Side Story ( แซม X จัสมิน ) 5 ตั้งแต่ที่พี่นิลมาหาผมกับพี่แซมวันนั้นก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ผมอยู่กับพี่แซม เมื่อเดือนก่อนผมมีโอกาสได้พบกับคุณพ่อคุณแม่ของพี่แซม ตอนแรกก็เกร็งๆไปๆมาๆพวกเราก็เข้ากันได้ดี อ้อ..พี่แซมมีน้องชายอีกหนึ่งคนนะครับเพิ่งอยู่มัธยมต้นเอง แต่ความสูงนี่เลยหัวผมไปเยอะเลย -..- แล้วหลังจากนั้นมาไม่นานผมก็มาทราบทีหลังว่าพี่แซมพาคุณพ่อคุณแม่ไปเจอกับครอบครัวผมมาแล้ว เห็นว่าอยากจะทำเรื่องขอให้ผมมาอยู่กับพี่แซมแบบเป็นเรื่องเป็นเรื่องราว จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนผมรู้ ผมงี้ยิ้มจนแก้มแทบแตก มันอิ่มๆยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก >_< ถึงตอนแรกจะแอบเคืองก็เถอะ เพราะพี่แซมไม่ยอมบอกอะไรผมเลย แต่ก็ช่างเถอะ ^_^
วันนี้ผมมาหาพี่แซมที่มหาวิทยาลัยล่ะเพราะวันนี้ผมเลิกเรียนเร็ว ก็เลยกะจะแวะมาหาแล้วจะได้กลับห้องพร้อมกัน ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับหนทางที่นี่ดี เพราะเคยมาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งที่มาผมก็จะมารอพี่แซมที่โต๊ะหินอ่อนตรงหน้าคณะประจำ แต่คราวนี้ผมไม่ได้บอกพี่แซมก่อนว่าจะมาหาเพราะเหมือนพี่มันจะไม่ค่อยชอบให้ผมมาหา เวลาผมมาทีไรชอบทำหน้าหงิกทุกที ว่าแล้วก็นั่นไง...เดินทำหน้ายักษ์มาเลย
“ทำไมไม่บอกก่อน” ทำเป็นเข้ม
“ก็คิดว่าเรียนอยู่นี่...พี่แม็กพี่เจมส์หวัดดีฮะ ^_^” ประโยคหลังผมเอ่ยทักเพื่อนพี่แซมที่เดินมาด้วยอีกสองคน เป็นเพื่อนสนิทพี่แซมครับมาทีไรเจออยู่ด้วยกันตลอด ระดับความหล่อนี่ไม่ต้องพูดถึงกินกันไม่ลงจริงๆ จากสามคนนี้ทำให้ผมรู้ว่าคนหน้าตาดีมักจะคบกับคนหน้าตาดีด้วยกัน แต่ยังไงพี่แซมของผมก็หล่อที่สุด อิ้อิ้
“ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ โดนไอ้แซมมันจับขังไว้ล่ะสิ” พี่เจมส์เดินมานั่งตรงที่ว่างข้างผม แถมยังยกมือผลักหัวผมอีก นิสัย -..-
“เดี๋ยวเถอะมึง หัวมันมีแค่นี้ เดี๋ยวก็ได้เอ๋อกว่าเดิม” พี่แซมเข้ามานั่งแทรกระหว่างผมกับพี่เจมส์ ส่วนพี่แม็กก็เดินมานั่งฝั่งตรงข้ามยิ้มๆ เอ่อ...แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอกด่าเลยแฮะ
“มึงก็ว่าไป มันคงเอ๋อกว่านี้ไม่ได้ละ ฮ่าๆๆๆ” อ่าว ไอ้พี่เจมส์
“รุมว่ะ พี่แม็กช่วยมินด้วย” ผมลุกจากที่เดิมย้ายไปนั่งข้างพี่แม็กกอดแขนออเซาะเลยครับพี่แกก็ยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ กับพี่แม็กผมกล้าเล่นแบบนี้เพราะพี่เขาไม่เหมือนพี่เจมส์ พี่แม็กให้อารมณ์เหมือนคุณแม่(?) อ่า...บอกไม่ถูกมันให้ความรู้สึกอุ่นๆนุ่มๆนิ่มๆไม่เป็นพิษภัยยังไงไม่รู้แต่ผมชอบที่จะเกาะแกะพี่แม็กแบบนี้
“ไปอยู่ด้วยกันเลยไหม?” พี่แซมถามเสียงเข้ม ตางี้จ้องผมเขม่งเลย ผมก็ไม่สนแลบลิ้นใส่อีก ฮ่าๆ
“กูเอาจริงนะ จะเลี้ยงอย่างดี” พี่แม็กก็ไปยั่ว
“หรือจะไปอยู่กับพี่ก็ได้นะ” พี่เจมส์ยื่นหน้าเข้ามาพูดน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“อยู่กับพี่เจมส์ อนาคตมินก็ดับวูบน่ะสิ”
“ฮ่าๆๆๆๆ พูดดีมาก” พี่แม็กหัวเราะไปก็เอามือไปปัดมือพี่เจมส์ที่จ้องจะผลักหัวผมอีกรอบ จนพี่เจมส์ทำหน้าหงิกหน้างอ ฮ่าๆ พวกเรานั่งคุยเล่นกันอีกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันกลับแต่ยังไม่ทันได้ลุกจากโต๊ะก็มีแขกไม่ได้รับเชิญเดินมาเสียก่อน
“พี่แซม เพิ่งเลิกเรียนเหรอครับ ?”
“อื้ม เต้ยก็เพิ่งเลิกเหรอ?” พี่แซมตอบกลับไป เต้ย...เหมือนเมื่อก่อนเคยได้ยินพี่แซมคุยโทรศัพท์กับคนชื่อนี้อยู่เหมือนกัน สมัยตอนที่ยังคบกับพี่กัสอยู่น่ะนะ คงเป็นหนึ่งในบรรดากิ๊กอีกล่ะสิ ผมยืนฟังบทสนทนาเรื่อยเปื่อยของทั้งสองคน ไม่รู้ว่าผมเผลอลงแรงจิกแขนพี่แม็กไปเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่แม็กลูบมือผมเบาๆ อีกข้างเป็นพี่เจมส์ที่เดินมายืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้วางมือลงบนหัวผมพร้อมกับลูบไปมา ผมไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกแต่มันก็ทำให้ผมสงบลงได้
“แล้วนั่นใครหรอครับ ? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” คนชื่อเต้ยชี้มือมาทางผม พี่แซมเหลือบตามามองผมก่อนจะหันกลับไป ผมเผลอกลั้นใจลุ้นไปกับคำตอบ ถึงเราจะอยู่ด้วยกันมานานใช้ชีวิตเหมือนคนรักกันแต่พี่แซมไม่เคยพูดหรือบอกอะไรทำนองนั้นเลย บางทีผมก็มีความคิดงี่เง่านะ ว่าผมคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า
“อ่อ...นั่น...”
“น้องชายเพื่อน...ผมเป็นน้องชายเพื่อนพี่แซม” ผมรับรู้ได้ว่าทั้งพี่แม็ก พี่เจมส์ โดยเฉพาะพี่แซมจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมก็อยากจะตีตัวเองเหมือนกันไม่รู้อะไรดลใจให้ไปพูดขัดพี่แซมแบบนั้น แต่...ผมแค่เผลอคิดว่าถ้าพี่แซมจะพูดแบบนี้หรือบอกเป็นอย่างอื่น ผมเองก็ไม่อยากฟังเหมือนกัน เพราะงั้นผมขอตอบเองดีกว่า
“อืม...” พี่แซมพูดจบก็เดินหนีออกไป ไม่สนเสียงเรียกของคนที่ตัวเองคุยด้วย ผมเงยหน้ามองพี่เจมส์กับพี่แม็ก ทั้งคู่ก็เอาแต่ส่ายหัวไปมา ก่อนจะบอกให้ผมตามพี่แซมไป ผมเลยบอกลาพี่ๆทั้งสองคนก่อนจะตามพี่แซมที่เดินจ้ำอ้าวจนผมต้องวิ่งตาม
“พี่แซมรอเค้าก่อน”
พี่แซมไม่ฟังเสียงผมเดินเข้าไปนั่งในรถฟังคนขับ ผมยืนนิ่งหน้าเสียอยู่ข้างรถ ชะงักมือไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปถ้าหากพี่แซมไล่ผมลงจากรถ ผมคงทำอะไรไม่ถูก แค่พี่แซมไม่สนใจผมแบบนี้ผมก็รู้สึกตาร้อนๆเหมือนจะร้องไห้แล้ว…
ฮึก...ผมว่าไม่ทันแล้วล่ะ
ผมยืนก้มหน้านิ่ง กัดปากเก็บเสียงร้องปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ถ้าพี่แซมจะทิ้งผมจริงๆผมก็จะยืนส่งก่อน แล้วค่อยขึ้นรถกลับไปหาที่คอนโด แต่เวลาผ่านไปรถก็ยังจอดอยู่ที่เดิม
“จะไม่กลับใช่ไหม ?” ผมสะดุ้งเงยหน้ามองต้นเสียง เป็นพี่แซมที่เปิดกระจกฝั่งที่นั่งด้านข้างลงมา ผมรีบพยักหน้าเร็วๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแบบลวกๆก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่ง แอบเห็นพี่แซมส่ายหัวไปมา
“ทำไมขี้แยจังหืม? ไอ้ลูกแมว” มือใหญ่เอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา นิ้วโป้งใหญ่ไล้เกลี่ยไปทั่วแก้มก่อนจะหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก ผมอดที่จะเอียงหน้าแนบไปกับฝ่ามือนั้นไม่ได้มันให้ความรู้สึกดี ผมเป็นแมว ผมชอบสัมผัส ผมไม่แน่ใจว่าที่ผมรู้สึกดีขนาดนี้มันเป็นเพราะผมเป็นแมวหรือเพราะคนที่สัมผัสผมเป็นพี่แซมกันแน่
ผมเผยอปากงับนิ้วโป้งที่เกลี่ยอยู่ที่ริมฝีปากผมเบาๆอย่างลืมตัว แอบเห็นประกายบางอย่างในตาพี่แซม รู้ตัวอีกทีนิ้วโป้งที่ผมเผลองับก็ถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากอุ่นๆของเจ้าของนิ้ว ริมฝีปากบดเบียดลงมาอย่างรุนแรงแต่มันไม่ถึงกับเจ็บ ไม่อ่อนหวานแต่กลับชวนเคลิ้ม เรียวลิ้นร้อนไล้เลียอยู่รอบๆริมฝีปากผมเพียงผมเผลอปากเล็กน้อยก็ถูกรุกล้ำเข้ามาอย่างง่ายดาย
ผมถูกยกให้มานั่งคร่อมตักพี่แซมเอาไว้ มือผมทั้งสองข้างยกขึ้นคล้องคอโดนอัตโนมัติ มือใหญ่ทั้งสองข้างลูบไล้แผ่นหลังผมอย่างหนักหน่วงก่อนจะสอดเข้ามาในเสื้อลูบไล้ช่วงเอวสลับกับบีบเคล้นไปมา จนร่างกายผมสั่นเทิ้ม มันรู้สึกแปลก ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกที่ผมรู้สึกดี…ดีมาก
“อ๊ะ” ผมสะดุ้งสั่น เมื่อมือที่เคยลูบเอวเมื่อครู่เปลี่ยนมานวดวนๆแถวช่วงอกก่อนจะโจมตีตุ่มไตทั้งสองข้างของผมอย่างหนักหน่วงพร้อมกับริมฝีปากร้อนที่ไล้เลียอยู่แถวต้นคอ มือของผมจิกลงบนต้นคอพี่แซมแน่น ซุกหน้าเข้ากับช่วงไหล่กว้าง
“พะ...พี่แซม อื้อ ยะ...อย่า....” ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันเบลอไปหมด เมื่อมือใหญ่ลูบส่วนหางของผมเบาๆตั้งแต่โคนจรดปลาย ผมไม่รู้ว่ามันออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันทำให้ผมรู้สึกทรมาน รู้สึกปวดหน่วงตรงท้องน้อยไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม พลันเรื่องที่พี่นิลเคยบอกผมให้ระวังไม่ให้พี่แซมจับหางก็เข้ามาในหัว พี่นิลบอกว่ามันจะทรมานและไม่ดีต่อแมวอย่างเรา ผมไม่เคยเข้าใจแต่ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลังทรมาน...
“พะ...พี่แซม...”
“นิ่งๆ” น้ำเสียงแหบพร่าตอบกลับมา พี่แซมกำลังหายใจแรงเหมือนคนหอบเหนื่อย ผมไม่รู้ว่าพี่แซมเป็นอะไรแต่เพราะผมก็อยู่ในอาการเดียวกันผมเลยยอมอยู่นิ่งๆ ซุกเข้าซอกคอพี่แซมอีกครั้ง พี่แซมหยุดการกระทำทุกอย่างก่อนจะกอดรัดผมเอาไว้แน่นจนเหมือนจะหายใจไม่ออก เรานั่งเงียบๆอยู่ท่านั้นสักพักจนทุกอย่างเริ่มสงบลง ทั้งพี่แซมและผมกลับมาหายใจในจังหวะปกติ
“มะลิ...ไปเที่ยวกัน”
“ฮ้า ~~~~~ คุณทะเล !!!!!!!”
หลังจากที่ผมตกปากรับคำแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา วันหยุดสุดสัปดาห์ผมและพี่แซมก็มาโผล่อยู่ที่ทะเล ก็แหม...สำหรับคนที่แทบไม่ได้ออกจากบ้านอย่างผม พอมีโอกาสก็ต้องรีบตะครุบเอาไว้ก่อนสิ ถึงจะไม่ใช่ทะเลทางใต้ก็เถอะ เพราะเวลาไม่เอื้อ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนที่แทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคุณทะเล ว่าแล้วก็ขอสูดกลิ่นเกลือหน่อยเถอะ ฟืดดดดดดดดด
“ไอ้ลูกแมวเอาของไปเก็บก่อน” ตัวมารขัดความสุขจริงๆ ผมวิ่งกลับไปหาพี่แซมที่ขนของอยู่ที่ท้ายรถ เออนะ เมื่อกี้ก็มัวแต่ตื่นเต้นไม่ได้สนใจอะไรคนพามาเท่าไหร่
พี่แซมพาผมไปบ้านไม้สองชั้นสีขาวหลังกะทัดรัด ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะว่าทำไมเวลาเป็นบ้านที่ชายทะเล จะต้องเป็นบ้านไม้สีขาว -..- แต่เอาเถอะ เพราะบ้านหลังนี้น่ารักมาก มันดูอุ่นๆ พวกเครื่องเรือนก็ทำจากไม้สไตล์วินเทจซึ่งผมไม่ค่อยได้เห็นเลย ตื่นเต้นวิ่งเข้าออกห้องนั้นห้องนี้จนมีเสียงบ่นตามมาแล้วก็เงียบไปเพราะเมื่อยปาก ฮ่าๆ
ผมจัดการเก็บของไว้ในห้องที่พี่แซมบอกว่าเป็นห้องนอนเสร็จเรียบร้อยก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นสายทางสีน้ำเงินขาว มีหมวกเป็นพร๊อพเสริมอีกอัน คว้ากล้องถ่ายรูปมาคล้องคอ คีบรองเท้าแตะ เป็นอันเสร็จพิธี ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปด้านนอกเห็นพี่แซมนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟากลางบ้าน ดูจากท่าทางแล้วคงจะเหนื่อยพอดู ก็แน่ล่ะขับรถคนเดียวตลอดทางถึงจะไม่ไกลมากแต่ก็คงมีเพลียบ้างเหมือนกัน
ผมยืนละล้าละลังคิดไม่ตกว่าจะเอาไงดี เดินเข้าไปใกล้คนนอนหลับเงียบๆ ผมเคยบอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าพี่แซมมันหล่อ แล้วตอนหลับพี่มันก็หล่อไม่ต่างจากตอนตื่นเลย ผมไล่สายตามองสำรวจใบหน้าคมไปเรื่อยก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากสีออกคล้ำนิดๆ พลันฉากจูบอันเร้าร้อนเมื่อวันก่อนก็ไหลกลับเข้ามาในหัวผมเหมือนน้ำหลาก จนผมเผลอเด้งตัวออกมา รู้สึกร้อนไปหมดทั้งหน้า >///<
ยืนบิดไปบิดมาอีกสักพักผมก็จัดการหากระดาษมาเขียนโน้ตสั้นๆบอกคนนอนเอาไว้ว่าผมจะออกไปเซฮัลโหลคุณทะเล เรียบร้อยผมก็เดินออกจากบ้านมา ไม่ลืมที่แอบจุ๊บมุมปากเบาๆส่งท้ายด้วย
ผมเดินๆวิ่งๆอยู่แถวๆชายทะเลเดินเอาเท้าจุ่มน้ำไปเรื่อย มันรู้สึกดีมากๆจนผมอยากจะเอาหูกับหางออกมารับลมทะเลบ้าง แต่ถ้าทำอย่างนั้นมีหวังคนแถวนี้คงได้แตกตื่นกันหมด แต่แค่นี้ก็ถือว่าดีมาก แฮปปี้สุดๆแล้ว
“อ๊ะ !” ผมหันหลังวิ่งไล่ตะครุบหมวกสานใบเล็กที่ถูกลมทะเลพัดออกจากหัว แต่ยังไปไม่ทันถึงไหนก็มีคนใจดีช่วยเก็บให้เสียก่อน เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติครับ พอเห็นอีกฝ่ายเก็บหมวกให้ผมเลยวิ่งทั่กๆเข้าไปยืนตรงหน้า พอมายืนใกล้ๆแบบนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแคระอย่างไรไม่รู้แฮะ ขนาดพี่แซมที่ว่าสูงแล้วแต่เหมือนคุณคนนี้จะสูงกว่าอีก ตาสีฟ้าๆ กับจมูกโด่งนั่น ถือว่าหน้าตาดีมากเลยล่ะครับ ทำให้ผมรู้สึกอยากบริโภคของนอกขึ้นมาตงิดๆ จุ๊ๆไว้นะ
“ขอบคุณมากนะครับ” ผมเอ่ยขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับส่งยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะรับหมวกมาสวมไว้เหมือนเดิม เหมือนได้ยินเสียงโห่แซวมาไม่ไกลคงเป็นเพื่อนๆของคนที่เก็บหมวกให้ผม ผมไม่เห็นคนตรงหน้าจะว่าอะไรนอกเสียยืนเกาท้ายทอยเหมือนคนกำลังเขิน ฮ่าๆ น่ารักดีครับ
“ด้วยความยินดีครับ มาเที่ยวหรอครับ?”
“ครับ ทะเลที่นี่สวยมากๆ” ผมยิ้มตาหยีพร้อมกับหันหน้าเข้าทะเลกางแขนรับลมที่กำลังโชยมา
“ฮ่าๆ ครับๆ ผมเชื่อแล้ว ว่าแต่คุณมาคนเดียว?”
“อ๋อ เปล่าครับมีอีกคนแต่ตอนนี้นอนหลับอุตุอยู่” นึกแล้วก็ยู่หน้า หรือว่าผมจะเข้าไปลากพี่แซมมาเดินเล่นด้วยกันดีหว่า
“ผมแฟร็งค์นะครับ ^^”
“ผมจัสมินครับ ^_^”
“เอ่อ...ถ้าไม่รังเกียจไปเดินเล่นด้วยกันไหมครับ?” ผมหันมามองคนชวน ถ้าพี่แซมรู้เข้าจะโกรธผมไหมนะ แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหนิแค่เดินเล่น แล้วอีกอย่างคุณแฟร็งค์เองก็ดูไม่มีพิษภัยอะไร ถ้าไม่ไปไกลนักคงไม่เป็นไร ดีกว่าเดินเล่นคนเดียวแหละ
“งั้น....อ๊ะ !” ยังพูดไม่ทันจบผมก็โดนมือปริศนารวบเอวเอาไว้พร้อมกับดึงปีกหมวกลงปิดหน้าผมเสียสนิท ถ้าไม่ใช่เพราะผมคุ้นเสียงและจำกลิ่นได้มีหวังผมตกใจจนหูหางโผล่แน่ๆ
“คงไม่รบกวนหรอกครับ คนของผมผมดูแลเองได้”
“อ่า...ครับ”
“เอ๊ะ ! เดี๋ยว !” ผมยังไม่ทันได้เอ่ยลาคุณแฟร็งค์ไม่แม้แต่จะเห็นว่าคุณแฟร็งค์ทำยังไง ผมก็โดนลากตัวออกมาเสียก่อน เมื่อสงครามการลากจบลงผมก็เงยหน้าเปิดหมวกขึ้นมองบรรยากาศรอบๆพบว่าอยู่ไม่ห่างจากที่พักเท่าไหร่นัก แถมพี่แซมยังทำหน้าเหมือนโกรธเคืองใครมาสักสิบชาติได้
“อย่าทำแบบนี้อีก” ว่าเสียงเข้ม
“แต่เค้าเขียนโน้ตติดไว้แล้วนะ” ผมตอบเสียงอ่อมแอ้ม ไม่ชอบเลยอ่ะเวลาที่พี่แซมดุแบบนี้
“ไม่ใช่เรื่องนั้น พี่หมายถึงอย่าไปคุยกับคนแปลกหน้าง่ายๆแบบนั้นอีก เข้าใจไหม?” เสียงเหมือนพยายามข่มอารมณ์เต็มที่
“แต่คุณแฟร็งค์เขาไม่ได้มีท่าทางไม่ดีนะ”
“แล้วยังไง เป็นคนไม่ดีต้องแสดงออกว่าไม่ดีงั้นสิ” พี่แซมว่าอย่างใส่อารมณ์
“....”
“เคยออกจากบ้านมาเจอคนแบบนี้แล้วเหรอ ถึงได้ไปเชื่อเขาน่ะ”
“...” ผมนิ่งเงียบ ใช่สิ ผมมันไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไม่ค่อยมีเพื่อนเลยไม่รู้อะไรไปหมดแหละ แต่ผมก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะแล้วก็ไม่ได้คิดจะไปไหนอะไรเกินเลยด้วย ทำไมจะต้องมาว่าผมขนาดนี้ แถมยังมาถอนหายใจใส่ผมอีก ฮึก...
“โอเค ไม่ว่าแล้วครับไม่ว่าแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะสบเข้าอย่างจังกับพี่แซมที่ก้มตัวลงมาจนใบหน้าเราอยู่ระดับเดียวกัน นิ้วโป้งใหญ่ไล่เช็ดคราบน้ำตาให้ผม แววตาสำนึกผิดกับคำสบถเบาๆที่เหมือนโทษตัวเองของพี่แซมทำให้ผมโกรธไม่ลง จึงเข้าไปกอดร่างสูงเอาไว้แน่น ซุกหน้าเข้ากับอกส่ายไปมา พร้อมกับสั่งขี้มูกใส่ ฟืดดดดดดดดด
“มะลิ” เสียงเข้มกลับมาแล้วครับ แต่ผมยังเช็ดๆต่อไป ก่อนจะฝากไว้อีก ฟืดดดดดดดดดดดดด
“แบร่ !”
“เจอไอ้หนุบหนับแน่ มะลิ!”
“จ๊ากกกกกก” ผมวิ่งหนีพี่แซมที่ล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วรีบวิ่งไล่ตามผม ต้องเป็นไอ้หนุบหนับแน่ๆ นิสัยไม่ดีๆๆๆๆๆๆ
กลายเป็นว่าเราวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ริมทะเลนั้นแหละครับสาดน้ำใส่กันไปมา ผมแอบกระโดดขี่หลังพี่แซมไปหลายครั้ง ครั้งแรกนี่เกือบหน้าทิ่มน้ำกันทั้งคู่เพราะพี่มันตั้งตัวไม่ทันแต่ครั้งต่อๆไปไม่มีปัญหาครับ แถมยังมีหน้ามาลองขี่หลังผมด้วย ไม่เช็คภาพร่างผมเลย
“ไอ้พี่แซม !!” ผมอยากจะกรีดร้อง ไอ้พี่แซมมันขโมยกุ้งผม!! นี่มันตัวที่สามแล้วนะ แล้วกว่าผมจะแกะได้แต่ละตัวมันไม่ใช่ง่ายๆ แต่อีตาพี่แซมนี่สิปกติแค่พี่มันแกะกินเองผมก็กินไม่ทันแล้ว นี่ยังมาขโมยของผมอีก ฮึ่ย !
ไม่ต้องสงสัยครับหลังจากที่พวกเราเล่นน้ำกันจนเหนื่อยก็พากันไปอาบน้ำแล้วก็ลากกระเพาะอันหิวโซของตัวเองมาจบที่ร้านอาหารทะเลไม่เล็กไม่ใหญ่ริมทาง แต่รสชาตินี่อย่างเด็ด เสียอย่างเดียวมันกินยากไปหน่อย ยากไปหมดทุกอย่าง กุ้งเอย หอยเอย ปูเอย มีแค่ตัวที่ไม่ต้องแกะเปลือกเท่านั้นแหละที่ผมกินได้ คิดแล้วก็หมั่นไส้อีกคนที่กินเอาๆ
“อิ่มแอ้วอ่อ ?” แปลเป็นภาษาคนได้ว่า อิ่มแล้วหรอ ? แน่สิจะไปพูดชัดได้ยังไงในเมื่อกุ้งเต็มปากขนาดนั้น ผมไม่ตอบแต่เลือกที่หันหน้าออกไปมองบรรยากาศรอบๆแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบแทน
ผมผงะไปเล็กน้อยเมื่อหันกลับมาเจอกุ้งตัวโตจ่อรออยู่ตรงหน้า ตรงหน้าจริงๆครับ จะจิ้มหน้ากันอยู่รอมร่อ ผมทำหน้างงใส่พี่แซมแต่ปากนี่อ้างับตัวกุ้งไปแล้วครับ ไม่จับเองด้วยปล่อยให้พี่มันจับหางกุ้งแล้วดึงออกไปให้ อ้า ~~~~ กุ้งตัวโตๆเนื้อแน่นๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสแซ่บ มันสุดยอดจริงๆ
“อ่ะ” คราวนี้เป็นก้ามปูใหญ่ๆ จิ้มน้ำจิ้มมาพร้อมเหมือนเดิม ผมก็อ้าปากงับเหมือนเดิม อร่อยอ่ะ >_<
“แล้วพี่แซมไม่กินแล้วเหรอ?”
“เห็นแมวหน้าบูดแล้วสงสาร หึ” จากนั้นก็มาเต็มครับ กุ้ง หอย ปู ปลา ไม่ต้องแกะเองแล้วด้วย อิ้อิ้
หลังจากหาอะไรยัดกระเพาะจนเต็มแล้วพี่แซมก็พาผมออกมาเดินเล่นตามชายหาด ลมเย็นๆกับบรรยากาศยามค่ำคืนทำให้ทะเลดูแตกต่างจากตอนกลางวันที่ผมเห็น มันดูเงียบสงบ แต่ถ้าผมอยู่คนเดียวผมอาจจะรู้สึกว่ามันน่ากลัวมากกว่าสงบก็ได้ ผมเหลือบตามองคนที่เดินอยู่เคียงข้างกันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจออกจากบ้านในตอนนั้น ขอบคุณป้ายรถเมล์ ขอบคุณสายฝน ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ผมได้มาเจอกับพี่แซม
“พี่แซม”
“หืม...?”
“รักเค้าไหม?” ผมหยุดเดินแล้วจ้องหน้าถามอีกฝ่ายตรงๆ จากเรื่องเมื่อวันก่อนที่เราเกือบจะทะเลาะกันเพราะความงี่เง่าของผมในเรื่องสถานะของเรา เพราะงั้นคราวนี้ผมจะจัดการทุกอย่างให้มันชัดเจน ในเมื่อความตั้งใจของผมคือจะทำให้พี่แซมรักและผมก็คิดว่าผมควรจะรู้ผลของการกระทำตัวเองเสียที
“ถามทำไม ?” คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้น สีหน้าประหลาดใจ ทำเอาผมใจแป้วไปนิดหน่อย
“ก็จีบมาตั้งนานแล้ว...รักเค้าบ้างหรือยัง?” ก้มหน้าตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“ก็อยากรู้เหมือนกัน จีบมาตั้งนานแล้ว...รักพี่บ้างหรือยัง?” ผมเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ย่อลงมาจนอยู่ในระดับเดียวกัน แววตาอบอุ่นปนเอ็นดูที่จ้องมองมาทำเอาผมใจเต้นแรงจนเจ็บอก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ร้องไห้ออกมาง่ายๆเมื่อเจอเรื่องดีใจ
“ฮึก...รัก...เค้ารัก อึก รักมาตั้งนานแล้ว ฮือ”ทั้งรอยยิ้ม น้ำเสียง และสัมผัสอ่อนโยนที่ช่วยเช็ดน้ำตาทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม
“พี่ก็รัก...งั้นเราเป็นแฟนกันไหม?”
“ฮึก ฮือๆๆๆๆๆ” ผมทั้งพยักหน้าและร้องไห้กับอกอุ่นๆที่พุ่งเข้าใส่ตั้งแต่จบประโยค ผมดีใจ ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันไม่เหมือนความดีใจที่ได้ของขวัญ หรือความสุขที่ได้รับจากครอบครัว มันเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่เข้ามาเติมเต็มผม ผมอยากจะตีตัวเองหลายๆทีเพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่สัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากก็ช่วยย้ำเตือนให้ผมโดยที่ผมไม่ต้องตีตัวเองอย่างที่คิด
“อื้อ”เรียวลิ้นร้อนที่รุกไล่เข้ามาเกี่ยวกระหวัดเข้ากับลิ้นเล็กของผมทำให้ผมรู้สึกมึนเบลอไปชั่วขณะ เรี่ยวแรงหดหายจนต้องยึดปกเสื้อของพี่แซมเอาไว้เพื่อรั้งตัวเอง
ไม่รู้ว่าเรายืนจูบกันอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่...
ไม่รู้ว่าผมถูกช่วงชิงลมหายใจไปมากแค่ไหน...
ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนจากทะเลยามค่ำคืนมาเป็นบ้านหลังเล็กสีขาว จนเมื่อแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความอุ่นนุ่มของเตียงนอน
“อ๊ะ...” ความรู้สึกแปลกประหลาดในรถวันนั้นกลับมาอีกครั้งเมื่อริมฝีปากร้อนไล้เล็มไปทั่วลำคอ ความร้อนจากฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ไปทั่วร่างที่ไร้เสื้อผ้าปกปิด คลึงเคล้าที่ตุ่มไตทั้งสองข้างอย่างเร้าร้อน ทำให้ผมปล่อยหางและหูของตัวเองออกมาอย่างไม่รู้ตัว และเหมือนคนด้านบนจะชอบมากเสียด้วย
“อื้อ หาง ..มะ...ไม่เอา” ผมบอกตะกุกตะกักเมื่อพี่แซมเริ่มบุกเข้าลูบไล้หางผม แต่นอกจากจะไม่หยุดลูบแล้วปลายหางของผมยังถูกไล่งับเบาๆชวนให้รู้สึกหวิวแบบแปลกๆ มันปวดหน่วงตรงนั้นไปหมดจนเหมือนน้ำตาจะไหล ยิ่งสัมผัสอุ่นชื่นแตะเล็มไล้ที่จุกเล็กบนอกสลับข้างไปมาทั้งสองข้าง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกทรมานมากขึ้นไปอีก รู้สึกร้อนจนเหมือนจะระเบิด
“น่ารัก”เสียงทุ้มกระพริบพร่าที่ข้างหูก่อนจะผละออกจ้องมองผมตาพราวด้วยแววตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันให้ความรู้สึกเซ็กซี่และเร้าร้อน เหมือนจะเพิ่มอุณภูมิให้ร่างกายของผมสูงมากขึ้นไปอีก
“อ๊ะ” ผมถูกจับให้อยู่ในท่าคลานเข่า โดยมีพี่แซมซ้อนอยู่ทางด้านหลัง ปลายหางของผมจ่ออยู่ที่ปากของตัวเอง พร้อมกับสัมผัสรุ่มร้อนที่ลูบไล้ตรงจุดอ่อนไหว หลังคอและลาดไหล่ถูกไล่ขบเม้มจนผมคิดว่ามันคงไม่เหลือที่ว่างตรงไหนที่ริมฝีปากร้อนปล่อยผ่าน
“อ้าปากสิ” เสียงทุ้มกระเส่ามาพร้อมกับแรงขยับมือที่มากขึ้น ทำให้ผมเผยอปากออกเม้มปลายหางตัวเองแน่นเพื่อลดความรู้สึกเสียวปลาบที่เกิดขึ้น แต่เหมือนจะไม่ช่วยเท่าไหร่นัก เมื่อพี่แซมไม่ให้ความร่วมมือมีแต่จะรังแกกันหนักขึ้น
“อ๊ะ อื้อ ไม่ไหว” ผมจิกผ้าปูที่นอนแน่น รู้สึกอึดอัดไปหมด ทุกส่วนของพี่แซมยังทำหน้าที่ปรนเปรอผมไม่หยุด ก่อนจะเน้นหนักมากขึ้นเมื่อรับรู้อาการของผม
“อ๊ะ อ๊า...ส์” จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาจนหมด ความสุขที่ได้รับทำให้ผมรู้สึกล่องลอยอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้สึกอะไรแบบนี้และมันค่อนข้างจะมากเกินไป อ่า ~~
ผลัก
อั่ก !
“มะลิ”
เสียงเข้มลอดไรฟันที่ได้ยินทำให้ผมรีบตั้งสติแล้วก็พบว่าตอนนี้ตัวเองกลับมาเป็นแมวแล้ว แย่แล้ว งั้นเสียงเมื่อกี้ก็คงไม่พี่แซมที่โดนลูกหลงไปด้วยอีกแน่ๆ ผมรีบวิ่งไปที่ขอบเตียงแล้วก็ต้องรีบหันกลับอย่างรวดเร็วเมื่อเจอร่างกำยำนอนเปลือยแผ่อยู่บนพื้น และที่สำคัญแซมน้อยยังคงตั้งโด่เด่แบบไม่อายฟ้าดิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของจะหงุดหงิดแค่ไหนที่ต้องเก็บเอาไว้
“ชิ่งหนีกันอีกแล้วนะ ฮึ่ม!”
เมี๊ยววววววววว
ผมตอบรับน้ำเสียงคาดโทษนั้นโดยการมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม ถึงจะรู้สึกผิดอยู่เล็กๆที่แอบเอาเปรียบ แต่จะให้ผมกลับไปเป็นคนตอนนี้แล้วเริ่มเรื่องแบบนั้นใหม่ ผมคงทำไม่ได้ตอนนี้แน่ๆ แค่นี้ก็อายจนไม่รู้จะอายยังไงดีแล้ว ทางที่ดีต่อไปผมจะต้องฝึกควบคุมตัวให้หนักกว่านี้ซะแล้ว
ขอโทษนะครับ
เมี๊ยวววววววววว
++++++++++++++++++++++ The end side story +++++++++++++++++++++++++
TALK...
กลับมาเเล้วจ้าหลังจากที่หนีไปปฎิบัติหน้าที่นานมาก กลับมาพร้อมกับตอนจบของพี่เเซมเเละน้องมะลิ อิ้อิ้ ต่อไปจะทยอยเอาตอนพิเศษมาเสิร์ฟสักเล็กน้อยให้หายคิดถึง ขอขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ถือว่าเกิดคาดไปมากๆเลยๆ ปลื้มมมมมม
