่าตัวเองโดนพี่ฆ่าตาย พอเรื่องแดงขึ้นคนพี่ก็เลยถูกจับไปถ่วงน้ำแล้วก็เอากระดูกของคนน้องไปฝังให้ดี"

   เล่าเรื่องแบบเอามาแต่ใจความสำคัญที่แท้จริง จะว่าสยองขวัญก็ไม่เชิง มันถูกกลบด้วยชุดความคิดเรื่องความดีชนะความชั่วตามอย่างที่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ลองคิดว่าถ้าตัวเองเป็นคนเลี้ยงแกะคงไม่เล่นพิเรนทร์ตั้งแต่เอากระดูกอะไรก็ไม่รู้มาทำเป็นเครื่องเป่าแล้ว

   "ดูไม่ค่อยยากนะ" ถ้าเอาแค่เท่าที่เล่ามันก็ไม่น่าจะมีข้อมูลเชิงลึกที่ต้องไปหามากมาย คิดถึงของตัวเองแล้วอยากจะร้องไห้เพราะความที่มีหลายเวอร์ชันจนน่าปวดหัว "ถ้าเราเป็นคนเลี้ยงแกะคงทิ้งไว้ตรงนั้นแล้ว น่ากลัวจะตายไป"

   "หืม ทำไมต้องกลัวล่ะ แฟร์ไม่มีความลับอะไรสักหน่อย"

   "...นั่นสิ"

   "เป็นไงบ้าง"

   ยังไม่ทันได้เปิดประเด็นอื่นต่อเสียงของหัวหน้าฝ่ายตัวจริงก็ดังขึ้นข้างหู ผมหันขวาไปมองธชาผู้กลับมาพร้อมกับกองเอกสารจำนวนหนึ่งในมือโดยไม่ได้ทักทายอะไรเป็นพิเศษ
     
   "ก็ดี นึกว่าจะทำพังก่อนนายมาแล้ว"

   "ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกมั้ง"

   เขาขยับตัวลงมานั่งข้างซ้ายของผม หยิบจับก้านดอกไม้ที่ตัดแต่งเอาไว้แล้วขึ้นมาเทียบสองสามชนิด จากนั้นก็เป็นการใช้ความสามารถส่วนบุคคลด้านศิลปะในการจัดแต่งให้สวยงาม ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วล่ะ ธชานี่เป็นพวกที่ถนัดเรื่องงานดอกไม้อยู่เหมือนกัน

   "แต่ที่เห็นอยู่มันง่ายขนาดนั้นเลยล่ะ" สิ่งที่อยู่ในมือของผมมันแย่เสียจนไม่อยากจะบรรยายเลย

   เสียงหัวเราะในลำคอบอกไม่ได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร "ได้เจอคนวาดเดอะพิงก์แล้วเป็นไง"

   ในเมื่อหัวข้อใหม่ถูกเปิดขึ้นมาแล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปพูดถึงเรื่องเดิม ผมนึกถึงหญิงสาวในชุดแปลกตาคนนั้นสลับไปกับผู้ชายร้านสัก เทียบกันแล้วก็คิดออกอยู่อย่างเดียว

   "ก็ดู...ไม่เข้ากันล่ะมั้ง"

   "หลายคนก็พูดอย่างนั้น"

   พวกเขาเหมือนกับกลุ่มดอกไม้ในมือตอนนี้ เมื่อแยกอยู่โดดเดี่ยวก็ดูสวยงาม แต่พอจับเอามารวมเป็นกลุ่มแล้วมันกลายเป็นความไม่เข้ากันจนลืมไปว่าเคยสวยงามแค่ไหน

   "หลายคนที่ว่าคงรวมเราไปด้วยสินะ"

   "แต่พวกเขาก็ไม่สนใจอะไรหรอก ยังอยู่ด้วยกันมาได้ตั้งนาน"

   "เราไม่ค่อยเข้าใจที่พี่เขาบอกว่าได้เวลาเลิกกันแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้"

   "ความรักไม่ใช่ทุกอย่างเสียหน่อย"

   ดึงตัวเองออกมาเป็นผู้ชมจากวงนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับการสร้างช่อดอกไม้ขึ้นมาอีก ธชารื้อช่อดอกไม้ที่ไม่มีความเข้ากันของผมออกเรียงชนิดใหม่ จากนั้นแล้วก็บรรจงหยิบมันมารวมกันเป็นช่อง่ายๆ ในรูปแบบดูไม่แตกต่างจากที่ผมทำ

   "คนเราชอบคิดไปเองว่าแบบไหนที่เรียกว่าเหมาะสม แล้วแบบไหนที่ไม่เหมาะสม"

   "..."

   "พอเจออะไรที่ไม่เหมือนอย่างเคยเห็นมาก่อน ก็เหมารวมไปก่อนว่านั่นต้องไม่เหมาะ"

   จัดเข้าจัดออกอยู่สักพักใหญ่ เท่าที่เห็นไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ยังมีความสวยงามแฝงเอาไว้เสมอ ผมว่าแค่ธชาหยิบมั่วๆ เอามารวมกันมันยังสวยกว่าที่ผมตั้งใจทำตั้งหลายเท่า

   "ทั้งที่ถ้าได้ลองปรับมุมมองดูแล้วบางทีมันอาจเข้ากันยิ่งกว่าก็ได้"

   จากดอกไม้ประหลาดในตอนแรกมันกลับกลายเป็นช่อสวยงามที่มีการออกแบบเรื่องของสีสันและการจัดเรียงเป็นอย่างดี ทั้งที่อุปกรณ์และชนิดของดอกไม้ที่เขาใช้มันก็เหมือนกับผมทุกอย่าง แล้วทำไมผลงานที่ออกมามันถึงมีความแตกต่างที่ชัดเจนได้อย่างนี้

   "เรื่องที่น่าเศร้าก็คือพวกเขาแค่บังเอิญเป็นความแตกต่างที่ดันเข้ากันไม่ได้จริงๆ ก็เท่านั้นเอง"

   

   ผมไม่ค่อยชอบซอยบ้านของตัวเองตอนกลางคืน เพราะมันไม่ค่อยมีแสงจากไฟข้างทางมากเท่าไหร่ อีกทั้งยังมีข่าวเรื่องการดักปล้นอยู่เป็นพักๆ อีกต่างหาก

   "ซอยลึก"

   แต่ให้มีคนมาส่งอย่างนี้ก็ไม่ชอบเหมือนกัน

   "ชินแล้ว เลยเฉยๆ"

   กว่าเราจะเลิกงานได้ก็ปาไปสี่ทุ่ม แน่นอนว่ามันไม่ใช่เวลาที่เหมาะกับการนั่งรถเมล์กลับบ้านคนเดียว ผมเลยมีตัวเลือกอยู่แค่สองข้อคือไปค้างห้องธชาหรือว่าจะให้เขาขับมาส่งที่บ้าน

   ซึ่งผมเลือกอย่างหลังแน่นอน

   "อืม"

   "ยังไงก็ขอบคุณที่มาส่งนะ กลับดีๆ ล่ะ"

   ก็คิดว่าตัวเองตอบกลับไปได้ครบถ้วนในครั้งเดียวดี ธชาส่งเสียงตอบรับผ่านลำคอมานิดหน่อยโดยที่สายตายังจ้องอยู่แต่ถนนด้านหน้าตัวเอง ระหว่างทางเราคุยเรื่องเกี่ยวกับอดีตคู่รักสมัยที่ยังคบกันอยู่ มันสวยงามเสียจนผมนึกอยากเห็นช่วงที่เขายังอยู่ด้วยกัน

   "แล้วทีหลังก็อย่าลืมปิดไฟในบ้านก่อนออก"

   "หืม?"

   "นั่นน่ะ ไฟสว่างเชียว"

   "..."

   ความผิดปกติบางอย่างบอกให้ผมกลับหลังหันไปมอง ประตูรั้วบ้านยังปิดเอาไว้สนิท แต่จากด้านนอกเห็นชัดว่าชั้นล่างมีไฟเปิดส่องสว่างทั่วทั้งบริเวณ เมื่อเช้าผมไม่ได้เปิดไฟทิ้งเอาไว้แน่เพราะมันยังสว่างเกินกว่าที่จะต้องใช้ตัวช่วย

   ...หรือว่า

   "เข้าบ้านไปได้แล้วแฟร์ ไว้เจอกันตอนเช้า"

   "อะ...อืม"

   รอจนไฟสีแดงของท้ายรถลับหายไป ผมถึงหันกลับไปตามทางเพื่อที่จะเปิดกลอนเข้าบ้านตามความเคยชิน

   คงไม่มีโจรขโมยนี่ไหนฆ่าตัวเองด้วยการเปิดไฟสว่างจ้าเสียทั่วบ้านอยู่แล้ว แล้วที่จากการมองด้วยสายตาผมก็ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติอื่น ถึงจะปลอบตัวเองว่าอย่าเพิ่งคิดมากไปเองก็เถอะ แต่มือของผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดหาตำรวจถ้าเจอเรื่องฉุกเฉิน

   ค่อยๆ เลื่อนรั้วออกแบบไม่ให้มีเสียง ขยับตัวเข้าไปใกล้บริเวณบ้านพลางสอดส่องอย่างระมัดระวัง

   ชีวิตนี้จะได้ลุ้นระทึกกับเขาบ้างแล้วล่ะ

   "ใครมาส่ง?"

   แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน ผมหันหลังกลับไปทางต้นเสียง ในความมืดมีแสงสว่างเล็กน้อยช่วยบอกว่าคนตรงนั้นเป็นใคร

   "เฟย์"

   ผมห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างออกมาไม่ได้เลย


***
   นับถอยหลังสู่ช่วงสุดท้ายของเรื่องนี้ค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอเดาแบบมั่วๆว่า คนที่เป็นรักแรกของชาคือลูกพี่ลูกน้องของแฟร์

อ่านจนมาถึงตอนนี้ยังมึนตึ้บค่ะ 55555

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
สำนวนดี และภาษาสวยมากค่ะ
แต่อ่านถึงตอนที่ 8 พบว่า ...

"...อย่างที่บอกว่าทั้งพ่อแล้วก็แม่ของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณพ่อเป็นข้าราชการในสายงานปกครองที่ติดใจชีวิตบ้านนอกจนตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นั่นจนแก่ ส่วนคุณแม่ตอนแรกเองไม่ค่อยพอใจมากเท่าไหร่จนได้ลองไปอยู่แล้วก็ไม่ยอมกลับมาอยู่กรุงเทพอีก แล้วยังลามไปถึงน้องสาวของแม่หรือคุณอาของผม รายนั้นก็ย้ายตามไปด้วยทั้งครอบครัว..."

น้องของแม่ -- คือ น้า
น้องของพ่อ -- คือ อา

กรณีนี้ น้องสาวของแม่ จึงควรจะต้องเป็น "น้าของผม" นะคะ

---


ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ตัวละครโผล่มาอีกหนึ่ง คนๆนี้ คงเป็นตัวแปรสำคัญใช่ไหม ต้นเต้นทุกครั้งที่มีตัวละครใหม่ๆเข้ามา หมายถึงเรื่องที่เป็นความลับของทั้งคู่ กำลังจะคลี่คลาย เราจะได้รู้ความจริงกันทีละนิดแล้วว

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอเค เราว่าเราเริ่มจะเข้าใจและเหมือนจะแก้ปมได้แล้ว ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่คิดเลยนะ มันตะน่าสงสารแฟร์มากๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบที่คิดหรอก ลูกพี่ลูกน้องกันยังไงก็ไม่น่าจะเหมือนจนคนอื่นจำผิดได้หรอกถ้าไม่ใช่พี่น้องหรือฝาแฝดกัน ยังไงก็ขอให้อย่าเป็นอย่างที่คิดเลยนะ สงสารแฟร์จับใจถ้าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สิบเก้า

 
   จูบแรกเพื่อปกป้องความหนาวเหน็บ
   จูบที่สองเพื่อให้เขาลืมทุกอย่าง
   และจูบที่สามเพื่อมอบความตายอันแสนสวยงาม
   - The Snow Queen


 
   แม่ของผมมีฝาแฝด

   คู่แฝดที่ไม่อยากแยกจากกันเลยแต่งงานในเวลาใกล้เคียง ตั้งครรภ์ไล่เลี่ยกัน แล้วก็ได้ทารกผู้ชายเหมือนกันทั้งคู่อีกต่างหาก แฝดของแม่เป็นคนตั้งชื่อผม และแม่ของผมก็ได้ตั้งชื่อของเฟย์

   แฟรี่ (Fairy) กับเฟย์ (Fay) สองชื่อที่มีความหมายถึงเทวดาหรือนางฟ้าเหมือนกัน

   "สรุปคือที่คณะจะมีงาน ก็เลยต้องไปช่วยเหรอ"

   "ใช่ ที่เราเล่าให้ฟังว่าได้เป็นรองหัวหน้าไง" เรียกตำแหน่งคนช่วยงานของธชาไม่ถูกเหมือนกัน เลยคิดว่าชื่อนี้น่าจะเข้าใจง่ายที่สุด "เหนื่อยมากเลย"

   "ก็แฟร์ไม่เคยเข้าทำกิจกรรมนี่นา"

   "แล้วนี่ทำไมมาไม่บอก ตอนเห็นว่าไฟบ้านเปิดนี่ตกใจนึกว่ามีโจร"

   "เซอร์ไพรส์ไง เห็นบ่นอยู่ทุกวันเลยจะมาให้กำลังใจ"

   การให้กำลังใจคือการโถมทั้งตัวเข้ามากอดแน่น ผมอ้าแขนรับวิธีการแสดงออกถึงความรักจากคนที่เป็นทุกอย่างด้วยแรงที่มากพอกัน เมื่อความคิดถึงมันคลายลงไปแล้วถึงจี้ถามต่อ

   "บอกเรื่องจริงมา"

   "แฟร์นี่หลอกยากจัง" เฟย์ทำหน้ามุ่ยใส่ "มาสัมมนาของคณะ ที่จริงงานเริ่มสัปดาห์หน้าแต่ว่าเราอาสามาประสานงานก่อน"

   ถ้าเทียบแล้วผมกับเฟย์ก็คงเป็นคนต่างขั้วในอีกรูปแบบหนึ่ง เขาน่ะชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรียกได้ว่างานอะไรก็ตามต้องเข้าไปมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย เห็นบอกว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยจะวางมือแต่ก็ยังไม่เลิกหาเรื่องใส่ตัวสักที

   "แล้วขาดเรียนไม่เป็นไรเหรอ"

   "ฝากเพื่อนจัดการเรียบร้อย ไม่ต้องห่วง" รอยยิ้มแสนสดใสมาพร้อมกับการการันตีให้เบาใจ แล้วผมก็รู้จักเฟย์ดีว่าคำพูดนั้นมันเชื่อถือได้

   "แต่แฟร์ยังไม่ตอบเราเลยนะว่าใครมาส่ง"

   "อ้อ...คนที่ทำงานด้วยกัน"

   ผมว่าตัวเองก็นิยามความสัมพันธ์ของเราได้ดีเหมือนกันนะ ในกรณีที่มีเวลาให้คิดทบทวนแค่ไม่กี่วินาที

   "ไปลำบากคนอื่นอีก เมื่อไหร่จะขับรถไปเรียนสักที จอดทิ้งไว้ที่บ้านเราอย่างนั้นเดี๋ยวแบตก็เสื่อม"

   คนร่วมสายเลือดส่วนหนึ่งทำปากบุ้ยไปนอกหน้าต่าง มันเป็นลานจอดรถที่มีเพียงรถรุ่นประหยัดน้ำมันกลางเก่ากลางใหม่สีขาวจอดอยู่เพียงคันเดียว ซื้อมือสองมาด้วยความตั้งใจว่าจะให้ผมกับเฟย์ใช้ร่วมกัน แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครใช้เลยสักคน

   ยักไหล่ขึ้นพลางตอบ "ในเมืองรถเยอะ ถ้าว่างก็เอาออกไปขับแถวนี้ตลอด"

   การจราจรในกรุงเทพไม่ใช่เรื่องตลก โดยเฉพาะกับคนที่เรียนในสถานศึกษากลางเมืองอย่างผม พอนึกถึงปัจจัยอื่นเช่นที่จอดรถแล้วก็เลยเลือกใช้ขนส่งสาธารณะดีกว่า

   "แต่ช่วงที่เราอยู่ด้วยขับไปส่งได้ใช่ไหม"

   "ได้สิ เดี๋ยวจะเบิกคุณน้าเอง"

   พูดติดตลกถึงน้องสาวของแม่ ก็ที่บอกว่าบุพการีติดใจชีวิตชนบทแล้วเอาน้องของตัวเองไปด้วยนั่นแหละ ตอนนี้พวกเขามีความสุขกับการอยู่นอกเมืองไม่ต้องเจออะไรวุ่นวาย มีแต่ผมนี่แหละยังต้องทนอยู่ในเมืองหลวงต่อไป

   ส่วนเฟย์เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังทางเหนือ ไม่ไกลจากจังหวัดที่พ่อแม่ของพวกเราย้ายไปอาศัยอยู่ พูดง่ายๆ อีกอย่างคือผมโดนทุกคนทิ้งให้เฝ้าบ้านทั้งสองหลังอยู่นั่นเอง

   "แหม ไม่ได้ใช้รถเลยอย่างนี้ค่าน้ำมันที่ได้ทุกเดือนเอาไปลงกับอะไรล่ะ"

   อ้อนคนรู้ทันด้วยการพุ่งไปกอดเอวคนที่เปลี่ยนไปนั่งอยู่บนเตียง ใช้หน้าตักของอีกฝ่ายต่างหมอนหนุน "ก็หนังสือทั่วไปแหละ"

   "แฟร์นี่ชอบหนังสือจังเลยนะ นี่อ่านแค่หนังสือเรียนก็ไม่อยากแตะอย่างอื่นแล้วอะ"

   เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ผมว่าตัวการที่ทำให้คนเราหยุดนิสัยรักการอ่านก็คือหนังสือเรียน

   "มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวดี ไม่ต้องเจอใคร" ในโลกของหนังสือผมได้รู้จักผู้คนมากมายโดยไม่จำเป็นต้องคุยกันแบบพบหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของนักเขียนและตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมา

   "สายตาเลยสั้นจนต้องใส่แว่นเหรอ?"

   เผลอหันไปมองแว่นสายตาที่วางเอาไว้ข้างหัวเตียงก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ แว่นกรอบกลมที่ดูเปราะบางไม่น่าจะรองรับน้ำหนักอะไรได้

   "...อืม"

   "แปลกตาดี คุณแม่ก็ไม่รู้ใช่ไหม"

   "ยังไม่เล่า เดี๋ยวบอกแล้วจะโดนห้ามอ่านหนังสือ"

   พ่อกับแม่ของผมน่ะชอบกังวลไปก่อนตลอด อย่างเรื่องสุขภาพก็จะต้องฉีดยาป้องกันไข้หวัดทุกปี ไม่ค่อยยอมให้โดนแม้แต่ละอองฝน แอบน่าเบื่อเหมือนกัน

   "แต่ไม่ได้สั้นอะไรขนาดนั้น"

   "ก็ว่าอยู่ เพื่อนเฟย์สายตาสั้นแปดร้อยแบบที่ต้องมีแว่นติดตัวกระทั่งตอนเข้าไปอาบน้ำเลยอะ" ท่าการคาดคะเนความหนาของเลนส์แว่นด้วยมือของเฟย์มากเสียจนผมนึกภาพออก "นี่แฟร์ไม่ใส่ก็ยังเห็นเดินไปมาได้ปกติ"

   "นี่บ้านที่เราอยู่มาตั้งแต่เด็กนะ หลับตาเดินยังได้เลย"

   เคยลองเอาผ้ามาปิดตาแล้วเดินทั่วบ้านด้วย ถึงจะชนนู่นนี่ไปบ้างแต่ภาพโดยรวมแล้วถือได้ว่าผมสามารถจดจำส่วนต่างๆ ของบ้านได้แม่นยำ ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอย่างนี้จะอวดไปทำไมก็เถอะ

   นอนบนตักจนเบื่อแล้วก็เลยขยับไปอยู่บนหมอนฝั่งตัวเอง ปล่อยให้อีกคนได้เคลื่อนตัวไปครอบครองพื้นที่อีกครึ่ง ส่วนหนึ่งที่เตียงในห้องของผมเป็นขนาดสองคนนอนก็เพราะว่าเผื่อไว้สำหรับการมานอนค้างของเฟย์นี่แหละ และห้องของเฟย์เองก็มีที่ของผมเช่นกัน

   "เฮอะ เราก็อยู่ที่นี่จนจำได้ทุกมุมเหมือนกันนั่นแหละ แต่จะว่าไป..."

   เสียงลากยาวตรงท้ายประโยคเรียกให้ผมหันไปมองหน้าคนพูด สายตาของนาวินท์กวาดมองไปทั่วห้องราวกับกำลังเทียบสิ่งที่เคยอยู่ในความทรงจำ เขาพึมพำอะไรออกมาสองสามคำก่อนที่จะถามผมต่อ

   "ช่วงนี้แฟร์ชอบดอกไม้เหรอ?"

   "..."

   ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากจะเงียบคืนไปอย่างนี้หรอก ด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า 'ดอกไม้' มันไม่มีสิ่งอื่นนอกจากเจ้ากุหลาบแห้งเหี่ยวที่ผมยังไม่ได้เก็บไปทิ้ง

   "เห็นที่อยู่ตรงโต๊ะเล็ก"

   เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่มีสิ่งไหนรอดพ้นออกไปจากสายตาของคนที่บอกว่ารู้จักที่นี่ทุกมุม เดี๋ยวถ้าเจอช่อดอกไม้ที่ใช้งานไม่ได้เพราะผมทำออกมาห่วยแตกตรงห้องนั่งเล่นข้างล่างจะต้องถามอีกแหง

   "ไม่ได้ชอบ พอดีบังเอิญได้มา"

   "เห...ได้จากไหนเนี่ย"

   "ไม่บอก เป็นความลับ"

   อาจคิดว่าการปฏิเสธอย่างนั้นจะกระตุ้นความอยากรู้ของอีกฝ่ายมากขึ้น แต่กับเฟย์แล้วมันเป็นการบอกว่าผมไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากเท่าไหร่ และมันก็เป็นอย่างที่คาดเดาเมื่อลูกพี่ลูกน้องผมพยักหน้าขึ้นลงแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ

   "พรุ่งนี้เย็นเราไปกินข้าวในห้างกันนะ ขอเข้ามาเปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ"

 

   "แฟร์ วันนี้ไปซื้อของขวัญให้ชินากัน"

   ปรายมองคนที่มานั่งข้างๆ แบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผู้ชายที่ไม่น่าเข้าใกล้วันนี้ก็อยู่ในชุดฟอร์มนักศึกษาไม่ค่อยถูกระเบียบ กางเกงยีนส์ขาขาดแบบที่น่าสงสัยว่าผ่านพวกอาจารย์มาได้ยังไง

   แล้วเด็กคณะวิทยาศาสตร์มาทำอะไรที่อักษรได้ทุกวัน

   "ไม่ว่าง"

   "ไหนชาบอกว่าวันนี้ไม่มีงานอะไรไง"

   จำเป็นขนาดไหนที่เพื่อนต้องเล่ารายงานความเป็นไปตลอด วันนี้เป็นวันจันทร์ที่เราตกลงกันในกลุ่มคนจัดซุ้มว่าถ้าไม่มีอะไรจำเป็นเร่งด่วนก็ไม่ต้องเข้าไปทำ เพราะยังไงวันอังคารก็ต้องลุยงานหนักอยู่แล้ว จะตายก็ตายรอบเดียวพอ

   "งานส่วนตัว"

   แต่ธชาในฐานะหัวหน้าฝ่ายก็ต้องเข้าไปคุยงานส่วนอื่นอีก เป็นความรับผิดชอบของตัวหลักที่ผมคงไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปรับหน้าที่อะไรอย่างนั้น

   "หืม พูดอย่างนี้ยิ่งอยากรู้เลย"

   "ไม่รู้สักเรื่องก็ได้" ส่วนที่อยู่ข้างในใจอยากจะบอกว่าไม่ต้องเสือกเรื่องของคนอื่นมากก็ได้

   ยิ้มแสยะตรงมุมปากข้างหนึ่งของเชนินทร์แทนการบอกว่าสิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้าไม่มีผลอะไรเลย

   "ไม่เอา เรื่องของแฟร์สนุกจะตาย"

   "เราไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่าสนใจ" ขยับแว่นให้ขึ้นไปอยู่ตรงสันจมูกตามเดิม ผมกวาดตามองอุปกรณ์ที่เตรียมเอาไว้ทำงานในส่วนของวันพรุ่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย พอแน่ใจว่ามันไม่น่าจะมีเรื่องผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นก็เดินออกมาตามทางออกไปนอกตึก

   "หืม...?"

   ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามประโยคที่ออกมาจากปากของเชนินทร์มันจะทำให้ผมระแวงไปเองได้เสมอ แค่การที่เขาทำเสียงสูงกว่าปกตินิดเดียวผมก็ต้องรีบตัดบทก่อน

   "ใกล้เวลานัดแล้ว เราไปก่อนนะ"

   ยกมือขึ้นพร้อมกับบอกลา เดินจ้ำอ้าวไปยังอาคารจอดรถห่างไปไม่ไกล เพื่อความสะดวกในการเดินทางวันนี้เลยเป็นครั้งแรกที่ผมขับรถมาเรียน ไม่เคยบอกใช่ไหมว่าตัวเองขับรถได้ตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายแล้ว แต่ว่าพอมีใบขับขี่ก็เหมือนกับโดนสาปให้ไม่ได้ขับรถอีกเลย

   วันนี้ผมต้องพาเฟย์ไปเดินเล่นอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ผมเข้าใจฟิลลิ่งตอนที่เขาบอกว่าอยู่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดจนเป็นโรคโหยหาความทันสมัยเลยล่ะ สภาพของเฟย์ไม่ต่างอะไรกับตอนทะเลพลอยเล่า สตอรี่คล้ายกันจนนึกว่าใครลอกใครมา ก็สมกับที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน

   ตอนแรกเฟย์อยากเดินในสยามแต่ผมไม่อยากจะบังเอิญเจอบางคนที่เป็นคล้ายเงาตามตัว เราเลยตัดสินใจไปเดินห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ไม่ไกลจากบ้าน ถึงของบางอย่างจะไม่ครบเท่าใจกลางเมืองแต่คิดว่าเพียงพอสำหรับการมาเมืองกรุงในระยะสั้น

   "อยากกินปิ้งย่างจัง"

   "อันนั้นที่นู่นก็มีไม่ใช่เหรอ"

   "แต่มันไม่มีแฟร์นี่นา"

   "ขี้เหงานะเดี๋ยวนี้" ช่วงที่เราต้องเลือกว่าจะเดินบนทางเส้นไหนต่อ ชื่อของมหาวิทยาลัยจำนวนมากถูกยกขึ้นมาเปรียบเทียบถึงข้อดีข้อเสีย และมันก็ไปจบที่ว่าความชอบของเราสองคนไม่สามารถหาจุดที่ลงตัวได้ เลยต้องยอมแยกย้ายกันไป "ทีตอนนั้นล่ะบอกว่าเราต้องห่างกันบ้าง"

   "ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้นี่นา"

   "ยังมีอะไรหนักกว่าที่บ่นให้เราฟังในไลน์อีกเหรอ"

   หนึ่งในหัวข้อการพูดคุยของเราคือการที่เฟย์เอาเรื่องราวล้านแปดมาฟ้อง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาชอบทำกิจกรรมด้วยแหละเลยเจอคนมาก ก็มีทั้งดีแล้วก็ไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะโอนเอียงไปทางไม่ดี

   "โอย เยอะแยะเลย"

   "งั้นไปจัดลิสต์มาว่าจะเล่าเรื่องอะไรก่อน เราพร้อมฟังเสมอ"

   "ได้! อย่าท้าเรานะ" ท่าการชี้หน้าคาดโทษใส่ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด ความที่เรามีองค์ประกอบบนใบหน้าคล้ายกันมากมันเลยเหมือนกับว่าผมกำลังเห็นตัวเองผ่านกระจกอยู่ "แล้วแฟร์ล่ะ มีเรื่องไหนที่ไม่ได้เล่าให้เราฟังไหม"

   นึกย้อนไปแล้วมันก็มีเรื่องที่เข้าข่าย 'ไม่ได้เล่า' เยอะเหมือนกัน "...ก็มีนะ"

   "งั้นเดี๋ยวคืนนี้ค่อยว่ากันต่อ ตอนนี้ไปกินข้าวกันเถอะ"

   "เฟย์ไปจองก่อนเลย เราขอแวะร้านนี้หน่อย" ชี้ไปทางร้านของหนังสือที่ห่างออกไปอีกไม่ไกล กว่าจะถึงชั้นอาหารต้องขึ้นไปอีก พอเชนมาพูดถึงเรื่องวันเกิดชินาแล้วผมก็ลองแวะเลยเผื่อเจอของทื่อยากได้ "สัญญาว่าไม่นาน"

   นัดแนะกันอีกนิดหน่อยพอให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการเข้าใจคลาดเคลื่อนจนเข้าผิดร้าน ผมเดินผ่านส่วนชั้นวางหนังสือประเภทต่างๆ ของร้านจนถึงปลายทางอย่างงานเขียนสำหรับเด็ก บางทีของที่เหมาะสำหรับชินาที่สุดคงไม่พ้นหนังสือ

   แต่พอได้มายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ แล้วก็แอบเข้าสู่สภาวะมืดแปดด้านอยู่เหมือนกัน ผมเริ่มอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศตอนช่วงเข้ามัธยมไปแล้ว ก่อนหน้านั้นก็อยู่แต่กับหนังสือภาษาไทย มันไม่เหมือนกับชินาที่เรียนในโรงเรียนสองภาษามาตั้งแต่แรกเริ่ม หนังสือที่ธชาเคยซื้อให้เธอก็ปะปนกันไปทั้งสองส่วน

   เพื่อไม่ให้เข้ามาเสียเที่ยวผมเลยเดินวนดูหนึ่งรอบเพื่อตัดสินใจว่าจะปักหลักตรงไหน พอได้ทำเลที่เหมาะแล้วถึงค่อยมาเลือกทีละเล่มว่ามีอันไหนน่าสนบ้าง

   เป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีไม่น้อย ความรู้ใหม่หลายอย่างของผมเพิ่มขึ้นมาจากการเปิดผ่านๆ เพื่อสโคปเนื้อหา เช่นเรื่องของเด็กตัวน้อยที่มาในรูปแบบของหนังสือภาพแสนสวย หรือไม่ก็หนังสือที่มีการออกแบบให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องด้วย

   ความยากอีกหนึ่งอย่างของการชั่งใจเลือกคือชินานางไม่ใช่ไทป์เดียวกับเด็กอายุเท่ากัน ตัวเลขที่ระบุว่ามันเหมาะกับเด็กในวัยไหนคงใช้กับเธอไม่ค่อยได้ ผมเปิดหนังสืออีกสองสามเล่มเพื่อเอามาเทียบกันว่าเรื่องไหนน่าสนใจที่สุด แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะหนังสือแบบไหนมันก็ยังไม่เข้าตาผมสักที

   ด้วยความที่นัดเฟย์เอาไว้ด้วยก็เลยไม่อยากทำตัวอืดอาดมากเท่าไหร่ เก็บสิ่งพิมพ์ที่ตัวเองหยิบออกมาก่อนหน้าไว้ที่เดิม ยืนจนเต็มความสูงหลังจากที่ต้องนั่งยองมาเป็นเวลาพอสมควร

   "...?"

   หนังสือเล่มที่อยู่ตรงกับระดับสายตาดึงความสนใจของผมเอาไว้ได้ดี

   หน้าปกเขียนชื่อเรื่องเอาไว้ว่า The Snow Queen มีตัวอักษรบรรทัดถัดมาบอกว่ามันเป็น Coloring book หรือว่าหนังสือระบายสีอย่างที่สมัยนี้กำลังฮิตกัน หน้าปกสีขาวมีเส้นวาดลายดอกกุหลาบล้อมเป็นกรอบเอาไว้ทั่วเล่ม ตรงกลางมีชื่อเรื่องแล้วก็ส่วนล่างเป็นรูปปราสาทแบบยุโรป ทั้งเล่มมีการใช้สีหลักเพียงแค่สามสีคือชื่อเรื่องสีเขียวแก่ ลายเส้นส่วนต่างๆ สีดำ แล้วก็สีฟ้าที่แซมตรงปราสาท

   มันเป็นความเรียบง่ายที่สะดุดตาดีเหมือนกัน

   อยากจะเปิดดูเนื้อหาแต่ก็ทำไม่ได้ ก็เล่นซีลหนังสือเอาไว้ขนาดนี้ ผมท่องชื่อเรื่องเอาไว้พลางเตือนตัวเองว่าจะไม่ลืมกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจ

   ก็ในบางครั้งชื่อเรื่องมันบอกอะไรไม่ได้เลยนี่นา

   

   "แฟร์ เอาขนมถุงไหน"

   คิดเอาไว้แล้วล่ะว่าต้องไม่จบที่มื้ออาหารอย่างเดียว

   พอเราทานอาหารเย็นพร้อมกับตบท้ายด้วยของหวานเสร็จแล้วเฟย์ก็ลากผมลงมายังชั้นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใต้ดินต่อ บอกว่าถึงจะอยู่แค่สัปดาห์เดียวก็ขอเอนจอยกับช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด

   "ได้หมด เพราะเราจะส่งบิลไปให้คุณน้าเหมือนกัน"

   "แฟร์!"

   "เราเอาเจลลีหมีสตรอว์เบอรี หยิบให้ด้วย"

   ทำเป็นไม่สนใจเสียงตวัดที่เรียกชื่อตัวเอง เข็นรถตรงไปล่วงหน้าแบบไม่คิดจะรอกัน ปล่อยให้เฟย์เลือกไปอย่างนั้นแหละ ดันเป็นพวกรักพี่เสียดายน้อง ถ้าเลือกอย่างหนึ่งก็จะถามว่าทำไมไม่เลือกอย่างสอง พอเปลี่ยนไปเลือกอย่างสองก็ถามกลับอีกว่าอย่างแรกไม่ดีตรงไหน ดังนั้น ปล่อยให้เลือกเองดีที่สุด

   "ยังชอบสตอรว์เบอรีเหมือนเดิมเลย" เฟย์น่ะไม่เคยโกรธผมหรอก เหมือนกับที่ผมเองก็ไม่เคยโกรธเขาเหมือนกัน "ถ้าเรากินไม่หมดก็ฝากแฟร์กินต่อแล้วกันนะ"

   "อย่ามาโบ้ยภาระให้อย่างนี้สิ" โคลงหัวหลังจากเห็นปริมาณของกินในรถเข็นหน้าตัวเอง นี่เฟย์บอกว่าจะไปดูนมจืดต่อด้วยนะ "ไม่หมดเราถ่ายรูปไปฟ้องแน่"

   "ฮื่อ อย่าทำอย่างนี้สิ ...มีใครโทรมาหรือเปล่า?"

   ความเคยชินกับชีวิตที่ไม่ต้องมีเครื่องมือสื่อสารเลยทำให้กว่าจะรู้ว่าระบบสั่นที่ตั้งเอาไว้กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็งก็ตอนที่เฟย์เอามือมาทาบไว้กับกระเป๋าแล้วบอกนั่นแหละ

   และพอเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาอารมณ์ดีของผมตั้งแต่ช่วงเย็นก็พาลหายไปหมด เจ้าของรูปกุหลาบเพียงแค่หนึ่งดอกต้องการอะไรจากผมอีกนะ

   (อยู่ไหน)

   "แถวบ้าน"

   วันนี้คิดเอาไว้แล้วตั้งแต่แรกว่าคงไม่ได้เจอกันเพราะเรื่องงาน ผมเลยไม่ได้ใส่ใจที่จะบอกว่ากลับบ้านหรือว่าไปที่ไหนต่อ

   (ว่าจะชวนไปซื้อของขวัญให้ชินา)

   "ไปกับเชนสิ วันนี้เขาก็ชวนเรา" จดเอาไว้ในความทรงจำว่าต้องไม่ลืมกลับไปหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น ถึงไม่ค่อยโอเคกับคนพี่แต่ถ้าเป็นเด็กหญิงชินานางแล้วผมชอบเธอนะ "แต่เราไม่ว่างไป"

   (แล้วกินข้าวเย็นหรือยัง)

   "เรียบร้อย"

   "แฟร์ ซื้อป๊อปคอร์นไปทำกินเล่นกันไหม?" ระหว่างที่ยังคุยไม่รู้เรื่องคนที่มาซื้อของด้วยกันก็โผล่เข้ามาพร้อมกับซองข้าวโพดคั่วอย่างง่ายเพียงแค่เข้าไมโครเวฟ

   (ใคร?)

   และยังไม่ทันได้คิดอะไรปลายสายก็ถามขึ้นมาเสียงแข็ง

   "อ่า..."

   "แต่เราก็อยากกินแบบรสชีสอะ ที่นี่จะมีผงแบบใส่เองไหม"

   (อยู่กับใคร?)

   ผมขอเรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจแล้วกันนะ

   "ก็..." ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการบอกว่ากำลังอยู่กับเฟย์เป็นเรื่องยากตรงไหน มันเลยคล้ายกับว่าผมกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ "นายไม่รู้จักหรอก"

   (ถามว่า อยู่กับใคร)

   เรียกได้ว่าไม่เคยโดนคาดคั้นอย่างที่กำลังเจอมาก่อน ผมผู้ตกอยู่ในสภาวะทำอะไรไม่ถูกสักอย่างเลยตัดสินใจที่จะบอกลาสั้นๆ แล้วตัดสายทิ้งไป "วางก่อนนะ"

   และทำเสมือนว่าเรื่องราวเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

   "คิดว่ามี ลองไปดูสิ"

   "ใครโทรมาเหรอ?"

   "คนทำงานด้วย" บอกปัดแล้วหยิบเอาของในมือเฟย์ใส่ตะกร้าเอง "นอกจากผงชีสแล้วจะดูอะไรอีก"

   "เหลือนม ไปหยิบนมกันเถอะ"
   
   "ตัวแค่นี้กินไปก็ไม่สูงขึ้นหรอกนะเฟย์"

   "ปาก!" หัวเราะขำขันที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียได้สำเร็จ เรื่องความสูงมันเป็นปมด้อยของเราสองคนไปแล้วล่ะ ไม่ได้เตี้ยถึงขั้นนั้นแต่เวลามองพ่อของตัวเองแล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้กรรมพันธุ์เรื่องนี้มาเลย "เห็นคนอื่นโทรมาบ้างค่อยดีหน่อย ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนซื้อมาคุยกับเราคนเดียว"

   "แค่นี้เราก็โอเคแล้ว ล้นไปมันก็ไม่ดี"

   "คิดถึงตอนที่เราสลับมือถือกันเนอะแฟร์ ทั้งแชตทั้งโทรไม่มีใครรู้เลย ตลกมาก"

   "ก็อยู่ด้วยกันตลอดนี่ แค่มองซ้ายขวาเดี๋ยวก็คืนให้ได้แล้ว"

   ส่ายหัวระอาให้กับวีรกรรมช่วงวัยรุ่นของตัวเอง เราเคยซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่พร้อมกันเลยเกิดความคิดแผลงๆ ว่าถ้าลองสลับกันใช้แล้วจะมีใครจับได้บ้าง มันก็เนียนได้ในระดับหนึ่งแหละเพราะช่วงมัธยมปลายเราอยู่ด้วยกันตลอด ถ้าเมย์เดย์จริงๆ ก็แค่โยนคืนไปให้เจ้าของ

   ที่ตลกที่สุดคือเคยมีเพื่อนจากโรงเรียนมัธยมต้นของเฟย์โทรมาหาแล้วคุยกับผมเป็นชั่วโมง นอกจากจะจับไม่ได้แล้วยังเอาเรื่องเดิมไปคุยต่อยอดกับเฟย์ในครั้งต่อมา ต้องแถกันแทบแย่

   เข็นรถตามไปเรื่อย ไม่ต้องกังวลเรื่องการโทรเข้าซ้ำเพราะเปิดโหมดเครื่องบินไว้แล้ว พอถึงล็อกของเครื่องดื่มเพิ่มแคลเซียมแล้วผมก็ปล่อยให้คนอยากจะสูงขึ้นเดินเข้าไปเลือกตามสะดวก

   เดี๋ยวนี้มีนมหลายชนิดจนตามไม่ทันแล้ว ตอนผมเป็นเด็กที่ชอบที่สุดคือนมเปรี้ยวรสธรรมชาติเอาไปใส่ช่องแข็งแล้วก็ทำเป็นไอศกรีมแหละ

   "ไม่กินด้วยกันเหรอแฟร์"

   "ไม่ล่ะ เดี๋ยวสูงเกิน..."

   อารมณ์ขันถูกฉุดให้ดิ่งลงเมื่อผมเห็นสินค้าชิ้นล่าสุดในรถเข็น

   นมกล่องสีส้ม...ที่คุ้นตา

   จู่ๆ ความกลัวบางอย่างก็แล่นเข้ามากลางหัวใจเสียจนต้องรีบไล่มันออกไปเสีย มันพาลพาให้นึกไปถึงคนที่เพิ่งจะตัดสายทิ้งไปก่อนหน้า

   การคิดอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

   ไม่ดีเลยจริงๆ

   

   ตั้งแต่ต้องอยู่ติดกับธชามา นี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นเขาในรูปลักษณ์ของ 'อสูร' จริงๆ

   "พอชาอารมณ์ไม่ดีคนอื่นก็พลอยอึดอัดไปด้วยเลย"

   "เมื่อวานตอนเอางานมาอธิบายก็ยังโอเค เช้านี้กลายร่างไปแล้ว"

   "นี่ต้องเอาใบแผนงานไปคุย มีใครอาสาเข้าไปแทนไหม"

   พอเขาอยู่ในโหมดไม่รับแขก เพื่อนคนอื่นที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องซุ้มภาษารวมทั้งผมเลยแยกตัวออกมาอยู่บริเวณนอกปราสาทที่อสูรไม่สามารถใช้อำนาจทำลายล้างได้ เราเลือกมุมหนึ่งของใต้ถุนตึกเป็นที่สำหรับจัดเตรียมอุปกรณ์ที่เหลืออยู่เล็กๆ น้อยๆ ให้เสร็จสมบูรณ์

   เรียกได้ว่าสีหน้าเรียบเฉยนั่นเหมือนกับติดป้ายคำว่า 'ห้ามรบกวน' เอาไว้ตัวใหญ่ ขนาดแม่งานหลักของงานในครั้งนี้ยังเดินเข้าไปคุยครั้งเดียวแล้วออกมายืนยันว่าจะไม่เข้าไปอีกครั้งถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรจริงๆ

   "เราจะทำยังไงดีล่ะแฟร์"
   
   มันเลยกลายเป็นว่าพอไม่สามารถคุยกับหัวหน้างานได้ก็ต้องถามรองหัวหน้าแทน คนที่ถูกโยนหน้าที่มาให้อย่างไม่เต็มใจรับอย่างผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรกับใครเท่าไหร่ เรื่องที่น่าเศร้าคือไม่สามารถทำตัวเป็นพวกไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ในเวลานี้ได้ด้วยสิ

   "ถ้าคิดว่าไม่เจอเรื่องที่เกินคาดก็คงไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแหละ แต่ถ้าเกิดจริงๆ ก็ให้ธชาเป็นคนตัดสินใจแบบไฟนอลก็ได้"

   คงติดเป็นนิสัยไม่ชอบทำอะไรให้มีช่องว่างในการกลับมาทำร้ายตัวเองได้ ผมเลือกทางที่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหากลับมาให้ต้องแก้อีกรอบ อีกอย่างธชาเป็นคนดูแลทั้งหมดก็ควรให้เขานั่นแหละตัดสินใจ

   "แต่ถ้ายังทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้นเราคงไม่กล้าเข้าไปหา"

   "จริง ขออยู่นอกวงเลย"

   "แฟร์รู้ไหมทำไมอยู่ดีๆ ชาก็กลายเป็นอสูรเฉย"

   มองหน้าเพื่อนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ในเวลานี้ ทุกคนดูข้องใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแต่ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะรู้กันนะ

   "ไม่รู้" ตอบตามอย่างที่คิด "เราก็ไม่ได้สนิทอะไรกับธชาขนาดนั้นอยู่แล้ว"

   ดูจากท่าทางแล้วแต่ละคนคงไม่ค่อยเชื่อ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาคงคิดว่าคนที่ได้ 'ดอกกุหลาบ' ไปจะต้องเป็นพวกที่รู้เรื่องของอสูรดีในระดับหนึ่ง ยิ่งเป็นคนที่ได้กุหลาบช่อใหญ่อย่างผมแล้วด้วย ความน่ากลัวอย่างหนึ่งของโลกไร้ขอบจำกัดอย่างโลกออนไลน์คือการแพร่กระจายของข่าวสาร

   ไม่ได้เห็นเองหรอก เชนินทร์แทบจะประเคนมาให้จนชิดขอบแว่นอยู่แล้ว

   "ไม่ สนิท"

   เลยต้องย้ำไปอีกหน่อยเพื่อเป็นการปิดประเด็นทั้งหมด

   ต่างคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมไม่ต้องลงแรงอะไรมากไปกว่าการตรวจสอบความถูกต้องในขั้นสุดท้าย ตอนนี้กลายเป็นว่าพอมีปัญหาอะไรมาก็เป็นภาระของผมในการแก้ปัญหาไปเสียอย่างนั้น

   แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอำนาจในการตัดสินใจทุกเรื่องเสียหน่อย

   ผมมองแผ่นกระดาษที่มีคำถามเขียนเอาไว้สองสามข้อด้วยลายมือของประธานจัดงาน ได้ความว่าตำแหน่งที่ตั้งใจจะวางซุ้มเอาไว้ทีแรกอาจจะไปทับซ้อนกับส่วนอื่น บอกไม่ได้เหมือนกันว่าข้อตกลงตั้งแต่แรกเป็นยังไงเพราะผมเองไม่ใช่คนที่จัดการมาตั้งแต่แรก

   ส่วนคนที่รู้เรื่องทั้งหมดน่ะเหรอ...

   "นี่เราจะต้องเป็นตัวแทนหมู่บ้านไปจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย"

   ถอนหายใจออกมาต่อหน้าทุกคน ก็ให้รู้กันไปเลยว่าไอ้ที่ขอให้ผมไปทำไม่ใช่เรื่องที่เต็มใจทำเลยสักนิด

   "ถ้าเรากลับมาไม่ครบสามสิบสองต้องรับผิดชอบด้วย"


***
   เป็นตอนที่ไม่มีที่ให้เทพนิยายลงอีกแล้วค่ะ (ฮา) ทำไมพอวันไหนที่ฝุ่นเยอะก็ต้องออกจากบ้านประจำเลยนะคะ...
   ขอบคุณสำหรับการชี้จุดผิดพลาดนะคะ บางทีเจ้าก็รีบพิมพ์จนไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้แก้เรียบร้อยแล้วค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น้องได้กลิ่นมาม่าโชยค่ะ แต่น้องคิดว่าน้องคงคิดไปเอง น้องต้องคิดไปเองแน่ๆเลยย แต่ก็ไม่แน่อีก คุณเจ้าชอบหลอกให้เราคิดไปเอง555 เรื่องนี้มันต้องมีความพีคมากกว่านี้แน่ เดาๆไว้คือชาเข้าใจว่าแฟร์คือเฟย์ สองคนยังเหมือนกันอีก ไม่แปลกถ้าชาจะเข้าใจผิด แต่ก็อย่างชาจะเข้าใจผิดเหรอ ชามันดูฉลาดช่างสังเกตอยู่นะ อย่างน้อยๆนิสัยของแฟร์เฟย์ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ชามันต้องสังเกตบ้างสิ โอ๊ยยย! ใจนึงก็อยากรู้ตอนจบเร็วๆอีกใจก็ยังไม่อยากให้จบ ฮืออออ  :m15: :m15: :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
มาแล้วๆๆๆๆๆ  สลับมือถือ!!!!!!  นมกล่องส้มในรถเข็น !!!!
นี่คือคีย์เวิร์ดสำคัญใช่ไหม
ธชาเป็นคนฉลาดนะ พี่แกไม่เอะใจเลยหรือไงนะ
แฟร์สังเกตุและเชื่อมโยงความเป็นไปได้ ได้เร็วมากก น้องไม่ควรต้องช้ำ โรยราเหมือนกุหลาบในมืออสูรนะ  :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่ยี่สิบ


   แม่มดร้ายปรารถนาที่จะครอบครองเด็กหญิงไว้ตลอดกาล นางจึงเสกให้ดอกกุหลาบทั้งหมดจมลงดิน
   - The Snow Queen (2)


 
   ความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์มันมากเสียจนผมต้องเป็นคนเอ่ยปากออกมาก่อน

   "ลดแอร์หน่อยได้ไหม"

   คนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีนี่ชอบทำตัวเอาแต่ใจทุกคนเลยหรือเปล่านะ ผมได้แต่เอื้อมมือไปปิดช่องแอร์ฝั่งของตัวเองแล้วยกมือขึ้นกอดอกเอาไว้ ภาวนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เขาเลิกอยู่ในสภาพนี้สักที

   นับหนึ่งถึงเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ธชาก็ยังทำลายโลกด้วยการเปิดเครื่องยนต์ทิ้งเอาไว้กลางลานจอดรถ ผมตั้งตัวเลือกให้ตัวเองว่าควรจะทำอะไรระหว่างการนั่งนิ่งต่อไป เปิดประเด็นเอง หรือว่าเดินลงจากรถไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด

   แต่ทางไหนก็ไม่มีผลดีกับผมทั้งนั้น

   "เมื่อวานไปกับใคร"

   กว่าอสูรจะอารมณ์เย็นลงก็ผ่านมาอีกเกือบสิบนาที ต้องขอบคุณนาฬิกาดิจิทัลตรงเครื่องเล่นเพลงที่ช่วยเป็นความบันเทิงใจเดียวของผม

   "อ่า...คนรู้จัก" ในที่สุดก็วนกลับมาเรื่องนี้อีกจนได้

   "เหรอ?"

   "ลูกพี่ลูกน้อง"

   ทำไมต้องทำเสียงไม่เชื่อถือจนกลายเป็นผมเองที่ต้องให้คำจำกัดความใหม่ ก็ไม่อยากให้เขามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมนี่นา เราไม่ต้องรู้จักกันมากมายขนาดนั้นสักหน่อย

   "...มาเยี่ยมเหรอ"

   "ใช่ พอดีลงมางานสัมมนาของคณะ" มาจนถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องหาทางอ้อมอีกล่ะ สุดท้ายเขาจะจี้จนผมต้องเล่าเรื่องจริงออกไปอยู่ดี "เมื่อวานเลยไปซื้อของด้วยกัน"

   "แล้วทำไมตัดสาย"

   "ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยแล้วนี่"

   และผมก็พูดออกไปอย่างที่ต้องการ ไม่ต้องมากังวลว่ามันจะเป็นคำที่ดูตัดรอนน้ำใจหรือไม่ ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้รักษาความรู้สึกของผมมากเท่าไหร่อยู่แล้ว

   "อ้อ..."

   "ถ้าพอใจแล้วก็เลิกทำตัวงี่เง่า เพื่อนไม่กล้าเข้ามาคุยงานด้วย"

   สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการพาธชาคนที่รับบทหัวโขนในการทำงานกลับมาก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยไปคุยกันนอกรอบทีหลังเอาถ้ายังอยากเคลียร์อะไรเพิ่ม คิดแล้วก็หงุดหงิดเหมือนกันแหละที่ต้องมาออกหน้ารับเรื่องทั้งหมด ทั้งที่จริงแล้วผมควรได้อยู่สบายๆ ต่อไป
   
   "แคร์คนอื่นมากกว่าอีกนะ" ได้ยินแค่นั้นก็ยังรู้เลยว่ากำลังถูกประชดอยู่

   "ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคืองาน"

   เสียงแค่นหัวเราะเต็มไปด้วยรอยหยัน "สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเองมากกว่ามั้ง"

   "ธชา" ก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสปรามเขาอย่างที่กำลังทำอยู่ "อย่าพาล"

   "ไม่ได้พาล"

   "..."

   "ถ้าเราทำอย่างนั้นทุกอย่างมันจะแย่กว่านี้อีกเยอะเลยแฟร์"

 

   "ซุ้มนี้จะเป็นส่วนของงานภาษา ..."

   บอกว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์ก็ยังได้ ตั้งแต่เช้าผมต้องพูดแนะนำกิจกรรมด้วยบทสคริปต์เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจากที่ต้องดูโพยเป็นระยะตอนนี้ให้หลับตาพูดยังเหมือนเดิมเป๊ะ นึกไม่ถึงเลยว่างานกิจกรรมของคณะจะมีเด็กชั้นมัธยมให้ความสนใจมากมายเท่านี้

   "ถ้าสนใจก็คุยกับพี่ตามโต๊ะได้เลยครับ"

   ตบท้ายด้วยการส่งยิ้มที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดแล้ว พอเห็นว่าน้องผู้ชายผมเกรียนในชุดนักเรียนเต็มยศเดินผ่านไปแล้วถึงลอบถอนหายใจได้ถนัดหน่อย มันเป็นหน้าที่ของรองหัวหน้าฝ่ายในการช่วยเหลือให้คำแนะนำเบื้องต้น ผมนี่อยากจะทำตัวไม่ดีหนีงานให้รู้แล้วรู้รอด

   แต่ติดก็ตรงหัวหน้าฝ่ายนี่แหละ

   หันไปมองผู้ชายตัวสูงที่ยืนอีกฟากของส่วนงาน เขากำลังอธิบายอะไรบางอย่างให้สาวน้อยผมเปียสองคนอยู่ ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะการที่เห็นแต่เด็กผู้หญิงเดินไปมาเป็นเรื่องปกติของคณะผม

   เอาเข้าจริงแล้วเรื่องที่ผมคุยกับเขาเมื่อวานมันก็ไม่ได้เคลียร์อะไรมากเท่าไหร่ กลับกันผมว่ามันยิ่งเพิ่มคำถามให้กับตัวเองมากขึ้นไปอีก บางถ้อยคำของเขาเหมือนกำลังบอกผมทางอ้อมว่าไม่มีสิทธิ์อะไรในการก้าวล้ำไปยังโลกส่วนตัวของเขา ซึ่งมันก็จริงล่ะนะ

   สถานะของเราตอนนี้คืออะไรผมยังพูดได้ไม่เต็มปากเลย

   "เดี๋ยวแฟร์พักเบรกก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยกลับมาเก็บงาน"

   "นี่กี่โมงแล้วอะ"

   ผมลืมใส่นาฬิกามาเมื่อเช้า การนัดเจอตอนตีห้าครึ่งให้ผลสืบเนื่องคือต้องไปนอนค้างห้องธชาอีกครั้ง ยังเซ็งอยู่เลยที่ต้องกลับไปที่นั่นอีก

   "บ่ายสองกว่า"

   อีกฝ่ายโชว์หน้าจอการใช้งานแรกเริ่มของสมาร์ตโฟนมาให้ดู ตัวเลขสี่ตัวบอกช่วงเวลาไม่ต่างจากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมคณะ ผมทำหน้ายู่ใส่ตารางชีวิตที่ค่อนข้างจะผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น ร่างกายของคนเรานี่ก็น่าประหลาดดี ผมไม่รู้สึกหิวเลยสักนิดจนกระทั่งเพื่อนเดินเข้ามาทัก

   คงเพราะทำงานหัวหมุนไม่ได้พักเลยด้วย ยังย้ำคำเดิมว่าผมพร้อมจะสละตำแหน่งนี้ให้คนที่มีความสามารถในการจัดการงานมากกว่า

   "ไปกินข้าวกัน" หัวหน้างานผู้ได้พักในช่วงเวลาเดียวกันเดินเข้ามาพร้อมกับตารางงานทั้งสามวัน

   "ซื้อมาให้ได้ไหม ไม่อยากออกไปไหนเลย"

   ปกติแล้วแค่ประชากรในมหาวิทยาลัยมันก็เยอะพอแล้ว วันนี้มีเด็กมัธยมเข้ามาร่วมอีกไม่รู้เท่าไหร่ ผมไม่อยากจะก้าวพ้นส่วนของคณะไปเลยด้วยซ้ำ

   "ไม่ ไปด้วยกัน"

   "..."

   "ไปได้แล้ว"

   จากที่คิดตอนแรกว่าแค่อาหารใส่กล่องง่ายๆ ก็พอแล้ว กลายเป็นเราสองคนเดินฝ่าแสงแดดและฝูงชนออกมาจนถึงบริเวณหลังสนามกีฬาที่มีห้างขนาดเล็กตั้งอยู่ เวลานี้โรงอาหารคงไม่เหลืออะไรให้ทาน คนข้างนอกก็เข้ามาจับจองพื้นที่จนไม่อยากจะแย่งชิง แล้วก็ไม่อยากขับรถออกไปไหนด้วย

   "แต่ที่นี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่"

   "ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย"

   ผมปลอบใจตัวเองไปพร้อมกับเขา เราเดินวนจนทั่วบริเวณหนึ่งรอบก่อนที่จะมาตัดสินใจว่าจะทานอะไรเป็นอาหารมื้อบ่ายสองกว่าๆ ดี และความที่ไม่มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษเลยมาจบตรงร้านพิซซาที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของตึก

   "เอาหน้าไหน?"

   "อะไรก็ได้"

   ก่อนหน้านี้ผมกล้าพูดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ชอบกินประเภทแป้งเท่าไหร่ แต่เหมือนว่าการอยู่กับพวกเขามากเข้าเมนูอาหารของเราก็มักจะมาจบที่ของกินประมาณนี้ตลอด

   "สปาเกตตี้? ไก่?"

   "ไม่เอา"

   "แล้วก็สปาเกตตี้กับขนมปังกระเทียมครับ"

   ธชาก็ยังทำอะไรไม่สนใจผมเหมือนเดิมนั่นแหละ

   พอสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วก็ต้องรอต่อไป เราสองคนนั่งตรงข้ามกันบนเก้าอี้ขนาดหกคนนั่ง ที่เลือกได้เพราะว่าทั้งร้านมีลูกค้าอยู่แค่ไม่กี่โต๊ะจนไม่น่าจะกระทบการให้บริการ ธชาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูอะไรเงียบๆ ส่วนผมตั้งใจว่าจะฆ่าเวลาด้วยการเหม่อมองออกไปข้างนอก

   นักศึกษาในวัยเดียวกันเดินสวนไปมาขวักไขว่ด้านนอกกระจกใส ส่วนเด็กในชุดนักเรียนก็เพิ่มความแปลกตาให้กับพื้นที่นี้ไม่น้อย พูดถึงแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามเฟย์เลยว่าเมื่อคืนนอนคนเดียวเป็นไงบ้าง

   ส่วนของผมเองต้องบอกว่าการอยู่แค่สองคนมันน่าอึดอัดเสียจนต้องรีบหลับให้ตอนเช้ามาถึงเร็วๆ เราบอกราตรีสวัสดิ์กันด้วยคำเดิม แต่คราวนี้ไม่มีสัมผัสอย่างอื่นเพิ่มเติม พอเช้าแล้วก็ต้องเตรียมงานหัวหมุนจนไม่มีเวลาได้เช็กว่าลูกพี่ลูกน้องสบายดีไหม

   ดึงของที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ออกมาจากกระเป๋า เข้าไปดูในแอปพลิเคชันไลน์ว่าอีกฝ่ายส่งอะไรมาบ้าง มันมีการแจ้งว่าเกือบสามสิบข้อความถูกส่งมาจากชื่อผู้ใช้รายเดียว ผมเปิดอ่านว่าเฟย์รายงานความประพฤติเรื่องอะไร มีตั้งแต่ตอนทานข้าวเย็นเมื่อวาน กลับบ้าน ก่อนนอน แล้วก็ตื่นมาเล่าว่าเมื่อคืนฝันถึงเรื่องแฟนตาซี ส่วนล่าสุดส่งรูปอาหารญี่ปุ่นในห้างมาให้ดู

   FAIR_ : กินคนเดียวเหรอ

   ส่งคำถามพร้อมกับสติกเกอร์เจ้าหมีมีเครื่องหมายปรัศนีอยู่ด้านบนไปให้ ยังไม่ทันได้ปิดหน้าต่างด้านหน้าข้อความก็ปรากฎการแจ้งว่าอีกฝ่ายได้เข้ามาในห้องสนทนาแล้ว

   FA__Y : ก็ใครไม่ว่างล่ะ!
   FAIR_  : ติดงาน เดี๋ยวกลับไปกินข้าวเย็นด้วย


   วันนี้คุยกันไว้แล้วว่าคงไม่มีอะไรต้องให้อยู่ดึก ผมเลยคิดอยู่ว่าอาจจะไม่กลับไปเอานาฬิกาแล้วให้ธชาติดมือมาให้พรุ่งนี้แทน

   อ่านข้อความที่เต็มไปด้วยอาการงอแงของอีกฝ่ายอีกสักพักใหญ่ ตอบกลับไปบ้างบางประโยคเพื่อไม่ให้ข้อความหนักซ้ายอยู่ฝ่ายเดียว

   "วันนี้จับโทรศัพท์เยอะนะ"

   "อ้อ..." การเปรยอย่างนั้นสร้างปฏิกิริยาตอบรับด้วยการวางสิ่งที่อยู่ในมือลงทันที

   "ปกติไม่เห็น ถึงหยิบก็ไม่เคยเล่นนาน"

   แน่ล่ะ ก็นอกจากเฟย์แล้วมันก็ไม่มีสาเหตุอื่นที่ทำให้ต้องใช้มัน

   "พอดีต้องคุยกับลูกพี่ลูกน้องน่ะ"

   "คนที่มาค้าง?"

   "อืม" มันก็มีอยู่คนเดียวจะทวนเพื่อความแน่ใจอะไรขนาดนั้น "เดี๋ยวนาฬิกาที่ลืมไว้พรุ่งนี้ฝากหยิบมาให้เราหน่อยนะ"

   เปลี่ยนเรื่องเสียเลยเพื่อให้เฟย์ออกไปอยู่นอกหัวข้อสนทนา การที่ทั้งสองคนไม่ต้องเจอกันมันก็ดีที่สุดแล้ว ผมไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องของตัวเองต้องมาเจอผู้ชายอารมณ์แปรปรวนหรอก

   "ทำไมไม่กลับไปเอาด้วย?"

   พอรู้ว่าลืมผมก็พูดเป็นเชิงว่าจะกลับไปเอาเองในทีแรก "มีนัดต่อแล้ว กับลูกพี่ลูกน้อง"

   "เหรอ..." ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนากับเรื่องของเฟย์ ทีทะเลพลอยมาตั้งหลายวันผมยังไม่สนใจว่าพวกเขาจะทำอะไรกันบ้าง ซ้ำแล้วยังลากผมเข้าไปร่วมด้วยแบบไม่เต็มใจอีก "แล้วนี่จะซื้ออะไรให้ชินา"

   พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็นึกได้ ผมลองเข้าไปหาเรื่องย่อของสมุดระบายสีเล่มนั้นมาแล้วล่ะ ขนาดอ่านแค่เนื้อหาแบบย่อยังต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ถึงจะเก็บได้ครบ เรื่องของเด็กสาวที่ออกตามหาคนรักผู้ซึ่งถูกราชินีหิมะพาตัวไป

   มันเริ่มจากว่าโลกนี้มีกระจกวิเศษที่สะท้อนความผิดเพี้ยนออกมา พวกโทรลตั้งใจที่จะเอาไปแกล้งคนบนสวรรค์แต่ว่าระหว่างทางกลับทำมันหล่นแตกกระจายลงมายังโลกมนุษย์ ส่วนบนโลกก็มีเด็กชายหญิงสองคนเป็นเพื่อนกัน ชื่อเคย์กับเกอดา ด้วยความที่ระเบียงห้องของทั้งสองคนอยู่ติดกันความสนิทชิดเชื้อก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

   พอโตขึ้นมาเกอดาก็รู้หัวใจตัวเองว่าเธอชอบเพื่อนชายบ้านข้างเคียง เพราะทุกครั้งที่เธอมองออกไปเห็นดอกกุหลาบที่ปลูกอยู่ตรงระเบียงห้องมันจะพาให้เธอนึกไปถึงเขาเสมอ ในวันที่เธอตั้งใจจะสารภาพความรู้สึกที่มี เคย์ดันเปลี่ยนไปเพราะเศษของกระจกแห่งความผิดเพี้ยนเสียก่อน

   กระจกที่เต็มไปด้วยความคิดด้านดำมืดครอบงำชายหนุ่มไปเสียแล้ว เขากลายเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่ว่าจะกับผู้คนหรือว่าสิ่งของ ในฤดูหนาวที่มาถึงเขาได้เจอกับหญิงสาวในชุดสีขาวผู้มาพร้อมกับรถเลื่อน นางแนะนำตัวว่าเป็นราชินีหิมะและจะพาเขาไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าเคย์ตกลง

   ระหว่างทางเพื่อให้เด็กชายสามารถทนกับความหนาวเย็นได้นางจึงจุมพิตครั้งที่หนึ่ง และเพื่อให้ชายหนุ่มลืมทุกสิ่งเธอจึงจุมพิตไปอีกครั้ง แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือหากราชินีจุมพิตเป็นครั้งที่สาม

   เขาจะต้องตาย



   ตอนแรกก็คิดว่าไม่ได้หิวอะไรมากมายแต่การที่หลงเข้าไปในร้านไอศกรีมหลังจากอาหารมื้อบ่ายแล้วมันบอกผมได้ว่าตัวเองคงต้องการพลังงานในการกลับไปต่อสู้มากพอสมควร นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งกับการพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ประทับใจตัวเองเหมือนกัน

   "กินในร้านก็ได้"

   "ไม่ล่ะ เพื่อนคนอื่นน่าจะรอแล้ว"

   เพราะดันไปเห็นคำว่าโปรโมชันลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยแหละ ผมไม่เคยใช้สิทธิพิเศษที่ติดมากับเบอร์โทรศัพท์ จะเรียกว่าเป็นลูกค้าที่น่ารักก็ได้นะ ไม่มีปัญหากับสัญญาณห่วยแตก อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร แล้วก็ค่าบริการที่ปรับให้สูงขึ้นทุกปี

   เพื่อให้กลับไปทำงานได้เร็วเลยสั่งแบบใส่โคนมาเพื่อที่จะถือสะดวกหน่อย หรือผมอาจงกไปเองก็ได้ตอนที่พนักงานถามว่าจะใส่ถ้วยหรือใส่โคน ก็คิดง่ายๆ ว่าถ้าใส่ถ้วยเราก็จะเสียเปรียบกว่า เพราะแบบโคนมันสามารถทานตัวกรวยที่ทำจากแป้งได้ด้วย

   "จะละลายก่อนกินหมดน่ะสิ"

   อากาศที่ไม่ว่าจะฤดูไหนก็ร้อนจนแสบผิวเหมือนกันหมด ผมไม่ฟังคำเตือนจากคนที่เดินตัวปลิวไม่มีของหวานในมือ เท่าที่สังเกตแล้วธชาเป็นคนที่ค่อนข้างเลือกทานแต่อะไรที่ตัวเองชอบเป็นส่วนใหญ่ คือถ้าไม่อยากกินก็จะไม่มีทางย้อนกลับมาเปลี่ยนใจเลย

   ไม่รู้ว่ากับเรื่องอื่นจะเป็นแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า

   ละเลียดก้อนครีมรสสตรอว์เบอรีไปคนเดียวจนไม่ได้ใส่ใจว่าอีกด้านที่มองไม่เห็นมันกำลังละลายลงมาจนเลอะมือ

   "อ๋า..."

   ผมควานหากระดาษทิชชูที่พนักงานให้มาพร้อมกับใบเสร็จในกระเป๋าข้าง เรียงลำดับไม่ค่อยถูกว่าควรจะทำอะไรเป็นสิ่งแรก

   "มา เดี๋ยวถือให้ก่อน" พอมีคนอาสาก็เลยส่งให้ด้วยความเต็มใจ ผมเช็ดเอาส่วนที่ละลายเลอะมือออกไปได้หมดในเวลาไม่นาน ถึงมันจะยังมีสัมผัสเหนียวติดอยู่ก็เถอะ เดี๋ยวค่อยกลับไปล้างอีกทีก็ได้

   "ขอบคุณนะ..." จะเอ่ยคำให้จบก็ไม่ได้ เมื่อผมหันไปเห็นว่าสิ่งที่ตั้งใจซื้อมาทานเองกำลังตกเป็นของหวานของคนอาสาถือให้ ธชาเลิกคิ้วขึ้นพลางกัดเอาส่วนโคนเข้าปากไปอีกคำ แถมยังมีการบอกผมให้ทิ้งขยะลงถังให้ถูกต้องอีกต่างหาก

   "ทิ้งให้ถูกนะ ฝึกแยกขยะเข้าไว้"

   คือมันไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะเอามาพูดเลยไหม เราควรจะคุยกันเรื่องที่เขากำลังทานไอศกรีมของผมอยู่ต่างหากไม่ใช่เหรอ

   "กินยังไงให้เลอะปาก" นิ้วโป้งอีกคนปาดตรงมุมปากของผม จากนั้นก็เช็ดกับทิชชูที่ยังอยู่ในมือ "ขนาดชินายังไม่เคยต้องเช็ดปากให้เลยนะ"

   ความอบอุ่นจากผิวเนื้อยังคงค้างอยู่ ผมหาที่โฟกัสสายตานอกเหนือจากการเงยขึ้นไปสบตากับคนตรงหน้า มันไม่ถึงกับเป็นการกระทำที่ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นหรอก ก็แค่สร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้เล็กน้อยเท่านั้นเอง

   แต่ถ้าถามว่าผมชอบมันไหม...ไม่ปฏิเสธ

   "คือ...ขอของเราคืนด้วย"

   "อร่อยดี น่าจะซื้อด้วย"

   "เดินกลับไปไหมล่ะ" เราเดินออกจากส่วนของห้างมาไม่ไกลเท่าไหร่ ย้อนไปคงไม่เสียเวลามาก

   "ไม่ต้อง" เขายื่นกลับมาให้ผมง่ายๆ "ชื่อรสอะไรนะ จำได้ไหม"

   "ใครจะไปจำได้"

   เขาก็เห็นอยู่ว่าชื่อรสชาติไอศกรีมสมัยนี้มันบ่งบอกส่วนผสมไม่ค่อยได้ ผมก็เลือกแบบที่ตัวเองชอบเป็นหลัก จำพวกรสเปรี้ยวอะไรทำนองนั้น

   "งั้นพรุ่งนี้อยากกินอะไรก็คิดไว้เลย"

   "..."

   “ไว้ค่อยให้แฟร์มาเลือกอีกรอบแล้วกัน”

   

   พอเดินกลับมาถึงซุ้มก็พบว่าจำนวนคนไม่ได้ลดลงอย่างที่หวังเอาไว้ ซ้ำร้ายแล้วมันยังดูเยอะขึ้นกว่าเดิมอีก

   ก่อนจะช่วย ขอตัวไปล้างมือก่อนแล้วกันนะ

   ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่แต่เห็นจำนวนคนที่ต่อแถวออกมาแล้วก็ยอมแพ้ สมแล้วที่เป็นช่วงการเปิดบ้านให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ ผมนึกถึงก๊อกน้ำด้านหลังของตึกที่เพิ่งใช้งานไปเมื่อวาน ตัดสินใจว่าไปตรงนั้นดีกว่าการรอคิว

   แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ มันเป็นพื้นที่ปลอดคนจนให้ความรู้สึกว่าเป็นคนละโลกกับหน้าตึก ผมหาสิ่งที่ต้องการแล้วบิดก๊อกน้ำเพื่อให้มันทำงานตามกลไก ยื่นมือไปล้างเอาความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะออกจนหมด

   "ล้างด้วย"

   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเองพอผ่านเข้ามาในส่วนงานของคณะแล้วก็เอาแต่คิดเรื่องหาที่ล้างมือจนไม่ได้ใส่ใจว่าธชาจะแยกตัวไปที่อื่นหรือเปล่า

   "เลอะเหมือนกันเหรอ นี่แหละผลกรรมที่การเอาของเราไปกิน"

   "งั้นน่าจะกินให้หมดเลย"

   "ธชา!"

   เรียกชื่อเสียงแหวว พอธชาปิดก๊อกแล้วเขาก็สะบัดมือเปียกน้ำใส่หน้าของผมอีก

   "จะได้สดชื่น"

   "มันทำให้แว่นของเรามัวต่างหาก"

   อุปกรณ์เพิ่มความคมชัดเองก็ไม่รอดพ้นจากหยดน้ำเล็กๆ พวกนั้น ผมรีบหยิบมันออกมาเช็ดเอาสิ่งแปลกปลอมออก แต่ดูเหมือนมันจะกลายเป็นว่าทำให้ความมัวเพิ่มขึ้นไปอีก สงสัยต้องรอให้แห้งแล้วค่อยหาผ้ามาเช็ดอีกที เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง

   เลยเสียบแว่นเอาไว้ที่เสื้อ ทำหน้าเซ็งเดินกลับมายังส่วนจัดงาน ผมหรี่ตามองบริเวณซุ้มภาษาที่ยังคราคร่ำไปด้วยผู้เข้าเยี่ยมชม เก็บความรู้สึกเหนื่อยใจเอาไว้ข้างใน นี่แค่วันแรกผมยังต้องเจอคนมากขนาดนี้ ไม่อยากคิดว่าที่เหลืออีกสองวันจะเป็นยังไงบ้าง

   ผมเตรียมเข้าไปประจำที่สำหรับงานในส่วนที่เหลือโดยไม่ลืมที่จะโบกมือให้คนอื่นรู้ว่ากลับมาแล้ว แต่ท่าทางที่ได้กลับคืนมากลายเป็นการสะกิดให้หนึ่งนักศึกษาที่เข้ามาเยี่ยมชมมองตามทิศทางที่ผมยืนอยู่ ใครคนนั้นกลับหลังหันมาและผมก็จำได้ว่าเป็นใครแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้า

   "ชากับแฟร์ไปกินข้าวนานจัง"

   "...เฟย์?"

   แต่ก็ไม่คิดว่าอีกคนจะรู้จักเช่นกัน

 

   ผมไม่เคยเข้าใจการบรรยายว่าบรรยากาศเหมือนถูกแต่งเติมไปด้วยสีดำไปทั่วทั้งบริเวณมันเป็นอย่างไร มันจะเหมือนกับตอนที่ไฟทั้งห้องถูกปิดจนมืดสนิทหรือไม่ จนตอนนี้ที่กำลังนอนหงายมองมองเพดานห้องอยู่อย่างนั้นจนสายตาเริ่มปรับเข้าได้กับความมืดได้ถึงพอเข้าใจ

   ที่บอกว่าเป็นสีดำคือความรู้สึกข้างในต่างหาก

   ความคิดที่มาพร้อมกับความรู้สึกติดค้างมันมากเสียจนเผลอถอนหายใจออกมา มันไม่มีอะไรให้เล่าเพิ่มเติมหลังจากที่ทั้งผมแล้วก็ธชากลับมาเจอเฟย์ที่ซุ้ม ยังไม่มีโอกาสได้ทักทายกันจริงจังลูกพี่ลูกน้องของผมก็ถูกโทรตามให้ไปแก้ไขเอกสารด่วน และเราก็กลับมาประจำหน้าที่ของตัวเองจนจบงาน

   “นอนไม่หลับเหรอ”

   “…อืม”

   ขยับตัวเองให้ขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ เอื้อมมือไปปรับแสงไฟในห้องให้สว่างขึ้นนิดหน่อย ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ห้องนอนไม่ใช่ของตัวเองคนเดียว

   “เล่านิทานให้ฟังหน่อยสิ"

   "หืม เป็นอะไรหรือเปล่า"

   "เปล่า..."

   โกหกออกไปคำโต ทั้งที่จริงแล้วมันมีเศษตะกอนบางอย่างตกอยู่ ท่าทางและใบหน้าของธชาตอนที่พุ่งตัวเข้าไปหาลูกพี่ลูกน้องของผมยังชัดอยู่ในความทรงจำ

   ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง สมองตื้อราวกับว่าถูกสลับสวิทช์ให้ความรู้สึกดับไป

   ยังเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่ผมอยู่ด้านหลัง ก็ถ้าผมได้เห็นสีหน้าของเขาแบบเต็มแล้วมันก็คงไม่โอเคสักเท่าไหร่ แค่นั้นผมยังอาการค้างมาได้จนถึงตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงการเจอหน้าแบบตรงๆ เลย

   "เราไม่เคยอ่านนิทานก่อนนอนกันนะแฟร์"

   "เดี๋ยวนี้ฟังบ่อย เริ่มติดนิสัยไปแล้ว" ตั้งแต่ตอนที่ต้องเริ่มทำงานกับธชานั่นแหละ

   "งั้นเราหาก่อน"

   มองลูกพี่ลูกน้องขยับตัวไปหาโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียง เขายังเป็นคนรู้ใจคนเดียวที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้ผมมีความสุข ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดมากแค่ไหน

   "เฟย์ เรื่องของชา..."

   ความคิดตีกันในหัวจนผมเผลอหลุดเรียกชื่อออกไป

   "ว่าไง"

   "เปล่า นอนแล้วนะ ไม่ต้องหานิทานหรอก"

   เก็บทุกอย่างให้กลับไปอยู่เพียงในความคิดเช่นเดิม ผมขยับไปปรับแผงไฟภายในห้องให้ดับลง ซุกตัวลงในผ้าห่มพลางปลอบใจว่าทุกอย่างมันอาจเป็นเรื่องที่ผมคิดมากไปเอง

   "เล่าให้เราฟังได้ตลอดนะแฟร์ รู้ใช่ไหม"

   "อืม"

   "เจอกันตอนเช้านะ"

   "...เจอกันตอนเช้า"

   ทั้งที่ก็รู้ว่าความกลัวบางอย่างมันกำลังเข้ากัดกินทั้งหัวใจ


***
   ราชินีหิมะเป็นเรื่องที่ยาวมากเลยค่ะ คืออ่านแบบย่อแล้วยังต้องให้กำลังใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าอย่าเพิ่งหลุดนะ อยู่ด้วยกันก่อน (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ช่วยด้วยค่ะ ไม่ไหวแล้วว ทำไมดูน่าอึดอัดแบบนี้อ่ะ สรุปคิอชากับเฟย์ก็รู้จักกันอยู่แล้ว แถมเฟย์ยังไม่บอกอะไรแฟร์อีกชาด้วยอีกคน สรุปมันยังไงกันแน่เนี่ย ดูน่าจะมีอะไรที่น่าปวดหัวรออยู่เลย ความพีคกำลังจะมาสินะ แล้วจะจบแล้วอ่ะ คือยังไม่อยากให้จบอ่ะ แต่ก็อยากรู้ปมแล้ว ตอนนี้คืองงมาก งงสุดในความสัมพันธ์ของตัวละคร มันปนเปยังไงไม่รู้5555 o22 o22 o22

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เป็นตอนที่รู้สึกเศร้า และอึดอัดใจจังค่ะ แค่เฟย์ออกมาบรรยากาศสีดำที่ว่ากระจายตัวเร็วมากกกก เหตุผลที่ธชาเข้าหาแฟร์ไม่น่ารักเลย :hao4:
 หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งเอเรนเดลล์ (ไม่ใช่!!ผิดเรื่อง!! 5555) เชียร์แฟร์ เอาชนะอสูรให้ได้น้าา เอากุหลาบปักมืออสูรเลยยยย :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนนี้พอจะเดาว่าธชาน่าจะเข้าหาแฟร์เพราะเฟย์ แล้วเราก็คิดว่าธชาน่าจะรู้แล้วว่าไม่ใช่เฟย์ พอจะทำความเข้าใจได้นะ แต่ทำแบบนี้มันไม่โอเคกับแฟร์เลย ไม่คิดเลยหรอว่าถ้าแฟร์รู้แล้วจะเป็นยังไง ส่วนปัญหาที่แย่กว่าก็คือไม่มีใครบอกอะไรแฟร์เลยนี่แหละ ทั้งๆที่มาถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่บอกอีกหรอ? โดยเฉพาะธชา โกรธแทนแฟร์เลย... จริงๆถ้าธชาพอจะรู้สึกอะไรกับแฟร์บ้างก็ควรบอกทุกอย่างไปนะ นี่เดาไม่ออกเลยค่ะว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกับแฟร์กันแน่ แล้วที่พุ่งไปหาเฟย์เลยคืออะไร? พุ่งแล้วพูดอะไรไหม? แล้วเฟย์เห็นแฟร์สงสัยแล้วทำไมไม่เล่าล่ะ :ling1: :ling1: :ling1:

อึดอัดมากไม่ไหวแล้วค่ะ ฮืออออ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด


   หยดน้ำตาของเธอทำลายเศษกระจกแห่งความผิดเพี้ยนในหัวใจของเขา
   - The Snow Queen (3)


 
   "คิดถึงแฟร์จังเลย"

   "เหรอ ดีใจมากเลยล่ะ" แสร้งทำหน้ารังเกียจเสียเต็มประดาใส่แขกคนล่าสุดของซุ้ม เชนินทร์เมินการกระทำนั้นพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ผมเช่นทุกที "ธชาพักอยู่ ลองไปดูใต้ตึกนะ"

   งานในวันที่สองดูไม่วุ่นวายเท่าวันแรก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะชินกับสภาพโดยรอบ และอีกส่วนคงมาจากการที่ตั้งแต่เช้าไม่ต้องทำงานในกะเดียวกับหัวหน้าฝ่ายเลย

   "เปล่า เรามาหาแฟร์"

   "หาเรา?" ไม่ค่อยน่าเชื่อจนต้องทวนออกไป "ถ้าของขวัญชินาเรามีมองๆ ไว้แล้วล่ะ"

   ด้วยความที่ยังไม่มีเวลาว่างพอเลยไม่ได้กลับไปซื้อเสียที ผมยังไม่รู้เลยว่าเด็กหญิงตัวน้อยเกิดเมื่อไหร่ ก็หวังว่าทุกอย่างจะลงตัวในเร็ววัน

   หรือถ้ามีอุปสรรคเยอะนักก็ว่าจะเย็บสมุดให้สักเล่ม

   "เปล่า ไม่ใช่เรื่องชินา"

   "อ้าว..."

   "เห็นว่ามีญาติมาหาเหรอ"

   "..."

   เรื่องที่ปลอบใจว่าคิดมากไปเอง ตอนนี้เข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที

   "ชามันเล่าน่ะ"

   "อืม ญาติมาประชุมของคณะ"

   "อยากเจอบ้างจัง"

   ทำหน้าหน่ายแบบที่ให้เห็นก็รู้เลยว่ามันบวกความรำคาญเข้าไปด้วย "ไปดูแลน้องตัวเองก่อนไป"

   "ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นพวกขี้หวง"

   "ต่อให้เป็นคนที่เพิ่งรู้จักเราก็จะทำทุกทางเพื่อให้คนนั้นไม่ต้องโชคร้ายมาเจอกับนายเหมือนกัน"

   ไม่อยากจะลงรายละเอียดอะไรไปมากกว่านั้น ประจวบเหมาะกับจังหวะที่นักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาสอบถามเส้นทางไปคณะนิเทศศาสตร์ที่อยู่ห่างออกไปอีกฟากของถนน ผมเลยเลี่ยงตัวออกมาเพื่ออธิบายการเดินทางแบบที่คิดว่าน่าจะทำให้ไม่หลงทางแล้วก็ถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

   แล้วก็เลยทำตัวขยันขันแข็งด้วยการอาสาเข้าไปช่วยแบกของสำหรับงานส่วนอื่นต่อ เรียกไม่ได้ว่าหนีงานเพราะความจริงแล้วหน้าที่ของผมมันค่อนข้างไร้ประโยชน์

   กลับมาที่เดิมอีกครั้งคนที่บอกว่าคิดถึงก็หายไปแล้ว ถ้าไม่ไปหาเพื่อนตัวเองก็คงกลับไปช่วยงานคณะล่ะมั้ง

   "...วันนี้ชาอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วล่ะแฟร์"

   ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่าตัวเองกลายเป็นที่ระบายเรื่องอสูรให้กับเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมวางกล่องของรางวัลจากสปอนเซอร์ชิ้นสุดท้ายลงตรงมุมห้อง ปัดมือไล่ฝุ่นที่เกาะออกพลางปลอบไม่ให้ขวัญเสียกันไปก่อน

   "งานเยอะก็คงเหนื่อยอยู่แหละ เมื่อเช้าก็เห็นว่ามีปัญหากับส่วนกลางอีก"

   "เราว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องงานคณะอะ คือชาก็ทำงานเต็มที่นะแต่ทำหน้านิ่งจนน่ากลัวอย่างนั้นใครอยากจะเข้าไปคุยด้วย"

   ถ้าเชื่ออย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะขัด เจอมาหลายรอบจนปลงตกแล้วว่าธชาเป็นพวกผีเข้าผีออกจะตายไป อยากจะปรับอารมณ์ตอนไหนก็ทำ ไม่เห็นสนใจว่ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า

   "งั้นเราก็ไม่รู้แล้วแฮะ สักพักก็คงกลับมาเป็นปกติแหละ" ได้แต่ปลอบใจกันเอง ผมลอบมองรอบตัวเพื่อสอดส่องว่าบุคคลที่สามในบทสนทนาอยู่ละแวกนี้หรือไม่ บางครั้งเขาก็ทำตัวเหมือนพวกนักย่องเบาที่จะแทรกตัวเงียบๆ ไม่ให้ซุ่มให้เสียง พาให้คนพูดต้องระวังไปเองก่อน

   "แต่คราวก่อนตอนที่แฟร์ไปคุยชาก็อารมณ์ดีกลับมานะ"

   หลุบตาลงต่ำไม่สบสายตา ผมไม่ค่อยชอบตัวเองในช่วงนี้เท่าไหร่ จะเผลอคิดมากนั่นนี่ไปเองก่อนเสมอ

   "ความบังเอิญไม่มีมากกว่าหนึ่งครั้งหรอก..." ได้แต่พึมพำกับตน โทษว่าเพราะใกล้เวลาพักกลางวันแล้วคนเข้ามาชมซุ้มเลยน้อยลงตาม เราถึงว่างงานจนคุยเรื่องไร้สาระได้

   "แฟร์ไปกินข้าวกันไหม นี่ก็จะเที่ยงแล้ว"

   "อ้อ..." ผมเกือบจะตอบตกลงไปแล้ว ติดที่ดันนึกได้ว่าตกลงอะไรเอาไว้ล่วงหน้า "เราคงจะไปกินกับธชาน่ะ"

   "หืม? แต่เราเห็นชาเดินมาบอกว่าจะออกไปกินข้าวตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว"

   "เหรอ"

   เขาคงลืมไปแล้วมั้งว่าเมื่อวานพูดอะไรไว้

   

   ความจริงแล้วงานทั้งหมดมีสามวัน แต่งานในส่วนของผมจะมีถึงแค่ศุกร์ครึ่งเช้า ส่วนภาคบ่ายจะเป็นการเก็บกวาดทั้งหมดให้เรียบร้อย พวกเราไม่อยากให้มันกินเวลาช่วงเย็นไปถึงดึก เป็นที่รู้กันว่าเย็นวันศุกร์โดยเฉพาะกับสิ้นเดือนเป็นอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง แล้วอีกอย่างสัปดาห์หน้าบางเอกก็มีควิซสำคัญ ยังไงเรื่องเรียนก็ต้องมาก่อน

   "นี่เรามาทันใช่ไหมแฟร์"

   เงยหน้าขึ้นมาตามเสียง ผมส่งยิ้มแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ให้ลูกพี่ลูกน้องผู้ซึ่งกลับมาเยี่ยมอีกครั้งในช่วงสายของวันพฤหัสบดี

   "ทัน ยังพอมีอยู่ จะเอา..."

   ไม่อาจเอ่ยคำออกมาได้ครบทั้งประโยค ยามที่มองเห็นว่านอกจากลูกพี่ลูกน้องแล้วคนที่จำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไว้เมื่อวานก็เดินเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน

   "โทรไปก็ไม่รับ จะถามว่าให้ซื้ออะไรกลับมาไหม เรากับชาไปกินข้าวกลางวันมา"

   "..."

   ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ไปชั่วขณะก่อนจะรีบเตือนตัวเองให้ทำทุกอย่างเหมือนเป็นปกติ มือหยิบจับอุปกรณ์ตรงหน้าไปเรื่อยทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรต้องจัดการ "ไม่ได้หยิบเลยไม่รู้อะ"

   "กินไอติมมาด้วย รสที่แฟร์ชอบเลย"

   ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานย้อนกลับมาเล่นแบบที่ไม่ได้ขอ ผมฝืนยิ้มออกไปเพื่อกลบไม่ให้อาการอื่นปรากฎแทรกขึ้นมา โทษตัวเองว่าน่าจะยกมือขึ้นปัดตอนที่ธชาช่วยเช็ดมุมปาก ไม่อย่างนั้นแล้วตอนนี้ผมคงไม่ต้องรู้สึกรังเกียจสัมผัสที่ยังคงค้างอยู่

   "เราบอกแล้วว่าอร่อย"

   "อยากจะซื้อมาฝากแต่คิดว่ากว่าจะถึงคงกลายเป็นสมูตตี้" เฟย์หันไปกระทุ้งศอกหัวหน้างาน "แล้วนี่ใช้งานพี่เราหนักหรือเปล่าชา"   

   ทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าไปลึกที่สุด เตือนตัวเองให้มีสติพร้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นทุกอย่าง

   "พี่?"

   อีกแค่ไม่กี่อึดใจ ผมจะได้รู้แล้วว่าใน 'กล่องแห่งความลับ' มันเก็บเรื่องราวที่ผมคาดเดาเอาไว้หรือไม่

   "ใช่ แฟร์เป็นพี่เราเอง"

   "อ้อ..."

   น้ำเสียงของอสูรยังคงราบเรียบ ไม่มีความตื่นเต้นหรือว่าตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน มันยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่านไปเองมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว   

   เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว...ใช่ไหม

   ระหว่างที่รอฝ่ายอื่นทำหน้าที่เราก็ว่างพอที่จะยืนคุยกันต่อ ผมพยายามขยับตัวออกมาห่างจากผู้ชายอารมณ์แปรปรวนให้มากที่สุด แบบที่ทำแล้วก็ต้องไม่ให้เฟย์สงสัยว่าทำไมถึงต้องเว้นระยะห่างมากเสียขนาดนั้น

   "ไม่ได้เจอกันนานมากเลยเนอะ ครั้งล่าสุดก็ช่วงก่อนเข้ามหาลัยปะ"

   ธชากับเฟย์รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ก่อนที่เฟย์จะย้ายโรงเรียนมาอยู่กับผมในช่วงมัธยมปลาย นั่นคือสิ่งที่ได้ถัดมา

   "ที่จริงคือเมื่อปิดเทอมที่แล้ว เราขึ้นไปหาทะเลที่ม.แล้วเห็นเฟย์พอดี แต่ว่าไม่ได้ทัก"

   "อ้าว น่าเสียดาย เราเคยทำกิจกรรมฝ่ายเดียวกับพลอยหลายครั้งอยู่"

   การสนทนาที่ไม่เปิดโอกาสให้ออกนอกวงโคจรบีบให้ผมต้องยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป มีคาถาเสกให้หูไม่ได้ยินเสียงชั่วคราวไหมนะ ผมไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเขาสองคนอีกแล้ว

   "ชาจำได้แม่นจัง นี่อยู่กับพี่เราตั้งนานไม่สงสัยหน่อยเหรอ หน้าเหมือนกันจะตายไป"

   หลายครั้งมีคนบอก...ว่าผม 'คล้าย' กับใครบางคน

   "ก็...นิดหน่อย"

   ตลกดี

   หน้าของผมชาสนิทจากคำสั้นแค่นั้น

   ผมกลายเป็นมนุษย์ล่องหนไปเสียแล้ว ถ้าจะให้อธิบายก็ไม่รู้ว่าจะนิยามได้ตรงตัวหรือเปล่า พวกเขาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในอดีตที่ผมไม่ได้มีส่วนร่วม ดังนั้นก็ทำได้แค่รับฟังแต่ไม่สามารถเข้าไปแทรกหรือเสริมได้

   "แล้วนี่ทำซุ้มอะไรกันอะ แฟร์บอกแต่ว่าเกี่ยวกับภาษา เมื่อวานยังไม่ทันได้ถามก็ต้องไปทำงานแล้ว"

   "ก็แปลคำ ถ้าอยากได้ดอกไม้เพิ่มก็จ่ายเงินมา"

   "เพื่อนกันยังเก็บอีกเหรอ"

   ผมไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะสดใสจากอสูรอย่างนี้เลย "เลี้ยงก็ได้"

   "แล้วอย่าให้แฟร์มาฟ้องว่าไปเรียกเก็บทีหลังนะ!"

   บรรยากาศที่ดูเหมือนว่าจะชื่นมื่น ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้ามองจากมุมคนนอกหรือว่าคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราว ผมยืนเหม่อมองลูกค้ารายสำคัญไปเรื่อยโดยเข้าไปมีส่วนร่วมประปรายถ้าเฟย์หันมาขอความคิดเห็น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็กลับไปเป็นมนุษย์ล่องหนอย่างเดิม

   "ชานี่ทำงานเกี่ยวกับดอกไม้เก่งตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเนอะ"

   เฟย์จุดประเด็นใหม่ภายหลังจากที่ได้กระดาษแปลคำและช่อดอกไม้แล้ว ความที่เป็นดอกไม้แห้งเลยไม่ปรากฎร่องรอยความเหี่ยวเฉาหรือว่าโรยรา มันคงความงามเอาไว้เช่นเดิมไม่มีลดลง

   "ตอนที่เรากลับไปโรงเรียนตอนนั้นก็เหมือนกัน"

   "ม.ห้า งานโอเพ่นเฮาส์"

   "งานนั้นเราพาแฟร์ไปด้วย จำได้"

   ชื่อของตัวเองดูแปลกประหลาดจนสะดุ้งเมื่อได้ยิน ผมกะพริบตาใส่น้องชายด้วยความที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวมากเท่าไหร่ งานที่เฟย์พาผมไปด้วยเหรอ...

   "ตอนนั้นที่เราไปทำกันไงแฟร์ ที่คั่นหนังสือแบบมีดอกไม้แห้งติดอะ"

   "อ่า...คุ้นอยู่"

   ต้องมีดีเทลเพิ่มเติมเลยพอนึกออก และคำว่าที่คั่นดอกไม้มันก็พาภาพเก่าย้อนกลับมาฉายใหม่ ผู้ชายตัวสูงที่ให้คำอธิบายเกี่ยวกับดอกไม้ทีละขั้นตอน คำสอนที่ดูใส่ใจกับทุกรายละเอียด และข้อแนะนำที่บอกว่าให้เขียนวันเดือนปีที่ทำลงไปด้วยเพื่อไม่ให้ลืม

   หรือว่า...

   หันไปมองทางธชาช้าๆ ระหว่างที่ในสมองยังจัดเรียงระบบความคิดไม่เสร็จ ชุดข้อมูลที่เพิ่งเข้าไปใหม่ต้องการเวลาอีกสักครู่เพื่อประสานให้เข้ากับสิ่งที่มีอยู่แล้วก่อนหน้า ถึงเส้นความคิดยังไม่เรียบร้อยนักผมก็มองเห็นปลายทางรำไร

   "ได้มาเจอกันอีกครั้งแบบนี้บังเอิญจังเลยนะ"

   แล้วผมก็ได้รู้ว่าบางครั้งโลกก็ควรเอียงเสียบ้าง


***
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
   ผมรู้ว่าทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ตอนบอกเฟย์ว่าคืนนี้อยากอยู่คนเดียว แล้วขอให้เขาไปใช้ห้องนอนสำหรับแขกแทน

   ผู้ชายที่อยู่ด้วยกันมาเกือบทั้งชีวิตไม่ได้อิดออดอะไร เขาเพียงแค่สวมกอดผมเอาไว้แล้วบอกว่าพร้อมรับฟังเสมอ

   เรื่องที่น่าแปลกคือมันเป็นความอบอุ่นที่ทรมานยิ่งกว่าหนามกุหลาบในความฝันเสียอีก

   ที่คั่นหนังสือทำจากกระดาษสาเคลือบด้วยแผ่นพลาสติกใสในมือถูกพลิกไปมาเหมือนกับกำลังพิจารณาทุกรายละเอียด ผมมองดอกไม้แห้งด้านหน้าสลับกับการอ่านลายมือตัวเองที่ระบุวันเดือนปีที่อยู่ด้านหลัง ตอนนั้นผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ถูกเฟย์ลากกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าเพราะคิดถึงเพื่อน

   มัธยมคือช่วงชีวิตที่สนุกที่สุด

   ใครหลายคนบอกอย่างนั้น

   "ไปกันเถอะแฟร์"

   "ไม่" ปฏิเสธไร้เยื่อใยในช่วงเวลาที่ยังก้มหน้าอ่านหนังสือในมือ "เราไม่ได้เป็นศิษย์เก่าของที่นั่นสักหน่อย"

   "ไปเป็นเพื่อนศิษย์เก่าไง"

   ผมกับเฟย์เกิดห่างกันไม่มาก และเราก็มักจะอยู่ด้วยกันเสมอจนคนอื่นเข้าใจผิดมานักต่อนัก เพื่อไม่ให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่ชอบเข้าสังคมใหม่เลยถูกจับแยกกันตอนเข้ามัธยม แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีกเพราะพ่อกับแม่ผมดันติดใจชีวิตต่างจังหวัดจนทิ้งผมไว้คนเดียว

   วางหนังสือในมือตัวเองลง หันหน้าไปมองคนช่างตื๊อที่ยังจับแขนของผมเอาไว้แน่น เฟย์พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นสัปดาห์แล้ว ผมก็ทำเป็นเมินบ้างไม่ได้ยินบ้าง สุดท้ายแล้วอีกคนก็ยังไม่ยอมแพ้อยู่ดี

   "เราไม่อยากไป"

   "แต่เราไม่อยากไปคนเดียวนี่นา"

   คนอยากกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าทำปากยื่น รู้ได้โดยประสบการณ์ว่านาวินท์ไม่มีทางยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้แน่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วถ้าลองอยากได้อะไรสิ่งนั้นต้องเป็นไปตามความต้องการ ต่อให้มันจะรบกวนคนอื่นมากแค่ไหนก็ตามที

   "เพื่อนก็เยอะแยะ บอกไว้ล่วงหน้าสิ" เฟย์เป็นมนุษย์จำพวกที่มีเพื่อนอยู่ทุกที่ ใครที่เกลียดเขาลงนี่ต้องมองโลกแง่ลบเต็มทน "เราไม่อยากไปยืนเด๋อๆ อะ"

   ส่วนผมนอกจากจะไม่ใช่อดีตนักเรียนแล้วยังเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนอีก การที่ต้องเหยียบเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่เรื่องน่าสน คงต้องยืนกรานไปเรื่อยๆ จนกว่าเฟย์จะยอมถอยทัพไปเองแล้วล่ะ

   "ไม่เด๋อ ทุกคนจะตกใจที่มีเฟย์สองคนต่างหาก"

   ก็เพิ่งบอกไปว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ

   "นี่เฟย์" ผมเรียกชื่อเล่นของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง เตรียมเล่ามุมมองของตัวเองบ้าง "ถึงแม่ของเราจะเป็นฝาแฝด และเราก็หน้าคล้ายกันกว่าแฝดบางคู่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาเราไปโชว์ไหม"

   มันเป็นความประหลาดของกรรมพันธุ์ที่บอกว่าลูกผู้ชายจะหน้าเหมือนแม่ ตอนเกิดมันก็ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ แต่พอโครงหน้าเริ่มเข้าที่แล้วไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเราสองคนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ยิ่งเกิดห่างกันแค่ไม่กี่เดือนแล้วเรื่องของการเปรียบเทียบก็น้อยลงไปอีก

   โดนมาตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นเรื่องปกติ การทำอะไรสักอย่างเหมือนกันเพื่อแกล้งคนอื่นเป็นการละเล่นที่เราชอบมากที่สุด เคยคิดถึงขั้นอยากลองสลับตัวไปเรียน มาสะดุดก็ตรงที่ดันนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าซวยเจอคาบสอบเข้าไปก็จะพังทั้งคู่ ความคิดแผลงๆ เลยถูกเก็บไปก่อน

   "เอาไปว่าแฟร์ไปกับเราเนอะ"

   คือย้อนกลับไปอ่านได้เลยว่าผมไม่มีการตกลงหรือว่าแสดงกิริยาอะไรที่บอกว่ายินยอมสักนิด

   "ไม่เอา"

   "เจอกันตอนเช้าจ้า"

   ก็นั่นแหละ ตอนเช้าในวันศุกร์ผมก็เลยได้สัมผัสความรู้สึกของการโดดเรียนเป็นครั้งแรก

   โรงเรียนเก่าของเฟย์ใหญ่กว่าที่ผมประเมินเอาไว้ เห็นตึกเรียนที่มีความสูงขึ้นไปหลายชั้นแล้วก็อดเหนื่อยแทนไม่ได้ ห้องเรียนของผมทุกวันนี้อยู่แค่ชั้นสามก็ยังหอบตอนถึงห้องเลย

   จะบอกว่าเป็นโรงเรียนที่ให้ความรู้สึกต่างจากห้องเรียนปกติก็ไม่เชิง ผมไม่เคยได้ไปสัมผัสโรงเรียนอื่นเลยบอกไม่ได้ว่ามันเป็นแบบไหน เฟย์ไล่ทักทายคนรู้จักจำนวนมากตั้งแต่หน้าประตู งานโอเพ่นเฮาส์ที่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าไปเยี่ยมชมได้เต็มไปด้วยความคึกคักจนเพลิดเพลินได้ไม่ยาก

   แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เมื่อหลายคนต่างเข้าใจผิดว่านายนาวินท์มีฝาแฝดชื่อกาลวินท์ด้วย เรื่องชื่อจริงนี่ก็อีกอย่าง นอกจากจะแลกกันตั้งชื่อเล่นแล้วยังพยายามหาชื่อจริงที่ใกล้เคียงกันอีก อยากให้ลูกผูกพันกันไปจนชาติหน้าเลยหรือไง

   "แฟร์ เราอยากทำอันนี้"

   โดนน้องลากไปทั่วทุกที่แล้วมั้ง ตอนนี้เฟย์กำลังพาผมไปเยี่ยมโซนงานฝีมือต่างๆ โรงเรียนของผมไม่มีอะไรอย่างนี้บ้าง ซึ่งก็ดีเหมือนกัน

   "ทำอะไรอะ" ชะโงกหน้าเข้าไปมอง บนโต๊ะตัวใหญ่มีกระดาษสาหลากหลายแบบวางเอาไว้ระเกะระกะ มีทั้งที่ยังสมบูรณ์แล้วก็แหว่งบางส่วน นอกนั้นคืออุปกรณ์เครื่องเขียนเบสิกอย่างพวกกรรไกร ปากกา ไม้บรรทัด แล้วก็มีพู่ไหมอยู่นิดหน่อย

   "อ้าว เฟย์เหรอ?"

   ผงะไปข้างหลังหนึ่งก้าวยามที่ใบหน้าของใครบางคนโผล่เข้ามาอยู่ในกรอบการมองเห็น ผมควานหาตัวของลูกพี่ลูกน้องตามสัญชาตญาณแบบที่ยังเผชิญกับคนแปลกหน้าไม่วางตา

   ผมตัดสั้นทรงรด. เหมือนอย่างชายวัยมัธยมปลายทั่วไป รอยยิ้มที่มาพร้อมกับความสดใสช่วยลดอาการตื่นตกใจไปได้ไม่น้อย

   นาวินท์กลับมาได้ถูกเวลา เฟย์ควงแขนของผมเอาไว้หลวมๆ พลางตอบ "เฟย์อยู่นี่ นั่นฝาแฝดเราต่างหาก"

   เราสองคนหน้าตาคล้ายกันแต่เรื่องของนิสัยต้องบอกว่าต่างกันเป็นขั้วบวกกับขั้วลบ เฟย์นิสัยดี เข้าถึงง่าย มีเพื่อนอยู่เต็มไปหมด ส่วนผมเป็นพวกเก็บตัวที่ไม่มีใครอยากจะเข้ามายุ่ง มันเป็นนิสัยเสียมาตั้งแต่เด็กว่าผมมีแค่เฟย์ก็พอแล้วน่ะ

   "แฝด? หลอกกันปะเนี่ย"

   "ไม่เชื่อก็ถามแฟร์ได้เลย"

   โยนภาระมาให้ผมเสียอย่างนั้น "ไม่ใช่แฝด เป็นลูกพี่ลูกน้อง"

   ตอบแค่ให้คลายสงสัย ไม่ได้ทำตัวเป็นคนพวกช่างเจรจาเหมือนคนด้านข้าง ถึงเฟย์ชอบแกล้งคนอื่นอย่างนี้ผมไม่ค่อยตามแก้ความเข้าใจผิด เพราะคนเราน่ะมักจะเชื่อถือข้อมูลชุดแรกจนยากที่จะเปลี่ยนแปลง ย้ำแล้วย้ำอีกก็ยังไม่ยอมเชื่อ

   "โห โคตรเหมือนอะ"

   "เจ๋งใช่ไหมล่ะ"

   "อืม ล่ะนี่จะมาทำที่คั่นเหรอ"

   คราวนี้เราสามคนลงมานั่งตรงที่ว่างด้านริมสุด ตรงหน้ามีเศษงานของคนใช้ก่อนหน้าทิ้งเอาไว้พอสมควร ผมจัดการรวบรวมส่วนที่ใช้งานต่อไม่ได้เอาไว้เป็นกองเดียว ให้มีพื้นที่สำหรับการทำที่คั่นอะไรนั่น

   "นี่ยังไม่รู้เลยว่าทำอะไร แต่น่าสนเลยแวะ"

   "ทำร้ายจิตใจมาก เดี๋ยวเราไปเรียกชามาช่วยแล้วกัน งานนี้มันดูแล"

   "ได้เลยจ้า"

   ผมรอจนเพื่อนของเฟย์เดินกลับไปรวมกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่แขวนป้ายเอาไว้ถึงแกล้งหยอก "หนังสือก็ไม่ค่อยอ่าน ยังจะทำอีกเหรอ"

   "แฟร์!"

   "ล้อเล่น แต่เราว่าก็น่าทำดี"

   มองดูของคนอื่นแล้วนอกจากกระดาษสาเหมือนจะมีแผ่นอะไรสีน้ำตาลหม่นๆ ประดับเอาไว้ รูปร่างอย่างนั้นคือดอกไม้แห้งหรือเปล่านะ

   "ว่าไงศิษย์เก่า" เสียงนุ่มใกล้ตัวพาทั้งผมและเฟย์หันไปหา ผมเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายที่ยืนเต็มความสูงอยู่ข้างกาย ใบหน้าเรียบกับช่วงนัยน์ตาคมสะดุดสายตาเป็นสิ่งแรก เห็นแวบแรกก็นึกได้ไม่กี่คำ จำพวกคนหล่อของโรงเรียน ฮอต สาวติดตรึม อะไรเทือกนั้น ผมทรงไถเกรียนแบบเรียนรด. ไม่ได้ทำให้โครงสร้างดูเด๋อด๋าอย่างที่เด็กผู้ชายในวัยเดียวกันเจอ

   "เหย...ชาสูงขึ้นอีกปะ"

   "อือ สิบกว่าเซ็นต์จากช่วงจบม.สาม"

   "โคตรขี้โกง เราไม่กี่เซ็นต์เอง"

   เสียงหัวเราะของเขาน่าฟังไม่ต่างจากท่าทางการขยับตัวที่เพลินตา คนมาใหม่ที่ชื่อว่า 'ชา' วางกล่องเหล็กในมือของตัวเองลงตรงหน้าของเราสองคน ผมตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นไม่น้อย มันคือดอกไม้แห้งหลากหลายรูปแบบสวยงามละลานตา

   เหมือนจะเป็นเรื่องง่ายกับการเอาดอกไม้ที่แห้งแล้วมาวางไว้ตามด้วยการเคลือบแบบพลาสติก มันเป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับคนที่ไม่เคยทำอย่างผม และที่น่าประทับใจคือดอกไม้ที่เอามาไม่ได้ผ่านกรรมวิธีลวกๆ พอให้มีใช้ในงาน มันเต็มไปด้วยความใส่ใจจนเก็บสีหน้าไม่อยู่เมื่อรู้ว่าคนที่ทำมันเป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาเรียบเฉยคนนี้

   "ยังเลือกไม่ได้?"

   เวลาผ่านไปพอสมควรแล้วผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ระหว่างกลีบดอกกุหลาบกับเจ้าดอกเล็กที่ผมยังไม่รู้ชื่อ

   "อืม ชอบหลายชนิดเลย ...นี่ดอกอะไรเหรอ" ชี้ไปยังดอกไม้กลีบเรียวไม่คุ้นลักษณะ แล้วยังมีแค่หนึ่งดอกสุดท้ายด้วย

   "ไลแลคอะ"

   ความประทับใจต่อมาคือเขาไม่หัวเสียหรือหงุดหงิดกับคำถามจำนวนมากที่ผมส่งไป ก็มันน่าสนใจว่าเขามีเคล็ดลับอะไรบ้างในการแปรรูปดอกไม้ให้คงอยู่ได้นานขึ้น

   "ไลแลค?"

   "ไม่ค่อยคุ้นหรอก มันเป็นพืชเมืองหนาว แต่สกุลเดียวกับมะลินะ นี่ไปอ้อนคนขายจนเขายอมหามาให้"

   เรื่องเล่าเกี่ยวกับดอกไม้ออกจากปากไม่มีหยุด ผู้ชายกับดอกไม้ไม่ใช่ของคู่กันในสายตาของใครหลายคนรวมถึงผมด้วย น่าแปลกที่ความรู้สึกนั้นมันไม่เกิดขึ้นกับเขาเลย

   ส่วนมากผมเป็นคนนั่งฟังสองคนนั้นคุยกันมากกว่า พวกเขาเรียนมัธยมต้นห้องเดียวกันมา ชาฟ้องผมด้วยว่าเฟย์น่ะแสบแค่ไหน ทำตัวเป็นหัวโจกเวลาอยากโดดเรียน แล้วเพื่อนก็ดันเข้าข้างอีก

   "เขียนวันที่ลงไปด้วยสิ"

   "หืม?" ผมถือปากกาสีค้างเอาไว้ก่อนเพราะเพิ่งทำการวาดรูปประดับลงไปข้างตัวดอกไม้แห้งเสร็จ "วันที่?"

   "เขียนวันที่ไว้ด้านหลัง จะได้รู้ว่าทำเมื่อไหร่"

   "เป็นพวกให้ความสำคัญกันวันอย่างนั้นเหรอ"

   มุมปากขยับยิ้มละไม "มันเป็นการสะสมความทรงจำน่ะ"

   จดจำความอ่อนโยนทั้งหมดเอาไว้ด้วยสายตา ผมมองเขาเก็บของจำเป็นกลับไปไว้ในกล่องเหล็กตามเดิม ช่วงมือค่อยๆ จัดวางดอกไม้แห้งที่ไม่ได้ใช้งานลงไปทีละส่วนด้วยความระมัดระวัง

   "ไอ้ชามานี่หน่อย"

   "หา?" มองเพลินเสียจนเกือบแกล้งหลบสายตาไม่ทันตอนที่ชาเงยหน้าขึ้นมามองหาต้นเสียงที่กำลังเรียกชื่ออยู่ "โอเคๆ กำลังไปแล้ว"

   "ขอบคุณนะ"

   "ไม่เป็นไร"

   จนแผ่นหลังกว้างในชุดนักเรียนกลืนไปกับกลุ่มเพื่อน ผมถึงกลับมาจับจ้องผลงานตรงหน้าต่อก่อนลงมือเพิ่มเติมบางสิ่ง หลุดหัวเราะกับตัวเองที่เขียนตัวเลขหกหลักลงไปตรงมุมสุดของกระดาษ

   ท้ายที่สุดแล้วมันก็ได้กลายเป็น 'การสะสมความทรงจำ' อย่างที่บอก

   หนังสือภาพเล่มหนาที่เพิ่งไปซื้อมาเมื่อช่วงเย็นวางค้างเอาไว้ตรงตักอย่างนั้น จากตอนแรกตั้งใจว่าจะซื้อให้เป็นของขวัญกับเด็กสาวตัวน้อยกลายเป็นของปลอบใจตัวเองไปเสีย

   หลังจากที่ราชินีหิมะพาตัวเคย์ไปแล้วเกอดาก็ออกตามหาอย่างสุดความสามารถ เธอเดินทางจนไปพบกับแม่มดแห่งสวนนิรันดร์ ณ ที่นั้นแม่มดตัวร้ายผู้อยากจะครอบครองเกอดาไว้ตลอดกาลได้ร่ายมนตร์ให้เธอลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับเคย์ รวมทั้งเสกให้ดอกกุหลาบทั้งหมดจมหายไปใต้ดินเพราะมันจะทำให้เธอนึกถึงระเบียงห้องของเด็กชายที่อยู่ติดกัน

   แต่ความปรารถนาของแม่มดก็ไม่อาจเป็นจริงได้ เกอดาดันไปเห็นดอกกุหลาบที่ติดอยู่บนหมวกของแม่มด นั่นทำให้เธอกลับมาจำได้ว่าตัวเองกำลังตามหาอะไร และอีกาตัวหนึ่งก็บินมาบอกเธอว่าได้ข่าวเรื่องที่เคย์อภิเษกกับเจ้าหญิงเมืองอื่นไปเสียแล้ว ด้วยความที่ไม่เชื่อเธอจึงออกเดินทางไปยังเมืองนั้นเพื่อพบว่าเจ้าชายที่อภิเษกไม่ใช่เคย์ แต่เป็นคนหน้าเหมือนเท่านั้น

   จากนั้นเธอได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนมากมายจนในที่สุดเกอดาก็พบกับเคย์ในสภาพที่ทรมานจากความหนาวเหน็บกลางทะเลสาบน้ำแข็ง หล่อนร่ำไห้กับภาพที่ตนเองเห็น และน้ำตาที่หยดลงมาก็ทำให้ชายหนุ่มคลายความหนาวเหน็บ รวมถึงมันยังทำให้เศษกระจกแห่งความผิดเพี้ยนที่ติดอยู่ในหัวใจหลุดออกมาด้วยเช่นกัน

   เคย์เล่าว่าราชินีสัญญาจะปล่อยตัวไปถ้าหากเขาสามารถนำก้อนน้ำแข็งมาเรียงเป็นคำต่างๆ ตามที่นางสั่ง แต่ปัญหามันอยู่ที่เขาไม่อาจสะกดคำว่า 'นิรันดร์' ได้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเต้นรำด้วยความยินดีอยู่บนทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนั้นพวกเขาก็สร้างคำนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ

   ราชินียอมปล่อยเคย์ไปตามสัญญา และเรื่องทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

   สุดท้ายแล้วเรื่องในเทพนิยายก็ต้องจบแบบนี้สินะ

   ข้อโต้แย้งจำนวนมหาศาลถาโถมเข้ามาจนท้ายที่สุดแล้วต้องพาตัวเองไปยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ตรงนั้นผมเห็นภาพสะท้อนของ 'กาลวินท์' เฉกเช่นเดิม ผู้ชายตัวผอมกับแว่นอันใหญ่ปกปิดใบหน้าไปหลายส่วน นัยน์ตาตาส่งผ่านความกังวลออกมาชัด ริมฝีปากปิดเอาไว้สนิท

   หากลองมองอีกครั้ง ภาพอีกฟากกลับเป็นใครอีกคน

   ในที่สุดผมก็เจอเนื้อหาส่วนที่หายไปแล้วล่ะ

 

   หลังจากจบงานแล้วสิ่งที่ต้องมีเป็นประเพณีคือการเลี้ยงอาหารสตาฟ

   ผมตั้งใจจะไม่ไปอยู่หรอก ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวที่เพื่อนหลายคนพูดมาตั้งแต่ก่อนจบงาน งานเลี้ยงมีขึ้นในร้านอาหารกึ่งผับกลางเมือง เลือกวันเสาร์ตอนเย็นที่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหากับการกลับบ้านดึกดื่น

   ไหนใครบอกว่ามีสอบสัปดาห์หน้า

   "จะสั่งอะไรเพิ่มก็ตามสะดวกเลยนะ ถ้าไม่พอเดี๋ยวเราไปเรียกเก็บเพิ่มเอง"

   ทำนิสัยไม่ค่อยดีด้วยการไม่พูดจาทักทายกับใคร นั่งเงียบๆ แทบไม่แตะอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้า ไม่ต้องถามเลยนะว่าถ้าจะทำตัวอย่างนี้แล้วมาทำไม ก็ถ้าคุณโดนกดดันด้วยการที่ธชามารับถึงหน้าบ้านก็คงไม่ทางเลือก แล้วดันไปบอกเฟย์ด้วยอีก ไม่มีทางหนีเข้าไปใหญ่

   ตั้งแต่ขึ้นรถจนถึงตอนนี้เราไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ แบบที่ถ้าไม่เห็นว่าลงมาจากรถคันเดียวก็น่าจะไม่รู้จักกันแน่นอน

   ทุกคนดูแฮปปี้กับงานกินฟรีไม่มีอั้น ส่วนผมนี่อยากจะหาทางหนีออกไปอยู่ทุกวินาที จะกลับบ้านเลยก็ไม่ได้เพราะถ้าเฟย์รู้จะต้องโดนบ่นไม่จบแน่ แล้วมันก็คงมีบางคนที่อยากจะทำตามคำสั่งว่าให้ดูแลผมให้ดีใจจะขาด

   "ร้านนี้ไม่อร่อยเหรอ"

   "เปล่า เราเพิ่งกินอะไรก่อนมาอะ"

   มุสาวาทาผิดศีลสักข้อแน่ ไว้ค่อยไปหักลบตอนถวายสังฆทานแล้วกัน

   พอทำตัวไม่น่าเข้าใกล้ก็เลยไม่มีใครกล้ายุ่ง สิ่งที่เป็นเพื่อนแท้ของผมคือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ชื่อแปลก เลือกเอามั่วๆ จากที่มีอยู่ในเมนู ตอนนี้ไม่มีใครมาสนใจคนอื่นหรอกว่ากำลังทำอะไรอยู่บ้าง ต่างคนต่างสาละวนอยู่กับอาหารของตัวเองทั้งนั้น

   เสียงเพลงไทยร่วมสมัยร้องสดกับเครื่องดนตรีหลักอย่างกลองและกีตาร์เป็นตัวขับกล่อม ชักจะสนุกกับการนั่งสังเกตพฤติกรรมของคนอื่นไปพร้อมกับการละเลียดชิมเครื่องดื่มมึนเมา คิดว่าเริ่มเข้าใจคนที่ชอบมานั่งเล่นในร้านเพื่อซึมซับบรรยากาศแล้วสิ

   แก้วแรก

   แก้วที่สอง

   แก้วที่สาม

   เครื่องแก้วตรงหน้าเพิ่มขึ้นมาทีละน้อย ส่วนสติของผมยังอยู่ครบไม่ได้แปรผกผันตามตัวเลขพวกนั้น จากที่คอยจับสัมผัสเรื่องรสชาติก็กลายเป็นการดื่มเพื่อให้ตนเองไม่ว่างเกินไป

   มองของเหลวที่เหลือเพียงก้นแก้วแล้วก็บอกตัวเองว่าถึงเวลาสั่งเพิ่ม ผมหยิบเมนูขึ้นมาอีกครั้งเตรียมสุ่มเลือกจากการปิดตาจิ้ม

   "แฟร์ พอ"

   เปิดตาอีกครั้งแผ่นรายการตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว ผมตวัดหน้าไปหาคนนั่งทางขวาที่ทำตัวไม่รับแขกพอกัน  เหมือนกับว่าตรงนี้เป็นสนามของสงครามประสาทที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาเป็นผู้ชม

   "ยุ่ง"

   น่าหงุดหงิด น่าโมโห ทุกอย่างดูไม่ได้ดั่งใจจนอยากพาลให้หมด

   "เลิกกิน"

   "ห่วงเรามากเลยเหรอธชา?"

   ตั้งใจพูดออกไป ต่อให้ย้อนเวลากลับมาทบทวนซ้ำได้ก็ยังยืนยันว่าไม่มีทางเปลี่ยนคำ ผมจับจ้องใบหน้าไร้ความรู้สึกไม่วางตา หยันตัวเองว่าต่อให้ผ่านมานานแค่ไหนเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด อสูรก็ยังคงเลือดเย็น...และไร้หัวใจเช่นเดิม

   ปิดปากสนิทรอว่าจากนั้นคำพูดแบบไหนจะออกมาต่อ ยังมีอะไรที่ทำร้ายจิตใจของผมได้อีกหรือไม่

   "เราสัญญากับเฟย์ไว้ก่อนมา"

   นั่นคงเป็นการตัดเส้นความอดทนสุดท้ายของผมลง

   "ทรูออร์แดร์?"

   

   มันคือเรื่องของเวลาที่เหมาะสม

   เขาไม่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม แถมยังช่วยเสริมกติกาบางส่วนให้มันรัดกุมมากขึ้นอีกต่างหาก ธชาบอกว่ามันคงไม่ต้องท้าอะไรกันแล้วเลยกลายเป็นเพียงเกมที่ต่างฝ่ายต้องพูดแต่ความจริง ไม่มีตัวช่วย ผลัดกันถามคนละสามคำถาม เลียนแบบตัวเลขโปรดในเทพนิยายอย่างที่เรามักเจอเสมอ

   ระหว่างคนสองคนที่ไม่ต้องซ่อนอะไรเอาไว้อีก ผมเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อนด้วยคำถามที่ค้างอยู่ข้างในมานานแสนนาน

   "ที่ผ่านมานายแค่ทดสอบอะไรบางอย่าง"

   "ใช่"

   "..."

   แค่คำถามแรกยังทำให้เกือบหมดแรงยืน ผมไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าขนาดทำใจมาแล้วตั้งเยอะแต่พอได้ยินคำนั้นออกจากปากของธชาจริงมันก็ยังเจ็บอยู่ดี

   "ตาเราบ้าง ข้อแรก ที่ผ่านมาแฟร์ไม่เคยโกหกเราเลย"

   ทำไมเขาต้องถามอะไรที่รู้อยู่แล้วด้วยนะ "ไม่ใช่"

   รอยแค่นยิ้มเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ผมไม่ชอบตอบคำถามที่อีกฝ่ายรู้คำตอบอยู่แล้ว มันเป็นแค่การตอกย้ำให้ลึกลงไปว่าเป็นเขาที่เหนือกว่าอยู่เสมอ

   "ที่เข้ามาหาเรา เอามาแทนที่ใครใช่ไหม?"

   "ใช่"

   ชัดเจนทุกคำ มันคงฝังลึกจนไม่รู้ว่าจะมีวันลืมได้ลงหรือไม่

   "ข้อสอง ที่บอกว่าอยากให้เรื่องนี้มันจบ แน่ใจใช่ไหม"

   "ใช่"

   ผ่านไปแล้วสองคำถาม มันเหลือกระสุนเพียงนัดเดียวในการเล่นเสี่ยงทาย ผมกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งก่อนที่จะถามมันออกไป

   "คนที่ยังไม่ลืม..."  คนที่อยู่ในความลับของอสูรร้าย สิ่งที่อยู่ในกล่องความลับในกระดาษส่วนที่หายไป "คือเฟย์ใช่ไหม"

   มันเป็นคำถามสุดท้าย

   และเป็นสิ่งที่ผมปรารถนารู้มากที่สุด

   "ใช่"

   บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำนั้น ในเรื่องของเราผมเป็นเทวดาที่รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าอสูรมองตนเองเป็น 'ตัวแทน' ของใครบางคน ต่อให้ทำใจเอาไว้เสมอแต่สิ่งที่น่าเศร้าคือความผูกพันระหว่างทางมันดันเป็นเรื่องจริงน่ะสิ

   ใบหน้าของอสูรไม่แสดงอาการหรือว่าความรู้สึกใด มันเลยตอกย้ำให้ผมห้ามแสดงออกว่าตัวเองกำลังผิดหวังกับคำพูดพวกนั้นมากแค่ไหน

   ที่คิดว่าตัวเองคงไม่เป็นไร..มันไม่ใช่เลยแฮะ

   เหลืออีกหนึ่งคำถามที่รอให้ผมตอบ มันยังมีเรื่องอะไรที่เขาอยากจะรู้เกี่ยวกับผมอีกอย่างนั้นเหรอ

   "ส่วนคำถามสุดท้ายของเรา" เรียบและเย็นชา โทนเสียงไม่มีขึ้นลงน่าหวาดหวั่น "มาพูดถึงช่วงพล็อตทวิสต์กันดีกว่า"

   "..."

   "ทุกคนคิดว่าอสูรเป็นพวกโหดร้ายที่เล่นสนุกกับหัวใจคนอื่น เพราะเขายังเจ็บจากความรักครั้งที่ผ่านมา แล้วมีใครเคยสงสัยบ้างไหมว่าเบื้องหลังมันมีแค่นั้นเหรอ"
   
   เรื่องที่มักจะอยู่นอกเหนือจากความสนใจของผู้อ่าน ขอเพียงแค่ตอนจบเป็นอย่างเช่นที่ต้องการก็เพียงพอแล้ว ผมรู้ตัวว่ากำลังกัดริมฝีปากอยู่ก็ตอนที่รสเลือดผ่านเข้ามาในส่วนสัมผัส จังหวะการสูบฉีดเลือดเข้าไปแลกเปลี่ยนแก๊สในหัวใจเร็วขึ้นจนน่ากลัว

   "ที่จริงเรื่องทั้งหมดยังมีตัวละครอื่นอีกหรือเปล่านะ?"

   "..."

   "คนที่หลอกให้เจ้าชายเข้าใจผิดว่าตนเองได้เจอความรัก คนที่ลวงจนหลงคิดว่าถูกปฏิเสธไร้เยื่อใย คนที่เสกให้เจ้าชายกลายเป็นอสูรที่รักใครไม่ได้อีก..."

   คนตัวสูงกว่าขยับเข้ามาใกล้จนแทบชิด กลิ่นเครื่องดื่มมึนเมาปะปนไปกับกลิ่นน้ำหอมที่ไม่เคยสังเกต

   "ใช่แฟรี่ที่อยู่ตรงหน้าเราไหม"

   "..."

   "ว่าไงล่ะแฟร์"

   "..."

   ในเมื่อผมต้องทำตามกติกา

   "ใช่"

   ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องซ่อนมันไว้อีกต่อไป


***
   ตามอัตราการลงปกติแล้วต้องลงพรุ่งนี้ค่ะ แต่ว่าด้วยเนื้อหาแล้วเจ้าก็คิดว่าตัวเองคงใจร้ายไปหน่อยที่จะลงวันวาเลนไทน์ แล้วจะให้ทอร์กท้ายตอนก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2018 12:32:58 โดย 23August »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอเรียบเรียงนะคะ
ธชารักเฟย์ แฟร์ปลอมตัวเป็นเฟย์หักอกธชา

ทำให้ธชากลายเป็นแบบนี้ แล้วทำไมตอนแรกแฟร์ถึงทำไม่รู้จักธชา เราพลาดอะไรไป  :hao5: :katai1:

Edit เพิ่งกลับไปอ่านใหม่เพราะความคาใจมาและเราเห็นว่ามันคำที่สื่อถึงว่าแฟร์รู้จักธชามาก่อนแทรกเป็นครั้งคราวแต่เราไม่สังเกตมัน ฮืออ

ยิ่งตอนเชนินทร์ถามตอนเจอกันว่าเหนื่อยไหม ชัดเลย

เราว่าแฟร์ชอบธชาตั้งแต่คราวงานโรงเรียนแน่เลย แฟร์จะรู้สึกผิดบ้างไหมที่ทำให้ธชากลายมาเป็นแบบนี้ ในที่สุดก็เฉลยชื่อเรื่อง ถ้าเฟย์ชอบธชาไปอีกนี่ แฟร์ก็เป็นแม่มดร้ายดีๆนี่เอง


เรามีแต่คำถามค่ะ จะขาดใจตอนรอตอนถัดไป เราหวังว่าเรื่อนนี้จะจบแบบแฮปปี้เอนนะคะ  :hao5: ใจหายตอนที่มีบรรยายถึงความไม่สมเหตุสมผลของเทพนิยายที่จบแฮปปี้ กลัวใจคนเขียนค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2018 00:33:32 โดย suck_love »

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ทิ้งช่วงไว้นานเลย
พอมาอ่านบทเฉลยแล้วอึดอัดกว่าเดิมอี๊กกกกก  :katai1:
พอทอล์กคนเขียนบอกตอนหน้าจะจบแล้วหน้าชาวาบเลย แง้งงง
คาใจจจ แต่กลัวว่าจะจบไม่เป็นอย่างที่คิด  :ling1:
เอาเป็นว่าถึงจะกลัวแต่ก็จะรอตอนต่อไปนะคะะ

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ในที่สุดดด ก็เหมือนจะเดาอะไรได้มากขึ้น? แต่ถ้าแบบนี้หมายความว่าแฟร์รู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าคนนี้คือธชาหรอ? แล้วทำไมแฟร์ถึงทำแบบนี้? แต่ที่ทำน่าจะเป็นช่วงที่แลกโทรศัพท์กันใช้ใช่มั้ย แล้วก็ที่ธชาเคยบอกก็คือคุยกันในโทรศัพท์มาเรื่อยๆก็คือตอนแลกโทรศัพท์ใช่ไหมคะ

ตอนนี้เหมือนจะรู้อะไรมากขึ้น แต่เลือกไม่ถูกแล้วว่าจะสงสารใครดี เพราะถ้าแฟร์ทำแบบนั้นจริงๆ ก็สงสารธชาอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็คิดว่าแฟร์ก็คงมีเหตุผลของแฟร์แหละที่ทำแบบนั้น อาจจะชอบธชาตั้งแต่ตอนแรก? หรือยังไงดี55555

อยากอ่านตอนต่อไปมากๆเลยค่ะตอนนี้  :ling1: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
อ่านถึงตอนล่าสุดเเล้วแบบ....   ไม่รู้จะสงสารใครดีค่ะ
สงสารธชานะ แต่เชื่อว่ามีเหตุผลที่แฟร์ทำแบบนี้
หวังว่าเรื่องนี้จะออกมาสวยนะ แต่อ่านทอล์กคนแต่งแล้วใจหายเลยอ่ะ
รู้สึกเจ็บอ่ะ โดนหักหลังกลาย  ๆ 555 สงสัยต้องกลับไปอ่านเก็บรายละเอียดอีกรอบ

เราชอบเรื่องนี้ เพราะความลึกลับของตัวละคร ชอบแฟร์ด้วยแหละ แต่เดาจากชื่อเรื่องแล้ว ก็จะไม่คาดหวังให้แฮปปี้เอนดิ้ง(แต่ก็อยากให้จบดีๆนะคะ  )

เคยอ่านเรื่องอื่นของคนแต่งมาเหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน แต่ใช้ภาษาสื่อออกมาได้ดีมาก เรารู้สึกตามหมดเลย

 :pig4:

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนแรกโกรธชากับเฟย์มากคืออะไรไม่รู้กับแฟร์นักหนาบังคับอยู่นั้นแหละ เหมือนรู้เรื่องกันอยู่สองคน สงสารแฟร์มาก แต่พอช่วงท้ายๆรู้สึกเหมือนถูกหักหลังอ่ะ ที่สงสารมาทั้งหมดคือ... บอกไม่ถูกอ่ะ ตกลงคือแฟร์ต่างหากที่ผิดใช่มั้ย คิดว่าแฟร์คงมีเหตุผลดีๆนะ คืออ่านจบนี้คืออึ้งไปเลย ทำอะไรไม่ถูกอ่ะ จะสงสารใครดี สงสารตัวเองสิที่โดนหลอกมาตั้งนานด้วย ฮืออออ คุณเจ้าา ตอนนี้มันพีคมากจริงๆเอาซะตั้งตัวไม่ทันเลย

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เอาคืนสินะ...........พูดไม่ออกอ่ะ อยากร้องไห้แทนแฟร์แต่ร้องไม่ออกเลย Freezeeeeeeeeeeeeee
หงุดหงิดอะ ความรู้สึกอัดแน่นมากกก คุณเจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ตอนจบเราต้อง Flyyyyyyyyyyyyyy

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด โอ๊ยยยยยยยมันพีคคิดไว้แต่แรกแล้วว่าลพลน.ของแฟร์ต้องเกี่ยวกับชาแน่นอน. พอตอนล่าสุดที่เริ่มเฉลยทำเอาบีบหัวใจไปเลยค่ะ.   สนุกกกจริงๆ อนหน้าจบแล้วใช่มั้ยคะ. แอบคิดว่าเป็น sad ending ไป90% ฮืออออออ. 


มาต่อไวๆนะค้า

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่ยี่สิบสอง


   เจ้าชายบอกกับเธอว่าเขาถูกนางฟ้าสาปให้กลายเป็นอสูรแสนอัปลักษณ์
   - Beauty and the Beast



   เครื่องดื่มมึนเมาดีกรีสูง

   กับแกล้มที่เอาไว้สำหรับรองท้อง

   และคนสองคนที่นั่งอยู่บนดาดฟ้า

   "ไม่ได้ทำอย่างนี้มาตั้งแต่เราไปเรียนที่นู่นเนอะ"

   "แน่ล่ะ ห่างกันตั้งเท่าไหร่"

   ดาดฟ้าของบ้านไม่ได้เปิดใช้มาตั้งแต่ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย มันเรียกได้ว่าเป็นฐานทัพลับของเราสองคนสำหรับการทำกิจกรรมล้านแปด
   
   "งั้นวันนี้ก็อยู่ด้วยกันให้เต็มที่เลยเนอะ"

   "มาดูกันว่าใครจะแพ้ก่อน คราวที่แล้วเฟย์ใช่ไหม"

   "โหย ใครจะไปสู้คนคอแข็งอย่างแฟร์ได้ล่ะ กินเข้าไปเท่าไหร่ไม่เห็นเคยน็อกสักที"

   หัวเราะแห้งให้กับเครื่องดื่มตรงหน้า ของที่ผมเคยลิ้มรสมาตั้งแต่สมัยเข้ามัธยมต้น พ่อกับแม่ผมค่อนข้างแปลกเมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ที่เขาว่ากันว่าผู้ปกครองที่ดีควรมี อย่างเช่นเรื่องสินค้าภาษีบาปทั้งหลาย เฟย์กับผมเราสามารถลิ้มรสชาติเครื่องดื่มพวกนี้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ รวมถึงสูบบุหรี่ได้ถ้าบอกว่าอยากลองให้รู้

   แต่ก็ไม่ได้ติดอะไรนะ จะเป็นงานพิเศษจริงๆ เราถึงจะจัดเต็ม

   อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น

   "เราคิดตลอดเวลาเลยว่าไม่น่าเลือกไปเรียนที่นั่น"

   "มาพูดตอนนี้ก็ซิ่วไม่ทันแล้ว เสียใจสายไปนะ"

   "เรารู้สึกผิดจริงๆ นะ"

   "..."
   
   "เพราะมันทำให้แฟร์ต้องเจอกับเรื่องทุกอย่างคนเดียวไง"

   ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง เล่าสิ่งที่อยู่ในความคิดของตัวเองออกไป "ใครจะไปรู้ว่าเรื่องมันจะวนมาจบอย่างนี้"

   นัยน์ตาที่มีประกายเกิดขึ้นหลังจากที่ผมสารภาพเรื่องทั้งหมดออกไปยังตราตรึง มันสวยงามเสียจนยากจะยอมรับว่าตัวเองเป็น 'คนร้าย' ของอีกฝ่ายมาเสมอ

   "ชาทำอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่"

   "ช่วงเปิดเทอม ประมาณนั้น"

   แค่ไม่กี่เดือน ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง

   ช่วงเวลาที่ราวกับอยู่ในความฝัน การได้หลอกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษของอสูร

   ...จุดที่ผมไม่เคยไขว่คว้ามาได้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม

   "ไม่เห็นเล่าเลย"

   "พอดีอยากจะพิสูจน์อะไรสักหน่อยน่ะ"

   อยากจะรู้ว่าที่เขาเข้ามาหาผม มันเป็นการ 'บอก' อะไรหรือเปล่า

   อยากจะหลอกตัวเองเหมือนอย่างที่ผ่านมา...ว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่มีทางแพร่งพรายออกไป

   "แล้วเป็นไง เจ็บดีไหม?"

   "มาก"

   แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน พระจันทร์ครึ่งดวงกับกลุ่มก้อนเมฆสีเทาแยกกลุ่มกันเป็นแผ่นใยบางกระจายตัวทั่วไป ความทรงจำของผมก็เหมือนก้อนไอน้ำพวกนั้น มีอยู่จริงแต่ก็ต้องสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

   ผมรู้อยู่แล้ว รู้ตั้งแต่แรก เราเคยคุยกันเรื่องอาหารโปรดและนมกล่องรสจืดเป็นสิ่งที่เฟย์โปรดปราน

   "...ที่จริง มันอาจผิดมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วก็ได้เนอะแฟร์"

   "นั่นสิ" เครื่องดื่มมึนเมาช่วยให้ปากขยับออกมากขึ้น ไม่ต้องระวังคำพูดอย่างที่เป็นมาเสมอ "ถ้าตอนนั้นเชื่อเฟย์ก็ดีแล้วเนอะ"

   "แต่เราก็ย้อนกลับไปไม่ได้ไง"

   คุณพระจันทร์ส่องสว่างสวยงามจนไม่อยากจะก้มหน้าลงมามองพื้นดิน ผมปล่อยให้จุดพร่ามัวเพิ่มขึ้นทีละน้อยก่อนจะหลับตาลงเพื่อไล่หยดน้ำที่เอ่อตรงขอบตาออกไป

   "ใช่ เราย้อนกลับไปไม่ได้..."

   เพราะคนที่เริ่ม 'เรื่องโกหก' ทั้งหมด

   คือผมเอง

 

   หลังจากงานโอเพ่นเฮาส์โรงเรียนเก่าของเฟย์ การเจอกันครั้งต่อมาของผมกับ 'ชา' คือช่วงเย็นของวันธรรมดาในศูนย์รวมโรงเรียนกวดวิชากลางเมือง

   เอาใหม่

   ต้องบอกว่าผมเจอเขา แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเห็นชายเสื้อของผม

   ตอนแรกก็เดินเล่นกับเฟย์อยู่หรอก พอลูกพี่ลูกน้องของผมชี้ไปทางผู้ชายตัวสูงแล้วบอกว่า 'นั่นชานี่' ผมก็รีบหาเรื่องเดินไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้พวกเขาเจอกันตามประสาเพื่อนเก่าไป

   ให้เข้าไปเจอทั้งที่หัวใจเต้นแรงอย่างนี้คงไม่ดีเท่าไหร่

   "ชามาเรียนชดเชยอะ ปกติไม่ได้เรียนสาขานี้"

   "เหรอ"

   ทำเป็นไม่สนใจเสียงเล่าข้างตัว เงยหน้าขึ้นมองจอโทรทัศน์แล้วก็ก้มลงมาจดข้อความใหม่บนพื้นที่ว่างในชีต วิชาภาษาอังกฤษเป็นพาร์ทที่เราสองคนเรียนเหมือนกัน ส่วนพวกวิชาทางวิทยาศาสตร์มีแต่เฟย์ผู้อยู่สายวิทย์-คณิตเรียน แค่ฟังว่าต้องเรียนอะไรบ้างยังเหนื่อยแทน

   "เสียดายแฟร์ไม่ได้คุยด้วยเลย"

   "ไม่เห็นต้องเสียดาย" พูดอะไรที่ตรงข้ามกับสิ่งที่รู้สึกออกไป "เขาไม่น่าจะจำเราได้ด้วยซ้ำ"

   สำหรับชาแล้วผมไม่อยากถูกจดจำในสถานะ 'ฝาแฝดของเฟย์' เสียหน่อย

   ต่อให้ชื่อนั้นมันถูกใช้ในวงกว้างมากกว่าชื่อเล่นจริงๆ ของผมอีก

   "ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ"

   "มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว" ยกไหล่ขึ้น เตือนให้คนช่างพูดกลับมาตั้งใจเรียนและไม่ส่งเสียงรบกวนคนอื่น "เลิกคุยเรื่องชาแล้วเรียนเดี๋ยวนี้"

   จากนั้นผมก็เจอชาทุกเสาร์ (แบบที่เขาไม่เห็นผมเหมือนเดิม) มาเรียนพิเศษทางคณิตศาสตร์กับเฟย์ในช่วงเวลาที่เหลื่อมกับการเรียนวิชาสังคมของผม คือตัวเองจะเรียนภาคบ่ายเสร็จช้ากว่าพวกเขาประมาณครึ่งชั่วโมง ออกมาก็จะเจอนาวินท์รออยู่คนเดียวตลอด

   ก็โอเคกับการอยู่แบบนี้นะ แค่ได้เห็นชาบ้างนิดหน่อยก็พอแล้ว

   "บางทีเป็นอย่างเฟย์ก็ดีนะ"

   เปรยออกมาหลังจากรอจนกว่าน้องชายโบกมือลากับเพื่อนตัวเองเสร็จแล้วจึงเดินเข้าไปหา "อย่างเรา?"

   "ก็เข้ากับคนอื่นง่าย เพื่อนเยอะ เรานี่ทั้งชีวิตมีแค่เฟย์คนเดียวเลยมั้ง"

   ที่จริงแล้วต้องโทษตัวเองด้วยแหละที่ไม่ยอมก้าวออกจากโซนปลอดภัยสักที มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หนังสือให้กำลังใจเขียนเอาไว้ ปัจจัยอีกมากมายคอยรั้งผม รวมถึงความระแวงไปก่อนหน้าว่าการเหยียบพื้นที่นอกกรอบที่ตีเอาไว้มันอาจเป็นกับดักอันตราย

   จนโชคชะตากลั่นแกล้งให้ผมเป็นฝ่ายจำเป็นต้องเลือก

   "แฟร์ เอาโทรศัพท์มาแลกกัน"

   "หืม แลกทำไมอะ" ถามเป็นพิธีเพราะมือส่งเครื่องมือสื่อสารของตัวเองไปแล้ว บางครั้งเราก็ยืมกันใช้บ่อยเพราะยังไงมันก็ไม่มีอะไรให้เก็บเป็นเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ "เราเพิ่งไปซื้อพร้อมกันไม่นานเองนะ"

   "แล้วก็ตอบแชตให้ด้วย"

   เก็บความไม่เข้าใจเอาไว้คนเดียว ผมเปลี่ยนจุดสนใจจากใบหน้าของเฟย์เป็นสมาร์ตโฟนเครื่องเหลี่ยมในมือ กดตัวเลขสี่หลักที่เอามาจากวันเกิดของเราสองคนเรียงกันเพื่อให้สามารถเข้าไปยังหน้าจอการใช้งาน

   TEA : เฟย์ปะ
   TEA : นี่ชานะ


   "เฟย์...นี่อะไร?"

   ผมยื่นโทรศัพท์ที่ยังค้างเอาไว้ตรงหน้าแจ้งเตือนไปให้คนข้างกาย นาวินท์หันมามองมันโดยใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนตอบสั้น ไร้อารมณ์ร่วมอย่างที่ผมกำลังเป็นอยู่

   "ก็บอกแล้วไงว่าตอบให้หน่อย"

   "ทำไมต้องให้เราตอบแชตของชา?" จากอาการตื่นเต้นมันแปรเป็นความกังวล กราฟอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงเมื่อแรกเห็นข้อความมันดิ่งลงมาสู่เส้นมาตรวัดและดูเหมือนว่ากำลังลงไปถึงระดับติดลบ

   "แล้วทำไมถึงตอบให้ไม่ได้ล่ะ"

   "เฟย์" น้อยครั้งมากเลยสำหรับการคุยกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ "ตั้งใจจะทำอะไร?"

   "เล่นเป็นเทวดาแสนดี"

   นัยน์ตาสีดำมองตรงมาที่ผม ความมุ่งมั่นบางอย่างส่งผ่านออกมาเสียจนผมไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ

   "แฟร์ชอบชาไม่ใช่เหรอ"

   "..."

   เรื่องที่ไม่เคยบอก ไม่ได้เป็นความลับอย่างที่คิดไว้

   "รู้ได้ไง..."

   "นี่เฟย์นะ" คนตรงโต๊ะอ่านหนังสือขยับมานั่งไขว่ห้าง วางคางบนมือด้วยท่าทีสบายๆ "ทำเป็นอ้างนู่นนี่แต่พอเราคุยเรื่องชาก็หูผึ่งทุกที"
     
   เรื่องจริงทำให้ผมเถียงกลับไม่ได้ มีหลายครั้งที่เฟย์เล่าเรื่องของชา ผมก็นึกว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องราวให้ฟังทั่วไป จนประโยคก่อนหน้ามันออกมาจากปากเลยต้องฉุกคิดแล้วล่ะว่ามันเป็นการวางแผนมาก่อนหรือไม่

   แล้วผมกำลังตกหลุมพรางอยู่หรือเปล่า

   "ถึงเราจะชอบชา เฟย์ก็ไม่ควรทำอย่างนี้"

   "อย่างนี้?"

   "เฟย์กำลังหลอกเขา"
         
   "แล้วไม่ดีใจเหรอที่ได้คุยกับชาสักที?"

   "เราโอเคกับที่เป็นอยู่"

   "อย่าโกหก"

   และเรารู้จักกันดีจนเกินไปจริงนั่นแหละ

   ตลอดช่วงชีวิตของกาลวินท์และนาวินท์สิ่งหนึ่งที่เราไม่พูดแต่เข้าใจกันมาเสมอคือต่างฝ่ายคือจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ เราพร้อมที่จะเแบ่งปันทุกความสุขและเสี่ยงดวงเผชิญความทุกข์ไปด้วยกัน และผมก็เข้าใจว่าสิ่งที่เฟย์กำลังทำมันไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการที่อยากจะช่วย

   "ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ไว้สักพักค่อยเลิกก็ได้" หนังสือเรียนภาษาอังกฤษปิดลงไปแล้ว เฟย์กวาดทุกอย่างเอาไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วโถมทั้งตัวขึ้นไปบนเตียง "ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มหน่อยสิแฟร์ ไอ้การแอบรักอยู่ฝ่ายเดียวมันเป็นพล็อตที่น่าเบื่อเกินไปหน่อยนะ"

   ในเวลานั้น ผมก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างว่าแฟรี่ไม่ได้มีแต่ฝ่ายดีเสมอไป

 

   ต้องขอบคุณอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นใจให้ 'กล่องแห่งความลับ' ของผมไม่มีใครค้นพบ

   ผมกับเฟย์เรามักจะอยู่ด้วยกันเสมอนอกเหนือไปจากคาบเรียนที่แตกต่างกันไปตามสายการเรียน ไปเรียนพิเศษก็เลือกเรียนในตึกเดียวกันเพื่อให้สามารถเดินทางพร้อมกันได้ เรียกได้ว่าในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเราอยู่ด้วยกันมากกว่าสามส่วนสี่เสียอีก

   กับชาผมยังคุยอยู่เรื่อยๆ หรือบางครั้งก็เป็นเฟย์ตอบเองบ้าง เพื่อให้เรื่องทั้งหมดไม่มีจุดผิดสังเกตที่ใหญ่จนจับได้ ส่วนมากก็คุยเรื่องทั่วไปไม่ได้ลงลึก การเรียน เพื่อน แล้วก็เรื่องหนังสือที่ชากำลังอ่านในช่วงเวลานั้นๆ

   ผู้ชายที่ชอบดอกไม้ ยังเป็นหนอนหนังสือด้วย เขาอ่านหนังสือหลายแบบเสียจนผมอยากจะรู้ว่าสมองเขามีความสามารถในการจำมากกว่าผมแค่ไหน

   "เฟย์ ชาส่งรูปมาให้ดู ตลกอะ" ผมเปิดภาพล่าสุดในห้องสนทนาให้น้องดู มันเป็นกล่องลังขนาดใหญ่ที่ติดป้ายไว้ข้างหน้าว่า 'บังคับบริจาค' โดยมีความเป็นมาของภาพเล่าอยู่ในข้อความถัดจากนั้น "นี่แม่ชาบอกว่าให้เอาหนังสือที่อ่านแล้วไปบริจาคบ้าง แต่ชาไม่ทำจนแม่ลงมือเอง"

   "โธ่ น่าสงสารนะ"

   "ชาชอบหนังสือจริงๆ เลยเนอะ"

   "เรารู้ไม่เท่าคนที่คุยอยู่ทุกวันหรอก"

   ผมหัวเราะนิดหน่อย "ก็ได้แค่บางช่วงเอง ชาตั้งใจเรียน"

   "แหม ชาอย่างนั้นอย่างนี้ มีความสุขจังเลย"

   ประโยคที่หากเพียงอ่านโดยไม่มีเสียงประกอบก็คงเป็นการกระแหนะกระแหน ต้องมองหน้าคนพูดไปด้วยถึงจะเห็นว่าเฟย์ไม่คิดอะไรมากไปกว่าเป็นการได้ต่อบทสนทนา

   "มันก็ดี" หมายความอย่างที่พูดจริง ผมค่อนข้างชอบช่วงเวลาที่ตัวเองมีอยู่ตอนนี้ การที่ได้เห็นข้อความของเขาเป็นคำกล่าวอรุณสวัสดิ์และคำบอกลาในทุกวัน ไม่ต้องเรียนด้วยกันก็รู้หมดว่าการสอบแต่ละครั้งเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้กิจกรรมอะไรกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ของเพื่อน

   "แต่อย่าข้ามเส้นนะ"

   ".."

   "เข้าใจที่เราบอกใช่ไหม"

   ทำได้เพียงแค่เม้มปากเอาไว้สนิทเมื่อได้ยินคำถามแทงใจ

   หนึ่งเรื่องที่คอยรบกวนใจอยู่เสมอ ก็ทุกครั้งที่ผมเห็นชื่อตัวแทนในแชต คำว่า FAIRY มันคอยย้ำว่าตัวอักษรห้าตัวมันหมายถึงผมและเฟย์ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว

   จากจุดเริ่มต้นที่คิดกันว่าเป็นการลวงที่ไม่ต่างกับทุกครั้งที่ผ่านมา เราก็แค่สนุกกับมันชั่วคราวก่อนที่จะทำเป็นลืมมันไปเสีย ตอนนี้อะไรหลายอย่างมันคงเริ่มมีเค้าลางจนต้องเตือนไม่ให้ลืมข้อเท็จจริง

   TEA : วันนี้อย่าลืมกินนมล่ะ
   TEA : เจอกันตอนเช้านะ


   ผมเคยชาว่าตัวเองไม่ชอบคำว่า 'ฝันดี' หรืออะไรทำนองนั้น มันเป็นคำที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่เมื่อคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนเราจะฝันดีในทุกคืน ทำไมถึงต้องพูดอะไรที่มันเกินความจริงไปตั้งมากมายด้วย เราเลยชอบบอกลากันในแต่ละวันด้วยคำนี้มากกว่า อย่างผมกับเฟย์เองก็บอกลาแบบนี้เช่นกัน

   FAirY : อือ เจอกันตอนเช้า

   "เข้าใจดีเลยล่ะ"


***
ต่อข้างล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
   TEA : ถ้าต้องตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง
   TEA : แบบที่ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
   TEA : เฟย์จะทำไหม

   FAirY : โหย
   FAirY : ตอบยากนะ

   
   ปกติแล้วชาจะส่งมาคุยเรื่องทั่วไป และในบางครั้งก็จะเป็นการถามความเห็นอย่างนี้แหละ

   TEA : ตอบมาหน่อย   
   TEA : เราจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อ


   ถ้าเป็นกาลวินท์ก่อนหน้านี้สักครึ่งปี เขาคงตอบไปโดยไม่ลังเลว่าไม่มีทางทำอย่างแน่นอน คนกลัวความผิดพลาดและไม่อาจยอมรับความเสียใจได้โดยง่ายอย่างผมชอบความมั่นคงมากกว่าการเสี่ยงอันตราย ส่วนแฟร์คนนี้ทำได้เพียงอ่านแล้วปล่อยให้มันค้างไว้อย่างนั้น

   FAirY : เราคงทำแหละ
   FAirY : อย่างน้อยความผิดหวังจากการเลือกทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ
   FAirY : มันน่าจะดีกว่าการที่ต้องมาเสียใจว่าไม่ได้ลองทำ


   คำพูดดูดีใช่ไหมล่ะ มันเป็นคำที่ผมใช้ปลอบใจตัวเองทุกครั้งเวลาเกิดอาการหวาดวิตกเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันไม่ใช่เรื่องดี ผิดต่อชามากด้วย แต่ทุกอย่างจะถูกทำให้ลืมไปเมื่อผมเห็นข้อความจากเขา ทุกตัวอักษรแม้จะไม่ได้ส่งถึงผมโดยตรงแต่ก็ยังยินดีที่จะอ่านมัน

   TEA : งั้นถ้าเราจะบอกว่าชอบเฟย์
   TEA : เราจะต้องเสียใจหรือเปล่า


   "..."

   ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนไม่มีช่วงให้เตรียมใจรับกับความเป็นจริง

   ความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังอยู่ข้างใน เจ็บปวด เสียใจ ไม่อยากยอมรับ มันรวมตัวกันจนกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงไร้ทางแก้ปมปัญหา ผมรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง ที่พลาดไปก็แค่ความคิดที่ว่าผมสามารถรับมือกับมันได้กลับกลายเป็นพ่ายแพ้หมดท่า

   ช่วงมือสั่นเสียจนต้องกระชับโทรศัพท์เอาไว้ให้มั่น ผมย้อนกลับไปอ่านข้อความตอกย้ำความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้ง เรื่องมันก็พอมีเค้าตั้งแต่แรก ถ้าเป็นเพื่อนกันทั่วไปคงไม่ขยันทักมาคุยเช้าสายบ่ายเย็น แล้วก็ยังมีข้อความแสดงความห่วงใยมาเสมอ

   ในวูบแรกมันก็เจ็บนะ แต่ตอนนี้ผมสงสารมากกว่า

   ชาเป็นเจ้าชายแสนดี

   และเขาสมควรได้รับเพียงความสุข

   "เรื่องโกหก...ได้เวลาจบแล้ว"

   FAirY : ขอโทษ
   FAirY : ขอโทษที่ทำให้เสียใจ


 

   "เราไม่คุยกับชาแล้วนะ"

   "อ้าว? ไหนบอกว่า..."

   "เดี๋ยวมันจะแย่ไปกว่านี้" ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผมยกข้ออ้างที่เข้าท่าที่สุดขึ้นมาเสริม "เฟย์ก็บอกเราเองว่ามันไม่ควรจะนาน"

   ผสมกับข้อเตือนใจจากปากของนาวินท์เอง ผมคิดจนถี่ถ้วนแล้วว่านี่คงเป็นทางที่เหมาะสม ที่เหลือคือต้องขอความร่วมมือเรื่องอื่นอีกหน่อยก็คงไม่มีปัญหาอะไร

   "ชาบอกชอบเราใช่ไหม"

   จะว่าแปลกใจ...ก็ไม่ "อืม"

   "แล้วตอบไปว่ายังไง"

   ไม่พูดแต่ส่งโทรศัพท์ที่ไม่ได้แตะต้องอะไรเพิ่มเติมไปให้ เฟย์รับไปแล้วกดไปตามส่วนต่างๆ ของหน้าจออย่างคล่องแคล่ว ผมเสตามองที่อื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้ว่ามันมีสิ่งใดเกิดขึ้นตามมา

   "ที่เหลือเดี๋ยวเราจัดการเอง" นาวินท์เอื้อมมาจับมือของผมไว้แน่น สร้างความมั่นใจว่ามันจะไม่มีการแพ่งพรายออกไป "แฟร์ไม่ต้องห่วง"

   จุดนั้นก็ยังเจ็บปวดกับสิ่งที่เพิ่งเจออยู่ แต่เรื่องที่ต้องจัดการให้เสร็จก่อนมันก็มีมากเหมือนกัน คนที่มีความผิดติดตัวก็อย่างนี้ พยายามที่จะซ่อนมันเอาไว้ให้ลับที่สุด

   "ขอโทษนะ..." นึกไม่ออกแล้วว่ามีคำอื่นที่ควรพูดมากกว่านี้หรือไม่ มันมีหลายข้ออ้างและการถกเถียงตีอยู่ข้างใน

   ใครผิด

   ใครถูก

   เฟย์ไม่ควรเริ่ม

   หรือผมไม่ควรตาม

   แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง มีแต่คำตอบที่ต้องถูกใจตนเองเท่านั้น

   "ไม่เป็นไร" มันคือการปลอบใจทั้งสองคนไปพร้อมกัน "จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเรา"

   เฟย์เองก็ต้องไปเรียนต่อในต่างจังหวัดอยู่แล้วเลยไม่น่ากังวลเรื่องที่ธชาจะตามไปหาสักเท่าไหร่ กลุ่มเพื่อนก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก เพื่อนก็เข้าใจว่าเฟย์ปฏิเสธไปไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผมตั้งมั่นว่าจะเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยด้วยการซ่อนทุกเรื่องเอาไว้จนมิด

   แต่มันก็ยังมีเรื่องนอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้จนได้

   ตอนที่ผมเดินเข้าไปในคณะอักษรศาสตร์ในฐานะนักศึกษาใหม่เป็นครั้งแรก รอบข้างแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นสาวน้อยวัยใสที่ให้อารมณ์เด็กอักษรสุดๆ จะมีมนุษย์เพศชายอย่างผมแค่ไม่กี่คน ด้วยความหลากหลายที่ค่อนข้างต่ำพอมีคนหนึ่งเด่นขึ้นมามันเลยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของสายตาคนรอบข้างไปโดยทันที

   ผู้ชายตัวสูงกับทรงผมที่เห็นแล้วก็รู้ว่าเพิ่งจบรด. มาได้ไม่นาน สิ่งที่โดดออกมานอกจากออร่าความหล่อแล้วก็คงเป็นท่าการยืนตรงนิ่งดูมีมาด ไม่ค่อยลุกลี้ลุกลนหรือขยับตัวไปมาบ่อยจนน่ารำคาญตา ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมมองเขาไม่วางตา

   มันเป็นเพราะว่าคนตรงนั้นคือผู้ชายคนที่ผมเพิ่ง 'ขอโทษ' มาต่างหาก

   ดูต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมเจอไม่น้อย ที่เห็นจากมุมไกลคือความสุขุม นิ่ง แล้วก็ไม่น่าเข้าใกล้ ทั้งที่เขาก็อยู่ในชุดนักศึกษาไม่ต่างจากคนอื่นสักหน่อย

   เปลี่ยนไป...พอสมควรเลยล่ะ

   ธชาคงยังไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นเป้าสายตาไปเสียแล้ว มันคงเป็นเรื่องดีที่ผมยังอยู่ส่วนนอกของพื้นที่ไม่ได้เข้าไปด้านใน มันเลยยังพอมีโอกาสให้ตัวเองได้หลบออกมาโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกตสำหรับรุ่นพี่มากนัก งานวันนี้ไม่ใช่งานบังคับให้เข้าร่วม ผมมาตามที่เฟย์บ่นว่าควรทำตัวให้เข้ากับชาวบ้านบ้าง ถ้ารู้อย่างนี้นอนเล่นอยู่ที่บ้านคนเดียวก็ดีแล้วแท้ๆ

   เลยกลายเป็นว่าขับรถมาเสียเที่ยวฟรี สุดท้ายผมก็ต้องกลับมานอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง มันมีเรื่องน่ากังวลตามมาล้านแปดในเวลานี้จนเรื่องการหาเพื่อนในคณะเป็นอะไรที่ขี้ประติ๋วไปเลย

   ไม่อยากบอกเฟย์เดี๋ยวจะเก็บไปคิดมากอีก ถ้าเราตัดสินใจจะปิดกล่องแล้วก็ต้องเก็บให้มิดชิด ในวันถัดมาผมพาตัวเองเข้าร้านขายแว่นตาเพื่อสั่งตัดชนิดที่เลนส์ไม่มีผลต่อการมองเห็น บอกกับคนขายสั้นๆ แค่ว่าจะใช้เป็นเครื่องประดับเพื่อไม่ให้มีคำถามอะไรตามมา

   นอกจากนั้นก็ไปดูเครื่องแต่งกายอีกนิดหน่อย เมื่อคืนลองหาข้อมูลแล้วว่าเด็กเนิร์ดไม่สนใจสังคมมักจะชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหนกัน ถึงมันจะต่างไปจากสไตล์ปกติของผมจนเกือบเป็นคนละโลกก็คงต้องทำใจรับให้ได้

   ยังไงก็โกหกมาตลอดอยู่แล้ว

   เพิ่มเข้าไปอีกเรื่องจะเป็นอะไรไป

   ชีวิตการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยของผมในวันแรกเลยเป็นการเปิดตัวกาลวินท์ผู้มาพร้อมกับแว่นกรอบกลมอันใหญ่ ชุดนักศึกษาถูกต้องตามระเบียบทุกประการ แล้วก็กระเป๋าเป้เน้นการใช้งานเป็นหลัก

   เมื่อเช้าตอนส่องกระจกเกือบจะรับตัวเองไม่ได้ ในช่วงมัธยมต่อให้ผมไม่มีเพื่อนแต่ก็ไม่เคยละเลยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ในบางครั้งเฟย์แต่งตัวแย่กว่าผมอีกต่างหาก การที่ต้องปลอมตัวเพื่อความปลอดภัยเลยเป็นเรื่องกล้ำกลืนฝืนทนไม่น้อย

   พออยู่ไปสักพักก็ชิน ได้รับการปฏิบัติจากเพื่อนร่วมคณะอย่างที่ต้องการเกือบทั้งหมด มันพาให้หลายคนไม่อยากเข้าใกล้ ไม่มีใครเข้ามาถามเรื่องส่วนตัวให้มากความ และสำคัญที่สุดคือมันช่วยให้ผมกลายเป็นสิ่งไม่น่าชายตามองสำหรับชาได้

    โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากปากเพื่อนหลายคน ธชาคนใจร้าย่ไม่เคยคิดจะหยุดอยู่ที่ใคร เรื่องเล่าของผู้ชายที่แสนดีกลายเป็นอสูรถูกเล่าและแต่งเติมจนหาเค้าเดิมไม่เจอ

   ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับฟังโดยไม่ออกความเห็น เก็บความรู้สึกผิดทั้งหมดเอาไว้คนเดียว ผมไม่คิดว่าความเห็นแก่ตัวในเรื่องเล็กน้อยจะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้เท่านี้ ไม่อยากเชื่อว่าความคิดง่ายๆ แค่อยากจบเรื่องทั้งหมดจะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนไป

   แล้วจะให้แก้ไขก็คงทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่พอเป็นไปได้คือการตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งเวลาคงพาผู้ชายแสนอ่อนโยนคนนั้นกลับมา ชาไม่เหมาะกับการเป็นอสูร เขาสมควรได้รับความรักในฐานะเจ้าชายแสนดีเท่านั้น

   จนวันแรกที่เห็นกล่องนมสีส้มวางลงตรงหน้า มองไล่ขึ้นไปจนพบกับ 'ธชา' คนที่เปลี่ยนไป

   เท่านั้นผมก็รู้ว่า 'กล่องแห่งความลับ' ของผมมันถูกเปิดออกแล้ว

   

   "ตกใจนะเนี่ยที่แฟร์โทรหาก่อน"

   "ถ้าไม่ต้องเอาของให้ชินาก็ไม่โทรหรอก"
   
   เบ้ปากมองบนใส่พี่ชายของเด็กหญิงชินานาง คิดว่าอาจจะเลยวันเกิดมาแล้วด้วยซ้ำเพราะกว่าจะทำใจกดโทรออกไปหาเชนได้ก็หลังจากที่ทำงานฝีมือเสร็จหลายวันอยู่

   เขานัดรับที่ลานอเนกประสงค์ข้างห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง บอกว่ามันสะดวกต่อการเดินทางเพราะใกล้กับโรงเรียนสอนพิเศษของชินา เชนินทร์น่าจะลืมนึกไปว่าถ้าพูดถึงคำว่าสะดวกมันคือทั้งสองฝ่าย นี่ผมต้องขับรถฝ่าการจราจรที่น่าหัวปวดมาเกือบชั่วโมง

   "นึกว่าไม่ให้แล้ว"

   รู้สึกผิดไม่น้อยเลยล่ะ "เปล่า งานทำมือก็ต้องใช้เวลาอย่างนี้แหละ"

   “ถ้าชินารู้ต้องดีใจมากแน่ๆ”

   “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ผมยกไหล่ขึ้น ตั้งใจจะบอกลาถ้าไม่มีเรื่องอะไรต่อแล้ว “เราไปล่ะนะ”

   "เฮ้ ไม่ได้เจอกันตั้งนานไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ"

   หรี่ตามองคนไม่น่าไว้ใจตรงหน้า นัยน์ตาพราวระยับกับการเหยียดยิ้มอย่างคนรู้ทันบอกว่าผมว่าคิดถูกแล้วที่ไม่เคยไว้ใจ

   "ไม่อะ"

   "เสียใจจัง"

   นี่ก็อีกหนึ่งคำที่ไม่ชอบเอาเสียเลย เชนินทร์หมุนถุงกระดาษบรรจุของขวัญไปมาไม่กลัวว่ามันจะหล่นหรือเสียหาย นั่นผมทำตั้งหลายวันนะช่วยรักษาหน่อยได้ไหม

   "จะพูดอะไรก็พูด ไม่ต้องมาโยกโย้"

   สบสายตาไม่ลดละ ทำเป็นพูดอย่างนั้นอย่างนี้ไปเรื่อยเหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่จริงประเด็นสำคัญยังไม่ได้ออกมาจากปากเลยด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้มันก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวนั่นแหละ

   "เหนื่อยไหม?"

   "..."

   มันไม่ใช่ครั้งแรก ที่เขาพูดคำนี้กับผม

   ในครั้งนั้นผมได้แต่ระแวงไปเอง ว่ามันจะหมายถึงเรื่องที่ผมเก็บไว้เอาอยู่คนเดียวหรือไม่ เรื่องของเทวดาที่ต้องซ่อนความจริงว่าตนเองเป็นคนสาปอสูรให้กลายเป็นคนเลือดเย็นเล่นสนุกกับหัวใจคนอื่น และในเวลานี้ผมก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คิดมากไปเองคนเดียว

   "เหนื่อย" ผมตอบไปตามตรง

   "..."

   "แต่เรื่องจบแล้วก็คงไม่เหนื่อยแล้วล่ะ"

   ได้แต่ฝืนยิ้มกลับไป ผมเหนื่อยเหมือนอย่างที่บอกไปจริง ไม่อย่างนั้นแล้วการได้เจอกับเชนินทร์มันต้องเต็มไปด้วยการต่อปากต่อคำและฟาดฟันจนกว่าจะตายกันไปข้าง ไม่ใช่การยอมรับง่ายๆ แถมยังไม่กระแหนะกระแหนเพิ่ม

   "อยากรู้ก็บอกแล้ว มีอะไรอีกไหมจะได้ตอบทีเดียว"

   "แล้วจะทำยังไงต่อ"

   "ก็ใช้ชีวิตปกติ"

   เป็นกาลวินท์คนไร้เพื่อนในสายตาคนอื่น ผู้ชายสายเนิร์ดที่ดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจ

   "ปกติ?"

   "อ้อ อันนั้นก็คิดเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ"

   หรือจะเป็นกลับไปเป็นกาลวินท์คนร้ายกาจที่เลิกซ่อนตัวจริงเอาไว้ใต้ภาพลักษณ์ที่ไม่น่าเข้าหา

   "ไม่อยากให้ใส่แว่นแล้ว แฟร์ไม่เหมาะกับแว่นโง่ๆ อันนั้น"

   ผมหัวเราะออกมาได้เต็มเสียงเป็นครั้งแรก การหาแบบที่ใส่แล้วกลายเป็นเด็กแว่นสายเรียนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสักหน่อย

   "เราเลือกตั้งนาน"

   "นั่นแหละ ไม่ต้องใส่หรอก สายตาก็ปกติดีนี่นา"

   เอียงคอเล็กน้อย ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขาจะจับผิดเรื่องนี้ได้ ผมก็เผลอหลุดพิรุธไปหลายครั้งอยู่

   “แฟชั่นไง”

   “แล้วก็เลิกใส่เสื้อผ้าคุณลุงด้วย เมื่อก่อนแต่งตัวดีจะตาย”

   แต่ถ้ารู้กระทั่งเรื่องนี้มันก็เกินไปหน่อย

   “ทำไมมองตาขวางอย่างนั้น” เชนยิ้มจนตาปิด ส่วนผมเริ่มทำหน้าตึงไปแล้ว “เราต้องรู้จักพี่ของคนที่เพื่อนชอบอยู่แล้ว”

   “ไม่คิดว่าเป็นการตอกย้ำมากไปหน่อยเหรอ”

   “เรื่องแค่นี้แฟร์ไม่รู้สึกอะไรหรอก”

   ในสายตาของเชนินทร์ ผมเป็นคนแบบไหนกัน

   เห็นแก่ตัว ใจร้าย แล้วก็เลือดเย็นอย่างนั้นหรือเปล่า

   อีกอย่างที่ผมกับเฟย์ต่างกัน คือถ้านาวินท์เป็นเทวดาแสนดีผู้เป็นที่รัก ผมก็คงเป็นพวกเทวดาขี้อิจฉาที่ทำได้แค่มองจากมุมมืด ริษยาความสว่างสดใสของเทวดาองค์นั้นจนยอมเสกมนตร์ร้ายสร้างให้ตัวเองกลายเป็นตัวแทนเพื่อความสุขชั่วคราว

   "ช่วยมองเราเป็นมนุษย์บ้างสิ"

   "เราก็มองอย่างนั้นมาตลอดนะ"
     
   "เหรอ แต่เราไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยล่ะ" ผมชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าไม่อยากยุ่งกับเขา คนที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดากลุ่มเพื่อนทั้งสามคน "นายรู้เรื่องของเรา แต่เราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเชนินทร์เลย"

   "แฟร์รู้ตั้งเยอะ"

   "เช่นว่านายเป็นคนทำให้ธชารู้เรื่องของเราน่ะเหรอ?"

   องศามุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มที่จริงใจในจังหวะแรกไม่มีการแจ้งว่ามันจะกลายเป็นการเตือนให้ระวังอันตรายในวินาทีถัดมา “ก็บอกแล้วว่าเราทุกคนเก็บ ‘ความลับ’ กันไว้ทั้งนั้นแหละ”

   "อยู่ที่ใครจะเก็บมันเอาไว้ได้สินะ"

   เชนเคย 'บอกใบ้' ผมเอาไว้แล้ว

   "ที่จริงเราอยากคุยกับแฟร์อย่างนี้มานานแล้วนะ”

   "อย่างนี้?"

   "แบบที่จะพูดเรื่องอะไรก็ได้"

   นี่คงเป็นการสนทนาที่ราบรื่นที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ไม่อย่างนั้นแล้วก็อย่างที่เห็นมาตลอดนั่นแหละ

   "นี่เป็นช่วงสารภาพบาปอย่างนั้นหรือเปล่า"

   "ปลอบใจคนโดนอสูรทำร้ายต่างหาก"

   "ขอบคุณนะแต่ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ไม่ใช่บิวตี้อยู่แล้ว"

   เรื่องของหญิงสาวที่กลายเป็นของแลกเปลี่ยนให้กับอสูรแทนกุหลาบดอกสวย บิวตี้ผู้ต้องเข้าไปอยู่ในปราสาทของอมนุษย์น่ารังเกียจ และเธอก็เกือบจะเป็นผู้สังหารอสูรด้วยการไม่รักษาคำสัญญา

   มันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้วล่ะ มีทั้งแบบการ์ตูนแล้วก็คนแสดง เทพนิยายแห่งความฝันที่สวยงาม เรื่องของรักแท้ระหว่างหญิงสาวแสนสวยกับชายผู้อัปลักษณ์

   แล้วถ้าผมตั้งคำถามว่า แล้วใครเป็นคนสาปให้เจ้าชายเป็นอสูร จะมีสักกี่คนที่ตอบได้?

   ตามเนื้อเรื่องแล้วก่อนที่จะถูกสาปเจ้าชายเป็นคนแล้งน้ำใจ พระองค์ปฏิเสธที่จะให้นางฟ้าตนหนึ่งเข้ามาหลบข้างในปราสาทในวันที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหยดน้ำฝน นางจึงสาปให้เขากลายเป็นอสูรน่ารังเกียจจนกว่าจะมีคนที่รักเขาจากข้างใน

   ใช่ นางฟ้าที่มักจะสื่อความหมายถึงความดี ความอ่อนโยนและความเอื้ออาทร นางนั่นแหละที่เป็นคนสาป

   คงเหมือนอย่างที่เชนเคยพูดไว้ ในเรื่องบางเรื่องถ้าไม่มีนางฟ้าแล้วเนื้อหาอาจไม่สนุกอย่างนั้นก็ได้ เอาอย่างง่ายเลยก็ถ้าเจ้าชายไม่กลายเป็นอสูร บิวตี้ก็คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาชดใช้แทนพ่อของตนเอง ตำนานความรักแท้ที่ไม่ดูแค่เรื่องของหน้าตาก็คงไม่เกิด

   นอกจากเรื่องของขวัญของชินาแล้วมันก็มีแต่การขุดเรื่องเก่ากลับขึ้นมาพูดใหม่ ถามผมสักคำก่อนไหมว่าอยากจะคุยด้วยหรือเปล่า

   "ถึงจะไม่ใช่แต่ก็เคยเกือบได้กุหลาบของเจ้าชายนะ" ผมได้รับคำเฉลยแล้วว่าก้านดอกไม้ไร้กลีบที่วางเอาไว้โดดเดี่ยวมันคือดอกอะไร "มันตั้งใจจะให้ถ้าเฟย์ตอบตกลง"

   "จะซ้ำเติมอะไรอีกก็บอกมา พร้อมรับ"

   "เปล่าซ้ำ แค่อยากเล่าตั้งนานแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสต่างหาก"

   "..." 

   "แล้วเราก็คิดว่าแฟร์ก็มีเรื่องอยากพูดเหมือนกัน"

   อยากจะหัวเราะเย้ยหยันตัวเองเสียเหลือเกิน ผมเหมือนถูกเชนินทร์จับมัดเอาไว้แล้วนำไปถ่วงน้ำ นอกจากไม่มีทางตะกายขึ้นมาได้แล้วการเปิดปากในแต่ละครั้งมันคือการเร่งความตายให้เข้ามาหา

   "ถ้าคิดว่าที่ทำลงไปทุกอย่าง มันจะทำให้เข้าใจความรู้สึกของการที่โดนหลอกบ้างมันเป็นแบบไหน เราคงต้องบอกว่าเสียใจด้วยที่มันไม่สำเร็จ เราทันหมดทุกอย่างนั่นแหละ"

   ที่ยอมมาตลอดมันมีเพียงเหตุผลเดียวคือต้องการชดใช้ความผิดที่เกิดขึ้นจากผมเอง

   "เล่นตามบทให้ได้แค่นี้ หมดฉากการแสดงเราก็ต้องกลับสู่ความเป็นจริง"

   ผมคลี่ยิ้มจาง อาจดูเหนื่อยอ่อนแต่กลับโล่งใจกว่าครั้งไหน

   "ขอโทษที่ทำให้เสียใจอีกแล้วนะ”

   ขอโทษที่แฟรี่ก็ยังคงรักเจ้าชายอยู่เหมือนเดิม


***
   ขอโทษที่เขียนไม่เคลียร์นะคะ ตอนหน้าจบค่ะไม่ใช่ตอนนี้ คือที่บอกว่าคุยยาวๆ คือบอกไว้ล่วงหน้าเพราะคิดว่าตอนนี้ก็คงไม่พร้อมเรื่องอะไรเล่าอยู่ดี (ฮา)
   แล้วพรุ่งนี้เจอกันเรื่องเล่าสุดท้ายค่ะ
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สงสารทุกคนเลยอ่ะ แต่สงสารที่สุดคงเป็นตัวเอง5555 ถูกคุณเจ้าหลอกจับผิดอะไรไม่ได้ รู้สึกใจหายมากเลยค่ะ เราอาจไม่ได้ติดตามตั้งแต่แรก แต่เราก็ติดตามมาตลอด ใจหายที่เรื่องมันดำเนินมาถึงเรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายแล้ว ใจหวังอยากให้จบแฮปปี้ชาแฟร์รักกัน แต่ก็รู้ว่ามันอาจเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรจบสวยงามตามใจเราเสมอ ขอบคุณคุณมากนะคะที่แต่งนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายที่ทำให้เราเป็นบ้าเพราะแก้ปมอะไรไม่ได้เลย แต่ก็ยังอยากติดตามอ่านตอนจบอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วอสูรจะเป็นยังไงต่อไป ตอนหน้าก็จบแล้วเสียใจอยู่ไม่น้อยเลยง่าา :hao4: :hao4: :hao4:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
โอ้โหหห เป็นปมที่ไม่คิดว่าจะพลิกมาเป็นอย่างนี้
ก็ว่าทำไมชาเอาแต่บังคับแล้วแฟร์ก็ยอมทำตาม ทั้งๆ ที่ดูออกจะรำคาญด้วยซ้ำ
คิดในใจมาตลอดว่าถ้าไม่ชอบจริงทำไมไม่ปฏิเสธไป ทำไมไม่เดินหนี
ทำไมไม่หาหนทางที่จะไม่ต้องลำบากใจซ้ำๆ
ทุกอย่างมาบอกในตอนนี้หมดเลย แงงง
แอบชอบเค้ามาตั้งนานแล้วใช่มั้ยลูกกก
แต่ที่น้องทำก็ร้ายกาจอยู่ลึกๆ นะ :hao5:
เห็นใจทั้งสองฝ่าย และหวังลึกๆ ว่าเรื่องนี้จะจบแบบตอนจบทั่วไปของนิทานโลกสวย
ที่ถึงแม้จะดาษดื่น
ลงท้ายด้วยการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่เราก็ชอบนะ  :hao5:

ชอบที่คนเขียนตีความเรื่องโฉมงานกับเจ้าชายอสูรในมุมมองนางฟ้าด้วยค่ะ
ไม่คิดว่าจะเอาประเด็นนี้มาเล่น เป็นเรื่องที่เรามองข้ามไปจริงๆ
ติดตามเรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายน้าา :กอด1:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
หมดคำถามเลย ที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ของเรา เจ็บปวด แต่ก็โล่งใจไปเยอะเลย เรารอตอนสุดท้ายของเรื่องเล่าอย่างใจจดใจจ่อ ภาวนาให้เจ็บปวดน้อยลง

ชารู้ว่าแฟร์เป็นคนบอกเลิก แต่รู้หรือเปล่าว่าที่ผ่านมาแฟร์เป็นคนคุยด้วยน่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม


   และเรื่องทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข
   - Fairy Tells


 
   ตื่นขึ้นมาประมาณแปดโมงเช้าเพราะเสียงโครมครามจากห้องข้างเคียง จัดหัวแสนยุ่งเหยิงของตัวเองให้เข้าที่หน่อยก่อนจะลุกไปปิดพัดลมตรงปลายเตียง อากาศในช่วงมิถุนาไม่ได้ร้อนอย่างที่กังวลเอาไว้เพราะพายุที่กระหน่ำเข้ามาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ช่วงนี้เฟย์ปรับปรุงห้องนอนของตัวเองอยู่เลยเกิดมลภาวะทางเสียงทั้งวัน

   กลิ่นของอากาศสะอาดเจือปนควันพิษปริมาณน้อยกว่าในเมืองไม่รู้กี่สิบเท่า วันแรกๆ ที่มาถึงไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ พอผ่านไปได้สักพักถึงจะรู้สึกว่าตัวเองหายใจคล่องกว่าเดิมพอควร จะบอกยังไงให้เข้าใจดีนะ มันให้อารมณ์แบบสดชื่นกว่า ประมาณนั้น

   จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ออกไปทานข้าวเช้าที่ทำเผื่อเอาไว้ในตู้กับข้าว จากนั้นก็ได้เวลาหมกตัวอยู่กับสิ่งที่ชอบเช่นเดียวกับทุกวัน

   "วันนี้จะทำสมุดต่ออีกเหรอแฟร์"

   "อืม ลายนี้ยากอะ ไม่เสร็จสักที"

   อีกส่วนที่ชอบเกี่ยวกับบ้านคือพื้นที่ส่วนตัวด้านหลังกินบริเวณกว้างพอสมควร ถึงจะยังไม่ได้กั้นเป็นสัดส่วนชัดเจนทุกคนก็รู้ว่ามันมีไว้ให้ผมได้ครอบครอง ตอนนี้มันก็มีพวกอุปกรณ์การเย็บสมุดจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ระเกะระกะ เสียดายที่ไม่ได้เอากลับมาหมดทุกอย่างเพราะไม่คิดว่ามันจะว่างได้ขนาดนี้

   หนังสือที่เอามาด้วยอ่านหมดไปแล้วเกือบครึ่ง และผมยังต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นเดือน อาจจะต้องเข้าเมืองไปเหมาหนังสือหรือไม่ก็ตรวจดูพื้นที่การส่งของออนไลน์ว่ามันครอบคลุมถึงบริเวณนี้หรือไม่

   ถึงจะบอกว่าเป็นต่างจังหวัดก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทุรกันดารขั้นนั้น พวกสวัสดิการขั้นพื้นฐานยังมีครบครัน อาจจะเทียบไม่ได้กับบ้านเกิดแต่สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการความทันสมัยมากมายอย่างผมก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไร

   "เราก็ทำชั้นวางไม่ถึงไหน เบื่อแล้วเนี่ย"

   "แล้วใครอยากรีโนเวทห้องตามรีวิวล่ะ บอกแล้วว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น"

   เฟย์เอาแบบของห้องมาให้ผมดูสองสามสไตล์ เป็นอย่างที่สมัยนี้ชอบกันคือเน้นความเรียบง่ายและเหมาะกับการใช้สอย

   "ก็ตอนอ่านดูมันไม่มีอะไรยากเลยนี่นา"

   ยังไม่เลิกเถียงหรอกจนกว่าจะชนะ "เจอของจริงก็เลิกคิดอย่างนั้นได้แล้ว"

   "เศร้าเนอะ ล่ะนี่แฟร์ทำเฉยๆ หรือว่าเป็นเรื่อง"

   บางครั้งผลงานก็เป็นเพียงตัวรูปเล่ม ส่วนถ้าครั้งไหนบ้าพลังหน่อยก็จะเอาเรื่องเล่าที่มีอยู่ก่อนแล้วมาแต่งเติมให้เป็นงานศิลปะในแบบของผม

   "ทำเฉยๆ ล่ะมั้ง แต่ถ้าฟิลมาก็อาจเปลี่ยนใจ"

   "เหรอ..."

   "อยากได้แบบไหนหรือเปล่า ทำให้ได้นะ"

   ผมเคยให้เฟย์สองสามเล่ม เป็นงานจำพวกที่มีข้อผิดพลาดมากเกินไป

   "อยากให้แฟร์พัก ตั้งแต่มานี่เห็นหมกอยู่ตรงนี้ทั้งวัน" ไม่ได้โอเวอร์อย่างที่บอกเท่าไหร่เสียหน่อย ผมยังแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นอีกตั้งหลายอย่าง "ถ้าไม่ทำสมุดก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน"

   แต่ถ้าพูดถึงสองอย่างนี้แล้วมันก็ไม่เหลืออะไรให้ค้าน

   "มันเป็นชีวิตปกติของเราไปแล้ว"

   "ออกไปเที่ยวกับเราบ้างสิ”

   "เราไม่อยากออกไปไหนเลยเฟย์" กลายเป็นมนุษย์ผู้เกลียดการออกไปเผชิญกับโลกภายนอกเสียแล้ว บอกไม่ได้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมกำลังหนีอยู่มันคืออะไรกันแน่ "ไม่อยากเจอใครด้วย"

   เรารู้กันว่าใครคนที่ว่าหมายถึงคนเดียว

   "...เราขออะไรแฟร์สักอย่างได้หรือเปล่า"

   มองหน้าที่คล้ายราวกับส่องกระจก ผมเอียงคอรอว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองจะเอ่ยคำไหนออกมา

   "ขอว่า...?"

   "อย่าเจ็บคนเดียวได้ไหม"

   หัวเราะแห้งแล้งให้กับความหวังดีนั้น "มันเป็นไปไม่ได้หรอก"

   "..."

   "เราต้องยอมรับในการกระทำของตัวเอง"

   

   ส่วนวันนี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ผมขลุกตัวอยู่แต่บริเวณหลังบ้านตั้งแต่เช้า มาเจอคนอื่นในบ้านเป็นตัวเป็นตนก็ตอนคุณแม่ของผมเดินมาหาพร้อมกับถามหาวัยรุ่นอีกคน

   "แฟร์ ไปเรียกเฟย์มาหน่อย มีเพื่อนมาหา"

   "ครับ?" ไม่ได้แปลกใจที่เฟย์มีเพื่อน แต่แปลกใจตรงมาเยี่ยมถึงที่นี่มากกว่า อาศัยอยู่จังหวัดใกล้เคียงง่ายกับการเดินทางอย่างนั้นเหรอ "เฟย์บอกว่าจะเข้าเมืองนะ ที่คุยกันเมื่อเช้า"

   ลูกพี่ลูกน้องที่น่าสงสาร เฟย์พยายามตื๊อให้ผมกลับเข้ากรุงเทพก่อนเปิดเทอมสักสองสัปดาห์เพื่อที่ตัวเองจะได้มีเวลาได้เอนจอยกับชีวิตแบบคนเมืองด้วยล่ะ

   "อ้าวเหรอ ไม่เห็นบอกไว้"

   "น่าจะออกไปแล้วล่ะครับ รถก็ไม่อยู่" พยักเพยิดไปทางลานจอดรถที่อยู่ห่างไปไม่ไกล รถสี่ประตูรุ่นประหยัดน้ำมันที่ใช้กันอยู่แค่สองคนไม่ได้จอดอยู่ตรงที่ประจำ

   "งั้นฝากจัดการหน่อย จะรีบกลับมาหรือยังไงจะได้ไปบอกเพื่อน มากันตั้งไกลไม่อยากให้เสียเที่ยว"

   "โอเคครับผม"

   ถึงจะไม่ค่อยโอเคกับการโดนโยนภาระมาให้ก็เถอะ บอกอย่างนั้นมาก็ต้องเป็นลูกที่ดีทำตามอย่างที่แม่ต้องการ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของเฟย์ระหว่างที่กวาดตามองทั่วโต๊ะว่ามีสิ่งไหนควรเก็บให้เรียบร้อยก่อนหรือไม่ อย่างพวกชิ้นกระดาษมีลายที่ตัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ทับเอาไว้ให้ดีมันอาจจะปลิวหายไปได้

   "หนีเที่ยวเหรอ"

   (ใช่ เราหนีมาเที่ยว) เฟย์รู้แหละว่าชวนก็ไม่ออกมาด้วย ผมกลายเป็นคนติดบ้านที่ขี้เกียจแม้กระทั่งการออกไปทานอาหารเย็นนอกบ้านกับครอบครัวไปแล้ว (แฟร์อยากได้อะไรหรือเปล่า)

   "เปล่า แม่บอกว่ามีเพื่อนมาหา เฟย์นัดใครเอาไว้อะ"

   ไม่มีสิ่งไหนที่ต้องระวังแล้วก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวเก่ง เดินลัดเลาะออกไปยังส่วนหน้าของบ้าน เพื่อนของเฟย์น่าจะรออยู่ตรงศาลาไม้ นั่นเป็นหนึ่งในมุมโปรดของผมภายในบ้านหลังนี้เลยล่ะ

   (หืม? เพื่อน?)

   "ไม่ได้นัดเหรอ" ได้ยินเสียงร้องแสดงความประหลาดใจก็สรุปได้แล้ว "เคยพาใครมาบ้านบ้างล่ะ อาจจะมาเซอร์ไพรส์ไม่บอก"

   เดาไปเรื่อยระหว่างเตรียมตัวไปรับหน้าแทนก่อน ผมเห็นศีรษะของใครบางคนอยู่ตรงศาลาอย่างที่คิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนอยู่ด้วย

   (บ้านนี้ยังไม่เคยพาใครมานะ)

   "พวกสิบแปดมงกุฎหรือเปล่าเนี่ย" ไม่ได้คิดจริงจังมากนัก ผมเคยผ่านช่วงเวลาการเปิดบ้านให้เพื่อนของเฟย์มาถล่มหลายครั้ง ก็บ้านในเมืองที่ว่างให้เข้ามาบุกรุกพร้อมคุณสมบัติไม่มีผู้ปกครองมาคุมให้รำคาญใจจะมีอยู่สักกี่ที่กันเชียว "เดี๋ยวเราจะปกป้องเฟย์ไว้เองนะ"

   เสียงหัวเราะของนาวินท์เต็มไปด้วยความร่าเริง (ฝากด้วยนะ แล้วจะรีบกลับไป)

   สัญญาณการติดต่อขาดลงไปแล้ว ผมส่ายหัวไปมาให้กับชื่อบนสุดของหน้าจอการโทรออก สูดลมหายใจเข้าลึกให้พร้อมกับการเป็นเจ้าของบ้านที่ดี นี่ผมไม่ได้ใส่แว่นแล้วจะต้องมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเฟย์แน่ แต่ใจก็ไม่อยากจะเนียนแกล้งทำเป็นอีกคนเท่าไหร่ ผมกำลังอยู่ในช่วงเกลียดการโกหกน่ะ

   เข้าไปใกล้มากจนเห็นชัดว่าผู้มาเยี่ยมมีทั้งหมดสามคน เป็นผู้ชายแน่นอนแล้วสอง ส่วนอีกคนใส่หมวกเอาไว้อยู่เลยบอกไม่ได้ว่าเป็นเพศไหน

   "โอ๊ะ แฟร์มาแล้ว!"

   ชื่อของตัวเองออกมาจากปากของคนที่สวมเครื่องหัวเอาไว้คนเดียวในกลุ่มนั้น เท้าของผมหยุดขยับในขณะที่สมาชิกที่เหลือหันมามองตามทิศการชี้

   "..."

   และคนที่สบสายตากับผมอยู่ตอนนี้

   ก็คือเจ้าชายที่กลายเป็นอสูรด้วยมือของผมเอง

   

   "เฟย์ไม่อยู่ น่าจะต้องรออีกประมาณชั่วโมง"

   สายตาของทุกคนตรงนั้นจับจ้องมาที่ผม ไล่ตั้งแต่ทะเลพลอย เชนินทร์ แล้วก็ธชา มากันครบเลยล่ะ

   "แฟร์ คิดถึงจัง"

   อย่างกับว่าถ้าพวกเขาคิดไม่ออกว่าจะพูดเรื่องอะไรก็จะทักว่าคิดถึงเอาไว้ก่อน อะไรจะระลึกถึงผมทุกขณะจิตขนาดนั้น

   "อือ" คราวนี้มีเวลาตั้งตัวสำหรับอ้อมกอดของเธอ ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เล่นเอาเกือบล้มหน้าทิ่ม "มากันไกลเลยนะ"

   "เพื่อแฟร์ ยอม"

   "ไหนบอกมาหาเฟย์"

   "ก็คนอื่นเมื่อกี้บอกว่าเป็นแม่ของเฟย์ เราก็ต้องตามน้ำไปสิ"

   หลุดหัวเราะพรืดกับคำเล่า แม่ของผมก็อย่างนี้ตลอด ใช้ความเป็นฝาแฝดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

   "นั่นแม่เรา แม่ของเฟย์ไปทำงาน"

   คุยกันได้สนิทใจราวกับว่าไม่มีเรื่องแตกหักใดเกิดขึ้นก่อนหน้า ถึงขั้นนี้แล้วการที่พวกเขายังสามารถทำตัวให้เหมือนเดิมได้โดยที่ไม่มีอาการกระอักกระอ่วนนี่เรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษได้ไหม

   เพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลง ผมเลยทำเหมือน 'ปกติ' เช่นที่เคยเป็นมาเหมือนกัน

   "ถึงว่าทำไมชาชวนมาที่นี่ เราก็จำได้ว่าบ้านแฟร์อยู่กรุงเทพฯ"

   คำเล่าของพลอยจะสื่อความหมายว่าธชาเป็นคนชวนมาหาผมได้หรือเปล่านะ แล้วเขามีเรื่องอะไรถึงต้องเดินทางมาถึงนี่

   "มีหลายบ้าน" ไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านที่ตั้งใจมาอยู่หลังเรียนจบ "นี่มาหามีอะไรหรือเปล่า"

   ตัดส่วนที่ถามว่ามาหาใครออก ก็ไม่อยากจะต้องมาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีกกับคำตอบนี่นา

   "เราบ่นคิดถึงแฟร์ ชากับเชนเลยชวนมาหา"

   ไม่อยากให้คิดถึงเลยสักนิด ผมพยักหน้าขึ้นลง หันไปกวาดตามองคนชวนมาอีกสองคนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เชนินทร์ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เวลายิ้มแล้วก็ดูน่าสยองไม่น่ายุ่งเกี่ยวมากกว่าเป็นมิตร เขายกมือขึ้นมาทำเป็นรูปตัววีเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ส่วนอีกคน...

   ธชาก็ยังเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมพบในงานปฐมนิเทศคณะ สายตาว่างเปล่าไม่ปรากฎอะไรอยู่ข้างใน เขามองผมด้วยท่าทีนิ่งเฉยไม่ยอมวางตา

   "อะไรจะรักเราขนาดนี้"

   "รักมากเลย นี่ทักไลน์ไปตั้งเยอะไม่เห็นตอบ"

   ไม่ตอบคำเปรยโดยการเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น "นั่งรถมานานคงเหนื่อยแย่"

   หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลง

   "มากกก"

   ตอนที่มาครั้งแรกก็คิดเหมือนกับพลอยนั่นแหละ ไกลเสียจนสร้างชุดความคิดต่อต้านการอาศัยอยู่นอกเมือง พอมาอยู่นานเข้ากลายเป็นเสพติดความเงียบสงบไปแล้ว

   "อยากกินอะไรไหมล่ะ เดี๋ยวโทรบอกเฟย์ให้ซื้อกลับมาด้วย"

   สงสารอยู่ไม่น้อย คนเมืองทั้งสามผู้ต้องมาสัมผัสกับพื้นที่นอกเมือง ไม่ต้องหวังพวกร้านกาแฟอย่างที่ทะเลพลอยชอบ หรือว่าจะเป็นร้านหนังสือเอาไว้สำหรับหาความรู้เพิ่มเติม หากต้องการอะไรก็ต้องเข้าเมืองอย่างเดียว แล้วต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามันก็ยังไม่ได้เจริญเหมือนอย่างกรุงเทพฯ หรอก

   "ไม่เป็นไร เพิ่งแวะซื้อก่อนเข้ามา" เธอชี้ไปยังถุงสีขาวจากร้านสะดวกซื้อในศาลา "นี่อยู่บ้านทำอะไรบ้าง อ่านหนังสืออย่างเดีย   วเลยหรือเปล่า"

   ผมส่ายหัวกลับไป "ทำอย่างอื่นด้วย นี่ก็เย็บสมุดอยู่"

   ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับคำถาม เราคุ้นเคยกับสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนและสิ่งอำนวยความสะดวกจินตนาการไม่ค่อยออกว่าหากต้องถอยหลังมาอยู่กับตัวเองแล้วจะทำอะไรบ้าง แต่อินเทอร์เน็ตบ้านผมยังเร็วดีนะ ไม่ค่อยได้ใช้เองเสียมากกว่า

   "เออใช่ ชินาชอบหนังสือมากเลยล่ะ"

   "ลองไม่ชอบสิ จะขอคืนมาเลย"

   "เย็บเองเหมือนตอนที่เราไปเรียนด้วยน่ะเหรอแฟร์"

   "อืม อันนั้นแหละ"

   ทุกช่วงของบทสนทนามีเพียงสามคน คือผม ทะเลพลอยและเชนินทร์ ส่วนธชายังนั่งอยู่ในศาลาไม่ได้เดินออกมามีส่วนร่วม ก็ดีเหมือนกัน

   มันไม่มีเรื่องไหนที่ต้องคุยกันแล้วนี่

   "ถ้าอยากลองทำบ้างแฟร์จะสอนไหม?"

   กลัวว่าถ้าอาสาไปแล้วมันจะกลับมาทำร้ายตัวเองเลยเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น อย่างเชนน่ะนั่งให้นิ่งเป็นเวลาห้านาทีให้ได้ก่อนเถอะ "ไม่ ไปหาเรียนเองสิ"

   "โหย กับเพื่อนยังไม่มีน้ำใจเลยอะ"

   "แล้วเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่?"

   ยังคงยืนหยัดชัดเจนอยู่เสมอว่าไม่เคยคิดอยากก้าวข้ามเส้นแบ่งคนเคยรู้จักกันไป

   ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่กล้าตื๊อต่อ พอเป็นกลุ่มเพื่อนที่ไม่ค่อยระคายกับคำพูดเชือดเฉือนผมเลยได้เพียงรอยยิ้มกว้างของคนไม่น่าเข้าใกล้กลับมา "ตั้งแต่ที่เราอยากให้เป็น"

   "เอาที่สบายใจแล้วกัน"

   ต่อล้อต่อเถียงไปก็คงเหนื่อยเปล่า เหลือบมองดูนาฬิกาว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเฟย์จะถึง การตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบด้านสมาชิกไม่มีข้อดีสำหรับผมเลย อย่างน้อยถ้ามีคนน้องอยู่ด้วยคงมีหน่วยสนับสนุนด้านกองกำลัง

   แล้วบางคนก็อาจจะอยากเจอมากกว่าผม

   "เราอยากเห็นที่แฟร์บอกว่ากำลังเย็บสมุดอยู่จัง ไปดูได้ไหม?"

   ทะเลพลอยยื่นคำขอมาให้ ผมมองใบหน้าสดใสของเธอระหว่างตัดสินใจเลือกทางที่ดูแล้ว 'เป็นกลาง' มากที่สุด คือมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย กลัวว่ามันจะมีโอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า

   "ตามมาสิ..."

   ได้แต่หวังว่าการเลือกของตัวเองจะไม่ผิดพลาดอะไร

   เป็นเจ้าของบ้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเอาแต่เงียบในขณะที่เดินนำผู้มาเยือนทั้งสามไปยังพื้นที่ส่วนตัว ในช่วงแรกได้ยินเสียงพลอยกับเชนคุยกันเรื่องการมีบ้านพักในต่างจังหวัด สักพักมันก็เหลือเพียงเสียงฝีเท้าสองคู่เท่านั้น

   ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่หันกลับมาแล้วเจอแค่คนเดียว ผมชอบการแสดงออกชัดของพลอยกับเชนว่ากำลังจัดฉากให้ผมกับธชาได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำเป็นหาข้ออ้างสารพัด ก็แสดงออกไปตามตรงเลยว่าเคลียร์กันให้เสร็จ เดี๋ยวจะรออยู่ข้างนอก

   "บ้านกว้างดี"

   เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขาตั้งแต่พบหน้า

   "แต่แมลงก็เยอะ" ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมเจอคือเรื่องของแมลง ยิ่งเป็นพวกไม่ชอบฆ่าสัตว์เลยกลายเป็นว่าต้องมารักษาตุ่มแดงด้วยตัวเองต่อ ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้แพ้แมลง ไม่อย่างนั้นแล้วคงต้องกลับไปเป็นเด็กกรุงไม่มีทางได้มาอยู่ถาวร

   "ดูแลตัวเองหน่อย"

   ความห่วงใยไม่ช่วยให้หัวใจพองโตขึ้นมา "อืม"

   "แล้วนี่ทำอะไร หนังสือ?"
   
   "คิดว่ากำลังทำเป็นหนังสือนิทานเก็บเอาไว้อ่านเองอยู่"

   ปกติแล้วผลงานของผมจะจบอยู่ที่หน้าปกและสันข้าง ไม่ได้ลงไปตกแต่งเนื้อใน คราวนี้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าถ้าทำในส่วนของงานเย็บเสร็จคงได้ลงมือทำฝั่งงานประดิษฐ์ต่อ มันยากและต้องใช้พลังจินตนาการรวมถึงความประณีตมากพอสมควร

   "เรื่องอะไร?"

   "ยังไม่ได้คิด"

   "นึกว่าจะเอาเรื่องตัวเองไปแต่ง"

   ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย ปรับเสียงให้ไม่สั่นก่อนตอบ "ไม่ได้สนุกอะไรขนาดนั้น ไม่เหมาะกับการเก็บเอาไว้"

   มีใครอยากจะมอบตำแหน่งยอดมนุษย์ให้ผมบ้างไหม ตั้งแต่เริ่มเรื่องมานี่เจอเรื่องทำร้ายจิตใจมากเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

   "เราว่ามันก็สนุกนะ มีจุดพีกเยอะดี"

   "ถ้ามันทำให้นายสนุกก็ดี"

   จากที่ปกติก็ไม่ค่อยมีเรื่องคุย การตกอยู่ในสภาพนี้มันแย่เสียจนผมอยากจะตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองคนของเขามาอยู่ด้วย

   ความเงียบภายหลังจากนั้นกระตุ้นให้ผมพูดอะไรสักอย่างออกไป "แล้ว...มีอะไรอีกหรือเปล่า"

   มาถึงนี่ทั้งทีคงไม่ใช่แค่คิดถึงแล้วอยากมาเยี่ยมหรอก ถ้าเป็นเรื่องแค่นั้นโทรหรือว่าวีดีโอคอลมาก็ได้ ถึงข้อสันนิษฐานของผมจะตัดบางหัวข้อที่ไม่น่าสนใจออกไปได้ แต่สุดท้ายแล้วคำตอบที่ถูกต้องควรจะเป็นอะไรนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเองบอกไม่ได้เหมือนกัน

   ด้วยความที่คิดว่ามันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าที่เคยประสบมา ผมเลยมีความกล้ามากพอที่จะเงยหน้าขึ้นไปจ้องตาพร้อมถามกลับไปแบบที่ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะพิโรธอีก

   นัยน์ตาเรียวสวยว่างเปล่าคือสิ่งเดียวที่ผมได้รับกลับคืนมา

   "ตั้งใจมาบอกว่าอีกสองสัปดาห์จะบินไปแลกเปลี่ยนแล้ว"

   "...อ้อ"

   ใจหายนิดหน่อย วูบโหวงกว่าครั้งไหนรวมกัน จำได้ว่าเคยคุยกับเพื่อนในเอกเรื่องนี้ ทุนไปเรียนต่างประเทศหนึ่งปีสำหรับคนที่เข้าเกณฑ์การประเมิน เสียค่าใช้จ่ายเองค่อนข้างน้อยแต่ว่าก็ต้องกลับมาเรียนซ้ำ ผมได้ยินครั้งแรกแล้วก็ไม่สนใจแล้ว

   มองในแง่ดีว่านั่นหมายความว่าการเรียนต่อจากนี้ผมไม่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรอย่างที่กังวล

   ตอนแรกยังคิดไม่ตกอยู่ว่าหลังจากเปิดเทอมใหม่จะเข้าหน้าแบบไหนดี ในเมื่อเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการไปแล้วผมคงได้กลับไปครอบครองโต๊ะตัวเดิมในห้องสมุดคนเดียว รวมถึงจะไม่มีการพูดคุยทักทายหรือว่าออกไปไหนมาไหนด้วยกันอีก

   "ไม่อยากให้รู้จากคนอื่นอย่างที่เจอกับตัว"

   บางทีคำที่ธชาอยากจะให้ผมได้ยินเองกับปากน่าจะเป็นส่วนนี้มากกว่า

   "ไปเรียนที่นู่นก็น่าสนุก"

   การได้ออกไปเผชิญโลกข้างนอกเป็นอะไรที่ดี ความหลากหลายจะทำให้ความคิดของเราเปิดกว้าง ยิ่งเรายอมรับในความแตกต่างได้มากปัญหาก็จะเกิดขึ้นน้อยลง

   ขอบคุณเสียงใบไม้แห้งปลิวตามแรงลมที่ยังพอเป็นตัวเพิ่มบรรยากาศให้มันไม่เหงาจนเกินไป ธชายืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่ขยับเข้ามาแม้แดดจะส่องลงมาโดยตรง เป็นการบอกไปในตัวว่าต่างคนจะไม่ย่างกรายเข้าไปในโลกของอีกฝ่ายอีก

   ก็นะ มนุษย์กับเทวดาอยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว

   "ขอให้ได้เจอแต่เรื่องดีๆ แล้วกัน"

   คิดไม่ออกว่าควรจะพูดเรื่องอะไรต่อ ผมเลือกคำที่ทั้งอวยพรแล้วก็เป็นการจบบทสนทนาไปในตัว หมุนเก้าอี้กลับมาอยู่หน้าอุปกรณ์เย็บสมุดของตัวเองต่อ หยิบจับของสำหรับการทำงานต่อขึ้นมาวางเรียงเอาไว้ให้สะดวกต่อการใช้

   แอบเหลือบตามองเพื่อพบว่าอสูรยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่กลายเป็นเป้านิ่งให้อีกฝ่ายมองโดยไม่อาจห้ามได้ อย่างไรก็ตามคนอย่างผมทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการเงียบแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจ

   สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือการออกแบบหน้าปก จากนั้นถึงจะลงมือในขั้นตอนของการเย็บสันเป็นอย่างสุดท้าย มันมีลายใหม่ที่น่าสนใจ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าคนฝีมือไม่เท่าไหร่อย่างผมจะทำมันออกมาได้ดีเหมือนภาพตัวอย่างหรือไม่

   เปิดกล่องไม้ขนาดกำลังดีที่แบ่งช่องเอาไว้สำหรับใส่ของตกแต่ง หยิบเอาแผ่นกระดาษลายดอกกุหลาบออกมาวางเรียง มันมีหลายขนาดและหลากสีสัน ผมจำไม่ได้ว่าเป็นคนสั่งซื้อหรือว่าเฟย์เป็นคนให้ ดอกไม้ชนิดนี้ค่อนข้างเป็นเบสิกสำหรับการเป็นงานศิลปะ ในสายตาตัวเองคงมองเป็นแค่สิ่งประดับทั่วไปจนมาเจอกับเรื่องของธชา

   เรื่องที่เปลี่ยนให้ดอกไม้แสนสวยกลายเป็นสิ่งไม่โสภาทุกครั้งที่เห็น

   ดอกกุกลาบเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ไม่มีความหมายสำหรับเขา และนั่นเป็นดอกไม้ช่อใหญ่ที่ผมเคยได้รับ

   การกระทำที่หลอกให้ผมหลงคิดไปเองว่ามัน 'พิเศษ' กว่าใคร

   "ถ้านี่เป็นตอนจบ...แฟร์จะเขียนอะไรลงไป"

   ...

   ยังจำได้ดีว่าเคยขออะไรไป หนังสือที่มีตอนจบของเรื่องโกหกนี้เอาไว้

   อักษรไม่กี่บรรทัดตรงหน้าสุดท้ายของสมุดโผล่เข้ามาทักทายโดยไม่รู้ตัว ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนจะขยับองศาของแผ่นกระดาษเพื่อให้ง่ายต่อการตกแต่ง ตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

   ที่ผ่านมามันเป็นการเล่าจากมุมของผม มันเลยไม่มีรายละเอียดอะไรที่ตัวเองไม่อยากพูดถึง ถ้าลองให้ธชาเป็นคนเล่าเรื่องนี้แทนมันอาจจะพลิกไปเลยก็ได้ มันคงกลายเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตนถึงต้องกลายเป็นอสูร การตามหาความจริงที่แสนยากลำบากจนกระทั่งได้พบว่าในกล่องแห่งความลับซ่อนอะไรเอาไว้

   ก็เข้าใจแหละ ว่าเพราะอะไรเขาถึงเขียนเรื่องราวแค่ในส่วนของเจ้าชายลงไป เรื่องเล่านี้มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่บอกได้ว่ามันจะเป็นแบบไหน ธชาเป็นเพียงเจ้าชายที่ถูกสาป เป็นคนที่ต้องรอคอยว่าเทวดาผู้ร่ายคาถาจะเสกให้เขากลับคืนร่างเดิมด้วยเงื่อนไขใด

   ทั้งที่เป็นเทพนิยายเรื่องเดียวกัน แต่คนละความรู้สึกเลยใช่ไหมล่ะ

   ถ้าตอนนี้คือบทสุดท้ายของเรื่อง ผมจะเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไรถึงไม่เคยเรียกเขาว่าชา

   ตลอดเวลาที่ได้คุยกัน ผมหลงรักทุกอย่างที่รวมกันแล้วเป็นเขา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือว่าเรื่องใหญ่ ผู้ชายที่ยิ้มอ่อนโยนให้กับดอกไม้ คนที่ส่งข้อความมางอแงเพราะซื้อหนังสือมาแล้วมันไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ คนใจดีที่ห่วงใยเพื่อนตลอดเวลา

   พอเข้าใจแล้วหรือยัง?

   ผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ 'ชา' คนที่ผมรู้จัก

   ความคิดที่วิ่งวนตีกันไปมายุ่งเหยิงข้างในมันทำให้ไม่อาจตั้งสมาธิกับงานประดิษฐ์ได้ ผมวางอุปกรณ์ในมือลงกับโต๊ะ สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเองก่อนตัดสินใจทำบางอย่าง

   เงยหน้าขึ้นมามองชั้นวางข้างตัว ที่อยู่ตรงกับระดับสายตาเวลานั่งคือกล่องพลาสติกไว้เก็บของสัพเพเหระจนมองไม่เห็นข้างใน มองทะลุเข้าไปสิ่งที่อยู่ในความคิดตอนนี้คือหนังสือปกน้ำตาลไร้ลายที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง มันยังคงเป็นสมุดไร้เส้นว่างเปล่าไม่มีข้อความใดเขียนลงไปเพิ่มเติม

   เอื้อมมือออกไปขยับสิ่งที่บดบังเอาไว้ ผมหยิบสมุดเจ้าปัญหาออกมาไว้ในมือ ซ่อนรอยอาลัยเอาไว้ด้วยการไม่มองมันให้เต็มตา

   หยิบแผ่นกระดาษลายดอกกุหลาบสีแดงสดติดมือเอาไว้อีกแผ่น ขยับตัวออกจากที่นั่งไปหาผู้ชายตัวสูงช้าๆ แต่มั่นคง ของเตะตาอย่างต่างหูแบบห้อยไม่มีลวดลายช่วยเตือนให้ไม่ลืมคืนอีกอย่าง ผมเอียงคอเล็กน้อยเพื่อความสะดวกต่อการถอด จังหวะที่ตัวล็อกขยับออกจากกันเหมือนกับว่ามันช่วยปลดความรู้สึกบางอย่างออกไปเช่นกัน

   "ถ้าเราเป็นคนเขียนเหรอ..."

   สบกับนัยน์ตาที่ไม่เคยสะท้อนตัวตนของผมข้างในสักครั้ง รวบรวมความกล้าทั้งหมดในการพูดมันออกไป

   "แฟรี่คงสำนึกในความผิดทั้งหมดที่ก่อ...เลยเสกให้อสูรร้ายได้กลับมาเป็นเจ้าชายอีกครั้งก่อนที่จะบินกลับไปอยู่ในดินแดนของทูตตามเดิม"

   ส่งรอยยิ้มกว้างให้เขาอย่างที่เคยอยากทำมาเสมอแต่ไม่มีโอกาส เอ่ยคำที่รู้ว่ามันคือการบอกลาสุดท้ายในตัว

   "ขอให้มีความสุขตลอดไปนะธชา"

   เทวดาได้เสกคำอวยพรใหม่ให้อสูรร้ายแล้ว


END


***
   เรื่องนี้ตั้งเป้าว่าจะคุยกันสั้นกว่าเรื่องของพี่แบล็คค่ะ (หัวเราะ)
   Fairy Tells เป็นเรื่องที่เกิดจากการหาคำว่า  Fairy Tale แปลว่าอะไร แล้วนอกจากคำว่าเทพนิยายที่แปลกใจคือได้คำว่า 'เรื่องโกหก' ออกมาด้วย มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่ว่าอยากลองแต่งอะไรที่เกี่ยวข้องกับเทพนิยายแต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเรื่องโกหกค่ะ
   ก็เลยหาเทพนิยายอ่านไปเรื่อย ไปสะดุดตากับตรงท้ายของเรื่อง Beauty and the Beast ที่เฉลยว่าใครเป็นคนสาป พอเจ้าเห็นคำว่า Fairy เท่านั้นแหละค่ะ พล็อตมาล่ะ (ฮา) คงสนุกดีถ้าได้แต่งเรื่องที่มีการมาเฉลยว่าคนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความดีงามนั่นแหละที่น่ากลัวกว่าใคร ตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องชื่อเรื่องด้วย ก็เลย เอาล่ะ มาขั้นนี้แล้ว ทำเป็นเรื่องเล่าของแฟรี่ (Fairy Tells - แฟรี่บอก) ไปดีกว่า นั่นเลยเป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษค่ะ ที่ต้องใส่ภาษาไทยด้วยเพราะกลัวว่าจะตามหายากกัน คำว่าแฟรี่เทลมันเป็นคำทั่วไปด้วยน่ะค่ะ ชื่อไทยนี่จำที่มาไม่ค่อยได้ (ฮา)
   คือมันเป็นการคิดไปมาสลับกับการเพิ่มเติมสิ่งที่อยากใส่เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ค่ะ อาจจะเรียงลำดับไม่ค่อยถูกเพราะว่าเปลี่ยนไปมาตลอดแล้วมันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว (หัวเราะ) ที่เจ้าใส่เทพนิยายลงไปในแต่ละตอนนี่บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าคิดอะไรอยู่ ทั้งอ่านมาแล้วเลยไม่อยากจะปล่อยมันไปแล้วก็ความคิดชั่ววูบว่าอยากจะเล่นใหญ่ด้วยมั้งคะ บอกตัวเองตลอดเลยค่ะว่าไม่เอาแล้วนะ แค่นี้พอแล้ว ปัญหาระหว่างแต่งเยอะมากค่ะ เปลี่ยนไปมาตลอด เนื้อเรื่องแรกเริ่มที่เรียกได้ว่าคนละเรื่องกับที่อยู่ในต้นฉบับเลย (ฮา)
   ตอนที่เริ่มอ่านเรื่องแรกๆ มันก็สนุกอยู่หรอกค่ะ พอผ่านไปสักพักนี่เริ่มล่ะ งอแง แต่ก็หยุดไม่ได้เพราะว่ายังหาเรื่องที่ต้องการไม่เจอ เกือบทุกเรื่องมีอะไรที่โยงไปหาตัวเรื่องหลักได้ค่ะ หาเองก็จะบ้าตายเอง ขอสดุดีน้ำยาหยอดตาที่อยู่กับเจ้ามาตลอดนะคะ (หัวเราะ) หมดไปเยอะอยู่
   เจ้าไม่ให้ตัวละครในเรื่องขาวสุดหรือว่ามืดสุด มันก็เป็นผลจากการอ่านอีกแหละว่าเรามักจะแบ่งความดี ความชั่ว แม่มด นางฟ้า ออกจากกันชัดเจน เจ้าเลยพยายามหาเรื่องที่มันไม่เป็นอย่างนั้น ในเรื่องนี้ไม่มีใครดีที่สุดและแย่ที่สุด เราต่างมีความลับ มีข้อผิดพลาด มีสิ่งที่อยากเก็บเอาไว้กันทั้งนั้น
   ถ้าเป็นนักอ่านที่ตามงานเจ้ามาก่อนอาจจะไม่ค่อยแปลกใจ (หรือเปล่า) ที่เจ้าเลือกตอนจบอย่างนี้ ด้วยตัวเนื้อหา ด้วยสิ่งที่เจ้าอยากนำเสนอ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะเลือกให้จบแบบมีความสุขตลอดไป คือหนึ่งอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่านเทพนิยายส่วนใหญ่คือมันมักจะจบแบบมีความสุขค่ะ แต่เราไม่ใช่เทพนิยายนี่เนอะ
   ขอบคุณสำหรับการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าจากนางฟ้าค่ะ (ยิ้ม)
   23August

   #หลอกลวงรัก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด