ตอนที่ 10 - llผมต้องเข้าฉากกับเฟิร์สต่อ พอล้างหน้า เปลี่ยนชุดและแต่งหน้าใหม่เสร็จก็เลยเดินมาหาเฟิร์สเพื่อคุยเรื่องฉากต่อไป
พระรองของเรื่องยังคงยิ้มแย้มให้ผมเหมือนเคย แม้ว่าหลายครั้งที่เฟิร์สพยายามจะเข้ามาคุยกับผมแล้วจะถูกไอ้โซลกวนตีนใส่ตลอดก็ตาม และเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเฟิร์สเลยต้องเป็นฝ่ายถอยออกไปทุกครั้ง...เพราะไอ้โซลไม่ยอมถอย ผมย่นจมูก พอพูดถึงไอ้เด็กนั่นแล้วมันก็...
“ร้อนเหรอซีน ผ้าเย็นไหม”
“ห..หือ ไม่นะ”
“เห็นหน้าแดงๆ เอาไปเถอะ”
ผมยิ้มแห้งๆ รับเอาของในมือเฟิร์สมาอย่างช่วยไม่ได้ ...บรรยากาศตอนเย็นที่มีลมพัดเอื่อยๆ จะเอาที่ไหนมาร้อนวะ...
ตอนนึกถึงไอ้เด็กนั่น ผมก็แค่เจ็บใจ...เจ็บใจเท่านั้นแหละ!
“ซีนรถเสียเหรอ”
ผมพยักหน้า เฟิร์สคงจะเห็นจากที่ผมทวิตไปเมื่อตอนเที่ยง
“ถ้ายังไงให้เราไปรับได้นะ ทั้งมาที่กองถ่ายหรือเผื่อวันหยุดแล้วอยากออกไปไหน”
“ไม่เป็นไร เราไม่ค่อยออกไปไหนหรอก”
“ซีนจะปฏิเสธเราทุกอย่างเลยเหรอเนี่ย” เฟิร์สพูดติดตลก แต่กลับทำให้ผมชะงัก
จะว่าไปผมเริ่มไม่ค่อยอึดอัดเวลาอยู่กับเฟิร์สแล้ว อาจเพราะสนิทกันขึ้นมาหน่อยก็ว่าได้ ถึงแม้ที่กองถ่ายจะได้คุยกันเฉพาะเวลาที่ไอ้โซลถ่ายเดี่ยวอยู่ก็เถอะ พอนึกถึงเรื่องดูหนังผมเลยรู้สึกผิดขึ้นมาอีก แต่นั่นไม่เหมือนกับครั้งนี้ซะหน่อย ผมว่านี่มันมากเกินไป
“ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจนะ แต่คือ...เราแค่เกรงใจ” ผมบอกไปตามตรง ทำไมทั้งเฟิร์สและไอ้โซลต้องมาทำแบบนี้กับผมด้วย ผมก็กดดันเป็นนะเว้ย ไม่คิดว่าผมจะลำบากใจบ้างเหรอ ผมไม่ได้ดูแลตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น จริงๆ รถที่บ้านก็ยังมีอีก ผมจะเอามาใช้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนใครเลยด้วยซ้ำ แต่ผมรับปากกับไอ้โซลไปแล้ว แล้วที่ต้องยอมมันก็เพราะ...เพราะอะไรก็ไม่รู้แล้วเว้ย!
มันทำอะไรกับผมก็ไม่รู้!
“เราล้อเล่น ซีนอย่าซีเรียสดิ” เฟิร์สโบกมือไปมาพลางหัวเราะ “เราเข้าใจ เราเสนอไปอย่างนั้นแหละ เผื่อฟลุ๊คเฉยๆ”
ผมคลายคิ้วที่เผลอขมวดเข้าหากัน ถ้าเฟิร์สเข้าใจผมก็โล่งอก...จริงๆ ก็ดูคุยง่ายกว่าที่คิด เรานั่งคุยกันต่อไปสักพักผมก็เห็นไอ้ตัวการที่ทำให้หงุดหงิดเดินมาทางนี้ มันคงเพิ่งแต่งหน้าเสร็จ ผมเลยสะกิดเฟิร์สให้ลุกขึ้น “ไปเตรียมตัวกันเถอะ”
เฟิร์สยอมตามผมมาอย่างง่ายดาย ผมเห็นว่าคนข้างตัวหันไปมองด้านหลังเล็กน้อย คงเป็นสงครามประสาทของสองคนนี้อย่างเคยล่ะมั้ง…
“ศุกร์นี้ซีนว่างใช่ไหม”
“อื้ม ทำไมเหรอ” ผมถามพลางดูบทไปด้วย แม้ว่าจะจำได้แล้วก็ตาม แต่ก็ดีกว่าต้องเงยหน้าแล้วเผลอเห็นใครบางคนให้เสียสมาธิ
“จะเป็นอะไรไหม...ถ้าเราจะชวนไปดูหนังอีกครั้ง”
วันศุกร์ไม่มีคิวถ่าย แพลนของผมคือนอนมันทั้งวันเพื่อชดเชยเวลาพักผ่อนที่สูญเสียไป น้ำเสียงเฟิร์สดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก อาจเพราะเคยถูกผมปฏิเสธไปแล้วครั้งนึง
ในตอนนั้นผมเพิ่งรู้จักกับเฟิร์สเลยรู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องไปไหนมาไหนด้วย ส่วนตอนนี้ผมคุยกับเฟิร์สได้เรื่อยๆ แบบไม่อึดอัดอะไร...ใจนึงผมก็อยากนอนอยู่บ้าน แต่อีกใจก็ไม่อยากปฏิเสธอีกครั้งเลยจริงๆ ...
...
เข้าฉากกับเฟิร์สผ่านไปด้วยดีเพราะไม่ได้มีอะไรมาก เป็นช่วงที่ตัวผมในเรื่องหนีมาอยู่กับพระรองเพราะไม่เข้าใจความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อพระเอก มีแค่บทพูดธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรถึงเนื้อถึงตัวอย่างเวลาเข้าฉากกับ...ฮึ่ย ผมควรเลิกนึกถึงเรื่องนั้นซะที
ฉากต่อไปเป็นฉากที่พระเอกกับพระรองปะทะกัน...ปะทะแค่ทางคำพูดเท่านั้นแหละ ผมเห็นไอ้โซลกำลังเดินเข้ามาหา ผมเลยบอกพี่ปุ้ยว่าจะไปเข้าห้องน้ำแล้วก็รีบวิ่งออกไปเลย
“น้องซีน!” พี่ปุ้ยตะโกนเรียก...แต่ผมไม่ได้หันไป “ห้องน้ำอยู่ทางโน้นนะคะ!”
ผมคิดว่าไอ้โซลก็คงรู้ เพราะปกติเราอยู่ด้วยกันตลอดแต่นี่มันอยู่ที่ไหนผมก็เลี่ยง และผมก็โคตรไม่เนียน...ดันวิ่งมาผิดทาง!
ผมไม่ได้หลบหน้ามันนะ...แค่
ยังไม่อยากมองหน้ามันเฉยๆ
กลับมาอีกทีเห็นพี่โป้งกำลังบรีฟสองคนนั้นอยู่ ผมนั่งลงข้างพี่ปุ้ย ไอ้โซลมีสีหน้าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด มันถอนหายใจหลายครั้ง และเมื่อมันมองมาทางนี้...ผมก็หันหน้าหนีทันที...
พอพี่โป้งบอกให้เริ่มถ่าย ทั้งสองก็เดินเข้ามาในฉากกันคนละทาง เพราะไม่ได้มองทางพวกมันเลยเดินชนกัน และเมื่อเห็นว่าอีกคนเป็นใครต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“เพื่อนสนิทไปไหนซะล่ะ” คำถามของเฟิร์สทำให้ไอ้โซลเบือนหน้าหนี “ค่อยเป็นค่อยไปหน่อยสิวะ”
“เสือก”
“เมื่อกี้เขาอยู่กับกู”
ไอ้โซลตวัดสายตามองเฟิร์ส “หุบปากก่อนที่ปากมึงจะแตก”
แต่เฟิร์สไม่ได้เกรงกลัวคำขู่นั้น พระรองของเรื่องหัวเราะในลำคอ “เพราะใจร้อนอย่างนี้ไง ยัดเยียดความรู้สึกตัวเองให้เขา เขาเลยต้องหนีมาหากู”
ไอ้โซลสูดลมหายใจเข้าอย่างพยายามระงับอารมณ์ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกกลัว...กลัวว่ามันจะนอกบทแล้วเหวี่ยงหมัดเข้าใส่เฟิร์สจริงๆ ...ฉากตรงหน้าไม่เหมือนกำลังแสดงกันอยู่เลยให้ตายสิ!
“มึงไม่รู้อะไรอย่าทำเป็นรู้มากจะดีกว่า”
“มึงก็อย่ามั่นใจไปหน่อยเลยว่าเขาจะเลือกมึง”
“หึ...กูมีวิธีของกูก็แล้วกัน”“หวังว่าจะไม่ใช่วิธีที่ทำให้เขาเตลิดมาหากูหรอกนะ”
เฟิร์สยังคงใช้คำพูดยั่วโมโห แต่ไอ้โซลไม่บ้าจี้ตามอีก ทำเพียงแค่นยิ้ม “มันอยู่กับมึงแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ อย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลย
เรื่องระหว่างพวกกูไม่ได้มีแค่ที่มึงเห็น”
“เหอะ! มึงบอกตัวเองเถอะ ทำให้เขารักให้ได้ก่อนไหมค่อยมาพูด”
ไอ้โซลเหยียดยิ้มเหมือนมั่นใจเสียเต็มประดา มันไม่ได้ตอบโต้ประโยคนั้น แต่กลับตบไหล่เฟิร์สพลางทำหน้าเห็นอกเห็นใจ “มึงก็อย่าหวังสูงเกินไปล่ะ ตกลงมาจะเจ็บเปล่าๆ ถือว่ากูเตือนแล้วนะ”
“คัท!”
เท่านั้นทั้งสองก็ผละออกจากกันแทบจะทันที ผมถอนสายตาจากจอมอนิเตอร์ ลุกขึ้นเดินออกมาจากตรงนั้น รู้ตัวว่ามันดูลุกลี้ลุกลนจนผมก็ชักรำคาญตัวเองเหมือนกัน แต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็มีทีมงานคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาแล้วยัดขวดน้ำใส่มือผม
“ฝากไปให้น้องเฟิร์สหน่อยนะคะ พี่จะไปเข้าห้องน้ำ พี่ไม่ไหวแล้ว ขอบคุณนะคะน้องซีน” ว่าจบพี่แกก็วิ่งไปเลย ผมยังไม่ทันอ้าปากตอบอะไรด้วยซ้ำ
จะใช้ผมก็ไม่เป็นอะไรหรอกแต่ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย!
ผมจำใจเดินกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ จะฝากคนอื่นไปแทนก็เกรงใจ ทีมงานคนอื่นกำลังวิ่งวุ่นกันจะให้ผมมาทำตัวไร้สาระอย่างนี้ไม่ได้หรอก
ผมเห็นไอ้โซลรับน้ำจากพี่ปุ้ยหลังจากที่มันเช็คมอนิเตอร์เรียบร้อยแล้ว ผมเดินเข้าไปหาเฟิร์สที่อยู่ห่างออกมาจากมันไม่กี่ก้าว แม้พยายามเลี่ยงที่จะมองมันแต่หางตาผมก็ยังเห็นว่ามันกำลังมองผมอยู่ดี ผมรีบหลับหูหลับตายื่นน้ำไปให้เฟิร์สเพื่อที่จะได้รีบเดินออกมาจากตรงนั้น
“อ่ะ น้ำ”
เฟิร์สอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร” ผมยิ้มกลับไปนิดๆ จะปลีกตัวออกมาแต่เฟิร์สกลับเรียกไว้ก่อน
“ซีนรีบไปไหนเหรอ”
“ป...เปล่า ไม่รีบๆ”
ผมยืนหันหลังให้ไอ้โซล รู้ว่ามันยังคงอยู่ที่เดิมเพราะได้ยินเสียงมันคุยกับพี่ปุ้ย ส่วนเฟิร์สดูดน้ำในขวดแล้วมองผมยิ้มๆ
“วันนี้ซีนแปลกๆ นะ” ว่าพลางซับเหงื่อไปด้วย พอเห็นผมยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองเฟิร์สก็หัวเราะ “ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วเราแปลกยังไง”
“ไม่รู้สิ” เฟิร์สยักไหล่ “แต่เราชอบนะ”
ผมชะงักไปนิดนึง หัวเราะแห้งๆ แบบไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่เลือกที่จะไม่ถามต่อเพราะตอนนี้มีบางสิ่งที่กวนใจผมมากกว่าคำพูดแปลกๆ ของเฟิร์ส
“ไหนๆ วันนี้ซีนก็ไม่ปฏิเสธเราแล้ว งั้นเราขออีกอย่างแล้วกันนะ”
“อะไรเหรอ”
เฟิร์สไม่ตอบแต่กลับยกโทรศัพท์ขึ้นมาแทน “เอ้า ยิ้มหน่อย”
แชะ“เฮ้ย” ผมหน้าเหวอ รูปแม่งก็ต้องเหวอด้วยแน่ๆ “ยังไม่ได้ตั้งตัวเลย”
“ฮ่าๆ ล้อเล่น” เฟิร์สหัวเราะก่อนจะชูกล้องขึ้นมาใหม่ ยื่นมือออกไปเล็กน้อยเพียงเท่านั้น หน้าจอเลยเห็นหน้าผมครึ่งเดียว เฟิร์สจึงขยับเข้ามาใกล้ๆ จนเกือบจะแนบกันอยู่แล้วถึงเห็นหน้าเราทั้งคู่เต็มจอ...ก็แค่ถ่ายรูปเองไม่เห็นต้องขอ
กดถ่ายไปหลายรูปจนเจ้าตัวพอใจนั่นแหละผมเลยบอกว่าขอตัวก่อนเพราะเดี๋ยวต้องเข้าฉากต่อไป แต่พอหันหลังกลับผมก็ชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง...
“แผนสูงจังนะ”
ผมลูบจมูกตัวเองเล็กน้อย ไอ้โซลมองเลยไปข้างหลังทำให้รู้ว่ามันไม่ได้พูดกับผม
“ก็ดีกว่าพวกชอบฉวยโอกาส”
ผมมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ พี่ปุ้ยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ที่ตรงนี้เหลือแค่พวกผมเท่านั้น ผมอยากเดินออกมาแต่ก็กลัวว่าถ้าไม่มีคนกลางคอยห้าม พวกมันอาจขาดสติแล้วมีเรื่องกันจริงๆ ได้
“ใช้บทพระเอกคุ้มว่ะ”
“อิจฉางั้นสิ”
“ก็ใช่” เฟิร์สยอมรับง่ายๆ สีหน้าทั้งคู่ราบเรียบจนยากที่จะคาดเดาอารมณ์ “แต่อย่าเพิ่งดีใจไป...อย่าลืมสิว่าในชีวิตจริงบทนี้มันจะไปตกอยู่ที่ใครก็ได้”
ผมมองทั้งสองคนสลับไปมา พวกมันทะเลาะกันเรื่องบทเหรอ...แต่ทำไมรู้สึกเหมือนดูฉากที่เพิ่งถ่ายเสร็จไปเมื่อกี้อยู่เลย ต่างกันตรงที่เฟิร์สเดินเข้ามาตบไหล่ไอ้โซลแทน
“และอาจเป็นกูที่ได้บทนั้น”
ไอ้โซลส่งเสียงเหอะในลำคอ ปัดมือของเฟิร์สออก “บอกแล้วไงว่าอย่าหวังสูงเกิน”
พวกนี้พูดอะไรกันวะ...ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ไอ้โซลก็หันมาทางผม
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ” ผมเสสายตาหลบ แน่นอนว่าผมหนีมันไม่พ้นหรอกเพราะฉากต่อไปก็ต้องถ่ายกับมัน กลับบ้านก็ต้องกลับกับมัน พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องเจอมันเหมือนเดิม…แต่ถึงยังไงก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ค่อยคุย”
“พี่ซีนครับ” ไอ้โซลขยับเข้ามาใกล้ แต่ผมกลับถอยห่างออกทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นมองมันสักนิด มันผิดสังเกต...แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้
“เลิกกองก่อนนะ”
มันพ่นลมหายใจ “...ก็ได้ครับ”
“มึงก็เห็นผลลัพธ์แล้วไม่ใช่เหรอ” เฟิร์สเอ่ยขึ้นพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ...ตอนนี้ผมคิดว่าพวกนี้ต้องมีเรื่องผิดใจกันนอกจากเรื่องแคสซีรีส์แน่แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“เห็นสิ
...มึงต่างหากที่ยังไม่เห็น”
ผมมองไอ้โซลอย่างตกใจเพราะคำที่มันใช้เรียกเฟิร์ส นั่นรุ่นพี่นะเว้ย...แต่เฟิร์สก็ไม่ได้ใส่ใจสรรพนามนั้น กลับทำเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย
“อย่าดีแต่อวดแล้วกัน” ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “เจอกันนะซีน” แล้วถึงเดินจากไป…
...
แม่ง ทีอย่างนี้ทำไมเวลามันเดินเร็วนักฮะ!
ไอ้โซลเดินอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพราะผมก้าวขาเร็วหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ได้ลืมเรื่องที่มันจะคุยด้วยหรอกนะ แต่ถ้ามันลืมไปก็ดี...แต่โชคไม่เข้าข้าง พอใกล้จะถึงตัวรถแขนผมก็ถูกคว้าเอาไว้
“เราจะคุยกันได้หรือยังครับ”
“ค...คุยอะไร”
แกล้งโง่ได้ไม่เนียน... ซึ่งนั่นทำให้ไอ้โซลถอนหายใจออกมา ผมยังคงก้มหน้าอย่างที่ทำมาตลอดหลายชั่วโมง ทำเพียงมองปลายเท้าของอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้า
“ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้โกรธ แต่ผมอยากรู้ว่าพี่หลบหน้าผมทำไม”
ผมเม้มปากแน่น ตอนนี้ถึงอยากจะหนียังไงผมก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้จะเพิ่งเข้าฉากกับมันมาแต่เพราะทีมงานอยู่เยอะผมเลยเลี่ยงมันได้บ้าง แต่ตอนนี้คงทำอย่างนั้นไม่ได้...ตรงนี้มีแค่ผมกับมัน...ผมต้องตอบจริงๆ เหรอ...
ใครจะไปพูดกันล่ะ!
“เปล่า กูก็...ทำตัวปกตินะ”
“พี่หลบหน้าผม พอผมเข้าใกล้ก็เดินหนี แต่กับไอ้นั่นที่ยืนชิดพี่ขนาดนั้น พี่ยังไม่ว่าอะไรสักคำ...แบบนี้คือปกติเหรอครับ”
“…”
“พี่ไม่มองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงนั้นทำเอาใจผมยวบ...อาการที่ผมเป็นอยู่มันงี่เง่าสิ้นดี ไม่ใช่ว่าไม่หงุดหงิดตัวเองแต่จะให้ผมทำยังไงกับมันล่ะ...ผมไม่เคยเจอความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
“ก...กูไม่ได้ตั้งใจ มึงก็รู้นี่ว่าไม่ได้โกรธ...แล้วจะเอาอะไรอีกเล่า!” ผมกัดปาก “
...มึงกับเฟิร์สไม่เหมือนกันนี่หว่า...กับมึงน่ะ ค...คือมัน...” กำชายเสื้อของตัวเองแน่น อมพะนำคำๆ นั้นเอาไว้ ก็จะให้พูดออกไปยังไงล่ะว่าผม...!
ไอ้โซลเงียบไป…เหมือนรอฟังให้ผมพูดออกมาให้หมด
แต่เมื่อผมไม่สามารถพูดออกไปได้...มันก็ยังคงเงียบ
อีกแล้ว...มันทำแบบนี้อีกแล้ว ผมไม่ชอบเลย มันชักจะได้ใจใหญ่แล้วเพราะมันรู้ว่าผมรู้ว่ามันคิดอะไร จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาผมรู้ว่ามันเป็นห่วงเลยยอม แต่ครั้งนี้ที่หลบหน้ามัน...ผมผิดเหรอวะ…
...ก็แค่ยังไม่พร้อมจะมองเฉยๆทั้งๆ ที่มันเป็นต้นเหตุแท้ๆ และทั้งๆ ที่ผมไม่จำเป็นต้องตอบมันด้วยซ้ำ...แต่ผมก็แค่ไม่ชินเวลาที่มันเงียบไปแบบนี้แทนการยกยิ้มน่าหมั่นไส้เฉยๆ หรอกน่า
...ผมก็เลยต้อง
ยอมมันอีกครั้งจนได้
ผมตัดสิ้นใจเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า เท่านั้นเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง ฉายซ้ำได้เหมือนจริง...และยังมาพร้อมกับความร้อนที่พุ่งขึ้นมากระจุกรวมตัวกันที่หน้าอีกด้วย
และให้ตายเถอะ...
ไอ้โซลกำลังยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่รู้อยู่แล้ว รู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้น...เป็นรอยยิ้มของคนขี้แกล้ง!
ผมยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองเอาไว้ทันที ไม่
เขินแม่งแล้ว ตอนนี้โมโหเว้ย!
“ไอ้คนนิสัยไม่ดี!” เหวี่ยงมือทุบเข้าที่ตัวมันหลายทีจนมันร้องโอดโอยจับมือของผมเอาไว้ ผมชักมือกลับ แทบจะเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าปิดตาตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด
หลงกลมันจนได้!
“มึงมันชั่ว!”
มันพยายามกลั้นหัวเราะ “ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว” ยกมือสองข้างขึ้นเป็นท่าทางประกอบ “สารภาพแล้วครับว่าผมรู้เหตุผลของพี่”
“แล้วทำมาเป็นโกรธ กูต่างหากที่ต้องโกรธน่ะ!” ...เพราะอาการนั้นมันเป็นต้นเหตุไง!
ไอ้โซลส่ายหน้า หุบยิ้มลง “ตอนแรกที่ผมยอมให้พี่หลบหน้าเพราะผมรู้ว่าทำไม ผมเลยไม่ได้ตามพี่ไปเปลี่ยนชุดทันที...แต่ไม่คิดว่าพี่จะไปอยู่กับไอ้พระรองนั่น”
“…”
“ถ้าเป็นอย่างนี้คราวหลังไม่ยอมให้หลบแล้วนะครับ”
ยังมีคราวหน้าคราวหลังอีกเหรอ!
“ก็อย่าทำให้ต้องหลบสิวะ!”
“ตอนพี่หอมแก้มผม ผมยังไม่เห็นหลบหน้าพี่เลย ขี้โกงนี่ครับ”
“จะพูดขึ้นมาอีกทำไมล่ะ!” ครั้งนั้นน่าอายกว่านี้อีก ผมฟาดมือลงไปบนแขนมันอีกครั้ง “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว!”
“ครับๆ” มองมันลูบแขนตัวเองพลางหัวเราะแล้วก็อยากตีให้ช้ำตายไปเลย หมั่นไส้จนคันไม้คันมือไปหมด
เวลาตีหนึ่งกว่าๆ ที่อากาศเย็นจนเรียกได้ว่าหนาวสำหรับคนอย่างผม แต่ผมกลับรู้สึกร้อนขึ้นมาดื้อๆ เมื่อผมไม่คิดที่จะหลบสายตาของมัน อาจเพราะมีมือทั้งสองที่กุมหน้าตัวเองเอาไว้อยู่เลยทำให้ผมสามารถปกปิดร่องรอยของอาการบางอย่างได้
“แต่เฟิร์ส...เป็นเพื่อนกูนะ” ไม่ชอบกันเองแล้วจะเอาผมไปเกี่ยวด้วยทำไมก็ไม่รู้ พอได้ยินชื่อนั้นไอ้โซลก็เบ้หน้า
“มันก็ได้แค่เพื่อนนั่นแหละ” ไอ้คนตรงหน้าพึมพำแต่รอบกายค่อนข้างเงียบผมเลยได้ยิน
“หือ หมายความว่าไง”
ไอ้โซลไม่ตอบ จ้องเข้ามาในดวงตาของผมแทน “แล้วผมล่ะ?”
แม่ง...ผมหันหน้ามองไปทางอื่นจนได้ “มึงก็...เป็นคนขับรถไง”
คำตอบนั้นทำให้มันหลุดหัวเราะออกมา “อย่างนั้นก็ได้ครับ”
ผมหน้ามุ่ย เดี๋ยวมันก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ทำหน้าดุ บางทีก็ชอบพูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจด้วย ไอ้โซลดึงประตูข้างคนขับให้เปิดออก วางมือบนหัวของผมแล้วลูบเบาๆ “เชิญครับเจ้านาย”
ลูกน้องที่ไหนเขาเล่นหัวเจ้านายอย่างนี้กันเล่า!
…แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ปัดมือมันออก...
ก็มือไม่ว่างนี่ทำได้แค่กระแทกตัวลงกับเบาะอย่างไม่พอใจ...ผมว่าผมแสดงออกไปแบบนั้นนะ
...แต่ทำไมมันยังยิ้มอยู่ล่ะ...
มีความสุขอะไรนักหนา!-
ถ้าน้องทำมากกว่านี้พี่จะเป็นลมมั้ยคะ...
หรือต้องทำบ่อยๆ จะได้ชิน... /โดนพี่ซีนฟาด
โซลต้องรุกแล้วค่ะ นั่งมานานเมื่อยจะแย่ #นั่นมันลุก ห้าบาทสิบบาทก็ยังจะเล่น -*-
เราพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละครั้ง อาจมาช้าบ้างเร็วบ้างแต่ก็พยายามให้มันอยู่ในอาทิตย์นั้น แฮะๆ แต่ไม่รู้อาทิตย์หน้าจะได้อัพรึเปล่านะคะ ทั้งสอบทั้งงาน ขอโทษล่วงหน้าก่อนเลยแล้วกัน T ^ T
ติชมกันได้นะคะ #ข้างหลังฉาก หรือมาพูดคุยกันก็ด้ายยยในทวิตเน้ออ ‘ ‘/
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า <3