-31-
-แม็กม่า-
ตอนแรกผมไม่อยากตื่นขึ้นเลย เพราะกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงความฝัน แต่ครั้นตื่นขึ้นแล้ว ความจริงกลับทำให้รู้สึกว่าอยากแค่ฝันอยู่เหมือนกัน!
รุ่งขึ้น... ผมตื่นสายกว่าทุกวันจึงไม่ทันเลือกเนกไทให้คุณอิฐ เขาไปทำงานตามปกติโดยไม่ได้ปลุกผมลงไปทานข้าวเช้า แต่ให้คนยกอาหารมาให้ถึงบนห้อง ผมลุกมากินได้แค่สองสามคำก็รู้สึกอยากนอนต่อ นอนวนเวียนคิดถึงช่วงเวลาแสนสุขเหล่านั้นซึ่งนับว่าน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเวลาแสนเศร้า
ผมอุดอู้อยู่ในห้องทั้งเช้าจนถึงเวลาทานมื้อกลางวันถึงได้เยื้องย่างออกจากห้องนอน...
“เป็นอะไรแม็ก ทำไมท่าเดินเป็นอย่างงั้นล่ะ?” ผมสะดุ้ง ปั้นหน้าไม่ถูกขึ้นมาเชียวตอนที่เดินเข้ามาทานข้าวกลางวันแล้วท่านถามอย่างนั้น...
“เอ่อ... ไม่รู้สิครับช่วงนี้ก็ปวดไปหมด ทั้งปวดหลัง ปวดขา” ผมแก้ตัวเสียงอ่อย ค่อยๆ นั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“นั่นสิ ตอนท้องตาอิฐแม่ก็ปวด เดี๋ยวตาอิฐกลับมาจะบอกให้หายามานวดให้แล้วกันนะ” ท่านยิ้มอย่างใจดี
“อะ... ไม่เป็นครับ เรื่องแค่นี้เองผมทำเองก็ได้...” ผมรีบร้องห้ามน้ำเสียงเกรงใจ เมื่อจินตนาการตอนคุณอิฐมานวดขาแล้วก็หน้าร้อนขึ้นมาทันที
“ถามจริงๆ เถอะ ตาอิฐมันคงไม่ได้ดีกับเราแค่ตอนอยู่ต่อหน้าแม่เท่านั้นใช่ไหม?” ท่านถามคล้ายจับผิด ถ้าผมบอกว่าคุณอิฐไม่ดีกับผมเขาคงโดนด่าแน่เลย!
“ครับ คุณอิฐดีกับผมตลอดอยู่แล้วครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้มสดใส...
ใช่ ที่จริงเขาดีกับผมมานานแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้ดูจะใจดีขึ้นเยอะเลย
“แม่ดีใจนะ” ท่านเอ่ยด้วยสายตาเอ็นดู
“เรื่องอะไรเหรอครับ” ผมทำหน้าสงสัย
“ที่เห็นแม็กมีความสุขน่ะ” ผมมองท่านอย่างซึ้งใจ แล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขอบคุณ
ผมก็ดีใจเหมือนกันครับที่ตัวเองจะมีความสุขกับเขาเสียที...
แล้วชีวิตผมก็ดำเนินต่อไปตามปกติอย่างที่เคยบอก กิน นอน ดูทีวี กิน เล่นโยคะ!
อันที่จริงผมควรหาที่ว่างๆ ที่โคตรๆ กว้างในบ้านออกกำลังกายนะ แต่ผมต้องดูคลิปด้วยไงเลยคิดว่าเปิดจากคอมน่าจะดีกว่ามือถือก็เลยเข้าไปเล่นโยคะในห้องทำงานคุณอิฐ คิดว่าปลอดภัยไม่มีใครเข้ามาแล้วเชียว แต่ในระหว่างที่กำลังนอนลงดัดขาทำท่าตามคลิปอยู่นั้นเองประตูห้องก็เปิดผลั่วะเข้ามา
ผมหันคอไปมองที่ประตูอย่างตกใจทั้งที่ยังค้างในท่านอนหงายยกขาเอามือจับไว้ คนหน้าประตูหลุดขำออกมาซะงั้นทำให้ผมเบะหน้ารีบยกขาลงแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง
“ทำอะไรน่ะ” คำถามยังกลั้วหัวเราะอยู่เลย อยากบอกว่าโคตรอาย ดีนะไม่มาตอนทำท่าโก้งโค้งอยู่ ไม่งั้นหนักกว่านี้อีก!
“ออกกำลังกายครับ” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“อ้อ... งั้นก็ทำต่อสิ” เขาบอกแล้วเดินเข้ามาหา ผมช้อนตาขึ้นจิก ใครจะไปทำ!
“เหนื่อยแล้ว เอาไว้เล่นต่อวันหลังก็แล้วกัน วันนี้กลับไวจังนะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง
“อือ... ตั้งใจจะกลับมาทานกลางวันด้วย แต่เหมือนจะช้าไป” อ้อ! มื้อกลางวันของวันเสาร์ มื้อที่15 สินะ
“ถ้างั้นลงไปทานของว่างกันดีไหมครับ เมื่อเช้าไปตลาดเลยเจอของกินมา ไม่ได้กินมาตั้งนานแล้ว”
“อะไรเหรอ?”
“ไม่บอก...” ผมปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มยียวน ก้มลงตั้งใจจะเก็บผ้าโยคะที่ปูไว้
“วางไว้เถอะ ไม่ต้องเก็บหรอก เดี๋ยวให้คนอื่นมาเก็บให้ก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” ผมคัดค้านแล้วย่อตัวลงไม่ฟังคำเขา
“อย่าดื้อน่า” เขาปรามด้วยเสียงที่ทอดยาวราวอ้อนมากกว่าดุ พร้อมกับอ้อมแขนที่ยื่นมาประคองไหล่ผมขืนไม่ยอมให้ก้มลงจนผมจำต้องยืดตัวขึ้น เหลือบตาหันไปมองเขาก็พบรอยยิ้มอ่อนโยนทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก “ไปเถอะ”
จากนั้นเขาก็โอบไหล่พาเดินออกไป โดยไม่ได้สังเกตว่าผมแอบชำเลืองมองมือใหญ่ที่บีบไหล่ตัวเองแล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียว นั่นถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นจริงไหม…
ผมกับคุณอิฐเดินไปรอที่ศาลาในสวน ต้นไม้ร่มรื่นและสายลมเย็นช่วยดับร้อนจากแสงแดดตอนบ่ายได้พอสมควร
“ผมขอปลูกต้นไม้สักต้นในพื้นที่ว่างๆ ได้ไหมครับ” ผมถามขึ้นระหว่างรอของว่างมาเสิร์ฟ
“ได้สิ จะปลูกต้นอะไรล่ะ?”
“ฝรั่งครับ”
“ปลูกทำไมล่ะ ซื้อเอาก็ได้นี่”
“ก็แค่ปลูกเป็นงานอดิเรกเท่านั้นเองครับ ผมชอบกินฝรั่งแช่บ๊วยน่ะ ว่าจะปลูกพันธุ์นี้สักต้นจะได้มีกินบ่อยๆ ไม่ต้องซื้อเค้า” ผมเล่นมุกตลกร้ายทันที
“หือ... มีเหรอพันธุ์นี้ ไม่ใช่ว่าเอาไปแช่ในน้ำบ๊วยเหรอ?” เขาถามขึ้น ใบหน้าฉงนเหมือนไม่รู้ว่าผมเล่นมุกเลย
“ไม่ใช่นะครับ มันเป็นชื่อพันธุ์ คงตัดต่อพันธุกรรมให้ได้พันธุ์นี้มา คล้ายๆ ที่ว่าตอนปลูกกล้วยเอายอดปักดินแล้วเอาสตอไปใส่ไง” ผมทำหน้าขึ้นขังจริงจังต่อจนอีกฝ่ายขมวดคิ้วลังเล “คุณไม่เชื่อผมเหรอ?”
“ไม่รู้สิ รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้” ทีนี้หน้าเขาเริ่มสับสนหนักว่าเดิมอีก
“งั้นมาพนันกันดีกว่า เดี๋ยวผมจะปลูกต้นฝรั่งต้นนึงที่โตขึ้นแล้วจะกลายเป็นฝรั่งแช่บ๊วย ถ้าผมโกหก คุณจะขออะไรผมก็ได้ แต่ถ้าผมพูดความจริง ผมจะขออะไรคุณก็ได้ดีไหม?” ผมแกล้งท้าไปอย่างนั้นเอง กว่าจะถึงตอนนั้นเขาก็คงลืมไปแล้วว่าเคยพูดอะไรกัน ถึงมันจะต้องเปิดเผยในที่สุดว่าเป็นแค่เรื่องที่กุขึ้น แต่ผมจะถือว่าผมจะได้เอาคืนเรื่องที่เขาหลอกผมให้เซ็นสัญญาไม่เป็นธรรมแล้ว ผมจะได้ไม่ติดใจอะไรอีก...
“เอางั้นก็ได้ ว่าแต่ปลูกนานแค่ไหนจะออกลูกล่ะ?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ น่าจะหกเดือนหรือปีนึง”
“นานเหมือนกันนะ”
“ไม่นานหรอกครับ หลังคลอดลูกแป๊บเดียวเอง”
และถึงตอนนั้นผมจะแพ้ ผมก็ไม่เสียใจ เพราะแค่ได้อยู่ด้วยกัน ได้เฝ้ารอต้นไม้เติบโต ออกดอกออกผล ให้ลูกขี่หลังแล้วบอกเขาว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุเท่าลูกเลยนะ ผมว่ามันคงมีความสุขมากเลย
“นั่นสิ ตอนนั้นคงคลอดแล้วเนอะ” เขารำพึงแล้วมือมาลูบท้องผมเบาๆ
“งั้นหนูต้องเป็นพยานให้พ่อนะว่าแม่พูดอะไรไว้” ผมหลุดหัวเราะ ไม่นึกว่าคุณอิฐจะมีโมเม้นท์อะไรแบบนี้ ก็เด็กทารกที่ไหนจะพูดได้ หรือพูดได้จะจำเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกันล่ะ แต่จะว่าไปมันคงเป็นความสามารถพิเศษของคนเป็นพ่อเป็นแม่เนอะ ถึงไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินไหมก็คิดไปว่าเขาจะได้ยิน หลงรักเขาตั้งแต่ยังไม่เคยได้พบหน้า ไม่หวังผลประโยชน์ใด
รักของพ่อแม่... คือรักโดยไม่มีเงื่อนไขจริงๆ
ไม่นานจากนั้นของว่างก็ถูกยกมาวาง เป็นเมี่ยงคำที่ไม่ได้กินมาปีกว่าแล้ว
“เมี่ยงคำเหรอ?” เขาถามอย่างตื่นเต้น สงสัยจะไม่ได้กินมานานเหมือนกันนั่นแหละ
“ครับ เมี่ยงคำ” ผมรับคำล้างมือในอ้างเล็กที่ขอให้เตรียมมาด้วย ก็ของกินด้วยมือนี่นาก็ต้องสะอาดหน่อย
“นี่ใบอะไรเหรอ?” เขาถามชี้ไปที่ใบเขียวที่วางอยู่ในถาด
“ใบชะพลูครับ”
“ที่กินกับหมากหรือเปล่า?”
“ชะพลู... คนละอย่างกับใบพลูครับ”
“มันต่างกันเหรอ”
“ ชะพลูมันเป็นต้นๆ แต่ใบพลูจะเป็นไม้เลื้อย”
“ตอนเขาเอามาขายในตลาดน่ะ เขาก็เด็ดมาแล้วนี่ ไม่ได้เอาต้นมันมาด้วยจริงไหม แล้วจะแยกออกเหรอ?”
“ไม่รู้สิครับ ถ้าเอามากินเมี่ยงเขาก็ใส่มาด้วยกันเป็นชุดๆ อยู่แล้วไม่เห็นต้องสังเกตอะไร แต่ถ้าจะซื้อแยกก็ไม่รู้จะซื้อมาทำไมเหมือนกัน ผมก็ทำกับข้าวไม่เก่งซะด้วย”
“นั่นสิเนอะ”
“ทำไมครับ อยากทำเมี่ยงคำขายหรือไง?” ผมแซวที่เขาสงสัยเหมือนเด็ก
“โธ่ ฉันก็แค่ถามประดับความรู้ไปอย่างงั้นเอง ขนาดฝรั่งเนี่ยยังเพิ่งรู้ว่ามีพันธุ์แช่บ๊วยวันนี้แหละ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ให้อารมณ์ว่าเขาเชื่อเรื่องต้นฝรั่งนั่นเต็มที่เลยนะเนี่ย ผมพยายามกลั้นขำสุดความสามารถ แต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นจึงรีบก้มหน้าบรรจงพับใบชะพลูเป็นกรวยแล้วตักเครื่องเคียงต่างๆ ลงไปทีละอย่างจนครบ แล้วยื่นให้เขา
“ลองชิมดูหน่อยนะครับ” ผมชักชวน... คุณอิฐก็ไม่ยอมหยิบด้วยนะ กลับอ้าปากให้ป้อนซะอย่างนั้น ไม่พอ... อุตส่าห์กัดจนน้ำเมี่ยงไหลย้อย...
“โธ่คุณ! ทำไมไม่กินไปทั้งคำล่ะครับ” ผมโวยวายเมื่อเมี่ยงในมือแตกออกแล้วเลอะมือจนรีบยัดเมี่ยงคำเข้าปากอีกฝ่ายทั้งคำจนแก้มป่อง
“อ้ออันอำไอ่อี้” เสียงอู้อี้กลับมาขณะเมี่ยงยังค้างในปากคำเบ้อเร่อ
ผมส่ายหน้าไม่รู้จะขำหรือจะสมเพชดี รีบดึงกระดาษทิชชูยื่นให้เขาเช็ดปาก ส่วนผมยกมือเปื้อนขึ้นเลียนิ้ว
“ทำอะไรน่ะ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“เสียดายน่ะ มันหวานดีด้วย”
“ไหน... หวานจริงเหรอ?” เขาถามกลับดึงมือผมไปเลียบ้าง ผมรีบดึงมืออกทันทีเพราะคิดว่ามันสกปรก
“ทำบ้าอะไรเนี่ยคุณ”
“ก็ทดสอบดูไงว่าหวานจริงไหม” เขาตอบแล้วยิ้มเผล่ ทำให้ผมเดาไดว่าเขาตั้งใจทำเพื่อทำให้ผมใจสั่น
“แล้วเป็นไงครับ หวานจริงไหม?”
“หวานสิ... หวานเหมือนน้ำเมี่ยงเลย” เขาตอบแล้วหัวเราะ คนอะไร ชงเอง เล่นเอง ขำเองก็ได้!
ผมกลอกตาไม่รู้จะขำดีไหม... ก็ที่กินเข้าไปมันน้ำเมี่ยง จะเป็นรสชาติอื่นเข้าไปได้ยังไงล่ะลุง!
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าคุณอิฐเป็นคนจริงจัง เจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว ทำอะไรเหมือนเด็ก กล่อมคนเก่ง ตอนนี้ก็เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความขี้อ้อนจนน่ารำคาญในบางที ทั้งที่เมื่อก่อนเคยบอกไม่ให้ผมทำอะไรเกินหน้าที่ตัวเองแท้ๆ แต่เดี๋ยวนี้เหรอ... เรียกร้องความสนใจได้ตลอดสิ!
“แม็ก... เน็กไทเบี้ยวหรือเปล่า มาดูให้หน่อยสิ” ผมเงยหน้าจากมือถือที่อ่านดราม่าในเฟซเมามันขึ้นแล้วเห็นว่าเขายืนส่องกระจกอยู่ ส่องใกล้ขนาดนั้นไม่เห็นว่าเบี้ยวไหมคือสายตายาวเหรอครับ?
“ก็ไม่นี่ครับ” ผมตอบทั้งๆ ที่นั่งอยู่ที่เดิม
“ยังไม่ได้มาดูเลย รู้ได้ยังไง”
“ผมมองผ่านกระงก...” อันนี้ผมโม้ ตัวเขาเล่นบังกระจกซะมิดใครจะเห็น
“กระจกมันหลอก... มาดูใกล้ๆ สิ” เยอะจริงๆ เลยคนเรา!
ผมลุกจากที่นั่งจนได้แล้วเดินไปหาจับไหล่เขาให้หันกลับมาแล้วจัดเนกไทให้ตามที่เขาต้องการไม่วายบ่น
“คุณนี่เหมือนพ่อผมเลย”
“อะไร... ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นซะหน่อย” รีบเถียงกลับทันทีจนผมอั้นยิ้ม
“หมายถึงนิสัยบางอย่างน่ะครับ”
“ยังไงล่ะ?”
“เหมือนจะจริงจังมีเหตุผล แต่บางครั้งกลับไม่เข้าใจอะไรเลย บางอย่างทำเองได้แต่ไม่ทำ เรียกร้องความสนใจ”
“ฉันเอาใจเธออยู่ต่างหาก” เขาแก้ตัวพร้อมวงแขนที่โอบรอบตัวผมไว้หลวมๆ ทำให้ผมเขินขึ้นมาทันที
“ยังไงครับ?” ผมถามน้ำเสียงสงสัยคิ้วขมวดเป็นปม
“ฉันรู้ว่าเธอจะชอบถ้าฉันทำแบบนี้” เขาว่าแล้วกอดผมแน่นขึ้นอีก ผมส่ายหน้าเพลียๆ
นี่ไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน!
“ผมยังไม่ได้บอกสักคำ อะไรทำให้คุณเชื่ออย่างงั้น”
“ก็เธอรักฉันนี่ เธอก็ต้องมีความสุขเวลาที่ฉันอยู่ใกล้ๆ แล้วก็กอดเธอไว้อย่างนี้จริงไหม?” ผมเถียงไม่ออก ที่จริงผมก็ชอบหรอก แต่ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ที่เขาพูดว่ามันเป้ฯความต้องการของคนเพียงคนเดียว
“ถ้าคุณไม่มีความสุข ก็ไม่ต้องกอดผมก็ได้ครับ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร” ผมเอ่ยประชดน้ำเสียงงอนๆ แล้วเบี่ยงตัวออกเมื่อทำงานของตัวเองเสร็จแล้ว แต่เพียงหันหลังยังไม่ทันจะเดินไปไหนสักก้าว เขาก็ตามมารวบกอดผมไว้จากด้านหลัง ซบหน้าลงบนบ่า
“ไม่เอาสิแม็ก... ฉันล้อเล่น ไม่งอนนะ ที่ฉันกอดเธอไม่ใช่แค่รู้หรอกว่าเธอจะมีความสุข แต่เป็นฉันต่างหากที่มีความสุขมากเวลาที่กอดเธอ จริงๆ นะ”
ผมยิ้ม... ยิ้มอย่างดีใจกับคำออดอ้อนพวกนั้น...
ที่คุณดีกับผม เอาใจผม อ้อนผมมากมายขนาดนี้ คุณพูดมันด้วยความรู้สึกแบบไหนหรือ...
มันใกล้หรือยังครับ ใกล้จะเป็นรักแล้วหรือยัง…
ผมยังรอมันอยู่นะ...
++++++++++
บางทีก้รู้สึกดีนะที่ มีคนแปลกใจกับอะไรบางอย่างในเรื่อง
บางทีก็อยากบอกว่า อาจจะยังมีอะไรที่รู้สึกว่าแปลกอยู่อีกก็เป็นได้
36 ตอนจบนะคะ เรื่องนี้ อดทนหน่อยนะคะ ใกล้ละ *-*