เสน่หา...รักเอย ๒๒
"โอ้พี่จ๋า น้องยา ลาพี่แล้ว
จำจากแก้ว แพรวขวัญ ทั้งหวั่นไหว
มิอาจอยู่ คู่ชิด สนิทใจ
จำจากไกล ทั้งใจรัก ภักดิ์อาวรณ์"
หลังประตูอัลลอยบานเขื่องเลื่อนเปิดออกนั้น รพีกานต์มองเห็นเส้นทางทอดยาวไปยังคฤหาสน์หลังโอฬารอัครฐานตั้งตระหง่านบนพื้นที่กว้างขวางหลายไร่ ส่วนหน้าคฤหาสน์จัดเป็นสวนน้ำพุสวยงาม ตลอดสองฝั่งถนนที่ทอดไปตัวคฤหาสน์ขนาบด้วยต้นปาล์มขวดไปตลอดเส้นทาง
รพีกานต์ลูบท้องกลมขณะกวาดสายตามองอาณาจักรอิศวัชร์ ตระกูลมหาเศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก ด้วยไม่ได้นิยมชมชอบความอภิมหาหรูหราแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ใจดวงน้อยกระหวัดถึงบ้านริมแม่น้ำร่มรื่นด้วยแมกไม้ของตนเองมากกว่า
ป่านนี้พ่อคงคอย...
รำพึงรำพันด้วยความอึดอัดใจ แรงดิ้นเล็ก ๆ ในท้องนั้นดูเหมือนเจ้าสามแฝดจะเข้าใจความกังวลนี้ดี
“ไม่ชอบหรือ” อัครวินท์หันมาถามหลังสังเกตสีหน้าเจือกังวล
“บ้านพี่วินหลังใหญ่แล้วก็กว้างเกินไปครับ” รพีกานต์ตอบตามตรง เบือนหน้าหันมาหา “พี่วิน กานต์อยากกลับบ้าน”
“กว้าง ๆ สามแฝดจะได้วิ่งซนได้ไง มีสนามกอล์ฟให้เล่นด้วย” อัครวินท์เลือกปัดคำวอนขอของเจ้าของดวงตาเว้าวอนทิ้ง รพีกานต์เห็นท่าทีดังนี้จึงบ่นอุบ
“พี่วินเอาแต่ใจ”
“เมียพี่น่ารัก น่ารักทั้งหน้าตาแล้วก็นิสัย พี่ไม่ใจเย็นปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ อีกหรอก” อัครวินท์หมายมั่น ลำพังหน้าตาคงไม่เท่าไร เพราะเขาเจอคนหน้าตาดี ๆ มาเยอะแยะ แต่คนนิสัยน่ารักน่าอยู่ด้วยใกล้ ๆ เสน่ห์แบบนี้ของรพีกานต์นี่แหละที่ทำให้เขานึกหวง
“พี่บ้าหรือเปล่า กานต์เป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิงสวย ๆ ที่พี่จะได้มานึกหวง คอยกันท่าคนนั้นคนนี้” คนท้องอดแหวให้ไม่ได้ ระดับอัครวินท์ควงแต่ละคนสวยกว่าดาราเสียด้วยซ้ำ รถหรูหยุดลงกึกหน้าคฤหาสน์ อัครวินท์หันมาหาเจ้าของใบหน้างอ
“กานต์ไม่รู้ตัวหรอก แต่ถ้าลองถามพี่ณัฐ เขาก็คงตอบเหมือนพี่ เข้าไปข้างในกันเถอะ” ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปก่อน ร่างใหญ่รีบอ้อมมาเปิดประตูให้ รพีกานต์ก้าวเท้าลงจากรถด้วยรู้สึกประหม่า เงยหน้ามองสถานที่ก็ให้รู้สึกราวตนเองเป็นเพียงมดตัวเล็กจ้อยเท่านั้น
“ค่อย ๆ เดินนะครับ ระวังสะดุดบันได” เขาเอ่ยนุ่มนวล วาดแขนโอบเอวประคองพาคนรักเข้าไปข้างในบ้าน มือใหญ่จับมือเล็กเย็นเฉียบชื้นเหงื่อจึงได้รู้ว่ารพีกานต์ประหม่าแค่ไหน
“ไม่ต้องกลัว ปู่พี่เหมือนดุแต่จริง ๆ ใจดี คนอื่น ๆ ก็ด้วย” เขาปลอบประโลม จูบหน้าผากมนให้อีกคนอ้าปากค้างไปเสียทีหนึ่ง รพีกานต์ตาโตเหลียวมองซ้ายขวากลัวคนเห็น หัวใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตลอดทางที่เดินผ่านเฟอร์นิเจอร์หรูหราซึ่งล้วนเป็นของอิมพอร์ตราคาแพง
“พี่วิน...” มือเล็กฉุดแขนหนาเมื่อเขากำลังจะพาเข้าไปในห้องรับแขกที่ทุกคนรออยู่พร้อมหน้า
“ไม่เป็นไร” เขารุนหลังคนอึกอักให้เข้ามาในห้อง ที่บอกว่าไม่เป็นไรเขาเพียงปลอบรพีกานต์ให้เบาใจเท่านั้น หากแต่ตัวเองก้าวขาแต่ละก้าวหนักราวถ่วงหิน ใครบอกว่าปู่ไม่ดุ !
‘อินทร์ฉาย อิศวัชร์’ ประมุขของบ้านนั่งสีหน้าเดาอารมณ์ยากรออยู่ที่โซฟาใหญ่ ข้างกายคือคุณหญิงสิริปรียา อิศวัชร์ ศรีภรรยาที่ปกติมักปลีกตัวออกไปปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นนิจ ยกเว้นวันนี้ที่ต้องยกเลิกไปเพื่อมารอเจอหลานสะใภ้โดยเฉพาะ ที่นั่งถัดมาข้างกันคือ ผดาชไม อิศวัชร์ สะใภ้ผู้เป็นมารดาของอัครวินท์ ทั้งหมดพร้อมหน้ารอการมาเยือนด้วยใจจดจ่อ มันน่าตกใจน้อยเสียที่ไหน จู่ ๆ เจ้าตัวดีประจำบ้านก็ส่งข้อความเข้ามาผ่าง! ประกาศสมาชิกใหม่ของบ้านอิศวัชร์ทีเดียวแฝดชายสาม ไม่รู้ว่าจะอารมณ์ดีใจหรือโกรธากับอัครวินท์ที่ก่อเรื่องขึ้นจนได้
และทันทีที่เจ้าหลานตัวดีและเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนคนหนึ่งปรากฏกายเข้ามาในห้อง ทุกสายตาก็พุ่งเป้าไปที่รพีกานต์เป็นตาเดียว เจ้าของใบหน้าสะอ้านถึงกับสะอึก ใบหน้าเผือดสีลงพร้อมก้มหลบสายตาทุกคนวูบ
“มาแล้วหรือเจ้าตัวดี อีกเดี๋ยวพ่อแกก็มา” อินทร์ฉายเอ่ยเสียงเย็นท่ามกลางความเงียบให้บรรยากาศยิ่งเหมือนอยู่ขั้วโลกเข้าไปใหญ่ สายตาเรียบนิ่งปรายมองหลานรักซึ่งอัครวินท์ถึงกับหน้าเจื่อนหดเหลือแค่สองนิ้ว สั่นหนักกว่ารพีกานต์เสียอีก
“นี่กานต์ครับ กานต์ นี่คุณปู่กับคุณย่าของพี่ แล้วก็คุณแม่” อัครวินท์แนะนำตัวรพีกานต์กับสมาชิกในครอบครัว มือเรียวยกขึ้นกระพุ่มไหว้เรียบร้อยอย่างที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
“สวัสดีครับ” รพีกานต์เงยหน้าขึ้นสบตาแต่ละคน แม้จะหวั่นใจไม่น้อยแต่คนตัวเล็กนึกถึงคำพ่อสอน ว่าจงเงยหน้าสู้กับปัญหา เพียงเท่านี้ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“นั่งสิ” ประมุขของบ้านเชื้อเชิญเสียงเรียบ ในใจประเมินรพีกานต์อยู่เงียบ ๆ ร่างเล็กหย่อนกายลงนั่ง สูดหายใจอย่างเตรียมพร้อมเผชิญหน้าแม้สมองจะขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกก็ตามที ตอนนี้เองที่อินทร์ฉายปรายมองหน้าท้องที่นูนออกมาให้เห็นหน่อย ๆ เจ้าสามแฝดก็เหมือนจะรับรู้ได้อย่างไรอย่างนั้น พากันดิ้นระรัวจนรพีกานต์ต้องลูบท้องปลอบ
“เป็นอะไรไป” อินทร์ฉายอดสังสัยไม่ได้
“ลูกดิ้นน่ะครับ” รพีกานต์ตอบ มือลูบประโลมให้เจ้าตัวเล็กในท้องสงบลง แต่เหมือนได้ยินเสียงของอินทร์ฉาย สามแฝดก็ยิ่งดิ้นหนักกว่าเก่า อัครวินท์ได้ยินดังนั้นก็รีบปราดเข้าไปลูบบ้าง
“ดิ้นรัวเลยครับ สงสัยดีใจได้เจอปู่แน่ ๆ” ชายหนุ่มยิ้มประจบประแจง อีกสองสตรีที่ได้ยินอดสนใจขึ้นมาบ้างไม่ได้
“เธอ...เด็กผู้ชายใช่ไหม” อินทร์ฉายถามคนที่หลานพามาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ทั้งที่เมื่อกี้ระหว่างรอหลานเดินทางมาเขาก็ได้โทร. คุยกับนายแพทย์อัคริมา อิศวัชร์ ผู้เป็นหลานของพี่ชายฝาแฝดของตนเองแล้ว อีกทั้งยังเสิร์ชดูข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับคนสองเพศ กระนั้นก็ยังคลางแคลงใจอยู่ดี
“ครับ” ดูเหมือนเสียงของอินทร์ฉายจะมีผลต่อสามแฝด ได้ยินเสียงทีก็พากันดิ้นที รพีกานต์รู้อยู่ในใจเงียบ ๆ ฝ่ายคนถามเมื่อได้คำตอบแล้วก็นิ่งไป
“แล้วนี่เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ครอบครัวของเธอรู้เรื่องนี้แล้วว่ายังไงบ้าง” คำถามนี้รพีกานต์ไม่อยากให้ถามที่สุด แววกังวลฉายชัดบนใบหน้า พยายามนึกหาคำตอบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดที่จะตอบ
“คุณพ่อท่านทราบเรื่องนี้แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ เราคุยกันว่าจะช่วยกันเลี้ยงดูพวกแกให้ดีที่สุด อันที่จริงท่านอย่ากังวลเรื่องนี้เลยครับ พวกเราดูแลสามแฝดกันได้ จะไม่ให้เรื่องระคายมาถึงชื่อเสียงของทางนี้เลย” รพีกานต์ตอบน้ำเสียงฉาดฉาน สายตามุ่งมั่นจ้องตรงยังประมุขแห่งอิศวัชร์เพื่อยืนยันในเจตนาของตนเอง
“ได้ยังไงละกานต์” อัครวินท์โพล่งทะลุกลางปล้อง ก่อนถูกสายตาผู้เป็นปู่ปรามให้เงียบ กระนั้นก็ยังอดมองรพีกานต์ด้วยความกระวนกระวายไม่ได้
“หมายความว่าเธอ ไม่ต้องการให้ทางเรารับผิดชอบอะไรอย่างนั้นหรือ” อินทร์ฉายหยั่งเชิง คนของบวรกิตติ์วิวัฒน์รักในศักดิ์ศรีตนยิ่งกว่าอะไร
“ครับ” คำตอบนั้นแน่วแน่ ตอบแล้วก็นิ่วหน้า วันนี้สามแฝดแผลงฤทธิ์หนักเหลือเกิน
“เป็นอะไรไป” อินทร์ฉายมองอาการกุมท้อง ความรู้สึก ‘ห่วง’ ในเลือดเนื้อเชื้อไขของอิศวัชร์แล่นริ้วลึก ๆ ภาพอัลตราซาวด์สี่มิติของสามแฝดสั่นคลอนความรู้สึกไม่น้อย
“คือ...” รพีกานต์อึกอัก ลังเลใจที่จะตอบ “คือพวกแกได้ยินเสียงท่านแล้ว...แกดิ้นไม่หยุดน่ะครับ ทุกวันไม่ดิ้นขนาดนี้ แต่วันนี้ได้ยินเสียงท่านทีไร แกพากันดิ้นหนักทุกที”
“หนูขยับมานั่งตรงนี้สิ” คุณหญิงสิริปรียาเอ่ยขึ้นหลังนิ่งฟังอยู่นาน ร่างผิวผ่องนวลใยขยับชิดริมโซฟาเว้นที่ให้รพีกานต์ได้แทรกกลางระหว่างตนเองและสามี คนได้ยินถึงกับนิ่งไป
“มาสิหนู” เอ่ยซ้ำอีกครั้งด้วยแววตาอ่อนโยน คราวนี้อัครวินท์ออกโรงพารพีกานต์เข้าไปนั่งบนโซฟาเดียวกับปู่ย่าด้วยตัวเอง รพีกานต์อยากร้องไห้ขึ้นมาก็คราวนี้ แต่จะเสียมารยาทลุกหนีก็เป็นกิริยาที่ไม่งามนัก จะถูกตำหนิไปถึงบุพการีเอาได้ จึงได้แต่นั่งตัวลีบอยู่อย่างนั้น สามแฝดก็เหลือเกิน อยู่ใกล้คนของอิศวัชร์แล้วดูจะคึกคักกันเป็นพิเศษ
“ไหน ฉันขอจับดูบ้าง โลกเรามีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดซิน่า” มือนุ่มเจ้าเนื้อสัมผัสลงบนท้องนูน รพีกานต์รู้สึกถึงความอ่อนโยนที่ถ่ายทอดมาให้ทั้งสายสัมผัสและแววตา
“ตายแล้ว ดิ้นได้จริง ๆ ด้วย เคยอ่านแต่ข่าวบอกว่าอนาคตผู้ชายจะท้องได้ แต่นี่ท้องธรรมชาติด้วย” รอยยิ้มยินดีปรากฏบนดวงหน้ามีสง่าราศี อัครวินท์รีบเปิดคลิปในโทรศัพท์ ก่อนเดินเข่าปราดเข้าไปหาผู้เป็นย่า
“นี่ครับ หน้าตาของคนที่กำลังดิ้นอยู่ในท้องกานต์ แม่มาดูด้วยกันซีครับ” เขาพยักพเยิดชวนมารดา ผดาชไมขยับเข้ามาใกล้ อัครวินท์จับมือมารดาแตะที่ท้องบ้าง มือสัมผัส สายตามองคลิปในห้องอัลตราซาวด์ เพียงเท่านี้ความยินดีก็ผุดขึ้นในหน้าทุกคน
“ปู่ไม่ลองแตะดูบ้างล่ะครับ เมื่อกี้กานต์บอกว่าสามแฝดดิ้นแรงมากเวลาได้ยินเสียงปู่” อัครวินท์หันมาทางปู่ที่มองดูทุกคน ท่าทางอยากจะพิสูจน์ด้วยแต่ยังไว้เชิง
“คุณคะ หลานของเรานะคะ ยังไงพวกแกก็มีสายเลือดของอิศวัชร์” คุณหญิงเอ่ยกับสามี ดูออกว่าสามีไม่ได้รู้สึกเดียดฉันท์เด็กในท้อง เพียงแต่ยังทำอะไรไม่ถูกก็เท่านั้น อินทร์ท่าทางลังเลก่อนลองยื่นมือสัมผัสหน้าท้อง ความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดกระทบใจอย่างจัง มันเป็นความรู้สึกอุ่นวาบ ฟู ๆ อย่างประหลาดที่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย
“มะรุมมะตุ้มอะไรกันครับ” เสียงอินทัชทักขึ้น รพีกานต์เงยหน้ามองผู้มาใหม่ ซึ่งผู้เดินเข้ามาพร้อมกับอินทัชก็ทำให้เขาพูดไม่ออก ไอยวริญท์...
“นี่มันอะไรกันน่ะ กานต์...กับพี่วิน แล้วที่บอกพี่วินทำแฟนท้อง คือกานต์หรือ” ไอยวริญท์งงเป็นไก่ตาแตก ด้วยไม่คาดคิดเรื่องพี่ชายกับเพื่อนสนิทมาก่อน
“เรา...ไม่รู้จะบอกกับรินยังไง” รพีกานต์อธิบายสีหน้าไม่สู้ดีนัก อันที่จริงเขาไม่ได้อยากปิดเพื่อนเลย
“แล้วนี่กานต์ท้องลูกของพี่วินอย่างนั้นหรือ” คำตอบคือการพยักหน้า ไอยวริญท์ขยับเข้ามาใกล้พลางยื่นมือแตะหน้าท้อง ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ทักทายผู้เป็นอาเป็นอย่างดี
“ท้องจริง ๆ ด้วย แล้ว...พี่ณัฐ” ปลายเสียงผ่อนลง ใบหน้าณัฐธีร์ฉายชัดในความทรงจำ ด้วยไอยวริญท์เคยเห็นพี่ชายคนดีคอยส่งขนมส่งน้ำให้ไม่เคยขาด แต่ไหงรพีกานต์กลับคบหากับอัครวินท์ได้ แถมยังตั้งครรภ์ คิดถึงตรงนี้ ไอยวริญท์ก็งงเสียยิ่งกว่างง
“รินอย่าเพิ่งซักอะไรเราเลย” รพีกานต์ออกตัวถึงความไม่สะดวกใจ สายตาเว้าวอนอ้อนอยากกลับบ้านถูกส่งไปหาอัครวินท์อีกครั้ง
“ทัชมาก็ดีแล้ว ดูผลงานเจ้าลูกชายตัวดีของแกมันก่อเรื่อง แล้วนี่จะเอายังไงกันต่อ” อินทร์ฉายเปิดประโยคถามบุตรชาย รพีกานต์สบตากับชายท่าทางภูมิฐาน ดวงหน้าละม้ายอัครวินท์มากเพียงแต่ดูมีวุฒิภาวะกว่า ทรงผมเซ็ตเปิดหน้าผากทำให้เขาดูหล่อแบบผู้ใหญ่ อนาคตอัครวินท์ก็คงจะเป็นแบบนี้ รพีกานต์ยกมือกระพุ่มไหว้ โดยไม่ต้องให้ใครบอก
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี เอ่อ เธอเป็น...เด็กผู้ชายอย่างนั้นหรือ” อินทัชรับไหว้ กระพริบตาด้วยความไม่แน่ใจ
“ครับ” รพีกานต์พยักหน้ารับคำ แลเห็นหัวคิ้วบิดาของอินทัชมุ่นเข้าหากันน้อย ๆ
“แล้ว...เธอท้องกับวิน เธอ...ท้องได้” กลั้นใจถามออกไป กระอักกระอ่วนทั้งคนถามและคนถูกถาม อินทัชนั่นยิ่งแปลกใจหนัก ก็อัครวินท์ลูกชายนั้นรังเกียจเขาที่เป็นเกย์ไม่ใช่หรือ แล้วไหงมายุ่งกับเด็กผู้ชายด้วยกันได้ แต่ดู ๆ ไปเด็กคนนี้ก็น่าเอ็นดูน้อยเสียเมื่อไหร่ เหมือนรพินทร์สมัยก่อนนั่นแหละ จากมาไม่เท่าไหร่ ใจเผลอคิดถึงอีกจนได้
“เอ่อ...” รพีกานต์อึกอัก สายตาเหลือบมองคนตัวใหญ่ ดวงหน้าละม้ายถอดพิมพ์จากคนถาม
“กานต์ท้องกับผม ไม่เชื่อพ่อดูคลิปนี้ได้ ก่อนมาที่นี่ผมเพิ่งพากานต์ไปอัลตราซาวด์มา ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน” อัครวินท์ยื่นคลิปในโทรศัพท์ให้บิดาดู อินทัชละสายตาจากรพีกานต์หันมารับโทรศัพท์จากผู้เป็นลูกไปดู ผ่อนความอึดอัดในใจรพีกานต์จากการเผชิญหน้าตอบคำถามไปได้บ้าง มือเรียวลูบท้องกลม เจ้าสามแฝดดูเหมือนจะมีปฏิกิริยากับคนของอิศวัชร์เสียเหลือเกิน
แฝดน้อย หนูเป็นคนของบวรกิตติ์วิวัฒน์ เข้าใจไหมครับ
รพีกานต์บอกลูกในใจ สายตาเหลือบมองบิดาของอัครวินท์ไปด้วย ดู ๆ ไปแล้วพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันมากจริง ๆ แต่นิสัยนั้นแตกต่าง เพราะคนบิดานั้นดูนุ่มนวลใจเย็นกว่า เหลือบแลไปที่ประมุขใหญ่ของบ้าน พี่วินสง่างามแล้วก็ดุได้ปู่แน่ ๆ แต่นิสัยเอาแต่ใจไม่รู้ได้ใครมา รพีกานต์ขยับกายอึดอัด ใจกระหวัดถึงคนคอยที่บ้าน สายตาละห้อยส่งบอกอัครวินท์กลาย ๆ
พ่อจ๋า กานต์อยากพาแฝดน้อยกลับบ้านเราจัง บ้านพี่วินหลังใหญ่แต่กานต์อึดอัด
อินทัชดูคลิปแล้วก็นิ่งไป ตอนบิดาโทร.ตามให้กลับบ้านด่วน เพราะเจ้าลูกชายตัวดีดันทำเด็กผู้ชายท้อง เขานึกว่าตนเองหูเฝื่อนไปเสียอีก
“เฮ่อ แกนี่นะเจ้าวิน ฉันเตือนแกแล้วว่าคิดจะรักสนุกก็ให้ป้องกัน ไม่ป้องกันท้องก็ป้องกันโรค ยิ่งสวยยิ่งน่ารักเจอในที่อโคจรที่แกชอบไปนั่นก็ยิ่งผ่านมาเยอะ เอ่อ...ฉันไม่ได้หมายความว่าหนูไม่สะอาดนะ” อินทัชตำหนิบุตรชาย ประโยคหลังออกตัวว่าไม่ได้พาดพิงถึงอีกคน
“ผมรัดกุมตลอดเหอะ แต่กับกานต์เผลอแค่ครั้งเดียวเอง” อัครวินท์เป็นคนพูด แต่คนแก้มร้อนผ่าวจนต้องก้มหน้าหลบสายตากลับเป็นรพีกานต์ คนตัวเล็กนั่งตัวลีบในสถานะเหมือนตกเป็นจำเลยอย่างไรอย่างนั้น
“ตกลงว่าแกจะรับผิดชอบเด็กในท้องยังไงเจ้าวิน เวลาฉันบอกอะไรไม่เคยฟัง แต่พอเกิดเรื่องก็ไม่พ้นฉัน” นายธนาคารหนุ่มใหญ่เอ่ยลอย ๆ แต่หลายคนในห้องร้อน ๆ หนาว ๆ มองหน้ากันอิหลักอิเหลื่อด้วยไม่ผิดคำที่พูดมา
“ผมอยากให้กานต์มาอยู่ที่นี่ แค่กานต์กับลูก” อัครวินท์แจ้งความจำนง
“แล้วพ่อแม่เขาล่ะ แกคุยตกลงกับครอบครัวเขาแล้วหรือ ลูกเขาทั้งคน แกจะทำอะไรตามใจข้ามหัวพ่อแม่เขาได้ยังไง แล้วนี่แกถามความสมัครใจของเมียแกแล้วหรือยัง ว่าเขาอยากมาอยู่ด้วยกับแกที่นี่หรือเปล่า เขาท้องลูกแก แกต้องดูแลความรู้สึกเขา” อินทัชถามไถ่ อัครวินท์ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเดี๋ยวจะเกิดเรื่องราวให้ตามแก้ไขไม่จบสิ้น
“ยังไม่ได้ถาม ก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าท้อง แล้วก็พามาที่นี่เลย”
“ฟังนะ ก่อนที่แกจะเรียนรู้งานจากฉัน แกต้องหัดเปิดใจฟังความเห็นคนอื่นก่อน แล้วถ้าแกคิดจะมีเมีย ก็หัดถามความเห็นเมียแกด้วย สองคนปรึกษาตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่แกรวบรัดเขาให้ตามใจแกฝ่ายเดียวไปเสียทุกอย่าง” อินทัชร่ายยาว อัครวินท์หน้าเจื่อนลงถนัดตาเพราะปกติบิดาไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เรียกว่าแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ บิดาของเขาใจดีแต่บทจะหือขึ้นมา แม้แต่ปู่ยังต้องฟัง รพีกานต์ได้ยินทุกอย่างแล้วให้รู้สึกนิยมในคำพูดของอินทัช ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ก็มีแต่บิดาของอัครวินท์ที่ดูจะเข้าใจความรู้สึกของรพีกานต์กว่าใคร ดูตั้งสติได้ดี อดคิดไม่ได้ว่าถ้าอัครวินท์ได้นิสัยจากบิดา คงจะสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติกว่านี้ ขณะกำลังมองด้วยความชื่นชม อินทัชก็หันมาทางรพีกานต์
“ฉันจะไปคุย ไปขอโทษครอบครัวของหนูด้วยตัวเอง ยังไงลูกชายฉันก็ก่อเรื่อง ขอโทษด้วยที่ทำให้หนูต้องลำบากเพราะลูกของฉัน ส่วนเรื่องเด็กในท้อง เดี๋ยวเราไปคุยตกลงกับครอบครัวหนูอีกที ไม่ต้องกังวลไปว่าเราจะปัดความรับผิดหลานในท้อง จะใครตั้งท้อง ยังไงแกก็สายเลือดอิศวัชร์”
“ขอบคุณครับ แต่ว่า...” รพีกานต์อึกอัก กระอักกระอ่วนใจที่จะเอ่ย หากอัครวินท์ไร้สำนึกปัดสวะให้พ้นตัวเสียแต่แรก เรื่องราวคงไม่ลุมลามมาถึงขั้นนี้ แล้วนี่บิดาของอัครวินท์ดูมีความรับผิดชอบขนาดนี้ จะทำอย่างไรดีหนอ รพีกานต์เอ๋ย
“ทำไมหรือ”
“เปล่าครับ”
“มีอะไรหนูบอกฉันได้ หากเจ้าวินมันทำให้อึดอัดอะไรก็บอก” อินทัชบอกอย่างเข้าใจ ตอนเดินเข้ามาก็เห็นสีหน้าอึดอัดของรพีกานต์ตอนถูกมะรุ้มมะตุ้มแปลกใจเรื่องลูกในท้องกันก็พอเข้าใจ เด็กหนุ่มคงตื่นคน
“กานต์อยากขอตัวกลับบ้านก่อนได้ไหมครับ คุณพ่อรออยู่น่ะครับ”
“ไปสิ วินไปส่งน้องไป ฝากบอกคุณพ่อหนูด้วยว่า อีกสองสามวันฉันจะไปเยี่ยม” อินทัชอนุญาต พยักพเยิดให้บุตรชายพาคนรักออกไปส่ง ส่วนตัวเขาคงต้องอยู่คุยหารือกับคนอื่น ๆ ในครอบครัวต่อ รพีกานต์กระพุ่มมือไหว้ลาทุกคน สบตากับไอยวริญท์ก่อนเบือนหลบ พลางขยับตัวลุกออกมา
“ถ้ากานต์ไม่อยากอยู่ที่นี่ งั้นพี่จะไปอยู่กับกานต์นะ” อัครวินท์เอ่ยบอกเมื่อก้าวพ้นห้องรับแขกมาได้ รพีกานต์เงยมองคนตัวใหญ่ที่ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก
“เดี๋ยวแวะห้องพี่ก่อนกลับ ไปจัดกระเป๋าไปบ้านกานต์กัน” เขาฉุดข้อมือเล็ก บิดาเพิ่งบอกไปแหม่บ ๆ แต่ก็ยังไม่วายเข้าอีหรอบเดิม
ห้องของลูกชายนายธนาคารกว้างเสียยิ่งกว่ากว้าง แล้วก็หรูหราเสียจนรพีกานต์รู้สึกว่าห้องของตนเองกลายเป็นบ้านเหมียวไปเลย ภายในตกแต่งด้วยเครื่องเรือนนำเข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงระยับ แชนเดอเลียร์คริสตัลแขวนเด่นอยู่กลางห้อง มีชุดโซฟา โฮมเธียเตอร์จอยักษ์ แกรนด์เปียโนประดับคริสตัลสวารอฟสกี้ทั้งหลัง ห้องนี้ห้องเดียวก็แพงกว่าบ้านทั้งหลังของคนทั่วไปเสียอีก อัครวินท์จูงมือรพีกานต์เดินผ่านเข้าไปอีกห้องข้างในซึ่งเป็นห้องนอน เขาพาร่างเล็กไปนั่งลงบนเตียงนอนหลังกว้าง
“พี่ไม่เคยพาใครเข้ามาในห้องนี้เลย คนอื่นอย่างมากก็แค่ไปคอนโดฯ กานต์ไม่อยากอยู่ที่นี่กับพี่หรือ พี่จะเล่นเปียโนให้กานต์กับลูกฟังทุกวันเลย หรือไวโอลินด้วยก็ได้ พี่ให้กานต์เลือก”
“ที่บ้านก็มี” ถึงจะเป็นเปียโนธรรมดาหลังเล็กก็เถอะ อัครวินท์ผละไปเปิดลิ้นชักหยิบกล่อง ๆ หนึ่งออกมาก่อนกลับมาทิ้งกายนั่งใกล้ ๆ เปิดกล่องออกเป็นกล่องดนตรีคริสตัลเปียโน มือหนายื่นให้รพีกานต์
“บังเอิญดีจังที่กานต์ตั้งชื่อลูกเราคนหนึ่งว่าใกล้รุ่ง กล่องนี้พี่ให้กานต์เอาไว้ให้ลูกในท้องฟังนะ” เขาหมุนลานวางกล่องดนตรีเพลงพระราชนิพนธ์ลงในมือบางแนบหน้าท้อง พลางหย่อนกายลงบนพื้นแนบใบหูที่ท้องเพื่อฟังเสียงลูกน้อยคลอไปกับเสียงเพลง เห็นอย่างนี้ใจที่เคยแข็งก็ชักจะง่อนแง่นอ่อนลงหน่อยหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่รพีกานต์ไม่เคยรู้ คืออัครวินท์เกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ น้ำเชื้อเป็นของอินทัช แต่พ่อและแม่ของเขาไม่เคยร่วมรักสัมผัสในกันและกัน เปลือกนอกเขาคือคนที่มีเพียบพร้อมในทุกอย่าง ไม่ว่ารูปลักษณ์ สติปัญญาหรือชาติตระกูล แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถมหลุมดำในใจได้เต็มเสียที เขาไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ที่จู่ ๆ ก็หุนหันพลันแล่นพารพีกานต์มาให้คนที่บ้านได้รับรู้ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูลูกที่กำลังจะเกิดได้ยังไง มันงุนงงสับสน รู้แค่ว่าช่วงเวลาที่อยู่กับคนตัวเล็กเขามีความสุข และไม่ต้องการปล่อยรพีกานต์หลุดมือไปอีก ต้องการครอบครองร้อยรัดหัวใจดวงน้อยเอาไว้กับตัวเอง เขารู้แค่นี้
รพีกานต์มองคนที่ซบหน้าบนตักด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ร่างเล็กกำลังจะหนีหายไปจากเขา แต่อัครวินท์ก็กลับสร้างเยื่อใยบางเบาร้อยรัดเอาไว้แน่นทุกที แค่เห่อแหนเพียงชั่วคราวหรือต้องการอะไรกันหนอ หากวันหนึ่งเกิดเบื่อหน่ายขึ้นมาอีก จะผลักไสกันอย่างเดิมที่เคยทำไหม บาดแผลเก่ายังร้าวลึกในความรู้สึกเหลือเกิน จนพานให้รพีกานต์ระแวงว่าจะกลายเป็นเช่นเก่า สุขราวล่องลอยในปุยนุ่น สุดท้ายร่วงลงกระแทกพื้นความจริงกระอักเจียนตาย พอเถอะกับรสชาติความเจ็บปวดอย่างครานั้น รพีกานต์ไม่อยากจะลิ้มรสขื่นขมนั่นอีกคำรบสอง มันทรมานเหลือเกิน รพีกานต์จดจำฝังใจมาจนวันนี้ ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงกาลเก่า หยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตางามอย่างรวดร้าว หยาดน้ำในตาเศร้าแกมงดงามราวหยาดเพชร กลั่นมาจากหัวใจที่เคยภิณท์พัง
ลูกจ๋า ถ้าหนูได้รู้ว่าแม่เป็นคนพรากหนูจากอกพ่อด้วยตัวเอง ขอให้หนูอภัยให้แม่เถอะนะ มันดีกว่ารอให้วันหนึ่งพ่อเขาเบื่อเราแล้วเขี่ยทิ้งอีก หรือถ้าเขาจะเขี่ยทิ้งแต่แม่แล้วพรากเราจากกัน ถ้าจะต้องอยู่อย่างนักโทษประหารเพื่อรอให้วันนั้นมาถึง แม่ขอพาหนูหนีไปอยู่แต่เราดีกว่า เดี๋ยวเขาก็ลืมเราไปเอง
หยาดน้ำใสกลิ้งลงบนแก้มขาวร่วงเผาะลงแตะแก้มคนบนตัก หัวใจแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายที่ยังรักยื้อให้อยู่ต่อ ฝ่ายที่ระกำกระซิบบอกความช้ำจะต้องมาเยือนอีกหน จะทานทนได้หรือ อัครวินท์มุ่นคิ้วกับสัมผัสเปียกติดแก้ม ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นมองด้วยความฉงน
“กานต์ร้องไห้ทำไม” มือหนายื่นกรีดน้ำตาให้ ทำไมจู่ ๆ ถึงดูบอบบางเหมือนแก้วร้าวที่พร้อมแตกออกเป็นเสี่ยงขึ้นมาอีก และเขาก็แพ้น้ำตาของรพีกานต์เสียด้วย
“ไม่มีอะไรครับ กานต์แค่รู้สึกดีแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง พี่วินจัดกระเป๋าเถอะครับ จะได้กลับบ้านกันเสียที” รพีกานต์เบือนหน้าหลบมือหนา ปาดน้ำตาตัวเองลวก ๆ อัครวินท์พยักหน้าเข้าใจ ร่างใหญ่ลุกไปลากกระเป๋าเดินทางออกมาเปิด หยิบเสื้อผ้าของใช้ใส่ลงไปโดยมีรพีกานต์คอยช่วย
รถหรูพุ่งทะยานออกจากคฤหาสน์ ระหว่างรอรถติดไฟแดงอัครวินท์มักเลื่อนมือมากุมมือบาง หรือไม่ก็ยกขึ้นจูบไม่มีเหตุผลบ่อย ๆ บางครั้งก็แตะที่หน้าท้องเพื่อทักทายสามแฝด
“มันกะทันหันนะ จะพูดยังไงดี คือ...จนตอนนี้พี่ก็ยังทำอะไรไม่ถูกเท่าไร พี่ไม่คิดว่าพี่จะมีลูกตอนอายุสิบเก้า แล้วคิดดูซีว่า พอลูกเราอายุสิบเก้าเท่าพี่ตอนนี้ อายุของพี่ก็สามสิบแปด ผู้ชายสามสิบแปดก็ยังดูไม่แก่เท่าไร ดูอย่างพ่อพี่ พ่อกานต์นั่น สิบสี่กว่า ๆ หน้ายังอ่อนอยู่เลย คือ...พี่ยังงง ๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก แล้ว...พี่เคยทำแย่ ๆ กับกานต์ไว้ด้วย พี่...” เขากระดากปากที่จะเอ่ย
“เรื่องที่พี่วินเอากานต์เป็นเดิมพันเกมบ้า ๆ เพื่อเงินแค่พันบาท แต่กลับลงทุนแบบขาดทุนเสียมากมายนะครับคุณลูกชายนายธนาคาร ปลาหน้าโง่ตัวเล็ก ๆ ตัวเดียวซื้อคันเบ็ดเสียแพงเชียว แล้วไอ้เงินพันเดียวนั่นก็ยัดอยู่ในหน้าอกสาวเชียร์เบียร์ อย่างว่าแหละนะก็ได้มันมาง่าย ๆ อย่างกับเศษกระดาษนี่นา เพราะกานต์มันง่ายเอง”
“กานต์”
“ถ้าพี่ยังมีหัวจิตหัวใจอยู่บ้าง ก็อย่าทำอย่างนี้กับใครอีกนะครับ คนที่ดูเหมือนลาโง่เป็นตัวตลกในสายตาพี่ ยอมให้พี่ทุกอย่าง ก็
เพราะเขารักพี่ แต่ถ้าวันไหนเขาเจ็บแบบสุด ๆ จนไม่อยากทน พี่ก็จะกลายเป็นมะเร็งร้ายที่ต้องตัดออกเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง”
“กานต์...” อัครวินท์ครวญด้วยเถียงไม่ออก รพีกานต์มาโหมดอึมครึมเมฆทะมึนอมน้ำแบบนี้ ขืนพูดไม่เข้าหูเข้าเดี๋ยวฝนน้ำตาได้ลงห่าใหญ่ ซึ่งเขาเองรู้สึกไม่ดีเท่าไรที่เจอแบบนี้ อยากได้รพีกานต์คนเดิมที่ยิ้มได้ง่าย ๆ คนนั้นมากกว่า ทั้งหมดนี่มันเกิดจากเขาแค่เล่นกันสนุกแต่ผลที่ตามมากลับตลกไม่ออก อัครวินท์หน้าเจื่อนสนิท ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้ความเงียบลอยวนรอบกาย เสียงเพลงจากกล่องดนตรีดังขึ้นผ่อนคลายความตึงเครียด รพีกานต์ถือไว้ใกล้ ๆ หน้าท้อง รอยยิ้มบางผุดขึ้นมุมปากเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวกับลูกน้อย รพีกานต์ที่เคยเดาความคิดได้ง่าย ตอนนี้กลายเป็นเขาเดาอารมณ์ไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากได้คนเก่าที่มองเขาด้วยสายตาแห่งรักเต็มเปี่ยมกลับคืนมา แต่เมื่อเขาได้ทำลายคนเดิมแสนดีคนนั้นไปเสียแล้ว เขาต้องทำยังไง ไม่เคยรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเองที่ผ่านมาจนครั้งนี้ ที่คิดอยากย้อนเวลากลับไป
“ถึงบ้านแล้ว พี่จะเล่นไวโอลินให้กานต์ฟังนะ” เขายื่นมือไปลูบหน้าท้อง ทำได้เพียงประคองความรู้สึกที่เคยภิณท์พังด้วยความรู้สึกไม่ดีเท่าไร
“พี่ขอโทษ”
ต่อด้านล่างค่ะ