[Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14  (อ่าน 201559 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อยากอ่านแล้ว

ออฟไลน์ plugie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณพ่ออย่าพูดกับตรีแบบนั้นสิค่ะ หนูไม่ให้เลิกค่ะ หนูลุ้นตั้งนานกว่าจะได้คบกันอยู่ดีๆมาบอกให้เลิกได้ๆง

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อัพๆๆๆๆๆๆรอๆๆๆๆ :katai5: :katai5: :ling1: :L2: :sad4: :monkeysad:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
41
กำลังใจ
 
               
นิสัยเสียอย่างหนึ่งที่ผมกับพ่อเหมือนกันก็คือ พวกเราต่างก็เป็นพวกดื้อเงียบ
               
ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เราคุยกันน้อยลง อาจเป็นเพราะผมโตขึ้นและอยู่ห่างจากครอบครัวมากขึ้น ...หรืออาจเป็นเพราะผมไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับพ่อที่ดูเหมือนจะกลายเป็นคนเคร่งขรึมขึ้นทุกวันกันแน่
สุดท้ายความสัมพันธ์ของเราสองคนมันเลยเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวขึ้นมาเงียบๆ รอวันที่จะกลายเป็นคลื่นยักษ์ทำลายชายฝั่งเข้าสักวัน   
               
เราเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่ง...เป็นครั้งแรกที่เรียกได้ว่าทะเลาะ แม้จะไม่มีปากเสียงใดๆ กันเลยก็ตาม
มันคือตอนที่พ่อต้องออกจากการเป็นพนักงานประจำ และพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจจะไปตั้งตัวทำธุรกิจร้านอาหารที่อิตาลี เพราะแม่มีน้องสาวอยู่ที่นั่น ในขณะที่ผมอยากอยู่ที่นี่และเรียนต่อด้านสถาปัตยกรรมตามความฝัน

มันไม่ใช่ความผิดของผมที่พ่อถูกไล่ออก และไม่ใช่ความผิดของพ่อที่อยากให้เราไปอยู่ที่นู่นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ...แต่อย่างที่บอก ว่าเราต่างก็เป็นมนุษย์ดื้อเงียบ ที่พอมีทัศนคติที่ไม่ตรงกัน ในใจมันก็ค้านหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย ขณะที่สภาพภายนอกเป็นเหมือนสงครามเย็นที่ไร้การเจรจา 
               
และสุดท้ายเราต่างก็เลือกทำในสิ่งตัวเองพอใจ ผมดั้นด้นตั้งใจสอบจนได้ทุนทำให้พ่อแม่หมดคำคัดค้าน ในขณะที่ผมก็ปล่อยให้พวกท่านไปตั้งต้นธุรกิจใหม่ที่ต่างประเทศตามตั้งใจ
               
เรื่องเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่การไม่ได้พูดคุยกันให้เคลียร์ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ความมึนตึงระหว่างผมกับพ่อกินระยะเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่รู้ว่าพ่อหายโกรธผมหรือยัง ในขณะที่พ่อเอง ก็คงรอให้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปพูดกับท่านก่อน
               
แล้วใครจะไปคิดว่าประโยคแรกที่ต้องพูดหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานานจะเป็นเรื่องแบบนี้
               
แต่ผมจำเป็นต้องพูดออกไป เพราะผมไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เหมือนปัญหาอื่นๆ ได้อีกแล้ว
               
“แล้วมึงจะไม่กลับมาเชียงใหม่จนกว่าจะเปิดเทอมเลยหรือเปล่า” เสียงไอ้ซันปลุกผมออกจากภวังค์ ขณะที่กำลังปลดผ้ากันเปื้อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดของตัวเอง
               
“กูก็ไม่รู้ว่ะ” ผมตอบ
               
วันนี้ผมมาทำงานที่ร้านกาแฟเป็นวันสุดท้ายแล้ว
               
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะเรื่องของโช ที่ทำให้ผมไม่สะดวกใจที่จะทำงานที่นี่อีกต่อไป
แต่อีกเหตุผล เป็นเพราะผมต้องกลับไปบ้านที่กรุงเทพฯ... เพราะพ่อกับแม่กำลังจะกลับมา
               
แน่นอนว่าผมเดาได้อยู่แล้วว่าพวกท่านต้องกลับมาแน่ ถ้ารู้เรื่องของผมกับเชน ไม่ว่าผมจะพยายามแย้งแค่ไหนก็ตาม ผมรู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนไปหมด ทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ เสียเวลา เสียค่าเดินทาง ทำให้น้าต้องมาแบกรับภาระดูแลร้านอาหารแทนเพราะครอบครัวต้องมาเคลียร์เรื่องของผม 

แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ สิ่งที่ผมคิดว่าพอจะทำได้ก็คือการเคลียร์ปัญหานี้ให้จบอย่างรวดเร็ว
               
ผมจัดการเรื่องลาออกจากร้านกาแฟ ขอโทษเพื่อนๆ ที่อยู่ช่วยงานรับน้องต่อไม่ได้ และอาสาทำในส่วนที่พอจะทำได้ก่อนทั้งหมดแล้ว โชคดีที่ทุกคนเข้าใจ พี่โมไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่าผมกับโช แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมลาออกกะทันหัน
               
“แล้วมึงล่ะ” ผมหันกลับไปถามไอ้ซันบ้าง
               
“อะไร?”
               
“จะลาออกด้วยหรือเปล่า”
               
มันนิ่งไปพักหนึ่งอย่างลังเล ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่อ่ะ”
               
ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ตอนแรกผมคิดว่ามันมาทำงานที่นี่ตามคำสั่งเชน แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจแล้ว
               
“คือ... กูเห็นว่าพี่โมเค้ายังหาคนมาแทนมึงไม่ได้อ่ะ จะให้ไอ้ตี๋มันทำงานคนเดียวก็คงไม่ไหว” มันอธิบายพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย
               
ผมพยักหน้าไม่ว่าอะไร แล้วเดินไปตบบ่ามันเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ
               
“กูไปก่อนนะ” ผมต้องรีบหน่อย เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเดินทางแล้ว และยังมีบางเรื่องที่ยังต้องสะสาง
               
เรื่องของโช
               
หลายวันที่ผ่านมาผมไม่เห็นเขามาทำงานเลย เพราะพิษไข้และพิษหมัดของเชนที่ทำเอาเขาต้องนอนซม ผมไม่อยากจะคิดว่าเขาพยายามหลบหน้าผม แต่มันก็อดคิดไม่ได้ เพราะแม้แต่วันนี้ที่เขากลับมาทำงานอีกครั้ง เขายังแทบไม่สบตาผมเลย
               
แต่ก็อย่างที่บอก ผมไม่อยากให้เรามีอะไรติดค้างกันอีก
               
ผมเดินกลับออกไปหน้าร้านอีกครั้ง และเห็นโชกำลังยืนจัดการนู่นนี่อยู่ทั้งๆ ที่หมดกะแล้ว มันชัดเจนเลยว่าเขากำลังถ่วงเวลา รอให้พวกเราออกไปก่อนแล้วถึงจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หลังร้าน

“โช” ผมเรียก คนตัวเล็กหยุดชะงัก และไม่ยอมหันกลับมาจนกระทั่งผมเดินเข้าไปใกล้ “เรามีเรื่องอยากคุย”

ในที่สุดเขาก็ยอมหันมา

“ขอโทษแทนพี่เชนด้วยนะ” ผมยิ้มมองหน้าเขาอย่างรู้สึกผิดเมื่อเห็นรอยช้ำบนใบหน้าที่ยังไม่จางสนิท

โชยังคงนิ่ง แต่คราวนี้เขาเลิกก้มหน้า ยอมสบตาผมด้วยสายตาอ่านยาก “ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ถ้าตาไม่ฝาด ผมคิดว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขากำลังมีน้ำตาคลอ

“ผมขอโทษที่ทำไม่ดีกับตรี... ผมมันโง่จริงๆ” เขาก้มหน้าอีกครั้ง ยกมือขึ้นมาปิดตาเอาไว้ เหมือนพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
 
“โช...” ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยได้แต่เรียกชื่อเขาอึกอัก

“ผมไม่เป็นไร” เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตายังคงชื้นแฉะไปด้วยน้ำตาที่เพิ่งจะปาดทิ้งอย่างลวกๆ “แค่รู้สึกผิดน่ะ” ริมฝีปากบางยกเป็นยิ้มเจื่อนๆ

“ผมขอโทษจริงๆ นะตรี” เขาย้ำคำขอโทษและมองผมอย่างจริงจัง

ผมยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ถือซะว่าที่โดนต่อยไปก็หายกันละกัน” พูดกลั้วหัวเราะ

อันที่จริงที่เชนอัดเขาไม่ยั้งวันนั้น มันอาจจะมากกว่าสิ่งที่โชทำด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายเขาก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรผมเลย

ผมดีใจที่เห็นโชยิ้มออกมาได้สักที แม้มันจะเทียบไม่ได้กับรอยยิ้มสดใสของเขาที่ผมเคยเห็นก็ตาม

“ผมขอโทษที่พยายามจะเข้าไปแทรกระหว่างตรีกับพี่เชน”

“...”

“ทั้งๆ ที่ผมเทียบอะไรกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้เลยสักนิด” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

ผมเลยหัวเราะบ้าง และเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมาทันที “ใช่ ไม่มีใครเทียบพี่เชนได้จริงๆ”

ให้ตาย นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกคนอวดแฟน

โชหัวเราะออกมาแต่คราวนี้เป็นหัวเราะขบขันที่ดูสดใสกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองหน้าผมนิ่ง ด้วยสายตาที่ผมมองออกว่ากำลังคิดอะไร

“เป็นผมไม่ได้แน่ๆ ใช่มั้ย” สายตาแห่งความเว้าวอน ครั้งสุดท้าย

“ไม่มีวัน” ผมพูดถ้อยคำที่แสนใจร้ายออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

แต่มันคือความจริง คงไม่มีวันที่ผมจะหันกลับไปหาเขาได้ เพราะผมไม่มีวันเลิกรักเชน

ผมมันเป็นพวกรักฝังใจ ใครๆ ก็รู้

“ฮะๆ เชื่อเขาเลย” โชหัวเราะขืนๆ อีกรอบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองเอาไว้ ซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมา “ขอบคุณนะที่ทำให้ตัดใจง่ายขึ้น”

“...” ผมยืนนิ่ง มองใบหน้าเศร้าสร้อยโดยไม่พูดอะไร

“จริงอย่างที่หมอนั่นว่า ผมมาช้าไป” เขาพึมพำกับตัวเอง

ผมอยากจะถามเหมือนกัน ว่าหมอนั่นที่เขาว่าเป็นใคร แต่ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องไป

“ขอโทษนะ ต้องไปแล้ว วันนี้ต้องเดินทาง” ผมบอกลา เดินกลับเข้าไปหลังร้าน เพื่อเดินออกทางประตูหลังที่มีรถโฟล์คจอดอยู่

ผมเดินสวนไอ้ซันที่ดูเหมือนจะยืนฟังผมกับโชมาโดยตลอด ผมบอกลามันเล็กน้อยขณะที่ไอ้เพื่อนตัวดียักคิ้วกวนๆ กลับมา ก่อนจะเดินกลับไปหน้าร้านอีกครั้งทั้งที่ไม่มีหน้าที่ต้องทำแล้ว

และตอนนั้นเองที่ผมได้คำตอบแล้วว่า ‘หมอนั่น’ ที่โชพูดถึงหมายถึงใคร

“ตี๋! ขอลาเต้ร้อน”

“...”

“ไม่เอารูปลิงนะมึง”

หึ... ผมบอกแล้วไงว่าพวกเขาสนิทกันมากกว่าที่ใครๆ คิด
 

เวลาผ่านไป

ผมเคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่าย แต่ทันทีที่เท้าผมแตะสนามบินที่กรุงเทพฯ หัวใจมันก็ว้าวุ่นไปหมด

ความคิดมากมายปะดังเข้ามาเต็มไปหมดระหว่างที่อยู่ในแท็กซี่ ผมคิดคำพูดเป็นล้านๆ คำที่จะอธิบาย แต่ทุกอย่างก็หายไป เหลือแต่สมองขาวโพลนทันทีที่ลากกระเป๋ามายืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน

รู้สึกประหม่า ทั้งๆ ที่มันเป็นบ้านของผมแท้ๆ

ผมรู้ว่าพ่อกับแม่อยู่ในนั้น เพราะประตูรั้วไม่ได้ล็อก และผมก็ได้ยินเสียงทีวีเล็ดลอดมาจากด้านใน

ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เป็นครั้งที่สามก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป หัวใจมันเต้นเหมือนมีใครมารัวกลองอยู่ในอก และเต้นแรงขึ้นอีกเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงที่ถูกเล่นงานด้วยกาลเวลากำลังนั่งจ้องหน้าจอทีวีนิ่งอยู่ในห้องรับแขก แม้ว่าแววตาจะเหมือนไม่ได้โฟกัสสิ่งที่อยู่ในจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าเลยก็ตาม

“สวัสดีครับพ่อ” ผมวางกระเป๋าลงข้างตัว แล้วยกมือไหว้

“กลับมาแล้วเหรอตรี” แต่กลับเป็นแม่ ที่เดินออกมาทักทายผมจากในครัว กลิ่นกับข้าวที่โชยออกมา เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยให้จิตใจของผมผ่อนคลายลง

“สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้ท่าน แต่ครั้งนี้เพิ่มรอยยิ้มเข้ามาด้วย

“หิวมั้ย แม่กำลังทำข้าวเย็นพอดี” แม่เดินเข้ามากอดผมไว้ แล้วยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มใจดีที่แสนคิดถึง

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบ แม่เอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดูแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ไม่เจอนานลูกแม่หล่อขึ้นเยอะเลย”

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และก้มตัวลงไปกอดแม่ไว้แน่นๆ และหอมแก้มท่านเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ “แม่ผมก็สวยเหมือนเดิมเลย”

เราหัวเราะให้กัน เติมเต็มวินาทีที่แสนคิดถึงด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย อ้อมกอดที่ช่วยเติมพลังให้ผมกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

“หึ คราวหลังชมว่าสวยขึ้นสิ มันน่าจะดีใจกว่า” เสียงทุ้มของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้รอยยิ้มของผมต้องหุบลง

ผมหันไปมองพ่อ ที่หันกลับมาสบตาผมเป็นครั้งแรก ด้วยสายตาตำหนิติเตียนแบบที่ผมเคยเห็นจนชิน

“คุณคะ ลูกไม่ได้เป็นแบบนั้น” แม่พยายามพูด แต่ผมรู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร ผมผละออกจากอ้อมกอดแม่แล้วยิ้มบางๆ ให้ท่าน

“ไม่เป็นไรครับ แม่ไปทำกับข้าวต่อเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้ว

เข้มแข็งและเผชิญหน้ากับปัญหานี้ด้วยตัวเอง

แม่ยอมทำตามที่ผมบอก แม้ว่าจะไม่ยอมละสายตาจากผม จนกระทั่งเข้าไปในครัวแล้วก็ตาม ผมลอบถอนหายใจเบาๆ
ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาตัวเล็กข้างๆ กับผู้เป็นพ่อที่เบือนหน้ากลับไปมองจอทีวีอีกครั้ง เห็นชัดว่าพยายามหลบเลี่ยงที่จะมองหน้าผม

“ผมรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม” ผมเอ่ยประโยคแรกออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ปกติ เหมือนเล่าเรื่องทั่วไป
บ่งบอกว่าผมไม่ได้กำลังกลัว และไม่ได้มาเพื่อฟังคำคัดค้าน

ผมมาเพื่อทำให้ท่านเข้าใจ

“ผู้ชายคนแรกที่ผมชอบ ก็คือไอ้ซัน เพื่อนสนิทของผมเอง” คราวนี้พ่อหันมามองหน้าผมอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ท่านคงจะตกใจ เพราะผมเคยพาไอ้ซันมาเที่ยวบ้านบ่อยครั้ง และไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยว่าผมแอบชอบมัน

“ผมแอบชอบไอ้ซันมาตั้งแต่ม.4 และชอบจนกระทั่งไปเรียนมหาลัย แต่สุดท้ายผมก็ตัดใจได้...”

“...”

“เขาชื่อเชน” ผมตัดสินใจอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมเอ่ยชื่อเขาออกมา

ความรู้สึกหนักอึ้งผุดขึ้นมาในใจทันทีที่สายตาทิ่มแทงของพ่อพุ่งตรงมาที่ผมอีกครั้ง

แต่ถ้าหยุดพูด ก็เท่ากับผมยอมแพ้

“เขาเข้ามาดึงผมจากความเศร้าเพราะการแอบรักเพื่อนสนิทที่ไม่มีวันหันมามอง”

“...”

“ผมไม่คิดว่าเราจะเข้ากันได้ แต่สุดท้ายเราก็สนิทกันขึ้นมาจริงๆ”

“...”

“เขาเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง ยิ้มก็ยาก ภายนอกดูเย็นชา แต่ก็จริงใจกว่าใครๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าของเชนที่ผมจำได้ขึ้นใจ “สูบบุหรี่จัดไปนิด แต่ก็เป็นคนดี”

“...”

“เขาเป็นนักดนตรีที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น แถมยังฉลาดอย่างไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ แต่คนตรงหน้ากลับขมวดคิ้วแน่นมองหน้าผมด้วยสีหน้าบึ้งตึงกว่าเคย

แต่ผมไม่สนใจ และเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจต่อไป

“พ่อครับ... ผมรักเขาจริงๆ”

“...”

“ปล่อยให้ผมได้รัก คนที่ผมรักด้วยเถอะนะครับพ่อ” มันเกือบจะกลายเป็นประโยคขอร้องแล้ว ถ้าผมไม่รู้ดีว่ามันเป็นความหัวรั้นของตัวเองที่ผลักดันให้เอ่ยคำพูดทั้งหมดนั้นออกมา

พ่อมองหน้าผมนิ่งด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออกว่าท่านกำลังคิดอะไร

แต่ผมรู้จักพ่อผมดี

ดีจนรู้ล่วงหน้าว่าความพยายามของผม มันไม่มีทางสำเร็จใจครั้งแรกแน่ๆ

“เลือกมาซะ” ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “จะเลิกกับมัน หรือจะไปอยู่ด้วยกันที่อิตาลี” ว่าจบท่านก็ลุกขึ้น เดินจากไปทันที

“...” ผมชะงักนิ่งไปนานด้วยความตกใจกับเงื่อนไขนั้น

ใช่ว่าจะไม่ได้คิดล่วงหน้าว่าต้องเจอเงื่อนไขทำนองนี้ แต่พอได้ยินจริงๆ มันก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี

“ตรี” ผมได้สติกลับมาอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงหวานของแม่ที่ดังขึ้นมา ท่านเดินมาแตะไหล่ผมที่เอาแต่นั่งนิ่งด้วยความเป็นห่วง ผมจึงหันกลับไปยิ้มบางๆ เพื่อแสดงว่าผมไม่เป็นอะไร

“เดี๋ยวผมเอากระเป๋าไปเก็บ แล้วจะลงมากินข้าวนะครับแม่” ผมว่า และลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋า แบกไปที่ห้องนอนของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน

และพอได้อยู่คนเดียวในห้องนอนว่างเปล่า ผมก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง และเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก พอเอาเข้าจริง การที่อะไรๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด มันก็ทำเอาผมอึดอัดใจไปหมด จนอยากจะระบายออกมาด้วยการร้องไห้อย่างหมดท่า

แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหล เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

ผมถอนหายใจแล้วหยิบมันขึ้นมาดูเบอร์และพบว่าเป็นเชน จึงตัดสินใจรับอย่างไม่ยากเย็น

“ฮัลโหล” แค่คิดว่าจะได้ยินเสียงเขา มันก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาจนอดที่จะยิ้มไม่ได้

