-35-
หลังจากพวกชาวบ้านแยกย้ายไปแล้ว ผม โซโล่ คุณเจย์ รวมถึงคนของพ่อเขาก็เดินกลับมาคุยกันที่บ้าน โดยมีน้องมูนที่ร้องไห้งอแงเพราะเห็นครูหล่อเจ็บตามติดมาด้วย คราวนี้โซโล่อุ้มน้องแล้วลูบหัวปลอบต่างจากทุกที พวกเราเข้ามานั่งคุยกันอยู่ในบ้าน ดีที่คนของพ่อเขารออยู่ด้านนอกไม่ได้ตามเข้ามาด้วย
"น้องมูน...ให้พี่ทำแผลให้ครูหล่อก่อนนะครับ"ผมแตะแขนน้องที่กอดคอโซโล่ไว้ น้องมูนหันมามอง พยักหน้าหงึกหงักแล้วผละออกมานั่งกอดพี่จันทร์อยู่ข้างๆ
ผมทำแผลให้โซโล่โดยใช้ยาที่ชาวบ้านเอามาให้ ดีที่เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ปากแตกกับแก้มช้ำ
"ไม่เจ็บหรอก"โซโล่ยกมือโคลงหัวผมเบาๆ คงเพราะผมเผลอแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกไปเขาถึงพูดแบบนั้น ผมพยักหน้าเหมือนจะรับรู้ แต่ก็ยังเจ็บแทนทุกครั้งที่แตะยาลงไปบนแผลของคนที่นั่งนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร
พอจัดการเรื่องแผลเสร็จแล้วเราก็หันกลับมามองคุณเจย์ที่นั่งเหม่ออยู่ ผมสบตากับโซโล่ เขาขมวดคิ้ว ดูท่าทางเป็นห่วงคุณเจย์ไม่แพ้กัน
"เจย์"
"ครับ"คุณเจย์ตอบรับ ส่งยิ้มอ่อนล้ามาให้
ตั้งแต่กลับขึ้นมาที่นี่ครั้งนี้เขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นคุณเจย์คนเดิม เป็นคนที่ดูยิ้มไม่สุด เหมือนแค่ฝืนยิ้มเพื่อปิดบังตัวเองไว้ ดูเหมือนกับคิดอะไรตลอดเวลา หรือบางที...อาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรครูเฮียที่ร่าเริงของเด็กๆถึงเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเดาไม่ผิดคงเพราะ...
"ไม่ต้องสนใจผู้หญิงคนนั้นหรอก"โซโล่พูดเสียงเรียบ "ก็แค่ผู้หญิงง่ายๆที่พ่อควงนานกว่าคนอื่น"
ผมมองพวกเขาอย่างไม่เข้าใจ พอจะเดาได้จากคำพูดโซโล่ว่าผู้หญิงที่ชื่อลินดาเป็นใครแต่ก็ไม่เข้าใจทั้งหมด และคงเพราะคุณเจย์ไม่ยอมตอบอะไรโซโล่เลยหันมาอธิบายให้ผมฟังแทน
"เป็นเรื่องธรรมดาที่คนระดับพ่อจะมีคนนั้นคนนี้มาเกาะแกะเยอะ ลินดาเป็นหนึ่งในนั้น"โซโล่เหลือบตามองคุณเจย์เมื่อเห็นว่าเขาหันหน้าหนี "เรียกว่าคู่ควงก็คงได้...ถึงผมจะไม่ได้เจอพ่อเท่าไหร่แต่ก็ได้ยินมาเยอะว่าพ่อเปลี่ยนคู่ควงบ่อยขนาดไหน แต่ผู้หญิงคนนี้พ่อควงมาหลายเดือนแล้ว...น่าจะตั้งแต่ผมบินมาไทย"
และถึงกับพามาไทยด้วย มิน่าคุณเจย์ถึงดูเจ็บปวดแบบนั้น
"แล้วโซ..."ผมหันไปมองโซโล่อย่างเป็นห่วง แต่เจ้าตัวแค่หันมายิ้มแล้วส่ายหน้าให้
"ผมไม่เป็นไรหรอก กีตาร์ก็รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างผมกับพ่อไม่ค่อยดีอยู่แล้ว เขาจะเอาใครมาแทนที่แม่ก็เรื่องของเขา คนที่น่าเป็นห่วงอยู่นั่นต่างหาก"โซโล่หันไปมองคุณเจย์ สุดท้ายพอไม่มีใครพูดอะไรออกมาเขาก็ถอนหายใจ "พ่อรู้หรือเปล่า"
"รู้อะไรครับ"คุณเจย์เงยหน้าขึ้นมาถาม
"รู้ว่าเจย์รัก"
"คุณชาย!"คุณเจย์พูดด้วยความตกใจ รีบยกมือปิดปากโซโล่ไว้ "เบาๆสิครับ"
โซโล่แกะมือเขาออก ขมวดคิ้วเมื่อคุณเจย์ไม่ยอมตอบ
"ว่าไง"
"ผม...ไม่แน่ใจ"
"ไม่เคยบอกสินะ"
"ครับ"
พอเห็นหน้าคุณเจย์สลดลงผมก็แอบตีขาหมาหน้านิ่งเบาๆ โซโล่หันมามองแล้วทำหน้าบึ้ง แถมยังพาลไปดึงพี่จันทร์ของน้องมูนออกมาอีก เจ้าตัวเล็กก็คิดว่าจะเล่นด้วย รีบขยับตัวจะเอาพี่จันทร์คืนแล้วหัวเราะยกใหญ่
"เรื่องของผมช่างมันเถอะครับ เอาเรื่องของพวกคุณก่อนดีกว่า"คุณเจย์เปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจัง โซโล่เองก็หยุดเล่นกับน้องมูน ส่งพี่จันทร์คืนน้องแต่โดยดี
"เล่ามาสิ"
"ตอนเข้าเมืองผมไปเจอพวกนั้น เห็นว่าเพราะติดต่อเราไม่ได้คุณท่านเลยส่งคนตามหา"คุณเจย์ทำหน้าเครียด กำมือแน่น "พวกนั้นบอกว่าคุณท่านต้องการเจอคุณชาย"
"เหอะ...ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจ พอจะใช้งานก็จิกหัวเรียก"โซโล่แค่นเสียง ใบหน้าเย็นชาจนผมต้องแตะหลังมือเขาไว้
"คุณชาย..."คุณเจย์ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนเรื่อง "ผมจะถ่วงเวลาไว้ให้"
"ถ่วงเวลา?"ผมทวนคำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือการถ่วงเวลา
"ครับ...ถ้าท่านต้องการจะเจอ มันหมายความว่าท่านต้องเจอเดี๋ยวนั้น นี่พวกนั้นก็คงส่งข่าวไปบอกแล้วว่าเจอผมแล้ว ถ้ายังไม่ยอมไปเจอท่านอีก ท่านคงสั่งให้คนบังคับพาไปแทน"คุณเจย์มองออกไปทางช่องหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ผมมองตาม เห็นว่าคนพวกนั้นกำลังเดินสำรวจรอบบ้าน เหมือนกลัวว่าพวกเราจะหนี
"ผมจะกลับอาทิตย์หน้า"โซโล่พูดเสียงแข็ง คิ้วขมวดมุ่นไม่พอใจ
"คุณชายคงไม่อยากให้คุณกีล์เดือดร้อนไปด้วยนะครับ"
ผมสบตากับโซโล่ เห็นความกังวลใจของเขา จริงๆก็อยากจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก แต่ผมคิดว่าที่คุณเจย์พูดก็เพื่อให้เขาหยุดดื้อมากกว่าเลยไม่พูดอะไรออกไป
"ผมยังไม่อยากกลับ"
"เพราะงั้นผมถึงบอกว่าจะถ่วงเวลาให้ไงครับ"คุณเจย์ยิ้มบาง ยื่นมือมาลูบหัวโซโล่ด้วยความเอ็นดู เหมือนกับกำลังปลอบเด็กไม่รู้จักโตคนหนึ่ง "ผมจะกลับไปก่อน เรื่องคนพวกนั้นกับคุณท่านผมจะจัดการให้เอง"
"คุณเจย์จะไม่เป็นไรเหรอครับ"ผมถามด้วยความเป็นห่วง ถึงจะไม่เคยเจอพ่อโซโล่แต่ก็พอเดาได้ว่าท่านเป็นคนแบบไหน
"ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมอยากให้พวกคุณพักผ่อนก่อน อีกแค่สามวันก็สิ้นปีแล้วด้วย"เขามองผมด้วยสายตาเป็นประกายเหมือนรู้ทัน
อีกสามวันก็สิ้นปีแล้ว...และเป็นวันเกิดโซโล่ด้วย
"ตอนนี้คุณท่านไปดูงานที่ภูเก็ต ผมจะทำให้ท่านอยู่ที่นั่นให้ได้สามวัน แต่หลังจากนั้นคุณชายคงเลี่ยงไม่ได้อีก"
หมายความว่าเรามีเวลาอยู่ที่นี่อีกแค่สามวันสินะ
"แต่กำหนดกลับ..."
"โซ"ผมพูดแทรกคนที่กำลังหัวเสีย "กลับไวกว่าเดิมไม่กี่วันเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาไว้มีเวลาค่อยมาใหม่ก็ได้"
ถึงจะไม่รู้ว่าจะมีเวลาอีกตอนไหนก็เถอะ
โซโล่ถอนหายใจ มองหน้าผมอยู่สักพักแล้วก็ยอมพยักหน้า
"เรื่องธุระที่คุยกันผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะครับ"
"ธุระอะไรกันครับคุณเจย์"
"เรื่องนี้ผมว่าให้คุณชายอธิบายดีกว่า"
ผมหันไปหาโซโล่อย่างต้องการคำตอบ เขาวางมือลงบนหัวน้องมูนที่นั่งเงียบๆมาตั้งแต่แรกแล้วโคลงไปมา
"เรื่องที่ผมเข้าไปคุยกับป้าจิต"
"อ่า...ที่โซบอกว่าจะบอกพี่"
"อืม...ผมรู้มาว่าคุณแม่ของกีตาร์เคยส่งหนังสือเกี่ยวกับที่นี่เข้าไปในเมือง เรื่องรับครูอาสา น่าจะส่งไปตั้งแต่ท่านรู้ว่าตัวเองป่วย"
ผมพยักหน้า เข้าใจว่าท่านคงส่งเรื่องไปเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่สอนเด็กๆได้นานแค่ไหน
"ผมให้เจย์ไปจัดการให้ เพราะลำพังแค่จดหมายฉบับเดียวคงไม่มีใครสนใจ เผลอๆจะไม่ถูกเปิดอ่านด้วยซ้ำ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรมีอยู่มากก็จริง แต่พื้นที่ที่ขาดการดูแลก็เยอะพอกัน แล้วก็มีบางองค์กรที่อยากช่วยเหลือแต่ไม่มีทุน ผมเลย...ช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้นิดหน่อย"โซโล่ยิ้มขณะที่มองน้องมูน แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม "เขาจะเริ่มเปิดรับอาสาสมัครอาทิตย์นี้ อาจต้องใช้เวลาหน่อยแต่ก็มั่นใจได้ว่าเด็กๆจะได้เรียนแน่นอน"
ผมนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ครู่หนึ่ง เพราะสมองประมวลผลตามคำพูดของเขาไม่ทัน แต่หลังจากเข้าใจจนกระจ่างรอยยิ้มกว้างจากใจก็ปรากฎออกมาแทบจะทันที
เอาอีกแล้ว...หมาตัวนี้
ผมมองหน้าโซโล่ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ที่ชัดเจนคงเป็นความตื้นตัน ในใจอัดแน่นไปด้วยคำพูดมากมายที่อยากจะบอกให้ฟัง
"ขอบคุณนะครับ"สุดท้ายก็ได้แต่พูดคำสั้นๆที่พูดเท่าไหร่ก็คงไม่สมกับสิ่งที่เขาทำให้ โซโล่ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยื่นมือมาจับมือผมไว้แทนคำตอบ
ไม่รู้ว่าจะทำให้ความรู้สึกของผมมากขึ้นขนาดไหนเจ้าตัวถึงจะพอใจ...แค่นี้ก็มากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้ว
"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ไว้เจอกันที่กรุงเทพ"คุณเจย์ส่งยิ้มมาให้ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกไปนอกบ้าน
ผมพับเรื่องที่คิดทั้งหมดเก็บไว้แล้วเดินออกมาส่งคุณเจย์หน้าบ้าน เขาเดินเข้าไปคุยกับคนพวกนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาทางเรา กลุ่มคนพวกนั้นหันมาค้อมหัวให้โซโล่อย่างนอบน้อม
ผมเพิ่งสังเกตว่าพวกเขาใส่เสื้อผ้าธรรมดาเหมือนคนทั่วไป ตอนแรกผมคิดว่าพวกเขาจะต้องใส่สูทสีดำกับแว่นกันแดดสีดำเหมือนกันหมดเสียอีก...นี่ถ้าเจ้าหมารู้ว่าผมคิดแบบนี้สงสัยโดนขำตายแน่ๆ
"ผมคงไปลาเด็กๆไม่ได้ ฝากด้วยนะครับ บอกพวกเขาว่าผมจะมาหาใหม่"
"ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณเจย์"
"อย่าลืมบอกเรื่องนั้นนะครับคุณชาย"คุณเจย์หันมาตะโกน โบกมือให้อีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้หมาหน้าบึ้งยืนบ่นอุบอิบอยู่ข้างผม
"บอกว่าอย่าเพิ่งบอกไง"
"บอกเรื่องอะไรเหรอครับ"
โซโล่เมินคำถามผม หันไปอุ้มน้องมูนที่เกาะขาอยู่ขึ้นมาแทน
"โซ บอกเรื่องอะ..."
"ครูเฮียไปไหนเหรอครับ"
ผมชะงัก หันไปสบตากับโซโล่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามน้องแบบไหน
"กลับไปแล้ว ถ้าว่างจะมาหาใหม่"โซโล่ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ผมรีบมองน้องมูนเพราะกลัวน้องร้องไห้ แต่น่าแปลกที่น้องแค่พยักหน้าเข้าใจ
"อีกสามวันครูก็จะกลับเหมือนกันใช่ไหมครับ"
"น้องมูน?"
"น้องมูนฟังไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่าอีกสามวันครูต้องกลับแล้ว น้องมูนไม่เป็นไรหรอกครับ"เด็กน้อยที่บอกว่าไม่เป็นไรกอดพี่จันทร์ไว้แน่น ตาแดงก่ำจนดูน่าสงสาร
"เอาไว้ถ้ามีโอกาสพี่จะมาหาอีกนะครับ"ผมรีบพูดแล้วยื่นมือไปลูบหัวน้องเบาๆ
"ครับ น้อง..."
"อยากไปอยู่ด้วยกันไหม"เสียงนิ่งๆตามแบบฉบับดังแทรกคำพูดของน้องมูน ผมหันไปมองหน้าโซโล่อย่างตกใจกับประโยคที่เขาเพิ่งพูดขึ้นมา "ที่จะบอกกีตาร์ก็คือเรื่องนี้ ไปหมู่บ้านกันก่อนเถอะ ทุกคนคงรออยู่แล้ว ผมจะพูดต่อหน้าทุกคน"
โซโล่เดินนำไปทางหมู่บ้านเหมือนยังไม่อยากให้ถามอะไร ผมรีบเดินตามไป พอเดินมาจนใกล้ถึงแล้วถึงได้เห็นว่าตอนนี้พวกชาวบ้านยังรวมตัวกันอยู่ ไม่ได้แยกย้ายกันไปแล้วแบบที่ผมคิด แม้แต่เด็กๆก็นั่งอยู่กับพื้นดูเรียบร้อยกว่าทุกที คงยังกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไม่น้อย
"ครู!เป็นไงบ้างครับ"ลุงมั่นรีบเดินเข้ามาหา แล้วมองสำรวจโซโล่อย่างเป็นห่วง
"ไม่เป็นไร เรียกคนอื่นมาฟังเถอะ"
ผมรับน้องมูนมาอุ้มไว้เองแล้วมายืนฟังอยู่ข้างๆชาวบ้านกับเด็กๆที่ล้อมวงเข้ามา
"วันก่อนผมไปเดินสำรวจพื้นที่บริเวณนี้มา เห็นว่ามีพื้นที่หลายจุดที่เหมือนมีการเตรียมการเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ใช้งานอะไรใช่ไหม"
"ครับครู ครูใหญ่เคยคุยกับพวกเราเรื่องการปรับปรุงที่ดินทำกินของเราทั้งหมดใหม่ให้เหมาะสมกว่าเดิม เผื่อวันหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวหรือใครขึ้นมาเราจะได้มีพื้นที่รองรับเขามากขึ้น แล้วก็มีพื้นที่ทำงานอย่างอื่นเพิ่มขึ้นด้วย แต่ยังไม่ทันได้คุยรายละเอียดมากกว่านั้นครูใหญ่ก็ป่วยเสียก่อนพวกผมเลยไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ"ลุงมั่นอธิบาย
"บางเรื่องพวกคุณไม่ต้องใช้ผู้รู้หรอก อาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาก็พอแล้ว"โซโล่ไม่ได้บอกแค่กับลุงมั่น แต่เขามองไปที่ชาวบ้านทุกคน
"แต่ถ้าเราพลาดไปมันอาจจะส่งผลเสียไปหมดเลยนะครับครู"
"ผมหมายถึงในกรณีที่ไม่มีใครคอยให้คำปรึกษา ยังไงก็ต้องพึ่งกันเอง ลองทำดูดีกว่าอยู่เฉยๆไม่ใช่เหรอ ผมดูก็รู้ว่าแค่การขายผักพวกนั้นไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายของคนทั้งหมู่บ้าน"โซโล่พูดเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจพวกชาวบ้านที่มีสีหน้าสลดลง ไม่มีใครปฏิเสธสิ่งที่เขาพูดสักคำ "ตอนนี้อาจพอถูไถไปได้ แต่วันต่อไปที่ต้องมีรายจ่ายเยอะขึ้น ลำพังของพวกนั้นยังไงก็ไม่พอ ถ้าพวกคุณมัวแต่ทำสิ่งที่ครูใหญ่นำทางไว้ให้อย่างเดียวโดยไม่คิดขวนขวายเพิ่ม พวกคุณนั่นล่ะที่จะลำบาก"
"โซ..."ผมเรียกเสียงค่อย กังวลว่าคำพูดของเขาจะทำให้พวกชาวบ้านรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า แต่พอโซโล่หันมายิ้มผมก็นิ่งไป เพราะนึกได้ว่าทุกสิ่งที่เขาพูดเป็นเพราะเขาหวังดีจริงๆ
"ผมแค่อยากให้พวกคุณพึ่งพาตัวเอง แต่เอาเถอะ...ตอนนี้ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านนี้เหมือนกัน เพราะงั้น...ในเมื่อพวกคุณมีประสบการณ์การทำงาน ส่วนผมรู้หลักการบริหารงาน แล้วเราก็มีว่าที่วิศวกรคนเก่งอยู่ด้วยอีกคน"โซโล่สบตาผมแล้วยกยิ้ม "ผมว่าเราน่าจะช่วยกันวางแผนได้"
มาถึงตอนนี้ผมคิดว่าเจ้าหมาที่ผมคิดว่าเขาเป็นเด็กมาตลอด บางทีอาจจะไม่ใช่เด็กอย่างที่คิด สิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย
"ผมอาจจะอยู่ช่วยไม่ได้เพราะอยู่ที่นี่ได้อีกแค่สามวัน แต่จะช่วยหาของจำเป็นส่งมาให้ พวกคุณเห็นด้วยหรือเปล่าครับ"โซโล่หันไปถามชาวบ้าน พวกเขามองไปที่เจ้าหมาของผมอย่างซึ้งใจ พากันพยักหน้าเป็นทิวแถว
"แล้วก็อีกเรื่อง...ผมช่วยจัดการเรื่องจดหมายครูใหญ่ให้แล้ว อีกไม่นานจะมีครูอาสาขึ้นมาสอนเด็กๆตามที่ครูใหญ่ต้องการ"
"จริงเหรอครับครู!"
"จริงเหรอครับ!"
เด็กๆที่นั่งงงส่งเสียงโหวกเหวกทันทีที่ได้ยินคำว่าครู พวกเขาดูตื่นเต้นดีใจไม่ต่างจากตอนเจอผมครั้งแรก
"อืม...อาจจะต้องรอสักพักแต่จะมีมาแน่"
"เย้!"
"เรื่องสุดท้าย..."โซโล่เงียบไปแล้วขยับให้ป้าจิตเดินมายืนแทนที่
"สองสามวันมานี้ฉันได้คุยกับครูมาตลอด ครูมาปรึกษาเรื่องการให้ทุนกับเด็กที่นี่ ฉันเองไม่มีปัญหาเพราะอยากให้พวกมันได้เรียนสูงๆกันอยู่แล้ว ลูกใครก็ถามความสมัครใจแล้วตัดสินใจกันเอาเองก็แล้วกัน"
ผมเบิกตากว้าง หันไปมองโซโล่ด้วยความแปลกใจ เขาเองก็มองกลับมาแล้วยกมุมปากนิดๆเป็นรอยยิ้ม
"ผมจะให้เด็กๆกับครอบครัวตัดสินใจเอง ถ้าอยากเข้าไปเรียนในเมืองผมจะส่งเสียเรื่องค่าเรียนให้ แต่ไม่ได้ให้ฟรีๆ เมื่อไหร่ที่มีงานทำมีเงินใช้จะต้องหาเงินมาคืน เป็นเหมือนการใช้ทุน หรือถ้ายังไม่ต้องการตอนนี้ อยากเข้าเรียนเมื่อไหร่ก็ติดต่อมา ผมจะช่วย"
พวกชาวบ้านหันไปคุยกันเสียงดัง แต่ผมไม่ได้สนใจที่พวกเขาคุยกันเท่าไหร่ ตอนนี้สายตาของผมจับจ้องไปที่คนๆเดียว...คนที่เป็นที่พึ่งให้มาตลอด
เขาแก้ปัญหาให้ทุกอย่างและช่วยเหลือคนที่นี่อย่างจริงใจ เหมือนรู้ว่าตอนนี้ผมไม่พร้อมจะคิดหรือช่วยเหลือใคร ถึงได้คอยคิดและทำแทนทุกเรื่อง เขาแสดงออกให้เห็นว่าเขารักที่นี่เหมือนที่แม่ใหญ่รัก...เหมือนที่ผมรัก
ให้พูดว่าขอบคุณอีกกี่ล้านครั้งก็คงไม่พอ
ไม่ใช่แค่เอ็นดูน้องมูนคนเดียว แต่เขาเผื่อแผ่โอกาสที่หาได้ยากให้กับเด็กๆทุกคน
"เขาเรียกว่าใช้ความรวยให้เป็นประโยชน์"โซโล่กระซิบ ผมหัวเราะเสียงดัง แอบตีแขนคนขี้อวดด้วยความหมั่นไส้
"โซรู้เรื่องการบริหารด้วยเหรอครับ"ผมถามด้วยความสงสัย รู้ว่าเขาต้องศึกษางานของครอบครัว แต่ก็ไม่คิดว่าจะศึกษามาแล้ว ตอนที่คุยงานกับพนักงานที่คอนโด หรือตอนไปดูงานกับคุณเจย์ ผมคิดว่าเขาเพิ่งเริ่มเรียนรู้เสียอีก
"ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้ ผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้มานานมากแล้ว พ่อส่งคนมาสอนน่ะ"โซโล่พูดเสียงเรียบเหมือนตอบเรื่องทั่วไป แต่ผมพอจะมองออกว่าเขาไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ
พวกชาวบ้านปล่อยให้เด็กๆไปวิ่งเล่น ส่วนพวกเราก็ล้อมวงกันคุยเรื่องการวางแผนจัดการพื้นที่ใช้สอยของที่นี่ ผมรับหน้าที่วาดรูป พยายามวาดให้เข้าใจและเขียนคำกำกับสั้นๆกับตัวเลข เพราะคนที่นี่อ่านหนังสือกันไม่ค่อยออก เผลอๆคงต้องให้เด็กๆอ่านให้ฟัง
"พื้นที่เลี้ยงสัตว์ไม่ควรอยู่ไกลไปนะครับ สัตว์ต้องได้รับการดูแล เอาไว้ใกล้กว่านี้น่าจะดี แถมพื้นที่ที่ใช้อยู่ก็ใหญ่เกินไปสำหรับจำนวนสัตว์ที่มีอยู่ด้วย"ผมชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของที่นี่ในกระดาษอีกใบที่ชาวบ้านช่วยกันวาดขึ้นมา เป็นเหมือนภาพจำลองที่ที่เราอยู่ตอนนี้
"เรามีพื้นที่ว่างพอควรอยู่หลังบ้านผมครับครู"
"เราน่าจะย้ายได้ ไก่ไม่ได้ย้ายลำบากอยู่แล้ว"
"พื้นที่เดิมทำเลน่าจะเหมาะกับการเพาะปลูก เราปลูกผักเพิ่มดีไหม"
"ครูใหญ่เคยบอกว่าเราน่าจะลงทุนปลูกผลไม้นี่ เอาตรงนั้นเป็นที่ปลูกดีไหม"
"ต้องศึกษาด้วยว่าควรปลูกอะไรดี อะไรปลูกง่ายขึ้นง่ายมีประโยชน์"
"ผมเคยเห็นหนังสือบริจาคที่อยู่ที่ห้องเรียนเด็กๆมีเรื่องพวกนี้อยู่นะครับ ลองให้เด็กๆอ่านให้ฟังก็ได้ ทุกคนจะได้ถือโอกาสเรียนรู้ไปด้วยเลย"ผมให้คำแนะนำ พอทุกคนตกลงก็เรียกเด็กๆมาพาไปที่ห้องเรียน แล้วค่อยๆถอยออกมาจากกลุ่มช้าๆ
ผมคุยกับโซโล่แล้วว่าพวกเราจะช่วยแค่แนะนำกับวางแผนเท่านั้น ส่วนที่เหลือพวกชาวบ้านต้องเรียนรู้กันเอง พึ่งพากันเอง ต้องลองคิดสร้างสิ่งใหม่ๆบ้าง ผมไม่ได้กังวลเท่าไหร่เพราะคิดว่าพวกเขามีสิ่งสำคัญที่เรียกว่าประสบการณ์อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ก็เท่านั้น
ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่
"น้องมูนไปอยู่กับครูได้เหรอครับ"
"อืม"
ผมละสายตาจากพวกชาวบ้าน หันกลับมามองพ่อหมากับลูกหมาที่เกาะติดกันไม่เลิกแทน
"ได้จริงเหรอ"
"อืม"
"ทำไมถึงได้ล่ะ"เจ้าตัวเล็กเอียงหัวสงสัย แต่ดูเหมือนพ่อหมาจะขี้เกียจตอบแล้วถึงได้หันหน้าหนี
"เพราะครูหล่อใจดีไงครับ"ผมเดินเข้าไปหา น้องมูนหันมามองแล้วเดินมาเกาะขาผมแทน คงเพราะรู้ว่าถามผมแล้วน่าจะได้คำตอบมากกว่า
"คนอื่นจะไปด้วยหรือเปล่าครับ"
"ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาครับ"ผมนั่งยองๆแล้วยิ้มให้น้อง "แต่ถ้าไปที่นั่นน้องมูนจะไม่ค่อยได้เจอคนที่นี่แล้วนะ จะทนได้หรือเปล่าครับ"
"ถ้าไปแล้วน้องมูนได้เรียนหนังสือดีๆ มีเงินเยอะๆมาให้ทุกคน น้องมูนก็ทนได้ครับ ครูหล่อบอกว่าเป็นผู้ชายต้องอดทน"น้องทำหน้ามุ่งมั่นจนแก้มพอง ผมเลยหอมแก้มน่าฟัดนั่นไปทีจนเจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคัก
"ถ้ายังยุ่งกับกีตาร์จะไม่พาไปแล้ว"เจ้าหมาที่กำลังยืนกอดอกพูดแทรกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หน้านบูดกว่าปกติประมาณสิบเท่า
"พาลอะ"ผมแซว
"หมั่นไส้"
แม้แต่เด็กก็ด้วยเหรอเนี่ย
"โซ ถ้ามีแค่น้องมูนที่อยากไปคนเดียวจะทำยังไงครับ"ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนอีกคนจะหน้าบูดหนักกว่าเดิม โซโล่เหลือบตามองแล้วทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่พอผมส่งยิ้มให้เขาก็ยอมตอบด้วยน้ำเสียงสะบัดๆ
"ตอนแรกคิดไว้ว่าโรงเรียนประจำน่าจะสะดวกถ้าเด็กหลายคน หรือไม่ก็หาที่ให้อยู่ด้วยกันแล้วหาคนมาดูแล แต่ถ้ามีแค่เด็กพระจันทร์นี่คนเดียว...ผมคิดว่าเลี้ยงไหว"
เด็กพระจันทร์ที่ว่าเงยหน้ามาสบตาแล้วเดินไปกอดขาคนพูดอ้อนๆ ส่วนคนที่พาลอยู่เมื่อครู่ก็ทำเป็นไม่สนใจ แต่มือนี่ลูบหัวน้องไม่หยุด
"จะให้น้องไปอยู่กับโซเหรอครับ"
"เปล่า..."โซโล่ปฏิเสธ เดินเข้ามาจับมือผมแล้วมองด้วยสายตาจริงจัง "จะให้มาอยู่กับเราต่างหาก"
ผมอมยิ้มกับคำตอบที่ได้รับ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ถึงจะยังกังวลเรื่องพ่อเขาอยู่บ้างแต่ผมก็ตัดสินใจไปนานแล้ว ตอนนี้ก็กำลังพยายามไม่นึกถึงเรื่องแย่ๆ หรือมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไปอยู่
ผมแค่อยากคิดถึงแต่ความสุขที่มีอยู่ตอนนี้ก่อน เพราะหลังจากกลับจากที่นี่คงมีเวลาให้กังวลอีกเยอะ
"ถ้ามีแค่เด็กพระจันทร์นี่คนเดียวจริงๆ ผมจะให้กีตาร์ฝึกงานกลับมาก่อนค่อยให้คนมารับเด็กนี่ ไม่มีคนช่วยห้าม ถ้าดื้อขึ้นมาผมคงโยนออกนอกระเบียงเข้าสักวัน"โซโล่แกล้งขู่ แต่นอกจากน้องมูนจะไม่กลัวแล้วยังส่ายหัวดุ๊กดิ๊กอีก
"น้องมูนไม่ดื้อนะ"
"เหรอ"
ผมหัวเราะกับน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อของเจ้าหมา ส่วนน้องมูนก็พยักหน้ายืนยันอย่างขันแข็ง
เราเดินเล่นกันไปเรื่อยๆตามทาง พอผ่านแปลงผักเจ้าตัวเล็กก็วิ่งไปดูผักของตัวเองอย่างร่าเริง แถมยังคุยจ้อกับผักตัวเองไม่เลิก ไม่สนใจพวกผมที่ยืนมองอยู่สักนิด
"ป้าจิตบอกว่าเมื่อก่อนเด็กนี่เงียบมาก"โซโล่พูดด้วยเสียงเบาๆเหมือนไม่อยากให้น้องมูนได้ยิน "กว่าเด็กคนอื่นจะช่วยกันทำให้เปิดปากได้ก็ใช้เวลามากพอควร เห็นว่าเคยโดนแม่ตัวเองทำร้ายร่างกายมาก่อนเลยกลัวคนอื่นๆไปหมด พอคุณแม่ของกีตาร์มาดูแลถึงยอมเปิดใจ กลายเป็นเหมือนเด็กทั่วไป"
แบบนี้นี่เอง...
"ที่มาอยู่ใกล้ๆแล้วติดพวกเราขนาดนี้ คงเพราะกีตาร์เหมือนคุณแม่มาก"
ผมยิ้มรับคำพูดนั้น เรื่องเหมือนแม่ใหญ่ก็อาจจะจริงอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องติด...
"พี่ว่าน้องมูนติดโซมากกว่านะครับ"
"ไม่เห็นอยากให้ติดเลย"
"ปากแข็งอะ"ผมแกล้งแซว แต่นอกจากจะไม่รู้สึกอะไรแล้วคนปากแข็งยังหัวเราะหึหึอีก
"ก็ไม่แข็งนะ..."โซโล่ยื่นหน้าเข้ามาจนเกือบชิดหน้าผม "กีตาร์ก็เคยชิมไม่ใช่เหรอ"
"ไอ้หมานี่!"ผมรีบผลักหน้าคนขี้แกล้งออกห่าง ดีที่เจ้าตัวยอมถอยไปหัวเราะแต่โดยดีผมเลยไม่ต้องอายมากไปกว่านี้
"หน้าแดง..."
"น้องมูน ไปเดินเล่นกันดีกว่าครับ"ผมอ้าแขนรับน้องมูนที่เดินเข้ามาหาแล้วอุ้มขึ้นมา โดยพยายามไม่สนใจคนที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างหลัง
"ตั้งหกขวบแล้ว เดินเองก็ได้มั้ง"คนขี้อิจฉาหยุดหัวเราะแล้วบ่นเสียงงุ้งงิ้ง
"โซอุ้มบ่อยกว่าพี่อีกนะรู้สึก"พอผมพูดจบคนขี้อิจฉาก็เงียบไป แน่นอนว่าเพราะเถียงไม่ได้
"น้องมูนเดินเองก็ได้นะครับ"เจ้าตัวเล็กพูดอย่างไร้เดียวสา ผมหันไปมองคนที่เดินมาอยู่ข้างๆดุๆจนอีกฝ่ายหน้าหงิก
"ไม่เป็นไรครับ น้องมูนตัวนิดเดียวเอง พอตัวโตขึ้นพี่ก็อุ้มไม่ได้แล้ว ตอนที่ยังอุ้มได้ก็อุ้มไปก่อนเนอะ"
น้องมูนตัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันพอสมควร เวลาอุ้มผมเลยไม่รู้สึกหนักเลยสักนิก ยิ่งประกอบกับผิวขาวๆเหมือนจะเรืองแสงได้กับแก้มแดงๆเหมือนมะเขือเทศยิ่งทำให้น้องดูน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่
"ถ้ากีตาร์รักเด็กพระจันทร์หน้าตาน่าเกลียดนี่มากกว่าเมื่อไหร่ ผมเอาไปปล่อยข้างถนนแน่"เสียงคนบ่นอุบอิบดังมาจากด้านหลัง คือทำเหมือนจะบ่นคนเดียวนะ แต่จงใจให้ได้ยินชัดๆ
"พาลสุดๆเลยเนอะน้องมูน"ผมก้มลงถามเจ้าตัวเล็กที่มองมาตาแป๋ว
"ครูหล่อดื้อ"น้องว่าแล้วหัวเราะคิกคัก
"เดี๋ยวโดน"โซโล่หรี่ตาแล้วทำท่าจะเข้ามาดึงน้องมูนไปจากแขนผม
"ห้ามทำน้องนะโซ!"ผมหมุนตัวหนีก่อนที่มือเจ้าหมาจะจับโดนน้อง ส่วนคนที่จะโดนทำอะไรก็ไม่รู้นี่ก็หัวเราะไม่ยอมหยุดเหมือนกำลังสนุก
ไม่รู้นานแค่ไหนที่เรายืนเล่นกันอยู่ตรงนั้น หมุนไปหมุนมาเหมือนคนไม่มีอะไรทำ แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข
"งั้นเอาแบบนี้ก็ได้ครับ"ผมหยุดสงครามเอาไว้ด้วยการหันหน้าเข้าหาโซโล่ ส่งน้องมูนให้เขาอุ้ม แล้วเปลี่ยนไปจับแขนเสื้อเขาไว้ "โอเคไหม"
โซโล่มองงงๆอยู่ครู่หนึ่ง พอผ่านไปสักพักก็ก้มหน้าลงมองแขนเสื้อตัวเองที่ผมจับไว้แล้วเผยรอยยิ้มพอใจ
"โอเคก็ได้"
เส้นทางที่เราเดินผ่านเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ผมไม่แน่ใจว่าหลังจากสามวันนี้อะไรจะเกิดขึ้น
แต่ตอนนี้ความรักของผม...คงไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนอีกต่อไป
เพราะตอนนี้นอกจากเราสองคนแล้วยังมีลูกหมาอีกตัวติดมาด้วย
และลูกหมาตัวนี้คงจะเป็นเชือกเส้นหนา...ที่จะมัดผมกับโซโล่เอาไว้ด้วยกันให้แน่นกว่าเดิม
-------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04