IT is เต็มสิบ.15
“ผมไม่ไป”
“ไปเถอะครับ”
“ผมบอกว่าไม่ไป ไม่ได้ยินหรือไง”
“ไปเถอะนะ”
“ไม่”
“คุณธีรพลคุณก็ไม่ได้ไปไหนไม่ใช่เหรอ วันนี้ไปกินข้าวเย็นกับผมเถอะน๊า”
“คุณเต็มสิบ! อย่ามายุ่งกับผมได้มั้ย ผมไม่ไปได้ยินมั้ย”
“คุณต้องไป”
“ผมบอกว่าไม่ไป ทำไมผมต้องไป ผมไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น ทำไมคุณคิดจะมาบังคับจะมาสั่งผม ต้องการอะไร ผมบอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป ทำไมผมต้องไปด้วย”
“วันอื่น ๆ ผมจะไม่ขอร้องเลย แต่วันนี้คุณควรไป อย่ากลับบ้านไปอยู่คนเดียวเลยได้มั้ยคุณธีรพล”
ธีรพลไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ไอทีอย่างเต็มสิบถึงได้ร่ำร้องและต้องการที่จะไปกินข้าวด้วยกันให้ได้ในวันนี้ ยิ่งพูดยิ่งโมโห อยากจะด่าออกไปให้เสียงดัง ๆ แต่ก็ยังอยู่ในแผนกประชาสัมพันธ์ ถึงเจ้าหน้าที่อีกคนจะอยู่ที่โต๊ะทำงานห่างออกไป แต่ถ้าโวยวายเสียงดัง ก็คงถูกมองแปลก ๆ
“คุณไม่มีเหตุผลเลยคุณธีรพล”
ทำไมต้องมีเหตุผล จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือไง จะให้พูดอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ ทำไมถึงมาวุ่นวายด้วย น่ารำคาญ ต้องการอะไรกันแน่
“แล้วคุณมีเหตุผลกว่าผมหรือไงคุณเต็มสิบ ไหนคุณพูดมาซิ มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปกินข้าวกับคุณ”
เต็มสิบก็แค่มองหน้าของธีรพลนิ่ง ๆ และส่งยิ้มบาง ๆ ให้
“ผมไม่อยากให้คุณกลับไปนั่งเหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว”
ไร้สาระที่สุด นั่งเหงาอยู่คนเดียวอะไร เพ้อเจ้อ บ้าบอ ทำไมธีรพลต้องกลับไปนั่งเหงาอยู่ที่บ้านคนเดียวด้วย
“ผมไม่ได้เหงา พ่อแม่ผมย้ายไปอยู่บ้านสวน วันหยุดผมก็ไปอยู่ที่นั่น ชีวิตผมมีความสุขดีมาก และผมไม่ได้เหงา คุณอย่ามาคิดอะไรแทนผมดีกว่า ผมไม่ใช่คุณที่จะทำอะไรบ้า ๆ โง่ ๆ เพราะความเหงา”
เต็มสิบถึงกับนิ่งงันกับสิ่งที่ธีรพลพูด แค่นี้ก็พอรู้ ธีรพลตั้งใจพูดแทงใจดำกันชัด ๆ และเต็มสิบก็ได้แต่ถอนใจยาว
“โอเคครับ ที่จริงเหตุผลที่ผมอยากไปกินข้าวกับคุณวันนี้ให้ได้ เพราะผมรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดคุณ”
“.................”
ธีรพลขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ
ทำไมถึงรู้ ทั้งที่คนในแผนกหรือคนนอกไม่มีใครรู้แท้ ๆ เพราะธีรพลไม่เคยต้องการให้ใครต้องวุ่นวายยุ่งยากกับวันสำคัญของตัวเอง ซึ่งไม่เคยมีความสำคัญกับใครเลยตลอดทุกปี
ธีรพลไม่เคยรู้สึกอะไรกับทุกเทศกาล แม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง ก็ไม่เคยคิดจะสนใจ ตอนเด็ก ๆ เคยรู้สึกตื่นเต้นกับวันเกิดของตัวเอง แต่นั่นก็นานมากแล้ว นอกจากคำอวยพรเล็ก ๆ น้อย ๆ จากครอบครัวที่มีให้กันตลอด คนนอกไม่ว่าเพื่อนหรือใครก็ตาม ไม่เคยมีใครจำวันเกิดของธีรพลได้เลย
และธีรพลก็รู้ตัวว่าไม่เคยมีความสำคัญกับใคร เพราะไม่เคยมีใครคิดอยากจะจดจำวันสำคัญของธีรพล
ชินชากับการไร้ตัวตน ไม่เคยเรียกร้องไม่เคยต้องการให้ใครมาเห็นใจแม้กระทั่งตอนนี้
“ไปกินข้าวกับผมวันนี้นะครับ ถือว่าผมขอร้อง ผมแค่อยากให้คุณให้ความสำคัญหรือใส่ใจกับตัวเองบ้างแค่นั้น”
เรื่องนั้นธีรพลไม่เคยต้องการ ที่สำคัญกว่านั้น เต็มสิบรู้ได้ยังไงว่าวันนี้เป็นวันเกิดของธีรพล
“คุณไปสืบข้อมูลผมมาจากไหน คุณพูดมาดีกว่า”
เปล่าครับ ไม่ได้สืบ ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลยสักนิด
เต็มสิบมองหน้าของธีรพลนิ่ง ๆ และเอ่ยบอกสิ่งที่ธีรพลสงสัย
“ที่บ้านคุณมีรูปตอนคุณเด็ก ๆ กำลังเป่าเค้ก ผมเห็นแล้วก็จำได้เพราะบนหน้าเค้กเขียนวันเกิดคุณ”
+++
“ธีนี่ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยนะ นึกว่าเราจะเข้ากันได้ดีกว่านี้ซะอีก”
ธีรพลโดนบอกเลิกอีกแล้ว แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไปแต่ไม่ได้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมเลย
ใช่ที่ไม่เคยถูกมองแบบแปลก ๆ และถูกวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบอีก หลายคนมองมาและให้ความชื่นชมและสนใจอยู่กับหน้าตาของธีรพลเท่านั้น แต่ไม่เคยมีใครคิดจะสนใจตัวตนที่แท้จริงของธีรพลเลย
แบบไหนที่ว่าเข้ากันได้ดีกว่า
รสนิยมต้องหรูหรา ต้องเข้าสังคมและใช้ชีวิตโดยปราศจากการให้ความสำคัญที่ตัวตนของกันและกันอย่างแท้จริงงั้นเหรอ นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเข้ากันไม่ได้ใช่มั้ย
“ธีชอบอ่านหนังสือ แต่ถ้าให้ดาวนั่งอ่านหนังสือแบบธีทั้งวัน ดาวทำไม่ได้หรอกนะ นี่เรามาช้อปปิ้งกันนะ ทำไมดาวต้องมาร้านหนังสือด้วย”
แค่ความคิดเราก็ไปกันไม่ได้แล้ว ยังมีอะไรที่ทำให้เราคบกันต่อได้อีก
“ธีนี่มีดีแค่หน้าตาจริง ๆ หรือไง”
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
แม้รูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่ธีรพลก็ยังคงต้องเจอปัญหาแบบเดิม ไม่เคยเปลี่ยน สุดท้ายแม้หน้าตาจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ทุกอย่างก็เหมือนวนกลับมาที่เดิม ไม่เคยมีใครที่คบกันและมองลึกเข้าไปในจิตใจของธีรพลเลยสักคน มีแต่คนที่มองกันแค่ภายนอกเท่านั้น
“......................”
“.....................”
ธีรพลกินข้าวไปเงียบ ๆ และเต็มสิบก็ได้แต่นั่งมองคนที่ยอมมากินข้าวด้วยแต่ก็ไม่ยอมพูดคุยกับเต็มสิบเลยสักคำ
“.....................”
การเลี้ยงฉลองเนื่องในวันเกิดของคุณธีรพลเจ้าหน้าประชาสัมพันธ์ที่หน้าตาดีที่สุดในบริษัท น่าจะเป็นการฉลองที่มีเพื่อนพ้องร่วมแผนกมากมายมาร่วมงาน ท่ามกลางเสียงดนตรีอึกทึกครึกโครม และมีการเต้นรำ กิน ดื่ม กันอย่างสนุกสนาน เต็มสิบคิดมาตลอดว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้คืออะไร
ทุก ๆ ปี ธีรพลคงกลับบ้านนอนหลับพักผ่อนใช้ชีวิตตามปกติ แม้จะเป็นวันเกิดของตัวเองก็ไม่เคยใส่ใจ มันคงเป็นแบบนี้มานานหลายปีแล้ว
คงจะนานหลายปีแล้วจริง ๆ ที่ธีรพลใช้ชีวิตตรงข้ามกับสิ่งที่ใคร ๆ คิดแบบนี้
นี่คือการเลี้ยงฉลองวันเกิดที่ธรรมดาที่สุด เพราะธีรพลเป็นฝ่ายเลือกเองว่าจะกินแค่ข้าวธรรมดาที่ร้านอาหารตามสั่งในฟู้ดคอร์ดในห้างสรรพสินค้าแค่นั้น เต็มสิบก็เลยสั่งแค่ข้าวมันไก่หนึ่งจานที่มีน้ำซุปแถมมาด้วย และก็กินไปมองหน้าของธีรพลที่ก้มหน้าก้มตากินไปไม่สนใจคนที่มาร่วมฉลองวันเกิดเลย
“คุณจะเอาแบบนี้จริง ๆ เหรอ”
เอ่ยถามด้วยความสงสัย และธีรพลก็เงยหน้าขึ้นมองเต็มสิบที่เอ่ยถาม
“คุณต้องการให้ผมมากินข้าวเย็นด้วยผมก็มาแล้วนี่ไง คุณยังจะเอาอะไรอีก กินเสร็จก็ต่างคนต่างกลับก็แค่นั้น ผมยอมให้ขนาดนี้แล้วคุณยังไม่พอใจอีกหรือไง”
ไม่ใช่ว่าไม่พอใจ แค่ยอมมากินข้าวด้วยก็ถือว่าบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้แล้ว แต่ความเย็นชานี้มันคืออะไร เต็มสิบไม่ชอบแบบนี้เลย
“นี่คุณเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณเป็นแบบนี้นานแล้วเหรอคุณธีรพล”
จะนานแค่ไหนก็ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องพูดหรือบอกใคร
“มันเรื่องของผม”
“คุณนี่มันจริง ๆ เลยนะคุณธีรพล”
แล้วยังไง แล้วจะทำไม ถึงจะใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ใครแล้วมันจะเป็นอะไรไป ทำไมต้องทำเหมือนเดือดร้อนกับชีวิตคนอื่นด้วย
“คุณไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผมเลยด้วยซ้ำ อย่าทำเป็นพูดดีเลยดีกว่า”
ธีรพลด่าเต็มสิบไปแบบตรง ๆ วางช้อนตักข้าวลงเพราะไม่อยากกินข้าวต่อแล้ว
“ผมอิ่มแล้ว คุณกินคนเดียวต่อไปแล้วกัน ที่อยากให้ทำก็ทำแล้ว เราไม่เกี่ยวข้องกัน หลังงานปีใหม่จบ ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก”
เต็มสิบได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าทำไมธีรพลถึงได้สร้างกำแพงให้ตัวเองสูงขนาดนี้ เต็มสิบไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าธีรพลคิดอะไรอยู่กันแน่
“คุณคิดว่าหน้าตาดี บอสรักคุณมาก ทุกคนให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับคุณกันหมด คุณเลยไม่ต้องแคร์ความรู้สึกใครก็ได้เหรอ”
แบบนี้เรียกว่าชวนทะเลาะ และธีรพลก็มองหน้าของเต็มสิบด้วยความโกรธและพร้อมจะทะเลาะด้วยโดยไม่คิดหนี
“ผมมาทำงาน ผมมีหน้าที่ทำงาน จะหน้าตาดีหรือไม่ดี ผมก็เป็นแค่คนทำงานคนหนึ่งที่ใช้ความพยายามและความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำให้ตัวเองเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน คุณเองก็ทำงานของคุณไป ผมสัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับแผนกไอทีของคุณอีก คุณก็แค่อย่ามายุ่งกับผมแค่นั้น ทำเหมือนเมื่อก่อน แบบที่เราเคยเป็น แบบที่เราไม่เคยสนใจความรู้สึกกัน”
ใช่
ทำเหมือนเมื่อก่อน
ก็แค่ทำเหมือนเมื่อก่อนไง ไม่เห็นจะยากเลย ก็แค่ทำเหมือนเมื่อก่อน ที่ไม่ต้องแคร์หรือสนใจความรู้สึกกัน ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไปและถ้ามีเรื่องให้ผิดใจกันก็แค่เหยียบย่ำกันให้จมดินแค่นั้น
“เพราะผมจูบคุณไปเหรอ คุณถึงได้กลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว”
ถามออกไปตรง ๆ และธีรพลก็ถึงกับชะงักนิ่งค้างกับสิ่งที่เต็มสิบถาม
“คุณไม่คิดอะไรแต่ผมคิดนะ คิดมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน ผมก็บอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ คุณจำไม่ได้หรือไง”
ไม่ได้ลืม
แต่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจำ
เพราะเรื่องโง่ ๆ บ้า ๆ ที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้ธีรพลเครียด และนอนไม่หลับหลายคืนแม้กระทั่งคืนที่ผ่านมานี้ก็ยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ในสมองไม่หยุดคิดเรื่องนี้เลย
แล้วจะพูดถึงอีกทำไม
ธีรพลรู้ดีและพยายามเข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะบรรยากาศพาไป โดนหลบหน้าขนาดนั้น แล้วธีรพลยังจะทำอะไรได้อีก นอกจากพยายามทำตัวเหมือนเป็นปกติ รีบ ๆ ลืม ๆ มันไปซะ และกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ อย่างที่ควรจะเป็น
“.................”
ธีรพลไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก ลุกขึ้นยืนและเต็มสิบก็คว้ามือของธีรพลเอาไว้ไม่ให้หนี
“ผมทำให้คุณโกรธ ผมขอโทษ แต่อยู่คุยกันให้เคลียร์ก่อน ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมกลับบ้านไปก็คงไม่ได้นอนอีกเหมือน ๆ ทุก ๆ คืนที่ผ่านมาแน่ ๆ และผมไม่รู้จะจัดการความรู้สึกทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นกับคุณยังไง เราคุยกันอย่างตรงไปตรงมาให้ชัดเจนเลยดีกว่าว่าจะเอายังไง”
ธีรพลดึงมือออกและพยายามบังคับใจไม่ให้อารมณ์โกรธของตัวเองเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ถ้าจะทะเลาะกัน ก็เอาให้จบตรงนี้ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจต่อกันได้มั้ยคุณธีรพล”
ได้
จะเอายังไงก็เอา จะได้จบกันไป ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจต่อกัน ถ้าต้องการแบบนั้น ก็ได้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
“แล้วคุณจะเอายังไง”
สิ่งที่ธีรพลถาม เต็มสิบรอมานานและพร้อมที่จะเปิดใจคุยกันอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบังความรู้สึกอะไรอีก
“นับจากนี้ไปผมจะจีบคุณ”
“ห้ะ”
ธีรพลถึงกับอ้าปากค้างและเบิกตากว้างขึ้นเพื่อมองหน้าของเต็มสิบให้ชัด ๆ
“คุณก็บอกมา เวลาไหนที่จะให้ผมติดต่อคุณได้ เวลาไหนที่คุณพอจะมีเวลาว่างเพื่อจะได้พูดคุยทำความรู้จักกันอย่างจริงจังบ้าง อะไรที่คุณชอบหรือไม่ชอบคุณก็บอกผม ผมจะได้ทำตัวถูก จะได้ไม่สร้างความเดือดร้อนใจให้คุณและไม่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวที่คุณไม่ต้องการให้ใครเข้ามา”
ไม่ใช่สิ แบบนี้มันไม่ใช่ ธีรพลไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้
“ผมอาจจะทำตัวติงต๊องไปบ้าง หรือบางทีก็พูดจาไม่เข้าหู หรือพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องจนทำให้คุณหงุดหงิดโมโห มันมีทั้งที่ผมตั้งใจและไม่ตั้งใจ คุณแค่บอกผมว่าผมทำได้แค่ไหน เราเจอกันครึ่งทาง คุณสบายใจ ผมสบายใจ เรามาลองคบกัน แบบที่ต่างฝ่ายต่างก็สบายใจเถอะ คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้าง”
ไม่ใช่
แบบนี้มันไม่ใช่ สิ่งที่ธีรพลคิดเอาไว้
“.....................”
ธีรพลไม่รู้จะตอบออกไปยังไง คิดไม่ถึงว่าเต็มสิบจะพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาอย่างที่พูดเอาไว้จริง ๆ
“ที่ผมพูดมาทั้งหมด มันคือองค์ประกอบในการปรับตัวเข้าหากัน เมื่อคนเราคิดจะคบกันยาว ๆ คุณว่าถูกมั้ย”
ไม่ใช่ว่าถูกหรือไม่ถูก เพราะในเวลานี้ ธีรพลมึนงง เกินกว่าจะคิดตามสิ่งที่เต็มสิบบอกได้ทัน
“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
เต็มสิบถึงกับอยากจะเอาหน้ากระแทกโต๊ะ เมื่ออธิบายอยู่นานแต่ธีรพลไม่ตั้งใจฟังและไม่ยอมเข้าใจสิ่งที่เต็มสิบพูดเลยสักนิด อย่างนั้นก็คงต้องพูดแค่ใจความสำคัญเท่านั้น
“ผมชอบคุณ ก็เลยจะจีบคุณ”
แบบนี้มันเกินไป
แบบนี้มันเกินกว่าที่ธีรพลจะจัดการอะไรได้
หัวใจกำลังเต้นแรง และเหงื่อก็ไหลซึมที่ฝ่ามือ
ธีรพลกำมือและขบริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนว่าใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มจะไม่สามารถบังคับสีหน้าของตัวเองได้ ก็เลยเมินหน้าหนีหลบสายตาของเต็มสิบไปทางอื่น
“ผม....ไม่..”
คิดไม่ออกว่าต้องพูดอะไร ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี และเต็มสิบก็ถอนหายใจยาวและพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่ธีรพลพูด
“โอเค ถ้าคุณไม่คบกับผม ผมจะเพิ่มมาตรการในการจีบคุณให้เข้มข้นขึ้น ผมไม่ใช่คนที่ตัดใจกับอะไรง่าย ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรผมก็จะพยายามทำมันอย่างถึงที่สุด เรื่องของคุณก็ด้วยเหมือนกัน”
“คุณเห็นผมเป็นอะไรถึงมาพูดกับผมแบบนี้”
เห็นเป็นอะไรงั้นเหรอ
เรื่องเห็นเป็นอะไรนั่นไม่สำคัญหรอก มาถึงขนาดนี้แล้วก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ไม่น่าต้องถามกันให้มากความ
“ผมก็เห็นคุณเป็นแฟนผมในอนาคตไง”
TBC.