-43-
ในทริปพักผ่อนช่วงปิดเทอมของโซโล่ นอกจากผมแล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งหน่อติดมาด้วย ผมขอเรียกว่าก้อนกลมๆแล้วกัน เพราะตั้งแต่ขึ้นเครื่อง ลงเครื่อง ยันมาขึ้นรถ เจ้าก้อนกลมๆก็ยังขดตัวเป็นก้อนกลมๆอยู่ในผ้าห่มเช่นเดิม
ตอนแรกผมไม่แน่ใจนักว่าทำไมเจ้าก้อนกลมๆที่ดูอยากนอนตลอดเวลาถึงได้ตามติดมาด้วย เพราะดูจากท่าทีแล้วเขาไม่เหมือนคนที่อยากมาด้วยเลยสักนิด แล้วก็มาได้คำตอบตอนเห็นเจ้าหมาทำการฉุดกระชากลากถูเจ้าก้อนนี่ตามมาขึ้นรถนั่นล่ะ
ที่แท้ก็โดนเจ้าหมาบังคับให้มา แต่บังคับทำไมนี่สิ…จะบอกว่าติดเพื่อนก็ไม่น่าใช่
"ทำไมโซถึงเอาเจ้าก้อนกลมๆนี่มาด้วยล่ะครับ"ผมถามพลางเอามือตบๆก้อนผ้าห่มด้านข้างที่ขดตัวนอนตักโซโล่อยู่
"พามันมาเที่ยว...ไอ้เก้า!กัดขากูทำไม!"เจ้าหมาโวยวาย ผมว่าที่โดนกัดคงเพราะไปพูดอะไรขัดหูเจ้าตัว
ดูท่าเจ้าหมานี่คงไม่ได้ถามความเห็นเพื่อนว่าอยากมาหรือเปล่าแน่ๆ
ผมหัวเราะ ขยับตัวให้เจ้าก้อนกลมๆที่หมุนตัวมานอนตักผมแทนนอนได้สบายขึ้น
"ห้ามนอนตักกีตาร์!"โซโล่หน้าหงิก พยายามดึงตัวเพื่อนออก แต่ผมเอาแขนกันไว้ก่อน
"รถโคลงเคลงหมดแล้วครับ เกรงใจพี่ๆข้างหน้าหน่อยสิ"ผมเตือน แต่เอาเข้าจริงพี่คนขับกับพี่การ์ดที่นั่งอยู่ด้านหน้าคงไม่กล้าว่าคุณชายของตัวเองหรอก
"มันนอนตักกีตาร์"โซโล่หน้าหงิกกว่าเดิม หยุดความพยายามที่จะดึงเพื่อนออก แต่ไม่วายยื่นมือมาขยี้หัวที่โผล่พ้นผ้าห่มของเก้าอีกทีด้วยความหมั่นไส้
เหมือนจะไม่พอใจ แต่จริงๆแล้วเจ้าหมาก็ยิ้มเอ็นดูเพื่อนอยู่ล่ะนะ
"ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนครับเนี่ย บนเครื่องก็นอนมาตลอดเลยนะ"ผมก้มหน้าถามเด็กแสบที่หมดฤทธิ์ไปแล้ว ตอนอยู่บนเครื่องนับๆดูแล้วเด็กนี่น่าจะหลับสนิทเกือบสิบชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ทำไมยังง่วงอีก
"เล่นเกม..."เก้าตอบเสียงงัวเงีย "เล่นเกมโต้รุ่งสี่วัน"
"ไม่ซ้อมดนตรีเหรอครับ"จำได้ว่าเมื่อวานเป็นวันสอบวันสุดท้ายของพวกเขา แล้วเอาเวลาที่ไหนไปเล่นเกมรัวๆแบบนั้นกัน
"ไอ้นี่มันไม่เคยซ้อมหรอก"โซโล่ตอบแทน ริมฝีปากเบะเหมือนจะไม่พอใจ "มันทำอะไรตามอารมณ์ นึกจะเล่นก็เล่น ไม่อยากเล่นก็ไม่เล่น แต่ตอนสอบก็ทำได้ดีตลอด"
ที่แท้ก็...
"ไอ้ขี้อิจฉา"เก้าโผล่หัวออกมายิ้มเยาะเพื่อน พอเจ้าหมาตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่ก็เอาผ้าห่มปิดหัวแล้วหันมาซุกตักผมเหมือนเดิม
"จะถึงแล้วครับคุณชาย"พี่การ์ดด้านหน้าที่นั่งนิ่งมาตลอดทางหันมาเตือน โซโล่พยักหน้า กลับไปนั่งด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเหมือนเดิม ทำเหมือนจะรักษาภาพพจน์ แต่ผมว่าคงไม่ทันแล้วล่ะ…
ถึงต่อหน้าคนอื่นโซโล่จะดูโตขึ้นแค่ไหน แต่พอมาอยู่กับผมหรือเก้าก็กลายเป็นหมาฮัสกี้ตัวโตอยู่ดี
ผมหันออกไปมองนอกกระจกรถ เห็นภาพต้นไม้ดอกไม้สวยงามเรียงรายเป็นทาง โซโล่บอกว่าที่ที่เรากำลังจะไปเป็นบ้านพักที่มีความสันโดษ บรรยากาศรอบด้านมีแต่ธรรมชาติ ยังไม่ต้องถึงที่หมายผมก็เริ่มเห็นแล้วว่าความสันโดษที่ว่ามันเป็นยังไง เพราะนอกจากจะไม่มีบ้านใครสักคน ทางที่เราผ่านมายังมีแต่ธรรมชาติล้วนๆตามที่เขาว่าจริงๆด้วย
แค่มองก็สดชื่นแล้ว…
ผมเปิดประตูลงจากรถ มองโซโล่ที่กำลังลากเพื่อนออกมาจากรถด้วยรอยยิ้ม พี่การ์ดกับพี่คนขับรถก็แลดูอยากเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่กล้ายุ่งมากนัก
“ผมไหว”โซโล่กัดฟันพูด ใช้มือหนึ่งล็อคคอเพื่อนแล้วพาเดินนำเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆกับสองเพื่อนซี้ หลังจากมองสำรวจรอบกายอีกครั้งแล้วก็เดินตามพวกเขาเข้าไปข้างใน
จริงๆบ้านพักหลังนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตเป็นคฤหาสน์แบบที่ผมคิด แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นบ้านที่ดูก็รู้ว่าเจ้าของต้องมีฐานะแน่นอน การตกแต่งก็ดูดีมีระดับตามแบบฉบับคนมีเงิน ด้านข้างประดับประดาไปด้วยสวนดอกไม้ที่ห้อมล้อมตัวบ้านไว้ ต่อให้นั่งมองทั้งวันก็คงไม่เบื่อง่ายๆ
ว่าแต่หายไปไหนกันหมดแล้วล่ะเนี่ย…
ผมว่าผมก็เดินตามเข้ามาไม่ได้ห่างอะไรมากมาย แต่ไม่รู้ว่าเจ้าหมาพาเพื่อนหายไปอยู่ส่วนไหนของบ้านแล้ว คุณเจย์กับคุณท่านเองก็ไม่ได้อยู่ตรงห้องรับแขกด้วยสิ
"ขอโทษนะครับ"ผมเดินเข้าไปหาพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนทำความสะอาดชั้นวางอยู่ เธอหันมามองด้วยรอยยิ้ม ดูแล้วน่าจะเป็นคนอังกฤษแท้ "ไม่ทราบว่าเห็นพวกคุณชายบ้างไหมครับ"
"เดินไปหลังบ้านกันน่ะค่ะ คุณท่านก็อยู่ด้านหลังเหมือนกัน"เธอตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ ผมขอบคุณและยิ้มให้ตามมารยาท ก่อนจะเดินไปตามทางที่เธอชี้เมื่อครู่
ด้านหลังบ้านเป็นสวนสวยงามที่น่าจะเชื่อมต่อกับหน้าบ้าน ห่างไปไม่ไกลมีศาลาสีขาวตั้งอยู่ ผมมองภาพเจ้าหมาพยายามแกะผ้าห่มออกจากตัวเพื่อนด้วยความขบขัน ข้างๆกันมีคุณเจย์กำลังรินน้ำให้คุณท่านที่นั่งอ่านหนังสืออยู่
เป็นภาพที่น่ามองจริงๆ
ว่าแต่...นั่นมัน...
ผมเบิกตากว้าง มองร่างเล็กๆที่วิ่งอยู่ไม่ไกลจากศาลานักด้วยความตกใจ และวินาทีที่เจ้าตัวเล็กหันมาสบตาผมพอดีความตกใจก็ทวีมากยิ่งขึ้น
"ครูยิ้ม!"
"น้องมูน!"
น้องมูนปล่อยพี่จันทร์ที่ดูสะอาดตาขึ้นกว่าเดิมลงกับพื้นแล้ววิ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมรีบนั่งยองๆ อ้าแขนรับเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดไว้
"น้องมูนคิดถึง"
"พี่ก็คิดถึงครับ"ผมหัวเราะ ดันหน้าน้องออกเล็กน้อยเพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลง
น้องมูนดูตัวโตขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ยังเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน โดยเฉพาะตัวขาวๆกับแก้มแดงๆที่ยังน่ากอดน่าฟัดเหมือนเดิมไม่มีผิด
"มาได้ยังไงครับเนี่ย"ผมถาม อุ้มน้องขึ้นจากพื้นแล้วเดินไปที่ศาลาซึ่งทุกคนกำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่
"มัมไปรับน้องมูนมาครับ"
"บอกว่าไม่ให้เรียกมัมไง..."
ผมหันไปมองคนที่พูดแทรกด้วยสายตาจับผิด คุณเจย์หน้าแดงหูแดง หลบสายตาผมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คุณท่านซึ่งอ่านหนังสืออยู่ยกยิ้มบางที่มุมปาก
ที่แท้เสียงที่ผมได้ยินในโทรศัพท์ตอนคุยกับคุณเจย์ก็คือเสียงน้องมูนนี่เอง ว่าแต่...
"มัมเหรอครับ"ผมมองคุณเจย์เป็นเชิงถาม ส่วนโซโล่ที่เหมือนจะรู้เรื่องอยู่แล้วก็นั่งอมยิ้มไม่ยอมพูดอะไร พอไม่ได้รับคำตอบผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาถามเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนแทน "ทำไมน้องมูนเรียกครูเฮียว่ามัมล่ะครับ"
"แด๊ดบอกให้น้องมูนเรียกครับ"น้องมูนตอบเสียงใสแล้วหันไปมองคุณท่าน "แด๊ดบอกว่ามัมไม่ใช่เฮียแต่ต้องเป็นมัมต่างหาก"
หืม...
"คุณชาย..."คุณเจย์มองโซโล่เป็นเชิงกล่าวโทษ แต่นอกจากเจ้าตัวจะไม่รู้สึกอะไรแล้วยังหันมาอธิบายให้ผมฟังหน้าตาเฉยอีก
"ผมแค่บอกพ่อว่าเจย์จะเป็นเฮียแล้วให้พ่อเป็นเจ๊เฉยๆเลย"
"ผมไม่ได้พูดนะครับ..."คุณเจย์โบกมือปฏิเสธ หน้าแดงเป็นมะเขือเทศ "คุณกีล์บอกคุณท่านทีสิครับว่าผมไม่ได้พูด"
คุณท่านเงยหน้าจากหนังสือแล้วมองมาที่ผมเหมือนจะรอคำตอบ หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพักว่าควรจะตอบแบบไหนผมก็ตัดสินใจได้
"ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยครับ"
ขอโทษนะครับคุณเจย์
"คุณกีล์..."คุณเจย์ครางเสียงอ่อย หลบสายตาคุณท่านเป็นการใหญ่ ส่วนโซโล่ที่นั่งเงียบมาตลอดแอบหันมาชูนิ้วโป้งให้ผม เรายิ้มให้กันเป็นอันเข้าใจทุกอย่าง
ขืนผมบอกความจริงไปแล้วน้องมูนอดเรียกว่ามัมจะทำยังไงกัน…แบบนี้ก็น่ารักดีออก
"นี่อะไรเหรอครับ"น้องมูนเอียงคอ เดินเข้าไปหาเจ้าก้อนกลมๆที่นอนขดตัวอยู่แล้วนั่งลงข้างๆ
"คนขี้เกียจ"โซโล่หันไปตอบน้องอย่างรวดเร็ว พอน้องเริ่มถามต่อเจ้าตัวก็ได้ทีบ่นเรื่องเก้าเป็นการใหญ่ ผมได้แต่ส่ายหัวหน่ายเมื่อเห็นพ่อหมากับลูกหมานินทาเด็กแสบระยะเผาขน นี่ถ้าตื่นขึ้นมาคงโดนกันทั้งคู่แน่ๆ
"ฉันรับเลี้ยงเด็กคนนั้น"คุณท่านพูดเสียงเรียบ ผมรีบหันไปหา เป็นจังหวะเดียวกับที่ท่านปิดหนังสือแล้วดึงให้คุณเจย์นั่งลงข้างๆพอดี
"รับเลี้ยงเหรอครับ"
"อืม...ในฐานะลูกบุญธรรม จะให้โซรับเลี้ยงเองคงไม่เหมาะ ฉันเลยเป็นธุระให้"ท่านมองไปทางน้องมูนด้วยสายตานิ่งสนิทแต่ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนปกติ "เจย์บอกว่าพวกเธอจะรับเด็กคนนั้นมาอยู่ด้วย จะทำอะไรก็ให้มันเป็นไปตามขั้นตอน จะได้ไม่ต้องลำบากทีหลัง"
"ขอบคุณมากนะครับ"ผมยกมือไหว้คุณท่านด้วยความเคารพ รู้สึกดีใจที่ท่านให้ความเมตตาน้องมูน
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก มีแค่เสียงเจื้อยแจ้วของน้องมูนที่เล่านั่นเล่านี่ให้โซโล่ฟัง ขนาดผมเดินไปเก็บพี่จันทร์ที่หล่นอยู่มาให้ น้องยังไม่หันมาสนใจเลย
"ลูกแกะ ไปเรียนก่อนเร็ว"คุณเจย์กวักมือเรียก น้องมูนหันมามอง พอเห็นว่าใครเรียกก็ยิ้มแป้นแล้วลุกขึ้นเดินมากอด
"มัม"
ผมแอบหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าแหยงๆของคุณเจย์
"ผมขอไปสอนหนังสือเจ้าลูกแกะก่อนนะครับ"คุณเจย์หันมาลาผมแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านพร้อมคุณท่าน แต่ก่อนจะเดินจากไปเขาก็หยุดเท้าแล้วหันไปกระซิบกระซาบอะไรสักอย่างกับคุณท่านเสียก่อน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมหันไปถามเมื่อเห็นว่าคุณท่านกำลังขมวดคิ้ว ทำหน้าตาเหมือนกำลังยุ่งยากใจ
“ให้เวลาคนปากแข็งสักครู่นะครับ”คุณเจย์หัวเราะ เขามองหน้าคุณท่านยิ้มๆเป็นเชิงกดดัน มีน้องมูนที่อุ้มอยู่มองตามซ้ำอีกที
“น่ารำคาญจริงๆ”คุณท่านบ่นเบาๆแต่ก็ยอมก้าวเท้ามาตรงหน้าผมกับโซโล่ “อยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายแล้วกัน”
“คุณท่าน”
“รู้แล้วๆ”คุณท่านกรอกตาก่อนจะมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ดูอ่อนลง “ฝากดูแลเขาด้วย”
ผมเอียงคอสงสัย แต่เมื่อเห็นท่านหลบสายตาก็เข้าใจทันที ท่าทางท่านคงไม่เคยทำแบบนี้ต่อหน้าใครมาก่อน
“แน่นอนครับ”ผมตอบรับด้วยเสียงหนักแน่น คุณท่านพยักหน้า ตั้งท่าจะถอยหลัง แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนก็โดนคุณเจย์ขวางทางไว้อีก คราวนี้ผมรู้สึกเหมือนคุณท่านอยากจะเดินหนีด้วยซ้ำ…ถ้าไม่มีมือของคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมจับชายเสื้อไว้ก่อนล่ะก็นะ
โซโล่ลุกขึ้นยืนแล้วสบตากับพ่อตัวเอง ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันจ้องมองกันเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศที่วนเวียนอยู่รอบกายพวกเขากลับเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม…ในทางที่ดีขึ้น
“ผมจะพยายาม…”โซโล่เริ่มพูดก่อนด้วยน้ำเสียงสบายๆ “พยายามทำทุกอย่างให้ดี เป็นคนที่ดีในทุกๆความหมาย”
“ทุกความหมาย?”
“ทั้งเป็นคนรักที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี รวมถึง…เป็นลูกที่ดีด้วย”
คุณท่านเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่แล้วท่านก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกออกมา ในดวงตาที่เคยเย็นชาตอนนี้มีเพียงความภูมิใจและความรักอันมั่นคงยามมองไปที่ลูกชายตัวเอง
“ฉัน…พ่อเองก็จะเป็นพ่อที่ดีเหมือนกัน”
ไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านั้น เพียงแค่โซโล่ยิ้มตอบคุณท่านก็ดึงเขาเข้าไปกอดไว้แน่น ผมได้แต่ยิ้มกับภาพที่เห็น รู้สึกดีใจที่เห็นปมเชือกในใจของโซโล่คลายลงไปแล้ว
บางทีความอึดอัดใจที่เก็บสะสมมาหลายปีอาจไม่จำเป็นต้องมีคำพูดสวยหรูหรือคำอธิบายใดๆมากมายก็ได้ ขอแค่เพียงเปิดใจ หันหน้าเข้าหากัน ยอมเป็นคนที่เสียหน้าก่อนบ้าง แค่นั้นก็พอแล้ว
จากนี้ไป…ทุกคนจะได้มีความสุขจริงๆเสียที
คุณเจย์หันมายิ้มให้ผม เขาพงกหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณแล้วเดินออกไปพร้อมกับคุณท่าน
"เก้า เข้าไปนอนข้างในดีๆเถอะครับ"ผมหันไปสะกิดเก้า เด็กแสบเอาหัวออกจากผ้าห่ม พยักหน้าเข้าใจแล้วลุกขึ้นเดินตามคุณท่านกับคุณเจย์เข้าไปในบ้านเงียบๆ พอเห็นท่าทางเรียบร้อยๆแบบนี้ผมรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย
“รู้สึกดีขึ้นไหม”ผมหันไปถามคนที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ จริงๆแค่มองรอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้าเขาผมก็ได้คำตอบแล้ว แต่ทันทีที่ผมถามเป็นเชิงแซวเจ้าหมาก็หุบยิ้มฉับแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
“อืม”
ลืมไปเลยว่าเป็นหมาปากแข็ง…
"กีตาร์ชอบที่นี่ไหม"โซโล่เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ผมหัวเราะเบาๆแต่ก็ยอมตามน้ำไป
"ชอบครับ มองไปทางไหนก็รู้สึกสบายตา ผ่อนคลายมากเลย”ผมตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ ครั้งล่าสุดก็คงเป็นบนเขาที่เจอกับพวกชาวบ้าน แต่บรรยากาศก็ดูแตกต่างกันอยู่พอสมควร อาจเพราะเป็นต่างประเทศด้วย ดอกไม้หรือบรรยากาศต่างๆถึงให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย
“ไปเดินเล่นกัน”โซโล่ลุกขึ้นยืน พอผมลุกตามเขาก็ดึงมือผมไปจับไว้แล้วพาเดินไปทางสวน
ยิ่งระยะทางเดินมากขึ้นเท่าไหร่ผมก็ยิ่งแปลกใจมากเท่านั้น เพราะนอกจากดอกไม้ต้นไม้จะไม่ได้หายไปแล้ว ผมยังรู้สึกว่ามันดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“ที่นี่คือที่ที่ผมอยู่กับแม่”โซโล่พูดด้วยน้ำเสียงขบขัน ผมยิ้มเขิน ดูก็รู้ว่าคงเผลอทำตัวตื่นเต้นจนออกนอกหน้าไปหน่อย “แม่บอกว่าพ่อยกที่นี่ให้เรา…ตั้งแต่ผมเกิดแม่ก็ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้เล่นดนตรีอีก ท่านเลยใช้เวลาไปกับการทำสวน ปลูกนั่นปลูกนี่ รู้ตัวอีกทีพื้นที่ของสวนก็กว้างขวางขนาดนี้ไปแล้ว”
“พื้นที่ตรงนี้เป็นของคุณพ่อโซหมดเลยเหรอครับ”
“ตอนแรกแม่ผมก็กลัวเหมือนกีตาร์นั่นล่ะ แต่มาสงสัยเอาก็ตอนผมแปดขวบ นับๆแล้วก็เท่ากับแปดปีที่ปลูกไปแบบไม่ได้สงสัยอะไรเลย”โซโล่หัวเราะ ท่าทางมีความสุขจนผมต้องยิ้มตาม “แต่หลังจากที่สงสัยอยู่แค่สองชั่วโมงท่านก็เดินมาบอกผมว่าไม่ต้องห่วงแล้ว พื้นที่ตรงนี้เป็นของพ่อหมดเลย ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เพิ่งมานึกได้ก็ตอนที่พูด…”
“…”
“บางทีพ่ออาจจะไม่ได้ไม่สนใจพวกเราเหมือนที่ผมเคยคิด…อย่างที่กีตาร์เคยบอก ทุกอย่างเป็นเพราะผมมีอคติ ไม่เคยคิดหาเหตุผล จริงๆแล้วที่ผมมีทุกอย่างตั้งแต่เด็กๆก็คงเป็นเพราะพ่อ ที่แม่ตอบคำถามได้หลายๆอย่างก็คงเพราะพ่อ อย่างเรื่องพื้นที่ตรงนี้…ถ้ากีตาร์ไม่ถามผมคงลืมคิดไปเลย บางทีแม่อาจจะติดต่อกับพ่ออยู่ตลอดก็ได้…แต่มันก็เป็นแค่การคาดเดาล่ะนะ”
“โซ…”
“อย่าทำหน้าแบบนั้น”โซโล่ยิ้มให้ผม เขาปล่อยมือออก แต่เปลี่ยนเป็นเอามือมาโยกหัวผมไปมาแทน “ผมพูดก็เพราะนึกถึงแม่ แต่ไม่ต้องการรู้อะไรทั้งนั้น ผมจะเริ่มใหม่อย่างที่เคยบอกกับพ่อ ทุกๆอย่าง…ผมจะสร้างขึ้นมาใหม่”
“โซดูโตขึ้นนะครับ”ผมยิ้มด้วยความภูมิใจ รู้สึกตามที่พูดจริงๆ ถึงทุกครั้งที่ผมมีปัญหาเขาจะดูพึ่งพาได้มาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องแม่ใหญ่ เรื่องบนเขา หรืออะไรก็ตาม แต่มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้ดูโตแค่เฉพาะเวลาที่ผมมีปัญหาอีกแล้ว
เจ้าหมาของผมโตขึ้นมากจริงๆ
“ก็ผมเป็นว่าที่ประธานRKนี่…”โซโล่หยุดเดิน เขาหันมาหาผม ส่งยิ้มมุมปากที่ดูน่าหมั่นไส้มากกว่าแต่ก่อนมาให้ “แถมยังมีคนข้างกายเรียนจบวิศวะเกียรตินิยม แล้วก็น่าจะจบโทบริหารเกียรตินิยมด้วย แล้วแบบนี้จะไม่พัฒนาตัวเองได้ยังไง”
“ช่างพูดนะเรา”ผมยกมือบีบจมูกเจ้าหมาด้วยความหมั่นไส้ เขาหัวเราะ จับมือผมไว้แล้วพาให้เดินต่อ
“จริงๆผมแค่คิดว่า…โดนกีตาร์โกรธจริงจังแบบนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”โซโล่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “ผมผิดเองที่ลืมไป…ลืมว่าจริงๆแล้วร่างกายนี้เป็นของกีตาร์”
“เดี๋ยวๆ”
“เผลอทำให้ตัวเองเจ็บตัว ถ้าผมเป็นกีตาร์ผมก็คงโกรธ ช่วงที่ผ่านมาผมเลยพยายามไถ่โทษ ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียน แค่คิดว่าในอนาคตกีตาร์จะมายืนอยู่ข้างๆ…ผมก็รู้สึกมีความสุขแล้ว”
สรุปนี่คือจะเล่นหรือจะจริงจังกันแน่เนี่ย
“รู้แล้วก็ดีครับ…ทีหลังถ้าเจ็บตัวอีกพี่จะตีให้ตายเลย”ผมแกว่งแขนไปมาเบาๆ ไม่สนใจสีหน้างุนงงของคนข้างๆ “ร่างกายของพี่ ห้ามใครทำร้าย เข้าใจไหม”
โซโล่เลิกคิ้ว สักพักก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาดึงมือผมไปแนบริมฝีปาก ก่อนจะกดจูบลงมาเบาๆที่ข้อนิ้วเป็นการรับคำ
“ผมอยากพากีตาร์ไปที่ที่หนึ่ง”
“ที่ไหนเหรอครับ”
โซโล่ไม่ตอบ เขาจูงมือผม พาให้เดินไปตามทางช้าๆ ยิ่งเดินมาไกลเท่าไหร่ต้นไม้ก็ยิ่งเยอะขึ้นเท่านั้น ผมคิดว่าเราคงเดินออกนอกเขตสวนมาแล้ว เพราะตอนนี้ดอกไม้ที่ปูเป็นทางเดินตามพื้นเริ่มหายไป กลายเป็นพื้นที่ที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่อยู่แทน
“ข้างหน้าคือที่ที่คนสำคัญของผมอยู่”
คนสำคัญ…
.
.
[ต่อด้านล่าง]