ตอนที่ 9 ตะกอน
‘คิดถึง’
เอกรงค์ปั้นหน้านิ่งปรายตามองข้อความสั้น ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะที่ไม่รู้ว่าถูกส่งมาเป็นครั้งที่เท่าไรนับตั้งแต่รุ่งสาง เพราะเพิ่งออกเวรเมื่อตอนพระอาทิตย์ขึ้นจึงไปหงีบหลับที่ห้องพักที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบแปดโมงเช้า กว่าจะทำธุระส่วนตัวอาบน้ำอาบท่าก็ปาไปเกือบเก้าโมง ได้เวลาที่จะต้องตรวจคนไข้พอดีจึงไม่ทันได้อ่านหรือตอบกลับข้อความที่ถูกส่งมาหลังจากนั้น เมื่อพยาบาลส่งสัญญาณว่าไม่มีคนไข้แล้วจึงใช้ปลายนิ้วเรียวเลื่อนอ่านตัวอักษรที่รวมกันเป็นคำว่าคิดถึงนับร้อยข้อความพลันรอยยิ้มแรกของวันก็กระจายทั่วใบหน้า
‘อยากเจอจัง ทำยังไงดี’
กุมารแพทย์หนุ่ม เท้าคางจ้องมองคำถามตรงหน้า ในที่สุดจึงพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ‘มัวแต่ส่งข้อความก็คงได้เจอหรอก’
‘ถ้าอย่างนั้นไปหานะครับ’
‘หาให้เจอนะ ผมจะกลับบ้านแล้ว’
‘เจอแน่ครับ ผมจอดรถที่คอนโดของโมแล้ว รีบกลับมาเร็ว ๆ นะ’
“อ้าวเฮ้ย!” นายแพทย์เอกรงค์อุทานพร้อมกับลุกพรวดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเล่นมัดมือชกกันเช่นนี้ ที่เขาบอกว่าจะกลับบ้านนั่นคือบ้านที่ต่างจังหวัดต่างหากไม่ใช่ที่คอนโดสักหน่อย กุมารแพทย์หนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจกดโทรศัพท์ถึงใครคนหนึ่ง รอไม่นานปลายสายก็กล่าวทักทายด้วยเสียงเข้มกังวาน หากใครได้ฟังก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเขาคนนั้นจะต้องเป็นชายหนุ่มรูปร่างใหญ่แน่ ๆ
“ไงครับคุณหมอ เห็นแม่บอกว่าวันนี้จะกลับบ้านเหรอ ออกเดินทางหรือยัง”
“เออ บอกแม่ไว้แบบนั้นแหละ”
“แต่...” คนพูดหัวเราะ
“รู้ได้ยังไงวะว่ามีแต่”
“ผมเป็นน้องพี่นะ แค่ได้ยินเสียงหายใจก็รู้ไปถึงไหน ๆ แล้ว”
“เวอร์แล้วไอ้พาทย์ ถ้าแกทำได้ขนาดนั้นก็เลิกขุดหม้อขุดไหแล้วไปเปิดสำนักเถอะ”
“แล้วว่ายังไงครับ คราวนี้ติดเคส ติดหวัด หรือว่า...”
“อะไรวะ”
“ติดแฟน”
“แฟนพ่อแกสิ”
“อ้าว แฟนพ่อผมก็แม่พี่นะ”
“เออ ลืม ๆ” เอกรงค์มุ่นคิ้วเมื่อจนมุม ในบรรดาน้องทั้งสามคน ก็ ‘วงพาทย์’ น้องชายคนรองที่อายุห่างกันเพียงแค่ช่วงหัวปีท้ายปีนี่แหละที่ถือว่าเป็นคู่ปรับสำคัญของเขา “ติดแฟนที่ไหนกัน ติดธุระโว้ย ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วย”
“ได้คร้าบบบ ว่าแต่จะกลับบ้านอีกทีเมื่อไรพี่ เกิดแม่ถาม ผมจะได้ตอบถูก”
“อืม...ก็คงไปว่างอีกทีเดือนหน้าโน่นเลย บอกขิมให้ตำน้ำพริกะปิไว้ให้กินหน่อยนะ คิดถึงถึงฝีมือจะแย่ ที่กรุงเทพฯ หาร้านอร่อย ๆ ไม่ได้เลย”
“ได้ครับ แล้วจะให้ผมส่งแผนที่ให้ไหม”
“เอามาทำไมวะ”
“ก็พี่โมไม่ได้กลับบ้านเป็นชาติแล้ว ผมกลัวจะหาทางกลับไม่ถูกเลยจะส่งแผนที่ไปให้ไง”
“ไอ้พาทย์!”
“หยุดเลย ไม่ต้องบ่น ผมฟังแม่บ่นคนเดียวก็พอแล้ว”
“ไอ้นี่...” พี่ชายคนโตส่ายหัวยิ้ม ๆ “เออ เอาไว้เจอกันนะ แค่นี้ละ”
หลังจากกดวางสายคุณหมอก็คว้ากระเป๋ากับกุญแจรถเดินออกจากห้องไป ไม่ถึงยี่สิบนาทีคาดิลแลคสีดำก็เลี้ยวเข้าประตูของคอนโดสูงใกล้สถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสินซึ่งเป็นคันกั้นเปิดปิดอัตโนมัติสำหรับผู้พักอาศัย หางตาเหลือบไปเห็นโฟล์คสวาเกนสีขาวจอดอยู่ข้างทางเข้าก็ทำให้ความก้ำกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหลุดออกจากความคิด เมื่อรถจอดสนิทเอกรงค์ก็เปิดประตูลงมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของรถทรงโบราณในทันที
“รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”
“โมลืมแล้วเหรอครับว่า ลูกชายโมเชียร์ผม”
“ฝีมือเจ้านอฟอีกแล้วเหรอ” นายแพทย์เอกรงค์ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจในความเจ้ากี้เจ้าการของลูกชายเพื่อนสนิท
“นี่ถ้าให้คีย์การ์ดได้คงให้แล้วละ” ศุกลหัวเราะในลำคอในขณะที่ตาคมยังจับจ้องที่ใบหน้าของคนอายุมากกว่า “รอนานแล้ว หิวน้ำจัง”
“ร้านฝั่งโน้นก็มีขาย”
“ถ้าอย่างนั้นผมบอกลาเลยก็แล้วกัน ซื้อน้ำเสร็จก็จะกลับแล้ว” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มมุมปากทำท่าจะหมุนตัวกลับก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ
“ด...เดี๋ยวติ๊น ไหนบอกว่าคิดถึงไง”
“ก็คิดถึงน่ะสิครับ แต่ไม่รู้ว่าคนที่ผมคิดถึงเขาจะคิดถึงผมหรือเปล่า ขนาดบ่นหิวน้ำยังไล่ให้ไปซื้อเลย”
“ไม่ได้ไล่ แค่คิดว่าทำไมไม่ไม่ซื้อน้ำดื่มก่อน ทนอยู่ทำไม”
“ก็รอโมไงครับ แล้วโมรู้ไหมว่าต้องทำยังไง” ศุกลทำหน้าเฉไฉกอดอกรอฟังคำตอบ
เอกรงค์ส่ายหัวหนัก ๆ ทำเป็นไม่ใส่ใจสายตาวิบวับที่อีกฝ่ายจงใจมอบให้ “ไปคุยกันข้างบน” ว่าแล้วก็เดินนำไป...
กุมารแพทย์หนุ่มแตะคีย์การ์ด เปิดประตูพร้อมกับเชิญให้คนมาใหม่เข้าไปข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตศุกลก็เดินแทรกประตูเข้าไป รอกระทั่งมือขาวดึงประตูปิดจึงสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังให้สมกับที่คิดถึงทันที
“จั๊กจี้” เอกรงค์กล่าวเมื่อกลีบปากอ่อนโยนแตะลงที่ซอกคอซ้ำ ๆ
“คิดถึงจะแย่”
“ปล่อยก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”
ศุกลยอมทำตามอย่างว่าง่าย นั่นเพราะเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรแถมเวลาที่จะอยู่ด้วยกันก็ยังมีอีกทั้งคืน ตาคมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินลับเข้าไปในครัวพลางยกมุมปากขึ้น เขาคิดเช่นนั้นและจะทำให้มันเป็นจริงถึงแม้จะยังไม่ได้เอ่ยปากขอเจ้าของห้องก็ตาม
จิตรกรหนุ่มถือวิสาสะเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้องซึ่งตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เน้นการใช้สีขาว ดำและน้ำตาล ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกขนาดใหญ่มองลงไปจะเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขนาบข้างตึกรามบ้านช่อง ดวงอาทิตย์ดวงโตเคลื่อนต่ำลงกระทั่งเลือนหายไปหลังริ้วเมฆ เห็นภาพเช่นนี้ก็ให้หวนนึกถึงเมื่อครั้งต้องใช้ชีวิตคนเดียวในต่างประเทศ ซ้ำเมื่อกลับมาอยู่ประเทศไทยได้ไม่นานก็ต้องสูญเสียผู้เป็นพ่อ แดดร่มลมตกทีไรความรู้สึกเหงาก็มักเข้าแทรกซึมในรอยแยกของหัวใจที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มอยู่ร่ำไป
“ห้องสวยจัง โมแต่งเองเหรอ” ศุกลเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนจะละสายตาจากภาพสวยงามแต่ลึก ๆ กลับเจือด้วยความเศร้าหมอง
“เปล่า เจ้าของเดิมเขาทำไว้น่ะ” เอกรงค์ตอบขณะเดินออกจากครัวมาหยุดตรงหน้าแล้วส่งแก้วน้ำให้ “ดื่มน้ำก่อน”
“ขอบคุณครับ” ศุกลรับน้ำมาดื่มก่อนจะวางแก้วไว้บนโต๊ะทำงานที่มีตำราแพทย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาสีดำ
ขายาวยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ที่โต๊ะทำงาน กวาดตามองภาพถ่ายในกรอบที่วางอยู่ เห็นว่านอกจากจะมีภาพครอบครัวแล้วยังมีภาพของเอกรงค์ในวันรับปริญญาที่ถ่ายคู่กับชายหนุ่มที่ไปส่งเมื่อวันที่ไปออกค่ายที่หัวหินด้วย ศุกลย่นจมูกก่อนจะคว้าภาพนั้นแล้วจับคว่ำลงแล้วจึงกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แสดงว่าเจ้าของเดิมต้องหัวศิลป์มากแน่ ๆ เลย หรือไม่ก็มีที่ปรึกษาเป็นมัณฑนากร ถึงได้ตกแต่งเสียดูน่าสนใจแถมใช้พื้นที่คุ้มค่าแบบนี้”
“อืม...เห็นว่าเขาเป็นดีไซเนอร์นะ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าออกแบบอะไร เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะ เขาแต่งงานก็เลยย้ายไปอยู่ด้วยกัน” พูดจบคุณหมอก็บิดขี้เกียจก่อนจะเอนหลังแนบไปกับพนักโซฟา
“หิวหรือเปล่า เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทาน” ศุกลเสนอตามประสาคนมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเอง นั่นเพราะการต้องไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานทำให้เขาต้องหัดหยิบจับงานที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นงานของผู้หญิง
“ในตู้เย็นมีแต่น้ำเปล่า ของสดกับไข่หมดไปตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังไม่มีเวลาไปซื้อเลย” พูดไปก็ปิดปากหาวหวอด ๆ “ตอนนี้ที่ทำได้คงเป็นติ๊นต้ม”
เจ้าของร่างสูงยิ้มพรายก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วกระซิบ “อยากกินไหม จะทำให้กิน”
“ชอบกินแบบสด ๆ มากกว่า แบบลากไปกินในน้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นโมเตรียมตัวเลย เดี๋ยวผมจะเตรียมน้ำอุ่นให้” พูดทั้งที่ปลายจมูกยังคลอเคลียอยู่กับใบหู “อยากถูกลากไปกินในน้ำ”
“อย่าทำให้ขำได้ไหม ง่วงนอนจะแย่แล้ว” เอกรงค์บ่นงึมงำ แทบไม่มีแรงยกหนังตาที่คอยจะปิดลงอยู่เรื่อย
“พูดเรื่องจริง” ศุกลว่าพลางยกมือขึ้นแตะลงข้างแก้มนิ่ม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยวนเบา ๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย ได้ยินเสียงคำรามฮือในลำคอของคนง่วงแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“ง่วง...” พูดจบก็รั้งมือใหญ่ออกก่อนจะโถมเข้าหาคนช่างแกล้งกระทั่งลงไปทาบทับกันอยู่บนโซฟา
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนนะครับ” จิตรกรหนุ่มบอกพร้อมกับใช้สองแขนคล้องเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ “เอาไว้รวบยอดไปชดเชยคราวหน้าก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบก็ได้ยินคนในอ้อมกอดหัวเราะลงคอจนต้องยกหัวขึ้นมองว่าอีกฝ่ายหลับจริงหรือแกล้งทำกันแน่ แต่ยังไม่ทันดูให้แน่ใจร่างของเอกรงค์ก็ยุกยิกเสียก่อน กุมารแพทย์หนุ่มขยับตัวอยู่หลายรอบแต่ดูเหมือนจะไม่เข้าที่สักที เล่นเอาคนที่ยอมสละตัวเองเป็นทั้งที่นอนและหมอนต้องกัดกรามแน่น สะกดใจไม่ให้วูบไหวไปกับสัมผัสที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหรือไม่กันแน่
ศุกลกระชับท่อนแขนแน่นขึ้นเมื่อหน้าขาเสียดสีกับร่างกายที่ยังไม่มีโอกาสได้จับต้อง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คลอเคลียอยู่กับปลายจมูกนั่นยิ่งแล้วใหญ่ มันพาให้หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
“ถ้าขยับอีกทีละก็ ผมจะไม่ยอมให้นอนแล้วนะ” พูดลอย ๆ หากแต่มันได้ผลเมื่อจู่ ๆ คนในอ้อมแขนก็นิ่งไปราวกับถ่านหมด
นอนไปได้เกือบชั่วโมง นายแพทย์เอกรงค์ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อหูได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือ เมื่อปรือตาขึ้นก็เห็นว่าคนใต้ร่างไม่ได้กอดตนเองอีกต่อไป แต่กำลังใช้สองมือประคองกดโทรศัพท์โดยมีเขานอนเกะกะอยู่ในวงแขน
“ขอโทษครับ ผมทำให้ตื่นใช่ไหม” ศุกลกล่าวแล้วจึงกอดอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้ง
“กี่โมงแล้ว” คนเพิ่งตื่นกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“สองทุ่มครับ”
คนฟังพยักหน้าปิดปากหาว ยังไม่ทันได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ คนที่กอดเขาอยู่ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง
“โมจำพี่สาวของเพื่อนที่ผมไปเยี่ยมมาเมื่อวันก่อนได้ไหม เพื่อนผมส่งข้อความมาบอกว่าตอนนี้คุณหมอช่วยไว้ได้จนปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกแล้วนะ”
“ดีจัง” เอกรงค์พึมพำกับตัวเอง เมื่อแนบหูลงกับอกแกร่งก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
“ทุกคนดีใจกันใหญ่ นี่ส่งรูปหลานมาให้ดูด้วยนะ ตอนนี้นอนอยู่ในตู้อบ ตัวแดงเชียว โมอยากดูไหม”
เอกรงค์คราง ‘ไม่...’ ในลำคอกำลังจะหลับตาลง เสียงเตือนสายเข้าก็ดังขึ้นข้างหูจนตอนนี้เขาตาสว่างเสียแล้ว ชายหนุ่มยันตัวผละออกจากแผงอกอุ่น ลุกขึ้นนั่งขยี้ตาพร้อมกับอ้าปากหาวเสียงดัง
“ไปอาบน้ำดีกว่า” พูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน
ศุกลขยับตัวขึ้นนั่งเป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์สั่นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ข้อความ แต่เป็นสายเข้า
“ไงไนท์ อื้อ...เห็นแล้วละ น่าเกลียดน่าชังเชียว...” กล่าวขณะเดินไปหยุดที่ผนังกระจก เห็นว่าบนถนนยังคงมากไปด้วยรถรา ตึกรามบ้านเรือนเปิดไฟสว่างไสวตอกย้ำคำกล่าวที่ว่ากรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรคือมหานครที่ไม่เคยหลับใหล...
จิตรกรหนุ่มชะเง้อคอมองหาเจ้าของห้องที่หายเข้าไปในห้องเกือบหนึ่งชั่วโมงในขณะที่ปากก็กล่าวคำลาคนที่ปลายสาย ศุกลยืนทอดตามองแสงไฟบนยอดตึกอยู่ครู่หนึ่งจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของเอกรงค์จึงถือวิสาสะอีกครั้ง ขายาวก้าวไปหยุดที่หน้าห้องนอนยกมือขึ้นบิดลูกบิดและในที่สุดก็พบว่ามันถูกล็อกจากข้างในจึงตัดสินใจเคาะเรียก
“โม ยังอาบน้ำไม่เสร็จอีกเหรอ”
เงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงตอบกลับแว่ว ๆ
“ยัง จะกลับแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นผมฝากปิดไฟด้วยนะ”
ศุกลมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ‘ผมไม่ได้มาเพื่อจะปิดไฟให้คุณหรอกนะ’ ชายหนุ่มนิ่งนึก แต่แล้วในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคง่าย ๆ ออกไป
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะ ฝันดีครับ”
สิบนาทีต่อมาประตูห้องนอนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างสูงที่พันท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูสีขาวเพียงผืนเดียวก้าวออกมากวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นว่าไฟที่เคยเปิดสว่างถูกปิดเหลือเพียงโคมไฟข้างโซฟาเพียงดวงเดียว ภายในห้องไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดนอกจากตัวเขาเองดังนั้นเอกรงค์จึงแน่ใจว่าศุกลกลับไปแล้ว กุมารแพทย์หนุ่มเดินไปรั้งผ้าม่านบริเวณผนังกระจกเข้าหากันเพื่อกำบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่จะสาดเข้ามาในยามเช้า จากนั้นจึงหันเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง ยังไม่ทันที่มือจะดึงประตูให้ปิดสนิทร่างสูงที่โถมเข้าประชิดก็ทำให้สะดุ้งโหยง แผ่นหลังเปลือยสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากอกแกร่ง คิดจะหนีแต่ก็ช้ากว่าสองมือใหญ่ที่ยึดเอวสอบไว้แน่น
“คนใจร้าย” ศุกลกระซิบเสียงพร่า แอบสูดกลิ่นสบู่อาบน้ำจากตัวของอีกฝ่าย
“ไหนว่ากลับแล้วไง”
“จะกลับได้ยังไงครับ เพิ่งคุยกับโมไปได้ไม่มีกี่ประโยคเอง”
“แล้วจะคุยกับผมอีกกี่ประโยคถึงจะพอ สิบ ร้อย หรือว่าพันประโยค”
“มีอีกเป็นล้านประโยคที่อยากคุย แต่วันนี้ไม่อยากคุยแล้ว อยากต่อว่า” พูดจบมือหนาก็จับคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน “คนคิดถึงยังจะบอกให้กลับ”
ศุกลกดตาลงต่ำมองกล้ามเนื้อช่วงเชิงกรานที่โผล่พ้นขอบผ้าขนหนูก่อนจะไล่ลามเลียขึ้นมาจนกระทั่งถึงกระดูกไหลปลาร้า แม้จะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนไปทะเล หากแต่ความรู้สึกมันช่างผิดกันลิบลับ ในวันนั้นเขาเห็นอีกฝ่ายในแบบที่จับต้องไม่ได้ แต่สำหรับวันนี้รับรองว่าเขาจะจับให้ช้ำคามือไปเลย
“ดึกแล้ว” ปากพูดไปทั้งที่ก่อนหน้าและตอนนี้คิดตรงข้าม ‘ก็ที่อาบน้ำเป็นนานสองนานก็เพราะ...’ เอกรงค์ก้มหน้าเผลอกัดริมฝีปากและส่ายหัวเมื่อจู่ ๆ ความคิดก็โลดแล่นไปไกลแสนไกล
“อะไรครับ”
“อ...อะไร”
“ทำท่าแบบนั้นหมายความว่ายังไง แล้วทำไมหน้าแดง กำลังคิดอะไรอยู่ หืม?”
“เปล่านี่” คนพูดเงยหน้าขึ้นสบตา ใช้มือทั้งสองข้างยันแผงอกแกร่งเอาไว้ “ออกไปก่อน ผมจะใส่เสื้อผ้า”
“เดี๋ยวผมใส่ให้ แต่ต้องรอเช้านะ” ศุกลกล่าวพลางเลื่อนสองมือขึ้นจับไหล่กลมกลึง โน้มหน้าเข้าหาแล้วแตะริมฝีปากลงที่ข้างแก้มก่อนย้ายมาดูดชิมความหวานของกลีบปากสีเรื่อที่เผยอขึ้นรับรสสัมผัสโดยมิได้ขัดขืน
เอกรงค์หลับตาเมื่อปากร้อนเลื่อนต่ำขบเม้มตามแนวสันกรามเรื่อยลงมาตามซอกคอ ในที่สุดความปรารถนาภายในใจก็ถึงจุดที่ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไปซ้ำยังถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อพิสูจน์ได้ว่าศุกลเองก็คิดไม่ต่างกันกับเขา
สองร่างเกี่ยวรัดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ยิ่งเห็นรอยที่เคยฝากไว้ยังไม่จางลงก็ยิ่งเหมือนเดิมเชื้อไฟให้ลุกโหม จิตรกรหนุ่มฝังริมฝีปากซ้ำ ๆ อย่างหลงใหลที่เหนือเนินกระดูกราวกับผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังเมามายในรสหวานของเกสรดอกไม้ก็ไม่ปาน
“ชอบนักก็เอาใส่กระเป๋ากลับบ้านไปด้วยเลยดีไหม”
คำถามนั้นทำให้เผลอยิ้มทั้งที่ริมฝีปากยังเคลียคลอกับแนวกระดูกยาวเว้าลึกใต้หัวไหล่ คนอายุน้อยกว่าหัวเราะลงคอก่อนจะแกล้งงับเบา ๆ แล้วผละออก “อยากเอาไปทั้งตัวเลย” พร้อมกันนั้นมือหยาบก็ลากลงมาตามเนื้อตัวนวลเนียน สัมผัสความเว้าโค้งนุ่มมือ กระทั่งหยุดยังยอดเนื้อสีหวานที่แตะลงทีไรก็พาให้ร่างของคนในอ้อมแขนสั่นสะท้านทุกทีไป ยังไม่วายแกล้งไล้วนจนแข็งเป็นไตก่อนจะขยับไล่ลงมายังหน้าท้องซึ่งประดับด้วยมัดกล้ามเป็นลอนสวย
ความเชื่องช้าเนิบนาบในสัมผัสเล่นเอาเอกรงค์หายใจไม่ทั่วท้อง เผลอใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอแกร่งเป็นผลให้สองร่างยิ่งแนบชิด และเมื่อมือใหญ่บีบเคล้นลงที่สะโพกกุมารแพทย์หนุ่มก็ยิ่งเบียดเข้าหาอย่างไม่รู้ตัว
“จะเอาโมกลับไปเป็นแบบวาดรูป สมัยเรียนอาจารย์เคยให้วาดแต่นู้ดผู้หญิง อยากลองวาดผู้ชายบ้าง”
“แล้วทำไมไม่ให้คนอื่นเป็นแบบล่ะ” คนสงสัยถามเสียงขาด ๆ หาย ๆ เมื่อมือกร้านเริ่มรุกรานปั้นท้ายของตน
“ถ้าไม่ใช่โม...ก็ไม่อยากวาด” พูดจบก็ฝังจมูกลงที่ข้างแก้มขาว
“ปากหวาน” เอกรงค์ไม่คิดหลบ และเพราะในหัวยังมีข้อสงสัยอีกมากจึงถามต่อ “แล้วคนเป็นแบบต้องทำยังไงบ้าง”
“ก็...ถอดเสื้อผ้า ส่วนท่าทางแบบไหน นั่งหรือนอนคนวาดจะเป็นคนบอกเอง”
“แล้วติ๊นอยากให้ผมทำท่าทางแบบไหน”
“แบบนี้ไง” พูดจับก็ดันร่างของคนช่างสงสัยจนเซไปด้านหลังกระทั่งหงายลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน
รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของคนอายุน้อยกว่าขณะที่เขาแทรกเข่าลงระหว่างท่อนขาซึ่งถูกอำพรางด้วยผ้าขนหนู ชายผ้าที่ถลกขึ้นดูหมิ่นเหม่เมื่อจนเห็นเนื้อขาวที่โคนขาดูหมิ่นเหม่เหลือเกิน แขนแกร่งยันกับที่นอนล้อมไว้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน ในขณะที่ดวงตาสองคู่ยังสบกันไม่ลดละ
“ของที่ฝากไว้ยังอยู่หรือเปล่าครับ” ร่างสูงโน้มลงกระซิบที่ข้างหู ทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระส่ำ เมื่อเห็นเอกรงค์พยักหน้า จิตรกรหนุ่มจึงกล่าวต่อ “นึกว่าเอาไปใช้กับใครแล้วเสียอีก”
“ก็รอใช้กับคนให้นี่แหละ” ว่าแล้วก็ผลักอกกำยำให้ห่างตัว ก่อนจะหันไปดึงลิ้นชักข้างเตียง หยิบเอาของที่ศุกลถามหาออกมา “เอ้านี่ ถ้าไม่พอยังมีอีกโหล”
“ผมลืมวิธีใช้มันไปแล้วทำยังไงดี”
คุณหมอกัดปากอย่างมันเขี้ยว จ้องหน้าเจ้าของดวงตามวาววับพลางส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความเจ้าเล่ห์แสนกล ในที่สุดเอกรงค์ก็โยนของในมือลงข้างตัวก่อนจะดันหน้าอกของอีกฝ่ายให้พลิกหงายพร้อมกับโถมกายเข้าหา มือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่เอวกางเกงออกแรงดึงเป็นสัญญาณให้เจ้าของดวงตาทอประกายที่ยังสบกันลุกขึ้นนั่ง
ศุกลใช้สองมือจับต้นขาขาวรั้งอีกฝ่ายเข้ามาชิดอย่างรู้งาน ส่งเรียวขาขาวทอดไปทางด้านหลังให้เกี่ยวกับเอวของตนเองเอาไว้ ท่าทางของคุณหมอตอนนี้จึงไม่ต่างจากลูกลิงกอดคอเจ้าของแน่น ที่ดูเกะกะสายตาเห็นจะเป็นผ้าขนหนูที่หลุดร่นจนเผยปั้นท้ายยวนใจ มือใหญ่หมายจะดึงสิ่งปิดบังออกแต่แล้วร่างเล็กที่โผเข้าหาก็ทำให้ต้องเลิกล้มความคิดเปลี่ยนเป็นบีบขยำสะโพกมนเพื่อหักห้ามใจแทน
“อย่าใจร้อนนัก ผมบอกแล้วไงว่าจะชดเชยให้” เอกรงค์กระซิบใบริมหูก่อนจะลากปลายจมูกพรมจูบไปใบทั่วหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากบางมาหยุดที่กลีบปากหยักแตะปลายลิ้นลากวนแล้วจงใจขบลงเบา ๆ ไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งส่งให้อารมณ์ของคนถูกกระทำยิ่งพลุ่งพล่าน
“รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำให้ผมคลั่ง”
ประโยคกระท่อนกระแท่นเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกุมารแพทย์หนุ่มได้อย่างไม่ยาก ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่บ่ากว้างจากนั้นจึงค่อย ๆ ลากลงมาตามเนื้อแน่นกระทั่งหยุดที่แนวขอบกางเกง จัดการคลายหัวเข็มขัดอย่างคล่องแคล่ว กำลังจะปลดกระดุมกางเกงยังไม่ทันรูดซิปก็เปลี่ยนใจเลื่อนมือไปรั้งโทรศัพท์ที่ศุกลใส่ไว้ในกระเป๋าด้านหลังออกมาเมื่อจู่ ๆ มันก็ส่งเสียงสั่นเตือนขัดจังหวะขึ้นเสียได้ เตรียมจะกดตัดสายแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อผู้เป็นเจ้าของเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวครับ ขอผมดูหน่อยว่าใครโทรมา”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเอกรงค์จึงส่งโทรศัพท์คืนให้ ศุกลรับมันไปในขณะที่มือข้างหนึ่งยังไม่ห่างจากปั้นท้ายเนียน นัยน์ตาคมจ้องหน้าจอสัมผัสนิ่งและเนิ่นนานราวกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“รับเถอะ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวขณะซบหน้าลงบนบ่าแกร่งทอดตามองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ข้างเตียง เลขดิจิทัลแสดงว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มครึ่งแล้ว เพียงชั่วอึดใจก็ได้ยินศุกลก็เอ่ยขึ้น
“ไนท์ มีอะไรเปล่า”
จากนั้นคนที่ปลายสายก็พูดสวนเข้ามาอย่างรีบร้อน
“อือ ใจเย็น ๆ นะ โทรหาประกันหรือยัง... อืม... ได้ ๆ ... มีอะไรโทรมานะ”
เสียงเงียบไปแล้ว...
ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลงรวมถึงความร้อนรุ่มด้วยแรงแห่งไฟปรารถนา จะมีก็แต่หัวใจของเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่เริ่มคลายออกกระมังที่ยังคงเต้นรัวด้วยความร้อนรนเพราะเรื่องของใครอีกคนที่เพิ่งวางสายไป และนั่นก็ทำให้เอกรงค์รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง กุมารแพทย์หนุ่มวางมือทั้งสองข้างบนบ่าหนาก่อนจะเลื่อนใบหน้าออกห่างเพียงเล็กน้อยพอให้ปลายจมูกได้สัมผัสกัน
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ศุกลแตะจูบเบา ๆ ที่กลีบปากของคนช่างยั่วในขณะที่มือหนึ่งกำโทรศัพท์แน่น “เพื่อนผมขับรถไปชนคนน่ะครับ ทำอะไรไม่ถูกเลยโทรมา”
เสียงเตือนข้อความเข้าที่ถูกปรับเป็นระบบสั่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้ง และดูว่าจะถี่เหลือเกินจนเจ้าของต้องเลื่อนสายตาลงมองเป็นระยะ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาเพื่อนเถอะ”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของเรากับหุ่นยนต์หรอกนะ หมดอารมณ์พอดี” กุมารแพทย์หนุ่มว่า ก่อนจะรั้งผ้าขนหนูขึ้นอำพรางช่วงล่างพร้อมกับลุกขึ้น คว้าเสื้อผ้าที่เตรียมไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอน ร่างสูงเดินอ้อมเตียงมาหยุดยืนต่อหน้าคนที่กำลังใส่เข็มขัดและจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
“เดี๋ยวผมไปส่ง” เตรียมจะไปเปิดประตูก็ถูกมือใหญ่ของศุกลรั้งเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
“ว่าไงไนท์... อื้อ รอเดี๋ยวนะ...” คนตัวสูงกว่ากล่าวพร้อมกับค่อย ๆ คลายมือออก ดังนั้นเอกรงค์จึงเดินนำอีกฝ่ายออกจากห้องนอน
“...เรากำลังจะไปแล้ว ไนท์ใจเย็น ๆ นะ”
เมื่อศุกลก้าวพ้นประตูห้องก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกลา แต่เพราะโทรศัพท์ที่ยังถือแนบอยู่กับหูเขาจึงทำได้เพียงแค่ส่งสายตาให้คนที่เดินมาส่งเท่านั้น
“ไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมง เราน่าจะถึงสถานีตำรวจ...” กล่าวพร้อมกับก้าวเข้าประชิดตัวเจ้าของห้อง ตั้งใจจะจูบลาแต่เอกรงค์กลับใช้มือดันแผงอกของเขาเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าน้อย ๆ ดังนั้นจิตรกรหนุ่มจึงถอยห่างออกมาก่อนจะค้อมศีรษะให้ จากนั้นขายาวก็ก้าวไปที่ลิฟท์อย่างรีบร้อนพอ ๆ กับหัวใจในตอนนี้....
(มีต่อค่ะ)