- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175861 ครั้ง)

ออฟไลน์ rsmrypngpth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
«ตอบ #330 เมื่อ16-12-2016 18:56:02 »

 :-[

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
«ตอบ #331 เมื่อ16-12-2016 20:47:09 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ dilokrittisak

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
«ตอบ #332 เมื่อ17-12-2016 00:05:15 »

อยากอ่านคู่ของพี่ภูกับยำ :hao5:

ยังไม่เห็นแววว่าทีจะใจอ่อนกับพาร์เลย :ling1:

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts
Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
«ตอบ #333 เมื่อ18-12-2016 20:08:48 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: - ชลนที - [บทที่33] P.11 (15/12/2016)
«ตอบ #334 เมื่อ20-12-2016 20:42:58 »

ตอนแรกยำคือแมนมาก เจอพี่ภูเข้าไปกลายเป็นลูกแมวน้อยเลย น่ารัก :-[

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #335 เมื่อ21-12-2016 01:12:13 »

บทที่ 34

“จะเปิดสอนเมื่อไหร่?”

ผมชะงักช้อนในมือ หันมองผู้ปกครองทั้งสองที่กำลังเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหาร

“ใกล้แล้วล่ะ ปิดนานกว่านี้คงไม่ไหว”

“สงสารลูกศิษย์ตัวเอง?”

“ก็ถ้าขาดรายได้ตรงนี้ไปคงแย่”

“ไม่ก็หนีหายไปทำงานที่อื่นแทน” ลุงนิกพูดแหย่

ทากะซังถอนหายใจ “หาคนมาเป็นครูสอนไม่ใช่เรื่องง่ายนะนิก ยิ่งคนที่ไว้ใจได้หายากยิ่งกว่าอีก”

ผมกับพาร์ฟังเงียบๆ ไม่มีขัด ผู้ปกครองทั้งสองของผมกำลังพูดถึงเรื่องโรงเรียนของทากะซัง เท่าที่จับใจความได้คือ ก่อนหน้านี้มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บระหว่างเรียน แต่ไม่มากครับ (ทางครอบครัวเด็กไม่ได้ต่อว่าด้วยซ้ำ) ถึงอย่างนั้นทากะซังก็สั่งปิดชั่วคราว แล้วรีบเดินทางมาตรวจสอบหาสาเหตุด้วยตัวเองอยู่ดี หลังตรวจสอบเสร็จก็สั่งปรับปรุงสถานที่ใหม่ทันที ให้เหตุผลง่ายๆ ว่าของบางอย่างเก่าแล้วถึงเวลาเปลี่ยนใหม่

นี่เป็นเหตุผลที่ทากะซังกลับไทยกะทันหัน และเป็นจุดเริ่มต้นที่บ้านแฝดฝั่งขวาส่งเสียงดังตั้งแต่เช้ายันเย็นทุกวัน ดีที่ห้องนอนผมเก็บเสียงจากภายนอก ต่อให้ดังกว่านี้เด็กเตรียมสอบอย่างผมกับพาร์ก็ไม่มีปัญหา เสียก็แต่พื้นที่ในการอ่านหนังสือถูกจำกัดไว้แค่ในห้อง บางครั้งพวกผมก็ขนหนังสือกับชีทหนีไปหาสถานที่นอกบ้านอ่านหนังสือเป็นครั้งคราว

แต่ศัตรูของเด็กเตรียมสอบจริงๆ กลับเป็นคนว่างงานอย่างลุงนิกต่างหาก!

นึกถึงตรงนี้ผมก็แอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ทุกปีช่วงเวลานี้ลุงนิกจะได้ลาพักร้อนยาวสามอาทิตย์ แลกกับทั้งปีจะไม่มีวันหยุดให้ แถมยังเป็นช่วงที่ทากะซังต้องไปญี่ปุ่นด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าลุงไปทำข้อตกลงอะไรมา แต่พอเดาได้ว่าไม่ปู่ก็ย่าสร้างเงื่อนไขทางเลือกให้ลุงนิกว่าจะมาไทยหาผม หรือไปญี่ปุ่นหาทากะซัง

สรุปคือตั้งแต่นั้นมา ลุงนิกไม่ได้กลับมาเหยียบไทยอีกเลย

อย่าคิดว่าลุงนิกละเลยผมนะครับ พอดีตอนนั้นผมโตพอระดับหนึ่งแล้ว แถมอยู่ทางนี้ก็มีพ่อแม่คอยดูแล ถึงจะคิดถึงก็ฝืนบอกลุงว่าไม่ต้องมาหา ขอแค่ถ้าไปญี่ปุ่นก็ซื้อของมาฝากกันด้วย เลยกลายเป็นว่าผมได้รับพัสดุจากญี่ปุ่นทุกปี แต่ปีนี้คงอด เพราะลุงเล่นลักไก่มาเจอผมกับทากะซังที่ไทยแทน เชื่อเถอะ คนทางนู้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทากะซังกลับไทย

ผมเคี้ยวข้าว พลางเหลือบมองผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง แล้วหันมองพาร์ที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ

คนซวยที่สุดก็น่าจะเป็นพาร์นี่แหละครับ

เอ่อ จะเล่ายังไงดี…ก่อนอื่นก็เรื่องของเวลา นานแล้วที่พวกผมสามคนไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา โอกาสนี้หายากแสนยาก แต่กลับมีตัวแถมโผล่มาหนึ่ง ไม่แปลกที่ลุงหงุดหงิด เรื่องที่สองมันดันไปกระตุ้นต่อมหวงลูกของลุงนิกด้วยการพูดจาให้ผู้ใหญ่รู้ว่าคิดกับผมเกินเพื่อน และเรื่องสุดท้าย ผมพึ่งจับสังเกตได้ว่าลุงแกหวงเมียครับ เลยไม่พอใจที่ทากะซังให้ความเอ็นดูพาร์เป็นพิเศษ

ทั้งหมดนี่ (ผมไม่ขอพูดถึงเรื่องอดีตนะ แต่คิดว่ามันน่าจะมีส่วนไม่มากก็น้อยเช่นกัน) ทำให้พาร์โดนลุงนิกเหม็นขี้หน้าไปเรียบร้อย และผลสืบเนื่องต่อมาคือการโดนคนอารมณ์เสียก่อกวนบ่อยๆ จนผมที่ต้องใช้สถานที่อ่านหนังสือเหมือนมันพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

เมื่อผมหมดความอดทนก็เผลอต่อสายตรงถึงแดนไกล ฟ้องตัวช่วยหนึ่งเดียวที่ปราบลุงนิกได้แน่ๆ โดยมีทากะซังให้การสนับสนุนลับๆ (คนนี้ก็โดนลุงนิกป่วนช่วงกำลังยุ่งๆ เหมือนกัน)

[…โดนเจ้านิกกวนตอนอ่านหนังสือสอบ? แปลกดี ทุกทีไม่เห็นทำ]

“ก็ทำไปแล้ว ทีถึงโทรมาฟ้องปู่นี่ไง”

[มันต้องมีเหตุผลสิ ไม่บอก ปู่ก็ไม่ช่วย]

ผมสบตาทากะซัง รู้อยู่แก่ใจว่าห้ามหลุดเรื่องทากะซังอยู่ไทยออกไปเด็ดขาด ครุ่นคิดเร็วจี๋ก่อนกลั้นใจยอมเฉือนเนื้อตัวเองออก

“เพราะทีพาเพื่อนมาค้างที่นี่ล่ะมั้ง” บอกเสียงแผ่ว

[เพื่อน?]

“อือ เป็นลูกเพื่อนพ่อแม่ ทางบ้านเขามีปัญหานิดหน่อยเลยต้องมาพักบ้านพ่อชั่วคราว ทีกับเขาอยู่มหาลัยเดียวกันช่วงนี้เลยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”

[พาเพื่อนคนนั้นไปบ้านโฮทากะ?]

“…ครับ”

[ปู่ว่าไม่ใช่แค่เพื่อนล่ะมั้ง เพราะต่อให้เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก ทียังไม่ยอมพาไปที่นั้นเลย]

“กะ ก็ตอนแรกทีกะพาเขาไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆ ที่บ้านย่านี่! แต่เจอปู่กับลุงซ้อนแผนเข้า เลยต้องพาเขามาบ้านทากะซังก่อน”

[อ้าว กลายเป็นปู่ผิด] น้ำเสียงปลายสายฟังดูขบขัน [ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าไม่ใช่คนที่เราไว้ใจได้ หรือมีความสำคัญด้วย ไม่มีทางที่เราจะพาไปที่นั้นหรอก ถ้าปู่พูดผิดก็แย้งมาสิ]

ใครจะแย้งออก!

อาการน้ำท่วมปากเป็นไงผมพึ่งรู้ซึ้งก็ตอนนี้

[หึๆๆ] แว่วเสียงหัวเราะรู้ทันจากคนปลายสาย ทำเอาผมยิ่งยืนเงียบกริบ [แล้วเด็กคนที่ว่า ผู้หญิงหรือผู้ชาย? ชื่ออะไร? มีรูปไหม? ส่งมาให้ปู่ดูหน่อย]

“ปู่จะดูไปทำไม!”

[ก็แค่อยากรู้จักคนของหลาน]

ผมยกมือกุมขมับ ขนาดแกล้งโวยวายก็ยังไม่หลงกล เอาวะ ปิดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สู้บอกตรงๆ น่าจะยังได้ประโยชน์กว่า

“ตอนเด็กๆ มีคนทำขนมมาให้ทีบ่อยๆ ปู่ยังจำได้ไหม?”

[จำได้สิ คุกกี้ใช่ไหมล่ะ]

“…แล้วยังจำชื่อเล่นเด็กคนนั้นได้หรือเปล่า?”

ปลายสายเงียบไปนาน ก่อนเอ่ยออกมาเหมือนไม่แน่ใจ [พาร์รึเปล่านะ]

“คนนั้นแหละ”

[หือ?]

“คนที่ทีพามาค้างที่นี่ด้วยคือเด็กคนนั้นแหละ”

ทางปู่เงียบไปเลย ผมกำชายเสื้อแน่นรอลุ้นผลตอบรับ แต่สิ่งที่ได้คือเสียงถอนหายใจยาวเหยียด

[เฮ้อ…ภรรยาปู่ได้อกแตกตายแน่ๆ]

“นั่นแค่เพื่อนที!”

[เพื่อนตอนนี้ แต่อนาคตไม่แน่ใช่ไหมล่ะ]

“คุณปู่!”

[มิน่าล่ะเจ้านิกถึงได้ออกอาการหวงลูก เอาเถอะๆ ถ้าเป็นเด็กคนนั้นปู่ยอมก็ได้ แต่ไม่เอาแบบเจ้านิกนะเจ้าที ถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายแน่ๆ ก็ช่วยโทรมาเกริ่นกับปู่ย่าก่อน…]

“ใครจะกล้าบอกคุณย่ากัน!”

[ไม่บอกแล้วโดนจับได้ทีหลัง เดี๋ยวก็ได้ระเบิดลงเหมือนเจ้านิกหรอก]

ผมเม้มปากแน่น เถียงไม่ออก ไหล่ซ้ายถูกบีบเบาๆ หันมองเจ้าของมือก็เจอแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและให้กำลังใจจากทากะซัง ผมสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนวกกลับเข้าประเด็นหลัก ไม่ยอมให้การโทรทางไกลครั้งนี้เสียเที่ยวจนต้องโทรกลับไปหาใหม่

“อย่าพึ่งพาทีออกนอกเรื่อง ตกลงว่าปู่จะช่วยทีไหม ทีขอบอกเลยนะว่ามันน่ารำคาญมาก เห็นแก่เด็กตาดำๆ สองคน ปู่ช่วยทำให้ลุงนิกไม่ว่างหน่อยเถอะ ไม่งั้นคะแนนสอบคราวนี้ของพวกทีร่วงแน่”

ปลายสายหัวเราะใหญ่ [ลำบากใจแล้วเปลี่ยนเรื่องหรือเจ้าที]

“คุณปู่?!”

[ก็ได้ๆ เดี๋ยวปู่จัดการเรื่องเจ้านิกให้ ถือเป็นของตอบแทนที่เรายอมเผยข้อมูลเรื่องส่วนตัวให้ปู่รู้]

ผมกัดฟันตอบรับ “ขอบคุณครับ”

[อย่าลืมนะเจ้าที ถ้าจะคบกับผู้ชายต้องโทรมาบอก…]

ผมกดตัดสายทันที รู้หรอกว่าเสียมารยาทมากแต่ใครจะทนฟังต่อไหว!

มือข้างที่ว่างยกขึ้นมาปิดหน้า ร้องครางในลำคออย่างอดไม่อยู่ เพราะแบบนี้แหละถึงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นพาร์!

“สำเร็จไหม?”

“อือ”

“หันมาทางนี้เร็ว เดี๋ยวทาจังกอดให้รางวัล”

ผมรีบหันไปซุกตัวในอ้อมกอดคนตัวเล็กกว่า

“เป็นอะไร?”

“ทีโดนปู่แกล้ง!”

“โอ๋ๆ แล้วคุณปู่แกล้งอะไรทีล่ะ?”

“ทีไม่บอก ทาจังรู้แค่มันน่าอายเป็นบ้าก็พอแล้ว”

แค่นึกถึงแก้มก็ร้อนผ่าวๆ รีบสลัดเรื่องช่วงนั้นทิ้งอย่างไว ผลหลังจากนั้นก็คุ้มค่าใช้ได้ แม้ต้องเสียห้องรับแขกไปก็ตาม (เพราะคนงานเข้ากะทันหันยึดที่นั่นไปเรียบร้อย) เมื่อลุงนิกหมดสิทธิ์ป่วนคนอื่น อีกสามคนในบ้านก็สบายขึ้นเยอะ

“ดีไหม?...ที…ที!”

ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ กวาดตามองรอบโต๊ะตื่นๆ

“มะ เมื่อกี้ทาจังพูดว่าอะไรนะ?”

คนโดนถามนิ่วหน้า “ทาจังว่าคืนนี้ทีงดอ่านหนังสือดีกว่า ไปนอนพักให้เต็มอิ่ม เพราะท่าทางทีไม่ไหวแล้ว สีหน้าก็ดูเพลียๆ”

ผมรีบส่ายหน้า “ทีไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยเฉยๆ แล้ว…เมื่อกี้ถามทีว่าอะไร?”

คนฟังถอนหายใจ แววตาดูอ่อนอกอ่อนใจ “ทาจังบอกว่าสอบสองวันสุดท้ายให้ไปกับพาร์แทน ดีไหมน่ะ?”

“ทีพ้นโทษแล้ว?”

“เปล่า แต่…”

“ลุงกับทากะไม่ว่างสามวัน หน้าที่คุมทีเลยตกเป็นของไอ้หนูนี่แทน”

ผมทำหน้าแปลกใจ อย่างลุงไม่น่าจะทิ้งผมไว้กับพาร์ตามลำพัง มองหน้าผู้ปกครองทั้งสองไปมาสักพัก ก็เผลอหรี่ตาลง

“จะหนีเที่ยวกันล่ะสิ”

คนมีปฏิกิริยาคือลุงนิก ส่วนทากะซังเหล่มองคนนั่งข้างๆ เห็นแค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าตัวเองเดาถูก แถมตัวต้นคิดหนีเด็กไปเที่ยวตามลำพังคงเป็นลุงนิกแน่ๆ

“ทิ้งที!”

“ไม่ได้ทิ้ง แต่ลุงอยากอยู่กับทากะแค่สองคนบ้างนี่!”

ผมรีบชูสามนิ้ว “อิสระของทีสามวัน!”

“ไม่ได้”

“งั้นทีไม่ให้ไป”

ผมกับลุงนิกจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร

“เอางี้” ทากะซังพูดแทรกขัดศึกจ้องตา “อิสระของทีสามวัน แต่ต้องมีพาร์คอยดูแล”

ผมทำหน้าบูด “แล้วต่างจากเดิมตรงไหน ยังไงทีก็ต้องมีผู้คุมติดสอยห้อยตามอยู่ดี”

ทากะซังเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้ “ถึงจะน่ารำคาญไปหน่อย แต่มีคนคอยตามดูแล ดีออกนะ…ทำได้ไหมพาร์”

“ได้ครับ”

ลุงนิกนิ่วหน้าจ้องพาร์ด้วยแววตาไม่เป็นมิตรปนไม่ชอบใจ “บอกไว้ก่อนนะไอ้หนู ทากะให้โอกาสแกก็จริง แต่ถ้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้าใกล้ลูกฉันอีกเป็นครั้งที่สอง!”

ขณะที่พาร์รับคำสั้นๆ ผมกำลังนั่งมึน สรุปว่าแค่เปลี่ยนผู้คุมใหม่ใช่ไหม หรือมีอะไรมากกว่านี้? 

-------------

หลังจากไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับมหาลัยจนวันนี้ผู้ปกครองทั้งสองกำลังจะเดินทางไปเที่ยวแล้ว ผมมองด้วยสายตาอิจฉาสุดๆ ได้แต่ปลอบตัวเองว่าสอบเสร็จเมื่อไหร่ก็ตาเราหนีเที่ยวบ้างแล้ว

“ฝากดูแลบ้านด้วยนะ เดี๋ยวทาจังซื้อของมาฝาก”

ผมพยักหน้าหงึกๆ มองคนตัวเล็กกว่าขึ้นรถที่ติดเครื่องยนต์ไว้ แต่คนขับ…นู้น ลากคอพาร์ไปซุบซิบอะไรไม่รู้ จากสีหน้าเหี้ยมๆ ของลุงนิก ผมขอเดาว่าคงไปข่มขู่พาร์แหงๆ

“ลุงนิก! ทาจังขึ้นรถไปแล้วนะ”

คนโดนเรียกพูดอะไรสักอย่างส่งท้าย ก่อนผละจากพาร์รีบขึ้นรถ ผมมองพาร์ที่เดินกลับมาสมทบ

“โดนขู่มาล่ะสิ”

“ก็นะ”

ดูพาร์ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ พวกผมมองท้ายรถยนต์ห่างออกไปเรื่อยจนลับตาค่อยหมุนตัวเดินเข้าบ้าน พาร์ทำท่าจะขึ้นชั้นสอง ผมเลยลากมันไปที่โต๊ะอาหาร มีอาหารเช้าวางตั้งทิ้งไว้

พาร์ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทากะซังทำ?” 

“ใช่ ต่อให้มีไฟล์บินตอนหกโมงเช้า ทากะซังก็จะตื่นมาทำอาหารทิ้งไว้ให้อยู่ดี” ผมนั่งลงคว้าช้อน พร้อมพูดขำขัน “ถ้ามีทากะซังอยู่ด้วยรับรองว่าไม่มีอด มีแต่น้ำหนักขึ้นไม่มีลง”

“มึงเคยอ้วน?”

ผมพยักเพยิบให้ดูอาหารสไตล์ญี่ปุ่น “มึงดูของโต๊ะ แล้วนึกถึงเมนูอาหารที่ผ่านมา ช่วยตอบกูหน่อยว่าวัตถุดิบหลักที่ผ่านมาคืออะไร?”

พาร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบผม “…ผักกับปลา”

“ก็นั่นน่ะสิ แถมยังโดนจับออกกำลังกายประจำ มึงคิดว่ากูจะอ้วนไหมล่ะ”

พาร์ไม่ตอบ ผมก็ไมได้ต้องการคำตอบ เราต่างคนต่างกินจนจบไปอีกมื้อ พวกผมถึงขึ้นไปชั้นสองตรงพื้นที่นั่งเล่น หาที่นั่งสบายๆ บนพรมนุ่ม จับหนังสือสอบมาอ่านกันต่อ บ้านแฝดฝั่งขวาปรับปรุงเสร็จเมื่อวานครับ วันนี้เลยเงียบสงบจนพวกผมออกมาอ่านหนังสือตรงนี้ได้

โรงเรียนก็ยังไม่เปิดสอน กำหนดการคืออีกสามวันข้างหน้า นอกจากรอทากะซังกลับมาแล้ว ยังรอให้พวกกลิ่นสีต่างๆ จางลงกว่านี้ก่อน…

ผมรีบก้มลงมาเมื่ออะไรสักอย่างวางพิงต้นขา หมอนอิงใบเล็กที่คนเอามากำลังล้มตัวนอนหงาย หัวหนุนหมอน มองมันด้วยความหมั่นไส้ พลางพูดประชดใส่

“ไม่นอนตักกูไปเลยล่ะ”

พาร์เลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาวิบวับ “ได้?”

“ไม่!”

“ก็ว่างั้น เลยทำแค่นี้ไง”

ผมส่งเสียงเหอะในคอ หันไปสนใจหนังสือดีกว่า วันนี้เราไม่มีสอบทั้งคู่ ของผมเหลือสอบสองตัวคือพรุ่งนี้กับมะรืน แต่ของพาร์เหลือพรุ่งนี้ตัวเดียว หลังผ่านการอ่านต่อเนื่องมาชั่วโมงกว่า ผมก็วางหนังสือในมือลงเป็นการพัก ยืดแขนยืดขาเต็มที่ ขับไล่อาการปวดเมื่อยหลังนั่งท่าเดิมนานๆ ออก ก่อนชะงักเมื่อเห็นคนนอนอยู่ใกล้ๆ มองหน้าอยู่ก่อนแล้ว

“…รู้สึกไหม บ้านเงียบดีนะ”

ผมคิ้วขมวดใส่คนพูด เหลือบเห็นชีทเรียนในมือพาร์วางแหมะอยู่บนท้องก็รู้สึกตงิดใจพิกล

“มึงใช้เวลาอ่านชีทแค่สิบแผ่นเป็นชั่วโมง?”

พอโดนทักก็รีบวางชีทในมือลงกองกับชีทอื่นบนพื้นข้างตัว ท่าทางมีพิรุธชัดเจนจนผมเดาได้เลยว่าก่อนหน้านี้มันคงนอนมองหน้าผมแทนที่จะอ่านหนังสือ

“มองกูตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“…ไม่รู้” คำตอบแผ่วเบามาพร้อมอาการหลบสายตา “ไม่ได้สนใจเวลา”

หลังเงียบกันไปครู่ใหญ่ ผมก็อดเปลี่ยนเรื่องพูดไม่ได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ในบรรยากาศอึดอัด เรื่งที่นึกออกตอนนี้ก็มีแต่เรื่องที่ติดใจสงสัยมาหลายวัน

“เอ่อ เมื่อสามคืนก่อนที่มึงตื่นลงไปเข้าห้องน้ำกลางดึก”

พูดแค่นั้นแววตาพาร์ก็เปลี่ยนไปทันที แต่ผมก็กลั้นใจถามต่อ

“มึง…ไปทำอะไรมา”

“ถามทำไม” พาร์ถามกลับเสียงห้วน

จากสีหน้ามันคงไม่อยากพูดถึง แต่ผมอยากรู้นี่หว่า

“ก็มึงดูแปลกไปตั้งแต่วันนั้น”

“แปลกยังไง” เปลี่ยนมาถามอย่างสนใจซะงั้น

ผมกรอกตามองเพดาน พยายามหาคำมาอธิบาย “กูอธิบายไม่ถูกวะ”

“เอาตามความรู้สึกมึงก็ได้”

“เอ่อ ก็รู้สึกอันตราย” ผมทำหน้าลำบากใจ “สรุปคือไม่ค่อยน่าเข้าใกล้มึงเท่าไหร่”

พาร์รีบยันตัวขึ้นนั่ง ทำเอาผมผงะเล็กน้อย ยิ่งโดนจ้องตาในระยะประชิดก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก พอเห็นผมไม่พูดอะไรยิ่งเอาใหญ่ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ให้ผวา ไม่ต้องคิดผมก็ใช้มือยันหน้ามันออกห่างแล้ว

“เล่นอะไรเนี่ย” ถามเสียงขุ่น “เอาหน้ามาใกล้ทำไม”

“แค่พิสูจน์อะไรนิดหน่อย”

“เฮ้ย! มือมึงอ่ะ!” ผมรีบใช้มืออีกข้างจับมือที่เริ่มซนแถวเอว เขม็งมองไอ้คนที่ยิ้มตาพราว “ถ้ามึงยังไม่หยุดเล่น กูยันมึงแน่”

แต่ไอ้คนโดนขู่กลับหัวเราะชอบใจ

“ที” มันโน้มหน้าหอมแก้มผมไปฟอดหนึ่ง “ดีใจนะ ขอบคุณ”

ฮะ? ดีใจ? ผมถามกลับมึนๆ “เรื่องอะไร”

“สามวันก่อน กูไปเข้าห้องน้ำข้างล่างตามที่บกมึงนั่นแหละ…”

เอ๊า! แทนที่จะตอบ ดันเล่าเรื่องที่ถามก่อนหน้านี้ซะงั้น

“หลังทำธุระเสร็จยังไม่ทันได้ออกไป กูก็ได้ยินเสียงลุงมึงกับทากะซัง…ไปใช้ห้องอาบน้ำด้วยกัน”

“อ้อ นานๆ ทีพวกลุงก็ชอบไปแช่น้ำตอนกลางดึก ลุงนิกเคยบอกว่าเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ส่วนใหญ่กูหลับไปแล้วเลยไม่เคยได้เข้าร่วม”

พาร์ย่นคิ้ว “พูดอย่างกับเคยไปแช่น้ำด้วยบ่อยๆ”

“ก็ตั้งแต่เล็กจนโตนั่นแหละ เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของครอบครัว”

“…แต่แช่น้ำแค่สองคน มันแตกต่างจากแช่ร่วมกับคนอื่น” พูดถึงตรงนี้พาร์ซบหน้าเข้ากับไหล่ผม มือกอดรอบเอวแน่นกว่าเดิมเหมือนกลัวผมหนีหาย “มันดันปลุกสัญชาตญาณบางอย่างในตัวกูเข้าจังๆ ช่วงนี้กูเลยลำบากพอสมควรเวลามีมึงอยู่ใกล้ๆ”

“ใกล้กูเนี่ยนะ? กูไปเกี่ยวอะไรด้วย?”

ได้ยินเสียงหัวเราะแหบแห้งข้างหู “ก็เกี่ยวมากพอถึงขั้นไปกระตุ้นสัญชาตญาณระวังภัยของใครบางคนเข้าล่ะมั้ง…แต่รู้สึกรู้สาแบบนี้บ้างก็ดี กูจะได้มีกำลังใจ”

ระหว่างที่ผมกำลังเก็บคำพูดของมันมาครุ่นคิดก็โดนเรียกเข้าให้

“ที”

เรียกแล้วก็เงียบ หมายความว่าไง?

ผมกลายเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามแทน “อะไร?”

“เรื่องบางเรื่องถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่ต้องรีบคิดหรอก”

“แต่กูคาใจ”

“เดี๋ยวคำตอบก็มาหามึงเองแหละ”

“แต่…”

“ไม่ต้องมาแต่ ยังไม่รู้ตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร มึงเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว…ดีที่สุดสำหรับกูแล้ว”

ผมเม้มปากแน่น พยายามสงบใจสะกดอารมณ์บางอย่างไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า

“ที…” สัมผัสแผ่วเบาตรงมุมปากทำผมสะดุ้งเฮือก

“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรวะ!”

รีบผลักพาร์ออกห่าง ลุกพรวดถอยออกไปยืนห่างๆ ทั้งที่คิ้วยังขมวดไม่คลาย

มันแปลกไปจริงๆ ด้วย!

“ก็ใครใช้ให้ทำตัวน่ารัก”

“กูไม่ได้น่ารัก!”

“ไม่น่ารักก็ไม่น่ารัก แล้ว…รู้สึกยังไง สัมผัสแค่มุมปากแบบนี้ได้ใช่ไหม ดีกว่าปากแตะปากตรงๆ หรือเปล่า”

ผัวะ!

“โอ๊ย! เตะกูทำไม!”

“มึงถามบ้าอะไรมาล่ะ!”

“ก็แค่อยากรู้…จะไปไหน?!”

ผมหันไปมองเจ้าของสองประโยคที่แสดงน้ำเสียงต่างกันโดนสิ้นเชิง “เห็นอยู่ว่ากำลังยืนหน้าบันไดจะให้ไปไหนเล่า” 

“กูถามดีๆ หรือจะให้เดินตาม?”

ผมพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ “จะไปดูในครัวเหลือวัตถุดิบอะไรบ้าง”

“รีบไปดูทำไม อีกตั้งสามชั่วโมงกว่าจะเที่ยง”

ผมยกมือกอดอก มองเขม็งไอ้คนถาม “ถ้ามึงมีปัญหา ทำข้าวเที่ยงกินเองแล้วกัน”

สิ้นสุดถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ผมก็ได้มาอยู่ในครัวตามลำพังตามที่ตั้งใจ ลากเก้าอี้จากใต้โต๊ะ ทิ้งก้นว่างแปะบนนั้น เลื้อยท่อนบนไปซบโต๊ะเตรียมอาหารอย่างหมดแรง

ต่อจากนี้จนกว่ามันจะกลับมาเป็นปกติ ผมควรอยู่ห่างมันหน่อยดีกว่า…เดี๋ยวก่อน!

ผมดึงหน้าขึ้นจากโต๊ะ หรี่ตาลง

มันละเมิดข้อตกลงระหว่างกันนี่หว่า!

-------------

“ไม่ได้ละเมิด!”

“มึงทำ!”

“ก็บอกว่าไม่ได้ทำไง!”

ผมเถียงกับพาร์เรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวาน จนตอนนี้ใกล้เดินถึงตึกสอบที่วันนี้ดันสอบตึกเดียวกันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ความจริงควรแวะไปหาพยานทั้งสองให้ช่วยตัดสินแทน แต่…ใครจะกล้าเอาเรื่องแบบนั้นไปเล่าให้เพื่อนฟัง

“กูไม่ได้รุก กดดัน หรือจีบมึงเลยนะ!”

“แล้วที่มึงทำเรียกว่าอะไร!”

“ก็แค่ถามตอบกับมึง”

“ถามตอบบ้าอะไรล่ะ! ในโลกนี้ไม่มีใครถามตอบกันแบบนั้นหรอกโว้ย!”

“ถามตอบจริงๆ แต่กูแค่คุมอารมณ์ในบางเรื่องไม่อยู่ โอเค กูยอมรับความผิดก็ได้ ความผิดครึ่งหนึ่งของกู อีกครึ่งน่ะของมึง!”

“กูผิดตรงไหน!”

แต่ก่อนจะได้เถียงกันมากกว่านี้ เพื่อนจากคณะพวกผมก็ส่งเสียงตะโกนมา

“เฮ้ยๆ คู่นั้นน่ะอย่าทะเลาะกันนะโว้ย”

“พวกมึงทะเลาะกันไม่ได้!”

“เห็นแก่คณะด้วย!”

ผมแยกเขี้ยวใส่เพื่อนคณะตัวเอง พอหันมองคนข้างตัว มันเดินหนีไปหาเพื่อนมันแล้ว จะตามไปก็ใช่เรื่อง เลยเดินไปหาเพื่อนตัวเองบ้าง

“ทะเลาะอะไรกัน?”

ผมมองนนท์ทั้งที่ใจยังไม่หายหงุดหงิด “ไม่ได้ทะเลาะ”

“โกหกทำไม เห็นอยู่ชัดๆ”

ยังไมทันอ้าปากโต้แย้ง ก็โดนลูกหว้าสวนเข้าให้ “เรื่องของผัวเมีย มีกระทบกระทั่งกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมด้าธรรมดาค่ะ โปรดอย่าไปถามคนมีสามีแล้ว”

“กูจะโกรธก็เพราะคำพูดของมึงเนี่ยแหละ”

คนโดนผมด่าลอยหน้าลอยตา “ถ้ากูพูดไม่จริงตรงไหน คุณสะใภ้คณะแย้งได้ตลอดเวลาค่ะ”

“พอๆๆ” ศิร้องปราม “จะถึงเวลาแล้ว ขึ้นไปรอที่หน้าห้องสอบกันเถอะ”

พวกผมทั้งกลุ่มลุกตามแม่ศิ เพื่อนหลายคนก็ทยอยกันเดินขึ้นตึกแล้ว

“ว่าแต่กูคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนรองนิติของเราจะหล่อขึ้น”

“มึงคิดไปเอง” นนท์สวนกลับไปทันที

“ศิกับมินต์ล่ะเห็นว่าไง?”

สาวเงียบประจำกลุ่มทำหน้าครุ่นคิด “มินต์ว่า…ดูเท่ขึ้นนะ”

ลูกหว้าดีดนิ้ว หันไปอีกคนที่ยังไม่ตอบคำถาม คนโดนจ้องเอ่ยแค่สองคำ

“แมนขึ้น”

“ศิพูดอย่างกับก่อนหน้านี้สามีคณะไม่แมน”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อก่อนพาร์ก็เป็นที่พูดถึงอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มาจากสาวๆ มากกว่า แต่ช่วงนี้ศิเห็นพวกผู้ชายพูดถึงพาร์ในแง่นั้นด้วย”

“หืม? ท่าจะเป็นจริงนะเนี่ย สาววายยืนยันเองเลยนี่ แล้วศิว่าพาร์กับทีคู่นี้ใครเคะหรือเมะกว่ากัน?”

“ศิว่าดูยากนะ” ไม่พูดเปล่ายังหันมามองผมด้วยแววตาสำรวจครู่ใหญ่ ก่อนหันไปคุยต่อ ผมรีบถอยลงมาเดินคู่กับนนท์ที่เอาแต่มองมาขำๆ

“อาจจะเป็นพาร์ก็ได้ เพราะทีคงทำให้หนุ่มเคะคอยเมียงมองอย่างพาร์ตอนนี้ไม่ได้”

ผมคิ้วกระตุก รู้สึกเหมือนโดนหยาม แต่ขณะเดียวกันก็คิดได้ว่า ไม่มีก็ดีแล้วนี่

“แต่เพื่อนเราดันโดนหนุ่มเมะมองแทนใช่มะ ช่วยไม่ได้เนอะ ดันเกิดมามีหน้าตาสวยชวนมอง”

“พอเถอะ สงสารไอ้ทีหน่อย มันจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย เพราะรับไม่ได้อยู่แล้ว”

“เราพูดความจริงเถอะ เนอะ” ลูกหว้าหันไปพยักเพยิบกับสองสาว

นนท์ขำหนักกว่าเดิม แต่ไม่ลืมตบบ่าปลอบผม “เพราะข่าวลือพวกมึงคบกันมากกว่า ไม่จริงก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”

เหอะ หน้าตาไม่ได้กำหนดบทบาทซะหน่อย คิดแล้วก็หวนนึกถึงคำพูดของลุงนิกที่นั่งโงนเงน เพราะฤทธิ์ของมึนเมา

‘เห็นทากะตัวเล็กๆ แบบนั้น แข็งแรงกว่าลุงตั้งหลายเท่า แรงก็เยอะกว่าด้วย ศึกบนเตียงครั้งแรกเลยดุเดือดน่าดู ลุงนี่ได้แผลมาเต็มตัว แถมเกือบโดนพลิกด้วย แต่สุดท้ายลุงก็ได้เมียสุดที่รักมาหนึ่งคน เพราะงั้นนะที เรื่องกำหนดบทบาทไม่ได้เกี่ยวกับรูปร่าง ส่วนสูง หรือหน้าตาหรอก แต่อยู่ที่ความสามารถล้วนๆ ใครทำให้เคลิ้มเปิดช่องว่างก่อนได้ก็…’

ผัวะ!!

‘พูดอะไรให้เด็กฟังเนี่ย!’

แล้วคนเมาที่พูดไม่หยุดก็สลบเหมือด เพราะหมัดตรงทีเดียวของทากะซัง หลังจากนั้นลุงก็โดนสั่งห้ามดื่มของมึนเมาอีก ถ้าไม่ทำตาม ทากะซังจะโดนไล่ลุงออกจากบ้าน

คิดถึงหน้าหงอยๆ ยามลุงนิกเห็นทากะซังเอาของสะสมไปเปิดขวดเลี้ยงฉลองเปิดโรงเรียนก็ได้แต่ยิ้มขำ

“เฮ้ยที! ระวังสะดุด”

ผมสะดุ้งหยุดเดินทันเวลา พลางมองขั้นบันไดตรงหน้า เกือบไปแล้ว แว่วเสียงเพื่อนๆ ถกเถียงกันเรื่องทำผมคิดมากก็ขี้เกียจพูดแย้ง เดินตามพวกมันขึ้นบันไดไปดีกว่า   

“อย่าลืมตรวจดูข้อสอบนะคะ หากใครได้หน้าไม่ครบ ตัวอักษรเลือน หรือมีปัญหาอะไรยกมือขึ้นได้ค่ะ นักศึกษาที่พึ่งมารีบหาที่นั่งเลยค่ะ”

ผมกำลังเขียนชื่อตัวเองก็ได้ยินเสียงอุทาน ไม่ได้ดังมาก แต่ก็ผิดปกติ เลยเงยหน้าขึ้นมากวาดสายตาหาสาเหตุ จำได้ว่าเมื่อตอนสอบกลางภาคเคยได้ยินเสียงอุทานแบบนี้ แต่ตอนนั้นเพราะมีน้องหมาเข้ามาในห้อง ต้อนให้ออกยังไงก็ไม่ยอมไป สุดท้ายก็ต้องปล่อยมันนอนตากแอร์อยู่หลังห้อง

คราวนี้ไม่ใช่น้องหมา แต่เป็นคนที่ทำผมชะงักกึก บุคคลที่หายตัวไปจากวงจรชีวิตเพื่อนๆ ขาดสอบตั้งแต่วิชาแรก แต่กลับโผล่มาเข้าสอบวิชารองสุดท้าย

ไอ้เด็น! 

############

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #336 เมื่อ21-12-2016 08:52:00 »

เด็นหายไปไหนมา

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #337 เมื่อ21-12-2016 11:12:34 »

ชอบบบบบ พาร์ ที เวลา อยู่ด้วยกัน :mew1: :mew1: :mew1:
คนในครอบครัวที รู้จักคุ้กกี้พาร์ กันทุกคน
พาร์ หลงที มากเลย จ้องมองแทบตลอดเวลา
แสดงว่านอกจากที ทั้งสวยทั้งน่ารัก
แล้วเพราะทีเป็นคนที่พาร์ รักด้วย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เด็น โผล่มาและ  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #338 เมื่อ21-12-2016 15:44:26 »

อยากอ่านคู่ทากะ กับ ลุงนิกอีกกกกกกก

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #339 เมื่อ21-12-2016 17:15:58 »

กลัวเด็นจะนำปัญหามาให้จริง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
« ตอบ #339 เมื่อ: 21-12-2016 17:15:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #340 เมื่อ21-12-2016 22:24:19 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #341 เมื่อ21-12-2016 22:58:37 »

พาร์ดูเท่ห์ขึ้นจริงๆนั่นล่ะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #342 เมื่อ22-12-2016 08:51:44 »

พาร์เท่ห์ขึ้นจริงล่ะ

ส่วน เด็น แอบหลอนนาง

กลัวนางจะเอาเรื่องมาให้ที นี่ดิ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #343 เมื่อ22-12-2016 23:50:45 »

นางจะกลับมาแก้แค้นหรา

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #344 เมื่อ23-12-2016 00:18:31 »

เด็นกลับมาคราวนี้จะพาปัญหาอะไรมาด้วยรึป่าวเนี่ย

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: - ชลนที - [บทที่34] P.12 (21/12/2016)
«ตอบ #345 เมื่อ23-12-2016 18:37:57 »

ตอนต่อไปเป็นเรื่องของเด็นหรือเปล่านะ
 :hao4:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #346 เมื่อ25-12-2016 16:29:20 »

บทที่ 35

ผมพึ่งเดินออกมาจากห้องสอบ เหลือบมองนาฬิกาติดผนังในห้องก่อนประตูปิดสนิท เหลืออีกแค่สิบห้านาทีจะหมดเวลาสอบ ต้องยอมรับว่าวิชานี้ผมใช้เวลาทำนานกว่าที่คิด ด้านหน้ามีเพื่อนร่วมคณะยืนจับกลุ่มเป็นหย่อม ส่งเสียงคุยกันเบาๆ กวาดมองซ้ายขวาจนทั่ว

...เพื่อนกลุ่มผมหายไปไหนกันหมด?

คิดแล้วก็ย่นคิ้วเข้าหากัน มองหาอีกหนึ่งบุคคลที่เล็งไว้แล้วว่าต้องจับตัวมาคุยให้ได้…ไม่อยู่เหมือนกัน

“ไงที ทำข้อสอบได้ไหม”

ผมหันมองคนทัก เจอมลยืนอยู่ด้านขวาห่างไปเล็กน้อย สมุนทั้งสามอยู่กันครบ เลยเดินเข้าไปหา

“ก็พอไหว แล้ว…”

“จะถามเรื่องเด็นล่ะสิ” ท่านประธานเอ่ยดักคอ “มันไปแล้ว”

“ไปไหน?”

“กลับบ้านมั้ง ไม่รู้มาทำไม” สมุนหญิงถึกพูดเสียงห้วน

“เฮ้ย! ทำไมพูดแบบนั้น”

ผมมองสมุนทอม ข้างๆ มีสมุนชายแท้กำลังพูดปราม

“ใจเย็นๆ”

“ก็มันไม่ได้ตั้งใจมาสอบนี่ ไม่งั้นจะส่งคนแรกภายในครึ่งชั่วโมงได้ไง วิชานี้ยากจะตาย B+ จะถึงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

“นี่มึงเครียดเรื่องสอบหรือเรื่องอะไรเนี่ย”

“กูไม่ได้เครียด แต่มันเจ็บใจ คนอื่นเขาตั้งใจมาสอบแท้ๆ แต่มันดันโผล่มาทำลายสมาธิคนอื่นไม่พอ ยังรีบออกก่อนเหมือนกากมั่วๆ แล้วส่ง คนตั้งใจทำอย่างกูเห็นแล้วมันของขึ้น”

“ก็อย่าไปสนใจสิ” สมุนทอมว่า

“กูไม่สนได้ที่ไหน มันดันเลือกนั่งใกล้กู ถ้ามันทำแบบนี้กูว่าไม่ต้องมายังดีกว่า!”

“เอ่อ มันคงมาเจอเพื่อนมั้ง” สมุนชายแท้พูดเสียงแห้ง

“เจอบ้าอะไร ถ้ามันคิดจะเจอเพื่อน มันคงไม่รีบส่งข้อสอบคนแรกหรอก!”

ผมโดนมลดึงตัวออกห่างคนกำลังอารมณ์เสีย แล้วลดเสียงพูดกระซิบกับผม

“ก็อย่างที่มึงได้ยิน เด็นไปนานแล้ว”

ผมเลยกระซิบกลับ “แล้วเพื่อนกลุ่มกูล่ะ”

มลส่ายหน้า “แต่กูเดาเอาว่าพอออกมาไม่เจอเด็นก็คงลงไปตามหาล่ะมั้ง เผื่อมันยังไม่ออกนอกมหาลัยอะไรแบบนี้…เอ่อ แล้วนี่มึงไม่สบายหรือเปล่า”

ผมโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร แค่ปวดหัวจากข้อสอบนิดหน่อย”

“อ้อ กูก็คิดจนปวดหัวเหมือนกัน นี่ก็ว่าจะกลับไปพักแล้ว พรุ่งนี้ยังเหลืออีกตัว”

ผมเกือบจะอ้าปากบอกว่าถ้ารู้อะไรมาก็ฝากบอกกันด้วยแล้ว แต่คิดอีกที อย่าฝากเลยดีกว่า แค่เรื่องสอบมลก็คงปวดหัวแย่ สุดท้ายเลยพูดแค่สั้นๆ

“สู้ๆ ล่ะ”

“มึงก็เหมือนกัน”

ผมแยกตัวลงบันไดมาชั้นล่าง ห้องสอบของผมอยู่ชั้นห้า แต่ของพาร์อยู่ชั้นสามเลยลองแวะไปดูสักหน่อย คนตามทางเดินพอๆ กับชั้นห้า ส่งเสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าวนัดไปฉลองหลังสอบกันใหญ่ มองแล้วก็น่าอิจฉา แต่ถ้าพรุ่งนี้พวกผมสอบเสร็จคงมีบรรยากาศไม่ต่างจากนี้หรอกครับ

เดินหลบกลุ่มนู้นกลุ่มนี้ที่ยืนขวางทางก็เห็นเป้าหมายกำลังยื่นมือรับซองจดหมายสีส้มอ่อนจากสาวน้อยหน้าตาน่ารัก รอบข้างพาร์มีเพื่อนๆ ยืนโห่ร้องส่งเสียงแซวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ผมเลิกคิ้วประหลาดใจกับฉากนี้พอสมควร ลังเลว่าจะเดินเข้าไปดีหรือเปล่า

“ตายละหว่า! สะใภ้คณะมา!”

ไม่รู้ว่าใครตาดีตะโกนบอก สิ้นเสียงทั้งกลุ่มก็แตกฮือไปคนละทาง แต่คนที่ทำให้ผมเกือบหลุดยิ้มขำกลับเป็นพาร์ สีหน้ามันโคตรตลก แถมรีบเดินมาหาแบบไม่สนใจใครทั้งนั้น

“ที”

มันคว้ามือผมยัดจดหมายใส่ ชี้นิ้วให้ดูหน้าซอง มีชื่อเล่นของทั้งผมและพาร์ ก่อนสาวน้อยตัวเล็กน่ารักโผล่มาตรงหน้า พูดเสียงตื่น

“ไม่มีอะไรนะ เราแค่รับฝากจดหมายมาให้อีกที เราเห็นข้อความหน้าซองแล้วเลยเอามาให้เฉยๆ คือเราเป็นแฟนคลับของพวกเธอล่ะ อ๊ะ หลุดไปแล้ว เอ่อ กะ ก็ตามที่บอก เอ่อ ขอตัวก่อนนะคะ”

ผมมองสาวเจ้าที่พูดซะรัวเร็วจนฟังแทบไม่ทัน แถมยังเขินเอง วิ่งหนีไปเองด้วยความมึน

“…ใครน่ะ?”

“ไม่รู้” พาร์ว่าเสียงห้วน “ไม่ต้องสนใจหรอก กลับกันเถอะ”

มันคว้ามือดึงผมไปทางบันได ไม่แม้แต่หันไปสนใจเสียงร้องระงมด้านหลัง

“เคลียร์กันดีๆ นะ”

“อย่าให้กระทบถึงคณะนะเพื่อน”

“จดหมายนั่นไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ส่งต่อมาได้เสมอ!”

“เฮ้ยๆ กูก็อยากได้นะโว้ย”

ผมหันไปมองอีกครั้ง กวาดตามองเร็วๆ หน้าไม่คุ้นสักคน แต่น่าจะเป็นเพื่อนคณะเดียวกับพาร์

“เดี๋ยวก่อน! คืนนี้มึงจะไปฉลองพวกกูหรือเปล่า”

“ไม่” พาร์หันไปตอบทันที “พรุ่งนี้ทีมีสอบ”

“สะใภ้คณะมีสอบ แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณเพื่อนที่สอบเสร็จแล้วล่ะครับ”

“กูต้องขับรถไง”

พูดแค่นั้นก็ดึงผมลงบันได เมินเสียงโห่ร้องไล่หลัง

“…มึงไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกแข่งบาสวันนั้นเหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย

“อยู่”

“แล้วพวกเมื่อกี้ล่ะ?”

“เพื่อนร่วมคณะ เป็นกลุ่มทำกิจกรรมด้วยกันบ่อยๆ”

อ้อ คงเหมือนผมกับกลุ่มมลล่ะมั้ง

“ระวังเท้า”

“ขอบคุณที่เตือน เป็นไปได้อย่าดึงกูลงบันไดจะดีมาก”

พาร์หยุดดึงทันที ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมปล่อยมือออก ยืนรอจนผมลงมาอยู่ขั้นบันไดเดียวกัน ก็เริ่มก้าวเท้าลงมาพร้อมกัน ผมเหลือบมองมือที่ยังคงประสานกันแล้วรู้สึกแปลกๆ

“…มือกูอ่ะ ปล่อยได้แล้วมั้ง”

“ไม่เอา”

“กูไม่ใช่เด็ก”

“รู้ แต่มึงชอบเหม่อ”

ผมนิ่วหน้า ไม่พูดเถียง มีเพียงความสงสัยในใจ

นึกไงมาจับมือเดินเล่า!

และไม่คิดถาม ผมเริ่มปลงตกตั้งแต่ตกเป็นข่าวกับมันจนดังไปทั้งมหาลัยแล้ว เพราะงั้นอยากจับก็จับไปเหอะ ต่อให้มีคนเห็น ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

เดินเงียบๆ จนมาถึงชั้นสองก็เอ่ยปากเรียก “…พาร์”

“หือ”

“มึงตื่นเต้นเหรอ”

“เอ๊ะ?”

ผมยกมือที่จับกันอยู่ขึ้นชู “นี่ไง เหงื่อออกจนกูยังรู้สึกเลย”

“ของมึงหรือเปล่าเหอะ”

ผมไม่ตอบ ยกมืออีกข้างวางแปะที่หน้าอกซ้ายของอีกฝ่าย รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่ามือก็ดึงกลับ ยิ้มกริ่มอย่างเป็นต่อ พูดทิ้งท้ายแค่ประโยคเดียว แล้วรีบดึงมือออกเดินลงบันได

“ดูเหมือนหัวใจโกหกกันไม่ได้”

ผมลงมาถึงที่พักเท้า คนยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมพักใหญ่ถึงตะโกนลงมา

“กูก็อยากรู้ของมึงเหมือนกัน!”

ผมหัวเราะร่าทันที “ไม่มีทาง!”

“ที! อย่าโกง!”

ยักไหล่ใส่มัน “ไม่ได้โกงสักหน่อย”

“เดี๋ยวเถอะมึง รออยู่ตรงนั้นเลย”

“เฮ้ย!”

ใจผมหายแวบตอนเห็นคนข้างบนวิ่งลงบันไดมา สองเท้าสอยหนีด้วยความเร็วจนลงมาถึงชั้นล่าง เอี้ยวคอไปมอง คนไล่ตามหลังไม่มีที่ท่าจะหยุด ผมเลยวิ่งออกจากตึกตรงไปทางลานจอด

“แฮ่กๆ”

ผมแปะมือยันตัวกับลูกรักสีน้ำเงิน หอบหายใจจนตัวโยน หันหน้ากลับมาเอาหลังพิงแทน ก็เห็นพาร์หยุดวิ่งยืนหอบห่างไปหน่อย   

รถอาจเป็นเส้นชัยของเรามั้งครับ

ต่างคนต่างกอบโกยอากาศเข้าปอดสักพัก ร่างกายถึงได้กลับเป็นปกติ รอจนพาร์เดินมา ผมก็รีบพูดด้วยเสียงไม่ดังนัก

“ปลดล็อกเร็วๆ ดิ กูอยากได้น้ำกับแอร์เย็นๆ”

เสียงปลดล็อกดังขึ้นทันที ผมมูฟตัวเองขึ้นรถอย่างไว คว้าขวดน้ำที่มีติดรถมาแกะเปิดฝา ไม่ทันยกดื่มก็โดนคนนั่งข้างๆ แย่งไปทั้งขวด

“แกะเองไม่เป็น?”

ไม่มีคำตอบ เพราะมันกำลังกรอกใส่ปาก ผมพ่นลมหายใจ เอื้อมหยิบขวดใหม่ที่ใส่ไว้ช่องข้างประตูแทน

ยังดีที่คนกินน้ำแล้วช่วยเร่งแอร์กับปรับแอร์ให้ 

“จดหมาย…ถ้าไม่สบายใจจะทิ้งไปก็ได้”

ผมลดขวดน้ำลง ลืมไปเลยว่ายัดลงกระเป๋ากางเกงตอนวิ่งหนีมา เหลือบมองคนกำลังทำหน้าจริงจังก็ส่ายหัว 

“ไม่ล่ะ กูอยากรู้ว่าข้างในเขียนว่าอะไร”

“…มึงไม่”

ผมที่กำลังล้วงหาซองจดหมาย หันมองคนพูดแค่สองคำก็เงียบอย่างสงสัย

“กูไม่อะไร”

พาร์พ่นลมหายใจ เอนทั้งตัวพิงเบาะรถ หันหน้ามองมาด้วยแววตาอ้อนวอน“…ไม่หึงกูหน่อยเหรอ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไมต้องหึง?”

“มึงนี่” มันผลักหัวผม “ช่วยหึงหน่อยเหอะ”

“ไม่อ่ะ มันดูงี่เง่าออก”

“ไม่เลย กูอยากเห็นมึงหึงด้วยซ้ำ”

ผมดึงมือพาร์ที่ยังเล่นเส้นผมบนหัวลงมา ยัดซองจดหมายที่ยับยู่ยี่ให้

“อะไร?”

“แกะดิ”

“จะให้กูอ่าน?”

“เออ! กูจะได้กินน้ำต่อ”

ระหว่างกรอกน้ำลงคอ แว่วเสียงฉีกกระดาษลอยเข้าหู ดื่มน้ำจนพอใจถึงหันมองคนข้างๆ เห็นมันกำลังยัดซองจดหมายใส่ช่องข้างประตูพอดี

“ทำอะไร?”

“เปล่า!”

เสียงสูงไปไหน ผมนิ่วหน้าจ้องคนมีพิรุธ สักพักก็เบนสายตาไปทางจดหมายแทน มันไม่แม้แต่จะยัดกระดาษจดหมายลงซอง ถึงเห็นไม่ค่อยชัด แต่ผมแน่ใจว่ามีสามชิ้น ซองจดหมายกับกระดาษจดหมายเข้าคู่กัน แต่อีกหนึ่งกลับดูพิลึกเมื่อมันเป็นแค่กระดาษ A4 ธรรมดา

ผมละสายตาทันทีที่รู้สึกถึงแรงกระชากเล็กๆ พาร์กำลังออกรถจากที่จอด 

“มึงอ่านแล้วนี่ เขียนไว้ว่าอะไร?”

พาร์ไม่ตอบ ท่าทางตั้งใจขับรถมาก แต่สำหรับผม...มันจงใจเมินคำถามกันชัดๆ รอสักพักก็ยังเงียบ เลยเปลี่ยนคำถาม

“บอกกูไม่ได้?”

“…เปล่า”

“งั้นก็พูดมา”

“…ไว้พรุ่งนี้สอบเสร็จก่อน กูค่อยบอก ไม่สิ ให้มึงอ่านเองเลย”

ผมขมวดคิ้ว “งั้นช่วยบอกให้หายข้องใจหน่อย ส่งมาจากใคร?”

“กู…ยังไม่บอกได้ไหม”

“แค่ใบ้มาก็ได้”

“…คนที่มึงรู้จักดี” 

ใคร?

หลังครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ มีคนเดียวที่น่าจะเป็นไปได้

“ไอ้เด็นเรอะ!”

-------------

ผมลืมตามองความมืดมาครู่ใหญ่ พรุ่งนี้ผมมีสอบเช้า แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ

มันค้างคาใจน่ะ

คิดแล้วก็ถอนหายใจเงียบๆ เหลือบมองเงาตะคุ่มทางขวามือ ไม่รู้ว่าคนนอนฟูกข้างๆ หลับไปหรือยัง…ไม่ได้อยากหาคนชวนคุย เพราะผมอยากให้พาร์รีบหลับจะแย่ หลับลึกได้ยิ่งดี!

หลังนอนเฉยไม่กระดุกกระดิกอยู่นาน ผมก็ค่อยๆ พลิกตัว เอานิ้วจิ้มแขนคนข้างๆ ทดสอบ มีความเงียบตอบกลับมาจึงค่อยลุกช้าๆ นึกทวนในใจว่าเห็นมันเอาจดหมายไปซ่อนไว้ตรงไหน ค่อยคลำทางไป ดีว่าที่นี่มันห้องนอนผม คุ้นเคยดี ต่อให้มืดขนาดนี้ก็ไปถูก แต่เรื่องหาของต้องมีตัวช่วย

ผมล้วงไฟฉายปากกาที่แอบเอามาซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงนอนมาคาบในปาก ถึงที่หมายก็เริ่มบิดให้ไฟสว่าง เริ่มต้นค้นหาอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง

ไม่มี…ไม่มี…นี่ก็ไม่มี

เริ่มนึกเกลียดชั้นหนังสือก็วันนี้ หนังสือจะเยอะไปไหน แล้วมันเอาไปสอดแอบไว้กับเล่มไหนวะเนี่ย!

มือดึงเล่มต่อไปมาเปิดหาต่อ ผมหาจนเกือบสิบเล่มจนเกือบถอดใจ แต่สุดท้ายก็เจอจนได้

ดีนะที่ตอนนั้นแอบมองไว้ ดีนะที่เมื่อกี้ไม่ถอดใจ…

ฟืบ!

ซองจดหมายโดนดึงหายไปต่อหน้าต่อตา ผมพึ่งรู้สึกถึงคนด้านหลังก็ชักใจเสีย มือดึงไฟฉายปากกาจากปาก หมุนปิดไฟ พลางหัวเราะแห้งๆ นำทัพ

“เอ่อ ถ้าจะเข้าห้องน้ำ มึงต้องออกประตูทางโน้น”

“กูตื่นมาจับขโมยต่างหาก”

“มีขโมยที่ไหน ตรงนี้มีแต่เจ้าของห้องกับแขกผู้มาพักอาศัย”

“หลักฐานอยู่ในมือกู แถมก่อนหน้านี้ยังเห็นเองกับตา”

ผมกลืนน้ำลายลงคอ รีบหมุนตัวไปเผชิญหน้าด้วย เมื่อคิดคำแก้ตัวไม่ออก ก็พูดโพล่งแบบกำปั้นทุบดิน

“มึงฝันอยู่!”

“งั้นเหรอ”

“ใช่!” ผมรีบพยักหน้ายืนยัน “นี่มันในความฝัน!!”

“ฝันของกูด้วยใช่ไหม”

“ใช่ๆ” ผมดันพาร์ให้เดินถอยหลังไปทางฟูกนอน “รู้แล้วก็รีบล้มตัวนอนเหอะ มึงจะได้ตื่นมาเห็นความจริง”

ผมดันพาร์ลงฟูก กำลังจะผละออก กลับโดนรั้งจนเสียหลักนอนทับคนดึงไปเต็มๆ ไม่ทันตั้งหลักก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสแผ่วเบาตรงแผ่นหลังไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ จนเสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่

“หยุดเลยนะมึง!”

“หยุดทำไมล่ะ กูฝันอยู่นี่”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย!” 

“เกี่ยวสิ”

“เฮ้ย!”

ผมรีบเบือนหน้าหลบสัมผัสตรงแก้ม ก่อนสะดุ้งโหยงกับสัมผัสตรงซอกคอ

“พาร์!”

ผมรีบยันตัวหนี แต่ดันโดนพลิกตะแคงข้าง กอดรัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด   

“รู้ไหม” เสียงกระซิบใกล้หู “ในความฝันจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

ผมสะดุ้งอีกครั้ง รีบร้องบอกเสียหลงก่อนโดนบีบก้นอีก

“กูยอมแล้ว!”

“ยอมว่า?”

“เอามือออกไปเลยนะมึง!”

“บอกมาก่อน”

“อย่าลูบ!” ผมร้องท้วง พร้อมเปิดปากสารภาพผิด “กูผิดเอง และนี่คือความจริง ไม่ใช่ฝัน!”

“ก็แค่นั้น”

ทันทีที่เป็นอิสระ ผมรีบกลิ้งหนีคนปล่อย แต่ก่อนพ้นระยะขอถีบมันหน่อยเหอะ

“โอ๊ย!”

ถึงฟูกตัวเองก็รีบมุดอยู่ข้างใต้ผ้าห่ม “จะเอาจดหมายไปซ่อนหรือเผาก็เรื่องของมึง กูจะนอนแล้ว”

“ไม่อยากรู้เนื้อหาแล้ว”

ผมเม้มปากสักพัก ก่อนยอมตอบตามจริง “…อยาก”

“ถ้าเอาไปเผา อดอ่านเลยนะ”

“ก็…ถามจากมึงแทนไง ช่างเถอะน่า กูนอนแล้ว

แว่วเสียงหัวเราะในคอลอยเข้าหู ผมกัดฟันรู้สึกเจ็บใจสุดๆ แต่ทำอะไรไม่ได้

ฝากไว้ก่อนเถอะ!

-------------

“เป็นอะไร หน้าบูดมาเลย”

ผมมองลูกหว้า แค่อารมณ์เสียตกค้างจากเรื่องเมื่อคืน ยิ่งเช้ามาเห็นหน้าพาร์ก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ขืนบอกคงมีซักยาว เลยพูดปัด

“ไม่มีอะไร”

“มึงไม่มี แต่คนเดินตามหลังมึงมีแน่ๆ ออร่ามีความสุขแผ่มาแต่ไกล ดูก็รู้ว่ากำลังอารมณ์ดีสุดๆ”

“กูขึ้นห้องสอบก่อนล่ะ”

ผมว่าเรียบๆ เมินเสียงอุทานของผองเพื่อน ผละจากมาทันที ถึงอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงซักถามดังไล่หลัง

“มีเรื่องอะไรกัน?”

“ทะเลาะกันอีกแล้ว?”

“เปล่า”

“ไอ้คำปฏิเสธทั้งรอยยิ้มนี่คืออะไร”

แค่ได้ยินเสียงหัวเราะของพาร์ ผมก็รีบจ้ำเท้าเร็วกว่าเดิม นึกว่าจะพ้นระยะ แต่มันดันพูดเสียงดังอย่างจงใจให้ได้ยิน

“แค่ใครบางคนเสียรู้ เลยหงุดหงิดน่ะ”

-------------

กว่าสองชั่วโมงกับการโดนดูดพลังงานชีวิต ผมเดินมึนๆ ออกจากห้องสอบตัวสุดท้าย ด้านนอกยังมีคนจับกลุ่มเหมือนเมื่อวาน เพียงแต่คนน้อยกว่า ผมเดาว่าไม่ไปหาอะไรกิน ก็คงกลับไปพักผ่อนกันแล้ว อ้อ บางคนอาจไปทำกิจกรรมที่ชอบก็ได้

หลังรอมือถือเปิดเครื่องเรียบร้อยก็กดโทรหาคนนั่งรอ

“อยู่ไหน?”

[ใต้ตึกที่เดิม]

ผมคุยไปเดินไป “งั้นไปวนรถออกมาเลยก็ได้”

[กูไม่ได้อยู่คนเดียว]

อ้าว

“แล้วอยู่กับใคร”

[เพื่อนมึง]

“คนไหน?”

[เพื่อนกลุ่มเมื่อเช้า]

“อ้อ งั้นเดี๋ยวกูลงไป”

แต่ก่อนจะวางสาย ปลายสายกลับเรียกชื่อก่อน [ที]

“หือ?”

[เพื่อนมึงรู้เรื่องนั้นแล้วนะ]

ผมย่นคิ้ว “เรื่องไหน?”

[เรื่องเพื่อนคนนั้นของมึง]

ผมชะงักเท้าทันที “มึงเล่าไปแล้ว”

[ตอนแรกว่าจะรอให้มึงพูดเอง แต่มีเหตุผลบางอย่างกูเลยเล่าเรื่องที่เรารู้ให้ฟังก่อน]

“เหตุผลอะไร?”

[…ข้างในจดหมายเมื่อวาน มีกระดาษอยู่สอง]

ผมนึกถึงช่วงเวลาที่เห็นพวกมันบนรถเมื่อวาน กระดาษกับซองจดหมายสีเดียวกัน และกระดาษสีขาวที่เหมือน A4 ผมยังจดจำความรู้สึกแปลกแยกยามเห็นมันได้

[ใบหนึ่งจากคนกลุ่มหนึ่งเขียนข้อความมาขอบางอย่าง พร้อมรายละเอียดติดต่อกลับ ส่วนอีกใบเป็นแผนที่ไปผับแห่งหนึ่งกับข้อความนัดหมาย ซึ่งเพื่อนกลุ่มมึงยืนยันแล้วว่าเป็นลายมือของเพื่อนชื่อเด็น]

“นัดอะไร?”

[คืนนี้นัดเจอสองทุ่มครึ่ง] มีเสียงลมหายใจลอดเข้ามาครั้งหนึ่ง ผมเดาว่าพาร์คงถอนหายใจ [ตอนแรกเพื่อนกลุ่มมึงไม่มีใครรู้ แต่กูพลาดเอง ไม่นึกว่าซองจดหมายจะหล่นจากหนังสือที่กูกำลังอ่าน]

“ถึงอย่างนั้นเพื่อนกูก็ไม่น่าเสียมารยาทหยิบมาเปิดดูเอง”

[ถ้าเป็นปกติน่ะใช่ แต่เพื่อนมึงคนหนึ่งรู้ที่มาของจดหมายเลยหยิบไปเปิดดู เพราะอยากความรู้อยากเห็นเฉยๆ]

“กูไม่เข้าใจ”

[มึงคงจำได้ว่าหน้าซองจดหมายเขียนชื่อของเรา]

“เออ” ทำไมจะจำไม่ได้ ก็เพราะเขียนชื่อทั้งผมทั้งพาร์เนี่ยแหละ ผมถึงได้ติดใจสงสัย

[คือจดหมายควรจะเป็นของกลุ่มที่มาขอตั้งแฟนคลับเรากับเปิดเว็บเพจ ไม่ควรมีกระดาษขาวแทรกเข้ามา กูเลยคาดเดาว่าระหว่างตัวแทนของกลุ่มกำลังมาส่งจดหมายน่าจะเจอเพื่อนมึงเข้า เขาคงคุ้นๆ ว่ารู้จักมึงเลยไปถามหาล่ะมั้ง เพื่อนมึงรู้เข้าคงอาสาเอาไปส่งให้ แต่ความจริงแล้วใส่อย่างอื่นเพิ่มเข้ามาในจดหมาย…]

“เดี๋ยวก่อน” ผมร้องขัดจังหวะ “ซองจดหมายปิดผนึกอยู่ ถ้าไม่ฉีกออกมาล่ะก็…”

[ตอนแรกกูคิดเหมือนมึง] พาร์หยุดพูดเล็กน้อยเหมือนเรียบเรียงความคิด [แต่หลังเทียบลายมือบนหน้าซอง กูเลยคิดว่าไม่ใช่สับเปลี่ยนซองจดหมายใหม่ น่าจะตั้งแต่ต้นคงไม่ได้ทาน้ำปิดผนึกมากกว่า หลังเพื่อนมึงได้จดหมายมาก็คงแอบใส่กระดาษเพิ่ม จัดการปิดผนึกซองให้ แล้วฝากคนอื่นส่งให้กูอีกทีแบบที่มึงเห็นเมื่อวานมั้ง]

“…แล้วทำไมต้องเป็นมึง? และมันทำไปเพื่ออะไร?”

[คำถามแรกกูไม่รู้ อีกคำถามก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าให้คิดในกรณีเลวร้ายสุด] พาร์เงียบไปนานจนผมลงมาถึงชั้นถัดมา [หาเหยื่อ]

ผมหลับตาลง สักพักถึงลืมตาออกเดินต่อ ถึงพยายามข่มอารมณ์แย่ๆ แค่ไหนก็ยังออกไปทางเสียงอยู่ดี

“…งั้นเหรอ”

[แต่แปลกตรงที่คนถูกนัดหมายไม่ใช่มึง]

“ใคร?”

[คนชื่อ ‘ข้าวยำ’ กูเดาว่าเป็นเพื่อนมึงที่เคยเป็นสามีของคนชื่อเด็นใช่ไหม]

“มึงเดาถูก” ผมว่า ครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยบอก “อาจต้องการนัดเคลียร์เป็นครั้งสุดท้ายก็ได้”

[ไม่ว่าจะแง่ไหนก็ไม่ควรมองข้าม]

“อือ…” ผมครางรับคำเตือนของคนปลายสาย ระหว่างมีแต่ความเงียบพักหนึ่งจนผมทนไม่ไหว เลยเปลี่ยนเรื่องคุย “มึงคุยกับกูยาวขนาดนี้ เพื่อนกูไปแล้วใช่ไหม”

[ตอนแรกยัง กูเลยเดินถอยห่างมาคุยกับมึง แต่เมื่อกี้หันไปเห็นพวกเขาลุกจากเก้าอี้ บางคนโบกมือให้กูด้วย]

กว่าผมลงไปถึง พวกมันคงไม่อยู่ให้เจอหน้าแล้วแหงๆ คิดแล้วก็ถอนหายใจ รู้เลยว่าคืนนี้เจอพวกมันแน่ “บอกให้ระวังตัวไปแล้วใช่ไหม”

“ใช่”

ผมครุ่นคิดครู่ใหญ่ ก่อนบอกพาร์ที่ถือสายรออยู่ “เดี๋ยวกูติดต่อเพื่อนอีกกลุ่มก่อน งานนี้เราคงต้องเตรียมตัวกับวางแผนก่อนไป”

[แล้วเพื่อนมึงกลุ่มเมื่อกี้ล่ะ]

“…พูดไปตอนนี้พวกมันอาจไม่ฟังกูก็ได้ เราหาคนไปคุมพวกมันที่ผับอีกทียังง่ายกว่าอีก”

[เพื่อนมึงคงแค่น้อยใจ]

ผมพ่นลมหายใจกับถ้อยคำปลอบ “ไม่ก็กำลังโกรธที่กูไม่ยอมบอก”

[กูบอกเหตุผลของมึงไปแล้ว คงไม่โกรธกันหรอกมั้ง]

“ไม่รู้สิ…เดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกที”

หลังวางสายจากพาร์ ผมก็กดเข้าไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ พิมพ์สั้นๆ

TEE: SOS กูต้องการกองหนุน
TEE: ยำ เมียเก่าของมึงต้องการคุยด้วย

ไม่นานก็มีคนไลน์กลับมา

YamYam: ที่ไหน?
TEE: ยังบอกไม่ได้ มึงไปได้แน่ๆ?
YamYam: ทำไมจะไม่ได้
TEE: คนของมึงให้ไป?
YamYam: ไม่ให้กูก็จะไป นัดเจอกันที่ไหนบอกด้วย

TEE: มึงอยู่ไหน?
YamYam: ห้องพี่ภู
TEE: รออยู่นั่นแหละ บอกเจ้าของห้องด้วยว่าเดี๋ยวมึงจะมีแขกกลุ่มใหญ่มาหา’
YamYam: จะมาชุมนุมกันที่นี่?
TEE: เออ ถือโอกาสให้เพื่อนเก่าแก่ไปดูความเป็นอยู่ของมึงหน่อย’

Wind: ดีๆ กูเป็นห่วงมันจะแย่
White Rabbit: อย่าลืมส่งพิกัดมาด้วย
Blue Sky: ยังสอบไม่เสร็จ ส่งพิกัดร้านมา เดี๋ยวตามไปสมทบ

ผมกดพักหน้าจอ รีบเดินลงบันได ระหว่างนั้นเสียงโทรเข้าก็ดังขึ้น…ยำโทรมา

[ไอ้ที! กูยังไม่พร้อมบอกนะมึง!]

“ไม่พร้อมก็เรื่องของมึง เพราะงานนี้กูว่าพี่ภูไม่ปล่อยมึงไปคนเดียวหรอก”

[แต่…]

“แล้วแต่มึงนะ เพราะถึงไม่บอก เพื่อนเราก็ไม่โง่หรอก ให้พวกมันสังเกตเอาเองก็ได้”

[…มึงจะมาถึงเมื่อไหร่?]

“กูยังอยู่ในมหาลัย และกูมีเรื่องแฟนเก่ามึงไปเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่มึงควรรู้ก่อนไปหา”

[งั้น…รอมึงมาถึงก่อน ค่อยส่งพิกัดห้องพี่ภูไปให้พวกนั้นแล้วกัน]

ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ตามใจแล้วกัน”

############

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #347 เมื่อ25-12-2016 16:40:49 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #348 เมื่อ25-12-2016 16:56:42 »

เรื่องนี้...พี่ภู..ต้องรู้นะ...ยำ..ปัญหามันพันพัว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #349 เมื่อ25-12-2016 19:31:42 »

ขำพาร์ อยากให้ทีหึง  :ling1: :ling1: :ling1:
ชอบบบบ จับได้ไล่ทันขโมยจดหมาย
พาร์ ฉวยโอกาสใช้ความฝันเป็นประโยชน์ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เด็น คงไม่ได้ต้องการเคลียร์แค่นั้น
ที ฉลาดมาก อ่านเกมออก
แถมเตรียมพร้อมประชุมกลุ่ม
วางแผนจัดการเสร็จสรรพ
ยำ ไม่รู้ตำแหน่งตัวเองเลย
โดนพี่ภู จัดหนักแน่ถ้าแอบไปเจอเด็น
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
« ตอบ #349 เมื่อ: 25-12-2016 19:31:42 »





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #350 เมื่อ25-12-2016 21:18:16 »

เด็น......จะทำไร

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #351 เมื่อ25-12-2016 21:34:07 »

เปงเรื่องจิงๆด้วย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #352 เมื่อ26-12-2016 07:56:11 »

เด็นต้องการอะไรล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #353 เมื่อ26-12-2016 09:36:31 »

เคลียร์ยาววววว

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #354 เมื่อ26-12-2016 09:54:40 »

งานเกิด จริง ๆ ด้วย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #355 เมื่อ26-12-2016 10:09:17 »

ยุ่งเหยิงมาก :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #356 เมื่อ26-12-2016 22:23:42 »

เด็นกำลังจะหางานให้ทีแล้วเพื่่อนๆใช่มั้ย? เรื่องที่เด็นอยากนัดคุยต้องมีอะไรไม่ดีแอบแฝงแน่ๆ
ว่าแต่พาร์ทีนี่ก็สวีทกันจริง หมั่นไส้เล็กๆกับความปากไม่ตรงกับใจของที ซึนเหลือเกินนะ แหมๆ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: - ชลนที - [บทที่35] P.12 (25/12/2016)
«ตอบ #357 เมื่อ29-12-2016 14:30:05 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
«ตอบ #358 เมื่อ29-12-2016 23:43:53 »

บทที่ 36

ผมกำลังเล่าเรื่องที่รู้มาให้เพื่อนๆ ฟัง พยายามเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด ตรงกลางกลุ่มมีหลักฐานทั้งภาพจากมือถือของผม ทั้งจดหมาย แต่อยู่ๆ ภาพหลักฐานก็เปลี่ยนเป็นหน้าจอคนโทรเข้า แค่เห็นภาพบุคคลที่บันทึกไว้ทั้งกลุ่มก็แตกฮือ

“รีบรับเลยไอ้ที!”

“ห้ามบอกนะว่าอยู่กับพวกกู”

ผมคว้ามือถือกดรับสาย “มีอะไรอ่ะลุง” พลางเลิกคิ้วมองเพื่อนๆ ที่พร้อมใจกันเงียบกริบ แถมยังชี้ให้ออกไปคุยที่ระเบียงห้อง หน้าตาแต่ละคนเครียดว่าเมื่อครู่นี้อีกครับ ผมเลยจำต้องลุกขึ้นเดินไปเลื่อนประตูกระจกเปิดและปิด ก่อนเท้าแขนกับขอบระเบียงสูงสิบกว่าชั้น

“เมื่อกี้ลุงถามว่าอะไรนะ?”

[อยู่ไหน?]

“ทีอยู่ห้องรุ่นพี่”

[เจ้าหนูนั่นล่ะ ไปด้วยกัน?]

“ลุงจะคุยด้วย?”

[เปล่า สอบเสร็จแล้วใช่ไหม คืนนี้จะอยู่บ้านหรือออกเที่ยว]

คำถามมาเป็นชุด นี่ขนาดยังไม่ได้บอกว่าจะเที่ยวเลยนะ ผมทำใจสักพักก่อนตอบว่าออกเที่ยว ตามคาดโดนซักถามจนพรุน ผมก็พยายามตอบเลี่ยงๆ เท่าที่ทำได้ สุดท้ายก็จบแค่ให้ระวังตัว บ้านผมก็แบบเนี่ย ไม่ห้าม แต่ถ้าจะไปไหนกับพวกเพื่อนๆ ต้องรายงาน เช่น ออกต่างจังหวัด หรือเที่ยวกลางคืนต้องรายงานตลอด แน่นอนว่าขัดไม่ได้ ไม่งั้นจะอดงบเที่ยว

[ทากะจะคุยด้วย]

สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ปกครองอีกคน [ฮัลโหลที]

“ลุงพาทาจังไปเที่ยวไหน?”

[นิกขับรถพาขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ สนใจที่ไหนก็แวะ มืดก็หาที่นอนแถวนั้น ทาจังเลยมึนๆ นิดหน่อย ไม่คิดว่านิกจะพาเที่ยวแบบนี้]

“อย่าไว้ใจนะทาจัง อย่างลุงอาจปล่อยให้ทาจังตายใจก่อนก็ได้”

[นั่นสิ ทาจังกลัวมีเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ว่าแต่คืนนี้เราจะไปเที่ยวสินะ]

“อือ” ผมลังเลนิดหน่อย แต่ก็เอ่ยถาม “…ไม่อยากให้ทีไปเหรอ?”

[ก็แค่เป็นห่วง]

ผมจับน้ำเสียงผิดสังเกตได้ทันที “มีอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนทั้งสองคนกังวลเรื่องที”

[นิดหน่อย] ทากะซังเว้นวรรคไปเล็กน้อยก็พูดอธิบาย [นิกกับทาจังพึ่งเจอหมอดูทักมา]

“หมอดู?” ผมทวนคำงงๆ “ที่รับทำนายเป็นอาชีพ?”

[ไม่ใช่หรอก เอาเป็นว่าทำนิกกับทาจังกังวลเรื่องเราไปเลย]

“เขาพูดว่าอะไร?”

[อยากฟัง]

“อือ”

[บอกว่า…] น้ำเสียงทากะซังอึกอักพิกลจนผมขมวดคิ้ว [ดวงช่วงนี้ของทีให้ระวังมีเรื่อง]

“แค่นั้น?”

[บอกอีก เขาว่าดวงความรักของทีกำลังขึ้น ถ้ากำลังทำงานหรือเรียนจะได้หยุดพักผ่อนช่วงหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้ไปท่องเที่ยวกับเพื่อน แต่ก่อนได้เที่ยวมีสิทธิ์จะเกิดเรื่อง ควรระมัดระวังตัวตลอดเวลา]

ผมฟังแล้วรู้สึกทะแม่งๆ เลยเอ่ยถาม “เดี๋ยวนี้ทาจังเชื่อเรื่องพวกนี้แล้ว?”

[ก็…ไม่เชิง แต่ฟังไว้ก็ดีกว่าไง]

ผิดปกติ!

“ทีขอถาม หมอดูที่ว่ารู้ได้ไงว่าทาจังรู้จักที”

[เขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงทีตรงๆ หรอก เขาถามว่าพวกคุณมีลูกชายใช่ไหมน่ะ ถ้าพูดถึงลูกชายของเราก็ต้องเป็นทีอยู่แล้ว]

“แล้วเขารู้ได้ไง ในเมื่อทั้งนิกทั้งทาจังเป็นผู้ชายทั้งคู่ เดินผ่านๆ ไม่มีทางฟันธงว่ามีความสัมพันธ์แบบไหน ยิ่งถ้าจับตามองมาสักระยะจะรู้ว่าลุงกับทาจังเป็นคู่รัก ไม่มีทางพูดเรื่องลูกให้ฟังหรอก”

[เอ่อ…ก็…เขาเป็นหมอดูไง]

รู้สึกเหมือนเดจาวู คงรู้แล้วใช่ไหมว่าผมเรียนวิธีตอบแบบกำปั้นทุบดินมาจากใคร

“ทีขอถามอีกคำถาม” ผมข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบ “หมอดูที่ว่าคงไม่ได้ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว ฮ. หรือ ท. หรอกใช่ไหม”

[…อ๊ะ นิกเรียกแล้ว ทาจังไปนะ]

ผมหรี่ตาลงมองมือถือที่โดนตัดสายทิ้ง รู้สึกแปลกๆ เหมือนพวกลุงรู้อะไรบางอย่างมา แต่ปิดปังไว้ไม่ยอมบอกกัน

ทำไม?

ไม่ทันได้คิดมากกว่านี้ หน้าจอก็กระพริบสายคนโทรเข้า คราวนี้จากพ่อ

[ไงลูก สอบเสร็จหรือยัง?]

“เสร็จแล้วครับ”

[ดีเลย คุยกับน้องหน่อย น้องขู่พ่อว่าถ้าไม่โทรหาพี่ให้ จะโกรธพ่อไปสามวัน]

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย มีน้องสองคน แน่นอนว่าไม่ใช่ยัยน้ำแน่ เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาน้องสาวก็ไลน์บอกให้ผมติดต่อไปหาทุกวัน จะส่งแค่สติกเกอร์วันละครั้งก็ได้ ผมเลือกส่งหาน้องก่อนนอนทุกคืน ถ้าลืมวันรุ่งขึ้นน้องจะส่งข้อความบ่นยาวเหยียดมาให้ในตอนเช้า ตามด้วยบทลงโทษแสนเอาแต่ใจ

Nam: ต้องให้พวกน้ำไปเที่ยวมหาลัยพี่
Nam: พี่ติดทำอาหารตามน้องสั่งสองรายการ
Nam: ต้องซื้อของอร่อยที่สุดในแหล่งท่องเที่ยวมาฝากน้อง

อันหลังสุดพึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ตอนเช้า เพราะเมื่อคืนผมมัวแต่คิดเรื่องจดหมายจนลืมส่งข้อความไปหา สรุปคือผมลืมมาแล้วสามครั้ง

[พี่] เสียงน้องอันข้างหูดึงผมออกจากภวังค์

“ไงตัวเล็ก” เลื่อนมือถือดูนาฬิกาตรงมุมจอแวบหนึ่ง จากเวลาน่าจะกำลังเดินทางกลับกัน “วันนี้พ่อไปรับกลับ?”

[อือ! พี่อยู่ไหน]

จะบอกไงดี พูดคำว่า ‘รุ่นพี่’ ไปคงไม่รู้จักมั้ง งั้น…

“บ้านเพื่อนครับ”

[กลับบ้าน]

หือ!

เหมือนผมจะหูฝาด เลยถามซ้ำ “อะไรนะ?”

[กลับบ้าน!]

คราวนี้ชัดเจน ผมพึ่งโดนน้องคนเล็กสั่งให้กลับบ้าน ริมฝีปากเผลอคลี่ยิ้มขำขัน บอกตามตรงผมถูกใจเสียงขึงขังของน้องไม่น้อย

“พี่ยังกลับไม่ได้”

น้องเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนคำสั่งที่สองจะตามมา [มารับอันด้วย]

ผมเลิกคิ้วสูง “จะมาอยู่กับพี่?”

[อือ!]

ตอบรับหนักแน่นมากครับน้องผม รีบยกมือปิดปากก่อนเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมา…เผลอๆ เจ้าตัวเล็กติดผมมากกว่าน้ำอีกมั้งเนี่ย

ผมรีบสะบัดไล่ความคิดในหัวตอนนี้ออก ครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยถาม “น้องอันปิดเทอมยัง?”

[ปิดเทอม?] ทวนคำพูดกลับมา […ยังนะ]

“งั้นมาอยู่กับพี่ไม่ได้หรอก”

[ทำไมล่ะ?]

“ก็ถ้ามาอยู่กับพี่ตอนนี้ อันจะขาดเรียนนี่น่า”

[อันยอม]

“จะไม่ได้เจอคุณครู แถมอดเล่นกับเพื่อนๆ ด้วยนะ” ไม่มีเสียงตอบกลับมาทันทีเหมือนเมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะเริ่มลังเล ผมเลยถือโอกาสกล่อมต่อ “เดี๋ยวพี่ก็กลับไปหาแล้ว รอพี่เอาของเจ๋งๆ ไปให้ดีกว่า”

[…นานไหม]

“ก็” ผมกรอกตามองท้องฟ้า จะอธิบายเรื่องเวลากับเด็กห้าขวบยังไงดี “เอางี้ อันรู้จักปฏิทินไหม”

[อันรู้]

“เก่งมาก งั้นกลับบ้านก็ถามพ่อดูว่าวันนี้คือตรงไหน แล้วนับไปอีกสองช่องจะเห็นตัวเลขสีแดงๆ อันก็เริ่มนับตัวสีแดงๆ ลงมาอีกสองครั้ง…”

ยังอธิบายไม่ทันจบ ก็ได้ยินเจ้าตัวเล็กร้องหาปฏิทินจากพ่อ ด้วยความที่ออกเสียงไม่ชัด ฟังไปฟังมาเหมือนน้องเรียกปาทิน พ่อคงงงเลยถามกลับมาหลายครั้ง เดือดร้อนผมต้องพูดคำเดิมให้ฟังช้าๆ ปล่อยน้องออกเสียงตาม สุดท้ายเจ้าตัวเล็กก็ได้ของที่ต้องการ ไม่นึกว่าบนรถพ่อมีปฏิทินเก็บไว้ด้วย

“หาคำว่าธันวาคมก่อน ใช่ๆ เดือนสิบสอง แล้วก็หาเลขสิบแปด”

[อันเจอแล้ว]

“นับออกไปอีกสองจะเป็นเลขยี่สิบใช่ไหม เป็นสีอะไรครับ”

[สีแดง]

“นับลงมาข้างล่างอีกสองครั้ง…”

[สองครั้งไม่ได้ ข้างล่างมีแค่อันเดียว]

อ้าว นึกๆ ดู อ้อ สิ้นสุดเดือนนี่น่า งั้น…

“ถามพ่อนะเดือนถัดไปอยู่ไหน”

[พ่อ เดือนถัดไปอยู่ไหน]

[ต่อจากธันวาเหรอลูก นี่ไง ตรงนี้ที่เป็นสีจางๆ]

[อันเจอแล้ว]

“เห็นเลขหกไหม?”

[อือ]

“พี่กลับวันนั้นแหละ”

อันที่จริงผมน่าจะบอกน้องแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ พอเจ้าตัวเล็กได้คำตอบพอใจก็คุยกับผมอีกนิดหน่อยก็วางสายไป แต่เชื่อเถอะ น้องอันไม่เข้าใจหรอกว่ามันนานแค่ไหน เพราะถ้ารู้คงโวยวายใส่ผมไปแล้ว

ผมโคลงหัว ต้องรอโตกว่านี้อีกหน่อย

พอกลับเข้ามาในห้อง ทันได้ยินพาร์ (น่าจะอาสาเล่าเรื่องต่อจากผม) กำลังพูดปิดท้ายพอดี ระหว่างเดินไปนั่งที่เดิม สายตาก็เหลือบมองไอ้ยำที่ดูตั้งใจฟังสุดพลางแอบส่ายหน้า

ถ้าถามหาเจ้าของห้องอีกคน ผมพึ่งเดินสวนกับพี่แกแถวลิฟต์ชั้นล่างตอนขามา เท่าที่คุยกันเห็นว่าจะไปซื้อของตามใบสั่ง เอ้ย ใบรายการที่คุณเมียเขียนส่งให้ ไม่รู้มันไปหลอกล่อพี่ภูท่าไหน ถึงได้ยอมทิ้งเมียไว้ที่ห้องตามลำพังทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะมีแขกมาหา

“เดี๋ยวก่อน กูไม่เข้าใจว่าแค่ส่งข่าว แฟนเก่ายำจะทำเรื่องซับซ้อนไปทำไม”

“กูเห็นด้วย เดี๋ยวนี้ติดต่อทางอื่นสะดวกกว่าส่งจดหมายตั้งเยอะ”

“เจ้าของจดหมายจริงๆ ไม่ใช่แฟนเก่ายำนี่”

ผมพูดบ้าง “กูเดาว่าเจ้าของจดหมายจริงๆ คงไม่กล้าติดต่อมาทางอื่นมั้ง เพราะตามความจริงกูไม่รู้จักก็ถือเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี”

“เหอะๆ มึงคิดมากไปแล้ว ไอ้วินยังมีคนแปลกหน้าติดต่อหาทุกวี่ทุกวัน ไลน์บ้าง เฟซบ้าง เต็มไปหมด”

“นั่นคนดัง” ผมว่า

“แล้วมึงไม่ดังหรือไง!”

“ไม่”

“โหยย! กล้าพูด! ยำฝากตบหัวมันทีดิ”

คนโดนสั่งหันมองผม แล้วรีบหันไปส่ายหน้าให้ไวไว มันขมวดคิ้วทันที เมื่อเห็นคู่หูไม่ยอมทำตามที่บอก นับเป็นเรื่องผิดปกติอย่างหนึ่ง ไวไวเลยจ้องจับผิดผมแทน จ้องไปเถอะ ไม่มีทางรู้หรอก ในเมื่อเจ้าของความลับไม่คิดเปิดเผย ผมก็คงกุมความลับของยำไว้ในกำมือต่อไป

“หรือมึงบล็อกทุกการติดต่อกับแฟนเก่าแล้ว?” เทมถามขึ้นมา

ประเด็นเริ่มมีสาระ ยำส่ายหน้าแทนการตอบ ผมเริ่มเอะใจบางอย่าง เลยยื่นมือไปหาคนนั่งทางซ้าย

“เอามือถือมึงมาดูดิ”

หลังได้มาก็กดปลดล็อก ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่รู้ และไม่ใช่แค่ของยำ สรุปคือรู้รหัสกันหมดทุกคน สมกับที่เคยบอกว่าไม่มีความลับระหว่างกัน แต่ข้อนี้ยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งรักษาไม่อยู่…ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ชัดๆ

หลังกดดูสักพักก็ส่งคืนเจ้าของ รายงานให้คนนั่งรอฟัง “บล็อกหมดแล้ว”

“เฮ้ย แต่กูไม่เคยกด…”

ผมพูดขัดยำทันที “ยำอาจไม่ได้ทำ แต่มีคนอื่นทำแทน”

“ใครวะ?” ไวไวถาม

ผมเหล่มองไอ้คนข้างๆ ยกยิ้มมุมปาก “แฟนใหม่ไอ้ยำ”

“อ้าว มึงมีแฟนใหม่แล้ว?”

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่โดนยำจ้องเขม็งคาดโทษใส่ บอกตามตรงผมทั้งหมั่นไส้ทั้งคันปากยิบๆ อย่างจะแฉมันจะแย่

“ยังไม่ใช่แฟน!”

เพื่อนคนอื่นพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้สนใจประเด็นนี้อีก ผิดกับผมที่เอียงตัวกระซิบข้างหูไอ้คนปฏิเสธเสียงแข็ง

“เพราะเป็นยิ่งกว่าแฟนนี่เนอะ”

“ไอ้ที!”

ผมหัวเราะเอียงหัวหลบฝ่ามือมัน หันไปสนใจประเด็นที่ทั้งกลุ่มกำลังพูด

“สรุปว่าเพราะติดต่อยำไม่ได้ เลยติดต่อทางทีแทน?”

“แล้วทำไมต้องทำอะไรลึกลับอย่างส่งแทรกมากับจดหมายคนอื่น?”

“มึงบล็อกเหมือนกัน?”

ผมส่ายหน้า พูดเสริม “ถึงไม่บล็อก มันก็คงไม่กล้าติดต่อกูก่อนหรอก ล่าสุดที่คุยกันต่อหน้าจบได้ยอดแย่ และมันคงนึกว่ากูยังโกรธอยู่มั้ง”

“แต่กูว่ามันกะยิงครั้งเดียวได้นกสองตัวมากกว่า”

“ยังไง?”

“ก็ถ้าทีรู้ มันคงไปกับยำอยู่แล้ว”

แต่ละคนพยักหน้า เพื่อนทั้งกลุ่มขาดแค่สองคือต่อที่บอกมาชัดเจนว่าไม่ว่างมาเจอ กับกายที่ยังติดสอบช่วงเย็น ถึงอย่างนั้นผมก็ส่งพิกัดร้านไปเผื่อ กายยืนยันกลับมาว่าจะไปหา ส่วนต่อยังไม่แน่ใจว่าจะปลีกตัวมาได้ มันบอกว่าต้องทำงานชิ้นหนึ่งให้พ่อ ต้องทำให้เสร็จก่อนไปเที่ยว ไม่งั้นคงอดไปเที่ยวกับพวกผม ฟังแล้วก็เครียดแทน พ่อมันรีบร้อนเกินไปแล้ว

“กับดักใช่ไหม?”

“มองเป็นอย่างอื่นได้ด้วย?”

“ใจเย็นๆ อย่าพึ่งอคติ ถ้าเป็นกายคงพูดแบบนี้” วินว่า “ลองมาคิดกันใหม่เถอะ เอาแบบที่มีเหตุผลรองรับ หัวข้อคือ คิดว่าเป็นแง่ดีหรือร้ายมากกว่ากัน ให้เวลาคิดห้านาทีค่อยตอบ”

หลังผ่านไปห้านาที คนที่พูดคนแรกคือเทม

“กูว่าร้าย” น้ำเสียงราบเรียบ ชี้นิ้วทางกระดาษ A4 ปรินต์เป็นแผนที่มา มีวงปากกาไว้ว่าที่ไหน ด้านล่างมีเขียนวัน เวลา ชื่อคนนัดหมายด้วยลายมือของเด็น “สถานที่นัดคุยมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องระบุเจาะจงว่าเป็นที่ผับ”

“กูเห็นด้วย” ไวไวยกมือ “เป็นกูคงหาที่เงียบสงบคุยมากกว่าเลือกที่เสียงดังๆ ต้องคอยกระซิบข้างหูถึงจะได้ยินแบบผับ กูเลือกมองในแง่ร้าย”

“คนอื่นล่ะ”

ผมกับพาร์สบตากัน ก่อนที่ผมจะพูดขึ้น “พาร์เล่าเรื่องที่เจอเด็นตรงหน้าโรงแรมแล้วใช่ไหม”

“อือ”

“อันที่จริงคืนนั้นกูเห็นมันไปเที่ยวผับกับเพื่อนกลุ่มใหม่” พูดไปแล้วก็เผลอถอนหายใจ เหลือบมองแผนที่วางกลางวงอีกรอบให้แน่ใจ “ตอนที่กูเห็นมันเดินอยู่ ผับที่วงกลมไว้อยู่ในละแวกนั้นพอดี”

“เดี๋ยวๆ มึงหมายความว่ามันไปผับนั่นกับเพื่อนกลุ่มใหม่ แล้วเจอไอ้พวกนั้นสินะ”

“กูแค่เดา เพราะอีกสองคนที่ยืนหน้าโรงแรมกับมัน เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับที่กูเห็นคืนนั้นด้วย เสียดายกูไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เลยไม่มีหลักฐานยืนยัน”

“ประเด็นคือผับที่นัดหมายมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นจุดล่าเหยื่อสินะ”

“คิดว่า” พาร์บอกเสียงขรึม

“มันล่อเราไปเจออันตรายชัดๆ”

“มองหาแง่ดีไม่ไหวจริงๆ”

“นี่พวกมึงสองตัวคบไอ้คนแบบนี้เป็นเพื่อนเป็นแฟนได้ไงเนี่ย!”

ยำทำหน้าอ้ำอึ้ง ส่วนผมทำได้แค่ถอนหายใจ อธิบายแทน “เมื่อก่อนถึงมันจะเอาแต่ใจไปหน่อย แต่นิสัยโอเคดี ที่มันเปลี่ยนไปกูเดาว่าคงเกิดจาก…หลายๆ สาเหตุ”

“ไม่ก็สันดานเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้เผยออกมาให้พวกมึงรู้”

จังหวะนั้นประตูหลักเปิดออก คนที่ไขกุญแจเข้ามาเป็นใครไม่ได้

“สวัสดีครับ”

วินยกมือไหว้รุ่นพี่คณะตัวเองก่อนคนแรก พวกผมเลยทำตามกันหมด ทำไปแล้วก็นึกขึ้นมาว่า ผมทักทายกับพี่ภูไปแล้วนี่หว่า…ว่าแต่ไหงกลับมาเร็วจัง คิดแล้วก็ชำเลืองมองคนทางซ้าย ไอ้ยำทำหน้าตกใจน่าดู

“หวัดดี” พี่ภูกวาดมองพวกผมทีละคน อย่างกับโดนแสกน ก่อนพี่แกจะยิ้มให้นิดๆ “เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บก่อน ยำลุกมาดูด้วยว่าครบไหม”

คนโดนเรียกนั่งลังเล ดูเหมือนมันก็อยากรู้ว่าพี่ภูลักไก่ซื้อของไม่ครบหรือเปล่า ถ้าดูจากรายการที่เพื่อนผมเขียนให้ คนละทิศละทางแบบนั้น น่าจะใช้เวลามากกว่านี้เยอะ คิดแล้วผมยังอยากลุกไปถามว่าพี่ใช้วิธีอะไรถึงได้กลับมาเร็วกว่าที่คาดตั้งเยอะ

มันหันมองผม เอียงตัวมากระซิบ “ไปดูให้กูหน่อย”

“ทำไม?”

“น่านะ ไปดูให้กูหน่อย”

ผมไม่ได้หลงกลน้ำเสียงอ้อนของเพื่อน แต่ยอมทำตาม เพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ ลุกขึ้นยืนเดินตามพี่ภูที่เลี้ยวหายไปโซนครัว พอพี่ภูเงยหน้าเจอผมก็พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ พูดแค่สองคำ

“กะแล้ว”

“ผมก็ไม่อยากมาหรอกพี่”

พี่ภูส่งใบรายการให้ “จะเช็ดใช่ไหมล่ะ ของทั้งหมดอยู่นู้น”

ผมรับมาเช็ดอย่างละเอียด ดูทั้งชื่อร้าน ทั้งวันปีผลิต ทั้งหมดนั้นคือขนมครับ เป็นของร้านดังๆ ที่เพื่อนผมชอบมากซะด้วย ทุกอย่างครบไม่มีขาด มีเกินด้วยซ้ำ

“พี่ทำได้ไงเนี่ย ซื้อของทั้งหมดนี่ในเวลาแค่นี้?”

“เพราะพี่ฉลาดไง”

ผมวางกระดาษในมือลง หันไปมองคนพิงโต๊ะเคาน์เตอร์ ในมือมีแก้วน้ำเย็นๆ กวาดสำรวจเร็วๆ พี่แกไม่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยให้เห็นด้วยซ้ำ

“ผมขอถามได้ไหม”

“งั้นมาแลกเปลี่ยนกัน เราถามมากี่คำถาม พี่ก็จะถามกลับเท่ากัน”

แฟร์ดี ผมเลยพยักหน้า เอ่ยปากถามก่อน “พี่ใช้วิธีอะไรถึงซื้อของทั้งหมดเร็วขนาดนี้?”

“ง่าย ในเมื่อมันอยู่คนละทิศละทางขนาดนั้น พี่ก็แค่จอดรถไว้กึ่งกลางของสถานที่ทั้งหมด แล้วรอของเดินทางมาหาเอง”

“พี่ใช้คนอื่นไปซื้อของให้?”

“ใช่ มันระบุชัดเจนขนาดนี้ คนอื่นก็ซื้อให้พี่ได้”

ผมเหลือบมองเพื่อน มันพลาดอีกแล้ว น่าจะเขียนบอกแค่ร้าน แล้วตั้งเงื่อนไขให้พี่ภูลองเลือกของที่มันชอบมากกว่า พี่ภูน่าจะใช้เวลาเยอะกว่านี้ แต่ก็ไม่แน่ คนๆ นี้อาจคิดแผนแก้ออกอีกก็ได้

“จะถามอะไรพี่อีกไหม”

ผมรีบพยักหน้า “ยำใช้อะไรล่อให้พี่ออกจากห้อง?”

มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นทันที เป็นรอยยิ้มกริ่มที่ผมรู้คำตอบทันทีว่าเพื่อนผมต้องเสียรู้ให้คนตรงหน้าอีกแล้ว

“ถ้าพี่ทำได้ในเวลาที่กำหนด ปิดเทอมนี้พี่จะได้ไปเที่ยวด้วย”

“ไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหม ไม่งั้นพี่ไม่ทำเวลาดีขนาดนี้หรอก”

“เรานี่ฉลาดจริงๆ ถ้ายำเป็นแบบเรา พี่คงแย่”

ก็พี่เล่นฉกคนที่ตรงไปตรงมา ไร้เล่ห์เหลี่ยมที่สุดของกลุ่มผมไปนี่!

“ก็…ถ้าพี่ทำเวลาได้ดี พี่จะได้ของตอบแทนบางอย่างน่ะ”

ผมหันมองเพื่อนตัวเองอีกครั้ง ไอ้ยำกำลังมองมาทางนี้พอดี แววตาสั่นไหวคล้ายกลัวอะไรบางอย่าง ไม่สิ กลัวพี่ภูล่ะมั้ง

“พี่ทำเพื่อนผมกลัวแล้วนะนั่น”

“อ้อ ก็แค่กลัวจะได้ขึ้นเตียงกับพี่น่ะ เป็นแบบนี้ทุกที ป่านนี้แล้วยังทำใจเป็นฝ่ายรับไม่ได้ ทั้งที่ร่างกายตอบสนองสัมผัสพี่แล้วแท้ๆ แมวเถื่อนของพี่ซึนได้ใจจริงๆ ว่าไหม”

“…” ผมของดออกความเห็นดีกว่า

“เมื่อกี้สี่คำถาม…ถูกไหม?”

ผมพยักหน้า รอฟังว่าพี่แกจะถามอะไร

“ยกโขยงมาห้องพี่ทำไมกัน?”

“มาหายำ”

“บอกสาเหตุมาให้หมดทุกเรื่อง”

ผมพ่นลมหายใจ “มาดูความเป็นอยู่ของเพื่อน มาปรึกษา มาประชุมวางแผน”

พี่ภูหรี่ตามองมา “ปรึกษากับวางแผนเรื่องอะไร?”

เข้าใจถามมาก! แต่อย่าคิดว่าผมจะจนมุมง่ายๆ

“เรื่องไปเที่ยวผับคืนนี้”

พี่ภูย่นหัวคิ้ว หันมองคนด้านนอก สีหน้าพี่แกดูหงุดหงิด ผมก็ได้แต่รอฟังคำถามสุดท้าย นานทีเดียวกว่าพี่ภูหันกลับมา

“อธิบายให้พี่ฟังหน่อย ทั้งกลุ่มเครียดเรื่องอะไร? อ้อ พี่ขอแบบละเอียดยิบ ห้ามแถ ห้ามโกหก ห้ามพูดจริงแค่ผิวเผิน ห้ามพูดจริงแค่ครึ่งเดียว ห้าม…”

ผมพูดขัดอย่างทนไม่ไหว “พี่แค่สั่งว่าให้พูดความจริงทั้งหมด ขอแบบเจาะลึก ห้ามหมกเม็ดก็พอแล้ว!”

-------------

“เป็นไร?”

ผมหันมองคนขับรถ หลังการประชุมวางแผนรับมือจบลง ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงจึงแยกย้ายไปแต่งตัวที่บ้านใครบ้านมัน

“ปวดหัวน่ะสิถามได้”

“นอนพักไปก่อน เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุก”

ผมโบกมือปฏิเสธ ก่อนถอนหายใจยาวเหยียด “สุดท้ายก็ได้คนมาเพิ่มกว่าที่คาดการณ์ กูว่าชักจะวุ่นวายยังไงชอบกล”

“มึงไปบอกพี่เขาเอง”

“ถึงกูไม่บอก เขาก็ต้องตื้อขอตามไปอยู่ดี”

“…เลยมากันหมด”

ใช่ มาหมด ทั้งพี่นัทที่พอได้ยินชื่อเด็นก็ยอมมาง่ายๆ เหมือนอยากจะเคลียร์กับเด็นเช่นกัน ส่วนพี่เต้…พี่ภูตะลอมด้วยของฟรีก็แล้ว ด้วยเหตุผลก็แล้ว พี่เต้ยังปฏิเสธเสียงแข็ง แต่มาตกม้าตาย เพราะสองประโยคนี้

“กำลังจะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้น มึงไม่อยากมาร่วมวง?”

หลังจากนั้นก็เสนอฟรีทุกอย่างอีกรอบ แถมพี่ภูยังย้ำอีกว่าถึงเวลาออกโรงอยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แต่หลังวางสายพี่ภูกลับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“ที เดี๋ยวเพื่อนเต้อีกสองคนมาเข้าร่วมด้วย ถ้าเป็นสามคนนี้ทำได้ทุกอย่างแหละ ต่อให้ต้องทำตัวออกสาวก็ทำได้”

นึกถึงแล้วก็ได้แต่นวดขมับ สักพักก็ถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความปลง

-------------

สองทุ่มกว่า กลุ่มลุยแนวหน้าประกอบด้วยผม ยำ และเพื่อนพี่ภูอีกสามคนนัดรวมกลุ่มกันที่หน้าทางเข้า นอกจากพวกผมยังมีอีกสองกลุ่มเข้าไปก่อนแล้ว แบ่งเป็นกลุ่มสังเกตการณ์ระยะใกล้ มีกาย (ที่จะมาสมทบภายหลัง) เทม พี่ภู และพาร์ คนหลังสุดควบสองตำแหน่ง เพราะช่วงแรกมันต้องพาวินกับไวไวไปหากลุ่มลูกหว้าก่อน ทิ้งทั้งคู่ไว้คอยดูแลกลุ่มลูกหว้า หลังจากนั้นพาร์จะย้ายกลับมาอยู่กลุ่มพี่ภูอีกที วินกับไวไวเลยเป็นกลุ่มที่สอง คอยคุมเพื่อนผมไม่ให้เข้ามาวุ่นวายจนเสียแผน

พูดถึงพี่ภู รายนี้เล่นแต่งตัวจนจำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแย่นะครับ ตรงข้าม ดีมากจนขนาดยำยังอ้าปากค้าง แล้วมาบ่นให้ผมฟังอยู่เนี่ย

“พอๆ กูขี้เกียจฟังแล้ว นี่มึงกำลังหึงใช่ไหม?”

“ใครหึง!” ยำเถียงกลับมาทันที

“ไม่หึงก็เลิกบ่น เกรงใจพวกพี่เขาหน่อย”

“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรๆ”

พี่สามคนนี้ชื่อพี่ช้าง พี่เพชร และพี่เต้ พอทางพี่ภูบอกให้แต่งแบบไหนก็ออกมาแบบนั้น เห็นแวบแรกผมนึกว่าพวกพี่เป็นพวกออกสาวจริงๆ แต่พอคุยๆ กันแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ แถมพวกเขายังเฮฮากันดี แนะนำอีกต่างหากว่าทั้งกลุ่มโดนคนที่มหาลัยเรียก ‘เพี้ยนคูณสาม’ น่าจะเป็นชื่อกลุ่มล่ะมั้งครับ

“อ๊ะ ไม่สิ เปลี่ยนชื่อเรียกแล้วนี่หว่า อะไรเถาๆ นะ?”

“สามใบเถากลางถนน” พี่เต้ว่า

“นั่นแหละ!” พี่ช้างดีดนิ้ว “ว่าแต่ทั้งสองคน แต่งตัวผิดคอนเซปนะ”

“ครับ?” ผมถามกลับเสียงสูง ก้มมองเสื้อผ้าตัวเอง บอกตามตรงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอก แต่คนเลือกให้อย่างพาร์บอกว่าดีแล้ว “มันแย่เหรอพี่”

“ถ้าจะเล่นบทออกสาวต้องเปลี่ยนลุคกันหน่อย มาเดี๋ยวพวกพี่จัดการให้”

เดี๋ยวๆๆ ผมไม่ได้จะเล่นด้วยนะพี่! 

“กูจัดการน้องทีเอง เต้มาช่วยกู เพชรไปจัดการน้องอีกคน”

ผมโดนพี่ช้างจับล็อกแขน “เฮ้ย! พี่ช้าง! เดี๋ยวก่อนนนน”

 “จัดการเลยเต้”

พี่แกทั้งสองไม่ฟังผมเลย ลากผมไปลานจอดรถ ยัดขึ้นรถคันหนึ่ง

…ผมไม่ขอบรรยายสารรูปตัวเองแล้วกัน (ผมไม่เห็น และไม่กล้าไปส่องกระจกด้วย)

ส่วนเพื่อนผมน่ะเหรอ…เห็นมันแล้วนึกหน้าพี่ภูหงุดหงิดออกเลย ยำแค่ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง แต่ไม่ยักโวยวาย คงรู้สึกเหมือนผมมั้งว่าสามรุ่นพี่ไม่ได้มีเจตนาแกล้งแต่อย่างใด พวกเขาแค่ทำให้พวกผมดูกลมกลืนไปกับกลุ่มด้วยเฉยๆ (ล่ะมั้ง)

“น่ารักกว่าพวกเราอีกนะเนี่ย ไหนๆ ไอ้เพชร ไอ้เต้มายืนนี่ดิ…ฮ่าๆๆ พวกมึงน่ารักสู้น้องไม่ได้วะ”

“กูไม่คิดสู้อยู่แล้ว”

“ปลงเร็วไปแล้วเพชร ปะ ไปวาดลวดลายกัน”

ผมเดินตามสามรุ่นพี่ผ่านลานจอดรถ ใกล้ถึงประตูอาคารก็ชะงักกึก เขม็งมองป้ายประกาศชัดว่า ‘Men Only’ พร้อมกับเสียงการ์ดเฝ้าประตูพูดเหมือนท่องสโลแกน

“ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นชายหรือหญิง ขอแค่บัตรประชาชนใช้คำว่าเพศชาย อายุถึงเกณฑ์ก็เข้าไปได้”

“อ้อ ขอดูบัตรประชาชนสินะ”

พวกพี่ๆ ยื่นให้หมดแล้ว ผมกับยำยังไม่เลิกตัวแข็งทื่อ จนสามรุ่นพี่ต้องช่วยกันสะกิด

“ยืนเฉยทำไมเล่า ยื่นบัตรให้เขาดูเร็ว”

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าระหว่างยื่นบัตรประชาชนให้ดู พลางหวนนึกถึงกลุ่มเพื่อนๆ ที่นำหน้าเข้าไปก่อนที่สามรุ่นพี่จะมา ตอนนั้นน่าจะเอะใจที่เห็นพวกมันยืนแถวประตูทางเข้าตั้งนาน ผมก็นึกว่ามีปัญหาเรื่องอายุ ที่ไหนได้…แล้วก็ไม่บอกกันนะพวกมึง

“ทำไมมึงไม่บอกกูว่าเป็นผับแบบนี้”

ผมรีบกระซิบกลับ “กูก็พึ่งรู้พร้อมมึงเนี่ย”

“ตายโหง สารรูปแบบนี้อีก เอ่อ เราถอยหลังกลับยังทันไหมวะมึง”

“ผ่านครับ”

เสียงการ์ดเอ่ยแทรกขวางบทซุบซิบ เราทำได้แค่มองหน้ากัน ก่อนโดนพี่ๆ ฉุดเข้าด้านใน

“เป็นอะไรไอ้น้อง กลัวขึ้นมาเหรอ”

ผมที่กำลังเหงื่อแตกกับสายตาที่มองมารีบพยักหน้า “ก็กลัวน่ะสิครับ!”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต”

พูดง่ายไปแล้ว!

“เกือบลืม มาเดิมพันกันว่าใครได้เบอร์มากที่สุด”

ฮะ! ยังมีอารมณ์พนันกันอีกเหรอพี่!

“ผู้ชนะได้อะไร?”

“เมนูฟูลคอร์สสักมื้อเป็นไง”

“ก็ได้”

“ตามนั้น”

ผมเบะปาก สามคนนี้ชิวเกินไปแล้ว

“ทีกับยำก็เล่นกับพวกพี่ด้วยล่ะ”

ผมสะดุ้ง “เดี๋ยวพี่…”

“ห้ามออมมือให้พวกพี่เชียวนะ ไม่งั้นมีโกรธ”

ผมหุบปากฉับ ได้แต่สบตายำที่อยู่ใกล้ๆ มันกำลังหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่ยังมีใจโน้นหน้ามากระซิบบอก

“ทะ ทำไมกูรู้สึกเหมือนเห็นนรกอยู่ตรงหน้าวะ”

“ถามกูเหรอ?” ผมว่า

“เออ!”

“กูบอกได้แค่ว่า ‘ปวดหัว’ วะ!”

############

อีกไม่กี่วันก็ขึ้นปีใหม่แล้ว เราขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ

Happy New Year!
ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่ดี
เป็นปีที่มีความสุขความเจริญทั่วหน้าค่ะ

 

ตอนนี้คนเขียนขอตัวไปแพ็คกระเป๋า เตรียมหนีเที่ยวบ้างแล้ว
ไว้เจอกันใหม่ปีหน้านะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2016 23:58:39 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่36] P.12 (30/12/2016)
«ตอบ #359 เมื่อ30-12-2016 10:31:00 »

หะหะหะหะ  ตายแน่ๆๆๆๆๆ ทั้งที ทั้งนำ ตายแน่ๆๆๆๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด