-40-
ในส่วนของคนที่ต้องเรียนไปทำงานไปนั้น…
“ผมจะไปหากีตาร์”
ซี ศิวโลคินทร์มองใบหน้าของลูกชายเพียงคนเดียวด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ข้างๆกันมีเลขาคนสนิทยืนปิดปากกลั้นหัวเราะมองคุณชายของตนด้วยสายตาขบขัน
โซโล่พูดประโยคเดียวกันนี้มาสิบห้าครั้งในรอบสามชั่วโมง หรือถ้าบวกกับวันก่อนๆที่พูดไม่ต่ำกว่าห้าสิบรอบรวมๆแล้วตอนนี้อาจเกินพัน ซีคงต้องขอบคุณในนิสัยมีความรับผิดชอบของลูกชาย ที่อยากไปแค่ไหนก็ไม่ได้ทิ้งงานไปเสียเฉยๆ แต่มาพูดเอาบ่อยๆแบบนี้เขาก็ปวดประสาทเหมือนกัน
“ทน”เขาย้ำเป็นรอบที่สิบห้าของวัน
“พ่อให้ผมทนมาเป็นเดือนแล้วนะ”โซโล่ขมวดคิ้ว ท่าทางไม่พอใจ
“ฝั่งนั้นเขายังทนได้เลยไม่ใช่หรือไง”
พอได้ยินอย่างนั้นคิ้วที่ขมวดอยู่แล้วก็ขมวดยิ่งกว่าเดิม แค่นึกถึงเวลาเป็นเดือนที่ไม่ได้เห็นหน้ากีตาร์เขาก็หงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว มาบอกว่ากีตาร์ทนได้แบบนี้ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ทนได้กับจำเป็นต้องทนมันไม่เหมือนกันสักนิด
“ผมจะไปวันนี้”โซโล่ย้ำความตั้งใจของตัวเอง คิดไว้แล้วว่าต่อให้ติดงานติดอะไรก็จะเททิ้งแล้วบินไปหาคนที่คิดถึงให้ได้
“วันนี้มีประชุม”ซีลุกขึ้นยืน มองเท้าที่เริ่มก้าวถอยหลังของลูกชายด้วยสายตารู้ทัน
“จะไป!”
“จับตัวคุณชายไว้!”
สิ้นคำสั่งของพ่อผู้รู้ทัน การ์ดที่กองกันอยู่หน้าประตูก็จับตัวคุณชายเอาไว้อย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้คนที่กำลังตั้งท่าจะวิ่งหนีหลุดมือไป
“ปล่อยผมนะ!”โซโล่ดิ้นอย่างแรง แต่เพราะคนที่จับตัวเขาไว้ไม่ได้มีแค่คนเดียว ทำอย่างไรก็ยังสู้แรงไม่ได้
“ถ้าไม่รู้จักอดทนจะทำอะไรสำเร็จ”ซีพูดเสียงเย็น ขาก้าวเข้าไปประชิดตัวคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โมโหไม่ฟังใคร
“คุณท่าน…”เจย์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างก้าวเข้าไปแตะแขนซีเป็นเชิงเตือน เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่เริ่มดีขึ้นกลับไปแย่เหมือนเดิมอีก สองคนนี้นิสัยเหมือนกับแทบทุกอย่าง ถ้าซีโมโหขึ้นมาด้วยทุกอย่างคงพังหมด
“พ่อ!ปล่อย!”โซโล่ตวาดก้อง ดวงตาวาวโรจน์ตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ
“พาไปไว้ที่บ้านเล็ก ยึดโทรศัพท์ ปิดเน็ต ห้ามออกไปไหน ไม่ต้องให้ติดต่อใครทั้งนั้น เฝ้าไว้จนกว่าฉันจะสั่ง”
“พ่อ!”
“คุณท่านครับ”เจย์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้าไปขวางหน้าสองพ่อลูกไว้ “คุณชายต้องไปเรียนนะครับ”
“ถ้ายังคิดไม่ได้ก็ไม่ต้องไป”
“ปล่อยสิวะ!พ่อจะไปเข้าใจอะไร!”
ซีจับใบหน้าของลูกชายที่โดนล็อคแขนไว้ให้เงยขึ้นมอง ดวงตาเย็นชาที่เหมือนกันแทบทุกประการสบกันนิ่งงัน
“อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง”พูดไว้แค่นั้นเขาก็ผละออกมา ปล่อยให้การ์ดพาตัวลูกชายที่เลิกขัดขืนออกจากห้องไป
“คุณท่าน…”
ซียกมือนวดขมับตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า การต้องมาเผชิญหน้ากับคนที่เหมือนตัวเองในอดีตแทบทุกประการทำให้ภาพความทรงจำเก่าๆที่ไม่อยากจดจำปรากฏขึ้นในสมองเป็นฉากๆ
“คุณท่านครับ”เจย์เรียกซ้ำ เขาแตะแขนเจ้านายด้วยความเป็นห่วง และเมื่อดวงตาคมเบือนมาสบทั้งร่างก็ถูกรั้งเข้าไปกอดไว้แน่น
“เขาเหมือนฉันมาก”
คนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกกระพริบตาปริบๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวจึงยกมือกอดตอบแล้วช่วยลูบแผ่นหลังกว้างเบาๆเป็นการปลอบ
“เหมือนมากเลยครับ”
“เขาบอกว่าฉันไม่เข้าใจ”
“ครับ”
“รู้ได้ยังไงว่าไม่เข้าใจ”
“นั่นสิครับ”
“กับอีแค่ทนไม่กี่เดือน ฉันทนมาตั้งกี่ปี ไม่เห็นว่าใครจะเข้าใจ”
“ผมเข้าใจครับ”เจย์หัวเราะ มือก็ยังทำหน้าที่ลูบหลังให้คนที่กำลังทำตัวเป็นเด็กไม่หยุด
เขามีความสุขจนคิดว่าฝันไป หลังจากการพูดคุยกันครั้งนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ไม่มีชื่อเรียกใดๆ แต่เพียงแค่ได้อยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเขาตลอดไปอย่างนี้ก็ดีมากแล้ว
“แล้วให้คุณชายขาดเรียนแบบนี้จะดีเหรอครับ”เจย์ถามด้วยความเป็นห่วง ค่อยๆผละตัวออกจากอ้อมกอดแข็งแกร่งช้าๆ
“ฝากเด็กเก้านั่นลาอาจารย์ไปก่อนแล้วกัน…เพราะถ้าไม่ดัดนิสัยตั้งแต่ตอนนี้ คนที่กำลังพยายามอยู่ที่ภูเก็ตคงเหนื่อยน่าดู”ซีอธิบายโดยไม่ละสายตาจากเจย์ เขายกมือขึ้นแตะแก้มขาวตามแบบฉบับฝรั่งแท้ของเลขาคนสนิทด้วยความอ่อนโยน
พอได้เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าถึงได้รู้ตัว…
บางทีอีกเหตุผลที่ทำให้ซีให้โอกาสเด็กคนนั้น อาจเป็นเพราะบรรยากาศรอบตัวเด็กนั่น…ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเจย์ไม่มีผิด
อ่อนโยน...แต่ไม่อ่อนแอ
ในห้องนอนกว้างขวางที่เคยสวยงาม บัดนี้ดูเละเทะไปหมดจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ทั้งเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนเต็มพื้น หน้าจอทีวีที่แตกละเอียด ข้าวของที่ถูกขว้างปาไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งทุกสิ่งล้วนเกิดจากฝีมือของคนที่นอนขดกายอยู่บนเตียง
โซโล่ขยับกายอย่างเงียบงัน เขาซุกใบหน้าซีดเซียวอ่อนล้าลงกับหมอน ความรู้สึกปวดหัวและปวดท้องเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกปวดใจที่เป็นอยู่ในเวลานี้
หนึ่งอาทิตย์
หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียง…หนึ่งอาทิตย์ที่ต้องอุดอู้อยู่ในนี้
เขารู้ดีว่าพ่อเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ไม่ใช่แค่ไม่ได้ใช้เน็ตหรือโทรศัพท์ ไม่ใช่แค่ไม่ได้คุยหรือเจอกีตาร์ แม้แต่เจย์พ่อก็ไม่อนุญาตให้เข้ามาหา เขาอยู่ตัวคนเดียวในบ้านโดยสมบูรณ์แบบ ไม่มีแม้แต่แม่บ้านคอยหาอาหารให้กิน ต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด มีแค่การ์ดที่คอยเดินตรวจตรารอบบ้านอยู่เป็นเพื่อน
เคยพยายามหนีแล้วแต่ก็ไม่พ้น พ่อของเขารู้ทันแทบทุกอย่าง สิ่งเดียวที่ช่วยดับอารมณ์ร้อนราวกับไฟได้มีเพียงการทำลายข้าวของ แต่ทำจนทุกอย่างเละเทะแล้วมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
“กีตาร์…”เสียงแผ่วเบาและดูอ่อนแอกว่าครั้งไหนๆเรียกชื่อคนที่คิดถึงด้วยความปวดร้าว
ก๊อก ก๊อก
"ออกไป!"เสียงทุ้มตวาดก้อง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากหมอน
ก๊อก ก๊อก
"..."
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"บอกให้ไปไกลๆไงวะ!"
เพล้ง!
เสียงตะโกนด้วยความหัวเสียดังขึ้นพร้อมกับแจกันใกล้มือที่ถูกปาใส่ประตูจนแตกกระจาย
โซโล่ผุดตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหอบหายใจด้วยความโมโห ใบหน้าที่ดูซีดเซียวบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแบบที่ไม่ได้เป็นมานานแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"กูบอกให้!..."
"ไอ้เหี้ยโซ!หุบปากแล้วเปิดประตูระเบียง!"
คนที่กำลังหงุดหงิดเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจว่าเสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ดังขึ้นมาได้อย่างไร แต่เมื่อสะบัดหัวจนได้สติแล้วจึงคิดได้
เสียงไม่ได้มาจากหน้าประตู...
ขายาวก้าวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้าไปที่ประตูระเบียงซึ่งมีผ้าม่านสีทึบปิดเอาไว้ก่อนจะกระชากผ้าม่านและประตูให้เปิดออก
ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือใบหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าบึ้งยืนกอดอกมองเขาอยู่ และวินาทีต่อมาที่ประตูเปิดเก้าก็พุ่งเข้ามาดึงหัวที่ยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งกว่าเดิมด้วยความหงุดหงิด
"ทำใครเขาเดือดร้อนไปทั่วเลยนะมึง!"มือที่กำลังทึ้งหัวเพื่อนตัวโตออกแรงมากกว่าเดิมโดยไม่ออมแรง แต่เมื่อผ่านไปสักพักแล้วก็ยังไม่ได้รับปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมาเก้าก็เริ่มหยุดมือ เขากวาดตามองร่างสูงโปร่งของเพื่อนเพียงรอบเดียวแล้วผลักร่างเพื่อนเข้าไปด้านในโดยแรง หลังปิดประตูกับผ้าม่านจนห้องมืดทึบแล้วก็เดินไปเปิดไฟห้องให้สว่างแทน
สภาพห้องที่เละเทะยิ่งกว่ารังหนูทำให้คนรักความสะอาดขมวดคิ้วมุ่น และเมื่อได้กวาดตามองเพื่อนที่กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยากใบหน้ามู่ทู่ก็บูดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
เดือนมหา'ลัยสุดหล่อของใครๆ...บัดนี้มีสภาพเละเทะยิ่งกว่าอะไร ทั้งใบหน้าซูบซีดเหมือนคนป่วยใกล้ตาย ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้สระมาสิบปี แถมยังรอยแผลตามมือและเท้าที่น่าจะเกิดจากข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มห้องอีก
"มึงมันโง่"เก้าพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่มือก็ควานหาอุปกรณ์ทำแผลจากเศษซากวัตถุบนพื้นเพื่อเอาไปทำแผลให้เพื่อน
"..."
"ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย"เก้าจับมือที่มีรอยแผลของคนที่นั่งนิ่งขึ้นมาดู แต่ทันทีที่เขาจะล้างแผล คนที่นิ่งมาตลอดก็กระชากมือออกอย่างแรงแล้วมองมาด้วยดวงตาวาวโรจน์
ถ้าเป็นคนอื่นคงมีช็อคกันไปบ้าง...แต่เผอิญนี่คือเก้า
"อย่ามาทำหน้าแบบนั้นใส่กู!"เก้ายกมือชี้หน้าเพื่อน มองกลับด้วยสายตาหงุดหงิดไม่แพ้กัน เขากระชากมือข้างเดิมกลับมาแล้วพูดย้ำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "อยู่นิ่งๆ ถ้าขยับอีกมึงก็อยู่คนเดียวไปแล้วกัน"
คนฟังหยุดอารมณ์ของตัวเองแทบไม่ทัน โซโล่สะบัดหัวเพื่อไล่ความปวดหนึบออกไป เขามองหน้าเพื่อนที่กำลังทำแผลให้ด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วแล้วนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
รอจนทำแผลเสร็จหมดแล้วเก้าก็กลับมานั่งจ้องหน้าเพื่อนเงียบๆ รอให้อีกคนพูดอะไรออกมาก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากซีดเซียว
"มึงใช่โซจริงๆเหรอวะ"เขาเปิดบทสนทนา ฝ่ายคนฟังที่เอาแต่นั่งนิ่งมาตลอดยกยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากก่อนจะหันมาสบตา
"ทำไม...สภาพกูมันเหี้ยมากล่ะสิ"
ผัวะ!
"อย่ามาประชดกู!"เก้าตวาด มือที่เพิ่งใช้ตบหัวเพื่อนไปเมื่อครู่เปลี่ยนมาใช้ชี้หน้าแทน
"มันจะมากไปแล้วไอ้เก้า"โซโล่เงยหน้ามองกลับด้วยสายตาไม่พอใจ เขาไม่ชอบให้ใครเล่นหัว มันเป็นคนแรกที่กล้าทำถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนเขาคงเข้าไปบีบคอแล้ว
"กูแค่ช่วย...เผื่อขี้เลื่อยจะหลุดออกจากหัวสมองมึงบ้าง"คนโดนเขม่นยักไหล่ไม่ใส่ใจแล้วพูดต่อ "ที่ถามว่ามึงใช่โซจริงๆเหรอ...เพราะกูรู้สึกเหมือนไม่รู้จักมึง"
"มึงหมายความว่าไง"
"ก็ถ้ามันเป็นไอ้เหี้ยโซเพื่อนกู มันคงไม่มีทางยอมแพ้ ไม่หลุดอารมณ์แทบทั้งหมดออกมาง่ายๆ มันคงคิดถึงเหตุผลมากกว่านี้...หรืออย่างน้อยก็คิดถึงคนที่มันรักมากกว่าตัวเอง"ว่าจบก็เหลือบตามองคนตรงข้าม กวาดตามองขึ้นๆลงๆแล้วเหยียดยิ้ม "แต่ตอนนี้กูเห็นแค่ไอ้ขี้แพ้ โง่เง่า ไม่มีเหตุผล ทำตัวเป็นพวกเหลวแหลก ปัญญาอ่อน"
"กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้"โซโล่ถอนหายใจ ยกมือกุมหัว "พ่อกู..."
"อย่าเอาพ่อมึงมาอ้างไอ้โซ"เก้าตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา "มึงทำตัวเองทั้งนั้น"
"กู..."
"มึงมันคิดถึงแต่ตัวเอง"
'อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง'
คำพูดของพ่อที่วาบเข้ามาในหัวแบบเดียวกับที่เก้าพูดทำให้ใบหน้าแข็งกร้าวอ่อนลงจนไม่เหลือเค้าเดิม เขากลายเป็นเหมือนเด็กชายโซโล่ตัวเล็กๆที่ต้องการคนโอ๋
น่าเสียดายที่คนๆนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะเพื่อนอย่างเก้า...
"อย่ามาทำหน้าหมาหงอยใส่กู"
ก็เป็นเสียอย่างนี้...
"แล้วจะให้กูทำยังไง"โซโล่ถามเสียงแผ่ว เขาก้มหน้าหลบสายตาเพื่อนเพราะขี้เกียจโดนด่า
"กูไม่บอกมึงหรอกไอ้โง่"เก้ายิ้มเยาะ
"..."
"แต่มีคนจะบอกมึงเอง"
"ใคร"
"ตามมา"
ตามมาที่ว่าของเก้าคือการเดินตรงไปที่ระเบียง กระชากประตูเปิดออก มองลาดเลารอบด้าน และไต่ลงจากระเบียงชั้นสองด้วยตัวเอง
โซโล่มองภาพเพื่อนตัวดีปีนลงไปง่ายๆด้วยสายตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จนเมื่อเก้ากวักมือเรียกอีกครั้งเขาถึงได้ยอมปีนตามลงไป ถึงแม้จะสงสัยอยู่ว่าการ์ดบริเวณนี้หายไปไหนหมดแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ คิดแค่ได้ออกจากที่นี่ก็ดีมากแล้ว เอาไว้ค่อยถามเก้าอีกทีก็ไม่สาย
เก้าเดินนำออกไปด้านนอกโดยผ่านการปีนรั้วอีกครั้ง เดินออกไปสักพักก็เห็นร่างเจย์ยืนรออยู่ โซโล่ไม่แน่ใจนักว่าที่นี่คือที่ไหน เพราะพ่อเขามีบ้านอยู่หลายที่ หลังนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย คงไม่มีคนใช้งานถึงได้พาเขามาขังไว้
“คุณชาย”เจย์วิ่งเข้ามาหา มองสภาพของคนที่ยืนอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นห่วง
“เจย์”ความรู้สึกมึนหัวที่จู่โจมกะทันหันทำให้ตัวเซไปด้านข้าง ดีที่เก้าช่วยพยุงไว้ทันถึงไม่ล้มลงไป และในชั่วขณะที่กำลังลืมตาขึ้น รู้สึกเหมือนมองเห็นคนที่คิดถึงเป็นภาพลางๆ “กีตาร์…”
“ครับ”
ไม่ใช่ความฝัน
“กีตาร์!”โซโล่เบิกตากว้าง ลืมเลือนทุกความคิด มือไขว่คว้าคนที่พูดตอบรับมากอดไว้แน่น หัวใจเต้นรัวราวกับจะระเบิดออกมา กีตาร์ของเขายกมือกอดตอบโดยไม่พูดอะไร เมื่อผละออกเขาก็เอาแต่มองหน้าคนที่ไม่ได้เจอมาหลายเดือน จนโดนพาขึ้นมาบนรถแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
“เป็นยังไงบ้าง”กีล์ถามคนข้างกายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือลูบหัวคนที่นั่งจ้องเบาๆเป็นเชิงปลอบ
“หนี…”
“ครับ?”
“หนีไปด้วยกันนะ”โซโล่จับมือคนข้างกายมากุมไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมไม่อยากห่างจากกีตาร์แล้ว ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น”
คนที่นิ่งฟังมองใบหน้าของโซโล่ด้วยสายตาเรียบเฉย วูบหนึ่งที่ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นปรากฏล่องลอยของความผิดหวัง แต่เมื่อกระพริบตาทุกสิ่งก็หายไปและกลายเป็นแบบเดิม
“ได้สิครับ”
“คุณกีล์!”เจย์ที่ขับรถอยู่หันมามองอย่างตกใจ แต่ทันทีที่เห็นสีหน้าของคนพูดชัดๆเขาก็หันกลับไปด้วยความเข้าใจ
“โซอยากไปที่ไหนครับ”
“ที่ไหนก็ได้ที่พ่อหาไม่เจอ”
จุดหมายปลายทางที่พวกเขามาคือทะเลแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เจย์ยืนพิงต้นไม้ มองคนสองคนที่กำลังจูงมือกันเดินอยู่ริมทะเลด้วยสายตาเป็นห่วง ห่วงคุณชายเขาก็ห่วง แต่ที่เป็นห่วงยิ่งกว่าคือคนที่บินตรงมาจากภูเก็ตเมื่อเช้า
“ขอบคุณคุณเก้ามากนะครับที่ยอมมาช่วย”เจย์หันไปยิ้มให้คนด้านข้าง “ลำพังผมคนเดียวคงเข้าไปหาคุณชายไม่ได้”
“ไม่เป็นไรเฮีย”
เมื่อวานเจย์ได้ทราบข่าวจากการ์ดคนสนิทว่าโซโล่ไม่ได้แตะข้าวจริงๆจังๆมาหลายวันแล้ว ทั้งยังได้ยินเสียงดังโครมครามเหมือนมีการทำลายข้าวของดังออกมาจากห้องตลอดเวลา เขาทั้งเป็นห่วงทั้งไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็โทรไปบอกกีล์ก่อนเป็นอย่างแรก เพราะไม่อยากให้ฝั่งนั้นเป็นห่วงที่ไม่ได้ติดต่อไปเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นเขาไม่ได้เอะใจเลยสักนิดที่กีล์ถามที่อยู่ของโซโล่ไว้
วันต่อมาเขาเลยไปขอให้เก้าช่วย โดยตัวเองจะช่วยถ่วงเวลาการ์ดไว้แล้วให้เก้าเข้าไปด้านใน ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าเด็กคนนั้นจะถึงขั้นปีนระเบียงขึ้นไป ทั้งยังพาโซโล่ออกมาได้อีก
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดก็คือ…กีล์บินจากภูเก็ตมาที่นี่จริงๆ
เจย์รับโทรศัพท์กีล์ตอนที่เก้ากำลังจะลงจากรถ เขาตกใจมากเมื่ออีกฝ่ายบอกว่ากำลังจะมาหาถึงที่บ้าน ตอนที่ได้เจอกัน เขาเห็นใบหน้าอ่อนล้าของกีล์ชัดเจน แต่อีกคนก็ยังยิ้มส่งมาให้ได้เช่นเดิม และวินาทีที่โซโล่ออกมา เจย์เห็นดวงตาอ่อนล้าคู่นั้นมีประกายของความสุขวาบผ่าน แต่เมื่อเข้าใกล้กันมากขึ้น มันกลับกลายเป็นความหม่นหมองที่เข้ามาแทนที่
“ว่าแต่พี่แกจะไหวไหมนั่น”เก้ามองไปยังคนที่เดินเคียงข้างกันอยู่ริมหาด ถึงจะไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย แต่คิ้วที่ขมวดนิดๆก็บ่งบอกได้ดีว่าเขาเป็นห่วงกีล์ไม่แพ้เจย์เลย
“ผมก็เป็นห่วงอยู่ครับ…จริงๆไม่น่าโทรไปบอกคุณกีล์เลย”เจย์พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “แต่ผมก็กลัวคุณชายจะเป็นอะไรไป ข้าวปลาก็ไม่ยอมทาน ห่วงจนลืมนึกถึงไปเลยว่าจริงๆแล้วคุณกีล์เองก็กำลังเหนื่อยขนาดไหน”
“ทำไมไอ้โซมันเป็นได้ขนาดนี้”
“คงเพราะคุณกีล์เหมือนผู้ช่วยชีวิตมั้งครับ”เจย์หัวเราะเบาๆเพราะสิ่งที่พูดไปไม่ได้ต่างจากชีวิตเขาเองเท่าไหร่ “มาเติมเต็มทุกสิ่งที่ขาดหาย คุณชายก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆที่เติบโตขึ้นมาด้วยตัวเอง จะบอกว่าขาดความอบอุ่นก็คงใช่ เพราะงั้นถึงได้เป็นเอามากขนาดนี้”
“…”
เมื่อเก้าไม่ถามอะไรต่อเจย์ก็ทำได้เพียงหันกลับไปมองภาพคนสองคนที่เดินเคียงคู่กันเช่นเดิม ทั้งคู่ยิ้มแย้มตลอดเวลา แตกต่างกันเพียงความรู้สึกที่แสดงออกมา โซโล่อาจจะยิ้มอย่างมีความสุขจริงๆ แต่กีล์ไม่ใช่แบบนั้น…
“รู้ตัวสักทีเถอะครับคุณชาย”
.
.
“ผมคิดถึงกีตาร์มาก”โซโล่พูดออกมาตามความรู้สึก ใบหน้านิ่งเรียบมีเพียงความสุขที่ปรากฏบนนั้น
“พี่ก็คิดถึงโซครับ”กีล์ตอบรับ แม้คำพูดจะไม่ใช่คำโกหก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้แสดงออกว่ามีความสุขเช่นกัน เหมือนเป็นเพียงรอยยิ้มปลอมๆที่จงใจสร้างขึ้นมา น่าแปลกที่คนด้านข้างไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย
“ผมขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไป พ่อจับผมขังไว้ที่บ้านเล็ก ใช้โทรศัพท์หรือเน็ตไม่ได้เลย”โซโล่ก้าวเท้าไปตามทาง เขาเล่าเรื่องที่เกิดกับตัวเองไปเรื่อยๆ หวาดกลัวว่าจะทำให้คนข้างๆโกรธเพราะไม่ยอมติดต่อไป
“ไม่เป็นไรครับ”
“แต่ผมเป็น…ผมคิดถึงกีตาร์”
“พี่ทราบครับ”กีล์หัวเราะเบาๆ เขารู้ดีว่าอีกคนคิดถึง เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ “โซอยากไปที่ไหนอีกไหม”
“ไปที่ๆไกลกว่านี้”โซโล่หันมาหา ในใจคิดเพียงว่ายิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เขาจับมือคนข้างกายไว้แน่นก่อนจะพาเดินไปที่รถซึ่งมีเจย์กับเก้ายืนรออยู่ “ไปที่ๆพ่อจะหาผมไม่เจอ”
เก้าไม่ได้พูดอะไร เพียงถอนหายใจแล้วยัดตัวเข้าไปในรถก่อนเป็นคนแรก ส่วนเจย์ที่ต้องรับคำสั่งก็มองไปที่กีล์ด้วยความเป็นห่วงเช่นเดิม
“คุณกีล์…”
“ไปตามที่เขาบอกเถอะครับคุณเจย์”กีล์ส่ายหน้าไม่ให้พูดอะไรต่อ เขาเข้าไปนั่งด้านในรถและพิงเบาะไว้นิ่งๆโดยไม่พูดอะไรอีก
รถที่แล่นไปตามทางขับเปลี่ยนเวียนสถานที่ไปเรื่อยๆตามคำสั่งของโซโล่ พอเจอที่ที่ต้องการเขาก็สั่งให้หยุดรถ พาคนรักออกไปเดินเล่น พอใจแล้วก็เปลี่ยนไปอีกที่ น่าแปลกที่ปกติโซโล่ซึ่งพูดน้อยที่สุดกลับพูดมากกว่าทุกวัน หรือบางทีอาจเรียกได้ว่าพูดอยู่คนเดียว
“กีตาร์หิวไหม”
“ไม่ครับ”
“อยากได้อะไรไหม ผม…”
“ไม่ครับ”
ยิ่งเส้นทางยาวไกลมากเท่าไหร่ ความหนักใจของทุกคนก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น คนนอกทั้งสองคนทำได้เพียงนั่งฟังประโยคสนทนาน่าอึดอัดไปตลอดทาง ในขณะที่ตัวต้นเหตุทั้งสองอยู่ในบรรยากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โซโล่พูดเยอะ ถึงแม้จะรู้สึกไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที แต่คนใจดีอย่างกีล์กลับเงียบผิดปกติ และยิ่งเงียบมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น
“ผมอยากแวะสวนสาธารณะด้านหน้าครับคุณเจย์”กีล์พูดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ถามความเห็นคนด้านข้างแต่ก็มั่นใจว่าอีกคนจะยอมตามใจ
“ครับคุณกีล์”
กีล์เดินนำลงมาจากรถเป็นคนแรกโดยมีโซโล่เดินตามต้อยๆ ส่วนอีกสองคนที่เหลือไม่ได้เดินตามไป เพียงแค่ยืนพิงรถรออยู่เงียบๆ
“กีตาร์…”โซโล่เรียกเสียงแผ่ว เขาคว้ามือคนที่เดินนำไว้ รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจโดยไร้เหตุผล
“ครับ”
“ทำไม…ไม่มองหน้าผม”สิ้นคำถามนั้นคนที่เดินนำก็หยุดเท้าลง กีล์หันหลังกลับ เขาเงยหน้าสบตาคนที่กำลังทำหน้าเศร้าด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้ซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้า
“โซไม่อยากเที่ยวแล้วเหรอครับ”
“ผม…”
“สนุกพอแล้วเหรอ”
“…”
“พี่ไม่มีเงิน ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าโซต้องการ…จะพาพี่ไปไหนก็ได้ครับ”กีล์ยิ้มอ่อนล้า มองใบหน้าของคนที่เงียบไปด้วยสายตาอ่อนโยน “และถ้าพอใจแล้ว…ช่วยบอกพี่ด้วยนะครับ”
“กีตาร์…”
“นี่เหรอครับ สภาพของคนที่พี่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มายืนอยู่เคียงข้าง…ตอนนี้พี่เห็นแต่ใครสักคนที่พี่ไม่เคยรู้จัก”คำพูดเย็นชาที่ดังออกมาแตกต่างจากใบหน้าอ่อนโยนของคนพูดโดยสิ้นเชิง โซโล่รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะแตกสลาย แต่เขาก็ไม่อาจเถียงอะไรได้สักคำ “พี่ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ แต่ทุกๆครั้งพอนึกถึงว่าทำเพื่อใครก็มีแรงขึ้นมาตลอด แล้วโซล่ะครับ…”
“…”
“ถ้าโซคิดถึงแต่ตัวเอง อยู่คนเดียวดีกว่าไหม”
“ไม่เอานะ!”โซโล่ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เขารั้งร่างของคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น…กลัวเหลือเกินว่าจะปล่อยมือกัน
“เหตุผลที่พี่มาที่นี่เพราะพี่เป็นห่วง ไม่มีอะไรอยู่ในหัวนอกจากอยากให้โซปลอดภัย พี่คิดว่าโซโดนใครทำร้าย คิดว่าโซเป็นอะไรไป ทั้งห่วง ทั้งกังวลสารพัด สุดท้ายก็ใช้เงินเก็บขึ้นเครื่องบินกลับมาที่นี่…ทั้งที่วันนี้พี่ต้องทำงาน”น้ำเสียงสบายๆที่เอ่ยออกมาไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย กลับกัน…โซโล่รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงหดหายลงไปเรื่อยๆ ยิ่งรู้ว่าเป็นเขาที่กอดอยู่ฝ่ายเดียวก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว
นี่เขา…ลืมมองอะไรไปบ้าง
ทำไมถึงเพิ่งสังเกตเห็น…ว่าใบหน้าของกีตาร์ดูย่ำแย่ขนาดไหน ทั้งดูอ่อนล้าและอ่อนแรง ดูเหนื่อยยิ่งกว่าเขาเวลาทำงานเป็นสิบเท่า
“ผมขอโทษ”น้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างแท้จริงทำให้ใบหน้าอ่อนล้าของคนฟังเริ่มปรากฏรอยยิ้มอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก กีล์ยกมือกอดตอบเบาๆ ฟังเสียงเด็กน้อยร้องครวญว่าขอโทษไม่หยุดด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ที่พูด…ใช่ว่าเขาไม่รู้สึก ใช่ว่าสามารถปล่อยมือไปได้ง่ายๆ แต่เขาต้องการเปลี่ยนแปลงนิสัยของโซโล่ ความเอาแต่ใจและไม่มีความอดทนจะทำให้ชีวิตของคนๆนี้ลำบาก เขาไม่อยากให้โซโล่มีปัญหาในอนาคต ถึงได้จำใจพูดประโยคที่ทำให้ตัวเองปวดใจไม่แพ้กันออกไป
“ทีนี้เราหยุดหนีกันได้หรือยังครับ”กีล์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดันใบหน้ายับยู่ยี่ของคนที่กอดไว้แน่นออกเพื่อเช็ดหน้าเช็ดตาให้
ไม่ได้ร้องไห้แต่กลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แบบนี้ดูน่าสงสารยิ่งกว่าการร้องไห้ออกมาเสียอีก
“ครับ”
------------------------
TALK : เหลืออีก3ตอนสุดท้าย กำหนดวันลงตายตัวเลยนะคะ ตอนต่อไปจะอัพวันที่ 9 / 16 / 23 ตามลำดับ เนื่องจากเราจะเปิดคอมได้แค่วันอาทิตย์วันเดียวค่ะ งานล้นหัวเอาตัวไม่รอด น้ำตาาา อีกอย่างคือถ่วงๆให้จบใกล้เคียงกับช่วงเปิดจองด้วย
ปล. เผื่อใครยังไม่ทราบ เปิดจองปลายเดือนเมษาน้า
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04