-39-
“ไปแล้วนะ”
“ไม่ให้ไป”
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
“ไม่ดู”
“ต้องอดทนนะ”
“ไม่ทน”
“แล้วเจอกันนะครับ”
“ไม่…”
“ไอ้โซ! ถ้ามึงยังไม่หยุดงอแงกูจะถีบมึง! พี่ก็เหมือนกัน! ถ้ายังไม่ไปอีกผมจะเอากระเป๋าไปเผา ไม่ต้องไปแม่งแล้ว!”
ผมหัวเราะเสียงดังเมื่อเจ้าหมาตั้งท่าจะหันไปกัดหัวเพื่อน ส่วนเด็กแสบก็ถลึงตาใส่ด้วยความหงุดหงิด ผมก็พอเข้าใจอยู่หรอก เพราะเราใช้เวลาในการลากันมามากแล้ว ทำไงได้ล่ะ ผมเห็นเจ้าหมาทำหน้าหงอยแล้วก็อดไม่ได้ทุกที นี่ถ้าเก้าไม่ขัดบวกกับโดนเบียร์ลากออกมาผมอาจโอ๋เขาจนตัวเองตกเครื่องก็เป็นได้
“โทรมาด้วยนะ!”เสียงโซโล่ตะโกนดังไล่หลังมา ผมรีบหันไปยิ้มแล้วโบกมือให้ ดีที่ผมเดินมาไกลเกินกว่าจะเห็นสีหน้าของเขาแล้ว เพราะถ้าเห็นสงสัยจะไม่ได้ไปแน่ๆรอบนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”เบียร์พูดขึ้นมาลอยๆ มันคงเห็นว่าผมดูเป็นห่วงคนข้างหลังไม่เลิก
“ไม่รู้เก้าจะเอาอยู่ไหม คุณเจย์ก็ติดงานเลยมาไม่ได้”ผมพูดอย่างเป็นกังวล เจ้าหมาเวลางอแงนี่ดื้ออย่าบอกใคร ขนาดผมเองยังต้องใช้เวลาเลย
“นี่มึงพูดถึงใครอยู่ไอ้กีล์”เบียร์มันเหลือบตามองผมแล้วยกยิ้ม “เพื่อนแฟนมึงมันธรรมดาที่ไหน…นั่นเก้านะครับ”
ผมกระพริบตาปริบๆมองหน้าไอ้เบียร์ สุดท้ายก็ต้องพยักหน้าตามมัน
ถ้าเป็นคนอื่นก็น่าห่วงอยู่หรอก…แต่คนที่มาช่วยผมดูโซโล่วันนี้คือเก้านี่นะ ผมลืมไปได้ยังไงกัน
ผมหันไปมองจุดที่โซโล่ยืนอยู่อีกครั้ง ถึงจะไม่เห็นหน้าก็ยังรู้ว่าเป็นเขา ผมโบกมือให้อีกครั้ง เห็นฝั่งนั้นโบกมือกลับมาก็ยิ้มกว้าง
เราอาจจะไม่ได้เจอกันหลายเดือนก็ไม่เป็นไร แค่รู้ว่ากลับมาแล้วมีใครรออยู่ก็พอแล้วจริงๆ
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมแทบจะขลุกอยู่ในห้องกับเจ้าหมาทั้งวัน เราคุยกัน ดูหนังด้วยกัน ทุกอย่างก็เพื่อชดเชยเวลาที่เราจะไม่ได้เจอกันล่วงหน้า ส่วนคุณท่าน…ตั้งแต่วันที่ผมได้คุยกับท่าน เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมคิดว่าท่านคงทำงานหนัก คุณเจย์เองก็หายหน้าหายตาไปด้วยเหมือนกัน จะได้เจอก็แค่เวลาที่เขามาหาที่ห้องครั้งสองครั้งเท่านั้น
จะว่าไป…ผมรู้สึกเหมือนคุณเจย์ดูสดใสขึ้นนิดหน่อย แถมยังยิ้มบ่อยขึ้นด้วย บ่อยจนโซโล่แอบกระซิบบอกผมว่ามีคนห้องข้างล่างตามจีบอยู่ด้วยซ้ำ ผมแอบแปลกใจอยู่เหมือนกันที่คนที่เจ้าหมาว่ายังไม่โดนไล่ออกจากคอนโด แต่เอาเถอะ…เหตุผลที่คุณเจย์ยิ้มได้คงไม่ใช่เพราะคนที่ตามจีบเขาหรอก
ส่วนเรื่องของคุณลินดา…เป็นอะไรที่น่าแปลกใจมากทีเดียว เพราะโซโล่บอกผมว่าพ่อเขาส่งเธอกลับอังกฤษไปแล้ว ที่เขารู้ก็เพราะแอบไปถามคุณป้าแม่บ้านที่ตอนนั้นทำความสะอาดห้องให้คุณท่านอยู่พอดี ถึงเจ้าหมาจะน่าตียังไงแต่ก็ทำให้พวกเราโล่งใจกันไปหลายส่วน
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คุณเจย์ยิ้มได้คงเป็นเพราะเรื่องนี้
“มองไปมึงก็ไม่เห็นแล้วแหละน่า”เบียร์ที่นั่งอยู่เบาะข้างผมพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“กูแค่เหม่อ…นั่งอยู่บนเครื่องบินจะมองหาได้ยังไงเล่า”ผมหันไปเถียงมันแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
สิ่งที่ติดค้างอยู่ในหัวมาหลายวันก็ยังคงเป็นเรื่องเดิม…เรื่องที่ผมคุยกับคุณท่านเอาไว้ นอกจากนั้นผมยังคิดว่าโซโล่คงไม่ได้มาหาผมที่ภูเก็ตง่ายๆด้วย จากที่ได้คุยกับคุณท่านวันนั้น ท่านบอกว่าโซโล่เป็นคนที่ไม่มีความอดทน ผมคิดว่าที่ท่านจะทดสอบ…จะสอนเขาก็คงเป็นเรื่องนี้ ผมเองก็ต้องทนและหาคำตอบเหมือนกัน
ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้…แต่เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้ง ผมจะต้องหาคำตอบมาให้คุณท่านให้ได้
ผมกับเบียร์เดินทางมาถึงที่พักในช่วงบ่าย เรื่องที่พักทุกอย่างก็ได้ทางบริษัทช่วยดูแลให้ทั้งหมด เมื่อวันก่อนผมมีโอกาสได้ถามคุณเจย์เรื่องนี้ เขาบอกว่าคุณท่านไม่ได้จงใจให้ผมมาทำงานที่นี่ ทั้งหมดเป็นโครงการของทางบริษัท ท่านไม่ได้มีส่วนอะไร แต่คุณเจย์บอกว่าบางทีการได้มาที่นี่อาจทำให้ผมได้รับคำตอบที่ตามหา
คงต้องขอบคุณความบังเอิญ
พวกผมจะเริ่มเข้าบริษัทกันตั้งแต่วันนี้ พี่ที่ดูแลโทรมาบอกเบียร์ว่าเขาอยากให้เราเข้าไปดูบริษัทก่อน การฝึกงานที่นี่คือการทำงานจริงๆ เพราะฉะนั้นก่อนจะได้ทำงานก็ควรจะรู้ก่อนว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง
ผมใช้เวลาตอนช่วงนั่งรถโทรไปคุยกับโซโล่ ฝั่งนั้นดูเหมือนจะโดนคุณท่านลากตัวไปทำงาน ถึงจะงอแงแต่ก็ยังทำตามทุกอย่าง และที่สำคัญ…โซโล่ยอมเปิดใจแบบที่ผมบอกจริงๆ ผมรู้ว่าเขาพยายาม ถึงผมจะไม่ได้เจอคุณท่านเลยแต่โซโล่โดนเรียกตัวไปพบตลอด ปกติเวลากลับมาเขาจะหงุดหงิดหรือไม่พอใจเสมอ แต่หลังจากวันนั้นที่ผมบอกให้ลองใหม่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการหรือบ่นอะไรอีก คุณเจย์เองก็มาขอบคุณผม เพราะเหมือนฝั่งคุณท่านก็ดูอ่อนลงเหมือนกัน ซึ่งจริงๆแล้ว…ผมคิดว่าคุณเจย์ก็คงไปพูดกับคุณท่านมาเหมือนกัน พอมีคนเตือนทั้งคู่พวกเขาถึงได้ลดกำแพงของตัวเองลงบ้าง…ก็เล่นเหมือนกันแทบทุกอย่างเลยนี่นะ
“พร้อมยังมึง”
“พร้อมสิวะ”ผมตอบรับแล้วหันไปมองบริษัทที่ตั้งอยู่ด้านหน้า พอได้เห็นความใหญ่โตของที่นี่กับตาแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ถึงจะเคยเปิดเน็ตดูแล้วแต่ก็เทียบกับของจริงไม่ได้เลย
“กลัวไรวะ ของพ่อผัว”
“ไอ้เบียร์!”ผมหันไปผลักหัวมันแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน ได้ยินเสียงหัวเราะตามมาเบาๆก่อนมันจะวิ่งมากอดคอ
ด้านในบริษัทก็สมกับเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง ถึงจะเพิ่งก่อสร้างเสร็จไม่นานเท่าไหร่แต่ก็ดูครบครันมาก ผมเห็นพนักงานเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่แต่ก็มีคนไทยปะปนอยู่พอสมควร
“น้องฝึกงานใช่ไหมคะ”พี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเรา เธอยิ้มกว้างอย่างใจดีแล้วแนะนำตัว “พี่ชื่อแอร์ค่ะ วันนี้รับหน้าที่พาน้องๆเดินดูที่นี่ มาทางนี้ก่อนเลยค่ะ”
พวกผมเดินตามพี่แอร์ไปเรื่อยๆ ผ่านจุดไหนก็ทักทายพนักงานคนอื่นๆตามที่พี่เขาบอก จากที่ได้ฟังรายละเอียดของที่นี่ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ พี่แอร์บอกว่าจริงๆRKไม่ได้ทำธุรกิจแค่เรื่องของโรงแรมและที่พัก ยังมีการร่วมทุนในธุรกิจอีกหลายอย่าง บริษัทนี้ก็เกิดจากวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของคุณท่าน เธอบอกว่าที่นี่กำลังจะใช้เป็นบริษัทที่คุณท่านคอยดูแลโดยตรง ซึ่งอีกไม่กี่เดือนคุณท่านก็จะเดินทางมาอยู่ที่นี่แล้ว ที่ตอนนี้ยังมาไม่ได้คงเพราะยังติดภารกิจต้องคุยงานอยู่หลายที่ เห็นว่ากำลังจะเดินเรื่องสร้างเครือโรงแรมเพิ่ม
“นี่คุณแพทนะคะ ต่อไปจะเป็นคนดูแลพวกน้อง เรื่องการทำงานก็จะขึ้นอยู่กับเขาโดยตรง”พี่แอร์ผายมือแนะนำผู้ชายวัยกลางคนท่าทางเข้มงวดให้พวกผมรู้จัก
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี”คุณแพทรับไหว้ด้วยหน้าตาเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง “คุณคงรู้อยู่แล้วว่าบริษัทเราไม่ใช่เข้ามาทำเล่นๆแล้วก็ออกไปได้ ต่อให้คุณอยากหรือไม่อยากทำงานที่นี่ต่อก็ต้องตั้งใจ หวังว่าโครงการที่ผมทำเพื่อช่วยพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถจะไม่ล้มเหลวนะ”
“แน่นอนครับ”เบียร์ตอบรับเสียงเข้ม ผมเองก็เช่นกัน คุณแพทยกยิ้มเล็กน้อยด้วยความพอใจ เขาหันไปพยักหน้าให้พี่แอร์ พอเธอเดินจากไปแล้วก็หันมาถอนหายใจเสียงดัง
“ผมก็ไม่ใช่คนดุอะไร แต่ความผิดพลาดก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าผมจะสอนงานพวกคุณก่อน และคิดว่าพวกคุณคงทำได้ งานในลักษณะบริษัทแบบนี้ค่อนข้างจะต้องมีการประสานงานกับฝ่ายอื่นๆเยอะ พวกคุณก็เรียนรู้เอาไว้หลายๆด้านก็แล้วกัน ส่วนวันไหนที่ต้องออกข้างนอกพวกคุณเองก็อาจต้องไปช่วยด้วย เตรียมตัวเอาไว้”
“ครับ”
“เก็บเกี่ยวทุกอย่างเท่าที่จะเก็บได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มันจะเป็นการช่วยเหลือพวกคุณในอนาคต อาจไม่ใช่แค่งานวิศวกร แต่ผมหมายถึงทางเลือกในอนาคตของพวกคุณด้วย”คุณแพทหันมามองผมเหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
บางทีเขาคงมองออกว่าผมมีเรื่องให้คิด หรือเขาอาจมองออก…ว่าผมไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนเหมือนคนอื่น
“ผมไม่ได้พูดในฐานะหัวหน้างาน แต่ผมพูดในฐานะคนมีประสบการณ์ ลองทำหลายๆอย่างดู…แล้วคุณอาจจะพบทางออกที่ตามหา”
ทางออก…
ผมกลับมาถึงที่พักในช่วงค่ำ จริงๆคุณแพทบอกให้พวกเรากลับมาจัดของแล้วก็เตรียมตัวสำหรับการทำงานพรุ่งนี้ตั้งแต่เย็นแล้ว แต่เพราะต้องไปซื้อของใช้กันเลยกลับถึงห้องค่ำ ห้องที่ผมกับเบียร์อยู่เป็นห้องพักขนาดกลางที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัท ถึงจะไม่ได้กว้างขวางอะไรมากมายแต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสมบูรณ์มาก เตียงในห้องก็เป็นเตียงเดี่ยวสองเตียง มีมุมส่วนตัวพร้อมทุกอย่าง ถือว่าดีมากสำหรับเด็กฝึกงานอย่างพวกผม
“คิดมากเหรอวะ”เบียร์ตบไหล่ผมเบาๆแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผมหันไปมองหน้าตาชิวๆของมันแล้วก็พยักหน้าให้
“นิดหน่อย”
ตอนนี้พวกผมนั่งตากลมกันอยู่ริมระเบียง คงเพราะที่นี่ไม่ได้อยู่ไกลจากทะเลนักถึงได้มีลมพัดมาเกือบตลอดเวลาแบบนี้ อากาศแตกต่างจากที่กรุงเทพโดยสิ้นเชิง
มันทำให้ผมทั้งสบายใจ…และไม่สบายใจไปในเวลาเดียวกัน
เพิ่งรู้สึกตัวว่าเรามาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยและห่างไกลกับคนๆหนึ่งมากขนาดไหน ถ้าวัดจากระยะเวลานั่งเครื่องบินก็คงน้อย แต่ถ้าวัดจากระยะทางทั้งหมด มันเหมือนเราห่างกันแสนไกล
แล้วถ้าเขาต้องบินไปทำงานตลอดเวลาจริงๆ มันจะไกลกันขนาดไหนนะ…
ในขณะที่โซโล่เดินทางไปในหลายๆประเทศ เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ ผมกลับต้องจมอยู่กับงานที่ตัวเองทำ อยู่ในพื้นที่เดิมๆ เวลาเปลี่ยน แต่ความห่างไกลของเราเท่าเดิม…หรืออาจจะมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะทางไหนก็แย่ทั้งนั้น
“ค่อยๆคิด”เบียร์มันพูดลอยๆ ไม่ได้หันมาสบตาผม
“มึงรู้เหรอวะ”
“กูไม่รู้ว่ามึงคิดมากเรื่องอะไร แต่กูรู้ว่ามึงอยู่ในอารมณ์แบบไหน”น้ำเสียงชิวๆของมันทำให้ผมต้องถอนหายใจ จะบอกว่าน้ำเสียงแบบนี้มันกดดันผมได้มากยิ่งกว่าน้ำเสียงวอแวของไอ้ไวน์กับไอ้โนว์รวมกันเสียอีก
"ก่อนมาที่นี่ กูคุยกับพ่อโซมา..."ผมค่อยๆเล่าให้มันฟังตั้งแต่ต้น เบียร์มันเป็นผู้ฟังที่ดี นอกจากเสียงรับอืออามันก็ไม่ได้พูดแทรกอะไรอีก เพราะงั้นผมถึงสบายใจเวลาได้เล่าอะไรให้มันฟัง "ท่านให้กูใช้เวลาช่วงมาฝึกงานหาคำตอบ"
"อืม..."
ผมถอนหายใจ พิงตัวกับประตูกระจกด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเดิม มันเหมือนกับได้ระบายความอัดอั้นตันใจที่สะสมมาหลายวันออกไป
"กูช่วยมึงคิดไม่ได้ว่ะ"เบียร์พูดช้าๆ มันหันมามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง "เรื่องนี้มึงต้องหาคำตอบเอง ใครก็ช่วยมึงไม่ได้หรอก"
"กูรู้..."
"กูรู้ว่ามึงมีตัวเลือกอะไรอยู่ในใจไอ้กีล์ มึงคิดดีๆก่อนจะตัดสินใจ ใช้เวลาที่นี่ให้คุ้ม มึงเองก็รู้ว่าถ้าไม่อยากห่างจากแฟนที่บินไปทำงานต่างประเทศตลอดต้องทำยังไง มันไม่ได้มีวิธีมากมายห่าอะไรเลย"
"..."
"จำไว้ว่ามันไม่ใช่แค่การหาคำตอบที่ถูกใจไปให้พ่อแฟนมึง...แต่มันคือชีวิตมึงทั้งชีวิต"
"ชีวิต...ทั้งชีวิต"ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิด รู้สึกเหมือนดวงดาวที่กระจัดกระจายเปรียบได้กับความคิดมากมายที่มีในเวลานี้
"แต่เรื่องบางเรื่อง คนเราก็มีคำตอบในใจแต่แรกแล้ว เพียงแต่ยังกลัวที่จะก้าวไปในทางที่ไม่คุ้นเคยก็เท่านั้นเอง มึงรู้ไหมว่าสิ่งที่คนประเภทนี้ควรทำคืออะไร"เบียร์ยกยิ้มเมื่อผมหันกลับมามองมัน ดวงตารู้ทันที่ผมเกลียดเป็นประกายวาววับเหมือนจะบอกว่ามันรู้ทุกเรื่องที่ผมคิด
"อะไร"แล้วผมก็ดันอยากรู้ตลอดจริงๆเสียด้วย
"หน้าแบบนั้นแสดงว่ามึงก็มีคำตอบแล้วไม่ใช่หรือไง"
"กูคงเป็นคนประเภทที่มึงบอกมั้ง"ผมถอนหายใจแล้วหลบสายตาของมัน
ไม่ใช่ว่าไม่รู้วิธี…แต่กลัวกับการก้าวไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย
ความเงียบปกคลุมไปรอบกายเมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ ผมเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ให้มันตอบสิ่งที่สงสัย มันเองก็ไม่ได้รอให้ผมถาม แต่เหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่มากกว่า
ครืด ครืด
"สิ่งที่คนประเภทนั้นควรทำ...ไม่สิ"มันจ้องหน้าผมแล้วมองเลยไปยังโทรศัพท์ของผมที่กำลังสั่น "สิ่งที่มึงควรทำคือเลิกคิดมาก ก้าวข้ามความกลัวที่ขัดขวางความสุขของมึงไว้ แล้วเผชิญหน้ากับอะไรใหม่ๆ อย่างน้อยมันก็มีคนๆหนึ่งอยู่ข้างๆมึง ต่อให้ท้อมองไปข้างๆก็ยังยิ้มได้ ยังมีความสุข แล้ววันหนึ่งมึงก็จะเริ่มหยุดท้อแล้วก้าวเดินต่ออย่างมั่นคงได้เอง"
"..."
"ถ้ามึงไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้อยากเป็นวิศวกรเหมือนที่กูอยาก ก็แค่เก็บวันพวกนี้ไว้เป็นประสบการณ์ ตอกย้ำความมั่นใจของมึงให้มากกว่าเดิม สำหรับกูวิศวะคือความฝัน แต่ในเมื่อสำหรับมึงมันไม่ใช่ แล้วจะลังเลทำไมที่จะเดินไปอีกทางวะ"
นั่นสินะ...จะลังเลอะไร ในเมื่อใจผมมีทางเลือกเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว
ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นรูปผู้ชายหน้านิ่งถือแก้วลายหมาสองใบแนบแก้มด้วยรอยยิ้ม
ผมเป็นคนชอบวางแผนชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการคำนวณเอาไว้ว่าควรจะทำอะไร เรื่องการเลือกเรียน การทำงาน ทุกอย่างคือสิ่งผมวางแผนเอาไว้ แล้วก็ปฏิบัติได้ตามแผนมาโดยตลอด แต่ทางออกของปัญหานี้ที่ผมคิดออกและเบียร์หมายถึง…มันเป็นสิ่งที่ฉีกแผนทุกอย่างของผม
ผมเคยบอกโซโล่ว่าแม่ใหญ่คือทุกอย่างของผม ทั้งความฝัน ความรัก อนาคต และเมื่อแม่ใหญ่จากไปทุกอย่างถึงได้ว่างเปล่า แต่ตอนนี้เขาคือคนที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่หายไป โซโล่กลายเป็นทุกอย่างของผม ทั้งความรัก ความฝัน...รวมถึงอนาคตด้วย
อย่างที่เบียร์ว่า...ผมมีคำตอบอยู่ในใจมานานแล้ว
"ต่อโทบริหารอีกปีสองปีจะเป็นไรไป"เบียร์พูดทิ้งท้ายแล้วเดินเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ผมมองหน้าจอโทรศัพท์เงียบๆคนเดียว
สิ่งที่ผมควรทำตอนอยู่ที่นี่ บางทีอาจไม่ใช่การหาคำตอบให้คุณท่าน เพราะผมรู้อยู่แก่ใจแต่แรกแล้วว่าทางออกของมันคืออะไร แต่สิ่งที่ผมควรทำ...คือใช้เวลาที่คุณท่านมอบให้เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง ทั้งหมด…ก็เพื่อก้าวข้ามความกลัวทุกอย่างไป ไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลัง
ครืด ครืด
"สวัสดีครับ"
[กีตาร์]
"ครับ"ผมตอบรับน้ำเสียงออดอ้อนด้วยรอยยิ้ม
[รับช้า]
“ขอโทษด้วยครับ พี่เหม่อๆอยู่”
[อืม…แล้วเป็นไงบ้าง]
"ดีมากเลยครับ ดูแล้วพี่คงได้เรียนรู้งานหลากหลายแน่ๆ"
[ดีแล้ว...กีตาร์ฝึกที่ไหนนะ ผมลืมถาม]
ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้บอกเจ้าหมา
"เปิดกล้องได้ไหมครับ"กันไว้ก่อนดีกว่า
[ได้] โซโล่ตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขากดเปิดกล้องไวกว่าผมที่เป็นคนชวนเสียอีก
"หืม...เดี๋ยวจะออกไปไหนอีกเหรอครับ"ผมเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าหมาอยู่ในชุดเรียบร้อยกว่าปกตินิดหน่อย
[...] คนที่กำลังยิ้มหน้าบานหุบยิ้มทันทีที่ได้ยินคำถาม [ต้องออกไปทานข้าวเย็นกับพ่อ]
"ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ"
[ไม่เห็นดีเลย]
ผมกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้มเมื่อเห็นสายตาของคนหน้ามุ่ย นั่นมันสายตาดีใจไม่ใช่หรือไง...
ต่อให้ปากบอกว่าไม่ชอบ ไม่รัก ไม่ผูกพัน เอาเข้าจริงเขาก็ยังต้องการความรักจากพ่ออยู่ดี พอคุณท่านใจดี ใส่ใจ ไม่ได้ทำตัวห่างเหินแบบที่คิด ตัวเองก็เลยลดกำแพงลงด้วย
"ตารางงานเป็นยังไงบ้างครับ"
[หลังเลิกเรียนส่วนใหญ่จะซ้อมดนตรี มีงานบ้างบางวัน แต่ส่วนใหญ่เสาร์อาทิตย์ผมมีงานทุกวันเลย...] โซโล่ขมวดคิ้ว ท่าทางกังวลใจ
"ไม่เป็นไรหรอกครับ"
[แต่ผมบอกว่าจะไป...]
"พี่เองก็คงวุ่นวายกับงาน น่าจะเหนื่อยมากด้วย โซก็ตั้งใจทำงานของโซเถอะครับ"ผมยิ้มให้เขาเป็นการปลอบ เราต่างก็มีหน้าที่ จะให้มาอยู่ด้วยกันตลอดคงไม่ได้อยู่แล้ว
[อืม...แล้วสรุปทำงานที่ไหน]
ลืมไปเลย...
"ที่บริษัทRKครับ"
[ว่าไงนะ!]
"ใจเย็นสิครับโซ"ผมมองคนที่เด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางตกใจขำๆ ก็คิดไว้แล้วว่าต้องแสดงอาการอะไรออกมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้เหมือนกัน
[ก็!..]
"คุณท่านไม่ได้จงใจครับ แล้วพี่ก็ไม่ได้โดนแกล้งอะไรด้วย มันเป็นโครงการของคนในแผนก"ผมวางคางไว้บนเข่าตัวเอง มองคนในจอด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย
[มั่นใจนะ] โซโล่ขมวดคิ้วแต่ก็ยอมนั่งลงดีๆเหมือนเดิม
"ครับผม"
[ถ้ามีอะไรก็โทรหาผม]
"รับทราบครับ"
[ผมต้องไปแล้ว เอาไว้จะหาเวลาไปหานะกีตาร์] เจ้าหมาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปทางประตู ผมคิดว่าคงมีคนมาเรียกเขา
"ถ้าไม่ว่างหรือเหนื่อยก็ไม่ต้องฝืนมานะครับ"ผมเตือนล่วงหน้า ไม่อยากให้เขาฝืนตัวเองหรือหนีมา แต่ดูแล้วน่าจะยาก เพราะนอกจากจะไม่ตอบอะไรแล้วเจ้าหมายังทำหูทวนลมใส่ผมอีกต่างหาก
[ผมจะไปอะไรก็ห้ามไม่ได้]
"โซ..."
[ไปก่อนนะกีตาร์ บาย]
"อ้าว..."ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก จะโทรกลับไปย้ำเรื่องเดิมอีกคนก็คงไม่ฟัง
ลองพูดแบบนี้แล้ว...รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นยังไงก็ไม่รู้สิ
การฝึกงานวันแรกเป็นอะไรที่เหนื่อยสมคำล่ำลือจริงๆ ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่ดูเหมือนผมจะเป็นคนที่โดนใช้ให้วิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอด ที่น่าแปลกคือไอ้เบียร์ไม่ต้องวิ่งไปไหนเลย มีแค่ผมคนเดียวที่เข้าๆออกๆจนจะจำทางได้ทั้งบริษัทอยู่แล้ว
ถ้ามองในแง่ดี…คุณแพทอาจต้องการให้ผมเห็นการทำงานที่หลากหลาย...มั้ง
"เอาเอกสารรายงานพวกนี้ไปชั้นบน"
"ครับ"ผมรับคำโดยไม่อิดออด คิดแค่ว่าหน้าที่อะไรก็ต้องตั้งใจทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียนมาหรือเปล่าก็ตาม
"คุณแพทให้เอาเอกสารมาให้ครับ"
"อ้าว...ขอบคุณนะจ๊ะ จริงๆก็มีคนไปเอาอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นต้องลำบากขึ้นมาที่นี่เลย"
"ไม่เป็นไรครับ"
"ไหนๆก็ขึ้นมาแล้ว มาช่วยพี่หน่อยได้ไหม"พี่เก๋ที่ผมอ่านชื่อเอาจากป้ายยิ้มใจดีแล้วชี้ไปที่กองเอกสารด้านหลัง
"ได้ครับ"
"บริษัทเราเพิ่งเปิดใหม่ๆ อะไรๆก็ยังวุ่นวายอยู่บ้าง มาเอาช่วงนี้พอดี ลำบากก็ทนหน่อยนะ"
พี่เก๋อธิบายงานของเธอให้ผมฟัง เล่านั่นเล่านี่ตลอดระยะเวลาที่ผมช่วยจัดเอกสาร บางอย่างก็เป็นอะไรแปลกใหม่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เล่าไปเล่ามาจนจัดเอกสารหมดแล้วผมถึงรู้ตัวว่าได้ฟังอะไรมาเยอะแค่ไหน
และมันไม่ใช่แค่นั้น...
เพราะเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกสองครั้งในวันเดียว คุณแพทให้ผมวิ่งไปมาอยู่หลายครั้ง ทั้งยังบอกว่าถ้าใครให้ช่วยอะไรก็ช่วยไป ไม่ต้องปฏิเสธ ผมได้ฟังเรื่องเล่าหลายอย่างแบบเดียวกับที่พี่เก๋เล่า แค่วันเดียวได้รู้จักคนเพิ่มเป็นสิบคน
ไม่ใช่แค่นั้น เพราะในช่วงเย็นผมยังได้กลับมาทำงานของตัวเองแบบจริงๆจังๆด้วย
ไอ้เบียร์ถึงขนาดหัวเราะไม่หยุดเมื่อได้เห็นสภาพผมตอนเลิกงาน
"กูว่าถ้าแฟนมึงมาเห็นสภาพนะ...พวกคนเกี่ยวข้องโดนเล่นหมดแน่เลยว่ะ"
ผมถอนหายใจ จะปฏิเสธก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะคิดไม่ต่างจากมันเท่าไหร่
"กลับเถอะ กูอยากนอนจะตายอยู่แล้ว"ผมยกมือลูบหน้าลูบตาตัวเองเพื่อเรียกสติ
ถึงจะเคยทำงานหนักมาเยอะ แต่บอกตรงๆว่าหนักทั้งใช้แรงงานทั้งใช้สมองแบบนี้เพิ่งเคยเจอครั้งแรกเหมือนกัน
"แล้วสนุกไหม"
"งานอะนะ"
"เออ...อะไรที่ไม่เคยเจอ น่ากลัวแบบที่คิดไหม"
"เหนื่อย แต่มันก็...สนุก..."ผมหยุดพูด หันไปมองหน้าเบียร์ที่กำลังยักคิ้วให้
"กูบอกแล้ว"
"อืม..."
"ไม่ต้องรีบ เพิ่งจะวันแรก มึงยังมีเวลาอีกเยอะ"มันเดินมากอดคอผมไว้ ดูจากน้ำหนักแขนที่เทลงมาแล้วผมก็พอจะเดาได้ว่ามันเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน "ไปพักกันเหอะ พรุ่งนี้ลุยต่ออีก"
"เออ"ผมตอบรับแล้วเทน้ำหนักตัวกลับไปให้มันบ้าง
เราเดินเซไปเซมากันอยู่สักพัก กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็เสียเวลาหัวเราะกันมากพอดู
คิดไปคิดมาแล้วก็ต้องขอบคุณจริงๆที่เบียร์มันมากับผมด้วย ถ้าต้องมาคนเดียวผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไหวหรือเปล่า ยิ่งมีเรื่องให้คิดยิ่งแล้วใหญ่
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าการฝึกงานในวันต่อๆไปจะผ่านไปได้ด้วยดี
คุณแพทคงไม่แกล้งให้ผมวิ่งไปวิ่งมาแบบนี้ทุกวันหรอก
เหรอ…
“กีล์…มึงไหวเปล่าวะเนี่ย”
ถ้าจะช่วยแสดงความเป็นห่วงด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงจริงๆ ไม่ใช่ขำสุดๆแบบที่กำลังเป็นอยู่จะดีมากเลย…
“ไหว”
“กูอยากถ่ายรูปไปแปะเพจมหา’ลัยจริงๆ ตอนนี้พี่กีล์คนดีเดือนมหา’ลัย…สภาพแม่งโคตรเหมือนศพ”ไอ้เบียร์หัวเราะเสียงดังจนแทบลงไปกลิ้งกับพื้น ส่วนผมก็ได้แต่นั่งหน้าบูดทิ้งตัวพิงเก้าอี้ไว้
“คุณแพทแกล้งกู”ผมพูดเสียงอ่อย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกอยากลงไปนอนกลิ้งกับพื้นแล้วไม่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีก…ถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ในโรงอาหารของบริษัทล่ะก็นะ
“เขาเอ็นดูมึงมั้ง”
“เอ็นดูพ่อมึง”ผมหันไปด่าอย่างรวดเร็วจนไอ้เบียร์หน้าเหวอ พอตั้งสติได้มันก็กลับไปหัวเราะต่อเหมือนถูกใจเสียเต็มประดา
“หมดมาดเลยพี่กีล์คนอ่อนโยนของประชาชน”
“…”
“เอาน่ามึง…เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็ไม่ใช้แล้วแหละ”เบียร์ว่าแล้วส่งขวดน้ำให้ผมที่ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน
“มึงพูดแบบนี้มาสามอาทิตย์แล้วไอ้เบียร์”
สามอาทิตย์แล้วที่ผมได้ทำงานเกือบครบทุกตำแหน่ง อยากจะบอกว่าแม้แต่แผนกแม่บ้านก็ไปทำมาแล้ว ครึ่งวันกับการไปทำงานให้คนอื่น และอีกครึ่งวันกับการกลับมาทำงานที่เรียนมา
บอกตรงๆว่าโคตรเหนื่อย
“ทนหน่อย…”
“นี่ถ้าได้ขึ้นไปเป็นผู้บริหารด้วยกูคงครบละ”ผมกรอกตา คิดตามที่พูดจริงๆ
“นึกถึงหน้าแฟนไว้ดิ”
“ไม่ได้คุยมาหลายวันแล้ว”ผมถอนหายใจ ฟุบตัวลงกับโต๊ะด้วยความอ่อนล้า
นี่ก็วันที่ห้าแล้วที่ผมไม่ได้คุยกับโซโล่แบบจริงจัง ถึงจะได้ยินเสียงกันทุกคืนแต่ก็คุยกันแค่สองสามประโยค นอกจากเวลาจะน้อยแล้วผมยังเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรยาวๆด้วย พอได้ฟุบลงกับเตียงแล้วก็หลับตลอด เขาก็เข้าใจดีว่าผมคงเหนื่อยถึงไม่เคยเรียกร้องให้เปิดกล้องหรือคุยต่อเลย
“โดนถามบ้างไหมว่าทำงานเป็นไง”
“ถาม…อาทิตย์ก่อนกูเพิ่งบอกไปว่าเหนื่อยแต่สนุกดี”
“แล้วถ้ามาถามตอนนี้ล่ะ”
“จะบอกว่าโคตรเหนื่อย ขุดหลุมให้พี่ที”ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ ยกมือลูบหน้าลูบตาปรับอารมณ์เพราะใกล้ถึงเวลาทำงานต่อแล้ว
“ฝังศพอะนะ”ไอ้เบียร์เลิกคิ้วแล้วยกยิ้มขัน
“เปล่า…กูจะนอน นอนแบบนอนตาย ใครปลุกจะโดดกัดหัวแม่งให้หมด”
.
.
.
“กีล์ เอาเอกสารไปให้คุณแอนนาที่ห้องประชุมผู้บริหารที”
สัปดาห์ที่สี่ของการฝึกงาน…ผมได้เข้าห้องประชุมผู้บริหาร
“กีล์ ป้าสายใจบอกว่าฝากกุญแจไว้ที่กีล์ เอาไปให้ป้าแกหน่อยนะ”
“กีล์จ๊ะ พี่อิงบอกว่าคอมเปิดไม่ติดอีกแล้ว”
“ไอ้กีล์ พรุ่งนี้ข้ามเกาะไปRK Resortนะ คุณแพทฝากบอก”
สัปดาห์ที่ห้าของการฝึกงาน…ผมได้เข้าใจความหมายของคำๆหนึ่งอย่างลึกซึ้ง
เจ็บและชินไปเอง
--------------------------
TALK : ไม่ได้หายไปไหน แต่ตอนต่อไปอาจอัพช้ากว่าปกตินิดหน่อยนะคะ ปั่นตอนพิเศษในเล่มอยู่ เนื้อเรื่องหลักเหลือปิดประเด็นเขียนไม่ยากเท่าไหร่(ตอนนี้เหลือประมาณสี่ตอนไม่น่าเกินห้า) ตอนพิเศษในเล่มน่าหนักใจกว่าค่ะ ฮ่าๆ
>>หากมีคำถามที่ต้องการคำตอบเข้ามาถามได้ในเพจหรือทวิตนะคะ จะข้อความก็ได้ไม่ว่ากัน (ในเว็บก็อ่านหมดแต่ไม่สะดวกตอบค่ะ เล่นในโทรศัพท์มันตอบกลับในเว็บลำบาก)
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04