หลังจากแยกกันเพราะเชนต้องกลับมาฝึกงาน นี่ก็ครบอาทิตย์แล้วที่เราไม่ได้เจอหน้า เราโทรคุยกันทุกคืนและไลน์หากันในทุกๆ เวลาที่ว่าง แต่ก็ใช้ว่าความคิดถึงจะลดน้อยลง

[ ออกมาที่ระเบียงหน่อย ] คำพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งนั่น ทำเอาผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ก่อนจะบ้าจี้เดินไปที่ระเบียงตามที่เขาบอกจริงๆ

และผมก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น

ร่างสูงในชุดเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนกำลังยืนพิงสปอร์ตไบค์คันโตอยู่ข้างรั้วบ้านผม มือหนาข้างหนึ่งแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหูขณะที่เงยหน้าขึ้นมองมาด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่แสนคุ้นเคย

“รู้จักบ้านฉันได้ยังไง” ผมถามกลั้วหัวเราะ นึกได้ว่าไม่เคยบอกที่อยู่กับเขาเลยสักครั้ง

[ ขอไอ้ซัน ] เขาเว้นวรรค [ แล้วก็กูเกิ้ลแม็พ ] ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ แสนร้ายกาจเหมือนเคย

ผมหัวเราะเบาๆ มองเขานิ่งด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้นขึ้นมาในอก ถึงแม้จะอยู่ในระยะไกล แต่สาบานเลยว่าผมเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าหล่อเหลานั่น ไม่ต่างกับตอนที่เราอยู่ข้างกัน

[ อยากสูบบุหรี่ชะมัด ] เขาเอ่ยเบาๆ เหมือนบ่นกับตัวเอง ขณะที่คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันเหมือนเคย

“ใครห้ามล่ะ” ผมถามกลั้วหัวเราะ

แต่เชนกลับถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างเคืองๆ [ เลิกไปแล้ว ไม่รู้หรือไง ]

“รู้สิ” ผมตอบทันที นานแล้วที่ไม่ได้กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อแพงของเขาเลย “รู้ดีเลย” ผมยิ้ม และเห็นว่าเชนเองก็ยิ้มบางๆ ตอบมาเช่นกัน

[ แต่วันนี้ฉันมีสำรองนะ ] เขาบอก และทำท่าล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า

ตอนแรกผมคิดว่ามันคือบุหรี่ยี่ห้อแพงที่คุ้นเคย แต่พอเห็นสิ่งที่เขาหยิบออกมา ก็หลุดขำเสียงดัง

มันคืออมยิ้มสีชมพู ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นรสสตอว์เบอร์รี่แบบที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ เชนแกะห่ออมยิ้ม และเอามันเข้าปากพลางเงยหน้ายิ้มมุมปากให้ผมที่ยังยืนขำอยู่

“มองมุมนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนกำลังสูบบุหรี่ดี” ผมบอกกลั้วหัวเราะ มองผู้ชายที่ยืนกินอมยิ้มขัดลุคตัวเองด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เราต่างก็เงียบกันไปหลายวินาที ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายถอนหายใจหนักๆ ลอดสายโทรศัพท์เข้ามาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

[ คิดถึง ชะมัด ]

ผมยิ้ม ในใจตะโกนบอกว่าผมเองก็คิดถึงเขาเหมือนกัน

“อยากให้ลงไปหาหรือเปล่า” ผมถาม เตรียมตัวจะถอยกลับเพื่อลงไปหาเขาข้างล่าง

[ ไม่ต้อง ] แต่เชนกลับเอ่ยห้าม [ ไม่อย่างนั้นฉันต้องทนไม่ไหว แล้วบุกเข้าไปขอนายกับพ่อเองแน่ๆ ]

ผมหัวเราะ แม้จะรู้ว่าเขาจริงจัง

“งั้นไม่ไปแล้วดีกว่า” ผมว่า เพราะถ้าเขาขืนทำอย่างที่พูดขึ้นมาจริงๆ มันคงไม่เป็นผลดีต่อเราแน่

[ แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้ช่วยอะไร ] เขาถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดพอๆ กับสีหน้าคิ้วขมวดนั่น

“แน่ใจ” ผมตอบอย่างหนักแน่น

อย่างที่บอก ว่าผมรู้จักพ่อของผมดี รู้ว่าท่านคงจะยิ่งค้านหัวชนฝาอย่างไม่ยอมแพ้ และสถานการณ์มันคงจะยิ่งแย่กว่าเดิม ถ้าเชนยื่นมือเข้ามาช่วย

แล้วอีกอย่าง... ผมก็อยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และพาเขาเข้ามาในบ้านด้วยความสบายใจ

อยากให้เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เหมือนที่ผมเคยได้รับบ้าง ต่อให้มันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแค่ไหนก็ตาม

“ช่วยอยู่ข้างๆ กันก็พอ” ผมบอก ยิ้มให้เขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ต้องการสื่อไป

ร่างสูงจึงหัวเราะเบาๆ ดึงอมยิ้มออกจากปาก ชูมันขึ้นมาเหนือหัว แล้วเอามันกลับเข้าปากอีกครั้งทำท่ารับคำบัญชา

[ ทราบแล้วครับ ]

“...”

[ จะอยู่จนกว่าจะโดนไล่เลย ]

แค่นี้แหละ...ผมต้องการ

แค่มีเขาอยู่ตรงนี้... ผมก็ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ แล้วจริงๆ





-------------------------------
หายไปนานจังเลย ฮืออ ยอมรับผิดแต่โดยดีค่ะ u_u
เดือนที่แล้วไปค่ายมา กลับมาได้สักพักแล้วแต่ลืมมาอัพ 5555
เข้าช่วงดราม่าท้ายเรื่องแล้ว หวังว่าคอดราม่าจะถูกใจกันนะคะ (ฮา)
ใครไม่ชอบดราม่าก็อดทนหน่อยนะ อย่าเพิ่งทิ้งกัน u_u

ยังไงฝาก #เชนตรี ด้วยน้า
ส่งฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ

ขอบคุณค่า ^^
makok_num

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
มาแล้ว. มาแล้ว. รออยู่นานเลย

 :z2:  :z2:  :z2:  :z2: 

....

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :ling1:   อุปสรรคใหญ่มาก

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
เด็จพ่อหวงลูกจริงด้วย

แต่ก็เพราะว่าพ่อรักลูกนั่นล่ะนะ

:)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
ตรีพูดได้ดีแล้ว ให้เวลาพ่อเขาหน่อยนะ สู้ๆ   :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เชน ตรี  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ขอให้คุณพ่อใจอ่อนเร็วๆเถอะ :call: :call: :call:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
ลุ้นแทนเลย

เรื่องดำเนินได้ดีค่ะ ไม่มีกระโดดข้าม รวบรัด มีเหตุมีผลชัดเจน ภาษาอ่านง่ายเพลินๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ติดเสียแล้ว เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
42
น้ำตา
 
               
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
               
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อ ผมได้แต่อยู่บ้านทุกวันราวกับถูกกักบริเวณด้วยความเงียบ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เมื่อทุกครั้งที่ทำท่าจะออกไปนอกบ้าน ดวงตาทิ่มแทงของพ่อจะมองมาด้วยสายตาที่สื่อออกเป็นคำพูดได้ว่า จะไปหาแฟนเกย์ของแกสินะ...
               
มันเป็นความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
               
...แต่ก็เป็นความเคยชินอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
               
ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ไม่เคยไม่ถูกตำหนิจากพ่อเลย ไม่ว่าจะทำอะไร เรื่องเล็ก หรือใหญ่แค่ไหน ก็มักจะได้ยินคำพูดประชดประชันเสียดสีออกมาจากปากท่าน ราวกับว่าสิ่งที่ผมทำมันผิดเสียเต็มประดา ผมรู้ว่าท่านพูดด้วยความหวังดี แต่มันคงไม่แปลก ที่ผมจะไม่ชอบความหวังดีที่มีแต่จะทำร้ายจิตใจกันแบบนั้น
               
อาจเป็นเพราะแบบนี้... ผมเลยสนิทกับแม่มากกว่า
               
ความสุขในแต่ละวันที่ผ่านมาของผม เกิดขึ้นจากเรื่องง่ายๆ อย่างการที่ได้ยินเสียงแม่แทนนาฬิกาปลุกยามเช้า เพื่อให้ไปช่วยถือของตอนจ่ายตลอด มองแม่ทักทายคนรู้จักที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่ด้วยใบหน้าสดใส และได้เข้าครัวช่วยท่านเป็นบางครั้งแม้ว่าจะมีหน้าที่แค่ล้างผักเมื่ออยู่ต่อหน้าเชฟใหญ่ก็ตาม บ้านเราไม่มีลูกสาว ผมจึงคิดว่าการได้ทำแบบนั้น เป็นการคลายเหงาให้ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตได้วิธีหนึ่ง
               
“ตรี กินข้าวได้แล้วลูก” เสียงแม่ดังขึ้นมาจากหลังประตู
               
เป็นเหมือนระฆังตีบอกเวลาว่าความสุขอีกอย่างหนึ่งของวันสำหรับผม กำลังจะหมดไป
               
[ ต้องไปแล้วเหรอ ]

เวลาที่จะได้เห็นหน้าเขา

หลังจากผมกลับมาอยู่บ้าน ทุกวันหลังเลิกงานเชนก็จะขับมอเตอร์ไซค์คันโตมาหาซึ่งตรงกับเวลาก่อนข้าวเย็นบ้านผมพอดี เขามา และยืนอยู่ริมรั้วที่เดิม ขณะที่ผมจะออกมาหน้าระเบียง มีสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้เราได้ยินเสียงกัน

เราพูดติดตลกกันว่าชีวิตเราตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับวรรณกรรมน้ำเน่าอย่างโรมิโอจูเลียตเลย... ทั้งตื่นเต้น แล้วก็ขมขื่นในเวลาเดียวกัน

สารภาพตามตรงว่ามันเป็นความงี่เง่าของพวกผมเองที่เลือกทำแบบนี้ แทนที่จะลงไปคุยกันดีๆ อาจจะได้กอด หรือจูบกันสมใจ แต่ถ้าขืนทำแบบนั้น ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งต้องทนไม่ไหวและอาละวาดกับพ่อผมขึ้นมาจริงๆ แน่

ตอนแรกคนที่กลัวว่าจะทำแบบนั้นอาจจะเป็นเชน แต่ตอนนี้คงกลายเป็นผมเสียเองมากกว่า

“ได้อีกสิบนาที” ผมตอบเขา ก่อนจะหันกลับไปตะโกนบอกแม่ “ขอสิบนาทีครับแม่”  ปลายสายส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินผมตะโกนแบบนั้น มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรีบหันกลับมามองรอยยิ้มของเขาแล้วยิ้มตาม

“แป๊บนึงนะ” ผมบอก ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินกลับเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมกีตาร์ตัวเก่าที่เพิ่งรื้อห้องเก็บของเจอ

มันคือกีตาร์ที่ผมใช้ตอนหัดเล่น สภาพสมบุกสมบันน่าดูแต่ก็ยังพอเล่นได้อยู่ พอได้จับอีกครั้ง มันก็รู้สึกคันไม้คันมือไปหมด ผมเล่นมันแทบจะทั้งวัน เพราะไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว

“จะถามว่าหลังจากท่อนนี้ร้องว่าอะไร” ผมกลับมานั่งอีกครั้ง ก่อนจะกดเปิดสปีกเกอร์โฟนแล้ววางมือถือลงบนตักเพื่อจะได้เล่นกีตาร์ได้ง่ายขึ้น

ผมจับคอร์ดและเกาสายทั้งหกไปตามท่อนฮุคของเพลงที่ไม่ได้เล่นมานาน ในขณะที่ปากก็ฮัมเนื้อร้องที่อยู่ในหัวออกมาเบาๆ แต่เพราะปกติไม่ได้เป็นคนร้องเองก็เลยจำเนื้อไม่ได้ทั้งหมด ผมหยุดลงในท่อนที่ร้องไม่ได้ และถามร่างสูงที่ยืนนิ่งฟังเพลงที่ตัวเองแต่งผ่านสายโทรศัพท์
               
ใช่ ที่ต้องถามเชน เพราะมันคือเพลงของเขา
               
[ … ] เชนถือสายมองผมนิ่งด้วยสายตาอ่านยาก แม้ว่าผมจะหยุดเล่นและหยิบโทรศัพท์กลับมาแนบหูรอฟังคำตอบจากเขาแล้วก็ตาม
               
ผมหัวเราะงงๆ ก่อนจะถามย้ำ “ไม่ได้ยินที่ถามเหรอ ท่อนต่อไปร้องว่าไง?”
               
เขาหัวเราะนิดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าเหมือนเรียกสติ แล้วตอบ [ คนพูดว่าผมคือความมืด ส่วนคุณคือแสงสว่าง ]
               
“...”
               
[ ผมยิ้มกว้าง และตอบว่า... ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องอยู่คู่กันตลอดไป ] น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาโดยไม่ลืมที่จะใส่ทำนอง
               
ผมยิ้มกว้างตามเนื้อเพลงที่เขาเอ่ย วางโทรศัพท์อีกครั้งจับคอร์ดที่คุ้นเคยและร้องท่อนที่เพิ่งจะจำได้ขึ้นมา
               
“ถูกมั้ย?” ร้องจบผมก็ถามเจ้าของบทเพลงที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
               
อาจเพราะในใจมันรู้ดีว่านี่คือเพลงที่เขาแต่งให้เรา
               
เชนไม่ตอบ แต่กลับยิ้มกว้างกว่าเคย ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าคมอีกครั้งพลางถอนหายใจ
               
[ ให้ตาย นายจะทำให้ฉันร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว ] เขาบอก ขมวดคิ้วมองมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
               
ผมวางกีตาร์ลงข้างตัวและลุกขึ้นยืนเท้าแขนยื่นหน้าออกไปพ้นขอบระเบียง เพื่อมองหน้าเขาให้ชัดขึ้น แม้ว่ามันแทบจะไม่มีความแตกต่างเลยก็ตาม
               
“อยากเห็นหน้าตอนร้องไห้เหมือนกัน” ผมแกล้งพูดกลั้วหัวเราะ เชนเลยยิ่งนิ่วหน้า แต่สุดท้ายก็หลุดขำออกมา แล้วมองหน้าผมนิ่งๆ หลายวินาที
               
[ อยากกอดจะแย่ ] เขาเอ่ย
               
“เหมือนกัน” ผมหัวเราะ
               
เราต่างก็เงียบกันไปอีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงจะยืดตัวขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
               
[ มีกระดาษมั้ย ]
               
“หืม?” ผมขมวดคิ้วงงๆ
               
[ ขอกระดาษหน่อย ]
               
ถึงจะยังงงๆ แต่ผมก็ยอมหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง รื้อโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ของตัวเองเพื่อหากระดาษสักแผ่นให้เขาอย่างว่าง่าย และกลับออกมาพร้อมกับกระดาษเอสี่ว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง
               
[ โยนมาให้หน่อย ] เขาบอกเมื่อเห็นผมชูกระดาษให้ดู
               
“พับได้ป่ะ?” ผมถาม เพราะมันเป็นกระดาษบางๆ จะให้โยนให้เฉยๆ ก็คงไม่ถึงมือเขาแน่ ผมเลยต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับมัน
               
พอเห็นเชนพยักหน้า ผมจึงก้มลงวางโทรศัพท์ลงกับเก้าอี้และบรรจงพับกระดาษในมือให้กลายเป็นรูปเครื่องบินเหมือนที่เคยพับตอนเด็กๆ
               
“รับให้ได้ล่ะ” ผมพูดขำๆ ก่อนจะร่อนเครื่องบินกระดาษออกไป
               
น่าตกใจจริงๆ ที่ผมกะแรงพอดีจนมันร่อนไปถึงมือร่างสูงที่แค่เอื้อมแขนข้างหนึ่งออกมาคว้าไว้ได้อย่างง่ายๆ แทบไม่ต้องใช้ความพยายาม
               
[ เก่งนี่ ] เขาพูดล้อผมมากกว่าจะชมจริงๆ
               
อันที่จริงผมน่าจะออกแรงอีกสักนิดร่อนไปไกลๆ ให้เขาได้เหนื่อยเก็บบ้างนะ
               
เชนไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ได้อธิบายด้วยว่าเขาจะเอากระดาษไปทำอะไร ร่างสูงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเก็บก้อนหินขนาดพอประมาณขึ้นมาจากพื้น แล้วล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนสีซีด และจัดการห่อทั้งสองอย่างลงในกระดาษที่ผมให้ไป ปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วโยนกลับมาตกที่ระเบียงห้องผมอีกครั้ง
               
“อะไร” ผมมองห่อกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นแล้วขมวดคิ้วถาม
               
[ เปิดดูสิ ] เขาไม่ยอมตอบ
               
ผมเลยเดินไปเก็บมันขึ้นมาและค่อยๆ แกะห่อกระดาษออก สิ่งแรกที่เห็นคือก้อนหินที่เขาใช้ถ่วงน้ำหนัก แต่เมื่อผมโยนมันทิ้งไปและเห็นวัตถุอีกอย่างที่เหลือก็ทำเอาผมถึงกับชะงัก
               
[ ใส่ให้ดูหน่อย ] ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมเห็นของที่เขาให้แล้วเลยเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแกมออกคำสั่ง
               
ผมจึงหยิบแหวนทองคำขาวกลมเกลี้ยงขึ้นมาจากกระดาษที่ถูกขยำจนไม่เป็นรูป และเดินกลับไปยืนที่เดิม ตรงตำแหน่งที่ผมเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขาได้ชัดเจน
               
“อะไรเนี่ย” ผมถามกลั้วหัวเราะ แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันคืออะไร
               
[ แหวนหมั้นไง ] เขาตอบตามตรง
               
ซึ่ง... ไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้ครับ
               
ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือปิดหน้าเพื่อปกปิดใบหน้าที่คงจะกลายเป็นสีแดงเถือกของตัวเอง พยายามกลั้นยิ้มไม่ให้กว้างเกินไปนัก แต่มันก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี
               
“ปกติขอหมั้นด้วยวิธีนี้เหรอ” ผมเอามือออกและแกล้งส่ายหน้ามองเขาเอือมๆ
               
[ ก็ครั้งแรก ]
               
ผมหัวเราะ “ไม่โรแมนติกเลย”
               
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็ยอมสวมมันลงกับนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองอยู่ดี มันพอดีซะจนราวกับว่าเขาพาผมไปลองด้วย และพอผมชูหลังมือที่มีเครื่องประดับที่เขาให้ให้ดู ริมฝีปากบางก็ยิ้มมุมปากกว้างขึ้นอย่างพอใจ
               
[ ตอนแรกว่าจะให้วันหลัง... จัดฉากให้อลังการกว่านี้ ]
               
ผมหัวเราะอีกรอบ เพราะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าคนหน้าตายอย่างเขาจะจัดฉากให้แหวนยังไง
               
กลับมองว่าวิธีดิบๆ เมื่อครู่เข้ากับเขามากกว่าเสียอีก
               
[ แต่เพราะเพลงเมื่อกี้ ก็เลยรอไม่ไหว ]
               
“...” แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองตรงมาด้วยสายตาที่สื่อความหมายบางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ
               
จนเขาพูดออกมา
               
[ ฉันขอให้แหวนนั่น แลกกับการอนุญาตให้ฉันเข้าบ้าน... ]
               
“...”
               
[ ให้ฉันช่วยคุยกับพ่อนายสักครั้งเถอะ... แค่ครั้งเดียว ]
               
มันเป็นคำขอที่ทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาจนได้แต่เงียบนิ่งไปนานนับนาที สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขา ในระยะที่อ่านได้ว่าเขาพูดจริงจังแค่ไหน
               
และสุดท้าย ก็ต้องยอม
               
“อืม”
               
               
เวลาผ่านไป
               
แน่นอนว่าท็อปปิคการพูดคุยระหว่างอาหารมื้อเย็นวันนี้ หนีไม่พ้นเรื่องของเชน
               
อันที่จริงมันก็เป็นท็อปปิคที่ผมพยายามยกขึ้นมาพูดทุกวันซ้ำไปซ้ำมา ขุดความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเชน นับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกออกมาเล่า ราวกับพยายามจะละลายหินด้วยน้ำ
               
แต่เย็นนี้เป็นกรณีพิเศษเพราะแทนที่จะเล่าเรื่องเก่าผมกลับบอกพ่อกับแม่ว่าวันหยุดนี้จะพาเขามาที่บ้าน
               
แม่ไม่ว่าอะไร แต่แน่นอนว่าพ่อของผมไม่อนุญาต
               
พ่อพูดว่า ‘ไม่อยากเห็นหน้ามัน’ เป็นถ้อยคำเจ็บแสบตามประสาพ่อที่พยายามทำร้ายจิตใจผมเหมือนเคย แต่ว่าบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ต้องการคำอนุญาต ผมแค่บอกให้รู้ไว้ เพื่อที่ท่านทั้งสองจะได้เตรียมใจไว้เท่านั้นเอง
               
ผมย้ำกับเชนเป็นรอบที่ร้อยว่าเขาแน่ใจจริงๆ หรือเปล่าว่าจะมา ผมเล่าวีรกรรมทั้งหมดของพ่อให้เขาฟังเผื่อว่าเขาจะกลัวและเปลี่ยนใจ แต่อย่างที่รู้ๆ กัน... ไม่มีอะไรขัดความตั้งใจของผู้ชายคนนั้นได้เลย
               
ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยขณะที่เดินลงจากบันไดมายังชั้นล่างเพื่อหาอะไรทำเพราะนอนไม่หลับ แม้จะยังเหลืออีกหลายวัน แต่การคิดล่วงหน้าว่าเชนจะเจออะไรบ้างมันทำให้ผมกระสับกระส่ายจนยากที่จะข่มตาจริงๆ
               
อย่างที่บอกว่าผมรู้จักพ่อของผมดี ท่านไม่ได้ใจดีและเข้าใจเราเหมือนพ่อของเชน... ผมกลัวว่าเขาจะโดนทำร้ายจิตใจเหมือนที่ผมโดนซ้ำๆ มาตั้งแต่จำความได้
               
 “คุณน่าจะลองเปิดใจ” แต่เสียงของแม่ที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นก็ทำเอาผมชะงัก มองผ่านแสงสลัวที่มาจากทางโคมไฟข้างโซฟาเข้าไป ก็พบว่าพ่อกับแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด
               
“ยังไงนี่ก็ชีวิตลูกนะ” แม่พูดต่อในขณะที่พ่อนิ่งเงียบ “คุณก็รู้ว่าเราอยู่กับเขาไปตลอดไม่ได้หรอก ปล่อยเขาไปได้แล้ว” ผมยิ้มออกมากับความใจดีของแม่ ที่เข้าใจผมเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือผมจะทำอะไร
               
ผมอยากเดินเข้าไปกอดแม่และช่วยท่านอธิบาย แต่เสียงของพ่อที่ดังขึ้นมาก็ทำเอาฝีเท้าของผมต้องชะงักอีกครั้ง
               
“ก็เพราะอยู่กับมันไปตลอดไม่ได้ไง ถึงได้ไม่ยอม”
               
“...” แม่เงียบลง พอๆ กับผมที่ได้แต่นิ่งงัน
               
“ถ้ามีพี่น้องก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันเป็นลูกคนเดียวนะจะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง” น้ำเสียงของพ่อฟังดูกังวลและอ่อนเพลีย ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวด้านข้างของท่านดูแก่ลงซะจนผมตกใจที่ไม่เคยสังเกตเห็น
               
"คุณมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้นั่นจะไม่ทิ้งมันไปตอนที่เราไม่อยู่แล้ว... มันจะทำใจได้เหรอ ถ้าต้องอยู่คนเดียว?”
               
 “...”
               
“ถึงจะอยู่กันรอด แล้วตอนแก่ล่ะ? มีลูกหลานไม่ได้ แก่ตัวไปใครมันจะเลี้ยง เอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นลูกบุญธรรมมันก็เทียบกับสายเลือดเดียวกันไม่ได้อยู่ดี”
               
“...”
               
“คุณคิดว่าผมกีดกันเพราะไม่เข้าใจมัน แต่คุณไม่คิดจะเข้าใจผมบ้างเหรอว่าผมเป็นห่วงมันแค่ไหน” พูดได้เท่านั้นเสียงทุ้มที่เคยดุดันก็หายไป กลับกลายเป็นเสียงร้องไห้อันสั่นเครือ
               
แม่เข้าไปกอดพ่อเอาไว้ด้วยสีหน้าตกใจ และลำบากใจแบบที่ผมไม่เคยเห็น
               
แต่ที่ผมไม่เคยเห็นเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้ ก็คือน้ำตาของผู้ชายคนนั้น
               
ผู้ชายที่ผมคิดว่าเย็นชาและไร้หัวใจ
               
ผู้ชายที่ผมคิดมาตลอดว่าคงจะไม่รู้สึกอะไรถ้าผมจะทำร้ายจิตใจเขากลับบ้างด้วยความดื้อรั้นของผม
               
แต่ต่อให้เย็นชาหรือปากร้ายกับผมมากแค่ไหน
               
ผมก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ เมื่อได้เห็นน้ำตาของท่านไหลออกมาเพราะผมจริงๆ





-- makok_num --

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :hao5:     :z3:     พิสูจน์รักแท้นะเด็กๆแต่อย่านานนักเลยมันใจจะขาด
พ่ออย่าบังคับลูกเลยค่ะ. ฮืออออ  :pig4:   

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ถ้าเรามีลูกเราจะให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น แค่เป็นคนดีและมีความสุขก็พอ กับพ่อของตรีถึงเราจะเข้าใจว่ารักและเป็นห่วงลูก แต่แบบนี้ทำเพื่อให้ลูกมีความสุขหรือตัวเองมีกันแน่? ปล่อยให้เป็นอย่างที่เขาต้องการสิ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะลงเอยยังไง เขาก็ได้เลือกมันเอง อย่าคิดแทน

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
พ่อก็ห่วงเกินไป ลูกก็โตพอที่จะคิดได้แล้ว

นั่นคือคนที่ลูกเลือก ไม่ว่าจะทุกข์จะสุขจากการเลือกครั้งนี้ลูกก็ต้องรับผลของมันได้

ยังไงพ่อแม่ก็อยู่กับลูกไม่ได้ตลอด ทำใจซะคุณพ่อ


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รอพี่เชนเข้ามาพบพ่อ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ยังไงก็พ่อแม่ละนะ

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
คุณพ่อขา คนที่เหมาะสมถ้าไม่ได้รักก็อยู่กันไปได้ไม่นานหรอกค่ะ
ลองให้โอกาสพี่เชนสักครั้งนะคะ

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
มุมของคนเป็นพ่อเป็นแม่อะเน้อะ  :hao5:

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
สนุกม้ากกกกกกกกกกกกกก รอตอนต่อจ้า

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
43
เหนี่ยวรั้ง
 
               
วันเสาร์ผมตื่นเช้ากว่าปกติ... อันที่จริงผมแทบจะไม่ได้นอนเลยต่างหาก
               
วันนี้เป็นวันที่ผมบอกพ่อกับแม่ไว้ ว่าเชนจะมา
               
ผมไม่ควรตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าเขาขนาดนี้ เพราะเพิ่งเจอหน้ากันไปเมื่อวานนี้เอง... ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่พอคิดภาพว่าเขาจะก้าวเข้าประตูบ้านมา ไม่ใช่แค่ยืนอยู่ริมรั้วเหมือนทุกวัน มันก็... เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
               
ผมทั้งตื่นเต้น กังวล ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด เดาไปต่างๆ นานาอย่างคนจิตตก
ตั้งแต่ที่ได้เห็นน้ำตาของพ่อในคืนนั้น ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับท่านอีกเลย ผมไม่ได้พูดเรื่องของเชนระหว่างมื้ออาหารอีก อันที่จริง... ผมแทบไม่ได้พูดอะไรกับครอบครัวเลยตลอดทั้งวัน
               
ผมหมกตัวอยู่ในห้อง เล่นกีตาร์เพลงเดิมๆ รอเชนมาหาและโทรคุยกันราวกับว่าการได้เห็นหน้าและได้ยินเสียงเขา คือพลังใจที่ทำให้ผมใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ ...ผมรู้ว่าการกระทำของผมมันไร้ความหมาย ผมแทบไม่ได้พยายามอะไรเพื่อเราเลย แต่กลับรู้สึกเหนื่อยและท้อซะยิ่งกว่าตอนที่ทำงานหนักอดหลับอดนอนติดต่อกันเป็นเดือนๆ ซะอีก

มันเป็นช่วงเวลาที่อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา... กลัวว่าสุดท้ายเรื่องของเรามันอาจจะต้องจบลง
               
เชนพูดถูก... ผมต้องให้เขายื่นมือเข้ามาช่วยแล้วจริงๆ
               
“อ้าวตรี ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังล่ะลูก” แม่ทักขึ้นมาเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในครัว ทั้งที่ปกติจะต้องรอให้แม่ไปเรียก แม้ว่าจะไม่ได้หลับสักวินาทีเลยก็ตาม
               
ผมยิ้มบางๆ แล้วเดินเข้าไปสวมกอดแม่จากด้านหลังแน่นๆ อย่างต้องการกำลังใจ “ผมช่วยนะครับ”
               
แม่หัวเราะ ดึงแขนผมออกแล้วหันกลับมา มองด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่ก็ยังดูใจดี

“เชนจะมากี่โมง” แม่ถาม พร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวผม
               
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะรื้นขึ้นมา ตอนที่ได้ยินแม่เอ่ยชื่อเชนเป็นครั้งแรก
               
มันหมายความว่าแม่ยอมรับเขา
               
“เก้าโมงครับ” ผมยิ้มตอบ เชนบอกผมมาแบบนั้น และเขาบอกว่าจะไม่มีทางมาสาย
               
แม่หันไปมองนาฬิกาบนผนังซึ่งเข็มสั้นกำลังจะชี้ไปที่เลขแปด บ่งบอกว่าเหลือเวลาอีกชั่วโมงเดียวเท่านั้น ก่อนจะส่งเสียงฮัมในลำคอ

“อืม เหลือเวลาอีกชั่วโมงนึง แม่น่าจะทำกับข้าวทัน... แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกแม่จะแต่งตัวหล่อๆ ทันหรือเปล่า” ดวงตาที่แสนอ่อนโยนมองผมที่อยู่ในสภาพชุดนอนตัวแต่หัวจรดเท้าอย่างหยอกล้อ
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนจะกอดแม่แน่นๆ อีกครั้ง และเอ่ยอย่างดื้อรั้น “ให้ผมช่วยก่อนแล้วสัญญาว่าจะแต่งตัวหล่อที่สุดในชีวิตไม่ให้แม่ขายหน้าแน่นอนครับ”
               
แม่ยักไหล่และยอมให้ผมช่วยในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าพออยู่ต่อหน้าเชฟมือหนึ่งของบ้าน ผมก็มีหน้าที่เพียงแค่ล้างผัก หั่นเนื้อ เรื่องง่ายๆ ที่แม่ก็ทำเองได้ แต่ผมสบายใจกว่าที่จะช่วยทำ ระหว่างที่ช่วยแม่ทำอาหารเช้า ผมได้ยินเสียงพ่อเดินลงมาจากชั้นสอง เข้าไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมในห้องนั่งเล่น เปิดทีวีรายการข่าวเช้าเพื่อฟังรายงานข่าวปัญหาสังคมซ้ำซากที่อาจจะทำให้พ่อจิตตกมากกว่าปกติ
               
“ตรี” แม่เรียกเมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนเหม่อระหว่างมาหยิบของในตู้เย็น
               
“ครับ?” ผมหันกลับไปถาม พลางเดินไปที่อ่างล้างจานเพื่อล้างผัก แม่เดินมาแย่งมันไปจากมือผม ก่อนจะปิดน้ำ และเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเคย
               
“อย่ากังวลเลย” แม่เช็ดมือ และเอื้อมมือมาถูไหล่ผมเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “ไปอาบน้ำแต่งตัวรอแฟนลูกมาเถอะ”
               
ผมนิ่งไปนานเหมือนสมองมันเลิกประมวลผลไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มและพยักหน้ารับ “ครับ”
               
               
ผมใช้เวลานานกว่าปกติในการปล่อยให้น้ำผ่านหัวสมองที่ดูเหมือนจะขาวโพลนไปทุกที ก่อนจะออกมาเลือกเสื้อยืดสีอ่อนกับกางเกงยีนสีเข้มง่ายๆ สวมและนั่งโง่ๆ อยู่บนเตียงพยายามคิดว่าจะช่วยเชนอธิบายกำพ่อยังไงดี แต่ก็ไม่มีคำพูดที่เข้าท่าไหลเข้ามาในสมองเลย
               
เหลืออีกห้านาที...
               
จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้ผมต้องหยิบกีตาร์ตัวเก่าขึ้นมาดีดทำนองเดียวกับที่เล่นซ้ำไปซ้ำมาเมื่อคืน เพลงของเชน ราวกับจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจของผมให้สงบลงได้

แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนที่เสียงกริ่งหน้าบ้านจะดังขึ้นมา
               
ผมชะงัก ก่อนจะได้สติ วางกีตาร์และวิ่งลงไปด้านล่างโดยอัตโนมัติ พ่อยังคงอยู่ที่ห้องนั่งเล่น และมองมาด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเคย ผมเห็นแม่เดินออกมาจากห้องครัวตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านไปพอดี ท่านยิ้มเป็นกำลังใจให้ผม และผมก็ยิ้มตอบด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวกับกำลังจะระเบิดออกมา
               
ให้ตาย ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
               
ผมเดินออกไปหน้าบ้านพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ก็ทำได้ยากเห็นเหลือเกิน แต่แล้วก็ต้องชะงักไป พร้อมกับความคิดมากมายที่หายไปชั่วขณะ

สิ่งแรกที่เด่นสะดุดตาผมไม่ใช่รถสปอร์ตสีดำคันเท่ที่ผู้ชายทุกคนบนโลกนี้คงอยากได้ แต่เป็นร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวพับแขนขึ้นมาจนถึงข้อศอก กับกางเกงสแลกห้าส่วนและรองเท้าผ้าใบดูมีสไตล์ราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่น ผมที่เริ่มยาวจนสังเกตได้ ถูกเซตไปข้างหลังลวกๆ แต่กลับดูดีซะจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเองเป็นผู้หญิง คงจะกรี๊ดออกมาดังๆ ด้วยความคลั่งไคล้คนตรงหน้าอย่างเก็บอาการไม่อยู่
               
เขายิ้มตอนที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมเดินเข้าไปหา และยิ้มกว้างตอบเขาเช่นกัน
               
ผมมองเขาไม่วางตานานนับนาที ไม่ใช่เพราะว่าวันนี้เขาดูดีกว่าทุกวัน แต่เป็นเพราะผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองคิดถึงเขามากแค่ไหน
               
“ควรกลับไปเอาสูทที่บ้านมั้ย?” เชนเลิกคิ้วถามติดตลกเมื่อเห็นยังคงเอาแต่ยืนนิ่งมองเขา
               
ผมหัวเราะ ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม แล้วทำสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำในเวลานี้ อย่างการกอดเขาแน่นๆ ให้สมความคิดถึง

ถ้าพ่อมาเห็นต้องแย่แน่... แต่ขอเถอะ ผมห้ามใจไม่ไหวจริงๆ 
               
“หืม?” ผมส่งเสียงประหลาดใจ “หน้าบ้านเลยเหรอ? ประเจิดประเจ้อไปหน่อยหรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
               
ผมอยากจะโกรธเขาจริงๆ ที่ยังหัวเราะได้ในวันที่ผมอยากจะร้องไห้แบบนี้

มันเกิดจากความรู้สึกมากมายที่ประเดประดังเข้ามาทันทีที่ได้สัมผัสกลิ่นกายอันคุ้นเคย ยิ่งตอนที่เขากอดตอบพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ ก็ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกเหล่านั้นจนน้ำตามันรื้นขึ้นมาจริงๆ
               
“คิดถึง” น่าสมเพช ที่ความรู้สึกมากมายของผมมันกลั่นกรองออกมาได้แค่เพียงคำพูดเดียวเท่านั้น “คิดถึงมากเลย”
               
เชนหัวเราะเมื่อผมเอ่ยซ้ำอย่างคนโง่ ก่อนจะก้มลงซุกหน้าลงกับไหล่ผมพร้อมกับกดจูบหนักๆ ลงมาที่หลังหูผมและจูบซ้ำอีกครั้งในเวลาไม่กี่วินาที เรากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมกันโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
               
เนิ่นนานกว่าผมจะตระหนักได้ว่าคงถึงเวลาแล้วที่ผมควรพาเขาเข้าบ้านสักที
               
“พร้อมเจอเรื่องน่ากลัวที่สุดในชีวิตหรือยัง” ผมผละออกมา ถามติดตลก แม้ในใจจะไม่ได้ตลกเลยก็ตาม
               
เชนยิ้มขำขยี้หัวผมแรงๆ ก่อนจะส่ายหน้า

“ยัง” เขาแบมือขึ้นมา
               
ไม่ต้องบอกผมรู้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร จึงยกมือขึ้นไปวางไว้บนฝ่ามือหนาของเขาที่ดึงมือผมไปจรดริมฝีปากลงปลายนิ้ว แล้วใช้นิ้วโป้งลูบแหวนที่ผมสวมเอาไว้บนนิ้วนางข้างซ้ายเบาๆ
               
“พร้อมแล้ว” เขายิ้ม กุมมือผมไว้แน่น
               
รอยยิ้ม และฝ่ามือ ที่บอกว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน ต่อให้วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

               
ผมพาเชนเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่พ่อกับแม่นั่งรออยู่แล้ว แม่ผมยิ้มและรับไหว้เมื่อเขาเดินเข้ามาทักทาย ในขณะที่พ่อ...เบือนหน้าหนีไปเหมือนเคย
               
“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้นะ” แม่บอกพลางผายมือไปทางโซฟา และลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว ผมทำท่าจะเข้าไปช่วย แต่ท่านก็ห้ามไว้และพยักหน้าให้ผมอยู่กับเชน
               
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มให้แม่ผม และนั่งลง

ผมนั่งลงข้างเขาโดยไม่พูดอะไร ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงยิ้มขำออกมาที่เขากลายเป็นคนสุภาพขัดกับหน้าตาขนาดนี้ แต่เพราะตอนนี้เรายืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาถมึงทึง ที่ไม่ยอมแม้แต่จะชายตามองหรือยกมือรับไหว้กลับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นรักของลูกชาย ความนิ่งเงียบจึงเป็นสิ่งเดียวที่เลือกทำ
               
เชนบีบมือผมแรงขึ้น ก่อนจะคลายออกแล้ววนนิ้วไปมาตรงตำแหน่งแหวนที่ผมสวมอยู่ พร้อมกับหันมาสบตาด้วยสายตาที่บอกว่าไม่เป็นอะไร และเขาพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป
               
“สวัสดีครับ...คุณลุง” เขาใช้สรรพนามเรียกพ่อผมอย่างระมัดระวัง เพราะคงจะอ่านใจออกว่าพ่อคงจะไม่ชอบแน่ถ้าเขาล้ำเส้นใช้สรรพนามอื่นที่ใกล้ชิดมากกว่านี้
               
และเมื่อพ่อไม่ตอบอะไร เชนจึงพูดต่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่เอาน้ำมาให้และนั่งลงที่โซฟาอีกตัวพอดี
               
“ผมชื่อเชนครับ... เป็นแฟนตรี” คราวนี้พ่อหันมาขมวดคิ้วมองเชนอย่างไม่พอใจที่ได้ยินแบบนั้น
               
แต่คนที่อยู่ข้างตัวผมยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีประหม่าใดๆ ออกมา เขาสบตากับพ่อผมนิ่ง ด้วยสายตาที่จริงใจ
               
ซึ่งผมหวัง ว่าพ่อจะเห็นมันเหมือนที่ผมเห็น
               
“ผมเรียนวิศวะโยธา กำลังจะขึ้นปีสี่ ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัวด้านนี้พอดี... ดังนั้นรับรองว่าจบไปผมจะไม่ตกงาน” เขาพูดเข้าประเด็นทันทีราวกับอ่านใจพ่อออกว่ากำลังประเมินหัวนอนปลายเท้าของเขาผ่านสายตา
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน ธุรกิจส่วนตัวเหรอ? ...เป็นนิยามกิจการใหญ่ยักษ์ของครอบครัวเขาที่ฟังดูถ่อมตัวดีจัง
               
“ผมจะตั้งใจเรียน มีฐานะที่มั่นคงในอนาคต... ผมเลี้ยงดูเขาได้แน่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ผมรู้ว่าเชนเป็นคนไม่ชอบอ้อมค้อม แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาพูดยิงได้ตรงเป้าขนาดนี้
               
ผมรู้ว่ามันคือสิ่งที่พ่อกังวลจากเรื่องที่ได้ยินในคืนนั้น และสายตาตกใจที่ท่านแสดงให้เห็นแวบหนึ่งหลังจากได้ยิน
               
“ผมเตรียมแผนสำหรับพวกเราไว้หมดแล้ว ผมพาเขาไปที่บ้าน คุยกับพ่อของผมเรียบร้อยแล้ว” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยต่อไปเมื่อเห็นว่าพ่อยังไม่ยอมพูดอะไร เขาบีบมือของผมที่ยังคงยิ้มออกมาบางๆ และไม่ยอมละสายไปไปจากใบหน้าคมที่กำลังสร้างความมั่นใจให้บุพการีที่อยู่ตรงหน้าผม ด้วยหัวใจที่เต้นรัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้นไม้เหี่ยวๆ ที่ถูกเติมปุ๋ยและน้ำจนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
               
“ผมรู้ว่าคุณลุงกังวล ว่าผมกับตรีจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบไม่ได้” เขาพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ
               
“...”
               
“แต่เชื่อเถอะครับ ว่าผมจะยอมทำทุกวิถีทางให้เขามีความสุขไปตลอดชีวิต” คำพูดทุกคำของเชน ล้วนตอกย้ำความรู้สึกของเขาได้อย่างชัดเจน และแสดงให้เห็น ว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของพ่อผมมากแค่ไหน
               
ผิดกับผม ที่ถ้าไม่บังเอิญได้ยินพ่อกับแม่คุยกันวันนั้น ก็คงไม่มีวันรู้เลย ว่าในใจลึกๆ แล้วพ่อกำลังคิดอะไร   
               
“...” พ่อยังคงไม่ยอมพูดหรือตอบอะไร มองตรงมาด้วยสีหน้าที่ผมเดาไม่ออก
               
มันเหมือนกับเหรียญที่กำลังหมุนคว้างอยู่ในอากาศ ไม่รู้เลยว่าพอตกลงมาที่พื้น มันจะออกหัวหรือออกก้อย
               
“คุณคะ” แม่พยายามเตือนให้พ่อเอ่ยอะไรออกมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่กดดันพวกเราด้วยความเงียบงันแบบนี้ ในขณะที่เชนเองก็คงจะจนคำพูดที่จะสาธยายแล้วเหมือนกัน สุดท้ายเขาจึงเอ่ยคำพูดที่คงจะใช้วัดคำตัดสินออกมา
               
“ผมรักเขา... รักตรีมากจริงๆ” เขากันมาสบตาผม ราวกับจะพูดให้ผมฟังมากกว่าชายวัยกลางคนที่เอาแต่ทำหูทวนลมอยู่ตรงหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม
               
“หน้าตาผมอาจจะไม่ได้ดูเป็นคนดีเท่าไหร่ แต่ผมรับรองว่าผมจะไม่ทำให้ตรีเสียใจ... ผมสัญญา”
               
ผม...อยากจะกอดเขาแน่นๆ สักที ให้สมกับคำบอกรักจริงใจที่ช่วยให้หัวใจของผมมันกลับมาเต้นได้ด้วยความรู้สึกสุขล้นอีกครั้ง
               
แต่ความสุขนั้นก็แทบจะหายไปทันทีที่น้ำเสียงดุดันเอ่ยขึ้นมาด้วยคำพูดที่ราวกับจะทิ่มแทงหัวใจดวงนี้ให้ซูบลง
               
“ฉันไม่อยากได้ยินคำสัญญาอะไรทั้งนั้น” พ่อพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาไม่ต่างจากเดิม
               
มันทำให้ผมรู้ว่า พ่อของผมเป็นคนดื้อรั้นไม่แพ้ผมเลย
               
“...”
               
“ที่แกต้องทำก็แค่เลือกมา...”
               
“...”
               
“ว่าจะเลิกกับลูกชายฉัน หรือจะยอมไม่เจอหน้ามันอีกตลอดชีวิต”
               
“คุณ!” แม่ร้องเรียกอย่างตกใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่พ่อที่ยื่นคำขาดออกมาก็ไม่ยอมรับฟัง ท่านลุกจากโซฟาทำท่าว่าจะเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นสอง แต่ผมทนเงียบต่อไปไม่ไหวจึงลุกขึ้นตะโกนเรียกท่านออกมาในที่สุด
               
“พ่อครับ!”
               
“...” โชคดี ที่พ่อยังฟังเสียงของผมบ้าง แม้จะไม่ยอมหันมาสบตาก็ตาม
               
“ผมรู้ว่าพ่อเป็นห่วงผม” ผมพูดเสียงดังจนแทบจะตะโกน เพื่อสื่อความรู้สึกที่มีไปให้ถึงท่าน “แต่ผมกับเชน เรารักกันจริงๆนะครับ”
               
ขอแค่สักนิดก็ยังดี
               
“...”
               
“ผมรู้ว่าพ่อดูออกว่าเชนจริงใจแค่ไหน... ผมรู้ว่าอนาคตที่เขาพูดถึง มันการันตีอะไรไม่ได้เลย”
               
“...”
               
“สุดท้ายเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปตามคำสัญญาที่ให้กับพ่อวันนี้”
               
“...”
               
“แต่พ่อครับ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิตการเป็นลูกชายที่แสนดื้อรั้นและเอาแต่ใจคนหนึ่ง “ปล่อยให้เราลองดูสักครั้งไม่ได้เหรอ” ผมรู้สึกว่าน้ำตามันกำลังจะรื้นขึ้นมา ตอนที่พูดจบและเห็นความสั่นไหวบนแผ่นหลังที่เครียดเกร็งของพ่อตัวเอง
               
สถานการณ์มันยากเย็นเหลือเกินจนผมรู้สึกท้อขึ้นมา แต่ไม่กล้าแสดงออก เพราะรู้ว่าการยอมแพ้ของผม จะต้องทำร้ายเจ้าของฝ่ามือที่กุมมือผมไว้ไม่ยอมปล่อยอีกแน่
               
“คุณคะ ฟังลูกบ้างเถอะ” แม่พยายามช่วยพูด ท่ามกลางความกดดันและบรรยากาศอันเงียบงัน
               
แต่พ่อผม ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังในความดื้อรั้นของท่านเลย
               
“ลาออกจากมหาวิทยาลัย... แล้วไปอยู่อิตาลีกับพ่อกับแม่ซะ” จบคำนั้น ท่านก็เดินจากไป และไม่หันกลับมาอีกเลย
               
“คุณ!” แม่ตะโกนเรียกและหันมามองพวกเราด้วยความลำบากใจ ก่อนจะเดินตามไปหวังจะเจรจา
               
ผมได้แต่มองภาพแผ่นหลังคุ้นเคยของบุพการีที่ห่างออกไปจนกระทั่งลับตาและได้ยินเสียงประตูห้องด้านบนปิดลงอย่างแรง พร้อมกับเสียงถอนหายใจเบาๆ ของผู้ชายที่กุมมือผมไว้ตลอดเวลา
               
“นี่ฉัน... พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า” เขาว่าพร้อมกับดึงมือผมไปอังหน้าผากของตัวเองเอาไว้ ผมจึงทรุดตัวลงข้างเขาอีกครั้งพร้อมกับอิงศีรษะลงไปพิงไหล่กว้างด้วยความรู้สึกเหนื่อยจับใจ
               
“ไม่หรอก นายไม่ได้พูดอะไรผิดเลย”
               
พ่อผมเองต่างหาก ที่ทำเกินไป
               
               
เวลาผ่านไป
               
ผมไม่เคยโกรธพ่อขนาดนี้มาก่อน
               
ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะรู้สึกแบบนั้น แต่การที่ท่านยื่นเงื่อนไขที่แสนจะใจร้ายนั้นออกมา ก็เป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้เหมือนกัน เดิมทีท่านก็ไม่อยากให้ผมเรียนสถาปัตย์ฯ อยู่ที่นี่อยู่แล้ว แต่ผมไม่คิดว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านจะเอาประเด็นเดิมกลับมาเป็นเงื่อนไขที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างเราอีก
               
มันไม่แฟร์เลย
               
หลังจากที่หายเข้าไปในห้องอยู่พักใหญ่ แม่กลับลงมาด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ก็พยายามเข้ามาให้กำลังใจผมกับเชน แม่บอกว่าที่พ่อพูดแบบนั้น เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นไม่อยากให้ผมกับเชนคิดมากเกินไป
               
ข้อนั้นผมรู้แก่ใจดี... พ่ออยากเอาชนะผม จึงต้องค้านหัวชนฝาไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆ
               
แม่อนุญาตให้เชนพาผมออกมาผ่อนคลายข้างนอกได้ แม้ว่าจะทำกับข้าวไว้รอเขาก็ตาม แต่ตอนนั้นพวกเราทุกคน ไม่มีใครอยากอาหารเลยสักคน สุดท้ายผมเลยยอมออกจากบ้านมา
               
เชนพาผมมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าไม่ไกลมากนัก เพราะข้างนอกอากาศร้อนเกินไปจนอาจจะทำให้ผมกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ เราไม่ได้ทำอะไรมากกว่ากิจวัตรซ้ำซากของคู่รักอย่างการกินข้าว เดินเล่น และดูหนัง แต่สมาธิของผมไม่ได้โฟกัสกับสิ่งเหล่านั้นเลยตลอดวัน
               
ผมปล่อยให้ความคิดตัวเองจมดิ่งอยู่ในความสับสนวุ่นวายไม่รู้จบ เอาแต่โทษตัวเองที่พาเชนไปเจอกับพ่อเร็วเกินไปทำให้เขาต้องโดนทำร้ายจิตใจแบบนี้ ถ้าผมรออีกสักนิด พูดให้พ่ออคติกับเขาน้อยลง อะไรๆ มันก็อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
               
ตุบ
               
ผมสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆ ก็มีน้ำหนักทิ้งลงมาบนไหล่ ขัดจังหวะความวิตกกังวลที่แล่นไปมาอยู่ในหัว
               
ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ ดูหนังนอกกระแสที่ใกล้จะออกจากโรงเต็มที ทำให้คนในโรงมีเพียงเราสองคนและคนอื่นอีกสองสามคนที่นั่งกระจายกันอยู่ด้านหน้าเท่านั้น
               
“หลับเหรอ” ผมกระซิบถามเจ้าของเรือนผมนุ่มที่อิงลงมาบนไหล่
               
ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะหลับ เพราะเชนเองก็คงจะนอนน้อยไม่แพ้ผมเหมือนกัน แถมยังต้องตื่นเช้ามาเจอเรื่องหนักๆ แล้วต่อด้วยการพาผมตระเวนเที่ยวเพื่อคลายอารมณ์อีก
               
ผมนี่มันแย่จริงๆ
               
“เปล่า” เขาตอบ แย่งเครื่องดื่มในมือผมไปวางไว้อีกฝั่ง พลางสอดนิ้วเย็นเฉียบของตัวเองมาเข้ามาระหว่างนิ้วทั้งห้าของผม “กำลังเรียกร้องความสนใจ” แล้วดึงหลังมือผมไปจูบเบาๆ
               
“ขอโทษที” ผมเอ่ย ทั้งขำและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกันที่เขาพูดออกมาตรงๆ แบบนั้น
               
อย่างที่บอก ว่าตลอดเวลาผมเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ในหัว จนแทบไม่โฟกัสอะไรเลย พูดออกมานับครั้งได้ตอนที่เราเดินเล่น
และกินอาหารกลางวันด้วยกัน มันคงจะทำให้เขาเหงาไม่น้อย
               
จมูกโด่งซุกลงมาที่ซอกคอของผมราวกับจะซึมซับกลิ่นผิวกายที่เย็นเฉียบพร้อมกับใช้ลมหายใจร้อนๆ นั่นช่วยทำให้
กล้ามเนื้อที่เครียดเกร็งของผมรู้สึกเหมือนถูกหลอมละลายได้ในเวลาเดียวกัน
               
“ฉันอยู่ตรงนี้นะ” เขาเอ่ย
               
“...”
               
“จะไม่ไปไหน ถ้านายไม่ไล่ จำได้มั้ย”
               
“...” ผมไม่ตอบอะไร แค่เอียงหน้ากลับไปกดจูบหนักๆ ลงบนผมนุ่มหอมของคนข้างตัว
               
“เหนื่อยหรือยัง?” อยู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน
               
“ทำไมถึงถามแบบนั้น” ผมเลิกคิ้วถามกลับไป
               
เชนนิ่งไปก่อนจะพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา “ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ มันก็นึกเรื่องของฟ้าขึ้นมา”
               
“...”
               
“เหมือนเดินวนกลับไปจุดเดิมเลย” เจ้าของเสียงทุ้มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะยกมือผมขึ้นมาจรดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน “สงสัยฉันจะไม่มีดวงกับเรื่องพ่อตาเท่าไหร่นะ ว่ามั้ย”
               
ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำตาม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรื่องของฟ้ากับเชน ก็จบลงเพราะถูกพ่อแม่ของฝ่ายหญิงกีดกันเหมือนกัน คงไม่แปลกที่เขาจะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
               
แต่ผมเชื่อ ว่าเรื่องของเรามันจะไม่เป็นแบบนั้น
               
“เชื่อใจฉันสิ” ผมบอก เป็นฝ่ายยกมือของเขาที่กุมเอาไว้ขึ้นมาจูบเบาๆ บ้างอย่างต้องการสร้างความมั่นใจ
               
“...”
               
“เดี๋ยวมันจะผ่านไปด้วยดี”
               
ผมให้สัญญา
                                                                                                                               
               
00.40 A.M.
               
เชนมาส่งผมที่บ้านหลังจากที่เราดูหนังจบ
               
เป็นอีกครั้งที่ผมปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเราตกอยู่ในความเงียบงัน ปล่อยให้เพลงจากเครื่องเสียงในรถได้ทำหน้าที่ของมัน แม้ไม่มีใครสนใจฟังก็ตาม 

เชนรับรู้ความรู้สึกกดดันที่อยู่ในใจผมได้ แม้ผมจะพยายามพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่เป็นไร แต่ผมจะปกปิดผู้ชายที่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเขาก็ยังอ่านใจผมออกได้ยังไง เขารู้แม้กระทั่งว่า เวลานี้ผมต้องการปล่อยให้ความคิดอันสับสนวุ่นวายของตัวเองไหลอยู่ในหัวเงียบๆ จึงไม่ชวนคุยหรือเซ้าซี้อะไรอีก แค่กุมมือผมไว้ ถ่ายทอดกำลังใจผ่านฝ่ามือหนาอันอบอุ่นของเขาเท่านั้น
               
“ขอโทษครับที่ทำให้วันนี้ไม่สนุกเลย” ผมเอ่ยเมื่อเราขับรถมาจนถึงหน้าบ้าน และปลดเข็มขัดนิรภัยออก “แล้วก็ขอโทษด้วยที่เมื่อเช้าพ่อพูดไม่ดี” ผมสบตาเขาด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง
               
แต่เชนกลับยิ้มอย่างไม่ถือสา ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงใบหน้าผมเข้าไปเพื่อจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ
               
“ไม่เป็นไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บอกว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ
               
ผมยิ้มตอบเจ้าของดวงตาคู่สวยก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ และไม่ลืมที่จะเตือนเขา
               
“ถึงบ้านแล้วโทรมาด้วยนะ”

ถึงวันนี้เราต่างเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่ผมก็ยังอยากได้ยินเสียงของเขา เพราะรู้ว่ามันจะทำให้ผมฝันดี ในวันที่เจอเรื่องหนักอึ้งแบบนี้
               
“อืม” เขาพยักหน้ารับเบาๆ
               
“บาย”
               
“บาย”
               
เราบอกลากันแค่นั้น แม้ในใจจะมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ย
               
อันที่จริง... ผมไม่อยากจะแยกจากเขาเลย
               
ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากวิ่งกลับไปที่รถ ให้เขาพาผมไปที่ไหนก็ได้ และไม่ต้องกลับมาอีก
               
แต่มันคือความฝันลมๆ แล้งๆ ชัดๆ

“ตรี” ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรั้วทันที เมื่อได้ยินชื่อตัวเองจากเจ้าของเสียงทุ้มที่ไม่ได้เอ่ยชื่อผมออกมาบ่อยนัก
               
ผมหันกลับไปมอง ร่างสูงที่เปิดประตูลงจากรถมาตอนไหนก็ไม่รู้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นจนแทบจะทนไม่ไหว
               
“ตรี” และเมื่อเขาเรียกชื่อผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแรง พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เจือปนไปด้วยความหวาดกลัวที่ถูกซ่อนเอาไว้ตลอดวัน สมองของผมมันก็สั่งการให้ขาทั้งสองข้างก้าวกลับไปหาเขาอีกครั้งทันที
               
ผมสวมกอดร่างสูงที่กำลังร้องเรียกหาผมไว้แน่น... แน่นกว่าครั้งไหนๆ ขณะที่เชนฝังจูบลงมาบนต้นคอของผม เลื่อนมาที่สันกราม และขมับ จูบหนักๆ ที่ราวกับจะฝังอยู่อย่างนั้นตลอดไป
               
“หัวใจของฉัน มันเหมือนกำลังถูกบีบเลย” เขากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “เจ็บมาก...”
               
“...”
   
“ทำยังไงดี”
               
ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ออกมาผ่านเสียงทุ้มที่แสนอ่อนแรงนั้นได้เป็นอย่างดี กลับเป็นผมเองต่างหาก ที่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างเงียบงัน พยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้เขาได้ยิน
               
แม้ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยก็ตาม
               
ผมผละอ้อมกอดออกมาเพื่อที่จะมองหน้าเขา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขาเบาๆ และเอ่ยคำสามพยางค์ที่ช่วยเหนี่ยวรั้งเราทั้งสองคนเอาไว้ตลอดมา
               
“ฉันรักนาย”

“...”

จูบซ้ำอีกครั้ง และยืนยันคำพูดที่ดังก้องอยู่ในใจ

“ฉันรักนาย”
               
เพื่อตอกย้ำความเชื่อมันให้ทั้งเขาและตัวเองรู้ว่า ผมจะไม่ยอมแพ้
               
ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด





-- makok_num --

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
โอย น้ำตาจะไหล

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
ว่าที่ลูกเขยดีขนาดนี้แล้วคุณพ่อยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอคะ  o9

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด