ตอนที่ 4
โน้ตการ์ดใบที่ 4
มึงต้องเนียน! “เนียนเหรอ” สตาร์ทวนคำพูดของผม หลังจากที่ผมบอกเขาว่าเขาต้องเนียน
ผมรีบเอาโน้ตการ์ดของไอ้สิกซ่อนไว้ข้างในกระเป๋าเสื้อ ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวันครับ ผมหลบพวกเพื่อนมาหาสตาร์ที่ห้องเรียนของเขา เพื่อที่จะมาบอกวิธีการจีบไอ้สิกให้สตาร์ได้รับรู้ ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีจากไอ้สิกเองก็เถอะ
“ช่าย เนียนเท่านั้นที่จะครองโลก”
“เคยได้ยินแต่คำว่าตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก”
“สมัยนี้แค่ตื๊อใช้ไม่ได้หรอก” อยากจะบอกว่าผมเลียนแบบคำพูดของไอ้สิกมาใช้กับสตาร์อีกแล้วครับ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะทำตัวเป็นไอ้สิกแบบตอนเมื่อเช้าที่มันคุยกับผม “มึงต้องเนียนกับไอ้สิก ทั้งเดินเป็นเพื่อน ไปซื้อของเป็นเพื่อน อะไรอย่างงี้น่ะ”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” สตาร์พยักหน้าอย่างน่ารัก “ว่าแต่กูจะมีเวลาทำอย่างนั้นกับสิกมั้ยล่ะ กูเรียนหนักออกอย่างนี้”
“มึงก็ต้องสร้างเวลานั้นขึ้นมาไง”
“สิกมีเรียนพิเศษบ้างป่ะ”
“มีนะ จันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์อ่ะ”
สตาร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “กูไม่ว่างสักวันเลย”
“เอาน่า สู้ๆ”
“มึงไม่เรียนพิเศษบ้างเหรอ”
“เรียนคอร์สเดียวกันกับไอ้สิกทุกอย่าง”
“อ๋อ เหรอวะ”
“...”
“กูจะพยายามนะ”
“สู้ๆ นะเว้ยสตาร์ กูเชียร์อยู่”
“เริ่มเรียนเมื่อไหร่กัน”
“อาทิตย์หน้า”
“โอเค”
ผมโบกมือลาสตาร์ รู้สึกว่าตัวเองควรรีบออกไปจากห้องเรียนแห่งนี้โดยเร็วที่สุด เพราะระหว่างที่ผมคุยกับสตาร์อยู่ มีสายตาอำมหิตจากทั่วทุกสารทิศจับจ้อง สายตาพวกนั้นก็คือไอ้พวกห้องหนึ่งนี่แหละ มันไม่ชอบทุกคนที่เข้ามาหาสตาร์
โถ ไอ้พวกบ้า
ผมตบโน้ตการ์ดที่อยู่ในกระเป๋าอกเสื้อของผมพร้อมกับทำสีหน้าขึงขังกับตัวเอง อย่างน้อยวันนี้ก็เสร็จไปแล้วอีกหนึ่งวัน อาการของผมดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และผมก็เชื่อว่าต้องมีสักวันที่มันหายสนิท
ปลายทางของผมอาจไม่สมหวัง แต่ปลายทางของสตาร์อาจจะสมหวังก็ได้ จริงมั้ยครับ
ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าถึงห้องเรียนของตัวเอง ร่างสูงๆ ของไอ้สิกก็มายืนเท้าเอวมองผม
“ไปไหนมา” มันทำเสียงแข็งใส่ “กูตามหามึงจนทั่วโรงเรียนไปหมดแล้ว”
“ไม่จริงมั้ง” ผมตอบเลี่ยงๆ เดินเข้าไปในห้องเรียน
“ไม่เชื่อถามสัดอ๊อฟกับสัดตังดูดิ”
“ไม่ถามหรอก”
“ไปไหนมาวะ”
“ห้องสตาร์”
คำพูดของผมทำเอาไอ้สิกถึงกับเงียบไปเลย มันอึ้งอยู่นานก่อนที่มันจะค่อยๆ พูดออกมา “มีการพัฒนาด้วยแฮะ ไปหาถึงที่ห้องเลยเหรอ”
“ใครสอนกูล่ะ”
“แน่นอน ระดับปรมาจารย์สอนแล้ว ลูกศิษย์ก็ต้องเก่งเป็นธรรมดา”
“อืม”
ผมนั่งลงที่โต๊ะเรียน รู้สึกว่าถูกไอ้คนที่นั่งข้างๆ ใช้สายตาจับจ้อง ผมหันไปมองมัน ไอ้สิกยังคงจ้องมองผมเขม็ง
“ต้องการอะไรวะเพื่อน”
“ทำไมมึงไม่เล่าล่ะ”
“เล่าห่าไร”
“เล่าเรื่องมึงกับสตาร์ไง”
นี่ผมต้องแถอีกแล้วเหรอ ผมพยายามหาอะไรก็ตามที่พอจะช่วยให้ผมรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้ ไอ้อ๊อฟกับไอ้ตังแม่งก็ไม่ช่วยห่าไรเลย แม่งดวลไพ่ยูกิกันอยู่นั่น
“ก็...กูก็เนียนแบบที่มึงบอกอ่ะ”
“อ่าฮะ”
“เนียน ทำเป็นหลงทาง เข้าไปอยู่ในห้องเขา”
“หลงทางเนี่ยนะ”
“เออ”
“มึงเรียนที่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่อนุบาลนะ นี่มึงยังหลงทางอยู่อีกเหรอวะ”
“กูก็มีช่วงเบลอๆ ของกูป่ะวะ” มึงเลิกถามกูเถอะ กูไม่อยากทำตัวผิดศีลข้อ 4 ไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ราวกับไอ้สิกได้ยินเสียงเรียกร้องในใจของผม มันไม่พูดอะไรต่อ แต่ถอนหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด
“เป็นอะไร” ผมถามมันบ้าง
“เปล่า”
“แน่ใจนะ”
“เออ”
“...”
“กูแค่คิดว่าบางทีกูอาจจะไม่ต้องยุ่งเรื่องของมึงกับสตาร์เลยก็ได้”
“...”
“มึงจีบเขาติดอยู่แล้ว มึงพยายามจีบใครมึงก็จีบติด เชื่อกูดิ”
ไม่จริงหรอกว่ะ ยังไม่ทันที่กูจะได้จีบเลย กูก็ต้องผิดหวังซะแล้ว
ผมยักไหล่และก็หันมาเล่นโทรศัพท์ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้งของไอ้สิกลอยเข้ามาในหูผม
สยาม เวลา 16.15 น.
อาทิตย์หน้าผมกับไอ้สิกก็จะเริ่มเรียนพิเศษแล้วครับ เราสองคนคิดตรงกันว่าควรใช้เวลาหลังเลิกเรียนที่เหลืออยู่ให้มีค่ามากที่สุดด้วยการมาเที่ยวซะเลย วันนี้ไอ้อ๊อฟกับไอ้ตังไม่ว่าง มีนัดดวลเกมฮอนกับไอ้พวกห้องสี่ ผมกับไอ้สิกจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้พวกมัน พร้อมทั้งบอกพวกมันด้วยว่าห้ามทำเสียชื่อห้องสามห้องที่เทพเกมที่สุดเด็ดขาด!
การมาสยามครั้งนี้ของผมกับไอ้สิกก็เป็นอะไรแบบเดิมๆ ผมถูกเพื่อนอย่างไอ้เหี้ยสิกแย่งซีนเหมือนเดิม ไม่ว่าผมจะสบตากับสาวๆ โรงเรียนไหนหรือมหา’ลัยไหน (บางทีก็มีหนุ่มๆ ด้วย) ทุกสายตาล้วนแล้วแต่จ้องมองไอ้หน้าหล่อพิมพ์นิยมเพื่อนผม ผมชินซะแล้วล่ะครับ ไอ้สิกมันหล่อมากจนกลายเป็นความจริงที่ต้องยอมรับ
ใครเห็นใครก็กรี๊ดมัน ใครเห็นใครก็ชอบมัน
แม้กระทั่งคนที่ผมชอบ ยังชอบมันเลย #ยังไม่เลิกโอดครวญเรื่องนี้
“เอ้านี่ ไอติม” ไอ้สิกยื่นไอติมโคนที่มันแอบไปตอนไหนก็ไม่รู้มาให้ “ทำหน้าบูดเป็นตูดไปได้ มาสยามทั้งทีนะ”
ผมรับไอศกรีมมา มองเพื่อนอย่างทึ่งๆ “วันนี้อะไรเข้าสิงมึง”
“อะไรวะ กูก็ใจดีตลอด” ไอ้สิกทำหน้าเหมือนผมกำลังดูถูกมัน
“ไม่จริงอ่ะ”
“เชี่ย กูเป็นคนใจดี เป็นคนคูลๆ ด้วย กับเพื่อนกับฝูงแค่นี้สบายมาก”
“วันก่อนก็เลี้ยงหมูกระทะเพื่อน”
“กูรวย มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
ผมเบะปากใส่ไอ้คนรวยอย่างหมั่นไส้ มันดูภูมิใจที่ได้เลี้ยงผม เมื่อเห็นว่าเป็นอย่างนั้น ผมก็เลยสวาปามไอศกรีมในมืออย่างไม่เกรงใจ
ไอ้สิกไม่ได้กินไอศกรีมเหมือนผม มันยืนพิงเสาของห้างพลางเล่นโทรศัพท์ไปด้วย ผมเห็นใครหลายคนต่างก็จับจ้องมาที่มัน
“นัดสาวที่ไหนวะ” ผมทำเป็นยืดคอมองดูหน้าจอของไอ้สิก มันไม่ได้ซ่อนผมแต่อย่างใด
“ไม่ได้นัด แค่ตอบเขา” ไอ้สิกเลื่อนตอบคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ มันทำให้ผมต้องเปรียบเทียบกับไลน์ของตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพื่อนทักมา ก็ไม่มีใครทักผมมาเลย
ทำไมมันต่างกันงี้วะ
“เสือไม่ทิ้งลายจริงๆ”
“แน่นอน กูหล่อ”
“เออ กูรู้” ผมจำใจต้องยอมรับ
“มึงคิดว่ากูหล่อจริงดิ” จู่ๆ ไอ้สิกก็กระตือรือร้นขึ้นมา
“กูเคยบอกมึงตั้งหลายครั้งหลายหน”
“บ้า กูไม่เคยได้ยินเลย”
“มึงก็เพิ่งได้ยินกูยอมรับในความหล่อของมึงไปนี่”
ผมยังคงเอร็ดอร่อยกับไอติมต่อไป ไอ้สิกยังคงมองผมด้วยแววตาประทับใจ จนผมต้องโวยวาย
“อะไรของมึง”
“ดีใจนะเนี่ย มึงคิดว่ากูหล่อด้วย”
“โอย ไอ้บ้า ประสาทแล้วมึง” ผมขมวดคิ้ว “มึงส่องกระจกทุกวันมึงก็น่าจะรู้ตัวนี่หว่า และใครๆ ก็คิดว่ามึงหล่อกันทั้งนั้น”
“แต่กูดีใจที่มึงคิดว่ากูหล่อ” ไอ้สิกยิ้มกว้าง
“เปลี่ยนเรื่องสักทีเหอะ ยิ่งฟังยิ่งหมั่นไส้ว่ะ”
“กินไอติมอีกสักอันมั้ย กูเลี้ยง”
“ทำไมวันนี้มึงป๋าจังเลยวะ”
“กูอารมณ์ดี”
“เลี้ยงอย่างอื่นได้มั้ยล่ะ” ในเมื่อมันอยากจะเลี้ยงนัก คนที่ชอบของฟรีอย่างผมมีหรือจะปฏิเสธ
“อยากแดกไรล่ะ”
“วันนี้ป๋าสิกไม่มีเด็กให้เลี้ยงเหรอครับ ถึงได้มาเลี้ยงเพื่อนแทน”
“กูมากับมึง จะให้กูทิ้งมึงไปหาสาวอื่นเหรอวะ”
“เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ”
“กูรู้แล้วจะพามึงไปแดกอะไร” ไอ้สิกเดินนำผม “ตามมาๆ”
ร้านที่มันพาผมมาคือร้านบิงซูที่สยามสแควร์วัน มันบอกว่าผมชอบกินอะไรเย็นๆ ผมน่าจะชอบ ที่จริงผมก็ได้ยินชื่อเสียงของไอ้บิงซูอะไรนี่มานานแล้วล่ะครับ แต่ยังไม่ได้มีโอกาสมาลองสักที หนึ่งคือเพื่อนผมมันไม่ใช่พวกชอบกินของหวาน(ผมชอบคนเดียว) สองคือถ้าไม่ได้มาสยามกับไอ้สิก ผมก็ไม่ค่อยได้มาสยามกับใครทั้งนั้น เวลาผมมาคนเดียวก็มักจะมาเรียนพิเศษ กินข้าว และก็กลับ ไม่เคยคิดที่จะเที่ยวเล่นคนเดียวเลยครับ
เพราะงั้นวันนี้จึงเป็นฤกษ์งามยามดีให้ผมลองบิงซูเป็นครั้งแรก ไอ้สิกรับหน้าที่ไปสั่งให้ผมที่เคาน์เตอร์ ในขณะที่ผมนั่งรออยู่ที่โต๊ะและมองซ้ายมองขวาสลับกับเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย ผมก็ได้เห็นสาวๆ สวยๆ เดินผ่านหน้าร้านไปมา รู้สึกเจริญหูเจริญตาดีเหมือนกันครับ
นั่งอยู่นานผมก็เริ่มนึกถึงสตาร์ขึ้นมา หลังจากที่ผมคุยกับเขาเรื่องให้เขาทำเนียนกับไอ้สิกที่ห้องเรียนของเขา ผมก็ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย
ไอ้สิกสั่งเสร็จก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับรอให้พนักงานเปิดสัญญาณไฟเรียก มันยิ้มให้ผมพร้อมกับทำสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย
“มึงกำลังจะได้กินบิงซูแล้วนะ”
“อืม รู้สึกดีจังเลย” ผมประชดประชัน
“พ่อง กูเลี้ยงทั้งทีนะ ทำหน้าอารมณ์ดีหน่อยดิวะ”
ยังไม่ทันที่เพลทของโต๊ะผมจะดังปี๊บๆๆ (ไอ้ที่มันเป็นแผ่นกลมๆ น่ะครับ พนักงานจะให้เพื่อรอเมนูที่เราสั่ง ถ้าเสร็จแล้วพนักงานจะกดเรียกให้เราไปรับ สัญญาณไฟที่แผ่นกลมๆ ก็จะดัง) จู่ๆ ก็มีสาวสวยในชุดนักเรียนโรงเรียนดังมาปรากฏตัวอยู่เหนือศีรษะของผมกับไอ้สิก
หน้าสวยๆ แบบนี้ หุ่นแบบนี้ โรงเรียนนี้ กิ๊กไอ้สิกแน่นอน
“อ้าวสิก บังเอิญจังเลย” รอยยิ้มของเธอทำเอาผมเคลิ้ม
“เจนนี่” ไอ้สิกช็อกจนหน้าซีดไปแล้ว
“พอดีเจนมาคนเดียวน่ะ ขอร่วมวงด้วยได้ป่ะ”
อื้อหือ ได้สิครับได้ ผมคิดอย่างเด็กเจ้าชู้ และผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไอ้สิกเองก็คิดเหมือนผม
“ว่าไง” แทนที่มันจะตอบตกลงกับผู้หญิงเขา มันกลับส่งสายตามาถามผมแทน ไอ้บ้านี่ก็นะ เขาเป็นผู้หญิงนะเว้ย มึงจะปฏิเสธเขาเหรอ
“ได้ดิ จะเป็นไรล่ะ”
“ขอบคุณนะ สั่งอะไรไปเหรอตะกี้” ‘เจนนี่’ ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ สิกด้วยท่าทางสบายๆ ไอ้สิกบอกเมนูเจนนี่ไป เธอหัวเราะคิกคักถูกใจ “สตรอว์เบอรี่เหรอ เจนก็ชอบเหมือนกัน”
“เจน นี่ไอ้ฟืนนะ” ไอ้สิกแนะนำผมให้ผู้หญิงรู้จัก ผมยิ้มเบาๆ ส่งให้เธอ
“รู้จักแล้ว คนที่เป็นเพื่อนสนิทของสิก เจนเคยเห็นในเฟซบุ๊กของสิกบ่อยๆ”
“สวัสดีครับ” ผมพูดเก้อๆ
“สวัสดีค่ะ”
หลังจากนั้นผมก็กลายเป็นอากาศธาตุระหว่างคนทั้งสองคน ปกติแล้วเวลาไอ้สิกมันจะไปเที่ยวเล่นกับกิ๊ก มันไม่เคยหิ้วผมไปด้วยหรอกครับ เจนนี่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาสนใจไอ้สิกมาก เพราะฉะนั้นเธอจึงชวนไอ้สิกคุยไม่หยุดไม่หย่อน ผมจึงพยายามไม่ให้ตัวเองกลายเป็นเรื่องอึดอัดของสองคนนี้
ท่าทางเพื่อนผมจะไปต่อกับเจนนี่ที่ไหนสักที่ ผมคิดในใจว่าหากกินบิงซูถ้วยนี้หมดผมก็จะกลับบ้าน ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ ใครอีกคนก็มาปรากฏตัวขึ้นอย่างที่ผมไม่ได้ทันตั้งตัว
“สิก ฟืน”
เหยดเข้ คนๆ นั้นคือสตาร์ ผมตกใจยิ่งกว่าตอนที่ไอ้สิกเจอหน้าเจนนี่ซะอีก ผมรีบมองสีหน้าเขาทันที ตอนนี้สตาร์คงเห็นแล้วว่าเชี่ยสิกอยู่กับใคร และนั่นก็อาจจะทำร้ายจิตใจเขา
“เอ่อ...” ผมควรเอาตัวรอดยังไงจากสถานการณ์เช่นนี้ดี “สตาร์ บังเอิญจังว่ะ”
“น่าอร่อยนะ ทานด้วยได้ป่ะ”
“มันใกล้จะหมดแล้ว เดี๋ยวกูไปสั่งให้ใหม่”
“เอางั้นเหรอ งั้นกูไปสั่งด้วยนะ” สตาร์อาสา
“กูไปด้วย” ไอ้สิกก็จะมาด้วยอีกคน มึงจะบ้าเหรอ
“มึงอ่ะนั่งอยู่นี่” ผมทำเสียงเด็ดขาด ไอ้สิกก็เลยเชื่อ มันนั่งนิ่งๆ มองดูผมกับสตาร์เดินไปสั่งบิงซูถ้วยใหม่ด้วยสายตาที่ผมเองก็อ่านไม่ออก
สตาร์ทำตาแป๋วขณะที่มองผม ระหว่างที่เราสองคนกำลังต่อคิวสั่งบิงซูอยู่
“คนนั้นกิ๊กสิกเหรอ”
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี จึงได้เกาหัว
“รู้อยู่แล้วล่ะ ก็เขาสวยขนาดนั้น”
“ใจเย็นๆ ยังไม่ใช่แฟนของมัน อย่าเพิ่งถอดใจ” นี่คือคำปลอบที่ผมคิดได้ในตอนนี้ “ว่าแต่ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ”
“มาเรียนพิเศษไง ยังไม่ถึงเวลาก็เลยมาเดินเล่น เจอมึง สิก และก็คนนั้น ก็เลยแวะมาทัก”
“เหรอ” ผมยิ้มแหยๆ หลังจากนั้นบรรยากาศรอบตัวเราสองคนจึงเต็มไปด้วยความเงียบ ผมแอบเห็นว่าสตาร์นั้นลอบมองไปที่สิกกับกิ๊กของมันบ่อยๆ รู้สึกสงสารแต่ผมไม่รู้จะปลอบเขายังไง
ผมเองก็กำลังยืนอยู่ในจุดเดียวกันกับเขานี่หว่า
หลังจากสั่งบิงซูเสร็จผมกับสตาร์ก็ไปนั่งที่เดิม สิกกับกิ๊กของมันยังนั่งอยู่ด้วยกัน เจนนี่ไม่ได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้เลย เธอพยายามป้อนบิงซูใส่ปากไอ้สิกตลอดเวลา สตาร์ที่นั่งข้างๆ ผมกำกางเกงตัวเองแน่นเชียวครับ
“ลองชิมนี่ดูดิ” ผมอยากให้เขาลืมเหตุการณ์ที่กำลังเกิด จึงหันเหความสนใจด้วยการตักบิงซูป้อนเขาบ้าง สตาร์อ้าปากรับอย่างว่าง่าย ผมหัวเราะเล็กน้อยอย่างเอ็นดู เมื่อตะกี้เขาเหมือนเด็กไม่กี่ขวบเลยครับ
“สองคนนี้น่ารักดีนะคะ” เจนนี่ชมผมกับสตาร์ “โดยเฉพาะสตาร์ หน้าตาน่ารักมากๆ เลย” ผมรู้ว่าเจนนี่ชมอย่างจริงใจครับ แต่นั่นก็สร้างความลำบากใจให้สตาร์น่าดู เพราะเขาดูไม่ยินดีกับคำชมนี้เลย
“ขอบคุณครับ”
“เจนนี่มีเรียนกี่โมงนะ” ไอ้สิกเอ่ยแทรกขึ้นมา
“อีกยี่สิบนาทีก็ต้องไปแล้วล่ะ”
“เหมือนผมเลย อีกยี่สิบนาทีผมก็ต้องไปเหมือนกัน” สตาร์พูด
“ไม่แน่เราอาจจะเรียนคอร์สเดียวกันก็ได้นะคะ”
อย่างน้อยคนที่ชอบไอ้สิกเหมือนกันทั้งสองคนก็ไม่ได้ตีกันอย่างที่ผมกลัว (สตาร์ก็ไม่น่าจะใช่คนแบบนั้นด้วย) ผมพยายามช่วยให้สตาร์ดีขึ้นด้วยการพุ่งความสนใจไปที่เขาทั้งหมด อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรับรู้ถึงความหวังดีของผม เขาจึงตอบสนองผม ทั้งอ้าปากรับบิงซูที่ผมป้อน ทั้งตอบคำถามทุกคำถามที่ผมถาม จนมีบ่อยครั้งที่เจนนี่เอ่ยว่าผมกับสตาร์เหมือนคนเป็นแฟนกัน
“จะถึงเวลาเรียนแล้ว” จู่ๆ ไอ้สิกก็ลุกขึ้นยืน ผมกับคนอื่นๆ มองมันอย่างตื่นตกใจ เพราะมันลุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจริงๆ ครับ “บ๊ายบายครับ เจนนี่ ไว้เจอกันใหม่นะ”
ผมทำสีหน้าด่าในความเหี้ยของเพื่อน มึงควรจะไปส่งผู้หญิงป่ะวะสาด
“เอ่อ เจนนี่ คือว่าผมจะไปส่งสตาร์ที่ตึกสยามกิตต์พอดี” ผมพยายามแก้ไขสถานการณ์
“เจนนี่มีเรียนที่นั่นค่ะ”
“ไปด้วยกันเลยมั้ยครับ”
ผมส่งสายตาตำหนิใส่ไอ้สิก ผู้ซึ่งตอนนี้เริ่มหงุดหงิดอารมณ์เสียอย่างไร้เหตุผล สตาร์มองไปที่สิกอย่างเศร้าสร้อยขณะที่เดินนำผมออกไปนอกร้าน เจนนี่บอกลาไอ้สิกและก็ตามผมมา คอของเธอตกอย่างน่าสงสาร สงสัยคงหวังให้ไอ้สิกไปส่งแต่ก็ต้องผิดหวัง
ไอ้เชี่ยสิก มึงนี่มันจริงๆ เลย
เราสามคนมาถึงตึกสยามกิตต์ ทั้งสตาร์กับเจนนี่รีบเข้าไปเรียนจึงได้ร่ำลาผมแค่โบกมือ ผมมองตามสองคนนั้นไปจากนั้นก็ถอนหายใจ ระหว่างที่ผมหันกลับมา ผมถึงกับต้องตกใจแทบหงายหลัง
ไอ้สิกมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“มึงเป็นผีเหรอ มาไวอย่างกับหายตัวได้” ผมพูดกับเพื่อน “ดีที่ยังโผล่หน้ามา มึงควรมาส่งผู้หญิงป่ะวะ วันหลังอย่าทำแบบนั้นนะเว้ย”
“มึงอ่ะ อะไรของมึงวะ” ไอ้สิกโวยวาย
เดี๋ยว ผมงง มันโวยวายทำไม
“อะไร”
“มึงนัดสตาร์มาเหรอ”
“นัดบ้าไรล่ะ” ผมโวยบ้าง “เขาเจอมึงกับกูเลยบังเอิญ เขาก็เลยเข้ามาหา”
“มึงทำวันของกูกับมึงพังหมดเลย”
“อะไรนะ” ผมร้องเสียงหลง
“กูนึกว่ากูจะได้มาเที่ยวกับมึงแค่สองคน”
ทำไมมันพูดแบบนี้วะ ผมขมวดคิ้วมองดูเพื่อนตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“มึงพูดแบบนั้นทำไมมึงไม่ถามตัวเองบ้าง ถ้ามึงไม่บอกเจนนี่เขาจะรู้มั้ยว่ามึงกับกูอยู่ร้านบิงซูอ่ะ”
“กูไม่ได้บอก”
“มึงไม่ต้องมาแก้ตัวอะไรทั้งนั้น”
“มึงไม่รู้สึกอะไรเพราะมึงไม่ได้อยากมาเที่ยวกับกูสองคนใช่มั้ยล่ะ มึงนัดสตาร์ออกมา”
“ไอ้เหี้ย” ผมร้องเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามอง “อะไรเข้าสิงมึงวะ มึงเป็นห่าอะไรเนี่ยเชี่ยสิก”
“เออ! กูเป็นบ้าเองนี่แหละ”
มันเดินหนีผมไปเลย ท่าทางของมันตอนนี้เป็นเหมือนตอนที่มันฟิวส์ขาดเมื่อสองปีก่อน มีกลุ่มคนเข้ามาไถตังค์น้องชายของมัน และไอ้สิกก็โกรธจนคุมสติไม่ได้ ไล่เตะคนพวกนั้นอย่างกับนักเลงอันธพาล
คราวนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากเหตุการณ์นั้นเลย
ผมทั้งหงุดหงิดและก็กังวลกับอาการไร้เหตุผลของมัน ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ระหว่างนั้นผมเดินตามหลังไอ้สิกไปเรื่อยๆ มันไม่สนใจที่จะหันมามองผมเลยแม้แต่น้อย เป็นเช่นนั้นอยู่นานจนเราสองคนต้องแยกกันที่สถานีรถไฟฟ้า
มันเป็นอะไรของมัน มันไม่เคยหงุดหงิดผมง่ายแบบนี้
การมาเที่ยวสยามกันแค่สองคนสำคัญอะไรกับมันขนาดนั้น
tbc*อย่าถือสาน้องสิกเลยนะคะ
อายุเท่านี้ก็น่าจะโวยวายเบอร์นี้แหละค่ะ T_T
สู้ต่อไปนะคนคูลลลล