- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175133 ครั้ง)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
 
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
ยินดีต้อนรับสู่เรื่องชลนทีค่ะ

แนะนำเรื่องแบบย่อๆ:
เพราะน้องสาวคิดจับคู่พี่ชายเพื่อนให้
ผม...นายชลนทีจึงต้องพบจุดพลิกผันในชีวิต
เจอกันครั้งแรกคืออึ้ง ครั้งที่สองคือตะลึง แล้วครั้งอื่นๆ ล่ะ!?


สารบัญ

บทที่ 1   บทที่ 2   บทที่ 3   บทที่ 4   บทที่ 5
บทที่ 6   บทที่ 7   บทที่ 8   บทที่ 9   บทที่ 10
บทที่ 11   บทที่ 12   บทที่ 13   บทที่ 14   บทที่ 15
บทที่ 16   บทที่ 17   บทที่ 18   บทที่ 19   บทที่ 20
บทที่ 21   บทที่ 22   บทที่ 23   บทที่ 24   บทที่ 25
บทที่ 26   บทที่ 27   บทที่ 28   บทที่ 29   บทที่ 30
บทที่ 31   บทที่ 32   บทที่ 33   บทที่ 34   บทที่ 35
บทที่ 36   บทที่ 37   บทที่ 38   บทที่ 39   บทที่ 40
บทที่ 41   บทที่ 42   บทที่ 43   บทที่ 44   บทที่ 45
บทที่ 46   บทที่ 47   บทที่ 48   บทที่ 49   บทที่ 50
บทที่ 51   บทที่ 52   บทที่ 53   บทที่ 54   บทที่ 55
บทที่ 56   บทที่ 57   บทที่ 58   บทส่งท้าย

ตอนพิเศษ 1   ตอนพิเศษ 2    ตอนพิเศษ 3
:catrun:
นิยายเรื่องอื่นของเรา:
『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! (เรื่องของภูยำ)
   

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2018 09:33:36 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12-07-2016)
«ตอบ #1 เมื่อ12-07-2016 09:54:29 »


บทที่ 1

ครอบครัวของผมมีกันห้าคน คนรู้จักมักเรียกเราว่าครอบครัวสายน้ำ เนื่องจากชื่อสามพี่น้องประจำบ้านเกี่ยวข้องกับน้ำหมดเลย

ผมชื่อชลนที น้องสาวชื่อวาริ เจ้าตัวเล็กชื่ออัณณ์

ช่วยไม่ได้ครับ พ่อแม่ผมดันพบรักกันบนสะพานข้ามแม่น้ำนี่น่า (ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เอาชื่อสะพานหรือส่วนประกอบสะพานมาใช้เป็นชื่อพวกผม)

และตอนนี้ผมกำลังปวดหัวตุบๆ อยากได้พาราสักแพง ถ้ารู้อนาคตล่วงหน้า ผมจะไม่ยอมตามใจน้องสาวพามาเดินห้างไกลจากบ้าน (แต่ใกล้มหาลัยของผม) แน่ 

“พี่อ่ะ ทำไมทำแบบนี้!!”

ผมเมินน้อง จ้ำเท้าหนีให้ห่างจากร้านหนังสือจุดเกิดเหตุให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ น้องสาววัยสิบสามวิ่งตามหลังมาติดๆ ส่งเสียงบ่นไม่หยุดจนผมขี้เกียจฟัง

“พี่ที!” น้องคล้องแขนซ้ายผม ออกแรงกระชากให้ผมหยุดเดิน 

“อะไร” ผมถามเสียงห้วนกลับ อารมณ์ผมตอนนี้ไม่เชิงดีเท่าไหร่ จะให้ดียังไงไหวก็น้องสาวผมเล่น…อึ๋ย!

“พี่หนีออกมาแบบนี้ได้ไง” 

“แล้วทำไมพี่หนีไม่ได้”

ยัยน้ำทำหน้างอใส่ผม “น้ำอุตส่าห์หวังดีนะ!”

“หวังดี?” ผมทวนคำเสียงขุ่น พลางดึงน้องหลบจากกลางทางเดินมายืนคุยกันข้างผนังกระจกร้านอาหารใกล้ๆ 

“หวังดีมากด้วย” ยัยน้ำพูดย้ำอีกหน “ก็พี่คบใครไม่เคยเกินสองอาทิตย์ก็โดนเขาบอกเลิกหมด”

“แล้วไง?”

“น้ำเลยหาคู่ให้พี่ไง รับรองคนนี้ดีมาก ดูแลพี่ได้แน่นอนค่ะ”

ยิ่งฟังผมยิ่งปวดหัว สรุปว่าสาเหตุที่ทำให้ผมต้องหนีหน้าตื่นออกจากร้านหนังสือ เพราะผมโดนสาวเจ้ามากหน้าหลายตาบอกเลิกหลังคบได้ไม่นาน…หรือต้องโทษตัวเองดี ไม่งั้นผู้หญิงคงไม่ตีจากกันง่ายๆ ผมได้ฟังเหตุผลบอกเลิกตั้งแต่ดีเกินไปยันล่าสุดที่ทำผมเงิบ

เด็กเกินกว่าจะมีแฟน

นี่คืออะไร!

ผมเข้ามหาลัยแล้วนะ ถึงจะพึ่งเข้าได้แค่สามเดือนกว่าก็เถอะ แถมคนพูดยังมีอายุเท่ากัน ไม่ใช่รุ่นพี่สักหน่อย เธอทำผมกลุ้มใจมากกว่าเศร้าอีกนะขอบอก

“พี่ที!”

เสียงน้องสาวตะโกนใส่ระยะประชิดทำผมสะดุ้ง ตกใจจนถ้อยคำที่คิดไว้ในหัวหล่นกระจัดกระจายต่อไม่ติด เมื่อกี้ผมคร่ำครวญถึงไหนแล้วเนี่ย ไม่ๆ ต้องสนใจน้องก่อนสิ 

“อ…อะไร”

“เหม่ออะไรอยู่เนี่ย น้ำเรียกตั้งหลายที”

ผมมองหน้างอของน้องสาวอย่างเฉยชา ก็นะ เห็นจนชินตา “ตอนนี้กำลังสนใจอยู่เนี่ย พูดมาสิ”

“ตกลงพี่จะคบ เอ้ย ดูใจกับเขาปะ?”

แค่ได้ยินคำถาม อาการปวดหัวนอกจากไม่ทุเลาลง ซ้ำยังเพิ่มมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว

จะพูดถึงมันทำไม!

ผมเมินหนีสายตาวาววับของน้องสาวด้วยความหงุดหงิด นึกถึงวีรกรรมสุดป่วงของน้องเมื่อครู่ อยากโกรธจนแทบระเบิด แต่อารมณ์อยากดำดินหนีกลับบ้านมีมากกว่า ไม่นึกไม่ฝันว่าน้องแท้ๆ จะเอาพี่ชายไป…ไป…อึ๋ย! ไม่เอา อย่าไปนึกๆ

“พี่” น้ำเขย่าแขนผม แถมทวงถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คำตอบล่ะ?” 

“ไม่!” ตอบทันที ไร้ความลังเล พลางขยับตัวเดินต่อ “และพี่อยากกลับบ้านแล้ว”

ยัยน้ำรีบเดินขวางหน้า ผมจำต้องหยุดเดินก่อนจะชนน้องล้ม

“ทำไมอ่ะ!” แววตายัยน้ำดูข้องใจสุดๆ “เขาไม่ดีตรงไหน พี่ถึงไม่ชอบเนี่ย”

ผมถอนหายใจยาวเหยียด บางทีน้องผมคงลืม ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองพูดย้ำช้าชัด “นี่พี่ชายของเธอนะ พี่ชายยย!”

“ก็พี่ชายน่ะสิ ย้ำทำไมเนี่ย?”

ผมกรอกตามองเพดานด้านบน รู้สึกอยากแงะสมองน้องออกดูว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้าง แต่ขอพูดประเด็นหลักที่ทำให้ผมเผ่นหนีออกมาก่อนเถอะ

“แล้วเธอสนับสนุนให้พี่ชายแท้ๆ ดูใจกับผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ?!” 

ยัยน้ำพยักหน้าหงึกๆ ชวนให้อารมณ์เสียเพิ่มอีก

“จะทำตัวเป็นแม่สื่อพี่ไม่ว่า แต่ทำไมต้องจับคู่พี่กับผู้ชายไม่ทราบ!”

“น้ำชอบนี่น่า”

ผมลองนึกถึงรูปร่างหน้าตาอีกฝ่าย…ดูดีไม่หยอก สเป็คชายในฝันน้องผมเลยนะนั่น คิดถึงตรงนี้ก็นึกอะไรบางอย่างได้ น้ำเสียงที่พูดกับน้องเลยอ่อนลง

“อยากเป็นแฟนเขาก็เป็นเองสิ อย่าเอาพี่ไปอ้าง”

แต่ยัยน้ำดันเถียงกลับมาทันที “น้ำไม่อยากได้เองนะ น้ำจะให้พี่ต่างหาก!”

ความอดทนของผมหมดลงทันทีหลังน้องพูดจบ ผมพ่นลมออกทางจมูก เบี่ยงตัวหลบน้องเดินหน้าต่อ อย่าคิดว่าหนีพ้น แปบเดียวน้องก็เดินกึ่งวิ่งตามผมมาติดๆ ซ้ำยังพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด

“พี่หนีอีกแล้วนะ มันเสียมารยาทรู้ไหม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน น้ำยังพูดกับเขาไม่ทันรู้เรื่อง พี่ก็ชิ่งหนีเฉยเลย”

ใครไม่หนีก็บ้าแล้ว!

“ฟังน้ำอยู่ไหมเนี่ย!”

“ไม่อยากฟัง!”

“พี่อ่ะ!”

ผมเมินคนข้างตัวที่ทำท่าขัดใจมาก พยายามปล่อยวางความหงุดหงิด แต่ยัยน้ำก็ยังพูดกรอกหูไม่ได้หยุดจนผมต้องหยุดฝีเท้า หันไปประจันหน้ากับน้อง

“ฟังพี่นะ” ผมพยายามทำใจให้เย็น พูดอธิบายให้น้องที่ยังเด็กเข้าใจ “พี่ไม่เคยคิดอยากมีแฟนเป็นผู้ชาย ยิ่งผู้ชายที่ว่าเป็นคนแปลกหน้าด้วยยิ่งไม่คิด เข้าใจนะ”

“แต่น้ำรู้จักนี่!”

ยัง…ยังไม่ยอมจบอีก!

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบจงใจให้น้องเห็น “แล้วไง?”

“เขาชื่อพี่พาร์ อายุเท่าพี่เลย น้องสาวพี่เขาเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกับน้ำ”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็ร้องอ้อในใจ พี่ชายเพื่อนนี่เอง มิน่าเมื่อกี้ถึงเดินดุ่มๆ เข้าไปหาแบบไม่กลัวเกรง แถมยังกล้าพูดจาบ้าๆ ให้เขาฟังอีก

“น้ำว่าพี่ต้องเคยเจอหน้ากันบ้างแหละ อย่างเวลาไปงานกิจกรรมโรงเรียนน้ำ ตอนน้ำไปค้างบ้านเพื่อน แล้วพี่โดนแม่ใช้ให้มารับน้ำอ่ะ”

“มั่นใจจริง” ผมประชด

“มั่นมากค่ะ น้ำกับเบอร์สนิทกันตั้งแต่ป.1 พี่ก็ได้เจอเบอร์ออกบ่อย”

เบอร์?

“เดี๋ยวนะ” ผมยกมือขอเวลานอก เพื่อนน้องสาวมีคนชื่อนี้ด้วยเหรอ ถึงจำหน้าและชื่อเพื่อนน้องไม่ค่อยได้ แต่คนที่ยัยน้ำไปค้างด้วยประจำมีแค่คนเดียวนี่หว่า ผมเลยถามให้แน่ใจว่าใช่คนเดียวกัน “เบอร์ที่ว่าคือเบอร์ดี้”

“อื้อ”

อ้อ พี่น้องตระกูลกอล์ฟนี่เอง

คนน้องผมเจอบ่อย ไม่น้องผมไปเล่นบ้านเขา เขาก็มาเล่นที่บ้านผม ส่วนคนพี่ได้ยินแต่ชื่อมานานทั้งจากน้องสาว น้องชาย แม่ แม้แต่พ่อก็ยังพูดถึง นับแล้วก็รู้จักกันทั้งบ้านนี่หว่า แต่ผมกลับไม่เคยได้เจอตัวตรงๆ สักครั้ง ล่าสุดได้ยินว่าต้องไปต่างประเทศสองหรือสามปีเนี่ยแหละ กลับมาแล้วเหรอ? เออ คงกลับมาแล้วแหละ เมื่อกี้พึ่งเห็นหน้ากันไปหยกๆ

“พี่นึกออกแล้วใช่ไหม?”

“นึกน่ะออก แต่พี่ไม่เคยเจอหรอก เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”

“แต่…”

“หรืออยากให้พี่เล่าวีรกรรมวันนี้ให้แม่ฟัง หึหึ” ผมหัวเราะให้ดูโรคจิต พร้อมคำขู่แสนศักดิ์สิทธิ์ “โดนตัดค่าขนมแน่น้ำ”

“พี่อ่ะ!”

-------------

หากมีใครถามว่า เหตุการณ์ไหนคือตราบาปในชีวิต ผมจะตอบทันทีว่า วันที่น้องสาวเดินเข้าไปหาผู้ชายหน้าตาดีตัวสูงพอๆ กัน แล้วพูดว่า ‘พี่ค่ะ ช่วยคบกับพี่ชายน้ำได้ไหม’ ยัง…ยังเลวร้ายไม่พอ เพราะมีตอกย้ำอีกประโยค ‘พี่จะเป็นพี่เขยหรือพี่สะใภ้น้ำ น้ำรับได้หมดเลยค่ะ ขอแค่เป็นพี่ก็พอ’

เป็นอีกคืนที่ผมสะดุ้งตื่นตอนเช้ามืด มีอาการเหงื่อแตกพลั่ก หอบหายใจถี่แรง หัวใจเต้นเร็ว แถมออกอาการขนหัวลุกเหมือนดูหนังสยองขวัญหมาดๆ อ่า สยองมากๆ เลยล่ะ ผมยังจำการสบตาครั้งแรกหลังประโยคเด็ดสุดของน้องจบลงได้อยู่เลย คิดแล้วก็โขกหัวกับหมอนข้างรัวๆ 

เลิก! เลิกคิดดด! แต่ถ้ามันหลุดจากหัวง่ายๆ ผมคงไม่เก็บมาฝันร้าย…มีทางเดียวต้องไปคลาดเครียด!

คิดได้ก็ลุกพรวด คว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมุ่งหน้าเข้าห้องน้ำ จัดการแปรงฟันล้างหน้า เปลี่ยนแค่กางเกงนอนขายาวมาเป็นขาสั้น มองนาฬิกาตีห้าครึ่งพอดี เวลานี้คงมีขาประจำหลายคนมาวิ่งออกกำลังกายแล้วล่ะครับ

จากที่นึกว่าตื่นคนแรกของบ้าน แต่มีคนตื่นเช้ากว่าผมอีก เจ้าตัวเล็กวัยห้าขวบ…เจ้าหนูอัณณ์เปิดประตูห้องตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องผมเปิดปิด ห้องน้องอยู่ตรงข้ามห้องผมเองครับ แน่นอนว่าทั้งห้องผมห้องน้องไม่เคยล็อกประตู วันดีคืนดีถ้าเจ้าตัวเล็กไม่อยากนอนคนเดียวก็มักเข้ามานอนกับผมประจำ

“อันไปด้วย”

ไม่พูดเปล่า โผมาเกาะขาผมแน่นเชียว เข้าใจคิดนะ เพราะถ้าโอบเอวผม น้องไม่มีทางทำได้แน่ๆ แขนสั้นเกิน

“จะไปจริงอ่ะ พี่ไปวิ่งนะ”

ผมถามย้ำขำๆ สองปีก่อนเหตุการณ์ก็ประมาณนี้ แต่ตอนนั้นน้องคนเล็กยังไม่สนิทกับผมเท่าไหร่ พอพาไปวิ่งไม่ถึงสิบนาที น้องก็ได้แผลที่หัวเข่าร้องไห้จ้าให้ผมอุ้มกลับบ้านใส่ยา หลังจากนั้นไม่เคยขอตามผมไปวิ่งอีกเลย แต่คราวนี้เจ้าตัวเล็กกลับทำหน้าลังเลไม่ถอยหนีอย่างทุกที ชวนให้ประหลาดใจเล็กๆ และมากกว่าเดิมเมื่อใบหน้ากลมๆ พยักหน้าขึ้นลง

“ไปด้วย”

ไปด้วยพี่ไม่ว่า แต่ไอ้สองมือชูขึ้นสูงส่งสัญญาณให้อุ้มนี่คืออะไรครับ? จะให้พี่แบกไปเรอะ!

ผมกวาดตาขึ้นลง น้องชายผมไม่ได้อ้วน แต่เด็กห้าขวบนี่หนักเอาเรื่องนะครับ ถ้าอุ้มแปบๆ ยังพอไหวอยู่

อุ๊ แค่สบตาใสกระจ่างไร้เดียงสา สีหน้าออดอ้อนขอความเห็นใจ จากที่คิดจะพูดเกลี้ยกล่อมให้อยู่บ้านก็ขอชักธงขาวยอมเปลี่ยนแผนโดยพลัน…ให้น้องขี่หลังพาเดินชมหมู่บ้านยามรุ่งสางแทน โดยไม่ลืมทิ้งโน้ตแปะไว้หน้าห้องน้องชาย เดี๋ยวคนเกือบแก่สองคนที่บ้านจะตกใจนึกว่าลูกชายคนเล็กหายตัวไป

กว่าจะกลับมาฟ้าก็สว่างแล้ว ผมรีบจูงน้องขึ้นชั้นบน พาไปอาบน้ำก่อนมาไล่จับลูกลิงแต่งชุดนักเรียน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาจอดในบ้าน ไม่กี่อึดใจก็มีเสียงคุยไม่ได้ศัพท์แว่วเข้าหู   

…เช้านี้เราน่าจะมีแขก แต่ใครกันมาหาได้เช้ามาก

“เส็ดยางงง…”

ผมฟังน้องลากเสียงยาวถามเป็นหนที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน “อีกนิด” รีบจัดการหวีผมให้น้อง เสร็จเรียบร้อยคนที่นั่งเตะขาไปมากลางอากาศแก้เบื่อก็ถือกระเป๋ากับถุงเท้า วิ่งปร๋อออกจากประตูที่เปิดอ้าทิ้งไว้ ผมในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวพันเอวเดินตามออกมาเพื่อกลับไปแต่งตัวที่ห้องตัวเองบ้าง ระหว่างอยู่ตรงทางเดินหูแว่วเสียงฝีเท้าเล็กกระแทกบันไดไม้ขัดมัน และเสียงดุน้องของผู้เป็นพ่อ

“อย่าวิ่งลงบันได!”

เจ้าตัวเล็กชะงักกึก ก่อนค่อยๆ เดินย่องลงบันไดแทน ผมส่ายหน้าให้น้องเลือกเดินไปห้องตัวเองดีกว่า อ้อ ผมอาบน้ำพร้อมน้องไปแล้วนะครับ อย่าคิดว่าผมซักแห้งเชียว

สิบห้านาทีต่อมาผมลงมาข้างล่าง เดินไปห้องครัวเตรียมกินข้าว ที่โต๊ะมีแค่แม่กับน้องชาย พอถามหาคนไม่อยู่กลายเป็นว่าพ่อกับน้องสาวออกจากบ้านแล้ว ผมมองนาฬิกา วันนี้พ่อออกจากบ้านเร็วกว่าทุกวัน

“แขกล่ะครับ?” ถามเพราะไม่เห็นคนแปลกหน้าในบ้าน

“ออกไปพร้อมพ่อแล้วล่ะ” แม่ตอบผม ยื่นแก้วนมอุ่นๆ ให้อย่างรู้ใจ “แต่เหลืออีกคน แม่ว่าจะให้ติดรถทีไปนะลูก ยังไงก็ทางเดียวกัน ไปส่งเขาหน่อยนะ”

ผมลดแก้วนมในมือลงหลังจิบไปสองคำใหญ่ “ยังไงครับ?”

“ลูกเพื่อนพ่อกับแม่น่ะ เรียนที่เดียวกับทีนั่นแหละ พอดีรถของพ่อแม่เขาเสียเมื่อเช้า เขาเลยยกรถให้ใช้แทนไปก่อน แม่เห็นว่าไปกับทีได้ก็เลยให้เขาอยู่รอ”

“…ให้ผมไปส่งที่มหาลัยอย่างเดียว หรือจะให้รับกลับมาด้วยครับ”

คุณนายประจำบ้านครุ่นคิด “แม่ไม่แน่ใจว่าเขาเลิกเรียนกี่โมง ลองถามดูแล้วกันลูก ถ้าใกล้เคียงกันก็รับกลับมาด้วยดีกว่า อ้อ อย่าลืมวันนี้ลูกต้องไปรับอันที่โรงเรียนด้วยนะ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “น้องเลิกเย็น?”

“ใช่จ๊ะ มีซ้อมการแสดงต่อตอนเย็น คุณครูแจ้งมาตั้งแต่วันศุกร์แล้ว ก่อนไปหาน้องก็ซื้อของกินรองท้องไปฝากด้วยก็ดี ถึงตอนนั้นเจ้าตัวเล็กของเราคงหิวน่าดู”

ผมกับแม่หัวเราะขำทั้งคู่ ขณะที่เจ้าของเรื่องเคี้ยวแซนวิชแฮมไม่สนใจใครทั้งสิ้น ผมนั่งลงประจำที่ เหลือบมองอาหารอีกชุดที่วางทิ้งไว้ แต่เจ้าของหายไปไหนไม่รู้จึงออกปากถาม

“แล้วแขกของแม่ไปไหนแล้วครับ”

“เข้าห้องน้ำลูก อีกเดี๋ยวคงมา”

แซนวิชสองชิ้นที่น้องผมยังแทะไม่หมดสักที ไม่รู้แทะอะไรนานนัก ผมกัดไม่กี่คำก็ลงท้องหมดแล้ว เลยคว้าเหยือกกระเบื้องเคลือบตรงหน้าเทนมแก้วที่สองมากินฆ่าเวลา ยังไงผมต้องรอน้องกินเสร็จก่อนอยู่ดี เพราะวันนี้เจ้าตัวเล็กไปโรงเรียนกับผม 

ระหว่างกำลังดื่มนม แขกของแม่ก็เดินเข้ามา เพียงแค่เห็นหน้าอีกฝ่าย ผมก็สำลักนมที่กำลังจะกลืนลงคอทันที

“แค่กๆๆ”

“ตายแล้ว ดื่มไม่ระวังเลยลูก”

แม่ส่งทิชชู่ให้ ก่อนหันไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วสะอาดวางตรงหน้าผม พลางลูบหลังช่วยให้หายสำลักเร็วขึ้น ผมไออยู่สักพักจนดีขึ้น ยกน้ำเปล่าดื่มเล็กน้อย อาการสำลักจึงหายไป

…ระหว่างนั้นไม่คิดสบตากับแขกของแม่สักครั้งเดียว แม้ว่าเขาจะเดินมานั่งข้างผมก็ตาม 

“อ๊ะ ครั้งแรกเลยนะที่เห็นทั้งสองคนอยู่พร้อมหน้ากัน ทุกทีคลาดกันไปคลาดกันมาตลอด” คุณนายของบ้านพูดยิ้มๆ พลางผายมือแนะนำให้เด็กทั้งสองรู้จักกัน “ลูกที คนนั่งข้างลูกชื่อ ‘พาร์’ จ๊ะ ส่วนทางนี้ลูกชายคนโตของน้าเองชื่อเล่นเต็มๆ ว่า 'นที' แต่ใครๆ เรียกเหลือแค่ ‘ที’ ทุกที”

แม่ครับ…ทำไมไม่ทำเหมือนผมไร้ตัวตนล่ะครับ จะแนะนำให้รู้จักทำมายย! 

“ยังไงก็สนิทกันไว้นะจ๊ะ”

ผมกับคนข้างตัวขานรับเสียงแผ่วกันทั้งคู่ บอกตามตรงผมไม่อยากสนิทกับลูกเพื่อนแม่คนนี้เลยอ่ะ งานนี้ต้องโทษลูกสาวคนดีของแม่ ก่อเรื่องจนผมกับลูกเพื่อนแม่เข้าหน้ากันไม่ติดแล้วเนี่ย

“ตอนนี้รีบกินเถอะจ๊ะ เดี๋ยวไปเรียนกันไม่ทัน”

หลังเจอประโยคของแม่ที่ดูเข้าอกเข้าใจชีวิตเด็กวัยเรียน บนโต๊ะอาหารไม่มีใครพูดอะไรอีก สำหรับผมมันเป็นประโยคช่วยชีวิตของแท้ ไม่งั้นแม่อาจสงสัยว่าทำไมผมไม่ชวนแขกของบ้านคุย…เป็นเรื่องแน่ๆ ครับ

-------------

อึดอัด…อึดอัดโว้ยย!!

ผมตะโกนลั่นในใจ เพียงสิบนาที ไม่สิ ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้วลงจากรถ บรรยากาศที่พอสดใสอยู่บ้างแปรเปลี่ยนเป็นดำมืดทันควัน แค่เงียบยังไม่เท่าไหร่ แต่อึดอัดจนอยากกระอักเลือดออกมาเนี่ย อะไรก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น!

ผมพยายามสูดลมหายใจข่มกลั้นอารมณ์ที่จวนเจียนระเบิดม่านอดทนทิ่มแทงใส่ศัตรู

โอ๊ย พอๆๆ

ผมตั้งสติกลับสู่ปัจจุบัน พอดีกับสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว จึงใช้สมาธิทั้งหมดทุ่มไปกับการขับรถ พยายามลืมๆ ว่ามีตุ๊กตาหน้ารถติดมาด้วย เส้นทางสู่มหาลัยรถติดเช่นเคยเหมือนทุกวัน แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าจะติดนานเกินไปแล้วเฮ้ย!

“…นี่”

โฮ…เทพแห่งท้องถนนโปรดช่วยลูกช้างด้วยเถิด ลูกช้างไม่อยากติด ณ รถ (อ่านว่านรกก็ได้ หมายถึงบนรถก็ดี) แบบนี้นานๆ 

“นี่!”

“ฮะ!” ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงดังกะทันหัน ตวัดมองคนเรียกหน้าตื่นๆ “ม…มีอะไร”

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าคู่กรณีชัดเจนแจ่มแจ้ง (ครั้งก่อนเห็นจากระยะไกลกว่านี้เยอะ) ตาคม จมูกโด่ง ริมฝีปากบางสวย เป็นผู้ชายที่ดูดีทุกมุมมองจริงๆ ผมเม้มปากอย่างอิจฉา (ทำไมผมไม่เกิดมาหล่อทุกองศาอย่างนี้บ้าง) ว่าแต่รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้า…ที่ไหนหว่า ไม่นานมานี้ซะด้วย

ผมพยายามนึก ก่อนร้องอ้อในใจ ในเพจเจ๊ดาด้าเคยลงรูปคนข้างๆ ผมด้วย

“ยังฟังอยู่ไหม!”

น้ำเสียงกระแทกกระทั้นดึงให้ผมหลุดจากภวังค์ เจอสายตาไม่สบอารมณ์จ้องเขม็งตรงมาเป็นอันดับแรก

“เอ่อ…” จะพูดว่าไม่ได้ฟังก็กระไรอยู่

“ไม่ได้ฟังสินะ” พาร์ถอนหายใจระหว่างเอนหลังพิงเบาะ

“ก็…ถามใหม่สิ คราวนี้จะตั้งใจฟัง”

…ถึงสายตาจากอีกฝ่ายจะดูไม่เชื่อเอาซะเลยก็ตาม

“งั้นเอาคำถามสั้น ง่าย รู้เรื่อง ตรงประเด็นที่สุดไป”

พาร์เงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“นายชอบฉัน?”

############
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ เจอกันใหม่ตอนหน้านะ :bye2:
------------

Talk (13-07-2016)
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ :pig4:

ถึง คุณ Janny
ประโยคไม่นับพ่อแม่ เราหมายถึงชื่อพ่อกับแม่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับน้ำค่ะ เลยใช้ว่าไม่นับพ่อแม่ค่ะ แต่คิดไปคิดมาเราว่าตัดประโยคนี้ทิ้งดีกว่า ขอบคุณที่มาแจ้งให้ทราบนะคะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2016 13:05:04 โดย katzep »

ออฟไลน์ GenZ

  • ummm
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
«ตอบ #2 เมื่อ12-07-2016 11:11:46 »

ชอบน้องคนที่สาม บทไม่เยอะแต่ดูคริ้วดีอ่า

 :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
«ตอบ #3 เมื่อ12-07-2016 17:05:04 »

รออ่านอีกค่ะ

ออฟไลน์ YuuYuu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
«ตอบ #4 เมื่อ12-07-2016 18:29:37 »

โอ๊ย อิพาร์ตาบ้า อยู่ดีๆ มาถามอย่างนั้น โคตรมั่นใจในตัวเองเลอ มันใช่เหรอนายยยยยยยยยย

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: - ชลนที - [บทที่1] P.1 (12/07/2016)
«ตอบ #5 เมื่อ12-07-2016 18:47:49 »

คุณน้องน้ำนี่หวังดีกับพี่มากจริงๆค่ะ นี่น้องจะเอาไปแต่งนิยายวายแ่ะเนี่ย 5555555 แต่น่ารักดีค่ะ เราคิดว่าถ้าน้องแนะนำให้เขารู้จักกันดีๆเขาก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้นะคะ แต่มารู้จักกันแบบนี้มันตราตรึงกว่าแหละค่ะ ประทับอยู่ในใจมาก สงสารทีจังเลย แอร๊ยยย แต่เราแอบคิดนะคะว่าพาร์นี่น่าจะเคยรู้จักทีมาก่อนรึเปล่า? เอ... ไม่เดาดีกว่า เรารอตอนต่อไปนะค้าาา

ปล. ประโยคแรก ครอบครัวของผมมีกันห้าคน ถ้าไม่นับพ่อกับแม่  อันนี้มันน่าจะถ้านับพ่อกับแม่ด้วย ไหมอ่ะคะ เพราะพี่น้อง 3 คน

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
«ตอบ #6 เมื่อ14-07-2016 00:44:29 »

บทที่ 2

ผมเกือบเอาลูกรักจูบท้ายคันข้างหน้า ดีกระทืบเบรกทัน คันหน้าคลานไปได้อีกหน่อยก็หยุด ผมเลยดึงเบรกมือหันไปเขม็งคนข้างๆ “มึงถามเหี้ยอะไร!”

พาร์ชะงักเล็กน้อย “ถามว่ามึงชอบกูใช่ไหม”

“กูเนี่ยนะชอบมึง! เอาสมองส่วนไหนคิด!”

“น้องสาวมึงถามอะไรกูล่ะ!”

“กูไม่อยากจำ!”

“แต่สีหน้ามึงบอกชัดว่าจำได้!”

“แล้วมึงล่ะจำไปทำไม!”

จังหวะรถกำลังเคลื่อนตัวต่อ ผมเลยหันไปสนใจท้องถนน ความตึงเครียดแผ่ไปทั่วรถมากกว่าเก่า แม้รถจะหยุดนิ่งอีกครั้ง ภายในรถก็ยังเงียบจนกระทั่งพาร์พูดขึ้นก่อน

“สรุปมึงไม่ได้คิดแบบนั้น?”

“ไม่คิด!” พร้อมถามกลับ “มึงล่ะ”

“ไม่เหมือนกัน”

ผมโล่งใจขึ้นทันที ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา รถขยับเป็นเต่าคลานีกระยะหนึ่งก็ติดอีกแล้ว ผมที่ชักเซ็งๆ เรื่องบนท้องถนนเลยหันไปหันข้างๆ อย่างต้องการเพื่อนคุย

“วันนั้นกูอยากมุดดินหนีกลับบ้านมาก” ผมเปิดประเด็นที่ยังค้างคาในใจ

“หมายถึงวันเสาร์?”

“นั่นแหละ ถามจริง ตอนนั้นรู้สึกยังไง”   

“ตกใจสิ” พาร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกหรอก นอกจากอึ้ง”

“ก็จริง” ขนาดผมยังอึ้งเลย และอึ้งอีกรอบตอนเจอคำถามของมันเมื่อกี้

โดนคนเพศเดียวกันถามว่าชอบเขาไหม นี่มัน…รอยด่างในชีวิตของลูกผู้ชายที่เคยมีแฟนสาวมาแล้วเกือบสิบคนชัดๆ (น้ำตาจะไหล)

หลังจากนั้นผมกับพาร์ต่างพยายามหาเรื่องมาชวนคุย (สงสัยไม่อยากให้บรรยากาศกลับไปอึดอัดอย่างตอนแรกอีก) คิดเรื่องไหนออกก็เอามาพูดหมด แม้กระทั่งเอาเรื่องน้องสาวมาเผา

“มิน่า! ถึงคิดทำตัวเป็นแม่สื่อให้เรา!”

พาร์ส่ายหน้า “นี่ยังน้อย ช่วงนี้กูโดนน้องกรอกหูให้ฟังอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน รำคาญจะแย่”

“นั่นยังดี กูเจอหนังสือการ์ตูนเป็นตั้งเลยเหอะ เปิดดูปุ๊บปิดแทบไม่ทัน”

“อย่างน้อยมึงก็เลือกได้ว่าจะอ่านหรือไม่อ่าน แต่กูเลือกไม่ฟังไม่ได้”

“มึงปวดรูหู แต่กูต้องเมื่อยปากกว่าจะกล่อมให้น้องเอาการ์ตูนอย่างนั้นกลับไป”

พวกผมเผลอมองหน้ากัน ก่อนจะเผลอปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นรถทั้งคู่ 

“มึงน่าสงสารวะ” ผมว่ากลั้วหัวเราะ พาร์เลยสวนมาทันที

“มึงก็เหมือนกัน…รู้ไหมกรณีสองสาว เขาเรียกว่าอะไร?”

“อะไรล่ะ?”

“เรียก ‘สาววาย’ สองสาวน่าจะติดมาจากเพื่อนในโรงเรียน เพราะตอนประถมไม่เห็นเป็น”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย น้องพึ่งมีอาการพิลึกแบบนี้ก็ตอนย้ายโรงเรียนเข้าชั้นมัธยมต้นนี่แหละ ว่าแต่…

“ผู้หญิงกับตัววายเกี่ยวกันยังไง” พูดไปก็นึกถึงสาวๆ กับหนึ่งในตัวพยัญชนะภาษาอังกฤษทั้งยี่สิบหก บอกตามตรงผมหาความเกี่ยวข้องไม่เจอ

เหมือนคนข้างตัวจะเดาความคิดผมออก ถึงได้เน้นย้ำว่า “มึงคิดผิด!”

“อ้าว?”

“กูบอกอยู่ว่าแบบน้องเรา มันต้องหมายถึงคำเรียกแทนตัวสาวๆ ผู้ชื่นชอบเรื่องรักใคร่ของชายกับชาย กูขอเตือนมึงอย่าเสนอหน้าไปให้เพื่อนน้องสาวเห็น ไม่งั้นมึงจะโดนจิ้น!”

“จิ้น…”

“หมายถึงจินตนการไปเอง ไหงทำหน้าไม่เข้าใจเล่า”

“จิ้นน่ะเข้าใจ แต่นึกภาพไม่อกว่าจิ้นอะไรยังไง”

“อย่ารู้เลย เฮ้ยๆ ข้างหน้าไปกันแล้ว”

ไม่พูดเปล่ายังตบไหล่กันซะแรงจนเจ็บแปลบ ผมรีบเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งปล่อยรถให้ค่อยๆ ไหลต่อไปเรื่อยๆ จนหยุดอีกครั้งถึงได้หันไปเขม็งใส่

“ช่วยเบามือหน่อย นี่คน ไม่ใช่กระสอบทราย”

“เอ่อ โทษที”

พาร์กระแอมไอ ทำท่าจะพาเปลี่ยนเรื่อง แต่โดนผมพูดขัดก่อน “ตกลงว่าจิ้นแบบไหน?”

“อย่ารู้ดีกว่า”

“เล่ามา”

พาร์เลียริมฝีปาก ท่าทางลำบากใจจะพูดถึง “คืองี้…ประมาณว่าระหว่างมองหน้ากู คุยกับกู แต่ในหัวเพื่อนน้องมีภาพตัวกูแสดงความรักกับใครไม่รู้ที่เป็นผู้ชายเหมือนกันนี่มันก็…ไม่ไหวนะ”

“ห๊ะ!!”

“กูถึงได้บอกว่าอย่ารู้ไง”

“ล…แล้วมึงไปรู้มาจากไหน?”

“ได้ยินตอนเดินผ่านหน้าห้องน้ำหญิง เสียงมันก้องดังออกมาถึงทางเดิน กูเลยได้ยินชัดแจ๋วแบบไม่ต้องแอบฟัง”

ผมทำหน้าปั้นยาก “แต่จะให้หลบหน้าเพื่อนน้องนี่มันก็…”

“งั้นมึงต้องทำใจล่วงหน้า” พาร์แนะนำสั้นๆ เงียบไปพักหนึ่งก็พูดต่อ “แต่กูเคยเตือนพวกน้องๆ ไปแล้วว่าอย่าให้มากเกินไป บางคนก็ไม่ชอบ”

ผมถามกลับอย่างระมัดระวัง “มึงล่ะ…โอเคหรือเปล่า”

“ไม่รู้ แต่เห็นหน้าน้องแล้วโกรธไม่ลง…มึงล่ะ?”

“กึ่งๆ ล่ะมั้ง” ผมตอบไปแบบกลางๆ ทั้งที่ความจริงค่อนข้างเฉยๆ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“…เพื่อนกูเคยบอกว่ามันคือความรัก”

นึกถึงคนรอบตัวที่ได้คบกับคนเพศเดียวกัน ผมก็ยิ้มออกมา “เพื่อนมึงอาจพูดถูกก็ได้”

“…อาจเหมือนรักของชายหญิงมั้ง”

ฟังจากน้ำเสียงพาร์ ท่าทางคนพูดคงข้องใจไม่น้อย ผมหัวเราะ พูดเล่นขำๆ

“ถ้ามึงข้องใจนักก็ลองมีความรักกับผู้ชายดูสิ”

พาร์ส่ายหน้า “กูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

“ผู้ชาย?” ผมแกล้งถามยิ้มๆ

“ไม่ใช่!”

“สวยไหม?”

“น่าจะสวย”

อะไรคือน่าจะสวย?

“จีบไปยัง?”

“ยังหาตัวไม่เจอ”

ผมกระพริบตา ชักเริ่มงง “งั้นมึงรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง?”

“อยู่มหาลัยเรา”

ผมรอแล้วรอเล่า ไม่เห็นมีคำพูดเพิ่มเติม เลยถามด้วยเสียงไม่อยากเชื่อ “มึงมีข้อมูลแค่นี้!”

“อือ”

มันทำผมเงิบไปเลย “เอ่อ ขอให้มึงหาตัวคนที่ชอบเจอเร็วๆ”

“ขอบใจ”

เกือบชั่วโมงรถถึงเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย ผมคิดจะไปส่งพาร์ที่ตึกคณะ ยังไม่ทันถามชื่อคณะ เจ้าตัวก็บอกว่าวันนี้เรียนตึกรวม ฟังชื่อตึกปุ๊บผมร้องอ้าวในใจปั๊บ ที่เดียวกัน ดีเหมือนกันครับจะได้ไม่ต้องวนไปมา ยิ่งช่วงใกล้เวลาเรียนหาที่จอดรถยากจะตาย

หลังพากันลงรถ พวกผมเดินไปตึกเรียนรวมพร้อมกัน ระหว่างนั้นผมก็ถาม “เลิกกี่โมง”

“สี่โมงครึ่ง” พาร์ตอบทั้งที่แววตาสงสัยว่าถามไปทำไม

“กูเลิกห้าโมง ถ้าไม่รีบ กลับพร้อมกันก็ได้ แต่ต้องแวะไปรับเจ้าตัวเล็กก่อนเข้าบ้านนะ”

“ยังไงก็ได้ เพราะกูต้องไปบ้านมึงอยู่ดี”

ผมทำหน้างง “ทำไมล่ะ?”

“แม่มึงไม่ได้บอกเหรอว่ากูกับน้องต้องรอพ่อแม่ขับรถไปรับกลับบ้าน”

“กูจำได้แค่ว่าบ้านมึงรถเสีย”

“รถของพ่อเสีย ที่ทำงานพ่อแม่ไกลกว่าเลยให้เอารถกูไปใช้ก่อน”

“บ้านมึงมีรถแค่สองคัน?”

“มีมอเตอร์ไซค์อีกคัน แต่ตอนนี้โดนล็อกล้ออยู่ในโรงรถ” พูดถึงตรงนี้สีหน้าพาร์แลดูหม่นหมอง สงสัยจะอยู่ในช่วงโดนลงโทษงดใช้ชั่วคราว ผมตบหลังให้กำลังใจเพื่อนใหม่ไปที

“เหลือรถแค่คันเดียวคงลำบากหน่อย”

“อือ บ้านกูเลยมาขอรบกวนอยู่นี่ไง”

ผมพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว ถ้าจำไม่ผิดบ้านพาร์ไม่ได้อยู่ไกลเท่าไหร่ ถ้ารู้ทางลัดในซอกซอยต่างๆ ก็ถือว่าใกล้ครับ ผมเคยขี่จักรยานไปรับน้องสาวบ้าง เอาน้องเขาไปส่งบ้าง คิดถึงตรงนี้จู่ๆ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาจนต้องออกปากถาม

“ทั้งที่คนในบ้านเราดูสนิทกันดี แต่ทำไมกูไม่เคยเจอมึง?”

พาร์สบตากับผม เอ่ยแค่สองคำ “นั่นสิ”

“พาร์โว้ย!! ทางนี้ๆ”

เสียงร้องเรียกดังลั่นดึงความสนใจจากพวกผม รวมถึงหลายคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ผมเห็นเจ้าของเสียงชูมือโบกแสดงตัวไม่ไกล แถวนี้คนนั่งรอเข้าเรียนตรงโต๊ะหินอ่อนเยอะครับ ตามใต้ต้นไม้ก็มี หากไม่ร้องเรียกอาจไม่ทันสังเกต ยกเว้นว่าตรงนั้นเป็นที่รวมตัวประจำ

พาร์โบกมือกลับให้รู้ว่าได้ยินแล้ว ก่อนหันมาหาผม “คาบสุดท้ายเรียนไหน?”

“ตึกนี่แหละ”

พาร์พยักหน้ารับ ชี้นิ้วไปทางโต๊ะหินอ่อน “จะรออยู่แถวนั้น แต่ถ้าหาไม่เจอค่อยไปเจอกันที่ลานจอดรถ”

“งั้นไปรอที่รถเลยก็ได้ จอดที่เดิมไม่ย้ายแน่”

วันนี้ผมเรียนที่ตึกเดิมทั้งวัน กลางวันก็อาศัยห้องอาหารใต้ตึกเอา ไม่ได้ขยับรถไปไหนแน่นอน

“ก็ได้ ไปนะ”

ผมมองแผ่นหลังคู่กรณีที่กลายเป็นเพื่อนใหม่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนละสายตาออกเดินต่อบ้าง

นานแล้วที่ผมไม่ได้เจอคนที่คุยกันแล้วสนุก เคมีเข้ากันได้ทันทีแบบนี้ อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี มิน่าน้องๆ ผมถึงชื่นชอบพี่พาร์นักหนา…สงสัยผมเจอผู้ท้าชิงตำแหน่ง ‘พี่ชายสุดที่รัก’ เข้าให้แล้วล่ะมั้ง 

“ที”

ผมหันมองคนเรียก เจอเพื่อนต่างคณะชื่อเอก (สมัยมัธยมเคยอยู่ห้องเดียวกัน) ก็แอบเลิกคิ้วแปลกใจ ทุกทีเห็นยิ้มร่าทักทายตามประสาคนรู้จักมานาน แต่ทำไมวันนี้เดินหน้าเครียดเข้าหาได้ล่ะเนี่ย

“มึงรู้ข่าวยัง?”

ผมทำหน้างง “ข่าวอะไร”

“แฟนเก่าคนล่าสุดของมึง ควงหนุ่มใหม่แล้ว แม่ง พึ่งบอกเลิกมึงไม่ถึงสี่วัน”

ผมตบไหล่เพื่อนที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน “ช่างเถอะ กูไม่อยากสนเรื่องนี้แล้ว”

“แต่มึงควรเคืองนะโว้ย เพื่อนยัยพวกนั้นเอาเรื่องมึงไปพูดเสียๆ หายๆ ซะสนุกปาก หาว่าไร้น้ำยาบ้างล่ะ เด็กน้อยบ้างล่ะ แค่จูบยังไม่กล้าก็มี กูได้ยินแล้วอยากกระทืบให้จมดิน ติดแต่ว่าดันเป็นเพศหญิงน่ะสิ”

ฟังคำพูดเพื่อน ผมได้แต่กำหมัดแน่น แม้สีหน้าเรียบเฉยก็ตาม

“จริง กูฟังยังเคืองเลย” นัท เพื่อนร่วมห้องม.ปลายเข้ามาแจมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ครับ

“ใช่ปะ” มีคนสนับสนุน เอกรีบรับทั้งที่ไม่ได้สนิทกับนัท แต่น่าจะเคยเห็นหน้าหรือคุยกันบ้างตามประสาอยู่โรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ประถมยันจบม.ปลาย “มึงไม่ควรปล่อยไว้นะโว้ย เกิดข่าวลือกระจายมากกว่านี้ สาวๆ ไม่รับรักมึงขึ้นมาคงแย่”

“จริง” นัทพยักหน้าสนับสนุนเป็นลูกคู่เชียว “ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ?”

“เอก แล้วมึงอ่ะ หน้าคุ้นๆ อ้อ คนที่เตะหน้าแข้งกูตอนแข่งบอลห้องนี่หว่า”

“โทษๆ ตอนนั้นกูไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่ได้ว่าสักหน่อย ตกลงชื่อไร”

“นัท”

ผมส่ายหัว มองเพื่อนมัธยมสองคนเดินคุยเรื่องเก่าๆ กันเพลิน คงลืมไปแล้วว่าผมเดินตามหลังอยู่ เลยขอแยกตัวไปโต๊ะกลุ่มตัวเองบ้างโดยไม่ได้บอกลาพวกมัน

เรื่องเลิกรากับแฟน ผมชาชินนานแล้ว หลังๆ แทบไม่เจ็บปวดด้วยซ้ำ จะหลงเหลือเพียงเสียความรู้สึก โกรธ และหมดศรัทธากับพวกผู้หญิงไปพอสมควร ยิ่งหลังเจอพวกเธอเอาเรื่องผมไปพูดจาแย่ๆ จนเกิดข่าวลือในมหาลัย ทั้งที่ผมให้เกียรติ์คนที่คบด้วยเสมอ ไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากพลาดซ้ำรอยพ่อแม่ที่มีผมก่อนเวลาอันควร…ผมไม่อยากให้เด็กที่เกิดมาต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน

มันคือความตั้งใจแน่วแน่ แต่บรรดาแฟนเก่าที่ผ่านมาไม่เคยเข้าใจ (ทั้งที่พวกเธอเป็นฝ่ายเดินมาขอคบก่อน) ตรงข้ามพวกเพื่อนๆ พอรู้ความคิดผมปุ๊บ สนับสนุนทุกราย แต่ไม่เคยมีใครทำได้จริงสักคน ดีอยู่อย่างมันทำให้พวกเพื่อนคิดป้องกันอย่างจริงจัง 

เอกกับนัทไม่ใช่สองรายแรกที่เดินมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้า คิดว่าผมไปรู้ข่าวลือจากไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่พวกเพื่อนสมัยมัธยมที่กระจายไปตามคณะต่างๆ เดินหน้าบูดบึ้งคาบข่าวมาบอกน่ะ   

เดินจนใกล้ถึงโต๊ะประจำ เสียงเรียกชื่อผมลากยาวจนน่าเป็นห่วงคนพูด (กลัวจะหมดลมหายใจ เดือดร้อนให้เพื่อนต้องแบกไปเติมออกซิเจนถึงห้องพยาบาล)

“ไอ้ที~”

ไม่ต้องมองหา ผมก็รีบขยับตัวหลบแล้ว เลยทันเห็นหว้ากอ เอ้ย ลูกหว้าพุ่งตรงมายังจุดที่ผมอยู่เมื่อกี้ประดุจนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล แล้วเซถลาเลยผ่านผมไปอีกระยะ  ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปนั่งร่วมกลุ่มกับเพื่อนอีกสี่คน ได้เจอเจ้าพวกนี้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของผมก็ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น

กลุ่มผมมีกันหกคนครับ แบ่งตามชุดนักศึกษาก็ชายสาม หญิงสาม แต่ความจริงชายสอง หญิงสี่ต่างหาก เพราะไอ้เด็นตกเป็นเมียคนอื่นไปแล้ว

ผมทักทายนนท์ ศิ มินต์ตามลำดับ แกล้งข้ามอีกคนไปดื้อๆ 

“แล้วกูล่ะครับ คิดจะทักกันบ้างไหม”

ผมปรายตามองเด็นที่นั่งข้างนนท์ แกล้งทำหน้าตกใจ “อ้าว มึงหรอกเหรอ กูคิดว่าเพื่อนไม่แมนของไอ้นนท์ซะอีก”

“ไอ้ที! แค่กูมีผัว ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่แมนนะมึง”

“เหรอ” ผมลากเสียงยาว สายตามองมันไม่เชื่อถือ “มึงอาจไม่รู้ตัวนะ แต่เดี๋ยวนี้มึง…ส๊าวสาว ไม่เชื่อถามไอ้นนท์ดูก็ได้”

“จริง” นนท์รับเป็นลูกคู่ให้ผมตามที่เตี๊ยมกันไว้เมื่อวาน บอกเพื่อนหน้าตาย “มึงโตจนแตกเนื้อสาวแล้ว”

แล้วมันก็นั่งหน้าเครียด คิ้วขมวดจนจะพันกันอยู่แล้ว พวกผมปล่อยให้เด็นคิดเองเงียบๆ อันที่จริงนี่เป็นการเตือนอย่างหนึ่ง และมันก็ขี้หึงเกิน เดี๋ยวสามีมันไม่ปลื้ม แล้วพาลเบื่อมันขึ้นมา พวกผมนี่แหละที่ต้องคอยเช็ดน้ำตาให้ แต่ถ้าเพื่อนผมโดนทิ้งจริง ผมไปตั๊นหน้าสามีเพื่อนแน่ โทษฐานทำเพื่อนผมเสียเอกราช แล้วไม่รับผิดชอบให้ถึงที่สุด

หมับ!

สองแขนเล็กโอบรัดคอผมแน่น โอ๊ย ลูกหว้า คิดจะฆ่ากันใช่ไหม! ก่อนเพื่อนจะฆาตกรรมเพื่อนท่ามกลางพยานตรงหน้าตึก ใครสักคนก็ช่วยแงะลูกหว้าออกจากผมได้สักที

“แค่กๆๆ” เช้านี้ผมไอไปกี่รอบแล้ววะ

“เล่นอะไรเนี่ย” ศิดุเพื่อนสาว

“ก็มันเมินเรานี่!”

“พุ่งจู่โจมใส่แบบนั้นเป็นกูก็หนีเถอะ” นนท์พึมพำเบาๆ แต่ไม่อาจรอดพ้นหูนรกของลูกหว้าได้ เลยได้รับการแจกค้อนไปวงใหญ่ๆ

ผมรับน้ำที่พึ่งเปิดขวดจากมินต์ น้ำเย็นๆ ช่วยได้มากจริงๆ พอกลับเป็นปกติเลยออกปากถาม ถือเป็นการง้อไปในตัว “อ๊ะ สนใจแล้ว มีอะไรพูดมาเลย”

“หึ” ลูกหว้าสะบัดหน้าใส่ผมครับ แต่วินาทีต่อมากลับหันหน้าส่งแววตาเปล่งประกายเหมือนครู่นี้ไม่ได้งอนใส่

…งอนพอเป็นพิธีจริงๆ

“ไปรู้จักรองเดือนนิติได้ไงอ่ะ!”

ผมขมวดคิ้ว “หมายถึงใคร?”

“ก็คนที่มึงเดินคุยก่อนมาเจอพวกกูไง”

ผมนิ่วหน้า ก่อนมาถึงโต๊ะประจำกลุ่มได้คุยตั้งหลายคน แต่คนอื่นไม่มีใครอยู่นิติสักคน ยกเว้นเพื่อนใหม่ที่ผมยังไม่รู้คณะเลยลองถามดู “หมายถึงพาร์?”

“ใช่ๆ พาร์ ภควัติ วิวัฒน์ชัย รองเดือนนิติ หล่อมากกก”

โอ้ มาทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง แถมนามสกุล เอ่อ หน้าตาดีขนาดนั้นเป็นได้แค่รอง ผมชักอยากเห็นหน้าเดือนนิติแล้ว

“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นค่ะคุณที” ลูกหว้าพูดสุภาพประชดผม พร้อมช่วยตอบสิ่งที่ผมสงสัยดุจเป็นพยาธิแฝงตัวในท้อง “หน้าตาเดือนนิติแย่กว่ารองค่ะ”

“อ้าว” มินต์อุทาน “ไหงเป็นได้แค่รองล่ะ?”

“เขาไม่เอาน่ะสิ บอกว่าไม่มีเวลา เพราะต้องดูแลน้องสาว” ลูกหว้าชักตาเพ้อๆ ร้องกรี๊ดเบาๆ ดีที่ยังพอรู้จักเกรงใจหน้าตาเพื่อนบ้าง “หล่อ เท่ แฟมิลี่แมน นี่แหละพ่อของลูก!”

“ในฝัน” ศิพูดเสริมทันควัน เลยได้รับค้อนไปอีกวง

“จะไม่ฝันแล้วยะ ใช่ไหมเพื่อนที เพื่อนสุดหล่อ”

ผมมองแววตาเว้าวอน แลดูอ้อนบาทาชอบกล ก่อนตัดความหวังเพื่อนซึ่งหน้า “ยากวะ อุปสรรคเยอะเกิน”

“ยังไง”

เห็นเพื่อนสนใจจริงจัง ผมเลยสนอง “อย่างแรก คนหล่อคู่แข่งเยอะ 2. น้องสาวน่าจะหวงพี่ชาย 3. เขาจะเอามึงรึเปล่าเถอะ”

ข้อที่4.ผมละไว้ในใจ เพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวอยากเปิดเผยให้คนอื่นรู้เรื่องมีคนชอบแล้วแค่ไหน

เพื่อนผมที่เหลือส่งเสียงถูกอกถูกใจ โดยเฉพาะเหตุผลข้อที่3. ทำเอาลูกหว้านั่งหน้ามุ่ย

“ไม่เชียร์แล้วยังกระทืบซ้ำอีก”

“กูแค่บอกด้วยความหวังดี มึงจะได้ไม่เพ้อมาก” ผมหยุดพูดไม่กี่วิก็พูดต่อ หลังทนเห็นเพื่อนทำหน้าหมาหงอยไม่ได้ “ถ้าแค่แนะนำเพื่อนกับเพื่อนน่ะได้ ที่เหลือมึงต้องพยายามเอาเอง”

“โอ๊ยที กูรักมึง” ว่าแล้วลูกหว้าก็โผเข้ามากอด

เออ รักกูแค่เฉพาะตอนนี้แหละ

“แต่!” ผมรีบพูดขัด “มึงต้องรู้อีกอย่างก่อนไปจีบเขา”

“ว่ามาเลย”

“น้องสาวเขาคงไม่รับมึงเป็นพี่สะใภ้ง่ายๆ” ผมเตือนแบบอ้อมๆ ว่าให้ยอมตัดใจ “เห็นว่าเล็งตัวพี่สะใภ้ไว้แล้ว”

“อ้อ ถ้าแค่นั้นไม่กลัวหรอก”

ผมถอนหายใจ ลูกอ้อมไม่ได้ผลก็ต้องลูกตรง “คือพารอาจจะมี…” กำลังเอ่ยประโยคสำคัญ แต่เสียงไลน์ดังขัดจังหวะซะก่อน ว่าจะไม่สนใจ แต่ลูกหว้าหันไปเมาส์กับคนอื่นแล้ว ผมเลยหยิบสมาท์โฟนออกมาดูพบว่าเป็นข้อความไลน์จากยัยน้ำ

หืม? ชวนเข้ากลุ่ม

ผมตอบรับไปครับ ขึ้นตัวเลขมาสอง ผมเดาว่าสองสาว อ๊ะ สามแล้ว น่าจะเป็นพาร์ เพราะชื่อกลุ่มคือ

[River X Golf]

เออ เข้าใจคิด นี่ถ้าเจ้าตัวเล็กเล่นไลน์เป็น คงโดนลากมาร่วมกลุ่มด้วยแหง เสียงแจ้งเตือนไลน์กระหน่ำทันทีจนต้องกดเปิดเสียง สองสาวส่งมารัวๆๆ จนผมสงสัยว่าไม่มีเรียนกันเรอะ มันแปดโมงกว่าแล้วนะ ถึงอย่างนั้นก็ไล่อ่านอยู่ดี ข้อความทั่วไปครับ ถามว่าอยู่ไหน เมื่อเช้าเป็นไงบ้าง พวกพี่เจอกันหรือยัง มาสะดุดเอาหลังพาร์ ผู้พิมพ์ข้อความเร็วกว่าผมตอบคำถามสองน้องสาวไปหมดสิ้น ส่วนผมได้แต่ส่งสติกเกอร์ไปยืนยันว่ายังอยู่เท่านั้น

Birdie: วันนี้พวกพี่จะกลับบ้านด้วยกันเหรอค่ะ!

ไม่ต้องส่งสติกเกอร์เขินอายต่อท้ายประโยคก็ได้นะครับน้องเบอร์ดี้

PAR: ใช่
NaM: กรี๊ดดดดดดดด

จะพิมพ์เสียงกรีดร้องมาทำไมฮะยัยน้ำ ดูท่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกสะดุด เพราะข้อความจากพาร์หายไปเหมือนกัน 

NaM: เค้กๆ แวะซื้อเค้กมาให้ด้วยนะ
TEE: จะเอาไปทำอะไร

คราวนี้ข้อความแรกของผมขึ้นมาแล้ว หุหุ ไม่พิมพ์เสียเปล่าแล้วโว้ย

ถึงจะดีใจ แต่เชื่อเถอะ เพราะใครบางคนไม่ยอมพิมพ์ตอบต่างหาก คิดแล้วเซ็ง สงสัยผมต้องหัดฝึกจิ้มตัวอักษรเร็วๆ ไม่งั้นพิมพ์ตามคนในกรุ๊ปนี้ไม่ทันแหง

NaM: ฉลองสิ เนอะเบอร์
Birdie:  อื้อๆ พวกหนูอยากกินเค้กค่ะ
ตามด้วยสติกเกอร์ยิ้มแป้น

หลังจากนั้นเป็นข้อความตอบโต้ของสองสาวกับพาร์เรื่องเค้กล้วนๆ ผมพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพาร์ชอบของหวานมาก ข้อมูลนี่แน่นปึก จนได้ข้อสรุปว่าพวกผมจะแวะไปรับเค้กให้ (พาร์สั่งทำกับทางร้านไปแล้ว เร็วดีจริงๆ)

PAR: งั้นพวกพี่ไปรับเค้กก่อน ค่อยไปรับน้องอัน

ผมกับสองสาวส่งสติกเกอร์โอเคไปให้ แบบนี้ก็ดีครับ ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา รับน้องแล้วตรงกลับบ้านได้เลย

TEE: ไปเรียนกันได้แล้ว 

น้องๆ ส่งสติกเกอร์ตกลงกันมา แต่ก่อนจากยังพากันทิ้งระเบิดให้พวกผมอีก

Birdie: ถ้าพวกพี่จะคบกัน พวกหนูสนับสนุนนะ
ต่อท้ายด้วยสติกเกอร์สู้ๆ
NaM: ช่ายๆ ไม่ต้องถึงขั้นคบก็ได้ค่ะ ดูใจกันเฉยๆ ก่อนก็ได้

ตั้งแต่ผมอธิบายความหมายของคำว่าดูใจให้น้องสาวฟัง ยัยน้ำมักเอาคำนี้มาใช้บ่อยเหลือเกิน

แน่นอนว่าฝ่ายพี่อย่างพวกผมขึ้นแค่อ่าน ผมกดล็อกหน้าจอดื้อๆ วางมือถือไว้บนโต๊ะ หันไปสนใจบทสนทนาของเพื่อนๆ คุยกันสนุกเชียว ระหว่างฟังนนท์เล่าเรื่องตลกที่ได้พบเจอมาเมื่อวาน สายตาผมเลื่อนหยุดที่ลูกหว้าแทนคนเล่า พร้อมลอบถอนหายใจเงียบๆ

ถ้าเพื่อนคนนี้คิดจีบรองเดือนนิติจริงๆ ต้องรู้อุปสรรคใหญ่ก่อน คิดแล้วก็ได้แต่บอกในใจ เพราะไม่อยากขัดรอยยิ้มร่าของลูกหว้าตอนนี้ 

เพื่อนเอ๋ย พาร์มีคนที่ชอบแล้ว…แถมน้องสาวของคนที่มึงถูกใจกำลังสมคบคิดกับน้องกู เพราะอยากให้พี่ชายคบกันเองอีก!

แค่คิดถึงสองสาวผมก็กลุ้มใจทันที เฮ้อ…

############

ประกาศๆ ตอนนี้เรื่องชลนทีเปิดเกมให้เล่นค่ะ  >> จิ้มโลด <<
หมดเขตวันที่ 28 ก.ค. 2559
(หมดเขตเล่นเกมแล้วค่ะ)   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2016 12:59:33 โดย katzep »

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
«ตอบ #7 เมื่อ14-07-2016 08:48:13 »

อ่ะแน่ะๆ พอลองเปิดใจคุยกันดีๆก็เข้ากันได้ดีกว่าที่คิดใช่ไหมคะะ เราเดาว่าคนที่พาร์แอบชอบนี่ทีนี่แหละค่ะ แต่อาจจะเป็นเวอร์ชั่นแต่งหญิงตอนเด็ฏหรืออะไรงี้ 55555555 แต่ความจริงเป็ฯเพื่อนกันไปก่อนแบบนี้เราว่าดีแล้วล่ะค่ะ คือมันก็เหมือนการค่อยๆรู้จักกันไปอ่ะ มันน่าจะดีกว่านะคะ  :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
«ตอบ #8 เมื่อ16-07-2016 16:38:27 »

 :mew1:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
«ตอบ #9 เมื่อ16-07-2016 17:52:23 »

อย่าบอกนะว่า
คนที่พาร์ชอบในวัยเด็ก คือ ที
ถ้าใช่นี่จะเป้นยังไงต่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-07-2016 17:52:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: - ชลนที - [บทที่2] P.1 (14/07/2016)
«ตอบ #10 เมื่อ16-07-2016 20:38:19 »

ทีน่ารัก :mew1:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่3] P.1 (28/07/2016)
«ตอบ #11 เมื่อ28-07-2016 11:30:41 »

บทที่ 3

นับจากวันที่ได้คุยกับพาร์ครั้งแรก เวลาก็ผ่านมาสามวันแล้ว 

พอรถติดผมก็ชำเลืองมองเพื่อนร่วมทางที่หลายวันนี้คอยช่วยแชร์ค่าน้ำมัน แถมพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ดูแลน้องทั้งสาม เหมือนมี่คนมาช่วยแบ่งเบาภาระอย่างบอกไม่ถูก แต่วันนี้ผมเห็นพาร์ทำหน้าขรึมตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ใกล้จะถึงบ้านก็ยังทำหน้าแบบเดิม

เท่าที่ลอบสังเกตเป็นระยะตั้งแต่ขึ้นรถมา ผมคิดว่าพาร์…เหมือนคนครุ่นคิดอะไรบางอย่างไม่ตก

ใจอยากถามจะแย่ แต่กลัวโดนเพื่อนด่ากลับว่าเสือก เพราะผมกับมันพึ่งรู้จักกัน

“มึงจะมองกูอีกนานไหม”

ผมสะดุ้งเมื่อเป้าหมายหันขวับมาสบตาด้วย แววตาของอีกฝ่ายดูกล่าวหาปนระแวดระวัง

“กูไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ แค่สงสัยเอง”

ผมพูดโผล่ไปแล้วก็แอบมานึกทีหลัง แบบนี้เรียกว่าร้อนตัวชัดๆ จึงพยายามทำหน้านิ่งเฉยให้เห็น

“…สงสัยอะไร”

“มึงเป็นอะไร”

“กู?” พอผมพยักหน้ายืนยัน พาร์ก็ลดมือที่ชี้ตัวเองลง “ ..ปกติดี”

“คนปกติที่ไหนทำหน้าเครียดตั้งแต่เช้าแบบมึง”

“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกน่า”

“ไม่ร้ายแรงก็น่าจะบอกกันได้”

พูดจบผมก็นึกอยากเอาหัวโขกพวงมาลัยขึ้นมาทันที จะไปคาดคั้นมันทำไม ไม่ใช่น้องซะหน่อย เพื่อนสนิทยิ่งไม่ใช่ จะโดนหาว่าจุ้นจ้านไหมเนี่ย!

ระหว่างกำลังจะอ้าปากพูดแก้ต่างให้ตัวเอง อีกฝ่ายกลับถอนหายใจพูดออกมาก่อน

“กำลังคิดว่ารบกวนบ้านมึงไปต่อไปแบบนี้คงไม่ดี”

ผมทำหน้าสงสัย บ้านผมไม่เห็นมีใครเดือดร้อนสักคน พ่อต้องไปรับส่งน้ำอยู่แล้ว เพิ่มเบอร์ดี้ไปคนไม่เห็นเป็นไร ส่วนผมไม่เดือดร้อนเลยสักนิด แถมมันยังช่วยให้ผมมีเวลาว่างเป็นของตัวเองมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“…ทำไมล่ะ หรือเกรงใจ?”

“ก็…ทำนองนั้น”

ผมขมวดคิ้วพูดท้วงตามที่รู้สึก “ไม่ใช่มั้ง ถ้าเกรงใจจริงคงไม่ขอความช่วยเหลือบ้านกูแต่แรก”

พาร์พ่นลมหายใจเบาๆ “ไม่มีทางเลือกต่างหาก รถพ่อดันเสียตอนเช้าพอดี เลยต้องเอาเบอร์ดี้ฝากไปโรงเรียนกับน้ำ ส่วนกูโดนรั้งตัวไว้หลังจากรู้ว่าเรียนมหาลัยเดียวกับมึง”

“ถ้าแม่กูไม่รั้ง มึงจะไปมหาลัยยังไง”

“นั่งวินออกมาขึ้นรถเมล์”

ได้ยินแล้วก็เผลอถอนหายใจ “ต่อให้อยู่ต่างมหาลัยแม่กูก็รั้งมึงอยู่ดี คงให้ติดรถออกไปถึงถนนใหญ่” 

“ทำไม?”

“เพราะตอนเช้าคนใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์เยอะจะตาย ต้องโทรไปจองคิวล่วงหน้า ถึงโทรไปบอกตอนนั้นก็ต้องรอจนถึงคิวอยู่ดี ช้ากว่ารอออกไปพร้อมกูอีก”

พาร์ทำหน้านึกขึ้นได้ “กูลืมไปว่าพื้นที่ทางฝั่งมึงต้องทำแบบนี้”

ผมพยักหน้าเข้าใจ ฝั่งบ้านผมเป็นหมู่บ้านใหญ่ ส่วนฝั่งบ้านพาร์เป็นหมู่บ้านเล็ก ถนนก็ออกกันคนละเส้น ถ้าไม่มีซอยลัดทะลุไปได้ล่ะก็ต้องอ้อมไปไกลน่าดู     

“ขนาดกูยังเคยลืม หลังโดนลงโทษวิ่งรอบสนามกลางแดดร้อนตั้งสามรอบ กูเลยจำแม่น”

“ไปโรงเรียนสาย?”

“เออ สมัยมัธยม แล้วดันเจอเวรอาจารย์โหดอีก เหนื่อยก็เหนื่อยคอนี่แห้งเป็นผง แต่แวบมากินน้ำไม่ได้ เข้าห้องเรียนหลังชาวบ้านไปคาบหนึ่งดันเจอภรรยาแก โหดพอกัน แย่กว่านั้นคาบสามดันเป็นวิชาพละ เจอสอบเก็บคะแนนต้องจัดทีมแข่งกับเพื่อน เหนื่อยสัดๆ กลับบ้านปุ๊บกูหลับเลย”

แว่วเสียงหัวเราะคนฟัง ผมขับรถอยู่เลยไม่ได้หันไปมอง แต่หัวเราะขนาดนี้คงไม่ทำหน้าเครียดแล้วมั้ง หลังจากนั้นต่างคนต่างเงียบ แต่บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าตอนแรก

“กูเกรงใจบ้านมึงก็จริง แต่อีกเรื่องคือพ่อกับแม่ สีหน้าพวกท่านไม่ดีเท่าไหร่”

“เพราะเกรงใจบ้านกู?”

“ไม่ใช่หรอก” พูดถึงตรงนี้ ผมได้ยินเสียงพาร์ถอนหายใจยาว “การต้องแวะมาบ้านมึงทุกเช้าค่ำ ทำให้บ้านกูต้องตื่นเร็วกว่าที่เคย กว่าจะกลับก็ดึกพอสมควร กูกับน้องไม่เท่าไหร่ อยู่บ้านมึงก็ได้นั่งเล่นพักผ่อน แต่พ่อกับแม่คงไม่ ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าพักผ่อนไม่พอ ถ้ายังฝืนทำแบบนี้อีก…กว่ารถจะซ่อมเสร็จคงได้ไปนอนโรงพยาบาลกันก่อน”

ผมเริ่มเป็นกังวลตามทันที “…จะได้รถคืนเมื่อไหร่”

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็อีกสองเดือน”

“ช้า”

“ต้องรออะไหล่นำเข้ามา”

“ไปส่งซ่อมที่ไหน ไม่มีรถให้ขับแทนระหว่างซ่อมเหรอ”

“อู่คนรู้จัก ไว้ใจได้ ราคาไม่แพง แต่ไม่มีรถให้ขับแทนหรอก”

“แล้ว…มึงจะทำยังไง”

“กูบอกพ่อจะเอามอเตอร์ไซค์มาใช้ แต่พ่อกูไม่ยอม ตอนนี้เลยจนปัญญาคิดไม่ออกอยู่เนี่ย”

“ทำไมพ่อไม่ให้ใช้ล่ะ”

“เดือนก่อนกูหวิดโดนเสยมา ได้แผลกลับมานิดหน่อย ส่วนรถสุดหวงมีรอยถลอก พ่อรู้เข้าเลยยึดคืน ยังบอกด้วยว่าดีที่วันนั้นน้องไม่ได้ซ้อนท้ายไปด้วย กูมาคิดดูถ้าวันนั้นน้องไปด้วยคงแย่ เลยยอมให้ยึดง่ายๆ แล้วเปลี่ยนมาขับสี่ล้อแทน ถึงใจจริงกูจะชอบสองล้อมากกว่าสี่ล้อก็เถอะ”

ผมว่าไม่น่านิดหน่อย ไม่งั้นท่านบิดาของเพื่อนคงไม่ถึงขั้นยึดรถลูกหรอก

เราไม่ได้คุยกันต่อ เพราะผมเปิดไฟเลี้ยวเตรียมเข้าซอยบ้าน ครู่เดียวรถเข้าจอดที่ประจำ พวกผมคว้ากระเป๋าเป้เดินลงจากรถ ระหว่างเดินเข้าบ้านก็ตบบ่าปลอบเพื่อน

“ค่อยๆ คิด มันต้องมีทางออก จะให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกัน”

“ขอบใจ”

ผมมองรอยยิ้มที่พาร์ส่งให้ก็ยิ้มกลับ แล้วนึกในใจ

พรุ่งนี้วันเสาร์แล้ว คุณลุงคุณป้าคงได้พักผ่อนเต็มที่สักที

-------------

วันนี้เป็นวันแรกที่จะไม่เห็นพี่น้องตระกูลกอล์ฟอยู่บ้านเรา ขนาดเจ้าตัวเล็กที่ผมพึ่งจูงลงมาจากชั้นบนยังวิ่งหน้างงเข้ามาถามหาสองคนนั้นถึงในห้องครัว

“วันนี้วันเสาร์” ผมอธิบายพลางตักข้าวต้มใส่ถ้วย “เป็นวันหยุด พี่พาร์กับพี่เบอร์ดี้ต้องอยู่บ้านเขาสิ”

เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกๆ ไม่รู้เข้าใจแค่ไหน เพราะน้องอันเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“อันไม่เอากระเทียม”

ผมยิ้มขำ วางถ้วยข้าวของน้องลง หยิบชามกระเทียมเจียวหอมกลิ่นน้ำปลามาโชว์คนตัวเล็กสูงยังไม่พ้นขอบโต๊ะ “พี่ทำเอง เค็มนิดๆ ไม่มีเปลือกกระเทียม เอาไหม?”

เจ้าตัวเล็กกลับคำทันที “อันเอา”

สำหรับคนวัยอย่างผม ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้ถ้าหนีไปตากแอร์เย็นๆ ในห้าง ก็คงนัดรวมกลุ่มไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน หรือใช้เวลาอยู่ร่วมกับแฟน ที่กล่าวมาทั้งหมด ผมเคยได้ทำไม่กี่ครั้ง นอกนั้นไม่เป็นเพื่อนเล่นให้น้อง ก็เป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่บ้าน เบื่อๆ ค่อยพาน้องไปเที่ยวข้างนอก จะเป็นอิสระก็ต่อเมื่อน้องไม่อยู่บ้านในวันหยุด เช่น ไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน เรียนพิเศษ หรือพ่อแม่พาออกไปไหน แต่วันนี้น้องดันอยู่พร้อมหน้า คนหายคือพ่อแม่ครับ

คนแก่และคนเกือบแก่หนีลูกไปเที่ยวอีกแล้ว…มิน่าถึงปลุกผมตั้งแต่ไก่ไม่โห่ ไล่ให้ไปซื้อของสดที่ตลาดมาตุนไว้ในตู้เย็น นี่คงกะให้ลูกๆ อยู่บ้านรอแหงๆ

“พี่จ๋าหิว”

น้ำเดินหัวยุ่งทั้งชุดนอนตรงมากอดคอผมจากด้านหลัง อันนั่งตักผมอยู่แหงนหน้ามองพี่สาวทั้งที่ปากยังเคี้ยวข้าวต้มหมูสับ ผมรีบดันหัวอันลง กลัวน้องสำลักข้าว

“ไปตักเองเลยอยู่ในครัว”

“ไม่อ๋าวว พี่จ๋าตักให้หน่อย” ไม่พูดเปล่า มีการถูหัวกับไหล่ออดอ้อนซะด้วย

ใครว่าเด็กผู้หญิงโตเร็ว น้องอายุสิบสามกับตอนแปดขวบ ไม่เห็นต่างสักนิด ผมจำต้องอุ้มน้องอันนั่งพื้น ลูบหัวเจ้าตัวเล็กบอก “เดี๋ยวพี่มา ส่วนน้ำ แปรงฟันล้างหน้ายัง?”

“เรียบร้อยแล้วค่า”

ขนาดล้างแล้วหน้ายังไม่เลิกง่วง สงสัยแอบนอนดึกแน่ๆ ถึงรู้ทันผมก็ไม่ดุน้องสาว เห็นแก่ที่เป็นวันหยุด ลองทำวันธรรมดาสิ จะดึงแก้มให้ยืดเลย

“งั้นก็นั่งรอดีๆ อย่าไปแกล้งน้องล่ะ”

“ปรุงให้น้ำด้วยนะ”

นี่ก็อีก โตจนปรุงรสชาติที่ชอบได้แล้วก็ไม่ทำเอง…เฉพาะตอนมีผมอยู่ด้วยหรอก เคยบังเอิญเจอน้องร้านก๋วยเตี๋ยว คนเยอะน้องไม่ทันเห็นผมที่เข้าไปนั่งอยู่ก่อนกับแฟนเก่า ผมเลยได้เห็นน้องปรุงเองเป็นบุญตา แต่แอบฮานิดๆ ยัยน้ำคร่ำเคร่งกับการกะปริมาณเครื่องปรุงให้เท่ากับที่ผมทำให้น้องกินทุกครั้งสุดๆ เพื่อนคนอื่นกินกันไปห้านาที น้องผมพึ่งปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จ

ผมตักข้าวต้มใส่ชามใบโปรดของน้องสาว เหยาะพริกไทยนิด โรยกระเทียมเจียว ต้นหอมผักชี แยกซีอิ๊วใส่ถ้วยใบเล็ก ยกไปให้น้องถึงที่พร้อมถาม

“จะเอานมหรือน้ำผลไม้?”

“น้ำผลไม้” บอกเสร็จ ยัยน้ำก็คว้าช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า

ผมคว้าแก้วของน้องอันไปเติมเพิ่มด้วย ก่อนวกกลับมานั่งที่เดิม ยังไม่ทันดูน้องๆ กินข้าวด้วยซ้ำ เจ้าตัวเล็กก็เดินมานั่งแหมะบนตักผมแล้ว มือป้อมๆ ถือช้อนไม่ยอมปล่อย ส่วนอีกข้างพยายามยื่นไปลากชามเซรามิกลายการ์ตูนเรื่องโปรดเข้าหาตัว ปลายนิ้วเล็กห่างขอบชามเป็นวา…มีความพยายามดี แม้คว้าอากาศหลายครั้งหลายหน

ผมกลั้นยิ้ม ถ้าน้องอันลุกขึ้นยืนก่อนรับรองถึงแน่ แต่เหมือนเจ้าตัวไม่คิดทำ

ยัยน้ำก็เริ่มเป่าข้าวไป จ้องน้องคนเล็กไป กำช้อนช่วยลุ้นด้วยนะนั่น

กลายเป็นผมที่กลั้นหัวเราะไม่ไหว จัดการยกชามข้าวต้มมาวางแหมะตรงหน้าน้องอันให้ รอยยิ้มดีใจของเจ้าตัวเล็กทำผมเผลอตัวยิ้มตาม พอเงยหน้ามองน้องสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม เห็นกำลังนั่งอมยิ้มดูอยู่ สบตาผมปุ๊บก็แกล้งเสตามองชามข้าวต้ม แก้มเริ่มขึ้นสี

…จอมแกล้งน้องประจำบ้านก็เขินเป็นแฮะ

ผมหัวเราะในใจ ยัยน้ำรักน้องผมดูออก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบ เพราะช่วงน้องอันเกิดใหม่ๆ น้องสาวคงรู้สึกเหมือนตัวเองโดนทิ้ง เหมือนโดนแย่งความรักความสนใจจากพ่อแม่

ช่วงนั้นผมยังไม่ได้มาอยู่ที่นี่ พอรู้ข่าวว่าน้องคนเล็กเกิดก็ซื้อข้าวของเตรียมไปเยี่ยม แต่เอาจริงผมมาก็หลังจากแม่กับน้องกลับมาอยู่บ้านแล้ว ผมค่อนข้างจะตื่นเต้น เพราะช่วงยัยน้ำเกิด ผมไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ความตื่นเต้นก็ลดลงหลังเห็นน้องสาววัยแปดขวบแอบนั่งมองจากบนบันไดด้วยแววตาซึมๆ เลยเข้าไปคุยด้วย ก่อนตัดสินใจขอพ่อกับแม่พาน้องสาวไปอยู่ด้วยสักพัก

ช่วงอยู่ด้วยกันก็พยายามปรับทัศนะคติน้ำไม่เกลียดน้องคนเล็ก พาไปเยี่ยมน้องชายบ่อยๆ ให้รู้ว่าเลี้ยงเด็กทารกเหนื่อยมาก พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้เหมือนเก่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผลคือน้ำเข้าใจ แต่ด้านอารมณ์ยังก่ำกึ่ง คงก่อเกิดเป็นความสับสนในใจน้องสาวล่ะมั้ง นิสัยยัยน้ำเลยเป็นแนวพี่ชอบแกล้งน้องต่อหน้า แต่แอบใจดีแบบไม่แสดงออกแบบนี้

“พี่ที!” ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เห็นน้องสาวกำลังทำหน้าเอาเรื่องอยู่ฝั่งตรงข้าม “อย่ามาแกล้งเหม่อนะ”

“ฮะ?”

“ตอบน้ำมาเลย ขอความจริงล้วนๆ ด้วย”

“ให้ตอบอะไร” ผมงง

“ที่ถามเมื่อกี้ไง”

“ถามอะไรล่ะ”

“พี่เหม่อจริงเหรอเนี่ย!”

“พี่แค่กำลังคิดเรื่องเธอ” ผมพูดยิ้มๆ และได้ผลชะงัก น้องสาวทำหน้าสนใจมาก

“เรื่องไหน?”

“ตอนเด็กๆ” ผมหยุดพูดอย่างจงใจ ยัยน้ำก็เหมือนสนใจหนักกว่าเดิม “เธอเห็นพี่เป็นลูกพี่ลูกน้องนี่น่า”

คนฟังอ้าปากเหวอ ก่อนเถียงกลับมาไฟแลบ “ก็ใครจะไปรู้ว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ น้ำนึกว่าพี่เป็นลูกชายของลุงนิกนี่น่า แล้วนานๆ พี่ก็มาบ้านสักที”

“เพราะมีน้ำแล้วไง พี่เลยไม่ค่อยมา”

น้ำเม้มปาก เลื่อนสายตามองผมสลับกับอันไปมาสักพัก ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะ ว่าแต่พี่ไปถึงไหนกับพี่พาร์แล้ว”   

“ฮะ!” ผมทำหน้าเหวอ ไม่นึกว่าน้องจะถามเรื่องนี้ “ก…ก็ไม่ถึงไหน”

“อะไร ตั้งสามวัน จะไม่คืบหน้าเลยได้ไง”

...จะให้คืบหน้าไปไหนล่ะ มันหยุดแค่คำว่า ‘เพื่อน’ นั่นแหละน้องสาว

“เอางี้นอกจากไปกลับด้วยกันแล้ว พวกพี่ทำอะไรร่วมกันอีก”

“กินข้าว”

แววตาน้องเปล่งประกายขึ้นทันที “กินข้าวเที่ยงด้วยกันเหรอ”

“ครั้งเดียว”

แววตาหม่นแสงเลยครับ ฮะๆ แกล้งน้องสนุกดีจัง

ผมอมยิ้มมองน้องสาวทำหน้าขัดอกขัดใจ ปากบางสวยบ่นงึมงำไม่หยุด พอสังเกตหน้าตายัยน้ำดีๆ โตเป็นสาวเมื่อไหร่คงน่ารักน่าเอ็นดูไม่หยอก ว่าแล้วก็ก้มสำรวจหน้าน้องอัน พ่อผมน้ำเชื้อไม่ค่อยดีนะเนี่ย ลูกสามคนถึงได้แม่มามากกว่าพ่อ โดยเฉพาะยัยน้ำ ก๊อปปี๊ความน่ารักของแม่มาเห็นๆ ส่วนน้องอันต้องรอลุ้นตอนโตจะเป็นหนุ่มมาดน่ารักหรือเปล่า ผิวเจ้าตัวเล็กขาวสุดๆ ได้แม่มาเต็มๆ ผิดกับผมที่ผิวขาวเหลืองตามต้นฉบับพ่อ

พูดถึงเรื่องนี้ก็เรื่องเล่าจากพ่อ เพราะอายุห่างกันห้าปี ก่อนเข้าไปจีบพ่อเลยไปเฝ้าดูแม่อยู่พักหนึ่งหลังบังเอิญเจกันตรงสะพานข้ามแม่น้ำ พ่อบ่นใหญ่ว่าแม่มีแมลงตามตอมเยอะสุดๆ แต่จู่ๆ ภาพแม่ก็เปลี่ยนเป็นน้องแทน ผมหุบยิ้มทันที…ในอนาคตผมคงได้เป็นพี่หวงน้องแหงเลย     

“วันนี้พี่พาร์จะมาบ้านเราไหม”

ผมทำหน้างงหลังได้ยินคำถาม “ทำไมมาถามพี่ล่ะ?”

“พี่ต้องรู้สิ”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน ทำไมต้องรู้? ใจคิดอย่างปากพูดอีกอย่าง “เบอร์ดี้ไม่ได้บอกเหรอว่าจะมาหรือไม่มา”

“น้ำพูดถึงพี่พาร์ต่างหาก!”

ผมงงกับน้องสาว ถ้าเบอร์ดี้บอกมา พาร์ก็ต้องมา เหมือนน้ำจะไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ผมจึงปิดปากเงียบ นั่งฟังน้องสาวบ่นไปเรื่อย พอใจเมื่อไหร่ก็หยุดเองแหละ

“แล้วพี่รู้หรือเปล่าว่าเมื่อวานพี่พาร์เป็นอะไร”

ช่วงนี้อะไรๆ ก็พี่พาร์ พี่ชายแท้ๆ อย่างผมใกล้ตกกระป๋องแล้วมั้ง

ผมพ่นลมหายใจ ตอบสั้นๆ “รู้”

“บอกน้องมาเลย”

“พาร์แค่กังวลใจเรื่องของลุงแทนกับป้าเจน” เห็นน้องสาวทำหน้าไม่เข้าใจ ผมเลยเล่าเรื่องที่รู้ว่าเมื่อวานให้ฟัง พร้อมพูดสำทับ “เพราะงั้นสองวันนี้น้ำอย่าพึ่งไปรบกวนคนบ้านนู้นล่ะ”

-------------

ระหว่างเรียนวิชาคาบบ่ายของวันจันทร์ ผมรู้สึกถึงแรงสั่นในกระเป๋าเลยดึงมือถือออกมาดูด้วยความแปลกใจ เห็นชื่อคนโทรเข้ามาคือพาร์ก็ยิ่งประหลาดใจ พาร์ไม่เคยโทรมาหาก่อน ถ้ามีธุระก็ส่งข้อความทางไลน์ประจำ

ผมตัดสินใจรับสาย ดีที่ตอนนี้เรียนห้องใหญ่เลยมุดหัวไปใต้โต๊ะ ลดเสียงคุยโทรศัพท์ได้

“มีอะ…”

[อยู่ไหน]

น้ำเสียงร้อนรนของพาร์ทำผมตื่นตัว รีบบอกห้องเรียนกับชื่อตึกไป

[ลงมาเลย กูกำลังจะไปหา ถ้าโดดไม่ได้ก็ลงมาส่งกุญแจรถให้กู]

พูดจบตัดสายไปเฉย ผมขมวดคิ้วย้ายตัวเองไปนั่งยองๆ กับพื้น เก็บมือถือใส่เป้ สะกิดบอกเพื่อนนั่งข้างๆ ให้เก็บของบนโต๊ะมาให้หน่อย ก่อนฉีกกระดาษสมุดจด เขียนบอกเพื่อนถึงสาเหตุโดดเรียนว่า ‘งานเข้า ต้องไปเดี๋ยวนี้’ ก่อนมุดๆ คลานๆ หลบออกมาจากห้องเรียน ผมเลยได้ประสบการณ์โดดเรียนครั้งแรกตั้งแต่เข้ามหาลัย

ผมโชคดีครับ เพราะต้นคาบมีสอบย่อยเช็คชื่อไปแล้ว คิดว่าท้ายคาบอาจารย์คงไม่เช็คชื่อแล้ว

ลงมาชั้นล่างปุ๊บก็รีบหันซ้ายขวามองหาพาร์…สงสัยยังไม่มา

หลังยืนรอแถวหน้าตึกสักพัก ผมก็เห็นมอเตอร์ไซค์สีดำแถบแดงคันสวยวิ่งพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว เบรกเอี๊ยดตรงหน้าให้ขวัญผวา ฝุ่นฟุ้งกระจายจนต้องเบือนหน้าหลบ หลับตาหนี ยังไม่ทันได้ลืมตาก็โดนฉุดแขนออกมาจากจุดเดิม

เฮ้ยๆๆ

รีบลืมตาเจอพาร์กำลังลากผมไปลานจอดรถ สีหน้าดูซีดๆ แถมเคร่งเครียดผิดกับทุกทีอย่างน่าสงสัย

“รถจอดไหน”

ผมรีบชี้นิ้วบอก รับรู้ว่าเพื่อนอยู่ในโหมดจริงจัง

“เอากุญแจมา กูขับเอง”

ผมยื่นส่งให้ รีบขึ้นไปนั่งฝั่งข้างคนขับ…นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ชมฝีมือการขับรถของพาร์

ลูกรักของผมเคลื่อนตัวสู่ถนนสายหลักของมหาวิทยาลัยอย่างนุ่มนวล โอ้ ขับดียิ่งกว่าผมอีก สงสัยคงต้องขอคำแนะนำบ้างแล้ว หลังแน่ใจว่าเพื่อนไม่เอาลูกรักผมไปชนอะไรเข้าแน่นอนก็ดึงเข็มขัดมาคาด เอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจ

หือ…

ผมมองพาร์เปลี่ยนเกียร์กะทันหันหลังรถเข้าถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย สีหน้าพาร์แปรเปลี่ยนดูทั้งนิ่งทั้งเย็นชา น่ากลัวจนผมต้องหุบปากฉับ ไม่กล้าถามอะไรทั้งนั้น แรงกระชากในวินาทีต่อมาดันตัวผมติดเบาะยิ่งกว่าเดิม ตาเปิดกว้างตกใจมองทิวทัศน์ด้านนอกเปลี่ยนเร็วเสียจนท้องวูบโหวง ใจผมเต้นตุบตับด้วยความกลัว

..
.
แค่ก้าวลงจากรถ ขาผมก็สั่นกึกๆ คงทรุดไปนั่งกับพื้นแล้วถ้าแรงแขนที่เกาะประตูไม่ดีพอ

แม่เจ้า นึกว่าจะตายซะแล้ว 

หลังสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ตั้งสมาธิไม่กี่วินาทีก็ผลักประตูรถปิด ปล่อยให้พาร์จัดการกดล็อกรถ พลางลอบมองเพื่อนนักซิงอย่างคาดโทษ

ผมจะไม่ให้พาร์ขับรถช่วงถนนโล่งอีกเด็ดขาด!!

แต่จากสีหน้าเพื่อนและสถานที่ ผมไม่กล้าถ่วงเวลาหรอก ดูก็รู้ว่าพาร์กำลังรีบมากจึงพยายามจ้ำเท้าตามหลังเพื่อนทั้งที่ขายังอ่อนแรง ไปไม่ทันฟังเพื่อนพูดกับประชาสัมพันธ์ก็ต้องรีบตามเข้าลิฟต์ให้ทัน

หวุดหวิด…เมื่อกี้เกือบถูกประตูลิฟต์หนีบแล้วไหมล่ะ

ผมชำเลืองมองเพื่อนระหว่างกล่องสี่เหลี่ยมเลื่อนตัวขึ้นสูงเรื่อยๆ พยายามลืมว่าเพื่อนใจร้ายขนาดไม่กดเปิดประตูลิฟต์รอ

…ว่าแต่ใครเป็นอะไร พาร์ถึงต้องรีบเหาะมาโรงพยาบาลไกลจากมหาลัยขนาดนี้

ลิฟต์หยุดชั้นสี่ ขาผมที่กลับมาแข็งแรงดีจ้ำตามหลังพาร์ไปติดๆ มันหยุดเคาะห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง ก่อนเปิดเข้าไปทันทีที่ได้ยินเสียงขานรับจากข้างใน

“น้องพาร์!”

ผมยกมือไหว้คนอยู่ในห้องตามเพื่อน แอบกวาดสำรวจห้องผู้ป่วยพิเศษเห็นเตียงคนไข้สองเตียง ยังไม่ทันเห็นหน้าคนไข้ชัดๆ ก็มีหญิงสูงวัยชาวต่างชาติรูปร่างสมบูรณ์มาก สูงพอๆ กับพวกผม เสื้อผ้าน่าจะมีราคาแพงไม่น้อย ที่สำคัญแค่ยืนตรงหน้าก็บดบังวิสัยทัศน์พวกผมจนหมด 

“ป้าขอโทษที่เรียกมาระหว่างเรียน แต่ป้าไม่รู้จะติดต่อใครดี”

ภาษาไทยชัดเป๊ะ…ฟังจากประโยคที่ดูเอื้ออาทรต่อกัน ผมขอเดาว่าคุณป้าคนนี้คงเติบโตในเมืองไทยเป็นแน่

“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ รบกวนเป็นธุระให้มากขนาดนี้”

“สมควรแล้วต่างหาก ยังไงป้าก็เป็นเจ้านายของพวกเขา พาร์ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษานะลูก ป้าจัดการให้แล้ว”

“ขอบคุณมากครับ”

ผมรีบยกมือไหว้ตามพาร์อีกหน

“งั้นป้ากลับไปทำงานก่อนนะ มีอะไรโทรหาป้าได้เลย แล้วฝากบอกคนหัวดื้อสองคนนี้ด้วยนะจ๊ะ ไม่หายไม่ต้องกลับมาให้ป้าเห็นหน้า”

“จะบอกให้ครับ”   

“เลิกงานแล้วป้าจะมาเยี่ยมใหม่นะ”

“ครับ”

ผมรีบขยับหลบจากประตูตามพาร์ ปล่อยหญิงสูงวัยแต่งตัวดูดีคนนั้นเดินออกไป พอหันมองในห้องอีกครั้งจึงเห็นใบหน้าสองผู้ป่วยชัดๆ คิ้วสองข้างเผลอขมวดเข้าหากัน ก่อนเหลือบมองเพื่อนที่กำลังเดินไปข้างเตียงคนป่วย

…เรื่องที่พาร์กังวลเกิดขึ้นจนได้

############

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2016 14:56:14 โดย katzep »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่4] P.1 (28/07/2016)
«ตอบ #12 เมื่อ29-07-2016 12:35:48 »

บทที่ 4

[อะไรนะ! แล้วตอนนี้ลูกอยู่ไหน]

“ทีอยู่โรงพยาบาลกับพาร์ครับ มาตั้งแต่ช่วงบ่าย…”

ผมหนีบมือถือกับไหล่ หยิบเงินจ่ายให้พนักงานร้าน 7-11 พอนึกได้ว่าหลุดปากเรื่องโดดเรียนก็ได้แต่นึกใจเสีย กลัวโดนดุ แต่มารดาที่เคารพ
เหมือนจะสนใจอีกเรื่องมากกว่า

[หมอบอกว่าไงบ้าง]

“โหมทำงานหนักเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ ให้นอนดูอาการวันหนึ่ง ถ้าดีขึ้นพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้ครับ”

[งั้นช่วงหัวค่ำพวกแม่จะแวะไปหานะ]

ผมตอบรับระหว่างเห็บตังค์ทอนลงกระเป๋าเงิน “งั้นทีฝากซื้อข้าวเย็นกับเอาเสื้อผ้ามาที่นี่ ขอสองชุดนะแม่ ชุดนักศึกษาด้วยครับ”

[จะอยู่เฝ้าด้วยเหรอลูก?]

“ทีกะจะอยู่ช่วยพาร์ครับ”

ถ้าเฝ้าสองคนได้นะ ผมยังไม่ได้ถามหมอเลยว่าได้หรือเปล่า

[ดีจ๊ะ งั้นแม่ฝากด้วยนะ]

หลังวางสายผมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงพร้อมกระเป๋าตังค์ หิ้วถุงเสบียงเดินออกจาก 7-11 ระหว่างทางผ่านร้านดอกไม้ เห็นสีสันของมันแล้วก็อดแวะเข้าไปไม่ได้

ร้านนี้ผมสะดุดตาตั้งแต่ขามาแล้ว เป็นร้านตอนลึกเหมือนซอยถนน แปลกดีครับ ถามว่ากว้างไหม มองแล้วกว้างอยู่นะครับ พอดีมันเป็นสองร้านติดกัน แล้วกั้นกลางด้วยกระจก ฝั่งซ้ายเป็นพวกดอกไม้สด ฝั่งขวาเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ มองทะลุกันได้ แค่ความสวยของดอกไม้ก็กินขาดแล้ว การตกแต่งอย่างอื่นเลยดูเรียบๆ มองดูสบายตา ผมอยากได้ดอกไม้ประดิษฐ์มากกว่าเลยเดินเข้าฝั่งขวา

ผมไม่กล้าซื้อของสด ไม่รู้ว่ามีใครแพ้เกสรดอกไม้หรือเปล่า

“อยากได้แบบไหนคะ?” พี่พนักงานในร้านเดินมาถามหลังเห็นผมยืนดูอยู่สักพัก

“แบบที่ช่วยให้บรรยากาศในห้องคนป่วยดูสดใสขึ้นครับ”

ผมย้ำหนักที่คำว่าสดใส เพราะมันคือเหตุผลหลักที่ผมแวะเข้าร้านนี้เลยล่ะ

“จะเอาไปปักแจกันใช่ไหมคะ?”

“เอ่อ มีพวกตะกร้าไหมครับ” ผมถามกลับ จำได้ว่าตอนเพื่อนผมป่วยสมัยมัธยม มีเพื่อนชายใจหญิงในห้องเอามาเป็นของเยี่ยมไข้ ผมเห็นแล้วชอบนะ เวลากลับบ้านจะได้ยกทั้งตะกร้ากลับได้เลย

“มีค่ะ ของอยู่หลังร้าน เดี๋ยวพี่เอาแฟ้มให้ น้องเลือกแบบจากภาพถ่ายได้เลย”

ผมเลือกตะกร้าสานสีขาวขนาดกะทัดรัดผูกริบบิ้นสีทองกับแดงมา ส่วนสีดอกไม้ประดิษฐ์ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่คนขายทั้งเลือกทั้งจัด เพราะความรู้ด้านนี้ของผมเป็นศูนย์ พอพี่เขาจัดเสร็จออกมาดูน่ารักดี น้ำกับเบอร์ดี้เห็นเข้าต้องชอบแน่ๆ ผมเห็นดอกทานตะวันประดิษฐ์สวยดีเลยซื้อเพิ่มสามดอก พี่พนักงานผูกริบบิ้นสีแดงที่ก้านดอกทานตะวันแถมให้ด้วย

หลังจ่ายเงินก็หอบข้าวของทั้งหมดกลับห้องพักฟื้นพิเศษอย่างทุลักทุเล แต่เห็นเวลาแล้วก็แอบสะดุ้งอยู่ในใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอออกมานานขนาดนี้

นึกถึงคนเฝ้าห้องหน้านิ่งก็แอบทำหน้าแหยง…คงไม่นึกว่าผมกลับไปแล้วหรอกนะ

-------------

ผมยิ้มเจื่อนเล็กน้อยยามสบตาคนมาช่วยเปิดประตูให้ สงสัยคงรำคาญเสียงกุกกักหน้าห้อง หลังผมพยายามเปิดประตูเองอยู่พักหนึ่ง พาร์ไม่พูดหรือยิ้มตอบ ทำแค่กวาดสายตามองข้าวของที่ผมซื้อตั้งแต่ถุงใส่น้ำขวด พวกขนม ตะกร้าดอกไม้ แล้ววกกลับมาหยุดที่ดอกทานตะวัน

“ซื้อมาทำไม”

ผมทำหน้าประหลาดกับคำถามแรกของคนที่เงียบมาตลอดตั้งแต่ถึงรถ จนผมเอ่ยปากขอไปเดินเล่น มันก็ไม่พูดอะไรสักคำเดียว

“…เอานี่ไปก่อน”

ผมส่งถุงของกินกับน้ำดื่มให้พาร์ถือ เดินผละเข้าด้านในห้องหามุมวางตะกร้าดอกไม้กับดอกทานตะวัน ระหว่างนั้นก็คอยเหลือบมองพาร์เป็นระยะ หวังอย่างยิ่งว่าของกินที่ซื้อมาจะช่วยให้ใครบางคนเลิกแผ่รังสีทะมึนสักที และนั่นเป็นเหตุผลที่สองของการต้องหาของสีสันสดใสมาวางในห้อง ไม่งั้นผมคงได้เผ่นหนีขอไปเดินเล่นข้างนอกอีกรอบแน่

เมื่อหามุมวางดอกไม้เหมาะๆ ได้แล้ว ผมก็ถอยมายืนดูผลงาน

ก็…โอเคนะ

หลังชื่นชมความสดใสของมันสักพัก ก็ทำใจหมุนตัวเดินไปมุมโซฟาที่บรรยากาศตรงข้ามกับสีสันดอกไม้เหลือเกิน

…น่าจะเหลือดอกทานตะวันสักดอกถือติดมือมาวางใกล้ๆ พาร์จริงๆ 

พอเข้าไปใกล้ปุ๊บก็โดนถามประโยคเดิมปั๊บ “ซื้อมาทำไม”

ผมหาที่นั่งให้ตัวเองห่างจากพาร์หน่อย คว้าขวดน้ำดื่มในถุงมาแกะเปิดออก “ดอกไม้หรือของกิน?”

“ดอกไม้”

“ทำลายความอึมครึมไง” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ หยิบหลอดเสียบในขวดดูดน้ำดับกระหาย ไม่สนใจสายตาขวางๆ ของอีกคน กินน้ำจนพอใจผมก็พูดต่อ “เพราะมีตัวปล่อยพลังงานด้านลบอยู่แถวนี้...แย่เนอะ”

ผมแกล้งทำเป็นสนใจขนมถุงใหม่ นี่ขนาดไม่หันไปมองยังรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทง

“…นึกว่ากลับไปแล้ว”

ผมยิ้มเจื่อน…ก็น่าอยู่หรอก

“กูอยู่เฝ้าเองก็ได้ มึงกลับไปเถอะ”

ปล่อยมันอยู่คนเดียวเนี่ยนะ?

ผมย่นคิ้วมองคนปล่อยพลังงานด้านลบไม่เลิก เห็นแบบนี้ใครจะกล้าปล่อยให้อยู่คนเดียวกัน และอีกอย่างคุณลุงคุณป้าใจดีกับผมจะตาย ขนาดไปต่างประเทศยังซื้อของมาฝาก ผมควรอยู่ช่วยสิ ถือเป็นตัวแทนครอบครัวก็ได้ คิดได้แบบนั้นจึงแกล้งหูทวนลมทำเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำไล่กลับ

ผมไม่พูด พาร์ก็ไม่พูด กินขนมกันเงียบกริบ น่าอึดอัดอย่างยิ่ง กินเสร็จก็ยึดโซฟาคนละมุม สรรหากิจกรรมทำ ผมหยิบพวกชีทเรียนมาอ่านฆ่าเวลา เบื่อแล้วก็หยิบมือถือมานั่งเล่นเงียบๆ

ช่วงเย็นหน่อย น่าจะสักห้าโมงกว่าๆ คุณป้าชาวต่างชาติคนเดิมแวะมาเยี่ยมอีกหน พร้อมของกินเต็มสองมือ เสียดายคนป่วยทั้งสองยังไม่ตื่น คุณป้าเลยหยุดคุยกับพวกผมนิดหน่อยก็ขอตัวกลับ ผมมองบรรดาของกินทั้งหลายวางเต็มโต๊ะกระจกหน้าโซฟาก็ได้แต่ถอนหายใจ

…ถ้ารู้ล่วงหน้าคงไม่บอกให้แม่เอาอาหารเย็นมาหรอกครับ

ผมมองพาร์อีกรอบ กลับไปนั่งขรึมเมินผมตามเดิมอีกแล้ว

เฮ้อ...จัดการเองก็ได้วะ

ผมเดินไปดูชื่อหมอเจ้าของไข้คุณลุงคุณป้า คนเดียวกันครับ จดจำชื่อคุณหมออยู่สักพักก็หิ้วของกินสามในสี่ที่พวกเรากินไม่หมดแน่ๆ และเดี๋ยวจะมีของแม่มาเพิ่มอีก เลยเหลือไว้แต่อะไรที่ผมอยากกิน ของที่พาร์หรือน้องๆ ชอบมากไว้ แล้วออกจากห้อง

“เดี๋ยวกูมา”

ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ผมยักไหล่เดินตรงไปถามหาคุณหมอกับพวกนางพยาบาล ได้ความว่าคุณหมอตรวจคนไข้อยู่เลยแบ่งของเป็นสองส่วน เยอะหน่อยให้พวกพี่นางพยาบาล แล้วขอฝากอีกส่วนให้คุณหมอด้วย

...คุณป้าต่างชาติถ้าเกิดรู้เข้าก็อย่าโกรธผมเลย ของดีๆ กินเหลือมันน่าเสียดาย สู้เอาไปให้คนอื่นตั้งแต่รู้ว่ากินไม่หมดดีกว่า ผมคิดของผมเอง ถ้าไม่เหมาะสมก็ขอโทษด้วยนะครับ     

ผมเดินกลับมาก็เจอสภาพหยุดเวลาในห้อง จดๆ จ้องๆ คนนั่งนิ่งไม่ขยับครู่หนึ่งก็เบือนหน้าหนีไปดูคนป่วยทั้งสองที่ยังไม่ตื่น คุณลุงคุณป้าหลับสนิทยาวนานขนาดนี้ เพราะฤทธิ์ยาแหง

ใกล้หกโมงเย็นคนป่วยทั้งสองถึงพากันตื่นไล่เลี่ยกัน และคนนั่งนิ่งเหมือนหุ่นก็ลุกพรวดให้ผมตกใจ มองตามหลังคนเดินเร็ว แปบเดียวก็ไปหยุดยืนระหว่างปลายเตียงทั้งสอง

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าฝืน!”

พาร์ไม่ได้ตะโกน พูดธรรมดาด้วยน้ำเสียงเข้มกว่าปกติ ก่อนตามด้วยพายุสารพัดถ้อยคำดุจนผมยังเหนื่อยแทนคนพูด ได้แต่กรอกตามองเพดานห้อง รู้แล้วล่ะว่ามันอมน้ำลายจนบูดเพื่ออะไร เก็บออมแรงเตรียมพ่นไฟแลบใส่พ่อแม่หลังตื่นแล้วนี่เอง ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ยังพอจับใจความได้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก พอชำเลืองมองผู้ป่วยทั้งสองมีสีหน้าเจื่อนๆ กันทั้งคู่

เสียงประตูห้องพักเปิดออก แว่วเสียงคุ้นหูของน้องอันมาก่อนใคร คนในห้องชะงักพากันหันไปมองประตูเป็นตาเดียว แม่ของผมพาสองสาวกับเจ้าตัวเล็กมาเยี่ยมได้จังหวะมากครับ

นู้น...สองคนแก่บนเตียงทำหน้าอย่างกับเห็นแม่พระมาโปรด

พาร์จำยอมปล่อยคนป่วยกับคนมาเยี่ยมคุยกัน เดินกลับมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟา คว้าขวดน้ำที่กินเหลือกระดกอึกๆ แบบไม่สนใจหลอด หมดแล้วก็คว้าขวดใหม่แกะ

...คงกำลังชดเชยน้ำลายที่เสียหลังบ่นไปเยอะล่ะมั้ง ความจริงมันก็แค่คอแห้งนั่นแหละ

ผมเดาว่าตอนนี้พาร์น่าจะอารมณ์ดีขึ้นหลังได้ระบายออกไปตั้งเยอะ เลยลองถามข้อสงสัยตั้งแต่ฟังหมอแจกแจงอาการคนป่วย “เอ่อ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา…คุณลุงคุณป้า…ไม่ได้…พัก…” เสียงผมแผ่วลงทีละน้อยก่อนเงียบในที่สุด แอบเขยิบก้นออกห่างไปชิดขอบโซฟา เอาให้ไกลจากมนุษย์ผู้จู่ๆ ก็แผ่รังสีหงุดหงิดให้มากที่สุด

ผมไม่ได้กลัว แต่สัญชาตญาณร้องสั่งว่าให้ถอยดีกว่า

…เวลาพาร์อารมณ์เสียทีโคตรไม่น่าเข้าใกล้

บรรยากาศแถวโซฟาอึดอัดเป็นพิเศษ ขนาดเจ้าตัวเล็กยังไม่กล้าเข้าใกล้ แม้เห็นของชอบวางล่อตาก็เอาแต่เกาะขากางเกงแม่ เหลือบมองมาบ่อยๆ

เด็กมีสัญชาตญาณดีมากท่าจะจริง

ส่วนผมนั่งดูดน้ำแก้เครียดต่อไป ผมผิดเองที่ดันไปแตะเกล็ดย้อนมังกรเข้า จะง้อให้อารมณ์ดีก็หมดมุขแล้ว ก่อนหน้านี้ใช้วิธีหลอกล่อทั้งน้ำ ขนม ดอกไม้ หรือแม้แต่ชวนคุยคลายเครียด ไม่เห็นได้ผลสักอย่าง หรือจะรอให้พาร์ไปบ่นไฟแลบกับบิดามารดาที่เคารพต่อ ผมก็แอบสงสารคนแก่

คิดพลางลอบถอนหายใจ ผมไม่ชอบพาร์ที่เป็นแบบนี้เลย นอกจากทำให้อึดอัดและเครียดตามแล้ว ยังทำให้ผมนึกย้อนไปถึงตอนได้รู้จักกัน...

ลืมซะ ลืมไปซะ!

ผมรีบจับเรื่องแสนไม่น่าจดจำยัดใส่กล่องกระทืบฝังดินให้มิด ต่อจากนี้อย่าขุดขึ้นมาอีกเชียว!

แว่วเสียงกรี๊ดกร๊าดชอบใจของสองสาว หันมองตามเสียงเจอเด็กสาวทั้งสองกำลังมุงดูตะกร้าดอกไม้อยู่ครับ

หึๆ ผมบอกแล้วว่าพวกน้องเห็นต้องชอบ

“น่ารักอ่ะ คุณป้าคะ น้ำขอได้ไหม?”

“ป้าไม่แน่ใจว่าเป็นของตกแต่งของโรงพยาบาล…”

“ผมซื้อมาเองครับ” ผมรีบแสดงตัว คลี่ยิ้มนิดๆ ถือโอกาสนี้เดินไปร่วมกลุ่ม หลุดพ้นบรรยากาศอึมครึมเข้าสู่ความสดใส “เป็นของฝากเยี่ยม ดอกทานตะวันในห้องก็ด้วยครับ”

“ขอบใจจ๊ะ งั้นป้าให้หนูน้ำได้แล้วล่ะ” คุณป้าหัวเราะนิดๆ

“พี่ซื้อมาเหรอ ซื้อจากไหนอ่ะ”

“นี่ก็น่ารัก! พี่ที หนูขอเจ้าพวกนี้นะ” เบอร์ดี้ร้องขอทั้งที่กอดดอกทานตะวันแน่น

“พี่ให้เป็นของเยี่ยมแล้ว เธอต้องขอสองคนบนเตียงนู้น”

“แม่ หนูขอนะ”

“เฮ้ยๆ พ่อถือเป็นเจ้าของร่วมเหมือนกัน ทำไมไม่มีใครขอพ่อเลยล่ะ”

“พ่อไม่เข้ากับดอกไม้หรอก เจ้าของควรเป็นแม่มากกว่าค่ะ”

ผมหลุดหัวเราะเหมือนคนอื่น จริงครับ นอกจากคุณลุงเป็นเพศชายแล้ว ยังเลยวัยเข้ากับดอกไม้นานแล้วด้วย

และผมค้นพบว่าสองสาวของเราช่วยทำให้บรรยากาศในห้องผู้ป่วยสดใสได้ดีกว่าดอกไม้อีก

-------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2016 15:17:44 โดย katzep »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่4] P.1 (28/07/2016)
«ตอบ #13 เมื่อ29-07-2016 12:37:06 »

บทที่ 4 (ต่อ)

ให้ได้อย่างนี้สิ!

ผมนึกอย่างหงุดหงิดหลังโดนลูกชายเจ้าของคนไข้ถีบออกมาจากห้องคนป่วยด้วยเหตุผลโซฟานอนได้แค่คนเดียว ทั้งที่หมออนุญาตให้อยู่เฝ้าสองคนได้ แล้วยังโดนยึดเสื้อผ้ากับถุงนอนไปต่อหน้าต่อตาไม่พอ มีเลื่อนประตูปิดใส่หน้าสื่อชัดว่าไม่รับแขก   

พรุ่งนี้จะปล่อยให้ยืนคอยแถวหน้าโรงเรียนอนุบาลของน้องอันสักครึ่งชั่วโมง!

นึกคาดโทษใครบางคนในหัว หมุนตัวเดินผละจากมาอย่างหงุดหงิด

อ๊ะ งั้นผมก็ไปเรียนสายด้วยน่ะสิ บ้าเอ้ย! ลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้เรียนตึกเดียวกัน แถมเริ่มเรียนเวลาเดียวกันอีก

ผมเดินหัวเสียไปที่ลิฟต์ เกือบชนคนข้างหน้าดีนะเบรกตัวทัน กำลังจะอ้าปากพูดขอโทษ กลับโดนทักซะเอง

“อ้าว ไหนแม่บอกว่าทีจะค้างที่นี่”

ผมรีบเงยหน้าขึ้น พ่อผมเองครับ นึกว่าลงไปพร้อมพวกแม่แล้วซะอีก…ถ้ายังอยู่นี่แสดงว่าแวะที่ไหนสักแห่งมา

ตอนแรกผมนึกว่าไปห้องน้ำ แต่ในห้องคนป่วยก็มีนี่หว่า มาร้องอ้อในใจตอนเห็นโบชัวร์หลายใบในมือพ่อ มีตั้งแต่ตรวจสุขภาพของผู้ใหญ่ไปจนถึงเด็กเล็ก กับพวกโปรแกรมวัคซีนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ นึกอยากยกมือก่ายหน้าผาก

นี่ผมต้องมาฟังเสียงน้องร้องไห้ตอนโดนฉีดยาอีกแล้วเรอะ!

“สนใจนี่เหรอ?” พ่อโบกโบชัวร์ไปมาแถมยื่นให้อีก “ทีเอาไปอ่านก่อนก็ได้”

ผมรีบส่ายหัวรัวๆ ชวนพ่อเดินไปหน้าลิฟต์ด้วยกัน บอกตามตรงผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

“ยังไม่ตอบพ่อเลยนะ”

ตอบ? อ้อ...

“โดนพาร์ถีบออกมาครับ คืนนี้ผมเลยต้องกลับไปนอนบ้าน” ผมทำหน้าหงุดหงิดพลางกดปุ่มเรียกลิฟต์ “คนอุตส่าห์หวังดีไม่อยากให้นอนเฝ้าคนป่วยตั้งสองคนตามลำพัง มีคนช่วยดูแลเพิ่มดีกว่าเห็นๆ พ่อว่างั้นไหม”

อ้าว บิดาที่เคารพหัวเราะใส่ผมซะงั้น

“อะไรอ่ะ พ่อต้องเข้าข้างผมสิ!”

“ฮะๆ แล้วลูกไม่คิดว่าตอนนี้พาร์อยากอยู่ตามลำพังกับพวกลุงแทนบ้างล่ะ”

สมองผมผุดภาพเพื่อนแปลงร่างเป็นก๊อตซิล่าพ่นไฟขึ้นฟ้า แล้วบ่นฉอดๆๆ จนสองฮีโร่ฝ่ายธรรมะต้องนั่งคุกเข่าก้มหน้าก้มตาฟัง…คิดแล้วแอบสยองแทน

“เผื่อลูกยังไม่รู้ ลุงแทนกับป้าเจนเป็นพวกเสพติดงานทั้งคู่ พ่อได้ยินแม่บ่นมาเหมือนกันว่าที่เข้าโรงพยาบาลรอบนี้ เพราะหนีไปเคลียร์งานที่มีปัญหาถึงบริษัทแทนใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับบ้านในช่วงวันหยุด แต่ก่อนล้มโดนหามมาหาหมอแบบนี้ ทั้งคู่ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ๋งดีใช่ไหมล่ะ”

มีขยิบตาส่งให้ด้วย ผมทั้งอยากพยักหน้าและส่ายหัวพร้อมกัน

“ถ้าพ่อจะทำตาม ผมไม่เห็นด้วยนะ ไม่เท่เลย”

“นี่เลย! เดี๋ยวนะ ขอพ่อจดหน่อย” พ่อหยิบสมุดเล่มเล็กสำหรับพกติดตัว มีปากกาด้ามเท่าสมุดเสียบรอพร้อมใช้งาน มือขยับจดคำพูดของผมยิกๆ “พ่อจะเอาไปบอกลุงแทนของลูก ดูสิจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้มากน้อยแค่ไหน”

“งั้นเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการเทียวไปเทียวมาบ้านเรา”

“จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยวอยู่ ปกติลุงป้าของลูกไม่ล้มง่ายๆ แบบนี้หรอก แค่ทำงานข้ามวันน่ะจิ๊บๆ พ่อคิดว่าเพราะพักผ่อนไม่พอเกือบทั้งสัปดาห์ แล้วเจอโต้รุ้งข้ามวันข้ามอีกคืน เลยจบด้วยการมานอนแหมะที่โรงพยาบาลนี่แหละ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ แบบนี้นี่เอง

“ส่วนลูกต้องเข้าใจพาร์หน่อย เด็กคนนั้นพึ่งพาตัวเองมาตลอด เลยไม่เข้าใจความคิดของลูก พอมีคนเสนอตัวช่วย พาร์คงเกรงใจ ไม่อยากให้มาลำบากด้วยเรื่องในครอบครัวตัวเอง แต่ถ้าช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็รับไว้นะ อย่างเสื้อผ้าของลูกไง”

แววตาของพ่อดูเข้าอกเข้าใจคนกล่าวถึงไม่น้อย นี่ล่ะมั้งที่ว่าผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน

“ส่วนลูกโตมากับหลายๆ คน ทุกคนช่วยกันดูแลจนลูกโตในระดับหนึ่ง เลยซึมซับเรื่องการร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันมาไม่น้อย กรณีของลูกเลยตรงข้ามกับพาร์ที่ยืนหยัดเข้มแข็งตามลำพัง” พูดถึงตรงนี้พ่อก็หัวเราะอีก “ถึงอย่างนั้นทั้งลูกทั้งพาร์กลับเข้ากันได้ดี พ่อแปลกใจจริงๆ”

ผมขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย “พ่อรู้ได้ไงว่าเราเข้ากันได้?”

“ก็พวกลูกพึ่งเจอหน้ากันแท้ๆ กลับดูสนิทเหมือนรู้จักกันมานาน…” พูดถึงตรงนี้พ่อก็หยุด ขยับหัวมาใกล้หูผม ลดเสียงลงเหลือกระซิบ “พ่อกับลุงแทนพนันกันด้วยล่ะว่าพวกลูกจะได้เจอหน้าจังๆ เมื่อไหร่”

ฮะ? พ่อผมกับพ่อพาร์พนันเรื่องนี้กันเนี่ยนะ?

“แต่กว่าได้เจอหน้ากันจริงๆ ตั้งเกือบสิบปีแบบนี้ พวกพ่อเลยโดนกินเรียบ พวกลูกนี่เหมือนแม่เหล็กจริงๆ ก่อนหน้าก็เอาแต่ผลักกันไปมาตลอด ส่วนเดี๋ยวนี้…”

“เดี๋ยวนะพ่อ! เกือบสิบปีนี่คืออะไร”

ผมพูดขัดอย่างข้องใจสุดๆ พ่อเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะยิ้ม

“งั้นพ่อเล่าอะไรให้ฟัง ลุงแทนเป็นเพื่อนสมัยมัธยมพ่อเอง พึ่งได้เจอกันอีกหนหลังส่งน้ำเข้าเรียนอนุบาล แต่สมัยนั้นน้องสาวเรากับเบอร์ดี้เรียนคนละห้องเลยไม่สนิทกันเท่าไหร่ บางครั้งลุงแทนก็ฝากลูกชายลูกสาวมาอยู่บ้านเรา แต่ช่วงนั้นลูกกำลังมีปัญหาไม่ยอมมาค้างที่บ้านพ่อ…ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น พ่อเข้าใจน่า อีกอย่างเพราะพ่อแม่ตัดสินใจยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงตั้งแต่เกิด ลูกจะห่างเหินกับพ่อแม่ก็ไม่แปลกหรอก”

พ่อโยกหัวผมไปมา เป็นเวลาเดียวกับลิฟต์ที่กดเรียกมาถึงพอดี เลยพากันเดินเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยม ข้างในมีแค่เราสองคน พ่อเลยเล่าต่อ “สองสาวน้อยเล่นด้วยกันบ่อยๆ พอเข้าประถมอยู่ห้องเดียวกันเลยเริ่มสนิทมากขึ้นเรื่อยๆ คบเป็นเพื่อนกันมาถึงปัจจุบัน อันนี้ลูกคงรู้แล้ว พวกพ่อก็เหมือนกันเจอกันบ่อยๆ เข้าก็สนิทกว่าสมัยเรียนหนังสืออีก”

ผมพึ่งได้รู้ถึงความสนิทสนมของสองบ้าน ความเป็นมายาวนานดีจริงๆ หลังครุ่นคิดถึงประเด็นที่พ่อต้องการสื่อบอกก็เอ่ยปากถาม

“หมายความว่า ผมควรรู้จักพาร์นานแล้ว?”

“ก็นะ ถ้าไม่เอาแต่เฉียดจะเจอกันหลายครั้งหลายหนก็ไม่ได้เจอสักทีน่ะ พวกแม่ๆ ยังบ่นอยู่เลยว่าพวกลูกไร้วาสนาต่อกัน ชวนไปทำบุญให้พวกลูกออกบ่อย จำสายสิญจน์ที่แม่เอามาผูกข้อมือให้ลูกได้ไหม”

ผมพยักหน้า สายสิญจน์เส้นแรกและเส้นเดียวที่ได้มาจากแม่ ทำไมจะจำไม่ได้ แม่บอกว่าไปดั้งด้นขอพระมาให้ ผมเลยผูกติดข้อมือตลอดตั้งแต่ป.6 จนขาดไปเมื่อตอนม.5

“แม่ให้มาเพราะผมเตรียมสอบเข้าม.1 นี่ครับ” ผมไปลองสนามโรงเรียนดังมา แต่ไม่ติดครับ ถึงติดผมก็ไม่คิดย้ายโรงเรียนหรอก ได้ยินแม่บ่นอยู่ว่าสายสิญจน์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทำผมรู้สึกผิดไปหลายวัน เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้เตรียมตัวไปสอบเหมือนเด็กคนอื่น

พ่อหัวเราะอีกแล้ว “ใครบอก แม่กับป้าเจนไปขอมาเพื่อผูกดวงพวกลูกต่างหาก ไม่เชื่อไปถามพาร์สิ โดนบังคับผูกติดข้อมือเหมือนลูกนั่นแหละ สองคนนั้นบ่นใหญ่ว่าไม่ได้ผลบ้างล่ะ ไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้างล่ะ ขนาดพาร์ย้ายเข้าโรงเรียนลูกตอนม.ต้น เรียนครบสามปี พวกลูกยังไม่รู้จักกันเลย”

“ฮะ! เรียนโรงเรียนเดียวกัน?!”

ตายล่ะหว่า ทำไมผมไม่เคยเจอ เอ๊ะ หรือเคยเห็นผ่านๆ?

“นี่ลูกพึ่งรู้? ไม่ไหวๆ ถ้าพาร์ไม่ไปเรียนต่างประเทศช่วง ม.ปลาย พวกพ่อว่าจะลุ้นต่ออีกสามปี”

ผมย่นหน้า แสดงว่าเรื่องผมกับพาร์เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ แฟมมิลี่มาหลายปีดีดัก โดยพวกผมไม่รู้เรื่องด้วยสักนิดสินะ

“แต่หลังจากเห็นพาร์กับทีในช่วงนี้ พ่อคิดว่าแม่เหล็กน่าจะสลับขั้วแล้วล่ะ”

พ่อหย่อนคำแซวทิ้งท้ายในช่วงลิฟต์เปิดออกที่ชั้นแรก คนพูดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีไปรวมกลุ่มกับพวกแม่ที่ยืนคอยอยู่ใกล้ประตูทางออก ปล่อยให้ผมเดินเคี้ยวฟันตามหลัง

ถ้าผมเดาไม่ผิด พ่อต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าสาวน้อยประจำบ้านกำลังวางแผนทำอะไรอยู่

แล้วทำไมไม่ห้ามน้องล่ะครับพ่อ!

แต่เชื่อไหม ผมว่าผมรู้คำตอบ เฮ้อ…มีพ่อหัวสมัยใหม่ก็น่ากลุ้มใจเหมือนกันนะครับ 

-------------

โชคดีครับคุณลุงคุณป้าไม่เป็นอะไรมาก วันนี้ (วันอังคาร) ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่คุณหมอให้ออกตอนเย็น แม่ผมอาสาไปรับทั้งคู่เอง เย็นนี้ผมเลยต้องไปรับน้องอันกับซื้อของกินตามลิสต์รายการยาวเหยียด เนื่องจากวันนี้ที่บ้านผมจะมีงานฉลองออกจากโรงพยาบาลกัน

PAR:  ตกลงไปซื้อของก่อนค่อยไปรับน้อง?
TEE:  ช่าย

ผมกดพิมพ์ส่งคำตอบให้พาร์ทางไลน์ ระหว่างเดินตามเพื่อนไปโรงอาหาร เวรเฝ้าโต๊ะวันนี้รู้สึกจะเป็นของศิ 

PAR:  เลิกห้าโมง?

ก็จำได้นี่หว่า ผมก๊อปปี๊คำตอบเมื่อกี้ส่งไปใหม่อีกครั้ง

TEE:  ช่าย
PAR:  งั้นเจอกันที่เดิม
TEE:  สติกเกอร์หมีขาวโอเค

ถึงโรงอาหารพวกเราก็แยกย้ายทำหน้าที่ นนท์อาสาซื้อข้าวให้ศิ เรื่องน้ำเลยตกเป็นหน้าที่ผม เพราะร้านข้าวที่ผมชอบอยู่ใกล้ร้านน้ำพอดี ซื้เสร็จก็กลับมารวมตัวกันที่โต๊ะอีกครั้ง

“อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ”

ผมเงยหน้ามองเด็นที่จู่ๆ ก็พูดเปรยแบบไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร ไม่ใช่แค่ผม เพื่อนอีกสี่คนก็มองเด็นเหมือนกัน ต่างคนต่างงง ไม่เข้าใจว่ามันต้องการสื่ออะไร

“ที่มึงทะเลาะกับผัว?” ลูกหว้าเปิดประเดิมก่อนใคร

“ไม่ใช่ พวกกูยังหวานชื่นดี”

หวานบ้าอะไร! ผมยังโดนสามีมันโทรถามอยู่เลยว่า ช่วงนี้เมียมันไปกินรังแตนที่ไหนมา ผมเลยสวนไปว่า ถ้าอยากให้เมียหายหงุดหงิด เลิกไปสังสรรค์กับรุ่นพี่เกือบทุกวันได้แล้ว แม่ง ไปเมาเหมือนหมาจนเมียอารมณ์เสีย ยังไม่รู้ตัวอีก…ความจริงเด็นบอกผมว่ามันไปมีคนอื่นด้วย ผมก็ได้แต่ส่งหลักฐานว่ามันไปกับรุ่นพี่ในคณะให้เด็นดู

“แล้วอะไรคือหนึ่งอาทิตย์ของมึง” นนท์ถามเป็นคนที่สอง                 

เด็นจ้องผมทำไม?

“เพื่อนทีของเราให้หนุ่มหล่อคณะนิติติดรถไปกลับครบอาทิตย์แล้วน่ะสิ กูเลยคิดว่างานนี้ต้องมีซัมติง”

พอมีคนจุดประเด็น เพื่อนในกลุ่มก็หันขวับจ้องผมตาเป็นตาเดียว แววตาเปลี่ยนเชียวนะพวกมึง

“เอ…ยังไงหนอ เพื่อนทีช่วยให้ความกระจ่างกับพวกเราหน่อย”

ลูกหว้าพูดขึ้นก่อนใคร ผมมองรอยยิ้มแสยะของคนพูดด้วยความสยอง

“…มึงหึง?”

“จุ๊ๆ เรื่องแบบนี้เค้าไม่พูดกัน...”

“เพราะยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

ผมขำก๊ากหลังได้ยินประโยคเดียวของศิ แม่ธิดาผู้พูดความจริงตลอดกาลแผลงฤทธิ์ทีเดียวท่านิ้วแตะปากคลี่ยิ้มมีเลศนัยเสริมเสน่ห์ของลูกหว้าพังครืนในพริบตา ฮ่าๆๆ

“แม้แต่เพื่อนยังไม่ได้เป็นเลย” นนท์ตอกยี้กคน แววตาสั่นระริก

“หึ เรื่องนี้ต้องโทษคนนี้ค่ะ” อ้าว ผมโดนลูกหว้าชี้นิ้วป้ายความผิดเฉย “เมื่อไหร่คุณเพื่อนทีจะแนะนำให้รู้จักสักทีคะ?”

ผมยกสองมือเป็นเชิงยอมแพ้ “ขอโทษเถอะ กูถามให้แล้วนะ แต่พาร์ไม่อยากเจอมึงว่ะ”

เสียงหัวเราะดังกระจายรอบทิศ เรื่องนี้โทษผมไม่ได้นะครับ เพื่อนคนอื่นได้รู้จักกันไปแล้วด้วยความบังเอิญ เจอกันตอนกินข้าวเที่ยงเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว เพราะโรงอาหารกลางโต๊ะไม่พอนั่ง กลุ่มพาร์เลยมาขอแจมด้วย แต่ตอนนั้นลูกหว้าดันโดนข้าศึกบุกชิดประตูเมือง ไปขลุกในห้องน้ำซะนาน กว่าจะออกมาพวกพาร์ก็ไปแล้ว หลังจากนั้นยังไม่มีโอกาสได้เจออีกเลย นึกแล้วก็ส่ายหน้า ไร้วาสนาจริงๆ เพื่อนผม อ๊ะ ผมไปว่าคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นี่หว่า

“เรียกมากินข้าวด้วยกันเลย!”

“เฮ้ๆ ไม่ได้ยินที่เพื่อนทีบอกหรือครับเพื่อนหว้า เจ้าชายของมึงไม่อยากเจอหน้ามึงอ่ะ”

“หุบปากไปเลยอีเด็น มีแฟนอยู่วิศวะซะเปล่า ไม่เค๊ยไม่เคยลากก๊วนหนุ่มหล่อประจำวิศวะมากินข้าวกับกลุ่มเราสักครั้ง”

“คนละกลุ่มกันโว้ย สามีกูรู้จักแต่ไม่สนิท ฟังภาษาคนออกรึยัง!”

อ้อเหรอ ไม่สนิท ผมจะจำไว้นะเพื่อน

ผมตีเนียนหัวเราะขำไปพร้อมมินต์ ผู้รับชมการโต้คารมณ์ประจำกลุ่มเพียงอย่างเดียว ในกลุ่มเรา มินต์เรียบร้อยที่สุดแล้ว อ่อนหวาน มีน้ำใจ แต่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่

“แล้วตกลงเพื่อนทีจะนัดให้มะ? วันนี้เรียนตึกเดียวกันนี่”

ผมหัวเราะค้าง ไหงกลับมาประเด็นเดิมอีกแล้วล่ะ นึกว่าลูกหว้าจะออกทะเลกู่ไม่กลับแล้วซะอีก

“จะนัดก็รีบนัด นี่เที่ยงสิบห้าแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นกินข้าวกันก่อน” ศิเอ่ยเตือน

ผมกรอกตานึกตารางเรียนเป้าหมายออกจากหัวสมอง พาร์ไม่ได้บอกผมหรอก แต่น้องสาวคนดีพยายามยัดมันเข้าสมองผมต่างหาก และทำสำเร็จด้วย เพราะผมทนเสียงน้องกรอกรูหูไม่ไหวเลยเอามานั่งอ่านนั่งท่องเอง แถมต้องไปทดสอบความจำกับน้องหลายคำถาม แทบร้องไชโยตอนน้องบอกผ่าน หลุดพ้นจากปีศาจน้อยได้ซะที 

“คงไม่ได้ ช่วงบ่ายพาร์เรียนอีกตึก ไม่ได้กินข้าวที่นี่”

“ม...หมายความว่าโอกาสมีแค่ตอนเช้า”

ผมมองท่าทางโอเวอร์แสนเศร้าของลูกหว้าด้วยความขำ เพราะวันนี้ลูกหว้ามาสายเลยไม่ทันได้เห็นพาร์เดินมากับผมเหมือนครั้งก่อน อีกอย่างผมกำลังสงสัย ลูกหว้าคิดจีบพาร์แน่เหรอ เห็นส่องคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ไม่เห็นเข้าหาใครแบบจริงจังสักคน แน่นอนเป้าหมายของลูกหว้าต้องเป็นหนุ่มหล่อครับ แต่โคตรต่างสไตล์กันเลย ให้อารมณ์เหมือนสาวๆ ตามปลื้มโอปป้าที่ชื่นชอบมากกว่า   

“ลืมบอก ศุกร์นี้พวกมึงมาเชียร์กูด้วย” นนท์เปิดประเด็นใหม่

“นนท์มีแข่ง?” มินต์ถามอย่างแปลกใจ

ผมแปลกใจเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่น่าจะมีแข่งกีฬาที่ไหน เพราะอีกสามอาทิตย์จะสอบปลายภาคแล้ว

“แข่งซ้อมมือเฉยๆ เล่นสนุกๆ แต่แอบเอาจริง”

“ฟังดูขัดแย้งนะ” เด็นตั้งข้อสงสัย

“มันเป็นศักดิ์ศรีของคณะ!”

“แข่งกับคณะอื่น?” ผมถาม นนท์ผงกหัวว่าใช่

“คณะอะไร? หนุ่มหล่อเยอะปะ?” ตาเป็นประกายมากไปแล้วลูกหว้า

“บ่ายศุกร์ของปี1 คณะเราไม่เรียน และที่ว่างตรงกันมีแค่คณะเดียว...”

ผมชะงัก ชักสังหรณ์ใจพิกล รอฟังนนท์พูดเฉลย

“เด็กนิติ”

นั่นไง ขณะที่ผมกุมขมับ ยัยลูกหว้ากลับดี้ด้าถามกลับได้รวดเร็วทันใจ

“หูย สรรค์เข้าข้างคนสวยแล้ว ว่าแต่แข่งอะไรอ่ะ?”

“บาส”

“คราวนี้เดิมพันอะไร” ศิถามด้วยความเคยชิน แข่งรอบนอกทีไรเป็นแบบนี้ทุกที

นนท์เม้มปาก ท่าทางลำบากใจจนพวกผมชักลุ้นตามการอ้าปากของเพื่อน

“สะใภ้คณะ”

ทั้งกลุ่มเงียบกริบ มองหน้ากันไปมา ก่อนเด็นถามหน้างง “มันคืออะไร”

ผมเบนสายตาจ้องนนท์เหมือนเพื่อนคนอื่น

นนท์ส่ายหน้าหวือว่าไม่รู้เหมือนกัน “แต่พวกรุ่นพี่พูดกับพวกกูปี1 เสียงเครียด แสดงว่ามันต้องสำคัญ”

ผมสะดุดหู รีบถามให้แน่ใจ “ปี1 ลงแข่งเอง?”

ทุกทีคละๆ ชั้นปีกันไป แต่ส่วนใหญ่ในทีมจะมีปี1 แค่คนเดียวนี่หว่า

นนท์ส่ายหน้า “กัปตันทีมเลือกจากรุ่นพี่ แต่สี่คนที่เหลือปีหนึ่งหมดวะ”

กลุ่มผมฮือฮากับข่าวใหม่ทันที ก่อนจะพูดอะไรมากกว่านั้น โทรศัพท์ทุกคนส่งเสียงแจ้งเตือนไลน์เข้า เสียงเฉพาะแบบที่รู้ได้ทันทีว่าจากประธานชั้นปี1

มล: แจ้งข่าว! รุ่นพี่เรียกรวมตัว บ่ายโมงที่ห้องเรียน 602 ณ อาคารเรียนรวมXXX

6 ตัวแรกหมายถึงชั้น ส่วน 02 คือเลขห้องครับ สถานที่ก็อาคารเรียนร่วมที่ผมอยู่ตอนนี้ มันมีหกชั้น ชั้นบนสุดมีแค่สองห้อง เป็นห้องใหญ่มาก ไม่ค่อยได้เปิดใช้หรอก นอกจากมีประชุมรวมทุกชั้นปี งานประชุมวิชาการ ไม่ก็งานบรรยายอะไรสักอย่างที่ต้องจุคนเยอะๆ   

“…หรือว่าจะเกี่ยวกับสะใภ้คณะอะไรนั่น?” ศิเปรยขึ้นมา

“ชัวร์!” ลูกหว้าลงความเห็น

จะใช่หรือไม่ ก็ต้องไปตามนัดอยู่ดีครับ

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2016 15:18:28 โดย katzep »

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่4] P.1 (28/07/2016)
«ตอบ #14 เมื่อ29-07-2016 19:46:23 »

สนุกมากกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
«ตอบ #15 เมื่อ30-07-2016 11:39:49 »

บทที่ 5

“สะใภ้คณะคือตำแหน่ง!”

พี่นัน ประธานคณะปี4 เพศหญิงตั้งแต่กำเนิดจนถึงปัจจุบันเอ่ยเกริ่นนำเรียกความสนใจได้อย่างดี 

ปี1 เกือบทั้งหมด (ต้องมีคนโดดเชื่อผมไหม) รวมผม นั่งนิ่งฟังรุ่นพี่อธิบายความเป็นมาของตำแหน่งประหลาดในห้องใหญ่มาก ผมและพวกเพื่อนๆ นึกว่าเดี๋ยวมีรุ่นพี่ปีอื่นมาสมทบ จึงพากันนั่งกระจุกรวมตัวแถวหน้าห้องตั้งแต่เข้ามาจนเลยเวลานัดไปโขก็มีแต่ปี1 ด้านหลังพวกเราตอนนี้เลยวังเวงสุดๆ 

“หรือถ้าให้เปรียบเทียบแบบเห็นภาพชัดๆ มันคือการเหมือนการสังเวยคนในคณะหนึ่งคนเป็นของเดิมพัน หากฝ่ายไหนแพ้ต้องยกคนๆ นั้นให้อีกฝ่ายโดยไม่มีข้อแม้ คล้ายกับยกลูกสาวไปของบรรณาการให้เมืองขึ้นนั่นแล”

ผมเริ่มมองเห็นภาพมากขึ้นแล้ว หูก็ฟังคำอธิบายต่อ

“จุดสำคัญอยู่ที่พิธีมอบตัวค่ะน้องๆ หลังแข่งจนรู้ผล ตัวแทนฝ่ายแพ้ต้องอยู่เฉยๆ รอให้ใครสักคนในฝ่ายชนะเลือกตัวไปเป็นคู่ หรือที่เรียกว่า ‘สามีเลือกคู่’ แต่ถ้าไม่มีใครเลือกในวันมอบตัวก็จะหลุดจากตำแหน่งสะใภ้เข้าสู่ตำแหน่ง ‘สาวใช้’ หรือที่เรียกว่า เบ้ ทันที ต้องโดนอีกคณะโขกสับให้เจ็บกระดองใจเล่นๆ โดยที่ไม่สามารถช่วยลูกคณะที่เป็นเบ้ได้เลย”

ท่านประธานกำหมัดแสดงท่าทางเจ็บปวดปนเศร้าได้น่าดูชมมาก ทำเอาเด็กปีหนึ่งเผลอกลืนน้ำลายลงคอเป็นแถบ วันนี้พี่แกฉายเดี่ยวครับ เพราะพี่คนอื่นติดเรียนกัน เห็นว่าพี่นันโดดมาเพื่อพบพวกเราเหล่าเด็กปี1 โดยเฉพาะ

“เมื่อเทียบกับอัตราส่วนการแข่งขัน คนที่ได้เป็นสะใภ้คณะมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ได้เป็นเบ้ทั้งนั้น เพราะทั้งได้คนช่วยงานแบบขัดขืนไม่ได้ฟรี ตรงนี้แหละที่ต่างกับสะใภ้คณะ เพราะทางคณะสามีต้องถามความยินยอมพร้อมใจก่อน และถ้าได้สามีดียังสามารถช่วยพูดคัดค้านได้อีกต่างหาก พูดง่ายๆ สถานะและศักดิ์ศรีของสองตำแหน่งต่างกันมาก ประหนึ่งเมียหลวงที่ได้รับการยอมรับอย่างดี กับเมียทาสที่ต้องไปให้เขาจิกหัวใช้นั่นแล”

เป็นคำอธิบายที่เห็นภาพชัดดีครับ ทำเอาพวกเรารับรู้ว่าพนันคราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

“แล้วพี่เรียกรวมเฉพาะเด็กปี1 ทำไมครับ”   

อันนี้ผมก็สงสัย

“เพราะมีกฎว่าต้องเลือกลูกสาวจากปี1 เท่านั้น”

เงียบฉี่…

“ผู้ชายไม่เกี่ยวใช่ไหมครับ”

“ชายหญิงเกี่ยวหมดค่ะ!”

เท่านั้นแหละเสียงผึ้งแตกรังดังกระหึ่ม จนรุ่นพี่ต้องเคาะไมโครโฟนให้รุ่นน้องเงียบ

“พวกพี่ช่วยทำฉลากมาให้แล้ว”

พี่นันยก เอ่อ ถุงดำ? ไม่สิ จากรูปทรงผมนึกถึงตะกร้าใบเล็กที่ผมใช้ใส่ขยะในห้องนอน แต่เพราะถูกหุ้มถุงดำ ผมเลยไม่แน่ใจว่าใช่อย่างเดียวกันไหม แต่ข้างในถุงดำต้องมีอะไรอยู่แน่นอนครับ ไม่ถังใบเล็กก็ตะกร้า พอพี่นันตะแครงให้ดู ผมเห็นแวบๆ ว่าด้านบนสุดถูกกรีดเป็นรูปกากบาทให้แค่สอดมือเข้าไปได้ เอ่อ ฉลากก็น่าจะอยู่ในนั่น

พี่นันล้วงหยิบให้ดูหนึ่งใบ เป็นฉลากม้วนแท่งกลมๆ ยาวประมาณสองข้อนิ้วมือ

“จับคนละ1ใบค่ะ ส่วนใหญ่เป็นกระดาษเปล่า มีเพียงใบเดียวปั๊มตราคณะเรา คนที่จับตราคณะได้จะเป็นลูกสาวคณะค่ะ”

ผมนึกถึงหนังจีนขึ้นมาเลย ‘หนึ่งใบ กำหนดชะตากรรม’ ...เป็นแบบนี้นี่เอง

“ใครสงสัยอะไรก็รีบถาม ถ้าไม่มีพี่จะให้นับจำนวนคน และเริ่มจับฉลากกันแล้วค่ะ”

ปี1 มองหน้ากัน ก่อนจะมีแนวหน้ายกมือถามกันสลอน ใครมันจะไปยอมเสี่ยงจับฉลากเลยเล่า อย่างน้อยขอถ่วงเวลาสักหน่อยก็ยังดี

“น้องผู้ชายที่นั่งข้างคนติดกิ๊บดอกไม้ชมพูค่ะ”

พี่นันชี้นิ้วทางพวกผม ทางขวาผมคือเด็น ไม่มีกิ๊บแน่ เลยหันซ้าย อ้อ กิ๊บของลูกหว้านี่เอง เด่นจนผมได้ถามคนแรกเลยวุ้ย

ผมรีบลดแขนลง ลุกขึ้นยืนเปล่งเสียงถาม “ข้อดีของสะใภ้คณะคืออะไรครับ”

“ได้รับสิทธิ์พิเศษเข้าออกตึกคณะสามีอย่างอิสระ แม้จะอยู่ในช่วงพิเศษห้ามคนนอกเข้าออกค่ะ นอกจากนี้ยังได้รับการดูแลอย่างดี เชื่อได้เลยว่าคนในคณะสามีไม่มีใครคิดร้ายด้วยแน่นอนค่ะ แต่หากประพฤติไม่ดีหรือทำความผิด สามีและสะใภ้ต้องรับโทษร่วมสองเท่านะคะ”

รอบข้างผมเกิดเสียงฮือฮาใหญ่ ผมแอบได้ยินเสียงของเพื่อนที่นั่งด้านหลัง

“เอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้นใครจะกล้าเลือกสะใภ้กัน…”

“เงียบๆ ค่ะ มีใครจะถามต่อไหมคะ น้องที่สวมสร้อยคอกางเขนค่ะ”

“กรณีสามี สามารถขึ้นตึกคณะของสะใภ้อย่างอิสระเหมือนกันไหมครับ”

“สามีได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกับสะใภ้ค่ะ”

จากนั้นพี่นันชี้นิ้วอย่างเดียว คนที่ยกมือคิดว่าใช่ตัวเองก็ลุกขึ้นถาม หลังๆ บางคนลุกขึ้นถามเลยไม่รอให้ถูกชี้ตัวด้วยซ้ำ การถามตอบเลยไปค่อนข้างเร็ว

“สามีนี่ใครอาสาก็ได้เหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ถ้าใครนึกถูกชะตาลูกสาวตอนมอบตัวก็ยกมือตอบรับได้เลย ถือเป็นการให้เกียรติ์อีกคณะหนึ่งด้วย อ้อ มีข้อยกเว้นพิเศษ คณะที่เป็นพันธมิตรกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะก็ต้องรับลูกสาวคณะที่แพ้เป็นสะใภ้ค่ะ”

“พี่ครับ ลูกสาวคืออะไรกันแน่ ต่างกับสะใภ้คณะตรงไหน”

“ลูกสาวเป็นคำใช้เรียกเหยื่อสังเวย เอ้ย พี่หมายถึงตัวแทนก่อนที่จะตบแต่งเข้าคณะอื่นค่ะ ถ้าแต่งแล้วถึงเรียกว่าสะใภ้คณะ”

“แล้วเรากับนิติเกี่ยวข้องกันไหมคะ”

“แหม พี่ว่าจะไม่บอกนะ ไม่นึกว่าจะมีคนถาม…นิติกับเราถือเป็นพันธมิตรกันค่ะ”

ท่ามกลางเสียงฮือฮาของเด็กปี1 ผมนั่งขมวดคิ้ว

…เป็นพันธมิตรกันแท้ๆ ไหงเลือกสะใภ้เป็นของเดิมพันเล่า

“ทำไมถึงเลือกเดิมพันเป็นสะใภ้คณะล่ะคะ”

มีคนยกมือถามให้แล้วครับ ผมหูผึ่งรอฟังเลย

พี่นันยิ้มแห้ง “พอดีสะใภ้คณะนิติคนก่อนเรียนจบไปปีที่แล้ว ทั้งสองคณะเลยต้องหาสะใภ้คนใหม่มาเกี่ยวดองกันไว้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นพันธมิตรของเราค่ะ เดิมพันของเรากับนิติจะเกิดขึ้นทุก 4 ปี พวกน้องนี่โชคดีสุดๆ”

ดีจริงเหรอ…ผมชักไม่แน่ใจ

“หมายความว่า เป็นการจับคู่ระหว่างเด็กปี1 คณะเรากับเด็กปี1 คณะนู้นใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ แต่พี่อยากเตือนว่า ถ้าไม่ใช่พันธมิตร ฝ่ายสามีจะเป็นใครก็ได้ตั้งแต่ปี1 ยัน ปี4”

“งั้นกรณีพันธมิตรจะต้องถูกระบุว่าเป็นปี1 เท่านั้นใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ มันเป็นกฎตั้งแต่แรกเริ่มประเพณี”

สรุปงานเข้าปี1 เต็มๆ ผมลอบถอนหายใจ

“สะใภ้คณะมีข้อดีแค่นี้เองเหรอคะ” 

“แค่นี้ก็เยอะแล้วนะยัยมล อ๊ะ แต่มีข้อดีอีกอย่าง เพราะได้รับการต้อนรับอย่างดี เวลาไปประสานงานจะรวดเร็วมากกว่าพี่ที่เป็นประธานปี4 ไปเองอีก” พี่นันตอบน้องสาวที่เป็นประธานชั้นปี1   

“พี่ครับ เอ่อ มันฟังดูไม่ต่างจากเบ้เลย”

เออ คิดเหมือนผม เห็นแววสะใภ้จะโดนใช้งานไปเยือนนิติบ่อยๆ เลยครับ

“ยังมีอีกค่ะ…” พี่นันไม่สนใจ พูดต่อหน้าตาย เหมือนพนักงานกำลังนำเสนอสินค้าให้คนสนใจ “สะใภ้คนไหนได้สามีหน้าตาดีนะ เอาไปควงอวดสบาย ไม่ต้องกังวลว่าไม่เหมาะสม ไม่มีใครในสองคณะมาแย่งชิงสามีให้เหนื่อย แถมใครต่างคณะมาจีบสามีก็ไม่ต้องห่วง เพื่อนยันรุ่นพี่ทั้งสองคณะช่วยเป็นหูเป็นตา คอยกีดกันให้หมดค่ะ”

แต่เหล่าคนฟังกลับทำหน้าแหยง “เอ่อ แบบนี้แสดงว่าจะไม่สามารถมีแฟนได้อีกแล้วสิครับ”

“ก็…แบบนั้นแหละค่ะ” พี่นันเสตาหลบ ตอบอ่อมแอ้ม

มันเป็นข้อดีตรงไหนครับเพ่!

“โหย ถ้ามันแย่ขนาดนี้ แล้วใครจะเลือกคนต่างคณะเป็นสะใภ้กันครับ”

นั่นสิ อีกอย่างจะสะใภ้หรือเบ้ก็เครือเดียวกันเห็นๆ เกิดมาเพื่อคอยรับใช้คนส่วนรวมชัดๆ

“แหมๆ ถ้าเจอว่าที่สะใภ้สวยหล่อ อย่าให้พวกพี่เห็นนะว่าแย่งกันยกมืออาสาน่ะ!”

เด็กปี1 เถียงไม่ออก พอมาลองคิดมุมกลับ ถ้าได้คนสวยหล่อมาครองก็คุ้มค่าอยู่นะ เชิดหน้าควงอวดตลอดสี่ปีได้สบาย ไม่ต้องกลัวถูกใครแย่งไป ไม่ต้องคอยเทคแคร์เหมือนแฟนก็ไม่หนีหายไปไหน

อืมม…ได้อย่างเสียอย่างจริงๆ

“ทางเราจับฉลาก แล้วทางนู้นล่ะคะ?”

“จับฉลากเหมือนกันค่ะ”

…คนหน้าตาดีมีเปอร์เซ็นต์แค่ 1 ใน 10 แล้วโอกาสได้จะเท่าไรเชียว ผมถอนหายใจเฮือก ในเมื่อข้อเสียมันเยอะกว่าข้อดี ผมขอตั้งนามใหม่ให้เลยว่า

ตำแหน่งหายนะแห่งปี!

ใครได้ไปถือเป็นบุคคลดวงตก ควรรีบเข้าวัดวา สวดมนตร์ทำบุญอย่างเร่งด่วน

หมดเวลาซักถามก็ได้เวลานับจำนวนปี1 ที่มาเข้าร่วมให้ชัดเจน ตามคาดมีคนโดดจริงๆ พี่นันใจร้ายพอจดชื่อคนโดดยิกๆ ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าเอาไปทำอะไร จากนั้นก็เรียกตามแถวนั่งโต๊ะเลคเชอร์ให้ออกไปจับฉลากเรื่อยๆ

“ห้ามเปิดดูก่อนนะน้องๆ ใครขัดคำสั่งพี่จะจับไปเป็นสะใภ้คณะแทนคนที่จับฉลากได้”

คำขู่น่ากลัวขนาดนี้ แล้วใครมันจะกล้า?

แต่ผมแอบสงสัย ทำไมไม่ให้ดูตั้งแต่แรกจับฉลากเลย หรือกลัวถ้ารู้ตัวคนจับแล้ว คนที่ต่อแถว แต่ไม่ได้จับจะเสียใจเนื่องจากไม่มีโอกาสได้ลุ้นกับเขา…ก็ไม่น่าใช่ คนไม่ได้จับก็คงรอลุ้นให้ฉลากหายนะตกในมือใครสักคนอยู่ดี

คิดไปคิดมาผมก็รู้สึกแปลกๆ หรือจะมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

กว่าถึงตาผมและพวกพ้องเพื่อนสนิทที่นั่งแถวเดียวกัน ฉลากก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ผมล้วงหยิบด้วยใจตุ๋มๆ ต๋อมๆ ได้มาแล้วก็รีบหมุนฉลากดูภายนอกให้ทั่ว กระดาษบางแค่ 70 แกรม ไม่มีทางไม่ทิ้งร่องรอยหรอก อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นสีอื่นแต้มบนพื้นขาว

ไม่เจอแฮะ…ฟู่ โล่งใจล่ะ ผมอยู่ในกลุ่มคนส่วนใหญ่แน่นอน เดินกลับไปหย่อนก้นนั่งที่เดิมอย่างอารมณ์ดี ยังไม่ทันได้คุยกับลูกหว้า เด็นก็ตามมาสมทบ ผมเลิกคิ้วมองสีหน้าแปลกๆ ของเพื่อน ยังไม่ทันอ้าปากถาม ม้วนกระดาษในมือผมก็โดนฉกไปต่อหน้าต่อตา

เฮ้ย?!

“มึงทำอะ…”

ไม่ทันถาเอาเรื่อง ม้วนกระดาษก็ถูกโยนคืนมา ฉลากร่วงหล่นใส่ตัก ผมเกือบคว้าแทบไม่ทัน

เล่นอะไรวะ!

ผมขมวดคิ้ว กลิ้งม้วนกระดาษยับๆ ในอุ้งมือให้กลับมาเรียบเหมือนเดิม จึงได้สังเกตว่าม้วนกระดาษเปลี่ยนไป ด้วยความติดใจเลยหยิบมาหมุนสำรวจ

…รู้สึกจะสั้นกว่าเดิมนิดหนึ่ง

สายตาไปสะดุดกึกกับรอยหมึกสีน้ำเงินแวบๆ เห็นแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละก็ทำผมเบิกตาโต อ้าปากหวอ แน่ใจร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่ามันคือของร้อน!

ไอ้เด็นนน!

“เอาของมึงคืนไปเลยนะ!” ผมกัดฟันพูดเสียงกระซิบใส่คนนั่งข้างๆ แววตาแทบจะฆ่าไอ้บ้าเด็นได้

“มึงก็รู้ว่ากูมีแฟนแล้ว” มันกระซิบกลับ

“เกี่ยวตรงไหน!”

“กูเป็นสะใภ้ไม่ได้หรอก”

“เป็นเบ้ไปสิ!” ผมประชดกลับทั้งที่รู้แก่ใจ คราวนี้ไม่มีสิทธิ์เลือกข้อนี้

“ถ้าแฟนกูรู้เข้าได้พาพวกไปถล่มนิติแน่ มึงก็รู้” มันพูดเสียงอ่อยๆ

“มึงคิดว่าคณะเราจะแพ้?”

“กูก็แค่ป้องกันไว้ก่อน”

“ข้ออ้างน่ะสิ” ผมสบถ “คิดว่ากูไม่รู้จักนิสัยสามีมึงเรอะ เผลอๆ รู้จักดียิ่งกว่ามึงอีก มันไม่มีทางยกพวกไปถล่มใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก เอาฉลากกูคืนมาได้แล้ว”

“นะๆ แลกกันเถอะ”

ไม่ต้องส่งสายตาวิ๊งๆ ใส่กูเลยไอ้ห่าราก!!

“ทำไมต้องเป็นกูวะ คนข้างมึงอีกฝั่งไม่ไปยุ่งล่ะ”

เด็นหันไปมองแล้วหันกลับมาส่ายหน้าทันที ก็แค่คนนั่งอีกด้านเป็นไอ้นนท์ ถึงมันจะลงแข่งบาสก็เป็นสะใภ้คณะได้เหอะ!

“มึงบกเหตุผลไม่ได้ก็เอาฉลากกูคืนมาเลย!” ผมแบมือขอคืน พร้อมกับลงเสียงต่ำข่มขู่เต็มพิกัด “และถ้ายังดื้อด้าน มึงจะเจ็บตัว”

“ตรงนั้นซุบซิบอะไรกัน..!” เสียงพี่นันตะโกนขึ้นมา

ผมกับมันสะดุ้ง รีบก้มหน้าก้มตาเหมือนเพื่อนคนอื่น ได้โอกาสไอ้เด็นกำฉลากไว้แน่นเลยครับ

เออ! ผมผิดเองที่ถือไม่ระวังเลยเปิดโอกาสให้เพื่อนขโมยได้

ได้แต่ตวัดสายตาเตือนเป็นครั้งสุดท้าย มันเอาแต่ส่ายหน้าดิกๆ ลูกเดียว

ไม่คืนใช่ไหม ได้! ผมเขี้ยวฟันระหว่างนึกวิธีจัดการ ตอนนี้ตบหัวไม่ได้ เตะหรือชกก็ไม่ได้ งั้นก็…

นึกภาพมารดาที่เคารพบิดหูทำโทษก็ขยับมือไปทางเพื่อน ก่อนหนีบเนื้อต้นขามันแล้วค่อยๆ บิด ไอ้เด็นสะดุ้งเฮือก แต่ไม่หลุดเสียงร้องสักแอะ คงรู้ตัวว่าร้องเมื่อไหร่เป็นเรื่องแน่ ผมก็ไม่อยากทำมันเจ็บมากกว่านี้หรอกเลยพูดเตือนเสียงกระซิบ

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวคืนมาเร็วๆ”

“ไม่”

ได้เลยไอ้ดื้อด้าน จากบิดเบาๆ ก็เพิ่มแรงหมุน เอาให้เจ็บจนสาแก่ใจผมเลยล่ะ หึๆ

เพื่อนชั่วของผมเม้มปากแน่น หน้าเริ่มเขียวๆ ซีดๆ ท่าทางทรมานอย่างหนัก

...มันเป็นพวกชอบความเจ็บปวดเปล่าวะเนี่ย เออ ทนได้ก็ทนไป อย่าคิดว่าผมเห็นใจนะไอ้ตัวซวย

เด็นเอียงขาหนี คิดว่าจะหนีได้? ผมเปลี่ยนจุดบิดใหม่ มันสะดุ้งแรงมาก แต่ไม่ยักร้องแฮะ...อดทนได้ดี ถ้าทนได้อย่างนี้อีกสักพัก ไม่แน่ ผมอาจปล่อยฉลากตัวเองให้มัน

“เอาฉลากกูคืนมาได้ยัง”

ผมถามเสียงเย็นกระตุ้นทิ้งท้าย พลางส่งสายตาพร้อมฆ่าคนแถมให้ด้วย หากครั้งนี้มันหุบปากยอมทนเจ็บเหมือนเดิม ผมจะปล่อยวางแล้ว

“ที…ทีจ๋า”

แต่มันดันทำความพยายามที่ผ่านมาศูนย์เปล่า เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

“คืนมา!”

“ค เค้าเจ็บ…”

“คืนมา” ผมบิดแรงกว่าเดิม ไร้ความเห็นใจ มีแต่อยากถีบมันเพิ่มมากกว่า “ถ้ายังไม่คืนอีก กูจะทำให้เนื้อมึงหลุดติดมือมาเลยล่ะ”

“ที…”

ผมขมวดคิ้ว ยิ่งมันทำท่าน่าสงสาร มีน้ำตาหยดแหมะๆ ด้วย ยิ่งไม่ชอบใจอย่างแรง ทั้งที่เมื่อนาทีที่แล้วพึ่งแอบชมในใจว่าอดทนได้ดีไปหยกๆ แม่ง พอเริ่มส่งเสียงปุ๊บ พลิกเลย สาวแตกโคตรเร็ว ใครวะเคยเถียงกูว่ายังแมน

“คืนฉลากมา”

“เอาล่ะน้องๆ เปิดฉลากได้”

เหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตไอ้เด็น ผมสบถในใจ ยอมปล่อยมือจากเนื้อเพื่อน ขณะที่ไอ้เด็นเป่าปากถอนหายใจ

โล่งอกเหรอมึง ได้ๆ

ผมอาศัยจังหวะที่มันกำลังคลี่ม้วนกระดาษฉกของตัวเองคืนมา เมินตาโตๆ ของมัน แล้วดีดฉลากหายนะกลับคืนเจ้าของ บอกตามตรง ผมเริ่มอารมณ์เสียนิดๆ แล้ว คลี่ฉลากตัวเองดู กระดาษเปล่าจริงๆ ครับ ดูเสร็จก็ขย้ำไว้ในอุ้งมือ นั่งกอดอกหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ นับหนึ่งถึงสิบให้ใจร่มๆ เข้าไว้   

“น้องคนไหนได้ตราคณะ ลุกขึ้นยืนเลยค่ะ” 

 เงียบฉี่…

ผมรู้อยู่แล้วว่าใคร ส่วนคนอื่นกวาดมองรอบห้องค้นหาผู้โชคร้าย เอ้ย ต้องโชคดีสิ ก็มันเป็นฉลากตราคณะใบเดียวท่ามกลางฉลากเปล่านับร้อยใบนี่นะ

“อ้าว น้องคนนั้นร้องไห้ทำไมคะ”

เหมือนพี่นันที่กวาดตามองหาผู้โชคดีจะสังเกตเห็นน้ำตาบนหน้าไอ้เด็นเข้า ทุกสายตามองมันที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หน้าโคตรเศร้า หยาดน้ำตาคลอเต็มเบ้าจนดูน่าสงสารหนักกว่าเดิม แต่กับผมดูขัดตาพิกล…ผู้หญิงหรือเพื่อนใจหญิงของผมยังแมนกว่ามันเลย อย่างน้อยพวกเธอไม่คิดเสียน้ำตาให้คนอื่นเห็นง่ายๆ 

แล้วมันก็ชี้นิ้วใส่ผม “เขาแย่งฉลากผมไปครับ”

-------------

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
«ตอบ #16 เมื่อ30-07-2016 11:41:17 »

บทที่ 5 (ต่อ)

“ที พอเถอะ” ลูกหว้าพูดห้ามเชิงขอร้อง

“ไม่!”

“พี่เขาก็ตัดสินไปแล้ว มันผ่านไปแล้วมึง”

คำพูดลูกหว้าลอยผ่านเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา แต่ดันทิ้งตะกอนไปรวมกลุ่มก้อนความหงุดหงิดในร่าง

“หว้าพูดถูก มึงก็ชี้แจ้งพี่เขาไปแล้ว แถมมีพยานช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของมึงอีก แต่พี่นันก็ยังเลือกมึงอยู่ดีนะโว้ย” คราวนี้นนท์พูดบ้าง

ยิ่งฟังผมก็ยิ่งหงุดหงิด หน้าทะมึนเสียจนเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นไม่กล้ายอแย ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ มาให้กลุ่มผม…พวกนี้รู้ความจริงหมดแล้วว่า ผมไม่ใช่เจ้าของฉลากหายนะ

หลังโดนใส่ร้าย ผมลุกขึ้นโต้เสียงเรียบนิ่ง ทั้งที่ใจอารมณ์คุกรุ่นดุจภูเขาไฟรอระเบิด โชคดีมีเพื่อนที่นั่งข้างหลังกลุ่มผมช่วยเป็นพยานให้ เพราะสามคนนั่นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ยังขำพวกผมที่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ จนพวกผมลุกขึ้นโต้เถียงต่อหน้ารุ่นพี่ ถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องเล่นสนุกแบบที่คิด

ถึงอย่างนั้น รุ่นพี่ก็ฟันธงให้ผมรับตำแหน่งหายนะนั่นอยู่ดี ไม่สนใจคำโต้แย้งของผมและพยานเลยสักนิด! ยิ่งคิดผมยิ่งโมโห ทิ้งน้ำหนักตัวเองใส่เก้าอี้มีชีวิตที่ชื่อไอ้เด็นมากขึ้น อย่างที่ทุกท่านคิด ผมกำลังให้เพื่อนคุกเข่าคลานท่าหมาให้ผมนั่งกอดอกบนหลังเป็นการทำโทษมาสิบห้านาทีแล้ว 

“เอ่อ ทีพอเถอะ ไอ้เด็นท่าไม่ไหวแล้ว แขนสั่นระริกเลยมึง” นนท์พยายามพูดกล่อมต่อ

ผมตวัดสายตาใส่จนมันสะดุ้งโหยง มีแต่เพื่อนในกลุ่มผมนี่แหละที่ส่งเสียงน่ารำคาญเป็นระยะมาตั้งแต่ห้านาทีก่อนจนถึงตอนนี้ ผมดีใจที่พวกมันห่วงเพื่อน แต่ช่วยดูให้ลึกกว่านี้หน่อยได้ไหม!

ผมไม่มีอารมณ์อธิบาย เลยบอกกลับเสียงห้วน “กูยังไม่สะใจ”

“เด็นผิดก็จริง แต่ศิว่าพอเถอะนะ”

ผมพ่นลมหายใจหงุดหงิด ยอมลุกขึ้นผละออกห่างโดยดี เห็นแก่ศิที่นิ่งมองมานาน ปล่อยให้ไอ้เด็นล้มนอนคว่ำหมดสภาพที่พื้น เห็นท่าทางอ่อนแอเสมือนเป็นผู้หญิงโดนรังแกก็ยิ่งสร้างหงุดหงิดขับข้องใจมากกว่าเดิมหลายเท่า ถ้าไม่ระบายอารมณ์ออกมาบ้าง ผมคงอึดอัดใจตาย

หยิบสมาร์ทโฟนต่อสายตรงหาใครบางคน รอสายแปบเดียวก็มีคนรับ

[ว่าไงเพื่อน…]

“แฟนมึงเลวมาก” ผมกรอกเสียงราบเรียบลงไปแบบไม่สนใจว่าฝ่ายนั้นจะพูดจบประโยคหรือยัง

[ห๊ะ?]

“แฟนมึงทำกูเจ็บแสบน่าดู กูเลยว่าจะย้ายฝ่ายแล้ว”

[เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวก่อนโว้ย มันไปทำอะไรมึง]

ผมกระตุกยิ้มเหี้ยมหลังได้ยินคำถาม เหล่มองเพื่อนตัวดีที่รีบลุกขึ้นนั่งตั้งแต่ผมพูดประโยคแรกใส่โทรศัพท์ กะแล้วว่าท่าทางอ่อนแอเมื่อกี้คือตอแหลเรียกร้องความเห็นใจ

“โยนเสนียดให้กูรับเคราะห์แทนน่ะสิ!”

เด็นนั่งหน้าซีดเผือกทันที แต่ผมไม่สนใจ ฝ่ายสามีไอ้เด็นเงียบไป ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆ

[มึงโกรธมากเลยเหรอ]

“โคตรโกรธ! และเมียมึงผิดจริง ว่าไงจะรับเพื่อนเก่าซี้ปึกของมึงตั้งแต่ป.1 คนนี้เข้าพวก หรือจะเข้าข้างเมียสุดที่รักที่พึ่งคบได้แค่เดือนกว่า”

ไม่สิ ถ้านับดีๆ ก็เกือบสองเดือนแล้วนี่หว่า…คิดแล้วก็แอบกังวล จะว่าสั้นก็สั้น ยาวก็ยาว ผมกลัวใจเพื่อนสนิทคนนี้จริงๆ เรื่องของมันกับเมียจะรอดหรือจะร่วงก็คงบอกยาก

[…ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ]

ผมละเรื่องในความคิด แกล้งฉีกยิ้มระรื่นให้เมียเพื่อนเห็น แต่ใจแอบสงสารไอ้เด็น ลองเพื่อนผมพูดแบบนี้ แสดงว่าไม่ค่อยแคร์เมียคนนี้เท่าไหร่ ถ้าแคร์จริงคงช่วยพูดแทนเมียไปแล้ว เฮ้อ…แต่กรณีผมกลับตรงข้าม ไอ้ยำดูจะแคร์ความรู้สึกเพื่อนอย่างผมมากกว่าเยอะ ก็ดีใจอยู่ที่เพื่อนสนิทสิบสองปีให้ความสำคัญ แต่ดันดีใจไม่สุดยังไงไม่รู้

ผมครุ่นคิดสักพักก็พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เคยขอมันเอาไว้ เรื่องนี้คงทำให้เพื่อนลำบากใจไม่น้อย ยังไงเราก็พึ่งเข้าปี1 ยิ่งคณะมันระบบรุ่นพี่รุ่นน้องแรงด้วย

“รุ่นพี่คณะมึงชวนไปไหน ไปได้เลย กูไม่ห้ามแล้ว”

เมนหลักจบแค่นั้น แต่ผมแอบเสริมส่วนหลัง เพราะความหมั่นไส้ไอ้คนเริ่มทำน้ำตาปริ่มๆ อีกรอบ “ไม่ต้องสนใจเมียมึงด้วย ลองมันโกรธมึงสิ กูจะหาเมียให้มึงใหม่”

“ที!!”

ผมเมินเสียงกรีดร้องของเด็น ข้างหูยังมีเสียงหัวเราะขบขันของยำ มันคงรู้ว่าผมแค่พูดขู่

รู้จักกันดีก็งี้ มันน่ะพยาธินัมเบอร์วันในท้องผมเลย อารมณ์ผมจากที่เกือบทะลุจุดเดือดค่อยๆ ลงระดับลงมา รู้สึกคิดถูกที่เลือกโทรหามัน

[สรุป มึงจะย้ายข้างแน่ๆ]

“เออ” ผมตอบรับเต็มเสียง

[ต่อให้อนาคต กูทิ้งเพื่อนมึง มึงจะไม่ปรี่มาชกกูแล้ว?]

ผมขมวดคิ้วคิดหนัก ยังไงฝั่งไอ้เด็นก็เสียเปรียบกว่าเห็นๆ แต่พอเห็นหน้าเด็น อารมณ์ขุ่นมัวก็ตีขึ้นอก ตอบรับคำเพื่อนเก่าแก่ไปเต็มเสียง

“ตามที่มึงว่า”

[เป็นสายให้กูแทนเมีย?]

“เออ”         

[ช่วยกูปกปิดความผิด?]

ผมชะงักไปนิด ครุ่นคิดแล้วค่อยตอบ “จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วกัน” 

[งั้นขออีกอย่าง ถ้ากรณีพวกกูเลิกกัน มึงห้ามเป็นตัวกลางช่วยมันเคลียร์กับกูเด็ดขาด]

ผมย่นคิ้ว รู้สึกทะแม่งๆ แต่ก็ไม่ได้สักถามอะไรออกไป ในเมื่อมันพูดดักขนาดนี้ และผมย้ายไปอยู่ฝ่ายมันเต็มตัวแล้วนี่น่ะ คิดแล้วก็ตอบรับ

“ก็ได้ นับจากวันนี้กูจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของมึงกับเมียในทุกๆ กรณี โอเคไหม”

[…คราวนี้เมียกูพลาดสินะ ดันไปทำมึงโมโหเข้า]

“ถูก”

[ก็ได้ ดีล]

ผมยิ้มเมื่อได้ยินคำคุ้นหู ไม่ได้ยินคำนี้มานานตั้งแต่เข้ามหาลัย แอบคิดถึงเหมือนกัน ผมตอบรับคำเดียวกันไป “ดีล” ต่อจากนี้ผมกับมันอยู่ข้างเดียวกันเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่นานผมขอย้ายมาอยู่ฝั่งไอ้เด็น หลังมันสังเวยเลือดกองหนึ่งให้เพื่อนผม…

[นัดรวมกลุ่มเพื่อนเก่าแก่คราวหน้ามาด้วยนะ มึงหมดข้ออ้างแล้ว]

“เออวะ กูลืมเลย”

[ดีที่ลืม มึงทำให้กลุ่มเราคนไม่ครบตลอด หลังๆ เลยไม่ค่อยมีใครอยากรวมกลุ่ม]

“พวกมึงเอาแต่นัดแดกเหล้าในผับ กูไม่อยากไปนี่หว่า”

คนมันไม่ชอบจะให้ทำยังไง ฝืนไปก็เท่านั้น สุดท้ายผมก็แอบแวบหนีกลับบ้านอยู่ดี

[มีว่าที่หมอตามไปคุม กลุ่มเราเลยแดกอย่างมีลิมิตตลอด มึงจะกลัวอะไร]

“ไม่ได้กลัว กูแค่ไม่ชอบที่แบบนั้น”

[งั้นนัดคราวหน้าโนแอลกอฮอล์ ไม่มีเสียงดังให้หนวกหู ไม่มีใครหิ้วหญิงมาสีให้รำคาญลูกตา แต่บางคนอาจหิ้วแฟนตัวจริงไปเปิดตัวกับมึง แดกหมูกระทะไม่ก็สุกี้ โอเคมะ]

“โอเค…” ผมตอบเสียงอ่อน พวกมันทั้งกลุ่มยอมละทิ้งวิถีชีวิตวัยรุ่นเพื่อผมเลยนี่น่า

[เออดี กูจะได้บอกพวกนั้นถูก แล้วหัดตอบข้อความในไลน์กรุ๊ปบ้าง มึงแทบจะไร้ตัวตนอยู่แล้ว]

“อ้าวๆ กูก็ส่งสติกเกอร์ไปรายงานตัวออกบ่อย”

[ไอ้หมีขาวนอนลอยตุบป่องแช่น้ำเล่นนั่นอ่ะนะ]

“ใช่ แทนว่ากูสบายดีไง”

[มึงเข้าใจคนเดียวน่ะสิ! พวกกูนึกว่ามึงชวนไปเล่นน้ำประจำ แต่พอจะไปสระว่ายน้ำ มึงเบี้ยวนัดทุกที]

เอิ่ม ผมผิดใช่ไหม?

[กูไม่คุยกะมึงแล้ว ปวดหัว]

สัญญาณตัดไปแล้วพร้อมกับผมที่อารมณ์เย็นขึ้นเยอะ ถึงอย่างนั้นก็ยังมองมือถือนิ่งๆ เพราะรู้จักนิสัยกันดี ผมถึงได้รู้สึกแปลกๆ…ยำกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่คิดไปก็คงไม่ได้คำตอบ เลยเก็บมือถือลงกระเป๋า หันไปเจอสายตาไม่ชอบใจของบรรดาเพื่อนสนิทที่พึ่งรู้จักกันไม่นาน และแววตาแดงก่ำของไอ้เด็นที่ทำท่าจะเป่าปี่อีกแล้ว

เห็นแล้วรำคาญลูกตาชะมัด!

“มึงทำเกินไป” ลูกหว้าพูดเรียบๆ

ผมเลิกคิ้วสูง หย่อนก้นนั่งขอบโต๊ะเลคเชอร์ อยากถอนหายใจสักเฮือก “เป็นเก้าอี้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่เพราะพวกมึงพยายามพูดขอเวลาเลยลดเหลือสิบห้านาที แถมกูไม่ได้ลงน้ำหนักเต็มที่ มันเป็นผู้ชาย ไม่ได้อ่อนแอสักหน่อย แค่นี้ทำได้อยู่แล้ว”

ผมถึงหมั่นไส้อยู่นี่ไง เอาแต่เรียกร้องขอความเห็นใจไปทั่วทั้งรุ่นพี่ยันเพื่อน แถมยังกล้าโกหกเพื่อเอาตัวรอดอีก ผมเดาะลิ้น หรือต้องโทษคนรอบข้าง ไม่ก็สามีมันที่ตามเอาอกเอาใจมากเกินพอดี จนไอ้เด็นไม่เหลือความแมนปรากฏให้เห็นเหมือนช่วงแรกๆ ที่ได้รู้จัก ผมชอบเด็นตอนแรกเจอมากกว่าตอนนี้เยอะ ขนาดผมยังคิดแบบนี้ แล้วเพื่อนผมที่เป็นแฟนมันล่ะ ไม่ยิ่งโคตรเบื่อมันเหรอ 

ผมสบตาเด็นนิ่ง นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้ายของผม ก่อนที่จะไม่ยุ่งเรื่องนี้ตามที่บอกเพื่อนรักไป

“มึงบอกว่าตัวเองแมน แต่วันนี้กูหาความแมนของมึงไม่เจอเลยวะ กูหรือมึงควรผิดหวัง ส่วนพวกมึง” ผมกวาดตามองเพื่อนทีละคนที่เริ่มทำหน้าแปลกๆ “เลิกโอ๋มันได้แล้ว..!”

มือถือผมส่งเสียงได้จังหวะมาก เห็นชื่อคนโทรมาคือพาร์ก็รีบกดรับ กลัวเป็นเรื่องด่วนเหมือนคราวที่แล้ว

“เรื่องด่วน?”

พาร์เงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วถามกลับ

[…อารมณ์ไม่ดี?]

ผมชะงัก หรือผมจะได้พยาธิมาอยู่ในท้องเพิ่มอีกคน พยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง

“มึงโทรมาทำไม” ได้ยินเสียงลมเป่าฟู่เข้ามา สงสัยโดนถอนหายใจใส่

[ไม่มีเรียนแล้ว อาจารย์ติดธุระเลยเลิกก่อน]

ผมหันมองนาฬิกาติดผนังหลังห้องเรียน เกือบบ่ายสามแล้วเหรอ ฝั่งพาร์เลิกเร็วกว่าทุกที ส่วนฝั่งผมอาจารย์ยังไม่เข้าห้องทั้งที่เลยเวลาเรียนเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว มีเปอร์เซ็นต์ยกเลิกคลาสสูง

ก็ดี ผมหมดอารมณ์เรียน แถมเบื่อหน้าเพื่อนด้วย

“งั้นกลับพร้อมกันเลย”

ผมเดินไปหยิบเป้ตัวเองมาสะพายบ่า ไม่ต้องเก็บของ เพราะไม่ได้เอาอะไรออกมาสักอย่าง

[เอางั้น?]                             

ผมก้าวเท้ามุ่งหน้าไปประตูทางออก ไม่แม้แต่คิดเลี้ยวมองเพื่อนคนอื่นให้เสียเวลา ปากก็ตอบพาร์ไปสั้นๆ “อืม ไปเจอกันที่เดิม” ที่เดิมของพวกผมก็ที่รถนั่นแหละ

กลับเร็วแบบนี้ก็ดี จะได้มีเวลาตระเวนซื้อของเยอะหน่อย

-------------

“มึงเป็นอะไร”

ประโยคคุ้นหูเหมือนผมเคยถามอีกคนไปเมื่อวันศุกร์ ถ้าอารมณ์ดีกว่านี้ผมคงขำกับการสลับตำแหน่งทั้งคนพูดและคนขับรถ

ผมยกตำแหน่งหน้าพวงมาลัยรถให้พาร์ตั้งแต่ซื้อของเสร็จ พอรถจอดหน้าโรงเรียนอนุบาล ผมก็เป็นคนเข้าไปรับน้องอันออกมา เจอเจ้าตัวเล็กยิ้มร่าวิ่งมาหาทั้งที่หัวยังไม่ได้ถอดสายคาดกระดาษแข็งรูปหมาป่าออกถึงหน้าห้อง แอบเห็นมีน้องผู้หญิงเพื่อนร่วมห้องน้องอันสวมผ้าคลุมสีแดงด้วย โอ๊ะ นั่นขวานกระดาษ ไม่ต้องเดาแล้วครับ แสดงเรื่องหนูน้อยหมวกแดงแหงๆ

นี่น้องผมเล่นเป็นตัวร้ายหรือเนี่ย   

ผมถอดสายคาดหัวรูปหมาป่าส่งคืนครูที่วิ่งตามหลังมา พูดคุยนิดหน่อยก็จูงมือน้องกลับรถ อุ้มน้องนั่งตักที่ด้านหน้า ไม่กล้าให้นั่งเบาะหลัง กลัวเจ้าตัวเล็กไปซนใส่บรรดาอาหารที่วางไว้จนเละ

เด็กคือเด็ก เจอรถติดกับแอร์เย็นๆ แถมใช้พลังงานมาทั้งวัน แปบเดียวก็หลับซุกอกให้ผมกอด

ผมหลุดจากภวังค์เพราะแรงสะกิด เจอแววตาเจ้าของมือมองอย่างหน่ายใจ

“นี่มึงไม่ได้ฟังกูอีกแล้วใช่ไหม”

ผมไม่ได้ตอบ แต่พยักเพยิบหน้าให้มันดูถนนว่าจะไฟเขียวแล้ว พาร์รีบหันไปดู สัญญาณพึ่งเปลี่ยนสีพอดี ระหว่างนั้นผมลอบสังเกตสีหน้าคนขับรถ เมื่อเช้ายังอารมณ์ไม่ดีอยู่เลย แต่ตอนนี้…

“มึงอารมณ์ดีแล้ว?”

“เจอมึงอารมณ์เสีย กูเลยอารมณ์ดีขึ้น”

ผมโคลงหัวน้อยๆ ไม่ถือสาความกวนของเพื่อน เลือกถามเรื่องที่อยากรู้แทนการต่อปากต่อคำ

“คณะมึงเลือกลูกสาวยัง?”

“เลือกเมื่อวานเย็น”

“จริงดิ” ผมหันไปมองด้วยแววตาสนใจ “ใครได้ หน้าตาดีมะ?”

“กูจะรู้ได้ไง”

เออวะ ลืมไปว่ามันอยู่โรงพยาบาลกับผม 

“พวกเพื่อนก็ปิดปากเงียบ แกล้งกูกันชัดๆ คณะมึงล่ะ?”

“พึ่งเลือกวันนี้”

“ใครได้?”

ผมเอนหัวพิงกระจก สายตาทอดมองข้างทางยามห้าโมงกว่า “กู”

“ฮะ?”

“ก็บอกว่ากูไง”

“เฮ้ย จริงดิ ดวงดีขนาดนั้นเลย”

“เปล่า โดนเพื่อนโยนตำแหน่งมาให้”

“เลยอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้?”

“ไม่เชิง…ออกแนวผิดหวังมากกว่า”

“ยังไง?”

“เจอแย่งฉลากครั้งแรกไม่เท่าไร ดันโกหกเพื่อให้ตัวเองรอดในครั้งที่สอง แทนที่จะขอร้องให้ช่วยดีๆ ตั้งแต่ต้น มันน่าโมโหไหมล่ะ”

“หมายความว่าถ้าขอร้องดีๆ ไม่แย่งฉลากตั้งแต่แรก มึงจะยอมรับเคราะห์แทน?”

ผมหยุดคิดทบทวนให้ดีค่อยตอบ “อาจใช่ ต้องดูเหตุผลประกอบด้วย”

“จริงดิ? หาแฟนไม่ได้อีกตลอดสี่ปีเลยนะ”

“จะมีหรือไม่มีก็ช่างเถอะ”

ผมตั้งใจจะไม่ทดลองคบใครง่ายๆ อีกแล้ว ถ้าจะคบ…คนต่อไปผมขอคนที่ใช่อย่างเดียว

“งั้นแปลก มึงไม่น่าอารมณ์เสียขนาดนี้ หรือมีเหตุผลอื่น”

“ก็มี” ผมถอนหายใจสั้นๆ “ถ้าเป็นเพื่อนผู้หญิงคงไม่โกรธเท่านี้ แต่นี่ดันเป็นเพื่อนผู้ชาย...ที่ตกเป็นเมียเพื่อนสนิทสมัยเด็ก”

พาร์เงียบไปเลย ผมเลยระบายต่อ “ตอนแรกมันก็เป็นผู้ชายปกติดี ออกซนๆ แต่น่ารัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่วะ มันเปลี่ยนไปเยอะจนกูหาความเป็นเด็กผู้ชายในตัวเพื่อนไม่ได้…มึงว่าเพราะเสียตัวให้เพศเดียวกัน นิสัยเลยเปลี่ยนหรือเปล่า”

พาร์ครุ่นคิดพักใหญ่ “ไม่น่าใช่ เพื่อนกูเมื่อก่อนเป็นไงตอนนี้ก็เหมือนเดิม แค่ขาดอิสระในบางเรื่องเท่านั้นเอง เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนมากกว่า”

“…กูไม่อยากให้มันคบผู้ชายแล้วต้องกลายเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้มันเคยตัว ไม่สนใจคำเตือนคนอื่น ที่สำคัญกูไม่อยากได้เพื่อนเป็นแรดแทนมนุษย์”

“พึ่งรู้ว่ามึงปากเสียเอาเรื่อง”

“เหรอ”

“พูดต่อสิ อยากหาคนระบายด้วยไม่ใช่เหรอ”

ผมหันขวับมองพาร์ที่ยังตั้งอกตั้งใจขับรถ จู่ๆ ก็นึกคำพูดเมื่อวานของพ่อขึ้นมา อาจจริงอย่างที่พ่อบอก ผมกับพาร์ปรับตัวเข้าหากันได้เร็วมาก...ตามปกติใครมันจะไปเดาใจคนพึ่งรู้จักสองอาทิตย์ออก

“หรือไม่อยากเล่าแล้ว?”

เมื่อพาร์เปิดโอกาสให้ ผมก็รับไว้ “กูอาจเหมือนยุ่งเรื่องคนอื่นมากไป แต่ตอนมันสองคนจีบกัน กูเป็นคนกลางระหว่างพวกมัน รับรู้เรื่องราวมาตั้งแต่ต้น เคยเอ่ยเตือนพวกมันไปแล้วว่าถ้าใจยังไม่มั่นคงก็อย่าพึ่งรีบร้อน แล้วไง คบกันโคตรเร็ว พอๆ กับนอนด้วยกันเลย มีเรื่องเดือดร้อนทีก็โทรหากูให้วุ่น”

ผมถอนหายใจยาวเหยียด “…แย่กว่านั้น กูรู้จักเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กดี ถ้าฝ่ายเมียยังนิสัยเปลี่ยนไปแบบนี้ได้ขอเลิกสักวันแน่ แค่ทุกวันนี้กูยังใจตุ๋มๆ ต๋อมๆ ว่ามันจะหมดความอดทนกับเมียคนนี้เมื่อไหร่ กรณีเลวร้ายที่สุดคือมันไปเจอเป้าหมายใหม่ที่ดีกว่า…เพื่อนปัจจุบันของกูคงได้เปลี่ยนสถานะเหลือแค่เมียเก่าเร็วขึ้นแน่นอน”

“เป็นห่วงเพื่อน?”

“อืม”

“ฟังแล้ว กูว่ามึงลำเอียงเข้าข้างฝ่ายเมียมากกว่านะ”

“ก็มันเป็นฝ่ายเสียเปรียบนี่! มึงไม่คิดงั้นเหรอ?”

“เสียเปรียบยังไง ท้องไม่ได้สักหน่อย”

ผมทำหน้ายุ่ง ที่พาร์พูดก็ถูก แต่...

“ฝ่ายโดนทะลวง…เจ็บมากนะ”

รถเบรกกะทันหัน ดีนะอยู่ช่วงรถติด เคลื่อนตัวเท่าเต่าคลาน นอกจากหัวผงกไปข้างหน้าก็ไม่มีเกิดอะไรขึ้น ผมรีบลูบหลังปลอบน้องที่ทำท่างอแง แปบเดียวอันก็หลับต่อ เลยหันไปแยกเขี้ยวใส่คนขับรถไม่ระวัง กลับเจอพาร์ส่งสายตาแปลกๆ มองมาอยู่ก่อน

“…อะไร” ผมถามกลับอย่างระแวง

“มึง...เคยแล้ว?”

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2016 15:19:00 โดย katzep »

ออฟไลน์ prueksa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
«ตอบ #17 เมื่อ30-07-2016 12:23:12 »

รออ่านตอนต่อไป^^

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
«ตอบ #18 เมื่อ30-07-2016 12:50:57 »

รอตอนต่อไปเลยยยยย

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
«ตอบ #19 เมื่อ30-07-2016 15:42:43 »

ห๊ะ

ไม่ๆๆๆๆ น้องทียังซิงนะพาร์ อย่าเข้าใจผิดสิ

(จะพลิกล็อคมากถ้าลูกสาวนิติเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พาร์~ อิอิ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
« ตอบ #19 เมื่อ: 30-07-2016 15:42:43 »





ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
«ตอบ #20 เมื่อ30-07-2016 15:55:37 »

555555 ก็คิดได้นะพาร์!!!!!

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: - ชลนที - [บทที่5] P.1 (30/07/2016)
«ตอบ #21 เมื่อ30-07-2016 22:54:09 »

 :mew5:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่6] P.1 (15/08/2016)
«ตอบ #22 เมื่อ15-08-2016 01:03:03 »

บทที่ 6

“มึง…เคยแล้ว?”

“เคยอะไร” ผมระแวงเพิ่มอีกเท่าตัว ใจชักตงิดๆ มันคงไม่ได้หมายถึง…

พาร์ไม่ได้ตอบทันที แต่ไล่สายตาลงจ้องเบื้องล่างให้รู้สึกขนลุกวาบ

“ทะลวงก้…โอ๊ย ตบหัวทำไมวะ?!”

“ก็มึงคิดบ้าอะไรล่ะ!”

“อือ…” น้องอันครางเหมือนรำคาญเสียงตะโกนของพวกผม ทำให้เราเงียบกริบ มองจนแน่ใจว่าน้องหลับ ถึงลดเสียงคุยกันต่อ

“เมื้อกี้มึงบอกว่าเจ็บ” พาร์ยังไม่ยอมจับประเด็นนี้

ผมแยกเขี้ยวใส่มันทันที “ก็เจ็บน่ะสิ สภาพเพื่อนตอนนั้นโคตรแย่ นอนนิ่งเป็นผัก แถมมีเลือดออกด้วย เปื้อนผ้าปูเป็นวงเลยมึง” ทำท่าประกอบว่าไอ้วงเลือดนั้นใหญ่ขนาดไหน ไม่น้อยเลยนะครับ ตอนไปเห็นผมนี่หน้าซีดแข่งกับสามีไอ้เด็นที่ตัวมีแต่กลิ่นเหล้าหึ่ง จากท่าทางของมันคงสร่างเมาหลังเห็นเลือด ผมบอกให้ส่งเด็นไปโรงพยาบาล ไอ้คนเจ็บก็เอาแต่บอกว่าไม่ๆๆ

“รู้ได้ไง”

“ก็เห็นกับตา! ฝ่ายสามีโทรเรียกให้ไปช่วยมันด่วนตอนเจ็ดโมงเช้า กูต้องวิ่งเต้นไปทั่ว ซื้อโจ๊กเอย ผ้าอนามัยแบบสอดเอย ยาเอยให้อยู่เลย!”

พาร์ทำหน้าสงสัย “ผ้าอนามัย? เอามาทำอะไร”

“สอดตรงนั้นห้ามเลือด หยุดมองกูแบบนั้น กูไม่เคยใช้เองโว้ย!”

“กูจะเชื่อถ้ามึงอธิบายมา”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้ไม่อยากพูดถึงก็จำต้องพูดเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง     

“เห็นตรงนั้นเลือดออก เลยนึกถึงตอนน้องน้ำมีประจำเดือนครั้งแรก เป็นตรงไหนไม่เป็นดันเป็นที่สระว่ายน้ำ พ่อแม่ไปทำงานต่างจังหวัด โทรไปก็ไม่รับ กูเลยต้องบากหน้าไปถามข้อมูลสาวๆ แถวนั้นแทบตาย เจอลูกตบไปตั้งหลายที ดีนะได้พี่สาวใจดีคนหนึ่งยอมบอกข้อมูลให้หมดเปลือก และถ้ายัยน้ำไม่เถียงก่อนหน้านั้นว่าไม่ได้เป็นริดสีดวง กูคงส่งน้องเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว”

พาร์ตบบ่าผมเป็นเชิงเห็นใจ “กูพึ่งรู้ว่ามีแบบสอดด้วย กูซื้อให้น้องแบบแผ่นประจำ”

ผมเผยปากคาดไม่ถึง รีบคว้ามืออีกฝ่ายมาเขย่า เพราะอันขยับตัว เสียงของผมเลยไม่ดังไปกว่ากระซิบ

“เจอผู้ร่วมชะตากรรมแล้วโว้ย”

“ปล่อยๆ ข้างหน้าไปกันแล้ว”                                                                                                                     

รถเคลื่อนตัวจนเกือบพ้นสี่แยกอยู่แล้ว ดันไฟแดงขึ้นมาซะก่อน...ไม่เป็นไร คุยฆ่าเวลาได้  ผมมีคำถามหนึ่งในใจพอดี

“อายไหม?”

“เรื่องอะไร”

“ซื้อของพวกนั้น”

พาร์ทำหน้านึกครู่หนึ่งกว่าจะจำได้ว่าก่อนหน้านี้คุยเรื่องอะไรค้างไว้ “พูดถึงผ้าอนามัย?”

“เออ”

“ก็แค่แรกๆ ตอนหลังชักชิน”

เหมือนกัน แต่ถึงหน้าหนาขึ้นยังไงตอนโดนจ้องก็ยังแอบอายในใจอยู่ดีครับ แค่ไม่แสดงอาการให้รู้เหมือนช่วงแรกๆ เท่านั้นเอง ท่าทางที่ดีทำตัวเป็นปกติไปเรื่อยๆ แปบเดียวคนก็เลิกมองแล้ว

“กูว่าจะพาน้องไปเลือกซื้อเองอยู่”

“ดีเลย” ผมรีบสนับสนุน “เอาน้ำไปด้วย แต่มึงต้องแนะนำดีๆ เดี๋ยวจะเหมือนน้องกูที่มาบอกทีหลังว่าไม่เลือกเองแล้ว ที่พี่เลือกให้ใช้ดีกว่า”

“พรืด”

“ไม่ใช่เรื่องขำนะโว้ย กูกลุ้มแทบตาย บอกให้ไปคุยกับแม่ก็ไม่ยอม พูดเอาแต่ใจว่า พี่รู้แล้วแต่แม่ยังไม่รู้ พี่ต้องช่วยน้ำสิ” ผมดัดเสียงพูดให้เหมือนน้องที่สุด

แม่ง ประโยคฝังใจผมเลยนั่น

พาร์กลั้นขำจนหน้าแดง “คง…อายล่ะมั้ง”

“จะอายหรือเพราะอะไรก็ช่วยคิดหน่อยว่านี่พี่ชาย ไม่ใช่พี่สาว กูล่ะกลุ้ม”

“ต่างกับน้องกู พ่อแม่กูไม่ค่อยมีเวลาให้ เรื่องของน้องเลยตกเป็นหน้าที่กูหมด”

“มึงเองก็ลำบากนะ”

พาร์หัวเราะในคอ “มีน้องก็ดี ไม่เหงา”

“ไม่มีเวลาให้เหงาต่างหาก” ผมพูดแก้ ก่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “บทจะน่ารักก็ดีฉิบหาย บทจะร้ายก็เล่นเอาปวดหัว”

พาร์หัวเราะหึๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “เสาร์นี้ว่างไหม ไปเดินเล่น หาของกินในห้าง กับซื้อของเข้าบ้านกัน”

ผมเลิกคิ้ว “นึกไงชวนกู?”

“มึงเป็นเจ้าของรถ”

ผมร้องอ้อในใจ ถามต่อ “แล้วน้อง?”

“เอาไปด้วยสิ”

“ตัวเล็กด้วย?”

“เอาไปหมดนั่นแหละ”

“ถ้าพกอันไป มึงจะได้ตัวป่วนมาหนึ่ง ถ้าไม่ซนฉิบหาย ก็จะงอแงขอเล่นนั่นเล่นนี่ ไม่ก็จะซื้อของเล่นให้ได้” ผมเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี และให้เตรียมเผื่อใจล่วงหน้าว่าต้องปวดหัว

“กูเชื่อว่ามึงปราบน้องได้”

ผมพ่นลมหายใจ “จะเอาไงก็เอา”

“งั้นไปหาอะไรกิน เดินเล่นนิดหน่อย ก่อนกลับค่อยแวะซุปเปอร์ แล้วถือโอกาสพาน้องไปดูผ้าอนามัย”

“ได้”

ผมตอบรับ เดี๋ยววันศุกร์ค่อยถามแม่ว่าจะฝากซื้ออะไรบ้าง ต้องสำรวจข้าวของในห้องตัวเองกับของน้องด้วย

“ดูมึงรู้เรื่องนั้นมากกว่ากู ช่วยแนะนำเบอร์ดี้ให้หน่อยล่ะกัน”

“ฮะ?” ผมอุทาน จู่ๆ ได้ยินประโยคไม่ปะติปะต่อ ผมก็งงสิ “พูดถึงอะไร”

“นี่มึงเหม่ออีกแล้วเรอะ” พาร์ทำหน้าปลงใส่ “พูดเรื่องผ้าอนามัย มึงดูรู้ดีกว่า แนะนำให้น้องกูด้วย”

คำพูดของพาร์ทำผมอยากยกแขนก่ายหน้าผาก แค่ยัยน้ำยังแสนปวดหัว คนข้างๆ ดันอยากให้ผมปวดหัวหนักกว่าเดิมอีกหรือ! ผมสูดลมหายใจ ยื่นข้อเสนอที่น่าจะดีต่อทุกฝ่าย

“กูถ่ายทอดให้มึงดีกว่า”

“พูดอย่างกับเป็นเคล็ดวิชา”

“ก็ไม่ต่าง นี่กูเรียนรู้จากพี่สาวคนสวยที่นอนอาบแดดข้างสระว่ายน้ำเลยนะโว้ย”

“แล้วจะให้กูเอาเคล็ดวิชานั่นไปทำบ้าอะไร”

ผมชะงัก ดูมันคิดไปนู้น “ก็เอาไปถ่ายทอดให้น้องมึงอีกต่อไง”

“ยุ่งยากวะ มึงนั่นแหละ ถ่ายทอดให้น้องกู”

บ้าเอ้ย! วนกลับมาจุดเดิมอีกแล้วเรอะ!! แต่ผมยังไม่ยอมแพ้

“ให้มึงที่เป็นพี่ชายพูด เบอร์ดี้น่าจะสะดวกใจกว่า”

“มึงไม่ใช่พี่ชายเรอะ” พาร์สวนทันที “อย่าเสือกบอกว่าไม่ สองคนนั้นตัวติดเป็นปาท่องโก๋แต่เล็กยังกะฝาแฝด กูไม่ได้แบ่งแยกใครเป็นน้องของใครนานแล้ว หรือมึงไม่ใช่?”

คราวนี้ผมอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก ยอมยกธงขาวโบกสะบัดไปมา

“…จริงตามที่มึงว่าทุกประการ”

เฮ้อ…ขอจบบทสนทนาว่าด้วยเรื่องไม่เกี่ยวกับผู้ชายอย่างพวกผมเพียงเท่านี้เถอะ

-------------

ครึ่งชั่วโมงต่อมาถึงบ้านสักที ถือว่าทำเวลาดีครับ

ผมอุ้มน้องอันเดินนำลิ่วเข้าบ้าน ปล่อยพาร์หิ้วของเท่าที่ขนไหวตามเข้ามา เจอกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งสามนั่งคุยกันตรงโซฟารับแขก อ้าว กลับมาเร็วกว่าพวกผมอีก

“กลับมากันเร็วนะ” แม่เปรยอย่างประหลาดใจ

“รถไม่ค่อยติดครับ” ใครจะกล้าบอกว่าออกจากมหาวิทยาลัยก่อนเวลากัน “แล้วคุณลุงคุณป้าเป็นไงบ้างครับ”

“แข็งแรงดี”

คุณลุงเป็นคนตอบ หมุนแขนให้ดูซะด้วย ผมเชื่อครับ เพราะสีหน้าดูดีกว่าเมื่อวานมาก

“พาร์ล่ะลูก”

“กำลังขนของเข้ามาครับ ผมอุ้มน้องเข้ามาก่อน” พูดพร้อมวางน้องชายให้นอนหนุนตักแม่บนโซฟา “ผมไปช่วยพาร์ก่อนนะ”

ผมกับพาร์ช่วยกันเดินเข้าออกถึงสองรอบ ของกินเยอะมากครับ รวมเมนูโปรดหรืออยากกินของทุกคนตามแต่เมื่อวานใครเสนออะไรมา แต่เราตกลงกันไว้ว่าได้แค่คนละอย่างหรือสองอย่าง แต่ส่วนใหญ่ปาไปสามรายการทั้งนั้น คนเหนื่อยสุดเป็นพวกผมนี่แหละ ต้องออกตามล่าหาทุกรายการบนกระดาษจดให้เจอ ดีที่ยังระบุพิกัด หรือชื่อร้านให้ด้วย   

“สองหนุ่มจัดใส่จานเลยจ๊ะ อ้อ หุงข้าวทิ้งไว้ด้วยนะ”

“คร้าบ” ผมขานรับระหว่างช่วยพาร์แกะหนังยางรัดปากถุงกับข้าวออก 

กว่าพ่อ น้ำ เบอร์ดี้จะกลับมา ทุกอย่างก็ถูกจัดเรียงบนโต๊ะพร้อมทานแล้วครับ

“ฉลองกับการออกจากโรงพยาบาล ชน”

พ่อพูดเปิดวง ยื่นแก้วเบียร์มาข้างหน้า มีพ่อผมกินเบียร์อยู่คนเดียว ลุงแทนโดนภรรยาสั่งห้าม เพราะต้องขับรถกลับ โดนพาร์จ้องเขม็ง เพราะพึ่งออกจากโรงพยาบาล เกือบจะได้กินน้ำเปล่าแล้วครับ แต่ป้าเจนยืนแก้วให้ก่อน เลยได้กินน้ำโค้กเหมือนพวกผมแทน

ผมยกแก้วชนกับทุกคน แอบขำตัวเล็ก ยืนแขนจนสุดยังไม่ถึงครึ่งทางเลยครับ พอชนเหมือนคนอื่นไม่ได้ก็หน้ามุ่ยใหญ่ ตอนดึงแก้วกลับมาผมเลยแกล้งเลื่อนผ่านหน้าน้อง เจ้าตัวเล็กจ้องตามสักพักก่อนขยับเอาแก้วในมือมาแตะแก้วผมเบามาก แล้วอมยิ้มถูกใจอยู่คนเดียว

น้องเนี่ยแหละแหล่งพักใจชั้นยอด!!

“ครั้งที่เท่าไหร่แล้วแทน?” เสียงพ่อแซวเพื่อน

ผมเหลือบมองผู้ใหญ่ก่อนเบนสายตามองพาร์ ไม่รู้หรอกว่าครั้งอะไร แต่ผมขอเดาว่าครั้งที่นอนโรงพยาบาลชัวร์ ดูเอาจากสีหน้าพาร์น่ะ ผมแอบกลืนน้ำลาย…พ่อถามหัวข้ออันตรายทำไมเนี่ย!

“เยอะจนจำไม่ได้”

ลุงแทนตอบทำไมครับ นู้นลูกชายคนโตของลุงก่อน!

ผมแอบเสียวไส้แทน กลัวใครบางคนบ่นไฟแลบก๊อกสอง…ดีที่ไม่มี หัวข้อเริ่มเปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆ ขณะกลุ่มผู้ใหญ่คุยสัพเพเหระอย่างออกรส กลุ่มเด็กกำลังเกิดปัญหา เพราะของที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางโต๊ะ คอยหลอกล่อตาและใจแก่เหล่าเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้า

สองสาวไม่เท่าไร เจอแววตาดุๆ ของพาร์ก็พากันก้มหน้าตักข้าวเข้าปากอย่างสงบเสงี่ยม เหลือน้องอันที่ไม่ยอมชายตาแลใครหน้าไหนเลย หยุดที่เค้กสีขาวล้วนประดับด้วยสตอเบอรี่ลูกโตน่ากินตลอด ทายสิ มันคืออะไร...สตอเบอรี่ช็อตเค้กขนาดสองปอนด์ครับ

เดือดร้อนผมที่นั่งข้างๆ ต้องพูดดุ “อย่ามัวมองเค้ก กินข้าวด้วย”

“อันไม่อยากกินข้าว อันจะกินเค้ก”

เริ่มงอแงแล้วไง ผมปั้นหน้าเคร่ง น้ำเสียงห้วนดุระหว่างใช้มาตรการสุดท้ายปราบเด็กดื้อ

“ถ้าไม่ยอมกินข้าว พี่จะไม่ไห้อันกินเค้ก!”

ดวงตาใสซื่อเริ่มมีหยาดน้ำคลอ แต่น้องพยายามกลั้นไว้ เพราะรู้ว่าผมไม่ชอบ

“เลือกเอา จะกินข้าวด้วยเค้กด้วย หรืออดทั้งข้าวทั้งเค้ก”

เจ้าตัวเล็กไม่ตอบ มือเล็กจับช้อนตักข้าวเข้าปาก น้ำตาคลอแทบจะไหลแหมะๆ ท่าทางคงจำได้ว่าอดข้าวเย็นแล้วเป็นยังไง จะว่าผมโหดก็ได้ แต่น้องเคยดื้อเรื่องนี้มาหลายหนแล้ว แม่ก็กลุ้มใจ แต่ชอบใจอ่อนยอมน้องอยู่เรื่อย น้องก็ได้ใจสิครับ ยิ่งรู้ว่าแค่พูดดุไปอย่างนั้นยิ่งไม่เชื่อฟัง

ช่วงพ่อแม่ไม่อยู่ผมเลยจับน้องมาดัดนิสัยซะให้เข็ด ประท้วงอดข้าว ผมก็ให้น้องอด พูดขู่คำไหนทำตามทุกคำ ยัยน้ำเห็นผมในโหมดโหดยังขยาด หอบเสื้อผ้าหนีไปค้างกับเบอร์ดี้ตั้งหลายวัน หลังสองคนแก่กลับจากท่องเที่ยวแล้วรู้วีรกรรมของผมเข้า (น้องอันนี่แหละไปฟ้อง) ทั้งคู่ทำหน้าอึ้งมองผมสลับกับน้อง ไม่มีคำต่อว่า แต่พ่อตบหัวผมกับบางการกระทำที่ดูเกินเลยไปหน่อย หลังจากนั้นถ้าน้องดื้อ พ่อแม่ขู่ทันทีว่าจะส่งตัวให้ผมจัดการ บางครั้งก็พาตัวมาให้ช่วยจัดการจริงๆ…ไม่รู้ทำไมแทนที่น้องจะกลัวจนถอยห่าง กลับติดผมแจอยู่ดี

นั่งมองน้องกินข้าวสักพัก ก็จิ้มกุ้งทอดของโปรดน้องไปวางบนจานให้แทนคำชม

“อัน…” เจ้าตัวเล็กปาดหยาดน้ำตาที่คลออยู่ออก “อันจะกินอันนู้นด้วย”

ชี้นิ้วไปผมก็ตักให้ครับ ยอมกินได้แบบนี้วางใจได้ กำลังตักกับข้าวใส่จานตัวเองบ้างก็โดนแรงกระตุกแขนเสื้อรั้งไว้ก่อน เหลียวมองคนทางขวาอย่างสงสัย เจอยัยน้ำทำหน้าบึ้งตึง แววตาฉายชัดว่ากำลังงอน พึ่งรู้ตัวในวินาทีนั้น

กรรม! ลืมบริการน้องสาว

สำนึกแล้วก็รีบตักของโปรดให้น้ำบ้าง สีหน้าค่อยดีขึ้นหน่อย

เฮ้อ…เป็นพี่คนโตไม่ง่ายเลยครับ

ก่อนจะได้ตักกับข้าว กลับมีโดนช้อนส้อมคู่หนึ่งหนีบยำเห็ดหูหนูขาวมาวางในจานผม ขณะกำลังอึ้งก็มีเสียงถามสั้นๆ จากคนตักให้

“ไม่ชอบ?”

ผมรีบเอาส้อมไปขวางก่อนพาร์ตักออก “เปล่า…ขอบใจ”   

พาร์แค่ส่งยิ้มมาจากฝั่งตรงข้าม ชี้นิ้วใส่จานข้าว เหมือนบอกให้ผมกินข้าวเถอะ แต่…

“น่องไก่สามรสที่อยู่หน้ามึ...เอ้ย นายอ่ะ ของโปรด…” ผมทำปากว่า ‘กู’ แบบไร้เสียง

พาร์ทำหน้าตกใจรีบตักให้ผมเลย “ทำไมไม่บอก”                                 

จะให้ผมบอกตอนไหน หันไปเห็นอีกทีเหลือไม่ถึงครึ่ง ไม่ต้องถามว่าลงท้องใคร หลักฐาน (กระดูกไก่) ยังกองซ้อนกันในจานพาร์อยู่เลย

“เฮ้ย พอๆ ไม่ต้องเอามาหมดหรอก” ผมรีบร้องห้าม

แต่น่องไก่เล็กสี่ชิ้นสุดท้ายก็ลงมานอนแหมะในจานผมอยู่ดี

“น้ำมีข้อเสนอ!”

ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวหลังกินไปได้สักพัก จู่ๆ ยัยน้ำตะโกนลั่นกลางโต๊ะอาหารไม่พอ ยังลุกขึ้นยืนยกแขนเหนือหัว เรียกร้องความสนใจสุดๆ อย่าว่าแต่พวกผมชะงักเลย กลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหน่อยก็ชะงักเหมือนกัน

“เดี๋ยวเถอะยัยน้ำ เดี๋ยวพ่อจะเอาลูกไปให้คุณย่าอบรม”

เด็กหญิงวาริรีบดึงแขนลง เลื่อนเก้าอี้มานั่งตามเดิมอย่างไว แต่พอตั้งสติได้ก็โวยวายออกมา “พ่ออ่ะ คุณย่าอยู่ต่างประเทศจะมาอบรมน้ำได้ไง”

“ง่ายๆ ส่งลูกไปอยู่กับคุณย่าไง”

“ไม่มีทาง” ยืนยันเจตนารมณ์ไม่มีทางไปแน่ๆ ด้วยเสียงขึงขัง

“ก็ดี พ่อจะได้ซื้อตั๋วให้พี่ชายลูกคนเดียว”

แขนผมถูกยัยน้ำคว้ากอดหมับ “คนนี้ก็ห้ามค่ะ”

ผมผลักหัวน้องไปหนึ่งที “ถามความเห็นพี่ก่อนสิ”

“แล้วลูกอยากไปไหมล่ะ?” พ่อถาม

ผมพยักหน้ารับทันที ถ้าพูดตามตรงผมก็แอบคิดถึงคนทางนู้นเหมือนกัน

“พี่อ่ะ!”

“งั้นไปช่วงปิดเทอมไหม?”

ผมยังไม่ทันตอบ น้องสาวก็พูดแทรกเสียงดัง “น้ำไม่ให้ไปนะ!”

“งอแงเป็นเด็กเลย ดูอันสิ ยังไม่เห็นโวยวายเหมือนลูก” แม่บ่น

น้ำจ้องเจ้าตัวเล็กเขม็ง “พี่ทีจะไม่อยู่แล้ว อันยอมเหรอ” เริ่มหาแนวร่วมแล้วครับ

“ไม่อยู่?” เจ้าตัวเล็กทวนคำงงๆ ก่อนถามผม “ไปไหน? อันไปด้วย”

ผมชักปวดหัว คนหนึ่งร้องห้ามไม่ให้ไป อีกคนร้องตามจะไปด้วย แน่นอนว่าน้ำไม่พอใจคำตอบของน้องสุดๆ พ่อก็แหย่ไม่เลิก

“งั้นพ่อส่งลูกชายสองคนไปเที่ยวกับปู่ย่าแล้วกัน เพราะลูกสาวบอกไม่อยากไปนี่น่า”

“ถ้าพ่อทำจริงนะ น้ำจะโกรธให้ดู!”

“พอก่อนๆ เมื่อกี้ลูกจะเสนออะไรหือ?”

แม่เป็นฝ่ายห้ามทัพ ในขณะที่แขกของบ้านต่างพากันนั่งอมยิ้มขำตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

พอมีคนเตือนน้องก็ปล่อยแขนผม กระแอมไอ “น้ำว่าจะให้เบอร์ดี้มาค้างด้วยค่ะ”

แค่นั้นความสนใจของผมก็หดหายอย่างรวดเร็ว สองคนนี้ค้างด้วยกันบ่อยจะตาย ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ คิดพลางก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก หูก็ฟังแม่กับป้าเจนบอกอนุญาตง่ายดายตามคาด

“แต่น้ำอยากให้พี่พาร์ค้างด้วย”

“แค่กๆๆ” ผมถึงกับสำลักข้าว พอกันกับพาร์ที่กำลังสำลักน้ำ

“ทำอะไรของลูก เลอะหมดเลย” ป้าเจนบ่น รับทิชชู่จากแม่แล้วส่งให้ให้ลูกชายเช็ดปาก ส่วนผมรีบคว้าแก้วน้ำโค้กมากระดกอึกๆ ก่อนข้าวติดคอตาย

“ทำไมล่ะ?” ลุงแทนถามน้ำอย่างประหลาดใจ

“ก็พี่พาร์ต้องไปกลับพร้อมพี่ทีนี่ค่ะ อยู่ค้างที่นี่เลย น้ำว่าสะดวกดีออก คุณลุงคุณป้าจะได้ไม่ต้องขับรถมารับส่งพี่พาร์กับเบอร์ดี้ให้เหนื่อยด้วย”

“ก็จริงนะ” พ่อเห็นด้วย

“งั้นพาร์มาค้างบ้านน้าเนี่ยแหละ” แม่สนับสนุน

ลุงแทนกับป้าเจนดูเกรงใจ แต่พูดไม่ออก เพราะที่น้ำพูดก็ถูก แหงล่ะน้องเล่นเอาเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังมาพูดนี่หว่า และผมก็ฟังมาจากพาร์ที่รู้ดียิ่งกว่าใครมาอีกต่อ

พ่อผมคงเข้าใจว่าเพื่อนกำลังลำบากใจเลยพูดขึ้นมา “ให้ลูกสองคนอยู่นี่ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ทำงานได้อย่างสบายใจได้เลย”

“งั้นฝากด้วยนะ”

อ้างเรื่องงานปุ๊บ ลุงแทนตอบรับทันที สมแล้วที่พ่อบอกว่าเป็นพวกเสพติดงาน

“งั้นให้พาร์นอนห้องข้างล่าง…”

“ไม่ดีค่ะ” น้ำรีบพูดแย้งพ่อ “ข้าวของในนั้นเยอะจนน้ำคิดว่าเป็นห้องเก็บของเข้าไปทุกทีแล้ว เพราะงั้นให้พี่พาร์ไปนอนห้องพี่ทีดีกว่าเยอะ”

ดีนะครับที่ในปากผมไม่มีอะไรอยู่ ไม่งั้นคงพ่นออกมาแน่นอน ผมกับพาร์สบตากันทันที ต่างคนรู้ตัวว่าโดนน้องเล่นงานเข้าให้แล้ว

“ห้องทีเหรอลูก?” แม่พึมพำ

“ก็ห้องพี่กว้างออก เตียงก็ตั้ง 5 ฟุต นอนสองคนได้สบาย อีกอย่างน้ำว่าให้อยู่ด้วยกันนี่แหละถือเป็นการแก้เคล็ดที่หลายปีมานี่พวกพี่ไม่รู้จักกันสักที แม่กับป้าเจนเห็นด้วยกับน้ำไหม”

สองผู้สูงอายุผงกหัวให้ทันที ยัยน้ำเข้าใจพูดโน้มน้าว แม่กับป้าเจนไม่ถึงขั้นงมงาย แต่ก็ใช่ว่าไม่เชื่อ

“เอาอย่างที่น้ำว่าแล้วกันลูก”

เห็นไหมครับ ป้าเจนสนับสนุนทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี่ไม่ถึงนาทียังทำหน้าลำบากใจอยู่เลย     

“แม่เห็นด้วยเหมือนกัน งั้นคืนนี้ลูกไปเก็บข้าวของในห้องให้เรียบร้อย เตรียมพื้นที่ให้พาร์ด้วยล่ะ เข้าใจไหมที”

ผมยิ้มแห้งแทนการตอบรับ ก็คำตอบมีแค่สองทาง เข้าใจกับไม่เข้าใจ ถ้าตอบอย่างหลัง แม่ก็แค่ทวนคำพูดให้ฟังใหม่ แล้วจะให้ผมตอบอะไรเล่า! 

“พาร์เองก็ไม่ต้องเกรงใจนะ อะไรที่จำเป็นต้องใช้ขนมาได้เลย ห้องลูกชายแม่กว้างอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวรก”

มาถึงขั้นนี้คงปฏิเสธไม่ทันแล้วครับ อีกอย่างต่อหน้าคุณลุงคุณป้าขืนพูดปฏิเสธไป แล้วเกิดโดนเข้าใจผิดว่ารังเกียจลูกชายพวกท่านขึ้นมาคงแย่ โอเค ผมจะพยายามปลงตกให้ได้เร็วๆ

“ให้ค้างคืนนี้เลยใช่ไหมคะ?” เบอร์ดี้ถามอย่างกระตือรือร้น

ฮะ!

“ก็ได้นะ ยังไงทั้งสองคนก็ใส่เสื้อผ้าลูกชายลูกสาวของน้าได้อยู่แล้ว” แม่ว่า

ป้าเจนกลับแย้ง “แต่พี่ว่าวันนี้ให้กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”

“ใช่ครับ ผมกับเบอร์ดี้ต้องใช้หนังสือเรียนวันพรุ่งนี้ด้วย” พาร์รีบสนับสนุน

ทำได้ดีมากเพื่อน!

“งั้นพรุ่งนี้ให้ลูกๆ พี่จัดกระเป๋ามาเลยนะ”

แม่ครับจะรีบร้อนไปไหน!

ผมวางช้อนลง ความรู้สึกอยากอาหารถดถอย น้องตัวแสบยังกล้าเขยิบมาชิด พูดกระซิบเสียงระรื่น

“ดีจังเนอะพี่”

ผมหันมองน้องสาวที่ตั้งท่ากำหมัดส่งสัญญาณ ‘สู้ๆ’ มาให้

“ทีนี้พวกพี่จะได้คืบหน้าสักที!”

อย่าบอกนะที่ยัยน้ำเสนอให้พวกผมอยู่ด้วยกัน เพราะแค่ผมเคยตอบน้องไปว่าไม่ถึงไหน

ผมยกมือมากุมขมับ

เชื่อเขาเลย!

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2016 15:19:28 โดย katzep »

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: - ชลนที - [บทที่6] P.1 (15/08/2016)
«ตอบ #23 เมื่อ15-08-2016 02:08:55 »

พาร์ต้องคิดแน่เลยว่าคนที่ใส่สายสิญจน์อีกคนต้องเป็นผู้หญิง555 สองสาวก็แสบพอดูนะเนี่ย รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: - ชลนที - [บทที่6] P.1 (15/08/2016)
«ตอบ #24 เมื่อ15-08-2016 10:39:27 »

 :sad4:

แต่พาร์มีคนที่ชอบแล้วนี่นา ใครน้อออออออออ  :m16:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 7 (1/3)] P.1 (21/08/2016)
«ตอบ #25 เมื่อ21-08-2016 11:13:00 »

บทที่ 7 (1/3)

“ของล่ะจ๊ะพาร์”

แม่ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดดุได้ถูกจังหวะมาก ผมแอบสงสัยเหมือนกัน ทำไมถึงมีแต่ของน้องเบอร์ดี้กองอยู่หน้าบ้านผม เยอะจนตะลึงในแวบแรกที่เห็น ทำเอาคนพึ่งตื่นอย่างผมตาสว่าง แอบเผลอคิดไปเลยว่าน้องจะย้ายมาอยู่บ้านผมถาวร

“เย็นนี้ค่อยไปเอาครับ พอดี…”

ผมที่กำลังช่วยขนของเข้าบ้านลอบเงี่ยหูฟังจับใจความได้ประมาณพื้นที่รถเต็มแล้วเอาของใส่เพิ่มไม่ได้

…ก็จริง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเป็นแค่ของอ้างหว่า

หลังท่านแม่ผู้มาปลุกผมถึงในห้องเดินเข้าบ้านก็ค่อยกระดืบๆ ไปกระซิบถามคนกำลังยกของเดินตามมา “เมื่อกี้มึงไม่ได้พูดความจริงใช่ปะ?”

พาร์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พูดจริง”

ผมจ้องหน้าเพื่อนด้วยสายตาไม่เชื่อ นานจนพาร์หลบตาไปเอง แถมยอมสารภาพด้วยเสียงแผ่วเบา

“…แค่ครึ่งเดียว”

นั่นไง!

ผมก้าวเท้าตามเพื่อนที่เดินนำไปก่อน วางของไว้แถวห้องนั่งเล่นก็วกกลับไปที่รถ ถามอย่างอดไม่อยู่

“หรือว่าเกี่ยวกับที่น้องสาวมึงหอบข้าวของมาเยอะแยะ?”

น้ำเสียงพาร์หน่ายสุดขีด “น้องกูทำคนในบ้านตะลึงแต่เช้า อึ้งจนไม่รู้จะอึ้งยังไง ถามไปได้ใจความว่า ตกลงกับน้ำตั้งแต่เมื่อวานว่าจะอยู่บ้านมึงยาวจนกว่ารถจะซ่อมเสร็จ หรืออาจอยู่นานกว่านั้นตามความพึงพอใจ”

“ฮะ?!” ผมอุทาน เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมขนของมาเยอะนัก “นี่แสดงว่าสองสาววางแผนกันไว้แล้ว”

“พูดเรื่องนี้แล้วปวดหัว พ่อแม่ยังพูดอะไรไม่ออก แถมเมื่อวานพึ่งอนุญาตไป กูเลยรับเคราะห์เต็มๆ ต้องดูแลน้องไม่พอ ยังต้องอยู่ยาวตามน้องอีก กะทันหันจนกูไม่รู้จะขนอะไรมาบ้านมึงดี”

ผมอดหัวเราะไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าพาร์ก็ยิ่งขำ

“ไปดูของที่ห้องกูก่อนไหม อันไหนใช้ด้วยกันได้ มึงก็ไม่ต้องขนมาไง” คนฟังดันถอนหายใจ ผมเลิกคิ้วถามอย่างคาดเดา “หรือมึงไม่อยากมาอยู่บ้านกู?”

“มึงต่างหากที่น่าจะกำลังรำคาญ”

“ทำไมคิดงั้น?”

“กูกำลังเข้าไปยุ่งย่ามพื้นที่ส่วนตัวของมึงนี่หว่า”

ผมงงไปวูบหนึ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะทันที “ฮ่าๆๆ คิดมากไปได้!”

พาร์เตะผมแรงมาก เจ็บน่องจี๊ดๆ ต้องซี๊ดปากแทนหัวเราะ

“กูลืมไปมึงไม่ปกติ!”

อ้าว ผมมองคนหัวเสียเดินนำหน้าไปนู้น ก็ได้แต่เดินกะเผลกตามหลัง “ด่ากูทำไมวะ”

พาร์มองเขม็งผมแวบหนึ่ง ยกของเดินทิ้งห่าง ส่งท้ายด้วยประโยคเดียวให้ผมติดใจเล่น

“ลืมมันไปเถอะ”

ระหว่างทางไปมหาลัย พาร์ไม่ปริปากพูดอะไรกับผมเลย แค่ส่งเสียงคำเดียวก็โดนสายตาหงุดหงิดจ้องใส่ จึงตัดสินใจปล่อยความเงียบคืนสู่บรรยากาศอย่างน้อยก็ได้นั่งฟังเพลงเพลินๆ มองวิวข้างทาง แต่พอไม่ต้องยุ่งกับพวงมาลัยก็รู้สึกว่างพิกล ชำเลืองมองคนกำลังอารมณ์ไม่ดี ผู้แย่งกุญแจรถผมไปตั้งแต่อยู่บ้าน ใจที่กังวลมาตลอดทางก็โล่งอกขึ้นโข แถมยังอยากโห่ร้องด้วยความยินดี

ท้องถนนรถเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องเสี่ยงทัวร์นรกกับคนข้างๆ แล้วครับ

ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แค่ลงจากรถพารก็จัดการล็อกรถ ยัดกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง เดินแยกตัวไปอีกทางทันที ทิ้งเจ้าของรถอย่าผมมองตามหลังอย่างมึนงง

…มันแฮ๊บกุญแจรถผมไปทำบ้าอะไร?

ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย พาร์ไม่ทำรถผมหายหรอกมั้ง

-------------
 
อะไรวะ? ความโกรธรูปแบบใหม่หรือไง?

ก็พอรู้ตัวจากเหตุการณ์เมื่อวานว่าอาจไม่เป็นที่ต้อนรับของเพื่อนๆ คาดการณ์ไว้สารพัด เช่น โดนเพื่อนพูดไล่ พากันลุกเดินหนี ไม่ก็เมินเสมือนเราเป็นอากาศธาตุ แต่ความเป็นจริงกลับเกินกว่าที่คาดเดา แอบเหล่มองเพื่อนแต่ละคนที่ตามมานั่งกับผมอย่างสงสัย

…ไม่คุยกับผมไม่แปลก แต่เล่นไม่คุยกันเองด้วย แล้วไอ้อาการหลบสายตาผมนี่คืออะไร เป็นกันทุกคนไม่พอ คู่กรณีผมขาดเรียนอีก!

ได้แต่อดทนเรียนจนจบชั่วโมง พออาจารย์ปล่อยตัวก็รีบหันไปมองเพื่อนๆ พบว่าแต่ละคนเก็บของเสร็จแล้ว กระพริบตาอีกทีเห็นเพียงแผ่นหลังเพื่อนๆ เดินหายไปคนละทิศ ทางใครทางมันสุดๆ

…นี่มันอะไรกัน

ผมต้องการใครสักคนที่น่าจะช่วยตอบข้อข้องใจได้ กวาดมองรอบห้องก็เจอคนที่ต้องการตัวกำลังจะเดินผ่านประตู จึงรีบกวาดของลงเป้ลวกๆ วิ่งตามออกไปคว้าไหล่ รั้งตัวประธานชั้นปีอย่างมลให้หันมาได้ทันก่อนอีกฝ่ายเดินเข้าลิฟต์

“อะไรเนี่ย?!”

ผมไม่สนคำประท้วง ยิงคำถามใส่ทันที “เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มกู?”

อย่าแปลกใจที่ผมขึ้นมึงกูกับเพื่อนผู้หญิง ปกติไม่ทำถ้าไม่สนิทพอ แต่กลุ่มประธานชั้นปีที่คละกันทั้งชายหญิงเป็นข้อยกเว้นตั้งแต่งานกิจกรรมเฟรชชี่ที่ผ่าน ส่วนคนโดนถามตอนนี้เลิกคิ้วขึ้นสูง โบกมือไล่สมุนที่อยู่ในลิฟต์ให้ลงไปกันก่อน แล้วลากผมมายืนหลบทางชาวบ้าน ยกมือกอดอกย้อนถาม

“เมื่อวานมึงแผลงฤทธิ์อะไรไว้ ลืมแล้ว?”

“ไม่ลืม แล้วหลังกูกลับไปเกิดอะไรขึ้นอีก”

“ไม่เห็นมีอะไร อาจารย์ยกเลิกคลาส มึงน่าจะเดาออกถึงได้กลับก่อน ส่วนจะเกิดอะไรกับกลุ่มมึงหลังจากนั้น กูจะไปตรัสรู้ได้ไง”

ถึงผมจะเข้าใจ แต่ขอเหน็บมันหน่อยเถอะ “มึงเป็นประธานชั้นปีที่ไร้ประโยชน์จริงๆ”

“อ้าว ด่ากูอีก กูจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องไหม?”

“จำเป็น ไม่งั้นกูจะเลือกถามมึงไปทำไม”

“กูไม่ใช่พวกช่างเผือกนะ!”

“ถ้ามึงไม่เผือก มึงจะดูแลลูกทีมปี1 ทั้งคณะยังไงไม่ทราบ”

“กูมีวิธีของกูน่า”

“อ้อเรอะ แต่ตอนนี้ลูกทีมอย่างกูกำลังเดือดร้อน มึงไม่เห็นช่วยอะไรกูได้ เปลี่ยนวิธีเถอะมึง”

ผมแกล้งแหย่ไปอย่างนั้น แต่สงสัยไปกระตุ้นต่อมหงุดหงิดอีกฝ่ายเข้า ท่านประธานเลยจัดการกระทืบเท้าผมอย่างแรงไม่พอ ลงน้ำหนักขยี้อีก เจ็บสุดๆ แต่ภายนอกก็ยังทำหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่เจ็บ

“ไม่เจ็บ?”

“เจ็บ”

“ไมไม่ร้องวะ แล้วยืนเฉยเป็นตอไม้ให้กูเหยียบทำไม”

ผมฉีกยิ้มระรื่นต่างกับใจที่เจ็บจนน้ำตาแทบร่วง “กูไม่แสดงอาการให้มึงสมหวังหรอก”

มลทำหน้าเซ็งใส่ ยอมถอนเท้าออกโดยดี

อูย…อย่าดูถูกแรงของเพศหญิงเชียวนะครับ โดยเฉพาะสาวถึก!

“สรุปคือมึงโดนเพื่อนทิ้ง?”

“เห็นใครอยู่กับกูไหมล่ะ” ผมตอบระหว่างสะบัดเท้าข้างที่โดนเหยียบไปมา เจ็บจนเริ่มชาแล้วสิ

“งั้นมึงจะกินข้าวกับใคร?”

“คนเดียวมั้ง ไม่ก็อาจไปขอแจมกับเพื่อนต่างคณะที่รู้จักกัน”   

“งั้นมากินกับพวกกูดีกว่า ช่วงบ่ายจะไปนั่งเรียนกับพวกกูด้วยก็ได้”

“มลใจดีที่สุด!”

“เปล่า กูขี้เกียจวิ่งไล่จับมึงต่างหาก”

“หือ?” คำตอบของเพื่อนทำผมมึน “จะไล่จับกูทำไม”

“พวกรุ่นพี่ให้กูเอาตัวมึงไปถวายหลังกินข้าวเที่ยงกับเลิกเรียนน่ะสิ”

“ฮะ?!”

“นี่มึงลืมว่าตัวเองเป็นลูกสาวคณะใช่ไหม” มลกระซิบถาม

ผมใบ้กินทันที เพื่อนมลพูดถูกต้องแล้ว เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาหลังรู้ว่าพาตัวเองมาเจอกับอะไร กำลังจะก้าวเท้าถอยหนีเนียนๆ แต่ไม่ทันครับ โดนท่านประธานคล้องแขนจับล็อกตัวเรียบร้อย ผมไม่นิยมสะบัดผู้หญิงออกซะด้วย ยกเว้นบางประเภท เช่น พวกที่อยากลากผมขึ้นเตียง…

“ปะมึง เวลามีน้อย พี่ๆ นัดตอนเที่ยงครึ่ง”

ผมรู้สึกเสียใจก็ตอนนี้ เป็นความโง่ของตัวเองล้วนๆ ถึงได้เอาตัวมาให้เจ้าหน้าที่หมายเลขหนึ่งจับถึงที่ แล้วเจ้าหน้าที่หมายเลขอะไรไม่รู้จะจับผมไปเชือดแบบไหนล่ะเนี่ย

-------------

“ฮ่าๆๆ จับไอ้ทีไปเตรียมความพร้อมเนี่ยนะ นึกภาพมันเป็นสะใภ้ไม่ออกสักนิด”

“รุ่นพี่ถึงต้องจับมันไปเข้าคอร์สเตรียมพร้อมก่อนเป็นเจ้าสาวที่ดีไง” 

ผมรู้สึกโง่ก๊อกสอง เมื่อต้องนั่งร่วมโต๊ะกับสมุนท่านประธานทั้งสาม พูดจาแต่ละคำไม่มีเกรงใจกันสักนิด แถมยังแทงฉึกเข้ากลางใจดอกแล้วดอกเล่า แม้พวกมันจะลดเสียงลงเหลือแค่ให้ได้ยินเฉพาะในโต๊ะก็ตามเถอะ พวกคุณอย่ารู้จักพวกมันเลย เพราะผมจะไม่แนะนำ เรียกสมุนทอม สมุนชาย สมุนถึก ไปแล้วกัน เพราะสามหน่อนี้ประกอบไปด้วยชายแท้ หญิงทอม หญิงถึก

หลังสมุนทอมกับสมุนชายพูดจบ ท่านประธานที่เงียบมานานก็ออกความเห็นบ้าง

“เออเหมือน เข้าใจเปรียบเทียบ”

“ไอ้ทีของเราเตรียมแต่งออกนี่เอง ฮ่าๆๆๆ” สมุนทอมหัวเราะไม่เลิก

“แหม อยากรู้จังใครเป็นเจ้าบ่าว” สมุนถึกหัวเราะคิกๆ

ผมทำหน้าบึ้งหลังได้ยินประโยคแสลงรูหูรัวๆ “นี่พวกมึงไม่คิดว่าคณะเราจะชนะหรือไง”

คำถามของผมกลายเป็นตัวเร่งระดับเสียงหัวเราะเข้าไปอีก ผมนี่เบ้ปากใส่เพื่อนเลย

“มีอะไรน่าขำ?”

“มึงไม่รู้จริงอ่ะ ข่าวขึ้นชื่อของนิติเลยนะโว้ย”

ผมมองสมุนทอม “เรื่องไรวะ?”

สมุนทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนส่งยิ้มกริ่มให้ผมเรียงตัว แถมยังประสานเสียงอีก

“พวกกูไม่บอก!”

“ไม่เอา ไม่ทำหน้าอย่างนั้น” มลตีแก้มผมเบาๆ ทั้งที่ปากฉีกยิ้มขบขัน “มึงเป็นตัวแทนคณะเรานะ ต้องอย่าทำให้คณะเราเสียชื่อ รู้ไหม”

“กูอยากโดด!” ผมพูดจริงนะ พวกมันทำผมระแวง!

“อย่างทีไม่กล้าทำหรอก”

“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ท้าทายใช่ไหม” 

“ไม่ใช่” สมุนชายรีบปฏิเสธ “กูหมายความว่า มึงเข้าใจคำว่าส่วนรวมดี ไม่งั้นช่วงกิจกรรมเฟรชชี่ที่ผ่านมาจะเจอหน้ามึงทุกงานได้ไง”

“ถูก พวกกูอยากกราบขอบคุณงามๆ ด้วยซ้ำที่มึงมาทุกนัดไม่พอ ยังเสียสละแรงกายมาช่วยพวกกูอีก”

ผัวะ

สมุนชายตบหัวสมุนทอม “ไอ้ทอมนี่ก็พูดเกินจริง ขืนไปกราบมัน ไอ้ทีได้อายุสั้นพอดี”

“กูแค่พูดเปรียบเทียบ!”

“พอๆ” ผมพูดขัดก่อนสมุนทั้งสองจะทะเลาะกันเอง “พวกมึงไม่ต้องขอบคุณอะไรทั้งนั้น กูคิดว่านั่นครั้งเดียวในชีวิต โดดไปเสียโอกาสแย่”

“นี่ก็ครั้งเดียวในชีวิต” มลว่า “โอกาสที่มึงจะได้เป็นตัวแทนท่ามกลางคนในรุ่นเป็นร้อย ยากจะตาย แล้วมึงก็ช่วยอ้าปากงับช้อนอย่างเดียวได้แล้ว บอกก่อนถึงเวลาปุ๊บ กูลากมึงออกไปปั๊บ ต่อให้ยังคาบช้อนคาปาก กูก็ไม่สน!”

โอเคครับท่านประธาน ขอบคุณที่ยังแจ้งเตือนให้รับรู้ล่วงหน้าครับ

ผมรีบก้มหน้าก้มตาโส้ยอาหารสิ้นคิดอย่างกะเพราะหมูสับไข่ดาวลงท้อง หูก็ฟังบทสนทนาที่เปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องอื่น น่าเสียดายไม่มีโอกาสได้ร่วมวงคุยด้วย กลุ่มนี้ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดในคณะ บรรยากาศคล้ายกับตอนอยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนชายล้วนดีครับ

เข้าเที่ยงยี่สิบ มลเริ่มเร่งผมยิกๆ คำหลังๆ แทบไม่ได้เคี้ยว อาศัยกรอกน้ำให้ไหลลงท้องเอา

“ไอ้ทีเที่ยงยี่สิบห้าแล้ว”

“เออๆ กูพร้อมแล้ว”

“พวกมึง กูฝากเก็บจานให้ทีด้วย” มลร้องบอกคนอื่น

ชาย1 หญิง1 ทอม1 ต่างโบกมือสื่อว่าไม่ต้องห่วง แถมอวยชัยให้ผมไปดี ไม่ทันได้โต้เถียง ประธานรุ่นก็ลากผมออกจากห้องอาหารใต้ตึกเรียนรวมตรงดิ่งไปตึกคณะที่อยู่ใกล้ๆ พาไปเยือนถึงหน้าห้องสโมสรคณะ

“ถึงล่ะ” มลพยักหน้าไปทางประตู “ห้องกระซวกไส้มึง”

“พูดซะกูไม่อยากเข้า”

“เข้าไปเถอะน่า ไม่ตายหรอก”

“แค่เลี้ยงไม่โตใช่มะ”

มลกวาดมองผมขึ้นลง “มึงสูงแค่นี้แหละดีแล้ว มากกว่านี้จะไม่สมส่วนเปล่าๆ ไปๆ รีบเข้าไปเลย กูจะได้กลับไปกินข้าวต่อ”

ผมโดนรุนหลังไปถึงหน้าประตู มีท่านประธานเปิดให้เสร็จสรรพ พร้อมลากแขนผมเข้าไปประกาศลั่น

“พาตัวมาแล้วค่ะ!! มลไปกินข้าวต่อล่ะนะพี่ๆ สวัสดีค่ะ”

พูดรัวๆ จบประธานชั้นปีหนึ่งก็แวบหายไปจากห้อง…ตัดหางเพื่อนแสนดีอย่างผมไม่พอ ดันเอามาปล่อยกลางดงอิสสตรีทั้งแท้และไม่แท้นับยี่สิบกว่าคนด้วย ผู้ชายคนเดียวในห้องอย่างผมก็ผวาสิครับ

------------- 

“เป็นไงบ้าง”

คุณประธานเห็นหน้าผมปุ๊บรีบเดินดิ่งมาถามไม่พอ ยังดึงแขนลากตัวผมไปรวมกลุ่มตัวเองปั๊บ

…โปรดช่วยเห็นใจคนเดินโซเซเข้าห้องเรียนคาบบ่ายหน่อยเถอะ 

“ไม่ต้องถามแล้วยัยมล ไอ้ทีทำหน้าเป็นหมาป่วยขนาดนี้” สมุนทอมว่า ยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ “อ๊ะนี่น้ำ กินซะ”

ผมโบกมือไม่เอา ขอถอนหายใจสักเฮือกดีกว่า สมุนถึกเอาสมุดมาพัดให้ พักหายใจหายคอครู่หนึ่งก็ทนสายจาที่จับจ้องไม่ไหว “พวกมึง…” แค่พูดสองคำ ทั้งสี่ก็ตั้งตารอฟังกันเต็มที่ อาการไม่ค่อยอยากเผือกเลย ผมนึกประชดในใจ

“อย่าเงียบสิเฮ้ย!”

ผมมองสมุนทอมพูดเร่งอย่างเอือมระอา ถอนหายใจอีกครั้งหนึ่งก็ยอมพูดระบายความอัดอั้นตันใจออกมา “…กูชักสับสนว่าต้องไปเป็นสะใภ้ หรือกำลังได้ลงแข่งประกวดชายงาม”

“อะไรนะ?”

“หือ?”

“หมายความว่าไง?”

“อธิบายให้มันเคลียร์ๆ หน่อย พวกกูงง”

ทั้งสี่พูดกันคนละประโยคในเวลาเดียวกัน ผมยกมือปิดหน้าด้วยความกลุ้มใจ เอ่ยบอกเสียงแผ่ว

“กูอาจต้องแต่งหญิงวะ”

“ห๊ะ?!” อุทานกันหมด

“เดี๋ยวๆๆ มึงรีบเงยหน้าอธิบายให้พวกกูรู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ”

สมุนถึกพยายามดึงมือผมออก ไม่ได้ผลก็เล่นกระตุกเส้นผมเป็นกำมือ เจ็บจนต้องเงยหน้าปัดมือเพื่อนไปห่างๆ สีหน้าซังกะตาย

“จะให้อธิบายอะไร ตัวกูยังไม่เข้าใจเลย”

“พูดตามที่มึงเข้าใจนั้นแหละ”

ผมกรอกตามองเพดานห้องหลังได้ยินเสียงประสาน ที่พูดเมื่อกี้ออกจะตรงประเด็น

“งั้นกูจะสรุปให้ฟัง…แต่เลิกกระชากคอเสื้อกูเขย่าได้แล้ว เวียนหัว!”

“ก็บอกสักทีสิวะ ลีลาท่ามากอยู่ได้” สมุนทอมชักยัวะ

“รุ่นพี่จะจับกูแต่งคอสเพลย์ในวันศุกร์ คอนเซปอะไรไม่รู้ หน้าที่กูมีแค่ฝึกเดิน ยืน ยิ้ม นั่งอย่างเดียว แต่ไอ้ท่าที่จะต้องฝึกตุ๊ดฉิบหาย สงสัยกูจะได้ใส่กระโปรงวะ”

แทนที่จะเห็นใจ ดันพร้อมใจปล่อยก๊ากใส่หน้าผม ให้ต้องตบหัวเรียงคน ผู้หญิงก็ไม่เว้นครับ พวกผมเป็นแบบเนี่ยจะมารยาทดีด้วยไปทำไม

“อะแฮ่ม งั้นเย็นนี้มึงต้องฝึกถึงกี่โมง?”

ขอบคุณที่ตั้งสติกลับมาได้ ผมตอบคำถามท่านประธานเซ็งๆ

“รุ่นพี่ขอเวลาถึงสองทุ่ม แต่วันนี้กูมีธุระเลยขออยู่แค่ทุ่มเดียว” พูดถึงตรงนี้ผมก็ดึงมือถือกดเข้าไลน์ ส่งข้อความบอกพาร์ ดีที่วันนี้พาร์เลิกเรียนหกโมงเย็น “พรุ่งนี้กูเลยต้องอยู่ถึงสามทุ่มแทน”

ก่อนจะได้คุยอะไรกันมากกว่านี้ อาจารย์เดินเข้าห้องมาพอดี ทั้งกลุ่มหันไปสนใจเรียนกันหมด พวกเขาตั้งใจเรียนกันดีครับ ผลคะแนนสอบกลางภาคอยู่อันดับต้นๆ กันทุกคน เคยได้ยินว่าถ้าผลการเรียนแย่ หรือตกจะโดนรับการลงโทษเป็นพิเศษจากพี่นัน…เป็นประธานรุ่นกับสมุนคู่กายก็ลำบากเหมือนกัน

ผมหันไปฟังอาจารย์บ้าง แต่พบว่าตัวเองไม่มีสมาธิเรียนเลย เฮ้อ…

ช่วงห้าโมงเย็นสะใภ้คณะคนก่อนมาเยือนพร้อมอดีตสามีที่อยู่นิติ แวบแรกที่ได้เห็นหน้า ผมถึงกลับเคลิ้มสติหลุดไปชั่วขณะ สวยมากครับ นางฟ้าชัดๆ แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ผมขอมอบฉายานางฟ้าใจร้ายให้พี่เขาไปครองเลย เข้มงวดกับผมยิ่งกว่าพวกรุ่นพี่อีก เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่ามองคนแต่ภายนอกจริงๆ

การเจอพี่เบนคือคราวเคราะห์ แต่แฟนของพี่เบนคือผู้ช่วยชีวิตของผม 

“พอๆๆ พวกคุณจะจับน้องฝึกเป็นกระเทยหรือไง ไหนผมได้ยินว่าคอนเซปคือท่านชายไงครับ”

คนโดนฝึกอย่างผมพึ่งได้ยินคอนเซปครั้งแรกนี่แหละ

“ก็…น้องจะไปเป็นสะใภ้นี่ค่ะ”

“แล้วต้องให้น้องทำท่าตุ๊ดด้วยเหรอ สะใภ้ผู้ชายแท้ๆ ก็มี หรือพวกคุณเคยเห็นแต่อะไรไม่รู้ แล้วมาจับน้องฝึกให้เหมือนคนพวกนั้น?”

เงียบกริบเลยครับ หน้าเสียกันเป็นแถบ แม้แต่พี่เบนที่ได้ชื่อว่าสุดที่รักยังทำได้แค่ยิ้มแห้ง ไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังสนุกสนานร่วมมือฝึกผมกับพวกรุ่นพี่อยู่เลย

“ตอนแรกผมว่าจะไม่ยุ่ง แต่ทนดูไม่ไหวจริงๆ” พูดถึงตรงนี้ก็มองแฟนดุๆ “แทนที่เธอจะห้าม ดันไปร่วมวงด้วยอีก เขาเรียกเธอมาดูน้องเพื่อให้ทำความเข้าใจกับตำแหน่ง ไม่ใช่ให้เธอไปกลั่นแกล้งน้องตามอารมณ์นึกสนุก เวลายิ่งมีน้อยๆ อยู่”

“ขอโทษค่ะ” พี่เบนพูดเสียงอ่อยๆ

“มาขอโทษผมทำไม เธอกับพวกคุณควรขอโทษน้องนู้น”

พวกพี่ๆ หันมาขอโทษผมกันทุกคน ผมทำได้แค่ผงกหัวหงึกๆ รับ แอบส่งสายตาขอบคุณให้พี่นิติคนนั้นด้วย ขอบคุณจริงๆ ที่พี่ช่วยแย้งให้ เพราะตอนกลางวันผมแย้งเองรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจฟังสักคน บางทีการได้เป็นรุ่นน้องก็แย่นะครับ

“ขอบอกก่อน คณะผมต้องการสะใภ้ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งแสดงตัวตนแท้จริงออกมาได้ยิ่งดี ไม่ใช่ตัวตนที่รุ่นพี่อย่างพวกคุณปรุงแต่งให้ หรือยัดเหยียดให้ฝึก ผมแนะนำได้แค่ว่าพวกคุณควรเปลี่ยนวิธีฝึกน้องใหม่ทั้งหมด และช่วยจำไว้ว่างานนี้พวกคุณเป็นแค่ผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวหลัก เข้าใจไหมครับ?”

พวกรุ่นพี่รับคำเสียงแผ่ว จนโดนถามซ้ำอีกครั้ง ถึงตอบเสียงขันแข็งขึ้น

“ดี ผมให้เวลาพวกคุณไปประชุมกันใหม่ เธอก็ไปให้คำแนะนำรุ่นน้องด้วย ส่วนน้องปี1 มานั่งตรงนี้กับพี่”

ทุกคนกระจายตามคำสั่งทันที ผมตรงไปนั่งข้างพี่เขา พูดขอบคุณจากปากอีกครั้ง แต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ มีเพียงขวดชาดำรสน้ำผึ้งมะนาวถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมหลอด

“พี่ให้เป็นของปลอบขวัญ”

ผมรีบยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”

นั่งกันเงียบๆ ไม่ถึงอึดใจ พี่นิติก็ชวนผมคุย “มีเพื่อนอยู่คณะนิติหรือเปล่า”

“มีครับ”

“หญิงหรือชาย สนิทกันมากไหม”

ผมนึกถึงพาร์ทันที “ผู้ชายครับ สนิทไหม…น่าจะสนิท ครอบครัวพวกเรารู้จักกันด้วย”

“งั้นเหรอ…น่าเสียดาย”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ พี่เขาเสียดายอะไร?

“โดนเลือกได้ยังไงล่ะ จับฉลาก?”

“ครับ”

“จับได้เองหรือเปล่า?” ผมส่ายหน้า ฝ่ายพี่นิติกลับถอนหายใจเบาๆ “เป็นแบบนี้ทุกรุ่น”

หือ? หมายความว่าไงกัน?

“เอ่อ ผมขอถามได้ไหมครับ” พี่พยักหน้าอนุญาต “ที่ว่าเป็นทุกรุ่นคืออะไรครับ”

พี่นิติถอนหายใจอีกครั้ง “รู้ไหมไอ้คนจับฉลากได้ไม่เคยได้เป็นหรอก ต้องมีคนอาสาทำแทน ไม่ก็โดนโยนหน้าที่ให้ มีกรณีขอเปลี่ยนคนทีหลังด้วย สรุปว่ามันต้องมีเรื่องมีราวทุกรุ่น บางรุ่นก็ร้ายแรงหน่อย แต่เพราะอย่างนี้เลยทำให้เพื่อนหรือรุ่นพี่เห็นอุปนิสัยหรือจิตใจของคน”

ผมมองพี่เขาอึ้งๆ…ลึกซึ้งมากครับ เป็นมุมมองแบบที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ

“เอ่อ แล้วทางคณะนิติ ฝึกลูกสาวโหดเหมือนทางผมไหมครับ”

นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมแอบสงสัย

“ไม่หรอก ส่วนใหญ่จะตามใจน้องกัน ปล่อยน้องคิดคอนเซปเอง พวกรุ่นพี่แค่สรรหาอุปกรณ์หรือคอยอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ตามแต่น้องร้องขอมา”

ดีชะมัด! ฟังแล้วผมอยากย้ายคณะเลย

“เราอยากให้ลูกสาวแสดงความเป็นตัวตนออกมาให้หมด ถึงจะสุดโต่งไปบ้างก็ไม่เป็นไร ถือเป็นสีสันในงาน แต่เพราะแบบนี้ ส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยมีใครอยากได้ลูกสาวจากคณะพี่เท่าไหร่” พูดถึงตรงนี้พี่นิติก็หัวเราะหึๆ “เรื่องลูกสาวนิติถือเป็นเรื่องขึ้นชื่อของคณะพี่เลยล่ะ”

ผมร้องอ้อในใจเลยครับ ไอ้เรื่องนี้เองที่สมุนทั้งสามไม่ยอมบอกผม!

“น้องเลยตกที่นั่งลำบากหน่อย”

เอ๊ะ

“เอ่อ พี่พูดแบบนี้…แสดงว่าผมมีโอกาสเป็นสะใภ้คณะพี่สูงมาก?”

“มันขึ้นอยู่กับคณะน้องด้วย ถ้ายอมรับลูกสาวคณะพี่ได้ก็คงแข่งกันแบบแฟร์ๆ แต่ถ้าไม่ สงสัยจะมีเล่นตุกติก” ฟังพี่พูดแล้ว ผมเครียดเลย “เอาน่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ต้องทำหน้าเครียดหรอก”

...พี่พูดให้ผมปลงล่วงหน้าใช่ไหม?

“มาเป็นสะใภ้คณะพี่ดีนะ ยิ่งคู่กับคนรู้จักยิ่งดี เสียดายคนรู้จักน้องดันเป็นเพศเดียวกันนี่สิ”

ผมสะดุดหู รีบถามอย่างมีความหวัง “ไม่นิยมจับคู่คนเพศเดียวกันเหรอพี่”

“ไม่ค่อยนะ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประธานปี4 ด้วย อย่างกรณีน้อง นันคงนึกสนุกเลยเลือกน้องแทนน้องผู้หญิง”

“หมายความว่าสะใภ้ต้องเป็นผู้หญิง?”

-------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2016 13:07:49 โดย katzep »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 7 (2/3)] P.1 (21/08/2016)
«ตอบ #26 เมื่อ21-08-2016 12:59:41 »

บทที่7 (2/3)

“เรียกว่าลูกสาวคณะ ต้องเป็นเพศหญิงสิ”

“แต่พี่นันบอกว่าชายหญิงเกี่ยวหมดนะครับ”

“อ้าวเหรอ บางทีกฎอาจเปลี่ยนจากสมัยพี่มั้ง”

มันยังไงๆ อยู่นะ

“อ้อ พี่จำได้ล่ะ เรื่องปลีกย่อยอย่างเลือกคนที่เป็นลูกสาว นอกเหนือจากความเหมาะสม ส่วนใหญ่ประธานพี่4 ถูกใจใครก็เลือกคนนั้นแหละ บางครั้งก็ไม่มีเหตุผลหรอก สงสัยน้องเผลอทำตัวสะดุดตานันเข้ามั้ง”

หลังได้รับข้อมูลที่ทำผมจิตตกไปพักใหญ่ก็ได้เวลาเริ่มต้นฝึกแบบใหม่ ซึ่งทำผมสบายใจขึ้นโข ให้อารมณ์เหมือนฝึกมารยาทการเดิน ยืน นั่งกับคุณย่าในสมัยเด็กมากครับ ผลคือผมทำได้ดี พวกรุ่นพี่เลยค่อนข้างพอใจ

“งั้นไปเที่ยวงานลอยกระทงกันเถอะ”

เอ๊ะ…ลอยกระทง? ผมลืมไปซะสนิท

“ออกไปตอนนี้คงโดนเรียกไปช่วยงานมากกว่า”

“ไปสนุกที่ซุ้มคณะก็ดีนี่ พวกพี่เบนล่ะคะ?”

“พวกพี่ตั้งใจมางานลอยกระทงนี่แหละ แล้วก็แวะมาดูหน้าว่าที่สะใภ้คนใหม่ด้วย” พี่เบนส่งยิ้มผม

…คนนี้อีกคน ฟันธงไปแล้วว่าผมต้องเป็นแน่ๆ ใช่ไหม เฮ้อ~

เพราะเหตุนี้ผมเลยโดนปล่อยตัวเร็วกว่าที่ขอไว้ครึ่งชั่วโมง ถูกทิ้งให้ยืนเคว้งคว้างอยู่หน้าตึกคณะเศรษฐศาสตร์ พลางยืนครุ่นคิดสองจิตสองใจ จะไปซุ้มคณะตัวเองดีไหม เพราะเพื่อนๆ น่าจะอยู่กันที่นั่น หรือติดต่อไปหาพาร์ก่อนดี

ผมตัดสินใจโทรหาพาร์ เพราะขืนไปซุ้มคณะตัวเอง สงสัยได้อยู่ยาวจนเลยเวลานัดตอนทุ่มตรงแหง อีกอย่างผมไม่ต้องไปช่วยเฝ้าซุ้ม เพราะก่อนหน้านี้อยู่ฝ่ายเตรียมสถานที่ เริ่มทำตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แต่ทำเต็มที่จริงๆ แค่วันจันทร์ที่อยู่ยาวถึงสี่ทุ่ม นอกนั้นกลับก่อนไม่เกินหนึ่งทุ่ม

ผมเกรงใจคนต้องมารออย่างพาร์ มันมารอที่ใต้คณะเศรษฐศาสตร์จนเพื่อนผมแต่ละคนเริ่มมองเราแปลกๆ จนหลังๆ พาร์เลยหนีไปช่วยงานซุ้มคณะนิติ จะกลับเมื่อไหร่ก็ไลน์หาบ้าง ตกลงเวลาก่อนไว้ก่อนบ้าง ถึงเวลานัดค่อยไปเจอกันที่รถ

พาร์รับสายผมก็จริง แต่ทางนั้นเสียงดังหนวกหูจนผมฟังไม่รู้เรื่อง เลยกดปิดเปลี่ยนเป็นกดข้อความผ่านไลน์แทน

TEE: อยู่ไหน?
PAR: ซุ้มนิติ แล้วเมื่อกี้กดตัดสายทำไม
TEE: เสียงโคตรดัง กูฟังมึงไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวไปหา ซุ้มคณะมึงอยู่ตรงไหน
PAR: ไหนบอกโดนรุ่นพี่กักตัวถึงหนึ่งทุ่ม
TEE: โดนปล่อยตัวแล้ว
PAR: อ้อ งั้นมาสิ เดี๋ยวส่งรูปไปให้

พาร์ถ่ายรูปซุ้มคณะตัวเองกับรอบๆ ให้ผมดู ตามด้วยบอกพิกัดเป็นลายลักษณ์อักษร วงแคบลงก็จริง แต่ผมหาตั้งนานกว่าจะเจอซุ้มคณะนิติ

“เชิญครับๆ”

ผมส่ายหน้า อ้าปากกำลังบอกว่ามาหาเพื่อน แต่เมนูแผ่นกระดาษแข็งเคลือบพลาสติกดันมาอยู่ในมือ

…นี่เข้าข่ายยัดใส่มือนะครับ

แต่ก็ก้มมองเมนูอย่างสนใจ อยากรู้ว่าขายอะไรบ้าง พอเห็นก็ผิดหวังเล็กๆ ไม่ต่างจากทั่วไปเท่าไหร่ มีเครื่องดื่มร้อนเย็นง่ายๆ ไม่กี่อย่าง เมนูจากขนมปังปิ้ง ขนมปังเย็น ข้าวโพดคลุกเนย คุกกี้ มาสะดุดที่ภาพลูกเจี๊ยบในเปลือกไข่ มีกรอบคำพูดเขียนว่า ถือกินสะดวก ผมรีบกวาดมองด้านในไม่มีที่นั่งกินจริงๆ ครับ มีแต่โต๊ะคลุมด้วยผ้าสีแดง ด้านบนทำเป็นชั้นวางของแบบขั้นบันได ให้คนเลือกซื้อมองเห็นชัดถนัดตา

สินค้าวางขายทั้งหมดเป็นคุกกี้หลากหลายแบบ บรรจุในขวดโหลแก้วใบเล็กๆ น่ารัก ผูกริบบิ้นกับคล้องป้ายสำหรับเขียนข้อความแผ่นกลมๆ เพิ่มความสวยงาม มองไปเรื่อยก็สะดุดป้ายทำจากกระดาษวาดเขียนแผ่นใหญ่แปะติดชายผ้าคลุมโต๊ะ มีข้อความลงสีโปสเตอร์ตัวใหญ่มากเขียนว่า ‘ซื้อครบ 250 บาท มีสิทธิ์จับลูกบอลทำนายโชคชะตา’

ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมซุ้มนี้ผู้หญิงโคตรเยอะ

เลื่อนสายตาขึ้นจากแผ่นป้ายก็มาสะดุดคุกกี้คุ้นตาเข้าอย่างจัง เพ่งมองจนแน่ใจว่าเคยกินมาก่อนแน่ๆ แต่ดันนึกไม่ออกว่าเคยกินตอนไหน 

“ตัดสินใจได้หรือยังครับ?”

ผมหลุดจากภวังค์ รีบยิ้มให้คนยืนรอรับออเดอร์ “เอาโกโก้เย็นแก้วหนึ่งครับ”

“ยี่สิบห้าบาทครับ”

หือ? เป็นระบบจ่ายเงินก่อนได้ของหรือเนี่ย ผมหยิบตังค์จ่ายไป

“รอสักครู่นะครับ หรือจะเข้าไปชมสินค้าข้างในก่อนก็ได้”

ผมพยักหน้าตอบรับ แม้ในซุ้มมีแต่ลูกค้าสาวๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่นักศึกษาสวมบทพนักงาน หรือลูกค้าบางคนก็เป็นผู้ชายนี่ครับ ผมเดาว่าน่าจะมากับแฟน ดังนั้นจะอายไปทำไม เดินดุ่มๆ ไปหยุดหน้าโหลคุกกี้ที่หมายตา หยิบขึ้นมาเพ่งดูคุกกี้ในระยะประชิด

ความรู้สึกมันบอกว่าใช่ แต่ให้แน่ใจต้องได้ชิม!

“เอาเจ้านี้ครับ”

“รับอย่างอื่นเพิ่มไหมครับ?”

ผมกวาดมองไปเรื่อยก็สะดุดอีกสองแบบ เลยหยิบส่งให้ไปอย่างละหนึ่ง

“เท่านี้นะครับ เอ่อ ผมรู้ว่าคุณลูกค้าคงไม่สนใจ แต่หากซื้อครบยอดจะได้จับลูกบอลทำนายโชคชะตานะครับ”

ผมผงกหัวแทนคำบอกว่ารู้แล้ว “เท่าไหร่ครับ?”

“120 ครับ”

อื้อหือ กระปุกแค่นั้นตั้ง 40 บาท กำไรสุดๆ แต่รูปแบบผลิตภัณฑ์โอเคอยู่ครับ ผมเลยยอมจ่าย ระหว่างรอโหลคุกกี้ใส่ถุง โกโก้ของผมก็มาส่ง รับมาดูด…รสชาติใช้ได้ เอ๊ะ มีคุกกี้วางให้ชิมด้วยนี่หว่า อยากตบหน้าผากตัวเองนัก ไม่ดูให้ดีก่อนซื้อ เอาวะ ชิมตอนนี้ก็ยังทัน

ผมหยิบคุกกี้ที่หมายตาเข้าปาก เคี้ยวสองสามทีก็เผลอพยักหน้า มันใช่ครับ รสชาติคุ้นปากแบบที่ไม่ได้กินมานาน อดมองคุกกี้ในโหลที่มีแค่หกชิ้นไม่ได้ น้อยเกินไป เสร็จน้องผมหมดแน่ เลยทำการซื้อเพิ่มอีกแบบละสามกระปุก

“ไม่สนใจคุกกี้แบบอื่นๆ เหรอครับ?”

ส่ายหน้าปฏิเสธทันที ผมเฉยๆ กับของหวานก็จริง แต่ถ้าเป็นของแบบที่ชอบจะพุ่งเข้าหาครับ   

“งั้นขอคิดราคาใหม่นะครับ…ทั้งหมด 480 บาทครับ”

ผมจ่ายเงินไป รับของมาหิ้ว กำลังจะเดินออกจากซุ้มก็นึกได้ตอนเห็นคำว่านิติศาสตร์ เออวะ ผมมาหาพาร์นี่หว่า แล้วมันอยู่ไหนเนี่ย?   

“คุณลูกค้าที่ซื้อคุ้กกี้ครับ! กลับมาจับลูกบอลก่อนครับ!!

…ตะโกนทำไมครับ หันมองกันทั้งซุ้มแล้ว

ผมจำเดินย้อนกลับไปหา ไม่งั้นอีกฝ่ายคงตะโกนเรียกไปเรื่อยๆ

“ได้สิทธิ์จับสองครั้งนะครับ”

ล้วงหยิบพลาสติกรูปทรงไข่หลากสีในกล่องขึ้นมาสองอัน ส่งให้พนักงานประจำซุ้มบิดออก แล้วยืนรอฟังด้วยความรู้สึกเฉยชา ถ้าเปลี่ยนมาเป็นน้องสาวอย่างน้ำหรือเบอร์ดี้คงยืนรออย่างตื่นเต้น สาวน้อยสองคนนั้นชอบเรื่องประเภทนี้สุดๆ     

“ความรักของคุณอยู่ใกล้แค่เอื้อม”

อาฮะ ฟังอันแรกจบก็รอฟังอันที่สอง

“หากหันหลังไปคุณอาจพบคนที่ใช่ครับ”

ผมแอบขำ แค่หันหลังเนี่ยนะ มันจะเป็นจริงได้ไง 

“จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกไหมครับ?”

“ใส่ไว้ในนี้เลยครับ”

กระดาษแผ่นยาวๆ ขนาดเท่าซองหลอดน้ำดื่มถูกสอดเข้าถุงคุกกี้ในมือผม เก็บไปให้สองสาวดู ต้องชอบกันแน่ๆ แต่พอหมุนตัวหันหลังเตรียมจากก็ต้องชะงักกึก ตาจ้องคนกำลังเดินเข้าซุ้มมาเขม็ง

…ผมยอมเชื่อคำทำนายขึ้นนิดหน่อยก็ได้ ถ้าคนที่ใช่แปลว่า ‘คนที่กำลังตามหาตัวอยู่’ ล่ะก็นะ

กำลังจะเดินเข้าไปหา แต่ต้องถอยหลบอย่างเร็ว เมื่อสาวๆ ในซุ้มวิ่งพรวดเข้าชาร์ตพาร์ แปบเดียวมันก็โดนล้อมทั้งหน้าทั้งหลัง…แว่วเสียงขอซื้อนั่นซื้อนี่ไม่มีหยุด ฟังแล้วปวดหัวแทน

“ขอโทษนะครับ!” พาร์ตะโกนขัดขึ้นมา “ผมหมดกะแล้ว”

แต่สาวๆ ไม่เชื่อครับ ผมฟังคำแย้งไม่ค่อยถนัด แต่มีคนหนึ่งเธอโผล่ออกมาเสียงดัง

“ถ้าหมดกะแล้วน้องจะกลับมาที่ซุ้มอีกทำไมล่ะคะ?”

“มาหาคนครับ” มันตอบเสียงดังฟังชัดเจนมาก

“อยู่นิติก็ต้องมาหาเพื่อนนิติ แค่ข้ออ้างนี่ค่ะ”

ผมขมวดคิ้วแทนเพื่อนเลย ส่วนพาร์ถอนหายใจ เลิกโต้เถียงกับผู้หญิงคนนั้น เปลี่ยนมากวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง พร้อมตะโกนเรียก

“ที!”

อ้าว ตะโกนชื่อผมทำไมวะ

“ที…ไอ้ที!! ถ้าอยู่นี่ก็ขานรับหน่อย ไม่งั้นกูจะไปหามึงที่อื่นแล้วนะ”

ผมจำใจต้องชูมือแสดงตัว คือผมก็ไม่หลบอะไรนะ แต่ทำไมมันไม่หันมองฝั่งนี้ฟะ

“อยู่นี่”

เท่านั้นแหละ สายตาคนทั้งซุ้มย้ายมาที่ผมหมด สองรอบแล้วนะโว้ย ผมเริ่มกระดากนิดๆ แล้วนะ

“เปิดทางให้หน่อยครับ ขอผมไปหาเขาหน่อย”

พาร์เอ่ยขออย่างสุภาพ แทรกตัวผ่านสาวๆ เข้ามาด้านใน หลุดจากกลุ่มก้อนตรงนั้นปุ๊บก็เดินสะดวกแล้วครับ เพราะด้านในโคตรโล่ง

เจอหน้าก็ขอถามหน่อยเถอะ “ไหนว่าอยู่ซุ้ม?”

“ตอนแรกอยู่ แต่ออกไปถ่ายรูปให้มึงปุ๊บ กูก็ได้วิ่งอย่างเดียวเลย นี่พึ่งวกกลับมาได้”

งงแค่วูบแรก ก่อนจะเข้าใจว่าอาจโดนสาวๆ ไล่กวด เลยฉีกยิ้มขำใส่มัน

ช่วยไม่ได้วะ อยากหน้าตาดีเอง

“แล้วซื้ออะไรตั้งเยอะแยะ”

ไม่ถามเปล่าแย่งถุงในมือผมไปเปิดดูอย่างไร้มารยาท

“อุดหนุนซุ้มคณะมึงไง” ตอบเสร็จก็เลิกคิ้วขึ้นสูง แปลกใจเมื่อเพื่อนนิ่งค้างนานเกินไปแล้ว

“พาร์…พาร์ ไอ้พาร์!”

มันสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองผมหน้าตื่นๆ “อ…อะไร?”

“…เป็นไรวะ?”

“เปล่า” มันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามเหมือนสงสัยมาก “มึงรู้ปะว่าซื้ออะไรมา”

ผมมองมันด้วยสายตาเหมือนมองคนสติไม่ดี “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคุกกี้ยังจะถามอีก”

“ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้น คือ…” พาร์เลียริมฝีปากท่าทางลำบากใจปนตื่นเต้นเล็กๆ “มันมีตั้งหลายอย่าง ทำไมมึงถึงเลือกแค่สามอย่างนี้ล่ะ”

ผมงง แต่ก็ตอบไปตามตรง “กูชอบน่ะสิ”

เห็นพาร์นิ่ง ก็เสริมไปอีกประโยค “เป็นรสชาติที่ไม่ได้กินนานมากแล้ว กูเลยคิดถึง”

“งะ งั้นเหรอ”

มันหลบตาผมทำไม?

…เอ๊ะ

“มึง…เขินเหรอ?” ถามอย่างไม่แน่ใจ

“เปล่า!”

ไม่เห็นต้องปฏิเสธจริงจังอย่างนั้นก็ได้ ดูมีพิรุธนะเพื่อน ผมรับถุงที่ยื่นมาให้เหมือนเป็นของร้อนงงๆ

“กลับเถอะ หรือจะไปเดินเที่ยวงานก่อน”

เปลี่ยนเรื่องซะงั้น ผมยอมปล่อยตามน้ำ ตอนแรกคิดจะกลับเลย แต่ได้กลิ่นหอมๆ ลอยตามลมซะก่อน ความตะกละวิ่งพรวดเข้าเส้นชัย เรื่องขนของเอาไว้ทีหลังนะเพื่อน

“ไปหาอะไรลงท้องกันก่อน” ผมเอ่ยชวน

“จะลอยกระทงไหม?”

“ขอดูก่อน ถ้าคนเยอะคงไม่”

ระหว่างเดินออกจากซุ้ม พาร์เอาแต่ยกนิ้วชี้แตะปากตัวเองใส่เพื่อนร่วมคณะที่กำลังยิ้มกรุ่มกริ่ม บางคนทำหน้าสนุกสนานตั้งท่าอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง พาร์รีบดึงข้อมือผมหนีเลย

อะไรของมัน?

-------------

“คุกกี้ฝีมือพี่พาร์นี่น่า!”

อะไรนะ?!

“อร่อยเหมือนเดิมเลย คิดถึงๆ น้ำไม่ได้กินขนมฝีมือพี่พาร์ตั้งสามปีแล้ว”

ผมรีบตวัดตามองเจ้าของผลงานที่รีบเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วย ถ้อยคำที่พูดออกไปตอนอยู่ซุ้มนิติโผล่พรวดในหัวให้ผมเริ่มรู้สึกกระดากอายตาม นั่งเก้ออยู่สักพักก็เผลอขมวดคิ้ว

แล้วทำไมมันไม่บอกผมเล่า!

“คุกกี้ทั้งสามแบบของพี่พาร์หมดเลยใช่ป่าว?”

ผมมองน้ำสลับกับคนทำขนมที่พยักหน้ายืนยันว่าใช่

“พี่พาร์ทำขายแค่สามอย่างนี้แหละ” เบอร์ดี้ช่วยยืนยันอีกเสียง “ทางคณะพี่ให้คนทำขนมเป็น อบคุกกี้ออกมาวางขายสามอย่าง อย่างละ 50 กระปุก”

…ผมดันคว้าถูกหมดทั้งสามแบบอีก อย่างกับแฟนพันธุ์แท้! มิน่ามันถึงทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่ตอนนั้น

แอบรู้สึกกลุ้มใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ก็แค่ เอ่อ เมื่อก่อนได้กินบ่อยๆ ล่ะมั้ง ผมถึงจำรูปแบบไปจนถึงรสชาติได้ติดปากขนาดนี้ พยายามครุ่นคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่

‘ลูกชายของเพื่อนแม่ฝากมาให้ที เขาพึ่งหัดทำขนม’

ในหัวผุดภาพในอดีตอีกหลายฉากให้แอบหน้าซีด รีบหันไปจ้องพาร์ด้วยความไม่อยากเชื่อ

เด็กนั่นคือมันเหรอ? ไม่ใช่หรอกมั้ง…มั้งอะไรล่ะ! หลักฐานวางอยู่ต่อหน้าต่อตา!

ผมยกมือตบหน้าผาก

มันนี่เองสาเหตุที่ทำให้ผมเกิดแรงฮึดเริ่มต้นหัดเข้าครัวบ้าง แต่ขืนทำขนมหวานตามอาจโดนหาว่าเป็นเด็กขี้อิจฉาได้ เลยเลือกทำของคาวแทน ทำไปทำมาชักสนุก นานวันฝีมือย่อมพัฒนา จะว่าไปช่วง ม.ต้น เคยต้องแลกเปลี่ยนของกินกันด้วยนี่หว่า ตอนนั้นผมพึ่งมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ แม่คงเห็นผมหงอยๆ เลยมอบหน้าที่ทำกับข้าวใส่ปิ่นโตทุกเย็น ทุกเช้าก็ได้ของหวานใส่ปิ่นโตกลับมาเป็นของตอบแทน เป็นแบบนี้ตั้งสามปี ไม่ให้คุ้นปากก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่พอมันไปเรียนต่างประเทศก็ไม่ได้กินอีกจนผมลืมไปเลย

ขยี้หัวอย่างหงุดหงิดที่ไม่เอะใจตั้งแต่แรก ที่สำคัญกว่านั้น

ผมเสียตังค์ 480 บาทไปทำไม!

ถ้าเอาเงินส่วนนั้นไปซื้อวัตถุดิบ ฝากพาร์ทำให้กินยังได้ปริมาณเยอะกว่านี้ตั้งหลายเท่า คุ้มกว่าเห็นๆ เท้าคางกับโต๊ะกระจกหน้าโซฟาด้วยความเซ็ง เอาเถอะ ถือว่าอุดหนุนของที่เพื่อนทำขายแล้วกัน ถึงเงินจะเข้าคลังคณะนิติก็ตาม เฮ้อ…   

“ว่าแต่พวกพี่ไปลอยกระทงกันมาหรือเปล่า?”

“เปล่า”

หลังฟังคำตอบจากผม น้องทั้งสองหงอยไปเลย ส่วนน้องอันกัดคุกกี้มองพี่ๆ ตาแป๋ว ท่าทางไม่เข้าใจว่าคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เจ้าตัวเล็กยังไม่เคยไปลอยกระทงครับ ผมให้ลอยเรือกระดาษอยู่บ้านแทน แต่ปีนี้กะว่าจะพาลอยของจริง

“น้องอัน อยากไปเที่ยวกับพี่ไหม?”

พยักหน้าหงึกๆ ทันที

“งั้นกินขนมให้หมดก่อน ไปล้างมือ ค่อยออกมาหาพี่”

คนนี้ว่าง่าย สั่งอะไรทำหมด เฉพาะตอนจะได้ไปเที่ยวครับ

“ส่วนใครที่อายุเลยสิบขวบ ถ้าอยากไปด้วย ช่วยเตรียมตัวให้พร้อม เน้นเสื้อผ้าเคลื่อนไหวสะดวกนะ ใครไม่พร้อมพี่จะให้อยู่เฝ้าบ้าน”

เท่านั้นแหละ สองสาวพากันวิ่งตึงตังขึ้นบันไดไปชั้นสอง คาดว่าคงรีบถอดชุดนักเรียนออกอย่างไว คงเดาออกว่าผมจะพาไปลอยกระทง

ตอนแรกว่าจะไม่พาไปหรอก แต่พอดีระหว่างทางกลับบ้าน เจอเด็กสองคนกำลังจะเอากระทงไปขาย เป็นกระทงกาบกล้วยครับ ถ้าเป็นที่สมุทรสงครามคงไม่แปลก แต่น้องทำขายในกรุงเทพ ผมเห็นน่าสนใจดี เลยให้พาร์จอดรถข้างทาง

สองพี่น้องวัยประถมกับมัธยมต้นช่วยกันทำเอง แยกส่วนต่างๆ ใส่ถุงมา เห็นว่าค่อยประกอบตอนจะขาย เลยซื้อทั้งอย่างนั้นห้าชุด กะเอามาประกอบร่างเอง ได้กาบกล้วย ธูป ดอกดาวเรืองกับดอกเข็มมา ตอนเอาของไปวางเบาะหลัง พาร์ยังหันมองด้วยแววตาสงสัยอยู่เลย ฮ่าๆๆ

“ตกลงจะพาไปลอยไหน?” คำถามพาร์ดึงความคิดผมกลับสู่ปัจจุบัน

“อยากได้ที่มีกระแสน้ำหน่อย…คลองใกล้บ้านแล้วกัน คนน้อยดี ดูแลน้องง่าย”

พาร์ผงกหัวรับ นั่งรอน้องๆ พร้อมไม่นาน ในที่สุดก็ได้ออกจากบ้านกัน

อย่าถามถึงพ่อแม่ผมครับ โทรเร่งพวกผมให้รีบกลับยิกๆ ผมยังตระเวนกินไม่จุใจเลย พอกลับมาให้เห็นหน้าก็พากันหนีไปเที่ยวเรียบร้อย เห็นว่าจะไปดูพลุรำลึกความหลัง ก็ปล่อยคนแก่และเกือบแก่ไปครับ

ส่วนพ่อแม่พาร์…ผมก็ไม่กล้าถาม กลัวพาร์อารมณ์เสียใส่ แต่เดาว่าอาจจะยังอยู่ที่บริษัท คงรีบเคลียร์งานก่อนไปเที่ยวกับพ่อแม่ผมศุกร์นี้

ผมคอยบอกทางไปเรื่อยๆ จำได้ว่าเคยมากับพ่อและลุงนิกคนละครั้ง มาอีกรอบกับเพื่อนสมัยมัธยม ก็พอคลำทางได้ครับ เป็นท่าเทียบเรือหางยาวเล็กๆ ปกติเกือบร้างคน แต่พอเป็นวันเทศกาลก็มีคนแวะเวียนมาที่นี่พอประมาณ คิดว่าเป็นคนอาศัยอยู่แถวนี้

ลงจากรถมาก็เจอคนประปราย มีทั้งมาเป็นครอบครัว มาเฉพาะกลุ่มอย่างเด็กวัยรุ่นหรือวัยกลางคนรุ่นคุณลุงคุณปู่ บางคนก็ฉายเดี่ยวหรือมาเป็นคู่ ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ครับ สงบ ไม่วุ่นวาย

จูงมือน้องๆ มาหาที่ประกอบกระทงกาบกล้วยก่อน ไม่ยากครับ แค่เอาธูปปักตรงกลาง วางดอกไม้ จะลอยก็จุดธูปอธิษฐาน

ผมให้พาร์ไปลอยก่อน เป็นแบบอย่างให้น้องๆ ดู ปล่อยสองสาวเป็นรายต่อมา แล้วก็น้องอัน คนนี้ต้องระวังหน่อย เดี๋ยวตกน้ำ เรียบร้อยก็ให้พาร์คุมน้อง ตาผมลอยบ้าง เสร็จแล้วก็ออกห่างท่าเรือ ผมจูงมือน้องชายเดินเลียบคลองตามเจ้ากระทงกาบกล้วยที่ไหลตามกระแสน้ำเรื่อยๆ จนไปต่อไม่ได้ก็ยืนมองแสงธูปห่างออกไปจนดูไม่ออกแล้วว่าของใครเป็นของใคร

“ของอันนำล่ะ”

“ครับๆ” ผมขานรับขำๆ ลอยก่อนพี่ก็ต้องนำของพี่อยู่แล้ว “กลับกันดีกว่า มาพี่อุ้ม”

น้องแทบจะกระโดดใส่ นานๆ ผมจะออกปากขออุ้มที แต่ขืนไม่อุ้มกลับ คงอีกนานกว่าได้กลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ตามคาดเจ้าตัวเล็กเอาแต่มองในคลองไม่เลิก นี่ถ้าให้เดินเอง คงหยุดมองเป็นระยะ เผลอๆ อาจได้เดินตามกระทงอีกรอบ

กลับขึ้นรถ น้องอันก็ยังตื่นเต้นไม่เลิกสมกับมาลอยเป็นครั้งแรก ส่วนสองสาวกำลังงอน เพราะพี่พาร์ไม่ยอมพาไปงานลอยกระทงแบบที่มีซุ้มขายของและเล่นเกม ผมตะลึงหลังรู้เรื่อง ไม่คิดว่าพาร์จะใจแข็งกับการออดอ้อนของสองสาวได้ เพราะทุกทีไม่เห็นเคยปฏิเสธ ด้านหลังเลยเงียบกริบ มีแค่เสียงน้องอันเล่าความประทับใจเมื่อกี้ตั้งแต่ได้ถือกระทงไปลอยเองจนถึงมองกระทงคนอื่นลอยในน้ำ

หมดเรื่องเล่าก็เหลือบมองพี่สาวด้านหลังที มองหน้าผมที แววตาฉงนสงสัย ผมดึงแก้มน้องเบาๆ อย่างอดใจไม่อยู่ จะน่ารักไปไหนครับ

“เออใช่! ตัวเล็กจะเล่นเป็นหมาป่านี่น่า” ผมคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงไอเทมส่งตรงจากญี่ปุ่น ของฝากจากลุงนิก “เดี๋ยวพี่ไปรื้อหามาให้ ต้องเหมาะกับอันแน่ๆ”

คนอื่นพากันฉงน ถามมาผมก็ไม่ตอบ เอาไว้ผมรื้อเจอก่อนค่อยว่ากัน ถ้าไม่เจอเดี๋ยวพากันเสียดายเปล่าๆ ฮ่าๆๆ

สถานที่สุดท้ายที่แวะมาก่อนกลับคือบ้านพาร์ครับ

ผมกับพาร์ช่วยกันเลือกและออกความเห็น พวกผมใช้ของร่วมกันได้ อันไหนซ้ำ หรือไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้ที่นี่ สองสาวช่วยหยิบนั่นนี่จนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ไล่ให้ไปรอข้างล่างกับน้องอัน ไม่มีตัวป่วนค่อยสงบขึ้นหน่อย แถมยังทำงานได้เร็วขึ้นด้วย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ขนของไปเก็บในรถหมด เข้ามาตามน้องๆ ขึ้นไปรอบนรถ ปล่อยพาร์เดินสำรวจบ้านให้เรียบร้อย แล้วค่อยขับตรงกลับบ้านผม

เรากลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่ม พ่อแม่ยังไม่กลับตามคาด ผมไล่น้องๆ ไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียน

“ขนของเข้าห้องไปก่อนก็ได้ ขอพาตัวเล็กไปอาบน้ำนอนก่อน”

พาร์พยักหน้า แต่ตอนผมออกจากห้องน้อง ข้าวของกลับกองอยู่หน้าห้องผม ส่วนพาร์นั่งพิงกำแพงเล่นมือถืออยู่

“ทำไมไม่เข้าห้องวะ?”

“รอเจ้าของห้องเปิดประตู”

ผมงง “ห้องกูไม่เคยล็อก”

“เออน่า เปิดเข้าไปได้แล้ว”

ก็ได้แต่ทำตามทั้งที่มึนงง ช่วยเพื่อนยกของเข้าห้องจนเสร็จ ก็เริ่มชี้นิ้วบอกทีละจุด

“ห้องน้ำอยู่นั่น ตู้เสื้อผ้าแบ่งที่ให้แล้ว โต๊ะหนังสือผลัดกันใช้ได้ ยังมีโต๊ะญี่ปุ่นวางพิงตรงนั้นอีกตัว จะจัดของวางตรงไหนตามสบายเลย กุญแจรถหย่อนไว้ในแก้วน้ำลายกังฟูแพนด้าตรงตู้หนังสือ ผ้าเช็ดตัวเอาไปตากที่ระเบียงด้านนอก มีราวกับไม้แขวนเสื้ออยู่”

ผมพยายามนึก ลืมบอกรายละเอียดอะไรให้คนมาใหม่รู้อีก

“…อยากถามเพิ่มค่อยว่ากันทีหลัง”

ผมทิ้งท้ายแค่นั้นตามประสาคนนึกไม่ออกแล้ว ปล่อยพาร์มองสำรวจห้องไป ขอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ออกมาปุ๊บเจอพาร์กำลังจัดของเข้าตู้เสื้อผ้าอยู่ เห็นผมก็เอาแต่จ้องหน้านิ่งๆ ด้วยสายตาแปลกๆ จนต้องเอ่ยถาม

“มีอะไรติดหน้ากูเหรอ?”

ล้างโฟมออกไม่หมดหรือเปล่าหว่า

พาร์ไม่ตอบ แต่เบือนหน้าหนี สักพักก็ถอนหายใจยาวเหยียดใส่กระเป๋าเสื้อผ้า ผมเลยต้องวนกลับเข้าห้องน้ำไปส่องกระจกอีกรอบ

…ไม่มีนี่หว่า

ออกมาก็หยิบชีทเรียนมานั่งอ่านรอพาร์ แว่วเสียงถอนหายใจบ่อยเกิน เลยแอบชำเลืองมองรูมเมทหมาดๆ เป็นระยะ ไม่รู้เป็นไร เหม่อลอยบ้าง ทำหน้าเคร่งเครียดบ้าง บ้างครั้งก็ถอนหายใจ 

“…ถ้ามึงง่วงนอนก็ไปอาบน้ำก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาจัดต่อ”

พาร์สะดุ้ง นั่งยืดตัวตรง ความกระตือรือร้นกลับมา แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มเฉื่อยชา กลับไปนั่งก้มหน้าถอนหายใจเหมือนเดิม

“เอ่อ พาร์…มึงกำลังมีอาการโฮมซิกเหรอ?”

อ้าว คนเขาถามด้วยความเป็นห่วงแท้ๆ ดันตวัดสายตาหงุดหงิดใส่กันซะนี่

“เพราะมึงนั่นแหละ!”

พาร์ลุกพรวดหนีเข้าห้องน้ำ กระแทกประตูปิดเสียงดัง ปล่อยผมฉงนกับอาการผีเข้าผีออกของเพื่อน

เป็นอะไรของมัน?

-------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2016 15:19:51 โดย katzep »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่7 (3/3)] P.1 (21/08/2016)
«ตอบ #27 เมื่อ21-08-2016 13:04:32 »

บทที่7 (3/3)

ผมมัวแต่วุ่นวายเรื่องลูกสาวคณะ หน้าเพื่อนเจอแค่ในชั่วโมงเรียน แถมยังโดนล้อมหน้าหลังด้วยกลุ่มท่านประธานชั้นปี1 ที่โดนรุ่นพี่สั่งการห้ามผมหลบหนี ผู้คุมทั้งสี่รับคำ ทำตัวเคร่งครัด ไม่ยอมให้ผมคาดสายตาแม้แต่ในห้องน้ำ

“มึงจะดูกูฉี่ทำไม?!”

ผมกระโกนใส่ แม่งเอ้ย จ้องอย่างนี้ถึงกล้าควักออกมา ก็ฉี่ไม่ออกอยู่ดี

“ถ้ากูไม่มอง เกิดมึงปีนหน้าต่างหนี ทำไง?”

“แหกตาดู นี่มันชั้นสี่ ใครจะกล้าวะ”

“กูแค่แหย่เล่น ไปรอหน้าห้องน้ำนะ”

“เออ!”

มองจนมันหมุนตัว ไม่สนว่าจะออกไปหรือยัง ผมปวดฉี่จะแย่…ระหว่างกำลังมีความสุขกับการปลดทุกข์ เสียงประตูเปิดปิดไม่ได้ทำให้สนใจ ถ้าไม่ได้ยินเสียงตะโกนคุ้นหู

“ถ้าช้า กูเข้าไปตามแน่”   

มันเป็นทอมประสาอะไรถึงกล้าเข้าออกห้องน้ำชายเป็นว่าเล่นวะ!

และแล้วก็ถึงวันศุกร์ กับการตื่นโคตรเช้า

ผมอ้าปากหวาดวอดใหญ่ ระหว่างรอไข่แดงที่ทอดอยู่สุกกว่านี้ นี่ฟองสุดท้ายแล้วครับ ได้ที่ก็เทลงจานจัดการคีบไส้กรอกกับผักกาดแก้วลงไปสมทบ เรียบร้อยก็ยกจานสุดท้ายออกไปวางบนโต๊ะกินข้าว เหลือบมองเวลา หกโมงพอดี ผมต้องไปทำภารกิจต่อ นั่นคือไล่ปลุกทุกคน

เริ่มจากห้องน้องสาว มาที่ห้องตัวเอง…อ้าว ไม่อยู่

กวาดตามองหาแขกของบ้านที่ผันตัวเป็นรูมเมทตั้งแต่คืนวันพุธ ผู้มีพฤติกรรมแปลกๆ ตั้งแต่วันนั้น มีอาการเหมือนคนคิดไม่ตก เหม่อลอยเป็นระยะ และเมื่อวานเจอมันช่วงพักกลางวันที่โรงอาหารกลางก็ไม่กล้าทัก แต่เห็นสีหน้าพาร์คล้ายคนเริ่มปลงตกอะไรสักอย่าง…

แกร๊ก

ประตูห้องน้ำเปิดออก พาร์พันผ้าขนหนูผืนเดียวออกมา เห็นผมยืนหน้าห้องก็ชะงัก

“กูกะมาปลุก แต่มึงตื่นแล้วก็ดี งั้นกูไปดูน้องอันก่อนล่ะ”

ผมไม่รอคำตอบ ปิดประตูห้อง หมุนตัวเดินไปห้องสุดท้ายที่มีเจ้าของขี้เซายังหลับอยู่บนเตียง หลังปลุกจนตื่นก็อุ้มน้องอันเข้าไปนั่งในห้องน้ำ จับถอดชุดนอนออก เจ้าตัวเล็กยังผงกหัวหลับต่อลง เชื่อเขาเลย พอเจอน้ำอุ่นสาดตัวค่อยสะดุ้ง ได้สติโดยพลัน มาพร้อมอาการปากเบะ ตั้งท่าจะร้องไห้

“อันครับ พี่เคยบอกว่าไง”

เจ้าตัวเล็กรีบปาดน้ำตาที่คลออยู่ออกทันทีหลังโดนผมส่งเสียงดุ “เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ”

หลังจากนี้ก็ง่ายครับ วันนี้ผมไม่เล่นกับน้อง แถมทำหน้านิ่งใส่ อันเลยว่าง่ายกว่าทุกที ผมปล่อยให้อันถือถุงเท้าลงไปข้างล่างเอง เข้าห้องตัวเองอีกรอบก็ไม่พบรูมเมทแล้ว หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จลงมาเจอภาพพาร์กำลังวุ่นวายกับการผูกผมถักเปียให้สองสาวตรงพื้นหน้าทีวี

ผมแอบยิ้ม เป็นภาพที่น่ารักดีครับ

เพราะเช้านี้ผมกับพาร์ถือว่าอายุมากสุดในบ้าน เราเลยตกลงแบ่งหน้าที่ดูแลน้องๆ วุ่นวายกันน่าดูกว่าจะต้อนเด็กๆ ขึ้นรถได้ ต้องออกเร็วหน่อยครับ ขับไปส่งสองสาวที่โรงเรียนก่อน ค่อยวนกลับมาส่งน้องอัน และไปมหาลัยเป็นที่สุดท้าย

สองสาวชวนพวกผมคุยไม่หยุด ผิดกับน้องอัน อุ้มมานั่งเบาะหน้าด้วยแปบเดียวก็พิงอกผมหลับแล้ว คงเพราะโดนปลุกตื่นเร็วกว่าทุกที

“พวกหนูเลิกบ่ายสามนะ แต่พวกพี่จะเลทก็ไม่ว่าค่ะ เบอร์กะน้ำจะไปรอที่ห้องสมุด”

เบอร์ดี้พูดขึ้นหลังฟังพวกผมเล่าว่าตอนบ่ายมีกิจกรรมของคณะ

“ถ้าไปรับ พี่จะไลน์ไปบอก” พาร์บอกน้อง

สองสาวลงจากรถโบกมือบ๊ายบายให้ ผมเปิดกระจกรถโบกมือไล่ให้เดินเข้าโรงเรียนได้แล้ว อยู่ดูจนแน่ใจว่าน้องสาวทั้งสองเดินเข้าประตูรั้วเรียบร้อยค่อยให้พาร์เคลื่อนรถต่อ ดีที่ตอนนี้ค่อนข้างเช้า ไม่งั้นพวกเราคงเจอบีบแตรใส่ไปแล้ว ฐานจอดแช่แถวหน้าประตูโรงเรียนนานเกินไป

“พวกผู้ใหญ่บอกว่าจะกลับเมื่อไหร่?”

ผมทวนความจำไม่กี่วิ “ช่วงเย็นวันอาทิตย์ เลทไม่เกินสองทุ่ม แต่เผื่อเจอรถติด อาจเลทลากยาวถึงสี่ทุ่ม” หลังผมพูดจบ พาร์ทำหน้ากังวลทันที เลยตบไหล่ปลอบ

“เดี๋ยวช่วยกันทำความสะอาดห้องว่างข้างล่าง เอาชุดทำงานคุณลุงคุณป้ามาแขวนทิ้งไว้ กลับดึกก็ไม่เป็นไร ค้างบ้านกูได้”

“ความคิดดี รบกวนด้วย”

อย่างที่ได้ยินครับ คนแก่ทั้งสี่ของพวกเราพากันหนีลูกไปเที่ยวต่างจังหวัด พาร์กับเบอร์ดี้ออกเสียงสนับสนุนทันทีตั้งแต่วันที่พวกท่านสอบถามหลังได้บัตรลดราคาโรงแรมที่แม่ผมได้มาจากผู้ปกครองของเพื่อนน้องอัน  ทั้งสี่ลางานวันศุกร์แค่วันเดียว เที่ยวต่ออีกสองวัน รวมเป็นทริปสามวันสองคืน ให้อารมณ์ไปฮันนี่มูนคู่มากครับ พี่น้องกอล์ฟดีใจมากที่พ่อแม่คิดไปเที่ยวกับเขาบ้าง ส่วนผมเฉยๆ เพราะพ่อแม่ผมหนีเที่ยวกันบ่อย

ไปถึงโรงเรียนอนุบาล เจ้าตัวเล็กโดนปลุกแทนที่จะลงเดินดีๆ กลับยกสองแขนเล็กโอบรอบคอผมแน่น เป็นอันว่า ผมต้องอุ้มน้องไปส่งถึงหน้าห้องเรียน คุณครูของน้องเลยเอ่ยเตือนวันแสดงที่จะจัดขึ้นศุกร์หน้า

“อย่าลืมเตือนผู้ปกครองด้วยนะคะ”

“ได้ครับ” ผมรับปาก วางคนเมาขี้ตาลงพื้น ดันหลังให้เข้าห้องเรียน “พี่ไปแล้วนะ”

“อื้อ”

น้องผงกหัว โบกมือบ๊ายบายให้ด้วย แต่ตัวเล็ก พี่ยืนอยู่ข้างหลังเราต่างหาก เพื่อนคนที่น้องผมเล่นด้วยบ่อยๆ คงนึกว่าน้องโบกมือทัก เลยเดินมาลากตัวคนยังไม่ตื่นดีเข้าไปเล่นด้วยกัน ปล่อยพี่ชายอย่างผมเดินขำกลับขึ้นรถ 

ถึงคำนวณเวลามาอย่างดีก็เสียเปล่า เมื่อเจอรถติดเข้าให้ พาร์นั่งเคาะพวงมาลัยพลางชำเลืองดูเวลาเป็นระยะ ถ้ายังไม่ขยับแบบนี้ได้สายกันทั้งคู่แน่ แต่วันนี้ผมโดดตามรับสั่งบรรดารุ่นพี่เลยไม่กังวลเท่าคนขับ รถคลานกระดืบๆ กว่าถึงหน้ามหาลัย พาร์ก็ถอนหายใจไปเรียบร้อย

“เลยมาครึ่งชั่วโมง กูเข้าเรียนไม่ได้แล้ว”

พาร์พูดเปรยออกมา ระหว่างเปิดไฟเลี้ยวรถเข้าสู่เขตการศึกษา

ผมทำหน้างงทันที “ทำไมล่ะ?”

“อาจารย์วิชานี้ชอบล็อกห้อง แกบอกไม่มีสมาธิสอน ถ้าเห็นนักศึกษาเดินเข้าๆ ออกๆ”

“อ้าว แล้วถ้าจะเข้าห้องน้ำล่ะ”

“อาจารย์มีพักเบรกให้สิบห้านาที วิชานี้เรียนยาวสี่ชั่วโมง ถ้าจะเข้าเรียนก็ต้องรอถึงช่วงพักอย่างเดียว”

“พักเมื่อไหร่”

“หลังครบสองชั่วโมง”

มีเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง ให้ไปนั่งแกร่วคนเดียวก็น่าสงสาร “งั้นไปอยู่กับกูก่อนไหม”

พาร์ทำหน้าประหลาดใจใส่ผม “ไปเรียนกับมึงน่ะนะ?”

“เปล่า คาบเช้ากูโดด รุ่นพี่สั่งให้มาเตรียมตัวตั้งแต่แปดโมง นี่เลยเวลานัดแล้วเหมือนกัน”

“นัดเจอที่ไหน”

“วันนี้แข่งบาสกันที่ไหนก็นัดเจอที่นั่นแหละ”

-------------

“สายนะคะคุณน้อง”

แค่เดินพ้นประตูโรงยิมกลางเข้าไป ผมก็เจอรุ่นพี่ชายใจหญิงยืนเท้าเอวดักหน้า พี่คนนี้พอคุ้นหน้าบ้าง เพราะไปหาเพื่อนที่อยู่กลุ่มบุคลิกภาพสองหรือสามหนเนี่ยแหละ 

“พวกพี่นึกว่าน้องจะเบี้ยวซะแล้ว มาทางนี้เลยค่ะ”

ผมโดนฉุดหายไปในความมืด ข้างในมันสลัวๆ พอมีแสงจากด้านนอกเข้ามาบ้าง แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาเปิดใช้โรงยิมตามที่ไปขอมาตั้งแต่ต้น เลยใช้ระบบไฟฟ้าในโรงยิมไม่ได้ ผมเดาเอานะ ไม่งั้นพี่ๆ คงเปิดใช้นานแล้ว

แถวสนามบาส ผมเห็นกำลังสร้างอะไรสักอย่าง ไม่ทันดูให้ถนัดก็โดนลากเข้าทางเดินเลนเดียว ผ่านห้องพักนักกีฬาสองห้องที่หน้าประตูคล้องด้วยแม่กุญแจ ห้องน้ำชาย จนถึงมุมในสุด…   

“เข้าไปเลยคะ”

ผมชะงักเท้ากึก หลังเห็นสถานที่ต้องเข้าไป รีบส่งสายตาขอคำยืนยันอีกที รุ่นพี่พยักหน้า

ผมตวัดตากลับมาจ้องประตูบานนั้นอีกหน ด้านหน้าติดภาพตุ๊กตาสีดำสวมกระโปรงที่มักมีตุ๊กตาคู่แบบสวมกางเกงอยู่ใกล้ๆ เสมอ ไม่รวมอักษร W.C. ใต้ภาพ

…ให้เข้าไปจริงดิ?

############

จบบทที่ 7 แล้วค่ะ บทนี้ยาวหน่อยนะ ที่จริงเราอยากแบ่งแค่สองส่วน แต่ความจุมันเกินค่ะ เลยเหลือมาหน่อยหนึ่ง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2016 15:47:30 โดย katzep »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
«ตอบ #28 เมื่อ21-08-2016 13:26:56 »

 :mew4:

พาร์กระสับกระส่ายนี่เป็นเพราะอะไรหนอ? เกิดอะไรขึ้น จากเรื่องคุกกี้หรือเปล่าาาาาาาาา?  :hao7:

ออฟไลน์ YuuYuu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: - ชลนที - [บทที่7] P.1 (21/08/2016)
«ตอบ #29 เมื่อ23-08-2016 22:09:37 »

ด้ายแดงพันกันให้วุ่นไปหมด ให้ตายเหอะ!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด