กว่าจะถึง...ซึ่งทางรัก By พีรนีเปียร์
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กว่าจะถึง...ซึ่งทางรัก By พีรนีเปียร์  (อ่าน 100769 ครั้ง)

ออฟไลน์ tarkung

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 997
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
จะติดตามต่อไปนะคร้าบบบบ

รออ่านต่ออยู่นะครับ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Just let it be

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 979
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
คนอ่านก็ยังติดตามมมกันอยู่เหมือนเดิมนะคร้าบบบ

อิอิ

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
Re: กว่าจะถึง...ซึ่ง&#
«ตอบ #184 เมื่อ10-09-2008 19:05:16 »

ตอนต่อไปมาแว้วววววววววววววววววววววว


ดีใจ ๆๆๆ วันนี้พี่พีตอบเมล์กลับมา


แต่ว่า ทำไมไม่มีคำตอบที่เราถามไปเรยอ่า  :sad2:


ตอนที่.3
หลังจากที่วินออกไปแล้ว ผมก้อเข้าไปอาบน้ำ ความเย็นของน้ำทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ผมอาบน้ำเสร็จก้อมาดูพี่นัท ตอนแรกตั้งใจจะปลุกให้เข้าไปนอนในห้อง แต่เปลี่ยนใจเอาผ้าห่มมาให้แทน

เพราะเท่าที่ดูตอนนี้พี่นัทคงกำลังหลับสนิท แล้วผมก้อออกมาโทรศัพท์หาวิน แต่มันไม่เปิดเครื่อง ผมโทรอยู่สักพักก้อเลิกโทร แล้วเข้านอน

ผมหลับยาวตั้งแต่เมื่อคืน รู้สึกอีกทีก้อเหมือนมีคนมานอนอยู่ข้างๆ ผมขยับตัวเพื่อจะหันไปมอง

“อย่าเพิ่งลุกเลยนะ ขอพี่กอดให้หายคิดถึงก่อน” อ้อมแขนที่แข็งแรงกระชับตัวผมให้เบียดเข้าหากับอกกว้าง

ผมเองก้อหันหน้ามาแล้วเอื้อมมือไปกอดพี่นัทเหมือนกัน ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร อ้อมกอดนี้ยังคงอบอุ่นและเต็มอิ่มไปด้วยรักเสมอ

หลังจากที่พี่น้องต่างกอดกันจนหนำใจผมก้อผละออกมาจากพี่นัท

“แล้วแม่กับลุงนนท์ไปค้างที่ไหนล่ะครับ ไหนว่าจะมากันเย็นๆ”

“พ่อกับคุณน้า จะตามมาเย็นๆ แต่พี่อยากมาเที่ยวกับเราก่อนนะสิ นี่พอพี่กลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อวานพี่ก้อให้เพื่อนจองตัวมาที่นี่ไว้ให้เลยนะ

แต่ดันมาเจอเด็กเกเร แถม ขี้เมาซะนิ และ วันนี้เราก้อถูกกักบริเวณให้อยู่ไกลจากพี่ได้ไม่เกิน5เมตรโทษฐานเป็นเด็กเกเร กินเหล้าเมายา”

พี่นัทเอื้อมมาบีบจมูกผมเบาๆ “ ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวไปไหวพระกัน”

ผมเดินไปอาบน้ำ แต่ก่อนจะอาบน้ำผมก้อโทรศัพท์หาไอ้วินก่อน มันปิดเครื่อง ผมเลยเข้าไปอาบน้ำ หลังจากที่แต่งตัวเสร็จผมก้อแอบหลบออกไปกดออดที่หน้าห้องของวิน สักพักไอ้ป๋อมก้ออกมาเปิด

“ยังไม่ฟื้นกันเหรอว่ะ” ดูจากสภาพพวกมัน

“เออดิ เมื่อคืนไอ้ห่าวินมันเสือกมาแดกต่อที่ห้อง ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร พอมาส่งพวกเราที่ห้องมันก้อออกไปข้างนอก แต่พอกลับเข้ามาเสือกชวนกินเหล้าซะนิ”

ไอ้ป๋อมรายงาน ผมคิดว่าเป็นเพราะว่ามันเจอกับพี่นัทแน่ๆ

“แล้วมันอยู่ไหนว่ะ”

“นอนตายอยู่ในห้องมันโน้น” ผมเดินเข้ามาก้อเจอกับซากเพื่อนๆนอนกันน่าอนาถอยู่ที่หน้าทีวี ก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้วินมันในห้อง ผมเดินเข้ามาก้อเห็นวินมันนอนอยู่ เลยเข้าไปปลุกมัน

“วิน...วิน.......ไอ้วินโว้ย....” ผมเขย่าตัววิน สักพัก ก่อนจะถูกคนที่นอนอยู่ดึงลงไปกอด

“เล่นบ้าอะไรเนี้ย ปล่อยก่อน”

“ไม่เอา....ทำไม พอพี่นัทมาหน่อย เรากอดไม่ได้แล้วเหรอ ไอ้วินมันกลายเป็นตัวสำรองเลยใช่ป่ะ” วินยังไม่ยอมปล่อย

ผมเองก้อเข้าใจว่าวินคงจะกลัวเพราะวินเองก้อรู้เรื่องของผมกับพี่นัทดี ผมเลยเอามือขยี้หัวของมัน

“ไอ้บ้าเอ้ย...อย่าคิดมากน่าเดี๋ยวผมก้อร่วงหมดหรอก เรากับพี่นัทเป็นพี่น้องกันนะ”

“แล้วพี่น้องที่ไหนเค้าจูบกันซะปากบวม ปากเจ่อแบบพวกนายบ้างห๊ะ” เสียงมันยังประชดประชันผมอยู่

“ไอ้บ้านี่นิ พูดไม่รู้เรื่อง ตามใจจะคิดอะไรก้อตามใจ เราจะมาบอกว่าวันนี้จะออกไปข้างนอกกับพี่นัท” ผมบอกมันพร้อมกับผลักมันเต็มแรง แล้วรีบเดินออกมาจากห้อง

“เดี๋ยวรอน เราขอโทษน่ะ” วินมันรีบวิ่งมาดึงมือผมไว้

“เราแค่กลัวน่ะ ภาพคืนนั้นมันยังติดตาเราอยู่ หายโกรธกันนะ” ผมเอามือไปแนบแก้มของวินแล้วส่ายไปมา

“อย่าคิดมากน่า เวลาที่ผ่านมาไม่ทำให้เราเชื่อใจกันและกันได้เลยเหรอ วันนี้เราจะพาพี่นัทไปเที่ยว แล้วก้อจะไปรับแม่กับลุงด้วย ส่วนนายก้อเตรียมตัวได้ได้แล้ว วันนี้พ่อมาไม่ใช่เหรอ”

วินมันพยักหน้า ก่อนจะดึงเอามือผมไปกัดเบาๆ

“เดี๋ยวตอนเย็นๆเราค่อยพาครอบครัวเรากับของนายไปกินข้าวกันนะ” ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง

ผมเดินกลับมาที่ห้องก้อเจอพี่นัทนั่งอยู่หน้าทีวี พี่นัทเรียกผมเข้าไปนั่งข้างๆ

“ไปไหนมา บอกแล้วงัยว่าห้ามอยู่ไกลเกิน5เมตร” พี่นัทใช้แขนล๊อคคอผมไว้แล้วแกล้งโยกไปมา

“ไปหาวินมา บอกว่าวันนี้จะออกไปเที่ยวกับพี่นัทนั่นแหละ” พี่นัทปล่อยผม หน้าของพี่นัทดูเศร้าลงไป แต่แป๊ปเดียวก้อกลับมายิ้มเหมือนเดิม

“ไปกันเถอะ จะได้ไปหาอะไรกินกันก่อน” ผมกับพี่นัทเราลงมากินกาแฟที่คอฟฟี่ช๊อปข้างล่างคอนโด ก่อนจะเหมาตุกตุ๊กไปไหว้พระกันที่ วัดเจดีย์หลวง

วัดที่มีเจดีย์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ ก็คือ วัดเจดีย์หลวง ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมือง วัดนี้สร้างขึ้น ในรัชกาลของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์เม็งราย

พระองค์โปรดฯ ให้ช่างสร้างเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ สูงถึง 88 เมตร ฐานกว้างด้านละ 54 เมตร แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1954 ต่อมาในสมัยพระนางจิระประภาครองเมืองเชียงใหม่ ได้เกิดแผ่นดินไหว

ทำให้ยอดเจดีย์หักโค่นลงเมื่อปี พ.ศ. 2008 วิหารด้านหน้าของวัดนี้เจ้าคุณอุบาลีคุณปรมาจารย์ (สิริจันทะเถระ) และเจ้าแก้วนวรัฐ เป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471 หน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อยลงมางดงามยิ่ง

ใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร นาคคู่นี้เป็นฝีมือเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่เดิมได้ชื่อว่าเป็นนาคที่สวยที่สุดของภาคเหนือ

หลังจากนั้นเราก้อไปที่ เสาอินทขิลหรือเสาหลักเมือง เป็นหลักเมืองเมื่อครั้งพ่อขุนเม็งรายมหาราชสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 1839

ปัจจุบันนี้อยู่ตรงหน้าวัดเจดีย์หลวง เสาอินทขิลนี้ประดิษฐานอยู่ในวิหารจตุรมุขทรงไทยหลังเล็กๆ หลักอินทขิลนี้สร้างด้วยไม้ซุงต้นใหญ่ ฝังอยู่ใต้ดิน

ทุกปีในเดือนพฤษภาคมจะมีงานเรียกว่า งานอินทขิล เป็นการฉลองหลักเมืองเป็นประจำ

ตลอดช่วงเวลาที่ผมอยู่กับพี่นัท มันเหมือนช่วงเวลาเก่าๆที่หายไปกลับคืนมา ผมกับพี่นัทเราไปไหว้พระกันต่อที่ วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ

จนใกล้เวลาที่แม่กับลุงนนท์มาเราเลยไปรอรับที่สนามบิน ที่นี่ผมเจอวินมันมารอรับพ่อเหมือนกัน เลยมารู้ทีหลังว่าทั้งพ่อวินกับแม่ผมต่างมาไฟท์เดียวกัน

ทันทีที่เห็นแม่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสาร ผมก้อเข้าไปกอดให้หายคิดถึง

“ว่ายังงัยเราไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมแม่กับลุงเลยนะ ที่นี่มีอะไรดีหรือเปล่า สงสัยจะติดสาวเชียงใหม่ซะแล้วมั๊ง” ลุงนนท์แซวผม

หลังจากนั้นผมก้อแนะนำวินให้แม่กับลุงรู้จัก ส่วนวินเองก้อแนะนำให้ผมรู้จักกับพ่อ และญาติๆของวิน พ่อของวินดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่น

แต่ก้อดูน่าเกรงขามอยู่ในที ทั้งลุงและพ่อของวินต่างก้อรู้จักกัน เพราะต่างก้ออยู่ในแวดวงธุรกิจเหมือนๆกัน
บรรดาพวกผู้ใหญ่ต่างพากันไปเช็คอินกันที่โรงแรมชื่อดังในตัวเชียงใหม่ ก่อนจะพากันไปทานข้าวเย็นกัน

อาหารมื้อนั้นดูสนุกสนานเพราะทั้งบ้านผมกับบ้านของวินเราสนิทกันอย่างรวดเร็ว ทั้งผู้ใหญ่เองก้อรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว พี่นัทชวนผมคุยไม่หยุด บางที่ก้อมาหยอกผมจนทำให้ใครบางคนดูเงียบลงไป

ผมเองก้อกลัววินมันจะงอน เลยชวนมันคุยบ้างแต่มันก้อยังดูเงียบๆ จนพวกเราทานเสร็จ พวกผู้ใหญ่ยังคุยกันอยู่ ผมเลยบอกพี่นัทว่าจะไปห้องน้ำ แล้วลุกออกมา หลังจากที่เข้าห้องน้ำเสร็จ ออกมาก้อเจอวินมันยืนรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ

“รอนไปเดินเล่นกันมั๊ย” วินชวนผม

“ไปสิ แต่เดี๋ยวเราไปบอกพวกผู้ใหญ่ก่อนนะเค้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมเดินไปบอกแม่ที่โต๊ะ ก่อนจะเดินออกมากับวิน

ตอนที่ผมเดินออกมา ผมหันไปสบตากับพี่นัท พี่นัทก้อพยักหน้าแล้วยิ้มให้ แววตาเหงาๆกับรอยยิ้มเศร้าๆ มันบาดใจผมเหลือเกิน

“คิดถึงนะ” วินเดินมาจับมือผมทันทีที่เราเดินมาที่บริเวณสวนใกล้ๆสระว่ายน้ำ

“ก้อเห็นหน้าอยู่ทุกวัน ยังจะมาคิดถึงอะไรว่ะ” ผมถามวิน

“ก้อวันนี้นายไปไหนมาล่ะ เราอดคิดไม่ได้ว่านายคงกำลังมีความสุขอยู่กับพี่นัทของนาย แล้ว ในตอนนั้นนายจะลืมเราหรือเปล่า”

“ไอ้บ้า อย่าคิดมากสิ ต่อไปถ้าเรากลับไปกรุงเทพ เราจะไม่ได้เจอกันทุกคืน ไม่ได้มานั่งเล่นนั่งคุยกันก่อนนอน แล้วเรายังต้องอยู่บ้านเดียวกับพี่นัทอีก นายจะไม่คิดมากไปกว่านี้เหรอ เข้มแข็งและ เชื่อใจกันให้มากๆนะวิน”

ผมยิ้มให้วินหวังให้มันสบายใจขึ้น วินมันก้มลงมาหอมแก้มผมเบาๆ แต่ผมก้อต้องรีบพลักวินออก

“เป็นอะไรว่ะรอน”วินมันถามผม

“เราเหมือนเห็นคนเมื่อกี้นี้” ผมว่าเห็นเงาใครบางคน

“แน่ใจเหรอ แต่ช่างมันเถอะ เราไม่สนใจหรอก”วินมันทำท่าจะหอมแก้มผมอีกครั้ง แต่ผมเบี่ยงหนีก่อน

“กลับไปที่โต๊ะเถอะ” วินก้อยอมตามผมกลับมา หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก้อจะแยกกลับมาที่คอนโดเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไวหน่อยเพราะต้องไปที่ มหาลัยตั้งแต่เช้า แต่พ่อของวินบอกให้วินอยู่ค้างด้วย

ผมเลยกลับมาพร้อมพี่นัทโดยที่วินมันมาส่ง หลังจากที่ผมเตรียมของในวันพรุ่งนี้ ก้อมาอาบน้ำ แล้วพี่นัทก้อชวนไปยืนดูดาวเล่นที่ระเบียง

“รอน เรามีความสุขดีมั๊ย” อยู่ๆพี่นัทก้อถามขึ้นมา

“มีอะไรเหรอพี่นัท ผมก้อมีความสุขดีครับยิ่งตอนนี้ครอบครัวเราอยู่กันครบผมยิ่งมีความสุขใหญ่”ผมตอบพี่นัทไป

“ไม่มีอะไรหรอก พี่ก้อถามให้แน่ใจว่าเราทำตามคำขอของพี่หรือป่าวที่ให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”พี่นัทเดินมาดึงผมเข้าไปกอด

“กับวินล่ะ มีความสุขกันดีนะ”พี่นัทเอ่ยคำถามที่ผมกังวลใจตั่งแต่วันที่พี่นัทมาถึง

“ก้อดีครับ เออพี่นัทผม......” พี่นัทห้ามผมก่อนที่จะพูดจบ

“ไม่ต้องพูดหรอกถ้ามันลำบากที่ต้องเอ่ยออกมา ไม่ว่าจะเป็นใครถ้ามันทำให้เรามีความสุขพี่ก้อไม่ได้ว่าอะไรหรอกน่ะ”

“ แล้วพี่นัทจะกลับมาอยู่มืองไทยเมื่อไหร่ เรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมถามพี่นัทบ้าง เพราะหลังจากที่พี่นัทเรียนจบเมื่อหกเดือนก่อน ก้อยังไม่กลับบ้าน ที่ญี่ปุ่นเค้าจะเรียนมากกว่าเรา

“พี่จะไปอยู่สิงค์โปร์สักพัก พอดีพี่อยากลองไปช่วยงานของพ่อที่อยู่ทางโน้นน่ะ เพราะมีแต่ญาติดูแลให้” ผมตกใจที่ได้ยินแบบนั้น

“เป็นเพราะผมหรือเปล่า พี่นัทถึงไม่ยอมกลับบ้าน” ผมรู้สึกเสียใจ เพราะตั้งใจไว้ว่าเราคงได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

“เปล่าหรอกอย่าคิดมากสิ พี่แค่อยากลองหาอะไรแปลกใหม่ให้กับตัวเองน่ะ” ถึงแม้พี่นัทจะบอกแบบนี้ แต่ผมเองก้อยังรู้สึกไม่ดี

“พี่นัทผมยังรักพี่นะครับ รักมากเหมือนเมื่อก่อน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง” พี่นัทยิ้ม

“พี่เองก้อเหมือนกัน พี่ก้อยังคงรักเราเหมือนเดิม และจะรักตลอดไป............. เพราะเรามีกันแค่2คนพี่น้องนี่นา” ผมรู้สึกเศร้าใจที่ทำให้พี่นัทต้องเสียใจ

ถ้าถามผมว่าผมรักใครมากกว่ากันผมคงตอบได้ว่าเท่ากัน เพราะแต่ละคนก้อเป็นรักคนล่ะแบบ วินคงเป็นผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด แต่พี่นัทก้อเป็นครอบครัวที่มีค่ามากที่สุดเช่นกัน

ขณะที่ผมยืนดูดาวที่ระเบียงกับพี่นัท เสียงโทรศัพท์ของผมก้อดังขึ้น เป็นวินที่โทรเข้ามา

“ว่ายังงัยไอ้คุณชาย ยังไม่นอนอีกเหรอ” ผมกรอกเสียงไปตามสายทันทีที่รับ

“รอน...เราจะทำยังงัยดี” เสียงวินดูสั่นๆ

“เฮ้ย...มีอะไรหรือป่าววิน มีอะไรเล่าให้ฟังสิ”

“พ่อเราเค้าถามเรื่องของเรากับนาย แล้วเค้าก้อจะให้เราไปฝึกงานที่ ออสเตเลีย เราจะทำยังงัยดีว่ะรอน”

ผมนึกถึงเงาคนที่สวนเมื่อตอนหัวค่ำ ใจผมร้อนร้นขึ้นมาทันที มันไม่ไวไปหน่อยเหรอ.......นี่ผมกับวินเราต้องแยกกันแล้วใช่มั๊ย............



แยกกันแล้ว  กาซิก ๆๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2008 19:07:46 โดย SE7EN_AKIRA »

ranaways

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 3 แระ

อีกนานเลยอ่ะกว่าจะจบ

เฮ้ออออออออออออออออออออ :t3:

nartch

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






marchmenlo

  • บุคคลทั่วไป
o7เพิ่งจะมีความสุขได้ไม่กี่ตอนเองน่ะ จะทำร้ายจิตใจกันอีกแล้วเหรอ ใจร้ายจังอ่ะ :o12:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
อ่านแล้วถูกใจมากๆเรื่องนี้  ชอบพี่นัทมากๆ

รอนจะเจอแต่เรื่องเศร้าตลอด

ระยะทางของความรักคงยาวมากนะ เดินทางไม่ถึงสักที

 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
มาแล้วค๊าบบบบบบบบบบบ  วันจันทร์ก็สอบ Final แล้ววว

Cal มาวันแรกเลยอ่ะ  :m15:


ตอนที่.4วันนี้ทั้งวันทั้งผมและวินเราแทบจะไม่ได้คุยกันเท่าไหร่เพราะตอนเช้าพวกเราต่างก้อมัวแต่ถ่ายรูปกับครอบครัวและเพื่อนๆ

จนโดนเรียกเข้าห้องประชุมกว่าที่พวกเราจะออกกันมาก้อเย็นแล้ว วันนี้พ่อของไอ้วินมันเป็นเจ้าภาพ เลยเป็นอันว่าบ้านผมกับไอ้วินมันก้อมากินด้วยกัน รวมทั้งเพื่อนๆในกลุ่มที่สนิทกันด้วย

หลังจากที่พวกเราออกมาจากหอประชุม พวกเราก้อมาถ่ายรูปกันอีกจนเย็น แต่บรรดาพ่อๆแม่ๆ เค้ากลับไปที่พักกันแล้ว

โดยที่ตอนเย็นพวกเราก้อจะไปสมทบกันที่สวนอาหารเลย พี่นัทเองก้อกลับไปรอพวกเราพร้อมแม่กับลุงนนท์ หลังจากที่เราต่างถ่ายรูปกันจนหนำใจต่างก้อแยกย้ายกันไปฉลองกับครอบครัว

ส่วนคนที่จะไปด้วยกันคืนนี้ก้อแยกย้ายกันไปโดยตกลงกันว่าให้ไปเจอกันที่ร้านเลย ผมกับวินเรายังคงเดินเล่นกันอยูที่ มหาลัยหน้าตึกคณะ

ในม.ตอนนี้ยังคงมีบัณฑิตจบใหม่ยังถ่ายรูปกับเหล่าเพื่อนๆและรุ่นน้องบ้างเป็นจุดๆ

“เราจะทำยังงัยดีว่ะรอน เราไม่อยากไปเลยว่ะ แต่ดูพ่อจะเอาจริงนะคราวนี้ ดูเสียงแข็งยังงัยไม่รู้”
ในที่สุดวินก้อพูดเรื่องที่ทำให้เราทั้งคู่กำลังกังวลใจหลังจากที่เราต่างพูดคุยถึงเรื่องราวเก่าๆในอดีตที่เกิดขึ้นที่มหาลัยแห่งนี้

“เราก้อไม่รู้ว่ะ มันต้องแล้วแต่นาย เราคงไปห้ามลุงกิติไม่ได้ แค่นี้เรายังไม่รู้จะเข้าหน้าแกยังงัยเลย”
ผมเองยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าผมอยู่กับพ่อของวินสองคน ผมจะทำหน้าแบบไหนกัน เพราะไอ้วินมันดันเล่าเรื่องของเราให้พ่อมันฟังหมดแล้ว

“รอน นายไปกับเราได้มั๊ย เราไปแค่ 3-4 เดือนเองนะ บอกกับที่บ้านก้อได้ว่าจะไปเรียนภาษาหรือว่าไปพักผ่อนหาประสบการ์ณ อะไรก้อได้นะ เราว่าแม่นายไม่ว่าอะไรหรอก”

“ไม่รู้สิ เราต้องถามแม่ก่อน เกรงใจลุงนนท์เหมือนกัน เพราะค่าใช้จ่ายของเราที่ผ่านมาลุงเค้าดูแลตลอด จบมาก้อยังไม่ได้จะไปช่วยงานแกทดแทนเลย”

“งั้นเอาของเราก้อได้ เงินเก็บของเราเองก้อพอนะสำหรับนาย ส่วนเราพ่อเราเค้าไม่อั้นอยู่แล้ว”
วินยังคงพยายามจะให้ผมไปด้วยให้ได้

“เอาไว้เราถามแม่ก่อนแล้วกันนะว่าจะเป็นงัย แล้วเราค่อยมาคุยกัน กว่าจะไปก้ออีกตั้งเกือบๆเดือนไม่ใช่เหรอ”

วินมันพยักหน้าตามใจผม หลังจากเราเดินเล่นกันสักพักผมกับวินก้อไปสมทบกับญาติที่ร้านอาหาร ที่ร้านคนมากันเยอะแล้วรวมทั้ง ปู่กับย่า และญาติๆของผมที่ไร่ด้วย

บรรยากาศคืนนี้ก้อสนุกสนาน วินเองก้อดูจะไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่แล้ว ผมเองก้อว่าจะลองถามกับแม่เรื่องที่ไปออสเตเลียดู แต่คิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไร

พี่นัทเองก้อทำตัวกลมกลืนไปกับเพื่อนๆของผมได้ทุกคน รวมทั้งไอ้วิน ด้วย เราอยู่กันจนดึก ปู่กับ คนที่ไร่ขอตัวกลับไปก่อน ส่วนพวกเพื่อนๆก้อทยอยกันลับไปบ้าง ที่อยู่ก้อเหลือแต่ที่สนิทๆกันทั้งนั้น

เราเลยต้องมานั่งรวมกันเป็นโต๊ะเดียว เพราะตอนแรกพวกเรานั่งแยกกันกับพวกผู้ใหญ่ เพราะจะได้คุยกันได้เต็มที่ และหลังจากที่เรามานั่งรวมกัน พอของวินก้อหันมาคุยกับผม

“จบแล้วจะทำอะไรต่อหรือป่าวลูก” ลุงกิติถามผมน้ำเสียงดูเอ็นดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่

“ยังไม่รู้เลยครับว่าจะทำงานหรือเรียนต่อ” ผมตอบกลับไป

“พอดีลุงคุยกับคุณนนท์แล้วก้อแม่เราแล้วนะ ลุงขอตัวเราไปช่วยงานที่บริษัทสักพัก เพราะอยากได้คนรุ่นใหม่ๆมาทำงานด้วย ส่วนเจ้าวินมันลุงก้อว่าจะส่งไปดูระบบงานที่บริษัทเพื่อนที่ออสเตเลีย ถ้ายังงัยรอนมาช่วยงานลุงหน่อยนะลูก”

ผมกับวินมองหน้ากัน ดูเหมือนวินจะพยายามส่งซิกให้ผมปฏิเสธ ผมเลยยังไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มๆเท่านั้น

“เอาเป็นว่าลุงยังไม่เร่งเราก้อแล้วกัน ให้เราได้ลองคิดดูก่อนก้อแล้วกันนะลูก” ลุงกิติบอกผมแล้วยิ้มให้ ผมได้แต่กล่าวขอบคุณกับโอกาสดีๆที่แกยื่นให้

หลังจากที่ดึกพอสมควร เราก้อจะแยกย้ายกลับ เพราะพรุ่งนี้พวกผู้ใหญ่จะกลับกรุงเทพกันเลย แต่ผมจะอยู่เก็บของอีกวันสองวัน วินเองมันก้อจะอยู่ด้วย

แต่พี่นัทจะกลับไปทำธุระที่กรุงเทพ เลยไม่ยอมอยู่ตามคำชวนของผม ตอนที่เราจะออกจากร้านผมเห็นวินมันคุยกับลุงกิติหน้าตาเคร่งเครียด คงหนีไม่พ้นเรื่องของผม

ในตอนนั้นผมเองก้อรู้สึกไม่ดีที่เป็นต้นเหตุให้พ่อลูกเค้าทะเลาะกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันลุงกิติเดินมาหาผมตอนที่ไอ้วินมันไปเอารถ

“รอน ลองไปคิดดูนะลูก แล้วก้อเรื่องของเรากับวิน”

“ผมขอโทษคุณลุงด้วยนะครับกับเรื่องของเราสองคน”

“ลุงไม่ได้โกรธเราหรอกเรื่องของวินกับเรา ลุงต้องขอบใจเราถึงจะถูกเพราะว่าเจ้าวินมันเปลี่ยนไปในทางที่ดีนะตั่งแต่เจอกับเรา

มันพูดถึงเราอยู่บ่อยๆจนลุงเริ่มสังเกต แต่ว่านะรอน ลุงเองก้อมีลูกชายแค่คนเดียวลุงเองก้ออยากจะเห็นเค้าเดินไปในทางที่ถูกที่ควร เราเข้าใจลุงมั๊ยลูก”

ผมเองรู้สึกลำคอมันตีบ พูดอะไรไม่ออกจนวินไปเอารถมา ลุงกิติเลยขึ้นรถไป

“นายตอบอะไรพ่อเราไปหรือยัง” วินมันเดินลงมาถามผม

“ยังหรอก”

“ดีแล้วล่ะ อย่าไปฟังนะ ถ้านายไม่ไปเราก้อไม่ไปเหมือนกัน” มันจับมือให้กำลังใจผมก่อนจะเดินไปที่รถ ส่วนผมก้อเดินไปขึ้นรถที่ลุงกับแม่และพี่นัทรออยู่

วันนี้แม่มานั่งข้างหลังกับผม แล้วให้พี่นัทเป็นคนขับ อยู่ๆแม่ก้อดึงผมเข้าไปกอดผมรู้สึกว่าแม่ตัวสั่นๆเหมือนจะร้องไห้ ผมคิดว่าแม่คงจะดีใจและปลื้มใจที่ผมเรียนจบ แต่พอแม่พูดกับผมมันก้อทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่

“รอนปล่อยวินเค้าไปได้มั๊ยลูก”

ผมชาวาบไปทั้งตัวทันทีที่ได้ยินแม่พูดแบบนั้น นี่แม่กำลังทุกข์ใจเพราะผมหรือนี่ หรือว่ากำลังผิดหวังที่ลูกชายของแม่เป็นแบบนี้ น้ำตาของแม่ที่ผมไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่พ่อจากเราไป มันทำให้ผมต้องร้องไห้ตามไปด้วย

“แม่ผิดหวังในตัวผมใช่มั๊ยครับ รอนขอโทษนะครับแม่ ”ผมได้แต่ถามแม่ในขณะที่แม่กอดผมไว้

“แม่อาจจะตกใจนะลูก แต่ก้อไม่ได้ผิดหวังอะไรมากมาย แต่แม่เสียใจที่แม่ไม่เคยรู้มาก่อน และที่สำคัญแม่กำลังกังวลใจถึงวันข้างหน้าของเราต่างหาก”

ผมกำลังจะถามว่าแม่กำลังกังวลอะไร ลุงนนท์ก้อบอกมาเสียก่อน

“รอนลูก ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอะไร ลุงกับแม่ก้อตามใจเราเพราะว่าตลอดเวลาเราเองก้อเป็นลูกที่ดีมาตลอด แต่ว่าตอนนี้กำลังมีหัวอกคนเป็นพ่อคนนึงกำลังทุกข์ใจเพราะเรานะ ลุงอยากให้เราคิดให้ดีนะลูก”

ลุงนนท์พูดกับผม น้ำเสียงยังคงดูห่วงใยผมเหมือนเดิม ส่วนพี่นัทได้แต่เงียบไม่ได้พูดอะไร จนเรามาส่งลุงกับแม่ที่โรงแรม แล้วผมกับพี่นัทก้อกลับมาที่คอนโดกันสองคน ทันทีที่จอดรถพี่นัทก้อเอื้อมมือมาจับมือให้กำลังผม

“อย่าคิดมากเลยนะ ตราบใดที่ไม่มีใครบอกเราได้ว่าพรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องของเรากับวินก้อต้องมีหนทางแน่นอน”

น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วกลับไหลลงมาอีกครั้ง ไหลมาให้กับความรักและความห่วงใยที่พี่นัทมอบให้ผมเสมอมา

คืนนั้นผมนอนคิดทั้งคืนว่าผมควรจะทำยังงัยดีสุดท้ายผมก้อมีคำตอบให้กับตัวเอง และเรื่องราวของผมกับวิน....
*
*
*
เช้านี้ผมมาส่งแม่ที่สนามบิน แม่พูดกับผมก่อนจะขึ้นเครื่องพี่นัทเองก้อเดินเข้ามากอดผมไว้ก่อนจะเดินไปพร้อมแม่กับลุง

ผมกำลังจะกลับไปที่คอนโดก้อเลยโทรหาวิน แต่มือถือมันปิดเลยกลับมาคนเดียว ผมมาทำเรื่องคืนห้อง และเตรียมเช็คข้าวของเครื่องใช้

แต่มันก้อไม่มีอะไรมากแล้วเพราะบางอย่างผมก้อเอาไปไว้ที่ไร่ของพ่อผม เพราะเผื่อถ้าผมขึ้นมาเยี่ยมปู่กับย่า จะได้ไม่ขาดเหลืออะไร

จนเย็นวินมันก้อยังไม่มาผมเลยโทรไปหามันอีกรอบ แต่ก้อนานกว่าที่มันจะรับสาย

“ทำอะไรอยู่ว่ะโทรไปตั้งนานกว่าจะรับ แล้วนี่อยู่ที่ไหนว่ะเนี้ย” ผมถามวินเป็นชุด

“อยู่กรุงเทพ พอดีมีธุระนิดหน่อย” เสียงวินดูแปลกไปกว่าที่เคย ผมเองก้อมัวแต่โกรธมันที่มันกลับกรุงเทพแล้วไม่บอกผมสักคำ เลยด่ามันไปชุดนึง

“เออ...เราขอโทษแล้วกัน ว่าแต่นายจะกลับลงมาเมื่อไหร่เดี๋ยวอีกวันสองวันเราขึ้นไปหา อย่าเพิ่งรีบกลับลงมานะ ยังไม่ได้คุยกันเลย” วินมันบอกผม

“เร็วๆแล้วกันนะ ถ้าช้าก้อไม่รอนะเว้ย แล้วพรุ่งนี้เราจะคืนห้องเค้าแล้ว ถ้ามาก้อหาเราที่บ้านไร่แล้วกันนะ”

“อือม์....แล้วไว้เจอกัน แค่นี้ก่อนนะ”หลังจากที่เราวางสายไปผมเองก้อคิดว่าจะบอกวินยังงัยดีถึงเรื่องที่ผมตัดสินใจ

และในวันนี้ช่วงบ่ายๆโอ๊ตกับน้องลินก้อแวะมาพาผมไปกินข้าว ผมเลยบอกเรื่องของผมกับที่บ้านของวินให้พวกนั้นฟัง

“แล้วพี่รอนจะเอายังงัยค่ะ แล้วพี่วินเค้าจะยอมหรือเปล่า” น้องลินเป็นห่วงแทนผมหลังจากที่ผมบอกว่าจะเอายังงัย

“พี่ก้อไม่รู้เหมือนกัน แต่มันน่าจะดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายนะ” ผมได้แต่ปลอบใจตัวเอง

“เอาน่า อย่าเพิ่งคิดมากมันต้องมีหนทางสิน่า” โอ๊ตเองก้อให้กำลังใจผมเต็มที่ แม้ว่าผมเองยังไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไหร่นักในอนาคตของผมกับวิน

ช่วงเย็นๆบริษัทขนส่งได้มาที่คอนโดเพื่อจะขนของผมลงไปกรุงเทพ ผมตรวจเช็คและเซ็นต์เอกสารก่อนจะคืนห้อง ผมยืนอยู่ที่หน้าคอนโด

ภาพตั่งแต่วันแรกที่ผมกับวินได้รู้จักกันมันยังแจ่มชัดอยู่ในหัวของผม ตลอดระยะเวลา 4ปีที่เราอยู่เคียงข้างกันและกันมีเรื่องราวและความทรงจำที่ดีๆและสวยงามเกิดขึ้นมากมาย

ในมือของผมยังคงถือโหลที่วินให้ผมไว้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ดาวจะเต็มโหล หรือว่าวันนั้นมันจะไม่มีทางมาถึง

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
ไล่ +1 ให้ทุกแล้ว  ใครไม่ได้มาประท้วงได้ค๊าบ 555+ :m4:

ranaways

  • บุคคลทั่วไป

marchmenlo

  • บุคคลทั่วไป
หวั่น ๆ กลัวใจรอนจัง กลัวว่าจะทิ้งวินไป....
ทำไมเหรอ รักแท้มันต้องเสียสละเสมอไปเหรอ....

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:L2:
แวะเข้ามาให้กะลังใจไอ้ตัวแสบวินกะรอนผู้น่ารัก...
ที่สำคัญคิดถึงพี่นัท  :o8:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

........บนทางรักที่แสนยาวไกล........ยังมีอุปสรรคอีกมากมายที่กางกั้น..... o13 o13

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
Re: กว่าจะถึง...ซึ่ง&#
«ตอบ #198 เมื่อ27-09-2008 19:55:17 »

แว๊บบบบบบบบบบมา  ตอนสอบ  หยุดหลายวันเลยแอบมาลง คึคึคึ :m4:


ตอนที่.5
หลังจากที่นอนเล่นนั่งเล่นรอไอ้วินมันอยู่ 2-3 วันวันนี้วินมันก้อโทรมาบอกว่ากำลังขึ้นมาผมเองก้อเตรียมใจที่จะบอกวินมันแล้วว่าผมตกลงใจจะอยู่ช่วยงานพ่อของมันก่อน

แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันว่าผมจะตามมันไปหรือมันจะกลับมาหาผมแทน ผมหวังว่ามันจะเข้าใจ และหวังว่าพ่อของวินก้อจะเข้าใจพวกเรา

ผมยืนปล่อยความคิดไปเรื่อยๆจนเสียงโทรศัพท์ดังเลยหยิบขึ้นมาดู ผมยิ้มทันทีที่เห็นว่าวินมันโทรเข้ามา ป่านนี้คงจะมาถึงเชียงใหม่แล้ว

“ว่างัย กำลังยืนคิดอะไรอยู่” วินถามผมทันทีที่ผมกดรับโทรศัพท์

“กำลังคิดถึงว่าจะด่าไอ้คนที่ปล่อยให้รอมาหลายวันว่าอะไรดี” วินมันเงียบไปก่อนจะพูดกลับมา

“เราขอโทษนะที่ปล่อยให้นายต้องรอ แต่ต่อไปเราสัญญาว่าจะไม่ให้นายต้องรออีกแล้ว” เสียงของวินเปลี่ยนไปดูจริงจัง

“ไอ้บ้า เราล้อเล่น แล้วถึงไหนแล้วว่ะ จะให้ไปรับหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอกตอนนี้เรากำลังอยู่ในที่ที่มองเห็นนายได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ” ผมหันหลังกลับไปมองก้อเห็นวินมันยืนอยู่ข้างหลัง

“รวยจังนะไอ้คุณชาย หรือว่ามีพ่อเป็นเจ้าของเอไอเอส” ผมวางสายก่อนจะเดินมาหามัน วินมันหัวเราะ แต่ผมรู้สึกว่าสายตาของวินมันไม่ได้หัวเราะตามไปด้วย ดูมันเหนื่อยๆ

“มีอะไรว่ะ ดูเหนื่อยๆนะ แล้วที่รีบลงไปกรุงเทพน่ะ เพราะทะเลาะกับพ่อหรือเปล่า” วินมันไม่ตอบแต่เดินมาจับมือผมแล้วพาผมเดินไปด้วยกัน

เราเดินขึ้นมาบนเนินที่สูงที่สุดของไร่ จากตรงนี้สามารถเห็นไร่ส้มได้ทั้งหมด ต้นส้มนับพันต้นทั้งของไร่พ่อ และไร่ใกล้เคียงเรียงรายกันเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา

บนนี้เรายังเห็นฝายเก็บน้ำที่ผมกับวินมักจะไปด้วยกันบ่อยๆ ลมเย็นๆพัดมากระทบหน้าทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ผมยืนดูพระอาทิตย์ที่อยู่สุดปลายฟ้า

“ลมเย็นดีน่ะ อยู่บนนี้แล้วสบายใจจัง นึกแล้วก้อไม่อยากกลับไปกรุงเทพเลยวะ”ผมหันไปบอกกับวิน

“นั่นสิ เราเองก้อชอบที่ไร่นี้ มันรู้สึกผูกพันยังงัยไม่รู้”

“วินถ้าเราจะมาอยู่ที่นี่ นายว่ามันจะเป็นยังงัยว่ะ อย่างเราจะทำอะไรได้มั้งมั๊ยน่ะ” ทั้งวินและผมต่างก้อเงียบ

ผมรู้สึกว่าเราทั้งคู่อยากจะบอกอะไรกันแต่ก้อยังไม่กล้าที่จะเอ่ยปากเราต่างยืนกันอยู่แบบนั้น หันมายิ้มให้กันเป็นช่วงๆ

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคำพูดมันพูดไม่ออกทั้งๆที่อยากจะบอก ทั้งๆที่เตรียมใจที่จะบอกกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ วินเองก้อคงจะรู้สึกไม่ต่างกันไหร่

“รอน ตอนที่พี่นัทของนายไปญี่ปุ่น นายเสียใจมากมั๊ย” ในที่สุดวินเองก้อเป็นฝ่ายพูดก่อน

“มากสิ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่ยังงัยโดยที่ไม่มีพี่นัทอยู่ข้างๆเพราะพวกเราอยู่ด้วยกันมาตั่งแต่เด็กๆ แต่พอเวลาผ่านไปสักพักมันก้อค่อยๆดีขึ้น

และในตอนนั้นเราเองก้อไม่อยากจะคิดอะไรเกินเลยไปกว่าพี่น้อง เพราะพี่นัทเองก้อมีพี่วาแล้ว”

“ แล้วตอนี้ล่ะ นายยังเจ็บปวดมั๊ยที่อยู่ข้างๆพี่นัทแบบนี้” วินยังถามผมต่อ

“ไม่แล้วล่ะ แต่กลับอบอุ่น และเข้าใจกันมากกว่า เราว่าเรารักกันมากขึ้นด้วยนะ ไม่ต้องมาแสดงออกว่ารักกัน ไม่ต้องพูดคำว่ารักกันพร่ำเพื่อ

แต่เราก้อรู้กันดีว่าต่างก้อหวังดีและห่วงใยกันและกัน” ผมคิดว่าวินคงกลัวถ้าเราต้องห่างกันเวลาที่วินไปดูงาน

“นายว่าเวลามันจะช่วยได้จริงเหรอ” วินเงียบไปนิดหน่อยก่อนจะหันมามองผมแล้วพูดต่อ

“ รอนที่นายหายเจ็บตอนนี้เป็นเพราะเวลาหรือเพราะว่าความรู้สึกที่มันเปลี่ยนไป แล้วถ้าเราต้องห่างกันล่ะ มันจะไม่ต้องเจ็บกว่ามั๊ยถ้าตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกัน”

ผมรู้สึกแปล๊บๆในใจที่ได้ยินแบบนั้น

“วินนายอย่าคิดมากเลย เราคิดแล้วว่าเราจะอยู่ช่วยงานพ่อของนายสักพัก ถ้าตอนนั้นนายกลับมาอะไรๆมันอาจดีขึ้น แต่ถ้านายยังไม่กลับเราจะตามนายไปเองดีมั๊ย”

ผมรีบบอกในสิ่งที่ผมคิดมาตลอด2-3วันหวังเผื่อให้วินสบายใจขึ้น

“ขอบใจนะที่อยู่ช่วยพ่อเรา แต่นายไม่ต้องตามเราไปหรอกนะ สักวันนึงเราก้อจะกลับมาเอง แต่ก่อนไปเราอยากจะให้เรากลับมาเป็นแค่เพื่อนกันเหมือนเดิมได้มั๊ย”

สิ่งที่ผมกลัวตั่งแต่ที่รู้ตัวว่ารักคนที่อยู่ตรงหน้า ก้อกำลังจะเกิดขึ้น

“ทำไม มีอะไรหรือเปล่า นายไม่เชื่อใจเราเหรองัย ไม่เชื่อในความรู้สึกที่พวกเรามีให้กันหรืองัยว่ะห๊ะไอ้วิน”

ผมอดน้อยใจและเสียใจไม่ได้ รู้สึกได้ว่าน้ำตาพาลจะไหลออกมาอยู่แล้ว

“ป่าวหรอก แต่เราจะฝืนมันไปทำไมในเมื่อถ้าความรักของเรามันทำให้หลายคนรอบข้างที่รักเราล้วนต้องเสียใจทั้งแม่นาย และ พ่อของเรา

เราว่าจบมันตั่งแต่ตอนนี้ดีกว่ามั๊ย มันเพิ่งจะเริ่มเองยังไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ที่ต้องเลิกกัน ดีกว่าปล่อยให้มันผ่านไปนานกว่านี้นะ”

ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟดูด มันช้าไปทั้งตัวที่ได้ยินว่า ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ที่ต้องเลิกกันตอนนี้ของมัน

น้ำตาที่ห้ามไว้ก้อปล่อยให้มันไหลออกมา

“วินวันนี้นายกลับไปนอนที่คอนโดก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกัน” ผมบอกกับวินก่อนจะเดินกลับลงมาที่บ้าน วินเองก้อกลับไปโดยที่เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก

อีกครั้งแล้วที่ต้องเจ็บเพราะความรู้สึกนี้ ความรู้สึกแค่อยากมีคนที่เรารักและรักเรา ทำไมมันถึงเร็วแบบนี้ ยิ่งผมคิดผมก้อยิ่งร้องไห้มากขึ้น

ผมนอนปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่คนเดียวในห้องที่ปู่กับย่าให้คนจัดไว้ให้ข้าวของของผมถูดจัดให้เข้าที่เข้าทางแล้ว โหลที่วินให้ผมยังอยู่บนหัวเตียง ผมอยากจะขว้างมันทิ้งไป

ในที่สุดโหลนี้ก้อจะไม่มีวันเติมเต็ม ไอ้วินทำไม......ทำไมนายทำแบบนี้ ผมได้แต่ถามมันโดยที่มันคงไม่ได้ยิน และคงไม่มีคำตอบสำหรำบคำถามข้อนี้

ผมหลับไปจนได้ยินป้ามาเรียกให้ออกไปกินข้าว ตอนนี้ฟ้าข้างนอกมืดแล้วมันดูมืดกว่าทุกคืนเหราะมันมืดมาถึงหัวใจของผมในตอนนี้ สักพักเพื่อนๆที่อยู่ในเมืองก้อโทรมาหาผม

“ไอ้รอน ตอนนี้นายอยู่ไหนว่ะ ไอ้ห่าวินมันเป็นอะไรของมันว่ะ เมาไม่รู้เรื่องเลย แม่งร้องไห้ฟูมฟายอะไรใหญ่เลย มาดูมันหน่อยได้มั๊ย”

“เราอยู่บ้านไร่ นายดูมันไปก่อนแล้วกันนะ แล้วพามันไปส่งที่ห้องมันด้วย” ตอนนั้นผมยังไม่อยากเจอหน้าของวิน เพราะยังทำใจไม่ได้ แม้จะเป็นห่วงมัน และรู้ว่ามันก้อคงเสียใจไม่ต่างจากผมเท่าไหร่

ผมวางสายจากเพื่อนก้อกลับมาจมกับความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ในที่สุดผมก้ออ่อนแออีกครั้ง คนเดียวที่ผมนึกถึง

“ว่างัย เมื่อไหร่จะกลับลงมาหาพี่ล่ะ” เสียงพี่นัทดังมาตามสายทันทีที่รับโทรศัพท์ผม

“ฮื่อ....ฮื่อ.....พี่นัทมันจบแล้ว ผมกับวินเราเลิกกันแล้วครับ ผมเจ็บไปหมดเลยครับพี่นัท ผมจะทำยังงัยดีให้วินมันกลับมา”

“ใจเย็นๆ ไหนเล่าให้พี่ฟังสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผมเล่าให้พี่นัทฟังหมดทุกอย่าง

“รอน พี่ว่าวินเค้าคงมีเหตุผลนะ ถ้าลองเป็นคุณน้ามาข้อร้องเราบ้างเราจะทำยังงัย พี่เข้าใจว่าเราเสียใจ แต่วินเค้าจะเสียใจกว่าเราแค่ไหน

เพราะเค้าต้องเป็นคนพูดมันออกมา การที่เราต้องพูดจาทำร้ายแฟนตัวเองทั้งๆที่ยังรักเค้ามันเจ็บกว่าเป็นคนฟังหลายเท่านัก

ต้องยอมให้เราโกรธหรืออาจจะเกลียดกันไปเลย แล้วแบบนี้วินเองไม่กลุ้มกว่าเราเหรอ พี่เองยังจำความรู้สึกนี้ได้ดีนะในวันที่เราอยู่ที่สนามบินวันที่การตัดสินใจของพี่จะทำให้เสียคนที่พี่รักไปเลย”

“พี่นัทครับ....ผมขอโทษ”

“ไม่เป็นไร เพราะพี่ก้อได้น้องชายที่น่ารักคืนมาแทน น้องชายที่พี่รู้ว่าเค้าก้อรักพี่มากและเราจะไม่มีวันทิ้งกันได้........จริงมั๊ย”

ผมคุยกับพี่นัทอีกมากมาย คำพูดของพี่นัททำให้ผมคิดอะไรได้มากมาย ผมลืมไปเลยกับความรู้สึกของผมตอนปีแรก

ไอ้ความรู้สึกที่ขอแค่อยู่ข้างๆก้อพอ มันหายไปหมดตั่งแต่เราได้ครอบครอง ความเห็นแก่ตัวของเรามันทำให้เรามองไม่เห็นถึงความทุกข์ใจของคนที่สำคัญกับหัวใจเรามากอย่างวิน

เราคงต้องยอมรับกับความจริงแล้วล่ะ ว่าเราเดินมาสุดทางแล้วกับเส้นทางของความรักที่มันผิดธรรมชาติแบบนี้

และตลอดเวลาที่เราเดินกันมาผมไม่เคยเสียใจเลย เพราะวิวข้างทางมันสวยงามยิ่งนัก และผมคงจะจดจำมันไว้เป็นอย่างดี

*
*
*
*
*

วันนี้ผมตื่นสายกว่าปกติ เพราะกว่าเมื่อคื่นจะข่มตาให้นอนหลับได้ก้อดึกเต็มทน วันนี้ผมรอว่าวินจะมาเมื่อไหร่ผมมีเรื่องอยากคุยกับวินมันเยอะแยะแต่ก้อเกือบเย็นกว่าวินมันจะมาถึง

“ขอโทษนะพอดีเมื่อคืนไปฉลองอำลากับพวกเพื่อนๆน่ะ เพราะพวกมันเพิ่งรู้ว่าเราจะไปออสเตเลียน่ะ”

“ไม่เป็นไร เมาล่ะสิเมื่อคืนพวกมันก้อโทรมาหาเราว่าเราไปหักอกนายหรือป่าว” หน้าของวินมันซีดลงไปทันทีที่ได้ยินผมพูด

“เฮ้ย....เราพูดเล่นอย่าคิดมากสิ เราไปเดินเล่นกันที่เนินเมื่อวานดีกว่าป่ะ”

ผมกับวินเราเดินมายังที่เดิมของเมื่อวานอีกครั้ง แต่คนละความรู้สึกกัน เราทั้งคู่ดูเหมือนคนอดนอนกันทั้งคู่

วันนี้ฟ้าดูเหงากว่าที่เป็น คงเพราะเวลาโพล้เผล้แล้วมั๊ง สีแสดของท้องฟ้าให้ความรู้สึกเศร้าจับใจ ทำไมคนเราเวลาเศร้ามักจะมองทุกอย่างรอบตัวดูโศกเศร้ากว่าที่เป็นอยู่

“วินแล้วนายจะไปเมื่อไหร่”ผมถามวินหลังจากที่เราเดินขึ้นมาถึงแล้ว

“คงเป็นอาทิตย์หน้านี้แหล่ะ”

“ทำไมไปไวจังว่ะ รีบหนีเราขนาดนั้นเลยเหรอ” อดน้อยใจขึ้นมาอีกไม่ได้

“ป่าว พอดีทางเพื่อนพ่อเค้าอยากให้เรารีบไปดูเพราะเค้าจะมีโปรเจ็คใหม่พอดี เลยอยากให้ไปตั่งแต่เริ่มทำกันน่ะ”

วินรีบปฏิเสธพัลวัน ผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้กับท่าทางของวิน

“สบายใจแล้วเหรอ”วินหันมาถาม

“ใช่สิ ใครมันจะทำใจไวได้เท่านายว่ะคนหักอก ย่อมไม่เหมือนคนอหักนี่หว่า” ผมแกล้งพูดต่อว่าวินมัน แต่ลึกๆก้ออยากพูดให้วินมันรู้สึกจี๊ดๆบ้าง

“รอนเราขอโทษนะที่ทำให้นายเสียใจ นายจะให้เราทำอะไรเราก้อยอม”

“จริงเหรอ ถ้างันก้ออย่าทิ้งกันแบบนี้สิ ทำได้หรือเปล่า”วินถึงกับเงียบที่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด

“ฮ่า...ฮ่า... เราล้อเล่น” ผมหันไปพูดกับวินแบบจริงจัง

“เราเข้าใจนะว่า มันเป็นยังงัยเราไม่โกรธหรอก แต่ถ้าจะบอกว่าไม่เสียใจมันก้อคงจะเป็นการโกหก เพราะว่าเราเองก้อเสียใจและเจ็บมากเหมือนกัน

แต่เราหวังว่าเวลามันคงจะช่วยเราได้ แต่ไม่ว่ายังงัยเราก้อจะเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่มั๊ย”

วินมันหันมายิ้มให้กับผม ก่อนที่จะพยักหน้าให้

“ แน่นอนเราจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

“งั้นเป็นการไถ่โทษนายต้องแบกเราลงไปที่บ้านตกลงป่ะ”

“สบายมาก...มาเลยรับรองคราวนี้ไม่มีแกล้งกันแน่นอน” วินเดินมาย่อตัวลงข้างหน้าผม ผมขึ้นไปกอดคอวินก่อนที่วินมันจะพาลงเดินลงมาเรื่อยๆ

ตลอดทางเราไม่ได้พูดกันเท่าไหร่นัก แต่ผมเองก้อหวังว่าจะได้ยินคำว่า “รักนะ” จากมันอีกครั้ง แต่กลีบเป็นคำว่า “ ขอโทษ” แทนในวันนี้

ผมกอดวินแน่นขึ้น วินเองก้อกระชับขาผมให้แน่นขึ้น

“แล้วจะไปนานมั๊ย รีบๆกลับมาล่ะ” ผมถามวิน

“ยังไม่รู้เลย ยังตอบไม่ได้ว่าจะนานเท่าไหร่” ผมเอาหน้าแนบกับวินเหมือนที่เคยทำ

“โชคดีน่ะวิน ก้าวเดินไปข้างหน้าตามทางที่เลือกอย่างสบายใจเถอะน่ะ ถ้านายหันหลังกลับมานายจะเจอเราอยู่ข้างกลังเสมอ”

“ ขอบใจมากนะรอน”


หลังจากวันนั้นวินกับผมเราใช้เวลาร่วมกันแบบคุ้มค่าที่สุดตลอกเวลาผมกับวินเราจะพูดเรื่องอนาคตในวันข้างหน้า แต่จะพูดเรื่องเก่าๆกันซะมากกว่า

จนวันที่ผมกับวินกลับกรุงเทพ เราเดินออกมาที่หน้าสนามบินผมและวินเราต้องแยกกันตรงนี้แล้วจริงๆ

“สรุปจะไม่บอกจริงๆเหรอว่าจะบินวันไหน” ผมถามวินอีกครั้ง

“เราอยากไปแบบเงียบๆคนเดียวมากกว่า คนเยอะแล้วมันเศร้า เดี๋ยวพาลจะไม่อยากไปกันพอดี”

เราต่างเรียกแท็กซี่กันคนล่ะคัน พอเวลาที่ต้องจากกันจริงๆ มันก้อทำใจไม่ได้อย่างที่ใจคิด น้ำตาที่ไม่อยากให้เห็นก้อเห็นกันจนได้ ผมเดินไปหาวินอีกครั้ง

“วิน พูดมาสิว่าจะให้เรารอหรือเปล่า จะ1ปี2ปีหรือมากกว่านั้นถ้าบอกว่าจะให้เรารอเราก้อจะรอ”

วินจับบ่าผมแล้วส่งยิ้มเหงาๆมาให้

“อย่ารอเราเลยนะรอน ดูแลตัวเองดีๆล่ะ ล่าก่อน” วินเดินไปขึ้นแท็กซี่ แล้วก้อจากไปในตอนนั้น ผมมองจนแท็กซี่คันนั้นหายไปจากสายตา


ล่าก่อนวิน สายลมที่อบอุ่น สายลมที่เพียงเพื่อพัดผ่านมาให้ความอบอุ่น แต่ใครกันที่จะเก็บสายลมไ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2008 19:53:20 โดย SE7EN_AKIRA »

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
ตอนที่.6
หวัดดี.........ไอ้คุณชาย

วันนี้ฝึกงานเป็นยังงัยบ้าง โปรเจ็คใหม่ที่ว่าจะเริ่มทำได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาหรือยัง พรุ่งนี้เราเองก้อจะเริ่มไปทำงานกับพ่อนายเป็นวันแรกหลังจากที่ปล่อยเวลาผ่านไปเกือบๆเดือน

ได้ไปเที่ยวหลายที่เลยล่ะ เออนี่...ไอ้โอ๊ตเองก้อได้งานแล้วนะ ส่วนไอ้ป๋อมมันยังคงเป็นลูกที่ดีเกาะพ่อเกาะแม่กินอยู่ เห็นมันว่าอยากจะเรียนต่อเหมือนกัน

ส่วนที่เหลือก้อเรียนบ้าง เที่ยวบ้างตามสันดานของพวกมันไปเรื่อย อยู่ทางโน้นเป็นงัยสบายดีหรือป่าว ใจดำจังไม่ยอมตอบเมมล์เพื่อนเลยนะโว้ย

สาวๆที่นั่นเป็นงัยบ้างสวยถูกใจหรือป่าว หรือว่ามั่วแต่เหล่หนุ่มๆอยู่ (555 เราล้อเล่นน๊า อย่าคิดมาก) ยังงัยก้อดูแลตัวเองดีๆนะ เพื่อนๆฝากความคิดถึงมากันหลายคนโดยเฉพาะคนเขียน ง่วงแหละไปนอนดีกว่าแล้วพรุ่งนี้เราจะมาคุยใหม่นะ

รีบกลับมาไวๆนะมีคนรอการกลับมาของนายอยู่

คิดถึงเสมอ.........................รอน..


มันคงเป็นกิจวัตรประจำตัวไปซะแล้วที่ผมต้องเมลล์ไปหาวินมันก่อนนอนทุกๆคืน นี่ก้อเกือบๆเดือนแล้วที่ผมได้รู้จากลุงกิติพ่อของวินว่าวินได้ไปออสเตเลียแล้ว

ทุกครั้งที่ผมเปิดเมลล์ ก้อจะลุ้นทุกครั้งว่ามีเมลล์จากวินตอบกลับมามั๊ย แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมเพียรส่งไปหามันทุกวัน

ผมไม่เคยได้รับเมลล์ตอบกลับมาเลยสักฉบับเดียว หลังจากที่วินได้จากไปแล้วผมเองก้อใช้เวลาที่ผ่านมาไปเที่ยวในหลายๆที่

พี่นัทเองตอนแรกก้อจะไม่ยอมกลับสิงค์โปร์ เพราะมัวแต่เป็นห่วงผม ต้องฝืนทำตัวเข้มแข็งอยู่หลายวันกว่าพี่นัทจะยอมเชื่อและกลับไปที่สิงค์โปร์

และทุกวันนี้ผมเองก้อยังไม่รู้ว่าทำไมวินมันถึงยอมที่จะปล่อยมือจากผมไปง่ายๆแบบนี้ทั้งๆที่มันเป็นคนที่บอกผมเองว่าอย่าไปฟังพ่อของมัน

แต่ผมเองก้อคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ดึคงได้แต่รอ.......รอว่าเมื่อไหร่ที่วินมันจะกลับมาแล้วมาให้คำตอบว่า.........ทำไม
*
*
*
*

วันนี้ผมได้มาทำงานที่บริษัทของลุงกิติวันแรก พี่ๆที่นี่ให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดีคงเพราะเกรงใจลุงกิติด้วยมั้งเพราะแกเล่นพาผมเดินดูแต่ล่ะแผนกด้วยตัวเอง

“ลุงขอบใจเรามากนะที่ยอมมาช่วยงานของลุง” ลุงกิติเอ่ยขอบคุณผมหลังจากที่เราเดินดูแผนกต่างๆในบริษัทจนเกือบๆบ่ายลุงแกเลยพาผมออกมากินข้าวกลางวันกัน

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก้อเต็มใจ จะได้ถือโอกาสหาประสบการ์ณไปในตัว”

“เราโกรธลุงเรื่องของวินมันหรือป่าวลูก”ผมชะงักนิดหน่อยที่ลุงกิติเอ่ยถึงลูกชายของแก

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”นั่นคงเป็นคำตอบที่ผมคิดว่าคงจะดีที่สุดในตอนนั้น หลังจากที่ลุงแกฝากฝังผมกับผู้จัดการและพี่ๆที่บริษัทแล้วแกก้อจะไปทำธุระที่ต่างประเทศประมาณ2อาทิตย์

งานที่ผมได้รับมอบหมายนั้นแทบจะไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่นักเรียกว่ามานั่งๆนอนๆเสียมากกว่า วันเวลาแต่ล่ะวันผ่านไปแบบเหงาๆ ทุกๆคืนผมยังคงส่งเมลล์ไปหาวินอย่างสม่ำเสมอ

แต่ก้อยังไม่ได้รับการตอบกลับมาเหมือนเดิม ลุงกับแม่ก้อไม่ค่อยจะอยู่บ้านเท่าไหร่นัก จนวันนึงลุงกับแม่ก้อเรียกผมมาคุยด้วย

“รอนพักนี้เป็นยังงัยบ้างลูก มีความสุขดีมั๊ย มีอะไรคุยกับแม่ได้นะลูก”

“ก้อดีครับแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“แล้วเรื่องงานล่ะเป็นงัยบ้างไปทำมาได้กี่วันกันแล้ว นี่ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังบ้างเลย”

“ก้อดีครับ พี่ๆที่ทำงานก้อเป็นกันเองทุกคน งานก้อไม่มีอะไรมากเพราะผมเพิ่งไปได้แค่ไม่กี่วันเอง ดูแล้วก้อม่น่าจะมีปัญหาอะไร แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ว่าแต่วันนี้ทำมั๊ยให้ผมรีบกลับล่ะครับมีอะไรหรือป่าว”

“ทำไม แม่ก้ออยากกินข้าวเย็นกับลูกชายบ้างมันแปลกเหรองัยเรา” ความรักความห่วงใยที่แม่มีให้ยังคงยิ่งใหญ่เสมอ

“รอน แม่กับลุงคุยกันแล้ว ลุงเค้าอยากจะย้ายไปอยู่ที่สิงค์โปร์นะลูกธุรกิจที่โน้นดูท่าว่าจะไปได้ดีกว่าที่นี่ ลุงเค้าจะขายหุ้นที่นี่ให้กับเพื่อนๆที่ถือหุ้นอยู่แล้วย้ายไปลงที่โน้นแบบเต็มตัว

อีกอย่างแม่กับลุงก้อแก่แล้วต้องเทียวบินไปๆมาๆไม่ไหวเดี๋ยวนี้มันเหนื่อยไม่เหมือนแต่ก่อน ลูกก้อมีแค่สองคน คิดว่าถึงแม่กับลุงต้องจากไปก้อไม่ทำให้เราลำบากแน่นอน เราอยากจะตามแม่ไปอยู่ที่โน้นมั๊ย พี่นัทเค้าก้อดูแลงานอยู่ทางโน้นอยู่แล้ว”

ผมเองตกใจที่ได้ยินแบบนั้น ตอนนี้ผมยังไม่อยากจากเมืองไทยไปไหน คงเพราะใจของผมยังคงรอใครบางคนอยู่ที่นี่

“ผมเองก้อแล้วแต่แม่กับลุงแล้วกันนะครับ แต่ผมยังอยากจะอยู่ที่นี่ก่อน แม่จะว่าอะไรหรือป่าวครับ”

“ไม่หรอกแม่เองก้อคิดเหมือนกันว่าเราคงจะขออยู่ที่นี่”

“แล้วแม่จะย้ายไปเมื่อไหร่ครับ”

“เดือนหน้าจ๊ะ หลังจากทำอะไรที่นี่ให้เรียบร้อยก่อน ส่วนบ้านที่นี่ลุงเค้าโอนเป็นชื่อของเรากับนัทแล้วนะจ๊ะ รวมทั้งบ้านที่หัวหินด้วย แต่ที่นั้นเป็นชื่อของเราคนเดียว เดี๋ยวยังงัยเราก้อไปที่สำนักงานที่ดินกับลุงเค้าหน่อยนะ ต้องไปทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย”

“แต่แม่ครับ ผมไม่กล้ารับไว้เลยครับ”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ลุงนนท์ก้อเดินเข้ามาซะก่อน

“อย่าปฎิเสธเลยลูก รอนก้อเหมือนลูกลุงอีกคน ตั่งแต่ที่เรากับแม่เข้ามาในชีวิตลุงมันก้อทำให้ลุงทีความสุขและมีครอบครัวที่สมบูรณ์ขึ้น ว่าแต่เราเถอะเห็นว่าลุงเป็นพ่ออีกคนของเราหรือเปล่า” ลุงเดินมานั่งข้างๆผม

“เห็นสิครับ ผมเห็นว่าลุงคือพ่ออีกคนของผมเสมอ ลุงให้โอกาสหลายอย่างกับผมและแม่ ผมเองก้อรักและเคารพลุงมากครับ”

“งั้นต่อไปก้อเรียกลุงล่าพ่อเลยแล้วกันนะ”

“ครับ พ่อ” ผมก้มลงไปกราบที่ตักของลุงนนท์

“งั้นก้อรับของจากพ่อได้นะลูก พ่อให้ลูกไม่เห็นจะเป็นไรเลยยังงัยสักวันมันก้อจะเป็นของเราทั้งสองอยู่ดี”

ลุงนนท์หยิบเอกสารหลายๆอย่างมาให้ผมอ่าน รวมถึงกรรมสิทธิของบ้านและที่ดินด้วย ในนั้นมีซองสีขาวที่ผมเปิดดูก้อไม่กล้าที่จะรับไว้ ผมมองหน้าของลุงแต่ลุงนนท์ก้อทำหน้าหน้าให้รับมันเอาไว้

ข้างในเป็นเช็คเงินสดที่ ระบุชื่อของผม แต่จำนวนเงินมันมากเหลือเกิน แค่เงินจำนวนนี้ผมก้อแทบจะไม่ต้องทำงานอะไรก้อมีกินมีใช้ไม่ลำบากอะไร ผมมองหน้าแม่ทีลุงนนท์ที

“เก็บเอาไว้ใช้นะลูก ขาดเหลืออะไรก้อบอก แล้วถ้าวันไหนอยากตามไปอยู่ด้วยกันที่โน้นก้อบอกพ่อกับแม่นะลูก”

วันนี้ผมรู้สึกว่าผมเองนั้นโชคดีเหลือเกินที่มีครอบครัวที่รักและอบอุ่นแบบนี้

*
*
*
*

“ รอน วันนี้เดี๋ยวพวกพี่จะพากันไปเลี้ยงต้อนรับเรา กันนะยังงัยก้ออย่าเพิ่งรีบกลับนะ” พี่วัตเดินมาบอกกับผม เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด

หลังจากที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ได้ครบอาทิตย์ สถานที่ที่พี่ๆเค้าพาผมไปมันเป็นผับแถวๆสาธร คงเพราะมันเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์

ผู้คนเลยเบียดเสียดกันมาก เสียงเพลงดังแสบแก้วหูกับแสงวูบวาบทำเอาผมชักๆจะมึนเหมือนกัน

ทั้งๆที่บรรยากาศรอบๆตัวสนุกสนานอึกทึกแบบนี้แต่ผมกลับคิดถึงสถานที่ที่เงียบสงบกับใครบางคนที่จากผมไปแสนไกล

ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะมากขึ้น มีหลายคนที่ดูเหมือนจงใจเต้นมากระทบผมบ้าง ที่กล้าหน่อยก้อเข้ามาขอเบอร์เลยก้อมี ไม่นึกว่าสาวๆที่กรุงเทพจะกล้ากันขนาดนี้

พี่ๆที่ทำงานก้อพยายามชวนผมคุย แต่มันก้อไม่ทำให้ผมนึกสนุกขึ้นมาเท่าไหร่จนดึกเราเลยต่างแยกย้ายกันกลับ ตอนนี้ใกล้จะตีสองแล้ว

ผมยืนอยู่ข้างหน้าผับ ใจผมนึกถึงวันที่ผมกับวินเราฉลองจบกับเพื่อนๆที่เชียงใหม่ คืนที่ผมยังจดจำสัมผัสของวินได้เป็นอย่างดี

และมันก้อทำให้ผมต้องเสียน้ำตาให้กับความหลังครั้งเก่าที่แม้ว่าเวลาที่เรานึกถึงมันอาจจะทำให้มีน้ำตา แต่ที่ริมฝีปากของเราจะยังคงมีรอยยิ้มเสมอ

“อกหักมาเหรอพี่” เสียงของใครบางคนทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปเจอ เด็กหนุ่มหน้ากวนๆ แต่ก้อจัดว่าเป็นคนที่น่าตาดีมากๆทีเดียว

ผมจำได้ว่าเป็นเด็กเสริฟ์ของผับที่ผมเพิ่งจะเดินออกมา เพราะครั้งที่เค้ามารินเครื่องดื่มให้แล้วผมสั่งแต่แป๊ปซี่ มันทำให้เค้ามองหน้าผมแล้วยิ้มๆ

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
จะเป็นคนที่ดามใจให้หรืออเิปล่านะเด็กคนนี้ :m12:

marchmenlo

  • บุคคลทั่วไป
มันมีเหตุผลใ่ช่มั๊ย???

ไม่ได้จากกกัีนไปเพราะไม่ได้รักแล้วใช่มั๋ย???
 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
 :mc4:ฉลองเรื่องใหม่ มาจะช้าไปสักนิด +1 เป็นกำลังใจในการโพสนะครับ ขอให้ขยัน ๆ  :bye2:

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
ตอนต่อไปมาแล้วววววว    พี่รันทิ้งเพียวโพสคนเดียวเลยยย

ตอนที่.7
ผมไม่ได้ตอบอะไรเค้าไปแต่ก้อยิ้มให้เค้าแล้วก้อกำลังจะหันหลังกลับ

“จะไปไหนต่อป่าวพี่ คืนนี้ผมว่าง.....รับรองว่าผมทำให้พี่หายเศร้าได้นะ” น้องเค้ายังเดินตามผมมา ผมหันไปมองหน้าเค้าเมื่อเห็นชัดๆก้อยิ่งรู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่หน้าตาดีจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับน้อง อีกอย่างพี่ยังไม่อยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์”

“อะไรพี่ หน้าผมเด็กขนาดนั้นเลยเหรอ ผมจะยี่สิบอยู่ไม่กี่เดือนแล้วนะ” ความจริงเค้าก้ออ่อนกว่าผมแค่2-3 ปีเองแต่ดูหน้าเค้าเด็กกว่านั้น แต่รูปร่างเค้าสูงโปร่ง คงจะสูงกว่าผมนิดหน่อย

ไม่รู้เป็นเพราะผมคิดถึงวินมากไปหรือเปล่า เลยทำให้ผมคิดไปว่าเค้าคล้ายกับวินวันที่ผมเจอกับมันวันแรกมาก การพูดที่ดูกวนๆ และลักษณะที่ดูซ่าส์ๆ

“ว่างัยพี่ แค่มองอย่างเดียวมันไม่สนุกหรอกครับ” สงสัยผมคงจ้องเค้านานไปหน่อย

“เท่าไหร่ครับ” ไม่รู้ทำไมผมถึงพูดไปแบบนั้น แต่ผมคิดว่าเค้าคงมีอาชีพเสริมเป็นแบบนี้เพราะดูจากการเข้ามาทักผมแล้วมันทำให้ผมไม่สามารถคิดเป็นอื่นไปได้ ผมรู้สึกว่าหน้าเค้าดูผิดหวังไปนิดนึงแต่ก้อกลับมายิ้มระรื่นได้เหมือนเดิม

“เออ...ขอโทษนะพี่ไม่ได้ตั้งใจที่จะดูถูกน้องนะครับ”

“เท่าไหร่ดีล่ะพี่ ทุกทีอย่างผมต้องมีคนมาเสนอราคาให้ก่อน แต่เพราะเห็นว่าพี่น่ารักนะเลยคิดแบบคนกันเอง 3000 ละกันพี่”

“งั้นก้อได้ครับ จะไปไหนกันดีล่ะ ไปกันเลยป่ะ” ผมหันไปบอกกับเค้า

“งั้นรอผมแป๊ปนะพี่ เดี๋ยวผมเข้าไปบอกผู้จัดการร้านก่อน เดี๋ยวออกมา”

ช่วงที่ผมยืนรอเค้า ผมก้อคิดว่าผมกำลังทำอะไร นี่มันใช่ตัวเราหรือป่าวผมไม่ได้เมาเหล้า แต่ผมกำลังมึนเพราะความเหงาสินะ แต่ช่างมันเถอะผมแค่ต้องการเพื่อนคุยเท่านั้นเอง คนที่คล้ายใครบางคนที่ทำให้ผมต้องทุกข์ใจเพราะคิดถึงเค้าอยู่ในตอนนี้

“รอนานป่าวครับพี่” ผมหันไปมองเค้า เค้าเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ มันยิ่งทำให้เค้าดูมีเสน่ห์มากขึ้น และขณะที่เรากำลังจะเดินออกไปจากตรงนั้น ก้อมีเสียงใครก้อไม่รู้เรียกเราไว้

“ไผ่ ทำไมนายทำแบบนี้ว่ะ เรามารอนายทุกวันแล้วทำไมนายทำแบบนี้ เค้าให้นายเท่าไหร่บอกมาสิ เราจะให้เป็นสองเท่าเลย”

เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับเค้าเดินมาที่พวกเรา เค้ามากับอีกคนที่ดูว่าน่าเป็นพนักงานในผับที่ผมเพิ่งออกมา

“เดี๋ยวขอเวลาสักครู่นะพี่” แล้วเค้าก้อพาเด็กหนุ่นคนนั้นออกไปคุยกันในร้าน เหลือแต่ผมกับใครไม่รู้ยืนอยู่สองคน

“พี่ไปพูดยังงัย ไอ้ไผ่มันถึงตกลงไปกับพี่ได้ล่ะครับ” พนักงานคนนั้นเค้าพูดกับผม

“ป่าวครับ อยู่ดีๆเพื่อนน้องก้อมาชวนพี่เอง”

“โห๋...ไม่น่าเชื่อนะเนี้ย พี่รู้มั๊ย ตั่งแต่ไอ้ไผ่มันมาทำงานนะ มันไม่เคยออกไปไหนกับแขกเลยสักคนนะพี่ ไม่ว่าใครจะเสนอราคามายังงัย อย่างคนเมื่อกี้นะมาเฝ้ามันทุกคืนมันยังไม่ใจอ่อนเลย” เค้าหยุดพูดไปสักพักแล้วเอาแต่จ้องหน้าผม

“อ๋อ...พี่ที่เมื่อกี้นั่งกันอยู่ข้างลำโพงป่าวครับ ถึงว่าเห็นมันคอยไปบริการแถวๆโต๊ะของพี่บ่อยๆทั้งๆที่วันนี้เวรมันนั่งบาร์” ก่อนที่เค้าจะพุดอะไรต่อไป คนที่ถูกเอ่ยถึงก้อเดินมาซะก่อน

“ไปกันเถอะพี่” เราเดินออกมาจากตรงนั้นเค้าก้อเป็นฝ่ายถามผมก่อน

“พี่อยากไปไหนก่อนมั๊ย หรือว่าอยากทำอะไรหรือป่าว”

“งั้นเราไปหาข้าวกินก่อนแล้วกันนะ” เราไปหาข้าวกินกัน ช่วงที่เรากินข้าวกันมันก้อทำให้ผมรู้ว่าเค้าชื่อไผ่ กำลังเรียนอยู่ปี.2 มหาวิทยาลัยย่านสนามหลวง

เค้าเป็นคนคุยสนุกและกวนๆ แต่ก้อมีความคิดที่แปลก คงเพราะเด็กที่เรียนช่างศิลป์มักจะมีมุมมองความคิดที่ลึกซึ้งกว่าคนทั้วไป

“อิ่มแล้วเราจะไปไหนดีพี่” เค้าถามผม

“อ้าวไหนบอกว่าจะพาไปทำอะไรสนุกๆงั๊ย ไปโรงแรมไหนดีล่ะ” ผมแกล้งพูดเล่นๆแต่หน้าของไผ่ดูซีดลงไปนิดหน่อย โถ่เอ๋ย....ทำมาเป็นคุยที่แท้ก้อไม่เคยทำอะไรแบบนี้

“พี่พูดเล่น อยากไปหาที่เงียบๆคิดอะไรมากกว่า นายรู้จักที่ไหนที่บรรยากาศดีๆมั๊ยล่ะ” หน้าของไผ่ดูดีขึ้นมาทันที

“มีพี่ ผมชอบไปบ่อยๆงั้นเราไปกันเลยแล้วกัน” ที่ที่ไผ่พาผมมาคือท่าเรือตรงสะพานตากสิน มันก้อไม่ไกลจากร้านที่เรานั่งกินข้าวกันเท่าไหร่

แม่น้ำยามค่ำคืนดูสงบและเงียบเหงา มองไปข้างหน้าก้อมีตึกใหญ่ๆ และสีสันของไฟยามค่ำคืนเป็นฉากหลัง สายลมพัดเอื่อยๆ มันทำให้ผมรู้สึกดี

ไม่น่าเชื่อว่ากลางกรุงเทพจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ สายน้ำเบื้องหน้ามันทำให้ผมคิดถึงสายน้ำแบบเดียวกับสถานที่ในความทรงจำของผม

“พอได้มั๊ยพี่” ไผ่เดินมายืนข้างๆผม

“อือม์...ใช้ได้ บรรยากาศดีนะเงียบดี”

“พี่ยังไม่ตอบผมเลยนะที่ผมถามพี่ตอนที่อยู่หน้าร้านน่ะ”

“ถามว่าอะไรล่ะ จำไม่ได้แล้วอ่ะ”

“ผมถามว่า อกหักมาเหรอป่าว”

“ทำนองนั้น แล้วทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ ท่าทางมันฟ้องเหรอ”

“มั๊งพี่....แล้วแฟนพี่เป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิงล่ะ แต่ถ้าให้ผมเดานะสงสัยคงเป็นผู้ชายล่ะสิ เพราะไม่ค่อยเจอผู้ชายที่อกหักจากผู้หญิงแล้วมานั่งซึมกินแต่แป๊ปซี่เลยอ่ะ” ผมไม่ได้ตอบแต่เป็นฝ่ายถามบ้าง

“แล้วทำไมถึงชวนพี่มาล่ะ ไหนเพื่อนบอกว่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ สงสารคนอกหักน่ะ” มันหันมายิ้มให้แบกวนๆ ผมรู้สึกว่ายิ่งคุยก้อยิ่งคิดว่าคนข้างๆนี่ช่างเหมือนกับไอ้วินมาก

มันทำให้ผมยิ่งคิดถึงวินมันมากขึ้น ถึงจะเหมือนอย่างไรมันก้อไม่ใช่.....ไม่ใช่คนที่ผมอยากให้เค้ามายืนอยู่ข้างๆตอนนี้

“อย่าคิดมากเลยพี่ ลืมๆมันไปเถอะรักแล้วทุกข์ ก้ออย่ารักมันเลยดีกว่า”

“เริ่มรักน่ะอาจใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้าเลิกรักนะ บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตยังลบมันไปไม่ได้เลย ถึงแม้สักวันเราจะมีรักใหม่ แต่รักครั้งเก่าก้อใช่ว่าจะลบเลือนไปจากใจได้ซะสนิททีเดียว นายยังไม่เคยรักใครอย่ามาสอนให้เค้าลืมความรักเลยนะ”

“ถ้างันพี่ก้อสอนผมหน่อยสิ ผมจะได้รู้กับเค้าซะที” ผมหันไปมองหน้าไผ่ ก้อเจอกับสายตาที่จริงจังมองมาอยู่ก่อนแล้ว


*
*
*
*
สวัสดี...ไอ้คุณชาย

“เป็นงัยบ้างวันนี้เหนื่อยมั๊ย วันนี้เราส่งมาซะดึกเลย พอดีพี่ๆที่แผนกเค้าพาไปเลี้ยงต้อนรับมาน่ะ กว่าจะกลับเลยดึกไปหน่อย รอนานล่ะสิ (หรือว่าไม่ได้รออยู่แล้ว)

ตอนนี้พ่อนายไปทำธุระน่ะ กว่าจะกลับมาเมืองไทยก้อคงจะเป็นอาทิตย์หน้ามั๊ง เลยอู้สบายเลยเจ้าของบริษัทไม่อยู่ ลูกเจ้าของก้อไม่กลับมาสักทีพวกลูกน้องเลยสบายกันใหญ่

เมื่อไหร่จะกลับมาดูล่ะ บริษัทเจ๊งไม่รู้ด้วยนะ เออ! วันนี้เราเจอใครบางคนที่คล้ายๆนายด้วยล่ะ”

ภาพของไผ่ตอนที่เรากำลังจะแยกกันกลับมาบ้านก้อเข้าแว๊บเข้ามาในสมอง

“ว่างัยพี่ จะลองมาคบกับผมได้มั๊ย”

“อย่าเลย พี่เองก้อยังรอใครบางคนที่เค้าจะกลับมาอยู่”

“ถ้างั้นช่วงที่รอ พี่คบกับผมดูได้มั๊ยล่ะ ถ้าแฟนพี่เค้ากลับมาแล้วพี่ยังไม่รักผมพี่ก้อกลับไปหาแฟนพี่ก้อได้ แต่ผมมั่นใจว่าพี่จะต้องรักผมแน่นอน ลองดูมั๊ยล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรเสียเลย”

“เกมส์แบบนี้อ่ะน่ะ พอสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก้อต้องเสียอยู่ดี อยู่ที่จะมากจะน้อย พี่เองก้อเสียมาแล้วเพราะทำอะไรแบบนี้แหล่ะ”

“ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียอะไรเลยพี่”

“เสียใจงัย สุดท้ายไม่ใครก้อใครคงไม่พ้นที่จะต้องเสียใจอยู่ดี”

“แต่พี่ ไม่ลองเปิดโอกาสให้ผมหน่อยเหรอ นะผมขอแค่โอกาส” สายตาของไผ่มันทำให้ผมนึกถึงวันที่วินเดินมาขอให้เราลองเปิดใจให้กันดู

“เอาเป็นว่าถ้าเราเจอกันอีกเกิน3ครั้ง ตอนนั้นค่อยมาคุยแล้วกันนะ” นั่นเป็นคำพูดที่ผมทิ้งไว้ให้กับไผ่ก่อนที่เราจะแยกกัน ผมกลับมาพิมพ์ข้อความไปหาวินต่อ


*
*
“ยิ่งเราได้คุยกับเค้ามันก้อทำให้เราคิดถึงนายว่ะ เมื่อไหร่จะกลับมาล่ะ มีคนรออยู่นะ

อย่างน้อยก้อตอบเราหน่อยก้อได้ว่าสบายดี เราจะได้ไม่ต้องคิดเอาเอง วันนี้แค่นี้ก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”


คิดถึงเสมอ.............รอน

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
ตอนที่.8
หวัดดี...ไอ้คุณชาย

ได้ข่าวว่าตอนนี้งานทางนี้เรียบร้อยดีแล้วใช่มั๊ย แล้วเมื่อไหร่จะกลับซักทีล่ะ ไม่ส่งข่าวให้เพื่อนฝูงรู้บ้างเลยน่ะ

ตอนนี้เราเองก้อเริ่มที่จะเข้ารูปเข้ารอยแล้วกับงานที่บริษัท พี่ๆก้อดีกันทุกคน นี้ก้อผ่านไปสองฤดูแล้วนะที่หายไปเลย ทำไมถึงใจร้ายแบบนี้ห๊ะ แค่ตอบกลับไปสักครั้งมันลำบากหรือว่าฝืนใจนายมากเหรองัยว่ะ

คนที่รออยู่จะรู้สึกยังงัยไม่เคยคิดถึงกันเลยใช่มั๊ย ทำไมมีอะไรถึงไม่ยอมบอกกันบ้าง หลังจากวันที่เรารับปริญญากัน วันที่นายกลับมากรุงเทพ มันมีเรื่องอะไรทำไมถึงไม่ยอมเล่าให้เราฟังบ้าง

และที่สำคัญระหว่างเรา มันก้อคงยังเป็นคำถามที่เรายังไม่รู้คำตอบ และยังคงรอคำตอบจากนายอยู่ตลอดเวลา

คิดถึง และ รออยู่เสมอ
รอน..................

*
*

นี่ก้อผ่านไปเกือบครึ่งปีแล้วที่วินจากผมไป ตลอดเวลาที่วินจากไปผมไม่เคยได้รับการติดต่อกลับมาเลยสักครั้ง แต่ผมจะส่งเมลล์ไปหาวินทุกๆวันพร้อมกับคำถามเดิมๆที่หวังว่าจะได้คำตอบกลับมา

วันนี้ผมตื่นสายกว่าปกติเพราะว่าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปตามทางที่ผมเลือก หลังจากที่ครอบครัวผมย้ายไปสิงค์โปร์กันหมดแล้ว ผมเองก้อมีอิสระกับเวลาและการใช้ชีวิตมากขึ้น

พี่นัทยังคงโทรมาหาผมอยู่บ่อยๆ และยังคงโกรธที่ผมไม่ยอมย้ายไปอยู่ด้วยกัน ผมเองก้อไม่ได้บอกว่าผมกำลังรอใครบางคนอยู่ แม้ว่าการรอนั้นมันอาจจะสูญเปล่าก้อตามที

วันนี้ผมไม่มีโปรแกรมที่จะออกไปไหน เลยตั้งใจว่าจะอาบน้ำให้ไอ้เจ้า “โรโบ้ ลูกสุนักพันธุ์ บีเกิ้ล” เสียหน่อย หลังจากที่ผมตัดสินใจซื้อมันมาเพราะสงสารที่เห็นมันวางขายอยู่แถวตลาดนัดเปิดท้ายที่โรงภาพยนตร์ชื่อดังย่านรัชโยธิน

แว๊บแรกที่เห็นมันผมก้อคิดถึงตัวเอง มันคงรออยู่ที่จะให้มีใครสักคนมาเอามันไปอยู่ด้วย ใครสักคนที่จะรักให้ความเอาใจใส่จริงๆจังๆ ไม่ใช่แค่มาเล่นกับมันด้วยความสนุกสนานแค่ชั่วครู่ชั่วยามแล้วก้อผ่านเลยไป

แววตาเวลาที่มีคนมาเล่นแล้วก้อ ผ่านไปปล่อยให้มันได้แต่มองมันทำให้ผมอดสงสารไม่ได้ เลยตกลงใจเอามันกลับมาบ้านด้วย และมันก้อทำให้ผมหายเหงาได้มาก

แต่ยังไม่ทันที่จะได้อาบน้ำ ก้อมีโทรศัพท์มาหาเสียก่อน

“สวัสดีครับ…คุณลุง มีอะไรหรือเปล่าครับ” มันเป็นเบอร์ของลุงกิติพ่อของวิน

“วันนี้เราว่างหรือป่าวลูก พอดีวันนี้ เพื่อนของลุงเค้าจะมาเยี่ยมน่ะ เลยอยากให้เรามาช่วยลุงรับรองเค้าหน่อยน่ะลูก”

“ได้ครับ...แล้วเพื่อนของลุงจะมากันตอนไหนครับ ผมจะได้เตรียมตัวถูก”

“เอาเป็นว่าเรามาหาลุงที่บ้านก่อนจะถึงเวลาอาหารค่ำแล้วกัน”

“ครับลุงเอาเป็นว่าสัก4โมงเย็นเดี๋ยวผมเข้าไปที่บ้านลุงก้อแล้วกันครับ”

หลังๆมานี่ผมเองค่อนข้างที่จะสนิทกับลุงกิติมากขึ้น แกเองก้อให้ความเอ็นดูและความรักผมเหมือนลูกของแกคนนึง อาจจะเพราะแกคงจะเหงาด้วยล่ะมั๊งที่ลูกชายไม่อยู่

คนเรายิ่งอายุมากขึ้นก้ออยากให้ลูกๆหลานๆอยู่ใกล้เป็นธรรมดา และช่วงนี้แกเองก้อสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก ต้องไปหาหมออยู่บ่อยๆทำให้ถ้าวันไหนว่างๆผมก้อมักจะแวะมากินข้าวกับแกอยู่บ่อยๆ

*
*
*
“โกรธลุงมั๊ย ที่ให้เจ้าวินมันไปดูงานกับเพื่อนของลุง” ผมสะดุ้งหลังจากที่นั่งดูรูปตอนเด็กๆของวินอยู่ทุกครั้งที่ผมแวะมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะไม่เข้ามาในห้องของวินมัน

“ไม่หรอกครับ.....ผมเข้าใจ” ผมตอบออกไปแบบนั้นหวังให้แกไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆที่ใจผมนั้นแสนเจ็บปวด และเสียใจ

“รู้มั๊ยทำไมลุงอยากให้เรามาช่วยลุงทำงานที่บริษัท” ลุงกิติเดินมานั่งตรงข้ามกับผม ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะรู้ว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ

“เพราะลุงรู้นิสัยลูกชายลุงดี คิดว่ายังงัยมันคงต้องให้เราตามมันไปด้วยแน่ๆ” ผมหันไปมองหน้าแก

“แสดงว่าลุงไม่ได้อยากให้ผมมาช่วยงานจริงๆเหรอฮ่ะ ที่ให้ผมมาช่วยก้อแค่จะกันผมไว้ให้ห่างจากวินแค่นั้นเองเหรอครับ”ผมรู้สึกเสียใจที่ได้ยินแบบนั้น

“ผมเข้าใจครับว่าลุงหวังดีกับวินมัน แต่ลุงบอกผมดีๆก้อได้นะครับ ป่านนี้ผมอาจจะไปอยู่กับครอบครัวของผมแล้ว ซึ่งผมคิดว่าทั้งผมและวินเราคงจะห่างกันมากกว่านี้
แบบนี้สักวันถ้าวินกลับมาลุงจะให้ผมไปไหนอีกล่ะครับ ถึงจะได้แยกผมกับวินได้อีก”

“ตอนแรกที่ลุงชวนเรา มันก้อแค่อยากจะแยกเราทั้งคู่ออกจากกัน แต่จะให้แยกกันไปเลยลุงก้อคงทำไม่ได้ถ้าวันนึงวินมันไม่เข้าใจถึงความหวังดีของลุงแล้วกลับไปใช้ชีวิตวันๆ ลุงก้อยังมีเราคอยดึงวินมันกลับมา

แต่ตลอดเวลาเราก้อทำให้ลุงละอายใจนัก ที่เราเองช่วยเหลือและคอยดูแลเราพ่อลูกมาตลอด ทุกวันนี้รอนก้อเหมือนลูกคนนึงของลุง และลุงเองก้อซาบซึ้งมากนะลูก ลุงไม่อยากจะปิดเราอีกต่อไป และก้อไม่อยากจะให้รอนจากพวกเราไปไหน ถ้าถึงวันที่วินกลับมา”

“แต่ลุงเองก้อยังไม่อยากให้ผมกับวินคบกันในแบบที่เราต้องการ แล้วทำไมถึงอยากให้ผมอยู่ใกล้กันล่ะครับ”

“เพราะลุงก้ออายุมากขึ้นแล้ว ต่อไปถ้าไม่มีลุงวินเค้าก้อจะไม่เหลือใคร เค้าไม่สนิทกับญาติๆคนไหนเลย ตั้งแต่เค้าเสียแม่ไปเค้าก้อมีแค่ลุง กับเพื่อนๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเค้า แต่ก้อไม่เคยมีใครที่วินเค้าจะรักได้เท่าเรา”

“ลุงคงยังไม่รู้นะครับว่าก่อนที่วินจะไปเค้ามาบอกเลิกกับผมแล้ว เรากลับมาเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นครับ

และสิ่งที่วินเค้าบอกกับผมก่อนไป คำสุดท้ายที่ออกจากปากเค้าคือ คำว่า อย่ารอเราอีกเลย ลาก่อน เพราะฉะนั้น วินเค้าไม่จำเป็นต้องมีผมอยู่ข้างๆเค้าแล้วล่ะครับ”

จากการที่ผมได้พูดคุยกับลุงกิติวันนี้ทำให้ผมรู้ว่าที่ลุงตัดสินใจให้วินไปฝึกกับเพื่อนที่โน้นก้อเพราะอยากจะแยกเราจากกัน และหวังจะให้วินได้ใกล้ชิดกับลูกสาวของเพื่อนลุงด้วย และเท่าที่ทราบข่าวก้อรู้ว่าทั้งคู่กำลังไปกันได้ดี

และที่สำคัญผมเองก้อเพิ่งรู้ว่าลุงกิตินั้นเป็นโรคหัวใจและไตด้วย นี่หรือเปล่าที่วินอยากเลิกกับผมคงกลัวว่ามันจะทำให้ลุงแกคิดมากก้อเป็นได้

หลังจากที่ผมมาทานข้าวและพาเพื่อนๆของลุงไปสัมผัสกับแสงสียามราตีของเมืองบางกอกผมก้อขอตัวแยกมาก่อน ค่ำคืนที่เงียบเหงา

ผมเองไม่อยากกลับไปนอนเศร้าที่บ้านคนเดียว เพื่อนๆของผมเองก้อไม่สามารถมาช่วยฉุดผมจากความเศร้าในคืนนี้ได้ และในที่สุดผมก้อมาที่นี่ สถานที่ที่ไผ่เคยพาผมมาแล้วครั้งนึง ผมยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มันสุดทางแล้วจริงๆหรือกับเส้นทางของผมกับวิน

วินลืมผมไปได้แล้วจริงๆใช่มั๊ย หรือ ผมเป็นคนเดียวที่ยังติดอยู่กับวันเก่าๆ ติดกับอดีตที่ไม่มีอนาคตหยั่งงั้นหรือ

ที่ผ่านมาผมพยายามเก็บกดและปิดบังความเสียใจ และความเหงามันไว้อย่ามิดชิด แต่ในบางครั้งมันก้อเผลอแสดงออกมาทางสายตา และตอนนี้ความเหงาความอ้างว้างก้อเออล้นขึ้นมาจนได้

ครั้งหนึงผมเป็นทุกข์ที่รู้ตัวว่าแอบชอบเพื่อนสนิทแถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ทุกข์ในครั้งนั้นยังไม่เท่ากับทุกข์ในครั้งนี้ที่สำนึกได้ว่ารักนั้นไร้ซึ่งอนาคต

“ผมดีใจนะที่พี่กลับมาที่นี่อีกครั้ง” ผมตกใจที่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อได้เห็นหน้าผมก้อจำได้ เค้าคือคนที่พาผมมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก

“รู้มั๊ยว่าผมมาที่นี่เกือบทุกวันสุดสัปดาห์ แต่ผมก้อผิดหวังทุกครั้งที่ไม่พบกับคนที่ผมอยากเจอ”

ไผ่เดินมายืนข้างๆผมผมรู้สึกดีที่อย่างน้อยยามนี้ผมก้อยังคงมีใครสักคนที่มาอยู่เป็นเพื่อน ยามที่ผมกำลังอ่อนแอเพราะความเหงา

“ผมขอโทษนะที่เคยบอกให้พี่ลืมคนในอดีตของพี่ พี่ไม่จำเป็นต้องลืมเค้าก้อได้ครับ แต่ลองให้โอกาสผมได้มั๊ย”

“ทำไมนายถึงอยากคบกับพี่ล่ะ ทั้งๆที่เราก้อไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อย่าพูดเลยนะเรื่องรักแรกพบน่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่แค่เห็นหน้าพี่ในวันนั้น ผมก้อไม่เคยลืมพี่ได้อีกเลย ผมไม่บอกว่ามันคือความรัก แต่มันเป็นความประทับใจ”

ในตอนนั้นแวบนึงที่ผมเห็นเหมือนวินมายืนอยู่ข้างหน้า

“ถ้าอยากจะต้องมานั่งเสียใจก้อตามใจนายแล้วกัน”


หวัดดี.....วินเพื่อนรัก

เป็นงัยบ้างสบายดีหรือเปล่า ขอโทษนะที่ฉบับที่แล้วเราว่านายซะยกใหญ่ วันนี้พอดีได้ไปกินข้าวกับพ่อนายมา ท่านสบายดีนะไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพ

เราเองก้อจะคอยดูแลแทนให้จนกว่านายจะกลับมา
ได้ข่าวว่ากำลังทำความรู้จักอยู่กับสาวที่นี่อยู่ใช่มั๊ย ดีใจด้วยนะที่นายหลุดจากอดีตได้แล้วและก้าวเดินต่อไปในทางของตัวเองได้

มันก้อคงถึงเวลาของเราบ้างแล้วสินะที่จะต้องกาวขาออกจากอดีตสักที

เรื่องของเราคงเป็นบทรักบทหนึ่งในชีวิตของพวกเราและมันคงถึงเวลาที่นายและเราคงต้องเริ่มบทใหม่แล้วล่ะ

น่าตลกนะที่ทุกวันเราต้องส่งเมลล์มาถึงนายทุกๆวันโดยไม่รู้ว่านายจะอ่านมันหรือเปล่า และเราก้อเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ที่นายจะตอบเราบ้าง

แต่วันนี้เราไม่ต้องรอแล้วสินะ คำถามที่เราเคยถามนายตลอดมา ตอนนี้เราไม่อยากจะรู้คำตอบแล้วล่ะ ปล่อยให้มันกลายเป็นริ้วรอยเล็กๆของกาลเวลาระหว่างเราเถอะนะ
ดูแลตัวเองดีๆล่ะ

ลาก่อน............วิน
............รอน.............

*
*
*

หลังจากที่ผมตัดสินใจส่งเมลล์บับนั้นไปหาวิน เช้าวันนั้นผมก้อดีใจมากที่วินตอบกลับเมมล์ของผม

ถึง........รอน

เห็นมั๊ยว่าในที่สุดนายก้อลืมเราได้ และจะดีใจมากกว่านี้ถ้านายก้าวเดินต่อไปอย่างมีความสุขเพราะเราเองก้อกำลังก้าวเดินอย่างมีความสุขอยู่ในตอนนี้

ดูแลตัวเองเช่นกัน......................วิน

ผมอ่านมันไปมาหลายรอบ ผมดีใจที่วินตอบกลับมาแม้มันจะเป็นการย้ำให้ผมแน่ใจว่าระหว่างเราคงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว


*

*

*

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
Re: กว่าจะถึง...ซึ่ง&#
«ตอบ #206 เมื่อ19-10-2008 05:14:57 »

ตอนที่.9
หลังจากวันนั้นที่วินตอบเมลล์ผมกลับมา วินก้อไม่เคยติดต่อกลับมาอีก ผมเองก้อไม่ได้ส่งเมลล์ไปหาวินอีกเลยแต่ไม่เคยมีวันไหนที่ผมจะไม่คิดถึงวิน จวบจนป่านนี้ผมเองก้อยังไม่สามารถลืมวินไปจากใจผมได้สักที

ผมยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติ ลุงกิติเองก้อดูสุขภาพแย่ลงไปมาก ผมเลยต้องทำหน้าที่ของลูกชายที่ดีแทนวินไปโดยปริยาย และวันนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่นั้น ลุงก้อเรียกให้ผมเข้าไปหาที่ห้องทำงาน

“มีอะไรครับลุง”

“เดี๋ยวไปกินข้าวกับลุงหน่อยนะลูก มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“ครับ.....งั้นเดี๋ยวตอนกลางวันผมเดินมาแล้วกันนะครับ”

ผมกำลังจะเดินกลับออกมาจากห้องของลุงกิติแต่แกก้อเรียกผมไว้ก่อน ผมกำลังจะถามว่ามีอะไร เสียงโทรศัพท์ก้อดังขึ้นมาก่อน ผมเลยเดินมานั่งที่โซฟารับรองแทน

“ว่างัยไอ้ลูกชาย เมื่อไหร่จะยอมกลับมาสักที เกือบปีแล้วนะที่แกไม่ยอมกลับมาเลย”

ผมชาไปทั้งตัวที่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร ความน้อยใจ เสียใจ และความคิดถึงพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมหันไปมองลุงกิติเป็นระยะ และคอยฟังว่าแกคุยอะไรกันบ้าง

“เดี๋ยวแกอย่าเพิ่งวางนะ” ลุงกิติแกบอกกับปลายสายแบบนั้นแล้วเรียกผมเข้าไปหา

“รอน...มาหาลุงหน่อย เราช่วยพูดให้เจ้าวินมันกลับมาหน่อยสิลูก ลุงเองก้อไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหนบอกให้มันกลับมาปรนนิบัติพ่อของมันได้แล้ว”

แกยื่นโทรศัพท์มาให้ผม ผมรู้สึกว่ามือที่เอื้อมไปรับโทรศัพท์นั้นสั่นเล็กน้อย เกือบปีแล้วสินะที่ผมไม่ได้คุยกันเลยกับวิน

“หวัดดี...เป็นงัยสบายดีหรือป่าว” ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนที่จะตอบกลับมา

“สบายดี แล้วนายล่ะเป็นงัยบ้าง” แค่ได้ยินเสียงผมก้อรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ คิดถึงเจ้าของเสียงคนนี้เหลือเกิน

“กลับมาได้แล้ว งานทางโน้นเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ พ่อนายเค้าเหงาแย่แล้วกลับมาอยู่กับท่านบ้าง”

“เรา..เออ...เรา...เออ...” วินอึกอัก

“กลับมาเถอะวิน เราสบายดี ทางนี้ทุกอย่างเรียบร้อย” ผมตั้งใจบอกกับวินว่าผมลืมมันไปได้แล้ว ทุกอย่างจบไปแล้ว แม้มันจะเป็นแค่คำโกหก เพราะผมยังคงลืมมันไม่ได้สักทีแม้แต่ตอนนี้

“อือม์....แล้วยังงัยเราจะกลับไป แค่นี้นะดูแลตัวเองด้วยล่ะ” วินวางไปแล้วแต่ผมกลับยังไม่วาง จนลุงกิติต้องเรียกผมอีกรอบ

“รอน...วินมันว่ายังงัยบ้างลูก”

“อ๋อ...เออ....คือมันบอกว่าถ้าไม่ติดอะไรก้อจะกลับมาครับ”

“เฮ่อ ให้มันกลับมาสักทีเถอะ ลุงเองก้อแก่แล้วยังงัยก้ออยากให้มันกลับมาก่อนปีใหม่ได้ยิ่งดี อยากฉลองปีใหม่กับลูกซะหน่อย ไม่รู้ว้าผ่านปีนี้ไปแล้วจะได้ฉลองหรือเปล่า”
*
*
*
“ลุงครับ...ถ้าวินกลับมา ผมอยากจะขอตัวกลับไปหาแม่กับลุงนนท์นะครับ”

ผมบอกกับลุงในตอนที่เรากำลังกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แกชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะวางช้อนแล้วเงยหน้ามาคุยกับผม

“ทำไมล่ะลูก มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ....แค่คิดถึงแม่กับคนอื่นๆนะครับ แต่ผมจะอยู่ช่วยงานวินสักพักนะครับให้วินเริ่มเข้าที่ผมถึงจะค่อยไปครับ ลุงไม่ต้องห่วงนะครับ” ลุงกิติเงียบไปพักใหญ่ๆ

“ลุงเสียใจนะ ลุงรักเรามากเหมือนลูกของลุงจริงๆ แต่ลุงก้อยังอยากเห็นวินมีคู่ที่คนในสังคมเราเค้าไม่นินทาเบื้องหลัง การที่เราจะอยู่ในสังคมแบบนี้ คนรอบข้างสำคัญมากๆเลยนะลูก”

สายตาของลุงบอกว่าเสียใจตามที่แกพูดจริงๆ และผมก้อรู้ว่าแกเอ็นดูผมเป็นอย่างมากเพราะแกมักจะสั่งสอน และให้อะไรผมอยู่บ่อยๆ

“ผมเข้าใจครับ ผมไม่เคยโกรธลุงเลยครับ ผมรู้ว่าลุงหวังดีกับเราทั้งสองและผมก้อมีวิถีทางของผม แต่ผมจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆไม่ไปแล้วไปลับแน่ครับ

เพราะผมก้อเคารพลุงเหมือนกับพ่อผมคนนึง ส่วนวินกับผมเราก้อยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับลุง”

“ลุงคงห้ามเราไม่ได้ แต่ลุงอยากให้เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆนะ แต่มันคนล่ะแบบกันกับแบบนั้น”

“ครับ......ผมเข้าใจ”
.
.
.
.
วันนี้ทั้งวันผมทำงานไม่ค่อยจะรู้เรื่องมากนัก เพราะมัวแต่คิดถึงเจ้าของเสียงที่ได้คุยเมื่อเช้านี้ ความเหงาเริ่มเข้ามาครอบงำตัวผมอีกครั้งทำให้หลังจากเลิกงานผมเลยไปนั่งฟังเพลงเพื่อขับไล่ความเศร้าออกไปจากจิตใจ

และผมก้อเลืกที่จะไปนั่งที่ร้านที่ไผ่ทำงานคงเพราะอยากมีเพื่อนคุยล่ะมั้ง เพราะหลังจากวันนั้นไผ่ก้อเริ่มที่จะโทรมาคุยกับผมบ่อยขึ้น วันนี้คนไม่มากเหมือนทุกวัน คงเพราะนี่อาจเป็นกลางสัปดาห์

เสียงเพลงเหงาๆจากนักร้องดูจะเข้ากันดีกับตัวผมในตอนนี้

“สวัสดีครับ....มาคนเดียวหรือป่าวครับ” ชายหนุ่มที่ผมไม่รู้จักเดินเข้ามานั่งคุยกับผม

“ป่าวครับพอดีนัดเพื่อนไว้แต่ยังไม่เห็นมา” ผมโกหกออกไป แต่ตอนนั้นไม่อยากคุยกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่นักเพราะรู้จุดประสงค์ที่เค้าเข้ามาหาเรา

“งั้นผมของนั่งคุยเป็นเพื่อนจนกว่าที่เพื่อนคุณจะมาไดมั๊ยครับ”

“สงสัยจะไม่ได้ครับเพราะคนนี้เจ้าของหวงครับ” ไม่ใช่เสียงของผมแต่เป็นไผ่ที่ตอนนี้เดินมายืนอยู่ข้างหลังของผม

“คุณรู้จักกับไอ้เด็กเสิร์ฟนี่ด้วยหรือครับ” คนถามหันไปมองไผ่ด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ครับ....เค้าเป็นเพื่อนผมเองนี่ผมก้อมารอเวลาที่เค้าเลิกงานน่ะครับ” ผมตอบออกไปแบบนั้น ดูเค้าจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นักแต่ก้อลุกไปโดยดี แต่ไผ่ยิ้มแก้มแทบฉีก

“ยิ้มอะไร” แปลกเหมือนกันแค่เห็นหน้าไผ่ผมเองก้อรู้สึกดีขึ้น

“ป่าวครับพี่ กำลังดีใจที่มีคนมารอรับน่ะ”

“ก้อพูดไปแบบนั้นแหละ ไม่ได้จะรอหรอกว่าจะกลับแล้วเนี้ย”

“ไม่ได้นะครับ พูดแล้วก้อต้องรักษาคำพูดสิ” ไผ่หุบยิ้มทันควัน

“รอผมด้วยนะพี่ เดี๋ยวคืนนี้พาไปหาอะไรกินกัน” แล้วไผ่ก้อขอตัวไปทำงานต่อ หลังจากที่ผมรอจนไผ่ทำงานเสร็จ แต่ก้อไม่นานนักสงสัยจะไปขอเจ้าของร้านกลับก่อนเวลา

เราก้อมาหาอะไรกินกันที่เยาวราช ที่นี่มีของกินน่ากินหลายอย่าง ผู้คนก้อพลุกพล่านมันทำให้ผมลืมเรื่องเศร้าๆไปได้เยอะ

“เมื่อไหร่ที่เราจะได้เจอกันเวลากลางวันบ้างล่ะพี่”

“ก้อพี่ทำงาน แล้วเราไม่มีเรียนเหรอ”

“แหม..พี่ก้อวันหยุดงัย เอางี้วันเสาร์นี้เราไปเดินจตุจักรกันดีป่ะ”

“ไม่รู้สิ ยังไม่รู้ว่าจะมีนัดอะไรหรือเปล่า เอาเป็นว่าถ้าว่างก้อจะคิดดูล่ะกัน”

และในที่สุดวันเสาร์ผมก้อไปจตุจักรกับไผ่จนได้ ส่วนใหญ่ที่ผมซื้อจะเป็นอุปกรณ์ และอาหารให้ไอ้เจ้าโรโบ้มันเสียเป็นส่วนใหญ่

“ที่บ้านพี่เลี้ยงหมากี่ตัวเหรอ”

“ตัวเดียว ถามทำไม”

“ป่าว ก้อแค่ถามดู แล้วอยู่กันกี่คนเหรอพี่”

“คนเดียว”

“จริงดิ งั้นว่างๆผมไปหาพี่ที่บ้านได้มั๊ย” ไผ่ถามแถมส่งสายตาอ้อนมาให้

“ไม่รู้ ว่าแต่ที่บ้านเราอยู่กันกี่คนเหรอ”

“3 คนครับพี่ มีผม น้องสาว แล้วก้อยายอีกคนนึง เย็นนี้ไปบ้านผมมั๊ย จะได้กินข้าวด้วยกัน ยายผมทำกับข้าวอร่อยนะ”

เย็นนั้นหลังจากเราออกมาจากจตุจักร ผมก้อไปส่งไผ่ที่บ้าน บ้านของไผ่เป็นบ้านไม้สองชั้น มีต้นไม้อยู่เต็มบ้าน บรรยากาศดูร่มรื่นดี

ยายและน้องสาวของไผ่ก้อน่ารักดูเป็นกันเอง ทำให้ผมสบายใจมาก หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ผมแยกออกมานั่งชิงช้าหน้าบ้าน มันเป็นชิงช้าที่ใช้ไม้กระดานผูกเชือกกับต้นมะม่วงใหญ่

ระหว่างนั้นไผ่ก้อช่วยน้องสาวเก็บโต๊ะกับล้างจาน ช่วงที่ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ยายของไผ่ก้อออกมาคุยด้วย

“รู้จักกับไผ่นานแล้วเหรอจ๊ะ”

“ก้อไม่นานเท่าไหร่ครับ แต่ช่วงนี้ก้อสนิทกันครับ”

“ถึงว่าสิ...ปกติเค้าไม่ค่อยจะพาเพื่อนมาบ้านสักเท่าไหร่”

“แล้วพ่อแม่ของไผ่เค้าไปไหนล่ะครับ” ผมถามเพราะไม่ค่อยจะเห็นไผ่พูดถึงเท่าไหร่

“พ่อมันทิ้งไปตั่งแต่คนน้องยังเล็กๆ ส่วนแม่ไปอยู่กับผัวใหม่ที่ต่างประเทศ แต่ก้อส่งเงินส่งทองมาให้ใช้อยู่ทุกเดือน

แต่ไผ่มันก้อไม่ค่อยอยากจะใช้นัก มันหางานทำมาตั่งแต่เด็กๆ ทั้งๆที่ยายบอกว่าไม่ต้องทำก้อได้อยากให้ตั้งใจเรียนมากกว่าเพราะเงินที่ส่งมาก้อพอกินพอใช้ แต่มันก้อไม่ยอม”

“แต่ดูแล้วไผ่ก้อไม่น่าจะต้องเป็นห่วงอะไรนะครับ เท่าที่ผมดูก้อว่าเค้าดูแลตัวเองได้ดีนะครับ”

“เดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะ เมื่อปีที่แล้วยายล่ะกลัว เพราะรุ่นพี่ที่เค้าสนิทมากๆตายไป ว่าไปยายก้อว่าหน้าเราคล้ายๆใคร พอนึกแล้วก้อนึกขึ้นได้ว่าเราก้อคล้ายเพื่อนรุ่นพี่คนนั้นเหมือนกัน”

“เค้าเป็นอะไรครับ”

“คิดสั้นน่ะ เห็นว่าทะเลาะกับแฟนหรือยังงัยนี่แหละ ตั่งแต่นั้นไผ่มันเงียบไปเลยกับน้องกับยายมันก้อไม่คุยด้วย แต่อย่างว่ามันก้อสนิทกันน่ะนะ มาที่บ้านนี่บ่อยๆ คงจะเสียใจมากเพราะรุ่นพี่คนนี้ก้อคอยดูแลไผ่มันมาตั้งแต่เด็กๆ”

หลังจากคืนนั้นที่ผมได้นั่งคุยกับยาย มันก้อทำให้ผมกลัวว่าสักวันนึงถ้าผมไม่สามารถคบกับเค้าแบบที่เค้าต้องการได้ เค้าจะเป็นยังงัย .......


.
.
.
.
.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2008 09:49:32 โดย SE7EN_AKIRA »

marchmenlo

  • บุคคลทั่วไป
:เฮ้อ: เริ่มมีความรู้สึกทางลบกับวินแล้วดิ รู้ก็รู้อยู่น่ะว่ามีเหตุผล แต่..........
มันมีทางออกที่ดีกว่านี้อีกไม่ใชี่เหร๊อออ

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
ตอนที่.10
หลังจากวันที่ผมได้มากินข้าวที่บ้านของไผ่ ผมก้อมีโอกาสมาอีกหลายครั้ง เพราะไผ่มักจะบอกว่ายายถามหา ทุกครั้งที่ผมไปบ้านของไผ่มันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หายเหงาไปได้บ้าง

อย่างน้อยมันก้อดีกว่าที่จะต้องกลับไปนั่งเหงากินข้าวที่บ้านคนเดียว วันนี้ผมนัดกับโอ๊ตไว้ที่สยาม เพราะโอ๊ตมันลงมาทำธุระ และ แวะไปเจอพ่อกับแม่ของน้องลินมาด้วย
แต่น้องลินไม่ได้มาเพราะอยู่คุยกับพ่อแม่

เรานัดกันที่ห้างหรูที่เปิดใหม่ใหญ่ยักษ์กลางกรุง ผมมานั่งกินกาแฟรอสักพักโอ๊ตมันก้อมา

“ว่างัยไอ้เด็กดอย ไม่ยอมลงจากดอยมาในเมืองเลยนะ”

โอ๊ตวันนี้ดูคล้ำขึ้นนิดหน่อย แต่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น วันเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้จริงๆไม่ใช่แค่ใจคน แต่รางกายภายนอกมันก้อเปลี่ยนได้ แล้วป่านนี้วินมันจะเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้วหนอ

ผมคงต้องยอมรับกับตัวเองว่าทุกครั้งที่เห็นอะไรที่มันเชื่อมไปถึงวิน ผมก้อจะคิดถึงวินมันตลอด ไม่รู้ว่าคนทางโน้นจะคิดเหมือนผมบ้างมั๊ย

“เป็นงัยบ้างว่ะ ไม่เจอกันนานเลย ดูเหงาๆไปนะรอน” ผมยิ้มให้โอ๊ต ยิ้มให้กับความเป็นห่วงเป็นใยที่เพื่อนมอบให้

“ก้อเรื่อยๆแหละ แล้วนายล่ะ เป็นงัยบ้างสบายดีหรือเปล่า แต่ดูคล้ำขึ้นนะงานหนักเหรอ”

“ก้อไม่เท่าไหร่ แต่เรามันพวกชอบภาคสนามมากกว่านั่งโต๊ะน่ะ มันสนุกกว่า” โอ๊ตมองผมแบบจับสังเกตก่อนจะเอ่ยถาม

“แล้วไอ้วินมันเป็นงัยบ้าง มันหายโกรธยังเรื่องที่นายขออยู่ช่วยพ่อมันก่อน”

ผมไม่ได้บอกกับเพื่อนว่าเลิกกับวินแล้ว กับโอ๊ตและน้องลินเองก้อรู้แค่ว่าพ่อของมันไม่อยากให้เราคบกันแบบนั้น

“ มันก้อไม่ได้โกรธอะไรแล้วล่ะ ยังงัยก้อเพื่อนกัน” ผมหลบตาที่จับพิรุจของโอ๊ต

“ยังงัยว่ะ ก้อเพื่อนกัน”

“ไม่มีอะไร ก้อเพื่อนกันงัย ตอนนี้เรากับวินกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแล้ว”

“เฮ้ย!....ตั่งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครบอกเลิกใครว่ะ”

“ไม่ได้บอกเลิกโว้ย แต่แค่อยากถอยกลับมาเป็นแค่เพื่อนกันแค่นั้น ถ้ามันจะทำให้คนรอบข้างเราสบายใจมากขึ้น”

“ทำไมต้องไปแคร์คนอื่นด้วยว่ะ” โอ๊ตดูหัวเสียที่รู้เรื่องของผมกับวิน

“คนอื่นที่นายพูดมันก้อพ่อ แม่ของเรานะโอ๊ต ทำไมเราต้องทำให้ท่านเสียใจกับเรื่องของเราทั้งๆที่ท่านก้อไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากเรา มีแต่เราที่ได้นะ”

“ใช่มีแต่พวกนายที่ได้ แล้วเป็นงัยได้เจอแล้วสินะ ความเจ็บปวด ความเสียใจ”

“เอ่าน่า นานๆเจอกันที อย่าพูดเรื่องเครียดๆเลย เอาเป็นว่าวันนี้ไม่เมาไม่เลิกตกลงนะโว้ย”ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง
.
.
.
หลังจากที่เราเดินซื้อของกันแล้ว ผมก้อพาโอ๊ตมานั่งที่ร้านของไผ่ เรานั่งดื่มไปคุยไปจนไผ่เข้างาน ผมรู้สึกว่าไผ่เดินมาทางโต๊ะของผมหลายรอบ

บ่อยครั้งที่ผมกับไผ่สบตากันจังๆ แต่เราก้อไม่ได้พูดอะไรจนไผ่คงทนไม่ไหวเลยเดินมาหา

“ยายถามถึงนะครับ บอกว่าว่างๆก้อให้พี่ไปกินข้าวด้วยกัน” ไผ่คุยกับผมแต่สายตากลับจับจ้องไปที่โอ๊ต

“เออ...ไผ่นี่โอ๊ต เพื่อนพี่ เรียนมาด้วยกัน โอ๊ต นี่ไผ่เพื่อนรุ่นน้องเรา”

ผมต่างแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน ผมรู้สึกว่าไผ่ดูเศร้าไปเมื่อผมบอกว่าไผ่เป็นเพื่อนรุ่นน้อง แต่ก้อไม่ได้พูดอะไร สักพักก้อกลับไปทำงานต่อ

“รอน...เล่ามาดิ” โอ๊ตจ้องผมพร้อมกับต้องการคำตอบ ผมเลยเล่าเรื่องของผมกับไผ่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันให้ฟัง

“รอน เราถามจริงๆนะ นายยังรักไอ้วินมันใช่มั๊ย และเราก้อเชื่อว่าวินมันก้อยังรักนายอยู่ แล้วทำไมถึงทำอะไรกันแบบนี้ว่ะ”

“ยังงัยว่ะ ไอ้วินมันเป็นคนบอกเองนะว่าให้เรามีใครสักที” ผมพูดเสียงดัง เพราะเริ่มน้อยใจคนที่กำลังพูดถึง

“ระหว่างที่พวกนายกำลังเล่นซ่อนหากับความรักอยู่ มันจะต้องมีอีกกี่คนกันที่ต้องเจ็บเพราะความงี่เงา ความอ่อนแอของพวกนายสองคน”

ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่

“อย่าโกรธกันนะที่เราพูดแบบนี้ แต่เราไม่อยากให้เพื่อนทำอะไรที่มันทำรายทั้งใจตัวเองและคนอื่นเลยว่ะ วันนี้นายมีน้องเค้า เพราะอะไร ความเหงา ความอ่อนแอของพวกนาย

แต่ความเหงามันไม่ฆ่านายได้นอกจากตัวนายเอง แต่วันใดที่นายกับวินกลับมาเหมือนเดิม และเราก้อเชื่อว่ามันคงมีแน่นอน และวันนั้นแหละ ที่ความอ่อนแอ ความเหงาของพวกนาย จะฆ่าน้องเค้า

การทุกข์ใจเพราะรักมันเป็นยังงัยนายก้อรู้นี่ แล้วทำมัยยังไปทำให้คนอื่นเค้าต้องเจอกับเรื่องแบบนั้นล่ะ”

ผมหันไปมองไผ่ที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม่น พลันน้ำตาก้อไหลออกมา

“เรางี่เง่ามากใช่มั๊ยโอ๊ต นายพูดก้อถูกนะ เราไม่ได้รักน้องเค้า มันเป็นแค่ความเหงาที่ต้องการใครสักคน แล้วเราจะทำยังงัยดีล่ะที่จะไม่ต้องให้ใครมาเสียใจเพราะความเหงาของเรา แต่รู้มั๊ยว่าเราก้อทรมานเหลือเกินเวลาที่ต้องเจอกับความเหงาอยู่คนเดียว”

“มันยังไม่สายไปหรอกรอน อย่าให้น้องเค้าเกลียดกลัวกับความรักครั้งแรกเลยนะ”

“มันไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับไผ่หรอก แต่มันคงเป็นอีกครั้งที่ต้องเสียใจเหมือนเดิม” ผมพึมพำเบาๆ
.
.
“กลับดีๆนะโว้ย ไม่ส่งนะ แล้วเจอกัน”ผมบอกลาโอ๊ต

“เออ...จะทำอะไรก้อคิดดีๆนะ มีอะไรก้อโทรมาหาเราก้อได้ ไปแล้วนะ”

โอ๊ตกับผมแยกกัน ผมเดินมานั่งเล่นในรถที่ลุงกิติเอามาให้ใช้เมื่อหลายเดือนก่อน ผมนั่งคิดถึงเรื่องของผมกับไผ่ว่าจะทำยังงัยต่อไปดี แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรมากไผ่ก้อเดินออกมาก่อน

“รอผมอยู่เหรอ” ไผ่ถามยิ้มๆ

“วันนี้เราไปท่าเรือกันอีกเหอะ” ผมชวนไผ่

“ไปสิพี่”

ผมกับไผ่เรามาที่ท่าเรือข้ามฟากกันอีกครั้ง วันนี้ลมแรงกว่าที่เคย

“หนาวเหมือนกันนะ ไม่นึกว่ากรุงเทพจพหนาวเหมือนกัน” ผมพูดกับไผ่

“ก้อใกล้จะปีใหม่แล้วนี่นา ตอนดึกๆมันก้อเย็นๆ ยิ่งบ้านผมนะ อากาศดีมากนอนไม่ต้องเปิดพัดลมเลยล่ะ ว่างๆลองไปค้างบ้านผมดูมั๊ยล่ะ” ไผ่ถามผมแบบยิ้มๆ

“ชอบจังฤดูหนาว” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ

“ทำไมใครๆก้อชอบหน้าหนาวกันจัง” ไผ่ถามผมกลับมา

“เป็นเป็นฤดูของคู่รักน่ะ”

“งั้นมันก้อเป็นฤดูสำหรับเรานะสิครับ”

ไผ่เอื้อมมาจับมือผมเอาไปกุมไว้

“ไผ่ พี่แทนใครในอดีตของนายไม่ได้หรอกนะ และนายก้อแทนคนในอดีตของพี่ไม่ได้เหมือนกัน ทำแบบนี้เหมือนเราหลอกตัวเราเองเลยนะ”

ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าของไผ่ แต่หางตารู้ว่าไผ่กำลังมองผมอยู่

“พี่ไม่รู้อะไรพี่อย่ามาพูดดีกว่า”น้ำเสียงของไผ่เริ่มเปลี่ยนไป

“ยายนายเคยเล่าให้พี่ฟัง นายแค่อยากจะมีพี่ไว้แทนคนในวันวานเท่านั้นยอมรับความจริงกันเถอะ”

“พี่หยุดคิดเอาเองเสียทีเหอะ” ไผ่พูดเสียงดังมาก

“พี่คิดว่าผมอกหักจากพี่ แทนเหรอ มันไม่ใช่หรอก ความจริงผมเป็นคนหักอกเค้าเอง วันนั้นพี่เค้ามาบอกความในใจกับผมที่นี่ ที่ตรงนี้แหละ

ผมตกใจมากที่ได้รู้เพราะตลอดมาผมคิดกับเค้าแค่เพียงพี่ชายเท่านั้น ผมยังเด็กไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าหลบหน้าพี่เค้าสักพักมันก้อคงไม่เป็นไร แต่มันกลับเป็นว่าผมทำให้พี่เค้าต้องตาย พี่เค้าตายเพราะผมแท้ๆ ฮื่อ...ฮื่อ... พี่ได้ยินมั๊ย เค้าตายเพราะผมเอง...ฮื่อๆๆๆๆ”

ไผ่ดึงผมเข้าไปกอด ตัวไผ่สั่นมาก ผมไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่เพียงกอดตอบหวังเพียงว่ามันจะช่วยคลายทุกข์ในใจที่มีให้หมดไป

คนทุกคนก้อล้วนมีทุกข์ในใจทั้งนั้น แม้ภายนอกจะดูไม่เป็นอะไร มันก้อขึ้นอยู่กับใจของคนๆนั้น แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่มันก้อต้องมีเวลาที่เราพ่ายแพ้แก่มัน แล้วนี่ผมกำลังจะเพิ่มทุกข์ให้กับเราทั้งสองคนอีกเหรอนี่

“นายคิดยังงัยกับรุ่นพี่คนนั้น”ผมถามหลังจากที่ไผ่ดีขึ้นแล้ว
“ผมคิดเสมอว่าพี่แทนคือพี่ชายมาตลอดตั้งแต่แม่ผมจากไป”

“ถ้าทุกวันนี้พี่เค้ายังอยู่ นายคิดว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกได้มั๊ย” ผมยังไม่หยุดถามไผ่ ไผ่เงียบไม่ได้ตอบอะไร

“มันก้อคงเหมือนพี่ที่ยังไม่ได้คิดแบบนั้นกับนาย เพราะพี่ยังคิดถึงอีกคนอยู่ พี่ไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไหร่กว่าจะลืมได้ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง นายจะเป็นคนที่พี่รักแน่นอน”

“อีกนานแค่ไหนครับพี่ 1ปี 2ปี หรือว่าตลอดชีวิต แต่ผมรู้ว่ามันคงไม่มีทาง ....เหมือนที่ผมไม่มีทางที่จะรักพี่แทนได้” ไผ่เดินจากผมไป ปล่อยผมให้จมกับความคิดของตัวเอง

วันนี้ผมคงจะได้รู้ถึงความรู้สึกของวินในวันนั้นแล้วสินะ ความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เกลียดกัน แต่ต้องมาบอกว่าเราอย่ามาคบกัน มันเป็นแบบนี้เองสินะ

ความผิดบาปที่เกิดในใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความรู้สึกนี้จะลบออกไปจากใจได้หมด แต่ผมว่าไม่มีวันที่เราจะลบมันได้หมดหรอก

ถึงแม้วันนึงเราอาจจะลืม แต่ริวรอยมันจะยังคงฝังอยู่ในใจของเราและเมื่อวันใดที่เราอ่อนแอ ความรู้สึกเหล่านี้มันก้อจะออกมาโลดแล่นในใจเรา
.
.
.
.
ใกล้จะปีใหม่แล้ว นับแต่วันนั้นไผ่ก้อไม่ได้ติดต่อผมกลับมาอีก ผมเองปล่อยให้แต่ล่ะวันผ่านไปอย่างคนไม่มีจุดหมาย

เมื่อคืนพี่นัทบอกว่าปีใหม่ถ้าว่างจะกลับมาฉลองด้วยผมเองเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จิตใจของผมจะได้รับการเยียวยาด้วยความรักความห่วงใยจากพี่นัท เพราะมันคงจะทำใผมกลับมามีพลังได้อีกครั้ง

วันนี้ผมต้องรีบเข้ามาบริษัทแต่เช้าเพราะลุงบอกว่ามีประชุมใหญ่ ผมเองก้อเป็นห่วงแกมาก เพราะแกทรุดโทรมลงไปมาก ผมมาถึงบริษัท ทุกคนก้อนั่งรอกันอยู่แล้ว ผมมาเป็นคนสุดท้าย

“ขอโทษครับ พอดี วันนี้ผมมีปัญหาการจราจรนิดหน่อยนะครับ”

ผมรีบเข้าไปขอโทษผู้หลักผู้ใหญ่ที่ต้องมานั่งรอผม

“โอเคงั้นเราก้อมาเริ่มกันเลยนะ”

ลุงแกเริ่มเปิดการประชุม วันนี้การประชุมจะเป็นการแจกแจงผลกำไรในปีที่ผ่านมาเพราะมันกำลังจะก้าวเข้าสู่ปี่ใหม่ เราคุยกันถึงวิธีการทำงาน และรูปแบบการบริหารแบบเก่าๆของบริษัท และทิศทางในวันพรุ่งนี้ของบริษัทที่จะก้าวเดิน
*
*
“และจากการที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนการบริหาร และ มุมมองให้ทันสมัยและก้าวตามโลกให้ทัน เราคงต้องให้คนรุ่นใหม่มาช่วยคิดช่วยทำและวันนี้ ผมคงจะต้องปล่อยให้คนเหล่านั้นรับช่วงต่อเสียที”

ลุงแกหันมามองผมก่อนจะหันไปกดโทรศัพท์ภายในพูดอะไรกับเลขาหน้าห้อง

“หวังว่าทุกคนจะให้การต้อนรับกับลูกชายของผมนะครับ”

ใครคนที่ผมคุ้นหน้าเหลือเกินเดินเข้ามา แม้วันนี้วินจะดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และอาจจะดูแปลกตาไปบ้าง เพราะแว่นตาที่สวมใส่

แต่สำหรับผมวินยังเหมือนวันแรกที่ผมได้เจอและ ยังคงมีเสน่ห์เสมอในสายตาผม หลังจากนั้นผมแทบจะไม่ได้ฟังการประชุมอะไรเลยจนกระทั่งการประชุมจบ

ทุกคนแยกย้ายกันออกไปหมดแล้ว เหลือแค่ผม วิน แล้วก้อลุงกิติ

“รอนเดี๋ยวเที่ยงนี้ไปกินข้าวกับลุงนะ นานๆทีลูกชายจะอยู่กันครบต้องกินพร้อมหน้าพร้อมตา”

“ครับ”

ผมตอบลุงกิติ ก่อนที่แกจะเดินออกไป ความเงียบเกิดขึนทันใด ผมไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้วินและกำลังจะก้าวเดินออกไป

“อย่าเพิ่งไปเลยนะ รอน อยู่กับเราแบบนี้ก่อน”

วินเดินมากอดผมไว้จากข้างหลัง อ้อมกอดที่อบอุ่น แต่มันกลับทำให้ผมเจ็บไปทุกสัมผัส

abcd

  • บุคคลทั่วไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด