[Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14  (อ่าน 186388 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
พี่แกมึนตลอดดดด 555

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
13
ความสับสน
 
               
‘คบกับฉันมั้ย?’
               
               
พรึ่บ!
               
ร่างกายของผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นในความฝันเป็นรอบที่ร้อย ให้ตาย ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วทำไมคำพูดของหมอนั่นยังตามมาหลอกหลอนผมอยู่ได้นะ บ้าบอชะมัด -*-
               
ผมก้าวขาลงจากเตียง ก่อนจะหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา สิบโมงแล้วแฮะ... ผมบิดขี้เกียจก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำแปรงฟัน เปิดเทอมใหม่ได้เกือบอาทิตย์นึงแล้ว แต่ผมรู้สึกเหมือนเรียนมาเป็นปีเลย การเรียนปีสองของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เนี่ย ฮาร์ดคอร์อย่างที่เขาว่าจริงๆ ขนาดอาทิตย์แรกที่เปิดเรียน อาจารย์ยังสั่งงานอย่างไม่มีความปราณีนักศึกษาตาดำๆ เลยสักนิด เฮ้อ
               
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ผมก็ตั้งใจจะออกมาทำกับข้าวง่ายๆ กินเหมือนอย่างเคย แต่เมื่อเข้ามาในครัวและพบว่ามันมีกับข้าวถุงวางอยู่ พร้อมกับข้าวสวยที่เหลืออยู่ในหม้อหุงข้าว ผมก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
               
ฝีมือหมอนั่นอีกแล้ว
               
ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจกับข้าวที่เขาซื้อมาให้หรอกนะ ผมรู้ว่าเขาหวังดี แต่... ผมแค่ลำบากใจ
               
หลังจากเรื่องวันนั้น ผมกับเชนก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมจงใจหลบหน้าเขาด้วยแหละ โชคดีที่พอขึ้นปีสาม หมอนั่นก็ดูจะยุ่งๆ แถมเขาต้องไปเล่นดนตรีจนดึกดื่นอีก กว่าจะกลับ ผมก็นอนหลับไปแล้ว และตอนเช้าผมก็จงใจตื่นสายกว่าปกติ เพื่อรอให้เชนที่มีเรียนเช้ากว่าออกจากห้องไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
               
ผมพยายามหลบหน้าซะขนาดนี้ ถึงไม่ต้องบอกใครๆ ก็เดาได้ใช่มั้ยล่ะ ว่าผมตอบอะไรเขาไปในคืนนั้น...
 
               
‘ฉัน... ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ขอโทษนะ’           
               
               
เฮ้อ ตอนผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ นะ แต่คิดว่าการปฏิเสธไปแบบนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่เขามาขอคบกับผมมันคืออะไร อยากปั่นหัวผมเล่นงั้นเหรอ? หรือว่าเป็นแค่คำถามลองเชิง? ที่แน่ๆ มันคงไม่ใช่ความรักหรอก คนอย่างหมอนั่นน่ะนะจะมาชอบผม แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
               
เฮ้อ
               
ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย (อาจจะเกินร้อยด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่าพักนี้ผมถอนหายใจบ่อยเหลือเกิน ) พลางถือจานข้าวที่ราดแกงเสร็จสรรพเดินมานั่งกินที่โต๊ะอ่านหนังสือ สาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากจะถอนหายใจเป็นคนแบกโลกแบบนี้ทุกๆ วินาทีหรอกนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา ตอนนี้ผมกลุ้มใจสุดๆ กลุ้มจนไม่รู้จะกลุ้มยังไง ทั้งๆ ที่เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว แต่ทำไมผมถึงยังรู้สึกไม่ดีก็ไม่รู้
               
แกรก
               
...!
               
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างสูงที่เดินหน้าตายเข้ามา ผมไม่กล้าสบตาเขาจึงหันกลับมามองจานข้าวตัวเองนิ่งอย่างทำตัวไม่ถูก
               
ฉิบหายละ เอาไงดีวะ แกล้งตายเหรอ? หมอนี่กลับมาทำบ้าอะไรตอนนี้เนี่ย T_T!
               
“...” ผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที เมื่อรู้สึกว่าร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ และยืนอยู่ด้านหลังผมในระยะประชิด
               
วะ...เวรแล้วไง
               
“นะ...นาย...” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมานิ่งๆ พร้อมกับพูดอึกอักทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากจะพูดอะไร
               
“มาเอาหนังสือ”
               
แต่แล้วน้ำเสียงเรียบนิ่งที่พูดขัดขึ้นมาก็ทำให้ผมต้องชะงัก ผมมองใบหน้าคมเข้มที่เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเพยิดหน้าไปยังลิ้นชักใต้โต๊ะที่อ่านหนังสือซึ่งผมนั่งขวางอยู่
               
พอเห็นว่าผมได้แต่นั่งนิ่งไม่ขยับ คนตรงหน้าก็ถอนหายใจเล็กๆ ก่อนจะก้มลงมาเปิดลิ้นชัก และควานหาหนังสือของตัวเอง ทั้งๆ ที่ผมยังคงนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
               
“...”
               
อะ...เอ่อ... ผมหนีตอนนี้จะทันหรือเปล่า
               
มันไม่ใช่เหตุการณ์น่าตื่นเต้นอะไรเลยสักนิด แต่มันกลับทำให้หัวใจดวงน้อยของผมเต้นรัวซะจนผมต้องยกมือขึ้นมากำอกเสื้อตัวเองไว้ หวังว่าจะหยุดไม่ให้มันเต้นแรงไปมากกว่านี้ จนทำให้คนตรงหน้านี้ได้ยิน
               
“...!” แต่ผมก็ชะงักจนแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้ไอ้เมื่ออยู่ๆ หมอนี่ก็เงยหน้าขึ้นมา จมูกโด่งเป็นสันอยู่ห่างจากจมูกของผมเพียงไม่กี่เซ็นต์เท่านั้น ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะที่สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่จ้องกลับมานิ่งๆ ใบหน้าของหมอนี่อยู่ใกล้มากซะจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รดลงมาบนปลายจมูกของผมได้เลย
               
“นายเห็นหนังสือฉันมั้ย” หลังจากปล่อยให้ผมฟุ้งซ่านอยู่พักใหญ่ น้ำเสียงเรียบก็พูดขึ้นมาพร้อมกับคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน
               
“หะ...ฮะ?” ผมได้แต่ขานรับกลับไปด้วยใบหน้าโง่ๆ
               
“หนังสือฉันน่ะ เล่มสีเขียว เห็นบ้างมั้ย” เขาถามอีกรอบ คราวนี้ผมส่ายหน้าตอบกลับไป แต่มันช่างเป็นการส่ายหน้าที่อืดอาด และเกร็งสิ้นดีเลย
               
ผมมองคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม ก่อนที่คนตรงหน้าจะถอนหายใจหนักๆ อีกรอบ โดยที่ไม่รู้เลยว่าลมหายใจร้อนๆ นั่นจะส่งผลให้หัวใจผมเต้นเหมือนกำลังจะหัวใจวายตายไปตรงนี้เลย
               
บ้า...ผมกำลังจะบ้าแล้ว ใครก็ได้ช่วยที T__T!!
               
ทั้งๆ ที่หาหนังสือตัวเองไม่เจอ เขาน่าจะไปหาที่อื่น แต่คนตรงหน้ากลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือหนาข้างหนึ่งค้ำโต๊ะอ่านหนังสือเอาไว้ ใบหน้าคมเข้มมองมาที่ผมสลับกับจานข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะ นานหลายวินาที ก่อนที่เขาจะ...
               
“หึ” มุมปากบางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่ร่างสูงจะยืดตัวขึ้น และเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องไป โดยไม่สนใจจะหาหนังสือของตัวเองอีก
               
ปัง
               
เสียงประตูปิดลง พร้อมกับความเงียบที่ครอบคลุมไปทั่วห้อง แต่ท่ามกลางความเงียบนั้น ผมกลับได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองที่เต้นรัวราวกลับจะหลุดออกมาอยู่นอกอก ผมนั่งนิ่งเป็นมนุษย์แช่แข็งอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมองบานประตูที่ปิดอยู่ด้วยความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
               
อันตราย... หมอนั่นมันบุคลอันตรายสุดๆ จริงๆ นะ!
 
               
06.35 P.M.
               
“ตรี จะกลับแล้วเหรอ” เสียงหวานทำให้ผมต้องหันกลับไปมองร่างบางที่วิ่งตามมา
               
“อือ” ผมยิ้มตอบทองกวาว ก่อนจะถามกลับ “แล้วกวาวอ่ะ”
               
“เราก็จะกลับเหมือนกัน ง่วงมากเลยตอนนี้” ทองกวาวเบ้ปาก จริงๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ ตายัยนี่คล้ำเป็นหมีแพนด้าขนาดนี้
               
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ” ผมถาม วันนี้เป็นวันส่งงาน และเพื่อนหลายคนก็มีสภาพแบบนี้กันเกือบหมด รวมถึงผมด้วย ถึงผมจะเริ่มลงมือทำงานตั้งแต่เนิ่นๆ ก็เถอะ แต่กว่าจะเสร็จมันก็ทำเอาผมแทบไม่ได้นอนเหมือนกัน
               
“อื้อ” ทองกวาวพยักหน้าพลางขยี้ตา
               
“แล้วนี่กลับไงอ่ะ ขับมอ’ไซค์ไหวเหรอ” ผมถามอย่างเป็นห่วง สภาพเหมือนซอมบี้ขนาดนี้ ดีไม่ดีขับไม่พ้นโค้งหน้าคณะด้วยซ้ำมั้ง
               
“ไหว แหม ระดับนี้แล้ว” คนอวดดียิ้มร่าทั้งๆ ที่ตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้ว
               
“จริงๆ ให้เราไปส่งก็ได้นะ” ผมเสนอ แต่ยัยตัวเล็กก็ยังคงส่ายหน้า
               
“เราไม่อยากทิ้งมอ’ไซค์ไว้นี่อ่ะ เดี๋ยวต้องใช้” ผมไม่รู้จะต้านความดื้อของยัยตัวเล็กนี่ยังไง เลยได้แต่พยักหน้าตอบ
               
“โอเค งั้นเราไปก่อนนะ” ผมบอกหลังจากที่เราเดินมาจนถึงลานจอดรถแล้ว
               
“ตรีนี่เป็นคนดีเนอะ” ผมกำลังจะแยกตัวออกไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหวานพูดไล่หลังมา
               
“หืม?” ผมหันกลับไปเลิกคิ้วถาม แต่ทองกวาวกลับก้มหน้าและไม่สบตาผม สีหน้าของเธอดูเปลี่ยนไปอย่างที่ผมสังเกตได้
               
“เพราะแบบนี้ล่ะมั้งใครๆ ถึงได้ชอบตรี” เธอพูดต่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “รวมถึงเราด้วย”
               
“...” ผมยังคงยืนนิ่งอย่างไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังพูดเรื่องอะไร แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็เข้าใจ
               
“เราชอบตรีนะ” ร่างเล็กพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ผมรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปแวบหนึ่งด้วยความตกใจ สมองสั่งให้ผมถอยหลังออกมาและมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
               
“กะ...กวาว...” เสียงของผมสั่น จริงๆ แล้วผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยากจะพูดอะไร ทองกวาวหลบสายตาผมก่อนจะหัวเราะแห้งๆ
               
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เราแค่อยากลองพูดดู ไม่ได้คิดจะให้ตรีตอบรับความรู้สึกเราหรอก” ผมมองไม่เห็นแววตาของคนตัวเล็กกว่าเพราะเธอก้มหน้าอยู่ แต่ก็พอจะเดาออกว่าเธอพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าแค่ไหน
               
ผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มานี่นา
               
“ขอโทษที่ทำให้ตรีตกใจนะ” ทองกวาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม “แล้วเจอกันพรุ่งนี้” ว่าจบเธอก็หมุนตัวเดินไปอีกทาง ถ้ามองไม่ผิด ผมเห็นดวงตาของเธอมีน้ำตาคลออยู่
               
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เพราะผมเองก็เคยสารภาพรัก และใช้คำพูดที่แสดงออกว่าถึงอีกฝ่ายจะไม่รับรักก็ไม่เป็นไร... แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย...
               
ในใจของคนที่สารภาพรัก ไม่ว่ายังไงก็อยากได้ความรักตอบ แม้มันจะเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ก็ตาม
               
“งั้นเรามาลองคบกันมั้ย” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้นออกไป รู้ตัวอีกที คำพูดที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยนั้นก็ถูกเปล่งออกมาจากปากของผมซะแล้ว
               
และผมก็ไม่สามารถเรียกมันกลับคืนได้แล้วด้วย
               
“วะ...ว่าไงนะ” คนตัวเล็กหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าตกตะลึง น้ำตาที่คลออยู่หยดลงมาอาบแก้มโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะเช็ด
               
“เรา...ลองมาคบกันมั้ย” ผมพูดคำเดิมอีกครั้งแม้ว่าน้ำเสียงของผมครั้งนี้จะเต็มไปด้วยความลังเลก็ตาม
               
“...” ทองกวาวยังคงมองผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง แต่ไม่นานริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
               
“ฮืออ ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ”  เธอเอ่ยขอบคุณผมซ้ำๆ พร้อมกับทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นอย่างไม่สนใจเลยว่าพื้นจะสกปรกแค่ไหน
               
“ฮะ...เฮ้ย ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ” ผมรีบเดินไปนั่งยองๆ ข้างๆ พร้อมกับลูบหัวเธออย่างเก้ๆ กังๆ ยัยตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งที่น้ำตายังนองหน้า
               
“ก็เราดีใจอ่ะ T^T” ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี
               
“งั้นตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วนะ” ผมถามอย่างต้องการตอกย้ำให้แน่ใจ จริงๆ แล้วผมกำลังถามตัวเองต่างหาก
               
“อื้อ” ยัยตัวเล็กตอบพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอเช็ดน้ำตา ก่อนที่ทองกวาวจะลุกขึ้นกับพื้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายต่างจากยัยหมีแพนด้าหน้าง่วงเมื่อกี้ลิบลับ
               
“งะ...งั้นเรากลับหอก่อนนะ” เธอว่าพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยด้วยท่าทางเขินอาย
               
“อือ กลับดีๆ นะ” ผมยิ้มบางๆ ตอบ คนตัวเล็กยิ้มกว้างและโบกมือบ๊ายบายให้ผมก่อนจะวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง ผมมองตามร่างบางที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปจนลับสายตา ก่อนจะเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
               
นี่ผม...ทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย
               
ผมอยากจะควักสมองตัวเองออกมาดูว่ามันมีก้อนเท่าเม็ดถั่วหรือไง ทำไมถึงได้โง่ทำอะไรไม่คิดแบบนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าผมมีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้ว...แถมยังไม่ใช่ผู้หญิงอีกต่างหาก ทำแบบนี้มันไม่เท่ากับว่าผมกำลังหลอกทองกวาวหรอกเหรอ แล้วถ้าเธอรู้เข้าเราสองคนจะมองหน้ากันติดได้ยังไง
               
ให้ตายเถอะ แกนี่งี่เง่าชะมัดเลยไอ้ตรี
               
ถึงแม้ว่าจะมีความคิดในแง่ร้ายจะผุดเข้ามาในสมองของผมมากแค่ไหน แต่ในใจลึกๆ ของผมกลับบอกตัวเองว่า ที่ผมทำน่ะมันดีแล้ว...
               
ไม่ว่าใครก็คงอยากให้คนที่ตัวเองรักตอบแบบนี้ทั้งนั้น
               
อย่างน้อยมันก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เราสองคนได้ลองศึกษากันนี่นา ไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย... ใช่มั้ย?
               
ครืดด
               
ขณะที่ผมกำลังยืนคิดอะไรบ้าบออยู่คนเดียว อยู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาทำให้ผมจำเป็นต้องหยุดความคิดทั้งหมดลง
               
“สวัสดีครับ” ผมรับสายอย่างสุภาพเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรมาไม่ใช่เบอร์ของคนรู้จัก
               
[ ตรีเหรอ ] น้ำเสียงหาเรื่องฟังดูไม่คุ้นหูทำให้ผมชะงักนิดหน่อย แต่หมอนี่รู้ชื่อผมนี่ คงไม่ได้โทรผิดหรอก
               
“ครับ” ผมตอบ
               
[ กูเตอร์นะ ] ไม่ต้องรอให้ผมถาม อีกฝ่ายก็บอกชื่อตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ที่ชวนหาเรื่องเหมือนเคย ไอ้บ้านี่มันโทรมาท้าผมต่อยหรือไงเนี่ยทำเสียงซะโหดเชียว -*-
               
อ่อ ทุกคนยังจำไอ้เตอร์ นักร้องนำวง The Quantum ได้กันอยู่ใช่มั้ย? จะจำได้หรือไม่ได้ก็ช่างเหอะ ประเด็นคือมันโทรมาหาผมทำไมต่างหาก
               
[ ไหนมึงบอกจะมาเล่นกีตาร์ให้วงกูวะ ไม่เห็นโผล่หัวมาซ้อมเลย อาทิตย์หน้าไอ้วินมันก็จะไปเรียนต่อแล้วนะเว้ย ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
               
อา ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลยแฮะ
               
“โทษที ลืมไปเลย” แต่ความจริงมันไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อยนะ ก็ในเมื่อ ‘หมอนั่น’ ไม่ได้บอกอะไรผมสักนิดเลยนี่นา
               
[ ช่างเหอะ แล้ววันนี้มึงว่างหรือเปล่า มาซ้อมได้มั้ย ] เตอร์ถาม แต่น้ำเสียงมันเหมือนกำลังบังคับผมมากกว่า
               
ถึงไม่ว่างก็ต้องว่างสินะ -_-;
               
“อือ ว่าง จะให้ไปที่ไหน กี่โมง?”
               
[ ทุ่มนึง ที่ร้าน ] คำตอบห้วนๆ แต่ตรงประเด็นของไอ้เตอร์ ทำเอาผมไม่มีอะไรจะถามต่อเลย
               
“โอเค” ผมตอบ ก่อนที่ปลายสายจะส่งเสียงเออออเล็กน้อยแล้วตัดสายไปดื้อๆ
               
ไอ้คนพวกนี้นี่เป็นพวกพูดจาห้วนๆ เหมือนหาเรื่องแบบนี้กันทั้งกลุ่มเลยใช่มั้ยเนี่ย น่าหมั่นไส้ชะมัด -*-
               
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาบน้ำคงไม่ทัน งั้นไปเลยก็แล้วกันนะ ผมเดินไปที่รถและกำลังจะเปิดประตู แต่แล้วผมกลับนึกอะไรขึ้นมาได้
               
ถ้าไปซ้อม ผมก็ต้องเจอกับหมอนั่นน่ะสิ...
 

‘คบกับฉันมั้ย?’
 
           
อยู่ๆ คำพูดของเขาในคืนนั้นก็ผุดขึ้นมาในสมองของผมราวกับฉายซ้ำ
               
มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ผมจะตอบรับความรู้สึกของทองกวาว ผมเคยปฏิเสธคำขอคบของผู้ชายคนนั้นมาก่อน
               
ทั้งๆ ที่หมอนั่นขอคบกับผม... แต่ทำไมผมกลับตอบตกลงเหมือนที่ตอบทองกวาวไปไม่ได้นะ...
               
ผมอยากจะเค้นคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน แต่มันกลับมีความคิดต่อต้านบางอย่างที่บอกให้ผมหยุดคิดหาเหตุผลเรื่องนี้ได้แล้ว ในเมื่อเหตุการณ์ครั้งนั้นกับครั้งนี้มันไม่เหมือนกันสักหน่อย
               
ทองกวาวสารภาพรักเพราะเธอชอบผม แต่หมอนั่นพูดแบบนั้นออกมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดอะไรกับผมด้วยซ้ำไม่ใช่หรือไง




-----------------------------------------------------------------------
โชคดีที่มีสต็อกไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้ดองแน่
เพราะงานท่วมหัวมาก T^T

 :m15:

-- makok_num --

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ไอ้หยา

ตรีทำร้ายจิตใจกวาวทางอ้อมแล้วนา

ไปสารภาพเดี๋ยวนี้

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
14
หวั่นไหว
 
               
เราใช้เวลากว่าสามชั่วโมงในการซ้อมดนตรีอยู่ในห้องซ้อมส่วนตัวบนชั้นสามของร้าน ซึ่งผมเพิ่งรู้ว่าเตอร์ นักร้องนำวง The Quantum เป็นหุ้นส่วนด้วย พวกเขาจึงยึดที่นี่เป็นที่ซ้อมดนตรีและที่หลับนอนเป็นบางครั้งเพื่อความสะดวก เวลาที่เมาจนกลับบ้านไม่ไหว

“น้ำ” เตอร์ว่าพลางโยนขวดน้ำเย็นมาให้ผมซึ่งกำลังนั่งเกากีตาร์อยู่ที่โซฟา
               
“ขอบใจ” ผมเปิดน้ำดื่ม ก่อนจะก้มหน้าเกากีตาร์ต่อ หลังจากที่ไม่ได้จับกีตาร์ไฟฟ้ามานาน พอได้มาลองเล่นวันนี้ แถมได้เล่นเพลงร็อกหนักๆ อีก มันทำให้ผมอดฮึกเหิมไม่ได้จริงๆ ถึงเพลงร็อกจะเป็นแนวที่ผมไม่ได้เล่นบ่อยนัก และการร่วมวงกับคนอื่นเป็นครั้งแรก ทำให้ผมต้องปรับเทคนิคในการเล่นเพื่อให้เข้ากับคนอื่นๆ พอสมควร แต่หลังจากที่ซ้อมมาสักพักก็เริ่มชิน และเริ่มจะสนุก ที่ได้เล่นดนตรีร่วมกับคนเก่งๆ อย่างพวกเขา

“พักก่อนก็ได้มั้ง” ต้า มือกลองเดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับมองผมอย่างขบขัน

ผมยิ้มกลับไป แต่ก็ไม่วายกลับมาจดจ่อกับโน้ตเพลงและกีตาร์ในมืออยู่ดี

“มึงนี่เล่นเก่งนะ สมแล้วที่ไอ้เชนมันแนะนำ” เตอร์เอ่ยชมพลางทิ้งตัวลงบนโซฟาบ้าง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ เพราะตลอดเวลาที่ซ้อมด้วยกัน หมอนี่ไม่เคยพูดชมหรือบอกว่าผมเล่นดีเลย มีแต่บอกให้ผมปรับนู่นปรับนี่ จนผมแอบคิดไปแล้วว่าเขาอาจจะไม่ชอบเสียงกีตาร์ของผม

“ว่าแต่วันนี้ไอ้เชนมันจะมาหรือเปล่า” คราวนี้วินที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นคนถาม

“ไม่รู้ ช่างหัวแม่งเหอะ” เตอร์ตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เป็นผมก็คงอารมณ์เสียเหมือนกันล่ะนะ ตั้งแต่ผมเข้ามาในห้องซ้อม ผมก็ไม่เห็นเชนเลยจนกระทั่งตอนนี้ เตอร์บอกว่าอยู่ๆ หมอนั่นก็เบี้ยวนัด แถมติดต่อไม่ได้ เลยต้องให้วินซึ่งเป็นมือเบสอยู่แล้วเล่นแทน ทั้งๆ ที่วันนี้คนที่ควรมาซ้อมมากที่สุดคือผมกับหมอนั่นแท้ๆ

ผมไม่รู้หรอกว่าเหตุผลที่หมอนั่นโดดซ้อมไปดื้อๆ คืออะไร แล้วก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันเป็นเพราะผมด้วย

“ถ้ายังไงพรุ่งนี้มึงลองมาเล่นกับพวกกูที่ร้านเลยนะ สะดวกหรือเปล่า” เตอร์ถามขึ้นมาทำให้ผมที่มัวแต่นั่งเหม่อถึงกับสะดุ้งเล็กๆ

“อะ...อืม ไม่มีปัญหา”

“อ่อ แล้วก็นี่” เขายื่นกระดาษสองแผ่นมาให้ ผมมองผ่านๆ ก็เห็นว่ามันเป็นโน๊ตเพลงสองเพลง  “เพลงที่พวกกูจะใช้ประกวดอาทิตย์หน้า มึงลองเอาไปซ้อมก่อนแล้วกันนะ”

ผมชะงัก “อ้าว ไม่ใช่ว่างานนี้พวกนายจะเล่นด้วยกันเหมือนเดิมเหรอ” ผมจำได้ว่าตอนคุยกันในวงเหล้า ใครสักคนบอกว่าผมแค่มาเล่นที่ร้านหลังจากที่วินไปแล้วเท่านั้น ส่วนการประกวดนี่มันจัดขึ้นก่อนที่วินจะเดินทางหนึ่งวัน แม้จะฉุกลุกไปหน่อยแต่ก็คุ้มที่ได้เล่นสั่งลาด้วยกันในเวทีใหญ่ๆ ผมก็เลยไม่จะเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการประกวดครั้งนี้ 

“พอดีว่าไอ้วินมันต้องไปจัดการอะไรนิดหน่อย ก็เลยต้องบินก่อนกำหนดสองวัน ไม่ทันได้อยู่จนงานประกวดหรอก” เตอร์พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทั้งๆ ที่ผมรู้ว่าพวกเขาซ้อมหนัก และรอคอยงานประกวดนี้แค่ไหน เพราะมันเป็นงานสุดท้ายที่สมาชิกจะครบ ก่อนที่จะต้องรออีกหนึ่งปีเพื่อให้วินกลับมา และจนถึงตอนนั้น วง The Quantum อาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้ เพราะปีนี้พวกเขาก็ขึ้นปีสามแล้ว ยิ่งปีโตขึ้นก็ยิ่งต้องงานหนักขึ้น และมุ่งหน้าที่จะเรียนให้จบ จนอาจจะต้องพักเรื่องดนตรีไว้ก่อนก็ได้ แต่มันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของคนขี้กังวลย่างผมล่ะนะ พถึงเวลานั้นจริงๆ พวกเขาอาจจะเลือกคว้าไว้ทิ้งสองอย่างเลยก็ได้ ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องดนตรี เรียนจบ

“ฉัน...ไม่คิดว่าต้องลงประกวดด้วย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างเห็นได้ชัด เตอร์เลยหันมายิ้มให้ ก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า มันก็เหมือนเล่นในผับนั่นแหละ ก็แค่เวทีใหญ่ขึ้นแค่นั้น” น้ำเสียงของเขาดูไม่มีความกังวล ต่างจากผมที่เริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะทำให้คนพวกนี้ผิดหวังก็ได้ ผมเพิ่งเริ่มซ้อมวันนี้วันแรกเองนะ ยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าผมเข้ากับพวกเขาได้จริงๆ หรือเปล่า ถึงตัวผมเองจะสนุกมากก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ ผมอาจจะทำพลาดในวันประกวดจนทำให้วงแพ้อย่างขายหน้าก็ได้

“อย่าทำหน้าเสียแบบนั้นสิวะ เอาเป็นว่าลองเอาไปเล่นดูก่อนแล้วกัน ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที” ต้าพูดขึ้นมาท่าทางไม่ยี่หระ ผมก้มหน้าลงมองโน้ตเพลงในมืออย่างพิจารณา

“เออ กูมีเดโม่ด้วย ลองฟังก่อนมะ?” เตอร์ว่าก่อนจะควักมือถือออกมากดๆ เสียบหูฟังและยื่นมาให้ผม
เสียงอินโทรเพลงร็อกจังหวะกระแทกหูดังขึ้นมาจนทำเอาผมผงะไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงฟังต่อไป เมโลดี้ที่เพิ่งฟังครั้งแรกก็รู้ได้เลยว่ามันต้องติดหู ทำให้ผมอดประทับใจไม่ได้ เพลงนี้คงเป็นเพลงที่เชนเคยบอกว่าเตอร์เป็นคนแต่งสินะ

“เจ๋งดีอ่ะ” ผมบอกด้วยความจริงใจหลังจากฟังจบ เก็บน้ำเสียงตื่นเต้นของตัวเองไว้ไม่ได้จริงๆ เตอร์หัวเราะ ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างวางมาด

“แหงล่ะ ก็กูแต่งนี่”

“แต่ไอ้วินเป็นคนใส่ทำนอง” ต้าพูดแทรกขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินคำพูดหลงตัวเองของเพื่อน ผมหันไปมองคนถูกพาดพิงที่ยืนล้วงกระเป๋าสูบบุหรี่อยู่ตรงมุมห้องด้วยความทึ่ง วินเหลือบตามามองผมนิดหน่อยก่อนจะยักไหล่ท่าทางไม่ยี่หระ ผมหัวเราะนิดๆ และหันกลับมามองเนื้อเพลงในมือ ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างวินจะแต่งทำนองเพราะๆ แบบนี้ได้ เขาดูเงียบมากจริงๆ คุยกับผมแทบจะนับคำได้เลยด้วยซ้ำ (อาจเพราะยังไม่สนิทใจกันล่ะมั้ง) นึกภาพตอนเขานั่งแต่งเพลงไม่ออกจริงๆ

“ส่วนอีกเพลง ไอ้เชนเป็นคนแต่ง ทั้งเนื้อทั้งทำนอง” เตอร์พูดขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังเปิดดูเพลงถัดไปพอดี
ผมไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ เพราะรู้อยู่แล้ว แต่ก็แอบคิดไม่ถึงเหมือนกันนะ ว่าเขาจะกล้าใช้เพลงนี้ประกวด ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจแต่งเพลงนี้ให้ผู้หญิงคนนั้น ที่ตอนหลังกลายเป็นคนทำร้ายเขาซะเอง

นี่แสดงว่าเขาคงจะยังรักเธออยู่สินะ

อยู่ๆ ผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะกวาดสายตามองเนื้อเพลงที่ถูกพิมพ์ลงบนกระดาษที่อยู่ในมือผม แต่แล้วก็ต้องชะงักไป เมื่ออ่านเนื้อเพลงดีๆ และพบว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ

ไม่สิ... เพลงนี้มันไม่น่า...

“จริงๆ ตอนแรกมันจะแต่งอีกเพลงนึงไว้ด้วยนะ แต่ยังไม่ทันเขียนจบแม่งก็เอาไปเผาทิ้งเฉยเลย จนต้องเดือดร้อนแต่งเพลงใหม่ตั้งแต่ต้น” คำพูดของเตอร์ทำให้ผมถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงอ่านเนื้อเพลงอีกครั้ง

มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วย...

“ยังโชคดีนะที่มันได้เพลงนี้มา แถมดูเหมือนจะดีกว่าเพลงเก่าซะด้วย” ต้าพูดเสริม ดูภูมิใจในความสามารถของเพื่อนตัวเอง “ลองกดเลื่อนฟังเดโม่ที่ไอ้เชนมันเล่นกับกีตาร์โปร่งไว้สิ กูว่าแม่งตอแหลแหงๆ ที่บอกว่าไม่เคยแต่งเพลงมาก่อน” พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหมั่นไส้กึ่งชื่นชมพลางเอื้อมมือมากดเปลี่ยนเพลงให้ผมเสร็จสรรพ ก่อนจะยืนกอดอกรอดูปฏิกิยาของผมอย่างใจจดใจจ่อ

ทั้งๆ ที่เป็นแค่ช่วงอินโทรเพลงช้าๆ ยังไม่ทันจะมีเสียงร้องขึ้นมา อยู่ๆ จังหวะหัวใจของผมก็เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด มันค่อยๆ เต้นแรงขึ้นๆ จนผมแทบอยากจะหนีไปจากห้องเงียบๆ นี่ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเสียงตึกตักน่าละอายนั่น

“...!”

และทันทีที่เสียงร้องท่อนแรกดังขึ้นมา เสียงทุ้มต่ำที่ร้องออกมาเป็นทำนองเพลงหวานๆ แต่กลับไม่หลุดคราบเพลงร็อกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ก็ทำให้ผมถึงกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ และก้มหน้าลงจนแทบจะชิดหัวเข่า

 “เฮ้ย เป็นไรวะ เพราะจนอยากจะร้องไห้เลยเหรอ” เสียงเตอร์โวยวายขึ้นมาทนทีที่เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของผม
ผมได้แต่ส่ายหน้ารัวๆ ทั้งที่มือทั้งสองข้างยังคงปิดหน้าอยู่ ไม่กล้าพูดอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาด้วยซ้ำ เสียงเพลงที่ยังคงดังอยู่ในหู ยิ่งกระตุ้นทำให้อุณหภูมิในร่างกายของผมมันร้อนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงจนผมคิดว่ามันกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว

แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ ริมฝีปากของผมกำลังฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้จะหุบมันยังไง และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าของตัวเองตอนนี้ได้จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะหายตัวไปทันทีที่ได้ฟังท่วงทำนองที่ไพเราะเกินคำบรรยายนี่เลยด้วยซ้ำ

บ้าเอ๊ย! เพลงนี้มัน...
 
-- มีต่อค่ะ --

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
-- ต่อ --


วันต่อมา

เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ...
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่อยู่ๆ เพลงนั้นมันก็วนเวียนเข้ามาอยู่ในหัวของผมตลอด และมันก็รบกวนความคิดของผมจนไม่สามารถข่มตานอนได้จริงๆ นี่มันบ้าชัดๆ ผมกำลังฟุ้งซ่านบ้าบออะไร กับอีแค่เพลงเพลงเดียว!
ถึงเนื้อเพลงมันจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าหมอนั่นจะแต่งให้...!

ให้ตายเถอะ มันไม่มีทางเป็นอย่างที่ผมคิดได้หรอก ไม่มีทางอยู่แล้ว... ที่ผมหลอนขนาดนี้คงเป็นเพราะเมื่อวานผมถูกบังคับให้ซ้อมเพลงนี้เป็นสิบๆ รอบ แน่ๆ -*-

กริ๊งงง
ผมสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงส่งเสียงขึ้นมา ทำให้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเหม่อทั้งๆ ที่กำลังขัดห้องน้ำอยู่ ผมถอนหายใจหนักๆ กับตัวก่อนจะวางแปรงขัดห้องน้ำลงพร้อมกับถอดถุงมือ และเดินออกไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย

“ฮัลโหล”

[ ตรี นี่กวาวนะ ]

“อ่า...” ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ “มีอะไรเหรอ”

[ คือว่าเรา... ] เธอทำน้ำเสียงอึกอักแต่ไม่นานก็พูดออกมาจนได้ [ เราจะโทรมาถามว่า วันนี้ตรีจะเข้ามาที่คณะหรือเปล่า? ]

 “หือ?” ผมขมวดคิ้ว พลางนั่งลงที่เตียง “ก็ต้องเข้าสิ วันนี้มีตรวจงานนี่” ผมยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยงงๆ เมื่อปลายสายถามอะไรแปลกๆ

[ อะ...เออ นั่นสิเนอะ ] ทองกวาวหัวเราะแห้งๆ ท่าทางเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

ผมหัวเราะกลับไป นี่โทรมาหาผมแต่เช้าต้องการอะไรกันแน่นเนี่ย ยัยบ๊องเอ๊ย

[ คือ... เราก็ต้องไปคณะเหมือนกัน... ] ผมหยักหน้า และรอฟังว่าปลายสายจะพูดอะไรต่อ พูดอึกอักซะจนผมลุ้นตามไปหมดแล้วนะเนี่ย [ แล้วทีนี้... รถเราอ่ะ น้ำมันมันใกล้จะหมด... แล้วทีนี้... ]

“ทำไมไม่ไปเติมน้ำมันล่ะ” ผมแกล้งถามกลับไป ทั้งๆ ที่พอจะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ไอ้น้ำเสียงเกรงใจนั่นทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆ

[ เออะ... ] คราวนี้ยัยตัวเล็กถึงกับพูดไม่ออกไปเลย ทำให้ผมที่กำลังกลั้นขำอยู่ถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมา

“ล้อเล่น จะให้เราไปรับใช่มั้ย ได้สิ แค่นี้เอง” ผมตอบโดยที่ไม่ต้องให้อีกฝ่ายถามตามตรง ทองกวาวที่เหมือนจะช็อกไปเมื่อครู่พูดกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

[ ขอบคุณนะ! ] น้ำเสียงดีใจเกินเหตุนั่นทำให้ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ จะว่าไปยัยตัวเล็กนี่ก็น่ารักดีนะ ใครได้เป็นแฟนก็คง...

อา... แต่ตอนนี้คนที่เป็นแฟนเธอก็คือผมเองนี่หว่า ลืมไปได้ยังไงกันเนี่ย เรื่องสำคัญขนาดนี้ ไอ้บ้าเอ๊ย!
ไม่รู้ทำไม พอผมนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ความรู้สึกประหลาดมันก็เข้ามาเกาะที่หัวใจทันที มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับเวลาที่ผมทำอะไรบางอย่างผิดพลาด ทั้งๆ ที่ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด... ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันนะ

[ ตรี ฟังเราอยู่หรือเปล่า? ] น้ำเสียงหวานเอ่ยถามทำให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง

นี่ผมเหม่ออีกแล้วเหรอ ช่วงนี้รู้สึกว่าจะเผลอเหม่อมากเกินไปแล้ว

“ขอโทษที กวาวว่าไงนะ” ผมถามอย่างยอมรับความจริงว่าไม่ได้ฟังอีกฝ่ายเลยสักนิด

[ คือเราถามว่า... ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้ก่อนนะ ] ทองกวาวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็บ่ายเบี่ยง
แต่ก่อนที่เธอจะว่างสาย ผมก็เรียกเธอไว้ก่อน “นี่ยัยตัวเล็ก”

[ หือ? ]

“คราวหลังไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ อยากให้ฉันไปรับเมื่อไหร่ก็โทรมาได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจ ทำตัวตามปกติเถอะ” ผมบอกจากใจจริง ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันมาก่อน ผมรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่ยัยนี่ทำตัวแปลกไปหลังจากที่เราคบกัน

[ อื้อ เข้าใจแล้ว ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะขอตัววางสายไป ผมวางโทรศัพท์ลงที่เดิม แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

เป็นแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ ...หรือเปล่านะ?

แกรก!

ในขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องวุ่นวายอยู่ในสมอง อยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาด้วยสภาพอิดโรยเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน เชนชะงักนิดหน่อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมกับถอดเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มของตัวเองออกมาพาดไว้ที่เตียง

เมื่อคืนหมอนี่ไปอยู่ที่ไหนมาน่ะ

เมี้ยวว

เจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้ไม่ถือว่าเล็กแล้ว ส่งเสียงร้องพร้อมกับมุดออกมาจากใต้เตียงและเข้าไปเลียแข้งเลียขาร่างสูงอย่างรู้งาน

ระยะหลังๆ มานี้ผมลืมพูดถึงเจ้าเตไม่ซะสนิทเลย เพราะหลังจากที่เปิดเทอม งานของผมก็ยุ่งๆ จนแทบไม่มีเวลาได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ กับเจ้าเตเอง ที่ปกติก็ไม่ได้ติดผมอยู่แล้ว เลยมีหน้าที่แค่ให้อาหารมันเท่านั้น ส่วนหน้าที่เล่นกับมันคงต้องปล่อยให้หมอนี่เป็นคนจัดการ แต่ก็อย่างที่บอก ว่าช่วงนี้ผมแทบไม่เห็นเขาในห้องเลย ไม่รู้ด้วยว่าเขากลับห้องมาเล่นกับเจ้าเตบ่อยแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กจะดูเหงาๆ ซึมๆ ไปบ้าง

“เป็นไง คิดถึงฉันล่ะสิ” เชนนั่งลงกับพื้นพร้อมกับลูบหัวเจ้าเตที่กระโดดขึ้นไปนั่งบนตักอย่าออดอ้อนเรียบร้อยแล้ว
ผมไม่เห็นภาพแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

“ไม่ไปเรียนเหรอ” ผมสะดุ้งนิดๆ เมื่ออยู่ๆ น้ำเสียงทุ้มก็ถามขึ้นมา แถมมันก็ไม่ใช่ประโยคที่จะพูดกับแมวได้ซะด้วย

“ปะ...ไปสิ” ผมตอบอึกอักอย่างตั้งตัวไม่ทัน เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยท่าทางสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ กลับเป็นผมเองที่อยากหาเรื่องพูดออกมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศซะงั้น

“ทำไม...เมื่อวานไม่ไปซ้อมล่ะ” ผมถาม เสียงเบาซะจนน่าโมโห

ทำไมผมต้องเกร็งขนาดนี้ด้วยเนี่ย บ้าไปแล้วหรือไง -*-

“มีธุระเกี่ยวกับเรื่องรับน้องนิดหน่อย” เขาตอบโดยที่ยังคงเล่นกับเจ้าเตต่อ

อา... ถ้าจำไม่ผิด ผมว่าผมเคยได้ยินใครสักคนบอกว่าหมอนี่เป็นพี่ว้ากของคณะวิศวะสินะ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะยุ่งน่าดูเลย ไหนจะเรียน ไหนจะรับน้อง ไหนจะต้องไปเล่นดนตรีที่ร้านอีก เตอร์บอกผมอยู่เหมือนกันว่าช่วงเปิดเทอม The Quantum จะขึ้นเวทีน้อยลงเพราะทุกคนต่างก็มีเรียน และก็มีงานที่ต้องทำ ทำให้ไม่มีเวลาว่างมาเล่นดนตรีเหมือนตอนเปิดเทอม แต่ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็รับภาระเยอะเกินไปแล้ว แบบนี้จะไหวเหรอเนี่ย

“ท่าทางนายเพลียๆ ถ้าจะนอน ก็นอนบนเตียงได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ผมบอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ผมสวมถุงมือยางเตรียมตัวขัดห้องน้ำในส่วนที่เหลือ แต่ยังไม่ทันที่จะลงมือขัด ร่างสูงที่ควรอยู่ข้างนอก ก็เดินเข้ามาในห้องน้ำแคบๆ นี่ ก่อนจะยืนพิงผนังข้างๆ ฝักบัวและมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ

“ฉันอยากอาบน้ำ” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเคย

“งั้นรอแป๊บนึงนะ ฉันขัดใกล้จะเสร็จแล้ว เฮ้ย!” ผมร้องออกมาเสียงดังเมื่อร่างสูงไม่ได้มีท่าทีว่าจะฟังเลย แถมยังถอดเสื้อตัวเองออกหน้าตาเฉยอีกต่างหาก “ทำบ้าอะไรเนี่ย!?”

“ก็บอกแล้วไงว่าจะอาบน้ำ” ว่าพลางทำท่าปลดเข็มขัดออกอย่างไม่สนใจเลยว่าตอนนี้ผมหน้าเหวอแค่ไหน

“เฮ้ยๆ! เดี๋ยวเด้! ไม่เห็นหรือไงว่าขัดห้องน้ำอยู่อ่ะ รอแป๊บนึงไม่ได้หรือไงเล่า!” ผมโวยวายลั่นห้อง พร้อมกับหันหลังให้คนที่กำลังจะแก้ผ้าต่อหน้าอย่างไม่แคร์สายตาผมเลย

มะ...ไม่ได้อยากจะเห็นสักหน่อยนะเว้ย

“หึ” แต่ในขณะที่ผมกำลังโวยวายไม่ให้หมอนี่ถอดไปมากกว่านี้ ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมาจากร่างสูงก่อนที่บรรยากาศจะกลับเข้าสู่ความเงียบ

ถึงจะกลัวเห็นภาพอนาจาร แต่ด้วยความสงสัยว่าหมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่ทำให้ผมค่อยๆ หันกลับไปอีกครั้ง แล้วก็ต้องโล่งอกเมื่อพบว่าร่างสูงไม่ได้กำลังแก้ผ้าอยู่ ถึงแม้ร่างกายท่อนบนจะเปลือยเปล่า แต่ร่างกายท่อนล่างก็ยังคงสวมกางเกงยีนอยู่ครบทำให้ผมถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

“นายออกไปก่อนไป ฉันขอขัดตรงนี้ต่ออีกแป๊บนึงเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ผมบอกพร้อมโบกมือไล่ร่างสูง ก่อนจะนั่งลงและหยิบแปรงขัดห้องน้ำขึ้นมาอีกครั้ง

“...” แต่แทนที่จะออกไปตามที่บอก ร่างสูงกลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ก็เหมือนจะคิดผิด เมื่อสายตาของผมสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่มองมาอย่างเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร

หะ...ให้ตาย หมอนี่ต้องการอะไรจากผมเนี่ย

“ฟังเพลงนั้นแล้วเหรอ” อยู่ๆ น้ำเสียงทุ้มก็เอ่ยถามออกมาท่ามกลางความเงียบ ผมชะงักไปอึดใจหนึ่งก่อนจะนึกออกว่าเขาพูดถึงอะไร

“อะ...อือ” ผมพยักหน้าพร้อมกับเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นขัดห้องน้ำต่อ ทั้งๆ ที่ตรงนี้ขัดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว

“เป็นไง” เขาถามต่อ

ผมเงียบไป อยู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “กะ...ก็เพราะดี” ผมตอบอึกอัก ไม่กล้าที่จะหันกลับไปสบตา

“แล้วชอบหรือเปล่า”

“ฮะ?” ผมร้องเสียงหลง และหันกลับไปมองร่างสูงที่ยืนล้วงกระเป๋าพิงผนังห้องน้ำอย่างไม่ค่อยเข้าใจคำถามเท่าไหร่ แต่พอสบตากับสายตาอ่านยากนั่น ผมก็ต้องหลบสายตาอีกครั้ง “ฉะ...ฉันจะชอบหรือไม่ชอบ มันก็ไม่เห็นมีผลอะไรกับการประกวดนี่”

ร่างสูงเงียบไปพักใหญ่ ในขณะที่ผมแสร้งทำเป็นขัดห้องน้ำอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่ความจริงหัวใจมันเต้นแรงซะจนเหมือนกับจะกระเด็นออกมากองอยู่ที่พื้นแล้ว

“มีผลสิ” แต่แล้วน้ำเสียงทุ้มนั้นก็เร่งจังหวะหัวใจของผมให้เต้นแรงมากขึ้นไปอีก “ถ้านายไม่ชอบ เพลงนี้มันก็ไม่มีความหมาย”

“...”

“ไม่รู้เหรอ ว่าฉันแต่งเพลงนี้มาเพราะอะไร”

“...!”

บะ...บ้าชะมัด หมอนี่กำลังพูดบ้าอะไรเนี่ย อย่ามาทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมคิดมันเป็นความจริงได้มั้ย... ในเมื่อมันไม่มีทาง... ไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้หรอก...

“เชน” ไม่รู้อะไรดลใจ อยู่ๆ ผมก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร แต่คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก็บ่งบอกว่าเขากำลังรอฟังในสิ่งที่ผมพูดอยู่

“ฉัน...” ทั้งๆ ที่วินาทีก่อนยังทำเป็นกล้าอยู่เลยแท้ๆ แต่พอได้สบตากับคนตรงหน้า ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ความกล้าที่มีอยู่ในตัวผม ก็เหมือนจะถูกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยนี้ดูดกลืนไปเสียหมด อยู่ต่อหน้าหมอนี่ ผมก็เป็นได้แค่ไอ้ตรี ที่แสนจะโง่เง่าและอ่อนหัด แบบนี้มันน่าโมโหชะมัดเลย ว่ามั้ย

“ฉันมีแฟนแล้วนะ...” ในที่สุดผมก็เอ่ยออกไป สายตาหลุบต่ำลงเพราะไม่อยากรู้ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าสักเท่าไหร่ “ฉันลองคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง...เธอเพิ่งมาสารภาพรักกับฉัน แล้วฉันก็เห็นว่ายัยนั่นน่ารักดี ก็เลย...” ผมพูดได้แค่นั้น และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพูดเรื่องนี้ออกมาทำไม ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ไม่จำเป็นจะต้องให้คนตรงหน้ารู้เลยสักนิด

แต่...อีกใจหนึ่งผมก็อยากรู้... อยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง

“...” ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้องน้ำแคบๆ นี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดจนอยากจะหนีออกไป แต่ความอึดอัดนี้ผมเป็นคนสร้างขึ้นมาเองนี่นา อย่างน้อย ผมก็ควรจะรอดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ซ่า!       

...!!?

ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ๆ ก็มีน้ำเย็นๆ ฉีดลงมาที่หัวจนผมเปียกไปหมด ผมตกใจจนไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ ได้แต่เงยหน้ามองเจ้าของฝ่ามือหนาที่กำฝักบัวอยู่ เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดีว่าเป็นฝีมือของเขา

“ทะ...ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” ผมถามพลางลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเหวอๆ

ซ่า!

“เฮ้ย!!” แต่แทนที่จะตอบคำถามผมดีๆ คนตรงหน้ากลับฉีดน้ำใส่หน้าผมอีกรอบโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

บ้าเอ๊ย! น้ำมันเข้าจมูกผมนะโว้ย!

“หมั่นไส้” น้ำเสียงเรียบนิ่งแสนจะกวนประสาทเอ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านเลย ก่อนที่ฝ่ามือหนาทำท่าจะเปิดน้ำโจมตีผมอีกรอบ

แต่คราวนี้ผมไม่ยอมหรอก ผมพุ่งเข้าไปหาร่างสูงสุดตัวเพื่อจะแย่งฝักบัวมาจากมือเขา

“เฮ้ย!!”

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อร่างสูงเอี้ยวตัวหลบ ในขณะที่พื้นกระเบื้องซึ่งเต็มไปด้วยน้ำ ทำให้การทรงตัวของผมไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิด ร่างของผมถลาเข้าหาผนังอย่างรวดเร็ว และหัวของผมคงจะฟาดเต็มแรงแน่ ถ้าไม่ติดที่ว่ามีมือหนามาคว้าเอวผมและดึงไปอีกทางเสียก่อน

ปึก!

“โอ๊ย!” ร่างของผมกระแทกกับอะไรบางอย่างเต็มๆ แต่เสียงร้องนั่นไม่ใช่ของผมหรอกนะ เพราะสิ่งที่ผมกระแทกลงไปไม่ได้แข็งถึงขนาดจะทำให้ผมเจ็บได้

เสียงปึก และเสียร้องเมื่อครู่ คงจะเกิดจากการที่หลังของใครอีกคนกระแทกกับผนังอีกฝั่งอย่างเต็มแรงต่างหาก และใครคนที่ว่า ก็คือคนเดียวกับเจ้าของฝ่ามือหนาที่กำลังโอบเอวผมอยู่ในตอนนี้ด้วย รู้ตัวอีกทีร่างของผมที่เปียกโชกไปด้วยน้ำกับร่างที่ท่อนบนเปลือยเปล่าของเขาก็กำลังแบนชิดกันอย่างน่าใจหาย ทำเอาผมตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ

“เป็นไรมั้ย” น้ำเสียงทุ้มถามด้วยท่าทางเคร่งเครียด ทั้งๆ ที่คนที่เจ็บมากกว่าควรจะเป็นเขาต่างหาก

“...”

“เฮ้ ฉันถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถามย้ำ และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ร่างของเราก็แนบชิดจนแทบจะหลอมรวมกันอยู่แล้ว ลมหายใจร้อนๆ ที่เป่าลงมาบนใบหน้า ทำให้ผมได้แต่ส่ายหน้ารัว ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา แต่ยิ่งทำอย่างนั้น ก็ยิ่งเหมือนกับผมกำลังซุกใบหน้าลงกับซอกคอของเขายังไงยังงั้น

บ้าชะมัด ในสถานการณ์แบบนี้ผมต้องทำยังไงดีเนี่ย

“เล่นอะไรบ้าๆ ถ้าเกิดหัวกระแทกขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย” เขายังคงบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ก็แฝงด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้มีใครเป็นอะไรร้ายแรง

ผมเข้าใจนะว่าเขาคงจะตกใจน่าดู แต่...อย่างน้อยก็ช่วยรู้ตัวหน่อยเถอะว่ากำลังกอดผมอยู่... และควรจะปล่อยมือจากผมได้แล้ว

“ฉะ...ฉัน ไม่เป็นอะไร” ผมพูดอ้อมแอ้มและพยายามดันตัวเองออก แต่แทนที่คนตรงหน้าจะปล่อยมือ เขากลับโอบผมแน่นขึ้นจนตัวผมกลับไปแนบชิดกับตัวเขาอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงมาในระดับเดียวกันทำให้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนเท่านั้น

“รังเกียจเหรอ” เขาถามด้วยรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมได้แต่อึกอัก ก่อนจะเบือนหน้าหนี ทั้งๆ ที่หนีไปไหนไม่รอด

“หึ” เสียงหัวเราะร้ายกาจดังขึ้นจากคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะทำเรื่องน่าตกใจโดยการเอาคางมาเกยไว้บนหัวผมโดยไม่สนใจเลยว่ามันจะกลายเป็นภาพที่น่าอายแค่ไหน

มะ...หมอนี่ ทำบ้าอะไรวะเนี่ย!!?

“นายนี่มัน... เป็นคนที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในโลกเลย รู้ตัวมั้ย” ผมกำลังจะโวยวายออกมา แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่พูดด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังระอาใจ ทำให้ผมต้องหุบปากลงอย่างช่วยไม่ได้

“ทั้งๆ ที่ฉันอุตส่าห์เปิดใจขนาดนี้แล้วเชียวนะ” เขายังคงพูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ในขณะที่ผมได้แต่เงียบ ปล่อยให้ลมหายใจร้อนๆ ของอีกฝ่ายรินรดลงมาบนศีรษะของตัวเองอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาทีโดยไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืน

หลังจากปล่อยให้ความเงียบกลืนกินอยู่เนิ่นนาน ผมก็ได้ยินร่างสูงพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา แล้วฝ่ามือหนาก็ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระเสียที ผมถอยหลังออกมาจากตัวเขาโดยอัตโนมัติ และได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมาที่ผมนิ่งๆ พักหนึ่ง พร้อมกับริมฝีปากบางที่กระตุกยิ้มมุมปาก แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องน้ำแคบๆ นี่ น้ำเสียงทุ้มก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก

“อาทิตย์หน้าฉันจะย้ายออก”

“...!”

“ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง ก็รีบรั้งฉันไว้ล่ะ” ถึงแม้ว่ามันจะเป็นประโยคที่แสนจะหลงตัวเอง แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกใจหายอย่างประหลาด

จะย้ายออกงั้นเหรอ... ไหนตอนแรกบอกว่าจะไม่ยอมทิ้งเจ้าเตไปไหนไง... แบบนี้มันโกหกกันชัดๆ เลยนี่...

“ดะ...เดี๋ยวสิ!” ผมเรียกเขาเอาไว้ ในขณะที่ร่างสูงกำลังจะเดินออกไป

เชนชะงักฝีเท้า และรอฟังว่าผมจะพูดอะไร แต่... ให้ตาย! ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ และในเมื่อรออยู่นานผมก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกไป ร่างสูงจึงเดินไปหยิบเสื้อช็อปของตัวเองมาสวมเอาไว้ลวกๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย

ปัง

ทันทีที่เชนออกไปจากห้อง ผมก็รู้สึกหมดแรงจนต้องนั่งลงกับพื้นห้องน้ำอย่างหมดสภาพ มือเรียวยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองเบาๆ รู้สึกได้ว่าแรงกดจากคางของอีกฝ่ายยังอยู่ตรงนี้ แม้ว่าตัวเขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม อยู่ๆ หัวใจของผมที่เหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วครู่ก็เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง จนผมต้องยกมือขึ้นมากุมมันไว้ หวังจะให้มันเต้นช้าลงบ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงจะหัวใจวายตายแน่ๆ 

ตอนนี้ความรู้สึกในใจของผมมันสับสนปนเปกันไปหมด จนผมไม่รู้แล้วว่าความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองมันเป็นยังไงกันแน่ ผมไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกพวกนี้ยังไง... รู้แต่ว่าที่มาของความรู้สึกบ้าๆ นี่มันมาจากผู้ชายคนเดียวทั้งหมด... เป็นเพราะเขานั่นแหละ ที่ทำให้ผมเป็นเหมือนคนเสียสติเข้าไปทุกที... เป็นเพราะเขา ที่ทำให้ผมสับสนกับตัวเองจนแทบจะบ้าตายแบบนี้

ให้ตายเถอะ นี่ผมปล่อยให้ผู้ชายคนนั้น มีอิทธิพลต่อจิตใจของผมได้มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...




------------------------------
งานท่วมหัวแล้วค่ะ
ใกล้ตายเต็มที ฮืออออ

 :katai1:

-- makok_num --

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
สู้ๆค่ะจะรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
งานท่วมหัวต้องคว่ำโต๊ะค่ะ 5555555

เคลียร์งานก่อนก็ได้ค้า ถ้ายุ่งมากจริงๆ เด๋ยวงานไม่เสร็จโน๊ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :katai2-1: ชอบ สนุก อ่านแล้วปล่อยวางไม่ได้
อ่านติดต่อ จนทัน  :mew1:
ติดงอมแงมเลย  :z3:
ไร้ท แต่งเก่งมาก ลงเยอะๆจุใจดี ชอบ  :L1: :L1: :L1:
รอทั้งคู่คบกัน  :กอด1:
 :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
เป็นเรื่องราวที่สนุกน่าติดตามครับ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
15
การตัดสินใจที่ผิดพลาด
 

สองวันแล้วที่ผมกับเชนไม่ได้คุยกันอีกเลย...
เขาไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง และไม่ได้บอกว่าจะไปค้างที่ไหน เราเจอกันตอนซ้อมดนตรี แต่หมอนั่นก็ไม่ได้ทักทาย หรือพูดคุยกับผมเหมือนอย่างปกติ อาจเป็นเพราะเวลามันไม่เอื้อให้เราคุยกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตลอดหลายชั่วโมงที่อยู่ในห้องซ้อม หมอนั่นก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเบส และถามเทคนิคจากวินจนอีกฝ่ายไม่มีอะไรที่จะสอนแล้ว (ผมเคยบอกใช่มั้ย ว่าทักษะด้านดนตรีของเขาสูงปรี๊ดอย่างน่าหมั่นไส้มาก) ในขณะที่ผม ก็ถูกเตอร์เคี่ยวเข็ญให้ซ้อมแทบจะทุกวินาทีเพราะการแข่งใกล้เข้ามาแล้ว

สำหรับเพลงเร็วผมไม่มีปัญหาหรอก เพราะพอจำคอร์ดได้ผมก็เริ่มเล่นได้อย่างสบายๆ แต่กับเพลงช้านี่สิ... ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลายๆ ท่อนของเพลง มันทำให้ผมเสียสมาธิจนเผลอเล่นหลุดจังหวะในแทบจะทุกครั้งที่ซ้อมเลยจริงๆ

“ช่วงนี้มึงกับกวาวดูสนิทกันกว่าปกตินะ” เสียงไอ้เวสถามขึ้นมาขณะที่ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋า
ผมชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้า “อือ กูกับกวาวกำลังคบกันอยู่”

“ฮะ!!” ไอ้เวสช็อกไปตามคาด มันแทบจะกระโดดเข้ามาหน้าชิดผม พร้อมกับทำตาโตด้วยความตกใจ “มึงโม้ป่ะเนี่ย!?”
ผมดันหน้าออกด้วยความกลัวเล็กๆ “เปล่า กูพูดจริง”

“เชี่ยยย ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลยวะ” มันยังคงทำตาโตจนผมกลัวว่าลูกตามันจะหลุดกระเด็นออกมา

“ก็กูไม่บอก กวาวไม่บอก แล้วมึงจะรู้ได้ไง” ผมตอบแบบขอไปที ก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นมาสะพาย เตรียมตัวกลับหอ
ไม่แปลกที่ไอ้เวสมันจะช็อกขนาดนั้น เพราะเรื่องที่ผมกับกวาวคบกัน แทบจะไม่มีใครในสตูดิโอรู้เลย นอกจากเพื่อนสนิทในกลุ่มของกวาวแค่คนสองคน แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรหรอกนะ เพียงแต่ มันยังไม่มีใครถามขึ้นมาเท่านั้น

“แล้วมึงไปชอบกันตอนไหนวะ” น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นของไอ้เวสถามประโยคที่ทำเอาผมถึงกับเงียบไป

นั่นสินะ...

“ตรี” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามไอ้เพื่อนตัวดี เสียงหวานของคนที่กำลังพูดถึงก็ดังขึ้นมา ทองกวาวยืนยิ้มห่างออกไปไม่ไกล ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสเหมือนเช่นทุกวัน

“โห กำลังพูดถึงก็มาเลย” ไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่าเป็นเสียงไอ้เพื่อนจอมสอดที่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “จะไปสวีทกันที่ไหนเหรอจ๊ะ”
               
ผมอยากจะหันไปฟาดปากไอ้เวสด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำเพียงหันไปถลึงตาใส่มันเท่านั้น รู้งี้ไม่น่าบอกแม่งเลย
               
“ไปเหอะกวาว” ผมรีบตัดบทก่อนที่ไอ้ตัวแสบจะเอ่ยแซวอะไรออกมาอีก ทองกวาวที่ยืนทำหน้างงอยู่จึงพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินตามผมออกจากสตู
               
วันนี้ผมกับกวาวมีนัดกินข้าวเย็นกัน ก่อนที่ผมจะต้องไปส่งเธอที่หอ ตั้งแต่คบกันมา นี่เป็นครั้งที่สองเองมั้ง ที่เรากินข้าวด้วยกัน ปกติแล้วเราจะต่างคนต่างแยกกันไปกินกับเพื่อนในกลุ่มตามความเคยชินมากกว่า
               
“เมื่อกี้เวสป้าพูดเรื่องอะไรเหรอ” ขณะที่กำลังจะเดินไปที่รถ ทองกวาวก็ถามขึ้นมา
               
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบปัด เพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี
               
ทองกวาวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาอีกรอบ “เรื่องของเราหรือเปล่า”
               
เมื่อถูกถามตรงประเด็น ผมจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากพยักหน้า “อืม”
               
“ตรีบอกเวสป้าว่าเราคบกันเหรอ” คนตัวเล็กยื่นหน้าเข้ามาถาม ด้วยสีหน้าเหมือนอยากรู้เต็มแก่ ผมเลยหัวเราะกลับไป
               
“ใช่ พอดีมันถามน่ะ ว่าทำไมช่วงนี้เรากับกวาวสนิทกัน เราก็เลยบอกไป” ผมตอบไปตามตรง แต่ไม่รู้ทำไม พอพูดออกไปแล้ว ในใจมันกลับรู้สึกแปลกๆ
               
“อ๋อ” ทองกวาวพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะอมยิ้ม “เราคิดว่าตรีอยากเก็บเป็นความลับซะอีก”
               
“ทำไมต้องเก็บเป็นความลับด้วยล่ะ” ผมเลิกคิ้ว
               
“ก็... เราไม่เห็นตรีเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย คิดว่าตรีอายซะอีก ที่คบกับเรา” เสียงหวานตอบ ใบหน้าเจื่อน 

ผมชะงักไป มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ฮ่ะๆ ทำไมเราต้องอายด้วยล่ะ ไม่มีอะไรน่าอายซะหน่อย ที่เราไม่พูด เพราะไม่มีใครถามต่างหาก”

“อ่อ... แบบนี้นี่เอง” คนตัวเล็กคลี่ยิ้ม สีหน้าเหมือนกำลังโล่งอก

ผมยิ้มตอบ “ขอโทษนะ ที่ทำให้เข้าใจผิด เอางี้มั้ย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะเป็นคนบอกเพื่อนในสตูฯ เองว่าเรากับกวาวกำลังคบกันอยู่ กวาวจะได้สบายใจไง” ผมเสนอ แต่ทองกวาวกลับส่ายหน้าพัลวัน

“ไม่หรอก เราผิดเองแหละที่คิดมาก ตรีไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เราเขิน” ใบหน้าขาวใสเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอย่างที่ว่า “คนรู้น้อยๆ ก็ดีเหมือนกันแหละ จะได้ไม่โดนล้อไง”

“นั่นสินะ” ผมยิ้มตอบ แต่ในใจกลับคิดว่าคงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะถ้าไอ้เวสรู้ ก็เท่ากับคนทั้งสตูฯ (หรืออาจจะทั้งคณะ) ต้องรู้

ผมกับกวาวไม่ได้คุยอะไรต่อ จนกระทั่งเดินมาถึงรถ คนตัวเล็กจึงถามขึ้นมา “วันนี้เราจะกินอะไรกันดี”

“กวาวเลือกเลย” ผมบอก พร้อมกับเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง ก่อนจะเดินไปเปิดฝั่งตัวเองและประจำหน้าพวงมาลัย

“เรานึกไม่ออก ตรีช่วยคิดหน่อย” คนตัวเล็กบอกพลางขมวดคิ้วหนัก ผมหัวเราะ และพยายามนึกบ้าง

“เออ เราได้ยินว่าตรีทำกับข้าวเก่งนี่ ใช่มั้ย?” แต่แล้วเสียงหวานก็เปลี่ยนประเด็นคำถามขึ้นมา

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ทำไมเหรอ” ผมเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

“เราอยากกินกับข้าวฝีมือตรี ^^” รอยยิ้มกว้างกับคำพูดตรงไปตรงมานั่นทำเอาผมชะงักไปอีกรอบ

“เอ่อ... จะดีเหรอ?” ผมถามเสียงเบา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังกลัวอะไรอยู่

“ทำไมอ่ะ ไม่อยากทำเหรอ” ร่างเล็กเลิกคิ้วมองด้วยสีหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกผิดแปลกๆ

“เปล่าหรอก... ได้สิ เดี๋ยวเราทำให้กิน แต่ถ้าไม่อร่อยห้ามโทษเรานะ” ผมแสร้งพูดติดตลก และเบือนหน้ากลับมาขับรถ ขณะที่ในใจกำลังรู้สึกประหลาด เมื่อคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะพาแฟนไปที่ห้อง

มันเป็นความรู้สึก...หวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
 

ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องแย่มากที่แวบหนึ่งในความคิดผมรู้สึกว่าผมไม่สะดวกใจที่จะพาทองกวาวมาที่ห้อง ทั้งที่เธอเป็นแฟนผม และมันคงเป็นเรื่องปกติที่คนเป็นแฟนกันจะมาเยี่ยมเยียนห้องของอีกฝ่าย แถมมันไม่ใช่สถานการณ์ล่อแหลมหรือน่าเป็นห่วงอะไรเลย เราแค่มากินข้าวเย็นกันเท่านั้น ไม่มีอะไรที่ผมต้องกังวลเลย

เพียงแต่ว่า...

“ตรี เป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว” กวาวชะโงกหน้ามาถาม เรียกสติให้ผมหันกลับไปมองใบหน้าหวานใสของเธออีกครั้ง

“ปะ...เปล่านี่” เสียงผมอึกอักอย่างปิดไม่มิด

ทองกวาวขมวดคิ้ว ดูก็รู้ว่าเธอไม่เชื่อ แต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนั้นแล้วจริงๆ

“ตรี” เธอเรียกผมอีกหนด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นกังวล “ถ้าไม่อยากให้เราไปที่ห้อง บอกตรงๆ ก็ได้นะ”

“...” คำพูดแทงใจดำและท่าทางรู้สึกผิดของกวาวทำเอาผมชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่สมองจะสั่งให้ผมพูดอะไรสักอย่างออกไป

“เปล่าหรอก ไม่ใช่อย่างนั้น... คือ ห้องเรามันรกมากๆ น่ะ เราก็เลย...อายนิดหน่อย” ผมแก้ตัว

โกหกอย่างน่าสมเพชอีกแล้ว

แต่มันอาจจะดีแล้วล่ะที่พูดไปแบบนั้น เพราะเห็นได้ชัดว่าทองกวาวมีสีหน้าโล่งใจขึ้น เธอยิ้มขำก่อนจะตีแขนผมเบาๆ “แค่นี้เอง? ไม่เห็นเป็นไรเลย เด็กคณะเราจะมีสักกี่คนที่ห้องสะอาด จริงมั้ย?”

“นั่นสินะ” ท่าทางไร้เดียงสานั่นทำเอาผมตอบอะไรไม่ได้นอกจากเออออ

“เรามาดูกันดีกว่า ว่าห้องตรีกับห้องเราใครจะรกกว่ากัน” กวาวว่าพลางหัวเราะคิกคัก ขณะที่ผมเริ่มขมวดคิ้วหนักขึ้น เมื่อรู้ดีว่าอีกเพียงไม่กี่ก้าว เราก็จะถึงที่หมายแล้ว

“นี่ห้องตรีเหรอ?” คนตัวเล็กถามอีกรอบ เมื่อเห็นผมหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง

“อืม” ผมตอบยิ้มๆ พลางหยิบกุญแจออกมาไข

รู้สึกเลยว่ามือของตัวเองมันทำงานช้ากว่าปกติ มันอาจเป็นเพราะในใจผมกำลังลังเลว่าควรจะไขเข้าไปดีหรือเปล่า แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะหันหลังกลับก็คงไม่ทัน ได้แต่หวังว่าหลังประตูบานนี้จะมีเพียงห้องว่างเปล่าของผมเท่านั้น เพราะผมไม่รู้จะอธิบายหรือทำตัวยังไงจริงๆ ถ้าเกิดเปิดประตูเข้าไป และพบว่า ‘หมอนั่น’ อยู่ด้านใน

แกรก

...

แต่พระเจ้าไม่เคยเข้าข้างผมเลยสักครั้ง... นั่นแหละความจริง

ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา กลิ่นบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งอยู่เต็มห้อง ก็ทำเอาผมอยากจะปิดประตูลงอีกครั้งแล้วหายตัวไปจากตรงนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังนั่งเล่นกับเจ้าเตอยู่บนเตียง รู้ตัวและหันกลับมาสบตากับผมแล้ว

“...”

“...” ไม่มีคำพูดใดๆ เกิดขึ้นระหว่างผม กับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น เขาเพียงหันมาสบตาผมนิ่งๆ ขณะที่ปากยังคาบบุหรี่อยู่ ส่วนผมก็ตกใจกับการมีอยู่ของเขาจนไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน

“ไหน ไม่เห็นจะรกเลย” จนกระทั่งทองกวาวแทรกผ่านร่างผมเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงเล็กๆ แสดงความตื่นเต้นนั่นที่ทำให้เวลาที่เหมือนจะหยุดนิ่งไป กลับมาหมุนอีกครั้ง

เธอมองสำรวจไปทั่วห้อง ก่อนจะชะงักไป เมื่อเห็นร่างสูงที่ยังคงสบตากับผมอยู่

“พะ...พี่เชน?” น้ำเสียงประหลาดใจ และแววตางุนงงที่หันกลับมามอง ทำให้ผมรู้ตัวว่าควรพูดอะไรสักอย่างออกมา

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน พอดีเรา...อยู่กับเขา...ชั่วคราวน่ะ” ผมตอบอึกอักและเสียงเบากว่าที่ตัวเองตั้งใจไว้มาก พร้อมกับเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบตรงหน้าแล้ว

“ชั่วคราวเหรอ?” ทองกวาวยังคงทำหน้างุนงง

เป็นผมก็คงงงและไม่เข้าใจเหมือนกันนั่นแหละ ที่อยู่ๆ ก็ได้รู้ว่าแฟนตัวเองมีรูมเมตเป็นผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไร สถานะระหว่างผมกับเชนที่กวาวรู้คือเขาเป็นพี่รหัสของไอ้ซัน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของผมอีกทีเท่านั้น ถ้าจะให้อธิบายที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด มันคงจะซับซ้อนน่าดู

ผมควรบอกยังไงดีนะ…

“หึ” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะนึกคำพูดที่เหมาะสมออก ร่างสูงที่นั่งนิ่งประเมินสถานการณ์อยู่นานก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ พร้อมกับคีบบุหรี่ออกจากริมฝีปากบางเบื่อดับมันลงกับที่เขี่ยบุหรี่ข้างเตียง ก่อนจะลุกขึ้น และเดินมาหาพวกเราช้าๆ “พอดีฉันมีปัญหาเรื่องเงินน่ะ ก็เลยมาขออาศัยหมอนี่อยู่”

ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาโกหก...ทำไมกัน??

แต่พอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นิ่งสนิทจนกลายเป็นเย็นชาคู่นั้น ผมก็รู้ว่าตัวเองควรหลบสายตาลงอีกครั้ง เพราะอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่ทำให้ไม่รู้ว่าต้องแสดงสีหน้ายังไง

นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย

“ตรีนี่...ใจดีจังเนอะ” ทองกวาวพูดอึกอักอย่างพยายามทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่กำลังก่อตัวขึ้นมา
ไม่จริงเลย ผมไม่ใช่คนใจดีเลยสักนิด

“นั่นสิ” แต่ยังไม่ทันจะแย้งอะไร เสียงทุ้มของอีกคนก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน ร่างสูงปรายตามองผมด้วยสายตาอ่านยากขณะที่มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นมา “ขนาดกับแค่คนรู้จัก ก็ยังทำดีด้วย หายากนะผู้ชายอย่างนี้”

เป็นรอยยิ้มร้ายกาจที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บไม่แพ้คำพูดประชดประชันอย่างจงใจนั่นเลย

“แฟนนายน่ารักดีนี่” เขายังคงแสยะยิ้ม แต่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลยแม้แต่นิด

“...” พอเห็นว่าผมได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร ร่างสูงก็หัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะหมันตัวกลับไปหยิบกระเป๋ากีตาร์ของตัวเองที่วางไว้ข้างเตียงขึ้นมาสะพายไหล่ พลางล้วงบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด

“ขอตัวก่อน ขอโทษที่ขัดจังหวะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพ่นควันสีขาวออกจากปาก ก่อนที่ร่างสูงจะเดินผ่านผมไปอย่างช้าๆ โดยไม่แม้แต่จะปรายตากลับมามองผมที่ได้แต่ยืนใบ้กินอยู่ตรงนี้เลยสักนิด

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ทั้งๆ ที่ผมเห็นรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจแบบนั้นมาหลายครั้ง...เห็นท่าทางและสายตาเย็นชาอย่างน่ากลัวแบบนั้นมาเป็นร้อยๆ หน แต่คราวนี้ความรู้สึกมันกลับต่างออกไป

และไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่ทั้งน้ำเสียง รอยยิ้ม ท่าทาง โดยเฉพาะดวงตาที่แสนเย็นชาคู่นั้น

ผมไม่ชอบเอาซะเลย...
 
               
เวลาผ่านไป
               
ผมรู้สึกผิดต่อทองกวาวจริงๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจเธอเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่เธอพยายามชวนคุยและทำตัวร่าเริงตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ผมกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเท่าไหร่เลย ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเอาแต่เหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้สนใจคนตรงหน้า จนกระทั่งทองกวาวออกปากถาม และบอกให้ผมพักผ่อนเพราะคิดว่าผมอาจจะกำลังเหนื่อยจากการเรียน ผมไปส่งทองกวาวที่หอโดยไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง บรรยากาศเงียบเชียบจนคนตัวเล็กที่พูดคนเดียวจนเมื่อยปากต้องขอเปิดเพลงกลบความเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นในหัวของผมก็มีเรื่องมากมายให้คิดจนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเพลงที่ดังอยู่ในรถ เป็นเพลงอะไร
               
หลังจากส่งทองกวาวเสร็จ ผมก็ตรงดิ่งไปยังห้องซ้อมทันที แน่นอนว่าผมไปถึงเป็นคนสุดท้าย แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร พวกเราเริ่มซ้อมทันทีที่ผมมาถึง นั่นทำให้ผมไม่ได้ทำในสิ่งที่คิดจะทำ...
               
“ขอใหม่” เตอร์พูดเสียงเครียด หลังจากที่เราหยุดเล่นกลางเพลงเป็นรอบที่สี่
               
ไม่ต้องบอกก็รู้ตัวว่ามันเป็นความผิดของผมอีกแล้ว
               
ตลอดการซ้อมผมวอกแวกจนโดนดุหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามตั้งสมาธิยังไง มันก็อดไม่ได้ที่จะหลุดคิดเรื่องอื่นทุกที ยิ่งสายตาผมเหลือบไปเห็นร่างสูงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเบสด้วยท่าทางเคร่งเครียดกว่าปกติ ผมก็ยิ่งเสียสมาธิจนแทบจะเล่นไม่ได้

ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องหันไปมองเชนบ่อยๆ อาจเป็นเพราะในใจของผมตอนนี้มันร่ำร้องว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าจะคุยอะไรด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าควรเริ่มบทสนทนายังไงในสถานการณ์อันคลุมเครือน่าสับสนนี้ แต่อย่างน้อยผมก็อยากจะถามเรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจมาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาว่าท่าทางพวกนั้นของเขา...มันหมายความว่ายังไง
               
“พอๆ พอเลย!” เตอร์โวยขึ้นมาอีกรอบ ทั้งที่เรายังเล่นได้ไม่ถึงครึ่งเพลง เขาหันกลับมากอดอกใส่พวกเราพลางขมวดคิ้วแน่น “ไอ้ตรี มึงเล่นผิดนะ” เขาบอกนิ่งๆ เป็นคำที่ผมได้ยินเป็นรอบที่ห้าของวัน
               
“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้ายอมรอบผิด
               
เตอร์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะหันไปมองอีกคน “ส่วนไอ้เชน มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ มีสมาธิหน่อยดิ” เตอร์ทำหน้าเครียดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ขณะที่มองเพื่อนของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
               
อย่างที่บอกว่าผมแทบจะไม่มีสมาธิเลย จึงไม่รู้ว่าเชนเล่นผิดร้ายแรงขนาดไหน อย่างที่รู้กันว่าฝีมือด้านดนตรีของเชนเป็นที่ยอมรับของคนในวงแค่ไหน ต่อให้เขาไม่มาซ้อม ก็แทบจะไม่ถูกตำหนิ เพราะรู้ดีว่าเขาจะทำได้ดีขึ้นในการซ้อมครั้งต่อไป แต่คราวนี้ดูจากสีหน้าของเตอร์แล้วเขาดูเหลือทนแล้วจริงๆ
               
“...” ผมเหลือบมองคนถูกดุที่ยังคงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยอ่านยากเช่นเคย
               
“มึงมีปัญหาอะไรวะ ปกติไม่เป็นงี้นี่หว่า” เตอร์ถามหลังจากถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
               
คราวนี้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเองก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เช่นกัน มือเรียวหยิบบุหรี่ยี่ห้อโปรดออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางจุดสูบขณะที่เงยหน้ามองเพื่อนของตัวเอง “กูไม่อยากเล่นเพลงนี้” เขาตอบนิ่งๆ ท่าทางไม่ยี่หระ
               
“ไม่อยากเล่นเหี้ยอะไร!” เตอร์เริ่มเสียงดังจนผมเผลอสะดุ้ง “เพลงนี้มึงเป็นคนแต่งนะเว้ย ถ้ามึงไม่อยากเล่น แล้วหมาตัวไหนมันจะอยากเล่นวะ!” ผมไม่เคยเห็นเตอร์ขึ้นเสียงมาก่อน ถึงแม้ท่าทางปกติของเขาจะไม่ได้ดูเป็นมิตรนัก แต่ท่าทางตอนโกรธก็ดูน่ากลัวซะจนผมแอบลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เลยทีเดียว
               
ผมหันไปมองคนอื่นที่เหลือซึ่งเริ่มหยิบบุหรี่ออกมาสูบท่าทางเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ทุกคนต่างมองไปที่เชนอย่างรอคอยคำอธิบาย แต่ตัวต้นเหตุก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านเลย เขายังคงยืนนิ่ง ไม่คิดจะพูดอะไร
               
“เออ ถ้ามึงไม่อยากเล่น พวกกูก็จะไม่เล่น” ในที่สุดเตอร์ก็เอ่ยออกมาหลังจากปล่อยให้ห้องเงียบ มีแต่กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งอยู่พักใหญ่ ท่าทางเขาดูไม่ได้เย็นลงเลย แต่ก็คงรู้ดีว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
               
“แล้วถ้าจะยังเล่นห่วยแบบนี้อยู่ ก็ไม่ต้องข่งไม่ต้องแข่งแม่งหรอก ขายขี้หน้าว่ะ” พูดจบเตอร์ก็โยนไมค์ไว้ที่โซฟา ก่อนจะเดินออกจากห้องซ้อมไปด้วยท่าทางหัวเสียอย่างน่ากลัว
               
ต้ากับวินที่ได้แต่นิ่งเงียบอยู่นานก็พากันเดินออกจากห้องซ้อมไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน ผมได้แต่ยืนนิ่งขณะที่ต้าเดินมาตบบ่าเบาๆ เหมือนจะปลอบใจ แต่ตอนนี้สายตาของผมไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย นอกจากร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่งอัดควันเข้าปอดอยู่ตรงหน้านานนับนาทีก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะถอดเบสวางลงกับพื้นอย่างลวกๆ
               
“เดี๋ยวสิ” และไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเปล่งเสียงเรียกเขา ขณะที่ร่างสูงทำท่าว่าจะเดินออกไปอีกคน
               
“...” แต่เมื่อดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสนเย็นชาคู่นั้นปรายตามองกลับมา ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก ราวกับมีใครเอามือมาอุดปากอีกครั้ง
               
สายตาคู่นั้น เหมือนกับจะเตือนให้รู้ว่า...อาจเป็นเพราะผมก็ได้ที่ทำให้การซ้อมวันนี้มันพังเละเทะไม่เป็นท่า
               
ปัง
               
และวินาทีที่เหลือเพียงผมคนเดียวภายในห้องซ้อมที่ว่างเปล่า มันก็ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า 
               
ผมไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่แรก...




-- makok_num --

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
16
ชัดเจน
               
               
วันต่อมา
               
ไม่มีใครกลับมาที่ห้องซ้อมอีกหลังจากตอนนั้น...
               
ผมรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงอยู่ซ้อมต่อคนเดียวจนดึก ก่อนจะรู้สึกตัวว่าต่อให้ซ้อมจนนิ้วหักก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เทคนิค หรือความยากของเพลงเลยสักนิด ปัญหามันเกิดจากตัวผมเองต่างหาก ผมจะสามารถทำให้มันดีได้ยังไง ในเมื่อในหัวมีเรื่องสับสนวุ่นวายขนาดนี้
               
ผมตัดสินใจหยุดซ้อมและกลับมาที่หอตอนเที่ยงคืน แต่ไม่เห็นวี่แววของเชนเลย มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาไม่กลับมา แต่วันก่อนๆ ผมยังเข้าใจว่าเขาอาจจะไปค้างกับใครสักคนในวง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อคืน ผมเดาว่าคนทิฐิสูงอย่างเขาคงไม่คิดแบกหน้าไปขอค้างกับใครง่ายๆ แน่ ผมจนปัญญาที่จะเดาว่าเขาหายไปไหน จะโทรหาก็ไม่กล้า... เลยได้แต่บอกให้ตัวเองเลิกคิดและนอนพักผ่อนซะ
               
แต่แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลย
               
กว่าผมจะข่มตาหลับได้ก็ตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว โชคดีที่วันนี้มีเรียนตอนบ่าย การนอนเช้าก็เลยไม่เป็นปัญหานัก เชนยังไม่กลับมาแม้ว่ามันจะเป็นตอนบ่ายแล้วก็ตาม มันทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ เพราะถ้าเป็นปกติ ถึงเขาจะไม่ได้กลับมาค้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
               
ผมเหลือบมองตู้เสื้อผ้าที่ครึ่งหนึ่งมีเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของผม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมยังจำได้เรื่องที่เขาบอกว่าจะย้ายออกภายในอาทิตย์หน้า ถึงใจหนึ่งจะคิดว่ามันคงดีแล้วที่เขาย้ายออกไป ห้องผมจะได้กลับมาเป็นของผมเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไม พอคิดภาพว่าเสื้อยืดสีพื้นกับกางเกงยีนแบบซ้ำๆ ที่กินเนื้อที่ครึ่งตู้นี้กำลังจะหายไป
               
มันก็รู้สึก... เสียดายอย่างบอกไม่ถูก
               
เมี้ยว~
               
เสียงร้องของเจ้าเตดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวเล็กๆ วิ่งมานั่งข้างเท้าผมพร้อมกับจ้องตาแป๋ว มองผมที่กำลังยืนถอนหายใจด้วยท่าทางซังกะตาย
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ กับความน่าเอ็นดูของมัน ก่อนจะนั่งลงลูบหัวเจ้าดูเล็กที่เริ่มยกขาขึ้นมาเลีย เจ้าเตโตขึ้นมากตั้งแต่วันแรกที่เก็บมา แถมยังกินจุมากจนจากแมวแทบจะเปลี่ยนเป็นหมูอยู่แล้ว แต่เจ้าเตก็ยังเป็นเจ้าเต แมวหน้ามึนจอมขี้เกียจที่มักจะเข้ามาทำตัวน่ารักเวลาที่ผมไม่สบายใจเสมอ ราวกับอ่านใจผมออก
               
เมี้ยว~
               
มันร้องอย่างพึงพอใจและหลับตาพริ้มขณะที่ผมเลื่อนมือลงไปเกาคางให้มัน ก่อนที่ผมจะชะงัก เมื่อสังเกตเห็นว่าปลอกคอสีน้ำตาลของมัน มีขนาดที่ใหญ่และดูใหม่ขึ้น... เพราะเป็นสีน้ำตาลเหมือนเดิม ทำให้ผมไม่ทันสังเกต ว่ามันเป็นของใหม่  คงเป็นหมอนั่นสินะ ที่ซื้อมาให้เพราะเห็นว่าเส้นเก่ามันเล็กและอึดอัดเกินไปแล้วสำหรับเจ้าเต 

“นี่” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะที่ไล้นิ้วไปตามปลอกคอที่เจ้าเตสวมอยู่เบาๆ พร้อมกับจินตนาการว่าคนคนนั้นจะมีสีหน้าแบบไหน ตอนที่ได้เลือกปลอกคอใหม่ให้ลูกชาย “ถ้าหมอนั่นไม่อยู่แกคงจะเหงาสินะ”

...

แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าตัวเล็กที่ยังเลียขาของตัวเองด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงจะพูดกับมัน

“แกคงจะคิดถึงเขาใช่มั้ย” ผมยิ้ม โดยที่ไม่รู้ตัว ความรู้สึกบางอย่างก็เอ่อล้นขึ้นมา จนผมต้องเผลอพูดออกไป

...

“ฉันก็คงคิดถึงเหมือนกัน”
 

กว่าผมจะจัดการตัวเองเสร็จเวลาก็ปาไปบ่ายกว่าๆ แล้ว เหลืออีกประมาณสิบนาทีก็จะถึงเวลาเรียน ผมเลยตระหนักได้ว่าควรรีบหน่อย ผมแบกงานที่ต้องส่งวันนี้ไปที่รถโฟล์คสีน้ำเงินของตัวเองด้วยความเร่งรีบ ผมประมาทเกินไปที่มัวเอ้อระเหยจนเวลามันผ่านไปนานขนาดนี้ ทั้งที่ปกติเป็นคนเผื่อเวลาเสมอแท้ๆ

แต่ความคิดแวบหนึ่งของผม มันกลับบอกว่าถ้าผมยังอยู่ที่หออีกสักพัก อาจจะได้เจอหมอนั่นก็ได้...

แปลกชะมัด ที่ผมคิดแบบนั้น ถึงมันจะแค่แวบเดียวก็เถอะ แต่ผมไม่นึกเลยว่าเรื่องที่ตัวเองค้างคาใจมันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ต้องรอเขาจนทำให้ไปเรียนสาย

มันก็แค่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจท่าทางอารมณ์เสียของเขาเมื่อวานเองนะ...

ผมแค่จะถามเขาว่าเป็นอะไรเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?

ให้ตาย ผมละไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ บางทีผมอาจจะนอนน้อยจนเสียสติไปแล้วก็ได้
ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ เพื่อลบความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกไป สิ่งที่ผมควรจะสนใจตอนนี้ก็คือ การขับรถให้เร็วที่สุดเพื่อไปเรียนให้ทันเท่านั้น

แต่พระเจ้าต้องเกลียดผมแน่ๆ ถึงได้แกล้งให้อยู่ๆ รถโฟล์คสีน้ำเงินสุดรักของผมสาร์ทไม่ติดขึ้นมาซะอย่างนั้น

“บ้าชิบ” ผมสบถขึ้นมาอย่างหัวเสีย หลังจากที่พยายามบิดกุญแจอีกหลายรอบ เจ้ารถเกเรก็ไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ทติด
               
ผมเดินลงมาเปิดกระโปรงรถเพื่อเช็กว่ามีอะไรเสีย แต่ผมไม่ใช่ช่าง และความรู้เรื่องการซ่อมรถก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่สมองอันน้อยนิดจะยัดเข้าไปได้ ทำให้ผมดูไม่ออกว่ามันเป็นอะไร ผมล่ะอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ด้วยความหงุดหงิด แต่ก็เลือกทำแค่ถอนหายใจเบาๆ และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทรหาไอ้เวสป้าให้มันมันมารับ ถึงแม้นั่นจะหมายความว่าผมจะต้องรอให้มันเช็กชื่อก่อนแล้วค่อยออกมารับผมซึ่งต้องไปเรียนสายแน่ๆ แล้วก็ตาม
               
เอี๊ยด!
               
ยังไม่ทันที่ไอ้เพื่อนตัวดีจะรับสาย เสียงล้อรถที่เบียดกับพื้นด้านหลังก็ทำให้ผมหันกลับไปมองด้วยความงุนงงว่าใครกันที่มาหยุดรถในระยะประชิดจนเกือบจะเฉี่ยวหลังผมแบบนี้

แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เปิดหมวกกันน็อกสีดำขึ้นมา ก็ทำเอาคำด่าและความหงุดหงิดของผมมลายหายไปอย่างไร้เหตุผล

“...” ผมได้แต่ยืนนิ่ง มองร่างสูงที่นั่งคร่อมอยู่บนสปอร์ตไบค์สีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า

เขายังใส่ชุดเดียวกับเมื่อวานอยู่จริงๆ ด้วยแฮะ...

“กำลังจะไปเรียนเหรอ” เสียงทุ้มอู้อี้ที่ดังลอดหมวกกันน็อกออกมาทำให้ผมได้สติและพยักหน้าเบาๆ

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องผมนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอดหมวกกันน็อกที่สวมอยู่ โยนให้ผมซึ่งรับได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงแกมบังคับด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่ผมเดาอารมณ์ไม่ออกเช่นเคย

“ขึ้นมา”
 

เวลาผ่านไป

ผมไม่เคยรู้สึกอายขนาดนี้มาก่อน...
               
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์ เพราะเพื่อนผมส่วนใหญ่ก็ใช้มอเตอร์ไซค์กันทั้งนั้นเพราะมันสะดวกกว่าเวลารีบๆ แต่สปอร์ตไบค์เนี่ย... ภาพในหัวของผมคือปกติส่วนใหญ่เขาจะอนุญาตให้เฉพาะผู้หญิงสวยๆ ซ้อนกันไม่ใช่หรือไง...
               
ผมพยายามนั่งตัวตรงตลอดทาง แม้ว่าใจจริงจะอยากซุกตัวลงไปเพื่อทำตัวให้เล็กที่สุดก็ตาม แต่ถ้าทำแบบนั้นภาพที่ร่างของผมแนบชิดไปกับแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า มันคงจะดูประหลาดกว่าตอนนี้มาก

โชคดีที่เชนให้หมวกกันน็อกผมมาใส่ จึงมั่นใจได้ว่าคงไม่มีคนเห็นหน้าผมแน่ๆ (ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้ามีคนรู้จักมาเห็นผมตอนนี้ จะโดนล้อขนาดไหน) แต่การที่เขาสละหมวกกันน็อกให้ผม ทำให้ไม่มีอะไรปกปิดใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังขมวดคิ้วเข้มเพราะแสงแดดเมืองไทย กลับยิ่งดึงดูดสายตา ให้คนรอบข้างหันมามองทุกครั้งที่เราติดไฟแดง จนผมอยากจะเปลี่ยนใจถอดหมวกแล้วสวมมันกลับไปให้เขาแทน

ให้ตาย ผมล่ะอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้เลยจริงๆ

ไม่นานสปอร์ตไบค์สีดำก็แล่นเข้ามาในคณะที่อยู่ห่างไกลที่สุดของมหาวิทยาลัย เชนจอดรถที่ลานจอดอันเงียบเชียบเพราะเวลานี้คนส่วนใหญ่กำลังอยู่ในห้องเรียน ผมก้าวลงจากรถด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เพราะมือทั้งสองข้างถือโมเดลกับกระดาษเขียนแบบอยู่ และมันยิ่งลำบากไปอีกเมื่อผมต้องถอดหมวกกันน็อกสีดำใบโตบนหัวคืนร่างสูงที่ยืนค้ำมอเตอร์ไซค์รออยู่

ป๊อก!

ขณะที่ผมกำลังเงอะงะพยายามหอบของทุกอย่างไปถือไว้มือเดียว เชนก็ก้าวลงมาจากรถ ก่อนที่นิ้วเรียวจะดีดลงมาบนกระจกเบาๆ แต่แรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาก็เล่นเอาผมผงะด้วยความตกใจ

“อยู่เฉยๆ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ขณะก้มลงมาแกะหมวกให้ผมที่ยืนกลั้นหายใจไปแล้ว เพราะใบหน้าของเขามันอยู่ใกล้เกินไป แม้จะมีกระจกกั้นอยู่ก็ตาม

“อะ...เอ่อ ขอบคุณ” ผมพูดอึกอัก พร้อมกับหลบสายตาต่ำลงหลังจากที่หมวกกันน็อกถูกถอดออกไปแล้ว อุณหภูมิบนใบหน้ามันร้อนไปหมดจนผมเริ่มงงว่ามันเป็นเพราะผมเพิ่งถอดหมวกแสนอึดอัดออกไป หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่...

“เดี๋ยวช่วยถือ” ผมสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยออกมา พร้อมกับมือหนาที่แย่งโมเดลจากมือผมไปถือ

“เฮ้ย ไม่เป็นไร” ผมพยายามจะแย่งคืน แต่คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันนั่น ก็ทำให้ผมรู้ว่าต่อให้ปฏิเสธยังไงเขาก็ไม่ฟัง

“ทางนี้ใช่มั้ย” สุดท้ายเชนก็ถือวิสาสะเดินนำผมไปยังทางเดินที่น่าจะเป็นทางเข้าคณะ ซึ่งผมก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินตามไป เมื่อเห็นว่าไม่ปริปากห้ามอะไรอีก ร่างสูงก็ชะลอฝีเท้าให้ผมเป็นฝ่ายเดินนำแทน เพราะคณะผมนอกจากจะอยู่ห่างไกลผู้คนแล้ว แปลนยังซับซ้อนมากจนคนภายนอกที่เพิ่งมาครั้งแรกอย่างเขาคงจะงงและหลงเอาง่ายๆ
               
“...”
               
“...” เราต่างก็เงียบกันไปตลอดทางขณะที่เดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ผมคิดเอาไว้แล้วว่าถ้าหากเจอกัน ผมจะต้องถามเรื่องเมื่อวาน ถามว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ ทำไมเขาถึงมีท่าทีหงุดหงิดผิดปกติแบบนั้น และเมื่อคืนเขาหายไปไหนมา...
               
แต่พอเอาเข้าจริง ผมก็ขี้ขลาดเสมอเลย
               
“ขอโทษ” แต่ขณะที่ผมกำลังพยายามรวบรวมความกล้าที่จะถาม อีกฝ่ายกลับเป็นคนพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
               
“?” ผมหันกลับไปเลิกคิ้วมองเขาอย่างงุนงง
               
เขาขอโทษผมเรื่องอะไร?
               
“เมื่อวาน... ฉันผิดเอง” เขาพูด หลุบตาต่ำลงมองพื้นด้วยใบหน้าคิ้วขมวดราวกับกำลังคิดหนักว่าควรจะพูดยังไง
               
“เรื่องอะไร?” ผมถาม ไม่ใช่ว่าแกล้งโง่ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาขอโทษในประเด็นไหน เรื่องในห้องซ้อม หรือเรื่องที่เขาแสดงท่าทีประหลาดตอนที่ผมพาทองกวาวไปที่ห้องเมื่อวาน...
               
“ก็...ทุกเรื่องนั่นแหละ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม คิ้วเข้มยังคงขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
               
“ขอโทษที่ทำให้นายโดนไอ้เตอร์ดุ” เขาถอนหายใจหนักๆ และพยายามพูดด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น ผมชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ
               
“เรื่องนั้นไม่ใช่ความผิดของนายเลย” ผมรู้ตัวเองดี “เป็นเพราะฉันเองที่เล่นห่วย”
               
“งั้นฉันก็คงห่วยกว่า” เชนแสยะยิ้มขืนๆ เพราะเมื่อวานเขาเองก็โดนดุเหมือนกัน แถมยังโดนหนักกว่าผมเสียอีก
               
ผมหัวเราะ “นายควรไปขอโทษเตอร์มากกว่านะ หมอนั่นหงุดหงิดน่าดูกับเหตุการณ์เมื่อวาน”
               
“รู้แล้วน่า... ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดเป็นครั้งแรกเมื่อไหร่” เขาตอบอ้อมแอ้มพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเก้อๆ ท่าทางเหมือนเด็กที่กำลังรู้ตัวว่าผิด
               
“จริงเหรอ? หมอนั่นโมโหแบบนั้นบ่อยเหรอ” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ คิดว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอาการหงุดหงิดออกมาเสียอีก เพราะผมไม่ค่อยเห็นเตอร์แสดงอารมณ์อะไรเลย นอกจากทำหน้านิ่งๆ ตั้งอกตั้งใจทำงาน อาจเป็นเพราะผมเพิ่งรู้จักพวกเขาไม่นานล่ะมั้ง
               
“ก็...บ่อย” เชนขมวดคิ้วทำท่านึกอย่างจริงจังเกินไป “ส่วนใหญ่จะเป็นตอนใกล้แสดง อารมณ์เหมือนผู้หญิงตอนเมนใกล้มาล่ะมั้ง” ผมยิ่งหัวเราะดังขึ้นกับการเปรียบเทียบแปลกๆ ของเขา 

“นายนั่นแหละที่เหมือนเมนใกล้จะมา” ผมแย้ง ก่อนจะถาม “แล้วตกลงเมื่อวานเป็นอะไร?”
               
“...” แต่แทนที่จะตอบ ร่างสูงกลับเงียบไป พร้อมกับหยุดเดินจนผมต้องชะงักตามและหันกลับไปทำหน้าสงสัย เชนกำลังมองหน้าผมพลางขมวดคิ้วแน่นด้วยสีหน้าอ่านยากอีกแล้ว

“?” ผมถามอะไรผิดงั้นเหรอ

“เฮ้อ” ผมยิ่งงงหนักไปอีกเมื่อเขาถอนหายใจออกมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาเหมือนกำลังด่าว่าผมทำไมถึงโง่นัก ก่อนที่มือหนาข้างที่ว่างอยู่จะเอื้อมมาขยี้หัวผมแรงๆ ให้ผมที่เสียทรงจากการสวมหมวกกันน็อกยิ่งยุ่งฟูไปกันใหญ่

“ไม่บอก”

“อะ...อ้าว!?” ผมได้แต่อ้าปากค้าง มองตามร่างสูงที่เริ่มเดินนำขึ้นบันไดไปชั้นสุดท้าย พยายามคิดว่าเขาหมายความว่ายังไง ซึ่งก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“อ้าวตรี ^^” แต่แล้วก่อนที่ผมจะทันได้ถามต่อ เจ้าของแผ่นหลังกว้างก็หยุดชะงักอีกครั้ง พร้อมกับที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี

“เพิ่งมาเหรอ? ทำไมมาสายล่ะ ปกติตรีไม่เคยมาสายนี่นา” ทองกวาววิ่งเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับตั้งคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากยิ้มแห้งๆ กลับไป

“สวัสดีค่ะพี่เชน” ร่างเล็กยกมือไหว้เขาด้วยท่าทางที่เหมือนเพิ่งสังเกตเห็น “มาทำอะไรเหรอคะ?”

“พอดีรถเราเสีย เขาเลยมาส่งน่ะ” ผมเป็นฝ่ายอธิบายแทน พลางเหลือบมองร่างสูงที่นิ่งไปเลยตั้งแต่เห็นทองกวาว
และไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงรู้สึกว่าดวงตาของเขา มันกลับมามีแต่ความเย็นชาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เมื่อกี้พวกเรายังคุยกันด้วยความรู้สึกผ่อนคลายอยู่เลยแท้ๆ

“อ่อ” ทองกวาวพยักหน้าเบาๆ “อันนั้นของตรีเหรอ เดี๋ยวเราช่วยถือแทนนะ จะได้ไม่รบกวนพี่เค้า” ว่าจบร่างเล็กก็เดินเข้าไปหาเชน พร้อมกับดึงโมเดลของผมในมือเขามาถือไว้แทน

“ขอบคุณนะคะพี่”

“...”

“...” ทั้งผมและเชนต่างก็เงียบ ปล่อยให้ร่างเล็กเป็นฝ่ายพูดและยิ้มแย้มอยู่คนเดียว ผมรู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรสักอย่างในสถานการณ์ที่เริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ อยู่ในสมองกลวงๆ ของผมเลย

“ขอตัวนะ” และก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าของเสียงทุ้มเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาแทน

เชนไม่รอให้ผมตอบอะไร และหมุนตัวเดินลงบันไดไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีก ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มอก

อย่างน้อยผมก็ควรจะขอบคุณเขาไม่ใช่เหรอ...

“ตรี ไปเหอะ ป่านนี้อาจารย์รอแล้ว” แต่แล้วความคิดของผมก็ถูกหยุดด้วยเสียงหวานจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของผมอีกครั้ง ซึ่งคนซื่อบื้ออย่างผม ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับและเดินตามร่างเล็กไปโดยไม่พูดอะไร
               
“เออตรี เรายืมมือถือหน่อยดิ” อยู่ๆ ทองกวาวก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เรามาถึงห้องเรียน ซึ่งโชคดีที่กลุ่มผม อาจารย์ประจำกลุ่มยังไม่มา
               
“ทำไมเหรอ?” ผมเลิกคิ้วถามงงๆ แต่คนตัวเล็กกลับหัวเราะและยื่นมือมาตรงหน้า
               
“เอามาเถอะน่า เราไม่แกล้งตรีหรอก” ถึงท่าทางจะดูไม่น่าไว้ใจ แต่เพราะเป็นทองกวาวที่ไร้เดียงสากว่าใคร ...และเธอคือแฟนของผม ผมจึงตัดสินใจยื่นโทรศัพท์มือถือให้เธออย่างไม่คิดอะไร
               
ทองกวาวรับมันไปกดอะไรสักอย่างสักพักก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดบ้าง ท่าทางกรุ้มกริ่มของเธอทำให้ผมเริ่มสงสัย แต่ไม่ทันถามอะไร มือเรียวก็ยื่นโทรศัพท์กลับมา
               
และตอนนั้นเอง ที่ผมได้คำตอบแล้วว่าเธอทำอะไรกับโทรศัพท์ผม...
               
จอสมาร์ทโฟนที่ยังคงค้างหน้าเฟสบุ๊ก แสดงให้เห็นสถานะว่า ผมกับทองกวาวกับลงคบกันเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว...
               
“เราแค่อยากลองดู ถ้าตรีไม่ชอบ จะยกเลิกก็ได้นะ” เธอยังคงพูดด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาเหมือนเคย แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นที่มองมา ก็สื่ออย่างชัดเจนว่า...เธอไม่ได้เอ่ยมันออกมาจากใจจริง
               
ผมยืนชะงักอยู่นานด้วยสมองที่ขาวโพลน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรตอบอะไร จึงยิ้มออกมาบางๆ “ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ชัดเจนดี” ว่าพลางกดล็อกโทรศัพท์และยัดมันลงกระเป๋ากางเกง

ทำเป็นไม่สนใจสเตตัสที่เห็นเมื่อครู่

ทำเป็นไม่สนใจ... ว่าความชัดเจนนั้น มันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ตัว ว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ผิดพลาด...




-----------------------------------------------
หายไปหนึ่งวัน เลยอัพสองตอนรวดเป็นการไถ่โทษค่ะ
ขอบคุณวันเสาร์ที่ทำให้มีเวลาพักหายใจบ้าง ฮืออ u_u

มีคนอ่านเพิ่มแล้ว ดีใจ ขอบคุณมากนะคะ
มามะ มาสกรีมพี่เชนเป็นเพื่อนกันค่ะ 5555
ฝากด้วยน้า
ใครเล่นทวิตเตอร์มาติดแท็ก #เชนตรี เม้ามอยกันเถอะ -..-

 :mew1:

-- makok_num --

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
อยากให้ทั้งสองคุยกันให้รู้เรื่อง สงสารกวาวนิดๆ  :mew5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :katai1:ตรี รู้ว่าทำผิดพลาด รีบแก้ไขสิ  :เฮ้อ:
เชน ก็ไม่บอกชอบให้ตรีรู้ เลยคลุมเครือ :m16:
ทั้งที่เวลาอยู่ด้วยกันก็รู้สึกดีๆ ให้กัน
 อยากให้คบกันซะที :katai1:
รอ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
17
ไพ่ตาย
 
               
ผมเดาไม่ผิดจริงๆ ที่คิดว่าสเตตัสนั้นคงจะกลายเป็นทีฮือฮาในหมู่เพื่อน เฟสที่ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวของผมขึ้นแจ้งเตือนไม่หยุดตลอดวัน พร้อมกับพวกไอ้เวสป้าที่เอาแต่แซวไม่ขาดปาก ผมรำคาญจนไม่รู้จะรำคาญยังไง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าพวกมันอย่างไม่จริงจังนัก และพยายามหนีออกมาจากวงสนทนา
               
ทำยังไงได้ล่ะ ก็ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะลบโพสนั้น เพราะรู้ดีว่าคงจะทำให้อีกคนไม่สบายใจ...
               
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน ขณะที่เงยหน้ามองตัวเองในกระจกห้องน้ำ
               
ในสตูดิโอยังคงวุ่นวายกับการเม้าท์มอยเรื่องผมกับทองกวาวไม่หยุด ถึงขนาดลากผมกับทองกวาวมาซักไซ้ถามที่มาที่ไปเรื่องความรักของเรา จนผมต้องขอปลีกตัวหนีออกมาและให้อีกฝ่ายเป็นคนรับหน้าแทน
               
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรำคาญไอ้พวกเพื่อนจอมกวนทั้งหลาย
               
แต่อีกส่วนหนึ่ง...เป็นเพราะผมไม่รู้จะตอบคำถามพวกนั้นยังไงต่างหาก
               
ความรู้สึกที่ผมมีต่อทองกวาว มันมีตรงไหนที่ใกล้เคียงคำว่า ‘รัก’ มั้ยนะ...
               
ผมถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดยุ่งยากออกไปจากสมอง ตอนนี้ผมไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองจริงๆ
               
แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าควรจะหันหน้าไปพึ่งใคร...
               
ตึ๊ง~
               
แต่ขณะที่ผมกำลังจะถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะไม่รู้จะจัดการชีวิตตัวเองยังไง เสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นไลน์ก็ดังขึ้น ผมขมวดคิ้วเพราะปกติไม่เคยมีคนทักไลน์มา มันเป็นเหมือนแอพลิเคชั่นไร้ประโยชน์ที่มีไว้ประดับสมาร์ทโฟนราคาแพงของผมเท่านั้น
 
               
‘มึงมีอะไรจะบอกกูมั้ย???’
 

ผมยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าเจ้าของข้อความคือไอ้ซัน
 
               
‘หือ?’
 
               
ผมพิมพ์ตอบไปอย่างงงๆ อีกฝ่ายจึงส่งรูปมา... มันเป็นรูปที่แคปมาจากหน้าจอเฟสบุ๊คของผม ซึ่งขึ้นสถานนะกำลังคบกับทองกวาว
 
               
‘จริงจังป่ะวะ?’
               

พอเห็นว่าผมอ่านแล้วไม่ตอบ ซันจึงถามต่อ ผมชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจพิมพ์กลับไป
 

‘จริง’
 

ไอ้ซันเงียบไปนานจนผมเกือบจะคิดว่าบทสนทนาจบลงแล้ว ถ้าหากว่าขณะที่ผมกำลังจะกดออกไม่มีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาเสียก่อน

 
‘แต่มึงเคยบอกกูว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง?’

 
คำถามที่ตอบยากและแสนจะแทงใจดำ...
นั่นสินะ ผมเคยบอกมันไปแบบนั้นนี่นา ตอนนั้นผมมั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถชอบใครได้อีกนอกจากไอ้ซัน เพราะแบบนั้นก็เลยคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถเปิดใจให้ใครอีกแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมจึงพูดออกไปแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้ผมกลับกลืนน้ำลายตัวเอง

มันเป็นเพราะอะไร
 

‘ตกลงมันยังไงกันแน่วะ’

‘ไอ้ตรี...’

‘ตอบดิ’

‘ไอ้ตรี!!’

               
ซันพิมพ์อะไรมาไม่หยุด แต่ผมกำลังจมอยู่ในห้องความคิดของตัวเองจนลืมที่จะสนใจ แต่ขณะที่ผมกำลังหาคำตอบให้กับตัวเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไอ้เพื่อนตัวดีที่เห็นว่าผมไม่ตอบข้อความมันสักที ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับ

[ ทำไมมึงไม่ตอบกู ] น้ำเสียงจริงจังถูกส่งมาทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยปากทักทาย

“...”

[ ไอ้ตรี ] พอเห็นว่าผมเอาแต่เงียบ มันจึงกดเสียงต่ำลงอย่างกดดัน

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตอบ “กูไม่รู้”
               
[ ไม่รู้เหี้ยอะไร ] มันยังคงทำน้ำเสียงข้องใจ
               
ผมเงียบไปอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไร ไม่แน่ใจว่าควรจะบอกเหตุผลที่แท้จริงที่ผมพูดกับมันไปแบบนั้นดีหรือเปล่า เพราะนั่นหมายความว่าผมกำลังสารภาพกับมันว่าผมโกหก... ผมยังไม่สามารถหยุดรักมันได้อย่างที่พูด
               
และหมายความว่าความเป็นเพื่อนของเราจะถูกทำลายอีกครั้ง

[ ไอ้ตรี ] ไอ้ซันเรียก ผมจับน้ำเสียงกังวลของมันได้ อาจเป็นเพราะมันเองก็จับความรู้สึกกังวลของผมได้เช่นกัน
               
ผมใช้เวลานานในการหาคำพูดที่ดีที่สุดมาตอบเพื่อนรัก แต่มันก็เป็นแค่คำตอบโง่ๆ ของคนที่พยายามจะบ่ายเบี่ยงเอาตัวรอด “เขาแค่มาสารภาพรักกับกู”
               
[ แล้วไง? มึงก็เลยไม่ปฏิเสธ? ] น้ำเสียงของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความงุนงง
               
“กูปฏิเสธไม่ได้”
               
[ ทำไม? เขาบังคับมึงเหรอ? ]
               
“...” ผมนิ่ง ไม่รู้จะตอบยังไง
               
นั่นสิ เท่าที่จำได้ ตอนนั้นทองกวาวไม่ได้บังคับผม หรือทำอะไรที่เข้าข่ายแบบนั้นเลยสักนิด เธอแค่สารภาพรัก
               
และทำให้ผมนึกถึงตัวเอง...
               
[ มึงชอบเขาเหรอ? ] มันถามคำถามตอบยากอีกครั้ง
               
“เปล่า” ผมตอบคราวนี้ไม่ใช้เวลานานเลย
               
[ งั้นเพราะอะไร? กูเป็นเพื่อนมึงนะ แต่กูไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามึงจะตอบรับรักคนที่มึงไม่ได้ชอบไปเพื่ออะไร ]
               
“เพราะกูกลัวไง” ผมเผลอพูดออกไปทันที เมื่อถูกคาดคั้นจนเริ่มจะจนมุม
               
ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง และตัดสินใจจะตอบคำถามที่ผมเพิ่งจะค้นเจอ ว่าเหตุผลที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไร
               
“กูกลัว... ว่าถ้าปฏิเสธไป เขาจะเจ็บเจียนตาย แบบที่กูเคยเป็น”
               
[ … ] แน่นอนว่าไอ้ซันต้องเงียบไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น คำตอบที่คงจะทำให้มันนึกย้อนกลับไปในวันที่ผมสารภาพความรู้สึกกับมัน เหมือนที่ผมกำลังนึกถึง...วันที่หัวใจมันเจ็บจนเหมือนกำลังจะแตกสลาย
               
ไม่แปลกหรอกที่มันจะไม่เข้าใจการกระทำของผม เพราะมันไม่เคยสัมผัสความรู้สึกของการถูกคนที่รักปฏิเสธ ไม่เคยรับรู้ว่าการรวบรวมความกล้าเพื่อจะสารภาพคำว่า ‘ชอบ’ ออกมามันยากเย็นขนาดไหน ไม่รู้หรอกว่าการเดิมพันหัวใจตัวเองกับคำคำเดียวมันเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะยอมรับคำปฏิเสธ แม้ว่าจะพยายามทำใจยอมรับมากแค่ไหนก็ตาม
               
มันคงไม่มีวันรู้เลย...
               
[ เข้าใจแล้ว ขอโทษนะที่คาดคั้นมึง ] เสียงปลายสายฟังดูอ่อนลง และเจือปนไปด้วยความรู้สึกผิด
               
“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร ตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงยังไม่รู้เลย
               
[ แต่ไอ้ตรี มึงแน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ ] มันถามขึ้นมา หลังจากที่เราต่างก็เงียบกันไปสักพัก
               
“...”
               
[ มึงไม่คิดเหรอว่าแบบนี้มันอาจจะทำให้เขาเจ็บกว่า ] คำพูดของมันยังคงแทงใจดำจนผมจุกไปหมด [ การที่มึงคบใครเพราะสงสาร มันไม่ได้ทำให้คนที่รักมึง เขามีความสุขจริงๆ หรอกนะเว้ย ]
               
 “...”
               
[ ถ้าตอนนั้นกูยอมคบกับมึง เพราะแค่กลัวว่าถ้าปฏิเสธแล้วมึงจะเสียใจ มึงจะรู้สึกยังไงวะ ]
               
“...”
               
ผมคงเกลียดเขา และที่สำคัญ คงเกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนน่าสมเพชขนาดนั้น
               
[ ตอนนี้มึงกำลังทำร้ายทุกคนทางอ้อมด้วยการโกหกความรู้สึกตัวเองอยู่นะ ]
               
“...”
               
[ ถ้ามึงไม่ได้รัก ก็อย่าไปให้ความหวังเขาเลย ] คำพูดนั้นเหมือนจะกรีดลงมาในใจผมอย่างจัง เพราะมันทำให้ผมยิ่งเข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไร [ กลับไปคิดให้ดีๆ นะเพื่อน ]
               
ไอ้ซันพูดถูก...ทุกอย่างเลย...คำพูดของมันถูกต้องทั้งหมดจนผมไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกมาได้อีก
               
มันเหมือนกับสมการคณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดถูกไขให้กระจ่างได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งที่ผมพยายามแก้มาหลายวัน คำตอบที่ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดในความเป็นจริง แต่ในความคิดของผม... มันคือคำตอบที่ทำให้รู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไป
               
               
เวลาผ่านไป

ชีวิตที่ผ่านมาของผม มันเรียบง่ายเกินไปจบติดจะน่าเบื่อ เพราะแบบนั้นจึงไม่ค่อยมีเรื่องกลุ้มใจให้ต้องคิดนัก ส่วนใหญ่เลยมักจะเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาแก่คนอื่นมากกว่า ช่วยได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามแต่สติปัญญาอันน้อยนิดจะอำนวย และคนที่ผมเป็นที่ปรึกษาให้บ่อยสุด ก็คงหนีไม่พ้นไอ้ซัน เพื่อนสนิทที่คบกันมาหลายปี ดังนั้นนี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่มันเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาผมบ้าง
               
หลังจากที่วางสายจากไอ้ซัน ผมก็จัดการล้างหน้าล้างตา และกลับไปที่สตูดิโออีกครั้ง ตัดสินใจจะเคลียร์เรื่องทั้งหมดกับทองกวาว ตอนนี้ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันกลับแล้ว มีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่ยังตรวจงานไม่เสร็จ
               
“ไอ้ตรี มึงหายไปนานจังวะ คิดว่าตกส้วมไปแล้ว” ไอ้เวสป้าส่งเสียงทักทันทีที่เห็นผม ผมไม่ได้ตอบอะไร และยังคงเดินไปที่โต๊ะของกลุ่มทองกวาว ซึ่งเธอกำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ ไม่ทันสังเกตเห็นผม
               
“เย็นนี้มึงกินข้าวไหน ไปกับพวกกูมั้ย” แต่ขณะที่กำลังจะถึง ไอ้เวสกลับเดินมากระโดดกอดคอผมพร้อมกับล็อกไม่ให้เดินต่อเสียก่อน
               
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเย็นนี้กูไปกับกวาว” ผมตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดเลย เป็นจังหวะเดียวกับที่ทองกวาวหันมาเห็นผมพอดี และเธอคงจะได้ยินประโยคนั้นด้วย
               
“แน่ะ ตั้งแต่เปิดตัวต่อสาธารณะชน ก็หวานกันใหญ่เลยนะพวกมึง” ไอ้เวสเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน ทองกวาวส่งยิ้มเขินๆ ให้คนปากดี
แต่เมื่อดวงตากลมโตคู่นั้นหันมาสบตากับผม... รอยยิ้มน่ารัก ก็เลือนหายไปจากใบหน้าแทบจะทันที
               
เวสป้าเอ่ยแซวต่อนิดหน่อย ซึ่งผมก็ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มกลับไป ก่อนที่มันจะชวนเพื่อนคนอื่นไปกินข้าวด้วยแทน เป็นโอกาสให้ผมได้เดินเข้าไปหาทองกวาวสักที
               
แปลก... ที่แทนที่เธอจะส่งยิ้มไร้เดียงสาให้ผมเหมือนเคย ร่างบางกับถอยห่าง เดินกลับไปที่โต๊ะเขียนแบบของตัวเอง และหันหลังให้ผมด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างประหลาด
               
“กวาว เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะ เรามีเรื่องจะคุยด้วย” ผมเข้าประเด็นทันทีด้วยความใจร้อน
               
“...” ทองกวาวชะงักไป ดูเหมือนเธอจะจับสังเกตได้ ว่าปกติแล้วผมไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเธอไปไหนมาไหนก่อนเลย ดังนั้นแทนที่ร่างบางจะกระตือรือร้นตอบตกลง เธอกลับหันมามองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความกังวล ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป
               
“ขอโทษนะตรี” นิ้วเรียวพยายามหยิบจับอะไรสักอย่างบนโต๊ะอย่างเก้ๆ กังๆ “พอดีเรายังทำงานไม่เสร็จ ละ...แล้วเย็นนี้เราก็มีธุระ... คงไปด้วยไม่ได้”
               
“...” ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะอ่านจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากออกไปกับผมจริงๆ
               
“ขอโทษนะ”
               
ทั้งที่ผมกำลังร้อนใจอยากจะพูดเรื่องทั้งหมดในใจออกมาใจจะขาด แต่พอได้ยินคำขอโทษด้วยน้ำเสียงหงอยๆ นั้นบวกกับแผ่นหลังบางที่ดูจะหดเล็กลงกว่าเดิม มันก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนอีกครั้ง
               
“อืม... ไม่เป็นไร” ผมบอกและหันหลังเดินจากมา
               
ไม่เป็นไรหรอก... วันหลังยังมีนี่นา... จริงมั้ย
 
               
สุดท้ายผมก็ต้องโบกรถกลับหอด้วยความรู้สึกค้างคาที่ยังไม่ได้ถูกจัดการ
               
แต่แบบนี้มันอาจจะดีแล้วก็ได้ ที่ผมไม่รีบร้อนทำอะไร รอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ในการพูดเรื่องสำคัญ เพราะการพูดอะไรทันทีมันอาจจะเร็วเกินไป จนเธอ หรือแม้แต่ผมเองก็อาจจะรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน
               
ผมไม่อยากให้เกิดการแตกหักระหว่างเรา เพราะยังไงทองกวาวก็เป็นเพื่อนผม แถมยังเป็นสายรหัสที่ต้องมีเรื่องให้เจอบ่อยครั้ง มันคงไม่ดีแน่ถ้าผมเผลอรีบร้อนจนทำลายความสัมพันธ์ดีๆ นั้นไป ผมกลับมาถึงหอด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าปกติ วันนี้เป็นวันที่มีเรื่องให้คิดมากมายจริงๆ แต่มันก็ดีแล้วล่ะนะที่ได้คิดอะไรซะบ้าง อย่างน้อยในที่สุดมันก็ทำให้ผมกำลังจะได้ทำอะไรที่ตรงกับความรู้สึกจริงๆ สักที
               
ผมถอยหายใจออกมาเบาๆ (อีกแล้ว) ก่อนจะหยิบกุญแจห้องออกมาไขประตูด้วยความผ่อนคลาย
               
แกรก
               
แต่แล้ว...เมื่อประตูเปิดออก ผมก็ได้รู้ว่าห้องที่ผมแสนจะคุ้นเคย มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
               
เมี้ยวว~
               
เสียงเจ้าเตที่ร้องถี่กว่าปกติ เรียกให้ผมหันไปมองเจ้าตัวเล็ก ซึ่งนั่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า มันหันมามองผมที่เปิดประตูเข้ามาและเริ่มร้องดังกว่าเดิม พลางหันกลับไปมองตูเสื้อผ้าที่ปิดไม่สนิท
               
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องร้อนใจถึงขนาดต้องทิ้งกระเป๋าและสัมภาระทุกอย่างไว้ที่หน้าประตูโดยไม่ห่วงเลยว่าจะมีอะไรหักพัง ผมพุ่งตัวไปยังตู้เสื้อผ้าหลังโตและกระชากประตูออก ด้วยลางสังหรณ์บางอย่างที่เอ่อขึ้นมาในใจ
               
“...”
               
และมันก็เป็นไปตามที่ผมคิด...
               
ตู้เสื้อผ้าที่เคยเต็ม กลับเหลือเพียงเสื้อผ้าที่จำได้ดีว่ามีแต่ของผม ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งว่างเปล่า ไร้ร่องรอยเสื้อยืดกางเกงยีนซ้ำแบบของร่างสูงอีกคน ผมมองไปรอบห้องและพบว่าข้าวของของเขาหายไปทั้งหมด ทั้งกีตาร์และซองบุหรี่ยี่ห้อโปรด

บนโต๊ะที่เขานั่งประจำเหลือไว้เพียงก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งไว้ในที่เขี่ยบุหรี่...

ราวกับว่ามันคือสิ่งที่เขาใช้ทดแทนคำบอกลา




-- makok_num --

ออฟไลน์ ploy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ตรีนายอาจจะคิดว่าวันหลังก็ได้ แต่อีกคนเขาอาจจะรอไม่ไหวก็ได้นะ
หน่วงงงง  :hao5:
รีบไปเคลียร์เลยนะตรี อย่าทำร้ายเชนนนนนน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
 :sad4: :sad4: รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
18
ถอนตัว
                               
               
อะไรๆ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิด
               
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้เจอเชนอีกเลยแม้แต่ในห้องซ้อม... เขาไม่ได้หายตัวไป หรือโดนลักพาตัวแน่ๆ เพราะพวกเตอร์ยังเจอเขาอยู่และรู้ว่าเขาแอบไปซ้อมดนตรีอยู่คนเดียว เหตุผลที่เขาหายไปมันเป็นเพราะผม... เขาหลบหน้าผม
 
               
‘ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง ก็รีบรั้งฉันไว้ล่ะ’
 
           
คำพูดในวันนั้นดังก้องขึ้นมาในหัวผม มันเป็นคำขู่ที่ผมไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่เห็นท่าที และถึงแม้จะรู้ว่าเขาจะไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะรั้งเขาไว้ด้วยเหตุผลใดอยู่ดี
               
น่าสมเพชจริงๆ ที่พอเขาหายไป ผมก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างที่เขาว่าไม่มีผิด
               
มันช่างไร้เหตุผลเกินไปที่ผมรู้สึกแบบนั้น ผมกับเขาอยู่ด้วยกันมาเพียงไม่นาน มันไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่าผูกพันได้เลยสักนิด เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นตัวติดกันตลอดเวลา บางคืนเขาก็ไม่ได้กลับมานอนที่ห้องด้วยซ้ำ
แต่ทำไม... พอไม่มีภาพของร่างสูงที่มักจะนอนกลิ้งไปมากับเจ้าเตบนเตียง ไม่มีภาพร่างกายกำยำที่มักจะเปลือยท่อนบนนั่งดีดกีตาร์อย่างไม่มีความเกรงใจอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง... ไม่มีแม้แต่กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อแพงที่มักจะถูกลมพัดผ่านเข้ามาจากระเบียง
               
ในใจ...มันก็โหวงไปหมด
               
อาจเป็นเพราะ ผมรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังจะกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้ง
               
               
[ มึงจะมาถึงนี่กี่โมง ] ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ก็ฟังออกว่ากำลังกังวลอยู่
               
“น่าจะอีกสักชั่วโมงนึง” ผมตอบกลับไป พลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ห้าโมง กว่าการประกวดจะเริ่มก็ทุ่มหนึ่ง ผมมีเวลาเตรียมตัวสองชั่วโมงซึ่งถือว่ามากพอ
               
วันนี้เป็นวันประกวดแล้ว... ใช่ ผมกับวง The Quantum ยังคงลงแข่งอยู่ แม้ว่ามือเบสจำเป็นอย่างเชนจะไม่ได้มาซ้อมเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ตาม แต่แน่นอนว่าไม่มีใครห่วง เตอร์หัวเสียนิดหน่อยกับความเอาแต่ใจของเพื่อนรัก แต่เขาก็รู้ฝีมือเชนดี ต่อให้ไม่ต้องซ้อมร่วมกับคนอื่น เขาก็จะทำได้ดี
               
แต่มันก็ทำให้ผมอดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี ถ้าผมไม่เข้าไปในวง ป่านนี้พวกเขาอาจจะได้ซ้อมกันอย่างเต็มที่ พร้อมลงแข่งเต็มร้อยกว่านี่แน่ๆ
               
[ เออ กูจะรอ ] เตอร์บอก ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ทำให้ผมลดความกดดันของตัวเองลงอย่างง่ายดาย [ มาสนุกกันให้เต็มที่นะมึง ]
               
“อืม” ผมยิ้มบางๆ ตอบกลับไป ก่อนจะวางสาย
               
อย่างที่รู้ ว่าการที่ผมเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาได้ ก็เพราะวินมือเบสของวงต้องไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ และด้วยเหตุผลฉุกละหุกบางอย่างทำให้เขาต้องบินไปเตรียมตัวก่อนวันประกวด ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เล่นด้วยกันก่อนขึ้นปีสี่

มันเป็นภาระหนักอึ้งที่ทำให้ผมอดรู้สึกกลัวไม่ได้ ฝีมือด้านดนตรีของพวกเขาไม่ใช่เล่นๆ เลย และการฟอร์มวงกันมานาน ก็ทำให้พวกเขาเล่นเข้าขากันจนเป็นที่นิยมอยู่พอตัว แม้จะรับจ็อบเล่นในผับเท่านั้น ผมกลัวว่าการเข้ามามีตัวตนของผม จะทำให้ดนตรีของเขาเสียหาย โดยเฉพาะการที่ผมต้องมาเล่นกีตาร์แทนเชนซึ่งต้องไปเล่นเบสแทนด้วยทักษะด้านดนตรีที่ล้นตัวเขา ยิ่งทำให้ผมกดดันทุกครั้งที่ซ้อม เพราะผมรู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันเล่นกีตาร์เทียบชั้นผู้ชายคนนั้นได้เลย
ผมสูดหายใจลึกอีกครั้งเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลาย ก่อนจะดึงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงมุ่งไปสู่ลานจอดรถที่มีรถโฟล์คสีน้ำเงินของผมจอดอยู่ ผมต้องกลับไปเอากีตาร์ที่หอ เพราะเมื่อคืนเอามันกลับมาซ้อมครั้งสุดท้ายแต่ดันรีบจนเผลอลืมเอามาคณะด้วยซะอย่างนั้น และเพราะเวลายังเหลือพอสมควร ผมเลยคิดว่าตัวเองควรจะถือโอกาสอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วยเลย

“ตรี” แต่เมื่อผมกำลังจะเดินไปถึงลานจอดรถ เสียงหนึ่งก็เรียกชื่อผมจากด้านหลัง

“กวาว...” ผมหันกลับไปมอง และถึงกับขมวดคิ้วว่าเจ้าของเสียงคือใคร

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เป็นไปอย่างใจผมนึกก็คือเรื่องของเรา... ผมกับทองกวาวยังไม่ได้คุยกันเลยนับตั้งแต่วันนั้น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าเธอเอาแต่หลบหน้าผม ทั้งๆ ที่ตั้งแต่คบกัน เธอมักจะเป็นฝ่ายตามผมไปไหนมาไหนตลอด ท่าทางหวาดระแวงเวลาที่ผมเข้าไปคุยด้วยยิ่งทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนั้นออกมา และปล่อยมันคาราคาซังมาจนถึงวันนี้

ขี้ขลาดจริงๆ เลยไอ้ตรี...

“ตรีกำลังจะไปแข่งเหรอ?” เธอเอ่ยถามหลังจากที่เราเอาแต่ยืนเงียบอยู่นาน

ผมจำได้ว่า ผมไม่เคยบอกเธอเรื่องประกวด

“เวสป้าบอกเราเมื่อกี้น่ะ” เธอยิ้ม และพูดต่อราวกับอ่านใจผมออก “เราไม่เห็นเคยรู้เลยว่าตรีลงแข่งกับวงพี่เชน” แววตาที่ดูน้อยใจนั่น ทำเอาผมได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะแก้ตัวยังไง

“มันเป็นเรื่องสุดวิสัยน่ะ” ผมได้แต่ตอบไปแค่นั้น

“เหรอ” ทองกวาวยิ้มขืนๆ “เพราะแบบนี้หรือเปล่า พี่เชนเลยต้องไปนอนที่ห้องตรี” ผมไม่แน่ใจว่าทองกวาวต้องการจะสื่ออะไร และทำไมถึงข้องใจเรื่องนี้นัก

“เปล่าหรอก เขาไปอยู่ก่อนที่เราจะเข้าวง ตอนนั้นเขาก็บอกแล้วนี่ว่ามีปัญหาเลยมาอยู่กับเรา” ผมขมวดคิ้วงงๆ

“อืม เราจำได้ เราแค่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่น่ะว่าตรีไปสนิทกับพี่เขาแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร ท่าทางของผู้หญิงตรงหน้าอ่านยากเกินไปจนไม่เหมือนทองกวาวคนเดิมที่ผมรู้จัก

“เอ้อ วันนี้เราขอไปดูตรีแข่งด้วยได้มั้ย” แต่แล้วท่าทางแปลกๆ กลับหายไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใสซื่อที่ส่งมากให้ผมเหมือนเคย

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะยังคงไม่เข้าใจท่าทางของเธอ แถมยังตั้งตัวไม่ทันที่อยู่ๆ เธอก็กลับมาคุยด้วยง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามหลบหน้ากัน ถ้าอย่างนั้นมันอาจถึงเวลาแล้วก็ได้ ที่ผมจะพูดเรื่องนั้นออกมาสักที

“ไม่ได้เหรอ?” เจ้าของดวงตากลมตัวเอียงคอถามอย่างน่ารัก

ผมหัวเราะพลางส่ายหน้า “เปล่า”

ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปฏิเสธ

“ได้สิ ไปพร้อมเราเลยก็แล้วกัน”

เพราะผมเอง ก็มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอสักทีเหมือนกัน...
 

ผมพาทองกวาวมาที่ห้องเพราะคิดว่าคงไม่ดีที่จะทิ้งเธอให้รอในรถ และมันคงไม่ดีอีกถ้าผมจะปล่อยให้เธอรอตอนผมอาบน้ำเลยตัดสินใจว่าจะแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแทน

“กินน้ำก่อนนะ” ผมว่าพลางเดินไปรินน้ำให้คนตัวเล็กที่เดินไปนั่งรอบนเตียงเมื่อผมบอกให้ทำตัวตามสบาย “เราขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนะ” ผมบอกสั้นๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อไปเปลี่ยนในห้องน้ำ

ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินออกมาในเสื้อชุดเสื้อยืดกางเกงยีนคล่องตัว ทองกวาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแต่ในมือของเธออุ้มเจ้าเตที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่

“แปลกแฮะ คราวนี้ทำไมเชื่องล่ะ” ผมหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นภาพนั้น

คราวก่อนที่ทองกวาวมาที่ห้อง เธอพยายามจะเล่นกับเจ้าเตครั้งหนึ่งแล้ว แต่เจ้าแมวจอมพยศก็ดันไม่ยอมเล่นด้วยและวิ่งหนีไปหลบที่ซอกระหว่างกีตาร์ที่ผมวางอิงไว้กับเตียงซะงั้น แต่จะว่าไป เจ้าตัวเล็กก็ดูเซื่องๆ ซึมๆ ผิดปกติมาสักพักแล้ว ตั้งแต่หมอนั่นไม่อยู่

คงคิดถึงสินะ...

ผมสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว และเดินไปเก็บกีตาร์ที่ต้องใช้ขึ้นแสดงเก็บใส่กระเป๋า ในใจคิดว่ายังไงวันนี้ก็ต้องได้เจอ... อีกไม่กี่นาทีเท่านั้น

แต่ก่อนหน้านั้น ผมอาจจะต้องจัดการเรื่องหนึ่งก่อน

“เจ้านี่ชื่ออะไรนะตรี” เสียงหวานถามขึ้นมาเรียกสติผมที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง

“เตน่ะ” ผมตอนสั้นๆ พลางยัดกีตาร์ใส่กระเป๋า

คนตัวเล็กเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะถามคำถามแปลกๆ ออกมา “หมายถึง ‘ตรี’ กับ ‘เชน’ เหรอ??”

“...” ผมชะงักมือที่กำลังรูดซิปกีตาร์แล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างบางที่กำลังนั่งหันหลังให้ด้วยความประหลาดใจ "ถามอะไรน่ะ?"

“เราพูดเสมอเลยใช่มั้ยว่าตรีเป็นคนใจดี” แต่เธอยังพูดต่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะหันหน้ากลับมา “เพราะความใจดีนี้หรือเปล่า เราถึงได้คบกัน”

“กวาว...” ผมยืดตัวตรง เรียกชื่อเธอขณะที่ในหัวคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วจริงๆ

เธอเองก็คงรู้ตัว...

เพราะแบบนี้สินะถึงพยายามหลบหน้าผม... เธอคงรู้ตัวและขอเวลาเตรียมใจ

“ตรี” เธอเรียกชื่อผมอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สดใสเหมือนเคยจนผมรู้สึกผิด “เราถามได้มั้ย ว่าทำไมตรีถึงยอมคบกับเรา”

“...” ผมไม่กล้าบอกความจริงออกไป เพราะกลัวว่ามันจำทำร้ายเธอ

“ถ้าตรีไม่ตอบ เราจะเปลี่ยนคำถามนะ” ทองกวาวหัวเราะขืนๆ และเอ่ยคำถามใหม่ที่น่าตกใจไม่แพ้กันขึ้นมา “ตรีกับพี่เชน เป็นอะไรกันแน่”

“กวาว” ผมเรียกชื่อเธอซ้ำ ไม่เข้าใจคำถาม และไม่เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ถึงถามออกมา "ทำไมอยู่ๆ..."

“ตรีชอบผู้ชายทำไมไม่บอกเรา” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบเธอก็แทรงขึ้นมา แล้วไหล่บางก็เริ่มสั่นเทิ้มพร้อมกับส่งเสียงสะอื้น

“...” ผมยิ่งชะงัก เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มร้องไห้ ไม่รู้ว่าควรเข้าหาหรือถอยห่างดี

ที่เธอพูด แม้จะไม่ถูกทั้งหมด แต่มันก็ถูกอยู่ดี... ผมเคยชอบผู้ชาย ถึงจะแค่คนเดียว และไม่ใช่ผู้ชายที่ไหนก็ได้ก็ตาม แต่ความจริงก็คือผมชอบผู้ชายอยู่ดี

“ตรีทำแบบนี้ทำไม ให้ความหวังเราทำไม ถ้าตรีไม่ได้รักเรา” เธอเริ่มสะอึกสะอื้นจนแทบจะพูดไม่รู้เรื่อง

ผมไม่รู้ว่าเธอไประแคะระคายอะไรมา และรู้เรื่องที่ผมชอบผู้ชายได้ยังไง แต่คำพูดแทงใจดำของเธอก็ทำเอาผมรู้สึกผิดจนพูดไม่ออก

“เราขอโทษ” ผมเอ่ยออกมาในที่สุด แต่ดูเหมือนว่าคำขอโทษนั้นจะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

“เราชอบตรีนะ เราชอบตรีจริงๆ” ทองกวาวลุกขึ้นยืนและหันมาทางผม น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด “แต่ตรีชอบผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย ใช่มั้ยตรี” เธอคาดคั้นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าสงสาร

ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเธอยังคงอุ้มเจ้าเตอยู่ด้วยแรงบีบที่น่ากลัว...

แง้ว!

“กวาว! ปล่อยเจ้าเตก่อน” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความอึดอัดของเจ้าเต และกำลังจะพุ่งเข้าไปแย่งเจ้าตัวเล็อกออกมาจากอ้อมแขนนั้น แต่ร่างบางกลับสะบัดตัวหนีอย่างรวดเร็ว

“เราไม่ให้! ทำไม! ตรีกลัวมันเจ็บเหรอ? แล้วทำไมตรีไม่คิดบ้างว่าตรีก็ทำเราเจ็บเหมือนกัน!” เธอตะโกนพร้อมกับเปลี่ยนจากอุ้มเจ้าเตด้วยแขนสองข้างเป็นกระชากคอมันขึ้นมาชูไว้แทน” 

“ทองกวาว!!” ผมตะคอกและพุ่งเข้าใส่ทันทีที่เห็นเธอทำแบบนั้น แต่ร่างบางก็ยังคงเร็วกว่า เธอเอี้ยวตัวหลบไปที่ประตู โดยไม่สนใจเลยว่าการถือเจ้าเตไว้แบบนั้นจะทำให้เจ้าตัวเล็กต้องดิ้นตะเกียกตะกายด้วยสีหน้าทรมานแค่ไหน

“ตรีทำแบบนี้เราน่าสมเพชนะ เคยคิดบ้างมั้ยว่าผู้หญิงที่อยู่ๆ ก็มารู้ว่าแฟนตัวเองเป็นเกย์และคบกับตัวเองเพราะว่าสงสารมันจะรู้สึกยังไง” เธอยังคงพูดไม่หยุดและไม่ยอมปล่อยเจ้าเตลง

“กวาว ปล่อยเจ้าเตเดี๋ยวนี้” ผมกดเสียงต่ำบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจ สายตายังคงจับจ้องไปที่เจ้าเตที่กำลังดิ้นเอาชีวิตรอด

“ไม่!” แต่อีกฝ่ายกลับตะโกนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดกว่าเดิม เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดโดยที่ไม่รู้เลยว่ายิ่งเธอร้องไห้หนักแค่ไหน มันก็ยิ่งส่งผลให้แรงบีบของฝ่ามือมีมากขึ้นเท่านั้น

“เราขอร้อง กวาว คืนเจ้าเตให้เรา” ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจึงพยายามใช้ไม้อ่อน ค่อยๆ เดินเข้าไปหาและยื่นมือออกไปขอชีวิตน้อยๆ ในมือเธอคืนมาดีๆ

“ทำไมเป็นเราไม่ได้ตรี ทำไมถึงไม่ใช่เรา” เธอไม่สนใจคำขอร้องของผม และยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดไม่ได้ศัพท์ แต่ผมไม่สนใจแล้ว ผมพุ่งเข้าไปหาเธออีกครั้งหวังจะคว้าตัวเจ้าเตมา แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อทองกวาวไหวตัวทันและพยายามจะหนีผมด้วยการชูเจ้าเตให้สูงขึ้นกว่าเดิมจนสุดแขน ซึ่งหมายความว่าเธอต้องใช้แรงสุดตัวเพื่อยืดตัวให้สูงขนาดนั้น

...!!

มันเป็นความผิดของผมเองที่ถึงตัวเธอแล้ว แต่ไม่กล้ากระชากเจ้าตัวเล็กกลับมาเพราะกลัวว่าแรงรั้งจากสองทางจะทำให้มันเจ็บ เป็นความผิดของผมเองที่ได้แต่ยืนมองร่างเจ้าเตลอยขึ้นเหนือหัวด้วยสีหน้าที่ทรมานกว่าเดิมด้วยความตกใจ ทุกอย่างเป็นเหมือนภาพช้าเมื่อดวงตากลมโตที่เคยสดใสเหลือกขึ้นพร้อมกับลิ้นเล็กๆ ที่เริ่มจุกปากอย่างน่ากลัว... และในที่สุด เสียงเล็กๆ ที่ไม่สามารถเปล่งออกมาได้เพราะถูกกดหลอดลมเอาไว้ก็เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยิน

อ่อก!

“เต!!” ผมตะโกนเรียกชื่อเจ้าตัวเล็กเสียงดังและเอื้อมมือไปคว้าเจ้าเตมาโดยไม่สนใจอะไรอีก ทองกวาวเองก็ดูจะตกใจและได้สติจึงคลายมือออกทำให้ร่างเล็กตกมาอยู่ในมือผมโดยง่าย
แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป

ร่างเล็กที่ส่งเสียงหายใจรวยรินอยู่บนฝ่ามือผม พยายามเหลือบตากลับมามองราวกับรู้ว่าเจ้าของฝ่ามือนี้คือใคร ผมอยากจะพูดกับมันว่าไม่เป็นไรแล้ว มันจะปลอดภัยถ้าผมพาไปหาหมอให้เร็วที่สุด

แต่ก็ไม่ทัน... เมื่อสุดท้ายเปลือกตาของเจ้าเตก็ปิดลง พร้อมกับเสียงหายใจที่หยุดชะงักไป ต่อหน้าต่อตา...




-------------------------------
เป็นตอนที่สะเทือนใจที่สุดของเรื่องแล้วค่ะ
จนถึงตอนนี้ก็ยังสะเทือนใจอยู่

 :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เตตตตตตต  :sad12:

ตรีคงไปแข่งไม่ไหวแน่เลย สภาพจิตใจคงย่ำแย่อ่ะ ฮือออออ
//อยากอ่านตอนต่อไปจัง งือออ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
เห้ย

ไม่นะ ฮืออออ

ปั๊มหัวใจเตได้ไหม  T T

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
แงๆๆๆ :sad4: :sad4: :sad4: :o12: ต่อตอนหน้าเร็วๆ นะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กวาว ใสๆ ทำไมเหมือนจิตเลย สองบุคลิก? :katai1:
กวาว บอกชอบตรี ขอคบตรี ก่อน
ตรีแค่บอกลองคบก็ได้ ไม่ได้บอกรักกวาวสักหน่อย
ทำไมมาพูดทำนองว่าตรีรัก ให้ความหวัง :hao7:
แล้วไปลงกับเจ้าเต  :m16:
รอ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
นางน่ากลัวอ่ะ  จิตใจทำด้วยอะไรสงสารเต

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
โอ๊ยยยยยจะโทษกวาวอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่แม่งอย่าเอาความรู้สึกไปลงที่สัตว์ดิวะ
ตรีแม่งโลเลลังเล ทำไมไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองซะที เฮ้อออ
สงสารเจ้าเต ฮือออ ไปสู่สุคตินะลูก

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
19
ปลอบโยน
 
               
ผมโง่เองที่ไม่เคยศึกษาวิธีปฐมพยาบาลแมว จึงคิดอะไรไม่ออกในสถานการณ์แบบนั้นนอกจากคิดว่าต้องพาเจ้าเตไปหาหมอให้เร็วที่สุด ทองกวาวช็อกไปเลยหลังจากที่เห็นว่าเจ้าเตหยุดหายใจ ก่อนจะเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้งพร้อมกับพร่ำพูดคำขอโทษไม่รู้จบ แต่ผมไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ผมรีบคว้ากุญแจรถและพาร่างอันแน่นิ่งของเจ้าเตวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่คิดชีวิต
               
ผมเหยียบคันเร่งเร็วที่สุดในชีวิต และสบถก่นด่ารถทุกคันที่ขวางทาง รู้ตัวอีกทีผมก็พาเจ้าเตมาส่งถึงมือหมอแล้ว
               
แต่ก็ไม่ทัน...
               
เจ้าเตสิ้นใจไปนานเกินกว่าจะกู้ชีพคืนมา
               
ตอนนั้นมันเหมือนกับโลกกำลังสลายลงต่อหน้าต่อตา... สิ่งเดียวที่ผุดเข้ามาในหัวสมองอันขาวโพลนของผม คือใบหน้าของเชน...
               
ผมทำผิดร้ายแรงกับเขาเข้าเสียแล้ว
               
แล้วแบบนี้ผมจะมีหน้าไปเจอเขาอีกได้ยังไง...
               
หัวใจของผมมันเจ็บจนจุกไปหมด อยากจะทรุดตัวลงร้องไห้ตรงนั้น แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร มันไม่ได้ช่วยให้ผมได้เจ้าเตคืนมา... 
               
ผมแทบไม่มีสติเลยตอนที่รับร่างไร้วิญญาณของเจ้าเตกลับมาจากมือหมอ ความรู้สึกตอนนั้นมันราวกับว่าวิญญาณของผมได้หลุดลอยตามเจ้าตัวเล็กไปแล้วยังไงยังงั้น ผมขับรถกลับไปที่คณะอันเงียบเชียบของตัวเองเพื่อฝังร่างของเจ้าเตลงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธารด้านหลังคณะ
               
มันไม่เคยมาที่นี่ และไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ แต่ผมนึกสถานที่ที่จะให้มันได้อยู่อย่างสงบที่อื่นไม่ออกแล้ว และเพราะความเห็นแก่ตัวของผม ผมจึ่งเลือกที่จะฝังมันไว้ตรงที่ผมจะสามารถมองเห็นมันได้จากหน้าต่างด้านหน้าโต๊ะเขียนแบบของตัวเองได้พอดี
               
“ขอโทษที่ดูแลแกไม่ดี” ผมว่าหลังจากวางดอกไม้ช่อเล็กไว้บนหลุมศพของมัน

“หลับให้สบายนะ” ผมตบลงบนหลุมศพของมันเบาๆ ขณะที่อีกมือหนึ่งกำปลอกคอสีน้ำตาลที่มันเคยใส่ไว้แน่นก่อนจะนั่งอธิษฐานให้มันอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจเลยว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
 
               
เวลาผ่านไป
ผมไม่อยากกลับห้องทันทีจึงไปหาร้านนั่งดื่มอยู่คนเดียว และนึกขึ้นได้ว่าความผิดของผม มันไม่ได้มีแค่เรื่องเจ้าเตเท่านั้น แต่ยังมีอีกเรื่อง ที่เป็นความผิดร้ายแรงไม่แพ้กัน

ป่านนี้การประกวดคงจบลงแล้ว...

หรือต่อให้ยังไม่จบ ผมก็ไม่มีหน้าไปที่นั่นอยู่ดี แค่คิดว่าผมจะต้องกลับไปเจอหน้าเชนหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมันก็รู้สึกผิดจนแทบจะทนไม่ไหว ผมรู้ว่าเขาต้องเกลียดผมมากขึ้นแน่ๆ ไหนจะคนอื่นๆ อีก... ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนทรยศที่ทำลายความเชื่อใจที่พวกเขามีให้จนไม่เหลือชิ้นดี แค่นี้ผมก็เกลียดตัวเองจะแย่อยู่แล้ว

ผมดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปแก้วแล้วแก้วเล่า หวังจะให้ความมึนเมาลบล้างความรู้สึกผิดออกไปให้หมดสิ้น แม้จะแค่ชั่วครู่ก็ตาม ผมนั่งดื่มคนเดียวเป็นชั่วโมงๆ พร้อมกับความคิดที่ว่าถ้ามีใครสักคนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้บ้างก็คงดี ใครสักคนที่ผมจะสามารถพึ่งพิงได้และไม่ต้องมาทุกข์ใจอย่างโดดเดี่ยวอยู่อย่างนี้

แน่นอนว่าผมมีเพื่อน แต่เพื่อนคนไหนล่ะที่ผมจะสามารถระบายเรื่องทั้งหมดให้ฟังและช่วยบรรเทาความเศร้าไปจากใจผมได้

ผมคิดไม่ออกเลย...

เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงคืน ผมจึงตัดสินใจเดินกลับมาที่หอเพราะรู้ตัวว่าเมาเกินกว่าจะขับรถไหว และอีกอย่าง... ผมก็อยากใช้เวลากับตัวเองจนไม่อยากจะให้การใช้ยานพาหนะมาย่นระยะเวลาให้มันสั้นเกินไป

ผมใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกับระยะทางที่ปกติขับรถไม่ถึงสิบนาทีหากรถไม่ติดกลับมาถึงหอด้วยสติอันเลื่อนลอยเต็มที ในใจตอนนี้อยากจะทิ้งตัวลงบนเตียงและลืมเรื่องราวทั้งหมดจมลงสู่ความฝันซะ เผื่อว่าถ้าตื่นมาความเลวร้ายทั้งหมด มันจะบรรเทาลง

แต่ขณะที่ผมกำลังเดินโซซัดโซเซไปที่บันไดทางขึ้นหอพัก เสียงที่ผมไม่อยากจะได้ยินที่สุดในตอนนี้ก็ดังขึ้นมา

“ตรี”
               
ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่อีก... ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าตัวเองทำอะไรลงไป
               
ผมกำปลอกคอของเจ้าเตที่อยู่ในมือแน่น พยายามเรียกสติของตัวเองกลับมาเพื่อที่จะได้ไม่ปล่อยให้ตัวเองพลั้งเผลอทำอะไรสิ้นคิดลงไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
               
ผมไม่อยากเป็นเหมือนเธอ... ที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติจนเผลอทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นลงไป
               
“ตรี ฮึก... เราขอโทษ” ทองกวาวที่ยืนอยู่ในระยะห่างหลายสิบเมตรเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เห็นปลอกคอว่างเปล่าไร้ร่องรอยของเข้าเตในมือผม เธอเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างมันบวมจนไม่รู้จะบวมยังไงแล้ว
               
ผมโทษตัวเอง ที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกสงสารเธอ
               
“ตรีเราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เธอร้องไห้หนักยิ่งขึ้นและพยายามจะเดินเข้ามาหาผม แต่ผมกลับถอยห่าง
               
“อย่าเข้ามา” ผมห้าม ร่างบางจึงชะงักฝีเท้า แต่ยังไม่หยุดร้องไห้ “ฉันไม่อยากทำร้ายเธอ” ผมพูดตามความจริง
               
ต้องขอบคุณแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาตรงๆ ได้สักที
               
“เราขอโทษ ขอโทษจริงๆ” เสียงร้องสะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวดและรู้สึกผิดของคนตรงหน้าเป็นภาพที่น่าสงสารจับใจ แต่ผมก็ยังเสียใจเกินว่าจะให้อภัยเธอในทันที
               
“มันไม่ใช่ความผิดของกวาวคนเดียวหรอก” ในที่สุดผมก็เอ่ยปาก หลังจากที่ยืนมองร่างบางที่สะอื้นไห้แทบขาดใจอยู่นาน “เราผิดเอง ที่เป็นฝ่ายทำร้ายกวาวก่อนตั้งแต่ต้น”
               
“ตรี ฮึก...”
               
 “ถ้าไม่ใช่เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเรา เรื่องทั้งหมดมันคงไม่ลงเอยแบบนี้” ผมหัวเราะขืนๆ รู้สึกสมเพชในความโง่ของตัวเอง “วันนั้นเราไม่น่าตอบรับรักกวาวเลย”
               
“ตรี” ร่างบางยังคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเรียกชื่อผมแล้วขอโทษซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
               
“เราขอโทษที่ดึงกวาวเข้ามาในชีวิตเรา” ผมพูดและเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตาด้วยคำขอโทษจากใจจริง “แล้วก็ขอโทษ ที่สุดท้ายเราก็กำลังจะเป็นฝ่ายผลักไสกวาวออกไป”
               
“...”
               
“ต่อไปนี้... อย่ามายุ่งกับเราอีกเลยนะ”
               
“...”
               
“ลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นก่อนหน้านี้เถอะ” ผมพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินผ่านร่างบางไป
               
“ตรี” แต่เธอก็ยังคงเรียกชื่อผมทั้งที่ลำคอแหบแห้งไปกับการร้องไห้อย่างหนัก “ขอบคุณนะตรี” แต่คราวนี้เปลี่ยนจากคำขอโทษซ้ำๆ เป็นคำขอบคุณที่ผมไม่เข้าใจความหมายแทน
               
“ตรีเป็นคนดีเสมอเลย เป็นคนดีมากจริงๆ”
               
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร และเดินจากมาโดยปล่อยให้ร่างเล็กทรุดตัวกับพื้นนั่งร้องไห้แทบขาดใจไว้เบื้องหลัง
               
เปล่าเลย ผมไม่ใช่คนดี...ไม่ใกล้เคียงคำนั้นเลยแม้แต่น้อย
               
ผมมันก็แค่คนโง่ เห็นแก่ตัวที่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรก็มักจะผิดพลาดเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

ผมทำร้ายทองกวาวอย่างแสนสาหัส ด้วยความคิดอันโง่เขลาและการกระทำอันแสนเห็นแก่ตัวของตัวเอง ผมทำให้เธอมีตราบาป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไร้เดียงสากว่าใครๆ... ผมทำลายความสัมพันธ์ที่แม้จะไม่ได้สนิทแต่ก็เป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างเราจนพังยับเยิน

ผมทำร้ายทุกคน... ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวผมเอง

“หายไปไหนมา” แต่ขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้ากล่าวโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นเรียกสติให้ผมเงยหน้ามอง

ทำไม...

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงเข้มยังคงถามต่อด้วยใบหน้าคิ้วขมวด

เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนไม่ทันสังเกตเลยสักนิด ว่ามีร่างสูงยืนอยู่หน้าประตูห้องที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าว... ไม่สังเกตเลยสักนิด กว่าตอนนี้บุหรี่ยี่ห้อเดิม กำลังส่งกลิ่นอันคุ้นเคยคละคลุ้งเต็มทางเดินไปหมด

“เฮ้!” เขาร้องเรียกเมื่อเห็นว่าผมได้สติและกำลังเดินหนีไป

ผมไม่กล้าสู้หน้าเขา...

หมับ!

แต่แน่นอนว่าร่างที่เดินโซซัดโซเซเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ของผมไม่มีทางเร็วไปกว่าร่างสูงที่มีสติและมีพละกำลังมากกว่าผมหลายเท่า เชนพุ่งเข้ามาคว้าแขนผมเอาไว้ทัน และกระชากให้หมุนกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งอย่างง่ายดาย
และเมื่อได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่จ้องมาด้วยแววตาคมกริบ ผมก็รู้ตัวว่า ผมกำลังจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้มาตลอดได้อีกแล้ว

“...” ผมก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอไม่ให้คนตรงหน้าเห็นสุดกำลัง มือข้างที่ถือปลอกคอเจ้าเตซ่อนไว้ด้านหลัง กำแน่นจนร็สึกเจ็บ

พอเห็นท่าทางของผม ร่างสูงก็ชะงักไป เขาคลายฝ่ามือที่จับแขนผมไว้แน่น และถอนหายใจเหมือนกับพยายามจะผ่อนอารมณ์

“เป็นอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แต่ความน่ากลัวในน้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้ลดลงด้วยเลย

“...” ผมพยายามจะกลั้นน้ำตา แต่มันกลับยากยิ่งกว่าความพยายามใดๆ ที่ผมเคยทำ

“ถ้าไม่ตอบฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะ” เขาเริ่มกลับมาทำเสียงดุอีกครั้ง

แล้วถ้าผมบอกไป เขาจะไม่โกรธผมงั้นเหรอ

“ตรี” แต่น้ำเสียงกดดันที่เรียกชื่อผมนับครั้งได้ ก็ทำให้ผมไม่กล้าที่จะปากแข็งอีกต่อไป

“เจ้าเต...ตายแล้ว” เสียงของผมขาดห้วงขณะที่ยื่นปลอกคอสีน้ำตาลของเจ้าเตออกมาตรงหน้า มือของผมกำมันไว้แน่นจนแทบจะสั่นไปทั้งร่าง

“...” ถึงจะยังไม่ได้เงยหน้ามอง แต่ผมก็รู้ว่าร่างสูงกำลังชะงักไปด้วยความตกใจ เขานิ่งนาน จนผมเริ่มรู้ตัวว่าความจริงที่เพิ่งบอกไปคงจะทำให้เขาโกรธจนพูดไม่ออก ผมจึงถอยหลังออกมา และเตรียมใจรับคำด่าทอหรือการลงโทษจากเขาอย่างเต็มใจ

“ให้ตายสิ...” ไม่นานเจ้าของเสียงเข้มก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาพร้อมกับอัดควันบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นอย่างไม่ไยดี

วินาทีนั้นผมหลับตาและกัดฟันแน่น เพราะคิดว่าเขาคงจะเดินเข้ามาชกหน้าผม...

เพราะความผิดที่ผมก่อมันร้ายแรงจนแม้แต่ผมยังไม่อยากให้อภัยตัวเอง

“...!” แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อร่างสูงกลับเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับฝ่ามือหนาที่เอื้อมมากดหัวผมลงไปซบไหล่กว้างอันแข็งแกร่งของเขา แล้วเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“ไม่เป็นไร” เขาบอกพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ แทนที่จะผลักไส

และความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้นก็ทำเอาน้ำตาที่ผมพยายามกลั้นแทบตาย ไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างง่ายดาย ราวกับกำแพงเขื่อนที่ถูกทำลายลงในพริบตา

“ฮึก...ขอโทษ...” ผมพร่ำพูดคำนั้นพร้อมกับปล่อยโฮอย่างไม่คิดจะอายอีกต่อไป

ผมไม่พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ใบหน้าของผมซบลงบนไหล่กว้างที่ราวกับเตรียมพร้อมที่จะรองรับทำนบน้ำตาผมได้ ไม่ว่ามันจะมากมายแค่ไหนก็ตาม

“อย่าโทษตัวเอง เจ้าเตมันไปดีแล้ว” เขาบอก น้ำเสียงไม่มีความกดดันหรือน่ากลัวอีกต่อไป ไม่มีแม้แต่การแสดงความตำหนิผม กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เขาควรจะโกรธผมมากด้วยซ้ำ

ผมยิ่งปล่อยโฮหนักกว่าเดิมจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ เชนยังคงลูบหัวผมเบาๆ พลางพูดว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ ราวกับจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่มันก็ยากเหลือเกิน ผมยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานหลายวินาทีจนร่างสูงคงจะเริ่มเหนื่อยใจ

“อย่าร้อง... ไม่มีเจ้าเต ฉันก็ไม่รู้จะปลอบยังไง”

เขาคงไม่รู้เลยว่ายิ่งพูดชื่อเจ้าเตออกมา ก็ยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ฮึก...” ผมพยายามแล้วที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่มันยิ่งกลับกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสมเพช

เชนเองก็ดูจะตกใจที่เห็นผมเป็นแบบนั้น เขาผงะไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้งแล้วก้มหน้าลงมาอยู่ในระดับเดียวกับผมที่พยายามจะก้มหน้าซ่อนน้ำตาเอาไว้สุดกำลัง

“ถ้าไม่หยุด ฉันจะใช้วิธีของฉันแล้วนะ...” เขาขู่ ขณะที่เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากของเราชนกัน ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยอย่างงุนงงทั้งที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่

เขาขมวดคิ้วจ้องผมนิ่งนานราวกับจะรอดูว่าเมื่อไหร่ผมจะหยุดร้องไห้สักที แต่มันไม่ใช่ก๊อกน้ำนี่ที่จะเปิดปิดได้ตามใจสั่ง ใช่ว่าผมจะอยากทำตัวน่าอายแบบนี้ซะเมื่อไหร่ ผมพยายามจะหยุดแล้ว แต่ไม่ว่าจะทำยังไงน้ำตามันก็ไม่หยุดไหลสักทีนี่นา

“ฉันเตือนแล้วนะ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันหนักกว่าเดิมเหมือนกับจะเน้นย้ำกับผมว่าเขาเตือนผมแล้วจริงๆ และในเมื่อผมไม่สามารถหยุดร้องไห้ด้วยตัวเองได้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะทำในสิ่งที่ขู่เอาไว้

“...!!”

ผมไม่มีโอกาสได้ถามด้วยซ้ำว่าวิธีของเขาที่ว่ามันคืออะไร เพราะทันทีที่จบคำพูดนั้น ร่างสูงก็เอื้อมมือมาจับใบหน้าของผมขึ้นไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีหนึ่งผมเห็นรอยยิ้มเล็กๆ แสนร้ายกาจ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา... ก่อนที่ริมฝีปากบางร้อนจัดนั่นจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากผมโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัวหรือโต้แย้งใดๆ

เขาอาศัยจังหวะที่ผมได้แต่นิ่งอึ้งกับการกระทำอันอุกอาจลุกล้ำเข้ามาตักตวงความหวานจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นด้วยความตกใจของผมราวกับคนที่กำลังหิวโหย แต่ในขณะที่เดียวกัน... ก็ทำหน้าที่ดูดซับความทุกข์ใจของผมออกไปผ่านสัมผัสลึกซึ้งที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

รสชาติแห่งการปลอบประโลมที่ช่วยแบ่งเบาความเศร้าใจของผมไป โดยไม่ต้องอาศัยคำพูดสวยหรูใดๆ ...

“ได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ” เขาแสร้งทำเป็นเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจทันทีที่ผละริมฝีปากออกไป

“...” ผมได้แต่ยืนนิ่งอย่างตั้งตัวไม่ติด ขณะที่ปล่อยให้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมในระยะประชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รินลดลงมาบนปลายจมูก

ก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะยกมุมปากเป็นรอยยิ้มบาง พร้อมกับเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ

“เด็กดี”

“...”
วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจตัวเองมันหยุดเต้นไปแล้ว เพียงเพราะได้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับจากผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้




-- makok_num --

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
เค้าดีกันแล้วใช่ไหม อยากอ่านตอนหน้าเร็วๆ อีกแล้ว  :katai1:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
20
เยียวยา
 
           
ใครจะไปคิด... ว่าวิธีของเขา มันจะได้ผลจริงๆ
               
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงหยุดร้องไห้ง่ายดายขนาดนั้น... เพราะตกใจ เพราะรอยยิ้มของเขา หรือเป็นเพราะว่าจูบนั่นมันซึมซับความเศร้าไปจนหมดแล้วกันแน่...
               
ผมรู้แต่ว่าหลังจากนั้น น้ำตาของผมมันก็หยุดไหลไปโดยปริยาย
               
แม้จะยังเศร้าอยู่ แต่ผมก็คุมสติได้มากกว่าก่อนหน้านี้ แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดเหมือนจะสลายไปหมดตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อน พวกเรากลับเข้ามาในห้องและผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เชนฟัง ในขณะที่เขานั่งสูบบุหรี่ฟังเงียบๆ อยู่ข้างเตียง
               
“บางที มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าฉันไม่พาเจ้าเตมา” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เล่าจบ และห้องก็เงียบไปหลายนาที ผมก้มหน้ามองปลอกคอของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในมือแล้วน้ำตามันก็พาลจะไหลขึ้นมาอีกซะอย่างนั้น
               
ถ้าวันนั้นผมไม่พามันกลับมา มันอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้...
               
เชนพ่นควันสีขาวขุ่นออกมาพร้อมกับการถอนหายใจราวกับเหนื่อยใจที่ผมยังเอาแต่โทษตัวเอง เขาดับบุหรี่ลงกับที่เขี่ย ก่อนจะลุกจากเก้าอี้มานั่งข้างผมที่นั่งซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองอยู่บนเตียง
               
“อ่ะ” อยู่ๆ มือหนาก็ยื่นสมาร์ทโฟนของตัวเองมาตรงหน้าผม
               
“นี่มัน...” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาปรากฏรูปผมกับเจ้าเตที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง “ปะ...ไปถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!” ผมทั้งตกใจทั้งประหลาดใจที่ได้เห็นรูปนั้น และเมื่อเลื่อนดูรูปถัดๆ ไป ก็พบว่ามันมีรูปทำนองเดียวกันอยู่เต็มไปหมด ทั้งภาพตอนที่เจ้าเตยืนมองผมทำกับข้าว  ตอนที่ผมให้อาหารมัน หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมดุเจ้าตัวเล็กที่มันทำโมเดลของผมพัง

ภาพในอิริยาบถที่ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันเคยเกิดขึ้น ถูกบันทึกเอาไว้โดยเจ้าของโทรศัพท์ขณะที่ผมไม่รู้ตัวเลย
               
“ตลกดี ก็เลยถ่ายเอาไว้ดูแก้เครียด” เชนบอกขณะที่ผมยังคงเลื่อนดูรูปกลับไปกลับมาและไม่ได้ตอบอะไร
ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้ใช้เวลากับเจ้าตัวเล็กมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เราเพิ่งจะเจอกันไม่นานด้วยซ้ำ
               
“นายชอบพูดว่าเจ้าเตมันติดฉันมากกว่าใช่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอนหลังพิงหัวเตียง “แต่ในสายตาฉัน เจ้าเตมันรักนายมากนะ”
               
“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะคลอขึ้นมาอีกแล้ว
               
“ก่อนหน้านี้มันยังเป็นแค่ลูกแมวจรจัดผอมๆ อยู่เลย แต่เป็นเพราะนาย มันถึงได้อ้วนฉุแทบจะเปลี่ยนจากแมวเป็นหมูแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”
               
ผมถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงร่างที่ค่อยๆ กลมขึ้นเหมือนจะกลิ้งได้ของมัน เจ้าเตอ้วนขึ้นจากตอนที่เจอกันครั้งแรกมากจริงๆ นั่นแหละ จนช่วงหลังผมคิดจะลดอาหารมันลงเพื่อให้มันลดความอ้วนด้วยซ้ำ
               
แต่ก็ไม่ทันได้ทำ
               
“ถ้าฉันเป็นเจ้าเต ฉันก็คงดีใจที่ได้มาอยู่กับนาย” ผมหันไปมองทันทีที่เขาพูดจบ
               
สีหน้าจริงจังนั้นทำเอาผมแยกไม่ออกเลยว่าเขาแค่พูดปลอบใจให้ผมรู้สึกดีขึ้น หรือพูดจากใจจริง แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน มันก็เป็นคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ
               
“ขอบคุณ” ผมบอกพลางยิ้มบางๆ
               
“หึ” เขายกยิ้มมุมปากตอบ “เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วแม่เจ้าเต” ก่อนที่เจ้าของฝ่ามือหนาจะทำสิ่งไม่คาดคิดอย่างการเอื้อมมือข้างหนึ่งมาปิดตาผมไว้ แล้วออกแรงดึงจนผมล้มตัวลงไปนอนข้างๆ เขาอย่างง่ายดาย
               
“รู้แล้วล่ะน่า!” ผมโวยวาย แต่ไม่รู้ทำไมกลับไม่ยื้อตัวหนี หรือดึงมือเขาออกไป ผมนอนนิ่งและปล่อยให้ฝ่ามือหนาปิดตาตัวเองอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ามันจะช่วยสะกดน้ำตาของผมเอาไว้ ไม่ให้ไหลออกมาได้จริงๆ
               
“นี่” แล้วผมก็เป็นฝ่ายเรียกเขา หลังจากที่เราเอาแต่เงียบกันไปนาน “นายไม่เสียใจเหรอ”
               
ผมคิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้ซะอีก ตอนที่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง แต่เชนกลับใจเย็นกว่าที่คิด เขาไม่มีท่าทีเสียใจ หรือโกรธเคืองมากไปกว่าการขมวดคิ้วและอัดบุหรี่เข้าปอดนิ่งๆ เขาไม่กล่าวโทษผมเหมือนที่ผมกล่าวโทษตัวเอง แถมยังมาช่วยปลอบไม่ให้ผมร้องไห้เสียอีก
               
“เสียใจสิ” เขาตอบนิ่งๆ หลังจากดึงมือที่ปิดตาผมกลับไป ทำให้ผมสามารถหันไปมองหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
               
ไม่รู้เลยว่าระยะห่างของเรามันใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากตรงนี้ ผมเห็นความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาแม้จะแวบเดียวก็ตาม
               
“แต่นายไม่ร้องไห้”
               
เขาหัวเราะ “ก็มีคนร้องไห้แทนให้แล้วนี่” ว่าพลางเหลือบตามามองผมอย่างล้อเลียน
               
กะ... ก็คนมันเสียใจจนกลั้นไม่อยู่นี่หว่า L
               
ถึงจะคิดในใจแต่ผมก็ไม่ได้เถียงอะไร และถามต่อ “แล้วไม่โกรธเหรอ”
               
“โกรธใคร?” เขาเลิกคิ้ว
               
“ทั้งทองกวาว แล้วก็ฉัน” ผมตอบเสียงเบา ผมรู้ว่าคนที่พลั้งมือปลิดชีวิตเจ้าเตก็คือทองกวาว แต่ว่ามันก็เป็นความผิดผม ที่ปกป้องมันเอาไว้ไม่ได้
               
“โกรธสิ” เขาตอบและแสร้งขมวดคิ้ว “ถึงได้ลงโทษไปไง”
               
ลงโทษ? ตอนไหนกัน?
               
พอเห็นผมทำสีหน้าไม่เข้าใจเขาก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
               
“แล้วนายล่ะ โกรธผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”
               
ผมชะงัก ถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน นานหลายนาทีกว่าจะได้คำตอบจากใจจริง

“ก็...โกรธ” ผมเบ้หน้า “อยากจะทำให้เธอเจ็บเหมือนที่เจ้าเตเจ็บเลยล่ะ” ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีที่คิดแบบนั้นเพราะทองกวาวเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอแค่ขาดสติจนเผลอทำพลาดไป

แต่ว่ามันก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆ

“แล้วได้ทำแบบที่พูดหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้ว ท่าทางเหมือนประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดผม

“เปล่า” แต่ผมก็ได้แค่พูดนี่นา ผมไม่ใจร้ายขนาดจะทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ลงคอหรอก แค่เห็นเธอร้องไห้แทบขาดใจขนาดนั้น ผมก็แทบจะใจอ่อนยอมยกโทษให้แล้ว

“หึ คนดีชะมัด” เขาแสยะยิ้มพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมอีกครั้ง “เจ้าเตมันคงภูมิใจในตัวนายน่าดู”

“ฉันแค่บอกเธอไปว่าอย่ามายุ่งกันอีก” ผมบอกพลางมองเขาอย่างรู้สึกผิด เมื่อนึกได้ว่าตัวเองปล่อยผ่านเรื่องนี้ง่ายเกินไป จนไม่ทันนึกถึงคนที่รักเจ้าเตที่สุดอีกคนเลย

ถ้าเป็นเชนเขาจะทำยังไง? นี่ผมทำพลาดอีกแล้วหรือเปล่านะ

“ทำดีแล้ว” ราวกับอ่านใจผมออก เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยจึงยิ้มบางๆ ออกมาพลางเปลี่ยนน้ำหนักมือจากขยี้ผมผมแรงๆ เป็นลูบหัวผมเบาๆ แทน

ถึงมันจะไม่ต่างอะไรกับตอนที่ผู้ใหญ่ลูบหัวให้กำลังใจเด็กเล็กๆ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นึกขอบคุณเขาในใจที่ไม่ต่อว่าอะไรเลยสักคำ

ผมเบือนหน้ากลับมา มองปลอกคอสีน้ำตาลที่อยู่ในมืออีกครั้ง และคิดถึงคำพูดที่เขาบอกเมื่อครู่

เจ้าเต มันจะดีใจที่ได้มาอยู่กับผมจริงๆ หรือเปล่า?

...

และโดยไม่รู้ตัว ผมก็เผลอหลับไปทั้งที่มือยังกำปลอกคอของเจ้าตัวเล็กอยู่ไม่ยอมปล่อย

คืนนั้นผมหลับสนิทราวกับว่าไม่ได้เพิ่งผ่านเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัสมาก่อน ไม่รู้ว่าสาเหตุมันเป็นเพราะแอลกอฮอล์ปริมาณมากที่ดื่มเข้าไปเมื่อตอนค่ำ เพราะความอ่อนเพลียจากการปล่อยโฮเหมือนเด็กๆ

...หรือเป็นเพราะไออุ่นจากร่างสูงที่เผลอหลับข้างกันบนเตียงเล็กๆ ที่ทำให้ร่างของเราใกล้ชิดกว่าที่เคยกันแน่

           
[ Chain’s Part ]
               
ผมมาส่งตรีที่คณะเป็นครั้งที่สองเพราะเมื่อคืนหมอนั่นเมามากจนต้องทิ้งรถไว้ที่ร้านเหล้า ตอนแรกเจ้าตัวก็ปฏิเสธและพยายามรั้นจะโทรให้เพื่อนมารับ ด้วยเหตุผลว่าผู้ชายนั่งซ้อนสปอร์ตไบค์กันมันเป็นภาพที่ประหลาดเกินไป (เหรอวะ?)
               
แต่จะดื้อไปทำไมในเมื่อก็รู้ว่าสุดท้ายก็ต้องยอมผมอยู่ดี -_-
               
ผมเลยแก้ความอายให้คนหน้าบางด้วยการเอาหมวกกันน็อกให้เขาสวมเหมือนคราวก่อน ถึงจะยังดูไม่ค่อยเต็มใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมให้ผมมาส่งจนได้
               
และไหนๆ ก็มาที่คณะเขาแล้ว ตรีจึงพาผมไปยังสถานที่ที่ฝังเจ้าเต...
               
เรื่องนี้ผมยังสะเทือนใจไม่หาย ถึงจะไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมากนัก เพราะเห็นอีกคนร้องไห้จนคิดว่าตัวเองควรเป็นฝ่ายปลอบมากกว่าจะมาชวนกันฟูมฟาย แต่ในใจผม ก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อยที่เจ้าตัวเล็กต้องจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา
               
“นี่ ชาติหน้าแกจะยังเกิดเป็นแมวอีกมั้ย” ผมถามหลังจากนั่งลงวางดอกไม้บนหลุมศพ ข้างดอกไม้ช่อเล็กๆ ของตรีที่วางอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะรู้ว่าเจ้าเตคงตอบไม่ได้ และคงไม่มีทางได้ยิน ผมก็ยังอยากจะพูดอยู่ดี

“ถ้าเกิดมาเป็นแมวอีก ก็อย่าลืมหลงมาหาพวกฉันอีกนะ” ผมยิ้ม ความเศร้าถูกทดแทนด้วยความหวังดีที่อยากจะส่งเจ้าตัวเล็กไปอยู่ในที่ที่ดี 
               
หวังว่ามันจะหลับสบาย
               
“ขอโทษ” เสียงทุ้มของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหงอยๆ นั่นแล้วอดไม่ได้ที่จะอยากทำอะไรสักอย่างให้มันหายไป
               
“ขอมือหน่อย” ว่าพลางยื่นมือออกไป ตรงหน้าเขา
               
ตรีเปลี่ยนสีหน้าเป็นงุนงง แต่ก็ยอมยื่นมือมาให้ผมจับอย่างไม่มีสติ ผมยิ้มมุมปากที่เห็นเขาว่าง่ายกว่าที่คิด ก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น แล้วหันมาพูดกับเจ้าตัวเล็กที่หลับอยู่ใต้ผืนดินอันสงบ
               
“หลับให้สบายเถอะ...พ่อจะดูแลแม่แกเอง ไม่ต้องห่วง” ประโยคหลังผมแอบหันไปยิ้มยียวนใส่เจ้าของฝ่ามือร้อนๆ ที่ถึงกับชะงักแล้วชักมือกลับทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางพลางบ่นอะไรพึมพำคนเดียว
               
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดเศษดินออกจากกางเกง
               
“ไปเถอะ” ผมบอก เพราะถ้าอยู่นานกว่านี้หมอนี่อาจจะอยากร้องไห้ออกมาอีกก็ได้ แล้วผมก็ไม่รู้จะหาวิธีไหนมาปลอบแล้ว       

พูดแล้วก็เหนื่อยใจเหมือนกันแฮะ ตรีเอาแต่โทษตัวเองที่เจ้าเตตาย ทั้งที่ฟังจากที่เขาเล่า ผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ผมไม่ใช่คนดีอย่างตรี เพราะฉะนั้นในใจผมถึงได้แค้นผู้หญิงคนนั้นที่หึงจนไม่ลืมหูลืมตา
               
คนเรา เสียสติถึงขนาดนั้นได้ยังไงวะ
               
แต่ตอนที่ได้ยินว่ายัยนั่นหึงเพราะผม ถึงจะโกรธแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแอบรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ผมเจอเธอแค่สองครั้งเท่านั้น และอาจจะเผลอแสดงอารมณ์ที่ไม่ควรออกไป แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะชัดถึงขนาดที่ผู้หญิงคนนั้นจะจับได้
               
แต่ขนาดยัยนั่นจับได้ แล้วทำไมคนที่ผมอยากให้รู้ถึงดูไม่ออกสักที...
               
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น มันเป็นการระบายความรู้สึกที่ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะทำได้ต่อหน้าผู้ชายอีกคนที่คงจะเป็นกังวลและเริ่มโทษตัวเองอีกครั้งถ้าเห็นว่าผมอารมณ์ไม่ดี เป็นเมื่อก่อนถ้าไม่ได้ดั่งใจ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยผมคงสบถคำหยาบ หรือไม่ก็ทำลายข้าวของไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมแคร์ความรู้สึกหมอนี่จนใช้วิธีระบายอารมณ์โง่ๆ แบบนี้
               
"?" ตรีหันมามองหน้าผมอย่างงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็ถอนหายใจเสียงดัง จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมเขาแรงๆ อย่างหมั่นไส้

ช่วงนี้หมอนี่ไม่ค่อยโวยวายหรือทำท่าขยาดเวลาผมแตะเนี้อต้องตัวเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคยชิน หรือเพราะเหนื่อยที่จะโวยวายแล้วกันแน่ ขนาดเมื่อวานผมเผลอหลับบนเตียงแทนที่จะลงไปนอนที่พื้น เขาก็ไม่ว่าอะไร... หรือแม้กระทั่งตอนที่โดนผมจูบก็เหมือนกัน

ตอนนั้นผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะปลอบคนตรงหน้ายังไง ผมไม่ใช่คนเข้าอกเข้าใจใคร เลยคิดคำพูดปลอบใจดีๆ ไม่เป็น วิธีเดียวที่ผมนึกออก...คือจูบนั่น (อันที่จริง มันมีวิธีอื่นแต่ผมไม่อยากทำนี่หว่า -_-)

มันเป็นความต้องการลึกๆ ที่เก็บไว้ในใจมานาน แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ ตอนนั้นเตรียมใจ
ไว้แล้วล่ะว่าต้องโดนโกรธจนถูกชกสักหมัด แต่อย่างน้อยให้เขาโกรธ ก็ยังดีว่าต้องเห็นใบหน้าเศร้าๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำตานั่นล่ะนะ

แต่ผิดคาด แทนที่จะโกรธ หมอนั่นกลับไม่ว่าอะไรผมสักคำ แถมยังยอมให้ผมนอนข้างๆ อีก
แบบนี้มันยั่วกันชัดๆ ไม่ใช่หรือไง?

“จะขยี้ให้ผมหลุดหมดหัวเลยเรอะ” ตรีเริ่มทำเสียงไม่พอใจเมื่อผมยื่นมือไปขยี้หัวเขาอีกครั้ง ผมหัวเราะและไม่ยอมหยุด ผมหมอนี่นุ่มไม่แพ้ขนเจ้าเตเลย

เวลาผมคิดถึงเจ้าตัวเล็กจะขอลูบหัวหมอนี่เล่นได้มั้ยนะ?

แต่ขณะที่ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางเดินผ่านตัวตึกคณะไปยังลานจอดรถอีกฝั่ง สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่กำลังเดินอยู่บนชั้นสองพอดี

“เฮ้” ผมส่งเสียงเรียกตรีที่เริ่มเดินนำไปไม่กี่ก้าว “ห้องน้ำไปทางไหน” แกล้งถามทั้งที่สายตาไม่ได้มองหาห้องน้ำเลย

“ตรงนั้นไง” เขาหันมาตอบงงๆ เพราะพวกเราเพิ่งเดินผ่านมา

“อ่อ” ผมส่งเสียงตอบเบาๆ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองทำตัวมีพิรุธ “แยกกันตรงนี้ก็ได้ ฉันไปเข้าห้องน้ำแล้วจะกลับเลย” เดิมทีตรีจะไปส่งผมที่รถ แต่ตอนนี้คงให้เป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว

“อ่า โอเค เอางั้นก็ได้” เขาพยักหน้ารับ สีหน้าเหมือนจะไม่ค่อยเข้าในท่าทางของผมเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร และเดินแยกมา

โดยที่สายตายังคงโฟกัสไปที่ผู้หญิงคนนั้น ที่ผมจำได้ดีว่าเธอชื่อทองกวาว
               
ผมแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะเดินกลับออกมาเมื่อแน่ใจว่าตรีจะไปแล้ว โชคดีที่ขาผมยาวพอที่จะสาวเท้าตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นเดินไป และเห็นแผ่นหลังบางของเธอในที่สุด
               
และโชคดี ที่เธออยู่ตรงนี้คนเดียว
               
“ทองกวาว” ผมตะโกนเรียก ร่างบางจึงหันกลับมาอย่างสงสัย
               
ใช่จริงด้วยแฮะ
               
“พะ...พี่เชน” เสียงหวานอึกอักทันทีที่เห็นหน้าผม ผมแสยะยิ้มและเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว คนตัวเล็กกว่าหมุนตัวทำท่าจะวิ่งหนี
               
เป็นเรื่องโง่เง่าที่เธอคิดว่าจะหนีผมทัน
               
ปึก!
               
ผมคว้าร่างบางไว้โดยที่เธอยังก้าวไปไม่ทันถึงสามก้าวด้วยซ้ำ และเพราะออกแรงมากเกินไป จึงเผลอเหวี่ยงจนแผ่นหลังของเธอกระแทกกับผนังด้านหลังจนเกิดเสียงดัง แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
               
“สวัสดี” ผมยกริมฝีปากทักทาย หลังจากขยับเข้าไปชิดจนร่างบางแทบจะฝังตัวลงไปกับผนัง และขังเธอไว้ด้วยแขนข้างซ้ายที่กำข้อมือเล็กชูไว้เหนือหัว

“พะ... พี่เชนคะ” เธอยังคงทำอะไรไม่ได้นอกจากละล่ำละลักเรียกชื่อผมด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
               
หมอนั่นใจอ่อนให้ใบหน้าแบบนี้สินะ
               
“โอ๊ย! พี่เชน กวาวขอโทษจริงๆ ค่ะ กวาวไม่ได้ตั้งใจ” เธอร้องด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวและพยายามจะแกะมือผมออกจากข้อมือตัวเองเมื่อผมเผลอออกแรงบีบหนักกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
               
“ขอโทษ? หึ!” ผมแค่นหัวเราะ และปล่อยมือ ไม่ใช่เพราะเห็นใจที่เห็นเธอเจ็บจนร้องไห้

แต่เพราะแค่บีบข้อมือ มันยังไม่สาแก่ใจ
               
“อย่างที่รู้ ตรีใจดีเกินไป ก็เลยไม่เอาเรื่องเธอ” ผมก้มหน้าลงไปกระซิบใกล้ๆ พร้อมกับเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปที่ลำคอขาวๆ นั่นและออกแรงบีบเบาๆ “แต่ฉันไม่ใช่”

“อึก...” ผู้หญิงตรงหน้าเบิกตากว้างชะงักไปเมื่อถูกฝ่ามือของผมกดที่หลอดลม

“เธอทำอะไรไว้ ก็ต้องได้สิ่งนั้นตอบแทน” ผมออกแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกคำที่พูด จนคนตรงหน้าเริ่มมีน้ำตาใสๆ เอ่อขึ้นมาคลอเบ้า

ใจจริงผมอยากจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ อยากจะบีบคอเล็กๆ นี่ให้แหลกคามือ ให้ยิ่งกว่าที่เธอทำกับเจ้าเต แต่ถ้าทำแบบนั้น จะมีผู้ชายอีกคนที่รู้สึกผิดแทนผม และไม่ยอมให้อภัยตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมพลั้งมือทำร้ายผู้หญิงคนนี้

เพราะอย่างนั้นผมจึงคลายมือออกหลังจากที่ร่างเล็กในกำมือเริ่มน้ำตาไหลอาบแก้มและตะเกียกตะกายที่จะหายใจอย่างทุรนทุราย

“ฮึก...ฮือออออ” ร่างบางทรุดตัวลงปล่อยโฮทันทีที่ผมปล่อยมือ

แต่แน่นอนว่าผมไม่ใช่ตรี ผมจึงมีแต่ความสมเพชให้เธอมากกว่าจะสงสาร

“ฉันไม่ได้ขู่” ผมว่าพลางปรายตามองลำคอขาวที่มีรอยฝ่ามือของผมทิ้งไว้จนมันแดงไปหมด ก่อนจะยกมุมปาก ยิ้มให้กับร่างเล็กที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นและสั่นเทิ้มไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัว

“รอรับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ได้เลย”




---------------------------------------
เกือบลืมไปแล้วนะว่าพี่เชนเป็นคนร้ายๆ
อยู่กับตรีละมุ้งมิ้งเชียว 5555

 :ling1:

-- makok_num --

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตรี กับเชน ดีกันแล้ว
ตรียังมึนๆ แม้จะรับจูบ รับสัมผัสจากเชน
นอนหลับไปด้วยกันบนเตียง โดยไม่ต่อต้าน :ling1: :mew1:
กวาว รับผลการกระทำของตัวจากเชนซะดีๆ
รอตอนใหม่ :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด