ชั่งใจ ครั้งที่ 8: พี่เหนือได้ พี่เหนือโดน[1]
อารมณ์ดีไปเลยทั้งวันตั้งแต่ไอ้เด็กธารมันเรียกผมว่า ‘พี่เหนือ’
กระชุ่มกระชวยเหลือเกิน ยิ้มหน้าไม่หุบเลย ไม่รู้จะรู้สึกดีอะไรหนักหนา เด็กคนอื่นก็เรียกผมว่าพี่เหนือเหมือนกันแท้ๆ
ไม่สิ ไม่ได้เรียกพี่เหนือ เรียกออโรรากับเจ้เหนือกันหมดละตอนนี้ น้องมายด์ยังไม่เว้น มีแต่จอมแก่นนั่นแหละที่ยังเรียกพี่เหนือเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้น ความหงุดหงิดที่ถูกเรียกด้วยฉายาใหม่แบบไม่ได้ตั้งใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง
น้องธารใจ... สายน้ำชโลมใจของพี่เหนือ ได้สักทีจะวิ่งแก้บนรอบวิทยาลัยสักร้อยรอบ งือ...ทำไมฟิน
ฟินเป็นคนบ้า ตอนนี้ใครเรียกออโรราก็ยิ้มรับหมด ยิ้มจนพี่สมรยังทักว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ผมก็ได้แต่บอกปัดไปว่าสบายดี แค่มีเรื่องดีๆ เข้ามากะทันหัน แต่พอพี่สมรถามว่าเรื่องอะไร ผมก็ไม่ได้บอก บอกแค่ว่า ‘ไม่มีอะไรครับ’ แล้วรีบชิ่งกลับหอทันทีที่ถึงเวลาเลิก
รีบกลับมานี่ก็มาดักรอธารนี่แหละ พอได้ยินเสียงช่างมางัดลูกบิดประตูให้ปุ๊บ ผมก็รีบโผล่หน้าออกไปปั๊บ เห็นเด็กนั่นกับช่างช่วยกันประกอบลูกบิดประตูใหม่อยู่ ผมก็กุลีกุจอหาน้ำท่าไปให้ แล้วไอ้เด็กนั่นก็แทนที่จะตอบรับน้ำใจผม ดันเอาให้ช่างซะนี่ แถมบอกตามท้ายมาอีก
“กลัวโดนวางยา คนอย่างพี่มันไม่น่าไว้ใจ”
อะไรของมึงวะเฮ้ย! เมื่อกลางวันยังดีๆ อยู่แท้ๆ ตอนนี้กูกลายเป็นคนไม่น่าไว้ใจอีกละ
แต่ก็ช่างแม่ง แยกย้ายเข้าห้องกันไปเลยแล้วกัน
สรุปเย็นวันนั้น จากตอนแรกที่ผมกะว่าจะชวนคุยแล้วชวนไปกินข้าวเย็นเหมือนวันก่อนก็ไม่ได้ทำ เพราะธารเข้าห้องได้ก็ปิดห้องเงียบสนิท แอบฟังผ่านกำแพงแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเดาเอาว่าน่าจะนอนไปแล้ว
ก็คงจะอย่างนั้นแหละ เห็นหน้าตาท่าทางดูเหนื่อยๆ วันนี้คงจะนอนเร็วมั้ง ไม่เป็นไร เย็นนี้ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเท่าไหร่ พรุ่งนี้ก็ยังมี
ทว่าพอวันใหม่มาถึง แทนที่ผมจะได้ทำอะไรตามที่ตั้งใจไว้ อาจารย์ดิเรกก็ดันประกาศเรื่องชวนงานงอกให้บรรดาอาจารย์กับนักศึกษาทุกคนรับทราบ นั่นก็คือการจัดงานแข่งกีฬาสานสัมพันธ์ ครั้งที่ 1 ของวิทยาลัยเทคนิคบุญอนันต์ สาเหตุที่จัดก็ไม่มีอะไรเลย แค่พวกอาจารย์คิดว่าการจัดให้มีการแข่งกีฬาน่าจะทำให้พวกนักศึกษาสมานสามัคคีกันได้ ปัญหาการตีกันจะได้ลดน้อยลงไปด้วย
ผมเห็นแล้วก็บอกได้เลย... ไม่มีทาง มันจะทำให้ตีกันมากกว่าเดิมอีก นี่ประสบการณ์ตรงจากตอนเรียน ม.ปลายเลย ไม่เชื่อลองดูงานกีฬาสีสิ ขนาดโรงเรียนสายสามัญธรรมดา เพื่อนพี่น้องที่รักกันดี พอมีกีฬาสีเท่านั้นแหละ แข่งกันชิงดีชิงเด่นเอาเป็นเอาตายจนถึงขนาดเหม็นขี้หน้ากันไปเลยเถอะ เห็นชัดๆ เลยจากพวกการแข่งสแตนด์เชียร์กับเชียร์ลีดเดอร์ ดีที่ผมไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับส่วนนั้นตอนสมัยเรียน เลยไม่ต้องปวดกบาลกับเรื่องหยุมหยิม
แต่โรงเรียนเด็กช่างแบบนี้คงจะไม่มีปัญหาเรื่องสแตนด์เชียร์กับเชียร์ลีดเดอร์สักเท่าไหร่หรอกมั้ง กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเด็กผ็ชาย จะมีปัญหาก็แต่เรื่องคัดตัวนักกีฬาของแต่ละแผนกไปลงแข่งกีฬาประเภทต่างๆ นี่แหละ
“มึงลงวิ่งร้อยเมตรไปเลย เจออริทีไรแม่งวิ่งป่าราบก่อนเพื่อน กูว่ามึงได้แน่”
“ตลกละมึง ปากดีงี้ ต่อยกับกูเลยดีกว่า”
“หรือกูพูดไม่จริง?”
“มึงก็วิ่งป่าราบเหอะ ใช่กูคนเดียวที่ไหน!”
แล้วก็ตามมาด้วยเสียงโวยวายด่ากันไปมาระหว่างที่กำลังเลือกเฟ้นหานักกีฬาจากแผนกช่างไฟปีสามมาลงแข่ง ผมซึ่งได้ไหว้วานจากพี่สมรให้มาช่วยดูแลในส่วนนี้ถึงกับปวดหัวที่เกือบหมดชั่วโมงโฮมรูมแล้ว ยังหานักกีฬาลงแข่งไม่ได้เลยสักรายการ
เมื่อกี้หานักบอล พวกมันก็แย่งกันลง ไม่มีใครยอมเป็นตัวสำรองจนเกือบจะต่อยกันรอบนึงแล้ว พอหานักวิ่งแข่งร้อยเมตร มันก็เกี่ยงกันลงอีก โอย... เหนือปวดหัว
“โอเคๆ งั้นวิ่งร้อยเมตรเอาไว้ก่อนนะ เอาอย่างอื่นก่อนแล้วกันนะครับ” ก่อนที่พวกมันจะได้ต่อยกันจริงๆ ผมก็รีบเคาะกระดานเรียกความสนใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อ
พวกเด็กนั่นเลยเงียบปากกันได้ ก่อนที่ใครบางคนจะร้องถามขึ้นมา
“รายการต่อไปแข่งอะไรอะออโรรา”
เม้มปากแน่นมาก... พวกมึงกลับไปเรียกอาจารย์เหมือนเดิม ไม่ก็พี่เหนือเถอะ เรียกออโรราๆ จนกูจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่แล้ว
ถึงอยากจะบอกพวกมัน แต่ผมก็ทำเป็นหูทวนลม ก้มหน้ามองกระดาษในมือแล้วอ่านตัวหนังสือออกมา
“มวยทะเลครับ”
สิ้นเสียง เสียงโห่อารมณ์ประมาณว่า ‘เอาไอ้การแข่งนี่เข้ามาทำไมวะ’ ก็ดังแว่วมาให้ได้ยินทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องเสนอชื่อใครบางคน
“เอาไอ้ไม้ลงเลย บ้านมันเป็นค่ายมวย ชนะแน่!”
ผมมองไปทางน้องมายด์ที่ชักสีหน้าใส่คนพูดทันที ก่อนที่น้องมายด์จะแหวเสียงลั่น
“เฮือนเป็นค่ายมวยใจ้ว่าจะตีมวยทะเลจ้างนะบะ มวยบกก็ว่าไปอย่าง มวยปล้ำนี่ของแกว่นเลยเน้อจะบอก(บ้านเป็นค่ายมวยแต่ไม่ได้หมายความว่าจะต่อยมวยทะเลเก่งนะยะ! มวยบกก็ว่าไปอย่าง มวยปล้ำนี่ของถนัด)”
“แต่มึงก็เป็นนักมวยตามงานวัดนี่หว่า ฉายามึงนี่อะไรนะ... ไอ้ไม้ กะเหรี่ยงทมิฬ?”
“บะเดี่ยวนี้เปี่ยนเป๋นน้องมายด์ เข่ามฤตยูแล้วเว้ย (ตอนนี้เปลี่ยนเป็นน้องมายด์ เข่ามฤตยูแล้วย่ะ)”
พูดจบ เสียงหัวเราะครึกครื้นก็ดังตามมาทันที ส่วนผม ได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจเลยว่าทำไมน้องมายด์ถึงได้ดูถึกและบึกบึนเหมือนนักมวยนัก แถมตอนที่เด็กช่างวิทยาลัยอื่นบุกมาหาเรื่องโรมถึงที่แล้วน้องมายด์เข้าไปช่วย ท่าเตะหน่วยก้านดีก็คงเป็นเพราะเป็นนักมวยเก่านี่เอง คงจะเป็นนักมวยตามเวทีงานวัดนั่นแหละ
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการทำหน้าตาบูดบึ้งเมื่อเพื่อนคนหนึ่งว่าขึ้นมา
“จะอะไรก็เอาเถอะ มึงลงไปเลยไอ้ไม้ กูว่ามึงชนะแน่”
“บอกหื่อฮ้องน้องมายด์ๆ เดียวก็ยอกหนุมานถวายแหวน (บอกให้เรียกว่าน้องมายด์ๆ เดี๋ยวปั๊ดจับหนุมานถวายแหวน)”
คนอื่นๆ ก็ยังหัวเราะกัน แต่สีหน้าน้องมายด์บ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ ไม่พอใจทั้งถูกเรียกว่าไม้ และไม่พอใจที่ถูกยัดเยียดให้ลงแข่งมวยทะเลแบบไม่เต็มใจ
เต็มใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่เห็นหน้าตอนเพื่อนเดินมาเขียนชื่อมันลงบนกระดานแล้วมันกลอกตา ผมก็เดาเลยว่ามันไม่โอเค เท่านั้นผมก็เดินไปลบชื่อมันออกท่ามกลางความแปลกใจของนักศึกษาคนอื่นๆ
“เอ้า ออโรรา ลบ’ไมเนี่ย” เด็กคนที่เขียนชื่อน้องมายด์แหวใส่ผม
ผมหันไปยิ้มเล็กน้อยก่อนว่า “น้องมายด์ยังไม่ตกลงเลยว่าอยากแข่งมั้ย ขอพี่เหนือถามก่อนนะครับ” แล้วผมก็หันไปมองน้องมายด์ “น้องมายด์อยากแข่งมวยทะเลหรือเปล่า”
น้องมายด์ส่ายหน้าพรืดแทบจะในทันใด “บะค่อยอยากละเจ้าปี้เหนือ โดนยอกตัดหน้ามา หน้าลุหมด บะงามละจะอั่น (ไม่อยากค่ะเจ้เหนือ โดนต่อยเข้าที่หน้าขึ้นมา หน้าก็ได้แหก เสียโฉมกันพอดี)” ตามมาด้วยยกมือขึ้นจับหน้าตาตัวเองราวกับว่ากลัวโหนกแก้มเหลี่ยมๆ จะโดนหมัดกระแทกจนคมบนโหนกลบหาย
ส่วนผม... กัดฟันแน่นมาก
เจ้าปี้บ้านมึงสิอีน้องมายด์! กูรู้นะว่าเจ้าปี้ใช้เรียกแต่กับผู้หญิง ถึงจะเป็นเกย์ แต่กูเป็นผู้ชายนะเว้ย เรียกอ้ายเหนือสิวะ!
ทว่าผมก็พยายามข่มใจ ถามน้องมายด์กลับไปด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
“แล้วน้องมายด์อยากแข่งอะไร”
“ข้าเจ้าไค่อยากเป็นเซียร์หลีดเดอร์เจ้า (หนูอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์)”
คนอื่นๆ ส่งเสียงฮาลั่นทันที ส่วนผมก็ก้มหน้ามองรายชื่อการแข่งกีฬาในมือทันทีว่ามีรายการเชียร์ลีดเดอร์ด้วยมั้ย แต่ไม่มี เลยเงยหน้าขึ้นมาบอกน้องมายด์กลับไป
“คือ...แข่งเชียร์ลีดเดอร์ไม่มีนะ”
“บ่เป๋นหยังเจ้า บ่ะถ้าแข่งแล้วก่อได้ ข้าเจ้าไค่อยากแต่งหน้าแต่งตั๋วงามๆ (ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องแข่งก็ได้ หนูแค่อยากแต่งตัวแต่งหน้าสวยๆ)” ว่าพลางสะบัดปลายผมที่สั้นเกรียนไปมาราวกับว่ามันยาวเสียเต็มประดา
“แต่ว่า...” ผมทำท่าจะอธิบายอีก แต่น้องมายด์ก็สวนขึ้นมาก่อน
“เน้อเจ้าปี้เหนือ ข้าเจ้าไค่แต่งตั๋วแต้ๆ (นะคะเจ้เหนือ หนูอยากแต่งตัวจริงๆ)” คราวนี้ทำหน้าทำตาอ้อนวอนมาด้วย
ถึงจะดูน่าโดนถีบมากกว่าน่าเอ็นดู แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของน้องมายด์นะ ตัวเป็นชายแต่ใจเป็นสาวน้อย ยังไงก็ต้องชอบอะไรสวยๆ งามๆ อยู่แล้ว ผมเลยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตกปากรับคำ
“โอเคครับ งั้นน้องมายด์เป็นเชียร์ลีดเดอร์นะ มอบหมายให้เป็นหัวหน้าเชียร์ฯ ไปเลยแล้วกัน ส่วนเรื่องเชียร์ลีดเดอร์คนอื่นๆ น้องมายด์ก็ไปคัดจากปีหนึ่งปีสองเอาเองเลย พี่เหนืออนุญาต ส่วนเรื่องเสื้อผ้า น้องมายด์ลองไปคุยกับเพื่อนที่เป็นเหรัญญิกนะว่าพอจะแบ่งเงินมาให้กับส่วนนี้ได้มั้ย ถ้าไม่พอก็คงต้องออกกันเองเพราะมันไม่มีส่วนนี้ตั้งแต่แรก พี่เหนือขอให้คนที่เข้ามาเป็นเชียร์ลีดเดอร์มาด้วยความสมัครใจนะ ไม่ใช่ถูกบังคับมาแล้วมาโวยวายเรื่องค่าใช้จ่ายทีหลัง ถ้ามีเรื่องนี้เมื่อไหร่ พี่เหนือขออนุญาตยุบเชียร์ฯ นะครับ”
พอผมพูดไปอย่างนี้ น้องมายด์ก็ส่งเสียงกรี๊ดลั่น พยักหน้ารับอย่างไร้ข้อโต้แย้ง พลันวิ่งถลาออกมาหาผมที่ยืนอยู่หน้าห้องก่อนจะกระโดดกอดแน่น
“ปี้เหนือน่าฮักตี้สุดเลย ถ้าปี้เหนือบ่ะใจ้อี้แม่ ข้าเจ้าจะหอมแก้มอีปี้แฮงๆ (เจ้เหนือน่ารักที่สุดเลย! ถ้าเจ้เหนือไม่ใช่คุณแม่ หนูจะหอมแก้มเจ้แรงๆ)”
ระ...รู้ว่าดีใจ แต่ไม่ต้องเว้ย! แล้วก็เลิกเรียกกูว่าคุณแม่ด้วย!
กว่าจะแงะน้องมายด์ออกได้ก็เล่นเอาเสียเวลาไปหลายนาที แถมพอแงะออกมาได้ก็ต้องเผชิญกับเสียงค่อนขอดของเด็กผู้ชายบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่น้องมายด์ไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์แทนการลงแข่งมวยทะเลอีก
“แทนที่จะลงมวยทะเล กระแดะไปแต่งหญิงเต้นแร้งเต้นกา หุ่นแม่งก็อย่างกับนักมวย แต่งตัวอย่างนั้น เห็นแล้วได้อ้วกแตกพอดี”
ได้ยินแล้วผมก็ชักไม่พอใจที่คำพูดแสดงออกถึงการเหยียดเพศ ถึงคนพูดจะพูดออกมาแบบไม่ทันได้คิดก็เถอะ แต่สำหรับผมที่วิถีเพศไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัวแล้ว ผมก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกันแม้จะเป็นการกระแหนะกระแหนน้องมายด์ และน้องมายด์มัวแต่ดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองทำจนไม่ทันได้ฟังก็เถอะ มันทำให้ผมอดพูดออกมาไม่ได้เลย
“ทำไมว่าเพื่อนอย่างนั้นล่ะครับ พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
เด็กนั่นชะงัก หันมาส่งสายตาเขียวๆ ให้ผมทันที
“ก็พูดเรื่องจริงนี่หว่า ตุ๊ดตัวเล็กๆ ก็ไม่ใช่ ตัวอย่างกับควาย แล้วนึกสภาพตอนใส่เสื้อผ้าผู้หญิง แม่ง อ้วกจะแตก”
ฟางเส้นสุดท้ายของผมเหมือนจะขาดสะบั้นเลย ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง พลางพยายามสงบสติอารมณ์แล้วใช้เหตุผลคุยด้วยอีกครั้ง
“พี่เหนือว่ารูปลักษณ์จะเป็นยังไงก็ไม่เห็นเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำเลยนะ อะไรที่ทำแล้วมีความสุข ไม่ได้เดือดร้อนใครก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ อย่าไปว่าเพื่อนแบบนั้นสิครับ”
ใจเย็นสุดๆ ละ แต่แทนที่เด็กนั่นจะสำนึก กลับยอกย้อนผมด้วยท่าทางยียวน
“พวกเดียวกันก็เลยเข้าใจกันสินะออโรรา ตุ๊ดแม่งยังไงก็เป็นตุ๊ดแหละวะ”
กูไม่ได้เป็นตุ๊ดเว้ย! กูเป็นเกย์! แล้วมึงน่ะเป็นอะไร เหยียดเพศอยู่ได้ ถ้าไม่ติดว่ากูฝึกงานอยู่ล่ะก็ กระโดดถีบหน้าแล้ว!
แต่ไม่ต้องรอให้ฝึกงานเสร็จก็มีคนจัดการกระโดดถีบหน้าคนพูดให้ผมแล้วล่ะ
พลั่ก!
ไม่... ไม่ได้ถีบ ต่อยดีกว่า ต่อยเข้าข้างแก้มเต็มแรงโดยที่เด็กนั่นไม่ทันได้ตั้งตัวจนล้มลงไปกองอยู่บนพื้น พอปราดสายตาไปมองเจ้าของหมัดก็เห็นว่าเป็นธารใจที่นั่งฟุบหน้าหลับอยู่เมื่อครู่ลุกขึ้นมายืนจังก้า ส่งสายตาไม่พอใจให้คนนอนบนพื้น
“ปากดีนะมึง”
“ทำอะไรของมึงวะไอ้ธาร!” คนโดนต่อยโวยวายขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ช่วยกันพยุงขึ้นยืนก่อนที่ธารจะได้พุ่งเข้าไปประเคนหมัดใส่อีก
ส่วนธารก็ถูกจอมแก่นลากออกห่างจากเพื่อนที่โดนต่อยเหมือนกัน ป้องกันไม่ให้ธารเข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายอีก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ธารหยุดพูดได้เลยแม้แต่น้อย
“กูฟังมึงพล่ามมานานละ มึงเป็นอะไรกับเพศอื่นนักหนา เหยียดอยู่ได้”
โอ้ พูดเหมือนที่ผมคิดเป๊ะๆ ราวกับอ่านใจออก ตอนนี้น้องมายด์ก็เริ่มได้สติ เลิกกรี๊ดกร๊าดแล้วเข้ามาห้ามธารบ้าง
“แล้วมึงเป็นผัวไอ้ไม้หรือไง หรือเป็นผัวออโรราถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเนี่ย!” ไอ้เด็กคนที่โดนต่อยก็ไม่ยอม ปากดีไม่เลิก เลยโดนธารที่สะบัดตัวหลุดจากการรั้งของจอมแก่นกับน้องมายด์พุ่งเข้าไปต่อยอีกรอบจนล้มไปอีกทาง
เท่านั้นความชุลมุนก็เกิดขึ้นทันที กว่าจะดึงธารออกห่างได้ก็ใช้เวลาไปพอสมควร ผมรีบปรี่เข้าไปห้าม ทว่าธารก็พูดขึ้นมาก่อนพลางชี้หน้าคนปากไม่มีหูรูดอย่างเอาเรื่อง
“จะเป็นผัวหรือเป็นอะไรก็เรื่องของกู แต่ถ้ากูได้ยินมึงเหยียดเพศใส่เพื่อนกูอีก กูจะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น” พูดแล้วก็หันมามองผมที่ทำหน้าเหวอๆ อยู่ ก่อนจะพูดออกมาอีก “แล้วถ้ากูได้ยินใครเรียกพี่เหนือว่าออโรราอีก กูก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ใครในวิทยาลัยจะเรียกก็ช่าง แต่แผนกนี้ ชั้นปีนี้จะต้องไม่มีใครเรียก!”
อะ...อึ้งไปเลย นี่น้องธารกำลังปกป้องผมอยู่หรือเปล่า?
“อะไรของมึงวะ เมื่อวานมึงก็เรียกเหมือนกันแท้ๆ” เด็กคนเดิมพูดขึ้นอีก คนอื่นๆ เริ่มเห็นด้วยเหมือนกันเพราะจำได้ว่าในคาบผมเมื่อวานนี้ ธารร้องเรียกผมว่าออโรราซะเสียงดัง
ธารชักสีหน้าขึ้นมาแล้วว่าเสียงแข็ง “กูขอโทษพี่เหนือแล้ว เหลือแต่พวกมึงนี่แหละ ขอโทษเดี๋ยวนี้เลย!”
เด็กคนอื่นๆ เริ่มส่งเสียงบ่นด้วยงงกับการกระทำของธาร ผมเลยรีบแทรกก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้
“น้องธารครับ ไม่เป็นไรหรอกนะ เรียกออโรราก็ได้ พี่เหนือไม่ถือ”
“ไม่ได้!” ธารว่าเสียงดัง “ผมไม่โอเคกับคนที่เหยียดคนอื่นให้คนอื่นต่ำลงแล้วทำให้ตัวเองดูสูงขึ้น โดยเฉพาะคนที่โดนเหยียดเป็นพวกของผม ถ้าสนิทกันแล้วเรียกเล่นๆ เป็นบางครั้งยังพอรับได้ แต่นี่ไม่สนิท ผมไม่โอเคทั้งนั้น!”
ผมนิ่งไปเลย จับประเด็นไม่ถูกว่าธารหมายถึงอะไรก่อนจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาได้
แหม... นับรวมพี่เหนือเข้าไปเป็นพวกเดียวแบบนี้ แสดงว่ามีใจให้พี่เหนือแล้วล่ะสินะ
มะ...ไม่ใช่สิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากระลิ้มกระเหลี่ยเด็กนี่หว่า ต้องห้ามมันสิ ต้องห้าม!
“แต่ว่าพี่เหนือ...”
“ต่อไปนี้ถ้าใครเรียกเพื่อนกูว่าตุ๊ดหรือเรียกพี่เหนือว่าออโรราได้เจอกูแน่ ถ้าพวกมึงไม่อยากเรียกว่าอาจารย์ ก็เรียกพี่ อย่าปีนเกลียว!” ธารสวนขึ้นเสียงดังก่อนที่ผมจะพูดจบ
ทั้งห้องเงียบกริบราวกับยอมจำนนกับคำประกาศิตของธาร ส่วนผมก็เหลือบมองไปมา ปากพูดอะไรไม่ออก ตกอยู่ในสภาพยอมจำนนเช่นกัน
จะ...จ้ะ ยอมแล้ว น้องธารของพี่เหนือโหดมาก
บรรยากาศมาคุได้ครู่หนึ่งเพราะไม่มีใครพูดอะไร กระทั่งธารเดินกลับไปนั่งที่ ผมเลยรีบทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยเร็ว
“งะ...งั้นวันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนเนอะ ที่เหลือเดี๋ยวพี่เหนือให้อาจารย์สมรมารับช่วยต่อนะ”
ไม่ได้เรียกว่าทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิม เรียกว่าชิ่งหนีดีกว่าเถอะ พูดจบก็รีบคว้าข้าวของออกจากห้องนั้นไปเลย ปล่อยให้พวกมันไปเคลียร์กันเอง
จะ...ใจเต้นแรงมาก สั่นประสาทอะไรอย่างนี้ เห็นพวกมันตีกันมาก็บ่อยแต่ยังไม่ชินซะที แถมที่ทำให้ใจเต้นแรงกว่าเดิมก็คือไอ้เด็กธารนี่แหละ
จะว่าไปแบดๆ อย่างนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ โดนปกป้องแล้วรู้สึกดีชะมัดเลย