-23-
-อิฐ-
ทริปเที่ยวเหนือรอบนี้ก็สนุกดี วันที่สองเราออกเดินทางแต่เช้าไปสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย เที่ยววัดพระแก้ว ผมนับถือพ่อลูกอ่อนอย่างซูกัสมากที่อุ้มลูกตะลอนทัวร์ เดินถ่ายรูปไปทั่วทุกทิศอย่างสนุกสนาน ส่วนผมแอบหาวหวอดตลอดเช้า ยอมรับว่าง่วงมากเพราะเมื่อคืนผมนอนน้อย ความง่วงทำให้ผมงีบหลับในรถตู้และคนข้างๆ ก็เอนหัวมาพิงไหล่หลับด้วยเช่นกัน
ผมลืมตาขึ้นยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อนึกถึงเมื่อก่อน เขาชอบนอนกลางวันบ่อยๆ คุณแม่บอกว่าเป็นเรื่องปกติของคนท้องที่จะง่วง ผมเคยอุ้มเขาไปนอนบนห้องด้วยเหมือนกัน เขาตัวเล็กและเบามาก เมื่อร่างลอยขึ้นจากพื้นก็เหมือนจะเกร็งตัวนิดหน่อยบวกกับคิ้วที่ขมวดเล็กน้อยทำให้จับสังเกตได้ว่าอาจจะตื่นแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นเลยจนถึงห้อง เขามีท่าทีเขินอายเมื่อผมจับได้ว่าเขาแกล้งกลับ ไม่บ่อยนักหรอกที่จะเห็นใบหน้าที่แดงไปถึงใบหู ไม่นับจากที่เขาโดนซูกัสแซวว่าน้อยใจตอนที่เขาเป็นลม หรือตอนที่ผมเสียดสีจนเขาโกรธจัด
จนตอนนี้ ผมก็ยังหยุดคิดไม่ได้เลยว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเขาผิดความคาดหมายหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่เขาพยายามหนีออกจากบ้านให้ได้ แล้วยังต้องการลูกของผมไปเลี้ยงอีกต่างหาก เป็นเพราะเขาอยากต่อรองเอาอะไรจากผมอย่างที่ผมคาดเดาจริงหรือ...
รวมทั้งเรื่องที่เขารับหุ้นที่คุณแม่โอนให้ทั้งที่สัญญาไว้แต่แรกว่าจะไม่รับอะไรทั้งนั้น ผมอุตส่าห์เชื่อใจเขาว่าอาจจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคุณแม่จริงๆ แต่การที่เขาปฏิเสธที่จะโอนหุ้นคืนมาอย่างที่บีทเอ่ยเตือนผมไว้ มันก็ฉายชัดเจตนาของเขาแล้วว่าเขาไม่ได้หวังดีกับครอบครัวเราจริงๆ แต่พอผมพยายามอธิบายความกังวลใจที่มีให้คุณแม่ฟัง ท่านกลับมีท่าทีไม่สนใจเลยสักนิด...
“ปวดหัว ไม่คิดว่าจะมีลูกโง่ๆ ขนาดนี้ ที่เขาทำทุกอย่างก็เพราะเขารักแก แค่ดีกับเขาสักหน่อยจะยากอะไร เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนยอมกลับมาเอง แต่ถ้าความโง่ของแกทำให้เอาอะไรกลับมาไม่ได้สักอย่าง ทั้งหุ้น ทั้งลูก ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ฉันจะถือซะว่าทำขวัญหลานก็แล้วกัน”
บางทีผมก็คิดนะว่าแม็กม่าอาจจะป้ายยาเสน่ห์ผิดคน คุณแม่ถึงรักหลงเขามากกว่าลูกไปแล้ว แต่จะให้ผมไปง้องอนวอนขอให้เขาเห็นใจมันก็อายเกินกว่าจะทำแบบนั้น จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่หักล้างความคิดของคุณแม่ไปหมดคือที่เขาเสนอชื่อกรรมการบริหารคนใหม่ขึ้นมานั่นแหละ มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีอย่างเปิดเผยว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งอีกด้วย
บอกตรงๆ ว่าผมโกรธมากทีเดียว โกรธที่เขาช่างปั้นหน้าหลอกคุณแม่ได้เก่งนักว่ารักลูกท่านนักหนาจนท่านยกนั่นนี่ให้... แม้แต่ตัวผมก็ยังถูกหลอกมานานไม่รู้เท่าไร ก็ได้แต่เตือนเอาไว้จากประสบการณ์ของตัวเอง ว่าการหน้าใหญ่ใจโตให้นั่นนี่จนคนรักหลงอยู่ในเงินทองมันจะทำให้โดนหลอก ปอกลอกจนพอใจแล้วตีจาก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องราวนานมากแล้วก่อนที่ผมจะเจอกับบีท ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ผมไม่ไว้ใจคนรักของเขาเลย ถ้าเขาหลอกแม็กม่าจนยอมขายหุ้นทั้งหมดไปให้อาเขตแดนล่ะก็ สิ่งที่คุณพ่อสร้างมาทั้งหมดคงพังทลายไปแน่...
ใช่! การที่ผมนอนไม่หลับทั้งคืนหลังจากปล่อยเขาให้กลับไปผู้ชายคนนั้นสองต่อสองและสะดุ้งตื่นแต่เช้ามืดแล้วเผ่นแผล็วไปบ้านซูกัสก็เพราะผมแค่ห่วงบริษัทตัวเอง และการที่ผมโล่งใจมากที่เห็นท่าทางอีกฝ่ายยังปกติดี ไม่มีส่วนใดบุบสลายก็เพราะดีใจว่า อย่างน้อย... คำพูดของผมคงแรงมากพอจะเตือนสติที่มีอยู่น้อยนั่นให้หัดคิดอะไรดีๆ ขึ้นได้บ้าง
ในที่สุดรถก็จอด แม็กม่างัวเงียลืมตาขึ้นค่อนข้างตกใจที่หันมาเจอสายตาของผมที่จ้องมองเขาไม่หลบสายตา เขามีสีหน้าเขินเล็กน้อยรีบขยับตัวไปนั่งตัวตรงรีบเอามือลูบผมสั้น เอามือเช็ดปากทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เลอะอะไร
“รีบออกไปสิ หิวจะแย่อยู่แล้ว” ผมแกล้งเร่งเพราะเขานั่งฝั่งประตู เขาชะงักแล้วค้อนใส่ แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร รีบขยับตัวออกจากรถทันที
ดีใจเหลือเกินที่เราแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารชื่อดังและมีกาแฟให้จิบคลายง่วง เนื่องจากเก้าอี้ชุดจัดไว้สี่ตัว ทำให้ผมกับแม็กม่าต้องเนรเทศตัวเองออกมาจากกลุ่มครอบครัว การย้ายไปนั่งไกลๆ ซูกัส ก็ถือว่าสบายหูอยู่เหมือนกันเพราะรายนั้นร่าเริงและคุยเก่งมาก อาจจะไม่ถึงขั้นน่ารำคาญ แต่ในขณะที่กำลังง่วงๆ อยากหลับพักสายตาผมต้องการความสงบกว่าปกติ และแม็กม่าคือความสงบ เขานั่งเงียบเหมือนกันไร้ตัวตนทีเดียว
เรายังคงเที่ยวต่อตามโปรแกรมที่คุณชัชกับแคนดี้จัดไว้ให้เราเที่ยวอย่างคุ้มค่าในช่วงเวลาจำกัดสามวันสองคืน น่าขำที่ตัวผมเองเป็นเจ้าของบริษัทนำเที่ยวแต่น้อยครั้งที่จะไปเที่ยวแบบนี้ แม้บีทจะชวนผมไปเที่ยวหลายครั้งผมก็ปฏิเสธเพราะผมอยากไปเที่ยวโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องทำงาน แต่บางครั้งวันเวลาของเราก็ไม่ค่อยตรงกันให้ทำแบบนั้นเท่าไร
ในช่วงการเดินเที่ยว แม้คนอื่นๆ จะแยกย้ายกันไปแต่ผมก็เดินตามแม็กม่าตลอดตามหน้าที่ที่ควรทำเพื่อคอยดูแลไม่ให้เขาล้ม หรือจับจูงเขาไปในทางที่คนเยอะ เราทั้งสองไม่ค่อยคุยกัน อาจจะเป็นเพราะถ้าเปิดปากก็กลัวจะทะเลาะกันเลยเลือกจะเดินข้างกันไปเงียบๆ ดีกว่า บางช่วงแม็กม่าก็รับเด็กคนหนึ่งมาอุ้มไว้ ผมรู้สึกอยากให้เขาคลอดไวๆ ผมอยากอุ้มเด็ก เด็กที่เป็นลูกของผมจริงๆ ไม่ว่าเขาจะหน้าตาเหมือนใครเขาคงเป็นเด็กน่ารัก คงเพราะผมคิดอย่างนี้มาตลอด เวลาถึงได้ผ่านไปช้าเหลือเกิน แม็กม่าเพิ่งจะท้องได้แค่สี่เดือนเท่านั้น
“หนักไหม? ฉันจะช่วยอุ้ม” ผมบอกแม็กม่าระหว่างทาง หลังจากที่เขาอุ้มเด็กติดต่อกันนานเกือบยี่สิบนาที
แม็กม่าหันมาหาเขายื่นเด็กให้ผมรับมาอุ้มไว้อย่างเก้ๆ กังๆ จนอีกฝ่ายขมวดคิ้ว
“อุ้มดีๆ ประคองทั้งคอและหัวสิครับคุณ เกิดลูกเค้าเป็นอะไรไป ทำใช้ไม่ได้นะเนี่ย” เขาเตือนดุๆ
“อือๆ” ผมรับคำ แล้วค่อยๆ ประคองเด็กตามคำแนะนำของเขา ถึงจะไม่หนักมาก ถ้าอุ้มแบบนี้ทุกวันสงสัยจะกล้ามขึ้นแน่ๆ
“ฝึกไว้ก็ดีนะ เผื่อมีลูกของตัวเองจะได้อุ้มเป็น เลี้ยงเป็น ถ้าคุณอยากดูแลเขาจริงๆ คุณก็ต้องทำให้ผมวางใจว่าคุณดูแลเขาได้” ในน้ำเสียงนั้นทอดเศร้าจนผมสะดุดหู รีบเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา เขาหลบสายตาไป
“แน่ล่ะสิ ถ้าเป็นลูกของฉัน ฉันก็ต้องดูแลเลี้ยงเขาให้ดียู่แล้ว” ผมตอบอย่างมั่นใจ
“โชคดีนะคุณยังมีแม่อยู่ ที่บ้านก็คนเยอะแยะคงไม่ลำบากเท่าไร นี่ถ้าตัวคนเดียวแล้วปล่อยเด็กไว้กับแฟนคุณตามลำพัง ไม่ถึงชั่วโมงคงโดนบีบคอตาย”
“จะมากไปแล้วนะ!!” ผมเค้นเสียงดุ
“หึ...พูดความจริงก็ผิด” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ
“แล้วมันเรื่องอะไรของเธอที่ต้องไปลามปามถึงคนอื่น!”
“ผมคงอิจฉาเขาล่ะมั้ง... เพราะคนที่มองโลกในแง่ร้ายอย่างคุณ ไม่เคยเห็นแง่ดีของใคร แต่เวลาคุณมองคนที่คุณรัก คุณกลับเห็นแต่ข้อดีของเขา ส่วนคนอื่นทำอะไรมันก็แย่ไปหมด” ผมขมวดคิ้วเมื่อโดนหาว่าลำเอียงตรงๆ
“ก็ถ้าเธออยากให้ฉันมองเธอดีๆ ก็จงทำดีให้ฉันเห็น ไม่ใช่ใส่ร้ายหรือใส่ความให้คนอื่นดูไม่ดีเพื่อยกย่องตัวเองว่าสูงส่งกว่า”
“ไม่รู้สิครับ บางทีคนอย่างผมอาจจะทำดีไม่ขึ้นก็ได้...”
วันต่อมาแม็กม่างอแงขอหยุดพักอยู่บ้าน เขาบ่นว่าเมื่อวานเดินเยอะจนปวดเมื่อยไปหมดแล้ว ขอไม่ไปเที่ยวกับคณะทัวร์ครอบครัวสุขสันต์ กระนั้นยังอุตส่าห์ขับไล่ไสส่งให้ผมไปเที่ยวแล้วทิ้งเขาไว้ลำพังซะได้แต่ผมไม่ไปหรอก เพราะต่อให้ผมไม่กลัวซูกัสจะด่า ผมก็ต้องอยู่กับเขาอยู่แล้ว... ตามหน้าที่พ่อที่ดีไงล่ะ!
แม็กม่าบอกให้ซูกัสทิ้งเด็กทารกไว้ที่บ้านทั้งสองคน เพื่อให้สองครอบครัวไปเที่ยวให้สบายไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องห่วงเด็ก แต่ซูกัสไม่ยอม เขาจึงบอกว่าการเอาเด็กตะลอนไปไหนมาไหนแบบนี้เป็นการทรมานเด็กมากกว่า เดี๋ยวจะพาไม่สบายเอานะ เท่านั้นแหละ เด็กทารกทั้งสองจึงถูกปล่อยให้กระจองอแงที่บ้านพักของคุณชัชทันที
ซูกัสห่วงลูกทั้งสองมาก กว่าจะขึ้นรถได้ สั่งนั่นสั่งนี่กับแม็กม่ายืดยาว ส่วนแม็กม่าก็รับคำย้ำๆ ว่า รู้แล้วๆ เร่งให้ซูกัสขึ้นรถไปเสียที เรารอจนรถตู้ออกจากบ้านพักจึงเดินเข้าไปในบ้าน
“คุณน่าจะไปกับพวกเขา” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ทำไม? กลัวอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วฉันจะกัดเธอตายหรือไง” ผมถามกลับกวนๆ อีกฝ่ายจิกตาใส่แล้วก็ไม่ตอบว่าอะไร เขาไปในครัวเอานมแช่เย็นใส่ขวดออกมาวางไว้ข้างนอก
“เอาออกมาตั้งทำไมล่ะ?” ผมถามอย่างข้องใจ
“นมจะได้อยู่ในอุณหภูมิห้อง ไม่ต้องเอาไปอุ่นไง”
“อ๋อ...” ผมพยักหน้ารับคำ
“ที่จริงเรื่องนมแม่เนี่ยรายละเอียดเยอะเหมือนกันนะครับ อย่างตอนแรกที่ได้รับมาจะเป็นนมแช่แข็งที่เก็บรักษาไว้ได้หกเดือน ก่อนจะนำมาให้เด็กก็ต้องแช่เย็นไว้ในห้องเย็นธรรมดาล่วงหน้าหนึ่งคืน แล้วพอจะใช้จริงๆ ก็เอาออกจากตู้เย็นมาตั้งทิ้งไว้อีกหนึ่งชั่วโมง ไม่งั้นก็ต้องนำไปแช่ในน้ำประปาหรือในอ่างน้ำร้อน” แม็กม่าก็น่าทึ่งดีนะ เขาดูรู้เรื่องเด็กดีมาก เป็นเพราะเขาอยู่กับซูกัสนานพอหรือเพราะเขาตั้งใจศึกษาเพื่อจะเลี้ยงลูกในอนาคตกันแน่
“ดื่มนมแม่แลท่าจะยุ่งยาก ให้ดื่มนมผงแทนได้ไหม?”
“ปกติผู้หญิงที่ทำงานทั่วๆ ไปก็ได้ลาคลอดแค่สามเดือน เด็กก็พลอยได้กินนมแม่กันแค่นั้น แต่ฟิ่นกับฟ่อนคลอดก่อนกำหนด ร่างกายไม่แข็งแรง หมอจึงอยากให้เขาดื่มนมแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” เรื่องนั้นก็พอรู้ แต่ผมหมายถึงลูกผมต่างหาก!
“อืม... นั่นสิยังไงนมแม่ก็มีประโยชน์ที่สุดอยู่แล้วเนอะ ถ้าจะให้ดีสงสัยฉันต้องจ้างแม่นมมาเลี้ยงลูกให้บ้างแล้วมั้ง” ผมเปรยขึ้นมาแบบไม่คิดอะไรมาก
“ไม่ได้นะคุณ!!” จู่ๆ เขาก็ทักท้วงขึ้น มีสีหน้าตกใจ
“มีอะไร ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย?”
“แค่ทุกวันนี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว อย่าลากใครเข้ามาทำให้เรื่องมันวุ่นวายมากกว่าเดิมเลยนะครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาที่ทอดเศร้าทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
อาจจะจริง แค่นี้หัวใจมันก็วุ่นวายมากพอแล้ว
เขาเดินเข้าไปในโถงห้องนั่งเล่นกว้างขวางแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ ผมเดินตามไปนั่งที่โซฟาด้วยเช่นกัน ดูเหมือนจะว่างจนไม่มีอะไรทำ แต่เพราะประตูที่ระเบียงเปิดโล่งมีลมเข้าตลอด อากาศจึงเย็นสบายน่านอนเล่นมากๆ
“หมอบอกคุณไหมว่าพี่แคนดี้จะขอหลานไปเลี้ยง” ข่างใหม่ทำให้ผมตกใจอยู่เหมือนกัน
“ไม่อ่ะ” ผมปฏิเสธแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจ “แล้วหมอกับกัสตกลงว่าไง”
“ก็ยังไม่ตอบอะไร แต่ถ้าให้ผมเดา ซูกัสคงไม่คัดค้านหรอก”
“จริงเหรอ? ซูกัสอุตส่าห์อุ้มท้องมาตั้งนาน จะตัดใจยกลูกให้พี่สาวไปง่ายๆ เชียวเหรอ?”
“มันคงไม่ง่ายหรอกครับ แต่ซูกัสก็ยังดีที่เขายังมีลูกสองคน แล้วพี่แคนดี้ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ไม่ได้จะเอาเด็กไปถาวรด้วย พี่เขาก็แค่ขอเลี้ยงหลานไปจนกว่าตัวเองจะมีลูกของตัวเองเท่านั้น”
“แล้วถ้าไม่มีล่ะ?”
“ไม่รู้สิครับ” เขาตอบสั้นๆ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ในกรณีที่คุณเป็นเพื่อนกับหมอ คุณเข้าข้างหมอกับซูกัสและสงสารพวกเขาที่ต้องสูญเสียลูกไป คุณเคยคิดบ้างไหมว่าซูกัสก็เหมือนกับผม เขาก็แค่อุ้มท้องลูกไว้เท่านั้น แต่แม่ที่แท้จริงของเด็กพวกนั้นคือพี่แคนดี้”
“เธอกับซูกัสไม่เหมือนกันหรอก ตรงที่แคนดี้ยินดีจะบริจาคไข่ให้โดยสมัครใจ ลูกของซูกัสก็คือลูกซูกัส แตกต่างจากเธอที่สมัครใจอุ้มบุญให้ฉันแต่แรก เพราะฉะนั้นเด็กคนนี้ก็ควรเป็นของฉันไม่ใช่เหรอ?” ดูเหมือนเขาจะเถียงไม่ออก ใบหน้าดูสลดหดหู่จนต้องลุกหนีไปในที่สุด ผมถอนใจเฮือกหนึ่งไม่รู้ว่าตัวเองพูดแรงไปหรือเปล่า
เสียงเด็กงอแงลั่นระงมในตอนสายทำให้รู้สึกว่าเลี้ยงเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายนักผมได้ยินเสียงแม็กม่ากล่อมเด็กอยู่นานสองนาน กว่าเจ้าสองหน่อจะยอมหยุดร้อง
“เจ้านกกาเหว่าเอ๋ย ไข่ให้ไว้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทธรณ์” เสียงร้องทำนองเสนาะที่เอ่ยเอื้อนช้าๆ ฟังเพลินหู ผมค่อยเอนตัวนอนเอกเขนกลงบนโซฟาตัวยาวกลางบ้าน ผ่อนลมหายใจลงเคลิ้มๆ แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้าราวกับเจ้าของเสียงกำลังสะอื้นไห้
“คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน ถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กิน
ปีกเจ้ายังอ่อนคลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากิน ที่ปากน้ำพระคงคา”
จนกระทั่งเสียงเพลงกล่อมเด็กช้าๆ เนิบนาบนั่นหยุดลง ไม่นานกลิ่นหอมประจำตัวก็คละคลุ้งอยู่ใกล้
“คุณอิฐ... มานอนตรงนี้ทำไม เข้าไปนอนข้างในสิ ไม่เมื่อยเหรอ?” เสียงนั้นเอ่ยปลุกอยู่ข้างๆ พร้อมมือเล็กที่แตะเขย่าไหล่ผมเบาๆ
“อือ...” ผมครางรับพลางยกมือปัดแขนเขาออกอย่างรำคาญ
จากนั้นทุกอย่างก็หยุดลง ทั้งแรงเขย่าและเสียงก็หายไป แต่กลิ่นแป้งเหล่านั้นกลับยังอวลกลิ่นราวกับอยู่ติดจมูกก็ไม่ปาน แค่ช่วงไม่กี่วินาทีจากนั้นกลับตามมาด้วยสัมผัสแสนนุ่มที่กดประทับลงบนกลีบปากของผม มันช่างแผ่วเบา ฉาบฉวยมากเหลือเกิน จนตัวผมที่ลังเลว่าจะลืมตาขึ้นทันทีดีไหมไม่ทันได้ตัดสินใจด้วยซ้ำ รอยจุมพิตนั้นก็ลอยหายไปเสียแล้วแต่กลับตามมาด้วยถ้อยคำที่หวานมากเหลือเกิน...
“ผมรักคุณ”
++++++++++