20
เยียวยา
ใครจะไปคิด... ว่าวิธีของเขา มันจะได้ผลจริงๆ
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงหยุดร้องไห้ง่ายดายขนาดนั้น... เพราะตกใจ เพราะรอยยิ้มของเขา หรือเป็นเพราะว่าจูบนั่นมันซึมซับความเศร้าไปจนหมดแล้วกันแน่...
ผมรู้แต่ว่าหลังจากนั้น น้ำตาของผมมันก็หยุดไหลไปโดยปริยาย
แม้จะยังเศร้าอยู่ แต่ผมก็คุมสติได้มากกว่าก่อนหน้านี้ แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดเหมือนจะสลายไปหมดตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อน พวกเรากลับเข้ามาในห้องและผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เชนฟัง ในขณะที่เขานั่งสูบบุหรี่ฟังเงียบๆ อยู่ข้างเตียง
“บางที มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าฉันไม่พาเจ้าเตมา” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เล่าจบ และห้องก็เงียบไปหลายนาที ผมก้มหน้ามองปลอกคอของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในมือแล้วน้ำตามันก็พาลจะไหลขึ้นมาอีกซะอย่างนั้น
ถ้าวันนั้นผมไม่พามันกลับมา มันอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้...
เชนพ่นควันสีขาวขุ่นออกมาพร้อมกับการถอนหายใจราวกับเหนื่อยใจที่ผมยังเอาแต่โทษตัวเอง เขาดับบุหรี่ลงกับที่เขี่ย ก่อนจะลุกจากเก้าอี้มานั่งข้างผมที่นั่งซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองอยู่บนเตียง
“อ่ะ” อยู่ๆ มือหนาก็ยื่นสมาร์ทโฟนของตัวเองมาตรงหน้าผม
“นี่มัน...” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาปรากฏรูปผมกับเจ้าเตที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง “ปะ...ไปถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!” ผมทั้งตกใจทั้งประหลาดใจที่ได้เห็นรูปนั้น และเมื่อเลื่อนดูรูปถัดๆ ไป ก็พบว่ามันมีรูปทำนองเดียวกันอยู่เต็มไปหมด ทั้งภาพตอนที่เจ้าเตยืนมองผมทำกับข้าว ตอนที่ผมให้อาหารมัน หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมดุเจ้าตัวเล็กที่มันทำโมเดลของผมพัง
ภาพในอิริยาบถที่ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันเคยเกิดขึ้น ถูกบันทึกเอาไว้โดยเจ้าของโทรศัพท์ขณะที่ผมไม่รู้ตัวเลย
“ตลกดี ก็เลยถ่ายเอาไว้ดูแก้เครียด” เชนบอกขณะที่ผมยังคงเลื่อนดูรูปกลับไปกลับมาและไม่ได้ตอบอะไร
ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้ใช้เวลากับเจ้าตัวเล็กมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เราเพิ่งจะเจอกันไม่นานด้วยซ้ำ
“นายชอบพูดว่าเจ้าเตมันติดฉันมากกว่าใช่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอนหลังพิงหัวเตียง “แต่ในสายตาฉัน เจ้าเตมันรักนายมากนะ”
“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะคลอขึ้นมาอีกแล้ว
“ก่อนหน้านี้มันยังเป็นแค่ลูกแมวจรจัดผอมๆ อยู่เลย แต่เป็นเพราะนาย มันถึงได้อ้วนฉุแทบจะเปลี่ยนจากแมวเป็นหมูแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”
ผมถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงร่างที่ค่อยๆ กลมขึ้นเหมือนจะกลิ้งได้ของมัน เจ้าเตอ้วนขึ้นจากตอนที่เจอกันครั้งแรกมากจริงๆ นั่นแหละ จนช่วงหลังผมคิดจะลดอาหารมันลงเพื่อให้มันลดความอ้วนด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่ทันได้ทำ
“ถ้าฉันเป็นเจ้าเต ฉันก็คงดีใจที่ได้มาอยู่กับนาย” ผมหันไปมองทันทีที่เขาพูดจบ
สีหน้าจริงจังนั้นทำเอาผมแยกไม่ออกเลยว่าเขาแค่พูดปลอบใจให้ผมรู้สึกดีขึ้น หรือพูดจากใจจริง แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน มันก็เป็นคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ
“ขอบคุณ” ผมบอกพลางยิ้มบางๆ
“หึ” เขายกยิ้มมุมปากตอบ “เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วแม่เจ้าเต” ก่อนที่เจ้าของฝ่ามือหนาจะทำสิ่งไม่คาดคิดอย่างการเอื้อมมือข้างหนึ่งมาปิดตาผมไว้ แล้วออกแรงดึงจนผมล้มตัวลงไปนอนข้างๆ เขาอย่างง่ายดาย
“รู้แล้วล่ะน่า!” ผมโวยวาย แต่ไม่รู้ทำไมกลับไม่ยื้อตัวหนี หรือดึงมือเขาออกไป ผมนอนนิ่งและปล่อยให้ฝ่ามือหนาปิดตาตัวเองอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ามันจะช่วยสะกดน้ำตาของผมเอาไว้ ไม่ให้ไหลออกมาได้จริงๆ
“นี่” แล้วผมก็เป็นฝ่ายเรียกเขา หลังจากที่เราเอาแต่เงียบกันไปนาน “นายไม่เสียใจเหรอ”
ผมคิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้ซะอีก ตอนที่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง แต่เชนกลับใจเย็นกว่าที่คิด เขาไม่มีท่าทีเสียใจ หรือโกรธเคืองมากไปกว่าการขมวดคิ้วและอัดบุหรี่เข้าปอดนิ่งๆ เขาไม่กล่าวโทษผมเหมือนที่ผมกล่าวโทษตัวเอง แถมยังมาช่วยปลอบไม่ให้ผมร้องไห้เสียอีก
“เสียใจสิ” เขาตอบนิ่งๆ หลังจากดึงมือที่ปิดตาผมกลับไป ทำให้ผมสามารถหันไปมองหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
ไม่รู้เลยว่าระยะห่างของเรามันใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากตรงนี้ ผมเห็นความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาแม้จะแวบเดียวก็ตาม
“แต่นายไม่ร้องไห้”
เขาหัวเราะ “ก็มีคนร้องไห้แทนให้แล้วนี่” ว่าพลางเหลือบตามามองผมอย่างล้อเลียน
กะ... ก็คนมันเสียใจจนกลั้นไม่อยู่นี่หว่า L
ถึงจะคิดในใจแต่ผมก็ไม่ได้เถียงอะไร และถามต่อ “แล้วไม่โกรธเหรอ”
“โกรธใคร?” เขาเลิกคิ้ว
“ทั้งทองกวาว แล้วก็ฉัน” ผมตอบเสียงเบา ผมรู้ว่าคนที่พลั้งมือปลิดชีวิตเจ้าเตก็คือทองกวาว แต่ว่ามันก็เป็นความผิดผม ที่ปกป้องมันเอาไว้ไม่ได้
“โกรธสิ” เขาตอบและแสร้งขมวดคิ้ว “ถึงได้ลงโทษไปไง”
ลงโทษ? ตอนไหนกัน?
พอเห็นผมทำสีหน้าไม่เข้าใจเขาก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
“แล้วนายล่ะ โกรธผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”
ผมชะงัก ถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน นานหลายนาทีกว่าจะได้คำตอบจากใจจริง
“ก็...โกรธ” ผมเบ้หน้า “อยากจะทำให้เธอเจ็บเหมือนที่เจ้าเตเจ็บเลยล่ะ” ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีที่คิดแบบนั้นเพราะทองกวาวเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอแค่ขาดสติจนเผลอทำพลาดไป
แต่ว่ามันก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆ
“แล้วได้ทำแบบที่พูดหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้ว ท่าทางเหมือนประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดผม
“เปล่า” แต่ผมก็ได้แค่พูดนี่นา ผมไม่ใจร้ายขนาดจะทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ลงคอหรอก แค่เห็นเธอร้องไห้แทบขาดใจขนาดนั้น ผมก็แทบจะใจอ่อนยอมยกโทษให้แล้ว
“หึ คนดีชะมัด” เขาแสยะยิ้มพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมอีกครั้ง “เจ้าเตมันคงภูมิใจในตัวนายน่าดู”
“ฉันแค่บอกเธอไปว่าอย่ามายุ่งกันอีก” ผมบอกพลางมองเขาอย่างรู้สึกผิด เมื่อนึกได้ว่าตัวเองปล่อยผ่านเรื่องนี้ง่ายเกินไป จนไม่ทันนึกถึงคนที่รักเจ้าเตที่สุดอีกคนเลย
ถ้าเป็นเชนเขาจะทำยังไง? นี่ผมทำพลาดอีกแล้วหรือเปล่านะ
“ทำดีแล้ว” ราวกับอ่านใจผมออก เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยจึงยิ้มบางๆ ออกมาพลางเปลี่ยนน้ำหนักมือจากขยี้ผมผมแรงๆ เป็นลูบหัวผมเบาๆ แทน
ถึงมันจะไม่ต่างอะไรกับตอนที่ผู้ใหญ่ลูบหัวให้กำลังใจเด็กเล็กๆ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นึกขอบคุณเขาในใจที่ไม่ต่อว่าอะไรเลยสักคำ
ผมเบือนหน้ากลับมา มองปลอกคอสีน้ำตาลที่อยู่ในมืออีกครั้ง และคิดถึงคำพูดที่เขาบอกเมื่อครู่
เจ้าเต มันจะดีใจที่ได้มาอยู่กับผมจริงๆ หรือเปล่า?
...
และโดยไม่รู้ตัว ผมก็เผลอหลับไปทั้งที่มือยังกำปลอกคอของเจ้าตัวเล็กอยู่ไม่ยอมปล่อย
คืนนั้นผมหลับสนิทราวกับว่าไม่ได้เพิ่งผ่านเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัสมาก่อน ไม่รู้ว่าสาเหตุมันเป็นเพราะแอลกอฮอล์ปริมาณมากที่ดื่มเข้าไปเมื่อตอนค่ำ เพราะความอ่อนเพลียจากการปล่อยโฮเหมือนเด็กๆ
...หรือเป็นเพราะไออุ่นจากร่างสูงที่เผลอหลับข้างกันบนเตียงเล็กๆ ที่ทำให้ร่างของเราใกล้ชิดกว่าที่เคยกันแน่
[ Chain’s Part ]
ผมมาส่งตรีที่คณะเป็นครั้งที่สองเพราะเมื่อคืนหมอนั่นเมามากจนต้องทิ้งรถไว้ที่ร้านเหล้า ตอนแรกเจ้าตัวก็ปฏิเสธและพยายามรั้นจะโทรให้เพื่อนมารับ ด้วยเหตุผลว่าผู้ชายนั่งซ้อนสปอร์ตไบค์กันมันเป็นภาพที่ประหลาดเกินไป (เหรอวะ?)
แต่จะดื้อไปทำไมในเมื่อก็รู้ว่าสุดท้ายก็ต้องยอมผมอยู่ดี -_-
ผมเลยแก้ความอายให้คนหน้าบางด้วยการเอาหมวกกันน็อกให้เขาสวมเหมือนคราวก่อน ถึงจะยังดูไม่ค่อยเต็มใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมให้ผมมาส่งจนได้
และไหนๆ ก็มาที่คณะเขาแล้ว ตรีจึงพาผมไปยังสถานที่ที่ฝังเจ้าเต...
เรื่องนี้ผมยังสะเทือนใจไม่หาย ถึงจะไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมากนัก เพราะเห็นอีกคนร้องไห้จนคิดว่าตัวเองควรเป็นฝ่ายปลอบมากกว่าจะมาชวนกันฟูมฟาย แต่ในใจผม ก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อยที่เจ้าตัวเล็กต้องจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา
“นี่ ชาติหน้าแกจะยังเกิดเป็นแมวอีกมั้ย” ผมถามหลังจากนั่งลงวางดอกไม้บนหลุมศพ ข้างดอกไม้ช่อเล็กๆ ของตรีที่วางอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะรู้ว่าเจ้าเตคงตอบไม่ได้ และคงไม่มีทางได้ยิน ผมก็ยังอยากจะพูดอยู่ดี
“ถ้าเกิดมาเป็นแมวอีก ก็อย่าลืมหลงมาหาพวกฉันอีกนะ” ผมยิ้ม ความเศร้าถูกทดแทนด้วยความหวังดีที่อยากจะส่งเจ้าตัวเล็กไปอยู่ในที่ที่ดี
หวังว่ามันจะหลับสบาย
“ขอโทษ” เสียงทุ้มของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหงอยๆ นั่นแล้วอดไม่ได้ที่จะอยากทำอะไรสักอย่างให้มันหายไป
“ขอมือหน่อย” ว่าพลางยื่นมือออกไป ตรงหน้าเขา
ตรีเปลี่ยนสีหน้าเป็นงุนงง แต่ก็ยอมยื่นมือมาให้ผมจับอย่างไม่มีสติ ผมยิ้มมุมปากที่เห็นเขาว่าง่ายกว่าที่คิด ก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น แล้วหันมาพูดกับเจ้าตัวเล็กที่หลับอยู่ใต้ผืนดินอันสงบ
“หลับให้สบายเถอะ...พ่อจะดูแลแม่แกเอง ไม่ต้องห่วง” ประโยคหลังผมแอบหันไปยิ้มยียวนใส่เจ้าของฝ่ามือร้อนๆ ที่ถึงกับชะงักแล้วชักมือกลับทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางพลางบ่นอะไรพึมพำคนเดียว
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดเศษดินออกจากกางเกง
“ไปเถอะ” ผมบอก เพราะถ้าอยู่นานกว่านี้หมอนี่อาจจะอยากร้องไห้ออกมาอีกก็ได้ แล้วผมก็ไม่รู้จะหาวิธีไหนมาปลอบแล้ว
พูดแล้วก็เหนื่อยใจเหมือนกันแฮะ ตรีเอาแต่โทษตัวเองที่เจ้าเตตาย ทั้งที่ฟังจากที่เขาเล่า ผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ผมไม่ใช่คนดีอย่างตรี เพราะฉะนั้นในใจผมถึงได้แค้นผู้หญิงคนนั้นที่หึงจนไม่ลืมหูลืมตา
คนเรา เสียสติถึงขนาดนั้นได้ยังไงวะ
แต่ตอนที่ได้ยินว่ายัยนั่นหึงเพราะผม ถึงจะโกรธแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแอบรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ผมเจอเธอแค่สองครั้งเท่านั้น และอาจจะเผลอแสดงอารมณ์ที่ไม่ควรออกไป แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะชัดถึงขนาดที่ผู้หญิงคนนั้นจะจับได้
แต่ขนาดยัยนั่นจับได้ แล้วทำไมคนที่ผมอยากให้รู้ถึงดูไม่ออกสักที...
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น มันเป็นการระบายความรู้สึกที่ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะทำได้ต่อหน้าผู้ชายอีกคนที่คงจะเป็นกังวลและเริ่มโทษตัวเองอีกครั้งถ้าเห็นว่าผมอารมณ์ไม่ดี เป็นเมื่อก่อนถ้าไม่ได้ดั่งใจ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยผมคงสบถคำหยาบ หรือไม่ก็ทำลายข้าวของไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมแคร์ความรู้สึกหมอนี่จนใช้วิธีระบายอารมณ์โง่ๆ แบบนี้
"?" ตรีหันมามองหน้าผมอย่างงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็ถอนหายใจเสียงดัง จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมเขาแรงๆ อย่างหมั่นไส้
ช่วงนี้หมอนี่ไม่ค่อยโวยวายหรือทำท่าขยาดเวลาผมแตะเนี้อต้องตัวเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคยชิน หรือเพราะเหนื่อยที่จะโวยวายแล้วกันแน่ ขนาดเมื่อวานผมเผลอหลับบนเตียงแทนที่จะลงไปนอนที่พื้น เขาก็ไม่ว่าอะไร... หรือแม้กระทั่งตอนที่โดนผมจูบก็เหมือนกัน
ตอนนั้นผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะปลอบคนตรงหน้ายังไง ผมไม่ใช่คนเข้าอกเข้าใจใคร เลยคิดคำพูดปลอบใจดีๆ ไม่เป็น วิธีเดียวที่ผมนึกออก...คือจูบนั่น (อันที่จริง มันมีวิธีอื่นแต่ผมไม่อยากทำนี่หว่า -_-)
มันเป็นความต้องการลึกๆ ที่เก็บไว้ในใจมานาน แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ ตอนนั้นเตรียมใจ
ไว้แล้วล่ะว่าต้องโดนโกรธจนถูกชกสักหมัด แต่อย่างน้อยให้เขาโกรธ ก็ยังดีว่าต้องเห็นใบหน้าเศร้าๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำตานั่นล่ะนะ
แต่ผิดคาด แทนที่จะโกรธ หมอนั่นกลับไม่ว่าอะไรผมสักคำ แถมยังยอมให้ผมนอนข้างๆ อีก
แบบนี้มันยั่วกันชัดๆ ไม่ใช่หรือไง?
“จะขยี้ให้ผมหลุดหมดหัวเลยเรอะ” ตรีเริ่มทำเสียงไม่พอใจเมื่อผมยื่นมือไปขยี้หัวเขาอีกครั้ง ผมหัวเราะและไม่ยอมหยุด ผมหมอนี่นุ่มไม่แพ้ขนเจ้าเตเลย
เวลาผมคิดถึงเจ้าตัวเล็กจะขอลูบหัวหมอนี่เล่นได้มั้ยนะ?
แต่ขณะที่ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางเดินผ่านตัวตึกคณะไปยังลานจอดรถอีกฝั่ง สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่กำลังเดินอยู่บนชั้นสองพอดี
“เฮ้” ผมส่งเสียงเรียกตรีที่เริ่มเดินนำไปไม่กี่ก้าว “ห้องน้ำไปทางไหน” แกล้งถามทั้งที่สายตาไม่ได้มองหาห้องน้ำเลย
“ตรงนั้นไง” เขาหันมาตอบงงๆ เพราะพวกเราเพิ่งเดินผ่านมา
“อ่อ” ผมส่งเสียงตอบเบาๆ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองทำตัวมีพิรุธ “แยกกันตรงนี้ก็ได้ ฉันไปเข้าห้องน้ำแล้วจะกลับเลย” เดิมทีตรีจะไปส่งผมที่รถ แต่ตอนนี้คงให้เป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว
“อ่า โอเค เอางั้นก็ได้” เขาพยักหน้ารับ สีหน้าเหมือนจะไม่ค่อยเข้าในท่าทางของผมเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร และเดินแยกมา
โดยที่สายตายังคงโฟกัสไปที่ผู้หญิงคนนั้น ที่ผมจำได้ดีว่าเธอชื่อทองกวาว
ผมแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะเดินกลับออกมาเมื่อแน่ใจว่าตรีจะไปแล้ว โชคดีที่ขาผมยาวพอที่จะสาวเท้าตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นเดินไป และเห็นแผ่นหลังบางของเธอในที่สุด
และโชคดี ที่เธออยู่ตรงนี้คนเดียว
“ทองกวาว” ผมตะโกนเรียก ร่างบางจึงหันกลับมาอย่างสงสัย
ใช่จริงด้วยแฮะ
“พะ...พี่เชน” เสียงหวานอึกอักทันทีที่เห็นหน้าผม ผมแสยะยิ้มและเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว คนตัวเล็กกว่าหมุนตัวทำท่าจะวิ่งหนี
เป็นเรื่องโง่เง่าที่เธอคิดว่าจะหนีผมทัน
ปึก!
ผมคว้าร่างบางไว้โดยที่เธอยังก้าวไปไม่ทันถึงสามก้าวด้วยซ้ำ และเพราะออกแรงมากเกินไป จึงเผลอเหวี่ยงจนแผ่นหลังของเธอกระแทกกับผนังด้านหลังจนเกิดเสียงดัง แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
“สวัสดี” ผมยกริมฝีปากทักทาย หลังจากขยับเข้าไปชิดจนร่างบางแทบจะฝังตัวลงไปกับผนัง และขังเธอไว้ด้วยแขนข้างซ้ายที่กำข้อมือเล็กชูไว้เหนือหัว
“พะ... พี่เชนคะ” เธอยังคงทำอะไรไม่ได้นอกจากละล่ำละลักเรียกชื่อผมด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
หมอนั่นใจอ่อนให้ใบหน้าแบบนี้สินะ
“โอ๊ย! พี่เชน กวาวขอโทษจริงๆ ค่ะ กวาวไม่ได้ตั้งใจ” เธอร้องด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวและพยายามจะแกะมือผมออกจากข้อมือตัวเองเมื่อผมเผลอออกแรงบีบหนักกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษ? หึ!” ผมแค่นหัวเราะ และปล่อยมือ ไม่ใช่เพราะเห็นใจที่เห็นเธอเจ็บจนร้องไห้
แต่เพราะแค่บีบข้อมือ มันยังไม่สาแก่ใจ
“อย่างที่รู้ ตรีใจดีเกินไป ก็เลยไม่เอาเรื่องเธอ” ผมก้มหน้าลงไปกระซิบใกล้ๆ พร้อมกับเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปที่ลำคอขาวๆ นั่นและออกแรงบีบเบาๆ “แต่ฉันไม่ใช่”
“อึก...” ผู้หญิงตรงหน้าเบิกตากว้างชะงักไปเมื่อถูกฝ่ามือของผมกดที่หลอดลม
“เธอทำอะไรไว้ ก็ต้องได้สิ่งนั้นตอบแทน” ผมออกแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกคำที่พูด จนคนตรงหน้าเริ่มมีน้ำตาใสๆ เอ่อขึ้นมาคลอเบ้า
ใจจริงผมอยากจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ อยากจะบีบคอเล็กๆ นี่ให้แหลกคามือ ให้ยิ่งกว่าที่เธอทำกับเจ้าเต แต่ถ้าทำแบบนั้น จะมีผู้ชายอีกคนที่รู้สึกผิดแทนผม และไม่ยอมให้อภัยตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมพลั้งมือทำร้ายผู้หญิงคนนี้
เพราะอย่างนั้นผมจึงคลายมือออกหลังจากที่ร่างเล็กในกำมือเริ่มน้ำตาไหลอาบแก้มและตะเกียกตะกายที่จะหายใจอย่างทุรนทุราย
“ฮึก...ฮือออออ” ร่างบางทรุดตัวลงปล่อยโฮทันทีที่ผมปล่อยมือ
แต่แน่นอนว่าผมไม่ใช่ตรี ผมจึงมีแต่ความสมเพชให้เธอมากกว่าจะสงสาร
“ฉันไม่ได้ขู่” ผมว่าพลางปรายตามองลำคอขาวที่มีรอยฝ่ามือของผมทิ้งไว้จนมันแดงไปหมด ก่อนจะยกมุมปาก ยิ้มให้กับร่างเล็กที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นและสั่นเทิ้มไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัว
“รอรับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ได้เลย”
---------------------------------------
เกือบลืมไปแล้วนะว่าพี่เชนเป็นคนร้ายๆ
อยู่กับตรีละมุ้งมิ้งเชียว 5555
-- makok_num --