-38-
ดูยังไงก็เหมือนมากจริงๆ...ไม่ว่าจะลักษณะท่าทาง รูปลักษณ์ภายนอก ทุกๆอย่างดูเหมือนโซโล่ไปหมด ถ้าไม่นับท่าทางดูภูมิฐานกับบรรยากาศที่กดดันกว่า บางคนอาจคิดว่าเป็นคนๆเดียวกันหรือพี่น้องกันได้ง่ายๆ
ที่บอกว่าเห็นคุณท่านแล้วจะตกใจกว่าเห็นคุณเจย์ท่าทางจะจริง เพราะถ้าคุณเจย์อายุยี่สิบเก้าว่าหน้าเด็กแล้ว คนๆนี้ที่อายุสามสิบกว่าแล้วหน้าเหมือนเป็นพี่ชายโซโล่ก็ไม่รู้จะเรียกหน้าเด็กได้หรือเปล่า
คุณท่านเดินนำเข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไรสักคำ พี่ที่เป็นคนเคาะประตูไม่ได้ตามเข้ามา ผมเดาได้ไม่ยากว่าท่านคงอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว หลังจากปิดประตูแล้วผมก็ไปจัดการเทน้ำดื่มใส่แก้วแล้วยกไปที่โซฟา
"รู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว"คุณท่านพูดด้วยหน้าตาเรียบเฉย ไม่ได้ชอบใจแต่ก็ไม่ได้พอใจ
"ตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมครับ ตั้งแต่ที่โซเข้ามาเรียนที่นี่"
"หมายความว่าถ้าฉันอยากแยกนายออกไป ฉันต้องส่งมันกลับอังกฤษใช่ไหม"
ผมนิ่งไปกับคำถามอันเย็นชาของคุณท่าน น่าแปลกที่คนๆหนึ่งสามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย อย่างน้อยก็น่าจะแสดงอาการไม่พอใจอะไรออกมาบ้างไม่ใช่หรือไง
แต่เอาเถอะ...
ผมเองก็คงไม่ใช่คนแบบที่ท่านคิดเหมือนกัน
"ผมเกรงว่าวิธีนั้นคงใช้ไม่ได้ผลหรอกครับ"ผมยิ้มบางเมื่อเห็นคุณท่านเลิกคิ้วเหมือนจะถาม "ยิ่งท่านพยายามแยกให้เราห่างไกลกันมากแค่ไหน...มันก็ยิ่งทำให้เราอยากเข้าหากันมากเท่านั้น"
"คิดว่ามีปัญญาตามไป?"
"ไม่ทราบว่าคุณท่านรู้จักผมมากแค่ไหนครับ"
"อย่างน้อยๆก็รู้ว่านายมีฐานะแบบไหน เคยมีชีวิตยังไง ลำบากขนาดไหนก็แล้วกัน"
"แล้วนอกจากนั้นล่ะครับ"
"ฉันจำเป็นต้องอธิบายชีวประวัติที่มีเป็นเล่มของนายจนครบเลยไหม"
ผมแอบยิ้มเมื่อเห็นว่าใบหน้าเรียบสนิทเริ่มมีความไม่พอใจเกิดขึ้นเล็กน้อย...เหมือนกันมากจริงๆด้วย
"ขอโทษครับ ผมแค่อยากจะบอกว่า...จริงๆแล้วท่านไม่รู้จักผมเลยต่างหาก"ผมสบตาคุณท่านซึ่งกำลังเลิกคิ้วแปลกใจ "ถ้าท่านรู้จักผม ท่านคงจะรู้ว่าผมยึดติดกับอะไรได้ยาก แต่เมื่อไหร่ที่ยึดติดแล้ว..."
"..."
"ผมจะไม่มีทางปล่อยมือจากสิ่งนั้นเด็ดขาด"
"ฉันก็ไม่ได้บอกให้นายปล่อยมือ แต่ฉันจะพรากสิ่งนั้นไปต่างหาก"
ไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่
"ที่ใครต่อใครบอกกันว่าโลกใบนี้แคบนิดเดียว ผมเองก็คิดแบบนั้นนะครับ เพราะงั้นต่อให้ท่านพาเขาไปไว้ที่ไหน ผมก็ไม่มีทางหาไม่เจอ อาจจะปี สองปี หรือสิบปี สักวันเราก็ต้องพบกันอยู่ดี แล้วผมก็คิดว่าผมคงไม่ใช่คนเดียวที่ออกตามหา"เจ้าหมาตัวนั้นไม่มีทางยอมอยู่เฉยๆอยู่แล้ว "ที่ท่านบอกว่าผมจะมีปัญญาไปหรือเปล่า...ขออนุญาตเรียนตามตรง ผมค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตัวเองครับ"
"..."
"ต่อให้เคยจนขนาดไหน ผมก็ไม่ได้คิดจะจนตลอดไป ผมเชื่อว่าสักวันจะสร้างตัวได้ และต่อให้ลำบากหรือนานแค่ไหนผมก็มั่นใจว่าจะมีปัญญาเดินทางไปในที่ที่ท่านพาโซไปแน่นอน"
ก็ตอนแรกความฝันของผมคือการเป็นคนมีเงินเพื่อเลี้ยงดูแม่ใหญ่นี่นะ ถ้าคุณท่านจะเอาแบบนั้นจริงๆผมก็แค่เปลี่ยนเป้าหมายไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง
จากอยากเป็นคนมีเงินเพื่อใช้เลี้ยงดูแม่ใหญ่...เปลี่ยนเป็นอยากเป็นคนมีเงินเพื่อใช้บินไปหาแฟนที่เมืองนอกแทน
"แล้วถ้าอนาคตของนายไม่สดใสล่ะ"
"ผมเชื่อว่าคนระดับท่านคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ"ผมพูดเสียงเรียบ ยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
"นายรู้จักฉันดีแค่ไหนกัน"
ผมนิ่งไปเล็กน้อยกับคำถามนั้น แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของใครบางคนผมก็นึกได้
"คุณท่านเหมือนโซโล่มาก และคุณท่านไม่ใช่คนแบบนั้น...นี่เป็นสิ่งที่คุณเจย์บอกผมมาครับ"ผมลอบสังเกตท่าทีของคุณท่านเงียบๆ ตอนแรกท่านยังคงนิ่งเฉย แต่เมื่อมีชื่อคุณเจย์หลุดออกมาดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนแปลงไป
น่าเสียดายที่ผมแปลความหมายในดวงตาอ่านยากคู่นั้นไม่ออก แต่ก็พอจะรู้สึกได้ว่าชื่อของคุณเจย์ดูมีอิทธิพลกับคนตรงหน้าพอสมควร
"นายคิดว่าฉันต้องการมาคุยอะไร"เสียงที่เย็นเยียบกว่าเดิมเอ่ยถาม
คุณท่านเปลี่ยนเรื่อง...
ผมสูดหายใจเข้าด้วยรู้สึกถึงความกดดันที่มากขึ้นเรื่อยๆทั้งที่คุณท่านไม่ได้เปลี่ยนท่าที แต่เพราะกดดัน…ผมถึงต้องมีสติมากกว่าเดิม
"ผมคิดว่าคุณท่านต้องการให้ผมเลิกยุ่งกับโซ"ผมพูดความคิดตัวเองออกมาช้าๆ
"ใช่"
"งั้นก่อนที่ท่านจะใช้วิธีอะไรก็ตาม ผมขออนุญาตพูดบางอย่างก่อนได้ไหมครับ"
คุณท่านทำหน้าแปลกใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเหมือนจะบอกให้พูดต่อ ผมเม้มปากด้วยความกังวล เตรียมตัวจะพูดทุกสิ่งที่คิดไว้ออกมา
"คุณเจย์บอกผมว่า..."
"สนิทกันจังนะ"
"อะไรนะครับ?"ผมทวนคำถามทั้งที่เมื่อครู่ได้ยินเสียงพึมพำนั่นชัดเจน ริมฝีปากเกือบจะยิ้มกว้างเมื่อเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง
"..."
"งั้นข้ามเรื่องคุณเจย์ไปก่อนก็ได้ครับ"ผมลอบยิ้มเมื่อสายตาของคุณท่านกลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม ก็นี่มันเหมือนการบอกกลายๆว่าชื่อคุณเจย์มีอิทธิพลมากเลยไม่ใช่หรือไง
"มีเวลาอีกชั่วโมงก่อนพวกนั้นจะกลับมาที่นี่ จะพูดอะไรก็รีบพูด"คุณท่านพูดเสียงราบเรียบเย็นชา แต่ผมกลับรู้สึกดีใจ...มันเหมือนกับท่านกำลังให้โอกาส
"ผมแค่อยากจะบอกว่าตอนนี้ผมไม่มีอะไรให้ยึดติดอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ท่านจะเอามาขู่ผมได้ก็คือโซเท่านั้น แต่ท่านคงไม่ทำร้ายลูกชายแท้ๆของตัวเองใช่ไหมครับ"ผมจ้องใบหน้านิ่งสงบของคุณท่าน คาดหวังให้สิ่งที่ตัวเองคิดเป็นความจริง ต่อให้ท่านเอาอะไรมาขู่ผมก็ไม่กลัวทั้งนั้น แต่สิ่งเดียวที่มีผลมากมายก็คือโซโล่
"ใช่"คุณท่านรับคำด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดวงคาคมกริบคู่นั้นมองผมเหมือนจะประเมิน "ฉันไม่มีวันทำร้ายลูกชายของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้ทำทุกอย่างที่ต้องการ"
"แล้วคุณท่านต้องการให้โซทำอะไรครับ ถ้าเรื่องงานเขาก็ตั้งใจทำและไม่เคยคิดปฏิเสธอยู่แล้ว"
"คิดว่าชีวิตของพวกนายจะมีความสุขหรือไง"
"ถ้าอยู่ด้วยกันผมเชื่อว่าเราจะมีความสุขครับ"ผมพูดด้วยความมั่นใจ
"โดยที่โซต้องบินไปต่างประเทศทุกวัน ในขณะที่นายทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือนอยู่ที่นี่งั้นเหรอ"
"ผม..."
"ถ้านายบอกว่าไหว แล้วโซล่ะ"
"โซจะเข้าใจ..."
"เข้าใจและจำใจ"
"..."
"นายคิดภาพความสุขที่ยืนยาวนั่นออกหรือยัง"คุณท่านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และผม...ไม่สามารถเถียงอะไรได้เลยสักคำ
"..."
"ใบหน้าแบบนั้นมันหมายถึงยังไม่ยอมแพ้สินะ"
จะให้ยอมแพ้ได้ยังไง
"โซคือทุกอย่างของผมครับ และต่อให้อนาคตจะเป็นยังไง ผมก็เชื่อว่าเราจะมีความสุข"
“แค่ลมปาก”คุณท่านพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ใช่…มันเป็นแค่ลมปาก เพราะที่ท่านพูดมาคือความจริงทุกอย่าง และผมก็ไม่รู้จริงๆว่าเราจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้นหรือเปล่า แต่ว่า…
เรารักกัน
ผมกำมือแน่นเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
“แม่ผมบอกว่าทุกปัญหามีทางออก และคนหนีปัญหาคือคนขี้ขลาด ผมจะไม่มีวันทิ้งโซแค่เพราะสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด ผมเชื่อว่ามันต้องมีทางแก้”
"งั้นก็ไปหาทางแก้มา"
"อะไรนะครับ"ผมเบิกตากว้าง คราวนี้นึกว่าตัวเองหูฝาดจริงๆ หากหัวใจกลับเต้นรัวด้วยความดีใจล่วงหน้าไปแล้ว
"ไปหาทางแก้มา"คุณท่านย้ำด้วยน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลง "นั่นคือบททดสอบของนาย…คนที่ดีแต่บอกว่าให้อดทนโดยไม่นึกแก้ไข ส่วนไอ้คนที่ขยันแก้ไขโดยไม่อดทนนั่นก็ต้องโดนเหมือนกัน"
"คุณท่าน..."ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้มกว้าง
ท่านกำลังสอนผม ท่านกำลังให้โอกาส...
"หึ"
"ขอบคุณมากครับ"ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม รู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่ท่านมอบโอกาสให้กับคนที่ไม่มีอะไรสักอย่างอย่างผม
"ฉันเคยเป็นพ่อที่ไม่ดี แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีก"คุณท่านพึมพำ
"ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับผมคุณท่านเป็นคนดีครับ"ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ ต่อให้เพิ่งได้คุยในเวลาไม่นาน ต่อให้ท่านทำตัวนิ่งขนาดไหน แต่ผมมองเห็นความรักทุกครั้งที่ท่านพูดถึงโซโล่ ที่ท่านทดสอบผมหรือให้โอกาสผม ทั้งหมดก็เพื่อโซโล่ทั้งนั้น
"งั้นเหรอ"
"คุณเจย์เองก็คิดเหมือนผมครับ"ผมพูดอีกสิ่งที่คิดออกไป และทันทีที่พูดจบผมก็มองเห็นดวงตาเฉยชาคู่นั้นไหววูบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับเป็นปกติ
"อืม"
บรรยากาศเงียบงันเริ่มเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง ถึงผมจะรู้สึกดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังอดกดดันกับบรรยากาศรอบตัวคุณท่านไม่ได้อยู่ดี เคยได้ยินเหมือนกันว่าพวกนักธุรกิจหรือผู้บริหารระดับสูงจะมีบรรยากาศแปลกๆรอบตัว แล้วยิ่งคนระดับนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดทำหน้าเฉยชายังกดดันขนาดนี้ ผมไม่อยากจะคิดภาพตอนท่านโมโหหรือไม่พอใจเลย เพราะท่านคงน่ากลัวกว่าโซโล่หลายเท่า
"คุณท่านทานข้าวหรือยังครับ"ผมทำลายความเงียบ นึกได้พอดีว่าตัวเองทำกับข้าวทิ้งไว้โดยที่ยังไม่ได้ทาน
"ยัง"ท่านตอบสั้นๆ ดวงตาคมมองผมเหมือนจะถามว่าทำไม
"ถ้าไม่รังเกียจ จะลองทานฝีมือผมดูหน่อยไหมครับ"ผมยิ้มเมื่อคุณท่านพยักหน้า ยอมลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะอาหารโดยไม่ได้พูดตอบอะไร
ผมจัดการยกอาหารที่ตั้งทิ้งไว้ไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ จากนั้นก็เปิดเตาอุ่นอาหารใหม่ที่ทำเกินไว้แล้วยกมาให้คุณท่าน
"กินที่ตั้งไว้นั่นก็ได้"
"ไม่ได้ครับ"ผมขมวดคิ้ว ลืมความกดดันไปชั่วขณะ ทำไมสองพ่อลูกนี่ไม่ห่วงตัวเองกันเลยนะ "ต้องทานตอนกับข้าวร้อนๆถึงจะดี นอกจากนั้นยังอร่อยกว่าด้วย"
"หึ...พูดเหมือนเจย์"
คุณเจย์อีกแล้ว
"โซบอกว่าคุณเจย์ทำอาหารอร่อยมาก"ผมลองเกริ่น เป็นเวลาเดียวกับที่คุณท่านตักอาหารคำแรกเข้าปาก
"อืม..."
จะว่าไปผมก็ยังไม่เคยได้ทานฝีมือคุณเจย์เหมือนกัน ปกติพอเขามาที่ห้องผมก็ทำอาหารไว้แล้วตลอดเลยยังไม่มีโอกาสเสียที สงสัยต้องขอให้คุณเจย์ลองทำให้ทานดูสักครั้งแล้ว
"พอทานได้ไหมครับ"ผมนั่งตัวเกร็ง ลุ้นกับคำตอบยิ่งกว่าลุ้นผลสอบเสียอีก
"ได้...แต่ไม่เท่าเจย์"
อ่าว...อย่างนี้ก็ได้เหรอ
หลังจากนั่งทานข้าวกันเงียบๆจนเสร็จผมก็ยกจานไปล้างที่อ่าง คุณท่านยังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเงียบๆเหมือนเดิม ในขณะที่ผมทนความกดดันไม่ไหวต้องหาเรื่องมาชวนคุยโดยที่ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่องคุณเจย์ ถึงจะตอบสั้นแค่ไหนแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความเหมือนกันของคุณท่านกับโซโล่มากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญ…ทุกครั้งที่พูดเรื่องคุณเจย์บรรยากาศกดดันรอบตัวท่านมักจะจางลงหลายส่วน
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูรอบที่สามดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมมองนาฬิกาดูแล้วคิดว่าไม่น่าใช่โซโล่กับคุณเจย์ เพราะตอนแรกคุณท่านบอกว่ากว่าพวกเขาจะกลับมาถึงก็เป็นชั่วโมง แต่นี่ยังผ่านไปไม่ถึงสามสิบนาทีเลย
"พี่กีล์!เปิดให้หน่อย!"คงไม่ต้องเดาแล้วว่าใคร
ผมหันไปมองคุณท่านเหมือนจะขออนุญาต ซึ่งท่านก็ทำเพียงพยักหน้าน้อยๆแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา
"ดีพี่"เก้ายกมือทักทายทันทีที่ผมเปิดประตูให้ แต่นอกจากเก้าแล้วข้างๆยังมีคุณลินดาที่ทำหน้าตาไม่พอใจยืนอยู่ด้วย
"เก้า คือว่า..."
"ผมจะมาเล่นเกมห้องมันอะ ที่หอไฟดับ โคตรเซ็ง"เด็กแสบบ่นแล้วเดินสวนเข้าไปในห้อง แต่ก่อนจะก้าวเข้าไปไม่วายหันไปมองคุณลินดาด้วยหางตา "ผมเจอป้าคนนี้ดิ้นอยู่หน้าห้อง โวยวายใส่พี่การ์ดบอกจะเข้ามาหาคุณท่านอะไรก็ไม่รู้"
"แก!"
เอาไงดีล่ะเนี่ย
"คุณท่านคะ!"คุณลินดาเปลี่ยนเป้าหมายเป็นวิ่งไปหาคนที่โซฟาแทน ผมแอบกังวลหน่อยๆเพราะโซโล่สั่งไว้ว่าไม่ให้เธอเข้าใกล้ห้องของเขาอีก ที่พี่การ์ดจำเป็นต้องปล่อยเข้ามาคงเพราะเธอเอาคุณท่านไปอ้าง
"เก้าครับ นั่นคุณพ่อโซ"ผมกระซิบกับเด็กแสบที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าตัวมองตามคุณลินดาที่เดินไปนั่งข้างๆแล้วฟ้องอะไรคุณท่านอยู่ด้วยสายตารำคาญ
"พอเดาได้แหละ หน้าโคตรเหมือนกัน แต่ป้านั่นไม่ไหวนะ ผมปวดหูจะตายอยู่แล้ว กับอีแค่บอกว่าโวยวายรบกวนคนอื่น ไม่รู้จะกรีดร้องอะไรนัก"
"ช่างเถอะครับ เราเข้าไปทักคุณท่านก่อนดีกว่า"ผมดันหลังเก้าเบาๆเป็นเชิงเตือน ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปหาแต่โดยดี
"พ่อโซ ดีครับ"เก้ายกมือไหว้ นั่งลงตรงโซฟาด้านตรงข้ามคุณท่านอย่างไม่เกรงกลัว
"อืม"
"คุณท่านคะ เด็กนี่แหละค่ะที่มาว่าลิน"คุณลินดาหันไปเขย่าแขนคุณท่านเบาๆเหมือนจะฟ้อง สายตาก็มองเก้าอย่างจิกกัด
ให้ตายเถอะ...ผู้หญิงแบบนี้นี่นะ
"นี่ป้า อย่าเยอะได้ไหม"เก้าขมวดคิ้ว หน้าตาไม่พอใจ "ทำตัวแบบนี้แล้วใครจะเห็นค่าวะ"
"แก!"
"หน้าตาก็ดี เงินก็มี เข้าคอร์สอบรมมารยาทกับพี่กีล์หน่อยดีปะ"
แล้วพี่เกี่ยวอะไรล่ะครับเนี่ย
"ไอ้เด็กเวร!"
ผมแตะแขนเก้าเป็นเชิงเตือนเพราะคุณลินดาเริ่มโมโห อีกอย่างผมกลัวว่าคุณท่านจะโกรธที่ไปว่าคนของท่านด้วย แต่ดูเหมือนผมจะคิดมากไปหน่อย เพราะนอกจากคุณท่านจะไม่พูดอะไรแล้วท่านยังไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยอีกต่างหาก
"ผมถามจริงนะ พ่อไปขุดแม่นางมาจากไหนเนี่ย"คราวนี้เด็กแสบถึงขั้นหันไปถามคุณท่านโดยตรง เหมือนผมจะเห็นประกายตาขบขันวาบอยู่ในดวงตาของท่านครู่หนึ่งยังไงไม่รู้
"ลูกเพื่อน"คุณท่านตอบเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจคุณลินดาที่เขย่าแขนฟ้องอยู่ด้านข้าง "ฝากดู"
"อ๋อ ผมก็คิดว่าเมียใหม่พ่อเสียอีก"เก้ายักไหล่ พูดออกมาง่ายๆตามนิสัย ส่วนผมนี่ได้แต่กระพริบตามองเพราะความไม่เข้าใจ
สรุปว่าคุณลินดานี่คือลูกสาวของเพื่อนคุณท่านที่ให้ช่วยดูแลให้ แต่ดูท่าทางแล้วเธอไม่น่าจะคิดแบบเดียวกันกับคุณท่านนะผมว่า แล้วนี่เจ้าหมากับคุณเจย์คิดไปถึงไหนแล้วล่ะเนี่ย…
"คุณท่านคะ!"
"ลุงไล่ป้านี่ออกไปก่อนได้ปะ"เก้าทำเสียงรำคาญแบบไม่ปิดบัง ผมแอบยิ้มขันกับความตรงไปตรงมาของเด็กแสบ สมแล้วที่ให้ฉายาแบบนี้
"ลินดา ออกไปก่อน"
แล้วคุณท่านก็ไล่ออกไปให้จริงๆเสียด้วย
"คุณท่านคะ! ทำไมไม่ให้ลินอยู่ด้วย"
"นี่ป้า รีบออกไปเหอะนะ ก่อนผมจะฟ้องว่าป้าก่อวีรกรรมอะไรไว้"
"วีรกรรม?"คุณท่านเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่คราวนี้คุณลินดาหน้าซีด เธอรีบลาคุณท่านแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนไปไม่ลืมมองเก้าที่อยู่ข้างๆผมด้วยสายตาเกลียดชังอีกที
"นี่ก็ไม่ได้จะฟ้องนะ แต่พอดีโซมันโทรมาเล่าให้ฟัง…มันบอกว่าป้าแกผลักจนเฮียเจย์เกือบล้มแล้วก็ต่อว่าไปด้วยไม่ใช่หรือไง"
ไม่ได้ฟ้องเลยเก้า
"ว่าไงนะ"เสียงคุณท่านเข้มขึ้นหนึ่งระดับ ผมเห็นดวงตาของท่านทอประกายวาววับแบบที่เจ้าหมาชอบเป็นเวลาโกรธ เพียงแต่คุณท่านดูจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่ามาก
"ตามนั้นเลยพ่อ พอดีโซมันโทรมาบ่นกับผมว่าแฟนมันไม่ยอมรับโทรศัพท์ มันกำลังรีบกลับแต่ก็น่าจะช้า ได้ข่าวว่าพ่อหลอกมันให้ไปกินข้าวไกลๆแล้วตัวเองไม่ไป นี่มันก็กลัวพ่อทำไรพี่กีล์เลยส่งผมมาเนี่ย ทีนี้มันเลยเล่าให้ฟังหมดเลย"เก้าเหลือบตามองผมแล้วหัวเราะหึหึ ส่วนผมนี่ก็ขนลุกไปแล้วเรียบร้อย เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง ไม่แปลกที่ฝั่งนั้นจะติดต่อไม่ได้ "หอผมไฟดับพอดีเลยยอมมา กะจะมาเล่นเกมหน่อย งั้นขออนุญาตนะพ่อ"
"เก้า อย่าเสียมารยาทสิครับ"ผมหันไปดุเด็กแสบที่ไหลตัวลงไปนั่งพื้นเพื่อเลือกแผ่นเกม
"ไม่เป็นไร"คุณท่านโบกมือ ได้ยินดังนั้นคนที่หยุดมือไปเมื่อครู่ก็ยิ้มแฉ่งแล้วหันไปเลือกแผ่นต่อ
"เก้านี่นะ"ผมบ่นไม่จริงจังนัก จะว่าน่าเอ็นดูมันก็ใช่ แต่ที่ยิ่งกว่าน่าเอ็นดูคือน่าตีนี่ล่ะ
"เรื่องจริงหรือเปล่า"เสียงคุณท่านเอ่ยขึ้นเรียบๆเหมือนพูดเรื่องทั่วไป ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร แต่พอเห็นแววตาเข้มๆนั่นแล้วก็นึกออก
"จริงครับ"เรื่องที่คุณเจย์โดนคุณลินดาผลักแล้วพูดจาไม่ดีใส่เป็นความจริงทุกอย่าง
"อืม"คุณท่านเงียบไป แต่ผมคิดว่าถ้าท่านเหมือนโซโล่จริงๆ…ใต้ความสงบนั้นจะต้องมีพายุก่อตัวอยู่แน่นอน
ผมจะบอกเรื่องนั้นกับคุณท่านดีหรือเปล่านะ
"พ่อๆ"เก้าเรียกทั้งที่ตายังจ้องจอเกม "ทำไมไม่อยากให้โซมันคบกับพวกผมอะ เหมือนพ่อไม่อยากให้มันใกล้ใครมากไป"
นี่มีเรื่องอะไรที่เจ้าหมาไม่ได้เล่าให้เด็กแสบนี่ฟังบ้างไหมเนี่ย
"ถ้าผูกพันมากไป ตอนห่างกันจะลำบาก อย่าผูกพันแต่แรกคือทางเลือกที่ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่คิดตอนแรก"คุณท่านเอนตัวพิงโซฟา "ฉันไม่ใช่คนที่ชอบอธิบาย"
เพราะงั้นใครๆถึงได้เข้าใจผิดไปหมด
ผมไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงไม่ได้อยู่ใกล้ๆหรือดูแลโซโล่ แต่ผมมั่นใจว่าท่านต้องมีเหตุผลแน่นอน ท่านไม่ใช่คนน่ากลัวแบบที่ผมคิดตอนแรกเลยสักนิด
"พ่อไม่ต้องห่วงหรอก ทั้งผมทั้งไอ้เจไดคงตัวติดกับมันไปตลอดนั่นล่ะ ต่อให้แยกกันแล้วก็ยังติดต่อกันได้นี่ พอดีผมมีตัง ต่อให้มันไปอยู่ต่างประเทศก็ไปหาได้อยู่ดี"
เหมือนผมจะเริ่มมองเห็นที่มาความมั่นหน้าของเจ้าหมาแล้วล่ะ
"หึหึ"คุณท่านหัวเราะเบาๆ ใบหน้านิ่งทอประกายขบขันแบบปิดไม่มิด พอเห็นแล้วผมก็อดขำตามไม่ได้
บางทีเก้าอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่นอกจากจะเกิดมาเพื่อให้ความบันเทิงแล้วยังช่วยทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้นด้วย
เจ้าหมากับคุณเจย์คงคิดไว้แล้วถึงได้ส่งเก้ามาช่วย และมันทำให้ผมสบายใจขึ้นมากจริงๆ
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าหมาจะผ่านบททดสอบของตัวเองไปได้
“คุณท่านครับ”ผมหันไปเรียก ปรับสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้น “ก่อนโซกับคุณเจย์จะออกไป…ผมได้คุยกับคุณเจย์”
“…”
“ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังจะไป”
“นายหมายความว่ายังไง”คุณท่านยืดตัวขึ้นตั้งตรง ในดวงตาคู่นั้นไม่มีวี่แววของการล้อเล่น
“เขาพูดเหมือนจะไม่ได้เป็นเลขาคุณท่านแล้ว”ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก จริงๆมันก็เป็นเพียงการคาดเดา แต่ถ้าคุณท่านเป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ…ผมก็อยากช่วย
หลังจากที่ผมพูดจบก็ไม่มีเสียงพูดคุยดังขึ้นอีก เสียงเดียวที่มีในห้องตอนนี้คือเสียงการเล่นเกมของเก้า ใบหน้าของคุณท่านดูน่ากลัวจนผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ และคิดว่าท่านคงไม่อยากฟังอะไรตอนนี้ด้วย
“ฉันจะกลับห้องแล้ว”คุณท่านพูดแล้วลุกขึ้นยืน ผมรีบลุกตาม ส่วนเด็กแสบก็หันมายกมือไหว้
“ผมไปส่งครับ”
ผมเดินไปส่งคุณท่านที่ประตู แต่ก่อนที่จะเดินออกไปท่านก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับผมก่อน
“เหตุผลที่ฉันมาคุยกับนายก็เพราะต้องการรู้ว่านายเป็นคนแบบไหน”ท่านพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันเริ่มมองนายจากประวัติ ไม่เห็นความเหมาะสมกับโซสักอย่าง ถ้านายเปลี่ยนใจฉันไม่ได้ หลังจากการคุยกันวันนี้พวกนายจะไม่ได้เจอกันอีก และนายคงรู้ว่าฉันทำได้”
รู้สิ…ถึงผมจะปากดีบอกว่ายังไงสักวันก็ต้องเจอกัน แต่จริงๆแล้วผมรู้ดีว่ามันยากขนาดไหนถ้าคุณท่านต้องการแยกเราจริงๆ
“สิ่งที่ทำให้ฉันยอมให้โอกาส นอกจากเพราะโซแล้วก็เพราะนิสัยของนาย เก็บความมั่นคงนั้นไว้ อย่ายอมแพ้ พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่านายจะอยู่เคียงข้างเขาได้ ในเมื่อนายเลือกเองที่จะเป็นฝ่ายปกป้อง…ก็ทำให้ได้ตามที่พูด”
ผมมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ย แต่เมื่ออ้าปากกลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ สุดท้ายก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นไหว้คุณท่านอย่างนอบน้อมด้วยความเคารพจากใจจริง
“หวังว่าตอนฝึกงานเสร็จฉันจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ”
“ครับ”
“กีตาร์!”
ผมสะดุ้ง ละสายตาออกจากคุณท่านแล้วหันไปมองคนที่วิ่งมาหา โซโล่วิ่งหน้าตาตื่นมาก่อน ด้านหลังมีคุณเจย์ที่เดินตามมาช้าๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่า!”เจ้าหมาจับตัวผมพลิกไปมาต่อหน้าพ่อตัวเอง ใบหน้าดูกระวนกระวายจนผมต้องจับมือเขาไว้
“แค่คุยกันครับ”
“เจย์ มานี่”คุณท่านหันไปเรียกคุณเจย์ จากนั้นก็เดินนำเข้าห้องตัวเองไปโดยไม่สนใจใคร คุณเจย์หันมาก้มหัวให้ผมก่อนจะเดินตามเข้าไปด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“เข้าห้องก่อนครับ”ผมดึงแขนเจ้าหมาที่ยังดูเป็นห่วงไม่เลิกเข้ามาในห้อง แต่พอเข้ามาแล้วผมก็เป็นฝ่ายถูกดึงไปที่โซฟาริมกระจกแทนโดยที่เจ้าหมาไม่ได้หันไปสนใจเพื่อนที่นั่งเล่นเกมอยู่เลย
“พี่ไม่เป็นอะไรครับ”ผมชิงพูดก่อน ไม่ลืมลูบหลังมือคนข้างๆให้คลายกังวล
“เล่ามา”
ผมเล่าทุกอย่างให้โซโล่ฟังช้าๆ ทั้งเรื่องที่คุณท่านให้โอกาส เรื่องที่เราคุยกันทั้งหมด ผมเล่าโดยไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว ตลอดเวลาที่พูดเจ้าหมาทำหน้าตาจริงจังจนน่ากลัว จวบจนผมเล่าจบแล้วเขาก็ยังเงียบอยู่
“โซ…”
“…”
“อย่าอคติสิครับ”ผมแตะนิ้วลงบนคิ้วที่กำลังขมวด “ทุกอย่างไม่ใช่แบบที่เราเห็นเสมอไป เรื่องคุณเจย์น่าจะทำให้โซคิดได้บ้างนะ”
เพราะโซโล่นึกถึงคุณท่านในมุมแบบนั้นมาตลอด ไม่แปลกที่เขาจะเอาสิ่งที่คิดมาเล่าและทำให้ผมมองคุณท่านแบบที่เขามองตามไปด้วย แต่เพราะผมไม่ได้อคติแบบเขา พอได้เจอจริงๆผมถึงได้มองเห็นอะไรมากกว่าที่เขาเห็น
“ท่านก็เหมือนโซที่ไม่ชอบอธิบายความจนทำให้ใครๆเข้าใจผิด”
“ผมไม่เหมือนพ่อสักหน่อย”โซโล่ทำหน้าบึ้ง
“ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน”
“ดี”
ผมหัวเราะกับท่าทางพออกพอใจของเจ้าหมา หลังจากนั่งขำอยู่สักพักก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสีหน้าจริงจัง ผมสบตาโซโล่ อยากให้เขาเชื่อที่ผมพูด
“เปิดใจนะครับ อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไป ลองมองดูดีๆว่าลึกๆแล้วมันเป็นยังไง อย่ามองแค่เปลือกนอก”
“ผมคิดแบบนี้มานานเกินไปแล้ว”โซโล่หลบสายตาผม
“พี่ไม่ได้บอกให้โซมองเรื่องในอดีตครับ แต่พี่อยากให้โซมองดูปัจจุบัน”ตอนนั้นอาจยังเด็กถึงฝังใจ แต่ตอนนี้เขาโตพอที่จะต้องมีเหตุผลแล้ว
ถ้าเขาเปิดใจอีกสักนิด เขาอาจจะรู้ว่าจริงๆตัวเองไม่ได้ไม่มีความรักความผูกพันกับคุณพ่อแบบที่เคยพูด เพียงแต่เขาอคติเกินกว่าจะมองเห็นมันมากกว่า
“โซมีเหตุผลของโซ คุณท่านเองก็มีเหตุผลของคุณท่าน ในเมื่อตอนนี้คุณท่านยอมถอยแล้ว…โซก็ลองดูบ้างเถอะครับ”
โซโล่หันกลับมา ผมยิ้มให้เขา มองดูดวงตาที่ดูอ่อนลงด้วยความอ่อนโยน
“ผมจะพยายาม”
บางทีการที่คนเราเหมือนกันมากเกินไป…ก็อาจจะทำให้เรามองข้ามบางอย่างไปได้ง่ายๆ เหมือนกับที่โซโล่ลืมมองไป ว่าจริงๆแล้วพ่อของเขา…เป็นคนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อคนที่ตัวเองรักเหมือนเขาไม่มีผิด
นั่นเป็นเรื่องที่ผมกับโซโล่ได้รู้…ในอีกหลายเดือนต่อจากนั้น
----------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04