รักกลางใจ บทที่ 4 “โก๋จะต้องไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ผมจะส่งเขาเรียนเอง”
ภูมิพูดขึ้นกลางโต๊ะอาหาร ซึ่งแน่นอนว่ามีน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่เจ้าของบ้านติดใจวางอยู่บนโต๊ะด้วย เขายกแก้วขึ้นดื่มอย่างอารมณ์ดี การันต์ที่นั่งอยู่ด้วยเอ่ยค้านขึ้นมา “แต่คุณลุงครับ มหาวิทยาลัยของรัฐตอนนี้ไม่รับนักศึกษาแล้ว มันช้าไปสำหรับผม”
“แล้วใครบอกว่าจะให้เราไปเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐล่ะเจ้าโก๋”
ภูมิยิ้มอย่างปรานีในขณะที่การันต์นั่งทำหน้างงๆ “แล้วคุณลุงจะให้ผมเรียนต่อที่ไหนครับ”
“ลุงจะให้เราไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนานาชาติG” การันต์อ้าปากค้าง ก็จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรในเมื่อมหาวิทยาลัยG เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนนานาชาติชั้นนำ ที่มีแต่คนมีฐานะร่ำรวยมากๆ
เท่านั้นถึงจะเข้าไปเรียนได้ คนอย่างเขาแค่จะเดินเฉียดกรายใกล้รั้วมหาวิทยาลัยก็ยังไม่กล้าเลย แล้วนี่คุณลุงภูมิจะส่งเขาไปเรียนที่นั่น มันราวกับฝันไปด้วยซ้ำ
“รบกวนเกินไปแล้วค่ะ แค่มหาวิทยาลัยเล็กๆ แถวนี้ก็พอ”
กมลเอ่ยห้ามอย่างเกรงใจ ภูมิคว้ามือเธอมากุมไว้ “อย่าเรียกว่ารบกวน ลืมไปแล้วหรือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“เฮอะ!”
เสียงสบถในลำคอดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินผ่านมาได้ยินพอดี ภูเมธทำท่าเหมือนจะเดินผ่านเลยไปโดยไม่เข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วย “เจ้าลูกชายจะรีบไปไหน เข้ามากินอาหารเช้าก่อนสิ”
ภูเมธชะงักเท้าแต่ก็ไม่ยอมหันกลับมา เขายืนนิ่งเชิดหน้าสูงพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยเสียงเย็นชา “เชิญป๋ากินอาหารเช้ากับครอบครัวของป๋าให้สบายใจเถอะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม เพราะผมดูแลตัวเองได้”
“เจ้ามาร์ค”
ภูมิปรามเสียงเข้ม จนกมลต้องยกมือวางที่ท่อนแขนเบาๆเพื่อห้ามไว้ “เชิญคุณมาร์คนั่งก่อนเถิดค่ะ ฉันกับโก๋อิ่มแล้ว”
ภูเมธหันกลับมาด้วยมุมปากที่ยกยิ้มเยาะหยัน การันต์มองแล้วรู้สึกโมโหจนต้องกำมือแน่นเมื่อเห็นท่าทีที่ภูเมธมีต่อเขาสองคนแม่ลูก การันต์จึงรีบผุดลุกขึ้นพร้อมกับกมลเพื่อจะหลบเลี่ยงกับท่าทีคุกคามของภูเมธ “อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ อยู่ต่อก่อนสิ ไหนๆก็มีโอกาสเข้ามาเป็นคุณผู้หญิงในบ้านหลังนี้แล้ว ก็ต้องกอบโกยให้เต็มที่ จริงไหมครับคุณผู้หญิง”
“บ้าที่สุด”
ภูเมธชะงักเมื่อได้ยินเสียงต่อว่าจากคนที่เขาไม่คาดคิด ไม่ใช่จากบิดาหรือภรรยาใหม่ของบิดา แต่เสียงนั้นดังมาจากร่างผอมบางที่มองมายังเขาด้วยสายตาเหมือนลูกแมวน้อยที่กำลังถูกกลั่นแกล้ง “คุณกำลังดูถูกแม่ของผม”
“แล้วอะไรคือดูผิด”
ภูเมธก้าวเข้ามาใกล้ เขายืนกอดอกเชิดหน้าถือดีขึ้น คิ้วเข้มเลิกขึ้นสายตาหาเรื่อง “ลองบอกมาสิว่าที่แม่ของนายมาอยู่ที่นี่ไม่ได้มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง”
“เจ้ามาร์ค”
คราวนี้ภูมิทนไม่ไหว มือหนาตบโต๊ะดังปังก่อนที่จะผุดลุกขึ้นยืนอีกคน ในขณะที่กมลต้องก้มหน้าซ่อนน้ำตาไว้ “ป๋าไม่เคยสอนให้แกเป็นคนดูถูกคนอื่น โหดได้ เลวได้ แต่ต้องไม่เหยียดหยามศักดิ์ศรีคน จำไม่ได้แล้วหรือไง”
ภูเมธกัดฟันแน่นเมื่อถูกบิดาว่ากล่าว นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยถูกดุจนกระทั่งสองแม่ลูกคู่นี้ก้าวเข้ามาในบ้าน ภูมิถอนหายใจเพื่อระงับอารมณ์ แล้วจึงเอ่ยถามลูกชายด้วยความพยายามจะเป็นกลางที่สุด “ไหนลองบอกป๋ามาที ทำยังไงแกถึงจะยอมรับกมลและโก๋”
ดวงตาคมกร้าวขึ้นทั้งที่มุมปากยิ้มหยัน การันต์ที่ยืนมองอยู่นึกเกลียดท่าทางนี้จับใจ “ป๋าอยากให้ผมยอมรับ ผมก็จะยอมรับ แต่มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนมาก่อน”
ร่างสูงยกมือขึ้นมาชี้ไปทางการันต์พร้อมกับพูดประโยคที่ไม่มีใครคาดคิด “ไอ้เด็กขี่จักรยานซุ่มซ่ามคนนี้ต้องมาเป็นคนของผม ทำทุกอย่างตามที่ผมสั่ง จนกว่าผมจะพอใจแล้วเมื่อถึงตอนนั้นผมจะยอมรับ”
การันต์เครียดอยู่ทั้งวันตั้งแต่ได้ยินคำพูดบ้าๆจากปากของคนเย่อหยิ่งคนนั้นที่กล่าวไว้ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แต่ความเงียบงัน จนได้ยินเสียงรถที่ภูเมธขับออกไปพ้นจากรั้วบ้าน กมลเองก็เสียใจจนสะอื้นออกมา ภูมิถอนหายใจยาวอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ การันต์เข้าใจในตัวภูมิดีว่าเขาเลี้ยงภูเมธอย่างตามใจจนเคยตัวยากที่จะควบคุม หนุ่มน้อยถอนหายใจใบหน้าอ่อนเยาว์นั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องส่วนตัวทั้งวัน จนกระทั่งมืดค่ำเขาจึงได้ยินเสียงกุกกักจากห้องข้างๆจึงเดาว่าเจ้าของห้องที่มีระเบียงร่วมกันน่าจะกลับเข้ามาแล้ว การันต์นั่งนิ่งอีกพักใหญ่เพื่อไตร่ตรองในสิ่งที่ตัดสินใจ แล้วจึงลุกขึ้นก้าวออกไปทางประตูเล็กเขาจึงได้เห็นระเบียงกว้างที่โผล่พ้นหลังคาบ้านออกไป ฝั่งหนึ่งมีเก้าอี้ไม้ที่ปรับเอนได้ตั้งอยู่ การันต์เดาว่าภูเมธคงออกมานั่งเล่นตรงนี้บ่อยๆ ถัดจากประตูห้องของเขาการันต์เห็นประตูเล็กที่อยู่ถัดไป หนุ่มน้อยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ มือที่จับลูกบิดประตูชื้นไปด้วยเหงื่อเมื่อเขาเปิดมันออกและก้าวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว “เฮ้ย!”
การันต์อุทานอย่างตกใจที่เมื่อก้าวเข้าไปภายในก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องในสภาพที่การันต์ไม่ทันตั้งตัว เจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำมีเพียงผ้าเช็ดตัวที่พันไว้รอบเอว อวดผิวขาวและช่วงอกแข็งแรงหยดน้ำที่ยังเกาะพราวตามเนื้อตัวยิ่งทำให้การันต์ใจสั่นจนต้องก้มหน้างุด ส่วนภูเมธเมื่อเห็นผู้มาเยือนเขาจึงกดยิ้มที่มุมปากแต่ดวงตาดุกลับมองการันต์ด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาก่อนจะก้าวเดินเข้ามาใกล้ มือเรียวคว้าคางมนของการันต์ให้เงยหน้ามาสบตากับเขา “แก้แค้นที่ฉันเข้าไปในห้องนายเมื่อวานโดยการที่เข้ามาเห็นฉันในสภาพแบบเดียวกับนายบ้างหรือไงไอ้เด็กขี่จักรยานซุ่มซ่าม”
การันต์เอียงหน้าหนีพลางปัดมือเรียวจนพ้นจากคางของตน ใบหน้าที่น่ารักราวกับเด็กน้อยตวัดสายตามองอีกฝ่ายอย่างแค้นเคือง “ผมชื่อการันต์ ไม่ใช่ไอ้เด็กขี่จักรยานซุ่มซ่ามอย่างที่คุณเรียก”
เลิกทำเสียทีได้ไหมกับไอ้ท่ากวนเบื้องล่าง การันต์นึกในใจเมื่อเห็นภูเมธยักไหล่และเลิกคิ้วเหมือนจะขำคำพูดของเขา “แล้ววันนั้น ถ้าคุณจะย้อนความทรงจำกลับไปก็จะจำได้ว่าคุณเองก็ขับรถเร็วเหมือนพวกตีนผี”
ไม่เลวเลย…
กับน้ำเสียงที่ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนแมวน้อยขู่ฟอดยามไม่ได้ดั่งใจ มันทำให้ภูเมธยิ่งนึกสนุกเวลาที่เห็นคนตรงหน้าโมโห นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่กลับอารมณ์ดีได้เวลาที่เห็นเด็กขี่จักรยานซุ่มซ่ามคนนี้ยืนกำมือแน่นแล้วเถียงฉอดๆ สีหน้าท่าทางที่ไม่ยอมแพ้ทำให้เขาต้องซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ “เก่งจริงนะ ไอ้เด็กขี่จักรยานซุ่มซ่าม” ภูเมธก้าวเข้าไปหาร่างบางนั้น การันต์กลืนน้ำลายลงคอพลางก้าวถอยหลังหนีทีละก้าวๆจนแผ่นหลังปะทะกับบานประตูที่เพิ่งก้าวเข้ามา ถอยก่อนดีกว่า นี่คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะพูดคุยเพื่อตกลงแลกเปลี่ยนอะไรแน่ๆ เมื่อหัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปหมด ว่าแล้วการันต์ก็เตรียมที่จะผลักประตูออกไป แต่แขนของเขากลับถูกคว้าไว้แล้วถูกผลักจนหลังพิงประตู เหมือนเมื่อวานเลย การันต์โมโหตัวเองที่รนหาที่เข้ามาให้เขตส่วนตัวของคนตรงหน้า คนน่ากลัวที่ยื้อยุดแขนทั้งสองข้างเอาไว้แล้วโน้มตัวลงมาจนใบหน้าแทบจะชิดติดกัน ทำให้การันต์ต้องเอียงหน้าหนีจนสุดความสามารถ “ไหนลองบอกมาซิ ว่าต้องการอะไรถึงกล้าก้าวเข้ามาในห้องของฉัน” น้ำเสียงนั่นดังอยู่ใกล้หู ใกล้มาก…ใกล้จนการันต์สงสัยว่าใบหน้าของภูเมธจะอยู่ใกล้แค่ไหน
“ผมมาทำความตกลงกับคุณ”
การันต์หลับหูหลับตาพูด เขาไม่กล้าหันไปมองหรอกแค่นี้ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถุกแล้ว “ลองบอกข้อเสนอของนายมาสิ ฉันอาจจะชอบก็ได้นะ”
“คุณปล่อยผมก่อนสิ ทำแบบนี้มันอึดอัดรู้ไหม”
ถ้าหูไม่ฝาดเหมือนว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆอยู่ที่ข้างใบหู ก่อนที่แก้มจะร้อนวูบเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสจากอะไรบางอย่างที่แผ่วเบา มันทำให้ลมหายใจของการันต์สะดุดเกือบสำลัก ภูเมธปล่อยท่อนแขนเรียวเล็กนั่น แล้วก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างให้คนที่ยืนตัวสั่นพิงประตูอยู่ “มีอะไรก็รีบพูดมา”
การันต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้สึกว่าได้พื้นที่ส่วนตัวกลับคืนมา แม้จะเพียงน้อยนิดมันก็ทำให้เขามีเวลาปรับการหายใจให้กลับสู่ระดับปกติอีกครั้งแม้ว่าหัวใจของเขายังเต้นรัวไม่เลิก หนุ่มน้อยหันใบหน้ากลับมาสบตากับตาคมคู่นั้น แล้วเอ่ยในสิ่งที่ตัดสินใจมาแล้ว “ที่คุณพูดเมื่อเช้านี้ ว่าถ้าผมยอมเป็นคนของคุณ คุณจะยอมรับแม่ของผม”
การันต์กลืนน้ำลายลงคอ ในขณะที่ภูเมธเลิกคิ้วเข้มขึ้นยกมือกอดอกรอคำพูดจากการันต์ “ผมยอมก็ได้ ผมยอมเป็นคนของคุณ ยอมรับใช้ตามที่คุณสั่ง ขอแค่คุณเลิกดูถูกแม่เลิกทำให้แม่ร้องไห้อย่างเมื่อเช้านี้” ดวงตาคู่สวยที่มองมาตอนนี้แดงก่ำ เรียวปากอิ่มเม้มแน่นเมื่อการันต์พยายามหักห้ามความเสียใจที่เห็นแม่ต้องร้องไห้ ไม่…แม่จะต้องร้องไห้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย การันต์จะทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ยิ้มได้ แม้ว่าเขาจะต้องยอมเป็นทาสรับใช้ผู้ชายที่กำลังมองมาด้วยแววตาที่เขาแปลความหมายไม่ออก การันต์ก็ยอมแล้ว
“นายหมายถึงว่า นายจะยอมทำตามคำสั่งที่ฉันสั่ง ทุกอย่างงั้นรึไง”
“ชะ ใช่ เริ่มจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป แค่คุณอย่าทำให้แม่ร้องไห้”
น้ำตาหยดไหลผ่านร่องแก้ม มือน้อยกำหมัดแน่นเมื่อเอ่ยข้อตกลงออกมา ริมฝีปากสั่นระริก การันต์เชิดหน้าขึ้นรอคำตอบจากเขา ภูเมธมองภาพนั้นก่อนที่จะยกยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง “ดีล…ฉันยอมรับข้อตกลง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปนายคือคนของฉัน การันต์”
เป็นครั้งแรกที่ภูเมธเอ่ยชื่อของเขาออกมา แต่มันทำให้เขาปวดหนึบที่ใจเมื่อรู้ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องตกเป็นทาสของคนๆ นี้ วันพรุ่งนี้ที่เขายังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง การันต์มองภูเมธด้วยสายตาตัดพ้อก่อนที่จะผลักประตูแล้วรีบก้าวหนีไปจากห้อง จึงไม่ทันได้เห็นนัยน์ตาวาววับของภูเมธ …นี่นายจะรู้บ้างไหมว่าการเป็น“ทาส”เขาต้องทำอะไรกันบ้าง…
เมื่อวิ่งกลับเข้ามาในห้องส่วนตัวการันต์จึงรีบล็อคประตูจนแน่นหนาแล้วจึงก้าวมาล้มตัวลงบนที่นอน น้ำตาไหลพรากกับสิ่งที่ตัดสินใจ แต่เขาจำเป็นต้องยอมรับมัน พ่อจ๋า…
พ่อที่อยู่บนสวรรค์ ได้โปรดช่วยลูกด้วย ได้โปรดให้ลูกได้มีแรงต่อสู้กับผู้ชายคนนั้น หนุ่มน้อยปล่อยให้น้ำตาไหลรินจนหมดแรง และหลับใหลไปกับราตรีสุดท้ายที่ยังมีอิสรภาพTBC