-41-
“ขอโทษครับ”
“ครับ”
“ขอโทษ”
“พี่ให้อภัยแล้วครับ”ผมหัวเราะก่อนจะยกมือโคลงศีรษะหมาขี้อ้อนไปมา เล่นพูดย้ำแบบนี้มาเป็นสิบรอบแล้ว ใครมันจะไปโกรธลงกัน
“แต่ผม…”โซโล่ตั้งท่าจะพูดต่อ แต่ก่อนจะได้ทำอะไรแบบนั้นผมก็หยุดเขาไว้ด้วยการดันหัวอีกคนเข้ามาใกล้แล้วพิงหน้าผากเอาไว้กับหน้าผากของเขา
“ขอชาร์จพลังหน่อย”ผมหลับตาลง ทำเหมือนกำลังชาร์จพลังจากเขาจริงๆจนเจ้าหมาหัวเราะออกมาเบาๆ เขาจับหน้าผมกลับด้วยมือทั้งสองข้าง ทิ้งน้ำหนักของหัวลงมาเต็มที่จนเหมือนเรากำลังพิงกันไว้ด้วยแรงของอีกคน
“เหนื่อยมากไหม”โซโล่ถามขึ้นลอยๆ ผมลืมตาแล้วมองคนที่กำลังทำหน้าเป็นห่วงด้วยสายตาอ่อนโยน
“เหนื่อยมากครับ”ผมยอมรับ “แต่ก็สนุกดี ได้รู้อะไรหลายๆอย่าง”
“ขอโทษ”เจ้าหมาหน้าหงอย หลุบตาลงต่ำไม่ยอมมองหน้าผม
“รู้ตัวแล้วก็ต้องพยายามนะครับ”ผมผละตัวออก จับมือทั้งสองข้างของโซโล่ไว้แล้วเขย่าไปมาเบาๆ “พี่เองก็จะพยายามเหมือนกัน”
“ครับ”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”ผมดึงแขนคนข้างๆให้นั่งลงบนเก้าอี้ริมสระน้ำของสวนสาธารณะ ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มหว่างคิ้วที่ขมวดเป็นปมของเขาเบาๆ
“ใครๆก็บอกว่าผมคิดถึงแต่ตัวเอง…”
“ใครบ้างเหรอครับ”
“พ่อ เก้า แล้วก็กีตาร์ด้วย”โซโล่พูดเสียงอ่อย มองผมอ้อนๆเหมือนกลัวจะโดนโกรธอีก
“อืม…จะว่ายังไงดี มันก็ไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียวหรอก”ผมพยายามคิดว่าควรอธิบายแบบไหนดีเขาถึงจะเข้าใจได้ “โซคิดถึงพี่เลยอยากไปหาใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“โดยที่โซยอมทิ้งงาน ทิ้งการเรียนทุกอย่าง”
“ใช่ครับ”
ผมหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าหมาทำตัวเรียบร้อยผิดปกติ แม้แต่คำพูดคำจาก็สุภาพแทบทุกคำอย่างกับกลัวว่าผมจะโกรธ อยู่ๆความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเป็นเดือนก็เบาบางลงเพียงแค่ได้เจอหน้ากัน ถึงตอนแรกจะเป็นยังไงก็ตาม แต่เมื่อเข้าใจกันแล้วผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงขึ้นมากจริงๆ
“สิ่งที่โซกำลังทำคือการคิดถึงแต่ตัวเองครับ”
“ผมไม่เข้าใจ…”โซโล่ส่ายหน้า ขมวดคิ้วเหมือนข้องใจมากจริงๆว่าตัวเองทำอะไรผิด ผมเข้าใจเขาดี และเข้าใจเรื่องที่คุณเจย์เล่าให้ฟังเรื่องความคิดคุณท่านด้วย
วิธีการสอนของคนเราไม่เหมือนกัน อาจเพราะโซโล่ห่างจากพ่อเขามากเกินไปถึงได้ไม่เข้าใจ แล้วคุณท่านก็เล่นเป็นคนแบบนั้น ไม่แปลกที่จะเข้าใจกันผิดไปหมด
“ตอนที่โซจะไปหาพี่ โซได้มองปัจจัยอื่นๆไหมครับ…คิดบ้างไหมว่างานจะเป็นยังไง การเรียนจะมีปัญหาหรือเปล่า ใครบ้างจะต้องตามแก้ปัญหาให้ และที่สำคัญ…”ผมยกมือเขาขึ้น มองดูพลาสเตอร์ที่แปะอยู่หลายจุดด้วยความเศร้าใจ “นึกถึงความรู้สึกของพี่บ้างหรือเปล่า”
“…”
“ทั้งเอาแต่ใจ อยากไปก็ต้องไปให้ได้ พอไม่ได้ดั่งใจก็ทำลายข้าวของ ไม่ห่วงตัวเอง ไม่ทานข้าว ทำร้ายตัวเองแบบนี้ คิดว่าคนรอบข้างจะรู้สึกยังไงล่ะครับ”ผมลูบปลายนิ้วที่เป็นแผลของเขาเบาๆ ก่อนจะมองเลยไปยังสภาพร่างกายของเขา…ทั้งใบหน้าที่ดูซีดเซียวและร่างกายที่ดูไร้เรี่ยวแรง
ขนาดผมที่ทำงานเหนื่อยมาเป็นเดือนยังต้องกินข้าวครบทุกมื้อ ถึงจะเหนื่อยหรือนอนน้อยไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แตกต่างจากโซโล่ที่ดูเหมือนคนป่วยทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรโดยสิ้นเชิง
“โซจะคิดถึงแต่ตัวเองหรือคิดถึงแต่พี่ไม่ได้นะครับ…ต่อให้ความรักเกิดจากคนสองคน เป็นเรื่องของคนสองคน แต่มันไม่ได้มีแค่คนสองคน ยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่เราต้องเรียนรู้และอยู่กับมันไปด้วย”
“ครับ…ขอโทษ”เจ้าหมาพูดด้วยความรู้สึกผิด พอเห็นสายตาที่เหมือนจะบอกว่าเข้าใจแล้วของเขาผมก็ยิ้มให้
“คุณพ่อเป็นห่วงโซมากนะครับ ท่านก็มีวิธีการสอนของท่าน พี่อยากให้โซเข้าใจ”
“แต่ว่า..”
“ถ้าท่านไม่ยอม โซคิดว่าเก้า คุณเจย์ หรือพี่จะเข้าไปหาได้จริงๆเหรอ”
“…”
“เข้าใจแล้วสินะ”ผมใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าของหมาตัวโตให้เงยขึ้นมองก่อนจะหรี่ตาสำรวจ “ดูสิ…หน้าซูบไปตั้งเยอะ”
โซโล่ยกยิ้มบาง เขาหันหน้าเข้าหาฝ่ามือของผมที่ประคองหน้าเขาอยู่ก่อนจะกดจูบลงมาเบาๆ
“อยากให้ผมคุยกับพ่อเรื่องที่กีตาร์หยุดงานไหม”
“ไม่ครับ”ผมส่ายหน้า “พี่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง”
โซโล่หน้าสลด ผมรีบดันหน้าเขาให้กลับมาสบตากันเหมือนเดิม ก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไรหรอก
“อย่างมากก็ทำงานหนักขึ้น ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“แต่ผม…”
“ถ้าโซรู้สึกผิด งั้นพี่ขออะไรสักอย่างได้ไหม”
“ได้ทุกอย่างเลย”เจ้าหมาหูกระดิก ท่าทางตั้งอกตั้งใจ น่าเอ็นดูจนผมต้องบีบแก้มขาวอยู่หลายทีด้วยความหมั่นไส้
“คุณเจย์เคยบอกพี่ว่าคนเรามีบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง สำหรับโซคือการเกิดมาเป็นทายาทนักธุรกิจพันล้าน ต่อให้หนีแค่ไหนก็หนีไม่พ้น แต่มันอยู่ที่เราจะเลือกทางไหน ระหว่างการจำใจทำทั้งที่ไม่ชอบ…หรือพยายามเติมบางสิ่งลงไปเพื่อมีความสุขกับมัน”
“…”
“ถึงอย่างนั้นพี่ก็อยากให้โซไปบอกคุณพ่อครับ…บางทีถ้าโซไม่อยากทำจริงๆ มันอาจมีหนทางอะไรสักอย่างที่เราคิดไม่ถึงซึ่งช่วยโซได้ พี่เชื่อว่าคุณพ่อของโซต้องรับฟังแน่นอน แต่ถ้าโซคิดว่าจะทำตามบทบาทหน้าที่ของตัวเอง…”ผมเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องมองคนตรงหน้าเพื่อส่งผ่านความมั่นใจไปให้ “พี่จะช่วยเป็น ‘บางสิ่ง’ ที่คุณเจย์บอกให้ ถึงจะไม่แน่ใจว่าโซจะมีความสุขกับการรับหน้าที่นั้นหรือเปล่า แต่ตอนที่โซมีปัญหา พี่จะอยู่ข้างๆไม่ไปไหนแน่นอน”
ทันทีที่ผมพูดจบโซโล่ก็เงียบไป เขาทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่เหมือนกำลังทบทวนตัวเอง ผมนั่งมองเงียบๆ ไม่ได้เร่งรัดอะไร ผ่านไปสักพักเขาก็พยักหน้าแล้วส่งยิ้มมาให้
“ผมจะไปคุยกับพ่อ”
“ครับ”
“กีตาร์จะไปกับผมหรือเปล่า”
“พี่จะขึ้นเครื่องกลับตอนค่ำ ยังพอมีเวลาครับ”ผมบอกแล้วฉุดตัวคนที่กำลังยิ้มกว้างให้ลุกขึ้นตาม
เราเดินกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ที่เดิม คุณเจย์ที่หันมาเห็นก่อนมองมาทางผมอย่างเป็นกังวล พอเห็นผมยิ้มให้เหมือนปกติเขาก็ถอนหายใจแล้วสะกิดเก้าให้หันมามอง ฝั่งเด็กแสบที่กำลังกดโทรศัพท์ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมกับโซโล่ก็ก้าวเท้ายาวๆมาหาแล้วผลักหัวเพื่อนอย่างแรงจนเจ้าหมาหน้าบูด
น่าแปลกที่ครั้งนี้คนโดนทำร้ายก่อนไม่เอาคืนเหมือนเคย
“กว่าจะหายโง่นะมึง”
ผมปล่อยให้สองเพื่อนซี้ยืนคุยกันแล้วหันไปหาคุณเจย์แทน ตามจริงต้องบอกว่าเหมือนจะเป็นเก้าที่ยืนบ่นอยู่คนเดียวเสียมากกว่า เพราะโซโล่กำลังทำตัวเป็นหมาหงอย ถึงจะมีเถียงบ้างแต่พอเด็กแสบถลึงตาใส่ก็เงียบกริบทันที คงรู้ว่าตัวเองผิดถึงไม่กล้าพูดอะไร
“คุณกีล์โอเคนะครับ”
“โอเคครับ”
คุณเจย์แลดูเป็นห่วงผมมาก ดูเขารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่โทรมาบอกผมเรื่องโซโล่จนผมต้องรีบมาหาในวันนี้ จริงๆแล้วผมต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ ถ้าเขาไม่บอกผมคงไม่รู้เลยว่าเจ้าหมาของผมเป็นถึงขนาดไหน
ตอนแรกที่เห็นหน้าโซโล่ผมดีใจมาก แต่วินาทีต่อมาที่เห็นว่าเขาอยู่ในสภาพแบบไหนผมก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่ผิดหวังไม่ใช่เพราะเขาทำผิดหรืออะไร เพราะผมเข้าใจดีว่าโซโล่โตมาแบบไหน แต่สิ่งที่ทำให้ผมผิดหวัง คือการที่เขาทำร้ายตัวเองได้โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนรอบข้างเลย ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
“ผมจะเลือกทางที่สอง”โซโล่พูดขึ้นตัดความคิดของผม ผมหันไปมองเขา พยายามหาความลังเลในดวงตาคู่นั้น แต่มองอย่างไรก็ไม่พบ มีเพียงความมุ่งมั่นที่ส่งผ่านมาราวกับจะย้ำในคำตอบ “ขอโทษที่ทำให้กีตาร์เหนื่อยคนเดียวมาตลอด ต่อไปเรามาเหนื่อยไปด้วยกันนะครับ”
แค่นี้เองที่อยากฟัง…
ผมยิ้มด้วยความสบายใจ ค่อยๆเอนหัวพิงไหล่แกร่งของคนข้างๆไว้ รู้สึกเหมือนอาการเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาบรรเทาลงเรื่อยๆ เหมือนกับได้ที่พักพิงกลับคืนมา รวมถึง…ได้เจ้าหมาตัวเดิมของผมกลับมาด้วย
น่าจะยี่สิบนาที…ยี่สิบนาทีที่สองพ่อลูกยืนจ้องตากันเงียบๆโดยไร้ซึ่งการพูดคุยใดๆ ผมได้แต่ยืนยิ้มอยู่ข้างโซโล่ ส่วนคุณเจย์ก็เดินไปยืนอยู่ข้างๆคุณท่าน รู้สึกอย่างกับกำลังมองเงาสะท้อนในกระจก
บางทีการยืนจ้องตากันอาจยาวนานกว่านี้…ถ้าไม่มีคนความอดทนต่ำติดมาด้วยน่ะนะ
“อีกนานปะ”เก้าที่นั่งชันเข่าอยู่บนโซฟาส่งเสียงถาม เรียกให้ทุกสายตาหันไปมอง “คือถ้านานผมจะได้ไปซื้อของกินมากินด้วยเลย”
ผมอมยิ้มขำ บรรยากาศอึดอัดเมื่อครู่ดูเหมือนจะบางเบาลงแทบจะทันที ยิ่งตอนเด็กแสบกรอกตามองบนนี่ยิ่งเหมือนรอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าของทุกคนด้วยซ้ำ
จริงๆที่เก้าพูดผมคิดว่าส่วนหนึ่งก็คงอยากช่วยโซโล่เปิดบทสนทนาด้วย เพราะพวกเราเพิ่งแวะทานข้าวกันก่อนจะมาถึงคอนโด ดังนั้นเก้าไม่น่าจะหิวไวขนาดนั้น
“ยังไม่ได้ทานของหวานเลย”
โอเค…ผมคงคิดไปเอง เด็กแสบนี่ไม่ได้อยากจะช่วยเพื่อนเลยสักนิด
พอเก้าเอนตัวลงนอนบนโซฟาแบบไม่สนใจใครบรรยากาศเดิมๆก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง ถึงครั้งนี้จะไม่ได้ดูกดดันเท่าครั้งแรกแต่ก็ไม่มีใครทำท่าจะพูดอะไรออกมาอยู่ดี
“โซ…”
“คุณท่านครับ…”
ผมหันไปมองหน้าคุณเจย์โดยอัตโนมัติ เรายิ้มให้กันเหมือนจะขำตัวเองกันทั้งคู่ สุดท้ายก็เป็นผมเองที่หันไปหาโซโล่แล้วพูดต่อ
“พี่เหลือเวลาไม่มากแล้วนะครับ”
พอได้ยินอย่างนั้นสีหน้าของโซโล่ก็อ่อนลง เขาหันกลับไปมองพ่อตัวเองแล้วเปิดประโยคสนทนาก่อน
“ผมจะกลับมาทำงาน”
“อืม”
เอ่อ…ยกมือกุมขมับจะเสียมารยาทหรือเปล่านะ
“ผมจะเริ่มใหม่…”โซโล่พูดต่อ เขาจ้องหน้าคุณท่านด้วยสายตาเรียบเฉย แม้จะไม่ได้แสดงออกถึงความรักแต่ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนที่เคยเป็น “หมายถึงเรื่องของพ่อกับผม”
“…”
“ผมจะไม่ถามหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น เรื่องเก่าๆทุกเรื่อง…ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ผมไม่ต้องการรู้เหตุผล เพราะความรู้สึกที่เสียไปแล้วมันเอากลับมาไม่ได้…แต่ผมจะเริ่มต้นใหม่ตามที่กีตาร์บอก”
“…”
“ผมจะทำงาน จะเดินตามรอยพ่อ จะดูแลสิ่งที่พ่อสร้างไว้ ต่อจากนี้จะไม่งี่เง่า ไม่เอาแต่ใจตัวเอง แต่ขอแค่อย่างเดียว…”โซโล่หยุดพูดไป เขาหันมามองหน้าผม ยกยิ้มอ่อนโยนให้ แล้วหันกลับไปพูดกับคุณท่านด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ให้กีตาร์ได้อยู่ข้างๆผม”
คุณท่านไม่ได้ตอบรับในทันที ท่านมองหน้าลูกชายด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไป วูบหนึ่งผมเห็นความอ่อนโยนสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่ยังไม่ทันได้สังเกตให้ชัดท่านก็เบนสายตามาหาผมเสียก่อน
“คำตอบของนายล่ะ”
ผมก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว มองท่านด้วยสายตาที่คิดว่ามั่นคงที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบกำหนดฝึกงานเลยสักนิด…เพราะผมหาคำตอบให้ท่านได้แล้ว และมั่นใจว่ามันคือคำตอบสุดท้าย
“ผมอยากอยู่ข้างโซครับ…”
“โดยที่นายเป็นวิศวกร?”
“ไม่ใช่ครับ…”ผมหันไปมองคุณเจย์ เห็นเขาส่งรอยยิ้มให้กำลังใจมาให้ “ผมอยากอยู่ข้างโซ…ในแบบเดียวกับที่คุณเจย์อยู่ข้างคุณท่าน”
ดวงตาของคุณท่านอ่อนแสงลงเมื่อได้ยินผมพูดถึงคุณเจย์ ส่วนคนที่ถูกพูดถึงก็ยืนยิ้มมีความสุขอยู่ด้านข้าง เป็นรอยยิ้มมีความสุขจริงๆเหมือนกับที่เขายิ้มตอนอยู่บนเขาไม่มีผิด
“หมายความว่านายยอมทิ้งสี่ปีที่เรียนมางั้นสิ”คุณท่านถามต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ถึงจะไม่ได้กดดันเท่าตอนแรกแต่ผมก็เกร็งอยู่ไม่น้อย
“ถ้าคุณท่านหมายถึงการเริ่มใหม่ก็คงใช่ครับ เพราะการจะอยู่ข้างโซและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพผมคงต้องเรียนต่อ…แต่ถ้าใช้คำว่าทิ้งคงไม่ถูกนัก เพราะทุกสิ่งที่เรียนมาคือประสบการณ์อันมีค่าที่สามารถเอาไปต่อยอดได้แน่นอน”ผมยกยิ้มนิดๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอมา “ยกตัวอย่างเช่นผมสามารถทำงานได้หลายอย่าง หรืออาจจะรู้เรื่องเยอะกว่าคนทั่วไปเพราะมีประสบการณ์ที่มากกว่า แถมยังจบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วย…”
“…”
“ผมคิดว่าความสามารถและโปรไฟล์ของตัวเองดีพอที่จะยืนเคียงข้างทายาทของRKได้แน่นอนครับ”
คุณท่านเผยรอยยิ้มน้อยๆ ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกองเมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นมีความพอใจปะปนอยู่ พอได้พูดสิ่งที่อยากพูดทั้งหมดก็เหมือนจะหมดแรงกะทันหัน ผมก้าวถอยหลังเพื่อทรงตัวไว้ ดีที่มีฝ่ามืออบอุ่นของคนด้านหลังช่วยประคองไว้อีกที
“ไหวหรือเปล่า”โซโล่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เขาทำท่าจะช่วยพยุงผมไปที่โซฟาแต่ผมรั้งตัวเอาไว้แล้วส่ายหน้าให้
ยังมีอีกเรื่องที่ผมอยากถามคุณท่าน
“คุณท่านครับ”ผมเม้มปาก ใจเต้นแรง พยายามเค้นแรงที่มีเพื่อถามคำถามที่คาใจมาตลอด “ไม่ทราบว่าที่ผมต้องทำงานแทบทุกตำแหน่ง…เป็นคำสั่งของคุณท่านหรือเปล่าครับ”
คือได้เข้าห้องผู้บริหารแล้ว…ตอนนี้เหลือแค่นั่งเก้าอี้ผู้บริการก็ครบแล้วจริงๆ
“แพทให้นายทำแบบนั้นเหรอ”คุณท่านเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยคุณท่านก็ไม่ได้เกี่ยวขะ… “ฉันแค่สั่งให้เขาช่วยให้นายหาคำตอบให้ได้ไวๆ…ถึงจะบอกว่าให้เวลาช่วงฝึกงานทั้งหมด แต่ฉันก็ไม่ได้มีความอดทนเท่าไหร่”
“…”
เข้าใจแล้วว่าทำไมเป็นพ่อลูกกันได้
“คุณท่าน ทำไมแกล้งคุณกีล์แบบนั้นล่ะครับ”คุณเจย์ก็พูดเหมือนจะช่วยนะ แต่เขายิ้มกว้างกว่าไอ้เบียร์ตอนเห็นสภาพผมแรกๆเสียอีก
“ก็ไม่ได้คิดว่าแพทจะใช้วีธีนี้เหมือนกัน…นายก็ทนเอาแล้วกัน อีกไม่กี่เดือนก็จบแล้ว”
“เดี๋ยวนะครับ…”ผมยกมือทั้งสองขึ้นเป็นเชิงให้คุณท่านหยุด เหมือนจะลืมเลือนมารยาทไปชั่วขณะ “ที่คุณท่านพูดนี่หมายถึง…”
“อืม…”คุณท่านตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ผมนี่อยากจะเทตัวลงกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ “ถ้าคำตอบของนายคือการยืนข้างโซ ฉันก็จะสั่งให้ทำแบบนั้นอยู่แล้ว นายต้องรู้จักคนให้มาก รู้จักงานให้เยอะ เพราะงั้นก็ทำต่อไป”
“ผมก็ทำมาแล้วนะครับคุณกีล์”คุณเจย์ยิ้มสดใสเหมือนอยากจะช่วยให้ผมมีกำลังใจขึ้น
“กีตาร์…เบะปากทำไม เหนื่อยมากเลยเหรอ”
“หน้าพี่กีล์โคตรฮาอะ”
ขนาดเก้ายังลุกขึ้นมานั่งขำ…
ให้ตายเถอะ
ผมกำลังไม่เข้าใจว่าเรามาอยู่ที่ร้านไอศกรีมกันได้ยังไง แล้วเราที่ว่านี่หมายถึงเราทั้งห้าด้วยนะ แม้แต่คุณท่านยังมาด้วย ถึงผมจะบอกว่าเหลือเวลามากพอควรกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากไปไหนเสียหน่อย
"เอาอันนี้สองถ้วย"ตัวต้นเหตุที่อยากกินของหวานเป็นคนแรกชี้สั่งเมนูที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
"คุณท่านทานอะไรดีครับ"
"กินกับนายนั่นล่ะ"
ถ้าเป็นปกติผมคงนั่งมองแล้วยิ้มให้ประโยคสนทนาพวกนี้ แต่บอกตรงๆตอนนี้ไม่มีอารมณ์
"กีตาร์กินอะไรไหม"
ผมส่ายหัว พยายามเอนหลังหาท่าที่สบายเพื่อพักสายตา แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นคนข้างๆก็ขยับเข้ามาโอบไหล่แล้วรั้งให้ผมพิงตัวเขาไว้เสียก่อน
"ท่านี้สบายกว่า"
"ขอบคุณครับ"ผมอมยิ้ม รู้สึกดีกับความใส่ใจเล็กๆน้อยๆที่ห่างหายไปนาน
เรื่องมารยาทต่อหน้าคุณท่านขอโยนทิ้งไปสักครั้งก็แล้วกัน
"ฉันจะช่วยบอกแพทให้"อยู่ๆคุณท่านก็พูดขึ้นมา ผมที่กำลังจะหลับลืมตาโดยอัตโนมัติ หันไปมองหน้าเจ้าหมาก็เห็นแต่หัวที่ส่ายดุ๊กดิ๊กเป็นเชิงบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง
"คุณท่านหมายถึง..."
"เรื่องที่เธอหยุดงานมาวันนี้"คุณท่านพูดด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย "จริงๆก็ไม่ได้อยากจะยุ่ง ยังไงเธอก็มาโดยพลการเอง...ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ไม่ใช่โซหรอกที่มาขอ เพราะถ้าเจ้านี่ขอเองเธออาจจะโดนหนักกว่าเดิม"
ถ้างั้นคนที่ขอแล้วคุณท่านยอมก็คงเป็น...
"ผมเปล่านะครับ"คุณเจย์ปฏิเสธทันทีที่ผมหันไปมอง ดูจากปฏิกิริยาแล้วก็คงไม่ใช่จริงๆ งั้นก็เหลือแค่...
"ผมขอพ่อเองอะ"เด็กแสบที่กำลังคาบช้อนไอศกรีมไว้ในปากยอมรับหน้าตาย "เห็นพี่เหนื่อยไรงี้ไง แล้วก็มาเพื่อเพื่อนผมทั้งที"
"แล้วคุณท่านยอม..."
"จ๋าบอกว่าพ่อเพื่อนก็เหมือนพ่อเรา"
"จ๋า?"
"อือ...จ๋า"
ผมยกมือกุมขมับ รู้สึกปวดหัวจี๊ดๆ สุดท้ายก็คิดว่าการเลิกสนใจเจ้าเด็กนี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
"คุณท่านครับ ผมเลือกมาเอง เพราะงั้น..."
"เอาเป็นว่าฉันจะพูดให้เพราะเห็นแก่ที่เธอมาช่วยจัดการเรื่องลูกฉันแล้วกัน อีกอย่าง...ถือเป็นการไถ่โทษที่ให้โดนใช้งานหนักมานานโดยไม่ถามความเห็น ถือว่าเราหายกัน"คุณท่านพูดแค่นั้นแล้วก็ตักไอศกรีมทานเป็นการตัดบทสนทนา ไม่ปล่อยให้ผมพูดอะไรต่ออีก
"หึหึ"
ผมหันขวับไปมองหน้าเจ้าหมาข้างกาย ทันเห็นฉากที่เขาแปะมือกับเด็กแสบใต้โต๊ะพอดี
"ฝีมือเราสินะ"ผมกระซิบถาม หรี่ตามองอย่างจับผิด แต่เจ้าหมาก็ยังเนียนเอียงหัวกระพริบตาเหมือนไม่เข้าใจ "โซไปตกลงอะไรกับเก้าไว้สินะครับ"
ไม่งั้นมีหรือเด็กแสบจะยอมช่วยง่ายๆ
"กีตาร์พูดเรื่องอะไร"
"ยังเนียนอีก"ผมหยิกขาคนหน้านิ่งไปหนึ่งทีจนเจ้าตัวเบะปาก ลูบขาตัวเองป้อยๆ
"นี่ถ้าอาแพทไม่ได้สนิทกับพ่อนะ ผมจัดการด้วยตัวเองไปแล้ว"
"ยังอีก"ผมดุจนเจ้าหมาหน้าจ๋อย หันกลับไปตักไอศกรีมเข้าปากด้วยท่าทางน่าสงสาร
"..."
"ขี้อ้อนแล้วยังขี้งอนอีก"ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะเอนหัวไปพิงไหล่หมาขี้งอนไว้เป็นเชิงง้อ
เรื่องอายเอาไว้ก่อนแล้วกัน เพราะอยู่แบบนี้แล้วมันสบายชะมัด...หมายถึงนอนน่ะนะ
.
.
ผมรู้สึกตัวตอนที่อยู่บนรถแล้ว ถึงจะยังมึนๆแต่ก็พอจำได้ลางๆว่าเดินหาวให้โซโล่จูงมาจนถึงรถ ตอนนี้ผมนอนอยู่ที่เบาะหลังคนเดียว มีเก้านั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับโซโล่ที่เป็นคนขับ ส่วนคุณท่านกับคุณเจย์แยกไปอีกคันเพราะต้องกลับไปทำงาน
ตอนที่พวกผมมาถึงสนามบินเจ้าหมาดูเงียบมาก เขาไม่ได้งอแงแบบครั้งก่อนที่มาส่ง แม้แต่ตอนที่เดินมาถึงจุดที่ต้องแยกกันแล้วก็ยังนิ่งอยู่
“โซ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”ผมหันหน้าเข้าหาโซโล่ มองเขาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก”
“แล้วทำไมเงียบผิดปกติ”
โซโล่เงียบไปครู่หนึ่งจนผมเริ่มใจดี แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อเขาก็จับหน้าผมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็กดจูบลงมาบนหน้าผากเบาๆแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว
“กำลังทำใจ…”เขาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ ถึงจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่ก็รับรู้ได้ถึงความเศร้าที่แฝงมากับน้ำเสียง “การต้องปล่อยมือจากคนสำคัญซ้ำๆไม่ใช่อะไรที่ทำได้ง่ายๆเลย”
พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของโซโล่ช้าๆ ตอนแรกนอกจากเพลียและอยากนอนแล้วผมก็ไม่ได้นึกถึงอะไรเลย ไม่รู้ว่าปล่อยให้เจ้าหมาคิดมากอยู่คนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว
ผมดึงมือเจ้าหมาออกจากหน้า ก้าวเท้าสั้นๆเข้าไปหา จากนั้นก็กอดคนหน้าเศร้าเอาไว้แน่นด้วยแรงเท่าที่ยังเหลืออยู่
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายครับ”
ครั้งสุดท้ายที่ต้องห่างกันนานๆแบบนี้
“อืม”โซโล่กอดกลับ ถึงจะไม่เห็นสีหน้าของเขาแต่ผมก็รู้ว่าเรากำลังรู้สึกแบบเดียวกัน
เจ็บปวด…แต่ก็อยากให้มันมาถึงจะได้ผ่านไปไวๆ
เวลาคิดว่าอะไรจะเป็นครั้งสุดท้าย คนเรามักจะมีกำลังใจขึ้นมา แค่คิดว่าต่อจากนี้จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกก็พร้อมจะทำอะไรที่ไม่ชอบได้ทันที เวลาท้อก็แค่คิดว่าเดี๋ยวก็จบแล้ว เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว แค่นี้ก็จะรู้สึกมีกำลังใจทำต่อ…ซึ่งครั้งนี้เองก็เหมือนกัน
หลังจากที่เราผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ ในที่ที่มีเขาจะมีผมอยู่ด้วย ต่อให้บินไปที่ไหนผมก็อยู่ข้างๆได้เสมอ เพราะงั้นนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราต้องห่างไกลกันนานๆ
“หลังกลับมาแล้ว โซคงต้องให้พี่ยืมเงินหน่อยนะครับ”
“ได้…ว่าแต่จะเอาไปทำอะไรเหรอ”
“เอาไปเรียนต่อปริญญาโท…”ผมจับมือโซโล่ไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุดในชีวิต “แต่ขอเวลาพี่นอนสักเดือนสองเดือนนะ”
พี่จะตายแล้วครับ
-----------------------------
แจ้งข่าว: ขณะนี้ปกเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ใกล้เปิดจองแล้ว และเปิดยาวประมาณเกือบสองเดือน ใครต้องการก็เก็บเงินได้แล้วนะ หนังสือมี2เล่มค่ะ ส่วนเรื่องราคายังไม่ชัวร์แต่ไม่เกิน700 สามารถติดตามการอัพเดทได้ทางแฟนเพจเรา(Chesshire.) แฟนเพจสำนักพิมพ์(Yholicbooks) หรือทวิตเรา(@Chesshire04)นะคะ
นอกจากนี้ก่อนการเปิดจองเราจะมีกิจกรรมแจกหนังสือ1ชุด เร็วๆนี้ ใครที่สนใจก็ติดตามได้น้า
เหลือ2ตอนจะอัพในวันที่16 และ 23 ค่ะ ส่วนเรื่องของเก้าจะเริ่มอัพในเดือนพฤษภาคม
ขอบพระคุณที่ติดตาม
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04