Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once: กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (ถธปทฟ & leGGyDan) แจ้งข่าวรวมเล่ม 17-11-2561  (อ่าน 77748 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โธ่ เด็กๆ อ่ะ แต่ว่าไอ้ผีที่ว่าเนี่ยเราว่าเป็นไอ้นอฟกับทัศน์มากกว่ามั้ง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขำพวกเด็กเล็กเด็กโตอ่ะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
อดอีกแล้วพี่ติ๊น 5555

สงสารน้องธีร์

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ  มาไวมาก  อดอีกตามเคย  อิอิ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขำเด็กแสบทั้ง 3 ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อะโหยยยย เรือล่มมมมมม


55555555


ทั้งสงสารทั้งขำ เด็กๆน่ารักจริงๆ กลัวผีมานอนรวมกันหมด กร๊ากกกก

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
โอ๊ย ชอบค่ะ

ขอบคุณสองผู้เขียน
ชอบตัวหนังสือของทั้งสองมาตลอด
จอมบรรยายทั้งคู่ด้วยค่ะ

รอ รอ รอ ค่ะ
 :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โอ้ยขำเด็กๆ 555555 สงสารพี่ติ๊น

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ขี้อ่อยอะไรกันขนาดนี้

สมน้ำหน้าเจ้าตัวแสบทั้งสองคน อยากรู้ดีนัก อดหมดเลย คนอ่านก็อดไปด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 8 ลมหวน


แม้จะกลับจากออกค่ายมาได้เกือบหนึ่งสัปดาห์ เสียงคลื่นและความคาวเค็มของน้ำทะเลก็จางหายไปตั้งแต่มินิบัสเคลื่อนห่างจากหาดทรายสีขาว หากแต่แววตาพราวระยับที่สบกันนิ่งในความมืดด้วยระยะห่างเพียงช่วงแขนยังคงชัดเจนในความรู้สึก กลิ่นหอมจากเรือนกายที่เคยใกล้ชิดคล้ายยังติดที่ปลายจมูก การกระทำของใคนบางคนในค่ำคืนนั้นยังส่งผลให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึง เอกรงค์ปล่อยตัวพิงพนักเก้าอี้เมื่อคนไข้คนสุดท้ายเดินคล้อยหลังไปได้สักพัก ตากลมทอดมองประตูบานเลื่อนที่ปิดสนิทพลางยกปลายนิ้วเรียวขึ้นแตะที่มุมปากตนเองแล้วลากไปยังอีกฝั่งอย่างเชื่องช้า


ในหัวมีแต่หน้าคนที่ทิ้งจ้ำเล็ก ๆ เอาไว้ที่แหนือกระดูกไหปลาร้าต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องสวมเสื้อเชิ้ตติดกระดุมถึงคอและผูกเนคไทมาทำงานทุกวันจนบรรดาพยาบาลสาว ๆ ต่างพากันทักเพราะมันเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาพวกเธอสักเท่าไร กุมารแพทย์หนุ่มเลื่อนมือขึ้นถูผิวเนื้อเมื่อความร้อนแผ่ซ่านทั้งสองแก้มเมื่อนึกถึงคำพูดของตนเอง ‘วันหลังจะชดเชยให้’ ส่วนมือข้างที่เหลือคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะแตะปลายนิ้วพิมพ์ข้อความบางอย่างส่งถึงคนที่ยังไม่ได้พบหน้ากันเลยตั้งแต่อำลากันในเย็นวันที่กลับจากหัวหิน


เสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าทำให้ศุกลต้องละสายตาจากแท่งถ่านสีดำปลายตัดที่กำลังลากไปมาบนกระดาษปรู๊ฟ มือที่ว่างหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนแบบขึ้นมากดอ่านข้อความเก่า ๆ ...


‘หิว’


จิตรกรหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ ทันทีที่เห็นข้อความจากโปรแกรมสนทนา ชายหนุ่มวางมือจากการวาดภาพหุ่นนิ่งด้วยเทคนิคชาร์โคลลุกขึ้นแล้วเดินไปล้างไม้ล้างมือก่อนจะออกไปนั่งรับลมที่ใต้ต้นจำปีหน้าบ้าน พิมพ์ข้อความแล้วส่งกลับไป


‘หิวแล้วทำไมไม่หาอะไรทานล่ะครับ’


ไม่ถึงอึดใจ อีกคนก็ตอบกลับมา ‘กินอะไรดี’


‘ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง เยอะแยะไป’


‘ไม่อร่อย’ เป็นข้อความที่ถูกส่งกลับมาตามด้วยตัวการ์ตูนยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้หัวใจคนอ่านเต้นแรงได้เท่ากับประโยคสั้น ๆ หลังจากนั้น ‘อยากกินติ๊นมากกว่า’


“หืม” ศุกลอุทานเบา ๆ พลางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอสัมผัส อดคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้ ถ้าบอกกันเสียอย่างนี้ตั้งแต่คืนนั้นก็จะได้ชวนกันหาอะไรกินให้อิ่มไปเลย


‘ขอโทษ ๆ มือไวไปหน่อย จะบอกว่ากินคนเดียวไม่อร่อย อยากกินกับติ๊นมากกว่า เดี๋ยวเย็น ๆ ไปหานะ’


จิตรกรหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในที่สุดก็ส่ายหัวดิกนึกตำหนิตัวเองที่เผลอปล่อยใจคิดอกุศล กำลังจะพิมพ์ข้อความตอบกลับก็พอดีกับที่มีสายเข้าเสียก่อน...


โฟล์กสวาเกนสีขาวก็แล่นเข้ามาจอดเทียบบาทวิถีหน้าร้านขายเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะขนาดสองคูหา ศุกลดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบกลับข้อความที่เอกรงค์ส่งมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน


‘ได้ครับ ผมมาทำธุระที่ร้านเครื่องเขียน แวะคุยกับเพื่อนแล้วจะรีบกลับ’   


เมื่อเรียบร้อยชายหนุ่มจึงเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้าน ไม่นานเขาก็กลับออกมาพร้อมกับกระดาษหอบใหญ่ ถุงใส่แผ่นไม้อัดและเครื่องมือสำหรับทำแม่พิมพ์แกะไม้รวมถึงสีโปสเตอร์บรรจุกล่องอีกจำนวนหนึ่ง จัดการวางของทั้งหมดที่เบาะหลังและจึงปิดประตู มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาแต่คนที่นัดกันไว้ยังไม่มาจึงยืนรออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งโทรศัพท์ดังขึ้น


‘เราอยู่หน้าร้านเครื่องเขียนแล้วนะ’ ศุกลกล่าวทันทีที่กดรับสาย


‘เห็นแล้ว’ คนปลายสายตอบกลับ ฟังคล้ายมีสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งนั้นชัดเจนจนเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มต้องเหลียวหลังและภาพที่เห็นก็คือหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกำลังเดินใกล้เข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มให้


“รอนานไหม”


คนถูกถามส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง การปรากฏตัวของรัตติเขตทำให้ศุกลลืมเสียงเตือนข้อความเข้าที่เพิ่งดังขึ้นเมื่อครู่ไปเสียสนิท “เราทำธุระเสร็จพอดี ขอโทษนะที่ต้องให้ไนท์มาเจอที่นี่”


“ไม่เป็นไร เราผิดเองที่โทรไปนัดกะทันหัน”


“เฮ้ย ดูพูดเข้า ฟังแล้วห่างเหินยังไงก็ไม่รู้” จิตรกรหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ถ้าอย่างนั้นไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟฝั่งโน้นดีไหม”


“ร้านกาแฟ” คนเพิ่งมาถึงทวนคำ


“เครื่องดื่มอย่างอื่นก็มี ไม่ได้มีแค่กาแฟอย่างเดียว เราจำได้หรอกน่าว่าไนท์ไม่ดื่มกาแฟ”


จบประโยคนั้นอีกฝ่ายก็ค่อยยิ้มออก “ไปสิ”


ศุกลและรัตติเขตยืนรอจังหวะที่รถว่างก่อนจะพากันเดินไปยังร้านเล็ก ๆ ที่อยู่อีกฝั่งของถนน ภายในร้านตกแต่งเรียบง่าย บรรยากาศเงียบสงบเหมาะจะเป็นที่พักผ่อนของหนุ่มสาววัยทำงานยิ่งนัก ศุกลเองมักจะแวะสั่งกาแฟดื่มอยู่บ่อย ๆ เมื่อต้องมาสั่งอุปกรณ์ศิลปะหรือมารับของจากคุณลุงเจ้าของร้านเครื่องเขียน


“โกโก้ร้อนสองแก้วครับ” คนตัวสูงกว่ากล่าวกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ แต่เมื่อนึกขึ้นได้จึงเหลียวกลับมาถามอีกคนที่เดินมาหยุดยืนข้างกัน “ยังชอบโกโก้เหมือนเดิมหรือเปล่า”


“อื้อ ชอบเหมือนเดิมแหละ”


ศุกลพยักหน้าก่อนจะย้ำกับพนักงานอีกครั้งแล้วจึงเดินนำเพื่อนเก่าไปนั่งที่โต๊ะฝั่งซึ่งสามารถมองเห็นรถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจน


“ติ๊นล่ะ ไม่ชอบดื่มกาแฟแล้วเหรอ” รัตติเขตเอ่ยขึ้น “เมื่อก่อนจำได้ว่าเวลานัดกันทำงานส่งอาจารย์ที่ตึกทีไรต้องซื้อกาแฟกระป๋องตุนกันเป็นโหล”


“ก็ยังดื่มอยู่นะ แต่พยายามจะดื่มให้น้อยลงน่ะ มีคนเขาบอกว่าดื่มมาก ๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่จู่ ๆ จะให้เลิกแบบหักดิบก็คงไม่ได้ มันต้องใช้เวลาน่ะ” พูดจบก็อมยิ้มเมื่อนึกถึงคนที่เตือนให้ตนเองลดการดื่มกาแฟลง


สองคนคุยกันได้ไม่กี่คำ พนักงานก็ยกโกโก้ร้อนสองถ้วยมาเสิร์ฟ


“ไนท์มีอะไรหรือเปล่าถึงนัดเราออกมา”


“มีเรื่องอยากรบกวนหน่อย”


“รบกวนอะไรกัน ไนท์ว่ามาเลย” จิตรกรหนุ่มกล่าว


“คือ...เพื่อนเรามันจะรีโนเวทโรงแรมน่ะ ต้องการอะไรที่เป็นไทย ๆ ก็เลยอยากให้ติ๊นช่วย...” ว่าแล้วก็ยกถ้วยโกโก้ขึ้นเป่าพลางลอบสังเกตที่ท่าของอีกฝ่าย เมื่อเห็นศุกลไม่ได้แสดงท่าทีอึดอัดจึงกล่าวต่อ “ถ...ถ้าติ๊นไม่สะดวก ช่วยแนะนำคนอื่นให้เราก็ได้”


“สะดวกสิ แต่บอกก่อนนะว่าเราไม่เก่ง ยิ่งลายไทยด้วย”


“ระดับลูกชายอาจารย์สุรศักดิ์ศิลปินศิลปะไทยเนี่ย แถมยังได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย ถ้าแบบนี้ไม่เรียกเก่ง อย่างเราก็ห่วยบรม”


“เราไม่เก่งขนาดนั้นหรอก”


“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยน่า เราเองก็ยังเคยให้ติ๊นสอนนะ จำไม่ได้เหรอ” คนพูดเงยหน้าขึ้นสบตาพร้อมกับยิ้มให้


และนั่นก็ทำให้ศุกลได้หวนนึกถึงเหตุการณ์บางช่วงบางตอนเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาศิลปะที่ขณะนี้เริ่มเลือนรางไปบ้างตามกาลเวลา


“เอาละครับ วันนี้ผมจะให้นักศึกษาจัดเก้าอี้เป็นสองฝั่ง เดี๋ยวเราจะมาวาดพอร์ตเทรตกัน” ชายหนุ่มวัยสามสิบห้าเจ้าของหนวดเครารุงรังที่ยืนอยู่กลางห้องกล่าว ยังไม่ทันจะอธิบายรายละเอียดความโกลาหลก็เริ่มขึ้นเมื่อนักศึกษาชายหญิงต่างลากม้านั่งตัวยาวที่ด้านหนึ่งมีพนักเป็นโครงโลหะรูปตัวยูเหลี่ยมสูงจากที่นั่งขึ้นมาเกือบสามสิบเซ็นติเมตร หาที่เหมาะ ๆ สำหรับการเขียนภาพของตนเอง ทันทีที่เสียงขาเก้าอี้โลหะซึ่งเสียดสีกับแผ่นกระเบื้องยางค่อย ๆ จางลง คนสอนก็อธิบายต่อ “ให้ดูเพื่อนที่นั่งอีกฝั่งเป็นแบบนะครับ”


“แล้วถ้าอยากวาดคนข้าง ๆ ล่ะครับอาจารย์” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนมองผ่านร่างใหญ่ของหญิงสาวผู้รั้งตำแหน่งประธานรุ่นไปหยุดยังหน้าหวานของสาวน้อยที่นั่งห่างออกไป


“จะข้างไหนก็เอาสักข้างก็แล้วกัน แต่ภายในวันนี้เอาไปส่งไว้ที่โต๊ะผม”


“แกจะวาดฉันเหรอ” สาวร่างใหญ่เอ่ยขึ้น


“ใครว่าล่ะ ฉันจะวาดบัวต่างหาก” ว่าแล้วก็หันไปยิ้มกับเจ้าของหน้ารูปไข่ก่อนกล่าวกับชายหนุ่มซึ่งนั่งถัดจากเธอไป “ไอ้ไนท์แลกที่กัน”


เจ้าของชื่อเตรียมจะลุกแต่ถูกห้ามไว้


“ไนท์อย่าไปแลก ไนท์นั่งข้างบัวนั่นแหละดีแล้ว”
   

“อะไรวะ เกี่ยวอะไรกับแกยัยจอย ฉันพูดกับไนท์”
   

“เอาละ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน” อาจารย์รีบห้ามทัพก่อนที่สองคนจะเถียงกันจนไม่เป็นอันทำอะไร “บางทีคนที่นั่งข้าง ๆ กันสมัยเรียนน่ะ ต่อไปอาจจะเป็นแฟนกันก็ได้ใครจะไปรู้ อย่างสองคนนี้ไง เถียงกันไปสุดท้ายก็รักกัน” สิ้นประโยคของอาจารย์เสียงเป่าปากโห่ร้องก็ดังขึ้นเกรียวกราว ศุกลที่ไม่ได้ยินดียินร้ายกับคำพูดดังกล่าวละสายตามจากภาพตรงหน้ามองดินสอในมือก่อนจะจรดปลายแหลมลงบนกระดาษบรู๊ฟ จากนั้นจึงลากไปมาเกิดเป็นโครงหน้าซึ่งมีแต่เขาที่รู้ว่าเป็นของใคร


“ฉันว่าสองคนนั่นน่ะต้องเป็นแบบที่อาจารย์พูดว่ะ” ภาดลกล่าวพลางบุ้ยปากไปยังสองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ไอ้ไนท์กับยัยบัวน่ะเหรอ”


“อือ เห็นตัวติดกันชนิดเห็นบัวต้องเห็นไนท์ เจอไนท์ที่ไหนต้องเจอบัวที่นั่น ฉันว่าสอนคนนี้ชักจะยังไง ๆ แล้วละ หรือแกว่าไงไอ้ติ๊น” สิ้นเสียงนั้น ตาสองคู่ก็จับจ้องไปที่หนุ่มผมยาวที่กำลังฝนปลายดินสอกับเนื้อกระดาษชนิดบาง น้ำหนักอ่อนเข้มทำให้เกิดเป็นพื้นผิวที่ดูมีมิติราวกับเนรมิต


“ไม่รู้โว้ย ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น” พูดจบก็ลุกวางกระดานวาดรูปพิงกับพนักแล้วเดินไปเหลาดินสอที่หลังห้อง


“แหม...ทำเป็นไม่สนใจ” พีระบ่นขมุบขมิบก่อนจะลงมือร่างภาพคนเหมือนครึ่งตัวที่อาจารย์กำหนดให้ผลัดกันเป็นแบบ โดยให้นักศึกษานั่งกันคนละฝั่งของห้อง
   

“แกหมายความว่ายังไงวะไอ้พี” คนข้าง ๆ กระซิบถาม


“ก็ฉันเห็นไอ้ติ๊นมันชอบมองยัยบัวบ่อย ๆ น่ะสิ แกไม่สังเกตเหรอ”


ภาดลได้แต่ส่ายหน้ามองตามร่างสูงที่เดินกลับมานั่งประจำที่ของตนเองอีกครั้ง


ศุกลคว้ากระดานตั้งบนหน้าตักโดยพาดปลายด้านหนึ่งไปกับพนักม้านั่งเหมือนเดิมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแบบของตนซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง จากนั้นจึงลงแสงเงาในภาพต่อกระทั่งผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงภาพวาดคนเหมือนของเขาและเพื่อน ๆ ก็ทยอยกันเสร็จเรียบร้อย


“โอ้โห สวยว่ะไอ้ติ๊น” คนที่เดินผ่านมาเอ่ยขึ้น


เมื่อได้ยิน ทั้งภาดลและพีระจึงวางมือแล้วยื่นหน้ามองภาพนั้นบ้าง


“อ้าว นี่แกวาดไอ้ไนท์หรอกเหรอ ฉันนึกว่าแกวาดรูปบัวเสียอีก” ภาดลว่าขณะยื่นหน้าเข้ามาใกล้


“แล้วแกวาดใครวะไอ้ดล”


“นี่ไง ฉันวาดยัยขวัญ สวยกว่าตัวจริงไหม”


“เออ ๆ สวย ๆ เก่งว่ะ วาดลิงให้เหมือนคนได้” พีระหัวเราะก่อนจะเบนสายตาไปยังหญิงสาวผอมแห้งที่นั่งอยู่ข้างตู้ใส่โครงกระดูกจำลอง อดคิดในใจไม่ได้เลยว่ารูปร่างของเธอกับโครงกระดูกนั่นช่างใกล้เคียงกันเสียเหรอเกิน “เพื่อน ๆ มาดูเร็ว ไอ้พีมันวาดลิงให้เป็นคนได้”


คนขี้เล่นยังพูดไม่ทันขาดคำเพื่อน ๆ ก็กรูกันเข้ามา ตามด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปดของคนที่ภาดลใช้เป็นแบบ


“ฉันเป็นคน! ลิงอะไรจะสวยขนาดนี้ นี่น่ะเขาเรียกงามอย่างมีคุณค่าโว้ย”


เสียงเอะอะโวยวายเริ่มคลี่คลายลงเมื่อใกล้หมดชั่วโมงเรียน บรรดานักศึกษาต่างวางผลงานของตนไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงทยอยกันออกจากห้อง


“เฮ้ย ไอ้พี กินข้าวกันก่อนนะแล้วค่อยกลับบ้าน หิวจะแย่แล้วว่ะ” ภาดลเอ่ยขึ้น


“เออ ๆ เดี๋ยวขอเก็บของก่อน” ว่าแล้วก็หันไปหาอีกคนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน “ไอ้ติ๊น กินข้าวกัน”


“พวกแกไปกินกันเลย ฉันยังไม่หิวน่ะ ว่าจะเก็บรายละเอียดต่ออีกหน่อย”


“แค่นี้ก็เอแล้ว จะละเอียดไปไหนวะ” พีระลุกขึ้นก่อนจะเดินไปส่งงาน “ถ้าอย่างนั้นฝากเอางานของทุกคนไปไว้ที่ห้องอาจารย์สันติด้วยนะ ฉันสองคนไปกินข้าวก่อน ถ้าจะกินก็ตามไปที่โรงอาหารนะ”


“อือ” ศุกลตอบส่ง ๆ มือยังคงจับดินสอตวัดไปมา เมื่อเสียงพื้นรองเท้าผ้าใบเสียดสีกับแผ่นกระเบื้องยางห่างออกไปภายในห้องนั้นก็เงียบเชียบลง เงียบจนได้ยินเสียงกราไฟต์เสียดสีกับกระดาษดังมาจากอีกฝั่ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นพบว่าในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างกระจกแบบผลักออกเรียงรายตลอดแนวขณะนี้เหลือเพียงเขากับเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเท่านั้น


‘ถ้าไม่ทักก็ไม่รู้ว่าจะได้เริ่มทำความรู้จักกันตอนไหน’ เพราะถือคตินี้ศุกลจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดชะโงกมอง แต่อีกฝ่ายก็ไวพอที่จะดึงกระดานเข้าชิดอกเพื่อซ่อนเร้นภาพที่ตนเองวาด หากแต่ยังไม่ไวเท่ากับมือหนาที่รั้งข้อมือเล็กเอาไว้


“เดี๋ยวเสื้อเปื้อน”


เมื่อนึกขึ้นได้ รัตติเขตจึงขยับกระดานวาดรูปให้ห่างจากตัวเล็กน้อยโดยกะว่ามันน่าจะรอดพ้นจากสายตาเจ้าของมือใหญ่ที่ค่อย ๆ คลายออกจากข้อมือตนเอง


“ขอดูรูปหน่อยสิ”


“ดูทำไม” คนถูกจู่โจมมีท่าทีอิดออด


“นายวาดรูปเราไม่ใช่เหรอ”


“น...นายรู้ได้ยังไง” เงยหน้าขึ้นสบตาหนุ่มผมยาวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ


“ก็เห็นน่ะสิ อยากดูว่าเสร็จแล้วจะหล่อกว่าตัวจริงหรือเปล่า” ศุกลทำพูดติดตลกให้อีกฝ่ายคลายความกังวล


“ฝีมือเราสู้นายไม่ได้หรอก”


คนฟังส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งของร้องอีกครั้ง “นะ...เราขอดูหน่อย”


เมื่อทนการรบเร้าไม่ไหว รัตติเขตจึงจำใจวางกระดานวาดรูปพาดกับพนักพิงของม้านั่งซึ่งทำจากโลหะ ปากก็บ่นพึมพำไปด้วย “บอกแล้วว่าฝีมือเราห่วย”


“ห่วยที่ไหนกัน ลงน้ำหนักเพิ่มอีกหน่อยก็ใช้ได้” ว่าแล้วก็ใช้เท้าเกี่ยวขาเก้าอี้มาใกล้แล้วนั่งลงข้าง ๆ รั้งดินสอจากมือของอีกฝ่าย จัดการลงแสงเงาเพิ่มให้


และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งซึ่งทำให้รัตติเขตกลายมาเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มเห็นที่จะไม่พ้นครั้งที่ไปคัดลอกภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ


“บัวไปไหนวะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย” ผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่มนักศึกษาเอ่ยขึ้นหลังจากกวาดตามองแล้วพบว่าจำนวนสมาชิกลดลงจากเมื่อช่วงเช้า


“นั่งอยู่ที่หน้าโบสถ์กับกานต์น่ะ”


ศุกลพยักหน้าก่อนจะนึกได้ “ทำไมปล่อยแฟนไว้กับคนอื่นวะ”


“ไม่ใช่โว้ย เรากับบัวเป็นเพื่อนกันตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าแล้ว สอบติดที่เดียวกัน แถมบัวยังไม่ได้สนิทกับใครเราก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกัน” รัตติเขตอธิบายก่อนจะถามในสิ่งที่สงสัย “นายยิ้มอะไร”


“นี่นายกับบัวไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกเหรอ”


“ก็ไม่ได้เป็นน่ะสิ”


“เข้าใจผิดมาตั้งนาน” คนตัวสูงกว่ายิ้มกว้างกว่าเดิม “เขามีแฟนแล้วก็เลยเป็นหมาหัวเน่าว่าอย่างนั้นเถอะ”


“คงใช่” อีกฝ่ายตอบเสียงเนือย ๆ “ตอนนี้วบัวสนิทกับจอย แล้วกานต์ก็เป็นเพื่อนของจอยตั้งอยู่โรงเรียนเก่าน่ะ”


“อืม...กานต์...ที่เรียนสาขาออกแบบเครื่องประดับใช่ไหม” เมื่อได้รับคำตอบเป็นที่แน่ชัดศุกลจึงกล่าวต่อ “ก็ว่าทำไมมันถึงมาลงศิลปะไทยเป็นวิชาเลือก ที่แท้เพราะแบบนี้นี่เอง”


“แล้วนายล่ะ ไม่ได้ชอบบัวหรอกเหรอ เห็นใคร ๆ เขาก็พูดกันแบบนั้น”


“รอให้ปิกัสโซกลับมาเกิดใหม่ก่อนเถอะถึงจะเป็นไปได้”


“เวอร์ว่ะ” รัตติเขตยิ้มขัน ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็แสดงอาการที่ไม่ต่างกัน



นัยน์สีเข้มจับจ้องควันสีขาวที่ลอยเคลียอยู่กับผิวของของเหลวที่น้ำตาลเข้มในแก้วเซรามิกสีขุ่นแบบมีหูจับ พลางใช้ช้อนคนจนเกิดเสียงกังวานยามเมื่อโลหะกระทบผิวดินปั้นที่ผ่านกระบวนการเผาด้วยความร้อนสูง ยอมรับว่านั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุข สนุกสุดเหวี่ยงที่สุด อดคิดไม่ได้เลยว่าโลกใช้เวลาหมุนรอบตัวเองเท่าเดิม ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เท่าเดิม เข็มนาฬิกาก็ยังเคลื่อนไปด้วยอัตราความเร็วเท่าเดิม แต่คนเรากลับรู้สึกว่าบางวันก็ผ่านไปช้าเหลือเกิน บางเดือนเผลอเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้วจนทำให้บางปีผ่านไปไวอย่างไม่น่าเชื่อ ในความเป็นเพื่อนสำหรับเขานั้นทำให้ต้องกลับมานั่งคิดว่าช่วงเวลาสุดสนุกมันผ่านไปไวเหลือเกิน เหมือนยังรับน้องด้วยกัน วาดรูป เที่ยวหอศิลป์ นั่งรถเมล์ด้วยกัน กินหมูกระทะ กินข้าวในโรงอาหารด้วยกัน ไปออกค่าย เขียนลายไทย ถ่ายรูปด้วยกันอยู่เมื่อ 2-3 วันก่อน วันนี้กลับต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของแต่ละคน


“ติ๊น...”


“ติ๊น...”


“ฮะ? ว่าอะไรนะ”


“คิดอะไรอยู่วะ คนจนโกโก้เย็นหมดแล้วมั้ง”


“ป...เปล่า” ศุกลรีบปฏิเสธก่อนยกโกโก้ขึ้นดื่มแล้วถาม “ว่าแต่นายเถอะ ทำไมไม่รับทำเสียเอง ตอนนี้ก็ว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ”


“ห่างมานานแล้วว่ะ กลัวทำให้เขาได้ไม่ดี อีกอย่างงานที่ทำก็เป็นงานออกแบบบูธไม่ก็อีเวนท์ ติ๊นก็รู้ว่าเราไม่เก่ง สมัยเรียนยังให้ติ๊นช่วยอยู่บ่อย ๆ” คนพูดยิ้มเขิน “เอาเป็นว่ารับปากแล้วนะว่าจะช่วย”


“อื้อ ช่วยอยู่แล้ว จะให้เริ่มเมื่อไรบอกได้เลยเราจะได้ทำตัวให้ว่าง”


“คงไม่รบกวนเวลาติ๊นขนาดนั้นหรอก แค่อยากให้ไปดูสถานที่ด้วยกันแล้วก็ออกแบบให้หน่อยน่ะ ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ช่าง”


“อย่างนั้นก็ได้ ไนท์นัดมาก็แล้วกัน”


สองคนนั่งคุยกันกระทั่งบ่ายคล้อยจึงได้ร่ำลากัน ขณะรอพนักงานคิดเงิน เสียงโทรศัพท์ของรัตติเขตก็ดังขึ้น


“ครับ เป็นอะไรมากไหมครับ”


ศุกลสังเกตเห็นความวิตกกังวลระคนตกใจในใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เมื่อรับเงินทอนจากพนักงานเรียบร้อยแล้วเขาจึงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น      


“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ...พี่ส่งรายละเอียดให้ผมด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบไป”


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” จิตรกรหนุ่มเอ่ยถามคนที่ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์


“พี่เขยโทรมาบอกว่าพี่สาวเราความดันขึ้นสูงน่ะ เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ตอนนี้ใกล้คลอดแล้วด้วยก็เลยพาไปโรงพยาบาล”


“ไม่เป็นไรน่า” พูดจบก็เลื่อนมือไปกุมมือเย็นเฉียบของคนตรงหน้าพร้อมกับบีบเบา ๆ “นายรีบไปดูพี่นันท์เถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”


....


คาดิลแลคสีดำแล่นเข้ามาจอดในบริเวณของ Light&Shade ตั้งแต่เมื่อสามสิบนาทีก่อน เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกให้รู้ว่าเหลืออีกเพียงห้านาทีจะหนึ่งทุ่มแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าโฟล์กสวาเกนสีขาวที่เคยจอดอยู่ในโรงรถจะกลับมาสักที เอกรงค์กอดอกเอนหลังพิงรถคู่ใจทอดตามองไปยังเรือนกระจกที่ยังพอมีบรรดาผู้ใหญ่ที่อาศัยเวลาหลังเลิกงานมาทำงานศิลปะให้เห็นอยู่บ้าง กุมารแพทย์หนุ่มตัดสินใจรั้งโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงเป็นรอบที่ห้าเพื่อโทรหาคนที่ทำให้เขาต้องมายืนท้องร้องอยู่ตรงนี้ แต่ผลก็เหมือนกับครั้งก่อน ๆ ที่อีกคนไม่ยอมรับสาย ซ้ำข้อความที่เขาส่งไปก็ไม่ได้ถูกเปิดอ่าน


“ไปอยู่ไหนนะ หรือว่ารถเสีย” เจ้าของริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง ก้มมองนาฬิกาข้อมือ พลันเสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้น


‘ขอโทษครับ เพิ่งเห็นว่าโมโทรหา ผมปิดเสียงไว้’


‘ติ๊นอยู่ไหน’


‘โรงพยาบาลครับ ผมมาเป็นเพื่อนเพื่อน พี่สาวเขาป่วย โมถึงบ้านหรือยัง’


‘เพิ่งถึงน่ะ แล้วทางโน้นเป็นยังไงบ้าง’ เอกรงค์ตอบกลับถามประสาคุณหมอที่เห็นความปลอดภัยของคนไข้สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง


‘ความดันขึ้นสูงครับ เธอตั้งครรภ์ใกล้คลอด คุณหมอบอกว่าไม่มีอาการครรภ์เป็นพิษ แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวัง’


‘ถ้าอย่างนั้นไปอยู่กับเพื่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว’


กุมารแพทย์หนุ่มพอจะยิ้มได้บ้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ถูกส่งกลับมาคือรูปการ์ตูนแสดงสีหน้ารู้สึกผิดกับข้อความ ‘ขอโทษครับ อย่าลืมทานข้าวด้วยนะ พรุ่งนี้เจอกันครับ สัญญาเลยว่าจะไปนั่งทานข้าวเป็นเพื่อน’


‘ครับ’ เอกรงค์ทอดตามองข้อความสุดท้ายของตนเองพลางถอนหายใจเบา ๆ เมื่อแน่ว่าคงไม่มีถ้อยคำใด ๆ ถูกส่งกลับมาแล้ว ปลายนิ้วเรียวแตะหน้าจอสัมผัสเลื่อนหาชื่อของคนที่นึกถึงอยู่เสมอยามเมื่อไม่ต้องการทำอะไรเพียงลำพัง กระทั่งเจอชื่อของปรเมษฐ์ ข้อความสั้น ๆ จึงถูกส่งออกไป


‘อยู่ไหนวะ กินข้าวกัน’


‘กินข้าวบ้าอะไร ทำงานโว้ย’


‘อย่ามาโม้ วันนี้แกออกเวรเย็น’


‘ลงจากตึกมาได้หน่อยก็โดนโทรตามให้ไปห้องรอคลอด จะกินข้าวให้อร่อยสักหน่อย’ ข้อความนั้นถูกส่งมาพร้อมกับรูปถ่าย
กุมารแพทย์หนุ่มแตะปลายนิ้วเพื่อขยายภาพ มันเป็นภาพของปรเมษฐ์ในชุดกางเกงสแลคสวมทับเสื้อเชิ้ตสีเข้ม แขนเสื้อที่ถูกถกขึ้นลวก ๆ แสดงให้รู้ว่าอีกฝ่ายเลิกงานและกำลังเตรียมตัวขับรถกลับคอนโดเหมือนทุกครั้ง จุดที่เขานั่งคือภายในโรงอาหารของโรงพยาบาล แต่นั่นก็ไม่ทำให้เอกรงค์สนใจจนต้องจ้องเขม็งเท่ากับชายหนุ่มสองคนที่กำลังนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน แม้จะเล็กจนต้องใช้ปลายนิ้วขยายจนสุดแต่ก็ชัดเจนแบบที่สามารถทำให้ในใจรู้สึกหวิว ๆ ได้


...


วันต่อมา ทันทีที่ก้าวออกจากห้องตรวจเอกรงค์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าศุกลนั่งรออยู่ที่ด้านนอก การรักษาสัญญาของจิตรกรหนุ่มทำให้ความเหน็ดเหนื่อยของคุณหมอที่เกิดจากการต้องตรวจคนไข้ตั้งแต่เช้ายันค่ำมลายสิ้น รอยบุ๋มที่ข้างแก้มส่งให้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นน่ามองขึ้นเป็นกอง เอกรงค์เกาแก้มเขิน ๆ ขณะเดินเข้าไปหาคนที่กำลังลุกขึ้น ในหัวโล่งราวกับถูกล้างข้อมูลออกจากสมองทั้งที่นั่งคิดนอนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นวานมาทั้งคืน


“มานานแล้วเหรอ”


“ครับ ชดเชยที่ปล่อยให้โมรอเมื่อวาน” ศุกลตอบ ดวงตาไม่ละจากรอยยิ้มบนดวงหน้าคมคาย “อย่าโกรธนะ”


“โกรธ” เอกรงค์ตอบหน้านิ่ง


“อ้าว นึกว่าจะใจดีกับเด็กทุกคนเสียอีก”


“ล้อเล่นหรอกน่า ไปทานข้าวกันดีกว่า ผมหิวจะแย่แล้ว” พูดจบกุมารแพทย์หนุ่มที่วันนี้สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าถิ่นก็เดินนำไปที่โรงอาหาร


วันนี้ผู้คนไม่มากนัก ที่กำลังนั่งรับประทานอาหารและยืนต่อคิวซื้อผลไม้เห็นจะเป็นญาติคนไข้ที่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล ฝั่งที่ติดกับร้านขายน้ำมีนักเรียนแพทย์กลุ่มหนึ่งกับบรรดานางพยาบาลที่รอเข้าเวร โรงอาหารในยามนี้จึงมีโต๊ะว่างให้เลือกนั่งจำนวนมากผิดกับตอนกลางวันลิบลับ   


“โมอยากทานอะไร เดี๋ยวผมไปซื้อให้” ศุกลเอ่ยขึ้นเมื่อคุณหมอหยุดที่โต๊ะซึ่งว่างอยู่


“ติ๊นอยากทานอะไรก็ซื้อมาเลย ผมทานได้หมด” เอกรงค์ว่า ที่ตอบไปแบบนั้นก็เพราะอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายชอบกินอะไรก็เท่านั้น


“ถ้าอย่างนั้นนั่งรอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมมา”


หายไปพักหนึ่งศุกลก็เดินกลับมาพร้อมกับถาดซึ่งมีเกาเหลาหมูใส่ใบตำลึงสองชามกับน้ำเปล่าอีกสองขวด


“เกาเหลาเหรอ น่าทานจัง”


“เห็นนอฟบอกว่าโมชอบทานอาหารเพื่อสุขภาพ ผมพยายามหาสลัดผักแล้วแต่ไม่มีเลย ก็เลยคิดว่าเมนูนี้น่าจะดีที่สุด”


“ค่ำแล้วน่ะ แม่ค้าเริ่มทยอยกันเก็บร้าน ถ้ามาตอนเที่ยงจะมีของกินให้เลือกเยอะกว่านี้อีกนะ ส่วนคนก็เยอะตามไปด้วยจนบางทีผมก็ซื้อแซนด์วิชจากร้านสะดวกซื้อกินให้พอท้องอิ่ม” พูดจบเอกรงค์ก็ลงมือจัดการกับเกาเหลาหมูที่ส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ตรงหน้า


“เหนื่อยไหม” จู่ ๆ คนอายุน้อยกว่าก็ถามขึ้น


“มาก แต่ทำยังไงได้ มันเป็นหน้าที่น่ะ” แม้ปากจะบอกว่าเหนื่อยแต่ใบหน้ากลับยังแต้มด้วยรอยยิ้ม


“ดูเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวมาทำเพื่อคนอื่นจริง ๆ นะครับ ทั้งหมอทั้งพยาบาลเลย”


“อืม คนเข้าใจพวกเราอย่างติ๊นก็มีอยู่ แต่คนที่ไม่เข้าใจก็มีอีกเยอะ เพราะอย่างนี้ไงหมอและพยาบาลส่วนใหญ่ถึงได้เลือกคู่ครองเป็นคนอาชีพเดียวกัน อาชีพอย่างเราไม่มีเวลาไปเจอใครมากนักหรอก บางคนก็เลือกเป็นโสด”


“แต่ในมุมมองของคนนอกอย่างผม ผมกลับมองว่าคนสายนี้เก่ง ก็เลยต้องมีคู่ครองเป็นคนเก่ง ๆ ด้วยกัน เพื่อให้ศีลเสมอกัน”
เอกรงค์ฟังแล้วได้แต่ทอดถอนใจ “ก็คิดกันเสียแบบนี้สินะ ถึงไม่มีใครกล้ามาจีบหมอ”


“แล้วถ้าคิดจะจีบหมอต้องทำยังไงบ้างครับ” พูดจบศุกลก็เปิดฝาขวดน้ำพลาสติก ใส่หลอดลงไปแล้ววางไว้ให้ใกล้มือของคนที่นั่งตรงข้ามกัน


“ก็แค่ใช้ความเข้าใจ เข้าใจในงานของเรา ดอกไม้ไม่ต้องขอข้าวสักกล่องก็พอ ช่วยไปจ่ายค่าน้ำไฟโทรศัพท์ให้จะดีมาก หรือว่าง ๆ มารีดผ้าให้บ้างจะเป็นพระคุณอย่างสูง”


“ไม่มีเวลาขนาดนั้นเลย?”


“แล้วที่เห็นอยู่นี่คิดว่ายังไงล่ะ”


“ก็...ยังเห็นมีเวลาไปตามจีบจิตรกร”


“นั่นเขาเรียกว่ารู้จักแบ่งเวลา” เอกรงค์ยักคิ้ว “พยายามขนาดนั้นแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าจีบติ...ด...ระ...หรือ...” พูดไม่ทันจบ เสียงเตือนข้อความเข้าก็ดึงความสนใจของคนฟังไปเสียแล้ว


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)



ศุกลดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงวางบนโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วเลื่อนอ่านข้อความไปก็ตักอาหารเข้าปากไปด้วย และตั้งแต่นาทีนั้นเอกรงค์ก็รู้สึกราวกับตนเองเป็นเพียงแค่อากาศก็ไม่ปาน


“เป็นอะไรหรือเปล่าติ๊น ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้น”


“เพื่อนส่งข้อความมาน่ะครับ บอกว่าพี่สาวอาการไม่ค่อยดี”


กุมารแพทย์หนุ่มวางช้อน เมื่อนึกได้จึงเอ่ยขึ้น “อยู่โรงพยาบาลไหนเหรอ”


“อยู่ที่นี่แหละครับ”


“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”


"เห็นว่าต้องผ่าเอาเด็กออกครับ” 


คนอายุมากกว่าพยักหน้า คงจะเป็นเคสหนักที่ปรเมษฐ์ถูกเรียกตัวให้ไปช่วยตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นเป็นแน่ เขานิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ย “ไปอยู่กับเพื่อนไหม”


“ครับ?” จิตรกรหนุ่มเงยหน้าขึ้น เพราะใจที่จดจ่ออยู่กับข้อความบนหน้าจอสัมผัสจึงทำให้เขาไม่ทันได้ฟังประโยคเมื่อครู่


“ช่วงเวลาแบบนี้เขาก็คงเหมือนกับญาติคนไข้อื่น ๆ ที่ต้องการกำลังใจ ต้องการใครสักคนนั่งข้าง ๆ กัน”


“แต่ว่าผม...”


“รีบไปเถอะ คุณนั่งอยู่นี่แถมทำหน้าแบบนั้น ผมเห็นแล้วกินข้าวไม่อร่อย” เอกรงค์หัวเราะ


“ข...ขอโทษครับ”


“ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ แล้วเดี๋ยวไว้ค่อยโทรคุยกันก็ได้”


ศุกลยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งโรงอาหาร ชายหนุ่มมองชื่อที่ปรากฏที่หน้าจอก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงไนท์... ... ใจเย็น ๆ นะทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี พี่นันท์กับหลานต้องปลอดภัย ไนท์อยู่ตรงนั้นก่อนนะ เราอยู่ที่โรงพยาบาลนี่แหละ เดี๋ยวเรารีบไป”


ก่อนจากไปก็ไม่ลืมค้อมศรีษะเล็กน้อยให้คนฝั่งตรงข้ามเพื่อขอบคุณที่เขาเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น



ขายาวก้าวถี่ ๆ เพื่อให้ทันหัวใจที่ขณะนี้ไปถึงแผนกสูติ-นรีเวชของโรงพยาบาลแล้ว ระหว่างทางสวนเข้ากับพี่เขยของรัตติเขตที่กำลังจะไปจัดการเรื่องเอกสารการเบิกจ่ายจึงได้ทราบว่าขณะนี้เพื่อนของเขาอยู่ที่ใด ในที่สุดศุกลก็มาหยุดที่หน้าห้องผู้ป่วยวิกฤต เห็นรัตติเขตนั่งอยู่ที่เก้าอี้เยื้องกับประตูห้องจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ วางมือลงแล้วบีบเบา ๆ บนบ่าของคนที่กำลังโน้มตัวไปข้างหน้าใช้ศอกทั้งสองข้างยันกันหน้าขา ดวงตาหม่นมองจ้องมองสองมือที่ประสานกันแน่น


“เราทำอะไรไม่ถูกเลยติ๊น” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง


“เล่าให้เราฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น”


“วันนี้พี่นันท์ตัวบวม ความดันก็ไม่ลดลง เลยถูกย้ายเข้ามาในห้องวิกฤต คุณหมอแจ้งว่าพี่นันท์มีภาวะครรภ์เป็นพิษ ต้องผ่าคลอด แต่ตอนนี้เกล็ดเลือดต่ำมาก คุณหมอกำลังประสานงานเรื่องหาเลือดให้อยู่เพราะเกล็ดเลือดไม่พอ ก่อนจะที่เรากับพี่กิตจะออกมา พี่นันท์บอกว่าถ้าหากไม่ไหวจริง ๆ แล้วต้องเลือกให้พี่กิตเลือกลูก” คนขวัญเสียกล่าวน้ำตานองหน้า


“อย่าคิดมากนะ เช็ดน้ำตาก่อน เดี๋ยวไม่หล่อเว้ย” ว่าแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ แต่แทนที่รัตติเขตจะใช้มันเช็ดน้ำตาเขากับกำผ้าผืนบางที่ถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยจนแน่น ใช้มือข้างที่เหลือปาดคราบแห่งความกังวลระคนเสียใจที่ชุ่มอยู่ใต้สองตา “เราเชื่อว่าทั้งพี่นันท์และหลานจะต้องปลดภัยแน่ ๆ หมอที่นี่เก่ง ๆ ทุกคน เขาจะต้องช่วยอย่างเต็มที่แน่ ๆ” พูดแล้วก็อดนึกถึงแววตามุ่งมั่นของใครบางคนไม่ได้


“ขอบใจมากนะติ๊น เรารบกวนติ๊นอยู่เรื่อยเลย”


“ไม่เป็นไร ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่”


รัตติเขตสบตานิ่ง แววแห่งความปรารถนาดีที่ส่งผ่านทางดวงตาของอีกฝ่ายเป็นสิ่งช่วยยืนยันถ้อยคำที่เพิ่งพูดจบลงได้เป็นอย่างดี เชื่อแล้วว่าความเป็นเพื่อนที่ศุกลได้มอบให้นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้วันเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
เมื่อเห็นว่าจวนหมดเวลาเยี่ยม รัตติเขตจึงเข้าไปลาพี่สาวของเขาก่อนจะเดินออกมาที่ลานจอดรถพร้อมกับศุกลเมื่อตอนเกือบสามทุ่ม


“ขอบใจมากนะติ๊น”


“นับหรือป่าวว่าวันนี้พูดคำนี้กี่ครั้งแล้ว”หลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินแทรกตัว


“ก็เราอยากขอบใจจริง ๆ”


คนฟังพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วกล่าว “ตามใจแล้วกัน ไม่แซวแล้ว” จังหวะนั้นดวงตาก็บังเอิญเห็นใครคนหนึ่งกำลังแทรกตัวเดินไปตามช่องว่างระหว่างรถที่จอดเรียงรายกันอยู่ เกรงว่าหากรั้งรอเขาจะไปถึงรถและขับออกไปเสียก่อนจึงร้องขึ้น “โม!”


เอกรงค์ที่เพิ่งกดปล็ดล็อกรถชะงักก่อนจะหันมาตามเสียง รอกระทั่งสองคนเดินเข้ามาใกล้จึงยิ้มให้


“นึกว่าคุณกลับไปแล้วเสียอีก”


“ผมมีตรวจคนไข้บนหอผู้ป่วยนะ เพิ่งเสร็จ กำลังจะกลับพอดี” พูดจบก็ค้อมศีรษะให้หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่เคยเจอกันแล้วหนหนึ่ง


“เอ้อ ลืมแนะนำเลย ไนท์นี่หมอโม พ่อของเจ้านอฟ หมอโมนี่ไนท์เพื่อนผมครับ หนห่อนที่เจอกันยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักกันเลย”


“สวัสดีครับ” เอกรงค์ทักทายด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับก่อนนะติ๊น”


“เออ ขับรถดี ๆ นะ ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วย”


คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าก่อนจะกล่าวคำอำลาคุณหมอ “ไปก่อนนะครับ”


เอกรงค์ละสายตาจากรัตติเขตที่เดินหันหลังให้มองคนที่ยืนจ้องหน้าตนเองอยู่ ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงของเจ้างของร่างเล็กที่เพิ่งเดินห่างออกไปก็ดังขึ้น


“ติ๊น”


พลันดวงตาสองคู่ก็ละออกจากกัน


“ว่าไง”


“เราลืมคืนผ้าเช็ดหน้าให้”


“ไม่เป็นไร ไนท์เก็บไว้เถอะ”


รัตติเขตพยักหน้ายิ้ม ๆ เก็บผ้าเช็ดหน้าในมือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปที่รถของตนเอง ไม่นานสปอร์ตซีดานสีเงินก็ถูกขับออกไป


“ผมเดินไปส่งที่รถนะ”


“ผมเดินอยู่ทุกวัน แค่นี้ไม่หลงหรอก” คุณหมอตอบห้วน ๆ ก่อนเดินไปที่รถโดยมีศุกลเดินตามพลางยิ้มขัน ๆ


มือขาวดึงเปิดประตูหากแต่คนที่เดินมาซ้อนข้างหลังกลับใช้มือใหญ่ดันให้ปิดลงอีกครั้ง ไฟสีนวลจากโคมติดปลายเสาที่ตั้งอยู่ไกล ๆ ทำให้พอจะเห็นเงาสะท้อนของอีกคนบนกระจก รอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายพาให้คนมองต้องมุ่นคิ้ว


“ยิ้มอะไร” พูดพร้อมหมุนตัวกลับมารอฟังคำตอบ หากแต่ร่างสูงที่ก้าวเขาประชิดทำให้ต้องถอยกรูดจนหลังแนบไปกับรถ   


ศุกลทำเหลียวซ้ายแลขวาแล้วกล่าว “แถวนี้ติดป้ายห้ามไม่ให้ยิ้มเหรอครับ” ยังพูดไม่ทันจบก็วาดแขนข้ามไหล่คนตัวเล็กกว่าแล้วเท้าลงที่เหนือประตูรถ “ไม่เห็นมีเลย”


เอกรงค์ที่ตอนนี้ใจเต้นระส่ำเบือนหน้าไปอีกทาง แต่นั่นกลับเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแกล้งทิ้งปลายจมูกลงมาเขี่ยแก้มเล่น
“โกรธเหรอครับ” ปากหยักกระซิบทั้งที่ตอนนี้แทบจะแนบไปกับผิวเนื้อซับสีเลือดฝาดแล้ว


“เปล่า”


“โกหก จมูกจะยาวนะ” ว่าแล้วก็ขยับห่างออกมายกมือข้างที่เหลือบีบจมูกของคนหน้าตูมเบา ๆ “หึงก็บอกว่าหึง”


กุมารแพทย์หนุ่มมุ่นคิ้วพลางปัดมือใหญ่ออก “ถอยไป ผมจะกลับแล้ว”


ศุกลทอดตามองเจ้าของหน้าตูมอย่างเอ็นดู ยอมถอยห่างออกมาเพียงนิดให้อีกฝ่ายสามารถหมุนตัวกลับไปเปิดประตูได้ เอกรงค์เข้าไปในในรถ จัดการติดเครื่อง แต่เมื่อคนอายุน้อยกว่าใช้หลังนิ้วเคาะเบา ๆ เขาก็ลดกระจกลง เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมา


“จะไปทั้งที่ยังงอนแบบนี้น่ะเหรอครับ”


เอกรงค์คลายมือที่กำพวงมาลัยก่อนจะหันมาถาม “ผมต้องงอนติ๊นเรื่องอะไร”


“อืม...เรื่องผ้าเช็ดหน้า ใช่หรือเปล่าครับ”


“มันเป็นของของติ๊น ติ๊นอยากจะให้ใครมันก็เรื่องของติ๊น ก็ถูกแล้วนี้” น้ำเสียงเย็นตากับแววตาเรียบเฉยทำให้ศุกลยิ่งมันใจว่าตนเองเดาถูก


กระนั้นรอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลา ชายหนุ่มล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบบางสิ่งออกมา


“ถ้าอย่างนั้นผมก็มีของจะให้โมเหมือนกัน”


เอกรงค์ลอบถอนใจก่อนจะเบนหน้ามองคนพูดด้วยความสงสัย


“อะไร”


คนอายุน้อยกว่ายิ้มกริ่ม เลื่อนมือที่ยังคงกำบางอย่างขึ้น ทันทีที่เขาเดาะลิ้นซองอะลูมิเนียมเคลือบพลาสติกก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วราวกับเสกได้ ศุกลยิ้มพรายเข้าใกล้จนต่างคนต่างรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนของกันและกัน


“คราวก่อนยังไม่ได้ใช้เลย”


“ถ้าอยากใช้นักก็แกะออกมาแล้วเป่าเล่นสิ”


“โมอยากให้ทำอย่างนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ” ศุกลเลิกคิ้วล้อ “ถ้าอย่างนั้นผมจะเก็บไว้ทำแบบนั้น”


กำลังจะชักมือกลับ อีกฝ่ายก็ทำท่าจะคว้า แต่เขาก็อาศัยความเร็วกว่าหลบไปอีกทาง ดังนั้นสิ่งที่คุณหมอปากแข็งคว้าได้จึงเป็นเพียงอากาศเท่านั้น


“เอามา”


“ก็โมบอกเองว่าให้ผมไปเป่าเล่น”


“เอามาเดี๋ยวนี้เลย”


“หายงอนก่อนแล้วจะให้”


คนจนมุมถอนใจก่อนจะกล่าวอ้อมแอ้ม “หายแล้ว”


เมื่อได้ยินดังนั้น ยิ้มกว้างก็ระบายใบทั้งใบหน้า กำลังจะวางของลงบนมือที่แบรออยู่ก็เปลี่ยนใจ จิตรกรหนุ่มขยับตัวเข้าไปในรถทิ้งสายตาสบดวงตาไหวระริก เลื่อนมือต่ำลงแล้วสอดซองเล็ก ๆ นั่นในกระเป๋ากางเกงของเอกรงค์ที่ยังคงนั่งนิ่ง ก่อนจะผละออกริมฝีปากหยักก็แกล้งแตะลงที่ใบหูแดงแปร๊ดจนอีกฝ่ายสะดุ้ง เอกรงค์กดคมฟันบนกลีบปากบางหวังจะสะกดความรู้สึกหวามไหวที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขากำลังจะทำได้หากอีกฝ่ายไม่กล่าวทิ้งท้ายด้วยประโยคนั้น...


“ฝากไว้ก่อนนะครับ แล้วจะแวะมาเอา”



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 14:38:31 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
หึงก็บอกว่าหึงสิ หมอโม น่ารักไปน้าาา

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
หึหึหึหึ เด็กมันร้ายยยย หมอโมคนเก่งเจอลูกง้อเบาๆเข้าไป แพ้ทางเลย ...

ห้ามว่าหมอโมงี่เง่านะ ก็ไนท์มันชัดขนาดนั้น หมอโมก็ต้องมีคิดมั่งแหละ #ทีมหมอโม

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เป็นใครก็คงหึงเหมือนกันเนอะหมอโมมีให้ผ้าเช็ดหน้าแบบนี้อ่ะ

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
น่ารักมากกกกก
ติ๊นตอนนี้จากที่ดูนิ่งๆ ใจดี กลายเป็นแฟนสุดฮอตไปเลยน
รู้จักบริหารเสน่ห์มากก
ทำเอาหมอโมไปไม่เป็น :ling1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ถ้าเราเป็นหมอโมเราไม่เลือกติ้นหรอก หึ!!!!!

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ๊ยยยย งอนนานๆหน่อยจิหมอโมๆๆๆ

ข่วนหน้าติ๊น10ที! ทำหมอโมงอนได้ไงยะ

จบตอนได้โซ ดามฮอตมากกกก ติ๊นนนนนนน


ลืมที่บ่นติ๊นมาทั้งตอนไปชั่วขณะ 55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
มีหึงค๊ามีหึง  เด็กเขาก็ได้ฟินจริงๆ

ออฟไลน์ LALYNN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราว่าติ๊นง้อแบบนี้ก็น่ารัก แต่ถ้าให้หมอโมหึงแบบนี้เรื่อยๆ มันจะเป็นเสี้ยนในใจนะคะ
ถ้ารู้ว่าเรื่องอะไรจะทำให้อีกคนไม่สบายใจแล้วล่ะก็ ควรเคลียร์กันให้ชัดเจน
แล้วติ๊นก็ควรสร้างความมั่นใจให้หมอโมด้วย กับเรื่องบางเรื่องเช่น คนเก่าๆของแฟน
มันห้ามใจให้ไม่คิดแทบไม่ได้หรอก มันเป็นเสี้ยนเล็กๆที่จะคอยตำรอวันเป็นแผลอักเสบ
ทางที่ดีติ๊นควรเว้นระยะจากไนท์ มีให้เท่าที่เพื่อนคนหนึ่งมีให้กัน และควรให้หมอโมรับรู้
ไนท์เหมือนยังมีเยื่อใยอะไรบางอย่าง ติ๊นควรตัดตรงนั้นซะ ทำตัวแค่เพื่อนทั่วๆไปพอ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
น้องติ๊นจะรุกไปถึงไหน
แค่นี้พี่โมก็มือไม้สั่นแล้ว

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ก็ยังดีที่ติ๊นรู้อารมณ์หมอโม แต่ไม่ควรทำให้หึงให้งอนบ่อย ๆ ไม่ดีน้า
ไนท์กับติ๊นสมัยเรียนมันก็น่าจิ้นอยู่

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 9 ตะกอน



‘คิดถึง’


เอกรงค์ปั้นหน้านิ่งปรายตามองข้อความสั้น ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะที่ไม่รู้ว่าถูกส่งมาเป็นครั้งที่เท่าไรนับตั้งแต่รุ่งสาง เพราะเพิ่งออกเวรเมื่อตอนพระอาทิตย์ขึ้นจึงไปหงีบหลับที่ห้องพักที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบแปดโมงเช้า กว่าจะทำธุระส่วนตัวอาบน้ำอาบท่าก็ปาไปเกือบเก้าโมง ได้เวลาที่จะต้องตรวจคนไข้พอดีจึงไม่ทันได้อ่านหรือตอบกลับข้อความที่ถูกส่งมาหลังจากนั้น เมื่อพยาบาลส่งสัญญาณว่าไม่มีคนไข้แล้วจึงใช้ปลายนิ้วเรียวเลื่อนอ่านตัวอักษรที่รวมกันเป็นคำว่าคิดถึงนับร้อยข้อความพลันรอยยิ้มแรกของวันก็กระจายทั่วใบหน้า


‘อยากเจอจัง ทำยังไงดี’


กุมารแพทย์หนุ่ม เท้าคางจ้องมองคำถามตรงหน้า ในที่สุดจึงพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ‘มัวแต่ส่งข้อความก็คงได้เจอหรอก’


‘ถ้าอย่างนั้นไปหานะครับ’   


‘หาให้เจอนะ ผมจะกลับบ้านแล้ว’


‘เจอแน่ครับ ผมจอดรถที่คอนโดของโมแล้ว รีบกลับมาเร็ว ๆ นะ’


“อ้าวเฮ้ย!” นายแพทย์เอกรงค์อุทานพร้อมกับลุกพรวดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเล่นมัดมือชกกันเช่นนี้ ที่เขาบอกว่าจะกลับบ้านนั่นคือบ้านที่ต่างจังหวัดต่างหากไม่ใช่ที่คอนโดสักหน่อย กุมารแพทย์หนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจกดโทรศัพท์ถึงใครคนหนึ่ง รอไม่นานปลายสายก็กล่าวทักทายด้วยเสียงเข้มกังวาน หากใครได้ฟังก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเขาคนนั้นจะต้องเป็นชายหนุ่มรูปร่างใหญ่แน่ ๆ


“ไงครับคุณหมอ เห็นแม่บอกว่าวันนี้จะกลับบ้านเหรอ ออกเดินทางหรือยัง”


“เออ บอกแม่ไว้แบบนั้นแหละ”


“แต่...” คนพูดหัวเราะ


“รู้ได้ยังไงวะว่ามีแต่”


“ผมเป็นน้องพี่นะ แค่ได้ยินเสียงหายใจก็รู้ไปถึงไหน ๆ แล้ว”


“เวอร์แล้วไอ้พาทย์ ถ้าแกทำได้ขนาดนั้นก็เลิกขุดหม้อขุดไหแล้วไปเปิดสำนักเถอะ”


“แล้วว่ายังไงครับ คราวนี้ติดเคส ติดหวัด หรือว่า...”


“อะไรวะ”


“ติดแฟน”


“แฟนพ่อแกสิ”


“อ้าว แฟนพ่อผมก็แม่พี่นะ”


“เออ ลืม ๆ” เอกรงค์มุ่นคิ้วเมื่อจนมุม ในบรรดาน้องทั้งสามคน ก็ ‘วงพาทย์’ น้องชายคนรองที่อายุห่างกันเพียงแค่ช่วงหัวปีท้ายปีนี่แหละที่ถือว่าเป็นคู่ปรับสำคัญของเขา “ติดแฟนที่ไหนกัน ติดธุระโว้ย ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วย”


“ได้คร้าบบบ ว่าแต่จะกลับบ้านอีกทีเมื่อไรพี่ เกิดแม่ถาม ผมจะได้ตอบถูก”


“อืม...ก็คงไปว่างอีกทีเดือนหน้าโน่นเลย บอกขิมให้ตำน้ำพริกะปิไว้ให้กินหน่อยนะ คิดถึงถึงฝีมือจะแย่ ที่กรุงเทพฯ หาร้านอร่อย ๆ ไม่ได้เลย”


“ได้ครับ แล้วจะให้ผมส่งแผนที่ให้ไหม”


“เอามาทำไมวะ”


“ก็พี่โมไม่ได้กลับบ้านเป็นชาติแล้ว ผมกลัวจะหาทางกลับไม่ถูกเลยจะส่งแผนที่ไปให้ไง”


“ไอ้พาทย์!”


“หยุดเลย ไม่ต้องบ่น ผมฟังแม่บ่นคนเดียวก็พอแล้ว”


“ไอ้นี่...” พี่ชายคนโตส่ายหัวยิ้ม ๆ “เออ เอาไว้เจอกันนะ แค่นี้ละ”


หลังจากกดวางสายคุณหมอก็คว้ากระเป๋ากับกุญแจรถเดินออกจากห้องไป ไม่ถึงยี่สิบนาทีคาดิลแลคสีดำก็เลี้ยวเข้าประตูของคอนโดสูงใกล้สถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสินซึ่งเป็นคันกั้นเปิดปิดอัตโนมัติสำหรับผู้พักอาศัย หางตาเหลือบไปเห็นโฟล์คสวาเกนสีขาวจอดอยู่ข้างทางเข้าก็ทำให้ความก้ำกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหลุดออกจากความคิด เมื่อรถจอดสนิทเอกรงค์ก็เปิดประตูลงมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของรถทรงโบราณในทันที


“รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”


“โมลืมแล้วเหรอครับว่า ลูกชายโมเชียร์ผม”


“ฝีมือเจ้านอฟอีกแล้วเหรอ” นายแพทย์เอกรงค์ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจในความเจ้ากี้เจ้าการของลูกชายเพื่อนสนิท


“นี่ถ้าให้คีย์การ์ดได้คงให้แล้วละ” ศุกลหัวเราะในลำคอในขณะที่ตาคมยังจับจ้องที่ใบหน้าของคนอายุมากกว่า “รอนานแล้ว หิวน้ำจัง”


“ร้านฝั่งโน้นก็มีขาย”


“ถ้าอย่างนั้นผมบอกลาเลยก็แล้วกัน ซื้อน้ำเสร็จก็จะกลับแล้ว” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มมุมปากทำท่าจะหมุนตัวกลับก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ


“ด...เดี๋ยวติ๊น ไหนบอกว่าคิดถึงไง”


“ก็คิดถึงน่ะสิครับ แต่ไม่รู้ว่าคนที่ผมคิดถึงเขาจะคิดถึงผมหรือเปล่า ขนาดบ่นหิวน้ำยังไล่ให้ไปซื้อเลย”


“ไม่ได้ไล่ แค่คิดว่าทำไมไม่ไม่ซื้อน้ำดื่มก่อน ทนอยู่ทำไม”


“ก็รอโมไงครับ แล้วโมรู้ไหมว่าต้องทำยังไง” ศุกลทำหน้าเฉไฉกอดอกรอฟังคำตอบ


เอกรงค์ส่ายหัวหนัก ๆ ทำเป็นไม่ใส่ใจสายตาวิบวับที่อีกฝ่ายจงใจมอบให้ “ไปคุยกันข้างบน” ว่าแล้วก็เดินนำไป...


กุมารแพทย์หนุ่มแตะคีย์การ์ด เปิดประตูพร้อมกับเชิญให้คนมาใหม่เข้าไปข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตศุกลก็เดินแทรกประตูเข้าไป รอกระทั่งมือขาวดึงประตูปิดจึงสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังให้สมกับที่คิดถึงทันที


“จั๊กจี้” เอกรงค์กล่าวเมื่อกลีบปากอ่อนโยนแตะลงที่ซอกคอซ้ำ ๆ


“คิดถึงจะแย่”


“ปล่อยก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”


ศุกลยอมทำตามอย่างว่าง่าย นั่นเพราะเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรแถมเวลาที่จะอยู่ด้วยกันก็ยังมีอีกทั้งคืน ตาคมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินลับเข้าไปในครัวพลางยกมุมปากขึ้น เขาคิดเช่นนั้นและจะทำให้มันเป็นจริงถึงแม้จะยังไม่ได้เอ่ยปากขอเจ้าของห้องก็ตาม


จิตรกรหนุ่มถือวิสาสะเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้องซึ่งตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เน้นการใช้สีขาว ดำและน้ำตาล ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกขนาดใหญ่มองลงไปจะเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขนาบข้างตึกรามบ้านช่อง ดวงอาทิตย์ดวงโตเคลื่อนต่ำลงกระทั่งเลือนหายไปหลังริ้วเมฆ เห็นภาพเช่นนี้ก็ให้หวนนึกถึงเมื่อครั้งต้องใช้ชีวิตคนเดียวในต่างประเทศ ซ้ำเมื่อกลับมาอยู่ประเทศไทยได้ไม่นานก็ต้องสูญเสียผู้เป็นพ่อ แดดร่มลมตกทีไรความรู้สึกเหงาก็มักเข้าแทรกซึมในรอยแยกของหัวใจที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มอยู่ร่ำไป


“ห้องสวยจัง โมแต่งเองเหรอ” ศุกลเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนจะละสายตาจากภาพสวยงามแต่ลึก ๆ กลับเจือด้วยความเศร้าหมอง


“เปล่า เจ้าของเดิมเขาทำไว้น่ะ” เอกรงค์ตอบขณะเดินออกจากครัวมาหยุดตรงหน้าแล้วส่งแก้วน้ำให้ “ดื่มน้ำก่อน”


“ขอบคุณครับ” ศุกลรับน้ำมาดื่มก่อนจะวางแก้วไว้บนโต๊ะทำงานที่มีตำราแพทย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาสีดำ


ขายาวยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ที่โต๊ะทำงาน กวาดตามองภาพถ่ายในกรอบที่วางอยู่ เห็นว่านอกจากจะมีภาพครอบครัวแล้วยังมีภาพของเอกรงค์ในวันรับปริญญาที่ถ่ายคู่กับชายหนุ่มที่ไปส่งเมื่อวันที่ไปออกค่ายที่หัวหินด้วย ศุกลย่นจมูกก่อนจะคว้าภาพนั้นแล้วจับคว่ำลงแล้วจึงกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“แสดงว่าเจ้าของเดิมต้องหัวศิลป์มากแน่ ๆ เลย หรือไม่ก็มีที่ปรึกษาเป็นมัณฑนากร ถึงได้ตกแต่งเสียดูน่าสนใจแถมใช้พื้นที่คุ้มค่าแบบนี้”


“อืม...เห็นว่าเขาเป็นดีไซเนอร์นะ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าออกแบบอะไร เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีน่ะ เขาแต่งงานก็เลยย้ายไปอยู่ด้วยกัน” พูดจบคุณหมอก็บิดขี้เกียจก่อนจะเอนหลังแนบไปกับพนักโซฟา


“หิวหรือเปล่า เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทาน” ศุกลเสนอตามประสาคนมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเอง นั่นเพราะการต้องไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานทำให้เขาต้องหัดหยิบจับงานที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นงานของผู้หญิง


“ในตู้เย็นมีแต่น้ำเปล่า ของสดกับไข่หมดไปตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังไม่มีเวลาไปซื้อเลย” พูดไปก็ปิดปากหาวหวอด ๆ “ตอนนี้ที่ทำได้คงเป็นติ๊นต้ม”


เจ้าของร่างสูงยิ้มพรายก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วกระซิบ “อยากกินไหม จะทำให้กิน”


“ชอบกินแบบสด ๆ มากกว่า แบบลากไปกินในน้ำ”


“ถ้าอย่างนั้นโมเตรียมตัวเลย เดี๋ยวผมจะเตรียมน้ำอุ่นให้” พูดทั้งที่ปลายจมูกยังคลอเคลียอยู่กับใบหู “อยากถูกลากไปกินในน้ำ”


“อย่าทำให้ขำได้ไหม ง่วงนอนจะแย่แล้ว” เอกรงค์บ่นงึมงำ แทบไม่มีแรงยกหนังตาที่คอยจะปิดลงอยู่เรื่อย


“พูดเรื่องจริง” ศุกลว่าพลางยกมือขึ้นแตะลงข้างแก้มนิ่ม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยวนเบา ๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย ได้ยินเสียงคำรามฮือในลำคอของคนง่วงแล้วก็อดยิ้มไม่ได้


“ง่วง...” พูดจบก็รั้งมือใหญ่ออกก่อนจะโถมเข้าหาคนช่างแกล้งกระทั่งลงไปทาบทับกันอยู่บนโซฟา   


“ถ้าอย่างนั้นก็นอนนะครับ” จิตรกรหนุ่มบอกพร้อมกับใช้สองแขนคล้องเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ “เอาไว้รวบยอดไปชดเชยคราวหน้าก็แล้วกัน”


เมื่อพูดจบก็ได้ยินคนในอ้อมกอดหัวเราะลงคอจนต้องยกหัวขึ้นมองว่าอีกฝ่ายหลับจริงหรือแกล้งทำกันแน่ แต่ยังไม่ทันดูให้แน่ใจร่างของเอกรงค์ก็ยุกยิกเสียก่อน กุมารแพทย์หนุ่มขยับตัวอยู่หลายรอบแต่ดูเหมือนจะไม่เข้าที่สักที เล่นเอาคนที่ยอมสละตัวเองเป็นทั้งที่นอนและหมอนต้องกัดกรามแน่น สะกดใจไม่ให้วูบไหวไปกับสัมผัสที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหรือไม่กันแน่


ศุกลกระชับท่อนแขนแน่นขึ้นเมื่อหน้าขาเสียดสีกับร่างกายที่ยังไม่มีโอกาสได้จับต้อง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คลอเคลียอยู่กับปลายจมูกนั่นยิ่งแล้วใหญ่ มันพาให้หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว


“ถ้าขยับอีกทีละก็ ผมจะไม่ยอมให้นอนแล้วนะ” พูดลอย ๆ หากแต่มันได้ผลเมื่อจู่ ๆ คนในอ้อมแขนก็นิ่งไปราวกับถ่านหมด


นอนไปได้เกือบชั่วโมง นายแพทย์เอกรงค์ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อหูได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือ เมื่อปรือตาขึ้นก็เห็นว่าคนใต้ร่างไม่ได้กอดตนเองอีกต่อไป แต่กำลังใช้สองมือประคองกดโทรศัพท์โดยมีเขานอนเกะกะอยู่ในวงแขน


“ขอโทษครับ ผมทำให้ตื่นใช่ไหม” ศุกลกล่าวแล้วจึงกอดอีกฝ่ายเอาไว้อีกครั้ง


“กี่โมงแล้ว” คนเพิ่งตื่นกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย


“สองทุ่มครับ”


คนฟังพยักหน้าปิดปากหาว ยังไม่ทันได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ คนที่กอดเขาอยู่ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง


“โมจำพี่สาวของเพื่อนที่ผมไปเยี่ยมมาเมื่อวันก่อนได้ไหม เพื่อนผมส่งข้อความมาบอกว่าตอนนี้คุณหมอช่วยไว้ได้จนปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกแล้วนะ”


“ดีจัง” เอกรงค์พึมพำกับตัวเอง เมื่อแนบหูลงกับอกแกร่งก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ


“ทุกคนดีใจกันใหญ่ นี่ส่งรูปหลานมาให้ดูด้วยนะ ตอนนี้นอนอยู่ในตู้อบ ตัวแดงเชียว โมอยากดูไหม”


เอกรงค์คราง ‘ไม่...’ ในลำคอกำลังจะหลับตาลง เสียงเตือนสายเข้าก็ดังขึ้นข้างหูจนตอนนี้เขาตาสว่างเสียแล้ว ชายหนุ่มยันตัวผละออกจากแผงอกอุ่น ลุกขึ้นนั่งขยี้ตาพร้อมกับอ้าปากหาวเสียงดัง


“ไปอาบน้ำดีกว่า” พูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน


ศุกลขยับตัวขึ้นนั่งเป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์สั่นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ข้อความ แต่เป็นสายเข้า


“ไงไนท์ อื้อ...เห็นแล้วละ น่าเกลียดน่าชังเชียว...” กล่าวขณะเดินไปหยุดที่ผนังกระจก เห็นว่าบนถนนยังคงมากไปด้วยรถรา ตึกรามบ้านเรือนเปิดไฟสว่างไสวตอกย้ำคำกล่าวที่ว่ากรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรคือมหานครที่ไม่เคยหลับใหล...


จิตรกรหนุ่มชะเง้อคอมองหาเจ้าของห้องที่หายเข้าไปในห้องเกือบหนึ่งชั่วโมงในขณะที่ปากก็กล่าวคำลาคนที่ปลายสาย ศุกลยืนทอดตามองแสงไฟบนยอดตึกอยู่ครู่หนึ่งจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของเอกรงค์จึงถือวิสาสะอีกครั้ง ขายาวก้าวไปหยุดที่หน้าห้องนอนยกมือขึ้นบิดลูกบิดและในที่สุดก็พบว่ามันถูกล็อกจากข้างในจึงตัดสินใจเคาะเรียก


“โม ยังอาบน้ำไม่เสร็จอีกเหรอ”


เงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงตอบกลับแว่ว ๆ


“ยัง จะกลับแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นผมฝากปิดไฟด้วยนะ”


ศุกลมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ‘ผมไม่ได้มาเพื่อจะปิดไฟให้คุณหรอกนะ’ ชายหนุ่มนิ่งนึก แต่แล้วในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคง่าย ๆ ออกไป


“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะ ฝันดีครับ”


สิบนาทีต่อมาประตูห้องนอนก็เปิดออกอีกครั้ง ร่างสูงที่พันท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูสีขาวเพียงผืนเดียวก้าวออกมากวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นว่าไฟที่เคยเปิดสว่างถูกปิดเหลือเพียงโคมไฟข้างโซฟาเพียงดวงเดียว ภายในห้องไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดนอกจากตัวเขาเองดังนั้นเอกรงค์จึงแน่ใจว่าศุกลกลับไปแล้ว กุมารแพทย์หนุ่มเดินไปรั้งผ้าม่านบริเวณผนังกระจกเข้าหากันเพื่อกำบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่จะสาดเข้ามาในยามเช้า จากนั้นจึงหันเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง ยังไม่ทันที่มือจะดึงประตูให้ปิดสนิทร่างสูงที่โถมเข้าประชิดก็ทำให้สะดุ้งโหยง แผ่นหลังเปลือยสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากอกแกร่ง คิดจะหนีแต่ก็ช้ากว่าสองมือใหญ่ที่ยึดเอวสอบไว้แน่น


“คนใจร้าย” ศุกลกระซิบเสียงพร่า แอบสูดกลิ่นสบู่อาบน้ำจากตัวของอีกฝ่าย


“ไหนว่ากลับแล้วไง”


“จะกลับได้ยังไงครับ เพิ่งคุยกับโมไปได้ไม่มีกี่ประโยคเอง”


“แล้วจะคุยกับผมอีกกี่ประโยคถึงจะพอ สิบ ร้อย หรือว่าพันประโยค”


“มีอีกเป็นล้านประโยคที่อยากคุย แต่วันนี้ไม่อยากคุยแล้ว อยากต่อว่า” พูดจบมือหนาก็จับคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน “คนคิดถึงยังจะบอกให้กลับ”


ศุกลกดตาลงต่ำมองกล้ามเนื้อช่วงเชิงกรานที่โผล่พ้นขอบผ้าขนหนูก่อนจะไล่ลามเลียขึ้นมาจนกระทั่งถึงกระดูกไหลปลาร้า แม้จะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนไปทะเล หากแต่ความรู้สึกมันช่างผิดกันลิบลับ ในวันนั้นเขาเห็นอีกฝ่ายในแบบที่จับต้องไม่ได้ แต่สำหรับวันนี้รับรองว่าเขาจะจับให้ช้ำคามือไปเลย


“ดึกแล้ว” ปากพูดไปทั้งที่ก่อนหน้าและตอนนี้คิดตรงข้าม ‘ก็ที่อาบน้ำเป็นนานสองนานก็เพราะ...’ เอกรงค์ก้มหน้าเผลอกัดริมฝีปากและส่ายหัวเมื่อจู่ ๆ ความคิดก็โลดแล่นไปไกลแสนไกล


“อะไรครับ”


“อ...อะไร”


“ทำท่าแบบนั้นหมายความว่ายังไง แล้วทำไมหน้าแดง กำลังคิดอะไรอยู่ หืม?”


“เปล่านี่” คนพูดเงยหน้าขึ้นสบตา ใช้มือทั้งสองข้างยันแผงอกแกร่งเอาไว้ “ออกไปก่อน ผมจะใส่เสื้อผ้า”


“เดี๋ยวผมใส่ให้ แต่ต้องรอเช้านะ” ศุกลกล่าวพลางเลื่อนสองมือขึ้นจับไหล่กลมกลึง โน้มหน้าเข้าหาแล้วแตะริมฝีปากลงที่ข้างแก้มก่อนย้ายมาดูดชิมความหวานของกลีบปากสีเรื่อที่เผยอขึ้นรับรสสัมผัสโดยมิได้ขัดขืน


เอกรงค์หลับตาเมื่อปากร้อนเลื่อนต่ำขบเม้มตามแนวสันกรามเรื่อยลงมาตามซอกคอ ในที่สุดความปรารถนาภายในใจก็ถึงจุดที่ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไปซ้ำยังถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อพิสูจน์ได้ว่าศุกลเองก็คิดไม่ต่างกันกับเขา


สองร่างเกี่ยวรัดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ยิ่งเห็นรอยที่เคยฝากไว้ยังไม่จางลงก็ยิ่งเหมือนเดิมเชื้อไฟให้ลุกโหม จิตรกรหนุ่มฝังริมฝีปากซ้ำ ๆ อย่างหลงใหลที่เหนือเนินกระดูกราวกับผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังเมามายในรสหวานของเกสรดอกไม้ก็ไม่ปาน 


“ชอบนักก็เอาใส่กระเป๋ากลับบ้านไปด้วยเลยดีไหม”


คำถามนั้นทำให้เผลอยิ้มทั้งที่ริมฝีปากยังเคลียคลอกับแนวกระดูกยาวเว้าลึกใต้หัวไหล่ คนอายุน้อยกว่าหัวเราะลงคอก่อนจะแกล้งงับเบา ๆ แล้วผละออก “อยากเอาไปทั้งตัวเลย” พร้อมกันนั้นมือหยาบก็ลากลงมาตามเนื้อตัวนวลเนียน สัมผัสความเว้าโค้งนุ่มมือ กระทั่งหยุดยังยอดเนื้อสีหวานที่แตะลงทีไรก็พาให้ร่างของคนในอ้อมแขนสั่นสะท้านทุกทีไป ยังไม่วายแกล้งไล้วนจนแข็งเป็นไตก่อนจะขยับไล่ลงมายังหน้าท้องซึ่งประดับด้วยมัดกล้ามเป็นลอนสวย


ความเชื่องช้าเนิบนาบในสัมผัสเล่นเอาเอกรงค์หายใจไม่ทั่วท้อง เผลอใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอแกร่งเป็นผลให้สองร่างยิ่งแนบชิด และเมื่อมือใหญ่บีบเคล้นลงที่สะโพกกุมารแพทย์หนุ่มก็ยิ่งเบียดเข้าหาอย่างไม่รู้ตัว


“จะเอาโมกลับไปเป็นแบบวาดรูป สมัยเรียนอาจารย์เคยให้วาดแต่นู้ดผู้หญิง อยากลองวาดผู้ชายบ้าง”


“แล้วทำไมไม่ให้คนอื่นเป็นแบบล่ะ” คนสงสัยถามเสียงขาด ๆ หาย ๆ เมื่อมือกร้านเริ่มรุกรานปั้นท้ายของตน


“ถ้าไม่ใช่โม...ก็ไม่อยากวาด” พูดจบก็ฝังจมูกลงที่ข้างแก้มขาว


“ปากหวาน” เอกรงค์ไม่คิดหลบ และเพราะในหัวยังมีข้อสงสัยอีกมากจึงถามต่อ “แล้วคนเป็นแบบต้องทำยังไงบ้าง” 


“ก็...ถอดเสื้อผ้า ส่วนท่าทางแบบไหน นั่งหรือนอนคนวาดจะเป็นคนบอกเอง”


“แล้วติ๊นอยากให้ผมทำท่าทางแบบไหน”


“แบบนี้ไง” พูดจับก็ดันร่างของคนช่างสงสัยจนเซไปด้านหลังกระทั่งหงายลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน


รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของคนอายุน้อยกว่าขณะที่เขาแทรกเข่าลงระหว่างท่อนขาซึ่งถูกอำพรางด้วยผ้าขนหนู ชายผ้าที่ถลกขึ้นดูหมิ่นเหม่เมื่อจนเห็นเนื้อขาวที่โคนขาดูหมิ่นเหม่เหลือเกิน แขนแกร่งยันกับที่นอนล้อมไว้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน ในขณะที่ดวงตาสองคู่ยังสบกันไม่ลดละ


“ของที่ฝากไว้ยังอยู่หรือเปล่าครับ” ร่างสูงโน้มลงกระซิบที่ข้างหู ทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระส่ำ เมื่อเห็นเอกรงค์พยักหน้า จิตรกรหนุ่มจึงกล่าวต่อ “นึกว่าเอาไปใช้กับใครแล้วเสียอีก”


“ก็รอใช้กับคนให้นี่แหละ” ว่าแล้วก็ผลักอกกำยำให้ห่างตัว ก่อนจะหันไปดึงลิ้นชักข้างเตียง หยิบเอาของที่ศุกลถามหาออกมา “เอ้านี่ ถ้าไม่พอยังมีอีกโหล”


“ผมลืมวิธีใช้มันไปแล้วทำยังไงดี”


คุณหมอกัดปากอย่างมันเขี้ยว จ้องหน้าเจ้าของดวงตามวาววับพลางส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความเจ้าเล่ห์แสนกล ในที่สุดเอกรงค์ก็โยนของในมือลงข้างตัวก่อนจะดันหน้าอกของอีกฝ่ายให้พลิกหงายพร้อมกับโถมกายเข้าหา มือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่เอวกางเกงออกแรงดึงเป็นสัญญาณให้เจ้าของดวงตาทอประกายที่ยังสบกันลุกขึ้นนั่ง


ศุกลใช้สองมือจับต้นขาขาวรั้งอีกฝ่ายเข้ามาชิดอย่างรู้งาน ส่งเรียวขาขาวทอดไปทางด้านหลังให้เกี่ยวกับเอวของตนเองเอาไว้ ท่าทางของคุณหมอตอนนี้จึงไม่ต่างจากลูกลิงกอดคอเจ้าของแน่น ที่ดูเกะกะสายตาเห็นจะเป็นผ้าขนหนูที่หลุดร่นจนเผยปั้นท้ายยวนใจ มือใหญ่หมายจะดึงสิ่งปิดบังออกแต่แล้วร่างเล็กที่โผเข้าหาก็ทำให้ต้องเลิกล้มความคิดเปลี่ยนเป็นบีบขยำสะโพกมนเพื่อหักห้ามใจแทน


“อย่าใจร้อนนัก ผมบอกแล้วไงว่าจะชดเชยให้” เอกรงค์กระซิบใบริมหูก่อนจะลากปลายจมูกพรมจูบไปใบทั่วหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากบางมาหยุดที่กลีบปากหยักแตะปลายลิ้นลากวนแล้วจงใจขบลงเบา ๆ ไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งส่งให้อารมณ์ของคนถูกกระทำยิ่งพลุ่งพล่าน


“รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำให้ผมคลั่ง”


ประโยคกระท่อนกระแท่นเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกุมารแพทย์หนุ่มได้อย่างไม่ยาก ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่บ่ากว้างจากนั้นจึงค่อย ๆ ลากลงมาตามเนื้อแน่นกระทั่งหยุดที่แนวขอบกางเกง จัดการคลายหัวเข็มขัดอย่างคล่องแคล่ว กำลังจะปลดกระดุมกางเกงยังไม่ทันรูดซิปก็เปลี่ยนใจเลื่อนมือไปรั้งโทรศัพท์ที่ศุกลใส่ไว้ในกระเป๋าด้านหลังออกมาเมื่อจู่ ๆ มันก็ส่งเสียงสั่นเตือนขัดจังหวะขึ้นเสียได้ เตรียมจะกดตัดสายแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อผู้เป็นเจ้าของเอ่ยขึ้น


“เดี๋ยวครับ ขอผมดูหน่อยว่าใครโทรมา”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเอกรงค์จึงส่งโทรศัพท์คืนให้ ศุกลรับมันไปในขณะที่มือข้างหนึ่งยังไม่ห่างจากปั้นท้ายเนียน นัยน์ตาคมจ้องหน้าจอสัมผัสนิ่งและเนิ่นนานราวกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง


“รับเถอะ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวขณะซบหน้าลงบนบ่าแกร่งทอดตามองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ข้างเตียง เลขดิจิทัลแสดงว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มครึ่งแล้ว เพียงชั่วอึดใจก็ได้ยินศุกลก็เอ่ยขึ้น


“ไนท์ มีอะไรเปล่า”


จากนั้นคนที่ปลายสายก็พูดสวนเข้ามาอย่างรีบร้อน


“อือ ใจเย็น ๆ นะ โทรหาประกันหรือยัง... อืม... ได้ ๆ ... มีอะไรโทรมานะ”


เสียงเงียบไปแล้ว...


ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลงรวมถึงความร้อนรุ่มด้วยแรงแห่งไฟปรารถนา จะมีก็แต่หัวใจของเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่เริ่มคลายออกกระมังที่ยังคงเต้นรัวด้วยความร้อนรนเพราะเรื่องของใครอีกคนที่เพิ่งวางสายไป และนั่นก็ทำให้เอกรงค์รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง กุมารแพทย์หนุ่มวางมือทั้งสองข้างบนบ่าหนาก่อนจะเลื่อนใบหน้าออกห่างเพียงเล็กน้อยพอให้ปลายจมูกได้สัมผัสกัน


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


ศุกลแตะจูบเบา ๆ ที่กลีบปากของคนช่างยั่วในขณะที่มือหนึ่งกำโทรศัพท์แน่น “เพื่อนผมขับรถไปชนคนน่ะครับ ทำอะไรไม่ถูกเลยโทรมา”


เสียงเตือนข้อความเข้าที่ถูกปรับเป็นระบบสั่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้ง และดูว่าจะถี่เหลือเกินจนเจ้าของต้องเลื่อนสายตาลงมองเป็นระยะ


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาเพื่อนเถอะ”


“แล้วคุณล่ะ”


“ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของเรากับหุ่นยนต์หรอกนะ หมดอารมณ์พอดี” กุมารแพทย์หนุ่มว่า ก่อนจะรั้งผ้าขนหนูขึ้นอำพรางช่วงล่างพร้อมกับลุกขึ้น คว้าเสื้อผ้าที่เตรียมไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอน ร่างสูงเดินอ้อมเตียงมาหยุดยืนต่อหน้าคนที่กำลังใส่เข็มขัดและจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่


“เดี๋ยวผมไปส่ง” เตรียมจะไปเปิดประตูก็ถูกมือใหญ่ของศุกลรั้งเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก


“ว่าไงไนท์... อื้อ รอเดี๋ยวนะ...” คนตัวสูงกว่ากล่าวพร้อมกับค่อย ๆ คลายมือออก ดังนั้นเอกรงค์จึงเดินนำอีกฝ่ายออกจากห้องนอน


“...เรากำลังจะไปแล้ว ไนท์ใจเย็น ๆ นะ”


เมื่อศุกลก้าวพ้นประตูห้องก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกลา แต่เพราะโทรศัพท์ที่ยังถือแนบอยู่กับหูเขาจึงทำได้เพียงแค่ส่งสายตาให้คนที่เดินมาส่งเท่านั้น


“ไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมง เราน่าจะถึงสถานีตำรวจ...” กล่าวพร้อมกับก้าวเข้าประชิดตัวเจ้าของห้อง ตั้งใจจะจูบลาแต่เอกรงค์กลับใช้มือดันแผงอกของเขาเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าน้อย ๆ ดังนั้นจิตรกรหนุ่มจึงถอยห่างออกมาก่อนจะค้อมศีรษะให้ จากนั้นขายาวก็ก้าวไปที่ลิฟท์อย่างรีบร้อนพอ ๆ กับหัวใจในตอนนี้....


(มีต่อค่ะ)


ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ภาพเขียนสีน้ำมันในแกลเลอรีถูกปลดลงเพื่อเตรียมพื้นที่ให้แก่ลูกค้ารายใหม่ที่ต้องการเช่าพื้นที่จัดแสดงผลงานขในนิทรรศการซึ่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลายภาพถูกติดป้ายจอง ในขณะที่อีกหลายภาพถูกซื้อไปโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้นิยมงานศิลป์ เหลือก็แต่ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่เพียงภาพเดียวที่เจ้าของไม่ยอมขายแม้คนซื้อจะเสนอราคาที่ค่อนข้างสูงก็ตาม


“เสียดายว่ะที่คราวก่อนไม่ได้มาแสดงงานด้วย” รัตติเขตที่วันนี้อาสามาช่วยเอ่ยขึ้นขณะรั้งเฟรมสีน้ำมันออกจากผนังแล้วส่งให้คนที่นั่งอยู่กับพื้น ทั้งหมดก็เพื่อตอบแทนศุกลที่อยู่เป็นเพื่อนเมื่อวันที่พี่สาวของเขาต้องเข้าโรงพยาบาลซ้ำยั้งเป็นธุระให้เมื่อวันที่เกิดอุบัติเหตุนั่นด้วย “ไอ้ดลมันโทรไปชวนตอนที่กำลังเตรียมเสนองานลูกค้าพอดี”


“ไม่เป็นไรนี่ ไว้คราวหน้าก็ได้” ศุกลว่าพลางห่องานด้วยพลาสติกกันกระแทก เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เขียนรายละเอียดการจองลงในกระดาษแล้วติดเอาไว้ด้วยกระดาษกาวอย่างแน่นหนารอจัดส่งให้กับลูกค้าต่อไป


“เอ้อ ลืมบอกเลย”


“อะไรเหรอ”


“เพื่อนเราชอบมากเลยนะ ลายฉลุฉากกั้นในห้องที่ติ๊นช่วยเขียนแบบให้น่ะ ตอนเป็นโมเดลว่าสวยแล้ว เมื่อวันก่อนช่างเขาเอางานตัวอย่างมาส่ง ลองวางในห้องจัดแสงเรียบร้อยแล้วสวยมากเลย”


“ถ่ายรูปมาให้ดูบ้างสิ”


“ได้ ไว้จะให้มันส่งรูปมาให้นะ”


“แล้วตอนนี้ทางนั้นเหลืออะไรบ้าง”


“ก็เหลือพวกลวดลายสีทองที่ต้องเขียนบนผนังแหละ ดีนะที่ติ๊นช่วยแนะนำรุ่นน้องให้หลายคน งานเลยไปได้ไว คิดว่าน่าจะทันกำหนดที่เขาจะเปิดให้บริการพอดี”


“ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกนะ”


“เท่านี้ก็ช่วยเยอะมากแล้วละ” รัตติเขตกล่าวขณะเดินไปหยุดที่ภาพสุดท้ายซึ่งเขาคนเดียวคงไม่อาจปลดมันลงมาได้ อ่านจากป้ายแสดงรายละเอียดจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของศุกลนั่นเอง “รูปนี้ของติ๊นเหรอ”


“ใช่” เจ้าของภาพเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่หยุดยืนอยู่ที่ผนังฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปช่วยอีกฝ่ายปลดภาพลงมาวางพิงไว้ด้านล่าง


“สวยจัง ยังไม่มีใครซื้อเหรอ”


“มี แต่เราไม่ขายน่ะ”


“แล้วถ้าเราขอล่ะ ซื้อก็ได้”


ศุกลส่ายหัวยิ้ม ๆ “ถ้าไนท์ชอบเดี๋ยวเราวาดรูปอื่นให้”


“แสดงว่าหวงมาก รูปใครเหรอ บอกได้ไหม”


“ไม่รู้เหมือนกัน” เป็นประโยคเดิมที่จิตรกรหนุ่มมักตอบเมื่อถูกถามคำถามนี้ เพราะเขาเลือกที่จะจดจำภาพนี้ด้วยความรู้สึก ณ ตอนที่ได้พบกับคนในภาพนั่นเอง “บังเอิญเจอกันเมื่อนานมาแล้วน่ะ”


“ยิ้มสวยจัง เหมือนเคยเห็นที่ไหน” รัตติเขตนิ่งนึก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตนเองได้ “แล้วจะเอาไปไว้ไหนเหรอ เราจะได้ช่วยยก”


“คงเก็บไว้บนสตูดิโอน่ะ วางไว้อย่างนี้ก่อนแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไอ้พีกับไอ้ดลมาช่วยจัดสถานที่ค่อยให้พวกมันช่วยยก”


“คงไม่ใช่แค่ภาพของคนที่บังเอิญเจอกันแล้วมั้ง” รัตติเขตหยั่งเชิง และเมื่อพอจะมองเห็นคำตอบที่แฝงอยู่ในท่าทีของอีกฝ่ายจึงได้เปลี่ยนเรื่อง “เออ พูดถึงสองคนนั่น เห็นมาโม้ให้ฟังว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนไปเที่ยวทะเลกันมาเหรอ ฟังแล้วเรายังแปลกใจไม่หายที่พวกนั้นลากติ๊นไปทะเลได้ ตอนที่กลับจากญี่ปุ่น จะชวนไปฉลองสักหน่อย ชวนเท่าไรก็ไม่ยอมไป”


“พาเด็ก ๆ ไปออกค่ายมาน่ะ”


“น่าสนุกว่ะ”


“เออ เด็กน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ผู้ใหญ่นี่สิสนุกจนออกนอกหน้า” พูดไปก็ยิ้มไปเพราะในหัวมีแต่ภาพของคนบางคนที่หกล้มหกลุกอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น


“ใคร ไอ้พีเหรอ ท่าทางจะเมาหัวทิ่มอีกตามเคย”


“ใครว่าล่ะ งานนี้แอลกอฮอล์ไม่มีสักหยด”


“เป็นไปได้เหรอ” รัตติเขตถามอย่างแปลกใจ


“มีแต่เด็ก ๆ ก็เลยชนแก้วน้ำอัดลมแทน แต่พวกมันสองตัวก็ยังหัวทิ่มเหมือนคนเมาได้”


สองคนพากันหัวเราะ


เจ้าของนัยน์สีเข้มทอดตามองคนตัวเล็กกว่า ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้หัวเราะด้วยกันแบบนี้ นึกย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่งานเลี้ยงอำลาว่าที่บัณฑิตเมื่อสามปีก่อนกระมัง เพราะหลังจากนั้นเขาก็ต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น แม้แต่ปริญญาบัตรก็ไม่ได้เข้ารับพระราชทานพร้อมกับเพื่อน ๆ โชคดีที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลทำให้พอจะรู้ข่าวคราวกันบ้าง หลังจากกลับจากประเทศญี่ปุ่นจึงมีโอกาสกันในงานแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่นแต่ก็คุยกันน้อยคำนักหากเทียบกับตำแหน่งเพื่อนสนิทที่มอบให้กัน ศุกลทอดตามองภาพเขียนสีน้ำมันตรงหน้า นึกถึงคำพูดติดตลกของพีระเมื่อตอนไปออกค่ายที่หัวหินที่ว่า ‘ต้อนรับกลับสู่ทะเลอีกครั้ง’ ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะตั้งแต่กลับจากทะเลเสม็ดคราวนั้น เขาก็ไม่คิดไปทะเลอีกเลย แม้เพื่อน ๆ จะรบเร้าทั้งตอนที่มีโอกาสกลับมาเมืองไทยในระยะเวลาสั้น ๆ หรือตอนที่มาอยู่ถาวรแล้วก็ตาม


หากถามหาสาเหตุก็คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ แล้วต้นเหตุก็คือคนที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าในเวลานี้...


“มีความลับอะไรวะ ถึงได้ชวนเราออกมาที่นี่” รัตติเขตเอ่ยขึ้นพลางทอดตามองแผ่นหลังกว้าง สองเท้ายังก้าวตามไปบนผืนทรายเม็ดละเอียดที่ชุ่มไปด้วยน้ำ


“มีของจะให้” คนเดินนำหยุดก่อนจะหันมายิ้ม มือยังคงไพล่หลังราวกับซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้


“อะไร” คนตัวเล็กกว่าเลิกคิ้ว เพิ่งสังเกตว่าวันนี้หนวดเครารกครึ้มถูกโกนจนเหี้ยน ผมเผ้าที่เคยยาวรุงรังก็ถูกรวบเป็นจุกที่กลางหัวค่อนไปทางท้ายทอยดูเรียบร้อยผิดหูผิดตา ทั้งที่ปกติจะปล่อยตามธรรมชาติ ไม่ได้หวีซ้ำยังมีกลิ่นสาบให้ต้องไล่กันเข้าร้านตัดขนหมาอยู่บ่อย ๆ


เมื่อได้โอกาส ศุกลก็เลื่อนมือที่กำหลวม ๆ ขึ้นมาตรงหน้าจากนั้นจึงค่อยคลายนิ้วทั้งห้าออกเผยให้เห็นแหวนโลหะสีเงินเกลี้ยง ๆ ที่วงรอบด้านในสลักรูปหัวใจเอาไว้


“แหวนเหรอ ให้เราเนื่องในโอกาสอะไร”


คนตัวสูงคลี่ยิ้มตาหยี ข่มอารมณ์ตื่นเต้น ขยับปากสั่นเทาก่อนจะตัดสินใจเอ่ยความในที่เก็บซ่อนมาแสนนานออกไป “เรา...เราตั้งใจให้ไนท์ เพราะเรา...เราชอบไนท์ คบกับเรานะ”


คำสารภาพสั้น ๆ ทำเอาคนฟังยืนนิ่ง ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์มิได้แสดงออกถึงความยินดียินร้ายใด ๆ


“เราชอบไนท์จริง ๆ นะ” กล่าวพลางรั้งมืออีกฝ่ายขึ้นมาแล้ววางแหวนวงนั้นลงบนฝ่ามือนุ่ม แต่วินาทีนั้นเองรัตติเขตก็กำแน่นพร้อมกับชักมือกลับ


“ถ้าติ๊นให้ด้วยเหตุผลนี้ ร...เรา เรารับไว้ไม่ได้หรอก”


“ท...ทำไม” ปากหยักถามเสียงแผ่ว แม้แต่หูของตนเองก็ยังแทบจะไม่ได้ยิน


“เราไม่ได้คิดกับติ๊นเกินกว่าความเป็นเพื่อน เพราะฉะนั้นเรารับมันไว้ไม่ได้หรอก” รัตติเขตเม้มปากแน่นมองคนตรงหน้าอย่างตัดสินใจ ในที่สุดจึงกล่าวต่อ “กลับไปหาพวกนั้นกันเถอะ”


เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งกำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่กลับถูกมือใหญ่คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน


“เราชอบไนท์ ชอบมานานแล้ว ไนท์เป็นรักแรกของเรานะ ไนท์เองก็รู้สึกดี ๆ กับเราไม่ใช่เหรอ” ศุกลพูดแข่งกับเสียงคลื่นในทะเลขณะที่มือใหญ่เลื่อนลงกำข้อมือเล็กของคนที่เอาแต่จะถอยห่างไว้แน่น


รัตติเขตส่ายหน้า พยายามแกะมือของอีกฝ่ายไปด้วย “เราคิดกับติ๊นแค่เพื่อน”


คนฟังชะงัก เมื่อตั้งสติได้จึงว่า “แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร ที่ไนท์ทำดีกับเรา คอยเป็นห่วงเป็นใยเรา ทั้งที่คนอื่น ๆ พากันพูดถึงเรา ไอ้พีไอดลแซวไนท์ก็ไม่เคยปฏิเสธ ไนท์จะบอกว่าทั้งหมดนี้เราคิดไปเองอย่างนั้นเหรอ”


“ร...เราขอโทษ...ถ้าหากสิ่งที่เราทำมันทำให้ติ๊นคิดมาก อีกอย่าง...ร...เรา...มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”


ศุกลนิ่งไปพักใหญ่ ก้มมองโลหะวับวาวบนฝ่ามือ ในที่สุดปากหยักก็ขยับอีกครั้ง “ข...เข้าใจแล้ว”


ชายหนุ่มกล่าวสั้น ๆ นั่นเพราะหากเขาพูดอะไรไปยืดยาวกว่านี้ ความรู้สึกเสียใจก็คงล้นทะลักออกมาทางดวงตาเป็นแน่ มือใหญ่กำแหวนวงเล็กเอาไว้แน่น แน่นเสียจนเส้นเอ็นที่ข้อมือปูดโปนหากแต่มืออีกข้างกลับค่อย ๆ คลายออกจากไม่คิดเหนี่ยวรั้งอีกต่อไป


“เราไปหาพวกนั้นกันเถอะ”


“ไนท์กลับไปก่อนเถอะ เราอยากอยู่ตรงนี้สักพัก”


คนฟังพยักหน้า แต่ก่อนจะเดินย้อนกลับไปทางทิศที่มองเห็นแสงไฟอยู่ลิบ ๆ เขาก็อ่ยขึ้น


“เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะติ๊น”


เจ้าของดวงตาแดงก่ำเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับหลับตาลงถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคออย่างยากลำบากพอ ๆ กับการประคับประคองหัวใจที่เสียสูญ หูได้ยินเสียงคนตรงหน้ายังคงย้ำประโยคเดิม


“เป็นเพื่อนกันนะติ๊น”


ศุกลลืมตาขึ้นอีกครั้งพูดพร้อมกับเบือนหน้าไปทางอื่น “เราขอเวลาหน่อยนะ แต่จะพยายามทำให้ได้ สัญญาว่าจะเป็นเพื่อนที่ดี ส่วนเรื่องวันนี้คิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เราไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็ใช้เวลาคิดเพียงชั่วอึดใจก่อนจะปาของที่อยู่ในมือออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ติ๊น!”



“ขอโทษนะ” คนพูดไล้มือไปบนผิวขรุขระที่เกิดจากการทับกันของเนื้อสีน้ำมันบนเฟรม


“เมื่อกี้ว่าไงนะ” ศุกลที่ถูกเรียกความคิดกลับมาเอ่ยขึ้นเมื่อเขาไม่ได้ทันได้ฟังสิ่งที่เพื่อนเพิ่งกล่าวจบลงไป


“เราบอกว่าเรื่องที่ทะเลวันนั้นน่ะ...ขอโทษนะ”


“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ คนไม่ได้ชอบจะบังคับให้ชอบได้ยังไง จริงไหม”


“ม...ไม่จริง”


จิตรกรหนุ่มหันกลับไปมองอีกฝ่ายให้เต็มตา รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ


“ถ้าเราบอกว่าเราโกหก ติ๊นจะโกรธเราไหม”


“โกหก? โกหกเราเรื่องอะไร” ศุกลฝืนยิ้ม ภาวนาให้สิ่งที่คิดไปล่วงหน้าไม่เป็นความจริง


“เราโกหกว่าเราอยากเป็นเพื่อนกับติ๊น” คนตัวเล็กหันมากล่าว “แต่เราไม่ได้โกหกเรื่องที่เรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว เพราะคนที่เราชอบเขาก็อยู่ตรงหน้าเรา”


“แล้วทำไมตอนนั้น...”


“ขอโทษจริง ๆ ที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะเราไม่แน่ใจว่าเราจะทนไหวไหมถ้าต้องอยู่ไกลกัน อีกอย่างเราไม่อยากให้ติ๊นเอาตัวเองมาผูกติดกับเรา เกือบสามปีเชียวนะ เราไม่อยากปิดโอกาสที่ติ๊นจะได้เจอกับใครสักคน ขอโทษที่ทำให้ต้องเสียใจนะ”


“อย่าคิดมากเลย เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว” เจ้าของแกลเลอรี่ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ถ้าตอนนั้นคบกัน ไม่รู้จะเป็นยังไงเนอะ”


“มันต้องดีสิ เราเชื่อแบบนั้น” ศุกลคลี่ยิ้มกับตัวเอง “ยังไงเราก็ไม่ปล่อยให้ระยะทางหรือเวลามาเป็นอุปสรรคแน่ ๆ”
เมื่อได้ฟังรัตติเขตก็สาวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกับถามสิ่งที่ใจอยากรู้ “คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงเหรอ”


“อื้อ จริงสิ ถ้ามีไทม์แมชชีนจะพาย้อนกลับไปแล้วพิสูจน์ให้ดู”


“ไม่ต้องย้อนกลับไปถึงตอนนั้นหรอก ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ แล้วเราก็อยากพิสูจน์” เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งยังคงสบตานิ่ง ในที่สุดก็ถามคำถามสุดท้ายเพื่อสลายตะกอนในใจ “คบกับเราได้ไหม”


“ไนท์” ศุกลเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ในใจประกอบไปด้วยหลายความรู้สึกทั้งสับสนระคนเสียใจรวมถึงเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้รู้เหตผลที่แท้จริง หากอีกฝ่ายพูดประโยคเหล่านี้เสียตั้งแต่วันนั้น เขาคงกระโดดตัวลอย แต่วันนี้ความรู้สึกกลับต่างไป


“ได้ไหมติ๊น” ปากหยักถามซ้ำก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นคล้องคอโน้มคนตัวสูงมาลงมาใกล้จนแทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน


“ร...เรา เราทำแบบนั้นไม่ได้” ในใจมีเพียงเหตุผลเดียว หากแต่ไม่อยากทำร้ายเพื่อนมากไปกว่านี้


แม้ประโยคนั้นจะบั่นทอนความหวัง แต่รัตติเขตที่เคยปล่อยโอกาสหลุดมือไปแล้วครั้งหนึ่งกลับพร่ำบอกตนเองว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง


“ทำไมล่ะ ติ๊นบอกว่าเราเป็นรักแรกของติ๊น ติ๊นจะลืมเราได้จริง ๆ เหรอ” พูดพร้อมกับแตะปลายจมูกลงบนแก้มสากก่อนจะไล่ลงมาใกล้ริมฝีปากที่ยังไม่ยอมเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ๆ


ราวกับเข็มนาฬิกาหมุนกลับตาลปัตรย้อนไปยังช่วงเวลานั้น...ช่วงเวลาแห่งการสารภาพ จิตรกรหนุ่มประคองเอวสอบอย่างเผลอไผล นัยน์ตาสีดำสนิทไม่อาจละจากดวงหน้าของคนที่เคยมอบหัวใจให้ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลีบปากสีสวยแตะลงมาที่ริมฝีปากของตนเองเสียแล้ว เป็นสัมผัสแผ่วเบา ไม่ลึกซึ้งหากแต่อุ่นซ่านพอจะทำให้สมองซีกซ้ายหยุดหาเหตุผล ส่วนสมองซีกขวาก็ไม่พร้อมที่จะรับรู้ความสุนทรีย์ใด ๆ ในหัวว่างเปล่าจะมีก็แต่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อตรง


“เรารักติ๊น” คนตัวเล็กกระซิบเสียงแผ่ว “รักตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน รู้ไหมว่าเราดีใจแค่ไหนที่รู้ว่าติ๊นวาดรูปเรา รู้ไหมเราดีใจแค่ไหนตอนที่รู้ว่าติ๊นไม่ได้ชอบบัว”


รัตติเขตเลื่อนริมฝีปากไปตามแนวสันกรามจงใจขบเม้มเบา ๆ ให้เกิดรอยที่ซอกคอขาวราวกับจะประกาศกลาย ๆ ให้ ‘ใครคนนั้น’ ที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ได้รู้ว่าหัวใจของชายผู้นี้เคยเป็นของเขามาก่อน “แล้วเราก็ดีใจที่สุดตอนที่ติ๊นบอกว่ารักเรา แต่เราก็ยังทำเรื่องโง่ที่สุด วันนี้เราเลยอยากจะขอโอกาส ได้ไหมติ๊น ตอบเราสิว่าได้หรือเปล่า”


กลีบปากสีหวานย้อนกลับมาจุดยังตำแหน่งแรกอีกครั้ง ศุกลขบกรามแน่นเมื่อรู้สึกว่ารัตติเขตกำลังพยายามมอบจุมพิตแสนลึกซึ้งให้ ตัดสินใจแกะท่อนแขนที่เหนี่ยวรั้งลำคอของตนเองก่อนจะเลื่อนขึ้นจับที่ต้นแขนของคนตรงหน้าซึ่งอยู่ในอารามตกใจ


“หยุดเถอะไนท์ เราขอร้อง”


“ท...ทำไม ติ๊นไม่ได้รู้สึกกับเราเหมือนเดิมแล้วเหรอ”


“ความรู้สึกของเราไม่เคยเปลี่ยน เรารู้สึกกับไนท์ยังไงก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม เรายังจำความรู้สึกในวันแรกที่เจอกับไนท์จนกระทั่งความรู้สึกในวันสุดท้ายที่ทะเล...” คนพูดหยุดเพื่อให้เวลาตัวเองได้ทบทวน “มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เรายังคงรู้สึกในตอนนี้ เป็นความรู้สึกที่มาจากหัวใจ แต่วันนี้หัวใจของเรา เราให้คนอื่นไปแล้ว เราทำผิดต่อเขาไม่ได้ ขอโทษนะไนท์”


ทันทีที่ประโยคเชือดเฉือนสิ้นสุดลง น้ำตาคนฟังก็ร่วงหล่น รัตติเขตขยับตัวให้หลุดจากมืออุ่นที่โหยหามาแสนนาน ถอยห่างพร้อมกับรีบปาดน้ำตา พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้วกล่าว


“เพิ่งรู้ว่าเป็นติ๊นมันเจ็บแบบนี้ เพิ่งรู้ว่าคำพูดของเราในวันนั้นมันทำให้ติ๊นต้องเสียใจมากขนาดไหน ถ้าตอนนั้นเราไม่คิดอะไรโง่ ๆ เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อใจติ๊น วันนี้คนที่ได้หัวใจติ๊นคงเป็นเรา”


“ไนท์ ร...ร้องไห้เหรอ” เจ้าของนัยน์สีเข้มซึ่งฉาบเคลือบด้วยแววแห่งความอาทรสืบเท้าเข้าใกล้ ตั้งใจจะเอื้อมมือซับน้ำตา แต่ก็จะต้องชะงักด้วยถ้อยคำที่เป็นดั่งประกาศิต


“อย่าเข้ามา เราไม่เป็นไร” รัตติเขตกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ กระนั้นก็ยังฝืนยิ้ม เพิ่งรู้ซึ้งถึงความความเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธโดยคนที่ชอบก็วันนี้...



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2016 03:25:18 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
แล้วพร่ติ๊นปล่อยให้เค้ารุกได้ไง เนี่ยยย ปฏิเสธให้เข้มแข็งหน่อยสิ

ออฟไลน์ หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ว่าแล้ววววว ว่าไนท์ต้องชอบติ๊นแน่ๆ ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้าง
ทีนี้หมอโมก็จะเห็นรอย แล้วก็ตู้มมมม
เพราะนี่ก็คิดว่าหมอโมก็คงไม่พอใจแหละ น่าจะคิดมากแต่ไม่กล้าพูดออกไป
สมน้ำหน้าค่ะไนท์ ไม่ชอบคนแบบนี้เลยพอเขาบอกชอบก็ปฏิเสธ แต่พอผ่านไปก็มาบอกชอบเขา

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
โหยยยยยยย อิติ๊นนนนน ว่าแล้วไงๆๆ  ตอนแรกยังวางใจคิดว่าติ๊นก็แค่เฟรนด์ลี่น่าา แค่คนอบอุ่น ใจดี(ไปทั่ว)  นี่ไม่ใช่ละ ไม่ใช่ละ รักเก่าชัดๆ  :ling3:  แล้วหมอโมจะทำยังไง? นางเซนส์แรงนะ แต่นางเป็นผู้ใหญ่ไง นิ่ง เป็นเมียหลวงที่ดี สงบ รอตบอย่างเดียว ถ้าติ๊นเคลียร์ไม่ขาด อย่าหวังจะได้แอ้มหมอโม โก่งค่าตัวไว้ค่ะหมอ อึ้บไว้ก่อน อึ้บไว้ ให้มองแค่ตาพอ อย่างเพิ่งให้กิน  :hao3:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เราว่าหมอโมต้องมีเซนส์ในเรื่องนี้แน่ๆ และคงเก็บความไม่พอใจไว้ในใจอยู่ลึกๆ ไม่บอกติ๊น
หวังว่าตอนหน้าติ๊นจะเคลียร์เรื่องต่างๆ ได้หมดนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด