บทที่ 10 Brothersตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขารู้ตัวว่ามี ‘น้องชาย’
และตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่น้องชายคนนั้น เลิกเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’
ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นสองคนนั่งอยู่คนละมุมของห้องพักแพทย์ ธีร์นั่งกอดอกพิงพนักในขณะที่วินทร์นั่งยกขาขั้นพาดเข่าอีกข้างและล้วงสองมือลงในกระเป๋า ทั้งคู่ไม่พูดอะไรได้แต่ลอบสบตากันเป็นระยะคล้ายกับมีเรื่องอยากจะพูดแต่ก็ไม่มีฝ่ายใดยอมเริ่มต้นก่อน
ในที่สุดเมื่อเข็มนาฬิกาบนผนังเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนใกล้เวลาที่นรกรจะนำเสนอผลงานวิจัยเสร็จ วินทร์จึงยอมเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเพราะตัวเองต้องนำเสนอเป็นคนต่อไปและไม่อยากให้อะไรๆ มันคาราคาซังไปแบบนี้
“นายคิดจะทำอะไรฮาร์ฟ”
“เปล่านี่” ธีร์ตอบห้วนๆ “ก็แค่พูดความจริงให้ฟัง หมอนั่นจะได้ตาสว่างเสียที”
“เหรอ” เสียงของวินทร์ห้วนกว่าและมีความประชดประชันอยู่ในที
“ถามฉัน นายกันแน่ที่คิดจะทำอะไร”
“อะไรของนายน่ะมันคืออะไรล่ะ” วินทร์ถามกลับ
“ฮาร์ฟเป็นคนการ์ดสูง และไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว” ธีร์ว่า “แต่เมื่อวานตอนที่ส่งป๊าไปห้องผ่าตัด ทำไมเขาถึงยอมให้นายกุมมือแบบนั้น ก่อนหน้านี้พวกนายแทบไม่คุยกันด้วยซ้ำ แถมหมอนั่นยังดูตัดใจจากพี่ปอได้แล้วอีก มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนายในช่วงหนึ่งเดือนที่ฉันไม่อยู่กันแน่”
วินทร์หัวเราะหึในลำคอ “อ้าว ไหนว่าเกลียดเขาไง ทำไม สนใจด้วยเหรอ”
“ก็...” ธีร์พูดขัดขึ้นมาทันที
วินทร์แสยะยิ้มมุมปาก “รักเขาก็พูดมาสิ”
“นายว่าไงนะ!” ธีร์ลดมือที่กอดอกไว้ออกและแทบจะกระโดดลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังดึงสติไว้ได้ทันและทำเป็นนิ่งตามเดิม
“หรือไม่จริง” วินทร์รุกต่อ “แกล้งพูดแรงๆ เพื่อให้ฮาร์ฟคิดได้และไปเคลียร์กับพ่อ เรื่องงานวิจัยนั่นก็เหมือนกันต่อให้ฮาร์ฟหาทางออกไม่ได้นายก็มีฉบับก๊อปปี้เตรียมพร้อมจะคืนให้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“นี่ไปแอบฟังอยู่ซอกมุมไหนมาเนี่ย” ธีร์บ่นในลำคอ
“มันก็เรื่องของฉัน” วินทร์บอก
ธีร์สบตาคนตรงหน้าอยู่อึดใจก่อนจะพูดต่อ “ไหนๆ นายก็อ่านเกมขาดได้ถึงขนาดนี้ ถ้างั้นฉันก็ขอเตือนไว้ตรงนี้เลยละกันว่าไอ้ที่นายกำลังทำน่ะมันไม่ได้ช่วยเรียกร้องความสนใจจากฮาร์ฟสักนิด”
วินทร์ยกมือขึ้นลูบคางที่อุดมไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้มก่อนจะหัวเราะลงคอ “แล้วไง ก็ไม่ได้อยากให้สนใจนี่หว่า”
“เหรอ” ธีร์ทำเสียงยานคาง “ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย ฉันก็หลงนึกว่านายกำลังตามจีบตามฮาร์ฟอยู่ซะอีก... ก็คงจริงล่ะนะ ลองตามตื๊อมาตั้งห้าปีแล้วเจ้าตัวยังไม่หันมาแล เป็นฉันก็คงตัดใจไปแล้วล่ะ”
“มันก็เรื่องของฉันป่ะวะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “ไหนว่าไม่ชอบไง”
วินทร์ไม่ตอบ เพียงแต่เหลือบตาดูนาฬิกาบนผนังและลุกขึ้นยืน
ธีร์มองเพื่อนแพทย์ประจำบ้านร่วมรุ่นเดินผ่านหน้าไปจนถึงประตูจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าจริงจัง “นี่วินทร์ ตอนที่ฉันแกล้งถามนายว่ารู้รหัสเปิดโน้ตบุคของฮาร์ฟไหมทำไมนายถึงตอบได้ล่ะว่ามันเป็นวันเกิดป๊า”
วินทร์ชะงักฝีเท้าและตอบคำถามโดยไม่หันหน้ามา “ก็แค่เดา”
“อย่าให้ฉันจับได้นะว่านายวางแผนอะไรไว้”
เสียงของธีร์ยังคงดังตามหลังแม้จะปิดประตูสนิทแล้ว ร่างสูงในชุดกาว์นสั้นก้าวยาวๆ ไปตามทางเดิน
แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องประชุม เขากลับเลี้ยวอ้อมมุมเข้าไปตรงทางเชื่อมแคบๆ
อาจารย์ธนบดีรีบร้อนเดินสวนมา เขายกมือไหว้แต่อีกฝ่ายไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจและหยุดยืนมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีคนอีกสองคนเดินมา ศาสตราจารย์สรวิชญ์กำลังอะไรคุยอะไรบางอย่างกับนรกรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและท่าทีที่ดูเป็นกันเองกว่าปกติ แต่นั่นไม่ทำให้เขาดีใจเท่ากับการที่ได้เห็นท่อนแขนซึ่งวางโอบอยู่บนไหล่จนทำให้เผลอหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย
“มายืนยิ้มอะไรตรงนี้”
เป็นฝ่ายศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ทักขึ้นก่อน
“แค่มาแอบรวบรวมสมาธิก่อนเริ่มนำเสนอครับ” วินทร์ตอบ
“แสดงว่าพร้อมแล้วสินะ”
“ไม่เคยมั่นใจมากขนาดนี้เลยล่ะครับ อาจารย์”
“ไว้จะรอดู” แล้วศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็หันไปตบบ่านรกรอีกครั้งก่อนจะเดินแยกตัวไป
วินทร์มองตามแผ่นหลังคนในชุดกาว์นยาวสีขาวจนเดินหายเข้าไปในห้องจึงหันมาสบตาคนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างๆ “ฉันต้องแสดงความยินดีกับว่าที่อาจารย์คนใหม่เลยหรือเปล่า” เขาพูดยิ้มๆ
นรกรหันมาหลิ่วตาใส่คนแซวเล็กน้อย “ผมทำเต็มที่แล้ว พี่วินทร์เองก็ไม่ต้องออมมือให้ผม ทำให้เต็มที่เลยนะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” วินทร์ตอบพร้อมกับกลับหลังหัน แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาเรียกคนที่กำลังจะเดินไป “เออนี่ฮาร์ฟ ก่อนจะไปที่ห้องพักแพทย์น่ะช่วยแวะไปเอาของที่ล็อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนชุดให้หน่อยสิ”
“อะไรครับ”
“สมุดจดเคสน่ะ” วินทร์อธิบาย “เมื่อเช้าไปเปลี่ยนชุดลืมหยิบมา เดี๋ยวพรีเซนต์เสร็จจะได้รีบไปราวน์ต่อเลยไม่ต้องเสียเวลาไปเอา นายช่วยไปเอาให้หน่อยนะ”
“ได้ครับเรื่องแค่นี้เอง” นรกรรับคำเขายิ้มส่งวินทร์เข้าห้องประชุมอีกครั้งก่อนจะออกเดินไปตามทาง และกดลิฟต์ไปที่ชั้น 3
เพราะตอนนี้เป็นเวลาออกตรวจ OPD ห้องล็อกเกอร์จึงปิดไฟเงียบ นรกรคลำไปบนผนังอย่างคุ้นเคยเพื่อเปิดไฟ เมื่อแสงไฟสว่างขึ้นเขาก็เดินตรงไปที่ตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ติดกับของตัวเองเพื่อเอาสมุดเล่มที่วินทร์บอก
แต่แทนที่เปิดไปแล้วจะเจอของที่หา เขากลับเจอถุงใส่ขนมใบหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า และนรกรคงจะไม่สนใจมันเลยถ้าบนถุงใบนั้นไม่มีกระดาษโน้ตแผ่นน้อยเขียนชื่อเขาแปะไว้
“มุกเสี่ยวมาอีกแล้ว” อทิฏฐ์กระซิบพร้อมกับยกสองมือพาดประสานกันไว้หลังท้ายทอย
นรกรหันไปแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะดึงกระดาษโน้ตที่แปะไว้มาอ่านในขณะที่ร่างโปร่งแสงก็ส่งเสียงพากษ์ไปด้วย
ฝากกินหน่อย
“เมื่อคืนก็อุตส่าห์หอบเอาคอมพิวเตอร์มาให้ เช้านี้ก็ขนม ไม่รู้เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรเนอะ”
“พี่วินทร์ก็แค่เป็นห่วง”
“หรา” อทิฏฐ์ลากเสียงล้อเลียน
นรกรไม่สนใจและเปิดถุงขนมออกดู มันเป็นคลับแซนวิซสี่คู่ไส้ไข่กับชีสที่ดับเบิ้ลมาสองแผ่นจนทะลักล้นออกมาตรงขอบดูน่ากิน และนมกระป๋องตราหมีที่ไม่รู้ทำไมถึงมีรอยปากกาขีดเส้นใต้สโลแกนบนฉลากที่ข้างกระป๋องไว้ด้วย
อทิฏฐ์ชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อนจะพูดต่อ “นึกว่า ‘เพื่อคนที่คุณรัก’ ซะอีก เอาจริงๆ นะผมว่าคุณต้องเริ่มหันมามองพี่วินทร์แบบจริงๆ จังๆ ได้แล้วล่ะ”
“เลิกแซวได้แล้วน่า พี่วินทร์เขาไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอก”
“ดูปากนะ” อทิฏฐ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับชี้นิ้วให้อ่านตาม “ไม่-เลิก”
นรกรยกมือหลังมือขึ้นปัดไล่ให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไปก่อนจะหยิบแซนวิซคู่หนึ่งขึ้นมา ทีแรกก็รู้สึกไม่หิว แต่พอได้กลิ่นชีสหอมๆ และตอนนี้อะไรๆ เริ่มผ่านไปแล้วเขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงท้องร้องเตือนมาเบาๆ ว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน
“ว่าแต่พี่วินทร์ทำไมต้องเอามาแอบไว้แบบนี้ด้วย” นรกรตั้งข้อสังเกตเพราะนอกจากเสื้อผ้ากับถุงขนมแล้วในล๊อกเกอร์ก็ไม่มีสมุดเล่มที่ให้มาหา “ส่งให้ดีๆ ก็ได้หรือจะวางไว้ที่ห้องพักแพทย์ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องให้ผมเดินมาเอาไกลถึงที่นี่เลย”
“เพราะเขาคงคิดว่าคุณไม่อยากไปเจอธีร์น่ะสิ” อทิฏฐ์ว่า
นรกรหันมามองคนที่ตอบฉอดๆ ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“แล้วมันจะดีเหรอถ้าจะให้ถือไปส่งให้คุณต่อหน้าพ่อตา เอ๊ย! พ่อของคุณน่ะ”
“แหม รู้ใจกันจังเลยนะ” นรกรว่า “เข้าข้างกันขนาดนี้ก็ไปตามเขาสิ ไม่ต้องมาอยู่กับผม” ปลายเสียงคล้ายจะตัดพ้อหน่อยๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกไม่ชอบใจด้วย
อทิฏฐ์เฝ้ามองคนที่กัดแซนวิซกินเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก ไม่ได้อยากทำให้รำคาญ แต่ ‘คน’ ที่ยังมีลมหายใจและจับต้องได้น่ะ มันดีกว่าเขาหลายร้อยเท่า
“คุณ” จู่ๆ ก็กระซิบขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไหม”
“ไม่นี่ ทำไมเหรอ” นรกรถามกลับ
อทิฏฐ์ยกสองมือขึ้นกอดตัวเองพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า “ไม่รู้สิ... ผมแค่รู้สึก... ว่ามันหนาว”
“อะไรกันเป็นผีมีความรู้สึกด้วยเหรอ” นรกรยิ้มล้อพลางเปิดกระป๋องนมและยกขึ้นจิบ
“เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาน่ะสิ ถึงได้คิดว่ามันแปลกนี่ไง”
นรกรย่นคิ้ว เขาลองกวาดตามองไปรอบๆ บ้างแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ “คิดมากน่า” แล้วดันประตูตู้ล็อกเกอร์ปิด
แต่แล้วทันทีที่บานประตูถูกงับเข้าไป ทั้งสองก็ได้เห็นใครคนหนึ่งที่ยืนก้มหน้าอยู่ห่างจากแขนของนรกรไปแค่คืบ
ร่างนั้นสูงพ้นไหล่มาเล็กน้อย สวมชุดสีขาวยาวกรอมพื้น ศีรษะปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำที่พันกันยุ่งเหยิงยาวจนถึงสะโพก
บรรยากาศที่ปกคลุมร่างนั้นอึมครึมจนแลดูสีออกเทา และทั้งๆ ที่โรงพยาบาลมีไฟสำรองแต่ดวงไฟกลางห้องกลับกะพริบติดๆ ดับๆ
“คะ... ใครน่ะ” อทิฏฐ์เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
ร่างนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ซูบตอบซึ่งซ่อนอยู่หลังเรือนผมยาว นัยน์ตาของเธอลึกโหลจนทำให้มันดูคล้ายกับหัวกะโหลกมากกว่าจะเป็นใบหน้าคน เธอค่อยๆ ยกมือแห้งเหี่ยวขึ้นมาตรงหน้าและเอื้อมมาหาพวกเขา
“เฮ้ยยยย!” อทิฏฐ์ร้องเสียงหลง
นรกรเองก็ตกใจจนทำกระป๋องนมในมือกระฉอก เรื่องที่ถูกผีสาวเข้าจู่โจมในระยะประชิดนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนที่กระโดดไปแอบหลบข้างหลังเขามากกว่า
“ใจเย็นๆ ทิด” จะว่าน่าสงสารก็ใช่ หากก็ดูน่าขันมากกว่าเมื่อเห็นร่างที่ค่อนข้างจะสูงใหญ่ขดจนเหลือตัวนิดหนึ่ง แถมใบหน้าที่โปร่งแสงนั้นยังดูหม่นซีดลงด้วยซ้ำ และในขณะเดียวกันก็ดูน่าเอ็นดูเขาจนอดยิ้มตามไม่ได้ “ผมว่าเธอมาดีนะ”
“ดีกะผีน่ะสิ!” อทิฏฐ์ว่าพร้อมทั้งยกสองมือปิดหน้าไว้ครึ่งๆ “ถ้ามาดีจริง ก็ต้องมาให้เห็นแบบสวยๆ หรือหล่อๆ อย่างผมสิ แบบนี้มันไม่ใช่แล้วคุณ”
สิ้นคำต่อว่า หญิงสาวในชุดขาวก็เขยิบยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก หากเธอขยับมาเฉพาะส่วนหัวจนลำคอนั้นดูยืดยาวขึ้นมากกว่าปกติและนั่นทำให้อทิฏฐ์ร้องเสียงหลงและเกาะบ่านรกรแน่นขึ้นอีก
หากนรกรยังคงยืนนิ่ง เขาเหลียวมองร่างโปร่งแสงสองตนสลับกันก่อนจะผ่อนลมหายใจออกจมูก
(ต่อข้างล่างค่ะ)