-42-
ถึงจะใช้เวลามากไปหน่อยแต่ผมก็ค่อยๆชินกับการทำงานหนักช้าๆ คุณท่านไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เพราะหลังจากกลับมาผมก็ไม่ได้โดนคุณแพทตำหนิอะไร และแน่นอน...ยังทำงานหนักเหมือนเดิมด้วย
ผมได้คุยกับโซโล่น้อยลง บางทีอาจน้อยกว่าช่วงที่เขางอแงด้วยซ้ำ คุณเจย์บอกผมว่าโซโล่ตั้งใจทำงานขึ้นมาก ทั้งเรียน ทั้งทำงาน เขาดูจริงจังแล้วก็เหมือนคุณท่านมากขึ้นทุกที แต่ถึงเราจะไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา บางทีได้คุยกันอาทิตย์ละครั้งก็ถือว่าดีมากแล้ว และผมคิดว่าการได้คุยกันนานๆครั้งก็มีข้อดีอยู่บ้าง
เพราะมันทำให้รู้ว่าเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมันมีค่ามากแค่ไหน
แค่ห้าหรือสิบนาทีที่ได้คุย ก็ทำให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าเจือจางลงได้อย่างน่าประหลาด
"อีกสองวัน"ผมย้ำกับตัวเอง รู้สึกเหมือนรอยยิ้มที่มีกว้างขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที พรุ่งนี้เป็นวันหยุดที่ผมจะได้พักผ่อนอยู่เฉยๆ และวันถัดไปก็จะได้กลับกรุงเทพแล้ว
"ไม่ต้องทำท่าดีใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง"เบียร์ที่ยืนถือม้วนกระดาษอยู่ข้างผมทัก "หมั่นไส้คนมีความรัก"
"มึงก็มีดิ"ผมหันไปแซว เบียร์มันทำหน้าแหยง โบกมือปฏิเสธ
"ไม่ล่ะ"
ผมได้ส่ายหน้ากับความคิดของคนหวงอิสระ เบียร์มันเคยพูดตั้งแต่ปีหนึ่งว่ามีแฟนก็เหมือนมีเชือกคล้องคอ ขออยู่เป็นอิสระไปตลอดชีวิตดีกว่า
ตอนนั้นผมก็เห็นด้วยกับมันอยู่หรอก แต่ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว ความรักจะเข้ามาตอนไหนเราก็คงบอกไม่ได้ ผมเองก็เพิ่งเข้าใจตอนที่มีหมาฮัสกี้เดินเข้ามาในชีวิตโดยไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน
"ใกล้แล้วว่ะ"
ผมมองตามสายตาเบียร์ ดูรีสอร์ทที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนด้วยความภูมิใจ รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ที่นี่มาจนถึงจุดนี้ได้ ถึงผมกับเบียร์จะไม่ได้อยู่เห็นที่นี่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ดีใจที่ได้เห็นตั้งแต่มันก่อตัวจากความว่างเปล่า
"ตอนกลับมาที่นี่อีกครั้ง เราคงไม่ได้มาในฐานะแบบนี้แล้ว"พูดแล้วก็ใจหายอยู่หน่อยๆที่การกลับมาครั้งหน้าผมจะไม่ได้มาในฐานะของพนักงานคนหนึ่งแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่าความภูมิใจและมิตรภาพที่เกิดกับคนในทีมรวมถึงคนในบริษัทจะไม่จางหายไปตามวันเวลาแน่นอน
"ไอ้น้อง!วันนี้คุณแพทเลี้ยงนะ!"พี่ทีมงานคนหนึ่งตะโกนบอกพวกผม พอเบียร์มันหันไปตอบตกลงเขาก็กลับไปคุยกันต่อ
"ไม่ใช่เขาจะเลี้ยงกันหลังงานเสร็จเหรอวะ"ผมถามมันด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้คุณแพทเคยบอกอยู่ว่าจะเลี้ยง แต่นี่งานยังไม่เสร็จดีเลย ผมเลยไม่คิดว่าเขาจะเลี้ยงตั้งแต่ตอนนี้
"เห็นว่าอยากเลี้ยงเราด้วย เขาบอกว่าถ้าพวกเรากลับไปแล้วค่อยเลี้ยงทีมก็ไม่ครบดิวะ"เบียร์ว่าแล้วหันไปมองพวกพี่ๆที่กำลังทำงานกัน ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างจากมันเท่าไหร่ รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ ได้เข้ามาทำงานที่นี่ มันเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากจริงๆ
ผมมองบรรยากาศริมทะเลด้วยความรู้สึกสดชื่น การได้มาทำงานต่างจังหวัดแบบนี้ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งไม่น้อย ยิ่งได้มาดูงานที่รีสอร์ทติดทะเลก็ยิ่งรู้สึกดีเข้าไปใหญ่ ไม่รู้จะมีโอกาสได้มาอีกตอนไหนเหมือนกัน
"ชินแล้วสิ"คุณแพทเดินมายืนอยู่ข้างๆผมแทนที่เบียร์ที่เดินไปทำงานอีกฝั่ง เขามองตรงไปทางทะเลด้วยสายตาที่ไม่ได้ดูเคร่งขรึมเหมือนช่วงแรก
"น่าจะชินแล้วครับ"ผมหัวเราะ จะบอกว่าชินกับความง่วงสะสมก็คงใช่ แต่ถ้ามีเวลาให้นอนก็นอนอยู่ดี "นี่ก็ทำงานวันสุดท้ายแล้วด้วย"
"นั่นสินะ...เจอกันอีกทีอาจเป็นผมที่ต้องฟังคำสั่งคุณแล้วล่ะมั้ง"
"ไม่หรอกครับ"ผมรีบตอบด้วยความเกรงใจ ใครจะกล้าสั่งเขากัน ดูเหมือนโซโล่จะนับถือเขาเป็นอาด้วยซ้ำ
"ผมได้ข่าวว่าลินดาทำความเดือดร้อนไว้ให้พวกคุณเมื่อหลายเดือนก่อน ต้องขอโทษจริงๆ"
"คุณแพทรู้จักคุณลินดาด้วยเหรอครับ"ผมถามด้วยความประหลาดใจ
"ลูกสาวผมเอง"คุณแพทถอนหายใจหนักหน่วง "ผมแยกทางกับภรรยาก่อนจะมาไทย เธอเป็นคนดูแลลินดา แต่เพราะเธอค่อนข้างจะไร้ความรับผิดชอบ ก่อนมาที่นี่ผมเลยขอให้คุณซีช่วยดูแลลินดาให้ เพราะลินดากำลังทดลองงานในฐานะเลขาแทนเจย์ที่ต้องมาทำธุระที่ไทย"
แบบนี้นี่เอง...ดูๆแล้วถึงคุณแพทจะอายุมากกว่าคุณท่านไม่น้อย แต่ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงอยู่ในฐานะเพื่อนมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง เพราะก่อนหน้านี้คุณท่านก็เคยบอกว่าเพื่อนเป็นคนฝากให้ช่วยดูแลคุณลินดา
"แล้วตอนนี้คุณลินดา..."ผมถามอย่างไม่มั่นใจนัก ไม่แน่ใจว่าควรพูดเรื่องที่คุณลินดาถูกส่งตัวกลับไปแล้วหรือเปล่า
"ถูกส่งกลับไปแล้ว...ผมรู้ แค่คุณซีเมตตาไล่กลับไปเฉยๆก็ดีมากแล้ว เล่นไปแตะต้องคนสำคัญ ใครก็ต้องโมโหเป็นธรรมดา"คุณแพทว่าแล้วหันมาหาผม เขาตบไหล่ผมเบาๆแล้วส่งยิ้มให้ "ผมกับคุณซีรู้จักกันตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ที่มาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะคุณซีเมตตาเห็นเป็นเพื่อนแล้วรับมาทำงานด้วย ที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผมเห็นโซโล่มาตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ เขาอาจจะทำตัวมีปัญหาไปบ้างแต่ก็เป็นคนดี คุณก็ช่วยดูแลเขาหน่อยแล้วกันนะ"
"ครับคุณแพท"ผมรับคำด้วยความหนักแน่น ต่อให้คุณแพทไม่บอกผมก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่พอได้ยินโดยตรงแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้...
ที่คุณเจย์เคยบอกว่าโซโล่มีคนมากมายอยู่เคียงข้างแต่เขามองไม่เห็นคงเป็นเรื่องจริง
"หลังเลิกงานคุณก็เต็มที่แล้วกัน ถือว่าผมเลี้ยงส่ง"
"ขอบคุณครับ"
"ติดต่อไปหาเจย์ด้วย เขาบอกผมว่าเขาติดต่อคุณไม่ได้ ตอนนี้เลยก็ได้ เผื่อมีธุระอะไรสำคัญ"คุณแพทบอกลาผมแล้วเดินไปอีกทาง
ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ไม่แปลกที่จะไม่รู้ว่ามีคนโทรมา ปกติเวลางานผมไม่เคยเปิดเสียงอยู่แล้ว แถมคนที่จะติดต่อมาก็ไม่ได้มีมากมายอะไร จะบอกว่าผมไม่สนใจโทรศัพท์เลยสักนิดก็คงได้
2สาย...
ผมรีบกดโทรศัพท์หาคุณเจย์ ถึงเขาจะโทรมาแค่สองสายแต่ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาคุณเจย์ก็ไม่เคยติดต่อมาโดยไร้เหตุผลเลยสักครั้ง
[สวัสดีครับ]
"คุณเจย์ ผมเห็นว่าคุณติดต่อมา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ"
[คุณชายไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ] คุณเจย์หัวเราะ น้ำเสียงรู้ทันของเขาทำให้ผมรู้สึกเขินอยู่หน่อยๆ
"แล้วมีอะไรเหรอครับ"
[ผมจะบอกว่าพรุ่งนี้ผมกับคุณท่านจะเดินทางไปอังกฤษครับ หลังจากนี้คุณชายคงวุ่นวายพอสมควร เขาอาจจะมีเวลาน้อยกว่าเดิมเพราะต้องเร่งจัดการงานให้ทันก่อนปิดเทอม]
"คุณท่านกับคุณเจย์จะไปกันนานเหรอครับ"ผมถาม เริ่มรู้สึกเป็นห่วงคนที่ต้องทำงานไปเรียนไปมากกว่าเดิม
[อาจจะอยู่จนถึงเวลาเปิดเทอมของคุณชายเลยครับ ตอนแรกคิดว่าจะรอกลับพร้อมกันตอนคุณชายปิดเทอม แต่พอดีมีปัญหานิดหน่อย...คุณพ่อของคุณท่านเสียเมื่อวานน่ะครับ]
"คุณปู่ของโซเหรอครับ"ผมถามด้วยความตกใจ รู้สึกเป็นห่วงโซโล่มากขึ้นเรื่อยๆ
[ใช่ครับ...แต่คุณกีล์ไม่ต้องเป็นห่วง คือคุณชาย...ไม่ค่อยสนิทกับคุณปู่เท่าไหร่หรอกครับ จะบอกว่าไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็คงไม่ผิด]
"อ่าว..."ผมสงสัยอยู่นิดหน่อยแต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวเขา ไม่เข้าไปยุ่งน่าจะดีกว่า "แล้วที่บอกว่าตอนแรกจะไปพร้อมกัน..."
[ครับ...คือตอนแรกคุณท่านจะพาคุณชายกลับไปพักผ่อนที่อังกฤษในช่วงปิดเทอม นี่ก็ต้องรอคุณชายปิดเทอมแล้วค่อยให้บินตามไปทีหลัง...]
ผมรู้สึกห่อเหี่ยวอยู่นิดหน่อยเมื่อคิดว่าต้องห่างกับเจ้าหมาอีกแล้ว...ช่วงปิดเทอมนี่มันกี่เดือนกันนะ ได้เจอกันแล้วก็ต้องห่างกันอีก…
[คุณกีล์ก็ต้องไปด้วยครับ]
"อะไรนะครับ"ผมกระพริบตาปริบๆ จะบอกว่าฟังผิดก็ไม่น่าใช่
[คุณกีล์ต้องไปด้วยครับ...เป็นคำสั่งจากคุณท่าน ท่านบอกว่าหลังจากคุณฝึกงานเสร็จแล้วห้ามห่างกับคุณชายอีก ยกเว้นแค่ตอนเรียนเท่านั้น ที่ไปอังกฤษก็ให้ไปดูแลคุณชาย ถึงจะเหมือนไปพักผ่อนก็ต้องดูแล]
ทำไมรูปประโยคมันดูแปลกๆ...แล้วคนพูดก็รู้ตัวด้วยนะ เพราะเขากำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถเลยทีเดียว
[มัม!]
เสียงเด็ก?
[เอ่อ...ผมขอตัวก่อนนะครับ ไว้เจอกันครับคุณกีล์]
ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปด้วยความงุนงง เมื่อครู่เสียงที่ผ่านเข้ามาในสาย...มันเป็นเสียงเด็กแน่นอน แล้วมันก็ฟังดูคุ้นหูมากด้วย
เหมือนกับ...
"กีล์!มาทางนี้หน่อย!"
"ครับ!"
ผมปัดเรื่องในหัวทิ้งไปแล้วหันไปให้ความสนใจกับงานแทน เอาไว้ค่อยถามตอนเจอกันก็คงไม่สาย
“แก้วสุดท้ายไอ้น้อง”
“แก้วสุดท้ายน่ามึง”
แก้วสุดท้าย…
จะบอกว่าผมได้ยินคำว่าแก้วสุดท้ายติดต่อกันมาเป็นชั่วโมงแล้ว อาจเพราะแลดูดื่มน้อยที่สุดในกลุ่มเลยโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ นี่ก็โดนพวกพี่ๆเขาจับยัดไม่หยุดติดต่อกันมานานกว่าการได้ยินคำว่าแก้วสุดท้ายเสียอีก ส่วนไอ้เบียร์…มันก็เป็นหนึ่งในคนที่ส่งแก้วให้ผมเรื่อยๆนั่นล่ะ
พอโดนคะยั้นคะยอมากเข้าผมก็ต้องดื่มจนได้ โชคดีที่เป็นคนดื่มแล้วไม่เละเทะเหมือนเพื่อนเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไหร่ แต่โดนติดๆกันแบบนี้ก็มึนอยู่เหมือนกัน
“กูไปเดินเล่น เดี๋ยวมา”ผมสะกิดไหล่เบียร์ กระซิบบอกมันแล้วลุกขึ้นเดินเซๆออกมาจากกลุ่ม ดีที่พวกเขาเริ่มเมากันหมดแล้วเลยไม่มีใครสนใจเท่าไหร่
ผมออกมาเดินเล่นอยู่ริมหาดเพราะจำได้ว่าพี่ๆในบริษัทเคยบอกว่าวิวหาดตรงนี้สวยมาก ช่วงแรกๆผมทำงานอยู่ในบริษัทเลยไม่มีโอกาสได้เห็นอยู่แล้ว พอช่วงหลังๆได้มาที่นี่บ่อยๆก็ทำงานจนลืมเวลา เลิกงานแล้วก็รีบกลับไปนอนเลยไม่เคยได้สังเกตเลยสักครั้ง วันนี้มีโอกาสได้มาเดินริมหาดแบบนี้ มันทำให้รู้ว่าที่ได้ยินใครๆพูดมาคงไม่ผิดนัก…ภาพท้องฟ้าที่ตัดกับน้ำทะเลตรงนี้เป็นอะไรที่สวยมากจริงๆ
ครั้งที่สาม…
ครั้งที่สามแล้วที่ผมได้มาเดินอยู่ริมทะเลแบบนี้ แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆตรงที่ข้างๆผมไม่มีใครอีกคนเดินอยู่ด้วย
ครั้งแรกที่ผมได้เดินอยู่ริมทะเลแบบนี้คือตอนรับน้อง จำได้ว่าตอนนั้นโซโล่ลากผมออกมาหลังจากผมบอกชอบเขากลางเวที เราวิ่งไล่กันจนลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ และมันเป็นครั้งแรก…ที่เราจูบกัน
ครั้งที่สองคือตอนที่โซโล่บอกว่าจะหนี ตอนนั้นผมเหนื่อยจากการทำงานและการเร่งเดินทางมาหาคนที่เป็นห่วงมาก พอเห็นสภาพของเขาแล้วก็รู้สึกแย่ และถึงจะไม่ได้มีความทรงจำอะไรเท่าไหร่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าดีใจจริงๆที่ได้เห็นหน้า
และนี่คือครั้งที่สาม…
ผมนั่งยองๆลงกับหาดทราย มองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด ไม่รู้ว่าเพราะแอลกอฮอล์หรือเปล่าถึงได้คิดอะไรมั่วไปหมด เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าเวลามันผ่านไปไวขนาดไหน
ถ้ามาอยู่ข้างๆกันได้ก็คงดี…
ผมสะบัดหัว ตัดความคิดที่จะทำให้รู้สึกห่อเหี่ยวออกไป ต้องมองในแง่ดีว่าอีกสองวันจะได้เจอกันแล้วมากกว่า
แค่สองวันเอง…คิดแบบนี้ในใจมาตั้งแต่กี่เดือนกันนะ
อยู่ๆก็รู้สึกล้าจนต้องนั่งลงกับหาดทรายแล้วเอนตัวลงนอน ผมหลับตาลงเพื่อให้สามารถรับลมที่พัดเข้ามากระทบใบหน้าได้อย่างเต็มที่ หวังให้ความเย็นสบายลบล้างความรู้สึกแย่ๆออกไปจากใจ
เมาแล้วอารมณ์อ่อนไหวจริงๆ…
ผมหัวเราะกับความคิดตัวเองโดยไม่ได้ลืมตา
เพิ่งรู้ว่าการรักใครสักคน มันทำให้เราเป็นได้มากขนาดนี้
“คิดถึง…”
คิดถึงจริงๆนะ
“คิดถึงเหมือนกัน…”
นี่เพ้อถึงขนาดได้ยินเสียงเลยเหรอเนี่ย…ท่าจะเป็นเอามาก
“ถ้ากีตาร์ยังไม่ยอมลืมตา ผมจะลากลงไปกินในน้ำ”เสียงทุ้มต่ำเจือความขบขันที่อยู่ใกล้เกินเหตุทำให้ผมต้องถ่างตาขึ้นมากะทันหัน
นี่มันไม่ใช่เพ้อแล้ว…
“โซ!”
เจ้าของดวงตาคมที่กำลังก้มมองผมยกยิ้มเป็นเชิงตอบรับ ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยื่นมือสั่นเทาไปแตะแก้มขาวเบาๆเป็นการยืนยันว่าไม่ได้คิดไปเอง
ตัวจริง...
โซโล่ที่นั่งอยู่เหนือหัวใช้มือข้างหนึ่งแตะแก้มผมกลับ เขาโน้มหน้าลงมากดจูบเบาๆที่ข้างแก้มแล้วผละออก
“มารับแล้วครับ”
ผมยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปหา เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาดูสุขุมกว่าปกติ แต่ไม่ว่าจะเพราะชุดสูทที่ใส่อยู่หรือเพราะทรงผมที่ถูกเซต…เขาก็ยังเป็นเจ้าหมาขี้อ้อนของผมอยู่ดี
“กอดหน่อย”ผมอ้าแขนออก กระดิกนิ้วเรียกให้ขยับเข้ามาหา
“หืม…มาแปลก”โซโล่พึมพำแต่ก็ขยับเข้ามากอดผมไว้ตามที่ขอ “นี่เมาเหรอ กลิ่นหึ่งเลย”
“ครับ…เมา”ผมตอบ กระชับอ้อมแขนให้แน่นกว่าเดิมแล้วซุกตัวเข้าหาอกอุ่นๆที่ทำให้รู้สึกสบายใจ “เขาบอกว่าคนเมาทำอะไรก็ไม่ผิด”
“อ้อน…”โซโล่หัวเราะ เขาโยกตัวไปมาช้าๆเหมือนจะกล่อม “ต้องให้เมาบ่อยๆแล้วมั้งแบบนี้”
“ชอบเหรอ”
“ชอบทุกอย่างที่เป็นกีตาร์นั่นล่ะ”
“อือ…”ผมอยากมองหน้าเขาแต่ก็ไม่อยากออกจากอ้อมกอดอุ่นๆ สุดท้ายเลยเงยหน้ามองทั้งที่ยังกอดอยู่ ถึงจะเมื่อยคอหน่อยๆก็ไม่เป็นไร
“มองอะไร”โซโล่ถาม เขาใช้มือที่ไม่ได้กอดเอวผมไว้บีบจมูกผมเบาๆเหมือนจะแกล้ง
“มาได้ยังไงครับ”
“งานเสร็จเลยมา เหลือแค่รอปิดเทอมก็ไปอังกฤษกันได้แล้ว”
"ไหนคุณเจย์บอกจะยุ่งไง"
"เจย์โม้"
“ดีใจที่มา”ผมยิ้ม ขยับตัวลงไปนอนตักโซโล่แทนเพราะเริ่มเมื่อย
“นี่เหล้าทำให้กีตาร์เป็นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“นั่นสินะ…”
จะบอกว่าจริงๆผมไม่ได้พูดไปโดยไม่รู้สึกตัวหรอก แค่มึนหัวกับเดินไม่ตรงเท่านั้นเอง ก็แค่รู้สึกว่าได้อยู่ด้วยกันแล้ว ไม่รู้จะลีลาอะไรอีก อยากกอดก็บอกว่าอยากกอดไปเลยดีกว่า ในเมื่อไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามากอดเราตอนไหน อยากได้อะไรก็ขอมันทันใจกว่าเป็นไหนๆ
แต่ก็ต้องยอมรับว่าแอลกอฮอล์ทำให้ผมหน้าหนากว่าเดิมจริงๆ…
“กีตาร์อยากสร่างเมาไหม”คนที่ยังคิดว่าผมเมาถาม ผมชะงักไปเมื่อเห็นว่าเขาถอดเสื้อสูทตัวนอกออกแล้ววางไว้ข้างตัว น่าแปลกที่รอยยิ้มของเจ้าหมาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างเคย แต่มันกำลังทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวแปลกๆ
“ไม่ดีกว่า…”
“ไม่ทันแล้ว”
“โซ!”ผมเบิกตากว้างเมื่อถูกยกจนตัวลอย เจ้าหมาที่แรงเยอะผิดมนุษย์อุ้มผมขึ้นแล้ววิ่งไปทางทะเลอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าจะเจออะไร…
ตูม!
“แค่ก…ไอ้หมา!”ผมผุดตัวขึ้นมาจากทะเลแล้วยืนสำลัก อยากจะพูดอะไรสักล้านคำแต่ตอนนี้ยังพูดไม่ออก
“น่ารักว่ะ”โซโล่หัวเราะแล้วกดชัตเตอร์ไม่หยุด ไม่รู้ไอ้หมาบ้าไปเอากล้องมาจากไหน แต่ที่แน่ๆคือเรื่องนี้เป็นการวางแผนมาแต่แรกแน่นอน
“นิสัยไม่ดี!”ผมกวักน้ำใส่คนที่ยังเปียกแค่ครึ่งตัว หลังหยุดไอแล้วก็พุ่งเข้าไปหาแล้วกดหัวคนขี้โกงลงน้ำโดยไม่ให้ตั้งตัว
สมน้ำหน้า
"เอาคืนเหรอ"โซโล่ที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำเหยียดยิ้ม ผมก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นหน้าตาไม่น่าไว้ใจของเขา แต่ก่อนจะได้เดินไปไหนก็ถูกรวบเอวไว้จากด้านหลังเสียก่อน "ผมดำน้ำเก่ง..."
"เอ่อ...ครับ"
"กลั้นหายใจได้นาน"
"..."เวรละ
"แข่งกันหน่อยไหม"
"ไม่!....อุบ"
ผมเบิกตากว้าง รีบสูดหายใจเข้าเพื่อเก็บอากาศไว้เมื่อโดนรั้งตัวให้จมลงไปใต้น้ำพร้อมกับคนข้างหลัง
ไอ้หมานี่มันเอาจริง!
แล้วไอ้รอยยิ้มตอนอยู่ใต้น้ำนี่มันอะไรกัน...
ผมพยายามชี้ที่ปากตัวเองเป็นเชิงบอกว่าจะไม่ไหวแล้ว แต่คนที่กอดเอวไว้ก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนออก
มืดแล้วยังเล่นแบบนี้อีก...นี่ถ้าไม่ใกล้กันจริงๆคงมองไม่เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ
และในวินาทีที่ผมกำลังจะหมดลมหายใจ ริมฝีปากนุ่มของคนที่มองดูอยู่ตลอดก็กดทับลงมา ส่งผ่านอากาศเข้ามาให้ ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เผยอปากรับอยู่อย่างนั้น แม้แต่ตอนที่ถูกดันขึ้นมาจากน้ำโดยที่ยังจูบกันอยู่ผมก็ยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
"รัก..."โซโล่กระซิบ เกี่ยวเอวผมให้แนบชิดมากขึ้น
"พี่...อื้อ"ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเขาก็กดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง อาศัยจังหวะที่ผมกำลังอ้าปากส่งผ่านลิ้นร้อนๆเข้ามาข้างใน…มันไม่ใช่จูบที่เอาปากแตะปากกันเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ก็ไม่ใช่จูบร้อนแรงเหมือนจะแผดเผากัน มันยังคงเป็นจูบอ่อนโยนตามแบบฉบับของโซโล่ที่ให้เกียรติผมเสมอ ต่างกันแค่ครั้งนี้ผมไม่สามารถทรงตัวไว้ได้ รู้สึกเหมือนแข้งขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องกำเสื้อเชิ้ตของเขาเอาไว้แน่นเพื่อทรงตัว เราจูบกันอยู่เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เมื่อลมหนาวพัดเข้ามาจนผมตัวสั่นเขาก็หยุดทุกอย่าง
ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง จวบจนเขาพาผมขึ้นมาบนฝั่ง หยิบเสื้อสูทที่วางทิ้งไว้มาสวมให้แล้วผมก็ยังนิ่งอยู่
"ฮัลโหล...มีใครอยู่ไหม"โซโล่เคาะหัวผมเบาๆแล้วหัวเราะเสียงดัง
"เล่นอะไรเนี่ย..."ผมหน้าตึง หันไปคนข้างๆด้วยสายตาเชือดเฉือน
"ทำเหมือนไม่เคย"
"ก็ไม่เคย!..."ขนาดนี้นี่
"ไม่เคยอะไร"คนขี้แกล้งเอียงคอถามเหมือนสงสัยเสียเต็มประดาทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว
"ไม่คุยแล้วครับ พี่หนาว"ผมตัดบทแล้วเดินหนี ไม่สนใจคนที่เดินตามมาด้านหลังอีก
ดีที่ตอนนี้เป็นตอนกลางคืน...ไม่งั้นผมคงโดนหมาบ้าล้อเพราะหน้าแดงแน่ๆ
"กีตาร์ยิ้มหน่อย..."คนพูดวิ่งนำมาด้านหน้าแล้วชูกล้องขึ้นก่อนจะกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว "อ่าว...."
"อะไรครับ"
"ยิ้มอยู่แล้วนี่นา"
"ไอ้หมา!"
ไอ้มาดลูกชายผู้บริหารตอนแรกมันหายไปไหนหมดเนี่ย…
ผมกับโซโล่เดินกลับมาที่ร้านเดิมที่พวกพี่ๆกำลังดื่มกันอยู่ คงเพราะเป็นร้านริมทะเลมันเลยมีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ ยกตัวอย่างเช่นผมเห็นร่างของพี่บางคนนอนกองอยู่บนหาดเกลื่อนกลาดแทนที่จะเป็นเก้าอี้ร้าน ส่วนเบียร์มันยังนั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นดื่มอยู่เลย
โซโล่โอบไหล่ผมแล้วเดินเข้าไปหาคุณแพทที่นั่งรวมอยู่กับผู้เหลือรอด ซึ่งดูเหมือนจะมีพี่ๆจากแผนกอื่นๆมาแจมด้วยมากพอควร
"อาแพท"
เรียกคนเดียวแต่หันทั้งกลุ่ม
"คุณชาย!"คุณแพทเบิกตากว้าง รีบลุกขึ้นมากอดโซโล่ "มาได้ยังไงเนี่ย"
"ผมมารับกีตาร์ครับ"
"กีตาร์?"คุณแพททำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจ แต่พอหันมาสบตาผมเขาก็ยกยิ้ม "กีล์นี่เอง...แล้วทำไมตัวเปียกกันทั้งคู่แบบนี้ล่ะ"
"เล่นน้ำกันมาน่ะครับ"โซโล่ชิงตอบอย่างรวดเร็ว แล้วยังมีการหันมายิ้มเยาะผมด้วยนะ
"งั้นมาให้อาแนะนำให้พวกขี้เสือกพวกนี้รู้จักก่อนค่อยกลับแล้วกัน"
"โห คุณแพท...พูดงี้พวกผมก็เสียหายสิครับ"
คุณแพทส่ายหัวมองพวกพี่ที่ร้องโหยหวนกันด้วยสายตาหน่ายๆ
"ตั้งใจฟัง!"
"ครับผม!"
ผมหัวเราะเสียงดังเมื่อพวกพี่ๆที่นอนกลิ้งอยู่เมื่อครู่เด้งตัวขึ้นตั้งตรงโดยอัตโนมัติในทันทีที่คุณแพทขึ้นเสียง
"คนๆคือนี้โซโล่ ศิวโลคินทร์ ลูกชายคนเดียวของคุณซี ศิวโลคินทร์ เจ้าของบริษัทของพวกคุณ ต่อไปในภายภาคหน้าพวกคุณก็ต้องทำงานให้เขา วันนี้ผมเป็นคนพามาปลดปล่อยเอง เพราะงั้นผมจะถือว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่ครั้งหน้าถ้าเจอกันอีกไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน พวกคุณก็ต้องทำตัวให้เหมาะสม เข้าใจไหม!"
"ครับ!"
ตอนแรกก็ตลกอยู่หรอก แต่พอคุณแพทเริ่มจริงจังผมชักสงสารพวกพี่ๆที่เมาหนักแล้วยังต้องฝืนนั่งตัวตรงยังไงก็ไม่รู้สิ
"โซครับ"ผมกระซิบเรียกคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างๆ "ช่วยพวกพี่เขาหน่อย"
โซโล่ส่ายหัวเหมือนจะตำหนิความใจดีของผม เขารีบกลับมากอดไหล่ผมไว้เหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าผมเริ่มสั่นเพราะความหนาว
"ไม่เป็นไรหรอกครับอาแพท ให้พวกเขาทำตัวตามสบายดีกว่า"พอได้ยินโซโล่พูดอย่างนั้นพวกพี่ๆกว่าสิบชีวิตก็ถอนหายใจโล่งอก หล่นลงไปกองกับโต๊ะกันเหมือนเดิม
"ขอบคุณครับคุณชาย ว่าแต่...กีล์ ทำไมไปยืนตรงนั้นวะ"พี่ที่ผมสนิทคนหนึ่งถามด้วยความประหลาดใจ ยิ่งเขาเลื่อนสายตาไปเห็นแขนโซโล่ที่กอดไหล่ผมไว้เขาก็ยิ่งดูแปลกใจมากกว่าเดิม
"คือ..."
"พวกคุณไม่เคยได้ยินเหรอ"คุณแพทพูดแทรกผมที่กำลังเรียบเรียงคำพูด เขาหันไปมองพวกพี่ๆด้วยสีหน้าจริงจัง "เมียเจ้านายก็คือเจ้านาย เขายืนตรงนั้นก็ถูกแล้วนี่"
"เมีย...เจ้านาย"พวกพี่ๆเริ่มหันมามองผมงงๆ แต่พอผ่านไปสักพักก็กลายเป็นเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน "กีล์กับคุณชาย..."
ผมหัวเราะเสียงดัง จะว่าเขินก็เขินอยู่หรอก แต่ออกจะตลกกับท่าทางของพวกเขามากกว่า ขนาดเจ้าหมาที่ยืนอยู่ข้างผมยังหลุดขำเลย
"ตามนั้น"โซโล่ตอบรับเสียงเรียบจนผมลืมขำ รีบหันไปตีท้องคนหน้าตายเบาๆ
ยังไม่ใช่เมียสักหน่อย...
"ใครทำอะไรไว้ พรุ่งนี้ยังทัน ไปเซ่นไหว้ให้เรียบร้อยล่ะ"คุณแพทพูดติดตลก ส่วนพวกพี่ๆที่พากันขอโทษผมไม่หยุดปากก็โหยหวนกันต่อไป
"ผมไม่ได้ตั้งใจจะใช้งานคุณหนักจริงๆนะครับคุณกีล์"
คำพูดคำจา...
"ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรอกครับ"ผมโบกมือปฏิเสธ พยายามยิ้มให้พวกเขาสบายใจ เพราะผมไม่ได้คิดจะเอาคืนหรือแกล้งอะไรกลับจริงๆ
แต่กับหมาบางตัวที่ยืนหรี่ตาจดจำใบหน้าของพวกพี่ๆอยู่ด้านข้างก็ไม่แน่ล่ะนะ
"ผมกลับก่อนนะอาแพท"โซโล่ละสายตาออกจากกลุ่มคนเมาแล้วหันไปลาคุณแพท
"เดินทางดีๆนะคุณชาย"
"ครับอา"
โซโล่พาผมเดินออกมาจากร้าน มุ่งหน้าไปที่โรงแรมที่เขาเปิดห้องไว้ ดีที่ไอ้เบียร์มันจะอยู่ยาวกับคนอื่นถึงเช้าอยู่แล้วผมเลยไม่ต้องโดนมันแซว นี่ถ้ามันรู้ว่าผมทิ้งมันไปนอนห้องเจ้าหมาผมคงโดนล้อยาวแน่ๆ
"ผมเห็นว่าโรงแรมอยู่ไม่ไกลเลยไม่ได้เอารถมา กีตาร์ไหวไหม"โซโล่หันมาถามด้วยความเป็นห่วง
"ไหวครับ"
"ผมไม่น่าทำแบบนั้นเลย"เจ้าหมาทำหน้าหงอย ท่าทางดูรู้สึกผิดจนผมต้องหยุดเดิน
"งั้นก็รับผิดชอบสิครับ"
"ยังไง"
"อย่างงี้ไง"ผมคว้าแขนข้างหนึ่งของเขามากอดไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ถึงจะไม่ได้อุ่นอะไรมากมายแต่ก็ทำให้รู้ว่ามีใครอยู่ข้างตัว...แล้วมันก็ทำให้อุ่นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
"วันนี้อ้อนจริงๆนะเนี่ย...แม่หมา"โซโล่ยิ้ม เขาใช้มืออีกข้างลูบหัวผมเบาๆแล้วดันให้เดินต่อ เราเดินกันไปเรื่อยๆโดยไม่ได้รีบอะไร ถึงจะหนาวไปหน่อย...อาจจะไม่หน่อย แต่ผมก็รู้สึกดีที่มีคนๆนี้เดินอยู่ข้างๆ
ต้องบอกว่าพอได้เจอกันแล้วอะไรก็ดูเหมือนจะดีไปหมด ขนาดทางที่ผมใช้เดินกลับที่พักทุกวันยังดูน่าเดินขึ้นมาเสียเฉยๆเลย
บางทีสิ่งที่เราไม่ชอบหรือรู้สึกเฉยๆ…พอมีอะไรสักอย่างเข้ามาเติมเต็ม มันอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขก็ได้
"โซจะมีความสุขกับงานที่ทำจริงๆเหรอครับ"ผมถามย้ำ ไม่ใช่แค่อยากเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง แต่ผมไม่อยากให้เขาต้องมาเสียใจทีหลังเพราะสิ่งที่ตัวเองเลือก
"ต่อให้ต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต ถ้ากีตาร์อยู่ข้างผมเหมือนที่เจย์อยู่ข้างพ่อ...ผมมั่นใจว่าผมจะมีความสุขกับมัน"
"ถ้างั้น...”
“หืม…”
“คุณได้รับแม่หมา1ea”ผมยิ้มเมื่อโซโล่หันมามองด้วยความไม่เข้าใจ "ไอเทมชิ้นนี้ผูกมัดกับพ่อหมาเท่านั้น ไม่สามารถถอดหรือทำลายได้ตลอดชีวิต"
โซโล่กระพริบตาปริบๆ ทำหน้าเหรอหราเหมือนกำลังประมวลผล สุดท้ายเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วดึงผมไปกอดไว้แน่น
"จะเก็บรักษาอย่างดีเลย"
ไม่เสียแรงที่ลองเล่นเกมตามคำชวนของเบียร์ เพราะนอกจากจะได้พูดสิ่งที่ใจคิดออกไปแล้ว ผมยังทำให้คนที่สำคัญที่สุดหัวเราะได้ด้วย
นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป...เราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว
.
.
"กีตาร์เหนื่อยเพราะพวกนั้นเหรอ"
ผมไม่ใช่พวกขี้ฟ้อง
"จริงๆก็เพราะคนทั้งบริษัทเลยครับ"
แต่ให้เขาถามเอง
"จำได้ไหมว่าใครบ้าง"
ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น
"จำได้แต่คนที่ไม่เคยใช้งานพี่ครับ"
ก็ไม่ได้จำคนที่ใช้งานจริงๆนี่นะ
"รอให้ผมมีอำนาจมากกว่านี้จะจัดการให้"
ผมไม่เคยคิดจะใช้อำนาจในทางที่ผิด
"ให้ผลัดกันไปขัดส้วมวันละคนก็ดีครับ"
ก็แค่อยากช่วยให้พี่ๆทำได้ทุกอย่างเฉยๆ
เอาเป็นว่าสู้ๆล่วงหน้าแล้วกันครับพี่ๆ : )
-----------------------------------
TALK : ตอนหน้าจบแล้วนะ ใครยังไม่เห็นปกดูได้ในเพจนะคะ (ตัวเต็มก็เสร็จแล้ว แต่ให้ดูแค่ร่างก่อน)
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04