ใจยักษ์ 19
“อาหารเสร็จแล้วครับ เอ่อ…ขอโทษครับ” เสียงสตีฟดังมาจากทางด้านหลัง คาดว่าเขาคงออกมาตามผมน่ะครับ คงไม่คิดว่าจะออกมาเจอภาพที่เจ้านายตัวเองนัวเนียกับผู้ชายอีกคนอยู่ แต่ทศกัณฐ์ก็ผละริมฝีปากของเขาออกช้าๆราวกับไม่สนใจว่าใครจะมาเห็น เขามองผมนิ่งๆอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“กินเสร็จแล้วไปอาบน้ำนะ จะพาออกไปข้างนอก”
“ไม่ไป” ผมโพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยากไปไหนทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวคนรู้จักมาเห็นเข้าแล้วจะยุ่ง
“ใครขอความเห็น?แค่บอกให้ทำตาม”เขาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงไปหมด ผมได้แต่ปัดมือเขาออกอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปทางครัวโดยไม่สนใจเขาอีก ผมเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะทานข้าว สตีฟนำอาหารมาเสริฟให้ ผมลงมือทานเงียบๆ สตีฟก็ยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆเช่นกัน เมื่อผมทานอาหาเสร็จเรียบร้อยก็กะจะลุกเอาจานไปล้างแต่อีกคนที่ยืนอยู่ก็เข้ามาขวางซะก่อน
“เป็นหน้าที่ของผมครับ เชิญคุณรันต์ที่ด้านนอกดีกว่า” สตีฟบอกก่อนจะดึงจานออกจากมือผมเบาๆ
“ปกติผมก็ทำประจำนะ” ผมบอกเขางงๆ ไอ้เรื่องทำความสะอาดครัวล้างจานชามมันหน้าที่เบ๊หลักของผมเลยเถอะ แล้วผมก็ไม่ใช่คนงอมืองอเท้าที่หยิบจับอะไรไม่เป็นซะหน่อย มาอยู่ที่ของเขาก็ต้องทำอะไรตอบแทนบ้าง
“แต่ตอนนี้คุณรันต์ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้ว คุณคงรู้ดี” สตีฟพูดด้วยรอยยิ้มประจำของเขาแต่ทำเอาผมสะอึกคำใหญ่เลย
“หรอ” ผมครางออกมาเบาๆแล้วเดินออกจากครัวนิ่งๆ เขาคงไม่ได้เหน็บผมหรอกแต่คำพูดนี่ก็ทำเอาผมไปไม่เป็นเหมือนกัน
แค่คู่นอนเจ้านาย ดูแลกันขนาดนี้เชียว? ถ้าเป็นแฟนนี่จะขนาดไหนกัน…
ผมเดินขึ้นมาบนชั้นสองเปิดประตูเข้าไปในห้องเจอทศกัณฐ์เดินนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกจากห้องน้ำพอดี เขาปรายตามองผมนิดๆก่อนจะเดินไปที่ห้องแต่งตัวที่เชื่อมกับห้องนอน ผมยักไหล่แล้วเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวบ้าง พอออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นทศกัณฐ์แล้ว คงอยู่ที่ห้องแต่งตัวไม่ก็ลงไปชั้นล่างแล้ว ผมเดินไปที่ห้องแต่งตัวปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ เลยเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าบิวท์อินฝั่งซ้ายสุดในห้องแต่งตัวซึ่งแบ่งออกเป็นสามส่วน ซึ่งช่วงตรงกลางและขวาของตู้เป็นเสื้อผ้าของทศกัณฐ์ที่แบ่งไว้เป็นสัดส่วน ภายในห้องโล่งกว้างมีกระจกบานใหญ่เต็มด้านหนึ่งของผนังห้องตั้งแต่พื้นจรดเพดาน อีกด้านก็จะเป็นตู้บิวท์อินที่เก็บพวกเครื่องแต่งตัวต่างๆของเขาเต็มไปหมด ผมเลือกหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่พวกเขาจัดเตรียมไว้ให้มาใส่อย่างไม่มีทางเลือกนัก
“ช้า” ทันทีที่เท้าผมแตะพื้นชั้นล่างเสียงตำหนิจากอีกคนที่นั่งโซฟาอยู่ก็เอ่ยขึ้น ผมมองเขานิ่งแล้วยักไหล่ไม่สนใจ
“ใครขอให้รอล่ะ ผมไม่เต็มใจจะไปอยู่แล้ว” ผมตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ไปกันได้แล้ว ไม่ต้องพูดมาก” ทศกัณฐ์ลุกขึ้นและเดินนำออกไป ผมได้แต่ถลึงตาตามหลังเขา อย่าให้ถึงทีผมบ้างแล้วกัน
+++++++++++++++++++
Aston Martin DB11 จอดสนิทในซองสำหรับรถซุปเปอร์คาร์ของห้างดัง ที่จอดข้างๆกันก็แลมโบกินี่ตัวท็อป เบนซ์สปอร์ต รถสปอร์ตแพงๆเรียงกันเป็นตับ คนไทยนี่ก็รวยกันจริงๆ แต่จริงๆลักษณะนิสัยอย่างทศกัณฐ์เขาก็น่าจะเป็นคนที่ชอบความเร็วอะไรแบบนี้นะ แต่กลับไม่มีรถพวกแลมโบ อัลฟาโรมิโอ เฟอร์รารี่ อะไรแบบนี้เลย
“นี่ ทำไมคุณไม่ซื้อพวกรถแข่งแรงๆอะไรแบบนี้มาขับล่ะ ท่าทางคุณก็น่าจะชอบไม่ใช่หรือไง” ผมเอ่ยปากถามอีกคนขณะที่เขากำลังปลดเบลล์อยู่ ทศกัณฐ์เลิกคิ้วมองงงๆก่อนจะปลดเบลล์ให้ตัวเองและผม
“แล้วคันนี้มันไม่ดีหรือไง?”เขาถามกลับ
“ก็ดี แต่ไม่ค่อยเห็นคนขับ” จริงๆก็ยังไม่เห็นใครขับรุ่นเดียวกับเขาในกรุงเทพหรอก แต่ผมไม่รู้จะให้เหตุผลอะไรกับเขาจริงๆ คันนี้ที่ผมนั่งอยู่ในไทยก็น่าจะสิบยี่สิบล้านขึ้น
“หึ กูแค่ชอบเลยซื้อมาขับ ไม่ได้จะซื้อมาอวดใคร ที่เห็นไม่ค่อยมีใครขี่ก็เพราะมันยังไม่ได้ผลิตออกมาเยอะ คันนี้กูสั่งเข้ามาเอง” เขาบอกพร้อมขยี้หัวผมเบาๆ ผมกูยุ่งอีกละ “ทำไม?อยากได้รถพวกนี้หรอ” เขาถามต่อหลังเอามือออกจากศีรษะผม
“ก็ถ้าบอกว่าอยากได้ จะให้ไหมล่ะ”ผมจ้องตาเขาอย่างท้าทาย ทศกัณฐ์จ้องตาผมคืนมุมปากเขากระตุกยิ้มขึ้น ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของกันและกัน
“แลกกับอะไรล่ะ?” เขาจ้องผมด้วยสายตาที่ติดจะเจ้าเล่ห์ ผมระบายยิ้มคืนให้อย่างไม่ยอมแพ้
“แล้วอยากได้อะไรล่ะ” ผมเอ่ยกระซิบเสียงเบา ปลายนิ้วลากไล้ไปตามแนวกรามเขาอย่างอ้อยอิ่ง ทศกัณฐ์นิ่งไปนิดก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากมาแนบสัมผัสกับริมฝีปากผมช้าๆแล้วแปรเปลี่ยนสัมผัสเป็นเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆจนร้อนระอุไปทั่วทั้งรถ
ผมไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ผมสูญเสียทุกอย่างไปแล้ว จากนี้ไปผมจะดับเครื่องชนโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ผมสัญญา…เขาจะต้องชดใช้ให้ผมอย่างสาสม
.
.
.
.
.
.
.
“จะเอาเรือนไหน”ทศกัณฐ์ถามพร้อมยกแขนผมลองนาฬิกาทั้งสองเรือนที่เขาเลือกไว้
“สีดำ”
“สีซิลเวอร์ดีกว่า กูชอบ” เขาบอกก่อนจะถอดเรือนสีดำออก แล้วจะถามกูทำไมวะ
“ผมเอาเรือนนี้กับเรือนนี้”ทศกัณฐ์หันไปบอกพนักงาน เขาชี้เรือนที่เขาบอกว่าชอบและอีกเรือนสีน้ำที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้
“สำหรับลูกค้า VIP ลด15%...ทั้งหมด 249,000 บาทถ้วนค่ะ” พนักงานบอกด้วยรอยยิ้ม ผมตาโตด้วยความอึ้ง นาฬิกาแค่สองเรือนฟาดไปเป็นแสนเลยหรอวะ โอเคดูจากร้านผมก็พอรู้ว่าอาจจะแพง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นแสนขนาดนี้ไง ทศกัณฐ์หยิบกระเป๋าเงินก่อนจะหยิบบัตรสีดำออกมาส่งให้พนักงาน ผมมีโอกาสได้เห็นบัตรของเขาชัดๆเป็นครั้งแรก ตอนนี้ผมไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมเขาถึงใช้จ่ายเงินเหมือนน้ำราวกับว่าบ้านผลิตแบงค์ใช้เอง เขาทำงานอะไรกัน…
หลังจากที่ออกจากร้านนาฬิกาทศกัณฐ์ก็พอผมเข้าร้านนู่น ออกร้านนี้เป็นว่าเล่น ดีหน่อยที่บางส่วนเขาให้ส่งไปให้ที่คอนโด แต่ของก็ยังเต็มมือของเราทั้งคู่อยู่ดี
“นี่!ผมเหนื่อยแล้วนะ จะซื้ออะไรนักหนาทำอย่างกับคนไม่เคยเดินช็อปปิ้ง” ผมบ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเขากำลังจะตรงดิ่งเข้าไปอีกร้าน ล้าไปทั้งแขนและขาแล้วผม
“ใช่ มึงรู้ได้ยังไงว่ากูไม่เคยเดินช็อปปิ้ง นี่ครั้งแรกเลย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ว่าไงนะ!” ผมอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ปกติเสื้อผ้าจะสั่งตัดแล้วเขาจะเอามาส่งเอง ของอย่างอื่นก็เลือกไว้เดี๋ยวเจฟกับสตีฟก็ไปหามาให้” มึงนี่คุณชายตัวจริงเลยนี่หว่า
“แล้วจะมาเดินเองทำไมให้เหนื่อย ทำเหมือนเดิมก็ดีแล้วนี่”
“ก็…อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ” เขาบอกแล้วมองไปอีกทาง
“เฮ้อ…เอาเถอะ แต่ผมว่าซื้อแค่นี้ก็พอแล้วล่ะมันเยอะแล้ว หรือถ้าคุณยังจะซื้ออีกผมขอนั่งรออยู่แถวนี้” ผมบอกเขาเหนื่อยๆ วันนี้เขาหมดไปเป็นล้านได้แล้วมั้ง
“ร้านนี้ร้านสุดท้ายแล้ว” ทศกัณฐ์บอกอย่างไม่สำนึกก่อนจะลากผมเข้าร้านที่อยู่ตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี(?)
“นั่งรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวมา” พอเราเดินเข้ามาในร้านทศกัณฐ์กดไหล่ให้ผมนั่งรอที่โซฟา เขาวางข้าวของไว้กับผมก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน รู้สึกว่าร้านนี้จะขายชุดสปอร์ต และรองเท้าสำหรับเล่นกีฬา เวลาผ่านไปพักใหญ่ทศกัณฐ์ก็เดินออกมาพร้อมรองเท้ากีฬาในมือ3คู่ ข้างหลังเขาก็เป็นพนักงานหญิงเดินตามมาอีกสองคน
“ลองดูสิ” ทศกัณฐ์นั่งลงข้างๆ เขาวางรองเท้าทั้งสามคู่ไว้ที่ปลายเท้าผม ผมมองเขางงๆ
“จะซื้อให้ผมหรือไง” เลิกคิ้วถามกวนๆ
“ถอดรองเท้าออก”เขาว่าดุๆกลับมาแทน ผมขี้เกียจต่อปากต่อคำก็เลยก้มลงไปแกะเชือกรองเท้าผ้าใบ แต่เหมือนจะเกิดปัญหาแล้วล่ะเพราะปมเชือกที่ผมผูกไว้ดันพันกันแน่นจนแกะไม่ออกเลย ผมยื้อยุดกับมันอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้าง เขาก้มลงมาช่วยผมแกะแต่ก็เหมือนจะไม่เวิร์คนะ
“จิ๊!” เขาสบถด้วยความหงุดหงิดแล้วก็ยกขาผมขึ้นพาดตักตัวเองเฉยเลย
“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรวะ!” ผมพยายามดึงขาออกจากมือเขา แต่อีกคนกลับดึงไว้ซะแน่น
“เฉยๆดิ๊ ก้มมากกูปวดคอ” ใครขอให้ทำให้วะ ผมหน้าหงิกแล้วล่ะตอนนี้
“คิกๆ” เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากพนักงานสองคนที่ยืนอยู่ ยิ่งทำให้ผมอายยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก อีกคนก็ก้มหน้าก้มตาแกะเชือกไม่สนใจอะไรเลย
“เสร็จแล้ว อีกข้างหนึ่งแกะได้ไหม?” ทศกัณฐ์ถอดรองเท้าออกแล้ววางเท้าผมลงที่เดิมก่อนจะถาม ผมไม่ตอบแต่ก้มลงไปแกะเชือกอีกข้างอย่างรวดเร็ว
“ใส่คู่นั้นสิชอบไหม”ทศกัณฐ์พูดขึ้นเมื่อเห็นผมถอดรองเท้าออกเรียบร้อยแล้ว ผมหยิบรองเท้ากีฬายี่ห้อดังสีแดงเลือดหมูมาสวม “พอดีไหม ลองเดินดูว่าสบายเท้ารึเปล่า” เขาบอกขึ้นมาอีก ผมจึงลุกขึ้นแล้วลองเดินดูอย่างที่เขาว่า อืม เบาสบายดีจัง ฟินไปอีก ผมเดินเล่นวนอยู่นานแล้วผลัดเปลี่ยนอีกสองคู่ที่เป็นสีดำและน้ำมาใส่ ใส่สบายทุกอันเลยแฮะ ผมยิ้มกับตัวเองอย่างเพลิดเพลินจนลืมคนอื่นๆ
“ชอบคู่ไหน?” เสียงทศกัณฐ์ดึงให้ผมกลับจากโลกตัวเอง ผมเกาหัวแกรกๆจ้องทั้งสามคู่ไม่วางตา จนกระทั่ง…
“พอ ไม่ต้องเลือกละ เอาแม่งทั้งทั้งสามคู่นั่นแหละ” ทศกัณฐ์บอกอย่างหมดความอดทน ก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานเอาไปใส่กล่อง
“คุณซื้อรองเท้ากีฬาให้ผมทำไมครับ”
“ซื้อมาดูเล่นมั้ง”กวนตีนกูอีก - -
++++++++++++++++++++++
ฟุ่บ! ผมล้มตัวลงนอนที่โซฟาทันทีที่ถึงห้อง แม่งเหนื่อยชิบ ก่อนกลับเขาก็พาผมไปทานอาหารจีนอีก ยิ่งง่วงเข้าไปใหญ่เลยตอนนี้
“ลุกขึ้นไปนอนบนห้องดีๆ”ทศกัณฐ์เดินมาดึงแขนผมให้ลุกขึ้น
“อย่ามายุ่งได้ไหม ผมจะนอนนี่แหละ” เอ่ยบอกเขาขณะที่กำลังหลับตาอยู่
“รันต์ ลุกเดี๋ยวนี้” ทศกัณฐ์พูดเสียงยนิ่งๆ
“…” ผมเงียบ ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น
“รันต์ จะลองดีใช่ไหม” เสียงเขากดต่ำลงไปอีก ผมเผลอเม้มปากแน่น
หงับ!โอ้ย! ผมลืมตาพรึบ มันกัดจมูกผม!!! ผมจ้องตาเขาโกรธๆ มือก็ผลักอกเขาให้ถอยออกไป
“เล่นบ้าอะไรวะเนี่ย”ต่อว่าเขาด้วยความหัวเสีย
“ก็บอกดีๆไม่ฟัง” นี่มึงเป็นเด็กหรอวะ ผมเลยถลึงตาใส่เขาก่อนจะเดินชนไหล่ไอ้ยักษ์บ้าขึ้นชั้นสอง เดินเข้าห้องแล้วล้มตัวนอนบนเตียงจากนั้นก็หลับไปด้วยความรวดเร็ว
“รันต์…ตื่นได้แล้ว จะเย็นแล้วนะ” ฮื่อออ เสียงใครมากวนเวลาคนนอนวะ แต่แรงเขย่าตัวที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมต้องฝืนตาตื่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“คนจะนอนนะ ปลุกทำไม”
“มันเย็นแล้ว ไปอาบน้ำจะพาไปข้างนอก”ทศกัณฐ์บอก ตอนนี้เขาอยู่ในชุดใหม่ต่างจากตอนกลางวัน
“เป็นไหนอีก ผมเหนื่อยแล้วนะ!” แม่งกูเลือกถูกหรือผิดวะที่ยอมมันขนาดนี้
“ไปที่ๆเหมาะกับมึงไง” มีใครงงเหมือนผมบ้าง
“ไปเถอะน่า” พอเห็นผมมองงงๆเขายิ่งฉุดผมลงจากเตียงแรงกว่าเดิมอีก นี่มึงทำแก้เก้อรึเปล่าวะเนี่ย
.
.
.
.
.
.
D Gym
ทศกัณฐ์พาผมเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ เขาให้ผมยืนรอ ส่วนตัวเขายืนกรอกเอกสารอะไรสักอย่าง สักพักเขาก็เดินพาผมมาโซนด้านในมีห้องเรียงกันเป็นแถบๆเยอะมาก ผมหันไปมองหน้าทศกัณฐ์ทันที เขาหันมาแสยะยิ้มให้ผมนิดๆแล้วหยุดอยู่ที่ประตูห้องหนึ่ง เขาประตูแล้วเปิดเข้าไป ส่วนตัวผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องไม่ขยับตัวเลยก็ว่าได้
“ไม่ได้พามาปล้ำหรอกน่า รีบเข้ามาแล้วปิดประตูด้วย” ทศกัณฐ์ร้องเรียก ผมมองเข้าไปอย่างไม่ไว้ใจ ถึงจะไม่เห็นเตียงก็อดระแวงไม่ได้เหมือนกัน ขาเรียวค่อยๆย่างเข้าไปในห้อง พื้นที่ไม่มากนักมีตู้เสื้อผ้าโดดๆอยู่ในห้องหนึ่งตู้และเก้าอี้ตัวยาวหนึ่งตัว
“เหี้ย!ถอดเสื้อทำไม ไหนว่าไม่ทำอะไรไงวะ!”ผมร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นทศกัณฐ์กำลังถอดเสื้อ เขาไม่ได้ตอบผมแต่เลื่อนมือไปปลดกระดุมกางเกงแทน
“ทศกัณฐ์!”
“กูจะเปลี่ยนเสื้อผ้า!ถ้าจะทำกูจัดมึงตั้งแต่ที่ห้องแล้ว ไม่ถ่อมาถึงนี่หรอกไอ้เด็กลามก” ก็กูนึกว่ามึงจะเปลี่ยนบรรยากาศนี่ เหมือนหน้าผมจะร้อนฉ่าเพราะความอายเลย เพราะเขาคนเดียวแหละที่ทำผมคิดลามก พอกางเกงทศกัณฐ์หลุดจากสะโพกเหลือแค่กางเกงในตัวเดียวเขาก็เดินดุ่มๆไปเปิดกระเป๋าเป้ หยิบเสื้อผ้าและรองเท้าออก ก่อนจะโยนชุดมาทางผมที่รับไว้ได้พอดี
“เปลี่ยนซะ ไม่ต้องถามมาก” ผมมองชุดในมือนิ่ง ก่อนจะวางลง รีบถอดเสื้อผ้าชุดเดิมออกแล้วสวมชุดที่เขาให้มาอย่างรวดเร็ว เป็นเสื้อแขนกุดใส่ออกกำลังกาย กางเกงขาสั้นใส่ออกกำลังกาย จริงๆผมไม่ได้อยากรู้สึกอะไรมากนะ แต่ไอ้คนที่ยืนจ้องไม่วางตานี่ดิ ทศกัณฐ์เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเขาอยู่ในชุดคล้ายผม แต่เสื้อรัดรูปกับลำตัวจนเห็นสัดส่วนของกล้ามเนื้อชัดเจน
เหอะ!อยากโชว์ก็บอก
“ใส่” ทศกัณฐ์ยื่นรองเท้าสีเลือดหมูที่พึ่งไปซื้อมาวันนี้ให้กับผม ผมจึงรับมาสวมเงียบๆ เมื่อเราสองคนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วทศกัณฐ์ก็พอผมเดินออกจากห้องแล้วล็อคประตูไว้ เขาพาผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม มองเข้าไปในห้องกระจกมีเครื่องเล่นออกกำลังกายหลากหลายอย่างเต็มไปหมด คนไม่พลุ่งพล่านมากนักแถมทุกคนหุ่นดีกันทั้งนั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ก็หุ่นหนาล่ำกันทั้งนั้นเลย ไอ้คนที่อยู่ข้างหน้าผมถึงไม่ล่ำแต่เขาก็ตัวหนาและมีมัดกล้ามกว่าผมเยอะเลย
อืม เครื่องออกกำลังกาย…ออกกำลังกายหรอ…
“ไม่เอานะ”ผมร้องออกมาอย่างลืมตัว
“เป็นอะไร?” ทศกัณฐ์หันมามองผมงงๆว่าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก
“ไม่ออกกำลังกายไง ผมจะกลับ” ผมบอกแล้วหมุนตัวเตรียมจะเดินหนี แต่ก็โดนทศกัณฐ์รั้งแขนเอาไว้ซะก่อน
“ไม่ได้ มึงผอมเกินไปแล้ว กระแทกแต่ละทีนึกว่าเอวจะหัก” ทศกัณฐ์พูดออกมาหน้าตาเฉยไม่พอยังยื่นมือมาบีบเอวผมประกอบคำพูดตัวเองอีก คำพูดคำจาและการกระทำของเขาทำเอาเลือดในกายผมเดือดปุดๆเลยทีเดียว
“นี่!จะพูดขึ้นมาทำบ้าอะไร กลัวคนเขาไม่รู้นักหรือไง” ผมเอ็ดเขาเสียงเบามือก็ปัดมือเขาออกจากเอวตัวเอง สายตาเหลือบมองทั่วบริเวณว่ามีคนอื่นไหม
“ใครสน”ว่าจบเขาก็ลากผมเข้าไปข้างในเลย
“คุณทศกัณฐ์ สวัสดีครับ”ชายในชุดออกกำลังกายตัวล่ำบึกแต่ตัวเตี้ยกว่าทศกัณฐ์มาก เผลอๆเตี้ยกว่าผมซะอีก เดินมาทักทาย
“สวัสดี” ไอ้คนนี้ก็ตอบห้วนเกิ๊น
“แล้วนี่คุณ…”เขาหันมามองแล้วยิ้มให้ผม
“เหรันต์…ผมพาเขามาออกกำลังกาย รันต์นี่ชาติชายเป็นเทรนเนอร์ที่นี่”ทศกัณฐ์แนะนำ
“สวัสดีครับคุณเหรันต์”ชาติชายยื่นมือมาตรงหน้าเพื่อทำความรู้จักพร้อมรอยยิ้มที่ทำผมขนลุกแปลกๆ
“สวัสดีครับคุณชาติชาย” ผมยกมือไหว้เขาพร้อมรอยยิ้ม
“อ่าครับ จะให้ผมจัดเทรนเนอร์ให้คุณเหรันต์ไหมครับ”รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเจื่อนลงแล้วชักมือกลับเนียนๆ ผมแอบเห็นทศกัณฐ์ยิ้มนิดๆที่มุมปากด้วย
“ไม่ต้อง เดี๋ยวผมจัดการเอง ขอบคุณ” ถ้าไม่มีคำว่าขอบคุณจากทศกัณฐ์ ผมต้องคิดว่าเขาไม่ค่อยชอบคุณชาติชายแน่
“กูจะให้มึงฝึกความอดทนก่อน เริ่มจากวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าก่อนนะ”มันไม่บอกเฉยๆนะ แต่ผลักผมขึ้นไปบนลู่วิ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว
“นี่ ออกแปบเดียวพอนะ ผมเหนื่อย” ผมหันไปบอกเขา
“ก็ออกให้เหนื่อย ทีตอนเย็_กันไม่เห็นบ่นขนาดนี้”เขากระซิบกับผมเบาๆ ดีที่บริเวณนี้ไม่มีคนนัก
“ก็ตอนที่เย็_ผมนอนเฉยๆนี่”ผมยักคิ้วตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ มาดิ หยาบมากูหยาบกลับ
“หึ!”เขาไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากกดปุ่มเริ่มการทำงานของเครื่อง
“แฮ่กๆ พอยัง” ผมถามทศกัณฐ์หลังเริ่มวิ่งมาได้ราวๆหนึ่งชั่วโมง เหนื่อยเป็นบ้า
“อีกห้านาที ทนเอา” มึงมันโหดเหี้ยมที่สุด คือระหว่างช่วงเวลาที่ผมวิ่งเขาจะค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ แถมยังชวนคุยเป็นระยะๆ พอผมไม่ตอบเพราะมันเหนื่อยก็เซ้าซี้อยู่นั่น วันนี้หัวมันฟาดขอบโถส้วมหรือไงวะ
ติ้ด!
“โอเค พอแล้ว หายใจเข้าลึกๆอย่าพึ่งนั่ง”เสียทศกัณฐ์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ผมทำตามที่เขาบอกเงียบๆไม่พูดอะไรทั้งนั้น เหนื่อย… หลังจากนั้นเขาก็พาผมไปอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดที่ใส่ออกมาจากคอนโด
“เป็นอะไร เงียบเชียว”ทศกัณฐ์ถามขณะขับรถสายตาเขาก็มองถนนอยู่ ปกติผมก็ไม่ใช่คนพูดมากขนาดนั้นรึเปล่าวะ
“เหนื่อย”ตอบเขาไปสั้นๆ วันนี้มึงทำร้ายร่างกายกูมากจริงๆยักษ์
“ทำทุกวันเดี๋ยวก็ชิน”
“ว่าไงนะ!” นี่ผมหูฝาดไปใช่ไหม ทุกอย่างมันจะจบแค่วันนี้อย่างที่ผมเข้าใจใช่รึเปล่า
“มึงต้องน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย5-10กิโล กำลังดี ตอนนี้ผอมไปหน่อย”เขาหันมาประเมินผมด้วยสายตาก่อนจะตอบ
“ไม่เอา แค่กินให้อ้วนอย่างเดียวก็ได้นี่” ผมรีบปฏิเสธออกไปทันที ยังไงก็จะไม่ยอมเหนื่อยไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“สร้างกล้ามเนื้อน่ะเข้าใจไหม ห้ามปฏิเสธเพราะกูบังคับ”
“แล้วผมต้องทำไปอีกนานแค่ไหน”น้ำเสียงผมหงุดหงิดมากตอนนี้
“ถ้าเป็นช่วงนี้ก็ต้องออกกำลังกายติดกันทุกวันสักหนึ่งเดือนล่ะมั้ง ถ้าได้ตามเป้าแล้วก็สัปดาห์ละ2-3ครั้งก็ได้
“ไม่จริงใช่ไหม”ความรู้สึกเหมือนฟ้ากำลังจะถล่มใส่หัวมันเป็นแบบนี้นี่เอง
“จริงครับ J” ม่ายยยยยย กูเกลียดมึง ไอ้ยักษ์เควี่ย!!!//วิบัติเพื่อเข้าถึงอารมณ์
.
.
.
.
.
.
“ไอ้รันต์ ช่วงนี้กลับหอเร็วจังวะทั้งอาทิตย์นี้ถ้าไม่ได้เรียนด้วยกันกูแทบไม่เห็นหน้ามึงเลยนะ แถมไม่ให้กูไปส่งอีก มีอะไรรึเปล่าเนี่ย” เมฆถามหลังจบชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนวันนี้
“เปล่า…กูแค่ขี้เกียจรอมึงซ้อมบอลเสร็จไงเลยกลับก่อน” แถจนสีข้างเลือดไหลซิบๆแล้วผม
“เออ พรุ่งนี้จะมาดูกูซ้อมไหม” พรุ่งนี้วันเสาร์แล้วครับ อาทิตย์หน้าก็เป็นการแข่งขันกีฬาระหว่างคณะแล้ว
“เอ่อ เดี๋ยวกูโทรบอกอีกทีนะ”ผมระบายยิ้มให้เมฆอย่างเอาใจ รู้สึกผิดกับเพื่อนจริงๆ เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียวเลย
“อือ”เมฆรับคำเสียงหงอยหน้าเศร้าๆจนผมรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม ผมมองเพื่อนแล้วคิดหนัก หันมองไปรอบๆห้องเพื่อนๆก็ทยอยออกไปใกล้จะหมดแล้ว ผมเลยรีบโน้มหน้ากดจมูกลงกับแก้มเมฆอย่างรวดเร็ว เมฆจึงยิ้มออก
“น้องขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลาให้นะ แต่สัญญาว่าถ้าพี่เมฆแข่ง น้องจะไปเชียร์แน่ๆ”พูดอ้อนพี่อย่างเอาใจที่สุด
“เออ อย่าผิดสัญญาแล้วกัน”เมฆว่าแล้วเคลื่อนริมฝีปากมาหอมหน้าผากผมแผ่วเบา
หลังจากที่แยกย้ายกันกับเมฆ ผมก็นั่งรถเมย์กลับคอนโดทศกัณฐ์อย่างเคยชิน นี่ก็ร่วมสัปดาห์แล้วที่ผมต้องไปพักอาศัยอยู่กับเขาหลังจากที่เราทำข้อตกลงกัน และเขาทำตามที่พูดกับผมเมื่อวันอาทิตย์ก่อนทุกอย่าง ทศกัณฐ์พาผมเข้ายิมไปออกกำลังกายทุกวัน เอาตรงๆปวดร่างยิ่งกว่าเสียตัวครั้งแรกซะอีก
อ่อ แล้วถ้าคุณจะคาดหวังว่าเขาจะคอยดูแลหรือเอาอกเอาใจผม คอยรับส่งไปนู่นนี่ล่ะก็ คุณคิดผิด!
เราโคตรต่างคนต่างอยู่เลย โอเคว่าอาจจะนอนเตียงเดียวกันแต่ก็นอนกันคนละฝั่ง แล้วหลังจากวันนั้นที่มีอะไรกัน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผมอีก แต่ถึงทำผมได้ตายคาเตียงแน่ๆ ปวดตัวจากการออกกำลังกายซะขนาดนั้น ส่วนอาหารก็เราไม่ได้กินพร้อมกันเพราะตื่นคนละเวลา เห็นไหมว่าต่างคนต่างอยู่ขนาดไหน
ติ้ด! แกรก! เมื่อผมเปิดประตูห้องเข้าไป ไฟในห้องก็สว่างขึ้นอัตโนมัติ แสดงว่าไม่มีคนอยู่อย่างนั้นหรอ
ทศกัณฐ์ไม่อยู่ หมายว่าไม่ต้องไปออกกำลังกายอย่างนั้นสิ เยส!
ผมยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีในรอบสัปดาห์ เอากระเป๋าไปเก็บบนห้องอย่างมีความสุข ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนิสิตเป็นชุดลำลอง เพราะเตียงนุ่มๆกับแอร์เย็นๆในห้องกำลังทำให้ผมเคลิ้มหลับด้วยความสบาย ความอ่อนล้าที่สะสมมาทั้งอาทิตย์ทำให้ผมเข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย
[ไม่พอได้ไงงงงง ต่อreply ถัดไปเจ้าค่ะ

]