Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 278932 ครั้ง)

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 814
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
เรื่องนี้สนุกมากกกกกกเลยค่ะ
เสียดายที่พึ่งเห็น
มีปมให้คิด มีอะไรให้คิดดี
รอตอนต่อไปนะคะ
รอติดตามค่ะ
สู้ๆนะคะคนเขียน

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ rasblurry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากเลยค่ะะ เรื่องราวหักมุมไปมาได้ทุกตอนเลย
ตอนแรกเราก็เชื่อว่าอธิฎฐ์ยังไงก็ไม่น่าจะตายแล้ว
แล้วความคิดก็พังลงครืนเลย
ตอนที่ภาพย้อนไปเหมือนทิดจะกินยาฆ่าตัวตาย
แล้วก็กลับมามีความหวังอีกรอบตอนเจอเพียงพิรุณ

ตกใจที่ตัวละครเชื่อมโยงกันได้ขนาดนี้
เดาไม่ออกเลยว่าเรื่องจะดำเนินไปทางไหนต่อ
รู้แต่ตกหลุมรักหมอฮาล์ฟ อธิฎฐ์ แล้วก็พี่วินทร์มากๆ
ชอบอธิฎฐ์ แต่พี่วินทร์ก็เริ่มจะมาสั่นคลอนเราให้หวั่นไหวมากๆแล้วค่ะ 5555 มาต่อเร็วๆนะคะ ไม่อยากเดาแล้ว 55

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกทุกตอนเลยค่ะ อ่านไปลุ้นไปจะเกิดอะไรขึ้น
หมอฮาร์ฟน่ารักก เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
 :กอด1:

ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกค่ะ ตอนแรกก็เข้ามาตามที่มีคนแนะนำในกระทู้แนะนำ (ต้องขอบคุณมากๆเลยค่ะ)
แล้วก็อ่านยิงยาวถึงตีสามเลย เรียกว่าบรรยากาศตอนนั้นหลอนแทบนอนไม่หลับเลยค่ะ ทั้งๆที่ทิดก็ไม่ได้น่ากลัวนะ
แต่แบบ ผีอ่ะผี! T _______ T ยังไงก็กลัวอยู่ดี (ฮา) แต่ก็อ่านจนจบนะคะ
ที่บอกว่าชอบคือชอบหลายอย่างมากกก ทั้งคาแรคเตอร์ของฮาร์ฟ ทั้งตัวทิดเอง น่ารักสุดๆเลยค่ะ!
ไม่อยากให้พี่วินทร์ได้ใจฮาร์ฟไปเลยอ่า นี่ชูป้ายไฟข้างทิดเต็มที่เลยนะ! เราว่าคนที่จะอยู่กับเราได้คือคนที่เรากล้าเปิดเผยทุกอย่างแบบ
ความเป็นตัวตนของเราจริงๆน่ะค่ะ ถ้าอยู่กับใครแล้วต้องคิด ต้องประดิษฐ์ อะไรแบบนี้ เราว่าไม่เหมาะกันหรอก! xP 5555555

อีกเรื่องนึงที่ชอบคือข้อมูลวงการแพทย์เป๊ะมากกกก จนต้องหันกลับไปดูชื่อผู้แต่ง เลยเก็ทว่า อ๋อ ที่แท้ก็คุณ leGGyDan นี่เอง
เจ้าเดิมจากเรื่อง ER นาทีหัวใจ /อยากบอกว่าตอนพิเศษวาเลนไทน์นี่ทำเอาคนโสดอย่างน้องตาร้อนผ่าวๆเลย ; ////// ;
ถึงว่า ทำไมข้อมูลเป๊ะเว่อร์ 555555555

ที่น่าสงสารพี่ฮาร์ฟก็เรื่องคุณพ่อคุณแม่นี่แหละ โหดมากกกกกก ไม่รู้ว่าจะคาดหวังกับลูกไปถึงไหน สงสารสุดๆ
เราก็มีเพื่อนที่โดนพ่อแม่กดดันเหมือนกันนะคะ แต่ก็ไม่มากขนาดนี้ ที่บอกว่า "แล้วที่ 1 ไม่ใช่คนหรอ" นี่จึ้กสุดๆแบบ เฮ้ย
ถ้าเป็นพ่อแม่ปกติเค้าต้องพาไปเลี้ยงฉลองแล้วไหมอ่ะ ลูกได้ที่ 1 ของห้อง ที่ 2 ของสายชั้นนะเว้ย! บ้าบอมากกกกกกกกก
อยากเป็นกำลังใจให้กับพี่ฮาร์ฟสุดๆ เรื่องน้องลลินนี่ชอบมากค่ะ! ต้องไฟท์แบบนี้แหละ ถ้าคนไข้มีชีวิตอยู่ต่อไปแต่ไม่มีเป้าหมายไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน แล้วคนไข้จะยังเป็นคนอยู่ไหมอ่ะ ? อยากเห็นคนไข้ไม่ตายแต่ไม่มีหัวใจหรอคะ! /ยกธงข้างพี่ฮาร์ฟสุดฤทธิ์

ยังไงจะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
สงสารพี่ฮาร์ฟไปอีกถ้าคู่กับทิดจริงๆ พี่ปอก็ไปแต่งงานกับเพียงพิรุณ ทิดก็เคยเป็นแฟนเก่า โอย เอาเข้าไป =_____=
ทำไมชีวิตต้องมาพัวพันกับผู้หญิงคนนี้ด้วย สงสารมาก T ____ T
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ มาต่อตอนใหม่ไวๆน้า เค้าจะรออ่านค่า :L2:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อ่านแล้ว..หน่วงหน่วง หลอนหลอน
สงสารพี่วินทร์อ่ะเป็นพระรองแน่เลย

 :katai1:  :katai1:  :katai1:

ออฟไลน์ pim_onelove

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
แววพระรองของพี่วินทร์เด่นชัดมากอ่ะ สงสารง่าทำไงดี

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ทิดอยู่ที่ไหนน๊อ  :ling1:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ขอบคุณค่ะ สนุกมากกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อ่านห้าตอนรวดจบต้องถอนหายใจออกมายาวๆ
มีปมเยอะ แต่แต่งเก่งมากที่ทำให้ชวนติดตามในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดที่จะค่อยๆ ไล่ตามเนื้อเรื่องเพื่อคลายทีละปม
ยอดเยี่ยมครับ

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน!!

เนื้อหาเยี่ยมยอดมาก น่าติดตาม ไม่เยอะไม่น้อยเกินไป เรารอติดตามอยู่นะคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อู้หู!
สนุก!

หมอช่วยวิญญาณ วิญญาณรักษาใจหมอ

ใจแลกใจเนอะ

ลุ้นต่อไปกับความสีมพันธ์ที่ดูจะยุ่งอีรุงตุงนังกับหมอเหล่าหมอ ๆ คนไข้ วิญญาณ และคนรอบตัวนี้

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เข้ามาให้กำลังใจจ้า :L2: :L2:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
สุดยอดค่ะ อ่านแล้วน้ำตาร่วง อินกับความรู้สึกของหมอกับคนไข้มากค่ะ
และลุ้นไปกับเรื่องของ ทิด ด้วย เขียนดีมากค่ะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เหยทุกคนกลายเป็นเชื้อมโยงกันหมดเลย
น่าติดตามๆรอนะคะขอให้หาทิดเจอ

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
สนุกมากๆค่ะ แอดfav. ไว้ซักพักแล้วเพิ่งได้โอกาสเข้ามาอ่าน รวดเดียวเลยค่ะ สนุกจนวางไม่ลงจริงๆ

รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ถ้าว่างอย่าลืมอัฟหน่อยคะ :pig4: :mew1: :mew1: :L2: :L2:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 6 When the ‘Rain' comes

เพราะว่าอยากคุยกับวินทร์ตามลำพังนรกรจึงพยายามโอ้เอ้รออยู่ที่ห้องพักแพทย์จนกระทั่งคนอื่นๆ ที่มาทีหลังเก็บข้าวของเสร็จและทยอยกันออกไปเพื่อออกตรวจตอนเช้า

“ทำไมวันที่อยากเจอถึงมาช้าจัง” อทิฏฐ์บ่นพลางเดินวนไปรอบๆ ห้องในขณะที่นรกรแกล้งทำเป็นนั่งหาข้อมูลในหนังสือทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พลิกผ่านไปสักหน้า

ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปจนเกือบเก้าโมงตรงร่างสูงในชุดกาวน์สั้นเดินเกาศีรษะพลางหาวปากกว้างเดินตาปรือเข้ามา

“สวัสดีค...”

นรกรยังพูดไม่ทันจบประโยควินทร์ก็สวนขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อคืนหายไปไหนมา”

“ผมแค่นึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน” นรกรเสียงอ่อยทันที เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “ขอโทษนะครับ”

“วันหลังโทรบอกด้วยนะ ฉันจะได้ไม่ต้องหลงเป็นห่วงว่านายช็อกที่เจอหน้าแฟนปอ”

โชคดีที่วินทร์เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน นรกรจึงได้โอกาสถามต่อ “พี่วินทร์รู้จักคุณฝนมานานแล้วเหรอครับ”

“ตอนเด็กบ้านเราอยู่ใกล้กันน่ะไปกลับโรงเรียนด้วยกันตลอด สนิทกันเหมือนพี่น้อง... ถามทำไมเหรอ”

“ผมก็แค่ถาม”

“ถามฉันไปก็ไม่ประโยชน์หรอก เราไม่เจอกันมาแปดปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่เธอแต่งงาน” วินทร์ว่า “แปลกนะทั้งที่ปอก็ทำงานที่นี่ตลอดแต่ฉันเพิ่งได้เห็นหน้าเธอเมื่อคืนนี่เอง”

“เห็นว่าเธอไปเรียนต่อปริญญาโทกับเอกที่เมืองนอกเพิ่งกลับมาน่ะครับ”

“โอ๊ะ!” วินทร์ร้องในขณะที่อทิฏฐ์เองก็แปลกใจไม่แพ้กัน “ดูท่านายจะรู้เรื่องเธอดีกว่าฉันอีกนะ”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย “ผมขอถามตรงๆ นะครับพี่วินทร์ชอบเธอเหรอ”

“เปล่า เราเป็นแค่พี่น้องกัน”

“แล้วทำไมพี่วินทร์ต้องหงุดหงิดใส่ผมด้วย” นับตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดกันไม่มีจังหวะไหนที่ไม่กระแทกเสียงหรือประชดใส่

“ก็ต้องหงุดหงิดสิ” วินทร์พูดเสียงดังขึ้นอีก ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวแล้วก็ไม่คิดจะเก็บอาการอีกต่อไป “เพราะฉันสงสัยว่าทำไมนายต้องไปสนใจภรรยาของแฟนเก่า หรือว่าวางแผนอะไรไว้”

“ผมแค่ถามเพราะแปลกใจที่รู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกัน”

“แล้วทำไมฉันต้องเล่าให้ฟัง! นายไม่เคยรู้ตัวเลยใช่ไหมฮาร์ฟว่าตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาสภาพนายเป็นยังไง นายทำหน้าจะเป็นจะตายแค่ไหนเวลาได้ยินใครพูดชื่อปอหรือเพียงแค่เขาเดินผ่าน งั้นหลังๆ มานี่ที่ฉันเห็นว่านายเปลี่ยนไป พูดมากขึ้น ดูสดใสมากขึ้นและเปิดใจมากขึ้นเพราะคิดว่านายตัดใจจากปอได้แล้วแสดงว่าฉันคิดผิดสินะ”

“ผมกับพี่ปอไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากรุ่นพี่รุ่นน้อง”

“จริงเหรอ” มีท่าทีคล้ายจะเยาะอยู่ในน้ำเสียง วินทร์พ่นลมออกจมูกพร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก “เท่าที่ฉันรู้ คนที่คุยกับแฟนเก่าได้มีแค่สองประเภท คือไม่เคยรักกับไม่เคยลืม” เว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อสบตาคนตรงหน้า

นรกรไม่หลบสายตาที่ราวกับจะมองทะลุ ในเมื่อเขาไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง

“และฉันก็ไม่คิดว่านายเป็นแบบแรก” วินทร์ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะย่ำเท้าหนักๆ เดินออกไป

“อะไรของพี่วินทร์เนี่ย อยู่ๆ ก็มาหาเรื่องกัน” นรกรบ่น

“ผมว่าผมเข้าใจเขานะ” อทิฏฐ์ที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ กระซิบขึ้น

“อยู่ด้วยกันแท้ๆ เข้าข้างกันหน่อยก็ไม่ได้”

“ก็มันจริงนี่ พูดให้ฟังใครเขาจะเชื่อล่ะคุณ... วัวเคยค้าม้าเคยขี่ เฮ้ย! คือ... ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เชื่อใจคุณแบบนั้นนะ” อทิฏฐ์รีบพูดเมื่อนรกรมองตาเขียวปัด “แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลา เอางี้! ต่อให้คุณไม่คิด คุณรู้ได้ไงว่าพี่ปอไม่คิด พวกคุณก็เพิ่งปรับความเข้าใจกันได้ไม่ใช่เหรอของแบบนี้มันต้องดูกันยาวๆ”

“แต่คุณเชื่อผมใช่ไหม”

“ตราบที่คุณยังยืนยันคำพูดตัวเอง ผมเชื่อคุณ”

เพราะมัวแต่คุยกับวินทร์ นรกรจึงมาถึงห้องตรวจผู้ป่วยนอกเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่จะเข้าไปก็สังเกตเห็นว่าน้องๆ แพทย์ประจำบ้านกำลังยืนล้อมวงกันอยู่หน้าเคาน์เตอร์มุงดูแฟ้มผู้ป่วยเล่มหนึ่งด้วยสีหน้าอึดอัดใจจึงเดินเข้าไปสอบถาม

“มีอะไรเหรอ”

ทุกคนมีสีหน้าโล่งอกขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขา

“คนไข้ของอาจารย์สรวิชญ์น่ะครับ” พัฒนพงศ์รีบรายงานเพื่อขอความช่วยเหลือ “วันนี้อาจารย์มีสอนข้างนอกคงอีกนานกว่าจะเข้ามา อาจารย์คนอื่นๆ ก็ด้วยเหลือแต่พวกเราเลยกำลังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดีครับ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ คนไข้พิเศษของพ่อของเขาล้วนแล้วมีแต่ระดับ VIP ดาราหรือพวกกระเป๋าหนักเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่าการตรวจหรือให้การดูแลจะต้องถูกคาดหวังและมีความกดดันมากเป็นพิเศษไปด้วยถึงแม้จะไม่ใช่โรคที่ยากหรือซับซ้อนเลยก็ตาม “แล้วแจ้งให้คนไข้ทราบหรือยัง”

“แจ้งแล้วครับ” สิทธิชัยบอก “เขาบอกว่าให้ใครตรวจก็ได้ ทีแรกเราไปหาพี่วินทร์แต่พี่วินทร์ยืนยันคำเดียวว่าไม่”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน นึกหงุดหงิดคนที่โกรธเขาแล้วพาลไม่ช่วยน้องๆ “งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยดูเอง”

อนุวัฒน์รีบส่งแฟ้มผู้ป่วยให้ด้วยสีหน้าดีใจเป็นล้นพ้นเพราะพวกเขาเพิ่งตัดสินกันด้วยวิธีการโอน้อยออกและเขาก็เป็นผู้โชคดีได้รับสิทธิ์นั้น “คนไข้รออยู่ที่ห้องตรวจหนึ่งนะครับ ขอบคุณพี่ฮาร์ฟมากครับ”

แล้วทุกคนก็รีบแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน นรกรก้มหน้าลงมองแฟ้มในมือพร้อมๆ กับที่ร่างโปร่งแสงข้างกายร้อง “เฮ้ย!” เสียงดังเมื่อคนไข้คนนั้นคือผู้ที่ทั้งสองมีคดีติดตัวและไม่อยากเจอมากที่สุด

นายองค์อินทร์ สถิตย์เทพ

“เกลียดอะไร ก็คงจะได้อย่างงั้น~” อทิฏฐ์แกล้งร้องเป็นเพลง “ผมยืนรอหน้าห้องนะ คุณจะได้ค่อยๆ ตรวจคนไข้”

“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้กาลเทศะเอาตอนนี้เลย” นรกรกระซิบลอดไรฟัน “ตามมา”

อทิฏฐ์ย่นปากพร้อมกับกรอกตามองจิ้งจกบนฝ้าเพดาน “คร้าบบบ”

นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อตั้งสติอีกครั้งก่อนจะผลักประตูเข้าไป ภาพที่เขาคิดว่าจะได้เจอคือชายสูงวัยมีรอยสักเต็มตัวในชุดขาวใส่สร้อยลูกประคำรุงรังนั่งผึ่งบนโซฟามีลูกศิษย์อย่างน้อยๆ ก็สองถึงสามคนนั่งบีบนวดอยู่แทบเท้า แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็นชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวปกปิดรอยสักนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ตัวเล็กของโรงพยาบาล ผมสีดอกเลาถูกมัดเรียบร้อยไว้ที่หลังท้ายทอย ไม่มีสร้อยลูกประคำ ไม่มีควันธูป ไม่มีลูกศิษย์ลูกหาวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง แค่ชายคนหนึ่งที่เจ็บป่วยและมาหาหมอเพียงลำพัง

เขารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยพลางยกมือไหว้และเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ “สวัสดีครับ”

“ว่าไง” อาจารย์องค์อินทร์ทัก “ไม่เจอกันนานนะ”

“โอ๊ะ! จำได้ด้วย” อทิฏฐ์ว่า
   
“เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม”

“เรื่องของผมเอาไว้ก่อนแล้วมาฟังเรื่องของคุณดีกว่าครับ” นรกรเริ่มเปิดแฟ้ม จากการอ่านคร่าวๆ เขาเป็นคนไข้โรคเส้นเลือดในสมองแตกที่พบได้ทั่วๆ ไปในผู้สูงอายุไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร ผ่าตัดเรียบร้อยตั้งแต่สองเดือนที่แล้วแค่มาตรวจตามนัดและรับยา “ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีอาการผิดปกติอะไรบ้างครับ”

“ไม่มีเลย อย่างที่หมอเห็นผมแข็งแรงดี” เหมือนคนไข้เองก็นึกขึ้นได้ อาจารย์องค์อินทร์จึงเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานเสียใหม่ “เออนี่ ผมถามอะไรหน่อยสิหมอ”

“ครับ”

“โรคที่ผมเป็นถือว่าหนักและร้ายแรงมากไหม เอาตามความเห็นหมอเลยนะ ตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขี้ปะติ๋วมากเลยล่ะลุงถ้าเทียบกับเด็กสู้ชีวิตบางคน” อทิฏฐ์ป้องปากนินทาอยู่ข้างหลัง และเขาคิดว่านรกรคงจะนึกรำคาญเหมือนกันหากคุณหมอหนุ่มกลับตอบคำถามด้วยอาการสงบนิ่ง

“ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณมองมันยังไงครับ” นรกรเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูฟิล์มเอกซเรย์สมองและผลเลือดเช้าวันนี้ “ถ้าคุณมองมันว่าหนักก็หนักครับ แต่ไม่ว่าคุณจะมองมันว่าหนักหรือเบา สิ่งที่คุณต้องทำคือยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ และเท่าที่ผมดูท่าทางคุณอยู่กับมันได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“หมอเอาที่ไหนมาพูด” คนไข้หน้าตึงขึ้นทันที

“ค่าไขมันในเลือดกับน้ำตาลสะสมที่ยังสูงเกินเกณฐ์มาตรฐานอยู่มาก ซึ่งในระยะยาวจะทำไขมันเกาะตามผนังเส้นเลือดเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดสมองตีบ อุดตันหรือทำให้เส้นเลือดแตกได้อีกครั้งนะครับ ”

“หมอก็พูดไปเรื่อย มันจะสูงได้ยังไงในเมื่อผมลงทุนงดกาแฟมาตั้งสามวันก่อนมาเจาะเลือด”

“ผลเลือดไม่โกหกครับ” พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องทำให้เขาอดจะดุกลายๆ ในน้ำเสียงไม่ได้ยิ่งเมื่อเห็นคำตอบในแบบสอบถามเรื่องอาหารที่ทานเป็นจำคือหัวหมูต้ม ขาหมูรมควันและเหล้าขาว “ต้องทำสม่ำเสมอนะครับไม่ใช่แค่สามวันเพื่อมาหาหมอ แล้วก็เลิกไปเลยนะครับไม่ใช่แค่กาแฟแต่รวมทั้งของมันของทอดด้วย ผมเข้าใจครับว่าอาจารย์เป็นคนทรงเจ้า แต่ก็น่าจะเลือกของไหว้ได้บ้าง บอกท่านนะครับว่าถ้าร่างทรงตายเจ้าก็ไม่มีร่างให้เข้าเหมือนกัน” พูดจบนึกขึ้นได้จึงเหลือบตามองเล็กน้อยด้วยเกรงว่าจะถูกโกรธเพราะถ้าเขาเอาไปฟ้องศาสตราจารย์สรวิชญ์เรื่องคงไม่จบง่ายๆ

หากอาจารย์องค์อินทร์กลับหัวเราะชอบใจ “ขนาดพ่อ เอ๊ย! อาจารย์ของหมอยังไม่กล้าพูดกับผมแบบนี้เลยนะเนี่ย หมอนี่แน่นอนจริงๆ”

ขนาดผีอย่างผมยังโดนด่า แล้วคิดว่าหมอผีอย่างลุงจะรอดหรือครับ... อทิฏฐ์นึกนินทาในใจ

“เดี๋ยววันนี้หมอจะจดรายชื่ออาหารที่ควรและไม่ควรทานให้ แล้วครั้งต่อไปพาญาติมาด้วยนะครับหมอจะได้ประเมินว่าคุณทำตามคำแนะนำของหมอหรือเปล่า”

อาจารย์องค์อินทร์พยักหน้า “แต่ผมตัวคนเดียวไม่มีญาติที่ไหนนะหมอ”

“แล้วลูกศิษย์คนสนิทละครับ”

“เจ้าพวกนั้นมันก็ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้เท่าไหร่”

“คุณลองแล้วหรือครับถึงได้รู้ว่าพึ่งพาไม่ได้” นรกรย้อนถาม “ถ้าพวกเขารักและอยากให้คุณอยู่ด้วยกันนานๆ ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปหรอกครับ”

“แน่ใจนะหมอ ผมกลัวว่าพามาด้วยแล้วหมอจะรำคาญน่ะสิ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอให้มาเถอะหมอรับมือได้”

คนทรงเจ้าใช้ปลายนิ้วลูบหนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวที่ลงเจลจนแข็งปั๋ง “งั้นเดี๋ยวจะลองเลือกมาสักสองสามคนนะ”

“ผมจ่ายยาเดิมที่อาจารย์สรวิชญ์เคยให้แล้วนัดตรวจอีกหนึ่งเดือนนะครับ”

“ตามที่หมอเห็นสมควรเลยครับ เพราะนี่มันเรื่องที่คุณหมอเชี่ยวชาญ ไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้”

มือที่กำลังจดผลการตรวจลงในแฟ้มผู้ป่วยชะงักไปเล็กน้อย เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกับคำที่เหมือนประชดกันและเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูรายชื่อยา แต่อาจารย์องค์อินทร์ยังไม่ยอมหยุดพูดและกลับมาใช้สรรพนามเดิมอีกครั้ง

“แล้วตกลงเป็นยังไงล่ะพ่อหนุ่ม เรื่องที่กลุ้มใจแก้ไปได้ถึงไหนแล้ว”

นรกรยังคงไม่สนใจและเขียนรายงานต่อไปเรื่อยๆ

“ไม่ตอบแสดงว่าไม่ถึงไหนสินะ”

“นี่ครับ ใบสั่งยาของคุณ”

“ขอบคุณครับ” อาจารย์องค์อินทร์ค้อมศีรษะเล็กน้อย

คุณหมอหนุ่มยกมือรับไหว้และพูดทิ้งท้ายตามปกติเหมือนที่เขาย้ำเตือนกับคนไข้ทุกๆ คน “อย่าลืมมาตรวจตามนัดและทานยาให้ครบนะครับ”

“พูดถึงเรื่องลืม” อาจารย์องค์อินทร์หันหน้ากลับมา “นี่พ่อหนุ่ม คนเราน่ะบางทีก็ไม่ได้ลืมเพราะว่าไม่อยากจำหรอกนะแต่เราลืมเพื่อนึกให้ออกและจดจำมันให้ได้ต่างหากว่าเผลอทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง”

ถึงตรงนี้นรกรต้องยอมเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่านัยน์ตาสีเทานั้นไม่ได้จับจ้องอยู่ที่เขาเหมือนเดิมแต่มองเลยไปด้านหลังยังจุดที่อทิฏฐ์ยืนอยู่ “คุณพูดเรื่องอะไรครับ”

อาจารย์องค์อินทร์เบนสายตากลับมา “ถ้าพ่อหนุ่มไม่สนใจมันก็แค่เรื่องไร้สาระ แต่ถ้าพ่อหนุ่มอยากรู้ก็ลองนึกดูให้ดีสิ นึกให้ออก แล้วสาระมันก็อยู่ตรงนั้นแหละ... อ้อ! หนหน้าผมขอมาตรวจกับหมอได้ไหม ชักจะถูกใจหมอซะแล้วสิ”

ทันทีที่ประตูปิดลงอทิฏฐ์ก็ปราดเข้ามาเกาะขอบโต๊ะทันที “คุณเห็นสายตานั่นไหม ผมไม่รู้นะว่าเขาเห็นผมไหม แต่ผมว่าเขารู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้” พลางยกมือลูบหน้าตัวเอง รู้สึกเหมือนโดนสะกดให้นิ่งงันไปชั่วครู่ “แล้วที่เขาพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง”

นรกรเองก็งุนงงไม่แพ้กัน “ไม่รู้สิ แต่ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือคุณต้องนึกให้ออกว่าตัวเองเป็นใคร”

ทั้งสองเก็บของเดินออกจากห้องตรวจยังไม่ทันจะได้คิดทบทวนเรื่องที่ได้ฟังมาอย่างรอบคอบ ก็มีเรื่องมาเบนความสนใจไปเสียก่อน

ร่างสูงในชุดกาวน์ยาวสีขาวยืนยิ้มเห็นฟันขาวโบกมือรออยู่หน้าเคาน์เตอร์

“คนไข้เยอะเหรอ หน้ายุ่งเชียว”

นรกรเบี่ยงศีรษะหลบมือที่เอื้อมมาหมายจะโอบรอบไหล่โดยแกล้งทำเป็นหันไปวางแฟ้มผู้ป่วยให้คุณพยาบาล เขาไม่ได้เขินอายที่จะโดนสัมผัสเพียงแต่ไม่ชอบสายตาของใครบางคนที่ทำหน้ามุ่ยยืนกอดอกมองอยู่ข้างๆ “นิดหน่อยครับ”

คณิณลดมือที่ยื่นออกไปเก้อเก็บใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์แต่ไม่ยังยอมหุบยิ้ม “ฮาร์ฟ เย็นวันเสาร์นี้ว่างไหมพอดีพี่จะจัดปาร์ตี้เล็กๆ น่ะ มีแต่คนกันเองทั้งนั้นแค่พี่ๆ น้องๆ หมอพี่อยากให้เราไปด้วย”

“ปาร์ตี้อะไรเหรอครับ”

“ผลงานพี่ผ่านแล้ว” คณิณยิ้มกว้างมากขึ้นอีก “พี่ได้เป็นอาจารย์ที่นี่เต็มตัวแล้วนะ”

“ยินดีด้วยนะครับพี่ปอกับความสำเร็จอีกขั้น” นรกรอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้กับว่าที่อาจารย์แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ

“เป็นอันว่าวันเสาร์นี้เราตกลงนะ”

เพราะดูเหมือนจะถูกมัดมือชกไปแล้วประกอบกับอยากพาอทิฏฐ์ไปเจอเพียงพิรุณ นรกรจึงยอมตามน้ำ “งานจัดที่ไหนครับ”

“ที่บ้าน” คณิณสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “พอดีฝนเขาอยากโชว์ฝีมือทำอาหารด้วยน่ะ... เราโอเคนะ”

“เอ่อ... ไม่มีปัญหาครับ”

ใบหน้าที่เจื่อนไปทันทีทำให้คณิณต้องรีบพูดต่อ “จะได้ไปเจอเจ้าบิชอฟไง”

ชื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักที่ถูกเอ่ยขึ้นมาทำให้สีหน้าค่อยดีขึ้น นับตั้งแต่เลิกกันนรกรก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย “ไม่เจอกันนานป่านนี้คงเป็นหมาแก่ๆ ไม่มีแรงวิ่งแล้วมั้งครับ”

“ใครบอกล่ะ กำลังเป็นหนุ่มเลยต่างหาก พี่บำรุงมันอย่างดีเมื่อวานเพิ่งไปไล่กัดกระรอกมาอวดพี่”

“ซนจริงๆ เจ้าหมาตัวนี้”

“เหมือนเจ้าของมันน่ะแหละ” คณิณยิ้มมีความหมายที่เข้าใจกันแค่สองคน

“แว่วๆ ว่าจะมีปาร์ตี้อะไรกันเหรอ” วินทร์เดินเข้ามาแทรกกลางวง “ท่าทางน่าสนุกจังขอไปด้วยคนสิ”

“ฉันจะจัดปาร์ตี้ที่บ้านฉลองที่ได้เป็นอาจารย์น่ะ นายจะไปด้วยก็ได้นะ”

วินทร์ไม่สนใจคำที่แอบเน้นว่า ‘อาจารย์’ พลางเหลือบมองนรกรทางหางตา “ไม่เป็นไร ฉันก็แค่แซวเฉยๆ”

“ตามใจ ฉันก็แค่ชวนเฉยๆ เหมือนกัน” คณิณว่าก่อนจะหันไปหาคนตัวเล็กกว่า “พี่ขอตัวไปดูคนไข้ก่อนนะฮาร์ฟ วันเสาร์นี้เจอกัน”
นรกรหันไปหาร่างสูงเมื่อคณิณเดินไปลับตา “พี่วินทร์ไปด้วยกันสิ ไปกับผม”

นัยน์ตาคมเหลือบมอง “ทำไม”

“ก็พี่วินทร์อยากรู้ไม่ใช่เหรอครับว่าผมตัดใจได้จริงหรือเปล่า ถ้างั้นก็มาดูให้เห็นกับตาสิ”

วินทร์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่เห็นจำเป็น” แล้วก็หมุนตัวกลับไปวางแฟ้มผู้ป่วยบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินหายเข้าห้องตรวจของตนไป

oooooo

เมื่อวันเสาร์มาถึงนรกรขับรถออกจากหอพักโดยมีอทิฏฐ์นั่งมาด้วยข้างๆ เขาจอดรถเพื่อแวะซื้อดอกไม้กระเช้าหนึ่งเป็นของขวัญ

“กุหลาบแดง?” อทิฏฐ์ตั้งข้อสังเกตเมื่อเห็นพนักงานตระเตรียมดอกไม้ตามที่สั่ง “แน่ใจนะคุณ ดอกไม้อื่นๆ ความหมายดีๆ มีอีกเยอะแยะนะ อย่างลิลลี่ คาร์เนชั่น หรือ...”

“พี่ปอชอบกุหลาบแดง” นรกรพูดเรียบๆ เป็นการตัดบท

“โอเค จบ” อทิฏฐ์รูดซิปปากพร้อมกับยกมือยอมแพ้ก่อนจะเดินกลับไปนั่งรอที่รถ

เพราะตั้งใจแล้วว่าจะมาช้าหน่อยเพื่อไม่ต้องอึดอัดที่มาถึงเป็นคนแรกๆ ผลจึงเป็นไปตามคาดตอนนี้เริ่มมีแขกเหรื่อเต็มบ้าน ทำให้ที่จอดรถเต็มจนล้น นรกรจึงต้องขยับไปจอดถัดไปอีกสองช่วงถนนและลงเดินมา ถึงจะบอกว่าเป็นงานเล็กๆ จัดแบบปาร์ตี้ค๊อกเทลในสวนหลังบ้านมีแต่คนรู้จักแต่คณิณเป็นที่รักของใครหลายๆ คนคำว่าเล็กของเขาจึงไม่เท่ากับของนรกร และถึงคนที่มาจะมีแต่รุ่นพี่รุ่นน้องที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน ทว่าเขาก็ไม่สนิทกับใครสักคนเดียว

“ตกลงกันก่อนนะ” นรกรกระซิบ “ถ้าเจอ ‘เธอ’ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปแต่ผมจะไม่ถามอะไรเธอเด็ดขาด”

อทิฏฐ์พยักหน้า

นรกรกวาดตามองหาเจ้าของงานที่หาไม่ยากเท่าไหร่เพราะถูกผู้คนห้อมล้อมไว้ นรกรยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเข้าไปทางไหน คณิณก็เป็นฝ่ายเดินมาทักเสียเอง

“ฮาร์ฟ”

“สวัสดีครับพี่ปอ”

“ขอบคุณนะที่มา” หากคณิณไม่ได้มาคนเดียวแต่หนีบเอาหญิงสาวสวยในชุดเดรสเดินคู่กันมาด้วย “นี่ฝนแฟนพี่ ฝนนี่ฮาร์ฟน้องรหัสพี่น่ะ... น่าจะเป็นพี่ฝนนะเพราะฮาร์ฟอ่อนกว่าพี่ปีเดียวเอง”

เพียงพิรุณปล่อยมือจากท่อนแขนที่ควงไว้เพื่อยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”

“ยินดีด้วยนะครับ” นรกรค้อมศีรษะรับไหว้พร้อมกับส่งดอกไม้ช่อสวยในมือที่ตั้งใจเลือกมาอย่างดีให้

“ดอกไม้สวยจัง”

คณิณกำลังจะยื่นมือมารับเมื่อเพียงพิรุณจามเสียงดัง “ฮัดเช้ย!” พร้อมกับยกสองมือขึ้นปิดปากและจมูก “ขอโทษนะคะ ปกติฝนก็ไม่แพ้เกสรดอกไม้หรอกแต่ท่าทางเจ้าตัวเล็กจะไม่ค่อยชอบ... โดยเฉพาะกุหลาบ” สูดเสียงขึ้นจมูกก่อนจะลดมือลงลูบหน้าท้อง

“ไม่เป็นไรนะฝนเดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านเอาไปเก็บให้”

“ขอโทษนะคะพี่ปอ น้องพี่อุตส่าห์เอามาให้” ยิ้มหวานเจื่อนไปเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคณิณกวักมือเรียกหญิงสาวสวมผ้ากันเปื้อนคนหนึ่งมารับไปเพราะเกรงว่าเกสรดอกไม้จะติดเสื้อ

“เอาไปไว้ในครัวนะมด”

“แต่เดี๋ยวฝนต้องเข้าไปทำกับข้าวในครัวนะคะ”

“งั้นให้หนูเอาไว้ในห้องน้ำไหมคะ” มดที่เป็นแม่บ้านเสนอ

“ห้องน้ำก็... ฮัดชิ้ว!” เพียงพิรุณจามอีกครั้ง “ห้องน้ำก็ได้ค่ะ เดี๋ยวยังไงฝนกินยาแก้แพ้สักเม็ดก็น่าจะดีขึ้น ฮัดชิ้ว!”
   
“แต่คนท้องกินยามากๆ ไม่ดีนะฝน” คณิณปราม

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ น้องพี่ปออุตส่าห์เอามาแสดงความยินดี” นัยน์ตากลมสวยสบตานรกรอึดใจก่อนจะเหลือบมองกุหลาบสีแดงสดที่ชูช่ออยู่ในกระเช้า “ดอกไม้ก็ส๊วยสวยจะให้เอาไปทิ้งเหรอคะ”

“เอ่อ...” คณิณมองหน้าเขา

“ไม่เป็นไรครับพี่ปอ ผมผิดเองที่ซื้อมาโดยไม่ถามเจ้าของบ้านก่อน” นรกรรีบบอก “ขอโทษนะครับ”
   
“ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลยค่ะ... อ้าว ดูสินั่นใครมา” เพียงพิรุณร้องเสียงใสเมื่อโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตสีน้ำตาลอ่อนวิ่งลัดเลาะผู้คนเข้ามาหา “บิชอฟ สวัสดีพี่เขาสิครับ”

“ฮาร์ฟรู้จักมันดีอยู่แล้วล่ะ” คณิณยิ้มให้พลางนั่งยองๆ ลงลูบศีรษะสัตว์เลี้ยงแสนรัก

แต่เจ้าบิชอฟกลับนั่งลงบนขาหลังและตั้งต้นเห่าเสียงดังจนคนทั้งงานหันมามอง

“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”

อทิฏฐ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้มือทั้งสองไปที่ตัวเองพร้อมกับทำตาโตและทำปากขมุบขมิบถาม “มันเห่าผมเหรอ”

นรกรเหลียวไปมองก่อนจะพยักหน้า

“เหยยย หมาเห็นผมด้วยอะ ดีใจจัง มามะเจ้าบิชอฟมาให้พี่กอดที”

แต่บิชอฟกลับกระโดดลุกขึ้นยืนและเห่าอีกครั้ง “โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”

“บิชอฟ เงียบ!” เพียงพิรุณดุเบาๆ เจ้าสุนัขหยุดและนั่งลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย “สงสัยจะไม่เจอกันนานมันคงจำคุณไม่ได้น่ะค่ะ... ตามสบายนะคะเดี๋ยวฝนขอไปดูอาหารหน่อยดูท่าจะพร่องไปเยอะแล้ว แล้วอย่าลืมลองเมนูค๊อกเทลลาบกุ้งของฝนนะ ฝนค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียว เพื่อนฝรั่งนี่ติดใจกันทุกคน... ไปบิชอฟ ไปช่วยแม่ในครัวไป” เจ้าสุนัขหันมาเห่ารับคำสั่งครั้งหนึ่งก่อนจะออกวิ่งเหยาะๆ ตามหญิงสาวไป

“ยินดีด้วยนะครับ”

“เราพูดแล้ว”

“ไม่ใช่ครับ เรื่องลูกต่างหากกี่เดือนแล้วครับ”

ใบหน้าของคณิณยิ้มแป้นขึ้นมาทันที “สองเดือน เข้าเดือนที่สามแล้วต้องรออีกตั้งเดือนนึงแน่ะกว่าจะอัลตราซาวด์ดูเพศได้”

แล้วนรกรก็ใช้เวลากว่าครึ่งหนึ่งในงานหมดไปกับการฟังคณินพูดถึงทารกน้อยที่ยังไม่เกิด เขาฝันมาตลอดว่าอยากมีลูกสาว อยากไว้หนวดไว้ขู่คนที่บังอาจจะมาจีบหรือมาขอชวนไปเดท พร้อมกับเดินชิมอาหารของเพียงพิรุณตามที่คณิณคะยั้นคะยอไปรอบๆ งาน ถึงจะไม่อยากแต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างอร่อยมาก นี่แหละคือผู้หญิงที่คณิณตามหา ผู้หญิงสวย เก่งที่ทำงานบ้านงานเรือนเป็น ไม่ใช่ผู้ชายแบบเขา

เมื่อท้องเริ่มอิ่มทั้งคู่จึงปลีกตัวออกจากงานมาคุยตรงระเบียงเพื่อหนีความวุ่นวาย นรกรมองชายหนุ่มตรงหน้าที่พูดพลางออกท่าไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข แต่หัวใจของเขากลับไม่สามารถยิ้มตามได้เลยสักนิด

จริงอย่างที่อทิฏฐ์หรือวินทร์พูด... ใช่แล้ว มันไม่โอเค ไม่ใช่เพราะเห็นบ้านที่เคยมาดูด้วยกันโดนคนอื่นจับจอง ไม่ใช่เพราะต้องทนดูช่อดอกไม้ที่ตั้งใจซื้อมาถูกโยนเอาไปทิ้งโดยที่คนรับยังไม่ทันได้สัมผัส ไม่ใช่เพราะเสียใจที่สัตว์เลี้ยงของตนกลายเป็นของคนอื่นซ้ำยังจำกันไม่ได้

ที่เจ็บ... เพราะที่ข้างผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เขา

และตอนนี้หัวใจของเขากำลังร้องไห้ทั้งที่ริมฝีปากกำลังฝืนยิ้ม และเขาควรจะต้องรีบกลับให้เร็วที่สุดก่อนที่คณิณจะรู้ ก่อนที่จะถูกจับได้ว่าแท้จริงแล้วเขายังตัดใจไม่ได้เลยจนนิดเดียว

นัยน์ตาสีอ่อนพยายามกวาดตามองหาคนที่มาด้วยกันแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา ก่อนมันจะไปหยุดลงตรงรั้วใกล้กระถางต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีตุ๊กตาหมีหน้าตาขมุกขมอมเพราะโดนปล่อยให้นั่งตากแดดตากฝนมานานแรมปี

เสียงสุนัขเห่าดังแว่วมาในสายลม นรกรกำมือแน่นและหันหลังให้กับตุ๊กตาตัวนั้น


(ต่อด้านล่าค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 6 (ต่อ)

โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!

“ไม่เอาไม่เห่าน่าบิชอฟ” เพียงพิรุณปรามเจ้าสุนัขที่ตั้งต้นเห่าอีกครั้ง มันทำหางตกและครางหงิงเบาๆ ราวกับจะประท้วงว่าไม่ใช่ความผิดตน

ร่างโปร่งแสงที่แอบตามมาเงียบๆ หลิ่วตาให้เล็กน้อยก่อนจะเดินตามหลังทั้งคู่เข้าไปในครัว

กระเช้าดอกกุหลาบที่นรกรให้มาถูกวางแอบไว้มุมหนึ่งบนเคาน์เตอร์

“ยัยมดนี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” เพียงพิรุณใช้ปลายนิ้วแตะกลีบบางสีแดงสดขึ้นสูดกลิ่นหอมหวานของกุหลาบก่อนจะเหยียบถังขยะให้เปิดออกและหยิบกระเช้าดอกไม้หย่อนลงไป

ริมฝีปากบางยกมุมขึ้นเล็กน้อย เธอปิดฝาถังขยะแล้วหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์และเริ่มต้นล้างผักสำหรับชามสลัดในขณะที่เจ้าบิชอฟเดินวนไปรอบๆ

ก่อนหน้าที่จะมาในหัวของอทิฏฐ์เต็มไปด้วยคำถามและหลายสิ่งที่อยากรู้ เมื่อภาพวันคืนระหว่างเขากับเธอมันยังคงแจ่มชัด

เด็กชายหญิงในชุดกระโปรงบานขาสั้นที่นั่งห้อยขาตรงริมระเบียงบนตึกของโรงเรียนบอกเล่าเรื่องความฝันของตัวเองเมื่อเติบโตขึ้น

‘โตขึ้นฝนอยากเป็นอะไรเหรอ’

‘ฝนอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ค่ะ ฝนชอบคอมพิวเตอร์ ฝนอยากคิดค้นโปรแกรมใหม่ๆ แล้วพี่ล่ะอยากเป็นอะไร’

‘ไม่รู้สิฝน พี่ยังคิดไม่ออกเลย’

‘ไม่ได้นะคะ ป่านนี้แล้วพี่ต้องคิดได้แล้วนะ’

มือบางเอื้อมมาตีไหล่หยอกๆ วันนั้นเขาโกหก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร เพียงพิรุณเป็นนักกิจกรรมตัวยงหากยังคงสอบได้ลำดับที่ต้นๆ ของห้องเสมอ หน้าตาสะสวยน่ารัก แต่มีข้อเสียอยู่หนึ่งข้อและเป็นข้อใหญ่เสียด้วยนั่นคือเธอเกลียดการทำงานบ้านเป็นที่สุด แค่ต้มไข่ใส่น้ำแล้วตั้งไฟเธอยังต้มให้ไหม้จนกินไม่ได้ ดังนั้น ความฝันของเขาคือทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอที่นั่งเท้าคางมองดูเขาอยู่ในครัว ก่อนที่เขาจะยกออกมาเสิร์ฟและเริ่มต้นกินไปด้วยกัน เพราะอย่างนี้เขาถึงหัดทำอาหารกับแม่ทุกวันจนเก่ง กล่องข้าวที่ทำเผื่อเธอไปโรงเรียนทุกวันแท้จริงแล้วเป็นฝีมือเขาไม่ใช่ของแม่ที่ฝากไปให้อย่างที่บอก เมนูที่เธอชอบคือไข่ตุ๋นใส่นมที่สามารถกินทุกวันไม่มีเบื่อ

ทว่า ภาพนั้นก็คงเป็นได้เพียงความฝัน ไม่มีอีกแล้วผู้หญิงที่กลัวน้ำมันร้อนในเตากระเด็นใส่จนต้องวิ่งมาแอบหลบหลังเขา มีแต่ผู้หญิงสวมผ้ากันเปื้อนท่าทางทะมัดทะแมงที่ใช้มีดหั่นผักได้อย่างคล่องแคล่ว

“ฝนคงรักผู้ชายคนนี้มากสินะ”

“อ๊ะๆ ไม่ได้นะบิชอฟ มาแอบกินก่อนแบบนี้เดี๋ยวคุณพ่อก็โกรธหรอก” เพียงพิรุณหันไปดุเจ้าสุนัขที่ยืนขึ้นบนสองขาหลังเกาะขอบเคาน์เตอร์พยายามจะขโมยชิมปลาแซลมอลรมควันในชามแก้วใบใหญ่ “สลัดปลาแซลมอลนี่ของโปรดคุณพ่อเขานะแกรู้ใช่ไหม”

อทิฏฐ์เข้าไปยืนซ้อนด้านหลัง สอดมือเข้ารอบเอวคอดและซบหน้าลงบนไหล่ “ฝนจำพี่ได้ไหม ในใจฝนเคยมีพี่อยู่บ้างหรือเปล่า”

ร่างบางชะงักไปชั่วครู่ นัยน์ตากลมเหม่อมองไปข้างหน้าเมื่อภาพใครคนหนึ่งไหววูบเข้ามาในห้วงความคิด “แต่เขาไม่ชอบกินปลาสินะ” จู่ๆ ก็รำพึงขึ้นมากับตัวเองก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ และเขยิบไปหยิบนำซอสเกรวี่ที่ทำเตรียมไว้แล้ว ตัวของเธอจึงหลุดออกจากอ้อมแขนของอทิฏฐ์ที่พยายามเหนี่ยวรั้งไว้สุดแรงแต่คว้ามาได้เพียงความว่างเปล่า

อทิฏฐ์ก้มลงมองมือของตัวเอง กำลังจะขยับตามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแหวนเพชรวงหนึ่งบนนิ้วนางข้างซ้าย มือใหญ่ที่ยื่นค้างดึงกลับมากำเป็นหมัดแน่น ก่อนจะแบออกอีกครั้งและพบของสิ่งหนึ่งที่เขากำไว้ในมือก่อนตาย

แหวนทองคำขาว

ของขวัญที่เขาตั้งใจทำงานหามรุ่งหามค่ำเก็บเงินอยู่แรมปีเพื่อไปขอความรักจากเธอ

ฝ่ามือสั่นระริกจนควบคุมไม่ได้และปล่อยให้แหวนวงนั้นร่วงหล่นลงพื้น มันดังแกร๊งเบาๆ ก่อนจะสลายหายไปในอากาศโดยที่เขาไม่คิดจะไขว่คว้าหามันคืนมา

ไม่ได้ปล่อยเพราะตัดใจได้ แต่ปล่อยเพราะรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะยื้อเมื่อรู้ซึ้งแล้วหัวใจดวงนั้นไม่เคยเป็นของเขา

และนั่นก็คงเป็นเหตุผลมากพอ ที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะ ‘ไป’

ทันทีที่คิดเช่นนั้นเหมือนอะไรบางอย่างในอกกระตุกวูบ เกิดความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ภาพวุ่นวายกับสรรพเสียงอื้ออึงถาโถมเข้ามาในหัวอีกครั้ง

'จู่ๆ คนไข้ก็ความดันตกค่ะคุณหมอ' เสียงพยาบาลรายงานอาการแข่งกับเสียงเตือนที่ดังปิ๊บๆ ไม่หยุดของเครื่องมอนิเตอร์ข้างเตียง

'เกิดอะไรขึ้นทั้งๆ จนถึงเมื่อครู่ยังตอบสนองต่อยากระตุ้นความดันดีอยู่เลย' ร่างสันทัดในชุดเสื้อกาวน์ยาวสีขาวยืนหันหลังให้เขา นัยน์ตาจับจ้องสัญญาณชีพบนหน้าจอพลางยกมือกอดอกครุ่นคิดอย่างหนักกับค่าความดันโลหิตที่แปรผกผันกับปริมาณยากระตุ้นหัวใจที่ให้

อึดใจต่อมาแพทย์ประจำบ้านก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา 'อาจารย์ครับทั้งผลเลือดและฟิล์มเอกซเรย์ทุกอย่างปกติดีครับ' บอกพลางส่งใบรายงานผลให้ดู

แพทย์เจ้าของไข้หน้าเครียดหนักยิ่งกว่าเดิมกับอาการที่แย่ลงโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง 'เกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมจู่ๆ ถึงจะไม่สู้ขึ้นมาเสียเฉยๆ'

อทิฏฐ์ยกสองมือขึ้นปิดปากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นตัวเอง ใบหน้าซูบตอบจนจำไม่ได้ และร่างกายที่บิดเกร็งอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด "ปล่อยผมไปเถอะ” เขากระซิบ

'เขาจะตายไหมหมอ' ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามขึ้น

'ขอโทษนะครับที่ตอนนี้หมอคงทำได้แค่ช่วยรักษาไปตามอาการ จะอยู่หรือไปทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคนไข้จะสู้ไหวไหม' นายแพทย์ตอบ

ชายคนนั้นไม่ว่าอะไรได้แต่ค้อมศีรษะให้และเดินกลับออกไป

นายแพทย์มองตามแผ่นหลังที่สั่นสะท้านนั้นไปจนพ้นประตูก่อนจะเหลือบตามองร่างบนเตียงอยู่อึดใจแล้วก้มลงกระซิบที่ข้างหู 'อย่าเพิ่งยอมแพ้สิยังมีใครรอคุณอยู่นะ'

“ใคร... จะมีใครอีกล่ะที่รอผม ไม่มีอีกแล้วคนที่รักผม” ร่างโปร่งแสงทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นยืน ในหัวคิดอยู่แค่คำเดียวว่า ‘ตาย’ เขาจะอยู่ต่อไปทำไมในโลกที่ไม่ใครต้องการ




“ขอโทษนะที่รั้งเราไว้ซะดึกเลย” คณิณเหลือบตาดูนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ คืนนี้ผมว่าง”

“ให้พี่ไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมขับรถมา” นรกรบอก

“งั้นพี่เดินไปส่งที่รถนะ”

“จะกลับแล้วหรือคะ” เพียงพิรุณเดินเข้ามาแทรก “เดี๋ยวฝนออกไปส่งแขกเอง พี่ปอไปดูพี่นิวหน่อยสิท่าทางจะเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องเลย”

“ได้ๆ เดี๋ยวพี่โทรไปตามแฟนเขามารับเอง” คณิณคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพลางรีบเดินเข้าไปดูรุ่นน้องที่นอนฟุบอยู่ในห้องนั่งเล่น

บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดทันทีเมื่อเหลือแค่เขากับเพียงพิรุณที่มีเจ้าบิชอฟเดินตามมาเงียบๆ

“ขอบคุณนะคะที่มาวันนี้” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อถึงประตูรั้ว

“เช่นกันครับอาหารอร่อยมากเลย” ขายาวกำลังจะก้าวพ้นเขตรั้วอยู่แล้วเมื่อเจ้าบิชอฟเห่าโฮ่งขึ้นครั้งหนึ่ง

“เป็นอะไรอีกล่ะจ๊ะ ไม่เอาไม่เห่าพี่เขาน่าบิชอฟ”

นรกรชะงักและหันกลับมา แล้วสายตาก็ไปสะดุดลงตรงตุ๊กตาหมีที่ข้างรั้วตัวนั้นอีกครั้ง ริมฝีปากเม้มสนิท สองมือกำเป็นหมัดแน่น ในที่สุดเขาก็ไม่อาจสะกดกลั้นความสงสัยเอาไว้ได้อีกต่อไป “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

หญิงสาวแย้มยิ้ม “อะไรคะ”

“ทำไมคุณถึงตั้งชื่อหมาตัวนี้ว่าบิชอฟ”

“ฝนไม่ได้ตั้งค่ะ พี่ปอเป็นคนตั้ง”

นรกรเหลือบตามองเจ้าสัตว์สี่ขาแสนเชื่องที่นั่งกระดิกหางอย่างแสนรู้ก่อนจะสบตาหญิงสาวตรงหน้าเต็มที่ “บิชอฟเป็นชื่อที่ผมตั้ง ผมเป็นคนเก็บมันมาจากข้างถังขยะและให้พี่ปอเป็นคนช่วยเลี้ยง… ผมไม่รู้ว่าหมามันลืมเจ้าของได้จริงไหม แต่ผมไม่มีวันลืม”

ใบหน้าหวานมีสีหน้าตกใจแต่ไม่ถึงกับตระหนก อันที่จริงเธอกลับดูโล่งอกที่ไม่ต้องแกล้งโกหกอีกต่อไปไม่ว่าจะเรื่องสุนัขหรือแม้กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนรกรกับสามีของเธอ ไหล่บางผ่อนลงในขณะที่ใบหน้าเชิดรั้นขึ้น “ฝนขอยืนยันค่ะว่ามันคือบิชอฟ แต่คุณดูไม่ผิดหรอกค่ะ ใช่ค่ะ! มันไม่ใช่หมาของคุณ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับบิชอฟ”

นัยน์ตากลมเหลือบลงมองสุนัขข้างกายก่อนจะตวัดขึ้นสบเต็มที่ “อดีตที่ไม่สมควรจำก็เหมือนของเก่าที่ไม่สมควรเก็บไว้”

“คุณทำอะไรมัน!”

“ฝนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นค่ะ มันแค่ตายของมันเอง”

“คุณ…”

“ไม่มีอะไรสงสัยแล้วใช่ไหมคะ”

มือเรียวกำเป็นหมัดแน่นแต่หมดสิ้นถ้อยคำที่จะพูดได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด

“งั้นฝนส่งแค่นี้นะคะ คุณหมอบอกว่าคนท้องอ่อนๆ ต้องพักผ่อนเยอะๆ และอย่าให้มีเรื่องมากระทบกระเทือนจิตใจ” พร้อมกับลูบมือลงบนหน้าท้อง

นรกรหมุนตัวกลับและย่ำเท้าหนักๆ ออกไป

คุณหมอหนุ่มกลับไปได้สักครู่แล้วหากหญิงสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงพิรุณเหลือบตาลงมองสุนัขที่จ้องมองเธอตาแป๋วพร้อมกับกระดิกหางที่เป็นพวงตีพื้นรัวๆ เธอสูดลมหายใจเข้าจนสุดก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้สัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์ เมื่อเสียงของสามีสุดที่รักดังขึ้นด้านหลัง

“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”

“แบบไหนคะ”

“ก็แบบ…”

“แล้วจะให้ฝนพูดว่าอะไรคะ” เพียงพิรุณกล่าวเสียงเรียบ “พูดความจริงว่าพี่ปอฆ่ามัน… อย่างนั้นหรือคะ”

“แต่…”

“ฝนไม่ได้อยากทำตัวเป็นนางเอก แต่ฝนไม่ต้องการให้พี่ปอเป็นฆาตกร คนผิดในเรื่องนี้มีแค่ฝนคนเดียวก็พอค่ะ” เธอตัดบทพร้อมกับหันไปหาเจ้าสุนัข “เข้าบ้านกันเถอะบิชอฟ”

มันร้องโฮ่งครั้งหนึ่งคล้ายกับรับคำก่อนจะลุกยืนบนขาทั้งสี่และเดินอกตั้งนำเข้าบ้านไป

นรกรเดินกลับมายังรถมินิคูเปอร์สีเมทัลลิคเพียงลำพัง ภายนอกอาจดูสงบนิ่ง ทว่ากลับมีความรู้สึกมากมายพลุ่งพล่านอยู่ในอก สองมือกำเป็นเป็นหมัดแน่น เขากัดริมฝีปากซ้ำไปซ้ำมาพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อดันความอ่อนแอกลับเข้าไปให้ลึกที่สุดของใจ เวลานี้น้ำตาไม่ช่วยอะไร แต่จะให้ทำยังไงเมื่อร่างกายยังไม่ยอมลืมความอบอุ่นของมือคู่นั้นเลย

ย้อนไปหลายปีก่อนของวันหนึ่งตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ห้า มันเป็นวันในหน้าร้อนที่อากาศไม่ร้อนมาก ท้องฟ้าสดใสทุกคนพากันออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้ง บ้างก็จับกลุ่มติวกันตามร่มไม้ มองไปในสนามฟุตบอลที่เห็นอยู่ไกลๆมีพวกชมรมฟุตบอลกำลังฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวลงแข่งกีฬาสถาบัน

ร่างโปร่งในชุดนักศึกษายืนอยู่ในสนามหญ้า เขาเหวี่ยงแขนไปด้านหลังและออกแรงปาลูกเทนนิสในมือออกไปสุดแรง ทันทีที่ลูกบอลหลุดจากมือเจ้าสุนัขพันธ์โกลเด้นรีทีฟเวอร์ซึ่งนั่งกระดิกหางอยู่ก็ออกวิ่งลิ่วจนหูปลิวเพื่อตามเก็บให้ทัน

คนปายิ้มขันก่อนนิ่งไปเล็กน้อยและเอ่ยเสียงเครียดที่ยืนอยู่ข้างๆ ‘ผมจะไปประกาศหาบ้านให้มัน’

‘ทำไมฮาร์ฟไม่เลี้ยงมันไว้เองล่ะ มันออกจะติดเราแล้วเราก็รักมันจะตายนี่’ คนในชุดกาวน์สั้นสำหรับใส่ขึ้นคลินิกถาม

นรกรไปเจอมันในลังข้างถังขยะหน้าคณะเมื่อสามเดือนที่แล้ว ลูกสุนัขตัวเล็กแค่ฝ่ามือยังไม่หย่านมที่เจ้าของคงแอบเอามาทิ้งไว้เพราะเลี้ยงไม่ไหว มันมีพี่น้องอีกสามตัว แต่คงทนหิวไม่ไหวหรือป่วยจากการตากแดดตากฝนมานานเท่าไม่ทราบนอนตายอยู่ข้างกันในกล่องนั่นเอง

คณิณช่วยแนะนำเบญจพัฒน์เพื่อนที่เรียนคณะสัตวแพทย์เพื่อให้ช่วยดูแลและหาคนรับไปเลี้ยง แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นเขาได้หน้าที่เพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือการตามส่งข้าวส่งน้ำคนที่มานั่งเฝ้าลูกสุนัขเช้าเย็น แถมยังตั้งชื่อให้มันเสร็จสรรพ

‘ผมคงแอบเลี้ยงมันไว้ในคณะได้อีกไม่นาน แล้วปีหน้าต้องออกไปฝึกงานต่างจังหวัดด้วย ถ้าเอากลับไปบ้านก็คงไม่มีใครดูแล ผมคิดว่ารีบๆ หาเจ้านายให้มันดีกว่ามันจะได้มีที่อยู่ที่กินดีๆ’

คณิณนิ่งไปอึดใจพลางเหลือบมองคนที่หน้าหมองไปถนัดแม้บิชอฟจะเพิ่งวิ่งคาบลูกเทนนิสกลับส่งใส่มือก่อนจะนั่งลงกระดิกหางรัวๆ อ้อนให้เจ้านายเล่นด้วยอีก ‘งั้นพี่จะรับไปเลี้ยงเอง’

คนที่นั่งยองๆ ลงกับพื้นหันขวับมาทันที ‘จะดีเหรอครับ’

‘พี่สิต้องเป็นถามว่าเจ้าของเดิมว่าจะยอมปล่อยมันไปอยู่กับคนเลี้ยงอะไรไม่เป็นอย่างพี่หรือเปล่า’

‘คนใจดีอย่างพี่ปอน่ะนะจะเลี้ยงสัตว์ไม่เป็น’

‘จริงสิ พี่เลี้ยงเราเป็นอย่างเดียวแหละ’

‘ขอบคุณพี่ปอนะครับ’ นรกรบอกเสียงใสจนแม้แต่บิชอฟยังสัมผัสได้มันเอียงคอมองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะเห่าเพื่อเรียกร้องความสนใจ

‘คำขอบคุณมันกินไม่ได้ แถมเลี้ยงหมาตัวหนึ่งค่าอาหารก็ไม่ใช่ถูกๆ ดูแลก็ยากไหนจะต้องพามาอาบน้ำตัดขนแล้วก็ต้องฉีดวัคซีนอีก’ คณิณเสียงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

‘เรื่องค่าใช้จ่ายไม่มีปัญหาครับ ผมจะช่วยออกให้เองขอแค่ให้มันมีบ้านอยู่ก็พอ’ หันไปยิ้มกับบิชอฟ ‘ดีใจด้วยนะ’ มันเห่าโฮ่งให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกระโจนเข้าใส่อย่างแรงและพยายามเลียทุกๆ ที่ที่ลิ้นแฉะๆ นั้นจะตวัดไปถึง ร่างโปร่งเซไปข้างหลังเมื่อมือข้างหนึ่งสอดมารั้งต้นแขนช่วยพยุงไม่ให้ล้ม

‘พี่ไม่ได้อยากได้เงิน’ เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับที่มือใหญ่เลื่อนลงกุมฝ่ามือและบีบเบาๆ ‘แต่อยากได้คนช่วยเลี้ยงต่างหาก’ ก่อนริมฝีปากอุ่นจะขโมยสูดกลิ่นที่ข้างแก้มไป

สายลมเย็นพัดมาหวีดหวิวราวกับใครเอื้อมมือมาสะกิดให้รู้สึกตัว นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุดแล้วเบือนสายตากลับลงมามองข้างกายก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อตามหาคนที่หายไปอีกครั้ง “อทิฏฐ์ คุณอยู่ที่ไหน เฮ้! ดึกแล้วนะคุณกลับบ้านกันเถอะ”



“อทิฏฐ์!”

ร่างโปร่งแสงที่นั่งกอดเข่าจับเจ่าอยู่ในความมืดมิดเงยหน้าขึ้นมองหาเสียงเรียกที่ดังแว่วมา

...ใคร... นั่นเสียงใคร...

แต่ไม่ว่าจะมองหาสักเท่าใดก็ไม่เห็นตัว มีเพียงความมืดที่รายล้อมและพยายามคืบคลานเข้ามาใกล้

“อทิฏฐ์! กลับบ้านกันเถอะ”

...กลับบ้านเหรอ... นี่เรายังมีที่ให้กลับอีกเหรอ...

“อทิฏฐ์! ถ้าได้ยินแล้วก็ออกมาเถอะอย่าแกล้งให้ผมต้องเป็นห่วงเลย”

...นึกออกแล้ว เสียงฮาร์ฟนี่เอง นั่นสินะ ยังไม่ได้บอกลาฮาร์ฟเลยนี่ อย่างน้อยก่อนจะไปก็ไม่ควรทำตัวให้มีห่วงสินะ...

ร่างโปร่งแสงยันตัวลุกขึ้นช้าๆ ฉับพลันความมืดเบื้องหน้าเปิดออกเป็นประตูทอดนำไปสู่แสงสว่างมันช่างอบอุ่นและสงบ เขากำลังจะเดินไปตามเส้นทางนั้นหากเสียงที่ได้ยินมันกลับดังมาจากทางด้านหลังที่ทั้งวังเวงและมืดมิด

...น่ากลัวจัง... ไม่อยากไปเลย...

“อทิฏฐ์!”

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสหน้าอกที่ไม่ให้ความรู้สึกใด ไม่ว่าจะความเจ็บปวดหรือเสียงหัวใจเต้น ในหัวมีแต่ภาพของเธออดีตแสนขมขื่นที่เขาย้อนวันวานกลับไปแก้ไขไม่ได้

เขามองตรงเข้าไปในกลุ่มแสงเบื้องหน้า เมื่อคิดดีแล้วว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะอยู่ต่อ

...ขอโทษนะฮาร์ฟ... ที่ผมจะไปโดยไม่เอ่ยแม้คำร่ำลา...



“อทิฏฐ์” นรกรเริ่มใจคอไม่ดี จะกลับก่อนก็ไม่กล้า เขาไม่รู้ว่าถ้าไม่มีเขาอทิฏฐ์จะหาทางกลับโรงพยาบาลเองได้ไหม จะออกไปตามหาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน เดินกระสับกระส่ายวนไปมารอบรถรอบแล้วรอบเล่า

ยิ่งดึกอากาศรอบตัวยิ่งเย็นลงขึ้นเรื่อยๆ นรกรล้วงมือซุกในกระเป๋ากางเกง พลันสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ เขารีบหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ต้องตกใจกับมิสคอลที่โทรติดๆ กันตั้งแต่ช่วงเย็นค้างอยู่ร่วมยี่สิบสายและทั้งหมดเป็นของวินทร์ที่ตอนนี้กำลังโทรเข้ามาอีกครั้ง

“ครับ พี่วินทร์” น้ำเสียงปลายสายฟังดูร้อนรนและพูดเพียงสั้นๆ “ผม... จะรีบไปครับ”

นรกรยัดยัดโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋าด้วยมืออันสั่นเทา เขารีบวิ่งขึ้นรถและสตาร์ทออกไปตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือไปให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

[ลลินชักตอนอยู่ที่สนามสอบ รถพยาบาลไปรับมาแล้วตอนนี้กำลังผ่าตัดฉุกเฉินอยู่]

oooooo

ร่างสูงในชุดหมียืนอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด วินทร์ดึงมาร์สที่ปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งลงไว้ที่ปลายคางก่อนจะลดมือลงมากอดไว้ที่อกเมื่อเห็นคนที่เพียรโทรหาตั้งแต่ช่วงเย็นกระหืดกระหอบออกมาจากลิฟต์

“เธอเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้อยู่ไอซียู” เสียงของวินทร์ห้วนที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ยิ่งกว่าตอนที่ทะเลาะกันวันก่อน

ใจร่วงไปกองอยู่ตาตุ่มถึงการผ่าตัดเรียบร้อยก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ลลินอาจจะรอดแต่ไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”

“ผม...”

“ฉันไม่สนหรอกว่านายจะไปไหนหรือทำอะไรกับใคร แต่นายไม่ควรลืมคำพูดตัวเองว่าจะดูแลเธอ” มือใหญ่กระชากมาร์สออกเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะ

“ข... ขอบคุณพี่วินทร์มากนะครับ”

“ขอบคุณฉันทำไม” วินทร์ถามกลับ “ถ้าอยากจะขอบคุณไปขอบคุณอาจารย์สรวิชญ์นู่น อาจารย์เข้ามาผ่าเองฉันเป็นแค่ผู้ช่วย” ก่อนจะเดินกระแทกเท้าเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุด สองมือกำเป็นหมัดแน่นแทนที่จะตรงไปไอซียู เขากลับหลังหันเข้าลิฟต์และกดลงไปยังภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง

แสงไฟในห้องยังคงส่องสว่าง เขาเคาะมือลงบนบานประตูและถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยไม่รอให้ผู้ที่อยู่ข้างในอนุญาต

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังคงอยู่ในชุดหมีที่ใช้ในการผ่าตัดสวมทับด้วยเสื้อกาวน์ยาวสีขาวและกำลังยืนก้มๆ เงยๆ เก็บเอกสารยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน

“อาจารย์...”

“ผมเตือนคุณแล้วใช่ไหม!” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบโดยไม่ต้องรอให้ถาม “คุณมันอวดดี คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่ทำได้ทุกอย่างหรือไง ทีนี้ผลเป็นยังไง อย่าดีแต่พูดแล้วก็รับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วย”

“ขอโทษครับ”

“คำขอโทษไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น สิ่งที่คุณควรรู้คือทำผิดตรงไหน แต่สิ่งที่คุณควรตระหนักคือคิดหาทางแก้ไข”

“ขอบคุณอาจารย์มากนะครับที่กรุณามาช่วย” นรกรค้อมศีรษะลงจนเกือบตั้งฉากแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจจะรับมันไป

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่แม้จะหันมามองด้วยหางตา เขายังคงสาระวนกับการเก็บของ ด้วยความรีบร้อนทำให้ตำราภาษาอังกฤษตั้งหนึ่งและของที่วางอยู่ข้างกันร่วงกระจายลงบนพื้น นรกรย่อตัวลงเพื่อช่วยเก็บแต่ฝ่ามือของผู้สูงวัยนั้นไวกว่า

“ไม่ต้องผมเก็บเอง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์โยนหนังสือใส่กระเป๋าก่อนจะรวบข้าวของอื่นๆ กองไว้บนโต๊ะ นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองเห็นนรกรยังไม่ยอมขยับไปไหนจึงเอ่ยขึ้น “ไปดูอาการคนไข้หรือยัง”

“ยังครับ”

“งั้นก็ไปซะสิ จริงอยู่ว่าคุณต้องขอบคุณผมแต่คนแรกที่คุณควรไปหาในเวลานี้ไม่ใช่ผม”

“ครับ” นรกรยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะกลับออกมา

ทันทีที่คุณหมอหนุ่มคล้อยหลังศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็ยอมละสายตาจากหนังสือในมือมองประตูที่ปิดตามหลังก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้และใช้ปลายนิ้วชี้นวดบริเวณขมับทั้งสองข้างอย่างเหนื่อยล้า เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการผ่าตัดใหญ่ให้กับรัฐมนตรีระดับสูงท่านหนึ่ง แต่ทันทีที่ทราบข่าวเขาก็รีบจัดการในส่วนที่สำคัญและฝากให้อาจารย์ธนบดีซึ่งเป็นผู้ช่วยทำในส่วนที่เหลือต่อ

เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังมาจากมุมในสุดของห้องซึ่งปิดไฟมืดก่อนที่อาจารย์วิมลภาผู้เป็นภรรยาจะก้าวเข้ามาอยู่ในวงแสงไฟ

เธอเดินอ้อมไปด้านหลังเก้าอี้ วางสองมือลงบนไหล่กว้างและช่วยบีบนวดแรงๆ ไล่อาการเมื่อยขบ “คุณนี่ใจดีกับลูกชายตลอดเลยนะคะ”

ฝ่ามือหยาบกร้านของศัลยแพทย์ผู้ผ่านโลกมานานเอื้อมไปดึงของสิ่งหนึ่งในกองข้าวของที่ร่วงลงไปเมื่อครู่ขึ้นมา มันเป็นกรอบรูปไม้ตั้งโต๊ะแบบโบราณ ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเป็นเขากับภรรยาในวัยหนุ่มสาวที่จูงมือเด็กชายคาดวัยไม่เกินห้าขวบไว้ข้างละคน

เด็กชายที่วิมลภาจูงมือไว้เรือนผมหนาดำสนิทกำลังหัวเราะร่อล้อเล่นกับกล้องที่เธอชี้ชวนให้มอง ในขณะที่เด็กชายเรือนผมสีอ่อนที่ยืนฝั่งเขานั้นแทบจะไปแอบอยู่ข้างหลังและไม่ยอมมองกล้อง
 
“ตรงไหนกัน อย่าว่าแต่มองหน้าเลยแค่นี้มันก็ไม่อยากจะพูดกับผมอยู่แล้ว” พลางกางขาตั้งออกและวางลงข้างคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ที่เดิมที่มันเคยวางอยู่
 
วิมลภาไม่ตอบเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอนหลังพิงพนักเต็มที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพถ่าย “ถ้ามันจะได้เรื่องสักครึ่งหนึ่งของเด็กคนนั้นก็คงจะดี”

วิมลภายังคงไม่พูดอะไรเพียงแต่ส่งแรงไปตามแนวกล้ามเนื้อที่แข็งมากขึ้นอีก

“อวดดี... แล้วก็ต้องให้ผมมาตามเช็ดตามล้าง เมื่อไหร่มันจะทำให้ผมวางใจได้สักทีนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พ่นลมออกจมูกก่อนจะเงียบไปอีกพักใหญ่ “นี่ก็ดึกมากแล้วเรากลับบ้านกันเถอะ”

“ขอบคุณนะคะที่ยอมมาช่วยฮาร์ฟตามที่ฉันขอ” ในที่สุดวิมลภาก็พูดขึ้น

“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย ต่อให้คุณไม่โทรหาผมก็ต้องมาอยู่แล้ว เจ้านั่นมันก็ลูกชายผมนะ ถึงจะรักน้อยกว่าคุณก็เถอะ” พลางรั้งมือบางที่วางบนไหล่มาจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง

oooooo

นรกรเดินเข้าไปในห้องหมายเลข 4 ของไอซียูศัลยกรรม เด็กสาวที่เขารู้จักดีนอนอยู่บนเตียง เธอยังคงหายใจผ่านท่อช่วยหายใจและหลับสนิทจากฤทธิ์ตกค้างของยาดมสลบ ศีรษะซึ่งถูกโกนผมออกไปครึ่งหนึ่งต่อสายระบายน้ำไขสันหลังลงถุงเห็นเป็นสีแดงจางๆ

เขาแตะปลายนิ้วเบาๆ ลงบนหลังมือเล็กเซียว มันเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าอุณหภูมิแอร์ที่เปิดอยู่

“ยังไม่ตื่นเลยค่ะคุณหมอ” พยาบาลประจำห้องเดินเข้ามารายงานอาการ “เห็นหมอวินทร์บอกว่ารถติดมาก กว่ารถพยาบาลจะไปถึงก็เกือบสายไปแล้ว”

นรกรไม่พูดอะไรเพียงแต่เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มให้จนถึงอกและกลับออกมา ที่หน้าห้องเขาเจอกับพ่อแม่ของลลินที่เพิ่งกลับจากการไปซื้อของใช้ให้คนไข้สำหรับนอนโรงพยาบาล

ผู้เป็นแม่ไม่พูดไม่ทักทายอะไรกับเขาเหมือนอย่างเคยนางเพียงแต่เดินสวนไหล่เข้าไปในห้องเพื่อดูลูกสาวเมื่อพ่อหันหลังกลับมาและพูดเสียงดัง

“ความผิดหมอน่ะแหละ!”

“คุณคะ” แม่หันมาปราม

“ทำไมหมอไม่ห้ามลูกผม ทำไมถึงปล่อยให้เธอไป หมอก็รู้ว่าเธอป่วยหนักขนาดนี้ถ้าเธอตายหมอน่ะแหละที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ!”
 
“คุณพ่อคะใจเย็นๆ นะคะ คุณหมอทำดีที่สุดแล้วค่ะ” พยาบาลประจำห้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยอีกแรง

“คุณคะพอเถอะค่ะ”

เมื่อภรรยาเข้ามารั้งต้นแขนผู้เป็นพ่อยกมืกขึ้นชี้หน้าเขาและเดินตามภรรยาเข้าห้องไป

นรกรตัวชาพูดอะไรไม่ออก คำถามของศาสตราจารย์สรวิชญ์ดังขึ้นในหัวและสะท้อนซ้ำไปซ้ำมา

‘คุณรับผิดชอบชีวิตเธอไหวไหม’

...ไม่ไหว...

นั่นคือคำตอบ และทั้งหมดมันคือความผิดเขา และถ้าเธอตายเขาก็ก็คงรู้ไม่ต่างอะไรกับฆาตกร

พยาบาลหันมาส่งสัญญาณให้เขาออกไปก่อนพร้อมกับปิดประตูห้องให้ญาติได้เยี่ยมกันตามลำพังและสงบสติอารมณ์

คุณหมอหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องพักแพทย์ด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้า สองขาหมดแรงจนก้าวแทบไม่ออกแต่แทนที่จะพักเขากลับเดินไปที่ชั้นหนังสือ หยิบตำราออกมาตั้งใหญ่แล้วหอบไปนั่งลงหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ก่อนจะเปิดแฟ้มประวัติคนไข้ขึ้นมาอ่านรายงานการผ่าตัด

ทว่า ยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าใจมันเลยสักตัวอักษร นรกรผลักแป้นคีย์บอร์ดให้ถอยห่างออกไป กวาดตามองไปรอบตัวอย่างไร้จุดหมายก่อนจะสังเกตเห็นว่าปลายนิ้วก้อยสั่นน้อยๆ แล้วลามไปทั่วทั้งฝ่ามือ เขาพยายามทั้งบีบทั้งกำจนข้อนิ้วขาวซีดแต่มันก็ไม่ยอมหยุดและสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาทุบมือลงบนโต๊ะโครมใหญ่มันเจ็บจนปวดหนึบแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด เขาฟาดมือลงอีกครั้ง และอีกครั้งก่อนจะกวาดเอาหนังสือทุกเล่มที่เปิดกางไว้อ้างอิงการรักษาเทกระจาดลงบนพื้น

“โธ่เว้ย!”

และแล้วท่ามกลางข้าวของซึ่งกระจายเกลื่อนกับมือที่แดงก่ำชาจนไร้ความรู้สึก ในที่สุดนรกรก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่หยุด เพราะที่สั่นไม่ใช่แค่มือแต่มันคือหัวใจ

...อวดดี! ไม่ได้เรื่อง! แกมันคือฆาตกร!...

ขบฟันกัดริมฝีปากซ้ำๆ จนห้อเลือด ร่างโปร่งหมดแรงทรุดตัวลงนั่งก่อนจะซุกหน้าลงในวงแขน

ทุกๆ อย่างมันผิดพลาดไปหมด และทุกๆ อย่างมันเป็นความผิดของเขาเอง

ในขณะที่สมองยังสับสนเหมือนเดินวนอยู่ในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ใจก็คิดถึงใครคนหนึ่งที่เคยตามติดไม่ห่างในห้วงเดือนที่ผ่านมา ทั้งที่เคยคิดว่าน่ารำคาญแต่เมื่อหายไปใจคอก็ไม่ดี ไม่ใช่เพิ่งรู้ตัวว่าสำคัญแต่เพิ่งเข้าใจว่าต้องการกำลังใจจากใครคนนั้นมากแค่ไหน

“อทิฏฐ์... คุณหายไปไหน”



***********************************************TBC*******************************************

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
บรรยากาศตอนนี้แบบดราม่าหดหู่มากอ่ะ ฮือออ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ
สำหรับเรื่องของหมอปอกับฝน เราว่าฮาร์ฟตัดใจเถอะ เกลียดว่ะ
อทิฏฐ์ อย่าเพิ่งยอมแพ้นะ หมอฮาร์ฟรออยู่
สงสารต้องการการเยียวยาทั้งคู่เลยอ่ะ

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 814
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
อทิฏฐ์ อย่าไปเลยนะ
((´д`))
จะเป็นยังไงต่อล่ะเนี้ย
สู้ๆนะ (;ω;)
อย่าตายนะ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
อทิฏฐ์ สู้ๆซี่~ ทำไมจะไม่มีใครรัก อย่าเพิ่งตัดใจที่จะมีชีวิตอยู่เพราะยัยผู้หญิงร้ายกาจคนนั้น
อย่าทิ้งฮาร์ฟให้อยู่คนเดียว  :mew6: ฮาร์ฟต้องการอทิฏฐ์น้าาา

กลับมาเถอะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ด้านสีเทาของแต่ละคนค่อย ๆ เผยออกมา
คนที่คิดว่าสว่างกลับขมุกขมัวขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจคน

ออฟไลน์ windy_p

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่สามารถคาดเดาอะไรจากนิยายเรื่องนี้ได้เลยย
อ่านแล้วคิดตาม ลุ้นตามตลอดทุกบรรทัด
ตอนนี้ดราม่าแล้วก็เข้มข้นมาก ทั้งเรื่องเพียงพิรุณ พี่ปอ
ยังขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่อ่านแล้วเซอร์ไพร์สได้ทุกตอน 55

เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเขียนเดียวกับเรื่อง ER ค่ะ
ตอนรู้นี่มีความรู้สึกเหมือนตกหลุมรักสิ่งเดิมอีกครั้งเลย ฮาา
แบบว่าชอบ ER มากกกกกกๆๆๆๆ เป็นนิยายในดวงใจเลย
มาเจอเรื่องนี้ก็ชอบอีก  :-[ เห็นว่าเป็นนักเขียนคนเดียวกันก็ดีในมากเลยค่ะ รีบติดตามแฟนเพจทันทีเลยย 555
เอาใจช่วยทั้งฮาล์ฟแล้วก็ทิดเลยนะคะะ

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
มาต่อด่วนๆน้า  :sad4: :katai4:

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
มีเรื่องให้คิดตามไปหมดเลย

ออฟไลน์ cocococoa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
ตามมาจากกระทู้แนะนำ เพิ่งมีโอกาสสมัครเลยรีบมาเม้นค่ะ คนเขียนแต่งเก่งมากเลย เราชอบที่สอดแทรกความรู้เรื่องการแพทย์ไปด้วย ทุกปมน่าติดตาม ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ  :ling1:

รีบมาต่อเร็วๆน้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด