เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}  (อ่าน 154468 ครั้ง)

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ใจนึงคิดถึงตอนพี่วินทำกับกานต์แล้วก็ไม่อยากให้กานต์ใจอ่อน แต่อีกใจก็อยากให้คืนกัน :serius2:

ออฟไลน์ pawara123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อย่าหายไปนานเลยสงสารคนอ่าน รอนาน

ออฟไลน์ ตัวไหมอ้วนกลม

  • สาว Y ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นแล้วรักษาไม่หายนะคะ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ  ดีต่อใจ  อยากเจอสามแฝดแล้ว   :pig4:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
นานจนลืมเรื่องละ  o18

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
เสน่หา...รักเอย ๒๘
พยัคเฆนทร์อหังการ์สยบแทบเท้าศศน้อย

ศศน้อยแช่มช้อยลอยลออ      เพียรพะเน้าเฝ้าพะนอคลอเคลียเจ้า
แก้มจันทร์ผ่องพี่หมายปองคนตาวาว      คอยหยอกเย้าพเยียเพราอย่าตัดรอน

      
“อยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย หายหัวเงียบไป ฉันตามนายได้จากที่นี่สินะ” น้ำเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นขณะร่างใหญ่เดินอาด ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ตลิ่ง อัษศดิณย์มองเห็นน้องชายต่างสายเลือดดำผุดดำว่ายอยู่ในลำธารแต่ไกล แต่เมื่อเคลื่อนเข้ามาใกล้จึงได้เห็นใครอีกคนปรากฏในคลองจักษุ ดวงหน้าผ่องลออของละอ่อนน้อยดรุณเยาว์สะดุดตา ดวงตาแจ่มใสทอประกายพิลาส ทั้งที่อีกฝ่ายเพียงเงยหน้าเหลือบมองประสานสายตา ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น แต่กลับมีอิทธิพลให้คนดุร้ายคลายท่าทีดุดันลงไม่รู้ตัว อัษศดิณย์ชะงัก สายตามองจับคนหน้าผ่องเป็นยองใย ปาก คอ คิ้ว คาง ดูแฉล้มชวนมองนัก
   
“นี่พี่กานต์ อยู่ไร่ติดเรานี่เอง เพิ่งมาพักได้ไม่นานเพราะคุณพ่อไม่สบาย ส่วนนี่คุณอัษศดิณย์ เจ้าของไร่พิศาลอนันต์ยศ” ศิรวัฒน์ทำหน้าที่สื่อกลางแนะนำคนทั้งคู่ อัษศดิณย์ยังคงมองคนกระพริบตาปริบ ๆ ไม่ละสายตา แล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้น
   
“เรียกพี่ดินธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มยศหรอก” น้ำเสียงนุ่มนวล มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมปลาบทอประกายละมุนดุจแสงแดดอ่อนฉาบอรุณ ทาบจับยังนัยน์ตากวางคู่งาม

“สวัสดีครับ เอ่อ...พี่ดิน” รพีกานต์กระพุ่มมือไหว้ผู้มากวัยกว่า คนตัวเล็กทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มให้คนดุอย่างเสือ รัศมีดุดันแผ่ลามออกมาจากเรือนกายสูงใหญ่จนรู้สึกได้ แต่กระนั้นแล้วยามใบหน้าขึงขังลดประกายดุดันลง มุมปากยิ้มละไมเพียงบางเบา กับประกายตาอ่อนโยนก็พาให้หัวใจคนมองอุ่นวาบราวได้รับแสงแดดยามเช้าทาบทาลงมา

ชายผู้มาใหม่นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาคมคายชนิดหาตัวจับยาก รพีกานต์เผลอไพล่ถึงพระเอกในนิยายของบิดา บทบรรยายรูปลักษณ์พานให้เคยสงสัยอยู่ครามครัน จะหาคนแบบนั้นได้ที่ไหนหนอ เรื่องไหน ๆ ต่างก็บรรยายรูปลักษณ์พระเอกเสียเลิศเลอ แต่ตอนนี้กลับมายืนให้ประจักษ์อยู่ตรงหน้าราวก้าวออกมาจากบทประพันธ์ก็ไม่ปาน

เค้าโครงรูปหน้าแบบไทยแท้แต่หุ่นสูงใหญ่ล่ำสันแบบยุโรป ดวงตาคมกริบแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งอำนาจ ดูดุดันราวนัยน์ตาเสือป่าดุร้าย หากทรงพลังเจิดจ้าดุจแสงตะวันเรืองรอง เพียงมองมาปราดเดียวก็ให้สะท้านยำเกรง น้ำเสียงทุ้มลุ่มลึกไร้การกรรโชกแต่สามารถสยบคนฟังได้ในน้ำเสียงเดียว นี่คือนิยามความเป็น ‘อัษศดิณย์ พิศาลอนันต์ยศ’ บุคคลที่คนทั้งไร่ต่างขนานนามว่า ‘นายดินดุอย่างเสือ’ โดยแท้ รพีกานต์อยากจะรีบรี่กลับบ้านไปถามบิดาตอนนี้เสียจริง ว่าคนนี้หรือเปล่าหนา ต้นแบบพระเอกหน้าไทยในบทประพันธ์ของพ่อ คนที่รพีกานต์เคยนึกสงสัยว่าจะหาได้ที่ไหน

และเพราะเขายังคงทอดสายตาแลมา แก้มใสจึงรู้สึกเห่อร้อนแปลก ๆ รพีกานต์เฉไฉสายตาหลบวูบ ก่อนเหลือบขึ้นส่งรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรให้อีกที อัษศดิณย์ยิ้มพรายรับ ร่างใหญ่ย่อกายลงนั่งบนส้นเท้าข้างหนึ่งใกล้กัน เริ่มบทสนทนาทำความรู้จัก

“ไร่ข้าง ๆ กันนี่ เจ้าของคือคุณรพินทร์ ซื้อที่ทิ้งไว้แล้วก็ปล่อยเช่า ผมเองกำลังมีแผนอยากขยายไร่เพิ่ม สนใจที่ผืนนี้อยู่พอดี” น้ำเสียงของ ‘นายดินดุอย่างเสือ’ อ่อนโยนนุ่มนวลเป็นพิเศษ สายตาคมคายทอดมองอีกฝ่ายลึกล้ำ ดวงตากวางคู่งามกระพริบปริบด้วยความรู้สึกหลากหลาย น้ำเสียงทุ้มนุ่มทอดอ่อนละมุนหูราวคนฟังเป็นบุคคลที่น่าทะนุถนอมไม่ปาน รพีกานต์สบตากับเขา ก่อนเหสายตาเลี่ยงไปอีกทาง

“อ๋อ เป็นคุณพ่อของกานต์เองครับ” คนตัวเล็กร้องอ๋อรับรู้ รอยยิ้มกระจ่างใสฉาบบนผิวหน้านวล บรรยากาศรอบกายพลันสว่างสดใส เหมือนดวงตะวันเปล่งประกายเจิดจรัสยามเมฆเคลื่อนผ่านไปแล้ว

“เคยเจอแต่คุณพ่อ ไม่เคยเจอหน้าค่าตาลูกชายเสียที” มุมปากช้อนขึ้นเล็กน้อยมีชั้นเชิง เผยยิ้มเสน่ห์ร้ายกาจแบบผู้ใหญ่ที่พาให้ใจกระตุกได้โดยง่าย รพีกานต์เหมือนกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่ไม่ทันเฉลียวเล่ห์นายพรานผู้ช่ำชอง

“จริงสิ เมื่อกี้บอกว่าคุณพ่อไม่สบายหรือ” เขาชอบการสนทนากับคนหน้านวลยิ้มสวยขึ้นมาติดหมัด

“ครับ เลยถือโอกาสมาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์”

“แล้วอาหารการกินสะดวกไหม ว่าง ๆ กานต์แวะมาที่ไร่ของพี่ดินสิ มีร้านไอศกรีมกับร้านสเต๊กด้วย ผักผลไม้สด ๆ ปลอดสารพิษ เผื่ออยากเอากลับมาทำกินเอง จริงสิ สนใจเค้กชาเขียวไหม มีพายมัลเบอร์รีด้วยนะ เค้กมัลเบอร์รีก็มี น้ำมัลเบอร์รี สตรอว์เบอร์รีบำรุงสายตา หลายอย่างต้องแวะไปเอง ฮั่นแน่ มีกลืนน้ำลาย” เขาชี้นิ้วหยอกเย้า เมื่อลองหลอกล่อด้วยขนมแล้วอีกฝ่ายมีท่าทีเคลิ้มตาม

“พี่ดินแกล้งกานต์ เอาของกินมาล่อแบบนี้ กานต์ก็หิวซี” รพีกานต์โวยวายเล็ก ๆ กลบเกลื่อนอาการเขินอายที่เผลอนึกภาพตามแล้วน้ำลายสอ ลืมภาพชายดุดันคนเดิมไปเสียสนิท

“ก็อยากหาเรื่องชวนเด็กน้อยเที่ยวนี่เนอะ ก็ต้องหลอกล่อกันหน่อย คราวนี้ก็รู้แล้วว่าน้องกานต์ชอบของอร่อย” เขาฉีกยิ้มกว้างหัวเราะออกมา ไม่เหลือเค้าคนเย็นชาคนเดิม

“เอาไว้พี่จะแวะไปเยี่ยมคุณพ่อ แล้วก็จะพากานต์เที่ยวไร่พี่ด้วย ดีไหม” เขาทอดน้ำใจตีเนียนเสนอตัวเข้าหา อยากทำความรู้จักนิสัยใจคอรพีกานต์มากขึ้นอีก

“ครับ เดี๋ยวกานต์จะบอกคุณพ่อด้วย” คนไม่รู้ตัวว่าถูกตีเนียนจีบเอ่ยปากตอบรับน้ำใจง่ายดาย ด้วยเห็นว่าเขารู้จักบิดาตนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อัษศดิณย์รั้งบทสนทนาชวนคุยอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งรพีกานต์มีโทรศัพท์โทร.ตาม ร่างเล็กจึงร่ำลาขอตัวกลับ ตลอดทางมีสายตาชายหนุ่มมองแผ่นหลังบางห่างออกไปจนลับหายไปในพุ่มไม้

“มองไม่วางตาเชียว เขามีแฟนหรือยังก็ไม่รู้” ศิรวัฒน์เอ่ยขึ้นลอย ๆ หลังกลายเป็นอากาศธาตุมานาน สายตาเหลือบมองใครอีกคนมองตามคนไปไม่วางตา
   
“มีหรือไม่มี ลองคุยไปเรื่อย ๆ ก็รู้ แต่อย่างน้อย ๆ ฉันก็มองสิ่งที่มันเจริญตาละนะ” ถ้อยคำเชือดเฉือนแล่นสวนกลับมา ราวลูกเกาทัณฑ์แล่นออกจากคันพุ่งตรงมาเสียบอกฉัวะ ตัดขั้วหัวใจพอดิบพอดี เมื่อไม่มีรพีกานต์ที่ตรงนี้ก็ไร้ความหมายโดยพลัน อัษศดิณย์จากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา ศิรวัฒน์เพียงแค่นยิ้มบางซุกซ่อนร่องรอยโศกศัลย์ในอก บอกตัวเองว่าชาชินเสียแล้ว
   
ชินกับการถูกเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ชินกับความหมางเมินที่เหมือนม่านหมอกบาง ๆ คอยผลักคนทั้งคู่ให้ยืนอยู่คนละด้าน มองเห็นแต่แตะต้องไม่ได้ คอยมองดูเขามอบรักให้ใครคนแล้วคนเล่า แต่รักนั้นจะไม่มีวันตกถึงเรา มันก็เท่านั้นเอง แต่ทำไมนะ ทำไม นี่เขากำลังยิ้มอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วน้ำใส ๆ เปียกชื้นผิวแก้มนี่มันอะไร
   
“อ้อ อีกอย่าง” เหมือนนึกอะไรได้ คนที่ทำท่าผลุนผลันจากไปกลับชะงักเท้า ผินใบหน้าหันกลับมา ศิรวัฒน์สะดุ้งโหยง ทะลึ่งตัวพรวดพลางหันหลัง มือแสร้งตีน้ำเล่นกลบเกลื่อนอาการลนลาน
   
“ถึงนายจะเจอก่อน แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ” ทิ้งทวนคำพูดสุดท้ายไม่ต่างจากเอามีดเถือเนื้อกันสด ๆ แล้วควักหัวใจออกมาเหยียบขยี้ด้วยเท้า เสียงรองเท้าย่ำสวบสาบทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ เหลือไว้เพียงคำพูดดังก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในหู เขาปล่อยหยาดน้ำอุ่นใสรินไหลลงแก้ม มุมปากสั่นระริกยกขึ้นเชื่องช้าด้วยความขื่นขม ขณะทิ้งกายอ่อนเปลี้ยลงกลืนกับผืนน้ำช้า ๆ รอบกายเงียบงัน เขายิ้มให้ความอ้างว้างเหน็บหนาวที่รุมกระหน่ำทุบตีหัวใจดื้อดึงไม่ยั้ง ปล่อยให้สายน้ำโอบกอดปลอบประโลมหัวใจนี้ให้ผ่านความเจ็บช้ำไปอีกวัน
   
“ผมไม่เคยคิดอยากแข่งอะไรกับพี่ดินเลย คนอย่างผม ยอมแพ้ให้พี่ตั้งนานแล้ว”
   
“พี่ดิน ๆ รอน้ำด้วยคร้าบ”
“น้ำอย่าวิ่ง ค่อย ๆ เดิน เดี๋ยวหกล้ม พี่ดินรออยู่ มองน้ำอยู่ตรงนี้ ค่อย ๆ ตามมาครับ”
“พี่ดินอย่าทิ้งน้ำนะ”
“ครับ พี่ดินไม่ทิ้งน้ำหรอก”
“สัญญาก่อน”
“ครับ พี่สัญญา”


ตั้งแต่เมื่อไรนะ ? ที่ไม่เหมือนเดิม


ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นขณะที่ศิรวัฒน์เปิดประตูออกจากห้องน้ำพอดิบพอดี ร่างสูงชะงักมือที่กำลังเช็ดผม ปล่อยผ้าขนหนูลงพาดบ่าแล้วเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน

แกรก

“พี่...คุณดิน” เขาเปลี่ยนสรรพนามคำเรียกโดยพลัน เมื่อรู้ตัวว่าเผลอลืมตัวหลุดปากออกไปอย่างสนิทสนม ใบหน้าขึงขังเปลี่ยนไปเสี้ยวหนึ่ง ก่อนกลับมาเฉยชาตามเดิม โดยที่ศิรวัฒน์ไม่ทันสังเกต

“คุณดินมีธุระอะไรกับผมหรือครับ แล้วจะเข้ามาคุยข้างในหรือจะออกไปคุยข้างนอก” ศิรวัฒน์เลิกคิ้วเอ่ยปากถามรวบรวดเดียว ทั้งพิศวงระคนยินดีอยู่ลึก ๆ ที่พี่ชายแวะมาเยี่ยมหา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับรพีกานต์ที่เจอกันในวันนี้ ความยินดีก็พลันเหือดหายไปจากใจอย่างรวดเร็ว และทุกความรู้สึกนึกคิดล้วนถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าไม่ยินดียินร้ายของเขา

“ข้างใน ส่วนตัวกว่า” อัษศดิณย์ตอบเสียงเรียบเคลือบแฝงลับลมคมในบางอย่าง สายตาคมคายมองจ้องเจ้าของห้องเมื่อได้ประจันหน้าใกล้ ๆ เพิ่งจะได้สังเกตสังกาอีกฝ่ายชัด ๆ ก็คราวนี้ ฝ่ายนั้นเพียงพยักหน้ารับรู้พลางร่นกายถอยกลับเข้าข้างในห้อง ผินหลังเดินนำเข้าไป
อัษศดิณย์มองพิจารณาน้องชายต่างสายเลือดเงียบ ๆ ทั้งส่วนสูงและใบหน้าหล่อเหลา ศิรวัฒน์โตขึ้นกว่าเดิมมาก  ได้ข่าวว่าเป็นนักกีฬาของโรงเรียนที่พ๊อปปูล่าร์น่าดู แต่เขารู้ดี หมอนี่ต้องการเจริญรอยตามเพื่อวัดรอยเท้ากับเขา อัษศดิณย์เลื่อนเก้าอี้ชิดโต๊ะเขียนหนังสือออกพลางหย่อนกายลงนั่ง ถือโอกาสกวาดสายตาสำรวจห้องอีกฝ่ายไปด้วยในตัว ภายในห้องตกแต่งเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น
สายตาของชายหนุ่มสะดุดตากับรูปถ่ายวัยเยาว์ที่มีตนเองและน้องชายเป็นนายแบบ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนำไปขยายเป็นภาพใหญ่ติดผนัง นอกจากนั้นยังมีขวดโหลบรรจุหญ้าแห้งไว้ข้างใน เป็นหญ้าแพรกหัวโตที่เขาเคยเอามาเล่นตีไก่กับน้อง ตามที่เห็นลูกคนงานเล่นกันสนุกสนาน ภาพความทรงจำวัยเยาว์งดงามดุจผ้าขาวไหลเวียนเข้ามาให้นึกถึง อัษศดิณย์นิ่งงันไปกับของชิ้นเก่า ๆ ที่เขาเคยมอบให้ และผู้เป็นน้องชายยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดี

ศิรวัฒน์ทิ้งกายลงนั่งปลายเตียงพลางเหลือบมองตามสายตาพี่ชาย แก้มขาวร้อนเห่อ เพราะอีกฝ่ายมาแบบไม่ทันตั้งตัว เขาจึงไม่ได้เก็บของที่ควรเก็บเสียก่อน หนุ่มผู้น้องรีบเอ่ยถามเบี่ยงเบนความสนใจทันที

“คุณดินมีอะไรจะคุยกับผมหรือครับ” เอ่ยถามสีหน้านิ่งขรึมซุกซ่อนอาการลนลานหวั่นไหวภายใน และก็ได้ผลเมื่อัษศดิณย์หันเหสายตามาที่เขาแทน ศิรวัฒน์แอบโล่งใจลึก ๆ ขณะประสานสายตากัน

“นายรู้จักกานต์นานแล้วหรือ” อัษศดิณย์ยิงเข้าคำถามที่สงสัย เปิดประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม

“ก็เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง ที่พาคุณมาถึงนี่ได้ก็เพราะอยากรู้ว่า ผมรู้สึกยังไงกับพี่กานต์ใช่ไหมครับ” ศิรวัฒน์เองก็ตอบกลับไปตรง ๆ เช่นกัน

“ฉลาดนี่  ฉันรู้สึกสนใจกานต์ แต่เห็นนายเองก็ดูสนิทสนมคุ้นเคยกัน เลยอยากถามให้แน่ใจ” ดวงตาคมกล้าฉายแววท้าทายเล็ก ๆ เหมือนจะบอกว่า ‘ต่อให้นายชอบเขา ฉันก็พร้อมจะลองจีบ’ แววตาแบบนี้นับเป็นเสน่ห์เหลือร้ายอีกอย่างของอัษศดิณย์ที่ทำให้คนเป็นน้องใจสั่น ปรารถนาถูกเขาครอบครอง อยากถูกความร้อนแรงของสายตาคู่นี้แผดเผาไปหมดทั้งตัว แต่ก็ได้แค่คิด ที่แสดงออกกลับตรงกันข้าม

“พี่กานต์ดูเข้ากับคนง่าย ถ้าผมบอกว่าชอบพี่เขา มันจะเป็นยังไงหรือครับ” ศิรวัฒน์หยั่งเชิง ตีสีหน้ายียวนกลับ ดวงตาคมกล้าของคนฟังโชนแสงขึ้นเล็กน้อยเหมือนถูกท้าทาย

“ก็ไม่ยังไง ฉันก็จะเดินหน้าจีบกานต์ต่ออยู่ดี” อัษศดิณย์ยักไหล่ไม่ยี่หระ ดวงตาถือดีประสานตอบ ตราบใดที่สองคนนี้ยังไม่ได้ตกลงคบหา เขาเองก็ถือว่ามีสิทธิ์ คนดุอย่างเสือช่างไม่รู้เสียเลย ว่าท่าทียโสของเขาทำให้คนมองพยายามกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตนแค่ไหน ศิรวัฒน์หลงใหลท่าทีผยองถือดีของพี่ชาย ทั้งหลงใหลและอยากสยบในบางที อารมณ์ใกล้ ๆ กับริอยากขี่หลังเสือนั่นกระมัง

“ดูคุณจริงจังนะครับ เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ใช่หรือ” ท่าทีนิ่งขรึมเกินวัยของศิรวัฒน์ บางครั้งก็เป็นสิ่งที่อัษศดิณย์ยากจะเข้าใจ

“บางทีเวลาก็ไม่ใช่ตัวกำหนดความรู้สึกของคนเราหรอกนะ บางคนกว่าจะรู้สึกต่อกันได้ก็เมื่อผ่านไปสักระยะจากการได้เรียนรู้ ได้ใกล้ชิด แต่บางคน แค่เห็นครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจแล้วละ โลกถึงได้มีนิยามรักแรกพบยังไงละ” อัษศดิณย์รู้สึกกระดากอยู่หน่อย ๆ ที่ต้องมาพูดอะไรหวานเลี่ยนไม่เป็นตัวเองเช่นนี้ โดยเฉพาะกับคนตรงหน้า นิสัยตรงไปตรงมาของเขาทำให้ถนัดทำมากกว่าพูด

“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องผมหรอกครับ ห่วงเรื่องพี่กานต์มีแฟนหรือยังดีกว่า เพราะผมเองก็ไม่เคยถามพี่เขาและพี่กานต์เองก็ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองเท่าไร”

“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนาย เพียงแต่เรื่องที่ฉันสนใจกานต์ ฉันไม่ได้คิดจีบเขาเพื่อเอาชนะนายแบบเกม แต่ฉันสนใจกานต์จริง ๆ” ถึงเขาจะสนใจรพีกานต์ แต่ก็เป็นลูกผู้ชายพอ อัษศดิณย์ไม่คิดเอาเรื่องนี้มาเอาชนะคะคานย่ำยีหัวใจอีกฝ่าย เกลียดชังแต่ก็ไม่สุด เหมือนจิตใต้สำนึกยังคอยสะกิดเตือนอยู่ในที เป็นความรู้สึกคาราคาซังที่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูกนัก แต่นายดินดุกว่าเสือช่างไม่รู้เลยว่า คำพูดเหมือนไม่คิดอะไรนั้น มันทิ่มแทงหัวใจคนฟังได้ร้าวรานแค่ไหน และคนเสพติดความเจ็บปวดจนด้านชาอย่างต้นน้ำก็ทำเพียงยิ้มจาง ๆ ตอบออกไป

“ผมไม่เคยมองว่าความรักเป็นเกม หรือเดิมพันอะไร คนที่คิดแบบนั้นก็มีแต่พวกรักใครไม่เป็นเสียมากกว่า ถ้าคุณอยากเอาชนะจริง ๆ คนที่คุณต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ก็คือพี่กานต์” ไป ๆ มา ๆ ดูเหมือนศิรวัฒน์จะกลายเป็นศิราณีให้พี่ชายไม่รู้ตัว ปกติพี่ดินไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยสักครั้ง...ที่จะแสดงออกถึงความไม่เป็นตัวเอง อย่างกับหนุ่มน้อยริลองมีรักเช่นนี้

“สิ่งที่ผมคิด ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่ว่า พี่กานต์คิดยังไงกับคุณหรอกครับ” รอยยิ้มบางเบาแกมไปด้วยความหม่นเศร้า หากอีกคนไม่เคยนึกเฉลียวใจ

“อืม ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่กวนนายละ” ร่างสูงใหญ่ผุดลุกผละไปง่าย ๆ คำตอบของศิรวัฒน์แม้คลุมเครืออยู่บ้างแต่ก็อย่างที่เจ้าตัวได้บอก คนที่เขาควรแคร์คือรพีกานต์ น้องกานต์คนนั้นต่างหาก มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับเพ้อ ความคิดล่องลอยหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์เมื่อนึกถึงคนหน้าผ่อง สลัดภาพความหวั่นไหวเดิมตอนเข้ามาเจอของชิ้นเก่าในห้องน้องติดหมัด อัษศดิณย์เดินจากไปโดยลืมใครอีกคนทิ้งไว้ข้างหลัง สายตามองตามแผ่นหลังแกร่งละห้อยโหยหา ความรวดร้าวแผดเผาหัวใจปวดแปลบ ถึงเก่งกาจทนทานสักปานไหนก็ยอมลงให้คนเพียงคนเดียว

“พี่ดิน” เสียงเรียกทำให้มือที่กำลังจับลูกบิดชะงัก อัษศดิณย์หันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

“หึ ระดับนี้แล้ว จีบพี่สะใภ้ให้นาย อย่างฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเด็กม.ปลายหรอก อยากช่วยจริง ๆ อย่าเป็นก้างก็พอ” ผู้เป็นพี่ชายยักคิ้วยิ้มย่อง รอยยิ้มหล่อร้ายกระชากใจคนเป็นน้องจนเผลอใจเต้น มือหนาเปิดประตูเดินตัวปลิวออกไป ทิ้งกลิ่นไออุ่นเจือจางให้เจ้าของห้องสวมกอดได้เพียงเงา ศิรวัฒน์ลุกจากปลายเตียงเดินมาที่เก้าอี้ ทิ้งกายลงครอบครองความอุ่นที่ยังติดตรึงอยู่ตรงที่นั่ง กายสมส่วนโน้มเข้าหาพนักพิง วาดท่อนแขนกอดแผ่นผนักนั้น พลางหลับตากดปลายคางลงเกย จินตนาการว่าตนเองกำลังสวมกอดผู้เป็นพี่ชายอีกครั้ง

ไม่ง่ายที่จะรับใครสักคนเข้ามาในความทรงจำ แต่การลบใครสักคนที่ทำให้เจ็บออกไปนั้น...กลับยากยิ่งกว่า

“โอ๊ย เจ็บ ! พี่ดินน้ำเจ็บ !” เสียงเล็กร้องหาพี่ชายเมื่อยามหกล้ม
“อย่าร้อง เป็นลูกผู้ชาย แผลแค่นี้ไกลหัวใจ อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นง่าย ๆ”
“น้ำ ฮึก ก็ร้องแค่ให้พี่ดินเห็น ฮึก คนเดียว น้ำเจ็บ” ปากเล็กเบะออกส่งสัญญาณว่าเจ็บจริง ๆ
“เจ็บก็ทายา แต่อย่าร้อง เป็นลูกผู้ชายต้องหัดเข้มแข็ง อีกหน่อยน้ำต้องช่วยพี่ดูแลไร่ของเรา นายของไร่พิศาลอนันต์ยศ จะร้องไห้ขี้แยได้ยังไง หือ” มืออุ่นเช็ดหยาดน้ำตา พลางลูบศีรษะทุยปลอบประโลม
“น้ำไม่อยากเป็นนายเจ้าของไร่ น้ำแค่อยากเป็นน้องของพี่ดิน เวลาร้องไห้ก็มีพี่ดินคอยอยู่ด้วย”


ไม่มีอีกแล้ว ถึงเจ็บก็ต้องอยู่กับตัวเอง

อิจฉา...

คนที่ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ความรักมาครอบครองไว้ในกำมือ แต่พอนึกว่าเป็นพี่กานต์ คนหน้าใสยิ้มง่ายคนนั้น ความรู้สึกด้านร้ายก็เหมือนจะสลายกลายเป็นหมอกควันเจือจางอย่างน่าประหลาด เขาแค่นยิ้มบาง คนที่เฝ้ามองมาเนิ่นนานก็ยังเป็นเพียงมดแดงแฝงพวงมะม่วงต่อไป

ดินคอยชะแง้เฝ้าแลตะวัน      ส่วนวารีนั้นก็คอยมองดิน
พสุธาเจ้าเอ๋ยหมายเชยอคิน      หมางเมินวารินทร์ลืมสิ้นเยื่อใย



บรื้น
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาหยุดตรงประตูรั้วหน้าบ้าน รพินทร์เยี่ยมหน้าออกมาดูผู้มาเยือน ประตูรั้วเปิดออกต้อนรับอาคันตุกะ ผู้ที่เปิดประตูรถก้าวเท้าออกมานั้นเป็นบุคคลที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง

“พี่ดิน” ได้ยินเสียงแจ่มแจ๋วของเจ้ากานต์น้อยร้องทักทายแขกอยู่ชั้นล่าง รพินทร์คลี่ยิ้มบาง นึกเอ็นดูเจ้าคนที่มาคะยั้นคะยอให้เขาเล่าที่มาพระเอกในนิยาย สุดท้ายพอรู้ว่าทายถูกเผง เจ้าตัวก็ยิ้มร่าออกอาการลิงโลด เริ่มต้นโม้น้ำลายแตกฟอง

“หูย พ่อรู้ไหม พี่ดินหล่อมาก ๆ หน้าคมเข้มดุดันแบบไทย มีกลิ่นอายแบบดิบ ๆ สไตล์หนุ่มบ้านไร่ โคตรมีเสน่ห์เลย กานต์อยากคมเข้มแบบพี่ดินบ้าง ยิ่งตอนขี่ม้าสวมหมวกคาวบอยนะ เท่สุด ๆ” เจ้าตัวน้อยออกท่าทีเบ่งกล้ามแขนที่ไม่ค่อยจะมี เรียกเสียงหัวเราะร่วน

แล้วหนุ่มหล่อสไตล์ดิบ ๆ โคตรมีเสน่ห์ของน้องกานต์ก็มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ด้านหลังรถกระบะบรรทุกเข่งบรรจุผลไม้มาฝาก เท่าที่เห็นมีส้ม กล้วย สับปะรด และผักอื่น ๆ

“โห คุณดินเอาอะไรมาฝากเยอะแยะไปหมด คราวหน้าไม่ต้องหรอกนะครับ เกรงใจแย่” รพินทร์รับไหว้เจ้าของร่างสูงใหญ่ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา กลับมาก็ยังไหว้สวย

“อยากให้น้องกานต์ได้ลองชิมส้มสด ๆ จากไร่น่ะครับ นี่พี่มีเค้กมัลเบอร์รีมาฝากด้วยนะ” อัษศดิณย์ชูกล่องสี่เหลี่ยมบรรจุเค้กที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ให้เจ้าคนตาวาวได้ดู จะจีบลูกชายเขาก็ต้องเอาใจด้วยของชอบเสียหน่อย แล้วรอยยิ้มของคนตัวเล็กก็พาให้ใจชุ่มฉ่ำเหมือนต้นไม้ได้ฝน จนเผลอฉีกยิ้มกว้างส่งให้

“คุณดินเชิญด้านในก่อนนะครับ น้องกานต์ไปเอาน้ำมารับแขกไปลูก” รพินทร์เชื้อเชิญแขกเข้าบ้านพลางหันไปบอกบุตรชาย

“กานต์เอาจานมาใส่เค้กด้วยนะครับ เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ อยากให้ลองชิม” อัษศดิณย์ร้องบอกสำทับ รอยยิ้มและแววตาที่แสดงออกเปิดเผยยามมองรพีกานต์ไม่ได้รอดพ้นสายตาของรพินทร์ไปได้ ผู้เป็นบิดาเพียงยิ้มรับตอนอีกฝ่ายหันกลับมายิ้มเป็นมิตรให้

“กานต์เล่าให้ฟังว่าเจอกับคุณดินแถวลำธาร แล้วคุยกันถูกคอ” รพินทร์เล่า นึกภาพตอนที่เจ้าตัวดีแล่นถลันเข้ามาหาในห้อง สีหน้าท่าทางเหมือนไปตื่นเต้นอะไรมาสักอย่าง

“ครับ วันนั้นคุยกันหลายเรื่องเลย กานต์บอกว่าคุณรพินทร์ไม่สบายเลยมาพักฟื้น อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตรวจเจอมะเร็งตอนไปตรวจสุขภาพประจำปีน่ะครับ ก็ทำคีโมกับฉายแสง อาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแต่ช่วงให้ยาใหม่ ๆ จะมีผลข้างเคียง ผมร่วงกับเวียนหัวนิดหน่อย”

“โชคดีนะครับที่ตรวจเจอเร็ว ขอให้หายไว ๆ นะครับ”

“ขอบคุณครับ แล้วคุณดินเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม ที่ไร่เป็นยังไงบ้าง”

“ผมสบายดีครับ ส่วนไร่ก็กำลังมีแพลนอยากขยายออกไปอีก อย่างที่ผมเคยบอกสนใจที่ดินของคุณรพินทร์นั่นแหละครับ” อัษศดิณย์ทอดรอยยิ้มมุ่งมั่นประสาคนหนุ่มไฟแรง เท่าที่รู้เจ้าตัวขยับขยายการส่งออกไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งกิจการโรงแรมกับรีสอร์ตก็ตอบรับลูกค้าที่แวะมาพัก มีบริการนำเที่ยวภายในไร่เพื่อชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ นับว่าเป็นทายาทรุ่นใหม่ที่บริหารงานได้ดี

อัษศดิณย์ยิ้มรับเจ้าคนกุลีกุจอนำน้ำมาเสิร์ฟ น้ำตะไคร้ใบเตยส่งกลิ่นหอมลอยมาจากข้างในครัว สายตาอาคันตุกะหนุ่มแอบสังเกตความละม้ายของสองพ่อลูกเงียบ ๆ รพีกานต์ไม่ได้โขลกแบบประพิมพ์ประพายมาจากบิดา ทั้งผิวพรรณหน้าตาดูขาวผ่องอมชมพู ต่างจากคุณรพินทร์ที่มีผิวขาวเหลือง อีกทั้งเค้าหน้าที่ไม่ละม้ายคล้ายคลึง อัษศดิณย์จึงทึกทักเอาว่าเจ้าตัวคงคล้ายมารดา

“น้องกานต์คล้ายคุณแม่หรือครับ” ชายหนุ่มเปิดปากถามตามใจคิด สองพ่อลูกชะงักนิดหนึ่ง ก่อนรพินทร์เป็นฝ่ายเอ่ยวาจาตอบ

“ทำนองนั้นแหละครับ ผมไม่ได้แต่งงานกับคุณแม่น้องกานต์ แต่ก็เลี้ยงกันมาจนโต” รพินทร์ตอบประหยัดคำ พลางยิ้มบาง อัษศดิณย์รู้สึกว่าตนเองเผลอเสียมารยาทไป

“ขอโทษที่ถามนะครับ ผมไม่ทราบจริง ๆ พอดีเห็นน้องกานต์ไม่ค่อยคล้ายคุณพ่อ”

“ไม่เป็นหรอกครับ เมื่อก่อนก็มีคนทักอยู่ ตอนเด็ก ๆ น้องกานต์ก็โยเยบ้างตอนถูกเพื่อนล้อ แต่ก็ผ่านกันมาได้เนอะ” รพินทร์หันไปลูบศีรษะทุยพลางโคลงเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู รพีกานต์เองก็ยิ้มรับพลางตัดเค้กใส่จาน

“แต่คุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยวก็เลี้ยงได้ดีนะครับ น้องกานต์สดใสแล้วก็อารมณ์ดี” อัษศดิณย์ชอบรอยยิ้มกระจ่างใสนี่จริง ๆ เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คนเห็นชื่นใจดุจสายน้ำเย็น รพีกานต์เลื่อนจานเค้กให้แขกและบิดา ส่วนของตนเป็นจานสุดท้าย สีหน้ายามตักเค้กเข้าปากของคนตัวเล็กทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม

“อื้ม อร่อย”

“เดี๋ยววันหลังพี่เอาพายมัลเบอร์รีมาฝาก หรือน้องกานต์จะไปเที่ยวไร่ดี ไปกินสเต๊กกับไอศกรีม ดีไหม” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มอ่อนโยน ปฏิบัติการจีบเด็กต้องหลอกล่อด้วยของอร่อย เค้กก้อนนี้นายดินลงทุนเก็บลูกหม่อนเองกับมือ ขับรถเอาไปให้เชฟที่โรงแรมรังสรรค์รสชาติถูกลิ้น เพื่อแค่ให้ได้เห็นรอยยิ้มถูกใจของคนตรงหน้า แล้วก็ไม่ผิดหวัง

“พี่ดินอะ เอาของอร่อยมาหลอกล่อ”

“ก็กานต์กินหน้าตาดูน่าอร่อย แบบนี้คนทำยิ้มแก้มปริ” ว่าง ๆ เขาน่าจะหัดทำเค้กดูบ้าง

“อย่ามองซี” ท่าทางขวยเขิน แต่ไม่วายตักเค้กเข้าปาก อัษศดิณเห็นแล้วถึงกับหลุดหัวเราะ คันไม้คันมืออยากบีบจมูกคนเล่น เสียงโทรศัพท์โทร.เข้า รพินทร์จึงปลีกตัวออกมา ปล่อยให้สองคนได้คุยกัน เสียงหัวเราะดังแว่ว รพินทร์เหลือบมองแล้วก็ส่ายหน้า คนท้องหนอคนท้อง อุตส่าห์พามาหลบในป่าในดง ก็ยังไม่วาย

“เมื่อกี้พี่พินทร์ว่าน้องกานต์เหมือนมีคนมาชอบหรือ” เสียงรพีสวัสดิ์ร้องถามมาตามสาย น้ำเสียงตื่นเต้นนิด ๆ

“คิดว่านะ ถ้าดูสายตาคุณดินไม่ผิด นี่ก็กำลังหัวเราะร่วน น้องกานต์ได้กินเค้ก อารมณ์เลยดีจัด”

“ถ้าอย่างนั้น พี่พินทร์แอบถ่ายคลิปมาให้เล็กหน่อยสิ เอาแบบเห็นแค่ข้างหลังคุณดินนะ แต่ขอเห็นหน้าน้องกานต์ตอนหัวเราะมีความสุขชัด ๆ” ถ้าเป็นในการ์ตูนก็คงจะเห็นคุณอาเล็กของรพีกานต์มีเขาและหางโผล่แบบเดวิล ยามเจ้าตัวผุดไอเดียแกล้งคนออกมาได้

“เล็กจะทำอะไร พี่รู้นะ อย่าหาเรื่องป่วนเลยน่า มันจะยุ่งไปกันใหญ่” รพินทร์ปรามน้อง ถึงจะโตขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทิ้งลวดลายแก่นแสบไปเสียทีเดียว

“โธ่ พี่ก็ ขอเล็กเอาคืนให้หลานบ้างเถอะ เล็กไม่ได้ใจดีอย่างพี่นะ ให้ทางนั้นรู้เสียบ้างว่าน้องกานต์น่ะ ไม่สิ้นไร้ผู้ชายดี ๆ หรอกนะ”

“เล็ก ไม่เอาน่า”

“พี่พินทร์ น้องกานต์นั่นก็หลานเล็กนะ เล็กช่วยเลี้ยง ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ ล้างก้น ก็ทำมาแล้ว ให้เล็กได้ปกป้องหลานบ้าง แค่ให้บทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง” รพีสวัสดิ์เกลี้ยกล่อม คารมเจ้าตัวใช่ย่อยเสียที่ไหน รพินทร์เองก็ชักคล้อยตาม ด้วยรพีกานต์เป็นดวงแก้วตาของเขา ลูกถูกทำร้าย หัวใจของเขาก็ร้าวรานไม่น้อย ถ้าจะให้บทเรียนกันเสียหน่อยก็คงไม่เกินกว่าเหตุอะไร

“สัญญานะว่าจะไม่ทำเรื่องยุ่ง” ไม่ค่อยอยากไว้ใจตัวแสบสักเท่าไร

“สัญญาคร้าบ” น้ำเสียงเริงร่า เสี้ยวความแก่นเซี้ยวของเจ้ากานต์น้อยก็มาจากอาเล็กเขานี่แหละ

“โอเค แค่นี้ก่อน” รพินทร์วางสาย ในใจตีกันยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ด้วยไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แถมเรื่องนี้อัษศดิณย์ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอีก

“เอาไงดี เหมือนหลอกใช้ยืมมือคนอื่นยังไงไม่รู้” รพินทร์พึมพำ เดินวนไปมาด้วยความหนักใจ พ่นลมหายใจพรูอย่างตัดสินใจ ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายวีดีโอสั้น ๆ หลังจากเช็กดูภาพแล้วจึงกดส่งให้ผู้เป็นน้องชาย

“หวังว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งยากตามมาหรอกนะ แค่ทางนี้ก็เริ่มส่อเค้ายุ่งแล้ว” สายตาคนอาบน้ำร้อนมาก่อนชะเง้อมอง เจ้ากานต์น้อยก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
คนนี้ คนนั้น คนโน้น
เฮ่อ ! ปวดหมองจริง ๆ ว่าไหมสามแฝด

 :mew3:

พี่วิน พี่ณัฐ คุณดิน ฮอตจริง ๆ มามี้สามแฝด
ขออภัยสำหรับพาร์ตพี่น้องดินน้ำที่เราไม่ได้ใช้ภาษาเหนือนะคะ ไม่สันทัดค่ะ เดี๋ยวจะทำให้ภาษาดั้งเดิมวิบัติหมด
เมื่อเสือสองตัวหมายตากระต่ายตัวเดียวกัน หุหุ
รักเหงา รักร้าว รักเศร้า รักระทม รักเอ๋ยรัก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น้องกานต์ฮอตเกินไปแล้ว

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ไม่นะน้องกานต์ พ่อของสามแฝดต้องพี่วินโอนลี่
พี่วินกำลังปรับปรุงตัวอยู่ววววว  :z3:

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
คุณดินนะคุณดินมีของดีในมือไม่เห็นค่า เดี๋ยวไม่วายกลายเป็นวินสอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
คนท้องเสน่ห์แรงจริงๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
โปรยเสน่ห์ไม่รู้ตัว งานนี้มีคนหึงควันออกหูบ้างแหละ :laugh:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
น้องน้ำน่าสงสาร แต่ดูท่าทางจะชอบความเจ็บปวดนิดๆเหมือนเป็นมาโซคิสต์เลย จะลงเอยยังไงน้า

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ติดตามด้วยคน รออ่านตอนหน้าค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
แม่สามแฝดเสน่ห์แรง อิอิ

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
เสน่หา...รักเอย ๒๙
ดั่งวิหคไร้คู่คอน  ตัวพี่นอนเปลี่ยวเดียวดาย

‘มองวิหคนกร้องมันครองคู่  ตัวพี่อยู่เดียวดายอายนกหนอ
นกมันเกี้ยวเดี๋ยวเย้าพะเน้าพะนอ  พี่นอนรอเรียมคืนแสนขื่นใจ’


“กานต์...”

ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้งถมึงทึงขณะดูคลิปวิดีโอในมือ น้ำเสียงขุ่นลอดผ่านลำพอแผ่วเบาแต่อัดแน่นไปด้วยเพลิงอารมณ์กรุ่น อัครวินท์ขบกรามกรอด สายจ้องมองคนหัวร่อต่อกระซิกอย่างมีความสุขขณะที่เขาหัวหมุนกับการตามหาเจ้าตัวแทบพลิกแผ่นดิน แน่นอนว่ากิริยาอาการทั้งหมดอยู่ในสายตาคุณอาคนดี ที่กำลังนั่งจิบชามองด้วยท่าทางอารมณ์ดีขีดสุด

“กานต์ดูมีความสุขดีนะ สามแฝดคลอดออกมาคงอารมณ์ดีมากแน่ ๆ” สีหน้าแสร้งยิ้มชื่นมื่น น้ำเสียงไม่เดือดไม่ร้อนกระตุ้นอารมณ์เดือดอัครวินท์ได้ชะงัดนัก

“ใคร ?” น้ำเสียงห้วนจัดอัดแน่นด้วยความเดือดดาล สาบานว่าถ้าสามารถทะลุเข้าไปในจอได้ เขาจะกระชากมันออกห่างจากกระต่ายน้อยของเขา

“หืม ?” รพีสวัสดิ์เลิกคิ้วตีหน้าซื่อ แต่ท่าทีนั้นดูก็รู้ว่ายียวนสุด ๆ

“คนในคลิปนี่ใครครับ อาเล็ก” อัครวินท์พยายามข่มอารมณ์เดือดดาลสุดขีด ไม่หลงกลหลุมพรางคนเป็นอาที่ขยันยั่วยุอารมณ์เขาเสียเหลือเกิน

“อ๋อ ดูเหมือนเขาจะมาจีบกานต์นะ” รพีสวัสดิ์ยิ้มบางลากเสียงตอบ หากคนฟังคิ้วกระตุกในทันใด ร่างสูงใหญ่แทบปราดเข้าไปคว้าคนเป็นอาเขย่าเพื่อเค้นถาม

“ทั้ง ๆ ที่กานต์มีลูกของผมติดท้องนี่นะครับ” อัครวินท์แทบระงับความรู้สึกอยากระเบิดอารมณ์ลงกับอีกฝ่ายไม่อยู่ เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ ด้วยความคุกรุ่น ในอกราวถูกแผดเผาไม่ปาน

“ก็นะ คนที่รักกันจริง ๆ เขาจะยอมรับในความผิดพลาดของเราได้โดยไม่ขุดคุ้ยอดีต อีกอย่างสมัยนี้ไม่มีใครยกเรื่องลูกมาอ้างเรียกร้องความรับผิดชอบแล้วละมั้ง”

“ผมรู้ว่าคนที่นี่เลี้ยงเด็กได้ แต่ทำไมไม่ให้โอกาสผมกับกานต์ปรับความเข้าใจกันบ้างละครับ ทุกคนคิดแทนเราทั้งคู่ คิดแทนสามแฝด พิพากษาตัดสินผมว่าชั่วว่าเลว ถึงผมเลวผมก็มีหัวใจ และผมก็ไม่เคยรู้สึกดีใจที่ทำร้ายกานต์” น้ำเสียงจริงจัง สายตาแน่วแน่ รพีสวัสดิ์สบตาอีกฝ่าย คำพูดเล่นลิ้นกลืนหายลงลำคอ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“เมื่อก่อนเธอเองก็ตัดสินว่าพี่ชายของฉันเลวทรามต่ำช้าไม่ใช่หรือ เธอเคยให้โอกาสพี่ฉันได้อธิบายบ้างไหมนอกจากฟังความข้างเดียวจากคนที่แย่งคนรักของพี่ฉันไป” น้ำเสียงฉะฉานตรงประเด็นหากแทงใจดำคนฟังสะอึก

“รู้ไหม ทำไมพวกเราถึงรักและเอ็นดูน้องกานต์มาก ทั้งที่...เอ่อ ไม่รู้กานต์ได้บอกอะไรเธอหรือเปล่า”

“กานต์ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคุณรพินทร์น่ะหรือครับ”

“กานต์บอกสินะ นั่นเพราะว่าเด็กคนนั้นไว้ใจเธอ” สายตาของรพีสวัสดิ์เหมือนมีคำตำหนิกลาย ๆ ต่อมาว่า ‘แต่เธอก็ทำลายความไว้ใจนั้นเสียย่อยยับ’

“ที่พวกเรารักกานต์มาก เพราะเด็กคนนั้นช่วยชีวิตพี่รพินทร์ไว้ พี่ชายของฉันสะสมความเสียใจเอาไว้มากจนเผลอคิดฆ่าตัวตาย วันนั้นพี่ซื้อยานอนหลับกลับบ้านแต่เพราะได้เจอกานต์ เด็กทารกแผดเสียงร้องไห้จ้าข้างถังขยะ เด็กคนหนึ่งยังพยายามไขว่คว้าหาโอกาสมีชีวิตรอด ฟางเส้นสุดท้ายที่ดึงสติพี่ชายของฉัน นั่นทำให้ฉันรักและเอ็นดูกานต์มาก” รพีสวัสดิ์มองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ กลายเป็นอัครวินท์ที่มีแววตาคาดไม่ถึงปรากฏขึ้นในดวงตาคม

“ฉันไม่รู้หรอกนะ อะไรทำให้เธอเกลียดพี่ชายฉัน แต่พี่รพินทร์คือคนที่มาก่อนแม่ของเธอแต่กลับต้องสูญเสียคนรักเพียงเพราะเป็นผู้ชาย ครอบครัวอินทัชห่วงชื่อเสียงหน้าตาไม่ยอมรับที่ลูกเป็นเกย์ แล้วครอบครัวเรายินดียังนั้นหรือ เธอเคยคิดถึงจุดนี้บ้างหรือเปล่า” คำถามนี้จี้ใจอัครวินท์ไม่น้อย ชายหนุ่มทั้งจุกและจนด้วยคำพูด ได้แต่ยืนทำสีหน้าโง่งมฟังคุณอาเล็กพูดต่อ

“พี่รพินทร์เองก็อึดอัดถึงแยกมาอยู่คนเดียว เพราะถึงพ่อกับแม่จะไม่พูด แต่ยังไงก็รู้สึกรู้สา สมัยนี้ถึงแม้เปิดกว้างแต่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะยอมรับ แล้วยี่สิบปีที่แล้ว เธอคิดว่าพวกเขาต้องลำบากแค่ไหน”

“ความโกรธเกลียดที่เธอได้รับจากกานต์มันมาจากเธอทำไม่ดีกับกานต์ก่อน แต่ความโกรธเกลียดที่เธอมีต่อพี่ชายของฉัน พี่รพินทร์ทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ เธอแบกรับบทลงโทษจากผลของการกระทำที่เธอก่อขึ้น แต่พี่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วต้องเจอพลังความโกรธเกลียดที่สั่งสมในใจของเธอ เธอคิดว่ามันหนักหนาสาหัสกว่าเธอแค่ไหน เธออยากให้พี่ฉันเจ็บถึงได้ร้ายกาจกับหลานของฉัน ที่ผ่านมาพี่รพินทร์ยังเจ็บปวดไม่พออีกหรือ ต้องให้ฉันพูดไหมว่าแม่ของเธอแย่งชิงคนรักของคนอื่น และคนขี้ขลาดอย่างพ่อของเธอก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งพี่ชายของฉันไปแต่งงานกับผู้หญิงกลบเกลื่อนบิดบังสิ่งที่ตัวเองเป็น ทบทวนให้ดีอัครวินท์ ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กฉลาด ใช้มันให้ถูกทาง ถามตัวเองให้ดีว่าเธอกลับมาที่นี่ทำไม” น้ำเสียงรพีสวัสด์ราบเรียบ แต่คนฟังกระบอกตาร้อนผ่าว

“อิศวัชร์ห่วงชื่อเสียงหน้าตา แต่ฉันห่วงชีวิตของพี่ชายฉัน และหลานชายของฉันก็เกือบต้องตายเพราะความรักหลอกลวงของพวกเธอ ทุกครั้งที่มองหน้าพี่ ฉันอดใจเสียไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งพี่ชายของฉันเคยคิดฆ่าตัวตาย เธอบอกว่าเธอรักกานต์ เธอรู้จักความหมายของมันแค่ไหน” รพีกานต์สวัสด์ทิ้งท้าย สีหน้าเรียบเฉยพลันเย็นเยือกในความรู้สึก อัครวินท์รู้สึกถึงความเกลียดชังลึกซึ้งที่ซุกซ่อนมิดชิดในท่าทีสบาย ๆ ที่อีกฝ่ายเผยออกมา ร่างสูงตรึงนิ่งอยู่กับที่ คนที่ถูกเขาเกลียดชังกล้าที่จะยินยอมให้เขาเข้าหาลูกชาย นั่นคือการวัดใจจากรพินทร์ แต่เขากลับทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับลงด้วยน้ำมือตัวเอง

“กลับไปเสียเถอะ อัครวินท์” น้ำเสียงเฉียบขาดเด็ดเดี่ยวของผู้อำนวยการโรงเรียนพาให้ใจแป้ว เขาเคยเกลียดแค้นรพินทร์ เมื่อยามที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกชิงชังบ้าง ช่างเป็นความรู้สึกอึดอัดเหมือนถ่วงหินหนักอึ้งไว้ภายในใจ สายตาหยามเหยียดนั้นประเมินเขาเป็นเพียงเด็กเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อาศัยบารมีเม็ดเงินบุพการีเบิกทาง ความรู้สึกนี้เจ็บยิ่งกว่าถูกตบหน้า ความแค้นลึกซึ้ง ความชิงชังฝังแน่นหยั่งรากลึกนี้ ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องชดใช้ แต่รพีสวัสดิ์หมายรวมไปถึงอิศวัชร์ทุกคน แค่คิดอัครวินท์ก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

“แต่ผมเคยเห็นพ่อกับพ่อของกานต์บนเตียง เป็นคุณคุณจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง” น้ำเสียงแย้งขึ้นอย่างไม่ยอมจำนน รพีสวัสดิ์เพียงมองสบตาอีกฝ่ายนิ่ง ๆ ประหนึ่งผู้ใหญ่มองผู้เยาว์โลก เพียงเท่านั้นก็เรียกกระแสความอึดอัดวิ่งวนในใจอัครวินท์ และทำให้คนอายุน้อยกว่ารู้สึกว่าตนเองเหมือนคนโง่ได้แล้ว

“นั่นเพราะคนขี้ขลาดอย่างอินทัช อิศวัชร์ทิ้งรสนิยมเดิม ๆ ของตัวเองไม่ได้น่ะสิ” รพีสวัสดิ์เหยียดยิ้มเยาะเอ่ยขึ้นในที่สุด คำพูดธรรมดาแต่แช่แข็งหัวใจอีกคนติดหมัด อัครวินท์รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเมื่อถูกไล่ต้อนจนมุม

“พวกคุณกำลังแก้แค้นเรา”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ ฉันก็แค่หมั่นไส้ เลยอยากให้บทลงโทษนิด ๆ หน่อย ๆ กับอิศวัชร์มันก็เท่านั้น เธอจะถอนตัวออกไปตอนนี้ก็ได้ จริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์เลยด้วยซ้ำ ยี่ห้ออิศวัชร์เสียอย่าง ใครก็อยากเกี่ยวดองด้วยทั้งนั้น มีลูกครบทีมฟุตบอลยังได้ แค่เด็กแฝดสามคนขี้ปะติ๋วน่า กานต์เองยังถูกแม่แท้ ๆ เอามาทิ้ง”

“คุณอาใจร้าย” ตัดพ้อเล็ก ๆ ไม่จริงจังนัก แสดงเจตนารมณ์ว่าอย่าเหมารวมตนเขากับคนจำพวกนั้น

“ฉันเตือนเธอก็ถือว่าใจดีมากแล้ว กานต์เองยังไม่เคยได้รับคำเตือนอะไรจากเธอเลย ถ้าขืนยังทู่ซี้อยู่ ฉันจะทรมานเธอ เธอเจ็บปวดทุรนทุราย ครอบครัวของเธอก็ต้องรู้สึกตกนรกทั้งเป็นไม่ต่าง เหมือนอย่างที่เธอคิดใช้กานต์จี้แผลให้พี่ชายของฉันเจ็บปวดยังไงละ” อัครวินท์กลืนน้ำลายอึกเมื่อเจอสายตาดุคาดโทษ ถ้าเขาถอยก็เท่ากับยอมรับความพ่ายแพ้และสูญเสียรพีกานต์ไป แต่ถ้าเดินหน้านั่นก็เท่ากับยอมรับบททดสอบ แต่ปู่เคยบอกเสมอ เพชรแท้ไม่กลัวการเจียระไน ทองแท้ถูกเผายังไงก็ยังเป็นทอง เขาต้องพิสูจน์ให้ทุกคนวางใจในตัวเขา

“ผมไม่ยอมถอยง่าย ๆ ให้อาหัวเราะผมหรอก”

“ก็ดี เดี๋ยวจะได้รู้กัน ดีจริงหรือดีแต่พูด” รพีสวัสดิ์ยักไหล่

“แต่คนที่มาตอแยกานต์นี่ล่ะอาเล็ก อากักตัวผมไว้ที่นี่ก็เป็นโอกาสให้หมอนี่ทำแต้มสิ” อัครวินท์คันยิบ ๆ ในอก

“เธอไม่เชื่อในตัวกานต์หรือ นี่ก็เป็นบททดสอบตัวหลานฉันด้วยเหมือนกัน ว่ากานต์รักเธอมากพอหรือเปล่า ถ้าเด็กคนนั้นหวั่นไหวกับใครได้ง่าย ๆ เธอก็น่าจะรู้แล้วนะว่ายังอยากได้คนรักแบบนี้อยู่ไหม แต่ถ้าคนมันจะใช่ สิ่งที่เธอควรทำคือมีน้ำใจนักกีฬา ยังไงก็รีบหาให้เจอล่ะหลานชาย หนุ่มคนนี้หล่อมาก” ตบบ่าปุ ๆ พลันลุกหนี ทิ้งให้อีกคนยืนทำหน้าเซ่อโจทย์หินพุ่งกระแทกเต็มหน้าแบบไม่เปิดโอกาสให้บิดพลิ้ว อัครวินท์ทำได้เพียงยอมรับโดยดุษณี ในอกคันยุบยิบขัดเคือง นี่ไม่เท่ากับว่าระเบิดเวลาได้เริ่มทำงานแล้วหรือ ขืนชักช้าถ้ากานต์เกิดหวั่นไหวขึ้นกับหมอนั่นขึ้นมา...

“ไม่ พี่ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ พี่ไม่ยอม” อัครวินท์ส่ายหน้าหวือไม่ยินยอม ภายในใจพลันเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา




“สรุปก็ก่อเรื่องขึ้นจนได้นะเรา” รพินทร์ปรารภขึ้นเมื่อฟังน้องชายเล่าจบ

“ช่วยไม่ได้ เล็กออกจะแฟร์กับทั้งสองฝ่าย เด็กวินนั่นเป็นลูกชายนักธุรกิจ ยังไงก็มีตราชั่งในใจอยู่แล้ว ว่าควรให้คุณค่ากับสิ่งไหน ถ้าน้องกานต์มีค่ากับวิน วินจะพยายามทั้งรักและดูแลให้ดี ไม่ปล่อยหลุดมือง่าย ๆ หรอก”

“อืม แล้วแต่เถอะ พี่ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าอาหารบำรุงสามแฝดในท้องหรอก”

“ที่จริงเด็กวินก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวนะพี่ กะเทาะเปลือกออกก็เป็นเด็กใช้ได้คนหนึ่ง อย่างเรื่องสอนหนูตะวันว่ายน้ำน่ะ วินบอกว่าบ้านเราอยู่ใกล้น้ำ หนูตะวันพูดไม่ได้ เกิดตกน้ำตกท่า จะร้องเรียกคนช่วยคงลำบาก เจ้าตัวเลยสอนว่ายน้ำเสียเลย ความคิดเข้าทีเหมือนกัน”

“ก็ดูกันไป ทางนี้คุณดินก็ขยันแวะมาหาน้องกานต์ ส่วนเจ้าตัวดีก็ชอบไปคุยเล่นกับเด็กต้นน้ำ น้องชายคุณดินนั่นแหละ เฮ่อ นี่ยังไม่นับตาณัฐอีกคน รักน้องน้อยเหลือเกิน พี่น่ะนะ อยากได้ตาณัฐนี่ละเป็นลูกเขย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง อิรุงตุงนังเหลือเกิน” รพินทร์ถอนหายใจยืดยาว นึกเสียดายเด็กรักดีอย่างณัฐธีร์จับใจ

“เล็กก็เสียดาย เห็นนิสัยใจคอมาตั้งแต่เด็ก กานต์นะกานต์ ดันแพ้ทางคนปากหวาน น่าตีจริง ๆ”


ขณะที่ผู้ใหญ่สองคนกำลังคุยกัน คนท้องกลับหนีมาชื่นมื่นเล่นน้ำในลำธารสบายใจเฉิบ เท้าเปล่าแกว่งเล่นในน้ำไปมา ใกล้กันนั้นมีโทรศัพท์เปิดเพลงเสียงกังวานคลอไปกับเสียงน้ำไหล ทั้งใสและเย็นชื่นใจ

“สบายดีจังสามแฝด หนูก็ชอบใช่ไหมละ ดูซีดิ้นใหญ่เลย” รพีกานต์อารมณ์ดีเป็นพิเศษ มือลูบท้องกลมแผ่วเบา ใบหน้ากระจ่างใสเกลื่อนด้วยรอยยิ้มมีความสุข ในใจนึกไพล่ไปถึงเด็กทารกฝาแฝดสามคนตัวน้อยในท้อง ลูกคือของขวัญสุดมหัศจรรย์ที่ทำให้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นจริง จริงอยู่ว่าหากรพีกานต์แต่งงานกับสตรีก็มีโอกาสมีลูกของตัวเองได้ แต่อะไรจะมหัศจรรย์พันลึกเท่าความรู้สึกของการได้อุ้มท้องเอง ของขวัญแสนวิเศษที่ธรรมชาติเลือกสรรให้สตรี ตอนนี้รพีกานต์กำลังได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้น

“รักหนูนะครับ” ดวงหน้านวลก้มลงบอกกับตัวเล็กในท้อง เขาบอกรักลูกทุกวัน และดูเหมือนสามแฝดจะรับรู้ได้จากปฏิกิริยาตอบสนอง นั่นทำให้รพีกานต์หัวเราะคิกคัก

“คงต้องขอบคุณพ่อของหนูแล้วละเนอะ ที่ทำให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ พ่อของหนูนะหล่อมากเลย เหมือนเจ้าชายในฝัน สาว ๆ กรี๊ดพ่อของหนูมากเลยน้า นอกจากนั้นคุณพ่อตัวโตยังเล่นดนตรีเก่งมาก ๆ คิดไม่ถึงว่าเห็นอย่างนั้นจะเรียนเก่งด้วยนะ อันนี้น้ารินของหนูเคยบอกมาน่ะ น้ารินก็คือน้องสาวของพ่อวิน” จิตใจแจ่มใสปลอดโปร่งคลายจากความรู้สึกขุ่นขมุกขมัวก่อนหน้าลงแล้ว รพีกานต์จึงเริ่มพูดถึงบิดาของลูกให้สายเลือดได้รับรู้ ลูกจะได้ค่อย ๆ ซึมซับถึงพ่อของเขา ใบหน้ายามพูดถึงอัครวินท์นั้นฉายรอยความสุขเต็มเปี่ยม ดูเหมือนบรรยากาศรื่นรมย์จะพัดพาเรื่องไม่พึงปรารถนาออกไปจากใจชั่วคราว ที่นึกถึงตอนนี้จึงเป็นเรื่องราวความสุขระหว่างกันเสียมากกว่า บ่ากว้าง แผ่นอกตึงแน่นแสนอบอุ่นนั้น ถ้าลูกน้อยได้ซบหลับ สามแฝดคงจะรู้สึกดีไม่น้อย

รพีกานต์ไม่ได้อยากให้ลูกเกลียดพ่อ กระทั่งตัวเขาเองตอนนี้ก็คลายความรู้สึกย่ำแย่ต่ออีกฝ่ายลงแล้ว เขาไม่เคยโกรธใครได้นาน ยิ่งความรู้สึกเกลียดแค้นยิ่งไม่เคยมีในความคิด พ่อรพินทร์สอนเสมอให้รู้จักให้อภัย ตอนนี้รพีกานต์ไม่ได้โกรธเคืองอัครวินท์แล้ว เพียงแต่ยังหวาดหวั่นและไม่สามารถเชื่อใจได้อย่างเดิมอีกก็เท่านั้น ถึงอย่างนี้ร่างเล็กก็ยังอยากบอกเล่าเรื่องของเขาให้ลูกฟัง เปิดเพลงที่เขาเล่นให้เจ้าตัวน้อยได้รื่นรมย์

“ถ้าสามแฝดเก่งได้อย่างพ่อวินคงดี แต่นิสัยนี่ต้องให้คุณปู่สอนเยอะ ๆ หนูจะได้ไม่เกเรเนอะ แต่ถึงจะไม่เก่งก็ไม่เป็นไร แค่หนูเป็นเด็กดีก็พอแล้ว ยังไงก็รักหนูที่สุด” รพีกานต์ยังเจื้อยแจ้วได้ต่อ แรงตอบรับเล็ก ๆ ในท้องยังความปรีดีแก่เขาได้ไม่สิ้นสุด

“แล้วพ่อวินนะ เคยไปที่บ้าน พวกเรานั่งเรือไปเก็บบัวสายกับโสนด้วยกัน เอามาทำแกงส้มโสนปู อื้อหือ ฝีมือปู่รพินทร์นะ อร่อยเหาะ พูดแล้วก็หิวแฮะ วันนี้อ้อนคุณปู่ทำแกงส้มโสนปูกันดีกว่า คิกคิก” คนท้องหัวเราะคิกคัก ยิ่งนึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันก็ยิ่งฉ่ำหวานในความรู้สึก

“ยังมีอีก วันลอยกระทงกลางคืนนะ พ่อวินเซอร์ไพรส์แอบเช่าโฮมสเตย์ริมน้ำแถวนั้น แล้วก็พายเรือมาลอยกระทงด้วยกัน ตอนนั้นพ่อคิดว่า พ่อรักผู้ชายคนนี้มากจริง ๆ” ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งโหยหาลึก ๆ อยากใช้เวลาร่วมกันให้มากกว่านี้ ริ้วความเศร้าเล็ก ๆ ผุดขึ้นในใจพร้อมกับความหวาดกลัว กลัวใจตัวเอง กลัวว่ารักแล้วจะอยากผูกมัด ยึดเอาไว้เป็นของตัวเองคนเดียว ยิ่งเขาคนนั้นเป็นที่ปรารถนาของใครหลายคนก็ยิ่งนึกหวง แต่ที่กลัวจับใจมากที่สุด คือกลัวเขาจะไม่รัก เป็นอะไรไปหนอ ความรู้สึกนี้ทำให้อึดอัดนัก ทั้งที่ก็มีคนรักรายรอบกายแต่กลับคาดหวังจากคนคนเดียว พิกลจริง รพีกานต์สลัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วเริ่มต้นคุยต่อ

“เอ เล่าเรื่องอะไรต่อดี” ใบหน้ายิ้มละไมทำท่านึก ดูเหมือนเรื่องระหว่างกันจะมีไม่มากเท่าไร แต่แผ่นอกอุ่นยามซุกซบ กลิ่นกายหอมและเสียงเต้นของหัวใจจะติดอยู่ในความทรงจำไม่สร่างซา

“พ่อวินของหนูไม่ได้เลวร้ายหรอกครับ เพียงแต่...เราคงยังรักกันไม่มากพอ” รอยยิ้มจางผุดขึ้นมุมปากขณะมือลูบท้องคล้ายปลอบประโลมลูกน้อย

โอ้เอ๋ยลูกหนอ เจ้ามีพ่อห่อนหน้า ยามเจ้าร้องเรียกหา ควรตอบว่าไฉน
ลูกแก้วมีพ่อ โอ้ละหนออยู่ไหน พ่อเจ้าเป็นหรือตาย จักตอบลูกเช่นไรดี

 

“กะ กานต์” เสียงหนึ่งดังขึ้นตะกุกตะกักแต่เหมือนทิ้งหินก้อนใหญ่ลงน้ำดังตูม รพีกานต์สะดุ้งโหยง เบือนหน้าหันขวับไปยังต้นเสียง ร่างสูงตระหง่านหากแต่ท่าทางการยืนดูไม่มั่นคงนัก สีหน้าของเขาดูตกใจเหมือนได้พบเห็นเรื่องคาดไม่ถึง เพียงเท่านี้รพีกานต์ก็เดาได้แล้วว่าเขาคงได้ยิน

“พี่ดิน” สถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ รพีกานต์ขานเรียกชื่อเขาไม่เต็มเสียงนัก

“เมื่อกี้พี่ได้ยิน กานต์พูดอยู่กับ...” ตาคมหลุบมองท้องกลมซึ่งนูนขึ้นมา แต่เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายมีไขมันสะสม  เรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ทำให้เขาอึกอักพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“กานต์...เป็นผู้หญิงหรือครับ” ถามเสร็จก็แทบกัดลิ้นตัวเอง แต่สถานการณ์นี้เขาเองก็จนปัญญาจะคิดเฟ้นคำถามอะไรมาถาม

“พี่ดินได้ยินที่กานต์คุยกับ...ลูก” คำว่า ‘ลูก’ ฟาดเปรี้ยงเข้าเต็มหน้า อัษศดิณย์ชะงักงัน สีหน้าเหลอหลา รพีกานต์เม้มริมฝีปากกระอักกระอ่วนจนด้วยคำพูดตอบเขาเช่นกัน ทำยังไงดี เขาเป็นผู้ชายแต่กลับท้องได้ ครั้นจะบอกว่าตนเองเป็นสตรี รพีกานต์ก็ไม่อยากโกหก ความคิดวนเวียนกลับไปกลับมาสุดท้ายก็จนด้วยทางออก อีกทั้งปมในใจยังทำให้หวาดหวั่นว่าจะถูกมองเป็นตัวประหลาด ไม่คิดให้มากความ รพีกานต์ผุดลุก เท้าถอยกรูดสบตากับเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย หัวใจถูกบีบอัดรุนแรงเมื่อความลับถูกล่วงรู้ ยิ่งเขามองมาด้วยสายตาตกตะลึง รพีกานต์ก็อยากลี้หนีหน้าไปจากตรงนี้

“กานต์!” อัษศดิณย์ตะโกนเรียกเสียงดัง มือปราดเข้าคว้าข้อมือโดยสัญชาติญาณ เมื่ออีกฝ่ายจ้ำอ้าวก้าวพรวด ๆ หนีเขา

“อย่ายุ่งกับกานต์อีก!” รพีกานต์บิดข้อมือกระชากแขนหนี สายตาเจ็บปวดรวดร้าวที่ส่งมาตรึงเท้าที่กำลังจะก้าวตามของอัษศดิณย์ชะงัก คนท้องเม้มปากก่อนผลุนผลันจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก

 :L2:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อ่านรวมเดียว 29 ตอน หนุกหนาน ๆ  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
เอาคื่นให้สาสม

ออฟไลน์ ตัวไหมอ้วนกลม

  • สาว Y ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นแล้วรักษาไม่หายนะคะ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
อ๊ากกกกกกกกกก   ดีใจนึกว่าตาฝาดคิดถึงสามแฝด   :pig4:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ทุกอย่างต้องใช้ความอดทนนะพี่วิน สู้ๆ แต่อยากให้สามแฝดออกมาเจอป้าๆ แล้ว o18

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อ้าว หนีคุณดินซะงั้น   :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ pawara123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นิยายดีๆทำไมคนอ่านน้อยจัง

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
กานน้อยคงเสียขวัญ  :hao4:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเวลาก็แล้วกัน

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
เสน่หา...รักเอย ๓๐
‘มองเห็นเดือนเคลื่อนคล้อยลอยพยับ     พี่สดับตรับเสียงสำเนียงขาน
ฟังหรีดหริ่งกริ่งร้องก้องชลธาร     หิ่งห้อยผ่านเวียนวนคนเหม่อลอย
พี่นั่งคอยกลอยเจ้าเศร้าริมท่า     โอ้ละหนาอกไหม้ใจขื่นขม
เคยทำผิดคิดร้ายให้ระทม     อกข้าตรมบ่มช้ำร่ำหานวล’

“อย่ายุ่งกับกานต์อีก!”

เท้าที่กำลังจะก้าวตามพลันชะงักกึกเมื่อได้ยินประกาศิตเด็ดขาดจากคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นนิจ ซึ่งบัดนี้รอยยิ้มนั้นได้อันตธานวับไป อัษศดิณย์รู้สึกสมองตื้อชั่วขณะเหมือนถูกทุบด้วยค้อนปอนด์หนักหน่วง สายตางุนงงสับสนเหลือบมองตามร่างที่กำลังแล่นหนีจากเขาไปอย่างเร่งร้อนจนแผ่นหลังหายลับไปในแนวพุ่มไม้ ชายหนุ่มไม่ได้ก้าวขาตามไปด้วยชะงักกับน้ำเสียงตวาดที่เจือระคนด้วยความโศกศัลย์หนักหน่วง เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวในน้ำเสียงหนักอึ้งนั้น และใบหน้าบิดเบี้ยวปริ่มจะร้องไห้อยู่รอมร่อนั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้ตามไปเร่งเร้าเอาความ แต่ตอนนี้อัษศดิณย์กำลังเกิดคำถามกับตัวเองเงียบ ๆ

เกิดอะไรขึ้น?

อัษศดิณย์จับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกอย่างที่ได้รับรู้มันกะทันหันเกินไป และเขาไม่ทันได้เตรียมใจตั้งรับมาก่อน รู้เพียงว่าในตอนนี้คนที่เขาหมายตากำลังตั้งครรภ์ ไม่ผิดแน่ เขาได้ยินชัดเจนตอนรพีกานต์คุยกับชีวิตน้อย ๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ เขาในตอนนั้นซึ่งตกใจจนก้าวขาไม่ออก คลำหาเสียงตัวเองไม่เจอ ได้แต่ยืนบื้อใบ้นิ่งฟังอยู่เป็นนาน

“กานต์ท้อง” อัษศดิณย์ครางเสียงแผ่วหวิวดังคนสติหลุดลอย ความรู้สึกบีบอัดในใจเหมือนกำลังจมน้ำไม่ปาน ความรู้สึกว่าตนโง่งมและกำลังจะกลายเป็นชายชู้ตีแสกกลางใบหน้าจนชา เขาสูดลมหายใจลึกเข้าปอด พาร่างหนักอึ้งฝืนกำลังขาเดินเซื่องซึมกลับไปที่รถ

“อ้าว คุณดิน เมื่อกี้น้องกานต์” รพินทร์ทักขึ้นเหมือนอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นสีหน้าของอัษศดิณย์ก็ยั้งคำพูดไว้เสีย แล้วค่อยเลียบเคียงด้วยความระวัง “มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

“เอาไว้เดี๋ยวผมมาใหม่นะครับ” อัษศดิณย์ส่ายหน้ายิ้มเซียวเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงส่งให้ สีหน้าแสดงความผิดหวังออกมาจนรพินทร์ไม่กล้าซักไซ้ต่อ เจ้าของบ้านมองตามแผ่นหลังหนักแน่นที่บัดนี้ลู่ลงดั่งแผ่นผาพังทลายจนรู้สึกได้ จวบเมื่ออัษศดิณย์ปิดประตูรถแล้วขับออกไป เขาจึงได้หันกลับขึ้นไปบนบ้าน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“น้องกานต์ลูก เปิดประตูให้พ่อได้ไหม” รพินทร์ถามเสียงอ่อนโยนเจือความเป็นห่วง เงียบอยู่ครู่ เสียงกอกแกกจึงดังขึ้นตามด้วยประตูที่เปิดออก

“พ่อ พี่ดินรู้แล้ว” รพีกานต์โพล่งขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี คนท้องโผเข้ากอด ซบใบหน้าลงบนไหล่บิดาพลางสะอื้นตัวโยนด้วยความหวาดกลัว หยาดน้ำใสทะลักทลายลงอย่างสุดกลั้น กายไหวสะท้านกับสิ่งที่ประดังประเดซัดโหมเข้าหา

“รู้เรื่องสามแฝดน่ะหรือ” รพินทร์ถามย้ำ

“ครับ แต่พี่ดินเข้าใจว่ากานต์เป็นผู้หญิง” เสียงตอบกลับอู้อี้น่าสงสาร รพีกานต์ทุกข์ทรมานกับความรู้สึกนี้มาโดยตลอด

“เข้าไปนั่งคุยข้างในก่อนดีเนอะ” รพินทร์ลูบแผ่นหลังสั่นระริกปลอบโยน รพีกานต์ผละออกจากบิดาแล้วกลับหลังหันเข้าไปข้างใน สองพ่อลูกหย่อนกายลงนั่งเผชิญหน้ากัน รพินทร์เกลี่ยหยาดน้ำตาให้ลูก คนท้องอ่อนไหวง่ายจนเขานึกห่วง

“กานต์รู้ใช่ไหม ว่าพี่ดินเขาเทียวไล้เทียวขื่อคือพี่เขากำลังจีบเราอยู่”

“กานต์ กานต์พอทราบครับ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง คิดว่า...พี่ดินเขาคงไม่จริงจัง ไม่นานคงเลิกราไปเอง”

“กานต์คิดน้อยไปนะ พี่ดินอายุไม่น้อยแล้ว วัยพร้อมสำหรับลงหลักปักฐานกับใครสักคนแล้ว ไม่ใช่อย่างพี่วินที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ จะได้ลอยชายไปเรื่อย หรือแม้แต่พี่ณัฐที่รักน้องกานต์จริง ๆ ก็ยังไม่พร้อมเท่าพี่ดินในตอนนี้ พ่อคิดว่าพี่ดินเขาจริงจัง เพราะพี่เขาพร้อมแล้วทั้งหน้าที่การงานแล้วก็อื่น ๆ เขาถึงคิดอยากมีใครสักคนเคียงข้างเป็นคู่ชีวิต ไม่ใช่แค่คู่นอน” รพินทร์พูดตรง ๆ ให้ลูกเข้าใจ เขามองเจตนารมณ์ของอัษศดิณย์ออก แต่เจ้าตัวเล็กของเขานี่ละ ที่ยังเยาว์ต่อโลกยิ่งกว่า เลยคิดง่าย  ๆ ว่าเดี๋ยวจีบไม่ติดอีกฝ่ายก็คงล่าถอยไปเอง

“กานต์นี่ใช้ไม่ได้เลย เมื่อก่อนตัดพ้อตำหนิแต่พี่วิน ตอนนี้กลายเป็นว่ากานต์เองกลับแย่ยิ่งกว่า” รพีกานต์หน้าสลด ดวงตาหลุบต่ำยอมรับคำตำหนิเสียงอ่อย ตัวเขาเคยเรียกร้องความจริงจังจริงใจจากอัครวินท์ เรียกร้องให้พี่วินรักแล้วก็มีน้องกานต์คนเดียว เอาเข้าจริงรพีกานต์เองก็ยังมองอะไรไม่ลึกซึ้งพอ

“ถ้ากานต์ไม่มีสามแฝด ผิดหวังแล้วอยากเริ่มกับคนใหม่มันก็ไม่ผิดหรอก คุณดินเองก็มีวัยวุฒิพอ พี่ณัฐรึก็ดูแลกานต์ได้ แต่ตอนนี้กานต์กำลังมีลูก จะทำอะไรกานต์ต้องคิดให้ดี ตัดสินใจให้เด็ดขาดแน่นอน อะไรไม่ควรให้ความหวังก็อย่าทำ แต่ถ้าคิดว่าตัดขาดจากพี่วินได้แน่ ๆ ไม่มีทางหวนกลับไปแล้ว กานต์จะทำอะไรพ่อคงไม่ห้าม สามแฝดพ่อก็จะรับเลี้ยงให้เอง ถ้ากานต์อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบไร้พันธะน่ะนะ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลย แต่อยากให้ทบทวนดูดี ๆ กานต์ยังรักพี่วินอยู่ไหม คุณดินก็ดี พี่ณัฐก็ดี พวกเขาล้วนแต่ดีกับกานต์”

“กานต์คนบาปหนา มีแต่คนดี ๆ มารักกานต์ แต่กานต์กลับรักคนเกเรครับพ่อ” ดวงตาหวานเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำพร่างพราวจวนเจียนจะล้นทะลัก คำพูดของบิดาตีแสกหน้าจนอดสะท้านไม่ได้ ร่างเล็ก ๆ สั่นระริกอย่างคนสลัดความทุกข์ระทมนั้นไม่หลุด ความเจ็บปวดเกาะกุมหัวใจ ดิ้นรนอย่างไรก็ยังทรมาน

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ถ้าพี่วินเขากลับตัวได้ ยอมรับที่จะปรับปรุงตัว พี่วินจะเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมมาก ๆ คนหนึ่ง พร้อมสำหรับเป็นคนรักและพ่อของลูก แต่ตอนนี้พี่วินของกานต์อายุแค่สิบเก้า ปุบปับจะให้ดีทันใจคงเป็นไปไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ปรับกันไป” รพินทร์พูดตามที่เห็นโดยไร้อคติ โดยพื้นฐานอัครวินท์มีสิ่งดีพร้อมเป็นต้นทุนอยู่แล้ว หากนิสัยใจคอหนักแน่น รู้ผิดชอบชั่วดี ชายหนุ่มจะเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง

“กานต์ควรทำยังไงดี”

“พูดความจริงลูก คุณดินคงช็อกน่ะ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะกลับมาอีก ถึงตอนนั้นคงขนคำถามมาเป็นกระบุง กานต์ก็ตอบเท่าที่ตอบได้ อย่าโกหกเขา เราต้องบอกเกี่ยวกับร่างกายของเราด้วย พ่อคิดว่าคุณดินคงจะเข้าใจอะไรได้ไม่ยากหรอก อย่างน้อยก็น่าจะยังเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันได้”

“ถ้าพี่ดินโกรธกานต์ละครับ”

“ก็ต้องยอมให้พี่เขาโกรธ แต่เราก็ชี้แจงอธิบายให้ฟังได้นี่ลูก คุณดินเป็นผู้ใหญ่ วัยยี่สิบปลายแล้ว ดูแลกิจการมากมาย คุมคนงานเป็นร้อย ๆ อย่างน้อยคงมีใจคอกว้างขวางอย่างคนเป็นผู้นำบ้างละ คงไม่งี่เง่าไร้เหตุผลหรอก” รพินทร์ประโลมลูก มือเรียวแนบใบหน้าหม่นหมองถ่ายทอดความอบอุ่นให้ลูกได้ใจชื้นขึ้น

“แล้วกานต์คิดยังไงกับคุณดิน”

“กานต์ไม่รู้ครับ กานต์รู้แค่ว่าพี่ดินอบอุ่น ตรงไปตรงมาแต่ไม่ใช่คนโผงผาง แล้วก็มีความจริงใจเต็มเปี่ยม ดูแลใส่ใจความรู้สึกดีมาก”

“แล้วต้นน้ำล่ะ”

“กานต์ กานต์ก็ไม่รู้ครับ แต่คุยกับต้นน้ำแล้วกานต์สบายใจ ต้นน้ำอ่อนโยน ถึงจะชอบเย้าชอบแหย่แต่ก็เป็นคนใจดี เข้าใจคนอื่นมากคนหนึ่ง”

“คุณดินกับต้นน้ำเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังอย่าให้กระทบกระทั่งกันนะลูก กานต์ไม่ชอบพี่วินหลายใจ กานต์ก็อย่าเที่ยวให้ความหวังทำร้ายใคร พี่ณัฐก็ยังรอกานต์อยู่ ไม่ลืมใช่ไหม”

“แต่บางทีกานต์ก็ไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ นะครับ แค่คุยเล่นสนุก ๆ มันก็มีบ้างบางทีที่หวั่นไหว พวกเขาเป็นผู้ชายที่ดีมากจริง ๆ เฮ่อ ถ้าแยกร่างได้นะ กานต์จะเหมาหมดเลย” คนท้องทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ

“ดูพูดเข้า แค่กานต์เป็นกานต์ก็ทำให้คนหวั่นไหวได้แล้ว เพราะงั้นลูกต้องรู้จักวางตัวให้ดี” รพินทร์ยิ้มในหน้าขณะกระเซ้าน้อย ๆ เจ้าคนนี้อาเล็กเขาเอ็นดูนัก อากับหลานสนิทสนมกันราวพี่น้องก็ไม่ปาน

“พ่อ...ทำไมทุกอย่างถึงยุ่งเหยิงแบบนี้ได้ละครับ” รพีกานต์โอดครวญ

“ความรักนี่เนอะ วุ่นวายบ้างเป็นธรรมดา บางครั้งก็ต้องมีบททดสอบความหนักแน่นแข็งแกร่งกันบ้าง พ่อเองยังเกือบเอาตัวไม่รอดเลยนะ”

“พ่อรักพ่อพี่วินมากเลยหรือครับ” รพีกานต์ถามบิดาซื่อ ๆ

“มาก” รพินทร์ตอบหนักแน่น ดวงตาดำขลับทอประกายแน่วแน่

“แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

“เราสามารถเก็บคนที่เรารักเอาไว้ในใจของเราได้ ถ้าเราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ครอบครองตัวเขาน่ะนะ ใครก็แยกเขาไปจากใจเราไม่ได้หรอก” รพินทร์ยิ้มบางให้ลูก เขาเองก็โตและผ่านอะไรมามากจึงไม่ได้คร่ำครวญกับการสูญเสียเฉกเช่นครั้งอดีต

“กานต์พักผ่อนนะลูก สบายใจกว่านี้ค่อยแวะไปคุยกับคุณดิน คิดยังไงก็บอกเขาไปตรง ๆ ถ้าอยากเปิดใจ สามแฝดพ่อจะเลี้ยงให้เอง”

“แบบนั้นก็เหมือนกานต์ตัดช่องน้อยแต่พอตัว คิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง ถ้าสามแฝดรู้คงผิดหวังมากแน่ ๆ แล้วถ้าพี่วินรู้ คงหาข้ออ้างมาฉกลูกไป กานต์ไม่ยอมหรอก ทำใจไม่ได้จริง ๆ ถ้าลูกจะเรียกกานต์ว่าพี่” รพีกานต์บ่นอุบ หน้าตาบู้บี้ รพินทร์ลูบศีรษะทุยแผ่วเบาพลางบอก

“ทางนั้นพี่วินเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะ พยายามตามหาอยู่ ถ้าพี่เขาตามมาเจอ จะทำยังไงกันฮึ”

“ไม่รู้ครับ” คนท้องหลุบสายตาลงต่ำ ต่างฝ่ายต่างเงียบงันจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง ตอนนั้นเองเสียงโทรทัศน์ที่รพีกานต์เปิดทิ้งไว้ก็ดังแว่วเข้าหู เป็นข่าวแวดวงบันเทิงที่นำเสนอเรื่องราวการเลิกรา หย่าร้าง ของคู่รักหวานชื่นคนบันเทิงคู่หนึ่งที่นับว่าสร้างความคาดไม่ถึงแก่คนที่รู้ข่าวไม่น้อย

“บางคนตอนแรกดี ไป ๆ มา ๆ ดีแตกก็มี ลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจหรือ ก็ถ้าคนมันจะไป เอาช้างมาฉุดก็เอาไม่อยู่ ยามกิเลสราคะบังตา หน้าลูกหน้าเมียก็คงจะไม่นึกถึง แต่บางคนเคยผิดพลั้งพลาดแล้วรู้จักปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ไปกันรอดก็มี ของแบบนี้ต้องดูยาว ๆ” รพินทร์โคลงศีรษะขณะสายตามองดูข่าวบันเทิงที่นำเสนอความเป็นไปของวงการมายา

“รักตัวเองมาก ๆ แต่ไม่ใช่เห็นแก่ตัวจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นนะกานต์นะ”


ร่างแกร่งกำยำเปิดประตูก้าวลงจากรถในลักษณะสิ้นไร้เรี่ยวแรงไม่ต่างจากไม้ใหญ่ข้างในกลวงโบ๋ ตลอดทางที่ขับรถมาหลากความรู้สึกตีรวนในใจไม่จบไม่สิ้น อัษศดิณย์สูดลมหายใจลึกก่อนก้าวเท้าขึ้นเรือน พยายามขับไล่อารมณ์ขุ่นมัวออกไปลำบากยากเย็นด้วยภาพนั้นยังย้ำชัดติดตา มือใหญ่กำหมัดแน่น อึดอัดคับอกคับใจมากเข้าก็ระบายลงกับราวบันไดไม้ดังเปรื่องใหญ่

หนึ่งไม่บอกกล่าว อีกหนึ่งก็ไม่ได้ไถ่ถาม

ไม่รู้จะสืบสาวราวเรื่องเอาผิดที่ใคร

ไม่สิ ไม่ถูก

อัษศดิณย์ยั้งความคิดฟุ้งซ่านบุ่มบ่ามของตนเอง เขาเพิ่งเริ่มต้นลองจีบ ยังไม่ได้เอ่ยปากบอกกล่าวจริงจังเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ขาก้าวพ้นบันไดก็เจอกับใครบางคนตรงชานระเบียง ศิรวัฒน์เหลือบสายตาขึ้นมองตรงมาทางเขาพอดี

“แห้วไหม” เสียงถามเรียบ ใบหน้าเฉยของมันทำเอาคนฟังคิ้วกระตุกด้วยถูกจี้ใจดำ สายตาคมตวัดมองค้อนคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ซึ่งนั่งเคี้ยวแห้วกร้วม ๆ แม้จะรู้สึกขวางหูขวางตาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะเจ้าตัวเพียงชวนเขากินแห้วตามมารยาท แต่เห็นแค่นี้คนทำท่าจะ ‘แห้ว’ ก็นัยน์ตาขวางขุ่นประหนึ่งว่าถูกไอ้เด็กหน้ามึนปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมวัวมันเย้ยเอา

“หือ?” คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม เมื่อถามแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบแถมทำสีหน้ายุ่งคล้ายคนท้องผูก กระนั้นแล้วใบหน้านิ่งเป็นนิจจนบางครั้งดูคล้ายยียวน ก็สยบอารมณ์เกรี้ยวกราดอยากอาละวาดของอัษศดิณย์สงบลงอย่างน่าประหลาด
หน้ามันมึนจนไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมัน
อัษศดิณย์ได้แต่สบถในใจเงียบ ๆ ในใจพาลพาโลนึกอยากสาดจานแห้วทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด ทิ่มตำใจเหลือเกิน แห้ว แห้ว แห้ว!

“ไม่กิน” เขาตอบเสียงห้วนสั้นพลางสะบัดหน้าหนีด้วยความชีช้ำก่อนเหล่มองอีกฝ่ายด้วยหางตา ถ้าเจ้าเด็กนี่รู้ว่าเขากำลังจะแห้ว มันคงได้หัวเราะเยาะคนอกเดาะ ว่าแล้วก็อยากอาละวาดระเบิดลงกับมันแต่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไร จึงทำเพียงนั่งมองไอ้เด็กกวนโอ๊ยกระดิกเท้ากินแห้วเงียบ ๆ พอได้มองเต็มตาถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายโตขึ้นเป็นหนุ่มเนื้อหอมไม่เบา เจ้าตัวชื่นชอบการออกกำลังกาย ทั้งว่ายน้ำ เล่นบาสเก็ตบอล ส่วนสูงถึงเพิ่มขึ้นพรวด ๆ และส่วนหนึ่งคงมาจากที่เจ้าตัวชอบดื่มนมวันละแกลลอน เวลาโมโหมันมาก ๆ เข้า เขาถึงได้ตวาดมันด้วยความฉุนเฉียวว่า ‘ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นนมวัว’ ซึ่งแน่นอนว่าศิรวัฒน์ก็ไม่เถียงเพราะมันคือเรื่องจริง เจ้าตัวเพียงตอบกลับมาด้วยหน้ามึน ๆ ไร้อารมณ์ว่า “นมแพะก็อร่อยนะ”เอากับมัน อัษศดิณย์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เขาไม่ใช่คนหยุมหยิมมายืนตีฝีปากกับเด็ก จึงแค่กระฟัดกระเฟียดแล้วก็ถอยออกห่าง ๆ มัน

ศิรวัฒน์สังเกตเห็นว่าอัษศดิณย์กำลังหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ตอนก่อนออกจากบ้านไป หน้ายังบานเป็นจานดาวเทียม เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงไม่สุ่มเสี่ยงพูดอะไรออกไปให้ระเบิดลงใส่หัว ดูก็รู้ว่าพี่ดินกำลังหาที่ลง เรื่องอะไรเขาจะเอาตัวเองไปรองรับ ตอนมีความสุขไม่เห็นนึกถึงกัน จึงทำเพียงนั่งกินแห้วเงียบ ๆ ด้วยท่าทียียวน เผื่อผลพลอยได้จะได้เห็นคนลมจุกอก อยากทำตัวน่าหมั่นไส้ดีนัก ที่เขาต้องมานั่งกินแห้วตอกย้ำตัวเองอยู่นี่ก็เพราะพี่เลย พี่ดิน!

“อยากกินเหล้า” อัษศดิณย์โพล่งขึ้นห้วน ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ศิรวัฒน์เหล่มองพี่ชาย กระนั้นก็ยังไม่เปิดปากถามให้ระเบิดลงหัว เจ้าตัวเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วผละไปที่ห้องครัวเพื่อสั่งแม่บ้านทำกับแกล้ม ส่วนตัวเขายกขวดเหล้ากับนมขึ้นมาบนเรือน

“ผมอายุไม่ถึงสิบแปด ดื่มนมเป็นเพื่อนละกัน” เจ้าตัวว่า อัษศดิณย์เหลือบสายตาคมร้อนแรงตวัดขึ้นมองเจ้าตัวดี มันจงใจกวนอารมณ์เขาชัด ๆ นอกจากถลึงตาใส่ เขาก็อดคาดโทษมันไม่ได้

“อย่าให้ฉันเห็นไอ้เด็กแก่แดดที่ไหนไปแอบกินเหล้าตอดสาวละกัน” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่เหน็บเสียงเยาะขึ้นจมูก

“ก็ไม่ได้แอบ กินให้เห็นโต้ง ๆ ส่วนสาวก็ไม่ได้ตอด เขามาจีบเอง คนมันหล่ออะนะ” ศิรวัฒน์เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ขณะแสร้งก้มหน้า มือสาละวนกับการชงเหล้าให้พี่ชายที่กลายร่างเป็นยักษ์พร้อมฉีกร่างเขา อัษสดิณย์ถลึงตาวาว ๆ ใส่เจ้าคนเสแสร้ง สายตามองคนน้องชงเหล้าให้ตัวเอง พอแก้วเหล้าเลื่อนมาตรงหน้าเจ้าตัวก็ยกขึ้นกระดกพรวด

“เหลือพื้นที่ให้กับแกล้มลงกระเพาะบ้าง ทำอย่างกับคนอกหัก” ศิรวัฒน์ดักคอ สายตามองใบหน้าพี่ชายนิ่ง ๆ อัษศดิณย์ประสานสายตากับน้องชาย สุดท้ายคนเป็นน้องจึงเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน

“ผมจะไปดูกับแกล้ม คุณนั่งไปก่อนแล้วกัน” ศิรวัฒน์หาข้ออ้างผละออกมา เขาทนสายตาของพี่ชายไม่ไหว สายตาที่ทำให้ตื่นตัวและกระสับกระส่าย สายตาที่ไม่เคยชายแลมาที่เขา แต่เมื่อยามประสานสายตากันตรง ๆ พลังดึงดูดมหาศาลนั่นกลับกระตุ้นให้เขาอยากกระชากพี่ชายเข้ามาจูบ บดเบียดริมฝีปากสอดปลายลิ้นเกี่ยวรัด ปลุกปั่นอารมณ์ร้อนแรงแผดเผาคนทั้งคู่ อารมณ์รุนแรงของวัยรุ่นทำให้เขาต้องพยายามยับยั้งช่างใจตัวเองหนักหน่วงด้วยการหาข้ออ้างผละออกมาก่อนเผยพิรุธให้พี่เห็น

เขาควรไปจากที่นี่และไม่กลับมาอีก เสน่ห์ของความลับคือเราสามารถซุกซ่อนมันไว้ในก้นบึ้งโดยไม่แพร่งพรายให้ใครได้รับรู้ ความลับจึงจะเป็นความลับ ภาวนาให้ความลับนี้คงอยู่กับเขาตลอดไป อย่าให้พี่ชายระแคะระคายในตัวเขาเลย แค่ตอนนี้ที่เขาขอเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ได้เห็นหน้าเป็นความทรงจำก่อนจากไปก็พอ
ขอแค่นี้จริง ๆ


“อื้อ” ร่างซวนเซของคนเมางึมงำตลอดทางกลับห้อง ศิรวัฒน์พยุงร่างหนักวางลงนอนบนเตียงแล้วหันไปสั่งแม่บ้าน

“เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง ปิดประตูแล้วก็ไปพักเถอะครับ” แม่บ้านเก่าแก่พยักหน้ารับรู้ ร่างเจ้าเนื้อเดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูงับให้เรียบร้อย ศิรวัฒน์มองประตูแล้วตามไปกดล็อก ก่อนเบนสายตากลับมายังยักษ์หมดสภาพไม่ต่างจากปลาบนเขียง ชายหนุ่มเท้าสะเอวพ่นลมหายใจคำรบหนึ่งแล้วเริ่มต้นลอกคราบพี่ชาย

ผิวสีแทนอุดมด้วยมัดกล้ามสวยงามรังสรรค์ร่างกายที่แสนวิเศษในสายตาศิรวัฒน์ ร่างเปลือยเปล่าของอัษศดิณย์ปรากฏแก่สายตาของผู้เป็นน้องชาย ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นความรุ่มร้อนอันแสนทรมานที่แผดเผาหัวใจ ยามมองร่างกายที่ตนปรารถนาครอบครอง ร่างสูงโปร่งเดินเข้าในห้องน้ำแล้วออกมาพร้อมผ้าขนหนูและกะละมังใบเล็ก

“เช็ดตัวนะพี่ดิน จะได้นอนสบาย ๆ” เขาบอกพี่ชาย เตือนตนเองว่านี่คือพี่ชายของเขา ข่มใจนิ่งอยู่อึดใจ มือใหญ่จึงบิดผ้าขนหนูในกะละมังแล้วย้ายมาเช็ดที่ใบหน้าคร้ามคม

พี่ดินหล่อมากจริง ๆ

ศิรวัฒน์มองพี่ชายด้วยความหลงใหล หัวใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วกว่าทุกที แม้หลายคนจะเคยชมว่าศิรวัฒน์เองก็หล่อเหลาไม่แพ้พี่ชาย แต่ชายหนุ่มก็ยังมองว่าพี่ชายดูดีมีเสน่ห์กว่าเขาหลายขุม เสน่ห์ที่ซุกซ่อนภายใต้สายตาคมร้อนแรง ยามยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดแผดจ้า พี่ชายของเขาดูมีออร่าจับตา เพื่อนสนิทที่โรงเรียนล้วนแล้วแต่หน้าตาดี แต่ไม่มีคนไหนมีเสน่ห์บาดจิตบาดใจทรมานเขาได้อย่างพี่ชาย เวลานี้สีหน้าเฉยเมยของศิรวัฒน์ฉายแววทุรนทุรายออกมาอย่างไม่ปิดบังขณะมือเลื่อนผ้าขนหนูลงเช็ดตามซอกคอ แผ่นอกตึงแน่น กล้ามท้องขึ้นลอนของพี่ชายแผดเผาหัวใจแทบขาดเป็นริ้วได้มากกว่าส่วนอื่น เพราะเห็นอยู่บ่อย ๆ ยามพี่ดินรั้งชายเสื้อขึ้นซับเหงื่อบนหน้า เผยให้เห็นหน้าท้องเรียงลอนชุ่มด้วยเหงื่อโชกเป็นมันย่อง หัวใจคนมองกระตุกกับความเซ็กซี่ร้ายกาจนั้น ไม่รู้เมื่อไรที่สายตาไม่อาจละไปจากคนต้องห้าม ยิ่งถูกเกลียดชังก็ยิ่งดันทุรัง 

ศิรวัฒน์กลั้นใจยามลากผ้าขนหนูเช็ดซิกแพค และพยายามมองเมินส่วนสงวนของบุรุษ เขาหันหลังให้และเริ่มต้นเช็ดต้นขาไล่ลงไปรวดเร็ว จากนั้นรีบตลบผ้าห่มคลุมสิงห์เปลือยทันที ร่างสูงหอบหายใจหนักหน่วงราวกับซ้อมลี้ภัยมา ยามหันกลับมามองคนเมา
เขาทรุดกายลงนั่งแปะพื้นใกล้พี่ชายแล้วจ้องมองด้วยความหลงใหลสุดหัวใจ มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถมองอีกฝ่ายได้เต็มตาเท่าที่อยากมอง ความเจ็บปวดตอกลิ่มขณะมุมปากวาดยิ้มน้อย ๆ มองคนที่เคยรักและเอ็นดูเขา

“ถึงไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เราก็คงรักกันไม่ได้อยู่ดี” หยาดน้ำตากลิ้งลงบนแก้มขาว ศิรวัฒน์ปวดร้าวและทุกข์ทรมานกับความขื่นขมที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนเสมอมา ความแค้นคุกรุ่นของคนเป็นแผดเผาคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเขามีเพียงพี่ชายเป็นความหวัง เป็นแสงตะวันเพียงดวงเดียวที่พยายามเอื้อมมือคว้า แม้จะรู้ว่าดวงตะวันนั้นร้อนแสนร้อนเพียงใด พี่ชายที่รักคนอื่นและไม่เคยมองมาที่เขา แสงตะวันไม่เคยสาดส่องลงมาที่หัวใจเหน็บหนาวของเขา เด็กน้อยได้แต่คู้กอดตัวเองสั่นระริกอยู่กับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แต่ละวันล้วนผ่านไปด้วยความขมเฝื่อน ความรักที่มีให้พี่ชายเป็นแสงสว่างริบหรี่เดียวที่เขามี

“ตัวหนักเป็นบ้า ขอค่าแบกหน่อยแล้วกัน” เขายิ้มจางขณะยื่นใบหน้าเข้าใกล้ แตะริมฝีปากอ่อนโยนบางเบาราวแมลงปอแตะผิวน้ำลงบนริมฝีปากได้รูปของพี่ คิดไม่ถึงว่ากรงแขนมากด้วยพละกำลังจะตวัดโอบรัดตัวเขา และพี่ชายจะเบียดริมฝีปากร้อนลวกบดขยี้จาบจ้วงกับริมฝีปากสีอ่อนของคนไม่ทันตั้งตัว อัษศดิณย์สอดปลายลิ้นคลุกเคล้าทั้งสติพร่าเลือนสะลึมสะลือ เขารับรู้ถึงรสชาติของนมลาง ๆ ปลายลิ้นเอาแต่ใจเกี่ยวรัดเร่งเร้า รสจูบหนักหน่วงเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าพาสมองของศิรวัฒน์ขาวโพลน ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนผลักไสราวต้องของร้อน หัวคิ้วขมวดแน่น แต่ท้ายทอยถูกกดแน่นให้รับรสจูบร้อนแรงที่อีกฝ่ายป้อนให้

อืม

ท้องน้อยร้อนวูบ ร่างกายสูบฉีดร้อนรุ่มไปทั่วตัว พลังของเขาถูกสูบแทบสิ้นเรี่ยวแรงจากเรียวลิ้นดูดดุนหนักหน่วง เขากำลังจะตกเป็นทาสของกิเลสกับคนเมาไม่ได้สติ ศิรวัฒน์พยายามเบี่ยงหนี แต่คนเมาดื้อดึงกลับฤทธิ์เยอะผิดคาด อัษศดิณย์กระชากคนเป็นน้องกดลงแนบเตียงแล้วทาบทับด้วยกายหนาหนักของตน ริมฝีปากร้อนผ่าวคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้าหึ่งตะโบมจูบตะกรุมตะกราม ฝ่ามือร้อนลวกฟอนเฟ้นไปตามเนื้อตัวตึงแน่น  ศิรวัฒน์ไม่ได้มีร่างกายอ่อนนุ่มนิ่มอย่างอิสตรี อีกทั้งเขายังเป็นนักกีฬาใช้พละกำลังออกกำลังกายเป็นประจำ หากความแน่นหนั่นกลับเร้าอารมณ์คนเมาได้อย่างน่าประหลาด

ชายหนุ่มดิ้นรนสุดกำลัง เขาเบือนหน้าหนีการรุกรานแสนช่ำชองและเหิมเกริม พยายามควบคุมลมหายใจถี่กระชั้นด้วยความร้อนรุ่มของตัวเอง สัญชาตญาณดิบของผู้ชายยามถูกคนที่ตนเองพึงใจกระตุ้นกำลังลุกไหม้ในตัวเขา ศิรวัฒน์ต่อสู้กับจิตใจด้านมืดของตัวเองด้วยความยากลำบาก ซอกคอถูกซุกไซ้ตัดทอนกำลัง ลมหายใจร้อน ๆ เป่ารดผิวเนื้อทำให้ร่างกายหนุ่มแน่นตื่นตัว

“พี่ดินอย่า!” น้องชายร้องห้ามคนสติหลุด แต่อัษศดิณย์อารมณ์ปรารถนาคุกรุ่นยากจะมอดดับเสียแล้ว นอกจากจะไม่ฟังเสียง มือหนายังเลื่อนลงลูบเป้ากางเกงและอาจหาญจะรูดซิปเพื่อซุกมือร้อนเข้าไปปลุกปั่น ศิรวัฒน์ร้อนจัดไปทั้งใบหน้า เขาผ่อนลมหายใจ รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดผลักร่างใหญ่หงายลงเตียง ก่อนตะเกียกตะกายพลิกหนีลงเตียงด่วนจี๋ แล้วมายืนหอบแฮ่กอยู่ปลายเตียงในระยะปลอดภัย

“กานต์...” คำเดียวที่หลุดแผ่วจากปากไม่ต่างจากน้ำเย็นจัดสาดซัดใส่หน้ากะทันหัน ร่างกายที่เคยร้อนรุ่มจากแรงปลุกเร้าเย็นเฉียบ เย็นเยียบไปถึงหัวใจก้นบึ้ง ตระหนักซึ้งในตอนนี้เองว่าที่อีกฝ่ายแตะต้องเขา เพราะเข้าใจว่าร่างกายนี้คือ...รพีกานต์

“ผมไม่ใช่กานต์ ที่อยู่ตรงนี้คือน้ำต่างหาก” ศิรวัฒน์พึมพำด้วยหัวใจปวดหนึบ สายตาปวดร้าวมองดูพี่ชายสงบลงก่อนเข้าสู่นิทราเงียบ ๆ ร่างสูงหยิบผ้าผวยห่มให้คนหลับ ไม่วายโน้มใบหน้าเข้าใกล้กระซิบริมใบหูคนสิ้นฤทธิ์เดช

“สายน้ำชโลมดินชุ่มฉ่ำ พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ อย่างที่พ่อเคยบอก ดินไม่อาจขาดน้ำ น้ำจะอยู่ได้ต้องมีดินอุ้มสม พี่ยังจำได้ไหมที่พ่อบอกให้เรารักกัน แต่น้ำไม่ได้รักพี่ในความหมายนั้น ต้องทำยังไงถึงจะคิดกับพี่แบบบริสุทธิ์ใจได้” เขาแค่นยิ้มขื่นขม จุมพิตนุ่มนวลประทับลงบนริมฝีปากอุ่นกรุ่นกลิ่นเมรัยก่อนผละจากมา ศิรวัฒน์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกสงบจิตสงบใจก่อนเปิดประตูกลับออกไป

ลมเย็นโชยอ่อนเอื่อย หัวใจเหนื่อยล้าถวิลหารักอุ่น จันทร์ละมุนด้วยอุ่นไออคินฉาย โหยไฟรักบรรเทาคลายหนาวสั่น สายน้ำพสุธานภากาศ แม้นม้วยสิ้นชีวาวาตม์ยังมาดมั่น ใจภักดิ์รักเดียวผูกพัน เยื่อใยรัดรึงนั้นสิ่งใดจักสะบั้นวานขานที
[ต่อด้านล่างค่ะ]

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
๓๐ [ต่อ]


*แก้วตาขวัญใจเธออยู่แห่งใดขวัญเอย ขาดชู้คู่เชยรักเอยเดียวดาย
เฝ้าคอยรักเศร้าเหงาใจแสนหน่าย เปลี่ยวปานชีวาวางวายคลายสุขตรม


แว่วเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่เก้าลอยมาจากในบ้าน อรุณเบิกฟ้าเคลื่อนเข้ายามสาย บัวบานสลอนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลฟุ้งสระ ภู่ภมรร่อนบินโฉบเกสรดอกไสว นาวาน้อยลอยล่องพาเด็กชายตัวจ้อยเก็บฝักบัว อัครวินท์จ้วงพายแช่มช้า สายตามองหนูตะวันนั่งแกะเม็ดบัวกินเล่น ไม่เพียงเท่านั้นหนูน้อยยังมีน้ำใจส่งเม็ดบัวแกะแล้วยื่นมาป้อนตรงริมฝีปาก อัครวินท์งับเม็ดบัว เคี้ยวแล้วส่งยิ้มขอบคุณให้ พื้นที่รอบบริเวณบ้านกว้างขวางกว่าสองไร่ปลูกต้นไม้ร่มรื่น ในสวนมีสระบัวและหลังบ้านติดคลอง บรรยากาศรื่นรมย์พาให้จิตใจแช่มชื่นสงบเยือกเย็นได้อย่างน่าประหลาด ต่อให้ข้างนอกวุ่นวายสักเพียงใด พอก้าวเข้ามาที่นี่ก็เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง อัครวินท์มองดูเด็กชายพยายามจะพับกลีบดอกบัวอย่างที่เห็นคุณรพินทร์ทำถวายพระ เขามองด้วยความเอ็นดูแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้ เท่าที่รู้คือหนูตะวันไม่ได้เป็นใบ้ สาเหตุบางอย่างทำให้เด็กชายไม่ยอมพูดและฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นยามดึกบ่อย ๆ

ทุกบาดแผลต้องใช้เวลาเยียวยา แต่ต่อให้หายก็ย่อมทิ้งร่องรอยไว้

ใบหน้าหล่อเหลาสลดขรึมยามนึกถึงการกระทำของตัวเอง แม้จะคนละวิธีแต่ก็ได้ชื่อว่าย่ำยีขยี้หัวใจไม่ต่าง บาดแผลที่เจ็บปวดที่สุดมักมาจากคนใกล้ตัวที่ได้รับความไว้ใจที่สุด เขาไม่มีข้อแก้ตัว เพียงแค่อยากขอโอกาส โอกาสที่ไม่รู้ระหกระเหินหนีหายเขาไปเสียที่ไหน

ขวัญเอ๋ย ขวัญบิน หนีลี้หน้า      ขวัญลา เรียมร้าง ห่างสงวน
เคยชม ขมม เจ้าเนื้อนวล           พี่ครวญ นวลร้าง ห่างไมตรี

“กานต์อยู่ที่ไหน” เขาพึมพำใจลอย สายตามองเหม่อทอดอาลัย เห็นดอกบัวไสวหัวใจก็ไพล่กระหวัดถึงวันวานที่เคยพาคนหน้านวลพายเรือไปเก็บบัวสายแถวชายทุ่ง เขาชอบรอยยิ้มสว่างไสวแผ่ซ่านไปทั่วดวงหน้ากระจ่างสมชื่อดวงตะวันนั่น ชอบพวงแก้มนวลเปล่งปลั่งจับแสงตะวันฉาดฉาน ชอบทุกสิ่งที่เป็นรพีกานต์ แต่ก็เป็นเขาเองที่ทำลายทุกอย่างย่อยยับคามือ
ของบางอย่างพังแล้วหาใหม่ได้ แต่บางอย่างก็ไม่มีอะไรทดแทนของเดิม

“พี่คิดถึงกานต์” เขาพร่ำพรรณนาสายตามองดูตัวผึ้งเกลือกกลั้วเกสรดอกบัวในสระ เขาเองก็เคยเป็นแมลงภู่เกี้ยวพาอุบลบาน เสียงแจ่มแจ๋วชวนคุยจ้อยังชัดในความรู้สึกจนอดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้

“พี่วิน ๆ หอมกลิ่นดอกบัวไหม” เสียงนุ่มดังขึ้นขณะเรือกำลังแหวกผ่านกอบัวออสะพรั่ง

“พี่ไม่ได้กลิ่น” เขาตอบหน้านิ่ง ในใจผุดแผนชั่วร้าย

“ได้ไง ออกจะหอม นี่ลองดม กานต์ส่งให้ถึงปลายจมูกเลยเอ้า” คนตัวเล็กใจป้ำลงมือเด็ดบัวยื่นให้ดมถึงปลายจมูก หลงกลคนเจ้าเล่ห์ไม่รู้ตัว มือหนาจับมือขาวออกแรงดึงรวบตัวคนเข้ามากอดกักไว้ในอก

“พี่ไม่ได้กลิ่นบัวเพราะพี่ได้กลิ่นแก้มกานต์ต่างหาก” เขาหอมฟอดหนัก ฝังจมูกฟัดแก้มนวลหนำใจด้วยความมันเขี้ยว รพีกานต์อ้าปากค้าง ตกหลุมพรางเข้าเต็ม ๆ พอตั้งสติได้ก็เริ่มออกแรงดิ้นขัดขืน

“กานต์อย่าดิ้น เดี๋ยวตกน้ำตัวเปียกไม่รู้ด้วยนะ” เขาแสร้งหลอกล่อคนที่ดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขน

“ไม่ดิ้นพี่วินก็ไม่หยุด” คนตัวเล็กตวัดสายตาขึ้นค้อน แก้มขาวพองลม

“ไม่หยุดก็ปล่อยให้พี่หอมจนพอใจซี ไม่งั้นกานต์จะหอมคืนพี่ก็ได้นะ อะ เอียงแก้มให้แล้ว” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ อย่างไรเสียก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง มองคนแก้มป่องตามเหลี่ยมเขาไม่ทันด้วยความเอ็นดู

“ไม่เอา” คนปฏิเสธสะเทิ้นอายสะบัดหน้าพรืด

“ไม่อยากรู้หรือ ว่าแก้มพี่กับบัวอันไหนหอมกว่า” ชายหนุ่มเย้าแหย่ แหย่ใครก็ไม่สนุกเท่าแหย่คนนี้ เพราะรพีกานต์แพ้ทางเขาทุกที

“ไม่เอา เก็บบัวเถอะครับ เดี๋ยวพ่อจะรอ เอ๊ะ ตรงนั้นมีผักบุ้ง เดี๋ยวเก็บไปด้วยเลย กินบ่อย ๆ ตาจะหวาน นั่นผักกระเฉด ผักตบชวาก็มี ดอกอ่อนลวกจิ้มน้ำพริกหรือทำแกงส้มอร่อย” คนตัวเล็กพูดเป็นต่อยหอย สายตาชม้อยชม้ายชวนชี้มองไปเรื่อย ใจหมายตะล่อมกล่อมเสือเจ้าเล่ห์กลบเกลื่อนแก้มแดง ๆ ไม่รู้แดงเพราะอายหรือแดงเพราะถูกหอม อัครวินท์เหมาว่าทั้งสองอย่าง แล้วยังสายตาหลุกหลิกมองเฉไปเฉมาไม่ยอมสบตา ปากเจื้อยแจ้วเจรจาพาทีไม่มีหยุด เป็นอย่างนี้ทุกครั้งยามเขิน ตาหวาน ๆ วาวระยับดุจดวงดาวคู่นั้นเพราะกินผักบุ้งบ่อยสินะ เขาจูบแก้มนวลอีกหน สายตาหลุบมองคนในวงแขนด้วยแววเสน่หาลึกซึ้งที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว อา...อยากจูบเนื้อนวลคนเก็บบัวไปทั้งตัว

เขาไม่เคยรักใคร แม้ยามที่ตกหลุมรักไปแล้วก็ยังปล่อยให้อำนาจแห่งความโกรธเกลียดเผาทำลายทุกอย่างย่อยยับไปกับมือ
ทำอย่างไรจะได้หัวใจกลับคืน ? อยากได้คนแก้มนวลมาอยู่ในอ้อมแขนให้หอมได้ไม่รู้เบื่อ

ความทรมานกัดกินเขาอยู่ทุกวันคืน ความโหยหารุมรึงจนดิ้นไม่หลุด รพีกานต์มอบบทเรียนแสนแพงแก่เขา วานรได้แก้วเป็นเช่นไรเขาก็เพิ่งรู้ซึ้งเอาตอนน้ำตาตกใน รสชาติการเลียบาดแผลปนกับหยดน้ำตาขมปร่ามันช่างขมขื่นจนลืมไม่ลง ลมเย็นพัดโชย พัดเอาความโหยหากระซิบกระซาบให้ถวิลถึง อยู่ไหนนะ ? ตัวเล็กของเขา คนแก้มนวลอวลกลิ่นแป้งเด็กคนนั้น

“หืม ?” กำลังหลงอยู่ในห้วงภวังค์ แรงสะกิดเล็ก ๆ ทำให้ระลึกได้ อัครวินท์เลิกคิ้วมองหนูฉายสิริตัวน้อยที่กำลังมองเขาตาแป๋ว พ่อหนูไม่ตอบ เพียงแต่ยื่นโทรศัพท์ให้ดู เมื่ออัครวินท์รับมาดูจึงได้เห็นใบหน้าคุ้นตาในนั้น

‘ณัฐธีร์’

“อยากไปหาพี่ณัฐหรือครับ” เอ่ยถามออกไป คำตอบที่ได้คืออาการพยักหน้ารับ หนูตะวันไม่ได้เจอพี่ณัฐหลายวันแล้ว นับตั้งแต่พี่วินมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยเห็นพี่ณัฐเยี่ยมหน้ามาเลย อัครวินท์นิ่งไปเมื่อได้คำตอบ ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าตกลง วาดพายพาเรือเข้าฝั่ง บอกเล่าเก้าสิบผู้ใหญ่แล้วจึงพาเด็กน้อยไปขึ้นรถ จะว่าไปแล้วเด็กชายฉายสิริก็นับว่าเป็นความแปลกใหม่ของเขาไม่น้อย ด้วยอัครวินท์ไม่เคยคลุกคลีกับเด็กมาก่อน ที่บ้านทุกคนล้วนเกรงอกเกรงใจปฏิบัติต่อเขาอย่างนายจ้าง แต่หนูฉายสิริว่านอนสอนง่ายชนิดที่ว่าแทบไม่เคยขัดคำพูดใครเลย พ่อหนูจะสั่นเกรงในบางครั้ง แต่ไม่เคยสั่นศีรษะปฏิเสธแม้ไม่อยากทำ ซึ่งสะท้อนในสิ่งที่เด็กเผชิญมา ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับความรู้สึกของคนอื่นและใจเย็นลง

พี่วินหล่อมากแต่ความใจดีพี่ณัฐชนะใส ๆ

หนูน้อยคิดในใจด้วยความกระตือรือร้นขณะรถคันโก้เบาะนุ่มสบายกำลังแล่นไปสู่วัดที่ณัฐธีร์อาศัยอยู่กับหลวงตา ในวัดร่มรื่น ณัฐธีร์กำลังกวาดเศษใบไม้ที่ร่วงบนลานดินขะมักเขม้น เสียงรถแล่นเข้ามาทำให้เขาชะงักมือ สายตาเหลือบมองผู้มาเยือน และเพราะผู้ที่เปิดประตูก้าวลงรถมาเป็นคนที่เขาไม่คาดฝันมาก่อน ดวงตาทอประกายสนเท่ห์จึงเกลื่อนไปด้วยคำถามมากมาย ยิ่งอีกฝ่ายเดินอ้อมไปเปิดประตูให้คนนั่งมาข้าง ๆ ได้ลง ดวงตาคมก็ยิ่งขยายกว้างด้วยไม่อยากเชื่อสายตา ณัฐธีร์นิ่งงัน ผ่านไปอึดใจหนึ่งจึงคืนสติ

หนูตะวันนั่งรถมากับอัครวินท์

ไม่ยักรู้ว่าหมอนั่นเข้ากันกับเด็กได้ แล้วจุดประสงค์ที่มาที่นี่ หรือว่า...จะเกี่ยวกับกานต์ ใช้เด็กเป็นสะพานเชื่อมอย่างนั้นหรือ
ณัฐธีร์คิดในแง่นั้นไว้ก่อนแต่ยังไม่ฟันธงตัดสิน ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยยี่สิบยืนนิ่งดูท่าทีทั้งคู่ ผิวพรรณน้ำนวลสีน้ำผึ้งผ่องใส เสื้อสีกรมท่าผ่านการซักจนเริ่มซีดแต่สะอาดสะอ้าน คอเสี้อมีรอยขาดพลุ่ยหน่อย ๆ แต่ยังใช้ได้สำหรับเขา ดวงตาคมหรี่มองผู้มาเยือนทั้งคู่ก่อนละงานในมือเมื่อเด็กน้อยตรงมาหาเขา

“หนูตะวัน” เขาพิงไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาวไว้กับต้นมะม่วง แล้วกุลีกุจอเข้าไปหา มือเล็กยื่นมาพร้อมฝักบัวของฝาก ยังมีดอกบัวพับที่พยายามทำตามอย่างคุณรพินทร์แต่ยังดูไม่ดีนัก กลีบดอกขยุกขยุยบิดเบี้ยว แต่น่าเอ็นดูในสายตาณัฐธีร์

“หนูตะวันอยากมาหานาย” อัครวินท์บอกเสียงเรียบ ในใจกระอักกระอ่วนด้วยไม่เคยพูดจาปราศรัยกันดีแล้วเขายังแย่งรพีกานต์มาจากอีกฝ่าย ณัฐธีร์พยักหน้ารับรู้แล้วหันมาคุยกับหนูตะวัน

“หลวงตาอาพาธ พี่เลยไม่ได้แวะไปน่ะ” เขาบอกเหตุผลแก่เด็ก เร้นงำอีกหนึ่งเหตุผลซึ่งก็คือเพราะมีใครอีกคนอยู่ที่นั่น

“นี่เอาบัวมากราบพระทองหรือ เดี๋ยวพี่ช่วยแต่งกลีบบัวสวย ๆ เนอะ” เขาบอกอ่อนโยน มือหนาใหญ่ทว่านุ่มนวลค่อยคลี่กลีบบิดเบี้ยวบางกลีบออกแล้วบรรจงพับเข้าไปใหม่ เขาจับมือเล็กให้ค่อย ๆ พับกลีบบัวอีกหนด้วยความใจเย็น ช้า ๆ ทีละกลีบจนแล้วเสร็จ

“สวยแล้ว หนูตะวันเก่งจังเลย” ใบหน้านุ่มนวลเจือรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยชมเปาะพลางลูบศีรษะเล็ก หัวใจดวงน้อยพองโตแสดงความดีใจออกทางดวงตาเป็นประกาย ฉายสิริไม่เคยได้รับคำชม แต่พี่ณัฐมีให้เด็กน้อยอยู่บ่อย ๆ ทั้งยังสอนพับนก พับเรือ พับตั๊กแตนจากทางมะพร้าว หนูน้อยชอบฝ่ามือใหญ่ยามโปะลงบนศีรษะ ชอบความรู้สึกอุ่น ๆ พองคับในอกยามอยู่กับพี่ณัฐ อารามดีใจปากเล็กจิ้มลิ้มเผยอขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะเปล่งถ้อยวาจา

“หนูตะวันจะพูดหรือ” เป็นอัครวินท์ที่เลิกคิ้วมองส่งเสียงทัก หนูน้อยชะงักก่อนเม้มริมฝีปากเงียบ

“ถ้าตะวันพูดนะ พี่จะสอนร้องเพลง จะเล่นเปียให้ตะวันเป็นคนร้อง ดีไหม” อัครวินท์แสดงออกในแบบฉบับของตนเอง ชายหนุ่มสองคนเติบโตมาต่างกัน อัครวินท์เน้นซื้อของเล่นให้เสียส่วนใหญ่ ส่วนณัฐธีร์เน้นหาสิ่งใกล้ตัวมาประดิดประดอยทำเล่นเอง ได้ทำเองแถมไม่เสียเงิน ดูเหมือนฉายสิริจะชอบอย่างหลังมากกว่า เพราะมักพ่วงมาด้วยคำชมว่าเก่ง เวลาที่เขาทำได้

“ไปไหว้พระทองกันเถอะ แล้วคุณจะไปด้วยกันไหม” ณัฐธีร์อ้อมแอ้มถาม กระอักกระอ่วนกับคำเรียกแทนตัวนิดหน่อย รู้ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขาแต่ก็ไม่ได้สนิทกัน เรียกแบบนี้คงเหมาะแล้วกระมัง

“ไปสิ” อัครวินท์ตอบรับคำเชิญสั้น ๆ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลก
ณัฐธีร์พาทั้งคู่ไปที่ศาลาการเปรียญ จัดแจงแจกธูปเทียนให้ สำหรับหนูน้อยเขาจุดไฟที่ธูปให้แล้วกำชับให้ระวังขี้ธูปหล่นใส่ขา คนตัวใหญ่ไซซ์ฝรั่งอย่างอัครวินท์นั่งพับเพียบดูเงอะงะเก้งก้าง กิริยาดูหลุกหลิกน่าขันหน่อย ๆ แต่ณัฐธีร์ก็ไม่ได้ขันให้เห็น ทั้งสามคนพนมมือไหว้พระทององค์ใหญ่งามอร่าม อัครวินท์มององค์พระ ในใบสูติบัตรระบุนับถือศาสนาพุทธ แต่คนอย่างเขาก็ช่างห่างไกลกับบวรพุทธศาสนาเหลือเกิน วัดแทบไม่เคยเฉียด โรงแรมกับผับแทบนับเป็นบ้านหลังที่สอง คิดแล้วก็ให้เกิดความละอาย ถ้าจะขอพรให้เจอกานต์กับลูก พระท่านจะเมตตาคนอย่างเขาไหมหนา คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ เดือดร้อนก็หันหน้ามาพึ่งพระ ตอนดีก็ทำตัวอีเหละเขะขะ ว่าไปแล้วณัฐธีร์นี่ทองแท้ฉาบปูน ส่วนตัวเขาก็สีทองเก๊เอามาทาปูนให้ดูสวย อาศัยมีบิดารวยเป็นอาภรณ์ประดับตัวแท้ ๆ

“ผมรู้ว่าผมทำไม่ดีมามาก แต่ผมอยากขอโอกาสแก้ไขตัวเองเสียใหม่ หลวงพ่อช่วยให้ผมเจอกานต์กับลูกด้วยนะครับ ผมอยากทำให้ดี” เขาอธิษฐานในใจ ไม่รู้จะช่วยได้ไหมเพราะตัวเองก็เคยทำไม่ดีไว้มากจนตัวเองยังละอาย แต่ตอนนี้ตัวเขากำลังจนใจ เลยลองขอพรพระท่านดู แต่ไม่ได้คาดหวังอะไร อย่างไรเสียอาศัยขอแต่พรคงไม่สู้ลงมือทำ ไม่งั้นทุกคนที่ขอพระท่านคงบันดาลให้รวยกันหมด

ณัฐธีร์ลอบมองชายหนุ่มซึ่งกำลังจดจ้ององค์พระ ก่อนหน้าเขาเคยสงสัย ว่าอะไรทำให้รพีกานต์ไม่เลือกเขา เป็นเพราะเขาหล่อรวยสู้อัครวินท์ไม่ได้ ? ไม่ ความคิดนั้นเท่ากับดูถูกน้ำใจน้องน้อยที่รู้จักกันมานาน เป็นเหตุผลอื่นที่เขาไม่ถูกรัก ณัฐธีร์เผลอมองคนไม่ทันรู้ตัว วงหน้าเชิดสง่าราศี คิ้วเข้ม ดวงตาคมใหญ่มุ่งมั่น ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนรังสรรค์วิจิตรรจนาอย่างไร้ที่ติ ผิวของอัครวินท์ขาวจัด ขาวจนเรียวปากเป็นสีกุหลาบเรื่อ ผู้ชายด้วยกันยังต้องยอมรับว่าหล่อจัด แต่ที่ดึงดูดรพีกานต์คงเป็นออร่าบางอย่างที่อยู่ในตัวคน ๆ นี้ สายตา น้ำเสียง ท่าทางล้วนเป็นเสน่ห์ราวเจ้าชายในฝัน น้องน้อยคงใจสั่นกับบุคลิกมาดเจ้าชาย เป็นเขาต่างหากที่ต้องยอมรับว่าคนที่ดีกับคนที่รักนั้นต่างกัน คนที่ใช่อาจไม่ใช่คนที่ดี เพราะเขาไม่ใช่สำหรับน้องน้อยก็เท่านั้นเอง

ณัฐธีร์มองร่างใหญ่ก้มลงกราบพระเก้กัง ลุกจากนั่งพับเพียบจึงออกซวนเซเสียหลักเล็กน้อย ชายหนุ่มถอนสายตาออกมาก่อนอีกฝ่ายจะรู้ตัว

“แล้วนี่พาหนูตะวันมากราบพระ แล้วจะพากันไปไหนอีกหรือเปล่า” ณัฐธีร์ออกปากถาม เขารอเวลาให้ทางนั้นซักถามเขาเกี่ยวกับรพีกานต์แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นอัครวินท์จะปริปากอะไรสักคำ คิดว่าอมพะนำสงวนท่าทีรึก็ดูไม่เหมือน กลายเป็นเขาที่ฉงนสนเท่ห์เสียอีก

“ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่ตะวันแหละ นี่พาเด็กมากวนหรือเปล่า” อัครวินท์ตะขิดตะขวงใจแปลก ๆ ยามเอ่ยถ้อยเจรจา อีกฝ่ายคงคิดว่าเขาตั้งใจมาถามข่าวรพีกานต์เต็มประดา จึงได้ตั้งป้อมจนดูออกขนาดนั้น เขาเป็นทายาทนักธุรกิจเขี้ยวลากดิน พบเจอคนมาหลากหลายแบบ มีหรือจะดูไม่ออก แต่ก็สมควรแล้วที่จะถูกเหม็นขี้หน้า ถ้าไม่ติดว่าเป็นในวัด บางทีณัฐธีร์อาจต้อนรับเขาด้วยหมัด

“ไม่หรอก งานทำเสร็จหมดแล้ว กวาดใบไม้นั่นก็เสร็จพอดี” ณัฐธีร์พูดถึงงานทั่วไปที่เขามักขะมักเขม้นง่วนตัวเป็นเกลียวมือเป็นระวิงทำอยู่ทุกวัน ชายหนุ่มลดกำแพงในใจลงนิดหน่อย เห็นท่าทางลำบากใจของทางนั้น เขาเองจึงผ่อนปรนลง

“ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินไหม หนูตะวันคงหิวแล้ว แถวนี้ที่ไหนอร่อย” เอ่ยถามแล้วก็แทบกัดลิ้นตัวเอง สาบานว่าจีบสาวอัครวินท์ยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่นี่ณัฐธีร์ ผู้ชายตัวใหญ่พอ ๆ กับเขา หล่อคมขำแถมยังถูกเขาแย่งคนรัก ให้ตายเถอะ มันเป็นบทสนทนาที่แสนบัดซบสิ้นดี

“อร่อยสุดก็ต้องร้านอาหารริมแม่น้ำของบ้านกานต์นั่นแหละ กุ้งแม่น้ำเผาน้ำจิ้มเด็ดสุดยอด อาหารตำหรับชาววัง อาหารฟิวชั่น ของหวานไทยเทศมีหมด เคยไปหรือยังล่ะ” ณัฐธีร์ยังคงสีหน้าอารมณ์เดียวไถ่ถาม เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

“อาเล็กเคยพาไปแล้ว”

“งั้นเปลี่ยนบรรยากาศไปลองร้านอื่นไหมล่ะ ถามเราเราก็ต้องเชียร์ร้านของกานต์อยู่แล้ว” ณัฐธีร์ตอบสบาย ๆ คำพูดคำจาดีจนอีกคนออกอาการอึกอักกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สายตาหลุกหลิกระแวงหน่อย ๆ เหมือนวัวสันหลังหวะ

“ร้านของกานต์นั่นแหละ ร้านอื่นเคยไปแล้ว”

“อืม งั้นเดี๋ยวโทร.ไปจองไว้ก่อน ใกล้เที่ยงแบบนี้เผลอ ๆ ร้านเต็ม แล้วก็รอกันตรงนี้นะ ขอไปเปลี่ยนเสื้อย้วย ๆ นี่หน่อย” ณัฐธีร์ปลีกตัวออกมาเปลี่ยนชุดใหม่ เสื้อสีซีดคอย้วยกับเสื้อแบรนด์ดังเรียบกริบต่างกันยิ่งกว่าก้นเหวกับฟ้า ถึงเปลี่ยนเป็นเสื้อโปโลราคาถูกตัวใหม่ราศีก็ยังต่างกันอยู่ดี

รถคันโก้แล่นพาสามชีวิตไปยังร้านอาหารริมน้ำของครอบครัวรพีกานต์ เพราะณัฐธีร์วางตัวเฉยอยู่ตลอดเลยทำให้อัครวินท์ทำตัวไม่ถูก หากอีกฝ่ายแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวเสยหมัดลุ่นตะเบ็งเสียงดังใส่กัน เขายังจะพอทำตัวได้ถูกกว่านี้ เจอโหมดสงบสยบความเคลื่อนไหวแบบนี้ บอกตรง ๆ ว่าเขาไม่ชิน

อาหารลำเลียงมาเสิร์ฟตามความชอบของแต่ละคนที่ออร์เดอร์รายการไป ณัฐธีร์ดูแลหนูตะวันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ให้กินมูมมามและหกเลอะเทอะ อัครวินท์ดูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสามแฝดเป็นลูกชายของณัฐธีร์ แล้วตรงนี้มีรพีกานต์นั่งร่วมโต๊ะอยู่ใกล้ เจ้าตัวก็คงจะดูแลเจ้าตัวเล็กได้เป็นอย่างดี

ไม่ ไม่ ไม่ !

เขาเองก็ต้องทำได้สิน่า ที่ผ่านมาไม่เคยทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ เติบโตมาตั้งแต่จำความได้เขาก็ถูกประคบประหงมตลอด ถ้าคิดอยากจะดูแลใครสักคนมีหรือจะทำไม่ได้ แค่ยังไม่เคยลอง

“มองอะไร อยากให้ป้อนบ้างหรือไง” ณัฐธีร์แหย่หน้าตาย  มือหยิบทิชชู่ซับปากเปื้อนมันกุ้งให้หนูน้อยไปด้วย คนฟังสะดุ้งกระพริบตาถี่ นึกภาพตามแล้วขนลุกด้วยความสยอนแสยงแปลก ๆ

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น คิดว่าฉันอยากป้อนหมียักษ์ตัวขาวเผือกหรือไง” ณัฐธีร์เองก็ขนลุกกับความปากไวของตน ต่างฝ่ายต่างลงมือจัดการอาหารของตนเอง

“อ้าวไอ้เสือ มากินร้านนี้ไม่บอกวะ จะได้มาด้วย” เสียงดังโผงผางของผู้มาใหม่เรียกความสนใจจากทุกคนบนโต๊ะและโต๊ะใกล้ ๆ อัครวินท์เงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ คิ้วเข้ม ตาคมเปล่งประกายเอาจริง ชายหนุ่มประเมินอีกฝ่ายในใจเงียบ ๆ ดูจากท่าทางคงรอบจัดทีเดียว

“พอดีติดรถคนรู้จักมาน่ะพี่ แล้วนี่พี่มากับใคร นั่งด้วยกันไหม” ณัฐธีร์ชักชวน อัศม์เดชหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องหาที่นั่งกันเองแล้วดึงเก้าอี้ทิ้งกายลงนั่งข้างอัครวินท์พอดี

“นี่พี่เดช หลานชายแท้ ๆ ของหลวงตา ศิษย์วัดโตมาด้วยกัน ส่วนนี่วิน เอ่อ...” ณัฐฐธีร์อึกอักกับสถานะของอีกฝ่าย

“แฟนกานต์คนที่เอ็งเคยเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่า ที่ว่าหล่อ ๆ รวย ๆ เอ็งสู้เขาไม่ได้น่ะ” กลายเป็นอัศม์เดชที่จำได้แม่นยำเสียอย่างนั้น ตานกเหยี่ยวคมปลาบตวัดมองแต่ละทีราวคมดาบตวัดฟาดฟัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหนุ่มสำอางของแท้

“หล่อโก้ไฮโซขนาดนี้ เด็กวัดอย่างเอ็งมันจะไปเทียบติดฝุ่นได้ยังไงวะ” อัศม์เดชโพล่งแบบขวานผ่าซาก ยอมรับว่าคู่แข่งเจ้าณัฐโคตรหล่อมากจริง ๆ หล่อแบบแบดบอยสาวกรี๊ดเสียด้วย เขาอยู่ข้างนอกมองเข้ามา ผิวเจ้านี่ขาวสว่างออร่ากระแทกตาเฮีย ยอมรับว่าเห็นมันก่อนน้องตัวเอง แถมพ่วงด้วยรถคันโก้ใส่แบรนด์เนมทั้งตัว ถ้าเปรียบสองคนเป็นรถก็แลมโบร์กินีกับตุ๊กตุ๊ก เอ่อ เอาเป็นอีโคคาร์แล้วกัน นั่นแหละ เจ้าณัฐไม่มีอะไรเทียบเขาได้เลย แต่กานต์ไม่ใช่คนแบบนั้น ที่ตกหลุมเจ้าหมอนี่ก็คงลุ๊กเจ้าชายแบบแบด ๆ ของมันนี่แหละโดนใจวัยรุ่นนัก เด็กน้อยตามไม่ทันคนรอบจัดแท้ ๆ กานต์เอ้ย

“เฮ้ย ไอ้หน้าขาว เอ็งแม่งโดนว่ะ ให้ข้าจีบเอ็งได้ไหม แล้วเอ็งก็ปล่อยกานต์ให้เจ้าณัฐน้องข้าไป แบบนี้โคตรจะจบแบบแฮปปี้ เฮียจะหาฟรีไทม์ให้เอ็งบ่อย ๆ” คนพูดแสดงอาการดี๊ด๊ากระปรี้กระเปร่า อัศม์เดชยอมรับว่าความขาวกับปากแดงของมันกระแทกตากระแทกใจเฮียอย่างแรง มาดคุณชายท่าทางถือดีของมันโคตรน่าเอาชนะ น่า... รับรองว่าจะเลี้ยงดูอย่างดีมีกระสอบทรายให้ต่อยฟรีเวลาโมโห เป็นการสรุปรวบรัดของเฮียที่พาเอาผู้ร่วมโต๊ะสะดุ้งแถมสีหน้าแต่ละคนเหมือนกลืนของขม

“เฮียล้อเล่นใช่ไหม” เป็นณัฐธีร์ที่ถามด้วยอาการเหงื่อตก รู้สึกเสียวสันหลังแทนเพราะสีหน้าเฮียเดชโคตรจะจริงจัง

“ข้าเอาจริงเว้ย ไอ้หล่อนี่ขาวโดนใจ ก็ในเมื่อพวกเอ็งแย่งกันดีนัก นี่ไง ข้าเสนอทางออกให้ เห็นอย่างนี้ข้าดูแลเทกแคร์แฟนดีนะเว้ยไอ้หน้าขาว ไม่เคยลงไม้ลงมือกับแฟนถึงข้าจะต่อยมวยก็เหอะ” อัศม์เดชเริ่มอวดโอ้สรรพคุณซึ่งคนเป็นน้องชายฟังอย่างไรก็รู้สึกเหมือนโฆษกหนังขายยาฝอยน้ำลายแตกฟองเสียมากกว่า ณัฐธีร์กุมขมับกับโฆษกเจ้าของค่ายมวย ซึ่งคนถูกจีบกะทันหันออกอาการใบ้รับประทานไปแล้วเรียบร้อย นั่งนิ่งเป็นหินกะพริบตาปริบ ๆ

“พี่เดชอย่าขู่เขาซี มีอย่างที่ไหนจีบหนุ่มแบบนี้กันละ” ไม่ติดว่าเป็นพี่ ณัฐธีร์จะเคาะกบาลให้สักโป๊ก ความเกรียนของเฮีย คนรับมุกไม่ทันอาจมีช็อกตาย

“บ๊ะ เอ็งนี่อย่าขัดลำข้า คนอุตส่าห์ช่วยหาทางออกให้ ไอ้ลูกหมานี่ ไม่ใช่เอ็งเรอะที่มาร้องห่มร้องไห้น่ะหือ หรือจะให้ข้าฉุดมันก่อนแล้วค่อยถามความสมัครใจทีหลัง” อัศม์เดชทำท่าขัดใจก่อนเบนความสนใจมาที่อัครวินท์อีกครั้ง สาบานว่าสายตาดุแบบนั้นคือจีบ นึกว่าคนเมายาบ้าเอามีดจี้ตัวประกัน

“ไม่เอา แต่ถ้าคุณยอมให้ผมจิ้มก็จะลองคิดดู แต่ไม่ดีกว่า ผมรักกานต์คนเดียวเหอะ” อัครวินท์สะบัดหน้าพรืดเหมือนคนเจอฝันร้ายสุดสยอง ใครบ้างจะไม่ขนลุก เจอหมีควายตัวเท่ายักษ์จีบโต้ง ๆ ท่าทางอย่างกับโจรกรรโชกทรัพย์

“ตอนแรกกะว่าถ้าเจอหน้าจะซัดให้หมอบนอนหยอดน้ำข้าวต้มสักเดือน แต่เห็นความขาวแล้วเฮียทำไม่ลง ฉุดแทนได้ไหมวะ แม่งขาวเนียนกว่ากานต์อีก ตอนเด็กแดกนมผสมกลูต้าเหรอ” ไอ้เฮียปากปีจอ ! ถ่อยเถื่อนมาครบ คันปากเท้ากระตุก แต่ต้องเก็บอาการสงบเสงี่ยม ว่ากันว่าคนบ้ามักไม่ค่อยกลัวอะไร แหยมกับเจ้าของค่ายมวย หนังหน้าไม่น่ารอด แถมถ้าก่อคดีเพิ่มกานต์ได้เคืองหนักกว่าเก่า เหตุผลหลังน้ำหนักมากสุด เขาจึงเลือกที่จะนิ่ง

“พอเถอะเฮีย แหย่พอแล้วน่า นั่นอาหารโต๊ะเฮียมาแล้ว พวกนั้นชะเง้อคอรอกันใหญ่” ณัฐธีร์ลั่นระฆังพักยก

“เออ ๆ ไปก็ได้ ว่าแต่เอ็งไม่สนใจแก้มือกับไอ้นี่ที่ค่ายหน่อยหรือ เอาคืนหน้าหล่อ ๆ ให้ตาปูดสักหลาย ๆ วัน เฮ้ย !ไอ้หนุ่ม เอ็งกล้าดวลกับน้องข้าไหมวะ” อัศม์เดชร้องท้า ในใจคิดหาทางเอาคืนให้น้องชายแบบไม่ผิดกติกา

“ผมไม่สันทัดมวยเท่าไร แต่ถ้ายิวยิตสู คราฟมากาละก็ของถนัด” มุมปากยกยิ้มแย้มพรายเขี้ยวเล็บชาติพยัคฆ์ที่ถูกกลบด้วยมาดหนุ่มสำอาง

“ยิวยิตสูเอ็งต้องมาสู้กับข้า จะทุ่มจะทับให้ลุกไม่ขึ้นเชียว” ท่าทางโอหังถือดีของอัครวินท์ทำให้อัศม์เดชอยากเอาชนะ แต่พอรู้ว่าหมอนี่ก็มีอาวุธร้ายในตัว ก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจ

“ข้าชักสนใจเอ็งว่ะ ว่าง ๆ แวะมาค่ายข้าสิ ไม่ได้มีแค่มวย อย่างอื่นก็เปิดสอน” อัศม์เดชรู้ว่าน้องชายน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองแต่ไม่ได้โกรธแค้นอะไรอัครวินท์ ไม่งั้นคงไม่มาด้วยกัน เขารู้นิสัยน้องดี เรื่องแบบนี้บางทีลูกผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่เลือกเราเพราะเรามันไม่ใช่ เพราะงั้นถึงเขาแสดงท่าทางสนใจอยากหยั่งเชิงฝีมือไอ้คุณชายนี่ ณัฐธีร์ก็จะคงไม่ติดใจอะไร อย่างไรเสียน้องอย่างมันก็สำคัญกว่าอยู่แล้ว นี่เขาแค่สนใจของเล่นใหม่ก็เท่านั้น

“ดูก่อนแล้วกันเฮีย จริง ๆ น่าจะสอนให้หนูตะวันรู้จักป้องกันตัวด้วยนะ” ชายหนุ่มเหล่มองหนูน้อยที่นั่งตาแป๋ว แก้มขาวแดงเรื่อเมื่อสามตาสามคู่พุ่งความสนใจมาที่ตนเอง

“หึ เด็กกลัวแล้วเฮีย” ณัฐธีร์กระเซ้าพี่ หนูตะวันดูท่าจะไม่ถูกโฉลกกับเฮียหน้าดุ เห็นหน้าก็ทำท่าเหมือนอยากร้องไห้

“เฮอะ เดี๋ยวข้าทำลูกเขาร้องไห้ ได้โดนด่าเช็ด” อัศม์เดชเองก็ดูท่าจะไม่ถูกโรคกับเด็ก แต่ถ้าอีหนูเอ๊าะ ๆ แบบนั้นป๋าชอบ

“ไปแล้ว หิว” ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดเดินหย่อนก้นนั่งอีกโต๊ะ มาเร็วไปเร็วปานพายุหอบ

“อิ่มกันหรือยัง จะได้คิดเงิน” ณัฐธีร์ถามเมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ สองคนที่เหลือพยักหน้า อัครวินท์อาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยง ณัฐธีร์ไม่ยินยอมแต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่าย

“เก็บไว้เหอะ ความจำเป็นของคนเราต่างกัน” อัครวินท์บอกแค่นั้นเป็นอันเข้าใจ สามคนเดินเข้ามานั่งในรถถามถึงเส้นทางต่อไป

“ไม่รู้จะไปไหนดี หนูตะวันอยากไปไหน” อัครวินท์โบ้ยให้เด็กน้อยตัดสินใจ ตัวเขาทำหน้าที่สารถีให้ ดวงตาใสแจ๋วมองมาที่ณัฐธีร์

“อยากไปเล่นกับพี่หรือ” ณัฐธีร์เอ่ยถาม หนูน้อยพยักหน้าเป็นเชิงว่าอยากอยู่กับเขาต่อ

“อิ่มแล้วง่วง ไปนอนที่ห้องนายได้หรือเปล่า จะฆ่าหมกส้วมไหม”

“ตอนแรกไม่คิด พอดีมีคนชี้ทาง ห้องมันเล็กนะ”

“เออน่ะ คิดว่านอนเต็นท์ละกัน” ไอ้นี่... ณัฐธีร์นึกเข่นเขี้ยวในใจ ยังดีที่มันไม่บอกเปิดประสบการณ์ใหม่นอนในรูหนู นั่นแหละนะ บางทีคน ๆ นี้อาจมีอีกหลายมุมที่เขาไม่รู้จัก น้องน้อยของเขาไม่ใช่คนมองใครที่เปลือก แต่ก็ไม่รู้อะไรดลใจกานต์ บางทีน้องน้อยอาจค้นพบบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้
[มีต่อด้านล่างอีกค่ะ]

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
๓๐ [ต่อ]


ทั้งสามคนกลับมาที่วัดและตรงไปส่วนที่พักของณัฐธีร์ ห้องเล็กเรียบง่าย มีของใช้เท่าที่จำเป็น ภายในห้องสะอาดสะอ้าน อัครวินท์ดึงหมอนขิดออกมาแล้วทิ้งตัวลงนอนหนุนบนพื้นด้วยท่าทีง่าย ๆ

“นอนพื้นปวดหลังไหมนั่น ถ้าไม่รังเกียจขึ้นไปนอนบนเตียงก็ได้” ณัฐธีร์บอกงูเหลือมซึ่งนอนเหยียดยาวบนพื้น คุณชายก็ไม่เรื่องมาก บอกปุ๊บขยับปีนขึ้นเตียงปั๊บ สงสัยจะปวดหลังจริง ณัฐธีร์กางโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยเตรียมสอนหนูน้อยเขียนหนังสือ

“ที่มานี่แค่พาหนูตะวันมาเท่านั้นหรือ ไม่เกี่ยวกับเรื่องกานต์?”

“ฉกของ ๆ เขาไป ทำหลุดมือแล้วจะมาถามหา นายคงไม่อยากบอกเท่าไร แต่กานต์สบายดีใช่ไหม”

“ท้องแฝดโตเร็วมาก ตัวเล็กดิ้นบ่อย” ณัฐธีร์บอก ไม่ได้เหลียวดูสีหน้าคนบนเตียงที่นิ่งไป ต่างฝ่ายต่างทรมาน คนเป็นเจ้าของก็ตามหาหัวใจตัวเองไม่เจอ คนไม่ใช่เจ้าของ แม้รู้ก็เท่านั้น หัวใจรพีกานต์ไม่ได้อยู่ที่เขา

“รู้อะไรไหม ฉันเสียใจที่ตัวเองไม่ใช่คนที่ทำให้กานต์มีความสุข แต่เจ็บยิ่งกว่าเมื่อคนที่กานต์รัก ทำให้กานต์เสียใจ” มีเพียงความเงียบเป็นสื่อกลางระหว่างทั้งคู่ อัครวินท์จมอยู่กับความคิดตัวเอง การกระทำโง่งมของเขาทำร้ายคนมากเหลือเกิน

“ขอโทษ...ที่แย่งกานต์มาจากนาย”

“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องหรอก เรามันก็แค่คนที่ไม่ใช่ ที่กานต์ไม่รักไม่ใช่เพราะเราไม่ดี แต่เพราะเราไม่ใช่สำหรับกานต์มันก็เท่านั้นเอง แต่ที่ยอมรับไม่ได้ คือเรายอมปล่อยมือ แทนที่น้องจะลอยไปสู่ความสุข กลับร่วงตกเหว เราเจ็บที่เห็นน้ำตา” ณัฐธีร์พรั่งพรูความรู้สึกอัดอั้นออกมา

“เรารักกานต์ รู้ตัวก็ตอนที่สายไปแล้ว เราทำผิดพลาดทุกอย่าง เพราะเราไม่ให้อภัย เราถึงต้องสูญเสีย แต่เราก็อยากขอโอกาส ทุกคนมีสิทธิ์ทำผิดพลาดไม่ใช่หรือ เราเองก็แค่คนธรรมดาคนนึง” อัครวินท์ระบายออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาท้อแท้และอ่อนล้า ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงพูดมันกับณัฐธีร์ แต่เขาไม่รู้จะพูดกับใคร ทุกคนมองว่าเขาผิด แต่จะมีกี่คนที่ยินดีหยิบยื่นโอกาสให้แก้ตัว ความอาฆาตแค้นไม่เคยให้คุณแก่ใคร เขารับสารฝ่ายเดียวแล้วตัดสินโดยไม่ไตร่ตรอง ตอนนี้ผลนั้นก็ย้อนกลับมาที่เขา เขาอาจไม่พร้อมสำหรับการเป็นพ่อของใคร แต่เขาก็อยากเรียนรู้สิ่งนี้ไปพร้อม ๆ กับเรียนรู้อนาคต บางครั้งความผิดพลาดก็เป็นบทเรียนสอนตัวเราได้ไม่ใช่หรือ

ความเงียบโรยตัวอยู่ในนั้น ไม่ใครปริปากอะไรอีก อัครวินท์หลับตาจนเผลอหลับไปในที่สุด บนพื้นกลางห้อง ณัฐธีร์กำลังสอนหนูตะวันคัดตัวพยัญชนะ สายตามองเด็กชายค่อย ๆ ลากลายเส้น แต่จิตใจกลับล่องลอยไปคิดเรื่องอื่น

เช้าตรู่วันถัดมา

วันนี้ณัฐธีร์เดินตามหลวงตามาบิณฑบาตถนนสายนี้ด้วย หน้าเรือนขนมปังขิงหลังงามปรากฏร่างสูงใหญ่ของอัครวินท์กับหนูตะวันตัวน้อยและป้าแม่บ้าน คุณอาเล็กไม่ได้ออกมาใส่บาตรเช้าด้วยกัน เขาช่วยรับของจากบาตรหลวงตาใส่ย่าม เอ่ยทักทายหนูน้อยแล้วหันไปยิ้มให้อัครวินท์นิดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร หลวงตากับณัฐธีร์เดินผ่านไปแล้ว อัครวินท์ช่วยคนอื่นเก็บของเข้าบ้าน หากแต่สายตาเหลือบไปเห็นบางสิ่งบนโต๊ะ เป็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของเขา

“ป้าถม นี่โทรศัพท์ป้าถมหรือเปล่าครับ” เขาถามยายของตะวัน

“ไม่ใช่ค่ะ แล้วเครื่องนี้ก็ไม่ใช่เครื่องที่คุณรพินทร์ซื้อให้ตะวันพกติดตัวด้วย ของใครกันนะ ดูคุ้นตาชอบกล” นางถมยาพยายามนึก แรงดึงจากปลายนิ้วทำให้หันมอง หนูตะวันชี้นิ้วไปทางที่ณัฐธีร์เพิ่งเดินตามพระผ่านไป

“ของพี่ณัฐ?” อัครวินท์เลิกคิ้ว ลองกดดูก็พบว่าโทรศัพท์ไม่ได้ล็อกเครื่อง บนหน้าจอปรากฏเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งเมมชื่อว่า ‘น้องน้อย’ หัวใจพลันเต้นระรัว ที่ณัฐธีร์สบตากับเขาเมื่อกี้มีความหมายอย่างนี้เองหรือ

ณัฐธีร์จะให้โอกาสเขา ?

อัครวินท์มือสั่นลนลานไปหมด ในใจเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าณัฐธีร์มองเขาเป็นศัตรูเป็นคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งตัวทำลายความสุขมาตลอดหรอกหรือ แล้วทำไม ทั้งที่มีโอกาสหัวเราะเยาะไอ้โง่อย่างเขาแท้ ๆ

“พี่จะเอาโทรศัพท์ไปคืน หนูตะวันเข้าบ้านไปหายายก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่กลับมา” เขาบอกเสียงสั่นรัว มือรุนแผ่นหลังเล็กให้เข้าบ้านตามยายไป ตัวเขาเก็บโต๊ะพับอเนกประสงค์เข้ามาวางไว้ในบ้านแล้วรีบผลุนผลันวิ่งตามออกไป

“เดี๋ยว เมมเบอร์ไว้ก่อน” เขาหยุดกึกทั้งหอบหายใจ มือไม้สั่นไปหมดด้วยความตื่นเต้น เขาได้เบอร์ติดต่อของรพีกานต์จากคนที่คาดไม่ถึง ความรู้สึกนี้เขาเองก็บอกไม่ถูก รู้แค่ว่าดีใจ ดีใจที่มีคนให้โอกาส แล้วยังมาจากคนที่เขาไม่นึกไม่ฝันอีกต่างหาก

“พี่ณัฐ !” เขาตะโกนเรียกคนที่เห็นหลังไว ๆ แล้วเร่งฝีเท้าตามจนทัน

“โทรศัพท์ เบอร์ในนี้...เบอร์กานต์” ความดีใจตื่นเต้นเกลื่อนเต็มใบหน้าผุดเม็ดเหงื่อ

“เราทำโทรศัพท์ตกไว้ แล้วนายก็เป็นคนเก็บมันได้ ต่อจากนั้นเราไม่รู้แล้ว โชคดี โอกาสมีครั้งเดียว”

“ขอบคุณ ไม่คิดจริง ๆ ว่าจะได้โอกาสจากพี่” อัครวินท์เขย่ามืออีกฝ่าย ความปลาบปลื้มดีใจบนใบหน้าปิดไม่มิด

“เมื่อวานตอนนายหลับเราคิดตลอด เราไม่มีพ่อแม่มีแต่หลวงตาที่เลี้ยงมา หนูตะวันเองก็ไม่ต่าง เราอยากให้กานต์กับสามแฝดมีความสุขที่สุด อยู่ที่นายแล้ว ว่าจะจัดการกับโอกาสนี้ยังไง โชคดีนะไอ้น้อง อย่าแห้วละ เดี๋ยวเฮียเดชแกจีบเอาอีก” ณัฐธีร์ตบไหล่ปุ ๆ แล้วดึงโทรศัพท์กลับคืนไป หันหลังให้แล้วเร่งฝีเท้าจ้ำตามหลวงตา

“หวังว่าพี่คงตัดสินใจไม่ผิดนะ” เขาพึมพำ มุมปากยิ้มสุขปนเศร้า เขารักรพีกานต์ แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนที่จะทำให้น้องน้อยมีความสุข เขาก็ไม่อยากกักเก็บโอกาสนั้นไว้ทรมานหัวใจคนเล่น

“ขอโทษนะกานต์ พี่ไม่อยากให้สามแฝดเกิดคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ เหมือนพี่ ถ้าเขาทำไม่ดีอีก พี่ก็จะไม่ปล่อยกานต์ให้เขาอีกแล้ว”


 :L2:

*เพลงแก้วตาขวัญใจ เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่๙ พอดีกำลังคิดว่าจะแต่งกลอนแบบไหนสื่ออารมณ์นึกคิดของวินดี บังเอิญเจอเพลงนี้ค่ะเลยหยิบมา คุณพลอยไพลินถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้ไพเราะจับใจมาก ลองหาฟังดูนะคะ นับเป็นพระอัจฉริยภาพอีกด้านหนึ่งของพระมหากษัตริย์ของเรา
มีใครเดาได้บ้างเอ่ย ว่าเป็นพี่ณัฐที่บอกที่อยู่กานต์
ขอบคุณสำหรับการเข้ามานะคะ เราอัปช้า นิยายครบ ๑๐๐% แล้วถึงจะรวบมาอัปทีเดียว เลยทิ้งช่วงนานค่ะ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด