บทที่ 28
แม้วางแผนมาดีขนาดไหน ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่คิดหมด
ผมถอนหายใจหลังกดส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่ม ประกาศเลื่อนเวลาไปบ้านย่า เพราะปู่พึ่งโทรสายด่วนจากต่างประเทศถึงผม
[เจ้าทีอย่าพึ่งไปที่บ้าน]
“ฮะ? ทำไมครับ?”
นี่ผมอยู่ระหว่างทางแล้วนะ
เหมือนได้ยินเสียงปู่ถอนหายใจ [เจ้านิกพึ่งเห็นเมลเราเมื่อวาน ปู่โทรไปสั่งการคนของเราไปเตรียมบ้านให้พร้อมอยู่แล้ว ถึงมีการบำรุงดูแลเป็นระยะ มันก็ไม่สะอาดพอให้หลานไปอยู่ตอนนี้หรอก]
“ผมอยู่แค่นอกบ้านก็ได้ เดี๋ยวกางเต็นท์เอา”
[นอกบ้านยิ่งไม่ไหว เห็นว่าอุปกรณ์วางเต็มไปหมด กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ช่วงเที่ยงๆ ของวันอาทิตย์ แต่ปู่ว่าไปสักบ่ายสองหรือบ่ายสามดีกว่า]
“อ้าว แล้วสองคืนนี้จะให้ทีไปนอนไหน?”
[กลับไปนอนบ้านเจ้าอรรถสิ]
“กลับไม่ได้ครับ”
[หนีออกจากบ้านมา?]
ผมแย้งทันที “หนีน้องมาต่างหาก”
[อ้อ งั้นไปนอนโรงแรม…แปบนะ เจ้านิกจะคุยด้วย]
[ฮัลโหล ทีไปนอนบ้านแฝดก่อน]
ผมชะงัก เหลือบมองพาร์ที่กำลังขับรถ ก่อนพูดถึงที่อยู่อีกแห่ง
“แล้วคอนโดล่ะ? ลุงบอกว่าไม่ได้ให้เช่าแล้วนี่”
[ลุงขายไปแล้ว]
“ขายง่ายไปไหม?”
[ไม่เห็นเป็นไร คนเคยเช่าให้ราคาดีด้วย อีกอย่างทากะไม่ชอบนี่ถึงได้หนีไปซื้อบ้านแฝด ลุงก็ไม่รู้เก็บไว้ทำไม ขายทิ้งได้ก็ดี]
ผมกรอกตา ที่ทากะซังไม่ชอบ เพราะไม่มีอ่างให้แช่น้ำมากกว่า
[สองคืนนี้เราไปนอนบ้านแฝดก่อนไป๊]
“แต่…” ผมอึกอัก เพราะทากะซังหวงพื้นที่ส่วนตัวพอสมควร ถ้าพาเพื่อนไปค้างก็สมควรขออนุญาตก่อน
[ไม่ต้องมาแต่ ทากะยกชั้นสามให้เราแล้วแท้ๆ พอโตแล้วดันไม่ค่อยยอมกลับไปนอนบ้าน]
“คือว่า…”
ผมพูดตะกุกตะกัก ความคิดวิ่งนำหน้าปาก ถ้าขอพาเพื่อนเข้าบ้าน โดนซักถามแน่ๆ ว่าเพื่อนคนไหน
โอ๊ย ใครจะกล้าบอก!
[มีปัญหาอะไร? ไม่อยากกลับบ้านหรือไง?] น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจสุดๆ
“ไม่ใช่!”
ผมเสยผมขึ้นอย่างลำบากใจ ไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากพูดความจริง สองจิตสองใจอย่างหนัก สุดท้ายก็พูดเบี่ยงประเด็น “ฟังก่อน ทีแค่จะบอกว่า…”
ว่าอะไรดีวะ ทิ้งระยะนานไม่ได้ด้วย เลยพูดโผล่เรื่องที่พึ่งคิดออกสดๆ ร้อนๆ
“ทีจำรหัสเข้าบ้านไม่ได้ครับ”
ปลายสายเงียบใส่ผม เอ หรือสายหลุดไปแล้ว?
“ฮัลโหลๆ”
[ลุงจะบอกแค่รอบเดียว ฟังให้ดี]
“ครับ”
[2 – 1 – 0 – 3]
เอ๊ะ?
[คุ้นๆ ไหม วันเกิดใครบางคนนี่น่ะ อีกสี่ตัวที่เหลือคงไม่ต้องให้บอกนะ]
ประชดเสร็จก็ตัดสายไปเลย เอาแล้วไง! ผมทำผู้ปกครองงอนซะแล้ว
มองมือถือด้วยสีหน้าเจื่อนสนิท มัวแต่กังวลอีกเรื่องจนลืมไปเลยว่ารหัสปลดล็อกประตูบ้านเป็นวันเดือนปีเกิดของตัวเอง
จะง้อยังไงดี ส่งเมล์? ไม่ยอมเปิดอ่านแหงๆ โทรไป? คงไม่รับสาย วิธีสุดท้ายพึ่งคุณปู่…ก็ต้องเล่าเรื่องพาร์ด้วยน่ะสิ นึกภาพออกเลยครับว่าต้องโดนปู่ซักยาวจนขาวสะอาด ผมขยี้หัวตัวเองระบายความเครียด ก่อนชะงัก
“เป็นอะไร?”
หันไปมองคนที่ยอมเปิดปากคุยด้วยครั้งแรกในรอบชั่วโมงกว่าๆ
“งานเข้า! ว่าแต่ยอมพูดกับกูแล้ว?”
คนโดนถามถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พึมพำอะไรสักอย่าง ผมฟังไม่ถนัด จับใจความได้แค่ ‘ถึงรอก็ไม่’ ด้วยน้ำเสียงฟังดูปลงตกชอบกล
“พูดดังๆ ดิ”
“กูกำลังสงสัยว่ามึงมีปัญหาอะไร”
“อ้อ ก็…หลายเรื่องอยู่”
“ถามได้ไหม”
ผมทำหน้าเครียด “ยังไม่พร้อมบอกตอนนี้”
“งั้นพร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอก”
ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “ขอบใจ”
“…ไม่ไปบ้านย่ามึงแล้ว?”
“ค่อยเข้าไปวันอาทิตย์ช่วงบ่าย ตอนนี้กำลังซ่อมแซมกับทำความสะอาดครั้งใหญ่ให้พร้อมใช้งานอยู่”
“อ้อ กูได้ยินว่าปู่ย่ามึงอยู่ต่างประเทศ”
“อือ ตอนนี้บ้านหลังนั้นเลยไม่มีคนอยู่”
ที่จริงก็ไม่มีใครอยู่มาจะสามปีแล้ว ช่วงสอบพวกผมถึงชอบไปที่นั่นไง
“แล้วจะให้เปลี่ยนเส้นทางไหม?”
“ไม่ต้อง เพราะกูกะแวะร้านอาหารก่อนอยู่แล้ว”
ผมคอยบอกเส้นทางเป็นระยะ ใช้เวลาพักใหญ่ถึงที่หมาย เห็นเวลาใกล้นัดจองโต๊ะเต็มที่ เลยเร่งให้พาร์รีบเดินตามมา ร้านอาหารที่ว่าเป็นแบบบาร์แอนด์เรสเตอรองท์อยู่ติดท่าเรือมีสองชั้น ผมเคยมากับลุงนิกครับ ส่วนใหญ่ขึ้นไปนั่งชั้นสองที่คล้ายๆ ดาดฟ้า
โต๊ะที่ผมจองไว้อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา แจ้งชื่อเรียบร้อยก็มีพนักงานเดินนำทาง
“ที”
“หือ?”
“หมายความว่าไง”
“ก็มากินข้าวไง”
“เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่ทำไม…” พาร์พูดค้างไว้แค่นั้น เพราะเรามาถึงโต๊ะพอดี
ผมชะงักหลังสบตาผู้หญิงโต๊ะข้างหน้าเข้า ต่างคนต่างอึ้ง ก่อนทางนั้นเป็นฝ่ายก้มหน้ามองจานข้าวหลบตาผมก่อน นิ่วหน้าทันที ไม่นึกว่าจะเจอแฟนเก่าที่นี่ (คนที่เท่าไหร่ไม่แน่ใจ)
เธอคงมากับแฟนหนุ่มคนปัจจุบัน เดาจากสองเหตุผล หนึ่ง โต๊ะของเธอมีผู้ชายร่วมโต๊ะแค่คนเดียว และสอง โต๊ะข้างๆ เป็นกลุ่มเพื่อนสาวทั้งแก๊งของเธอครับ คงตามมาดูแฟนใหม่ของเพื่อน ที่รู้เพราะผมเคยโดนมาแล้ว แถมเพื่อนกลุ่มนี้ยังเป็นจอมกระจายข่าวลือซะด้วย
ทำไมวันนี้ผมถึงเจอแต่เรื่องน่าปวดหัววะเนี่ย!
ผมทำเป็นมองไม่เห็น ทรุดตัวนั่ง เปิดเมนูออกดูผ่านๆ ทวนความจำสักหน่อยแล้วปิด มองพาร์ที่ดูอีกเล่มอยู่เงียบๆ จนมันเงยหน้าขึ้นมานั่นแหละ ผมถึงได้ถาม
“อยากกินอะไรก็สั่งเลย”
“ฮะ?”
พาร์ทำหน้าประหลาดใจ หันไปบอกพี่พนักงานว่าขอเวลาดูเมนูสักครู่ พอพ้นคนนอก มันก็ยิงคำถามมาทันที
“หมายความว่าไง?”
“อะไรล่ะ”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง บอกกูมา ทำไมถึงพามาที่นี่”
“แล้วทำไมเป็นที่นี่ไม่ได้?”
พาร์พ่นลมหายใจใส่ มันชี้นิ้วให้ดูสะพานพระรามแปดด้านหลัง แล้วชี้ไปทางท้องฟ้าสีแสดย้อมพื้นน้ำให้เป็นสีเดียวกัน “บรรยากาศแบบนี้ พากูมาเดตก็บอกมาตามตรง”
ผมเกือบสำลักน้ำลาย “ไม่ใช่…”
“งั้นบอกเหตุผลมาสิ ถ้าไม่บอก กูจะคิดว่ามึงพามาเดต”
ผมเม้มปากหลังโดนไล่ต้อน จำยอมเปิดปากบอก
“…ง้อมึง”
“อะไรนะ!?”
“จะเสียงดังทำไม!”
ไปเรียกความสนใจจากโต๊ะใกล้ๆ ทำบ้าอะไร! แค่นี้กลุ่มนั้นก็เมี่ยงมองแล้วมองอีก ท่าทางจะแอบฟังพวกผมคุยกันด้วยล่ะมั้ง พอดีกับพนักงานเดินผ่านมา ผมเลยเรียกเขา จัดการสั่งอาหารเองเสร็จสรรพ ผมสั่งกับข้าวไปห้าอย่าง เมนูประจำบ้านผมเอง ข้าวเปล่าอีกสองจาน (ที่จริงไม่ต้องสั่งก็ได้ เพราะกินกับข้าวเล่นก็อิ่มแล้ว แต่เหมือนเป็นธรรมเนียมว่า มีกับข้าวต้องมีข้าวสวยไปแล้ว) ส่วนเครื่องดื่ม…
“อยากได้เบียร์ ค็อกเทล หรือน้ำอัดลม?”
พาร์นิ่วหน้า “น้ำอัดลมก็พอ”
สั่งน้ำอัดลมให้พาร์ ค็อกเทลให้ตัวเอง คนนั่งตรงข้ามทำท่าจะขบหัวผม พอจะรู้ว่าไม่อยากให้กิน แต่มาถึงนี่ทั้งที่ขอหน่อยเถอะ ผมไม่ได้ขับรถอยู่แล้ว ต่อให้มีอาการมึนนิดๆ ก็สบายหายห่วง
“มึงมาร้านนี่บ่อย?”
พาร์ยิงคำถามมาอีกครั้ง เป็นคำถามที่ผมแอบลำบากใจ
“ก็…สามครั้งได้”
พาร์มองมาด้วยแววตาใคร่รู้ ผมเลยเล่าให้ฟัง ดีกว่ามันวกไปถามเรื่องก่อนหน้านี้
“ครั้งแรกโดนหิ้วตัวมาเป็นสักขีพยานลุงตัวเองหมั้นแฟน ครั้งที่สองลุงขอแฟนแต่งงาน”
พาร์ทำหน้าประหลาดใจ “ครั้งที่สองก็พามึงมา?”
“อือ” ผมยิ้มเข้าใจเรื่องที่พาร์จะสื่อ “ว่าไงดี…เหมือนมองพ่อกับแม่ที่เคยเกือบแยกทางขอแต่งงานกันล่ะมั้ง ดีใจล้วนๆ ที่มีวันนี้ได้สักที”
พาร์พยักหน้า พยายามทำความเข้าใจครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “แล้วครั้งที่สาม…”
ผมมองคนตรงข้าม ก่อนเบือนหน้ามองแม่น้ำ
“มากับมึงนี่ไง”
ระหว่างเราเกิดความเงียบขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่เครื่องดื่มมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมเทความสนใจไปยังแก้วของตัวเองแทน อื้อ! รสชาติโอเคเลย มิน่าพวกลุงชอบสั่งมากิน พอขอชิมบ้างกลับไม่ให้ตลอด เลยได้แต่จำชื่อค็อกเทล แล้วลองมาสั่งกินเองนี่แหละ
พอเงยหน้าขึ้นมาแทบผงะ พาร์กำลังนั่งเท้าคางกับโต๊ะ อมยิ้มใส่
“ยิ้มทำไม”
“บอกเหตุผลที่พากูมาที่นี่อีกทีสิ”
ยังไม่ลืมอีกเรอะ!
“ไม่เอา”
“ที”
ผมรีบก้มหน้าดูดน้ำ
“พูดอีกครั้งได้ไหม”
โอ๊ย เลิกทำอย่างนี้เถอะ
ผมมองเขม็งคนตรงหน้าที่ดันทำผมมโนเห็นหูกับหางบนตัวมัน
“…ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”
หงอยอีก!
แม่งเอ้ย พาร์จับจุดอ่อนผมได้แล้วมั้งเนี่ย ผมพ่นลมหายใจ เซ็งตัวเองที่ใจอ่อนยอมจนได้
“พามาง้อ! พอใจยัง”
พาร์ฉีกยิ้มสมใจ ท่าทางมีความสุขจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยเตะขามันผ่านใต้โต๊ะไปหนึ่งที
“บอกไว้ก่อน คราวหน้าไม่มีแบบนี้แน่”
“หึๆ”
“หัวเราะอีก”
พาร์ยิ้มหนักกว่าเก่า แววตาพราวระยับ “เดี๋ยวมึงทนไม่ได้ก็ง้อกูเองแหละ”
ผมส่งเสียงเหอะในคอ เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย บางครั้งเราก็พากันเงียบ นั่งมองธรรมชาติ ซึมซับบรรยากาศ
แชะ
หืม?
ผมหันมองต้นเสียง ทันเห็นพาร์ลดมือถือลงพอดี เลยเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ถ่ายรูปกู?”
“กูถ่ายสะพาน มึงแค่ติดมาเป็นของแถม”
ผมหรี่ตาลง ลากเสียงยาว “เหรอ~อ”
พาร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนผมทำหน้าไม่เชื่อใส่
เท่าที่สังเกตพฤติกรรมพาร์มาสักระยะ มันชอบหยิบอัลบั้มรูปของผมออกมาดูอยู่เรื่อย นึกถึงเรื่องนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อนึกได้ว่ากำลังจะไปที่ไหน
อ่า พาร์ต้องชอบบ้านแฝดมากแน่ๆ โดยเฉพาะชั้นสาม ทำไมน่ะเหรอ ก็ที่นั่นมีทั้งรูปถ่ายทั้งคลิปวีดีโอของผมตั้งแต่เกิดจนโตน่ะสิ ทั้งในประเทศ และตอนไปเที่ยวต่างแดน
“…พาร์”
“หือ?”
“กูอยากได้คำสัญญา”
พาร์เลิกคิ้วสูง “เรื่อง?”
“สองวันนี้มึงต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือสอบมากกว่าทำอย่างอื่น”
อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจใส่ผม “ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
ผมมองอย่างไม่เชื่อใจ
“แต่กูไม่ใจร้ายให้มึงอ่านแต่หนังสือเรียนหรอก” พูดพร้อมชูสองนิ้ว “กูจะให้มึงขึ้นชั้นสามบ้านแฝดได้แค่สองชั่วโมงต่อวัน”
“…ชั้นสามของบ้านมีอะไร?”
“ของที่มึงชอบมาก สวรรค์ของมึงเลยล่ะ”
พาร์ทำหน้าครุ่นคิดครู่ใหญ่ “ขอเป็นสามได้ไหม?”
“ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเอาเวลากินกับนอนมาใช้เด็ดขาด”
พาร์ทำหน้าลังเล “ถ้ากูเลือกสอง จะขึ้นไปชั้นสามได้แค่สองชั่วโมง? หรือเวลาพักกินข้าวก็ขึ้นไปได้ด้วย?”
ผมครุ่นคิด เหล่มองหน้ามันก็อดถอนหายใจไม่ได้
“เอาอย่างงี้ ช่วงกลางวันตั้งสมาธิกับการอ่านหนังสือไป ถ้าทำได้ดีก่อนนอนกูจะให้มึงขลุกอยู่กับของที่ชอบนานสามถึงสี่ชั่วโมงก็ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติ”
“ของรางวัลสินะ”
“จะคิดอย่างนั้นก็ได้”
“บอกได้ไหมของที่ว่าคืออะไร?”
“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง ตอนนี้กูบอกได้แค่...มึงน่าจะชอบมากจนอาจไม่สนใจหนังสือเรียน”
“ขนาดนั้น?”
“เออ สรุปว่าตกลงไหม?”
พาร์นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ตามที่มึงว่า”
อาหารทยอยมาเสิร์ฟทีละอย่าง พวกผมเลยกินไปคุยไป รอจนอาหารมาครบก็เริ่มลงมือตัดอาหารเข้าปากอย่างจริงจัง กินอย่างมีความสุขอยู่ดีๆ ดันมีเสียงไลน์กระหน่ำเข้ามาขัดอารมณ์ จำใจหยิบออกมาดู
อะไรเนี่ย? เพื่อนๆ นัดกันมาถล่มไลน์ผมหรือไง
ผมเลื่อนไล่ดูรายชื่อ มีทั้งเพื่อนสมัยมัธยม พวกลูกหว้า เพื่อนสมัยเด็กอย่างไวไว แล้วยังกลุ่มเพื่อนร่วมคณะ หือ? ไลน์จากเจ๊ดาด้านี่หว่า
ผมชั่งใจว่ากดเข้าไปดูดีไหม สุดท้ายความอยากรู้มีมากกว่า
J’Dada:
คุณน้องขา ส่งภาพคู่มาให้เจ๊หน่อย
ถ่ายตอนนี้เลยค่ะ หลายๆ ภาพก็ดีนะคะ เป็นคลิปวีดีโอยิ่งดี
เจ๊จะเอารูปกับข้อความไปตบยัยพวกนั้นถึงที่
เอาให้อับอายจนต้องหาปี๊บคลุมหัวเลยค่ะ
ผมงงสิครับ เลยไล่ไปเปิดดูข้อความจากเพื่อนคนอื่นเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม คนแรกที่ผมเลือกคือไวไว
White Rabbit: ไอ้ที มึงโดนยัยพวกนั้นเล่นงานอีกแล้ว
ตามด้วยลิงค์แนบมาให้ กดเข้าไปดูถึงบางอ้อ ข้อความไม่น่าอ่านเท่าไหร่ ออกแนวเสียดสีใส่ผมกับพาร์ แถมยังใส่สีตีไข่ซะเละเทะ อ่านแค่บรรทัดเดียวผมยังคิ้วกระตุก แล้วนี่ยังมีรูปภาพผมกับพาร์อยู่ข้างล่างข้อความอีก มิน่าเจ๊ดาด้าถึงปรี๊ดแตก
“พาร์”
“หือ?”
ผมยื่นมือถือให้ พยักเพยิบให้อ่านข้อความ ตอนแรกพาร์แค่ขมวดคิ้วสงสัย ก่อนจะทำหน้านิ่ง เงียบขรึมทันทีที่อ่าน โหมดนี้ของพาร์อ่านยากมากว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พาร์หันหน้าจอมือถือมา ชี้ที่รูปพร้อมถาม “ใกล้มาก…อยู่แถวนี้?”
ผมพ่นลมหายใจ ส่งซิกให้พาร์รู้ว่ารูปถ่ายพวกนี้มาจากโต๊ะไหน แต่เพราะพาร์หันหลังอยู่เลยหันไปมองให้มีพิรุธไม่ได้ ผมเดาว่าพาร์น่าจะเปิดโหมดกล้องถ่ายรูปใช้ดูแทนกระจกเงาครับ เพราะเห็นจับมือถือผมเอียงไปมา สักพักถึงยื่นคืน ยังเข้าโหมดกล้องถ่ายรูปอยู่เลย
“พวกนั้น…ใคร?”
“เดี๋ยวค่อยบอก เจ๊ดาด้าอยากได้รูปคู่พวกเรา หรือเป็นคลิปวีดีโอก็ได้ มึงจะเอายังไง”
พาร์ฟังนิ่งๆ ก่อนวางช้อน
“เดี๋ยวกูมา”
ผมพยักหน้า ปล่อยพาร์ลุกออกไป เดาว่าน่าจะไปสงบสติอารมณ์ เลยใช้โอกาสนี้พิมพ์โต้ตอบกับเพื่อนๆ รวมไปถึงเจ๊แกว่าขอเวลาปรึกษาพาร์ก่อน พาร์หายไปพักใหญ่ถึงกลับมานั่งที่เดิม พร้อมพูดยิ้มๆ
“ทำตัวตามปกติ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่น”
ผมยักไหล่ “กูกะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว”
“ทำหน้าดีๆ ด้วย ยิ้มให้กูดูหน่อย”
ผมเลิกคิ้ว ก่อนฉีกยิ้มสดใสให้มันไปหนึ่งที “ใช่ได้มะ”
พาร์หัวเราะครับ เห็นมันผ่อนคลาย ผมเลยรู้สึกผ่อนคลายตาม เรากินไปคุยไปเรื่อยเปื่อย กวาดอาหารบนโต๊ะลงท้องซะเรียบ
“ของหวานไหม?”
ผมส่ายหน้า ตบพุงเบาๆ สื่อว่าอิ่มมาก ไม่ไหวแล้ว เราเลยเรียกเก็บเงิน แต่ดันโดนโต๊ะใกล้ๆ แย่งพนักงาน พี่พนักงานหันซ้ายหันขวา แต่สงสัยทนเสียงแปดหลอดไม่ไหว เลยเดินผ่านโต๊ะผมไปคิดเงินโต๊ะนั้นก่อน
ผมพยายามไม่สนใจทั้งที่เริ่มหงุดหงิด
อะไรวะ มาถึงก่อน และน่าจะกินเสร็จก่อนแท้ๆ ยังไม่ไปกันอีกเรอะ
พาร์เรียกพนักงานอีกคนให้เช็คบิล หลังคิดเงินเรียบร้อยก็เตรียมจะกลับ แต่เห็นฝ่ายนั้นลุกเหมือนกัน ผมเลยดึงพาร์หยุดก่อน ผมส่งสายตารู้ทันให้ อย่าหวังว่าผมจะเดินตามเกมไปมีเรื่องปะทะด้วยเด็ดขาด ผู้ชายอย่างพวกผมเสียเปรียบผู้หญิง ต่อให้ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่ในสายตาคนนอกคงไม่ใช่
“ไปถ่ายรูปคู่กันไหม”
ผมยิ้มกริ่ม เมื่อคนพวกนั้นมองเขม็งมา แต่หาข้ออ้างอยู่ต่อไม่ได้ แถมเพื่อนกับแฟนก็เดินนำไปแล้ว เลยหันก้นรีบตามคนคู่นั้นไป เดาได้เลยว่าหน้าด้านติดรถเขามาแหงๆ นี่ก็คงกลัวโดนทิ้งล่ะสิ
“เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ?”
ผมละสายตาพวกนั้นมองพาร์ “ไม่ได้ยิน?”
“…ได้ยิน”
“แล้วถามทำไม จะถ่ายไหมรูปน่ะ?”
พาร์ทำหน้าตกใจ “เอาจริง?”
“เออ วิวแถวนี้ก็สวยดี”
หลังพาร์หายอึ้งก็รีบลากผมไปเลย ดูท่าจะเล็งมุมเอาไว้แล้วมั้งเนี่ย เราถ่ายกันไปหลายแชะ แต่ส่วนใหญ่พาร์จับผมถ่ายรูปเดี่ยวมากกว่า ส่วนรูปคู่มีคนช่วยถ่ายให้ครับ เราบอกขอบคุณก่อนเดินจากมา แต่ก่อนลงบันได พาร์บอกให้ผมรอก่อน ได้แต่ชะเง้อมองตามหลังด้วยความสงสัย เห็นพาร์ไปคุยกับพี่พนักงานคนหนึ่ง อีกฝ่ายยื่นมือถือมาให้ จากรูปร่าง น่าจะเป็นมือถือของพาร์ครับ
ถึงว่าทำไมเมื่อกี้ใช้แต่มือถือผมถ่ายรูป ทำหล่นหายนี่เอง
พาร์รับของคืนก้มหน้ายุ่งกับมือถือพักใหญ่ ก่อนเปิดกระเป๋าตังค์หยิบแบงค์เทาให้อีกฝ่ายไปหนึ่งใบ
เฮ้ย! ไม่ใช่แล้วครับ ให้เงินเยอะขนาดนี้ พาร์ต้องไปจ้างพี่เขาทำอะไรให้สักอย่างแหงๆ
ผมเก็บความสงสัยจนกระทั่งขึ้นไปบนรถ
“มึงจ้างพี่พนักงานทำอะไร”
พาร์ทำหน้าตกใจ “รู้ได้ไง”
“เห็นมึงยื่นแบงค์เทาให้เขาก็เดาได้แล้ว”
พาร์ยิ้มแห้ง “ที่จริงกูจ้างเขาถ่ายคลิปห้าร้อย แต่งานออกมาดีมากเลยให้เพิ่มอีกห้าร้อย”
ผมขมวดคิ้ว “คลิป?”
พาร์หยิบมือถือเปิดให้ดู เห็นแวบๆ ว่ามีหลายคลิป ที่มันเปิดให้ดูภาพมุมกว้างที่เห็นทั้งโต๊ะผม และโต๊ะกลุ่มเพื่อนแฟนเก่า พอมาดูอย่างนี้เลยเกิดการเปรียบเทียบพฤติกรรมของลูกค้าทั้งสองโต๊ะ ทางฝั่งผมคือมากินข้าวกันจริงๆ ส่วนอีกฝั่งสนใจเรื่องชาวบ้านมากกว่าทานอาหาร ใครเห็นต้องมองว่าเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ
“เจ๊ดาด้าอยากได้ใช่ไหม”
ผมเลิกคิ้ว “จะส่งไป?”
“อือ”
ผมหัวเราะในคอ “เข้าใจคิด แล้วคลิปอื่นล่ะ?” ถามด้วยความอยากรู้ล้วนๆ
“ก็มีทั้งคลิปเฉพาะพวกเรา เฉพาะพวกนั้น อยากหาเรื่องนัก กูจะจัดให้สมใจ”
“…โกรธอยู่?”
“คิดว่าไงล่ะ?”
ผมไม่คิดตอบ เปลี่ยนไปถามอีกเรื่อง “มีไลน์เจ๊ดาด้า?”
“มี แต่ส่งไปทางเพจดีกว่า เอามือถือมึงมาหน่อย กูจะส่งรูปคู่เมื่อกี้ไปด้วย”
ผมยื่นมือถือให้ ปล่อยพาร์โอนข้อมูลลงเครื่อง แล้วส่งต่อให้เจ๊ดาด้า ผมเห็นมันหัวเราะหึๆ ตอนพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างให้เจ๊แก น่าเสียดายผมอ่านไม่ทัน
“แล้วพวกนั้นเป็นใคร?”
ผมถอนหายใจ “เพื่อนแฟนเก่ากูเอง”
“เพื่อนแฟนเก่า?”
“เออ”
“ที่มึงไม่ทำอะไร เพราะเห็นแก่แฟนเก่า?”
“ว่างั้นก็ได้ เคยโดนข้อร้องไว้…แฟนเก่ากูคงลำบากใจเหมือนกัน เธอเป็นลูกไล่ให้ลูกสาวเจ้าของบ้านที่ไปอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็ก การตัดสินใจก็เหมือนถูกลิดรอนสิทธิ์ที่ควรได้ ถ้ากูไม่ทำตามที่โดนขอ คนเดือดร้อนไม่ใช่กู คิดซะว่าทำทาน ตัดปัญหาด้วยการมองพวกนั้นเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนที่แวะมาสร้างความเดือดร้อนให้เป็นครั้งคราว กูสงสัยว่าเมื่อไหร่จะเลิกตามรังควานสักทีอยู่”
“ปากมึงนี่...”
พาร์พูดไม่จบประโยค ฟังจากน้ำเสียงออกจะชอบใจด้วยซ้ำ มันวางมือถือสองเครื่องลงช่องเก็บของข้างเบาะ กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ขับออกจากที่จอด ผมส่งใบแสตมป์ตราจอดรถให้ พร้อมบอกทางต่อ
“ไปสะพานพระรามแปด”
“ข้ามสะพาน?”
“อือ”
เราใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่คิด แต่ก็มาถึงจุดหมายจนได้ ตรงหน้าพวกผมคือบ้านแฝดสูงสามชั้นสไตล์โมเดิร์น พาร์อ่านออกเสียงป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บ้านแฝดฝั่งขวา
“โรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวโฮทากะ”
ก่อนลดสายตาอ่านออกเสียงป้ายผ้าที่ติดไว้ด้านล่าง “เปิดสอนภาษาญี่ปุ่น สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสมัครเรียนได้ที่ อ.โฮทากะ”
พาร์ทำหน้าฉงน มองป้ายทั้งสองสลับไปมาพร้อมถามงงๆ
“แต่เปิดสอนภาษาญี่ปุ่นเนี่ยนะ?”
ผมหัวเราะ สะกิดให้ลดสายตามองป้ายตรงประตูทางเข้า เขียนไว้ชัดเจนว่ารับสอนผู้สนใจเรียนศิลปะป้องกันตัว “บางทีลูกศิษย์ก็อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น แรกๆ สอนให้ฟรี แต่ไปๆ มาๆ ชักเยอะเกิน ทากะซังเลยเปิดคอร์สสอนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มอีกอย่าง”
“อ้อ” พาร์ทำหน้าหายข้องใจ
“ลงรถกันเถอะ”
ด้านหน้าอาคารทำเป็นลานจอดรถครับ จอดได้ประมาณเจ็ดถึงแปดคัน ผมให้พาร์จอดฝั่งซ้าย เดินไปหน่อยก็ถึงประตูบ้านแล้ว
กุญแจบ้านไม่มี แต่ใช้เครื่องปลดล็อกประตูที่ติดอยู่ตรงกำแพงได้ครับ ก่อนอื่นก็แสกนลายนิ้วมือยืนยันตัวตน กดเลขรหัสให้ถูกต้อง ประตูบ้านจะปลดล็อกให้ ถ้าขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งผิดพลาดสัญญาณกันขโมยจะดังขึ้นมาแทน บ้านของลูกศิษย์รุ่นแรกๆ อยู่ถัดไปนี่เอง รับรองเขาต้องวิ่งมาดูแน่ เจ้าของบ้านไม่อยู่ก็ไม่ต้องห่วง (ทากะซังกลับญี่ปุ่นช่วงเวลานี้ทุกปี เห็นว่าต้องไปช่วยงานโรงฝึกของครอบครัวที่นู้น)
ภายในบ้านมืดสนิท ผมกดเปิดสวิตซ์ไฟ ถอดรองเท้าก้าวขึ้นพื้นยกสูง หยิบรองเท้าแตะภายในบ้านสีน้ำตาลออกมาสองคู่ ใส่เองกับวางทิ้งไว้ให้พาร์
“บ้านสไตล์ญี่ปุ่น?”
ผมยักไหล่ ก็เจ้าของบ้านเป็นคนญี่ปุ่น มองพาร์ที่เอาแต่กวาดสายตาไปทั่วก็ลองถามดู
“…มึงสนใจ?”
“อือ”
“ให้กูพาชมบ้านไหม”
“นำเลย”
“งั้นมึงถอดรองเท้า แล้วใส่สลิปเปอร์ก่อน”
พาร์ทำตามอย่างว่าง่าย ผมกระแอมไอพูดเกริ่นนำ
“โล่ง เรียบง่าย อบอุ่น จัดสรรพื้นที่เป็นสัดส่วน และเป็นระเบียบมากๆ คือคำจำกัดความบ้านหลังนี้ของกู” ผมออกเดินนำพร้อมชี้นิ้วไปด้วย “ตรงนั้นเป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นอยู่ชั้นสอง ทางนั้นเป็นห้องครัว ส่วนโต๊ะตรงนี้ไว้กินข้าว”
“แล้วนั่นล่ะ?”
พาร์ชี้ไปที่ห้องหนึ่ง ซึ่งดูจากผนังเดาไม่ยากว่าต้องเป็นห้องใหญ่มาก
“อ้อ นั่นเป็นไฮไลท์ของบ้าน ไว้ค่อยลงมาดู ปะ ขึ้นชั้นสองกัน”
“ชั้นนี้มีแค่ห้องนอนใหญ่ ตรงกลางเป็นพื้นที่นั่งเล่น ส่วนทางนี้เป็นห้องทำงาน มีประตูเชื่อมไปบ้านแฝดติดกันได้ ตรงนั้นเป็นระเบียง ถ้ามองลงไปจะเห็นสวนแบบญี่ปุ่นข้างล่างด้วย”
“แล้วชั้นสาม?”
ดูท่าพาร์จะติดใจมาก ผมไม่ตอบ พาขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่า
แค่ขึ้นมาถึงตรงทางพักเท้า พาร์ก็ชะงักแล้วครับ ผมเดินขึ้นไปรอข้างบน ปล่อยพาร์ค่อยๆ เดินขึ้นมา ตาจดจ้องมองรูปถ่ายติดผนังใบใหญ่ เป็นรูปวัยเด็กของผมไล่มาเรื่อยๆ ตามขั้นบันไดจนโต พอขึ้นมาถึงข้างบน พาร์ก็อ้าปากค้าง
“นะ นี่มัน…”
ผมสะกิดให้พาร์ละสายตาจากแกลอรี่ขนาดย่อม ชี้บอกรายละเอียดที่มันควรจะรู้
“ห้องนอนกูอยู่ทางซ้าย ชั้นนี้มีแค่ห้องนอนเดียวขนาดเล็กกว่าข้างล่าง ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่กว้างโล่งตามที่เห็น เป็นทั้งห้องทำงาน ห้องหนังสือ แล้วก็ห้องนั่งเล่นแบบทรีอินวัน แต่ที่พิเศษก็แกลอรี่วอลเปเปอร์ติดกำแพงนั่นแหละ ยังไม่นับรวมตู้เก็บซีดีตรงนั่นอีก…กูถึงเดาว่ามึงน่าจะชอบ”
“ซีดีอะไร?”
“คลิปวีดีโอกู มีทุกช่วงวัยตั้งแต่แบเบาะยันปัจจุบันเลยล่ะ แถมยังถ่ายทอดตัวตนตามธรรมชาติของกูอีก”
“ขออยู่ดู…”
ผมพูดขัดทันที “มึงสัญญาอะไรกับกูไว้”
พอนึกออก พาร์ก็ห่อเหี่ยวทันที ผมไม่กล้าให้พาร์อยู่นานกว่านี้เลยเอ่ยปากชวน
“ปะ ลงล่างกัน”
มันดันทำสีหน้าไม่อยากไปซะนี่ ผมต้องออกแรงลากพาร์ลงมาถึงชั้นล่าง มันก็ยังแหงนมองชั้นสามด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์อีก ปล่อยผมยืนหอบแฮ่กๆ ด้วยความเหนื่อย เหงื่อออกเหนียวตัวจนอยากอาบน้ำ
คำว่าอาบน้ำไปสะกิดให้ผมนึกบางอย่างออก
“พาร์” เรียกคนกำลังมองชั้นบนตาละห้อย “ไปดูไฮไลท์ของบ้านกัน น่าสนใจไม่แพ้ชั้นสามเลยล่ะ”
พาร์กลับมาทำหน้าสนอกสนใจอีกครั้ง
“ตามมา”
แต่แทนที่จะเปิดประตูเข้าห้องใหญ่ไปเลย ผมเลือกเปิดประตูเล็กข้างๆ แทน พาร์คงรู้สึกเหมือนโดนแกล้งเลยเตะขาผม ถามเสียงขุ่นอีกต่างหาก
“พากูมาดูห้องน้ำทำไม?”
ผมยอมรับก็ได้ว่าแกล้งเล่นนิดหน่อย แต่ก็แถให้พาร์ฟัง “เห็นประตูนั่นไหม มันเชื่อมไปอีกห้องได้ กูเลยพามาทางนี้ก่อน จะได้ตื่นเต้น”
พาร์หรี่ตามองประตูเลื่อนทำจากไม้ติดกระจกขุ่น
“เปิดเข้าไปได้เลย”
จากสีหน้าก็รู้ว่ามันไม่ไว้ใจ พอดันหลังให้รีบเปิด พาร์เลยจำยอมเลื่อนประตู ผมกะจังหวะถีบมันเข้าไปในห้องมืดๆ เปิดสวิชท์ไฟเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในห้อง พอพาร์ตั้งหลักเงยหน้าขึ้นมา ผมก็ได้เห็นสีหน้าตกตะลึงสมใจ
“นี่มัน”
บ่อแช่น้ำร้อนทรงสี่เหลี่ยมปูด้วยกระเบื้องขนาดประมาณผู้ใหญ่ลงไปพร้อมกันได้ถึงสี่คน ขอบบ่อเป็นไม้ครับ พื้นรอบๆ บ่อจนถึงส่วนสำหรับนั่งพักก็ปูด้วยไม้ นอกนั้นเป็นปูด้วยพื้นหินธรรมชาติแผ่นใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย ถัดออกไปเป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่ผมบอกว่ามองจากระเบียงชั้นสองลงมาก็เห็น
“ตกใจใช่ไหม?” ผมถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“มาก”
ผมเดินตามเข้ามาพร้อมเลื่อนประตูปิด สองมือปลดกระดุมเสื้อตัวเองพลางบอกเล่าสถานที่ให้คนที่เอาแต่กวาดมองอย่างตื่นตาตื่นใจทั่วห้องฟังคร่าวๆ
“บ่อตรงนั้นสำหรับแช่น้ำร้อน ก่อนลงบ่อต้องชำระกายให้สะอาดก่อน เห็นจุดอาบน้ำไหม ตรงที่มีม้านั่งเตี้ยวางอยู่น่ะ”
“…เหมือนที่ล้างตัวแถวสระว่ายน้ำ?”
“ใช่ๆ” ผมถอดเสื้อออกโยนลงตะกร้าสูงทรงกลม “ถ้าไม่อยากใช้ฝักบัวก็รองน้ำจากก๊อกใส่กะละมังใบเล็กที่วางอยู่ใกล้ม้านั่งราดตัวเอาก็ได้ พวกแชมพูกับสบู่ก็วางอยู่ใกล้ๆ แต่ก่อนอาบน้ำก็ต้องมีผ้าขนหนู”
ผมตบตู้ไม้ข้างตัว รอพาร์หันมาก็เปิดตู้ให้ดู
“ชั้นบนสุดเป็นผ้าขนหนู ถัดมาเป็นยูกาตะ ที่เห็นพับวางอยู่มีแต่ของผู้ชาย สองชั้นล่างสุดวางของจิปาถะ ถาดตะกร้าทรงสี่เหลี่ยมนี่ไว้ใส่ของที่หยิบออกมาจากตู้ ขวดน้ำแร่ที่อยู่ชั้นล่างสุดเอาไว้ดื่มหลังขึ้นมาพัก”
ผมชี้นิ้วไปโต๊ะกับเก้าอี้ที่วางห่างจากบ่อน้ำร้อนไปหน่อย
“ถ้าแช่ต่อไม่ไหว ก็ไปนั่งพักดื่มน้ำตรงนั้นแหละ พักจนพอใจจะลงไปแช่อีกก็ได้”
แล้วชี้กลับมาที่ตะกร้าหวายใบใหญ่สองใบที่วางอยู่ข้างตู้ ใบหนึ่งเป็นทรงกลม อีกใบเป็นทรงเหลี่ยม
“เสื้อผ้าเค็มใส่ตะกร้ากลม ผ้าขนหนูหรือเสื้อคลุมที่เปียก ผึ่งให้แห้งแล้วใส่ตะกร้าเหลี่ยม แค่นี้แหละ เดี๋ยวกูจัดของใส่ถาดตะกร้าให้มึงเลยแล้วกัน…แล้วมองกูอย่างนั้นทำไม”
“มึง..จะอาบน้ำที่นี่?”
“บ้านนี้มีที่อาบน้ำแค่ตรงนี้”
“ฮะ?!”
ผมทำหน้างง “ตกใจทำไม? นี่กูว่าจะชวนมึงแช่น้ำร้อนต่อเลย”
รีบเอื้อมหยิบกล่องใบหนึ่งจากตู้ เปิดฝากล่อง อวดซองภาษาญี่ปุ่นมากมายด้านใน
“ผงแช่ตัวแบบออนเซนเชียวนะ มาแช่น้ำเล่นกันเถอะ”
############