ใจยักษ์ 17
“ขอโทษนะครับ เช็คเอาท์ห้อง 1012 ครับ” ผมเดินออกจากลิฟท์มาถึงฟร้อนท์ของโรงแรม บอกกับพนักงานด้วยรอยยิ้มบางๆพร้อมยื่นคีย์การ์ดให้
“สักครู่นะคะ” เธอก้มหน้าลงคีย์ข้อมูล สักพักเดียวก็เงยหน้ามาบอกผมด้วยรอยยิ้มหวาน “ห้องนี้เช็คเอาท์ล่วงหน้าไว้แล้วนะคะ ไม่ต้องชำระอะไรเพิ่มเติมค่ะ”
“อ่อครับ...แล้วห้องนี้เป็นชื่อใครจองหรอครับ”
“ชื่อการจองเข้าพักคือคุณเหรันต์ ราชรัตน์ ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ” สายตาเธอมองผมด้วยความเคลือบแคลงแต่ไม่ได้แสดงออกเกินไปจนน่าเกลียด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาเสมองไปทางอื่นเหมือนกำลังลำบากใจก่อนจะค่อยเบนสายตามาทางเธออีกครั้ง ดวงตาหลุบมองพื้นเล็กน้อยแล้วยิ้มฝืนๆให้เธอ ชะโงกหน้าไปใกล้เธออีกนิด พูดเสียงเบาเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ผมชื่อเหรันต์...อย่าว่าแต่จองห้องเลยเมื่อคืน ผมมาที่นี่ได้ยังไงผมยังนึกไม่ออก แต่ที่แน่ๆของสำคัญผมหายไป ผมต้องการรู้ว่าใครพาผมมา” เธอตาโตเหมือนตกใจที่ได้ยิน
“โรงแรมเราไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสียเลยนะคะ ลูกค้าเราต่างก็มีระดับทั้งนั้น คุณเหรันต์แน่ใจนะคะ” เธอพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องโกหก ผมแค่ต้องการรู้ตัวคนที่พาผมมาแค่นั้น” ผมไม่ได้โกหกจริงๆนี่ก็ของผมหาย แต่ไม่ได้บอกว่าไอ้คนๆนั้นเอาไปสักหน่อย ก็แค่อยากรู้ว่ามันเป็นใคร
“เรื่องทรัพย์สินเสียหายอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของทางโรงแรมนะคะ” ผมมองเธอนิ่งจนเธอหลบสายตา จึงค่อยๆฉีกยิ้มแล้วพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ผมอยากขอดูกล้องวงจรปิด แค่เห็นหน้าเขา ผมอาจนึกออกว่าเป็นใคร”
“เอ่อ...ดิฉันเกรงว่า...” เธอมีท่าทีลำบากใจที่จะบอก แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ ผมก็เอ่ยตัดบทเสียงนิ่ง
“ผมขอคุยกับผู้จัดการ”
.
.
.
.
.
.
.
“...เรื่องนี้คุณเหรันต์ต้องไปแจ้งตำรวจก่อนแล้วนำหมายมาให้กับทางโรงแรม เราถึงจะสามารถเปิดให้ดูได้ครับ” ผู้จัดการพูดอย่างนอบน้อมหลังจากที่พนักงานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง อ้อ ตอนนี้เหลือแค่ผมกับผู้จัดการสองคนอยู่ที่ห้องรับรองอีกห้องน่ะครับ
“แม้ว่าโรงแรมอาจจะต้องเสียชื่อเสียงน่ะหรอครับ” ผมว่าเสียงนิ่งยิ้มๆ
“ผมคิดว่ามันคงไม่ถึงขั้นนั้น ทางเรายินดีให้ความร่วมมือตามกระบวนการครับ”
หึ...ตอนตอบคำถามตาเขากระพริบถี่ขึ้นจากตอนแรกที่เจอหน้ากัน ตอนที่อธิบายบีบนิ้วตัวเองไปมา และไม่ถามสักคำว่าอะไรหายไป...มันปกติซะที่ไหน
เขา...มีเรื่องปิดบังผม
“คุณไม่รู้ไม่เห็นจริงๆใช่ไหมว่าเมื่อคืนผมเข้าพักได้ยังไง กับใคร?”
“...ครับ”
“โอเคครับ ถ้าคุณว่าอย่างนั้น” ผมลุกขึ้นไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ผู้จัดการวัยกลางคนเดินมาส่งผมถึงหน้าโรงแรม
“คุณเหรันต์จะให้ผมเรียกแท็กซี่ให้ไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับเองได้” ผมบอกเสียงนิ่ม หันหลังให้เขาแต่เดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปเรียกคุณผู้จัดการก่อนเขาจะเดินกลับเข้าโรงแรมไป “คุณผู้จัดการครับ”
“ครับ?”
“คุณนี่เก่งจังเลยนะครับ รู้ด้วยว่าผมไม่มีรถ แต่ไม่ยักรู้ว่าผมมาได้ยังไง” ผมว่ายิ้มๆ
“...”
เขานิ่งกลืนน้ำลายอึกใหญ่แต่ไม่ได้พูดอะไร และผมก็ไม่คิดจะใส่ใจอะไรอีกแล้ว ผมจึงเดินหันหลังออกมา
เอาเถอะ...อย่างน้อยก็รู้ว่าพวกเขาร่วมมือกันตั้งใจปิดบังอะไรสักอย่างกับผม
ผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องบังเอิญหรือว่าเขาตั้งใจ
ถ้าคนที่พาผมมาเมื่อคืนนั้นฉลาด เขาอาจจะรู้ว่าผมแจ้งตำรวจไม่ได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ลางสังหรณ์ผมมันร้องเตือนว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปตามเกมส์ของใครสักคน
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคนนั้นกำลังคิดจะทำอะไร แต่ผมไม่ยอมเป็นเบี้ยให้เขาจับเดินได้ง่ายๆแน่
ก็ดี...แล้วมาดูกัน ว่าใครจะพลาดท่าก่อน
+++++++++++++++++++++++++++
ก็อก!ๆๆๆๆๆๆ
โอ้ยยยยยยยย เสียงดังอะไรนักหนาวะคนจะหลับจะนอน ผมพลิกตัวหันหลังไปอีกทางเอาหมอนปิดหูกลั้นเสียงรบกวนจากภายนอก
“ไอ้รันนนนนนนนต์ ตื่นโว้ยยยยยยย” เสียงเอะอะนอกห้องยังดังไม่หยุด ว่าแต่เมื่อกี้มีคนเรียกผมหรอวะ ดวงตาผมสว่างพรึ่บ แม้ว่าตอนที่พลิกตัวจะเจ็บสะโพกจนสะดุ้งตื่นแล้วก็เถอะ ลืมตัวไปหน่อย ผมค่อยๆลุกนั่งบนเตียง ลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู
“มึงตื่นเดี๋ยวนะ-…” แกร็ก! ผมชิงเปิดประตูก่อนที่เมฆจะโวยวายจบ
“โวยวายอะไรของมึงแต่เช้า เดี๋ยวห้องข้างๆก็เอาอีโต้มาฟันปากหรอก” ผมเอ่ยแกมงัวเงียนิดๆ เปิดประตูทิ้งไว้ให้เมฆเข้ามาก่อนจะไปนอนฟุ่บคว่ำหน้ากับเตียงต่อ
“ปากคอเราะร้ายใครจะกล้ามาฟันปากกู มีแต่มึงนั่นแหละ แล้วเช้าบ้านมึงดิ นี่มันจะเที่ยงละ” เมฆมานั่งบนเตียงก่อนจะบ่นผม
นี่ผมหลับยาวขนาดนี้เลยหรอวะ เมื่อวานหลังกลับจากโรงแรมผมก็แวะคลินิกแล้วตรวจเลือด ตอนนี้เลือดผมปกติดี แน่ล่ะมันพึ่งจะผ่านมาคืนเดียว อีกสามเดือนค่อยไปตรวจใหม่ ได้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ แล้วก็ยาทาแผลทางทวารหนักมา
ใช่ครับ ผมบอกอาการผมกับหมอทุกอย่าง แวะซื้อแว่นกับหมวกปิดบังใบหน้าก่อนจะไป ขอปิดบังตัวเองด้วยข้ออ้างว่ารู้สึกอาย ผมไม่ได้บอกว่าโดนข่มขืน บอกว่าสมยอมแต่เพราะเมามากเลยไม่รู้ว่าเขาจะป้องกันรึเปล่าและจะปลอดภัยไหมเลยอยากมาตรวจให้แน่ใจ ก็ถ้าไม่อ้างแบบนี้ หมอก็จะเซ้าซี้ให้แจ้งตำรวจอีก แต่จริงๆมันก็มีส่วนความจริงในคำอ้างนั่นแหละคุณหมอเขาก็เข้าใจไม่ได้พูดซักไซ้อะไรอีก
พอกลับถึงห้องก็สักบ่ายแก่ๆใกล้จะเย็นแล้ว ผมอาบน้ำอีกรอบ เปลี่ยนเสื้อผ้ากินยาแล้วล้มตัวลงนอนเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็เมฆมาปลุกนี่แหละ แม้ว่าจะนอนไปซะขนาดนั้นแต่ผมก็ยังรู้สึกเพลียๆและเจ็บตรงนั้นอยู่ ดีหน่อยที่ไม่ได้เป็นไข้
“เป็นอะไรรึเปล่า ท่าทางเพลียๆ” เมฆถามอย่างเป็นห่วง สอดมือมาวัดไข้กับหน้าผากผม ผมส่ายหน้าเงยหน้ามองมันยิ้มๆ
“ก็แฮงค์ตั้งแต่วันที่ไปแดกเหล้ากับพวกมึงนั่นแหละ” แหลครับ จริงๆหายนานแล้ว
“ก็ว่า มึงเงียบหายไปเลย ตั้งแต่มึงส่งข้อความมาหากูเมื่อวาน หลังจากนั้นโทรหายังไงก็ไม่ติด วันนี้เลยแวะมาหาว่าตายรึยัง” ข้อความงั้นหรอ ผมส่งให้มันตอนไหนวะ
“ข้อความอะไรวะ?” เผลอถามมันไปด้วยความลืมตัว
“ก็ข้อความที่มึงบอกว่าปลอดภัยถึงหอแล้วไม่ต้องห่วง เบลอหรอถึงจำไม่ได้ อ่ะนี่ไง” เมฆยื่นโทรศัพท์มันให้ผมดูเป็นหลักฐาน ซึ่งก็เป็นอย่างที่มันว่าจริงๆ แต่ไม่ใช่ผมที่ส่งไปแน่ๆ เวลาที่ส่งให้ก็เป็นช่วงเช้าที่กูยังไม่ทันตื่นด้วยซ้ำ
มันรู้ได้ไงวะว่าต้องส่งให้ไอ้เมฆ ผมยกมือขยี้หัวอย่างครุ่นคิด
“เป็นเหี้ยไรของมึง แล้วโทรหาทำไมไม่ติด”
“เป็นคนโว้ยยย โทรศัพท์ก็หายไปแล้วไง” ผมเงยหน้าขึ้นตอบเมฆ พูดถึงเหี้ยก็นึกถึงไอ้พี่สมิธ
“อ้าว หายไปตอนไหนวะ” เมฆถามงงๆ
“เมื่อวานนี้แหละ หลังส่งข้อความหามึง กูก็ยังมึนๆอยู่แล้วออกไปหาซื้อของกินแต่ไม่รู้เผลอวางไว้ไหน รู้ตัวอีกทีก็หายไปแล้วง่ะ” ผมเบ้ปากเซ็งๆให้เมฆเพื่อความเนียนในการแหล มันเลยส่งนิ้วมาดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ เจ็บนะโว้ยยยย
“ไม่ต้องมาทำเป็น ไปอาบน้ำไปเดี๋ยวพาไปซื้อเครื่องใหม่ หายก็ดีเหมือนกัน มึงจะได้เปลี่ยนไอ้โทรศัพท์เส็งเคร็งนั่นสักที”
“เออออออออออ”
.
.
.
.
.
“จะแดกอะไร” เมฆถามขึ้นหลังจากที่พาผมไปซื้อโทรศัพท์ใหม่และเปิดเบอร์เดิมเสร็จแล้ว อ้อ ผมซื้อเองนะครับแม้ไอ้เมฆจะจ่ายให้แต่ยังไงผมก็จะจ่ายเองจนมันยอมในที่สุด แล้วเงินที่ผมใช้ซื้อก็ไม่ใช่เงินไอ้เหี้ยนั่นเหมือนกัน
“อยากกินเป็ดย่าง” เมฆพยักหน้าก่อนจะพาผมเดินตรงไปยังร้านภัตตาคารอาหารจีนในห้าง เมฆสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ บอกให้ผมกินเยอะๆ ผอมจนจะปลิวไปตามลมอยู่แล้ว คือมันก็ไม่ขนาดนั้นป่ะวะ ผมเป็นคนตัวสูงนะแค่ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อเองเหอะ
“กินเสร็จแล้วไปดูหนังกันต่อนะ เรื่องที่กูเคยบอกมึงเมื่อตอนนั้นไงที่...” แล้วมันก็พล่ามยาวเลยครับ ผมก็พยักหน้าเออออไปกับมัน จริงๆก็จำไม่ค่อยได้หรอก จนกระทั่งเราสองคนกินเสร็จก็ใกล้ถึงเวลาที่หนังจะฉายแล้ว(มันดูเวลาที่เขาจะฉายในมือถือ) ผมกับเมฆจึงรีบไปที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋ว ขณะที่กำลังต่อแถวซื้อตั๋วก็มีเสียงเรียกจากด้านหลังดังขึ้น
“เฮ้ย! มึงใช่ไอ้น้องรันต์ป่ะ” เสียงเรียกกวนตีนแบบนี้ มีไม่กี่คนหรอกครับ ตอนแรกผมว่าจะไม่หันแล้วแต่ไอ้เมฆแม่งเสือกหันแล้วเอาศอกสะกิดผมไง ผมเลยหันไปยิ้มแหยะๆให้คนข้างหลัง
“หวัดดีครับพี่” ผมยกมือไหว้พวกพี่สมิธ เมฆก็ยกมือขึ้นไหว้ด้วยเหมือนกัน “เมฆ นี่พี่สมิธ พี่ใจดีแล้วก็พี่เซนท์...พี่ครับ นี่เพื่อนผมเรียนคณะเดียวกันชื่อ เมฆ” ผมแนะนำให้เขารู้จักกันคร่าวๆเมื่อพวกพี่ๆสาวเท้ามาใกล้เรามากขึ้น
“เรียกไม่หัน หยิ่งอ๋อมึง” พี่สมิธพยักหน้าแล้วถามด้วยน้ำเสียงเหมือนหาเรื่องแกมกวนตีน ส่วนพี่เซนท์ที่โบกมือยิ้มให้ผมด้วยความสดใส ผมจึงยิ้มตอบไปตามมารยาทก่อนจะหันไปตอบพี่สมิธ
“ก็พี่ทักแบบนี้ใครจะกล้าหันล่ะครับ”
“หรออออออรันต์” มันประชดใช่ไหมครับไอ้พี่คนนี้
“น้องรันต์จะดูหนังเรื่องอะไรหรอ” พี่เซนท์เป็นคนถามผมบ้าง ตอนนี้พวกผมหลบออกจากแถวให้คนอื่นไปซื้อก่อนแล้วครับ
“เรื่องอะไรวะ” หันไปถามเมฆอีกต่อหนึ่ง
“เรื่อง...อ่ะพี่ หนังภาคต่อ” เมฆตอบคำถามพี่แทนผม
“อ่ออออ พวกกูว่างพอดีเลย ขอไปดูด้วยดิ ใช่มะพวกมึง” พี่สมิธพูดขึ้น กูว่าถ้าพูดขนาดนี้ก็ไม่ต้องถามความเห็นกันแล้วมั้ง พวกเราทั้งสี่คนก็พยักหน้าให้อย่างไม่มีทางเลือก
“อ่ะมึง เอาไปซื้อตั๋วมา 5 ที่” พี่สมิธยื่นบัตรเครดิตสีดำใบหรูให้เมฆ
“เฮ้ยไม่เป็นไรพี่” ไอ้เมฆรีบปฏิเสธจะไม่รับ
“กูเป็นพี่คณะ จะเลี้ยงน้องไม่ได้หรือไง ไปดิ” กวนตีนขนาดนี้เคยโดนเขารุมตีไหมวะ อ่อ โดนแทงไปแล้ว เมฆเมื่อได้ยินพี่สมิธว่าอย่างนั้นก็พยักหน้ารับแล้วไปซื้อตั๋วอย่าว่าง่าย
“ผมไม่แปลกใจเลยทำไมพี่ถึงโดนแทง” ผมบ่นงึมงำคนเดียวแต่ก็ไม่วายโดนผลักหัวจากอีกคน
“กูได้ยิน” ผมเลยเบ้ปากใส่ให้ตรงๆซะเลย พี่สมิธทำท่าจะเข้ามาขย้ำคอผมแต่สองขาผมเร็วกว่าวิ่งไปหลบหลังพี่เซนท์แล้วแสยะยิ้มให้อีกคนอย่างไม่กลัวตาย พี่สมิธยิ่งเห็นแบบนั้นก็ยิ่งถลึงตาใส่ผมจะตรงเข้าใส่ผมให้ได้แต่ก็โดนพี่เซนท์เบรคไว้ซะก่อน
“พอเลยๆมึงนี่เล่นเป็นเด็ก ป่ะน้องรันต์ไปซื้อน้ำกับป็อปคอร์นกัน” ว่าจบพี่เซนท์ก็คว้ามือผมออกมาจากตรงนั้น ไม่วายได้ยินเสียงพี่สมิธโวยวายตามหลังมา
“ก็มันทำใส่กูก่อน มึงไม่ว่ามันบ้างวะ!” อืมมมม เคยยอมคนอื่นเขาซะที่ไหน
“น้องรันต์” อยู่ๆพี่เซนท์ก็เรียกผมขณะที่กำลังรอป็อปคอร์นกับน้ำ
“ครับ?”
“เรื่องวันนั้น...ไอ้ทศได้ทำอะไรให้โกรธรึเปล่า” น้ำเสียงพี่เซนท์ติดจะกังวล มองผมอย่างรอคอยคำตอบ
“เปล่าครับ พี่เซนท์อย่ากังวลเลย ผมไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องโกรธเขา” ผมบอกแล้วยิ้มให้เล็กน้อยเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“แล้วทำไมหลังจากวันนั้นพวกพี่ถึงติดต่อน้องไม่ได้”
“ก็โทรศัพท์ผมหาย นี่ไงครับ พึ่งมาซื้อวันนี้เลย” ผมชูถุงโทรศัพท์ให้พี่เซนท์ดูเป็นหลักฐาน
“อ้อ ใช้เบอร์เดิมอยู่ใช่ป่ะ” ผมพยักหน้า จากนั้นเราก็ได้ป็อปคอร์นกับน้ำจากพนักงานพอดี พอเดินไปรวมกันเมฆก็กลับมาแล้ว พวกเราเลยพากันเดินเข้าโรงหนังเพราะใกล้เวลาแล้ว พี่สมิธเป็นคนจัดแจงที่นั่ง โดยให้ เมฆ ผม พี่สมิธ พี่เซนท์ พี่ดี นั่งเรียงกันตามลำดับ เรานั่งช่วงกลางตรงจอพอดี คนไม่ค่อยเยอะเพราะเป็นหนังที่ใกล้ออกโรงแล้ว โดยเฉพาะแถวผมที่ไม่มีใครมานั่งด้วยเลย เมื่อหนังฉายไปสักพัก หัวพี่สมิธก็หล่นตุบมาบนไหล่ผม
คือหลับ! แต่พอผมดูไปได้สักพักความกินอิ่มๆกับแอร์เย็นๆก็ทำพิษ ตาผมปรือใกล้จะปิดเต็มที หันไปมองทางเมฆมันก็นั่งกินป็อปคอร์นดูดน้ำแจ็บๆดูหนังอย่างตั้งใจตามประสามัน แต่คือผมเริ่มไม่ไหวละ ขอพักสายตาแปบนึงเดี๋ยวกูตื่นมาดูเป็นเพื่อนนะเมฆ จนกระทั่ง...
“รันต์ ตื่นดิ๊ แม่งให้มาดูเป็นเพื่อนเสือกหลับ” แรงเขย่าตัวทำให้ผมสะดุ้งตื่น ก่อนจะพบว่าในโรงหนังไฟสว่างโร่ แสดงว่าหนังคงฉายจบแล้ว ผมลุกขึ้นยืนงงๆ ไหล่โคตรปวดไอ้พี่สมิธทำพิษกูอีกละ
“เขาให้มาดูหนังไม่ใช่มานอน” พี่สมิธว่าพลางบิดขี้เกียจโชว์ซิกส์แพคอ่อนๆ ปากก็หาวไปด้วย มึงหนักกว่ากูอีกพี่
“แล้วจะพากันไปไหนต่อ” พี่ดีถามขณะที่เรากำลังเดินออกจากโรงหนัง
“พวกผมคงกลับเลยพี่ ไอ้รันต์มันป่วยๆ” เมฆตอบพี่ดี
“มึงเป็นไร?แต่ท่าเดินมึงแปลกๆนะ ขี้คาตูดอ๋อ” คาตูดพ่องดิพี่สมิธ ผมแกล้งเบ้ปากงอนๆให้พี่สมิธ
“ผมลื่นล้มก้นกระแทกพื้น” โกหกอีกแล้วครับ ฮื่อออ คนอื่นๆก็พยักหน้าไม่ได้เซ้าซี้ต่อ แต่ไอ้พี่สมิธนี่สิครับ เขาหรี่ตามองผมเหมือนไม่เชื่อ จ้องตั้งแต่หัวจรดเท้าทำผมเสียวสันหลังวูบๆ แต่ผมก็ยังนิ่งไม่แสดงพิรุธอะไรให้เขาจับได้ แต่เมื่อกี้ผมเผลอหลบตาเขาแวบนึงไม่รู้ว่าเขาจะรู้ตัวรึเปล่า
“มึงแน่ใจนะ” พี่สมิธถามย้ำอีกรอบ
“มีอะไรที่ผมต้องไม่แน่ใจ ผมเมาแล้วลื่นอ่ะ ไม่เชื่อถามไอ้เมฆดูดิ”
“มันเมาจริงพี่ แต่ไอ้ลื่นนี่ผมไม่เห็น”
“ถ้าพี่ไม่เชื่อว่าผมลื่น แล้วพี่คิดว่าผมเป็นอะไร” ผมถามอีกคนกลับ
“มันเหมือนโดน...” พี่สมิธขมวดคิ้วเหมือนครุ่นคิด ทำหน้าตาแปลกๆ
“เหมือนโดนอะไร?” ผมคาดคั้นพี่สมิธอย่างไม่ยอมแพ้ จ้องเขานิ่ง หรือว่าจะเป็นพี่สมิธที่อยู่กับผมคืนนั้น ฮึ่ย แค่คิดผมก็ขนลุกแล้วว่ะ เขาจะแสดงเนียนไปละ ฮ่าๆๆๆ
“ก็...เปล๊า”เขายักไหล่แล้วเสสายตาไปอีกทางแต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรผมอีก ผมแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องนั้น(หรือเปล่า?)
“งั้นแยกกันตรงนี้นะครับ พวกผมกลับก่อน หวัดดีครับ” ผมร่ายยาวรวบรัดลาพวกเขาเลย
“อื้ม กลับดีๆนะเด็กๆ” พี่เซนท์บอกลา พี่ดีก็ยิ้มนิดๆให้ตามสไตล์ ส่วนไอ้พี่สมิธ...งอนตุ๊บป่องไปแล้ว กูผิดอะไรอีกเนี่ย ตัวเท่าควายนึกว่าตัวเองทำแล้วน่ารักหรอวะ
“ไม่น่ารักเลย” ไวเท่าความคิดปากผมก็พูดออกไปแล้ว พี่สมิธหันมาถลึงตาใส่เดินมาตบหัวผมเบาๆ
“กูไม่ได้งอน ใครจะทำ ตุ๊ดเหี้ยๆเลย”กอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีน้องเนี่ยนะ โอเคถ้าพี่มันน่ารักบอบบาง หรือหุ่นน่ากอดเหมือนพี่เซนท์มันก็พอให้อภัยได้ไง แต่นี่สูงอย่างเปรต เลยผมไปอีก แล้วแม่งหน้าอย่างหล่อ ซิกส์แพคก็มี พวกคุณลองนึกภาพดิ แต่ผมก็รู้แหละว่าไอ้พี่สมิธเขาแกล้งทำ
“ก็ดีครับ เพราะถ้าพี่โกรธหรืองอนผมจะไม่มาให้พี่เห็นให้เสียสายตาอีก” ผมว่ายิ้มๆ พี่สมิธจ้องผมเขม็งแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“ถ้ามึงหายกูตามถึงห้องอ่ะ ลองดู”
“หึๆ บายครับ แล้วเจอกัน”
++++++++++++++++++++++++++++++
ก็อกๆ แก็กๆ ปัง!
“อ่ะแฮ่ม” เสียงดังจากในห้อง
“ปล่อยน้ำใส่นาน้องแหน่” ผมตอบกลับอีกคนไป
แอ๊ด! ประตูห้องเปิดพอให้ผมแทรกตัวเข้าไปได้ก่อนจะปิดลงทันที
“โค้ดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย” ผมถามอย่างงๆ มันแปลกๆนะ อีกคนทำเพียงหัวเราะหึๆก่อนจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์สามตัวพร้อมสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด ถ้ามึงโดนไฟช็อตตายจะไม่แปลกใจเลย “ทำตัวลับๆล่อคนยิ่งสงสัย” ผมบ่นมันไปอีกที
“มีอะไรถึงมาหากูได้?” มันถาม
“กูจะให้มึงหาคนให้กูหน่อย” ผมเข้าเรื่อง
“ว้าว!ใครล่ะ” อีกคนมองผมอย่างสนใจ
“ไม่รู้”
“ห๊ะ...แล้วจะให้กูหายังไงวะ” มันเกาหัวงงๆ
“แฮคกล้องวงจรปิดโรงแรม S ย่าน...ให้กูที” ผมบอกนิ่งๆ
“เฮ้ย! ไหนว่ารามือแล้ววะ เกิดอะไรขึ้น” เจคถามขึ้นอย่างตกใจ
“ของสำคัญกูหายไปว่ะ กูสงสัยว่าคนที่กูกำลังตามหาอาจเอาไป” ใช่ครับ ตอนนี้ผมเชื่อเกิน 70 % ว่าคนๆนั้นอาจจะเอาไปเพราะโทรศัพท์ผมที่มีคนส่งข้อความหาเมฆทำให้ผมมั่นใจว่าแหวนอาจจะอยู่กับเขาก็ได้ “มึงจะเอาเท่าไหร่ว่ามาเลย” ผมบอกเจค ตัวผมไม่เคยให้ใครทำอะไรให้ฟรีหรอก
“มันไม่ได้อยู่ที่เงินเว้ย แต่มันเกิดอะไรขึ้นกับมึงวะที่ต้องวกกลับมาเส้นทางเดิม” เจคพูดอย่างเป็นห่วง มันก็เหมือนไอ้เมฆอีกคน เป็นเพื่อนที่รู้จักผมดีแต่เป็นอีกโลกหนึ่งที่เมฆไม่เคยรู้
“กูไม่อยากพูดถึง แต่มันทำให้กูเจ็บปวด” แค่นึกใจผมมันก็อดรู้สึกเจ็บแปลบไม่ได้ ผมระวังตัวเองมาตลอด แต่มาตกม้าตายเพราะเหล้าที่ผมแสนจะไม่ชอบ ผมไม่อยากโทษใครอีกคนที่ทำให้ผมรู้สึกอยากลืมเรื่องบ้าๆทั้งหมด
“เออก็ได้” เจคถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนหมุนตัวกลับไปที่หน้าคอมพิวตอร์ของมัน รัวนิ้วแกร็กๆๆจนมองตามไม่ทัน ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังมัน เห็นโค้ดที่ผมไม่เข้าใจขึ้นเต็มไปหมด
“ระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมนี้อยู่ในเกณฑ์ดีนะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ มึงจะดูของวันไหนล่ะ” เจคถามขณะรัวนิ้ว ตามันก็จ้องแต่หน้าจอ
“ตั้งแต่สี่ทุ่มของวัน…จนถึงก่อนเที่ยงของวัน…ดูกล้องทุกตัวของตัวล็อบบี้” ผมบอกเวลาที่คาดการณ์เอาไว้ เจครัวนิ้วไปสักพัก ก่อนหน้าจอจะขึ้นเครื่องหมายตกใจ
“ไฟล์ที่บันทึกช่วงห้าทุ่มถึงเก้าโมงเช้าของอีกวันหายไปว่ะ” เจคเกาหัวแกรกๆ
“งั้นดูที่ชั้นสิบเวลาเดียวกัน”
“ก็หายเหมือนกันว่ะ...เชี่ย มึงไปมีเรื่องกับใครวะ” เจคถามอย่างตกใจ
“มึงกู้ไฟล์ได้ไหม” ผมถามอีกคนเสียงนิ่ง เจครัวนิ้วต่อไปอีกสักพักก่อนจะขย้ำผมอย่างอารมณ์เสีย
“มันลบไฟล์ถาวรไปแล้ว ถ้ากูกู้คืนโค้ดแก้จะบังคับให้คีย์เข้ากดตัวไวรัสที่เขาวางไว้ ความเสียหายยังไม่รู้แต่ที่แน่ๆฐานข้อมูลกูถูกพบแน่ ซึ่งนั่นบอกได้เลยว่าซวยเหี้ยๆ” เหมือนโดนตีแสกหน้ารอบสอง ต้องทำขนาดนี้เลยหรอวะ
“ไม่เป็นไร เอาที่ปลอดภัยมึงไว้ก่อน” ผมบอกมันเสียงนิ่ง
“เดี๋ยวกูหาทางอื่น แต่คงต้องใช้เวลาหน่อย” เจคบอกเสียงเครียด มันเป็นพวกไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ยิ่งอะไรที่มันทำไม่ได้มันก็จะยิ่งทำให้สำเร็จ เสี่ยงกว่านี้เราก็ทำมาแล้ว
ตอนนี้เหมือนผมกำลังโดนอีกคนท้าทายหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เขาดักผมไว้ทุกทาง บีบให้ผมวิ่งเต้นไปตามเกมส์ของเขา ผมอยากปล่อยวางแต่ผมไม่เข้าใจ ผมสงสัยว่าทำไมเขาต้องทำขนาดนี้แล้วต้องการอะไรจากผมกันแน่ ถามว่าทำไมไม่ลองไปดูกล้องวงจรปิดที่ร้านเหล้า คือมันมืดและคนเยอะมาก คงไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่
“ขอบใจมาก นี่เลข IMEI เครื่องกูที่หายไป ว่างๆก็หาให้หน่อยแล้วกัน” ผมยื่นกระดาษให้เจค มันรับไว้แล้วหันไปจดจ่อกับหน้าคอมต่อ “กูไปแล้วนะ” มันพยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไร ผมจึงเดินออกจากห้องมัน หอที่เจคอยู่ค่อนข้างเงียบสงบ เป็นอาคารเก่าๆสองชั้น ชั้นละแค่หกห้อง แต่ก็มีพื้นที่ในแต่ละห้องที่กว้างขวางอยู่เหมือนกัน ระบบรักษาความปลอดภัยไม่มี อยู่ในซอยลึกสุดไม่ใกล้ไม่ไกลจากชุมชน เลือกได้ดีนี่
+++++++++++++++++++++++++++
“มึงติวสแตทให้หน่อยดิ๊” เมฆพูดขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งทานอาหารกันที่โรงอาหารของคณะ
“หืม แน่ใจหรอว่ากู?” ผมถามหลังเงยหน้าขึ้นจากการซดก๋วยเตี๋ยวถามเมฆ(บนโต๊ะอาหารมีแค่เราสองคน)
“เออดิ เทอมที่แล้วกูก็รอดเพราะมึง”
“แต่เทอมนี้ก็ยังไม่เริ่มทวนเลย กลัวมึงจะไม่รอดเพราะกูนะสิ” มัวแต่ยุ่งกับเรื่องอื่นอยู่ครับ การสอบก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกที
“เออน่ะ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” บอกเสร็จก็เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
“จริงๆมึงไม่น่ามาเรียนตามกู น่าจะไปเรียนบริหาร ไม่ก็วิศวะที่มึงชอบ” ผมพูดกับเมฆเสียงอ่อน เมฆถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ
“มึงนี่จะคิดมากทำไม กูสอบเข้ามาแล้วเปล่าวะ ถ้าไปเรียนคณะอื่นโดยที่ไม่มีมึงกูก็ไม่มีความสุขเหมือนกันเพราะต้องคอยห่วงมึงไง แบบนี้แหละดีแล้ว กูมีความสุขดีแค่ปวดหัวกะไอ้ที่เรียน เครนะไอ้น้อง” เมฆว่ายิ้มๆแล้วก้มลงกินอาหารตรงหน้าต่อ
“ขอบคุณนะพี่เมฆ” ผมยิ้มกว้างให้อีกคน
“หึ J ”
.
.
.
.
.
.
.
.
“ไอ้รันต์ได้ข่าวจะติวสแตทให้ไอ้เมฆหรอ ติวให้กูบ้างดิวะ เห็นมันโม้ว่ารอดได้อย่างปาฏิหารย์เพราะมึง” อ๋องตรงเข้ามาหาผมทันทีที่เลิกคลาส
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เทอมที่แล้วมันง่ายด้วยแหละมั้ง”
“ง่ายบ้านป้ามึงดิ แดกปลา เกือบครึ่งเซค ได้ด็อคมาจูงเล่นกันถ้วนหน้า มีมึงได้แดกแอปเปิ้ลอยู่คนเดียว” บ้านป้ากูอยู่เมกา -_-
“เออๆแต่เทอมนี้กูไม่รับประกันนะเว้ย ยากกว่าเทอมที่แล้ว อยู่ที่ความตั้งใจของพวกมึง” ผมบอกปลงๆ เหนื่อยเพิ่มอีกแล้วกู
“เย้! กูชวนพวกไอ้บอยมาด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ กรอกตาอย่างหน่ายๆให้พวกมัน “เออไอ้เมฆฝากบอกว่าให้ไปรอมันที่รถเลย มันไปขี้อยู่” ก็ว่าหายไปไหน กลิ่นตุๆเลยมาเลยไอ้บ้าเมฆ
ผมไปยืนข้างBMWคันหรูของเมฆนิ่งๆที่ลานจอดรถคณะ รอไปสักพักก็มีผู้หญิงสวยจัดสามคนเดินตรงมาทางนี้ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม...สายตาดูเป็นมิตรมาก//ประชด การแต่ตัวก็สไตล์สาวสวยประจำคณะ เสื้อนิสิตรัดรูปจนแทบปริ กระโปรงทรงเอความยาวคืบเดียวแถมแหวกซะจนน่าหวาดเสียว
“ใช่รันต์ป่ะ” เสียงแหลมปรี๊ดของนางหนึ่งถามขึ้น
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ พวกเธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากเหยียดยิ้มให้อย่างเยาะๆ
“เป็นอะไรกับเมฆ” อีกคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความเปรี้ยวได้ที่เลย(ไม่ใช่กลิ่นนะ)
“เพื่อนสิครับ” ผมตอบยิ้มๆ
“หรอ ท่าทางไม่น่าเป็นเพื่อนกันได้เลยเนอะ” คนตรงกลางและท่าทางจะเป็นหัวโจกด้วย กอดอกมองผมอย่างมีมาด
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณด้วยไม่ทราบครับ” ผมฉีกยิ้มให้อีกนิด
“แก! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาทำตัวสนิทสนมกับเมฆวันนี้ก็ทำเป็นหลอกให้เขาขยี้ผม หน้าตาก็เห่ย แหวะ!จะอ้วก!” อ่อ ไม่แฟนคลับก็คงเป็นคู่ขาเก่าของไอ้เมฆ
“ก็อ้วกออกมาสิครับ ใครเอามือปิดปากคุณไว้ไม่ทราบ”
“หยาบคาย แกคิดว่าแกเป็นใคร คิดจะสะเออะไปตีสนิทพวกพี่ทศกัณฐ์ รูปในเพจนั่นแค่เห็นก็ขยะแขยงไปหมด” อืม พวกเธอยังเป็นแฟนคลับของแก็งค์นั้นอีกด้วย
“ใช่ๆ คิดจะยกตัวเองหรอ” เสริมกันดีจริงๆ
“พวกคุณจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แล้วที่บอกว่าผมหยาบคาย ใครทำแบบไหนใส่ผม ผมก็จะทำอย่างนั้นคืนนะครับ” บอกแล้วยิ้มบางตบท้าย
“กรี๊ด!!!นี่แกว่าพวกฉันหรอ” หัวโจกกระทืบเท้าเร่าเตรียมถลาเข้ามาจะตบผมให้ได้
“เชิญเลยครับ แต่ถ้าคุณจะตบผมก็เตรียมเข้าพบคณบดีได้เลย” ผมบอกสายตาเหลือบไปทางกล้องวงจรปิดแล้วยิ้ม พวกเธอมองตามกัดฟันกรอด
“แกคิดว่าจะทำอะไรพวกฉันได้” ลูกสมุนถลึงตาใส่ผม
“ลองดูไหมล่ะ ทั้งเมฆ ทั้งพวกพี่สมิธ ว่าเขาจะทำยังไงกับพวกคุณถ้ารู้ว่าคุณทำร้ายผม คุณบอกว่าผมตีสนิทพวกเขานี่ ไม่อยากรู้หรอว่าสนิทขนาดไหน” เธอลดมือลงอย่างช่วยไม่ได้มองหน้ากันเหมือนปรึกษากันผ่านทางสายตา
“ฝากไว้ก่อนเถอะแก” พูดจบก็หมุนตัวเดินหนีอย่างฉุนเฉียวไปอีกทาง ลูกสมุนก็ถลึงตาใส่ผมอย่างโกรธๆก่อนจะตามออกไป เฮ้อ ผมกลัวพวกเธอจะปวดตากันซะจริงๆ ถลึงใส่อยู่นั่น
ช่างเถอะ ก็แค่คำพูดของคนอื่นไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตผมอยูแล้ว ถ้ามัวแต่เก็บมาใส่ใจไปซะหมด ชีวิตเราจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไงล่ะ
จริงไหม?
++++++++++++++++++++++++++++
{โปรดติดตามตอนต่อไป...}
งื้ออออออ สัมภาษณ์พิเศษreply ถัดไปฮับ
![:katai5:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/katai5.gif)