Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279401 ครั้ง)

ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
ไม่น่าจะใช่คนเดียวกันเพราะกรณีกินยานอนหลับหวังฆ่าตัวตายคงไม่ใช่มีรายเดียวแน่?
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ :pig4:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่12 Beside(s) my side(จบ)

“ฮาร์ฟ”

นรกรที่กำลังเหม่อสะดุ้งเล็กน้อย มันฟังดูเหมือนดังมาจากข้างในหัวมากกว่าจะเป็นเสียงจากภายนอก ที่สำคัญคือมันเป็นเสียงของอทิฏฐ์ ถึงจะแค่สั้นๆ แต่เขาสัมผัสได้ถึงความไม่มั่นคงของอารมณ์

“คุณอยู่ที่ไหน” ส่งเสียงถามออกไปในใจ

“ฮาร์ฟ ทางนี้”

เสียงเรียกชื่อดังขึ้นอีกครั้งและมันค่อนข้างชัดเจนทำให้นรกรเริ่มได้สติเต็มที่ว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในร้านกาแฟของโรงพยาบาล นัยน์ตาสีอ่อนกวาดมองหาที่มาของเสียงไปในร้านที่มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะแม้เวลาจะเย็นย่ำมากแล้วก่อนจะหยุดสายตาลงตรงวินทร์ซึ่งโบกมือเรียกอยู่มุมในสุดของร้าน

เพราะกาแฟที่สั่งไปยังอีกหลายคิว นรกรจึงเดินไปหาตามคำชวน

แต่เมื่อเข้าไปใกล้เขาก็เห็นว่าวินทร์ไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันนั้นคือชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาสวมแว่นสายตากรอบเหลี่ยมคนหนึ่ง

“มีอะไรครับพี่วินทร์”

“เพิ่งราวน์เสร็จเหรอ” วินทร์ถามคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยทั้งวันและพยายามไม่สนใจความผิดหวังในแววตาสีอ่อนที่ฉายชัดขึ้นแวบหนึ่ง

“ครับ”

วินทร์เหลือบมองตัวเลขคิวในใบเสร็จที่ยังเหลืออีกเกือบสิบคิว “น่าจะอีกสักพัก นั่งด้วยกันก่อนสิจะได้ไม่เมื่อย” ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ลำพังจึงแนะนำคนแปลกหน้าสองคนให้รู้จักกัน “อ้อ นี่เพื่อนฉันเอง ตังนี่ฮาร์ฟ”

“สวัสดีครับ พี่ตัง”

เจ้าของใบหน้าคมสันหันมาพยักหน้ารับพลางเขยิบตัวไปบนโซฟาเพื่อให้มีที่ว่างเพิ่ม “เชิญเลยครับ ผมเองก็กำลังรอกาแฟเหมือนกัน พอดีเจอวินทร์เลยนั่งคุย เดี๋ยวก็จะไปแล้ว”

นรกรค้อมศีรษะก่อนจะนั่งลงตรงสุดปลายโซฟา

“อันที่จริงเรียกตังเฉยๆ ก็พอ ผมเป็นเพื่อนเจ้าวินทร์มัน”

“ผมเรียกพี่วินทร์ว่าพี่ครับ”

“แบบนั้นก็ได้ครับ”

“ไม่สบายเป็นอะไรเหรอครับ” นรกรถามไปตามมารยาท

“เปล่าครับ ผมมาเยี่ยมหลานน่ะ” ชายหนุ่มที่ชื่อตังหรือตฤณกรตอบ

“ครับ” แล้วนรกรก็ปล่อยให้เพื่อนเก่าสองคนคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างที่นั่งรอกาแฟ สายตาก็คอยชะเง้อมองออกไปนอกร้านที่ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่หวังจะได้เห็นคนที่จนป่านนี้ก็ยังหาตัวไม่เจอ

จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นมาช่วยดึงความสนใจไปจากท้องถนน นรกรล้วงมือลงในกระเป๋าก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“ขอรับโทรศัพท์ก่อนนะพอดีลูกค้าโทรมา” ตฤณกรบอกพลางเปิดสมุดบันทึกเพื่อจดรายละเอียด “ตามนี้นะครับ ขอบคุณครับ”

“พี่ตังวาดรูปสวยจัง” นรกรที่บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพสเก็ตซ์เล่นทั้งทิวทัศน์และสิ่งของต่างๆ ที่สเก็ตซ์ด้วยดินสอและปากกาบนหน้ากระดาษเผลอหลุดปากออกไป เพราะไม่มีหัวทางด้านนี้เขาจึงคิดว่ามันน่าอัศจรรย์ใจมากที่มือของคนเราจะรังสรรค์สิ่งสวยงามแบบนี้ขึ้นมาได้ด้วยดินสอหรือปากกาด้ามเดียว แต่เพราะความหนักเบาที่กดลงไปทำให้เส้นสายที่ตัดกันกลับดูมีมิติแม้จะเกิดจากสีเพียงสีเดียว

“ฝึกอยู่นานเลยละ กว่าจะได้ขนาดนี้”

“ทำงานเกี่ยวกับศิลปะด้วยหรือเปล่าครับ”

“ครับ ผมเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์น่ะ”
นรกรเริ่มสนใจ เพราะอทิฏฐ์พูดอยู่เสมอว่าอยากรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นแบบไหน บางทีผู้ชายคนนี้อาจช่วยเขาได้ “แล้วถ้าผมอยากจะจ้างพี่ตังวาดรูปบ้างนี่ จะได้ไหมครับ”

“ไม่ต้องจ้างหรอก คนกันเอง เพื่อนเจ้าวินทร์ก็เหมือนเพื่อนของผม ว่าแต่รูปอะไรเหรอครับ”

“รูปคนน่ะครับ” นรกรบอก “แต่บังเอิญว่าผมไม่มีแบบที่เป็นคนจริงนะครับ ไม่ทราบว่าพี่ตังวาดได้ไหมครับ”

“ผมวาดจากภาพถ่ายก็ได้ แต่ขอที่ชัด ๆ หน่อยนะครับ ไม่ถนัดวาดพอร์ทเทรดสักเท่าไร”

“ภาพก็ไม่มีครับ คือผมจะบรรยายลักษณะเขาแล้วให้พี่ตังวาดตามน่ะครับ”

“นายจะเอาไปทำอะไรเหรอฮาร์ฟ” วินทร์ซึ่งฟังอยู่นานแทรกขึ้น

“ให้เพื่อนน่ะครับ เป็นของขวัญ” นรกรตอบ “พี่ตังวาดได้ไหมครับ”

“อย่างกับสเก็ตซ์ภาพคนร้ายเลยนะครับ” ตฤณกรพูดติดตลก “แต่อย่างที่บอกว่าผมเองไม่ถนัดวาดภาพคนเหมือนสักเท่าไร ภาพเหมือนคนน่ะพอไหว ยิ่งให้เป็นของขวัญด้วยยิ่งไม่อยากจะรับปากเลย เอาเป็นว่าผมจะแนะนำรุ่นพี่ให้ก็แล้วกันนะครับ”

“นายน่ะแหละ” วินทร์รีบบอก

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ถนัด”

“ไม่ถนัดจะเรียนคณะศิลปกรรมได้ยังไงวะ”

ตฤณกรถอนหายใจพลางยกมือขึ้นขยับแว่นสายตาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิลปกรรมแล้วยังไงวะ คณะศิลปกรรมไม่ได้มีจิตรกรรมแค่สาขาเดียวนะไอ้วินทร์ แกก็รู้ว่าฉันเรียนออกแบบ”

“เออน่า เป็นนักออกแบบก็ต้องวาดรูปเก่งสิวะ แกวาดได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นแหละ ตกลงไหมฮาร์ฟ”
นรกรพยักหน้ารับเพียงแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว “ครับ”

“ก็ได้ ๆ แต่ถ้าไม่เหมือนละก็ อย่าต่อว่ากันก็แล้วกัน” เพราะมีสายโทรเข้ามาอีกครั้ง และกาแฟที่สั่งไว้ก็ได้พอดี เขาจึงขอตัว “นี่นามบัตรผม ถ้าจะให้เริ่มงานเมื่อไรก็โทรมาก็แล้วกันนะครับ” แล้วทั้งสองก็แลกนามบัตรกันก่อนตฤณกรจะหันไปบอกลาเพื่อนเก่า “ไปก่อนนะวินทร์ แล้วเจอกัน”

เมื่ออยู่กันแค่สองคนวินทร์จึงเอ่ยปากถามคนที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” จะให้เขาตอบไปได้อย่างไรว่ากลุ้มใจที่อทิฏฐ์หายตัวไป

“เค้นถามไปยังไงก็คงไม่บอกสินะ” วินทร์พ่นลมออกจมูก พยายามจะไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ เขาเปิดกระเป๋าและหยิบเอาแซนวิซที่ยังเก็บไว้ออกมา “ซื้อมาตั้งแต่เช้า คงชืดหมดแล้วแต่ยังกินได้นะ… หน้านายซีด แล้วก็ดูเพลียๆ เหมือนคนยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย”

“ไม่เป็นไรครับ” นรกรปฏิเสธ เขาเป็นห่วงอทิฏฐ์มากเสียจนไม่อยากกินอะไร นี่ถ้าไม่รู้สึกหน้ามืดและต้องอยู่เวรคงไม่ยอมมาซื้อกาแฟ

“ความหวังดีแค่นี้ก็รับไว้ไม่ได้เหรอ” วินทร์ตัดพ้อ

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือ… ผมแค่กินอะไรไม่ลงจริงๆ… กาแฟได้แล้วผมขอตัวนะครับ” นรกรตัดบทและรีบลุกไป

วินทร์ยกขึ้นหมายจะเรียก ก่อนจะเปลี่ยนใจดึงกลับไปวางไว้บนหัวเข่าแล้วกำเป็นหมัดแน่น

นรกรเดินกลับขึ้นไปบนตึกที่ตอนนี้เริ่มเงียบสงัด เขาตัดสินใจเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์เผื่อเจออทิฏฐ์ไปนั่งแอบอยู่ตรงมุมไหน

บอกตามตรงว่าเขาใจคอไม่ดีเลย

นับตั้งแต่เมื่อวานที่กลับไปห้องทำไมเขาจะฟังไม่ออกว่านั่นคือเสียงร้องไห้ของใคร แต่เพราะบรรยากาศรอบตัวที่ยังเหมือนเดิมและเมื่อเช้าอทิฏฐ์ก็ดูเป็นปกติดียังพูดแซวอะไรได้ เขาจึงเผลอวางใจปล่อยให้อยู่ลำพัง

“รู้แบบนี้ชวนเขาห้องผ่าตัดไปด้วยก็ดีหรอก ไอ้ผีบ้าเอ๊ย! หายไปอยู่ที่ไหนเนี่ย คอยดูนะ เจอตัวเมื่อไหร่จะจับพันสายสิญจน์เก็บใส่ขวดโหลไว้ซะเลย โอ๊ย!” นรกรอุทานเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกกระตุกที่ขาขวาอย่างแรงขณะเดินเกือบจะถึงชั้นสองจนแก้วกาแฟหลุดมือหกกระจายลงบนพื้นโดยที่ยังไม่ได้จิบสักอึก

เขาเหลียวมองลงไปตามทางที่ว่างเปล่า กำลังจะก้มลงเก็บแก้ว แต่แล้วไฟนีออนเหนือหัวก็กะพริบดับครั้งหนึ่งก่อนจะสว่างวาบขึ้นมาใหม่ พร้อมกับที่ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดขั้นที่ต่ำกว่า

เธอคือวิญญาณตนที่มักนั่งกอดเข่าฟุบหน้าอยู่ตรงทางขึ้นชั้นสอง นรกรคิดมาตลอดว่าเธอเป็นเด็ก แต่แท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กรูปร่างผอมบาง เนื้อตัวสีออกเทาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นเถ้าดูขมุกขมอม ดวงตาของเธอแดงก่ำดูรื้นน้ำตาที่คล้ายกับสีเลือด มือข้างที่เอื้อมขึ้นมาจับข้อเท้าของเขาไว้เห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปนเป็นลายสีดำขึ้นไปจนถึงต้นแขน ใบหน้าซีกหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ใต้เรือนผมยาวเละและไหม้เกรียมเป็นหย่อมๆ จนดูไม่ออก บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องนั่งก้มหน้าตลอดเวลา

“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถามเกร็งๆ จริงอยู่ว่าเขาไม่กลัวผี แต่ถ้าเจอผีแปลกหน้าเข้ามาทักด้วยวิธีการแปลกๆ ก็ตกใจเป็นเหมือนกัน

หญิงสาวไม่ตอบได้แต่ชี้มืออีกข้างออกไปด้านนอกตัวอาคาร

นรกรมองตามปลายนิ้วออกไปผ่านหน้าต่างเห็นเงาตะคุ่มของยอดไม้ในสวน  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร “อะไรเหรอครับ”

“วันนี้... 49วัน” เธอพูดต่อโดยไม่มีการอธิบายใดๆ เพิ่มเติมก่อนจะปล่อยมือจากข้อเท้าของเขาแล้วหันกลับไปอยู่ในท่ากอดเข่าซุกหน้าลงตามเดิม

ทว่า เขาก็เข้าใจในทันที “ขอบคุณนะครับ” ค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งและรีบกลับหลังหันวิ่งลงบันไดไปโดยไม่ลืมเก็บแก้วกาแฟไปทิ้งด้วย
.
.
.
.
ทั้งที่คืนก่อนดาวกระจ่างฟ้า ทว่า วันนี้ฟ้าปิด กลุ่มเมฆสีดำจับตัวเป็นก้อนใหญ่ดูทึบทึมจนน่ากลัว มันมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นแม้มือของตัวเอง ลมแรงพัดกระทบยอดไม้ส่งเสียงดังหวีดหวิวคล้ายใครกำลังร้องไห้

ที่ม้านั่งตัวเดิมในสวน ร่างโปร่งแสงนั่งก้มตัวลงจนหน้าเกือบชิดหัวเข่า มือสองข้างกุมศีรษะ เขาหลับตาแน่น พยายามปิดกั้นภาพที่ยังคงไหลเข้ามาในหัวตั้งแต่ช่วงเช้าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้

“ใจเย็นๆ ค่ะ คุณทำเต็มที่แล้วนะคะ กะโหลกแตกละเอียด สมองได้รับบาดเจ็บหลายตำแหน่ง คุณต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้นถึงจะยื้อเขาไว้ได้” เสียงแพทย์หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะเห็นเธอวิ่งเข้าไปคว้ามือสามีที่กำลังง้างขึ้นจะชกกำแพง

“โธ่เว้ย!” นายแพทย์สบถ จ้องมองภรรยาที่กำมือเขาไว้แน่นแล้วเหลียวไปมองด้านหลังทันเห็นพยาบาลสาวกำลังดึงผ้าขึ้นคลุมหน้าอกชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียง

ใบหน้าของเขาเป็นสีม่วงคล้ำ ไม่มีมอนิเตอร์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ และไม่มีสายช่วยชีวิตใดๆ ต่อออกมาจากร่างของเขา

เพราะสิ่งเหล่านั้นเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปแล้ว

…เขาจากโลกนี้ไปแล้ว…


“ไม่!” สองมือจิกเกร็งแน่นขึ้นอีก อยากจะควักลูกตาตัวเองออกก็คงไม่มีประโยชน์เมื่อภาพนั้นไม่ได้เห็นผ่านสายตา แต่ฉายชัดอยู่ในมโนสำนึก ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา เขาก็ไม่อาจหนีความจริงนี้พ้น

…ทำไม! เพราะอะไร เหตุการณ์เลวร้ายพวกนี้ถึงต้องเกิดกับครอบครัวของเขาด้วย...
.
.
.
.
นรกรวิ่งเต็มฝีเท้าเท่าที่ร่างกายซึ่งไม่เคยออกกำลังจะทำไหว รู้สึกเจ็บแน่นไปทั่วชายโครงแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกแปลบปลาบที่แล่นออกมาจากหัวใจ นัยน์ตาสีอ่อนกวาดตามองหาไปในสวนที่แทบจะมืดสนิท ในที่สุดก็เห็นเงาตะคุ่มของร่างหนึ่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมที่เคยนั่งด้วยกัน

“อยู่นี่เอง” ถอนหายใจเล็กน้อยอย่างโล่งอกและผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าไปใกล้พอนรกรก็ได้รู้ว่ามันเร็วเกินกว่าจะวางใจ

อทิฏฐ์นั่งกุมศีรษะก้มหน้ามองพื้น ร่างของเขาดูขุ่นมัวมากจนน่ากลัว และมันเหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด

“อทิฏฐ์”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาก็ค่อยเงยหน้าขึ้นและเบือนศีรษะหันมาดูช้าๆ นัยน์ตาที่เมื่อเช้านี้เห็นเป็นประกายกลับขุ่นด้านจนมองไม่เห็นตาขาว

นรกรรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหา “อทิฏฐ์! เกิดอะไรขึ้น ไม่เป็นอะไรนะผมอยู่ที่นี่แล้ว”

ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อสายลมพัดโหมมาวูบหนึ่งพร้อมกับที่ร่างนั้นละลายหายไปในความมืดต่อหน้าต่อตา
.
.
.
.
จากที่นั่งอยู่บนม้านั่งในสวน ภาพตรงหน้ากลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สถานที่ซึ่งเขาเคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง ร่างโปร่งแสงนั่งกอดเข่า ตรงหน้ามีภาพคล้ายจอฉายหนังกลางแปลง มันเป็นภาพในห้องของไอซียู บุคลากรในชุดขาวยืมห้อมล้อมร่างที่เพิ่งสิ้นลมบนเตียงและร่วมกันขออโหสิกรรมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประตูห้องจะเปิดออกพร้อมกับที่พยาบาลสาวคนหนึ่งตะโกนรายงานอาการคนไข้อีกคนซึ่งลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายวันที่ตอนนี้ทรุดลงถึงขีดสุด.

“คุณหมอคะ คนไข้เตียงสี่หัวใจหยุดเต้นค่ะ”

เกิดความเงียบขึ้นอึดใจก่อนจะตามมาด้วยความโกลาหลเมื่อทั้งทีมเคลื่อนย้ายไปยังห้องที่อยู่ติดกันแล้วเริ่มต้นทำการช่วยชีวิต

มันดูเป็นฉากที่น่าตื่นเต้นและลุ้นตามว่าชายคนนั้นจะรอดหรือไม่ เพียงแต่นี่ไม่ใช่หนังหรือละคร มันคือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงและเขาคือผู้ชายคนนั้น

“พอได้แล้วครับ” เขากระซิบ “เพราะผมตัดสินใจแล้ว” แล้วก้มหน้าลงซุกหัวเข่า ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินหรือรับรู้อะไรอีก ตอนนี้ที่ต้องการคือ ‘ความสงบ’ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

“ใจร้ายใช่ย่อยนะพ่อหนุ่ม ที่จะไปทั้งที่ยังไม่ได้ร่ำลา”

ร่างโปร่งแสงเงยหน้าขึ้นมอง ความมืดด้านหลังไหววูบขึ้นเล็กน้อยแล้วเจ้าของเสียงปริศนาก็ปรากฏตัวขึ้น อทิฏฐ์แปลกใจไม่น้อยเพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เขานึกต่อว่ามาตลอดว่าเป็นหมอผีเก๊

อาจารย์องค์อินทร์เดินมือไพล่หลังมายืนเคียงข้าง พลันภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นภาพของร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สั้นที่ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงบนม้านั่งในสวน

นรกรก้มลงมองสองมือของตัวเองที่ไขว้คว้าได้เพียงแค่อากาศธาตุ ในอกกระตุกกระตุกวูบ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอทิฏฐ์ ไม่เคยรู้เหมือนกับทุกๆเรื่องเมื่อเจ้าตัวไม่เคยบอก เพียงสิ่งเดียวที่เขารู้ และภาวนาจนสุดใจว่ามันจะไม่เกิด นั่นคือนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้อีก

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดทึบ พยายามจินตนาการถึงวันที่ดวงดาวกระจ่างฟ้า... วันที่อยู่ด้วยกันตามที่อทิฏฐ์เคยบอก แต่เขาก็ทำได้แค่นั้น แค่พยายาม...

คนที่เฝ้าดูอยู่ในที่ไกลแสนไกลรู้สึกหัวใจสลายไม่แตกต่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมาเปลี่ยนใจเขาได้

“ใช่ ผมมันคนใจร้าย”

นี่คงเป็นบทลงโทษจากเบื้องบนในผลกรรมที่เขาได้ก่อไว้ แต่เพราะกายเนื้อไม่ได้สติ จึงให้วิญญาณมารับรู้ความเจ็บปวดนี้เอง

และก็ดูท่าว่าจะสาสมดีเสียด้วย ตอนนี้เขายิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นเสียอีก

“ถ้าเช่นนั้นพ่อหนุ่มก็พร้อมที่จะไปแล้วสินะ” อาจารย์องค์อินทร์บอกพร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้าสู่จุดแสงเล็กๆ ที่มองเห็นอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา

เขาลุกขึ้นยืน กำลังจะออกเดินเมื่อมองทางหางตาเห็นน้ำหยดหนึ่งร่วงลงกระทบพื้น และมันไม่ได้สลายหายไปเหมือนทุกที แต่สะท้อนเป็นประกายอยู่บนพื้น

…นั่นไม่ใช่น้ำตาของเขา…

เขาหันกลับไปทันเห็นภาพคนบนม้านั่งกำลังใช้หลังมือเช็ดดวงตาที่แดงก่ำ นรกรไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่เนื้อตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด และถึงอย่างนั้นเมื่อริมฝีปากขยับ น้ำเสียงนั้นกลับมั่นคง

“อทิฏฐ์ ผมไม่รู้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้างถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดว่าหนทางข้างหน้ามันดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้ามันไม่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานก็ไปเถอะ... ผมตัดสินใจแทนคุณไม่ได้”

นรกรกระซิบกับสายลมที่พัดมาผะแผ่ว ภาวนาจนสุดใจขอให้ลมพัดพาคำพูดนี้ไปให้ถึงคนที่จากไป

“แต่ถ้าคุณ ‘เลือกที่จะอยู่’ คุณยังมีผมอยู่ตรงนี้นะ ขอโทษนะที่ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย นอกจากอยู่เคียงข้างคุณ”


************************TBC********************

ขอต่อTalkข้างล่างนิดหนึ่งนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2016 09:44:37 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Talk

กว่าจะจบบทนี้เล่นเอาเราหืดขึ้นคอ

ขอโทษที่ลงแบบลุ่มๆ ดอนๆ ค่ะ แบบว่าภากิจรัดตัวอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แล้วมันก็ค่อนข้างยาวพอสมควรทีเดียว

ตอนหน้าจะพยายามอัพทีละเต็มบทเหมือนเดิมนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ

ปล. ขอบคุณพี่ชาย 'คุณตฤณกร' ที่ให้เกียรติมาเดินผ่านฉากโดยไม่คิดค่าตัวค่ะ

ปล.2 สปอยชื่อตอนหน้า 'Depress'

ปล.3 ตอนนี้มี 3พาร์ทนะคะ คือครึ่งแรก ต่อ และ จบค่ะ อย่าอ่านข้ามนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2016 14:48:01 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ phoenixa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
อ.องค์อินทร์ควรมีบทมากกว่านี้มั้ย
คือเราอึดอัด
หรือถึงมีบทก็พูดอะไรมากไม่ได้อยู่ดี
เหมือนพี่สาวห้อยขาบนตู้ล็อคเกอร์
สงสารฮาร์ฟ และเสียใจกับพี่วินทร์ด้วย
แต่คนไม่ใช่ก็ต้องทำใจนะพี่

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อึดอัดไปหมดเลย :katai1:

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เรารู้สึกว่าฉากของครึ่งตอนหลังนี้ค่อนข้างละเอียดมาก ต้องตั้งใจอ่านมากเลยทีเดียว

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
โอ้ยยยยย....สงสารหมออ่ะ  ตัวจะทิ้งหมอเหรอทิต

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
 o13 สนุก อ่านแล้วมองเห็นหยดน้ำตาของหมอนรกอนเลย

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
สู้ๆสิว้า พี่ทิด เฮ้อ สงสารฮาร์ฟจัง :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
สงสารหมออ่ะ น้ำตาซึมแล้ว

ออฟไลน์ Yunatsu

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-5
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
โอ้ยยยยยยยย
เอาไงงงงงง ไม่ไปนะไม่ไป

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ทิดจะไปจริงๆหรอ  :sad4:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
หดหู่ กดดัน สุดๆ

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2

ทิต. เห็นน้ำตาฮาร์ฟแล้วเปลี่ยนใจมั้ย
ถึงจะเจ็บปวด. แต่จะไม่สู้อีกจริงๆเหรอ

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
โอ้ยยย ทิด ผีใจร้าย
จะตายจริงๆแล้วนะ
กลับมาหาฮาร์ฟเถอะ
TT

ออฟไลน์ Zxjmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แอบงงเล็กๆแต่ตกใจผู้หญิงตรงบันไดมาก

ออฟไลน์ SanadaTwinev

  • ไม่ได้บ่น แค่ทวงสิทธิ์...ที่เธอให้ :( เพศผู้แต่ตัวเมียSAY :)
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ท่านพี่วินทร์คะ น้องจะบอกว่าพิรุจน์หลุดออกมาได้อย่างโจ่งแจ้งมากมายอะไรอย่างนี้ คือกลัวหรืออย่างไรคะ แค่คนเขาจะสเก็ตภาพแค่นั้นเอง จะกลัวไร :a5: :a5: :hao3: :hao3: :z2: :z2:

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สู้ต่อไปสิทิด อย่ามายอมแพ้ง่ายๆแบบนี้นะ มีคนรออยู่ทั้งคน  :m15:

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
รู้สึกดีกับทิดและหมอฮาร์ฟ แต่ก็อดสงสารพี่วินทร์ไม่ได้ 5 ปี ไม่ใช่น้อยๆเลย
พูดยากจริงๆ ความรัก
รอตอนต่อไปนะฮะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
นี่แหละ ที่เรียกว่าซึ้งกินใจ
โหย เล่นเอาน้ำตาซึมเลยทีเดียว

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 13 Depress


ทำใจไว้ตลอดเวลาว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้

ทั้งยังไม่เคยคิด... ว่าอีกคนจะจากไปโดยไม่ยอมเอ่ยแม้แต่คำร่ำลา

และนั่นต่างหากที่ทำให้เจ็บปวดมากที่สุด เมื่อคิดไปว่าเขาไม่เคยมีความสำคัญกับอทิฏฐ์เลยแม้แต่น้อย

ไม่เคยคิดว่าหัวใจที่เพิ่งตั้งหลักจากความรักครั้งก่อนได้จะมาเสียศูนย์อีกครั้ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน

นรกรกลับมาเป็นคนเก่า ผู้ชายมืดมนทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมกินไม่ยอมนอน เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องสมุด และมักจะมองหาคนที่หายไปตามทางเดิน จนบางครั้งก็ดูเหมือนเหม่อลอย ทำให้โดนอาจารย์ธนบดีที่ตอนนีจะเริ่มไม่ชอบหน้าเขาจ้องจับผิด

และเรื่องมันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อนรกรเกิดหน้ามืดตอนกำลังผ่าตัด เขาเซถอยหลังและทำมีดหลุดมือร่วงลงพื้น โชคดีที่พัฒนพงศ์ซึ่งตอนนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านปีห้าเข้ามาเป็นผู้ช่วยมือสองคว้าตัวไว้ได้ทัน หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นตั้งสติและทำการผ่าตัดต่อจนเสร็จเรียบร้อย

ทว่า จุดผิดพลาดนั้นก็ไม่สมควรเกิด คนเป็นศัลยแพทย์ควรต้องมีร่างกายที่แข็งแรง มีความพร้อม และมีสติตลอดเวลาเพราะบางครั้งต้องเข้าผ่าตัดข้ามวันข้ามคืนโดยไม่ได้หยุดพัก ถ้าหากในตอนนั้นไม่มีใครรับไว้ได้ทัน หรือถ้าหากมีเขาเป็นแพทย์แค่เพียงคนเดียว แล้วใครจะเป็นผู้ทำการผ่าตัดต่อ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนเรียกไปอบรมนับตั้งแต่เข้ามาเป็นนักเรียนแพทย์

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อาจารย์ธนบดีถามพลางโยนแฟ้มรายงานลงบนโต๊ะ

“ขอโทษครับ” นรกรทำได้แค่ก้มหน้าสำนึกกับความผิดที่ก่อ

“เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดมานานเป็นสิบๆ ปีแล้วนะ นี่น่ะเหรอ คนที่จะมาเป็นอาจารย์คนต่อไป ผมนึกว่าเป็นอินเทิร์นที่เข้ามาสังเกตการณ์ครั้งแรกเสียอีก”

“ขอโทษครับ”

“ถ้ายังเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก เห็นทีผมคงต้องยื่นเรื่องขอให้พิจารณาตำแหน่งของคุณใหม่ ไปทบทวนตัวเองให้ดี… ออกไปได้แล้ว”

“ครับ” นรกรยกมือไหว้และเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ เขายกสองมือของตัวเองขึ้นมาดูมันสั่นเล็กน้อย และเขาต้องหลับตาตั้งสติสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้งหากนั่นก็เพียงช่วยให้มือหยุดสั่นแต่ไม่อาจหยุดหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนปวดหนึบนี่ได้เลย

“ฮาร์ฟ” วินทร์เรียกพร้อมกับก้าวยาวๆ เข้ามาหา เขาทราบเรื่องทั้งหมดจากพัฒนพงศ์และมาทันได้ยินทุกคำพูด “เป็นอะไรหรือเปล่า”

รีบเอามือล้วงกระเป๋าและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ไม่มีอะไรครับ”

แต่ก็ไม่อาจซ่อนคนที่เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่ต้นได้ “ไม่มีอะไรได้ยังไง หน้านายซีดขนาดนี้นี่ได้นอนบ้างหรือเปล่า แล้วข้าวล่ะคงไม่ได้กินเลยใช่ไหม... ไปกินข้าวกันไป ฉันเลี้ยง”

“ขอบคุณครับพี่วินทร์ แต่ผมอิ่มแล้ว”

“อิ่มอะไร” วินทร์สวนกลับ “ตั้งแต่เช้าฉันเห็นนายกินแค่กาแฟแก้วเดียว มานี่เลย” พร้อมกับฉวยข้อมือไว้แน่น

“ปล่อยครับ”

“ไม่ปล่อย!” วินทร์บอกพร้อมกับรั้งตัวให้เข้ามาใกล้ “จะเดินตามมาดีๆ หรือจะให้อุ้ม”

“พี่วินทร์!” นรกรทำเสียงดุ

แต่อีกฝ่ายกลับเฉียบขาดได้ยิ่งกว่า “ตัวเลือกมีแค่นี้” วินทร์ย้ำ “เลือกมาสิ”

“ปล่อยครับ”

“ฮาร์ฟ!”

“แล้วผมจะเดินตามไปเอง” นรกรเป็นฝ่ายยอมแพ้เพราะรู้ดีว่าวินทร์พูดจริงทำจริง ถึงจะสูงพอๆ กันแต่อีกฝ่ายตัวหนากว่าตั้งเกือบครึ่ง ต่อให้ใช้แขนแค่ข้างเดียวก็จับเขาเหวี่ยงขึ้นพาดบ่าได้สบาย และมันคงเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย

“ดีมาก” ริมฝีปากค่อยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่ครึ้มด้วยไรหนวด วินทร์ปล่อยมือพลางพยักเพยิดไปตามเส้นทางก่อนจะออกเดินนำไป

“พี่วินทร์พาผมมาที่นี่ทำไม” นรกรถามด้วยความแปลกใจ เพราะแทนที่จะพาไปโรงอาหาร วินทร์กลับพาเขาเดินลัดสนามเข้ามาในสวน

“ก็กินข้าวไง” บอกพลางดันไหล่ให้นั่งลงบนม้านั่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “นายไม่ชอบคนเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ นานๆ ทีออกมารับวิตามินดีซะบ้าง”

“ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงอาทิตย์คือสิบโมงเช้าถึงบ่ายสาม” นรกรพูดตอบไปโดยอัตโนมัติ “แต่นี่มันตอนเที่ยง แล้วพยาการณ์อากาศก็บอกว่าวันนี้อุณหภูมิจะสูงมากกว่า 40 องศา มาตากแดดตอนนี้ผมคิดว่านอกจากวิตามินดีแล้วยังได้มะเร็งผิวหนังเป็นของแถม แล้วยังเสี่ยงเป็นโรคลมแดด หรือว่า heat stroke ด้วยน่ะสิครับ”

“พูดได้น่าสนใจ” วินทร์ว่าพลางยกมือขึ้นลูบคางที่ครึ้มไรหนวด

“เอ่อ…”

“แบบนี้สิ ค่อยสมเป็นนายหน่อย” ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มกว้างไปจนถึงนัยน์ตา จนนรกรต้องเบือนหน้าหนี

เขาไม่ได้เกลียดรอยยิ้มนี้ เพียงแต่รู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้มันช่างเหมือนกันเหลือเกินกับของคนที่หายไป

และมันยิ่งทำให้เขาหยุดคิดถึงไม่ได้สักที

ตฤณกรโทรหาเขาเมื่อวานนี้เพื่อถามว่าจะยังอยากให้วาดรูปให้อยู่หรือเปล่า ใจจริงก็อยากจะปฏิเสธเพราะคนรับไม่อยู่แล้ว แต่อีกใจก็อยากได้สิ่งที่จะช่วยยืนยันว่าเขาเคยเจอกับอทิฏฐ์จริงๆ ว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ใช่ความฝันหรือสิ่งที่เขาคิดไปเอง ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นเครื่องย้ำเตือนให้คิดถึงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องมานั่งนึกถึงรายละเอียดที่ยังคงแจ่มชัดแล้วบรรยายออกไปทางโทรศัพท์

รูปใบนั้นถูกแมสเซ็นเจอร์นำมาส่งให้เมื่อเช้า ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มีความกล้าพอที่เปิดดูเลย

“ขยับไปหน่อยครับ ที่ออกจะกว้าง” นรกรบอกพร้อมกับกระเถิบตัวหนีเพราะแทนที่คนตัวโตกว่าจะนั่งอีกฟากของเก้าอี้กลับเล่นเบียดเข้ามาจนชิด

“ไปนั่งไกล ถ้านายหนีเดี๋ยวคว้าตัวไม่ทัน” แก้ตัวไปโน่นเพราะเก้าอี้ยาวแค่ระยะเอื้อมมือ

วินทร์เปิดกระเป๋าเป้ หยิบเอาข้าวกล่องออกมาเปิดฝาและส่งให้ มันเป็นเมนูข้าวห่อไข่ง่ายๆ แต่ตกแต่งได้ดูน่าทานด้วยบล็อคโคลี่กับแครอทที่วางเรียงเป็นรูปตากับปากจนดูเป็นใบหน้าคนกำลังยิ้ม

“ไม่ร้อนแล้ว แต่กินได้ใช่ไหม”

“ครับ” นรกรรับมาวางบนตัก “แล้วของพี่วินทร์ล่ะ

“ฉันกินมาแล้ว” บอกพลางเอนหลังพิงพนักตบพุงตัวเองดังแปะๆ “น้ำปลาพริกไม่มีให้หรอกนะ ไม่ได้เอามากลัวหกใส่กระเป๋าเดี๋ยวจะเหม็นซักไม่ออก” พยายามพูดติดตลก “ทนกินจืดๆ เอาหน่อยละกัน

นรกรตักอาหารใส่ปาก และเริ่มต้นเคี้ยว นี่เป็นข้าวมื้อแรกที่ตกถึงท้องในรอบหลายวันที่ผ่านมาหลังจากอาศัยแค่กาแฟและน้ำเปล่าประทังชีวิต

“อร่อยไหม”

“ขอโทษครับ” นรกรตอบเสียงอ่อยเพราะวินทร์ดูตื่นเต้นและคาดหวังมากทีเดียว “ตอนนี้ลิ้นของผมมันไม่รู้รสเลย”

“ไม่เป็นไร” ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่อยากฟังแต่วินทร์ก็ยังคงยิ้มได้ “แค่นายกินให้หมดก็พอ”

นรกรเหลือบตาดูคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง เขารู้วินทร์เป็นคนดีและนึกขอบคุณจากใจ แต่เขารับความหวังดีนี้ไว้ไม่ได้

เขาตักอาหารคำต่อไปตามเสียงเชียร์ นึกตลกปนสมเพชตัวเองนิดๆ ปกติเขาต้องเป็นคนทำแบบนี้กับคนไข้ แต่มาวันนี้กลับโดนทำคืนเสียเอง

ข้าวพร่องไปพอสมควรแล้วเมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

[พี่ฮาร์ฟครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว] เสียงของจิงโจ้ดังมาตามสาย [เช้านี้จู่ๆ น้องลลินก็ปลุกไม่ตื่น พ่อกับแม่เลยพามาโรงพยาบาล ผมส่งทำCT scan ไป พี่วัฒน์อ่านฟิล์มเหมือนก้อนมันจะโตขึ้นอีกแล้วไปกดเบียดโพรงสมองทำให้น้ำไขสันหลังระบายออกไม่ได้]

“แล้วไงอีก” เขาถามอย่างร้อนใจ

“ผมเจาะหลังช่วยระบายน้ำไขสันหลังออก ดูเหมือนเธอจะเริ่มตื่นขึ้นมาครับ แต่ก็คงช่วยพยุงอาการได้แค่ระยะหนึ่ง ยังไงก็คงต้องผ่าตัดครับ”

“อืม ก็ดีแล้วนี่” ค่อยโล่งอกไปเปราะหนึ่งที่นายแพทย์รุ่นน้องจัดการได้อย่างดีเยี่ยม จนกระทั่งจิงโจ้พูดต่อ

[พี่ฮาร์ฟช่วยมาทำการผ่าตัดให้หน่อยครับ]

มือเรียวกำโทรศัพท์แน่น “แต่พี่…”

[เป็นความต้องการของน้องเขาครับ เขาอยากให้พี่ฮาร์ฟผ่า]

“ให้อาจารย์สรวิชญ์ผ่าดีกว่านะ อาจารย์เป็นเจ้าของไข้แถมยังเก่ง…”

“เอาโทรศัทพ์มา” วินทร์ที่เงี่ยหูฟังอยู่นานดึงโทรศัพท์ไปคุยเสียเอง “โจ้ แจ้งห้องผ่าตัด หาเตียงไอซียูเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เดี๋ยวพวกพี่ไป” แล้วกดตัดสาย

“พี่วินทร์จะช่วยผมผ่าใช่ไหมครับ” นรกรถามคนที่ถือวิสาสะสั่งการทุกอย่างเสียเอง

“แค่ช่วย” วินทร์ย้ำ “มือหนึ่งต้องเป็นนาย”

“แต่ผมเพิ่งทำพลาดมา ผมไม่คิดว่าตอนนี้ตัวเองมีความมั่นใจพอจะไปช่วยใครหรอกนะครับ ยิ่งมาฝากความหวังไว้ที่ผมแบบนี้…”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง วินทร์ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบก่อนพร้อมทั้งกดรับ
“ว่าไงโจ้”

[ตอนนี้ห้องผ่าตัดเต็มหมด จะว่างอีกทีก็น่าจะหลังหกโมงเย็นไปแล้วครับ]

วินทร์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “ตามนั้น” กดวางสายแล้วหันมาคว้ามือนรกรดึงให้ลุกขึ้นยืน

“พี่วินทร์จะพาผมไปไหน”

“หาความมั่นใจให้นายไง”



oooooo



 “พี่วินทร์ นี่มันไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนี้นะ!” นรกรเริ่มจะดุจริงจังใส่คนที่จู่ๆ ก็ลากเขาเข้ามาในร้านเกมส์ทั้งที่ยังใส่เครื่องแบบแพทย์ประจำบ้านเต็มยศ มาถึงก็จัดการแลกเหรียญหนึ่งกำมือแล้วลากเขาไปหน้าตู้เกมโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น

“เล่น!” วินทร์เร่งพร้อมกับยัดปืนใส่มือ

“ไม่ครับ”

“เร็ว! พวกซอมบี้มันยกโขยงกันมาแล้ว เดี๋ยวก็โดนพวกมันกระซวกคอตายหรอก”

“ก็บอกแล้วไงครับว่าไม่เล่น… เฮ้ย!”

เพราะแว่นตาสามมิติที่สวมอยู่บนศีรษะทำให้เห็นภาพเสมือนจริงของซอมบี้ตัวหนึ่งที่แอบซุ่มอยู่ตรงมุมตึกและพุ่งเข้าใส่จนเขาสะดุ้งทำปืนลั่นใส่ไปหลายนัด แต่ซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะล้มลง

“ยิงอีก เอามันให้ตายเลย!” วินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งร้องเชียร์และปรบมือเสียงดังจนคนในร้านหันมามองและพากันหัวเราะคิกคักกับเด็กโข่งสองคน “มันเข้ามาใกล้แล้วนะฮาร์ฟ”

นรกรกำปืนในมือแน่น

ทั้งๆ ที่เป็นเสียงของวินทร์ไม่ผิดแน่ แต่ภาพของอทิฏฐ์กลับปรากฏขึ้นแทนที่ เรื่องราวในวันที่มาด้วยกันเมื่อเดือนที่แล้วหวนกลับมาในความทรงจำ

“อย่ายอมแพ้นะ”

ปลายนิ้วที่สอดอยู่ในโกร่งไกกระตุกอยู่หลายครั้ง ก่อนที่เขาจะยกปืนขึ้นและรัวใส่ไม่ยั้ง

ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกันหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นในอกกลับเจ็บแปลบ เขารู้ดีว่านรกรกำลังคิดถึงใครเพราะเขาตั้งใจทำให้มันเป็นแบบนั้นเอง

หลังจากระเบิดสมองซอมบี้ตายไปเป็นร้อยเป็นพันตัวจนแทบไม่มีแรงจะยกปืน วินทร์จึงยอมให้เขาเลิก

และเมื่อถอดแว่นตาออกนรกรก็รับรู้ถึงสายตาก็บรรดานักเล่นเกมทั้งหลายที่มายืนมุงดูด้วยความสนใจเป็นจำนวนมาก และพากันปรบมือให้กับคะแนนไฮสกอร์ที่ทำลายสถิติเก่า

นรกรยืนงงทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยตกเป็นที่สนใจ ซ้ำไอ้คะแนนที่พุ่งพรวดพราดนั่นจริงๆ แล้วก็เกิดจากความรู้สึกทั้งน้อยใจ เสียใจและโกรธอทิฏฐ์ที่มันผสมปนเปกันมั่วไปหมดแล้วเอาไปลงกับซอมบี้พวกนั้น

“เจ๋งมากไอ้น้อง”

“สุดยอดเลยครับพี่ชาย”

“ทำลายสถิติที่ ‘unknow’ ทำไว้แบบไม่มีใครโค่นได้ด้วย”

“เขานี่แหละครับคนทำสถิตินั้น” วินทร์โอ่ “ฟะ… เพื่อนผมเองครับ เพื่อนผม”

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองสงสัยว่าวินทร์ตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ แต่นั่นยังไม่แปลกใจเท่ากับเรื่องที่ว่าทำไมวินทร์ถึงพาเขามาที่นี่ ทำไมถึงคิดว่าคนที่มีภาพลักษณ์เป็นเด็กเนิร์ดเต็มขั้นแบบเขาจะเล่นเกมเป็น

และคนเดียวที่รู้ก็คือคนที่เขาจินตนาการว่าเป็นซอมบี้น่ะแหละ

ดูเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว วินทร์อมยิ้มมุมปาก เขาโบกมือลาทุกคนแล้วคว้ามือนรกรเดินออกมารับลมที่ลานน้ำพุด้านหน้าห้าง ทั้งสองเดินวนไปรอบๆ จนสุดทางก่อนจะนั่งพักลงตรงม้านั่งตัวหนึ่ง

พวกเขาต่างไม่พูดอะไรกันและทอดสายตามองไปคนละทิศ จนกระทั่งสายตาสองคู่มาจบลงที่ครอบครัวหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย

พ่อกับแม่จูงมือลูกชายอายุราวห้าขวบที่ร้องเพลงพลางกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลด ราวกับติดสปริงไว้ที่รองเท้า ทั้งพ่อและแม่เองก็ร้องเพลงคลอและโยกตัวตามไปด้วยกัน

มันเป็นภาพที่ดูสนุกสนานและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน สำหรับทั้งสองคนที่ไม่เคยมีช่วงเวลานี้ในชีวิต

“ฉันเคยเล่าให้ฟังหรือยังว่าพ่อกับแม่ฉันตายแล้ว” จู่ๆ วินทร์ก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ

นรกรเหลียวมองและส่ายหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง

“อุบัติเหตุน่ะ” วินทร์ทอดสายตามองน้ำพุที่พุ่งขึ้นลงบ้างก็ส่ายไปมาราวกับมันเป็นจังหวะของชีวิตและเริ่มต้นเล่า “โดนคนเมาขับรถชน แล้วถังแก๊สก็ดันมาระเบิดจนไฟลุกอีก... แม่มาไม่ถึงโรงพยาบาลส่วนพ่อก็อาการร่อแร่เต็มที กะโหลกแตก สมองบวม เลือดออกเต็มหัวแถมยังใกล้กับก้านสมอง ไม่มีใครกล้าผ่า เพราะขืนผ่าไปก็ตายคาห้องผ่าตัดแน่ แต่มีหมอคนหนึ่งที่ยอมเสี่ยง การผ่าตัดไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นักและพ่อฉันก็ตายในวันต่อมา”

“ผมเสียใจด้วยนะครับ”

ริมฝีปากเม้มแน่นอยู่อึดใจก่อนจะพูดต่อ “รู้ไหมว่าทำไมว่าหมอคนนั้นถึงเลือกที่จะผ่า ทั้งที่ใครๆ ก็คัดค้านเพราะมีโอกาสรอดแค่ 1%”

นรกรส่ายหน้า

“เขาบอกกับทุกคนว่า แค่ 1% มันก็มากพอแล้วที่จะช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง ถ้าใครคนนั้นเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือคนรักของใครสักคน”

“แต่ว่า…”

“นั่นไม่ใช่การยื้อเพื่อให้รอด แต่เขาแค่ยื้อเพื่อให้พ่อได้มีชีวิตอยู่นานพอเพราะหวังจะให้ฉันได้ทันมาดูใจ” วินทร์รีบอธิบายต่อ “และคุณหมอคนนั้นก็คืออาจารย์สรวิชญ์ คุณพ่อของนาย”

“พ่อของผมเหรอ” นรกรทวนคำเริ่มเข้าใจว่าทำไมทั้งสองคนถึงสนิทกัน

วินทร์เหลียวมามอง ทั้งคู่สบตากันอยู่นานก่อนที่วินทร์จะพูดต่อ “นายทำได้ฮาร์ฟ จำได้ไหม 50% นายก็ทำมาแล้ว นี่โอกาสมันมากกว่านั้นตั้งเยอะ”

“แต่ทำไมต้องเป็นผม หมอคนอื่นมีตั้งเยอะแยะ”

“เพราะต้องเป็นนายน่ะสิ” วินทร์ย้ำ “เพราะลลินเชื่อมั่นในตัวนาย ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่อาจารย์สรวิชญ์ แต่เธอเลือกจะฝากชีวิตไว้ในมือนาย” เว้นวรรคเล็กน้อยและมองลึกเข้าไปในตาคนตรงหน้ามากขึ้นอีก “ฮาร์ฟ เธอให้ความมั่นใจนายมาแล้วครึ่งหนึ่ง ขอแค่อีกครึ่งจากนายไม่ได้เหรอ”

“แต่แค่นั้นมันจะพอเหรอครับ” เขายังคงไม่มั่นใจ

“พอสิ” วินทร์ว่า “หรือถ้ามันจะไม่พอ ฉันจะช่วยเติมให้มันเต็มเอง เรามาช่วยเธอด้วยกันเถอะ” พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแบออกตรงหน้า

นรกรจ้องฝ่ามือนั้น ริมฝีปากเม้มสนิทอยู่อึดใจ ก่อนจะพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้ววางมือทับลงไป

วินทร์ยิ้มกว้างมากขึ้นอีก เขาวางมืออีกข้างข้างทับลงไปและบีบมือนรกรแน่น “ให้มันได้อย่างนี้สิ”


***********************TBC*********************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2016 01:22:43 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
งื้อออออ  อิตาคุณหมอทำคะแนนใหญ่เลยอ่ะ   

วอนทิตแล้วน่ะทิ้งกันได้ลงคอ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
อทิฏฐ์ จะเป็น พี่วินทร์ จริงๆ หรอเนี่ยยย  :ruready

มีเรื่องสงสัยเต็มไปหมดเลยยยย

//ขอบคุณค่า~~~

ออฟไลน์ Cupcake

  • @--##-หนูน้ำตาล-##--@
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
พี่วินทร์คือทิตจริงๆหรอเนี่ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฮาร์ฟ ทำตัวไม่สมกับเป็นหมอมืออาชีพจริงๆ
กินอาหารไม่ครบมื้ออยู่แล้ว พอเสียใจก็ยิ่งไม่กินหลายวัน
พักผ่อนน้อย ถ้าพลาดเป็นลม แล้วถ้าไม่มีหมออีกคนอยู่ด้วย
ชีวิตคนไข้ที่อยู่ในมือหมอจะเป็นอย่างไร
ยิ่งเข้าทางหมอธนบดีที่ไม่ชอบหน้าตัวเองเลย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เอาใจช่วยทุกฝ่าย
ลลิน ฮาร์ฟ วินทร์ อทิษฐ์

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
ตอนนี้ยังไม่กล้าคาดเดา :heaven รอตอนต่อไปดีกว่า

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
วินทร์คือผีทิดหรือคะ นี่ตั้งใจลวงให้เข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่าอ่า แง อ่านไประแวงไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด