41
กำลังใจ
นิสัยเสียอย่างหนึ่งที่ผมกับพ่อเหมือนกันก็คือ พวกเราต่างก็เป็นพวกดื้อเงียบ
ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เราคุยกันน้อยลง อาจเป็นเพราะผมโตขึ้นและอยู่ห่างจากครอบครัวมากขึ้น ...หรืออาจเป็นเพราะผมไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับพ่อที่ดูเหมือนจะกลายเป็นคนเคร่งขรึมขึ้นทุกวันกันแน่
สุดท้ายความสัมพันธ์ของเราสองคนมันเลยเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวขึ้นมาเงียบๆ รอวันที่จะกลายเป็นคลื่นยักษ์ทำลายชายฝั่งเข้าสักวัน
เราเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่ง...เป็นครั้งแรกที่เรียกได้ว่าทะเลาะ แม้จะไม่มีปากเสียงใดๆ กันเลยก็ตาม
มันคือตอนที่พ่อต้องออกจากการเป็นพนักงานประจำ และพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจจะไปตั้งตัวทำธุรกิจร้านอาหารที่อิตาลี เพราะแม่มีน้องสาวอยู่ที่นั่น ในขณะที่ผมอยากอยู่ที่นี่และเรียนต่อด้านสถาปัตยกรรมตามความฝัน
มันไม่ใช่ความผิดของผมที่พ่อถูกไล่ออก และไม่ใช่ความผิดของพ่อที่อยากให้เราไปอยู่ที่นู่นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ...แต่อย่างที่บอก ว่าเราต่างก็เป็นมนุษย์ดื้อเงียบ ที่พอมีทัศนคติที่ไม่ตรงกัน ในใจมันก็ค้านหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย ขณะที่สภาพภายนอกเป็นเหมือนสงครามเย็นที่ไร้การเจรจา
และสุดท้ายเราต่างก็เลือกทำในสิ่งตัวเองพอใจ ผมดั้นด้นตั้งใจสอบจนได้ทุนทำให้พ่อแม่หมดคำคัดค้าน ในขณะที่ผมก็ปล่อยให้พวกท่านไปตั้งต้นธุรกิจใหม่ที่ต่างประเทศตามตั้งใจ
เรื่องเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่การไม่ได้พูดคุยกันให้เคลียร์ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ความมึนตึงระหว่างผมกับพ่อกินระยะเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่รู้ว่าพ่อหายโกรธผมหรือยัง ในขณะที่พ่อเอง ก็คงรอให้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปพูดกับท่านก่อน
แล้วใครจะไปคิดว่าประโยคแรกที่ต้องพูดหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานานจะเป็นเรื่องแบบนี้
แต่ผมจำเป็นต้องพูดออกไป เพราะผมไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เหมือนปัญหาอื่นๆ ได้อีกแล้ว
“แล้วมึงจะไม่กลับมาเชียงใหม่จนกว่าจะเปิดเทอมเลยหรือเปล่า” เสียงไอ้ซันปลุกผมออกจากภวังค์ ขณะที่กำลังปลดผ้ากันเปื้อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดของตัวเอง
“กูก็ไม่รู้ว่ะ” ผมตอบ
วันนี้ผมมาทำงานที่ร้านกาแฟเป็นวันสุดท้ายแล้ว
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะเรื่องของโช ที่ทำให้ผมไม่สะดวกใจที่จะทำงานที่นี่อีกต่อไป
แต่อีกเหตุผล เป็นเพราะผมต้องกลับไปบ้านที่กรุงเทพฯ... เพราะพ่อกับแม่กำลังจะกลับมา
แน่นอนว่าผมเดาได้อยู่แล้วว่าพวกท่านต้องกลับมาแน่ ถ้ารู้เรื่องของผมกับเชน ไม่ว่าผมจะพยายามแย้งแค่ไหนก็ตาม ผมรู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนไปหมด ทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ เสียเวลา เสียค่าเดินทาง ทำให้น้าต้องมาแบกรับภาระดูแลร้านอาหารแทนเพราะครอบครัวต้องมาเคลียร์เรื่องของผม
แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ สิ่งที่ผมคิดว่าพอจะทำได้ก็คือการเคลียร์ปัญหานี้ให้จบอย่างรวดเร็ว
ผมจัดการเรื่องลาออกจากร้านกาแฟ ขอโทษเพื่อนๆ ที่อยู่ช่วยงานรับน้องต่อไม่ได้ และอาสาทำในส่วนที่พอจะทำได้ก่อนทั้งหมดแล้ว โชคดีที่ทุกคนเข้าใจ พี่โมไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่าผมกับโช แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมลาออกกะทันหัน
“แล้วมึงล่ะ” ผมหันกลับไปถามไอ้ซันบ้าง
“อะไร?”
“จะลาออกด้วยหรือเปล่า”
มันนิ่งไปพักหนึ่งอย่างลังเล ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่อ่ะ”
ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ตอนแรกผมคิดว่ามันมาทำงานที่นี่ตามคำสั่งเชน แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจแล้ว
“คือ... กูเห็นว่าพี่โมเค้ายังหาคนมาแทนมึงไม่ได้อ่ะ จะให้ไอ้ตี๋มันทำงานคนเดียวก็คงไม่ไหว” มันอธิบายพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย
ผมพยักหน้าไม่ว่าอะไร แล้วเดินไปตบบ่ามันเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ
“กูไปก่อนนะ” ผมต้องรีบหน่อย เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเดินทางแล้ว และยังมีบางเรื่องที่ยังต้องสะสาง
เรื่องของโช
หลายวันที่ผ่านมาผมไม่เห็นเขามาทำงานเลย เพราะพิษไข้และพิษหมัดของเชนที่ทำเอาเขาต้องนอนซม ผมไม่อยากจะคิดว่าเขาพยายามหลบหน้าผม แต่มันก็อดคิดไม่ได้ เพราะแม้แต่วันนี้ที่เขากลับมาทำงานอีกครั้ง เขายังแทบไม่สบตาผมเลย
แต่ก็อย่างที่บอก ผมไม่อยากให้เรามีอะไรติดค้างกันอีก
ผมเดินกลับออกไปหน้าร้านอีกครั้ง และเห็นโชกำลังยืนจัดการนู่นนี่อยู่ทั้งๆ ที่หมดกะแล้ว มันชัดเจนเลยว่าเขากำลังถ่วงเวลา รอให้พวกเราออกไปก่อนแล้วถึงจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หลังร้าน
“โช” ผมเรียก คนตัวเล็กหยุดชะงัก และไม่ยอมหันกลับมาจนกระทั่งผมเดินเข้าไปใกล้ “เรามีเรื่องอยากคุย”
ในที่สุดเขาก็ยอมหันมา
“ขอโทษแทนพี่เชนด้วยนะ” ผมยิ้มมองหน้าเขาอย่างรู้สึกผิดเมื่อเห็นรอยช้ำบนใบหน้าที่ยังไม่จางสนิท
โชยังคงนิ่ง แต่คราวนี้เขาเลิกก้มหน้า ยอมสบตาผมด้วยสายตาอ่านยาก “ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ถ้าตาไม่ฝาด ผมคิดว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขากำลังมีน้ำตาคลอ
“ผมขอโทษที่ทำไม่ดีกับตรี... ผมมันโง่จริงๆ” เขาก้มหน้าอีกครั้ง ยกมือขึ้นมาปิดตาเอาไว้ เหมือนพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“โช...” ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยได้แต่เรียกชื่อเขาอึกอัก
“ผมไม่เป็นไร” เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตายังคงชื้นแฉะไปด้วยน้ำตาที่เพิ่งจะปาดทิ้งอย่างลวกๆ “แค่รู้สึกผิดน่ะ” ริมฝีปากบางยกเป็นยิ้มเจื่อนๆ
“ผมขอโทษจริงๆ นะตรี” เขาย้ำคำขอโทษและมองผมอย่างจริงจัง
ผมยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ถือซะว่าที่โดนต่อยไปก็หายกันละกัน” พูดกลั้วหัวเราะ
อันที่จริงที่เชนอัดเขาไม่ยั้งวันนั้น มันอาจจะมากกว่าสิ่งที่โชทำด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายเขาก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรผมเลย
ผมดีใจที่เห็นโชยิ้มออกมาได้สักที แม้มันจะเทียบไม่ได้กับรอยยิ้มสดใสของเขาที่ผมเคยเห็นก็ตาม
“ผมขอโทษที่พยายามจะเข้าไปแทรกระหว่างตรีกับพี่เชน”
“...”
“ทั้งๆ ที่ผมเทียบอะไรกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้เลยสักนิด” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
ผมเลยหัวเราะบ้าง และเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมาทันที “ใช่ ไม่มีใครเทียบพี่เชนได้จริงๆ”
ให้ตาย นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกคนอวดแฟน
โชหัวเราะออกมาแต่คราวนี้เป็นหัวเราะขบขันที่ดูสดใสกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองหน้าผมนิ่ง ด้วยสายตาที่ผมมองออกว่ากำลังคิดอะไร
“เป็นผมไม่ได้แน่ๆ ใช่มั้ย” สายตาแห่งความเว้าวอน ครั้งสุดท้าย
“ไม่มีวัน” ผมพูดถ้อยคำที่แสนใจร้ายออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
แต่มันคือความจริง คงไม่มีวันที่ผมจะหันกลับไปหาเขาได้ เพราะผมไม่มีวันเลิกรักเชน
ผมมันเป็นพวกรักฝังใจ ใครๆ ก็รู้
“ฮะๆ เชื่อเขาเลย” โชหัวเราะขืนๆ อีกรอบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองเอาไว้ ซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมา “ขอบคุณนะที่ทำให้ตัดใจง่ายขึ้น”
“...” ผมยืนนิ่ง มองใบหน้าเศร้าสร้อยโดยไม่พูดอะไร
“จริงอย่างที่หมอนั่นว่า ผมมาช้าไป” เขาพึมพำกับตัวเอง
ผมอยากจะถามเหมือนกัน ว่าหมอนั่นที่เขาว่าเป็นใคร แต่ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องไป
“ขอโทษนะ ต้องไปแล้ว วันนี้ต้องเดินทาง” ผมบอกลา เดินกลับเข้าไปหลังร้าน เพื่อเดินออกทางประตูหลังที่มีรถโฟล์คจอดอยู่
ผมเดินสวนไอ้ซันที่ดูเหมือนจะยืนฟังผมกับโชมาโดยตลอด ผมบอกลามันเล็กน้อยขณะที่ไอ้เพื่อนตัวดียักคิ้วกวนๆ กลับมา ก่อนจะเดินกลับไปหน้าร้านอีกครั้งทั้งที่ไม่มีหน้าที่ต้องทำแล้ว
และตอนนั้นเองที่ผมได้คำตอบแล้วว่า ‘หมอนั่น’ ที่โชพูดถึงหมายถึงใคร
“ตี๋! ขอลาเต้ร้อน”
“...”
“ไม่เอารูปลิงนะมึง”
หึ... ผมบอกแล้วไงว่าพวกเขาสนิทกันมากกว่าที่ใครๆ คิด
เวลาผ่านไป
ผมเคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่าย แต่ทันทีที่เท้าผมแตะสนามบินที่กรุงเทพฯ หัวใจมันก็ว้าวุ่นไปหมด
ความคิดมากมายปะดังเข้ามาเต็มไปหมดระหว่างที่อยู่ในแท็กซี่ ผมคิดคำพูดเป็นล้านๆ คำที่จะอธิบาย แต่ทุกอย่างก็หายไป เหลือแต่สมองขาวโพลนทันทีที่ลากกระเป๋ามายืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน
รู้สึกประหม่า ทั้งๆ ที่มันเป็นบ้านของผมแท้ๆ
ผมรู้ว่าพ่อกับแม่อยู่ในนั้น เพราะประตูรั้วไม่ได้ล็อก และผมก็ได้ยินเสียงทีวีเล็ดลอดมาจากด้านใน
ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เป็นครั้งที่สามก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป หัวใจมันเต้นเหมือนมีใครมารัวกลองอยู่ในอก และเต้นแรงขึ้นอีกเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงที่ถูกเล่นงานด้วยกาลเวลากำลังนั่งจ้องหน้าจอทีวีนิ่งอยู่ในห้องรับแขก แม้ว่าแววตาจะเหมือนไม่ได้โฟกัสสิ่งที่อยู่ในจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าเลยก็ตาม
“สวัสดีครับพ่อ” ผมวางกระเป๋าลงข้างตัว แล้วยกมือไหว้
“กลับมาแล้วเหรอตรี” แต่กลับเป็นแม่ ที่เดินออกมาทักทายผมจากในครัว กลิ่นกับข้าวที่โชยออกมา เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยให้จิตใจของผมผ่อนคลายลง
“สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้ท่าน แต่ครั้งนี้เพิ่มรอยยิ้มเข้ามาด้วย
“หิวมั้ย แม่กำลังทำข้าวเย็นพอดี” แม่เดินเข้ามากอดผมไว้ แล้วยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มใจดีที่แสนคิดถึง
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบ แม่เอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดูแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ไม่เจอนานลูกแม่หล่อขึ้นเยอะเลย”
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และก้มตัวลงไปกอดแม่ไว้แน่นๆ และหอมแก้มท่านเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ “แม่ผมก็สวยเหมือนเดิมเลย”
เราหัวเราะให้กัน เติมเต็มวินาทีที่แสนคิดถึงด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย อ้อมกอดที่ช่วยเติมพลังให้ผมกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
“หึ คราวหลังชมว่าสวยขึ้นสิ มันน่าจะดีใจกว่า” เสียงทุ้มของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้รอยยิ้มของผมต้องหุบลง
ผมหันไปมองพ่อ ที่หันกลับมาสบตาผมเป็นครั้งแรก ด้วยสายตาตำหนิติเตียนแบบที่ผมเคยเห็นจนชิน
“คุณคะ ลูกไม่ได้เป็นแบบนั้น” แม่พยายามพูด แต่ผมรู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร ผมผละออกจากอ้อมกอดแม่แล้วยิ้มบางๆ ให้ท่าน
“ไม่เป็นไรครับ แม่ไปทำกับข้าวต่อเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้ว
เข้มแข็งและเผชิญหน้ากับปัญหานี้ด้วยตัวเอง
แม่ยอมทำตามที่ผมบอก แม้ว่าจะไม่ยอมละสายตาจากผม จนกระทั่งเข้าไปในครัวแล้วก็ตาม ผมลอบถอนหายใจเบาๆ
ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาตัวเล็กข้างๆ กับผู้เป็นพ่อที่เบือนหน้ากลับไปมองจอทีวีอีกครั้ง เห็นชัดว่าพยายามหลบเลี่ยงที่จะมองหน้าผม
“ผมรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม” ผมเอ่ยประโยคแรกออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ปกติ เหมือนเล่าเรื่องทั่วไป
บ่งบอกว่าผมไม่ได้กำลังกลัว และไม่ได้มาเพื่อฟังคำคัดค้าน
ผมมาเพื่อทำให้ท่านเข้าใจ
“ผู้ชายคนแรกที่ผมชอบ ก็คือไอ้ซัน เพื่อนสนิทของผมเอง” คราวนี้พ่อหันมามองหน้าผมอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ท่านคงจะตกใจ เพราะผมเคยพาไอ้ซันมาเที่ยวบ้านบ่อยครั้ง และไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยว่าผมแอบชอบมัน
“ผมแอบชอบไอ้ซันมาตั้งแต่ม.4 และชอบจนกระทั่งไปเรียนมหาลัย แต่สุดท้ายผมก็ตัดใจได้...”
“...”
“เขาชื่อเชน” ผมตัดสินใจอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมเอ่ยชื่อเขาออกมา
ความรู้สึกหนักอึ้งผุดขึ้นมาในใจทันทีที่สายตาทิ่มแทงของพ่อพุ่งตรงมาที่ผมอีกครั้ง
แต่ถ้าหยุดพูด ก็เท่ากับผมยอมแพ้
“เขาเข้ามาดึงผมจากความเศร้าเพราะการแอบรักเพื่อนสนิทที่ไม่มีวันหันมามอง”
“...”
“ผมไม่คิดว่าเราจะเข้ากันได้ แต่สุดท้ายเราก็สนิทกันขึ้นมาจริงๆ”
“...”
“เขาเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง ยิ้มก็ยาก ภายนอกดูเย็นชา แต่ก็จริงใจกว่าใครๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าของเชนที่ผมจำได้ขึ้นใจ “สูบบุหรี่จัดไปนิด แต่ก็เป็นคนดี”
“...”
“เขาเป็นนักดนตรีที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น แถมยังฉลาดอย่างไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ แต่คนตรงหน้ากลับขมวดคิ้วแน่นมองหน้าผมด้วยสีหน้าบึ้งตึงกว่าเคย
แต่ผมไม่สนใจ และเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจต่อไป
“พ่อครับ... ผมรักเขาจริงๆ”
“...”
“ปล่อยให้ผมได้รัก คนที่ผมรักด้วยเถอะนะครับพ่อ” มันเกือบจะกลายเป็นประโยคขอร้องแล้ว ถ้าผมไม่รู้ดีว่ามันเป็นความหัวรั้นของตัวเองที่ผลักดันให้เอ่ยคำพูดทั้งหมดนั้นออกมา
พ่อมองหน้าผมนิ่งด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออกว่าท่านกำลังคิดอะไร
แต่ผมรู้จักพ่อผมดี
ดีจนรู้ล่วงหน้าว่าความพยายามของผม มันไม่มีทางสำเร็จใจครั้งแรกแน่ๆ
“เลือกมาซะ” ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “จะเลิกกับมัน หรือจะไปอยู่ด้วยกันที่อิตาลี” ว่าจบท่านก็ลุกขึ้น เดินจากไปทันที
“...” ผมชะงักนิ่งไปนานด้วยความตกใจกับเงื่อนไขนั้น
ใช่ว่าจะไม่ได้คิดล่วงหน้าว่าต้องเจอเงื่อนไขทำนองนี้ แต่พอได้ยินจริงๆ มันก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี
“ตรี” ผมได้สติกลับมาอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงหวานของแม่ที่ดังขึ้นมา ท่านเดินมาแตะไหล่ผมที่เอาแต่นั่งนิ่งด้วยความเป็นห่วง ผมจึงหันกลับไปยิ้มบางๆ เพื่อแสดงว่าผมไม่เป็นอะไร
“เดี๋ยวผมเอากระเป๋าไปเก็บ แล้วจะลงมากินข้าวนะครับแม่” ผมว่า และลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋า แบกไปที่ห้องนอนของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน
และพอได้อยู่คนเดียวในห้องนอนว่างเปล่า ผมก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง และเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก พอเอาเข้าจริง การที่อะไรๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด มันก็ทำเอาผมอึดอัดใจไปหมด จนอยากจะระบายออกมาด้วยการร้องไห้อย่างหมดท่า
แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหล เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
ผมถอนหายใจแล้วหยิบมันขึ้นมาดูเบอร์และพบว่าเป็นเชน จึงตัดสินใจรับอย่างไม่ยากเย็น
“ฮัลโหล” แค่คิดว่าจะได้ยินเสียงเขา มันก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาจนอดที่จะยิ้มไม่ได้
หลังจากแยกกันเพราะเชนต้องกลับมาฝึกงาน นี่ก็ครบอาทิตย์แล้วที่เราไม่ได้เจอหน้า เราโทรคุยกันทุกคืนและไลน์หากันในทุกๆ เวลาที่ว่าง แต่ก็ใช้ว่าความคิดถึงจะลดน้อยลง
[ ออกมาที่ระเบียงหน่อย ] คำพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งนั่น ทำเอาผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ก่อนจะบ้าจี้เดินไปที่ระเบียงตามที่เขาบอกจริงๆ
และผมก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
ร่างสูงในชุดเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนกำลังยืนพิงสปอร์ตไบค์คันโตอยู่ข้างรั้วบ้านผม มือหนาข้างหนึ่งแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหูขณะที่เงยหน้าขึ้นมองมาด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่แสนคุ้นเคย
“รู้จักบ้านฉันได้ยังไง” ผมถามกลั้วหัวเราะ นึกได้ว่าไม่เคยบอกที่อยู่กับเขาเลยสักครั้ง
[ ขอไอ้ซัน ] เขาเว้นวรรค [ แล้วก็กูเกิ้ลแม็พ ] ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ แสนร้ายกาจเหมือนเคย
ผมหัวเราะเบาๆ มองเขานิ่งด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้นขึ้นมาในอก ถึงแม้จะอยู่ในระยะไกล แต่สาบานเลยว่าผมเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าหล่อเหลานั่น ไม่ต่างกับตอนที่เราอยู่ข้างกัน
[ อยากสูบบุหรี่ชะมัด ] เขาเอ่ยเบาๆ เหมือนบ่นกับตัวเอง ขณะที่คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันเหมือนเคย
“ใครห้ามล่ะ” ผมถามกลั้วหัวเราะ
แต่เชนกลับถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างเคืองๆ [ เลิกไปแล้ว ไม่รู้หรือไง ]
“รู้สิ” ผมตอบทันที นานแล้วที่ไม่ได้กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อแพงของเขาเลย “รู้ดีเลย” ผมยิ้ม และเห็นว่าเชนเองก็ยิ้มบางๆ ตอบมาเช่นกัน
[ แต่วันนี้ฉันมีสำรองนะ ] เขาบอก และทำท่าล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
ตอนแรกผมคิดว่ามันคือบุหรี่ยี่ห้อแพงที่คุ้นเคย แต่พอเห็นสิ่งที่เขาหยิบออกมา ก็หลุดขำเสียงดัง
มันคืออมยิ้มสีชมพู ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นรสสตอว์เบอร์รี่แบบที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ เชนแกะห่ออมยิ้ม และเอามันเข้าปากพลางเงยหน้ายิ้มมุมปากให้ผมที่ยังยืนขำอยู่
“มองมุมนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนกำลังสูบบุหรี่ดี” ผมบอกกลั้วหัวเราะ มองผู้ชายที่ยืนกินอมยิ้มขัดลุคตัวเองด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เราต่างก็เงียบกันไปหลายวินาที ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายถอนหายใจหนักๆ ลอดสายโทรศัพท์เข้ามาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
[ คิดถึง ชะมัด ]
ผมยิ้ม ในใจตะโกนบอกว่าผมเองก็คิดถึงเขาเหมือนกัน
“อยากให้ลงไปหาหรือเปล่า” ผมถาม เตรียมตัวจะถอยกลับเพื่อลงไปหาเขาข้างล่าง
[ ไม่ต้อง ] แต่เชนกลับเอ่ยห้าม [ ไม่อย่างนั้นฉันต้องทนไม่ไหว แล้วบุกเข้าไปขอนายกับพ่อเองแน่ๆ ]
ผมหัวเราะ แม้จะรู้ว่าเขาจริงจัง
“งั้นไม่ไปแล้วดีกว่า” ผมว่า เพราะถ้าเขาขืนทำอย่างที่พูดขึ้นมาจริงๆ มันคงไม่เป็นผลดีต่อเราแน่
[ แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้ช่วยอะไร ] เขาถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดพอๆ กับสีหน้าคิ้วขมวดนั่น
“แน่ใจ” ผมตอบอย่างหนักแน่น
อย่างที่บอก ว่าผมรู้จักพ่อของผมดี รู้ว่าท่านคงจะยิ่งค้านหัวชนฝาอย่างไม่ยอมแพ้ และสถานการณ์มันคงจะยิ่งแย่กว่าเดิม ถ้าเชนยื่นมือเข้ามาช่วย
แล้วอีกอย่าง... ผมก็อยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และพาเขาเข้ามาในบ้านด้วยความสบายใจ
อยากให้เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เหมือนที่ผมเคยได้รับบ้าง ต่อให้มันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแค่ไหนก็ตาม
“ช่วยอยู่ข้างๆ กันก็พอ” ผมบอก ยิ้มให้เขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ต้องการสื่อไป
ร่างสูงจึงหัวเราะเบาๆ ดึงอมยิ้มออกจากปาก ชูมันขึ้นมาเหนือหัว แล้วเอามันกลับเข้าปากอีกครั้งทำท่ารับคำบัญชา
[ ทราบแล้วครับ ]
“...”
[ จะอยู่จนกว่าจะโดนไล่เลย ]
แค่นี้แหละ...ผมต้องการ
แค่มีเขาอยู่ตรงนี้... ผมก็ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ แล้วจริงๆ
-------------------------------
หายไปนานจังเลย ฮืออ ยอมรับผิดแต่โดยดีค่ะ u_u
เดือนที่แล้วไปค่ายมา กลับมาได้สักพักแล้วแต่ลืมมาอัพ 5555
เข้าช่วงดราม่าท้ายเรื่องแล้ว หวังว่าคอดราม่าจะถูกใจกันนะคะ (ฮา)
ใครไม่ชอบดราม่าก็อดทนหน่อยนะ อย่าเพิ่งทิ้งกัน u_u
ยังไงฝาก #เชนตรี ด้วยน้า
ส่งฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ
ขอบคุณค่า ^^
makok_num