Tics... เชี่ย! ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่ 21 มาแล้วจ้าาาา
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Tics... เชี่ย! ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่ 21 มาแล้วจ้าาาา  (อ่าน 85975 ครั้ง)

ออฟไลน์ madmay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • twitter.com/gaa_nu

ขออภัยที่เงียบหายไป ตั้งแต่หลังสงกรานต์นูก้ากลับไปทำงาน+เรียนและแต่งตอนต่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าวันที่ยี่สิบกว่าๆ คุณน้าน้องแม่เสีย ต้องกลับบ้านไปช่วยงาน นี่ก็พึ่งกลับได้ไม่ถึงอาทิตย์ดีเลย การบ้านกองสุมทะลุเพดาน ไหนอาทิตย์หน้าจะไปญี่ปุ่นอีก อิชั้นเลยเจียดเวลามาอัพนิยายไม่ได้เลย ขอบคุณทุกคนที่รอ สอบเสร็จ25นี้คงได้ฤกษ์ปั่นนิยายแล้วล่ะ
เดี๋ยวเอาแบบโหดๆ ชดเชยที่หายไปละกัน ฮ่าๆ
ขอบคุณอีกครั้งและหวังว่าจะยังสนับสนุนกันต่อไปนะ

จึงแจ้งมาเพื่อทราบ

นูก้า
ヌガー

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
เสียใจแล้วก็สู้ๆ นะครับ
ปวดเป็ดเป็นกำลังใจให้

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อ่านรวดเดียวจบ สนุกอ่า แต่ เมื่อไหร่แม๊กจะรู้ว่าโบป่วย
 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3

ออฟไลน์ madmay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • twitter.com/gaa_nu

-10-

               “อืม...”

               “...”

               ปิ๊บ

               “โอเค วันนี้ไปเรียนได้”

               อ้าาา ในที่สุด!

               ปากผมฉีกยิ้มกว้างที่สุดในรอบหลายสัปดาห์เมื่อจอแสดงอุณหภูมิแบบดิจิตอลขึ้นตัวเลข ‘38.3’

               เฉียดไปนิดเดียว แต่ผมก็จะได้ไปเรียนแล้วล่ะนะ เย้!

               “ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจ รีบไถลลงเตียงโดยใช้ขาข้างขวาที่ไม่เจ็บเขย่งๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้า แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปจัดการตัวเอง พี่แม็กก็คว้าแขนผมไว้แล้วพูดว่า

               “ห้ามอาบน้ำ ไข้กลับกูจะไม่ให้มึงไปเรียน”

               “แต่ผมเหนียวตัว เหม็นตัวเองจะแย่แล้ว-”

               “เอ๊ะ มึงนี่! เห็นกูใจดีด้วยหน่อยทำเป็นเหลิงนะมึง”

               “...”

               ผมเงียบด้วยกลัวว่าหากต่อคำมากกว่านี้อาจถูกริบสิทธิ์การไปเรียนวันนี้อีกก็ได้ ...และก็มือหนาที่บีบต้นแขนจนชาปลายนิ้วนั่นด้วย สุดท้ายเลยต้องไปเรียนโดยได้แค่เช็ดตัวให้พอหายเน่าเท่านั้น แต่ก็ช่างเถอะครับ ยังไงก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ผมอยู่แล้ว

               ผมยืนขาเดียวรอพี่เขาหน้าโรงจอดรถ อย่าถามว่าผมมายังไง ที่แน่ๆ คือพี่เขาไม่ได้ช่วยผมเดินมาแน่นอน ชายร่างสูงผิวเข้มในชุดนักศึกษาเดินผ่านผมไปในโรงจอดรถ สงสัยวันนี้จะมีเรียนเหมือนกันมั้งครับ เขาเข้าไปพักนึงผมกำลังจะยักแย่ยักยันตามเข้าไปบ้างแต่พี่แม็กกลับเดินหน้ามุ่ยออกมาเสียก่อน

               “มีอะไรหรอฮะ” ผมถามเมื่อสังเกตเห็นความหงุดหงิดเขียนเต็มหน้าหล่อเหลา

               “รถน้องมึงสตาร์ทไม่ติด” เสียงเข้มตวัดห้วนตามหน้า ทว่าคำตอบนั้นทำผมงงเล็กน้อยจึงจะถามต่อแต่ก็ถูกสวนขึ้นทันควัน

               “แต่… เมื่อวานมันยังดี...”

               “ก็นั่นมันเมื่อวาน! วันนี้มันก็ส่วนวันนี้สิวะ! มึงโง่รึไง!”

               อ่า… นั่นสินะ ทำไมคิดไม่ได้นะ อยู่กับเขาแล้วผมรู้สึกตัวเองโง่ลงทุกวันๆ จัง

               คนตัวโตฟึดฟัดหัวเสีย เวลาเขาถอนหายใจแรงๆ ผมเห็นควันออกจากจมูกโด่งเหมือนวัวกระทิงโมโหในการ์ตูนเลยครับ เกือบหลุดขำกับความคิดชวนหัวกุดยังดีที่ยั้งไว้ทัน

               “...มึงว่าอะไรนะ”

               ตายล่ะ! ไม่ทัน “อ… เปล่า อ๋อ! ผมจะถามว่าเราจะไปยังไงกันดีน่ะครับ” ฟู่… โชคดีที่สมองวันนี้เร็วกว่าทุกวัน ผมว่าอยู่กับพี่เขาก็ดีอย่างได้ฝึกสมองหาทางหนีทีไล่ทุกลมหายใจ ทั้งฉลาดขึ้นและก็โง่ลงทุกวันเช่นกัน… เอ๋?

               พี่แม็กเท้าเอวถอนหายใจอีกรอบก่อนจะล้วงกุญแจในเป้ออกมาพวงหนึ่ง เขาว่าไปก็เดินไปในโรงจอดรถอีกครั้งแต่เป็นคนละฝั่งกับที่จอดรถยนต์ “ไปมอ’ไซค์ก่อนแล้วกันวันนี้ แม่งเอ๊ย ทำไมยุ่งงี้วะ จะๆด้นั่งรถแอร์เย็นๆ เสือกมาเจ๊งอีก แล้วคันนี้แม่งจะขึ้นได้ป่าววะ” เขาบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ผมเลิกหวังว่าจะไ้ด้เห็นเขาอารมณ์ดีในวันนี้ทันที ขาไปยังชนาดนี้แล้วขากลับจะขนาดไหนกัน มิต้องถึงขั้นเลือดตกยางออกกันเลยเหรอ

               เพื่อเตรียมความพร้อม ผมค้นหาเบอร์ช่างให้มาดูรถจากมือถือรุ่นเก่าของผมพลางๆ ระหว่างรอพี่เขา คือหาไปงั้นแหละ คนอย่างผมจะไปมีเบอร์ช่างได้ไง ในเน็ตก็ไม่รู้จะค้นยังไง แต่ก็ต้องทำตัวให้ ‘ดูเหมือน’ มีประโยชน์ไว้ก่อน

               “มา” คำสั่งสั้นๆ ดึงสายตาผมออกจากจอมาที่เจ้าของเสียงเรียกแทน

               เบื้องหน้าคือชายหุ่นล้ำนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีแดงแบบรถแข่ง ผมไม่รู้ชื่อเฉพาะของมันหรอกฮะ รู้แต่ว่าคันมันใหญ่เทอะทะมาก ทว่าก็ดูปราดเปรียวน่าเกรงขามเช่นกัน คนขับก็รับกับเจ้าลมกรดอย่างเหมาะเจาะ ผมคิดวิธีที่จะขึ้นไปอยู่บนนั้นพร้อมๆ กับที่นึกย้อนไปว่ารถคันนี้ไม่ใช่คันเดียวกับที่ผมเคยเห็นนี่นา ที่เคยซ้อนมันไม่สูงงี้อ่ะ

               “ฮึ๊บ!”

               ผมไปยืนข้างๆ ด้านขวา วางแผนการเคลื่อนไหวร่างกายในหัวคร่าวๆ ขาซ้ายที่บาดเจ็บแตะพื้นเพียงนิดก็ปวดตุบ จะทิ้งน้ำหนักลงไปก็คงไม่ได้จึงใช้วิธีเอาตัวพาดขวางอานสูงกว่าระดับเอวไว้ แล้วเหวี่ยงขาขวาข้ามมาอีกฝั่งอย่างทุลักทุเล พี่แม็กเห็นสภาพผมคงเวทนาช่วยดึงคอเสื้อให้อีกแรงจนสามารถทรงตัวตั้งตรงอยู่ด้านหลังเขาได้เสียที เมื่อเข้าที่เรียบร้อยมือหนาก็บิดคันเร่งพาเราพุ่งทะยาน (ผมหมายถึง ‘พุ่งทะยาน’ จริงๆ) ออกไปทันที

               แล้วหมวกกันน็อคล่ะ!!!

               ไม่มีหมวกยังไม่พอ คนขับเอาโทรศัพท์มาจิ้มๆ เหลือบตาดูเป็นครั้งคราวสลับกับมองถนนไปด้วย พอเขาทำแบบนั้นผมรีบเอามือเกาะเอวเขาแน่นอย่างหวาดเสียว ไอ้ไว้ใจมันก็มั่นใจอยู่ว่าพี่แม็กขับรถเก่งพอตัว แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้จริงไหมครับ ยิ่งความเร็วบนหน้าปัดไม่ลดลงเลยแม้ตอนเข้าโค้งผมยิ่งซุกตัวกับแผ่นหลังกว้างจนแทบจะจมหายไปในนั้น อารมณ์ประมาณว่าลืมหายใจเป็นอย่างไรผมเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยครับ

               อาชาสีเพลิงมันปลาบชะลอตัวก่อนจอดสนิทแทบฟุตบาทบริเวณหน้าตึกเรียนของผม จากหอมาถึงนี่ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที แต่ก็เป็นห้านาทีที่ผมแทบช็อคคาเบาะในท่ากอดเอวหนาไว้เต็มวงแขน เมื่อตั้งสติได้ผมจึงเงยหน้าออกจากกล้ามแน่น คงจะเร็วเกินไปที่นักศึกษาจะมานั่งรอเรียนที่นี่มันจึงดูโล่งตาและเงียบเชียบ ก็ดี จะได้ไม่มีใครเห็นสภาพน่าอนาถของผม

               “ลงไปซักทีสิวะ”

               คำสั่งกึ่งบ่นให้ผมไปให้พ้นๆ เขาเสียทีทำได้แค่ให้ผมปล่อยมือจากการเกาะกุมเท่านั้น เพราะผมจะบอกว่า...

               ขาขึ้นยากยังไง… ขาลงคูณสามเข้าไปครับ

               “ชักชาอะไรอยู่วะ! ลง! กูจะไปที่อื่นต่อ”

               “...พี่ ผม… ผมลงข้างขวาไปเป็น”

               คนเรามันก็มีด้านถนัดเวลาจะขึ้นรถลงเรือใช่ไหมครับ แล้วเคยไหมครับ ถ้าให้ลงข้างที่ไม่ถนัดมันจะนึกวิธีลงไม่ออกเลยล่ะครับ ตอนนี้ผมก็เป็นอย่างนั้น ผมเคยลงแต่ข้างซ้าย ใช้ขาซ้ายรับน้ำหนักตัวขณะเหวี่ยงขาขวาลงแต่เพราะมีแผลที่เท้าอยู่จึงไม่สามารถทำอย่างเคยได้ ผมลองเอาขาขวาแกว่งนำทางสุดท้ายคือไม่ถึงพื้น รถพี่เขาก็สูงแถมเขายังเอียงไปทางซ้ายเช่นกัน (เห็นมั้ย ที่พี่ยังถนัดซ้ายเลย แน่จริงเอียงขวาดิ) คือยังไงก็ไม่ได้ฮะ ผมนี่มันน่ารำคาญจริงๆ

               “น่ารำคาญชิบหาย!” นั่นไง เดี๋ยวนี้ผมมีพลังวิเศษอ่านใจพี่แม็กได้แล้ล่ะฮะ

               “... ผม ผมจะพยายาม แต่… พี่ช่วยเอียงมาทางขวาอีกได้มั้ยฮะ”

               “เฮ้อ!”

               ผมสะดุ้งตกใจเมื่อเขากระแทกลมหายใจเสียงดัง พี่แม็กไม่ได้ทำตามที่ผมขอร้องแต่กลับเตะขาตั้งแล้วลงมายืนข้างรถแทน ผมเดาไม่ถูกว่าเขาจะทำอะไร ไม่วายคงตีหัวผมแน่ๆ

               “เอาขามาฝั่งนี้”

               หือ? หมายถึงให้นั่งข้างมาฝั่งเขาเหรอ ทำไมอ่ะ ยังไงก็ต้องลงสองขาอยู่ดี

               ผมคงคิดนานไป มือใหญ่เลยจับตัวผมให้หันมาทั้งตัว ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะยอมอุ้มผมลง อาจจะไม่ใช่ท่าเจ้าสาว เป็นแค่การโอบเหมือนอุ้มเด็กแต่มันกลับใกล้ชิดกันมากยิ่งกว่าท่าเจ้าสาวเสียอีก ผมเองก็กอดคอเขาแน่นตามสัญชาตญาณ

               ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำจนคิดว่าถ้านานกว่านี้เขาต้องได้อุ้มผมส่งโรงพยาบาลแทนแน่ๆ หูอื้อด้วยเสียงตึกตักจนกลัวว่าคนอุ้มจะได้ยิน ผมไม่อยากให้เขาว่าไม่เจียมตัวหรอกนะ

               ปลายเท้าแตะพื้นลงเบาๆ ก่อนจะทิ้งน้ำหนักส่วนมากไว้ด้านที่ไม่มีแผล ผมรู้สึกตัวกลับมาสู่โลกปัจจุบันเมื่อมือกร้านดันหัวผมออกจากซอกคอ ปลายจมูกยังมีกลิ่นกายติดมา หน้าร้อนผ่าวอย่างอับอายที่เผลอทำเคลิ้มใส่ หวังว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นนะ

               “กูส่งแค่นี้นะ ไปได้แล้ว แล้วแดกยาให้ครบด้วย”

               ปากเผลอยิ้มดีใจกับความใจดีที่ไม่เคยมีของพี่แม็กก่อนจะทำเป็นลูบมือปิดปากไปเรื่อยเพื่อบดบังความสุขเล็กๆ ไว้พลางพยักหน้ารับคำ พอส่งผมลงพื้นพี่เขาก็จากไปทันที ทิ้งผมให้มองตามหลังจนลับสายตา ผมถอนหายใจเมื่อรับรู้ถึงความคิดเองเออเองของตัวเอง มันก็แน่ล่ะ คนอย่างพี่แม็กน่ะหรือจะมาคอยเป็นห่วงเป็นใยผม

               งี่เง่า

               ช่างเถอะ แค่เขาไม่อารมณืเสียใส่ก็พอแล้วนี่ อย่าไปหวังลมๆ แล้งๆ ให้เหนื่อยเปล่าเลย ทะเลาะกับตัวเองเสร็จผมก็หันหลังเตรียมขึ้นห้องเรียน แต่ว่านะ...

               มันไม่มีลิฟต์อ่ะครับ




               บทเรียนในวันนี้มีหลายจุดที่ผมไม่เข้าใจ คงเพราะขาดเรียนไปหลายวันเนื้อหาเลยไม่ปะติดปะต่อ จะไปขอยืมโน้ตก็เกรงใจเพื่อนๆ ผมไม่อยากให้เขาลำบากใจกันน่ะครับ

               “ไหวมั้ยโบ ไม่เข้าใจตรงไหนถามเราได้นะ”

               ก็คงจะมีแค่บัวนี่แหละครับที่มีน้ำใจกับผม สมแล้วที่ได้ฉายานางฟ้าประจำห้อง เธอไม่เคยเลือกปฏิบัติกับใครเลย ช่วยเหลือทุกคนอย่างเต็มความสามารถ เป็นผู้หญิงในอุดมคติที่ผู้ชายต่างหมายปอง

               “เอ่อ งั้น เราขอยืมชีทคราวที่แล้วหน่อยนะ” ผมเองก็ตอบรับน้ำใจนั้น โชคดีจริงๆ ที่ได้เรียนกับบัว

               “กว่าจะคาบต่อไปก็อีกเป็นชั่วโมงแหนะ งั้นเราติวให้โบดีมั้ย เราจะได้ทบทวนไปในตัวด้วย” บัวว่าด้วยน้ำเสียงสดใส

               ผมยิ้มขอบคุณแล้วก้มอ่านชีทที่มีลายมือเป็นระเบียบหลากสีประกอบไฮไลท์เน้นข้อความจนแทบจะไม่เหลือที่ว่าง บัวลายมือสวยมาก ไม่รู้ว่าจดทันได้ยังไง ทั้งเยอะ ทั้งไฮไลท์ ไหนจะเปลี่ยนสีปากกาอีก เก่งมากๆ เลยล่ะฮะ ผมนี่แค่ดินสอกดแท่งเดียวยังไม่ทันเลย

               “อันนี้อาจารย์เน้นมากเลยนะ เราเลยขีดซะเลอะเทอะไปหมดเลย โบอ่านออกป่าว แล้วก็ตรงนี้จำให้ดีๆ นะ ออกทุกปี ...”

               เสียงใสอธิบายอย่างไม่เหนื่อยหน่าย ตาผมจดจ้องที่หน้ากระดาษ แล้วหัวไหล่ก็รู้สึกถึงความใกล้ชิดเกินงามจึงถอยตัวออกห่างอย่างกับโดนไฟช็อต ในหัวกลับปรากฏภาพหญิงสาวนุ่งน้อยชิ้นแวบขึ้นมาทำเอาขนกายลุกซู่ กลิ่นน้ำหอมฟุ้งเต็มจมูก จู่ๆ ก็เหมือนมีมวลคลื่นตีขึ้นมาจุกลำคอ ผมสะบัดหัวไล่มโนภาพเหล่านั้นออกไปแล้วกลับสู่โลกความจริง บัวยังคงพูดต่อไปโดยไม่ทันได้สังเกตผมซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ดังนั้นผมควรปรับอารมณ์ให้กลับจดจ่อกับเนื้อหาเสียที

               ผมถามแทรกบ้างเมื่อไม่เข้าใจ เมื่อเหลือบไปดูนาฬิกาก็พบว่าเวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรผมจึงชวนบัวเก็บของเตรียมย้ายห้อง ว่าแต่กลุ่มของบัวหายไปไหนนะ

               “เพื่อนบัวไปไหนอ่ะ”

               “อ๋อ ไปจองที่น่ะ” แถวหน้าสุดไม่จำเป็นต้องจองมันก็ว่างอยู่ตลอดอยู่แล้วนี่ อันนี้ผมคิดในใจ

               “งั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวเพื่อนบัวรอนาน”

               ผมเดินเขยกๆ เกาะผนังไปอย่างทุลักทุเล โบจะเข้ามาช่วยพยุงแต่ผมห้ามไว้เพราะสองมือเธอคงไม่ว่างพอจะรับน้ำหนักผมแน่ แค่หนังสือสี่เล่มกับกระเป๋าเครื่องเขียนที่บรรจุปากกาครบทุกเฉดสีนั่นก็หนักแย่แล้ว แต่จริงๆ คือผมไม่อยากถูกตัวเธอต่างหาก จากอาการไม่ปกติเมื่อครู่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรอยู่ใกล้เธอเกินไป

               “โบจะไหวหรอ งั้น… อ๊ะ ให้อาร์ทช่วยดีกว่าเนาะ อาร์ทๆ ช่วยเราหน่อยสิ”

               เมื่อมองตามเสียงเรียกไปก็พบผู้ชายตัวสูงนอนฟุบหน้ากับโต๊ะแถวท้ายสุดของห้อง ถ้าจำไม่ผิด อาร์ทคือหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ในกลุ่มเด็กเก เขาไม่ได้มีกลุ่มประจำมักจะเห็นเขานอนฟุบคนเดียวไม่สุงสิงกับใครมากกว่า การเรียนก็จัดอยู่ในกลุ่มท้ายๆ แต่มีผลงานด้านกิจกรรม กีฬาเป็นส่วนมาก ว่าแต่ ไม่มีใครปลุกให้เขาเปลี่ยนห้องเลยหรอ?

               “อือ...” อาร์ทงัวเงียเมื่อถูกเสียงหวานปลุก ชายหนุ่มถามยานคางว่า “มีราย”

               บัวขอความช่วยเหลืออีกครั้ง อาร์ทงวยงงพักหนึ่งแล้วเบนสายตามาที่ผมจากนั้นก็พยักหน้า บัวกว่าวขอบคุณก่อนจะเดินนำออกไป “เดี๋ยวให้อาร์ทช่วยพยุงนะ ดีนะที่อาร์ทยังอยู่ แล้วก็โชคดีด้วยที่เราวานเขาพอดี ไม่งั้นอาร์ทคงถูกลืมปล่อยให้นอนยาวจนกลับบ้านนู่นแน่เลย คิกๆ”

               คล้อยหลังบัว คนตัวสูงก็มาจับแขนผมแล้วเอากระเป๋าผมไปถือเอง (ทำไมมีแต่คนตัวสูงๆ กันนะ หรอผมเตี้ยทุกคนเลยดูสูงไปหมด) อาร์ทจัดอยู่ในพวกหน้าตากลางๆ ไม่ขาวไม่คล้ำ ไม่มีอะไรโดดเด่น หุ่นก็ไม่อ้วนไม่ผอม แต่ก็มีคิ้วหนาๆ เสริมหน้าตาให้ดูดีขึ้นกับหน้าตายๆ ดวงตาเฉยเมยปรือแทบตลอดเวลาก็ดึงดูดสาวๆ ที่ชอบสไตล์ได้เหมือนกัน ถ้าไม่ไปยืนข้างๆ พี่แม็กน่ะนะ

               “สนิทกันจังนะ”

               “หือ?” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้น ตาไร้อารมณ์มองเลยไปที่หญิงสาวด้านหน้า ผมมองเขาสลับกับบัวไปมาอย่างไม่เข้าใจ

               มือที่คอยจับแขนเปลี่ยนมาโอบเอวผมไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมตกใจเล็กน้อย เขาอาจจะแค่ต้องการจับให้ถนัดขึ้นแต่ผมกลับระแวงการสัมผัสแบบนี้ตั้งแต่ที่ถูกพวกพี่เขารังแก วงแขนกระชับจนด้านข้างแนบชิดติดกัน มันทำให้ผมเดินได้ไม่สะดวกนักเพราะต้องระวังไม่ทันเท้าถูกเหยียบอยู่ทุกฝีก้าว

               “ทำยังไงบัวถึงได้สนใจล่ะ หรือใช้ความใจดีของบัว แกล้งสำออยเรียกร้องความสนใจ?” จู่ๆ เขาก็อะไรเกี่ยวกับบัวก็ไม่รู้ขณะที่ยังคงมองไปข้างเช่นเดิม ราวกับรำพันคนเดียวไม่ได้พูดกับผม แต่ก็ถามเพื่อความแน่ใจอีกที

               “พูดกับเราเหรอ”

               “หึ”

               มีเพียงเสียงขึ้นจมูกตอบกลับมา มุมปากยิ้มเหยียมขณะที่ดวงตาเซื่องซึมเหล่มอง จะว่าผมโง่ก็ได้ เพราะผมไม่เข้าใจการกระทำนั้นจริงๆ

               “ทำหน้าโง่ตาใสอย่างงี้นี่เอง เป็นผู้ชายซะเปล่ากลับอ่อยผู้หญิงด้วยท่าทางอ่อนแอน่าสงสาร… ก็ได้ผลดี”

               อึ๊ก!

               เจ็บ! มือที่โอบรอบตัวจิกเอวผมเต็มแรง ผมเกือบกลั้นเสียงร้องไว้ไม่ทัน เท้าเดินสะดุดจนขาทรุดไปก้าวหนึ่งแต่เขาก็ยังพยุงผมไว้ด้วยแขนข้างเดียว บัวยังเดินนำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ยินหรือเห็นการกระทำของคนที่ฝากฝังไว้ ซึ่งก็ดีกว่าให้เธอมารับรู้น่ะนะ

               สบตากลับไปยังต้นเหตุของความเจ็บปวดก็พบกับสายตาวาวโรจน์จ้องอยู่ก่อนทำเอาถึงกับผงะ ผมไม่รู้ว่าเคยไปทำอะไรให้อาร์ทแค้นเคืองหรือเปล่า แต่แค่ช่วงเวลาไม่ถึงห้านาทีที่ได้เข้าใกล้ก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจบางอย่าง

               แม้ภายนอกอาร์ทจะดูเป็นคนเฉยชา ทว่าเมื่อเขาแสดงด้านมืดออกมา กลับทำให้ในหัวผมกู่ร้องอย่างหวาดกลัว

               ผู้ชายคนนี้อันตราย!

               “อ อาร์ท... ร เรา เราว่าเราพอจะเดินเองได้แล้วล่ะ ข ข ขอบใ...”

               ปึก

               “อ โอ๊ย...”

               “ไหนว่าเดินเองได้ ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า แถมบัวยังขอร้องเองด้วย ไม่ช่วยได้ไง” สีหน้าที่ส่งให้บัวซึ่งหันมาเพราะเสียงร้องของผมช่างตรงข้ามกันเสียเหลือเกิน

               “โบเป็นอะไรหรือเปล่า ทนหน่อยนะจะถึงห้องแล้ว แล้วก็ให้อาร์ทช่วยเถอะนะ อย่าฝืนเลย” เธอไม่ทันสังเกตว่านี่แหละที่ผมฝืนอยู่ ผมไม่อยากให้เสียน้ำใจจึงทำได้แค่กัดฟันทน พ้นตรงนี้ไปเราก็ไม่มีเรื่องข้องเกี่ยวกันแล้ว ระยะทางเพียงไม่กี่สิบเมตรช่างยาวนานและบีบคั้นหัวใจเสียจริง โชคยังดีที่เขาไม่ทำอะไรผมอีกเพราะบัวลงมาตีคู่ แต่การที่มีใครอีกคนเกลียดผมอย่างมากมันก็บั่นทอนจิตใจเหมือนกันนะ เอาไว้ขากลับค่อยหาข้ออ้างให้บัวกลับก่อนแล้วค่อยหาวิธีเองเงียบๆ จะดีกว่า แล้วก็เป็นอีกคาบที่บทเรียนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะสมองครุ่นคิดถึงเรื่องเดิมซ้ำๆ

               ผมพยายามแล้ว พยายามอย่างมากที่จะไม่มีปัญหากับใคร และพยายามระวังตัวไม่ให้ร่างกายที่ควบคุมไม่ได้สร้างปัญหาเช่นกัน ผมจึงตีตัวออกห่างจากทุกคน อยู่คนเดียวก็ได้ ไม่ต้องมีเพื่อนก็ได้ แค่ได้เรียนในสิ่งที่รักผมก็อยู่ได้ แต่ว่า… เหมือนโชคร้ายวนอยู่รอบตัว คอยดึงดูดพวกเขาเข้ามา...

               “...”

               “นี่เธอ!”

               ความคิดของผมสะดุดเพราะอาจารย์ตบโต๊ะพร้อมแผดเสียงดังลั่น อกผมสั่นอย่างตกใจและคนอื่นๆ ก็คงเป็นเหมือนกัน ผมมองหาว่าใครเป็นต้นเหตุก่อกวนการสอนของอาจารย์แต่กลับพบว่าตาเขียวจ้องมาที่ผมเขม็ง… นั่นหมายความว่าผมเองนี่แหละต้นเหตุ

               “อาจารย์สอนอยู่รู้จักเคารพกันบ้างสิ! เห็นเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง หยาบคายไร้มารยาท! สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล พ่อแม่สั่งสอนมายังไงถึงได้ไม่รู้จักสัมมาคารวะอย่างนี้ ออกไปเลยนะ ฉันไม่สอนคนพูดจาหยาบคาย!” ผม… พูดอะไร...

               “อ อาจารย์ครับ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใ...”

               “เชิญ!”

               “...”

               ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผม… เรื่องเดิมๆ สินะ แย่หน่อยที่คราวนี้ดันเป็นอาจารย์ที่ได้ยิน ผมเก็บของช้าๆ แล้วลุกขึ้นยืนเกาะเก้าอี้ สองมือยกพนมกล่าวลาเบาๆ ก่อนจะลากเท้าออกจากห้องไป ผมเดินผ่านบัวเธอมองมาอย่างให้กำลังใจแม้ในแววตาจะมีความตะขิดตะขวงบางอย่าง

               “เอาล่ะนักศึกษา เรามาต่อกันที่...”

               การบรรยายดำเนินต่อไป ผมเดินเกือบถึงประตูแล้ว และที่นั่งริมประตูนั้นคืออีกคนที่ผมไม่อยากเจอมาที่สุดในตอนนี้ อาร์ทไม่ได้ฟุบหน้าหลับอย่างทุกที แถมยังนั่งแถวหน้าสุดอีกด้วย ราวกับกำลังรอให้ผมเดินไปหาก็ไม่ปาน เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปอยู่ในรัศมีแขนของเขาเพราะประตูมันอยู่ติดกัน มือที่เคยหยิกเอวคว้าแขนผมไว้ก่อนจะก้าวออกไป เขากระซิบกับผมว่า

               “ด่าอาจารย์ลั่นห้องแน่นอนจริงๆ คนอื่นเกลียดอีแก่นี่จะตายยังไม่กล้าทำเลย”

               “เราเปล่า” จริงหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ทุกคนก็เข้าใจเช่นนั้นแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ยังแก้ตัวกับเขา แค่กับเขา “เราไม่ได้ตั้งใจ อาร์ทไม่รู้หรอกว่าเรา...”

               “ไม่ต้องอธิบาย ไม่ได้อยากรู้ แต่จะบอกให้ระวังตัวไว้ ถ้ายังอยากมาเรียนแบบปกติล่ะก็… อย่ายุ่งกับบัว”

               “...”

               “...ไปได้แล้ว อาจารย์มอง”



               สุดท้าย… ก็เรื่องเดิมๆ ...

               ผมเหนื่อย

               เหนื่อยจนลืมเจ็บแล้วเผลอเดินด้วยสองเท้าเต็มๆ แต่ก็เพียงแค่สามก้าวเท่านั้นก่อนที่ขาจะทรุดลงยอบกายเอนพิงกับพนังข้างประตู ล้วงเอาโทรศัพท์มาถือไว้ เลื่อนหน้าจออย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายมาจบที่รายชื่อในสมุดโทรศัพท์

               ดวงตาร้อนรื่นพร่ามัว น้ำหยดใสยังไม่เอ่อล้นออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมเกลียดการมาเรียน ผมอยากพูดกับใครสักคน ใครที่ผมจะพึ่งพิงได้และรับฟังผม ผมหารายชื่อนั้น

               คนแรกเป็นแม่ พ่วงกับเบอร์บ้าน… ผมบอกแม่ไม่ได้หรอก

               เบอร์ที่ทำงานพ่อ… เขาจะซ้ำเติมมากกว่าล่ะสิ

               อาจารย์ที่ปรึกษาล่ะ ท่านจะจำผมได้หรือเปล่า

               บัว…

               และอีกสองสามคนที่ผมเคยคุยด้วยนับครั้งได้

               “พี่แม็ก...”

               หมดแล้ว… ไม่มีใครอีกแล้ว คนน่าเบื่อแบบผมมีแค่นี้ก็ถือว่าเยอะแล้วล่ะ ฮะๆ

               โทรหาพี่แม็กให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีมั้ยนะ

               ผมเลื่อนกลับมาที่ชื่อแรก นิ้วยกค้างอยู่ที่ชื่อแม่ แต่แล้วก็กดปิดหน้าจอซุกหน้ากับหัวเข่าแทน

               “แม่ฮะ… ผมไม่อยากเรียนแล้ว… ฮึก...”



MAGNUM

               “ฮัลโหล พี่ฟิก พี่มาดูรถให้หน่อยดิ ที่หอหลังซอยสอง… ไม่ใช่รถผมหรอก แต่ตอนนี้ใช่… เออน่า จะรถใครก็ช่าง ’เคนะพี่ เดี๋ยวส่งโล’ให้”

               แม่งเอ๊ย! กูนึกว่าจะได้ขับบีเอ็มมาอวดสาวซะหน่อย เสือกพังอีก โธ่เว้ย! อารมณ์เสีย

               หลังจากส่งไอ้เตี้ยเสร็จผมก็ไปเรียนบ้าง ผมโทรหาพี่ที่รู้จักกันเพราะซื้อรถกับเขา ก็คันที่ขับมาวันนี้นั่นแหละ เห็นหล่อเลวแบบนี้ก็เก็บตังค์เองนะคร้าบ

               นึกแล้วก็ขำปนหงุดหงิด ไอ้เป๋นั่นมันจะอ่อนปวกเปียกไม่ได้เรื่องซักอย่างเลยหรือไง กะอีแค่ลงรถมันยังทำเองไม่ได้ เดือดร้อนกูตลอด ไม่มีเงินแม่มึงโอนมาเมื่อเช้านี้กูไม่มีทางเจียดความเมตตาอันน้อยนิดของกูสงเคราะห์มึงหรอก ห่า!

               วันนี้เลิกเร็ว ระหว่างรอมันเลิกผมว่าจะกลับไปดูรถมันเสียหน่อย ไม่ใช่ไร กูอยากขับ ฮ่าๆ

               เมื่อเข้ามาในมหา’ลัย สิ่งหนึ่งที่ทำเป็นกิจวัตรคือ ‘เช็คเรตติ้ง’ ไง

               ผมแว้นม้าเพลิงเข้าตึกนู้นออกคณะนี้ไปเรื่อยประสาคนเคลียร์คิวกับเพื่อนแล้ว ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกันเพราะผมมีไอ้ลูกแหง่ติดแม่ต้องดูแล (ด้วยเงิน) เรียนเสร็จก็ต้องรีบไปรับมัน โคตรเบื่อเลยว่ะ

               Rrrr

               ตายยากจริงนะมึง กูอุตส่าห์นั่งรอเด็กนิติโทรมาเสือกเป็นไอ้เตี้ยซะได้ ผมกดรับสายไปมันก็เสือกเงียบเป็นงานผมต้องกระตุ้นมันอีกแล้ว

               “ห่า! มีไรไม่พูด”

               ‘...’

               “สัตว์ อย่ากวนตีน ถ้าเล่นงี้กลับไปกูจะเอาให้หนั...”

               ‘พี่…’ เสียงมันสั่นมาก
             
               “อะไร”

               ‘พี่มารับผมหน่อยได้มั้ย’

               “มันอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกไม่ใช่หรอ แล้วตัวฟรีล่ะ ไม่เรียนแล้วรึไง”

               ‘...ไม่เอาแล้ว’

               เป็นไรของมันวะ พูดจาแปลกๆ แถมเสียงสั่นๆ เหมือนคนร้องไห้ด้วย สงสัยเจ็บแผลมั้ง เลิกเดาสุ่มแล้วไปดูด้วยตัวเองดีกว่า “เออๆ รออยู่นั่นแหละ กูอยู่ใกล้ๆ นี่เอง แล้วนี่กูต้องไปแบกมึงลงจากตึกหรือป่าว”

               ‘อือ’ แปลกจริงๆ มันไม่เคยตอบแบบนี้นี่

               ผมจอดรถไว้หน้าทางขึ้นตึกข้างป้ายห้ามจอดแล้วขึ้นบันไดไป ผมรู้หมดแหละว่ามันเรียนห้องไหนเวลาไหน ถ้าเปลี่ยนห้องผมก็สั่งให้มันรายงานอยู่แล้ว ภาพแรกที่เห็นคือก้อนกลมๆ กองอยู่หน้าประตู หัวทุยทรงกะลาครอบฟุบกับเข่าแขนกอดตัวเองไว้ บรรยากาศรอบตัวช่างหดหู่ราวกับหมาถูกทิ้ง ผมไม่เคยสงสารใครนะ แต่เห็นมันเป็นแบบนี้แล้วก็เวทนานิดนึง

               “เฮ่ย”

               ผมเรียกเบาๆ มันโงหัวขึ้นมาน้ำมูกยืดติดแขน น่าเกลียดมาก หน้าเน้อแฉะไปหมด ตาแดงบวมเป่งทุเรศลูกตาหาความจรรโลงไม่เจอ มันลุกขึ้นช้าๆ ผมทนไม่ไหวต้องไปฉุดมันขึ้นมา เก็บกระเป๋าบนพื้นแล้วลากมันไปที่รถ ไม่เสียเวลาถามมันไว้ไปเคลียร์ที่ห้องแล้วกัน ผมบริการมันมากกว่าปกติเพราะความน่าสมเพสของมัน ขึ้นรถลงเรือก็อุ้มตลอด มันก็ทำตัวเหมือนตุ๊กตาจับท่าไหนก็ท่านั้น ไม่พูดมากต่อรองให้รำคาญหู มันก็ดีแต่ก็ไม่ดี ไร้ชีวิตเกินไปไม่สนุกเลยสักนิด

               ไม่ได้รู้สึกดีกับมันเพิ่มขึ้นหรอกนะบอกไว้ก่อน แค่บางทีก็คิดว่ามันดูเหมือนจะรับอะไรอีกไม่ไหวแล้วก็ได้เท่านั้นเอง

               “กูไม่ได้ใจดีหรอกนะ แต่เป็นอะไรขึ้นมาแม่มึงจะว่ากูเอา อย่าเหลิงก็แล้วกัน”

               …

               “...ผมรู้”





------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------100

ฮืออออ หายไปนานมาก

กว่าจะตั้งหลักได้ก็นานเลยเนาะ มันไม่มีอารมณ์จะเขียนอ่ะ หลังจากน้าก็อากงที่เลี้ยงนูก้ามาตั้งแต่เกิด หนึ่งเดือนสองศพมันก็แย่เหมือนกันเนาะ แต่ตอนนี้ครอบครัวโอเคแล้วล่ะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังไม่ทิ้งกันนะ

สู้กันต่อไป!!!

สู้ๆ นะน้องโบ

ต่อจากนี้พี่จะรังแกหนูอีกเยอะเลยล่ะลูก555

แต่งนิยายนี่ก็ดีเนาะ เครียดอะไรก็เอาไประบายกับตัวละคร ไม่มีใครเดือดร้อนไม่มีใครเจ็บตัวด้วย ดีๆๆ

ตอนต่อไปรอก่อนน้า



นูก้า

ヌガ-



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ฮือ สงสารน้อง...
คนเขียนอย่าหายไปนานอีกนะคะ
รอตอนต่อไป รอจนกว่าน้องจะมีชีวิตที่สดใส

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จุดพลุฉลอง100นัด
ไรท์เตอร์มาต่อแล้ว มาอัพบ่อยๆนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โลกเรานี้ ส่วนใหญ่คนแข็งแรง จะชอบรังแก เอาเปรียบ
คนที่ด้อยกว่า อ่อนแอกว่าอยู่แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงคนป่วยเป็นโรค ที่คนทั่วไปไม่รู้จัก

แล้วคนปกตินี่ ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ถึงความทุกข์
ความลำบากของคนที่ไม่พร้อม คนป่วย

น่าสงสารโบ ต้องมาเรียนร่วมกับเพื่อน ครู ที่ไม่เข้าใจอาการของโรค
คงหดหู่ ไหนจะถูกดูถูก เหยียดหยาม ทำร้าย
อยากให้มีปาฏิหาริย์ช่วยให้โบหายจากโรคนี้
หรือแค่มีคนใจดี เข้าใจโบ เป็นเพื่อนโบก็พอ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
โบน่าสงสาจัง

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
โอ๊ยสงสารอ่ะ

ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจเลยสักคนอะ


ฟังความเห็นก็ไม่ฟัง ดูก็รู้ว่าผิดปกติ


ถ้าไม่ชอบไม่เข้ามายุ่งก็จบ ทำไมต้องรังเกียจ


โมโห

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ไม่ถามไถ่กันสักคนนะ พ่อแม่ก็แย่

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
สงสารโบ  :mew6:
ทุกๆคนไม่เข้าใจโบเลย

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
ติดตามครับ

ออฟไลน์ madmay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • twitter.com/gaa_nu



จะไม่ถามว่ารอนานมั้ย
ควรถามว่าคนอ่านที่รักยังรออยู่หรือเปล่าดีกว่า555

-11-

               เฮ้อ...

               เบื่อตัวเองจัง

               ผมนั่งหายใจยาวและเบาอย่างเหนื่อยหน่ายในท่าเดิมกับที่พี่แม็กเอามาวางไว้บนโซฟา ระหว่างทางกลับหอไม่มีใครพูดอะไรออกมา พี่เขาไม่ว่าไม่บ่นที่ต้องคอยยกขึ้นยกลงผิดวิสัย ผมควรจะดีใจกับความเมตตานี้แต่หัวสมองมันช่างว่างเปล่า ไม่ได้คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้หรือเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แค่เอนตัวลงนอนตะแคงบนโซฟาทอดสายตาไกลไร้จุดหมายดังเช่นชีวิตของผม ณ ตอนนี้

               ผู้ร่วมห้องเดินจับนู่นดูนี่สักพักก็ออกจากห้องไป เขาคงไม่อยากอยู่กับผมมั้งครับ ก็แน่ล่ะ ใครจะอยากล่ะจริงมั้ย

               แต่ว่านะ มีเขาอยู่ผมกลับอุ่นใจมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ได้เห็นใครอยู่ข้างๆ บ้าง แม้เขาจะไม่เต็มใจก็ตาม รอบข้างที่ไม่มีใครน่ะ...

               ผมนึกถึงเมื่อก่อน… ตอนยังเด็ก… ครอบครัวอบอุ่นพร้อมหน้า เพื่อนๆ รายล้อม คุณครูต่างชื่นชมในความเรียบร้อยอ่อนน้อม จนถึงช่วงที่ผมแปลกไป ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน

               เห็นเพียงแผ่นหลังของคนอื่นๆ ที่หันหลังให้... สายตาที่มองมา… คุณพ่อคุณแม่ที่เจ็บปวดกับคำติฉินนินทา… ผมไม่รู้ว่าผมผิดอะไร

               มีครั้งหนึ่งที่ผมฝังใจมากคือตอนที่เล่นซ่อนหากับเพื่อนในห้อง เราแยกย้ายกันไปซ่อนส่วนนายหมูอ้วนเป็นคนหา ผมไปแอบในห้องน้ำกับเพื่อนอีกสองคน ผมหลบใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างมือ สองคนนั้นตัวใหญ่กว่าไม่สามารถทำแบบผมได้เลยจองห้องส้วมคนละห้อง พักเดียวก็ถูกเจอตัว ผมยังซ่อนอยู่มั่นใจว่าจะชนะเกมนี้ ที่เหลือแค่รอจนกว่าคนเป็นจะประกาศยอมแพ้

               ผมรอ รอ แล้วก็รอ มันนานจนผมรู้สึกเมื่อยขบเพราะต้องขดตัวในที่แคบเป็นเวลานาน แล้วก็ทนไม่ไหวยอมแพ้ดีกว่า ทว่าข้างนอกกลับฉาบไปด้วยสีส้มของท้องฟ้ายามเย็น ที่ห้องไม่เหลือใครแล้ว มีเพียงกระเป๋านักเรียนของผมตรงโต๊ะ ไม่มีใครเรียกหรือตามหา… หลังจากนั้นผมก็ไม่เล่นกับใครอีกเลย

               การเล่นคือสังคมอย่างหนึ่งของเด็ก ผมเข้าใจแล้ว ผมทำตัวเอง

               ผมไม่เข้าหาเพื่อนเอง เพื่อนๆ จึงไม่ชอบผม ผมคอยที่จะเป็นเศษเวลาจับกลุ่มทำรายงานเพื่อนจึงไม่ไว้ใจผม ผมรายงานหน้าชั้นไม่ได้เพราะมันมักจะหลุดคำไม่สุภาพ… เพื่อนเลยคิดว่าผมคือตัวถ่วง ผมไม่พูดเอง ผมเลือกที่จะเงียบมากกว่าอธิบายว่าผมเป็นอะไร ...อธิบายไปเขาก็หาว่าแก้ตัวอยู่ดี คุณพ่อคุณแม่ยังไม่เชื่อใครเขาจะเชื่อล่ะ

               อยู่ไปทำไมก็ไม่รู้เนาะ

               “เฮ้อ...”

               พยุงตัวลุกขึ้นลากขาเข้าไปในห้องน้ำ ใต้อ่างล้างมือมีที่เก็บของ ผมสอดตัวเข้าไปได้แค่ครึ่งเดียว ก็มันไม่เหมือนตอนเด็กๆ นี่นาที่จะยัดทั้งตัวเข้าไปได้น่ะ ...ช่างมันเถอะ



               แกร่ก

               “กินข้าว”

               กี่โมงแล้วนะ ว่าไปก็หิวนิดๆ พี่เขาไปไหนตั้งนานสองนาน กลับมาก็จัดการเทอาหารเสียกลิ่นหอมฉุยลอยมาถึงห้องน้ำเลย ผมยังกอดเข่ามีส่วนขาเลยบานประตูเคาน์เตอร์ หน้าฟุบเข่าทำให้เหลือเพียงจมูกและหูทำหน้าที่รับสัมผัส เสียงก๊องแก๊งของจานชามดังมาแว่วๆ พี่แม็กเปิดทีวีช่องโปรดก่อนจะได้ยินเสียงเขาทิ้งตัวลงกับโซฟา

               “...”

               “เฮย มากินข้าว”

               “...”

               “ไอ้เตี้ย กูบอกว่าให้มากินข้าวไง”

               กลิ่นอะไรน้า ผัดซีอิ๊วหรือเปล่า มีน้ำเต้าหู้ด้วย

               “ไอ้สัด! มึงอยู่ไหน จะมาแดกเองดีๆ หรือจะให้กูเอาตีนล้างปากมึงก่อนฮะ!”

               “...”

               “ไอ้เชี่ยโบ!”

               !

               เขาเรียกผม?! จริงใช่มั้ย เขาตามหาผมใช่มั้ย พี่ฮะ ผมอยู่นี่

               “ไอ้โบ อย่าให้เจอนะมึง...”

               หมับ

               “เชี่ยไรเนี่ย! ออกไปสัด”

               ผมวิ่งไปกอดคนที่ยืนหันหลังให้ประตูห้องน้ำอย่างลืมเจ็บ พี่เขาตกใจเล็กน้อยพยายามแกะมือผมออกจากเอวแต่ผมกลับกระชับแขนแน่นขึ้น หน้าซุกกลางหลังจนจมูกบี้ ผมรู้สึกว่าตัวสั่นอย่างไร้เหตุผล ไม่ได้กลัวมือหนาที่ตบศีรษะรัวๆ หากเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่พองฟูแทบหายใจไม่ออกจนต้องจิกเล็บกับหน้าท้องแกร่งเพื่อระบายอารมณ์ คนถูกประทุษร้ายร้องโอ้ยตัวงอ ในที่สุดก็กระชากผมจากตัวเขาได้สักที

               “เหี้ยไรเนี่ย แม่ง เจ็บชิบหาย… สัตว์เอ๊ย เป็นรอยเลยแม่ง”

               เขาสำรวจตัวเองแล้วบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เขาหันมาเตรียมจะเอาคืนอย่างทุกที แขนล่ำง้างกำปั้นเป้าหมายคงเป็นหน้าน่าเกลียดๆ ของผมแน่ๆ แต่ก่อนที่หมัดจะได้สัมผัสแก้มผม เขาก็ชะงักแล้วถามผมงงๆ “ร้องไห้ทำไม”

               เอ๋ ผมร้องไห้ด้วยเหรอ ถึงว่ามันเปียกๆ ผมเช็ดลวกๆ ไม่ตอบคำถามนั้นเพราะผมก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน เขาจึงถามซ้ำว่า “เป็นอะไร”

               “ผม… ไม่รู้”

               “ไม่รู้แล้วร้องทำไม กูยังไม่ทันทำอะไรเลยนะเว้ย” เขาร้อนตัวด้วยล่ะ

               “พี่ ฮึก ...เรียกผมใช่มั้ย”

               ผมถามเสียงสั่น พี่เขายิ่งงงหนักที่จู่ๆ ผมก็ฟูมฟายต่อหน้าแล้วเขย่าแขนเขาอย่างเว้าวอน “ผมอยู่นี่… ผมอยู่ตรงนี้”

               “เออๆๆ กูรู้แล้วน่า บ้าอะไรวะ ผีเข้ารึไง”

               คงจะจริงอย่างที่เขาบอก ผมดีใจแทบบ้าเลยที่รู้ว่ายังมีคนตามหาผมอยู่ ผมไม่ต้องกลับบ้านคนเดียวอีกแล้ว ผมไม่ต้องกลัวต้นไม้เก่าแก่หน้าโรงเรียนที่ดูราวกับมีผีสิงยามแสงแดดสุดท้ายทอดผ่านอีกแล้ว เพราะเราจะเดินแข่งเตะก้อนหินกันจนถึงป้ายรถเมล์ที่นัดกับคุณแม่ไว้ เสาร์-อาทิตย์ผมจะชวนเขามาเล่นที่บ้าน...

               “เฮ้ยๆๆ เป็นอะไรวะ เฮ้ย! มึง หยุด หยุดร้องก่อน ใจเย็นๆ เหี้ยเอ้ย! หยุดร้องสิวะ”

               “โฮ โฮ...”

               “ชิบหายแล้ว กูยังไม่ทันทำเหี้ยอะไรเลยนะเว้ย”

               เขาดันผมออกจากอก แขนแข็งแรงเขย่าจนผมเริ่มมึนหัว ปากก็ตะโกนให้ผมหยุดแข่งกับเสียงร้องไห้โฮๆ ผมรู้สึกตัวดีแต่เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้น้ำหูน้ำตาไหลเลอะเทอะเต็มหน้า

               แล้วผมก็หลับไป…



               ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงผู้ชายคุยกันตรงหน้าตู้เย็น ผมปรับสายตาให้ชินกับแสงอย่างมึนงงมากกว่าปวดหัว ข้างนอกมืดแล้ว อากาศที่เย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศทำให้เท้าผมเต้นตุบๆ หนาวจริงๆ ครับ ก็เขาไม่ได้ห่มผ้าให้ผมนี่นา

               “รถดีมีประกันแต่แม่งไม่เคยเข้าศูนย์เลยว่ะ วิ่งมาก็เยอะนะ มิน่าถึงได้งอแงเอา เจ้าของรถนี่ใครวะ ไอ้เด็กนี่หรอ” ชายหนุ่มในชุดเสื้อกล้ามรัดรูปเปื้อนคราบน้ำมันบุ้ยปากมาทางผม ผมได้กลิ่นบุหรี่คลุ้งมาจากเขาแม้จะห่างกันหลาบเมตร รอยสักเลื้อยพ้นเสื้อผ้าเสริมให้เขาดูน่าไว้ใจลดลงเป็นกอง พวกเขายังคงคุยกันต่อราวกับผมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาของพวกเขา

               “เปล่าพี่ ของน้องมัน ถ้าพี่เห็นพี่ต้องชอบ ขาวหมวย… หุ่นเซียะ”

               “จริงหรอวะ ให้แน่นะมึง ได้ซักทีกูซ่อมให้ฟรีทั้งชีวิตเลย”

               “ฮ่าๆๆ”

               พี่แม็กคุยไปก็เดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าข้างเตียงไป เขาค้นเอาผ้าเช็ดตัวไปผืนหนึ่งยื่นให้พี่รอยสักราวกับเป็นเจ้าของห้อง “พี่ใช้ห้องน้ำได้เลย” พี่แม็กว่า

               คนแปลกน้ำรับผ้าเข้าห้องน้ำไป ส่วนพี่แม็กกลับมาหย่อนกายลงบนเตียงข้างๆ ผม บิดขี้เกียจสองสามทีแล้วจ้องผม

               “หายบ้าหรือยัง” เขาถาม คงหมายถึงที่ผมสติแตกก่อนจะหลับไปมั้งครับ

               “...”

               ผมพยักหน้า ผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ทั้งหมด เหมือนไม่รู้ตัวแต่ก็รู้ นึกแล้วเสียวสันหลัง กลัวว่าเขาจะไม่พอใจอะไรอีกหรือเปล่า… แต่ผมอยากลองเสี่ยงดู

               “พี่แม็ก”

               เสียงที่ลอดออกมาช่างเบาราวกระซิบ มือรั้งแขนแกร่งไว้มั่น ผมสูดหายใจลึกก่อนจะพูดกับคนตรงหน้า

               “พี่… ช่วยฟังผมหน่อยได้มั้ยฮะ ...แค่ฟังเฉยๆ ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้”

               “...” มีเพียงความเงียบ เขาทำแค่จ้องนิ่งๆ ผมจึงย้ำอีกที

               “...นะฮะ”

               ในที่สุดเขาพรูลมหายใจยาวว่าเสียงห้วน

               “เออๆๆ กูก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” คำตอบทำให้ผมยิ้มแก้มปริ

               แย่จัง… ผมเหมือนจะร้องไห้อีกแล้วสิ

               “จะพูดก็พูด อย่าร้องไห้”

               เอาล่ะ สูดหายใจลึกๆ เรียบเรียงประโยคในหัวให้ดีๆ พี่แม็กไม่ชอบพูดยืดเยื้อวกวน เขาอุตส่าห์รับคำขอแล้วผมเองก็ต้องพยายามเช่นกัน

               แต่ประโยคแรกอาจไม่ดีเท่าไหร่ “ผมป่วย”

               “หา” เลยทำเขางงคิ้วยุ่งแบบนี้ “ก็แน่ล่ะ ตีนทะลุไข้แดกขนาดนี้กูรู้น่าว่ามึงป่วย”

               “ม ไม่ใช่ ไม่ใช่ป่วยแบบนั้น ผมหมายถึง… ป่วย… เอ่อ… มีโรคประจำตัว”

               “...”

               “ย อย่ามองอย่างงั้นสิ โอเคๆ ผม ผม… หมอบอกว่า ผมเป็นโรคทูเร็ตต์”

               “...หา? ทูอะไรนะ”

               คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แววตาแฝงความคลางแคลงไม่เชื่อใจ

               “ทูเร็ตต์ คือ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ว่า มันเอ่อ มันจะแบบ… หมอว่ามันจะมีอาการเหมือนเป็นสันนิบาต ควบคุมตัวเองไม่ได้… แล้วก็ บางทีก็จะพูดอะไรที่… ไม่ค่อยดี”

               “มึงจะบอกว่าที่ผ่านมาที่ด่ากูเนี่ย… เพราะป่วย?”

               “ผมขอโทษ”

               ผมถูกดวงตาคมดุกลอกมองหัวจรดเท้า พี่แม็กกอดอกเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เป็นท่าที่บ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อที่ผมพูดไปเลยสักนิด

               “คิดว่ากูจะเชื่อคำแก้ตัวของมึงหรือไง”

               “ถึงบอกไง… ไม่ต้องเชื่อก็ได้ ขอแค่ฟังผมก็ขอบคุณมากแล้วครับ”

               “...”

               ผมไม่ชอบเกมจ้องตาเลย แล้วยิ่งฝ่ายตรงข้ามคือพี่แม็กด้วยแล้ว แต่ถ้าผมต้องการให้เขาเชื่อผมต้องสบตาสู้… ยอมแล้ว ผมไม่เหมาะกับเกมนี้จริงๆ

               “ไม่มีตรงไหนชวนให้กูหลงเชื่อมึงสักนิด หนึ่ง กูไม่เห็นมึงจะมียาติดตัว แม่มึงก็ไม่ได้ว่าอะไร สอง โรคบ้าบออะไรทำให้ด่าคนโดยไม่รู้ตัวได้วะ ไม่แฟนตาซีไปหน่อยหรือไง ถ้าสันนิบาตกูยังพอได้ยิน แล้วก็นะ...” เขาเว้นช่วง ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยชิดหัวเตียง “มึงด่ากูได้เหมือนตั้งใจมาก… ปกติตอนนอนก็ไม่เห็นเป็นนี่ ระหว่างวันก็ไม่มี เห็นแต่ไอ้สันนิบาตนี่แหละที่น่าเชื่อหน่อย”

               นั่นก็จริง อาการแสดงส่วนมากก็จะเป็นพวกสะบัดมือ ยักไหล่ คอกระตุก ที่ออกจากปากก็นานๆ ที

               “คือผม… เอ่อ อาการคงจะไม่หนักแล้วก็ได้มั้งครับ” ทำไมยิ่งพูดยิ่งเหมือนแก้ตัวกันนะ ใจหนึ่งผมคิดว่าพอได้แล้วล่ะ กลัวว่าจะยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดเปล่าๆ แต่อีกใจก็สังเกตเห็นแววตาไหววูบชั่วขณะ หากลองอีกนิดเขาอาจจะเข้าใจมากขึ้นก็ได้

               “มึงรู้มั้ยว่าหน้ามึงโคตรตอแหล เอาใบรับรองแพทย์มา” แย่ล่ะ

               “ไม่มีครับ”

               “มีโรคประจำตัวแต่ไม่มีหลักฐาน? พอที กูชักรำคาญละ”

               “พี่ครับ ได้โปรด ผมเป็นจริงๆ ถึงจะไม่มีหลักฐานแต่ผมป่วยจริงๆ นะ พี่ถามแม่… ไม่ๆ ไม่ถามดีกว่า… พี่จะไม่เชื่อผมจริงๆ หรอ”

               “มึงบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าไม่ต้องเชื่อก็ได้ เอาไงแน่วะ”

               ฮือ… ถูกของเขา ผมถือว่าบอกแล้วนะ ...เออ! ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ คนใจร้าย!

               ผมคลุมโปงหนีทันที พอดีกับประตูห้องน้ำเปิดออก แขกแปลกหน้ามีท่าทางสดชื่นช่วยเบนความสนใจของนิ้วที่กางเตรียมฟาดผมอย่างฉิวเฉียด “ไงพี่”

               “อือ” เขาเปิดตู้เย็นถือวิสาสะหยิบน้ำส้มมากระดกรวดเดียวหมดกล่อง “อ๊า! วู้ แอร์ฉ่ำดีว่ะ เออ กูต้องเก็บค่าซ่อมที่ใครวะ ให้เจ้าของมาจ่ายดิ อยากเห็นว่ะ ฮ่าๆๆ”

               “เดี๋ยวให้แม่มันโอนให้ก็ได้ ผมกลัวว่าถ้าน้องมันเห็นพี่ฟิกแล้วผมจะไม่ได้ขับรถมันซักทีเพราะcแม่งหาเรื่องทำรถพังอีก เฮ้ยไอ้เตี้ย โทรบอกแม่มึงดิ”

               ประโยคหลังหันมาสั่งผมพร้อมกระชากผ้าห่มออก มือถือถูกยื่นมาจ่อหน้าทำให้ต้องจำใจรับไปแล้วกดเบอร์คุณแม่ไปเงียบๆ มีคนอื่นอยู่ด้วยรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ครับ แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าคนที่พี่แม็กเรียก ‘พี่ฟิก’ คือคนที่มาซ่อมรถนี่เอง

               ระหว่างรอสาย ผมรู้สึกถึงสายตาละลาบละล้วงสำรวจผมที่นอนใต้ผ้าห่ม “ดูๆ ไปก็ใช่ได้นี่หว่า เนี่ยนะที่มึงบอกว่าห่วย ถ้าคนพี่ห่วยยังน่า… ขนาดนี้ คนน้องจะขนาดไหนวะ”

               “สเปคพี่เป็นแบบนี้หรอเพิ่งรู้ เห็นเมียแต่ละคนอย่างกับคัดมา”

               “มึงไม่รู้อะไร หน้าแบบเนี้ย เวลาทำให้ร้องไห้นะ... โคตรเซ็กซี่”

               คนรอบตัวพี่แม็กต้องมีแต่คนน่ากลัวๆ กันหมดเลยหรือไง คิดกันแต่เรื่องน่าอายๆ พูดได้ไม่เกรงใจเจ้าตัวเลย ผมไม่ชอบเลยครับ ก่อนที่พวกเขาจะได้ล้อผมอีก ปลายสายก็รับพอดี

               “ฮ ฮ ฮัลโหล แม่ฮะ” ผมตอบรับตะกุกตะกัก

               ‘มีอะไรหรอลูก แม่ติดธุระ ถ้าไม่สำคัญไว้ก่อนได้มั้ยครับ’

               “อ… เอ่อ เรื่องรถหมิวครับแม่”

               ‘อ้าว ว่าไง รถน้องเป็นอะไรหรอ’

               “คือมันเสีย สตาร์ทไม่ติด เมื่อเช้าเลยขี่มอ’ไซค์ไปกัน แต่ว่า… พี่แม็กให้ช่างมาซ่อม...” ผมขอเหล่มองเพื่อความแน่ใจหน่อยครับ “แล้ว เอ่อ...”

               กระดาษโชว์ค่าใช้จ่ายแต่ละรายการถูกยัดใส่มือ ตัวเลขสุทธิทำเอาผม ‘เอ่อ’ ค้าง หันไปมองช้าๆ ก็เจอใบหน้ายิ้มแป้นของพี่ฟิก “อะไหล่มันแพง” เขาว่า

               “ม… แม่ครับ มันเป็นหมื่นเลยอ่ะ ผมไม่รู้เรื่องด้วยนะ” ออกตัวก่อนเลยครับ ก็ผมไม่ได้รู้เห็นด้วยจริงๆ นี่ ซ่อมเขาก็ซ่อมกันเอง กุญแจยังไม่อยู่กับผมเลยด้วยซ้ำ

               ‘อ๋อ ไม่เป็นไรลูก รุ่นนี้ก็แพงอย่างนี้แหละ ไว้หนูส่งบิลกับเลขบัญชีมาให้แม่แล้วกัน แค่นี้นะครับ’

               “อะ ครั...”

               ตรูด ตรูด ตรูด… วางซะแล้ว

               คงไม่ต้องเดานะครับว่าสองคนนั้นทำหน้าแบบไหนรอผมอยู่

               เสียงทุ้มกระซิบเกือบชิดหู “อย่าให้จับได้นะว่าโกหกกู”



               รุ่งขึ้นผมโดดเรียนอีกหนึ่งวันด้วยสาเหตุทำใจไม่ได้ครับ ผมยังจำสายตาคนทั้งห้องที่มองมาได้อยู่เลย จึงได้แต่นอนแห้งอยู่บนเตียงเกือบทั้งวัน คนเฝ้ามีเรียนครับ แต่ยังใจดีซื้อข้าวกล่องมาตุนไว้ให้ก่อนไป (ผมเห็นนะว่าเอารถน้องผมไปอ่ะ) แค่เวลาไม่ถึงเดือนที่รู้จักกันชีวิตผมเหมือนยืนอยู่กลางสี่แยกรอรถมาเฉียวเล่นๆ ยังไงยังงั้นเลยครับ กะว่าจะนอนชาร์ตแบตเผื่อวันต่อๆ ไปเสียหน่อย แต่คิดว่าจะได้ทำอย่างนั้นเหรอ

               “ไปแต่งตัว กูให้เวลาสิบนาที”

               นั่นไง นาฬิกาบอกเวลาเกือบสี่โมงเย็น พี่แม็กกลับมาถึงพร้อมพี่เมษกับพี่พอล พวกเขาผลัดกันอาบน้ำเปลี่ยนชุดนักศึกษาเป็นชุดกีฬา ไม่ใช่ชุดพร้อมแข่งแต่ก็ทะมัดทะแมงทั้งถุงเท้ารองเท้า ลักษณะนี้น่าจะไปเตะบอลกันล่ะมั้ง ว่าแต่ ให้ผมแต่งตัวทำไม

               “ทำหน้าโง่อีก กูบอกให้เปลี่ยนชุดไง หรือมึงจะใส่ชุดนอนเน่าไปเฝ้าพวกกูเตะบอลก็ตามใจ”

               ฮะ?! ทำไมผมต้องไปด้วยอ่ะ ได้แต่คิดในใจหรอกพูดออกมาได้มีปากฉีกพอดี ผมไถลตัวลงเตียง กะเผลกๆ ทำตามคำสั่งภายในสิบนาที แล้วเราก็ออกเดินทาง… ด้วยรถของน้องผม



               “มึงนั่งนี่ ห้ามไปไหน อย่าให้ของพวกกูหายนะมึง” ครับ พี่คิดว่าผมจะไปไหนได้ล่ะ

               “จะไปไหนได้ละ”

               “มึงว่าอะไรนะ” อุ๊ย! ดีนะที่พูดเบา ตาดุค้อนขวับแต่เหมือนจับใจความไม่ได้ผมเลยรอดตัวไป ผมถอนหายใจยาว หวาดเสียวนะ ต้องตั้งสมาธิดีๆ ผมไม่มั่นใจว่าเขาจะเชื่อว่าผมป่วยมากน้อยแค่ไหนด้วยสิ

               การเตะบอลสนุกตรงไหนเหรอครับ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ลูกบอลลูกเดียวแย่งกันอยู่ได้ ล้มไปก็เลอะ กระแทกกันก็เจ็บตัว พอตัดหน้ากันก็ทำท่าจะมีเรื่องกันอีก ผมเห็นยังเหนื่อยเลย พวกพี่ไม่เหนื่อยบ้างหรอ

               “กรี๊ดดด พี่แม็ก สู้ๆ นะค้าา”

               “พี่พอล สู้ๆ พี่พอลสู้ๆ”

               “น้องเมษยิงเลยๆ เย้”

               ผมนั่งฟังเสียงเชียร์ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งไปให้สามหนุ่มแบดบอย ดูเกมดำเนินไปเรื่อยๆ ลูกบอลกลิ้งไปซ้ายทีขวาทีน่าเวียนหัว ผมนั่งทับมือตัวเองตั้งแต่มาถึง การเอามือสอดไว้ใต้ขานานๆ เหน็บจะกินแต่มันก็กันมือไม้ร่ายรำได้พอสมควร ผมพยายามควบคุมตัวเองสุดๆ เพราะที่นั่งผมคือแถวหน้าติดขอบสนาม ถ้าทำอะไรแปลกๆ มันจะเป็นจุดสนใจได้ง่ายมาก อย่างเช่น

               “เอาน้ำมาดิ๊เตี้ย”

               พี่แม็กตัวมอมแมมเหงื่ออาบท่วมเกาะราวกั้นขอบสนามตรงหน้าผม เสียงหอบดังไม่เรียกสติผมเท่าคำสั่ง โชคดีที่ผมจำได้ว่ากระเป๋าพี่แม็กคือใบไหนในสามใบที่ผมเฝ้าอยู่ ผมหยิบกระบอกน้ำดื่มยื่นให้ พี่เขาไม่รับแต่ชูมือเปื้อนดินทั้งสองข้างเป็นการบอกกลายๆ ว่าไม่สะดวกถือเอง

               “งัดหลอดออกมาดิ เร็ว”

               เอะอะดุ เอะอะตะคอก ตกใจหมดเลย รีบงัดหลอดขึ้นมาอย่างลนลานแล้วยื่นไปตรงปากสีเข้ม เขาดูดสองสามทีได้ยินเสียงกลืนดังเอื้อกๆ ก่อนจะวิ่งกลับไปที่กลางสนาม ทีนี้สิ่งที่ตามมาคือสายตาทิ่มแทงนับสิบคู่บนอัฒจันทร์เหนือขึ้นไป ...ไม่กล้าหันไปดูเลยครับ

               ทำไมพวกคนหล่อถึงชอบเล่นกีฬากันนักนะ อยู่เฉยๆ สาวๆ ก็ละลายกันแล้ว ทำไมต้องมาวิ่งให้เหงื่อมันออก หรืออยากโชว์ท่ายกแขนปาดเหงื่อเท่ๆ เลิกเสื้อขึ้นเช็ดหน้าอวดซิกแพ็ก หรือว่าจะ- อ๊ะ!

               “เช็ดมือหน่อย ฮ่าๆๆ”

               โธ่! นิสัย! ร่างสูงวิ่งวกมาเฉียดขอบสนาม พอผ่านผมเขาก็เอามือเลอะๆ มายีหัวจนยุ่ง ผมจับหัวตัวเองมีเศษดินติดมาด้วย สกปรกที่สุดเลย การได้แกล้งผมนี่มันทำให้พี่อารมณ์ดีขนาดนั้นเลยหรอครับ ผิดกับผมที่จิ๊ปากหงุดหงิด ขี้เกียจสระอ่า

               “นี่นายน่ะ”

               ฮือ ไม่นะ

               ผมหันไปตอบช้าๆ สภาพหัวหดคิ้วตกล่วงหน้าอย่างรู้เหตุการณ์ “เรียกผมหรอครับ”

               “นายเป็นใคร มาอ่อยพี่แม็กทำไม” เธอในชุดนักศึกษาถาม ผมเดาว่าหน้าจะเป็นปีหนึ่งเหมือนกันเพราะทั้งชุดและผมยังถูกระเบียบอยู่ เธอยืนขึ้นแล้วก้าวลงมาพร้อมเพื่อนอีกคนจนหยุดยืนที่ขั้นเดียวกับผม

               ด้านหลัง คนอื่นๆ ยังมองอยู่ ไม่มีใครคิดจะห้ามแถมยังตั้งตารอดูอย่างจดจ่ออีกด้วย เพิ่งสังเกตว่าบนอัฒจันทร์มีแต่ผู้หญิงกับผู้ชายทาปากปัดแก้มทั้งนั้นเลยครับ เสียงเชียร์เงียบไปจากบริเวณที่ผมนั่งเพราะมันกำลังจะเกิดสงครามเล็กๆ เร็วๆ นี้แล้วครับ

               “เงียบทำไมอีตุ๊ด”

               “ไม่ใช่นะ!” คนเราทำไมต้องหาเรื่องเหยียดคนอื่นด้วย คำตอบเสียงแข็งของผมนั้นตอบได้ทั้งคำกล่าวหาแรกและคำดูถูกเรื่องเพศสภาพ ผมอาจจะดูอ่อนแอ แต่ผมไม่ได้มีจิตใจอยากเป็นผู้หญิง และถึงเป็นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาว่ากันแบบนี้

               “แล้วแกเป็นใคร มายุ่งกับของพี่เขาได้ไง อย่าบอกนะว่าเป็นน้องพี่แม็ก พี่เขาไม่มีน้องย่ะ พี่แม็กควงใครพวกฉันรู้หมด หน้าอย่าแกมันไม่เข้าพวกสักนิด” เพื่อนผู้หญิงของเธอว่าผมฉอดๆ เขาสิไม่รู้อะไร อยากจะตอบโต้แต่กลัวเรื่องจะยาวเลยนั่งเฉยๆ ทำหูทวนลมซะ

               “นี่! หูหนวกหรือไง”

               “ทำอะไรกันหรอจ๊ะ”

               เสียงหวานขัดจังหวะสองคนนั้น ผู้มาใหม่คือพี่สาวสวย ผมทำสีคาราเมลยาวลอนสลวยดั่งแพรไหม ดวงหน้าขาวเนียนแต่งบางๆ เหมาะสมกับวัย โดยรวมคือสวยมากๆ

               “อ๊ะ! พี่ฟา สวัสดีค่ะ”

               เธอยิ้มละไมพยักหน้ารับ สองคนนั้นกลับไปนั่งที่โดยไม่พูดอะไรอีกทำให้ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พี่คนสวยทรุดตัวลงข้างผมถัดจากกองกระเป๋า ผมแอบมองสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเริ่มนึกออกละ พี่เขาคือดาวปีสาม พยาบาลมั้งครับถ้าจำไม่ผิด

               “น้อง...”

               อยู่ๆ เธอก็หันมาคุยกับผม ผมสะดุ้งตาโตรู้สึกประหม่าทันทีเพราะไม่ค่อยได้คุยกับผู้หญิง “ค ครับ! ผม คอมโบครับ”

               “ใช่น้องที่แม็กดูแลอยู่หรือเปล่าคะ” ผมรู้จักพี่แม็ก แต่อืมมม ดูแลหรอ เอาเป็นว่ายิ้มแห้งๆ ตอบไปก่อนแล้วกันฮะ

               พี่ฟาพยายามชวนผมคุย เธอเล่าว่าพี่แม็กนินทาผมไว้เยอะแยะเลย (นิสัย!) บางเรื่องก็ลึกซึ้งจนผมเขินหน้าแดง พี่ฟาคงเอ็นดูผมเลยหยอกไม่ยอมหยุดจนกระทั่งพวกพี่ๆ ในสนามออกมาพักกันนั่นแหละครับ คราวนี้พี่ฟาเตรียมน้ำและผ้าให้พี่แม็กเอง ผมจึงนั่งเฉยๆ “มาทำไมเนี่ยฟา”

               เสียงหวานเอ่ยตอบไปว่า “เห็นว่ามีซ้อมเลยแอบมาดู”

               “มาดูทำไม ร้อนจะตาย”

               “อยากเห็นแม็กเวลาเล่นบอลไง ดูเป็นผู้เป็นคนผิดกับตอนปกติเลยนะ” เธอหัวเราะคิกคัก จะว่าไปก็จริงครับ พี่แม็กตอนอยู่ในสนามน่ะเท่มากๆ เลยนะ แววตาจริงจังและไม่มีการเล่นสกปรกใดๆ ทั้งสิ้น ต่างจากตอนอยู่กับผมที่ทั้งใจร้าย เจ้าเล่ห์และหยาบคายมากๆ เลยฮะ

               “จิ๊! ต่อไปห้ามมานะ”

               “รอบแข่งจริงก็ไม่ได้หรอ”

               พี่ฟาทำเสียงออดอ้อน ผมยังไม่ได้ยินพี่แม็กพูดคำหยาบกับพี่ฟาเลยสักคำ สองคนนี้ดูสนิทกันมากเลย ...แล้วก็ดูเหมาะสมกันมากด้วย

               “ก็… ตอนไหนมาได้จะบอกแล้วกัน” พูดแล้วสะบัดหน้าหนีงอนๆ ไม่คิดว่าพี่แม็กจะมีมุมน่ารักแบบนี้ด้วย คงให้เฉพาะคนพิเศษอย่างพี่ฟาเท่านั้นล่ะมั้งครับ… จะเศร้าทำไมเล่า

               “ไปจีบกันไกลๆ ไป เบื่อคู่นี้จริง” พี่พอลพูดเสียงเนือย สงสัยอิจฉาเพราะแม้แต่พี่เมษก็ยังมีแฟนตามมาเชียร์ด้วย แล้วสาวๆ เขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรอที่ผู้หญิงอื่นเชียร์ออกหน้าขนาดนั้น

               “เหงาก็ให้ไอ้เปี๊ยกป้อนน้ำซับเหงื่อให้ดิ จะได้ครบคู่” พี่พอลครับ… พี่จะมาถลึงตาใส่ผมทำไม พี่เมษนู่น

               ฟุตบอลนี่เขาเล่นกันกี่ชั่วโมงครับ ผมรอจนหิว ดีที่พกขนมปังมาเผื่อกินรองท้องตอนกินยา เท้าก็ตื้อๆ เป็นระยะ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจไปจากความปวดได้คือชายผิวเข้มกลางสนาม ร่างแข็งแกร่งปราดเปรียว การเคลื่อนไหวอันชาญฉลาดพาทีมได้คะแนนมานักต่อนัก หากมองจากมุมนี้ นอกเหนือจากความหยาบคาย เขาคือผู้ชายที่น่าหลงใหลคนหนึ่งเลยทีเดียว

               “น้องชอบแม็กหรอ”

               “ห ฮะ?” ผมทำหน้าแบบไหนออกไปกันเนี่ยพี่ฟาถึงได้ถามผมแบบนี้ แล้วพี่จะโกรธมั้ยที่ผมไปมองแฟนเขาตาไม่กระพริบ

               “ไม่เป็นไร เราไม่ใช่แฟนกันหรอกนะ คนอื่นเขาก็พูดไปเรื่อย คือเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กเลยสนิทกันมากจนบางคนเข้าใจผิดน่ะ”

               “อ อย่างนั้นหรอครับ” ผมตอบผิดหรือเปล่าเนี่ย ผมควรปฏิเสธก่อนสิ

               “แล้วยังไง ชอบหรือเปล่า” ถ้าพี่ฟายิ้มแบบนี้คงไม่มีอะไรจริงๆ มั้งครับ แต่… ผมจะตอบว่าไงดี

               “ผม… ไม่รู้ฮะ”

               แสงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับท้องฟ้า เบื้องหลังก้อนเมฆบดบังดวงจันทร์ปรากฎกายอย่างช้าๆ ภาพครั้งแรกที่ได้เจอพี่แม็กลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ คิ้วยุ่งที่ขมวดกังวลก่อนที่ผมจะเป็นลม แผ่นหลังกว้างอุ่นร้อนตอนพาผมซ้อนท้ายไปเรียน เสียงหัวเราะร้ายกาจสะใจที่ได้รังแกผม ความเจ็บปวด หวาดกลัว คำสั่งที่ส่งมาแทบตลอดเวลา จนถึงเมื่อวาน...

               “อยากรู้อะไรเกี่ยวกับแม็กถามพี่ได้เลยนะ พี่รู้เรื่องแม็กทุกอย่างเลย”

               “...ขอบคุณครับ”

               ผมเข้าใจว่าพี่ฟาหวังดีอ่ะนะ แล้วเธอคงคิดกับพี่แม็กแบบเพื่อนจริงๆ ถึงได้พูดแบบนี้

               ดีจังที่อย่างน้อยก็มีพี่ฟาเป็นพวกเนาะ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เขาว่านอนวันละแปดชั่วโมงจะดี

นี่ก็ใกล้สอบแล้ว ทั้งที่ม. ทั้งใบประกอบ สุนอ๊ะสุนอา

ใครมีวิธีนอนแปดชั่วโมงยังไงในหกชั่วโมงบ้าง

ขอตัวอ่านหนังสือสอบก่อนนะ (เป็นสัญญาณว่า อีกนานนน อ่ะนะ)

ขอบคุณที่ติดตาม :pig4:

นูก้า

ヌガ-

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฟา พูดจริง หรือหลอก ไม่ไว้ใจ  :hao3:
หมือนจับสังเกตได้ ที่โบ ตาจ้องแต่แม็ก เลยโยนหินถามทาง
โบถูกหลอกแน่เลย เหมือนโบจะได้พวก
แต่กลัวว่าจะเอาความรู้สึกโบ มาล้อกันเล่น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ลุ้นต่อน่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ไรท์เตอร์หายไปนานมาก
มารออ่านนะ อย่าหายไปนานๆอีกล่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
กว่าจะได้มีความสุขคงต้องผ่านอะไรอีกเยอะสินะคอมโบ

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
กว่าจะมาต่อน่ะคะ แทบลืมเลยคุณผู้ชม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ madmay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • twitter.com/gaa_nu

เฮ้ย ลืมแปะลิ้งโรคทูเร็ตต์ไว้ให้ ลืมตอบเม้นด้วย555
ขอเปลี่ยนโรคของโบนะ มันก็กลุ่มเดียวกันนั่นแหละ แต่โบเข้ากับทูเร็ตต์มากกว่า ส่วนชื่อยังเป็นติกอยู่ (อยู่ในช่วงตัดสินใจน่ะ) มาจากtics movement

สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
http://haamor.com/th/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C/

https://mdnote.wikispaces.com/Tics+and+Tourette%27s+syndrome

ใครอยากเห็นภาพมากขึ้นมีเคสตัวอย่างเยอะแยะเลย ลองหาดูนะ The Road Within พระเอกเป็นทูเร็ตต์ด้วย

เคนะ เจอกันตอนหน้า เค้าก็อยากมาอัพถี่ๆ แหละ แต่ธุระเยอะเหลือเกิน

ใครมีงานสบายๆ แนะนำ เช่น พิสูจน์อักษร งานรับมาทำที่บ้านก็ได้ แบบฟรีแลนซ์น่ะ เพราะต้องเรียนไปด้วย ภาษาญี่ปุ่นไม่เข้าคาบนึงนี่นั่งโง่เลยนะคะ รับวาดรูปเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ เอาพอค่าหอค่ากิน ช่วงนี้สำนักพิมพ์ไม่ค่อยมีมาให้พิสูจน์อักษรเลยทรัพย์จาง555 พาร์ททามที่รพยังได้น้อยเลย :hao5:


นูก้า

ヌガ-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2017 12:08:54 โดย madmay »

ออฟไลน์ moodyfairy

  • สวย อร่อย ย่อยง่าย :)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 693
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
น่ารักอ่าาาาา ติดละเนี่ยยยย รอนะจ๊าาาาา :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ยังรออยู่ค่ะ ดีใจที่มาต่อ  o13

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
มารอความคืบหน้า จะรักกันยังไง  :z10:
โดยเฉพาะพี่แม็ก นอกจากความสมเพสแกมสงสารยังไม่เห็นจะชอบโบขึ้นมาบ้างเลยย  :hao5:

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
จะลงเอยกันยังไงเนี่ย

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อ้อ น้องเป็นทัวเรตต์นี่เอง

ผมชอบเรื่องนี้ตรงตัวละครนะครับ ตัวละครมีความเด่นมีมาก คือคาแรกเตอร์ของแต่ละคนชัด แต่ข้อเสียเรื่องนี้ก็มีเยอะเช่นกัน ทั้งเรื่องความขัดแย้งในการบรรยายจนทำให้ผู้อ่านค่อนข้างสับสน และการปล่อยปมออกมาแบบไม่ค่อยสมูท (คือเราผ่านมา 11 ตอน ถึงรู้ว่าน้องเป็นโรค ถือว่านานอยู่นะครับ) ทำให้กราฟเส้นอารมณ์ของเรื่องมันกวัดแกว่งมาก อ่านไปอ่านมาผมก็มีค่อนข้างสับสนงุนงงนะครับ อธิบายคือ จะเห็นว่ากลุ่มของพอล (จำชื่อได้คนเดียว ฮา เพราะว่าผมสนใจคนนี้มากกว่าพระเอกอีก) จะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเน้นเรื่องเซ็กซ์เป็นหลัก ซึ่งผมโอเคนะครับ คาแรกเตอร์ของทั้งสามคนในกลุ่มนี้ชัดเจนและน่าสนใจมาก คือนิสัยและรูปลักษณ์ที่มองเผินๆจะเป็นเอกลักษณ์ที่เหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันเล็กๆน้อยๆในจุดที่เด่นจนสังเกตได้ ทำให้ตัวละครทั้งสามคนไม่จม และเกลี่ยบทให้กับตัวละครที่เป็นตัวดึงเรื่องได้ดี (จะเห็นว่าเพื่อนพระเอกที่มีแฟนแล้วบทไม่เยอะเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีแล้วครับเพราะว่าตัวละครเยอะ ปมก็เยอะ และการบรรยายต่อหนึ่งตอนมีไม่มาก ดังนั้นต้องรีบๆใส่เรื่องสำคัญเข้ามาก่อน)

คือเห็นแล้วแหละว่าจั่วไว้ว่าเป็นนิยายเฉพาะแนว (SM) แต่บางอย่างผมคิดว่าทำให้มันบรรยายออกมาได้สมูทหน่อยก็จะดีครับ เช่น การทยอยใส่ปมของเนื้อเรื่องแล้วค่อยๆคลายออกอย่างมีนัยยะสำคัญ ถ้าเราจะให้นิสัยของตัวนางสับสนเปลี่ยนแปลงมาก ก็ต้องให้มีการบรรยายที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมายังไง ทิ้งเลศนัยให้คนอ่านได้สนใจขบต่อ เพื่อเกลี่ยความน่าสนใจของคนอ่าน จากการเข้าคู่ของพระเอกนางเอก มาที่เบื้องหลังและปมตัวละครที่เป็นแบ็คกราวน์ ซึ่งเราต้องการจะสื่อและค่อยๆให้มันขมวดต่อไปครับ ยกตัวอย่างเรื่องนี้คือ ตอนช่วงแรกๆผมอ่านแล้วค่อนข้างอึดอัดครับ เพราะว่าอ่านแล้วผมไม่เข้าใจภาพรวมที่เกิดขึ้น ความเลวของกลุ่มพระเอกนี่โอเค แต่ปัญหาคือส่วนของน้องเนี่ยแหละครับ น้องเป็นอะไรวะนั่น ทำไมดูบางบทก็ดูน่าสงสารเหมือนคนป่วย บางบทก็ดูกร้านโลกเหมือนคนเป็นจิตเวชอ่อนๆ แถมพาร์ทครอบครัวที่มีบรรยายมาก็ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจปมของตัวน้องมากขึ้นเลย สิบตอนผมเห็นแต่ interaction ระหว่าพระเอกกับนางเอก (ซึ่งก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะฝั่งนึงแย่ อีกฝั่งนึงมีปัญหาแต่ก็ไม่รู้ว่าคือปัญหาอะไร ทำให้ความสัมพันธ์มันไม่กระเตื้องอย่างสมเหตุสมผลน่ะครับ มันดูสับสน)

ทีนี้ผมจะขออนุญาตเสนอเรื่องทัวเรตต์นะครับ เผื่อว่าผู้เขียนจะได้แนวทางในการเขียนพล็อตต่อหรือไปเพิ่มปมแล้วคลายต่ออะไรในอนาคตครับ

ทัวเรตต์เป็นความผิดปกติทางเส้นประสาทประเภทนึงครับ พบได้ค่อนข้างทั่วไป ส่วนมากเจอในวัยเด็ก และมักพบในกลุ่มเด็กสมาธิสั้น หรือเป็นโอซีดี (โรคย้ำคิดย้ำทำ) มากกว่ากลุ่มเด็กทั่วๆไป สังเกตได้จากการสั่นกระตุกของเส้นประสาทสั่งการกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทสั่งการเสียง โดยทั่วไปแล้วอาการสั่นกระตุกของเส้นประสาทพวกนี้มักไม่แน่นอน อาจหยุดยั้งได้ชั่วคราว และส่วนมากมักเกิดเมื่อมีแรงกระตุ้นที่ไม่พึงประสงค์หรือการรับสัมผัสบริเวณกล้ามเนื้อนั้นๆ และโดยปกติ ทัวเรตต์มักไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญาและการใช้ชีวิตเท่าไหร่นะครับ นอกจากนี้ ทัวเรตต์มักเป็นอาการที่แม้แต่ในทางการแพทย์ เรายังไม่พบสาเหตุที่แท้จริง เราสันนิษฐานว่าเกิดจากการส่งผลทางพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม (มลพิษ, อาหาร) ส่วนมากวินิจฉัยไม่เจอ เพราะว่าไม่มีการทดสอบอย่างเฉพาะเจาะจงกับอาการผิดปกตินี้ ประกอบกับอาการกระตุกมักมีค่อนข้างเบาจนไม่เป็นที่สังเกต (mild) และจะน้อยลงเรื่อยๆเมื่อผู้ป่วยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ชองน้องอาจจะเพราะว่าน้องมีภาวะจิตใจไม่เติบโตตามวัยร่วมด้วย (ซึ่งปัญหานี้เดี๋ยวเรามาพูดต่อครับ) ในแง่ของน้องนี่ผมคิดว่าเป็น Rare Case นะครับ เพราะว่าเป็น Extreme Tourette’s in adulthood

ซึ่งโดยปกติแล้ว ทัวเรตต์ถือว่าอาการหนักที่สุดนะครับในหมู่โรคสันนิบาต (เอาจริงๆผมไม่ชอบคำนี้เลยนะ ขออนุญาตใช้คำว่า Tics แทนละกัน) เพราะมีมากกว่า 2 การกระทำของ Motor Tics (เช่น การเลียนแบบท่าทางของคนอื่น [เรียกว่า Echopraxia] หรือการมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม [เรียกว่า Copropraxia]) และมีอย่างน้อย 1 การกระทำของ Vocal Tics (เช่น การพูดคำสุดท้ายหรือวลีสุดท้ายของคนอื่น [Echolalia] ที่ได้ยิน หรือของตัวเอง [Plilalia] ซ้ำๆกัน หรือ กล่าววาจาที่ไม่เหมาะสม [Coprolalia]) และเป็นมาอย่างน้อย 1 ปี ขึ้นไป

การแสดงออกของ Tics นั้นมีทั้งแบบ Simple และ Complex แบบ Simple คือมีการแสดงออกสั้นๆ เช่น การกระพริบตาบ่อยๆ, ปลายนิ้วกระตุกไปๆมาๆเหมือนควบคุมไม่ได้ หรือการพูดติดตะกุกตะกัก ส่วนแบบ Complex จะมีระยะเวลานานกว่า ไม่หยุดง่ายๆครับ แต่ก็อย่างที่บอกไปข้างต้น ว่ามักจะอาการเบาลงเมื่อเด็กเติบโตขึ้นเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ครับ โดยทั่วไป ก่อนจะเกิด Tics เราจะพบได้ว่ามีสัญญาณบ่งบอก เช่น ความรู้สึกของเด็ก, แรงกระตุ้นที่ทำให้เกิด พวกนี้ถ้าสังเกตก็จะทำให้รับรู้ได้ว่าสภาวะไหนจะก่อให้เกิดอาการ Tics ครับ โดยปกติก็มักเป็นช่วงที่มีอารมณ์กังวล หอบเหนื่อย หรือตื่นเต้น (ช่วงที่อดรีนาลินหลั่งจากแรงกระตุ้นภายนอกน่ะครับ หรือเป็นช่วงบีบคั้นทางจิตใจ) ดังนั้นจะเห็นว่าเราสามารถดูแลน้องได้ง่ายๆ ด้วยการพยายามสังเกตและควบคุมอาการเพื่อทำให้น้องควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น (Cognitive Behavioral Therapy) หรือช่วงลดภาวะที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการได้ ถ้าเรื่องใช้ยา ผมไม่อยากให้ใช้นะครับถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะว่าที่ใช้ได้ มันก็จะเป็นพวก Antipsychotics ซึ่งลดภาวะทางจิตใจคล้ายๆยากล่อมประสาทหน่อย หรือถ้าจะฝึกน้องใช้ควบคุมกล้ามเนื้อที่กระตุกบ่อยๆ อาจจะต้องใช้ยากันโรคสมาธิสั้น แต่ยาที่ออกฤทธิ์แรงพวก Epilepsy จะมีผลข้างเคียง ‘อย่างน้อย’ 1 อย่าง ซึ่งอาจเป็นทั้งระยะสั้นหรือระยะยาวก็ได้ ซึ่งอันตรายกับผู้ป่วยที่มีภาวะร่างกายไม่แข็งแรงครับ ดังนั้น ถ้าเจอคนเป็นทัวเรตต์ คนรอบข้างหรือคนสนิทในครอบครัวต้องมีความรู้ มีความเข้าอกเข้าใจอาการที่เป็น จึงจะทำให้สามารถเลี้ยงดูหรือดูแลเด็กให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพ ควบคุมตัวเองได้ดี ไม่เป็นสิ่งที่สังคมตราหน้าด้วยความแตกต่างครับ (ซึ่งไม่ใช่ในเคสนี้ของน้องแน่ๆ)

ในเคสนี้ของน้อง ผมว่าน้องมีปัญหาทั้งเรื่องการขาดความเอาใจใส่อย่าง ‘เข้าใจ’ ในอาการที่น้องเป็น ทำให้คุณแม่ไปสนใจลูกอีกคนมากกว่าครับ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องของปมสภาพทางจิตใจที่ถูกตอกย้ำจากสังคมที่ขาดความเข้าใจในโรค ทำให้น้องมีอาการหวาดกลัวการเข้าสังคมและอาการซึมเศร้าอย่างอ่อนๆ และทำให้อาการของโรคไม่ได้รับการรักษาอย่างที่ควร ก็ส่งผลต่อกับพฤติกรรมการเข้าสังคมของน้องด้วยครับ ซึ่งถ้าเป็นผมเห็น ผมจัดระดับน้องเป็นซึมเศร้าระดับกลางแล้วนะครับ เพราะเริ่มมีปัญหาในการใช้ชีวิตแล้ว อาจนำไปสู่ความหดหู่ขั้นรุนแรงได้ เพราะครอบครัวน้องก็ไม่ได้ส่งเสริมการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพเท่าไหร่จากการขาดความเข้าใจในตัวโรค

ออฟไลน์ madmay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • twitter.com/gaa_nu


คนเขียนยังไม่หายนะ


แต่เน็ตหายยยย


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2


คนเขียนยังไม่หายนะ


แต่เน็ตหายยยย




รออ่านนะคะ

ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ madmay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • twitter.com/gaa_nu
 

 
-12-
 
              “เตี้ย น้ำ”
 
              “นี่ครับ”
 
              ซ่า!
 
              ขวดน้ำถูกเทรดศีรษะของเจ้าตัวแทนที่จะดื่มแก้กระหาย เขายื่นขวดเปล่าคืน ผมรับมาแล้วส่งผ้าขนหนูให้อย่างรวดเร็ว เช็ดอย่างลวกๆ เสร็จเขาก็วิ่งกลับไปในสนามอีกครั้ง ส่วนผมก็คงต้องไปเติมน้ำมาใหม่เป็นรอบที่สาม
 
              กรอกน้ำจากตู้มาจนเต็มกระบอกก็เขยกๆ กลับ อ๊ะ! แวะซื้อน้ำเพิ่มอีกดีกว่า ครึ่งหลังกำลังดุเดือดพี่เขาอาจกระหายมากขึ้น การอยู่กับพี่แม็กก็ดีอย่างครับ มันช่วยให้ผมกลายเป็นคนต้องคิดวิเคราะห์และวางแผนล่วงหน้าตลอดเวลา แม้เขาจะไม่ค่อยรุนแรงกับผมแล้วตั้งแต่ที่ผมบอกเขาว่าผมป่วย แต่ก็ใช่จะใจดีนะ
 
              เดือนนี้ลามไปถึงกลางเดือนหน้าพวกพี่ๆ จะต้องมาซ้อมแข่งแทบทุกเย็นเนื่องจากงานกีฬาต่างมหา’ลัยกำลังใกล้เข้ามา เขาว่ามันคือศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าชายชาตินักเตะ (?) ที่จะต้องรักษาแชมป์ไว้ให้มั่นคง อันนี้ผมเข้าใจ แต่ส่วนหนึ่งก็สงสัย ทำไมผู้ชายถึงชอบกันนัก ไอ้การวิ่งไปแย่งลูกกลมๆ ลูกเดียว พอได้แล้วก็เตะทิ้งใส่ประตูตรงข้าม มันสนุกตรงไหนหรอครับ เหนื่อยก็เหนื่อย ล้มไปก็เลอะ แถมอาจเจ็บตัวได้แผลกันอีกด้วย
 
              ชีวิตประจำวันของผมเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังจากที่ผมฟูมฟายจนเสื้อพี่แม็กเต็มไปด้วยคราบน้ำมูก เขาไม่อะไรกับผมมากเท่าเมื่อก่อน แต่ตำแหน่งเบ๊ก็ยังคงเป็นของผมอย่างเหนียวแน่น ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ละน้อย จากที่ชอบมองพี่เขาเพราะความหล่อตอนนี้กลับกลายเป็นอยากอยู่ใกล้แม้จะต้องเจ็บตัวบ้างก็เถอะ ผมเคยลืมตัวเอาเสื้อเปื้อนเหงื่อเขามาดมด้วยล่ะ น่าอายจัง
 
              อืม… ช่วงนี้ดวงผมคงขึ้นมาจากก้นเหวนิดๆ ล่ะมั้งฮะ
 
              “สัสเตี้ย ระวัง!”
 
              ตุบ
 
              “โอ๊ย!”



MAGNUM
 
              เหนื่อยโว้ยยย!!!
 
              ห่า! แม่งไมเหนียวงี้วะ แค่ซ้อมมึงจะจริงจังอะไรนักหนาวะ ปล่อยๆ ให้ลูกแม่งเข้าประตูมั่งเฮอะ (ได้ข่าวว่ากูก็จริงจัง) อากาศเมืองไทยก็โคตรร้อน นี่กูวิ่งบนพื้นหญ้าหรือว่าท่อไอ้เสียวะ ห้าโมงแล้วพระอาทิตย์มึงไม่รู้จักหลับจักนอนเลยรึไง! หงุดหงิดโว้ย!!!
 
              ผมวิ่งไป โทษฟ้าโทษฝนไปเรื่อย ก็คนมันโมโหนี่หว่า ยิ่งเจอลมร้อนๆ เข้าไปผมถึงกับทำฟาวล์ไปสามครั้ง แต่ไม่โดนไล่ออกนะ ซ้อมเล่นๆ เฉยๆ
 
              ไอ้แฮมสเตอร์เสิร์ฟน้ำให้เป็นระยะ น้ำหมดก็วิ่งด๊อกแด๊กไปเติม กลับมาไม่ทันนั่งผมก็เอาไปราดหัวอีก คราวนี้มันซื้อขวดใหม่มาเพิ่มเต็มถุงเลย ฮ่าๆ
 
              ยอมรับก็ได้ว่าพอเห็นหน้าโง่ๆ ของมันแล้วอารมณ์ดีขึ้น ส่งผลให้มีมารยาทบนสนามมากขึ้นด้วย ทีมผมเริ่มตีตื้นได้ บอลถูกส่งให้ไอ้เมษที่ว่างอยู่มันยิงเข้าหนึ่งประตูงามๆ ตัดหน้าไอ้พอลที่อยู่อีกทีม
 
              ฟุบ!
 
              “เอาแม่ง! อุบ”
 
              ทันทีที่ลูกลายขาวดำพุ่งเข้าประตู เสียงคุ้นหูก็โพล่งอย่างดัง ไอ้ตัวดีตะครุบปากตัวเองแล้วมุดหน้าลงกับเข่าหนีสายตาตำหนินับหลายสิบคู่ทั้งในและนอกสนาม ตลกดีว่ะ โรคบ้าอะไรจะจี้ขนาดนี้วะ ถ้ามันเป็นจริงก็น่าสงสารอยู่หรอก
 
              “เด็กมึงโคตรแน่ว่ะไอ้แม็ก ดูเพื่อนเราดิ ถลกหนังด้วยสายตาได้คงทำไปแล้ว”
 
แก้//              ฮ่าๆ จริงอย่างที่ไอ้เมษบอก ไอ้ฝรั่งจ้องร่างคุดคู้ตาขว้าง มันยิ่งไม่ถูกกันอยู่ ไอ้โรคบ้าของมันก็ช่างได้จังหวะดีเสียเหลือเกิน นี่ถ้ามีมีดในมือคงได้นองเลือดกันแน่ๆ ...ไม่ต้องมีดก็ได้ อุกกาบาตพุ่งเข้าหัวมันเต็มๆ ไปแล้ว

              “สัสเตี้ย ระวัง!”
 
              อ่า… เอาล่ะ สนใจเกมของผมกันต่อดีกว่า
 
              พอลมันได้ครองลูกอีกครั้งหลังจากจงใจเล็งหัวทุยๆ นั่นอย่างเหมาะเหม็ง ผมส่งลูกทีมสี่ห้าคนประกบมันไว้ ไอ้นี่มันเก่งกีฬาแทบทุกชนิด ต้องระวังมันให้มาก ถึงกระนั้นมันก็ยังหลบหลีกจนพาลูกมาจ่อประตูฝั่งผมได้แล้ว
//แก้
               “พี่พอล สู้ๆ ค่าาา”
 
              “กรี้ดดด พี่พอล ยิงเลยๆ”
 
              แฟนคลับมันส่งเสียงเชียร์ลั่นสนาม ด้วยความดังที่แหลมสูงแบบนั้นมนุษย์ไม่น่าทำได้ ผู้หญิงนี่มหัศจรรย์จริงๆ
 
              บ้าเอ๊ย! ไม่ทันแน่ ไอ้นี่มันฉลาด ระหว่างที่หลบไปเลี้ยงลูกไป มันยังอุตส่าห์แบ่งสมองมาคิดให้พวกเราวิ่งไปกองกันที่จุดเดียว พอถึงเวลาสำคัญทางของมันจึงเปิดโล่งมีแค่มันกับผู้รักษาประตูที่อ่อนด๋อยมาก (กูไม่ได้ดูถูกนะ แต่มันเป็นจริงๆ โทษทีว่ะไอ้ตัวประกอบที่กูจำชื่อไม่ได้)
 
              และในจังหวะที่มันง้างขาเตรียมยิงนั่นเอง
 
              “ไอ้ฝรั่งหัวK!”
 
              ควับ
 
              “แบงค์ ส่งมาให้กู!”
 
              “เฮ้ยๆ เบอร์3ๆ”
 
              “ชิบหายยย กันมันไว้ๆ”
 
              ต่างคนต่างสั่งกันเองรัวๆ เมื่อเมษอาศัยจังหวะที่พอลมันชะงักไปเพราะเสียงไอ้แสบของผม มันแย่งลูกไปได้อย่างหวุดหวิดแล้ววิ่งย้อนกลับมา ฝ่ายตรงข้ามที่หลงระเริงไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อต้องพลิกกลับมาเป็นฝ่ายรับแทน แต่เสียใจว่ะ บอลถูกส่งข้ามไปข้ามมาในทีมจนถึงผมที่รอกวาดแต้มงามๆ แล้ว
 
              ฟุบ

              ปี๊ดดดดด
 
              “เฮ้!!!”
 
              ฮ่า! สองหนึ่ง กูชนะเว้ยยย
 
              เหล่าชายฉกรรจ์กระโดดใส่กันไม่ออมแรงด้วยความปิติประหนึ่งได้แชมป์โลก (ย้ำอีกครั้ง พวกมึงแค่ซ้อมย่อยๆ นะเว้ย) แล้วใครรับศึกหนักสุดล่ะ กูนี่ไง! ห่า! ตบไหล่ตบหัวกันก็พอป่าววะ เลิกได้แล้วไอ้ธรรมเนียมโดดทับกันเป็นชั้นๆ เนี่ย ขี้จะแตก
 
              “เฮ้ยๆ พอๆ เพื่อนกูจะตายห่าแล้ว” ใจ ไอ้เมษ ที่ช่วยกูออกมาจากซากตึกถล่ม จากใจคนเล่นบอลหรือกีฬาอื่นที่มีโอกาสปะทะกันบาดเจ็บระหว่างเล่นเลยนะ ไอ้ตอนเล่นเจ็บแค่ไหนไม่กลัว แต่อีตอนแสดงความยินดีนี่แหละ เรียกรถโรง’บาลรอได้เลย
 
              “เชี่ยแม็กกก ถ้าไม่ได้เด็กมึงนะ โหยยย”
 
              “ไร ใครเด็กกู” ถามไปงั้นแหละ แต่ก็จริงอย่างที่ไอ้เมษบอก เพราะไอ้เตี้ยมันลั่นมากลางวงขนาดนั้น ไอ้พอลเลยเสียสมาธิเปิดโอกาสให้พวกผมทำแต้ม เดี๋ยวว่าจะให้รางวัลมันซะหน่อย… เบาๆ “แต่ก็ต้องยกความดีให้มันจริงๆ ว่ะ ไปมึง ไปขอบคุณมันกันหน่อย”
 
              “ไอ้พอลตัดหน้าไปก่อนแล้ว”
 
              “หา?”
 
              ตัวประกอบเบอร์สองบอก สงสัยไม่นานก็หันไปดูตามปลายนิ้วที่ชี้ข้ามไหล่ เห็นลูกครึ่งตัวโตก้าวยาวๆ บรรยากาศมาคุสุดๆ ไปหาตัวต้นเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของมัน พวกผมเดินตาม แต่ก่อนจะถึงอัฒจันทร์ที่ไอ้เปี๊ยกนั่งอยู่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (จริงๆ ก็คิดนิดๆ)
 
              ผัวะ!
 
              อูย… บ้องหูเต็มๆ หน้าที่ซีดตั้งแต่เห็นโจทก์เดินมาหายิ่งซีดหนักกว่าเก่า คนตัวเล็กกุมหัวมึนๆ ตัวคู้อย่างน่าสงสาร ห่านั่นก็ไม่สนภาพพจน์ตัวเองแม้แต่น้อย จัดการลากแขนบอบบางไปทางด้านหลังในส่วนเปลี่ยนชุดไปเรียบร้อย
 
              “เหยๆๆ ไม่ดีแล้วมั้ง ไอ้พอลยิ่งไม่ชอบหน้ามันอยู่ ดันจี้จุดมันงี้ไอ้เปี๊ยกศพไม่สวยแน่” เมษว่า ใช่ พวกเรารับรู้ได้ว่าในบรรดาพวกเรา ไอ้ฝรั่งนี่แหละที่เกลียดไอ้รุ่นน้องคนนี้อย่างจริงจังและทวีความชังขึ้นทุกวัน มันไม่ชอบการพ่ายแพ้ที่เกิดจากตัวมัน (พูดง่ายๆ คือเป็นพวกชอบโทษคนอื่น ฮ่าๆ) แล้วโรคประหลาดซึ่งไอ้เตี้ยจะเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ดันทำให้มันเสียสมาธิในวันนี้จนแพ้… น่าเป็นห่วง
 
              “เก็บของแล้วตามมันไปเร็ว” ผมกวาดๆ ของของตัวเองเข้ากระเป๋าลวกๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามสองคนนั้นไป ไอ้เพื่อนปากดียังมิวายแซว
 
              “มีห่วงด้วยเว้ยยย”
 
              “จิ๊! เออห่วง! แต่ห่วงไอ้พอลเว้ย กูกลัวมันพลั้งมือ ถ้าผู้ใหญ่รู้ว่ามันทะเลาะวิวาทเดี๋ยวจะโดนตัดสิทธิ์”
 
              “...”
 
              ไอ้…
 
              “มองเหี้ยไร! ไม่ต้องมายิ้มเลยมึง”


50%

แอ่แฮ่! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง
งานเค้าเยอะอ่ะ
โกเมนนาไซ :m5: :m5:

พาร์ทหน้าจะเสิร์ฟncเบาๆ ใส่นมข้นหวานนิดนึงละกัน :katai5:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2017 15:05:09 โดย madmay »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด