#31
วินมันเป็นห่วงเล อย่าโกรธมันเลย
ยกโทษให้มันเถอะ
มันก็ไม่ได้รู้สึกดีหรอกที่ตบมึงไป
ผมนั่งอ่านข้อความ ตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วหันไปให้ความสนใจกับการวอร์มร่างกาย เพราะใกล้ถึงเวลาที่พี่นนท์นี่จะเรียกมาซ้อมรวมแล้ว
เลโกรธพี่วิน หลังจากที่โดนทั้งพี่ไทด์ พี่เกียร์ พี่รพ รัวแชทมาบอกถึงสาเหตุ ผมก็ได้เข้าใจว่าพี่วินเป็นห่วง และโกรธที่ผมไม่บอกว่าไปไหนมาไหน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถึงขั้นตบหน้า เลเป็นคนนะ เจ็บเป็น มีหัวใจ
ก่อนมาเรียนผมจึงต้องหาแมสมาใส่ เพราะผิวขาว ดังนั้นรอยตบที่ประทับอยู่บนแก้มซึ่งเริ่มจะบวมนิดหน่อยจึงเห็นชัดมาก ผมบอกทุกคนโดยเฉพาะพี่นนท์นี่ว่าเป็นหวัดเลยต้องใส่แมส เพราะคาดว่าถ้าอีกฝ่ายเห็นแก้มผมตอนนี้คงได้กรีดร้อง เนื่องจากงานวิศวะสัมพันธ์ที่ใกล้จะถึง หลีดต้องเป็นหน้าเป็นตา พี่คุมหลีดบอกกับทุกคนเลยว่าช่วงนี้หน้าตาและการจำท่าสำคัญเท่าชีวิต (แม้การสอบมิดเทอมจะใกล้เข้ามาเหมือนกันก็เถอะ)
เราซ้อมยาว หลังจากรันเสร็จไปสิบกว่ารอบใกล้เวลาเลิกแล้วผมจึงเก็บของรออิน เพราะหลังจากนี้ว่าจะให้อินพาไปเอารถที่ยังจอดอยู่ที่ห้าง ทว่า…
เอี๊ยด!
จู่ๆ รถหรูสัญชาติฝรั่งเศสก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ ตึกวิศวะที่หลีดใช้เป็นที่ซ้อม ผมมองตาม แค่รถก็รู้แล้วว่าใครมา
“พี่ฮิมมา”
“สูงเว่อร์เลย”
“โอ๊ยหล่ออ วันนี้ใส่เสื้อชอร์ปด้วย”
“พี่ฮิม สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”ผมใส่แมสปิดหน้า แต่เหมือนมันจะไม่เป็นอุปสรรคในการหาตัวผมสำหรับพี่ฮิม ร่างสูงพยักหน้ารับไหว้รุ่นน้องแต่ละคนขณะเดินมาหาผม จากนั้นมองตั้งแต่หน้าลงไปถึงขา แล้วก็หยุดอยู่ที่ขา…
ผมรู้สึกหนาวขาขึ้นมานิดหน่อย เมื่อนัยน์ตาคมจ้องอยู่ที่ส่วนนั้นไม่ยอมมองที่อื่นสักที ส่วนสาเหตุที่ทำให้พี่ฮิมต้องมองนั่นเพราะ
“ทำไมใส่ขาสั้น”
ว่าแล้ว
ตอนซ้อมหลีด ผมมักจะใส่กางเกงขาสั้น (เอาชุดมาเปลี่ยนก่อนซ้อม) ตอนแรกๆ โดนรุ่นพี่เตี๊ยมให้ใส่ มีเขินๆ บ้าง ไม่กล้าใส่สั้นมาก แต่ใส่ไปหลายๆ ครั้งถึงได้รู้ว่าที่พี่หลายคนบอกให้ใส่เพราะมันสะดวกสบาย เวลาเหงื่อออกก็ไม่ค่อยร้อน แถมพอนานๆ เข้ามันก็เริ่มไม่อายที่จะใส่และชินไปเอง…
และวันนี้ ผมใส่เสื้อกีฬาสีขาวกับกางเกงขาสั้นทรงสปอร์ตสีแดงมันก็เลยดูสั้นกว่าปกตินิดหน่อย
“มันใส่สบาย ไม่ร้อน” ผมให้เหตุผล
“ต้องสั้นขนาดนี้เลย?”
“กรี๊ดดด พี่หวงน้อง”
“น่ารักๆๆๆ”
“ถ่ายคลิปไว้ดิมึง”“ก็วันนี้สั้นกว่าปกตินิดหน่อย… เอง พี่ฮิม!” ผมร้องเสียงหลงนิดหน่อยตอนท้าย เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโยนเสื้อช็อปสีแดงมาคลุมขาเล พี่ฮิมนั่งลงข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาแสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผมยิ้ม หันไปคุยกับเขา “ไม่รู้เหรอว่าปกติเลใส่ขาสั้นเวลาซ้อม”
“รู้” ไม่รู้สิแปลก ให้คนตามผมซะขนาดนั้น “แต่ไม่คิดว่ามันจะสั้นขนาดนี้”
“พี่ฮิมมาหาเลทำไม”
“ไปกินข้าวกับพี่นะ” มือหนายื่นมารวบเส้นผมที่ปรกหน้าผากผมอยู่ขึ้นแล้วมัดรวบให้ “นะครับ”
ไม่มีอารมณ์เลย
หลังจากโดนพี่วินตบแล้วผมก็อยู่ในโหมดที่ไม่ค่อยอยากออกไปไหนเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นผมก็พยักหน้าให้พี่ฮิม แต่เดี๋ยวจะไลน์ไปบอกพี่วินก่อนก็แล้วกัน เพราะถ้าโดนตบอีกเป็นครั้งที่สอง หน้าผมคงหายไปไม่ทันงานวิศวะสัมพันธ์แน่ๆ
‘เลไปกินข้าวกับพี่ฮิม จะกลับบ้าน ประมาณสี่ทุ่ม’
ติ๊ง!
ผมกดส่งให้พี่วิน ฝั่งนั้นขึ้นว่าอ่านอย่างรวดเร็ว แต่เห็นไม่ได้ตอบอะไรกลับผมจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า
“คนดีเป็นไข้?” คนข้างกายผมถามขณะที่รถกำลังติดไฟแดง เราออกมาจากมหา’ลัยแล้ว กำลังมุ่งไปที่ที่พี่ฮิมจะพาผมไป ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าที่ไหน “น้องตัวไม่ร้อน”
“เลไม่ได้เป็นไข้” ผมวางมือทับมือหนาที่กำลังทาบอยู่บนหน้าผากอยู่ มาคิดได้ทีหลังว่าคิดผิดถนัดที่ตอบแบบนั้นไป
“แล้วทำไมใส่แมส”
“...”
“เปิด”
“พี่ฮิม” ผมเรียกชื่อเขาเสียงอ่อน รู้สึกว่าถ้าพี่ฮิมเห็นว่าหน้าผมมีรอยแดงอยู่ อีกฝ่ายต้องโมโหแน่ๆ
พรึบ!
แต่ผิดคาด ร่างสูงไม่รอให้ผมจำยอม มือหนาเอื้อมมากระชากแมสที่อยู่บนหน้าผมออก นัยน์ตาคมหันมามอง จากนั้นพี่ฮิมก็หักพวงมาลัยเอี้ยวรถเข้าไปยังปั้มที่อยู่ใกล้ๆ ทันที
พอรถจอดนิ่ง คนตัวสูงก็หันมาจับหน้าผมไปสำรวจดูแล้วถามเสียงเข้ม
“ใครทำ”
“พี่ฮิม”
“พี่ถามว่าใครทำ”
“...”
“เล”
“ไม่มี--”
“นิพิฑ”
“ฮืออ” กลัวแล้ว… น้องกลัวแล้ว
“อย่าคิดนาน”
“ฮิมกดดันเล”
“แค่บอกพี่มาว่าใครทำ” มือหนาไล่ไปตามใบหน้าผม “ใครทำน้อง”
“เลไม่เป็นไร” ถ้าบอกไป ผมรู้สึกว่ามีโอกาสที่จะทำให้พี่วินกับพี่ฮิมทะเลาะกัน “เลโอเค”
พี่ฮิมเงียบ นัยน์ตาคมจ้องผมอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้า
“พี่ไม่โอเค”
ว่าจบร่างสูงก็คว้าโทรศัพท์แล้วลงจากรถ ส่วนผมได้แต่นั่งถอนหายใจแล้วมองตาม แค่ฟังน้ำเสียงในคำพูดเมื่อกี้นี้ก็รู้แล้วว่าพี่ฮิมโกรธพอสมควร
ทว่าใช้เวลาไม่นานฮิมก็เดินกลับเข้ามาในรถ คนข้างกายผมไม่พูดอะไรนอกจากออกรถกลับแล้วขับกลับไปยังทางเดิมที่เราเคยผ่าน จุดหมายปลายทางเปลี่ยน
“พี่ฮิมจะพาน้องไปไหน”
“ไปหาไอ้วิน”
รู้แล้วเหรอ??
“พี่ฮิมมมมม อย่าไปเลยนะ” ผมลากเสียงยาว
“...”
“น้องหิวข้าว” เอามือลูบท้อง
“...” ใช้มุขนี้ไม่ได้เหรอ
“แต่ฮิมก็ยังเคยตบเลเลยนะ”
กึก
คราวนี้ก็ได้ผลเกินคาด เพราะพี่ฮิมถึงกับหยุดรถกะทันหันกลางถนนชนิดที่ว่ารถด้านหลังที่กำลังวิ่งตามถึงกับบีบแตรไล่ ผมเห็นแล้วอ้าปากค้าง รีบส่งเสียงบอกคนตัวสูงที่เหมือนกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในโหมดแข็งเป็นหินฉับพลัน
“ฮิม! พี่ฮิม!” เขย่าร่างสูงที่ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง แม้ท้ายที่สุดพี่ฮิมจะหันมามองผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ แล้วเร่งรถแล่นไปตามถนนเร็วกว่าปกติ เพราะการหยุดอย่างกะทันหันของเขาเมื่อสักครู่มันทำให้รถที่ตามหลังอยู่ติดยาว
ในรถเงียบสะงัด แถมผมยังเดาบรรยากาศไม่ถูกว่ามันดีหรือมันแย่ยังไง รู้แค่ว่าเงียบ ฮิมเปลี่ยนเส้นทางอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังไปหาพี่วินอยู่ไหมหรือจะไปไหน
สุดท้ายแล้วรถก็มาจอดที่โรงแรมหรูระดับห้าดาว ซึ่งชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเป็นภัตตาคารที่ผมเคยมาทานกับพี่ฮิม คนข้างกายผมยังไม่ปริปากพูดอะไรเลยตั้งแต่ที่ผมพูดออกไปว่าพี่ฮิมก็เคยตบเลเหมือนกัน จังหวะที่เขากำลังจะเปิดประตูลงจากรถ ผมจึงเอื้อมมือไปจับมือหนาเอาไว้
นัยน์ตาคมหันมามองมือตัวเองที่ถูกจับ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองผม
ใบหน้าหล่อเหลาดูนิ่งงัน แต่ผมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเศร้า
“เอ่อ…” แต่ถึงจะรู้สึกได้เลก็ไม่รู้ว่าต้องพูดยังไง จะขอโทษก็ไม่ใช่ ผมเป็นคนโดนตบแต่คนตบดันเศร้า ตอนนี้ควรจะพูดยังไงให้เขาหายซึมล่ะ
ให้กำลังใจ?!
“เลไม่เป็นอะไรนะ”
โคตรห่วย!
พี่ฮิมเงียบ เงียบจนต้องกลั้นหายใจ และในวินาทีที่กำลังจะขาดใจตายมือหนาก็ยกขึ้นมาลูบแก้มผม ร่างสูงชิดตัวเข้ามาใกล้
“เจ็บไหมครับ”
คำถามที่ทำให้หัวใจคนฟังรู้สึกสะเทือนวาบ เจ็บจนหายแล้ว แต่พอโดนถามว่าเจ็บไหมผมกลับรู้สึกว่ามันเจ็บขึ้นมาอีกครั้งจนรู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่พอมองหน้าพี่ฮิมแล้วผมถึงกับต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ ให้น้ำตาหาย รู้สึกว่าถ้าร้องไห้ออกมาคนตัวโตคงเศร้ามากกว่าเดิม
พี่ฮิมตอนโกรธเป็นคนตบเล แต่พี่ฮิมตอนปกติน่ะแม้แต่ตีแรงๆ เลก็ยังไม่เคยโดน
“เลไม่เจ็บ”
“น้องเจ็บ”
“...”
“วันนั้นปากน้องแตก” มือหนาเลื่อนมาสัมผัสที่ริมฝีปาก พี่ฮิมใช้นิ้วโป้งกดลงเบาๆ ที่มุมปากข้างขวาที่เคยแตกเพราะถูกเขาตบมาแล้วครั้งหนึ่ง “พี่จำได้”
“ฮิม”
“ขอโทษนะครับ”
“...”
“พี่ขอโทษ”
“โอ๋ ไม่ร้องน้าาา” ผมแกล้งแหย่ ขณะโน้มตัวไปกอดคนตัวโตที่เข้าสู่โหมดซึมเต็มพิกัด เขากอดตอบผม แต่ยังไม่รับมุข “มันไม่เจ็บแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
“...”
“ไม่เชื่อเหรอ” จากนั้นก็เลยให้ฮิมพิสูจน์โดยการโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ผมทาบริมฝีปากเข้ากับอีกฝ่ายอย่างเบาแผ่วก่อนจะถอยออกมามองหน้าเจ้าตัวอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันเห็นหน้าพี่ฮิมด้วยซ้ำ มือหนาก็เลื่อนขึ้นบังคับศีรษะผมวกกลับเข้าไปใหม่ คราวนี้มันไม่ใช่แค่แตะริมฝีปากเหมือนครั้งก่อน เขาส่งลิ้นร้อนเข้ามาแตะที่ริมฝีปาก ฟันคมตามมาขบเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงจะส่งลิ้นเข้ามาด้านใน
พี่ฮิมดันตัวผมหลังแนบเบาะรถ ศีรษะผมถูกปล่อยให้เอียงไปตามองศา มือหนาที่ว่างอยู่จึงเริ่มไล่ไปตามตัวผม ลูบไล้ตั้งแต่ใบหน้า ผ่านหน้าอก ลงมาถึงต้นขา และวกกลับไปที่อกอีก จน…
“อ๊า! ฮิม” ผมหันหน้าหนีจูบของอีกฝ่าย อยากเอาตัวหนีด้วยถ้าไม่ติดที่ว่าไม่มีทางให้หนีแล้ว “ยะ… อย่าทำน้อง”
“พี่ทำอะไร” พี่ฮิมคนซึมเศร้าของเลหายไปทันตาเห็น
“มือ” ผมหุบตาลงมือทั้งข้างหนึ่งของพี่ฮิมที่แทรกสอดเข้ามาในเสื้อ นิ้วเรียวกำลังวนไล่ยอดอก ส่วนอีกข้างก็กำลังลูบต้นขาผมอยู่ และมันก็… “ฮืออ พี่ฮิม”
ร่างสูงยอมเอามือที่อยู่ในเสื้อผมออก แต่มือที่กำลังลูบต้นขากลับไม่ยอมเอาออก มันไล้ไปช้าๆ ลากกางเกงผมขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จนจะเห็นชั้นในอยู่แล้ว และเลรู้สึกนะ
ถ้ามากกว่านี้มันจะทนไม่ไหว
“พี่ไม่ชอบให้น้องใส่ขาสั้น” จู่ๆ พี่ฮิมก็ยกเรื่องที่เคยพูดไปแล้วกลับเข้ามาพูดอีกครั้งหนึ่ง ผมไม่เข้าใจ
“ทำไม”
“มันเห็น…” นิ้วเรียวเลิกกางเกงขึ้นจนเห็นต้นขาด้านในของผม ผมจะยื่นมือไปปิดแต่ก็โดนมืออีกข้างของพี่ฮิมจับเอาไว้ซะก่อน “ต้นขาน้อง”
“อึก!” ผมถูกเขวี้ยงตัวให้หันหลังทาบกับประตู ขาเรียวถูกจึงจับให้หันมาทางพี่ฮิม มือหนาจับขาข้างหนึ่งของผมขึ้นพาดบ่า นัยน์ตาคมจ้องไปยังจุดเดียวกันกับที่เจ้าตัวกำลังลูบมันไม่หยุด…
ต้นขาด้านในของผมผมเบิกตากว้าง รู้สึกใจสั่นเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับต้นขา มันใกล้กับส่วนที่ไวต่อสัมผัส ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่าย และแทบร้องไห้เมื่อตอนที่พี่ฮิมโน้มหน้าเข้าไปทำอะไรบางอย่างกับต้นขาของผม
“ตรงนี้… ของพี่”
เล… ทนไม่ไหวแล้ว
(40%)
เคยบอกแล้วว่าส่วนที่ชอบที่สุดของน้องเลสำหรับพี่ฮิมคือต้นขาด้านใน (บอกในจอยลดาค่ะ เป็นตอนพิเศษสั้นๆ แยกใครยังไม่เคยอ่านไปหาอ่านได้)
และชุดที่น้องใส่ในวันนี้คือชุดนี้งับบบบ
กดๆๆๆ เข้าไปดูได้
เห็นแล้วโปรดเข้าใจว่าทำไมพี่ฮิมถึงขึ้น555555
ติดแท็ก #วิศวะแดนแฟนมีเกียร์
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