พิมพ์หน้านี้ - Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: leGGyDan ที่ 08-01-2016 01:02:02

หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-01-2016 01:02:02
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: Text_book
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-01-2016 01:07:38
Intro

‘To study the phenomena of disease without books is to sail an uncharted sea,
While to study books without patients is not to go to sea at all’
William Osler

‘การศึกษาโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่อาศัยความรู้จากตำราก็เหมือนกับการล่องเรือไปในทะเลโดยปราศจากแผนที่
ในขณะที่การเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราโดยไม่ใส่ใจศึกษาผู้ป่วยเท่ากับว่ายังไม่เคยไปทะเลเลยสักครั้ง’

...และความรักก็เช่นกัน...

ถ้าคุณไม่เดินเข้าไปหาต่อให้มาอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีวันได้ครอบครอง

สารบัญ

บทที่ 1 Deny (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.msg3277049#msg3277049)
บทที่ 2 Anger (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.msg3277049#msg3277049)
บทที่ 3 Bargain (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.msg3277049#msg3277049)
บทที่ 4 Stay (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.msg3277049#msg3277049)
บทที่ 5 Asking (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.msg3277049#msg3277049)
บทที่ 6 when the 'rain' come (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.30)
บทที่ 7 Let's dance in the rain (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.60)
บทที่ 8 Pandora (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.60)
บทที่ 9 Like father like son (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.90)
บทที่ 10 Brothers (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.120)
บทที่ 11 Heart Beat (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.120)
บทที่ 12 Beside(s) My side(1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.150)
บทที่ 12 Beside(s) My side(2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.180)
บทที่ 12 Beside(s) My side(3) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.210)
บทที่ 13 Depress (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.210)
บทที่ 14 Still (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.240)
บทที่ 15 Compensate (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.270)
บทที่ 16 Restart (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.270)
บทที่ 17 In my wind, in my view (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.330)
บทที่ 18 Accept (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.330)
บทที่ 19 Determine (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.360)

ภาคผนวก
ก. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.420)
ข. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.480)

ตอนพิเศษ
รักของเรา กับกาวน์ตัวเก่าในวันที่ฝนพรำ
Part 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.new#new)
Part 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.new#new)
Part 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.570)

Special Moment:Valentine's day (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.690)

Text_book#2
บทที่ 1 Sign  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.690)
บทที่ 2 Awake (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.720)
บทที่ 3 Fate (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.720)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 1Deny [08/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-01-2016 01:28:25
บทที่ 1 Deny

“อาจารย์คะ ญาติถามว่าคนไข้จะ ‘ไป’ เมื่อไหร่”

เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างกังวลทำให้ผู้ที่สวมเสื้อกาวน์ยาวสีขาวซึ่งนั่งอ่านแฟ้มผู้ป่วยอยู่หน้าเคาน์เตอร์เหลือบสายตาหลังกรอบแว่นขึ้นมองเล็กน้อย ผ่านกระจกของห้อง ICU ไปยังห้องหมายเลข 4 ที่มีกลุ่มญาติราว 5-6 คนยืนล้อมอยู่รอบเตียง บ้างยืนจับมือให้กำลังใจกันกัน บ้างหันมองมาที่เขาเป็นระยะๆ 

คำว่าจะ ‘ไป’ ในที่นี้หมายถึง ‘ตาย’ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์จนมาเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทวิทยาเต็มตัวนี่คือคำถามที่นรกรมักจะได้ยินจากญาติหรือพยาบาลเสมอๆ ในกรณีที่คนไข้ได้รับบาดเจ็บทางสมองหรือมีโรคอื่นๆ เช่นเนื้องอกขนาดใหญ่จนถูกวินิจฉัยว่า ‘สมองตาย’ หรือ Brain death ทางการแพทย์ถือว่าคนไข้ประเภทนี้ได้ตายไปแล้วเนื่องจากไม่มีการตอบสนองต่างๆ ตามเกณฑ์การวินิจฉัยเพียงแต่หัวใจยังคงเต้นอยู่เท่านั้น

เรียกว่า ‘มีลมหายใจ’ แต่ ‘ไร้ชีวิต’ ก็คงไม่ผิดนัก

เหมือนเขา... ที่มีร่างกายแต่ไร้หัวใจ นับตั้งแต่วันที่ใครคนนั้นจากไป

‘นายแพทย์นรกร นุศาสตร์ศิลป์’ ปิดแฟ้มและลุกขึ้นเดินไปซึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันเปิดทางให้เขาเข้าไปยืนข้างเตียง 

ใบหน้าคนไข้ซีดเซียวแทบปราศจากสีเลือด มีสายน้ำเกลือต่างๆ ต่อห้อยระโยงระยางเต็มสองแขน ศีรษะโล้นเลี่ยนปิดพลาสเตอร์ทับแผลผ่าตัดลากยาวคล้ายที่คาดผมกับรอยเส้นจางๆ สีแดงของการฉายแสงแสดงให้เห็นว่าเธอผ่านการต่อสู้กับโรคร้ายมามากมายแค่ไหน

เธอชื่อลลินเป็นเด็กสาวอายุแค่ยี่สิบแต่กลับต้องมาเป็นเจ้าหญิงนิทราด้วยโรคเนื้องอกในสมองแต่กำเนิดและพัฒนาไปเป็นเนื้อร้าย

นรกรไม่เคยลืมวันแรกที่เธอเข้ามาเป็นคนไข้ในการรักษา เด็กหญิงหน้าตายิ้มแย้มที่พูดกับเขาซ้ำๆ ว่า ‘หนูจะต้องชนะมันให้ได้’

เธอสู้สุดใจกับทั้งเนื้อร้ายและผลข้างเคียงจากการให้ยาเคมีบำบัดที่ทำเอาทรุดจนนึกว่าจะไม่ไหวอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆ ครั้ง ที่ลืมตาขึ้นมาเธอยังคงยิ้มให้เขา จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งหลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัยที่เธอบ่นเหนื่อย ปวดหัวก่อนจะขอตัวไปนอนพัก

และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นรอยยิ้มของเธอเพราะเธอไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย

ผล CT scan แสดงให้เห็นภาพก้อนมะเร็งที่กระจายไปทั่วจนเกินกำลังจะผ่าตัดออกได้หมดหรือให้ยาใดๆ ซึ่งทั้งทีมแพทย์และญาติของเธอมีความเห็นตรงกันว่าพวกเขามาถึงจุดที่ควรพอเพื่อให้เธอได้หลับอย่างสบายในวาระสุดท้ายของชีวีต

นรกรยกมือขึ้นสัมผัสหลังมือเล็กเซียวที่ครั้งหนึ่งเจ้าของเคยใช้มันเขียนฝันและจับมือทำสัญญาใจกับเขาเสมอ แต่มาวันนี้มันกลับเยียบเย็นจนน่าใจหาย

“น้องจะทรมานอีกนานไหมคะ” หญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่ถาม

“น้องอายุยังน้อยและไม่มีภาวะแทรกซ้อน หมอไม่อาจบอกระยะเวลาที่แน่นอนได้ แต่ตามสถิติแล้วไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือนครับ”

ถ้าเป็นสมัยก่อน คุณหมอหนุ่มคงแค่ตอบไปตามพยาธิสภาพการดำเนินของโรคและตามผลงานวิจัยที่ได้ศึกษามา แต่นับจากวันที่ได้เจอ ‘ใครคนนั้น’ เขาก็ได้เรียนรู้ว่าชีวิตของคนเรานั้นยังมีสิ่งที่อยู่นอกเหนือตำราและทฤษฏีบท

“เธอยังมีอะไรที่ติดค้างหรือกำลังรอ ‘ใคร’ อยู่หรือเปล่าครับ” 

“ไม่มีแล้วค่ะคุณหมอ เราตามญาติๆ และเพื่อนๆ ของเธอตามที่คุณพยาบาลแนะนำมาหมดแล้ว”

นัยน์ตาคมหลังกรอบแว่นกวาดมองกลุ่มญาติที่ยืนจับมือกันรอบเตียง “ถ้าเช่นนั้นเราคงทำได้แค่รอและอยู่กับเธอจนนาทีสุดท้าย” คุณหมอหนุ่มค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปที่ประตูเมื่อมือหนึ่งเอื้อมมือมาสัมผัสเบาๆ ที่หลังมือ เขาก็หยุดราวกับนึกอะไรขึ้นได้และหันกลับมา “คุณแม่ครับ บางที... น้องเขาเคยมีแฟนหรือแอบชอบใครอยู่หรือเปล่า” 

“แม่ไม่รู้”

หญิงสาวสองคนซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดลอบมองหน้ากันเล็กน้อยและพากันก้าวเข้ามายืนตรงหน้า “เอ่อ คุณแม่คะจริงๆ แล้ว...”

คุณหมอหนุ่มหันไปสบตาเจ้าของมือคู่นั้นที่ส่งยิ้มบางมาให้และเดินกลับออกไป

“คุณหมอคะ ญาติคนไข้ฝากมาให้ค่ะ” นางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ร้องบอกพลางหยิบถุงใส่ขนมไทยที่เขาแสนชอบให้พร้อมกับช่อดอกไม้ขนาดเล็กที่มีอยู่ราวสิบดอก แต่ละดอกมีกลีบบางสีฟ้าสดใสล้อมรอบกลุ่มเกสรสีเหลืองตรงกลาง มันถูกห่อง่ายๆ ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์แต่กลับดูน่ารักและสวยงาม

“ขอบคุณครับ”

“เป็นของฝากที่น่ารักดีนะคะ” นางพยาบาลอมยิ้มแซวซึ่งนรกรชินเสียแล้ว เขามักจะได้รับของขวัญจากคนไข้หรือญาติเสมอๆ เพื่อแทนคำขอบคุณ แต่ของขวัญที่แปลกที่สุดก็เห็นจะเป็นช่อดอก Forget me not ในกระดาษหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าซึ่งได้รับติดต่อกันมาร่วมเดือนแล้ว โดยที่เขายังไม่เคยเห็นหน้าผู้ให้หรือทราบที่มาที่ไปว่าเคยไปดูแลรักษากันตอนไหน

“เขาแอบชอบคุณหมอหรือเปล่าคะ” เธอยังคงกระเซ้าต่อเพราะย่างเข้าวัยสามสิบกลางๆ แล้วแต่ศัลยแพทย์หนุ่มยังคงไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้ามาจับจองหรือดูแลหัวใจ

“ใครหรือครับ”

“ก็เจ้าของดอกไม้นี่ไงคะ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละครับ” เขาถามกลับยิ้มๆ “ผมเข้าใจว่าความหมายของมันคือ ‘อย่าลืมฉัน’ แต่ผมว่าคนไข้พยายามจะสื่อว่าเขาเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่านะ เพราะดอกฟอร์เก็ตมีน็อตเป็นดอกไม้ประจำวันอัลไซเมอร์โลกและวันนี้ก็เป็นวันที่ 21 กันยายนพอดี... เพราะฉะนั้นทุกคนอย่าลืมผมนะครับ”

“แหม คุณหมอก็ช่างไม่โรแมนติกเอาเสียเลย แบบนี้ละน้า ถึงไม่มีแฟนกับเขาสักที”

“ไปแซวอาจารย์อะไรแบบนั้น” พยาบาลที่อาวุโสกว่าสะกิดแขนรุ่นน้อง “อาจารย์อย่าไปสนใจยัยนี่เลยค่ะ นั่งมองดอกไม้ไปพลางนึกถึงคนให้ไปพลางแล้วทานขนมให้อร่อยนะคะ”

นรกรหลิ่วตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะออกเดินอีกครั้ง ห้องไอซียูที่เพิ่งออกมาอยู่ชั้นสามเขาจึงตัดสินใจเดินลงบันไดเพราะไม่อยากเสียเวลารอลิฟต์ ตรงชานพักที่ชั้นสองมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งกอดเข่าฟุบหน้าอยู่ “ขอผ่านหน่อยนะครับ”

หญิงสาวพยักหน้าให้เขาจึงเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยและเป็นจังหวะเดียวกับที่นักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งเดินสวนขึ้นมา

“สวัสดีครับอาจารย์” พวกเขายกมือไหว้ทักทายก่อนจะสบตากันแปลกๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

ทีแรกเขาตั้งใจเดินกลับไปห้องพักแพทย์ซึ่งอยู่อีกตึกแต่กลับไปไม่ถึง เมื่อเดินผ่านสนามหญ้าที่โรงพยาบาลจัดไว้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและกราบไหว้ขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงพยาบาลก็อดที่จะนั่งลงบนหน้านั่งใต้ต้นปีบไม่ได้

“วันนี้อากาศดีนะครับ” เอ่ยกับคุณลุงในชุดคนไข้สีฟ้าของโรงพยาบาลซึ่งนั่งอยู่ก่อน “แต่อย่าไปไหนไกลนะครับเดี๋ยวใครๆ จะพากันเป็นห่วง”

คุณลุงเจ้าของใหน้าซีดเซียวไม่ตอบได้แต่หันมาพยักหน้าให้เขา
นรกรเอนหลังพิงพนักพลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสดปราศจากเมฆ ลมหนาวที่เริ่มพัดมาทำให้ดอกปีปสีขาวซึ่งบานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมร่วงโรยลงเต็มพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มที่ไม่นานก็คงเริ่มแห้งออกเป็นสีน้ำตาลตามสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไป

เรื่องราวของคนไข้ที่ดูแลรักษากันมาแรมปีกับคราบน้ำตาของผู้เป็นแม่ยังคงติดอยู่ในตา เช่นเดียวกันกับเรื่องราวของคนๆ หนึ่งซึ่งยังตรึงอยู่ในใจแม้เวลาล่วงเลยมานานแล้ว

ย้อนกลับไปเกือบสองปีก่อน ก่อนที่เขาจะได้รับตำแหน่งอาจารย์แพทย์ของโรงพยาบาลรัฐย่านใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ ในสมัยที่เขายังเป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ห้าซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการเรียนเฉพาะทางด้านระบบศัลยกรรมประสาทและสมองที่ใช้เวลาเรียนนานกว่าสาขาอื่นๆ

ในห้องล็อกเกอร์ซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าห้องผ่าตัดจะถูกแบ่งย่อยออกเป็นบล็อกสำหรับแต่ละสาขาวิชา ซึ่งไม่ได้กว้างมากนักแค่พอหันหลังชนกันได้ เพราะมีชั้นปีเรียนเยอะแต่คนที่เรียนดันมีน้อยกว่าสาขาอื่นจึงมีล็อกเกอร์ว่างเกือบครึ่งแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พื้นที่ในโซนนี้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย กลับกันออกจะเอ็ดตะโรและอื้ออึงจนสายศัลยกรรมทั่วไปที่อยู่ข้างๆ ต้องทุบกำแพงส่งเสียงเตือนบ่อยๆ นี่ถ้ามีช่องแอร์หรือรูอะไรสักอย่างคงได้เอาน้ำสาดมาแล้ว

และไม่ว่าจะเลิกการผ่าตัดดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนเสียงนั้นก็ยังคงดังสนั่นไม่เกรงใจใครเหมือนเดิม

“ผมไปก่อนนะคร้าบบบ พี่ๆ ทุกคน ขอขอบพระคุณที่กรุณาสอนสั่ง” จิงโจ้ แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่หนึ่งน้องเล็กสุดในสายยกมือไหว้ไปรอบๆ ห้องราวกับจะหาเสียง

ตามปกติแล้วปีหนึ่งยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการช่วยผ่าตัดและมีหน้าที่รับเรื่องจากหอผู้ป่วย OPD และER ถ้าเคสไหนไม่เกินความสามารถก็สั่งการรักษาหรือตามรุ่นพี่ชั้นปีสูงกว่าไปประเมิน แต่เพราะวันนี้เคสไม่ยุ่งเขาจึงได้มีโอกาสเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ด้วย

“ไปไหนล่ะแก” พัฒนพงศ์ที่อยู่ปีสี่ตะโกนถามทั้งที่แค่อยู่ล็อกเกอร์ติดกัน

“น้ำหน้าอย่างมันจะไปไหนได้พี่พัฒน์ นัดหญิงไว้ล่ะสิ ” สิทธิชัยที่อยู่ปีสามตอบให้แทน “คนที่เท่าไหร่แล้วล่ะเดือนนี้”

“คนที่เท่าไหร่อะไรกันเฮีย แหมๆๆ ไม่เอา ไม่อิจฉาดิ เหงาก็บอกว่าเหงาเดี๋ยวหาให้คนนึง เอาป่ะ”

ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะควักเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอวดรายชื่อสาวในสต๊อกก็เกิดเสียงดังปังมาจากล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านหลัง

“ประตูติดอีกแล้วเหรอพี่วัฒน์”

“เออ!” อนุวัฒน์ซึ่งอยู่ปีสองพ่นลมออกจมูกพลางใช้เท้าเตะประตูสนิมเขรอะให้เข้าที่ “อย่าให้มันมากนักเดี๋ยวผัวยัยผู้หญิงพวกนั้นมันเอาไม้หน้าสามมาฟาดหัวแบะฉันไม่ผ่าให้นะเว้ย!”

“ผมก็ไม่เอาหรอกพี่วัฒน์เย็บแผลเบี้ยวจะตาย ให้พี่วินทร์เย็บดีกว่า”

“ฉันเย็บไม่เก่งถนัดตัดทิ้งอย่างเดียว เดี๋ยวจะแถมเลาะหมาออกจากปากกับตัดน้องชายให้ด้วยเลยเอาไหมล่ะ” พี่ใหญ่สุดของครอบครัวศัลยกรรมชะโงกหน้ามาตอบ

“ไม่เอาล่ะเกรงจายยย เหยยย ป่านนี้แล้ว ผมไปนะเดี๋ยวน้องเค้าจะรอนานพรุ่งนี้เจอกันครับ”

จิงโจ้คว้าเป้และวิ่งตื๋อออกไป ต่อมาคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยตามกันไป ห้องล็อกเกอร์คับแคบที่เคยแน่นขนัดจึงเหลือแค่ประตูล็อกเกอร์ที่อยู่ตรงซอกหลืบด้านในสุดซึ่งยังคงเปิดอยู่

ไม่มีใครสนใจหรืออายที่จะแก้ผ้าต่อหน้ากัน ไม่ใช่คุ้นเคยกันดี แต่เพราะหน้าด้านยิ่งกว่ากะโหลกหนาๆ ที่ผ่าตัดกันอยู่ทุกวี่วัน แต่สำหรับนรกรแล้วไม่ภูมิใจสักนิดกับหุ่นผอมบางและผิวที่ขาวซีดจนเหมือนกระดาษของตนเอง จึงมักจะมาเป็นคนแรกหรืออ้อยอิ่งอยู่เป็นคนสุดท้าย เขาค่อยถอดชุดหมีสีเขียวสำหรับใช้ในห้องผ่าตัดออกและสวมเสื้อกาวน์สั้นทับ ไม่มีธุระปะปังให้รีบร้อนไปไหน

“กว่าจะเสร็จให้ตายสิเหนื่อยเป็นบ้า ยืนจนขาสั่นเลย” เสียงวินทร์ดังมาจากอีกฟากของประตู เขาเป็นอีกคนที่มักจะออกเป็นคนท้ายๆ เพื่อตรวจความเรียบร้อยก่อนปิดห้องตามประสาพี่ใหญ่

“ว่าแต่นายก็นะ เคสนี้ไม่น่ารอดแท้ๆ ยังอุตส่าห์ผ่าอีก”

“เลือดออกที่ใต้เยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า ขนาด 5x5 cm. และมี Midline shift 1cm. ก็เข้า Citeria ที่ต้องผ่าอยู่แล้วนี่ครับพี่วินทร์” แม้จะเรียนรุ่นเดียวกันแต่ด้วยความที่วินทร์อายุมากกว่าหนึ่งปีเขาจึงให้เกียรติเรียกว่าพี่ทั้งที่เจ้าตัวย้ำนักย้ำหนาว่าไม่จำเป็นสักนิดก่อนจะพ่ายแพ้และยอมให้เรียกแต่โดยดี

“คุณตัดสินใจได้ดีมากเลย ผมว่าเขาอยากสู้สุดๆ ไปเลย” เสียงทุ้มดังมาจากหลังล็อกเกอร์

“ตามผลการวิจัยอัตรารอดอยู่ที่ประมาณ 50% ผมครับแจ้งให้ทราบญาติแล้ว”

“ฉันรู้แล้ว ฉันไม่ลืมหรอกนายบอกฉันแล้วไงพ่อนักเรียนดีเด่น” วินทร์ตอบ

เสียงซึ่งดังมาจากที่ต่างกันทำให้นรกรเงยหน้าจากกระดุมเสื้อที่ติดค้างอยู่และปิดประตูตู้ เจ้าของล็อกเกอร์ข้างๆ ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เขาหันซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียงก่อนจะเห็นแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่คุ้นเคยนั่งคุกเข่าอยู่ข้างประตูเพื่อผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ “ขอบคุณนะครับที่อยู่ช่วย”

“นั่นๆ คุณดูสีหน้าเขาสิ ผมว่าเขาอยากขอบคุณคุณนะอย่างน้อยคุณก็ทำให้เขาอยู่ได้นานพอจะรอให้ลูกสาวมาหาถึงจะไม่สามารถตอบสนองได้ก็เถอะ” เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “เมื่อกี้พี่วินทร์พูดว่าอะไรนะครับ”

“เปล่านี่” วินทร์หันมามองงงๆ เพราะเขายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ “ฉันไปก่อนนะฮาร์ฟ นายอย่ามัวชักช้าล่ะนี่ตีสามได้เวลาปล่อยผีแล้ว นายก็รู้นี่เรื่องอาถรรพ์ห้องล็อกเกอร์ที่พี่พยาบาลเคยเล่าให้ฟัง เห็นว่าเธอชอบมานั่งบนหลังตู้คอยหลอกคนที่ชอบออกช้าด้วย” หันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งและผิวปากเดินออกไป

“เอ่อ รอ...” นรกรพยายามเรียกแต่วินทร์ก็หายตัวไปเสียแล้ว เขากวาดมองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า เพราะเป็นกลางดึกสงัดทำให้บรรยากาศที่ทึบทึมอยู่แล้วยิ่งวังเวงขึ้นไปอีก จนดูเหมือนมีเงาตะคุ่มของคนยืนอยู่ข้างๆ ทั้งที่ในห้องนั้นมีเขาอยู่แค่คนเดียว

เสียงลมพัดมาหวีดหวิวทั้งที่ไม่มีแม้ช่องแอร์พาให้ขนลุกซู่
นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบมองบนหลังตู้ที่อยู่อีกฟากอีกครั้งก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ

เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ ในบทความของคาโรลัส ลินเนียสบิดาแห่งอนุกรมวิธานไม่มีอาณาจักรภูตผีหรือไฟลัมวิญญาณ หรือถ้าจะเถียงว่าผีไม่ใช่สิ่งมีชีวิต อัลเบิร์ต ไอสไตน์ก็เคยให้ทฤษฏีไว้ว่าภาพเงาหรือกลุ่มควันที่อธิบายไม่ได้คือการรวมตัวพลังงานจนเกิดการกระทบกัน หรือที่เรียกว่า Impulse จนมีพลังงานสะสมอย่างน้อย 60 จูลล์และสามารถทำงานร่วมกันได้เหมือนหน่วยหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ้าคิดตามนั้นมันก็ยังเป็นแค่กลุ่มพลังงานไม่ใช่ผีอยู่ดี

สิ่งอธิบายอาการของเขาในตอนนี้ได้ดีที่สุดคือ Delusion หรืออาการหลงผิด ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่ทำให้ประสาทการรับรู้ผิดปกติเกิดอาการหูแว่ว ประสาทหลอน โดยสาเหตุหนึ่งมาจากการพักผ่อนน้อยหรือความเครียดสะสม

และช่วงนี้เขาเข้าเคสผ่าตัดทั้งเล็กใหญ่ข้ามวันข้ามคืนต่อด้วยออกตรวจ OPD ตอนเช้าประกอบกับต้องเร่งทำวิจัยที่ต้องส่งเพื่อให้เรียนจบ ทำให้เฉลี่ยแล้วในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีเวลานอนติดต่อกันมากสุดก็ไม่เกินสามชั่วโมงต่อวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สารสื่อประสาทในร่างกายหรือการผลิตฮอร์โมนจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง

นรกรกะพริบตาถี่ๆ หลายต่อหลายครั้งเพื่อปรับโฟกัสภาพให้ชัดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดเพลงในเพลย์ลิสและเสียบหูฟังก่อนจะเร่งเสียงขึ้นจนสุด มันเป็นวิธีบรรเทาความเครียดที่ใช้ได้ผลดีเสมอโดยเฉพาะบทเพลงของบีโธเฟนที่กล่อมให้เขาหลับได้ตั้งแต่อินโทรท่อนแรก

“ผีมีจริงที่ไหนกัน”

“มีจริงสิครับ ก็ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ไง”

เสียงทุ้มเดิมที่ดังสวนกลับมาทันทีบอกให้รู้ว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล

“โห นี่เปิดเพลงดังซะขนาดนั้นไม่กลัวหูพังเหรอครับคุณหมอ”

นรกรเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า ใส่รองเท้าลวกๆ โดยไม่ผูกเชือกและรีบเร่งฝีเท้าเพื่อกลับไปให้ถึงหอ ในหัวคิดอยู่เรื่องเดียวคือต้องไปนอน เขาต้องหลับสักตื่นเพื่อปรับการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ

ทว่า เสียงนั้นยังคงตามติดมาไม่เลิกราวกับมันเป็นเงาของตัวเองที่ต่อให้วิ่งเร็วเท่าใดก็ไม่มีวันหนีพ้น เขามาหยุดยืนที่หน้าลิฟต์และทั้งที่มันจอดอยู่ถัดขึ้นไปอีกแค่สามชั้นแต่กลับเคลื่อนที่ลงมาได้เชื่องช้าเสียเหลือเกิน

เขากระแทกนิ้วซ้ำๆ ลงบนปุ่มกดแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

“เร็วๆ สิ”

“ใจเย็นๆ สิคุณเขาก็ติดป้ายไว้ทนโท่ว่ากดลิฟต์ครั้งละสิบบาท ไม่ช่วยชาติประหยัดเลยคอยดูนะผมจะฟ้องท่านนายก”

มือกำสายกระเป๋าแน่นจนชื้นเหงื่อ นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบมองบันไดที่อยู่ติดกันตอนนี้เขาอยู่ชั้นสามจะวิ่งลงก็ใช่ว่าจะไม่ไหว แต่ว่า...

ระหว่างลิฟต์กับบันไดถ้าต้องเลือก

“นอ...ระ...กอน... ง่า... ชื่อคุณหมอนี่สะกดง่ายแต่อ่านยากชะมัด ไม่มีสระแบบนี้สงสัยจะเกิดวันจันทร์ นี่ๆ ตกลงผมอ่านถูกป่าว”

นรกรมองขั้นบันไดที่ทอดยาวสู่ชั้นล่างก่อนจะกลืนน้ำลาย ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้วแม้ลิฟต์เพิ่งจะมาหยุดลงตรงหน้าแล้วเลื่อนเปิดออก เขาหันหลังให้และกระโดดลงบันไดทีละสองขั้น

“อ้าว เดี๋ยวสิครับคุณหมอ จะรีบไปไหนล่ะรอผมด้วย”

เขาหลับหูหลับตาวิ่งลัดสนามหญ้ามาจนถึงหอพักแพทย์หากเสียงนั้นยังคงตามมาหลอกหลอนเหมือนเทปที่เล่นวนซ้ำไปซ้ำมา

“คุณหมอออ”

เสียงนั้นแทบจะร้องเป็นเพลงแข่งกับเสียงนักร้อง

นรกรรีบไขกุญแจเปิดประตูห้องพักไม่ต้องถามถึงเรื่องเปิดไฟเพราะเขากระโจนลงเตียงทั้งที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้าด้วยซ้ำ คว่ำหน้าซุกกับเตียงเอาหมอนปิดหัวทับหูฟังอีกชั้น พยายามปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับท่วงทำนองที่ขับกล่อมอยู่ข้างหู

‘เราไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น’

นรกรท่องคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับมันเป็นบทสวดก่อนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าในที่สุด


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 1Deny [08/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-01-2016 01:43:32
บทที่ 1 (ต่อ)

คนเกิดวันเสาร์เป็นคนดวงแข็ง

นี่เป็นข้ออ้างสุดท้ายที่นรกรใช้เป็นเหตุผลให้ตัวเองเพื่อหลีกหนีจากสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ แต่เชื่อเถอะ! ไม่ว่าตอนนี้จะสักกี่ร้อยตำรา พันทฤษฎีบท หมื่นตรรกะก็ไม่มีอะไรจะมาอธิบาย ‘ร่างโปร่งแสง’ ที่เดินหรือลอย... ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันตามเขาที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องตรวจผู้ป่วยนอกนี่ได้เลย

เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ที่แยงผ่านผ้าม่านสีชมพูตุ่นเข้ามา รู้สึกสดชื่นที่ได้นอนหลับเต็มตื่น ภาพที่พร่าเลือนเพราะไม่ได้สวมแว่นทำให้เห็นเพียงเงาเลือนรางของใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

บางทีคงเป็นรูมเมทละมั้ง... คิดเช่นนั้นก่อนร่างโปร่งลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเดินโผเผเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเตรียมไปทำงาน แต่ทันทีที่น้ำเย็นจากก๊อกสัมผัสหน้าสมองก็ตื่นพอที่จะประมวลผลว่า ‘เขาไม่มีรูมเมท’

   นรกรวิ่งพรวดออกมาทั้งที่หยดน้ำยังเกาะพราวเต็มหน้า เขาควานหาแว่นตามาสวมเพื่อมองดูภาพพร่าเลือนนั้นให้ชัด และนั่นก็ยิ่งชัดเจน

‘คุณมาอยู่ในห้องผมได้ยังไง!’

แขกผู้ไม่ได้รับเชิญคลี่ยิ้มพร้อมกับสืบเท้าเข้าหา เขาถอยจนหลังติดกำแพง มันยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นเขาสิ้นหนทางหนีและยื่นใบหน้าที่โปร่งใสราวกับผิวไข่มุกเข้ามาใกล้ ‘สวัสดีครับคุณหมอ ตกลงคุณหมอเห็นผมจริงๆ ใช่ไหม’

   หลังจากเสียเวลาทำความเข้าใจกันอยู่นานสองนานทั้งอาบน้ำล้างหน้าใหม่ ตบหน้าตัวเองแรงๆ ซัดกาแฟดำ หรือแม้กระทั่งเปิดหน้าต่างห้องทุกบานให้แสงสาดส่องเข้ามา แต่ความสว่างก็เพียงแค่ทำให้ร่างนั้นดูจางลงหาได้หายไปในแสงอาทิตย์ไม่
และในที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองไปทำงานสาย เขาจึง ‘จำใจ’ ยอมให้ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ ตามมา

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นลอบมองเป็นระยะ “คุณเป็นอะไร”

“เป็นคำถามที่ใจร้ายจัง อย่างน้อยคุณควรถามว่าผมเป็น ‘ใคร’ ไม่ใช่ ‘อะไร’ นะครับ” ร่างโปร่งแสงยอกย้อนกลับมา

นรกรไม่มีทางเลือกนอกจากถามใหม่ “ตกลงคุณเป็นใครครับแล้วต้องการอะไรจากผม” นักเรียนแพทย์ที่เดินสวนไปหันมามองทำให้เขาต้องรีบควานหาหูฟังในกระเป๋าขึ้นมาสวมแสร้งทำเป็นคุยโทรศัพท์กับใครสักคน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

คำตอบที่เกือบๆ จะไร้ความรับผิดชอบทำเอาคุณหมอหนุ่มหยุดฝีเท้าและหันควับไปทันที

“ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นา” ร่างโปร่งแสงก็หยุดเช่นกัน เขาไหวไหล่ครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเริ่มออกเดินไปด้วยกันอีกครั้ง “รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว อย่าว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับผมเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร พูดกับใครก็ไม่มีใครได้ยินแล้วผมก็เริ่มคิดได้ว่าตัวเองคงเป็น ‘ผี’... ก็โอเค ตายก็ตาย ก็คงต้องไปเกิดใหม่ ผมก็มองหาป้ายบอกทางไปตึกสูติฯ พยายามไปเข้าสิงคนท้องแต่ก็ทำไม่ได้เพราะทารกทุกคนมีวิญญาณจับจองหมดแล้ว จะให้ไปนรกหรือสวรรค์ก็ไม่เห็นมีแผนที่ สิ่งเดียวที่ผมเห็นว่าใกล้เคียงที่สุดคือห้องดับจิตซึ่งผมก็ลองแวะไปมาแล้วเหมือนกัน”

“แล้วผลเป็นยังไง”

“หนาวเป็นบ้าเลย แถมยังมีแต่ศพน่ากลัว ผมเลยรีบเผ่นออกมา”

“แล้วทำไมคุณไม่ถามวิญญาณคนอื่นๆ ล่ะ ว่าต้องทำยังไง”

“ไม่มีใครคุยกับผม คือ... ฟังนะ ผมพยายามแล้วจริงๆ แต่ไม่สำเร็จ คุณนึกออกไหม ตอนนี้ผมเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่แม้แต่วิญญาณยังไม่พูดด้วย ยมบาลก็ไม่มารับหรือเขาอาจจะเอาผมมาปล่อยทิ้งไว้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน หลงไปวนมาอยู่นานแค่ไหนก็จำไม่ได้จนมาเจอคุณนี่แหละที่มองเห็นและคุยกับผมได้เป็นคนแรก ผมงี้โคตรดีใจเลย”

“มิน่าล่ะ ถึงได้จ้อไม่หยุดเลยที่แท้ก็เก็บกดนี่เอง” นรกรพึมพำกับตัวเอง “ก็เลยมาตามติดหนึบเพื่อให้ผมช่วยใช่ไหม”

“จะว่างั้นก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกช่วยก็ไม่เป็นไร ผมขอแค่ให้คุณอยู่เป็นเพื่อนคุยจนกว่าผมจะรู้ว่าต้องทำยังไงถึงไปสู่สุขคติก็ได้”

“ขอโทษนะแต่ผมเป็นหมอรักษาคนไม่ใช่หมอผี คุณไปหาพวกร่างทรงอะไรแบบนั้นดีกว่าไหม”

“พวกเขาอยู่ที่ไหนล่ะ คุณช่วยพาผมไปหน่อยสิ”

“คุณก็ลองทำแบบในหนังที่ แว้บ... หายตัวหรืออะไรแบบนั้นไม่ได้เหรอ”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้าดิก “ก็บอกแล้วไง ว่าผมลองพยายามแล้วไม่งั้นผมจะมาเดินตามคุณต้อยๆ ให้เมื่อยตุ้มแบบนี้เหรอ”

นรกรถอนหายใจ “ก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้เพราะผมต้องทำงาน” พลางพยักเพยิดไปทางป้ายหน้าแผนกตรวจโรคผู้ป่วยนอกที่เขียนว่า ‘แผนกศัลยกรรมประสาทและสมอง’ ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์กำลังวุ่นวายช่วยกันลงทะเบียน จัดคิวผู้ป่วยและวัดสัญญาณชีพ น้ำหนัก ส่วนสูงเตรียมพร้อมเพื่อรอให้หมอตรวจ

“งั้นผมไปด้วย” บอกอย่างกระตืนรือร้น

“ไม่ได้”

“ทำไมละครับ”

“เพราะคุณกำลังละเมิดสิทธิ์ผู้ป่วยโดยการเข้าไปแอบฟังน่ะสิ”

“ผมเป็นผีนะ ผมจะทำอะไรได้” ร่างโปร่งแสงโอดครวญ “ขอผมเข้าไปด้วยนะๆ ผมจะนั่งเฉยๆ เป็นกุมารทองเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน แถมไม่ต้องบนน้ำแดงด้วยเพราะผมกินไม่ได้... คุณอย่าทิ้งผมไว้ข้างนอกเลยนะ นะ น้า~”

“ทำไม” ถามอย่างเหนื่อยหน่ายจะต่อกร ตอนนี้เก้าอี้หน้าห้องรอตรวจของเขามีคนไข้นั่งเต็มจนต้องยืนต่อคิว และวันนี้เขาก็มีคนไข้ที่นัดไว้ 50คน นั่นยังไม่รวมคนที่มาไม่ตรงวันนัด คนไข้ใหม่ที่ไม่ได้นัดซึ่งต้องตรวจให้เสร็จก่อนไปเข้าเคสผ่าตัดตอนบ่ายโมงตรง

“ผมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว... ผมเหงา”

แววตาเศร้าสร้อยกับเสียงชวนหดหู่ซึ่งไม่ได้เสแสร้งทำให้ใจที่แข็งเป็นหินยอมเอื้อมมือไปเลื่อนประตูห้องตรวจเปิดออกพร้อมกับพยักเพยิด ร่างโปร่งแสงยิ้มแก้มแทบปริและรีบผลุบเข้าไปเมื่อร่างสูงในชุดกาวน์สั้นเดินงุ่นง่านมาตามทางเดิน

หมอแต่ละสาขาจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคล้ายๆ กับเป็นยีนเด่นของวงศ์ตระกูล และสำหรับครอบครัวศัลยกรรมคือขนาดตัว ถ้าไม่ขึ้นไปทางความสูงก็ออกไปทางความกว้าง นิสัยค่อนข้างดิบ เซอร์ไปจนถึงเถื่อนมากถึงมากที่สุด และวินทร์ก็เก็บรายละเอียดทุกอย่างนั้นมาจนครบถ้วน เขามีหุ่นขนาดน้องๆ หมี ไม่ได้อ้วนแต่สูงใหญ่ ไหล่กว้าง เอวสอบ ผมรองทรงยาวระต้นคอ ใบหน้าคมอุดมด้วยไรหนวดเขียวครึ้มตลอดเวลาจากการเข้าเคสผ่าตัดเป็นเวลานานทำให้ไม่มีเวลาโกนจนใครๆ พากันแซวว่านั่นน่าจะเป็นตะไคร่น้ำเกาะคางมากกว่าแต่เจ้าตัวก็ยังแถจนตกคลองไปได้ว่ามันเป็นสไตล์ของเขาที่ไม่คิดจะโกนทิ้งง่ายๆ

และถ้าวินทร์เป็นยีนเด่น นรกรก็คงเป็นยีนด้อย ถึงจะสูงพอๆ กันแต่ก็ผอมบางจนดูเก้งก้าง ผิวขาวจัดเพราะแทบไม่เคยโดนแดด อันที่จริงนอกจากแสงไฟนีออนกับไฟดวงกลมในห้องผ่าตัดแล้วก็คงมีแค่แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์เท่านั้นที่ตกกระทบผิว ประกอบกับแว่นตาหนาเตอะและผมสีอ่อนที่ยาวปรกหน้าทำให้เขาดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองมากกว่าจะเป็นหมอ

ร่างสูงเท้าแขนลงบนกรอบประตูพลางยกมือขึ้นปิดปากหาวก่อนจะเการักแร้แล้วยกขึ้นดมทำจมูกฟุดฟิดอย่างไม่อายสายตาเจ้าหน้าที่และคนไข้ที่นั่งรอเต็มหน้าห้องตรวจ “ว่าไงฮาร์ฟ เมื่อคืนหลับสบายไหม”

“ครับพี่วินทร์”

“คงจะสบาย วันนี้ไม่พกแพนด้าน้อยมาทำงานด้วย” ไม่พูดเปล่าคนอายุมากกว่ายังถือวิสาสะเอื้อมมือมาใช้ปลายนิ้วโป้งไล้เบาๆ ที่ใต้ขอบตาก่อนจะช่วยจัดแว่นตาวางให้ได้ตำแหน่ง “ขี้ตาติดอยู่น่ะ” แกล้งพูดไปอย่างนั้นทั้งที่จริงไม่มีอะไรติดอยู่สักนิด

“ขอบคุณครับ” ตอบอย่างไม่ใส่กับสกินชิพแปลกๆ พร้อมกับหมุนตัวเพื่อเข้าห้องเมื่อมือใหญ่เอื้อมมารั้งสายหูฟังข้างหนึ่งไปจ่อที่ข้างหูตัวเอง

“ไม่ได้เปิดเพลงแล้วใส่หูฟังทำไม”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่อยู่หลังประตูอึดใจ “เอ่อ... เปล่า... คือเพลงมันจบพอดี”

“เหรอ” น้ำเสียงคล้ายไม่เชื่อทั้งที่อมยิ้มน้อยๆ แทบไม่มีเวลาไหนที่จะไม่เห็นนรกรเสียบหูฟังจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวกำลังฟังอะไรอยู่หรือแค่เสียบไว้เฉยๆ เพราะโลกส่วนตัวสูงไม่อยากคุยกับคนอื่น “วันหลังขอฉันฟังบ้างสิว่านายฟังเพลงอะไร”

“ก็แค่เพลงน่าเบื่อน่ะครับ”

“ก็แค่อยากฟัง” วินทร์ยิ้มมุมปากก่อนจะเสียบหูฟังคืนให้และเดินเข้าไปในห้องตรวจที่อยู่ติดกัน

“ดีจัง” ร่างโปร่งแสงที่ตอนนี้ยึดเก้าอี้ว่างตรงมุมห้องซึ่งมีไว้เผื่อนักศึกษาแพทย์เข้ามาสังเกตการณ์พูดขึ้น

ทีแรกนรกรคิดว่าการที่ ‘เจ้าสิ่งที่ตามเขามา’ จะทำให้บรรยากาศรอบตัวดูอึมครึมและรู้สึกเย็นลงตามข้อมูลที่อ่านเจอมาในอินเตอร์เน็ตระหว่างเข้าห้องน้ำ แต่กลับกันนอกจากจะไม่รู้สึกเย็นเขายังรู้สึกว่าตรงจุดที่ร่างโปร่งแสงนั่นนั่งอยู่คล้ายกับดูสว่างเรืองๆ ขึ้นนิดหน่อย เหมือนแสงที่ตกกระทบผ่านปริซึมแต่แทนที่จะแยกออกเป็นเฉดสีรุ้งกลับออกมาเป็นรูปร่างมนุษย์

“อะไร”

“ก็พวกคุณดูสนิทสนมกันดีนี่ เรียกชื่อเล่นด้วย ผมเองก็อยากสนิทกับคุณแบบนั้นบ้างจัง ไม่อยากเรียกคุณๆ แบบนี้เลย”

“ก็เรียกสิ ไม่ได้จดลิขสิทธิ์สักหน่อย แค่ชื่อแปลกๆ เอง”

“แปลกตรงไหน ผมว่าชื่อคุณเพราะดีออก”

เจ้าของชื่อนิ่งขึงไปอึดใจ ฝ่ามือที่กำลังพลิกหน้าแฟ้มผู้ป่วยชะงักค้าง นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบขึ้นมองป้ายชื่อตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ

“นรกร... ตั้งแต่จำความได้ผมพยายามเปิดตำราเพื่อหาความหมายของมัน และสิ่งที่ผมค้นพบคือมันไม่มีความหมาย ต่อให้พยายามแยกคำ รากศัพท์ของมันคือ ‘นรก’ กับ ‘กร’ คุณคงไม่ต้องให้ผมรวมให้ฟังใช่ไหมว่ามันแปลว่าอะไร ส่วนชื่อเล่น ฮาร์ฟ แปลว่าครึ่ง... ครึ่งอะไรดีล่ะ อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไหวไหล่ครั้งหนึ่ง นั่นคือความพยายามอย่างที่สุดแล้วนอกเหนือจากการเฝ้าถามพ่อกับแม่ที่ยืนยันคำเดิมว่าให้ค้นหามันด้วยตัวเอง

“ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้นี่ครับ” ร่างโปร่งแสงไหวไหล่ แม้จะไม่เหลือความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับตัวเองบนโลกแม้แต่ชื่อ แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนที่แปลชื่อตัวเองว่า ‘นรก’ จะมีความทรงจำที่ดีกับมันหรือคนที่ตั้งมันสักเท่าไหร่ “บางสิ่งก็ไม่จำเป็นต้องมีความหมาย แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ ‘เกิด’ ขึ้นมาแล้วย่อมดี เหมือนกับการที่เราได้พบกันไง”

“จริงเหรอ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เหมือนหัวใจได้รับการปลอบประโลม แล้วก็นึกขันเล็กๆ ว่าทำไมจู่ๆ ก็เอ่ยหนึ่งในเรื่องที่อยู่ลึกสุดในหัวใจให้คนแปลกหน้าฟังได้ง่ายดาย ขนาดวินทร์ที่ทำงานด้วยกันมาห้าปียังไม่รู้เลยแท้ๆ หรือบางทีอาจเป็นเพราะมันเหมือนเขากำลังพูดอยู่กับตัวเองมากกว่าจะเป็นคนอื่น

“จริงสิ หมอฮาร์ฟ”

“เรียกฮาร์ฟเฉยๆ ก็พอ”

“ฮาร์ฟฟฟ~”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบมองยิ้มหวานที่แถมมากับเสียงกังวานใส นรกรส่ายศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่งพลางเปิดแฟ้มในมืออีกครั้งก่อนจะนั่งหลังโต๊ะตรวจและเริ่มต้นเรียกคนไข้คิวแรกให้เข้ามา

“หมอฮาร์ฟสวัสดีค่ะ” เสียงหวานเจื้อยแจ้วดังมาก่อนจะเห็นตัว ลลินเป็นเด็กสาวอายุ18ปีแต่ตัวเล็กและหน้าอ่อนกว่าวัยเหมือนเด็กประถมจากการมีก้อนเนื้องอกไปกดการทำงานของสมองส่วนหน้าซึ่งมีหน้าที่ผลิต Growth Hormone ที่ควบคุมการเจริญเติบโต

“สวัสดีครับ วันนี้มาแอดมิทเตรียมผ่าตัดพรุ่งนี้นะ”

“ค่ะ” ลลินพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เธอเป็นคนไข้ในความดูแลของเขาตั้งแต่เรียนแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งและเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงมาตรวจตามนัดสม่ำเสมอไม่เคยหนีไปไหนไม่ว่าจะทั้งในแง่ของตายจากหรือหายดี

เขายังจำได้เสมอวันที่เจอกันครั้งแรกเธอตัวเล็กกว่านี้เกือบครึ่ง นั่งจับเข่าขัดสมาธิอยู่บนเตียงเอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างทว่าพอเขาถามว่ามองอะไรก็กลับหันมาพูดจ้อไม่หยุด

‘มองพระจันทร์ค่ะ หนูชื่อลลินแปลว่าพระจันทร์... พระจันทร์เต็มดวงโต๊โตด้วยนะคะไม่ใช่จันทร์เสี้ยวเล็กๆ’

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันพลางเหลือบมองท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ยังคงส่องกระจ่าง

‘คุณหมอนรกรจะมาเป็นหมอคนใหม่ที่ดูแลหนูแทนหมอนิรมลที่จบไปแล้วใช่ไหม คุณหมอชื่อแปลกจังแปลว่าอะไรคะ’

เพราะเป็นคนคุยไม่เก่งซ้ำยังไม่รู้ความหมายของชื่อตัวเองจึงตอบไปเพียงสั้นๆ ‘เรียกหมอฮาร์ฟก็ได้ครับ’

แล้วเธอก็ยิ้มกว้างให้เขา ยิ้มประหนึ่งพระจันทร์ข้างขึ้นบนท้องฟ้าและยังคงเป็นเช่นนี้ตลอดห้าปีแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอาการของตัวเองนั้นมีแต่ทรงกับทรุด

การตรวจเป็นไปอย่างเรียบร้อย ร่างโปร่งแสงนั้นทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัดแม้แต่ตอนที่เขาขอให้คนไข้ถอดเสื้อเพื่อฟังเสียงปอดก็ยังอุตส่าห์หันหลังให้แม้จะเป็นผู้ชาย แต่บางทีก็เข้ามาด้อมๆ มองๆ จ้องดูวิธีการที่ใช้ตรวจเส้นประสาทต่างๆ อย่างสนอกสนใจจนเขาเกือบจะเผลอหันไปเรียกมาสอนหลายต่อหลายครั้งเพราะคิดว่าเป็นนักศึกษาแพทย์จริงๆ มานั่งดู

คนไข้คนสุดท้ายกลับออกไปนรกรจึงได้มีโอกาสเอนหลังพิงพนักเก้าเพื่อพักช่วงสั้นๆ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่านข้อมูลที่หาค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า

“คุณหมอยังไม่กลับเหรอครับ ได้เวลาปิด OPDแล้วนะ” พยาบาลหนุ่มคนหนึ่งเยี่ยมหน้าเข้ามาบอก

“อีกสักครู่นะครับ” คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ทำงานที่นี่มาห้าปีแต่เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน

“อธิษฐ์” เสียงพึมพำดังแทรกมาจากเก้าอี้ด้านหลังราวกับจะตอบคำถามในหัว

เหลียวดูร่างโปร่งแสงอึดใจก่อนจะหันมาสบคนในชุดขาวที่ยังคงยืนอยู่ เพื่อเป็นการเช็กให้แน่ใจนรกรจึงเอ่ยปากถาม “คุณเพิ่งมาใหม่เหรอครับ ทำไมผมไม่คุ้นหน้าคุณเลยล่ะ”

“เปล่าครับ” พยาบาลหนุ่มตอบ “ปกติผมทำงานอยู่วอร์ดอายุรกรรมหกวันนี้แค่มาแทนเพื่อนที่ป่วยน่ะครับ หมอจะเรียกโปรดก็ได้”

“แล้วชื่อจริงล่ะครับ”

พยาบาลหนุ่มเหลือบมองหน้าอกตนที่วันนี้ลืมติดป้ายชื่อมา “อธิษฐ์ครับ”

“อาทิตย์?” นรกรถามย้ำให้แน่ใจ

“ไม่ใช่ครับ... อธิษฐ์ ที่มาคำว่าอธิษฐานครับ”

“ถึงได้ชื่อโปรดสินะ”

“ครับ”

“เดี๋ยวผมขอดูประวัติคนไข้อีกแป๊บนะครับ”

“หมอศัลย์นี่ขยันกันทุกคนเลยนะครับ” อธิษฐ์บอก “เมื่อกี้ผมไปหาหมอวินทร์มาก็พูดแบบนี้เลย”

ทันที่ผู้ชายคนนั้นกลับออกไปนรกรก็หันควับไปหาคนข้างหลัง “คุณรู้จักเขาเหรอ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!” แม้แต่ผีเองก็ยังตกใจตัวเองไม่น้อย “จู่ๆ ชื่อของเขาก็ผุดขึ้นมาในหัว จริงนะๆ หรือว่าผมจะรู้จักเขาและบางทีเขาอาจจะรู้จักผมก็ได้นะ เราลองไปถามเขาดูไหม”

“คุณชื่ออะไรยังไม่รู้แล้วจู่ๆ จะให้ผมเดินดุ่มๆ ไปถามเขาว่าอะไรล่ะ”

“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ โอยยย ช่วยกันคิดหน่อยสิคุณ ผมร้อนใจอะ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเหลือบลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง มันตวัดไปมาได้รวดเร็วพอๆ กับนิ้วเรียวที่สไลด์ไปบนหน้าจอก่อนจะสรุปบทความยาวเหยียดที่เพิ่งค้นหาได้ให้ฟัง “ผมว่าเราต้องพาคุณไปหาผู้มีสื่อกับวิญญาณ... เรียกง่ายๆ ก็หมอผีนั่นแหละ”

“แล้วเราจะไปหาที่ไหน”

“ไม่รู้” นรกรตอบสั้นๆ

ร่างโปร่งแสงหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยก่อนจะถอยไปนั่งลงบนเก้าอี้เฝ้าดูคุณหมอหนุ่มที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์และไม่พูดอะไรอีกก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ อย่างสิ้นหวัง

ให้ตายสิ! นี่เขาเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมถึงต้องมาติดแหงกอยู่ที่โรงพยาบาลบ้านี่ด้วย

คิดด้วยความท้อแท้เมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นจากคนที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่เป็นนานจนเขาต้องลุกขึ้นไปเกาะขอบโต๊ะเพื่อฟังใกล้ๆ ให้แน่ใจ

“อทิฏฐ์”

“คุณว่าอะไรนะครับ”

“ชื่อคุณไง” นรกรพูดซ้ำอีกครั้งพร้อมกับกดแป้นพิมพ์และหันหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู “ก็คุณไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไรจะให้เรียกคุณๆ แบบนี้ก็แปลกๆ ใช่ไหมล่ะ งั้นก็ใช้ชื่อเดียวกับชื่อแรกที่นึกออกไปละกัน แต่ผมกลัวจะซ้ำเพราะฉะนั้นชื่อของคุณจะสะกดด้วย ‘ฏ’ กับ ‘ฐ’ การันต์แปลว่าผู้มองไม่เห็น แบบนี้โอเคไหม”

เขามองคนตรงหน้าอย่างซึ้งใจ ภายใต้ท่าทีที่เหมือนไม่แยแสแต่กลับใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้  “ขอบคุณนะครับ”

“เป็นแค่ผีไม่ต้องยิ้มขนาดนั้นก็ได้” นรกรพ่นลมออกจมูกอย่างนึกขันกับท่าทางที่เหมือนเด็กเล็กๆ ได้ของเล่นถูกใจ

“แต่อทิฏฐ์ มันเรียกยากอะคุณ มีชื่อจริงแล้วก็ต้องมีชื่อเล่นสิ”

“ก็ทิดไง”

“หูย ชื่อจริงออกเพราะไหงชื่อเล่นบ้านนอกจัง ไม่เอาอะเอาชื่ออื่น”
“ไม่รู้ คิดไม่ออกแล้ว ไม่ชอบก็คิดเองสิ”

“คนไข้หมดแล้วไปกินข้าวกันเถอะฮาร์ฟ” เสียงของวินทร์ดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับที่เจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู

นรกรปิดหน้าจอโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าในขณะที่อทิฏฐ์ถอยหลังไปนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม “ขอบคุณที่ชวนครับพี่วินทร์ แต่ผมอยากไปห้องสมุดมากกว่า พอดีมีหนังสือที่อยากได้มาอ้างอิงงานวิจัยเพิ่มหน่อย”

“ห้องสมุด?” วินทร์ทวนคำพร้อมกับพลิกดูนาฬิกาข้อมือ ห้องสมุดที่ว่าอยู่แค่ชั้นบนสุดของตึกเดียวกันนี้ก็จริงทว่าโรงอาหารนั้นอยู่อีกตึก “แต่เรามีเวลาแค่สามสิบนาทีก่อนไปห้องผ่าตัดให้ทันนะ”

“ทันเหลือแหล่ครับ ผมเล็งไว้แล้วว่าจะเอาเล่มไหนบ้าง”

“ไม่เอาน่าฮาร์ฟ นายไม่จำเป็นต้องลงทุนอดหลับอดนอน ไม่กินข้าวปลาเพื่อมันขนาดนั้น แค่นี้งานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วยมะเร็งสมองของนายก็เพอร์เฟคจนไม่รู้จะเพอร์เฟคยังไงแล้ว”
“มันยังไม่พอหรอกครับ”

วินทร์ถอนหายใจเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก เขาไม่ใช่เพื่อนสนิทของนรกร อันที่จริงเขาแทบไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมากไปกว่าเป็นแพทย์ประจำบ้านร่วมรุ่นที่มีอยู่แค่สามคน และเขาก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องที่นรกรมีปัญหากับพ่อและแม่ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ด้านศัลยกรรมประสาทและสมองชื่อดังมากไปกว่าเสียงซุบซิบนินทาของคนอื่นๆ จนควรสอดปากสอดคำ แต่เขาปล่อยให้คนตรงหน้าทำร้ายสุขภาพตัวเองมากไปกว่านี้ไม่ได้
“ฟังนะฮาร์ฟ นายไม่จำเป็นต้องทำเพราะ ‘เขา’ ไม่ใช่กรรมการ และเขาไม่มีทางมาร่วมฟังผลงานวิจัยของนายต่อให้มันดีเลิศเลอแค่ไหน นายก็รู้นี่ว่านายไม่มีวันเรียกร้องความสนใจเขาด้วยวิธีนี้ได้”

นรกรหันควับมาทันที ทุกคำที่วินทร์พูดไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่แต่มันแทงใจดำเขาจนจุกอกไปหมด “ผมไม่ได้ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากใคร ผมแค่อยากทำให้มันออกมาดีที่สุด”

   “งั้นก็ตามใจนาย อยากทำอะไรก็เชิญแต่อย่ามาถ่วงแข้งถ่วงขาฉันหรือทำอะไรผิดพลาดตอนผ่าตัด!” แล้ววินทร์เดินย่ำเท้าหนักๆ ออกไปโดยไม่หันมามองซ้ำสอง

   “ขอโทษนะครับผมไม่ได้ตั้งใจฟังแต่ถ้าคุณอยากระบายผมว่าผมเป็นนักฟังที่ดีพอนะ” ร่างโปร่งแสงเอ่ยขึ้นเบาๆ รู้ทันทีว่าไปได้ยินกับระเบิดในใจที่ไม่สมควรเข้าเสียแล้ว

   นรกรเม้มปากจนเป็นเส้นบางก่อนจะพูดอีกครั้งถึงริมฝีปากจะไม่สั่นแต่น่าแปลกที่เสียงทุ้มนั้นกลับไม่หนักแน่นและชัดเจนเหมือนอย่างเคย “ช่วยตามมาเงียบๆ ระหว่างผมไปเอาหนังสือ หรือไม่ก็ไปรอที่ห้องผ่าตัดได้ไหมครับ”

   “ผมเลือกข้อแรก”

oooooo

   เพราะสองมือที่หอบหิ้วตำราทางการแพทย์เล่มหนาที่ซ้อนกันสูง
เกือบถึงคางทำให้ร่างโปร่งในชุดกาวน์สั้นต้องใช้หลังดันประตูเปิดออกก่อนจะดันตัวเองผ่านเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างยากเย็น นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกวาดมองไปรอบห้องซึ่งว่างเปล่าก่อนจะเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังแล้วผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก เขายังเหลือเวลาอีกห้านาทีเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งไปห้องผ่าตัด

นรกรกำลังจะเดินเอาหนังสือไปเก็บเมื่อท้องเริ่มร้องเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงนอกจากน้ำเปล่าตั้งแต่เมื่อวานเย็น รู้สึกตัวเบาโหวงจนเซไปข้างหน้านิดๆ จึงเอาศีรษะพิงกับผนัง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ” อทิฏฐ์กระซิบถาม

“หน้ามืดนิดหน่อย สงสัยน้ำตาลจะต่ำน่ะ” พยายามยืนให้ตรงและเดินไปให้ถึงตู้ล็อกเกอร์เมื่อเสียงทุ้มที่เกือบจะดุดังขึ้นข้างหลัง

“ฮาร์ฟ!”

ร่างโปร่งออกสะดุ้งเล็กน้อยและหันไปตามเสียงเห็นวินทร์ซึ่งเปลี่ยนชุดเรียบร้อยยืนอยู่ที่กรอบประตูซึ่งเชื่อมกับทางเดินไปห้องผ่าตัดในมือถือแซนวิซคู่หนึ่งยื่นมาตรงหน้า

“กินซะ!”

   นัยน์ตาหลังกรอบแว่นมองร่างสูงในชุดหมีสลับกับขนมปังในมือ ถึงจะเสียงดังแต่มันไม่ได้เจือความโกรธและฟังดูเกือบๆ จะเป็นการขอร้องด้วยซ้ำ

“ขอบคุณครับ” นรกรวางตั้งหนังสือในตู้ล็อกเกอร์และเดินไปรับแซนวิซมาแกะออกดู มันยังอุ่นๆ และอัดแน่นด้วยไส้ไข่หวานผสมชีสจนล้นทะลัก จริงอยู่ว่าเขาไม่ใช่คนกินยากแต่น่าแปลกที่แต่ไหนแต่ไรมาแล้วถ้าซื้ออะไรมาฝากวินทร์มักจะเลือกได้ของที่เขาชอบมาให้เสมอทั้งที่ไม่เคยบอก

“ฉันจะไปเปิดกะโหลกรอนะ นายกินเสร็จแล้วก็รีบตามไปช่วยงมหาไอ้ก้อนมะเร็งนั่นด้วยล่ะ”

   “ผล CT scanแสดงให้เห็นก้อนเนื้อที่อยู่ตรงซีรีเบลลัมติดกับก้านสมอง... ค่อนข้างลึกแล้วก็ผ่ายากมากทีเดียว”

   “เพราะฉะนั้นเราถึงต้องการนายไง ฉันทำคนเดียวไม่ได้” วินทร์ระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตรงหน้าเคี้ยวแซนวิซตุ้ยๆ จนแก้มโย้ไปข้าง “ฮาร์ฟ รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงซื้อขนมปังมาให้นาย”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันนึกแปลกใจที่จู่ๆ มาถามลองภูมิอะไรแบบนี้ “เพราะการย่อยสลายแป้งทำให้ได้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวคือกลูโคสซึ่งแหล่งพลังงานเพียงชนิดเดียวที่สมองสามารถนำไปใช้ได้”

“ผิด!” ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีก วินทร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจ้องมองคนตรงหน้าราวกับพยายามจะมองผ่านเลนส์แว่นตาหนาเตอะไปให้ถึงอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างหลังนั่น ไม่จำเป็นต้องถึงหัวใจ เพียงแค่อยากให้รับรู้ในสิ่งที่เขากำลังพูดออกไป “มันไม่ใช่น้ำตาลแต่มันคือน้ำใจต่างหาก” พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยเช็ดเศษขนมปังที่ติดตรงมุมปากก่อนจะกลับหลังหันเดินไปห้องผ่าตัด “รีบตามมานะพ่อนักเรียนดีเด่น”

“มันไม่ใช่น้ำตาลแต่มันคือน้ำใจ” ร่างโปร่งแสงที่เงียบฟังอยู่นานปราดเข้ามาพ่นลมใส่ข้างหูคนที่ยืนเหวอไปทันที “ไม่เสี่ยวจริงคิดไม่ได้นะมุกนี้”

“ทิด” นรกรกระซิบลอดไรฟัน “ผมยอมให้คุณเป็นผี และจะคิดหาชื่อเล่นใหม่ให้ด้วยโดยมีข้อแม้ว่า ‘หยุดพูดซะ’”

“โอเค๊~” อทิฏฐ์ทำท่ารูดซิปปิดปากฉับทั้งที่ยังกลั้นยิ้มจนหน้าขึ้นริ้วก่อนจะถอยไปยืนรอที่มุมห้อง

นรกรกัดคำขนมปังต่อไปเงียบๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวินทร์เป็นห่วงเขามากขนาดไหน ถึงจะบริสุทธิ์ใจแต่บางทีมันก็มากเกินไปสำหรับคนอย่างเขา... มากเกินไปจนเขากลัวที่จะรับมันไว้ และไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนความหวังดีนั้นยังไงถึงจะคู่ควร

**********************************TBC**************************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 1Deny [08/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-01-2016 02:15:12
ยินดีด้วยที่มาเปิดเรื่องใหม่ค่ะ

รู้สึกถึงพลังลึกลับบางอย่างมาจากพี่วินทร์ที่มีต่อฮาล์ฟค่ะ
ว่าแต่พ่อแม่ฮาล์ฟคิดยังไงตั้งชื่อลูกว่านรกร?

พี่ทิดของเราเป็นวิญญาณคนเป็นหรือเปล่าคะ?
คือคนที่ยังไม่ตายแต่อยู่ในภาวะโคม่าแล้ววิญญาณก็หลุดออกจากร่างออกมา
ถึงไปไหนไม่ได้  ไม่เข้าพวกกับหมู่ที่ละสังขารไปแล้ว
คนละแบบกับวิญญาณคนเป็น (ikiryō) ตามความเชื่อของญี่ปุ่น
เรามโนเอาเล่นๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 1Deny [08/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 08-01-2016 03:19:41
ทิดต้องเป็นเหมือนวิญญาณที่กลับเข้าร่างไม่ได้ แบบร่างกายโคม่าไรงี้ไหมนะ แล้วก็ยังเป็น นศษ.แพทย์หรือเป็นหมอด้วยรึป่าว
แล้ววินทร์นี่คิดไรกะฮาร์ฟใ9่ป่าว

รอดูต่อไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 1Deny [08/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-01-2016 21:44:24
ยินดีด้วยที่มาเปิดเรื่องใหม่ค่ะ

รู้สึกถึงพลังลึกลับบางอย่างมาจากพี่วินทร์ที่มีต่อฮาล์ฟค่ะ
ว่าแต่พ่อแม่ฮาล์ฟคิดยังไงตั้งชื่อลูกว่านรกร?

พี่ทิดของเราเป็นวิญญาณคนเป็นหรือเปล่าคะ?
คือคนที่ยังไม่ตายแต่อยู่ในภาวะโคม่าแล้ววิญญาณก็หลุดออกจากร่างออกมา
ถึงไปไหนไม่ได้  ไม่เข้าพวกกับหมู่ที่ละสังขารไปแล้ว
คนละแบบกับวิญญาณคนเป็น (ikiryō) ตามความเชื่อของญี่ปุ่น
เรามโนเอาเล่นๆนะคะ

นั่นน่ะสิเราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคั้งแบบนี้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 1Deny [08/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-01-2016 21:45:57
ทิดต้องเป็นเหมือนวิญญาณที่กลับเข้าร่างไม่ได้ แบบร่างกายโคม่าไรงี้ไหมนะ แล้วก็ยังเป็น นศษ.แพทย์หรือเป็นหมอด้วยรึป่าว
แล้ววินทร์นี่คิดไรกะฮาร์ฟใ9่ป่าว

รอดูต่อไป
ขอบคุณค่า~ ติดตามกันไปยาวๆ นะค้า~
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 1Deny [08/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-01-2016 21:46:42
บทที่ 2 Anger

“เสร็จแล้วครับคุณป้า เดี๋ยวเอาแฟ้มไปคืนพยาบาลที่เคาน์เตอร์แล้วเอาใบสั่งยานี่ไปรับยาที่ห้องจ่ายยานะครับ”

“รับยาไปห้องยาแล้วถ้ารับหมอฮาร์ฟกลับบ้านนี่ต้องไปห้องไหนครับ”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ปราดเข้ามานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจทันทีที่คนไข้คนสุดท้ายลุกออกไป พอผ่านไปเกือบสัปดาห์เขาเริ่มชินแล้วกับการมีวิญญาณตามเฝ้าหรือบางทีก็ผลุบเข้าผลุบออกโดยไม่บอกกล่าว “ให้เดานะผมว่าตอนเป็นมนุษย์ถ้าคุณไม่ใช่นักพูดก็เป็นตลกคาเฟต์ หน้าตาก็ดีแต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”

“นี่คุณกำลังชมผมว่าหน้าตาดีเหรอ” อทิฏฐ์ตาลุกวาวขึ้นมาทันที “ไหนๆ อธิบายให้ฟังหน่อยสิว่าผมหน้าตาเป็นยังไง” เป็นผีมาหลายเพลาหน้าตาตัวเองเป็นยังไงก็ไม่รู้ เคยพยายามทั้งส่องกระจกหรือยื่นหน้าลงไปดูตามแอ่งน้ำก็ไม่มีเงาให้เห็น

นรกรขยับแว่นและเพ่งดูร่างตรงหน้า “ไม่รู้สิ บอกตามตรงนะผมก็เห็นหน้าคุณไม่ชัดหรอก แค่เห็นเป็นเงาลางๆ คล้ายๆ ภาพสเกตซ์น่ะ หน้ารูปไข่ ตาเรียว คิ้วหนา ปากกระจับไว้ผมรองทรง”

“คุณกำลังอำผีเล่นใช่ไหมเนี่ย” อทิฏฐ์แยกเขี้ยวใส่พลางชี้ไปที่ปฏิทินตั้งโต๊ะซึ่งนายแบบคนนั้นตรงตามรูปพรรณสัณฐานที่ว่ามาทุกอย่าง

“นี่อุตส่าห์ชมว่าหน้าเหมือนณเดชเลยนะยังไม่ดีใจอีกเหรอ”

อทิฏฐ์ทำหน้าหงิกและเท้าคางลงบนโต๊ะ “ถ้าเป็นตอนปกติคงดีใจมั้ง แต่ตอนนี้ไม่เลยสักนิด เอาจริงๆ นะผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครจะพิการหน้าตาอัปลักษณ์ยังไงก็ได้อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย”

จริงๆ แล้วนรกรไม่ได้โกหกเลยแต่ถ้าคนตรงหน้าจะคิดแบบนั้นเขาก็ขอตามน้ำแกล้งเล่นอีกสักนิดละกัน “ไหนลองยืนขึ้นสิแล้วก็กางแขนสองข้างออก”

ถึงจะงงๆ แต่อทฏิฐ์ก็ยอมทำตามก่อนจะตบมือฉาด “เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งพูดนะ ผมรู้แล้วว่าคุณจะมามุกไหน คุณกำลังจะใช้ Golden Ratio มาวัดความหล่อให้ผมใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เอาล่ะคิดเสร็จแล้วก็บอกมาว่าผมหล่อแค่ไหน” พร้อมกับกอดอกยักคิ้วใส่มั่นใจในทฤษฎีและเบ้าหน้าของตัวเองสุดฤทธิ์

“เสียใจด้วยนะเพราะผมเป็นหมอไม่ใช่นักคณิตศาสตร์” นรกรว่า “ผมรู้จักดาวินชี รู้ว่าค่าฟีเท่ากับ 1.618 แต่ผมไม่ได้ว่างพอมาจะนั่งคิดคำนวณค่ายิบย่อยอะไรพวกนั้นหรอกนะ”

“อ้าวถ้างั้นคุณให้ผมยืนกางแขนทำไม”

นรกรลุกขึ้นยืนบ้าง เอามือไพล่หลังและเริ่มต้นเดินวนไปรอบๆ “ตามหลักอนาโตมี...”

อทิฏฐ์หัวเราะคิก “มา จะเอาตำราเล่มไหนมาวัดก็ว่ามาคุณสารานุกรมเคลื่อนที่”

“คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”

“สารานุกรมเคลื่อนที่” อทิฏฐ์ทวนคำ “ก็คุณน่ะอะไรๆ ก็ต้องตามตำรา ต้องมีผลงานวิจัยอ้างอิงตลอด ถามจริงนี่เวลาจะมีอะไรกับแฟนต้องเปิดหนังสือปะ”

“ทฤษฎีที่ถูกต้องและแม่นยำนำไปสู่การปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ”

“โอ้แม่เจ้า อย่าบอกนะว่าคุณเปิดตำราจริงๆ น่ะ”

ในขณะที่อทิฏฐ์ตั้งต้นหัวเราะ คนโดนแซวก็เกิดอาการหมั่นไส้ที่จะตอบ นรกรลุกขึ้นเงียบๆ คว้ากระเป๋า และเดินไปที่ประตู

“อ้าวแล้วนั่นคุณจะไปไหนน่ะ คุณยังไม่ได้ตอบเลยนะว่าตกลงผมหล่อไหม แหม~ พูดแทงใจดำแค่นี้ละทำงอน”

นรกรส่งหูฟังเข้าหูและหันหน้ากลับมาครึ่งหนึ่ง “คุณดูดี สูงประมาณ180 อกกว้าง สะโพกแน่นแถมยังมีกล้าม” เว้นวรรคเพื่อกวาดตาดูร่างตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “แต่ไม่หล่อ เพราะความหล่อของผมวัดกันที่จิตใจไม่ใช่หน้าตาและคุณก็ตกตั้งแต่ข้อแรกเลยด้วย”

อทิฏฐ์เกาหัวแกรก “เอาจริงดิ เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันแต่คุณนี่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์ผมได้ตลอดเวลาเลยนะ”

“ไม่ชอบใจก็ไปตามคนอื่น แต่ถ้าไม่... ก็เงียบแล้วตามมา”

อทิฏฐ์ทำท่ารูดซิปปากและวิ่งตามไปก่อนจะเบรกจนตัวโก่งเมื่อบานเลื่อนประตูถูกเหวี่ยงปิดแต่มันกลับทะลุผ่านร่างเขาไปง่ายดาย ...เป็นผีมันดีแบบนี้นี่เอง

ในที่สุดก็ตามมาทันที่หน้าลิฟต์และเขาไม่ต้องเสียเวลาตะโกนเพื่อเรียกร้องความสนใจเลยเมื่ออีกฝ่ายแค่ใส่หูฟังไว้หลอกๆ “ตกลงคุณจะพาผมไปไหน”

เสียงดังติ๊งเบาๆ พร้อมกับประตูโลหะตรงหน้าเปิดออกช้าๆ คุณหมอหนุ่มเหลือบมองทางหางตาพร้อมกับกระซิบลอดไรฟัน “พาไปที่ชอบๆ ไง”

oooooo

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวเข้าตรอกแคบๆ ขับตรงมาได้สักพักก็มาจอดหน้ารั้วไม้ที่ล้อมกรอบบ้านทรงไทยหลังใหญ่ตามคำบอกทางของเนวิเกเตอร์ประจำรถ

“คุณพาผมมาที่ไหนเนี่ย บรรยากาศมันดูอึมครึมน่ากลัวจังเหมือนจะมีผีออกมาเลย” ร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างกันใช้สองมือกอดตัวเองทำท่าขนลุกขนพองพลางกวาดตามองไปโดยรอบอาณาบริเวณที่ค่อนข้างเงียบสงัด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่แบบนี้แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าและความวุ่นวายของเมืองหลวง ท้องฟ้าสีอมแดงในเวลาผีตากผ้าอ้อมประกอบกับเสียงนกกาที่โผบินขึ้นจากต้นไม้พร้อมๆ กันเพื่อกลับรังยิ่งชวนให้รู้สึกหดหู่

“คุณเองก็เป็นผีไม่ใช่หรือไง” นรกรย้อนถามเสียงเรียบพร้อมกับใช้ปลายนิ้วดันแว่นบนสันจมูกให้เข้าที่ “นี่คือบ้านของอาจารย์องค์อินทร์ ในอินเตอร์เน็ตบอกว่าเขาเป็นร่างทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดต่อกับวิญญาณ การปัดเป่าภัยร้ายและภูติผีปิศาจ และเป็นโหราจารย์ที่ดูดวงได้แม่นมาก”

“คุณนี่เมพจริงๆ เลย”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน เป็นผีความจำเสื่อมภาษาอะไรทำไมช่างสรรหาคำอะไรแปลกๆ มาให้ปวดหัวได้เรื่อยเลย “อะไรคือเมพ”

“เป็นคำผสมระหว่างมนุษย์กับเทพไง ตอนนี้ผมรู้แล้วละว่าทำไมพ่อแม่ถึงตั้งชื่อคุณว่าฮาร์ฟ คุณมันอัจฉริยะ!”

“พอๆ เลิกยอแล้วเข้าไปข้างในได้แล้ว”

เมื่อเดินผ่านประตูรั้วไม้ระแนงซึ่งเปิดอ้าอยู่เข้าไป ที่สุดปลายทางของถนนโรยกรวดซึ่งสองข้างทางปกคลุมด้วยต้นไม้สูงคือบ้านไม้สักใต้ถุนสูงตามแบบธรรมเนียมไทยแท้ๆ นอกจากอีกาตัวโตที่เกาะอยู่บนยอดกาแลส่งเสียงร้องกาๆ กับเสียงลมที่พัดวนอยู่รอบๆ ก็ไม่มีกระแสเสียงใดอีก มันดูเงียบสงัดเกินกว่าจะมีคนอาศัยอยู่ ถ้าไม่ติดว่าเห็นประตูที่เปิดไว้และมีคนราวสามถึงสี่คนกำลังนั่งมอบกราบกันอยู่บนเรือนทั้งสองก็คงชวนกันกลับเป็นแน่แท้

“เขาคงกำลังทำพิธีกันอยู่ ในอินเตอร์เน็ตบอกไว้ว่าอาจารย์ไม่ชอบเสียงดังเพราะจะไปรบกวนกระแสจิตในการติดต่อกับวิญญาณ” อธิบายพอเป็นพิธีก่อนจะเดินนำเข้าไป

เมื่อไปถึงตีนบันได ชายในชุดนุ่งขาวห่มขาวหน้าตาถมึงทึงก็โผล่มาจากที่ไหนไม่ทราบเข้ามาประชิดตัวจากทางด้านหลังจนนรกรเผลออุทานลั่น “คุณจะทำอะไรเนี่ย!”

ชายคนนั้นไม่ตอบเพียงยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นการบอกให้เงียบ นรกรรีบยกมือขึ้นปิดปากและผงกศีรษะขอโทษ ชายในชุดขาวชี้มือไปที่อ่างน้ำข้างบันไดที่เตรียมไว้ให้ล้างเท้ากับชั้นวางรองเท้าก่อนจะเดินเข้าใต้ถุนบ้านไป เขารีบทำตามอย่างว่าง่ายกำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดชายคนเดินก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับธูปกำใหญ่ในมือเขาเอาวนรอบตัว กลิ่นหอมเอียนกับควันที่พวยพุ่งทำให้นรกรไอโขลกจนน้ำตาไหลอาบแก้มและต้องใช้สองมือปิดปากปิดจมูกแน่น พยามส่งสัญญาณบอกให้พอ แต่ชายคนนั้นก็ไม่มีทีท่าจะหยุดจนกระทั่งวนครบสามรอบจึงยอมถอยฉากเดินกลับเข้าใต้ถุนบ้านไป

เขาไต่ราวบันไดแคบๆ ขึ้นไปจนถึงบนเรือนที่มีคนนั่งอยู่แน่นขนัดผิดกับที่เห็นจากข้างนอก กำลังลังเลว่าควรนั่งลงตรงไหนหรือจะทำอย่างไรต่อไป ลมก็พัดเอาควันธูปจากกระถางใบโตหน้ารูปปั้นของสิ่งที่คล้ายยักษ์ซึ่งตั้งอยู่กลางชานบ้านมาทำให้สำลักอีกครั้ง นัยน์ตาหลังกรอบแว่นแดงจนร้อนและเจ็บหน้าอกจากการไอไม่หยุด

ชายนุ่งขาวห่มขาวอีกคนเดินเข้ามาประกบ “อาจารย์เชิญคุณด้านใน”

“แค่ก! แค่ก! แต่มันลัดคิวคนอื่นนี่ครับ แค่ก!”

ชายนุ่งขาวยกมือขึ้นแตะริมฝีปากพร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญเป็นการตัดบท

“ไหวไหมคุณ” อทิฏฐ์กระซิบด้วยความเป็นห่วงแต่ก็อดตื่นเต้นที่จะได้คนเจอคนที่น่าช่วยไขปริศนาชีวิตให้เขาไม่ได้

นรกรหันไปพยักหน้าให้ก่อนจะเดินแทรกคนที่ออกันแน่นตามไปเงียบๆ ได้ลัดคิวก็ดีเหมือนกันเขาอยากออกไปจากที่นี่ใจจะขาดแล้ว

ชายชุดขาวพาเขามาที่หน้าประตูห้องหนึ่งและผายมืออีกครั้ง เมื่อเขาก้าวธรณีประตูเข้าไปก็ดึงประตูปิดตามหลังโดยไม่ยอมพูดอะไรเช่นเคย บรรยากาศในห้องนั้นอวลไปด้วยกลิ่นน้ำมันก๊าดและสว่างไสวด้วยแสงไฟจากตะเกียงจ้าวพายุอันใหญ่ตรงมุมห้อง ผนังทั้งสี่ด้านประดับประดาด้วยลูกแก้วอันใหญ่ หัวกะโกลก ไปจนถึงพวงลูกประคำน้อยใหญ่ดูน่าขนหัวลุกเหมือนในหนังสยองขวัญที่หาดูได้ทั่วไป

ชายวัยกลางคนผิวสองสีนั่งประสานมืออยู่บนเก้าอี้นวมหลังโต๊ะไม้สักรูปทรงกลมที่กลางห้องเพียงลำพัง อาจารย์องค์อินทร์ผายมือไปที่เก้าอี้ เขาค่อยนั่งลงอย่างประหม่าพลางใช้ผ้าเช็ดผ้าซับน้ำออกจากดวงตา

ผมเผ้าของชายตรงหน้าเป็นสีดอกเลายาวรุงรังผิดกับหนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวที่ถูกเล็มอย่างสวยงามใส่เจลจนแข็งปั๋ง รอบคอคล้องสร้อยพระเส้นโตนับคร่าวๆ ได้ราวหกถึงเจ็ดเส้นและสร้อยข้อมือลูกประคำที่ล้นไปจนเกือบถึงข้อศอก ผิวเนื้อที่โผล่พ้นร่มผ้าเห็นลายสักคล้ายตัวอักษที่เขาดูไม่ออก บางทีอาจเป็นบทอาคมกับลายสัตว์ต่างๆ ทั้งงู เสือและอื่นๆ

ในสายตาของนรกรเขาดูเหมือนเป็นคนบ้ามากกว่าคนไข้จิตเวชที่โรงพยาบาลจนอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมายตั้งแต่คนระดับรากหญ้าไปถึงผู้มีอิทธิพลของประเทศ

อาจารย์องค์อินทร์ยังไม่ยอมพูดอะไรเอาแต่นั่งจ้องตาเขม็งจนเขาอึดอัด แต่ครั้นพอขยับปากจะพูดก็ถูกยกมือปรามไว้อีก

จู่ๆ นัยน์ตาที่เริ่มสีออกเทาก็กรอกขึ้นข้างบนจนเหลือแต่ตาขาวจ้องเขม็งมาตรงหน้า นรกกรสะบัดศีรษะพยายามเพ่งให้ชัดว่าตาฝาดไปแต่มันยังคงเป็นเหมือนเดิมจนเขาคิดว่าน่าจะเกิดจากการรับภาพผิดเพี้ยนเพราะตาของเขายังมัวไปด้วยน้ำตาร้อนๆ ตลอดเวลา

“เจ้าเป็นคนอาภัพ” เสียงแหบห้าวดังกังวาลขึ้นทั้งที่ริมฝีปากที่มีหนวดปกคลุมนั้นไม่ได้ขยับสักนิด “ทั้งเรื่องครอบครัวและความรัก”

“ขอโทษนะครับแต่ผมได้ไม่มาเรื่องของผม” นรกรรีบบอก “ผมรู้มาว่าคุณติดต่อกับวิญญาณได้... นี่ไง เขายืนอยู่ตรงนี้ข้างผมนี่” พลางชี้มือไปที่อทิฏฐ์ซึ่งพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น “ผมอยากให้คุณช่วยดูว่าเขาเป็นใคร มาจากไหนแล้วทำยังไงเขาถึงจะไปสู่สุคติได้”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาแต่อยู่ที่ตัวเจ้า” เสียงแหบห้าวดังขึ้นอีก “ต้องเปิดใจ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเมื่อคนตรงหน้าไม่มีทีท่าสนใจหรือเข้าใจสิ่งที่ตนพูด “ผมบอกว่าไม่ได้มาเรื่องผม แต่เป็นเรื่องของเขาครับ”

“อาจารย์ครับผมอยู่ตรงนี้ อาจารย์เห็นผมใช่ไหมครับ” อทิฏฐ์ขยับเข้ามาเกาะข้างโต๊ะพร้อมทั้งโบกมือไปมาตรงหน้า “อาจารย์ช่วยผมด้วยครับ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นมองผีสลับกับร่างทรง “ตกลงคุณเห็นเขาไหมครับ”

“เรื่องนี้ต้องแก้ที่เจ้า”

นรกรเม้มริมฝีปากแน่น เขาคิดว่าเข้าใจดีแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร “คุณกำลังจะบอกว่าผมคิดไปเองเหรอ”

“ฮาร์ฟใจเย็นๆ” อทิฏฐ์เข้ามาเกาะแขน นรกรไม่มีท่าทีเกรี้ยวกราดหรือเสียงดังแต่ในแววตาหลังกรอบแว่นนั่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาหันไปหาอาจารย์องค์อินทร์อีกครั้งก่อนจะโบกมือตรงหน้าซึ่งก็ให้ผลเช่นเดิม “ผมว่าเรากลับกันเถอะดูท่าเขาจะช่วยอะไรผมไม่ได้”

“นั่นน่ะสิ” นรกรลุกขึ้นยืนและกลับหลังหัน

ดวงตาที่เหลือแต่ตาขาวหมุนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “พ่อหนุ่ม จะบอกอะไรให้นะ” เสียงทุ้มที่ต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิงดังตามหลัง “อย่ายึดติดกับอดีต อย่าไขว่คว้าหาอนาคตแต่จงอยู่กับปัจจุบัน”

นรกรไม่สนใจอะไรอีกแล้ว การถูกกล่าวหาว่าบ้าเป็นอะไรที่เกินกว่าใจจะรับได้แต่เพราะเสียงดังอาละวาดใส่ใครไม่เป็นเขาจึงทำได้แค่เดินย่ำเท้าหนักๆ ออกมา และเพราะโทสะที่บังตาทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าบัดนี้บริเวณชานบ้านนั้นว่างเปล่า มีเพียงกลิ่นควันธูปที่ลอยวนไปรอบๆ กับประตูที่ปิดปังตามหลังทันทีทั้งที่ไม่มีลมและไม่มีใครไปสัมผัสมัน

คุณหมอหนุ่มเปิดประตูรถและกระแทกตัวลงนั่งสองมือกุมพวงมาลัยแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุด เมื่อสองเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัว

‘ลูกคิดไปเองหรือเปล่าฮาร์ฟ อย่าทำให้แม่กลัวสิ’

‘เลิกพูดอะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้สักที พ่อผิดหวังในตัวลูกนะ’

ริมฝีปากเม้มแน่น เขาซบหน้ากับพวงมาลัย น้ำตาที่ไหลเป็นเพราะแพ้ควันธูป... ไม่! เขาไม่ได้ร้องไห้

อทิฏฐ์พุ่งตามเข้ามานั่งที่เบาะข้างๆ พยายามจะเอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นหลังที่ดูราวกับจะสั่นน้อยๆ นั้นแต่มันก็พุ่งผ่านไปเหมือนกับที่เขาพยามจะจับทุกๆ สิ่ง เขาดึงมือกลับมากำแน่นและวางมันไว้บนหัวเข่า “ฮาร์ฟ โอเคไหม”

เกิดความเงียบขึ้นอึดใจก่อนที่นรกรจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และมันไม่มีน้ำตา ไม่เหลือคราบของความเจ็บปวดที่อทิฏฐ์เพิ่งได้เห็น เขากลับมาเป็นคุณหมอหนุ่มผู้เคร่งขรึมเหมือนเดิมอีกครั้ง “ขอโทษนะ”

“คุณจะขอโทษผมทำไม ช่วยไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย จริงๆ นะ ขอบคุณนะที่พาผมมา”

อันที่จริงที่เขาลงทุนพาอทิฏฐ์มาถึงที่นี่ไม่ใช่เพราะความใจดีหรือเชื่อเรื่องผีสางแต่ยิ่งเขาช่วยได้เร็วเท่าไหร่ก็ทำให้ไม่ต้องอยู่ด้วยกันนานเท่านั้น นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงข้างตัว เขาไม่แน่ใจว่าใบหน้านั้นกำลังยิ้มอยู่ไหมแต่เขาคิดว่าเขาเห็นรอยยิ้มที่พยายามให้กำลังใจ หากน้ำเสียงที่ได้ยินมันฟังดูสิ้นหวังเกินกว่าที่คนพูดควรจะยิ้มออก และมันทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่จะผลักไส

“นี่... คุณยังมีผมนะ ผมเห็นคุณ ผมจะช่วยคุณเอง” ก่อนจะหันไปมองยอดกาแลที่อีกาตัวใหญ่ยังคงเกาะอยู่ “เดี๋ยวผมจะลองหาร่างทรงคนอื่นดู เอาที่ดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้หน่อย” บอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาข้อมูลดูอีกครั้ง

อทิฏฐ์กวาดตามองคนตรงหน้าอย่างซึ้งใจทั้งที่ปากบอกไม่เชื่อว่าเขาเป็นอะไรแต่กลับตั้งใจและพยายามหาทางช่วยทุกวิถีทาง ไหนจะพาที่นี่ทั้งที่งานของตัวเองก็ล้นตารางจนแทบไม่มีเวลากินเวลานอน

และภาพใบหน้าจริงจังที่กำลังนิ่วหน้าอ่านข้อความพลางยกหลังมือขึ้นขยี้หัวตาหลังกรอบแว่นที่ยังคงแดงก่ำเพราะแพ้ควันธูปพร้อมกับสูดเสียงขึ้นจมูกเหมือนคนเป็นหวัดก็ทำให้เขาตัดสินใจได้

“ไม่ต้องหรอกครับ” เขาไม่ได้ตัดใจเพียงแต่คิดว่ามันพอแล้ว เขาไม่ได้อยากให้ใครต้องลำบากเพื่อเขา “คุณไปพักเถอะยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อวานนี่” แต่จะให้บอกไปตรงๆ ก็กลัวคนตรงหน้าจะเสียความตั้งใจ

นรกรเงยหน้าขึ้น ทั้งสองสบตากันอยู่อึดใจก่อนที่รอยยิ้มจะผุดพรายขึ้นที่มุมปาก “ดีเหมือนกัน ตอนนี้ผมก็เอียนเต็มทีแล้วกับเรื่องอะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้” โยนโทรศัพท์ไปบนคอนโซลพร้อมกับสตาร์ทรถ “แต่ไหนๆ ก็ออกมาแล้วเราไปหาอะไรที่มันสนุกๆ ทำกันดีกว่า”

“อะไร” อทิฏฐ์ขยับนั่งตัวตรงด้วยความสนใจ

“อะไรที่มันพิสูจน์ได้ไงล่ะ”

oooooo

“ทำไม มีอะไรแปลกเหรอ”

“คือ... สารภาพตามตรงเลยนะ อย่างตื่นเต้นที่สุดที่ผมจินตนาการไว้ว่าคุณจะพาผมไปคือห้องสมุดหรือไม่ก็พิพิธภัณฑ์แล้วชี้ชวนให้ดูแบบ... เฮ้ย! นั่นไง ถั่วงอก! สิ่งที่เมนเดลบิดาแห่งพันธุศาสตร์ค้นพบไรเงี้ย ใครจะไปคิดว่าเด็กเนิร์ดแว่นตาหนาเตอะอย่างคุณจะชอบ... เล่นเกม” อทิฏฐ์ผายมือไปข้างตัวและหมุนไปรอบๆ ร้านรวงที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องเล่นนานาชนิด

“สนุกนะ” นรกรหัวเราะเบาๆ พร้อมกับเสียบหูฟัง ปกติเขาก็ใส่หูฟังเกือบตลอดเวลาอยู่แล้วแต่เพื่อคุยกับอทิฏฐ์เขาจึงแค่ใส่ไว้เฉยๆ ไม่เปิดเพลงเหมือนอย่างเคย ก่อนจะเดินไปแลกเหรียญสิบมากำโตและนั่งลงหน้าตู้หนึ่งแล้วเริ่มต้นสาธิตงานอดิเรกที่ไม่ได้แวะเวียนมานานให้ดู

“สุดยอด! ถามจริงคุณจำภาพกับตัวเลขพวกนั้นได้ยังไงน่ะ มีทริคอะไรหรือเปล่า” อทิฏฐ์ถามอย่างทึ่งจัด ไม่ใช่แค่เกมพื้นๆ อย่างจับผิดภาพหรือเกมจับคู่ที่คนซึ่งดูเป็นเด็กเนิร์ดเต็มขั้นจะทำได้ไฮสกอร์แต่พวกเกมต่อสู้ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กันจนมีชื่อขึ้นอันดับต้นๆ แถมท่าสะบัดปืนตอนโหลดลูกกระสุนใหม่ยังดูเท่สุดๆ เหมือนพระเอกในหนังไล่ฆ่าซอมบี้ยังไงยังงั้น

“อย่าบอกใครนะ” นรกรขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง หลังจากหมดเงินไปร่วมพันตอนนี้พวกเขาก็ออกจากร้านเกมมาเดินตากลมเล่นอยู่ที่ลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้า “ผมเป็นซาวองน่ะ เป็นออทิสติกพวกที่จำอะไรแบบภาพถ่าย ผมมานั่งเล่นเกมที่ตู้พวกนี้ทุกวันจนรู้หมดแล้วว่ามันมีทั้งหมด 1088 รูปแบบ และแต่ละรูปแบบมันวางเรียงกันยังไงบ้าง” เมื่อเห็นร่างโปร่งแสงอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัดจึงหลุดขำออกมา “ล้อเล่นน่า”

“นี่คุณอำผมอีกแล้วเหรอ ผมหลงเชื่อจริงๆ นะ”

“ฉันแค่เป็นพวกความจำดีน่ะ” นรกรเคาะนิ้วลงข้างขมับ

“ฮาร์ฟ มุกคุณไม่ขำนะ” เสียงของเขาเครียดขึ้นเล็กน้อยเมื่อจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างภายใต้ท่าทีที่ดูสนุกสนานนั่น

“ว้า แย่จัง”

“ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นโรคจริงๆ หรือแค่ความจำดีแต่คุณมานั่งเล่นมันทุกวันจนจำได้แม่นเพราะคุณไม่มีที่ไปต่างหาก” อทิฏฐ์เม้มปากเล็กน้อยไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่ และไม่ใช่เพราะยังต้องติดแหงกกันไปอีกนานแต่เป็นเพราะเขาเป็นห่วงและหวังดีกับคนตรงหน้าจริงๆ “เพราะคุณไม่มีเพื่อนเลยสักคนใช่ไหม... ขอโทษนะที่พูดตรงๆ แต่ผมเห็นคุณมาก่อนที่จะทักคุณวันนั้นและจนมาถึงตอนนี้ผมยังไม่เคยเห็นคุณคุยหรือแชทกับใครนอกจากเรื่องงาน แม้แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโทรหา อันที่จริงคนเดียวที่คุณคุยนอกเรื่องด้วยคือพี่วินทร์และบทสนทนาทั้งหมดก็เป็นเขาที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย”

ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาที่ทำให้สะดุดตาแต่เป็นเพราะบุคลิกที่ดูโดดเดี่ยวนั่นต่างหากที่ทำให้สะดุดใจ ทั้งเดินคนเดียว กินข้าวลำพัง แอบอ่านหนังสือในมุมเงียบๆ ที่ไม่มีใครสนใจ แถมยังไม่สุงสิงกับใครจนเขาอดจะมองตามทุกครั้งที่เห็นและส่งเสียงทักออกไปไม่ได้

“เป็นผีแท้ๆ ทำเป็นรู้ดี” ถึงจะเป็นเรื่องจริงแต่ก็อดเจ็บที่ใจเล็กๆ ไม่ได้ “เขาเรียกโอตาคุต่างหาก”

“อย่างน้อยโอตาคุหรือเกมเมอร์ยังมีเพื่อนในเกมออนไลน์ แต่ที่คุณเล่นมันเป็นแบบที่เล่นคนเดียวทั้งหมด” เพราะไม่ได้รับคำตอบใดๆ เขาจึงตัดสินใจรุกต่อ “ผมถามจริง ตกลงคุณ ‘เห็น’ ใช่ไหม... ไม่ใช่แค่ผม แต่คุณเห็น ไม่งั้นคนอย่างคุณไม่ยอมรับหรอกว่าผมเป็นผี ป่านนี้คุณไปหาหมอจิตเวชรับยามากินแล้ว”

“ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” นรกรยืนกรานเสียงแข็ง

อทิฏฐ์เม้มปากอยู่อึดใจ “แน่ใจเหรอฮาร์ฟ เมื่อกี้ที่บ้านนั่น คุณบอกว่าไม่อยากแซงคิวใคร แต่มันไม่มีใคร ไม่มีใครสักคนเลยฮาร์ฟ นอกจากควันธูป... คุณเห็นอะไรที่แม้แต่ผีอย่างผมยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกรอกหลุกหลิกไปมาราวกับจะมองหาทางหนี เนิ่นนานหลายนาทีก่อนที่ริมฝีปากแห้งผากนั้นจะหลุดกระแสเสียงออกมาในที่สุด “ผมเคยพยายามแล้วแต่ไม่มีใครสนใจ”

เขาปิดเปลือกตาลงอึดใจก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้ง และเพียงแค่เสี้ยวนาทีที่โลกมืดลงแล้วสว่างขึ้นราวกับหลุดมายืนอยู่ในโลกคู่ขนาน

ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่ มีเงาร่างจางๆ ที่ดูเหมือนคนปกติทั่วๆ ไปแต่ก็มีไม่น้อยที่มีรูปลักษณ์บิดเบี้ยวสยดสยองเร้นกายอยู่ตามเงามืด ซอกหลืบหลังเสา หรือไม่ก็ปะปนอยู่ในฝูงชน และนี่คือโลกที่เขาเห็นตั้งลืมตาครั้งแรก

อทิฏฐ์ขยับมือวางบนบ่า ถึงจะสัมผัสไม่ได้แต่อยากบอกให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้และกำลังตั้งใจฟังอยู่

“ผมไม่เคยรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอะไร ผมรู้แค่พวกเขาไม่เป็นอันตราย ไม่ได้มาคุกคาม พวกเขายิ้มแย้มและอยู่กับผมในทุกๆ ที่” สิ่งที่กักเก็บอยู่ในใจมาหลายปีค่อยๆ พร่างพรูออกมาและเหมือนจุกก๊อกที่หลุดออกท่อเมื่อพูดออกมาแล้วก็ย่อมระบายออกมาจนหมด “พอผมเริ่มพูดได้มากขึ้นพ่อกับแม่ก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกตินี้เพราะผมพูดคนเดียว ผมพยายามบอกพวกเขาว่าผมเห็นอะไร ผมพูดกับใครแต่ทุกคนคิดว่าผมบ้า พ่อกับแม่พาผมไปรักษาที่สถานบำบัด ทั้งกินยา สะกดจิตและช็อตไฟฟ้า... ผมเข้าๆ ออกๆ ที่นั่นอยู่หลายปีแต่มันก็ไม่หาย ภาพกับเสียงพวกนั้นไม่เคยหายไป... คุณเข้าใจไหม... คุณก็รู้ มันไม่ใช่โรค มันรักษาไม่ได้ ผมไม่ได้รังเกียจพวกเขาแต่ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากเป็นคนปกติ ไม่ใช่คนบ้าของพ่อกับแม่”

จนถึงตอนนี้ทุกครั้งที่หลับตาภาพสีหน้าผิดหวังของบุพการียามเมื่อมองมาที่เขาซึ่งพยายามจะอธิบายในสิ่งที่เห็นยังคงตามมาหลอกหลอน มันเป็นยิ่งกว่าฝันร้าย มันเหมือนรอยแผลเป็นของตราบาปที่ไม่มีวันรักษาให้หายได้

“คุณเลยตัดสินใจโกหก”

นรกรพยักหน้า “พอหมอถามผมก็แค่ตอบว่าไม่เห็น แล้วมันก็ได้ผล หมอเชื่อ ทุกคนเชื่อ พวกเขาลดยาและการรักษาต่างๆ ลง จนในที่สุดผมก็ได้กลับบ้าน”

แล้วเขาก็เงียบไปอีกครั้ง อทิฏฐ์จึงค่อยๆ เริ่มต้นพูดขึ้นช้าๆ

“รู้อะไรไหมฮาร์ฟ มนุษย์เราน่ะมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งคือการหลอกตัวเอง... คุณเลือกที่จะปิดหู ปิดตา ปิดปากพร้อมๆ กับการจินตนาการทับซ้อนขึ้นมาในสมองให้มันเป็นสิ่งที่อยากให้เป็น และพอทำแบบนั้นนานวันเข้ามันก็กลายเป็นนิสัย คุณหลอกตัวเองสำเร็จว่าคุณไม่เห็น แต่ผลของมันคือทำให้คุณไม่มีเพื่อนเลยสักคนเพราะในตอนแรกๆ คุณคงยังแยกไม่ได้ว่านี่คนหรือผี แล้วคุณก็เอาตัวเองไปหมกอยู่กับตำราและพยายามอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยหลักทฤษฎีเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณไม่เหมือนคนอื่น”

นรกรไม่โต้ตอบสิ่งที่ราวกับออกมาจากใจทุกคำ

ไม่ต้องหลับตานึกภาพผู้หญิงชุดขาวผมยาวในห้องล็อกเกอร์ก็ลอยขึ้นมาในหัวซึ่งที่แรกเขาคิดว่าเป็นพี่ยาบาลเข้ามาหาของจนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นใบหน้าซูบตอบจนดูเป็นหัวกะโหลกที่มีเศษเนื้อติดแห้งกรังและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกใช้ตู้ด้านในสุดเพราะเธอชอบนั่งห้อยขาบนหลังล็อกเกอร์ใกล้กับประตูเพื่อเฝ้าดูพวกเขา

เขาเกลียดการลงบันไดแต่ก็ไม่อยากเข้าลิฟต์สองต่อสองไปกับผู้ชายร่างใหญ่ที่โดนฟันหน้าเละไปข้าง วันนั้นจึงเลือกจะคอยระวังไม่ให้วิ่งไปชนกับเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าร้องไห้ตรงชานพักบันไดตรงชั้นสองมานานหลายปีไม่ยอมไปไหน

“ฮาร์ฟ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นๆ นิยามมันว่าอะไร แปลก เลอะเลือน หรือคนบ้าแต่สำหรับผมมันคือ ‘พิเศษ’ เพราะมันทำให้เรามาเจอกัน และผมก็อยากให้คุณคิดแบบนั้น ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง มันสำคัญตรงที่ว่าคุณมองตัวเองยังไงต่างหาก”

คำพูดของอทิฏฐ์ไม่ได้ทำให้หัวใจที่เป็นแผลเป็นเรื้อรังรู้สึกอบอุ่นขึ้นแม้แต่น้อย หากมันเหมือนถูกลดยาชา งดยาระงับปวด แล้วราดยาฆ่าเชื้อลงไป มันเจ็บเจียนตายแต่ในทางกลับกันก็รู้สึกดีเพราะเขารู้ว่ามันกำลังได้รับการรักษา อาจจะยังไม่หายแต่ก็ยังดีกว่าหลอกตัวเองว่าตรงนั้นไม่เคยมีแผล

“ลองพยายามดูอีกสักครั้งสิ พิสูจน์ให้ใครๆ เห็น... ดูอย่างอาจารย์อะไรนั่นสิ หมอผีเก๊หรือเปล่าก็ไม่รู้ยังมีแต่คนกราบไหว้กันครึ่งค่อนประเทศ”

“คุณก็พูดง่ายสิแต่สำหรับผมน่ะมันยากยิ่งกว่าเปิดกะโหลกมนุษย์อีกนะ” ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีใครสักคนเข้าใจแต่เพราะอยู่คนเดียวมานานทำให้ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน

“แล้วคุณไม่เหงาเหรอ จริงๆ นะ ผมว่าคุณน่าจะลองเปิดใจให้ใครดูบ้าง”

“เช่นใครล่ะ”

“ผมไง” อทิฏฐ์เดินอ้อมไปด้านหน้าและมองลึกเข้าไปในตา “ถ้าใจคนมันเข้าใจยากเย็นนักก็มาลองคุยกับผีอย่างผมไปพลางๆ ก่อน โอเคไหม”

นรกรมองตอบสายตาคู่นั้น มันทั้งจริงจังและจริงใจ โดยไม่รู้ตัวริมฝีปากก็ยกมุมขึ้นช้าๆ “ขอบใจนะ”

“ขอบใจคุณเหมือนกัน” อทิฏฐ์คลี่ยิ้มกว้าง เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ที่เขานั่งร้องไห้คนเดียวกับการที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร กับการที่ติดต่อกับใครต่อใครไม่ได้ ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ไม่รู้จะพึ่งใคร จนในที่สุดก็มีใครสักคนยอมหันมา   

ถึงจะไม่มีใครพูดออกมาแต่ทั้งสองก็เข้าใจกันเงียบๆ บางทีการที่พวกเขาได้มาเจอกันเพราะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ อยากให้ใครสักคนได้ยิน

‘เสียงร้องขอความช่วยเหลือในใจที่ตะโกนออกไปสุดเสียงนี้’

ในขณะที่ดูเหมือนม่านบางๆ ระหว่างทั้งคู่ค่อยๆ จาง ลมแรงก็หอบเอากลุ่มเมฆดำลอยลงต่ำ ก่อนจะทิ้งมวลน้ำมหาศาลลงมา

“ฝนบ้าเอ๊ย! จู่ๆ ก็ตกลงมาได้ยังไงเนี่ย รีบๆ เข้าร่มเถอะฮาร์ฟตัวคุณเปียกหมดแล้ว”

หากคุณหมอหนุ่มไม่ขยับ ท่ามกลางฝูงชนที่วุ่นวิ่งหาที่หลบฝนเขายังคงยืนนิ่งและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราวกับจะตามหาอะไรสักอย่างในม่านเม็ดฝน “เดี๋ยวก่อนนะ ขอผมอยู่ตรงนี้อีกสักพัก”

“ฮาร์ฟ ไปเหอะ ตัวเปียกหมดแล้ว” อทิฏฐ์เรียกอย่างอ่อนแรง พยายามจะคว้าแขนลากเข้าร่มหรือหาอะไรมาช่วยบังฝนแต่ก็ทำไม่ได้ จนใจเริ่มท้อเมื่อนรกรค่อยเบือนสายตาลงมา นัยน์ตาหลังกรอบแว่นที่มองสบมาชั่วครู่ว่างเปล่าจนคนที่หัวใจหยุดเต้นไปแล้วยังรู้สึกเคว้งคว้างและอยากรวบตัวมากอดปลอบแน่นๆ

ร่างโปร่งเดินกลับไปที่รถ รอจนเขาขึ้นนั่งเรียบร้อยจึงสตาร์ทและขับออกไปแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรด้วยอีกเลยจนกระทั่งฝนซาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

****************************************************TBC**************************************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 2Anger [16/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-01-2016 01:16:20
เรื่องน่าสนใจดีค่ะ เหมือนหมอฮาร์ฟจะไม่มีเพื่อนแต่บางทีก็รู้จักพูดคุย?กับวิญญาณที่เจอเหมือนกันนะ
เห็นด้วยกับน้องทิด(ฮา)ที่บอกว่าหมอไม่มีเพื่อนเพราะตอนเด็กแยกคนเป็นกับวิญญาณไม่ได้ พอโตขึ้นก็ยังไม่มีเพื่อนอยู่อีก
น่าสงสารหมอฮาร์ฟนะ คงโดดเดี่ยวน่าดู แต่เรื่องอย่างนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนด้วย
เพราะในวัยเด็กของหมอฮาร์ฟต้องเจอกับความคลางแคลงใจ และความกดดันเรื่องสัมผัสพิเศษ ก็เลยทำให้หมอมีความรู้สึกด้านลบในเรื่องแบบนี้น่าดู เรื่องราวอาจจะดีกว่านี้หน่อยถ้าพ่อแม่หรือคนรอบข้างเปิดใจและพยายามเข้าใจหมอ(ในตอนเด็ก)สักนิด
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 2Anger [16/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-01-2016 22:18:39
บทที่ 3 Bargain

“ฮาร์ฟ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าหน้าคุณซีดมากเลยนะ” อทิฏฐ์ถามด้วยความเป็นห่วงขณะเดินตามคุณหมอหนุ่มไปตรวจคนไข้หลังผ่าตัดที่หอผู้ป่วย

“ผมไม่เป็นไร” นรกรกระซิบลอดไรฟัน เขาไม่อาจพูดได้ตามปกติเพราะไม่ได้เสียบหูฟังและอยู่ระหว่างการตรวจร่างกายผู้ป่วย

“เอาล่ะครับ เดี๋ยวหนูเอานิ้วแตะนิ้วหมอนะ” บอกกับเด็กสาวที่นั่งยิ้มอยู่บนเตียงพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้า

เธอค่อยๆ จรดปลายนิ้วทับ เขาจึงเริ่มขยับนิ้วไปรอบๆ ช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ยังสามารถขยับตามได้อย่างถูกต้อง
 
“ดีมาก แล้วยังปวดหัวอยู่ไหม”

“ไม่มีแล้วค่ะ”

“ดีมาก งั้นวันนี้หมอให้กลับบ้านได้แล้วอาทิตย์หน้ามาหาหมอใหม่นะ หมอจะเอกซเรย์ดูว่าก้อนในหัวมันโตขึ้นอีกไหม”

“ขอบคุณค่ะ” ลลินยิ้มแป้นพร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะเอียงคอมองคนที่ก้มหน้าก้มตาเขียนแฟ้มผู้ป่วย “หมอฮาร์ฟไม่สบายหรือเปล่าคะทำไมวันนี้หน้าซีดจัง”

“ครับ”

“ตอบน้องเขาไปสิครับ เขาแค่เป็นห่วง” อทิฏฐ์ที่เดินเตร่ไปรอบๆ ชะโงกมากระซิบที่ข้างหูเมื่อเห็นคนมนุษยสัมพันธ์ต่ำอ้ำๆ อึ้งๆ
“หมอ...”

“ไม่ต้องอ้างตำราคุณ ถ้าไม่อยากให้น้องเขาเป็นห่วงก็แค่ตอบว่า ขอบคุณ หมอสบายดี”

“ขอบคุณครับ หมอสบายดี” นรกรพูดตามรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่ อันที่จริงออกจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ

“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่ช่วยผ่าตัดให้หนู ตอนผ่าตัดหนูฝันด้วยล่ะ ฝันว่าคุณหมอให้กำลังใจหนู หนูก็เลยฮึดสู้”

“หนูเก่งมากเลย” นรกรปิดแฟ้มผู้ป่วยและลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปเป็นการตัดบทสนทนาแต่เธอยังไม่ยอมหยุดคุยง่ายๆ

“คุณหมอคะ เดือนหน้าหนูจะไปสอบเข้ามหา’ลัย คุณหมอช่วยอวยพรให้หนูหน่อยได้ไหมคะ”

“เอ่อ... คือ ไว้อาทิตย์หน้ามาหา หมอค่อยพูดนะ”

“ทำไมละคะ อวยพรตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ นะคะหมอฮาร์ฟ” เธอยังไม่ละความพยายาม

นรกรเหงื่อแตกซิก ลำพังแค่คุยกันปกติยังไม่รู้จะพูดอะไรแล้วนี่จะให้อวยพรขอเขาไปตั้งหลักหาข้อมูลก่อนได้ไหมว่าควรจะเริ่มต้นว่าอะไร ต้องบนบานศาลกล่าวหรืออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์โลกไหนมาประสาทพรหรือเปล่า

“ไว้เป็นประกันไง ว่าหนูจะมาหาหมอ” อทิฏฐ์เข้ามาช่วยอีกครั้งเขาไม่สรรหาคำให้กำลังใจให้เพราะคงจะดีกว่าถ้านรกรจะพูดมันออกมาเองจากใจแม้จะเป็นคำสั้นๆ ง่ายๆ อย่าง ‘สู้ๆ นะ’

“ไว้เป็นประกันไงครับว่าหนูจะมาหาหมอ” เขาพูดตามทั้งที่แปลกใจหน่อยๆ ว่ามันฟังดูดีตรงไหนแต่เด็กสาวกลับยิ้มจนแก้มแทบปริ

“คุณหมอสัญญาแล้วนะ”

“ครับ” ในที่สุดนรกรก็สามารถผละออกมาจนได้

“ก็ทำได้ดีนี่คุณ เห็นไหมการพูดเล่นกับคนอื่นๆ บ้างโดยไม่ต้องอ้างอิงตำราอะไรก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ”

นรกรพยักหน้า

“วันหลังยิ้มด้วยสิ เวลาคุณยิ้มน่ะดูดีออก”

“ก็ยิ้มแล้ว”

“นั่นเค้าเรียกแยกเขี้ยวไม่ใช่ยิ้ม” อทิฏฐ์ว่าพร้อมกับเอานิ้วโป้งสอดเข้าไปตรงมุมปากและแยกออกทำท่าล้อเลียนจนนรกรต้องยกมือขึ้นปิดปากแกล้งทำเป็นไอเพราะกลุ่มพยาบาลที่เดินสวนไปเริ่มหันมามองด้วยสายตาแปลกๆ

“ไปเล่นไกลๆ ไปเลยคนจะทำงาน”

ร่างโปร่งแสงแกล้งทำท่าจะลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นก่อนจะร้องด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปที่ทางเดินฝั่งตรงข้ามซึ่งคนในชุดขาวเพิ่งสวนไป “ฮาร์ฟ! นั่นคนที่ชื่ออธิษฐ์นี่”

“ไหน” อารามหมุนตัวกลับรวดเร็วจึงทำให้เกิดอาการหน้ามืดจนเซไปข้างหน้า

“นี่ฮาร์ฟ คุณโอเคจริงๆ นะ” อทิฏฐ์หันกลับมาพยายามจะช่วยประคองแต่ก็คว้าได้แต่อากาศ

“จริงสิ” ยังคงปากแข็งแม้หน้าจะซีดเป็นกระดาษ เขาเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนกำแพงพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นขยี้หัวตาเพื่อมองร่างตรงหน้าให้ชัดแต่ภาพกลับยิ่งพร่าเลือนและสั่นไหวยิ่งกว่าเดิม “ผมไม่... เป็นไร”

“เป็นสิ เป็นแน่ๆ ใครก็ได้ช่วยด้วย” อทิฏฐ์พยายามเหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วย นึกอยากเป็นผีที่เข้าสิงใครสักคนได้ จะได้ทำอะไรได้สักอย่าง “อ๊ะ! พี่วินทร์มาพอดีเลย มาดูเจ้าคนหัวดื้อตรงนี้หน่อยครับ” ร้องเรียกร่างสูงที่เห็นอยู่ไกลๆ อย่างลิงโลดราวกับอีกฝ่ายจะได้ยิน

หากยังไม่ทันขาดคำร่างโปร่งก็ค่อยทรุดลงกับพื้น เขาผวาเข้าไปช่วยแต่ก็ไขว่ขว้าได้เพียงความว่างเปล่า ร่างของนรกรล้มผ่านร่างเขาไปช้าๆ ราวกับภาพสโลว์โมชัน และในจังหวะนั้นเองที่มือของใครคนหนึ่งยื่นผ่านร่างเขาเข้ามารับไว้ได้ทัน

 “ช่วย...” อทิฏฐ์ก้าวขาไม่ออกจู่ๆ ในหัวก็กลายเป็นสีขาวโพลน สรรพเสียงโดยรอบอึงอลฟังไม่ออก และท่ามกลางแสงสีขาวนั้นจู่ๆ ภาพของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเหมือนกับเมื่อครั้งที่แล้วแต่มันไม่ได้จบลงแค่นั้น

‘คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ’

“คุณหมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มในความเป็นจริงดังซ้อนทับขึ้นแล้วภาพทั้งหมดก็หายไป เขากลับมายืนอยู่ในโรงพยาบาลอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งในชุดขาวคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเพื่อช่วยประคองศีรษะนรกรที่ดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว

“ช่วยเขาด้วยครับ” อทิฏฐ์พูดซ้ำๆ เผื่อว่าเขาจะได้ยิน เมื่อใครอีกคนเดินเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้นโปรด”

“จู่ๆ คุณหมอคนนี้ก็ทรุดลงไปน่ะครับ แถมยังตัวร้อนจี๋เลย”
พยาบาลหนุ่มหันไปบอกกับคนที่วิ่งเข้ามาช่วย

ร่างสูงในเสื้อกาวน์ยาวสีขาวเหลือบตาลงมองเพียงอึดใจก่อนจะร้องเสียงดังและคุกเข่าลงดึงนรกรมาไว้ในอ้อมแขนตัวเองพร้อมกับตบแก้มเบาๆ เพื่อเรียกสติ “ฮาร์ฟ ไม่เป็นไรนะ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นปรือขึ้นเล็กน้อย มือเรียวยกขึ้นอย่างอ่อนแรงเพื่อไขว่คว้าฝ่ามือนั้นไว้พร้อมกับกระซิบเรียกชื่อที่ไม่ได้หลุดผ่านริมฝีปากมาเนิ่นนาน “พี่ปอ”

oooooo

คือผีไม่เข้าใจ และไม่คิดว่าต่อให้ตอนเป็นคนก็จะเข้าใจ ทำไมคนเรามีความหลังฝังใจอะไรถึงต้องไปยืนตากฝน ทำไมไม่ลองกลับบ้านมาดื่มวีต้าแล้วไปนอนซะอะไรแบบนี้บ้าง

อทิฏฐ์กอดอกเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นหน้าอยู่หน้าห้องของหอพักแพทย์ประจำบ้าน จริงๆ แล้วเขาอยากไปนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงแต่ก็หงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างจึงระเห็จตัวเองออกมาอยู่ข้างนอก

แล้วดูสิไม่สบายไข้ขึ้นสูงแบบนี้ใครจะดูแล นี่ก็เป็นผีลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปทำอะไรได้... โธ่เว้ย! ทำไมไม่มีใครเขียนไอ้พวกตำราสอนการเข้าสิงหรือเข้าฝันคนวางขายตามแผงหนังสือมั่งนะจะได้ขอให้ฮาร์ฟไปซื้อมาใส่บาตรกรวดน้ำให้รู้แล้วรู้รอด

เสียงลิฟต์ที่ดังขึ้นตรงสุดทางทำให้อทิฏฐ์หันไปมอง ร่างสูงที่ปกติสวมชุดกาวน์สั้นวันนี้ดูแปลกตาไปจากทุกทีเมื่อเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะหูคีบ วินทร์เดินอย่างงุ่นง่านเหมือนหมีตัวโตมาตามทางเดิน เขากำลังเคาะประตูห้องเมื่อลิฟต์ตัวเดิมเปิดออกอีกครั้งและใครอีกคนหนึ่งเดินออกมา
ผู้ชายคนนั้นคือคุณหมอคณิณ แพทย์อายุรกรรมที่เดินผ่านมาช่วยนรกรเมื่อเช้าและช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นจนคนหัวแข็งมีแรงพอจะดื้อเดินกลับห้องด้วยตัวเอง

เมื่อมายืนเผชิญหน้ากันยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างทั้งสอง ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ วินทร์เหมือนคนเหล็กจากเทอร์มิเนเตอร์ เถื่อน ดิบ เซอร์ ในขณะที่คณิณเป็นเจมส์ บอนด์ผู้สุขุมนุ่มลึกตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ

...จริงๆ แล้วฮาร์ฟนี่ก็มีคนเป็นห่วงเยอะเหมือนกันนะ...
อทิฏฐ์คิดอย่างลิงโลดหากยังไม่ทันจะกระโดดโลดเต้นเมื่อวินทร์ลดมือลงกอดอกและหันไปสบตาผู้ที่เพิ่งมาถึง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ล้วงสองมือลงในกระเป๋ากางเกงและมองตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง เขาชักได้กลิ่นแปลกๆ จึงแกล้งเขยิบเข้าไปยืนแอบฟังใกล้ๆ

“นายมาที่นี่ทำไม”

อุต๊ะ! เรื่องนี้ผีไม่เกี่ยว... แต่ช่วยไม่ได้นะอยากมาพูดให้ได้ยินเอง งั้นก็ขอฟังหน่อยละกัน

“ฮาร์ฟไม่สบายฉันเลยมาดูแล” คณิณบอกพลางขยับมือให้เห็นถุงพลาสติกใบโตที่หอบหิ้วมาด้วย ในนั้นมีทั้งยาลดไข้ อาหารและวิตามินบำรุงกำลังสำหรับคนป่วย “ฉันเป็นหมออายุรกรรมก็น่าจะรู้เรื่องโรคและทำอะไรได้มากกว่าหมอศัลย์ที่ดีแต่ผ่าหัวอย่างนายละนะ”

ก็ไม่แรงนะ แต่ทำไมฟังแล้วจุกฟะ!

วินทร์กำมือแน่น ด้วยความรีบร้อนทำให้เขามามือเปล่าตั้งใจว่าจะตรวจดูอาการให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกไปซื้อให้

ยังไม่ทันที่คุณหมอศัลยกรรมจะทันได้ตอบโต้ ประตูห้องก็เปิดออก ร่างโปร่งในชุดนอนเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวยิ้มบางให้คนตรงหน้า “อ้าวพี่ปอ สวัสดีครับ”

คณิณเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้าง “พี่มาเยี่ยมน่ะ เป็นไงบ้างเมื่อเช้าไข้ตั้ง 39 แน่ะ”

“เริ่มลดลงแล้วครับเมื่อกี้วัดได้ 38 แต่ยังเพลียๆ อยู่เลย”

“พี่เอายากับข้าวต้มมาให้น่ะ” บอกพร้อมกับโชว์ของในมือ “รีบกินตอนที่ยังร้อนๆ เถอะ”

นรกรแง้มประตูให้กว้างขึ้นอีก ทั้งสองเดินเข้าไปพร้อมกับประตูห้องที่ถูกดึงปิดลงหากวินทร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เป็นโชคไม่ดีของเขาเองที่ไปอยู่หลังประตูตอนเปิดออกทำให้นรกรมองไม่เห็น แต่ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้าก็คงไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อสายตาคู่นั้นมองตรงไปยังคนเพียงคนเดียว และมันก็เป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว

“หายไวๆ นะฮาร์ฟ” กระซิบคำที่คนป่วยไม่มีวันได้ยินก่อนจะเดินกลับไปตามทางเดินซึ่งว่างเปล่าเหมือนกับหัวใจของตัวเอง
ขอบคุณที่มานะครับพี่วินทร์

อทิฏฐ์โบกมือลา ถึงจะแอบเสียใจแทนเล็กๆ แต่อย่างน้อยการมีใครสักคนคอยอยู่ดูแลนรกรก็ดีกว่าปล่อยไว้กับผีที่ทำอะไรไม่ได้เลยอย่างเขา

เขากลับเข้าไปในห้อง ถ้าไม่นับวันที่เจอกันนี่เป็นวันแรกที่เขาได้เข้าห้องนรกรเพราะคนบ้างานเอาแต่ขลุกอยู่ที่ห้องผ่าตัด ว่างก็ไปห้องสมุด นอนที่ห้องพักแพทย์ไม่ก็ฟุบหลับตามเคาน์เตอร์จะกลับมาห้องก็เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดแค่ไม่กี่นาทีและเขาก็เป็นผีมารยาทดีที่ยืนรออยู่หน้าห้องตลอด

ห้องของนรกรเป็นห้องที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้แพทย์ประจำบ้านพักขณะมาเรียน เขาอาศัยอยู่คนเดียว ข้าวของเครื่องใช้ไม่ค่อยมีอะไรมากนักซ้ำยังไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ นอกจากผ้าม่านสีชมพูตุ่นของเดิมที่มีอยู่ ตอนนี้นรกรกินข้าวเสร็จแล้วและคณิณก็เพิ่งจะประคองไปนั่งลงบนเตียง

“กินยาก่อนสิฮาร์ฟ” คุณหมออายุรกรรมช่วยใช้ปลายนิ้วดันยาเข้าปากก่อนจะยกแก้วน้ำจรดริมฝีปาก “ค่อยๆ นะ”

“ขม” เม็ดยาที่ใหญ่พอๆ กับนิ้วก้อยทำให้ไอสำลัก น้ำในแก้วกระฉอกหกเลอะเต็มปกเสื้อด้านหน้า

“ก็บอกแล้วไงให้ค่อยๆ” ถึงจะบ่นแต่ริมฝีปากกลับระบายรอยยิ้มเอ็นดู ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีนรกรก็ยังคงเป็นจอมซุ่มซ่ามสำหรับเขาเสมอ

“ไม่เป็นไรครับพี่ปอ ผมจัดการได้” กำลังจะเอื้อมมือไปคว้ากล่องกระดาษทิชชูที่หัวเตียงมาซับน้ำในขณะที่คุณหมออายุรกรรมลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า นรกรเงยหน้าขึ้นมองเสื้อตัวใหม่ที่ถูกยื่นมาตรงหน้าเขารับมาวางไว้บนตักและตั้งท่าจะถอดเสื้อตัวเก่าออกเมื่อเหลือบไปเห็นคณิณที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างเตียง กำลังจะเอ่ยปากถามมือใหญ่ก็ขยับมาแย่งเม็ดกระดุมไปแกะเสียเอง “ผมทำเองได้ครับ” พยายามจะขืนตัวหนีแต่กลับกลายเป็นจนมุมที่ผนังและเปิดช่องให้อีกฝ่ายลุกตามขึ้นมานั่งบนขอบเตียง

“ไม่เอาน่าเรื่องแค่นี้ มากกว่านี้พี่ก็ทำให้เราได้นะ แล้วก็เคยทำมาแล้วด้วยลืมแล้วเหรอ” คณิณยิ้มนัยน์ตามีความหมายจนนรกรต้องเบือนหน้าหนีและปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ

อทิฏฐ์ที่นั่งแอบพิงปลายเตียงดูอยู่แทบไม่เชื่อหู แค่ความสนิทสนมที่ดูยังไงก็เกินกว่าเพื่อนร่วมงานนั่นก็ทำให้แปลกใจมากพออยู่แล้ว

เอาไงดี ไปหลบในห้องน้ำดีไหม แต่ก็อยากฟัง นี่ไม่ได้อยากสอดนะแค่เก็บเอาเป็น Reference ไว้แซวตอนหลัง

“ไม่ลืมครับ”

“ผอมลงหรือเปล่าเนี่ย กินข้าวเยอะๆ หน่อยสิ” คณิณจับเบาๆ ลงบนต้นแขนบางที่แทบจะกำได้รอบก่อนจะตวัดเสื้อตัวใหม่คลุมตัวและช่วยติดกระดุมจนเสร็จ “นอนพักซะนะ”

“พี่ปอกลับมาทำไม” นรกรหลุดคำที่อยู่ในใจออกไปจนได้

“แค่อยากมาดูแล ไม่ได้เหรอ”

“แต่เราเลิกกันแล้ว” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ที่พูดเองก็เจ็บเอง

ทั้งสองเคยคบกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาก่อเกิดเป็นความรักก่อนจะจบลงเมื่อแปดปีที่แล้ว วันที่เขาไม่เคยลืมเลยเพราะมันคือวันที่เขารับปริญญา วันแห่งความสำเร็จกับหัวใจที่แหลกสลาย และดอกกุหลาบสีแดงช่อโตที่มาพร้อมกับคราบน้ำตา

“ฮาร์ฟเกลียดพี่แล้วเหรอ” คณิณตัดพ้อ นับจากวันที่เลิกกันมานรกรก็เอาแต่หลบหน้า โทรหาก็แค่ตอบพอเป็นพิธี ตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนก็หนีไปอยู่เสียไกล นี่ถ้าไม่ป่วยหนักขนาดนี้คงไม่การ์ดอ่อนยอมให้เข้าถึงตัวได้ง่ายๆ

“เปล่าครับแต่มันก็ไม่ควร...”

คณิณพ่นลมหายใจเสียงดัง “เอางี้ พี่ขอถามหน่อย ฮาร์ฟเลือกคนไข้ที่มารักษาได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ”

“งั้นก็นอนพักซะเดี๋ยวพี่จะดูแลเราเอง” พร้อมกับดันไหล่ให้นอนลงก่อนจะช่วยดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอก

“แต่คนไข้มีสิทธิ์เลือกหมอได้นะครับพี่ปอ” นรกรกระซิบทำเอาคุณหมออายุรกรรมชะงักไปเล็กน้อย “แต่ก็ช่วยไม่ได้นะก็ตอนนี้ผมมีแค่ตัวเลือกเดียวนี่นา”

คณิณยิ้มขัน สมัยก่อนมีแต่คนแซวว่าทำยังไงนรกรถึงจีบเขาติด แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยจนแม้แต่ตัวเองยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ติดใจมุกตุ่นๆ อิงวิชาการนี้นัก แต่พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ละสายตาไปจากคนๆ นี้ไม่ได้เสียแล้วจนเฝ้าตามจีบอยู่นานกว่าจะได้หัวใจที่เกือบจะปิดตายนั้นมาครอบครอง

เขาใช้ปลายนิ้วไล้ไปบนแก้มใสที่ครั้งหนึ่งเป็นเจ้าของเรื่อยไปจนถึงริมฝีปากอิ่มที่ออกแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ ชั่วขณะหนึ่งที่อยากจะก้มลงขโมยจูบเหมือนที่เคยทำในวันวาน ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนปลายจมูกโด่งได้กลิ่นหอมสบู่จากผิวเนื้อก่อนที่คุณหมออายุรกรรมจะเม้มริมฝีปากแน่นและลุกขึ้นยืนหันหลังให้

คณิณก้มลงมองมือตัวเอง ที่นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนทองเกลี้ยงวงหนึ่งซึ่งไม่เคยถอดออกมาหลายปีก่อนจะกำเป็นหมัดแน่น

จริงอย่างที่นรกรว่า ...เลิกกันแล้วมันไม่ควร...


(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 3 Bargain [29/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-01-2016 22:28:48
บทที่ 3 (ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ดีขึ้นหรือยัง” อทิฏฐ์ถามคนป่วยที่ค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับคว้าแว่นตาที่หัวเตียงมาสวมเพื่อดูเวลา “ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว พี่หมอคนนั้นเพิ่งกลับไปเมื่อสักห้าโมงนี่เองได้ยินแว่วๆ ว่าโดนโทรตามน่ะ คงมีเคสด่วนมั้ง”

“เขาชื่อคณิณ”

“ชื่อเล่นชื่อปอ ผมได้ยินคุณเรียกเขาอยู่ อ้อ! เขาเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้บนโต๊ะแน่ะ... ผมไม่ได้แอบอ่านนะแค่มองผ่านๆ”

นรกรเหน็บปรอทดิจิตัลเข้าที่ซอกรักแร้ก่อนจะดึงออกมาดูค่าตัวเลขที่ลดลงเกือบมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ “ถ้าจะมองผ่านถึงขนาดนั้นก็ช่วยอ่านให้ฟังไปเลยดีกว่า”

“ถึงฮาร์ฟ...”



“ประชดน่ะ... เข้าใจไหม” พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระดาษโน้ตให้พ้นจากสายตาผีชอบสอดที่แกล้งลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้

อทิฏฐ์ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “แกล้งน่ะ... เข้าใจหน่อย” พลางชะเง้อคอมองคนบนเตียงที่เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และมันเป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นจนเขาอดที่จะชะโงกหน้าไปอ่านข้อความนั่นออกเสียงดังๆ ด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ “หายไวๆ นะครับพี่เป็นห่วง”

“เงียบน่า!” นรกรเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะเขียนหนังสือ รื้อค้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบสมุดไดอารี่เล่มเก่าขึ้นมา ครั้งหนึ่งมันเคยถูกบันทึกความทรงจำอันมีค่าทั้งในวันสุขและเศร้าที่พวกเขามีร่วมกัน เขาพลิกไปที่หน้าสุดท้ายที่เขียนค้างไว้ซึ่งมีเพียงแค่ตัวเลขบอกวันที่เมื่อแปดปีก่อนกับกุหลาบแดงหนึ่งดอกที่ถูกทับจนแห้งเหน็บไว้ มือเรียวค่อยประคองมันขึ้นมาด้วยกลัวว่ากลีบบางกรอบนั้นจะแหลกสลาย มันเป็นเสี้ยวความรู้สึกดีๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่จากช่อกุหลาบที่ได้มาในวันจบการศึกษา

“คุณยังชอบเขาเหรอ” อทิฏฐ์ไม่เสียเวลาท้าวความแค่สิ่งที่เห็นและได้ยินก็เพียงพอจะคาดเดาเรื่องราวได้บ้างแล้ว

“ต้องเรียกว่าไม่เคยลืม” เขาพินิจดูดอกกุหลาบอีกอึดใจก่อนจะวางไว้ที่เดิมแล้วพลิกกระดาษไปที่หน้าถัดไปเพื่อสอดกระดาษโน้ตและปิดสมุดเก็บใส่ลิ้นชักเหมือนกับที่เก็บความรู้สึกทั้งหมดที่มีไว้ลึกสุดของหัวใจ “แต่ก็อย่างที่คุณเห็นมันเป็นอดีตไปแล้ว”
อทิฏฐ์เดินมานั่งลงข้างๆ “เขาคือคนที่เป็นสาเหตุให้คุณไม่อยากเปิดใจให้ใครหรือเปล่า”

“ก็คงใช่” นรกรตอบ “ใจที่ไม่เคยให้ใครเข้ามา เมื่อเผลอรับใครมาแล้วพอถึงวันที่ต้องจากกันมันเจ็บนะ... เจ็บจนผมสงสัยว่าแล้ววันที่ไม่มีใครผมอยู่มาได้ยังไง แต่ผมไม่เคยโกรธเขานะ ผมรู้ว่าทุกๆ ความสัมพันธ์ต้องมีจุดสิ้นสุดและจนถึงตอนนี้ช่วงเวลาสามปีที่คบกันมันยังคงเป็นความทรงจำที่สวยงามสำหรับผมเสมอ

“แล้วทำไมเมื่อวานต้องไปยืนตากฝน”

“เพราะวันนั้นฝนตก” ถ้าจะถามว่ามีวันไหนบ้างที่คิดถึงก็คงตอบได้ง่ายดายว่ามีแค่สองวัน คือวันที่ฝนตกกับวันที่ฝนไม่ตก

อทิฏฐ์พยักหน้าเข้าใจและเปลี่ยนเรื่อง “นี่ก็เริ่มมืดแล้วคุณทานอะไรสักหน่อยสิจะได้กินยา”

“ไม่เอาหรอก กินยาแล้วนอนต่อเลยดีกว่า”

“แต่นั่นมันยาหลังอาหารไม่ใช่เหรอเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก แล้วถ้าคุณไม่กินอะไรจะมีแรงได้ยังไง”

“ก็มันไม่มีอะไรให้กินนี่นาจะให้ออกไปซื้อก็ไม่ไหวแล้วผมก็ทำกับข้าวไม่เป็นด้วย”

“ถ้าผมแนะนำให้โทรหาใครสักคนคุณก็คงไม่ทำสินะ” อทิฏฐ์กอดอกมองคนหัวดื้อที่ตวัดขาขึ้นเตียงเตรียมจะนอนต่อ “คุณพอลุกไหวไหม เมื่อกี้ตอนคุณหมอคนนั้นเปิดตู้เย็นผมแอบเห็นว่ามีไข่กับนมสด ผมเป็นผีหยิบจับอะไรไม่ได้แต่บอกสูตรคุณได้นะ แค่เอามาเทๆ รวมกันคนสองสามทียกเข้าไมโครเวฟก็คงไม่ยากเกินความสามารถเด็กเกียรตินิยมเหรียญทองอย่างคุณหรอกมั้ง”

คำปรามาสกลายๆ กับท้องที่ร้องเบาๆ ทำให้นรกรยอมลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าไปในโซนทำครัว

“แล้วจะทำอะไรล่ะ” ถามพลางหยิบส่วนประกอบที่อทิฏฐ์พูดถึงออกมาวางเรียงบนโต๊ะถึงจะบอกว่าทำกับข้าวไม่เป็นแต่จริงๆ แล้วเขาก็พอทำอาหารบ้านๆ อย่างไข่ดาว ไข่เจียวหรือต้มมาม่าใส่เครื่องได้บางตามประสาเด็กหอทั่วๆ ไป

“ไข่ตุ๋น” อทิฏฐ์บอก “คุณกินคนเดียวงั้นก็ใช้ไข่ไก่สองฟองกับนมอีกครึ่งกล่องก็พอ”

“ใส่ชีสด้วยได้ไหมผมชอบกินชีส” นรกรเปิดประตูตู้เย็นและนั่งค้นอยู่พักหนึ่งจำได้เลาๆ ว่าเคยซื้อมากินกับขนมปังเมื่อนานมาแล้ว โชคดียังเหลือค้างอยู่อีกสองแผ่นและไม่เลยวันหมดอายุ

“งั้นคุณก็หั่นชีสให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโรยลงไป... เหย อะไรน่ะ นี่ถามจริงเป็นหมอผ่าตัดจริงหรือเปล่าทำไมจับมีดได้น่าหวาดเสียวแบบนั้น แล้วนั่นแน่ใจนะว่าหั่นแล้ว โอ๊ย! เชฟกะทะเหล็กมาเห็นนี่ร้องไห้ตายเลย” อทิฏฐ์โวยวายพร้อมกับวิ่งผลุบๆ โผล่ๆ ไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความหวาดเสียวว่าคุณหมอศัลยกรรมจะหั่นนิ้วตัวเองใส่ลงไปผสมด้วย

“มันเรื่องของผม ผมทำกินเองคนเดียวนี่”

“แต่มันสูตรผมนะ ให้เกียรติกันบ้างเซ่... ที่นี้ก็ใส่น้ำปลา เฮ้ย! เยอะไปป่าว ครึ่งช้อนก็พอมั้งคุณ ชีสก็เค็มนะ เป็นคนป่วยอย่ากินเค็มนักสิ แล้วทีนี้ก็คนให้เข้ากัน ใช้ส้อมตีแรงๆ หน่อย อีกๆ นั่นแหละ เยี่ยม”

“เสร็จแล้ว ทำไงต่อ” นรกรถามเมื่ออทิฏฐ์พยักหน้าให้สัญญาณว่าเขาคนไข่ได้ขึ้นฟูพอแล้ว

“ทีนี้ก็เอาไปเข้าไมโครเวฟนะ ใช้ไฟแรงครั้งละ 4 นาที 3 ครั้ง”
“งั้นก็ตั้งไปที่ 12 นาทีเลยไม่ได้เหรอ”

“การเว้นช่วงจะทำไข่มีระยะพักและเซ็ตตัว หน้าจะไม่แห้งแตก แล้วเราก็ได้คอยเช็กดูด้วยว่ามันโอเคไหมสุกหรือยัง หรือว่าไหม้ไปแล้ว” อทิฏฐ์อธิบายก่อนทั้งสองจะมานั่งลงที่โต๊ะรอผลงานชิ้นโบแดง “ตอนที่คุณล้มลงแล้วคนที่ชื่ออธิษฐ์เข้ามาช่วยไว้ผมเห็นภาพอะไรอีกแล้วนะ”

“อะไร” นรกรถามอย่างสนอกสนใจ

“แสงสีขาวกับเสียง... ผมไม่รู้ว่าเสียงอะไรแต่มันดังมาก อื้ออึงไปหมดกับความรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว สงสัยนั่นอาจจะเป็นตอนที่ผมตายละมั้ง”

“แล้วยังไงต่อ”

“แล้วก็มีคนเข้ามาจับตัวผม” อทิฏฐ์หลับตานึกภาพนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้และทุกๆ ครั้งมันยิ่งชัดเจนทว่ากลับนึกอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น “เขาถามว่า ‘คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม’ ผมไม่เห็นหน้าเขาแต่เห็นป้ายชื่อบนหน้าอกน่ะ ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าผมกับเขาคงต้องมีความเกี่ยวพันอะไรกันสักอย่างแน่ๆ ทีนี้ตอนคุณหลับผมเลยแอบกลับไปหาเขาที่วอร์ดมา”

“แล้วเป็นยังไง เห็นหรือนึกอะไรออกอีกไหม”

อทิฏฐ์ส่ายหน้า “ผมตามเขาอยู่ครึ่งค่อนวันแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยกลับมาหาคุณดีกว่าสงสัยผมจะนึกออกก็ต่อเมื่อมีคุณเป็นสื่อให้ด้วยละมั้ง”

เสียงไมโครเวฟดังติ๊งพอดี นรกรจึงเดินไปเปิดดูไข่ตุ๋น มันยังเป็นแค่น้ำเหลวๆ แต่ดูข้นขึ้นมานิดหนึ่งเขาปิดประตูและตั้งเวลาต่อ “แล้วผมจะเอาข้อมูลอะไรไปถามเขาล่ะ”

“ก็ยังไม่ต้องถามแค่หาเรื่องคุยทั่วๆ ไปเพื่อเปิดโอกาสให้ผมได้เข้าใกล้เขาไง และต่อให้ผมนึกอะไรไม่ออกแต่อย่างน้อยคุณก็จะได้เพื่อนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนนะ”

“พูดง่ายแต่ทำยาก คุณก็รู้แล้วนี่ว่าผมชวนใครคุยไม่เก่ง แทนที่จะได้เรื่องจะเปลี่ยนเป็นมีเรื่องแทนน่ะสิ” นรกรลุกไปดูไมโครเวฟอีกครั้งคราวนี้มันเริ่มขึ้นฟูนิดๆ แต่ยังไม่สุกดี เขาจึงหมุนเวลาอีก 4 นาทีเป็นครั้งสุดท้าย

“เดี๋ยวผมช่วยบอกบทให้แบบตอนคุยกับน้องคนนั้นก็ได้นะ พอคุณพูดตามผมแล้วก็ดูไม่เคอะเขินนี่เดี๋ยวพอทำไปสักพักก็น่าจะชินจนสามารถคุยเล่นกับคนอื่นได้เองแล้ว”

“เอางั้นก็ได้แต่ถ้าเริ่มแล้วต้องอยู่ช่วยจนจบห้ามชิ่งนะ”

“ผมจะหนีคุณไปไหนได้ล่ะ ไม่มีคุณให้ทะเลาะด้วยผมเหงาแย่เลย จะว่าไปคุณก็แค่คุยกับคนอื่นๆ เหมือนตอนคุยกับผมไม่ได้เหรอ”

“จะลองดูนะ” นรกรลุกไปเปิดไมโครเวฟเป็นครั้งสุดท้าย ใส่ถุงมือหยิบเอาชามไข่ตุ๋นสีเหลืองนวลนุ่มฟูดูน่ากินออกมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมนมอ่อนๆ กระจายไปทั่วทั้งห้อง เขาหยิบช้อนขึ้นมาตักไข่ที่เด้งเหมือนเยลลี่ส่งเข้าปาก

“เป็นไงบ้างสูตรผีบอก รสชาติโอเคไหม”

“หนักน้ำปลาไปหน่อยกินกับข้าวสวยร้อนๆ น่าจะพอดี แต่นี่ผมกินเปล่าๆ ไง” นรกรว่า “แสดงว่าคุณน่าจะเป็นพวกความจำเสื่อมประเภทที่ยังใช้ชีวิตประจำวันได้นะ”

“ยังไง”

“ก็คุณน่ะแค่จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครแต่คุณรู้นี่สิ่งรอบตัวคืออะไร รู้จักดารา นายแบบ พอมีความรู้วิชาการแถมยังทำกับข้าวเป็น”

“ป่วยอยู่แท้ๆ ยังมีกะใจวิเคราะห์อีกนะ” อทิฏฐ์นั่งเท้าคางนั่งลงตรงหน้าคนที่เอาแต่เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ต้องบรรยายให้ฟังก็รู้ว่าถูกปากมากแค่ไหน “แต่มันเป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆ แหละ ทีแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่ากับข้าวมันต้องทำยังไงแต่พอเห็นไข่ โน่นนี่นั่น ภาพวิธีการทำมันก็ลอยขึ้นมาเองในหัว”

“เป็นสัญญาณที่ดีว่าคุณกำลังค่อยๆ จำได้ไง”

“นั่นน่ะสิ บางทีผมอาจจะเป็นเชฟชื่อดัง หรือถึงจะไม่ดังอย่างน้อยก็รู้ว่าผมก็ทำไข่ตุ๋นอร่อยล่ะ”

“อันนี้ไม่เถียง”

“ง่วงก็ไปนอนบนเตียงอย่ามานอนตรงนี้เดี๋ยวไข้ก็กลับหรอก” อทิฏฐ์ดุคนที่พอท้องอิ่มก็ยกมือขึ้นปิดปากหาว ตาปรือแทบจะปิดและทำท่าจะฟุบลงบนโต๊ะอาหาร

นรกรลุกขึ้นไปกินยาก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยมีร่างโปร่งแสงคอยประกบไม่ให้ไปแวะนอนกลางทาง เขาเอื้อมมือไปปิดไฟก่อนจะดึงผ้าขึ้นห่มและนอนตะแคงข้างหันหน้ามาคุยด้วย

“แล้วคุณนอนที่ไหน”

“ตั้งแต่เป็นผีมาผมไม่เคยง่วงเลย ปกติก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ หรือนั่งเฝ้าปัดยุงให้จนกว่าคุณจะตื่นน่ะแหละ”

“มิน่าสองสามวันมานี่หลับสบายดีจัง” นรกรยิ้มบาง รู้ต็มอกว่าคนตรงหน้าไม่ได้พูดเอาดีเข้าตัวหลายต่อครั้งที่เขาสะลึมสะลือขึ้นมาเห็นอทิฏฐ์นั่งทะเลาะกับยุงตามที่เจ้าตัวบอก ทั้งยังนั่งฟังเขาบ่นเรื่องคนไข้หรือญาติไปจนถึงนักศึกษาแพทย์ได้โดยไม่นึกรำคาญ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กินข้าวไปหัวเราะไปหรือนอนหันหน้าคุยกับใครสักคน “นี่ทิด ขอบใจนะที่ดูแล อ้อ ผมยังติดเรื่องคิดชื่อใหม่ให้คุณนี่ พรุ่งนี้ตื่นมาไข้ลดผมสัญญาว่าจะคิดให้นะ”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ ผมเริ่มชินกับมันแล้ว และมันก็ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะชื่ออะไร ขอแค่คุณเป็นคนเรียกก็พอเพราะมีแค่คุณคนเดียวที่เห็นผม”

อทิฏฐ์หันไปหาคนบนเตียงที่หลับปุ๋ยไปเสียแล้ว “อ้าว คนเขาอุตส่าห์จะซึ้งสักหน่อย” ริมฝีปากระบายยิ้มเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นไล้ข้างแก้มแม้สัมผัสไม่ได้แต่ยังรับรู้ได้ถึงไออุ่นของผิวเนื้อและลมหายใจที่พุ่งผ่านไป เขาเลื่อนมือผ่านไปโอบรอบแผ่นหลังก่อนจะดึงตัวขึ้นเพื่อกระซิบถ้อยคำเบาๆ ที่ข้างหูราวกับกลัวคนฟังจะตกใจตื่น

 “ฝันดีนะครับ”

**********************************TBC******************************

Good night นะคะทุกคน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 3 Bargain [29/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 30-01-2016 01:19:03
น่าสนใจ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 3 Bargain [29/01/2016]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2016 21:19:33
บทที่ 4 Stay

“ไข้ลดแล้วเหรอ” วินทร์ถามคนที่เปลี่ยนชุดอยู่อีกฟากของประตูตู้ล๊อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
   
“เมื่อวานวัดได้ 37.5 เช้านี้ยังไม่ได้วัดเลยแต่รู้สึกดีขึ้นมากแล้วครับ”
   
“จริงเหรอ” ร่างสูงที่ยังสวมเสื้อค้างอยู่ในแขนข้างหนึ่งดึงประตูปิดก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเอาหน้าผากทาบทับกับอีกฝ่ายที่นิ่งขึงไปทันทีด้วยสัมผัสเย็นชื้นนิดๆ กับลมหายใจอุ่นๆ จากปลายจมูกโด่งซึ่งแตะลงเหนือริมฝีปากโดยไม่ทันได้ตั้งตัว “อืม ตัวเย็นลงแล้วจริงๆ ด้วย”  มุมปากกระตุกขึ้นยิ้มพร้อมกับดึงตัวกลับไปยืนตามเดิม “โทษทีมือไม่ว่างน่ะ” เขาใส่เสื้อจนเสร็จและเดินเข้าห้องผ่าตัดไปทิ้งให้คนเพิ่งหายป่วยยืนมองตามหลังจนสุดสายตา
   
“นั่นวิธีวัดไข้ตำราไหนน่ะ” อทิฏฐ์กระซิบแซวคนที่แก้มขาวซับสีเลือดฝาดน้อยๆ จนดูไม่ออกว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือว่าเป็นอะไรอย่างอื่น “ผมว่าคุณลืมพี่ปออะไรนั่นไปซะแล้วมาสนใจพี่วินทร์ดีกว่า คราวที่แล้วก็แซนวิซนี่ก็วัดไข้นอกตำราผมว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยคุณแปลกๆ นะ ออกจะพิเศษใส่ไข่สองฟองเลยด้วยซ้ำ”
   
นรกรคิดตาม ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หากสม่ำเสมอตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากเข้าข้างตัวเองบางทีมันอาจเป็นแค่ความเป็นห่วงทั่วๆ ไปตามประสาเพื่อนร่วมงาน “พี่วินทร์เขาไม่ค่อยเต็มน่ะ บางทีก็มีทำอะไรหลุดๆ แปลกๆ ไปบ้าง”
   
อทิฏฐ์ถลึงตาพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “นั่นคือวิธีที่คุณใช้ปฏิเสธคนที่เข้าหาคุณเหรอ”

“จริงๆ นะพี่วินทร์เคยเล่าให้ฟังเองว่าเคยป่วยนอนโรงพยาบาลตอนไปเป็นแพทย์ใช่ทุนที่ต่างจังหวัดน่ะเลยมาเรียนเดนท์ช้ากว่าคนอื่น” นรกรเริ่มต้นเล่า “ตอนเจอกันครั้งแรกวันที่เลี้ยงรับแพทย์ประจำบ้านใหม่จู่ๆ พี่เขาก็พุ่งเข้ามากอดซะแน่นจนหายใจไม่ออก เสร็จแล้วก็บอกว่าเห็นผมดูแห้งๆ แกร็นๆ เลยอยากลองวัดขนาดตัวน่ะ กลัวไม่มีแรงจะยืนผ่าตัดนานๆ ไม่ไหว... แล้วเขาก็ทำแบบนั้นกับทุกคนแม้แต่กับพวกอาจารย์ไม่ใช่แค่ผม”

“ถ้างั้นก็แปลกจริงๆ ด้วย”

“คงจะมีสมองกระทบกระเทือน หรือเป็นผลข้างเคียงจากอาการช็อคจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอน่ะ”

“ไม่ก็ PTSD” อทิฏฐ์เสริม

คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง

“Post Traumatic Stress Disorder โรคที่เกิดจากความเครียดหลังเจ็บป่วยหรือเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงไง... ทำไม คุณไม่รู้จักเหรอ ต๊าย ตาย เป็นหมอสมองภาษาอะไรเนี่ย”

“ปากดีเดี๋ยวจับลงหม้อถ่วงน้ำแบบแม่นาคซะเลยนี่ ผมน่ะรู้จักว่าแต่คุณน่ะรู้ได้ยังไง”

“เออ... นั่นสิ ทำไมผมรู้ล่ะ” อทิฏฐ์จับคางครุ่นคิดอยู่อึดใจ “อ้อ! นึกออกล่ะก็เมื่อวันก่อนคุณเพิ่งจะอธิบายให้คนไข้ฟังไปนี่นาแล้วยังแนะนำให้เขาไปปรึกษาหมอจิตเวชด้วยไง”

นรกรพยักหน้าตามนึกทึ่งเล็กๆ ที่อทิฏฐ์ดูจะเรียนรู้และจดจำอะไรได้รวดเร็วเว้นก็เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องของตัวเขาเองที่ไม่ว่าจะนึกเท่าใดก็นึกไม่ออกสักที เขาอยากจะคุยต่อแต่เพราะวินทร์เยี่ยมหน้าเข้ามาเรียกจึงรีบใส่เสื้อจนเสร็จและวิ่งเหยาะๆ ตามเข้าห้องผ่าตัดไป

oooooo

“พี่ฮาร์ฟ สวัสดีครับ”

นรกรที่กำลังนั่งอ่านหนังสือในห้องพักแพทย์พยักหน้ารับไหว้น้องๆ แพทย์ประจำบ้านชั้นปีอื่นๆ ที่ทยอยเข้ามา ทุกคนกำลังคุยติดพันหัวเราะสนุกสนานในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจหรือมีส่วนเอี่ยว และวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกๆ วัน เพราะทำตัวไม่ถูกและรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินเขาจึงปิดหนังสือเก็บ กำลังจะผลักประตูออกไปเงียบๆ เมื่อจิงโจ้พูดขึ้น

“น่าเสียดายจังที่พี่ฮาร์ฟไม่ได้ไปด้วยปาร์ตี้เมื่อคืนสนุกมากเลย”

“ใช่ๆ พี่วินทร์งี้เมาแอ๋เลย นึกว่าต้องทิ้งไว้ที่ร้านซะแล้ว เห็นว่าเป็นเจ้าของงานหรอกนะถึงยอมลากกลับมาด้วย” อนุวัฒน์เสริม
นรกรหันกลับมา “เอ่อ ขอโทษนะพวกนายพูดถึงงานอะไรเหรอ”

“ก็งานวันเกิดพี่วินทร์ไงครับ” จิงโจ้ตอบ “เห็นพี่วินทร์บอกว่าพี่ฮาร์ฟเพิ่งหายป่วยเลยไม่อยากให้มากินเหล้า”

“ทุกคนไปกันหมดเลยขาดพี่ฮาร์ฟคนเดียว”

“ใช่ครับ อีกไม่กี่เดือนพวกพี่ก็จะจบแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจังผมยังรู้สึกว่าไม่ได้เรียนรู้อะไรจากพี่ฮาร์ฟที่สอบบอร์ดผ่านตั้งแต่ปีสี่แถมยังได้คะแนนเป็นที่หนึ่งของประเทศอีก”

“ไอ้นี่ก็เวอร์ไป๊!” อนุวัฒน์ถองเข้าให้ “เก่งๆ อย่างพี่ฮาร์ฟน่ะต้องได้มาเป็นอาจารย์อยู่แล้ว แล้วก็จะมาสอนพวกเราต่อนี่แหละ... อ๋อ หรือว่านี่กำลังเลียเพื่อหวังผลประโยชน์ระยะยาวหึไอ้โจ้”

วิชาศัลยกรรมประสาทและสมองนั้นเป็นสาขาวิชาที่ยาก ถึงในปีหนึ่งๆ จะมีผู้มาสมัครเป็นจำนวนมากแต่ผู้ที่สอบผ่านจะมีแค่หนึ่งถึงสองคนเต็มที่ก็ไม่เกินสาม อย่างในรุ่นเขามีสามคนคือเขา วินทร์ และธีร์ซึ่งตอนนี้ขอทำเรื่องไปดูงานที่ต่างประเทศช่วงก่อนจบ ในขณะที่แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1-4 ตอนนี้มีแค่ชั้นปีละหนึ่งคนเท่านั้น

คนมาเรียนที่ว่าน้อยยังไม่ยากเท่ากับการเฟ้นหาอาจารย์ที่จะมาทำหน้าที่สอนต่อ ไม่ใช่แค่มีความสามารถและบุคลิกเข้าตากรรมการ เพราะถ้าเป็นแพทย์ที่มาจากสถาบันอื่นอย่างวินทร์เมื่อเรียนจบก็ต้องกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลหรือสถาบันที่ส่งมาเรียน นรกรจึงเป็นที่จับตามองว่าต้องได้ตำแหน่งนี้ไปแน่ๆ ด้วยคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ในขณะที่เจ้าตัวก็มุ่งมั่นเช่นนั้นอยู่แล้วถึงได้ทุ่มเทกับการทำงานและการทำวิจัยจนไม่เป็นอันกินอันนอน ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ให้ใครครหาได้ว่าได้มาง่ายๆ เพราะใช้เส้น

“เบื่อพี่วัฒน์ว่ะ” จิงโจ้ขำที่โดนรู้ทัน “พี่ฮาร์ฟกรุณาอย่ากดคะแนนผมเหมือนอ.สรวิชญ์นะครับ ตอนสอบออสกี้คราวที่แล้วนี่ซักผมซะขาสั่น ฉี่แทบราดแน่ะ”

“ไอ้โจ้!” อนุวัฒน์สะกิดพร้อมกับชี้นิ้ว ทุกคนพากันเงียบกริบแต่จิงโจ้เพิ่งมาใหม่จึงยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร

“ก็จริงๆ นี่พี่วัฒน์ อ.สรวิชญ์อะโคตรดุเลย นี่เวลาอยู่บ้านเขาดุพี่ฮาร์ฟแบบนี้หรือเปล่าครับ” ถึงตอนนี้รุ่นพี่แพทย์ประจำบ้านทุกคนแทบจะกระโดดตะครุบตัวจิงโจ้ไม่ให้พล่ามไปมากกว่านี้ นรกรไม่พูดว่าอะไรได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและผลักประตูออกไป

“สองคนนั่นไม่ถูกกัน” เสียงใครสักคนกระซิบดังแว่วตามหลังมาเบาๆ “นายไม่สังเกตหรือไงว่าแม้แต่ตอนราวน์ด้วยกันอาจารย์ก็แทบไม่พูดกับพี่ฮาร์ฟด้วยซ้ำ”

นรกรเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่ออีกไปให้พ้นจากตรงนั้นจนอทิฏฐ์ต้องวิ่งเหยาะๆ เพื่อตามให้ทัน

“คุณไม่เป็นไรนะ” ถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่นี่” นรกรกระซิบเรื่องพ่อเขาชินเสียแล้วก็แค่ไม่อยากฟัง แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่คือเรื่องที่ทุกคนได้รับเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิดวินทร์ยกเว้นเขา “ผมบอกคุณแล้วเห็นไหมว่าคนเราเข้าใจยากผมไม่มีวันรู้เลยว่าใครคิดอะไรอยู่ ทั้งที่เมื่อวานเข้าเคสผ่าตัดอยู่ด้วยกันทั้งวันแท้ๆ แต่พี่วินทร์กลับไม่มีท่าทีจะชวนผมหรือพูดถึงเรื่องนี้เลย”

ไม่มีหรอกคำว่าสนิท ไม่มีคำว่าพิเศษ ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่เขาจะพูดด้วยเหมือนคนอื่นๆ ไม่สิ! อันที่จริงน้อยกว่าคนอื่นด้วยซ้ำเพราะถ้าเห็นว่าสำคัญอย่างน้อยคงจะเอ่ยให้ได้ยินบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เขาไม่รู้อยู่คนเดียว

“ก็ถามสิ”

“ถามว่าอะไร” เขาถามกลับ “พี่วินทร์ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากให้ผมไปเพราะเพิ่งหายไข้ ไม่มีอะไรสักหน่อย”

“นั่นคือสิ่งที่พี่วินทร์บอกกับทุกคนไม่ใช่บอกคุณ อย่างน้อยเขาก็ควรบอกคุณด้วยตัวเอง และนี่ไม่ใช่เหรอคือสาเหตุที่ทำให้คุณโกรธ”

“ผมจะไปโกรธเจ้าของวันเกิดทำไม เขามีสิทธิ์ชวนหรือไม่ชวนใครไปก็ได้”

“แต่คุณเจ็บ” อทิฏฐ์ว่า “ชีวิตคนเรามันสั้นนะคุณ ดูอย่างผมสิ จู่ๆ ก็ตายกลายเป็นผีโดยที่ไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ ถ้าอยากรู้อะไรคุณต้องถามไม่ใช่มานั่งคิดเองเออเองว่าเขาไม่สนใจ”

“แล้วจะให้ผมทำยังไง เดินดุ่มๆ เข้าไปถามน่ะเหรอ ว่าทำไมถึงไม่ชวนผมไปงานวันเกิดเขา ถ้าสี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่บอก จนปีที่ห้านี่ผมก็คงไม่จำเป็นต้องรู้แล้วล่ะ”

“เขาไม่บอกหรือคุณไม่สนใจจะถาม เอาให้แน่” อทิฏฐ์พูดจี้ใจดำและมันได้ผลนรกรชะงักงันไปทันที “ผมจะบอกอะไรให้นะฮาร์ฟ จริงๆ แล้ววันที่คุณป่วยพี่วินทร์ไปเยี่ยมคุณนะ”

“ตอนไหน” นรกรออกตกใจไม่น้อยเพราะเขาจำไม่ได้สักนิดและวินทร์ก็ไม่เคยพูดถึงเลย

“พร้อมกับพี่ปอ บังเอิญเขายืนอยู่หลังประตูตอนคุณเปิดประตูออกมาน่ะคุณเลยไม่เห็น ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงไม่ส่งเสียงทักคุณออกไป บางทีเขาอาจจะรู้ว่าคุณชอบพี่ปอเลยอยากเปิดโอกาสให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ได้”

“พี่วินทร์เรียนคนละมหา’ลัยกับผม เขาจะรู้เรื่องพี่ปอได้ยังไง”

“อันนี้ผมไม่รู้” อทิฏฐ์ว่า “ผมรู้แค่เขาเป็นห่วงพอจะไปเยี่ยมคุณ และแคร์พอจะยอมกลับไปเงียบๆ โดยไม่สนใจว่าคุณจะรู้หรือเปล่า ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำมันมากพอจะทำให้เขามีค่าพอที่คุณจะสนใจไหม แต่อย่างน้อยผมว่าเขาควรได้รับคำขอบคุณในความตั้งใจที่ไปเยี่ยมคุณนะ”

นรกรไม่พูดว่าอะไรอีกและเข้าไปอยู่ในวังวนความคิดของตัวเองเงียบๆ

กว่าจะเดินตรวจผู้ป่วยตามหอผู้ป่วยจนเสร็จก็ปาเข้าไปจนบ่ายคล้อย แต่ไม่ว่าจะยุ่งสักแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้เขาสลัดเรื่องของวินทร์ออกไปจากสมองได้ จนกระทั่งเห็นร่างสูงระหว่างทางเดินไปโรงอาหาร ผมเผ้าของเขาดูยุ่งมากกว่าปกติและยกมือปิดปากหาวตลอดเวลาซึ่งคงเป็นผลจากการเมาแฮงค์เมื่อคืนตามที่น้องๆ แพทย์ประจำบ้านบอก เขาค่อยๆ เดินตามไปข้างหลังพลางคิดหาคำถามเมื่อเจ้าตัวหันมาทักเข้าเสียก่อน

“อ้าวฮาร์ฟ เดินตรวจผู้ป่วยตามวอร์ดเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ”

“ฉันก็เพิ่งเสร็จจาก OPD กำลังจะไปกินข้าว” พร้อมกับสะบัดศีรษะไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปสู่โรงอาหารซึ่งผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ชวนให้ไปด้วยกัน ถ้าเป็นปกตินรกรคงปฏิเสธ เขาไม่ชอบที่คนเยอะๆ และอยากไปนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียวที่ห้องสมุดมากกว่า แต่เมื่อวินทร์พูดต่อว่า “ไปด้วยกันนะ” เขาก็พยักหน้า

ทั้งสองเดินคู่กันไปเงียบๆ โดยไม่มีใครว่าอะไรในขณะที่อทิฏฐ์ซึ่งเดินตามมาข้างหลังนึกบ่นอยู่ในใจเป็นหมีกินผึ้งด้วยความอึดอัดตันใจจนอกจะแตกตายไปอีกรอบ แต่ไอ้ครั้นจะให้พูดออกไปตรงๆ ก็ไม่อยาก เขาต้องการให้นรกรคิดและทำด้วยตัวเองไม่ใช่ทำเพราะเขาบอกให้ทำ

และในที่สุดเมื่อวินทร์ยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกรอบเป็นการย้ำเตือนถึงเรื่องราวที่ปกปิดไว้เมื่อคืนก็ดูเหมือนความต้องการของอทิฏฐ์จะประสบผล

“เมื่อวานวันเกิดพี่วินทร์เหรอครับ” เขาหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว

มือใหญ่ที่ยกขึ้นปิดปากค้างไว้เช่นนั้นอีกหลายวินาทีด้วยความตกใจก่อนจะลดมือลงช้าๆ “นายรู้ได้ไง”

“น้องๆ เล่าให้ฟัง... ขอโทษครับ คือผมไม่ได้ ผมแค่... คือผมรู้ว่าเพิ่งหายป่วยแต่...” นรกรพูดตะกุกตะกักจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดอะไรอยู่หรืออยากจะพูดอะไรกันแน่ เมื่อคนข้างๆ แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“ขอโทษนะ”

“พี่วินทร์ขอโทษผมทำไมครับ”

“ที่ไม่ชวน” วินทร์ยกมือเกาศีรษะ “คือยังไงดีล่ะ เจ้าพวกนั้นมันวางแผนจะมอมเหล้านายเพราะอยากรู้ว่าเด็กเนิร์ดอย่างนายตอนเมาจะเป็นยังไง... พวกมันไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอกก็แค่ห่ามๆ ตามประสาผู้ชายน่ะ ฉันจะห้ามก็ไม่ได้เพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่... จะว่ายังไงดีล่ะ ก็แค่เป็นห่วงน่ะ เลยคิดว่าไม่บอกดีกว่าแล้ววันเกิดฉันมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนาด้วยใช่ไหมล่ะ”

“สำคัญสิครับเพราะเป็นวันที่พี่วินทร์เกิดมานี่นา” นรกรสวนออกไปโดยไม่รู้ตัวแต่อย่างน้อยจากก้นบึ้งของหัวใจเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ “สุขสันต์วันเกิดครับ ขอโทษที่ช้าไปหน่อย พอดีผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาให้ ขอโทษนะครับ”

วินทร์หยุดยืนมองคนตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันที่จะได้ยินคำๆ นี้จากปากคนที่เคยคิดว่าไม่มีเขาอยู่ในสายตา “ถ้านายอยากจะให้งั้นฉันขอของขวัญเองได้ไหม”

“ได้สิครับ”

“งั้นไปกินข้าวด้วยกันนะ”

“ก็กำลังไปไม่ใช่เหรอครับ” นรกรถามพาซื่อ

“ไม่ใช่วันนี้ฮาร์ฟ” ถึงตอนนี้วินทร์แทบจะใช้สองมือเกาศีรษะแล้ว “คือ... วันอาทิตย์นี้หลังออกเวร ไปกินข้าวกันเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”

“ครับ”

นัยน์ตาใสซื่อหลังกรอบแว่นที่มองตรงมายังเขาทำให้วินทร์หายตกประหม่า เขาหลุดยิ้มออกมาในที่สุดพร้อมกับลดมือลงสอดในกระเป๋ากางเกง “แล้วนายอยากกินอะไร”

“ผมเลือกร้านไม่เก่งเอาที่พี่วินทร์ชอบเลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง”

“พวกน้ำตก ส้มตำ ลาบเลือดอะไรแบบนี้ก็ได้เหรอ” วินทร์แซว “ฮะฮะ ล้อเล่นน่า นายคงกินอะไรพวกนี้ไม่เป็นใช่ไหมล่ะ”

“ก็ได้นะครับ พี่เลี้ยงผมเป็นคนอีสานตอนเด็กๆ เขาทำให้ผมกินบ่อย”

วินทร์ยิ้มกว้างขึ้นอีก นอกจากจะได้รู้จักคนอายุน้อยกว่ามากขึ้นอีกนิด นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนกินอะไรง่ายกว่าที่คิด “งั้นวันอาทิตย์สองทุ่มตรงเจอกันนะ”

“ตกลงครับ” นรกรเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ “ขอบคุณพี่วินทร์ที่ไปเยี่ยมผมเมื่อวันก่อนนะครับ”

คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง “นายรู้ได้ไง ปอบอกเหรอ”

“ไม่ใช่พี่ปอแต่เป็น เอ่อ... คนอื่น”

“ใคร? นี่นายมีพรายกระซิบด้วยเหรอ”

“พี่วินทร์จะเรียกอย่างงั้นก็ได้ครับ แต่ผมว่าหน้าเขาเหมือนคนมากกว่าพรายนะ”

คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นอีกพร้อมกับยกหลังมือขึ้นแตะไปรอบๆ กรอบหน้าคนที่มาด้วยกัน “ไข้ก็ไม่มีสักหน่อย... วันนี้นายแปลกไปนะนอกจากจะไม่พูดถึงตำราแล้วยังรับมุกอีก”

“แล้วมันไม่ดีเหรอครับ”

“ไม่ใช่ไม่ดีแค่ยังไม่ชิน” วินทร์บอก “แต่วันหลังสะกิดบ้างก็ดีนะจะได้ช่วยขำ มุกนายนี่เข้าใจยากชะมัด”

“ก็ยังดีกว่ามุกน้ำตาลเสี่ยวๆ ของพี่วินทร์แหละน่า” นรกรโพล่งออกไป

วินทร์ถึงกับทรุดลงไปนั่งขำบนพื้นกับคำที่โดนย้อนและท่าทีเหมือนเด็กหัวดื้อที่ดึงดันจะเอาชนะ เขายังคงหัวเราะอยู่อีกนานจนนรกรต้องก้มลงฉุดมือดึงให้รีบไปกินข้าวเพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามองพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ

oooooo

“ผมนึกว่าคุณจะปฏิเสธพี่วินทร์เสียอีก” อทิฏฐ์ถามในขณะที่ช่วยนรกรเดินหาหนังสือตามชั้นในห้องสมุดของโรงพยาบาล

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ในที่สุดเขาได้หนังสือเล่มที่ต้องการมากพอ ร่างโปร่งหอบตั้งหนังสือไปวางลงบนโต๊ะและนั่งลงหยิบเล่มแรกขึ้นมา ทันทีที่เปิดกลิ่นกระดาษเก่าลอยมาแตะจมูก มันหอมเสียจนเขาอดใจไม่ยกขึ้นมาแอบสูดสักฟอดไม่ได้

ในยุคสมัยที่การสื่อสารรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่างสามารถหาได้จากอุปกรณ์เครื่องเล็กๆ ในมือ ถึงมันจะสะดวกและรวดเร็วแต่ถ้ามีเวลานรกรจะมีความสุขมากกว่ากับการได้มายืนในเขาวงกตของห้องสมุดแล้วลงมือค้นหาความลับไปตามกำแพงหนังสือแต่ละชั้น อันที่จริงที่อทิฏฐ์เคยแซวเขาไว้นั่นก็ไม่ผิดนักหรอก จะว่าเสพติดหนังสือก็ได้แต่คนที่ไม่เคยน้ำหมึกเปื้อนมือจะมาเข้าใจอรรถรสของการอ่านจากเล่มได้ยังไง

อทิฏฐ์ไหวไหล่ “ก็คุณดูเป็นคนแบบนั้น... เดี๋ยวก่อนคือผมหมายความว่าที่คุณตอบไปแบบนั้นน่ะดีแล้ว”

“ก๊อกๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับร่างสูงในชุดกาวน์ยาวสีขาวมาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะ “ขอพี่คุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

“พี่ปอมีอะไรหรือครับ”

“พี่มีเรื่องอยากคุยกับเราน่ะ วันอาทิตย์นี้พอจะมีเวลาว่างไปกับพี่ได้ไหมครับ” คณิณรู้ว่าคนตรงหน้าต้องปฏิเสธแน่ๆ จึงรีบมัดมือชก “ถือว่าตอบแทนที่พี่ไปดูแลตอนเราป่วยไง นะฮาร์ฟพี่มีเรื่องอยากคุยด้วยจริงๆ”

นรกรไตร่ตรองอยู่อึดใจ “ก็ได้ครับ”

“งั้นตอนหกโมงเจอกันร้านเดิมนะ”

ยังไม่ทันที่คณิณจะคล้อยหลังไปไกล อทิฏฐ์ก็ยกมือขึ้นกอดอกพร้อมทั้งจิกตาใส่ “คุณเพิ่งตอบตกลงไปกินข้าวกับพี่วินทร์”

“พี่วินทร์นัดสองทุ่มแต่พี่ปอนัดหกโมงนี่” ตอบตามตรงพร้อมตวัดสายตาหลังกรอบแว่นกลับไปมองตามบรรทัดบนหน้าหนังสือ

อทิฏฐ์ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยพร้อมลดมือที่กอดอกไว้ลง ถ้าเป็นคนอื่นสิ่งที่ทำคงไม่ต่างอะไรกับการจับปลาสองมือแต่สำหรับหนอนหนังสือผู้คงแก่เรียนคนนี้ มันก็แค่ ‘เวลานัด’ เหมือนกับการจัดคิวตรวจผู้ป่วยก็เท่านั้น มันจึงไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่จะไปหงุดหงิดใส่นอกจากจะช่วยทำอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่านั้น

เขาเดินวนไปวนมารอบชั้นหนังสือพร้อมกับใช้นิ้วเคาะปลายคางไปด้วย พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ เผื่อจะได้คำตอบ
ผู้ชายในกรอบภาพสีน้ำมันบนผืนผ้าใบบานใหญ่ที่ประดับเรียงรายอยู่บนฝาผนังขมวดคิ้วให้เขา

อทิฏฐ์หยุดยืนมองชายศีรษะล้านไว้หนวดหนาปกคลุมเหนือริมฝีปากบน เขาสวมชุดทักซิโด้ผูกหูกระต่ายนั่งไขว้ห้างอยู่ในสวน ทั้งๆ ที่เป็นแค่ภาพวาดธรรมดาแต่นัยน์ตาคมกริบที่ทอดมองลงมากลับสะกดให้เขาไม่อาจถอนสายตาได้ราวกับผู้ชายคนนี้ยังคงมีชีวิตและกำลังพยายามบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เขาฟัง

คำบรรยายบนป้ายดุนนูนสีทองใต้ภาพบอกให้รู้ว่าเขาคือ เซอร์วิลเลียม ออสเลอร์ (Sir William Osler) แพทย์ชาวแคนาดาผู้เป็นบิดาแห่งอายุรแพทย์

แต่ต่อให้คุ้นยังไงก็ไม่เข้าใจว่ามีความหมายอะไรกับตน อทิฏฐ์มองเลยไปยังภาพวาดถัดไปซึ่งเป็นภาพคุณหมอหนุ่มหน้าตาใจดีด้วยอมยิ้มที่มุมปากนั่งอยู่ในห้องสมุดชื่อ ฮาร์วี่ คูชชิ่ง (Harvey Williams Cushing)

อทิฏฐ์หลุดขำออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้สาเหตุ บางทีอาจเป็นเพราะตำแหน่งบิดาแห่งแพทย์ศัลยกรรมประสาทและสมองที่ต่อท้ายชื่อมาทำให้เขานึกถึงคนที่นิ่วหน้าอ่านหนังสืออยู่ เขาเริ่มสนุกและสนใจศิลปะในห้องสมุดจึงเริ่มเดินต่อไปยังกรอบรูปถัดไปซึ่งเป็นภาพของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่แม้แต่คนความจำเสื่อมอย่างเขายังรู้จักเป็นอย่างดี

ทันทีที่อ่านเกียรติคุณที่ต่อหลังชื่อจบ หลอดไฟแห่งความคิดก็สว่างวาบขึ้นในหัว เขารีบพุ่งกลับไปหานรกรทันที

แต่จะจู่โจมทันทีเลยคงไม่เหมาะ ร่าโปร่งแสงแกล้งผิวปากเดินวนไปรอบๆ สองสามรอบ “ฮาร์ฟ ผมว่าผมหน้าคุณยาวแล้วนะไม่คิดจะไปตัดออกสักหน่อยเหรอ” ทำเป็นเลียบๆ เคียงๆ ถาม

นรกรเงยหน้าจากหนังสือแล้วใช้ปลายนิ้วจับปอยผมหน้าที่เริ่มแยงตาและบังกรอบแว่นไปถึงหนึ่งในสาม “นั่นสิผมก็ชักจะรำคาญแล้วเหมือนกันงั้นเราก็ไปกันเลยดีกว่าเดี๋ยวร้านจะปิดเสียก่อน”

oooooo
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2016 21:33:31
บทที่ 4 (ต่อ)

“หมอฮาร์ฟตัดผมใหม่เหรอคะ” พยาบาลสาวที่เคาน์เตอร์หน้าห้องตรวจโรคร้องทักหลังจากเหลือบตามองเขาถึงสามครั้ง เพราะจำกันไม่ได้

“คือมันยาวแล้วน่ะครับเลยไปเล็มออก” คุณหมอหนุ่มตอบเขินๆ พลางยกมือขึ้นลูบปอยผมหน้าที่ถูกตัดออกจนสั้นเปิดให้เห็นหน้าผากและกรอบหน้าชัดเจน ซ้ำยังถอดแว่นออกและเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์

“น่าจะทำทรงนี้ตั้งนานแล้วนะคะหน้าตาดูสดใสมากเลย”

“พี่ฮาร์ฟ!” จิงโจ้และแพทย์ประจำบ้านคนอื่นที่ทยอยมาถึงร้องทักพร้อมกับวิ่งมายืนจ้องหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบัง “พี่ไว้ผมทรงนี้หล่ออะ ยังกะดาราเกาหลีแน่ะไว้ผมจะไปตัดบ้าง”

“อย่าแม้แต่จะคิดเลยไอ้โจ้ เบ้าหน้าไม่ได้สักครึ่งของพี่เขาทำเป็นพูด” อนุวัฒน์ว่า

ทุกคนพากันชมเปราะจนเจ้าตัวที่ขี้อายอยู่แล้วได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออก ในขณะที่ตัวต้นเหตุยืนกอดอกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยภาคภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง

การหลอกล่อพ่อสารานุกรมเคลื่อนที่ไปร้านตัดผมไม่ยากเท่าโน้มน้าวให้ลองเปลี่ยนทรงผมดู เขาแอบเห็นมานานแล้วว่านรกรเป็นคนหน้าใส ผิวก็ขาวละเอียดเพราะไม่เคยโดนแดดแถมตาก็กลมโตแต่เพราะแอบอยู่หลังกรอบแว่นกับผมที่ปรกหน้าทำให้ไม่มีใครมองเห็นจนยิ่งดูเป็นคนมืดมนไม่น่าคบหา

‘ผมหน้ามันแยงตาแถมยังต้องเสียเงินมาตัดบ่อยๆ ผมว่าคุณตัดสั้นเปิดหน้าผากไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ’

‘แบบนั้นมันก็ต้องเสียเวลาเซ็ตน่ะสิ’

‘ไม่หรอกน่า แค่ปัดๆ เสยๆ ขึ้นไปเอง น่านะ... เชื่อผมสักครั้งสิ’ นรกรยังมีท่าทีลังเลเขาจึงงัดมุกที่คิดว่าอีกฝ่ายต้องยอมฟังมาใช้ ‘ผมที่ปรกตาทำให้เลนส์ทำงานหนักต้องปรับโฟกัสตลอดเวลา การตัดผมสั้นเป็นการถนอมสายตาอย่างหนึ่งนะ’

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอึดใจ เขาไว้ผมทรงนี้มาตั้งแต่เด็กและไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยน แต่ที่อทิฏฐ์พูดมาก็ถูก นรกรพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันไปบอกกับช่าง ในขณะที่คนช่างยุยืนยิ้มแก้มแทบปริ

และหลังจากช่างทำผมสาวประเภทสองตวัดกรรไกรแสดงฝีไม้ลายมืออยู่ครู่ใหญ่ๆ หล่อนก็สะบัดผ้าคลุมไหล่ออกพร้อมกับหมุนเก้าอี้กลับมาเพื่อนำเสนอผลงานของตน แล้วทุกคนในร้านก็กรีดร้องไม่ต่างอะไรกับคนที่โรงพยาบาลนี่แหละ

ทีนี้ก็เหลือแค่กำจัดไอ้แว่นบ้านั่นออกไปซึ่งนับว่าเป็นงานมหาหินมากทีเดียว
   
‘คุณไม่ลองใส่คอนแทคเลนส์ดูบ้างเหรอ’

‘มันทำให้ระคายเคืองตา เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าให้ผมตัดผมสั้นจะได้ถนอมสายตาไม่ใช่เหรอ’
ไอ้คนความจำดี!

อทิฏฐ์ทำปากขมุบขมิบไม่คิดว่าจะโดนย้อนคำ เขากำลังจะหาเรื่องแถต่อเมื่อนรกรพูดอย่างรู้ทัน

‘ทิด คุณมีแผนการอะไรกันแน่บอกผมมาตรงๆ เลยดีกว่า’

อทิฎฐ์ยิ้มแหย ‘ผมแค่อยากแปลงโฉมให้คุณ’

‘ทำไม สภาพผมในตอนนี้มันดูแย่มากเลยเหรอ’

‘ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คนเราน่ะมันตัดสินกันเสี้ยววินาทีที่แรกพบสบตากันใช่ไหมล่ะ ดังนั้นถ้าคุณอยากเข้าหาคนอื่นได้ง่ายๆ คุณก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ดูสดใสน่าคบหาเสียก่อน’

‘ผมคิดว่าผมทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรนะ’

‘ใช่คุณทำได้’ อทิฏฐ์ว่า ‘ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณทำได้อยู่แล้วน่ะนะ’

‘หมายความว่าไง’

‘ถ้าคุณอยากได้ในสิ่งที่ไม่เคยได้ คุณต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ’ อทิฏฐ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ‘คุณลองคิดดูสิ ถ้าเอดิสันยังยืนยันที่จะใช้วิธีเดิมๆ ในการประดิษฐ์หลอดไฟ เขาก็จะไม่มีวันคิดค้นหลอดไฟได้ แต่เขาทำได้หลังจากที่ทดลองวิธีการใหม่ๆ ถึง 999 วิธี’

‘หมายความว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองถึง 999 อย่างเลยเหรอ’

‘ไม่หรอก’ อทิฏฐ์ละคำว่า... เพราะบางทีมันอาจจะมากกว่า ไว้ในใจ ‘แต่อย่างน้อยถ้ามันไม่ประสบผลสำเร็จคุณก็จะค้นพบวิธีที่ไม่เวิร์คเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธีไม่ใช่เหรอ’

นับว่าการนั่งนโมท่องไดอาล็อกนั่นอยู่นานสองนานไม่ถือว่าเสียเวลาเปล่าเมื่อนรกรยอมเดินเข้าร้านแว่นเพื่อไปวัดสายตาและลองใช้คอนแทคเลนส์



“เสียงดังอะไรกัน” พี่ใหญ่สุดอีกคนของสายศัลยกรรมประสาทและสมองเดินอ้าปากหาวจนเกือบเห็นไส้ติ่งเข้ามาร่วมวง

“อ้าวพี่วินทร์” จิงโจ้หันไปยกมือไหว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน “ไม่มีอะไรครับพวกเราแค่แซวที่พี่ฮาร์ฟตัดผมใหม่หล๊อหล่อ พี่วินทร์ว่าปะ”

ร่างสูงลดมือลงล้วงกระเป๋ากางเกงพร้อมก้มหน้าลงมาจ้องใกล้ๆ จนแทบจะชิด “ก็งั้นๆ อะ ไม่เห็นจะหล่อขึ้นตรงไหน แล้วนี่นึกยังไงใส่คอนแทคฯ เดี๋ยวก็ไปทำร่วงใส่สมองคนไข้ตอนผ่าตัดหรอกอันตรายจะตาย”

“เหยยยย พี่วินทร์อะพูดอะไรแบบนั้น ทีตัวเองไว้หนวดเป็นตะไคร่น้ำเกาะคางคิดว่าดูดีตายล่ะ”

“ทำไมมีปัญหาหรือไง แล้วถ้านี่ว่างมาจับกลุ่มคุยเล่นกันละก็ ทำไมไม่รีบไปเข้าห้องแล้วลงมือตรวจคนไข้จะได้เสร็จเร็วๆ ไป๊!”

“คร้าบบบ”

“พี่วินทร์ใจร้ายยยย”

“ทำไมไปว่าพี่ฮาร์ฟแบบนั้น”

ทุกคนแซวแกมบ่นก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้าห้องตรวจของตน

“ผมไปนะครับ” นรกรค้อมศีรษะและก้าวเร็วๆ เข้าห้องตรวจไป

“ฮาร์ฟ เดี๋ยวก่อน” อทิฏฐ์ร้องเสียงหลง “ไอ้พี่วินทร์บ้าเอ๊ย! คนเขาอุตส่าห์เชียร์ ผีหมาบ้าที่ไหนเข้าปากมาละเนี่ย” เขาพุ่งตามเข้าไปในห้องเห็นคุณหมอหนุ่มนั่งก้มหน้าอ่านแฟ้มคนไข้ ในขณะที่ใช้หลังมือขยี้ตาเร็วๆ “ไม่เป็นไรนะ”

“อืม”

“ไม่เอา ไม่ขยี้ตาน่า วันนี้คุณใส่คอนแทคฯ มานะอย่าลืมสิ เดี๋ยวตาก็แดงหรอก”

“ผมโอเค” นรกรรีบบอกเมื่อเห็นร่างโปร่งแสงเกาะขอบโต๊ะอยู่ไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าทะเล้นเจื่อนไปด้วยความรู้สึกผิด “จริงๆ นะ ที่ขยี้นี่แค่เคืองเพราะไม่ชินเฉยๆ ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนหน้าตาดี และก็ชินแล้วด้วยกับการโดนแกล้ง หนักกว่านี้ก็เคยโดน แค่นี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก”

“ที่ว่าแกล้งนี่คืออะไรเหรอ”

“ก็อย่างตอนม.ปลาย” นรกรละสายตาจากแฟ้มผู้ป่วยพลางเริ่มต้นเล่า “มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่ารักเป็นขวัญใจของห้อง เธอมาขอให้ผมสอนการบ้านทุกวันแล้วก็เอาขนมมาให้เป็นการตอบแทน เราเลยเริ่มคุยกันมากขึ้น เหมือนเคมีมันเข้ากันน่ะ เราชอบหนังสือแบบเดียวกัน ฟังเพลงสไตล์เดียวกันแถมยังมีนักวิทยาศาสตร์ในดวงใจคนเดียวกันอีก”

“ก็ฟังดูน่ารักปั๊บปี้เลิฟดีออกแล้วคุณไปโดนแกล้งตอนไหน”

“วันวาเลนไทน์ เธอหอบเอากุหลาบช่อโตมาโรงเรียนแต่ดันโดนครูฝ่ายปกครองยึด ผมเลยอาศัยความเป็นหัวหน้าห้องไปขอคืนมาบอกว่าต้องใช้ประกอบการพรีเซนต์ยีนเด่นยีนด้อยตามหลักของเมนเดลในชั่วโมงชีววิทยาน่ะ แล้วมันก็ได้ผลครูคืนดอกไม้มาให้ เธอนี้ยิ้มแก้มปริเลย”

“แล้ว...”

“แล้วเธอก็บอกรักผมโดยใช้กุหลาบช่อนั้น”

“เฮ้ยยยย! แกล้งแบบนี้น่ารักอะ”

“ก็คงจะน่ารักถ้าอีกฟากหนึ่งของบานประตูไม่ได้มีเพื่อนกว่าครึ่งห้องแอบฟังอยู่” อทิฏฐ์ค่อยหุบยิ้มลง ถึงน้ำเสียงของคนตรงหน้าจะไม่ได้เศร้าสร้อยแต่เขาไม่รับรู้คลื่นของความสุขในถ้อยคำที่กำลังจะพูดต่อมา “พวกเขาพนันกันว่าผมจะรับรักเธอภายในกี่วันแล้ววันนั้นก็เป็นวันสุดท้าย”

“ทุเรศอะ!” ถ้ามือของอทิฏฐ์สัมผัสโต๊ะได้คงได้ยินเสียงปังดังไปทั้งฟลอร์ “เฮ้ย! ทำอย่างงี้ได้ไง มาล้อเล่นอะไรกับหัวใจคนแบบนี้”

“ใจเย็นๆ ทิด” นรกรกระซิบ “ผมโอเค จริงๆ นะ เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว” เขาย้ำอีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจก่อนจะก้มหน้าลงอ่านแฟ้มผู้ป่วยต่อ

หากในสายตาของคนที่เฝ้ามองอยู่ เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ มีความอ่อนไหวซ่อนอยู่ในแววตาที่แน่วนิ่งและใบหน้าเรียบเฉยนั่น แต่ไม่รู้จะปลอบยังไงเขาจึงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้วางบนโต๊ะก่อนจะทำปูไต่ไปหยุดข้างมือเรียวที่วางอยู่บนโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วสะกิดเบาๆ ก่อนจะวางลงไว้ข้างกัน

นรกรเหลือบตามามอง นัยน์ตาสองคู่จึงสบกันนิ่ง จริงอยู่ว่าฝ่ามือนั้นไม่สัมผัสโดนเขา แต่เขารับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่อีกฝ่ายมีให้

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก่อนจะค่อยๆ ถูกแง้มออกทำให้ทั้งสองละสายตาจากกันและหันไปมอง

เด็กสาวร่างเล็กเยี่ยมหน้าเข้ามาก่อนจะร้องเสียงหลง “ขอโทษค่ะ หนูเข้าห้องผิด” เธอรีบยกมือไหว้ขอโทษก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูป้ายหน้าห้องอีกครั้ง “เอ๊ะ! ก็ถูกนี่นา”

“เชิญนั่งครับ” นรกรลุกขึ้นพร้อมกับกวักมือเรียก

“หมอฮาร์ฟ!” ลลินจ้องมองคุณหมอหนุ่มไม่วางตาพร้อมกับเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความคุ้นเคย “คุณหมอไปทำอะไรมาทำไมหล่อจัง อ๋อ! รู้แล้ว ตัดผมใหม่กับเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์ใช่ไหมคะ”

นรกรไม่สนใจคำชมและเริ่มต้นซักถามอาการทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา “เป็นไงบ้าง มีปวดหัว เดินเซ การมองเห็นลดลงหรืออาการผิดปกอื่นๆ บ้างไหม”

“ไม่มีเลยค่ะนอกจากตกใจที่เห็นหมอฮาร์ฟหล่อขึ้น”

“ผลสแกนสมองออกมาแล้วนะก้อนที่เหลือจากการผ่าตัดยังมีขนาดเท่าเดิมและไม่มีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา”

“เย้! แบบนี้หนูก็น่าจะไปเรียนไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ”

ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ลลินเป็นเด็กซิ่วเพราะเมื่อปีที่แล้วเธอต้องแอดมิทเพื่อผ่าตัดในช่วงสอบพอดี เขายังจำความผิดหวังในแววตานั้นได้ดีทั้งที่ปากพูดซ้ำๆ คล้ายจะปลอบใจตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไรปีหน้ายังมี’ “แต่ต้องมาให้เคโมให้ครบนะ แล้วช่วงที่ให้ก็ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ถ้าออกไปข้างนอกที่คนเยอะๆ ก็ใส่หน้ากากปิดปากปิดจมูกด้วยเพราะร่างกายเราอ่อนแอสามารถรับเชื้อโรคได้ง่าย”

“รับทราบค่ะ” เธอยกมือขึ้นตะเบ๊ะท่าทางขึงขังก่อนจะยกมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับรับใบนัดครั้งต่อไป

“เดี๋ยวก่อน...”

“มีอะไรคะหมอฮาร์ฟ”

“คือ... หมอไม่รู้ว่าช้าไปไหม แต่... เอ่อ... เรื่องสอบน่ะ สู้ๆ นะ”

นัยน์ตากลมเบิกโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลดขนาดลงจนเล็กยิบหยีจากการโดนพวงแก้มใสเบียดบัง “ขอบคุณค่ะ” เธอยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะปิดประตู

“เหย ไม่เลวนี่คุณ” ร่างโปร่งแสงยิ้มกว้างพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้สองมือ

“ผมพบวิธีที่ได้ผลเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธีแล้วใช่ไหม”

อทิฏฐ์พยักหน้า คนไข้คนต่อไปเดินเข้ามาพอดีเขาจึงรีบเขยิบไปยืนด้านหลัง

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งการตรวจเสร็จสิ้น นรกรกำลังเก็บของเมื่อร่างสูงเดินเข้ามา เขาแกล้งทำเป็นก้มหน้าอ่านแฟ้มคนไข้ “พี่วินทร์มีอะไรครับ”

ร่างสูงเดินมาหยุดยืนเกาศีรษะที่ข้างโต๊ะสองสามทีก่อนจะคว้าไหล่นรกรให้หันมาพร้อมเชยคางให้เงยหน้าขึ้นสบตา “ว่าแล้วเชียวตาแดงหมดแล้ว” วินทร์บ่นในลำคอก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อและหยิบเอาขวดน้ำตาเทียมออกมาเปิดฝาแล้วจัดแจงหยอดให้ข้างละสองหยด “เป็นไงดีขึ้นไหม”

นรกรกะพริบตาเร็วๆ เพื่อให้ตัวยาเคลือบเลนส์ตาเต็มที่ รู้สึกงุนงงไม่น้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า “ครับ”

“นายน่ะมันพวกตาบอบบางนี่ โดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็เคืองแล้ว นี่ไอ้บ้าที่ไหนมันไปยุมาฮึ!” วินทร์จิ๊ปากอย่างขัดใจ

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ยืนกอดอกแยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์ล้อเลียนอยู่ข้างๆ “เปล่าครับ ผมแค่อยากลองเปลี่ยนดูน่ะ”

“ถ้างั้นก็หัดพกพวกน้ำตาเทียมไว้ด้วยสิ” บอกพร้อมกับวางขวดยาลงบนโต๊ะ

นรกรเหลือบตามองเล็กน้อย วินทร์ไม่ใส่แว่น ไม่ใส่คอนแทคเลนส์แล้วทำไมเขาถึงมียาหยอดตาติดตัว “พี่วินทร์ไปเอายามาจากไหนครับ”

“ขอเพื่อนที่อยู่แผนกตามาน่ะ”

แผนกตาหรือ OPD Eye ที่พูดถึงอยู่ถัดขึ้นไปอีกสองชั้น นรกรพินิจดูเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพรายตามไรผมทั้งที่แอร์ในห้องเย็นเฉียบกับหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ริมฝีปากค่อยคลี่ออกจนคนที่แอบมองอยู่อดยิ้มตามไม่ได้

“ขอบคุณนะครับ”

คนตัวสูงกว่าเหลือบมองทางหางตา “เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ฉันไปรับนายที่ห้องนะ ไปรถคันเดียวกันสะดวกดี”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” นรกรบอก “พอดีผมจะไปธุระกับพี่ปอก่อนเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง พี่วินทร์บอกร้านมาก็พอครับ”

วินทร์หน้าเครียดขึ้นมาทันที “ร้านมิดไนท์ เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ให้ในไลน์”

“ตกลงครับ”

“ครับ”

“อย่าลืมนะว่าเรามีนัดกันตอนสองทุ่ม”

“ครับ ไม่ลืม”

oooooo

เมื่อวันอาทิตย์มาถึงคนที่เครียดที่สุดกลับกลายเป็นอทิฏฐ์ซึ่งนั่งกุมขมับอยู่บนเตียงรอดูคนที่หายเข้าไปแต่งตัวอยู่ในห้องน้ำนานสองนาน แป๊บๆ ก็ลุกขึ้นไปพิงประตูตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างใน

“นี่คุณให้ผมช่วยเลือกชุดไหม”

“ไม่เป็นไรไม่ต้องช่วย”

ยิ่งนรกรปฏิเสธเขายิ่งเครียดไปกันใหญ่ “แต่ผมอยากช่วยนี่นา ให้ผมช่วยเถอะน่า นะ นะ... เฮ้อ~ หน้าตาก็ออกจะดีแต่อย่าแต่งอะไรเป๋อๆ เลยนะ คิดแล้วเสียดายของชะมัด” บ่นกับบานประตูที่ปิดสนิทก่อนมันจะเปิดผัวะออกพร้อมกับคนซึ่งถูกนินทาก้าวออกมา

“คุณว่าอะไรนะ”

“ก็ว่า...” อทิฏฐ์กรอกตาขึ้นข้างบนกำลังจะตั้งต้นบ่นเมื่อเห็นคนตรงหน้าเต็มตา เขากวาดมองร่างโปร่งตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง และอีกครั้ง “เฮ้ย! นี่มันใช่ไอ้เด็กเนิร์ดสารานุกรมเคลื่อนที่ที่นั่งแทะหนังสืออยู่กับผมทุกวันหรือเปล่าเนี่ย”

“เดี๋ยวฟาดด้วยคู่มือตรวจโรคเลยดูพูดเข้า” ร่างโปร่งยกหลังมือที่ยังติดกระดุมข้อมือไม่เสร็จขึ้นกึ่งจริงกึ่งเล่น

“ขอโทษคร้าบบบ ” อทิฏฐ์แกล้งยกมือท่วมหัวเพราะตำราเล่มที่ว่าความหนาและหนักของมันนี่คนปกติทำหล่นใส่เท้าก็มีสิทธิ์กระดูกแตกซ่อมไม่ได้เลย “แหม ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าคุณจะแต่งตัวดีแบบนี้”

ร่างสูงโปร่งจนดูเก้งก้างในชุดเสื้อกาวน์สั้นตัวหลวมกลับดูพอเหมาะพอเจาะกับกางเกงสแลคและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวเข้ารูปกับรองเท้าหนังมันปลาบ

“แบบนี้เรียกว่าดีเหรอ” นัยน์ตาหลังกรอบแว่นพินิจดูเงาตัวเองในกระจก

“ไม่ใช่แค่ดี แต่โคตรเพอร์เฟคเลยล่ะ คุณไปหัดแต่งตัวแบบนี้มาจากไหน”

“พ่อกับแม่น่ะ” นรกรบอกพลางถอดแว่นออกและหยิบตลับคอนแทคเลนส์มาเปิดฝา “พวกเขาเป็นคนที่อะไรๆ ก็ต้องเนี้ยบ อย่างที่บอกผมไม่รู้หรอกว่าแต่งแบบนี้มันดีหรือเข้ากับผมไหม ผมรู้แค่ว่าแต่งแบบนี้แล้วพวกเขาชอบ”

“ฟังเหมือนจะดูดีเลย ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าคุณถูกเลี้ยงดูมายังไง เป็นประเภทที่อะไรๆ ก็ต้องเป็นที่หนึ่งหรือเปล่า”

“ไม่ถึงขนาดนั้น” นรกรว่า “ก็แค่รับไม่ได้กับการเป็นที่สอง”

คอนแทคเลนส์ถูกใส่จนเสร็จ นัยน์ตากลมมองลึกเข้าไปในกระจก ในดวงตาของตัวเองราวกับเขาเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนซ้อนทับเงาของตัวเองอยู่ในนั้น

“ตอนขึ้นป.หนึ่งผมสอบได้ที่หนึ่งของห้องแต่เป็นที่สองของชั้นปี ทั้งครู เพื่อน และผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างพากันชมว่าผมเก่ง ผมกอดสมุดพกเดินตัวลอยเท้าแทบไม่ติดพื้นเหมือนมีลูกโป่งสวรรค์พวงใหญ่ผูกอยู่ที่หลังกลับไปบ้าน แต่ทันทีที่พวกท่านเห็นสมุดเล่มนั้นก็ถูกปิดและโยนลงตรงหน้าเงียบๆ พร้อมกับคำถามว่า ‘ที่หนึ่งไม่ใช่คนเหรอ’... ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้เสียใจ แต่ผมได้เรียนรู้ว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้พ่อกับแม่ซึ่งเป็นอาจารย์หมอด้วยกันทั้งคู่หันมามองได้คือผมต้องไม่เป็นรองใคร”

ไม่ต้องหลับตานึก ภาพทั่วทุกตารางนิ้วบนฝาบ้านที่เต็มไปด้วยใบประกาศและเกียรติบัตรรางวัลเรียนดีก็ลอยขึ้นมาในหัว นั่นยังไม่นับรวมถึงโล่กับถ้วยรางวัลที่วางโชว์อยู่บนชั้นและในตู้ แต่ไม่ต้องมองหาภาพครอบครัวซึ่งมีน้อยแทบนับใบได้

นรกรเหลือบมองภาพถ่ายใบเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงซึ่งเป็นของประดับชั้นเดียวในห้อง ภาพวันที่เขาจบการศึกษาชั้นม. 6 และนั่นเป็นภาพถ่ายใบสุดท้ายที่เขาถ่ายกับครอบครัว เพราะวันที่เขารับปริญญาทั้งพ่อและแม่ติดเข้าเคสผ่าตัดใหญ่ด้วยกันทั้งคู่

‘ชีวิตคนสำคัญกว่า’ นั่นคือสิ่งที่เขาเฝ้าบอกตัวเองมาตลอดชีวิตนักเรียนแพทย์และการเป็นหมอ

“คุณไม่เป็นไรนะ”

“ผมโอเค” นรกรรีบบอก “ผมอยู่กับความรู้สึกนี้มาสามสิบสองปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่ทำยังไงก็ได้ให้เป็นที่หนึ่ง”

“ผมถามจริง แล้วมันได้ผลไหม”

นรกรไหวไหล่ “ก็ดีพอที่จะทำให้เขาไม่ส่งผมกลับไปโรงพยาบาลบ้าตอนเห็นผมพูดคนเดียวเพราะคิดว่าผมกำลังนั่งท่องจำสูตรอะไรสักอย่าง... ป่านนี้แล้วไปกันเถอะเดี๋ยวพี่ปอจะรอ” เขาหันมาพยักเพยิดอีกครั้งเมื่อเห็นร่างโปร่งแสงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “ไม่ไปด้วยกันเหรอ”

“ไม่ดีกว่าวันนี้วันพิเศษของคุณ”

“ตรงไหนกันแค่ไปกินข้าวเอง ผมอยากให้คุณไปด้วย”

“แต่ผมไม่อยากไป” ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มบาง มันเกือบๆ จะเป็นเดทและเขาไม่อยากเป็นก้างขวางความสุขใคร “เห็นคุณมีความสุขผมเลยอยากไปนั่งเฝ้าโซลเมทของผมบ้างน่ะ เผื่อจะนึกอะไรออก”

“งั้นคืนนี้เจอกันนะ”

อทิฏฐ์ชะโงกหน้ามองผ่านผ้าม่านส่งคนที่กำลังไขประตูรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิค นรกรเงยหน้าขึ้นมาโบกมือให้ เขายิ้มตอบแต่ไม่รู้ทำไมแววตานั้นถึงไม่ยอมยิ้มตามไปด้วยกันเลย

ร่างโปร่งแสงเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่เจ้าของไม่อยู่ กลิ่นหอมสบู่ที่นรกรใช้ประจำติดอยู่บนผืนผ้า กดปลายจมูกสูดดมจนเต็มฟอดนึกดีใจเล็กๆ ที่ถึงไม่มีกายเนื้อแต่ยังอุตส่าห์ได้กลิ่น เขาโกหกเรื่องออกไปข้างนอก จริงๆ แล้วไม่คิดจะออกไปไหนเลย อยากนอนนิ่งๆ อยู่แบบนี้ บางทีก็รู้สึกเหนื่อยกับการตามหาตัวเองที่หลงลืมไป

หลายวันที่ผ่านมานรกรจะช่วยเขาเปิดหาข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า และเข้าเว็บแจ้งคนหายเผื่อจะเจอใครสักคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นเขาแต่ก็ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด ยิ่งดูก็ยิ่งคิดงานศพเขามีใครมาไหม จะมีใครร้องไห้ให้บ้างไหม และจนถึงตอนนี้ยังมีใครสักคนคิดถึงเขาไหม แล้วทำไมเขาถึงจำอะไรไม่ได้ ทำไม...

อทิฏฐ์ปิดเปลือกตาลงพร้อมกับคำถามเดิมๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัว บรรยากาศรอบกายมืดลงเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า ทุกอย่างภายในห้องพักนิ่งงันเหมือนเวลาหยุดหมุนยกเว้นแต่ภาพนิมิตบางอย่างที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในจิตใต้สำนึก

oooooo

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2016 21:41:38
บทที่ 4 (ต่อ)

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านที่คุ้นเคย สมัยที่ยังคบกันคณิณมักพาเขามานั่งที่นี่ทุกวันหยุด ท่ามกลางผู้คนที่วุ่นวายนรกรกวาดตาเพียงอึดใจก็เห็นคนที่มองหาโบกมือเรียกที่หน้าร้านตรงจุดที่เขามักจะมายืนรออยู่เสมอๆ

“พี่ก็มองตั้งนานแน่ะว่าใคร” คณิณทัก “ตัดผมเหรอ แถมยังไม่ใส่แว่นด้วย”

“แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะครับ”

“เสียดายจังพี่ก็หลงดีใจนึกว่าเราแต่งหล่อเพราะจะมากับพี่ซะอีก... คิดถึงจังหน้าของเราเวลาไม่มีอะไรมาบัง” เพราะนรกรเหลียวมองทางหางตาคณิณจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องทั้งที่ยังยิ้มกว้าง “รีบเข้าไปข้างในกันเถอะเดี๋ยวโต๊ะจะเต็ม พี่ไม่ได้จองไว้ซะด้วยสิ”
เพราะเป็นคืนวันอาทิตย์ที่คนแออัดทำให้พวกเขาได้ที่ว่างแคบๆ ตรงมุมบาร์ ซึ่งถ้าเป็นปกติคงนั่งได้แค่คนเดียวแต่การต้องเบียดๆ กันก็ทำให้ไม่ต้องตะโกนดังๆ แข่งกับเสียงเพลงและเปิดโอกาสให้นรกรได้มองคนที่ไม่ได้เห็นเต็มตามาหลายปีโดยไม่ต้องแอบอีกต่อไป

ใบหน้าหล่อเหลาที่แก่กว่าหนึ่งปีดูภูมิฐานและมีริ้วรอยขึ้นตามวัย กระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตมีที่มักถูกติดเรียบร้อยอยู่เสมอเวลาทำงานถูกแกะออกถึงสองเม็ดกับแขนเสื้อพับลวกๆ ขึ้นเหนือข้อศอกเผยให้เห็นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เจ้าตัวหมั่นเข้ายิมสม่ำเสมอไม่เคยขาดมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย   

“ได้ข่าวว่าพี่ปอเพิ่งไปดูงานที่อเมริการมาเป็นไงบ้างครับ” ถามพลางยกแก้วคอกเทลขึ้นจิบ แต่จะว่ากันจริงๆ มันก็แค่น้ำแอปเปิ้ลปั่นเพราะสั่งแบบไม่ใส่แอลกอฮอล์สักหยด ดูท่าว่าร่างกายของเขาจะไม่ถูกโฉลกกับแอลกอฮอล์เท่าไหร่ ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่กินคือตอนไปงานบายเนียร์ของคณิณ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หลังจากลืมตาตื่นมาในห้องพักคณิณก็ห้ามเขาแตะของพวกนี้เด็ดขาด

“ก็สนุกดี ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะทั้งโรคที่เราไม่เคยเจอและการรักษาใหม่ๆ”

“ดีจังเลยนะครับ” กำลังจะถามต่อเมื่อแก้วเหล้าถูกยกขึ้นตรงหน้าเป็นเชิงบอกให้หยุด

“คุยเรื่องพี่เยอะแล้ว คุยเรื่องอื่นบ้างเหอะ”

“ยังเหลือเรื่องอะไรอีกล่ะครับ ผมเพิ่งโดนพี่ปอซักฟอกจบไปเองนะ”

“งั้นเรื่องของเราล่ะ” ทันทีที่พูดจบใบหน้าที่กำลังแย้มยิ้มแทบไร้สีเลือดฝาด นรกรลุกหนีรวดเร็วจนเขาแทบกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อตามไปคว้าตัวให้ทัน “เดี๋ยวฮาร์ฟ”

“มันจบแล้วครับ” บอกเสียงแข็งทั้งๆ ที่ไม่หันมามองหน้า
   
“พี่รู้ แต่เราตกลงกันแล้วนี่ฮาร์ฟว่าเรายังเป็นพี่น้องกันได้”
   
เมื่อถูกทวงถามเข้าก็พูดอะไรไม่ออกเพราะเขาเป็นคนยื่นข้อเสนอนี้เองในวันที่ผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาขอเลิกอย่างตรงไปตรงมา น้ำตาลูกผู้ชายจากคนที่คิดว่าเข้มแข็งมากที่สุดทำให้รู้ว่าสิ่งที่คณิณกำลังแบกรับไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยและมันทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างอย่างง่ายดาย

‘ขอโทษนะฮาร์ฟ เป็นความผิดพี่เองที่ไม่เข้มแข็งพอจะพาเราผ่านเรื่องนี้ไปได้ สักวันเราจะเจอคนที่ดีกว่าพี่’

วันนั้นเขาได้แต่ยื่นสองมือออกไปกอดและตบบ่าแรงๆ ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาตอบได้เพราะคนที่ดีกว่าผู้ชายคนนี้คงไม่มีอีกแล้ว พี่ชายแสนดีที่คอยให้กำลังใจน้องชายที่มักท้อแท้และสับสนในทางเดินของตัวเอง ติวเตอร์ที่นั่งติวไปเปิดตำราไปเพราะตัวเองสมองช้ากว่าเพียงแต่สอนได้เพราะอยู่ชั้นปีสูงกว่า พ่อครัวที่นั่งต้มมาม่าให้กินตอนตีสามในวันที่ฝนตกหนักทั้งที่ทอดไข่ดาวยังไหม้ ฮีโร่ที่กล้ามีเรื่องกับแก๊งสี่แยกปากหมาหน้ามหา’ลัยในวันที่เขาโดนแซวทั้งที่ปกติยุงกัดยังไม่อยากตบ รุ่นพี่แพทย์ที่วิ่งมาช่วยอินเทิร์นผู้ไม่ประสาทุกครั้งที่โทรไปปรึกษาแม้จะไม่ได้อยู่เวร ลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่ดีพร้อมแต่กลับเข้าใจหัวอกคนที่พ่อแม่ไม่ใยดีแบบเขา สุดท้าย... ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์แต่กลับมารักคนอย่างเขา

มันจะยังมีใครที่ไหนอีก คนที่ดีกว่านี้

‘เรายังเป็นพี่น้องกันได้นะครับ’

ไม่รู้ว่าเทวดาหรือผีห่าซาตานตนใดดลใจให้บอกออกไปแบบนั้น แต่ตอนนั้นสาบานได้ว่าเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ จนกระทั่งการ์ดแต่งงานใบสวยถูกส่งมาถึงมือ ทั้งที่เคยรับปากดิบดีว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ทั้งที่ชุดทักซิโด้ในงานเลี้ยงมงคลสมรสนั้นคือชุดที่เขาเลือกให้เองกับมือ

แต่เพียงแค่อ่านชื่อเจ้าสาวจบ การ์ดใบนั้นก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงถังขยะไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าเขากลับไม่เคยลืมใบหน้าอ่อนหวานและชื่อผู้หญิงคนนั้นไปจากใจได้เลยแม้สักวินาทีเดียว

‘เพียงพิรุณ’

รู้ดีว่ามันไม่ยุติธรรม รู้ตัวดีว่าแพ้แล้วพาล ทั้งหมดทั้งปวงไม่ใช่ความผิดเธอ แต่ขอโทษนะที่เขา ‘เกลียด’ เธอไปเสียแล้ว

“พี่ขอโทษนะ”

เสียงที่เริ่มแตกพร่าทำให้คนที่พยายามจะหนียอมหันมาในที่สุด “พี่ปอขอโทษผมทำไม”

“ตอนที่พี่ไม่เห็นเราที่งานแต่ง พี่ก็รู้ตัวทันทีว่าสิ่งที่ทำมันงี่เง่าและโหดร้าย กล้าดียังไงเชิญเราไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว คนที่ควรร้องไห้ไม่ใช่พี่แต่เป็นเราต่างหาก แล้วใครจะเป็นคนปลอบใจเมื่อเราไม่มีใครนอกจากพี่... พี่ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่ในเมื่อสัญญานั่นเราเป็นคนให้พี่เอง ดังนั้นพี่ขอรักษาสิทธิ์นั้นเรียกร้องให้ฮาร์ฟอยู่ข้างๆ พี่ได้ไหม ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม”

ทันใดนั้นแสงไฟสปอร์ตไลท์หลากสีดับพรึบลงพร้อมๆ กับเสียงเพลงที่ดังอื้ออึงเหลือเพียงความเงียบงันในแสงสลัวสีอมส้ม

“ทุกคนเหนื่อยกันหรือยังครับ” เสียงดีเจประจำวันดังแทรกผ่านลำโพงมา “พักกันสักครู่แล้วมาฟังเพลงซึ้งๆ กันดีกว่าครับ”

อินโทรเพลงทำนองคุ้นหูดังขึ้น บางคนพากันหันหลังกลับที่ ในขณะที่หลายคนยังอยู่บนฟลอร์และหลายๆ คู่เริ่มหันหน้าเข้าหากันก่อนจะให้สองมือตระกองคนรักของตนไว้ในอ้อมกอดแล้วปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเสียงเพลง

ไม่จำเป็นต้องหลับตานึก ภาพวันคืนเก่าๆ ก็ไหลย้อนมาดั่งสายน้ำ ทั้งที่ไม่น่าหวนกลับ

It’s amazing how you can speak right to my heart
Without saying a word you can light up the dark
Try as I may I can never explain
What I hear when you don’t say a thing

มันน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกินที่คุณพูดได้ตรงกับใจผม
ไม่ต้องมีคำพูด คุณก็เป็นเหมือนแสงที่ทอประกายในความมืดมน
พยายามเท่าไร ผมก็ไม่อาจจะอธิบายได้
ว่าผมได้ยินอะไร ในเมื่อคุณไม่เคยจะพูดสักคำ
When you say nothing at all Ost. Nothing hill https://www.youtube.com/watch?v=7xrxrEEGVdM

‘ฮาร์ฟฟังนี่สิ’ ยังไม่ทันจะได้รับการอนุญาตหูฟังอันจิ๋วที่ต่อเข้ากับเครื่องเล่นซีดีข้างหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาในหู ในขณะที่อีกข้างอยู่กับคนที่นั่งขัดสมาธิอมยิ้มอยู่ตรงหน้า

กำลังจะถามหาเหตุผลคนอายุมากกว่าก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปิดริมฝีปากให้เงียบทำให้เขาต้องจำใจนั่งฟังเพลงไปจนจบ

แต่ในคอรัสท่อนสุดท้ายที่น่าจะเป็นเสียงแหบทรงเสน่ห์ของ Ronan Keating กลับกลายเป็นเสียงสูงๆ ต่ำๆ ของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

หูฟังถูกรั้งกลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะเจ้าตัวอายจนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกระซิบเสียงอ้อมแอ้มทว่าหนักแน่นด้วยประโยคร้องขอความรักจากหนังที่พื้นเรื่องของเพลงนี้

‘พี่ก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่กำลังขอร้องให้เรามารักเท่านั้นเอง’

“พี่ก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากเสียเราไปก็เท่านั้นเอง” คณิณคนที่อยู่ตรงหน้าพูดกับเขา ทั้งที่ไม่ได้อยากร้องไห้แต่น้ำตาที่กักเก็บไว้ตลอดระยะเวลาแปดปีก็ไหลอาบสองแก้ม

นรกรไม่พูดว่าอะไรเพียงแต่พยักหน้าเงียบๆ และยอมให้มือคู่นั้นรั้งเข้าไปกอดเหมือนเช่นวันวานในความทรงจำ อ้อมกอดนั้นยังเหมือนเดิมและมันอบอุ่นมากเสียจนเขาไม่อยากปล่อยไปเป็นครั้งที่สอง

oooooo
   
“ขอโทษนะครับพี่วินทร์ที่ให้รอ” นรกรกระหืดกระหอบวิ่งแทรกตามโต๊ะเข้ามาในร้านอาหารซึ่งเป็นเวลาที่คนแน่นที่สุด เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพลางใช้ปลายนิ้วขยี้หัวตา การร้องไห้กับหน้าอกคณิณทำให้คอนแทคเลนส์เลื่อนและตาแดงไปหมดแต่ถึงอยากจะเปลี่ยนไปใส่แว่นก็ทำไม่ได้เพราะไม่ได้พกมาด้วย

“ไม่เป็นไร ฉันเองก็เพิ่งมาถึง” วันนี้วินทร์แต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะเหมือนเดิม จริงๆ แล้วเขามารอตั้งแต่หกโมงด้วยแอบหวังเล็กๆ ว่านรกรจะแคนเซิลนัดกับคณิณและตรงดิ่งมาหาเขาเลยแต่เรื่องกลับกลายเป็นว่าเขาต้องแกร่วรอจนเกือบถึงสามทุ่ม

นรกรกวาดสายตามองไปรอบโต๊ะที่ว่างเปล่า “แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ”

“จะมีใครอีกล่ะ ฉันนัดนายแค่คนเดียวนะ” วินทร์คลายมือที่กอดไว้ออกและหยิบเมนูที่อ่านซ้ำๆ ฆ่าเวลามาตั้งแต่หัวค่ำขึ้นมาพร้อมกับกวักมือเรียกบริกรประจำร้าน

นรกรรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาคิดว่าวินทร์ชวนคนอื่นๆ มาด้วยจึงคิดว่าไม่เป็นไรถ้ามาสายสักเล็กน้อย “ขอโทษครับ”

“ช่างเถอะ มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา” ปากตอบไปแบบนั้นแต่กลับไม่เลยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย
   
มื้ออาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบเมื่อคนไม่พูดไม่รู้จะชวนคุยอะไร ในขณะที่คนช่างคุยเอาแต่เงียบ

ทันทีที่เช็กบิลเสร็จวินทร์ลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินนำออกไป นรกรยิ่งหน้าเสียเขาคิดว่าวินทร์คงโกรธมากจนอยากหนีกลับเร็วๆ เมื่อเห็นร่างสูงยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าร้านและออกเดินอีกครั้งตอนที่เห็นเขาเดินผ่านหน้าไป

นรกรเหลียวหลังไปดูคนที่เดินตามมาห่างๆ โดยไม่พูดอะไร คิดว่าแค่มาทางเดียวกันจนกระทั่งเปิดประตูขึ้นรถ ร่างสูงจึงหันหลังกลับเดินไปอีกทาง เขามองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินหายเข้าไปให้ความมืดของลานจอดรถก่อนจะเหลือบมองถุงกระดาษที่วางอยู่บนเบาะข้างๆ ริมฝีปากเม้มแน่นอยู่อึดใจแล้วตัดสินใจคว้าถุงใบนั้นวิ่งลงจากรถ
   
“พี่วินทร์ครับ”

เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าและหันหน้ากลับมาเพียงครึ่งเดียว “มี’ไร”

เสียงนั้นห้วนสั้นจนฟังดูเหมือนจิ๊กโก๋หาเรื่องกัน แต่นรกรคิดว่ามันไม่ใช่ เขาสืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับยื่นถุงกระดาษที่ถือมาด้วยส่งให้ “นี่ครับ”

“อะไร” วินทร์เหลือบตาลงมองเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมรับไป

“ให้”

“อะไร”

“ของขวัญวันเกิด แล้วก็... ขอบคุณนะครับที่วันนี้พามาเลี้ยงข้าว”

ทันทีที่พูดจบหน้าที่บูดบึ้งมาตลอดของคนตรงหน้าค่อยคลายปมออก ใช่แล้ว! วินทร์ไม่ได้โกรธหรือนึกรำคาญที่เขามาสายแต่กำลังงอนเรื่องที่มาช้าเพราะคิดว่าเขา ‘ไปกับพี่ปอ’ จนลืมนัดตัวเองต่างหาก

วินทร์เหลือบตามองอีกครั้งก่อนจะยื่นมือออกมารับถุงไปเปิดเทของขวัญข้างในออกมา “ไหนดูสินายซื้ออะไรให้เนี่ย เสื้อเชิ้ต... สวยดีนะให้พี่ปอช่วยเลือกเหรอ”

“เปล่าครับ ผมเลือกเอง” นรกรรีบบอก “ผมคุยกับพี่ปอเสร็จตั้งแต่ทุ่มนึง แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อของขวัญให้พี่วินทร์เลยรีบไปซื้อแต่เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรให้ดีเลยเสียเวลาเลือกนานไปหน่อย ขอโทษนะครับเลยทำให้พี่วินทร์รอนาน”
   
นัยน์ตาคมเบิกโพลง ก่อนจะยื่นมือทั้งสองออกไปข้างหน้าและรวบตัวคนอายุน้อยกว่าเข้ามากอดแนบอก นึกอยากเตะตัวเองแรงๆ สักทีที่ดันไปคิดน้อยใจเรื่องไม่เป็นเรื่องจนทำให้มื้ออาหารที่น่าจะสนุกสนานต้องกร่อยไปถนัด
   
“พี่วินทร์คือ... ผมหายใจไม่ออก” เสียงของของนรกรดังอู้อี้ออกมาจากแผ่นอกกว้าง เขายกมือขึ้นสัมผัสต้นแขนเพื่อให้ปล่อยแต่มันกลับรัดแน่นขึ้นอีก

เมื่อดิ้นยังไงก็ไม่หลุดนรกรจึงจำยอมให้กอดจนพอใจ และเพราะไม่รู้จะเอามือตัวเองไปไว้ที่ไหนจึงแตะเบาๆ ไว้บนสะโพกอีกฝ่าย
ผ่านไปเกือบสองนาทีในที่สุดวินทร์ก็ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนและถอดเสื้อยืดตัวเก่าของตนส่งให้ “ฝากถือหน่อย”

นรกรรับมางงๆ “พี่วินทร์จะทำอะไรครับ”

วินทร์แกะถุงพลาสติกและดึงเอาเสื้อเชิ้ตสีครีมออกมาสะบัดแรงๆ ไล่รอยยับก่อนจะสอดแขนทั้งสองข้าง “ก็จะลองใส่ดูไงว่ามันพอดีไหม”

“แต่ผมว่า...”

จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อวินทร์ติดกระดุมจนถึงเม็ดสุดท้าย “พอดีเลย เป็นไงหล่อไหม”

“จะหล่อกว่านี้ถ้าให้ผมแกะป้ายยี่ห้อออกก่อน” นรกรหลุดขำกับคนที่ใช้มือจับคางทำเป็นเก๊กหล่อแล้วเอื้อมมือไปดึงป้ายออกขยำใส่กระเป๋ากางเกง ถึงจะดูแปลกตาไปนิดแต่ก็เหมาะจนเขาอดจะยิ้มให้กับความพยายามของตัวเองไม่ได้

“ขอบใจนะ” วินทร์บอกอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูรถตัวเองขึ้นนั่ง หยิบกุญแจรถออกมาเสียบแต่ยังไม่ทันจะสตาร์ทก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ร่างสูงเอี้ยวตัวข้ามเบาะไปเปิดเก๊ะรถ แต่เพราะสนิมที่เกาะเขรอะทำให้ต้องตบแรงๆ สองสามครั้งจึงจะแคะมันออกมาได้ เขาค้นก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เจอสิ่งต้องการ “ถ้าไม่รังเกียจก็เอาไปสิ ตาแดงหมดแล้วน่ะ”

นรกรรับกล่องแว่นมาเปิดออกดู มันเป็นทรงกลมสีน้ำตาลอ่อนดูเรียบหรู

“เมื่อก่อนเคยใส่น่ะ แต่ตอนนี้ไปทำเลสิกแล้ว”

“พี่วินทร์สายตาเท่าไหร่”

“สายตาสั้น 500”

“เท่าผมเลย” นรกรว่าพร้อมกับใส่แว่นใส่กล่องและส่งคืน “ไม่เป็นครับ ผมมีหลายอันแล้วอันนี้ท่าทางจะแพงด้วย”

“เอาไปเถอะ ฉันไม่ใช้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

“งั้นก็ใส่เลยสิ” วินทร์ถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ถือไว้เฉยๆ

“ผม... เอ่อ...”

“มีอะไร”

“คือผมเพิ่งเคยใส่คอนแทคเลนส์ยังใส่ถอดไม่คล่องเลย แถมตรงนี้มืดด้วย เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเองในห้องน้ำ” ร่างโปร่งทำท่าจะกลับหลังหันเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าไว้

“เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวฉันใส่ให้ก็ได้” โดยไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย วินทร์ใช้สองมือประคองใบหน้าคนตัวเล็กกว่าให้เงยขึ้นสบตา “ไม่ต้องกลัวนะ จะทำเบาๆ”

“ครับ” สัมผัสของมือใหญ่ที่แทบจะโอบได้รอบหน้าทำให้นรกรรู้สึกใบหน้าอุ่นวาบไปทั่วทั้งใบหน้า อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเสียเฉยๆ เมื่อนัยน์คมนั้นมาจ้องมาพร้อมทั้งขยับเข้ามาใกล้

“มองตรงมาที่ฉันนะ ห้ามมองทางอื่น”

“ครับ”

“เอามือจับเสื้อฉันไว้สิ เดี๋ยวนายตกใจแล้วเผลอเอามาปัด”

“ครับ” นรกรรับคำและคว้าชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น

วินทร์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทีประหม่าของคนมาดนิ่งคิดว่ากลัวจริงๆ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะตัวเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุ เขาใช้ปลายชี้กดตรงคิ้วเพื่อเปิดเปลือกตาไว้ก่อนจะใช้นิ้วนางของมืออีกข้างแตะลงตรงกลางดวงตาดึงเอาเลนส์ใสออกไปง่ายดาย “ฉันทิ้งเลยนะ” แล้วดีดมันทิ้งไปก่อนจะทำเช่นเดียวกับอีกข้าง แล้ววางแว่นลงบนสันจมูก “เป็นไงดีขึ้นไหม”

“ครับ”

“พูดคำอื่นบ้างก็ได้นะ” วินทร์หัวเราะในลำคอ “แล้วก็ปล่อยเสื้อฉันได้แล้ว นายจับจนมันยับหมดแล้วเนี่ย”

“ขอโทษครับ”

“ล้อเล่นน่า มันยับอยู่แล้วนายก็เห็น” วินทร์ยิ้มกว้าง “ขับรถกลับดีๆ ล่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”

“ครับ” นรกรค้อมศีรษะให้คนที่โบกมือหยอยๆ เขาเดินไปได้ครึ่งทางแล้วเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องติดๆ ดับๆ จึงย้อนกลับมาอีกครั้ง “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“อยู่ๆ ก็สตาร์ทไม่ติดน่ะ ไม่รู้เป็นอะไร” วินทร์ตบมือลงบนพวงมาลัยรถกระบะคันเก่าที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากพ่อ ในเวลาแบบนี้ชอบมาเสียซะทุกทีสิน่า

“ให้ผมไปส่งไหมครับ”

“อย่าเลยรบกวนนายเปล่าๆ นายต้องรีบกลับไปทำงานวิจัยนี่ ฉันกลับแท๊กซี่ก็ได้” วินทร์จัดแจงล๊อกรถและวิ่งไปที่ถนน

เมื่อถูกปฏิเสธ นรกรจึงไม่มีทางเลือกเขาเดินกลับไปที่รถตัวเอง หมุนกุญแจสตาร์ทรถพลางกวาดตามองไปยังท้องถนนยามค่ำคืนที่แทบไม่มีรถขับผ่าน ก่อนจะเหยียบคันเร่งออกไป

วินทร์ยืนหันรีหันขวางอยู่บนฟุตปาธ พยายามเรียกรถแท๊กซี่ที่เปิดไฟว่างแต่ไม่ยอมจอดรับคันแล้วคันเล่า เขากำลังจะหันไปตะโกนบ่นตามหลังเมื่อรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวมาจอดเทียบ กระจกข้างเลื่อนลงพร้อมกับที่คนขับชะโงกหน้าข้ามเบาะออกมา

“พี่วินทร์ ให้ผมไปส่งนะครับ”

“แต่...”

“ขึ้นมาสิครับ เราอยู่หอเดียวกันนี่นาหรือพี่วินทร์จะไปธุระที่ไหนผมจะไปส่ง”

ได้ยินดังนั้นวินทร์จึงยอมเปิดประตูขึ้นนั่งคู่กันบนตอนหน้าของรถ “ไม่ได้จะไปไหน ก็กลับหอน่ะแหละ”

“แล้วทำไมถึงดื้อนักล่ะครับ”

“ก็แค่ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด” วินทร์ตอบอ้อมแอ้ม

นรกรเหลือบมองทางหางตา “ใครครับ”

“ก็ ‘หมอนั่น’ ไง”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอึดใจพร้อมกับออกรถ “ผมว่าพี่วินทร์เข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ พี่ปอแต่งงานแล้วนะครับ”

วินทร์ทำหน้าเหมือนจะเข้าใจก่อนจะชี้มือไปที่ปุ่มเปิดวิทยุในรถ “เปิดเพลงได้ไหม ปกตินายฟังอะไร เพลงสากล?”

“ฟังได้หมดแหละครับแต่ส่วนมากก็เป็นแนวป๊อบ ร็อกฟังได้เป็นบางเพลงจังหวะมันหนักไปฟังแล้วปวดหู”

เขาหมุนหาคลื่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยุดที่ช่องเพลงหนึ่ง ทำนองเพลงรักฟังสบายดังขึ้นในความเงียบที่เกือบจะมีแต่เสียงเครื่องยนตร์ “งั้นฟังนี่ละกัน”

มันคือเพลง Stay ของปาล์มมี่ที่วง Gatsunova นำมาร้องใหม่ซึ่งวินทร์มักฮัมเพลงนี้เป็นประจำเวลาเข้าผ่าตัดด้วยกัน ทั้งที่ไม่ได้ร้องเพราะอะไรมากมายเสียงทุ้มร้องคลอสูงๆ ต่ำๆ ติดจะเพี้ยนซะมากกว่า แต่มันกลับทำให้อุ่นใจทุกครั้งที่ได้ฟัง และนรกรก็เพลิดเพลินจนเผลอเคาะพวงมาลัยเข้าจังหวะตามไปด้วย

ทั้งที่แต่เดิมเคยเป็นเพลงเศร้าที่ฟังแล้วเหงาแทบขาดใจแต่เพียงแค่เปลี่ยนเมโลดี้อารมณ์เพลงก็เปลี่ยน

ริมฝีปากกระตุกมุมขึ้นอมยิ้มน้อยๆ พลางเหลือบมองคนนั่งข้างกันก่อนจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองอยู่

“เราไม่เคยจะรักกันมีแต่วันที่อ่อนไหวผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา...”

นรกรเบี่ยงสายตาหลบกลับมามองท้องถนนและแอบพ่นลมหายใจออกจมูก เมื่อคิดดูดีๆ มันก็ทำให้เขานึกถึงใครอีกคนที่เพิ่งเจอเมื่อเย็นถ้าวินทร์คิดจะแซวก็ถือว่าคิดผิดแล้วล่ะ อย่างน้อยครั้งหนึ่งระหว่างเขากับพี่ปอมันคือความรัก มันอาจไม่ได้จบแบบสวยงาม Happy Ending เหมือนในหนังหรือนิยายแต่นี่คือชีวิตจริงที่ไม่มีเจ้าหญิง เจ้าชายแค่ความรู้สึกของคนสองคนกับความรับผิดชอบต่อครอบครัวที่ทิ้งไปไม่ได้

และในความเจ็บปวด ความรักก็สอนให้เขาเลือกจดจำแต่เรื่องราวดีๆ ที่เคยมีให้กันเพื่อที่จะยังยิ้มได้ในวันที่หวนกลับมาคิดถึง

“อ้าว จบซะแล้ว” วินทร์รำพึงเมื่อเสียงเพลงหยุดลง

“ดีแล้วครับ”

“อะไรคือดี นี่นายจะบ่นรำคาญที่ฉันร้องเพี้ยนเหรอ”

“พี่วินทร์พูดเองนะครับ” นรกรว่า “ผมแค่จะบอกว่าพี่วินทร์เป็นหมอผ่าตัดน่ะดีแล้วอย่าไปแย่งอาชีพนักร้องเลยเดี๋ยวเขาจะพากันตกงานซะหมด”

“ฮาร์ฟ!” อยากจะจับขย้ำคอสักทีโทษฐานหมั่นไส้แต่เพราะอีกฝ่ายขยับรถอยู่วินทร์จึงทำได้แค่ทำท่าพ่นไฟใส่อากาศก่อนทั้งคู่จะหัวเราะไปด้วยกัน

[สวัสดีครับท่านผู้ชมขอต้อนรับเข้าสู่รายการ The Ghost’s Secret!]

เสียงวิทยุรันรายการต่อไปขึ้นมา วินทร์กำลังจะเอื้อมมือไปเปลี่ยนช่องใหม่เมื่อนรกรขัดขึ้น

“เปิดไว้ก็ได้ครับ”

“คนที่อะไรๆ ก็วิทยาศาสตร์อย่างนายไม่น่าชอบเรื่องผีเลยนะ”

“ก็ไม่ได้ชอบหรอกครับก็แค่... สนใจ” นรกรว่าบรรศกาศตอนนี้กำลังไปได้สวยบางทีมันอาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะลองเล่าความลับของตนให้ใครสักคนฟัง “พี่วินทร์เชื่อเรื่องผีไหมครับ”

“นายถามอะไรแบบนั้น ของแบบนี้ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่นะเว้ย” ทำเสียงสูงพร้อมกับยกมือพนมขึ้นท่วมหัว

นรกรลอบมองทางหางตาพร้อมทั้งยิ้มขัน มั่นใจว่าเลือกคนที่จะเริ่มต้นไม่ผิดถึงบางครั้งจะดูหลุดๆ บ้าบอไม่ค่อยจริงจังแต่ตลอดห้าปีที่ผ่านมาวินทร์เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและพี่ชายที่ดีเสมอ และเป็นคนที่คิดว่าเข้าใจเขามากที่สุด

[วันนี้เราจะปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับวิญญาณเร่ร่อนที่ยังไม่ยอมไปสู่สุขคติและคนที่จะมาช่วยเราติดต่อกับพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... อาจารย์องค์อินทร์สวัสดีครับ] แล้วดีเจประจำรายการก็เล่าเกียรติคุณของเขาเสียยาวยืด

“ไอ้อาจารย์เก๊เอ๊ย!” นรกรทำเสียงขึ้นจมูกทันทีที่ได้ยินชื่อแขกรับเชิญ

“อ้าวๆ ยังไม่ทันจะฟังก็บ่นเขาซะล่ะ สนใจจริงเปล่าเนี่ย อาจารย์คนนี้นะบอกเลย สุดยอดมาก ที่หนึ่งของวงการ ให้หวยแม่นเหมือนใส่สน๊อกเกิลลงไปงมลูกบอลในตู้ขึ้นมาบอกเอง แม่ฉันงี้กราบไหว้เช้าเย็นไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์”

“แม่นขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

วินทร์แทบจะหันมาหาเขาทั้งตัวพร้อมกับยกไม้ยกมือประกอบไปด้วย “แม่นวัวตายควายล้ม คิดดูมีบ้านขายบ้านมีรถขายรถอย่างงวดที่ผ่านมาใบ้ 90 ออก 45 รับเละ!”

“แบบนั้นมันเรียกโดนกินไม่ใช่เหรอครับ”

วินทร์หันกลับไปมองถนนตรงหน้าพร้อมกับไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “แม่ฉันเป็นเจ้ามือน่ะ”

เมื่อคิดได้ว่าเป็นมุกนรกรก็หลุดขำออกมาในที่สุดเพราะเคยได้ยินว่าพ่อแม่ของวินทร์เป็นเป็นครูประชาบาลทั้งคู่

“ไร้สาระน่า! ผีเผอมีที่ไหนกัน” วินทร์ยังคงพูดต่อโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าคนข้างๆ ที่หม่นลงเล็กน้อย “ถ้ามีจริงนะป่านนี้เดินชนกันจนไม่มีที่ยืนแล้ว ที่โรงพยาบาลเรามีคนตายวันละเป็นสิบ”

ได้ยินดังนั้นนรกรก็หมดความมั่นใจที่จะเล่า เขาปิดปากเงียบและปล่อยให้ดีเจวิทยุทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ 

[มีด้วยเหรอครับอาจารย์วิญญาณที่จำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้ ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินนะเนี่ย]

[เรียกว่าเป็นสภาวะช็อกทางวิญญาณเพราะเขายังไม่ถึงที่ตายแต่ดันมาตายเสียก่อน]

“อะไรของมันวะ สภาวะช็อกทางวิญญาณ พูดไปเรื่อย” คนไม่เชื่อเรื่องผีขำในลำคอ

“พี่วินทร์เร่งเสียงหน่อยสิครับ”

คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตาม

[วิญญาณกลุ่มนี้น่าสงสารมากไปสู่สุคติก็ไม่ได้เพราะอายุขัยยังไม่หมด แถมยังมีอะไรติดค้างอยู่ในโลกมนุษย์ อะไรบางอย่างที่เขาต้องทำให้สำเร็จหรือต้องการการอโหสิ]

“มีอะไร”

“ชี่...”

[อาจารย์หมายถึงพวกที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุหรือถูกฆาตกรรมใช่ไหมครับ]

[อันนั้นก็ใช่ แต่สำหรับผมคนที่น่าสงสารมากกว่า] เสียงในวิทยุเงียบไปอึดใจก่อนจะตามมาเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกคล้ายกับพยายามสะกดเสียงไม่ให้สั่น [คือพวกที่ฆ่าตัวตาย]

“จริงเหรอเนี่ย” มือเรียวกำพวงมาลัยแน่นกับทฤษฎีที่เพิ่งได้ยิน จู่ๆ หัวใจก็เบาหวิวคล้ายกับมีลางสังหรณ์แปลกๆ นึกเป็นห่วงคนที่ทิ้งให้อยู่ลำพังเป็นครั้งแรก เขาไม่พูดอะไรอีกและกดเท้าเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น

oooooo

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2016 21:45:42
บทที่ 4(ต่อ)

ทันทีที่เปิดประตูห้องพัก นรกรก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติไปบรรยากาศหนักอึ้งเหมือนติดอยู่ท่ามกลางเมฆฝน อยากจะสูดหายใจเข้าแต่เหมือนมีอะไรหนักๆ มากดอยู่บนหน้าอก

อึดอัด!

ความรู้คล้ายโดนผีอำทั้งที่ยังลืมตาตื่น แต่ไม่ใช่แค่นั้นมันมากกว่านั้น เขาเอื้อมมือไปกดสวิซต์ไฟแต่กดเท่าไหร่มันก็ไม่ติด

“ทิด เกิดอะไรขึ้นคุณอยู่ในนี้หรือเปล่า”

“ฮาร์ฟ มีอะไรหรือเปล่า” เสียงวินทร์ตะโกนถามมาจากอีกฟากของประตู เขาเดินขึ้นมาส่งและยังคงไม่ไปไหน

เสียงลูกบิดดังกรอกแกรก นัยน์ตาเบิกโพลงเขารีบหันไปล็อกประตูและดึงไว้ไม่ให้คนที่อยู่อีกฟากเข้ามาได้ “ไม่มีอะไรครับพี่วินทร์”

เกิดเสียงปังเบาๆ เมื่อวินทร์เคาะประตูหลังจากการพยายามเปิดเข้ามาไม่เป็นผลสำเร็จ “แน่ใจนะฮาร์ฟ”

นรกรเม้มริมฝีปากแน่นพยายามทำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเพื่อไม่ให้วินทร์สงสัย “จริงๆ ครับ”

ร่างสูงแนบหูเข้ากับบานประตู มันเย็นเยียบผิดปกติจนเขาสะดุ้งถอยออกห่าง “ฮาร์ฟ”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับพี่วินทร์ไปเถอะ”

“แน่ใจนะ”

“ครับ”

“งั้นฉันกลับนะ” กระแสเสียงยังเต็มไปด้วยความเป็นห่วงแต่เพราะเจ้าของห้องยืนยันหนักแน่น วินทร์ตัดใจเดินกลับห้องของตัวเองทั้งที่ยังเหลียวหลังมองไปยังบานประตูนั้นจนกระทั่งประตูลิฟต์เลื่อนปิดลง

เมื่อเสียงย่ำเท้าบนทางเดินเงียบหายไป นรกรจึงปล่อยมือจากลูกบิดและหันมาเผชิญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“ทิด”

ร่างโปร่งแสงที่เห็นจนคุ้นตายืนก้มหน้ามองพื้น ร่างนั้นดูขุ่นมัวคล้ายควันไฟจนแทบจะกลืนกินไปกับความมืดด้านหลัง

ไม่ใช่! ที่มืดไม่ใช่เพราะไม่มีแสงแต่เป็นบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นต่างหาก

ในมือข้างหนึ่งกำอะไรบางอย่างที่เขามองเห็นไม่ถนัด

“คุณเป็นอะไร อทิฏฐ์ ได้ยินผมไหม” นรกรพยายามเรียกสติก่อนจะคิดได้ว่านั่นไม่ใช่ชื่อจริงๆ ต่อให้เรียกให้ตายก็คงไม่เกิดผล

ร่างนั้นเดินลากเท้าเข้ามาช้าๆ เหลือระยะห่างกันไม่ถึงคืบเขาหยุดฝีเท้าและเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าซีดเซียวบิดเบี้ยวไม่เหลือเค้าของความหล่อเหลาที่เคยเห็น ร่างกายซูบตอบจนเห็นแนวกระดูกไหปลาร้า ฝ่ามือแห้งเหี่ยวข้างที่กำอะไรไว้ค่อยๆ ยกขึ้นตรงหน้าและยื่นเข้ามา ใกล้เข้ามาจนรับรู้ได้ถึงความหนักของอากาศเมื่อฝ่ามือวางลงบนบ่าทั้งที่ไม่เย็นแต่ขนอ่อนทั่วสรรพางค์กายกลับลุกชูชัน นรกรหลับตาแน่นไม่เคยเจอผีคุกคาม จะสวดมนตร์อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ทำมานักต่อนักแล้วเมื่อวัยเยาว์และพบว่ามันไม่เคยได้ผล

“ทิด เกิดอะไรขึ้นกับคุณ” กระซิบทั้งที่ยังหลับตาแน่น คลื่นความเย็นหนักๆ แผ่เข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนอากาศถูกขโมย ทั้งที่ยังหายใจแต่มันกลับไม่มีออกซิเจนเข้าปอด ยิ่งพยายามสูดลมหายใจเข้ามากเท่าใดแต่มันยิ่งเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น

และเขารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย!

“ทิด! นี่ผมนะ ฮาร์ฟไง คุณไม่คิดจะทำร้ายผมใช่ไหม”

“ผมจะทำร้ายคุณทำไม”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังตอบกลับมา นรกรลืมตาขึ้นคลื่นความเย็นและอึดอัดหายไปในบัดดลทั่วทั้งห้องกลับมาสว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนที่พยายามเปิดเมื่อครู่ เขากวาดตามองร่างตรงหน้าที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมและยืนเอียงคอมองดูเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คุณเป็นอะไร”

นรกรปลดกระดุมคอเสื้อ และมันไม่ใช่ความฝันรูปรอยฝ่ามือชัดเจนยังประทับเป็นรอยแดงเหนือกระดูกไหปลาร้า “ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเป็นอะไร”

“ผมไม่รู้... ผม...” อทิฏฐ์พูดขัดด้วยความรู้สึกผิด ไม่เชิงจำไม่ได้แต่มันเหมือนไม่รู้ตัว เสียงที่ดังแว่วอยู่ในหูยังคงก้องกังวานซ้ำไปซ้ำมา เขายกสองมืออุดหูแต่เสียงนั้นยิ่งแจ่มชัด และทั้งที่หัวใจน่าจะหยุดเต้นไปแล้วแต่กลับรู้หนักอึ้งและเจ็บไปทั่วหน้าอก “เห็น... ตอนที่ผมน่าจะตาย”

ในห้องที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ส่องสลัวผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง

แกร๊ง!

ขวดแก้วสีชาตกกระทบพื้นพร้อมกับยาเม็ดกลมเล็กสีส้มกระจายไปบ้างก็กลิ้งออกไปตามทาง มีเม็ดหนึ่งที่ยังคงกลิ้งไปไกลราวกับมันกำลังพยายามวิ่งหนีตายออกจากสถานที่คุมขังก่อนจะไปชนเข้ากับรองเท้าคู่หนึ่งและล้มลง

...รองเท้าส้นสูง...

นัยน์ตาเบิกโพลงขึ้น ร่างโปร่งแสงทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นและเริ่มต้นหอบเหมือนคนพยายามจะสูดอากาศหายใจ “ผมกำลังกินยาแล้วจู่ๆ ก็ล้มลงบนพื้น”

นรกรกลั้นหายใจ คำพูดของอาจารย์องค์อินทร์ในรายการวิทยุดังซ้ำขึ้นในหัว 

[วิญญาณพวกนี้จะถูกความมืดในใจที่เกิดจากความเศร้า ความอาฆาตหรือการไม่ให้อภัยตัวเองกัดกร่อนไปทีละนิดจนวิญญาณแตกดับหรือกลายเป็นผีสัมภเวสีเร่ร่อนไปผุดไปเกิดไม่ได้]

ลางสังหรณ์ไม่ผิดไปจากจากที่คิด เขาย่อตัวลงนั่งข้างๆ “ใจเย็นๆ นะค่อยๆ เล่า”

“มี... คนอยู่ที่นั่นกับผม...”

นิ้วมือเรียวสวยทาเล็บสีชมพูนู้ดดูงดงามคว้าขวดยาขึ้นมา เรือนผมสีดำยาวสยายกระทบแสงจันทร์เป็นมันเงา ร่างบอบบางนั้นดูไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าหวานยังคงนิ่งสนิทแม้จะเห็นคนเพิ่งล้มลงต่อหน้า 

“เห็นหน้าเขาไหม”

อทิฏฐ์พยักหน้า “ชัด... ชัดมาก”

“ผมจะพาคุณไปหาคนชื่ออธิษฐ์” ไม่รู้จะเชื่อคำอาจารย์นั้นได้แค่ไหนแต่เขาไม่มีอะไรจะเสีย “เดี๋ยวนี้เลย! ต่อให้ไม่รู้จักคุณแต่ถ้าเขาอยู่ในเหตุการณ์ที่มีคนกำลังจะตายต่อหน้า เขาต้องไม่มีทางลืม”

“ไม่ใช่เขา แต่เป็นเธอ... เธอเป็นผู้หญิง” 

นรกรตกใจหนักยิ่งกว่าเดิม “แล้วยังไงอีกผู้หญิงคนนั้นเขาช่วยคุณเหรอ เธอเป็นแฟน แม่ พี่ น้องหรือเพื่อนของคุณหรือเปล่า”

“ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เธอไม่ได้ช่วยผม เธอแค่หยิบขวดยาขึ้นมา... แล้วก็เดินออกประตูไป” เสียงของอทิฏฐ์สั่นจนควบคุมไม่ได้เงาของอะไรบางอย่างคล้ายน้ำตาเอ่อคลอเบ้าไหลรินมาถึงปลายคางก่อนจะสลายหายไปก่อนจะร่วงลงพื้น นรกรไม่เคยเห็นใครหวาดกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน “บางทีผมคง...” เขาพูดไม่ออก ยังไม่กล้าจะยอมรับแม้กับตัวเองว่าฆ่าตัวตายเพื่อหนีอะไรบางอย่าง เพราะยาขวดนั้นทั้งขวดเขาเป็นคนกลืนมันลงคอไปเอง

แต่นรกรเข้าใจ “ไม่เป็นไร ไม่ว่าคุณจะ... จากโลกนี้ไปด้วยวิธีการไหน...” พยายามจะปลอบแต่อีกฝ่ายก็ตะโกนขัดขึ้นมาเสียก่อน

“แต่ผมกลัว! ผมไม่อยากรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็ได้ผมถึงได้ลืม เพราะชีวิตที่ผมจากมามันไม่มีอะไรให้น่าจดจำ ผมมัน...”

“ไม่เป็นไร” นรกรย้ำอีกครั้งด้วยเสียงดังฟังชัดอยากคว้าไหล่กว้างที่สั่นเทานั้นไว้ แต่เพราะสัมผัสไม่ได้จึงทำได้แค่พยายามเข้าไปใกล้ให้มากที่สุด “ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นใคร หรือคุณจะตายเพราะอะไร แต่ขอให้คุณจำไว้ว่าตอนนี้คุณคืออทิฏฐ์ เป็นเพื่อนของผม และผมสัญญาว่าจะหาทางทำให้คุณไปสู่สุขคติให้ได้หรือต่อให้ไม่ได้ผมก็จะไม่ทอดทิ้งคุณ”

น้ำเสียงหนักแน่นดึงอทิฏฐ์ให้ได้สติและควบคุมตัวเองได้ในที่สุด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเงยขึ้นสบสายตาเต็มที่ “คุณพูดจริงเหรอ ผมอยู่กับคุณได้เหรอ”

นรกรพยักหน้า รู้ซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจในความเหงาของวันที่ไม่มีใคร วันที่ร้องไห้จนไม่น้ำตา วันที่ต่อให้กอดตัวเองแน่นแค่ไหนก็ไม่มีวันอุ่น และมันคงจะดีถ้าเพียงแต่เขาจะได้เป็นกำลังให้ใครสักคน “นานเท่าที่คุณอยากอยู่”
************************************************TBC******************************************
 
พิมพ์เสร็จเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ยาวมากเลย
ถือว่าชดเชยที่อาทิตย์ที่แล้วไม่ได้ลงนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 16-02-2016 18:57:08


รอติดตามค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Patronus ที่ 16-02-2016 23:47:43
ติดนิยายเรื่องนี้เสียแล้วว  อ่านทีเดียวรวด 4 ตอนเลย(วางไม่ลงจริงๆค่ะ)
แอบสงสัยว่าใครคู่กับหมอนรกร ความจริงคือเชียร์อทิฏฐ์ แต่ก็ยังหาหนทางที่เขาจะคู่กันไม่ได้
อยากให้อทิฏฐ์เป็นแค่วิญญาณที่ออกจากร่างชั่วคราว แล้วร่างยังนอนอยู่ใน รพ. ที่ไหนสักที่

แต่ถึงจะอยากให้อทิฏฐ์คู่กับนรกร แต่พี่วินทร์ก็มาแรงสุด การกระทำช่างพระเอกเหลือเกินน
หวังว่าพี่วินทร์คงจะเจอคนที่ใช่ คนใดคนนึงในเรื่องนี้
(พี่ปอไหมล่ะ? แต่งงานแล้วก็หย่าได้ เผื่อพี่ปออยากเปลี่ยนบทบาท 55)


ยังไงรอติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้เขียนตอนใหม่ออกมาเร็วๆนี้นะคะ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 17-02-2016 00:56:44
อยากรู้เลย จะเป็นยังไง ไม่เชียร์ปอ นรกรเก่งจัง ที่ยังรักษาตัวตนตัวเองได้จนทุกวันนี้ เห้อ
รอตอนต่อไปคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-02-2016 18:05:09
ฮาล์ฟกับทิดจะไปตามหาผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม อยากรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ทิดทำแบบนั้น
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 4 Stay [14/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-02-2016 01:49:42
บทที่ 5 Asking คำร้องขอจากพระจันทร์

“ผมคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้วซะอีกนะครับอาจารย์” วินทร์กล่าวเสียงดังจนเกือบจะตะโกนกับผู้อาวุโสที่หนังอยู่หลังโต๊ะทำงานในภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง เขามีรูปร่างสูงใหญ่ผมสีดำเข้มแซมเทาเล็กๆ บริเวณไรผมข้างขมับ หน้าตาดุดันด้วยคิ้วเข้มหนาที่เกือบจะพุ่งมาชนกัน ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นบิดาแท้ๆ ของนรกร เพราะคนทั้งคู่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยจริงๆ นอกจากโครโมโซมวาย

ศาสตราจารย์นายแพทย์สรวิชญ์ นุศาสตร์ศิลป์ โน้มตัวมาด้านหน้าเพื่อจ้องหน้าลูกศิษย์ตนให้ชัดๆ พร้อมประสานมือลงวางบนโต๊ะ “ผมแค่อยากให้คุณลองไปคิดดูอีกที”

วินทร์กำมือแน่นเมื่อรู้ซึ้งว่าชายคนนี้ไม่เข้าใจถ้อยคำปฏิเสธที่เคยพูดไปหลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่เขาเลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีสุดท้าย “พวกเราจะพรีเซนต์งานวิจัยในอีกสองอาทิตย์ ผมอยากให้คุณฟังมันก่อนจะมาตัดสิน ขอบคุณครับ” ตัดบทพร้อมกับหมุนตัวเดินไปที่ประตูเมื่อเสียงแหบห้าวดังตามหลัง
   
“ผมไม่มีอะไรต้องฟัง”
   
เขาหันไปมอง “คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสิน”

“แต่ผมมีอำนาจที่จะทำให้คนตันสินคล้อยตาม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านเป็นการบอกเป็นนัยว่าเขาไม่มีสิทธิ์โต้แย้งอะไรได้อีก

วินทร์หันกลับกำลังจะผลักประตูออกไปแต่มันกลับถูกเปิดสวนเข้ามาเสียก่อน

“สวัสดีครับพี่วินทร์”

คนตรงหน้ายิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดี เขาเหลือบมองผู้อาวุโสหลังโต๊ะทำงานที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าให้เร็วๆ และผลุนผันออกไป

“เขาเป็นอะไรน่ะ” อทิฏฐ์ที่ตามมาด้วยเป็นปกติบ่นก่อนจะหันไปชี้มือชี้ไม้ด้วยความตื่นเต้น “เอ๊ะ! อาจารย์หมอคนนั้น นามสกุลเดียวกับคุณเลย คุณพ่อของคุณใช่ไหม ตายล่ะ! ไม่รู้มาก่อนว่าต้องมาเจอพ่อตาเอ๊ย! พ่อคุณไม่งั้นจะได้แต่งตัวดีๆ กว่านี้มา”

นรกรมองทางหางตาเป็นเชิงบอกให้เงียบซึ่งอทิฏฐ์ก็รีบยกมือปิดปากอย่างว่าง่ายแต่ก็ยังไม่วายกรอกตาล้อเลียน เขาเดินเข้าไปยืนตรงหน้าและเพราะสองมือหอบหิ้วเอกสารมาเต็มจึงใช้วิธีค้อมศีรษะให้ “สวัสดีครับอาจารย์”

ถ้าเจอกันที่ทำงานห้ามเรียกว่า ‘พ่อ’ มันเป็นกฏเหล็กที่ตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยหัดพูดได้ และนั่นทำให้เขาเรียกบุคคลตรงหน้าว่าอาจารย์บ่อยกว่าเสียอีก

“อืม”

“ผมมาส่งความคืบหน้าของงานวิจัยครับ” ถึงจะไม่ใช่กรรมการเพราะตำแหน่งในตอนนี้ถูกเลื่อนเป็นจากหัวหน้าภาควิชาไปเป็นผอ.กองศัลยกรรม แต่ศาสตราจารย์สรวิญช์ยังคงให้เกียรติมาช่วยสอนและเข้าเคสผ่าตัดกับแพทย์ประจำบ้านปีสูงอยู่เสมอ

นรกรมองดูบิดาแท้ๆ ที่แทบไม่ได้คุยกันแม้จะเห็นหน้ากันทุกวัน เขาออกจากบ้านมาอยู่หอตั้งแต่จบมัธยมปลายเพราะสอบติดแพทย์และแทบไม่เคยกลับไปอีกเลย

แต่นั่นกลับทำให้เขาสบายใจ บ้านหลังใหญ่ที่มีแต่ความเงียบเหงาไม่รู้บุพการีจะกลับมาเมื่อไหร่ สู้อยู่ห้องพักเก่าๆ ของมหาวิทยาลัยหรือของโรงพยาบาลเพียงลำพังให้รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครรอและไม่ต้องรอใครดีกว่า

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ชี้นิ้วเร็วๆ ไปตรงที่ว่างหลังโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ติดกับถังขยะ ก่อนจะเหลือบมองเอกสารงานวิจัยของวินทร์ซึ่งคงมาส่งเมื่อสักครู่ที่ข้างคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ นรกรมองงานวิจัยของตัวเองในมือและตัดสินใจวางลงตรงหน้า

“รบกวนอ่านด้วยนะครับ อาจารย์”

บอกสั้นๆ และกลับหลังหันออกมา

oooooo

“อย่างพี่วินทร์น่ะนะจะมาเป็นอาจารย์” เสียงอนุวัฒน์ดังขึ้นในห้องพักแพทย์ซึ่งเป็นแหล่งรวมพลของเหล่าแพทย์ประจำบ้าน “ไม่ใช่พี่ฮาร์ฟหรอกเหรอ”

“ก็นั่นน่ะสิตอนที่ฉันได้ยินก็ตกใจเหมือนกัน” พัฒนพงศ์ที่แอบไปได้ยินและเป็นคนเอาเรื่องนี้มาบอกกวักมือให้ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะชะโงกเข้ามาใกล้ “ทะเลาะกันดังลั่นเลย พวกนายก็รู้ว่าเสียงพี่วินทร์ไม่ใช่เบาๆ”

“ไม่เห็นน่าตกใจเลยพี่วินทร์ออกจะเก่ง” จิงโจ้แทรกขึ้นและนั่นสร้างความแปลกใจให้ทุกคนยิ่งกว่าเดิม

“เฮ้ย! พี่พัฒน์เขาไม่ได้ว่ามหา’ลัยแกไม่ดี” อนุวัฒน์รีบแก้ กลัวว่าจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เพราะทั้งสองจบมาจากที่เดียวกัน “แค่ไม่คิดว่า... แกก็รู้ระหว่างพี่วินทร์กับพี่ฮาร์ฟถ้าต้องเลือกใครสักคน ผลมันนอนมาชัดๆ”

“แต่เห็นแบบนั้นน่ะพี่วินทร์เขาเป็นตำนานของรุ่นเลยนะครับ เป็นทั้งเดือนคณะ เป็นพี่ว้ากขวัญใจปีหนึ่ง” จิงโจ้เว้นวรรคเมื่ออนุวัฒน์ปรายตามาบอกว่าให้ข้ามตรงนั้นไปก่อนก็ได้ “พี่วินทร์จบเกียรตินิยมเหรียญทองด้วยคะแนนเฉลี่ย 4.00 ตลอดหกปี ที่หนึ่งของการสอบบอร์ดทั่วประเทศ ถ้าไม่เชื่อเสิร์ชในอินเตอร์เน็ตดูก็ได้ พี่เขามีเฟสที่แฟนคลับทำให้ด้วยนะ ไม่ก็ดูในเว็บมหา’ลัย”

สิ้นคำจิงโจ้ทุกคนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดค้นหาโดยพร้อมเพรียงกัน และถึงภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแต่ละเครื่องจะแตกต่างไปตามเว็บไซต์และอิริยาบทแต่ทั้งหมดนั่นก็ช่วยยืนยันคำบอกเล่าได้ดี

“พี่วินทร์เพิ่งมาเป็นแบบนี้หลังจากที่ป่วยเข้าโรงพยาบาลตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนที่เขาเคยเล่าให้ฟังไง”

“นี่อาการหนักเลยหนักนะเนี่ย” พัฒนพงษ์ว่าเพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาดูสะอาดสะอ้านเป็นสุภาพบุรุษในภาพก็ไม่น่าใช่คนๆ เดียวกับมนุษย์หมีถ้ำคนนั้นไปได้

“เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังตีนเลยด้วย” อนุวัฒน์เสริม “แสดงว่าอ.สรวิชญ์แกคงรู้ว่าพี่วินทร์มีกึ๋นเลยอยากเอามาปั้นแน่ๆ เลย”

“จะนินทากันก็ให้มันเบาๆ หน่อย” วินทร์เดินเข้ามาพอดีทุกคนพากันปิดปากสนิท

“ขอโทษครับ”

“ช่างเถอะ” วินทร์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางดึงเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะนั่งลงและยกเท้าขึ้นพาดบนเก้าอี้ว่างอีกตัว การยืนเถียงกันเพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ทำเขาเครียดขาแข็งยิ่งกว่าเข้าผ่าตัดทั้งวันอีก “ยังไงก็อย่าให้ฮาร์ฟรู้ล่ะ”

แต่มันสายไปเสียแล้วเพราะนรกรเดินตามหลังวินทร์ออกจากภาควิชากลับมาเงียบๆ และก็ยืนอยู่นานพอจะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเสียด้วย

“ผมรู้แล้วทำไมเหรอครับ”

ทุกคนสะดุ้งโหยงโดยเฉพาะวินทร์ที่แทบตกเก้าอี้

“ใช่! ผมอยากเป็นอาจารย์แต่ถ้าพี่วินทร์จะได้เป็นมันก็เป็นเรื่องดี หรือถ้าสุดท้ายผมได้ขึ้นมาก็จะไม่มีใครครหาว่าผมใช้เส้น” ก่อนจะเปิดประตูและหมุนตัวเดินออกไป

“ฮาร์ฟเดี๋ยวก่อน!”

วินทร์พยายามเรียกไว้แต่อีกฝ่ายก็เดินไปไกลเสียแล้ว

“พวกผมขอโทษครับ” พัฒนพงษ์เอ่ยขึ้น น้องๆ คนอื่นพากันพยักหน้าตามหงึกหงัก

เมื่อเห็นว่าตามไปก็ไม่ประโยชน์เพราะอีกฝ่ายยังใจร้อนและตัวเองยังไม่หายหงุดหงิดจึงทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม “ไม่เป็นไรหรอก ช้าหรือเร็วหมอนั่นก็ต้องรู้อยู่ดี แบบนี้ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้รีบเคลียร์ทั้งกับหมอนั่นและกับอ.สรวิชญ์ให้มันจบๆ ไป”

“พี่วินทร์ไม่อยากมาสอนพวกผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ” จิงโจ้ถามเสียงแผ่ว

วินทร์ส่ายหน้า “ก็เพราะว่าอยากเป็นน่ะสิ ถึงได้ลำบากใจอยู่นี่ไง เพราะตำแหน่งนั้นมันมีที่ว่างแค่ที่เดียว”

oooooo

“ฮาร์ฟ เสียบหูฟังหน่อยสิ ผมอยากคุยด้วย” อทิฏฐ์ที่วิ่งตามหลังมาตะโกนเรียกคนที่เอาแต่เดินดุ่มๆ ไปตามทางแต่เพราะไม่ได้รับคำตอบสักทีซ้ำยังถูกเมินใส่ เขาจึงวิ่งแซงไปดักด้านหน้าและยกสองแขนขึ้น

“นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ” นรกรร้องโวยวาย ไม่ใช่แค่ยืนขวางแต่อทิฏฐ์ทำท่าเหมือนจะโผเข้ากอดเขา

“ก็คุณไม่ยอมพูดด้วยผมก็เลยไม่รู้จะปลอบคุณยังไงน่ะสิ” อทิฏฐ์กระซิบรู้ดีว่าไม่ใช่แค่เรื่องที่เพิ่งได้ยินแต่เป็นเพราะก่อนที่จะเดินออกจากภาควิชาทั้งสองดันเหลือบไปเห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์หยิบงานวิจัยของเขาไปโยนทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดีก่อนจะหยิบงานของวินทร์ขึ้นมาอ่านอย่างสนอกสนใจ นั่นยังไม่รวมถึงวิธีการสื่อสารห้วนๆ เหมือนคนไม่รู้จักกันระหว่างทั้งคู่ ถ้าเขาเป็นนรกรเรื่องคงไม่จบแค่คำว่าน้อยใจแล้วเดินออกมาแต่ต้องพูดต้องเถียงอะไรสักอย่าง “รู้สึกยังไงบ้าง”

“ไม่รู้สึกอะไรเลย”

อทิฏฐ์ย่นปาก “ไม่สักนิดเลยเหรอ”

ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นที่หัวใจ เขารับรู้ได้ถึงความตั้งใจที่อยากจะช่วยปลอบ นรกรทรุดตัวนั่งลงบนขั้นบันไดและหยิบหูฟังขึ้นมาสวมเพื่อคุยกันให้ถนัดขึ้น “ไม่... โกหกน่ะ”

อทิฏฐ์เองก็นั่งด้วยเหมือนกันและถึงจะรู้ว่าไม่มีใครเห็นหรือสัมผัสได้แต่ก็มีสำนึกกลัวว่าจะขวางทางคนที่อาจจะเดินขึ้นลงเขาจึงเขยิบไปนั่งเบียดจนชิด “คุณโกรธพี่วินทร์?”
   
“เปล่า”

“พ่อ?”

“เปล่า”

“งั้นคุณโกรธใคร”

“ผมโกรธตัวเองที่ทำไม่ว่าจะทำอะไร จะพยายามมากแค่ไหนสุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ในสายตา”

“แล้วยังไง” อทิฏฐ์ถามกลับ “ถ้าไม่ได้เป็นอาจารย์นั่นจะทำให้คุณเลิกเป็นหมอหรือเปล่า”

“...”

คำถามของเขาทำเอานรกรตอบไม่ถูก หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเรียนหมอตามเส้นทางที่พ่อกับแม่วางไว้เขาคิดแค่เพียงจะเป็นหมอศัลยกรรม จะต้องเป็นอาจารย์แพทย์

แต่ไม่เคยคิด... ว่าจริงๆ แล้วตัวเองอยากเป็นอะไร... ถ้าไม่ได้เป็นหมอ จริงๆ แล้วเขาอยากทำอะไรกันแน่

“เอาจริงๆนะ คุณจะไปแคร์เขาทำไม ทำไมเลือกที่จะเดินตามหลังเขาต้อยๆ ในเมื่อคุณมีความสามารถมากกว่านั้น ลาออกแล้วไปทำอย่างอื่นซะเก่งๆ อย่างคุณมีงานให้เลือกอีกร้อยแปด” อทิฏฐ์เว้นวรรคไปเล็กน้อยพร้อมกับจ้องตาคนตรงหน้า “แต่ผมว่าคุณไม่ทำหรอก เพราะฉะนั้นพิสูจน์สิว่าต่อให้ไม่ได้เป็นอาจารย์คุณก็เป็นอะไรได้มากกว่านั้น”

ถึงปากจะบอกว่ามาเป็นหมอเพื่อให้พ่อกับแม่ภูมิใจแต่ภาพที่เขาเห็นทุกๆ วันตอนที่ออกตรวจคนไข้ ตอนผ่าตัดหรือตอนเดินเยี่ยมตามหอผู้ป่วยแม้จะดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนมันไม่ใช่ บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รู้สึกแต่ความตั้งใจที่แสดงออกมามันเกินกว่าการทำไปตามหน้าที่หรือความต้องการจะเอาชนะ

“แล้วมันคืออะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิคุณต้องคิดเอง นี่มันอนาคตของคุณนะ ลืมความฝันของพ่อแม่ทิ้งอดีตไปซะแล้วสร้างทางเดินของคุณเองสิ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ แต่ในขณะที่ยังคิดอะไรไม่ออกเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน มันเป็นสายเรียกเข้าจากอนุวัฒน์

“พี่ฮาร์ฟแย่แล้วครับ”

เสียงนั้นร้อนรนจนทำให้ลืมเรื่องที่กำลังกลุ้มใจไปเสียสนิท “มีอะไร”

“ตอนนี้ผมอยู่ที่ ER เคสน้องลลินชักไม่ได้สติมาครับ”

“เดี๋ยวพี่ไป” กดวางสายและออกวิ่งไปทันทีโดยมีอทิฏฐ์วิ่งตามมาติดๆ

แต่เมื่อนรกรวิ่งไปถึงห้องฉุกเฉินเด็กสาวก็ได้สติและลุกขึ้นมานั่งยิ้มแป้นอยู่บนเตียงทั้งที่ใบหน้ายังซีดเซียวรอให้หมออนุญาตกลับบ้าน

“หมอฮาร์ฟสวัสดีค่ะ ขอโทษที่ทำให้หมอตกใจนะคะหนูไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอหันไปจับมือผู้เป็นแม่ “แม่ขาเรากลับบ้านกันเถอะ”

อนุวัฒน์เดินเข้ามาสะกิดแขนเขาไปดูฟิล์มเอกเรย์สมองที่เพิ่งทำไปเมื่อสักครู่ ทันทีที่เห็นผลนรกรหน้าเครียดขึ้นมาทันทีทุกอย่างเป็นไปตามคาดเพราะเธอไม่เคยมีอาการชักมาก่อน

“คุณแม่ครับ ลลิน หมอมีข่าวร้ายต้องบอกให้รู้”

ผู้เป็นแม่ยกมือขึ้นปิดปากในขณะที่เด็กสาวบีบมือแม่แน่นขึ้นอีกและถามต่อ “มันเกี่ยวกับที่หนูชักใช่ไหมคะหมอ”

นรกรพยักหน้า

“ก้อนมันโตขึ้นอีกแล้วเหรอคะ”

ริมฝีปากเม้มสนิท เขาไม่ได้กลัวการแจ้งข่าวร้ายแต่เขาเกลียดความรู้สึกหลังจากที่พูดมันออกไป “ก้อนเก่ายังมีขนาดเท่าเดิมครับ แต่มันมีก้อนใหม่ตรงบริเวณใกล้กับก้านสมองและหมอต้องให้หนูแอดมิทเพื่อสังเกตอาการและทำการตรวจเพิ่มเติม”

“แต่หนูมีสอบเข้านะคะ ไม่ใช่แค่พรุ่งนี้แต่เป็นทั้งอาทิตย์ ขอหนูไปสอบให้เสร็จก่อนได้ไหมคะคุณหมอ”

...ว่าแท้จริงแล้วเขาไม่เคยทำอะไรได้เลยกับเกมชีวิตที่มีแต่คำว่าแพ้กับแพ้...

“หมอไม่อยากให้หนูออกจากโรงพยาบาลเพราะเกรงว่าอาการชักจะกำเริบและแย่ลงอีก ซึ่งความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นอย่างหนึ่งถ้าหากมันเกิดขึ้นตอนสอบ และถ้าหนูมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไปหมอเกรงว่าหนูจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย การแอดมิทเพื่อสังเกตอาการและปรับยาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะครับ”

oooooo

มันเป็นหนึ่งวันแย่ๆ ที่นรกรอยากจะกลับห้องไปล้มตัวลงนอน ไม่ใช่เรื่องพ่อ ไม่ใช่เรื่องวินทร์แต่เป็นนัยน์ตาเว้าวอนของเด็กสาวที่เขาให้การดูแลรักษามาตลอดห้าปีเต็ม

‘ขอหนูไปนะคะคุณหมอ’

‘ไม่เอาน่าลิน อย่าทำให้คุณหมอลำบากใจสิจ๊ะ’

‘หมอไม่อยากให้หนูอาการแย่ลงนะ’

ทันทีที่เขาพูดจบเธอก็ไม่ต่อรองอะไรอีก ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ แต่ประกายเปี่ยมด้วยความหวังในแววตาที่เห็นเสมอมากลับจางลงจนน่าใจหาย นรกรถอนหายใจและเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้ดึกมากแล้วและท้องฟ้าก็มืดทึบไม่เห็นแม้เงาจันทร์

“คุณคิดว่าผมทำผิดหรือเปล่า” เอ่ยถามกับร่างโปร่งแสงที่เดินมาข้างๆ “คงคิดว่าผมใจร้ายมากใช่ไหมที่ไม่ยอมให้ลลินไปสอบ”

“คุณแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้คนไข้” อทิฏฐ์ไม่ได้ตอบเพื่อเอาใจแต่เขาเข้าใจเหตุผลของนรกรดี

“ตลกดีนะ”

“ยังไง”

“ผมคิดว่าเธอเหมือนผม” นรกรหยุดยืนพิงกรอบหน้าต่างและเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้า “ไม่ใช่ไม่อยากรักษา ก็แค่อยากกลับบ้าน... เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่เป็นมันไม่มีวันหาย”

ภาพเด็กผู้ชายตัวผอมแห้งยืนเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปผุดขึ้นมาในความคิด การมองท้องฟ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้ว่ากำลังออกไปท่องโลกกว้างทั้งที่ร่างกายถูกกักขังด้วยโรคและสิ่งที่เป็นอยู่

เขาผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย “เดี๋ยวผมขอไปเยี่ยมอาการเธออีกทีแล้วเราค่อยกลับไปนอนกันนะ”

“ทำเป็นชวนเห็นคุณก็นอนหลับปุ๋ยคนเดียวทุกที”

“ใครใช้ให้คุณไม่หลับไม่นอนเองล่ะ” บ่นพลางเปิดประตูเข้าไปในหอผู้ป่วย กำลังจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อหยิบแฟ้มเมื่อหูแว่วได้ยินเสียงพยาบาลกำลังคุยกัน

“หายไปไหนกันนะ”

“เราจะทำยังไงกันดีคะ”

พวกเธอมีสีหน้าเคร่งเครียดและหวั่นวิตก นรกรรู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”

“แย่แล้วค่ะคุณหมอน้องลลินหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ” พยาบาลประจำหอผู้ป่วยบอกอย่างร้อนใจ “พวกเราหาจนทั่วตึกแล้วก็ยังไม่เจอ หนีกลับบ้านแล้วไปถึงบ้านยังไม่เท่าไหร่แต่หนูกลัวจะไปอาการกำเริบระหว่างทางแล้วไม่มีใครเห็นน่ะสิคะ”

“ติดต่อพ่อแม่น้องเขาหรือยังครับ”

“ยังเลยค่ะ เราคิดว่าจะลองหากันอีกสักที”

นรกรนิ่งคิดอยู่อึดใจ “บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้เธออาจจะแค่ไปเดินเล่นแถวๆ นี้ เดี๋ยวผมจะช่วยหาด้วยคนนะครับ”

เขารีบเดินกึ่งวิ่งออกจากหอผู้ป่วย ไปตามทางที่แทบจะร้างผู้คนในยามค่ำคืนเข้าไปในลิฟต์และกดไปที่ชั้นล่างสุด

“คุณรู้เหรอว่าน้องเขาไปไหน” อทิฏฐ์ถามเมื่อคุณหมอหนุ่มไม่มีทีท่าลังเลเมื่อตัดออกจากเส้นทางหลักเดินลัดเข้าไปในสนามหญ้า

นรกรเม้มปากแน่นความมั่นใจแทบไม่มี เขาแค่นึกถึงวันที่เจอกันครั้งแรกเด็กสาวที่เอาแต่นั่งมองท้องฟ้าและบอกว่าตัวเองเป็นพระจันทร์ ถ้าเธอจะคิดเหมือนเขา ถ้าเราจะมีความคิดคล้ายๆ กัน “ก็ไม่รู้หรอก แค่เดาเอาน่ะ”

โชคดีที่การคาดเดานั้นถูกต้อง เด็กสาวนั่งอยู่ตรงม้านั่งใต้ต้นปีบในสวนหย่อมของโรงพยาบาล ถ้าอยากมองเห็นพระจันทร์ให้ชัดๆ ในโรงพยาบาลใหญ่ใจกลางเมืองหลวงที่มีแต่ตึกสูงขึ้นเบียดกัน ก็คงจะมีแต่ลานกว้างนี่เท่านั้น

ผ่อนลมหายใจออกจมูกอย่างโล่งอก ยังดีที่เธอเลือกนั่งในที่เห็นตัวได้ง่ายเพราะเขาชอบไปนั่งแอบพิงตามหลังต้นไม้ใหญ่มากกว่า

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ”

ลลินเบือนสายตาจากพระจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้าลงมามองเขา เป็นครั้งแรกที่นัยน์ตานั้นเหม่อลอยและว่างเปล่า “หนูอยากหนีค่ะ... หนูไม่อยากอยู่โรงพยาบาล หนูอยากกลับบ้าน... อยากไปสอบ”

“แต่หนูก็อยากหายใช่ไหม” เด็กสาวพยักหน้า นรกรค่อยเดินไปนั่งลงอีกฟากหนึ่งของเก้าอี้ “หมอเข้าใจนะ”

“หมอจะเข้าใจได้ยังไง ในเมื่อหมอไม่เคยป่วย ในเมื่อหมอไม่เคยเข้าออกโรงพยาบาลนานเป็นปีๆ แบบหนู” เสียงหวานดื้อรั้นและเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“เคยสิ” เสียงของเขาแหบพร่า “สมัยเป็นเด็ก... หมอสายตาไม่ค่อยปกติน่ะ หมอเห็นอะไรที่คนอื่นเขาไม่เห็นกันพ่อกับแม่หมอเลยพาไปรักษาที่สถานบำบัด”

“อะไรที่ว่ามันคืออะไรคะ”

ริมฝีปากเม้มสนิทยังขลาดกลัวเกินกว่าจะเล่าต่อให้จบเมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้น

“พูดสิครับ”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงข้างกายที่ถูกแสงจันทร์ส่องผ่านจนเป็นสีออกนวลคล้ายกับกำลังเปล่งแสงเรื่อๆ

“ความลับต้องแลกด้วยความลับ ถ้าอยากให้ใครสักคนเปิดใจให้เรา คุณต้องเปิดใจให้ใครคนนั้นก่อน” อทิฏฐ์คลี่ยิ้มกว้างให้พร้อมกับพยักหน้า “คุณทำได้”

นรกรขบซี่ฟันลงบนริมฝีปากซ้ำๆ จนห้อเลือด สองมือกำเป็นหมัดแน่นก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “หมอเห็นผี”

พูดจบก็แทบกลั้นหายใจรอฟังเสียงหัวเราะ แต่เด็กสาวกลับยืดตัวขึ้นตรงและชะโงกตัวเข้ามาใกล้

“แล้วหมอทำไงคะ”

นรกรเหลือบมองอทิฏฐ์ที่พยักหน้าให้อีกครั้งก่อนจะเล่าต่อ “หมอแกล้งทำเป็นหายเพื่อจะได้กลับบ้าน”

เมื่อลลินเริ่มกระเถิบเข้ามาใกล้เพื่อตั้งใจฟัง อทิฏฐ์ก็ทรุดตัวลงนั่งเหยียดยาวบนพื้นข้างม้านั่งพลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่ค่อยๆ กระจ่างตาขึ้นเรื่อยๆ ตามพระจันทร์ที่ค่อยขยับขึ้นสูง

เขาชอบเวลานรกรเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมบางทีอาจเป็นเพราะเขาจดจำอะไรไม่เลยสักอย่างเลยอยากรู้ อยากฟังเรื่องของใครสักคนแล้วจินตนาการตามไปว่าเรื่องราวของตนมันเริ่มขึ้นเช่นไร

จุดแสงสีทองกะพริบวาบขึ้นบนพื้นสีหมึกในห้วงความคิดพร้อมกับความอุ่นไอของอะไรบางอย่างที่โอบรัดรอบร่างกาย... นานมาแล้วครั้งหนึ่งเขาเคยแหงนหน้ามองฟ้าพร้อมกับที่ใครสักคนโอบกอดเขาไว้ชี้ชวนให้ดูหมู่ดาว

อุ่นจัง... นั่นอ้อมแขนของใครกันนะ

เงามืดของใครคนหนึ่งทาบทับขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มสดใสเห็นฟันซี่ขาวครบสามสิบสองซี่แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ทำไมถึงทำให้หัวใจอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้

“หมอไม่ได้ว่ามันดีนะ เพราะทุกวันนี้หมอก็ยังต้องโกหกทุกคนว่าหมอไม่เห็นอะไรเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับไปที่นั่นอีก แต่การที่เห็นผีไม่ได้ทำให้หมอตาย ไม่เหมือนไอ้ก้อนมะเร็งนั่น ถ้าเป็นไปได้หมอก็อยากให้หนูรักษา” นรกรสรุปเมื่อเล่าเรื่องของตัวเองจบ

“หนูก็อยากรักษาแต่ก็อยากไปสอบด้วย”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ทุกๆ ครั้งที่คุยกันเด็กสาวจะยืนยันคำนี้กับเขาเสมอ “หนูอยากเป็นอะไรเหรอ”

เด็กสาวก้มลงมองสมุดบันทึกปกหนังเล่มใหญ่ในมือที่หอบหิ้วมาด้วย มันเป็นสมุดบันทึกที่เธอใช่จดเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเมื่อได้ออกจากโรงพยาบาล คุณหมอหนุ่มไม่เคยเห็นว่าเธอจดอะไรแต่ดูจากโพสอิทและเศษกระดาษที่คั่นออกมาจากตรงนั้นตรงนี้เธอคงใช้มันเป็นอย่างดี และอดอมยิ้มมุมปากไม่ได้เพราะสมุดเล่มนี้เขาเป็นคนซื้อให้เธอเป็นของขวัญเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการผ่าตัดครั้งหนึ่งเมื่อสี่ปีก่อน และวันนั้นคือวันที่เขาได้ลงมีดด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

“หมอฮาร์ฟลองทายดูสิคะ”

นรกรยกมือขึ้นกอดอก “หมอเล่นทายใจไม่เก่งแต่จะลองดูนะ อืม... หนูอยากเป็นหมอเพื่อจะได้มารักษาโรคที่ตัวเองเป็นอยู่หรือเปล่า”

“ไม่เฉียดเลยค่ะ” ลลินหัวเราะคิกคักไม่คิดว่าคุณหมอผู้เคร่งขรึมจะมีมุมน่ารักยอมเล่นกับเธอด้วย

“ก็บอกแล้วไงว่าหมอทายใจไม่เก่ง” นรกรยิ้มเขินในขณะที่อทิฏฐ์หันมาชูนิ้วโป้งให้กำลังใจ

เธอยิ้มกว้างมากขึ้นอีกก่อนจะเฉลยออกมา “หนูอยากเป็นทนายค่ะ หนูมีคนที่อยากฟ้องร้องและหนูต้องเอาชนะเขาให้ได้”

“ใครเหรอ”

“มะเร็งค่ะ”

“แต่มันเป็นโรคไม่ใช่คนนะครับ”

“ใช่ค่ะ” เธอตอบเสียงดังฟังชัด “หนูจะฟ้องมันโทษฐานมารุกรานชีวิตหนู และหนูจะเอาชนะให้ดูโดยการทำให้เห็นว่าหนูจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ อยู่ให้นานจนมันยอมแพ้และไม่มายุ่งกับชีวิตหนูอีกเลย” แววตามุ่งมั่น น้ำเสียงจริงจังไม่เคลือบแฝงการโกหกหรือประชดประชันใดๆ

และมันจริงใจเสียจนหมออย่างเขายังยอมแพ้

“นี่ดึกแล้วเราเข้าไปข้างในกันเถอะเดี๋ยวจะไม่สบาย”

“หมอให้หนูไปสอบนะคะ หนูขอร้องเพราะถ้าต้องรอถึงปีหน้าหนูก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกไหม หนูไม่อยากตายก่อนที่จะทำมันสำเร็จ หรือต่อให้ไม่สำเร็จหนูจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจที่ไม่ได้ทำ”

“หนูขอร้องหมอไม่ได้หรอกเพราะหมอไม่ใช่เจ้าของชีวิตหนู” นรกรบอก “หมอไม่ใช่ทนายไปฟ้องร้องเอาชีวิตหนูกับพระเจ้าหรือยมบาลไม่ได้... แต่หมอเป็นหมอและหมอมีหน้าที่รักษา” อทิฏฐ์เหลียวมามองทางหางตาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูงเขาจึงขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง “ถ้าไม่ไหวต้องพอห้ามฝืน และตอนเย็นต้องกลับมาตรวจกับหมอทุกวัน ตกลงไหม”

นัยน์ตากลมหลุบลงมองพื้นอึดใจก่อนจะเบิกกว้าง รอยยิ้มกว้างคลี่เต็มเรียวปาก เด็กสาวมองคุณหมอหนุ่มอย่างซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

ทั้งสองลุกขึ้นยืนและพากันเดินกลับไปที่หอผู้ป่วยเงียบๆ แล้วทั้งหมอและคนไข้ก็ถูกพยาบาลดุอยู่เกือบๆ ห้านาทีด้วยข้อหาทำให้เป็นห่วงเพราะแก้ตัวแค่ว่าออกไปเดินเล่นข้างนอก ทั้งสองมองหน้ากันยิ้มๆ โดยไม่พูดว่าอะไรอีกก่อนจะนรกรจะพาเธอมาส่งที่เตียง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอจะไปคุยกับอาจารย์เจ้าของเคสให้นะ”

ลลินยกมือไหว้ขอบคุณ ทั้งเขาและเธอรู้ว่ามันยากหนักหนาเพราะอาจารย์คนนั้นคือศาสตราจารย์สรวิชญ์ นรกรกำลังจะกลับหลังหันเมื่อเธอเรียกไว้อีกครั้ง “หมอฮาร์ฟคะ”

“มีอะไรครับ”

“หมอจำวันที่หมอผ่าให้หนูครั้งแรกได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ”

“หนูโกหกเรื่องที่ว่าหนูฝันเห็นหมอตอนผ่าตัด” มือเล็กเซียวกำผ้าห่มแน่น ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “หนูไม่ได้ฝันแต่หนูเห็น... หนูยืนอยู่ในห้องผ่าตัด อากาศมันเย็นเฉียบจนขนลุกซู่ หนูมองไปที่ตัวเองเห็นสมองที่ถูกเปิดออกมีแต่เลือดเต็มไปหมด แล้วหนูก็คิดว่าพอเถอะ หนูจะสู้ไปทำไมให้เจ็บตัวเปล่าๆ หนูกลับหลังหันให้ร่างตัวเอง แล้วออกจากประตูเดินไปตามแสง ระหว่างทางหนูเห็นพ่อกับแม่นั่งกุมมือช่วยกันสวดมนตร์ให้หนูปลอดภัยอยู่หน้าห้องผ่าตัด และตอนที่กำลังลังเลว่าจะอยู่หรือจะไปดีหนูก็ได้เสียงที่บอกให้หนูสู้... เสียงคุณหมอ ในขณะที่ทุกคนบอกว่าไม่ไหว หมอบอกทุกคนว่าไหวเพราะหนูพูดไว้แบบนั้น ถ้าหนูสู้ หมอจะสู้ไปกับหนู... หนูก็เลยกลับมา หนูไม่ยอมแพ้ไปก่อนหมอหรอก”

“หมอก็ไม่ยอมแพ้หนูเหมือนกัน” นรกรยิ้มกว้างและกว้างมากขึ้นอีกเมื่อหันไปสบตากับใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ 

“คุณพูดได้ดีมากเลย” อทิฏฐ์เอ่ยชมเมื่อทั้งสองออกมาอยู่กันตามลำพังตรงทางเดิน “เท่จนผมเกือบตกหลุกรักแน่ะ”

“คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะ ผมเลือก”

“โอ้โห ใจร้ายกว่านี้มีอีกไหม” อทิฏฐ์หัวเราะลงคอ “เรากลับห้องกันเถอะผมอยากล้มตัวลงนอนจะแย่แล้ว”

“ไหนเคยบอกว่าเป็นผีไม่หลับไม่นอนก็ได้ไง”

“แต่ผมชอบมองหน้าคุณเวลานอนนี่นา”

“ยังไม่เลิก”

“ทำไมล่ะก็หน้าตอนคุณนอนน่ะมันน่ารักจริงๆ นี่ คนอะไรใจร้ายผิดกับหน้าตาเดี๋ยวก็ขู่จะเอาผมใส่หม้อไปถ่วงน้ำบ้างล่ะ จะเอาไปฝังบ้างล่ะ”

“ก็คุณอยากมากวนประสาทกันก่อนทำไมล่ะ นี่ดีนะที่เป็นผีถ้าลองเป็นคนนะผมจับส่งไปแอดมิทจิตเวชแล้ว” นรกรเงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบใจนะ”

“ขอบใจผมทำไมผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ที่อยู่ข้างๆ ผมและคอยเป็นกำลังใจให้ผม” นรกรพูดจากใจ “ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอยากทำอะไร คุณพูดถูก จริงอยู่ว่าผมเป็นหมอเพราะอยากให้พ่อกับแม่หันมามองแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอยากเป็นหมอที่ดีเพื่อคนไข้ของผม ไม่ใช่แค่รักษาชีวิตแต่ผมต้องทำให้พวกเขามีชีวิต”

ภาพแววตาแห้งแล้งเหมือนต้นไม้ยืนต้นตายกลางทะเลทรายกลับมามีประกายแห่งความหวังอีกครั้งยังคงติดอยู่ในใจ ไม่ได้คิดฝันว่าตัวเองจะเป็นหยาดฝน ขอแค่ได้เป็นเพื่อนร่วมทางที่จะเดินไปด้วยกันก็พอ

“จะอยู่หรือไปงั้นเหรอ” จู่ๆ อทิฏฐ์ก็กระซิบขึ้น

“อะไรเหรอ”

“ที่ลลินพูดไง... จะอยู่หรือไป ต้องใช้ความเข้มแข็งมากแค่ไหนกันนะที่จะหันหลังให้ทางสบายแล้วกลับมาเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก”

“แล้วถ้าเป็นคุณจะทำยังไงล่ะ”

“ไม่รู้สิ... ก็ผมเลยจุดนั้นมาแล้วนี่นา”

เพราะหน้าทะเล้นที่เครียดขึ้นมาทันทีนรกรจึงไม่ถามอะไรต่ออีก ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ในขณะที่ใครคนหนึ่งเลี้ยวออกมาจากมุมตึก

วินทร์มาตามหานรกรที่หายไปอีกทีหลังจากได้ยินเรื่องจากคุณพยาบาลและเมื่อทราบว่านรกรพาลลินกลับมาส่งเรียบร้อยจึงรีบเดินตามออกมาเพื่อเคลียร์เรื่องตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ได้ยินเสียงแว่วคุยอยู่กับใครจึงไม่อยากขัด

ทว่า หลังจากที่แอบฟังอยู่เนิ่นนานหลายนาทีเขาก็พบตรงนั้นไม่มีใครนอกจากทางเดินที่ว่างเปล่า

แล้วนรกรคุยอยู่กับใคร?



(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-02-2016 01:58:21
บทที่ 5 (ต่อ)


เจ็ดโมงเช้าวันอังคารเป็นวันที่อาจารย์ทุกท่านของภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมองซึ่งมีทั้งหมดสามท่านรวมทั้งศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ให้เกียรติมาช่วยจะทำการเดินตรวจเยี่ยมคนไข้ตามหอผู้ป่วยพร้อมแพทย์ประจำบ้านเพื่อประเมินผลการรักษาที่ผ่านมาและร่วมกันวางแผนการรักษาในขั้นตอนต่อไป แต่สำหรับแพทย์ประจำบ้านแล้วมันคือวันขึ้นเขียงเตรียมเชือด

ถึงจะไม่ได้พกมีดผ่าตัดมาด้วยแต่วาจาสอนสั่งของศาสตราจารย์สรวิชญ์นั้นเชือดเฉือดหัวใจและความมั่นใจให้ขาดสะบั้นได้ดียิ่งกว่าศาตรามีคมใดๆ

“วันหลังพกซีรีบลัม(Cerebrum:สมองส่วนหน้า)มาด้วยนะไม่ใช่สักแต่ใช้สไปนัลคอร์ด(Spinal cord:ไขสันหลัง) ทำงานอย่างเดียว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดเสียงเรียบกับจิงโจ้หลังจากทวนถามหน้าที่ของสมองแต่ละส่วนเป็นการวอร์มอัพเบาๆ ก่อนเริ่มราวน์แต่กลับได้คำตอบผิดๆ ถูกๆ กลับมาเพราะเจ้าตัวลนลานจนเกินไป “วาดภาพสมองพร้อมคำอธิบายอย่างละเอียดมาส่งผมภายในเช้าวันพรุ่งนี้... สามชุด! วาดและเขียนเองทีละแผ่นห้ามใช้กระดาษก๊อปปี้ด้วย อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้น่ะ... เอาล่ะ เริ่มต้นเคสแรกได้”

เคสแรกของวันนี้มีวินทร์เป็นเจ้าไข้ถึงจะไม่มีคำชมใดๆ หลุดลอดออกจากปากแต่นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูงสุด

“แล้วต่อไปเป็นเคสใคร”

“ของผมครับ” นรกรก้าวเข้าไปยืนข้างหน้า พลางส่งแฟ้มผู้ป่วยของลลินให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่รับไปตรวจดูทีละแผ่นพร้อมกับรายงานเคส

“ตกลงคุณจะอนุญาตให้คนไข้ไปสอบได้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามทันทีเขาพูดจบทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากแฟ้ม

“ครับ” นรกรยืนยันในแผนการรักษาของตน

“แล้วหลังจากเธอออกจากโรงพยาบาลไปแล้วคุณจะทำยังไงต่อ” อาจารย์ธนบดีถามเพิ่มเติมเพื่อลงความเห็น

“เธอจะเดินทางไปกลับระหว่างโรงพยาบาลกับสถานที่สอบโดยผมจะมาเป็นคนตรวจประเมินอาการทุกวันตอนเช้าและเย็นเพื่อให้การอนุญาตเป็นวันๆ ไปครับ”

“การรักษาไม่ใช่แค่ต้องดูที่ร่างกายแต่เราต้องดูแลให้ครบองค์รวมถึงจิตใจและสังคมของผู้ป่วยด้วย” อาจารย์วิมลภา ผู้หญิงเพียงคนเดียวในภาควิชาและผู้เป็นมารดาของเขาเอ่ยขึ้น 

“นั่นแปลว่าอาจารย์เห็นด้วยเหรอครับ”

“แค่ดีแต่ไม่เห็นด้วยค่ะ” อาจารย์วิมลภากล่าว “แผนการรักษาที่ว่ามามันยังไม่รอบคอบพอเท่าไหร่”

“เท่าที่ฟังผมก็คิดว่าไม่เลวนะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ที่เงียบอยู่นานพูดบ้าง “อย่างคนไข้ที่ต้องทำกายภาพก็ยังมีการให้ออกไปทำธุระหรือลากลับบ้านได้เป็นครั้งๆ ไป”

ความเห็นจากอาจารย์ท่านอื่นแม้จะยังไม่เห็นด้วยเต็มร้อยแต่ก็ทำให้นรกรใจชื้นขึ้นมาหน่อย กำลังจะอธิบายเพิ่มเติมเมื่อศาสตราจารย์สรวิชญ์แทรกขึ้น

“แล้วถ้าเกิดอาการกำเริบระหว่างสอบล่ะ ถ้าเกิดอาการมันแย่ลงจนรักษาไม่ได้และถ้าเกิดเธอ ‘ตาย’ คุณจะรับผิดชอบไหวไหม” 

คำพูดไม่ได้กระแทกกระทั้นแต่เน้นย้ำราวกับเขาเป็นฆาตกรที่กำลังวางแผนจะฆ่าเธอ สายตาสีเทาคมกริบที่มองมาดั่งคมมีดกรีดความมั่นใจของเขาขาดวิ่นจนไม่เหลือชิ้นดีก่อนจะเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะ จู่ๆ ลำคอก็แห้งผากขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อทุกคนพากันหันมามองเขาเป็นตาเดียวราวกับจะคาดคั้น

“ผมถามว่าคุณรับผิดชอบชีวิตเธอไหวไหม!”

“ไม่ครับ”

“ยังไงผมก็ไม่อนุญาต” ศาสตราจารย์สรวิชญ์สรุปความเห็นของตัวเองอีกครั้งพร้อมกับปิดแฟ้มและโยนลงบนเคาน์เตอร์ ถึงจะไม่ดังแต่ก็ทำเอาทุกคนสะดุ้งโหยงโดยเฉพาะจิงโจ้ที่ไม่กล้าสบตาต้องเขยิบไปยืนแอบหลังอนุวัฒน์

ศาสตราจารย์สรวิญ์กำลังจะเดินออกไป นรกรเม้มริมฝีปากแน่นไม่ว่าเหตุผลจะดีงามแค่ไหนแต่เขาไม่เคยชนะผู้ชายคนนี้ เขาก้มลงมองมือตัวเองนึกสงสัยจับใจว่าทำไมถึงทำอะไรไม่ได้สักอย่างเมื่อมือของใครอีกคนยื่นมาแตะเบาๆ ที่หลังมือ

นรกรเงยหน้าขึ้นสบสายตากับร่างโปร่งแสงข้างกายที่พยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่ง

“แต่ผมก็รับผิดชอบความฝันของเธอไม่ไหวเหมือนกัน” แม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ นับจากประโยคแรกที่พยายามอธิบายกับผู้ชายคนนี้ว่าไม่ได้บ้า นี่ก็ถือเป็นครั้งที่สองในชีวิต และมันไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะ เขาแค่เป็นตัวแทนพูดในสิ่งที่คนไข้ของเขาต้องการ

ศาสตราจารย์สรวิญ์หันหลังกลับมา ยกมือขึ้นกอดอกและถามเสียงเหยียบเย็น “คุณว่าไงนะ”

มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่น ไม่ใช่ไม่กลัวแต่เขาต้องทำก่อนจะความกล้าที่มีจะหายไปและก่อนที่มันจะสายเกินไป “ผมยกสถานที่สอบมาให้เธอที่นี่ไม่ได้แต่ผมตามไปดูแลเธอได้ถ้ามีอาการผิดปกติ... ผมแจ้งให้ผู้ปกครองและเจ้าตัวทราบถึงความเสี่ยงแล้ว ทุกคนยอมรับครับ” นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุด “ลลินครบอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ตามกฏหมายและ Patient’s right คนไข้มีสิทธิ์เลือกการรักษา และผมเคารพในการตัดสินใจของเธอครับ” เขาสรุปอีกครั้ง

นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมองสบมาที่ครั้งนี้นรกรไม่คิดจะหลบเขาต้องยืนหยัดเพื่อคนไข้ของเขา เมื่อเสียงทุ้มดังลอดผ่านริมฝีปากที่แทบไม่ขยับ “รับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วย”

“ขอบคุณครับ” นรกรค้อมศีรษะให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์ก้าวฉับๆ ออกไปจนแทบได้ยินเสียงชายเสื้อกาวน์สะบัด ในขณะที่น้องๆ หันมาชูนิ้วโป้งและกระซิบกระซาบให้กำลังใจโดยเฉพาะจิงโจ้ที่ดูจะออกนอกหน้ากว่าคนอื่น

“วันนี้พี่ฮาร์ฟเท่มาก”

ยกเว้นวินทร์ที่เพียงแค่ยืนมองเฉยๆ ไม่สื่ออารมณ์หรือความหมายใด

ทุกคนพากันเดินไปดูเคสอื่นต่อ แต่นรกรยังอยู่รั้งท้ายอีกครู่หนึ่งเพื่อเดินไปแจ้งข่าวดีให้ลลินทราบ เธอร้องตะโกนด้วยความดีใจและเป็นอีกครั้งที่พวกเขาถูกพยาบาลหันมาทำตาเขียวใส่โทษฐานำเสียงดังรบกวนผู้อื่น เขาผงกศีรษะขอโทษก่อนจะรีบวิ่งเหยาะๆ กลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

หลังจากการตรวจเยี่ยมเสร็จสิ้น เขาก็รีบวิ่งกลับมาที่หอผู้ป่วยอีกครั้งเพื่อมากำชับลลินซึ่งตอนนี้เปลี่ยนไปใส่ชุดนักเรียนเตรียมไปสอบเรียบร้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอในชุดนี้และทั้งที่คิดมาตลอดว่าเธอเหมือนเด็กประถมแต่กลับดูเหมาะเจาะจนเขาอดจะยิ้มและจินตนาการถึงวันที่เธอใส่ชุดนักศึกษาไม่ได้

“สอบเสร็จสี่โมงเย็น หมอให้เวลาถึงหกโมงเพื่อมาให้ถึงโรงพยาบาลไม่งั้นหมอจะโทรตามทุกห้านาที ตกลงไหม”

ผู้เป็นแม่พยักหน้าพลางจดโน้ตลงในสมุดบันทึกการรักษาของลูกสาว ในขณะที่เจ้าตัวตอบเสียงใส “รับทราบค่ะ”

นรกรยกมือขึ้นกอดอกปั้นหน้าเครียด “มีอะไรที่หมอลืมบอกหนูอีกไหม”

“หนูว่าไม่มีแล้วนะ” เธอเปิดกระเป๋าสะพายพลางตรวจดูของ “มาร์สเอามาแล้ว ยาเช้ากินแล้ว ยาเที่ยงก็เตรียมมาแล้ว ถ้ามีอาการปวดหัว มองอะไรพร่ามัวมากขึ้นต้องรีบหยุดพักและให้ใครพามาส่งโรงพยาบาล”

“หมอว่าไม่ใช่นะ” ก่อนจะขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง “ถ้าคิดคำตอบไม่ออกให้เลือกข้อที่ยาวที่สุด... เชื่อหมอสิหมอผ่านมาก่อน”

เธอยิ้มจนตาแทบปิดพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้ง “ขอบคุณนะคะคุณหมอ”

หลังจากส่งลลินเรียบร้อยเขาก็วิ่งกลับไปห้องผ่าตัดเพื่อเตรียมเข้าเคสแต่ที่นั่นมีใครคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว

วินทร์คลายมือที่กอดอกไว้ออกและเดินเข้ามาหา “ฮาร์ฟ ฉันอยากคุยด้วย”

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว” นรกรอาศัยตัวที่ผอมบางเบี่ยงหลบไปที่ล๊อกเกอร์ตู้ในสุดเขาเปิดประตูเพื่อถอดเสื้อเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาคว้าแขนและดึงให้หันมา

“แต่ฉันมี”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นมองสบสายตาคม มันจริงจังและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนเขาต้องยอมแพ้และหมุนตัวกลับมา

เมื่อเจ้าตัวไม่มีทีท่าขัดขืนอีกวินทร์จึงยอมปล่อยมือแต่ยังยกขึ้นวางพาดหน้าประตูไว้กันเหนียวเพื่อให้แน่ใจว่าจะตะครุบตัวได้ทันเผื่ออีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจ

“ผมไม่ได้โกรธเรื่องที่พี่วินทร์จะมาเป็นอาจารย์ ผมแค่โกรธที่พี่วินทร์ไม่ยอมบอกผม ทำไมครับ... กลัวผมเสียใจ?”

“ไม่ใช่” วินทร์เม้มปากอยู่อึดใจ “จริงๆ แล้วฉันอยากรับข้อเสนอนั่นแต่เพราะมันมีตำแหน่งเดียวและฉันก็อยากให้นายได้เหมือนกัน”

“ทำไมถึงอยากให้ผมได้ล่ะครับ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะดึงตัวคนจากสถาบันอื่นมาเป็นอาจารย์ได้ การที่อาจารย์ต้องการพี่วินทร์ถึงขนาดนั้นแสดงให้เห็นแล้วนี่ครับว่าพี่วินทร์มีความสามารถ”

“ฉันไม่ได้อยากเป็นอาจารย์เพราะอยากสอน แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ฉันไม่ต้องกลับไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัด เพราะฉัน...”

“เพราะอะไรครับ”

“ฉันอยากอยู่กับนายที่นี่”

“งั้นพี่วินทร์ต้องรับนะเพราะผมก็อยากให้พี่วินทร์อยู่ที่นี่เหมือนกัน”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ” นรกรหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เขายังไม่เลิกล้มความตั้งใจเดิมแต่จริงอย่างที่อทิฏฐ์ว่าเขายังมีเส้นทางอื่นให้เลือกอีกเยอะ ทางที่เขาจะสร้างและเดินต่อไปด้วยตนเองไม่ต้องตามรอยเท้าใคร “ ‘ตำแหน่ง’ ไม่ได้สำคัญกับผมเลย ถึงไม่ได้เป็นอาจารย์แต่ผมก็ยังเป็นหมอที่นี่ ไม่ได้ไปสอนที่มหา’ลัยก็ต้องช่วยสอนตอนเข้าเคสผ่าตัด แล้วพี่วินทร์ก็ดูรุ่นน้องเราแต่ละคนสิแสบๆ ทั้งนั้น มีคนอยู่ช่วยกันเยอะๆ ดีออก”

“ไม่ใช่ ฉันหมายความว่านายอยากให้ ‘ฉันอยู่กับนาย’ เหรอ”

คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย จะว่าเข้าใจก็ไม่เชิงแต่เขาคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้มากกว่า “พี่วินทร์หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่า...” ร่างสูงเขยิบตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก

“ว่า...” ลมหายใจอุ่นชื้นที่แทรกผ่านอากาศมากระทบลงบนสันจมูกกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนได้ยินราวกับมนต์สะกดให้เคลิบเคลิ้มจนไม่อาจเคลื่อนไหว

“ฉัน...”

“เฮ้ยๆ นั่นนายจะทำอะไรน่ะ!” อทิฏฐ์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นานพยายามเข้ามาแทรก “ถอยออกไปห่างๆ เลยนะ”

แต่ก็ไร้ประโยชน์ วินทร์เขยิบเข้าไปใกล้มากขึ้นทุกทีจนกระทั่งประตูเปิดผัวะเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะดังกระหึ่ม

“นี่นะเว้ยแล้ว...เอ๊ย! อ้าว พวกพี่ทำอะไรกันอยู่ครับ” จิงโจ้เดินเข้ามาเป็นคนแรกก่อนคนอื่นๆ จะตามมา

อทิฏฐ์ถอนหายใจอย่างโล่งอกและถอยกลับไปยืนซ้อนหลังตามเดิน

“เปล่า” นรกรกระซิบอ้อมแอ้มพร้อมทั้งหลบเข้าหลังประตูตู้ล็อกเกอร์ของตนเอง

วินทร์เหลือบมองคนตัวเล็กกว่าที่โดนประตูบังจนมิดทางหางตาก่อนจะถอดเสื้อกาวน์ของตนออกบ้างและตอบหน้าตาเฉย “ขอคืนดีอยู่”

“แล้วผลเป็นไงครับ”

สิ้นคำถามจิงโจ้ก็โดนปาด้วยเสื้อในมือจนหน้าหงายพร้อมกับที่วินทร์ชี้นิ้วประกาศก้อง “วันนี้เลิกเคสแล้วไปกินเหล้ากันเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ส่วนแกไอ้โจ้! คืนนี้แกเตรียมหมอนไปนอนกะหมาข้างถังขยะได้เลย ไม่เมาไม่เลิก!”

การจับมอมเหล้าเป็นการลงโทษตามสไตล์วินทร์ ซึ่งให้เหตุผลว่าไม่มีอะไรน่ากลัวและน่าอ้วกมากไปกว่าการเมาแฮงค์แต่ต้องแหกขี้ตาตื่นมาราวน์ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าอีกแล้ว

“เหยยย ผมทำผิดอะไรทำไมผมต้องโดนคนเดียวด้วยล่ะ”

“เพราะแกมันปากหมาไง” วินทร์แจ้งข้อหา

“สมน้ำหน้า!” อนุวัฒน์ซ้ำ

“พี่ฮาร์ฟ ช่วยพูดอะไรสักอย่างสิครับ”

“อะไรล่ะ” นรกรที่เปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยปิดประตูล็อกเกอร์และหันมาถาม

จิงโจ้ปราดแทรกผ่านวินทร์เข้ามาเกาะแขน “ไปกับพวกผมป่าววว”

“ฮาร์ฟต้อง...”

“เอาสิ” นรกรรับคำ “แล้วแบ่งไปรถผมบ้างก็ได้นะ ไปกันตั้งเจ็ดคนรถพี่วินทร์คันเดียวคงไม่พอ”

“เย้!” จิงโจ้ร้องเสียงดังพร้อมกับชูมือในอากาศประหนึ่งทีมฟุตบอลในดวงใจได้เลื่อนชั้นก่อนที่วินทร์จะทนไม่ไหวต้องเอามือดันหัวออกไปให้พ้นทาง เขาเหลือบมองคนที่ยืนยิ้มขันกับท่าทางโอเวอร์แอคติ้งของรุ่นน้องก่อนเจ้าตัวจะรู้ตัวและหันมาสบตา

“มีอะไรครับ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “กินเหล้าเป็นกับเขาด้วย”

“ไม่เป็นครับ” นรกรกระซิบ “แต่ผมกินกับเก่งแล้วก็แค่อยากให้แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาช่วยออกตรวจ OPD ตอนเช้า เพราะได้ข่าวว่าคราวที่แล้วคนบางคนต้องให้น้องช่วยกันลากกลับมา”

วินทร์หัวเราะในลำคอ “เมาแล้วไง สุดท้ายแล้วฉันเคยทิ้งนายด้วยเหรอ... แล้วก็นะ เรื่องอาจารย์น่ะยังไงฉันก็ไม่รับหรอกเรามาตัดสินกันแบบแฟร์ๆ ดีกว่า”

“ผมก็ไม่คิดจะยกให้ง่ายๆ อยู่แล้ว” นรกรยิ้มให้อีกครั้งและกำลังจะหมุนตัวเข้าประตูห้องผ่าตัดเมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ฮาร์ฟ ใครคือคนที่เจ็ดเหรอ” รุ่นน้องแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่หนึ่งถึงสี่มีแค่สี่คนรวมกับพวกเขาอีกสองคน บวกลบคูณหารยังไงก็ได้แค่หก

เขาเหลือบไปสบตากับอทิฏฐ์ที่ยืนอยู่ข้างกันก่อนจะหันมา “ก็พรายกระซิบของผมที่เคยบอกไงครับ... ล้อเล่นน่า! แค่นับเลขผิดน่ะ ผมไปก่อนนะพี่วินทร์รีบตามมาล่ะ”

oooooo

เมื่อไปถึงที่ร้านทุกคนก็เดินไปนั่งลงตามตำแหน่งที่ตัวเองเคยชิน ถึงจะมีไปสัมมนาหรือกินข้าวควบประชุมกลุ่มด้วยกันบ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ออกมาเที่ยวนอกรอบกับคนอื่นๆ นรกรเหลียวมองซ้ายขวาอยู่อึดใจเมื่อวินทร์เอื้อมมือไปเขยิบเก้าอี้ว่างข้างตัวเลื่อนออก

ร่างโปร่งกำลังจะทรุดตัวลงนั่งแต่จิงโจ้กลับลุกเดินอ้อมโต๊ะมาหาเสียก่อน “พี่วินทร์น่ะชอบยึดพี่ฮาร์ฟไว้คนเดียว”

“อะไรของแกวะ”

“หรือไม่จริงครับ อย่างตอนผ่าเมื่อเย็นก็เห็นกระซิบกระซาบกันสองคนงุ้งงิ้งๆ ไม่เห็นหันมาคุยกับพวกผมบ้างเลย”

“นั่นเขาปรึกษากันเว้ยว่าจะทำยังไง แล้วถ้าพูดน้ำลายแตกฟองแบบแกสมองคนไข้ก็ติดเชื้อหมดน่ะสิ ไอ้บ้า!” วินทร์ยกเท้าขึ้นถีบหยอกๆ ในแบบที่ถ้าโดนก็นับเป็นกำไร

จิงโจ้กระโดดหลบและหันไปรุนหลังพี่ใหญ่อีกคนไปนั่งเก้าอี้ “เชิญทางนี้ดีกว่าครับพี่ฮาร์ฟเจ้าภาพต้องนั่งหัวโต๊ะครับ”

“อ้าว พี่วินทร์ไม่ได้เลี้ยงหรอกเหรอ” นรกรถามยิ้มๆ และเดินไปนั่งตามที่บอกก่อนที่จิงโจ้จะไปนั่งตรงที่ว่างข้างวินทร์เสียเอง

“ใครเลี้ยงก็ไม่สำคัญครับ ผมสนแต่ว่ามื้อนี้ฟรีหรือเปล่า” ว่าแล้วก็จัดแจงหยิบขวดเหล้าขึ้นมาชงแจกจ่ายให้ทุกคนตามประสาคนเป็นน้องเล็กผู้รู้หน้าที่แต่อย่างหนึ่งก็เพื่อกันไม่ให้วินทร์หรือคนอื่นจับเขามอมได้ก่อนต่างหาก

“พอแล้วไอ้โจ้ ฮาร์ฟมันคออ่อน” วินทร์ร้องเมื่อเห็นสัดส่วนของแอลกอฮอล์ที่เทลงไปกว่าค่อนแก้วและยังไม่มีท่าทีจะเติมมิกเซอร์ลงไปผสม

“ไม่เป็นไรพี่กินได้” นรกรรีบบอกพลางรับมาเพราะไม่อยากให้งานกร่อยถ้าเขาเอาแต่นั่งจิบเป๊ปซี่

แต่ยังไม่ทันที่เครื่องดื่มในแก้วจะพร่องไปถึงครึ่งด้วยซ้ำนรกรก็ต้องเท้าแขนลงบนโต๊ะเพื่อช่วยยันปลายคางไม่ให้เซ

“คุณโอเคนะ” อทิฏฐ์ที่วันนี้ติดสอยห้อยตามมาเดินวนเวียนอยู่รอบๆ ชะโงกไปกระซิบถามที่ข้างหู

“ถ้าแค่แก้วสองก็น่าจะพอได้อยู่”

แล้วเวลาก็ล่วงผ่านไปเรื่อยๆ จนเหล้าเริ่มหมดไปหลายขวด แต่ละคนเริ่มคึกคักและเสียงดังมากขึ้น ถึงหลายๆ เรื่องที่ทุกคนคุยกันอย่างฟุตบอลนรกรจะไม่เข้าใจเพราะไม่เคยดูก็อดจะหัวเราะตามและฟังอย่างสนอกสนใจไปด้วยไม่ได้

จนกระทั่งหันมาอีกทีคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ ก็หายไปเสียแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะเงียบๆ เพื่อออกไปตามหา และพบอทิฏฐ์เดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนนหน้าร้าน

“มาทำอะไรตรงนี้”

“เปล่าครับ แค่ไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน”

นรกรเหลือบมองผู้คนที่แน่นขนัดในร้านและเสียงเพลงที่ดังสนั่น แต่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นไม่มีใครสักคนที่จะมองเห็นผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ “งั้นกลับกันเถอะ ผมเองก็เริ่มจะมึนแล้วขืนนั่งต่อคงโดนเจ้าพวกนั้นมอมเข้าจริงๆ”

“ไม่เป็นไรคุณอยู่ต่อเถอะ อุตส่าห์ได้มาเที่ยวกับทุกคนทั้งที”

“แต่...”

“ผมเป็นผีนะอย่าลืมสิ” อทิฏฐ์รีบบอก “แต่พวกเขายังมีชีวิตยังอยู่กับคุณนะ รีบไปใช้เวลาร่วมกับพวกเขาก่อนจะไม่มีโอกาสเหมือนผม”

“งั้นคุณก็ไปนั่งกับผม คอยเตือนผมว่าอย่าดื่มเยอะ ไปสิ” นรกรยื่นคำขาด “มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ”

“แต่ผม...” อทิฏฐ์ยังคงมีท่าทีลังเลเมื่อวินทร์ที่ออกมาตามหานรกรอีกทีเดินมาสมทบ

“ฮาร์ฟ” ร้องทักพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกนึกว่าไปเมาล้มพับอยู่แถวไหน “เป็นยังไงเหม็นควันบุหรี่? แสบตา? หรือว่าเมา? ถ้าไม่ไหวจะกลับก่อนก็ได้นะเดี๋ยวฉันบอกเจ้าพวกนั้นเอง”

นรกรเหลือบมองอทิฏฐ์เป็นเชิงบังคับ “ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะเข้าไป”

ทั้งสามกำลังจะกลับเข้าไปด้านในเมื่อหญิงสาวสวยกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้พวกเธอไปก่อนเมื่อหนึ่งในนั้นหันมาและหยุดฝีเท้าลง

ร่างบอบบางในชุดเดรสสีสันสดใสรองเท้าส้นเข็มสูงสามนิ้ว เรือนผมดำเป็นลอนยาวจนถึงสะโพกรับกับเอวคอดกิ่ว ใบหน้าเล็กเรียวสวยหวานโดยไม่พึ่งเครื่องประดับใดๆ ให้รกเอียงนิดๆ ขนตาที่แพหนาตามธรรมชาติกะพริบถี่ๆ สามสี่ครั้ง

“พี่วินทร์?”

คนถูกทักหันไปตามเสียงเรียก “ฝน”

นรกรมองคนทั้งสองสลับกันไปมา หญิงสาวตรงหน้าดูเป็นไฮโซมาจากตระกูลผู้รากมากดีในขณะที่คนข้างตัวเขาเหมือนหนุ่มบ้านนาเพิ่งเข้ากรุงนั่นยังไม่นับรวมเสื้อผ้าที่เป็นเสื้อยืดคอกลมลายการ์ตูนดีสนีย์กับกางเกงขาสามส่วนและลากรองเท้าแตะหูคีบ “พี่วินทร์รู้จักเธอด้วยเหรอครับ”

“เพื่อนสมัยเด็กน่ะ”

“ไม่เจอกันนานพี่วินทร์สบายดีนะคะ”

“อืม”

“งั้นฝนไปก่อนนะคะ เพื่อนเรียกแล้ว” หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินตามกลุ่มเพื่อนๆ ไป

“เราก็ไปกันเถอะฮาร์ฟ เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นจะโวยวาย”

นรกรพยักหน้ากำลังจะเดินตามหลังร่างสูงเข้าไปเมื่อร่างโปร่งแสงข้างกายยกมือขึ้นกุมศีรษะพร้อมกับทรุดตัวลงนั่ง “เป็นอะไร”

“มีอะไรเหรอฮาร์ฟ”

“เปล่าครับ” นรกรแกล้งทำเป็นเหยียบเชือกรองเท้าให้หลุดและก้มลงผูกใหม่ “พี่วินทร์ไปก่อนเลยเดี๋ยวผมตามไป”

“นายจะตามมาใช่ไหม”

“ครับ” นรกรพยักหน้าและเขาไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังเพื่อคุยกับอทิฏฐ์เพราะตรงนี้ค่อนข้างมืด เขาแกล้งทำเป็นผูกเชือกรองเท้าพลางคุยไปเรื่อยๆ “ทิด คุณเป็นอะไร”

ร่างโปร่งแสงหันมาคว้าตัวเขาไว้ “ฮาร์ฟ ผมเห็นอีกแล้ว” แต่ไม่ได้ตื่นตระหนกเหมือนครั้งที่แล้ว กลับกันแววตานั่นดูเป็นประกายกล้าด้วยความดีใจ “บางทีผมอาจจะยังไม่ตาย”

“แล้วคุณอยู่ไหน” นรกรเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“เดี๋ยวนะ ขอผมนึกก่อน” อทิฏฐ์พยายามตั้งสติและถ่ายทอดสิ่งที่เห็นเป็นฉากๆ ราวกับภาพถ่ายบนแผ่นฟิล์มออกมาเป็นคำพูด

ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับเหยียดยาวอยู่บนเตียงสีขาว ในปากคาบท่ออะไรสักอย่างต่อกับเครื่องจักรที่ตั้งอยู่หัวเตียงส่งเสียงฟืดฟาดตามจังหวะการหายใจ ร่างกายเต็มไปสายต่อระโยงระยางออกมาจากแขนและขา มีเงาคนเดินไปเดินมาด้วยความร้อนรนอยู่รอบๆ เตียง ชายในชุดกาวน์ยาวสีขาวพูดอะไรสักอย่างกับผู้หญิงที่เสื้อซาฟารีสีม่วงก่อนที่เธอจะพยักหน้าเร็วๆ แล้วรีบวิ่งออกไป   

“ผมนอนอยู่บนเตียง... มีสายน้ำเกลือต่อออกมาจากตัวผมเต็มไปหมด ผมพยายามพูดแต่พูดไม่ได้ แล้วก็เสื้อกาวน์... หมอ... ใช่แล้วมีหมอกับผู้หญิง... ผมไม่แน่ใจ เธอไม่ได้ใส่ชุดพยาบาล ไม่มีหมวกแต่เป็นเสื้อสีม่วงกับกางเกงสีขาว ”

นรกรแทบกลั้นหายใจ “แล้วไงอีกเห็นอะไรอีก”

“แล้วก็... เลข 4”

“ตรงไหน คุณเห็นตรงไหน”

อทิฏฐ์หลับตาเพื่อให้ภาพนั้นชัดเจนขึ้น “หัวเตียง... ใช่แล้ว! ผมนอนเตียงหมายเลขสี่”

“ไปกัน” นรกรโพล่งขึ้นพร้อมกับออกเดินไปที่รถ

“ไปไหน” อทิฏฐ์ถามเมื่อตามมาทันที่ข้างรถ

“ไอซียู” เขาสตาร์ทรถและขับออกไป

“คุณรู้ได้ไง แค่ใส่ท่อช่วยหายใจไม่จำเป็นต้องนอนไอซียูก็ได้นี่”

“เพราะพยาบาลแต่ละแผนกแต่งตัวไม่เหมือนกัน” นรกรอธิบาย “แบ่งตามลักษณะงานและพื้นที่ปลอดเชื้อ ซึ่งที่คุณพูดมามันตรงกับลักษณะชุดไอซียู โรงพยาบาลนี้มีทั้งหมด 7 ไอซียู 2 ที่เป็นของเด็กกับทารกแรกเกิด เพราะฉะนั้นเหลืออีกแค่ 5 ที่ และเราจะไปพิสูจน์กัน”

นรกรกดเท้าเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นอีกเพื่อให้ทันกับความรีบร้อนในหัวใจ เขาไม่ใช้วิธีโทรไปถามแต่ละที่เพราะการไปเห็นกับตาตัวเองย่อมดีกว่า และโรงพยาบาลมีกฏชัดเจนว่าไม่ตอบอาการทางโทรศัพท์ถึงเขาจะเป็นหมอแต่ก็ไม่ใช่คนไข้ในความดูแลการไปให้เห็นตัวจึงนับเป็นการให้เกียรติคนตอบและเคารพสิทธิ์คนไข้



(ต่ออีกนิดค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-02-2016 02:01:32
บทที่ 5 (ต่อ)


หลังจากฝ่าการจราจรบนท้องถนนมาได้ รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคก็เลี้ยวผ่านประตูโรงพยาบาล

“แต่ผมไม่เข้าใจน่ะฮาร์ฟ” อทิฏฐ์ถามขณะก้าวเร็วๆ ไปด้วยกันตามทางเดิน “ถ้าผมยังไม่ตายแล้ววิญญาณผมมาอยู่ที่นี่ได้ยัง”

“คุณอาจจะอยู่ในสภาวะโคม่า” นรกรอธิบาย “ครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนอย่างที่ลลินเล่าให้ฟังไง”

“จริงด้วย”

“นี่ทิด ในเมื่อตอนนี้เรื่องมันเปลี่ยนไปแล้ว คุณมีทางเลือก ถ้าคุณเจอตัวเอง ถ้าคุณจำได้ว่าคุณเป็นใคร คุณจะตัดสินใจยังไง”

“ไม่รู้สิ” อทิฏฐ์สารภาพตามตรง “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองตายไปแล้วแต่กลายเป็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมก็อยากกลับไปนะแต่ถ้ากลับไปแล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้นล่ะ ถ้ามันต้องทรมานสู้ให้ผมไปตายไปจริงๆ ดีกว่าไหม... คือเอาจริงๆ นะ ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าจะเป็นยังไงก็ได้ขอแค่ให้อยู่กับคุณต่อไปเรื่อยๆ”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่คำตอบนะ แต่เอาเถอะ ไว้ค่อยคิดทีหลังก็ได้”

ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูไอซียูแห่งแรก พวกเขาหันมาสบตากันอีกครั้ง “คุณพร้อมจะเจอตัวเองหรือยัง”

อทิฏฐ์พยักหน้า “ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะ”

นรกรผลักบานประตูเข้าไป

“คุณเป็นใครคะ” หนึ่งในพยาบาลสาวที่เคาน์เตอร์ร้องถามคนแปลกหน้าที่โผล่พรวดพราดเข้ามาในยามวิกาล

“ผมเป็นหมอครับ” นรกรรีบรายงานตัว “พอดีเพิ่งกลับมาจากธุระขอเยี่ยมคนไข้เตียงสี่หน่อยนะครับ”

พยาบาลสาวหันมองหน้ากัน “คุณหมอจำเตียงผิดหรือเปล่าคะ”

“ไม่น่าจะผิดนะครับ ทำไมเหรอ”

“เตียงสี่ไม่มีคนไข้มาสักพักแล้วค่ะ”

นรกรเหลียวมองไปยังห้องหมายเลขสี่ที่ว่างเปล่า และปิดไฟมืดสนิท “ผมคงมาผิดไอซียู ขอบคุณมากครับ”

ทั้งสองกลับออกมาวิ่งเหยาะๆ บนทางเดินอีกครั้งเพื่อไปยังเป้าหมายถัดไป แต่ที่นั่นก็ไม่มีใครนอนอยู่เหมือนกันและเป็นเช่นนี้ทั้งสี่ไอซียู

“เตียงสี่ว่างทุกที่เลย” อทิฏฐ์รำพัน

“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” นรกรกระซิบ “ทีนี้เราก็เหลือแค่ตัวเลือกเดียวคุณจะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจไงว่าจะเข้าร่างไหนดี”

ฉับพลันภาพตัวอักษรโลหะสีเงินบนฝาผนังลอยขึ้นมาในหัว อทิฏฐ์หลับตาลงเพื่อให้ภาพนั้นชัดเจนขึ้นและเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ราวกับภาพนั้นหลุดออกมาจากห้วงความคิด และตอนนี้พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าไอซียูศัลยกรรม

“ใช่แล้วคุณ ที่นี่แหละ”

“อืม” นรกรค่อยผลักบานประตูเข้าไป หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้เจ้าของร่าง

บรรยากาศด้านในค่อนข้างวุ่นวายมากกว่าปกติ นางพยาบาลและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เดินสวนกันขวักไขว่ “ท่าทางจะมีคนไข้อาการหนักมา”

สิ้นคำเจ้าหน้าที่สองนายก็เดินตามหลังเข้ามาและเข็นเปลเปล่าตรงไปยังห้องหมายเลขสี่

“คุณ นั่น!” อทิฏฐ์ร้องเสียงดังเมื่อเห็นพยาบาลช่วยกันยกร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงวางลงบนเปลนอนก่อนจะคลุมผ้าให้เรียบร้อย “เขาจะพาผมไปไหน”

นรกรรีบเดินเข้าไปหา “เกิดอะไรขึ้นครับ”

“อ้าวหมอฮาร์ฟ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ คะ”

เพราะเป็นไอซียูที่รับผู้ป่วยหลังผ่าตัดเป็นหลักเจ้าหน้าที่ที่นี่จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเขาเพราะส่งคนไข้ผ่าตัดสมองมาฝากนอนบ่อยๆ นึกแปลกใจตัวเองไม่น้อยเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่รู้จักเคสเตียงสี่เลยสักนิด

“ผมมาเยี่ยมคนไข้เตียงสี่น่ะครับ”

“หมอฮาร์ฟเป็นอะไรกับคนไข้คะ”

“พอดีเพื่อนฝากมาดูเคสน่ะครับ”

“เสียใจด้วยนะคะคุณหมอ” พยาบาลสาวบอก “คนไข้เสียชีวิตเมื่อสักครู่นี่เอง เราเพิ่งจัดการศพเสร็จกำลังจะส่งไปห้องฝากศพรอญาติมารับค่ะ”

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ เขาเหลือบตามองอทิฏฐ์ที่หน้าซีดลงได้อีกเมื่อความหวังที่เริ่มจุดติดขึ้นมาเพียงน้อยนิดดับสลายลงในพริบตา

“ขอผมดูเขาหน่อยได้ไหมครับ”

“เชิญค่ะคุณหมอ”

“ขอบคุณมากครับ” นรกรเดินไปเข้าไปในห้องเพื่อดูร่างบนเปลให้ชัด ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดนอนสงบนิ่งบนเตียง ฝ่ามือแห้งเหี่ยววางประสานไว้บนอกที่ไหวติง เขาค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพก่อนจะกลับออกมา “อทิฏฐ์ ผมเสียใจด้วยนะ” นรกรกระซิบเสียงแผ่วเมื่อเจ้าหน้าที่เปลเข็นร่างไร้วิญญาณนั้นผ่านหน้าไป

“ไม่เป็นไร... ผมทำใจไว้แล้ว”

“นั่นไม่ใช่คุณ”

อทิฏฐ์เงยหน้าขึ้นและหันมามองอย่างไม่เชื่อหู “ไม่ใช่ผม”

“ไม่ใช่แน่ๆ” นรกรยืนยัน “ถึงเขาจะเป็นคุณลุงสูงอายุแต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่คล้ายคุณเลยสักนิด แล้วก็...” พยักเพยิดไปที่หน้าประตู “เจ้าตัวยืนอยู่นั่นไง”

อทิฏฐ์หันไปดู ชายชราร่างผอมสูงในชุดสุดท้ายที่สวมใส่ยืนกุมมือราวกับเป็นไว้อาลัยให้ตัวเองก่อนออกเดินตามหลังเจ้าหน้าที่เข็นเปลเข้าไปในลิฟต์

“ถ้าผมยังไม่ตาย แล้วผมอยู่ที่ไหนล่ะ ก็เตียงหมายเลขสี่ในโรงพยาบาลนี้ไม่มีแล้วนี่ ตอนนี้ร่างผมอยู่ที่ไหนกัน”

“ผมไม่รู้ แต่ถ้าคุณอยากรู้ผมจะหาคำตอบให้คุณให้ได้” นรกรให้คำมั่น “ไม่มีทางที่คุณจะไม่เคยมีตัวตน สสารไม่เคยสูญหายไปจากโลกแค่เปลี่ยนสถานะและที่อยู่เท่านั้น บางทีตอนนี้คุณอาจถูกย้ายเตียงหรืออาจอาการดีขึ้นจนย้ายไปนอนห้องสามัญ... ภาพนั้นมันเป็นปัจจุบันแค่ไหน แน่ใจจริงๆ นะว่าคุณยังไม่ตาย”

“แน่ใจครับ ผมยังไม่ตายและเธอเพิ่งมาเยี่ยมผม” เขาก้มลงมองมือตัวเองที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอุ่นวาบที่ฉาบขึ้นชั่วครู่ และนั่นก็เป็นเหมือนประกายไฟเล็กๆ แห่งความหวังที่ทำให้เขาอยากจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง “ผู้หญิงคนนั้น”

“หมายความว่าไง”

อทิฏฐ์เงยหน้าขึ้นสบตานรกรอยู่อึดใจก่อนจะพูดออกมา “ขอโทษนะที่บอกช้า ผมแค่ไม่อยากให้คุณอึดอัด... ผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนของพี่วินทร์ที่เราเจอที่ร้านเมื่อกี้ ดูเหมือนว่าเราจะเป็นแฟนกันหรืออย่างน้อยผมก็รักเธอ”

เขาหลับตาลง ภาพความทรงจำไหลคืนมาดั่งสายน้ำตกที่พร่างพรู

ใบหน้าจิ้มลิ้มกับรอยยิ้มหวานที่หักแบ่งไอศกรีมแท่งส่งให้เขาครึ่งหนึ่ง เด็กสาวตัวเล็กผูกผมเปียที่ซ้อนท้ายจักรยานคันเก่าของแม่เกาะบ่าเขาไปโรงเรียน หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่กระโลดเต้นไปรอบๆ ห้องด้วยความดีใจจนกระโปรงอีดพลีทเปิดและเขาต้องโยนเสื้อคลุมส่งให้แก้เขิน และสาวสวยซึ่งสวมชุดครุยยาวที่โผเข้ามากอดเขาเต็มแรงจนแทบหงายหลังล้มลงบนพื้นหญ้า

‘สุดยอดเลยคนเก่งของพี่ คว้าเกียรติยมอันดับหนึ่งมาจนได้’

รอยยิ้มของเธอยังคงตราตรึงในหัวใจ เช่นเดียวกับเสียงหวานที่ยังกังวานอยู่ในหู

‘ขอบคุณนะคะ’

ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาหลงรักจนหมดใจ
 
“และผมก็นึกชื่อเธอออกแล้วด้วย เธอชื่อ...”

“เพียงพิรุณ” นรกรกระซิบเสียงแผ่ว

“คุณรู้ได้ยังไง”

เหมือนโดนตบหน้าซ้ายขวาด้วยแท่งน้ำแข็งเย็นจัดพร้อมกัน ทำไมเขาจะไม่รู้จักเธอ ทำไมถึงจะลืมเธอไปได้ “เธอคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของพี่ปอ”

 อทิฏฐ์เองก็นิ่งขึงไปทันที ไม่ใช่แค่คนที่เคยรักไปเป็นคนรักของคนอื่นแต่คนอื่นที่ว่าคืออดีตแฟนของคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง “คุณไม่จำเป็นต้องไปพบเธอเพื่อผม”
   
“ไม่ใช่แค่เพื่อคุณหรอก” นรกรหยุดยืนทบทวนหัวใจตัวเองอยู่อึดใจพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้าทึบทึมแทบมองไม่เห็นแสงสีนวลบนฟากฟ้า ขนาดไม่คิดจะร้องขอพระจันทร์ยังไม่ยอมเยี่ยมหน้าออกมาให้เห็น “เพราะผมก็อยากจะมั่นใจว่าจะผ่านอดีตนั้นไปได้” ถึงน้ำเสียงจะแหบพร่าแต่ก็หนักแน่นด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่

“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

ฝ่ามือหนึ่งวางทาบลงบนหลังมือ เขาละสายตาจากท้องฟ้าพร้อมๆ กับที่สายลมพัดมาผะแผ่วทำให้กลุ่มเมฆเคลื่อนตัวออกจากกัน แสงจันทร์สีนวลส่องกระทบเสี้ยวหน้าของร่างโปร่งแสงเห็นรอยยิ้มจางที่ลากขึ้นบนเรียวปากและโดยไม่รู้ตัวริมฝีปากก็ค่อยคลี่ออกตามคนตรงหน้า

ถ้าพระจันทร์ใจดีอยากจะอวยพรขอแค่เพียงส่งยิ้มให้กันบ้างก็พอ เพราะสำหรับกำลังใจและความเข้มแข็งตอนนี้เขาคิดว่าได้รับมันมามากพอแล้ว

********************************************TBC**********************************************

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 20-02-2016 07:12:57
ติดเรื่องนี้อีกเรื่องแล้ววว  :mew1:

ความสัมพันธ์ของตัวละครซับซ้อนมากเลย อ่านแล้วสนุกค่ะติดมากอีกเรื่องนึงเลย

หรือเพียงพิรุณจะวางยาอทิฏฐ์ แต่ก็บอกว่าเป็นคนกลืนยานั่นเอง
จากเหตุการณ์ที่อทิฏฐ์เล่ามา ผญคนนี้ไม่ธรรมดาซแน่ๆ

ปม ปม ปมเต็มไปหมดเลยยยย :z2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-02-2016 09:25:00
จุดร่วมอยู่ที่เพียงพิรุณสินะ
ว่าแต่เพียงพิรุณนี่ใช่คนเดียวกับเด็กผู้หญิงที่เคยรวมหัวกับเพื่อนๆในห้องแกล้งฮาล์ฟตอนเด็กๆรึเปล่า
รอตอนต่อไปค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียน  :L1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 20-02-2016 10:21:40
ชอบมากเลยค่ะ นรกรเท่มากตอนไฟท์กับคุณป๋า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 20-02-2016 10:34:30
 :pig4:สนุกมากคะ  รอลุ้นต่อคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 20-02-2016 10:35:20
 :L2: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-02-2016 13:06:29
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 20-02-2016 13:25:01
เรื่องนี้สนุกมากกกกกกเลยค่ะ
เสียดายที่พึ่งเห็น
มีปมให้คิด มีอะไรให้คิดดี
รอตอนต่อไปนะคะ
รอติดตามค่ะ
สู้ๆนะคะคนเขียน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 20-02-2016 13:32:33
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 21-02-2016 07:21:56
 :call: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: rasblurry ที่ 21-02-2016 15:46:46
สนุกมากเลยค่ะะ เรื่องราวหักมุมไปมาได้ทุกตอนเลย
ตอนแรกเราก็เชื่อว่าอธิฎฐ์ยังไงก็ไม่น่าจะตายแล้ว
แล้วความคิดก็พังลงครืนเลย
ตอนที่ภาพย้อนไปเหมือนทิดจะกินยาฆ่าตัวตาย
แล้วก็กลับมามีความหวังอีกรอบตอนเจอเพียงพิรุณ

ตกใจที่ตัวละครเชื่อมโยงกันได้ขนาดนี้
เดาไม่ออกเลยว่าเรื่องจะดำเนินไปทางไหนต่อ
รู้แต่ตกหลุมรักหมอฮาล์ฟ อธิฎฐ์ แล้วก็พี่วินทร์มากๆ
ชอบอธิฎฐ์ แต่พี่วินทร์ก็เริ่มจะมาสั่นคลอนเราให้หวั่นไหวมากๆแล้วค่ะ 5555 มาต่อเร็วๆนะคะ ไม่อยากเดาแล้ว 55
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 21-02-2016 16:04:46
สนุกทุกตอนเลยค่ะ อ่านไปลุ้นไปจะเกิดอะไรขึ้น
หมอฮาร์ฟน่ารักก เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 21-02-2016 17:34:22
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกค่ะ ตอนแรกก็เข้ามาตามที่มีคนแนะนำในกระทู้แนะนำ (ต้องขอบคุณมากๆเลยค่ะ)
แล้วก็อ่านยิงยาวถึงตีสามเลย เรียกว่าบรรยากาศตอนนั้นหลอนแทบนอนไม่หลับเลยค่ะ ทั้งๆที่ทิดก็ไม่ได้น่ากลัวนะ
แต่แบบ ผีอ่ะผี! T _______ T ยังไงก็กลัวอยู่ดี (ฮา) แต่ก็อ่านจนจบนะคะ
ที่บอกว่าชอบคือชอบหลายอย่างมากกก ทั้งคาแรคเตอร์ของฮาร์ฟ ทั้งตัวทิดเอง น่ารักสุดๆเลยค่ะ!
ไม่อยากให้พี่วินทร์ได้ใจฮาร์ฟไปเลยอ่า นี่ชูป้ายไฟข้างทิดเต็มที่เลยนะ! เราว่าคนที่จะอยู่กับเราได้คือคนที่เรากล้าเปิดเผยทุกอย่างแบบ
ความเป็นตัวตนของเราจริงๆน่ะค่ะ ถ้าอยู่กับใครแล้วต้องคิด ต้องประดิษฐ์ อะไรแบบนี้ เราว่าไม่เหมาะกันหรอก! xP 5555555

อีกเรื่องนึงที่ชอบคือข้อมูลวงการแพทย์เป๊ะมากกกก จนต้องหันกลับไปดูชื่อผู้แต่ง เลยเก็ทว่า อ๋อ ที่แท้ก็คุณ leGGyDan นี่เอง
เจ้าเดิมจากเรื่อง ER นาทีหัวใจ /อยากบอกว่าตอนพิเศษวาเลนไทน์นี่ทำเอาคนโสดอย่างน้องตาร้อนผ่าวๆเลย ; ////// ;
ถึงว่า ทำไมข้อมูลเป๊ะเว่อร์ 555555555

ที่น่าสงสารพี่ฮาร์ฟก็เรื่องคุณพ่อคุณแม่นี่แหละ โหดมากกกกกก ไม่รู้ว่าจะคาดหวังกับลูกไปถึงไหน สงสารสุดๆ
เราก็มีเพื่อนที่โดนพ่อแม่กดดันเหมือนกันนะคะ แต่ก็ไม่มากขนาดนี้ ที่บอกว่า "แล้วที่ 1 ไม่ใช่คนหรอ" นี่จึ้กสุดๆแบบ เฮ้ย
ถ้าเป็นพ่อแม่ปกติเค้าต้องพาไปเลี้ยงฉลองแล้วไหมอ่ะ ลูกได้ที่ 1 ของห้อง ที่ 2 ของสายชั้นนะเว้ย! บ้าบอมากกกกกกกกก
อยากเป็นกำลังใจให้กับพี่ฮาร์ฟสุดๆ เรื่องน้องลลินนี่ชอบมากค่ะ! ต้องไฟท์แบบนี้แหละ ถ้าคนไข้มีชีวิตอยู่ต่อไปแต่ไม่มีเป้าหมายไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน แล้วคนไข้จะยังเป็นคนอยู่ไหมอ่ะ ? อยากเห็นคนไข้ไม่ตายแต่ไม่มีหัวใจหรอคะ! /ยกธงข้างพี่ฮาร์ฟสุดฤทธิ์

ยังไงจะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
สงสารพี่ฮาร์ฟไปอีกถ้าคู่กับทิดจริงๆ พี่ปอก็ไปแต่งงานกับเพียงพิรุณ ทิดก็เคยเป็นแฟนเก่า โอย เอาเข้าไป =_____=
ทำไมชีวิตต้องมาพัวพันกับผู้หญิงคนนี้ด้วย สงสารมาก T ____ T
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ มาต่อตอนใหม่ไวๆน้า เค้าจะรออ่านค่า :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 21-02-2016 22:29:37
อ่านแล้ว..หน่วงหน่วง หลอนหลอน
สงสารพี่วินทร์อ่ะเป็นพระรองแน่เลย

 :katai1:  :katai1:  :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: pim_onelove ที่ 21-02-2016 22:39:27
แววพระรองของพี่วินทร์เด่นชัดมากอ่ะ สงสารง่าทำไงดี
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 21-02-2016 23:41:09
ทิดอยู่ที่ไหนน๊อ  :ling1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-02-2016 13:52:09
ขอบคุณค่ะ สนุกมากกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 22-02-2016 17:09:30
อ่านห้าตอนรวดจบต้องถอนหายใจออกมายาวๆ
มีปมเยอะ แต่แต่งเก่งมากที่ทำให้ชวนติดตามในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดที่จะค่อยๆ ไล่ตามเนื้อเรื่องเพื่อคลายทีละปม
ยอดเยี่ยมครับ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 22-02-2016 18:19:03
 :L2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 22-02-2016 21:12:04
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน!!

เนื้อหาเยี่ยมยอดมาก น่าติดตาม ไม่เยอะไม่น้อยเกินไป เรารอติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-02-2016 15:32:28
อู้หู!
สนุก!

หมอช่วยวิญญาณ วิญญาณรักษาใจหมอ

ใจแลกใจเนอะ

ลุ้นต่อไปกับความสีมพันธ์ที่ดูจะยุ่งอีรุงตุงนังกับหมอเหล่าหมอ ๆ คนไข้ วิญญาณ และคนรอบตัวนี้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 23-02-2016 19:46:31
เข้ามาให้กำลังใจจ้า :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 23-02-2016 20:17:40
สุดยอดค่ะ อ่านแล้วน้ำตาร่วง อินกับความรู้สึกของหมอกับคนไข้มากค่ะ
และลุ้นไปกับเรื่องของ ทิด ด้วย เขียนดีมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 23-02-2016 23:57:26
เหยทุกคนกลายเป็นเชื้อมโยงกันหมดเลย
น่าติดตามๆรอนะคะขอให้หาทิดเจอ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 25-02-2016 02:21:09
สนุกมากๆค่ะ แอดfav. ไว้ซักพักแล้วเพิ่งได้โอกาสเข้ามาอ่าน รวดเดียวเลยค่ะ สนุกจนวางไม่ลงจริงๆ

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 25-02-2016 07:27:07
ถ้าว่างอย่าลืมอัฟหน่อยคะ :pig4: :mew1: :mew1: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 27-02-2016 02:20:18
บทที่ 6 When the ‘Rain' comes

เพราะว่าอยากคุยกับวินทร์ตามลำพังนรกรจึงพยายามโอ้เอ้รออยู่ที่ห้องพักแพทย์จนกระทั่งคนอื่นๆ ที่มาทีหลังเก็บข้าวของเสร็จและทยอยกันออกไปเพื่อออกตรวจตอนเช้า

“ทำไมวันที่อยากเจอถึงมาช้าจัง” อทิฏฐ์บ่นพลางเดินวนไปรอบๆ ห้องในขณะที่นรกรแกล้งทำเป็นนั่งหาข้อมูลในหนังสือทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พลิกผ่านไปสักหน้า

ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปจนเกือบเก้าโมงตรงร่างสูงในชุดกาวน์สั้นเดินเกาศีรษะพลางหาวปากกว้างเดินตาปรือเข้ามา

“สวัสดีค...”

นรกรยังพูดไม่ทันจบประโยควินทร์ก็สวนขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อคืนหายไปไหนมา”

“ผมแค่นึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน” นรกรเสียงอ่อยทันที เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “ขอโทษนะครับ”

“วันหลังโทรบอกด้วยนะ ฉันจะได้ไม่ต้องหลงเป็นห่วงว่านายช็อกที่เจอหน้าแฟนปอ”

โชคดีที่วินทร์เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน นรกรจึงได้โอกาสถามต่อ “พี่วินทร์รู้จักคุณฝนมานานแล้วเหรอครับ”

“ตอนเด็กบ้านเราอยู่ใกล้กันน่ะไปกลับโรงเรียนด้วยกันตลอด สนิทกันเหมือนพี่น้อง... ถามทำไมเหรอ”

“ผมก็แค่ถาม”

“ถามฉันไปก็ไม่ประโยชน์หรอก เราไม่เจอกันมาแปดปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่เธอแต่งงาน” วินทร์ว่า “แปลกนะทั้งที่ปอก็ทำงานที่นี่ตลอดแต่ฉันเพิ่งได้เห็นหน้าเธอเมื่อคืนนี่เอง”

“เห็นว่าเธอไปเรียนต่อปริญญาโทกับเอกที่เมืองนอกเพิ่งกลับมาน่ะครับ”

“โอ๊ะ!” วินทร์ร้องในขณะที่อทิฏฐ์เองก็แปลกใจไม่แพ้กัน “ดูท่านายจะรู้เรื่องเธอดีกว่าฉันอีกนะ”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย “ผมขอถามตรงๆ นะครับพี่วินทร์ชอบเธอเหรอ”

“เปล่า เราเป็นแค่พี่น้องกัน”

“แล้วทำไมพี่วินทร์ต้องหงุดหงิดใส่ผมด้วย” นับตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดกันไม่มีจังหวะไหนที่ไม่กระแทกเสียงหรือประชดใส่

“ก็ต้องหงุดหงิดสิ” วินทร์พูดเสียงดังขึ้นอีก ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวแล้วก็ไม่คิดจะเก็บอาการอีกต่อไป “เพราะฉันสงสัยว่าทำไมนายต้องไปสนใจภรรยาของแฟนเก่า หรือว่าวางแผนอะไรไว้”

“ผมแค่ถามเพราะแปลกใจที่รู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกัน”

“แล้วทำไมฉันต้องเล่าให้ฟัง! นายไม่เคยรู้ตัวเลยใช่ไหมฮาร์ฟว่าตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาสภาพนายเป็นยังไง นายทำหน้าจะเป็นจะตายแค่ไหนเวลาได้ยินใครพูดชื่อปอหรือเพียงแค่เขาเดินผ่าน งั้นหลังๆ มานี่ที่ฉันเห็นว่านายเปลี่ยนไป พูดมากขึ้น ดูสดใสมากขึ้นและเปิดใจมากขึ้นเพราะคิดว่านายตัดใจจากปอได้แล้วแสดงว่าฉันคิดผิดสินะ”

“ผมกับพี่ปอไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากรุ่นพี่รุ่นน้อง”

“จริงเหรอ” มีท่าทีคล้ายจะเยาะอยู่ในน้ำเสียง วินทร์พ่นลมออกจมูกพร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก “เท่าที่ฉันรู้ คนที่คุยกับแฟนเก่าได้มีแค่สองประเภท คือไม่เคยรักกับไม่เคยลืม” เว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อสบตาคนตรงหน้า

นรกรไม่หลบสายตาที่ราวกับจะมองทะลุ ในเมื่อเขาไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง

“และฉันก็ไม่คิดว่านายเป็นแบบแรก” วินทร์ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะย่ำเท้าหนักๆ เดินออกไป

“อะไรของพี่วินทร์เนี่ย อยู่ๆ ก็มาหาเรื่องกัน” นรกรบ่น

“ผมว่าผมเข้าใจเขานะ” อทิฏฐ์ที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ กระซิบขึ้น

“อยู่ด้วยกันแท้ๆ เข้าข้างกันหน่อยก็ไม่ได้”

“ก็มันจริงนี่ พูดให้ฟังใครเขาจะเชื่อล่ะคุณ... วัวเคยค้าม้าเคยขี่ เฮ้ย! คือ... ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เชื่อใจคุณแบบนั้นนะ” อทิฏฐ์รีบพูดเมื่อนรกรมองตาเขียวปัด “แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลา เอางี้! ต่อให้คุณไม่คิด คุณรู้ได้ไงว่าพี่ปอไม่คิด พวกคุณก็เพิ่งปรับความเข้าใจกันได้ไม่ใช่เหรอของแบบนี้มันต้องดูกันยาวๆ”

“แต่คุณเชื่อผมใช่ไหม”

“ตราบที่คุณยังยืนยันคำพูดตัวเอง ผมเชื่อคุณ”

เพราะมัวแต่คุยกับวินทร์ นรกรจึงมาถึงห้องตรวจผู้ป่วยนอกเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่จะเข้าไปก็สังเกตเห็นว่าน้องๆ แพทย์ประจำบ้านกำลังยืนล้อมวงกันอยู่หน้าเคาน์เตอร์มุงดูแฟ้มผู้ป่วยเล่มหนึ่งด้วยสีหน้าอึดอัดใจจึงเดินเข้าไปสอบถาม

“มีอะไรเหรอ”

ทุกคนมีสีหน้าโล่งอกขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขา

“คนไข้ของอาจารย์สรวิชญ์น่ะครับ” พัฒนพงศ์รีบรายงานเพื่อขอความช่วยเหลือ “วันนี้อาจารย์มีสอนข้างนอกคงอีกนานกว่าจะเข้ามา อาจารย์คนอื่นๆ ก็ด้วยเหลือแต่พวกเราเลยกำลังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดีครับ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ คนไข้พิเศษของพ่อของเขาล้วนแล้วมีแต่ระดับ VIP ดาราหรือพวกกระเป๋าหนักเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่าการตรวจหรือให้การดูแลจะต้องถูกคาดหวังและมีความกดดันมากเป็นพิเศษไปด้วยถึงแม้จะไม่ใช่โรคที่ยากหรือซับซ้อนเลยก็ตาม “แล้วแจ้งให้คนไข้ทราบหรือยัง”

“แจ้งแล้วครับ” สิทธิชัยบอก “เขาบอกว่าให้ใครตรวจก็ได้ ทีแรกเราไปหาพี่วินทร์แต่พี่วินทร์ยืนยันคำเดียวว่าไม่”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน นึกหงุดหงิดคนที่โกรธเขาแล้วพาลไม่ช่วยน้องๆ “งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยดูเอง”

อนุวัฒน์รีบส่งแฟ้มผู้ป่วยให้ด้วยสีหน้าดีใจเป็นล้นพ้นเพราะพวกเขาเพิ่งตัดสินกันด้วยวิธีการโอน้อยออกและเขาก็เป็นผู้โชคดีได้รับสิทธิ์นั้น “คนไข้รออยู่ที่ห้องตรวจหนึ่งนะครับ ขอบคุณพี่ฮาร์ฟมากครับ”

แล้วทุกคนก็รีบแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน นรกรก้มหน้าลงมองแฟ้มในมือพร้อมๆ กับที่ร่างโปร่งแสงข้างกายร้อง “เฮ้ย!” เสียงดังเมื่อคนไข้คนนั้นคือผู้ที่ทั้งสองมีคดีติดตัวและไม่อยากเจอมากที่สุด

นายองค์อินทร์ สถิตย์เทพ

“เกลียดอะไร ก็คงจะได้อย่างงั้น~” อทิฏฐ์แกล้งร้องเป็นเพลง “ผมยืนรอหน้าห้องนะ คุณจะได้ค่อยๆ ตรวจคนไข้”

“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้กาลเทศะเอาตอนนี้เลย” นรกรกระซิบลอดไรฟัน “ตามมา”

อทิฏฐ์ย่นปากพร้อมกับกรอกตามองจิ้งจกบนฝ้าเพดาน “คร้าบบบ”

นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อตั้งสติอีกครั้งก่อนจะผลักประตูเข้าไป ภาพที่เขาคิดว่าจะได้เจอคือชายสูงวัยมีรอยสักเต็มตัวในชุดขาวใส่สร้อยลูกประคำรุงรังนั่งผึ่งบนโซฟามีลูกศิษย์อย่างน้อยๆ ก็สองถึงสามคนนั่งบีบนวดอยู่แทบเท้า แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็นชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวปกปิดรอยสักนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ตัวเล็กของโรงพยาบาล ผมสีดอกเลาถูกมัดเรียบร้อยไว้ที่หลังท้ายทอย ไม่มีสร้อยลูกประคำ ไม่มีควันธูป ไม่มีลูกศิษย์ลูกหาวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง แค่ชายคนหนึ่งที่เจ็บป่วยและมาหาหมอเพียงลำพัง

เขารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยพลางยกมือไหว้และเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ “สวัสดีครับ”

“ว่าไง” อาจารย์องค์อินทร์ทัก “ไม่เจอกันนานนะ”

“โอ๊ะ! จำได้ด้วย” อทิฏฐ์ว่า
   
“เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม”

“เรื่องของผมเอาไว้ก่อนแล้วมาฟังเรื่องของคุณดีกว่าครับ” นรกรเริ่มเปิดแฟ้ม จากการอ่านคร่าวๆ เขาเป็นคนไข้โรคเส้นเลือดในสมองแตกที่พบได้ทั่วๆ ไปในผู้สูงอายุไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร ผ่าตัดเรียบร้อยตั้งแต่สองเดือนที่แล้วแค่มาตรวจตามนัดและรับยา “ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีอาการผิดปกติอะไรบ้างครับ”

“ไม่มีเลย อย่างที่หมอเห็นผมแข็งแรงดี” เหมือนคนไข้เองก็นึกขึ้นได้ อาจารย์องค์อินทร์จึงเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานเสียใหม่ “เออนี่ ผมถามอะไรหน่อยสิหมอ”

“ครับ”

“โรคที่ผมเป็นถือว่าหนักและร้ายแรงมากไหม เอาตามความเห็นหมอเลยนะ ตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขี้ปะติ๋วมากเลยล่ะลุงถ้าเทียบกับเด็กสู้ชีวิตบางคน” อทิฏฐ์ป้องปากนินทาอยู่ข้างหลัง และเขาคิดว่านรกรคงจะนึกรำคาญเหมือนกันหากคุณหมอหนุ่มกลับตอบคำถามด้วยอาการสงบนิ่ง

“ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณมองมันยังไงครับ” นรกรเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูฟิล์มเอกซเรย์สมองและผลเลือดเช้าวันนี้ “ถ้าคุณมองมันว่าหนักก็หนักครับ แต่ไม่ว่าคุณจะมองมันว่าหนักหรือเบา สิ่งที่คุณต้องทำคือยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ และเท่าที่ผมดูท่าทางคุณอยู่กับมันได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“หมอเอาที่ไหนมาพูด” คนไข้หน้าตึงขึ้นทันที

“ค่าไขมันในเลือดกับน้ำตาลสะสมที่ยังสูงเกินเกณฐ์มาตรฐานอยู่มาก ซึ่งในระยะยาวจะทำไขมันเกาะตามผนังเส้นเลือดเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดสมองตีบ อุดตันหรือทำให้เส้นเลือดแตกได้อีกครั้งนะครับ ”

“หมอก็พูดไปเรื่อย มันจะสูงได้ยังไงในเมื่อผมลงทุนงดกาแฟมาตั้งสามวันก่อนมาเจาะเลือด”

“ผลเลือดไม่โกหกครับ” พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องทำให้เขาอดจะดุกลายๆ ในน้ำเสียงไม่ได้ยิ่งเมื่อเห็นคำตอบในแบบสอบถามเรื่องอาหารที่ทานเป็นจำคือหัวหมูต้ม ขาหมูรมควันและเหล้าขาว “ต้องทำสม่ำเสมอนะครับไม่ใช่แค่สามวันเพื่อมาหาหมอ แล้วก็เลิกไปเลยนะครับไม่ใช่แค่กาแฟแต่รวมทั้งของมันของทอดด้วย ผมเข้าใจครับว่าอาจารย์เป็นคนทรงเจ้า แต่ก็น่าจะเลือกของไหว้ได้บ้าง บอกท่านนะครับว่าถ้าร่างทรงตายเจ้าก็ไม่มีร่างให้เข้าเหมือนกัน” พูดจบนึกขึ้นได้จึงเหลือบตามองเล็กน้อยด้วยเกรงว่าจะถูกโกรธเพราะถ้าเขาเอาไปฟ้องศาสตราจารย์สรวิชญ์เรื่องคงไม่จบง่ายๆ

หากอาจารย์องค์อินทร์กลับหัวเราะชอบใจ “ขนาดพ่อ เอ๊ย! อาจารย์ของหมอยังไม่กล้าพูดกับผมแบบนี้เลยนะเนี่ย หมอนี่แน่นอนจริงๆ”

ขนาดผีอย่างผมยังโดนด่า แล้วคิดว่าหมอผีอย่างลุงจะรอดหรือครับ... อทิฏฐ์นึกนินทาในใจ

“เดี๋ยววันนี้หมอจะจดรายชื่ออาหารที่ควรและไม่ควรทานให้ แล้วครั้งต่อไปพาญาติมาด้วยนะครับหมอจะได้ประเมินว่าคุณทำตามคำแนะนำของหมอหรือเปล่า”

อาจารย์องค์อินทร์พยักหน้า “แต่ผมตัวคนเดียวไม่มีญาติที่ไหนนะหมอ”

“แล้วลูกศิษย์คนสนิทละครับ”

“เจ้าพวกนั้นมันก็ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้เท่าไหร่”

“คุณลองแล้วหรือครับถึงได้รู้ว่าพึ่งพาไม่ได้” นรกรย้อนถาม “ถ้าพวกเขารักและอยากให้คุณอยู่ด้วยกันนานๆ ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปหรอกครับ”

“แน่ใจนะหมอ ผมกลัวว่าพามาด้วยแล้วหมอจะรำคาญน่ะสิ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอให้มาเถอะหมอรับมือได้”

คนทรงเจ้าใช้ปลายนิ้วลูบหนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวที่ลงเจลจนแข็งปั๋ง “งั้นเดี๋ยวจะลองเลือกมาสักสองสามคนนะ”

“ผมจ่ายยาเดิมที่อาจารย์สรวิชญ์เคยให้แล้วนัดตรวจอีกหนึ่งเดือนนะครับ”

“ตามที่หมอเห็นสมควรเลยครับ เพราะนี่มันเรื่องที่คุณหมอเชี่ยวชาญ ไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้”

มือที่กำลังจดผลการตรวจลงในแฟ้มผู้ป่วยชะงักไปเล็กน้อย เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกับคำที่เหมือนประชดกันและเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูรายชื่อยา แต่อาจารย์องค์อินทร์ยังไม่ยอมหยุดพูดและกลับมาใช้สรรพนามเดิมอีกครั้ง

“แล้วตกลงเป็นยังไงล่ะพ่อหนุ่ม เรื่องที่กลุ้มใจแก้ไปได้ถึงไหนแล้ว”

นรกรยังคงไม่สนใจและเขียนรายงานต่อไปเรื่อยๆ

“ไม่ตอบแสดงว่าไม่ถึงไหนสินะ”

“นี่ครับ ใบสั่งยาของคุณ”

“ขอบคุณครับ” อาจารย์องค์อินทร์ค้อมศีรษะเล็กน้อย

คุณหมอหนุ่มยกมือรับไหว้และพูดทิ้งท้ายตามปกติเหมือนที่เขาย้ำเตือนกับคนไข้ทุกๆ คน “อย่าลืมมาตรวจตามนัดและทานยาให้ครบนะครับ”

“พูดถึงเรื่องลืม” อาจารย์องค์อินทร์หันหน้ากลับมา “นี่พ่อหนุ่ม คนเราน่ะบางทีก็ไม่ได้ลืมเพราะว่าไม่อยากจำหรอกนะแต่เราลืมเพื่อนึกให้ออกและจดจำมันให้ได้ต่างหากว่าเผลอทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง”

ถึงตรงนี้นรกรต้องยอมเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่านัยน์ตาสีเทานั้นไม่ได้จับจ้องอยู่ที่เขาเหมือนเดิมแต่มองเลยไปด้านหลังยังจุดที่อทิฏฐ์ยืนอยู่ “คุณพูดเรื่องอะไรครับ”

อาจารย์องค์อินทร์เบนสายตากลับมา “ถ้าพ่อหนุ่มไม่สนใจมันก็แค่เรื่องไร้สาระ แต่ถ้าพ่อหนุ่มอยากรู้ก็ลองนึกดูให้ดีสิ นึกให้ออก แล้วสาระมันก็อยู่ตรงนั้นแหละ... อ้อ! หนหน้าผมขอมาตรวจกับหมอได้ไหม ชักจะถูกใจหมอซะแล้วสิ”

ทันทีที่ประตูปิดลงอทิฏฐ์ก็ปราดเข้ามาเกาะขอบโต๊ะทันที “คุณเห็นสายตานั่นไหม ผมไม่รู้นะว่าเขาเห็นผมไหม แต่ผมว่าเขารู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้” พลางยกมือลูบหน้าตัวเอง รู้สึกเหมือนโดนสะกดให้นิ่งงันไปชั่วครู่ “แล้วที่เขาพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง”

นรกรเองก็งุนงงไม่แพ้กัน “ไม่รู้สิ แต่ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือคุณต้องนึกให้ออกว่าตัวเองเป็นใคร”

ทั้งสองเก็บของเดินออกจากห้องตรวจยังไม่ทันจะได้คิดทบทวนเรื่องที่ได้ฟังมาอย่างรอบคอบ ก็มีเรื่องมาเบนความสนใจไปเสียก่อน

ร่างสูงในชุดกาวน์ยาวสีขาวยืนยิ้มเห็นฟันขาวโบกมือรออยู่หน้าเคาน์เตอร์

“คนไข้เยอะเหรอ หน้ายุ่งเชียว”

นรกรเบี่ยงศีรษะหลบมือที่เอื้อมมาหมายจะโอบรอบไหล่โดยแกล้งทำเป็นหันไปวางแฟ้มผู้ป่วยให้คุณพยาบาล เขาไม่ได้เขินอายที่จะโดนสัมผัสเพียงแต่ไม่ชอบสายตาของใครบางคนที่ทำหน้ามุ่ยยืนกอดอกมองอยู่ข้างๆ “นิดหน่อยครับ”

คณิณลดมือที่ยื่นออกไปเก้อเก็บใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์แต่ไม่ยังยอมหุบยิ้ม “ฮาร์ฟ เย็นวันเสาร์นี้ว่างไหมพอดีพี่จะจัดปาร์ตี้เล็กๆ น่ะ มีแต่คนกันเองทั้งนั้นแค่พี่ๆ น้องๆ หมอพี่อยากให้เราไปด้วย”

“ปาร์ตี้อะไรเหรอครับ”

“ผลงานพี่ผ่านแล้ว” คณิณยิ้มกว้างมากขึ้นอีก “พี่ได้เป็นอาจารย์ที่นี่เต็มตัวแล้วนะ”

“ยินดีด้วยนะครับพี่ปอกับความสำเร็จอีกขั้น” นรกรอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้กับว่าที่อาจารย์แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ

“เป็นอันว่าวันเสาร์นี้เราตกลงนะ”

เพราะดูเหมือนจะถูกมัดมือชกไปแล้วประกอบกับอยากพาอทิฏฐ์ไปเจอเพียงพิรุณ นรกรจึงยอมตามน้ำ “งานจัดที่ไหนครับ”

“ที่บ้าน” คณิณสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “พอดีฝนเขาอยากโชว์ฝีมือทำอาหารด้วยน่ะ... เราโอเคนะ”

“เอ่อ... ไม่มีปัญหาครับ”

ใบหน้าที่เจื่อนไปทันทีทำให้คณิณต้องรีบพูดต่อ “จะได้ไปเจอเจ้าบิชอฟไง”

ชื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักที่ถูกเอ่ยขึ้นมาทำให้สีหน้าค่อยดีขึ้น นับตั้งแต่เลิกกันนรกรก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย “ไม่เจอกันนานป่านนี้คงเป็นหมาแก่ๆ ไม่มีแรงวิ่งแล้วมั้งครับ”

“ใครบอกล่ะ กำลังเป็นหนุ่มเลยต่างหาก พี่บำรุงมันอย่างดีเมื่อวานเพิ่งไปไล่กัดกระรอกมาอวดพี่”

“ซนจริงๆ เจ้าหมาตัวนี้”

“เหมือนเจ้าของมันน่ะแหละ” คณิณยิ้มมีความหมายที่เข้าใจกันแค่สองคน

“แว่วๆ ว่าจะมีปาร์ตี้อะไรกันเหรอ” วินทร์เดินเข้ามาแทรกกลางวง “ท่าทางน่าสนุกจังขอไปด้วยคนสิ”

“ฉันจะจัดปาร์ตี้ที่บ้านฉลองที่ได้เป็นอาจารย์น่ะ นายจะไปด้วยก็ได้นะ”

วินทร์ไม่สนใจคำที่แอบเน้นว่า ‘อาจารย์’ พลางเหลือบมองนรกรทางหางตา “ไม่เป็นไร ฉันก็แค่แซวเฉยๆ”

“ตามใจ ฉันก็แค่ชวนเฉยๆ เหมือนกัน” คณิณว่าก่อนจะหันไปหาคนตัวเล็กกว่า “พี่ขอตัวไปดูคนไข้ก่อนนะฮาร์ฟ วันเสาร์นี้เจอกัน”
นรกรหันไปหาร่างสูงเมื่อคณิณเดินไปลับตา “พี่วินทร์ไปด้วยกันสิ ไปกับผม”

นัยน์ตาคมเหลือบมอง “ทำไม”

“ก็พี่วินทร์อยากรู้ไม่ใช่เหรอครับว่าผมตัดใจได้จริงหรือเปล่า ถ้างั้นก็มาดูให้เห็นกับตาสิ”

วินทร์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่เห็นจำเป็น” แล้วก็หมุนตัวกลับไปวางแฟ้มผู้ป่วยบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินหายเข้าห้องตรวจของตนไป

oooooo

เมื่อวันเสาร์มาถึงนรกรขับรถออกจากหอพักโดยมีอทิฏฐ์นั่งมาด้วยข้างๆ เขาจอดรถเพื่อแวะซื้อดอกไม้กระเช้าหนึ่งเป็นของขวัญ

“กุหลาบแดง?” อทิฏฐ์ตั้งข้อสังเกตเมื่อเห็นพนักงานตระเตรียมดอกไม้ตามที่สั่ง “แน่ใจนะคุณ ดอกไม้อื่นๆ ความหมายดีๆ มีอีกเยอะแยะนะ อย่างลิลลี่ คาร์เนชั่น หรือ...”

“พี่ปอชอบกุหลาบแดง” นรกรพูดเรียบๆ เป็นการตัดบท

“โอเค จบ” อทิฏฐ์รูดซิปปากพร้อมกับยกมือยอมแพ้ก่อนจะเดินกลับไปนั่งรอที่รถ

เพราะตั้งใจแล้วว่าจะมาช้าหน่อยเพื่อไม่ต้องอึดอัดที่มาถึงเป็นคนแรกๆ ผลจึงเป็นไปตามคาดตอนนี้เริ่มมีแขกเหรื่อเต็มบ้าน ทำให้ที่จอดรถเต็มจนล้น นรกรจึงต้องขยับไปจอดถัดไปอีกสองช่วงถนนและลงเดินมา ถึงจะบอกว่าเป็นงานเล็กๆ จัดแบบปาร์ตี้ค๊อกเทลในสวนหลังบ้านมีแต่คนรู้จักแต่คณิณเป็นที่รักของใครหลายๆ คนคำว่าเล็กของเขาจึงไม่เท่ากับของนรกร และถึงคนที่มาจะมีแต่รุ่นพี่รุ่นน้องที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน ทว่าเขาก็ไม่สนิทกับใครสักคนเดียว

“ตกลงกันก่อนนะ” นรกรกระซิบ “ถ้าเจอ ‘เธอ’ คุณอยากทำอะไรก็ทำไปแต่ผมจะไม่ถามอะไรเธอเด็ดขาด”

อทิฏฐ์พยักหน้า

นรกรกวาดตามองหาเจ้าของงานที่หาไม่ยากเท่าไหร่เพราะถูกผู้คนห้อมล้อมไว้ นรกรยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเข้าไปทางไหน คณิณก็เป็นฝ่ายเดินมาทักเสียเอง

“ฮาร์ฟ”

“สวัสดีครับพี่ปอ”

“ขอบคุณนะที่มา” หากคณิณไม่ได้มาคนเดียวแต่หนีบเอาหญิงสาวสวยในชุดเดรสเดินคู่กันมาด้วย “นี่ฝนแฟนพี่ ฝนนี่ฮาร์ฟน้องรหัสพี่น่ะ... น่าจะเป็นพี่ฝนนะเพราะฮาร์ฟอ่อนกว่าพี่ปีเดียวเอง”

เพียงพิรุณปล่อยมือจากท่อนแขนที่ควงไว้เพื่อยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”

“ยินดีด้วยนะครับ” นรกรค้อมศีรษะรับไหว้พร้อมกับส่งดอกไม้ช่อสวยในมือที่ตั้งใจเลือกมาอย่างดีให้

“ดอกไม้สวยจัง”

คณิณกำลังจะยื่นมือมารับเมื่อเพียงพิรุณจามเสียงดัง “ฮัดเช้ย!” พร้อมกับยกสองมือขึ้นปิดปากและจมูก “ขอโทษนะคะ ปกติฝนก็ไม่แพ้เกสรดอกไม้หรอกแต่ท่าทางเจ้าตัวเล็กจะไม่ค่อยชอบ... โดยเฉพาะกุหลาบ” สูดเสียงขึ้นจมูกก่อนจะลดมือลงลูบหน้าท้อง

“ไม่เป็นไรนะฝนเดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านเอาไปเก็บให้”

“ขอโทษนะคะพี่ปอ น้องพี่อุตส่าห์เอามาให้” ยิ้มหวานเจื่อนไปเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดเมื่อคณิณกวักมือเรียกหญิงสาวสวมผ้ากันเปื้อนคนหนึ่งมารับไปเพราะเกรงว่าเกสรดอกไม้จะติดเสื้อ

“เอาไปไว้ในครัวนะมด”

“แต่เดี๋ยวฝนต้องเข้าไปทำกับข้าวในครัวนะคะ”

“งั้นให้หนูเอาไว้ในห้องน้ำไหมคะ” มดที่เป็นแม่บ้านเสนอ

“ห้องน้ำก็... ฮัดชิ้ว!” เพียงพิรุณจามอีกครั้ง “ห้องน้ำก็ได้ค่ะ เดี๋ยวยังไงฝนกินยาแก้แพ้สักเม็ดก็น่าจะดีขึ้น ฮัดชิ้ว!”
   
“แต่คนท้องกินยามากๆ ไม่ดีนะฝน” คณิณปราม

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ น้องพี่ปออุตส่าห์เอามาแสดงความยินดี” นัยน์ตากลมสวยสบตานรกรอึดใจก่อนจะเหลือบมองกุหลาบสีแดงสดที่ชูช่ออยู่ในกระเช้า “ดอกไม้ก็ส๊วยสวยจะให้เอาไปทิ้งเหรอคะ”

“เอ่อ...” คณิณมองหน้าเขา

“ไม่เป็นไรครับพี่ปอ ผมผิดเองที่ซื้อมาโดยไม่ถามเจ้าของบ้านก่อน” นรกรรีบบอก “ขอโทษนะครับ”
   
“ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลยค่ะ... อ้าว ดูสินั่นใครมา” เพียงพิรุณร้องเสียงใสเมื่อโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตสีน้ำตาลอ่อนวิ่งลัดเลาะผู้คนเข้ามาหา “บิชอฟ สวัสดีพี่เขาสิครับ”

“ฮาร์ฟรู้จักมันดีอยู่แล้วล่ะ” คณิณยิ้มให้พลางนั่งยองๆ ลงลูบศีรษะสัตว์เลี้ยงแสนรัก

แต่เจ้าบิชอฟกลับนั่งลงบนขาหลังและตั้งต้นเห่าเสียงดังจนคนทั้งงานหันมามอง

“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”

อทิฏฐ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้มือทั้งสองไปที่ตัวเองพร้อมกับทำตาโตและทำปากขมุบขมิบถาม “มันเห่าผมเหรอ”

นรกรเหลียวไปมองก่อนจะพยักหน้า

“เหยยย หมาเห็นผมด้วยอะ ดีใจจัง มามะเจ้าบิชอฟมาให้พี่กอดที”

แต่บิชอฟกลับกระโดดลุกขึ้นยืนและเห่าอีกครั้ง “โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”

“บิชอฟ เงียบ!” เพียงพิรุณดุเบาๆ เจ้าสุนัขหยุดและนั่งลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย “สงสัยจะไม่เจอกันนานมันคงจำคุณไม่ได้น่ะค่ะ... ตามสบายนะคะเดี๋ยวฝนขอไปดูอาหารหน่อยดูท่าจะพร่องไปเยอะแล้ว แล้วอย่าลืมลองเมนูค๊อกเทลลาบกุ้งของฝนนะ ฝนค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียว เพื่อนฝรั่งนี่ติดใจกันทุกคน... ไปบิชอฟ ไปช่วยแม่ในครัวไป” เจ้าสุนัขหันมาเห่ารับคำสั่งครั้งหนึ่งก่อนจะออกวิ่งเหยาะๆ ตามหญิงสาวไป

“ยินดีด้วยนะครับ”

“เราพูดแล้ว”

“ไม่ใช่ครับ เรื่องลูกต่างหากกี่เดือนแล้วครับ”

ใบหน้าของคณิณยิ้มแป้นขึ้นมาทันที “สองเดือน เข้าเดือนที่สามแล้วต้องรออีกตั้งเดือนนึงแน่ะกว่าจะอัลตราซาวด์ดูเพศได้”

แล้วนรกรก็ใช้เวลากว่าครึ่งหนึ่งในงานหมดไปกับการฟังคณินพูดถึงทารกน้อยที่ยังไม่เกิด เขาฝันมาตลอดว่าอยากมีลูกสาว อยากไว้หนวดไว้ขู่คนที่บังอาจจะมาจีบหรือมาขอชวนไปเดท พร้อมกับเดินชิมอาหารของเพียงพิรุณตามที่คณิณคะยั้นคะยอไปรอบๆ งาน ถึงจะไม่อยากแต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างอร่อยมาก นี่แหละคือผู้หญิงที่คณิณตามหา ผู้หญิงสวย เก่งที่ทำงานบ้านงานเรือนเป็น ไม่ใช่ผู้ชายแบบเขา

เมื่อท้องเริ่มอิ่มทั้งคู่จึงปลีกตัวออกจากงานมาคุยตรงระเบียงเพื่อหนีความวุ่นวาย นรกรมองชายหนุ่มตรงหน้าที่พูดพลางออกท่าไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข แต่หัวใจของเขากลับไม่สามารถยิ้มตามได้เลยสักนิด

จริงอย่างที่อทิฏฐ์หรือวินทร์พูด... ใช่แล้ว มันไม่โอเค ไม่ใช่เพราะเห็นบ้านที่เคยมาดูด้วยกันโดนคนอื่นจับจอง ไม่ใช่เพราะต้องทนดูช่อดอกไม้ที่ตั้งใจซื้อมาถูกโยนเอาไปทิ้งโดยที่คนรับยังไม่ทันได้สัมผัส ไม่ใช่เพราะเสียใจที่สัตว์เลี้ยงของตนกลายเป็นของคนอื่นซ้ำยังจำกันไม่ได้

ที่เจ็บ... เพราะที่ข้างผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เขา

และตอนนี้หัวใจของเขากำลังร้องไห้ทั้งที่ริมฝีปากกำลังฝืนยิ้ม และเขาควรจะต้องรีบกลับให้เร็วที่สุดก่อนที่คณิณจะรู้ ก่อนที่จะถูกจับได้ว่าแท้จริงแล้วเขายังตัดใจไม่ได้เลยจนนิดเดียว

นัยน์ตาสีอ่อนพยายามกวาดตามองหาคนที่มาด้วยกันแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา ก่อนมันจะไปหยุดลงตรงรั้วใกล้กระถางต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีตุ๊กตาหมีหน้าตาขมุกขมอมเพราะโดนปล่อยให้นั่งตากแดดตากฝนมานานแรมปี

เสียงสุนัขเห่าดังแว่วมาในสายลม นรกรกำมือแน่นและหันหลังให้กับตุ๊กตาตัวนั้น


(ต่อด้านล่าค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 5 Asking [20/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 27-02-2016 02:35:46
บทที่ 6 (ต่อ)

โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!

“ไม่เอาไม่เห่าน่าบิชอฟ” เพียงพิรุณปรามเจ้าสุนัขที่ตั้งต้นเห่าอีกครั้ง มันทำหางตกและครางหงิงเบาๆ ราวกับจะประท้วงว่าไม่ใช่ความผิดตน

ร่างโปร่งแสงที่แอบตามมาเงียบๆ หลิ่วตาให้เล็กน้อยก่อนจะเดินตามหลังทั้งคู่เข้าไปในครัว

กระเช้าดอกกุหลาบที่นรกรให้มาถูกวางแอบไว้มุมหนึ่งบนเคาน์เตอร์

“ยัยมดนี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” เพียงพิรุณใช้ปลายนิ้วแตะกลีบบางสีแดงสดขึ้นสูดกลิ่นหอมหวานของกุหลาบก่อนจะเหยียบถังขยะให้เปิดออกและหยิบกระเช้าดอกไม้หย่อนลงไป

ริมฝีปากบางยกมุมขึ้นเล็กน้อย เธอปิดฝาถังขยะแล้วหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์และเริ่มต้นล้างผักสำหรับชามสลัดในขณะที่เจ้าบิชอฟเดินวนไปรอบๆ

ก่อนหน้าที่จะมาในหัวของอทิฏฐ์เต็มไปด้วยคำถามและหลายสิ่งที่อยากรู้ เมื่อภาพวันคืนระหว่างเขากับเธอมันยังคงแจ่มชัด

เด็กชายหญิงในชุดกระโปรงบานขาสั้นที่นั่งห้อยขาตรงริมระเบียงบนตึกของโรงเรียนบอกเล่าเรื่องความฝันของตัวเองเมื่อเติบโตขึ้น

‘โตขึ้นฝนอยากเป็นอะไรเหรอ’

‘ฝนอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ค่ะ ฝนชอบคอมพิวเตอร์ ฝนอยากคิดค้นโปรแกรมใหม่ๆ แล้วพี่ล่ะอยากเป็นอะไร’

‘ไม่รู้สิฝน พี่ยังคิดไม่ออกเลย’

‘ไม่ได้นะคะ ป่านนี้แล้วพี่ต้องคิดได้แล้วนะ’

มือบางเอื้อมมาตีไหล่หยอกๆ วันนั้นเขาโกหก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร เพียงพิรุณเป็นนักกิจกรรมตัวยงหากยังคงสอบได้ลำดับที่ต้นๆ ของห้องเสมอ หน้าตาสะสวยน่ารัก แต่มีข้อเสียอยู่หนึ่งข้อและเป็นข้อใหญ่เสียด้วยนั่นคือเธอเกลียดการทำงานบ้านเป็นที่สุด แค่ต้มไข่ใส่น้ำแล้วตั้งไฟเธอยังต้มให้ไหม้จนกินไม่ได้ ดังนั้น ความฝันของเขาคือทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอที่นั่งเท้าคางมองดูเขาอยู่ในครัว ก่อนที่เขาจะยกออกมาเสิร์ฟและเริ่มต้นกินไปด้วยกัน เพราะอย่างนี้เขาถึงหัดทำอาหารกับแม่ทุกวันจนเก่ง กล่องข้าวที่ทำเผื่อเธอไปโรงเรียนทุกวันแท้จริงแล้วเป็นฝีมือเขาไม่ใช่ของแม่ที่ฝากไปให้อย่างที่บอก เมนูที่เธอชอบคือไข่ตุ๋นใส่นมที่สามารถกินทุกวันไม่มีเบื่อ

ทว่า ภาพนั้นก็คงเป็นได้เพียงความฝัน ไม่มีอีกแล้วผู้หญิงที่กลัวน้ำมันร้อนในเตากระเด็นใส่จนต้องวิ่งมาแอบหลบหลังเขา มีแต่ผู้หญิงสวมผ้ากันเปื้อนท่าทางทะมัดทะแมงที่ใช้มีดหั่นผักได้อย่างคล่องแคล่ว

“ฝนคงรักผู้ชายคนนี้มากสินะ”

“อ๊ะๆ ไม่ได้นะบิชอฟ มาแอบกินก่อนแบบนี้เดี๋ยวคุณพ่อก็โกรธหรอก” เพียงพิรุณหันไปดุเจ้าสุนัขที่ยืนขึ้นบนสองขาหลังเกาะขอบเคาน์เตอร์พยายามจะขโมยชิมปลาแซลมอลรมควันในชามแก้วใบใหญ่ “สลัดปลาแซลมอลนี่ของโปรดคุณพ่อเขานะแกรู้ใช่ไหม”

อทิฏฐ์เข้าไปยืนซ้อนด้านหลัง สอดมือเข้ารอบเอวคอดและซบหน้าลงบนไหล่ “ฝนจำพี่ได้ไหม ในใจฝนเคยมีพี่อยู่บ้างหรือเปล่า”

ร่างบางชะงักไปชั่วครู่ นัยน์ตากลมเหม่อมองไปข้างหน้าเมื่อภาพใครคนหนึ่งไหววูบเข้ามาในห้วงความคิด “แต่เขาไม่ชอบกินปลาสินะ” จู่ๆ ก็รำพึงขึ้นมากับตัวเองก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ และเขยิบไปหยิบนำซอสเกรวี่ที่ทำเตรียมไว้แล้ว ตัวของเธอจึงหลุดออกจากอ้อมแขนของอทิฏฐ์ที่พยายามเหนี่ยวรั้งไว้สุดแรงแต่คว้ามาได้เพียงความว่างเปล่า

อทิฏฐ์ก้มลงมองมือของตัวเอง กำลังจะขยับตามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแหวนเพชรวงหนึ่งบนนิ้วนางข้างซ้าย มือใหญ่ที่ยื่นค้างดึงกลับมากำเป็นหมัดแน่น ก่อนจะแบออกอีกครั้งและพบของสิ่งหนึ่งที่เขากำไว้ในมือก่อนตาย

แหวนทองคำขาว

ของขวัญที่เขาตั้งใจทำงานหามรุ่งหามค่ำเก็บเงินอยู่แรมปีเพื่อไปขอความรักจากเธอ

ฝ่ามือสั่นระริกจนควบคุมไม่ได้และปล่อยให้แหวนวงนั้นร่วงหล่นลงพื้น มันดังแกร๊งเบาๆ ก่อนจะสลายหายไปในอากาศโดยที่เขาไม่คิดจะไขว่คว้าหามันคืนมา

ไม่ได้ปล่อยเพราะตัดใจได้ แต่ปล่อยเพราะรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะยื้อเมื่อรู้ซึ้งแล้วหัวใจดวงนั้นไม่เคยเป็นของเขา

และนั่นก็คงเป็นเหตุผลมากพอ ที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะ ‘ไป’

ทันทีที่คิดเช่นนั้นเหมือนอะไรบางอย่างในอกกระตุกวูบ เกิดความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ภาพวุ่นวายกับสรรพเสียงอื้ออึงถาโถมเข้ามาในหัวอีกครั้ง

'จู่ๆ คนไข้ก็ความดันตกค่ะคุณหมอ' เสียงพยาบาลรายงานอาการแข่งกับเสียงเตือนที่ดังปิ๊บๆ ไม่หยุดของเครื่องมอนิเตอร์ข้างเตียง

'เกิดอะไรขึ้นทั้งๆ จนถึงเมื่อครู่ยังตอบสนองต่อยากระตุ้นความดันดีอยู่เลย' ร่างสันทัดในชุดเสื้อกาวน์ยาวสีขาวยืนหันหลังให้เขา นัยน์ตาจับจ้องสัญญาณชีพบนหน้าจอพลางยกมือกอดอกครุ่นคิดอย่างหนักกับค่าความดันโลหิตที่แปรผกผันกับปริมาณยากระตุ้นหัวใจที่ให้

อึดใจต่อมาแพทย์ประจำบ้านก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา 'อาจารย์ครับทั้งผลเลือดและฟิล์มเอกซเรย์ทุกอย่างปกติดีครับ' บอกพลางส่งใบรายงานผลให้ดู

แพทย์เจ้าของไข้หน้าเครียดหนักยิ่งกว่าเดิมกับอาการที่แย่ลงโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง 'เกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมจู่ๆ ถึงจะไม่สู้ขึ้นมาเสียเฉยๆ'

อทิฏฐ์ยกสองมือขึ้นปิดปากเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นตัวเอง ใบหน้าซูบตอบจนจำไม่ได้ และร่างกายที่บิดเกร็งอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด "ปล่อยผมไปเถอะ” เขากระซิบ

'เขาจะตายไหมหมอ' ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามขึ้น

'ขอโทษนะครับที่ตอนนี้หมอคงทำได้แค่ช่วยรักษาไปตามอาการ จะอยู่หรือไปทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคนไข้จะสู้ไหวไหม' นายแพทย์ตอบ

ชายคนนั้นไม่ว่าอะไรได้แต่ค้อมศีรษะให้และเดินกลับออกไป

นายแพทย์มองตามแผ่นหลังที่สั่นสะท้านนั้นไปจนพ้นประตูก่อนจะเหลือบตามองร่างบนเตียงอยู่อึดใจแล้วก้มลงกระซิบที่ข้างหู 'อย่าเพิ่งยอมแพ้สิยังมีใครรอคุณอยู่นะ'

“ใคร... จะมีใครอีกล่ะที่รอผม ไม่มีอีกแล้วคนที่รักผม” ร่างโปร่งแสงทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นยืน ในหัวคิดอยู่แค่คำเดียวว่า ‘ตาย’ เขาจะอยู่ต่อไปทำไมในโลกที่ไม่ใครต้องการ




“ขอโทษนะที่รั้งเราไว้ซะดึกเลย” คณิณเหลือบตาดูนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ คืนนี้ผมว่าง”

“ให้พี่ไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมขับรถมา” นรกรบอก

“งั้นพี่เดินไปส่งที่รถนะ”

“จะกลับแล้วหรือคะ” เพียงพิรุณเดินเข้ามาแทรก “เดี๋ยวฝนออกไปส่งแขกเอง พี่ปอไปดูพี่นิวหน่อยสิท่าทางจะเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องเลย”

“ได้ๆ เดี๋ยวพี่โทรไปตามแฟนเขามารับเอง” คณิณคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพลางรีบเดินเข้าไปดูรุ่นน้องที่นอนฟุบอยู่ในห้องนั่งเล่น

บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดทันทีเมื่อเหลือแค่เขากับเพียงพิรุณที่มีเจ้าบิชอฟเดินตามมาเงียบๆ

“ขอบคุณนะคะที่มาวันนี้” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อถึงประตูรั้ว

“เช่นกันครับอาหารอร่อยมากเลย” ขายาวกำลังจะก้าวพ้นเขตรั้วอยู่แล้วเมื่อเจ้าบิชอฟเห่าโฮ่งขึ้นครั้งหนึ่ง

“เป็นอะไรอีกล่ะจ๊ะ ไม่เอาไม่เห่าพี่เขาน่าบิชอฟ”

นรกรชะงักและหันกลับมา แล้วสายตาก็ไปสะดุดลงตรงตุ๊กตาหมีที่ข้างรั้วตัวนั้นอีกครั้ง ริมฝีปากเม้มสนิท สองมือกำเป็นหมัดแน่น ในที่สุดเขาก็ไม่อาจสะกดกลั้นความสงสัยเอาไว้ได้อีกต่อไป “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

หญิงสาวแย้มยิ้ม “อะไรคะ”

“ทำไมคุณถึงตั้งชื่อหมาตัวนี้ว่าบิชอฟ”

“ฝนไม่ได้ตั้งค่ะ พี่ปอเป็นคนตั้ง”

นรกรเหลือบตามองเจ้าสัตว์สี่ขาแสนเชื่องที่นั่งกระดิกหางอย่างแสนรู้ก่อนจะสบตาหญิงสาวตรงหน้าเต็มที่ “บิชอฟเป็นชื่อที่ผมตั้ง ผมเป็นคนเก็บมันมาจากข้างถังขยะและให้พี่ปอเป็นคนช่วยเลี้ยง… ผมไม่รู้ว่าหมามันลืมเจ้าของได้จริงไหม แต่ผมไม่มีวันลืม”

ใบหน้าหวานมีสีหน้าตกใจแต่ไม่ถึงกับตระหนก อันที่จริงเธอกลับดูโล่งอกที่ไม่ต้องแกล้งโกหกอีกต่อไปไม่ว่าจะเรื่องสุนัขหรือแม้กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนรกรกับสามีของเธอ ไหล่บางผ่อนลงในขณะที่ใบหน้าเชิดรั้นขึ้น “ฝนขอยืนยันค่ะว่ามันคือบิชอฟ แต่คุณดูไม่ผิดหรอกค่ะ ใช่ค่ะ! มันไม่ใช่หมาของคุณ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับบิชอฟ”

นัยน์ตากลมเหลือบลงมองสุนัขข้างกายก่อนจะตวัดขึ้นสบเต็มที่ “อดีตที่ไม่สมควรจำก็เหมือนของเก่าที่ไม่สมควรเก็บไว้”

“คุณทำอะไรมัน!”

“ฝนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นค่ะ มันแค่ตายของมันเอง”

“คุณ…”

“ไม่มีอะไรสงสัยแล้วใช่ไหมคะ”

มือเรียวกำเป็นหมัดแน่นแต่หมดสิ้นถ้อยคำที่จะพูดได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด

“งั้นฝนส่งแค่นี้นะคะ คุณหมอบอกว่าคนท้องอ่อนๆ ต้องพักผ่อนเยอะๆ และอย่าให้มีเรื่องมากระทบกระเทือนจิตใจ” พร้อมกับลูบมือลงบนหน้าท้อง

นรกรหมุนตัวกลับและย่ำเท้าหนักๆ ออกไป

คุณหมอหนุ่มกลับไปได้สักครู่แล้วหากหญิงสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงพิรุณเหลือบตาลงมองสุนัขที่จ้องมองเธอตาแป๋วพร้อมกับกระดิกหางที่เป็นพวงตีพื้นรัวๆ เธอสูดลมหายใจเข้าจนสุดก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้สัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์ เมื่อเสียงของสามีสุดที่รักดังขึ้นด้านหลัง

“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”

“แบบไหนคะ”

“ก็แบบ…”

“แล้วจะให้ฝนพูดว่าอะไรคะ” เพียงพิรุณกล่าวเสียงเรียบ “พูดความจริงว่าพี่ปอฆ่ามัน… อย่างนั้นหรือคะ”

“แต่…”

“ฝนไม่ได้อยากทำตัวเป็นนางเอก แต่ฝนไม่ต้องการให้พี่ปอเป็นฆาตกร คนผิดในเรื่องนี้มีแค่ฝนคนเดียวก็พอค่ะ” เธอตัดบทพร้อมกับหันไปหาเจ้าสุนัข “เข้าบ้านกันเถอะบิชอฟ”

มันร้องโฮ่งครั้งหนึ่งคล้ายกับรับคำก่อนจะลุกยืนบนขาทั้งสี่และเดินอกตั้งนำเข้าบ้านไป

นรกรเดินกลับมายังรถมินิคูเปอร์สีเมทัลลิคเพียงลำพัง ภายนอกอาจดูสงบนิ่ง ทว่ากลับมีความรู้สึกมากมายพลุ่งพล่านอยู่ในอก สองมือกำเป็นเป็นหมัดแน่น เขากัดริมฝีปากซ้ำไปซ้ำมาพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อดันความอ่อนแอกลับเข้าไปให้ลึกที่สุดของใจ เวลานี้น้ำตาไม่ช่วยอะไร แต่จะให้ทำยังไงเมื่อร่างกายยังไม่ยอมลืมความอบอุ่นของมือคู่นั้นเลย

ย้อนไปหลายปีก่อนของวันหนึ่งตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ห้า มันเป็นวันในหน้าร้อนที่อากาศไม่ร้อนมาก ท้องฟ้าสดใสทุกคนพากันออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้ง บ้างก็จับกลุ่มติวกันตามร่มไม้ มองไปในสนามฟุตบอลที่เห็นอยู่ไกลๆมีพวกชมรมฟุตบอลกำลังฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวลงแข่งกีฬาสถาบัน

ร่างโปร่งในชุดนักศึกษายืนอยู่ในสนามหญ้า เขาเหวี่ยงแขนไปด้านหลังและออกแรงปาลูกเทนนิสในมือออกไปสุดแรง ทันทีที่ลูกบอลหลุดจากมือเจ้าสุนัขพันธ์โกลเด้นรีทีฟเวอร์ซึ่งนั่งกระดิกหางอยู่ก็ออกวิ่งลิ่วจนหูปลิวเพื่อตามเก็บให้ทัน

คนปายิ้มขันก่อนนิ่งไปเล็กน้อยและเอ่ยเสียงเครียดที่ยืนอยู่ข้างๆ ‘ผมจะไปประกาศหาบ้านให้มัน’

‘ทำไมฮาร์ฟไม่เลี้ยงมันไว้เองล่ะ มันออกจะติดเราแล้วเราก็รักมันจะตายนี่’ คนในชุดกาวน์สั้นสำหรับใส่ขึ้นคลินิกถาม

นรกรไปเจอมันในลังข้างถังขยะหน้าคณะเมื่อสามเดือนที่แล้ว ลูกสุนัขตัวเล็กแค่ฝ่ามือยังไม่หย่านมที่เจ้าของคงแอบเอามาทิ้งไว้เพราะเลี้ยงไม่ไหว มันมีพี่น้องอีกสามตัว แต่คงทนหิวไม่ไหวหรือป่วยจากการตากแดดตากฝนมานานเท่าไม่ทราบนอนตายอยู่ข้างกันในกล่องนั่นเอง

คณิณช่วยแนะนำเบญจพัฒน์เพื่อนที่เรียนคณะสัตวแพทย์เพื่อให้ช่วยดูแลและหาคนรับไปเลี้ยง แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นเขาได้หน้าที่เพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือการตามส่งข้าวส่งน้ำคนที่มานั่งเฝ้าลูกสุนัขเช้าเย็น แถมยังตั้งชื่อให้มันเสร็จสรรพ

‘ผมคงแอบเลี้ยงมันไว้ในคณะได้อีกไม่นาน แล้วปีหน้าต้องออกไปฝึกงานต่างจังหวัดด้วย ถ้าเอากลับไปบ้านก็คงไม่มีใครดูแล ผมคิดว่ารีบๆ หาเจ้านายให้มันดีกว่ามันจะได้มีที่อยู่ที่กินดีๆ’

คณิณนิ่งไปอึดใจพลางเหลือบมองคนที่หน้าหมองไปถนัดแม้บิชอฟจะเพิ่งวิ่งคาบลูกเทนนิสกลับส่งใส่มือก่อนจะนั่งลงกระดิกหางรัวๆ อ้อนให้เจ้านายเล่นด้วยอีก ‘งั้นพี่จะรับไปเลี้ยงเอง’

คนที่นั่งยองๆ ลงกับพื้นหันขวับมาทันที ‘จะดีเหรอครับ’

‘พี่สิต้องเป็นถามว่าเจ้าของเดิมว่าจะยอมปล่อยมันไปอยู่กับคนเลี้ยงอะไรไม่เป็นอย่างพี่หรือเปล่า’

‘คนใจดีอย่างพี่ปอน่ะนะจะเลี้ยงสัตว์ไม่เป็น’

‘จริงสิ พี่เลี้ยงเราเป็นอย่างเดียวแหละ’

‘ขอบคุณพี่ปอนะครับ’ นรกรบอกเสียงใสจนแม้แต่บิชอฟยังสัมผัสได้มันเอียงคอมองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะเห่าเพื่อเรียกร้องความสนใจ

‘คำขอบคุณมันกินไม่ได้ แถมเลี้ยงหมาตัวหนึ่งค่าอาหารก็ไม่ใช่ถูกๆ ดูแลก็ยากไหนจะต้องพามาอาบน้ำตัดขนแล้วก็ต้องฉีดวัคซีนอีก’ คณิณเสียงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

‘เรื่องค่าใช้จ่ายไม่มีปัญหาครับ ผมจะช่วยออกให้เองขอแค่ให้มันมีบ้านอยู่ก็พอ’ หันไปยิ้มกับบิชอฟ ‘ดีใจด้วยนะ’ มันเห่าโฮ่งให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกระโจนเข้าใส่อย่างแรงและพยายามเลียทุกๆ ที่ที่ลิ้นแฉะๆ นั้นจะตวัดไปถึง ร่างโปร่งเซไปข้างหลังเมื่อมือข้างหนึ่งสอดมารั้งต้นแขนช่วยพยุงไม่ให้ล้ม

‘พี่ไม่ได้อยากได้เงิน’ เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับที่มือใหญ่เลื่อนลงกุมฝ่ามือและบีบเบาๆ ‘แต่อยากได้คนช่วยเลี้ยงต่างหาก’ ก่อนริมฝีปากอุ่นจะขโมยสูดกลิ่นที่ข้างแก้มไป

สายลมเย็นพัดมาหวีดหวิวราวกับใครเอื้อมมือมาสะกิดให้รู้สึกตัว นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุดแล้วเบือนสายตากลับลงมามองข้างกายก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อตามหาคนที่หายไปอีกครั้ง “อทิฏฐ์ คุณอยู่ที่ไหน เฮ้! ดึกแล้วนะคุณกลับบ้านกันเถอะ”



“อทิฏฐ์!”

ร่างโปร่งแสงที่นั่งกอดเข่าจับเจ่าอยู่ในความมืดมิดเงยหน้าขึ้นมองหาเสียงเรียกที่ดังแว่วมา

...ใคร... นั่นเสียงใคร...

แต่ไม่ว่าจะมองหาสักเท่าใดก็ไม่เห็นตัว มีเพียงความมืดที่รายล้อมและพยายามคืบคลานเข้ามาใกล้

“อทิฏฐ์! กลับบ้านกันเถอะ”

...กลับบ้านเหรอ... นี่เรายังมีที่ให้กลับอีกเหรอ...

“อทิฏฐ์! ถ้าได้ยินแล้วก็ออกมาเถอะอย่าแกล้งให้ผมต้องเป็นห่วงเลย”

...นึกออกแล้ว เสียงฮาร์ฟนี่เอง นั่นสินะ ยังไม่ได้บอกลาฮาร์ฟเลยนี่ อย่างน้อยก่อนจะไปก็ไม่ควรทำตัวให้มีห่วงสินะ...

ร่างโปร่งแสงยันตัวลุกขึ้นช้าๆ ฉับพลันความมืดเบื้องหน้าเปิดออกเป็นประตูทอดนำไปสู่แสงสว่างมันช่างอบอุ่นและสงบ เขากำลังจะเดินไปตามเส้นทางนั้นหากเสียงที่ได้ยินมันกลับดังมาจากทางด้านหลังที่ทั้งวังเวงและมืดมิด

...น่ากลัวจัง... ไม่อยากไปเลย...

“อทิฏฐ์!”

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสหน้าอกที่ไม่ให้ความรู้สึกใด ไม่ว่าจะความเจ็บปวดหรือเสียงหัวใจเต้น ในหัวมีแต่ภาพของเธออดีตแสนขมขื่นที่เขาย้อนวันวานกลับไปแก้ไขไม่ได้

เขามองตรงเข้าไปในกลุ่มแสงเบื้องหน้า เมื่อคิดดีแล้วว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะอยู่ต่อ

...ขอโทษนะฮาร์ฟ... ที่ผมจะไปโดยไม่เอ่ยแม้คำร่ำลา...



“อทิฏฐ์” นรกรเริ่มใจคอไม่ดี จะกลับก่อนก็ไม่กล้า เขาไม่รู้ว่าถ้าไม่มีเขาอทิฏฐ์จะหาทางกลับโรงพยาบาลเองได้ไหม จะออกไปตามหาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน เดินกระสับกระส่ายวนไปมารอบรถรอบแล้วรอบเล่า

ยิ่งดึกอากาศรอบตัวยิ่งเย็นลงขึ้นเรื่อยๆ นรกรล้วงมือซุกในกระเป๋ากางเกง พลันสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ เขารีบหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ต้องตกใจกับมิสคอลที่โทรติดๆ กันตั้งแต่ช่วงเย็นค้างอยู่ร่วมยี่สิบสายและทั้งหมดเป็นของวินทร์ที่ตอนนี้กำลังโทรเข้ามาอีกครั้ง

“ครับ พี่วินทร์” น้ำเสียงปลายสายฟังดูร้อนรนและพูดเพียงสั้นๆ “ผม... จะรีบไปครับ”

นรกรยัดยัดโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋าด้วยมืออันสั่นเทา เขารีบวิ่งขึ้นรถและสตาร์ทออกไปตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือไปให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

[ลลินชักตอนอยู่ที่สนามสอบ รถพยาบาลไปรับมาแล้วตอนนี้กำลังผ่าตัดฉุกเฉินอยู่]

oooooo

ร่างสูงในชุดหมียืนอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด วินทร์ดึงมาร์สที่ปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งลงไว้ที่ปลายคางก่อนจะลดมือลงมากอดไว้ที่อกเมื่อเห็นคนที่เพียรโทรหาตั้งแต่ช่วงเย็นกระหืดกระหอบออกมาจากลิฟต์

“เธอเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้อยู่ไอซียู” เสียงของวินทร์ห้วนที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ยิ่งกว่าตอนที่ทะเลาะกันวันก่อน

ใจร่วงไปกองอยู่ตาตุ่มถึงการผ่าตัดเรียบร้อยก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ลลินอาจจะรอดแต่ไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”

“ผม...”

“ฉันไม่สนหรอกว่านายจะไปไหนหรือทำอะไรกับใคร แต่นายไม่ควรลืมคำพูดตัวเองว่าจะดูแลเธอ” มือใหญ่กระชากมาร์สออกเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะ

“ข... ขอบคุณพี่วินทร์มากนะครับ”

“ขอบคุณฉันทำไม” วินทร์ถามกลับ “ถ้าอยากจะขอบคุณไปขอบคุณอาจารย์สรวิชญ์นู่น อาจารย์เข้ามาผ่าเองฉันเป็นแค่ผู้ช่วย” ก่อนจะเดินกระแทกเท้าเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

นรกรสูดลมหายใจเข้าจนสุด สองมือกำเป็นหมัดแน่นแทนที่จะตรงไปไอซียู เขากลับหลังหันเข้าลิฟต์และกดลงไปยังภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง

แสงไฟในห้องยังคงส่องสว่าง เขาเคาะมือลงบนบานประตูและถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยไม่รอให้ผู้ที่อยู่ข้างในอนุญาต

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังคงอยู่ในชุดหมีที่ใช้ในการผ่าตัดสวมทับด้วยเสื้อกาวน์ยาวสีขาวและกำลังยืนก้มๆ เงยๆ เก็บเอกสารยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน

“อาจารย์...”

“ผมเตือนคุณแล้วใช่ไหม!” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบโดยไม่ต้องรอให้ถาม “คุณมันอวดดี คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่ทำได้ทุกอย่างหรือไง ทีนี้ผลเป็นยังไง อย่าดีแต่พูดแล้วก็รับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วย”

“ขอโทษครับ”

“คำขอโทษไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น สิ่งที่คุณควรรู้คือทำผิดตรงไหน แต่สิ่งที่คุณควรตระหนักคือคิดหาทางแก้ไข”

“ขอบคุณอาจารย์มากนะครับที่กรุณามาช่วย” นรกรค้อมศีรษะลงจนเกือบตั้งฉากแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจจะรับมันไป

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่แม้จะหันมามองด้วยหางตา เขายังคงสาระวนกับการเก็บของ ด้วยความรีบร้อนทำให้ตำราภาษาอังกฤษตั้งหนึ่งและของที่วางอยู่ข้างกันร่วงกระจายลงบนพื้น นรกรย่อตัวลงเพื่อช่วยเก็บแต่ฝ่ามือของผู้สูงวัยนั้นไวกว่า

“ไม่ต้องผมเก็บเอง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์โยนหนังสือใส่กระเป๋าก่อนจะรวบข้าวของอื่นๆ กองไว้บนโต๊ะ นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองเห็นนรกรยังไม่ยอมขยับไปไหนจึงเอ่ยขึ้น “ไปดูอาการคนไข้หรือยัง”

“ยังครับ”

“งั้นก็ไปซะสิ จริงอยู่ว่าคุณต้องขอบคุณผมแต่คนแรกที่คุณควรไปหาในเวลานี้ไม่ใช่ผม”

“ครับ” นรกรยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะกลับออกมา

ทันทีที่คุณหมอหนุ่มคล้อยหลังศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็ยอมละสายตาจากหนังสือในมือมองประตูที่ปิดตามหลังก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้และใช้ปลายนิ้วชี้นวดบริเวณขมับทั้งสองข้างอย่างเหนื่อยล้า เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการผ่าตัดใหญ่ให้กับรัฐมนตรีระดับสูงท่านหนึ่ง แต่ทันทีที่ทราบข่าวเขาก็รีบจัดการในส่วนที่สำคัญและฝากให้อาจารย์ธนบดีซึ่งเป็นผู้ช่วยทำในส่วนที่เหลือต่อ

เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังมาจากมุมในสุดของห้องซึ่งปิดไฟมืดก่อนที่อาจารย์วิมลภาผู้เป็นภรรยาจะก้าวเข้ามาอยู่ในวงแสงไฟ

เธอเดินอ้อมไปด้านหลังเก้าอี้ วางสองมือลงบนไหล่กว้างและช่วยบีบนวดแรงๆ ไล่อาการเมื่อยขบ “คุณนี่ใจดีกับลูกชายตลอดเลยนะคะ”

ฝ่ามือหยาบกร้านของศัลยแพทย์ผู้ผ่านโลกมานานเอื้อมไปดึงของสิ่งหนึ่งในกองข้าวของที่ร่วงลงไปเมื่อครู่ขึ้นมา มันเป็นกรอบรูปไม้ตั้งโต๊ะแบบโบราณ ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเป็นเขากับภรรยาในวัยหนุ่มสาวที่จูงมือเด็กชายคาดวัยไม่เกินห้าขวบไว้ข้างละคน

เด็กชายที่วิมลภาจูงมือไว้เรือนผมหนาดำสนิทกำลังหัวเราะร่อล้อเล่นกับกล้องที่เธอชี้ชวนให้มอง ในขณะที่เด็กชายเรือนผมสีอ่อนที่ยืนฝั่งเขานั้นแทบจะไปแอบอยู่ข้างหลังและไม่ยอมมองกล้อง
 
“ตรงไหนกัน อย่าว่าแต่มองหน้าเลยแค่นี้มันก็ไม่อยากจะพูดกับผมอยู่แล้ว” พลางกางขาตั้งออกและวางลงข้างคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ที่เดิมที่มันเคยวางอยู่
 
วิมลภาไม่ตอบเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอนหลังพิงพนักเต็มที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพถ่าย “ถ้ามันจะได้เรื่องสักครึ่งหนึ่งของเด็กคนนั้นก็คงจะดี”

วิมลภายังคงไม่พูดอะไรเพียงแต่ส่งแรงไปตามแนวกล้ามเนื้อที่แข็งมากขึ้นอีก

“อวดดี... แล้วก็ต้องให้ผมมาตามเช็ดตามล้าง เมื่อไหร่มันจะทำให้ผมวางใจได้สักทีนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พ่นลมออกจมูกก่อนจะเงียบไปอีกพักใหญ่ “นี่ก็ดึกมากแล้วเรากลับบ้านกันเถอะ”

“ขอบคุณนะคะที่ยอมมาช่วยฮาร์ฟตามที่ฉันขอ” ในที่สุดวิมลภาก็พูดขึ้น

“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย ต่อให้คุณไม่โทรหาผมก็ต้องมาอยู่แล้ว เจ้านั่นมันก็ลูกชายผมนะ ถึงจะรักน้อยกว่าคุณก็เถอะ” พลางรั้งมือบางที่วางบนไหล่มาจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง

oooooo

นรกรเดินเข้าไปในห้องหมายเลข 4 ของไอซียูศัลยกรรม เด็กสาวที่เขารู้จักดีนอนอยู่บนเตียง เธอยังคงหายใจผ่านท่อช่วยหายใจและหลับสนิทจากฤทธิ์ตกค้างของยาดมสลบ ศีรษะซึ่งถูกโกนผมออกไปครึ่งหนึ่งต่อสายระบายน้ำไขสันหลังลงถุงเห็นเป็นสีแดงจางๆ

เขาแตะปลายนิ้วเบาๆ ลงบนหลังมือเล็กเซียว มันเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าอุณหภูมิแอร์ที่เปิดอยู่

“ยังไม่ตื่นเลยค่ะคุณหมอ” พยาบาลประจำห้องเดินเข้ามารายงานอาการ “เห็นหมอวินทร์บอกว่ารถติดมาก กว่ารถพยาบาลจะไปถึงก็เกือบสายไปแล้ว”

นรกรไม่พูดอะไรเพียงแต่เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มให้จนถึงอกและกลับออกมา ที่หน้าห้องเขาเจอกับพ่อแม่ของลลินที่เพิ่งกลับจากการไปซื้อของใช้ให้คนไข้สำหรับนอนโรงพยาบาล

ผู้เป็นแม่ไม่พูดไม่ทักทายอะไรกับเขาเหมือนอย่างเคยนางเพียงแต่เดินสวนไหล่เข้าไปในห้องเพื่อดูลูกสาวเมื่อพ่อหันหลังกลับมาและพูดเสียงดัง

“ความผิดหมอน่ะแหละ!”

“คุณคะ” แม่หันมาปราม

“ทำไมหมอไม่ห้ามลูกผม ทำไมถึงปล่อยให้เธอไป หมอก็รู้ว่าเธอป่วยหนักขนาดนี้ถ้าเธอตายหมอน่ะแหละที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ!”
 
“คุณพ่อคะใจเย็นๆ นะคะ คุณหมอทำดีที่สุดแล้วค่ะ” พยาบาลประจำห้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยอีกแรง

“คุณคะพอเถอะค่ะ”

เมื่อภรรยาเข้ามารั้งต้นแขนผู้เป็นพ่อยกมืกขึ้นชี้หน้าเขาและเดินตามภรรยาเข้าห้องไป

นรกรตัวชาพูดอะไรไม่ออก คำถามของศาสตราจารย์สรวิชญ์ดังขึ้นในหัวและสะท้อนซ้ำไปซ้ำมา

‘คุณรับผิดชอบชีวิตเธอไหวไหม’

...ไม่ไหว...

นั่นคือคำตอบ และทั้งหมดมันคือความผิดเขา และถ้าเธอตายเขาก็ก็คงรู้ไม่ต่างอะไรกับฆาตกร

พยาบาลหันมาส่งสัญญาณให้เขาออกไปก่อนพร้อมกับปิดประตูห้องให้ญาติได้เยี่ยมกันตามลำพังและสงบสติอารมณ์

คุณหมอหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องพักแพทย์ด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้า สองขาหมดแรงจนก้าวแทบไม่ออกแต่แทนที่จะพักเขากลับเดินไปที่ชั้นหนังสือ หยิบตำราออกมาตั้งใหญ่แล้วหอบไปนั่งลงหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ก่อนจะเปิดแฟ้มประวัติคนไข้ขึ้นมาอ่านรายงานการผ่าตัด

ทว่า ยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าใจมันเลยสักตัวอักษร นรกรผลักแป้นคีย์บอร์ดให้ถอยห่างออกไป กวาดตามองไปรอบตัวอย่างไร้จุดหมายก่อนจะสังเกตเห็นว่าปลายนิ้วก้อยสั่นน้อยๆ แล้วลามไปทั่วทั้งฝ่ามือ เขาพยายามทั้งบีบทั้งกำจนข้อนิ้วขาวซีดแต่มันก็ไม่ยอมหยุดและสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาทุบมือลงบนโต๊ะโครมใหญ่มันเจ็บจนปวดหนึบแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด เขาฟาดมือลงอีกครั้ง และอีกครั้งก่อนจะกวาดเอาหนังสือทุกเล่มที่เปิดกางไว้อ้างอิงการรักษาเทกระจาดลงบนพื้น

“โธ่เว้ย!”

และแล้วท่ามกลางข้าวของซึ่งกระจายเกลื่อนกับมือที่แดงก่ำชาจนไร้ความรู้สึก ในที่สุดนรกรก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่หยุด เพราะที่สั่นไม่ใช่แค่มือแต่มันคือหัวใจ

...อวดดี! ไม่ได้เรื่อง! แกมันคือฆาตกร!...

ขบฟันกัดริมฝีปากซ้ำๆ จนห้อเลือด ร่างโปร่งหมดแรงทรุดตัวลงนั่งก่อนจะซุกหน้าลงในวงแขน

ทุกๆ อย่างมันผิดพลาดไปหมด และทุกๆ อย่างมันเป็นความผิดของเขาเอง

ในขณะที่สมองยังสับสนเหมือนเดินวนอยู่ในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ใจก็คิดถึงใครคนหนึ่งที่เคยตามติดไม่ห่างในห้วงเดือนที่ผ่านมา ทั้งที่เคยคิดว่าน่ารำคาญแต่เมื่อหายไปใจคอก็ไม่ดี ไม่ใช่เพิ่งรู้ตัวว่าสำคัญแต่เพิ่งเข้าใจว่าต้องการกำลังใจจากใครคนนั้นมากแค่ไหน

“อทิฏฐ์... คุณหายไปไหน”



***********************************************TBC*******************************************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 27-02-2016 03:29:20
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 27-02-2016 12:11:04
บรรยากาศตอนนี้แบบดราม่าหดหู่มากอ่ะ ฮือออ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ
สำหรับเรื่องของหมอปอกับฝน เราว่าฮาร์ฟตัดใจเถอะ เกลียดว่ะ
อทิฏฐ์ อย่าเพิ่งยอมแพ้นะ หมอฮาร์ฟรออยู่
สงสารต้องการการเยียวยาทั้งคู่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 27-02-2016 13:23:37
อทิฏฐ์ อย่าไปเลยนะ
((´д`))
จะเป็นยังไงต่อล่ะเนี้ย
สู้ๆนะ (;ω;)
อย่าตายนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 27-02-2016 15:08:30
อทิฏฐ์ สู้ๆซี่~ ทำไมจะไม่มีใครรัก อย่าเพิ่งตัดใจที่จะมีชีวิตอยู่เพราะยัยผู้หญิงร้ายกาจคนนั้น
อย่าทิ้งฮาร์ฟให้อยู่คนเดียว  :mew6: ฮาร์ฟต้องการอทิฏฐ์น้าาา

กลับมาเถอะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-02-2016 16:10:43
ด้านสีเทาของแต่ละคนค่อย ๆ เผยออกมา
คนที่คิดว่าสว่างกลับขมุกขมัวขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจคน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: windy_p ที่ 27-02-2016 16:59:00
ไม่สามารถคาดเดาอะไรจากนิยายเรื่องนี้ได้เลยย
อ่านแล้วคิดตาม ลุ้นตามตลอดทุกบรรทัด
ตอนนี้ดราม่าแล้วก็เข้มข้นมาก ทั้งเรื่องเพียงพิรุณ พี่ปอ
ยังขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่อ่านแล้วเซอร์ไพร์สได้ทุกตอน 55

เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเขียนเดียวกับเรื่อง ER ค่ะ
ตอนรู้นี่มีความรู้สึกเหมือนตกหลุมรักสิ่งเดิมอีกครั้งเลย ฮาา
แบบว่าชอบ ER มากกกกกกๆๆๆๆ เป็นนิยายในดวงใจเลย
มาเจอเรื่องนี้ก็ชอบอีก  :-[ เห็นว่าเป็นนักเขียนคนเดียวกันก็ดีในมากเลยค่ะ รีบติดตามแฟนเพจทันทีเลยย 555
เอาใจช่วยทั้งฮาล์ฟแล้วก็ทิดเลยนะคะะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 27-02-2016 22:44:08
มาต่อด่วนๆน้า  :sad4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 28-02-2016 17:10:27
มีเรื่องให้คิดตามไปหมดเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: cocococoa ที่ 28-02-2016 20:03:37
ตามมาจากกระทู้แนะนำ เพิ่งมีโอกาสสมัครเลยรีบมาเม้นค่ะ คนเขียนแต่งเก่งมากเลย เราชอบที่สอดแทรกความรู้เรื่องการแพทย์ไปด้วย ทุกปมน่าติดตาม ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ  :ling1:

รีบมาต่อเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-02-2016 21:36:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 29-02-2016 12:57:10
 :pig4: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PookPick ที่ 01-03-2016 01:55:44
เข้มข้นมากค่ะ

อย่าบอกว่าทิดเป็นพี่น้องกับฮาร์ฟนะ

โอยยยลุ้นทุกตอน รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 01-03-2016 13:31:48
อ่านแล้วเครียดจนไม่อยากอ่านต่อ แต่สนุกเลยอ่าน :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 02-03-2016 12:44:54
งือออออ หน่วง
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: anuyasha ที่ 04-03-2016 02:27:03
โอยย หายไปไหนคะ อย่าทิ้งกันไปสิ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 05-03-2016 09:07:49
รออยู่นะคะ (;ω;)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-03-2016 11:27:24
 :o8: :o8: :o8: :o8:รออออ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 05-03-2016 20:52:11
บทที่ 7 let’s dance in the rain

ร่างโปร่งแสงยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ในเมื่อในโลกนี้ไม่มีอะไรให้ห่วงเขาก็พร้อมแล้วที่จะไป เมื่อเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นด้านหลังอีกครั้ง

“อทิฏฐ์”

...เสียงฮาร์ฟนี่... เกิดอะไรขึ้น คุณเป็นอะไรไปทำไมน้ำเสียงของคุณถึงได้เจ็บปวดขนาดนั้น...

และทั้งที่ไม่ใช่ชื่อตัวเองแต่ทำไมถึงรู้สึกผูกพัน

เขาเหลียวกลับไปมองความมืดมิดด้านหลัง พลันภาพเหตุการณ์ในงานเลี้ยงของคณิณปรากฏขึ้นมาให้เห็น แต่เขาไม่ได้เห็นแค่ภาพหากยังได้ยินเสียง เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ดังออกมาหัวใจของใครคนหนึ่ง

มันเป็นเหมือนแผ่นฟิล์มหนังที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ ภาพที่หน้าห้องผ่าตัด ห้องทำงาน ไอซียูจนกระทั่งมาจบลงที่ความมืดในห้องพักแพทย์

ร่างโปร่งนั่งซบหน้าอยู่บนโต๊ะ ไหล่ทั้งสองที่เคยยืดอย่างผึ่งผายด้วยความมั่นใจลู่ลงและสั่นสะท้าน

...ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่ผมเองก็ไม่อยากกลับไปเจ็บปวดอีกแล้ว...

กำลังจะเดินต่อเมื่อภาพในหัวเปลี่ยนไปอีกครั้ง ท่ามกลางความทรงจำมากมายในช่วงมีชีวิตที่ยังคงหลงเหลือ มีคำสัญญาหนึ่งในช่วงเวลาที่กลายเป็นวิญญาณซึ่งหัวใจยังคงจดจำได้

‘ไม่ว่าคุณจะเป็นใครผมจะไม่ทอดทิ้งคุณ’

เสี้ยววินาทีที่ใบหน้าจริงจังของเจ้าของคำพูดไหววูบเข้ามาแทนที่เธอ พร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบจุดขึ้นกลางหัวใจคล้ายกับมันกำลังพยายามบีบเพื่อสูบฉีดเลือดออกไป สองขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดนิ่ง

อทิฏฐ์จ้องมองแสงสว่างตรงหน้าสลับกับความมืดมิดเบื้องหลัง

...จะ ‘อยู่’ หรือ ‘ไป’...

ไตร่ตรองอยู่อึดใจแล้วจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด

เขาเลือกที่จะไปแต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้ ในเมื่อตอนเป็นคนไม่อาจรักษาอะไรไว้ได้สักอย่างแม้แต่ชีวิตของตัวเอง ถ้าเช่นนั้นในตอนนี้ก็ขอให้เขาได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อใครสักคนก็แล้วกัน

ก่อนจะหันหลังให้แสงและเดินกลับสู่ความมืดมิด

เกิดความรู้สึกกระตุกวูบในช่องอก ตอนนี้อทิฏฐ์ไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างของตนแต่เขาได้ยินเสียงเดิมที่กระซิบข้างหูอย่างโล่งอกว่า

“ยินดีต้อนรับกลับมา”
 



“อทิฏฐ์”

“เรียกผมทำไมครับ”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้น นรกรเงยหน้าขึ้นจากวงแขนมองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่าแต่แล้วความมืดตรงหน้าก็สั่นไหวเล็กน้อยพร้อมกับที่ร่างโปร่งแสงปรากฏตัวขึ้น

นรกรใช้หลังมือขยี้ตาเร็วๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้ากลั้นเสียงไม่ให้สั่น “อทิฏฐ์ คุณไปอยู่ที่ไหนมา ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่แน่ะ นึกว่าคุณจำอะไรได้แล้วไปนั่งร้องไห้คนเดียวที่ไหนซะอีก”

ร่างโปร่งแสงจ้องมองนัยน์ตาสีอ่อนที่แดงก่ำก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ขนาดตัวเองแค่แรงจะยืนยังไม่ไหว ยังอุตส่าห์มีใจเป็นห่วงคนอื่นอีกนะ “ใครกันแน่ที่ร้องไห้”

“ผมไม่ได้ร้อง”

อทิฏฐ์ก้าวเลี่ยงบรรดาข้าวของที่กระจายเกลื่อนเข้าไปยืนตรงหน้า “แล้วทำไมสภาพเป็นแบบนี้”

“ลลิน...”

“นอนโคม่าอยู่ไอซียู” อทิฏฐ์แทรกขึ้น “ผมเจอเธอระหว่างทางมาที่นี่ น่าสงสารนะดูเธอเศร้ามากคงยังไม่อยากไปแต่จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อคุณหมอของเธอใจไม่สู้เสียแล้ว” เขาโกหกอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้เจอเธอหรอก

“ผมไม่ได้ถอดใจ!”

“ไม่ได้ถอดใจแล้วมา...” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงพลางเหลือบตาลงและกวาดมองไปรอบๆ “ทำอะไรที่นี่ นี่น่ะเหรอสภาพของคนที่ใจสู้น่ะ”

“ผมก็พยายามอยู่นี่ไง”

“ไหนล่ะ... ที่ผมเห็นก็แค่ผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่งที่เอาแต่นั่งโทษตัวเองแล้วไม่ทำอะไรสักอย่าง”

“ก็บอกแล้วไงว่ากำลังทำอยู่ การที่เธอยังไม่ตื่นเกิดได้จากหลายสาเหตุแล้วผมก็กำลังหามันอยู่นี่ไง”

“จากไหน?”

“ก็จาก...”

นรกรเงียบไปอึดใจเมื่อคำพูดของศาสตราจารย์สรวิชญ์ดังขึ้นในหัว

‘คนแรกที่คุณควรไปหาในเวลานี้ไม่ใช่ผม’

ริมฝีปากยกมุมขึ้นเล็กน้อย “รู้แล้วใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

ในที่สุดนรกรก็เข้าใจความหมายที่ทั้งพ่อของเขาและอทิฏฐ์ต้องการจะสื่อ การโทษตัวเองไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ควรทำคือหันหน้ามาเผชิญกับปัญหา

“อย่าปล่อยให้เธอสู้อยู่คนเดียวสิ”

นรกรหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าจนสุด และเมื่อเขาเปลือกตานั้นเปิดขั้นขึ้นอีกครั้งเขาก็กลับมาเป็นนรกรคนเดิมที่อทิฏฐ์รู้จัก

คุณหมอหนุ่มพยักหน้าให้ร่างโปร่งแสงตรงหน้าที่ยิ้มตอบกลับมาแล้วก้มลงเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ไอซียู

พ่อกับแม่ของลลินยังคงนั่งเฝ้าอยู่ด้านนอก ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นหน้าเขา

“หมอ!”

“หมอจะรักษาเธอสุดความสามารถครับ” นรกรชิงพูดขึ้นก่อน “คุณพ่อไม่ต้องเชื่อหมอ แต่หมออยากให้คุณพ่อเชื่อในตัวลูกสาวเพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังสู้อยู่เหมือนกัน ขอตัวนะครับ” แล้วค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งก่อนจะผลักประตูเข้าไป

หลังจากตรวจโดยละเอียดอีกครั้งและสั่งการรักษาเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงไปเกือบรุ่งสางแล้ว แต่ลลินยังคงไม่รู้สึกตัว นรกรยืนอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกวาดหาอาการผิดปกติของร่างกายและเส้นกราฟต่างๆ ที่มอนิเตอร์ไว้ซึ่งอาจมองข้ามไป
นรกรทราบดีว่าทุกอย่างต้องใช้เวลาเขาเดินกลับออกมาหน้าห้องไอซียูอีกครั้งเพื่อแจ้งอาการให้ญาติทราบซึ่งตอนนี้เหลือผู้เป็นพ่อนั่งอยู่เพียงลำพัง

“ขอโทษนะครับ คุณแม่ไปไหนครับ”

“แม่เขาต้องทำงานตอนเช้า ไม่อยากให้ลาน่ะ เสียวันลาเยอะแล้วเดี๋ยวโดนไล่ออก”

นรกรรายงานอาการและการรักษา ผู้เป็นพ่อนั่งฟังอย่างสงบแม้จะเห็นได้ชัดถึงความผิดหวังในแววตา

“คุณพ่อมีอะไรที่อยากให้หมออธิบายเพิ่มอีกไหมครับ”

พ่อส่ายหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ไม่มีอะไรแล้วครับ” เขาเงียบไปอึดใจก่อนจะกระซิบขึ้น “แล้วก็ขอโทษนะหมอ เมื่อกี้ผมใจร้อนไปหน่อย”

นรกรอดแปลกใจไม่ได้กับท่าทีที่เปลี่ยนใจ “ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ แล้วก็ขอบคุณนะครับ”

“ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณหมอ” พ่อพูดพลางหยิบไดอารี่ของลูกสาวที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างตัวขึ้นมาวางบนหน้าตัก ฝ่ามือที่เริ่มมีริ้วรอยพลิกไปที่หน้าสุดท้ายที่เจ้าของเขียนค้างไว้ ลายมืออาจไม่สวยแต่เป็นระเบียบแสดงถึงความตั้งใจของคนเขียน เขาเงยหน้าขึ้นสบตานรกรก่อนจะเหลือบมองเก้าอี้ว่างข้างตัว

คุณหมอหนุ่มจึงทรุดตัวลงนั่ง แล้วผู้เป็นพ่อก็อ่านออกเสียงข้อความนั้นให้เขาฟัง

“ขอบคุณ คุณหมอที่ให้หนูได้มีโอกาสตามความฝัน”
   
แล้วพ่อก็เงียบไปในขณะที่นรกรเม้มปากสนิท เขาก้มลงมองมือตัวเองที่กำแน่นจนชื้นเหงื่อเมื่อมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองเจ้าของมือ

“ตลกดีนะหมอ” เสียงของพ่อเครืออยู่ในลำคอ “เป็นพ่อลูกกันมายี่สิบปี ผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเธออยากเป็นอะไร หมอรู้ไหม ตั้งแต่รู้ว่าเธอป่วยไม่มีคืนไหนเลยที่ผมจะหลับสนิท ตัวนอนอยู่ที่บ้านแต่ใจเฝ้าลูกอยู่ข้างเตียง ผมอาจดูไม่เสียใจเพราะผมต้องทำตัวให้เข้มแข็งในขณะที่แม่เขาร้องไห้ผมต้องมีสติ แต่กลายเป็นว่าลลินกลับเข้มแข็งได้มากกว่าพ่ออย่างผมเสียอีก รอยยิ้มของลูกคือกำลังใจของผม ตอนเห็นเธอเป็นแบบนั้นมันเหมือนโลกของผมพังทลาย แล้วก็เอาแต่โทษว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั้งๆ ที่หมอบอกผมแล้ว ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนเลือกมันเอง”

พ่อยกมือขึ้นปิดหน้าแน่นและซบลงกับหัวเข่า

“ขอโทษนะหมอ... ช่วยลูกผมให้ได้นะ”

“หมอจะทำให้ดีที่สุด” นรกรบอก “ทุกอย่างอยู่กับเธอครับว่าจะสู้ไปกับพวกเราได้แค่ไหน”

พ่อเงยหน้าขึ้นมาและสบตาเขา

“แต่ผมก็ไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่เธอยอมแพ้นะ”

ประตูห้องไอซียูเปิดออก พยาบาลสาวเหลียวซ้ายมองขวาก่อนจะพุ่งตรงมาที่พวกเขา “หมอคะคนไข้เริ่มตื่นแล้วค่ะ”
ทั้งสองผุดลุกขึ้นทันที

“หมอขอไปดูอาการคนไข้ก่อนนะครับ”

นรกรรีบเดินตามเธอเข้าไปในขณะที่พ่อยืนรออยู่ด้านนอก

เขาเข้าไปยืนข้างเตียง เปลือกตาบางค่อยๆ ปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกะพริบสองถึงสามครั้งเพื่อสู้แสงไฟ

“ตื่นแล้วเหรอ”

ลลินไม่มีทีท่าตกใจกับสิ่งแปลกปลอมที่สอดใส่เข้ามาในร่างกลายเพราะคุ้นชินกับพวกมันดีจาการผ่าตัดถึงสี่ครั้งในรอบห้าปี ริมฝีปากแห้งผากขยับเบาๆ ไม่มีเสียงเพราะมีท่อช่วยหายใจอยู่พออ่านได้ว่าเธอกำลังเรียกชื่อเขา “หมอฮาร์ฟ”

“เป็นไงบ้าง”

เด็กสาวค่อยกระดิกปลายนิ้วที่ยังรู้สึกหนึบชาก่อนจะยกขึ้นชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางให้อย่างรู้งาน มันเป็นคำสั่งพื้นฐานที่แพทย์ใช้ทดสอบระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยแต่สำหรับลลิน นรกรดีเข้าใจดีว่ามันสื่อความหมายว่าเธอกำลังสู้อยู่

ลำคอของคุณหมอหนุ่มแห้งผาก คำพูดมากมายจ่ออยู่คอหอยแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนสุดท้ายเขาก็พูดได้แค่ประโยคพื้นๆ ที่ถอดความออกมาจากตำรา “ตอนนี้หนูอยู่ไอซียู การผ่าตัดเรียบร้อยดีอาจารย์สรวิชญ์เป็นผู้ผ่าให้ นอนพักนะครับถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ตอนเช้าหมอจะเอาท่อช่วยหายใจออกให้”

ลลินพยักหน้าพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้

“หมอขอโทษนะ”

นัยน์ตากลมของคนป่วยหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปที่ตัวเองแล้วเอานิ้วชี้แตะกับนิ้วโป้งและกรีดนิ้วที่เหลือออก ที่สื่อความหมายได้ว่า “หนูโอเค” เธอชี้มาที่เขาอีกครั้งและชูนิ้วโป้งขึ้น

“นอนพักนะครับ”

ลลินพยักหน้า

หลังจากตรวจจนแน่ใจและสั่งการรักษาเสร็จสิ้นนรกรเดินกลับออกมาหน้าไอซียู พ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับแม่มือไม้สั่นด้วยความดีใจ “เห็นพยาบาลบอกว่าตื่นแล้ว หมอกำลังเข้าไปดูอยู่... อ๊ะ หมอมาพอดีเลยแค่นี้ก่อนนะแม่ แม่ก็นอนพักนะมีอะไรเดี๋ยวพ่อโทรหา”

“ตอนนี้อาการเริ่มคงที่แล้ว ถ้าจนถึงช่วงเช้ายังไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรหมอคิดว่าตอนเช้าน่าจะเอาท่อช่วยหายใจออกได้”

“ขอผมดูลูกได้ไหมหมอ”

“เชิญครับ”

นรกรออกมาจากไอซียู ระหว่างทางเดินกลับไปห้องพักแพทย์ เงียบๆ ทำให้ได้คิดทบทวนเรื่องราวในคืนที่ผ่านมา เขาไม่ได้ภูมิใจในตัวเองที่ช่วยลลินได้สำเร็จแต่รู้สึกดีที่ได้ทำอย่างเต็มความสามารถและจะไม่มาคิดเสียใจภายหลัง

“เช้าแล้วนะ”

เสียงอทิฏฐ์พึมพำขึ้นข้างๆ นรกรเหลียวมองออกไปด้านนอก ก่อนจะหยุดยืนมองแสงแรกของวันที่ริมขอบฟ้า ไม่ว่ากลางคืนจะยาวนานแค่ไหนแต่เมื่อถึงเวลาพระจันทร์ก็ต้องลับขอบฟ้าและวันใหม่จะเริ่มต้น

นัยน์ตาสีอ่อนมองจ้องร่างโปร่งแสงตรงหน้าอยู่อึดใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกขอบคุณสิ่งที่ตัวเองมองเห็น “เมื่อคืนหายไปไหนมา”

“เปล่า”

“ไม่เชื่อหรอก” นรกรว่า “ทีผมมีอะไรยังบอกคุณเลย ทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกผมล่ะ... เรื่องคุณเพียงพิรุณเหรอ”

อทิฏฐ์พยักหน้า

“จำตัวเองได้แล้วเหรอ”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้าครั้งหนึ่ง

“หมายความว่าไง”

“ผมจำได้ว่าเคยรักเธอมากแค่ไหน จำเรื่องราวของเราได้ แต่ที่สิ่งเดียวที่ยังไม่รู้คือผมเป็นใคร”

“แล้ว...”

“ฮาร์ฟ” อทิฏฐ์เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตัดสินใจโกหก “ที่ผมเคยบอกว่าตัวเองยังไม่ตายน่ะ ดูเหมือนว่าผมจะเข้าใจผิดล่ะ จริงๆ แล้วผมตายไปนานแล้ว”

“เสียใจด้วยนะ แล้วคุณจะเอายังยังไงต่อ” รู้สึกย้อนแย้งกับตัวเองไม่น้อย ที่ไม่ได้เสียใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย อันที่จริงดูเหมือนเขากลับรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ด้วยซ้ำ

“คุณเคยบอกว่าคนเราตายแล้วต้องไปที่ชอบๆ ใช่ไหม แล้วจะให้ผมไปทำไมในที่ๆ ไม่รู้จัก ในเมื่อผมชอบที่นี่ ข้างๆ คุณ ดังนั้นผมจะอยู่จนกว่าผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นใครและคิดออกว่าจะไปที่ไหน”

ยิ่งได้ยินดังนั้น กอปรกับรอยยิ้มกว้างของร่างโปร่งแสงที่มีแสงสีทองของพระอาทิตย์สาดส่องอยู่ด้านหลังดูเป็นประกายเจิดจ้า จนเขาต้องหันหน้าหนีพลางยกมือขึ้นปิดเสี้ยวหน้าซ่อนริมฝีปากที่เผลออมยิ้มตามไปด้วย หากปากยังแข็งแกร้งทำเป็นไม่สนใจ

“อยากทำอะไรก็ทำ” 

“แกล้งทำเป็นดีใจหน่อยก็ไม่ได้” อทิฏฐ์แยกเขี้ยวใส่ก่อนจะหันไปชี้ชวนให้ดูหญิงสาวคนหนึ่งที่วิ่งสวนไปบนทางของตึกที่อยู่ติดกัน “นั่นคุณเพียงพิรุณไม่ใช่เหรอ มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

นรกรไม่ตอบ คิ้วเรียวขมวดเป็นโบอยู่อึดใจ ไม่ได้นึกสงสัยกับทางเดินที่ตัดตรงไปยังแผนกสูติ-นารีเวช แต่เพราะอะไรบางอย่างที่เด่นสะดุดตานั่นต่างหากที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด

เมื่อมาถึง OPD นรกรตั้งใจจะไปขอบคุณและคุยกับวินทร์ให้รู้เรื่องแต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องตรวจ จึงเดินไปถามสิทธิชัยที่อยู่ห้องตรงข้าม

“พี่วินทร์ไปธุระน่ะครับ ฝากเคสพวกผมไว้แล้ว”

นรกรกลับไปทำงานของตนต่อ และก่อนถึงเวลาพักเที่ยงเขาก็ได้รับข่าวดี เมื่อจิงโจ้โทรมารายงานอาการของลลิน

“ถ้าตื่นดีนายก็ถอดท่อช่วยหายใจออกได้เลย” นรกรสรุปการรักษาหลังจากฟังการตรวจร่างกายโดยละเอียดยิบ

[จะเอาอย่างนั้นเหรอครับ ผมว่าพี่ฮาร์ฟมาดูเองดีกว่า]

ไม่ใช่ไม่เต็มใจแต่น้ำเสียงรุ่นน้องบ่งชัดถึงความไม่มั่นใจ จิงโจ้เป็นคนหัวดีและมีไหวพริบแต่กลับไม่ค่อยกล้าทำหัตถการกับคนไข้

“มีอาการอะไรไม่แน่ใจที่ต้องรอให้พี่ไปประเมินเพิ่มเติมเหรอ”

[ก็... ไม่มีครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี]

“พี่ยังตรวจไม่เสร็จเลยคงอีกนาน คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ครั้งก่อนที่พี่สอนนายก็ทำได้ดีนี่ ทำเหมือนเดิมแหละ”

[แต่ว่า...]

“จากข้อมูลที่นายบอกพี่คนไข้ตื่นดี หายใจได้เอง และเส้นเสียงก็ไม่บวมตามสถิติที่ผ่านมาเปอร์เซ็นความสำเร็จในการถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ต้องใส่ใหม่คือ 90% เสร็จแล้วนั่งสังเกตอาการสักครึ่งชั่วโมง ผลเป็นยังไงโทรบอกพี่ด้วยนะ” นรกรวางสายและหันไปสบตาคนที่นั่งเท้าคางมองอยู่ “มีอะไร”

“เมื่อกี้เป็นคนไข้คนสุดท้ายของคุณ และผมก็เพิ่งเห็นอนุวัฒน์เดินออกไป” อทิฏฐ์ว่า

“ถ้าไม่หัดให้ทำคนเดียวบ้างแล้วจะมีความมั่นใจได้ยังไง” นรกรบอก “แล้วพี่พยาบาลที่ไอซียูก็เก่งๆ และมีประสบการณ์ทั้งนั้น ถ้ามีปัญหาอะไรเผลอๆ เขาโทรหาผมก่อนเจ้าจิงโจ้อีก”

“คุณนี่เป็นคนดีจริงๆ”

มือที่กำลังเขียนแฟ้มผู้ป่วยชะงักไปเล็กน้อยพลางพึมพำกับตัวเอง “ไม่หรอก... ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่คุณคิดหรอก”
   
ส่งเคสสุดท้ายกลับบ้านก็ปาไปบ่ายโมง ตอนนี้ห้องตรวจอื่นๆ ปิดไฟเงียบแล้วเหลือแต่เขาคนเดียว นรกรกำลังจะออกจากห้องเมื่อเห็นเงาคนผ่านหน้าประตูกระจกเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องตรวจที่อยู่ติดกัน
   
“พี่วินทร์คงกลับมาแล้ว”
   
กำลังจะเคาะกำปั้นลงบนบานประตู แต่เสียงที่ดังลอดออกมาทำให้นรกรชะงักมือไว้แค่นั้นเพราะวินทร์ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“พี่ว่าฝนทำแบบนี้ไม่ถูกนะ”

“มันก็เรื่องของฝน”

“แล้วฝนคิดว่าจะโกหกเรื่องท้องไปได้อีกนานแค่ไหน ปอมันเป็นหมออายุรกรรมนะไม่ใช่ควายจะได้ไม่รู้น่ะ”

“มันก็เรื่องของฝนอีกน่ะแหละ ยังไงก็ขอบคุณพี่วินทร์นะคะที่วันนี้อุตส่าห์พาฝนไปหาหมอ”

“คุณว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน” อทิฏฐ์ถามรู้สึกวิตกหน่อยๆ ไม่ว่าจะมองให้โลกสวยแค่ไหนมันก็ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเลย

“เรื่องอะไรก็ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวกับผม” นรกรตัดบท เขาเดินออกมาถึงหน้า OPD แล้วเมื่อร่างสูงในชุดกาวน์ยาวพุ่งออกจากลิฟต์และวิ่งตรงมาหา

“ฮาร์ฟ”

“ไม่เกี่ยวไม่ได้แล้วสินะ” อทิฏฐ์ย่นปาก

“ไปกินข้าวกับพี่ไหม พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“แต่ผมกำลังจะไปดูคนไข้ที่วอร์ด” นรกรรีบปฏิเสธเขาไม่อยากให้เพียงพิรุณออกมาเห็นว่าอยู่ด้วยกัน

“งั้นพี่ไปด้วย”

“นานนะครับ พี่ปอไปก่อนเถอะอย่าหิ้วท้องรอผมเลย”

“ไม่เป็นไรพี่รอได้” คณิณคว้าเข้าที่มือพร้อมทั้งออกแรงดึง “งั้นเรารีบไปกันเถอะ”

บานประตูห้องตรวจเปิดออก หญิงสาวในชุดเดรสก้าวออกมาก่อน เพียงพิรุณชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสองคนที่ยื้อยุดกันอยู่

“พี่ปอ”

“อ้าวฝนมาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

นัยน์ตากลมสวยมองสองคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะไปหยุดลงที่มือซึ่งยังจับกันไม่ปล่อย “เปล่าค่ะ”

“ฝน!” เสียงวินทร์ดุมาจากข้างหลังและเดินมายืนข้างกัน

“พี่วินทร์ ฝนจัดการเองค่ะ”

“มีเรื่องอะไรกัน” คณิณถามงงๆ

“อยากรู้ก็ถามแฟนตัวเองเองสิ ไม่ใช่มามัวขลุกอยู่กับคนอื่น”

“นายพูดบ้าอะไรน่ะวินทร์”

“แล้วมันไม่จริงหรือไง”

นรกรไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวมากกว่านี้เขารีบแกะมือคณิณออกและเดินเลี่ยงออกมา “ผมขอตัวนะครับ”

“เดี๋ยวสิฮาร์ฟ”

เมื่อเห็นคณิณเดินตามมาจากที่ตั้งใจจะลงลิฟต์ นรกรจึงยอมเลี้ยวลงบันได หูยังแว่วได้ยินเสียงพูดคุยที่จับความได้บ้างไม่ได้บ้างดังมาเป็นระยะ

“พอเถอะค่ะพี่วินทร์ ฝนบอกแล้วไงว่าฝนจัดการเอง”

“แล้วนี่พวกนายไปรู้จักกันตอนไหน”

“ก็ตอนที่นายไม่รู้น่ะแหละ”

“พี่วินทร์คะ พอเถอะค่ะ”

“ฝน!”

เสียงของคณินกับวินทร์ที่ดังก้องขึ้นพร้อมกันทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมองตรงขั้นบนสุดของบันได เสี้ยวนาทีที่รองเท้าส้นสูงก้าวพลาดและไถลไปข้างหน้าพาเจ้าของให้ร่วงลงมาด้วยกัน
   
โครม!
   
เสียงกระแทกดังสนั่นก่อนที่เสียงกรีดร้องจะเงียบลงไปพร้อมกับร่างที่แน่นิ่งอยู่ตรงชานพักบันได ของเหลวสีแดงสดไหลรินเป็นสายออกมาบนพื้น
   
มันควรจะเป็นจะเป็นเช่นนั้นแต่ต่างกันตรงที่ไม่มีเลือด ถึงหญิงสาวจะสลบไปเพราะแรงกระแทกบวกกับตกใจแต่เธอยังปลอดภัยดีอยู่ในวงแขนของเขาที่ยื่นออกไปคว้าไว้ได้ทันแบบเฉียดเส้นยาแดง
   
“ฝนไม่เป็นไรนะ” เสียงคณิณดังก้องมาจากบันไดขั้นบนสุดพร้อมเสียงรองเท้าสองคู่วิ่งลงบันไดมา

“ค่ะ” เพียงพิรุณเริ่มได้สติเธอพยายามดันตัวลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองช้าๆ ก่อนจะหน้ามืดเซล้มลงซึ่งเป็นโชคดีอีกครั้งที่คณิณซึ่งวิ่งลงบันไดมาถึงรับไว้ได้ทัน

“อย่าเพิ่งยืนสิฝน”

“รีบพาเธอไป ER ก่อนดีกว่า” วินทร์บอก “เดี๋ยวฉันตามเปลให้”

“ไม่เป็นไร” คณิณว่า “เธอยังลุกมาเดินได้เดี๋ยวฉันอุ้มเธอลงไปเองน่าจะเร็วกว่า นายช่วยโทรบอกที่ ER ให้เตรียมรับหน่อยละกันไม่รู้วันนี้พี่ปืนอยู่เวรหรือเปล่า”

“ได้ๆ”

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนสมองแปลข้อมูลแทบไม่ทัน นรกรคว้าราวบันไดดึงตัวเองลุกขึ้นยืนและเฝ้ามองชายหนุ่มสองคนช่วยกันปฐมพยาบาลหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่มีใครสักคนที่จะหันมาสนใจเขา

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” อทิฏฐ์พยายามจะเข้ามาช่วยประคองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนอย่างเคย

นรกรส่ายหน้า “คุณจะตามไปดูเธอก็ได้นะ ผมไม่เป็นไรแค่...” เขายกข้อมือข้างซ้ายที่เจ็บจนชาขึ้นมาดูมันกระแทกเข้ากับขอบบันไดตอนยื่นมือออกไปคว้าตัวหญิงสาวไว้และตกลงมาด้วยกัน พยายามกำมือเข้าออกช้าๆ เมื่อเห็นว่ายังขยับได้ดีจึงค่อยโล่งใจ ส่วนรอยถลอกเล็กๆ ตรงหลังมือนั่นเดี๋ยวค่อยไว้ไปล้างแผลเองทีหลัง เมื่อวินทร์วิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดมาอีกครั้ง

“ฮาร์ฟ”

นรกรรีบซุกมือใส่กระเป๋าให้พ้นจากสายตา “พี่วินทร์ลืมอะไรหรือครับ”

“ไปทำแผลกัน”

“แผลอะไรครับผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“อย่าปากแข็ง” วินทร์คว้าเข้าที่ข้อมือข้างซ้ายและดึงออกมา หลังมือโดนครูดจนผิวหนังหลุดไปเป็นริ้วๆ เห็นเนื้อขาวซีดกับเลือดไหลซิบ นัยน์ตาคมมองจ้องอยู่อึดใจแล้วออกแรงดึงกึ่งลากกลับไปที่ OPD เข้าไปในห้องตรวจของตนซึ่งยังไม่ได้ล็อกและดันให้นรกรนั่งลงบนเก้าอี้ในขณะที่เจ้าตัวเดินไปหาอุปกรณ์ทำแผล

เมื่อได้มาครบก็วางลงบนโต๊ะเทน้ำยาฆ่าเชื้อผสมกับน้ำเกลือล้างแผล ก่อนจะคว้ามือเขาขึ้นมาและใช้คีมคีบสำสีจุ่มน้ำยาแล้วแตะลงบนหลังมือ

“พี่วินทร์หายโกรธผมแล้วเหรอ”

“ยัง” วินทร์ตอบทั้งที่นัยน์ตายังจับจ้องอยู่ที่แผล

“แล้วทำไม...”

“ฉันโกรธนายไม่ได้หมายความว่าจะเป็นห่วงนายไม่ได้นี่” และวินทร์ก็ไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อยน้ำเสียงของเขายังห้วนสั้น แต่มือนั้นค่อยบรรจงแตะสำลีเพื่อให้เขาเจ็บน้อยที่สุด “เหมือนกับที่นายไม่ชอบฝนแต่นายก็ยังช่วยเธอ... แต่ที่ฉันช่วยนายไม่เกี่ยวกับเรื่องที่นายช่วยฝนหรอกนะ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นหลุบลงมองบาดแเผลสลับกับคนตรงหน้าและนึกละอายกับความใจดีที่ตนไม่สมควรได้รับสักนิด

“เจ็บก็บอกนะ”

“เจ็บครับ”

“ตรงไหน” นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมองแต่เมื่อสบเข้ากับแววตาที่มองตรงมา เขาก็เข้าใจเพราะความเจ็บนั้นไม่ได้อยู่ที่แผลบนหลังมือแต่มันกัดกินลึกลงไปมากกว่านั้น วินทร์บีบฝ่ามือที่ประคองไว้แน่นขึ้นอีก

“ผมขอโทษ” กระซิบเสียงพร่าผ่านริมฝีปากที่แห้งผาก

“รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงโกรธ” นัยน์ตาคมเหลือบลงดูแฟ้มประวัติของเพียงพิรุณที่ตั้งใจเปิดกางทิ้งไว้บนโต๊ะ

นรกรพยักหน้า

“นายรู้ใช่ไหมว่าวันที่ฉันชวนนายไปกินข้าวมันคือวันอะไร”

นรกรพยักหน้าอีกครั้ง

วินทร์ทายาลงบนหลังมือและปิดด้วยผ้าก๊อซ ก่อนจะประกบมืออีกข้างทับลงไปและบีบเบาๆ “ไม่ใช่ความผิดนายคนเดียว ฝนก็ผิด ปอก็ผิดแต่เราทำเรื่องนี้ให้มันถูกต้องได้”

ริมฝีปากเม้มแน่น นรกรพยักหน้าอีกครั้ง “ครับ”
oooooo


(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 6 When the 'Rain' comes P.2[27/02/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 05-03-2016 21:20:11
บทที่ 7 (ต่อ)

“คุณมาทำอะไรที่นี่” อทิฏฐ์ถามเมื่อเห็นป้ายชื่อหน้าห้องพักในหอผู้ป่วยพิเศษ
   
“มาทำให้เรื่องมันถูกต้องไง” นรกรกระซิบ “อทิฏฐ์ ไม่ว่าต่อจากนี้คุณจะได้ยินอะไรคุณมีสิทธิ์ที่จะโกรธผม ต่อว่าผม แต่ผมขอได้ไหม อย่าเกลียดผมเลยนะเพราะแค่นี้ผมก็เกลียดตัวเองจะแย่แล้ว” เขาเคาะมือลงบนบานประตูห้องพักและเปิดเข้าไป “ขออนุญาตครับ”

หญิงสาวในชุดคนไข้นอนอยู่บนเตียง หน้าตาของเธอดูซีดเซียวแต่ยังคงดูสวยทั้งที่ปราศจากเครื่องสำอางแต่งแต้ม บนหลังมือข้างหนึ่งต่อสายให้น้ำเกลือไว้ มีเลือดไหลย้อนขึ้นมาเต็มสายเมื่อเธอพยายามลุกขึ้นนั่ง เพียงพิรุณตกใจและลนลานหันไปคว้าออดที่หัวเตียงเพื่อเรียกพยาบาลที่เคาน์เตอร์

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูให้” นรกรก้าวเข้าไปยืนข้างเตียง คว้ามือมาตรวจดูบริเวณจุดที่ให้เมื่อเห็นว่าปกติดีจึงเปิดเร่งน้ำเกลือให้ไหลเร็วขึ้นเพื่อไล่เลือดเข้าไปก่อนจะปรับกลับมาที่อัตราหยดเท่าเดิม

“พี่ปอไม่อยู่เพิ่งโดนโทรตามออกไปเมื่อกี้เอง” เธอกระซิบพร้อมกับชักมือกลับมากุมไว้บนหน้าตัก

“ดีแล้วครับเพราะผมนั่งรอจังหวะที่คุณจะอยู่คนเดียวอยู่ตั้งนาน” นรกรกล่าวเขาทราบเรื่องที่เธอต้องเข้าพักรักษาตัวมาจากวินทร์
   
เพียงพิรุณเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและขยับตัวนั่งให้ถนัดพลางผายมือเชิญแขกให้นั่งลง “มีธุระอะไรกับฝนคะ”

นรกรเหลือบตาลงมองที่พื้นก่อนจะตวัดขึ้นมาสบตาเธอเต็มที่ “รองเท้าสวยนะครับ” มันคือรองเท้าส้นเข็มคู่เดียวกันกับที่เขาเห็นที่ร้านอาหารเมื่อหลายวันก่อน

“แล้วทำไมคะ”

“คนท้องไม่น่าใส่รองเท้าแบบนี้นะครับ โดยเฉพาะคนที่ฉลาดและรอบคอบอย่างคุณ”

เพียงพิรุณทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอทำปากขมุบขมิบที่อ่านได้ว่า ‘พี่วินทร์’ ก่อนจะพูดด้วยเสียงปกติ “แล้วยังไงคะ คุณจะบอกพี่ปอเรื่องที่ฝนไม่ได้ท้องเหรอ”

“เปิดเผยความลับคนไข้ไม่ใช่สิ่งที่หมอควรทำ”

เธอไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “แล้วคุณมาทำไม”

“มาขอโทษ” นรกรเอ่ยขึ้นและนั่นยังความแปลกใจให้หญิงสาวอย่างที่สุด เพียงพิรุณหันมาสบตาเขาเต็มตาเป็นครั้งแรก  “ถ้ามันเป็นเพราะผม ไม่ว่าจะมากหรือน้อยได้โปรดยกโทษให้ผม... ที่ทำให้คุณต้องเสียลูกไป”

นัยน์ตากลมเบิกโพลง อทิฏฐ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เองก็ตกใจไม่แพ้กัน

นรกรเม้มปากแน่นก่อนจะพูดต่อ “คุณอย่าโกรธพี่ปอเลย ผู้ชายไม่ละเอียดอ่อนคนนั้นจำไม่ได้หรอก... แต่ผมรู้ และทั้งๆ แบบนั้นผมก็ตอบรับคำชวนไปกินข้าวกับเขาในวันครบรอบวันแต่งงานของพวกคุณ”

...ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร แค่อยากมีสักเศษเสี้ยวหนึ่งที่รู้สึกว่าได้ช่วงชิงเวลาของตนคืนมา...

“คุณ...” เสียงของเพียงพิรุณแหบพร่าในทันที เธอยกมือขึ้นปิดปากแน่นก่อนจะไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป “คุณมัน...”

“ผมขอโทษ คุณจะด่าว่าผมยังไงก็ได้แต่ผมคงให้คุณได้แค่คำว่าขอโทษ”

เพียงพิรุณเหลือบมองคนในชุดกาวน์ สองมือกำเป็นหมัดแน่น จินตนาการมาตลอดว่าอยากจะทำอะไรไม่ว่าจะต่อยตี หรือถ้อยคำต่อว่ารุนแรง แต่เมื่อเห็นศีรษะที่ก้มลงต่ำจนแทบชิดหัวเข่าสิ่งเดียวที่เธอทำคือเอื้อมมือไปคว้ากล่องทิชชูหัวเตียงมาซับน้ำตาก่อนจะเงยหน้ามองเพดานและสูดลมหายใจเข้าจนสุด

“คุณไม่ใช่คนเดียวที่ผิด” เสียงของเธอยังติดสะอื้นนิดๆ “ฉันมันก็บ้าไปเอง... ทั้งๆ ที่เขาก็ขออนุญาตกับฉันแล้วว่าจะออกไปไหน ทั้งๆ ที่เขาก็กลับมาตรงตามเวลาที่บอกแต่ฉันก็ยังไม่หยุดคิดอะไรไร้สาระ ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนเอาแต่นั่งทำงานเพื่อให้หายฟุ้งซ่าน... เขาจากฉันไปตอนเช้าวันรุ่งขึ้น อายุสองเดือนมันจะมีอะไรมากไปกว่าก้อนเลือดเล็กๆ แต่ถึงยังไงเขาก็คือลูกของฉัน”

นรกรปล่อยให้เธอได้พูดระบายและร้องไห้จนพอใจจึงพูดต่อ “จากนี้ไปคุณสบายใจได้แล้วนะครับ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผม ถ้าคุณไม่อยากให้ผมมาเจอเขาอีกผมจะไม่ทำ... พี่ปอรักคุณนะ ไม่ได้รักแค่ลูกของคุณ เห็นตอนที่ตกบันไดไหม เขาแทบไม่สนใจผมสักนิด”

“เขาก็แค่เป็นห่วงลูก”

“อยากคิดแบบนั้นก็ตามใจครับ แต่คุณรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่”

เพียงพิรุณนิ่งไปเล็กน้อย ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งกุมมืออยู่ข้างเตียงเฝ้าปลอบซ้ำๆ ว่าเธอจะไม่เป็นไรจนกระทั่งปาวัสม์รุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ห้องฉุกเฉินต้องออกปากไล่เพราะขัดขวางการตรวจรักษา รวมทั้งเรื่องที่ขอแอดมิทให้น้ำเกลือทั้งที่ไม่จำเป็นนี่ถ้าไม่ถูกโทรตามเพราะคนไข้อาการไม่ดีก็คงไม่ยอมผละไป เธอโยนทิชชูที่ปั้นจนเป็นก้อนลงถังขยะข้างเตียงและพยักหน้า

“ฝนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะเรื่องหมาของคุณ”

“เลิกปกป้องพี่ปอได้แล้วครับ” นรกรว่า “ถ้าคุณเกลียดจนอยากจะฆ่ามันจริงๆ คุณคงไม่ลงทุนหาหมาตัวใหม่ที่เหมือนกันมาและตั้งชื่อมันว่าบิชอฟ... ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับจริงๆ แล้วมันตายยังไง มันทรมานไหม”

“พี่ปอไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้มันตายแต่ตอนนั้น...” 

เพียงพิรุณไม่เคยลืมภาพสุนัขหงอยๆ ที่นั่งรอเจ้าของกลับบ้านเป็นชั่วโมงๆ แต่คณิณแทบไม่สนใจมันเลยสักนิด ไม่แม้จะเล่นด้วยหรือแลดูมันด้วยหางตา แม้ในยามที่มันป่วยข้าวปลาไม่ยอมกินเป็นวันๆ

และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเธอพามันใส่รถไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ประจำมหาวิทยาลัยซึ่งมีสมุดประวัติการฉีดวัคซีนอยู่

สุนัขที่นอนซมอยู่ในตะกร้าผงกศีรษะขึ้นมาเลียมือเบญจพัฒน์สัตวแพทย์หนุ่มที่เรียกชื่อมันอย่างสนิทสนมก่อนเขาจะหันมาหาเธอและถามหาชื่อเจ้าของที่เธอไม่เคยได้ยิน

‘แล้วฮาร์ฟไปไหนครับทำไมถึงปล่อยให้คุณพามา’

“มันดีขึ้นอยู่พักหนึ่งค่ะก่อนที่มันจะตาย หมอเบลล์บอกว่ามันเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจ”

นับจากวันนั้นคณิณก็ยิ่งเศร้าซึมหนักขึ้น เธอจึงหาสุนัขตัวใหม่ที่เหมือนเดิมมาให้เลี้ยงและทันทีที่เห็นบิชอฟตัวใหม่วิ่งหูปลิวเข้ามาในบ้าน คณิณก็ยกมือขึ้นปิดหน้าคุกเข่าลงกับพื้นและยอมปริปากเล่าทุกอย่างในใจให้เธอฟังจนหมดหลังจากที่อยู่กินกันมาถึงหนึ่งปีเต็ม

ถึงเป็นการแต่งงานทางการเมืองเพราะญาติผู้ใหญ่ตกลงกันไว้ แต่เป็นฝ่ายเธอที่รักเขาหมดใจจึงยอมทนทุกอย่างและตลอดแปดปีที่อยู่กินกันมานอกจากเรื่องอดีตที่ตามหลอกหลอนเขาก็ดูแลเธออย่างดีและไม่เคยทำให้เสียใจ แม้ตอนที่เธอรั้นจะไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่อเมริกาเขาก็หาเวลาบินตามมาดูแลตลอด

“อย่าโกรธพี่ปอเลยนะคะ”

“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ผิดเหมือนกัน ผมควรจะเอามันคืนมาไม่ใช่ยังปล่อยไว้แบบนั้น... ขอบคุณคุณฝนอีกครั้งนะครับที่ช่วยดูแลมัน บิชอฟรักคุณนะถึงมันจะดื้อไม่ค่อยยอมเล่นกับคุณก็เถอะและมันก็ชอบตุ๊กตาหมีที่คุณซื้อให้มันมากด้วย”

จริงๆ แล้ววันนั้นบิชอฟไม่ได้เห่าเพราะเห็นอทิฏฐ์ แต่มันเห่าเพราะเห็นหมาอีกตัวในบ้าน บิชอฟตัวเดิมที่เคยอยู่ มันนั่งอยู่ที่ประตู กระดิกหางให้เขาและร้องเสียงงึมงำเหมือนพยายามจะบอกให้ช่วยขอบคุณใครบางคนแทนมันที

เพียงพิรุณหลุดขำออกมาเล็กน้อย “ฝนใช้เวลาตั้งสามเดือนเชียวนะกว่าทำให้มันญาติดียอมกินข้าวที่ฝนเทให้ได้... เดี๋ยวนะคุณรู้เรื่องตุ๊กตาหมีได้ยังไง”

“พี่เบลล์โทรมาเล่าให้ฟังน่ะ”

“แต่หมอเบลล์...”
   
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่คณิณก้าวเข้ามา นรกรจึงไม่ต้องปั้นเรื่องโกหกไปมากกว่านี้ เขารีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยคำลา “ผมไปก่อนนะ พวกคุณจะได้คุยกัน”

“เดี๋ยวสิฮาร์ฟ พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“ถ้าเป็นเรื่องบิชอฟ คุณฝนเล่าให้ผมฟังหมดแล้วครับ”

คณิณหน้าเจื่อนไปทันทีเขาตั้งใจหาโอกาสบอกเรื่องนี้มาหลายหนแต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอเสียที “พี่ขอโทษนะที่ไม่ดูแลมันให้ดี”

“ครับ”

“แล้วก็เรื่องไปกินข้าวน่ะ พี่ขอโทษนะฝนป่วยแบบนี้คงไปไม่ได้แล้ว”

“ไม่เป็นไรครับพี่ปอทำถูกแล้ว” นรกรบอก “แล้วก็ไม่ใช่แค่วันนี้แต่วันต่อๆ ไปด้วย ผมว่าเราเจอกันเฉพาะเวลางานก็พอครับ”

คณิณเหลือบมองหญิงสาวบนเตียงสลับกับเขาก่อนจะพยักหน้าครั้งหนึ่ง “ฮาร์ฟ” เรียกไว้อีกครั้งเมื่อเขาเดินไปถึงหน้าประตู

“มีอะไรครับ”

“ขอบคุณนะที่ช่วยฝน”

นรกรยิ้มบางให้คู่สามีภรรยาตรงหน้าก่อนจะปิดประตูลงพร้อมๆ กับอดีตและความรู้สึกที่หนักอึ้งในหัวใจ

“ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอ” หันไปถามคนที่ยืนมองเขาเงียบๆ

อทิฏฐ์ส่ายหน้า

“จะต่อว่าผมก็ได้นะ ผมทำร้ายแฟนคุณนะ”

“ผมคิดว่าคุณเจ็บมากพอแล้วล่ะ” อทิฏฐ์บอก “ฝนเองก็ผิดที่ไม่ยอมปรับความเข้าใจกับผู้ชายคนนั้น ถึงจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรักแต่ผมว่ามันก็คงมีอะไรมากกว่าแค่คำว่าอยู่ไปวันๆ แหละ ทั้งสองคนถึงอยู่กินกันมาได้ตั้งแปดปี ที่ผมอยากบอกก็คงมีแค่เรื่องที่ฝนไม่เคยเป็นแฟนผม มันเป็นรักข้างเดียวและผมก็ไม่เคยบอกให้เธอรู้ด้วย... ดังนั้นไม่ใช่เธอที่ทำร้ายผมแต่เป็นตัวผมที่ไม่รักตัวเองและทำร้ายตัวเอง”

“ให้ผมพูดให้ไหม”

“ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ได้พูดด้วยตัวเองจะมีค่าอะไร ต่อให้ผมย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ผมยังมีชีวิตผมก็ไม่คิดจะบอกเธออยู่ดี”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ถ้าผมสมหวังกับเธอ ผมก็จะไม่ได้มาเจอคุณน่ะสิ”

นรกรหยุดฝีเท้าและหันไปมองคนที่เดินตามให้เต็มตา นับตั้งแต่อทิฏฐ์หายไปและกลับมาเมื่อคืน แม้จะพยายามพูดตลกกวนประสาทเหมือนเดิม แต่เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติเหมือนกับกำลังฝืน “ตกลงคุณเป็นใครกันแน่”

ร่างโปร่งแสงเองก็หยุดยืนมองคนตรงหน้าเช่นกัน

...อาจารย์องค์อินทร์พูดถูก บางครั้งคนเราก็แค่ลืมเพื่อที่จะจดจำให้ได้อีกครั้ง และไม่ลืมอีกเป็นครั้งที่สอง...

“เป็นอทิฏฐ์... เป็นเพื่อนของคุณแค่นี้ได้ไหม”

นรกรอยากจะถามต่อแต่เมื่อเห็นความวูบไหวในแววตาที่ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดแต่มีอะไรมากมายที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นเขาก็พยักหน้าและตัดสินใจจะรอจนกว่าวันที่เจ้าตัวพร้อมพูดมันออกมาเอง “ได้สิก็ผมให้สัญญาไปแล้วนี่นา”

“ขอบคุณนะฮาร์ฟ”

“คุณขอบคุณผมทำไม ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณ”

“ขอบคุณที่ให้ผมได้รู้จักคุณ” อทิฏฐ์ไม่ขยายความอะไรอีก กับความรู้สึกมั่นคงทว่าก็เปราะบางเพียงแค่ลมพัดผ่านก็อาจแหลกสลาย ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วว่าจะอยู่หรือไป ขอเพียงที่ข้างๆ นี้ยังมีสำหรับเขาเขาก็จะอยู่ต่อไป

oooooo

นรกรไปเยี่ยมลลินที่หอผู้ป่วย อาการของเธอเป็นปกติดี สามารถหายใจได้เอง ไม่มีอาการชักอีก ส่วนตำแหน่งและขนาดของก้อนในสมองที่ชัดเจนยังต้องรอผลสแกนสมองโดยวิธิการฉีกสารทึบรังสีเพื่อดูให้ละเอียดอีกครั้งแต่โดยรวมก็ถือว่าพ้นภาวะวิกฤตแล้ว

“ไง” วินทร์ร้องทักเมื่อเห็นเขาเดินพ้นออกมาจากหอผู้ป่วย “ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”

“ครับ”

“ดีแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ”

“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืนก็ช่างเถอะ ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำอะไรมากมายสักหน่อย”

“เรื่องพี่ปอ” นรกรบอก “พี่วินทร์พูดถูก ผมยังลืมเขาไม่ได้จริงๆ”

“แล้วมาบอกฉันทำไม”

“เพราะคนเราไม่จำเป็นต้องลืมความรักครั้งก่อนๆ เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไป”

ไม่มีใครหรอกที่ไม่เจ็บปวด ชีวิตมันก็เหมือนกับลมฟ้าอากาศ ใช่ว่าจะมีแต่วันที่ฟ้าใส ในเมื่อมีจุดหมายที่ต้องไปให้ถึง ต่อให้พายุมาเราก็ต้องกางร่มเดินออกไปไม่ใช่ยืนรอให้ฝนซาเสียเมื่อไหร่ หรือถ้าไม่มีร่มก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงพอจะวิ่งฝ่ามันไป

แต่มันก็คงจะดีกว่า ถ้าจะมีใครสักคนหยิบยื่นร่มมาให้และชักชวนให้เดินไปด้วยกัน

“นั่นนายกำลังยิ้มอยู่เหรอ”

“คงใช่ครับ”

“แน่ะ ยอมรับได้แบบนี้แสดงว่าตอนนี้มีใครที่แอบชอบอยู่ล่ะสิ”

ทั้งที่คำตอบในใจค่อนข้างแน่ชัดว่ายังไม่มีใครมาจับจอง แต่สายตากลับเผลอเหลือบมองคนข้างๆ โดยไม่รู้ตัว “ไม่มีครับ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ ถามแต่ผม พี่วินทร์เหอะป่านนี้แล้วยังไม่ยอมพาแฟนมาเปิดตัวสักที”

“ก็...” ยังไม่ทันได้ตอบ คนในชุดกาวน์สั้นอีกคนที่เดินผ่านมาก็เข้ามาร่วมวง

“ไงวินทร์”

“ว่าไงไอ้เต้” วินทร์หันไปหาธเนตรเพื่อนที่เรียนอยู่แผนกตาพลางขยับตัวเล็กน้อยคล้ายกับพยายามจะบังใครให้พ้นจากสายตา

“ไม่ว่าไง แค่จะถามว่าแว่นที่แกมาชี้นิ้วสั่งให้ฉันทำพิเศษแบบด่วนๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะตกลงมันยังไงวะ”

“ไว้คุยกันวันหลังนะ” วินทร์พยายามเปลี่ยนเรื่องและดันไหล่ให้รีบกลับไปทำงานต่อ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมหยุด

“นี่ถ้าจะเอาไปจีบสาวก็คิดใหม่เหอะมีอย่างที่ไหนวะให้แว่น ถึงพวกฉันจะชอบแซวกันบ่อยๆ ว่า ‘รักใครให้แว่นเพราะอยากเป็นคนในสายตา’ ก็เหอะ แต่ในชีวิตจริงมันไม่เวิร์คนะเว้ย นี่พูดเลย!” แล้วจักษุแพทย์ก็อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังร่างสูง และที่วางอยู่บนสันจมูกโด่งนั้นคือแว่นตาอันที่เขากำลังพูดถึง

“ไอ้เต้!” วินทร์แทบจะกระโดดบีบคอธเนตรแล้วตอนนี้

ธเนตรยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดว่าเป็นของที่ตนนั่งหลังขดหลังแข็งทำแน่ๆ ก่อนจะเหลือบมองวินทร์ที่เอามือเกาหน้าผากพยายามตีหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ เขาพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วหันไปยิ้มกว้างให้นรกร “แว่นสวยนะครับ”

“ไอ้เต้!”

ไม่ใช่แค่นรกรที่พูดไม่ออก อทิฏฐ์ครางในลำคอพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก ทำไมเขาจะไม่สังเกตว่าแว่นอันนี้ออกแบบได้เข้ากับรูปหน้าคนใส่ทั้งยังสีที่รับกับเรือนผมและสีตาเหมือนกับถูกสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ นึกนินทาในใจมาตลอดว่าถ้ามีแว่นที่ดูดีและสวยขนาดนี้ก็น่าจะเอามาใส่ตั้งแต่แรก แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นของที่คนอื่นให้มา

“โอ๊ะ! นึกขึ้นได้พอดีว่าต้องรีบไปดูคนไข้ ฉันไปก่อนนะ วันหลังค่อยคุยกัน” ถอดสลักระเบิดวางไว้แล้วธเนตรก็รีบเดินจากไป

ทันทีที่ธเนตรคล้อยหลัง วินทร์หยุดเกาศีรษะพลางเหลือบตามาดูคนที่ยืนมองจ้องเขาอยู่ “เอ่อ...”

“ตกลงนี่ไม่ใช่แว่นตาอันเก่าของพี่วินทร์เหรอครับ” นรกรถาม

“ถ้าบอกไปตรงๆ ก็กลัวนายจะไม่รับนี่...” วินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะลดมือลงล้วงกระเป๋า “แล้วตกลงชอบไหมล่ะ”

“ครับ”

“งั้นก็รับไว้นะ”

“แล้วทำไมพี่วินทร์ถึงทำให้ผมล่ะครับ”

“ฉันแค่ไม่อยากให้นายฝืน” วินทร์บอก “นายไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่คนอื่นคิดว่าดี แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว ถ้าใครๆ เขาจะชอบนายก็ควรจะชอบในแบบที่นายเป็นไม่ใช่คนที่เขาต้องการให้เป็น” เว้นวรรคไปเล็กน้อยและกวาดตามองไปรอบตัวราวกับกำลังหาใครสักคนก่อนจะมาหยุดลงที่คนตรงหน้า “อย่างแว่นตา มันก็ไม่ได้มีแบบเดียวสีเดียวสักหน่อย นายแค่ยังไม่เจออันที่เข้ากับนายก็เท่านั้น... ก็ตามใจนายนะว่าจะลองหาแว่นที่ใช่หรือเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์”

นรกรเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย “ผมชอบใส่แว่นมากกว่า”

“ฉันก็ชอบเหมือนกัน” คำตอบกำกวมกับอมยิ้มหวานมุมปากที่ส่งมาจากร่างสูง ทำให้นรกรต้องเสทำเป็นใช้ปลายนิ้วดันสันแว่นให้เข้าที่เพื่อหลบสายตา กำลังจะคิดหาคำตอบให้อีกฝ่ายเมื่อเสียงห้าวเรียกดังก้องมาตามทางเดิน

“ฮาร์ฟ!”

ยังไม่ทันจะได้หันไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึงเต็มตาท่อนแขนแข็งแรงก็เอื้อมมารั้งร่างโปร่งเข้าแนบอกพร้อมกับเบียดหน้าแนบแก้มจนชิด

“ไม่เจอกันนานคิดถึงเป็นบ้าเลย”

“ธีร์!”

บางครั้งฝนฟ้าก็เล่นตลก เพราะในขณะที่เราเพิ่งจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับพายุลูกแรก เราก็ไม่ได้เตรียมใจไว้รับมือกับพายุลูกที่สองหรือลูกเห็บเม็ดใหญ่ที่ซัดเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว

*****************************************************TBC*************************************

Talk

เขียนมา 7 ตอนเกือบร้อยหน้า A4 แล้วก็พบว่าไม่เคยคุยกะคนอ่านเลย
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้ค่ะ
บางคนคงทราบแล้ว แต่ขออนุญาตพูดซ้ำอีกครั้งว่านี่เป็นภาคต่อของ ER นาทีหัวใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44684.0)
แต่ไม่ใช่ความต่อของตัวเนื้อหา แต่เป็นในส่วนของ 'แก่นเรื่อง' ที่เรา(ดันทุรัง)อยากจะเขียนให้ได้

จากนาทีของหัวใจ ที่ยื้อชีวิตและลมหายใจคืนมา สู่เรื่องราวของสิ่งที่ไม่ได้จบแค่การช่วยชีวิต แต่คือการทำให้ 'มีชีวิต' ก็เลยมาเจอกันใน พลิกตำรารักษาหัวใจ


Spoil
จนถึงตอนนี้เรายังยืนยันว่าสำหรับเรา ER คือนิยายฟีลกูดโทนสีชมพูอมเทา แต่ Text book เป็นนิยายโทนสีเทาอมชมพู

ปล1. เรายังยืนยืนอีกครั้งว่าเป็นน้องใหม่มากสำหรับเล้า อะไรที่ลงผิดๆ ถูกๆ บอกเราด้วยน้าาาา
ปล2. เราจะอัพนิยายทุก ศ. ส. อา. ถ้าอาทิตย์ไหนปางตายจริงๆ เราจะบอกล่วงหน้าในเฟส
ปล3. ขอบคุณคุณParacetamol คุณfanglestและcocococoa สำหรับ การแนะนำนิยายในกระทู้ค่ะ 
ปล4. รักนะจุ๊บๆ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ อ่านกี่ครั้งก็ยิ้มแก้มแตกทุกครั้ง นอกจากคำขอบคุณเราคงไม่มีอะไรจะให้นอกจาก ตอนพิเศษจากเรื่องER(คู่ไหนขออุบไว้ก่อนอาทิตย์หน้ารออ่านนะคะ):mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-03-2016 07:50:10
นี่อย่าบอกนะจะมีดราม่าอะไรอีกอ่าาา ม่ายยยย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 06-03-2016 08:39:22
ธีร์คือใคร? รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 06-03-2016 09:47:59
อ่านแล้วมีอะไรให้ค้นหาที่ต้องติดตามตอนต่อไป

 :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 06-03-2016 09:57:42
แต่เราดันชอบ text book มากกว่า ER ซะอักนะเนี้ย
ถึงจะบอกว่ามันเทาอมชมพูก็เถอะ (′ェ`)
อาจจะเพราะชอบเรื่องเหนือธรรมชาติ
หรืออาจเพราะชอบที่มันไม่ค่อยกดดัน? มาก
หรือชินแล้วก็ไม่แน่ใจ
อทิฏฐ์ อยากจะตายจริงๆเหรอ
อยู่เถอะนะ ตอนไหนจะเจอร่างทิด สักทีนะ TT
แล้วยังไปโกหกหมอว่าตัวเองตายแล้วอีก
ค่อยๆรักษากันไปสิน่าา
⊙﹏⊙
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ment12835 ที่ 07-03-2016 03:15:13
 :o8: :o8: :o8:

ปกติไม่เคยอ่านแนวหมอเลย พึ่งมาอ่านเรื่องนี้ แล้วชอบมากกกก อ่านยาวยันตีสาม สนุกมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 07-03-2016 16:06:53
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 07-03-2016 16:23:02
อย่าบอกนะว่ามาม่าชามใหม่กำลังมา !!
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 07-03-2016 17:11:16
ชอบเรื่องนี้
เมื่อไหร่ฮาร์ฟจะเจอร่างสักที นี่ลุ้นจนแบบ..โอ้ยย
ละพี่วินมาขโมยซีนอก
อัพบ่อยๆนะคะ คือติด คืออยากอ่านต่อ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 07-03-2016 21:17:59
Thanks.
 :L1: o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 07-03-2016 22:04:50
ชอบหมอฮาร์ฟกับอทิฏฐ์
เค้ามีความผูกพันกันดี ชอบบบบ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 08-03-2016 02:49:29
เรารักเรื่องนี้  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 08-03-2016 23:21:42
เขียนได้ผูกพันและซับซ้อน สนุกตรงที่เดาอะไรแทบไม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: banazjj ที่ 10-03-2016 22:43:58
ธีย์คือใคร??  :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-03-2016 15:21:54
บทที่ 8 Pandora

“ธีร์” นรกรละล่ำละลักเรียกคนที่ในชุดกาวน์สั้นที่พุ่งเข้ามากอดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

“เป็นไงฮาร์ฟ สบายดีไหม” ธีร์ปล่อยนรกรออกจากวงแขนก่อนจะใช้สองมือรวบใบหน้าไว้ในอุ้งมือแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งไล้ไปตามขอบตาที่บวมช้ำ “พกแพนด้าน้อยมาทำงานอีกแล้ว นี่เมื่อคืนไม่ได้นอนอีกแล้วล่ะสิ ฉันไม่อยู่ดูแลแป๊บเดียวโทรมไปเยอะเลยนะ”

“แล้วแกไปดูแลฮาร์ฟตอนไหนวะ” วินทร์กระซิบลอดไรฟัน

“คนไข้อาการไม่ค่อยดีน่ะฉันเลยต้องอยู่เฝ้า” นรกรมองคนที่หายไปดูงานต่างประเทศกว่าหนึ่งเดือนโดยไม่ส่งข่าวคราว ผิวที่เคยขาวใสออกสีแทนเล็กน้อยแม้แต่เรือนผมที่เคยดำขลับยังออกแดงไปด้วยเพราะเจ้าตัวเป็นพวกชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเที่ยวไปเล่นเซิร์ฟหลีสาวตามชายหาด เพราะอยู่ฮาวายจะมีอะไรให้ทำมากไปกว่าดูฝรั่งสาวๆ ขาวๆ อึ๋มๆ ในชุดบิกินีตัวจิ๋ว

“แล้วตอนนี้เป็นไงบ้าง”

“ก็ถือว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”

“ให้มันได้ยังงี้สิ นายมันเจ๋งอยู่แล้ว” พร้อมกับรวบตัวเข้ามากอดอีกครั้ง

“ที่นี่เมืองไทยไม่ใช่ฮาวาย!” วินทร์กระแอมเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก

ไม่ใช่แค่วินทร์ที่ไม่สบอารมณ์ ถ้าอทิฏฐ์มีพลังจิตเหมือนผีในหนังก็คงจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อจับทั้งสองแยกออกจากกันแล้ว

...หมอนี่มันเป็นใครวะมาถึงก็ทั้งกอดทั้งไซร้ไม่แคร์สายตาผีสางเทวดา แล้วทางนี้ก็เหมือนกัน ไหนบอกคุยไม่เก่งไงแล้วไอ้ที่พูดแจ้วๆ แถมยังไม่ใช้คำสุภาพเหมือนคนอื่นๆ นั่นคือไร...

“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

ธีร์คลายวงแขนออกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ “เมื่อคืน มาถึงก็สลบเหมือด พอตื่นก็อาบน้ำมาโรงพยาบาล กระเป๋ายังไม่ได้รื้อเลยเนี่ย ของฝากไว้เอาพรุ่งนี้นะ แล้วนี่นายเป็นอะไรวินทร์ไอโขลกๆ อยู่ได้ ไม่สบายก็ไปหาพี่เบลล์ไป๊”

“พูดงี้อยากลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงหรือไง พี่เบลล์เป็นหมอสัตว์นะเว้ยไม่ใช่หมอคน”

...เอาเลยพี่วินทร์ผมจะยอมเจียดค่าทำศพมาจ้างรถแบ็คโฮให้ ขุดให้ลึกๆ แล้วฝังหมอนี่ให้มิดเลยนะครับ...

“เปลี่ยนจากมะม่วงเป็นขนุนได้ไหม พอดีหลังบ้านมีอยู่ต้นหนึ่ง ตอนเป็นเด็กฉันเคยไปปูเสื่อนอนคุยกับมันบ่อยๆ ฮาร์ฟก็ด้วย” หันไปพยักเพยิดกับคนที่ยังอยู่ในวงแขน “พูดแล้วก็คิดถึงจังว่างๆ ไปนอนด้วยกันอีกนะ”

...ทำไมนายไม่โชคดีเหมือนนิวตันบ้างนะ ป่านนี้ขนุนต้นนั้นคงมีคนอยู่เฝ้าแล้ว...

อทิฏฐ์ทำท่าจะกระโดดบีบคอเข้าจริงๆ เมื่อนรกรแกะอุ้งมือใหญ่ออกจากตัวได้สำเร็จและหันมาปรามทางหางตา เขาจึงยอมกลับไปยืนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอีกครั้ง

“แล้วนี่ไปหาอาจารย์สรวิชญ์มาหรือยัง”

“ป๊าน่ะเหรอ” ธีร์ถามกลับ “ไปที่ภาคมาแล้วแต่วันนี้ไม่มาทำงานอย่างว่าแหละเมื่อคืนเจอศึกหนักขนาดนั้นเป็นฉันก็คงอยากลายาวๆ”

“อะไรของแกวะ” วินทร์เกาหัวแกรก

“อ้าว อยู่เมืองไทยแท้ๆ ไม่ได้ดูข่าวเลยเหรอวะ” หลิ่วตาให้วินทร์พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดหน้าฟีดข่าวให้ดู “ฉันนั่งดูข่าวช่อง CNN ตอนรอเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลีเห็นออกข่าวกันครึกโครมว่ามีนักการเมืองบ้านเราที่ดังๆ น่ะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกหามเข้าโรงพยาบาลต้องผ่าตัดด่วนนี่ งานระดับชาติแบบนี้ป๊าต้องได้รับเชิญไปลงมีดแน่ ฉันเลยส่งข้อความไปให้กำลังใจถึงจะตอบกลับมาสั้นๆ แค่อือก็เถอะ” ธีร์กรอกตาครั้งหนึ่ง “ทีคนไข้ละไปนั่งเฝ้าเช้าเย็น ทีกะลูกกะเต้านะ... เฮ้อ~ เฮ้ย! ว่าแต่เรื่องมันเป็นไงมาไงวะ ป๋าเป็นคนผ่าแท้ๆ แต่ทำไมข่าวเมื่อเช้าถึงบอกว่าอาจารย์ธนบดีได้เลื่อนตำแหน่งเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในกระทรวงสาธารณสุขเฉยเลยล่ะ แล้วอีกอย่างงานนี้ป๊าก็เป็นตัวเก็งอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“เรื่องผ่าตัดน่ะฉันรู้ แต่ถ้าเรื่องเข้ากระทรวงฉันไม่รู้จริงๆ ว่ะ”

“เมื่อห้าปีที่แล้วก็ปฏิเสธตำแหน่งคณบดีคณะแพทย์ไป ปีกลายก็รองผอ. นี่ถึงขนาดได้เป็นที่ปรึกษายังไม่เอาอีก ไม่รู้ว่าป๊าคิดอะไรอยู่ถึงปฏิเสธความก้าวหน้าในอาชีพตัวเอง” ธีร์ยังไม่เลิกบ่น “ฮาร์ฟรู้ไหม”

นรกรส่ายหน้า เขารู้ว่าบิดาของตนมีฝีมือเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ไม่ว่าจะเรื่องผ่าตัดหรือเรื่องเลื่อนตำแหน่งทั้งหมดเขาเพิ่งทราบจากธีร์เดี๋ยวนี้เอง “พ่อไม่เคยบอกอะไรฉันนานแล้ว”

“คงเห็นนายยุ่งๆ น่ะ” ธีร์โบกมือให้ทำนองว่าอย่าไปใส่ใจ

แต่นรกรคิดมากไปแล้ว พ่อแทบไม่เคยตอบข้อความเขา ในขณะที่ตอบธีร์ทุกฉบับแม้จะแค่คำสั้นๆ

ธีร์เป็นน้องชายบุญธรรมของเขา เป็นลูกของเพื่อนสนิทของพ่อที่เกิดห่างจากเขาแค่สามเดือนซึ่งโชคร้ายทั้งพ่อและแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตตอนอายุได้ห้าขวบ เพราะไม่มีญาติที่ไหนศาสตราจารย์สรวิชญ์จึงรับมาอุปการะไว้เอง ถึงจะจดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมแต่ก็ไม่ได้ให้เปลี่ยนนามสกุลเพราะยังถือว่าเป็นลูกชายของเพื่อนรักหากก็มีสิทธิ์ในบ้านนี้ทุกอย่างเทียบเท่ากับเขา

ไม่สิ! บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะธีร์มีอิสระสามารถทำได้ทุกอย่าง ในขณะที่เขาต้องเดินตามกรอบที่ขีดไว้ให้เท่านั้น
เขายังจำได้ดี วันที่ได้กลับบ้านเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ารับการบำบัด เด็กชายแปลกหน้าสวมชุดนักเรียนที่มานั่งอยู่บนเตียงอีกหลังในห้องนอนของเขา

‘ฮาร์ฟ นี่ธีร์ต่อจากนี้เขาจะมาเป็นน้องชายของลูกนะ’ แม่เดินตามหลังเข้ามานั่งข้างเด็กคนนั้นและลูบศีรษะอย่างรักใคร่

‘ธีร์ไม่เหลือใครแล้วนอกจากเรา ฮาร์ฟต้องรักธีร์ให้มากๆ นะ’ พ่อสำทับ

เขาจ้องมองเด็กชายตรงหน้าที่ส่งยิ้มกว้างให้ก่อนจะลุกจากเตียงเข้ามาสวมกอด

‘ฝากตัวด้วยนะครับพี่ฮาร์ฟ’

เขาไม่ได้รังเกียจอ้อมกอดนั้น แต่บางทีเขาก็แค่สังสัยว่ามันยังมีอยู่ใช่ไหม... ที่ๆ เป็น ‘ที่ของเขา’

“อ้าว ป๊าตอบข้อความมาแล้ว” ธีร์กดโทรศัทพ์เปิดอ่านข้อความให้ฟัง “ป๊าชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกันวันนี้น่ะฮาร์ฟ”

“ฝากบอกพ่อด้วยว่าฉันไม่ว่างมีเข้าผ่าตัด”

“หึย งั้นนายคุยเองเถอะ นายก็รู้ สำหรับป๊านี่มันเป็นคำสั่งไม่ใช่การชวน”

“นายบอกพ่อไปแบบนั้นแหละ” นรกรยืนยัน “เพราะพ่ออยากกินข้าวกับนายไม่ใช่ฉัน... ขอตัวก่อนนะ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ” พูดจบก็เดินแยกออกไปอีกทาง

“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครน่ะ ใช่เดนท์อีกคนที่เคยพูดถึงหรือเปล่า ทำไมคุณถึงยอมให้เขากอด แล้วทำไมเขาเรียกพ่อคุณว่าป๊าล่ะ เขาเป็นพี่ชายคุณเหรอ” อทิฏฐ์ที่วิ่งเหยาะๆ ตามมารัวคำถามใส่เป็นชุด

“น้องชาย” นรกรแก้ให้ถูกต้อง หน้าที่หงิกเป็นมะเหงกของอทิฏฐ์ค่อยยืดออกก่อนจะหุบลงอีกครั้งเมื่อนรกรอธิบายต่อ“เขาเป็นลูกของเพื่อนสนิทที่ครอบครัวผมรับมาเลี้ยง”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปกินข้าวกับพ่อล่ะ” เขารู้ตารางงานของนรกรซึ่งว่างไปจนถึงช่วงเย็นซ้ำยังไม่ได้อยู่เวร ถ้าไม่มีเคสผ่าตัดด่วนและโดนตามให้มาช่วยก็เท่ากับว่าเขามีเวลาว่างยาวจนถึงเช้า

“ก็ตามที่บอกน่ะแหละ... พ่อไม่ได้อยากเจอผมจะไปเป็นตัวแถมให้เสียเวลาทำไม แล้ววันมะรืนนี้ก็ต้องพรีเซนต์งานวิจัยแล้ว ผมอยากตรวจทานอีกรอบให้แน่ใจน่ะว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด”

“วิจัยอีกล่ะ นี่ใจคอจะเอาโนเบลสาขาคนขยันเพื่อสันติสุขแห่งชาติเลยไหมครับคุณ” อทิฏฐ์ว่า

“แล้วนายอยากลงกินเนสบุคบ้างไหมล่ะ”

“เรื่องอะไรครับ”

“เป็นผีที่ได้ตายสองรอบไง ถ้าไม่ช่วยกันทำก็หัดอยู่เงียบๆ สักห้านาทีได้ไหม”

“ได้สิครับ” ร่างโปร่งแสงรับคำเสียงใส “โอเค เริ่มนับถอยหลัง สี่นาทีห้าสิบเก้าวินาที สี่นาทีห้า...”

“อทิฏฐ์!”

ร่างโปร่งแสงยกมือขึ้นปิดปากฉับทั้งที่ยังทำลอยหน้าลอยตา

oooooo

“มีอะไรเหรอ” อทิฏฐ์ถามคนที่เอาแต่เหม่อมองดูเสื้อกาวน์สีขาวที่แขวนอยู่หน้าตู้ทั้งที่ปิดไฟเตรียมจะนอนนานแล้ว

“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนิดหน่อยน่ะ” นรกรกระซิบ “อทิฏฐ์... ขอโทษนะ คุณเรียนจบหรือยังแล้วจำวันรับปริญญาของตัวเองได้ไหม”

“ขอนึกก่อน” อทิฏฐ์ที่นั่งเหยียดขาอยู่ข้างเตียงตรงที่ประจำเงยหน้าขึ้นมองฝ้าเพดานแล้วหลับตาลง พยายามนึกย้อนกลับไป

เกิดจุดสีมากมายขึ้นในหัวก่อนจะไหลมารวมกันแล้วเรียงร้อยออกมาเป็นภาพเหตุกาณ์ที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งและค่อยๆ เล่ามันออกมาเท่าที่นึกได้

“พ่อกับแม่ขับรถจากต่างจังหวัดมารอถ่ายรูปกับผมแต่เช้ามืด พ่อใส่สูทอย่างหล่อ ส่วนแม่ก็สวมชุดผ้าไหมที่สั่งตัดมาใหม่ พอทำพิธีเสร็จฝนก็มาหาพร้อมกับบูเก้ที่ทำจากชอคโกแลตช่อใหญ่แล้วพวกเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน ที่ร้านอาหารข้างมหา’ลัย คนแน่นมากพอได้โต๊ะฝนก็รีบถอดรองเท้าส้นสูงออกเพราะโดนรองเท้ากัด ผมแซวฝนว่ารู้ว่าเดินมากแล้วยังฝืนใส่ทำไม เธอก็บอกว่ากลัวจะไม่สวย ไม่เข้ากับชุด โน่นนี่นั่นตามประสาผู้หญิง แล้วสุดท้ายผมก็ต้องแบกเธอขึ้นหลังเอาไปส่งที่บ้านเพราะทนเห็นเธอเดินกะเผลกไม่ไหว”

เล่าด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขก่อนจะเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่านรกรถูกคณิณบอกเลิกในวันนั้น

แต่นรกรกลับส่งยิ้มบางให้เขา “คุณนี่ก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกันนะ”

“แต่ก็ไม่มีใครรัก” อทิฏฐ์ไหวไหล่ “ถามผม แล้วคุณล่ะ”

“พ่อกับแม่ผมติดผ่าตัดทั้งคู่เลย”

“น่าเสียดายนะ แต่มันก็...”

“ช่วยไม่ได้” นรกรต่อให้ “ผมเข้าใจ... แต่คงจะไม่เสียใจเลยถ้าสามวันต่อมาธีร์ไม่ได้เอารูปถ่ายกับพวกท่านมาอัดใส่กรอบติดบนฝาผนังในห้องนอนของเรา” เว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อสูดลมหายใจเข้าจนสุด “น่าแปลกนะ ทั้งที่เรียนด้วยกันจบพร้อมกันแต่เขามีรูปกับพ่อแม่ในขณะที่ผมไม่มี”

“คุณ... ไม่ชอบธีร์เหรอ”

“ผมไม่ได้ไม่ชอบเขา แต่เขาคือเหตุผลที่ผมต้องเป็นที่หนึ่ง” นรกรเริ่มต้นเล่า “ตั้งแต่ประถม มัธยมจนถึงมหา’ลัย... ผมไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เขามีทางเลือก ทั้งๆ ที่พ่อไม่เคยบังคับว่าเขาต้องเรียนอะไรแต่ทำไมเขาต้องพยายามทำทุกอย่างเหมือนผม ทั้งคณะและสาขาที่เรียน... พรีเซนต์วิจัยมะรืนนี้ ต่อให้ไม่มีพี่วินทร์ ผมก็ไม่มีวันได้รับเลือกอยู่ดี... เฮ้อ นี่ผมพูดอะไรไร้สาระให้คุณฟังเนี่ย ขอโทษนะ”

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ผมชอบนะเวลาที่คุณเล่าอะไรให้ผมฟัง” อทิฏฐ์บอก “และถึงอาจารย์สรวิชญ์จะไม่ชอบหน้าคุณ แต่เขาต้องฟังคุณเพราะผลงานของคุณดีไม่เป็นสองรองใครเลย”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ ก็คุณทุ่มเททำจนมันออกมาเป๊ะเวอร์ขนาดนั้นนี่” อทิฏฐ์ยิ้มกว้าง “แต่ตอนนี้คุณต้องนอนก่อนนะ... นอนสิเอ้างี้ถ้าคุณนอนไม่หลับงั้นผมจะร้องเพลงกล่อมนะ”

“พอเลย” นรกรหัวเราะคิกพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้า “เป็นผีดีๆ อยู่แล้วไม่ต้องริจะเป็นนักร้องเลย”

“โธ่~ คนเขาอุตส่าห์หวังดี” อทิฏฐ์กอดอกหันหลังพิงขอบเตียงเมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นมาจากโปงผ้าห่ม

“อยากร้องก็ร้องสิ”

“เอาเพลงไรดี”

คุณหมอหนุ่มม้วนผ้าห่มลงมาไว้ที่อกและพลิกตัวกลับมา “Stay รู้จักไหม”

“ของปาล์มมี่น่ะเหรอ”

นรกรจ้องตาคนตรงหน้าอยู่อึดใจ “ใช่”

อทิฏฐ์จับคางทบทวนเนื้อเพลงที่ได้ฟังผ่านรายการวิทยุและเริ่มต้นร้อง แต่แค่ผ่านไปได้ท่อนเดียวร่างโปร่งก็หัวเราะหึและมุดหนีเข้าโปงผ้าอีกครั้ง

“โคตรเพี้ยนเลย”

“เอ้า! เป็นคนบอกให้ผมร้องเองแล้วไหงพูดงี้อะ นี่ผมไม่เคยร้องเพลงให้ใครฟังมาก่อนเลยนะ แม้แต่ฝนก็ไม่เคย”

“ก็ไม่คิดว่าจะเลวร้ายขนาดนี้นี่นา” นรกรหัวเราะออกมาในที่สุดแล้วเปิดผ้าห่มออกมา เห็นร่างโปร่งแสงกอดอกทำหน้ามุ่ยมองจ้องอยู่ เขามองตอบสายตาคู่นั้นก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง “ร้องต่อสิ... เพี้ยนก็ช่าง ผมอยากฟังอีกเพราะเสียงทุ้มๆ ของคุณฟังแล้วอบอุ่นดี”

“ชมกันแบบนี้เดี๋ยวก็อยู่ร้องให้ฟังตลอดชีวิตซะเลยนี่” แล้วเขาก็เริ่มต้นร้องอีกครั้ง

นรกรแนบแก้มลงกันหมอนตั้งใจฟังเสียงที่คลออยู่ข้างหูก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะดึงให้จมสู่ห้วงนิทราฝัน

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

เสียงเจื้อยแจ้วดังทักทายมาจากในบ้าน ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์รถดับลง สรวิชญ์ก้าวลงจากรถพร้อมกับเด็กชายตัวสูงในชุดนักกีฬา

สรวิชญ์เปิดประตูเข้าบ้านพลางดึงปมเนกไทที่พันอยู่รอบคอให้คลายออก เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการผ่าตัดและไปรับลูกชายคนรองกลับจากแข่งขันฟุตบอลประจำจังหวัดในระดับมัธยมต้นซึ่งแน่นอนว่าสามารถคว้าชัยชนะนำถ้วยกลับมาเป็นเกียรติประวัติให้โรงเรียนได้ วันนี้ภรรยาของเขามีเคสผ่าตัดและน่าจะกลับมาหลังสามทุ่มไปแล้ว เขากวาดตามองไปรอบบ้านที่เงียบเชียบเพื่อหาลูกชายอีกคน

“ทำอะไรอยู่ฮาร์ฟ”

“พ่อครับมาช่วยผมหน่อย”

“อะไร” ถามพลางเดินเข้าไปในครัวซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียง ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่น จนธีร์ที่กำลังจะถอดเสื้ออาบน้ำต้องวิ่งพรวดพราดออกมาดู

สรวิชญ์ยืนเท้าเอวปั้นหน้าถมึงทึง ในมือถือมีดปอกผลไม้เล่มเล็กที่เพิ่งยื้อแย่งมาจากลูกชายได้ “มาถือมีดวิ่งไปมาอะไรแบบนี้ เล่นซนอะไรไม่เข้าเรื่อง”

“ผมไม่ได้ซนนะ ผมแค่...” เด็กชายตัวสั่นกับท่าทีกราดเกรี้ยวของผู้เป็นพ่อ เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนทำโครงงานวิทยาศาตร์ส่งประกวดของโรงเรียนและหัวข้อคือส่วนประกอบและโครงสร้างของสัตว์ อาจารย์สั่งให้ผ่ากบเพื่อนำมาประกอบแต่เขาจะทำได้ยังไงในเมื่อแค่มีดยังจับไม่เป็นด้วยซ้ำ “มันเป็นงานโรงเรียน ผมบอกพ่อแล้วไงครับว่า...”

“อย่าเถียง!” พ่อว่า “แล้วอย่าให้พ่อเห็นเป็นครั้งที่สองนะว่าแกจับมีดอีก”

“แต่...”

“ไป!” ตวาดอีกครั้งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่บันได “ขึ้นห้องนอนเดี๋ยวนี้ ทำไมถึงไม่รู้จักทำตัวดีๆ แบบธีร์บ้างนะ”


เปลือกตาเปิดพรึ่บขึ้นในความมืด นรกรกรอกตาไปมาเมื่อคุ้นชินกับความมืดและตั้งสติได้ว่าที่นี่คือห้องนอนในห้องพักแพทย์ไม่ใช่ห้องนอนที่บ้าน เขาก็ฟาดมือลงบนผ้าห่มก่อนจะชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นนั่งแล้วก้มหน้าลงซบ

“บ้าเอ๊ย! เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว มาฝันอะไรเอาตอนนี้เนี่ย”

“เป็นอะไรคุณ ฝันร้ายเหรอ” อทิฏฐ์ดึงตัวขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง

“แค่เรื่องเก่าๆ น่ะ” นรกรตอบเสียงอู้อี้ออกมาจากอ้อมแขนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง

อทิฏฐ์มองดูคนที่เอามือก่ายศีรษะพยายามข่มตาให้หลับแล้วขยับตัวเข้าใกล้มากขึ้นอีก

“คุณจะทำอะไรน่ะ” นรกรถามเมื่อร่างโปร่งแสงวางมือทับลงมาบนดวงตาทั้งสองข้าง

“พ่อชอบทำแบบนี้บ่อยๆ ตอนผมเป็นเด็กน่ะ” อทิฏฐ์ตอบพลางลูบมืออีกข้างเบาๆ ไปบนเรือนผมสีอ่อน เมื่ออีกฝ่ายยอมปิดเปลือกตาลงเขาก็ก้มหน้าลงต่ำจนสัมผัสได้ลมหายใจจากปลายจมูกโด่งที่พุ่งผ่านไป เขาเม้มริมฝีปากแน่นและขยับไปกระซิบที่ข้างหู “หลับซะ คืนนี้จะไม่มีอะไรทำร้ายคุณได้อีก ผมจะเป็นกับดักฝันร้ายให้คุณเอง ฝันดีนะครับ”

แม้จะสัมผัสไม่ได้แต่นรกรรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของอะไรบางอย่างที่แตะลงบนหน้าผาก เขาปล่อยใจไปกับความรู้สึกนั้นและหลับสนิทจนถึงเช้าโดยไม่ฝันอีกเลย

oooooo

“ฮาร์ฟ~ ทุกอย่างโอเคไหม” ธีร์ร้องทักเมื่อเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องพักแพทย์เห็นร่างโปร่งนั่งหน้าเครียดอยู่หลังคอมพิวเตอร์โน้ตบุค ข้างกันมีตำราวางซ้อนกันเป็นตั้งสูง ทุกเล่มมีกระดาษหรือโพสอิสหลากสีคั่นไว้เต็มไปหมด

“อืม” นรกรตอบ

เขากวาดตามองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงดึงประตูปิดและเดินมายืนมือไพล่หลังดู “เมื่อวานเสียดายนายไม่มา ป๋าพาไปกินร้าน Midnight ที่เมื่อก่อนเราไปด้วยกันบ่อยๆ น่ะ รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิมแถมยังปรับปรุงร้านใหม่บรรยากาศดีสุดๆ”

“อืม” นรกรยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ พยายามไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ในขณะที่อทิฏฐ์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กันได้แต่เอามือเท้าคางดูวิธีการที่สองพี่น้องสื่อสารกัน

“แล้วงานวิจัยของนายถึงไหนแล้ว”

“ก็เรียบร้อยดี”

“พรุ่งนี้พรีเซนต์แล้วนี่ ขอให้ราบรื่นนะ”

“นายก็เหมือนกัน”

ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่จิงโจ้เยี่ยมหน้าเข้ามา “พี่ฮาร์ฟอยู่นี่เอง พี่ธีร์ด้วย พอดีมีเคสมาใหม่ที่ ER น่ะครับ ผมเพิ่งถูกตามลงไปดูพวกพี่จะไปพร้อมผมไหม”

“คนไข้เป็นอะไรมา” นรกรถามพลางกดเซฟงานและปิดคอมพิวเตอร์ เขาทำเสร็จนานแล้วเพียงแต่เอามาตรวจเช็กคำผิดและเตรียมคำตอบไว้สำหรับข้อคำถามที่น่าจะโดนคณะกรรมการซักพรุ่งนี้

“เห็นว่าปั่นจักรยานล้มหัวกระแทกขอบทางเท้ามาสามวันแล้วครับ วันนี้จู่ๆ ก็เริ่มมีแขนข้างขวาอ่อนแรงเลยให้ญาติพามาโรงพยาบาล”

“แล้วหมอที่ ER ทำอะไรให้เราแล้วบ้าง” ธีร์ถามเพิ่มและเดินตามออกประตูไปด้วยกัน

เมื่อทุกคนออกไป ภายในห้องพักแพทย์จึงกลับมามืดทึบและเงียบสนิท ก่อนที่ประตูค่อยถูกแง้มออกอีกครั้งและใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาไม่ยอมเปิดไฟและดูจะคุ้นชินกับข้าวของในห้องดีเพราะสามารถเดินเลี่ยงของที่วางระเกะระกะบนพื้นตรงไปยังโต๊ะทำงานที่นรกรวางโน้ตบุคทิ้งไว้

ใครคนนั้นไม่รีรอที่จะกดสวิซต์เปิดเครื่อง แสงไฟสีขาวอมฟ้ากะพริบขึ้นก่อนหน้าจอจะขึ้นกล่องเตือนให้ใส่รหัสผ่าน เขาจับคางครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะใส่ตัวเลขสี่หลักลงไป

ครั้งแรกไม่ผ่าน เขานิ่งคิดไปพักใหญ่ก่อนจะใส่รหัสอีกครั้งแล้วกดเอนเตอร์ ซึ่งได้ผล คอมพิวเตอร์เปิดเข้าสู่หน้าหลัก เขาชี้เมาส์ไปที่ปุ่มสตาร์ทแล้วเปิดไฟล์ที่ใช้งานล่าสุดขึ้นมา รอยยิ้มแสยะผุดขึ้นบนเรียวปาก เขาวางนิ้วลงบนแป้นพิมพ์สามปุ่ม Ctrl + Alt + Delete และกดพร้อมๆ กันก่อนจะกดเซฟแล้วปิดคอมพิวเตอร์เก็บวางไว้ที่เดิม
 
เงาตะคุ่มในความมืดยิ้มอย่างพอใจในผลงานของตัวเองก่อนจะเดินกลับออกประตูไปอย่างเงียบเชียบ

เวลาล่วงไปจนตะวันตกดินนรกรจึงเสร็จจากคนไข้ที่ ER และกลับมาที่ห้องพักแพทย์อีกครั้ง เขายกสายกระเป๋าโน้ตบุคขึ้นพาดบ่าโดยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ และยังมั่นใจในผลงานของตน จนกระทั่งกลับไปถึงห้องและเปิดมันขึ้นมาดูอีกครั้ง

“ไม่มี มันหายไปไหน”

“เกิดอะไรขึ้นคุณ” อทิฏฐ์วิ่งจนแทบจะบินเข้ามายืนข้างๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก

“ไฟล์งานวิจัยของผม มันหายไปทั้งหมดเลยเหลือแต่หน้ากระดาษเปล่าๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบสำรวจ ตัวเนื้อหาหรือแม้แต่เพาเวอร์พอยต์”

“เฮ้ย! มันจะเป็นไปได้ยังไง” อทิฏฐ์ว่าแต่เมื่อมาดูให้เห็นกับตาก็เข้าใจ เครื่องไม่ได้โดนไวรัส ไฟล์ไม่ได้ถูกลบทิ้งแต่มันถูกแก้ไขและคนทำก็ฉลาดมากเพราะการทำแบบนี้จะไม่สามารถกู้ไฟล์เก่าคืนมาได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหาตัวคนทำเพราะนรกรต้องนำเสนอผลงานตอนเก้าโมงเช้าพรุ่งนี้ “ใจเย็นๆ คุณมีไฟล์สำรองไหม”

“มีก๊อปปี้ไว้แต่เป็นส่วนที่ยังทำไม่เสร็จมีแค่ครึ่งเดียวเอง... ผมจะทำยังไงดี” ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษเมื่องานวิจัยที่เฝ้าเก็บข้อมูลมาสี่ปีเต็มนับจากวันที่กำหนดหัวข้อได้อันตธานหายไปเหลือเพียงหน้ากระดาษเปล่าๆ ถ้าคอมพิวเตอร์พังเขายังมีข้ออ้างที่ดูน่าฟังในการขอเลื่อนการนำเสนอ แต่เนื้อหาทั้งหมดหายไปแบบนี้เขาไม่สามารถอ้างอิงอะไรได้เลย มีทางเดียวคือเขาต้องทำใหม่ทั้งหมดภายในคืนเดียว

“ฮาร์ฟ” อทิฏฐ์เอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากตรึกตรองอยู่อึดใจ “ทำไมคุณไม่ลองไปขอไฟล์จากพ่อ... จากอาจารย์สรวิชญ์ล่ะ ผมจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณส่งงานให้เขาไปนี่ไม่ใช่แค่รูปเล่มแต่ยังมีไฟล์ใส่ CD ให้เขาไปเปิดดูด้วย ถึงมันจะมีบางจุดที่คุณยังไม่ได้แก้ก็เถอะแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรในมือนะ”

“ผมไม่ได้ลืม” นรกรตอบ “แต่คุณจำไม่ได้เหรอว่าเขาโยนมันทิ้งลงถังขยะไปแล้ว”

“ลองถามดูก่อนไหม เผื่อเขาจะเปลี่ยนใจเก็บมันขึ้นมา”

“ผมจะลองดู” นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปที่หน้ารายชื่อแล้วเลือกเบอร์ของพ่อขึ้นมา นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเพ่งมองอยู่อึดใจก่อนจะกดโทรออก

เสียงรอสายดังจนหลุดไปเองก็ยังไม่มีคนรับ เขาลดโทรศัพท์ลงและส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

“โทรจนกว่าเขาจะรับ” อทิฏฐ์ว่า “เพิ่งจะสองทุ่ม ยังไม่ดึกจนน่าเกลียดเสียหน่อย”

นรกรกดโทรออกอีกครั้ง เขาเพียรโทรจนสายตัดอยู่เกือบสิบสายจึงละความพยายาม “เขาคงไม่อยากรับโทรศัพท์ผม”

“ลองส่งข้อความดูไหม”

ริมฝีปากเม้มแน่น นรกรพยักหน้าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเสียงเรียกเข้าดังสวนขึ้นพอดี

Daddy is calling

“รีบรับสิคุณ” อทิฏฐ์ร้องบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองราวกับไม่เชื่อสายตา

นรกรกดรับ ยังไม่ทันจะได้กรอกเสียงลงไปปลายสายก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน “มีธุระอะไร”

“อาจารย์ครับ”

“มีอะไร”

“ผมจะขอ CD งานวิจัยที่ส่งไปเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะครับ พอดีมันมีปัญหานิดหน่อยไม่ทราบว่าอาจารย์ยังอยู่ที่ภาคไหมครับ”

“ไม่อยู่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเสียงห้วน นรกรเม้มปากสนิท เขากำลังจะเอ่ยขอบคุณและวางสายเมื่ออีกฝ่ายพูดต่อ “พ่อเอากลับมาเปิดดูที่บ้านน่ะ ถ้าอยากได้ก็กลับมาเอาสิ”

หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอกไม่ใช่แค่ว่า CD งานยังอยู่ แต่เป็นเพราะคำเรียกแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ ที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานและคนๆ นั้นกำลังบอกให้เขา ‘กลับบ้าน’

“ขอบคุณครับ”




(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 7 Let's dance in the rain P.3[05/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-03-2016 15:27:45
บทที่ 8 (ต่อ)

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคชะลอจอดหน้าประตูบ้าน ร่างโปร่งเปิดประตูลงมายืนข้างรถและแหงนมองบ้านสองชั้นหลังใหญ่ตรงหน้าที่ไม่ได้กลับมาเหยียบหลายปี มันยังเหมือนเดิมทุกอย่างกับในความทรงจำเมื่อครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น
   
ตรงมุมชั้นสองที่ซึ่งเคยเป็นห้องของเขามีแสงไฟเปิดอยู่ก่อนจะปิดลง ท่าทางธีร์จะอยากกลับมานอนบ้านหลังจากไปอยู่ต่างประเทศนาน

“บ้านคุณสวยดีนะ” อทิฏฐ์เดินอ้อมรถมายืนข้างๆ “ท่าทางมีพื้นที่ใช้สอยคุ้มทีเดียว”
   
“ปู่ผมเป็นสถาปนิก เขาเป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้เอง บอกว่าอยากให้ลูกหลานมาอยู่ด้วยกัน... แต่น่าเสียดายนะที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพ่อกับแม่”

“วันหลังคุณก็หัดกลับบ้านบ่อยๆ สิ”   

“ถ้าพวกเขายังต้อนรับผมอยู่ล่ะก็นะ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” อทิฏฐ์ถามกลับ “วันก่อนพ่อก็ชวนคุณไปกินข้าว วันนี้ก็ชวนกลับบ้าน บ้านก็คือบ้านยังไงซะพวกคุณก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ”

นรกรไม่ตอบแล้วเดินนำไปที่ประตูไม้บานคู่ตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปสัมผัสลูกบิดพบว่ามันไม่ได้ล็อกจึงค่อยผลักเปิดและเดินนำเข้าไป รู้สึกประหม่าเหมือนเป็นคนแปลกหน้าทั้งที่ที่นี่คือบ้านของเขาเอง

เขาเดินผ่านเข้าไปยังโถงรับแขก กำลังกวาดตามองหาใครสักคนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง

“มาแล้วเหรอฮาร์ฟ”

นรกรหันไป ศาสตราจารย์สรวิญ์ยังอยู่ในชุดทำงานแต่ถอดเนกไทออกแล้วและพับแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอกทำให้เขาดูเหมือนจะผ่อนคลายมากกว่าทุกที หากเครื่องหน้านั้นก็ไม่ได้ดูดุดันน้อยลงเลย ซ้ำยังดูอิดโรนเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน
   
“ผมมาเอาของครับ... พ่อ” เสี้ยววินาทีที่ลังเลว่าจะใช้คำแทนว่าอะไรแต่เพราะคนตรงหน้าเรียกเขาด้วยชื่อเล่น นรกรจึงเปลี่ยนสรรพนามตามไปด้วย
   
“ตามมาสิ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับหลังหันเดินนำไปยังห้องทำงาน

หากนรกรยังลังเลไม่ยอมขยับ

“ทำไมไม่ตามไปล่ะคุณ” อทิฏฐ์ถาม

“ผมรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นผีครั้งแรกที่นั่น” นรกรกระซิบพลางพยักเยิดไปที่กรอบรูปขาวดำที่อัดใส่กรอบไว้บนผนัง“คุณเห็นผู้ชายหน้าตาถมึงทึงในรูปนั่นไหม เขาชื่อคุณสุชาติเป็นปู่ผมเอง ท่านเสียไปก่อนที่ผมจะเกิดและชอบมานั่งดูพ่อทำงานอยู่ตรงมุมห้องแล้วก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผมฟัง แต่พอผมบอกพ่อว่าคุยกับใคร ผมก็โดนสั่งห้ามไม่ให้เข้าห้องนั้นอีกเลย”

“แต่เมื่อกี้เขาบอกให้คุณตามไปนะ”

ร่างโปร่งพยักหน้าและค่อยเดินตามไป ประตูห้องถูกเปิดอ้าไว้ เขาหยุดยืนอยู่ที่ประตูและมองเข้าไปข้างใน มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ก่อชั้นหนังสือจนถึงเพดานทุกด้าน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอใส่หนังสือทำให้ต้องวางกองสุมๆ อยู่บนพื้นตรงนั้นตรงนี้ โต๊ะทำงานไม้สักรูปครึ่งวงกลมตั้งอยู่กลางห้อง มีโซฟาสีน้ำตาลตัวเก่าตั้งอยู่ที่มุมในสุดข้างชั้นหนังสือ

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมยกเว้นก็เพียงบนโซฟาตัวนั้นไม่มีชายชรานั่งอยู่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นเขาเป็นวันที่นรกรรู้ผลสอบแพทย์ และนั่นเป็นครั้งแรกที่คุณปู่ลุกออกจากโซฟาเดินมาหาเขาถึงห้องนอนบนชั้นสองเพื่อแสดงความยินดี

“แล้วแม่ล่ะครับ” นรกรพยายามชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบชวนอึดอัดระหว่างที่พ่อของเขาหาของ

“มีผ่าตัดน่ะ เพิ่งโดนตามไปลงมีดเมื่อกี้เองคงเสร็จเกือบๆ เช้าเลยมั้ง”

“แล้วธีร์ล่ะครับ”

“อยู่หอ เตรียมพรีเซนต์วิจัย”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันถ้าเช่นนั้นเมื่อสักครู่ใครอยู่ในห้องของเขา

“หลังเรียนจบแกจะกลับมาอยู่บ้านไหม”

“ก็... ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย ทำไมเหรอครับ”

“พ่อคิดว่าจะใส่ชื่อบ้านหลังนี้เป็นชื่อธีร์”

“พ่อจะยกบ้านนี้ให้ธีร์เหรอครับ แต่ปู่เป็นคนออกแบบแล้วก็สร้างมันขึ้นมานะครับ”

“ปู่แกตายไปนานแล้ว” มีกระแสของความไม่พอใจเจืออยู่ในน้ำเสียง “พ่อจะยกให้ใครมันก็สิทธิ์ของพ่อ”

“แล้วผมล่ะ” นรกรถามเสียงแผ่ว

นัยน์ตาสีเทาเหลือบมามอง “ก็ถึงได้ถามไงว่าแกจะว่ายังไง”

เหมือนมีใครกระชากหัวใจออกจากอก มือทั้งสองสั่นจนเขาต้องกำเป็นหมัดแน่น ...นี่ไงที่สาเหตุที่โทรมาชวนไปกินข้าวด้วยกัน นี่ไงสาเหตุที่บอกให้กลับบ้าน และนั่นอธิบายเหตุผลที่มีใครเข้าไปในห้องตอนที่เขาไม่อยู่ได้เป็นอย่างดี... ทั้งหมดก็เพื่อจะบอกเขาว่าจะยกบ้านหลังนี้ให้ธีร์

...มันไม่มีอีกแล้ว ที่ๆ เป็นที่ของเขา...

“ตามใจพ่อครับ” นรกรตอบ อทิฏฐ์หันมามองพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่เขากลับส่ายหน้า เพราะคงไม่ประโยชน์อันใดที่จะพูด เขาอาจไม่สนิทกับพ่อ แต่ก็คิดว่ารู้จักพ่อตัวเองดี นั่นไม่ใช่การถามความเห็น แต่มันเป็นการบอกให้รับทราบในเรื่องที่ตัดสินใจมาแล้วต่างหาก

“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้นะ” ในที่สุดศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็เจอของที่หาและเดินเอา CD ข้อมูลออกมาส่งให้ “นี่ใช่ไหม”

“ขอบคุณครับ” นรกรรับมาเก็บใส่กระเป๋า

“น่าสนใจนะ”

“พ่อเปิดดูด้วยเหรอครับ”

“ก็แค่ผ่านๆ น่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “ยังมีคำผิดอยู่เลย แล้วเคสที่เลือกมาเป็นกลุ่มทดลองก็มีบางเคสที่ใช้ไม่ได้ด้วย จะเลือกมาใช้ก็หัดกรองข้อมูลดูให้ดีๆ หน่อยสิ แบบนี้มันจะทำให้งานวิจัยออกมาน่าเชื่อถือได้ยังไง”

“เรื่องนั้นผมเอาไปปรึกษากับอาจารย์ธนบดีแล้ว ท่านบอกว่าอนุโลมได้นะครับเพราะแค่ไม่เข้าเกณฑ์เป็นบางข้อ ไม่ได้...”

“ใช้ไม่ได้มันก็คือใช้ไม่ได้ ไม่มีข้อยกเว้น!” เขายืนยัน “และนั่นก็ทำให้งานของแกไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่ง”

อทิฏฐ์ยกมือขึ้นปิดปากและเหลือบมองคนข้างตัว

นรกรกำมือแน่นจนเล็บจิกลงในผิวเนื้อ “เอาไว้คอยดูวันพรีเซนต์พรุ่งนี้ละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ”

“แกมันเป็นซะแบบนี้ ไอ้เด็กอวดดี”

“ผมไม่ได้อวดดี”

“ถ้าไม่เรียกว่าอวดดี แล้วไอ้ยืนเถียงฉันฉอดๆ อยู่นี่มันจะเรียกว่าอะไรล่ะ! แกมันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดื้อด้าน พูดอะไรก็ไม่เคยฟัง สอนอะไรก็ไม่เคยจำ”

“ผมแค่พยายามอธิบาย พ่อต่างหากที่ไม่เคยฟังผมเลย”

“ธีร์เพิ่งเอางานของเขามาให้ดูเมื่อเย็น” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “น่าสนใจมาก มีการเก็บข้อมูลจากชาวต่างชาติที่เขาไปเจอมาตอนไปดูงานมาเปรียบเทียบให้เห็นอีกกลุ่มด้วย ของวินทร์เองก็ทำได้ดีมากเหมือนกัน ถ้าแกยังดึงดันจะพรีเซนต์ทั้งแบบนั้นมันก็เหมือนกับเอาขยะไปให้คนอื่นดู”

“ขอบคุณที่ช่วยหา CD ให้ครับครับ” นรกรกลับหลังหันเป็นการตัดบท ไม่ต้องการจะฟังหรือพูดอะไรต่อในเมื่อทุกสิ่งที่อยากพูดคนตรงหน้าไม่ยอมฟังและคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ลำพังแค่คำต่อว่านั่นก็มากเกินพอ ทำไมต้องเอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วย จะตอกย้ำกันไปถึงไหนว่าเขาเป็นลูกที่ไม่ต้องการ

“แล้วนั่นแกจะไปไหน” เสียงของศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังดังตามหลัง “ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”

“ผมจะไปไหนมันก็เรื่องของผม”

“ฮาร์ฟ!”

แต่นรกรไม่หยุด และเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“ถ้าวันนี้แกไม่ฟังฉัน แกก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

ร่างโปร่งหยุดฝีเท้า มือเรียวกำแน่นมากขึ้นอีก ปลายเล็บจิกลงในผิวเนื้อจนแสบไปหมด ทว่ามันเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ

อทิฏฐ์รีบเข้ามายืนคียงข้างและกระซิบให้ใจเย็นๆ

แต่นรกรหมดความอดทนแล้ว ร่างโปร่งค่อยหมุนตัวกลับมาสบตาผู้สูงวัยตรงหน้า “แล้วคิดว่าผมอยากเจอหน้าคุณนักหรือครับ”
พูดรวดเร็วโดยไม่สนใจความเจ็บปวดในแววตาของผู้เป็นพ่อแล้วรีบก้าวไปให้ถึงประตู อทิฏฐ์รีบเดินตามมาติดๆ

“ฮาร์ฟ รอผมด้วยสิ”

นรกรหยุดอยู่ที่หน้าประตูมือกำลูกบิดแน่นแต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะดึงมันเปิดออก

หนัก!

มันหนักอึ้งไปทั้งตัวและหัวใจ หนักจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะยืน เขายกมืออีกข้างขึ้นขยี้ตาเร็วๆ ก่อนจะลดลงมากำลูกบิดประตูเพื่อช่วยดึงเปิดออก เมื่อเสียงโครม! เหมือนอะไรล้มดังออกมาจากห้องทำงาน

“เกิดอะไรขึ้นน่ะคุณ”

นรกรไม่ทันได้ตอบเมื่อสายตาเหลือบไปสะดุดกับกรอบรูปของคุณปู่บนฝาผนังก่อนจะที่มันจะร่วงลงพื้นอย่างแรงจนกรอบกระจกแตกละเอียด

นัยน์ตาเบิกโพลง เขากลับหลังหันวิ่งไปห้องทำงานทันที

ประตูห้องยังคงถูกเปิดทิ้งไว้ หนังสือที่เรียงกันเป็นตั้งสูงล้มระเนระนาดลงบนพื้น และท่ามกลางหนังสือที่กระจัดกระจายนั้นมีร่างของศาตราจารย์สรวิชญ์นอนคว่ำหน้าอยู่

“อาจา... พ่อ!” นรกรถลาเข้าไปนั่งคุกเข่าลงด้านข้าง “พ่อเป็นอะไร”

“ผมว่าเรารีบพาเขาไปโรงพยาบาลเถอะ”อทิฏฐ์บอก

นรกรพยักหน้ากำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อมือใหญ่ของศาสตราจารย์สรวิชญ์เอื้อมมาคว้าข้อมือของเขาไว้แน่น ในขณะที่อีกมือกุมแน่นอยู่ที่หน้าอก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากอ้าออกพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่เขาอ่านไม่ออก 

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกวาดมองคนตรงหน้าพร้อมกับที่สมองคิดวิเคราะห์รวดเร็ว ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังคงกุมหน้าอกแน่น เหงื่อกาฬเม็ดใหญ่แตกพลั่กเต็มหน้าท่าทางกระสับกระส่ายคล้ายคนหายใจไม่อิ่ม เขาลองจับชีพจรที่ข้อมือ มันเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งสั่นพลิ้วซ้ำยังเต้นเร็วเกินหนึ่งร้อยห้าสิบครั้งต่อนาที

และถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดทั้งหมดนี้มันเป็นอาการของคนเป็นโรคหัวใจ

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจคนเดียวที่รู้จัก โชคดีที่ปลายสายรับแทบจะในทันที

[ว่าไงฮาร์ฟ]

“พี่ปอ ช่วยผมด้วยครับ”

oooooo

นรกรนั่งกุมมือชื้นเหงื่อแน่นอยู่หน้าห้องระหว่างรอให้คณิณทำการตรวจโดยละเอียด อาการเจ็บหน้าอกของศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่ทุเลาลงและหมดสติไปก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึงแค่ไม่กี่นาที

...ไม่อยากเห็นหน้าพ่องั้นเหรอ... นี่เขาเป็นบ้าอะไรถึงปากพล่อยพูดแบบนั้นออกไป... ถ้าเกิดพ่อเป็นอะไร แล้วถ้าเกิดพ่อตาย...

“เขาจะปลอดภัย” อทิฏฐ์กระซิบขึ้นราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และพูดคำนี้กับเขาไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่นับจากยืนมองหน่วยกู้ชีพยกร่างของพ่อเขาขึ้นเปล นอกจากนั้นยังคอยเตือนว่าเขาต้องโทรหาใคร แม่ยังออกมาจากห้องผ่าตัดไม่ได้ ธีร์กำลังมา ส่วนวินทร์... เขายังลังเลว่าควรจะบอกดีไหม ถึงอทิฏฐ์จะพูดซ้ำๆ ว่าให้บอกก็เถอะ

“ผมไม่น่าพูดแบบนั้น ถ้านั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมจะได้พูดกับพ่อล่ะ...”

“เขาจะปลอดภัย” อทิฏฐ์ย้ำอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นฮาร์ฟ” ธีร์ถามทันทีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาถึง “ป๊าอาการกำเริบอีกแล้วเหรอ!”

“อีกแล้ว...” นรกรทวนคำอย่างไม่เชื่อหูเพราะนั่นหมายความว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคนตรงหน้าเขาก็รู้เรื่องราวดีทุกอย่าง

ธีร์เท้าเอวพลางเหลือบมองทางหางตาเมื่อรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไป เขาเม้มปากแน่นก่อนจะหันมาสบตาเต็มที่ “ฮาร์ฟนายรู้หรือเปล่าว่าป๊าป่วยเป็นโรคหัวใจ”

นรกรส่ายหน้า

“ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”

“แล้วนายรู้ได้ยังไง”

“เพราะป๊าล้มลงต่อหน้าฉันหลังจากถ่ายรูปรับปริญญากับฉันเสร็จน่ะสิ”

“แล้วเรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีใครบอกฉัน” นรกรโพล่งออกมา

“อยากรู้จริงๆ เหรอฮาร์ฟว่าทำไม” ธีร์ถามกลับ “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครอยากบอกหรอก แต่เพราะตอนนั้นนายมัวแต่คร่ำครวญที่พี่ปอทิ้งนายไปต่างหาก”

“ฉัน...” เสียงของนรกรแหบพร่า

“พ่อเสียใจมากนะฮาร์ฟที่รู้ว่านายเป็นแบบนี้”

“ฉันขอโทษ”

“ขอโทษแล้วมันทำให้หัวใจป๊ากลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมหรือเปล่าล่ะ” น้ำเสียงของธีร์ราบเรียบแต่มันกระแทกหัวใจคนฟังทุกคำ “เพราะยังไงนายก็เป็นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ‘ลูกที่พ่อต้องการน่ะ’”

นรกรเม้มปากแน่น

“โธ่เว้ย! ทั้งที่ป๊าก็คุมอาการมาได้ดีตลอดแท้ๆ นายไปทำอะไรให้ป๊าเครียดอีกล่ะฮาร์ฟ แค่กลับบ้านไปเอางานวิจัยไม่ใช่หรือไง”

“ฉันก็แค่...” นรกรเว้นวรรคไปเล็กน้อย “นายรู้ได้ไงว่าฉันกลับบ้านไปเอางานวิจัยที่พ่อ”

ธีร์เหลือบตามามอง “พ่อบอก”

แต่นรกรไม่เชื่อ “ที่มันหายไป เป็นฝีมือนายใช่ไหม”

“นายกำลังพูดเรื่องอะไรฮาร์ฟ”

“พูดถึงคนที่มีกุญแจเข้าห้องพักแพทย์ และคนที่รู้รหัสเข้าโน้ตบุคฉันไงล่ะ”

“อ้อ!” ธีร์พยักหน้า ถึงจะบอกว่าเดาล้วนๆ แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะนึกถึงหรือต่อให้นึกถึงก็น้อยคนนักที่จะรู้วันเกิดศาสตราจารย์สรวิชญ์ เรื่องมาถึงขนาดนี้ก็ไม่คิดจะโกหกอีกต่อไป มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมราวกับจะถอดหน้ากากน้องชายที่แสนดีออกก่อนจะหันมาเผชิญหน้า “เพราะฉันเกลียดนายไงล่ะ”

คำตอบเสียงดังฟังชัดจากปากน้องชายบุญธรรมทำให้นรกรพูดไม่ออก

“ทำไม... ตกใจเหรอ ทีนายยังเกลียดฉันได้แล้วทำไมฉันจะเกลียดนายบ้างไม่ได้ล่ะ”

“นายจะเกลียดฉันทำไม ในเมื่อนายได้ทุกๆ อย่าง ทั้งความรัก ทั้ง...”

“เพราะฉันไม่ต้องการความรักที่น่าสมเพชแบบนั้น” ธีร์โพล่งออกมา “รักมากแค่ไหนแต่ฉันก็เป็นได้แค่ลูกเลี้ยง เป็นแค่ตัวสำรองของนายที่เขาเอามาเปรียบเทียบเพื่อผลักดันให้นายเก่งยิ่งๆ ขึ้นไป”

“ไม่จริง”

“นั่นแหละความจริงฮาร์ฟ”

ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่คณิณก้าวออกมา ทั้งสองจึงหยุดบทสนทนาไว้เท่านั้นและพุ่งเข้าไปหา

“ป๊าเป็นไงบ้างครับ”

คณิณนิ่วหน้าเครียด “ได้สติแล้วแต่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันรายงานอาจารย์ชาญชัยที่เป็นเจ้าของไข้แล้ว เอาไว้ให้ท่านเป็นคนมาอธิบายให้พวกนายฟังดีกว่า”

“แล้วตอนนี้เยี่ยมได้ไหมครับ”

คุณหมออายุรกรรมมองหน้าสองพี่น้องสลับกัน “รู้ใช่ไหมว่าคนไข้ต้องการการพักผ่อน และที่สำคัญคืออย่าทำให้เครียด”
ทั้งสองค้อมศีรษะขอบคุณและรีบผลักประตูเข้าไปในห้อง

บนเตียงผู้ป่วยสีขาว ชายสูงวัยในชุดคนไข้สีฟ้ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงใบหน้าของเขาซีดเซียวแทบไร้สีเลือดฝาด หลังมือข้างหนึ่งต่อสายให้น้ำเกลือไว้ การที่ช่วยปฐมพยาบาลเมื่อสักครู่ทำให้นรกรรู้ว่าร่างกายกำยำที่เคยจำได้ในความทรงจำนั้นผ่ายผอมลงมากจนแทบเขาอุ้มลอยขึ้นจากพื้นได้ เนื้อหนังที่เคยเต่งตึงกลับเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอย นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มองหน้าพ่อของตัวเองตรงๆ และใกล้ชิดถึงเพียงนี้

แต่โอกาสที่ได้มา มันก็ไม่ดีเอาเสียเลย

ธีร์รีบเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงและดึงมือมากุมไว้

นรกรหันไปสบตากับร่างโปร่งแสงข้างกายและเลือกจะยืนหลบอยู่ตรงมุมห้อง

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ขยับตัวเล็กน้อยผ้าห่มจึงร่นลงมากองอยู่ที่หน้าอกธีร์เอื้อมมือไปดึงห่มให้ถึงคอเมื่อเขาปรือตาขึ้นมามอง

“พักผ่อนเถอะครับป๊า”

“แกไปพักเถอะ พ่ออยู่ได้”

“ไม่ได้หรอกครับป๊าห้องพิเศษต้องมีญาติอยู่เฝ้าครับ มันเป็นกฏเดี๋ยวพวกผมโดนพี่พยาบาลดุนะ” ธีร์พยายามพูดติดตลก

“เดี๋ยวแม่เขาก็มา”

“แต่ผมอยากอยู่เฝ้าป๊านี่นา”

ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่อาจารย์ชาญชัย แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจก้าวเข้ามาพร้อมกับคณิณ

“ขออนุญาตครับ”

“สวัสดีครับ” นรกรกับธีร์หันมายกมือไหว้ ในขณะที่คนบนเตียงกวักมือเรียกให้เข้ามา

“มาคราวนี้แย่เลยนะครับพี่” อาจารย์ชาญชัยเดินมายืนข้างเตียงก่อนจะพูดขึ้น เขาเป็นรุ่นน้องและสนิมสนมกันดีจากการดูแลรักษากันมาหลายปี “ผมบอกพี่แล้วใช่ไหมว่าให้ฉีดสีดูสักทีจะได้รู้ชัดๆ ว่ามันเป็นอะไรกันแน่แล้วจะใส่ลวด ทำบอลลูนหรือผ่าตัดอะไรก็ว่ากันไป คราวนี้พี่ผัดผมไม่ได้แล้วนะ”

“ฉันก็บอกนายแล้วไงว่าไม่ทำ”

“มาถึงขั้นนี้ไม่ทำไม่ได้แล้วครับ” อาจารย์ชาญชัยกล่าว “มันไม่ใช่หัตถการใหญ่อะไรพี่ก็รู้นี่ครับ แค่สอดท่อไปตามเส้นเลือดใหญ่ที่ขาไม่เกินสามชั่วโมงผมก็ทำเสร็จ พี่ได้กลับมานอนดูทีวีที่ห้องแล้ว”

“แต่ภาวะแทรกซ้อนมันก็มีนี่ ไอ้ที่หายก็มีแต่ที่ตายคาเขียงมันก็เยอะไม่ใช่เหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามกลับ “โอกาสรอดมันคือ 50-50 แล้วเปอร์เซ็นล้มเหลวก็มี”

“จากผลการวิจัยคือ 5 ใน 1000 หรือแค่ 0.5% ครับ”

“แต่นายเองก็การันตีไม่ได้นี่ว่าฉันจะเป็นคนส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้ามันยังไม่กำเริบก็ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ”

“มันก็กำเริบแล้วนี่ไงครับ ดูจากอาการและผลการตรวจคลื่นหัวใจ(Echocardiogram) ความสามารถในการบีบตัวของหัวใจพี่ลดลงจาก 80% เหลือแค่ 50%” อาจารย์ชาญชัยว่า “ผมฟังพี่มาหลายปีแล้วเพราะฉะนั้นวันนี้พี่ต้องฟังผมนะ ทำนะครับพี่เดี๋ยวผมโทรหาคุณภาให้”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ ร่างกายของฉัน ฉันรู้ดีว่าต้องทำยังไงกับมัน”

“ทำไมพ่อถึงไม่ทำครับ” นรกรที่เงียบอยู่นานถามขึ้น แต่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่ยอมตอบว่าอะไรเขาจึงหันไปหาแพทย์โรคหัวใจทั้งสอง “ขอผมคุยกับพ่อสักครู่นะครับ”

“ได้สิ ผมจะไปนั่งรอที่ห้องสวนหัวใจนะหวังว่าจะมีข่าวดี” อาจารย์ชาญชัยหันไปพยักหน้ากับคณิณและกลับออกไป

นรกรรอจนประตูปิดลงจึงเดินไปยืนข้างเตียงด้านตรงข้ามกับธีร์ “ทำไมพ่อถึงไม่รักษาครับ”

“ก็บอกไปแล้วไง”

“ไม่ใช่สิครับ เหตุผลมันไม่ได้มีแค่นั้น พ่อกลัวอะไรครับ”

“อย่างฉันเนี่ยนะจะกลัว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามกลับ “เลิกพูดเถอะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว พรุ่งนี้มีสอนแต่เช้าแล้วตอนบ่ายก็ต้องเข้าเคสอีก”

นรกรก้มหน้าลงมองพื้น ที่แท้ก็เรื่องเดิมๆ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากงาน “งานมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“สำคัญสิ”

“มากกว่า ‘ชีวิตของพ่อ’ อีกเหรอครับ” นรกรกระซิบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น “ผมไม่ได้หมายถึงพ่อ แต่ผมกำลังพูดถึงปู่... ปู่บอกผมว่าพ่อเอาแต่ทำงานจนมาไม่ทันดูใจวันที่ท่านตายด้วยซ้ำ”

“ฮาร์ฟ!” ธีร์พูดลอดไรฟัน “นายไม่ได้ฟังที่พี่ปอพูดเหรอว่าอย่าทำให้พ่อเครียด”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยกมือปรามและหันไปสบตาลูกชายแท้ๆ “ใครเล่าให้แกฟัง... แม่เหรอ”

“พ่อไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอครับ” นรกรพูดช้าๆ ชัดๆ “ผมบอกว่า ‘ปู่เล่าให้ฟัง’”

“ฮาร์ฟ! แกอย่าบ้าไปหน่อยเลย”

“ผมไม่ได้บ้า! พ่อฟังผมนะ ผมไม่ได้บ้า! แต่...”

“แกออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ไปที่ประตู “ไป!”

ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับหญิงวัยกลางคนก้าวพรวดเข้ามา เหมือนกับระฆังหมดยกดังเมื่อต่างคนต่างเงียบทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วิมลภายืนอยู่ที่หน้าประตู มองหน้าลูกชายทั้งสองสลับกับสามี “คุณป่วยอยู่ หมอบอกให้พักให้พักแล้วก็อย่าเครียดไม่ใช่หรือคะเดี๋ยวอาการก็กำเริบอีกหรอก” กำลังจะดึงประตูปิดเมื่อลูกชายก้าวพรวดพราดเบียดตัวแทรกออกไป

เธอมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนสุดสายตาก่อนจะถอดเสื้อกาวน์ออกโยนไว้บนโซฟารับแขกและเดินไปยืนข้างเตียง

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก

“อาจารย์ชาญชัยโทรมาบอกฉันเรื่องสวนหัวใจ ตกลงคุณจะยอมทำใช่ไหมคะ”

“ทำเถอะนะป๊า ผมขอร้อง”

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ทำ ฟังกันบ้างสิ!”


*******************************************************TBC***********************************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 13-03-2016 16:11:59
โธ่บ้านนี้มีแต่พวกหัวแข็ง
ไม่ยอมเข้าใจคนอื่น แต่ยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเอง
ค่อยๆเปิดใจหน่อยสิ อ. นี่ก็แหม
โอ้ยย  มีแต่คนมีปมเว้ยเรื่องนี้ พระเอกกก็อยากตาย
นายเอกก็คิดว่าที่บ้านไม่รัก
ที่บ้านก็คิดว่าฮาร์ฟ เพ้อเจ้อ ดื้อด้าน
โอ้ยยยย เซ็งจริง ครอบครัวนี้ เปิดใจหหน่อยๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 13-03-2016 17:35:44
มีแต่คนดื้อจริงๆด้วย

ปล.มีคำผิดนะคะ
ทำบอลลูนหรือผ่าตัดอะไรก็ว่ากันไป คราวนี้พี่ผลัดผมไม่ได้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 13-03-2016 20:08:36
ู^
^
ในความหมายของประโยคนั้น เราว่า ใช้ถูกแล้วนะคะ


--------------

ครอบครัวนี้ชวนให้เครียดให้อึดอัดจริงๆ
หันหน้ามาคุยกันได้แล้วค่ะ คุณพ่อ เปิดใจค่ะเปิดใจ อย่าเป็นตาแก่หัวแข็งเลยค่ะ แก่ขนาดนี้แล้ว ( แต่ยิ่งแก่ก็ยิ่งแข็ง ; _ ; )
แต่เพราะอะไรคุณพ่อถึงไม่ยอมรักษาตัวเองกันละเนี่ย เหตุผลนั้นไม่น่าจะทำให้รั้นหัวชนฝาขนาดนี้ ขุ่นพ่ออออ :z3:

ธีร์ก็ร้ายจริง ถึงขั้นลบไฟล์งานกันเลย

จะมีทางไหนพิสูจน์ว่าฮาร์ฟมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นบ้างไหมหนออ...
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 13-03-2016 20:40:24
ตอนที่พ่อบอกว่าจะยกบ้านให้ธีร์ เราแอบหวังว่าอยากให้ฮาร์ฟค้าน ไม่ยอม ไม่เห็นด้วยและแย้งเอาบ้านคืนมาจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-03-2016 20:47:25
แพนดอรากล่องนี้ซ่อนอะไรไว้มากมาย

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 13-03-2016 22:03:03
เป็นหมอฮาร์ฟต้องอดทนนน ปัญหารุมเร้ามาก
มีครอบครัวแบบนี้ โซปวดหัว เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ
อ่านแล้วอินมากกกกกก
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: im4gine_32 ที่ 14-03-2016 11:28:56
ยกบ้านให้มันไม่เกินไปหรอ...กับลูกชายตัวเองนี่มองเป็นไม่มีไรดีสักอย่าง...ถึงจะรู้ว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างก็เหอะ ฮาร์ฟหนีไปกับผีเลยเชื่อป้า อยู่ไปก็อึดอัด ไปทำงานชนบทไหมลูก หมอเหมือนกันสบายใจกว่าเยอะ ธีร์นี่เติบโตมาได้แบบน่ารังเกียจจริงๆ อิจฉามันไม่ผิดหรอกแต่เล่นไม่ซื่อนี่...ด่าไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 14-03-2016 11:36:43
เท่าที่ดูก็คิดเหมือนธีร์ การที่อาจารย์แกทำเพื่อผลักดันฮาล์ฟ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 14-03-2016 12:19:00
เกินไปมากจริงๆ ต้องเป็นพ่อแม่ประเภทไหนที่สนใจคนอื่นมากกว่าลูกแท้ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-03-2016 14:54:41
ครอบครัวนี้แปลกมากๆ มีวิธีกระตุ้นลูกพิศดาร  :katai1:  แสดงอาการไม่รักลูก ไม่สนิทสนม ไม่เคยพูดดีๆ กับลูก  เอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงให้ลูกอิจฉา ยกบ้านของปู่ให้ลูกเลี้ยง  เรียนก็สูง คุณวุฒิ วุฒิภาวะมีครบ แต่รักลูกไม่เป็น ทำร้ายตัวเองกับลูกทั้งนั้น ทำแล้วใครมีความสุข ??????  :hao7: :m31: :fire:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 14-03-2016 22:37:39
ทำไมมันบิดๆเบี้ยวๆทั้งเรื่องเลยเนี่ย ถถถถ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 14-03-2016 22:40:10
เหมือนกำลังจะเริ่มเปิดเผยความรักในแบบของคุณพ่อ และมุมอ่อนแอของทั้งคุณพ่อ และก็ธีร์ ใช่ไหมคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 16-03-2016 16:26:36
ก็เพราะว่าไม่ยอมฟังกันทั้งบ้านไงมันเลยเป็นซะแบบนี้พื้นฐานของความเข้าใจอ่ะ เราเป็นฮาร์ฟเราตะโครตอึดอัดเลย สงสารฮาร์ฟอ่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 17-03-2016 13:38:55
สงสารฮาร์ฟ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sangzaja122 ที่ 17-03-2016 18:20:32
มาทันถ่ายทอดสด วี้ดว้ายย แปะไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: 182x406 ที่ 18-03-2016 11:47:46
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ..
ตามมาจาก ER เพราะเห็นว่าไปอัพตอนพิเศษพอดี
ข้อมูลแพทย์เเน่นมาก เป๊ะมาก เนื้อเรื่องก็สนุกมากกก ดูเทาๆแต่ก็มีชมพูๆ
ตัวละครคาแรคเตอร์ชัดมากๆเลยค่ะ

ยิ่งอ่านยิ่งสงสารฮาร์ฟแต่ก็ลุ้นไปด้วยว่าจะเป็นยังไง
จริงๆลุ้นทุกตอนเลย เดาอะไรก็พลิกตลอด5555
แอบคิดว่าจริงๆทิดยังไม่ตายหรือเปล่า? เพราะตอนทิดจะไป แล้วกลับมามีคนบอกยินดีต้อนรับกลับมานะ?
ถ้ายังก็ไม่อยากให้ตายเลยค่ะ อยากจีบมาคู่กับฮาร์ฟ ;w;
ไม่งั้นฮาร์ฟคงได้คู่กับพี่วินทร์แน่ๆเลย แอบเชียร์พี่วินทร์อยู่เหมือนกัน
แต่ชอบเวลาฮาร์ฟอยู่กับทิดมาก มันดูอบอุ่นมากๆเลย :)
ถ้ายังอยู่ด้วยกันต่อให้ต้องเจออะไรก็ผ่านมันไปได้แน่นอน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 27-03-2016 20:58:14
จิวกับอุ้มนี่เป็นคนสำคัญที่ทำให้คู่ปืนสมหวังเลยนะเนี่ย o13
แต่อ่านไปแล้วดันเผลอใจชอบคู่จิวซะได้ :-[
ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-04-2016 02:18:24
บทที่ 9 Like father like son

“ฮาร์ฟ รอผมด้วย” อทิฏฐ์ร้องเรียกพร้อมทั้งออกเดินตามหลังมาติดๆ แต่ไม่ว่าจะพยายามเรียกสักเท่าใดอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาจนกระทั่งคุณหมอหนุ่มเดินลัดเข้ามาในสวนของโรงพยาบาลที่ตอนนี้ร้างผู้คนเพราะเป็นกลางดึกสงัด เขาจึงตัดสินใจตะโกน “ฮาร์ฟ!”

และในที่สุดมันได้ผล นรกรชะงักฝีเท้าทันทีพร้อมกับหันหน้ามา อทิฏฐ์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงในแววตานั้นจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ตราบที่อีกฝ่ายยังฟังเสียงของเขานั่นก็เป็นสัญญาณที่ดี

เขารีบก้าวเข้าไปยืนตรงหน้า นัยน์ตาหลังกรอบแว่นแดงก่ำจนทำให้นึกอยากดึงตัวเข้ามากอดปลอบแน่นๆ แต่ก็เหมือนกับทุกครั้งที่เขาทำ คือได้แค่กำมือตัวเองและรู้สึกไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่ได้เลย “จะไปไหน”

“ไปแก้งาน”

“ปากแข็งอีกแล้ว ในเวลาแบบนี้คุณยังมีอารมณ์เปิดคอมทำงานอีกเหรอ”

นรกรเหลือบมองอทิฏฐ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตรงหน้าเป็นเพียงแค่อากาศว่างเปล่าแต่เขาก็ยังยื่นมือออกไปราวกับพยายามจะไขว่คว้าหาไออุ่นของร่างโปร่งแสงนั้น “ผมไม่ได้บ้าใช่ไหม ทิด” เสียงของเขาสั่นพร่า “คุณอยู่ตรงนี้จริงๆ ใช่ไหม”

อทิฏฐ์มองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ปวดร้าวไม่แตกต่าง แต่จะให้เอาอะไรมายืนยันในเมื่อเขาเองก็เป็นสิ่งที่ไร้ตัวตน “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ... ขอโทษนะที่ผมช่วยคุณพิสูจน์ให้ใครเห็นไม่ได้ว่าผีมีอยู่จริง” เขาก้มลงมองมือคู่นั้นที่ยื่นออกมาก่อนจะประกบมือของตนทับลงไป “ดูสิ แค่สัมผัสคุณผมยังทำไม่ได้เลย แต่ผมอยู่ตรงนี้นะ คุณรู้ใช่ไหม”

นรกรเม้มปากแน่นพร้อมกับพยักหน้าครั้งหนึ่ง

“มีอะไรอยากเล่าไหม”

นรกรพยักหน้าอีกครั้ง

“งั้นนั่งก่อนนะ” อทิฏฐ์พยักเพยิดไปทางม้านั่งตัวเดิมที่เคยนั่งคุยกับลลินและก้าวเท้านำไปโดยยังคงพยายามให้มือแตะกันไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมขยับเขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮาร์ฟ”

นรกรค่อยเดินตามไปทรุดตัวลงนั่ง เขาเอนหลังพิงพนักเงยหน้าดูดาวบนท้องฟ้าพลางชำเลืองมองร่างโปร่งแสงข้างตัวที่กระทบแสงจันทร์ออกสีนวลน่ามอง

อทิฏฐ์ส่งยิ้มมาให้และเขยิบเข้ามานั่งจนชิด ไม่อาจทำอะไรให้ได้มากไปกว่านี้ แต่อยากให้รู้ว่าจะอยู่ตรงนี้เสมอ

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองมือที่กุมมือตนไว้และเริ่มต้นเล่า “คุณจำเรื่องที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าโดนเพื่อนในห้องแกล้งให้เพื่อนผู้หญิงมาทำให้ผมหลงรักได้ไหม”

“จำได้ครับ”

“ทั้งหมดมันเป็นแผนการของธีร์” ทั้งที่มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับและรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาโดยตลอด แต่มาวันนี้มันกลับค่อยๆ ผ่านออกจากปากที่ปิดสนิทและหัวใจที่เก็บซ่อนความลับนี้มาหลายปี

หลังจากที่เรื่องทุกอย่างเฉลย นรกรก็หนีไปแอบอ่านหนังสืออยู่ห้องสมุด ไม่ใช่ความรู้สึกแค่อายหรือโกรธแต่เขารู้สึกเข้าหน้ากับคนอื่นๆ โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงคนนั้นไม่ถูกมากกว่า จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกนึกรักเธอ หากก็ประทับใจและคิดมาตลอดว่าเป็น ‘เพื่อน’

มันยิ่งกว่าโดนหักหลังเมื่อแท้จริงแล้วคำว่ามิตรภาพมันยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ สุดท้ายความรู้สึกทั้งหมดนั่นมันก็เป็นแค่สิ่งที่เขาคิดไปเองฝ่ายเดียว

พอออดบอกเวลาเริ่มคาบสุดท้ายดังเขาก็กลับไปห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋า คาดว่าคนอื่นๆ น่าจะแยกย้ายกลับบ้านกันหมดแล้ว

หากห้องเรียนที่น่าจะปิดไฟเงียบกลับมีเสียงคน 3 คนคุยกันดังแว่วออกมา นรกรเบียดตัวแอบกับประตูและมองเข้าไปด้านใน

“พี่นายนี่มันมีหัวใจหรือเปล่าวะธีร์ นี่ขนาดเราส่งยัยโบขวัญใจคนทั้งรุ่นไปเลยนะเนี่ย” เสียงเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งพูดขึ้น เขานั่งหมิ่นๆ อยู่บนขอบโต๊ะ ข้างกันนั้นมีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งเท้าคางอยู่ ทั้งคู่กำลังจับจ้องไปที่อีกคนซึ่งกำลังนับปึกธนบัตรในมืออย่างคล่องแคล่ว

“เอาน่าๆ ยังไงก็ยังได้กำไรอื้ออยู่เดี๋ยวข้าพาไปเลี้ยง KFC เอาปะ” คนสุดท้ายในกลุ่มพูดขึ้นและมันเป็นเสียงของน้องชายบุญธรรมของเขาเอง

“ไม่ต้องเอาของกินมาล่อเลย ยังไงข้าก็ไป”

“เออๆ งั้นวันนี้หลังเลิกชมรมเจอกันนะ” ธีร์ว่าก่อนจะโบกมือลาคนที่คว้ากระเป๋าและวิ่งออกประตูหลังห้องไปก่อน

“นี่ธีร์” เด็กสาวที่นั่งเงียบฟังอยู่นานพูดขึ้นเมื่อเหลือกันแค่สองคน “ถามจริง ทำไมนายถึงกล้าส่งฉันไปยะ”

“ไม่เอาน่าโบ เรื่องนี้เราคุยกันแล้วนี่ครับก็แค่เล่นสนุกๆ เอง”

“แต่โบไม่สนุกนะ ธีร์ทำเหมือนธีร์ไม่รักโบเลยสักนิด ถึงได้ส่งให้ไปหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นแบบนั้น ถ้าเกิดฮาร์ฟชอบโบขึ้นมาจริงๆ ล่ะ หรือว่าถ้าเกิดโบไปชอบฮาร์ฟขึ้นมาธีร์น่ะแหละจะเป็นฝ่ายเสียใจ”

“นี่โบ” ธีร์ยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อและเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้า “เรื่องที่ฮาร์ฟจะชอบโบน่ะโอกาสมันไม่ใช่แค่ 1 ใน 100 แต่มันคือศูนย์เลยล่ะ ฉันก็แค่หวังว่าโบจะยอมทำให้หมอนั่นเปิดเผยธาตุแท้ออกมาซะอีก”

“ธาตุแท้อะไร” เด็กสาวย่นคิ้ว

“ไม่บอกหรอก... ส่วนเรื่องที่โบจะไปชอบหมอนั่น...” ธีร์เว้นวรรคไปเล็กน้อย “ฉันว่าน่าจะเป็นฝ่ายโบมากกว่านะที่จะเสียใจที่ทิ้งนักกีฬาโรงเรียนอย่างฉันไปหาไอ้เด็กเนิร์ดพรรค์นั้น”

“ดูพูดเข้านั่นพี่ชายนายไม่ใช่เหรอ”

“พี่บ้าอะไร อายุมากกว่ากันแค่สามเดือน ไม่เอาแล้วโบมาชวนคุยเรื่องอะไรให้เครียดเนี่ย ไปหาอะไรทำสนุกๆ กันดีกว่า” ธีร์ยักคิ้วพร้อมกับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม

“แต่ธีร์ต้องไปชมรมไม่ใช่เหรอ ได้ข่าวว่ามีแข่งอาทิตย์หน้านี่”

“ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้ผมอยากอยู่กับโบมากกว่า เป็นรางวัลที่ยอมเหนื่อยเพื่อผมไง” ไม่พูดเปล่ายังคล้องมือลงรอบบ่าคนตรงหน้าพร้อมกับโน้มตัวข้ามโต๊ะไปจูบหน้าผากเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะคล้องแขนกอดเอวกันเดินออกไปจากห้อง


เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้นรกรก็เว้นวรรคไปเล็กน้อยคล้ายกับกำลังทบทวนเรื่องราวต่อจากนั้น ริมฝีปากขยับอีกครั้งเพื่อจะเล่าต่อเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนดังแว่วมา

“ฮาร์ฟ”

เขาหันไปมองตามเสียงเรียกชื่อ และแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นคนซึ่งกำลังก้าวยาวๆ เข้ามาหา จึงรีบลุกขึ้นยืนก็พอดีกับที่อีกฝ่ายเดินมาถึงตัว

“อยู่ที่นี่เอง แม่ก็หาตั้งนานแน่ะ”

“อาจารย์มีธุระอะไรกับผมครับ”

“ทำไมพูดซะเหินห่างแบบนั้นล่ะ” วิมลภาดุกลายๆ ในน้ำเสียง

“ขอโทษครับ... แม่”

วิมลภาถอนหายใจครั้งหนึ่ง “นี่แม่นะ ไม่ใช่พ่อ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงพลางกวาดตามองดูลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะส่งของที่ถือมาในมือให้ “แม่เอานี่มาให้จ๊ะ”

นรกรก้มลงมองตำราแพทย์ภาษาอังกฤษเล่มใหญ่ที่หน้าปกเป็นรูปบิดาแห่งวิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง มันเป็นหนังสือเล่มโปรดที่พ่อของเขาถือติดมืออยู่เป็นประจำและมักจะใช้อ้างอิงในการสอนและการรักษา “ทำไมเหรอครับ”

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันพ่อเขาสั่งมาน่ะ” วิมลภาบอก “หลังจากที่รู้ว่าฮาร์ฟจะมาหา พ่อก็โทรมาบอกแม่ว่าผ่าตัดเสร็จให้ช่วยแวะเอาหนังสือเล่มนี้ที่วางลืมไว้ในห้องทำงานมาให้ลูกด้วย... รับไปสิ” แม่ย้ำอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ” นรกรรับมาทั้งที่ยังไม่เขาใจ เขาลูบมือไปบนหน้าปกก่อนจะเปิดหหน้าแรกออกดูพลันรูปถ่ายใบหนึ่งที่สอดไว้ก็ปลิวร่วงลงบนพื้น

มันเป็นรูปถ่ายในวันจบการศึกษา ธีร์ใส่ชุดครุยยืนอยู่ตรงกลางมีพ่อกับแม่ของเขายืนขนาบอยู่ด้านข้าง ทั้งสองยิ้มกว้างด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

นรกรก้มลงเก็บ และจ้องมองมันโดยไม่พูดอะไร

“ฮาร์ฟ...” ดูเหมือนวิมลภาจะเข้าใจ เธอขยับปากจะพูดแต่ลูกชายก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ขอโทษนะครับแม่ ที่ผมเป็นลูกแบบที่พ่อกับแม่ต้องการไม่ได้... ไม่เหมือนธีร์”

“ทำไมฮาร์ฟถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ผู้เป็นแม่ถามกลับ “วันนั้นพ่อเขาผ่าตัด...”


“เรื่องนั้นผมทราบครับ”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วเคสนั้นเป็นเคสของแม่”

“...”

เมื่อเห็นลูกชายไม่พูดอะไรเธอจึงเล่าต่อ “เคสของพ่อเริ่มผ่าตัดมาตั้งแต่ช่วงกลางคืน เสร็จตอนรุ่งเช้าพอดี แต่บังเอิญว่ามีอีกเคสและแม่กำลังผ่าตัดอยู่ก็เลยเข้าไปช่วยจ๊ะ เพื่อที่จะได้เสร็จเร็วๆ แล้วไปงานรับปริญญาของทั้งสองคนด้วยกัน แต่ธีร์มารอเราที่ภาควิชาก็เลยได้ถ่ายรูปด้วยกันก่อน และเราก็กำลังจะไปหาลูกแต่พ่อเขาก็ดันล้มลงเสียก่อนเลยไม่ได้ไป” วิมลภาสัมผัสบ่าลูกชายและบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง “พ่อฝืนทำงานหนักเพราะไม่อยากไปโดยไม่มีแม่... เพราะไม่อยากให้ทั้งแม่และฮาร์ฟพลาดโอกาสที่มีแค่ครั้งเดียวนี้ ฮาร์ฟพูดไม่ผิดหรอกว่าพ่อเขาเป็นคนบ้างาน แต่คนบ้างานคนนี้ก็รักครอบครัวมากกว่าที่ลูกคิดนะ”

“เรื่องมันเป็นแบบนี้เองเหรอครับ"

“ส่วนเรื่องของคุณปู่” วิมลภาพูดต่อ อันที่จริงตอนที่สองพ่อลูกเริ่มเถียงกันเธอมาถึงแล้วและยืนแอบฟังอยู่ อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปิดประตูเข้าไป “พ่อไม่ได้เห็นงานสำคัญกว่าปู่ แต่เพราะพ่อเห็นว่าชีวิตที่กำลังดูแลอยู่ก็สำคัญและมีคนรอให้กลับไปเหมือนกันต่างหาก”

นรกรก้มลงมองมือตัวเอง เริ่มเข้าใจความคิดของพ่อขึ้นมาบ้าง ในตอนนั้นถ้าเขาเป็นคนที่ต้องเลือกบางทีก็คงจะทำแบบเดียวกัน

“พ่อไม่เคยไม่เสียใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงโกรธทุกครั้งที่ใครก็ตามพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ฮาร์ฟหรอกจ๊ะ”

“แม่ครับ” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ ไม่แน่ใจว่าควรพูดเรื่องนี้ตอนนี้ไหมแต่ในเมื่อธีร์บอกว่าทุกคนรู้แล้วและนี่เป็นสาเหตุให้ไม่มีใครบอกเขาเรื่องที่พ่อป่วยเขาก็อยากจะขอโทษให้ชัดเจน “ผมขอโทษนะครับที่ผมคงแต่งงานกับผู้หญิงไม่ได้ พ่อกับแม่คงโกรธมากใช่ไหม”

“โกรธสิ” แม่ตอบ “โกรธว่าเมื่อไหร่ลูกจะเข้ามาบอกแม่ตรงๆ เสียที นี่ถ้าธีร์ไม่บอกพวกเราก็คงไม่มีวันรู้สินะ”

“ธีร์เป็นคนบอกเหรอครับ” นรกรทวนคำ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตอนพวกลูกอยู่ม.ปลายเห็นจะได้” เมื่อเห็นลูกชายเงียบไปเธอจึงยกมือขึ้นสัมผัสเบาๆ ที่ต้นแขน “ถึงจะทำใจยากนิดหนึ่งแต่สำหรับแม่น่ะลูกจะเป็นยังไงแม่ก็รับได้นะ ส่วนพ่อน่ะเป็นคนหัวโบราณมากแล้วเขาก็ค่อนข้างจะคาดหวังกับลูกไว้สูงก็คงจะเป็นเรื่องยากเสียหน่อย...” วิมลภาเม้มปากครุ่นคิดไม่แน่ใจว่าจะพูดเรื่องนี้อย่างไรดี “แต่แม่คิดว่าฮาร์ฟน่าจะเข้าใจน่ะ”

“แต่ผมไม่เข้าใจนี่นา”

“นั่นแหละจ๊ะ” ริมฝีปากของผู้เป็นแม่คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนมือลงมาคว้ามือเขาไว้และบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง “พ่อเขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“ยังไงครับแม่”

“ถ้าคิดไม่ออกก็ไปถามพ่อเขาเองนะ แม่ไม่บอกหรอกเพราะทั้งสองคนน่ะพูดกันน้อยเกินไปแล้ว”

ถึงจะยังไม่เข้าใจแต่นรกรก็พยักหน้ารับคำ “ครับ”
วิมลภาบีบมือลูกชายอีกครั้ง “แม่กลับไปดูพ่อเขาก่อนนะ”

นรกรมองตามแผ่นหลังของแม่จนเดินลับไปก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งอีกครั้ง และก้มลงมองหนังสือในมือ

เขาค่อยๆ พลิกไปที่หน้าสารบัญและใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามหัวข้อทีละหัวข้อเพื่อหาสิ่งที่พ่อของเขาอยากจะบอก มันก็เป็นตำราแพทย์ทั่วๆ ไปไม่มีอะไรแปลกใหม่ จนกระทั่งเขามาสะดุดลงตรงหัวข้อหนึ่งตรงบทที่ 10 ซึ่งมันเข้ากันได้กับงานวิจัยของเขาพอดี เขารีบพลิกไปดูและกวาดสายตาอ่านรวดเร็ว

เนื้อหาในบทนี้รวบรวมงานวิจัยของแพทย์ท่านหนึ่งเมื่อในอดีตที่ยังคงนำมาประยุกต์ใช้ได้ สิ่งสำคัญคือมันช่วยอธิบายข้อยกเว้นในงานวิจัยของเขาที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ติงมาโดยละเอียดยิบแบบที่อาจารย์ธนบดีผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาไม่เคยอธิบายให้เขาฟัง และมันไม่ใช่แค่ทำให้งานวิจัยของเขาไม่กลายเป็นขยะไร้ค่าแต่มันช่วยให้สมบูรณ์และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต

นัยน์ตาตวัดไปตามบรรทัดแล้วบรรทัดเล่าพร้อมๆ กับที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ฮาร์ฟ ผมมีอะไรจะบอกล่ะ” อทิฏฐ์กระซิบขึ้นเบาๆ คล้ายกับไม่อยากไม่รบกวนคนที่กำลังนิ่วหน้าเครียดกับตำรา หากก็ตื่นเต้นในสิ่งที่เพิ่งค้นพบจนไม่อาจเก็บไว้ในใจคนเดียวได้ “ผมว่าผมรู้แล้วนะว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อคุณว่า ‘นรกร’”

“ยังไง” เจ้าของชื่อเงยหน้าจากหนังสือ นึกสนใจขึ้นมาทันทีกับคำตอบที่ตามหามาทั้งชีวิต

“คุณลองมาดูมุมผม ไม่สิ! ต้องบอกว่าคุณลองกลับหัวหนังสือดูสิ” อทิฏฐ์บอกพลางชี้ไปบนหน้าปกหนังสือตรงที่มีลายมือหวัดๆ ของเจ้าของเขียนไว้ข้างรูปภาพ

neuron

มันคือคำว่า Neuron ซึ่งแปลว่า เซลล์ประสาทสมอง นรกรไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับชื่อของเขาตรงไหน จนกระทั่งเขาลองทำตามที่อีกฝ่ายว่าจึงได้เห็นคำตอบที่ซ่อนอยู่

นอ ระ กอน

มันคือคำอ่านออกเสียงชื่อของตัวเขาเอง

“พ่อคุณมีความพยายามไม่น้อยเลยนะ” อทิฏฐ์พูดต่อเมื่อรู้ว่านรกรเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะบอก “แล้วผมก็คิดออกมาตั้งนานแล้วล่ะว่าชื่อเล่นของคุณน่าจะมาจากอะไรแต่เพราะขนาดคุณยังคิดไม่ถึงผมเลยคิดว่ามันไม่น่าใช่ แต่พอได้มาเห็นแบบนี้ผมก็มั่นใจล่ะว่าตัวเองคิดไม่ผิด”

“ยังไงเหรอ”

“ชื่อเล่นคุณน่ะ มันสะกดด้วยตัว ร เรือการันต์ ไม่ใช่ ล ลิงการันต์เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางมาจากคำว่า Half ที่แปลว่าครึ่งเด็ดขาด”

“แล้วมันจะมาจากอะไรล่ะ” นรกรถามกลับ

“ก่อนจะเฉลย คุณตอบผมมาก่อนว่าใครคือบิดาแห่งวิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง"

นรกรเคาะนิ้วไปบนรูปศัลยแพทย์บนหน้าปกหนังสือ “นายแพทย์ฮาร์วี่ คูชชิ่ง ผู้ค้นพบอาการแสดงของความดันในกะโหลกศีรษะสูงหรือที่เรียกว่า Cushing’s reflex ไง”

อทิฏฐ์เลิกคิ้วสูงขึ้นอีก

แต่คุณหมอหนุ่มยังไม่มีทีท่าจะเข้าใจ “แล้วยังไง”
“ชื่อ Harvey เวลาฝรั่งจะเรียกเป็นชื่อเล่นมันจะเป็นได้อะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...”

“ฮาร์ฟ” เสียงทุ้มเครือผ่านซี่ฟัน

ถึงตรงนี้ร่างโปร่งแสงตรงหน้าค่อยคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “บางทีเรื่องที่เราคิดมันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะ”

นรกรกำหนังสือในมือแน่น เขาอ่านคำที่สะกดออกมาเป็นชื่อตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกพร้อมๆ กับนึกถึงสิ่งที่แม่เล่าให้ฟังเมื่อครู่ และถ้อยคำที่พ่อของลลินเคยบอกกับเขาที่หน้าห้องไอซียู

   ‘เป็นพ่อลูกกันมายี่สิบปี แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าลูกอยากเป็นอะไร’

เรื่องบางเรื่องต่อให้สนิทกันมากแค่ไหนถ้าไม่พูดออกไปก็ไม่มีทางรู้ ในเมื่อบางครั้งตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเองแล้วจะหวังให้คนอื่นมาเข้าใจเราได้ยังไง

นรกรหันไปสบตากับอทิฏฐ์ที่เฝ้ามองดูเขาอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับส่งยิ้มบางมาให้ เขาพยักหน้าเบาๆ ให้ครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินกลับไปที่ห้องพัก

เขาเคาะประตูและผลักเข้าไป วิมลภานั่งอยู่ข้างเตียงในขณะที่ธีร์ยืนกอดอกอยู่ถัดออกไป ดูท่าทางทั้งสองจะหมดแรงกับการโน้มน้าวคนหัวแข็งให้เข้ารับการรักษาจึงได้แต่เงียบ และทั้งห้องก็ยิ่งเงียบจนน่ากลัวเมื่อนรกรเดินเข้ามา

“พ่อครับ” นรกรเรียกพร้อมกับเดินไปยืนที่ข้างเตียง
ธีร์หันไปสบตากับแม่เหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็โดนปรามด้วยสายตา

“มีอะไร” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม

“ผมมาขอโทษที่เมื่อกี้เสียงดังใส่พ่อ”

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปเล็กน้อย เขาขยับตัวนั่งให้ตรงขึ้นและหันไปสบตาลูกชายเต็มที่

เห็นดังนั้นนรกรจึงพูดต่อ “ผมรู้ดีว่าตัวผมมันไม่ได้เรื่อง”

“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยเสียงห้วน

“เพราะฉะนั้นวันพรุ่งนี้พ่อต้องไปฟังผมพรีเซนต์นะ” ประโยคต่อมาของนรกร ไม่ใช่แค่ทำให้ศาสตราจารย์ตั้งใจฟัง แม้แต่วิมลภากับธีร์ที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ยังต้องหันมามองตรงๆ “ผมอาจจะเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่อง และถึงจะไม่ใช่ลูกศิษย์คนโปรด แต่ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมคนนี้ก็มีเรื่องที่สามารถทำให้พ่อภูมิใจได้เหมือนกัน”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ส่งเสียงหึเบาเบาๆ ในลำคอ “อวดดี คิดว่ามีเวลาแค่คืนเดียว ไม่สิ! แค่ไม่กี่ชั่วโมงแกจะแก้ไขไอ้จุดบกพร่องนั่นได้ทั้งหมดอย่างนั้นล่ะสิ”

นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งเกือบนาทีที่ไม่มีใครยอมหลบสายตาและไม่พูดอะไรออกมา

“ผมทำได้” นรกรตอบชัดถ้อยชัดคำก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินออกจากห้องไป

ได้ยินดังนั้นศาตราจารย์สรวิชญ์ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าแต่เพราะลูกชายปิดประตูเสียแล้วจึงหันไปหาภรรยา “จำคำลูกชายคุณไว้นะ”

วิมลภาถอนหายใจบางเบากำลังจะเอ่ยปรามสองพ่อลูกก็พอดีกับที่กระดาษแผ่นหนึ่งหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เธอรับมาดูก่อนริมฝีปากจะคลี่รอยยิ้มกว้างจนถึงนัยน์ตาเมื่อเห็นลายเซ็นชื่อบนใบยินยอมเข้ารับการรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ “ลูกคุณค่ะ” เธอกระซิบพร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือของสามีบนเตียง “นั่นลูกชายคุณ”

ศาสตราจารย์สรวิญช์หันมาสบตาภรรยา ก่อนจะเสเบือนสายตาหันไปมองทางอื่นโดยไม่สื่อความหมายใดแต่กลับบีบมือที่กุมมือตนไว้แน่น

นรกรปิดประตูห้องพร้อมกับเหลือบมองร่างโปร่งแสงข้างกาย กำลังจะเอ่ยปากอธิบาย แต่กลับเป็นอทิฏฐ์ที่เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ผมรู้นะว่าคุณอยากจะต่อท้ายประโยคนั้นว่าอะไร”

“อะไร”

“ผมทำได้” อทิฏฐ์พูดทวนอีกครั้ง “และพ่อก็ทำได้เหมือนกัน”

คุณหมอหนุ่มไม่ตอบเพียงแต่คลี่ยิ้มบาง ก็จะให้เขาพูดอะไรได้มากกว่านี้ล่ะในเมื่อคนตรงหน้าพูดแทนใจเขาออกมาจนหมดแล้วนี่นา “คืนนี้คุณจะอยู่โต้รุ่งเป็นเพื่อนผมแก้งานวิจัยใช่ไหม”

“ให้เป็นมากกว่าเพื่อนผมก็ทำได้นะ”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง “แล้วอยากเป็นอะไรล่ะ”

“แล้วแต่คุณสิ” อทิฏฐ์ว่า

นรกรกำลังจะเอ่ยต่อเมื่อร่างสูงใหญ่เดินมาตามทางเดินพร้อมกับส่งเสียงเรียก

“ฮาร์ฟ”

“พี่วินทร์”

เจ้าของชื่อเดินมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมกับส่งสิ่งที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาให้ “เอ้านี่”

นรกรเหลือบตาลงมองกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุคในมือวินทร์ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมครับ”

“ฉันให้ยืม เผื่อนายจะอยากแก้งานระหว่างนั่งรออาจารย์ผ่าตัด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินกลับไปเอาที่หอ”

“พี่วินทร์รู้ได้ยังไงครับ”

“เขาลือกันให้แซ่ด” วินทร์บอก เขาแสร้งทำเป็นมองหาจิ้งจกบนฝ้าเพดานอยู่อึดใจก่อนจะตวัดสายตากลับมาสบตาคนตรงหน้าเต็มที่ “นายโอเคนะ”

“ครับ”

วินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยเรียกอีกครั้ง “ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้นะ ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่หมอโรคหัวใจเหมือนปอ แต่ฉันมั่นใจว่าเป็นห่วงนายไม่น้อยไปกว่าใครนะ”

“ขอบคุณครับ” นรกรตอบ “ผมแค่ไม่อยากรบกวนพี่วินทร์”

“มันไม่ได้รบกวนอะไรเลยฮาร์ฟ” วินทร์ว่าก่อนจะเงียบไปอีกอึดใจและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ขอฉันเข้าไปเยี่ยมพ่อของนายได้ไหม”

นรกรพยักหน้าพร้อมกับเปิดประตูให้ในขณะที่อทิฏฐ์กอดอกมองตามด้วยหางตา เพราะเมื่อสักครู่วินทร์ไม่ได้ใช้คำว่า ‘อาจารย์’ เหมือนอย่างเคย แต่ใช้คำว่า ‘พ่อของนาย’

“พ่อครับพี่วินทร์มาเยี่ยม”

ทันทีที่เห็นคนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาศาตราจารย์สรวิชญ์ก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงอีกครั้ง

วินทร์ยกมือไหว้อาจารย์ทั้งสองท่านก่อนจะก้าวยาวๆ ไปยืนที่ข้างเตียงด้านตรงข้ามกับวิมลภา “เป็นไงบ้างครับอาจารย์”

“อย่างที่เห็นน่ะแหละ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบด้วยท่าทางเป็นกันเองจนทั้งนรกรและธีร์ยังนึกแปลกใจ “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำไม จะมาเยาะเย้ยผมหรือไง”

วินทร์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ผมจะกล้าทำแบบนั้นเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ ก็เห็นขู่อยู่บ่อยๆ นี่ว่าไม่เคยป่วยบ้างให้มันรู้ไป”

วินทร์หัวเราะในลำคออีกครั้ง

อทิฏฐ์มองคนสองคนที่กำลังคุยกัน ทั้งที่มันเป็นถ้อยคำเยี่ยมไข้พื้นๆ ฟังดูไม่สลักสำคัญ แต่ทำไมเมื่อเขามองเข้าไปในแววของทั้งคู่ที่สบกันอยู่ถึงรู้สึกว่ามันมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ สายตาของวินทร์นั้นมากกว่าความเคารพและชื่นชมเช่นเดียวกันกับสายตาของศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ดูจะมากเกินคำว่าเอ็นดู มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ของอาจารย์กับศิษย์รัก แต่ถ้าจะให้เขาอธิบายว่าพิเศษยังไงเขาก็นิยามมันไม่ถูกเหมือนกัน และรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่คนอื่นๆ ในห้องไม่สังเกตเห็นหรือคิดเช่นเดียวกันกับเขาเลย

“จริงๆ ผมก็อยากอยู่เฝ้าอาจารย์นะ” วินทร์พูดพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ ที่ลูกชายทั้งสองของศาสตราจารย์สรวิชญ์ยืนกันอยู่คนละมุม “แต่ถ้าพี่ใหญ่มาอยู่ที่นี่กันหมดก็จะไม่ใครเฝ้าเจ้าพวกลูกเจี๊ยบ เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ผมควรไปนอนเผื่อโดนตามกลางดึกดีกว่า”

“คุณทำถูกแล้ว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “แล้วก็ฝากลากเจ้าสองคนนี้ไปด้วยสิ อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์เกะกะเปล่าๆ ห้องก็แคบแค่นี้ นี่แทบไม่มีที่จะนั่งจะยืนกันแล้ว”

“แต่ผมอยากอยู่เฝ้าป๊านี่นา” ธีร์รีบบอก

“ผมแก้งานที่นี่ได้” นรกรบอกพร้อมกับยกกระเป๋าคอมพิวเตอร์ให้ดู

ศาสตราจารย์สรวิชญ์รีบโบกมือไล่ “ไม่ต้องเลย ทั้งสองคนน่ะแหละ จะไปดูคนไข้ ไปทำงาน หรือจะไปไหนก็ไป พ่ออยู่กับแม่เขาได้ แล้วเดี๋ยวก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว”

พูดยังไม่ทันขาดคำดีประตูห้องพักก็ถูกเคาะก่อนจะเปิดออกพร้อมกับที่พยาบาลสาวเดินเข้ามา “อาจารย์สรวิชญ์คะ อาจารย์ชาญชัยโทรมาแจ้งว่าเตรียมห้องและอุปกรณ์พร้อมแล้วให้ส่งอาจารย์ไปได้เลยค่ะ อาจารย์พร้อมไหมคะ”

“ครับ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์รับคำ

นรกรยืนส่งพ่อแค่หน้าห้องพักในขณะที่ธีร์กับแม่ขอเดินตามไปจนถึงหน้าห้องผ่าตัด เขามองดูเจ้าหน้าที่เปลเข็นเตียงของพ่อออกไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อารมณ์ความรู้สึกมากมายมันอัดแน่นอยู่ในอก เขากำมือตัวเองแน่นเมื่อมือข้างหนึ่งเอื้อมมาแตะเบาๆ ที่หลังมือก่อนจะสอดมากุมไว้แล้วบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง

เขาเหลือบตามองร่างสูงข้างกายที่ส่งยิ้มให้กำลังใจมาพร้อมกับความอบอุ่นที่ส่งผ่านฝ่ามือ
“เขาจะปลอดภัย” วินทร์กระซิบ

นรกรไม่ตอบเพียงแค่พยักหน้าและบีบมือนั้นกลับเบาๆ ครั้งหนึ่ง

และการกระทำทุกอย่างนั้นก็อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอด

อทิฏฐ์ก้มลงมองมือที่โปร่งแสงของตนจนมองผ่านเห็นพื้นที่ปลายเท้า มันไม่ได้โปร่งแสงเหมือนปกติแต่เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังจางลงทุกขณะเมื่อร่างกายของตนกำลังเข้าใกล้จุดจบลงไปทุกที เขากำหมัดแน่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ตอนนี้เดินไปนั่งลงบนโต๊ะและเริ่มต้นเปิดคอมพิวเตอร์เมื่อวินทร์กลับออกไป

“ทิด” นรกรเรียกพร้อมกับสะบัดหน้าเบาๆ ไปที่ที่ว่างข้างตัว “อย่ายืนเฉยๆ ถ้าไล่ยุงไม่ได้ก็มาช่วยอ่านให้ฟังหน่อยผมจะได้พิมพ์ง่ายๆ”

อทิฏฐ์พยายามคลี่ยิ้มให้กว้างมากเท่าที่หัวใจซึ่งกำลังเจ็บปวดนั้นจะทำได้ “รู้แล้วคร้าบบบ” เขาลากเสียงล้อเลียนและเดินไปนั่งลงเคียงข้าง

ไม่ได้เสียใจที่เวลาของตนกำลังจะหมดลง แต่แค่เสียดายว่าทำไมเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมันช่างแสนสั้นเสียเหลือเกิน




(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 8 Pandora P.3[13/03/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-04-2016 02:41:24
บทที่ 9(ต่อ)

ในคืนเดือนมืดที่แสนเงียบงัน มีเพียงแสงไฟสลัวจากนอกหน้าต่าง ยังมีแสงสีอมฟ้าจากหน้าจอมอนิเตอร์สัญญาณชีพที่ส่องสว่าง เส้นกราฟการเต้นของหัวใจกะพริบเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้า เช่นเดียวกันกับค่าแสดงตัวเลขความดัน 90/40 mmHg มันอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ก็ต่ำมากเสียจนน่าเป็นห่วงเต็มที

ร่างโปร่งแสงเดินอ้อมปลายเตียงมาหยุดยืนที่ข้างเตียง เขาทอดสายตามองร่างที่นอนนิ่งไร้การตอบสนอง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ ไปตามจังหวะการตีลมของเครื่องช่วยหายใจ

ครั้งหนึ่งสมัยยังเป็นเด็กไม่ประสา พ่อเคยจูงมือพามาเยี่ยมใครสักคนที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล เด็กน้อยในตอนนั้นมองร่างของผู้ที่นอนบนเตียงตาแป๋วในขณะที่คนอื่นๆ กำลังกอดคอกันร้องไห้

“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมทุกคนต้องร้องไห้” เขาถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ

พ่อเอื้อมมาโอบรอบตัวลูกชายไว้พร้อมกับกระซิบบอก “เขาตายแล้ว”

“อะไรคือตายเหรอครับพ่อ”

“คือการที่ใครคนหนึ่งจากเราในที่ๆ แสนไกลและเราตามไปไม่ได้ครับ” เด็กชายยังคงไม่เข้าใจความหมายของความตาย แต่เขาเข้าใจความเหงาของการจากลามันคงเหมือนกับตอนที่ต้องโบกมือลาฝนตอนเลิกเรียนและเขาตามไปเล่นกับเธอที่บ้านไม่ได้

แต่ถึงอย่างไรความตายมันช่างดูเป็นเรื่องไกลตัวแม้ในตอนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใครเล่าจะไปคาดคิดว่าจะมีวันที่เขาจะได้มายืนมองร่างของตัวเองในวาระที่เกือบจะสุดท้ายของชีวิต

ดังถ้อยคำโบราณที่ว่าไว้… ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นร่างตัวเองกับตาก็คงไม่คิดว่าตัวเองกำลังจะตาย

แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่ยังมี ‘ห่วง’ อยู่เต็มอก

“อดทนอีกนิดนะ” เขากระซิบกับร่างที่นอนอยู่บนเตียง มันไม่ใช่การให้กำลังใจหรือขอร้อง หากเป็นคำสั่งให้ฝืนสู้ ยื้อชีวิตอยู่ต่ออีกแม้สักเสี้ยวนาทีก็ยังดี

ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อซื้อเวลาให้คนข้างหลังได้ทำใจ

เขาทาบมือลงบนหลังมือร่างบนเตียง ทันใดนั้นเส้นกราพฟบนหน้าจอมอนิเตอร์ก็กระตุกเบาๆ ก่อนจะวิ่งด้วยอัตราที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เช่นเดียวกับตัวเลขแสดงค่าความดันที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

“คนไข้เป็นยังบ้าง”

เสียงห้าวดังมาตามทางเดินพร้อมกับเสียงรองเท้าอย่างรีบเร่งของคนที่พยายามเดินตามกันมาให้ทัน

“ความดันยังตกอยู่เลยค่ะอาจารย์ หนูเพิ่มยากระตุ้นหัวใจจนจะถึงระดับสูงสุดแล้วค่ะ ท่าทางคนไข้จะไม่ไหวแล้ว อาจารย์จะให้หนูโทรตามญาติไหมคะ”

แล้วไฟในห้องก็สว่างพรึ่บขึ้น นายแพทย์ในชุดหมีสีเขียวสวมทับด้วยเสื้อกาวน์ยาวสีขาวยืนอยู่ปลายเตียง ใบหน้าของเขาดูอิดโรยจากการเข้าผ่าตัดใหญ่นานหลายชั่วโมง ข้างกันนั้นคือนางพยาบาลสาวประจำห้องไอซียูที่กำลังรายงานอาการ

ทั้งสองเดินมาหยุดที่ข้างเตียงด้วยความกลัดกลุ้ม แต่แล้วความแปลกใจก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าทั้งคู่เมื่อได้เห็นค่าต่างๆ บนหน้าจอมอนิเตอร์ที่เปลี่ยนไป

“ผมคิดว่าเราไม่ต้องตามญาติแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้” นายแพทย์กล่าว

“ค่ะ อาจารย์” นางพยาบาลสาวรับคำ “แต่น่าแปลกนะคะ อาการคนไข้ดูขึ้นๆ ลงๆ มากเลย ถ้าเป็นแบบนี้เราพอจะมีหวังไหมคะ”

“ไม่รู้สิ” นายแพทย์ตอบพลางทอดสายตามองผู้ที่นอนอยู่บนเตียง ผู้ชายคนนี้ยังเป็นคนหนุ่มแน่น ไม่มีโรคประจำตัวถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะกินยานอนหลับเกินขนาด และทั้งที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่ทำไมนับวันอาการมีแต่ทรงกับทรุด ถึงจะมีช่วงที่ดีขึ้นหากก็แค่เพียงสั้นๆ “ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าตัว ว่าจะยอมแพ้หรือสู้ไปด้วยกัน”

นางพยาบาลพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีความฉงนในแววตา เพราะอาจารย์แพทย์ท่านนี้ไม่ได้อยู่สายงานอายุรกรรม อันที่จริงเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคและอาการของคนไข้สักนิด แต่กลับอาสามารับเคสและช่วยดูแลเองตั้งแต่ถูกรับเข้ามานอนในโรงพยาบาล

“เขาอายุพอๆ กับลูกชายผมน่ะ” นายแพทย์พูดต่อราวกับจะอ่านใจเธอออก “แถมยังเป็นลูกชายคนเดียว พ่อกับแม่เขานั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องทุกวัน... ผมรู้ว่าเจ้าตัวเขาอยากตายไม่งั้นคงไม่ทำแบบนี้ ถึงฟื้นขึ้นมาไม่แน่ก็อาจจะทำแบบเดิมอีก”

“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นอาจารย์จะยังช่วยเขาไหมคะ”

นายแพทย์หันมาสบตาพยาบาลสาวอึดใจก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “คงไม่แล้วล่ะ”

“ทำไมคะ”

“เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น ถ้าหากครั้งนี้ผมพาเขากลับมาได้ ผมจะทำทุกวิถีทางให้เขาเข้าใจความหมายของชีวิตจนไม่คิดอยากจะตายอีกเป็นครั้งที่สอง”

พยาบาลสาวพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะหันไปหาใครอีกคนที่เดินตามมาเงียบๆ และยืนหลบมุมอยู่ด้านหลัง “มีอะไรจะถามอาจารย์ไหมจ๊ะ”

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดขาวที่ยืนกอดแฟ้มผู้ป่วยไว้แน่นด้วยความประหม่าที่อยู่ต่อหน้าอาจารย์แพทย์เพราะตนยังเป็นเพียงนักเรียนพยาบาลและได้รับมอบหมายให้มาดูแลคนไข้คนนี้ เขาส่ายหน้าครั้งหนึ่ง “ไม่ครับ”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะ ฝากดูเขาด้วย” นายแพทย์กล่าวพร้อมทั้งเดินออกไป

“เดี๋ยวเราจดสัญญาณชีพล่าสุดของคนไข้ไว้ด้วยนะ” นางพยาบาลสาวบอก

แล้วชายหนุ่มในชุดขาวก็เดินเข้ามาใกล้ กำลังจะลงค่าตัวเลขต่างๆ ในแฟ้มที่ถือมาเมื่อรุ่นพี่ของตนเอ่ยขึ้น

“ตอนเข้าไปดูแลคนไข้ต้องแนะนำตัวและบอกสิ่งที่จะทำด้วยนะ ถึงเขาจะตอบสนองไม่ได้แต่ก็อาจจะได้ยินนะ” เธอสอนไปพลาง “เพราะประสาทการได้ยินเป็นสิ่งสุดท้ายที่เสียไปและจะเป็นสิ่งแรกที่กลับคืนมานะ นอกจากนั้นยังเป็นการเคารพสิทธิ์คนไข้ด้วย”

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำ เขาบันทึกสัญญาณชีพจนเสร็จจึงวางปากกาแล้วเอื้อมมาบีบมือคนที่นอนอยู่บนเตียงแรงๆ ครั้งหนึ่ง “ผมชื่ออธิษฐ์นะครับ วันนี้ก็จะมาดูแลคุณเหมือนเดิม... สู้ๆ นะครับ”

แล้วทุกคนก็กลับออกไปพร้อมกับไฟในห้องที่ปิดมืดลงอีกครั้ง

หากในความมืดที่ไม่มีใครเห็นนั้น ร่างโปร่งแสงยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ในที่สุดก็เข้าใจเขาก็เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมานาน เมื่อชื่อนั้นดังซ้ำอยู่ข้างหูตลอดเวลาที่ชายหนุ่มคนนั้นฝึกงานอยู่ที่นี่

ทว่า นั่นยังไม่ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับใบหน้าของนายแพทย์ผู้ทำการรักษาที่เขาได้เห็นเต็มตาเป็นครั้งแรก

ศาสตราจารย์สรวิชญ์

oooooo

ถึงแม่จะโทรมาบอกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย ผลการตรวจพบเส้นเลือดหัวใจตีบถึงสองเส้นและได้ทำการรักษาโดยการทำบอลลูนจนเสร็จสิ้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพียงแต่อาจารย์ชาญชัยยังไม่อนุญาตให้กลับมาที่ห้องและให้นอนอยู่ในห้องสังเกตอาการ

จนกระทั่งรุ่งสางแม่ก็ยังไม่ส่งข่าวอะไรมาเพิ่มเติม ใจจริงเขาอยากเดินไปถามความคืบหน้าที่ห้องสังเกตอาการมากกว่า แต่เพราะแม่ได้บอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าถ้ามีอะไรจะติดต่อไปเองขอให้ตั้งใจกับการนำเสนอผลงานวิจัย นรกรจึงเก็บของกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องก่อนจะกลับมาอีกครั้ง

ที่หน้าห้องประชุมเขาเจอวินทร์กับธีร์อยู่ก่อนแล้ว

“พ่อเป็นไงบ้าง” นรกรถาม

“การผ่าตัดเรียบร้อยดี” ธีร์ตอบคำถามเช่นเดียวกับที่แม่บอกและไม่ขยายความอะไรอีก

อาจารย์ภูมิศิลป์แง้มประตูห้องออกมาพร้อมกับพยักหน้าให้พวกเขาเป็นอันเข้าใจว่าพร้อมแล้ว

“พวกเราจะไปนั่งรอที่ห้องพักแพทย์นะ” วินทร์บอก
 
ลำดับการนำเสนอถูกจัดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยมีนรกรเป็นคนแรก ตามด้วยวินทร์และธีร์ โดยแต่ละคนจะมีเวลาคนละหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นจะให้กรรมการพัก 15 นาที ก่อนที่จะถึงคิวคนต่อไป เมื่อนำเสนอเสร็จครบทั้งสามคน คณะกรรมการจะมีการประชุมร่วมกันอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นจะเรียกทุกคนเข้าไปและประกาศผลการนำเสนอให้ทราบ

นรกรเข้าไปในห้องประชุม เขากวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะยกมือไหว้ทักทายทุกคนและเดินไปยืนกุมมืออยู่หน้าห้อง

บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความกดดันจากสายตา 4 คู่ของผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สักรูปตัวยู 2 ท่านในนั้นคืออาจารย์ธนบดี หัวหน้าภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง อาจารย์ภูมิศิลป์รองหัวหน้าภาควิชา ถ้าเป็นการนำเสนอผลงานเรียนจบตามปกติอาจมีแค่สองท่านนี้กับอาจารย์วิมลภาและศาสตราจารย์สรวิชญ์ ผอ.กองศัลยกรรมซึ่งตอนนี้ยังไม่มา แต่เพราะเป็นการนำเสนอผลงานเพื่อคัดเลือกอาจารย์แพทย์คนต่อไปของภาควิชา คณะกรรมการเพียง 2 ท่านคงไม่เพียงพอ จึงได้มีการเชิญกรรมการกิตติมศักดิ์มาร่วมฟังอีก 2 ท่านคือคณบดีคณะแพทยศาสตร์และผอ.โรงพยาบาล

เนิ่นนานหลายนาทีที่นรกรไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่งอาจารย์ธนบดีผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษางานวิจัยของเขาด้วยต้องเอ่ยปากถามเพราะเกรงใจกรรมการท่านอื่นๆ

“ตกลงคุณจะพรีเซนต์ไหม”

นรกรเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะมองเก้าอี้อีกสองตัวตรงโต๊ะกรรมการที่ว่างเปล่า มันเป็นที่ๆ ศาสตราจารย์สรวิชญ์กับอาจารย์วิมลภาควรจะมานั่ง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของทั้งสอง จริงอยู่ว่าเขาพร้อมแล้วที่จะพูด แต่ก็อยากให้ใครอีกคนได้ฟังแม้คนๆ นั้นจะไม่มีส่วนตัดสิน “ขอเวลาผมอีกสักครู่ได้ไหมครับ”

“แต่เรารอคุณมาสิบห้านาทีแล้วนะ” อาจารย์ธนบดีกล่าวต่อ

“เริ่มได้แล้ว ไม่งั้นผมจะตัดสิทธิ์คุณ” อาจารย์ภูมิศิลป์บอก

“ครับ” นรกรรับคำ เขาเดินไปหน้าจอคอมพิวเตอร์และจับเมาส์เลื่อนไปมา แกล้งทำเป็นถ่วงเวลาจนนาทีสุดท้าย ตาก็ลอบมองที่ประตูเป็นระยะจนในที่สุดเมื่อพาวเวอร์พอยต์แผ่นแรกถูกเปิดขึ้นมาสำเร็จเขาก็รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องตัดใจ

มือที่กำลังจับเมาส์สั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่า นรกรเหลือบตามองผู้ช่วยที่ไม่มีใครมองเห็นซึ่งยืนแอบอยู่หลังห้อง อทิฏฐ์ชูสองนิ้วขึ้นทั้งมือแนบไว้ที่ข้างใบหน้าและส่งยิ้มมาให้เขา จริงๆ แล้วเขาอยากไปยืนให้กำลังใจข้างๆ มากกว่าแต่ก็โดนไล่ตะเพิดให้มาอยู่ตรงนี้

พลันมือที่สั่นก็ค่อยสงบลง นรกรรู้ว่าอทิฏฐ์ไม่ชอบใจที่ต้องไปอยู่ตรงนั้นเหมือนผีเฝ้าห้อง แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะในเมื่อตรงนั้นเป็นจุดที่เขาจะสามารถมองเห็นร่างโปร่งแสงนั้นได้ตลอดโดยที่คนอื่นจะไม่สังเกตเห็นว่าเขามองอะไร

นรกรพยักหน้าให้อทิฏฐ์ครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มแนะนำตัวและหัวข้องานวิจัยอย่างเป็นทางการเมื่อประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา

“สวัสดีค่ะ” อาจารย์วิมลภาค้อมศีรษะให้ทุกคนก่อนจะหันมายิ้มให้เขา

นรกรยิ้มตอบ และยิ้มกว้างมากขึ้นอีกเมื่อวิมลภาดึงประตูเปิดกว้างขึ้นเพื่อให้ใครอีกคนเดินตามเข้ามาได้ถนัด

“ขอโทษนะครับที่มาช้า” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว

“อ้าวอาจารย์ การผ่าตัดเป็นยังไงบ้างครับ” ท่านผอ.โรงพยาบาลทัก ในขณะที่คณบดีช่วยเขยิบเก้าอี้ให้นั่ง

“เรียบร้อยดี” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเรียบๆ

“ทะเลาะกับอาจารย์ชาญชัยเรื่องต้องนอนราบให้ครบแปดชั่วโมง” วิมลภากระซิบบอกรายละเอียดกับคณะกรรมการคนอื่นๆ “ทางนี้ก็บอกอยู่ว่ารู้แล้วๆ สุดท้ายอาจารย์ชาญชัยเลยต้องมานั่งเฝ้าด้วยตัวเองแล้วตั้งนาฬิกาปลุกไว้กันคนไข้ลุกหนีไปก่อน”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์กระแอมครั้งหนึ่ง วิมลภาหยุดเล่าและหันมายิ้มให้ เขาเปิดเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะพลางเงยหน้าสบตานรกรที่ยืนอยู่หน้าห้องก่อนจะเอ่ยเสียงเฉียบ “เอ้า! มัวแต่รออะไรอยู่ล่ะ เริ่มได้แล้ว”

การนำเสนอผลงานวิจัยเป็นไปอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งเขาแสดงให้เห็นกลุ่มทดลองที่นำมาใช้

“เคสนี้มันไม่เข้ากับข้อกำหนดนี่” ผอ.โรงพยาบาลแทรกขึ้นทันที “และเท่าที่ผมดูมันก็ไม่ใช่เคสเดียวด้วยนะ แบบนี้คุณจะสรุปงานวิจัยได้ยังไง นี่ได้ไปพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาบ้างหรือเปล่า”

“ขอโทษนะครับท่าน ผมเองก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน” อาจารย์ธนบดีกล่าว “แต่ถ้ายังไงลองฟังหมอเขาพรีเซนต์ก่อนดีไหมครับ”

“แต่ผมดูแค่นี้ก็รู้แล้วนะครับว่ามันเสียเวลา” ท่านคณบดีสำทับ “ยังไงผมก็ให้ผ่านไม่ได้หรอก”

นรกรพยายามสบตาอาจารย์ที่ปรึกษาของตนที่ไม่ยอมมองมาแม้แต่น้อย เขาเหลือบตามองศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ปิดเอกสารก่อนจะประสานมือกันไว้ตรงหน้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาเขา

“ต้องขอโทษอาจารย์ทุกท่านด้วยนะครับ” นรกรบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เอกสารที่อาจารย์ได้อ่านเป็นส่วนที่ผมส่งไปหลายสัปดาห์ที่แล้วซึ่งยังมีข้อผิดพลาดตามที่เห็น ผมอยากให้อาจารย์ได้ฟังรายละเอียดในส่วนที่ผมได้ทำเพิ่มเติมลงไปแล้ว”

“ไหนลองว่ามาสิ” ท่านผอ.บอก

นรกรกดแสดงภาพต่อไป “มีผลงานวิจัยของอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี...”

เขาเริ่มต้นการนำเสนอต่อไปจนจบ โดยที่ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งอะไรอีก ซ้ำยังชมเปราะเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมาะสมกับตำแหน่งอาจารย์แพทย์คนต่อไป

“เตรียมฉลองให้กับอาจารย์คนใหม่ได้เลย” ท่านผอ.กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมผิดกับตอนเริ่มต้นพร้อมกับปรบมือเสียงดังทันทีที่ฟังจบ

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นเลยครับอาจารย์รอฟังผลงานของธีร์กับวินทร์ก่อนดีกว่า” นรกรบอก

“อย่าว่างั้นงี้เลยนะ” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าว “ผมเป็นที่ปรึกษาของเจ้าวินทร์ ก็ยอมรับแหละว่าผมคิดว่ายังไงก็มาวินแน่ๆ แต่พอได้ฟังของคุณผมคงต้องออกไปปลอบใจเจ้าวินทร์มันแล้วล่ะ”

“สมแล้วกับที่เป็นลูกชายศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ” ท่านคณบดีเดินเข้ามาตบหลัง พร้อมกับมองเจ้าของชื่อที่นั่งนิ่งไม่พูดว่าอะไร

นรกรยกมือไหว้ขอบคุณคณะกรรมการทุกท่านและกลับออกมา กำลังจะเดินกลับไปห้องพักแพทย์เมื่ออาจารย์ธนบดีเดินตามหลังมาและเรียกไว้

“ขอผมคุยด้วยสักครู่สิ”

"ครับ” เขาเหลือบตามองอทิฏฐ์และเดินหลบตามไปตรงทางเชื่อมแคบๆ ที่จะไม่มีใครมารบกวน

“คุณไปเอาผลอ้างอิงนั่นมาจากไหน” อาจารย์ธนบดีถาม

นรกรออกตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายมีทีท่าไม่พอใจทั้งที่เขาควรจะชื่นชมในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา “ผมก็บอกไปแล้วตอนที่พรีเซนต์นี่ครับ ผลงานวิจัยของนายแพทย์ฮาร์วี่ คูชชิ่งไงครับ”

“แล้วคุณไปได้มันมาจากไหน”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ก่อนจะถามว่าผมไปเอามาจากไหน อาจารย์กรุณาตอบผมก่อนได้ไหมครับว่าทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าผมไม่ได้ส่งงานอาจารย์ทั้งที่ผมให้อาจารย์ช่วยตรวจทุกสัปดาห์ นั่นยังไม่รวมเรื่องที่อาจารย์เป็นคนบอกกับผมเองนะครับว่ากลุ่มทดลองนั่นใช้ได้... อาจารย์แค่บอกผมไม่หมดเหรอครับหรือว่าอาจารย์เองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

อาจารย์ธนบดีเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดเสียงดัง “กล้าดีมากนะที่จาบจ้วงผมแบบนี้”

“ขอโทษครับอาจารย์ แต่ผมก็แค่สงสัย”

“คุณมันก็อวดดีเหมือนพ่อคุณน่ะแหละหมอ”

“ผมไม่ได้...” นรกรกำลังจะเอ่ยต่อเมื่อมือข้างหนึ่งวางลงบนหัวไหล่ เขาจึงหยุดพูดและหันไปมอง

“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะครับ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เดินมายืนเคียงข้างพร้อมกับสบตาลูกชายครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับอาจารย์ธนบดี “ผมเป็นคนแนะนำฮาร์ฟเรื่องผลงานวิจัยนั่นเองแหละ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่านี่” อาจารย์ธนบดีว่า “ผมสงสัยเลยเรียกมาถามก็แค่นั้น เพราะเดี๋ยวเดือนหน้าผมต้องเข้าไปทำงานในกระทรวงแล้วเลยอยากให้แน่ใจว่าจะได้คนมาแทนที่มีคุณภาพ อ้อ! จะว่าไปผมก็ต้องขอโทษด้วยอาจารย์ด้วยนะครับ เรื่องที่ผมได้เลื่อนเป็นที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุขทั้งที่เราก็เหนื่อยมาด้วยกันแท้ๆ”

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ผมไม่โกรธคุณสักนิด เพราะนั่นไม่ใช่ความฝันของผม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวเรียบๆ ราวกับความก้าวหน้าในอาชีพไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “แต่กรุณาอย่าแนะนำอะไรผิดๆ ให้ลูกศิษย์อีก ไม่กลัวคนเขานินทาก็เห็นแก่อนาคตของชาติเถอะ ไม่งั้นผมจะคิดว่าคุณอิจฉาและพยายามจะดิสเครดิตผมโดยการกลั่นแกล้งลูกชายของผมนะ”

อาจารย์ธนบดีกำหมัดแน่นพร้อมกับพูดลอดไรฟัน “อย่าทำเป็นอวดดีไป”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ช่วยไม่ได้นี่ครับ ถ้าคนมันจะมีดีให้อวด นี่ผมก็อุตส่าห์ช่วยเงียบเรื่องที่คุณไม่ได้ทำอะไรสักนิดแค่เข้าไปช่วยเย็บปิดแผลของท่านสส.ในตอนท้ายแล้วนะ”

อาจารย์ธนบดีไม่โต้ตอบอะไรอีกและเดินจากไป

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยกับเรื่องการแข่งขันในหน่วยงานที่ไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เขาก็เปิดทางให้ทุกอย่างแล้วยังจะพาลไปถึงลูกชายของเขาอีกแถมยังตีหน้าซื่อเป็นอาจารย์ที่ดีได้อีก ‘อำนาจ’ และ ‘ผลประโยชน์’ ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ เมื่อมันเปลี่ยนมิตรให้กลายเป็นศัตรูได้

เขาหันไปสบตาลูกชาย “ไปกันเถอะฮาร์ฟ พ่อไม่อยากพลาดงานวิจัยของธีร์กับวินทร์”

นรกรกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนเจ็บจุกไปทั้งหน้าอก ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่างานวิจัยจะผ่านหรือไม่ เพราะมือที่วางลงบนบ่าราวกับจะปกป้องและคำเรียกขานว่า ‘ลูกชายของผม’ อย่างภาคภูมิใจนั่นทำให้รู้ว่าเขายังมีความหมายกับคนๆ นี้อยู่ และนั่นมีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด

“พ่อครับ” นรกรเอ่ยเรียก เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำนี้ในที่ทำงาน และถึงจะโดนดุเขาก็จะเถียง ก็เพราะอีกฝ่ายอยากแทนตัวด้วยคำนั้นก่อนทำไมล่ะ “ผมขอถามอะไรหน่อยสิ ทำไมพ่อถึงไม่ยอมรับตำแหน่งที่กระทรวงครับ”

ศาสตราจารย์สรวิญ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าลูกชายจะสนใจแต่ก็ดีใจมากที่เอ่ยถามขึ้นมา “ถ้าพ่อไปเขาก็จะให้นั่งทำแต่งานเอกสาร คงไม่ได้เข้ามาสอนอีก ส่วนเรื่องผ่าตัดก็คงลืมไปได้เลย”

“พ่อรักการผ่าตัดมากเลยนะครับ” นรกรพูดก่อนจะนึกขึ้นได้จึงรีบเสริม “ผมไม่ว่าพ่อนะ แต่กำลังชมน่ะ… แม่เล่าเรื่องปู่ให้ฟังแล้ว ผมขอโทษนะที่เข้าใจพ่อผิดมาตลอด”

ได้ยินดังนั้นศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็บีบบ่าลูกชายแรงขึ้นอีก “พ่อไม่ได้รักการผ่าตัด” เขาบอก “แต่พ่ออยากผ่าตัดกับแก พ่อพลาดวันที่แกรับปริญญาไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพ่อจะไม่ยอมพลาดเรื่องนี้อีกเด็ดขาด... จำได้ไหมตอนเด็กที่แกถือมีดวิ่งเข้ามาแล้วขอให้พ่อสอน แต่พ่อกลับตีมือแก ดุแก... ตอนนั้นพ่อไม่ได้ตั้งใจพ่อแค่ตกใจและกลัวแกโดนมีดบาด จนถึงตอนนี้ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พ่อจะไม่ตีแก แต่จะจับมือแล้วสอนวิธีการใช้มีด แต่เพราะพ่อทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ดังนั้นหนึ่งในความฝันที่เหลืออยู่ไม่กี่สิ่งของพ่อที่ยังพอจะทำได้คือการยืนเคียงข้างแก... นายแพทย์นรกร และช่วยชีวิตคนด้วยกัน”

“พ่อรู้อะไรไหม ผมเองก็เฝ้ารอวันนั้นมาตลอดเลยนะครับ” นรกรกระซิบ “เพราะนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอ”

ศาตราจารย์สรวิญช์ไม่ตอบอะไรเพียงแต่เลื่อนมือไปโอบไหล่ลูกชายจนเต็มวงแขน

ทั้งสองหันมาสบตากันและทั้งที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่น่าแปลกที่นี่เป็นครั้งแรกที่สองพ่อลูกดูจะเข้าใจกันยิ่งกว่าที่ผ่านมาเสียอีก


******************************TBC**************


Talk

มาค้นให้ถึงก้นกล่องของแพนโดร่ากันเถอะค่ะ

ปล.Happy April fool day วันนี้ใครจะหลอกใครแต่เราอัพแน่ๆ ไม่หลอกกันค่ะ555
ขอโทษที่หายไปนะคะ ไม่มีข้อแก้ตัวค่ะไปตามผช.มา กลับมาก็โดนใช้งานเยี่ยงเอลฟ์ประจำบ้าน
 
ปล.2 บทนี้ก็ยาวมากอีกแล้ว เราเลยตัดสินใจย่อยออกเป็นสองบท ในส่วนที่อัพ คือเฉลยปมของพ่อ ส่วนปมของธีร์ จะมาในบทต่อไปนะคะ

ปล.3 อ่านให้สนุกนะคะ❤

แถมปล.4 ใครอยากเห็นลายมือศ.สรวิชญ์ชัดๆ ดูรูปประกอบได้ในเพจนะคะ เรายังเก็บเวลแนบไฟล์ภาพไม่ถึงอ่า~555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like donP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 01-04-2016 04:53:05
ตอนนี้เฉลยหลายอย่างเลยค่ะ  ชื่อจริงและชื่อเล่น เท่มากๆ คุณพ่อก็เท่มากด้วย ความรักของพ่อยังไงก็เป็นความรักสินะคะ แต่จะแสดงออกมายังไงเท่านั้น เหมือนเรื่องของธีร์ยังเฉลยไม่หมดใช่ไหมคะ
สนุกมากเลยค่ะ

เจอคำสลับกันตรงนี้ค่ะ
สุดท้ายอาจารย์ชาญชัยเลยต้องนั่งมาเฝ้า แก้เป็น ต้องมานั่งเฝ้า
แล้วก็ตรงนี้
“ไม่ต้องต้องของกินมาล่อเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like donP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 01-04-2016 10:10:32
 :pig4: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like donP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 01-04-2016 10:12:05
ชอบมากคะ ขอบคุณคะ  ข้องใจ ธีร์ขี้อิจฉา  อาศัยครอบครัวเขาอยู่แล้วยังรังแกอีก   รอลุ้นต่อคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like donP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-04-2016 12:45:08
ไม่ได้เสียดายที่มันหมดเวลา เสียใจแค่มันช่างสั้นเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like donP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-04-2016 13:33:14
อ่านแล้วปลื้ม คือดีงาม
ครอบครัวคือความผูกพัน คือทุกสิ่งอย่างที่สวยงาม
น้ำตาแอบซึม ....

ว่าแต่ การมองกันการสบตากัน ปิ๊งๆ ของ "พ่อของนาย" กับพี่วินทร์ คืออะไร ...

 :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like donP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 01-04-2016 14:11:58
ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกันเอง ก็เลยต้องเสียเวลาและโอกาสที่มันผ่านไป แต่ไม่เป็นไร เรายังมีโอกาสเหลือ  อยากให้พ่อลูกคู่นี้ สนิทกันจัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-04-2016 14:22:28
พ่อลูกเข้าใจกันแล้ว...
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-04-2016 17:06:39
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาจะไหลคือพ่อก็ยังคงเป็นพ่อที่ห่วงลูกที่รักลูกนั่นแหละ
อยากรู้จริงว่างานของธีร์จะเป็นยังไงเหอะๆ
ทิดดดอย่าเพิ่งตายยยอย่าเพิ่งไปไหนอยู่ก่อน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like donP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 01-04-2016 19:29:31
โอ้ยยย เริ่มเข้าใจกันแล้วสินะ กว่าจะเข้าใจ
เหลือแค่พ่อพระเอก นี่กะจะตายให้ได้เลยใช่มั้ยทิด
กลัว อทิฐ ที่ฝึกงานมาวินจริงๆ กลัวทิดจำไม่ได้
อทิฐฝึกงานไม่ใช่ว่าหลงรัก ทิดอยู่หรอกใช่มั้ย
เห็นหน้าคนป่วยทุกวัน มันฝังใจ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ammie_mn ที่ 01-04-2016 20:34:49
พูดตรงๆนะคะฮาร์ฟไม่ผิดเลยที่จะโกรธกับการกระทำของพ่อที่ผ่านมา การเลี้ยงลูกแบบนี้มันคือการทำร้ายลูกชัดๆ การกระทำไม่ได้สื่อทุกอย่างหรอกนะ คำพูดนั่นก็สำคัญ การเปรียบเทียบเป็นสิ่งหนึ่งที่ฟังแล้วเหมือนค่อยๆโดนมีดกรีดลงกลางใจ ฟังบ่อยๆอาจตายลงได้ ฮาร์ฟถือว่าอดทนพิสูจน์ฝีมือจนมาถึงทุกวันนี้คือเก่งแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 01-04-2016 23:02:34
รอฝั่งธีร์ได้พูดบ้างอยู่ค่ะ
ไม่คิดว่าธีร์จะริษยา อยากแกล้งหรือฮาร์ฟอาจจะน่าแกล้งจริงๆ

ตอนนี้เหมือนจะบอกอะไรคนอ่านเยอะแยะ
แต่ก็แอบจุดประเด็นใหม่ให้น่าติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-04-2016 23:08:53
  :เฮ้อ: ไม่เข้าใจธีร์ :angry2:
ลูกเลี้ยง แต่รังแกลูกจริง อิจฉาฮาร์ฟ ?
ธีร์คงรู้ว่าพ่อแม่รักฮาร์ฟ เลยดิสเครดิสฮาร์ฟ โดยการพิสูจน์ว่าฮาร์ฟเป็นเกย์? :fire:
รอ ตอนต่อไป   :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: im4gine_32 ที่ 02-04-2016 14:05:19
ซึ้งอ่า..จะร้องไห้เพราะฮาร์ฟกะพ่อเลยดีใจเข้าใจกันแล้ว แต่ธีร์นี่...หงุดหงิดจัง -_- สงสารทิดอะ แอบหวั่นๆกับอทิฐที่เป็นคนดูแลทิดอะ...เชียร์ทิดฮาร์ฟนะ. งื้ออๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 02-04-2016 15:50:57
ผูกเรื่องได้น่าสนใจมากๆค่ะ พออ่านแล้วก็รู้สึกหน่วงๆ แต่ก็อยากอ่านต่อไม่หยุดเลย อ่านตั้งแต่ตอนที่1-9 จนตาแฉะเลยค่ะ เดาทางไม่ถูก แต่พอตอนที่9 คลี่คลายปมของพ่อไปแล้วรู้สึกซึ้งใจมากค่ะ ความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างเอาแต่คิดไปเอง ไม่มีใครพูด สื่อสารกันจบลงเสียที ต่อไปนี้ฮาร์ฟจะได้เลิกน้อยใจพ่อ และมีปมเรื่องครอบครัวเสียที
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 03-04-2016 06:32:23
ถึงตอนนี้เรายังงงๆอยู่เลยว่าสรุปแล้วใครเป็นพระเอก? วินทร์หรืออทิฏฐ์? 55555

อยากรู้ด้วยว่าวินทร์เป็นอะไรกับอาจารย์สรวิชญ์

รีบๆมาต่อตอนต่อไปนะคะ อยากรู้จะแย่อยู่ล้าววว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 03-04-2016 14:07:49
ในที่สุดพ่อกับลูกก็เข้าใจกัน

รอปมของธีร์นะคะว่าทำไมต้องแกล้งฮาร์ฟ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 03-04-2016 18:43:52
เรื่องนี้ดีมากๆเลยอ่า ชอบมากๆเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 03-04-2016 21:05:32
พ่อลูกเขาคุยกันแล้ววว แล้วเมื่อไหร่ ทิดจะจำเรื่องของตัวเองได้นะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 04-04-2016 20:49:33
คืออ่านวันเดียวรวดวันนี้คือวางไม่ลงเลย ชอบมากอยากอ่านต่อไวๆคือแบบมันดีอะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 05-04-2016 17:49:57
อ่านบทนี้แล้วน้ำตาซึมเลยอ่ะ
หวังว่าธีร์จะมีเหตุผลดีพอทีกลายเป็นคนแบบนี้นะ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-04-2016 21:53:26
บทที่ 10 Brothers

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขารู้ตัวว่ามี ‘น้องชาย’
และตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่น้องชายคนนั้น เลิกเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’


ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นสองคนนั่งอยู่คนละมุมของห้องพักแพทย์ ธีร์นั่งกอดอกพิงพนักในขณะที่วินทร์นั่งยกขาขั้นพาดเข่าอีกข้างและล้วงสองมือลงในกระเป๋า ทั้งคู่ไม่พูดอะไรได้แต่ลอบสบตากันเป็นระยะคล้ายกับมีเรื่องอยากจะพูดแต่ก็ไม่มีฝ่ายใดยอมเริ่มต้นก่อน

ในที่สุดเมื่อเข็มนาฬิกาบนผนังเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนใกล้เวลาที่นรกรจะนำเสนอผลงานวิจัยเสร็จ วินทร์จึงยอมเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเพราะตัวเองต้องนำเสนอเป็นคนต่อไปและไม่อยากให้อะไรๆ มันคาราคาซังไปแบบนี้

“นายคิดจะทำอะไรฮาร์ฟ”

“เปล่านี่” ธีร์ตอบห้วนๆ “ก็แค่พูดความจริงให้ฟัง หมอนั่นจะได้ตาสว่างเสียที”

“เหรอ” เสียงของวินทร์ห้วนกว่าและมีความประชดประชันอยู่ในที

“ถามฉัน นายกันแน่ที่คิดจะทำอะไร”

“อะไรของนายน่ะมันคืออะไรล่ะ” วินทร์ถามกลับ

“ฮาร์ฟเป็นคนการ์ดสูง และไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว” ธีร์ว่า “แต่เมื่อวานตอนที่ส่งป๊าไปห้องผ่าตัด ทำไมเขาถึงยอมให้นายกุมมือแบบนั้น ก่อนหน้านี้พวกนายแทบไม่คุยกันด้วยซ้ำ แถมหมอนั่นยังดูตัดใจจากพี่ปอได้แล้วอีก มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนายในช่วงหนึ่งเดือนที่ฉันไม่อยู่กันแน่”

วินทร์หัวเราะหึในลำคอ “อ้าว ไหนว่าเกลียดเขาไง ทำไม สนใจด้วยเหรอ”

“ก็...” ธีร์พูดขัดขึ้นมาทันที
วินทร์แสยะยิ้มมุมปาก “รักเขาก็พูดมาสิ”

“นายว่าไงนะ!” ธีร์ลดมือที่กอดอกไว้ออกและแทบจะกระโดดลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังดึงสติไว้ได้ทันและทำเป็นนิ่งตามเดิม

“หรือไม่จริง” วินทร์รุกต่อ “แกล้งพูดแรงๆ เพื่อให้ฮาร์ฟคิดได้และไปเคลียร์กับพ่อ เรื่องงานวิจัยนั่นก็เหมือนกันต่อให้ฮาร์ฟหาทางออกไม่ได้นายก็มีฉบับก๊อปปี้เตรียมพร้อมจะคืนให้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“นี่ไปแอบฟังอยู่ซอกมุมไหนมาเนี่ย” ธีร์บ่นในลำคอ

“มันก็เรื่องของฉัน” วินทร์บอก

ธีร์สบตาคนตรงหน้าอยู่อึดใจก่อนจะพูดต่อ “ไหนๆ นายก็อ่านเกมขาดได้ถึงขนาดนี้ ถ้างั้นฉันก็ขอเตือนไว้ตรงนี้เลยละกันว่าไอ้ที่นายกำลังทำน่ะมันไม่ได้ช่วยเรียกร้องความสนใจจากฮาร์ฟสักนิด”

วินทร์ยกมือขึ้นลูบคางที่อุดมไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้มก่อนจะหัวเราะลงคอ “แล้วไง ก็ไม่ได้อยากให้สนใจนี่หว่า”

“เหรอ” ธีร์ทำเสียงยานคาง “ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย ฉันก็หลงนึกว่านายกำลังตามจีบตามฮาร์ฟอยู่ซะอีก... ก็คงจริงล่ะนะ ลองตามตื๊อมาตั้งห้าปีแล้วเจ้าตัวยังไม่หันมาแล เป็นฉันก็คงตัดใจไปแล้วล่ะ”

“มันก็เรื่องของฉันป่ะวะ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “ไหนว่าไม่ชอบไง”

วินทร์ไม่ตอบ เพียงแต่เหลือบตาดูนาฬิกาบนผนังและลุกขึ้นยืน

ธีร์มองเพื่อนแพทย์ประจำบ้านร่วมรุ่นเดินผ่านหน้าไปจนถึงประตูจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าจริงจัง “นี่วินทร์ ตอนที่ฉันแกล้งถามนายว่ารู้รหัสเปิดโน้ตบุคของฮาร์ฟไหมทำไมนายถึงตอบได้ล่ะว่ามันเป็นวันเกิดป๊า”

วินทร์ชะงักฝีเท้าและตอบคำถามโดยไม่หันหน้ามา “ก็แค่เดา”

“อย่าให้ฉันจับได้นะว่านายวางแผนอะไรไว้”

เสียงของธีร์ยังคงดังตามหลังแม้จะปิดประตูสนิทแล้ว ร่างสูงในชุดกาว์นสั้นก้าวยาวๆ ไปตามทางเดิน

แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องประชุม เขากลับเลี้ยวอ้อมมุมเข้าไปตรงทางเชื่อมแคบๆ

อาจารย์ธนบดีรีบร้อนเดินสวนมา เขายกมือไหว้แต่อีกฝ่ายไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจและหยุดยืนมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง

ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีคนอีกสองคนเดินมา ศาสตราจารย์สรวิชญ์กำลังอะไรคุยอะไรบางอย่างกับนรกรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและท่าทีที่ดูเป็นกันเองกว่าปกติ แต่นั่นไม่ทำให้เขาดีใจเท่ากับการที่ได้เห็นท่อนแขนซึ่งวางโอบอยู่บนไหล่จนทำให้เผลอหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย

“มายืนยิ้มอะไรตรงนี้”

เป็นฝ่ายศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ทักขึ้นก่อน

“แค่มาแอบรวบรวมสมาธิก่อนเริ่มนำเสนอครับ” วินทร์ตอบ

“แสดงว่าพร้อมแล้วสินะ”

“ไม่เคยมั่นใจมากขนาดนี้เลยล่ะครับ อาจารย์”

“ไว้จะรอดู” แล้วศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็หันไปตบบ่านรกรอีกครั้งก่อนจะเดินแยกตัวไป

วินทร์มองตามแผ่นหลังคนในชุดกาว์นยาวสีขาวจนเดินหายเข้าไปในห้องจึงหันมาสบตาคนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างๆ “ฉันต้องแสดงความยินดีกับว่าที่อาจารย์คนใหม่เลยหรือเปล่า” เขาพูดยิ้มๆ

นรกรหันมาหลิ่วตาใส่คนแซวเล็กน้อย “ผมทำเต็มที่แล้ว พี่วินทร์เองก็ไม่ต้องออมมือให้ผม ทำให้เต็มที่เลยนะครับ”

“แน่นอนอยู่แล้ว” วินทร์ตอบพร้อมกับกลับหลังหัน แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาเรียกคนที่กำลังจะเดินไป “เออนี่ฮาร์ฟ ก่อนจะไปที่ห้องพักแพทย์น่ะช่วยแวะไปเอาของที่ล็อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนชุดให้หน่อยสิ”

“อะไรครับ”

“สมุดจดเคสน่ะ” วินทร์อธิบาย “เมื่อเช้าไปเปลี่ยนชุดลืมหยิบมา เดี๋ยวพรีเซนต์เสร็จจะได้รีบไปราวน์ต่อเลยไม่ต้องเสียเวลาไปเอา นายช่วยไปเอาให้หน่อยนะ”

“ได้ครับเรื่องแค่นี้เอง” นรกรรับคำเขายิ้มส่งวินทร์เข้าห้องประชุมอีกครั้งก่อนจะออกเดินไปตามทาง และกดลิฟต์ไปที่ชั้น 3

เพราะตอนนี้เป็นเวลาออกตรวจ OPD ห้องล็อกเกอร์จึงปิดไฟเงียบ นรกรคลำไปบนผนังอย่างคุ้นเคยเพื่อเปิดไฟ เมื่อแสงไฟสว่างขึ้นเขาก็เดินตรงไปที่ตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ติดกับของตัวเองเพื่อเอาสมุดเล่มที่วินทร์บอก

แต่แทนที่เปิดไปแล้วจะเจอของที่หา เขากลับเจอถุงใส่ขนมใบหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า และนรกรคงจะไม่สนใจมันเลยถ้าบนถุงใบนั้นไม่มีกระดาษโน้ตแผ่นน้อยเขียนชื่อเขาแปะไว้

“มุกเสี่ยวมาอีกแล้ว” อทิฏฐ์กระซิบพร้อมกับยกสองมือพาดประสานกันไว้หลังท้ายทอย

นรกรหันไปแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะดึงกระดาษโน้ตที่แปะไว้มาอ่านในขณะที่ร่างโปร่งแสงก็ส่งเสียงพากษ์ไปด้วย

ฝากกินหน่อย

“เมื่อคืนก็อุตส่าห์หอบเอาคอมพิวเตอร์มาให้ เช้านี้ก็ขนม ไม่รู้เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรเนอะ”

“พี่วินทร์ก็แค่เป็นห่วง”    

“หรา” อทิฏฐ์ลากเสียงล้อเลียน

นรกรไม่สนใจและเปิดถุงขนมออกดู มันเป็นคลับแซนวิซสี่คู่ไส้ไข่กับชีสที่ดับเบิ้ลมาสองแผ่นจนทะลักล้นออกมาตรงขอบดูน่ากิน และนมกระป๋องตราหมีที่ไม่รู้ทำไมถึงมีรอยปากกาขีดเส้นใต้สโลแกนบนฉลากที่ข้างกระป๋องไว้ด้วย

อทิฏฐ์ชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อนจะพูดต่อ “นึกว่า ‘เพื่อคนที่คุณรัก’ ซะอีก เอาจริงๆ นะผมว่าคุณต้องเริ่มหันมามองพี่วินทร์แบบจริงๆ จังๆ ได้แล้วล่ะ”

“เลิกแซวได้แล้วน่า พี่วินทร์เขาไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอก”

“ดูปากนะ” อทิฏฐ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับชี้นิ้วให้อ่านตาม “ไม่-เลิก”

นรกรยกมือหลังมือขึ้นปัดไล่ให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไปก่อนจะหยิบแซนวิซคู่หนึ่งขึ้นมา ทีแรกก็รู้สึกไม่หิว แต่พอได้กลิ่นชีสหอมๆ และตอนนี้อะไรๆ เริ่มผ่านไปแล้วเขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงท้องร้องเตือนมาเบาๆ ว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน

“ว่าแต่พี่วินทร์ทำไมต้องเอามาแอบไว้แบบนี้ด้วย” นรกรตั้งข้อสังเกตเพราะนอกจากเสื้อผ้ากับถุงขนมแล้วในล๊อกเกอร์ก็ไม่มีสมุดเล่มที่ให้มาหา “ส่งให้ดีๆ ก็ได้หรือจะวางไว้ที่ห้องพักแพทย์ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องให้ผมเดินมาเอาไกลถึงที่นี่เลย”

“เพราะเขาคงคิดว่าคุณไม่อยากไปเจอธีร์น่ะสิ” อทิฏฐ์ว่า

นรกรหันมามองคนที่ตอบฉอดๆ ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง

“แล้วมันจะดีเหรอถ้าจะให้ถือไปส่งให้คุณต่อหน้าพ่อตา เอ๊ย! พ่อของคุณน่ะ”

“แหม รู้ใจกันจังเลยนะ” นรกรว่า “เข้าข้างกันขนาดนี้ก็ไปตามเขาสิ ไม่ต้องมาอยู่กับผม” ปลายเสียงคล้ายจะตัดพ้อหน่อยๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกไม่ชอบใจด้วย

อทิฏฐ์เฝ้ามองคนที่กัดแซนวิซกินเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก ไม่ได้อยากทำให้รำคาญ แต่ ‘คน’ ที่ยังมีลมหายใจและจับต้องได้น่ะ มันดีกว่าเขาหลายร้อยเท่า

“คุณ” จู่ๆ ก็กระซิบขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไหม”

“ไม่นี่ ทำไมเหรอ” นรกรถามกลับ

อทิฏฐ์ยกสองมือขึ้นกอดตัวเองพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า “ไม่รู้สิ... ผมแค่รู้สึก... ว่ามันหนาว”

“อะไรกันเป็นผีมีความรู้สึกด้วยเหรอ” นรกรยิ้มล้อพลางเปิดกระป๋องนมและยกขึ้นจิบ

“เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาน่ะสิ ถึงได้คิดว่ามันแปลกนี่ไง”
นรกรย่นคิ้ว เขาลองกวาดตามองไปรอบๆ บ้างแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ “คิดมากน่า” แล้วดันประตูตู้ล็อกเกอร์ปิด

แต่แล้วทันทีที่บานประตูถูกงับเข้าไป ทั้งสองก็ได้เห็นใครคนหนึ่งที่ยืนก้มหน้าอยู่ห่างจากแขนของนรกรไปแค่คืบ

ร่างนั้นสูงพ้นไหล่มาเล็กน้อย สวมชุดสีขาวยาวกรอมพื้น ศีรษะปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำที่พันกันยุ่งเหยิงยาวจนถึงสะโพก

บรรยากาศที่ปกคลุมร่างนั้นอึมครึมจนแลดูสีออกเทา และทั้งๆ ที่โรงพยาบาลมีไฟสำรองแต่ดวงไฟกลางห้องกลับกะพริบติดๆ ดับๆ

“คะ... ใครน่ะ” อทิฏฐ์เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

ร่างนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ซูบตอบซึ่งซ่อนอยู่หลังเรือนผมยาว นัยน์ตาของเธอลึกโหลจนทำให้มันดูคล้ายกับหัวกะโหลกมากกว่าจะเป็นใบหน้าคน เธอค่อยๆ ยกมือแห้งเหี่ยวขึ้นมาตรงหน้าและเอื้อมมาหาพวกเขา

“เฮ้ยยยย!” อทิฏฐ์ร้องเสียงหลง

นรกรเองก็ตกใจจนทำกระป๋องนมในมือกระฉอก เรื่องที่ถูกผีสาวเข้าจู่โจมในระยะประชิดนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนที่กระโดดไปแอบหลบข้างหลังเขามากกว่า

“ใจเย็นๆ ทิด” จะว่าน่าสงสารก็ใช่ หากก็ดูน่าขันมากกว่าเมื่อเห็นร่างที่ค่อนข้างจะสูงใหญ่ขดจนเหลือตัวนิดหนึ่ง แถมใบหน้าที่โปร่งแสงนั้นยังดูหม่นซีดลงด้วยซ้ำ และในขณะเดียวกันก็ดูน่าเอ็นดูเขาจนอดยิ้มตามไม่ได้ “ผมว่าเธอมาดีนะ”

“ดีกะผีน่ะสิ!” อทิฏฐ์ว่าพร้อมทั้งยกสองมือปิดหน้าไว้ครึ่งๆ “ถ้ามาดีจริง ก็ต้องมาให้เห็นแบบสวยๆ หรือหล่อๆ อย่างผมสิ แบบนี้มันไม่ใช่แล้วคุณ”

สิ้นคำต่อว่า หญิงสาวในชุดขาวก็เขยิบยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก หากเธอขยับมาเฉพาะส่วนหัวจนลำคอนั้นดูยืดยาวขึ้นมากกว่าปกติและนั่นทำให้อทิฏฐ์ร้องเสียงหลงและเกาะบ่านรกรแน่นขึ้นอีก

หากนรกรยังคงยืนนิ่ง เขาเหลียวมองร่างโปร่งแสงสองตนสลับกันก่อนจะผ่อนลมหายใจออกจมูก


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 9 like father like sonP.4[01/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-04-2016 22:01:59
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ทันทีที่วินทร์ออกไป ห้องก็กลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง ธีร์นั่งกอดอกจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงคราวที่ตัวเองต้องเป็นคนนำเสนองานวิจัย เขาเก็บของและเดินออกไปห้องประชุม



“ธีร์” นรกรผลักประตูเข้าไปในห้องพักแพทย์ แต่ในห้องนั้นว่างเปล่า เขาคลาดกับคนที่มาตามหาไปแค่นิดเดียว

“ท่าทางเขาจะไปห้องประชุมแล้วน่ะคุณ มันจวนถึงเวลาแล้วนี่” อทิฏฐ์บอก

นรกรไม่รอช้า เขารีบออกวิ่งอีกครั้ง

“ใจเย็นๆ ก็ได้คุณ เอาไว้คุยกันหลังเขาพรีเซนต์เสร็จก็ได้นี่” อทิฏฐ์ที่วิ่งเหยาะๆ ตามมาข้างๆ ออกความเห็น

“ไม่ได้หรอก” นรกรตอบ เขาไม่อาจพูดยาวๆ ได้เพราะเริ่มหอบจากการออกแรงวิ่ง “ผมต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อนที่มันจะสายเกินไป”

โชคยังดีที่ธีร์ยังไม่ได้เข้าไปในห้องประชุม นรกรรีบวิ่งเข้าไปหาแต่อีกฝ่ายกลับเดินหนี

“เดี๋ยวก่อนธีร์ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย” เขาคว้าต้นแขนน้องชายบุญธรรมและดึงให้หันมา

“ขอโทษนะแต่ฉันไม่มี” ธีร์รั้งแขนกลับพร้อมกับตอบห้วนๆ

“แต่ว่า...” นรกรพยายามอีกครั้ง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่อาจารย์ภูมิศิลป์เยี่ยมหน้าออกมา

“คนต่อไปเข้ามาได้”

ธีร์หันไปพยักหน้ารับคำ และเดินตามหลังเข้าไปโดยไม่หันมามองคนที่กำลังเรียกซ้ำสอง

“ธีร์! โธ่!”

ธีร์เดินไปยืนหน้าห้อง เขากวาดตามองไปรอบๆ หยุดยิ้มให้วิมลภาผู้เป็นแม่ครั้งนึ่งก่อนจะสบตาศาสตราจารย์สรวิชญ์และกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวที่ได้คิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว “ก่อนจะเริ่มต้นการนำเสนอผมมีเรื่องจะบอกให้ทุกท่านทราบครับ”

“มีเรื่องอะไรก็รีบๆ พูดมา ผมจะนับว่านี่เป็นเป็นเวลาพรีเซนต์ของคุณด้วยนะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ชี้แจง

ธีร์พยักหน้าเข้าใจ “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่จะบอกว่าผมจะไม่ขอรับสิทธิ์การประเมินเข้าเป็นอาจารย์”

ทั้งห้องฟังด้วยอาการสงบนิ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีผู้สละสิทธิ์

“ไม่เป็นไร” อาจารย์ภูมิศิลป์บอก “เชิญนำเสนอได้แล้ว”

ธีร์กำหมัดแน่นและพูดต่อประโยคสุดท้ายจนจบ “และผมจะขอลาออกจากการเป็นหมอที่นี่ด้วยครับ”


นรกรเดินกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องโดยมีอทิฏฐ์ที่นั่งลงกับพื้นเท้าคางมองอยู่ใกล้ๆ

“นั่งก่อนไหมคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนะ”

“ผมน่าจะมาให้เร็วกว่านี้” นรกรรำพึง

“ต่อคุณรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดีถ้าลองเขาตัดสินใจมาแล้วแบบนั้น”

นรกรหยุดเดินในที่สุด เขากวาดตามองไปรอบๆ คล้ายกับกำลังมองหาทางออกให้กับปัญหาที่ยังคิดไม่ตกก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง “ไม่สิ ผมไม่คิดว่าจะทำอะไรไม่ได้หรอกนะ”

ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั่นเองประตูห้องประชุมก็เปิดออกอีกครั้งคนในชุดกาวน์สั้นก้าวออกมา สีหน้าของธีร์ไม่สู้ดีนัก เขาหยุดยืนหน้าประตูที่ปิดสนิทพร้อมกับถอนหายใจยืดยาวครั้งหนึ่ง

“ธีร์!” นรกรร้องเรียกพร้อมกับก้าวยาวๆ เข้าไปหา

อทิฏฐ์เองก็ผุดลุกขึ้นยืนและเดินตามไปเช่นกัน

เจ้าของชื่อหันมาดูทางหางตาก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินหนีไปอีกทาง

“เขาจะไปแล้วคุณ” อทิฏฐ์ร้องบอก

นรกรวิ่งตามไปคว้าต้นแขนน้องชายบุญธรรมไว้ได้ทันพอดี “เดี๋ยวก่อนธีร์”

“อะไร” คนถูกรั้งถามเสียงห้วนพร้อมทั้งปรับสีหน้าให้ดูเย็นชาได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

“เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน”

“ฉันไม่อยากคุย”

“แต่นายต้องคุย!”

น้ำเสียงเฉียบขาดที่ราวกับถอดแบบมาจากศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งไม่ได้ยินบ่อยๆ จากปากคนตรงหน้าทำให้ธีร์ต้องยอม เขาสะบัดต้นแขนหลุดจากการจับก่อนจะยกขึ้นกอดอกไว้ “ว่ามาสิ”

เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น นรกรจึงไม่อารัมภบทให้เสียเวลา “ทำไมนายถึงเกลียดฉัน”

“นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร” ธีร์ว่าพร้อมกับไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “ก็บอกไปแล้วไง ฉันเกลียดที่โดนเอาไปเปรียบเทียบกับนาย”

“ไม่ใช่” นรกรว่า “ฉันมานั่งคิดๆ ดูแล้ว นายไม่เคยโดนเอาไปเปรียบเทียบ ไม่เคยเลยสักนิด นายอยากเป็นนักกีฬาฟุตบอลพ่อกับแม่ก็ไม่เคยขัด แต่เป็นนายเองน่ะแหละที่ฉีกสัญญาโควต้านักกีฬาทิ้งแล้วมาเรียนหมอตามฉัน แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ ถึงจะลาออกล่ะ”

ธีร์ออกแปลกใจเล็กน้อยว่านรกรรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรในเมื่อเขาประกาศออกไปแล้ว “มันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย”

“เกี่ยวสิธีร์”

“ทำไม”

“ฉันยังเป็นพี่ชายนายหรือเปล่า”

“พี่ชาย?” ธีร์ทวนคำ มีความเยาะหยันอยู่ในน้ำเสียง “มันไม่เคยมีคำนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้วฮาร์ฟ”

“แน่ใจนะ”

“แน่สิ” ธีร์ยืนยัน

สิ้นคำขวาหมัดตรงก็พุ่งเข้าข้างแก้มซ้าย มันแรงมากพอจะทำให้ร่างของธีร์เซหากก็แค่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายที่กุมมือตัวเองแน่น

“เจ็บ” นรกรเครือลอดไรฟัน เป็นครั้งแรกที่เขาออกแรงมากขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เขาปล่อยหมัดใส่ใครสักคน แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับความเจ็บในหัวใจที่อยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้

“ก็ต้องเจ็บสิทำบ้าอะไรเนี่ย!” ธีร์ร้องโวยวายพร้อมกับถลาเข้าหา

ในขณะที่อทิฏฐ์ยังยืนงงพูดอะไรไม่ออก และแอบสาบานกับตัวเองในใจว่าหลังจากนี้จะไม่แหย่ให้นรกรโกรธจนฟิวส์ขาดแน่นอน

“ไหนเอามือมาดูสิเป็นแผลหรือเปล่า นายเป็นหมอศัลย์นะเว้ย มือเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่หรือไงทำไมถึงทำแบบนี้” คว้ามือเรียวไปกุมไว้ในมือทั้งสองข้างอย่างทะนุถนอมและพลิกไปมาหาบาดแผลก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันมีแค่รอยช้ำเล็กๆ ตรงปุ่มกระดูก

นรกรมองคนโดนต่อยที่เป็นห่วงเขามากกว่าปากของตัวเองซึ่งมีเลือดไหลซิบและจับมือนั้นไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก “เพราะนายสำคัญกว่า”

ธีร์ชะงักไปเล็กน้อย อยากจะสะบัดมือให้หลุดแต่เพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บถึงยอมให้จับอยู่อย่างนั้นและทำได้แค่หลบตา “พูดเป็นเล่น”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ขัดขืน รอยยิ้มบางก็ระบายลงบนเรียวปาก นรกรบีบมือนั้นแน่นขึ้นอีกพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นสัมผัสที่ข้างแก้ม

ธีร์ออกสะดุ้งเล็กน้อยและยินยอมให้มือนั้นรั้งให้หันกลับมาอย่างดาย

นรกรจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคนตรงหน้าราวกับจะมองหาเรื่องราวเมื่อในวันวาน “เมื่อก่อนก็มีเรื่องแบบนี้ จำได้ไหม”

“จำได้สิ” ธีร์ตอบไม่เต็มเสียงนัก “ตอนที่ฉันแกล้งให้โบไปจีบนายใช่ไหม”

เขายังจำแววตาในวันนั้นได้ดี มันไม่ได้โกรธเคือง ไม่ได้เจ็บแค้น แต่มันเต็มไปด้วยความผิดหวังและความเสียใจ

และนั่นกลับทำให้เขาเจ็บได้ยิ่งกว่าคำต่อว่าต่อขานใดๆ เสียอีก

รู้อยู่แก่ใจว่าทำผิด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแม้แต่คำขอโทษเพราะทั้งหมดนั่นมันเป็นความตั้งใจของเขาเอง

“ไม่ใช่ตอนนั้น”

ธีร์เหลือบตามามอง

“วันนั้นฉันไม่ได้ต่อยนายก็แค่เข้าไปถามว่าทำไมแล้วนายก็ไม่ยอมตอบฉัน” นรกรบอก “มันก่อนหน้านั้นต่างหาก วันที่นายเลิกเรียกฉันว่าพี่ชาย”

เพียงกะพริบตาครั้งเดียวก็นึกออก เรื่องที่นรกรพูดถึงไม่ใช่การต่อย ไม่ใช่ตอนที่ทะเลาะกัน แต่เป็นในตอนที่พวกเขาสองคนหันหน้ามาคุยกันต่างหาก แม้จะไม่ได้มีคำพูดพิเศษอะไรมากมาย แต่สำหรับเขานั่นคือความเป็นห่วงเป็นใยเท่าที่เด็กชายปากแข็งลูกเจ้าของบ้านจะแสดงออกมาให้ผู้อาศัยอย่างเขาได้เห็น

เขาเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่บวก เป็นเด็กที่มีแต่รอยยิ้มและเข้ากับคนง่าย

ทว่า นั่นเป็นเพียงหน้ากากที่เขาใส่ไว้หลอกครอบครัวบุญธรรม หลอกผู้คนรอบข้าง หลอก... แม้กระทั่งตัวเองว่าไม่เป็นอะไร ว่าเขายอมรับได้กับการสูญเสีย ทั้งที่พอตกกลางคืน ยามที่ทุกคนเข้านอนเขาต้องแอบไปนั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านทุกวันเพราะคิดถึงพ่อกับแม่ที่ตายไปในอุบัติเหตุ

และคนเดียวที่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น คนเดียวที่หาเขาพบ คนเดียวที่ได้เห็นน้ำตาของเขาคือ ‘พี่ชายบุญธรรม’ คนนี้

“ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่นอนนะ”

“รู้แล้ว” แสร้งทำน้ำเสียงสดใสทั้งที่น้ำตาไหลอาบสองแก้มพลางใช้ชายเสื้อของชุดนอนซับตา “ก็ผมนอนไม่หลับนี่นาเลยแอบออกมาดูพระจันทร์”

“นายร้องไห้ทำไม”

เด็กชายออกสะดุ้งเล็กน้อยที่เสียงนั้นเข้ามาใกล้เกินไป และเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นร่างผอมแห้งในชุดนอนตัวหลวมยืนชะโงกเงื้อมอยู่เหนือตัว เขาถอยหลังไปพิงต้นไม้ “อะไร ใครร้องไห้”

“นายไง” ตอบพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง

“เปล่านะ ผมไม่ได้ร้อง”

“งั้นก็ร้องซะสิ” นรกรบอกพร้อมกับเอื้อมมือมาโอบอุ้มใบหน้าเขาไว้ “ร้องซะให้พอ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”

ทั้งที่ตัวเล็กกว่าเกือบครึ่ง ทั้งที่ฝ่ามือนั้นไม่อาจโอบได้ถึงครึ่งหน้าเสียด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับส่งผ่านความอบอุ่นมาถึงหัวใจ

เขาจำไม่ได้ว่าร้องไห้ไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเกาะเอวนั้นไว้แน่นและหนุนไหล่อีกฝ่ายต่างหมอนอยู่บนพื้น รากแก้วของต้นขนุนที่โผล่พ้นดินตำหลังให้เจ็บนิดๆ เขาขยับตัวเล็กน้อยและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอยู่

“ดีขึ้นไหม”

ธีร์ยันตัวลุกขึ้นนั่งรวดเร็วเสียจนใบไม้แห้งรอบตัวฟุ้งกระจาย “อือ”

นรกรลุกขึ้นนั่งบ้าง ธีร์แอบมองทางหางตาเห็นคนตัวเล็กกว่าใช้มือนวดแขนที่คงหนึบชาเพราะไม่ได้ขยับมานาน ก่อนจะกระซิบขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก

“ดึกป่านนี้แล้วพี่ไปนอนเถอะ ผมอยากอยู่ตรงนี้อีกแป๊บ”

คนที่นั่งอยู่ข้างๆ นิ่งมองอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยออกมา “ถ้านายไม่ชอบที่จะเรียกฉันว่าพี่ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกตามที่พ่อกับแม่บอกก็ได้นะ”

ใบหน้าร้อนผ่านขึ้นเล็กน้อยด้วยตกใจที่ถูกจับโกหกได้ “ผมไม่ได้ไม่ชอบหรอกก็แค่... เราอายุเท่ากัน”

“งั้นก็เรียกชื่อแทนสิ ธีร์”

แล้วเขาก็เลิกเรียกคนตรงหน้าว่าพี่ชายนับตั้งแต่วันนั้น และในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอีกอย่างก่อกำเนิดขึ้นมาช้าๆ หากก็แข็งแกร่งมากจนไม่อาจสึกหรอไปได้ตามกาลเวลา


“ฉันเริ่มเกลียดนายตั้งแต่วันนั้นน่ะแหละ”

“ทำไม”

“พวกเขาไม่ได้บอกนายหรอกเหรอว่าทำไม” ธีร์ถามกลับ

“ใคร?”

“คนที่บอกนายไงว่าฉันอยู่ที่ไหน”

นรกรยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม ธีร์จึงพูดต่อ

“พ่อกับแม่ไง”

นรกรส่ายหน้า “พ่อกับแม่หลับอยู่นะ...”

“อันที่จริงนะฮาร์ฟ ฉันไม่ได้เกลียดนายหรอก” ธีร์พูดแทรกขึ้น “แต่ฉันโกรธนายมากกว่า ทั้งที่ไม่ต้องการแต่นายคุยกับพวกเขาได้ ในขณะที่ต่อให้ฉันร้องไห้แทบขาดใจก็ไม่วันได้เจอ แล้วทำไมทั้งๆ แบบนั้นนายก็ยังไม่ยอมบอกว่าพวกเขาพูดอะไรกับนาย”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน เริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังพูดเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า “นายกำลังพูดถึงใคร”

“ไม่เข้าใจเหรอฮาร์ฟ” ธีร์ย้อนถาม “ฉันพูดว่า ‘พ่อกับแม่’”

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกกว้าง นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาหาธีร์อีกครั้ง “นาย... เชื่อที่ฉันพูดเหรอ”

“พูดมาสิ” ธีร์จ้องตาคนตรงหน้านิ่ง “จะให้ฉันเชื่อ นายก็พูดมาก่อนสิ เพราะนายยังไม่เคยพูดอะไรให้ฉันฟังเลยสักคำ”

“ทำไมนายถึง...”

“นายชอบพูดคนเดียวใช่ไหมล่ะ” ธีร์บอก “นายพยายามหลบแล้ว ป๊ากับม้าก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่ฉันอยากรู้ว่านายพูดกับใคร หลังจากแอบฟังอยู่หลายวันก็พอจับใจความได้คร่าวๆ คืนนั้นก่อนจะเดินออกไปในสวนเหมือนทุกที ฉันพูดลอยๆ ขึ้นมาในบ้านว่าถ้าพวกเขายังอยู่ให้ไปปลุกนายออกไปหาฉันในสวน ฉันแอบดูอยู่หลังต้นไม้ ทั้งที่นายเดินมาคนเดียวแต่กลับหันไปพูดขอบคุณลมฟ้าก่อนจะเดินเข้ามาหาฉัน”

เว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อทบทวนภาพความทรงจำในหัว

“ฉันพูดอีกว่าถ้ามีอะไรอยากบอกฉัน ให้ฝากนายมาบอก... แล้วทำไมล่ะฮาร์ฟทั้งที่คืนนั้นนายก็เหมือนจะเงียบฟังอะไรอยู่เนิ่นนาน แต่ทำไมนายถึงไม่ยอมบอกอะไรฉันสักคำ”

“ก็...” นรกรอึกอัก

“หรือว่าพวกเขาไม่ได้พูดอะไรเลย”

ฝ่ามือโปร่งแสงที่วางลงบนไหล่กับความเจ็บปวดในน้ำเสียงของคนตรงหน้าทำให้นรกรยอมเล่าความจริงในที่สุด “พวกเขาบอกว่า... ฝากให้ฉันดูแลนายให้ดี”

“แค่นั้นเองเหรอ” ธีร์ว่า “ไม่เห็นจะเป็นเรื่องพูดยากตรงไหน”

นรกรส่ายหน้าครั้งหนึ่ง “ยังมีอีก พวกเขาบอกว่า... นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด นายไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาตาย ให้เลิกโทษตัวเอง ทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ”

ธีร์เงยหน้าขึ้นมองเพดานพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุดก่อนจะหันมาสบตาเขาอีกครั้ง “ในที่สุดนายก็ยอมบอกฉันสักที”

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร”

“ตกลงเรื่องที่จะลาออกน่ะไม่เกี่ยวกับที่เกลียดฉันใช่ไหม”

“ถ้าเกลียดจะตามมาอยู่ใกล้ๆ เหรอ” ธีร์บีบมือที่ยังจับไว้แรงๆ ครั้งหนึ่ง

“งั้นเพราะอะไรล่ะ... แฟน?”

ธีร์พยักหน้า

“นี่ใช่ไหมสาเหตุที่นายดิ้นรนจะไปดูงานที่นั่นให้ได้ ที่แท้ก็แอบไปเดินเรื่องและเตรียมการอะไรต่างๆ ไว้นี่เอง ต่อให้ไม่ปรึกษาฉันก็น่าจะคุยกับพ่อกับแม่นะ พวกเขารักนายจะตายไม่ว่าอะไรหรอก”

“ถึงไม่ว่าแต่ก็ไม่สบายใจนี่ พวกท่านเลี้ยงฉันมาแล้วจู่ๆ จะมาทิ้งไป...”

“นายไม่ได้ทิ้งสักหน่อย แค่ไปทำงานและมีครอบครัวไม่ใช่หรือไง จะโกรธก็เพราะจู่ๆ นายไปพูดในที่ประชุมแบบนั้นน่ะแหละ”

“ก็ถ้าไม่ทำแบบนั้นฉันก็กลัวตัวเองจะตัดใจไปไม่ได้นี่นา”

“ตัดใจอะไร” นรกรถามกลับ “อยู่ไกลแค่ไหนยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ คิดถึงก็กลับมาเยี่ยมบ่อยๆ สิยังไงบ้านนี้ก็เป็นของนายอยู่แล้ว”

“นายพูดเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่พ่อจะใส่ชื่อนายเป็นเจ้าของบ้านไง” นรกรว่า “พ่อคงคิดไว้แล้วว่านายจะทำแบบนี้ ก็เลยจะใส่ชื่อนายเป็นเจ้าของบ้านเพื่อให้แน่ใจว่านายจะกลับมา”

“ป๊าบอกนายเหรอ”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “เปล่าหรอก ฉันก็แค่คิดว่าพ่อน่าจะคิดแบบนี้”

“นายมันลูกป๊าจริงๆ น่ะแหละ” ธีร์ว่า “เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกันทีหลัง แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอมแน่ๆ เต็มที่ก็ต้องใส่ชื่อทั้งสองคน แล้วนายต้องคุยกับป๊าให้มากกว่านี้นะ ฮาร์ฟ นายรู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นคนปากแข็งแต่ป๊าน่ะแข็งกว่านายเป็นสิบเท่า บอกตรงๆ ว่าวันนี้ฉันดีใจมากเลยที่นายเข้ามาคุยกับฉัน”

“ฉันรู้แล้ว” นรกรรับคำ “จะ... ไม่สิ กำลังพยายามอยู่”

“ฮาร์ฟ”

“อะไร”

“เปล่า” ปากปฏิเสธแต่กลับออกแรงดึงมือเข้ามากอดแนบอก

“ปล่อยน่าธีร์ อึดอัด” นรกรบ่นไม่จริงจัง ตอนนี้เขาเริ่มจับทางได้แล้วว่าที่ธีร์ชอบเข้ามากอดเขาไม่ใช่เพราะจะแกล้งแต่จริงๆ มีเรื่องอยากจะพูดและอายเกินกว่าจะเริ่มโต้งๆ เลยขอกอดแก้เขินไว้ก่อน

“เรื่องเมื่อวานขอโทษนะที่พูดแรงๆ แบบนั้น” ธีร์กระซิบ “ก็ฉันจะไม่อยู่แล้ว เลยอยากให้ป๊ากับนายได้คุยกัน ฉันจะได้หมดห่วง”

“เล่นแรงมากเลยด้วย” นรกรว่า “ยกโทษให้ แต่คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ”

“อืม”

“เข้าใจกันแล้ว ก็ปล่อยได้แล้ว” อทิฏฐ์ที่ยืนกอดอกดูอยู่กระซิบเสียงเข้ม

นรกรหลิ่วตา ด้วยความอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยายังไงจึงแกล้งยกมือขึ้นกอดตอบ และมันได้ผล ถึงจะไม่พูดอะไรอีก แต่อทิฏฐ์ก็หน้าตูมขึ้นมาทันที

“อีกเรื่องนึง” ธีร์พูดต่อ “เรื่องที่นายไม่ชอบผู้หญิงน่ะ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้อยากบอกหรอกนะ แต่ตอนนั้นฉันมีแฟนใช่ไหมล่ะ ป๊าก็เลยเอาแต่ถามว่าแล้วนายล่ะมีไหม ฉันก็เลยวางแผนให้โบไปจีบนายขึ้นมากะว่าถ้านายไม่กลับใจไปชอบผู้หญิง นายก็คงระเบิดออกมาเพราะความโกรธแล้วเรื่องมันจะได้จบๆ ไป”

“แต่ก็ไม่เป็นไปตามแผนใช่ไหม”

“ใช่” ธีร์ยอมรับ “พอโดนป๊าตื๊อถามมากเข้า ฉันก็เลย... หลุดปากบอกไป คือเอาจริงๆ นะฮาร์ฟฉันว่าป๊าไม่ได้รังเกียจนายหรอก ตอนที่นายคบกับพี่ปอก็แอบมาถามกับฉันบ่อยๆ นะ ว่าพวกนายไปเที่ยวกันอะไรยังไง แต่จะรับได้ไหมมันก็อีกเรื่องน่ะนะ เพราะวันที่รับปริญญาน่ะ พอรู้ว่านายเลิกกับพี่ปอป๊าก็ดูโล่งอกมากทีเดียว หลังจากโรคหัวใจกำเริบแล้วฟื้นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลประโยคแรกที่ป๊าถามกับฉันคือ ‘ฮาร์ฟเลิกร้องไห้หรือยัง’ แล้วก็กำชับฉันกับม้าว่าห้ามบอกนายนะ เพราะตอนนั้นนายมีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว ฉันคิดว่าบางทีการที่ป๊าไม่ยอมแอดมิทรักษาสักทีก็เพราะเป็นห่วงนายนี่แหละ เมื่อคืนพอได้ยินนายพูดแบบนั้นก็เลยสบายใจ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ

ธีร์จึงยอมปล่อยเขาออกวงแขน “ฉันบอกนายหมดแล้วนะ แล้วนายล่ะมีอะไรอยากบอกฉันไหม มีอะไรก็รีบพูดนะเพราะฉันวางแผนจะไปทันทีหลังรู้ผลสอบวิจัย บางทีอาจไม่ถึงวันฉลองนายหรือวินทร์เข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ”

นรกรนิ่วหน้าคิดอยู่อึดใจ “อยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ”

“จริงสิ”

“ธีร์... จริงๆ แล้วฉันไม่อยากให้นายไปอยู่อเมริกาหรอกนะ”

“กลัวเหงาเหรอ ไม่เป็นไรไว้ฉันจะโทรหาบ่อยๆ นะ”

“เปล่า” นรกรบอก “คือ... คุณผู้หญิงชุดขาวในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ เขาเป็นแฟนคลับนาย เขานั่งรอนายอยู่บนตู้ล็อกเกอร์ทุกวันเลยนะ”

“ฮาร์ฟ!” ธีร์ร้องเสียงหลง

“จริงๆ นะ คือตอนนี้เธอก็น่ากลัวพออยู่แล้ว ฉันเกรงว่าถ้านายไปเธออาจจะเริ่มอาละวาดแล้ว...”

“ไม่ต้องเล่าแล้ว”

“อ้าว ไหนบอกว่าอยากให้ฉันบอกไง”

“พอๆ เอาไว้เรื่องไหนฉันอยากถาม ฉันจะบอกนายเองนะ” พูดจบก็ให้นึกอะไรขึ้นได้ “จะว่าไป นายเดาได้ยังไงน่ะว่าฉันจะไปอยู่กับแฟน”

“รูปถ่ายผู้หญิงที่อยู่ในกระเป๋าตังนายไง ไม่เจอกันนานโบก็ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ”

“นายไปเห็นตอนไหน...”

“ฉันไม่เห็นหรอก คุณผู้หญิงชุดขาวต่างหากที่เป็นคนเล่าให้ฟัง” นรกรย้ำอีกครั้ง “เมื่อกี้ไปเอาของให้พี่วินทร์เธอมาเกาะแขนร้องห่มร้องไห้กับฉัน ยังไงก่อนจะไปนายไปเปลี่ยนชุดเซอร์วิสเธอสักหน่อยก็ดีนะ”

“ฮาร์ฟ!”

เมื่อเห็นว่าปิดปากคนตรงหน้าไม่ได้สักที ธีร์จึงเปลี่ยนเป็นยกสองมือขึ้นอุดหู

ยิ้มกว้างระบายลงบนเรียวปากและกว้างมากขึ้นอีกเมื่อนรกรหันไปสบตากับร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้างๆ

“วันหลังถ้ากลัวมาแอบหลบหลังพี่ก็ได้นะน้อง” เขาทำปากขมุบขมิบล้อเลียน

อทิฏฐ์แยกเขี้ยวใส่ “เลิกแซวได้แล้วน่า”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันอยู่อึดใจก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปใกล้และกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “ดูปากนะ ไม่-เลิก”


********************TBC***********************


Talk

จบบทนี้เราคิดว่าส่วนที่อมเทาน่าจะปลิวหายไปเกือบหมดแล้วล่ะค่ะ ที่เหลือจะเริ่มในส่วนอมชมพูแล้ว(หมายถึงพล็อตนะไม่ใช่หัวนมมาริโอ้555)

มีคนสงสัยว่าตกลงเรื่องนี้ใครพระเอก?... ฮาร์ฟไง จะใครล่ะ(ไม่ใช่ล่ะ แลดูมุกจะแป้ก)

โห~ เค้าอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนขนาดนี้ เลกกี้ไม่พลิกโผแน่นอนค่ะ เตรียมชูป้ายไฟเชียร์ได้ บทหน้าใครรุกใครได้รู้กันแน่นอน

ขอบคุณที่ช่วยตรวจคำผิดให้ และกำลังใจในทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

ปล.ใครเดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ขอให้เดินทางปลอดภัย ขอให้ได้ขอให้โดน นั่งว่างๆ บนรถยนต์ เรือเมล์ รถไฟ เครื่องบิน อ่านนิยายเราฆ่าเวลาไปเพลินๆ แล้ว 'กลับมาหา' กันอีกทีหลังปีใหม่ไทยกับบทที่11 นะคะ

ปล.2 กรุณาอย่าถามเลกกี้ว่าสงกรานต์นี้ไปเที่ยวไหน เพราะมันแสลงใจเกินจะตอบ ช่วยถามว่า 'ไปเที่ยวกันไหม?' เถอะนะคะ >//////< แอร๊ยย งานเสี่ยวก็มา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 08-04-2016 23:57:29
ก็คิดอยู่ว่าธีร์ไม่น่าจะเกลียดฮาร์ฟ
แต่อิพี่วินทร์นี่ยังไง

จองฮาร์ฟให้ทิดคนเดียวนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 09-04-2016 00:48:04
สรุปฮาฟกับทิด แอบสงสารวินท์นะ   แต่เอาเถอะ ทิดก็น่ารักไม่เบา สวัสดีปีใหม่ไทยล่วงหน้าค่ะ  ขอให้มีความสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์นะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-04-2016 00:48:30
ดีใจที่ทุก ๆ เรื่องไม่สายเกินไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 09-04-2016 01:37:12
งื้อ ขอแอบเชียร์พี่วินทร์เงียบๆตรงนี้ จะแห้วใช่มั้ย

แต่ละคนนี่ดูเป็นพระรองมากกว่าพระเอกมากๆ บอกไม่ถูก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-04-2016 02:01:12
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 09-04-2016 05:24:23
ในที่สุดก็เข้าใจกันธีร์กับฮาร์ฟ

แต่ทิด กลัวผีรุนแรงมากนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 09-04-2016 06:15:28
ขอบคุณคะ  อย่าหายไปนานนะจ๊ะ ช่วงวันหยุดแวะมาส่งบ้างเผื่อคนไม่ไปเที่ยวไหนได้มาอ่านแก้เหงาขอบคุณอีกครั้งจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-04-2016 07:21:26
รอตอนต่อไปค่ะ

ปล.ไม่ได้ไปไหนช่วงสงกรานต์ก็ดีไปอย่างนะคะคนเขียน ได้ใช้เวลากับตัวเอง ไม่ต้องไปผจญกับคนเยอะรถติด
สวัสดีปีใหม่ไทยล่วงหน้าค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 09-04-2016 10:50:47
เฉลยเหตุผลของธีร์แล้วนะคะ แต่เฉลยด้วย ผีสาว นี่ โอโห... ฮามาก อย่าลืมไปเซอร์วิสนะ ผีทิดตลกอ่า กลัวผีทำไม แอบมีหึงนิดๆด้วย ใช่ไหมคะ
เจอคำตกค่ะ

บางอาจไม่ถึงวันฉลองนายหรือวินทร์เข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ”  แก้เป็น บางที
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 09-04-2016 13:44:04
ชื่นใจกับตอนนี้จริงๆ ครอบครัวเข้าใจกัน  :heaven

รอทิตฟื้นน้าาา ตัวฟื้นเร็วๆ จะได้กอดกันให้อุ่นๆ
หาคู่ให้พี่วินทร์ด้วยนะคะ

//ถ้าได้ไปเที่ยวกระทันกันก็เดินทางปลอดภัยค่าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: im4gine_32 ที่ 09-04-2016 21:34:12
ชูแล้วค่ะ ชูทิดตั้งแต่เริ่มเลยเบลยยย 55555 รอใจจดใจจ่อมาก นี่แต่งต่อจากตอนนี้เองในสมองละค่ะ 555555 ชอบมากกกกกกกก ER คือดีละนะ อันนี้แบบ..ถูกจริตมาก อิ๊อิ๊
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 10-04-2016 00:07:37
โอ้ยยย ทำไมเค้าน่ารักกันแบบนี้
ผี ก็กลัวผี ด้วยสินะ 5555
ธีร์มี แฟนคลับตัวยงด้วยแหละ เธอคงเสียใจน่าดูเลยนะธีร์  T,.T
ตอนไหนพระเอกจะฟื้นฟร่ะ
รีบบอกฮาร์ฟได้แล้วว่าตัวเองยังไม่ตายน่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: 182x406 ที่ 10-04-2016 19:30:55
แปลว่ามีลุ้นทิดใช่ไหมคะ ฮือออออออออ ทีมทิดนะคะะะะ
อ่านแล้วรู้สึกว่าทิดน่ารักมาก มีแอบงอนด้วย แต่พาร์ทนี้มีน้อยใจตัวเองด้วย
อยากมาจับมือเค้าให้กำลังใจก็รีบๆฟื้นสิคะ ;______;
ปมพ่อแล้วก็ธีร์พอคลายแล้วน่ารักมากเลย
อ่านแล้วยิ้มตลอดพาร์ทเลยค่ะ
ฮาตอนคุณผีผญที่เป็นแฟนคลับด้วย5555555 แง
จะรอมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 13-04-2016 18:28:40
ทิดๆๆๆๆ สู้สิ กลับมาหาฮาร์ฟแบบจับต้องกันได้ไง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: chsira ที่ 15-04-2016 19:00:42
เพิ่งเคยได้อ่านครั้งแรก ตอนวันที่ 12 แล้วรู้สึกว่าพลาดที่เข้ามาอ่าน  :serius2:
เพราะว่าสนุกมาก จนต้องอ่านให้จบในคืนนั้น

คนเขียนเขียนได้ดีมากๆ ค่ะ คือรู้ซึ้งถึงชีวิตหมอศัลย์มากกกก
เราทำงานกับหมอศัลย์มา 1 ปี 6 เดือน (เป็นเลขาอาจารย์สาย Vascular)
อารมณ์ประมาณนี้เลย หมอศัลย์ดิบๆ เถื่อนๆ แบบคนเขียน เขียนมาเลย 55+
อาจารย์หมอ ก็คล้ายๆ กับคุณพ่อของนรกรเลย

แต่เอาจริงๆ ว่าไม่เคยที่จะจิ้นหมอศัลย์เลย เพราะพี่แกเถื่อนทุกคนเกินเยียวยา
หาหล่อๆ หน้าตาดีก็ยากมากกกกก
ส่วนใหญ่ชอบไปจิ้นหมอออโถ มากกว่าที่ ม. เก่าเราหมอออโถเค้าคัดหน้าตา

แต่พออ่านเรื่องนี้ เอ้ยย จิ้นหมอศัลย์ได้อ่ะ  :mew1:
นึกละก็อยากกลับไปทำงานกลับหมอศัลย์เหมือนแต่ก่อนเลยค่ะ
แต่พอดีเดินออกมาไกลละ กลับไปไม่ได้แล้ว

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: namaquaru ที่ 15-04-2016 20:38:56
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้ อื้อหือ สนุกมากกกกกกก พลาดไปได้ยังไงกันนะ :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 15-04-2016 22:05:48
เม้นก่อนอ่าน
เราตามมาจาก ER ตอนพิเศษ นาย-จิว อ่านฝีมือการเขียนมาจากเรื่องที่แล้วยอมรับว่าประทับใจมาก พอเห็นว่ามีภาคต่อก็ไม่ลังเลที่จะตามมาเลย อยากทราบว่านอกจากสองเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย เราจะตามไปอ่าน คือชอบสำนวน คำพูด ภาษา พล็อตเรื่อง คือดีงามจนอยากตามไปติ่งอ่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 15-04-2016 22:35:39
รอคะ :katai4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 15-04-2016 23:43:52
จริงๆคือธีร์แอบช่วยฮาร์ฟอยู่ตลอดสินะ น่ารัก
รอตอนหน้าค่าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 17-04-2016 01:31:40
รอนะคนดี :L2: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 17-04-2016 11:36:50
ตามมาอ่านจากกระทู้แนะนำ
พอรู้ว่าเป็นนักเขียนคนเดียวกับ ER นาทีหัวใจ ไม่ผิดหวังเลย
ชอบมาก ๆๆๆๆๆ

แล้วก็คิดว่ารู้แล้วล่ะว่า ทิด คือใคร เพราะคุณคนเขียนวางปมเฉลยมาตลอด
ยังไม่อยากสปอยด์ เอาไว้อ่านตอนจบดีกว่าว่าที่คิดไว้จริงรึเปล่า

รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-04-2016 21:45:11
บทที่ 11 Heart Beat

“คุยอะไรกันอยู่” วินทร์ร้องทักพร้อมกับเดินเข้ามาร่วมวง

“พี่น้องเขาคุยกัน คนนอกไมเกี่ยว” ธีร์บอก

นรกรย่นคิ้วใส่และหันไปตอบคำถามนั้นอีกครั้ง “ปรับความเข้าใจกันนิดหน่อยน่ะครับ”

วินทร์พยักหน้าเข้าใจและไม่คิดจะถามต่อ “แล้วนี่นายกินอะไรหรือยัง หลังจากนี้เรามีผ่าตัดตลอดบ่ายเลยนะ”

“เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณนะครับ แล้วพี่วินทร์ล่ะกินอะไรหรือยัง”

“เห็นนายอิ่มฉันก็อิ่มใจแล้วล่ะ”

ธีร์เหลือบตามองสองคนที่สบตากันแปลกๆ ก่อนจะกระแอมเสียงดัง “มาเถอะได้เวลาประกาศผลแล้ว” แล้วคว้าต้นแขนนรกรดึงให้เดินตามเข้าไปในห้องประชุม อันที่จริงเขาไม่ได้เกลียดวินทร์หรือคิดจะกีดกันหรอกนะ เพียงแต่ในท่าทีที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ผู้ชายคนนี้ก็มีเรื่องปิดบังไว้เต็มไปหมด ถึงแม้ศาสตราจารย์สรวิชญ์จะรักวินทร์มากซึ่งเขาไม่เคยเข้าใจว่าเพราะอะไร ซ้ำยังเป็นคนขอกับอาจารย์ท่านอื่นๆ ให้วินทร์ได้เข้ามาเรียนทั้งที่ในตอนแรกเขาสอบสัมภาษณ์ตกไปแล้วด้วยซ้ำ

นรกรหันไปหาอทิฏฐ์และพยักหน้าให้ตามมา

แต่ร่างโปร่งแสงกลับส่งยิ้มบางให้พร้อมกับส่ายหน้า “คุณทำได้อยู่แล้วน่า”

“แต่ผมอยากให้คุณอยู่ด้วย” นรกรขยับปากโดยไม่มีเสียง

อทิฏฐ์ส่ายหน้าอีกครั้ง เขาคิดว่าหลังจากประกาศผลมันควรเป็นเวลาของครอบครัวและเพื่อนร่วมงานที่จะร่วมแสดงความยินดี ซึ่งถ้าเขาเข้าไปก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน

แต่เมื่อนัยน์ตาสีอ่อนนั้นมองสบมาอีกครั้งด้วยประกายที่อ่อนแสงลงกับเสียงกระซิบเบาๆ แค่เพียง “นะครับ” เขาก็พุ่งตามไปแทบไม่ทันและใบหน้าของคุณหมอหนุ่มก็กลับมาอมยิ้มอีกครั้งทันที

คุณหมอทั้งสามเข้าไปยืนรวมกันที่หน้าห้อง ในขณะที่ร่างโปร่งแสงแทรกตัวไปอยู่มุมห้องอย่างรู้หน้าที่

“ก่อนอื่นก็ขอแจ้งผลการวิจัยก่อน” อาจารย์ธนบดีกล่าว “ผ่านทุกคน”

พวกเขาหันมายิ้มให้กันพลางยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”

“ทีนี้ต่อไปก็ผลการประเมินเข้าเป็นอาจารย์ประจำภาควิชา” อาจารย์ธนบดีพูดต่อ “บอกตรงๆ ว่าเราตัดสินยากมาก แต่เพราะหมอธีร์ขอสละสิทธิ์ก็เลยทำให้พวกเรารู้สึกผิดน้อยลงนิดหน่อยถึงจะเสียดายก็เถอะ ไว้ถ้ามีโอกาสก็ขอเชิญมาถ่ายทอดความรู้ให้น้องๆ บ้างนะ"

“ครับ” ธีร์รับคำ

“อาจารย์ธนบดีอย่ามัวแต่อารัมภบทเลยครับ นี่ผมลุ้นจนฉี่จะราดแทนพวกคุณหมอเขาแล้วเนี่ย” อาจารย์ภูมิศิลป์แซว

“งั้นก็ประกาศเลยนะ” อาจารย์ธนบดีว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยนะ หมอวินทร์”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสง ไม่ว่าจะเป็นการไขว้นิ้วทั้งสองข้างลุ้นจนตัวโก่งไปจนถึงตบหน้าผากอย่างอย่างแรงด้วยความเสียดายแล้วปล่อยหมัดใส่อากาศอย่างขัดใจ ทั้งหมดนั่นอยู่ในสายตาเขาและไม่รู้ทำไมว่าเขาถึงไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย ไม่แม้จะเสียดาย และนั่นไม่ใช่แค่เพราะเรื่องที่ทำได้ทำเต็มที่แล้วหรือเพราะนั่นไม่ใช่ความฝันของเขาอีกต่อไป แต่เป็นเพราะมันรู้สึกอิ่มในใจกับการที่ได้เห็นว่าใครสักคนมองว่าเรื่องของเขาสำคัญและรู้สึกไปด้วยกันราวกับมันเป็นเรื่องของตัวเอง

เพียงอึดใจผู้ที่โดนมองก็เหมือนจะรู้ตัว อทิฏฐ์รีบหันหลบไปตบหน้าตัวเองแรงๆ สองสามครั้งเพื่อซ่อนความเสียใจก่อนจะหันมายิ้มกว้างพร้อมทั้งชูนิ้วโป้งให้

“ไม่ต้องเสียใจนะ คุณทำดีที่สุดแล้ว” บอกทั้งๆ ที่เป็นตัวเองนั่นแหละที่ตารื้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก

นรกรยิ้มตอบและหันไปแสดงความยินดีกับว่าที่อาจารย์คนใหม่ซึ่งยังไม่หายตกใจ

“เอ่อ…” วินทร์อึกอัก และไม่มีท่าทีดีใจสักนิด

“มีปัญหาอะไรหรือหมอ” อาจารย์ธนบดีถาม

“อาจารย์ก็ทราบนี่ครับว่าผมไม่ได้จบจากที่นี่ ผม…” เหลือบตามองคนตัวเล็กกว่า “ผมรับไว้…”

“แล้วยังไงล่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์แทรกขึ้น “เรื่องนั้นผมจัดการได้ ท่านผอ.และคณบดีเขาก็โอเคแล้ว”

วินทร์ไม่ยอมพูดอะไรอีก นรกรจึงเอื้อมไปสัมผัสหลังมือเบาๆ พร้อมกับหันไปสบตา “พี่วินทร์จะรับใช่ไหม”

ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบางจึงค่อยคลี่ขึ้นบนเรียวปาก “ขอบคุณมากครับ” วินทร์ตอบพลางยกมือไหว้คณะกรรมในห้อง “ขอฝากตัวด้วยนะครับ… มาช่วยฉันด้วยนะ” ประโยคหันหลังไปกระซิบกับคนที่ยืนข้างๆ

“ไม่เอาหรอกครับ งานใครคนนั้นก็ทำเองสิ” นรกรพูดล้อๆ

“ฮาร์ฟ”

นรกรหัวเราะในลำคอกำลังจะพูดต่อเมื่ออาจารย์ธนบดีขัดขึ้นเสียก่อน

“ก็ต้องช่วยกันทั้งคู่น่ะแหละ แล้วก็ตกลงกันซะนะว่าใครจะไปดูงานที่ไหนไม่งั้นผมจะเป็นคนจัดการให้เอง”

“ครับ” นรกรสบตาวินทร์ที่งุนงงไม่แพ้กันก่อนจะหันไปมองอทิฏฐ์ที่ทำตาโตโผมาเกาะขอบโต๊ะทันที

“งงอะไรล่ะ หมอนรกรคุณก็ได้เป็นอาจารย์เหมือนกัน พวกเราไม่ได้แจ้งไปตั้งแต่ตอนคุณพรีเซนต์เสร็จแล้วหรอกเหรอ”

“ผมนึกว่า… อ.แค่แซวเล่น” นรกรบอกอ้อมแอ้มใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความดีใจหากก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“เรื่องจริงจังแบบนี้ ใครเขาเอามาล้อเล่นกัน” อาจารย์ภูมิศิลป์ตอบ

“แล้วทำไมเราทั้งคู่ถึงได้ล่ะครับ ก็ตำแหน่งบรรจุมีแค่ตำแหน่งเดียวไม่ใช่เหรอครับ” เพราะยังไม่เข้าใจนรกรจึงถามต่อ

“พอดีแผนเปลี่ยนนิดหน่อยน่ะ” คณบดีเป็นฝ่ายอธิบายเพิ่มแทน “เพราะอาจารย์ธนบดีได้เลื่อนตำแหน่ง เราก็เลยต้องหาคนมาทดแทนน่ะ”

ได้ยินดังนั้นนรกรก็หันไปสบตาศาตราจารย์สรวิชญ์ที่ทำหน้าประมาณว่าช่วยไม่ได้ แต่กลับแอบอมยิ้มมุมปาก

แม่หันมาป้องปากบุ้ยใบ้อะไรสักอย่างพร้อมกับชี้นิ้วไปยังคนซึ่งตีหน้าขรึมนั่งอยู่ข้างๆ “ดีใจด้วยนะลูก”

นรกรตอบแม่ด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มหน้าและบอกกับตัวเองในใจว่าถ้าพ่อชวนไปกินข้าวครั้งต่อไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเขาจะไม่มีวันปฏิเสธเด็ดขาด

เขาหันไปหาอทิฏฐ์ที่กระโดดโลดเต้นอยู่หลังห้องประหนึ่งตัวเองเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก และหันมายกนิ้วโป้งให้สองมือ

“ดีใจด้วยนะ” วินทร์หันมาแสดงความยินดีกับคนที่ยืนยิ้มจนตาหยีอยู่ข้างๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกวาดตามองตามนัยน์ตาสีอ่อนนั้นไป เพราะมันไม่ได้หยุดลงแค่โต๊ะกรรมการหากมองเลยไปตรงมุมห้องซึ่งไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

oooooo

“ฮาร์ฟพรุ่งนี้ว่างไหมไปเที่ยวกัน” เสียงของวินทร์ดังมาจากอีกฝั่งของประตูล็อกเกอร์ ถ้าไม่นับอทิฏฐ์ตอนนี้ในห้องมีแค่เขากับวินทร์แค่สองคนเพราะธีร์ยังไม่กลับจากการโดนศาสตราจารย์สรวิชญ์เรียกไปอบรมและซักฟอกเรื่องที่จู่ๆ ก็จะลาออกโดยไม่ปรึกษากันก่อน

นรกรรีบใส่เสื้อจนเสร็จและปิดประตูตู้เพื่อคุยให้ถนัด “เที่ยว?”

“ใช่ นายว่างนี่ ไปเที่ยวกันฉลองที่สอบผ่านไง”

“มีใครไปบ้างครับ”

“แค่ฉันกับนาย” วินทร์บอก “ไว้ค่อยให้คำตอบหลังผ่าเสร็จก็ได้” แล้วเขาก็เดินแยกตัวไปก่อน

นรกรหันไปหาร่างโปร่งแสงเพื่อขอความเห็นและก็ได้รับคำตอบกลับมาในทันที

“ไปสิครับเขาอุตส่าห์ชวนตั้งขนาดนี้แล้วนะ”

“แล้วคุณล่ะ”

“ให้ผมไปเป็นกขค.ทำไมเล่า”

“แต่…”

“เอาน่า ไปเหอะ” อทิฏฐ์ย้ำ

“แต่…” นรกรยังคงลังเล เมื่อจู่ๆ ร่างตรงหน้าก็อุทานในลำคอพร้อมกับยกมือขึ้นกุมหน้าอก

“อุ๊บ!” เซไปพิงล็อกเกอร์ก่อนจะทรุดฮวบลงบนพื้น

“อทิฏฐ์ คุณเป็นอะไร” นรกรถามด้วยความเป็นห่วงพลางนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า

“ไม่… ไม่มีอะไร ผมแค่…”

“เป็นสิ ต้องเป็นแน่ๆ” นรกรว่า “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าคุณนึกอะไรออกอีกเหรอ”

“ปะ… เปล่า” อทิฏฐ์ตอบ นรกรสังเกตเห็นเขากำมือทั้งสองแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและแสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไรฮาร์ฟ ไม่มีอะไรสำคัญแค่… ช่างเถอะ เอ่อ เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ อ้อ! เรื่องพี่วินทร์ ตกลงคุณจะไปใช่ไหม”

นรกรสบตาคนตรงหน้า พยายามจะมองผ่านกำแพงบางๆ ที่จู่ๆ อทิฏฐ์ก็สร้างขึ้นมาลึกเข้าไปข้างในที่ซ่อนอะไรบางอย่างไว้ แต่ก็ไม่อาจทำได้สำเร็จและพอรู้แบบนั้นเขาก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน “ถ้าคุณอยากให้ไป ผมจะไป” พูดเพียงเท่านั้นแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องผ่าตัดไป

อทิฏฐ์ยืนมองตามแผ่นหลังนั้นจนสุดสายตา ก่อนจะรู้ตัวว่ามีใครกำลังมองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองบนหลังตู้ล็อกเกอร์ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า เขาละสายตากลับมาและเดินออกประตูไปอีกทาง

เมื่อทุกคนออกไป ห้องล็อกเกอร์ที่น่าจะไม่มีใครกลับปรากฎเงาตะคุ่มของหญิงสาวในชุดขาวนั่งห้อยขาอยู่บนหลังตู้ล็อกเกอร์ ผมที่ยาวปรกหน้าปลิวน้อยๆ ยามเมื่อเธอแกว่งขาไปมาเป็นจังหวะ”

oooooo

เมื่อเข้าห้องผ่าตัดนรกรก็ยังไม่อาจสลัดภาพใบหน้าที่เจ็บปวดและสายตาทุกข์ทรมานนั่นไปจากสมองได้จนเผลอถอนหายใจเสียงดัง

“มีสมาธิหน่อย” เสียงเฉียบขาดของศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งซ่อนอยู่หลังผ้าปิดปากปิดจมูกแม้จะไม่ดังแต่ก็ทำให้ทั้งทีมพลอยสะดุ้งไปตามๆ กัน

“ขอโทษครับ” นรกรค้อมศีรษะเท่าที่สภาพซึ่งอยู่ในชุดปลอดเชื้อจะอำนวยเขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อตั้งสมาธิและเริ่มลงมีดอีกครั้ง ตอนนี้เขาทำการผ่าตัดกับศาสตราจารย์สรวิชญ์สองคน โดยวินทร์ซึ่งเข้ามาก่อนไปผ่าตัดเคสที่ง่ายกว่าเพียงลำพังในห้องข้างๆ

“คิดอะไรอยู่”

“นิดหน่อยครับ” นรกรตอบตามตรง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหก “แค่สงสัยว่าพ่อกับแม่เจอกันได้ยังไง” ถามเสร็จก็ออกตกใจตัวเองไม่น้อย

ทั้งห้องผ่าตัดเงียบกริบ มีเพียงเสียงฟืดฟาดเบาๆ จากการตีลมของเครื่องช่วยหายใจที่ดังเป็นจังหวะ

“เราเจอกันครั้งแรกตอนพ่อเป็นแพทย์ประจำบ้านปีห้าส่วนแม่เขาก็เป็นแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งที่เข้ามาดูพ่อผ่าตัดน่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดขึ้นเรียบๆ

และนั่นยังความแปลกใจให้ทุกคนที่พากันตั้งใจฟังทันที

“เหรอครับ”

“เราคบกันแค่ปีเดียวแล้วพ่อก็ขอแม่แต่งงานเลย ตอนนั้นพ่อแกล้งทำเป็นหาตำแหน่งก้อนในสมองไม่เจอเลยโทรตามแม่เขามาช่วยน่ะ”

“แล้วยังไงต่อครับ” นรกรแอบนึกขันในใจกับมุกที่อาจารย์ใหม่จะเรียกแพทย์ประจำบ้านปีสองเข้าไปช่วย ถ้าจะเรียกเข้าไปสอนก็ว่าไปอย่าง

“แต่ตำแหน่งมันไม่ได้ยากไง พอแม่เข้ามาแค่แป๊บเดียวก็หาเจอแล้วเขาก็บ่นพ่อ”

“แล้วพ่อว่าไงครับ”

“พ่อก็เลยตอบไปว่า พ่อก็เจอแล้วเหมือนกัน แม่เขาก็ทำหน้างงๆ แล้วถามว่าเจออะไร พ่อเลยบอกไปง่ายๆ ว่า ‘แม่ของลูก’”

ถึงตรงนี้ทุกคนต่างแอบหันไปยิ้มกันคนละทาง เรียกได้ว่าความเสี่ยวนี่มันซึมลึกอยู่ในสายเลือดแพทย์ศัลยกรรมจริงๆ

“ถ้าตกลง หลังจากผ่าตัดเสร็จเดินออกไปจะเห็นกล่องใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะในห้องพัก ในนั้นมีแหวนให้เอามาใส่ซะ แต่ถ้าไม่ก็ให้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น”

“แล้วแม่ตอบว่าไงครับ” นรกรถามแทนใจคนทั้งห้อง
ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “เขาไม่ตอบด้วยซ้ำ แต่กระทืบเท้าพ่อครั้งหนึ่งแล้วบ่นว่า ‘วางทิ้งไว้แบบนั้นเกิดหายไปจะทำยังไง’ แล้วก็รีบวิ่งออกไปเก็บแหวนก่อนจะกลับมาช่วยพ่อผ่าจนเสร็จ”

นรกรอมยิ้มกับมุมน่ารักของครอบครัวที่เพิ่งเคยได้ฟัง

“รู้ไหมว่าหมอวิลเลียม ออสเลอร์เคยพูดไว้ว่ายังไง” จู่ๆ ศาสตราจารย์สรวิญช์ก็ถามขึ้นมา

นรกรครุ่นคิด และเลือกหนึ่งในบรรดาคำสอนต่างๆ ที่มีอยู่มากมายซึ่งเป็นวลีที่ดังและถูกกล่าวถึงมากที่สุดมาตอบ “การศึกษาโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่อาศัยความรู้จากตำราก็เหมือนกับการล่องเรือไปในทะเลโดยปราศจากแผนที่ ในขณะที่การเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราโดยไม่ใส่ใจศึกษาผู้ป่วยเท่ากับว่ายังไม่เคยไปทะเลเลยสักครั้ง”

“ความรักก็เหมือนกัน ต่อให้มันมาอยู่ตรงหน้าแต่ถ้าเราไม่เดินเข้าไปหาก็ไม่มีวันได้ครอบครอง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ต่อท้าย

“อันนี้อ.วิลเลียมก็เป็นคนพูดเหรอครับ” นรกรถาม ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เปล่า พ่อพูดเอง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก “จำไว้นะฮาร์ฟ อะไรที่เราลังเลกับมันก็คือไม่ใช่ เพราะถ้ามันใช่เราจะรู้ทันทีว่ามันใช่” แล้วหันมาสบตา แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่นรกรค่อนข้างมั่นใจว่าเบื้องหลังหน้ากากปิดปากและจมูกนั้นคือรอยยิ้มกว้าง “นี่ใช่ไหมคำตอบที่แกอยากถาม”

นรกรพยักหน้า


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-04-2016 21:59:01
(ต่อตรงนี้)


“ฮาร์ฟ” เสียงทุ้มเรียกเบาๆ ขณะที่นรกรกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนใบสรุปการผ่าตัดในวันนี้อยู่เพียงลำพังในห้องพักแพทย์

“อะไร” ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเพราะเขายังเหลืออีกสองเคสที่ต้องรีบทำให้เสร็จในคืนนี้

หากคนเรียกก็ยังไม่ละความพยายาม “ฮาร์ฟ”

“มีอะไรก็พูดมาสิ”

“ฮาร์ฟครับ” อทิฏฐ์เรียกอีกครั้งพร้อมทั้งแกล้งหยอดเสียงหวานตบท้าย

และมันได้ผล คนที่กำลังสาระวนกับงานเอกสารเหลือบตาขึ้นมองลอดแว่นทันที

“มีอะไร”

คนเรียกอมยิ้มมุมปาก “ไม่มีอะไรแค่อยากอ้อน”

“ไม่ตลกนะ” นรกรพยายามตีหน้าขรึมทำเป็นดุร่างโปร่งแสงที่ทรุดตัวลงนั่งยองๆ เกาะขอบโต๊ะแล้วตะแคงคอมองดูเขา

“ก็ไม่ได้เล่นตลกให้ดูเสียหน่อย”

รอยยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีนัยยะทำให้คนที่กำลังนิ่วหน้าเครียดหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย “มีอะไร พูดมาเดี๋ยวนี้”

“มาด้วยกันหน่อยสิ” อทิฏฐ์ทำท่าคล้องแขนรั้งให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะออกเดินนำไปที่ประตู

“อะไรอีกล่ะ คนกำลังทำงานอยู่นะ” ปากบ่นไปแบบนั้นแต่คุณหมอหนุ่มก็ยินยอมลุกเดินตามไปโดยไม่มีท่าทีอิดออด เขาคิดว่าเดี๋ยวนี้ตัวเองค่อนข้างตามใจ ไม่สิ! ต้องเรียกว่าใจอ่อนกับอทิฏฐ์แปลกๆ แต่ทำไมต้องคิดมากด้วยล่ะในเมื่อมันทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวดีขึ้นได้ขนาดนี้ ยิ่งตอนที่ได้เห็นร่างโปร่งแสงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินทะลุออกนอกประตูไปจนเขาต้องเรียกไว้ “ช้าหน่อยสิ ผมเดินตามไม่ทัน”

อทิฏฐ์หยุดฝีเท้าพร้อมกับหันมาส่งมือให้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีประโยชน์จึงดึงมือกลับ

นรกรรีบก้าวยาวๆ มายืนข้างกัน “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” พลางสบสายตาแฝงแววเศร้าสร้อยที่มองมาพร้อมกับรอยยิ้มจืดจางบนเรียวปากก่อนจะเหลียวมองรอบตัวและเอ่ยขึ้น “อทิฏฐ์ คุณเคยเห็นสายลมไหม”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้า

“แล้วแสงอาทิตย์ล่ะ”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้าอีกครั้ง

“แต่คุณก็รู้สึกได้ใช่ไหมว่ามันมีอยู่จริง”

“แล้วยังไงต่อครับ” อทิฏฐ์ถาม

แต่นรกรกลับส่ายหน้าพร้อมทั้งยิ้มกว้าง “ความลับ”

“ดูพูดเข้า เดี๋ยวนี้มีความลับกับผมนะ ใช่สิ! ผมมันไม่สำคัญนี่” แกล้งกอดอกทำเป็นงอน

“เพราะสำคัญน่ะสิถึงบอกไม่ได้” นรกรว่า

“เอ่อ...”

“เลิกพูดมากแล้วบอกมาได้แล้วว่าจะพาผมไปดูอะไรกันแน่” นรกรตัดบทเมื่อตอนนี้พวกเขาเดินออกจากตึกมาอยู่ในสวนของโรงพยาบาล

“ใกล้ถึงแล้ว” อทิฏฐ์ชี้มือไปที่ม้านั่งตัวเดิมซึ่งเขาเคยมานั่งสองครั้งแล้ว “นั่งก่อน”

นรกรทำตามที่บอก ก่อนร่างโปร่งแสงจะทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง “แล้วไง”

“ทีนี้คุณก็เงยหน้าขึ้น”

นรกรทำตาม เพราะเป็นคืนฟ้าเปิด ทำให้เห็นพระจันทร์และดวงดาวกระจ่างฟ้า ส่องแสงสกาวสีทองดูนุ่มนวลและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน

“สวยไหม”

“สวย” นรกตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตา “แล้วทำไมเหรอ”

“คุณเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเป็นเด็กเคยมองฟ้าเพราะอยากหนีจากสิ่งที่เป็นอยู่ใช่ไหม”

เขาพยักหน้า

“วันนี้เป็นวันดี คุณได้คุยกับพ่อ ได้ปรับความเข้าใจกับน้องชาย และยังประสบความสำเร็จไปอีกขั้น” อทิฏฐ์บอก “มันอาจไม่ใช่คืนที่ดาวสวยที่สุด แต่อย่างน้อยมันจะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ของคุณ มันอาจทดแทนฝันร้ายของคุณไม่ได้ แต่ผมหวังว่ามันจะทำให้คุณยิ้มออกในวันที่หวนกลับมาคิดถึง” เขาละคำว่า ‘ในวันที่ไม่มีผม’ ไว้ในใจ

“ของขวัญ?” นรกรถามหลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน

“ขอโทษนะที่ผมให้คุณได้แค่นี้” อทิฏฐ์หลุบตาลงมองพื้นเกรงว่าจะถูกโกรธด้วยเรื่องที่รบกวนเวลาทำงานมาทำอะไรไม่เข้าท่า

เมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นเบาๆ ว่า “ขอบคุณ”

เขาเงยหน้าขึ้นมองและได้เห็นดวงดาวที่สวยสุดในค่ำคืนนี้ประดับอยู่ในแววตาและริมฝีปากคนตรงหน้า

“ผมชอบมากเลย”

“ผมก็ชอบเหมือนกัน” อทิฏฐ์ตอบ

นรกรเอียงคอมองร่างโปร่งแสงตรงหน้า แสงจันทร์ทำให้ร่างนั้นจางลงกว่าทุกทีและดูนวลตา แต่ในขณะเดียวกันโครงร่างที่เคยพร่ามัวก็กลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว จมูก ปาก และแววตาอ่อนโยนที่มองสบมา

และมันสะกดเขาจนเผลอขยับตัวเข้าไปใกล้

“มีอะไรครับ” อทิฏฐ์ถามด้วยความตกใจเมื่อคนที่ซึ่งปกติจะถอยห่างเบียดตัวเข้ามาจนชิด

“แค่อยากมองหน้าคุณให้ชัดๆ” นรกรตอบ

อทิฏฐ์จึงแกล้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก ถ้าหากสัมผัสได้ก็คงรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน “แล้วเป็นไงครับ ตกลงผมหล่อไหม”

คนถูกแกล้งย่นคิ้ว แต่แทนที่จะหลบเหมือนทุกครั้ง วันนี้นรกรอารมณ์ดีเกินกว่าจะยอม เขาเอาคืนด้วยการเป็นฝ่ายเขยิบเข้าไปหาเสียเองพร้อมกับเม้มปากแล้วปล่อยจนเกิดเสียงดัง ‘จุ๊บ’ เบาๆ

ร่างโปร่งแสงตัวแข็งเป็นหินเหมือนโดนคำสาปเมดูซ่า

ในขณะที่นรกรส่งเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอแล้วเอนหลังพิงพนักเพื่อมองดูท้องฟ้าให้ชัดๆ สายลมพัดเอื่อยมาต้องผิวเนื้อให้รู้สึกเย็นสบาย

อทิฏฐ์กะพริบตาปริบๆ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนรกรหัวเราะ แทนที่จะเป็นฝ่ายให้ของขวัญ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ได้รับมาถึงสองชิ้น

“ร้องเพลงให้ฟังหน่อย” นรกรกระซิบ

“บ่นว่าผมเสียงเพี้ยน แต่ก็ชอบจังเลยนะ”

“จะร้องไหม ไม่ร้องก็เงียบไป”

อทิฏฐ์เบะปากล้อเลียน “ใครจะกล้าว่า ผมแค่จะถามว่าวันนี้คุณอยากฟังเพลงอะไรต่างหาก”

แล้วเขาก็เริ่มต้นฮัมเพลงเพลงนึงในลำคอ น่าแปลกทั้งที่ปกติเพลงนี้เป็นท่วงทำนองเศร้า แต่ทำไมเมื่อมันผ่านริมฝีปากนั้นกลับอบอุ่นหัวใจจนเผลอยิ้มตามได้ทุกครั้ง

oooooo

“เที่ยวให้สนุกนะ”

“ไม่ไปด้วยกันเหรอ” นรกรถามร่างโปร่งแสงที่ยืนโบกมือส่งที่หน้าประตู

“หืมมม” อทิฏฐ์กอดอกทำตาโต “เข้าใจคำว่าไปเดทไหมเนี่ย… ไปได้แล้วคุณเดี๋ยวพี่วินทร์รอนานนะ”

“รออะไรยังไม่ถึงเวลานัดสักหน่อย”

“งั้นคุณก็ไปรอเขาสิ”

“งั้นก็ไปยืนรอเป็นเพื่อนผมที่รถหน่อยสิ”

“ไม่เอาหรอก ผมส่งคุณตรงนี้แหละ เที่ยวให้สนุกนะ”

นรกรกำลังจะดึงประตูปิดแต่แล้วก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่ละครั้งที่อยู่ห่างกันจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้กลับแตกต่าง ไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ดี แต่เขารู้สึกเจ็บ… เจ็บจนจุกไปทั้งหน้าอก

นรกรยกมือขึ้นจับหน้าอกแล้วหันกลับมาหาร่างโปร่งแสงที่ยังคงยืนมือไพล่หลังส่งยิ้มบางมาให้

“อทิฏฐ์”

“ครับ”

“เดี๋ยวผมมานะ”

“รู้แล้วน่า”

“อย่าหนีไปไหนนะ”

นัยน์ตาสองคู่สบกันอยู่อึดใจ อทิฏฐ์รู้ดีว่านรกรพยายามจะสื่ออะไรแต่เขาก็เลี่ยงตอบไปทางอื่น “ผมจะหนีคุณไปไหนได้เล่า… ไปได้แล้ว ไป”

“สัญญานะ”

อทิฏฐ์ย่นคิ้ว “อะไรเนี่ย แค่ไปเที่ยวแค่นี้เดี๋ยวตอนเย็นคุณก็กลับมาแล้ว รับรองว่าผมจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยนั่งร้อยมาลัยกรรอคุณกลับมา ไม่ทำห้องเละเทะแน่นอน”

แต่นรกรไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ “งั้นก็สัญญามาสิ”

อทิฏฐ์เม้มปากอย่างยอมจำนน “ครับ”

เมื่อประตูห้องปิดลง ทั้งห้องก็เหลือเพียงความเงียบ

อทิฏฐ์เหลียวมองไปรอบกายที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตนแม้แต่น้อย พลันความรู้สึกเจ็บแปลบก็พุ่งขึ้นมาตามหน้าอกอีกครั้ง และครั้งนี้มันเจ็บจนเขาทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น

เขาหอบหายใจแรงทั้งที่ไม่ลมหายใจ เขายกมือตัวเองขึ้นดู มันอ่อนจางจนแทบจะกลืนหายไปในอากาศ สมองปวดหนึบและอื้ออึงราวกับมีใครเอาระเบิดมายัดไว้ เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ ภาพเหตุการณ์หนึ่งไหลเข้ามาเป็นสาย แล้วเขาก็ล้มลง

คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่รู้สึกว่าชีวิตตกต่ำจนถึงจุดที่ไม่อยากมีลมหายใจอยู่ต่อ เมื่อความรักที่มีให้คนเพียงคนเดียวมาร่วมสิบปีมันพังทลาย

แม้จะมีหลายต่อหลายครั้งที่คิดอยากจะสู้ต่อ ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อคนสองคนที่เลี้ยงดูมา และพร้อมจะให้อภัยในความผิดพลาดโง่ๆ ของเขา

แต่ถ้าหากโลกที่กลับไป มันไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไปล่ะ เขาควรจะทำยังไง

oooooo

“คุณหมอคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”

“ครับ” นายแพทย์เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มผู้ป่วยขึ้นมองพยาบาลประจำไอซียู ใบหน้าของเธอซีดเผือด

“คือ...” พยาบาลสาวอึกอัก เธอเม้มปากสนิทพร้อมกับพยักเพยิดไปที่หน้าห้องพร้อมกับออกเดินนำไป

เมื่อทั้งสองออกมายืนด้านนอกเธอจึงตอบคำถามของนายแพทย์ “รถของพ่อกับแม่คนไข้ประสบอุบัติเหตุตอนกำลังเดินทางมาที่นี่ค่ะ ดูเหมือนว่าถูกรถที่เมาแล้วขับพุ่งข้ามเลนมาชน”

นายแพทย์เข้าใจทันทีถึงสิ่งที่เธอกำลังจะบอก หากยังมีความหวังแม้จะเพียงริบหรี่ “แล้วยังไงครับ”

“กู้ภัยแจ้งว่าคุณแม่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุค่ะ”

นายแพทย์แทบจะกลั้นหายใจ “แล้วพ่อล่ะครับ”

“ตอนนี้อยู่ที่ER” นางพยาบาลตอบยังไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็แผดดังขึ้น เขารีบกดรับและผู้ที่โทรมาก็คือภรรยาของเขาเอง

“ว่าไงคุณ… พอดีเลยคุณพยาบาลเพิ่งบอกผมเดี๋ยวนี้เอง คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง”

[ไม่ค่อยดี] เสียงของวิมลภาดังมาตามสาย [คนไข้ยังพอรู้สึกตัวแต่มีเลือดออกในสมองมากและหลายจุด แถมยังอยู่ใกล้กับก้านสมองด้วยค่ะ]

เขาเม้มปากสนิท ก้านสมองเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานที่สำคัญอย่างการเต้นของหัวใจและการหายใจ ทั้งยังอยู่ลึกมากและมีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด ไม่ว่าจะผ่าตัดหรือไม่โอกาสรอดแทบไม่ต่างกัน

เขาเหลือบตามองผ่านกระจกเข้าไปยังร่างที่นอนนิ่ง

แต่ถ้าโอกาสจะมีแม้แค่ 1% มันก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยชีวิตใครสักคน

“คุณสั่งน้องเปิดห้องผ่าตัดเลย ผมจะผ่าเอง”

[คุณแน่ใจนะคะ]

“ผมจะช่วยเขาเอง” นายแพทย์ยืนยันคำเดิมก่อนจะตัดสายแล้วหันมองผ่านกระจกเข้าไปในห้องยังเตียงที่ร่างที่นอนอยู่อีกครั้ง มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่น “ผมจะช่วยพ่อคุณให้ได้”

oooooo

“อทิฏฐ์ ผมกลับมาแล้ว” นรกรร้องเรียกไปในห้องที่มืดสนิท หากก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ มันกะพริบอยู่สองสามครั้งก่อนจะติด นรกรจึงค่อยโล่งอกไปเปราะหนึ่ง

เขาวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะทำงานที่ข้างหน้าต่างและกวาดตามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง

“อทิฏฐ์”

พลันหูแว่วได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังร้องไห้แทบขาดใจ เขาจึงหยุดและเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นดังมาจากหลังบานประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่

“อทิฏฐ์”

ยังคงไม่มีเสียงใดตอบรับ นรกรเดินไปหยุดที่หน้าประตูและยกมือขึ้นกำลูกบิด ความเย็นเยียบเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่แล้วชำแรกผ่านผิวเนื้อจนเขาสะดุ้ง

“อทิฏฐ์” ร้องเรียกออกไปอีกครั้งพร้อมกับผลักประตูเข้าไป

“ครับ” ร่างโปร่งแสงที่คุ้นตายืนอยู่หลังอ่างล้างมือ

“เกิดอะไรขึ้น” นรกรถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ ไม่มีวี่แววของสิ่งผิดปกติ แม้แต่เสียงร้องไห้นั่นก็หายไปเช่นกัน

“ไม่มีอะไรนี่ครับ ทำไมเหรอ” อทิฏฐ์ตอบ

“แล้วคุณมาทำอะไรในนี้ ผมเรียกตั้งหลายทีก็ไม่ขานรับ ผมตกใจแทบแย่นะรู้ไหม”

“ขอโทษครับพอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย ส่วนเรื่องที่เข้ามาอยู่ในนี้...” อทิฏฐ์ตอบพลางเหลือบตามองไปในกระจกที่สะท้อนแค่เพียงเงาของผู้สนทนา “ผมแค่ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองหน้าตาเป็นไงก็เลยมาลองส่องกระจกดูอีกทีน่ะ เผื่อมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ก็ยังไม่เห็นอะไรเหมือนเดิม แย่จัง” ทำเสียงติดตลกก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณล่ะ ไปเที่ยวกับพี่วินทร์มาเป็นยังไงบ้าง แหม ปากบอกไม่อยากไปแต่กลับซะดึกเลยนะ”

“สนุกดี” นรกรตอบ “พี่วินทร์ใจดี พาไปกินข้าวดูหนัง ขากลับยังพาแวะร้านเกมส์ด้วย ผมยังงงไม่หายเลยนึกว่าเขาจะพาผมไปสวนสนุก หรือเดินเล่นที่สวนสาธารณะอะไรแบบนี้ซะอีก”

“ก็ดีแล้วไง” อทิฏฐ์ว่า

“จริงเหรอ”

“จริงสิ”

“แล้วทำไมคุณถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ” นรกรถาม ในที่สุดเขาก็หมดความอดทนที่จะเล่นสงครามประสาทนี้ อะไรคือการที่ปากบอกว่าสบายดีทั้งที่แววตานั้นเจ็บปวดแทบขาดใจ

“แบบไหน” อทิฏฐ์ถามกลับ

“คุณบอกให้ผมมองเขาทั้งที่คุณอดทนเดินไปส่งผมที่รถไม่ได้ คุณบอกให้ผมมีความสุขทั้งที่ตัวคุณเองยังยิ้มไม่ออก ทำไมล่ะ ทำไมการกระทำกับคำพูดของคุณมันถึงย้อนแย้งกันไปหมด”

“ก็... ไม่มีอะไรสำคัญนี่”

“หมายถึงผมใช่ไหม ‘ที่ไม่สำคัญ’ คุณถึงไม่ยอมบอกอะไรผมเลย”

“ไม่ใช่นะ ฮาร์ฟ คือ...” อทิฏฐ์พูดไม่ออก เขากวาดตามองคนตรงหน้าอึดใจก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีอ่อนอีกครั้ง “คุณดูให้ดีนะ” พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ แล้วยื่นมือออกมาตรงหน้าพยายามจะจับตัว แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ เขาเม้มปากแน่นกลั้นความเจ็บในหัวใจแล้วขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก ถ้ายังมีเนื้อหนังมังสามันคงเป็นการกอด แต่ด้วยรูปลักษณ์นี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร “ได้ยินไหม... รู้สึกอะไรไหม... ไม่เลยใช่ไหม แล้วทีนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไม”

นรกรพยักหน้า “ผมเข้าใจ”

“อืม”

“อทิฏฐ์” นรกรเรียกแล้วเป็นฝ่ายสืบเท้าเข้าหาคนที่กำลังถอยออกห่าง ยิ่งหนียิ่งเข้าใจ ในเมื่อเวลาที่มีเหลือร่วมกันเหมือนกับการไหลของนาฬิกาทราย เขาจึงไม่คิดจะรีรออีกต่อไป “แล้วคุณล่ะได้ยินไหม เสียงหัวใจของผม ความรู้สึกของผม คุณไม่รับไว้ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าผลักไสมันไปให้คนอื่นก็พอ”

“ฮาร์ฟ...” เสียงของคนฟังเครือต่ำรู้สึกเจ็บไม่แพ้กัน

เขายกสองแขนขึ้นและโอบร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความในเมื่อมันดังจนแทบจะตะโกนออกมา “ผมจะเป็นเสียงหัวใจให้คุณเอง”

อทิฏฐ์พยักหน้าแล้วยกมือขึ้นกอดตอบ ถึงแม้ไม่อาจจับต้องได้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจอีกดวงที่กำลังเต้นอยู่
...
...
...
...
...
...

ตึกตัก... ตึกตัก...

“คุณหมอคะ”

“มีอะไร” นายแพทย์รีบวิ่งมาดูตามที่นางพยาบาลประจำห้องร้องเรียก

“คนไข้ขยับตัวค่ะ”

นายแพทย์ก้าวเข้ามายืนข้างเตียง เขาคว้ามือที่ยกขึ้นในอากาศราวกับจะไขว้คว้าหาบางสิ่งมาบีบแรงๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับลูบมืออีกข้างลงบนศีรษะราวกับจะเรียกขวัญ “เป็นยังไงบ้าง รู้สึกอยากจะสู้ขึ้นมาแล้วใช่ไหม”

****************************TBC****************

Talk

กว่าจะจบบทนี้เราลุ้นแทบแย่
ยอมรับจากใจว่าบทนี้บีบหัวใจเรามาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่งได้สองบรรทัดต้องเบรกอารมณ์ไปสองชั่วโมงงี้ แต่ก็จบแฮปปี้นะ (หราาาาา~)

ในส่วนของตอนนี้เราคิดว่าคลายปมเกือบหมดล่ะ ตอนหน้าอาจจะกระตุกทีเดียวแล้วจบ แยก! (แต่ยังไม่จบนะ)

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ

ปล. ฝากจากเรื่อง ER เผื่อใครยังไม่เห็น มีตอนต่อท้ายเซอร์วิสนิดหน่อยสำหรับตอนสงกรานต์ในเฟสนะคะ


หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-04-2016 22:22:00
เพิ่งเคยได้อ่านครั้งแรก ตอนวันที่ 12 แล้วรู้สึกว่าพลาดที่เข้ามาอ่าน  :serius2:
เพราะว่าสนุกมาก จนต้องอ่านให้จบในคืนนั้น

คนเขียนเขียนได้ดีมากๆ ค่ะ คือรู้ซึ้งถึงชีวิตหมอศัลย์มากกกก
เราทำงานกับหมอศัลย์มา 1 ปี 6 เดือน (เป็นเลขาอาจารย์สาย Vascular)
อารมณ์ประมาณนี้เลย หมอศัลย์ดิบๆ เถื่อนๆ แบบคนเขียน เขียนมาเลย 55+
อาจารย์หมอ ก็คล้ายๆ กับคุณพ่อของนรกรเลย

แต่เอาจริงๆ ว่าไม่เคยที่จะจิ้นหมอศัลย์เลย เพราะพี่แกเถื่อนทุกคนเกินเยียวยา
หาหล่อๆ หน้าตาดีก็ยากมากกกกก
ส่วนใหญ่ชอบไปจิ้นหมอออโถ มากกว่าที่ ม. เก่าเราหมอออโถเค้าคัดหน้าตา

แต่พออ่านเรื่องนี้ เอ้ยย จิ้นหมอศัลย์ได้อ่ะ  :mew1:
นึกละก็อยากกลับไปทำงานกลับหมอศัลย์เหมือนแต่ก่อนเลยค่ะ
แต่พอดีเดินออกมาไกลละ กลับไปไม่ได้แล้ว

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ


ขอให้พลาดแบบนี้ไปนานๆ นะคะ5555
(ไม่รู้เหรอว่าเราเล่นของ)

นี่เขียนแบบเกรงใจหมอศัลย์ล่ะนะ แต่เพราะรักความ #เด็ดเดี่ยวแบบศัลย์ รองจากหมอER เลยอดที่จะเอาเขียนภาคต่อไม่ได้ค่ะ

ปล. ขอกระซิบนิดนึง หมอออโธหล่อ แต่คาร์ดิโอคือนิพพานค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-04-2016 22:25:40
เม้นก่อนอ่าน
เราตามมาจาก ER ตอนพิเศษ นาย-จิว อ่านฝีมือการเขียนมาจากเรื่องที่แล้วยอมรับว่าประทับใจมาก พอเห็นว่ามีภาคต่อก็ไม่ลังเลที่จะตามมาเลย อยากทราบว่านอกจากสองเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย เราจะตามไปอ่าน คือชอบสำนวน คำพูด ภาษา พล็อตเรื่อง คือดีงามจนอยากตามไปติ่งอ่ะ

แล้วอย่าลืมอ่านนะไม่งั้นเราจะส่งเด็กเราไปตาม555

สำหรับเรื่องยาวแนววายไม่มีแล้วค่ะ เมื่อก่อนเขียนนอร์มอล แล้วไปจับฟิค ก่นจะพักยาวไปทำงาน พอชีวิตเข้าที่เลยกลับมาเขียน ER นี่เป็นเรื่องที่สองของนิยายวายเต็มขั้นค่ะ (ฟิคไม่นับเนาะ)

แต่มีเรื่องสั้นอ่านสบายๆ อยู่ในเล้าสองเรื่องนะคะ ถ้าสนใจ เปิดดูในเฟสได้

ขอบคุณมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 17-04-2016 22:26:25
กรี๊ดดดดดด อทิฏฐ์รู้สึกตัวแล้ววว จะฟื้นแล้ววว จะได้กอดฮาร์ฟแล้วววว

ซึ้งมากเลยช่วงที่สารภาพความรู้สึกต่อกัน ไม่ไหวแล้วววว  :mew4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 10 Brothers P.5[08/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-04-2016 22:28:00
ตามมาอ่านจากกระทู้แนะนำ
พอรู้ว่าเป็นนักเขียนคนเดียวกับ ER นาทีหัวใจ ไม่ผิดหวังเลย
ชอบมาก ๆๆๆๆๆ

แล้วก็คิดว่ารู้แล้วล่ะว่า ทิด คือใคร เพราะคุณคนเขียนวางปมเฉลยมาตลอด
ยังไม่อยากสปอยด์ เอาไว้อ่านตอนจบดีกว่าว่าที่คิดไว้จริงรึเปล่า

รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ  :mew1:

จุ๊ๆ รู้แล้วอย่าบอกใครนะคะ ว่าแต่...

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนนะ

ขอบคุณที่ชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-04-2016 22:29:59
กรี๊ดดดดดด อทิฏฐ์รู้สึกตัวแล้ววว จะฟื้นแล้ววว จะได้กอดฮาร์ฟแล้วววว

ซึ้งมากเลยช่วงที่สารภาพความรู้สึกต่อกัน ไม่ไหวแล้วววว  :mew4:

ขอมอบโล่ให้เลยค่ะ นี่เรายังอีดิทคำผิดไม่เสร็จเบยยยยย5555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 17-04-2016 22:35:58
ลุ้นมาก.....
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-04-2016 23:20:18
ไหน ๆ ก็อ่านมา 11 ตอนแล้ว ขอระบายความในใจหน่อยค่ะ
ปกติเราอ่านนิยายน้อยมาก แต่เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องเดียวที่ตามอ่านอยู่ตอนนี้
มีอะไรน่าติดตามจนข้ามไปไม่ได้สักบรรทัดเลยค่ะ
อ่านไปก็มีเรื่องให้คิดไป ปวดหัวดีค่ะ (นี่ชม!)
นอกจากจะได้ความรู้ในทางการแพทย์แล้วยังมีเรื่องราวลึกลับซับซ้อน เป็นเรื่องที่น่าสนใจค่ะ
รู้สึกเหมือนได้บริหารสมอง ฝึกทักษะการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์มาก ๆ

เรามีประเด็นที่อ่านไปสงสัยไปมากมาย มีหลายจุดที่รู้สึกว่าคนเขียนสร้างขึ้นมาเพื่อบอกอะไรเป็นนัย ๆ
ช่วงที่ตัดสลับเหตุการณ์เป็นช่วงที่เราต้องตั้งสติมากค่ะ ไม่อย่างนั้นจะพลาดคำใบ้ที่นักเขียนซ่อนไว้
 
ที่เราข้องใจที่สุดคงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอนรกรกับทิด
และความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอวินทร์กับคุณหมอนรกรค่ะ

ตอนแรกก็เหมือนนรกรจะมีใจให้หมอวินทร์ ไป ๆ มา ๆ ทำไมกลายเป็นเอียงไปทางผีซะงั้น
ลองคิดเล่น ๆ ว่า ถ้านรกรชอบทิด มันจะเป็นไปได้ยังไง คนกับผีรักกันไม่ได้แน่ ๆ เราว่าทิดนี่ต้องไม่ธรรมดา
ต้องมาทำให้เกิดความสั่นคลอนแน่ ๆ
ส่วนหมอวินทร์ก็ดูไม่มีภาษีเลย สภาพไม่น่าเป็นพระเอก โผล่มาทีไร เรานึกถึงเพลงคนไม่สำคัญขึ้นมาเลยค่ะ
แต่ยังไงเราก็ #ทีมหมอวินทร์ ถึงจะดูไม่มีราศีพระเอก (นี่ก็ชม!) สกปรก ซกมกก็เถอะ 55555ิ

เราชอบผีห้อยขามากค่ะ เปิดตัวอลังการมาก อยากทำความรู้จัก คุณนักเขียนจะช่วยให้เราได้รู้จักเธอมากขึ้นได้ไหมคะ

รอตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้นะ ^^
 
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 17-04-2016 23:42:16
ตอนนี้ผีสาวโชว์ตัวแป๊บเดียวแต่อิมแพครุนแรงนะคะ คิดว่ามันติดตาเลยล่ะไอ้ขาที่แกว่งไปมานั่น ตอนนี้อารมณ์ของผีทิดทำจิตตกพอควรเลยค่ะ การที่ต้องซ่อนความเศร้าเอาไว้มันแย่เนอะ แต่ฉากปรึกษาเรื่องความรักในห้องผ่าตัดกับคุณพ่อนั่นก็กรี๊ดมากเลย แอบหวานนิดนึงตรงมีการอาสาจะเป็นหัวใจให้ด้วย

เจอพิมพ์ตกตรงนี้ค่ะ

เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นนรกรหัวเราะ >>เป็น

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-04-2016 00:09:10
 :katai2-1:ชอบมาก
รอ  ลุ้น :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: babaaa ที่ 18-04-2016 00:32:06
ทิดจะฟื้นแล้วววววว
 :mc4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 18-04-2016 01:06:08
สู้ๆ ทั้งทิด และคนเขียนเลยนะคะ
ติดงอมแงม รอแล้วรอเล่า
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: im4gine_32 ที่ 18-04-2016 01:56:28
คืออยากให้นิยายมีไฟล์ raw บ้างจัง 555555 อยากอ่านต่อจริงๆ รีบๆฟื้นขึ้นมากอดหมอได้แล้วทิดเอ้ย สนุกมาก หน่วงแบบฟินๆ 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 18-04-2016 02:37:41
ทำใจอยู่นานกว่าจะยอมมาอ่าน แต่สนุกไม่แพ้ ER เลยจิงๆ
ถ้าเรื่องนี้จบแล้วเอาอะไรต่อดีหละ เมด ละกันนะ 5555
ชอบมากเลย เขียนได้ดีมากกก
ตั้งแต่เรื่องที่แล้วแล้ว อ่านแล้วอินสุดๆ
แต่เรื่องนี้เส้ากว่าเยอะเลย
แต่ว่าจบแบบ HAPPY ใช่ไม๊
หวังว่า ไม่ใช่วิญญาณเข้าร่างแล้วลืมหมดนะ
แบบในละคร ไม่เอาได้ไม๊งะ
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

แต่หมอผีเอง ก้เหมือนจะมีอะไรอีกเลย มีบทอีกไม๊ หรือเราคิดมากเอง
ถ้าตอนหน้าจะเปนตอนคลายปม ตอนHAPPY อย่าลืมพาหมดปืนมาด้วยนะ
อิอิ

เอาจิงตอนแรกนึกว่าธีร์จะคู่กับวินทร์ซะอีก โถ่ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 18-04-2016 07:20:08
มันหน่วงติ๊ดๆๆ ทิดกลับมาเถอะ
แม้โลกความจริงจะโหดร้ายกับใจ
แต่คุณพ่อทิดต้องการคนดูแลนะ

กลับมาเพื่อรักฮาร์ฟ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveIsMe ที่ 18-04-2016 12:12:08
                                         อะไรที่เราลังเลกับมันคือไม่ใช่ เพราะถ้ามันใช่เราจะรู้ทันทีว่ามันใช่
 

                                                     ชอบประโยคนี้  เด็ดเดี่ยวอย่างศัลยแพทย์ จริงๆ
                                                                           :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 18-04-2016 13:53:13
ลุ้นค่ะ
ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ในตอนแรกเรื่องบรรยายไว้ว่า
"มีร่างกายแต่ไร้หัวใจนับตั้งแต่วันที่ใครคนนั้นจากไป" และเวลาก็ผ่านมา 2 ปีแล้ว

อืมมม
น่าสนใจค่ะ ว่าจากไปแบบไหน

ที่น่าสนใจกว่านั้น
กลับไปอ่านตอนแรกอีกครั้ง
พบเรื่องช่อดอกไม้ Forget Me Not ที่เป็นของขวัญที่แปลกที่สุด ที่หมอได้รับ
ช่อดอกไม้ที่ห่อหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า แถมได้รับมาร่วมเดือน
ไม่เคยเห็นหน้าผู้ให้หรือทราบที่มาที่ไป

นี่คืออะไร ต้องตีโจทย์ไหมคะ หรือแค่รอเฉลย หรือไม่เกี่ยวข้องกัน

555 สนุกมากกับการคาดคะเนในใจ
แต่กลัวผิดจังค่ะ

รีบมาต่อนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 18-04-2016 18:20:13
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 18-04-2016 20:51:42
ลุ้นตามไปด้วย ปวดใจอีกตะหาก ฮือๆๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 18-04-2016 20:56:14
ที่แท้หมอที่รักษาอทิษฎีคือ ศ.สรวิญนี่เอง มิน่าล่ะ คราวนี้ทิดคงต้องสู้ต่อแล้วล่ะ พ่อก็ทรุด แม่ก็เสียชีวิต สงสารมากๆ มิน่าถึงแอบร้องไห้คนเดียว แอบอยากให้พี่วินเป็นพระเอก น่ารักอ่ะผู้ชายคนนี้ เหมาะกับฮาร์ฟนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYRUS ที่ 18-04-2016 21:59:55
เพิ่งมีไอดีเล้าเป็ด ขอถือโอกาสนี้สารภาพความในใจเลยแล้วกันนะคะ  :hao5:

ติดตามผลงานของคุณเลกกี้ (ขอเรียกแบบนี้นะคะ แหะๆ) มาตั้งแต่เรื่อง ER แล้วค่ะ และก็ชอบมากเลย อ่านติดพันงอมแงมรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ พอรู้ว่ารวมเล่มกับ Hermit ก็ตามไปสอยมาในครอบครองเรียบร้อย

มาเรื่องนี้ ส่วนตัวว่าค่อนข้างหนักกว่าเรื่อง ER ทั้งตัวละครแต่ละคนที่ทุกคนจะมีปมในตัวเองให้ติดตามไปเรื่อยๆ (เรา #ทีมพี่วินทร์ ค่ะ หลงพี่แกตั้งแต่พารากราฟแรกตังแต่โผล่มาเลย แพ้ทางผู้ชายเซอร์ๆห่ามๆ ยิ่งดูจะมีความลับมากมายรอวันเฉลยด้วยแล้ว 5555555)

นอกจากตัวละครแล้วก็มีปมเรื่องที่เราอยากจะรู้อีก เดาผิดเดาถูกปะปนกันไป ฮาาาา โดยเฉพาะในส่วนของคุณทิดที่ค่อยๆแย้มมาเรื่อยๆ กระตุ้นต่อมอยากรู้เป็นพักๆ อยากรู้ชื่อจริงจังเลยค่ะ 5555555  :hao7: ไปพร้อมๆกับเอาใจช่วยหมอฮาร์ฟด้วย ที่ความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร คนอ่านจะต้องทำใจรึเปล่า~ (มาเป็นเพลงเลยทีเดียว) จะเลือกใครก็เห็นดีเห็นงามค่ะ

ชอบเรื่องนี้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์มาแทรกให้คนอ่านอย่างเราได้ไปประดับสมองเพิ่มเติมนะคะ  และก็หลายๆช่วงที่มีคติสอนใจมาให้คิดเป็นระยะๆ  (ช่วงของพ่อลูกนี่ทำให้เรายิ้มทั้งน้ำตาเลยทีเดียว อาจารย์หมอน่ารักนะคะ ยิ่งตอนเล่าตอนจีบคุณแม่ด้วยแล้ว เขินเลย ;/////;)

อ่านรวดเดียว 11 ตอน สนุกและน่าติดตามมากๆเลยค่ะ  :hao5: เป็นกำลังใจให้อย่างต่อเนื่องนะคะ รอตอนต่อไปและสวัสดีสงกรานต์ย้อนหลังด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-04-2016 22:04:52
อทิษฐ์สู้ ๆ นะ

ชอบเรื่องนี้ ชอบความลึกลับ ซ่อนเงื่อน

เชียร์ทั้งหมอ ทั้งผี เพราะน่ารักทั้งคู่ ตัดใจยากมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 18-04-2016 23:13:39
มาต่อด่วนน้าาาาา.  ลุ้นอ่าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 20-04-2016 01:59:58
เราชอบทุกตัวละครของเรื่องนี้จริงๆ ให้ตายยยย รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 21-04-2016 04:47:17
สุดยอด มากกกกก คืออ่านแล้วหยุดไม่ได้เหมือนจะได้เข้าไปผ่าตัดเคสกับเค้าเรื่อยไป โอ่ยยยยย ครบ ทุก รส
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 25-04-2016 15:21:42
มอบดอกไม้ให้ผู้แต่งครับ :L2: อ่านสนุกมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 25-04-2016 22:02:51
 o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 26-04-2016 00:22:17
สนุกมากกกกกกกกกก เราชอบมากเลย
ร้องไห้ด้วยตอนพ่อลูกเขาดีกัน
หวังว่าพ่อทิดเขาจะยอมเล่าเรื่องที่ตัวเองยังอยู่ซักทีนะ
เผื่อฮาร์ฟจะช่วยอะไรให้มันดีขึ้นได้บ้าง

จริงๆแล้วตอนเด็กๆเราก็มีอารมณ์คล้ายฮาร์ฟเลยนะ
แต่ไม่ถึงกับไปนั่งคุยกับเขา555
แต่ก็เห็นบ่อยๆ  เวลาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเขาก็ไม่เชื่อ
บอกเราหลอนไปเอง  แต่ยังดีมีพี่สาวคอยฟังเรา
แต่ตอนนี้เราไม่ค่อยเห็นแล้วล่ะค่ะ
เหมือนโตขึ้นมันก็ลดลงไป

ปลล.หมอออโธกับคาร์ดินี่โรงบาลไหนคะ เราจะตามไปส่อง
555555555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 11 Heart Beat P.5[17/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-04-2016 01:02:12
บทที่ 12 Beside My side


“เป็นอะไรครับ ทำไมไม่นอน” อทิฏฐ์เท้าคางลงบนเตียงถามคนที่ใช้สองมือหนุนต่างหมอนนอนจ้องฝ้าเพดาน เรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นจนแทบจะจับผูกโบกันได้ทำให้เขานึกอยากเอื้อมมือไปช่วยแก้ปมออก

“แค่กำลังคิดว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่” นรกรตอบ

“เวลาอะไรครับ”

“เวลาที่จะอยู่ด้วยกันไง” นรกรว่า “ผมไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมา เขาบอกว่าวิญญาณจะอยู่บนโลกได้ 49 วัน และคุณก็อยู่กับผมมา 30 วันแล้ว แล้วช่วงก่อนที่คุนจะเจอผมอีก แต่ผมก็เห็นหลายๆ คนอยู่กันมาเป็นปีๆ แล้วไม่ไปไหนก็มีนะ”

“คุณเล่าให้ผมฟังว่าพี่วินทร์พาไปกินข้าวดูหนังเข้าร้านเกมส์ไม่ใช่เหรอ” อทิฏฐ์ถาม “แล้วนี่ไปห้องสมุดมาตอนไหน”

“ผมโกหก” นรกรสารภาพตามตรง “ผมปฏิเสธพี่วินทร์ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ล่ะ”

“ถ้าไม่โกหกแล้วผมจะรู้ความจริงเหรอ”

“ไม่น่ารักเลย”

“แล้วรักไหม” นรกรพลิกตัวกลับมาสบตาคนที่จู่ๆ ก็เงียบไปเสียเฉยๆ “ตอบสิ”

“ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก” อทิฏฐ์ตอบ

“ผมก็ว่าผมพูดไปชัดเจนแล้วนะ”

“ฮาร์ฟ!”

ปลายเสียงทุ้มที่เข้มขึ้นทันทีทำให้นรกรผงกศีรษะขึ้นมาจากหมอน นี่เป็นครั้งแรกที่อทิฏฐ์ดุเขา

“ต้องให้ผมย้ำอีกกี่ครั้งว่าผมตาย…”

“ถ้างั้นก็ออกไป” นรกรพูดจริงจัง “ไม่ต้องมาตามผม ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้า… คุณทำได้ไหม เพราะถ้าให้ผมเป็นฝ่ายไปเองผมทำไม่ได้” พูดจบก็พลิกตัวหันหลังให้พร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะจนมิด

“ฮาร์ฟ”

“จะไปก็ไปเลย ไม่ต้องมาลา”

“งั้นผมไปจริงๆ นะ”

“เดินออกประตูแล้วลิฟต์อยู่ขวามือ”

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด นรกรนอนลืมตาโพลงอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา พยายามข่มตาลงก็ทำไม่ได้เมื่อใจเอาแต่คิดถึงคนที่เพิ่งออกปากไล่ให้ไป

…นี่เราเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย ก็สัญญาไปแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าจะอยู่ข้างๆ...

“อทิฏฐ์”

นรกรดึงผ้าห่มออกแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง เขากวาดตารวดเร็วไปในห้องที่ว่างเปล่า ในอกเบาหวิวราวกับทำหัวใจหล่นหาย กำลังตวัดขาลงจากเตียงเตรียมออกวิ่งเมื่อเสียงทุ้มของคนที่กำลังจะไปตามดังขึ้น

“จะไปไหนครับ”

นรกรหันควับไปตามที่มาของเสียงเห็นร่างโปร่งแสงนั่งไขว้ห้างกอดอกมองดูเขาอยู่บนหัวเตียง

“ถ้าคิดจะไล่เขาแล้วก็อย่าไปตามหาเขาสิ”

คนไล่หลุบตาลงต่ำทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกแกล้งให้ลนลาน “ผมแค่จะไปกินน้ำ”

“แล้วเรียกชื่อผมทำไม”

นรกรเหลือบมองคนที่เถียงคำไม่ตกฟากทางหางตาพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนปากจะหลุดคำที่ทำให้คนฟังแทบถลาลงมาหา “ก็ไม่อยากให้ไป”

อทิฏฐ์เขยิบลงมานั่งข้างๆ “งั้นวันหลังก็อย่าไล่ผมอีกนะ ดูสิ โดนคุณพูดใส่แบบนี้ทำให้ผมมีแผลใจเลยนะ เกิดผมเฮิร์ทแล้วกลายเป็นผีไม่ดี แล้วไปทำร้ายคนอื่น แล้วกลายเป็นมีบาปติดตัวจนไม่ได้ไปผุดไปเกิดจะทำยังไง รับผิดชอบเลยนะ”

“ผมน่ะรับผิดชอบอยู่แล้ว คุณน่ะแหละจะยอมให้ผมรับผิดชอบหรือเปล่า” นรกรสบตาคนตรงหน้า “ถ้าสมมุติว่าคุณฝนป่วยใกล้ตายคุณจะไม่รักเธอเหรอ หรือถ้าเป็นเธอที่จากไปก่อนคุณจะลืมเธอทันทีที่หมดลมหายใจเลยเหรอ มันไม่ได้เกี่ยวหรอกว่าเป็นคนหรือวิญญาณ ผมแค่อยากอยู่กับคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ”

อทิฏฐ์มองตอบสายตาจริงจัง ก่อนจะเสมองไปทางอื่น “นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่มีแรงตื่นแต่เช้าไปทำงานหรอก”

“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเรื่องเก่งนะ” นรกรว่าและขยับพลิกตัวหันหลังให้อีกครั้ง “แล้วจะแอบหนีผมไปตอนผมหลับหรือเปล่า”

ริมฝีปากจุดรอยยิ้มละมุน ยอมรับจากก้นบึ้งของหัวใจว่าไม่เคยมีความสุขมากขนาดนี้มาก่อน แต่เขาแบกรับความรู้สึกดีๆ ที่นรกรมีให้ไม่ไหว เพราะเขาตอบแทนมันไม่ได้

“ไม่หนีหรอก”

“จริงนะ”

“จริงสิ”

“เมื่อกี้คุณดุผม” จู่ๆ นรกรก็กระซิบขึ้น “ทำผมมีแผลใจเลยนะ ถ้าผมคิดมากจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า พอซึมเศร้ามากๆ เข้าก็จะไม่ไปทำงาน พอผมไม่ไปทำงานคนไข้ก็จะไม่มีคนรักษา แล้วก็…”

“พอๆ เอาเป็นว่าผมขอโทษ ตกลงไหม” อทิฏฐ์พูดกลั้วขำ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะสังเกตหรือเปล่าว่าตอนนี้นอกจากจะพูดเก่งแบบไม่อ้างตำราแล้วยังรู้จักเล่นคำ แถมมียอกย้อนอีก นี่ไม่รู้ไปติดจากใครมา

“ไม่”

อทิฏฐ์ยิ้มขัน นี่ตกลงเขาต้องเป็นคนง้อใช่ไหม “แล้วต้องให้ผมทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธล่ะ”

นรกรหันหน้ามาทันที “เล่าเรื่องคุณให้ผมฟังหน่อย”

“คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า ผมจำอะไรไม่ได้อยู่นะ นึกอะไรออกก็บอกคุณหมดแล้ว”

“วันเดือนปีเกิด อายุ ของที่ชอบ ของที่ไม่ชอบ เรียนจบอะไร งานอดิเรก… คุณจำไม่ได้เลยเหรอ คราวที่แล้วคุณยังเล่าเรื่องวันรับปริญญาให้ผมฟังเลยนะ”

“มันเป็นเหมือนจิ๊กซอว์น่ะ” อทิฏฐ์บอก “คุณให้โจทย์มาเป็นภาพตั้งต้นแล้วส่วนอื่นๆ ก็ตามมา เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแล้วผมก็เอามาปะติดปะต่อกันเอง” เขาหยุดเพื่อทบทวนภาพต่างๆ ในหัว “วันเกิดก็นึกไม่ออกเหมือนกับชื่อน่ะแหละ ส่วนอายุผมจำได้ว่าฝนเรียกผมว่า ‘พี่’ อย่างน้อยที่สุดก็คงต้องอายุพอๆ กันล่ะ”

“คุณฝนอายุน้อยกว่าพี่ปอหลายปีอยู่นะ อย่างมากสุดก็น่าจะ 30 ปีนี้” นรกรพึมพำ “งั้นคุณก็ต้องเป็นน้องผมสิ”

“ไม่ได้ยินที่ผมบอกว่าอย่างน้อยเหรอ” อทิฏฐ์ว่า “แต่ก็ได้นะ… แบบนี้ผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่สิ ดีไหม… พี่ฮาร์ฟครับ”

“เรียกชื่อเฉยๆ ก็พอ ฟังแล้วมันจั๊กจี้” นรกรยกมือขึ้นปิดหูแล้วมุดหนีเข้าโปงผ้า หากอีกฝ่ายก็ยังไม่เลิกแกล้งขยับตามไปกระซิบล้อที่ข้างหู

“ทำไมล่ะครับ พี่ฮาร์ฟ”

“ทิด”

“พี่ฮาร์ฟ อย่าหนีสิครับออกมาคุยกับน้องทิดก่อน”

“ก็บอกให้หยุดไง!” นรกรดึงผ้าออกอย่างเหลืออด

แต่เพราะตอนนี้ร่างโปร่งแสงนั้นใช้สองแขนคร่อมตัวเขาไว้ ใบหน้าของทั้งคู่จึงห่างกันไม่ถึงคืบ และริมฝีปากของอีกฝ่ายก็เฉียดปลายจมูกเขาไปนิดเดียว
นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่ง นรกรรู้ตัวว่าหัวใจเต้นแรงจนน่าอาย แต่ในขณะเดียวกัน แม้จะไม่อาจเห็นสีเลือดฝาดบนใบหน้าเขาก็กลับรู้สึกได้ถึงละไอความอบอุ่นบางๆ ที่อวลอยู่ในอากาศราวกับอีกฝ่ายก็กำลังเขินอยู่เช่นกัน

“ขอโทษครับ” อทิฏฐ์ถอยออกห่างแต่นรกรกลับเรียกไว้

“อย่าเพิ่ง ขอผมดูหน้าคุณให้ชัดๆ หน่อย”

“คุณว่าอะไรนะครับ”

“ผมแค่รู้สึกว่าวันสองวันมานี่ผมเห็นคุณชัดขึ้น จากที่ลางๆ เหมือนภาพสเกตซ์ตอนนี้มันเหมือนกับภาพนั้นโดนตัดเส้นให้คมชัดขึ้น อย่าว่าแต่สีตาเลย ตอนนี้ผมว่าผมเห็นประกายในนั้นด้วยนะ คือ... ผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังมีชีวิต”

“อย่าเพ้อเจ้อน่า” อทิฏฐ์ดุแกมหยอก

“ดุผมอีกแล้วนะ”

“ไม่ดุก็ชักจะเอาใหญ่” อทิฏฐ์ว่าชักจะรู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมาทุกทีนี่ถ้าสัมผัสได้เขาคงจับปิดปากด้วยปากตัวเองไปแล้ว

แววตาที่ดูจริงจังขึ้นมาทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวจนนรกรต้องเบือนหน้าหนี “ไม่คุยด้วยแล้วนอนดีกว่า”

“น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะ” อทิฏฐ์ดึงตัวกลับมานั่งตามเดิม

เขาเหม่อมองผ่านผ้าม่านที่ปลิวขยับไปตามแรงลมออกไปยังท้องฟ้าเบื้องนอก ครุ่นคิดเรื่องของตัวเองอยู่อึดใจ

เขาโกหกนรกร นับตั้งแต่วันที่เจอเพียงพิรุณ เขาก็จำได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร รู้วันเดือนปีเกิด รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง เพียงแต่มันไม่น่าเชื่อว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ตอนที่ยานอนหลับซึ่งกินเข้าไปทั้งขวดเริ่มออกฤทธิ์ ก่อนที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายจะดับลง เขาจำได้ว่าตัวเองขอให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมความเจ็บปวดในหัวใจ ขอให้เขาหายไปจากโลกนี้

แต่ทำไม แทนที่จะหายไป เขากลับมาอยู่ที่นี่ ในที่ๆ ไกลแสนไกลจากที่ๆ เขาอยู่ และได้มาเจอกับผู้ชายคนนี้ คนที่ถึงเขาจะยังมีลมหายใจต่อให้เดินชนกันก็คงไม่มีวันสนใจ

เขาเหลียวมองรอบกายคล้ายกับจะหาคำตอบให้ตัวเอง ก่อนที่สายตาจะกลับมาหยุดลงตรงคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง

“ฮาร์ฟ หลับแล้วเหรอ” อทิฏฐ์กระซิบพลางขยับเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ “เมื่อกี้คุณถามใช่ไหมว่าผมชอบอะไร… ที่ผมชอบมากที่สุดตอนนี้ก็คือ ‘คุณ’ ไงล่ะ” แล้วประทับริมฝีปากลงบนกึ่งกลางหน้าผาก

นรกรขยับพลิกตัวเล็กน้อยคล้ายกับจะรับรู้ จนคนขี้ขโมยรีบถอยออกห่างก่อนจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ตื่นแน่ๆ จึงขยับเข้าไปใกล้อีกครั้งแล้วล้มตัวลงนอนเคียงข้าง

oooooo

“เป็นไงบ้างคะคุณ” วิมลภาถามกับสามีซึ่งอดหลับอดนอนมาทั้งคืน

นายแพทย์มองผ่านหน้าต่างกระจกเข้าไปยังร่างบนเตียงซึ่งสายระโยงระยางออกจากตัว ศีรษะซึ่งพันผ้าไว้หนาบวมจนทำให้ใบหน้าดูผิดรูป

“ไม่ค่อยดี” ตอบตามตรง “กะโหลกแตกละเอียด สมองบวมมาก ผมตัดเนื้อสมองทิ้งไปหลายจุด… แต่ผมก็ยังหวังนะว่าเขาจะมีโอกาสรอด”

“คุณทำดีที่สุดแล้วค่ะ” วิมลภาบอก “กลับไปพักเถอะค่ะ คุณเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว”

นายแพทย์เหลียวมองชายหนุ่มบนเตียงในห้องที่อยู่ติดกัน เสี้ยวนาทีหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ข้างเตียงทั้งที่ในห้องนั้นไม่มีใคร เขาสะบัดศีรษะแรงๆ ครั้งหนึ่ง คิดว่าคงเป็นความเหนื่อยล้าสะสมก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ภรรยา “อืม”

เมื่อแพทย์ทั้งสองคล้อยหลัง ในห้องที่ว่างเปล่าปรากฏเงาของใครคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างนั้นทอดสายมองชายหนุ่มบนเตียงอึดใจก่อนจะเดินทะลุผ่านกำแพงไปยังห้องที่อยู่ติดกัน

ชายวัยกลางคนนอนนิ่ง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ ตามจังหสวะการตีลมของเครื่องช่วยหายใจ เขาวางมือทาบลงบนฝ่ามือที่เริ่มมีกระและริ้วรอยไปตามวัยแล้วบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง

“เรามาสู้ด้วยกันนะครับ พ่อ”

oooooo

แสงแรกของวันที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามากระทบเปลือกตาให้ปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเปิดเต็มที่ นรกรกวาดตามองไปรอบๆ ห้องเพียงอึดใจก็เห็นคนที่หายืนหันหลังให้อยู่ข้างหน้าต่าง

ร่างของอทิฏฐ์โปร่งแสงและออกเรืองรองในแสงสีทองยามเช้าดูอบอุ่นเหมือนอย่างเคย จนเขาเผลออมยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

“ทำอะไรอยู่”

เขาส่งเสียงเรียกออกไป ร่างนั้นจึงหันมาตามเสียง

พลันนัยน์ตาสีอ่อนเบิกโพลงและรีบลุกขึ้นควานหาแว่นตาหัวเตียงมาสวมเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัด
หากทันทีที่เลนส์แว่นช่วยปรับโฟกัสแทนที่ภาพนั้นควรจะชัดเจนกลับกลายเป็นลางเลือนเหมือนภาพสเกตซ์แบบที่เคยเห็นจนชินตา

“มีอะไรครับ” อทิฏฐ์รีบก้าวยาวๆ มานั่งลงบนขอบเตียงด้วยความเป็นห่วง

“เปล่า” นรกรบอก พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย บางทีอาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกเขายังรู้สึกผิดกับใครคนนั้นมากเกินไปถึงได้เห็นเป็นแบบนั้น “แล้วคุณไปยืนทำอะไรตรงนั้น"

“แค่คิดอะไรเล่นๆ เรื่อยเปื่อยน่ะ” อทิฏฐ์ตอบ

“เช่น”

“ผมเคยฝันน่ะ” ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างและเริ่มต้นเล่า “ว่าอยากตื่นแต่เช้ามานั่งรอที่ผมรักตื่นนอน แล้วหลังจากที่ผมไล่เขาไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นผมก็จะไปทำอาหารแล้วรอกินพร้อมกัน พอถึงวันหยุดผมจะพาขับรถไปทุกๆ ที่ที่เขาอยากไป”

“แล้วถ้าแฟนคุณไม่อยากไปไหนล่ะ” นรถามถาม
คนถูกถามคลี่ยิ้มพรายไปจนถึงนัยน์ตาที่เป็นประกายวิบวับ “ไปเถอะ ผมอยากให้ไป”

“แต่ทำงานมาเหนื่อยๆ บางทีเขาก็อาจจะอยากนอนพักอยู่กับบ้านเฉยๆ นะ”

“ก็เพราะผมกลัวจะไม่นอนเฉยๆ น่ะสิถึงต้องให้ไป”

นรกรเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในที่สุด พวงแก้มขาวแต้มสีเข้มขึ้นทันที “บ้า!” บ่นในลำคอก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำไป

oooooo

นรกรมาถึงห้องพักแพทย์ซึ่งวันนี้ดูวุ่นวายกว่าปกติเพราะนอกจากจะมีน้องๆ ที่ยืนคุยกันเอ็ดตะโรแล้วยังมี สาวประเภทสองแปลกหน้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน นางคล้องสายวัดไว้รอบคอประหนึ่งมันเป็นผ้าพันคอของชาแนลและกระวีกระวาดเดินวนไปรอบๆ ทุกคนที่ผลัดกันเดินเข้ามายืนกางแขนเป็นหุ่นไล่กาตรงหน้าเธอ

“ฮาร์ฟ”

“สวัสดีครับ พี่วินทร์” นรกรร้องทักคนที่เดินเข้ามาหา
 
เสื้อกาวน์สั้นของวินทร์โดนปลดกระดุมออกจนหมดทำให้เห็นแผงอกแกร่งวับแวมยามขยับยกแขนกลัดกระดุมเสื้อ โดยมีเสียงรุ่นน้องทั้งสี่คนดังแซวมาเป็นแบคกราวน์เพราะถึงจะแก้ผ้าให้เห็นกันในห้องเปลี่ยนชุดบ่อยๆ แต่เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่ได้เห็นกันชัดๆ ว่าพี่ชายหุ่นหมีคนนี้ไม่ใช่หมีอ้วนลงพุงแต่เป็นหมีล่ำที่มีกล้ามแน่นๆ จนโดนพี่สาวประเภทสองแกล้งจับหนุบหนับไปหลายที

“นายมาพอดีเลย อาจารย์สรวิชญ์บ่นว่าเสื้อกาวน์ที่พวกเราใส่อยู่เริ่มเก่าแล้วดูไม่ค่อยดีน่ะ เลยโทรตามช่างเสื้อมาวัดตัวตัดชุดให้ใหม่คนละสองชุด” วินทร์บอกอย่างไม่ใส่ใจเสียงผิวปากแซวตามหลัง ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อยเพราะเขารู้ดีว่าจริงๆ แล้วศาสตราจารย์แค่อยากให้รางวัลทุกคนแต่แกล้งทำเป็นบ่นไปอย่างนั้น

“ผมจบแล้วไม่ต้องตัดก็ได้นี่ครับ” นรกรบอก

“ไม่ได้หรอกนายกับฉันต้องเปลี่ยนไปใส่เสื้อกาวน์แบบสูทไง นี่คิดไว้หรือยังว่าจะใส่แบบสั้นหรือยาว”

นรกรนิ่งไปอึดใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องมาคิดอะไรพวกนี้ด้วย “แล้วพี่วินทร์เลือกแบบไหนครับ”

“ของฉันต้องกาวน์ยาวอยู่แล้ว ไว้ใส่ทับตอนใส่ชุดหมี น้องชายจะได้ไม่หนาว นายจะเอาแบบไหนก็ไปบอกช่างเขาละกัน ฉันไป OPD ก่อนนะ” พูดจบวินทร์ก็รีบเดินออกประตูไป

อทิฏฐ์สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ปกติวินทร์จะต้องอยู่รอเสมอ และวันนี้เขายังแทบไม่ยอมสบตานรกรด้วยซ้ำ กำลังจะเอ่ยปากถามกับนรกรแต่อีกฝ่ายก็รีบก้าวยาวๆ ตามไปเสียก่อน

“พี่วินทร์”

“ว่าไง” วินทร์หยุดฝีเท้าที่กลางทางเดินและหันมาถาม

“ผมขอโทษนะครับที่เมื่อวานปฏิเสธไป”

วินทร์ยกมือเกาศีรษะก่อนจะไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” บอกก่อนจะเม้มปากสนิท เมื่อวันก่อนตอนที่นรกรมาให้คำตอบเรื่องชวนไปเที่ยวเขาไม่ได้ปฏิเสธแค่คำชวน แต่มันยังรวมไปถึงความหวังดีทั้งหมดที่มีให้

‘พี่วินทร์ครับผมมีเรื่องจะถาม ถ้าหากการชวนนี้เป็นแค่ในฐานะเพื่อนร่วมงานหรือพี่น้องผมจะไป แต่ถ้ามันมากกว่านั้นผมคงต้องขอปฏิเสธ’

ได้ยินดังนั้น สิ่งที่เขาทำได้คือแค่ยิ้มและถอยออกมาโดยไม่พูดถามอะไรอีก

“มันเป็นความรู้สึกของฉัน เพราะฉะนั้นฉันต้องรับผิดชอบเอง”

“ขอโทษนะครับ”

“แล้วเจอกันที่ OPD นะ” วินทร์บอกพร้อมกับกลับหลังหันแล้วออกเดินไปตามทางอีกครั้ง

“คุณ…”

อทิฏฐ์กำลังจะเริ่มแต่นรกรก็ตอบคำถามนั้นเสียก่อน

“คุณไม่จำเป็นต้องเสียใจ” บอกพร้อมกับหันมายิ้มบางให้ร่างโปร่งแสงข้างกาย “อย่างที่พี่วินทร์บอก ความรู้สึกใครคนนั้นต้องรับผิดชอบเอง”

แล้วทั้งสองก็เดินกลับเข้าไปในห้องซึ่งตอนนี้น้องๆ ออกไปกันหมดแล้วคงเหลือแต่ช่างสาวประเภทสองคนเดียว

“คุณหมอนรกรใช่ไหมคะ ยินดีด้วยนะคะกับตำแหน่งใหม่ คุณหมอจะเลือกแบบไหนคะ” นางบอกอย่างศึกษารายละเอียดลูกค้ามาก่อนพลางโชว์ตัวอย่าเสื้อกาวน์สองตัวในมือที่ถือไว้คนละข้าง “หรือจะลองเอาไปใส่ดูก่อนก็ได้นะคะว่าเหมาะกับแบบไหน แต่หุ่นอย่างคุณหมอเนี่ย” นางใช้ฟันบนกัดริมฝีปากล่างไว้ครึ่งหนึ่ง “แบบสั้นดีกว่านะคะ คุณหมอเรียวขายาวสวยขืนใส่กาวน์ยาวปิดไว้น่าเสียดายของ แถมยังก้นแน่นๆ นั่นอีก อุ๊ย! เมื่อกี้พี่คิดดังไปใช่ไหม แต่ตกลงเอาแบบสั้นเนอะ” นางปิดปากหัวเราะอย่างมีจริตจะก้าน

นรกรกำลังจะยื่นมือไปรับเสื้อกาวน์สูทแบบสั้นมาลองสวมเมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นเบาๆ ทว่าเฉียบขาด

“เอาแบบยาวครับ”

นรกรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ถ้าคุณเอาแบบสั้นผมจะกัดลิ้นตายหนีไปเกิดใหม่เดี๋ยวนี้แหละ”

คนถูกขู่ไม่ตอบ แต่ก็เปลี่ยนไปหยิบเสื้อกาวน์ยาวมาลองสวมแทน แม้จะต้องทนฟังเสียงโอดครวญจากช่างไปจนกระทั่งการวัดตัวเสร็จสิ้น
*************************TBC******************

สัญญาว่าครึ่งหลังจะตามมาในเร็ววันค่ะ
พอดีวันหยุดที่ผ่านมาเจอมรสุมลมร้อนนิดหน่อย

ตอนนี้ก็ยาวมากๆ อีกแล้ว ขอแบ่งเป็นสองพาร์ทนะคะ พาร์ทแรกให้หวานๆ เลย ส่วนพาร์ทหลัง (กรอกตามองจิ้งจกฝ้าเพดานแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง)...

เหยยย เชื่อใจเราดิ เรื่องนี้ Happy ending คนอ่านไม่ต้องทำใจแน่นวลลล ออกจะโรแมนติกคอมเมดี้ขนาดเน้(ตรงไหน?)

ไม่ได้อัพบ่อยๆ แต่ก็ปั่นอยู่นะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
เลิฟยูวววว❤
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 26-04-2016 01:36:28
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

อ่านนนนนนแล้วเครียดเลยยยย
ไม่มาม่าจิงช่ายมะ
ไม่หลอกกันนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 26-04-2016 02:11:59
รอครึ่งหลังนะคะ
ทำไมทิดไม่บอกฮาร์ๆว่าตัวเองยังไมาตาย
กลัวฮาร์ฟไปเฝ้าเช้าเย็นจนไม่มองคนอื่นเหรอ
รอทิดฟื้นอยู่นะ
ฟื้นแล้วจำฮาร์ฟให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 26-04-2016 04:19:38
ถึงจะหวานน้อยๆ แต่ตอนหน้าเครียดยาวช่ายม้าย :ruready
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 26-04-2016 05:11:43
โอ้ยยย อดดูก้นแน่นๆของหมอเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-04-2016 05:28:07
เริ่มมีมุ้งมิ้งกันแล้ว  ทิด หวงฮาร์ฟด้วยอ่ะ :o8:
มีการสั่งให้ฮาร์ฟเลือกกาวน์แบบยาว เพรากลัวคนเห็นเรียวขายาว กับก้นแน่นๆ
แถมกำชับซะด้วย
"ถ้าคุณเอาแบบสั้นผมจะกัดลิ้นตายหนีไปเกิดใหม่เดี๋ยวนี้แหละ" :hao5:
รออย่างใจจดใจจ่อ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 26-04-2016 06:38:38
ทำไมทิดจะหวงอะไรปานนั้น
คนมองก็ทำได้แค่มองป่ะ
อยากเห็นก้นแน่นๆ

ไม่ค่อยเข้าใจทิดเลย ทำไมไม่บอกอะไรฮาร์ฟบ้าง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 26-04-2016 06:38:55
มีมุมมุ้งมิ้งด้วย แต่ตกลงทิดคือใครกัน รู้สึกผิดกันใคร?  :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 26-04-2016 06:43:19
 :mew1:ชอบเรื่องนี้มากค่ะ เอาใจช่วยทั้งคู่ให้ happy ending ค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-04-2016 09:07:38

ฮาร์ฟมองทิด แล้วพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย หมายถึงอะไรคะ
และที่บอก จิตใต้สำนึกของฮาร์ฟรู้สึกผิดกับใครมากเกินไป ใครคะ และที่ได้เห็นเป็นแบบนั้นคืออะไร เห็นแบบไหน
ลุ้นค่ะลุ้น

Happy Ending จริงนะคะ

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 26-04-2016 09:18:28
ขี้หวงชะมัด  อิอิ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 26-04-2016 10:04:53
ฉากหวานน่ารักกุ๊กกิ๊กดีค่ะ อยากให้ทิดได้มีโอกาสขับรถพาคุณหมอฮาล์ฟไปเที่ยว จู๋จี๋ในห้องกันแบบคนรักทั่วไปจัง ตอนนี้เริ่มจะบอกรักกันแล้วด้วย  อยากรู้จัง ทิดเป็นใคร
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 26-04-2016 13:43:20
งานหวงก็มาาาาาา 555555 ทำใจนะทิดนะ ก็พี่หมอเขาน่ารัก >/////<
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-04-2016 16:08:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-04-2016 18:41:20
เดี๋ยวนะ
โรแมนติค? คอมเมดี้?
นี่ฉันอ่านพลาดตัวอักษรไหนไปหรือเปล่า? ถึงได้รู้สึกอารมณ์พวกนี้ได้อย่างเบาบางยิ่งกว่าวิญญาณพ่อทิดเสียอีก

ก้นแน่น ๆ ฮือ.....อดเลย
ทิดขี้หวงว่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 26-04-2016 19:15:50
ยิ่งใกล้เหมือนยิ่งไกลจีจี  พ่อตัวเองรักษาแสดงว่าก็ต้องอยู่ใกล้ๆกัน แต่ทำไมตามที่ รพ.ไม่เจอ?
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 26-04-2016 21:16:46
ดีกับใจมากๆค่ะ หมอฮาร์ฟน่ารักก
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-04-2016 21:54:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Zxjmm ที่ 27-04-2016 04:02:22
เพิ่งเข้ามาอ่านรู้สึกว่าตัวเองพลาดมากกกกก
พอถึงตอนนี้รู้สึกสงสารหมอวินทร์นิดหน่อย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 27-04-2016 04:40:03
ปมเยอะแยะไม่หมด สารภาพว่าแก้ไม่ออกสักปม :ruready
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: 182x406 ที่ 27-04-2016 11:53:57
โอ๊ยย ตายแล้ว น่ารักมาก น่ารักมากมากเลยค่ะ
ฮื ออออ /ชูป้ายเชียร์ทิดสักร้อยป้าย
มีหึงด้วยอะ แง เขิน555555

ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ว่าฮาร์ฟกับทิดมีอะไรเกี่ยวข้องกัน?
แต่คิดว่าต้องเคยรู้จักกันมาก่อนแล้วแน่ๆ
รอมาต่ออย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ รัก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 27-04-2016 13:59:40
ทิดเริ่มมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อแล้ว :n1: เราจะสู้ไปด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside my side P.6[26/04/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-05-2016 22:11:04
Bside(s) my side (ต่อ)

“เป็นอะไร” อทิฏฐ์ถามคนที่เอาแต่ลอบมองเขาเป็นระยะพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา

“เพิ่งรู้ว่าคนเราตายได้สองรอบ” นรกรบอกพลางเปิดประตูตู้ล็อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนชุด หลังจากวัดตัวเสร็จเขาก็โดนโทรตามให้มาเข้าเคสผ่าตัดฉุกเฉิน สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมเลือกกาวน์ยาวเพราะกลัวคนที่ยืนกอดอกจ้องหน้าถมึงทึงจะกระโดดกัดคอช่างตัดเสื้อโทษฐานคะยั้นคะยอจะให้เขาถอดเสื้อเพื่อวัดตัวให้ได้ทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด

“ผมก็แค่เป็นห่วง” อทิฏฐ์พูดอ้อมแอ้ม จะให้ตอบตรงๆ ว่าหวงก็เกรงใจเพราะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำแบบนั้นได้

“จะห่วงอะไร หุ่นขี้ก้างแบบผมจะมีใครเขาอยากดู ช่างตัดเสื้อเขาก็พูดแซวไปอย่างนั้นแหละ”

“ขี้ก้างตรงไหน แบบนี้เขาเรียกผอมเพรียว แถมก้นก็แน่นน่าตีจริงๆ น่ะแหละ ชิ ยัยช่างนั่นตาดีชะมัด” แล้วยกมือขึ้นปิดปากเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไป อทิฏฐ์เหลือบตามองคนข้างตัวที่หันมามองเขาเช่นกัน

“เมื่อกี้คุณว่าไงนะ

“เปล่า” ส่ายหน้าโบกมือพัลวัน “แค่บ่น… ยุงน่ะว่ามันมาบินตอมอยู่ได้น่าตีชะมัด” และรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีที่นรกรคงจะฟังไม่ทันจริงๆ เพราะเจ้าตัวไม่ได้เค้นถามอะไรต่อ

“ทิด”

“อะไรครับ”
“ถอยออกไปหน่อย ผมจะเปิดประตู”

“คุณจะเปิดตู้เอาอะไร ยังเปลี่ยนชุดไม่เสร็จสักหน่อย”

“อย่าถามมาก บอกให้ถอยก็ถอยไปเหอะน่า”

อทิฏฐ์เลิกคิ้วขึ้นสูง แต่พอเห็นนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมาทางหางตากับมือซึ่งถือเสื้อสีเขียวของห้องผ่าตัดปิดหน้าอกเปลือยเปล่าไว้ครึ่งหนึ่งเขาก็เข้าใจ ใครว่านรกรฟังไม่ทัน นี่ได้ยินเต็มสองหูเลยต่างหาก จริงๆ แล้วเขาก็อยากจะหันหนีดีๆ อยู่หรอกนะ แต่พวงแก้มที่เข้มขึ้นจนออกแดงระเรื่อไปจนถึงใบหูดูน่าเอ็นดูนั้นทำให้เขาอดจะแกล้งต่อไม่ได้ “แหมคุณ จะมาอายอะไรเอาตอนนี้เล่า ผมเห็นออกจะบ่อยแถมยังทุกซอกทุกมุม…” พูดไม่จบประโยคดีประตูตู้ล็อกเกอร์ก็เหวี่ยงผ่านร่างไปดังตึง! กลายเป็นกำแพงโลหะเล็กๆ กั้นทั้งสองเอาไว้ “ฮาร์ฟฟฟ เป็นอารายยย~ งอนเหรอ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฟากของบานประตู จนกระผ่านไปอีกอึดใจประตูก็ถูกดึงปิด ร่างสูงโปร่งในชุดหมีสีเขียวของห้องผ่าตัดยืนหน้ามุ่ย มือก็ดึงชายเสื้อลงซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งที่มันเข้าที่เข้าทางดีแล้วแท้ๆ

“ดูไปก็ทำอะไรไม่ได้ คุณก็น่าจะปล่อยๆ ให้ผมดูไปนะ” อทิฏฐ์ยังไม่เลิกแซว

“ก็เพราะทำอะไรไม่ได้น่ะสิถึงไม่อยากให้ดู” นรกรกระซิบอ้อมแอ้ม และรีบก้าวยาวๆ ผ่านหน้าไปเพื่อหนีเข้าห้องผ่าตัด

“ผมรออยู่ข้างนอกนะ” อทิฏฐ์ทำเป็นปากดีตะโกนตามหลัง แต่พออีกฝ่ายลับตาไปเขากลับทรุดตัวลงนั่งยองๆ บนพื้นและยกมือปิดหน้าแน่นด้วยความเขิน ให้ตายสิ! สาบานได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเกย์ ไม่เคยแม้แต่จะคิดชอบผู้ชายและหลงรักผู้หญิงชื่อเพียงพิรุณเพียงคนเดียวมาทั้งชีวิตจนไม่คิดว่าจะรักใครได้อีก

แต่ทำไมตอนนี้ ไม่ว่าผู้ชายจืดชืดแถมยังเป็นเด็กเนิร์ดเต็มขั้นคนนี้จะทำหรือจะพูดอะไรทำไมหัวใจเจ้ากรรมมันต้องเต้นแรงจนแทบจะคลั่งทุกทีเลยนะ

 ...หัวใจเต้น?...

อทิฏฐ์ยกสองมือขึ้นทาบที่หน้าอก

แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรในอากาศที่ว่างเปล่า แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ายังมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ตรงนั้น รับรู้ถึงความอ่อนแรงล้า หากก็ดิ้นรนที่จะทำหน้าที่ต่อไป

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปตามทางที่นรกรเดินหายเข้าไปอีกครั้ง สองมือกำเป็นหมัดแน่นก่อนจะลุกขึ้นยืน

แม้จะอยู่ในห้องที่แทบจะไม่มีแสง แต่ถ้าหากตอนนี้ใครสักคนบังเอิญเดินเข้ามา ถึงจะไม่มีสัมผัสพิเศษแบบนรกรแต่เขาจะได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาที่กำลังเดินทะลุผ่านประตูออกไป

อทิฏฐ์อาจไม่เคยรู้ตัวว่าความชัดเจนของรูปลักษณ์ของตัวเองนั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ หากใครคนหนึ่งรู้ แต่ก็เลือกที่จะเฝ้าดูอยู่เงียบๆ บนหลังตู้ล็อกเกอร์

หญิงสาวผมยาวในชุดกระโปรงสีขาวถดเรียวขาที่ห้อยไว้ขึ้นไปกอดแนบอกพลางโยกตัวเบาๆ ถึงอยากบอกใจแทบขาด แต่ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิต เพราะถ้าทำได้เธอก็คงทำไปตั้งนานแล้ว...

oooooo

อทิฏฐ์ออกเดินไปตามทางที่เริ่มคุ้นเคยในโรงพยาบาล พลางทบทวนเรื่องราวของตนเองในหัว

คนทุกคนมีความผิดพลาด...

แต่ความผิดพลาดในครั้งนี้ของเขามันเกินกว่าจะให้อภัย

เขาอาศัยอยู่ต่างจังหวัดในที่ที่ค่อนข้างห่างไกลในภาคอีสาน ครอบครัวของเขาเป็นชนชั้นกลางที่มีรากฐานดั้งเดิมมาจากการทำนา จนถึงรุ่นพ่อกับแม่ที่เป็นครูทั้งคู่ทำให้มีกำลังพอจะส่งเสียลูกชายคนเดียวมาเรียนโรงเรียนในตัวจังหวัด

ต้องยอมรับว่าพ่อกับแม่ไม่เคยเลี้ยงให้ต้องลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี การที่พ่อแม่มีอาชีพครูไม่ใช่เรื่องน่าอายหากมันไม่มากพอจะให้ไปอวดใครได้ เขามีความทะเยอทะยานสูง และโชคดีที่ตัวเองมีความสามารถมากพอจะตอบสนองความต้องการนั้น

เขาสอบได้ที่หนึ่งของชั้นมาโดยตลอด เล่นกีฬาก็เก่งอยู่ในทีมฟุตบอลโรงเรียนไปคว้าแชมป์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังเป็นเดือนคณะ พยายามทำตัวเองให้เด่นดังเพื่อเป็นที่ยอมรับ

และทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาหลงรัก เพียงพิรุณเป็นคนสวย ครอบครัวของเธอเป็นตระกูลผู้ดีเก่าเจ้าของรีสอร์ทและที่ดินหลายร้อยไร่

เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยเขาก็โหมทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อถีบตัวเองขึ้นมาให้เทียมเท่าเธอ เพื่อที่วันหนึ่งจะได้ไปขอความรักจากเธอโดยไม่ถูกพ่อแม่ของเธอดูแคลน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาลืมไป เขารักเธอมากในขณะที่เธอมองเขาเป็นเพียงพี่ชายที่แสนดี เมื่อไม่รักก็คือไม่รัก มันไม่สามารถแปรเป็นอย่างอื่นได้ ซ้ำเธอยังยินยอมพร้อมใจแต่งงานกับผู้ชายที่ครอบครัวหมายหมั้นให้ตั้งแต่เด็ก

ความฝันทั้งหมดพังทลายเหลือเพียงเถ้าธุลี

แล้วความผิดพลาดมันก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาเริ่มเกลียดตัวเอง เริ่มกินเหล้าเมาหัวราน้ำ งานการไม่ทำและถึงขั้นขาดงานไปเสียเฉยๆ หลายต่อหลายครั้ง

พ่อกับแม่พยายามเข้ามาเตือนสติ แต่เขาก็ไม่เคยฟังและเถียงด้วยถ้อยคำหยาบคาย

หัวใจที่ช้ำรักกับพิษสุราไม่ได้ทำให้เขาให้แค่ตามืดบอด แต่มันทำให้เขาหลงลืมพระคุณผู้ให้กำเนิด

จนในสุดเขาก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ด้วยการกินยานอนหลับในเช้าวันงานแต่งงานของเธอ

เขาโทรเรียกให้เธอมาหาบอกมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย แน่นอนว่าเธอต้องมาตามประสาน้องสาวที่แสนดี

แต่เธอมาเร็วเกินไปเพราะต้องรีบไปแต่งหน้า ทำให้มาเห็นตอนยายังไม่ทันจะออกฤทธิ์ เธอคิดว่าเขาแค่ยังนอนไม่ตื่นและกลับไปเตรียมงานต่อ

แม่เป็นคนเข้ามาเจอเขาก่อนและตามพ่อให้พาส่งโรงพยาบาล ตอนนั่นเขาไม่รับรู้อะไรแล้ว หมอพยายามล้างท้อง ให้น้ำเกลือ และยาต่างๆ เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทางเพื่อยื้อชีวิตเขาคืนมา

เขานอนโรงพยาบาลไม่กี่วันร่างกายที่เคยกำยำเริ่มผ่ายผอมเพราะก่อนหน้านั้นก็แทบไม่กินอะไรอยู่แล้วนอกจากเหล้า
นับวันอาการมีแต่ทรงกับทรุด ก็จะมีแรงสู้ไหวได้อย่างไรในเมื่อใจมันยอมแพ้เสียแพ้

หลายครั้งที่น้ำตาของบุพการีที่หยดลงบนหลังมือทำให้เขาสำนึกได้ว่าอะไรคือความรักที่แท้จริง และคิดอยากจะเริ่มต้นใหม่

ทว่า เหมือนชีวิตยังสามารถตกลงเหวที่อยู่ในนรกได้อีก เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนและโชคร้ายก็มาตกลงที่ครอบครัวของเขา

แม่จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ

ตอนนี้เขาเหลือแต่พ่อที่นอนโคม่าอยู่เตียงข้างกัน

คิดถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับพ่อคือ “ผมเกลียดพ่อ และผมจะตายให้พ่อดู”

อทิฎฐ์หยุดเดินและเงยหน้าขึ้นมองฝ้าเพดานพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุด

นรกรอาจมองว่าเขาเป็นคนดีที่คอยพูดเตือนสติและอยู่เคียงข้างเสมอถึงได้รู้สึกดีกับเขา แต่เปล่าเลย เขาก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่เคยทำสิ่งที่ชั่วช้ามาก่อนและไม่อยากให้นรกรทำผิดพลาดเหมือนเขาแล้วต้องมาทนทุกข์กับผลกรรมนั้นทีหลัง

ไม่ใช่ว่ารักไม่ได้ แต่เขาไม่มีค่าพอให้นรกรมารักด้วยซ้ำ

เขาทอดสายตามองร่างของพ่อที่ต่อสายช่วยชีวิตระโรงระยางอยู่บนเตียง แล้ววางมือลงบนฝ่ามือเหี่ยวย่น

“พ่อครับ ผมขอโทษ”

ทันที่ที่พูดจบเขารู้สึกได้ถึงแรงที่บีบมือตอบกลับมาเหมือนกับจะเริ่มรู้ตัว อทิฏฐ์ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก
แต่แล้วรอยยิ้มในหน้าพลันจางหายลงทันทีเมื่อมือของพ่อหลุดออกจากมือของเขาอย่างอ่อนแรงพร้อมๆ กับที่เสียงเตือนของมอนิเตอร์ข้างเตียงแผดดังขึ้น

ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ดดดดดดดด

ประตูห้องเปิดผัวะออกแทบจะในทันทีพร้อมกับที่พยาบาลประจำห้องไอซียูสามคนวิ่งเข้ามาและเริ่มทำการช่วยเหลือ

“คนไข้หัวใจหยุดเต้น ตามหมอเร็ว”

นายแพทย์เจ้าของไข้วิ่งมาถึงในไม่กี่นาทีถัดมา แล้วภาพตรงหน้าก็เคลื่อนไหวไปอย่างรัวเร็วคล้ายกับมีคนกำลังกรอหนัง เสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับเข้าใจทุกสิ่งอย่างว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

ร่างของอทิฏฐ์เซไปพิงผนังด้านหลังบุคลากรในชุดขาวที่กำลังกลุ้มรุมช่วยชีวิตร่างบนเตียง ก่อนจะทรุดลงคุกเข่าบนพื้น

สองมือปล่อยทิ้งลงข้างตัวอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาไม่ได้ร้องไห้ น้ำตามันแห้งเหือดไปหมดแล้วนับแต่ตอนที่แม่จากไป

ความหวังที่เริ่มมีแหลกสลายลงในพริบตา เมื่อตอนนี้ไม่มีอีกแล้วที่ที่จะให้เขาไป

oooooo

   “เป็นอะไรหมอ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ทักลูกศิษย์ตนที่นั่งประสานมือไว้ตรงหน้าในห้องตรวจของ OPD ที่ตอนนี้แทบจะไม่มีคนอยู่แล้ว

   วินทร์เม้มปากอยู่อึดใจ กำลังจะตอบหากผู้ผ่านน้ำร้อนมาก่อนก็เข้าใจและดึงเก้าอี้นั่งลงตรงหน้า

   “ผมบอกคุณแล้วว่าให้ลาพักร้อนต่อวันนี้อีกวัน”

   “ผมโอเคครับ”

   ศาสตราจารย์สรวิชญ์กวาดตาดูคนตรงหน้าเงียบๆ เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายของคุณแม่ของวินทร์ และถึงจะไม่เคยขอเป็นกรณีพิเศษแต่เขาก็แอบช่วยดูตารางเวรให้ว่างไว้ตลอดเพื่อให้ชายหนุ่มได้ไปไหว้หลุมศพหรือทำกิจกรรมทางศาสนา หรืออะไรก็ตามที่เจ้าตัวต้องการ

“ถ้าคุณว่างั้นผมก็จะไม่พูดถึงเรื่องนั้น แต่ผมจะขอถามถึงอีกเรื่องแทนแล้วกัน”

   วินทร์เงยหน้าขึ้นสบตา “เรื่องอะไรครับ”

   “ข้อตกลงของเรา” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก “นี่ก็ห้าปีแล้ว ดูท่าจะยังไม่มีวี่แววสำเร็จนะ ผมว่าคุณถอดใจได้แล้วมั้ง... เรื่องที่จะขออนุญาตจีบลูกชายผมน่ะ” แล้วอดยิ้มเยาะเล็กๆ ตรงมุมปากไม่ได้

   ข้อตกลงนี้เริ่มต้นเมื่อห้าปีก่อน ในวันที่ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นเดินเข้ามาหาเขาที่ภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง อันที่จริงวินทร์สอบสัมภาษณ์ตกไปแล้วแม้จะสอบผ่านข้อเขียนด้วยคะแนนดีเยี่ยม และที่สำคัญคือมันมากว่าคะแนนของลูกชายของเขาที่อุตส่าห์ทำลายสถิติคะแนนสูงที่สุดของปีก่อนๆ ไว้ด้วยซ้ำ

นั่นจึงทำให้เขาสนใจจะเรียกคุณหมอคนนี้กลับมาสอบสัมภาษณ์อีกครั้งเป็นการส่วนตัว และพอมาคิดๆ ดูตอนหลัง บางทีการที่อาจารย์ธนบดีไม่ชอบหน้าเขาส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสาเหตุนี้ก็ได้เพราะมันเป็นการหักหน้าหัวภาควิชาซึ่งยื่นเรื่องส่งผอ.โรงพยาบาลไปแล้วว่ามีผู้สอบผ่านแค่สองคน

ใบหน้าของคุณหมอหนุ่มประหม่าจนเห็นได้ชัด แต่แววตาจริงจังและน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจนเขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมคนอื่นๆ ถึงให้สอบตก บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุทีวินทร์ป่วยหนักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนานอยู่เกือบหนึ่งปี ซ้ำยังมีประวัติพบหมอจิตเวชเพื่อป้องกันเรื่องภาวะซึมเศร้าอีก

แล้วมันยังไงล่ะ... เขายอมรับว่านั่นสำคัญมากพอจนจะตัดสินอนาคตคนๆ หนึ่งได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขากลับมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น

คนเราเดินสะดุดหินล้มครั้งแรกเป็นบทเรียน แต่ครั้งที่สองเรียกว่าโง่

ซึ่งเขาไม่คิดว่าคุณหมอหนุ่มคนนี้จะมีครั้งที่สอง นอกจากนั้นเขายังมี ‘บทเรียนชีวิตราคาแพง’ ที่จะนำไปถ่ายทอดและเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆ ได้อีก

และนั่นทำให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล้าที่จะเสี่ยงยื่นข้อตกลงนั้นออกไป

‘ผมรับคุณเป็นแพทย์ประจำบ้านสายศัลยกรรมประสาทและสมอง โดยมีข้อแม้ว่าคุณต้องมาเป็นอาจารย์ที่นี่หลังจากเรียนจบ’

แต่วินทร์กลับปฏิเสธข้อตกลงที่ถ้าเป็นคนอื่นคงรีบกระโดดรับไว้อย่างไม่ใยดี หนำซ้ำยังกล้ายื่นข้อเสนอใหม่กลับคืนมาด้วยซ้ำ

‘ผมไม่ต้องการเป็นอาจารย์ที่นี่ แต่ถ้าคุณอยากจะให้ผมเป็น ผมขออนุญาตจีบลูกชายคุณได้ไหมครับ’

กล้าขอ เขาก็กล้าให้

“ตัดใจซะเถอะนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดซ้ำ

   วินทร์กำมือแน่น “ผมก็รับ ‘ตำแหน่งอาจารย์’ ให้แล้วนี่ไงครับ”

   คิ้วของผู้สูงวัยเลิกขึ้นเล็กน้อย

   “ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามข้อตกลง” วินทร์ยืนยัน

“ถึงแม้ว่าฮาร์ฟจะไม่รักคุณเลยน่ะเหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามต่อ “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าฮาร์ฟรักใคร แต่ในสายตาของเขา ผมไม่เคยเห็นว่ามันจะมีคุณอยู่ในนั้นสักนิด”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ถ้างั้นก็พยายามเข้านะ” ศาตราจารย์สรวิชญ์ลุกขึ้นยืน แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ “ขอผมถามหน่อยได้ไหมว่าทำไม” มันเป็นคำถามที่เขาถามตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว และจนถึงตอนนี้คำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นความเงียบเช่นเดิม ศาสตราจารย์สรวิชญ์พ่นลมออกจมูกอย่างจนใจจะเค้นเอาคำตอบ “ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ยังไงก็ช่วยไปจัดการกับหนวดเครารุงรังเหมือนมนุษย์ถ้ำนั่นหน่อยได้ไหม ผมรู้ว่าลูกชายผมคงไม่คบกับคนที่หน้าตา แต่อย่างน้อยก็เห็นแก่พิธีจบการศึกษาเดือนหน้าที่มีผมเป็นประธานในพิธีหน่อยละกัน”

ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วก็กลับออกไป ปล่อยให้คุณหมอหนุ่มจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบ หรือว่ากลัวที่จะพูดมันออกไป เพียงแต่คำๆ นั้นเขาแค่อยากจะพูดให้นรกรได้ยินเป็นคนแรก และถึงแม้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้พูดออกไปชั่วชีวิตก็ไม่เป็นไร เพราะความรู้สึก ‘รัก’ ที่มียังไงก็ไม่มีวันหายไป

เมื่อผู้ชายคนนั้น คือ ‘หัวใจของเขา’    

   วินทร์เก็บของเตรียมจะไป ตอนนั้นเองที่เปิดกระเป๋าเป้เห็นคลับแซนวิซไส้ไข่ชีสของโปรดของใครบางคนแล้วถอนหายใจ ตั้งใจว่าจะให้เป็นมื้อเช้าแต่ก็ดันลืมซะสนิท ตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายโมงแล้วไม่รู้ว่านรกรจะผ่าตัดเสร็จแล้วได้กินอะไรหรือยังเพราะเจ้าตัวเป็นพวกห่วงงานมากกว่าห่วงตัวเอง เขารูดซิปกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะโทรชวนไปกินข้าวด้วยกัน ก่อนจะเปลี่ยนใจไปเพียงลำพังเพราะตอนนี้เขายังไม่พร้อมถ้าต้องโดนปฏิเสธสองวันติดกัน

oooooo

   เพราะเป็นเคสที่ไม่ยากทำให้นรกรผ่าตัดเสร็จเร็วกว่าที่คิด เขาปลี่ยนชุดจนเสร็จพลางกวาดตามองหาอทิฏฐ์แต่ก็ไม่เห็นแม้เงา “หายไปไหนของเขานะ”

   “เห็นเดินออกประตูไปน่ะ”

เสียงแหบแห้งดังตอบคำถามของเขา นรกรเหลือบตาขึ้นมองหญิงสาวที่นั่งกอดเข่าโยกตัวเบาๆ อยู่บนหลังตู้ล็อกเกอร์

“ไปไหนครับ”

เธอส่ายหน้าจนเรือนผมยาวสะบัดกระจายเป็นวงในอากาศให้แทนคำตอบ

“ขอบคุณครับ” นรกรค้อมศีรษะ เขากำลังจะอออกไปแล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ บางทีผีสาวตนนี้อาจจะรู้คำตอบที่เขานอนคิดมาทั้งคืนก็ได้  “คุณครับ ขอผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

หญิงสาวหยุดโยกตัว เธอเงยหน้าที่ซูบตอบเหลือแต่กะโหลกขึ้นมาจ้องดูเขาอยู่อึดใจ ก่อนจะตวัดขาลงมาห้อยไว้เหมือนทุกครั้ง เอามือยันกับขอบตู้ล็อกเกอร์แล้วชะโงกตัวลงมาตอบคำถาม “คะ คุณหมอ” เสียงของเธอยานคางราวกับจะขาดใจ

“ทำไมคุณถึงไม่ไปผุดไปเกิดครับ คุณจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

“ไม่รู้สิคะ เราทุกคนที่นี่รู้แค่เพียงว่าที่ยังไปไหนไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาของเรา” เธอตอบตามตรง “คุณหมอรู้จัก ‘ตายโหง’ ไหม”

นรกรพยักหน้า เขาเคยได้ยินอาจารย์องค์อินทร์พูดเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง “แล้วเวลาที่ว่าน่ะเมื่อไหร่ครับ เราจะรู้ได้ยังไงหรือมีใครบอก”

“ไม่มีใครบอกได้ค่ะ ก็แค่รอ รอไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงเวลานั้นเราจะรู้เอง”

“เหรอครับ” นรกรเสียงอ่อยไปเล็กน้อย แบบนี้เขาก็ไม่มีทางคาดเดาหรือรู้ล่วงหน้าเลยใช่ไหมว่าอทิฏฐ์จะอยู่กับเขาได้อีกนานแค่ไหน “เอ่อ… ผมมีอีกคำถามครับ ทำไมพวกคุณคุยกันได้ แต่ทำไมเขาถึงคุยกับพวกคุณไม่ได้ล่ะ”

ผีสาวนิ่งคิดอยู่อึดใจ ไม่ใช่ไม่รู้คำตอบแต่เธอไม่รู้จะพูดออกไปได้ยังไง “คนเป็นไม่ชอบคุยกับคนตายฉันใด คนตายก็ไม่ชอบคุยกับคนเป็นฉันนั้นน่ะแหละ”

“ยังไงครับ”

“ก็ตามนั้นแหละค่ะ ฉันบอกคุณหมอได้แค่นี้” แล้วเธอก็ตวัดขากลับขึ้นไปกอดไว้ตามเดิมก่อนจะซุกหน้าลงไปเป็นการตัดบท

แต่เพียงเท่านั้นก็พอแล้วสำหรับนรกร

“ขอบคุณมากครับ” ค้อมศีรษะขอบคุณอีกครั้งและรีบวิ่งออกไปทันที

จริงอยู่ว่าตอนนี้เขาไม่ยังรู้ว่าอทิฏฐ์หายไปไหน แต่ถ้าหากว่าเรื่องที่ผีสาวพูดเป็นเรื่องจริง เขาก็รู้แล้วว่าจะไปตามหาได้ที่ไหน เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นที่ๆ เขาควรจะไปมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายยืนยันว่าตัวเองตายไปแล้วเขาจึงไม่คิดจะไปที่นั่นอีก

เขาเชื่อจนหมดใจว่าผีสาวพูดความจริง ไม่ใช่เพราะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอต้องโกหก

แต่ทำไมล่ะ ทำไมอทิฏฐ์ต้องโกหกเขา หรือว่าจริงๆ แล้วเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

คุณหมอหนุ่มก้าวออกจากลิฟต์มาหยุดยืนมองป้ายที่เขียนว่า ‘หอผู้ป่วยอายุรกรรมหก’

“ก็แค่เข้าไปถาม เหมือนถามหาคนไข้เอง”

เขาให้กำลังใจกับตัวเอง พยายามไม่คาดหวังว่าจะได้เจอกับใครหรืออะไร

“สวัสดีครับ” นรกรกล่าวทักทายพยาบาลสาวร่างอวบซึ่งกำลังนั่งหน้ามุ่ยอยู่หลังแฟ้มคนไข้ที่กองท่วมหัว

เธอเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรเหรอคะคุณหมอ”

“ผมมาหาคุณพยาบาลผู้ชายที่ชื่ออธิษฐ์น่ะครับ เขาอยู่วอร์ดนี้ใช่ไหมครับ”

“โปรดน่ะเหรอคะ” เธอเอ่ยชื่อเล่นของคนที่เขามาตามหา และเขาก็นึกจำได้ทันทีเพราะเจ้าตัวแนะนำว่ามันพ้องกับชื่อจริงซึ่งมาจากคำว่าอธิษฐาน

“ใช่ครับ”

“น้องเขาไปฉีดยาให้คนไข้อยู่น่ะค่ะ คุณหมอนั่งก่อนสิคะเดี๋ยวสักพักก็คงมา”

นรกรกวาดตามองไปรอบหอผู้ป่วยที่มีคนไข้นอนอยู่เต็ม เตียงที่ติดเคาน์เตอร์จะเป็นคนไข้ที่ต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิดที่ทั้งที่ยังใส่ท่อช่วยหายใจและไม่รู้สึกตัว “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าที่นี่มีคนไข้ที่กินยาฆ่าตัวตายเพิ่งย้ายมาจากไอซียูศัลยกรรมไหมครับ”

พยาบาลสาวนิ่งคิดอยู่อึดใจ “ถ้าเป็นคนไข้ที่กินยาฆ่าตัวตายไม่มีนะคะแต่ถ้าเป็นคนไข้ที่ย้ายมาจากไอซียูศัลยกรรมละก็มีค่ะ นอนอยู่เตียงสี่”

นรกรเกือบจะไม่สนใจอยู่แล้ว แต่เพราะความบังเอิญของหมายเลขเตียงทำให้เขาต้องถามต่อเพราะบางทีหมายเลขเตียงที่อทิฏฐ์เห็นอาจจะไม่ใช่เตียงในไอซียู “ขอโทษนะครับแล้วคนไข้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชายค่ะ”

“อายุเท่าไหร่ครับ”

“25ปีค่ะ”

นรกรนิ่งคิดอยู่อึดใจนั่นน้อยกว่าที่เคยคำนวนไว้ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง “แล้วเขาทำงานอะไรครับ”

“วิศวกรค่ะ”

“แล้ว…”

“คนไข้ชื่อศุภพัฒน์ค่ะ เป็นคนเชียงใหม่ และถ้าคุณหมออยากทราบอะไรอีก นี่ค่ะ แฟ้มประวัติคนไข้” เธอบอกพลางส่งแฟ้มเล่มที่ว่าให้

“ไม่แล้วครับ ขอบคุณมาก ผมขอไปดูคนไข้หน่อยได้ไหมครับ”

“เชิญเลยค่ะ” พยาบาลสาวกล่าวพลางผายมือบอกทาง

นรกรเดินตรงไปที่เตียงนอนซึ่งอยู่ในสุดติดกับหน้าต่าง ทุกๆ ย่างที่ก้าวเข้าไปใกล้ หัวใจก็เต้นรัวแรงขึ้นทุกที

ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนข้างเตียงหมายเลขสี่ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นอนหลับตาพริ้มอยู่ มีผ้าห่มของโรงพยาบาลคลุมจนถึงคอ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ไปตามจังหวะหายใจบอกให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

ถึงจะยังไม่แน่ใจ แต่ผู้ที่นอนอยู่ตรงหน้าก็ดูคล้ายมากเกินไปเสียจนเขาอดหวังลึกๆ ไม่ได้ว่าจะใช่

ปลายมือที่โผล่พ้นขอบผ้าออกมาดูเหมือนจะขยับน้อยๆ จนนรกรอดจะเอื้อมมือไปจับไว้ไม่ได้ ฝ่ามือนั้นใหญ่และเย็น แต่ก็จับต้องได้ สัมผัสตุบเบาๆ ของชีพจรที่กระทบปลายนิ้วช่วยยืนยันอีกเสียงว่าคนๆ นี้ยังคงมีชีวิต

“อทิฏฐ์” นรกรหลุดปากกระซิบออกไป

คนถูกเรียกขยับตัวเล็กน้อยตอบสนองต่อเสียงเรียก เขารีบปล่อยมือออกก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะเป็นฝ่ายเอื้อมมารั้งมือเขาไว้เสียเอง

“จะไปไหน” เสียงทุ้มกระซิบถามทั้งที่ยังหลับตา

หัวใจของนรกรเต้นแรงขึ้นอีกจนเจ็บไปทั้งหน้าอก “เปล่า”

“นึกว่าจะไม่มาหากันแล้วซะอีก”

“มาสิ ก็สัญญาไว้แล้วนี่นา” นรกรตอบ

“หิวข้าวจัง กี่โมงแล้วอะโปรด”

หากสรรพนามที่เรียกไม่ใช่ชื่อตนทำให้นรกรพูดไม่ออก เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ร้าวไปทั่วกับความผิดหวัง

คนที่อยู่บนเตียงลืมตาตื่นเต็มตาในที่สุด “อะ… อ้าว ขอโทษทีครับคุณหมอ ผมแค่ละเมอน่ะ” พร้อมกับปล่อยมือและค้อมศีรษะขอโทษ

นรกรกำมือของตนที่กลับมาว่างเปล่าอีกครั้งแน่นแล้วสอดลงในกระเป๋าเสื้อกาวน์เพื่อซ่อนไม่ให้ใครเห็นว่ามันกำลังสั่น “ไม่เป็นไรครับ”

“ตื่นมาก็หาเรื่องแกล้งคุณหมอเขาเลยนะ”

นรกรหันไป แล้วพยาบาลหนุ่มคนที่เขามาตามหาเดินเข้ามาร่วมวง

“เปล่าสักหน่อย ฉันละเมอจริงๆ” คนไข้รีบบอก

“เห็นพี่อุ้มบอกว่าคุณหมอมาถามหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ” อธิษฐ์ถาม

นรกรเหลือบมองคนที่นอนบนเตียงพลางบอกธุระของตน “เอ่อ… มันออกจะแปลกสักหน่อย แต่ผมอยากให้คุณช่วยนึกดูหน่อยว่าเคยเจอหรือดูแลคนไข้กินยาฆ่าตัวตายไหมครับ”

“คำถามยากจัง ผมอยู่วอร์ดอายุรกรรมนะครับเจอเคสแบบนี้แทบทุกวัน”

“งั้นเอ่อ…”

“อย่าไปดุคุณหมอเขาสิโปรด” คนไข้แซวดูท่าเขาจะสนิทกับพยาบาลหนุ่มไม่น้อย

“ไม่ได้ดุสักหน่อย” อธิษฐ์หันไปปรามด้วยสายตาก่อนจะหันมาถามต่อ “คุณหมอพอจะให้รายละเอียดอะไรได้อีกไหมครับอย่างชื่อ เพศ รูปร่างหน้าตาหรือสาเหตุที่พยายามฆ่าตัวตาย”

“เรื่องชื่อผมไม่ทราบครับ รู้แต่ว่าเขาเป็นผู้ชาย แล้วยาที่กินเป็นยานอนหลับ สาเหตุที่กินก็เพราะอกหัก แล้วก็เหมือนจะเคยนอนที่ไอซียูศัลยกรรมเตียงสี่”

“ไม่คุ้นเลยครับ” อธิษฐ์บอก “ถ้าเคยนอนไอซียูทำไมคุณหมอไม่ไปถามที่นั่นล่ะครับ ผมทำงานอยู่วอร์ดสามัญนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับ” นรกรค้อมศีรษะ “ขอโทษนะครับแล้วคุณป่วยเป็นอะไรมาเหรอครับ” เขายังคงติดใจสงสัย

“เรื่องมันซับซ้อนน่ะครับ” คนไข้ว่า

“โดนคนที่แอบชอบมาตั้งแต่เด็กหักอกน่ะครับ” พยาบาลหนุ่มตอบแทน

“โปรด”

“หมอถามก็ต้องให้ประวัติให้ครบถ้วนสิ” อธิษฐ์ว่า

“แล้วยังไงอีกครับ” นรกรถามต่อ เพราะมันใกล้เคียงกับเรื่องราวที่ได้ฟังมามากทีเดียว

“ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจนโรคกระเพาะถามหา แถมยังฉี่เป็นเลือดจนเพื่อนต้องหามมาส่งโรงพยาบาลครับ แถมวันก่อนยังดันแอบหนีลงไปซื้อขนมที่เซเว่นจนตกบันไดกระดูกข้อเท้าร้าวมาด้วย” พลางพยักเพยิดให้ดูขาข้างซ้ายซึ่งใส่เฝือกยาวจนถึงหัวเข่า

“แหม ชมกันต่อหน้าแบบนี้ก็เขินแย่สิ”

“ด่า” อธิษฐ์ว่า “แล้วยังไม่สลดอีกนะ”

คุณหมอหนุ่มมองคนสองคนตรงหน้า พอจะเดาได้ถึงความสัมพันธ์ที่มากเกินคนรู้จัก และแอบลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ ‘อทิฏฐ์’ ที่เขามาตามหาแน่นอน ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องราวที่ได้รับฟัง แต่เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของบรรยากาศยามที่อยู่ใกล้กัน และนึกอิจฉาในใจว่าอยากให้อทิฏฐ์มีชีวิตขึ้นมาพูดคุยจับต้องได้แบบนี้บ้าง อย่างน้อยเวลาที่สารภาพความในใจอีกฝ่ายจะได้ไม่อ้างว่าเพราะตัวเองตายไปแล้วได้อีก

“ขอให้หายไวๆ นะครับ” เขาอวยพรก่อนจะกลับออกไปเพื่อตามหาที่อื่นต่อ

เมื่อคุณหมอหนุ่มคล้อยหลังไป คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงจึงพูดขึ้น “ไม่ลองนึกดูอีกสักหน่อยเหรอโปรด ท่าทางเป็นคนไข้สำคัญมากเลยนะ คุณหมอเขาถึงดูกังวลขนาดนั้น”

“นึกแล้ว" พยาบาลหนุ่มบอก

“แล้ว…”

“มีอยู่คนนึง” อธิษฐ์ว่า “ตรงตามที่บอกมาทุกอย่าง เป็นคนไข้ที่ฉันไม่เคยลืมเลยเพราะเป็นคนไข้ที่ดูแลสมัยเป็นนักเรียนพยาบาลน่ะ”

“อ้าว แล้วทำไมนายไม่บอกเขาไปล่ะ”

พยาบาลหนุ่มเหลียวมามอง “นายลืมอะไรไปหรือเปล่าเทมส์ ฉันเรียนจบแล้วนะ เรื่องมันตั้งแปดปีมาแล้วไม่ใช่คนที่คุณหมอมาถามหาหรอก”

“แล้วตอนนี้คนไข้คนนั้นเป็นยังไงบ้าง นายได้ข่าวเขาบ้างไหม”

“ก็สบายดี เมื่อวันก่อนยังเจอกันอยู่เลย ฉันถึงได้บอกไงว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมาถามหาอะไรเอาป่านนี้”

“อะไรกันนี่แอบไปมีความหลังอะไรกับคนไข้ด้วย ชักจะหึงซะแล้วสิ”

“ดูพูดเข้า เดี๋ยวเตะตกบันไดให้ขาหักอีกข้างเลย ฉันจะไปทำอย่างนั้นกับคนไข้ได้ยังไง”

คนถูกว่ายิ้มกรุ้มกริ่ม “แล้วฉันล่ะ”

พยาบาลหนุ่มเหลือบตามองเพดานพร้อมกับถอนหายใจ “ฉันไปทำงานต่อดีกว่า”

******************** TBC***********************

ในที่สุดก็ได้รู้เรื่องของผู้ชายคนนี้แล้วใช่ไหมคะ

มาถึงตรงนี้คงเข้าใจแล้วว่าทำไม ฮาร์ฟ กับ อทิฏฐ์ ถึงได้มาเจอกัน

เพราะทั้งคู่ต่างมี  ‘เสียงร้องขอความช่วยเหลือในใจที่ตะโกนออกไปสุดเสียง’

กระตุกปมสุดท้ายแล้วนะคะ คิดว่าหลายคนคงอ๋อแล้วกะลังบ่น(ด่า) คนเขียนในใจหรือเปล่า555

ปล.ตอนนี้ยังไม่จบ ยังมีอีกหลายหน้า ขอเวลาดริฟต์อีกนิด ใบ้นิดนึงว่ามีดารารับเชิญมาช่วยเฉลยด้วย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: im4gine_32 ที่ 01-05-2016 22:57:18
คือว่าคาใจมากจนได้อ่านวนไปหลายรอบ จนมีฟามรู่สึกว่า...คนที่อธิษฐ์พูดถึงเนี่ยคือหมอหนุ่มที่ตามจีบลูกชายของอ.สรวิชญ์อยู่ใช่หรือไม่คะ! 5555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 01-05-2016 23:19:40
สรุปคือ ทิดตายไปแล้วหรือยังไม่ตายกันแน่ เริ่มงงละ เรื่องมันเกิดเมื่อ8ปีก่อน แต่ทำไมฮาฟเพิ่มเจอทิดตอนนี้ และถ้าทิดยังไม่ตายแล้ววิญญาณออกมาจากร่างได้ยังไง แล้วที่ทิดนอนหลับไม่ยอมตื่นใกล้ตายและพ่อของฮาฟยื้อชีวิตอยู่นั่นคืออะไร งงงงงง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 01-05-2016 23:22:40
สุดท้ายฮาร์ฟก็หาอทิดไม่เจอ แต่คงไม่นานแล้ว เพราะฮาร์ฟเริ่มมาตามหาแล้ว สงสัยวินนะ ตามจีบฮาร์ฟมาตั้งนาน สุดท้ายก็แห้ว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 02-05-2016 01:15:34
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
โอ้ยยยยยยย ทำไมมมมมมมมมมม ตื่นเต้นมากก
เอามาอ่านอีกได้ไม๊
โอ้ยยย เมื่อไหร่จะเข้าร่างได้
หรือต้องให้พ่อหมอบอกงะ
โอ้ยย
ยากจะคาดเดา
แล้วพี่วินทร์ เกี่ยวอะไรกับ พระเอกของเราไม๊
แม่ตายเหมือนกันเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 02-05-2016 05:37:38
ท้ายสุดฮาร์ฟก็ยังหาทิดไ่ม่เจอ

ทิดนอนหลับมาแปดปีแล้วเหรอ
แล้วไปแอบอยู่ตรงไหนมาฮาร์ฟถึงไม่เคยเจอ

ลุ้นต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PookPick ที่ 02-05-2016 06:09:04
ทิดคือพี่วินทร์!!! แหงๆ # สปอยไปแล้วรึป่าววะเรา 5555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-05-2016 06:27:14
ตามมาจากER อ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมาก
อ่านแต่ละตอนก็ลุ้นจนวางไม่ลง 555555
งงเลยค่ะทีนี้ สรุปว่าทิดอยู่ไหน เป็นใครกันแน่
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 02-05-2016 07:24:51
หืมมม งงอะ. ตกลงทิดฟื้นแล้ว
แล้ว?  อะไรผ่านไป 8 ปี ฟื้นมานานรึยัง
ยังไม่ออกจากโรงบาลใช่มั้ย
ฮาร์ฟ พยายามเข้านะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 02-05-2016 09:14:29
ห๊ะ อะไร ยังไงนะ
หรือ ทิดคือพี่วินทร์ ไม่จริงน่าาา
แต่คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่หรือเปล่า

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 02-05-2016 10:32:00
บอกได้สั้น ๆ #ทีมวินทร์

เราเริ่มปวดตับปวดไตแล้ว อ่านจากตอนนี้เราคิดว่าวินทร์กับทิดน่าจะเป็นคนเดียวกัน
เดาไม่ออกว่าคนเขียนจะโยงยังไง ให้เห็นเห็นว่า มีทั้งวินทร์และทิดในเวลาเดียวกัน แต่เขาเป็นคนเดียวกัน

แต่เราว่า ถึงจะเป็นคนเดียวกันก็ไม่ให้ช่วยให้อะไรง่ายขึ้น เพราะฮาร์ฟไม่ได้ชอบวินทร์
และถ้าเราเป็นวินทร์ เราก็คงเกลียดตัวเองมากถ้ารู้ จะเอาทิดออกจากชีวิตก็ไม่ได้ เพราะมันคือตัวเอง

ส่วนฮาร์ฟ...ถ้าหากคิดแบบธรรมดามาก ๆ ไม่อิงนิยายเรื่องใด ๆ
จะให้ทำใจชอบวินทร์ที่ไม่ได้ชอบมาก่อนเลย ด้วยเหตุผลว่า เพราะวินทร์คือทิด อันนี้ก็ไม่น่าได้ ยังไงก็ทำใจไม่ได้
ถึงบอกว่าไม่ได้ช่วยให้อะไรง่ายกับการรู้ว่าสองคนคือคนเดียวกัน
เพราะที่ผ่านมา เหมือนวินทร์กับทิดคือคนละคนกันอยู่แล้ว และคนที่ฮาร์ฟก็ชอบคือทิด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ลุ้นอยู่ว่าคนเขียนจะเขียนไปในทิศทางไหน แต่ยังไงเราก็ #ทีมวินทร์ เหมือนเดิม

แม้ไม่ใช่คนโปรดดดด อย่างคนอื่นเขา แม้จะดูว่างเปล่า...ในสายตาเธอ...
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 02-05-2016 23:43:51
วินกับทิดคนเดียวกันหรอ งงค่ะ ขอไปอ่านใหม่อีกหลายๆรอบ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 05-05-2016 07:12:38
ไม่น่าจะใช่คนเดียวกันเพราะกรณีกินยานอนหลับหวังฆ่าตัวตายคงไม่ใช่มีรายเดียวแน่?
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-05-2016 09:31:01
บทที่12 Beside(s) my side(จบ)

“ฮาร์ฟ”

นรกรที่กำลังเหม่อสะดุ้งเล็กน้อย มันฟังดูเหมือนดังมาจากข้างในหัวมากกว่าจะเป็นเสียงจากภายนอก ที่สำคัญคือมันเป็นเสียงของอทิฏฐ์ ถึงจะแค่สั้นๆ แต่เขาสัมผัสได้ถึงความไม่มั่นคงของอารมณ์

“คุณอยู่ที่ไหน” ส่งเสียงถามออกไปในใจ

“ฮาร์ฟ ทางนี้”

เสียงเรียกชื่อดังขึ้นอีกครั้งและมันค่อนข้างชัดเจนทำให้นรกรเริ่มได้สติเต็มที่ว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในร้านกาแฟของโรงพยาบาล นัยน์ตาสีอ่อนกวาดมองหาที่มาของเสียงไปในร้านที่มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะแม้เวลาจะเย็นย่ำมากแล้วก่อนจะหยุดสายตาลงตรงวินทร์ซึ่งโบกมือเรียกอยู่มุมในสุดของร้าน

เพราะกาแฟที่สั่งไปยังอีกหลายคิว นรกรจึงเดินไปหาตามคำชวน

แต่เมื่อเข้าไปใกล้เขาก็เห็นว่าวินทร์ไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันนั้นคือชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาสวมแว่นสายตากรอบเหลี่ยมคนหนึ่ง

“มีอะไรครับพี่วินทร์”

“เพิ่งราวน์เสร็จเหรอ” วินทร์ถามคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยทั้งวันและพยายามไม่สนใจความผิดหวังในแววตาสีอ่อนที่ฉายชัดขึ้นแวบหนึ่ง

“ครับ”

วินทร์เหลือบมองตัวเลขคิวในใบเสร็จที่ยังเหลืออีกเกือบสิบคิว “น่าจะอีกสักพัก นั่งด้วยกันก่อนสิจะได้ไม่เมื่อย” ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ลำพังจึงแนะนำคนแปลกหน้าสองคนให้รู้จักกัน “อ้อ นี่เพื่อนฉันเอง ตังนี่ฮาร์ฟ”

“สวัสดีครับ พี่ตัง”

เจ้าของใบหน้าคมสันหันมาพยักหน้ารับพลางเขยิบตัวไปบนโซฟาเพื่อให้มีที่ว่างเพิ่ม “เชิญเลยครับ ผมเองก็กำลังรอกาแฟเหมือนกัน พอดีเจอวินทร์เลยนั่งคุย เดี๋ยวก็จะไปแล้ว”

นรกรค้อมศีรษะก่อนจะนั่งลงตรงสุดปลายโซฟา

“อันที่จริงเรียกตังเฉยๆ ก็พอ ผมเป็นเพื่อนเจ้าวินทร์มัน”

“ผมเรียกพี่วินทร์ว่าพี่ครับ”

“แบบนั้นก็ได้ครับ”

“ไม่สบายเป็นอะไรเหรอครับ” นรกรถามไปตามมารยาท

“เปล่าครับ ผมมาเยี่ยมหลานน่ะ” ชายหนุ่มที่ชื่อตังหรือตฤณกรตอบ

“ครับ” แล้วนรกรก็ปล่อยให้เพื่อนเก่าสองคนคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างที่นั่งรอกาแฟ สายตาก็คอยชะเง้อมองออกไปนอกร้านที่ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่หวังจะได้เห็นคนที่จนป่านนี้ก็ยังหาตัวไม่เจอ

จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นมาช่วยดึงความสนใจไปจากท้องถนน นรกรล้วงมือลงในกระเป๋าก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“ขอรับโทรศัพท์ก่อนนะพอดีลูกค้าโทรมา” ตฤณกรบอกพลางเปิดสมุดบันทึกเพื่อจดรายละเอียด “ตามนี้นะครับ ขอบคุณครับ”

“พี่ตังวาดรูปสวยจัง” นรกรที่บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพสเก็ตซ์เล่นทั้งทิวทัศน์และสิ่งของต่างๆ ที่สเก็ตซ์ด้วยดินสอและปากกาบนหน้ากระดาษเผลอหลุดปากออกไป เพราะไม่มีหัวทางด้านนี้เขาจึงคิดว่ามันน่าอัศจรรย์ใจมากที่มือของคนเราจะรังสรรค์สิ่งสวยงามแบบนี้ขึ้นมาได้ด้วยดินสอหรือปากกาด้ามเดียว แต่เพราะความหนักเบาที่กดลงไปทำให้เส้นสายที่ตัดกันกลับดูมีมิติแม้จะเกิดจากสีเพียงสีเดียว

“ฝึกอยู่นานเลยละ กว่าจะได้ขนาดนี้”

“ทำงานเกี่ยวกับศิลปะด้วยหรือเปล่าครับ”

“ครับ ผมเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์น่ะ”
นรกรเริ่มสนใจ เพราะอทิฏฐ์พูดอยู่เสมอว่าอยากรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นแบบไหน บางทีผู้ชายคนนี้อาจช่วยเขาได้ “แล้วถ้าผมอยากจะจ้างพี่ตังวาดรูปบ้างนี่ จะได้ไหมครับ”

“ไม่ต้องจ้างหรอก คนกันเอง เพื่อนเจ้าวินทร์ก็เหมือนเพื่อนของผม ว่าแต่รูปอะไรเหรอครับ”

“รูปคนน่ะครับ” นรกรบอก “แต่บังเอิญว่าผมไม่มีแบบที่เป็นคนจริงนะครับ ไม่ทราบว่าพี่ตังวาดได้ไหมครับ”

“ผมวาดจากภาพถ่ายก็ได้ แต่ขอที่ชัด ๆ หน่อยนะครับ ไม่ถนัดวาดพอร์ทเทรดสักเท่าไร”

“ภาพก็ไม่มีครับ คือผมจะบรรยายลักษณะเขาแล้วให้พี่ตังวาดตามน่ะครับ”

“นายจะเอาไปทำอะไรเหรอฮาร์ฟ” วินทร์ซึ่งฟังอยู่นานแทรกขึ้น

“ให้เพื่อนน่ะครับ เป็นของขวัญ” นรกรตอบ “พี่ตังวาดได้ไหมครับ”

“อย่างกับสเก็ตซ์ภาพคนร้ายเลยนะครับ” ตฤณกรพูดติดตลก “แต่อย่างที่บอกว่าผมเองไม่ถนัดวาดภาพคนเหมือนสักเท่าไร ภาพเหมือนคนน่ะพอไหว ยิ่งให้เป็นของขวัญด้วยยิ่งไม่อยากจะรับปากเลย เอาเป็นว่าผมจะแนะนำรุ่นพี่ให้ก็แล้วกันนะครับ”

“นายน่ะแหละ” วินทร์รีบบอก

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ถนัด”

“ไม่ถนัดจะเรียนคณะศิลปกรรมได้ยังไงวะ”

ตฤณกรถอนหายใจพลางยกมือขึ้นขยับแว่นสายตาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิลปกรรมแล้วยังไงวะ คณะศิลปกรรมไม่ได้มีจิตรกรรมแค่สาขาเดียวนะไอ้วินทร์ แกก็รู้ว่าฉันเรียนออกแบบ”

“เออน่า เป็นนักออกแบบก็ต้องวาดรูปเก่งสิวะ แกวาดได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นแหละ ตกลงไหมฮาร์ฟ”
นรกรพยักหน้ารับเพียงแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว “ครับ”

“ก็ได้ ๆ แต่ถ้าไม่เหมือนละก็ อย่าต่อว่ากันก็แล้วกัน” เพราะมีสายโทรเข้ามาอีกครั้ง และกาแฟที่สั่งไว้ก็ได้พอดี เขาจึงขอตัว “นี่นามบัตรผม ถ้าจะให้เริ่มงานเมื่อไรก็โทรมาก็แล้วกันนะครับ” แล้วทั้งสองก็แลกนามบัตรกันก่อนตฤณกรจะหันไปบอกลาเพื่อนเก่า “ไปก่อนนะวินทร์ แล้วเจอกัน”

เมื่ออยู่กันแค่สองคนวินทร์จึงเอ่ยปากถามคนที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” จะให้เขาตอบไปได้อย่างไรว่ากลุ้มใจที่อทิฏฐ์หายตัวไป

“เค้นถามไปยังไงก็คงไม่บอกสินะ” วินทร์พ่นลมออกจมูก พยายามจะไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ เขาเปิดกระเป๋าและหยิบเอาแซนวิซที่ยังเก็บไว้ออกมา “ซื้อมาตั้งแต่เช้า คงชืดหมดแล้วแต่ยังกินได้นะ… หน้านายซีด แล้วก็ดูเพลียๆ เหมือนคนยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย”

“ไม่เป็นไรครับ” นรกรปฏิเสธ เขาเป็นห่วงอทิฏฐ์มากเสียจนไม่อยากกินอะไร นี่ถ้าไม่รู้สึกหน้ามืดและต้องอยู่เวรคงไม่ยอมมาซื้อกาแฟ

“ความหวังดีแค่นี้ก็รับไว้ไม่ได้เหรอ” วินทร์ตัดพ้อ

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือ… ผมแค่กินอะไรไม่ลงจริงๆ… กาแฟได้แล้วผมขอตัวนะครับ” นรกรตัดบทและรีบลุกไป

วินทร์ยกขึ้นหมายจะเรียก ก่อนจะเปลี่ยนใจดึงกลับไปวางไว้บนหัวเข่าแล้วกำเป็นหมัดแน่น

นรกรเดินกลับขึ้นไปบนตึกที่ตอนนี้เริ่มเงียบสงัด เขาตัดสินใจเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์เผื่อเจออทิฏฐ์ไปนั่งแอบอยู่ตรงมุมไหน

บอกตามตรงว่าเขาใจคอไม่ดีเลย

นับตั้งแต่เมื่อวานที่กลับไปห้องทำไมเขาจะฟังไม่ออกว่านั่นคือเสียงร้องไห้ของใคร แต่เพราะบรรยากาศรอบตัวที่ยังเหมือนเดิมและเมื่อเช้าอทิฏฐ์ก็ดูเป็นปกติดียังพูดแซวอะไรได้ เขาจึงเผลอวางใจปล่อยให้อยู่ลำพัง

“รู้แบบนี้ชวนเขาห้องผ่าตัดไปด้วยก็ดีหรอก ไอ้ผีบ้าเอ๊ย! หายไปอยู่ที่ไหนเนี่ย คอยดูนะ เจอตัวเมื่อไหร่จะจับพันสายสิญจน์เก็บใส่ขวดโหลไว้ซะเลย โอ๊ย!” นรกรอุทานเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกกระตุกที่ขาขวาอย่างแรงขณะเดินเกือบจะถึงชั้นสองจนแก้วกาแฟหลุดมือหกกระจายลงบนพื้นโดยที่ยังไม่ได้จิบสักอึก

เขาเหลียวมองลงไปตามทางที่ว่างเปล่า กำลังจะก้มลงเก็บแก้ว แต่แล้วไฟนีออนเหนือหัวก็กะพริบดับครั้งหนึ่งก่อนจะสว่างวาบขึ้นมาใหม่ พร้อมกับที่ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดขั้นที่ต่ำกว่า

เธอคือวิญญาณตนที่มักนั่งกอดเข่าฟุบหน้าอยู่ตรงทางขึ้นชั้นสอง นรกรคิดมาตลอดว่าเธอเป็นเด็ก แต่แท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กรูปร่างผอมบาง เนื้อตัวสีออกเทาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นเถ้าดูขมุกขมอม ดวงตาของเธอแดงก่ำดูรื้นน้ำตาที่คล้ายกับสีเลือด มือข้างที่เอื้อมขึ้นมาจับข้อเท้าของเขาไว้เห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปนเป็นลายสีดำขึ้นไปจนถึงต้นแขน ใบหน้าซีกหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ใต้เรือนผมยาวเละและไหม้เกรียมเป็นหย่อมๆ จนดูไม่ออก บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องนั่งก้มหน้าตลอดเวลา

“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถามเกร็งๆ จริงอยู่ว่าเขาไม่กลัวผี แต่ถ้าเจอผีแปลกหน้าเข้ามาทักด้วยวิธีการแปลกๆ ก็ตกใจเป็นเหมือนกัน

หญิงสาวไม่ตอบได้แต่ชี้มืออีกข้างออกไปด้านนอกตัวอาคาร

นรกรมองตามปลายนิ้วออกไปผ่านหน้าต่างเห็นเงาตะคุ่มของยอดไม้ในสวน  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร “อะไรเหรอครับ”

“วันนี้... 49วัน” เธอพูดต่อโดยไม่มีการอธิบายใดๆ เพิ่มเติมก่อนจะปล่อยมือจากข้อเท้าของเขาแล้วหันกลับไปอยู่ในท่ากอดเข่าซุกหน้าลงตามเดิม

ทว่า เขาก็เข้าใจในทันที “ขอบคุณนะครับ” ค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งและรีบกลับหลังหันวิ่งลงบันไดไปโดยไม่ลืมเก็บแก้วกาแฟไปทิ้งด้วย
.
.
.
.
ทั้งที่คืนก่อนดาวกระจ่างฟ้า ทว่า วันนี้ฟ้าปิด กลุ่มเมฆสีดำจับตัวเป็นก้อนใหญ่ดูทึบทึมจนน่ากลัว มันมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นแม้มือของตัวเอง ลมแรงพัดกระทบยอดไม้ส่งเสียงดังหวีดหวิวคล้ายใครกำลังร้องไห้

ที่ม้านั่งตัวเดิมในสวน ร่างโปร่งแสงนั่งก้มตัวลงจนหน้าเกือบชิดหัวเข่า มือสองข้างกุมศีรษะ เขาหลับตาแน่น พยายามปิดกั้นภาพที่ยังคงไหลเข้ามาในหัวตั้งแต่ช่วงเช้าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้

“ใจเย็นๆ ค่ะ คุณทำเต็มที่แล้วนะคะ กะโหลกแตกละเอียด สมองได้รับบาดเจ็บหลายตำแหน่ง คุณต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้นถึงจะยื้อเขาไว้ได้” เสียงแพทย์หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะเห็นเธอวิ่งเข้าไปคว้ามือสามีที่กำลังง้างขึ้นจะชกกำแพง

“โธ่เว้ย!” นายแพทย์สบถ จ้องมองภรรยาที่กำมือเขาไว้แน่นแล้วเหลียวไปมองด้านหลังทันเห็นพยาบาลสาวกำลังดึงผ้าขึ้นคลุมหน้าอกชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียง

ใบหน้าของเขาเป็นสีม่วงคล้ำ ไม่มีมอนิเตอร์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ และไม่มีสายช่วยชีวิตใดๆ ต่อออกมาจากร่างของเขา

เพราะสิ่งเหล่านั้นเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไปแล้ว

…เขาจากโลกนี้ไปแล้ว…


“ไม่!” สองมือจิกเกร็งแน่นขึ้นอีก อยากจะควักลูกตาตัวเองออกก็คงไม่มีประโยชน์เมื่อภาพนั้นไม่ได้เห็นผ่านสายตา แต่ฉายชัดอยู่ในมโนสำนึก ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา เขาก็ไม่อาจหนีความจริงนี้พ้น

…ทำไม! เพราะอะไร เหตุการณ์เลวร้ายพวกนี้ถึงต้องเกิดกับครอบครัวของเขาด้วย...
.
.
.
.
นรกรวิ่งเต็มฝีเท้าเท่าที่ร่างกายซึ่งไม่เคยออกกำลังจะทำไหว รู้สึกเจ็บแน่นไปทั่วชายโครงแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกแปลบปลาบที่แล่นออกมาจากหัวใจ นัยน์ตาสีอ่อนกวาดตามองหาไปในสวนที่แทบจะมืดสนิท ในที่สุดก็เห็นเงาตะคุ่มของร่างหนึ่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมที่เคยนั่งด้วยกัน

“อยู่นี่เอง” ถอนหายใจเล็กน้อยอย่างโล่งอกและผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าไปใกล้พอนรกรก็ได้รู้ว่ามันเร็วเกินกว่าจะวางใจ

อทิฏฐ์นั่งกุมศีรษะก้มหน้ามองพื้น ร่างของเขาดูขุ่นมัวมากจนน่ากลัว และมันเหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด

“อทิฏฐ์”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาก็ค่อยเงยหน้าขึ้นและเบือนศีรษะหันมาดูช้าๆ นัยน์ตาที่เมื่อเช้านี้เห็นเป็นประกายกลับขุ่นด้านจนมองไม่เห็นตาขาว

นรกรรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหา “อทิฏฐ์! เกิดอะไรขึ้น ไม่เป็นอะไรนะผมอยู่ที่นี่แล้ว”

ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อสายลมพัดโหมมาวูบหนึ่งพร้อมกับที่ร่างนั้นละลายหายไปในความมืดต่อหน้าต่อตา
.
.
.
.
จากที่นั่งอยู่บนม้านั่งในสวน ภาพตรงหน้ากลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สถานที่ซึ่งเขาเคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง ร่างโปร่งแสงนั่งกอดเข่า ตรงหน้ามีภาพคล้ายจอฉายหนังกลางแปลง มันเป็นภาพในห้องของไอซียู บุคลากรในชุดขาวยืมห้อมล้อมร่างที่เพิ่งสิ้นลมบนเตียงและร่วมกันขออโหสิกรรมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประตูห้องจะเปิดออกพร้อมกับที่พยาบาลสาวคนหนึ่งตะโกนรายงานอาการคนไข้อีกคนซึ่งลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายวันที่ตอนนี้ทรุดลงถึงขีดสุด.

“คุณหมอคะ คนไข้เตียงสี่หัวใจหยุดเต้นค่ะ”

เกิดความเงียบขึ้นอึดใจก่อนจะตามมาด้วยความโกลาหลเมื่อทั้งทีมเคลื่อนย้ายไปยังห้องที่อยู่ติดกันแล้วเริ่มต้นทำการช่วยชีวิต

มันดูเป็นฉากที่น่าตื่นเต้นและลุ้นตามว่าชายคนนั้นจะรอดหรือไม่ เพียงแต่นี่ไม่ใช่หนังหรือละคร มันคือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงและเขาคือผู้ชายคนนั้น

“พอได้แล้วครับ” เขากระซิบ “เพราะผมตัดสินใจแล้ว” แล้วก้มหน้าลงซุกหัวเข่า ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินหรือรับรู้อะไรอีก ตอนนี้ที่ต้องการคือ ‘ความสงบ’ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

“ใจร้ายใช่ย่อยนะพ่อหนุ่ม ที่จะไปทั้งที่ยังไม่ได้ร่ำลา”

ร่างโปร่งแสงเงยหน้าขึ้นมอง ความมืดด้านหลังไหววูบขึ้นเล็กน้อยแล้วเจ้าของเสียงปริศนาก็ปรากฏตัวขึ้น อทิฏฐ์แปลกใจไม่น้อยเพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เขานึกต่อว่ามาตลอดว่าเป็นหมอผีเก๊

อาจารย์องค์อินทร์เดินมือไพล่หลังมายืนเคียงข้าง พลันภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นภาพของร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สั้นที่ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงบนม้านั่งในสวน

นรกรก้มลงมองสองมือของตัวเองที่ไขว้คว้าได้เพียงแค่อากาศธาตุ ในอกกระตุกกระตุกวูบ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอทิฏฐ์ ไม่เคยรู้เหมือนกับทุกๆเรื่องเมื่อเจ้าตัวไม่เคยบอก เพียงสิ่งเดียวที่เขารู้ และภาวนาจนสุดใจว่ามันจะไม่เกิด นั่นคือนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้อีก

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดทึบ พยายามจินตนาการถึงวันที่ดวงดาวกระจ่างฟ้า... วันที่อยู่ด้วยกันตามที่อทิฏฐ์เคยบอก แต่เขาก็ทำได้แค่นั้น แค่พยายาม...

คนที่เฝ้าดูอยู่ในที่ไกลแสนไกลรู้สึกหัวใจสลายไม่แตกต่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมาเปลี่ยนใจเขาได้

“ใช่ ผมมันคนใจร้าย”

นี่คงเป็นบทลงโทษจากเบื้องบนในผลกรรมที่เขาได้ก่อไว้ แต่เพราะกายเนื้อไม่ได้สติ จึงให้วิญญาณมารับรู้ความเจ็บปวดนี้เอง

และก็ดูท่าว่าจะสาสมดีเสียด้วย ตอนนี้เขายิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นเสียอีก

“ถ้าเช่นนั้นพ่อหนุ่มก็พร้อมที่จะไปแล้วสินะ” อาจารย์องค์อินทร์บอกพร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้าสู่จุดแสงเล็กๆ ที่มองเห็นอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา

เขาลุกขึ้นยืน กำลังจะออกเดินเมื่อมองทางหางตาเห็นน้ำหยดหนึ่งร่วงลงกระทบพื้น และมันไม่ได้สลายหายไปเหมือนทุกที แต่สะท้อนเป็นประกายอยู่บนพื้น

…นั่นไม่ใช่น้ำตาของเขา…

เขาหันกลับไปทันเห็นภาพคนบนม้านั่งกำลังใช้หลังมือเช็ดดวงตาที่แดงก่ำ นรกรไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่เนื้อตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด และถึงอย่างนั้นเมื่อริมฝีปากขยับ น้ำเสียงนั้นกลับมั่นคง

“อทิฏฐ์ ผมไม่รู้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้างถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดว่าหนทางข้างหน้ามันดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้ามันไม่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานก็ไปเถอะ... ผมตัดสินใจแทนคุณไม่ได้”

นรกรกระซิบกับสายลมที่พัดมาผะแผ่ว ภาวนาจนสุดใจขอให้ลมพัดพาคำพูดนี้ไปให้ถึงคนที่จากไป

“แต่ถ้าคุณ ‘เลือกที่จะอยู่’ คุณยังมีผมอยู่ตรงนี้นะ ขอโทษนะที่ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย นอกจากอยู่เคียงข้างคุณ”


************************TBC********************

ขอต่อTalkข้างล่างนิดหนึ่งนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-05-2016 09:44:51
Talk

กว่าจะจบบทนี้เล่นเอาเราหืดขึ้นคอ

ขอโทษที่ลงแบบลุ่มๆ ดอนๆ ค่ะ แบบว่าภากิจรัดตัวอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แล้วมันก็ค่อนข้างยาวพอสมควรทีเดียว

ตอนหน้าจะพยายามอัพทีละเต็มบทเหมือนเดิมนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ

ปล. ขอบคุณพี่ชาย 'คุณตฤณกร' ที่ให้เกียรติมาเดินผ่านฉากโดยไม่คิดค่าตัวค่ะ

ปล.2 สปอยชื่อตอนหน้า 'Depress'

ปล.3 ตอนนี้มี 3พาร์ทนะคะ คือครึ่งแรก ต่อ และ จบค่ะ อย่าอ่านข้ามนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side(จบ) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 08-05-2016 10:41:02
อ.องค์อินทร์ควรมีบทมากกว่านี้มั้ย
คือเราอึดอัด
หรือถึงมีบทก็พูดอะไรมากไม่ได้อยู่ดี
เหมือนพี่สาวห้อยขาบนตู้ล็อคเกอร์
สงสารฮาร์ฟ และเสียใจกับพี่วินทร์ด้วย
แต่คนไม่ใช่ก็ต้องทำใจนะพี่
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 08-05-2016 11:23:47
อึดอัดไปหมดเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 08-05-2016 12:11:28
เรารู้สึกว่าฉากของครึ่งตอนหลังนี้ค่อนข้างละเอียดมาก ต้องตั้งใจอ่านมากเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 08-05-2016 13:46:46
โอ้ยยยยย....สงสารหมออ่ะ  ตัวจะทิ้งหมอเหรอทิต
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-05-2016 16:12:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 08-05-2016 16:16:29
 o13 สนุก อ่านแล้วมองเห็นหยดน้ำตาของหมอนรกอนเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 08-05-2016 16:55:25
สู้ๆสิว้า พี่ทิด เฮ้อ สงสารฮาร์ฟจัง :katai4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 08-05-2016 18:27:22
สงสารหมออ่ะ น้ำตาซึมแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 08-05-2016 19:22:06
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
โอ้ยยยยยยยย
เอาไงงงงงง ไม่ไปนะไม่ไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-05-2016 19:24:06
ทิดจะไปจริงๆหรอ  :sad4:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 08-05-2016 19:53:38
หดหู่ กดดัน สุดๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 09-05-2016 00:22:05

ทิต. เห็นน้ำตาฮาร์ฟแล้วเปลี่ยนใจมั้ย
ถึงจะเจ็บปวด. แต่จะไม่สู้อีกจริงๆเหรอ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 09-05-2016 00:38:38
โอ้ยยย ทิด ผีใจร้าย
จะตายจริงๆแล้วนะ
กลับมาหาฮาร์ฟเถอะ
TT
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Zxjmm ที่ 09-05-2016 00:53:10
แอบงงเล็กๆแต่ตกใจผู้หญิงตรงบันไดมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: SanadaTwinev ที่ 11-05-2016 23:48:57
ท่านพี่วินทร์คะ น้องจะบอกว่าพิรุจน์หลุดออกมาได้อย่างโจ่งแจ้งมากมายอะไรอย่างนี้ คือกลัวหรืออย่างไรคะ แค่คนเขาจะสเก็ตภาพแค่นั้นเอง จะกลัวไร :a5: :a5: :hao3: :hao3: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 12-05-2016 08:34:21
สู้ต่อไปสิทิด อย่ามายอมแพ้ง่ายๆแบบนี้นะ มีคนรออยู่ทั้งคน  :m15:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 12-05-2016 15:31:03
รู้สึกดีกับทิดและหมอฮาร์ฟ แต่ก็อดสงสารพี่วินทร์ไม่ได้ 5 ปี ไม่ใช่น้อยๆเลย
พูดยากจริงๆ ความรัก
รอตอนต่อไปนะฮะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 13-05-2016 18:39:07
นี่แหละ ที่เรียกว่าซึ้งกินใจ
โหย เล่นเอาน้ำตาซึมเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side (จบตอน) P.8[08/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-05-2016 20:23:56
บทที่ 13 Depress


ทำใจไว้ตลอดเวลาว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้

ทั้งยังไม่เคยคิด... ว่าอีกคนจะจากไปโดยไม่ยอมเอ่ยแม้แต่คำร่ำลา

และนั่นต่างหากที่ทำให้เจ็บปวดมากที่สุด เมื่อคิดไปว่าเขาไม่เคยมีความสำคัญกับอทิฏฐ์เลยแม้แต่น้อย

ไม่เคยคิดว่าหัวใจที่เพิ่งตั้งหลักจากความรักครั้งก่อนได้จะมาเสียศูนย์อีกครั้ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน

นรกรกลับมาเป็นคนเก่า ผู้ชายมืดมนทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมกินไม่ยอมนอน เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องสมุด และมักจะมองหาคนที่หายไปตามทางเดิน จนบางครั้งก็ดูเหมือนเหม่อลอย ทำให้โดนอาจารย์ธนบดีที่ตอนนีจะเริ่มไม่ชอบหน้าเขาจ้องจับผิด

และเรื่องมันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อนรกรเกิดหน้ามืดตอนกำลังผ่าตัด เขาเซถอยหลังและทำมีดหลุดมือร่วงลงพื้น โชคดีที่พัฒนพงศ์ซึ่งตอนนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านปีห้าเข้ามาเป็นผู้ช่วยมือสองคว้าตัวไว้ได้ทัน หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นตั้งสติและทำการผ่าตัดต่อจนเสร็จเรียบร้อย

ทว่า จุดผิดพลาดนั้นก็ไม่สมควรเกิด คนเป็นศัลยแพทย์ควรต้องมีร่างกายที่แข็งแรง มีความพร้อม และมีสติตลอดเวลาเพราะบางครั้งต้องเข้าผ่าตัดข้ามวันข้ามคืนโดยไม่ได้หยุดพัก ถ้าหากในตอนนั้นไม่มีใครรับไว้ได้ทัน หรือถ้าหากมีเขาเป็นแพทย์แค่เพียงคนเดียว แล้วใครจะเป็นผู้ทำการผ่าตัดต่อ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนเรียกไปอบรมนับตั้งแต่เข้ามาเป็นนักเรียนแพทย์

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อาจารย์ธนบดีถามพลางโยนแฟ้มรายงานลงบนโต๊ะ

“ขอโทษครับ” นรกรทำได้แค่ก้มหน้าสำนึกกับความผิดที่ก่อ

“เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดมานานเป็นสิบๆ ปีแล้วนะ นี่น่ะเหรอ คนที่จะมาเป็นอาจารย์คนต่อไป ผมนึกว่าเป็นอินเทิร์นที่เข้ามาสังเกตการณ์ครั้งแรกเสียอีก”

“ขอโทษครับ”

“ถ้ายังเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก เห็นทีผมคงต้องยื่นเรื่องขอให้พิจารณาตำแหน่งของคุณใหม่ ไปทบทวนตัวเองให้ดี… ออกไปได้แล้ว”

“ครับ” นรกรยกมือไหว้และเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ เขายกสองมือของตัวเองขึ้นมาดูมันสั่นเล็กน้อย และเขาต้องหลับตาตั้งสติสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้งหากนั่นก็เพียงช่วยให้มือหยุดสั่นแต่ไม่อาจหยุดหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนปวดหนึบนี่ได้เลย

“ฮาร์ฟ” วินทร์เรียกพร้อมกับก้าวยาวๆ เข้ามาหา เขาทราบเรื่องทั้งหมดจากพัฒนพงศ์และมาทันได้ยินทุกคำพูด “เป็นอะไรหรือเปล่า”

รีบเอามือล้วงกระเป๋าและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ไม่มีอะไรครับ”

แต่ก็ไม่อาจซ่อนคนที่เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่ต้นได้ “ไม่มีอะไรได้ยังไง หน้านายซีดขนาดนี้นี่ได้นอนบ้างหรือเปล่า แล้วข้าวล่ะคงไม่ได้กินเลยใช่ไหม... ไปกินข้าวกันไป ฉันเลี้ยง”

“ขอบคุณครับพี่วินทร์ แต่ผมอิ่มแล้ว”

“อิ่มอะไร” วินทร์สวนกลับ “ตั้งแต่เช้าฉันเห็นนายกินแค่กาแฟแก้วเดียว มานี่เลย” พร้อมกับฉวยข้อมือไว้แน่น

“ปล่อยครับ”

“ไม่ปล่อย!” วินทร์บอกพร้อมกับรั้งตัวให้เข้ามาใกล้ “จะเดินตามมาดีๆ หรือจะให้อุ้ม”

“พี่วินทร์!” นรกรทำเสียงดุ

แต่อีกฝ่ายกลับเฉียบขาดได้ยิ่งกว่า “ตัวเลือกมีแค่นี้” วินทร์ย้ำ “เลือกมาสิ”

“ปล่อยครับ”

“ฮาร์ฟ!”

“แล้วผมจะเดินตามไปเอง” นรกรเป็นฝ่ายยอมแพ้เพราะรู้ดีว่าวินทร์พูดจริงทำจริง ถึงจะสูงพอๆ กันแต่อีกฝ่ายตัวหนากว่าตั้งเกือบครึ่ง ต่อให้ใช้แขนแค่ข้างเดียวก็จับเขาเหวี่ยงขึ้นพาดบ่าได้สบาย และมันคงเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย

“ดีมาก” ริมฝีปากค่อยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่ครึ้มด้วยไรหนวด วินทร์ปล่อยมือพลางพยักเพยิดไปตามเส้นทางก่อนจะออกเดินนำไป

“พี่วินทร์พาผมมาที่นี่ทำไม” นรกรถามด้วยความแปลกใจ เพราะแทนที่จะพาไปโรงอาหาร วินทร์กลับพาเขาเดินลัดสนามเข้ามาในสวน

“ก็กินข้าวไง” บอกพลางดันไหล่ให้นั่งลงบนม้านั่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “นายไม่ชอบคนเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ นานๆ ทีออกมารับวิตามินดีซะบ้าง”

“ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงอาทิตย์คือสิบโมงเช้าถึงบ่ายสาม” นรกรพูดตอบไปโดยอัตโนมัติ “แต่นี่มันตอนเที่ยง แล้วพยาการณ์อากาศก็บอกว่าวันนี้อุณหภูมิจะสูงมากกว่า 40 องศา มาตากแดดตอนนี้ผมคิดว่านอกจากวิตามินดีแล้วยังได้มะเร็งผิวหนังเป็นของแถม แล้วยังเสี่ยงเป็นโรคลมแดด หรือว่า heat stroke ด้วยน่ะสิครับ”

“พูดได้น่าสนใจ” วินทร์ว่าพลางยกมือขึ้นลูบคางที่ครึ้มไรหนวด

“เอ่อ…”

“แบบนี้สิ ค่อยสมเป็นนายหน่อย” ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มกว้างไปจนถึงนัยน์ตา จนนรกรต้องเบือนหน้าหนี

เขาไม่ได้เกลียดรอยยิ้มนี้ เพียงแต่รู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้มันช่างเหมือนกันเหลือเกินกับของคนที่หายไป

และมันยิ่งทำให้เขาหยุดคิดถึงไม่ได้สักที

ตฤณกรโทรหาเขาเมื่อวานนี้เพื่อถามว่าจะยังอยากให้วาดรูปให้อยู่หรือเปล่า ใจจริงก็อยากจะปฏิเสธเพราะคนรับไม่อยู่แล้ว แต่อีกใจก็อยากได้สิ่งที่จะช่วยยืนยันว่าเขาเคยเจอกับอทิฏฐ์จริงๆ ว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ใช่ความฝันหรือสิ่งที่เขาคิดไปเอง ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นเครื่องย้ำเตือนให้คิดถึงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องมานั่งนึกถึงรายละเอียดที่ยังคงแจ่มชัดแล้วบรรยายออกไปทางโทรศัพท์

รูปใบนั้นถูกแมสเซ็นเจอร์นำมาส่งให้เมื่อเช้า ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มีความกล้าพอที่เปิดดูเลย

“ขยับไปหน่อยครับ ที่ออกจะกว้าง” นรกรบอกพร้อมกับกระเถิบตัวหนีเพราะแทนที่คนตัวโตกว่าจะนั่งอีกฟากของเก้าอี้กลับเล่นเบียดเข้ามาจนชิด

“ไปนั่งไกล ถ้านายหนีเดี๋ยวคว้าตัวไม่ทัน” แก้ตัวไปโน่นเพราะเก้าอี้ยาวแค่ระยะเอื้อมมือ

วินทร์เปิดกระเป๋าเป้ หยิบเอาข้าวกล่องออกมาเปิดฝาและส่งให้ มันเป็นเมนูข้าวห่อไข่ง่ายๆ แต่ตกแต่งได้ดูน่าทานด้วยบล็อคโคลี่กับแครอทที่วางเรียงเป็นรูปตากับปากจนดูเป็นใบหน้าคนกำลังยิ้ม

“ไม่ร้อนแล้ว แต่กินได้ใช่ไหม”

“ครับ” นรกรรับมาวางบนตัก “แล้วของพี่วินทร์ล่ะ

“ฉันกินมาแล้ว” บอกพลางเอนหลังพิงพนักตบพุงตัวเองดังแปะๆ “น้ำปลาพริกไม่มีให้หรอกนะ ไม่ได้เอามากลัวหกใส่กระเป๋าเดี๋ยวจะเหม็นซักไม่ออก” พยายามพูดติดตลก “ทนกินจืดๆ เอาหน่อยละกัน

นรกรตักอาหารใส่ปาก และเริ่มต้นเคี้ยว นี่เป็นข้าวมื้อแรกที่ตกถึงท้องในรอบหลายวันที่ผ่านมาหลังจากอาศัยแค่กาแฟและน้ำเปล่าประทังชีวิต

“อร่อยไหม”

“ขอโทษครับ” นรกรตอบเสียงอ่อยเพราะวินทร์ดูตื่นเต้นและคาดหวังมากทีเดียว “ตอนนี้ลิ้นของผมมันไม่รู้รสเลย”

“ไม่เป็นไร” ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่อยากฟังแต่วินทร์ก็ยังคงยิ้มได้ “แค่นายกินให้หมดก็พอ”

นรกรเหลือบตาดูคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง เขารู้วินทร์เป็นคนดีและนึกขอบคุณจากใจ แต่เขารับความหวังดีนี้ไว้ไม่ได้

เขาตักอาหารคำต่อไปตามเสียงเชียร์ นึกตลกปนสมเพชตัวเองนิดๆ ปกติเขาต้องเป็นคนทำแบบนี้กับคนไข้ แต่มาวันนี้กลับโดนทำคืนเสียเอง

ข้าวพร่องไปพอสมควรแล้วเมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

[พี่ฮาร์ฟครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว] เสียงของจิงโจ้ดังมาตามสาย [เช้านี้จู่ๆ น้องลลินก็ปลุกไม่ตื่น พ่อกับแม่เลยพามาโรงพยาบาล ผมส่งทำCT scan ไป พี่วัฒน์อ่านฟิล์มเหมือนก้อนมันจะโตขึ้นอีกแล้วไปกดเบียดโพรงสมองทำให้น้ำไขสันหลังระบายออกไม่ได้]

“แล้วไงอีก” เขาถามอย่างร้อนใจ

“ผมเจาะหลังช่วยระบายน้ำไขสันหลังออก ดูเหมือนเธอจะเริ่มตื่นขึ้นมาครับ แต่ก็คงช่วยพยุงอาการได้แค่ระยะหนึ่ง ยังไงก็คงต้องผ่าตัดครับ”

“อืม ก็ดีแล้วนี่” ค่อยโล่งอกไปเปราะหนึ่งที่นายแพทย์รุ่นน้องจัดการได้อย่างดีเยี่ยม จนกระทั่งจิงโจ้พูดต่อ

[พี่ฮาร์ฟช่วยมาทำการผ่าตัดให้หน่อยครับ]

มือเรียวกำโทรศัพท์แน่น “แต่พี่…”

[เป็นความต้องการของน้องเขาครับ เขาอยากให้พี่ฮาร์ฟผ่า]

“ให้อาจารย์สรวิชญ์ผ่าดีกว่านะ อาจารย์เป็นเจ้าของไข้แถมยังเก่ง…”

“เอาโทรศัทพ์มา” วินทร์ที่เงี่ยหูฟังอยู่นานดึงโทรศัพท์ไปคุยเสียเอง “โจ้ แจ้งห้องผ่าตัด หาเตียงไอซียูเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เดี๋ยวพวกพี่ไป” แล้วกดตัดสาย

“พี่วินทร์จะช่วยผมผ่าใช่ไหมครับ” นรกรถามคนที่ถือวิสาสะสั่งการทุกอย่างเสียเอง

“แค่ช่วย” วินทร์ย้ำ “มือหนึ่งต้องเป็นนาย”

“แต่ผมเพิ่งทำพลาดมา ผมไม่คิดว่าตอนนี้ตัวเองมีความมั่นใจพอจะไปช่วยใครหรอกนะครับ ยิ่งมาฝากความหวังไว้ที่ผมแบบนี้…”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง วินทร์ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบก่อนพร้อมทั้งกดรับ
“ว่าไงโจ้”

[ตอนนี้ห้องผ่าตัดเต็มหมด จะว่างอีกทีก็น่าจะหลังหกโมงเย็นไปแล้วครับ]

วินทร์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “ตามนั้น” กดวางสายแล้วหันมาคว้ามือนรกรดึงให้ลุกขึ้นยืน

“พี่วินทร์จะพาผมไปไหน”

“หาความมั่นใจให้นายไง”



oooooo



 “พี่วินทร์ นี่มันไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนี้นะ!” นรกรเริ่มจะดุจริงจังใส่คนที่จู่ๆ ก็ลากเขาเข้ามาในร้านเกมส์ทั้งที่ยังใส่เครื่องแบบแพทย์ประจำบ้านเต็มยศ มาถึงก็จัดการแลกเหรียญหนึ่งกำมือแล้วลากเขาไปหน้าตู้เกมโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น

“เล่น!” วินทร์เร่งพร้อมกับยัดปืนใส่มือ

“ไม่ครับ”

“เร็ว! พวกซอมบี้มันยกโขยงกันมาแล้ว เดี๋ยวก็โดนพวกมันกระซวกคอตายหรอก”

“ก็บอกแล้วไงครับว่าไม่เล่น… เฮ้ย!”

เพราะแว่นตาสามมิติที่สวมอยู่บนศีรษะทำให้เห็นภาพเสมือนจริงของซอมบี้ตัวหนึ่งที่แอบซุ่มอยู่ตรงมุมตึกและพุ่งเข้าใส่จนเขาสะดุ้งทำปืนลั่นใส่ไปหลายนัด แต่ซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะล้มลง

“ยิงอีก เอามันให้ตายเลย!” วินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งร้องเชียร์และปรบมือเสียงดังจนคนในร้านหันมามองและพากันหัวเราะคิกคักกับเด็กโข่งสองคน “มันเข้ามาใกล้แล้วนะฮาร์ฟ”

นรกรกำปืนในมือแน่น

ทั้งๆ ที่เป็นเสียงของวินทร์ไม่ผิดแน่ แต่ภาพของอทิฏฐ์กลับปรากฏขึ้นแทนที่ เรื่องราวในวันที่มาด้วยกันเมื่อเดือนที่แล้วหวนกลับมาในความทรงจำ

“อย่ายอมแพ้นะ”

ปลายนิ้วที่สอดอยู่ในโกร่งไกกระตุกอยู่หลายครั้ง ก่อนที่เขาจะยกปืนขึ้นและรัวใส่ไม่ยั้ง

ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกันหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นในอกกลับเจ็บแปลบ เขารู้ดีว่านรกรกำลังคิดถึงใครเพราะเขาตั้งใจทำให้มันเป็นแบบนั้นเอง

หลังจากระเบิดสมองซอมบี้ตายไปเป็นร้อยเป็นพันตัวจนแทบไม่มีแรงจะยกปืน วินทร์จึงยอมให้เขาเลิก

และเมื่อถอดแว่นตาออกนรกรก็รับรู้ถึงสายตาก็บรรดานักเล่นเกมทั้งหลายที่มายืนมุงดูด้วยความสนใจเป็นจำนวนมาก และพากันปรบมือให้กับคะแนนไฮสกอร์ที่ทำลายสถิติเก่า

นรกรยืนงงทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยตกเป็นที่สนใจ ซ้ำไอ้คะแนนที่พุ่งพรวดพราดนั่นจริงๆ แล้วก็เกิดจากความรู้สึกทั้งน้อยใจ เสียใจและโกรธอทิฏฐ์ที่มันผสมปนเปกันมั่วไปหมดแล้วเอาไปลงกับซอมบี้พวกนั้น

“เจ๋งมากไอ้น้อง”

“สุดยอดเลยครับพี่ชาย”

“ทำลายสถิติที่ ‘unknow’ ทำไว้แบบไม่มีใครโค่นได้ด้วย”

“เขานี่แหละครับคนทำสถิตินั้น” วินทร์โอ่ “ฟะ… เพื่อนผมเองครับ เพื่อนผม”

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองสงสัยว่าวินทร์ตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ แต่นั่นยังไม่แปลกใจเท่ากับเรื่องที่ว่าทำไมวินทร์ถึงพาเขามาที่นี่ ทำไมถึงคิดว่าคนที่มีภาพลักษณ์เป็นเด็กเนิร์ดเต็มขั้นแบบเขาจะเล่นเกมเป็น

และคนเดียวที่รู้ก็คือคนที่เขาจินตนาการว่าเป็นซอมบี้น่ะแหละ

ดูเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว วินทร์อมยิ้มมุมปาก เขาโบกมือลาทุกคนแล้วคว้ามือนรกรเดินออกมารับลมที่ลานน้ำพุด้านหน้าห้าง ทั้งสองเดินวนไปรอบๆ จนสุดทางก่อนจะนั่งพักลงตรงม้านั่งตัวหนึ่ง

พวกเขาต่างไม่พูดอะไรกันและทอดสายตามองไปคนละทิศ จนกระทั่งสายตาสองคู่มาจบลงที่ครอบครัวหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย

พ่อกับแม่จูงมือลูกชายอายุราวห้าขวบที่ร้องเพลงพลางกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลด ราวกับติดสปริงไว้ที่รองเท้า ทั้งพ่อและแม่เองก็ร้องเพลงคลอและโยกตัวตามไปด้วยกัน

มันเป็นภาพที่ดูสนุกสนานและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน สำหรับทั้งสองคนที่ไม่เคยมีช่วงเวลานี้ในชีวิต

“ฉันเคยเล่าให้ฟังหรือยังว่าพ่อกับแม่ฉันตายแล้ว” จู่ๆ วินทร์ก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ

นรกรเหลียวมองและส่ายหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง

“อุบัติเหตุน่ะ” วินทร์ทอดสายตามองน้ำพุที่พุ่งขึ้นลงบ้างก็ส่ายไปมาราวกับมันเป็นจังหวะของชีวิตและเริ่มต้นเล่า “โดนคนเมาขับรถชน แล้วถังแก๊สก็ดันมาระเบิดจนไฟลุกอีก... แม่มาไม่ถึงโรงพยาบาลส่วนพ่อก็อาการร่อแร่เต็มที กะโหลกแตก สมองบวม เลือดออกเต็มหัวแถมยังใกล้กับก้านสมอง ไม่มีใครกล้าผ่า เพราะขืนผ่าไปก็ตายคาห้องผ่าตัดแน่ แต่มีหมอคนหนึ่งที่ยอมเสี่ยง การผ่าตัดไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นักและพ่อฉันก็ตายในวันต่อมา”

“ผมเสียใจด้วยนะครับ”

ริมฝีปากเม้มแน่นอยู่อึดใจก่อนจะพูดต่อ “รู้ไหมว่าทำไมว่าหมอคนนั้นถึงเลือกที่จะผ่า ทั้งที่ใครๆ ก็คัดค้านเพราะมีโอกาสรอดแค่ 1%”

นรกรส่ายหน้า

“เขาบอกกับทุกคนว่า แค่ 1% มันก็มากพอแล้วที่จะช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง ถ้าใครคนนั้นเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือคนรักของใครสักคน”

“แต่ว่า…”

“นั่นไม่ใช่การยื้อเพื่อให้รอด แต่เขาแค่ยื้อเพื่อให้พ่อได้มีชีวิตอยู่นานพอเพราะหวังจะให้ฉันได้ทันมาดูใจ” วินทร์รีบอธิบายต่อ “และคุณหมอคนนั้นก็คืออาจารย์สรวิชญ์ คุณพ่อของนาย”

“พ่อของผมเหรอ” นรกรทวนคำเริ่มเข้าใจว่าทำไมทั้งสองคนถึงสนิทกัน

วินทร์เหลียวมามอง ทั้งคู่สบตากันอยู่นานก่อนที่วินทร์จะพูดต่อ “นายทำได้ฮาร์ฟ จำได้ไหม 50% นายก็ทำมาแล้ว นี่โอกาสมันมากกว่านั้นตั้งเยอะ”

“แต่ทำไมต้องเป็นผม หมอคนอื่นมีตั้งเยอะแยะ”

“เพราะต้องเป็นนายน่ะสิ” วินทร์ย้ำ “เพราะลลินเชื่อมั่นในตัวนาย ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่อาจารย์สรวิชญ์ แต่เธอเลือกจะฝากชีวิตไว้ในมือนาย” เว้นวรรคเล็กน้อยและมองลึกเข้าไปในตาคนตรงหน้ามากขึ้นอีก “ฮาร์ฟ เธอให้ความมั่นใจนายมาแล้วครึ่งหนึ่ง ขอแค่อีกครึ่งจากนายไม่ได้เหรอ”

“แต่แค่นั้นมันจะพอเหรอครับ” เขายังคงไม่มั่นใจ

“พอสิ” วินทร์ว่า “หรือถ้ามันจะไม่พอ ฉันจะช่วยเติมให้มันเต็มเอง เรามาช่วยเธอด้วยกันเถอะ” พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแบออกตรงหน้า

นรกรจ้องฝ่ามือนั้น ริมฝีปากเม้มสนิทอยู่อึดใจ ก่อนจะพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้ววางมือทับลงไป

วินทร์ยิ้มกว้างมากขึ้นอีก เขาวางมืออีกข้างข้างทับลงไปและบีบมือนรกรแน่น “ให้มันได้อย่างนี้สิ”


***********************TBC*********************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 15-05-2016 20:50:25
งื้อออออ  อิตาคุณหมอทำคะแนนใหญ่เลยอ่ะ   

วอนทิตแล้วน่ะทิ้งกันได้ลงคอ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 15-05-2016 20:54:24
อทิฏฐ์ จะเป็น พี่วินทร์ จริงๆ หรอเนี่ยยย  :ruready

มีเรื่องสงสัยเต็มไปหมดเลยยยย

//ขอบคุณค่า~~~
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Cupcake ที่ 15-05-2016 21:23:57
พี่วินทร์คือทิตจริงๆหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-05-2016 21:36:07
ฮาร์ฟ ทำตัวไม่สมกับเป็นหมอมืออาชีพจริงๆ
กินอาหารไม่ครบมื้ออยู่แล้ว พอเสียใจก็ยิ่งไม่กินหลายวัน
พักผ่อนน้อย ถ้าพลาดเป็นลม แล้วถ้าไม่มีหมออีกคนอยู่ด้วย
ชีวิตคนไข้ที่อยู่ในมือหมอจะเป็นอย่างไร
ยิ่งเข้าทางหมอธนบดีที่ไม่ชอบหน้าตัวเองเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-05-2016 21:49:33
เอาใจช่วยทุกฝ่าย
ลลิน ฮาร์ฟ วินทร์ อทิษฐ์
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-05-2016 21:53:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 15-05-2016 21:54:38
ตอนนี้ยังไม่กล้าคาดเดา :heaven รอตอนต่อไปดีกว่า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 15-05-2016 21:57:33
วินทร์คือผีทิดหรือคะ นี่ตั้งใจลวงให้เข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่าอ่า แง อ่านไประแวงไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 15-05-2016 22:04:35
ทิดดดด หมอจะร้องไห้แล้วนะ ทิดหายไปนานอะ แล้วแบบนี้ ใครจะพาหมอไปเที่ยว(ร้านเกม) พาไปกินข้าว  :hao7:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 15-05-2016 22:32:45
ผิดหวังกับฮาร์ฟมาก ไม่ควรปล่อยปละละเลยตัวเองขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: im4gine_32 ที่ 15-05-2016 22:51:52
พี่วินทร์จะเป็นทิดจริงๆหรอ...แต่คนมันไม่ใช่ไปแล้วมันจะกลับมาใช่ก็ยังไงๆอยู่ แต่เหมือนคนเขียนบอกว่าพระเอกเป็นทิดไม่พลิก..โอ๊ยย...ไม่กล้าเดาได้แต่รอตอนต่อปายยย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 15-05-2016 22:57:30
เดี๋ยววววว. งงงงงงงงง มากกกก
อะไรยังไงเนี้ย
จากที่ตอนแล้วๆมาเรานึกว่าทิดเรียนวิศวะซะอีก
แต่ดันมาคล้ายๆกับวิน เอ้า งง
วินญาณทะลุมาอนาคตเหรอ
ทำไมตอนทิดอยู่ วินก็ยังอยู่ล่ะ เอ้างง
นี่ตกลง คนเขียนจะให้เข้าใจว่าทิตคือวินใช่มะ
มันก็มีเค้าลางอยู่
แต่ time มันไม่ได้อะ
อะไรยังไงเนี้ย สับสนมากมาย
รอตอนต่อไปแล้วกันค่ะ
--*
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 15-05-2016 23:58:28
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

โอ้ยยยยย พี่วินทร์ทำคะแนนใหญ่แล้ว
สงสารฮาฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-05-2016 00:23:48
สรุปว่าทิดเป็นใครเนี่ย เหมือนจะเป็นพี่วินทร์ แต่จะใช่รึป่าวก็ไม่รู้  :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 16-05-2016 11:17:05
อ่านแล้ว วิเคราะห์ไปมา งงหมดเลย  :katai4:
รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ  o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: banazjj ที่ 16-05-2016 14:03:51
สงสัยไปหมดเลย รอความกระจ่างต่อไป  :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: miniHONEE ที่ 16-05-2016 16:35:49
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด
มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเลยว่าผีทิดกับพี่วินทร์เป็นคนคนเดียวกันชัวร์ คือเริ่มตงิดตั้งแต่ช่วงกลางๆแล้ว ยิ่งอ่านมาถึงตอนที่ทิดบอกว่าฝนมักจะเรียกทิดว่า'พี่' ยิ่งมั่นใจเลย
คนแต่งผูกโยงเนื้อเรื่องได้ดีมากค่ะ แรกๆอ่านเหมือนไม่มีอะไรนะ แต่พออ่านไปเรื่อยๆทั้งตอนสร้างปมแล้วค่อยๆคลายไปทีละปม เรายิ่งรู้สึกว่ามันดีอะ มีความลึกซึ้ง มีที่มาที่ไป
ปกติเราจะอยู่แต่ในเงามืดแต่นี่ต้องล็อคอินเข้ามาเม้นเลยอ่ะ ชอบมากค่ะ ติดตามนะคะ อยากรู้ว่านรกรจะรู้ความจริงทั้งหมดได้ยังไง แล้วพี่วินทร์จะทำยังไงต่อไปเพราะดูท่าแล้วนรกรยังฝังใจกับทิดอยู่แล้วก็ไม่ได้ระคายเลยสักนิด(ก็ไม่แปลก ถ้านรกร'เชื่อ'ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวในช่วงของ'ปัจจุบัน')
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 16-05-2016 18:20:02
รอลุ้นตอนต่อไปค่ะ สู้ๆนะฮาร์ฟ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 21-05-2016 23:12:18
บทที่ 14 Still


ในห้องผ่าตัดแคบๆ เต็มไปด้วยบุคลากรมากมายทั้งวิสัญญีแพทย์-พยาบาล พยาบาลผู้ช่วยส่งเครื่องมือผ่าตัดอีกอย่างน้อยสองถึงสามคน ทุกคนอยู่ในตำแหน่งเตรียมพร้อม ภายใต้แสงสว่างจ้าจากโคมไฟผ่าตัดเหนือหัวมีร่างเล็กของลลินนอนอยู่บนเตียง
เธอถูกโกนผมออกทั้งหมดและใส่ท่อหายใจดมยาสลบเป็นที่เรียบร้อย

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งเป็นเจ้าของไข้เปิดโอกาสให้ทั้งสองแสดงฝีมือเพราะอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนทั้งสองต้องผันตัวจากผู้ถูกสอนมาเป็นผู้สอน ส่วนตัวเขาก็เข้าไปนั่งสังเกตการณ์อยู่หลังกระจกในห้องที่อยู่ติดกัน โดยที่เขาก็แต่งตัวไว้พร้อมอยู่แล้วถ้าหากเห็นท่าไม่ดีก็จะรีบเข้าไปรับช่วงต่อ

“พร้อมนะ” วินทร์ถามคนในชุดปลอดเชื้อตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ยืนอยู่ข้างกัน

นรกรพยักให้แทนคำตอบ เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดก่อนจะหยิบมีดขึ้นมา

การผ่าตัดเริ่มต้นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเปิดมาเจอก้อนเนื้อร้าย มันมีสีออกคล้ำ และปกคลุมด้วยเส้นเลือดที่มาเลี้ยง

เขาค่อยๆ เลาะมันออกด้วยความระมัดระวัง พยายามตัดเลี่ยงเส้นเลือดเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด แต่ก็ทำได้ยากยิ่งเพราะเส้นเลือดที่มันเกาะอยู่มีขนาดใหญ่และมากมายเหลือเกิน

เลือดเริ่มออกมากขึ้นทุกทีจนวิสัญญีแพทย์เริ่มเติมเลือดทางสายน้ำเกลือให้ไม่ทันทำให้ความดันตกลงเรื่อยๆ

“พอก่อนไหมหมอ คนไข้จะไม่ไหวเอานะ”

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองกระปุกที่ดูดเอาเลือดเสียทิ้งออกมาจนเต็มไปสองกระปุกแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้ลลินเสียเลือดไปราวสองลิตร แต่การผ่าตัดเพิ่งดำเนินไปได้แค่ครึ่งเดียว

จะพอแค่นี้และรอให้ลลินฟื้นตัวแล้วกลับมาผ่าตัดซ้ำอีกครั้งก็ได้ แต่ก้อนเนื้อร้ายนี้อยู่ลึกมากการจะเลาะเข้ามาได้ถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และการดมยาสลบหลายครั้งก็ไม่ส่งผลดีกับร่างกายของเธอเลย

แต่ถ้าจะไปต่อ...

ในขณะที่กำลังลังเลนั้นเองที่เขาเห็นเงาร่างของเด็กสาวที่กำลังผ่าตัดอยู่ยืนอยู่ปลายเตียง
ใบหน้าของลลินซีดเผือด เธอเดินอ้อมคนอื่นๆ ซึ่งไม่มีใครเห็นมายืนที่ข้างศอกเขา ชะโงกหน้ามองดูสมองของตัวเองอยู่อึดใจก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันหลังเดินไปที่ประตู

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโตขึ้นเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าท่าทีแบบนั้นของเธอมันหมายความว่าอะไร ทำให้เกิดคำถามในใจว่าหมออย่างเขาเองก็ควรจะถอดใจด้วยใช่ไหม

“หมอคะ” ทีมเริ่มวิตกเมื่อเห็นศัลยแพทย์มือหนึ่งไม่ตอบและชะงักมือไป บางคนเหลือบมองศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่นั่งกอดอกดูอยู่หลังบานกระจก เขาเคาะนิ้วลงบนท่อนแขนเป็นจังหวะราวกับกำลังนับถอยหลัง

วินทร์สังเกตเห็นอากัปกิริยานั้น เขาใช้ปลายนิ้วก้อยสะกิดที่หลังมือครั้งหนึ่ง “มองอะไรฮาร์ฟ”

“ผม…”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เคาะนิ้วลงเป็นครั้งสุดท้าย และนิ่งมอง

“มองตาฉันสิ แล้วบอกมาว่าจะทำยังไง” วินทร์กระซิบถามที่ได้ยินกันแค่สองคน “ไม่สู้ก็เลิก แต่ถ้านายจะสู้ ฉันก็จะสู้กับนายเอง”

นรกรละสายตาจากร่างเล็กหันไปสบสายตาที่มองมาอยู่อึดใจ แล้วกลับไปมองเด็กสาวที่ยังยืนหันหลังคาอยู่ที่ประตูอีกครั้ง มือเรียวกำด้ามมีดแน่น

“เราจะสู้ต่อครับ” กระซิบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น เขาหันมาพยักหน้าให้ทีม แล้วจรดปลายมีดอีกครั้งด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิม

ศาสจารย์สรวิชญ์ลดมือลงล้วงกระเป๋าและหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากดส่งข้อความหาภรรยา

[วันนี้อยากกินข้าวต้มมื้อดึกฝีมือคุณจัง]



เด็กสาวหนีออกมานั่งอยู่หน้าห้อง ถัดออกไปไม่ไกลจากจุดที่พ่อกับแม่ของเธอกำลังกุมมือกันและช่วยกันอธิษฐานสุดหัวใจ เธอผ่อนลมหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่ง นึกอยากจะเข้าไปขอโทษท่านทั้งสอง และไปบอกให้คุณหมอพอเสียทีเพราะเธอไม่อยากสู้อีกต่อไปแล้ว เมื่อใครคนหนึ่งร้องทัก

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ”

“คุณ!” ลลินอุทานพลางเหลียวหลังกลับไปมองในห้องผ่าตัดก่อนจะหันกลับมาจ้องคนตรงหน้าเขม็ง ไม่ได้ตกใจที่นานๆ ทีจะได้เจอชายหนุ่มร่างสูงหล่อมีใบหน้าคมสัน แต่เพราะเขาช่างละม้ายคล้ายคนที่กำลังช่วยทำการผ่าตัดให้เธออยู่ เพียงแต่ดูอ่อนเยาว์กว่าหลายปีและที่สำคัญคือดูสะอาดสะอ้านกว่า

“ขอนั่งด้วยคนนะ”

“ค่ะ” เธอยังคงจ้องเขาไม่วางตาในขณะที่เขานั่งลงและค้อมตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ระดับสายตาเสมอกัน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงคิดจะยอมแพ้ล่ะ” เขาเดาได้ไม่ยากเพราะถ้าใจยังสู้ก็คงไม่มานั่งห่อเหี่ยวทำหน้าเศร้าอยู่ตรงนี้

“เมื่อวานประกาศผลสอบ” ลลินเริ่มต้นเล่า “หนูสอบไม่ติด”

“ก็เลยถอดใจงั้นเหรอ”

ลลินพยักหน้าพร้อมกับหลุบสายตาลงต่ำ รู้สึกผิดกับคนที่กำลังพยายามช่วยเธอขึ้นมาจับใจ

“ฉันเข้าใจนะ ก็นั่นมันความฝันของเธอนี่นา” เม้มปากสนิทครั้งหนึ่ง “แต่รู้อะไรไหม บางทีคนเรามันก็ต้องมีแผนสำรองนะ”

เธอเงยหน้าขึ้นมอง “เช่นอะไรคะ”

“ฉันอกหัก แล้วฉันก็ฆ่าตัวตาย” เพราะไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไร เขาจึงเล่าเรื่องของตัวเอง

เด็กสาวยกมือขึ้นปิดปากพลางหันกลับไปมองในห้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เข้าใจผิดไป “ไม่จริงน่า”

“จริงสิ ฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ไง” เขาเล่าต่อ “แต่ก็อย่างที่เธอเห็น ฉันยังไม่ตาย”

“แล้วนี่คือแผนสำรองของคุณเหรอ” เธอถามด้วยความสงสัย “ยังไงคะ หนูไม่เห็นเข้าใจเลย”

“สาเหตุที่ฉันอยากตายก็เพราะชีวิตฉันมันไม่เหลืออะไรแล้ว ทั้งอกหัก พ่อแม่ก็ตายหมด แต่เป็นเพราะ ‘เขา’ ทำให้ฉันรู้ว่าฉันยังมีที่ให้กลับมา”

“เขา?”

“คนที่อยู่ในห้องผ่าตัดและกำลังพยายามช่วยชีวิตเธอนั่นไง”

“พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็รู้เรื่องแล้ว” ลลินหลิ่วตา

ชายหนุ่มยิ้มเขิน “การได้เฝ้ามองดูเขามันทำให้ฉันรู้ว่าชีวิตมันยังมีอีกหลายด้านที่ยังไม่เห็น ทั้งครอบครัวที่ไม่เคยพูดกันหรือทะเลาะกันทุกวันแต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังรักกัน เพื่อนร่วมงานที่เห็นนิ่งๆ แต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะเป็นห่วงเรายิ่งกว่าใคร เราไม่จำเป็นต้องเกลียดแฟนเก่าและเป็นศัตรูกับแฟนใหม่ของเขา และเรื่องราวของคนไข้ที่ได้รับฟังในแต่ละวัน ความเจ็บป่วยมันก็เหมือนความโชคร้ายของฉัน มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่ในเมื่อมันมาหาเราแล้วไม่ยอมไปไหน สิ่งที่เราทำได้คือต้องเข้มแข็ง ยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ ดูอย่างเธอสิ ตัวแค่นี้แต่กลับสู้ยิบตากับโรคที่ไม่มีวันหาย” เขามองเธอพลางยิ้มกว้าง “นี่ล่ะแผนสำรองของฉัน แล้วเธอล่ะ… ปีนี้พลาดก็ยังมีปีหน้านี่ แต่ถ้าเธอยอมแพ้ตอนนี้โอกาสก็จะไม่มีอีกแล้วนะ”

เด็กสาวครุ่นคิดยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ จู่ๆ คุณแม่ของเธอก็ร้องเสียงดังหลังจากรับโทรศัพท์สายหนึ่ง

ทั้งสองหันไปมอง

“จริงเหรอคะ! ค่ะ รับทราบค่ะ เธอจะไปค่ะ ไปแน่ๆ ขอบคุณมากนะคะที่โทรมา”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณ” พ่อถาม

“เมื่อกี้ทางมหาวิทยาลัยโทรมาบอกว่ามีคนสละสิทธิ์และเรียกลูกเราไปสอบสัมภาษณ์ค่ะ” แม่ชะงักไป น้ำใสเอ่อขึ้นเต็มสองตา “ฉะ… ฉันตอบตกลงเขาไปแล้ว เราจะได้พาลูกไปใช่ไหม”

“ผมแทบจะรอวันที่จะได้เห็นเธอใส่ชุดนักศึกษาไม่ไหวแล้ว” พ่อบอกพลางโอบแขนรอบบ่าที่สั่นสะท้านของแม่และบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง

“ท่าทางตอนนี้เธอก็น่าจะมีแผนสำรองของตัวเองแล้วนะ” เขาบอก “ว่าไง จะลองลุยดูอีกสักตั้งหรือจะปล่อยมันไปล่ะ”

“ไม่ค่ะ”

เขามีสีหน้าผิดหวังในทันที “ก็... เข้าใจนะ”

“ไม่ปล่อยไปแน่นอน” ลลินพูดต่อ

ชายหนุ่มหันมามอง ประกายในดวงตาที่หายไปของเด็กสาวกลับมาเจิดจ้าอีกครั้ง “ให้มันได้อย่างงี้สิ มา คนเก่งเดี๋ยวฉันเดินไปส่ง” พลางลุกขึ้นยืนและส่งมือให้ข้างหนึ่ง

ลลินเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้พร้อมทั้งคว้ามือนั้นไว้

“ทำไมคุณถึงมาช่วยหนูคะ” เธอถามระหว่างที่กำลังเดินไปด้วยกัน

“เพราะฉันรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอยังไม่ยอมแพ้ เพียงแต่เหนื่อยเกินไป ก็เลยอยากหยุดนั่งพักสักนิด” เขาบอกยิ้มๆ “ฉันอยากเห็นทนายสาวคนเก่งเอาชนะคดีนี้ให้ได้นะ”

“คุณอยู่ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอคะ”

“ก่อนหน้านั้นนิดหน่อย” เขาแก้ให้ถูกต้อง “จะบอกอะไรให้ฟังนะลลิน จริงอยู่ว่าฉันอยากอยู่ต่อไปเพราะ ‘เขา’ แต่เธอคือคนที่ทำให้คนที่อยากจะ ‘ไป’ อย่างฉันเริ่มคิดถึงคำว่า ‘อยู่ต่อ’ นะ ความเข้มแข็งของเธอมันส่งผ่านมาถึงฉันด้วย… ขอบคุณมากนะครับ”

ลลินเงียบไปอึดใจ ริมฝีปากอมยิ้มน้อยๆ รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจที่คนไม่มีอะไรอย่างเธอก็สามารถช่วยใครสักคนได้เหมือนกัน เธอบีบมือเขาแรงขึ้นเล็กน้อย “นี่”

“ครับ”

“สัญญากับหนูได้ไหม”

“อะไรครับ”

“เราสองคนจะไม่ยอมแพ้ไปก่อนจนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง”

“จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง” เขารับคำ

ลลินพยักหน้าพลางปล่อยมือและเดินตรงไปยืนข้างเตียง “หนูกลับมาแล้วค่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนอย่างเคย

ไม่มีใครได้ยินเสียงกระซิบเล็กๆ นั้นนอกจากศัลยแพทย์มือหนึ่งที่กำลังทำการผ่าตัด ใบหน้ายับย่นจากความเครียดเบื้องหลังหน้ากากระบายยิ้มกว้างไปจนถึงนัยน์ตา

ลลินยิ้มตอบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมาพลางพยักเพยิดไปทางประตูก่อนที่ร่างของเธอจะหายวับไป

นรกรเหลียวมองตามด้วยหางตา แล้วเขาก็เห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่

ใครคนนั้นชูนิ้วโป้งให้สองข้างพร้อมกับส่งยิ้มกว้างที่ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาให้เหมือนเคยก่อนจะหันหลังออกประตูไป

“เขาฝากบอกว่าจะรอคุณหมอในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าค่ะ” เสียงเล็กๆ ของลลินดังขึ้น

“มีอะไรเหรอ” วินทร์ถาม รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของคนข้างตัวที่เปลี่ยนไป

“เธอกลับมาแล้ว” นรกรตอบพลางโยนชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ลงในชาม นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองมอร์นิเตอร์ซึ่งแสดงสัญญาณชีพที่ขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ปกติและสีผิวที่กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง ก่อนจะวางมีดลงและหยิบเข็มสำหรับใช้เย็บแผลขึ้นมา “ขอบคุณพี่วินทร์มากนะครับที่มาช่วยกัน”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่นั่งดูอยู่ยกโทรศัพท์ขึ้นดูอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน

“จะกลับแล้วเหรอคะอาจารย์” หัวหน้าพยาบาลประจำห้องผ่าตัดที่เดินผ่านมาร้องทัก

“เมียตามไปกินข้าวน่ะครับ” ตอบอย่างคนกันเอง

พยาบาลมองตามแผ่นหลังอาจารย์แพทย์จนกระทั่งประตูปิดก่อนจะไหวไหล่ครั้งหนึ่ง เพราะไม่บ่อยนักที่เธอจะได้เห็นเขายิ้มอย่างอารมณ์ดี โดยเฉพาะรอยยิ้มแบบนี้ ครั้งล่าสุดที่เห็นก็วันที่ทนยืนขาแข็งข้ามคืนผ่าตัดรวดเดียวสองเคสเพราะต้องรีบไปงานรับปริญญาลูกชายในตอนเช้า


หลังจากไปส่งลลินที่ไอซียูและรอดูจนแน่ใจว่าสัญญาณชีพคงที่ นรกรซึ่งยังอยู่ในชุดหมีก็วิ่งเต็มฝีเท้ากลับมาที่ห้องเปลี่ยนชุด

วินทร์กลับไปแล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีเคสผ่าตัดอื่นๆ แล้วทั้งห้องจึงปิดไฟเงียบ

“อทิฏฐ์!” ด้วยร้อนใจจึงส่งเสียงเรียกไปก่อนที่จะเปิดไฟ และทันทีที่ดวงไฟกลางห้องสว่างขึ้น เขาก็แทบจะพุ่งเข้าใส่ร่างโปร่งแสงที่ยืนยิ้มอยู่

“ครับ”

“ยังมาทำหน้าระรื่นอีก เดินหนีออกมาทำไมอีกนิดเดียวผมก็จะผ่าตัดเสร็จแล้วแท้ๆ”

“ไม่ได้หนีสักหน่อยแค่ออกมารอ ก็ผมไม่ได้เป็นผี UHT นี่นาจะได้สะอาดปลอดภัย เลยกลัวว่าจะเอาเชื้อโรคไปติดน้องเขา”

นรกรนึกอยากกระโดดบีบคอคนช่างยวนให้ตายไปอีกหนให้รู้แล้วรู้รอด “แล้วนี่หายไปไหนมาหลายวัน รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงแค่ไหน”

“ซ้อมตายน่ะ แค่อยากรู้ว่าจะมีใครร้องไห้ให้ผมไหม”

“ไม่ตลกนะ”

“ก็ไม่ได้เล่นตลกให้ดูนี่” เมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มไม่ขำด้วยอทิฏฐ์จึงยอมเข้าเรื่อง “ฮาร์ฟ ผมมาลา”
“จากเป็นหรือจากตาย” นรกรถามตรงๆ

อทิฏฐ์กรอกตา “โดนจับได้แล้วสินะ”

“คุณจำได้แล้วใช่ไหม ทุกๆ อย่าง ทำไมคุณถึงไม่บอกผมล่ะ”

“เพราะผมแค่อยากจะเป็นอทิฏฐ์ของคุณ” เขาตอบและนั่นคือความจริงจากใจอย่างที่สุด “ให้คุณเห็นแค่ส่วนที่เป็นสีขาว ไม่ใช่สีดำที่น่ารังเกียจ”

“ฟังดูดีนะ” นรกรกระซิบ เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่อทิฏฐ์ต้องการจะบอกจริงๆ ไม่ใช่คำลา หากกลับมาเพื่อขอให้ตัดใจลืมเขาไปต่างหาก “แต่คนเราไม่ได้อยู่ด้วยกันได้เพราะมองเห็นแค่ข้อดี แต่เป็นเพราะเรายอมรับข้อเสียของกันและกันได้ต่างหาก”

“ข้อเสียผมมีเป็นร้อยเลยนะ”

“ลองบอกมาสิ”

“จริงๆ แล้วผมเป็นคนซกมกมากหน้าหนาวก็ไม่ชอบอาบน้ำ สถิติสูงสุดที่เคยทำไว้คือเจ็ดวัน ขนก็เยอะแต่ดันไม่ชอบโกนหนวดแถมยังปากไม่ดีอีกนะ”

“ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่”

“ขี้หวง”

“นั่นก็เพราะเป็นห่วงไม่ใช่เหรอ”

“ชอบแกล้ง”

“คุณก็แค่อยากให้ผมยิ้ม”

“ผมติดเหล้าด้วยนะ” ถึงตรงนี้เสียงของอทิฏฐ์แหบพร่าไปเล็กน้อย “คุณลองนึกถึงพวกขี้เมาที่ถูกส่งมารักษาแผนกจิตเวชสิ ตัวผมไม่ได้ดูดีแบบที่คุณเห็นตอนนี้หรอกนะ”

“ต่อให้คุณพิการผมก็รัก” นรกรว่า “คิดว่าผมสนใจเหรอว่าคุณรูปร่างหน้าตาแบบไหน อย่าลืมสิว่าตอนนี้คุณเป็นผีนะ ที่ผมรู้และเป็นสิ่งเดียวที่ผมสนคือหัวใจคุณที่มันเป็นของจริงและผมรักคุณตรงนั้น คุณก็เหมือนกับตำราที่ผมอ่านไม่ออกแต่ผมเข้าใจมันได้”

อทิฏฐ์มองคนตรงหน้า หมดข้อโต้แย้งใดๆ จะปฏิเสธ เขารู้สึกเหมือนหัวใจที่เคยแหลกสลายและโยนทิ้งไปถูกมือของผู้ชายคนนี้หยิบขึ้นมาประกอบใหม่ หากมันยังคงเปราะบางและเต็มไปด้วยรอยร้าว

แต่อย่างที่นรกรเคยบอกว่าคนเราไม่จำเป็นต้องลืมความรักครั้งเก่าเพื่อก้าวต่อไป

และตอนนี้เขาก็มั่นใจแล้วว่าจะก้าวไปกับใคร ทว่ามันยังไม่ถึงเวลานั้น

“ฮาร์ฟ” อทิฏฐ์เรียกพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก “อย่าลืมสิว่าหนังสือทุกเล่มย่อมมีบทสุดท้าย และตอนนี้เรื่องของเรามาถึงบรรทัดที่เขียนคำว่า The End แล้ว” เว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อสบตาคนตรงหน้าให้ชัดๆ รอจนนรกรพยักหน้ารับจึงพูดต่อ “ก่อนไป ผมจะไม่บอกให้คุณเข้มแข็งเพราะคุณมีมันมากพออยู่แล้ว มีสองสิ่งที่ผมจะขอและคุณต้องทำ สัญญานะ”
“อะไร”

“รักตัวเองให้มากเหมือนที่คุณรักผม อย่าทำร้ายตัวเองเพื่อคนอื่น ยิ้มให้ตัวเองเยอะๆ จำไว้ว่าในวันที่คุณไม่เหลือใครคุณยังมีตัวเองที่รักคุณนะ”

แม้ยากจะทำใจแต่นรกรก็ยอมพยักหน้า

“ข้อสองล่ะ”

“ลืมผมไปซะ”

“ไม่!” นรกรตอบทันที “ทำไมผมต้องลืมคุณด้วย”

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าปิดกั้นใครที่เข้ามา” เขาบอกอย่างอ่อนโยน “ให้คนที่รักคุณจริงๆ ได้มีโอกาสดูแลคุณ อย่าให้ความทรงจำที่มีร่วมกับผมมามีอิทธิพลเหนือคนที่อยู่ตรงหน้า ผมขอแค่ได้เป็นเศษเสี้ยวความทรงจำเล็กๆ ที่จะทำให้คุณยิ้มได้ยามเมื่อนึกถึงแค่นี้ก็พอ สัญญานะ”

นรกรไม่ยอมตอบเพราะเขารู้ดีว่าทันทีที่ตอบคนตรงหน้าจะจากไป

“ฮาร์ฟ สัญญานะครับ”

เมื่อโดนถามซ้ำอีกครั้งนรกรจึงยอมพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ขอบคุณนะ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่กับคุณ แต่มันมีความหมายกับชีวิตของผมมาก” ปลายเสียงที่เริ่มสั่นทำให้เขาเม้มริมฝีปากสนิท อยากมีคำพูดที่ดีกว่านี้จะมอบให้แต่เขาก็นึกอะไรไม่ออกอีกแล้ว จึงเอ่ยซ้ำคำเดิม “ขอบคุณนะครับ”

แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ กลายเป็นจุดแสงเล็กๆ ไล่ขึ้นมาจากปลายขา

“เดี๋ยวก่อนอทิฏฐ์” นรกรร้องเรียก “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะว่าตกลงคุณจะกลับมาหาผมใช่ไหม แล้วคุณเป็นใครกันแน่อย่างน้อยก็บอกชื่อจริงให้ผมรู้หน่อยได้ไหม ผมจะได้ตามหาคุณถูก”

ร่างโปร่งแสงขยับปาก ทว่าก็สายเกินไปแล้ว ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเมื่อจุดแสงนั่นไล่ขึ้นมาถึงใบหน้า แล้วเขาก็หายไปพร้อมกับที่แสงสุดท้ายกะพริบดับลง

หากรอยยิ้มกว้างกับนัยน์ตาอบอุ่นนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในตา นรกรไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายกับคำอ่านของริมฝีปากที่อ่านได้ทันแบบครึ่งๆ กลางๆ

เขาเปิดตู้ล็อกเกอร์ออกและควานหาซองเอกสารที่ตฤณกรส่งมาให้เมื่อเช้า

ทันทีที่ภาพในซองถูกดึงออกมา นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโพลง เขากวาดตามองดูรูปใบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ในหัวเต็มไปด้วยคำถามว่า “ทำไม” กับ “มันเป็นไปไม่ได้”


(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 13 Depress P.8[15/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 21-05-2016 23:23:59
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ร่ำลากันเรียบร้อยแล้วสินะ”

ชายหนุ่มหันไปมองคนในชุดขาวที่เดินมือไพล่หลังเข้ามา ตอนนี้เขากลับมาอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าอีกครั้ง ต้องขอบคุณผู้ชายคนนี้ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสบอกลา “คุณเป็นใครกันแน่ ยมบาล?”

“อย่าเอาฉันไปเปรียบเช่นนั้น ฉันก็แค่คนที่ติดต่อกับท่านได้” อาจารย์องค์อินทร์ตอบ

“คุณบอกว่าติดต่อกับยมบาลได้ใช้ไหม งั้นผมขอรบกวนฝากข้อความไปถึงเขาหน่อย”

“ด่าได้แต่อย่าแรงนะ ฉันแก่แล้วหัวใจไม่ค่อยแข็งแรง”

“ขอบคุณครับ”

คิ้วสีดอกเลาของร่างทรงเลิกขึ้นสูง

“ผมรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง คุณจะคิดว่าผมบ้าก็ได้… แต่พูดไปคุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าใน ‘นรก’ ที่คุณส่งผมมาลงทัณฑ์มีเทวดาอยู่องค์หนึ่ง และเขาก็น่ารักมากเลยด้วย”

“พูดแบบนี้แสดงว่าลืมที่ฉันเคยเตือนไปแล้วสินะ”

“ขอโทษนะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อ เพียงแต่สิ่งที่คุณเรียกมันว่ากรรม... สำหรับผมมันคือพรหมลิขิต”

“คิดดีแล้วเหรอ” อาจารย์องค์อินทร์ถามกลับ “ก็เห็นแล้วนี่ว่าอะไรรออยู่ ฉันอุตส่าห์ให้โอกาสพ่อหนุ่มได้มาเห็นอนาคตก่อนที่จะตัดสินใจ แต่พ่อหนุ่มยังยืนยันที่จะเลือกกลับไปตกนรกทั้งเป็นโดยการ ‘เดินซ้ำรอยเดิม’ อีกอย่างนั้นเหรอ” อาจารย์องค์อินทร์ว่า “อย่าปล่อยให้ ‘น้ำตา’ มาทำให้พ่อหนุ่มมีห่วงสิ”

“แล้วคุณลืมที่เคยบอกผมแล้วเหรอครับ” อทิฏฐ์ถามกลับด้วยประโยคเดียวกัน “อย่ายึดติดกับอดีต อย่าไขว้คว้าหาอนาคต แต่จงอยู่กับปัจจุบัน… อีกอย่าง” เพียงแค่คิดถึงตรงนี้ริมฝีปากก็แอบซ่อนซ่อนยิ้มไว้ได้ไม่มิด เพราะน้ำตาในวันนั้นมันไม่ได้ตกลงแค่ที่พื้นแต่มันหยดลงกลางหัวใจของเขา “ผมไม่ได้เลือกนรก แต่ผมเลือกนรกร และผมจะกลับไปหาเขา”

อาจารย์องค์อินทร์หมดคำจะทัดทาน เขาขยับเปิดทางให้พร้อมกับผายมือ “เชิญ”

เขาค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งและออกเดินตามแสงไป
ทันทีที่อทิฏฐ์หายลับไปก็ปรากฏร่างของใครอีกคนขึ้นในพื้นที่ว่าง ผู้สูงวัยในชุดขาวก้าวช้าๆ เข้ามายืนข้างคนที่ยังยืนอยู่ “หมดห่วงแล้วสินะ”

คนที่ยืนอยู่ก่อนหันมาสบตากับคนที่เหมือนกับตัวเองราวกับส่องกระจกก่อนที่ใบหน้าและร่างกายของเขาจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง “ขอบคุณอาจารย์มากนะครับที่ช่วยเป็นสื่อให้”

อาจารย์องค์อินทร์ตัวจริงยกมือขึ้นลูบหนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวที่ลงเจลจนแข็ง “ไม่เป็นไร ผมก็แค่ทำในเรื่องที่ทำได้”

“ขอบคุณมากครับ” ชายคนนั้นค้อมศีรษะอีกครั้ง

“จริงๆ แล้วทั้งคุณเองและภรรยาก็สามารถ ‘ไป’ ได้ตั้งนานแล้วนะ แต่เพราะเอาห่วงมาผูกคอแท้ๆ ถึงได้ต้องรอมานานถึงขนาดนี้”

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่ได้มีห่วงอะไรเลย” ชายคนนั้นบอก “นี่เป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันตัดขาดได้ต่างหาก แม้ว่าร่างกายจะตายจากกันแล้วก็ตาม”

อาจารย์องค์อินทร์พยักหน้า “โชคดีนะ”

ชายคนนั้นหันมาค้อมศีรษะให้อีกครั้งก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปยังภพภูมิที่ถูกที่ควร

“พ่อลูกนี่มันเหมือนกันจริงๆ… ชอบยอกย้อน” อาจารย์องอินทร์ส่ายหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังที่พักของตน พลางคิดในใจว่าไปหาหมอคราวหน้าคงต้องขอยาคลายเครียดเพิ่มซะแล้ว

อาจารย์องค์อินทร์หัวเราะในลำคอ

เขาก็แค่บ่นไปอย่างนั้นแหละ ใครมันจะสามารถไปฝืนชะตาฟ้าลิขิต สิ่งที่เขาทำก็แค่อยากช่วยให้มั่นใจว่ามันจะเป็นไปตามนั้นจริงๆ และผู้ชายคนนี้จะไม่กลับมาที่นี่อีกก่อนจะถึงเวลาอันสมควร

จะว่าไป… ครั้งหน้าขอเปลี่ยนหมออีกทีดีไหมนะ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็อยากจะเจอพ่อหนุ่มคนนั้นอีกสักครั้งนี่นา

oooooo

ร่างสูงใหญ่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เหงื่อกาฬเม็ดใหญ่แตกพลั่กแม้ห้องจะเปิดแอร์จนเย็นเฉียบ

เขากำลังฝัน และในฝันนั้นเขายืนอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างสีดำมืด มีคนสองคนยืนคุยกันอยู่ คนหนึ่งอยู่ในชุดขาวคล้ายร่างทรง ในขณะที่อีกคนซึ่งมองไม่เห็นหน้าหากก็คลับคล้ายคลับครามากเหลือเกิน

ทั้งสองคุยกันในเรื่องที่เหมือนเขาจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งถึงประโยคที่ชื่อหนึ่งถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามา

“ผมไม่ได้เลือกนรก แต่ผมเลือกนรกร และผมจะกลับไปหาเขา”

เปลือกตาเปิดพรึ่บ ร่างสูงผุดลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นรัวจนเจ็บ วินทร์ยกมือขึ้นกุมหน้าอกแน่นภาพของผู้ชายคนนั้นยังคงติดตา และนั่นคือใบหน้าของเขาเอง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก หากเป็นร้อยเป็นพันครั้งนับตั้งแต่วันที่เขาฟื้นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลเมื่อแปดปีก่อนหลังจากนอนป่วยอยู่ร่วมสองเดือน ไม่มีวันไหนที่เขาจะไม่ฝันเห็นเรื่องราวระหว่างเขากับผู้ชายคนหนึ่ง แม้จะจดจำไม่ได้ทุกรายละเอียด แต่ก็ไม่เคยลืมรอยยิ้มและน้ำตาหยดนั้นกับคำพูดที่ว่าจะอยู่เคียงข้างซึ่งมันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาหัวใจให้เขาผ่านช่วงวันเวลาเลวร้ายหลังจากการกินยาฆ่าตัวตายเพราะอกหักจากเพียงพิรุณและการสูญเสียพ่อกับแม่ไปได้

เพียงอึดใจก็รู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ลำพัง นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมองไปที่ปลายเตียงซึ่งร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ แม้จะเป็นแค่เงาตะคุ่มในความมืดแต่เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร

“จะไปแล้วสินะ” ถามออกไปกับความมืด

“ก็สาปแช่งอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ” ร่างในเงามืดตอบบ “สมใจแล้วล่ะสิ”

“ก็นะ” วินทร์ยกมือขึ้นเสยผมที่ลู่ลงปรกหน้าให้เข้าที่ “แต่ก็ไม่ได้ดีใจหรอกนะ”

“ทำไมล่ะ”

“นายก็เห็นแล้วนี่ว่าฮาร์ฟเป็นยังไง จริงอยู่ว่าฉันอยากเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายิ้มได้ แต่นายรู้อะไรไหม หลังจากที่ได้เฝ้ามองมาหลายปีมันกลับกลายเป็นว่าตอนนี้ฉันแค่จะอยากเห็นเขายิ้มแม้ว่ามันจะไม่ได้ถูกส่งมาให้ฉันก็ตาม”

“นายเปลี่ยนไปนะ” ร่างปลายเตียงขยับตัวเล็กน้อยพ้นออกมาจากเงามืดเผยให้เห็นใบหน้าชัดเจน และเขาคือคนๆ เดียวกับผู้ชายที่อยู่ในฝัน “ตอนนี้ฉันนึกภาพผู้ชายเห็นแก่ตัวที่อยากจะทำลายชีวิตของผู้หญิงที่ตัวเองรักไม่ออกเลย นอกจากเป็นผู้เป็นคนแล้วนายยังดูอบอุ่นใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้นนะ”

“ไม่หรอก ฉันก็ยังเป็นคนเดิมน่ะแหละ” วินทร์ที่นั่งอยู่บนเตียงตอบ “เพียงแต่ตอนนั้นนายคงลืมไป”

“ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องยุ่งยาก”

“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก” วินทร์บอก “เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ฉันทำกับนายไว้ทั้งนั้น… แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่วันนี้ฉันยังเป็นคนอย่างที่นายคาดหวังไม่ได้”

“กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นายคงผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเยอะสินะ”

“ทำกายภาพสามเดือน พบหมอจิตเวชรักษาอาการ  PTSD อยู่ครึ่งปี และโดนอาจารย์สรวิชญ์พูดกรอกหูทุกวันเรื่องความเข้มแข็งกับการกินข้าวกินยาให้ครบสามมื้อ” วินทร์ไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “ยาปรับฮอร์โมนพวกนั้นน่ะโคตรขมเลยแต่ก็ยอมรับล่ะว่ามันช่วยได้เยอะ แล้วฉันพูดเลยว่าวิธีที่ฮาร์ฟเล่าให้ฟังมันเวิร์คมาก แค่นายบอกหมอจิตเวชว่านายโอเค แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง แต่อย่าให้มันเวอร์ไปล่ะจะดูมีพิรุธบางครั้งนายก็ต้องร้องไห้บ้างอะไรบ้าง”

“เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ หมอก็จะคิดว่าฉันเป็นไบโพล่าร์น่ะสิ”

“ก็ถึงได้บอกไงว่าอย่าเยอะไป… ตอนฝึกเดินแรกๆ ก็ล้มบ่อยหน่อย อย่าเอาแต่มองคนอื่นที่มีญาติห้อมล้อมคอยให้กำลังใจเพราะมันจะทำให้นายไม่หยุดร้องไห้เสียที ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองให้ได้นะ ราวจับมันอาจจะสูงแต่ไม่เกินที่แขนนายจะเอื้อมถึงหรอก”

“แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว”

“ข้อดีอย่างเดียวของการอยู่โรงพยาบาลนานๆ คือทำให้นายเลิกเหล้าไปได้เอง”

ทั้งสองเงียบไปและสบตากันอยู่อึดใจ

“ผ่านมันมาให้ได้นะ” วินทร์ให้กำลังใจ

“ถ้านายทำได้ ฉันก็ต้องทำได้” คนที่อยู่ปลายเตียงตอบ “ฉันฝากนายดูแลฮาร์ฟด้วยนะ”

“ไม่ต้องบอกก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ สักวันฮาร์ฟจะลืมฉันไปเอง” ถึงตรงนี้ใบหน้านั่นกลับหม่นเศร้าลงเล็กน้อย

“ฉันจะทำแน่ใจว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น” วินทร์บอก
ริมฝีปากระบายยิ้มกว้างขึ้นทันที “ขอบคุณ”

เปลือกตาเปิดพรึบขึ้นอีกครั้ง วินทร์ผุดลุกขึ้นนั่งพลางเหลียวมองรอบตัวที่มีเพียงความว่างเปล่าก่อนจะกระโดดลงจากเตียงคว้าเสื้อกาวน์สั้นหน้าตู้มาสวมทับเสื้อยืดคอกลมที่ใส่เป็นชุดนอนลวกๆ และวิ่งพรวดพราดออกประตูไป

จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ให้กับเรื่องเหนือธรรมชาตินี้ได้ แต่ถึงแม้ว่าเสียงที่ยังดังก้องอยู่ในหัวนั้นจะเป็นเพียงความฝัน ถ้าหากว่าทุกเรื่องราวที่ได้เห็นจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อความรู้สึกเป็นห่วงคนที่เฝ้ามองมาแรมปีมันเอ่อจนล้นอยู่ในหัวใจ และนี่ต่างหากคือความจริงอย่างที่สุด

oooooo

นัยน์ตาสีอ่อนที่หลุบมองพื้นอยู่ตวัดขึ้นมองทางเดินมืดมิดที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้า หูไม่แว่วได้ยินเสียงอะไร แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้น และยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ

นรกรยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อเพ่งมองความมืดตรงหน้านั่นให้ชัด และลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นบางสิ่งกระเพื่อมไหวในความเปล่านั้น

“อทิฏฐ์?” เขาส่งเสียงเรียกออกไปเบาๆ

ในความเงียบนั้นมันเหมือนโยนหินลงในบ่อน้ำ เกิดความเงียบขึ้นอึดใจก่อนที่เสียงของตัวเองจะสะท้อนกลับไปกลับมาในทางเดิน

คุณหมอหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง มือประสานกันไว้เบื้องหน้า พร้อมกับหลุบตาลงมองพื้นอีกครั้ง

ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่พยายามฝืนน้ำตาไม่ให้ไหล บอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้ แต่เขาก็มาถึงขีดสุดท้ายของความอดทนแล้ว

“อทิฏฐ์” ในที่สุดก็หลุดเสียงเครือต่ำทั้งที่กัดริมฝีปากจนเจ็บ มือทั้งสองกุมกันแน่นราวกับมันเป็นปราการกั้นน้ำตาด่านสุดท้าย

“เป็นอะไร ฮาร์ฟ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นเบื้องหน้าพร้อมกับที่สัมผัสอบอุ่นของมือใหญ่แตะลงบนหัวไหล่

นรกรเงยหน้าขึ้นมอง ในสายตาที่พร่ามัวด้วยหยาดน้ำตา ใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น

แต่เขาไม่ใช่คนที่เรียกหา

วินทร์กวาดตามองคนที่ขอบตาแดงก่ำด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้าเพื่อให้ตัวเสมอกันและสบตากันให้ชัดๆ “นายร้องไห้เหรอ”

นรกรยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ แต่กลับไม่ทันมือของคนเฝ้ามองอยู่

มือใหญ่ประกบลงบนกรอบหน้า แตะปลายนิ้วโป้งลงบนหัวตาแล้วค่อยเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้

หากยิ่งเช็ดความเศร้าในใจที่เก็บไว้กลับยิ่งหยดเผาะลงมาเป็นสาย นรกรยกมือทั้งสองขึ้นกุมมือนั้นไว้แน่น ก่อนที่ความอ่อนแอจะพาตัวเองโผเข้ากอดคนตรงหน้า

วินทร์ไม่ได้มีทีท่าตกใจ เพียงแค่แปลกใจเล็กน้อย เขาโอบสองแขนกระชับรอบแผ่นหลังคนตัวเล็กกว่าพร้อมทั้งกระซิบคำหนึ่งซ้ำๆ ที่ข้างหู

“ไม่เป็นไรนะฮาร์ฟ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันยังอยู่ตรงนี้กับนายนะ”

นรกรกำกระดาษในมือแน่นจนมันยับย่น และถึงคนวาดจะถ่อมตัวว่าฝีมือไม่เข้าขั้น แต่น่าแปลก ที่ไม่ว่ามองมุมไหน มันก็ช่างเหมือนกันกับเจ้าของอ้อมแขนนี่เสียเหลือเกิน


****************************TBC****************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-05-2016 23:36:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 21-05-2016 23:52:26
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
อ๊ากกกกก
ขอคุณพ่อมาอธิบายหน่อย เวลามันดูสับสนน
แล้วที่มายืนคืออะไร พี่วินทร์แยกวิญณานได้หรอออ
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-05-2016 00:19:45
เหมือนได้คำตอบ
แต่ก็งงว่าได้มาได้อย่างไร

รักด้วยใจ รักจิตใจ รักทุกอย่างที่เป็น และรักด้วยทุกอย่างที่เป็น
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 22-05-2016 00:30:50
สนุกมากเลย แต่คงต้องอ่านใหม่อีกสักรอบ มันซ้อนกันไปมาหลายเรื่องมากเลย แต่ดีใจที่หมอรู้แล้วว่าผีทิดเป็นใคร
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 22-05-2016 01:31:49
อ่าาา สุดท้ายก็เป็นวิน
นึกว่าจะกลายเป็นำระรองที่แสนดี
แดกแห้วไปแล้วว 55555
ลืมคิดถึงเหตุผลที่ทำไมวินถึงชอบฮาร์ฟไปได้
ทุกอย่าเป็นไปได้สินะ
มันทะลุมาอนาคตจริงๆนี่สิ 555555
แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลช่วงนึง
ตอนที่บอกให้เลือกว่าจะอยู่หรือตาย
ทั้งที่บอกให้เลือก แต่คำตอบมันก็เห็นๆอยู่ว่ามีชีวิต
แถมยังดูรัก
เอาเป็นว่าการออกจากร่างครั้งนี้
ให้เหตุผลมันว่าเพราะกรรมที่ควรจะรักกัน
หรือเพราะพรหมลิขิตที่ต้องมารักคนนี้น่ะเหรอ
อ่าาา ช่างเป็นการขีดกรอบให้ความรักเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: im4gine_32 ที่ 22-05-2016 02:07:35
เหมือนจะได้คำตอบแต่ก็ยังมีงงๆ สรุปเฮียทิดของเราทะลุมาจากอดีตจริงๆสินะ ปั๊ดโธ่!...แต่มันยังให้อารมณ์ว่าพระเอกคืออทิดไม่ใช่วินทร์แน่ๆมาแต่แรก แล้วทำไมฮาร์ฟอธิบายหน้าทิดได้แต่ไม่รู้ว่าเป็นพี่วิน (อันนี้คิดมากไปใช่ไหม 555)
คนที่เราไม่ได้ชอบเลยเรียกได้ว่านอกสายตา ถึงสุดท้ายจะเป็นคนๆเดียวกันแต่..มันบ่จ้ายย! เอาเฮียทิดขี้เล่นของเค้าม๊าาาา ขอให้เป็นฝาแฝด เพี้ยง 55555

แต่คือข้ามเวลามารักกันเลยอะ อยากรู้ว่าแล้วก่อนหน้านั้นอะไรทำให้พี่วินทร์ชอบฮาร์ฟขนาดนี้ เพราะเหมือนว่าอันนี้ข้ามเวลามาก็มาเจอฮาร์ฟ พอกลับไปฟื้นในอดีตเลยจำได้แล้วเข้าหมอมาเจอฮาร์ฟหรอ??
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-05-2016 02:49:34
อ่า...ทิดคือพี่หมอวินทร์จริงๆด้วย
แต่ตอนนี้สงสัยอยู่อย่างเดียวคือ จิตหรือวิญญาณในอดีตของพี่วินทร์ซึ่งก็คือทิด ทำไมถึงโผล่มาหาหมอฮาร์ฟในปัจจุบันได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-05-2016 03:24:15

เราลำดับเหตุการณ์ก่อนนะ

ปัจจุบัน (A) คือที่เปิดมาตอนแรก มีคนส่งดอกไม้ให้หมอฮาร์ฟ

อดีต (ฺB) คือเรื่องราวทั้งหมดที่ดำเนินอยู่

อดีตกว่านั้น (C) คือตอนที่หมอวินทร์ (ทิด) ฆ่าตัวตาย

จากตอนนี้เราสรุปได้ว่า วินทร์และทิดคือคนเดียวกัน ที่ฮาร์ฟจำไม่ได้เพราะว่าหมอวินทร์ต้องเป็นหมอหมีหนวดเฟิ้ม ซกมกแน่ ๆ

(แต่คนเดียวก็นไก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น)

พ่อกับแม่ของวินทร์ที่ตายไปขอให้อาจารย์องค์อินทร์มาช่วยพาวินทร์ให้มาเห็นอนาคต (B)

เดาว่าเพื่อจะให้มาเห็นว่าถ้าเขายังมีชีวิต เขาจะเป็นยังไง อย่างน้อยอาจจะได้พบว่าก็มีฮาร์ฟที่รักเขา

แต่ในมุมของวินทร์ (ทิด) นี่อาจจะเป็นการลงโทษก็ได้ค่ะ ที่ฆ่าตัวตาย / ทำให้พ่อแม่เสียใจ

แต่นั่นแหละ มันก็ทำให้อยากกลับไปมีชีวิต พอทิดจะกลับไป (C) ก็เลยแวะคุยกับวินทร์


สุดท้าย ถึงฮาร์ฟรักทิด แต่เราทีมวินทร์ เราว่ามันเป็นเรื่องท้าทายสำหรับวินทร์ค่ะ ที่จะทำให้ฮาร์ฟรักวินทร์ที่เป็นวินทร์ในปัจจุบัน (A)

อยากรู้จังว่าคนเขียนจะเฉลยว่ายังไง รอลุ้นค่ะ เป็นกำลังใจให้หมอวินทร์ไปโอลิมปิคให้ได้ หมอวินทร์ ปู๊น ๆ 
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 22-05-2016 12:53:25

กรี๊ดดด ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากก
วิญญาณทะลุเวลามาอนาคต

คุณพ่อกับคุณแม่ ห่วงลูกชายมาก
ถึงพยายามทุกทางเพื่อให้เค้าสู้มีชีวิตต่อ

ตอนนี้ลุ้นหัวใจของฮาร์ฟว่าจะสามารถ
ยอมรับหัวใจพี่วินได้รึเปล่า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 22-05-2016 16:34:41
อ้าววววว  เกิดเรื่องไม่คาดคิด 

แต่จะเป็นยังไงต่ออ่ะ คนที่นรกรรักคือทิตไม่ใช่วินน่ะ ถึงจะเป็นคนเดียวกันก็เถอะ แต่ความรู้สึกมันไม่ใช่
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: banazjj ที่ 23-05-2016 15:16:27
เหมือนจะเข้าใจ ถึงจะงงนิดหน่อย แต่เข้าใจ ลึกซึ้งมาก
ทิดคือหมอวินทร์เมื่อ 8ปีที่แล้ว เหมือนเดินทางมาดูตัวเองให้อนาคตใช่ไม๊
พอทิดกลับไป ก็คือต้องไปเป็นวินทร์ที่เพิ่งฟื้น เมื่อ 8ปีที่แล้ว
คนแต่งเก่งมากกกกกกกก ลึกซึ้งสุด ตอนแรกเดาไม่ออกจริงๆว่ามันจะยังไง
สนุกมากกกกกกก รอตอนต่อไปนะคะ อยากรู้แล้วฮาร์ฟจะรักวินทร์ได้ยังไง
ในเมื่อก็ไม่ได้สนใจมาตลอดดด พอมารู้ว่าเป็นทิด แล้วจะสนใจขึ้นเหรอ?? นั่นก็ดูยึดติดเนอะ
ดูเหมือนไม่ได้มาจากใจจริงๆ แต่จริงๆแล้วก็คงเป็นไปได้ เพราะทิดบอกให้เปิดใจ 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 23-05-2016 21:12:17
หนูทิดเป็นคนเดียวกับวินจริงๆด้วย ^^

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 23-05-2016 21:14:42
ชอบวินา์ ดีใจที่ทิดและวินทร์เป็นคนเดียวกัน วินทร์ก็คล้ายๆทิด แต่เข้มแข็งกว่า และฮาล์ฟเองก็รู้สึกดีกับวินทร์ แต่รักทิด เพราะฉะนั้นถ้าฮาล์ฟรักทิดเพราะความใกล้ชิดและรู้ว่าทิดคือวินทร์แล้ว อยากรู้ว่า จะรักวินทร์ในปัจจุบันอย่างไร น่าสนใจมากๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 24-05-2016 21:36:06
โอ้ย รีบมาต่อนะ ให้ไวด้วย ซึ้งจะขาดใจ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 28-05-2016 15:17:01
เกาะขอบจอ รออยู่นะค๊ะ อยากรู้ต่อไปจะเป็นไง   ชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 28-05-2016 20:53:43
ตามมาจากกระทู้นิยายแนะนำค่ะ
ไม่ผิดหวังเลย สนุกมากกกก ตอนนี้ยัง งง นิดนึง พยายามลำดับเหตุการณ์อยุ่
วินทร์คือทิดอันนี้ชัวร์ ตอนนี้สงสารฮาร์ฟอ่ะ เปิดใจคุยกันเร็วๆนะ
+1+เป็ด
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 29-05-2016 01:02:07
บาทีก็คิดเหนื่อยไป...
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 29-05-2016 21:52:22
จะรอวันที่เขาพบกัน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 29-05-2016 21:52:44
มาตามคำแนะนำ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 30-05-2016 01:09:02
สนุกมากครับ แต่ยังปะติดปะต่อ วินกับทิดไม่ออกเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 30-05-2016 02:15:07
 :z13:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: 1st prince ที่ 30-05-2016 02:25:37
ตอนแรกก็ไม่งงนะ แต่พองงเท่านั้นแหละ งงเลย

สนุกมาก ๆ จริง ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 30-05-2016 09:00:34
มารอค่ะ และก็งงกับ timeline ด้วย แต่ยังไม่ได้อ่านใหม่แบบจริงจัง แค่เปิดย้อนไปๆมาๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ✿PIERRE ที่ 30-05-2016 13:46:48
เมื่อคืนอ่านยาวรวดถึงตี 5

สนุกมากจริงๆค่ะ

รอตอนต่อไปนะคะ อยากรู้ว่าฮาร์ฟจะทำยังไงเมื่อได้รู้ว่าทิดกับวินทร์คือคนเดียวกัน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 30-05-2016 20:29:13
ตามอ่านรวดเดียวเลยชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 31-05-2016 08:33:08
บทที่ 15 Compensate

“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” วินทร์ถามเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างสั่นเทาในอ้อมแขนสงบนิ่งลงได้พักใหญ่ๆ แล้วหากยังไม่หยุดลูบฝ่ามือหนักๆ ลงบนเรือนผม

นรกรพยักหน้าพลางดันตัวออกห่างจากอกกว้าง เขาก้มหน้าจนคางชิดอกเพื่อแอบใช้หลังมือเช็ดน้ำตา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ถูกมือใหญ่รั้งให้เงยหน้าขึ้นสบตา “พี่วินทร์…"

“อย่าดื้อน่า” เพราะเริ่มหงุดหงิดที่ถูกปัดป้องเขาจึงถือวิสาสะถอดแว่นคนตรงหน้าออกแล้วยึดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ

“พี่วินทร์จะทำอะไร ผมมองไม่เห็น”

“ตานายแดงหมดแล้ว ถ้ายังไม่เลิกขยี้พรุ่งนี้จะบวมตุ่ยแล้วทุกคนก็จะรู้ว่าเมื่อคืนนายร้องไห้มา” วินทร์บอก “นายอยากให้ทุกคนรู้เหรอ… ถ้ามองไม่เห็นก็จับชายเสื้อฉันไว้สิ” ต่อตอนท้ายเมื่อเห็นคนตรงหน้านิ่งไปราวกับจะยอมฟัง

แต่เปล่าเลย ตอนนี้นรกรแทบไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าวินทร์พูดอะไร เพราะในความพร่ามัวของสายตานั้นมันกลับทำให้เขาเห็นเงาของคนที่เพิ่งจากไปซ้อนทับลงมาบนใบหน้าวินทร์ซึ่งตอนนี้ดูลางเลือนเหมือนเป็นภาพสเกตซ์

มือเรียวกำภาพวาดในมือแน่นขึ้นอีก ใช่ว่าเขาไม่เคยระแคะระคายถึงความคล้ายกันของทั้งสอง แต่เพราะเขาคิด... หรือจะใช้คำว่าหลอกตัวเองเลยก็ได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่คนๆ หนึ่งจะปรากฏตัวให้เห็นสองที่พร้อมๆ กัน

มันคืออะไร… จะเป็นไปได้เหรอ… นี่เขาตาฝาดหรือสมองเลอะเลือนกันแน่ ไม่มีทางที่อทิฏฐ์กับพี่วินทร์จะเป็นคนๆ เดียวกันได้… ไม่มีทาง เขาไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด

หรือต่อให้มีความเป็นไปได้สัก 1 ในล้าน วินทร์ก็ไม่ใช่อทิฏฐ์ของเขา

ความคิดนั้นดึงให้ได้สติและสะบัดตัวเองหลุดจากความอบอุ่นของอ้อมแขนอีกฝ่าย “พอได้แล้วครับพี่วินทร์” นรกรพูดเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเพื่อยืนยันในเจตนาของตน “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ขอแว่นคืนด้วยครับ”

“ไม่คืน” วินทร์พูดอย่างไม่ยี่หระกับท่าทีที่พยายามจะตีตัวออกห่าง “จนกว่านายจะยอมตกลงให้ฉันไปส่งที่ห้อง”

“งั้นไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองทั้งแบบนี้ก็ได้” นรกรตอบหนักแน่น เขาไม่ต้องการให้ภาพของวินทร์มาทับซ้อนกับสิ่งที่อทิฏฐ์เคยทำ

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “แน่ใจนะ”

“ครับ” นรกรตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืนซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี

ร่างโปร่งยัดกระดาษใส่กระเป๋า กลับหลังหันจะออกเดิน แต่เพราะสายตาที่สั้นถึง 500 ทำให้ภาพตรงหน้าเป็นแค่จุดสีพร่ามัวจนพาให้ตาลาย เขาผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวเพราะสมองเริ่มเบลอ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ขายาวก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่มั่นคง เขาขยับไปช้าๆ ราวกับคนตาบอดคลำทางจนขาข้างหนึ่งไปสะดุดกับเก้าอี้ยาวที่วางอยู่ชิดกำแพงอีกฝั่ง พยายามกัดปากแน่นเพื่อกั้นเสียงร้อง แต่ความเจ็บปวดก็แอบเล็ดลอดออกมาจนได้

“โอ๊ย!”

“ดื้อจริง” วินทร์ส่งเสียงในลำคอคล้ายจะดุหากไปแฝงไปด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับรีบพุ่งเข้าไปประคองหลัง “เจ็บไหม”

“ไม่เป็นไรครับ” นรกรตอบทั้งที่ไม่ยอมหันมามองหน้าซ้ำยังขืนตัวออกห่าง

วินทร์พ่นลมออกจมูกพลางดึงแว่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเอื้อมข้ามไหล่ไปสวมคืนให้ “ฉันยอมแพ้นายแล้ว กลับห้องดีๆ นะแล้วพรุ่งนี้เจอกัน” พร้อมกับก้าวถอยหลังออกมา

นรกรนึกโล่งอก แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ไปอีกทางก็รู้สึกแปลกใจจนอดร้องถามออกไปไม่ได้ “แล้วนั่นพี่วินทร์จะไปไหนครับ”

“ไปนอนที่ห้องพักแพทย์” วินทร์ตอบตามตรง “เราอยู่หอเดียวกัน นายจะให้ฉันทำเป็นไม่สนใจระหว่างที่เดินตามหลังนายไปได้ยังไง”

นรกรพูดไม่ออก ในขณะที่เฝ้ามองแผ่นหลังนั้นเคลื่อนห่างออกไปช้าๆ นัยน์ตาสีอ่อนหลุบลงมองปลายเท้า มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่นก่อนจะตัดสินใจออกเดิน

แต่ทันทีที่ยกขาขึ้นจากพื้น ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นมาจากหน้าแข้งถึงโคนขาจนต้องทรุดตัวลงบนม้านั่งตัวที่เป็นสาเหตุนั่นเอง

นรกรกำลังจะก้มตัวลงถกขากางเกงขึ้นดูบริเวณที่เจ็บ เมื่อเป็นอีกครั้งที่มือของอีกคนไวกว่า

“เป็นอะไร” วินทร์ถาม เขาหันกลับมาเห็นตอนที่ทรุดตัวลงนั่งพอดีจึงรีบวิ่งกลับมาดู

“ไม่มีอะไรครับ” นรกรตอบ

แต่ร่างสูงไม่ฟังซ้ำยังนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า มือใหญ่ยกขาข้างที่เจ็บขึ้นพาดบนหัวเข่าตัวเอง “ขอฉันดูหน่อย”

“พี่วินทร์ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ” นรกรพยายามดึงขากลับแต่ก็ไม่อาจสู้แรงไหว ซ้ำยิ่งยื้อยิ่งเจ็บ เขาจึงจำใจยอม

วินทร์บรรจงถอดรองเท้าออกอย่างเบามือแล้วเริ่มต้นตรวจดูอาการ มันดูปกติดีจนกระทั่งเขาร่นขากางเกงขึ้นไปเห็นรอยแดงเป็นปื้นยาวจากการกระแทกตรงตำแหน่งหน้าแข้งไปจนถึงหัวเข่า

“แค่ช้ำๆ เองครับ” นรกรรีบบอก เมื่อวินทร์ใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปรอบๆ เพื่อตรวจดูอาการบวมและหารอยแผลอื่นๆ เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บเพียงแต่มันร้อนวาบไปทั่วตรงจุดที่นิ้วซึ่งทั้งใหญ่และสากนั่นสัมผัส ไม่เคยมีใครมาโดนเนื้อตัวเขามากขนาดนี้มาก่อนนั่นจึงทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก

“เดินไหวไหม”

“ไหวครับ” นรกรรีบดึงขามาวางลงบนพื้นและคว้ารองเท้ามาสวม เมื่อมือใหญ่แย่งเชือกรองเท้าไปผูกเสียเองพร้อมทั้งช่วยจัดขากางเกงเข้าที่

“ฮาร์ฟ” วินทร์เรียกเบาๆ ทั้งที่มือยังดึงโบของเชือกรองเท้าให้เท่ากันทั้งที่ไม่จำเป็น “ให้ฉันไปส่งเถอะนะ… ไม่สิ ก็แค่เดินไปด้วยกันเฉยๆ เหมือนที่เราเคยทำมาตลอดห้าปีไง”

นรกรสบตาสายคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอึดใจ ก่อนจะพยักหน้า เขารอให้วินทร์ลุกขึ้นก่อนจึงลุกตาม

แวบหนึ่งที่เขาเห็นวินทร์เหมือนจะยื่นมือออกมาข้างหน้าคล้ายจะช่วยประคองก่อนจะดึงกลับไปกำแน่นไว้ข้างตัว และวินทร์ก็ไม่พูดอะไรอีกเลยในระหว่างที่เดินคู่กันไปจนกระทั่งถึงหน้าห้อง

“ขอบคุณครับ” นรกรหันไปบอกกับคนที่ไม่ทีท่าว่าจะยอมขยับไปไหน เขาดึงประตูปิดก่อนจะแนบศีรษะลงกับบานประตูซึ่งทั้งแข็งและเย็นเฉียบ หากก็ไม่อาจกั้นน้ำเสียงอ่อนโยนที่กระซิบขึ้นด้านหลังนั้นได้

“ฝันดีนะฮาร์ฟ”

มือเรียวกำลูกบิดแน่น หากก็ยังไม่เข้าใจหัวใจตัวเองว่าอยากทำอะไร สุดท้ายเขาก็ได้แต่ยืนฟังเสียงฝีเท้าของวินทร์ที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปจนเงียบลงในที่สุด

นรกรหันหลังพิงประตูแล้วล้วงเอาภาพในกระเป๋าขึ้นมาเปิดออกดูอีกครั้งก่อนจะดึงมากอดแนบอกพร้อมๆ กับที่ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนพื้น

หรือนี่คือสาเหตุว่าทำไมอทิฏฐ์ถึงไม่ยอมเล่าความจริงให้เขาฟัง เพราะรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่เคยรักวินทร์

oooooo

“พี่วินทร์มาทำอะไรแต่เช้าครับ” นรกรซึ่งยังอยู่ในชุดนอนถามคนที่มายืนยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่หน้าประตูตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

“ฉันกลัวนายจะไปสะดุดอะไรล้มอีกน่ะสิ วันนี้วันจันทร์คนไข้ที่มาตรวจ OPD ยิ่งเยอะๆ อยู่ แถมมีผ่าตัดอีกตั้ง 4 เคส”

นรกรเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังอีกครั้ง และมันเพิ่งจะหกโมงตรง เมื่อคืนเขาเอาแต่คิดเรื่องของอทิฏฐ์กับวินทร์จนเพิ่งจะหลับได้เมื่อตอนใกล้รุ่งนี่เอง โดยสรุปกับตัวเองง่ายๆ ว่าแค่คนหน้าคล้ายและเขาจะไม่มามัวคิดไร้สาระว่าทั้งสองคนเป็นเดียวกันอีก ถ้าพี่วินทร์เป็นอทิฏฐ์จริงๆ เขาก็คงจะเดินเข้ามาบอกกันดีๆ แล้ว จะมามัวทำไขสือให้เสียเวลาทำไม ถึงก่อนที่อทิฏฐ์จะหายไปจะพยายามบอกว่าชื่อวินทร์ แต่คนชื่อวินทร์ก็ไม่มีคนเดียวในโลกสักหน่อย หรือบางทีเขาอาจจะอ่านปากผิดก็ได้ และความคิดนี้ก็ช่วยให้เขาทำตัวเป็นปกติกับวินทร์ได้ง่ายขึ้น “แต่นี่ก็เช้าไปหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอกเพราะเราต้องกินข้าวเช้าด้วยกันก่อน”

นี่ไงล่ะ ความแตกต่างชัดๆ ข้อที่หนึ่ง อทิฏฐ์ใจดีไม่เคยขัดใจเขา ในขณะที่พี่วินทร์ชอบจู้จี้แกมบังคับแถมยังดุอีกต่างหาก “ผมไม่…”

“มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน” วินทร์ชิงพูดขึ้นก่อน “นายอยากเข้าห้องเย็นไปพบอาจารย์ธนบดีอีกรอบเหรอ”

นรกรกวาดตามองคนตัวโตที่คงจะไม่ยอมถอยง่ายๆ “ถ้าพี่วินทร์ยืนยันแบบนั้นก็ต้องรอก่อนนะครับเพราะผมเพิ่งตื่นยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย”

“คงรอไม่ได้แล้วล่ะ” วินทร์ว่าพร้อมกับยกถุงใส่แก้วกาแฟ 2 แก้วขึ้นตรงหน้า “เดี๋ยวน้ำแข็งละลายจะไม่อร่อยนะ”

นรกรหน้ามุ่ย “เชิญครับ” เขายกมือขึ้นจะดันประตูห้องเปิดกว้างขึ้นเพื่อให้เข้ามาเมื่ออีกฝ่ายร้องขึ้น

“เดี๋ยวก่อน” วินทร์ถอยหลังไปสองก้าวและเหลียวมองซ้ายขวา “เอาล่ะ เปิดได้”

นรกรมองคนตรงหน้างงๆ ก่อนจะผลักประตูเปิดออกไปจนสุด “ตามสบายนะครับ อยากนั่งตรงไหนก็ได้ ขอผมไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ” แล้วเขาก็รีบผลุบเข้าห้องน้ำไป

“พรุ่งนี้ให้ฉันโทรปลุกไหมเราจะได้ไม่เสียเวลาแบบวันนี้อีก” วินทร์ร้องถามตามหลัง

“ไม่เป็นไรครับ โทรศัพท์ผมตั้งปลุกได้” นรกรตะโกนตอบออกมา

“งั้นพรุ่งนี้หกโมงตรงฉันมารับเหมือนเดิมนะ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเริ่มไม่แน่ใจว่าเผลอไปตอบตกลงตอนไหน

แต่วินทร์ก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาได้มีเวลาทักท้วง “ตกลงตามนี้นะ”

นรกรคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดน้ำที่เกาะพราวเต็มหน้า และรีบเปิดประตูออกมา ตั้งใจจะมาเคลียร์ให้รู้เรื่อง แต่เขาก็ลืมทุกถ้อยคำไปเสียสนิทเมื่อเห็นร่างสูงยืนเท้าแขนมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านผ้าม่านสีชมพูที่ปลิวไหวเบาๆ ตามแรงลมกระทบร่างของเขาให้ดูสว่างและออกสีทองอ่อนๆ

“อทิฏฐ์?”

“อะไรเหรอ” ร่างสูงหันหน้ามา นรกรจึงได้สำนึกอีกครั้งว่าตนดูผิดไป เพราะมันช่างเหมือนกันเหลือเกินกับเช้าวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน

“ปะ เปล่า” นรกรส่ายหน้า “ผมแค่จะบอกว่าแสงอาทิตย์มันส่องพี่วินทร์ไม่ร้อนเหรอครับ”

“ยังเช้าอยู่ไม่ร้อนหรอก” วินทร์ตอบ “ขอยืมใช้ไมโครเวฟหน่อยนะ” พลางเปิดกระเป๋าและหยิบอะไรสักอย่างไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเครื่องดื่มที่แช่รอไว้ออกมาวางบนโต๊ะ

นรกรมองตามคนที่เดินไปเดินมาในห้องของตนอย่างคุ้นเคยทั้งที่เพิ่งจะเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก อยากจะเอ่ยปากถาม แต่ลึกๆ ในใจก็กลัวคำตอบจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้และเดินตามไปนั่งลงตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร

“พี่วินทร์ทำอะไรเหรอครับ”

“นายไม่ชอบที่ๆ คนเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ แถมข้าวเช้าก็ไม่ชอบกินฉันก็เลยเอาแซนด์วิชมา จริงๆ จะกินเลยก็ได้นะ แต่ฉันว่าอุ่นให้ชีสมันละลายหน่อยอร่อยกว่า”

หน้าที่ตึงอยู่ของนรกรค่อยคลายออกเมื่อได้ยินชื่อของโปรด และเขาก็ลืมเรื่องที่หงุดหงิดเพราะโดนกวนแต่เช้าไปเสียสนิทเมื่อวินทร์วางจานใส่แซนด์วิชหอมฉุยลงตรงหน้า

“พี่วินทร์ชอบกินไข่กับชีสเหรอครับเห็นซื้อมาแต่ไส้นี้”

“แล้วนายชอบหรือเปล่าล่ะ”

“ครับ”

“ฉันก็ชอบเหมือนกัน”

“หมายถึงไส้นี้น่ะเหรอครับ”

วินทร์เท้าแขนลงบนโต๊ะ “เปล่า ฉันหมายถึงตอนที่นายกินน่ะ” รอยยิ้มกว้างกระจายเต็มหน้าเมื่อเห็นคนตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง และดูท่าจะไม่โกรธเขาแล้วเพราะเจ้าตัวหยิบแซนด์วิชไปกัดคำโตจนไส้ทะลัก “มันดูมีความสุข ดูน่าอร่อยจนฉันรู้สึกอยากกินตามไปด้วย”

“หุ่นผอมๆ อย่างผอมเนี่ยนะครับ ถ้าตัวโตๆ อย่างพี่วินทร์ล่ะยังว่าไปอย่าง”

“ไม่หรอก ต้องแบบนายน่ะแหละ”

“ทำไมล่ะครับ”

“นั่นน่ะสิ ทำไมกันนะ” วินทร์อมยิ้มมีเลสนัยน์พลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปใช้หัวแม่โป้งเช็ดเศษขนมปังที่ติดตรงมุมปากให้

นรกรนิ่งไปเล็กน้อยด้วยความเขินจะขยับหนีก็ไม่กล้าจึงเป็นเหตุให้คนตรงหน้าได้ทีแกล้งจิ้มแก้มเล่นไปอีกทีโดยทำทีเป็นใช้หลังมือช่วยเช็ดน้ำที่หยดลงมาจากเรือนผมสีอ่อน นาทีนี้วินทร์นึกอยากจะกระโดดข้ามโต๊ะแล้วรวบตัวมากอดให้รู้แล้วรู้รอด หากก็ทำได้แค่ใช้ปลายนิ้วขยี้ปอยผมเปียกชื้นแล้วช่วยจัดให้เข้าที่ก่อนจะปล่อยมืออย่างแสนเสียดาย

“ฉันใส่ชีสเป็นพิเศษมาให้สองแผ่นเลยนะ แบบโลว์แฟตด้วยรับรองไขมันไม่ขึ้นแน่” เขาชวนคุยต่อเพื่อซ่อนความคิดฟุ้งซ่านในหัว

“เดี๋ยวนี้เซเว่นมีให้เลือกได้แบบนี้ด้วยเหรอครับ ดีจัง"
วินทร์ไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่อมยิ้มมุมปาก กำลังจะหยิบกาแฟออกจากถุงเมื่ออีกคนมือไวกว่าและฉวยเอาแก้วที่เขาตั้งใจซื้อมากินเองไปเสียแล้ว “อันนั้นเอสเปรสโซ ขมนะ นายกินได้เหรอ ฉันว่านายกินนมไปเถอะมีประโยชน์ด้วยจะได้โตเร็วๆ” เอื้อมมือออกไปจะเอาคืนแต่มือเรียวที่กุมแก้วไว้กลับขยับยกหนี

“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”

“เตือนแล้วนะ” วินทร์หัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นคนตรงหน้าย่นปากหลังจากดูดเข้าไปอึกใหญ่ “เพราะฉันสั่งพิเศษเพิ่มกาแฟสองช็อต ปกติฉันเห็นนายสั่งแต่ลาเต้นี่”

“ผมกินได้ครับ”

วินทร์ยิ้มขันกับคนที่ยังไม่เลิกดื้อพลางดึงแก้วกาแฟไปจากมือ “เอามานี่สิ แล้วทำแบบนี้นะ” เขายกแก้วนมขึ้นซดกะให้พร่องไปสัก 1 ใน 3 แล้วเทกาแฟลงไปผสม ก่อนจะเทกลับมา ทำสลับกันไปมาอยู่สามสี่ครั้งจนคิดว่าน่าจะเข้ากันดีจึงส่งคืน “ลองชิมสิว่าโอเคไหม”

“อร่อยครับ”

“แค่เอานมผสมกับกาแฟ ไม่ต้องทำหน้าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง” วินทร์หลุดขำออกมาในที่สุดกับคนที่ทำตาเป็นประกายราวกับเขากำลังเล่นแร่แปรธาตุ
“ก็ผมไม่คิดนี่นาว่าแค่เทๆ รวมกันจากที่ขมๆ มันจะออกมากลมกล่อมพอดี” นรกรยิ้มเขิน “ให้ผมทำเองก็ไม่ได้หรอกนะ หกหมด แล้วของแบบนี้ต้องใช้พรสวรรค์ด้วยนะ พี่วินทร์ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่ามีคนที่แค่ทอดไข่ดาวยังไหม้ด้วย”

“ใคร?”

“พี่ปอ” ตอบไปแล้วก็เหลือบมองคนตรงหน้าเล็กน้อยเพราะกลัววินทร์จะคิดว่าเขายังตัดใจไม่ได้

“แต่ฉันทอดได้ทุกแบบนะ” วินทร์ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “ไข่แดงสุกไม่สุก นิ่มๆ หรือกรอบๆ นายชอบแบบไหนล่ะ”

“ผมไม่ชอบกินไข่ดาว”

“งั้นเอาไข่ตุ๋นไหมล่ะ วันหลังจะทำให้กินรับรองว่าชิมแล้วจะติดใจ”

“พี่วินทร์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ เก่งจัง”

วินทร์ไหวไหล่ “ถ้าจะมีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ก็เรื่องจีบนายนี่แหละ”

“พี่วินทร์” นรกรสบตาคนตรงหน้าแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะล้อเล่น

“ไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว ฉันก็ขอทำให้มันชัดเจนไปเลยละกันเพราะตอนที่นายถามว่าที่ฉันทำทั้งหมดนี้ให้นายเพราะอะไรนั่นฉันว่ามันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่” วินทร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับมองตอบสายตาคนตรงหน้า “ฉันชอบนาย ฮาร์ฟ”

“แต่ผม…”

วินทร์ยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก “อย่าเพิ่งตอบได้ไหม ช่วยกลับไปคิดดูอีกที แค่ขอโอกาสให้ฉันได้ดูแลนาย อย่างน้อยก็จนกว่านายจะเจอใครที่อยากให้ดูแล แล้วพอถึงตอนนั้นฉันจะเป็นฝ่ายไปเอง”

“แต่มันเจ็บนะครับ แล้วก็เสียเวลาด้วย ผมว่าพี่วินทร์เอาเวลาที่อยู่กับผมไปมองหาคนอื่นดีกว่า”

“ฉันรู้ว่ามันเจ็บ” วินทร์ยอมรับ “แต่ฉันจะเจ็บกว่านี้ถ้านายทำเป็นไม่สนใจหรือผลักไสฉันไปให้คนอื่น”

นรกรสะอึก มันเหมือนกับคำที่เขาพูดกับอทิฏฐ์ไม่มีผิด เขาหลุบสายตาลงต่ำ มือทั้งสองกุมแก้วกาแฟแน่นไม่รู้จะให้คำตอบว่าอะไร

“ไม่ต้องคิดมากนะฮาร์ฟ ขอแค่นายช่วยรับความหวังดีนี้ไปบ้างฉันก็ดีใจแล้ว” วินทร์ยิ้มบางพลางลุกขึ้นยืน อย่างที่พูดไป เขาไม่ได้อยากคาดคั้น ไม่ได้อยากทำให้ลำบากใจ ก็แค่อยากจะดูแลและเห็นคนตรงหน้ามีความสุขบ้างก็แค่นั้นเอง “อิ่มแล้วก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย”

oooooo

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 14 Still P.9 [21/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 31-05-2016 08:48:53
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

นรกรเดินเข้ามาในห้องตรวจ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นห้องเดิมที่เขานั่งมาตลอดห้าปี แต่ทำไมวันนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม ทั้งที่เสียงจากภายนอกแสนจะอื้ออึงแต่ในนี้กลับเงียบเหงาจนดูเศร้า ยิ่งเมื่อเขามองไปยังเก้าอี้ว่างเปล่าตรงมุมห้องหัวใจก็รู้ทันทีว่าคิดถึงอทิฏฐ์มากแค่ไหน

น่าแปลกทั้งที่น่าจะเจ็บจนอยากร้องไห้ แต่รอยยิ้มเล็กๆ กลับผุดขึ้นตรงมุมปากเมื่อเห็นเงาของใครคนนั้นซ้อนทับขึ้นมาทำท่าทางล้อเลียนตอนเขาตรวจคนไข้

และนั่นคือสัญญาที่ให้กันไว้… เขาจะยิ้มให้ได้ในวันที่คิดถึง

“เราทำได้” บอกกับตัวเองอย่างหนักแน่นก่อนจะนั่งลงและเริ่มต้นเรียกคนไข้คิวแรกเข้ามา

เมื่อคนไข้คนสุดท้ายคล้อยหลัง นรกรเหลือบตามองนาฬิกาเห็นยังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควรจึงเปิดคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลและเข้าโปรแกรมงานแพทย์เพื่อดูผลเลือดออนไลน์เช้าวันนี้ของลลิน ผลอยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นที่น่าพอใจ เขาคลิกดูข้อมูลเก่าๆ ย้อนกลับไปเรื่อยๆ เพื่อทบทวนการรักษาที่ผ่านมา พลันก็นึกอะไรขึ้นได้ว่าวินทร์เคยเล่าให้ฟังว่าป่วยนอนโรงพยาบาลสมัยเป็นแพทย์ใช้ทุน ประวัติการเจ็บป่วยนี่แหละที่จะช่วยยืนยันได้แน่ๆ ว่าอทิฏฐ์กับวินทร์เป็นคนเดียวกันไหม

แต่นั่นมันก็หลายปีแล้วนะ… การที่วิญญาณจะวนเวียนอยู่มานานขนาดนั้นมันเป็นไปได้ แต่จะ… หลงมาอนาคต หรือย้อนกลับไปอดีตมันจะเป็นไปได้เหรอ

นรกรขยับนั่งตัวตรง เขารัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์และกดค้นหาอยู่อึดใจข้อมูลที่ต้องการก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

ใช่จริงๆ วินทร์เคยป่วยนอนแอดมิทอยู่ที่นี่เมื่อแปดปีก่อน เขาขยับเมาส์ไปวางที่แถบแสดงรายชื่อ และเพียงแค่กดลงไปครั้งเดียวก็จะรู้ข้อมูลทั้งหมด

มือเรียวกำเมาส์แน่น ความคิดตีกันในหัววุ่นวาย ใจหนึ่งก็อยากรู้ แต่อีกใจก็คิดว่ารู้ไปแล้วจะช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ต้องเป็นแบบไหนถึงจะดี ระหว่างเป็นแค่คนที่หน้าตาคล้ายกันหรือเป็นคนๆ เดียวกัน

นรกรเม้มริมฝีปากแน่น นิ้วชี้ขยับยกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะกดคลิก… แล้วหน้าต่างก็ถูกปิดลงไป

เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ใช่ไม่อยากรู้ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาได้เอ่ยปากถามกับเจ้าตัวเอง

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั่นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่มันถูกเลื่อนเปิดออกปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์

“ฮาร์ฟ”

นรกรหันไปเห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่กำลังครุ่นคิดยืนอยู่ที่กรอบประตู “ครับ”

“เสร็จหรือยัง เมื่อกี้ไอ้พัฒโทรมาบอกให้ช่วยไปดูคนไข้ใน OR หน่อยน่ะ เหมือนเนื้องอกจะก้อนใหญ่กว่าที่คิด นายจะไปด้วยกันไหม” วินทร์ถาม นรกรยังมีท่าทางลังเลเขาจึงเพิ่มข้อตกลง “แล้วจะได้แวะไปดูลลินก่อนไปกินข้าวด้วยกันไง”

“ขอผมปิดคอมก่อนนะครับ”

“ฉันรอตรงนี้นะ”

“ครับ”

“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า” วินทร์ถามคนที่เอาแต่เหลือบมองเขาแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรสักที

นรกรเหลียวมองพื้นที่ว่างเปล่าข้างตัวราวกับจะขอกำลังใจ “ผมแค่สงสัยน่ะครับว่าตอนที่พี่วินทร์แอดมิทนอนโรงพยาบาลเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นพี่วินทร์ป่วยเป็นอะไร”

วินทร์นิ่วหน้านึกอยู่อึดใจ “ถามทำไมเหรอ”

“ไม่มีอะไรครับ แค่นึกขึ้นได้ก็เลยถาม ตกลงว่าพี่วินทร์เป็นอะไรครับ”

“เป็น...”

ตอนนั้นเองที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งวันนี้มาช่วยออกตรวจด้วยเดินเข้ามาหา ทั้งสองจึงหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น

“วินทร์”

“ครับอาจารย์”

“ฮาร์ฟด้วย อยู่กันพร้อมหน้าพอดีผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

“อะไรครับอาจารย์”

“ผมทำหนังสือถึงโรงพยาบาลต้นสังกัดของคุณเรื่องจะดึงตัวมาเป็นอาจารย์ที่นี่แล้วนะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

“ขอบคุณครับ”

“แต่ติดปัญหานิดหน่อย”

“อะไรหรือครับ” วินทร์มีสีหน้าวิตกขึ้นมาเล็กน้อย

“เรื่องสัญญาใช้ทุนที่ส่งคุณมาเรียนเฉพาะทางน่ะ”

“ผมมีสัญญาอยู่ห้าปี” วินทร์บอก

“ผมยื่นเรื่องขอชดใช้ทุนเป็นเงินไปแล้ว แต่ทางนั้นก็ยังยืนยันจะปฏิเสธ เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือบุคลากรไม่ใช่เงิน เราเลยตกลงเจอกันครึ่งทางคุณต้องกลับไปทำงานใช้ทุนให้เขาสองปีนะจึงจะมาเริ่มงานที่นี่ได้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หน้าเครียดขึ้นเล็กน้อย จริงอยู่ว่าเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ แต่ก็ยังอดเสียดายช่วงเวลาตรงนั้นไม่ได้

“แค่นี้ก็ขอบคุณอาจารย์มากแล้วครับ ส่วนเรื่องเงิน…”
“ผม ไม่สิ! ทางเราก็ไม่อยากได้เงินจากคุณเหมือนกัน เอาเป็นว่าคุณติดหนี้เราเพิ่มอีกสามปีนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก “ไปเซ็นรับทราบสัญญาด้วย”

“ไม่มีปัญหาครับ”

“แล้วธุระของผมล่ะครับอาจารย์” นรกรถามเมื่อศาสตราจารย์สรวิชญ์ทำท่าจะผละไป

“ก็เรื่องนี้แหละ”

“ยังไงครับ”

“ก็ในระหว่างที่หมอวินทร์ไม่อยู่คุณต้องรับผิดชอบสอนแทนในส่วนของเขาด้วย ผมคงไม่ถามหรอกนะว่าไหวไหมเพราะคุณไม่มีทางเลือก”

“ครับ” นรกรรับคำ “อาจารย์ครับ เรื่องนั้นผมไม่มีปัญหาแต่ผมขอถามอะไรอาจารย์เรื่องหนึ่งได้ไหมครับ”

“อะไรล่ะ”

“เรายกเลิกกฏที่ให้เรียกว่า ‘อาจารย์’ ได้ไหมครับ” นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากพูดมาตลอดแต่ก็ไม่มีความกล้าพอสักที แต่ว่าจากนี้เป็นต้นไปเขาจะพยายามพูดให้มากขึ้นตามสัญญาที่ให้ไว้กับอทิฏฐ์ และเขาก็คิดว่าควรเริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเลย

ไม่ใช่แค่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่แปลกใจ วินทร์เองก็พลอยสนใจไปด้วย “ทำไม”

“เพราะต่อจากนี้เราคงพบกันที่ทำงานมากกว่าเจอกันข้างนอก ผมก็แค่อยากเรียก ‘พ่อ’ ว่า ‘พ่อ’ บ่อยๆ เท่านั้นเองครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่มีทีท่าอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะมีใครสังเกตสักนิดคงเห็นว่าภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเขากำลังยิ้มอยู่ “งั้นเปลี่ยนเป็นเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้านักเรียน”

“ตกลงครับ”

“ทำหน้าแบบนั้นคืออะไร หมอวินทร์” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันมาถามคนที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ แต่กลับทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เปล่าครับ” วินทร์ต้องพยายามเก๊กไม่ให้ดูดีใจจนออกนอกหน้า “ก็แค่อยากเรียกบ้างเพราะธีร์เองก็เรียกอาจารย์ว่าป๊า ไม่งั้นก็จะมีผมคนเดียวที่ไม่เข้าพวกน่ะสิ… ได้ไหมครับ ‘อาจารย์พ่อ’”

ใบหน้าเคร่งขรึมของศาสตราจารย์สรวิชญ์คล้ายจะกระตุกหน่อยๆ “ผมมีลูกชายแค่สองคน” ตัดบทเสียงห้วนแล้วก้าวฉับๆ จากไป

“พี่วินทร์ไม่ต้องคิดมากนะ” นรกรรีบพูดเพราะรู้ว่าวินทร์ชื่นชมศาสตราจารย์สรวิชญ์มากแค่ไหนทั้งในฐานะอาจารย์และคนที่เคยช่วยพ่อแม่ของเขาไว้ “อาจารย์แค่พูดตรงๆ เห็นนิ่งๆ แบบนั้นแต่พี่วินทร์เป็นศิษย์รักนะครับ อาจารย์รักพี่วินทร์เหมือนลูก เผลอๆ จะรักมากกว่าผมเสียอีก”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง ทั้งที่คนพูดเองเพิ่งจะปรับความเข้าใจกับพ่อได้แท้ๆ ยังจะมีใจเป็นห่วงความรู้สึกของเขาอีก “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”

“แล้ว…”

“เอาเป็นว่าฉันโอเค” วินทร์ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“พี่วินทร์รู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ” นรกรถาม “เรื่องที่จะต้องกลับไปน่ะ เพราะพี่วินทร์ดูไม่แปลกใจเลย ถึงจะกังวลก็เถอะ”

“ไม่ได้รู้หรอก แค่เดาได้มากกว่าว่าคงไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ น่ะ ฉันเตรียมใจไว้ที่ห้าปีก็จริงแต่สองปีนี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน” แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

“เพราะแบบนี้หรือเปล่าเมื่อเช้าพี่วินทร์ถึงได้…”

“ใช่” วินทร์ยอมรับ “สบายใจได้แล้วนะ นายทนกับฉันอีกไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันก็จะไปพ้นหน้านายแล้ว”

“พี่วินทร์ครับ” นรกรเรียก “จริงอยู่ว่าผมลำบากใจเรื่องที่พี่วินทร์บอกว่าชอบผม แต่นั่นเป็นเพราะผมตอบแทนความรู้สึกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพราะผมโกรธเกลียดอะไรพี่วินทร์ และผมยังยืนยันคำเดิมที่เคยพูดไว้ว่าอยากให้พี่วินทร์อยู่กับผมที่นี่นะ”

“ขอบใจนะ”

นรกรสบตาคนตรงหน้า ทั้งที่ริมฝีปากกำลังคลี่ยิ้ม แต่เขากลับรู้สึกว่าใจของวินทร์ยังไม่ได้ยิ้มตามเลยสักนิดจึงพูดย้ำไปอีก

“ผมจะตั้งใจคิดเรื่องพี่วินทร์นะ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย

“ผมไม่รับปากว่าคำตอบที่ได้จะเป็นยังไง แต่ถ้าพี่วินทร์อยากจะให้ผมยิ้ม พี่วินทร์ก็ต้องเลิกทำหน้าแบบนั้นก่อน เพราะผมจะมีความสุขได้ยังไงถ้าพี่วินทร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา”

นัยน์ตาคมเบิกโพลง วินทร์ยกมือขึ้นปิดปากพร้อมๆ กับที่หลุดปากโพล่งออกไปพอดี “ให้ตายสิ! ใจคอนายจะทำให้ฉันตกหลุมรักสักกี่ทีเนี่ยถึงจะพอใจ”

“เมื่อกี้พี่วินทร์พูดว่าอะไรนะครับ” นรกรถามออกตกใจเล็กๆ พวงแก้มร้อนผ่าว แน่ใจว่าฟังไม่ผิดไป

“เรื่องเก่าๆ น่ะ” วินทร์ว่า “นายคงจำไม่ได้หรอก” แล้วเขาก็รีบก้าวยาวๆ หนีไป

นรกรก้าวตามอย่างไม่ลดละ นี่ไงความแตกต่างข้อที่สอง อทิฏฐ์มักจะบ่นเสมอเวลาที่เขาเดินเร็ว แต่กับพี่วินทร์เขาแทบต้องวิ่งเหยาะๆ เพื่อตามให้ทัน ทั้งที่ช่วงขาก็พอๆ กันแท้ๆ แต่ทำไมถึงก้าวได้กว้างเท่ากับสองก้าวของเขาเลยนะ “อะไรครับพี่วินทร์”

“ความลับ” วินทร์หันมาอมยิ้มมุมปาก

และนั่นยิ่งกระตุ้นให้นรกรอยากรู้ ในที่สุดเขาก็ตามอีกฝ่ายทันที่หน้าห้องเปลี่ยนชุด

วินทร์เดินเข้าไปหน้าตู้ของตัวเองและดึงประตูเปิดออกเพื่อเตรียมจะถอดเสื้อ

“พี่วินทร์ บอกผมหน่อยสิครับ”

“ไม่บอก”

“ถ้ามันเป็นเรื่องของผม ผมก็คิดว่ามีสิทธิ์ที่จะรู้นะครับ”

“เอางี้” วินทร์ชะโงกหน้าออกมาจากหลังประตูเหล็ก “ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้แต่นายต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

“อะไรครับ”

วินทร์ยื่นมืออ้อมประตูตู้ออกมาและดึงตัวร่างโปร่งผลุบเข้าไป

ตอนนี้นรกรจึงมายืนอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆ โดยที่ด้านข้างขนาบด้วยตู้ล็อกเกอร์ ข้างหลังเป็นกำแพงและข้างหน้าเป็นร่างสูงที่ตอนนี้เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผงอกแกร่ง

“ช่วยเปลี่ยนชุดหน่อย” วินทร์อมยิ้มกรุ้มกริ่ม “แล้วระหว่างที่นายทำ ฉันก็จะเล่าไปด้วย หรือไม่ก็เปลี่ยนชุดพร้อมกัน เลือกมาสักอย่างสิ” พลางสืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับแตะนิ้วลงบนกระดุมเสื้อเม็ดบนสุด

นรกรถอยหนีจนหลังติดกำแพง… ชอบแกล้งเขาด้วยวิธีการแปลกๆ นี่แหละความแตกต่างข้อที่สาม “ผมไม่เลือกหรอก ถ้าพี่วินทร์ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ”

“อะไรกัน ไม่อยากรู้แล้วเหรอ”

“ถ้าข้อแม้มันยากนักผมไม่รู้ก็ได้ครับ”

“ยากตรงไหน แค่เปลี่ยนชุด ใครๆ เขาก็ทำกัน มีแต่นายน่ะแหละที่อาย”

“มันก็เรื่องของผม” นรกรว่าพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบออกมา

“เดี๋ยวสิฮาร์ฟ” วินทร์ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ และเพียงแค่ขยับตัวนิดเดียวเขาก็สามารถคว้าต้นแขนไว้อีกฝ่ายไว้ได้

เกิดการยื้อยุดกันเล็กน้อยระหว่างช่องล็อกเกอร์ แล้ววินทร์ก็อาศัยขนาดตัวที่ใหญ่กว่าและเรี่ยวแรงที่เยอะกว่ารวบเอวนรกรดันหลังติดล็อกเกอร์อย่างแรงจนมันสั่นกราวไปทั้งตู้ และทำให้ลังหนังสือที่กองสุมๆ ไว้ด้านบนเริ่มโงนเงน

“พี่วินทร์!”

เจ้าของชื่อยิ้มยั่วกำลังคิดจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการปิดปากคนตัวเล็กหากเรี่ยวแรงเยอะกว่าที่คิดทำให้เขาเผลอรุนแรงใส่

“ปล่อยครับ”

“ไม่ปล่อย” พร้อมกับก้มหน้าลงต่ำตั้งใจว่าจะแกล้งหอมสักฟอดแล้วค่อยปล่อยเมื่อนรกรร้องเสียงดัง

“พี่วินทร์!”

“อะไร”

“ระวังครับ” สิ้นคำลังใส่หนังสือใบใหญ่บนหลังตู้ก็ร่วงลงมา

โครม!

“ไม่เป็นอะไรนะครับ”

วินทร์เหลือบมองลังใบใหญ่บนพื้นกับกองหนังสือที่เฉียดไหล่เขาไปนิดเดียวเพราะได้นรกรช่วยปัดออกไป ซ้ำยังใช้มืออีกข้างป้องศีรษะเขาไว้อีก เขาหันกลับมามองคนตรงหน้าที่ยังจับศีรษะเขาไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง “มัวแต่ห่วงฉัน นายน่ะแหละเป็นอะไรหรือเปล่า” พูดเสียงดังพร้อมกับคว้าแขนอีกฝ่ายไปพลิกดู “ไม่เจ็บตรงไหนนะ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่… พี่วินทร์!” นรกรร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อคราวนี้ล็อกเกอร์ของวินทร์ที่อยู่ด้านหลังจู่ๆ ก็ล้มเอียงลงมาใส่ทั้งสอง เขายกมือขึ้นข้ามไหล่คนที่คร่อมไว้เพื่อจะช่วยยันไม่ให้มันกระแทกโดน

แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

ปัง! โครม!

เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นก่อนจะตามมาเสียงครึกโครมของของในตู้ที่ร่วงลงมา

นรกรหลับตาแน่นตอนนี้เขานั่งขดตัวอยู่บนพื้นรู้สึกได้ถึงอะไรที่ทั้งใหญ่และหนักทับตัวไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรนะ”

เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหู ทำให้เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ทุกอย่างตรงหน้ามันมืดไปหมด และเขาต้องใช้เวลาอีกอึดใจจึงรู้ว่าที่ทั้งมืดและอึดอัดนั้นเป็นเพราะวินทร์กอดเขาไว้อ้อมอกเอาตัวเองเป็นเกราะกันเขาจากตู้ล็อกเกอร์เหล็กและข้าวของมากมายที่อยู่ในนั้น

โชคดีที่ทางเดินไม่กว้างนัก ตู้จึงล้มลงมาพิงกันเกิดเป็นช่องสามเหลี่ยมเล็กๆ ให้ทั้งสองหลบภัยพอดี

วินทร์ขยับตัวออกห่างเล็กน้อยในพื้นที่คับแคบนั้นพลางก้มลงมองคนในอ้อมแขนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีไม่มีรอยขีดข่วนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วซุกหน้าลงบนบ่า “ขอโทษนะ” เขากระซิบที่ข้างหู รู้สึกผิดเต็มหัวใจ “ฉันแกล้งแรงไปหน่อย นายออกไปรอข้างนอกก่อนเดี๋ยวฉันเปลี่ยนชุดเสร็จนายค่อยเข้ามานะ”

“ครับ”

แล้ววินทร์ก็ปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนแล้วหันไปดันตู้ล็อกเกอร์ขึ้นวางไว้ที่เดิม

นรกรลุกขึ้นยืน กำลังจะช่วยก้มลงเก็บของที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นทั้งหนังสือ ชีท และเสื้อผ้าเมื่อมือใหญ่คว้าข้อมือเขาไว้

“ออกไปเถอะ เดี๋ยวฉันเก็บเอง” วินทร์กำชับพร้อมกับช่วยลูบผมที่ยุ่งให้เข้าที่

“ครับ” นรกรเบี่ยงศีรษะหนีเล็กน้อยและหันหลังกลับ

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ฉัน...” วินทร์สบสายตาที่มองมาพร้อมกับกำมือแน่น “เปล่า ไม่มีอะไร…” แล้วเขาก็ปล่อยให้นรกรเดินออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างขัดใจ

แทบจะนับครั้งไม่ได้แล้วกับสิ่งที่อยากจะบอกแต่สุดท้ายก็ได้แต่เก็บเงียบไว้ในใจ เพราะทุกๆ ครั้งที่กำลังจะพูดก็กลับมีเสียงเล็กๆ ในหัวกระซิบขึ้นมาว่ามันยังไม่ถึงเวลา

…ก็แล้วเมื่อไหร่เวลานั้นมันจะมาถึงล่ะ!…

วินทร์ก้มลงเก็บของรวมกันลวกๆ แล้วโยนใส่ตู้ ไม่คิดจะเก็บให้เป็นระเบียบเพราะตามที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกเขาคงมีเวลาอยู่ที่นี่อีกไม่นานนักยังไงก็ต้องมารื้ออีกอยู่ดี

เขาเอื้อมแขนเอาลังไปวางไว้บนหลังตู้เป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจะคว้าเสื้อสำหรับใส่ในห้องผ่าตัดมาสวม กำลังจะออกไปอยู่แล้วเมื่อได้ยินเสียงดังตึงเบาๆ

นัยน์ตาคมเหลือบมองขึ้นไปยังหลังตู้ที่ว่างเปล่า ทำเป็นเหมือนไม่สนใจแต่กลับเอ่ยปากคล้ายจะบอกกับใครสักคนที่ซ่อนอยู่ในความมืดนั่น

“ทำกันถึงขนาดนี้นี่เพราะอยากช่วยเขาแต่เผลอมือหนักไปหน่อยหรือเหม็นขี้หน้าผมเป็นการส่วนตัวครับ”

แล้ววินทร์ก็เดินออกไป ครู่ต่อมานรกรก็กลับเข้ามา แต่แทนที่จะตรงไปเปลี่ยนชุดที่ล็อกเกอร์ในสุดของตัวเองเขากลับยืนแหงนคอมองเหนือล็อกเกอร์ตู้แรก

“ขอบคุณนะครับที่ช่วย แต่แบบนั้นมันก็แรงไปนะ ผมไม่รู้ว่าพี่วินทร์คิดจะทำอะไรกันแน่แต่ยังไงเขาก็ไม่ทำอะไรผมอยู่แล้ว”

ความมืดบนหลังตู้สั่นคลอนเล็กน้อยก่อนจะปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดขาวผมยาวนั่งห้อยขาอยู่ “คนเราน่ะรู้หน้าไม่รู้ใจนะ คุณหมอไปเอาความมั่นใจมากขนาดนั้นมาจากไหน”

คุณหมอหนุ่มพ่นลมออกจมูก เขาตอบคำถามนี้ไม่ได้ว่าเพราะอะไร เพียงแต่ลึกๆ ในใจมันเชื่อมั่นแบบนั้น นรกรเดินไปยืนหน้าล็อกเกอร์ของตนกำลังจะเปิดประตูเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสีขาวตุ่นที่โผล่พ้นใต้ขอบตู้ออกมา

นรกรนั่งคุกเข่าลงและใช้ปลายนิ้วเขี่ยมันออกมา มันเป็นกระดาษโน้ตสรุปกายวิภาคของสมองดูเผินๆ ไม่มีอะไรแปลกเพราะไม่ใช่แค่ผู้ที่เรียนสายศัลยกรรมประสาทและสมองต้องทำแต่ยังรวมไปถึงนักเรียนแพทย์ทุกคน แต่ทุกตัวอักษรบนนั้นมันเป็นลายมือของเขาไม่มีผิดแน่ แล้วไหนจะยังชื่อ-นามสกุลที่เขียนอยู่ตรงมุมบนขวามือนั่นอีก

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันพลางเหลียวมองซ้ายขวาด้วยความสงสัยว่ามันมาตกอยู่ที่นี่ได้ยังไง ดูจากความเก่าและเนื้อหาที่จดลงไปนี่น่าจะเป็นโน้ตที่เขาทำสมัยเรียนโน่นเลยซึ่งมันน่าจะอยู่ในลังหนังสือเก่าที่บ้านไม่น่าจะมาหลงอยู่ที่นี่ได้

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก นรกรจึงสอดมันไว้ในสมุดและเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะเปลี่ยนชุดและเดินเข้าห้องผ่าตัดไป

ทันทีที่คุณหมอหนุ่มคล้อยหลังหญิงสาวบนหลังตู้ก็ตวัดขากลับขึ้นไปนั่งกอดไว้ “ไม่ได้ช่วยแล้วก็ไม่ได้อยากแกล้งใครด้วย แค่รำคาญน่ะ” กระซิบกับตัวเองก่อนจะซุกหน้าลงบนหัวเข่าพร้อมกับโยกตัวเบาๆ เป็นจังหวะพลางส่งเสียงคล้ายกับกำลังฮัมเพลงในลำคอ

และมันก็บังเอิญเป็นเพลงเดียวกับที่คุณหมอหนุ่มในชุดปลอดเชื้อคนหนึ่งกำลังร้องคลออยู่ในห้องผ่าตัด

 ท่วงทำนองเนิบช้าฟังดูเศร้าสร้อยคล้ายคนร้องกำลังร้องไห้ และถึงเนื้อเพลงจะเก่าหากก็ช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน

“…แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน กับอะไรที่เป็นไป ก็ยังไม่เคยลืมเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ…”

ขายาวที่กำลังก้าวไปหยุดเงี่ยหูฟังอยู่อึดใจ มันเป็นเสียงของวินทร์และนี่ก็เป็นเพลงที่เขามักจะร้องเป็นประจำเวลาผ่าตัด

…ข้อแตกต่างข้อที่สี่ พี่วินทร์ชอบร้องเพลงถึงเสียงจะเพี้ยนเข้าขั้นวิกฤตในขณะที่อทิฏฐ์ไม่ชอบเลย…

มือทั้งสองกำเป็นหมัดจนเจ็บ ทั้งที่บอกตัวเองหนักแน่นถึงความต่างของทั้งสอง ก็กลับมีเสียงเล็กๆ เถียงกลับมาเบาๆ

…แต่ที่เขาร้องก็เพราะนายชอบฟังไม่ใช่หรือไง…

“ไม่ใช่สักหน่อย” เขาย้ำกับตัวเอง

นรกรผลักประตูห้องผ่าตัดเข้าไป แล้วเสียงเพลงที่ดังอยู่ก็เงียบหายไปในบัดดล และทั้งที่เจ้าหน้าที่ในห้องที่มีอยู่เกือบสิบคนนั้นสวมชุดปลอดเชื้อ หมวกคลุมผมและผ้าปิดปากปิดจมูกเหมือนกัน แต่เขากลับรู้ทันทีว่าคนที่มองหายืนอยู่ตรงไหนโดยไม่ต้องรอให้เจ้าตัวส่งเสียงเรียก

เปลือกตาปิดลงครั้งหนึ่ง พยายามหนีจากแววตาอบอุ่นที่มองมา แต่ยิ่งหนีภาพนั้นกลับยิ่งแจ่มชัดอยู่ในห้วงความคิดและยังรวมไปถึงรอยยิ้มกว้างอ่อนโยนที่ส่งมาให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ความแตกต่างที่คิดได้มีแล้วสี่ แต่มันก็ถูกชดเชยให้หายไปได้ในทันที

ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา น้ำเสียง ชอบเอาใจใส่ รู้ว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร และ… สิ่งสำคัญที่ทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้เลยคือความรู้สึกดีๆ ที่มีให้

แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้มันผิด ถ้าหากมันเป็นแค่สิ่งที่เขาคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อทดแทนความเหงาที่อทิฏฐ์จากไปล่ะ

สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่หัวใจตัวเองที่ต้องเจ็บเพราะเขาไม่มีอะไรจะเสีย แต่เขาสงสารวินทร์ที่ต้องกลายเป็นคนที่เหมือนโดนเขาหลอกใช้ประโยชน์จากความรัก และนี่ต่างหากคือสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด แล้วเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี



********************************TBC************************************************

Talk

กลัวอ่านแล้วนึกภาพตามไม่ออกเลยแอบเก็บภาพห้องล็อกเกอร์เจ้าปัญหามาให้ดูซะเลย (อยู่ในเพจนะคะ)

ตู้ในสุดซ้ายมือเป็นของฮาร์ฟ และตู้ติดกันที่อยู่ถัดออกมาเป็นของพี่วินทร์ค่ะ

ใคร ทำอะไร ยังไง ในห้องนี้ติดตามได้ในบทนี้เลยค่ะ

ปล. ภาพนี้ถ่ายตอนเที่ยงคืน ถ้าใครเห็นเงาใครหรืออะไรแปลกปลอม ไม่ต้องเมนชั่นมาบอกเรานะคะ เราจะถือว่าเรามองไม่เห็น


หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 31-05-2016 11:43:53
ขอบคุณมากค่ะ รออยู่เลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 31-05-2016 12:37:03
งุ้ยยย ซับซ้อน ตื่นเต้นมากกกค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 31-05-2016 12:38:37
โอ้ยยยย
อึนๆ มึนๆในใจ
จริงๆก็ไม่ิยากยอมรับเหมือนกันว่า วินคือ ทิด
เพราะเราใจแคบรึเปล่า
ค่อยๆจีบฮาร์ฟต่อไปนะพี่วินทร์✌
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 31-05-2016 13:22:29
สรุปว่าใช่สิน่ะ มีคุยกะคุณผีล็อกเกอร์ด้วย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-05-2016 17:11:17
หลงรักทิดไปแล้ว
ตอนนี้ยังหลงรักวินทร์ด้วย

ถ้าฮาร์ฟช้า ฉันจะแย่งแล้วนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 31-05-2016 20:35:41
มึนมากก แต่กฌไม่รู้ว่า คนเดียวกันหรือเปล่า งืออ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jennyha ที่ 31-05-2016 21:39:36
สนุกอ่าาาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 31-05-2016 23:04:20
ลุ้นอ่ะ...
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 31-05-2016 23:44:02
รีบมาต่อเลยยย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 01-06-2016 01:14:27
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
ของพาร์ทพี่วินทร์เลยได้ไม๊
อยากรู้ความจริงแล้ววว
 :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 01-06-2016 06:48:09
ลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 01-06-2016 08:19:45
รู้สึกว่า. มันบีบคั้นหัวใจเกินไปไหมอะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 01-06-2016 11:51:30
เฮ้อออ เวลาห้าปีกับพี่วินทร์ และ หนึ่งเดือนกับอทิฏฐ์ ทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน
 ทำไมฮาร์ฟถึงให้ใจกันได้แตกต่างขนาดนี้
เวลาอีกสองปีของพี่วินทร์ที่ต้องไปใช้ทุนอีกล่ะ. แงๆๆๆๆ
บวก1บวกเป็ดให้กับความอึมครึมค่ะ 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 01-06-2016 14:23:27
ลุ้นจนแทบจะนั่งไม่ติด สุดท้ายน้องฮาร์ฟก็ยังไม่รู้ว่า พี่วินเป็นคนเดียวกับอทิษฐ์ ว้า แต่ดีอย่างที่เริ่งค้นใจตัวเองแล้ว เสียดายพี่วินใกล้จะไปใช้ทุนแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: 182x406 ที่ 02-06-2016 10:17:12
อ่านสองตอนรวดด ในที่สุดก็เฉลยว่าเป็นคนเดียวกัน
สารภาพว่าแรกๆไม่ชอบพี่วินทร์ด้วยค่ะ555555
เลยรู้สึกแปลกๆพอรู้ว่าเป็นคนเดียวกับทิด แต่ตอนนี้ทำใจได้แล้ว
เริ่มรู้สึกว่าวินทร์เองก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน กรี๊ดดด
รอตอนต่อไปนะคะ<3
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: purpleguy ที่ 02-06-2016 20:03:04
  :o8: อ่านรวดเดียวจบถึงตรงนี้เลย.... บอกได้เลยว่า หลงรัก...ผีสาวอะ :mew1: อยากให้เธอไปสู่สุขติ.....เคลิ้มเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 02-06-2016 21:15:58
ลุ้นๆอะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-06-2016 17:48:28
มันบีบ มันลุ้นมากเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ จะรออ่านตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 07-06-2016 14:32:06
เอ็นดูพี่วินเบาๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 08-06-2016 07:36:15
รอเป็นกำลังหนุ่มวินจ้า :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-06-2016 00:04:07
บทที่ 16 Restart


“หมอฮาร์ฟคิดอะไรอยู่หรือคะ ทำไมทำหน้าแปลกๆ” ลลินถามคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนแฟ้มผู้ป่วยไม่พูดไม่จาอยู่ข้างเตียง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่ถามแต่เพราะในห้วงเดือนที่ผ่านมาคุณหมอเจ้าของไข้ของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนที่ยิ้มแย้มมากขึ้นและเริ่มเล่นมุกเป็น

เธอถอดท่อช่วยหายใจได้ในวันรุ่งขึ้นหลังผ่าตัดและตอนนี้ก็อาการคงที่พอจะย้ายมาสังเกตอาการที่หอผู้ป่วยสามัญได้หลายวันแล้ว

“เปล่าครับ” นรกรโกหก จริงๆ แล้วเขาเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของวินทร์

หลายวันมานี่วินทร์ยังคงคอยมารับมาส่งที่ห้อง ชวนไปกินข้าว ทำนู่นนี่นั่นด้วยเสมือนเป็นเงาตามตัว จะว่าไปปกติวินทร์ก็ทำแบบนี้อยู่แล้วแต่หลังจากสารภาพรักวันนั้นเขารับรู้ได้เลยว่ามีความรู้สึกรุนแรงแบบอื่นแฝงมาด้วยจนแม้แต่คนรอบข้างยังรู้สึกและมีแซวมาบ้างประมาณว่าเป็น ‘คู่จิ้น’ อะไรสักอย่างซึ่งเขาไม่เข้าใจ เปิดพจนานุกรมหาแล้วก็ไม่มีความหมาย ถามวินทร์ก็ได้แต่อมยิ้มมีเลศนัยน์แล้วก็ไม่ยอมอธิบายอะไรสักอย่าง

จนมาถึงตอนที่ธีร์เรียกเขาไปคุยเป็นการส่วนตัวเมื่อวานเย็นน่ะแหละ

 
‘นายตกลงเป็นแฟนกับหมอนั่นแล้วเหรอ’ จริงๆ ป่านนี้ธีร์น่าจะไปนอนตีพุงอยู่อเมริกาแล้วถ้าไม่ใช่เพราะโดนป๊าสวดไปยกใหญ่เรื่องจะลาออกโดยไม่บอกกล่าวเลยต้องเลื่อนตั๋วไปเป็นหลังงานฉลองเรียนจบ

นรกรกวาดตามองน้องชายบุญธรรมที่กอดอกจ้องเขาตาแทบจะถลน ‘นายพูดเรื่องอะไรธีร์ ฉันไปเป็นแฟนกับใคร’

‘อย่ามาทำไขสือ ใครๆ เขาก็ลือกันให้แซ่ดเรืองนายกับไอ้วินทร์น่ะ’

‘ฉันกับพี่วินทร์เนี่ยนะ?’ นรกรถามย้ำ ‘ฉันไม่ได้…’

‘แล้วพวกนายทำอะไรกันในห้องล็อกเกอร์’ ธีร์ว่า ‘เสียงดังโครมคราม ไอ้พวกศัลย์ทั่วไปที่อยู่ห้องข้างๆ มันลือกันให้แซ่ด’

‘ก็แค่ตู้ล้ม’

‘แล้วทำไมจู่ๆ ตู้เหล็กหนักๆ ที่ตั้งมาเป็นสิบๆ ปีถึงล้มได้ล่ะ’

‘เราแค่เถียงกันนิดหน่อย’

‘ถึงขั้นตู้ล้มไม่หน่อยแล้วมั้ง’ ธีร์เริ่มจะฟิวส์ขาดแล้วตอนนี้ อุตส่าห์ทำตัวเป็นหมาหวงก้างกันท่ามาตลอด ขนาดหล่อ รวยแถมยังแสนดีอย่างคณิณนั่นเขายังทำใจอยู่เป็นเดือน ลงทุนไปกรวดน้ำให้แคล้วคลาดกันไปทุกสัปดาห์จนคณิณไปแต่งงานยังหน้าด้านไปร่วมเป็นสักขีพยานว่าเลิกกันแน่ๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับเชิญแล้วไหงจู่ๆ พี่ชายสุดที่รักจะมาโดนไอ้หน้าหนวดตะไคร่น้ำนี่คาบไปได้ง่ายๆ ฟะ ต่อให้ป๊ายอมเขาก็ไม่มีวันยอมง่ายๆ หรอกนะ

‘ก็มีลงไม้ลงมือด้วย’ นรกรกระซิบอ้อมแอ้ม

‘ลงไม้ลงมือ!’ ตอนนี้ธีร์หงุดหงิดจนแทบจะฉีกตำราแพทย์ออกเป็นสองส่วนได้ด้วยมือเปล่าแล้ว ‘ลงยังไง! ไอ้หมีภูเขานั่นมันทำอะไรนาย เล่ามาให้หมดเลยนะฮาร์ฟ’

‘ก็…’ นรกรเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อทบทวนภาพความทรงจำ มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่ที่จำได้แน่ๆ ก็เห็นจะเป็นตอนที่วินทร์รวบตัวเขาดันติดกำแพงแล้วก็ก้มหน้าลงมา… แล้วก็…

‘ช่างเหอะ ฉันไม่อยากฟังแล้ว’ ธีร์ตัดบทพร้อมกับยกมือขึ้นอุดหู เมื่อเห็นแก้มขาวเริ่มซับสีเลือดฝาดโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

‘เดี๋ยวก่อนสิธีร์มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ’

น้องชายบุญธรรมหันมามองหน้าเขาทำเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะโผเข้ากอดเต็มวงแขน ‘ฉันเชื่อใจนายนะฮาร์ฟ อย่าไปหลงคารมไอ้หน้าหนวดนั่นง่ายๆ ล่ะ มันชอบมองนายแปลกๆ มาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว ฉันว่ามันไม่น่าไว้ใจเลย’

‘ถ้านายหมายถึงวันปฐมนิเทศที่พี่วินทร์เข้ามากอดนั่นก็ไม่มีอะไรสักหน่อย เจ้าตัวก็อธิบายไปแล้วนี่’

ธีร์ย่นปากอย่างขัดใจนึกอยากจับใส่หลอดทดลองแล้วใส่เครื่องปั่นสักครึ่งชั่วโมงเผื่อเชื้อไอ้หมีภูเขานั่นมันจะหลุดออกไปบ้าง ‘ฉลาดซะเปล่า นี่นายเชื่อไอ้เรื่องวัดตัวอะไรนั่นจริงเหรอ แบบนั้นเขาเรียกแต๊ะอั๋งแล้วพอโดนจับได้ก็เลยแถเว้ย’



เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นรกรก็หยุดมือที่เขียนแฟ้มแล้วระบายลมออกจมูก แค่เรื่องที่ว่าอทิฏฐ์กับวินทร์เป็นคนเดียวกันหรือเปล่านั่นก็ทำคิดมากจนนอนไม่หลับแล้ว ไหนจะเรื่องสารภาพรักแล้วก็เรื่องนี้อีก

จะว่าไปก็มีเรื่องกระดาษโน้ตแผ่นนั้นอีกนะ ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีอะไรแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกติดใจแปลกๆ ก็ไม่รู้

“เรื่องพี่ชายคนนั้นเหรอ” จู่ๆ ลลินก็โพล่งขึ้นมา

มือเรียวที่กำลังลากไปบนหน้ากระดาษอีกครั้งชะงักกึก “ใครครับ”

“คนที่มาส่งหนูวันนั้นไง”

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นสบนัยน์ตากลมของเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเตียงทันที “หนู… จำได้ด้วยเหรอ ตอนที่ ‘หลับ’ ไปน่ะ”

“จำได้สิคะ ถึงจะเหมือนฝันและบางทีก็ไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ แต่จำได้แน่นอนค่ะ พี่ผู้ชายคนนั้นมานั่งเป็นเพื่อนหนูแล้วก็เล่าอะไรให้ฟังเยอะแยะเลย”

“อะไรบ้างครับ” นรกรเริ่มสนใจและนึกอิจฉาหน่อยๆ ที่เด็กสาวดูจะรู้เรื่องราวของอทิฏฐ์มากกว่าเขาเสียอีก แล้วก็นึกไปถึงคำพูดของผีสาวในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เธอบอกว่าคนตายไม่คุยกับคนเป็น แต่สองคนนี้คุยกันได้แสดงว่าอทิฏฐ์ยังไม่ตายจริงๆ สินะ

“ก็บอกว่ามาที่นี่เพราะอะไร” ลลินเริ่มต้นเล่า “เขาอกหักแล้วเลยกินยาฆ่าตัวตาย น่าสงสารจังเลยนะคะพี่เขายังหนุ่มอยู่เลยดูอายุมากกว่าหนูไม่กี่ปีเอง”

นรกรพยักหน้าตาม

“แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดได้แล้วนะคะ เขาบอกว่าเขาจะกลับไปล่ะ แต่ๆ ที่ๆ เขามามันไกลมากจนหนูเองยังตกใจเลยล่ะ”

“ไกลแค่ไหนเหรอครับ” นรกรถาม “ต่างจังหวัด?”

ลลินส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ พี่เขาเคยนอนอยู่ที่ไอซียูเดียวกับหนูนี่แหละ แถมยังเคยนอนเตียง 4 เหมือนกันเลย แต่นอนมาก่อน 8ปีค่ะ”

“เดี๋ยวนะครับ อะไรคือ 8ปี หมายถึงนอนป่วยอยู่ 8 ปีเหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ พี่เขาบอกว่าเขามาจากอดีต เมื่อ 8 ปีที่แล้วค่ะ”

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโพลง “แล้วเขาเป็นใครครับ”

มาถึงตรงนี้ลลินเว้นวรรคไปเล็กน้อย “ขอโทษนะคะ หนูจำไม่ได้แล้ว”

นรกรมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันทีแต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ “ขอบคุณนะครับ” แล้วลุกขึ้นเอาแฟ้มเดินไปเก็บที่เคาน์เตอร์พยาบาลและกลับออกไป

เด็กสาวกำลังจะล้มตัวลงนอนก็มีใครอีกคนเดินเข้ามาหา

“ลลิน”

“สวัสดีค่ะ หมอวินทร์”

“ท่าทางแข็งแรงดีแล้วนะ เดี๋ยวคงได้กลับบ้านแล้วล่ะ ขอหมอดูแผลหน่อยนะ” วินทร์บอกพลางตรวจดูแผลผ่าตัดที่เริ่มแห้งดี “วันนี้หมอฮาร์ฟมาเยี่ยมหรือยัง”

“เพิ่งไปเมื่อกี้เองค่ะ”

“เหรอ แล้วได้บอกหมอฮาร์ฟเรื่องต้องไปสอบสัมภาษณ์อาทิตย์หน้าหรือยัง”

“บอกแล้วค่ะ เห็นว่าจะไปคุยกับอาจารย์สรวิชญ์ให้” ลลินเว้นวรรคไปเล็กน้อย “หมอวินทร์รู้เรื่องสอบสัมภาษณ์ได้ไงคะ หนูเพิ่งบอกหมอฮาร์ฟเมื่อกี้เอง”

วินทร์สบตาเด็กสาวบนเตียงพลางจุดยิ้มลงบนมุมปาก “เราบอกหมอเองนะ”

“เมื่อไหร่คะ”

วินทร์เปิดแฟ้มผู้ป่วยในมือไปที่หน้าแสดงสัญญาณชีพในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา “อาทิตย์ก่อนไงครับ ลืมแล้วเหรอ”

นัยน์ตากลมเบิกโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มแตะปลายนิ้วลงบนวันที่ซึ่งมีกากบาทสีแดงทับไว้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นวันที่เธอเข้ารับการผ่าตัด ลลินเงยหน้าขึ้นสบตาคมที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง “ถ้ายังไม่เลิกไว้หนวดแบบนี้ หนูก็คงจะลืมไปแล้วล่ะค่ะ”


oooooo


“เป็นไรไอ้โจ้ ถอนหายใจอยู่ได้น่ารำคาญตกลงนายฟังที่ฉันสอนหรือเปล่าเนี่ย” ไม่พูดเปล่าวินทร์ยังตบเข้าที่ท้ายทอยรุ่นน้องไปทีหนึ่งโทษฐานนั่งเหม่อทั้งๆ ที่เป็นคนอ้อนวอนขอให้เขาช่วยติวข้อสอบให้

คนอื่นๆ ในห้องพักแพทย์ซึ่งกำลังทำงานของตนพากันหัวเราะครืน ถ้าคนสอนเป็นนรกรเรื่องคงเงียบกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องลงไม้ลงมือไม่เป็นแต่นรกรเป็นคนใจเย็นที่สามารถอดทนพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ได้จนกว่าจะเข้าใจ เพราะอย่างที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ชอบบ่นบ่อยๆ ว่าบางทีพวกเขาก็โง่ในเรื่องที่ไม่ควรโง่จนน่าตกใจทีเดียว แถมนรกรยังมีเทคนิคช่วยจำมากมาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกน้องๆ จะชื่นชมและแอบเชียร์ให้เขามาเป็นอาจารย์มากกว่า แต่การได้วินทร์มาอีกคนก็ถือเป็นเรื่องดีเกินคาดเพราะวันๆ จะให้ไปขลุกอยู่แต่ในห้องสมุดก็คงไม่ไหว

“ฟังอยู่คร้าบบบ แต่มันมีเรื่องที่คิดไม่ตกนี่นา” จิงโจ้โอดครวญพร้อมทิ้งศีรษะลงซบบนหนังสือที่วางกางไว้เต็มโต๊ะ

“เรื่องอะไรวะ” วินทร์เปิดประเด็นทำให้คนอื่นๆ เริ่มสนใจและเขยิบเข้ามามุง

“ก็น้องฟางน่ะสิเพิ่งมาขอเลิกกับผมเมื่อวาน บอกว่าเจอคนที่อยู่ใกล้กว่า แถมยังมีเวลาให้มากกว่าผม”

“เรื่องธรรมชาติ ทำใจซะ” พี่ใหญ่ในวงปลอบ

“ผมคงจะทำใจได้ง่ายกว่านี้แหละถ้าหมอนั่นไม่ใช่หมอผิวหนังที่ทำงานอยู่รพ.ฝั่งตรงข้ามเนี่ย ใช่ซี้~ ได้แฟนหล่อแถมโปรโบท๊อกซ์ หมอผ่าตัดจนๆ อย่างผมมันจะไปสู้อะไรได้”

“เอาน่า ไม่ใช่แกคนเดียวที่เจอปัญหานี้ แฟนเก่าพี่ก็หนีไปกับลูกเจ้าของร้านทอง” พัฒนพงศ์ว่า

“ลูกเจ้าของร้านทองนั่นยังเป็นผู้ชาย” สิทธิชัยกระซิบเสียงเครียด “ของฉันสิ เฮ้อ~ แล้วบอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ว่าแล้วเชียว… เพื่อนบ้าอะไรวะโทรชวนไปกินข้าวดึกๆ ดื่นๆ กว่ารู้ตัวดีนะเขาไม่แทงเพดาน โอ๊ย ใครจะไปคิดวะ ก็เล่นนมโตกว่าแฟนเราอีก”

ทุกคนพากันหัวเราะครืน ตอนที่ต่างคนต่างเผชิญปัญญาย่อมยิ้มไม่ออกแต่เมื่อได้นำมาเล่าสู่กันฟังทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนเดียวที่มีปัญหาและสักวันจะผ่านมันไปได้ถ้าไม่ยอมแพ้เสียก่อน

“แล้วพี่วัฒน์ล่ะ” จิงโจ้หันไปถามพี่ปีสองที่นั่งเงียบอยู่คนเดียว

“ของฉันเป็นประเภทหลงรักคนที่เขาไม่มองว่ะ” อนุวัฒน์ว่าจ้องหน้าคนตั้งคำถาม “จีบมาตั้งนานดันบอกเราเป็นพี่น้องกัน”

“เป็นน้องที่นิสัยไม่ดีเลยนะ”

“เออ”

วินทร์ตบบ่ารุ่นน้องแต่ละคน “ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ แข่งเรียนแข่งอะไรแข่งได้แต่แข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้”

“แหม ทำเป็นพูดดีนะครับ ใครมันจะไปวาสนาดีแบบพี่วินทร์ล่ะ ทั้งอยู่ใกล้ ปัญหาทางบ้านก็ไม่มี กับพ่อตาก็ผ่านฉลุย” จิงโจ้แซว

“นั่นสิ” คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย

“เกี่ยวอะไรกับฉันวะ” วินทร์เริ่มโวยเมื่อจู่ๆ ทุกคนก็พากันหันมารุมเขา

“อย่ามาทำเป็นปากแข็งเลย เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว” สิทธิชัยช่วยขยายความ

“คงไม่ได้ปากแข็งหรอกพี่ชัย ผมว่าน่าจะทะเลาะกันมากกว่าถึงได้มานั่งหน้าเหี่ยวติวให้ไอ้โจ้อยู่ได้เนี่ย” อนุวัฒน์เสริม

“เดี๋ยวๆ พวกนายพูดเรื่องอะไรเนี่ย”

“ก็เรื่องพี่กับพี่ฮาร์ฟไง” พัฒนพงศ์ตอบให้

“จะบ้าเหรอ!”

“เอ้า! ผมเห็นจีบกันมาเป็นปี ตั้งแต่ผมมาสอบเข้าก็ตัวติดกันตลอด ยิ่งตอนนี้ออร่าสีชมพูฟรุ้งฟริ้งนึกว่าพี่วินทร์มาวินไปแล้วนะเนี่ย” จิงโจ้ว่า

“สองปีว่ะ” อนุวัฒน์แทรกขึ้น

“สาม” สิทธิชัยพูดเรียบๆ

“สี่ต่างหาก” พัฒนพงศ์ปิดท้าย “แต่ผมว่ามันมากกว่านั้นนะ หรือพี่วินทร์ว่าไงครับ

“กับเรื่องเรียนพวกแกน่าจะทุ่มเทกันแบบนี้บ้างนะ” วินทร์จนใจจะแก้ตัวเมื่อโดนจับทางได้หมด ไม่ได้นึกโกรธหรืออายอะไรแค่เขินมากกว่าที่ทุกคนพากันดูออก… ยกเว้นเจ้าตัว

“เรื่องเรียนช่างมันก่อนครับ” จิงโจ้พูดเสียงเครียดพร้อมกับดันกองตำหรับตำราออกไปให้พ้นทาง “ที่พวกผมอยากรู้ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าไอ้สมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตามันมีบทบาทอะไรต่อการเต้นของหัวใจ แต่เป็นเรื่องพี่วินทร์มีบทบาทอะไรต่อใจพี่ฮาร์ฟต่างหากครับ”

ทุกคนหันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว

วินทร์ยกมือขึ้นกุมศีรษะ เหลือบตามองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะโพล่งออกไป “เป็นก้อนมะเร็งที่เขาอยากจะตัดทิ้งน่ะสิ”

“เยส” พัฒนพงศ์กำหมัดก่อนจะแบมือไปรอบวง

คนอื่นๆ พากันบ่นขมุบขมิบและหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายเงิน

“ฉันบอกพวกนายแล้วว่าเรื่องในห้องล็อกเกอร์น่ะมันไม่มีอะไร ไม่งั้นวันนั้นพี่ฮาร์ฟไม่เดินเข้ามาช่วยฉันผ่าตัดต่อได้หน้าตาเฉยหรอก” พัฒนพงศ์ว่า “แล้วถ้าจริงป่านนี้พี่ธีร์ฆ่าพี่วินทร์หมกท่อไปแล้ว”

“ก็ผมเห็นจะเรียนจบกันแล้วเลยนึกว่าพี่วินทร์จะดับเครื่องชน” สิทธิชัยบ่นอุบ

“ที่ไหนได้ดันแบตหมดซะนี่” อนุวัฒน์ไหวไหล่

“เฮ้อ~ ผมล่ะผิดหวังในตัวพี่ชายร่วมสถาบันจริงๆ” จิงโจ้ทำท่าถอนหายใจได้น่าหมั่นไส้ที่สุด

“ไอ้พวกนี้!” วินทร์ว่า “คอยดูนะ ไว้ฉันกลับมาเป็นอาจารย์เต็มตัวเมื่อไหร่พวกแกตายแน่”

“ได้ข่าวอีกสองปี” สิทธิชัยหันไปตีมือกับพัฒนพงศ์

“ถึงตอนนั้นผมกำลังจะขึ้นปีสาม” อนุวัฒน์นับนิ้ว “พี่วินทร์กลับมาผมก็ปีสุดท้ายพอดี ถึงมาทันก็ทำอะไรไม่ทันแล้ว” ชูหมัดในอากาศแล้วหันไปจับมือกับพี่ๆ ทั้งสองเป็นการรับเข้ากลุ่มก่อนจะหันไปยักคิ้วให้น้องเล็ก “เหลือแกคนเดียวแล้วไอ้โจ้”

“ใจคอพี่วินทร์จะไม่ปราณีผมสักนิดเลยเหรอ” จิงโจ้เปลี่ยนทีท่าในทันใด “นี่ผมอุตส่าห์เอาเงินค่าเวรที่มีอยู่น้อยนิดมาแทงข้างพี่หมดหน้าตักเลยนะครับ”

“ต่อให้ได้แกก็เอาไปเลี้ยงน้องฟาง น้องหญ้าแพรกอะไรของแกหมด ไม่ได้เอามาแบ่งให้ฉันอยู่ดี”

“ก็ว่าจะซื้อขนมมาให้สักถุง” จิงโจ้รีบแก้ตัว “จะว่าไปไอ้ชีสแผ่นนั่นมันอร่อยถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเห็นพี่วินทร์นั่งแทะเล่นเปล่าๆ มาสักพักแล้ว” พลางใช้นิ้วคีบห่อชีสแผ่นจากที่วางกองอยู่หลายแบบหลายยี่ห้อขึ้นมาดู

วินทร์รีบฉวยคืนใส่ถุงเพราะกลัวเจ้าน้องตัวดีจะทำเสียของ “ก็เพราะอยากรู้ว่ามันอร่อยถึงขนาดไหนน่ะสิ ถึงได้กิน เออ แล้วกล่องข้าวที่ฉันฝากแกไปซื้อน่ะได้มาไหม”

“ได้สิเฮีย ระดับไอ้โจ้สักอย่างแถมยังได้เบอร์ลูกสาวเค้ามาด้วย” จิงโจ้บอกพลางหยิบกล่องกระดาษลดโลกร้อนที่ไปขอซื้อต่อจากร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาลออกมาส่งให้

“ก็เพราะทำตัวแบบนี้แหละนะถึงได้โดนสาวทิ้งเป็นว่าเล่น” วินทร์รับกล่องมานับก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า

“นี่ถ้าผมไม่รู้ว่าพี่วินทร์เป็นหมอคงคิดว่าเป็นพวกเชฟเตรียมจะเปิดร้านอาหารแน่ๆ เห็นหมู่นี้สนใจเรื่องพวกนี้เป็นพิเศษ จะว่าไปพี่ก็ทำอาหารอร่อยนะ คิดถึงสมัยไปออกค่ายด้วยกันจัง”

“พี่วินทร์เนี่ยนะทำอาหารเป็น” พัฒนพงศ์ที่อยู่ด้วยกันมานานสุดพูดอย่างทึ่งจัด เขานึกภาพผู้ชายตัวโตหนวดเฟิ้มผูกผ้ากันเปื้อนไม่ออกจริงๆ “ผมคิดมาตลอดว่าหมีกริซลี่ชอบจับปลาแซลมอนมากินสดๆ ซะอีก”

“แม่ฉันเป็นครูสอนคหกรรมน่ะ ก็เลยพอจะมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง”

“โหพี่วินทร์จะเท่เกินไปละ ตอนนี้เทรนด์ผู้ชายทำอาหารกำลังมาด้วย ดีนะที่พี่วินทร์มีพี่ฮาร์ฟไปแล้ว พวกผมเลยโชคดีหมดคู่แข่งไปอีกหนึ่งคน” สิทธิชัยพูด

วินทร์ที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเบาคล้ายกับจะบอกกับตัวเองมากกว่า “นี่พวกแกรู้ไหม จะแข่งกับใครหรืออะไรก็แข่งไปเถอะ เพราะมันไม่มีอะไรยากไปกว่าการแข่งกับตัวเองอีกแล้วล่ะ”

“คมมาก” รุ่นน้องพากันกอดอกพยักหน้าเห็นด้วยหงึกหงัก

“เจาะกะโหลกหนาๆ ของไอ้โจ้ได้เลย”

“แล้วทำไมทุกคนต้องมาลงที่ผมเนี่ย” จิงโจ้โวย “แล้วนั่นพี่วินทร์จะไปไหนครับยังสอนผมไม่จบเลยนะ”

“ก็พวกนายเอาแต่พูดถึงหมอนั่นอยู่ได้ฉันเลยหมดอารมณ์จะสอนแล้วน่ะสิ”

“หมดอารมณ์สอนแต่มีอารมณ์ทำอย่างอื่นแทนสินะ” สิทธิชัยว่า

“วันนี้พี่ธีร์เข้าเวรอยากทำอะไรก็รีบทำนะครับ” พัฒนพงศ์บอก

“แล้วจะไปหานี่รู้แล้วเหรอครับว่าพี่ฮาร์ฟอยู่ไหน” สิทธิชัยถาม

วินทร์หยักยิ้มมุมปาก “ระดับนี้แล้ว”

“พี่วินทร์ครับ ผมมีคำถาม” จิงโจ้ชูมือขึ้นสุดแขนทำท่าล้อเลียนเวลาขออนุญาตอาจารย์ซักถามในชั้น “ทำไมพี่วินทร์ถึงรู้ได้ล่ะครับ”

“เพราะใจเราสื่อถึงกันไง” วินทร์หันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งและเปิดประตูออกไปท่ามกลางเสียงแซวและเป่าปากที่ดังตามหลัง

พี่ใหญ่ของสายศัลยกรรมประสาทแและสมองหัวเราะในลำคอพลางออกเดินไปตามทางเมื่อคำพูดหนึ่งที่เอ่ยแซวดังขึ้นในหัว

‘ดับเครื่องชน’ งั้นเหรอ?... น้อยไปสิ นี่เหยียบจนแทบจะมิดแล้ว


(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 15 Compensate P.10 [31/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-06-2016 00:09:55
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


“ฮาร์ฟ”

เสียงทุ้มที่กระซิบขึ้นข้างหูอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอานรกรที่กำลังมีสมาธิจดจ่อกับหนังสือสะดุ้งเฮือก ขนหลังคอลุกซู่และขยับหนีจนแทบตกเก้าอี้

“เฮ้ย!”

เดือดร้อนคนแกล้งน่ะแหละที่ต้องเป็นฝ่ายยื่นมือมารับไว้ “ขอโทษทีๆ ไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนั้น” วินทร์บอกพลางลูบไหล่ลูบหลังเรียกขวัญทั้งที่แอบขำในลำคอ “ขวัญเอ๋ยขวัญมา”

นรกรขืนตัวออกห่างเมื่อรู้สึกว่าวงแขนของอีกฝ่ายรัดแน่นเข้ามาทุกที “พี่วินทร์มีธุระอะไรครับ”

“แค่อยากให้ช่วยฟังอะไรหน่อย” วินทร์ดึงเก้าอี้ตัวข้างๆ ออกนั่งลงพร้อมกับส่งหูฟังที่กำลังฟังเพลงอยู่ให้ข้างหนึ่ง

“มันมีอะไรพิเศษเหรอครับ” นรกรถามเมื่อฟังไประยะหนึ่งก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกหรือผิดปกติ ก็แค่เพลงจากรายการวิทยุที่กำลังจัดอยู่ตอนนี้

“เอาน่า ฟังไปเถอะ”

เพราะวินทร์กระเซ้าไม่เลิกเขาจึงฟังต่อ ทว่าเสียงกังวานใสของนักร้องที่ถ่ายทอดบทเพลงเศร้าแต่หวานในท่วงทำนองนั้นช่างกินใจยิ่งนักจนทำให้เขาเผลอเคลิ้มตามไปด้วย

“ตกลงมันมีอะไรครับพี่วินทร์” นรกรถามเมื่อฟังจนจบเพลงก็ยังไม่เห็นมีอะไรเป็นพิเศษ ถึงแม้จะแอบลุ้นว่าดีเจจะกล่าวปิดท้ายว่าเพลงนี้ใครเป็นคนขอและขอให้ใคร แต่ก็ไม่มีอะไรให้ใจเต้นนอกจากเพลงต่อไปที่รันขึ้นมา

“ตรงนี้ไง” วินทร์ยิ้มพลางจับสายหูฟังที่เชื่อมถึงกันแกว่งเบาๆ และเพราะความตั้งใจที่จะฟังประกอบกับหูฟังที่สั้นทำให้นรกรเผลอเขยิบเข้าไปใกล้และยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาจนชิด จนรับรู้ได้ถึงเสียงลมหายใจที่ปลายจมูกกับความหยาบกร้านของไรหนวดที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม

นรกรสาบานได้ว่าตอนนี้ตัวเองจะต้องหน้าแดงยิ่งกว่าสายหูฟังนั่นแน่ๆ เขารีบดึงหูฟังส่งคืนและขยับตัวออกห่าง “ไม่ตลกนะครับพี่วินทร์” พลางแกล้งทำเป็นก้มหน้าสาระวนกับหนังสืออีกครั้ง

“ก็ไม่ได้เล่นตลกให้ดู” วินทร์ยิ้มกรุ้มกริ่มและเท้าคางลงบนโต๊ะ “แค่อยากให้คุณสารานุกรมเคลื่อนที่เงยหน้าจากหนังสือมามองกันบ้างก็แค่นั้นเอง”

มือที่กำลังพลิกหน้ากระดาษชะงักกึก นัยน์ตาสีอ่อนตวัดขึ้นมองคนที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา “เมื่อกี้พี่วินทร์พูดว่าอะไรนะครับ”

“อยากให้นายเงยหน้าขึ้นมามอง”

“ไม่ใช่ครับ” นรกรกำหนังสือในมือแน่น “ก่อนหน้านั้น พี่วินทร์เรียกผมว่าอะไรนะ”

“ก็คุณสารา…” ดูเหมือนวินทร์จะรู้ตัวในที่สุด

“อย่าเรียกอีกนะครับผมไม่ชอบ”

“ทำไมล่ะ”

“มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะเรียกแบบนั้นได้และพี่วินทร์ไม่ใช่คนนั้น!” นรกรบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวก่อนฮาร์ฟ” วินทร์รีบคว้าแขนไว้ “ฉันขอโทษ”

นรกรพยายามจะสะบัดให้หลุดแต่เมื่อหันไปเห็นแววตาสำนึกผิดเขาก็ใจอ่อน เพราะมันไม่ใช่ความผิดของวินทร์เลยสักนิด แต่เป็นความอ่อนแอของเขาเอง ร่างโปร่งนั่งลงตามเดิมและเอ่ยขอโทษ “ขอโทษครับที่เสียงดังใส่”

“คนสำคัญเหรอ” วินทร์เลียบเคียงถาม

นรกรพยักหน้า

วินทร์เม้มปากสนิทครั้งหนึ่ง “งั้นฉันขอโทษนายน่ะถูกแล้ว เป็นฉันก็ไม่ชอบเหมือนกันถ้าต้องโดนเอามาเปรียบเทียบกับคนอื่น”

“ขอบคุณครับที่เข้าใจ” นรกรบอกและเริ่มเปิดหนังสือเตรียมจะอ่านต่อ เมื่อกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวมาตกข้างเท้า

วินทร์เป็นคนสังเกตเห็นก่อนและก้มลงเก็บ เขากำลังจะยัดมันใส่กระเป๋า แต่นรกรท้วงไว้

“นั่นมันของผมนี่ครับ”

“ของฉัน” วินทร์บอกและรีบเก็บเป็นการใหญ่

“งั้นผมขอดูหน่อยครับ” เสียงของนรกรเข้มขึ้นเล็กน้อย

เมื่อได้ยินแบบนี้วินทร์จึงไม่มีทางบ่ายเบี่ยง เขาส่งกระดาษแผ่นนั้นให้นรกรที่รับไปเปิดดู มันเป็นกระดาษที่เขาเจอหน้าล็อกเกอร์เมื่อหลายวันก่อนและสอดไว้ในสมุด

“ถ้าเป็นของพี่วินทร์แล้วทำไมมันถึงมีชื่อผมล่ะครับ”

“ก็…” วินทร์ยกมือขึ้นขยี้ผมอย่างขัดใจ

“พี่วินทร์ครับ”

“เรื่องที่นายเคยถามน่ะ ว่าฉันตกหลุมรักนายได้นายยังไง” วินทร์กระซิบอ้อมแอ้มและเป็นฝ่ายที่หน้าแดงเสียเอง “นายยังอยากฟังอยู่ไหม”

“ก็… ถ้าเล่าก็ฟังครับ”

“แต่ฉันไม่อยากเล่าที่นี่”

“หมายความว่าไงครับ”

คนถูกถามอมยิ้มกรุ้มกริ่มกับแผนการที่เพิ่งนึกขึ้นได้ “เรื่องแบบนี้มันเหมาะจะเล่าใต้แสงจันทร์ หรือบนโต๊ะอาหารที่มีแค่เราสองคนนะ”

นรกรส่ายหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่งคล้ายกับอิดหนาระอาใจเต็มทีและทำทีเป็นก้มหน้าอ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจจนวินทร์เริ่มใจแป่ว เขาก็พูดขึ้นเบาๆ “ร้านไหนครับ”

คนถูกถามยิ้มจนแก้มปริ “เริ่มใจอ่อนแล้วเหรอ”

นรกรส่ายหน้าขำๆ “ถึงผมตอบว่าไม่ พี่วินทร์ก็จะตื๊อจนได้ใช่ไหมล่ะ”

“ถูกต้อง งั้นเราไปกันเลยนะ ฉันยังไม่ได้จองโต๊ะเลยเดี๋ยวโต๊ะเต็ม” วินทร์พูดอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับลุกขึ้นและใช้สองมือยกตั้งหนังสือขึ้นมา “เอาหมดนี่เลยใช่ไหม”

“ไม่เป็นไรครับผมถือเอง”

“ไม่เป็นไรฉันอยากช่วย”

นรกรเหล่ตามองคนตรงหน้า …อยากช่วยนักงั้นเดี๋ยวเขาจัดให้ “เล่มนี้ไม่เอาครับ” บอกพลางหยิบออกไปหนึ่งเล่ม “แต่เอาเล่มนี้กับเล่มนี้แล้วก็อันนี้ด้วย” แล้วก็วางซ้อนลงมาอีกสี่เล่มจนหนังสือเกยขึ้นมาถึงคางคนที่ถืออยู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “แล้วก็เอาเล่มไหนอีกดีนะ”

“มาถึงขั้นนี้แล้วไม่ต้องเลือกหรอก เอามาหมดนั่นแหละ” วินทร์ว่า

“เดี๋ยวพี่วินทร์จะหนักน่ะสิ”

“ไม่เป็นไรปากฉันยังว่าง”

“จะดีเหรอครับ ผมกลัวลูกๆ ในปากพี่วินทร์จะทำหนังสือเปียกน่ะสิ”

“ฮาร์ฟ!” วินทร์นึกอยากกระโดดกัดหูสักที นี่ขนาดแกล้งประชดยังอุตส่าห์ต่อมุกได้อีก

นรกรหัวเราะ นานๆ ทีเขาจะเอาคืนได้สักที “ขอโทษครับ ผมเอาเล่มนี้เล่มเดียว” บอกพลางชูตำราเล่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ในมือให้ดู เขาเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบบัตรยืมหนังสือเมื่อโทรศัพท์ที่ตั้งเป็นระบบสั่นไว้มีสายเข้ามาพอดี “ว่าไงธีร์... เดี๋ยวฉันไปนะ” กดตัดสายและกันมาหาคนที่ยืนรออยู่ด้วยความรู้สึกผิด “คนไข้อาการไม่ค่อยดีน่ะครับ ธีร์อยากให้ผมไปช่วยดูหน่อย”

“ไปเถอะ” วินทร์บอก “เดี๋ยวฉันรอ”

“น่าจะนาน พี่วินทร์ไม่ต้องหิ้วท้องรอผมหรอกไว้วันหลังดีกว่าครับ”

“ไม่เป็นไร”

“งั้นผมไปก่อนนะ”

“เอาหนังสือมาสิ ฉันไปยืมให้นายจะได้ไม่เสียเวลา”

“ขอบคุณครับ”

วินทร์ยืนมองคนที่เดินออกไปจนสุดสายตาก่อนจะเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ พลางเหลือบมองภาพบุคคลสำคัญที่ติดเรียงรายอยู่บนผนัง พลันสายตาสะดุดเข้ากับภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพของนายแพทย์วิลเลียม

ตอนนี้วินทร์นึกออกแล้วว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับนายแพทย์อายุรกรรมท่านนี้นัก ก็เพราะพ่อที่เป็นครูวิชาวิทยาศาสตร์หยิบยืมชื่อนายแพทย์ในดวงใจมาตั้งเป็นชื่อลูกน่ะสิ ตอนฟังชื่อฮาร์ฟครั้งแรกเขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าคงจะมีพ่ออีกสักคนที่จะตั้งชื่อลูกด้วยวิธีการเดียวกันบ้าง

oooooo

“ขอบใจนะฮาร์ฟที่มาช่วยทั้งที่ไม่ได้อยู่เวรแท้ๆ” ธีร์พูดพลางบิดขี้เกียจไปรอบๆ หลังจากยืนขาแข็งผ่าตัดมาหลายชั่วโมง และตอนนี้เวลาก็ล่วงมาจนเกือบหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่แล้ว

“ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อย” นรกรบอก

“หิวจัง นี่ฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็นเลย นายก็เหมือนกันนี่ ร้านก๋วยเตี๋ยวตรงอนุสาวรีย์น่าจะยังไม่ปิดนะ ไปด้วยกันไหมเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” ธีร์เสนอพลางเริ่มต้นถอดชุด

“เอาสิ” นรกรตอบ

“แล้วพวกผมล่ะครับ” สิทธิชัยและจิงโจที่กำลังถอดเสื้ออยู่รีบถลาเข้ามาร่วมวงด้วยทันทีที่ได้ยินว่าคลับคล้ายคลับคราว่าจะมีของฟรี

ธีร์เหลือบตามองเพดาน นี่เขาลืมไปได้ไงว่ามีเจ้าพวกนี้อยู่ด้วย “จะไปก็รีบเปลี่ยนชุด”

“เย้!”

ด้วยความสามารถในการแก้ผ้าที่ไวกว่าแสง ทุกคนก็เปลี่ยนชุดเสร็จออกไปรอด้านนอกคงเหลือแต่นรกรที่ยังคงรั้งท้ายเหมือนปกติ

“พี่ฮาร์ฟเสร็จหรือยางงงง” เสียงจิงโจ้ตะโกนเร่ง

“รู้แล้วๆ”

“เร็วๆ เข้าครับ” เสียงสิทธิชัยตามมาติดๆ จนนรกรนึกแปลกใจเพราะเขาไม่ได้ช้าอะไรขนาดนั้น

“หิวกันมากเลยใช่ไหมพวกนาย” นรกรเปิดประตูออกมาถามน้องๆ ที่ยืนยิ้มกว้างอย่างมีพิรุธ ในขณะที่ธีร์ยืนกอดอกทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างกัน

“หิวครับ แต่ผมว่าน่าจะมีคนอื่นที่หิวมากกว่า” สิทธิชัยหันไปยักคิ้วกับจิงโจ้แล้วขยับเปิดทางให้เห็น

บนม้านั่งตัวยาวหน้าห้องผ่าตัดร่างสูงในชุดกาวน์สั้นที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อวานนั่งกอดอกสัปหงกอยู่ วันก่อนวินทร์อยู่เวร 24 ชั่วโมงและก็ยุ่งเกือบทั้งคืนจนไม่ได้พัก เช้านี้ก็ช่วยออกตรวจ OPD และคนไข้ตามหอผู้ป่วยโดยไม่ปริปากบ่นให้ได้ยินสักคำทั้งที่ตาโรยจนแทบจะปิด และนั่นคือสาเหตุที่นรกรยอมตกลงไปกินข้าวด้วยดีๆ เมื่อช่วงเย็นเพราะอยากให้อีกฝ่ายได้กลับไปพักผ่อน

“ที่ห้องพักแพทย์ก็มีเตียงให้นอนดีๆ ทำไมไม่ไปนอนหนอพี่ชายเรา” รุ่นน้องสองคนหันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กัน

นรกรกวาดตามองคนที่มานั่งรอเขาไม่ผิดแน่แล้วหันไปหาน้องชายบุญธรรม “ขอโทษนะธีร์ ฉัน…”

“ช่างเถอะ” ธีร์ตัดบทก่อนจะหันไปกางแขนโอบรอบคอรุ่นน้องแล้วลากให้รีบเดินผ่านไปก่อนที่จะพูดมากไปกว่านี้ ไม่ได้อยากช่วยหรือจะเปิดทางให้หรอกนะ เขาก็แค่ไม่อยากเห็นพี่ชายกินข้าวไม่อร่อยเพราะมัวแต่ห่วงใครบางคนก็เท่านั้นเอง

นรกรรอจนคนอื่นเดินเข้าลิฟต์ไปจึงนั่งลงข้างๆ กำลังจะสะกิดเรียก จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่กลับกันเล็กน้อย มันเป็นวันที่เขาลงมีดผ่าตัดเป็นครั้งแรก ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาผ่าตัดเสร็จเร็วจึงมานั่งรอวินทร์ที่ยังไม่เสร็จและเผลอหลับไปจนอีกฝ่ายต้องมาปลุก

“พี่วินทร์ครับ”

คนหลับสะดุ้งเบาๆ เขายกมือขึ้นขยี้ตาและอ้าปากหาวอย่างควบคุมไม่ได้ “อ้าว ฮาร์ฟผ่าเสร็จแล้วเหรอ”

“สักครึ่งชั่วโมงได้แล้วครับ” นรกรบอก “พี่วินทร์มานั่งรอผมทำไม ผมบอกให้กลับไปก่อนได้เลยนี่ครับ”

“แต่ฉันก็บอกนายไปแล้วนี่ว่าไม่เป็นไร”

นรกรนึกย้อนกลับไป และรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเป็นความผิดเขาเองที่ไม่พูดให้ชัดเจน

“คิดอะไรอยู่” วินทร์ถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

“แค่นึกขึ้นได้ว่าตอนปีสองก็เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้ ที่ผมหลับแล้วพี่วินทร์มาปลุกน่ะ”

“นึกออกแล้วเหรอ”

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องที่เราคุยกันค้างไว้เมื่อเย็นไง ก็วันนั้นแหละ” วินทร์บอก

“มันมีอะไรหรือครับก็แค่พี่วินทร์เดินออกมาปลุกผมแล้วเราก็เดินกลับหอด้วยกัน”

“ก่อนหน้านั้นสิ” วินทร์พูดต่อ “จำได้ไหมว่าทำไมนายถึงต้องมานั่งรอฉันตรงนี้เป็นชั่วโมงๆ”

ในขณะที่การผ่าตัดของนรกรเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ดูเหมือนในห้องผ่าตัดที่อยู่ติดกันจะไม่เป็นเช่นนั้น

“ออกไปตั้งสติให้ดีก่อนแล้วค่อยเข้ามาใหม่ ไม่งั้นก็ไม่ต้องเข้ามาให้ผมเห็นหน้าอีก”

เสียงศาสตราจารย์สรวิชญ์แม้จะดังไม่มากแต่ก็ทำเอาอุณหภูมิของห้องผ่าตัดที่เย็นเฉียบอยู่แล้วแทบจะติดลบ

อึดใจต่อมานรกรที่เพิ่งจะเปลี่ยนชุดเสร็จก็เห็นร่างสูงของวินทร์เดินเข้ามา ไหล่กว้างที่ปกติจะยืดอย่างผึ่งผายลู่ลงเล็กน้อยและเอาแต่หันหน้าเข้าหากำแพง มือทั้งสองที่กำเป็นหมัดแน่นสั่นระริก

นรกรชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปหา “พี่วินทร์ครับ”

ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงสูดลมหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะหันมา “มีอะไร”

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“คนไข้อาการไม่ค่อยดีน่ะ” วินทร์บอก “เลือดออกมาก ความดันตกลงเรื่อยๆ แล้วฉันก็ทำอะไรไม่ถูก เลยโดนไล่ออกมานี่แหละ”

นรกรจ้องมองมือคู่นั้นที่ยังคงสั่น และเผลอเอื้อมไปจับไว้ ดูเหมือนคนโดนจับเองก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยและใช้ทั้งสองมือบีบแรงๆ ครั้งหนึ่งหวังจะให้มันหยุด “ภาวะแทรกซ้อนมันเป็นอะไรที่เหนือการควบคุมครับ ไม่ใช่ความผิดของพี่วินทร์สักหน่อย”

“นายนี่สติดีจังนะ”

“ผมแค่มีคาถาดีครับ”

“คาถาอะไร” วินทร์ถามด้วยความแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าคนอย่างนรกรจะเล่นของ

“ขอให้ปลอดภัยครับ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “นั่นบอกตัวเองหรือคนไข้”

“ให้คนไข้ครับ แต่ตอนนี้ผมจะขอเผื่อพี่วินทร์ด้วยนะ” นรกรตอบตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่ามือใหญ่ที่กุมไว้สงบลงบ้างแล้ว จึงกระชับฝ่ามือใหญ่แน่นขึ้นอีกพร้อมกับสบตาคนตรงหน้า “พี่วินทร์ทำได้ครับ”

“อืม”

วินทร์ตอบเพียงสั้นๆ แต่แรงที่บีบมือตอบกลับมาทำให้นรกรรู้ว่าคนตรงหน้าพร้อมที่จะกลับไปสู้ต่อแล้ว “งั้นผมนั่งรอตรงนี้นะ เสร็จแล้วมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับว่าพี่วินทร์ทำยังไงถึงหยุดเลือดได้ แล้วก้อนเนื้อก้อนนั้นมันถูกกำจัดออกไปได้ไหม”

“นายกลับไปก่อนเถอะ น่าจะอีกนานเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะรอฟัง”


“คำพูดกับการกระทำของนายช่วยให้ฉันผ่านมันมาได้” วินทร์บอก “และฉันก็ไม่เคยลืมภาพของนายที่นั่งกอดหนังสือหลับอยู่หน้าห้องผ่าตัดเลยนะ”

“ทำไมครับ...”

“เพราะฉันเหลือตัวคนเดียวล่ะมั้ง” วินทร์บอก “หลังจากที่เสียพ่อกับแม่ไป หลายปีที่ผ่านมาฉันก็พยายามอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว ไม่ไปไหนกับใคร หรือสนิทกับใครมากเพราะยังทำใจไม่ได้ถ้าต้องเสียใครไปอีก แต่พอได้เห็นภาพนั้น ฉันก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วฉันไม่ได้อยู่คนเดียวนี่นา แต่ยังมีนายที่ ‘รอ’ ฉันอยู่... ขอบใจนะฮาร์ฟ”

เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรนรกรจึงได้แต่พยักหน้าและเพื่อเป็นการหลบสายตาคมที่กำลังมองมาอย่างลึกซึ้งด้วย

“แล้วเรื่องกระดาษแผ่นนั้นล่ะครับ”

“แกล้งทำเป็นลืมไปหน่อยก็ไม่ได้นะ” วินทร์หัวเราะก่อนจะเสไปมองทางอื่นบ้างเพราะความเขิน “มันตกอยู่ที่พื้น ฉันเห็นว่ามันเป็นโน้ตของเก่า นายไม่น่าจะใช้แล้วก็เลย… แอบเก็บไว้เป็นที่ระลึกน่ะ”

“เพื่ออะไรครับ”

“ก็ถ้าฉันวิ่งกลับไปเอามือถือมาถ่ายรูปทันก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก” วินทร์โพล่งออกไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งก้มหน้า เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “นี่หนังสือของนาย”

“ขอบคุณครับ” นรกรรับหนังสือมายังไม่ทันจะเก็บใส่กระเป๋าถุงใบใหญ่อีกใบก็ถูกยื่นมาตรงหน้า

“ข้าวเย็นกับขนม” วินทร์บอก “คงจะชืดแล้วแต่อุ่นก็พอกินได้ เอาไว้ไปกินที่ห้องนะ”

นรกรรับถุงมาเปิดดูเห็นมีแค่ชุดเดียวจึงเอ่ยถาม “แล้วพี่วินทร์ล่ะ”

“ฉันกินแล้ว”

“ทำไมพี่วินทร์ทำแบบนี้ล่ะครับ” นรกรพูดคล้ายกับจะตัดพ้อ “ไหนว่าจะไปกินกับผมไง”

“ได้เหรอ”

“ข้าวมีตั้งเยอะ ผมเองก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่เราแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้ครับ” นรกรเปิดกล่องข้าวออกวางบนตัก เมื่อเห็นว่าเป็นอะไรก็จ้องมันตาไม่กะพริบ

“ไข่ตุ๋นที่เคยบอกไง” วินทร์บอกเมนู

นรกรหยิบช้อนขึ้นมาตักใส่ปากก่อนจะนิ่งไป

“อร่อยไหม”

นรกรส่ายหน้าทั้งที่ยังอมช้อนอยู่ก่อนจะทำเอาคนรอฟังใจเสียก่อนเจ้าตัวจะตอบว่า “ไม่แบ่งแล้วได้ไหมครับ”

วินทร์ยิ้มออกในที่สุด “ได้ไง ขี้โกงนี่ ไหนว่าจะแบ่งก็ต้องแบ่งสิ”

“ให้สามคำนะ” นรกรต่อรองพร้อมทั้งใช้ช้อนคันเดิมตักขึ้นมาจ่อไปที่ริมฝีปาก

วินทร์มองไข่ตุ๋นสีเหลืองนวลในช้อนก่อนจะตวัดขึ้นสบตาคนที่พยายามป้อนข้าวให้โดยไม่สนใจเสียงหัวใจของเขาที่มันกำลังเต้นแรงจนแทบจะระเบิดนี่เลย “ฮาร์ฟ”

“พี่วินทร์ไม่กินเหรอ ไม่กินผมกินนะ”

ได้ยินดังนั้น วินทร์จึงรีบงับเข้าปาก เขาเคี้ยวไปเขินไปพลางเหลือบตามองคนข้างๆ ที่นั่งกลั้นขำจนหน้าขึ้นริ้วก่อนจะหัวเราะออกมา “แกล้งกันนี่หว่า”

“ผมก็ไม่ได้ใสๆ ขนาดนั้นซะหน่อย” นรกรพูดไปขำไป ปกติวินทร์ไม่ใช่คนขี้เก๊กอยู่แล้ว แต่เขาเพิ่งจะรู้เวลาผู้ชายหน้าเข้มตัวโตเวลาเขินก็น่ารักไปอีกแบบ “ก็ช้อนมันมีคันเดียวนี่ครับ... แต่ผมไม่ถือนะเรื่องแบบนี้”

“นายไม่ถือแต่ฉันถือ” แล้ววินทร์ก็แย่งช้อนไปจากมือก่อนจะตักข้าวขึ้นมา “กินสิ”

“ไม่เอา เดี๋ยวผมกินเอง” 

“ไม่ต้องเลยนะ ทีฉันยังยอมให้นายป้อนเลยเลย” วินทร์บอกพร้อมกับคว้าตัวคนที่พยายามหนีให้หันหน้ามา

“ก็...”

“กิน”

“คำเดียวนะครับ”

“อย่ามาลีลา”

แล้ววินทร์ก็ได้รู้ที่คิดผิดที่ไปบังคับนรกรให้ทำแบบนั้น แทนที่จะได้แกล้งอีกฝ่ายแต่กลับกลายเป็นตัวเองที่อยากจะดำดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด มีแวบหนึ่งที่ด้านมืดในหัวบอกให้เขาโยนช้อนทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นป้อนข้าวเข้าด้วยปากตัวเอง โชคดีที่ความคิดดีในใจยังช่วยรั้งคอเสื้อไว้เพราะอยู่หน้าห้องผ่าตัดถ้าเกิดบังเอิญใครผ่านมาเห็นเข้าก็คงจะดูไม่งาม

“พี่วินทร์เป็นอะไร” นรกรถามคนที่มองเหม่อไปเสียเฉยๆ

“ปะ... เปล่า” วินทร์ได้สติ เขาตอบอ้อมแอ้มพลางส่งช้อนคืน “นายกินเหอะ ฉันอิ่มแล้วจริงๆ เอ่อ... พรุ่งนี้มีงานฉลองเรียนจบนี่นา เวลาผ่านไปไวเนอะ” พยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อลบจินตนาการที่กำลังเลยเถิดในหัว

“ห้าปีที่ผ่านมานี่เหนื่อยแทบขาดใจแต่บทจะจบก็ไวจนรู้สึกใจหายเหมือนกันนะครับ” นรกรบอก

“นั่นน่ะสิ นายจำเคสนั้นได้ไหมที่ฉันเป็นคนผ่าครั้งแรกน่ะ วันก่อนมาตรวจที่ OPD ลุงแกยังแข็งแรงอยู่เลยนะ”

“ดีจัง”

“มาทำน้ำเสียงอิจฉาอะไร ลลินก็ยังแข็งแรงดีอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“แต่ก็...”

“นายทำดีที่สุดแล้ว” วินทร์ตบบ่าเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

แล้วทั้งสองก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนนรกรกินข้าวหมดต่อด้วยขนมก็ยังไม่เลิก นรกรมองคนตรงหน้าที่พูดไปหัวเราะไปแล้วก็นึกแปลกใจตัวเองไม่น้อยว่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่อยู่ด้วยกันทั้งที่รู้สึกว่าเหมือนไม่ค่อยได้คุยกัน แต่กลับกลายเป็นต่างก็รู้เรื่องของกันและกัน และทำไมวินทร์ถึงไม่เคยทำให้เขารู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ใกล้ ทำไมเขาถึงกล้าคุยกับวินทร์ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมากกว่าคนอื่นๆ ซ้ำยังรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่ข้างๆ เหมือนกับที่เคยบอกกับผีสาวในห้องล็อกเกอร์ จนถึงตอนนี้นรกรก็ยังตอบคำถามนั้นไม่ได้ เพียงแต่นัยน์ตาคู่นั้นที่มองสบมาเสมอๆ มันทำให้รู้สึก...

นัยน์ตาสีอ่อนมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่กำลังพูดไม่หยุด แล้วคำตอบก็ค่อยปรากฏชัดขึ้นมาในหัวใจ

...อบอุ่น...

ริมฝีปากจุดรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และเผลอพยักหน้าตอบไปส่งๆ ทั้งที่ตอนนี้ไม่ได้สนใจฟังด้วยซ้ำว่าวินทร์กำลังนินทาน้องชายบุญธรรมของเขาว่าเป็นพวกติดพี่อยู่

“เฮ้ย! ป่านนี้แล้วกลับห้องกันเถอะฮาร์ฟ” วินทร์ชี้ในดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ล่วงจนเกือบ 3 นาฬิกา

“เหรอครับ” นรกรก็ตกใจไม่แพ้กัน “ขอโทษนะครับพาพี่วินทร์นอนดึกไปด้วยเลย”

“ไม่ดึกหรอกนี่เช้าแล้ว” วินทร์พูดขำๆ “ฉันน่ะหยุดแล้ว นายน่ะสิมีเวรตรวจ OPD นี่นา จะไหวเหรอ ให้ฉันมาช่วยไหม”

“ไม่เป็นครับพี่วินทร์ไปนอนเถอะนี่ก็เท่ากับพี่วินทร์อยู่เวรติดกันมาสองวันแล้วนะ แล้วนี่น้ำท่าได้อาบบ้างหรือเปล่าครับ อย่าบอกนะว่าไม่ได้อาบเลยน่ะ”

วินทร์ไหวไหล่ “อย่าคิดมากน่าสถิติสูงสุดของฉันคือเจ็ดวัน”

“มันใช่เรื่องน่าภูมิใจไหมครับ” นรกรพูดอย่างระอาแต่วินทร์ก็ไม่มีทีท่าจะสลด “ของผมแค่วันเดียวก็เหม็นสาบตัวเองจะแย่แล้ว พี่วินทร์ทนได้ยังไงกลับไปก่อนจะนอนอาบน้ำด้วยนะครับ”

“ไม่เอาหรอกขี้เกียจ”

“ไม่ได้นะครับ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่ได้มีใครมานอนด้วยสักหน่อย” วินทร์ว่าพลางเหลือบตามองคนข้างๆ “หรือจะมี”

“ถ้าเป็นกลากขึ้นมาผมไม่ทายาให้หรอกนะ ส่งให้พี่เบลล์รักษาอย่างเดียวเลย”

“หมอเบลล์เป็นหมอรักษาหมาไม่ใช่เหรอ” วินทร์ทำหน้านึก “ใช่ไหมที่เคยรักษาเจ้าบิชอฟของนายน่ะ... เอ๊ะ! ฮาร์ฟ นี่นาย...”

นรกรทำหน้าเซ็งเล็กน้อยที่โดนรู้ทัน “เอาน่า พี่เบลล์เก่งออก”

วินทร์อดใจไม่ไหวแล้วตอนนี้ เขาแกล้งจับศีรษะคนตรงหน้าโยกเบาๆ ครั้งหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

ทั้งสองเดินคุยกันมาจนถึงสนามหญ้าในสวนของโรงพยาบาล

“มีอะไรเหรอ” วินทร์ถามคนที่จู่ๆ ก็เงียบไป และหยุดเดินเสียเฉยๆ

นรกรเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ละสายตา “คืนนี้ดาวสวยจัง”

วินทร์มองตามนัยน์ตาสีอ่อนนั้นไป วันนี้ฟ้าไม่มีมีเมฆและเพราะดึกมาแล้ว หลายๆ ห้องหลายตึกที่สามารถปิดไฟได้ทำให้แสงดาวที่มักจะแพ้แสงนีออนดูโดดเด่นขึ้นมา เขาลดสายตาลงมากวาดมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงเอ่ยชวน “นั่งก่อนไหม” บอกพลางพยักเพยิดไปทางเก้าอี้ตัวเดิมและเดินนำไปนั่งลง

นรกรเดินตามมานั่งลงข้างๆ เขาเอนหลังพิงพนักและทอดสายตามองไปบนท้องฟ้า

“คิดอะไรอยู่” วินทร์ถามคนที่เอาแต่นั่งเงียบ

“คิดถึงใครคนหนึ่งครับ” นรกรตอบ “ปกติผมเป็นคนชอบมองท้องฟ้าอยู่แล้วเวลาที่รู้สึกไม่ดีเพราะเหมือนได้พักให้ใจหนีไปไกลๆ แต่เป็นเพราะเขา ตอนนี้ผมก็เลยได้เรียนรู้ที่จะมองท้องฟ้าในความรู้สึกที่ต่างออกไป แล้วก็เพิ่งได้รู้ว่าท้องฟ้าที่มีแต่สีดำกับจุดเล็กๆ ของดาวนั้นมันก็สวยเหมือนกันนะ”

“เขาเป็นผู้ชายที่ดีนะ” วินทร์กระซิบ

“ไม่หรอกครับ เขาไม่ใช่คนดี” นรกรตอบ “แค่ผู้ชายธรรมดาที่มีข้อเสียหลายอย่าง เพียงแต่เป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ”

“แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่เขาบอกเขาจะกลับมา”

“เป็นฉันไม่ได้เหรอ คนๆ นั้นน่ะ”

เพราะจู่ๆ วินทร์ก็พูดขึ้นมาแบบนั้นนรกรจึงละสายตาจากท้องฟ้าและหันไป แล้วเขาก็พบว่าตลอดเวลาวินทร์ไม่ได้มองดูท้องฟ้าเลย แต่นั่งหันข้างเท้าแขนลงบนพนักและเฝ้ามองเขาอยู่

“ได้ไหม”

คำถามย้ำด้วยน้ำเสียงอบอุ่นคล้ายกับจะตัดพ้อพร้อมกับสายตาจริงจังที่สบมาสะกดนรกรให้นิ่งมองโดยไม่อาจหลบหรือหันหนีไปทางไหนได้

“ฮาร์ฟ ฉันรักนายนะ”

“ขอบคุณครับ”

“นั่นคือตอบรับหรือปฏิเสธ”

“ผม…”

วินทร์ค่อยขยับเข้าไปใกล้ เขาวางมือทับมืออีกฝ่ายที่ออกสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมขยับหนีจึงค่อยสอดนิ้วกุมไว้และขยับเข้าใกล้มากขึ้นอีก ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนเขาเกือบจะแน่ใจว่าได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่เบื้องหลังเสื้อกาวน์นั้น ใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นจากปลายจมูก และอุ่นจนสัมผัสได้ถึงความร้อนจากริมฝีปาก จนไม่อาจห้ามใจให้เข้าหา

มือที่กุมไว้ชื้นเหงื่อนิดๆ เขาบีบมือนั้นเบาๆ คล้ายกับส่งสัญญาณเตือนเป็นครั้งสุดท้าย และอีกฝ่ายก็ตอบรับด้วยการปิดเปลือกตาลง

วินทร์แตะปลายนิ้วลงบนปลายคางให้เชยขึ้น กลีบปากเผยอออกเล็กน้อยอย่างรอคอย เขาแตะริมฝีปากลงแผ่วค่อย จมูกสูดกลิ่นลมหายใจของอีกฝ่ายเข้าลึก มันหอมจนยากเกินบรรยาย

แต่แล้วเสี้ยววินาทีที่กำลังคลอเคลีย ความรู้สึกเจ็บก็แล่นปลาบขึ้นมาในอก วินทร์เม้มปากสนิททันทีและค่อยเบือนหน้าหนี “ขอโทษที” เขากระซิบเสียงพร่า

นรกรลืมตาขึ้นและขยับตัวหนีเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าวไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอใจไปได้ขนาดนี้ แต่ที่เขาแปลกใจคือทำไมวินทร์ถึงไม่ทำทั้งที่เขาก็ไม่ได้ขัดขืน

“จู่ๆ ฉันก็แค่รู้สึกว่าคนที่นายกำลังจะจูบไม่ใช่ฉัน” วินทร์ตอบคำถามราวกับจะอ่านใจออก

“พี่วินทร์ ผม…”

“ฉันจะไม่จูบนายจนกว่าจะได้ยินคำว่ารักจากปาก” วินทร์บอกและเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อบังคับเสียงไม่ให้สั่น “ขอโทษนะ ฉัน... นายเดินกลับคนเดียวละกัน” แล้วคลี่ยิ้มให้อย่างฝืดฝืน เขาบีบมือที่ยังกุมไว้แน่นครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป


*********************************************TBC**********************************************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 11-06-2016 01:07:07
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
โอ้ยยยย
เมื่อไหร่ฮาร์ฟจะรู้ความจริงงงงงง

หรือพี่วินต้องโกนหนวดก่อนนนน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 11-06-2016 04:56:41

พี่วินทร์ต้องอดทนอีกเท่าไหร่น๊อ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 11-06-2016 05:59:25
เมื่อไหร่นรกรจะรู้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน  แต่ก็อย่างว่าเรื่องมันเหลือเชื่อไง คนที่เราเพิ่งเห็นนเมื่อไม่กี่วันกับคนที่ยังยืนอยู่ตรงหรน้า   อร๊ายยยยย...แข่งกะตัวเองนี่มันย่กเสียยิ่งกว่ายาก  ตามจีบมาตั้งหลายปีดันแเพียงเสียวเวลาของอีกครึงของตัวเอง 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-06-2016 06:11:39
เห็นด้วยกับ รีข้างบน :ling1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 11-06-2016 06:35:46
หน่วง เจ็บปวด เมื่อไหร่ ฮาร์ฟจะรู้ตัว พี่วินน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-06-2016 06:40:37
เห็นใจพี่วินทร์ ตอนเป็นนายทิดยังไม่ยากขนาดนี้ ตอนนี้ต้องแข่งกับตัวเอง(ในอดีต) ทั้งยังต้องพยายามเจาะเข้ากำแพงใจ(ที่สร้างไว้รอทิดกลับมา)ของฮาร์ฟอีก
เข้าใจว่าพี่วินทร์ไม่ได้เล่าเรื่องตอนที่ตัวเองเป็นทิด(หรือเล่าหว่า) ก็เพราะต้องการให้ฮาร์ฟรักพี่วินทร์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะเคยเป็นคนที่ฮาร์ฟรักมาก่อนสินะ
พยายามเข้านะพี่วินทร์
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 11-06-2016 08:09:36
โกนหนวดเถอะพี่หมีถึก  ขาดน้องลลินยังรู้แล้วเมื่อไหร่หมอฮาร์ฟจะรู้เนี่ย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 11-06-2016 08:40:21
แข่งกับตัวเองจริงๆ ฉากท้ายเจ็บปวด จูบที่เป็นของตัวเองแต่ก็ไม่ใช่ของตัวเอง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 11-06-2016 09:42:40
ต่อให้เป็นคนเดียวกัน ถ้าเราเป็นวินทร์ก็คงอยากให้ฮาร์ฟ รักตอนที่เป็นวินทร์ มากกว่าอทิฏฐ์ อยู่ดี
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 11-06-2016 10:20:56
อยากให้ฮาร์ฟรักวินทร์ก่อนจะรู้ความจริง แบบไม่อยากฝห้คิดว่าเป็นทิดแล้วถึงรัก เหมือนจมอยู่กับคนในอดีต มันต้องตะขิดตะขวงใจแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 11-06-2016 11:13:32
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-06-2016 11:27:10
อยากให้ฮาร์ฟรักพี่วินทร์ แล้วก็รู้ความจริงสักที
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 11-06-2016 13:02:34
สงสารวิน  เมื่อไรจะสมหวังซักที ต้องแข่งกับตัวเอง เจ็บปวดที่สุด    เศร้าใจ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-06-2016 19:49:22
เจ็บจี๊ดดดดดดด
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 11-06-2016 21:01:55
อึดอัดเฟ้ย!!!
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: namaquaru ที่ 11-06-2016 22:03:33
พี่วินทร์สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: banazjj ที่ 11-06-2016 22:09:29
อึดอัดมาก อยากเขย่าตัวหมอฮาร์ฟแรงๆ สงสารวินทร์ :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 11-06-2016 22:11:28
โอ๊ย เจ็บปวด เจ็บแปล๊บ ไปพร้อมพี่วินทร์กับประโยคสุดท้ายจริงๆ  :ling3:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 11-06-2016 22:19:01
พี่วินทร์สู้ๆน๊า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jingyo88 ที่ 12-06-2016 14:22:33
 :L2:สนุกมากค่ะ ชอบ....รอวันหมอฮาร์ฟรักพี่วินทร์ที่เคยเป็นทิดเมื่อ 8 ปีที่แล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 12-06-2016 18:25:00
สงสารวินทร์
แข่งกับตัวเองในอดีต แม้จะรู้ว่าเป็นยังไง
แต่ก็รู้สึกไม่ดีแน่ๆถ้าหากคนรักยังจมกับอดีต
แต่มันก็น่าจะบอกนะ เฮ้ออ. เมื่อไหร่ฮาร์ฟจะใจอ่อนสักทีนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 12-06-2016 23:41:29
สงสารวินทร์จัง ทำดีมากมาย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 13-06-2016 14:26:48
สงสารวินมาก. งงกับ Timeline
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 13-06-2016 14:52:47
เมื่อไหร่จะรู้ว่า วินทร์กับทิดคือคนเดียวกัน อึดอัดจัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: san ที่ 13-06-2016 16:29:09
 :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 16-06-2016 23:10:43
เพิ่งเข้ามาอ่าน
รวดเดียวถึงตอนล่าสุด
ชอบมากกกกกก สนุกมากค่ะ
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-06-2016 18:07:30
โกนหนวดเถอะพี่หมีถึก  ขาดน้องลลินยังรู้แล้วเมื่อไหร่หมอฮาร์ฟจะรู้เนี่ย

ทำไมเรารู้สึกปวดใจกะคำว่าหมีถึก พี่วินทร์ได้ชื่อใหม่อีกแล้ว555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-06-2016 18:09:54
สงสารวินมาก. งงกับ Timeline

เดี๋ยวบทหน้าเราจะมาชี้แจงให้ฟังนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-06-2016 18:10:41
เพิ่งเข้ามาอ่าน
รวดเดียวถึงตอนล่าสุด
ชอบมากกกกกก สนุกมากค่ะ
รอตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 16 Restart P.10 [11/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-06-2016 18:11:21
บทที่ 17 In my wind, in my view

เปลือกตาค่อยขยับเล็กน้อยก่อนกะพริบยิบหยีเพื่อสู้กับแสงไฟนีออนที่ส่องสว่างอยู่เหนือหัว มีเสียงลมตีดังฟืดฟาดสลับกับเสียงติ๊ดเบาๆ เป็นจังหวะดังมาเป็นระยะ ชายหนุ่มพยายามกรอกตามองไปรอบ ดูเหมือนตอนนี้เขาจะนอนอยู่บนเตียง และทั่วทุกสรรพางค์กายไม่มีส่วนไหนที่ไม่เจ็บปวด

ชายหนุ่มพยายามกระดิกนิ้ว รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นที่พบว่ามันยังขยับได้แม้จะยากเย็น เขายกมือตัวเองขึ้นดูแทบไม่น่าเชื่อว่านั่นคือมือของเขา มันทั้งคล้ำและซีดเซียวเหมือนมือของซากศพ ทั้งยังเต็มไปด้วยร่องรอยแทงเข็มเพื่อให้ยาและน้ำเกลือ

เขาวางมือลงและพยายามทำความเข้าใจกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก มันเหมือนหลอดขนาดใหญ่ที่ค้ำลงไปจนถึงคอหอย รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกเมื่อพยายามสูดลมหายใจด้วยตัวเอง เขายกมือกำมันไว้พยายามจะดึงออกเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น

“อย่าดึงนะครับ อันตราย!”

ฝ่ามือคู่หนึ่งเอื้อมมาคว้ามือเขาไว้และยื้อยุดให้ปล่อย ชายหนุ่มกะพริบตาสู้แสงพยายามมองให้เห็นว่าเขาเป็นใคร หรือจะเป็นผู้ชายคนนั้น คนที่ปรากฏตัวอยู่ในฝันตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“คนไข้ตื่นแล้วครับ”

ไม่ใช่... เสียงเล็กๆ ในหัวตอบกลับมาแบบนั้น
เกิดความชุลมุนขึ้นรอบตัว ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์ยาวสีขาวพุ่งเข้ามายืนข้างเตียงแล้วใช้นิ้วเปิดเปลือกตาเขาให้กว้างขึ้นก่อนจะจับหน้าหันซ้ายหันขวาดูการเคลื่อนไหวของดวงตาแล้วหยิบไฟฉายอันเล็กขึ้นมาส่อง

“ขอหมอดูรูม่านตาหน่อยนะครับ”

เขาเผลอยกมือปัดเพราะแสบแสงที่แยงตา แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกออกว่าตัวเองต้องทำยังไง โดยไม่ต้องรอให้หมอสั่ง... หมอ ? คิดว่าใช่นะ ค่อนข้างมั่นใจมากด้วย เขายกมือขึ้นในอากาศแล้วชูนิ้วชี้กับกลางขึ้นมา มันเหมือนได้ยินคำสั่งนี้ซ้ำๆ กันมาหลายร้อยครั้งแล้ว และวันนี้ก็ทำมันสำเร็จจนได้

“อะไรกัน วันนี้หมอยังไม่สั่งทำรอแล้วเหรอ” คนในชุดกาวน์หัวเราะลงคอ ไม่อยากจะชั่งน้ำหนักแล้วว่ารู้สึกแปลกใจหรือดีใจมากกว่ากัน “ไหนลองกำมือหมอสิครับ”

ด้วยความอ่อนแรงทำให้เขาคว้าลมคว้าแล้งอยู่หลายทีกว่าจะเอื้อมไปถึง มือของคุณหมอเย็นเฉียบเพราะเปิดแอร์แต่มันกลับอุ่นสำหรับเขา นี่สินะที่เรียกว่าสัมผัสของมนุษย์ มันรู้สึกดีจังเลย

นายแพทย์ทดสอบเขาทำอีกสองสามอย่าง เขาทำได้และคิดว่าดีเสียด้วยเพราะน้ำเสียงของหมอฟังดูตื่นเต้นมากทีเดียว “จำได้ไหมครับว่าตัวเองชื่ออะไร”

จำได้สิ จะลืมได้ยังไงล่ะเรื่องสำคัญขนาดนี้... พยายามขยับปากทั้งที่ไม่เสียง แต่เพียงแค่พยางค์แรกเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“อาทิตย์?” แพทย์เจ้าของไข้พูดสิ่งที่อ่านปากได้เพื่อทวนให้คนไข้ได้ยินก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มในชุดขาวที่ยืนแอบอยู่หลังพี่พยาบาล “อธิษฐ์เหรอครับ”

...ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ชื่อเขา... นั่นชื่อใคร... แล้วใครคือเจ้าของน้ำเสียงที่เรียกชื่อเขา...

ภาพของชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่เรื่องราวที่เห็นดังภาพฝันตลอดระยะเวลาที่นอนอยู่บนเตียงจะพร่างพรูเข้ามาในหัวราวกับห่าฝนจนเขาทำอะไรไม่ถูก เมื่อต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่กรีดแทงลงมาในหัวใจ

“คนไข้ชื่ออะไรครับ” นายแพทย์ถามซ้ำพยายามกระตุ้นให้นึกให้ออกด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นแววตาเลื่อนลอยที่เริ่มรื้นน้ำตา เขาก็เปลี่ยนเป็นเริ่มต้นให้ข้อมูล “ไม่เป็นไร ใจเย็นนะๆ คนไข้ชื่อ...” เขาหยุดพูดเมื่อริมฝีปากแห้งผากนั้นพยายามขยับอีกครั้ง นายแพทย์ขยับปากตามเพื่อช่วยสะกด “ว... วินทร์”

ใช่แล้ว... นั่นต่างหากชื่อจริงของเขา

“ใช่ครับ เก่งมาก ตอนนี้คุณป่วย นอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนะ”

คนบนเตียงยกมือขึ้นจับสาบเสื้อกาวน์ราวกับตั้งคำถามกลับ

“ผมเป็นหมอที่ดูแลคุณครับ ชื่อ...”

...อาจารย์สรวิชญ์...

ทันทีที่อ่านตามริมฝีปากนั้นได้ คิ้วที่เริ่มเปลี่ยนสีไปตามเวลาก็มุ่นเข้าหากันเล็กน้อย “ใช่ครับ หมอชื่อสรวิชญ์”

นัยน์ตาคนบนเตียงเบิกโพลง... สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่กำลังไหลรินอาบสองแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่นและทุบลงบนเตียง

นางพยาบาลประจำห้องรีบเข้ามาช่วยจับเมื่อเห็นคนไข้ดิ้นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

เขาเริ่มต้นสะบัด ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาเรี่ยวแรงมากจากไหน แต่เขาโกรธตัวเอง โกรธที่ทำเรื่องโง่ๆ ลงไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้เลย

ท่อนแขนแข็งแรงกดพาดลงมาบนหน้าอกบังคับให้นอนลง มือข้างหนึ่งจับลงมาบนศีรษะ ทีแรกเขาคิดว่าจะโดนกดหรือจับฉีดยาให้อยู่นิ่ง แต่มือหยาบกร้านนั้นกลับเริ่มต้นลูบไปบนเรือนผมหนักๆ ทว่าอ่อนโยนพร้อมกับที่เสียงทุ้มกระซิบขึ้นข้างหู

“ใจเย็นๆ นะครับ ตกใจใช่ไหม? กลัวเหรอ?”

เขาหยุดอาละวาดและนิ่งฟัง

“เข้าใจที่หมอพูดใช่ไหมครับ ถ้าเข้าใจลืมตาสิแล้วหันมามองหมอ หลับตาแบบนั้นหมอจะรู้ได้ยังไงว่าคุณรู้เรื่อง”

เขาทำตาม น่าแปลก ทั้งที่ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด แต่น้ำเสียงและแววตานั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

...และมันเหมือนกับแววตาของใครคนนั้นเหลือเกิน...

เมื่อเห็นคนไข้นิ่งไปอาจารย์สรวิชญ์จึงหันไปพยักหน้าขอกระดาษทิชชูจากพยาบาลมาเช็ดน้ำตาให้ “หลับไปนานตื่นมาคงตกใจน่ะ เห็นพยาบาลสวยๆ ใส่ชุดขาวเลยนึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์” พยายามพูดติดตลก

“อาจารย์อย่าพูดเรื่องจริงสิคะ พวกหนูเขินนะ” นางพยาบาลแซว “จริงๆ อาจารย์น่ะเป็นคนใจดีนะคะ แต่ทำไมหนูเห็นพวกน้องๆ หมอน่ะกลัวอาจารย์กันหัวหดทุกคนเลย”

“ไม่ดุบ้างก็จะได้ใจ” อาจารย์สรวิชญ์ว่าแล้วหันมาสบตาคนบนเตียงอีกครั้ง “ยินดีต้อนรับกลับมานะหมอวินทร์ แล้วอย่าหนีกันไปไหนอีกนะ”

คนบนเตียงเริ่มได้สติและนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงเลือกที่จะกลับมา

...นี่คือทางที่เขาเลือกแล้ว หนทางยากลำบาก แต่ยังคงมีลมหายใจ...

เขาพยักหน้ารับคำทั้งที่ริมฝีปากยังสั่นระริกก่อนจะคว้าสาบเสื้อกาวน์ไว้แน่นอีกครั้ง

“อยากให้หมออยู่ก่อนเหรอ? ไม่ได้หรอก หมอต้องไปทำงาน มีคนไข้รอให้หมอไปดูแลอีกเยอะเลย” นายแพทย์บอกอย่างอ่อนโยน “ถ้าอยากจะอยู่กับหมอ ก็รีบหายไวๆ แล้วมาเรียนด้วยกันสิ หมอยินดีต้อนรับนะ แต่ตอนนี้ต้องนอนพักเยอะๆ จะได้หายไวๆ แล้วอย่าดื้อกับคุณพยาบาลนะ”

เขาพยักหน้าพร้อมกับปล่อยมือ พยาบาลเข้ามาช่วยห่มผ้าจนถึงหน้าอกก่อนที่ทุกคนจะกลับออกไป ในขณะที่พยายามข่มตาให้หลับหูก็ยังแว่วได้ยินเสียงคุยกัน

“ได้ทีโฆษณาเลยนะคะอาจารย์ เอ๊ะ! แล้วนี่ลูกชายอาจารย์จะเดินตามรอยอาจารย์ไหมคะ”

“มันกล้าไปเรียนอย่างอื่นด้วยเหรอ”


สามวันต่อมาวินทร์ก็เป็นอิสระจากท่อช่วยหายใจ เขาหลับไปนาน49 วัน เกือบต้องโดนเจาะคอไปสามรอบเพราะตามหลักการแพทย์แล้วต้องทำหากคนไข้มีแนวโน้มต้องใส่เครื่องช่วยหายใจนานเกิน 7 วัน  ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอบคุณคุณพ่อของเขานะที่หัวดื้ออย่างถึงที่สุดกับเรื่องนี้ ไม่งั้นคอเขาต้องมีรอยไม่หล่อแน่ๆ เลย

พูดไปนั่น! แค่ไม่ตายก็บุญแล้ว

“ขอบคุณอาจารย์มากนะครับที่ช่วยผม”

“คุณพูดประโยคนี้กับหมอทุกวันเลยนะ แล้วก็อย่าลืมล่ะเก็บมันไว้เป็นบทเรียน” อาจารย์สรวิชญ์กล่าว
 
ทีแรกเขาก็คิดหนักเรื่องจะบอกข่าวร้ายของพ่อกับแม่ แต่ทันทีที่หมอจิตเวชเดินเข้ามาแนะนำตัวก็กลับเป็นฝ่ายคนไข้เองที่พูดเรื่องนี้ออกมาก่อน โดยให้เหตุผลว่าระหว่างที่หลับนั้นรับรู้ทุกอย่างเพียงแต่ตอบสนองไม่ได้ เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อนี้เท่าไหร่นักเพราะไม่เคยมีงานวิจัยมารองรับ แต่วินทร์ก็พูดถูกทุกอย่างและสิ่งที่ดีที่สุดคือมันทำให้เขาให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดี อาการจึงดีขึ้นรวดเร็วแบบก้าวกระโดด

“ระหว่างที่คุณหลับมีผู้หญิงคนหนึ่งมาเยี่ยมคุณทุกวันเลยนะ”

“ใครหรือครับ” วินทร์ถามด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็ยังไม่เห็นใครเลยนอกจากหมอกับพยาบาล

“หมอจำชื่อไม่ได้ แต่เธอบอกว่าเป็นน้องสาวคุณ ดูเธอเป็นคนดีนะ ที่หมู่นี้ไม่ได้มาเยี่ยมนี่เหมือนจะไปเรียนต่อต่างประเทศมั้ง เห็นเธอมาบอกกับคุณพยาบาลก่อนจะไป”

ชื่อเพียงพิรุณปรากฏขึ้นมาในหัว น่าแปลก ทั้งที่เขายังไม่ลืมเธอแท้ๆ แต่กลับยิ้มได้เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน บางทีนี่อาจจะเป็นอิทธิพลจากผู้ชายคนที่เขาฝันเห็นตอนที่หลับไปนั่นก็ได้ “แล้วเขารู้ไหมครับว่าผมกินยาฆ่าตัวตาย”

 “ตามจรรยาบรรณแพทย์เราไม่เปิดเผยความลับคนไข้อยู่แล้วคุณก็น่าจะรู้นี่” อาจารย์สรวิชญ์ตอบ

“แต่ถ้าพ่อกับแม่ผมไม่อยู่ งั้นใครเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วก็คอยซื้อของใช้กับขนมพวกนี้มาให้ล่ะครับ”

อาจารย์สรวิชญ์มองตาคนตรงหน้าอยู่อึดใจ “ผมไง แล้วก็เจ้าหน้าที่ที่นี่ที่ช่วยกันหามาให้ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาและเธอทำได้ยังไง แต่ทุกคนก็อยากเห็นคุณหายและกลับมาแข็งแรงเร็วๆ นะ”

วินทร์มองคนตรงหน้าอย่าซึ้งใจกับความหวังดีที่มีให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของคนที่ไม่เคยรู้จักกัน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ที่เห็นคนในชุดขาวเดินสวนกันขวักไขว่ มือที่กำผ้าห่มแน่นยกขึ้นหว่างอก แต่มือของผู้อาวุโสนั้นก็ไวพอๆ กัน

อาจารย์สรวิชญ์จับมือทั้งสองไว้ด้วยมือทั้งสองข้างเช่นกันและชิงพูดขึ้นก่อน “ตอบแทนพวกเราด้วยการหายเร็วๆ และอย่าจากไปไหนอีก ตกลงไหม”

“ขอบคุณครับ”

การนอนติดเตียงเป็นเวลานานทำให้วินทร์สูญเสียกล้ามเนื้อที่สร้างสมมาด้วยการออกกำลังกายไปมากกว่าครึ่ง เขาเหมือนตุ๊กตายางเหลวๆ ตอนนักกายภาพประคองให้ลุกขึ้นยืนในวันแรก พื้นห้องเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งที่บาดผิวจนสะดุ้งน้ำตาเล็ด และเหมือนมีเข็มนับร้อยมาทิ่มแทงที่ฝ่าเท้าทุกย่างที่ก้าวเดิน

เขาล้มแล้วล้มอีกจนลืมเจ็บ แต่เขาก็กัดฟันสู้ คนเราล้มเองต้องลุกเองให้ได้

หนึ่งเดือนต่อมาเขาก็สามารถเดินออกจากโรงพยาบาลได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงเดินใดๆ หากยังต้องไปโรงพยายาลเพื่อติดตามอาการทุกอาทิตย์ ร่างกายเขาอาจแข็งแรง แต่คนอื่นๆ คิดว่าสภาพจิตใจของเขาอ่อนแอเกินไปจากการสูญเสียพ่อกับแม่

ก็ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น... จริงอยู่ว่าเขายังไม่เลิกเสียใจและโทษตัวเอง แต่เขารู้ดีว่าสภาพจิตใจตอนนี้ดีกว่าที่ทุกคนคิดมาก ถ้าเทียบกับตอนก่อนที่จะฆ่าตัวตายเขารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น นี่เขาไม่ได้อวยตัวเองนะ หมอจิตเวชประจำตัวก็บอกแบบนั้น

“ตอนนี้อะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคุณ” อาจารย์แพทย์ถาม เขาเป็นเพื่อนกับอาจารย์สรวิชญ์และมีหน้าตาใจดีผิดกันราวฟ้ากับเหว

“ความผิดพลาดที่ทำไว้ครับ” วินทร์ตอบ “การนอนในโรงพยาบาลทำให้ผมรู้ว่าชีวิตผมโชคดีกว่าคนอื่น ร่างกายแข็งแรงครบ 32 มีครอบครัวที่รักผม ผมควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่าไม่ใช่ทำลายทิ้งด้วยเรื่องโง่ๆ”

หมอเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะรู้ว่าโกหก... แหม แบบทดสอบทางจิตมีตั้งห้าร้อยกว่าข้อ ก็คงจะมีสักข้อสองแหละที่ตอบพลาดไป แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะต้องเรียกว่าพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวมากกว่า เพราะถ้าเกิดโพล่งออกไปตรงๆ ว่า ‘คนในฝัน’ ชาตินี้ก็คงไม่มีวันได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ... นี่ต้องขอบคุณ ‘อดีตของเขา’ นะที่ช่วยสอนทริคให้รู้ว่าควรตอบยังไง

ช่วงระยะเวลาที่นอนอยู่บนเตียง เขาฝันถึงผู้ชายคนหนึ่งตลอดเวลา ผู้ชายที่เหมือนจะดูมืดมนแต่กลับสามารถสร้างรอยยิ้มและความหวังให้คนรอบข้างได้ และทั้งที่มั่นใจว่าเป็นความจริงแต่เขาก็ไม่สามารถบอกออกไปให้ใครฟังได้

อยากไปหา อยากเจอใจจะขาด แต่อีกใจก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ที่เขาต้องทำคือกลับไปทำงานใช้ทุนให้ครบก่อน แล้วมันอีกนานแค่ไหนกันนะกว่าจะได้เจอ 1 ปี? หรือ 2 ปีเหรอ?... ใจร้ายจังนะเวลาทำไมต้องให้ปีหนึ่งมีถึง 365 วันด้วย


“เจอกันอีกแล้วนะหมอ” อาจารย์สรวิชญ์ซึ่งนั่งประสานมืออยู่หลังโต๊ะทำงานทัก

หน้าตาของเขาดุดันและจริงจัง ถึงแม้วินทร์จะเจอมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ชินสักทีแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นคนใจดียิ่งกว่าใคร ยิ่งตอนนี้ขยับขึ้นมาเป็นผู้ช่วยศาตราจารย์และดำรงผอ.กองศัลยกรรมยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขาม จนวินทร์เผลอกลืนน้ำลายหลายครั้งระหว่างนั่งดูเขาพลิกแฟ้มประวัติของเขาอย่างไม่ใส่ใจจะอ่านราวกับตัดสินใจมาจากบ้านแล้วว่าจะทำยังไงกับเขาดี

“ผมขอบอกตามตรง” อาจารย์สรวิชญ์เอ่ย “ไม่มีใครในภาคอยากรับคุณเพราะทัศนคติในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา อีกทั้งเราก็มีผู้เรียนแล้วสองคน ถ้ารับมาอีกก็เกรงว่าจะดูแลไม่ทั่วถึง”

“แต่ผมอยากเรียนจริงๆ นะครับ” วินทร์พยายามสู้เพื่อตัวเอง ทำไมเขาจะว่าไม่รู้ว่านี่คือโอกาสสุดท้ายหลังจากที่โดนให้จบการสัมภาษณ์หลังจากที่เดินเข้าไปนั่งเพียงแค่ 5 นาที

“ผมเห็นแล้ว” อาจารย์สรวิชญ์ปิดแฟ้มและโยนมันลงบนโต๊ะ “ผมถึงได้เชิญให้คุณมาสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัวอีกครั้งไง... หมอวินทร์... ผมรับคุณเป็นแพทย์ประจำบ้านสายศัลยกรรมประสาทและสมอง โดยมีข้อแม้ว่าคุณต้องมาเป็นอาจารย์ที่นี่หลังจากเรียนจบ”

วินทร์นิ่งไปอึดใจหลังจากได้ฟังคำถาม พลันสายตาเหลือบไปเห็นภาพถ่ายตั้งโต๊ะใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ เด็กผู้ชายตัวผอมบางคนหนึ่งยืนแอบอยู่หลังผู้เป็นพ่อและเขาจำได้ทันทีว่าเป็นใคร “ผมไม่ต้องการเป็นอาจารย์ที่นี่ แต่ถ้าคุณอยากจะให้ผมเป็น ผมขออนุญาตจีบลูกชายคุณได้ไหมครับ” เหมือนถูกนัยน์ตาสีอ่อนของคนในภาพถ่ายสะกด เขาตอบออกไปทันทีโดยไม่ทันได้คิด แต่ก็ไม่นึกเสียใจ เขาอยากทำให้มันชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้และที่ตอบตกลงเป็นอาจารย์ไม่ได้เพราะเขาไม่ต้องการมาเป็นคู่แข่งช่วงชิงความฝันของผู้ชายคนนั้น

นัยน์ตาสีเทาคมดุจ้องมองมาที่เขาซึ่งก็ไม่คิดจะหลบ

“เสียใจด้วยนะหมอวินทร์” อาจารย์สรวิชญ์ตอบ “ไม่ใช่แค่ห้าปีแต่เราคงต้องอยู่กันไปอีกหลายปีเลยล่ะ เตรียมเขียนแผนการสอนไว้ได้เลย”

แล้วก็มาถึงวันที่รอคอย มันคือวันแรกของการปฐมนิเทศเข้าเป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 คืนนั้นวินทร์ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดว่าถ้าได้เจอหน้ากันอีกครั้งจะทำยังไง จะต้องหวีผมแต่งตัวแบบไหนถึงจะให้ดูดีประทับใจ ทำแม้กระทั่งไปยืนซ้อมยิ้มและแนะนำตัวอยู่หน้ากระจก ตั้งใจจะเป็นผู้ชายที่ดีที่เขาอยากให้เป็น

แต่กว่าจะผล็อยหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง ทำให้ตื่นสายตะวันโด่ง แผนการที่เตรียมไว้จึงพังไม่เป็นท่า เขาพรวดพราดลุกออกจากเตียงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ เรื่องโกนหนวดเครายิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่ล้างหน้าแปรงฟันทันก็บุญแล้ว ขนาดผมเผ้ายังแค่เอามือสางๆ ระหว่างยืนอยู่ในลิฟต์

วินทร์วิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องประชุมซึ่งมีคนอยู่เต็ม โชคดีที่ประธานในพิธียังไม่มา เขามองหาที่นั่งของสายศัลยกรรมประสาทและสมองเห็นคนสองคนซึ่งคงจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นตรงมุมหนึ่ง เขารีบเดินเข้าไปรวมกลุ่มตีเนียนว่ามาถึงนานแล้วแต่มัวไปคุยอยู่กับกลุ่มอื่น

“ว่าไง... วินทร์ใช่ไหม ฉันธีร์นะ ส่วนนี่ฮาร์ฟ” หนึ่งในนั้นหันมาทักทายพลางสะกิดให้คนที่ยืนอยู่ข้างกันให้หันมา

เขานับหนึ่งถึงสามในใจ เตรียมจะพูดและยิ้มตามที่ซักซ้อมมา แต่ทันทีที่เห็นคนตรงหน้าเต็มตา เขาก็ทำได้แค่มองหน้าตาไม่กะพริบ

“สวัสดีครับ”

ยิ่งเมื่อนัยน์ตาสีอ่อนนั้นมองสบมาก็เหมือนกับโดนมนตร์ที่ชื่อว่า ‘ความคิดถึง’ สะกดใส่ เขาโผไปข้างหน้ารวดเร็วและรวบตัวร่างโปร่งมากอดแนบแน่น

“คุณจะทำอะไรน่ะ” คนในอ้อมแขนร้องบอกด้วยความตกใจ

ไม่ปล่อย!

เสียงในหัวใจเถียงกลับไปพร้อมกับกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีกเพื่อให้แน่ใจว่าสัมผัสอบอุ่นของผิวเนื้อนี้คือของจริง

คิดถึง... คิดถึงเหลือเกิน

วินาทีนั้นเองที่เขาบอกกับตัวเองว่าจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่ปล่อยมือจากผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

“คุณแก่กว่าผมปีนึงงั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่สิ” ผู้ชายคนนั้นบอกหลังจากที่ธีร์เข้ามาช่วยแกะตัวเขาที่เกาะแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกจนคนทั้งห้องเริ่มหันมามองได้สำเร็จ

“เรียกวินทร์เฉยๆ ก็พอ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่วินทร์”

คนที่จู่ๆ ก็กลายเป็นพี่ยู่ปากอย่างขัดใจ

เอาน่า! เป็นพี่ก็พี่ ไม่ได้สึกหรออะไรสักหน่อยนี่นา

“นายคิดอะไรอยู่” ธีร์กอดอกมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เกรงใจ ก็แล้วทำไมต้องเกรงใจล่ะในเมื่อไอ้มนุษย์หมีถ้ำนี่เพิ่งจะแอบจับก้นพี่ชายบุญธรรมของเขาไป

“เปล่านี่” วินทร์ตอบทั้งรอยยิ้ม ไม่ได้อยากญาติดี แต่ถ้าในอนาคตจะดองกันเขาก็ไม่ควรหาเหาใส่หัวตั้งแต่วันแรก

“ถ้าคิดจะจีบฮาร์ฟฉันบอกเลยว่าเสียเวลา เพราะเขาชอบคนหล่อๆ ดูสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่มนุษย์หมีถ้ำอย่างนาย”

วินทร์ยิ้มอย่างเป็นต่อ “ฉันว่าฮาร์ฟจิตใจดีพอที่จะตัดสินคนที่หัวใจนะ ไม่ใช่หน้าตา แล้วนี่มันก็เป็นสไตล์ของฉันว่ะ” นึกอยากตบปากตัวเองที่พูดออกไปไม่คิด แต่จะให้ถอนคำพูดก็ไม่ทัน เขาเหลือบตามองคนที่ยืนฟังประธานในพิธีกล่าวสุนทรพจน์อย่างตั้งใจ แล้วก็ให้กำลังใจตัวเองว่าถึงจะเป็นหมีถ้ำ ก็จะเป็นหมีน่ารัก(?)ที่ดูแลปกป้องเขาได้ ที่ลงทุนไปเข้ายิมและฝึกทำอาหารจากตำราเก่าของแม่มามันจะต้องไม่เสียเปล่าสิน่า

ธีร์ย่นคิ้ว หมอนี่ช่างหน้าด้านหน้าทนซะจริง เขาจึงจำต้องงัดไม้ตายมาใช้ “ฮาร์ฟมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

...พี่ปอ...

จู่ๆ ชื่อนี้ก็ลอยขึ้นมาในหัว วินทร์ย่นคิ้วเข้าหากันนึกสงสัยขึ้นมาจับใจว่าสามีของฝนมาเกี่ยวอะไรด้วย

แล้วโดยไม่ต้องพยายามนึกให้ออก ภาพบาดตาก็มีมาให้เห็นได้เกือบทุกวัน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาสงสัยมาตลอดว่าทั้งที่หลบหน้า แต่ก็กลับแอบมองตามหลังผู้ชายคนนั้นจนสุดสายตา

ทำไมถึงต้องเป็นเขา ถ้านายรักฉัน จะไม่มีเหตุผลใดที่มาทำให้ฉันทอดทิ้งนายไปเหมือนเขา...

วินทร์พยายามจะเอ่ยปากกับนรกรหลายครั้งถึงเรื่องราวในฝัน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน

เวลาล่วงผ่านไปปีแล้วปีเล่าอย่างไร้ประโยชน์ อย่าเพิ่งพูดถึงคำว่าแฟนเลยเพราะแค่เพื่อนสนิทยังเป็นไม่ได้ และนั่นทำให้เขาอดสูอย่างถึงที่สุด

ใช่ว่าวินทร์ไม่เคยคิดเรื่องตัดใจ จะรักทำไมคนที่ไม่เคยหันมามอง เคยแม้กระทั่งคิดว่ามันอาจเป็นความหลงเพียงครู่ชั่วยามในวันที่อ่อนแอ แต่ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้พูดคุยเขากลับรู้สึกว่านรกรมีอะไรให้น่าค้นหา และในที่สุดเขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายคนนี้ได้

จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อขึ้นเป็นแพทย์ประจำบ้านปี 5 วินทร์ก็ฝันอีกครั้ง และครั้งนี้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น เขาพยายามจะบอกกับนรกรแต่ก็ทำไม่ได้ ทุกๆ ครั้งจะต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามาแทรก แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่งก็ได้รู้ว่าเขาควรหยุดเสียที ไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนอนาคตไม่ได้ แต่เขาเปลี่ยนโชคชะตาไม่ได้

เขารู้ว่านรกรจะไปกินข้าวกับคณิณ จึงรีบชิงชวนไปก่อน แต่ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายโชคชะตาก็ทำให้พวกเขาก็ไปด้วยกันจนได้ และเรื่องมันก็ดำเนินไปเหมือนในฝันไม่มีผิด ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากตอนที่ไปแกร่วรอในร้านอาหารโดยที่ไม่รู้ว่านรกรจะมาตามนัดไหมเพราะวันนั้นอทิฏฐ์ไม่ได้ตามไปด้วย แล้วรถก็ดันมาเสียอีกจะให้ไปส่งก็กลัวตัวเองในอดีตจะมาเห็นแล้วเข้าใจผิด... ทั้งขี้น้อยใจแล้วก็ขี้หึง นึกรำคาญนิสัยเสียข้อนี้อยู่เหมือนกัน แต่มันก็แก้ไม่ได้ง่ายๆ นี่นา

สิ่งเดียวที่ถือเป็นเรื่องโชคดีคือการที่นรกรยอมใส่แว่นตาที่เขาให้ เขาล่ะเกลียดตัวเองตอนเป็นไอ้ผีบ้านั่นชะมัด รู้ทั้งรู้ว่านรกรเป็นคนตาแพ้ง่าย แค่โดนควันธูปหน่อยก็น้ำตาไหลเป็นทางแล้ว ทำไมยังไปให้ฝืนให้ใส่คอนแทคเลนส์อีก

วินทร์เริ่มถอยเมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสเข้าไปแทรกแซง เขาต้องรอ... รอเวลาที่ตัวเองในอดีตจะกลับไป และหลังจากนี้มันจะเป็นเวลาของเขา

แล้วเขาก็ได้รู้อีกครั้งว่าตัวเองคิดผิด ผิดที่รอ...

เขาน่าจะรู้มาตั้งนานแล้วว่านรกรไม่ได้รักวินทร์ แต่รักอทิฏฐ์

สำหรับนรกร เราทั้งคู่อาจเป็นคนเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ในเมื่ออทิฏฐ์คือตัวจริงและวินทร์เป็นแค่เงาของเขา

เขาต้องถอยอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะตัดใจ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เขาต้องการให้นรกรเข้าใจ เพราะสุดท้ายแล้วอทิฏฐ์คนนั้นจะไม่มีวันกลับมาอีก ที่นี่ ตรงนี้ ณ ปัจจุบันนี้ มีแค่เขา... มีแค่ ‘วินทร์’ คนเดียวที่จะขอรักนายตลอดไป

***********************TBC***********************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 17-06-2016 18:54:59

ถอยอีกครั้ง คือ วินทร์ไปเมืองนอกสองปี

คัต++

ตัดฉากมาตอนแรกของเรื่อง

นับตั้งแต่วันที่ใครคนนั้นจากไป
ใครคนนั้น เจ้าของช่อดอกไม้ Forget Me Not

คัต++

กลับมาสู่ปัจจุบัน

 
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-06-2016 18:56:39

ถอยอีกครั้ง คือ วินทร์ไปเมืองนอกสองปี

คัต++

ตัดฉากมาตอนแรกของเรื่อง

นับตั้งแต่วันที่ใครคนนั้นจากไป
ใครคนนั้น เจ้าของช่อดอกไม้ Forget Me Not

คัต++

กลับมาสู่ปัจจุบัน

ขอเชิญมารับมงด้วยค่ะ555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 17-06-2016 19:51:11
โอ้ยยย.....อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

คือลุ้นตลอดๆ  อ่านจบต้องอ่านซ้ำ ไม่ใช่งงน่ะแต่คืออยากอ่านเรื่อยๆยังไม่อยากหยุดอ่าน อยากอ่านนานๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 17-06-2016 19:51:54
พ่อหมีของเค้าาาา  :hao5:

อยากอ่านอีกกก รู้สึกไม่พอออ5555555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-06-2016 20:18:20
อยากอ่านต่อเรื่อยๆ อ่านเพลินมากเลย
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 17-06-2016 21:15:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 17-06-2016 21:27:08
สงสารพี่วินทร์จัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 17-06-2016 21:33:20
ฮือออ สงสารวินทร์อ่ะ ฮือออออ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 17-06-2016 21:34:02

เป็นกำลังให้หมีถ้ำ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 17-06-2016 21:57:47
โอ๊ย ฮาร์ฟๆๆๆ อยากเขย่ารัวๆ จะได้จำได้ซะที
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 17-06-2016 23:33:24
รอ....ความรัก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 18-06-2016 08:11:24
ทำไมถึงได้กลิ่นโรแมนติกออกมาจากตอนนี้  ตลบอบอวลไปหมดเนี่ยยย  :L1:

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 18-06-2016 08:20:29
 :katai4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 18-06-2016 08:35:18
อึดอัด สงสารพี่วินทร์
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-06-2016 11:21:03
แหม่....แข่งกับคนอื่นยังทำใจได้ แต่แข่งกับตัวเองนี่ยากจริง ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 18-06-2016 14:11:27
อ่านตอนนี้แล้วยิ่งสงสารพี่วิน   ความรักต้องรอผิดหวังแล้วผิดหวังอีก  เศร้าจัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: RainingTime ที่ 18-06-2016 19:24:39
กรี๊ดดด~ อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้เลย ทำไมเราไม่ค่อยเศร้า แต่เราฟินนน!!
ไม่เสียแรงที่เชียร์พี่หมีถ้ำเคราตะไคร่น้ำมาตั้งแต่แรก  :laugh: :laugh:

สู้ต่อไปนะพี่หมี เดี๋ยวเอาปลาแซลมอลมาฝาก จะได้ไม่ต้องไปจับเองเนอะ #ผิด 55555

คนเขียนสู้ๆนะคะ เราหลงรักเรื่องนี้มากๆเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: banazjj ที่ 19-06-2016 13:28:21
ตอนแรกฉากแรก เราคิดว่าฮาร์ฟหมายถึงอธิษฐ์ซะอีก
ตกลงหมายถึงวินทร์เหรอ นี่ต้องอ่าน 2รอบ เพื่อเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์
แต่งได้เก่งมาก งงแต่สนุกกกก พยายามเรียงว่าตอนนี้มันตรงไหน ตัดสลับไปมา 555
มาต่อเร็วๆนะคะ สู้ๆนะ สนุกมาก รออยู่เรื่องเดียวจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 19-06-2016 14:15:26
อ่านตอนนี้แล้วถึงเข้าใจ ตอนเปิดเรื่องค่ะ  ชอบมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-06-2016 15:17:13
กรี๊ดดด~ อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้เลย ทำไมเราไม่ค่อยเศร้า แต่เราฟินนน!!
ไม่เสียแรงที่เชียร์พี่หมีถ้ำเคราตะไคร่น้ำมาตั้งแต่แรก  :laugh: :laugh:

สู้ต่อไปนะพี่หมี เดี๋ยวเอาปลาแซลมอลมาฝาก จะได้ไม่ต้องไปจับเองเนอะ #ผิด 55555

คนเขียนสู้ๆนะคะ เราหลงรักเรื่องนี้มากๆเลย  :กอด1:

ขอบคุณที่ติดตามค่าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-06-2016 15:18:08
อ่านตอนนี้แล้วถึงเข้าใจ ตอนเปิดเรื่องค่ะ  ชอบมาก

ขอบคุณค่า
เดี๋ยวจะกลับไปต่อต้นเรื่องแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-06-2016 15:24:55
บทที่18 Accept

หลังจากแยกกับวินทร์ที่สวน นี่ก็เป็นอีกคืนที่นรกรนอนไม่หลับ เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตะแคงข้างหันหลังให้กำแพงเฝ้ามองพื้นที่ว่างเปล่ากับลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวน้อยๆ

เขาไม่ได้คิดถึงอทิฏฐ์ หากคิดถึงรสจูบที่ยังไม่สัมผัส แต่เพียงแค่นึกก็ทำให้ริมฝีปากกับใบหน้าร้อนผ่าว คิดถึงสายตาอบอุ่นคู่นั้นที่มีให้กันเสมอๆ ก่อนที่ภาพในหัวจะตัดไปกลายเป็นแววตาเจ็บปวดตอนที่วินทร์กำลังลุกเดินจากไป

นรกรข่มตาลง แต่ยิ่งปิดกั้นภาพนั้นยิ่งแจ่มชัด เหมือนแสงดาวในคืนเดือนมืด ยิ่งมืดยิ่งได้เห็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยมองข้ามไป

ใต้ฟ้าเดียวกัน ในคนละห้องของหอพักแพทย์ ร่างสูงที่สวมเพียงกางเกงขายาวนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง วินทร์พยายามข่มตาให้หลับ แต่ใจกลับยิ่งคิดถึงคนที่ทิ้งไว้ลำพัง ไม่ใช่ความผิดนรกรเลยที่จะรอคนที่บอกว่าให้รอ แต่สุดท้ายแล้วใจก็ยังรับไม่ได้ถ้าต้องอยู่กับความคลางแคลงใจนั้นไปชั่วชีวิตว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายรักใคร ‘วินทร์’ หรือ ‘อทิฏฐ์’ มันไม่ใช่เรื่องของทิฐิที่ไม่บอก แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกซื่อตรงกับหัวใจต่างหาก

เมื่อแสงอาทิตย์ทอผ่านผ้าม่านเข้ามาเป็นการบอกให้รู้ถึงการมาของเช้าวันใหม่ ในที่สุดวินทร์ก็ตัดสินใจได้เขาผุดลุกลงจากเตียง และเดินเข้าไปในห้องน้ำ สองมือเท้าลงบนขอบอ่างจ้องมองเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ก่อนจะหยิบใบมีดคมวับขึ้นมาแล้วปาดลงไปบนผิวแก้ม

“ซี้ด” สูดปากเบาๆ เมื่อของเหลวสีแดงซึมออกจากผิวแล้วหยดลงไปบนอ่างก่อนจะไหลวนปะปนไปเศษอื่นๆ ลงท่อระบายน้ำ

วินทร์วักน้ำล้างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกแปลกตาไม่น้อยกับใบหน้าที่ปราศจากหนวดเครารกรุงรังที่ไม่ได้โกนออกให้เกลี้ยงเกลามาแรมปี 

เขายิ้มให้กับเงาตัวเองในกระจก “ได้เวลาตัดสินแล้วสินะ”

oooooo

“สวัสดีครับคุณหมอ”

นรกรเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนเจ้าของเสียง และออกแปลกใจไม่น้อยที่เห็นร่างทรงชื่อดังยืนมือไพล่หลังส่งยิ้มมาให้อยู่ที่ประตูหน้าห้องตรวจ “อาจารย์สรวิชญ์อยู่ห้องตรวจเบอร์ 3 ครับ”

“ผมไม่ได้แจ้งคุณหมอไปแล้วเหรอครับว่าคราวหน้าจะขอมาตรวจด้วยน่ะ” อาจารย์องค์อินทร์ตอบก่อนจะปิดประตูและเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้

“ไม่มีปัญหาครับ” นรกรรีบบอก “แต่นี่ยังไม่ถึงวันนัดผมก็เลยคิดว่าคุณมีธุระอย่างอื่น”

“ก็เห็นในคำแนะนำบอกว่าถ้ามีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที”

นรกรพยักหน้า “แล้วคุณมีอาการผิดปกติอะไรครับ”

อาจารย์องค์อินทร์ไม่ตอบคำถามในทันที แต่กวาดตามองไปรอบๆ ห้องอยู่หลายนาทีก่อนจะพูดขึ้น “วันนี้ห้องนี้เงียบจัง”

“คุณตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ครับ”

“ก็สิ่งที่ผิดปกติไง” อาจารย์องค์อินทร์จ้องตาคุณหมอหนุ่มเขม็งก่อนจะคลี่ยิ้มทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “จริงๆ แล้วผมไม่มีอะไรผิดปกติหรอกแค่วันที่นัดกับหมอไว้ต้องไปบรรยายที่ต่างจังหวัดน่ะ ก็เลยมาตรวจก่อน”

นรกรพยักหน้าและเริ่มต้นตรวจร่างกายพร้อมกับซักถามเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ โดยที่อีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจนกระทั่งเสร็จสิ้น “คุณดูแลสุขภาพได้ดีขึ้นนะครับ” เขาเอ่ยชม

“ต้องขอบคุณหมอน่ะแหละ นัดอีกหนึ่งเดือนใช่ไหม ได้ข่าวว่าหมอเรียนจบแล้วนี่ มาครั้งหน้าผมต้องเรียกอาจารย์แล้วสินะ”

“เรียกเหมือนเดิมก็ได้ครับ”

“หมอ” อาจารย์องค์อินทร์เรียกก่อนจะเดินออกจากห้อง “เห็นแก่ที่พ่อของหมอกับหมอดูแลผมเป็นอย่างดีนะ... หมอจำได้ไหมวันที่เราเจอกันครั้งแรกผมบอกอะไรคุณ”

นรกรครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะพยักหน้า “คุณบอกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ผม”

“ผมรู้ว่ามันยากเกินจะเชื่อ” อาจารย์องค์อินทร์พูดต่อ “แต่ลองคิดดูสิว่าบางทีสัมผัสพิเศษของคุณอาจไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างสุดท้ายในชีวิต”

นรกรจ้องมองร่างทรงตรงหน้า “แล้วมันจะมีอะไรอีกล่ะครับ”

อาจารย์องค์อินทร์หยักยิ้มมุมปาก “ไม่รู้สิ หมอก็แค่… ลองเปิดใจ” กล่าวทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วกลับออกไป

อันที่จริงเขาจะบอกตรงๆ ไปเลยก็ได้นะ แต่คิดๆ แล้วก็ยังแอบหมั่นไส้พ่อหนุ่มนั่นอยู่ไม่น้อย ลงทุนช่วยมาถึงขนาดนี้ยังท่ามากดีนักก็ปล่อยให้นอนช้ำใจเล่นไปอีกสักพักละกัน

นรกรเม้มปากสนิท มือกำปากกาแน่น เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร ในเมื่อคำตอบมันชัดเจนมาตั้งนานแล้วกับสิ่งที่เขาพยายามพิสูจน์ ไม่ว่าจะเรื่องชื่อที่มีแต่อทิฏฐ์เท่านั้นที่เรียกเขา เรื่องอาหารที่ชอบ แม้กระทั่งเรื่องหมอเบลล์กับเจ้าบิชอฟ

และสาเหตุที่นรกรไม่ยอมให้คำตอบสักทีทั้งรู้ทุกอย่างแล้ว เพราะเขาก็แค่คิด… ไม่ว่าตอนนี้อทิฏฐ์ในร่างของวินทร์จำเรื่องราวทั้งหมดได้หรือไม่ก็คงจะไม่ชอบใจกับคำตอบที่เหมือนจะถูกโชคชะตายัดเหยียดให้และนั่นคือเหตุผลที่เขาเดินจากไปเมื่อวาน

…ไม่มีใครอยากเป็นภาพทับซ้อนของใคร…

oooooo

[พี่ฮาร์ฟมาเร็วๆ สิครับงานเริ่มแล้วนะ]

เสียงของจิงโจ้ดังมาตามสายโทรศัพท์ในขณะที่รถมินิคูเปอร์จอดตายติดไฟแดงมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาเพิ่งเสร็จจากการเดินตรวจรอบเย็นและกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ห้องเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงเรียนจบและต้อนรับอาจารย์ใหม่ซึ่งจัดขึ้นที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา

“กินกันไปเลยไม่ต้องรอพี่”

[แต่พี่ฮาร์ฟเป็นเจ้าของงานนะคร้าบบบ]

ได้ยินแบบนั้นนรกรจึงไม่ว่าอะไรอีกนอกจาก “จะรีบไป” และกดตัดสาย เพราะคำตอบนั้นทำให้รู้โดยไม่ต้องถามต่อว่าทุกคนมากันครบแล้วเหลือแต่เขาคนเดียว

จริงๆ แล้วนรกรคงจะไม่ช้าขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่นั่งรอโทรศัพท์หรือเสียงเคาะประตูห้องจากใครบางคน

เขารู้ว่าวันนี้วินทร์ไม่เข้าเวร จึงไม่คาดหวังกับการมาหาตอนเช้า แต่ก็แค่แอบคิด... ว่าอีกฝ่ายจะยังมารับไปด้วยกัน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้มือก็กำพวงมาลัยแน่นขึ้นอีก …นี่คงไม่ได้หมายความว่าเขาถูกหลบหน้าหรอกใช่ไหม

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมารถมินิคูเปอร์ก็วนหาที่จอดในร้านซึ่งมีคนแน่นขนัดได้สำเร็จ บริกรของร้านเดินนำเข้าไปยังพื้นที่ที่ถูกกันไว้ในส่วนแพริมน้ำ มันไม่ได้ถูกประดับประดาอะไรมากมายเพียงแค่มีแสงดาวบนท้องฟ้ากับภาพสะพานแขวนที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเห็นเป็นคลื่นเงากระเพื่อมวับไหวสะท้อนแสงจันทร์กับแสงดาวนั่นก็งดงามจับตาแล้ว ทำให้นรกรนึกชื่นชมบรรดาน้องๆ ที่อุตส่าห์สรรหาร้านที่ดีแบบนี้เพื่อให้นี่เป็นอีกคืนที่น่าจดจำของผู้ที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งตอนนี้ความผูกพันมันมีมากกว่าความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องแต่มันคือคำว่าครอบครัว

โต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางแพไม้ที่ต่อยื่นลงไปในแม่น้ำ ด้านหน้ามีเวทีเล็กๆ กับเครื่องเสียงสำหรับร้องคาราโอเกะที่ตอนนี้อาจารย์ผู้หญิงเพียงคนเดียวในภาควิชาซึ่งก็คือแม่ของเขาเองกำลังดวลเพลงจูบเย้ยจันทร์กับอาจารย์ภูมิศิลป์ โดยมีศาสตราจารย์สรวิชญ์พ่อของเขานั่งกอดอกมองดูอยู่คล้ายกับไม่พอใจนิดๆ แต่ก็คงห้ามไม่ได้เพราะการร้องเพลงเป็นสิ่งเดียวที่ผู้ชายที่แสนเพรียบพร้อมคนนี้ทำไม่ได้

นรกรกวาดตามองหาไปในกลุ่มคนที่กำลังปรบมือกันสนุกสนานแต่ก็ไม่เห็นคนที่มองหา

“อ้าวพี่ฮาร์ฟ มาถึงแล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ” จิงโจ้ที่เพิ่งกลับจากไปเข้าห้องน้ำร้องทักพร้อมกับเข้ามาเกาะแขนข้างหนึ่งและดึงให้เดินไปด้วยกัน เขาดูกรึ่มหน่อยๆ ทั้งที่เพิ่งหัวค่ำแท้ๆ “แหมๆ ที่มาช้าเพราะมัวแต่แต่งหล่อนี่เอง พี่วินทร์ก็เหมือนกัน ท่าทางอาหารมื้อดึกเมื่อคืนจะถูกปากกันสินะ”

“หมายความว่าไงโจ้” นรกรถาม ไม่แปลกใจที่ตัวเองจะโดนทักเพราะวันนี้ลงทุนไม่ใส่แว่นมาเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง

“พี่ก็ดูเองสิ” จิงโจ้ว่า “ทุกคนพี่ฮาร์ฟมาแล้วคร้าบบบ”

“ขอโทษครับที่มาช้า” เขายกมือไหว้อาจารย์ท่านอื่นๆ และในขณะที่กำลังนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลือนั่นเองที่เขาเห็นคนที่จิงโจ้บอกให้ดูนั่งอยู่ตรงข้าม พลันหัวใจเต้นรัวจนเจ็บ นี่เองสาเหตุเขามองหาวินทร์ไม่เจอในทีแรก เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ผู้ชายหนวดเฟิ้มแต่งตัวซกมกที่เคยคุ้นตา และนอกจากจะมีใบหน้าขี้เล่นของอทิฏฐ์แล้ว ยังแอบแฝงความสุขุมแบบผู้ใหญ่ไว้ในที ซ้ำยังใส่เสื้อเชิ้ตสีครีมตัวที่เขาซื้อให้เมื่อวันเกิดได้อย่างเหมาะเจาะเสียด้วย

“นั่งเลยครับ” จิงโจ้ถามเมื่อเห็นเขายังยืนอยู่ก่อนจะมองตามสายตาไปและเอ่ยแซว “หรือพี่ฮาร์ฟจะแลกที่กับผมก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรโจ้” เป็นที่ธีร์ที่นั่งเก้าอี้ติดกับเขาตอบแทนพร้อมกับดึงมือให้นั่งลง “ไม่ใส่แว่นแล้วมองเห็นเหรอ” ถามเสียงเข้ม

“ฉันใส่คอนแทคเลนส์น่ะ” นรกรตอบ “ก็เห็นว่างานใหญ่ แถมพ่อยังเป็นประธานอีก ฉันก็กลัวโดนดุน่ะสิ”

“ทำไมเหตุผลเหมือนพี่วินทร์เลยล่ะครับ” จิงโจ้ยังไม่เลิกแซว “ทางนี้ก็บอกว่าโดนอาจารย์สรวิชญ์สั่งมาเหมือนกันว่าจบแล้วต้องทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือหน่อย”

“เลือกแซวได้แล้วน่า” วินทร์หันไปทำท่าหลังแหวนใส่จิงโจ้

“แค่นี้ทำเขิน” ใครคนหนึ่งร้องแซวก่อนที่คนอื่นๆ จะเริ่มส่งเสียงตามมา ทำให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์เริ่มผิดสังเกตและหันมามอง

แค่สายตาที่มองมากระตุ้นเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนั่นนรกรก็เขินเกินจะทนแล้ว พอถูกแซวมากเข้ายิ่งทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก “ผมไปห้องน้ำนะ” บอกและรีบลุกขึ้นยืน

“ทะเลาะกันเหรอ” ธีร์หันมาถามวินทร์ทันทีที่พี่ชายบุญธรรมคล้อยหลัง

“เปล่า” วินทร์บอก

“ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดพี่วินทร์รีบไปขอโทษซะ” พัฒนพงศ์ว่า

“ทำไมล่ะ”

“เพราะพี่วินทร์เป็นพี่วินทร์ไง” สิทธิชัยต่อให้

พี่ใหญ่กรอกตาครั้งหนึ่งโดยที่ไม่ยอมพูดอะไรก่อนจะลุกขึ้นยืน สร้างเสียงโห่ฮาลั่นโต๊ะซึ่งเขาก็ไม่ตอบโต้อะไรเพียงแต่หันไปสบตารุ่นน้องทีละคนด้วยสายตาจริงจังพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์บอกให้หยุด และมันได้ผลทุกคนนิ่งไปทันที เขาจึงรีบก้าวยาวๆ ตามนรกรไป

“ฮาร์ฟ”

“ครับพี่วินทร์”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่านี่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าแค่มาเข้าห้องน้ำ”

“ห้องน้ำอยู่ทางโน้น”

“ผมแค่เลี้ยวผิด” นรกรรู้ว่าคำแก้ตัวนี้มันงี่เง่าสิ้นดีเพราะป้ายบอกทางนั้นติดอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง

“ฉันขอโทษที่ทำให้นายอึดอัด” วินทร์บอก “เดี๋ยวฉันเคลียร์กับเจ้าพวกนั้นเอง นายกลับไปนั่งเถอะ”

“ผมไม่ได้อึดอัด” นรกรตอบไม่เต็มเสียง

วินทร์ผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย “คิดว่าฉันดูไม่ออกเหรอ”

“แล้วทำไมพี่วินทร์ถึงดูออกล่ะครับ”

รอยยิ้มจางลากขึ้นบนเรียวปาก “ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ ก็ฉันเฝ้ามองนายมาตั้ง 5 ปีแล้วนี่นา… แล้วก็นะ…”

วินทร์หยุดพูดไปเสียเฉยๆ นรกรแอบเห็นมือใหญ่คล้ายยกขึ้นเหมือนจะทำอะไรก่อนจะกำเป็นหมัดแน่นแล้วดึงกลับไปไว้ข้างตัว

“เดี๋ยวฉันไปก่อน สักพักนายค่อยตามไปนะ”

แล้วก็จริงอย่างที่เจ้าตัวบอกเมื่อนรกรเดินกลับมาที่โต๊ะทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับประเด็นสำคัญที่จัดงานขึ้นมาในวันนี้รวมทั้งพูดคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป ซึ่งเขาก็ได้แต่นั่งฟังไปเงียบๆ เหมือนอย่างเคย และใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งฟังเพลงกับเฝ้าดูน้องๆ ออกไปเต้นกันหน้าฟลอร์ ตอนนี้ศาสตราจารย์สรวิชญ์สามารถทำให้ภรรยายอมวางไมค์ได้ด้วยการไปโค้งมาขอเต้นรำ เขานั่งเท้าคางมองพ่อกับแม่โยกเบาๆ ไปตามจังหวะ มันไม่ได้มีอะไรน่าหวือหวา แต่มือที่เกาะกุมกันไว้กับสายตาที่ทอดมองกันของคู่ชีวิตทำให้เขาแอบยิ้มตามและนึกอิจฉาอยู่ลึกๆ ในใจ

“พี่ฮาร์ฟเป็นอะไรทำไมถึงนั่งหงอยอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะครับ” จิงโจ้ที่เพิ่งเดินกลับเข้ามานั่งถาม หลังจากปล่อยลีลาไปสามเพลงรวดจนเริ่มสร่างเมา

“เปล่านี่”

จิงโจ้มองหน้าพี่ใหญ่ของสายศัลยกรรม รู้ว่าเขาตอบคำถามไม่ตรงกับใจเช่นเดียวกันกับพี่ใหญ่อีกคนที่วันนี้เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงอยากช่วย แต่คงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องเศร้าๆ ในแบบที่ตนก็กำลังทำอยู่เช่นกัน “กินไหมครับ” ถามพร้อมกับชูเครื่องดื่มสีอำพันในมือให้ดู

นรกรรีบปฏิเสธ “ไม่เอาหรอก ฉันไม่ค่อยถูกกับพวกแอลกอฮอล์น่ะเดี๋ยวต้องขับรถกลับอีก”

จิงโจ้พยักหน้าแต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เขาหันไปโบกมือเรียกบริกรและอึดใจต่อมาบริกรคนเดิมก็นำเครื่องดื่มที่สั่งไปมาเสิร์ฟ “อันนี้เป็นค็อกเทลครับใส่แอลกอฮอล์นิดเดียว มันก็คล้ายๆ กับน้ำผลไม้น่ะแหละ จิบแค่แก้วสองแก้วให้พออารมณ์ดี ไม่ถึงกับเมาหรอก”

“มันคืออะไรครับ” นรกรที่ยังไม่ยอมไว้ใจเครื่องดื่มสีฟ้าใสในแก้วทรงสูงหันไปถามคนที่นำมันมาเสิร์ฟ

“กามิกาเซ่ครับ” บริกรหนุ่มท่าทางสุภาพตอบ

“ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยดื่มเหล้าเลยคุณช่วยอธิบายมากกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิครับ” บริกรหนุ่มตอบและเริ่มต้น “ส่วนผสมหลักของค็อกเทลแก้วนี้คือว็อดก้ากับบลูคูราโซ่ผสมกับน้ำราสเบอร์รี่และน้ำมะนาว จึงมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ทำให้ดื่มง่ายไม่บาดคอครับ”

นรกรพยักหน้าตาม “มันเรียกว่าอะไรนะครับ”

“กามิกาเซ่ครับ” บริกรหนุ่มทวนชื่อให้ฟังอีกครั้ง “เป็นภาษาญี่ปุ่นมาจากคำว่า Kami แปลว่า พระเจ้า กับ Kaze หมายถึง ลมแห่งสวรรค์ หรือที่เรียกกันว่า Divine wind ในภาษาอังกฤษครับ”

“โอ้โห เป๊ะเวอร์” จิงโจ้ปรบมือชื่นชม “พี่ฮาร์ฟมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”

นรกรส่ายหน้าและรับมาถือไว้ หากยังลังเลและจ้องเครื่องดื่มสีสวยในมืออยู่อีกหลายนาทีแม้จิงโจ้จะไม่เลิกคะยั้นคะยอ จนนัยน์ตาสีอ่อนเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ชื่อคล้ายกันกับค็อกเทลชนิดนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก



“ใครเอาเหล้าให้ฮาร์ฟกินเนี่ย” ธีร์ถามเสียงดัง เมื่อกลับออกจากฟลอร์มาเจอพี่ชายบุญธรรมนั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ข้างกันมีแก้วเปล่าวางอยู่ซึ่งดูจากลักษณะแล้วคงเป็นแอลกอฮอล์สักชนิดไม่ผิดแน่ ตอนนี้ดึกมากแล้วและอาจารย์ทุกท่านก็กลับไปหมดแล้ว

“ไม่ใช่เหล้าสักหน่อยแค่ค็อกเทลเอง” จิงโจ้ที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างกันเถียงตาใส

“ให้กินไปกี่แก้วเนี่ย”

“แก้วเดียว” จิงโจ้ว่า “แค่เติมหลายครั้งเอ๊งงง”

ธีร์หันไปแยกเขี้ยวใส่รุ่นน้องที่เมาปลิ้นแทบพูดไม่รู้เรื่อง “ไอ้วัฒน์ แกมาเก็บไอ้โจ้กลับไปด้วยนะ” เมื่อคนฟังหันมาพยักหน้ารับ เขาจึงดึงแก้วออกจากมือนรกรก่อนจะปลุก “กลับกันเถอะฮาร์ฟ นายเมามากแล้วนะ”

“ม่ายอาววว ม่ายกลับ” นรกรส่งเสียงงึมงำออกมาจากวงแขนและปัดมือเขาออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เคยขาวซีดแดงระเรื่อไปจนถึงริมฝีปาก แววตาฉ่ำวาวและเพราะเป็นสีอ่อนจึงยิ่งทำให้ดูหวานและน่ามอมเมายิ่งกว่าเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไป “ฉันอยากกินอีก ขออีกแก้วสิธีร์”

“ไม่ได้ นายเมาแล้ว” ธีร์ต้องใช้ความใจแข็งขั้นสูงเมื่อนรกรหันมาเกาะแขนเขาแน่นแล้วแนบหน้าลงมาซบบนท่อนแขน

“ฉันยังไม่เมาสักหน่อย นะ นะ… น้าาา”

“กลับได้แล้ว” ธีร์ทำเสียงเข้ม

“ธีร์ดุจัง ฉันไม่กลับด้วยหรอกนะ”

“นี่นายเมาแล้วเป็นแบบนี้เหรอเนี่ย” ธีร์ยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจเคยได้ยินคณิณพูดให้ฟังครั้งหนึ่งว่าอย่าให้กิน แต่ก็เพิ่งเคยเห็นกับตานี่แหละว่าไม่ควรจริงๆ ไม่ใช่แค่ลดการ์ดแต่ยังเข้ามาคลอเคลียเหมือนลูกแมวขี้อ้อนไม่มีผิด “อย่างอแงน่าฮาร์ฟ ไม่กลับกับฉันแล้วนายจะกลับกับใครล่ะ”

“มีอะไรเหรอธีร์” วินทร์เดินเข้ามาหา

“ไม่มีอะไร” ธีร์ตัดบทเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้ามายุ่ง แต่แล้วจู่ๆ คนเมาที่แทบจะพูดไม่รู้เรื่องก็ผงกศีรษะขึ้นจากท่อนแขนของเขาพร้อมกับชี้มือไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“นี่ไง” พร้อมกับผลักน้องชายบุญธรรมที่ประคองหลังไว้ให้ออกห่างแล้วลุกขึ้นยืนโซเซก่อนจะไปสะดุดขาตัวเองล้มลงในอ้อมแขนแกร่งที่ยื่นออกมารับไว้ได้ทันพอดี “กลับกันเถอะ” กระซิบพร้อมกับคล้องแขนเกาะรอบคอแน่นและซุกหน้าลงบนบ่า

“ฮาร์ฟ” ธีร์เข้ามาจะดึงตัวไป เมื่อตาคมเหลือบมองคนที่เกาะเสื้อตนไว้แน่นก่อนจะโอบแขนรอบแผ่นหลังรั้งเข้าแนบอก

“ไม่ได้ยินที่เจ้าตัวพูดเหรอธีร์ ฉันไปส่งเอง” วินทร์บอกพร้อมกับจ้องตาคนตรงหน้านิ่ง

“เปิดเผยธาตุแท้แล้วสินะ” ธีร์กระซิบลอดไรฟัน

วินทร์ไม่สนใจ เขาเบี่ยงตัวออกห่างจากศีรษะที่ซบอยู่บนบ่าเล็กน้อยและเชยคางคนในอ้อมแขนให้เงยหน้าขึ้นสบตา “ตาแดงหมดแล้ว บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าจะใส่คอนแทคฯ ให้พกน้ำตาเทียมด้วย”

ถึงตอนนี้นรกรจะแทบไม่มีสติแล้ว แต่ก็นับว่าแผนทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงจนต้องเข้ามาทักได้ผลอยู่เหมือนกัน

“แสบตา” คนเมางึมงำพลางยกมือขึ้นขยี้ตา

“อย่าทำแบบนั้น” วินทร์ดุและดึงมือออกมาซุกไว้ตรงหน้าอก “ทนไปก่อนละกันเดี๋ยวถึงห้องแล้วจะถอดให้”

“ถอดหมดเลยนะ”

“อืม” วินทร์หยักยิ้มมุมปากตอนมองนัยน์ตาที่หวานฉ่ำ พยายามจะไม่คิดว่า ‘ถอดหมด’ นี่หมดแค่ไหน

“พี่วินทร์ใจดีจัง”

“งั้นก็กลับกันเถอะ เดินเองไหวไหมฮาร์ฟ”

“อือ” ทำเป็นรับคำดิบดี แต่พอก้าวขาออกเดินก็เซพรวดจนวินทร์ต้องรีบคว้าตัวไว้อีกครั้ง เขารั้งแขนคนเมาขึ้นคล้องรอบคอพร้อมสอดแขนอีกข้างเข้ารอบเอว

“เดี๋ยววินทร์” ธีร์เรียก

“อะไร” วินทร์หันไปถามเสียงห้วนราวกับเป็นคนละคน

“กุญแจรถฮาร์ฟ” ธีร์บอกพร้อมกับส่งให้ เป็นอีกครั้งที่รู้สึกขัดใจตัวเอง แต่พอเห็นสายตาที่ทั้งสองมองกันและกันแม้อีกฝ่ายจะเมามาย เขาก็รู้ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นส่วนเกิน “พาไปส่งที่ห้องดีๆ ล่ะ ถ้าพรุ่งนี้พี่ชายฉันมีอะไรบุบสลายไปแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ฉันจะทำให้แน่ใจว่านายไม่ได้ตายดีแน่”

“แต่ถ้าเขายินยอมพร้อมใจนายก็ไม่มีสิทธิ์บ่นหรอกนะ”

“แก...”

“คุยอารายกานน ทำไมธีร์ทำหน้าดุจัง ไม่เอาสิเดี๋ยวไม่หล่อนะ”

“น้องชายนายดุฉันล่ะฮาร์ฟ” วินทร์ทำเป็นตีหน้าเศร้า

“ธีร์ใจร้าย”

“เราหนีกลับกันดีกว่า ไป เดินดีๆ ล่ะระวังล้มนะ”

แล้วธีร์ก็ทำได้แค่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ ในขณะที่วินทร์หันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกึ่งประคองกึ่งอุ้มนรกรเดินไปขึ้นรถ

oooooo

“ฮาร์ฟ ถึงแล้ว” วินทร์บอกคนในอ้อมแขนก่อนจะประคองในนอนลงบนเตียง ช่วยดูแลถอดรองเท้าถุงเท้าให้เรียบร้อย ใจจริงอยากเปลี่ยนชุดให้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นตื่นเช้ามาเขาต้องโดนเกลียดแน่ๆ จึงเพียงแค่คลายเข็มขัดกับกระดุมเสื้อออกแล้วดึงผ้าขึ้นห่มให้จนถึงหน้าอก ริมฝีปากระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยในขณะที่ลูบฝ่ามือหนักๆไปบนเรือนผม “ฉันไปแล้วนะ”

ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงก็พอดีกับที่มือเรียวเอื้อมมาดึงชายเสื้อไว้

“อย่าเพิ่งไป อยู่ด้วยกันก่อน”

“ที่เรียกนี่ เรียกใครฮึ วินทร์หรืออทิฏฐ์” เขาถามคนที่ยังหลับตาแน่น อุตส่าห์โกนหนวดเพราะหวังจะเป็นการไล่ต้อนให้อีกฝ่ายรีบคิดหาคำตอบ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ

“อืมมมม”

“ถามทำไมให้เจ็บเองนะ” วินทร์บ่นกับตัวเอง พลางเงยหน้าขึ้นมองจ้องฝ้าเพดานเพื่อดันความอ่อนแอที่จู่ๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมาให้กลับลงไป ก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหู “ต่อให้นายเอ่ยปากไล่ ยังไงฉันก็ไม่ไปอยู่แล้ว” ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เนื้ออ่อนที่ปลายหูอุ่นวาบและออกแดงระเรื่อมันดูน่ารักน่ามันเขี้ยวเสียจนคนที่ทำตัวเป็นฤาษีจำศีลมานานใกล้ตบะแตกเต็มที “ปล่อยมือสิฮาร์ฟ ไม่ปล่อยจะจูบแล้วนะ”

คนเมาส่งเสียงงึมงำในลำคอ แต่ก็ยังไม่ยอมคลายมือออก

ริมฝีปากจุดยิ้มละมุนกับเสียงเครือครางที่คล้ายกับจะยั่ว “ไม่ต้องถามแล้ว จูบเลยดีกว่า” แล้วแกะมือเรียวที่เกาะเกี่ยวชายเสื้อตนไว้ขึ้นมาจูบหนักๆ ลงบนข้อนิ้ว ขโมยสูดกลิ่นกายของคนที่แอบรักให้ชุ่มชื่นใจ ตั้งใจจะทำแค่นั้นแต่สุดท้ายวินทร์ก็อดใจไม่ไหว เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วพรมจูบไล่ขึ้นไปตามหลังมือเรียวจนถึงต้นแขน

คนเมาขยับตัวเล็กน้อยด้วยความจั๊กจี้เมื่อเขาฝังจูบลงข้างซอกคอขาว

วินทร์ถอนริมฝีปากออก แล้วแกล้งไล้ปลายจมูกไปตามแนวกราม คนฉวยโอกาสขโมยสูดความหอมไปอีกฟอดใหญ่ “แก้มนายมันนิ่มแบบนี้เองน่ะเหรอ” แล้วแตะหยอกเย้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงกลางหน้าผากที่ซึ่งเขากดจูบลงเป็นที่สุดท้ายและกดซ้ำๆ ราวกับจะฝังความรู้สึกทั้งรักและคิดถึงที่มีเต็มหัวใจลงไป

นรกรขยับใบหน้าหนีจากริมฝีปากอีกครั้งโดยการซุกตัวแอบในอ้อมอกกว้าง

วินทร์ก้มลงมองคนที่เกาะเสื้อตนแน่นด้วยเอ็นดู เขาเกลี่ยปลายนิ้วไปตามแก้มนิ่มอย่างทะนุถนอมก่อนจะแกล้งบีบจมูกแล้วบิดแรงๆ ครั้งหนึ่ง กะว่าถ้าตื่นจะยอมถอย แต่นอกจากนรกรจะไม่ตื่นยังมุดหน้าหนีจนแทบจะจมหายลงไปในอก ยิ้มกว้างระบายเต็มหน้า เขากดจูบลงบนกลางหน้าผากอีกครั้งแล้วสอดแขนเข้าโอบรอบเอวสอบรั้งให้คนตัวเล็กกว่าเขยิบมานอนหนุนแขนในท่าที่สบายขึ้น พลางลูบมือลงบนเรือนผม

“ฝันดีนะ”

กระซิบข้างหูราวกับมันเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พูดคำนี้ออกไป

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ In my wind, in my view P.12 [17/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-06-2016 15:37:46
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“พี่วินทร์!”

“ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย” วินทร์ขยับลุกขึ้นนั่งบ้างพลางยกมือปิดปากหาว “นายเมามากฉันก็เลยมาส่งที่ห้อง”

“เรื่องนั้นผมเดาได้ แต่ว่า… ทำไมพี่วินทร์ถึง…”

วินทร์ก้มลงมองท่อนบนของตัวเองซึ่งเปลือยเปล่า “ก็อากาศมันร้อนแถมตัวก็เหม็นเลยถอดเสื้อน่ะ”

“แล้ว…”

“ขี้เกียจเดินกลับห้อง” ตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ฟังคำถาม

ไม่คิดจะบอกความจริงว่าโดนรั้งไว้เพราะตัวเองก็ผิดที่ห้ามใจไว้ไม่ไหว แต่สาเหตุที่ถอดเสื้อนั่นไม่ได้โกหก ถึงจะแอบฉวยโอกาสแต่ก็ไม่คิดรังแกคนเมาหรอกนะ

วินทร์ลุกขึ้นยืนและก้มหยิบเสื้อขึ้นสวมพลางเดินไปที่ประตู “ฉันไปก่อนนะ”

“จะไปไหนก็ไปเลยครับ”

ร่างสูงหยุดกึกที่กรอบประตู และเหลียวมามองคนที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเตียง “ฮาร์ฟ ฉันไปจริงๆ นะ”

“ครับ”

“ไม่คิดจะไปส่งกันหน่อยเหรอ” วินทร์แกล้งกระเซ้า

“ไม่ครับ”

“อืม” วินทร์ส่งเสียงในลำคอ เขากำลังจะปิดประตูอยู่แล้วเมื่อพูดขึ้นอีกครั้ง “ขอโทษนะถ้าทำให้นายไม่พอใจ”

คนบนเตียงไม่ตอบและไม่หันหน้ามา วินทร์จึงหมดแรงจะฝืนยิ้ม เขาดึงประตูปิดและจากไปเงียบๆ

ทันทีประตูปิดสนิท นรกรก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะจนมิด เขาไม่ได้โกรธวินทร์ แต่เขาโกรธตัวเอง ทั้งที่เคยบอกว่าไม่คิดอะไรแต่ทำไมหัวใจกลับเต้นแรง กลิ่นกายที่ไม่ใช่ของตัวเองซึ่งยังคงติดอยู่ที่ผืนผ้ายิ่งทำให้จินตนาการถึงไออุ่นที่โอบรัดร่างไว้ทั้งคืน และทั้งที่ไม่น่าจะเคยสัมผัสมาก่อนแต่ทำไมกลับคุ้นชินจนรู้สึกโหยหา มันเป็นเพราะอะไร เพราะรักเหรอ?

ไม่สิ! มันต้องไม่ใช่แบบนั้น

นรกรตะโกนในใจ และทั้งที่พยายามปฏิเสธแต่สองมือกลับขยุ้มผืนผ้าแน่นพร้อมกับฝังจมูกลงกับเตียง ราวกับจะดูดซับอุณหภูมิและความรู้สึกนี้ไว้

oooooo

“โจ้ เห็นพี่วินทร์ไหม” นรกรถามนายแพทย์รุ่นน้องเพราะไม่เห็นเจ้าตัวนับตั้งแต่ออกจากห้องไปเมื่อเช้าและนี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว

“พี่วินทร์ไปแล้วครับ”

“ไปไหน”

“กลับไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัดไงครับ พวกผมไปส่งขึ้นรถแต่เช้าแล้ว”

“ไปวันนี้เหรอ”

“พี่วินทร์บอกว่าลาพี่ฮาร์ฟแล้วนี่ครับ” จิงโจ้ถามกลับ “เมื่อคืนพี่วินทร์ก็แบกพี่ฮาร์ฟไปส่งที่ห้องนี่นา ไม่ได้คุยกันหรอกเหรอ”

นรกรไม่ตอบ สองมือกำหนังสือในมือแน่นด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ แต่ก็พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรและพยายามเปลี่ยนเรื่อง “จิงโจ้”

“ครับ”

“นายพอจะรู้ไหมว่าฉันจะไปซื้อแซนด์วิชไส้ไข่ชีสได้ที่ไหนอีก พอดีซื้อจากเซเว่นมาแล้วมันไม่อร่อยเหมือนที่เคยกินน่ะ” เขาถามพลางชูถุงพลาสติกในมือให้ดู

“ผมไม่เคยเห็นมีที่ไหนขายอีกนะครับ”

“มีสิ พี่วินทร์ซื้อมาฝากฉันตั้งหลายครั้ง”

“อ้อ” จิงโจ้ทำหน้านึกขึ้นได้พร้อมกับเปิดกระเป๋าของตนและหยิบเอาถุงพลาสติกใบหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะแล้วหยิบของที่อยู่ข้างในออกมา “หมายถึงอันนี้หรือเปล่าครับ”

“ใช่ๆ แล้วบอกว่าไม่มีไง”

“ไม่มีขายจริงๆ ครับ” จิงโจ้ยืนยัน “เพราะพี่วินทร์ทำเองรวมทั้งข้าวกล่องพวกนี้ด้วย เมื่อเช้าก่อนจะไปพี่วินทร์ฝากให้ผมเอามาให้พี่ฮาร์ฟ”

“ทำเอง” นรกรทวนคำ

“จริงๆ แล้วพี่วินทร์ห้ามผมบอกพี่ฮาร์ฟนะ ให้โกหกว่าซื้อมาจากร้านที่คาเฟ่เพราะนี่เจ้าตัวก็อุตส่าห์ลงทุนไปซื้อกล่องต่อจากพ่อค้าเขามาเพื่อไม่ให้พี่ฮาร์ฟสงสัย” จิงโจ้เว้นวรรคไปเล็กน้อย “แต่ผมว่าพี่ฮาร์ฟควรจะรู้นะ”

นรกรนึกถึงรายการอาหารมากมายที่หอบหิ้วมาฝากทุกวัน เขารู้ว่าหน้าตามันไม่เหมือนปกติ แต่ก็แค่คิดว่าเป็นเพราะวินทร์สั่งทำพิเศษมาให้ เขาสัมผัสมือไปบนกล่องของพวกนั้นก่อนจะเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง “ทำไมพี่วินทร์ถึงทำแบบนี้ล่ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” จิงโจ้บอก “อาจจะแค่อายมั้งครับ หรือไม่ก็กลัวพี่ฮาร์ฟไม่กิน แต่ผมกล้าพูดเลยว่าพี่วินทร์มีความสุขมากที่ได้ทำ และผมคิดว่านี่แหละคือเหตุผล”

นรกรนึกถึงสิ่งที่อทิฏฐ์เคยบอก ไม่ว่าจะเรื่องปลุกตอนเช้าและทำอาหารให้กิน หรือที่ทำไปทั้งหมดนี่แค่เป็นเพราะอยากทำความฝันให้เป็นจริงก่อนที่จะจากไปอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ

“พี่ฮาร์ฟครับ” จิงโจ้เรียกเบาๆ พร้อมกับเอาของอย่างสุดท้ายที่ฝากไว้ออกมาจากกระเป๋า มันเป็นกระดาษโน้ตที่พับมาและติดสก๊อตเทปไว้ป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบอ่าน

“ขอบใจมาก”

เมื่อจิงโจ้กลับออกไป นรกรจึงเปิดจดหมายออก หัวใจเต้นระรัวอยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่วินทร์อยากจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย


กินให้อร่อยนะ แล้วอย่าใส่น้ำปลาเยอะล่ะ

“นึกว่ามีอะไรสำคัญซะอีก นี่ใจคอจะไปโดยไม่ยอมบอกลากันเลยใช่ไหม” มือเรียวกำจนเล็บฝังแน่นลงในเนื้อหากมันก็เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกเจ็บในหัวใจ “ไม่ว่าจะเป็นใครก็เลือกที่จะทิ้งฉันไปอยู่ดีสินะ”

อยากจะไปตามก็ไม่รู้จะไปทำไม ในเมื่อจนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจหัวใจตัวเองว่ารักคนไหน และมันก็ไม่แฟร์กับใครเลยถ้าจะคบแบบครึ่งๆ กลางๆ โดยเฉพาะกับวินทร์ ถ้าหากตอนนี้หัวใจที่เอนเอียงเป็นเพราะรู้ว่าเป็นคนเดียวกัน ถ้าหากสุดท้ายแล้วคำตอบของหัวใจยังไม่ใช่เขา

ยิ่งคิดถึงยิ่งเจ็บ และเขาแทบขาดใจเมื่อนึกถึงรอยยิ้มสุดท้ายที่ส่งให้มาทั้งที่เขาเอ่ยปากไล่ให้ไป นรกรวางจดหมายลง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหา ถึงไม่รู้จะพูดอะไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้ขอโทษเรื่องเมื่อเช้าเถอะนะ

***********************TBC********************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 19-06-2016 16:22:15

เสียใจแทนพี่วินทร์ ฮือๆๆๆต้องจากไป
แม้แต่รอยยิ้มส่งจากฮาร์ฟก็ไม่มี

เข้าใจเหตุผลของฮาร์ฟที่ยังไม่ตอบรับ
แต่บางครั้งการกระทำก็ทำร้ายกันเกินไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 19-06-2016 17:34:36
ไม่รู้จะเม้นอะไรเลย
ทำไมมันหน่วงงง สงสารวินทร์  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 19-06-2016 17:50:13
ฮาร์ฟ นรกร นี่เป็นทั้งคนใจร้ายและใจดีในเวลาเดียวกันเลยนะ ทำได้ยังไงเนี่ย

พึ่งเข้ามาอ่าน
ก็อ่านรวดเดียวเลย
แอบงุนงงนิดหน่อยแต่คิดว่าพอเข้าใจ
สรุปตามความคิดเรา วินทร์ที่นอนป่วยอยู่แปดปี วิญญาณของวินทร์มาหานรกร พอตื่นมาก็รู้ตัวทุกอย่าง และเหมือนการช่วยเหลืออะไรหลายๆอย่างจากหลายๆคน ก็ทำให้อธิฏษ์(พิมพ์แบบนี้มั้ย..ลืม แหะๆ) กลับมาอีกครั้ง อาจจะเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตหรือกรรมที่ทั้งคู่มีต่อกันมา ทำให้ต่างคนต่างได้มาช่วยเหลือกันจนพบรักกัน และวินทร์ในช่วงนี้ก็ฝันถึงเรื่องของอธิฎษ์ตลอดทำให้รู้ทุกอย่างแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับเพราะถูกลิขิตมาแบบนี้ที่ทำให้ต่างคนต่างต้องผ่านอุปสรรคไปให้ได้จนกว่าจะเกิดรักที่แท้จริง

ต้องขอบคุณอธิฎษ์ที่ทำให้วินทร์กลับมา
ต้องขอบคุณนรกรที่ช่วยให้อธิฎษ์มีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่อย่าใจร้ายกับวินทร์นักเลย วินทร์ไม่ผิดอะไร ถึงวินทร์ไม่ใช่ทิด แต่วินทร์คือคนที่รักนรกรมาตลอด5ปี คนที่หวังดี คนที่ห่วงใย
ไม่ว่านรกรจะรักวินทร์หรือไม่
แต่อย่าใจร้ายด้วยการไม่บอกอะไรถึงความรู้สึกของตัวเองให้วินทร์รู้เลย
ไม่รักคือไม่รัก ไม่ใช่ไม่รักแต่ยังลังเล
ยังไงก็ต้องมีคนแพ้อยู่แล้ว แม้จะต้องแข่งกับตัวเอง เราเชื่อว่าวินทร์รับได้ มากกว่าอยู่อย่างไม่รู้ว่าจะแพ้หรือชนะตัวเองอย่างไร

ทีมหมอวินทร์ที่พ่อตากดไฟเขียวค่ะ #ห้ะ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 19-06-2016 18:20:14
โห้ยยยยย...ทำไมถึงทิ้งกันอีกแล้วละเนี๊ย บอกลาดีเป็นไหม ทำไมต้องต้องไปแบบคาค้างทุกทีเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-06-2016 18:31:05
วินทร์ อบอุ่น น่ารักมาก กลัวฮาร์ฟเกลียด ไม่กล้าล่วงเกิน
ฮาร์ฟ รู้ใจตัวเองเร็วๆซะที
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 19-06-2016 18:44:31
ฮือออ อ่านอะไรหน่วงๆ เจ็บปวดๆ แล้วมันพาลเจ็บจี๊ดๆ ที่ฝ่ามือทุกทีเลย  :katai1:

ลากันไม่ค่อยดีเลย แบบนี้ :mew2:
พี่วินทร์ก็พูดไม่ออก ฮาร์ฟก็สับสนกับตัวเอง

ฮาร์ฟอย่าไปคิดเยอะเลย ยังไงคนเดียวกันก็คือคนเดียวกัน แค่อยู่ต่างสถานการณ์เอง  :กอด1:


----
เจอที่ผิดค่า~
อ้างถึง
“พี่ชายนายดุฉันล่ะฮาร์ฟ” วินทร์ทำเป็นตีหน้าเศร้า

ตรงนี้น่าจะ “น้องชายดุฉัน...” นะคะ
พี่วินทร์สับสนเล็กน้อย เจอฮาร์ฟฉบับแมวเข้าไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-06-2016 18:50:30
ฮือออ อ่านอะไรหน่วงๆ เจ็บปวดๆ แล้วมันพาลเจ็บจี๊ดๆ ที่ฝ่ามือทุกทีเลย  :katai1:

ลากันไม่ค่อยดีเลย แบบนี้ :mew2:
พี่วินทร์ก็พูดไม่ออก ฮาร์ฟก็สับสนกับตัวเอง

ฮาร์ฟอย่าไปคิดเยอะเลย ยังไงคนเดียวกันก็คือคนเดียวกัน แค่อยู่ต่างสถานการณ์เอง  :กอด1:


----
เจอที่ผิดค่า~
อ้างถึง
“พี่ชายนายดุฉันล่ะฮาร์ฟ” วินทร์ทำเป็นตีหน้าเศร้า

ตรงนี้น่าจะ “น้องชายดุฉัน...” นะคะ
พี่วินทร์สับสนเล็กน้อย เจอฮาร์ฟฉบับแมวเข้าไป  :hao3:

ขอบคุณค่าาา แก้แล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 19-06-2016 18:52:30
เศร้าจัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 19-06-2016 19:35:12
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 19-06-2016 19:47:19
เวลาช่วยเยียวยาของจริงละทีนี้  หวังว่าวินทร์กลับมาฮาร์ฟคงมีคำตอบเนอะ :mew6:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 19-06-2016 19:51:38
สงสารวินทร์ รอมานานแล้วเมื่อไหร่จะสมหวังซะที
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 19-06-2016 22:10:24
เฮ้ออุตส่าห์คิดว่าจะดีกันแล้วแท้ๆ  สุดท้ายกลายเป็นพี่วินทร์ไปโดยไม่ลา  หวังว่า คุยโทรศัพท์แล้วจะเข้าใจกันนะ   อย่างน้อยๆก็ยังติดต่อกันไว้  แต่สงสัยว่า  แล้วฉากเปิดเรื่อง  เจ้าของดอกไม้น่าจะเป็นพี่วินทร์  แล้วทำไม ฮาร์ฟถึงดูเศร้าในเมื่อรู้ใจตัวเองแล้วก็น่าจะติดต่อกับพี่วินทร์ได้  โทรคุยกันอะไรแบบนี้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 19-06-2016 22:31:19
อึดอัดดจัง สงสารพี่วินทร์
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 19-06-2016 22:54:15
ฮือออ สงสารทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-06-2016 23:27:21
ฮื่ออออ พี่วินทร์ไปซะแล้ว
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 20-06-2016 06:38:34
เหนื่อยใจ...
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 20-06-2016 11:07:22
อืม
พี่วินตัดใจเถอะ
ลองใช้ชีวิตเพื่อนตนเอง
ถ้ายังไม่แน่ใจก็ปล่อยมันไปอย่างนี้แหละ
เจ็บดี
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 20-06-2016 12:18:13
ง่อออ พี่วินทร์ของน้องงง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-06-2016 12:30:03
อืม
พี่วินตัดใจเถอะ
ลองใช้ชีวิตเพื่อนตนเอง
ถ้ายังไม่แน่ใจก็ปล่อยมันไปอย่างนี้แหละ
เจ็บดี

เนอะ  :hao3:
ปล่อยให้ฮาร์ฟทุกข์ระทมไป
หายใจรวยริน ค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ
#ทีมวินทร์ผู้ถูกปล่อยให้ยืนหลังประตู โทษๆ มือลั่น
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: banazjj ที่ 20-06-2016 19:16:36
หน่วงจังเลยตอนนี้ เอาใจช่วยฮาร์ฟให้รู้ใจตัวเองเร็วๆ
พี่วินทร์ทำไมละมุลนุ่มลิ้นขนาดนี้  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-06-2016 20:06:09
เหมือนใจร้ายแต่ก็เข้าใจฮาร์ฟนะ

เพียงแต่ปวดใจแทนวินทร์
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 22-06-2016 22:58:14
ฮาร์ฟฟ พี่วินทร์ไปใช้ทุนเอง
แปป๊บเดียว เผื่อจะได้รู้ว่าจะเลือกใครดี

สงสารพี่วินทร์จัง
แต่ก้นะ
เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 18 Accept P.12 [19/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 23-06-2016 08:22:04
เปิดใจจ ฮาร์ฟ แค่เปิดใจจจ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 24-06-2016 17:38:29
จบแล้ววววว
ตอนนี้อ่านไปน้ำตาซึมไป
ชอบน้องลลินมาก เข้มแข็งมากๆ
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆ ให้อ่านนะคะ
รอตอนพิเศษค่าาาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 24-06-2016 18:37:41
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆ ให้อ่านนะคะ
อิ่มใจมากค่ะ
รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: thari ที่ 24-06-2016 19:37:41
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
แวบแรกแอบตกใจเล็กน้อยที่จบ  แต่เป็นการจบที่สวยงามมากค่ะ  ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ^^ อ่านไปก็มีน้ำตาซึม
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 24-06-2016 19:48:50
หาตอนที่ 19 ไม่เจอ ง่าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 24-06-2016 20:03:00
หาไม่เจอค่ะ TT
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 24-06-2016 20:04:10
หาตอนจบไม่เจอ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 24-06-2016 20:31:33
หาย หาย หาย

หาซิหา หรือว่า แก้อยู่นะ

เอเอเอเอเอเอเอเอ

  :katai4:   :katai4:  :katai4:  :katai4: :katai4:

....

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiw ที่ 24-06-2016 20:46:08
รักเลยเรื่องนี้เลย

พี่วินทร์หาที่ไหนได้อีก

อิจฉามากค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: RainingTime ที่ 24-06-2016 21:00:32
มาปูเสื่อนั่งรอตอนจบคร้าบบ
... นี่เราลุ้นอยู่ว่าจะ #ฮาร์ฟวินทร์ หรือจะ #วินทร์ฮาร์ฟ
เชียร์อย่างหลัง ลุ้นมานาน 555  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 24-06-2016 21:06:09
เนื้อเรื่องตอนจบหายค่ะ  เคร้าใจจังอยากอ่านแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 24-06-2016 21:21:51
ง่าาาาาา  ตอนจบหายไปไหนอ่ะ หาไม่เจอ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 24-06-2016 21:51:35
บทที่ 19 Determine

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ หากร่างโปร่งในชุดกาวน์ยาวสีขาวยังคงนั่งเหม่อคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา หูเสียบสายฟังเพลงเดิมๆ ที่ใครคนหนึ่งเคยร้องให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว เนื้อเพลงในท่อนฮุคที่เวียนมาจนถึงรอบสุดท้ายราวกับตั้งคำถามซ้ำๆ กับหัวใจ

คำถาม… ที่เขายังคงครุ่นคิดเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา

ลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ ทำให้ดอกปีบค่อยปลิวหมุนเป็นวงร่วงลงบนพื้นหญ้า ตรงหน้ารองเท้าหนังของใครคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึง

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ฮาร์ฟ”

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นปลุกนรกรตื่นจากภวังค์ของเรื่องราวในอดีตกลับมาสู่ความเป็นจริง

นัยน์ตาสีอ่อนทอดมองรองเท้าบนพื้นหญ้าก่อนจะกวาดสายตามองขึ้นไปตามเรียวขายาว แผงอกกว้างที่ถูกคลุมด้วยเสื้อกาวน์ยาวสีขาว ผ่านลำคอหนา ไปจนถึงใบหน้าคมสันประดับด้วยนัยน์ตาอบอุ่นที่กำลังทอดมองมาที่เขาเช่นกัน

แล้วทันใดนั้นเอง นรกรก็ได้พบกับคนที่คิดถึงตลอดเวลา ใคร... คนที่เอาหัวใจของเขาไปด้วยในวันที่จากกัน และไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยแม้สักครั้งเดียว

“พี่วินทร์กลับมาแล้วเหรอครับ” กระซิบถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่พยายามฝืนไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตอนนี้เขาดีใจมากแค่ไหนพลางดึงหูฟังออกเก็บใส่กระเป๋าเพื่อฟังเสียงทุ้มนั้นให้ชัดๆ

ร่างสูงในชุดกาวน์ยาวสีขาวระบายยิ้มลงบนเรียวปากพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง “เมื่อกี้เอง”

นัยน์ตาสีอ่อนตวัดกลับมามองช่อดอก Forget me not ในมือเพราะกลัวว่าจะเผลอจ้องคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มากเกินไป “ผมนึกว่าพี่วินทร์จะไม่กลับมาซะแล้ว”

“ต้องกลับสิ” วินทร์ตอบ “ก็ฉันติดสัญญาเป็นอาจารย์ที่นี่ไว้นี่นา ไม่งั้นอาจารย์สรวิชญ์เอาฉันตายแน่” เว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของนรกร และเมื่อเห็นความผิดหวังที่ฉายชัดขึ้นในแววตาจึงรีบพูดต่อ “ล้อเล่นน่า ฉันจะไม่กลับมาได้ยังไงก็นายเล่นโทรมาพูดแบบนั้น”


‘พี่วินทร์จะกลับมาใช่ไหม ผมจะรอนะไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ’


นั่นยังไม่นับรวมถึงเสียงที่สะอื้นมาตามสาย มันทำให้เขาแทบบ้าจนอยากจะเลี้ยวรถกลับเสียตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะรถกำลังติดแหงกอยู่บนทางด่วน

แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย นรกรก็นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งที่ตั้งใจจะโทรไปบอกแค่ขอโทษ แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงของวินทร์ผ่านสายโทรศัพท์น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

และในนาทีนั้นเองที่เขาเข้าใจหัวใจตัวเอง บางทีการที่เขาชอบอทิฏฐ์ได้อย่างง่ายดายอาจเป็นเพราะลึกๆ ในใจเขาก็แอบตกหลุมรักนัยน์ตาอบอุ่นที่มองมาอย่างห่วงใยเสมอนั่นอยู่แล้วก็เป็นได้ และไม่ว่าจะวินทร์หรืออทิฏฐ์ตอนนี้เขาก็พร้อมแล้วที่จะตอบคำถาม

วินทร์กวาดตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความคิดถึงก่อนสายตาจะไปหยุดลงที่ช่อดอกไม้ในมือ “ดอกไม้สวยจัง ใครให้มา”

“ไม่รู้สิครับ” นรกรบอกพร้อมกับจับพลิกไปมา “แต่ผมอยากให้เป็นของคนๆ นั้นจัง”

“คนที่นายชอบน่ะเหรอ”

“ครับ”

“ฉันนึกว่านายลืมเขาไปแล้วซะอีก”

“ไม่ลืมหรอกครับ จะลืมได้ยังไง” นรกรบอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่ทำเป็นมองดอกไม้ในมือด้วยความสนอกสนใจ... เขาจะตอบคำถามของวินทร์ แต่ก่อนหน้านั้นมีอีกเรื่องที่ต้องการพิสูจน์ในแน่ใจ “พี่วินทร์ครับ ผมแอบเข้าไปอ่านในเพจแฟนคลับสมัยที่พี่วินทร์เป็นเดือนคณะ เห็นว่าชื่อวินทร์นี่ได้มาจากคำว่า ‘วิล’ ของอาจารย์วิลเลียมจริงเหรอครับ”

เจ้าของชื่อแปลกใจเล็กน้อยที่นรกรรู้เรื่องนั้นด้วย แต่ก็ไม่นานนัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องเป็นฝีมือจิงโจ้แน่ๆ ที่เล่าให้ฟัง “เขาเป็นคนโปรดของพ่อฉันเลยล่ะ”

“ฟังดูเท่จัง ไม่เห็นเหมือนชื่อผมเลย จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้เลยว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อผมแบบนี้”

“ชื่อนายก็ไม่ได้มาจากชื่อหมอฮาร์วี่เหรอ” วินทร์บอก “แล้วชื่อจริงก็เป็นคำว่า neuron กลับหัวไง”

“พี่วินทร์รู้เรื่องนั้นได้ไงครับ” นรกรถามกลับทันที

“เอ้า! นายลืมแล้วเหรอก็วันนั้น...” แล้ววินทร์ก็เงียบไปเมื่อนึกอะไรขึ้นได้

นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองคนตรงหน้า “จะบอกว่าเป็นคนอ่านให้ผมฟังเองใช่ไหมครับ”

“...” วินทร์ไม่ตอบ เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดให้ถูกจับได้มาหลายครั้งแล้วสินะ

“เลิกเล่นละครได้แล้วครับ” นรกรเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้อยากคาดคั้น แค่อยากจะรู้ความจริง “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ทั้งเรื่องชื่อ อาหาร เกม หมอเบลล์ เจ้าบิชอฟ ทั้งหมดนี่มีแค่คนเดียวที่รู้ แล้วก็ยังดอกไม้นี่อีก ผมไปตามหาร้านที่ส่งและถามจนรู้มาตั้งนานแล้วว่ามันถูกส่งมาจากที่ไหน และใครเป็นคนส่ง ปากบอกให้ลืมไปซะ แต่ส่งดอกไม้ที่มีความหมายว่า ‘อย่าลืมฉัน’ มาให้ทำไม ตกลงคุณเป็นใครกันแน่”

“แล้วนายอยากให้เป็นใครล่ะ อทิฏฐ์หรือวินทร์” วินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบกว่า

“อทิฏฐ์ ไม่สิ! พี่วินทร์จำได้จริงๆ ด้วย แล้วทำไมพี่วินทร์ไม่พูด ทำไมถึง...”

“เพราะคนที่นายรักไม่ใช่ฉัน” วินทร์บอก “นายรักอทิฏฐ์ และฉันไม่ใช่อทิฏฐ์ของนาย ฉันแค่อยากให้นายรักวินทร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้านายไม่ใช่เขา และที่ส่งดอกไม้มาให้เพราะนี่เป็นสัญญาที่ฉันให้กับหมอนั่นไว้ เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากให้นายลืมเขา... ผู้ชายแสนดีที่ทำให้นายยิ้มได้เพียงแค่คิดถึง”

มือทั้งสองกำช่อดอกไม้ในมือแน่นเมื่อคำตอบกระแทกหัวใจนรกรจนจุกไปหมด มันคือสิ่งที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

“นั่นคือคำพูดของคนที่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำตอนที่โทรไปหา แถมยังตัดสายทิ้งและไม่ติดต่อกลับมาถึงสองปีเหรอครับ” นรกรถามกลับ “ไม่คิดว่าใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอครับ”

“ถ้าไม่ทำแบบนั้น แล้วฉันจะตัดใจไปได้ยังไงล่ะ” วินทร์ตอบ “ถ้าต้องทนฟังเสียงนายสะอื้นอีกแค่คำเดียวฉันคงยอมเลี้ยวรถกลับมาฉีกสัญญาทิ้งเพื่ออยู่กับนายแล้ว แต่ฉันทำแบบนั่นไม่ได้ ความรักทำให้ฉันพลาดจนเสียทุกอย่างมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นโชคดีที่ได้อาจารย์สรวิชญ์ช่วยไว้ และฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก”

“แล้วไม่คิดว่า 2 ปีนี้ผมจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นเหรอ”

“นั่นมันก็เรื่องของนาย ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันสักหน่อย”

คำตอบทำเอานรกรจุกจนพูดไม่ออก จนกระทั่งวินทร์พูดต่อ

“นับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล ฉันก็นับวันรอที่จะเจอนายมา 2 ปีกว่า และเฝ้าดูนายมาอีก 5 ปี กะอีแค่ 2 ปีแค่นี้ทำไมฉันจะรอไม่ได้ ถึงใจนายจะเปลี่ยนไปก็ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อใจฉันยังไม่เปลี่ยนไปก็พอ”

วินทร์เว้นวรรคไปเล็กน้อยพร้อมทั้งหันไปสบตา

“ฮาร์ฟ ฉันรู้ว่าจนถึงตอนนี้นายยังไม่ลืมเขา แต่ในเมื่อฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนอกจากนาย นายก็ปล่อยให้ฉันจีบไปเรื่อยๆ แบบนี้จนกว่าจะใจอ่อนเถอะนะ”

นรกรกำช่อดอกไม้ในมือแน่น “เรื่องนั้นเห็นทีจะไม่ได้แล้วล่ะครับ”

วินทร์แอบใจเสียไปเล็กน้อย แม้จะค่อนข้างมั่นใจกับข้อมูลที่จิงโจ้แอบส่งให้อยู่เสมอ “งั้นฉันต้องทำยังไงล่ะ”

“ผมจะให้โอกาสพี่วินทร์สามครั้งเดาใจว่าตอนนี้ผมอยากฟังคำว่าอะไรมากที่สุด ถ้าพี่วินทร์เดาถูกผมจะยอมให้จีบ” จริงๆ ตอนนี้นรกรมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว แต่เขารู้... อย่างที่เจ้าตัวบอกเอง สิ่งที่วินทร์ต้องการไม่ใช่แค่คำว่ารัก แต่ต้องการความมั่นใจว่าเขารักวินทร์จริงๆ ไม่ใช่เพราะเป็นเงาของอทิฏฐ์

วินทร์นิ่งคิดอยู่อึดใจ “ขอโทษ”

“ผิดครับ”

“คิดถึง”

“ผิดครับ”

วินทร์พ่นลมออกจมูก นึกไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไรนอกจากคำนี้ “เป็นแฟนกันไหม”

“ผิด” นรกรตอบ “แต่ตกลงครับ”

คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน เริ่มไม่แน่ใจว่านรกรจะมาไม้ไหน “แล้ว... ยังไง”

“ก็ตามนั้นพี่วินทร์ตอบผิดก็ไม่มีสิทธิ์จีบผม”

“แต่นายตอบตกลงเป็นแฟน”

“ก็ตามนั้นไง นี่ยังให้ผมต้องพูดอะไรอีกเนี่ย”

แก้มขาวที่เริ่มขึ้นสีทำให้ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้มบาง นรกรไม่เคยโกหกที่บอกว่าจะพยายามคิดเรื่องของเขา และนี่คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่จะให้ได้ตอนนี้สินะ งั้นคงไม่ผิดถ้าเขาจะขอคว้ามันไว้ก่อนละกัน “พูดว่ารัก พูดได้ไหม”

“พี่วินทร์พูดก่อนสิ”

วินทร์หลุบตาลงมองมือที่กำช่อดอกไว้แน่นแล้วคว้ามากุมไว้ในมือข้างหนึ่ง เขาใช้ปลายนิ้วโป้งไล้วนไปเบาๆ ก่อนจะยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากทั้งที่ยังทิ้งสายตาให้สบกันไว้ “รักนะ”

นรกรดึงมือกลับมากุมไว้พร้อมทั้งก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนพวงแก้มที่เริ่มซับสีเข้มขึ้นทุกที

“ฉันพูดแล้วนะ แล้วนายจะพูดได้หรือยังว่ารักฉัน”

“ก็ไม่ได้รัก จะให้พูดได้ยังไงครับ”

“ตกลงมันยังไงกันแน่”

“ก็... ถือว่าเป็นระยะทดลอง” นรกรตอบไปส่งๆ เพราะตอนนี้หูอื้อ ตาลาย สมองชาจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว

และดูเหมือนวินทร์จะดูออกเสียด้วยเมื่อเขาแกล้งกระเซ้าต่อ “แล้วฉันทำอะไรได้บ้าง”

“อะไรที่ว่านี่คืออะไรครับ”

“อ้าว มันก็ต้องชัดเจนสิ นายไม่ให้ฉันจีบ ฉันไม่จีบก็ได้ ทีนี้เป็นแฟนกันแล้วจับมือได้ไหม”

นรกรพยักหน้า “ได้”

“กอดล่ะ” วินทร์ถามต่อ

“ก็โอเค”

“จูบ”

ถึงตรงนี้นรกรเริ่มชะงักไปเล็กน้อย และหูก็เริ่มแดงแล้ว “น่าจะ…”

“อะไรคือน่าจะ แล้วเซ็กซ์ล่ะ”

นรกรหันควับมาทันที “พี่วินทร์!”

“ตอบมาสิครับอาจารย์ ถ้าโจทย์ไม่ชัดเจน นักเรียนก็ทำข้อสอบไม่ถูกนะ”
 
“ก็… ดูก่อน” นรกรตอบตะกุกตะกัก

วินทร์ทำเป็นพยักหน้าจริงจัง ให้นรกรเริ่มตายใจก่อนจะเอื้อมมือไปรวบตัวเข้ามาใกล้ๆ จนแทบจะนั่งลงบนตัก “โอเค งั้นมาดูกัน”

“อะไรครับ พี่วินทร์จะดูอะไรกลางวันแสกๆ”

“กลางวันสิดีจะได้เห็นชัดๆ ไง”

“พี่วินทร์!”

“อะไร”

“ปล่อยครับ”

“ไม่ปล่อย”

“เอ๊ะ!”

“มีอะไร” วินทร์ถามเมื่อจับสังเกตความผิดปกติในน้ำเสียงนั้นได้

“ก็...”

วินทร์เหลียวมองตามนัยน์ตาสีอ่อนที่ไม่ได้หยุดอยู่ที่เขา หากเลยไปยังด้านหลัง “ใคร?” แต่นรกรยังไม่ยอมตอบเขาจึงพูดย้ำลงไปให้ชัดเจน “พูดมาสิฮาร์ฟ มาถึงขั้นนี้แล้วนายก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าฉันรู้ว่านายพิเศษ”

“ลลิน” นรกรตอบ

วินทร์หันควับไปทันที แต่เขาก็ยังคงไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

นรกรไม่ตอบคำถาม เขาลุกขึ้นยืนและดึงมือวินทร์ให้ลุกตามไปด้วย

“เล่าเรื่องลลินให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ช่วงที่ฉันไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง” วินทร์ถามในขณะที่กำลังเดินคู่ไปด้วยกัน

“ลลินสอบติดครับ” นรกรเริ่มต้นเล่าพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดแฟ้มรูปถ่ายและส่งให้ดู มันเป็นภาพเขากับเธอในชุดนักศึกษา เธอผูกผ้าที่ศีรษะเป็นโบดูกิ๊บเก๋และยังมีรอยยิ้มเต็มหน้าแม้บนศีรษะจะไม่มีผมสักเส้นจากการฉายรังสี “เธอได้ไปเรียนตามที่ฝันครับ แต่ก็ยังเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นพักๆ” เขาเลื่อนภาพให้วินทร์ดูไปเรื่อยๆ น่าแปลกในตอนที่ลลินมาขอถ่ายแม้จะไม่ค่อยเต็มใจเพราะความเขิน แต่ตอนนี้เขากลับขอบคุณเธอที่คะยั้นคะยอจนเขายอมและส่งภาพพวกนี้มาให้ เพราะมันช่วยบอกเล่าเรื่องราวของเธอได้ดียิ่งกว่าสิ่งใด “จนเมื่อเดือนก่อนที่อาการกำเริบอีกครั้ง... มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ครั้งนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลย มะเร็งมันกินลึกเข้าไปและกดเบียดก้านสมอง การผ่าตัดทำได้แค่ยื้อเวลาออกแต่ไม่ช่วยให้เธอตื่น”

“เธอเก่งมากเลยนะ” วินทร์ชื่นชมจากหัวใจ เมื่อดูมาจนถึงภาพที่เธอชูสองนิ้วสู้ตายให้กล้องทั้งที่นั่งให้ยาเคมีบำบัดอยู่บนเตียงที่หน่วยมะเร็งวิทยา

“เธอไม่ตอบสนองใดๆ แล้ว และเมื่อเช้าผมก็เพิ่งทำการทดสอบสมองตายเป็นครั้งที่สอง” เสียงนรกรสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ “และเธอก็ผ่าน”

วินทร์เข้าใจทุกอย่างในทันที เขาเอื้อมมือไปบีบไหล่นรกรแรงๆ ครั้งหนึ่งและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก

เมื่อทั้งสองไปถึงห้องไอซียูพยาบาลคนเดิมที่เคาน์เตอร์ก็ส่งยิ้มอย่างเศร้าสร้อยมาให้ราวกับรู้อยู่แล้วว่านรกรกลับมาทำไม
เขาเดินไปที่หน้าห้อง บนหน้าจอมอนิเตอร์แสดงตัวเลขความดันที่ต่ำมากและอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้ากว่าปกติ ใบหน้าของญาติทุกคนที่อยู่ในห้องเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ไม่มีใครยิ้มออกแม้ว่าผู้ที่กำลังจะไปเคยสั่งเสียไว้แล้วว่าห้ามร้องไห้

“เธอใกล้จะไปแล้วใช่ไหมคะ” ผู้เป็นแม่หันมาถามเสียงสั่น

นรกรพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสหลังคนที่มาด้วยกันเบาๆ 
 
“ขอผมดูเธอหน่อยนะครับ” วินทร์เอ่ยขึ้นเบาๆ เขารอให้พ่อกับแม่ของลลินอนุญาตจึงเดินเข้าไปยืนข้างเตียง “เป็นการพบกันอีกครั้งที่ไม่ค่อยดีเลยนะ” เขากระซิบที่ได้ยินกันแค่สองคนพร้อมกับสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มและบีบมือเธอครั้งหนึ่ง “หมายถึงโชคไม่ดีที่ไม่มีเวลาคุยกันให้นานกว่านี้... เธอเก่งมากนะลลิน ขอบคุณมากสำหรับทุกๆ อย่าง”

ไม่รู้ว่าวินทร์คิดไปเองหรือเปล่าว่าเห็นใบหน้าซีดของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนจะอมยิ้มน้อยๆ ให้ เขาบีบมือเธออีกครั้งและทันทีที่ทำเช่นนั้น กราฟแสดงอัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ ยืดออกก่อนจะเหลือเพียงเส้นตรงราบเรียบ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเธอได้จากทุกคนไปแล้ว อย่างไม่มีวันหวนกลับ

นัยน์ตาสีอ่อนมองสบสายตาร่างโปร่งแสงของเด็กสาวที่ยืนอยู่หัวเตียง

‘ขอบคุณที่ทำให้หนูรักษาสัญญาได้สำเร็จค่ะ’

...จะไม่ยอมแพ้ไปก่อน จนกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง...

วินทร์ปล่อยมือเธอและถอยออกมาหานรกร ทั้งสองกำลังจะกลับออกไปเพื่อให้ญาติและเพื่อนสนิทได้อยู่กับเธอในช่วงสุดท้ายของชีวิต เมื่อผู้เป็นพ่อหันมาเรียกไว้

“คุณหมอครับ”

“มีอะไรหรือครับ”

“ลลินฝากสิ่งนี้ไว้ให้คุณหมอในวันที่เธอไม่อยู่แล้วครับ”

นรกรออกแปลกใจไม่น้อยและรับสมุดบันทึกปกหนังเล่มที่เธอใช้อยู่เป็นประจำมาและค่อยๆ เปิดไปหน้าสุดท้ายซึ่งถูกเขียนไว้

มือทั้งสองค่อยสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ และนรกรแทบไม่อาจฝืนแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อความอ่อนแอในหัวใจได้

เพราะนี่คือพินัยกรรมชีวิตที่เด็กสาวคนนี้ได้เขียนไว้อย่างละเอียดละออถึงทุกๆ คนเมื่อเธอจากไป ไม่ว่าจะเป็นคำขอบคุณหรือขอโทษ การจัดงานศพ ชุดที่สวมใส่ ไปจนถึงดอกไม้ที่ขอให้ตั้งประดับในงาน เธอเขียนไว้เป็นข้อๆ อย่างชัดเจนและมีข้อหนึ่งที่มันถูกเขียนถึงเขา


ถึง นายแพทย์นรกร นุศาสตร์ศิลป์ (หมอฮาร์ฟ)

ขอบคุณ คูณหมอที่ดูแลหนูเป็นอย่างดีตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา หนูขอโทษที่ไม่อาจเอาชนะได้ตามที่เคยบอกกับคุณหมอไว้ เมื่อหลายปีก่อน แต่หนูอยากให้คุณหมอรู้ ว่าหนูไม่ได้ยอมแพ้ หนูแค่อยากพักเหมือนกับที่พี่ชายคนนั้นบอกหนู แต่หนูจะไม่ให้การพักนี้เสียเปล่า หนูได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งถึงการต่อสู้กับมะเร็งไว้แจกในงานศพของหนูเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังทุกข์ทรมานและสู้กับโรคนี้อยู่ ในนั้นมีชื่อคุณหมอด้วย ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้านะคะ

และสุดท้ายนี้ หนูขอฝาก ‘ความฝันสุดท้าย’ ไว้กับคุณหมอเพื่อให้คนไข้มะเร็งคนอื่นๆ ได้รู้ว่าไม่ได้อยู่ลำพัง มีกำลังใจที่จะสู้ต่อและเผชิญกับความตายทั้งรอยยิ้มเหมือนหนู

รักและเคารพ
ลลิน



นรกรเงยหน้าขึ้นมองผู้ปกครองของเด็กสาวที่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับซองเอกสารฉบับหนึ่ง เขารับมันมาและเปิดออกดู มันคือรายละเอียดโครงการปันฝันสู่ผู้ป่วยมะเร็ง สำหรับผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ที่เธอทำมาตลอดหลายปีนับตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อมีกลุ่มเพื่อนที่เข้าใจคอยให้ความช่วยเหลือ

และคนที่เป็นแรงผลักดันให้เธอทำมันขึ้นมาจนสำเร็จก็คือวินทร์ที่ช่วยบอกให้เธอรับรู้ว่าเธอเองก็มีค่าและสามารถช่วยคนอื่นได้เหมือนกันในแบบของเธอ นอกจากเอกสารในนั้นยังมีสมุดบัญชีเงินฝากแสดงเงินจำนวนหนึ่งที่เธอเก็บสะสมเองและได้มาจากการรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาที่เป็นจำนวนถึงเลขหกหลัก
   
นรกรกำเอกสารในมือแน่น ฝ่ามือเล็กเซียวแตะเบาๆ ลงบนหลังมือ นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองก่อนจะพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ปกครองทั้งสอง ไปจนถึงกลุ่มเพื่อนๆ ที่ยืนดูเขาอยู่

“ผมจะนำเสนอโครงการนี้กับทางมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลให้จัดตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นมาโดยจะใช้ชื่อของเธอ ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรผมจะบอกกับคุณพ่อคุณแม่ให้ทราบนะครับ”

“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ที่ยอมทำตามใจเธอจนถึงวาระสุดท้าย”

“ผมสิครับต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเธอแทนผู้ป่วยคนอื่นๆ ด้วย”

ร่างโปร่งแสงของเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกันส่งยิ้มกว้างมาให้... ยิ้มกว้างสดใสเหมือนกับวันแรกที่ได้เจอกัน

‘หนูชื่อลลินแปลว่าพระจันทร์... พระจันทร์เต็มดวงโต๊โตด้วยนะคะไม่ใช่จันทร์เสี้ยวเล็กๆ’

นรกรยิ้มตอบ แล้วร่างของเธอก็ค่อยๆ เลือนหายไป

oooooo

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 24-06-2016 22:06:22
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ฮาร์ฟ” วินทร์เรียกอย่างโล่งอก นับตั้งแต่แยกกันที่หน้าห้องไอซียูเพราะเขาต้องไปดำเนินการเรื่องอื่นๆ ก็ติดต่อนรกรไม่ได้อีกเลย “อยู่นี่เอง โทรหาก็ไม่ยอมรับ ฉันก็เดินตามหาตั้งนานแน่ะ มานั่งทำอะไรตรงนี้”

นรกรไม่ตอบ เพราะเขาอยากให้วินทร์มาหา แต่กลัวจะยุ่งและไม่รู้จะพูดร้องขอว่าอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน ในเมื่อตอนนี้เขาเอาแค่ครุ่นคิดถึงเรื่องของลลินไม่หยุดจนกระทั่งต้องพาตัวเองออกมานั่งในสวนเพื่อมองดูท้องฟ้า... มองดูพระจันทร์ที่จากเขาไปแล้ว

วินทร์ทรุดตัวลงนั่งที่อีกฟากของม้านั่งและเฝ้ามองคนที่เอาแต่นั่งเงียบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมหันมาจึงเริ่มเขยิบเข้าไปใกล้จนชิด ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง เขาแอบได้ยินเสียงสูดจมูกเบาๆ ของคนข้างๆ จึงขยับตัวเพื่อถอดเสื้อกาวน์ออกแต่กลับโดนห้ามไว้
   
“นั่นพี่วินทร์จะทำอะไรครับ”

“เข้าเดือนกันยาลมฝนเริ่มมาอากาศก็เริ่มหนาวแล้ว” วินทร์บอก “ฉันก็เลย…”

“เสื้อกาวน์มีแต่เชื้อโรค วันๆ ไปขลุกกับอะไรมาบ้างก็ไม่รู้สกปรกจะตาย ไม่ต้องเอามาคลุมให้ผมเลยนะครับ”

“ไม่เอาก็ไม่เอา” วินทร์บอกเสียงอ่อยพร้อมทั้งใส่เสื้อกาวน์กลับตามเดิม เมื่อศีรษะที่ประกอบด้วยเรือนผมสีอ่อนค่อยขยับพิงลงมาบนหัวไหล่ “ตัวฉันก็ไม่ได้สะอาดไปกว่ากันเท่าไหร่หรอกนะ” เขาแกล้งพูด

“ผมฉีดวัคซีนประจำปีครบแล้วครับ”

วินทร์ระบายลมหายใจออกจมูกอย่างนึกขันพลางค่อยๆ ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรจึงวางลงบนไหล่ นรกรขยับตัวเล็กน้อยทำให้วินทร์สะดุ้งจนเผลอปล่อยมือ แต่ศีรษะที่ทิ้งน้ำหนักลงมามากขึ้นทำให้เขากล้าที่จะวางมือลงอีกครั้งพร้อมกระชับวงแขนดึงตัวร่างโปร่งเข้ามา

“เป็นอะไร” กระซิบกับเรือนผมนุ่มที่คลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูก “คิดถึงลลินเหรอ”

“ไม่รู้สิครับพี่วินทร์” นรกรบอก “ทั้งที่ผมควรจะดีใจกับเธอแท้ๆ แต่ทำไมถึงอยากร้องไห้ก็ไม่รู้”

วินทร์พยักหน้าเข้าใจและค่อยลูบมือหนักๆ ลงบนเรือนผม “น้ำตาไม่ได้มีความหมายแค่อ่อนแอสักหน่อย ถ้านายเศร้าหรือเสียใจ อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ แล้วฉันจะเป็นคนปลอบเอง”

“แต่น้ำตาจะทำให้คนที่กำลังจะไปมีห่วงนะครับ”

“ทีตอนฉันนายยังร้องเลย”

“ที่ร้องก็เพราะไม่อยากให้ไปน่ะสิครับ”

ริมฝีปากระบายยิ้มกว้าง วินทร์ไม่สนแล้วว่านรกรหมายถึงใคร เมื่อตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาก้มหน้าลงแล้วกดจูบเข้ากลางหน้าผากหนักๆ ครั้งหนึ่ง “สัญญาว่าจะไม่ทำให้ร้องไห้เพราะเรื่องนี้อีกแล้ว”

นรกรเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนอบอุ่นที่ประคองกอดตนไว้แล้วก็คิดขึ้นได้ “พี่วินทร์ครับ”

“มีอะไร”

...ว่าชีวิตคนเรามันสั้น ในเมื่อวันนี้ยังมีกันและกันอยู่ในอ้อมแขน เขาก็ไม่ควรจะต้องรออะไรอีกต่อไปแล้ว...

“ผมรักพี่วินทร์นะครับ”

สิ้นคำก็เงยหน้าขึ้นประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเป็นการตอกย้ำความในใจที่เก็บมาตลอดสองปีให้อีกฝ่ายได้รับรู้และมั่นใจ

“ขี้โกงนี่” วินทร์ว่า อายจนหน้าแดงกับคำสารภาพชัดเจนซ้ำยังมีชื่อตนอยู่ในนั้น “ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่จูบนายจนกว่านายจะบอกรัก แต่นี่นายดันจูบก่อนเฉยเลย”

นรกรกำสาบเสื้อกาวน์ของอีกฝ่ายแน่น “แต่ผมก็บอกรักไปแล้วนะครับ” แล้วแก้มขาวก็ซับสีเข้มมากขึ้นอีก

วินทร์สบตาคนในอ้อมแขนแล้วยิ้มกว้างก็ระบายเต็มหน้า มือใหญ่เลื่อนขึ้นสอดเข้าใต้เรือนผมพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ เขาแตะริมฝีปากเข้าข้างแก้มเบาๆ ทั้งสองข้างอย่างหยอกเย้าก่อนจะหยุดลงบนริมฝีปากแล้วขบเม้มเบาๆ สลับกันทั้งบนและล่างจนริมฝีปากเย็นนั้นเริ่มอุ่นจนร้อนจึงรุกเร้าหนักมากขึ้นด้วยการแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากอีกฝ่าย ทั้งดูดและชิมเพื่อเติมเต็มความห่างไกลที่รอมานานให้หายคิดถึง

ซ้ำแล้ว... ซ้ำอีก...

จนนรกรเริ่มส่งเสียงอุธทรณ์ในลำคอเพราะตอนนี้เริ่มหายใจไม่ทันแล้ว

วินทร์จึงยอมถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย และมองคนตรงหน้าให้เต็มตาอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างคือความจริงรวมทั้งความอบอุ่นของอ้อมกอดที่อีกฝ่ายเกาะเกี่ยวเขาไว้เต็มวงแขน ลมหายใจอุ่นชื้นที่แตะลงบนปลายคางและนัยน์ตาสีอ่อนที่สะท้อนภาพเงาของเขาแต่เพียงผู้เดียว เขาเลื่อนมือขึ้นมาประคองใบหน้านั้นไว้แล้วใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆ ไปบนริมฝีปากที่ยังคงร้อนรุ่มและผิวแก้มที่เห็นเป็นสีแดงระเรื่อแม้อยู่ในความมืดสลัวของแสงจันทร์

อยากจะมีคำที่จะถ่ายทอดความรู้สึกในหัวใจได้มากกว่านี้ แต่เขาก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า ‘รัก’

“คิดอะไรอยู่ครับ” นรกรถามคนที่ไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่มองจ้องเขาราวกับกลัวว่าจะสลายไป

“นายเคยบอกว่าฉันเหมือนเป็นตำราที่อ่านไม่ออกแต่เข้าใจได้ใช่ไหม”

“ไม่ใช่ครับ นั่นผมพูดถึงอทิฏฐ์” นรกรบอก “พี่วินทร์คือตำราที่ผมอ่านออก แต่ไม่เคยเข้าใจต่างหาก”

วินทร์มองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ

“เพราะฉะนั้นพี่วินทร์ต้องสอนผมนะ ทุกๆ บท ทุกๆ ตัวอักษร จนกว่าจะถึงตอนจบ”

วินทร์คลี่ยิ้มกว้างไปจนถึงนัยน์ตา “งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า” แล้วเขารวบตัวอีกคนเข้ามากอดด้วยสองแขนอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าลงสะกดคำแรกของบทนำด้วยริมฝีปาก

ถ้าความรักจะสามารถเขียนเป็นตำราออกมาได้สักเล่ม มันคงเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอรรถรส ทั้งสุข เศร้า เหงา และมีน้ำตา แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไรเขาก็พร้อมที่จะเขียนต่อไปเรื่อยๆ ตราบที่ยังมีใครอีกคนนั่งอยู่เคียงข้างและอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยกันไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย

The End


จบแล้ว
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม ทุกคอมเมนต์ และทุกๆ การรีวิวนะคะ
ไว้พบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ
รัก
leGGyDan






**********************************************************************************************

แถม ถือว่าแทนคำขอโทษในส่วนข้อมูลที่ผิดพลาด รู้ว่าไม่มีอะไรจะทดแทนความรู้สึกที่เสียไปได้ แต่เราก็ไม่รู้จะขอโทษทุกคนด้วยอะไรดี

“พี่วินทร์” เสียงของนรกรที่กระซิบหวานอยู่ในริมฝีปากทำให้วินทร์เริ่มสติกระเจิง เขากดอีกฝ่ายลงกับพนักเก้าอี้ก่อนจะขยับตัวขึ้นทาบทับไว้ ในขณะที่มือใหญ่ค่อยขยับเลื่อนต่ำลงทุกที ผ่านลำคอระหง แผงอก ไปจนถึงขอบกางเกงที่ปลายนิ้วชำแรกผ่านสาบเสื้อเข้าไปหาความอุ่นของผิวเนื้อด้านใน

คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเบาๆ เมื่อมือเย็นแตะลงบนเนินเนื้อที่สะโพก “พี่วินทร์” พยายามเรียกให้ได้สติแต่ก็ดูจะเป็นทางนี้เองเสียด้วยที่ไม่อาจต้านทานอารมณ์หวามที่จุดติดขึ้นภายใน แทนที่จะขยับตัวหนีหรือผลักออกไป นรกรกลับวางมือลงบ่นบ่าลาดแล้วสอดลงไปตามแนวแผ่นหลังที่ทั้งกว้างและแข็งรั้งให้เข้ามาใกล้ราวกับต้องการจะหาไอเย็นจากกายอีกฝ่ายมาดับคลื่นความร้อนในตัว

และนั่นยิ่งเป็นการกระตุ้นให้คนที่ทาบทับอยู่ได้ใจ

วินทร์ไล้ริมฝีปากลงมาจนถึงลำคอขาว ในขณะที่ลูบมือไปตามแนวสะโพกที่เล็กแต่ก็จับถนัดมือ รู้สึกอยากขยำแรงๆ ให้หายมันเขี้ยวสักทีจนมือไม้สั่นไปหมด

สั่น...

นั่นไม่ใช่มือของเขาที่กำลังสั่นแต่เป็นโทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์และมันมาโดนมือเขาต่างหาก วินทร์หยิบขึ้นมาดูทั้งที่ริมฝีปากยังฝังอยู่ข้างซอกคอเมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”

วินทร์บอกพร้อมกับถอนริมฝีปากออก เห็นความสงสัยในแววตาสีอ่อนที่ฉายชัดขึ้นมาทันที เขาเองก็เสียดายไม่แพ้กันแต่มันเป็นสายที่เขาต้องรับ

“สวัสดีครับอาจารย์” วินทร์เหลือบตามองลูกชายเจ้าของเบอร์โทรเข้าแล้วช่วยขยับจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ในขณะที่หูก็ฟังเสียงบ่นไปด้วย

[กลับมาแล้วแต่ไม่มารายงานตัวกับฉัน ดีนะ ที่วันนี้อยู่ผ่าตัดดึกแล้วแวะมาที่ภาคเลยเห็นเอกสารน่ะ นี่ใจคอจะยังอยากมาสอนอยู่ไหม]

“ผมไม่เคยบอกสักคำนะครับว่าอยากสอน” วินทร์แกล้งว่าพร้อมทั้งรวบตัวนรกรมานั่งฟังใกล้ๆ พลางไล้ปลายนิ้วเล่นไปตามริมฝีปากที่ยังอุ่นชื้น รู้สึกว่ายังไม่อิ่มทั้งที่จูบไม่ได้พักเลยแท้ๆ

[ยังจะมาย้อนอีก ขึ้นมาหาผมเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ผมจะให้คุณสอนคาบแรกเลย]

“ครับอาจารย์” วินทร์กดวางสายและหันมาหาคนในอ้อมแขน “กลับห้องคนเดียวได้ไหม”

นรกรพยักหน้า

เมื่อเห็นแววตาที่สะท้านอายเพราะถูกตัดอารมณ์ไปเสียเฉยๆ ยิ่งทำให้วินทร์ทั้งรู้สึกเสียดายและอยากแกล้งไปพร้อมๆกัน เขาเขยิบเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “ไว้มาต่อวันหลังนะ” พร้อมทั้งขบเนื้ออ่อนที่ปลายติ่งหูเบาๆ ครั้งหนึ่ง

นรกรพยักหน้ารับแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับสาบเสื้อกาวน์ไว้แน่น วินทร์คลี่ยิ้มกว้างมากขึ้นอีกก่อนจะเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปกดลงที่กลางหน้าผาก “ฝันดีนะ”

ลมเย็นพัดมาผะแผ่วพาเมฆให้เคลื่อนตัวออกเผยให้เห็นพระจันทร์ดวงโตที่ราวกับกำลังส่งยิ้มมาให้จากบนท้องฟ้า ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

นรกรเอนหลังพิงหน้าอกกว้างของวินทร์เต็มที่พร้อมกับกระซิบ “ให้พ่อรอไปก่อนนะครับ ผมขออยู่แบบนี้อีกสักแป๊บ”


**********************************************************************************************
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 24-06-2016 22:27:44
 :hao5: ขอบคุณนะคะ อบอุ่น อ่อนหวานดีจัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 24-06-2016 22:35:32
อ๊ากกกกก ตอนพิเศษ เอามาเลยยยยยยย ไม่ยอมๆๆๆๆๆๆ 555555555555555555

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่นำมาเขียนและแบ่งปันจ้า ชอบมาก!!!
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 24-06-2016 22:41:14

ขอบคุณนิยายสนุกๆ
รอเรื่องต่อไปนะคะ

I love u leGGyDan
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 24-06-2016 22:43:44
น่ารักจัง หลงรักเรื่องนี้มาตั้งนาน   คนอื่นชอบอทิษฐ์  แต่เรากลับชอบพี่วิน เพราะเหมือนผู้ชายที่เสียสละทุกๆอย่างเพื่อหมอฮาร์ฟ พอรู้ว่าเป็นคนเดียวกัน  ชอบมากๆเลย   

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 24-06-2016 22:53:19
กระจ่างทุกอย่างแล้วค่ะ ลุ้นทั้งเรื่องเลย  o13
ตอนท้ายหวานมากๆ อยากรู้ว่าพี่วินทร์จะต่อยังไงจังเลยยยยยย อิอิ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 24-06-2016 22:54:46
เศร้ากับน้องลลิน  ป๊ะป๋านี่มารคอหอยจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 24-06-2016 22:56:56
คุ๊นนนพ่อออออออ
โทรมาขัดจังหวะ เหมือนแอบดูอยู่ 55555
ขอตอนพิเศษอีกได้ไม๊อ่า
กว่าจะรักกันได้ หากันเจอ ตั้งนาน ของอ่านตอนหวานๆหน่อยยย
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 24-06-2016 22:59:28
เราทันมาอ่านรอบแรกนะคะ รู้สึกว่าได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะ
แต่ก่อนคิดว่ามีแค่คนไข้ คนปกติเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจในการบริจาคอวัยวะ
ไม่เคยคิดว่าฝั่งผู้รักษาก็สามารถเป็นผู้ขอบริจาคได้
แต่พอคนเขียนแก้ไขแล้วก็เหมือนกับได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นอีก
เรื่องที่ว่าร่างกาย อวัยวะของผู้ป่วยโรคมะเร็งไม่สามารถนำไปทำประโยชน์ใด ๆ ได้แล้ว
ขอบคุณที่แก้ไข เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องกับคนอ่านค่ะ

เรางี้ลุ้นจะแย่ว่าจะแก้ยังไง ไม่เป็นอันเขียนนิยายเลย ลุ้นจนหลับ
ตื่นมาอีกที text book แก้ไขเสร็จแล้ว ตอนนี้อ่านจบแล้วนอนต่อได้


ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ที่ทำให้เราลืมเขียนนิยายของตัวเองไปเลย 555

#ทีมวินทร์นอนตาหลับ

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 24-06-2016 23:23:47
ฟินนน ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ อ่านจบแล้าอิ่มใจมากๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-06-2016 23:37:20
ในที่สุด!
แล้วพี่วินทร์ก็ค้างเหมือนเดิม 5555

นี่คุณพ่อรู้แกวหรือเปล่า? เลยโทรมาขัดจังหวะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 25-06-2016 00:00:37
พ่อรู้คงได้แต่ตะโกนอยู่ในใจว่า
ไอ้ลูกเนรคุณ
5555
ปล่ิอยให้พ่อรอแล้วเสพสุขกันผั. เราะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 25-06-2016 00:16:07
มาอ่านฉบับแก้ไข
ชอบตอนแถมมากกก
ขอตอนพิเศษเยอะๆ นะค้าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-06-2016 06:19:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 25-06-2016 06:45:53
น้ำตาไหล ซึ้งมากกกก  ดีงามมากๆเลยค่ะ ลลิน เข้มแข็งมาก จนถึงนาทีสุดท้ายเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 25-06-2016 08:45:23
สนุกมากค่ะ ฮาร์ฟน่ารัก วินอบอุ่นมากๆ เสียดายจังจบซะแล้ว จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 25-06-2016 08:48:17
สนุกมากค่ะ ฮาร์ฟน่ารัก วินอบอุ่นมากๆ เสียดายจังจบซะแล้ว จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 25-06-2016 09:35:44
คุณหมอน่ารักมากมาย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 25-06-2016 10:56:22

เป็นตอนจบที่ทั้งน่ารัก ซึ้ง และขัดใจตอนแถม อิอิ
โทรศัพท์ไม่น่าสั่นเลย ลุ้นพี่วินทร์มือสั่นแทบแย่

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกนะคะ

แต่มาเพิ่มตอนพิเศษหวานอีกนิดนะ
เป็นแฟนกันปุ๊ป จบปั๊บ ยังไม่ได้ทุบหมอนแก้เขินเลยค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 25-06-2016 11:47:48
ยังอ่านไม่จบ แต่ตามอ่านรวดเดียวมาถึงตอนที่11 อยากขอแอบมาเม้นท์ก่อนเดี๋ยวลืม
จะเรียกว่าครึ่งแรกผ่านมาอย่างลุ้นตัวโก่งมากค่ะ
ทุกปมเลย ตั้งแต่แฟนเก่า พ่อ ธีร์ งานวิจัย น้องลลิน เราตื่นเต้นมาก
อ่านไปเครียดไปตามหมอนรกรเลย แต่มันก็ค่อยๆหลุดทีละปมเนอะ
ทีนี้ก็เหลือปมของอีตาทิดนี่แหละ เฮ้อออ หนักใจ เขาสองคนเหมือนให้กำลังใจ อยู่ข้างๆกันมาตลอดที่ลำบากเลย
แต่ไม่รู้ทำไมเราเชียร์พี่วินทร์จัง พี่วินทร์เหมือนพระรองมากๆ ตั้งแต่เรื่องแฟนเก่า เรื่องเมียพี่ปอ
พี่วินทร์ทำไมพระรองขนาดนี้ เหมือนไม่ได้อยู่ในสายตาหมอนรกรเท่าที่ควรเลย
ไม่เป็นไรนะ เราจะปลอบใจพี่วินทร์เอง ถ้าหมอนรกรเค้าจะรักกับผี
ยิ่งกลัวว่าถ้าทิดฟื้นขึ้นมาจริงพี่วินทร์จะยิ่งไร้ตัวตนไหม ง่ออออออ 555555555555555
เดี๋ยวเราตามอ่านจนจบแล้วจะมาเม้นท์อีกรอบนะคะ สนุกอ่ะ หยุดไม่อยู่เลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 25-06-2016 11:48:12
อิอิ พี่วินทร์คงไม่ถุกพ่อตาทำโทษหนักหรอกนะ ขอบคุณคร๊าบบบบบ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: banazjj ที่ 25-06-2016 14:39:31
ขอตอนพิเศษค่าาาาาาาาาาาาาาาาาา  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 25-06-2016 17:32:43
โง่ยยย ตามมาเม้นท์อีกรอบ เพราะอ่านจบแล้ว
ดีใจที่พี่วินทร์เป็นพระเอก ฮืออออออ เกือบโมโหตาผีบ้าแล้ว
ขนาดหายไปยังเป็นมารหัวใจพี่วินทร์ ขนาดว่าเป็นตัวเองแท้ๆ พี่วินทร์ยังเหมือนพระรองอยู่ดี
ดีใจที่ความอบอุ่น อ่อนโยนของพี่วินทร์หลอมหัวใจหมอนรกรได้
เรานี่ปวดร้าวไปกับพี่วินทร์ทุกตอนที่คิดว่าสู้ตัวเองตอนเป็นผีไม่ได้
ยิ่งตอนจะจูบคืนนั้นนะ ฮือออออ พี่เจ็บปวดใช่ไหมคะ
เราโอเคมากเลยกะบเรื่องนี้ จริงๆเล็งไว้นาน แต่รอจบ เพราะกลัวขาดใจ
พอเห็นว่าจบเลยพุ่งมาอ่านเลย เหมือนตอนอ่าน ERก็ชอบมากแล้ว มาเรื่องนี้ยิ่งชอบ
ชอบในความรักยาวนานของทั้งในเรื่องพี่ปืนเป็นสิบปี กับเรื่องนี้อีกเกือบสิบปี
อยากขอตอนพิเศษเลย สงสารสองคุณหมอจริงๆที่คุณพ่อโทรมาขัดเนี่ย 5555555
จะรอเรื่องใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 25-06-2016 18:20:27
ขอบคุณมากๆสำหรับเรื่องที่มีครบรส

สนุก ซึ้ง เราอ่านข้ามไหม บางปมยังไม่เคลียร์ เช่น ผีที่ล็อกเกอร์

แต่ก็ประทับใจมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 25-06-2016 20:15:51
ขอบคุณนะ
อยากจะบอกเป็นนิยายที่กัดกร่อนหัวใจจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-06-2016 22:15:41
จบซะแล้วววว ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งนะคะ จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะ
 :L1: :L1: :pig4: :pig4: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 25-06-2016 22:42:44
ขอโทษคุณคนแต่งนะคะที่อ่านตอน1แล้วตอนจบเลย
เท่าที่อ่านชอบมากๆและจะอ่านใหม่จนจบ
แล้วจะมาเม้นท์ให้เพิ่มเติมอีกนะคะ ^^ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 26-06-2016 01:28:50
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ

อ่านแล้วมีความรู้สึกตื่นเต้น และอู้หูววว ตลอดเวลาเลยค่ะ เดาอะไรไม่ได้เลย คือพลิกตลอด

เป็นนิยายที่สนุกมากกกกกกกกก

ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: namaquaru ที่ 26-06-2016 01:33:31
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านจนจบนะคะ ประทับใจมากเลย :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 26-06-2016 02:03:58
เราชอบมากกกกกก อ่านรวดเดียวจบเลยยยย
รอตอนพิเศษอยุ่น้าาาาาา :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 26-06-2016 15:46:15
ขอบคุณสำหรับนิยายครับ :L2: ลุ้นมากกับวิญญาณของพี่ทิดและก็แอบเสียน้ำตาให้กับน้องลลินไปด้วย
ขอบคุณนักเขียนอีกครั้งมากๆนะครับ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: mascot ที่ 26-06-2016 18:14:18
ชอบมาก ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้ได้อิ่มใจนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-06-2016 19:35:14
ภาคผนวก ก.

   นรกรนั่งมองคนที่นั่งหน้าเครียดจมอยู่กับเอกสารบนโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ข้างกัน ตอนนี้วินทร์เริ่มมาทำงานได้เกือบ1เดือนแล้วจะบอกว่ามีปัญหาเรื่องการสอนก็ไม่น่าใช่เพราะจากการไปนั่งสังเกตการณ์ในฐานะอาจารย์รุ่นพี่ ชั้นเรียนกายวิภาคศาสตร์ที่วินทร์ได้รับมอบหมายให้ไปบรรยายพิเศษนั้นดูสนุกสนานกว่าของเขาเสียอีก หนำซ้ำวินทร์ยังกลายมาเป็นขวัญใจนักเรียนแพทย์ชนิดที่เดินตามมาขอคำปรึกษากันถึงห้องทำงานของภาควิชาไม่เว้นแต่ละวัน และเมื่อฟังจากบทสนทนาที่ได้ยินในบางช่วงบางตอนแล้ว เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่ไม่เข้าใจน่ะคือเรื่องสมองหรือเรื่องหัวใจกันแน่

‘พี่วินทร์มีแฟนหรือยังคะ’

เสียงหวานส่งคำถามขึ้นมาจากในบรรดากลุ่มนักเรียนแพทย์ที่พากันกลุ้มรุมอยู่รอบโต๊ะ จนมองไม่เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงกลาง

นรกรนั่งเท้าคางมองดูคนตัวโตที่สักพักก็ยืดตัวขึ้นมาให้เห็น นัยน์ตาสองคู่บังเอิญสบกันอยู่อึดใจก่อนที่เขาจะแกล้งเสมองไปทางอื่น

‘ทำไมพี่วินทร์ไม่ตอบล่ะครับ’

สิ้นคำถามก็ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าด นรกรไม่ได้ยินว่าเขาตอบว่าอะไร บางทีอาจจะเป็นอวัจนะภาษา แต่ว่า… ถ้าเช่นนั้นมันคือ พยักหน้าหรือส่ายหน้ากันล่ะ

แล้วเขาก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ เพราะถึงยังไงความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดเผยออกไปได้อยู่แล้ว

“พี่วินทร์เป็นอะไรครับ ผมเห็นนั่งถอนหายใจมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”   

วินทร์ละสายตาจากเอกสารเหลือบมองคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยใจ “เรื่องห้องน่ะ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ หอพักของโรงพยาบาลนั้นถูกจัดเป็นสวัสดิการสำหรับแพทย์ประจำบ้านที่เข้ามาเรียนแต่เมื่อจบไปแล้วก็ต้องหาห้องพักอยู่เอง วินทร์ที่เพิ่งกลับเข้ากรุงเทพมาอีกครั้งนั้นได้เตรียมเช่าซื้อคอนโดไว้แล้วก็จริง แต่กว่าจะสร้างเสร็จส่งงานพร้อมให้เข้าพักก็สิ้นปี ระหว่างนี้เขาจึงอาศัยอยู่ห้องพักของอาจารย์ที่เตรียมไว้สำหรับนอนพักเวลามีผ่าตัดข้ามคืน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สะดวกสบายและไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาเสียเลย

   “พี่วินทร์จะหาห้องเช่าอยู่เหรอครับ” นรกรถาม “แถวนี้มีแต่ห้องเล็กๆ แพงๆ เสียด้วย”

“แพงฉันยังพอสู้ราคานะ แต่เต็มหมดทุกที่เลยนี่สิ” วินทร์ถอนหายใจ พลางขีดฆ่าลงบนแผ่นกระดาษจดรายชื่อหอพักต่างๆ ที่โทรติดต่อและได้รับการปฏิเสธในวันนี้ “ที่ยังพอว่างอยู่ก็ไกลๆ ทั้งนั้นเลย”

นรกรจ้องมองคนตรงหน้าอยู่อีกอึดใจเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไปพูดเรื่องอื่น “วันนี้พี่วินทร์ไม่มีธุระอะไรที่ไหนแล้วใช่ไหมครับ ผมเองก็ไม่มีผ่าตัดเหมือนกันงั้นเราไปกินข้าวด้วยกันไหม”

วินทร์เหลือบตาดูคนที่เพิ่งจะเคยออกปากเอ่ยชวนเขาเป็นครั้ง นึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ความรู้สึกดีใจนั้นมีมากกว่าจึงรีบตอบตกลง “งั้นเดี๋ยวฉันเอาของไปเก็บที่ห้องก่อนนายรอแป๊บนะ”

นรกรมองตามแผ่นหลังคนที่ลุกออกไป ก่อนจะค่อยถอดเสื้อกาวน์ออกใส่ไม้แขวนไว้หน้าตู้ทำงานเมื่อประตูเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่นักเรียนแพทย์คนหนึ่งก้าวเข้ามา

“พี่วินทร์กลับไปแล้วเหรอคะ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเหลือบดูนาฬิกาบนฝาผนังที่ล่วงมาจนทุ่มกว่าแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ และมันไม่ใช่แค่เรื่องที่เธอมาหานอกเวลาราชการ “อาจารย์วินทร์กลับไปแล้วครับ” นรกรตั้งใจเน้นคำว่า ‘อาจารย์’ เป็นพิเศษ

“เหรอคะ” หญิงสาวหยุดยืนอยู่ที่กรอบประตูพลางกวาดตามองซ้ายขวาอย่างชั่งใจว่าจะทำอย่างไร ทำให้นรกรได้มีเวลาแอบมองดูเธอ

เธอก็เหมือนกับหญิงสาวในวัยเดียวกันทั่วๆ ไป ดูสดใส น่ารักและมีเสน่ห์ยามเมื่อยกมือขึ้นทัดปอยผมที่ข้างหูพร้อมกับหันมายิ้มให้

“งั้นหนูฝากนี่ไว้ให้พี่วินทร์หน่อยได้ไหมคะ อาจารย์”

   นรกรสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ก็ถูกเรียก เขาพยักหน้าและรับแฟ้มเอกสารมาถือไว้งงๆ ในขณะที่เธอยกมือไหว้และกลับออกไป เขามองดูแฟ้มในมือมันเป็นรายงานการบ้านที่วินทร์คงจะสั่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาพลิกดูผ่านๆ ด้วยความสนใจว่าวินทร์สอนและสั่งงานอะไรบ้างเมื่อกระดาษโน้ตใบหนึ่งปลิวร่วงลงบนพื้น เขาก้มลงเก็บขึ้นมาดูและจู่ๆ ก็มีความความคิดบ้าๆ ขึ้นมาว่าอยากจะขยำทั้งกระดาษทั้งรายงานทิ้งลงถังขยะไปพร้อมๆ กันซะเดี๋ยวนั้นเลย

089-123xxxx
อย่าลืมโทรมานะคะ


นรกรวางรายงานเล่มนั้นลงบนโต๊ะวินทร์และเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง คนที่กำลังรอก็เดินเข้ามาพอดี

“เป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“แบบไหนครับ”

“ก็แบบนี้ไง” วินทร์เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงาน เอามือยันขอบโต๊ะแล้วชะโงกตัวข้ามไปจูบลงบนหว่างคิ้วที่พุ่งมาชนกัน “หงุดหงิดที่ให้รอนานเหรอ”

นรกรใบหน้าร้อนวาบกับการแสดงความรักที่จู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว “เปล่าครับ” กระซิบพลางเบี่ยงศีรษะหนี “เมื่อกี้มีนักเรียนแพทย์เอารายงานมาส่งน่ะครับ”

“เหรอ” วินทร์หันกลับไปหยิบมาเปิดดู และนรกรรู้ว่าเขาต้องเห็นจดหมายน้อยฉบับนั้นที่สอดเอาไว้แน่ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร วินทร์วางมันไว้ที่เดิมและหันมาพยักหน้าให้รีบออกไปด้วยกัน

oooooo


มื้ออาหารในวันนี้ดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งเสร็จสิ้นวินทร์ก็เดินมาส่งนรกรที่รถ

“ขับรถกลับดีๆ นะ”

“ครับ”

“ฝันดีนะ”

“ครับ” นรกรรับคำพลางจ้องมองคนที่ยังใช้สองมือค้ำประตูรถไว้ไม่ยอมขยับไปไหน “มีอะไรหรือครับ”
“ถ้าห้องฉันเสร็จแล้วก็ดีน่ะสิ” วินทร์พูดอย่างแสนเสียดาย

“ทำไมครับ”

“นายไม่รู้เหรอว่าฉันแทบขาดใจทุกครั้งที่ต้องปล่อยนายกลับบ้านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร”

“อะไรนี่คืออะไรครับ” นรกรถามพาซื่อ บางทีเขาก็เหมือนจะตามทันแต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักกับคำพูดสองแง่สองง่ามของวินทร์

“อยากรู้จริงๆ เหรอ” วินทร์อมยิ้มกรุ้มกริ้ม และโดยไม่รอให้คนฟังถามต่อเขาก็ตอบคำถามด้วยการก้มหน้าลงประทับริมฝีปาก มันทั้งลึกซึ้งและดูดดื่มจนคนถูกจูบเริ่มนั่งไม่ติดเบาะและต้องใช้สองแขนเกาะเกี่ยวรอบคอเขาไว้แน่น

พวกเขาจูบกันทุกวัน นรกรรู้อยู่แล้วว่าวินทร์เป็นพวกชอบถึงเนื้อถึงตัว เพียงแค่อยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้อง 2 ต่อ 2 จะต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมาแตะโดนกันเสมอ ซึ่งเขาไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นกลับไม่เคยรู้สึกว่ามันพอ

อยากรัก… และต้องการเป็นคนถูกรัก แต่เขาจะแสดงออกหรือบอกยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีความรัก แต่วินทร์เป็นแฟนคนที่ 2 ซึ่งแตกต่างกับคณิณอย่างสิ้นเชิง

วินทร์รับรู้ได้ถึงแรงหอบหายใจที่ถี่กระชั้นกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวจากฝ่ามือที่ลูบไล้ไปบนแผงอก เขาดูดริมฝีปากเน้นๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปจัดแจงปรับเบาะนั่งให้เอนราบลงเพื่อให้มีที่ว่างมากขึ้นแล้วก้าวตามขึ้นไป

เขาดึงประตูปิดเรียบร้อยแล้วและกำลังจะเริ่มต่อบทรักเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

วินทร์ถอนหายใจเสียงดังด้วยความเซ็งที่ถูกขัดจังหวะตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอีกครั้ง เขากดรับโทรศัพท์ และยิ่งได้ฟังก็ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง

หากนรกรก็สังเกตเห็นความผิดปกตินั้นและเอ่ยปากถาม “มีอะไรเหรอครับ”

“แม่บ้านโทรมาบอกว่าท่อน้ำแตกน่ะ ต้องปิดให้ช่างมาทำชั่วคราวไม่รู้จะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เลยโทรมาบอกว่าระหว่างนี้ให้ฉันหาที่อาบน้ำข้างนอกไปก่อนค่อยกลับเข้ามานอน” วินทร์พูดติดตลกเพราะในความหมายของเธอคือการให้ไปอาบตามร้านอาบอบนวด “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่ไม่อาบ เดี๋ยวกลับไปนอนเลยละกัน”

“ต้องอาบนะครับ ไม่งั้นสกปรกแย่เลย” นรกรท้วง พลางดันตัวลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้า แต่เพราะเจ้ารถมินิคูเปอร์ของเขานั้นก็ไม่ได้กว้างขวางเท่าใดนัก ประกอบกับอีกคนที่ตัวโตเกินไปทำให้นั่งไม่ถนัด

วินทร์จึงซ้อนตัวเขาขึ้นมานั่งคร่อมบนตักและเอามือโอบรอบแผ่นหลังไว้

“ก็น้ำมันไม่ไหลนี่นา จะให้ฉันทำยังไงล่ะ ให้ถ่อไปอาบที่ห้องเวรก็ไม่เอาหรอกนะ จะซื้อน้ำขวดไปอาบก็เปลืองเดี๋ยวจะหาว่าไม่ช่วยชาติประหยัดอีก”

ปากบ่นไปพลางก็เอาหน้าซุกลงกลางหน้าอกราวกับจะออดอ้อนขอความเห็นใจ

นรกรลูบมือไปบนเรือนผมและนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นไปอาบที่ห้องผมไหมครับ”

นัยน์ตาคมพราวระยับขึ้นทันที และตอบอย่างกระตือรือร้น “ขอบคุณนะ”

oooooo

“พี่วินทร์อย่าน่า” นรกรบ่นใส่คนที่โถมเข้ามากอดจากทางด้านหลังและซุกไซร้ใบหน้าลงมาบนบ่า ในขณะที่เขากำลังปิดประตูห้อง

   “อย่าหยุด?” วินทร์กระซิบที่ข้างหูพร้อมทั้งเป่าลมอุ่นแกล้งให้จั้กจี้เล่น เขาชอบตอนที่นรกรเหมือนจะรู้ทันเขาแต่ก็ลนลานทำอะไรไม่ถูกด้วยความตื่นเต้น

   “ผมหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ นะครับ” นรกรบอกพลางใช้มือดันอกคนที่ยังเกาะแน่นไม่ยอมปล่อยออก “ขอถอดรองเท้าก่อน”

วินทร์หัวเราะคิกคักในลำคอ เขาขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่จนแก้มบุ๋มก่อนจะยอมปล่อยมือและเดินตามหลังคนตัวเล็กกว่าเข้าไปในห้อง รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้มาห้องคนรักเป็นครั้งแรก

นรกรตกแต่งห้องง่ายๆ ด้วยสีเอิร์ธโทนดูเรียบหรู ไม่มีภาพถ่ายหรือแจกันใดๆ ประดับประดา จะมีก็เพียงชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ห้องนั่งเล่นกว่า 1 ใน 3 ถึงจะเพิ่งย้ายเข้ามาไม่นาน แต่บนชั้นก็มีหนังสือวางอยู่เกือบเต็มแล้ว

“ห้องนายสวยดีนะ”

“ขอบคุณครับ” นรกรว่าพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงาน ในขณะที่วินทร์ถือวิสาสะเดินวนดูรอบๆ เพื่อหาไอเดียไปแต่งห้องให้ตัวเองบ้างพลันสายตาก็ไปหยุดลงตรงเตียงขนาดคิงส์ไซส์ในส่วนที่จัดไว้เป็นห้องนอน

“อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องซื้อเตียงใหญ่ขนาดนี้ด้วยล่ะ”

“ก็...”

เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูมีพิรุธและไม่ยอมตอบคำถามสักทีทำให้วินทร์หันกลับมาเผขิญหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “ฮาร์ฟ”

“ก็แค่เผื่อไว้” นรกรตอบรัวเร็ว และทำทีเป็นจัดกระเป๋าให้เข้าที่ทั้งที่มันก็วางอยู่ในตำแหน่งที่ดีอยู่แล้ว

วินทร์ลดมือที่กอดอกไว้ลงและค่อยเดินมายืนซ้อนหลัง “เผื่ออะไร”

เขาถามซ้ำอีกครั้ง ไม่ได้คิดถึงเรื่องนอกใจอะไรหรอก แค่อยากย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเพราะบนโต๊ะหัวเตียงนั้นมีภาพที่ตฤณกรสเกตซ์รูปของอทิฏฐ์หรือก็คือรูปของเขาใส่กรอบวางไว้อยู่ แถมหนังสือที่เจ้าตัวอ่านค้างไว้ยังถูกคั่นด้วยที่คั่นซึ่งทำจากดอก forget me not ทับแห้งอีกต่างหาก

“ถ้านายไม่ตอบฉันจะคิดเองล่ะนะว่าเผื่อฉันแวะมานอนด้วยเหรอ” พร้อมทั้งสอดแขนเข้าโอบรอบเอวสอบแล้วสอดคางวางเกยลงบนบ่า

แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นทันที ก่อนที่จะนรกรพยักหน้ารับเบาๆ

เมื่อรู้เช่นนั้นวินทร์จึงไม่รีรอที่จะตอบรับคำเชิญชวนกลายๆ นั่น “งั้นฉันขอนอนวันนี้เลยได้ไหม”
...
...
...

ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วกรอบหน้าคนที่นอนอยู่บนเตียงราวกับต้องการจะกลืนกิน ในขณะที่มือใหญ่ค่อยลูบไล้ไปตามร่างกายและสัมผัสทุกๆ ที่ที่แขนยาวนั้นจะเอื้อมถึง

เพียงไม่นาน กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกจนหมดเผยให้เห็นผิวขาวเนียนมือที่วินทร์ได้แต่แอบมองผ่านช่องล็อกเกอร์มาแรมปี เขากัดริมฝีปากไว้ครึ่งหนึ่งด้วยมันเขี้ยวก่อนจะระบายความอัดอั้นที่กักเก็บมานานลงบนจุดอ่อนไหวสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าอก มันเป็นไตแข็งขึ้นสู้ปลายลิ้นและนิ้วมือของเขาทันทีเช่นเดียวกันกับร่างกายที่บิดเกร็งขึ้นเล็กน้อย

“พี่วินทร์… อย่าครับ… ไม่เอา…” นรกรประท้วงเพราะทุกที่ที่โดนสัมผัสนั้นกลับร้อนวาบราวกับผิวกำลังจะติดไฟ

วินทร์ไม่ฟังคำทัดทานและค่อยขยับตัวลงต่ำ เขาลูบมือหนักๆ ลงตรงกลางลำตัว นรกรสะดุ้งเฮือกและใช้มือขยำบ่าทั้งสองของเขาไว้แน่น

“ไม่ต้องกลัวนะ”

เขาค่อยคลายพันธนาการทั้งหมดไว้ออก แต่แล้วในขณะที่ผืนผ้าชิ้นสุดท้ายที่ขวางกั้นไว้กำลังจะถูกดึงลงนัยน์ตาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

วินทร์กัดริมฝีปากสะกดกั้นอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองจนมันห้อเลือดก่อนจะดึงกางเกงขึ้นใส่ให้ตามเดิมและลุกขึ้นนั่งหันหลังที่ปลายเตียง

“ขอโทษที”

นรกรลืมตาที่ปิดแน่นขึ้นช้าๆ “พี่วินทร์”

“ไม่มีอะไร” วินทร์บอกพลางยกมือขึ้นเสยผม “จู่ๆ ฉันก็ดันนึกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับปอแล้วก็น้อยใจนิดหน่อยน่ะ”

“พี่ปอ” นรกรทวนคำ “แล้วเขาเกี่ยวอะไรด้วยครับ” พยายามเอื้อมมือไปจับชายเสื้อแต่อีกฝ่ายก็ขยับหนี

“ก็… นายดูกลัวฉันมากเลยนี่ ทั้งๆ ที่… ช่างเหอะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด”

“ปล่อย ฮาร์ฟ” วินทร์ทำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อนรกรคว้าชายเสื้อเขาไว้ได้ในที่สุด “ไม่งั้นฉันจะปล้ำนายทั้งๆ ที่นายไม่เต็มใจนะ”

นรกรไม่ฟัง เขาลุกขึ้นจากเตียงและโผเข้ากอดจากทางด้านหลังก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกไปได้สำเร็จ

“ฮาร์ฟ บอกให้ปล่อยไง” วินทร์คว้าเรียวแขนที่โอบอยู่รอบเอว พยายามจะแกะออกแต่นรกรก็จับไว้แน่นและซบหน้าลงมาบนแผ่นหลังจนเขาไม่กล้าออกแรงต้านเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บ “ฮาร์ฟ!” และเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงดุจริงจังเมื่อเสียงเล็กๆ กระซิบอู้อี้ออกมาจากคนที่เกาะอยู่ข้างหลัง

“ผมต้องกลัวสิ” นรกรบอก “ก็ผมไม่เคยนี่นา”

วินทร์แทบไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน “แต่นายคบกับปอตั้งสามปี ไม่ใช่เหรอ”

“แค่จูบ” นรกรกระซิบ “ก็พี่ปอเขาไม่ใช่... ก็เลย...”
นัยน์ตาคมเบิกโพลง วินทร์นึกอยากเตะตัวเองแรงๆ สักที ที่ทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขาอดใจไม่ไหวแล้ว

“ฉันก็ไม่เคยเหมือนกัน”

แล้วพลิกตัวกลับรวดเร็วพร้อมทั้งคว้าสองแขนของคนตัวเล็กกว่ากดลงบนเตียงและก้าวขึ้นคร่อม ตาคมจ้องมองนัยน์ตาสีอ่อนของคนที่อยู่ใต้ร่างซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความกังวล

“ฉันให้โอกาสนายตัดสินใจอีกครั้ง เพราะต่อจากนี้ฉันคงหยุดไม่ได้แม้ว่านายจะร้องไห้ขอร้องก็ตาม”

เสี้ยวนาทีนั้นวินทร์เห็นร่างโปร่งสั่นน้อยๆ มือใหญ่คลายออกเตรียมจะปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อเสียงหวานกระซิบพร่าผ่านริมฝีปาก

“พี่วินทร์เคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผมร้องไห้เสียใจ” นรกรบอก “แต่ถ้าร้องไห้เพราะเรื่องอื่น... ผมโอเคนะ”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย” นัยน์ตาพราวระยับแล้ววินทร์ก็จัดการปิดปากนั้นด้วยปากของตนเองอีกครั้ง

...
...
...

“เป็นไงบ้าง”

นรกรจ้องมองคนตรงหน้าพลางหอบหายใจ วินทร์จู่โจมเขาจนแทบหายใจไม่ทัน ทั่วทั้งตัวร้อนระอุและเต็มไปด้วยร่องรอยจุดสีกุหลาบไม่เว้นแม้แต่บริเวณโคนขาอ่อนที่ตอนนี้กำลังถูกกลืนกินด้วยปลายลิ้นจนแทบไม่เหลือ ในช่องท้องบิดเกร็งหากก็รู้สึกหวามไหวราวกับมีใครเอาระเบิดดอกไม้ไปฝังไว้

“แล้วพี่วินทร์ไม่…” นรกรถามอายๆ เพราะหลังจากที่วินทร์ใช้ทั้งนิ้วและลิ้นช่วยทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยจนลืมความเจ็บ แทนที่จะจู่โจมเข้ามาเจ้าตัวกลับรามือไปเสียเฉยๆ

“มันฉุกละหุกไปหน่อยฉันเลยไม่ได้เตรียมตัวมา ถ้าทำต่อไปทั้งแบบนี้ยังไงนายก็เจ็บแน่ๆ” คนที่ทาบทับอยู่ด้านบนแลบลิ้นเลียคราบความเปียกชื้นที่ยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากและปลายนิ้ว มันดูยั่วยวนและเซ็กซี่โดยไม่ได้ตั้งใจทำให้นรกรใจเต้นระรัว วินทร์เหลือบมองนัยน์ตาสีอ่อนที่สั่นไหวก่อนจะกดจูบลงกลางหน้าผากคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำหน้าโล่งอกหรือผิดหวังกันแน่เป็นการปลอบขวัญ “ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งรีบร้อนเอาไว้วันหลังค่อยทำถึงที่สุดนะ”

นรกรขยับตัวเล็กน้อย ทีแรกวินทร์คิดว่าอีกฝ่ายจะลุกหนี แต่กลับกลายเป็นเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักที่หัวเตียงเปิดออก “นี่” กระซิบเบาๆ แล้วดึงตัวกลับมานอนนิ่งตามเดิม

“อะไรเหรอ”

“ดูเองสิครับ”

คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน วินทร์ใช้แขนดันตัวยกขึ้นชะโงกหน้าไปมอง และเป็นอีกครั้งที่ค่ำคืนนี้ที่เขาต้องแกล้งทำเสียงเข้ม “ฮาร์ฟ” แล้วหยิบเอาขวดโลชั่นและซองพลาสติกหลากสีออกมากรีดเรียงในมือเหมือนถือไพ่ “ถ้ามันมีแบบเดียวหลายขนาดฉันจะไม่แปลกใจเลย แต่นี่มันมีขนาดเดียวแล้วมีหลายแบบคืออะไร ไหนลองอธิบายมาสิ”

“ก็... ในห้องเปลี่ยนชุดนะ” ขณะที่พูดแก้มที่ออกแดงระเรื่อเดิมอยู่แล้วยิ่งขึ้นสีเข้มจัด “พี่วินทร์ไม่ระวังตัวเอง... ผมก็เลย… ลองคำนวณเอาเองตามทฤษฏีน่ะ”

คนถามเองก็เขินไม่แพ้กัน แต่ก็ทำเป็นนิ่งไว้ก่อน “แล้วที่มีหลายแบบนี่ล่ะ”

“ก็ไม่รู้ว่าพี่วินทร์ชอบแบบไหนเลยซื้อมาเผื่อ”

“แล้วถ้าเกิดฉันชอบหมดนี่เลยล่ะจะทำยังไง”

“ก็ใช้ให้หมดเลยสิครับ”

“วันนี้วันเดียว? ทะลึ่งจังเลยนะนายเนี่ย” วินทร์แกล้งพูดต่อ ทำเอาคนฟังรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าแทบไม่ทัน เขารู้ดีว่าจริงๆ แล้วนรกรไม่ได้คิดลามกหรืออะไรหรอก จะเรียกว่ายังไงดี... แค่รอบคอบแล้วก็จริงจังในทุกๆ เรื่องล่ะมั้ง แต่เขาก็ดีใจนะเพราะทั้งหมดนี่มันเป็นเรื่องของเขานี่นา ตาคมกวาดมองโปงผ้าตรงหน้าอย่างแสนรักก่อนจะกระซิบเสียงนุ่ม “ขอโทษที ไม่แกล้งแล้ว เปิดผ้าออกมาให้เห็นหน้าหน่อย”

มือเรียวค่อยดึงผ้าลงทีละน้อย เผยให้เห็นนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมาอย่างกังวล “ตกลงขนาดพอดีไหมครับ”

วินทร์อดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้ แต่ก็ยังไม่อยากหยุดแกล้ง ไม่สิ! ต้องเรียกว่าขอความร่วมมือต่างหาก เพราะอีกฝ่ายเคยบอกว่าให้เขาช่วยสอนให้ทุกอย่างนี่นา วินทร์เลือกแบบธรรมดาบางเฉียบออกมาก่อนจะโยนอันอื่นเก็บลงลิ้นชัก บทเรียนแรกต้องเริ่มต้นที่เบสิคก่อนค่อยไต่ระดับขึ้นไปจนถึงแอดวานซ์

“อยากรู้ก็ใส่ให้หน่อยสิ ถือเป็นการทดสอบทฤษฏีของนายไงว่าตรงจริงหรือเปล่า”

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-06-2016 19:43:28
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ฮาร์ฟตื่นได้แล้ว” วินทร์ซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานเรียบร้อยใช้หลังมือสัมผัสแก้มนรกรเบาๆ ใจจริงไม่อยากจะปลุกเลย แต่ตอนนี้ 7 โมงเช้าแล้วถ้าปล่อยให้นอนนานกว่านี้เดี๋ยวจะไปสาย “เป็นยังไงบ้าง เจ็บไหม”

“ทำเสร็จแล้วค่อยมาถามเนี่ยนะ” ร่างโปร่งที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงโอดครวญออกมาจากหมอนหนุนที่กอดไว้แน่น เขายอมรับว่ามีความสุขกับความรู้สึกที่วินทร์พาไปแต่ก็ไม่คิดว่าจะพาเตลิดไปได้ไกลถึงขนาดใช้ของที่ตั้งใจเตรียมไว้สำหรับ 3 วันหมดในคราวเดียวหรอกนะ “วันนี้ผมมีผ่าตัดด้วย”

วินทร์นั่งลงบนขอบเตียง และใช้สายตากวาดไล้ไปตามแผ่นหลังที่โผล่พ้นผ้าห่ม มันเคยขาวเนียนไร้ร่องรอยตำหนิใดๆ จนกระทั่งเขาสร้างริ้วและจุดจ้ำสีแดงเต็มไปหมด เขาลูบมือเบาๆ คล้ายจะช่วยผ่อนคลายความเจ็บไปตามแนวสันหลังก่อนจะหยุดลงที่แอ่งตรงช่วงเอวและประคองไว้หลวมๆ “ฉันผ่าแทนให้ก็ได้นะ”

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวผมกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ” นรกรพลิกตัวนอนหงายบนเตียง ยังรู้สึกปวดหนึบอยู่นิดหน่อยบริเวณสะโพก เขาสะดุ้งเบาๆ แต่ก็ดูเหมือนจะแรงเกินไปสำหรับคนที่นั่งมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง

วินทร์สอดมือเข้าข้างหลังแล้วช่วยดึงให้ขยับมานั่งพิงลงบนหน้าอกพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำใสที่ยังรื้นเต็มสองตา “แล้วจะให้ฉันทำยังไงเป็นการไถ่โทษดีล่ะ”

“เดี๋ยวผมจะไปอาบน้ำ” นรกรทำหน้าครุ่นคิดจริงจัง “ระหว่างนี้พี่วินทร์ก็ช่วยไปทำข้าวเช้าให้หน่อย ได้ไหมครับ ตอนนี้ผมหิวมากเลย”

วินทร์ตอบคำถามด้วยการกดจูบเข้าข้างขมับ “แต่ทำไมฉันอิ่มตื้อเลยล่ะ”

นรกรยู่ปากใส่ “แล้วนี่พี่วินทร์จะไปสอนทั้งๆ แบบนี้เลยเหรอครับ” ถามพลางลูบมือไปตามแนวกรามที่หนวดเริ่มขึ้นเขียวครึ้มทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งโกนไปเมื่อวาน

“ก็มันไม่มีที่โกนหนวดนี่นา”

“ไม่ได้นะครับ เป็นอาจารย์แล้วต้องทำตัวให้ดูดีสิ” นรกรว่า “ผมมีอันสำรองนะ พี่วินทร์จะเอาไปใช้ก่อนก็ได้”

“ไม่เอาหรอก ฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเดี๋ยวชุดเปียกหมด”

“แค่พับแขนเสื้อขึ้นก็ไม่เปียกแล้วครับ”

“ก็ขี้เกียจนี่นา ช่างมันเถอะน่าแค่วันเดียวเอง”

“งั้นผมโกนให้ ตกลงไหม” นรกรยื่นคำขาด เขาไม่ได้รับไม่ได้หรือชอบมากกว่าที่วินทร์หน้าใสเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เป็นมนุษย์หมีถ้ำซกมก แต่เขาไม่อยากใครมองคนรักของเขาว่าไม่ดี

“นายโกนได้เหรอ” วินทร์ถามในขณะที่ส่งผ้าขนหนูให้นรกรรับไปพันรอบเอวและเดินนำไปห้องน้ำ

“โกนให้ตัวเองก็ทำได้ โกนให้คนไข้ก็ทำมาแล้วทำไมผมจะโกนให้พี่วินทร์ไม่ได้ครับ” นรกรว่า “อย่างมากก็แค่เลือดซิบ แต่นั่นก็ไม่ใช่หน้าผมสักหน่อย”

“เฮ้ย!”  วินทร์ที่เพิ่งนั่งหันหลังลงบนขอบอ่างล้างมือร้องเสียงหลง

“ล้อเล่นน่า นั่งดีๆ สิครับ” นรกรหัวเราะพลางดันไหล่คนตัวโตให้นั่งลงตามเดิม “พี่วินทร์ทำแก้มตึงๆ หน่อย” เขาถูโฟมลงตามแนวกรามแล้วเริ่มต้นลากปลายมีดไปมาอย่างคล่องแคล่ว เพียงแค่อึดใจคางที่เขียวครึ้มก็กลับมาขาวใส นรกรเทอาฟเตอร์เชฟลงถูบนฝ่ามือก่อนจะตบเบาๆ เป็นการปิดท้าย

“มีอะไรเหรอ” วินทร์ถามคนที่เงียบไปทั้งที่เสร็จนานแล้วและเอาแต่จ้องหน้าเขาราวกับจะหาเศษรากหรือขนคุดที่อาจหลงเหลืออยู่

“ผมว่าพี่วินทร์ไว้หนวดเหมือนเดิมก็ดีนะครับ”

“อ้าว เมื่อกี้ยังบอกว่าดูไม่ดีอยู่เลย ทำไมเปลี่ยนใจซะล่ะ”

“ก็... ไม่มีอะไรครับ ช่างเถอะ”

วินทร์เหลือบตามองเงาตัวเองในกระจก ก่อนจะหันมาสบสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลแล้วก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด “เรื่องนี้หรือเปล่า” พร้อมกับดึงกระดาษโน้ตที่จดเบอร์โทรศัพท์ไว้ออกมาจากกระเป๋า “ว่าแล้วเชียว ฉันเห็นนายทำหน้าบูดตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร ทำไม หึงเหรอ”

“เปล่าสักหน่อย”

“บ้านน้องเขาเปิดหอพักน่ะก็เลยให้เบอร์มาชวนไปอยู่ด้วย” วินทร์รีบบอก

“งั้นก็ไปอยู่กับเขาสิครับ”

“ไม่เอาหรอก” วินทร์ว่า “เพราะฉันก็รู้อีกเหมือนกันว่าเธอไม่มีเจตนาแค่อยากช่วยหาที่พัก นายไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ถ้าฉันจะไปชอบใครง่ายๆ ฉันคงทำไปตั้งนานแล้วไม่รอนายมาจนถึงตอนนี้หรอก”

นรกรหน้าแดงไปจนถึงหู และดึงมืออีกฝ่ายไปส่งที่ประตู “โกนหนวดเสร็จก็ออกไปได้แล้วครับ ผมจะได้อาบน้ำสักที”

“ขออาบให้ไม่ได้เหรอถือว่าขอบคุณที่โกนหนวดให้ไง” วินทร์ตะโกนไล่หลังและคำตอบที่ได้คือเสียงปิดประตูดังตึง

เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและเดินไปเปิดตู้เย็น หาอะไรที่พอจะเอามาปรุงเป็นอาหารง่ายๆ ได้ และด้วยทักษะการทำอาหารที่อุตส่าห์ไปแอบฝึกปรือมา ในเวลาเพียงแค่อึดใจ เขาก็ทำออมเลตสำหรับมื้อเช้ากับชงกาแฟหอมฉุยวางบนโต๊ะเรียบร้อย และตอนนี้ก็กำลังสาระวนกับการเตรียมคลับแซนด์วิชแพคใส่ถุงซิปล็อกให้นรกรไว้กินรองท้องเผื่อหาอะไรทานไม่ทันก่อนผ่าตัดด้วย

“แค่ข้าวเช้าจำเป็นต้องน่ากินขนาดนี้ไหมครับ” นรกรที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินมานั่งลงตรงตำแหน่งที่ถูกจัดไว้ให้ เขาอดแซวไม่ได้เพราะคนทำเล่นใช้ซอสมะเขือเทศวาดรูปหัวใจดวงโตไว้บนไข่แถมยังเขียนชื่อตัวเองไว้ตรงกลางอีก

“งั้นก็ต้องกินให้หมดนะ นายน่ะผอมเกินไปแล้ว”

ทั้งสองใช้เวลาจัดการกับมื้อเช้าไม่ถึง 10 นาทีก็เก็บจานล้างเรียบร้อยและต่างคว้ากระเป๋าเตรียมออกเดินทาง

“พี่วินทร์ เดี๋ยวก่อนครับ”

“มีอะไร” วินทร์ใส่รองเท้าเสร็จหันมาก็พอดีกับที่มือเรียวคว้ารอบคอเขาแล้วโน้มลงไปจูบลาก่อนไปทำงาน

“ไปกันเถอะครับ”

นรกรจุ๊บเบาๆ ทิ้งท้ายอีกครั้งหนึ่งก่อนจะผละออกแล้วเดินนำออกประตูไปหน้าตาเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่วินทร์ยังยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก

“เร็วๆ สิครับเดี๋ยวก็สายหรอก”

เสี้ยวนาทีที่หันมาวินทร์แอบเห็นใบหูนั้นออกแดงระเรื่อ เขาอมยิ้มมุมปากและรีบวิ่งเหยาะๆ ตามไปเดินคู่กัน “มาแล้วๆ”

มันเป็นค่ำคืนและยามเช้าที่วิเศษสุดวันหนึ่งในชีวิต ที่วินทร์ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เคยวาดฝันว่าจะทำร่วมกันนรกรจะยอมให้ความร่วมมือถึงขนาดนี้

จะขาดอยู่ก็เพียงแค่สิ่งเดียวที่คงต้องรอเวลาอีกหลายเดือนจึงจะสำเร็จ

“พี่วินทร์ครับ” จู่ๆ นรกรก็พูดขึ้นเมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในลิฟต์ “ระหว่างที่ยังหาห้องไม่ได้ พี่วินทร์จะย้ายมาอยู่กับผมก่อนก็ได้นะ”

นัยน์ตาคมเบิกโพลง วินทร์หันไปรวบเอวคนข้างตัวดันติดผนังลิฟต์ ในขณะที่มือกดปุ่มล็อกให้ค้างไว้ ปากก็ป้อนรอยจูบแสนหวานแทนคำตอบตกลงให้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ในเมื่อฝันอย่างสุดท้ายมาเร็วกว่าที่คาดแล้วเขาจะห้ามใจไม่ให้รักคนตรงหน้ามากมายขนาดนี้ได้ยังไง


************************TBC********************

หุหุ เอาแค่พอกรุบกริบนะคะ พอดีเราเป็นพวกสายจิ้น555

ตกลงคู่นี้พลิกไหม? #วินทร์ฮาร์ฟ หรือ #ฮาร์ฟวิน แต่เราว่าฮาร์ฟวิน(win) นะ แหม่ พี่หมีนี่ช่างไม่เตรียมพร้อมเลย555


หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 19 Determine(จบ) P.13 [24/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 26-06-2016 19:53:05
ขอบคุณมาก ค่ะ สนุกจมากเลย ลุ้นแทนวินอยู่ตั้งนาน พล็อตเรื่องดี มีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง วนมาตอนเริ่มเรื่องได้อีก ชอบมาก ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 26-06-2016 20:10:25
ฮาร์ฟนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยน้าาาาา เตรียมพร้อมทุกอย่าง

 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-06-2016 20:26:05
#ฮาร์ฟเป็นคนจริงจัง

วินแพ้ทางตลอด ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 26-06-2016 20:33:51
ฮือออ ร้องห้ายยยยยยยยย พี่วินทร์คนฮอตนาจาา ทำพี่ฮาร์ฟหึงได้
ไม่ต้องเอ็นซีลึกละเอียดเราก็อิ่มเอมใจแล้ว
นึกอยากอ่านเวลาทั้งสองคนหวานๆใส่กันมาตลอด ตอนนี้นิพพานแล้ว 5555555
พี่ฮาร์ฟนี่ทำอะไรตามทฤษดีจังเลยเนาะ แล้วตกลงพอดีไหมจ้ะ ง่อววว์
เห็นเขียน TBC ไว้ จะมีภาคผนวกต่อไปให้อ่านอีกใช่ไหมคะ อิอิ สู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 26-06-2016 20:41:02
เป็นภาคผนวกที่กรี๊ดมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 26-06-2016 20:58:42
 o13  ชอบมุก ภาคผนวก มาก เป็น text ก็ต้องมีภาคผนวก Reference
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 26-06-2016 21:08:36
เดี๋ยวนะคะ ก๊อปมาไม่หมดรึเปล่า รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปนะ 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 26-06-2016 21:30:17



มีความฟินนนนนน มาก

หมอวิน มีความฮอต จริงๆๆๆ

น้องฮาร์ฟ ก้อนะ  นึกว่าเรียบร้อยๆๆ  แต่งานดี ละเอียด สมกะ เป็นหมอ  :กอด1:


 :mew1:...ดีใจที่มี ภาคผนวก ก    ขอ ถึง ฮ เลยนะฮับ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 26-06-2016 21:44:05
มีความสุขกับตอนพิเศษมากกกกก
ฟินนนนน
ขออีกได้ไหมคะ 555555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-06-2016 21:50:38
เห็น TBC แสดงว่าต้องมีภาคผนวกอีก 55555 รอค่าาาา ตอนนี้ฮาร์ฟอ่อยพี่วินทร์หนักมาก เตรียมพร้อมมากด้วย 5555 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 26-06-2016 21:55:24
ฮาร์ฟ!!  คือแบบ..ถ้าเราจะบอกว่าเธอแบหื่นก็คงจะไม่เกินไปใช่ไหม อะไรคือการแอบมองพร้องกะขนาดเพื่อเตรียมพร้อมขนาดนี้ เธอ win จริงๆ  งานนี้ยกความดีความชอบให้ฮาร์ฟเลยจ้า

ส่วนพี่วินทร์ค่ะ แบบนี้ไม่ดีแน่ อะไรกันค่ะรุกได้แค่บนเตียงเหรอ ทำไมนอกเตียงอย่างในลิ้นชักนั่นพี่ถึงไม่ยึกถึง 555  คราวหน้าแก้ตัวใหมาเลยนะ  อิอิ

อยากรู้จังว่าย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วเป็นไง โอ้ยยยย....ชอบแฮง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: RinNam ที่ 26-06-2016 22:20:59
รู้สึกฟินตัวแตกกก

จะน่ารักอะไรเบอร์เน่!!

 :impress2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 26-06-2016 23:29:50
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

ฟินนนนปายยยยย
ฮาร์ฟฟฟฟฟเตรียมตัวดีชิงๆ

พี่หมีไม่ได้เรื่อง ไม่เตรียมตัวเลย อิอิ

ย้ายมาอยู่ห้องฮาร์ฟแล้ว ห้องพี่วิน ก้ปล่อยเช่าเลยก้ได้มั้ง อิอิ
แต่ฮาร์ฟอย่าลืมไปเติมของนะ พี่วินใช้หมดแล้วอะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: namaquaru ที่ 27-06-2016 00:16:25
อ่านแล้วเขินมากกกกกกก งุ้ยยยยยยยย หมอฮาร์ฟนี่เตรียมพร้อมดีจริงๆเลยนะคะ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 27-06-2016 00:24:49
ฟิน ฟิน #ฮาร์ฟวินโดว์

 :hao6:  :hao7:  :hao6:  :hao7:

....


หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 27-06-2016 00:42:16
น่ารักอ่ะ...
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 27-06-2016 05:06:50
แหมะ พี่วินทร์ เทอจะฟินมากไปไหม 55555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 27-06-2016 09:27:32
โอ้ยยยย
เค้าหวานกันจริงงงง
น่ารักมากเลยค่ัะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 27-06-2016 09:50:10
อะไรจะเตรียมพร้อมขนาดนี้ฮาร์ฟ น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 27-06-2016 15:36:45
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MM ที่ 27-06-2016 19:18:52
กรี๊สสสสสสส  มาแค่นี้ก็ฟินไปถึงโลกหน้าแล้วค่า พี่วินทร์ เบาๆนะ เดี๋ยวก็มาอยู่ด้วยกันแล้ว หมอฮาร์ฟนี่ จะเรียกว่ายังไงดี แต่ไอ่ความพร้อมนี่ ต้องเรียกว่ายั่วกันสุดๆ อย่าไปยั่วพี่เค้าบ่อยนะคะ พี่เค้าแก่แล้ว เดี๋ยวหักโหมหน้ามืดเรื่องบนเตียงบ่อยไป แล้วจะเป็นลมเป็นแล้งเอา 5555555 :laugh:
ปล. เรารักความมุ้งมิ้งของภาคผนวกนี่จริงๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 27-06-2016 20:18:11
ฮาร์ฟถือคติ เหลือดีกว่าขาดใช่ไหม ส่วนพี่วินทร์ก็ถือคติเสีนดายของต้องใช้ให้หมด 55555
ตอนนี้หวานๆ มากค่า ชอบบบบ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 27-06-2016 20:50:40
ตอนนี้ช่างดีกับใจ อิอิ :impress2:

ฮาร์ฟเป็นคนจริงจัง และเตรียมพร้อมดีจริงๆo13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-06-2016 21:04:19
ปักๆๆ ไว้ก่อน
_______________
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง
คือดีงามมากกกกกก อ่านรวดเดียวจบ
ชอบมากเลยง่ะๆๆๆ
รอภาคผนวกต่อไป คึคึ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-06-2016 21:07:59
 :katai2-1: วินทร์ ฮาร์ฟ รักกันแล้ว :katai2-1: :katai2-1:
ขอตอนพิเศษอีกนะ :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 28-06-2016 19:35:03
หมอฮาร์ฟเตรียมพร้อมมากๆ  :m25:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 29-06-2016 00:34:29
  :3123: :3123: :3123:พลาดดดดดเราพลาดแรงมากกกกกกกกกพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงเราขอแสดงความคิดเห็นแบบรวบรวมความรู้สึกในทุกๆตอนที่เรามีให้เลยนะคะ เป็นการผูกปมที่ดูไม่เยอะไม่น้อยเกินไปมันอยู่ในความพอเหมาะและแก้ได้ครบทุกจุดแบบสวยงามและแบบทำให้เราทึ่งได้นี่อ่านไปพลิกกัลับไปกลับมาเราก็อึนงงสักพักก็ได้แต่อ๋ออออออแบบนี้นี่เองมันดีจริงๆค่ะเราหลงรักในตัวละครทุกตัวในเรื่องเลยรักในเนื้อเรื่องปกติหายากมากคนที่จะเขียนแนวนี้ความรู้วิชาการและการเก็บเรื่องราวชีวิตของหมอต้อฃอาศัยคนรู้ชำนาญพอควรนักเขียนเขียนได้ดีมากๆค่ะไม่ยืดเยื้อเข้าประเด็นจบตรงจุดมากสามารถทำให้คนอ่านรู้สึกตลบไปตลบมาได้เรานับถือมากนี่ได้แต่อ่านช้าๆชัดๆทุกบรรทัดอ่านวนไปค่ะชอบมากรอตอนพิเศษนะคะหวังว่าจะได้มีโอกาสติดตามผลงานเรื่องต่อไปของคนเขียนเรื่อยๆชอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ(มาก)ที่ได้แต่งรัฃสรรค์มาให้เรามีโอกาสเสพติด :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 29-06-2016 03:32:37
เรื่องนี้สนุกมากกกกก ขอบคุณคนเขียนมากเลยจ้า นี่อ่านรวดเดียวจบเลย  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 29-06-2016 13:58:50
ขอภาคผนวก ข ด้วยนะค๊ะ หน่วงมาตั้งนาน ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 29-06-2016 17:55:04
สนุกดี

ปล. มีบางจุดยังพลาดอยู่บ้าง เช่น คณบดีคณะแพทยศาสตร์  ไม่ใช่ อธิบดี  ซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าหน้างานระดับกรม  โดยมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งนั้น เทียบเท่ากับกรม ที่สังกัดในกระทรวงต่างๆ  ดังนั้น อธิบดี จะเทียบเท่ากับ อธิการบดี  จ้า

ส่วนอีกจุดจำไม่ได้ละ 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 29-06-2016 19:40:37
 :pig4: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PlenG ที่ 29-06-2016 21:19:56
ตามอ่านเรื่องนี้อยู่ทั้งคืนเลย สนุกค่ะ
เชียร์ทิดมาตลอด ทั้งๆที่พี่วินทร์ก็แสนดีขนาดนั้นแต่สุดท้ายพี่วินทร์ก็ชนะตัวเองได้ ยินดีด้วยค่ะ
ตอนแรกแอบกลัวฮาร์ฟเป็นโรคทางจิตเวชจริงๆ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ก็คงเชื่อยากเหมือนกันเพราะผู้ป่วยส่วนมากก็บอกว่าตัวเองไม่ได้ป่วย เรื่องการเลี้ยงดูของพ่อแม่นี่ไม่โอเคเลยดูเสียสุขภาพจิตทั้ง2ฝ่าย ถ้าพูดคุยกันมากกว่านี้อะไรๆคงง่ายกว่านี้
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: นุ่งหนิง ที่ 30-06-2016 06:25:35
อ่านเรื่องนี้สนุกจนวางไม่ลง เลย
ลุ้นพระเอกตัวโก่งเลย ว่าฮาร์ฟเลือใคร
อทิษฐ์ กวนๆขี้เล่น กะพี่วินทร์ คนช่างเอาใจ
จบแบบ เอาใจคนอ่านเลย ยิ้มแก้มแตกเลย

อยากอ่านอีก. ขอบคุณนิยายดีๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 30-06-2016 11:26:26
จบด้วย****TBC****แปลว่ามีต่อใช่มั้ยคะ  :z1: :z1: o18 o18
ชอบเรื่องนี้มากเลย ชอบมากจริงๆให้ความรู้เรามากเลยแถมสนุกอีก o13 :z2:
รอนะถ้ามีต่อ... :z10: :katai5: :katai4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: makone ที่ 30-06-2016 16:47:14
 :mew1: อ่านจบรวดเดียว ดีงามมากๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 01-07-2016 00:44:37
สนุกมากๆๆๆ อ่านแบบไม่หลับไม่นอน

ขอบคุณนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 02-07-2016 11:35:45
สนุกมาก เยี่ยมมากค่ะ งานดีจริงๆ อ่านไปรู้สึกตัวเองมีหลายอารมณ์ร่วมกับเรื่องนี้มากค่ะ

 #กลัว เวลาตอนน้องห้อยขาโผล่มาขโมยซีน
 #หน่วงในอก เวลาหมอฮาร์ฟเศร้า เจ็บ แล้วทิดสัมผัสหมอไม่ได้ 
#ยิ้มกว้าง ตอนทิดออกท่าทางขัดใจตอนแรกที่คิดว่าหมอฮาร์ฟไม่ได้ถูกรับเลือกเปนอาจารย์ ... ทิด นางน่ารักเนอะ
#งง(มากกกก)  กับช่วงเวลาของทิดกับวินทร์ ตอนที่ยังไม่เฉลย..สารภาพว่าต้องไล่อ่านคอมเม้นท์เอาเพื่อช่วยให้หายงง
# ขัดใจนิด ปมครอบครัวหมอฮาร์ฟ ดาร์คกันมาเกือบชีวิต บทจะเคลียร์...ง่ายไป๊ แต่ก็ทำให้เห็นว่าสิ่งสำคัญของครอบครัวคือ ...การพูดคุย
 #อึ้งมาก ตอนที่รุ้ว่าทิดคือหมอวินทร์ ... แบบว่าเหนือคาดเราจริงๆ (แบบว่าสกิลการตีโจทย์นิยายของเรานี่ต่ำเตี้ยมากก)
 #อินและเชียร์วินทร์ที่ตัดสินใจรอ จนกว่าจะแน่ใจว่าฮาร์ฟรักใครกันแน่
 #ร้องไห้ (สาบานว่า น้ำตาไหลเปนทางเลย) ตอนน้องลลินลาและหมออ่านพินัยกรรมน้องลลิน
 # ฟินนนนนนนนน ตอนภาคผนวก ใครๆก็คงรู้สึกเหมือนเราอ่ะเนอะ ตอนนี้ แอร๊ยยยย

สำหรับเรา ได้ทุกฟีลจริงค่ะเรื่องนี้ ยกนิ้วให้เลย บวกเป็ดให้เป็นกำลังใจคุณเลกกี้นะคะ และจะติดตามผลงานเรื่องต่อๆไป อย่างสม่ำเสมอค่ะ   ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆทั้งเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆของคุณเลกกี้ด้วยค่ะ  :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 02-07-2016 15:40:40
อ่านเรื่องนี้แล้วต้องคิดตามเยอะมากๆๆๆๆ แต่สนุกมากค่ะ ปมเยอะแยะไปหมด
รออ่านภารผนวก ข.-ฮ. นะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MRchai ที่ 02-07-2016 17:50:56
สนุกมากครับเข้ามาอ่านแล้วติดเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 02-07-2016 20:32:47
ยอดเยี่ยม สนุกมาก คู่นี้หวานซ้า :hao6:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 02-07-2016 21:06:44
ฟิน. ฟิน

รอภาคผนวก ข.

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 03-07-2016 07:04:16
ตอนนี้หมอฮาร์ฟวิน อ่านแล้วฟิน :L1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 03-07-2016 10:38:55
 o13 o13 o13 o13 o13 o13
น้ำตามาเต็ม เขียนดีมากค่า สู้ๆๆๆๆ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Cupcake ที่ 03-07-2016 14:32:41
 :L2:
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 03-07-2016 16:39:58
สนุกมากค่ะอ่านรวดเดียวจบเลย ทั้งเศร้า ทั้งสนุก และฟินค่ะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥MPEGz♥ ที่ 03-07-2016 20:16:32
โอ๊ยประเด็นคือเรายังไม่ได้อ่านเรื่องหลักเลย แต่มาอ่านภาคผนวกแล้ว (อะไรของคนๆ นี้ 555) ฟินมากเลยค่ะ สัญญาว่าจะไปตามเก็บตั้งแต่ตอนแรกกลับมาภาคผนวกใหม่อีกครั้ง55
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: cy55555 ที่ 04-07-2016 02:53:45
สนุกมาก อ่านรวดเดียวเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 04-07-2016 13:09:35
สนุกมากเลย  :L2: :L2:

+1เป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Frote ที่ 04-07-2016 21:16:55
สนุกมากค่ะ รอตอนพิเศษตอนต่อไปอยู่นะคะ 5555555

เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ตอนที่จบแล้ว เพราะมีคนแนะนำมาค่ะ
เลยอ่านรวดเดียวจบ รู้สึกโชคดีมากที่ได้อ่านค่ะ ฮาาาาา
ชอบการผูกปมมาก แหวกแนวดี แถมทุกตัวละครก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง
ตอนแรกแอบนึกว่านางร้าย(?)จะมาแบบนางร้ายในนิยายเรื่องอื่นๆ
สรุปแหวกไปคนละทางเลยค่ะ แอบสงสาร+รักเธอขึ้นมานิดๆ
ส่วนเรื่องปม ตอนที่เริ่มเฉลยแรกๆจะงงๆกับไทม์ไลน์ไปหน่อย
แต่พอเข้าใจแล้วร้องอ้อเลยละค่ะ 555555555555

ยังไงจะรอซื้อรวมเล่มนะคะ XD
ปล.เพิ่งทราบว่าเป็นคนแต่งเรื่อง ER เดี๋ยวจะตามไปอ่าน ER ต่อนะคะ เย้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 05-07-2016 13:48:17
โอ๊ยยยยย สนุกมากกกก
นี่ขอชมคนแต่งเลยค่ะ
คือเนื้อเรื่องมันมีอะไรให้ติดตาม
ให้คิดตามตลอดเลย
ทิ้งปมไว้ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย
อ่านแล้วทันบ้างไม่ทันบ้าง
แต่สนุกจริงๆน๊าาาา
 :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 07-07-2016 09:34:42
รอภาคผนวก  ข ค ง  จ้า แบบไม่โลภ  แต่คิดถึงคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 07-07-2016 20:07:35
อ่านจบแล้วว เรื่องนี้สนุกมากอะตอนแรกนึกว่าจะเป็นนิยายเกี่ยวกับหมอธรรมดาๆซะอีกที่ไหนได้ ชวนติดตามมากอะถึงแม้งงๆช่วงคลายปมก็เถอะ รวมถึงเหตุผลที่วินทร์กับอทิฏฐ์อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันด้วย ยังไงขอเป็นตอนพิเศษคลายปมตรงนี้สักหน่อยก็ดีนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 10-07-2016 02:33:11
เรื่องนี้มันหนัก แต่วางไม่ลงเลยอ่ะ  :ling1:
มันดีทุกอย่างจริงๆค่ะ อาจมีมึนๆเบลอๆบ้างเพราะไม่สันทัดเรื่องนี้555
ขอบคุณมากๆค่ะที่สละเวลามาเขียน

ภาคผนวก ก.นี่ อิฉันเข้าใจความรู้สึกธีร์ละ  รู้สึกเหมือนฮาร์ฟโดยล่วงละเมิดตลอดเวลา ลูกชั้นช้ำหมดแล้ว!!!!
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 12-07-2016 08:21:32
รอตอนพิเศษคร้า สนุกดี ตอนหวานๆของหมอฮาร์ฟกับหมอวินณ์น้อยจังอยากอ่านอีกค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 13-07-2016 01:09:10
เข้าใจพี่วินทร์ แต่บางทีเรน่าก็ยังแอบตบตีกันในหัวตัวเองว่า พี่ขราาาา จะทิดจะวิน ก็คนเดียวกันอ่ะ พี่จะคิดไรมากมายค้าาาา 555

ส่วนสาวน้อยชุดขาวในห้องล็อคเกอร์  :call:  แอบ(?)หื่นนะคะ เป็นสาวเป็นนาง ไปนั่งส่องผู้ชายตอนเขาไม่ระวังตัวได้ยังไง นรกรทำได้คนเดียวเท่านั้น! ส่องจนรู้ขนาดพี่หมีเรย อร๊ายยยยย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 14-07-2016 08:46:32
เข้ามาส่องเผื่อมี อัฟเพิ่ม  :pig4: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 18-07-2016 17:53:20
 :L2: :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ก. P.15 [26/06/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-07-2016 00:35:12
ภาคผนวก ข.

นรกรกวาดตามองบรรดาน้องๆ แพทย์ประจำบ้านที่ยืนล้อมรอบตัวเองอยู่ทีละคน หลังจากจากที่โดนโทรตามให้มาหาเป็นการด่วน โชคดีที่หมดคาบสอนพอดีทำให้เขาสามารถวิ่งมาได้ทันที และเขาก็คงจะไม่รีบร้อนขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะประโยคที่รายงานสถานการณ์มายืดยาวนั้นจบลงตรงคำว่า ‘พี่วินทร์’

“เขาอยู่ไหน” ถามทั้งที่ยังหอบหายใจน้อยๆ

จิงโจ้ที่ตอนนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสามพยักเพยิดไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จริงๆ แล้วจะมีล็อกเกอร์แยกต่างหากสำหรับอาจารย์ แต่บางทีก็จะมาใช้รวมกับน้องๆ ด้วยความเคยชินและเหตุผลที่ว่าอยู่ใกล้ห้องผ่าตัดมากกว่า

นรกรพยักหน้าเข้าใจโดยไม่พูดว่าอะไรพลางโบกมือให้ทุกคนแยกย้าย ซึ่งทั้งหมดก็ทำตามแต่โดยดีแม้จะยังแอบเหลียวกลับมามองด้วยความเป็นห่วงเป็นระยะ

เขารอให้ทุกคนไปจนหมดจึงผลักประตูห้องล็อกเกอร์เข้าไป ตรงตู้ที่อยู่ในสุดยังคงเป็นของเขาและวินทร์ ประตูตู้ถูกเปิดค้างไว้ทำให้เขามองไม่เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

นรกรกวาดตามองไปรอบห้องเหมือนกับมองหาอะไรบางอย่างครั้งหนึ่ง เขาหยุดสายตาลงตรงหน้าอึดใจก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินไปยืนหน้าประตูโลหะนั้น “พี่วินทร์ครับ นี่ผมเองนะ ขอผมเข้าไปได้ไหม”

ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา แต่นรกรถือว่าขออนุญาตแล้วจึงค่อยๆ แทรกตัวผ่านช่องว่างแคบๆ ระหว่างประตูล็อกเกอร์เข้าไป

ร่างสูงใหญ่คุ้นตายังคงอยู่ในชุดหมีสีเขียวของห้องผ่าตัด วินทร์ยืนหันหน้าเข้าหาล็อกเกอร์ มือทั้งสองที่กำเป็นหมัดแน่นแดงช้ำและมีรอยถลอกเล็กๆ ตรงปุ่มกระดูก

“พี่วินทร์ทำดีที่สุดแล้วครับ” นรกรกระซิบ

“นายจะมารู้อะไร” วินทร์ถามเสียงห้วน “เจ้าพวกนั้นบอกเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ” นรกรพูดต่อถึงจะตกใจเล็กน้อยกับถ้อยคำที่คล้ายกับจะตะคอกใส่ นี่เป็นสาเหตุน้องๆ ต้องโทรตามเขามาเวลาปกติวินทร์อาจเป็นคนง่ายๆ ขี้เล่น แต่บทจะโกรธขึ้นมาหรืออยู่ในภาวะอารมณ์ที่ไม่มั่นคงจะไม่มีใครเอาเขาอยู่ “‘เขา’ บอกครับ… เขายืนอยู่หลังประตูและฝากผมมาขอบคุณ”

คนที่กำลังหงุดหงิดเงียบไปอึดใจ ริมฝีปากเม้มสนิท ฟันขบกันจนเห็นเป็นสันแล้วเขาก็โพล่งสิ่งที่อัดอั้นทั้งหมดในใจออกมา “มันไม่ยุติธรรมเลย! ผู้ชายคนนั้นกำลังจะแต่งงาน… เขาเพิ่งขับรถกลับจากไปเอาชุด พี่ปืนดึงเขากลับมาได้ก่อนจะส่งต่อมาให้ฉัน แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลยฮาร์ฟ แฟนเขาร้องไห้อ้อนวอนฉันแทบขาดใจ แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย! นอกจากปล่อยให้เขาตาย” วินทร์สูดลมหายใจฟืดฟาด ก่อนจะเงียบไปอีกอึดใจ “ตลกดีนะเมื่อไม่กี่วันก่อนฉันเพิ่งปลอบนายเรื่องนี้ไปแท้ๆ มาวันนี้กลับมาฟูมฟายเสียเอง”

“หมอร้องไห้ได้เพราะเราเองก็มีหัวใจเหมือนกัน” นรกรทวนประโยคที่คนตรงหน้าเคยบอกกับเขา “แต่เราต้องตั้งตัวให้ไวเพราะเรายังมีคนไข้อีกหลายคนที่รอให้เรากลับไปดูแล” พูดจบก็ยื่นมือทั้งสองไปข้างหน้า โอบรอบกรอบหน้าที่พยายามหันหนีเข้าหากำแพงและดึงให้หันมาสบตา นัยน์ตานั้นถึงจะแห้งเหือดแต่ก็แดงก่ำ นรกรไล้ปลายนิ้วเบาๆ จากหัวตาไปหางตาราวกับจะช่วยซับน้ำตาที่มองไม่เห็นนั่น

วินทร์สบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมา และเสี้ยวนาทีที่ความอบอุ่นจากปลายนิ้วเรียวกับความห่วงใยจากแววตาชำแรกมาถึงหัวใจ ความรู้สึกเสียใจยังไม่จาง แต่ตอนนี้เขาก็คิดว่าพร้อมแล้วที่จะหันกลับมาสู้ต่อ วินทร์สูดลมหายใจเข้าแรงๆ สองถึงสามครั้งก่อนจะพยักหน้า “เขาไปหรือยัง”

นรกรเหลียวหลังกลับไปมอง “พี่สาวบอกว่าเขากลับไปหาแฟนแล้ว” พูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกลัวผี ถึงจะรับได้เรื่องที่เขามองเห็น แต่คงยังไม่ชินง่ายๆ “ขอโทษนะครับ ผมทำให้พี่วินทร์กลัวหรือเปล่า”

“ไม่กลัวหรอก แค่ตกใจมากกว่าว่าเดี๋ยวนี้สกิลการปลอบนายดีขึ้นนะ เมื่อก่อนแค่จะพูดยังอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วดูตอนนี้สิ” วินทร์บอกพลางเหลือบตาลงมองมือเรียวที่ยังโอบรอบใบหน้าไว้ก่อนจะตวัดกลับมาสบกันอีกครั้ง

นรกรก้มหน้าหนีด้วยความเขินพร้อมกับชักมือกลับ แต่วินทร์กลับประกบฝ่ามือทับลงมาและยื้อเอาไว้ เขาขยับเข้าไปใกล้จนชิด จนได้กลิ่นลมหายใจจากปลายจมูกกับละไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวแก้มที่เริ่มเปลี่ยนสีนั่น

“ขอบคุณนะ” วินทร์บอก “เป็นห่วงฉันเลยรีบวิ่งมาใช่ไหม เหงื่อเต็มเสื้อเลยเนี่ย”

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง”

นัยน์ตาคมกวาดมองคนตรงหน้าที่ก้มหน้างุดซ่อนพวงแก้มที่ขึ้นสีเข้มทุกที และนั่นทำให้เขาเอ็นดูจนรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา “จูบได้ไหม”

“ปกติเคยขออนุญาตด้วยเหรอครับ”

รอยยิ้มหยักขึ้นตรงมุมปาก “ฉันก็ไม่ได้ขอนายสักหน่อย” พูดจบก็รั้งใบหน้านั้นขึ้นมาประทับริมฝีปากก่อนจะเลื่อนมือทั้งสองลงโอบรอบเอวแล้วช้อนตัวขึ้นเล็กน้อยดันติดกับกำแพงเพื่อจูบให้ได้ถัดถนี่ และเกิดมุมอับไม่ให้ใครบางคน (?) มาแอบดูได้เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว ซึ่งครั้งนี้วินทร์มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรตกใส่อีกเพราะหลังจากวันนั้นเขาก็สั่งเคลียร์หลังตู้ทุกตู้และห้ามใครเอาอะไรมาวางไว้เด็ดขาด

“พี่วินทร์” นรกรปรามทันทีที่ได้โอกาสพักหายใจ

ทว่า วินทร์ก็ไม่ยอมปล่อยจังหวะให้นานนัก มือใหญ่คว้าเข้าข้างแก้มและดึงให้หันกลับมาหาอีกครั้ง “ขออีกนิดนะ”

“ตะ… แต่ เดี๋ยวมีคนมา”

“แค่นิดเดียว” วินทร์กระเซ้าเสียงหวานก่อนจะฉกริมฝีปากกลับไปครอบครองอีกครั้ง

มือทั้งสองจิกกำบ่ากว้างแน่น ในขณะที่ทั่วทั้งปากยังหวานในรสสัมผัส ผิวกายร้อนรุ่มตามทางที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายลากผ่านแม้จะยังมีเสื้อผ้าขวางกั้นจนพาให้อารมณ์เริ่มไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาสีอ่อนปรือขึ้นเล็กน้อยมองผ่านร่างสูงไปยังล็อกเกอร์ด้านหลังพลันความรู้สึกสะท้านอายก็พุ่งขึ้นมาในอก นรกรกลั้นใจถอนริมฝีปากออกแล้วก้มหน้าหนีลงซบบนไหล่

วินทร์ผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย กำลังจะเริ่มต้นนับหนึ่งถึงสิบเพื่อข่มอารมณ์เมื่อเสียงกระซิบดังอู้อี้ออกมาจากคนที่ยังเกาะบ่าไว้แน่น

“เราเปลี่ยนที่กันไหมครับ”

oooooo

ทันทีที่เข้ามาในห้องพักแพทย์ซึ่งวินทร์ยังยึดถือกุญแจไว้ทั้งที่ย้ายไปอยู่กับนรกรแล้ว เขาก็ระดมจูบคนที่มาด้วยกันทุกๆ ที่ที่จะสัมผัสถึง ถึงภายนอกเขาจะดูอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่จริงๆ ความเศร้าและเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้นั้นยังคงอยู่ น่าแปลกที่เขาค้นพบว่าอุณหภูมิกายที่กำลังขึ้นสูงนั้นแปรผกผันกับความสงบนิ่งของหัวใจ และคนเดียวที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้ก็คือคนในอ้อมแขนนี่แหละ

“พี่วินทร์” นรกรเรียกพร้อมทั้งขืนตัวออกห่าง “ใจเย็นๆ สิครับเดี๋ยวชุดยับ”

เจ้าของชื่อหรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วรั้งเอวคนตัวเล็กกว่าเข้ามาประชิด “มือไม่ว่างน่ะใช้กอดอยู่ ถอดให้หน่อยสิ” บอกหน้าตาเฉย

“พี่วินทร์”

“ก็มันไม่ว่างจริงๆ นี่ หรือจะให้ฉันใช้ปากถอดล่ะ เอาไหม” ไม่พูดเปล่าวินทร์ซุกหน้าลงบนหน้าอกแล้วใช้ปลายลิ้นกับริมฝีปากปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจากรังทีละเม็ดๆ จนกระทั่งถึงหัวเข็มขัดซึ่งเป็นงานยากแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เวลาเพียงแค่อึดใจ วินทร์เหลือบตามองคนที่ไม่ยอมพูดอะไรได้แต่ใช้ปลายเล็บจิกบ่าเขาไว้แน่น เขาแกล้งสบตาทิ้งไว้อย่างนั้นในขณะที่ใช้ปลายลิ้นตวัดหัวซิปกางเกงมากัดไว้ที่ฟันก่อนจะค่อยๆ ลากลงช้าๆ

“เลิกแกล้งผมได้แล้วครับ”

วินทร์ยิ้มยั่ว นัยน์ตาคมพราวระยับ และเพียงแค่ขยับตัวครั้งเดียวเขาก็เหวี่ยงเสื้อที่คลุมตัวอีกฝ่ายลงไปกองกับพื้นแล้วจับคนตัวเล็กกว่าพลิกกดลงบนเตียงโดยเอาตัวเองทาบทับไว้ “ไม่ได้แกล้งสักหน่อย นี่เอาจริงสุดๆ เลยนะ”

“พี่วินทร์ครับ”

“จะบ่นอะไรอีกล่ะ”

“อีกครึ่งชั่วโมงผมมีผ่าตัดนะ”

วินทร์ยิ้มขัน ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะยั่วหรือห่วงงาน หากเขาก็รีบรับคำด้วยการกดจูบลงบนริมฝีปากพร้อมกับขยับตัวพานรกรขึ้นไปสู่จุดสูงสุดก่อนจะดำดิ่งสู่ห้วงหลับลึก แม้ฝ่ามือใหญ่จะสัมผัสลงข้างแก้มพร้อมกับเสียงเรียกชื่อซ้ำๆ ที่ข้างหู “ฮาร์ฟ”

oooooo

นรกรรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าห้องที่เคยสว่างไสวมืดสนิท เขากวาดตามองหาเจ้าของอ้อมกอดที่หายไปแล้วก็พบว่าวินทร์จัดการเช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้ว มือเรียวขยับเปะปะหาแว่นที่หัวเตียงมาสวมและทันทีที่ภาพตรงหน้ากลับมาแจ่มชัด เขาก็เห็นเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่บอกเวลาเย็นย่ำแล้ว

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโพลงแล้วรีบควานหาโทรศัพท์มาดูให้แน่ใจ และทันทีที่เห็นมิสคอลบนหน้าจอเขาก็ลนลานคว้าเสื้อกาวน์มาสวมทับ หยิบกระเป๋าแล้ววิ่งเต็มฝีเท้ากลับไปที่ห้องผ่าตัดเพราะตอนนี้เลยเวลานัดมานานแล้ว

ระหว่างที่วิ่งไปก็พยายามโทรหาทั้งวินทร์ทั้งน้องๆ แพทย์ประจำบ้านที่อยู่เวรด้วยความร้อนใจ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับสักสาย เขาตัดใจจากการโทรและเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเพื่อวิ่งให้เร็วขึ้น ในใจก็นึกโทษและก่นด่าตัวเองที่ไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย ถ้าคนไข้ไม่ได้รับการผ่าตัด ถ้าหากเคสมีปัญหาแล้วน้องๆ ติดต่อเขาไม่ได้ล่ะ

คิดกังวลไปสารพัดจนใจเริ่มเสีย แต่เมื่อมาถึงหน้าห้องผ่าตัดสิ่งที่เห็นคือคนที่ทิ้งให้เขานอนหลับยาวและไม่ยอมรับโทรศัพท์เดินหัวร่อต่อกระซิกออกมากับแพทย์ประจำบ้านคนอื่นๆ

“พี่วินทร์สุดยอดเลย เย็บแผลโคตรไวแถมยังเนี้ยบอีก”

“ฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวก็เก่งน่า กว่าจะได้แบบนี้เมื่อก่อนฉันเย็บเบี้ยวจนโดนอาจารย์สรวิชญ์ใช้ส้นเท้าสะกิดไปไม่รู้กี่รอบ”

“อย่างพี่วินทร์ยังโดนเลยเหรอครับ”

“น้อยไปสิ พวกแกยังไม่เคยโดนไล่ออกจากห้องกลางเคส”

“โหยยยย พี่วินทร์โคตรสตรอง เป็นผมโดนแบบนี้นะลาออกไปแล้ว”

“ก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน” วินทร์ตอบพลางหัวเราะลงคอ

“พี่วินทร์ห้อยพระวัดไหนครับ ผมจะได้ไปบูชามาห้อยบ้าง”

“วัดไหนน่ะเหรอ” วินทร์ทำเป็นนิ่วหน้าคิดอยู่อึดใจ “ก็วัด...” กำลังจะอ้าปากตอบพลันสายตาก็ไปหยุดลงตรงร่างโปร่งที่ยืนกอดอกอยู่กึ่งกลางทางเดิน

“พี่ฮาร์ฟ สวัสดีครับ” แพทย์ประจำบ้านเองก็เห็นเช่นกันและพากันยกมือไหว้ ซึ่งเจ้าตัวก็ยกมือรับเป็นปกติ

แต่วินทร์รู้ดีว่ามันไม่ปกติ

“พรุ่งนี้เจอกันนะ” เขาตัดบทเป็นการบอกลาทุกคน

“พี่วินทร์ยังไม่ได้บอกเลยนะครับว่าวัดไหน”

วินทร์ยิ้มให้แทนคำตอบพร้อมกับโบกมือไล่ แพทย์ประจำบ้านเห็นสัญญาณที่ส่งมาจึงยอมหันมายกมือไหว้เขาอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไป เขารอจนทั้งทางเดินเหลือกันแค่สองคนจึงเดินเข้าไปยืนตรงหน้านรกร “โกรธอะไรเหรอ”

“ผมบอกพี่วินทร์แล้วใช่ไหมว่าให้ปลุก” นรกรพูดเสียงห้วน เขารู้สึกโกรธจริงๆ “ผมไม่อยากเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ นี่มันเป็นงานของผม และพี่วินทร์ไม่จำเป็นต้องมาเอาใจผมด้วยวิธีการแบบนี้”

วินทร์ผ่อนลมหายใจออกจมูกเล็กน้อย และมองคนตรงหน้า คาดไว้แล้วว่าเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้มีแค่ไม่กี่เรื่องที่จะทำให้นรกรหงุดหงิดได้หนึ่งก็คือเรื่องโดนขัดตอนอ่านหนังสือ และสองก็คือเรื่องงาน ถึงใครๆ และแม้แต่เจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าตัวเองไม่เหมือนศาสตราจารย์สรวิชญ์แม้แต่น้อย แต่เขานี่แหละที่ขอยืนกรานเสียงแข็งว่า ‘สองคนนี้เป็นพ่อลูกกันล้านเปอร์เซ็นต์’ “นี่ไม่ใช่การเอาใจ แต่เป็นการขอโทษและการแสดงความรับผิดชอบของฉันต่างหาก” พยายามบอกให้นุ่มนวลที่สุด “นายหลับไปตั้งแต่บ่าย ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วนะ คิดว่าตัวเองหลับลึกแค่ไหนกัน และนั่นก็เป็นเพราะฉันเอง... ขอโทษที่รุนแรงไปหน่อยทั้งที่อยู่ในเวลางานแท้ๆ”

“ผมเองก็ผิดที่ยอม” นรกรพึมพำ เขาไม่ได้ใจเย็นลง แต่เพราะคำพูดของวินทร์ทำให้ภาพเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่ดูไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าใดกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง

วินทร์อมยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วชะโงกหน้าไปกระซิบที่ข้างหู “นายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนี่นา”

นรกรเบี่ยงศีรษะหลบ “แล้วพี่วินทร์บอกเหตุผลที่มาแทนผมกับคนอื่นๆ ว่าไงครับ”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ทำไมเหรอ” วินทร์ถามกลับ “ไม่มีใครสงสัยหรอกเพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นแฟนกัน”

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโตขึ้นทันทีด้วยความตกใจ “ทำไมถึงรู้ล่ะครับ หรือว่า…”

“ก็ฉันเป็นคนบอกเอง” วินทร์ตอบ “ทุกคนรู้มาตั้งนานแล้วว่าฉันจีบนาย พอจีบติดก็ขอฉันอวดสักนิดสิ ไม่งั้นวันนี้พอเห็นฉันเป็นแบบนั้นเจ้าพวกนั้นจะโทรตามนายมาทำไม”

นรกรยิ่งพูดไม่ออกกว่าเดิมกับคำรับสารภาพแบบหน้าซื่อตาใส “แล้ววันนั้น… ที่มีนักเรียนแพทย์ถามตอนที่อยู่ในห้องพักละครับ”

วินทร์นิ่วหน้านึกอยู่อึดใจ “กับนักเรียนฉันไม่ได้บอกหรอก แต่ถ้าถามว่ามีแฟนหรือยังฉันก็ยอมรับตรงๆ ว่ามีแฟนแล้ว แต่ดูเหมือนบางคนก็จะรู้นะเพราะตอนนั้นฉันเผลอหันไปหานาย ถึงนายจะไม่สนใจก็เถอะ”

นรกรเม้มปากแน่น หัวใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงเสียงโห่ร้องที่ดังกระหึ่มในวันนั้น

“ขอโทษนะถ้านายไม่ชอบใจ” วินทร์รีบบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปและพูดอะไรอีก “แต่ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอาย และไม่เห็นความจำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ เลยในเมื่อความรักของเรามันเป็นเรื่องน่ายินดี หรือนายว่าไง”

“กลับไปคุยต่อที่บ้านละกันครับ”

“ทำไมต้องกลับบ้านล่ะ คุยกันที่นี่ก็ได้นี่”

นรกรส่ายหน้า

วินทร์พยายามจะเดินเข้าหา แต่อีกฝ่ายกลับถอยหนี “ฮาร์ฟ”

“กลับบ้านครับ” นรกรตัดบทพร้อมกับหมุนตัวกลับ

oooooo

“ถึงบ้านแล้วนะ มีอะไรหรืออยากจะให้ฉันทำยังไงก็พูดมาสิ” วินทร์ถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำทั้งที่กลับถึงบ้านตามที่ตกลงกันแล้ว “ฮาร์ฟ อย่าเงียบสิ”

หากยิ่งถามนรกรยิ่งเงียบใส่ เขายกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างอ่อนใจจะง้างปากคนปากแข็ง กำลังจะเดินเข้าไปหาเมื่อจู่ๆ คนที่เอาแต่เงียบก้าวเข้ามายืนตรงหน้า แล้วโดยปราศจากคำตอบใดๆ นรกรโผเข้ากอดเขาพร้อมกับซุกหน้าลงบนหน้าอกกว้าง

“อะไรเนี่ย ตกลงโกรธหรือไม่โกรธ ฉันทำตัวไม่ถูกนะ” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ก็ตอบสนองโดยการสอดแขนเข้ารัดรอบเอวพร้อมทั้งวางคางเกยลงบนศีรษะ จะว่าไปวินทร์ก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้วล่ะเพราะเขาแอบเห็นพวงแก้มกับหูที่เริ่มเปลี่ยนสีนิดๆ นรกรยังไม่หายโกรธเขาแต่ก็บังเอิญว่ามีเรื่องมาให้ดีใจหรืออายอะไรสักอย่างอยู่ หากก็น่าเสียดายที่สองเรื่องนี้มันเอามาหักล้างกันไม่ได้ ผลก็เลยจบลงตรงที่เจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก

“โกรธที่ไม่ยอมบอกให้เร็วกว่านี้” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากคนในอ้อมแขน

เขาดีใจ... มาก มากจนไม่รู้จะถ่ายทอดออกไปได้ยังไง มันเอ่อล้นอยู่ในอก ถ้าการได้รักและได้รักตอบนับว่าเป็นจุดสูงสุดแล้วละก็ การที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นที่รักและยอมรับล่ะเขาจะเรียกความสุขมากมายขนาดนี้ว่าอะไรดี

“เรื่อง?” รอยยิ้มกว้างกระจ่างเต็มหน้า วินทร์กระเซ้าทั้งที่รู้คำตอบอยู่เต็มอกแล้ว แต่เขาแค่อยากฟังให้แน่ใจว่าเป็นเรื่องเดียวกัน
แล้วนรกรก็เงียบไปอีก วินทร์เดาได้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังคิดหาถ้อยคำมาบอกเขาแน่ๆ และในขณะที่กำลังคาดเดาคำตอบอยู่นั้นนรกรก็ขยับตัวเล็กน้อย เขาจึงคลายวงแขนออกเพราะคิดว่าหายใจไม่ออก

นรกรเงยหน้าขึ้นและเป็นจังหวะนั้นเดียวกับที่วินทร์ก้มหน้ามา นัยน์ตาสองคู่จึงสบกันนิ่ง

“พี่วินทร์”

...ถ้ายังคิดไม่ออก เรียกแบบนี้ไปก่อนก็ง่ายดี...

แล้วเขาก็เขย่งตัวขึ้นประทับริมฝีปากครั้งหนึ่งก่อนจะมุดหน้าหนีเข้าไปในอกกว้างตามเดิม

วินทร์แทบจะได้ยินเสียงกริ่งสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในหัว เขาต้องฝืนใจเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้รัดตัวคนในอ้อมแขนแน่นจนเกินไป “ไม่เอาน่าฮาร์ฟ อย่ามาทำตัวน่ารักแบบนี้ไม่งั้นฉันจะอดใจไม่ไหวนะ”

“พี่วินทร์ต่างหากที่น่ารัก” นรกรกระซิบ

เจ้าของชื่อกัดริมฝีปากข่มอารมณ์จนช้ำแล้วตอนนี้ “ตอบมาก่อนว่าเรื่องอะไร”

“เลิกแกล้งผมได้แล้วครับ นี่ต้องให้ผมพูดจริงๆ ใช่ไหมว่าทำไมถึงชวนกลับบ้าน”

วินทร์หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับอารมณ์ที่ในที่สุดก็ทนเก็บไว้ไม่ไหว “ไม่ได้แกล้งแค่อยากให้แน่ใจว่าเข้าใจไม่ผิด ว่าแต่นายเติมของในลิ้นชักแล้วเหรอ” ยังไม่วายแกล้งแซว

“แล้วที่พี่วินทร์แอบซื้อยกโหลใส่กระเป๋าไว้นั่นจะเอาไปสอนสุขศึกษาที่ไหนเหรอครับ” นรกรถามกลับ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบดู แต่ตอนรู้สึกตัวตื่นมาในห้องพัก เห็นกระเป๋าเปิดอ้าไว้ ด้วยความเป็นห่วงกลัวของจะหายเลยช่วยเก็บให้

“เอาไว้สอนนายน่ะแหละพ่อนักเรียนดีเด่น” วินทร์กระซิบ “นายอ่อนวิชานี้เกินไปแล้วนะ ฉันเลยว่าจะติวเข้มเอาให้นายได้เกีรตินิยมเลย” และทั้งที่มันเกิดที่ข้างหู แต่สีผิวกับอุณหภูมิกายถึงสูงขึ้นรวดเร็ว

“แล้วถ้าได้แล้วจะเลิกสอนหรือเปล่าครับ”

“นายไม่เคยได้ยินหรือไงว่า life is long learning” วินทร์รวบตัวอีกฝ่ายเข้าประชิด และเพราะยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่บ่ายเขาก็คิดออกทันทีว่าวันนี้จะเริ่มบทเรียนที่ไหนดี

****************************************TBC**************************************************

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 19-07-2016 00:56:28
หวานมากกกก
ชอบบบบบ รอตอนพิเศษค. ง. จ. ฉ. นะคะ555555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: meeoldly ที่ 19-07-2016 01:19:25
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-07-2016 02:40:03
บทเรียนแบบนี้คงต้องเรียนกันไปยาวๆเลยค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 19-07-2016 04:58:28
บทเรียนนี้เรียนกันยาวไปเลยค่ะ  :o8:

หวานแบบนี้เค้าชอบอ่ะ รอตอนต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 19-07-2016 07:58:42
โอ้ยยยย...น่ารัก อยากเข้าไปร่วมสังเกตุการณ์ในห้องเรียน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 19-07-2016 08:39:44
 :pig4: :L2: :mew1: :mew1:  น่ารักมากจ้า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 19-07-2016 10:10:21
ชอบๆ ชอบมาก กำลังใจดีแถมเก่งอีกด้วย พี่วินทร์โชคดี  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 19-07-2016 10:42:53
หวานแบบกำลังดี หวานกว่านี้อีกได้มั้ย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 19-07-2016 11:25:36
ภาคผนวก ข.
. . .
“ก็ฉันเป็นคนบอกเอง” วินทร์ตอบ “ทุกคนรู้มาตั้งนานแล้วว่าฉันจีบนาย พอจีบติดก็ขอฉันอวดสักนิดสิ ไม่งั้นวันนี้พอเห็นฉันเป็นแบบนั้นเจ้าพวกนั้นจะโทรตามนายมาทำไม”
. . .
“แล้วที่พี่วินทร์แอบซื้อยกโหลใส่กระเป๋าไว้นั่นจะเอาไปสอนสุขศึกษาที่ไหนเหรอครับ”

แอบขำ นึกไม่ถึงว่าพี่วินทร์จะมีมุมนี้ แหม ขออวดแฟนหน่อยเถอะ 555

คุณ leGGyDan ขราาาา ยกโหลเนี่ย ขอเป็นยกโหลคละแบบน้าาาา ขรุขระ มีกลิ่น เรืองแสง ฯ แล้วถ้ายกไปสอนวิชาสุขศึกษาต่อในภาคผนวก ค. จะดีงามมากค้าาาา  :impress2:

:pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-07-2016 12:38:00
พี่วินทร์ ฮาร์ฟ มาเติมความหวาน ให้ชุ่มชื่นหัวใจ :mew1: :mew1: :mew1:
 มาเติมได้บ่อยๆ นะ ชอบบบบบ :3123: :3123: :3123:
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-07-2016 14:31:34
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 19-07-2016 15:38:19
พี่วิ๊นทร์ โง้ยยยยยยย ร้ายกาจจจจ ทำจนพี่ฮาร์ฟไปผ่าไม่ทัน
แต่พี่ฮาร์ฟไม่เบาๆ ฮือ น่ารักมาก อ้อนเก่งมาก
ยิ่งอ่านภาคผนวกเหมือนช่วงคืนกำไรให้พี่วินทร์ที่แพ้ทุกคนมาตลอดแม้กระทั่งตัวเอง
เลิ้บมากๆ มาอีกหล่ยๆภาคผนวกเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: purpleguy ที่ 19-07-2016 17:30:02
  :z1: สรุปว่า...มีภาคผนวก ค...... :haun4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 19-07-2016 18:44:06
ตอนนี้หวานนนน :-[
จะมีตอนพิเศษต่อไปมั้ยคะ ชอบจัง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 19-07-2016 20:37:04
สนุกมากค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: haramoonlight ที่ 20-07-2016 07:42:46
เป็นเรื่องราวที่มีครบทุกรสชาดจริงๆค่ะ อยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหมอที่เขียนชีวิตการทำงานในโรงพยาบาลแบบนี้มานานแล้วค่ะ แต่หายากมากกกกก ส่วนใหญ่ก็แค่ตัวเอกสักคนได้ชื่อว่าเป็นหมอแต่สถานการณ์ในเรื่องแทบจะไม่เกี่ยวกับ รพ. และคนไข้ หรือถ้ามีก็มักต้องอ่านไปบ่นไปกับข้อมูลที่มันไม่ค่อยสมจริงจนสุดท้ายก็ต้องเลิกอ่าน สำหรับเรื่องนี้ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวัง แค่อยากหานิยายอ่านฆ่าเวลา แต่สุดท้ายก็ต้องอ่านรวดเดียวข้ามวันข้ามคืนจนจบ ทั้งโครงเรื่องการวางพล๊อต และการเล่าเรื่อง สนุก น่าสนใจ และน่าติดตามมากกก ความเกี่ยวโยงของตัวละครทุกตัวมันทำให้ต้องลุ้นไปตลอดที่อ่าน ตัวละครทุกตัวคนแต่งเขียนออกมาได้มีมิติ และน่าสนใจแม้กระทั่งตัวประกอบ เราชอบน้องลลินกับคุณผีตู้ล็อคเกอร์มากกกก รองจากพี่วินทร์กับหมอฮาร์ฟ นิยายเรื่องนี้ทำให้เราอ่านไปแล้วร้องไห้ไป ร้องไห้ที่เป็นการร้องไห้จริงๆไม่ใช่แค่น้ำตาไหล และทั้งๆที่ร้องไห้จนตาบวมแต่ก็ยังหัวเราะได้กับมุกเสี่ยวของพี่วินทร์ แล้วความน่ารักของหมอฮาร์ฟที่ถึงจะอายก็ยังอุตส่าห์เตรียมพร้อมกะขนาดของพี่วินทร์ตามทฤษฎีซะงั้น สุดท้ายอยากบอกว่าขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่าน ขอบคุณในความพยายามในการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆเราเห็นถึงความทุ่มเทและความตั้งใจและความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยที่มันทำให้เราอ่านนิยายของคุณแล้ววางไม่ลง อยากบอกเราเรามีความสุขจริงๆที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ ขอเป็นกำลังใจให้เขียนนิยายดีๆออกมาให้ได้อ่านกันต่อไปเรื่อยนะคะ จะรอติดตามภาคผนวกตอนต่อไป แต่ตอนนี้ขอตามไปอ่าน ER ก่อนค่ะ ^^ :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 20-07-2016 16:35:19
เห็นพี่วินมีความสุข ก้อดีใจด้วย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 20-07-2016 22:48:27
นึกว่าจะเศร้าแล้วนะพี่วิน แต่ก็เป็นพี่วินเองจริงๆแฮะ

หวานมากจนน่าอิจฉา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-07-2016 10:21:24
อ๊ายยยยยยยยยยยยย..เขินแทน :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 21-07-2016 20:34:01
 :mew3: สนุกมาก ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 22-07-2016 00:29:31
ชอบค่ะ เขินจังงงงง  :hao4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Theznux ที่ 22-07-2016 00:35:09
เพิ่งได้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้ เป็นพล็อตฟิคที่เราชอบมากกกก เคยคิดอยากแต่งแบบฟิคที่มีเมะเป็นวิญญาณ
แล้วเคะสามารถเห็นวิญญาณได้ แต่แต่งฟิคไม่ใช่แนวถนัดของเราเลย ถนัดอ่านมากกว่าเลยได้แต่เก็บพล็อต
นี้ไว้ในใจ หวังว่าจะมีคนมาแต่ง แล้วก็มีจริงๆ อ่านบทแรกๆก็รู้เลยว่าเราต้องชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆ
เก็บไว้ในคอลเลคชั่นฟิคน่าประทับใจของเราเลย คนแต่งแต่งละเอียดมากเลย เราชอบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
ที่คนแต่งพยายามสอดแทรกเข้ามา มันดูมืออาชีพมากเลย อย่างชื่อจริงและชื่อเล่นของหมอฮาร์ฟ
ยอมใจเลยจริงๆ ชื่อมาจากคำว่า neuron กลับหัว อ่านแล้วนั่งร้องว้าวในใจเบาๆ 5555555

ยอมรับว่าแอบอ่านสปอยจากคอมเม้น เรารู้ว่าวินทร์กับอทิฏฐ์คือคนเดียวกันตั้งแต่ตอนแรกๆแล้ว แต่เรานึก
ไม่ออกจริงๆว่าจะเป็นคนเดียวกันได้ยังไง ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่พออ่านไปก็ลุ้นตลอด พออ่านมาถึงตอนที่ปม
เรื่องวินทร์กับอทิฏฐ์ค่อยๆคลายออก แอบเซ็งเบาๆที่พระเอกคือวินทร์ ในความรู้สึกคือวินทร์กับอทิฏฐ์มัน
คนละคนอะ มันไม่ใช่! แต่พอได้อ่านตอนต่อๆมา เห็นความคิดของวินทร์มากขึ้น ทำให้เราแบบ เออ! นี่แหละ
พระเอก วินทร์กับอทิฏฐ์คือคนเดียวกันว่ะ 5555 เราว่าคนแต่งแต่งเก่งมากเลย เราคล้อยตามมากๆ
ทุกอย่างดูมีเหตุมีผลรองรับหมดเลย ทั้งๆที่เราคิดว่าเห้ย! มันจะเป็นไปได้ไง แต่สุดท้ายก็เป็นไปได้อะ

เรารักเรื่องนี้มากๆ ปกติไม่ชอบอ่านเรื่องผีๆ ถึงจะผีไม่น่ากลัว เราก็กลัวอะ ขี้กลัวมากกกก ช่วงแรกนี่เราไม่อ่าน
ตอนกลางคืนเลย แต่หลังๆเริ่มอดใจไม่ไหว ฉันไม่อ่านไม่ได้! 55555 รออ่านภาคผนวกภาคต่อๆไปนะคะ
ถ้ามีคนให้แนะนำฟิค เราจะแนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ! แต่เสียดายที่เพื่อนเราส่วนใหญ่ชอบอ่านแนวรักมหาลัย
กุ๊กกิ๊กๆ เวลาเราแนะนำฟิคแนวผู้ใหญ่ ภาษาสวยให้ทีไรไม่เคยจะอ่านตามเราซักที ขอบอกว่าพลาดมาก!!!
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 22-07-2016 21:36:25
โฮ้ยยย น่ารักเป็นบ้า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: i c u ที่ 23-07-2016 00:48:15
ฮาร์ฟน่ารักจัง  นี่คือช่วงคืนกำไรให้พี่วินทร์ใช่ไหมเนี่ยยยยยยย////แอบมีหมอปืนโผล่มาด้วย พลุมาด้วยป่าวค่ะ คิดถึงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 23-07-2016 07:18:41
 :L1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 23-07-2016 14:53:35
สนุกมากแต่งง เรื่องวินทร์กับทิดอ่ะ พยายามเรียบเรียงนะ แต่ยังไม่ชัวร์ คือ ทิดข้ามเวลามาอนาคต จากนั้นก็กลับไปอดีตฟื้นคืนชีพเหมือนเดิมในเวลาอดีต แล้วมันก็จะเป็นความรู้สึก ในบทที่ 17 In my mind ใช่ไหมคะ ซึ่งนั่นก็คือความรู้สึกของวินทร์ในปัจจุบันหลังจากที่วิญญาณเพิ่งกลับมาจากอนาคตแล้วดำเนินเรื่องต่อมาเรื่อยๆใช่ไหมคะ พยายามคิดง่ายๆก็ ทิดที่อยู่ในอดีต คือเวลา A วิญญาณได้ข้ามเวลามา เวลา B ซึ่ง วินทร์ในปัจุบันอยู่ที่พยายามจีบฮาร์ฟ และเป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินเรื่องมาตั้งแต่ต้น พอทิดตัดสินใจจะอยู่ต่อเพราะฮาร์ฟ แม้จะรู้ว่าฮาร์ฟไม่รักวินทร์ก็ตาม(เพราะวินทร์ก็คือทิดนั่นแล) ก่อนกลับก็ไปแวะคุยกับวินทร์ ที่ดูเหมือนรู้ทุกอย่าง ตัวอย่างก็ตอนที่ไม่อยากให้ฮาร์ฟไปส่งเพราะกลัวตัวเองในอดีตน้อยใจ (บทที่ 17) นี้แหละค่ะจุดนี้ ความเชื่อมโยงที่งง และเข้าใจในแบบตัวเองว่า ตอนที่วินทร์ในเวลาปัจจุบัน(ของเรื่อง) เวลา B ตอนฆ่าตัวตายเมื่อ 8 ปีก่อน วิญญาณของวินทร์ในตอนนั้นก็ข้ามเวลาไปในอนาคตเหมือนกัน เป็นอนาคตของเวลาปัจจุบัน คือเวลา C ซึ่งในช่วงเวลา C นั้น เขาได้เจอ ฮาร์ฟ แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็จะเหมือน กับ เหตุการณ์ในเวลา A คือ วินทร์ก็จะจำอะไรไม่ได้ ถูกฮาร์ฟตั้งชื่อว่า ทิด เป็นเหตุการณ์ซำ้ซ้อนกันตามทฤษฎีเวลาเดจาวูมั้ง(หรืออะไรสักอย่างจำไม่ได้) เมื่อตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ก็กลับมาสู่ช่วงเวลาเดิมคือ เวลาB เป็นวินทร์ในปัจุบัน ซึ่งก็จะเป็นตอนบทที่ 17 เพราะไม่งั้นก็จะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมวินทร์ถึงรักฮาร์ฟ นั่นก็เพราะทั้งสองเคยเจอกันมาแล้วแต่เป็นการเจอที่เหลื่อมกัน คือ วินทร์ เวลา B เจอฮาร์ฟในอนาคต เวลา C หรือ วินทร์ เวลา A (ทิด) เจอกับฮาร์ฟเวลา B (ปัจุบันในการดำเนินเรื่อง) เนื่องจากทั้งสองไม่เคยเจอกันเลยสักครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน เจอกันครั้งแรกคือวันปฐมนิเทศ ที่วินทร์กอดฮาร์ฟด้วยความคิดถึง แม้จะบอกว่า วันลงมีดครั้งแรกของทั้งสองที่ฮาร์ฟให้กำลังใจและรอวินทร์จนหลับหน้าห้องผ่าทำให้รัก แต่วินทร์ขอจีบฮาร์ฟกับอาจารย์พ่อตอนสัมภาษณ์ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นิ นั่นแปลว่ารักมาก่อนแล้ว นี้แหละเป็นอีกจุดที่เอะใจ วินทร์รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในเวลาC ผ่านฝัน ถึงรู้ว่ายังไม่ใช่เวลาของตัวเอง เพราะในเวลาของตัวเอง คือเวลาB ยังมี ทิด ซึ่งคือตัวเองในเวลา A อยู่ ต้องรอให้ ทิดกลับไปในอดีตเวลา A ก่อน ทิดที่กลับไปช่วงเวลา A ของตัวเองเมื่อลืมตาตื่นเรื่องก็จะเป็นไปตามเนื้อเรื่องบทที่17เป็นต้นมา วินทร์ในอนาคตเวลา C เช่นกัน เขากินยาฆ่าตัวตายวิญญาณก็ข้ามเวลาไปในอนาคตอีกเป็นเวลา D เจอฮาร์ฟเวลา D เป็นทิดในช่วงเวลาD เหตุการณ์ก็เป็นเหมือนเดิมตามต้นเรื่อง จนมาถึงตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ก็กลับมาช่วงเวลาตัวเองคือเวลาC แล้วเรื่องก็จะเป็นตามบทที่17 ไป เป็นคอนเซ็บ รักข้ามเวลาใช่ไหมค่ะ เหตุผลที่วินทร์รักฮาร์ฟเพราะเป็นวิญญาณไปเจอฮาร์ฟในอนาคตให้กำลังใจในการอยู่ต่อและรัก พอคิดอย่างเลยเข้าใจที่ทิด(วินทร์) บอกอ.อินทร์ว่า ถึงจะเป็นกรรมแต่สำหรับผมคือ พรหมลิขิตเลยค่ะ เป็นกรรมที่วินทร์ก็ต้องวนเวียนระหว่างอดีต ปัจุบัน อนาคตแบบนี้ อีกทั้งต้องเจ็บปวดที่ต้องรู้ว่ารักแต่แตะต้องไม่ได้เมื่อเป็นวิญญาณทิด และเป็นวินทร์ฮาร์ฟก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่นั่นคือพรหมลิขิตเพราะได้เจอคนที่รักตัวเองและตัวเองสามารถรักได้ เพียงกล้าที่จะคว้าและแก้ไขความล้มเหลวจากรักครั้งก่อน เหมือนที่ผู้แต่งนิยามไว้ในเรื่องนี้ มันลึกซึ้งมากและให้แง่คิดหลายอย่างมาก เป็นนิยายที่ต้องใช้ความคิดและหัวใจในการอ่านด้วย ใช้อารมณ์จะไม่ได้้ใจความสำคัญที่ผู้แต่งอยากสื่อเลยค่ะ ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ นิยายสนุกมาก รบกวนช่วยตอบหน่อยนะคะว่าที่คิดถูกหรือเปล่า ถ้าใช่เท่ากับว่า ไม่พลาดสิ่งที่ผู้แต่งต้องการสื่อในทุกๆอย่างค่ะ  จะดีใจมากเลยค่ะ เม้นยาวเพราะคาใจถ้าใช่ก็จะเคลียร์ อิอิ  :L1: ขอบคุณอีกครั้งค่ะ จะตามเรื่องต่อไปค่ะ  :mew1:
ป.ล.เข้าใจที่เขียนไหมค่ะเขียนเอง อ่านเอง งงเองค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-07-2016 14:58:27
ภาคผนวกมีถึง ภาคผนวก ฮ. ใช่ป่ะ
แล้วตามด้วยภาคผนวก A, b, c.....ใช่ป่ะ

วินทร์น่าหมั่นไส้มากกกก พอ ๆ กับที่ฮาร์ฟน่ารักเลย

คำผิดเล็กน้อย

ฉันเลยว่าจะติวเข้มเอาให้นายได้เกีรตินิยมเลย > เกียรตินิยม
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-07-2016 17:29:15
สนุกมากแต่งง เรื่องวินทร์กับทิดอ่ะ พยายามเรียบเรียงนะ แต่ยังไม่ชัวร์ คือ ทิดข้ามเวลามาอนาคต จากนั้นก็กลับไปอดีตฟื้นคืนชีพเหมือนเดิมในเวลาอดีต แล้วมันก็จะเป็นความรู้สึก ในบทที่ 17 In my mind ใช่ไหมคะ ซึ่งนั่นก็คือความรู้สึกของวินทร์ในปัจจุบันหลังจากที่วิญญาณเพิ่งกลับมาจากอนาคตแล้วดำเนินเรื่องต่อมาเรื่อยๆใช่ไหมคะ พยายามคิดง่ายๆก็ ทิดที่อยู่ในอดีต คือเวลา A วิญญาณได้ข้ามเวลามา เวลา B ซึ่ง วินทร์ในปัจุบันอยู่ที่พยายามจีบฮาร์ฟ และเป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินเรื่องมาตั้งแต่ต้น พอทิดตัดสินใจจะอยู่ต่อเพราะฮาร์ฟ แม้จะรู้ว่าฮาร์ฟไม่รักวินทร์ก็ตาม(เพราะวินทร์ก็คือทิดนั่นแล) ก่อนกลับก็ไปแวะคุยกับวินทร์ ที่ดูเหมือนรู้ทุกอย่าง ตัวอย่างก็ตอนที่ไม่อยากให้ฮาร์ฟไปส่งเพราะกลัวตัวเองในอดีตน้อยใจ (บทที่ 17) นี้แหละค่ะจุดนี้ ความเชื่อมโยงที่งง และเข้าใจในแบบตัวเองว่า ตอนที่วินทร์ในเวลาปัจจุบัน(ของเรื่อง) เวลา B ตอนฆ่าตัวตายเมื่อ 8 ปีก่อน วิญญาณของวินทร์ในตอนนั้นก็ข้ามเวลาไปในอนาคตเหมือนกัน เป็นอนาคตของเวลาปัจจุบัน คือเวลา C ซึ่งในช่วงเวลา C นั้น เขาได้เจอ ฮาร์ฟ แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็จะเหมือน กับ เหตุการณ์ในเวลา A คือ วินทร์ก็จะจำอะไรไม่ได้ ถูกฮาร์ฟตั้งชื่อว่า ทิด เป็นเหตุการณ์ซำ้ซ้อนกันตามทฤษฎีเวลาเดจาวูมั้ง(หรืออะไรสักอย่างจำไม่ได้) เมื่อตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ก็กลับมาสู่ช่วงเวลาเดิมคือ เวลาB เป็นวินทร์ในปัจุบัน ซึ่งก็จะเป็นตอนบทที่ 17 เพราะไม่งั้นก็จะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมวินทร์ถึงรักฮาร์ฟ นั่นก็เพราะทั้งสองเคยเจอกันมาแล้วแต่เป็นการเจอที่เหลื่อมกัน คือ วินทร์ เวลา B เจอฮาร์ฟในอนาคต เวลา C หรือ วินทร์ เวลา A (ทิด) เจอกับฮาร์ฟเวลา B (ปัจุบันในการดำเนินเรื่อง) เนื่องจากทั้งสองไม่เคยเจอกันเลยสักครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน เจอกันครั้งแรกคือวันปฐมนิเทศ ที่วินทร์กอดฮาร์ฟด้วยความคิดถึง แม้จะบอกว่า วันลงมีดครั้งแรกของทั้งสองที่ฮาร์ฟให้กำลังใจและรอวินทร์จนหลับหน้าห้องผ่าทำให้รัก แต่วินทร์ขอจีบฮาร์ฟกับอาจารย์พ่อตอนสัมภาษณ์ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นิ นั่นแปลว่ารักมาก่อนแล้ว นี้แหละเป็นอีกจุดที่เอะใจ วินทร์รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในเวลาC ผ่านฝัน ถึงรู้ว่ายังไม่ใช่เวลาของตัวเอง เพราะในเวลาของตัวเอง คือเวลาB ยังมี ทิด ซึ่งคือตัวเองในเวลา A อยู่ ต้องรอให้ ทิดกลับไปในอดีตเวลา A ก่อน ทิดที่กลับไปช่วงเวลา A ของตัวเองเมื่อลืมตาตื่นเรื่องก็จะเป็นไปตามเนื้อเรื่องบทที่17เป็นต้นมา วินทร์ในอนาคตเวลา C เช่นกัน เขากินยาฆ่าตัวตายวิญญาณก็ข้ามเวลาไปในอนาคตอีกเป็นเวลา D เจอฮาร์ฟเวลา D เป็นทิดในช่วงเวลาD เหตุการณ์ก็เป็นเหมือนเดิมตามต้นเรื่อง จนมาถึงตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ก็กลับมาช่วงเวลาตัวเองคือเวลาC แล้วเรื่องก็จะเป็นตามบทที่17 ไป เป็นคอนเซ็บ รักข้ามเวลาใช่ไหมค่ะ เหตุผลที่วินทร์รักฮาร์ฟเพราะเป็นวิญญาณไปเจอฮาร์ฟในอนาคตให้กำลังใจในการอยู่ต่อและรัก พอคิดอย่างเลยเข้าใจที่ทิด(วินทร์) บอกอ.อินทร์ว่า ถึงจะเป็นกรรมแต่สำหรับผมคือ พรหมลิขิตเลยค่ะ เป็นกรรมที่วินทร์ก็ต้องวนเวียนระหว่างอดีต ปัจุบัน อนาคตแบบนี้ อีกทั้งต้องเจ็บปวดที่ต้องรู้ว่ารักแต่แตะต้องไม่ได้เมื่อเป็นวิญญาณทิด และเป็นวินทร์ฮาร์ฟก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่นั่นคือพรหมลิขิตเพราะได้เจอคนที่รักตัวเองและตัวเองสามารถรักได้ เพียงกล้าที่จะคว้าและแก้ไขความล้มเหลวจากรักครั้งก่อน เหมือนที่ผู้แต่งนิยามไว้ในเรื่องนี้ มันลึกซึ้งมากและให้แง่คิดหลายอย่างมาก เป็นนิยายที่ต้องใช้ความคิดและหัวใจในการอ่านด้วย ใช้อารมณ์จะไม่ได้้ใจความสำคัญที่ผู้แต่งอยากสื่อเลยค่ะ ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ นิยายสนุกมาก รบกวนช่วยตอบหน่อยนะคะว่าที่คิดถูกหรือเปล่า ถ้าใช่เท่ากับว่า ไม่พลาดสิ่งที่ผู้แต่งต้องการสื่อในทุกๆอย่างค่ะ  จะดีใจมากเลยค่ะ เม้นยาวเพราะคาใจถ้าใช่ก็จะเคลียร์ อิอิ  :L1: ขอบคุณอีกครั้งค่ะ จะตามเรื่องต่อไปค่ะ  :mew1:
ป.ล.เข้าใจที่เขียนไหมค่ะเขียนเอง อ่านเอง งงเองค่ะ ^^


ถูกต้องค่าาาา~ ตามนั้น

แต่ถ้าจะให้เราสรุปง่ายๆ(หรือจะงงกว่าเดิมน้อ555) ก็คือ เรื่องนี้เราแต่งใต้โจทย์ของความสงสัยหลังจากอ่าน/ดูหนัง แนวที่ว่าวิญญาณออกจากร่าง ข้ามเวลามารักกัน (ไม่ใช่ลักษณะของกลับชาติมาเกิด) เพราะเท่าที่ดูมาก็จะเห็นว่ารักกกันได้ง่ายดาย แต่ในความรู้สึกลึกๆ ของเราคือ จริงเหรอ?  รักกันได้เลยจริงเหรอ?
เรื่องนี้จึงแต่งขึ้นมาโดยขยายเส้นเวลาทับซ้อนให้ชัดขึ้น ให้เห็นว่ามันเป็นคนละคน และอยากเขียนให้เห็นพัฒนาการของความรู้สึกในแต่ละตัวละครอีกมุมหนึ่ง ที่ยังมีทั้งความรู้สึกตอนเปนวิญญาณหลงเหลือ และความรู้สึกตอนที่เปนคนที่อยากให้นายเอกรักเราที่อยู่หน้าไม่ใช่รักเพราะเป็นคนเดียวกัน เลยรักกันแล้วจบเลย
ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับกำลังใจ^^
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥MPEGz♥ ที่ 23-07-2016 17:57:26
โอ๊ยฟินนนน เมื่อกี้อ่านเม้นคุณข้างบนเราก็ยังงงหนักเหมือนเดิม 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 23-07-2016 21:39:55
อาาาาา ฟินมากมายยย :heaven  มาเรื่อยๆนะคะ รอติดตามอยู่เสมอ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ เขียนเก่งจริงๆ ยกนิ้วให้เลย เยี่ยม!  o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-07-2016 22:05:51
อาาาาา ฟินมากมายยย :heaven  มาเรื่อยๆนะคะ รอติดตามอยู่เสมอ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ เขียนเก่งจริงๆ ยกนิ้วให้เลย เยี่ยม!  o13

ขอบคุณที่ติดตามและรีวิวน่ารักๆ ด้วยค่าาาา~
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Nunu ที่ 24-07-2016 11:32:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ดีใจมากๆ ที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ค่ะ บอกเลยว่า น่าติดตามจนวางไม่ลง
อ่านรวดเดียวตั้งแต่เมื่อวาน มีหยุดอ่านคือเผลอหลับไปตอนดึก ตื่นปุ๊บอ่านต่อปั๊บ  5555

คนเขียนแต่งเก่งมากค่ะ เริ่มจับเค้าได้กลางๆ เรื่องว่า พี่วินทร์ กับ ทิด เป็นคนเดียวกัน
แต่ก็สงสัยเหมือนบางคนว่า จะต่อกันติดยังไงหว่า แต่คนเขียนก็สามารถทำได้ เนียนมากด้วย
ไม่รู้สึกสะดุดเลย ขอคารวะจริงๆ ค่ะ

ยิ่งมีภาคผนวกนี่คือดีมากอ่ะ ฟินไปสามโลก 5555 อ่านแล้วแบบ มันอิ่ม มันเต็ม มันสุข รอภาคผนวกต่อไปค่ะ
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่านค่ะ จะรอติดตามผลงานต่อไปนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 25-07-2016 00:32:31
ชอบมากกกก นับวันฮาร์ฟยิ่งทำตัวน่ารักขึ้นนะ ฮืออออ

อยากอ่าน ค. ต่อแล้วค่าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 26-07-2016 19:29:10
หวานมากๆๆ เขินสุดดดด :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 26-07-2016 20:21:18
ภาคผนวช ค.คงเล่นท่ายากเลยอ่ะ ชอบมากๆๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MM ที่ 26-07-2016 22:06:07
มาเห็น ภาคผนวกตอนใหม่ช้าไป
รักเรื่องนี้ อ่านกี่รอบก็ชอบ ช่วงก่อนนี้
เข้ามาส่องรอภาคผนวกบ่อยๆเลยค่ะ
รักเคะนิสัยแบบฮาร์ฟมากไม่งี่เง่า ไม่ง้องแง้ง
ตอนอายก็น่ารัก ตอนเขิลก็น่าแกล้ง
ส่ง  :mew1: ให้คนเขียน เราตามทั้งER ตามทั้งเรื่องนี้เลย เข้ามาอัพบ่อยๆน๊า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: gasia ที่ 27-07-2016 08:39:46
เป็นบทเรียนที่เรียนทั้งชีวิตเลยค่าาาา
อบอุ่นหัวใจจจจเหลือเกิน น้องไห้ซะหลายตอนเลย
ลุ้นมากกกกกก ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะคะ  พี่วินท์ได้รับสิ่งตอบแทนกับเวลาที่ผ่านมาแล้วเนอะะะะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 04-08-2016 13:31:03
รวมเล่มไหมค่ะเรื่องนี้ :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Memindbucker ที่ 04-08-2016 18:21:36
ตอนแรกเข้ามาอ่าน/ม่ทันสังเกตว่าเป็นคนเขียนเดียวกับER พอรู้ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสนุกขนาดนี้ ชอบผลงานมาตั้งแตาERแล้วค่ะ
เขียนสนุกมาก ไม่มีตอนไหนน่าเบื่อเลย ลุ้นตามทุกตอน และเดาเรื่องผิดหมด55555
ขอบคุณที่เขียนผลงานดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Silver Fish ที่ 05-08-2016 18:04:16
สนุกมากเลย ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติลงตัวสุดๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Azitten ที่ 06-08-2016 13:16:37
อ่านจบแล้วค่ะ เขียนดีมากกก แรกๆๆอ่านไปก็งงไป จนเฉลย
เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตมาก แต่ดีใจมากที่ในที่สุดอทิษฐ์ก็ฟื้นมาเป็นพี่วินทร์
เสียน่ำตาใฟ้น้องลลิลค่ะ น้ำตาไหลพรากเลยยย

ฮือออออออ

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 06-08-2016 21:16:03
 :L1: :pig4: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 07-08-2016 02:24:51
เรื่องนี้อ่านแล้วมีความสุข...ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 08-08-2016 03:45:13
ขอบคุณนะคะ สนุกมากเลยค่ะ ตอนแรกอ่านๆ ไปก็ลุ้นแบบงงๆ ไป แล้วไม่ได้คิดว่าเป็นพี่วินทร์เลยค่ะ แต่พออ่านตอนที่13 ตอนที่มีประโยคคีย์เวิร์ดแล้วแบบใจกระตุกเลยค่ะ คราวนี้ลุ้นหนักกว่าเดิม ลุ้นไปพร้อมๆ กับเครียดแทนพี่วินทร์ แต่พอกลับเข้ามาช่วงเวลาปัจจุบัน แทบจะจุดพลุฉลองค่ะ น่ารัก หวาน ละมุน และทุกสิ่ง แบบฮาร์ฟก็น่ารักมาก คือชอบคำพูดสไตล์ฮาร์ฟ แบบตรงๆ ดี สรุปว่าชอบเรื่องนี้มากค่ะ น่ารัก อบอุ่น อธิบายไม่ถูก คือทำให้อ่านไปยิ้มไปได้ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 08-08-2016 11:13:50
สนุกมากๆ ค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 08-08-2016 22:44:03
 :L1: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 11-08-2016 16:05:30
เรื่องนี้เพื่อนแนะนำให้มาอ่าน พร้อมคำชมมากมาย แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ เราอ่านไปถามเพื่อนไป คือมันงงไปหมด จนเพื่อนบอกให้อ่านไปเรื่อยๆ ถึงได้เข้าใจว่ามันเป็นยังไง สำหรับเรื่องนี้แค่พล็อตก็กินขาดแล้วค่ะ เราชอบคอนเซปการสร้างพล็อตพร้อมทั้งการวางคาแร็คเตอร์ตัวละคร ยิ่งไปกว่านั้นการวางปมต่างๆ ที่เป็น clue สำหรับการเดาทางนั้นบอกได้เลยว่าดีจริงๆ ค่ะ แนบเนียน ถ้าไม่ช่างสังเกตจริงๆ ไม่รู้เลย นั่นทำให้เราอดรู้สึกนับถือบางเม้นท์ที่สามาถเข้าใจได้ และเดาทางถูกต้อง

อีกอย่างภาษายังลื่นไหลมากอีกด้วยค่ะ ไม่ได้รู้สึกสะดุดอะไรมากมาย ที่จะสะดุดเห็นจะเป็นการลำดับเวลานิดหน่อย แต่เข้าใจนะคะว่าการลำดับเวลาของเรื่องนี้มันซับซ้อนด้วยพล็อตอยู่แล้ว เรื่องนี้มันเหมือนการซ้อนวงเล็บไปเรื่อยๆ แต่กลับกันคนอ่านบางทีก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในวงเล็บไหนแล้วเพราะมันเยอะไปหมด

อีกประการที่เห็นจะไม่ชื่นชมคงไม่ได้คือเรื่องของศัพท์และวลีทางการแพทย์ที่คนเขียนอาจจะมีประสบการณ์ หรือได้ทำการบ้านมาแล้ว ซึ่งน่าชื่นชมมากจริงๆ ค่ะ อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเลย

สุดท้ายนี้ประทับใจมากค่ะ อ่านเรื่องนี้แล้วเห็นว่ามีอีกเรื่องก็คงจะขอไปตามอ่านต่อนะคะ ดูจากเรื่องนี้แล้วองค์ประกอบทางการร่างโครงเรื่องของคุณน่าสนใจมาก และนั่นทำให้อดอยากรู้ไม่ได้ว่าเรื่องก่อนหน้านี้ที่เป็นหนึ่งในผลงานของคุณจะเป็นอย่างไร

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้ค่ะ อิ่มเอม และหลากรสมากจริงๆ ไม่เสียดายเวลาหนึ่งวันที่นั่งอ่านเรื่องนี้ตลอดเวลาเลยค่ะ

 o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: tangMa ที่ 21-08-2016 17:15:18
หวานซ้าาาาาาาาาาาา  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 24-08-2016 23:58:40
เป็นนิยายที่พล็อตเรื่องน่าสนใจ ดำเนินเรื่องก็น่าสนใจ ดึงให้เราอยู่กับมัน อ่านมันจนจบ แบบว่าวางไม่ลงอะไรทำนองนั้น ส่วนเรื่องความถูกต้องของข้อมูลอันนี้เราไม่รู้สึกตะขิดตะขวางใจอะไรจนทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน เพราะเราก็ไม่ค่อยอะไรรู้นั่นเอง ฮี่ๆ

ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องสนุก ๆ แบบนี้ให้อ่าน :)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 25-08-2016 00:24:24
อ่าน ER นาทีหัวใจ จบ มาต่อเรื่องนี้ ไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ
ชอบทั้ง 2 เรื่องเลย หาอ่านยากอะ นิยายแนวคุณหมอ
เรื่องนี้ปม ซับซ้อน จนเราวางไม่ได้ อ่านแล้วต้องคิดตาม
ไรท์เตอร์ ผูกปมได้สนุกจริงๆ รอเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 25-08-2016 19:26:31
ชอบพี่วินทร์ตั้งแต่ต้นเรื่องละ
นึกว่าจะเป็นพระรองที่จะได้ตกมาถึงท้องเราซะอีก
แต่ไม่เป็นไรเป็นพระเอกคู่น้องฮาร์ฟเราก็สุขใจคือกัน

ปล. สงสารน้องลลิน
ปล.ล. ชื่อจริงของฮาร์ฟนี่สุดๆอ่ะ "นรกร"เป็นชื่อที่เท่มากนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: meow-meow ที่ 28-08-2016 20:32:22
ชอบมากอ่ะ..........รักเลยแหละ    :o8:
จะรอติดตามผลงานใหม่ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 02-09-2016 09:11:58
เรื่องราวซับซ้อนดีแท้ สนุกมาก

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 03-09-2016 11:01:40
 :กอด1: :mew1: :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 05-09-2016 14:37:11
จะน่ารักไปไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sincere13 ที่ 09-09-2016 17:58:30
หวีดมากกกก, ภาคผนวกขอให้มี ก-ฮ เลยน้าาา ตั้งแต่เริ่มเรื่องยังไม่ค่อยได้เติมหวานเลยยย :katai2-1: :katai4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 10-09-2016 19:18:43
 :jul1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 10-09-2016 19:37:45
 :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-09-2016 13:43:58
เรื่องเนื้อเรื่องคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเห็นๆ กันอยู่ว่าแยบยลและวางจังหวะเรื่องไว้ดีขนาดไหน ถ้าเป็นหนังคงได้รางวัลบทภาพยนต์และตัดต่อยอดเยี่ยมไปแล้ว

แต่ที่อยากเสริมคืออ่านเรื่องนี้แล้วเข้าใจมากขึ้นในสิ่งที่คนในสายงานนี้ต้องเจออยู่ทุกวัน นอกจากจะหนักจะเหนื่อยแล้วยังต้องแบกรับชีวิตและความหวังของคนมากมายไว้ ยิ่งโรงพยาบาลรัฐด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้ว่าถ้ามีอารมณ์ร่วมไปด้วยจะมีผลกระทบต่อจิตใจและการทำงานหรือเปล่า แต่ถ้าตัดความรู้สึกพวกนี้ออกไปก็อาจจะเป็นคนไร้หัวใจในที่สุด

เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 14-09-2016 22:38:03
สนุกมาก ๆ ค่ะ ฮาลฟ์นี้เหมือนคนละคนกับตอนต้นเรื่องเลย น่าร้ากกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 15-09-2016 13:48:29
เห็นตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง แต่ไม่ได้อ่าน เพราะนึกว่าเป็น puppy love ของนักศึกษาแพทย์
แต่พอลองไปอ่าน review ใน นิยายแนะนำ เลยไปอ่านดู
อ่านแบบ งง ๆ อ่ะแหละ เป็นคนที่มีจินตนาการน้อยมาก แล้วก็บรรยายความคิดของตัวเองไม่ถูก
บอกได้คำเดียวว่า ชอบมากอ่ะ มันแปลกดี แต่อ่านแล้วรู้สึกว่า ดีจังเลยที่ได้มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้
ขอบคุณค่ะ
เดี่ยวไปอ่าน ER ต่อดีกว่า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้ำพระจันทร์ ที่ 16-09-2016 13:10:25
เราชอบเรืองนี้นะคะ ถ้ามีรวมเล่ม เราจะดีใจมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-09-2016 15:34:14
รักของเรา กับกาวน์ตัวเก่า ในวันที่ฝนพรำ (part1)


ความทรงจำบางอย่าง เราเคยคิดว่ามันจางหายหรือปลิวไปกับสายลมแล้ว

แต่แท้จริงมันไม่เคยหายไปไหนเลย ยังคงอยู่ตรงนั้น
และหวนกลับมาให้คิดถึง

ที่ทำได้... แค่คิดถึง

แต่เราเลือกได้

ว่าจะร้องไห้หรือยิ้มไปกับมัน



“พี่ฮาร์ฟครับขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ”

สิ้นคำขอร้องที่ฟังดูตกประหม่าและตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังเดินผ่านไปอย่างรีบเร่งหยุดฝีเท้าและหันมองตามเสียงเรียกซึ่งอยู่ในชุดครุยยาวทับชุดนักศึกษาดูสง่า แม้จะเป็นชายหนุ่มทั้งแท่งแต่ก็ปรุงแต่งทรงผมและหน้าตามาอย่างดีไม่แพ้สาวๆ เพื่อวันแห่งความสำเร็จที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้

นรกรเงียบไปนานพอสมควรจนบัณฑิตใหม่เริ่มลุกลี้ลุกลนเพราะคิดว่าทำอะไรผิด แต่เขาแค่อยากถ่ายรูปกับอาจารย์ที่อดทนสั่งสอนคนหัวทึบอย่างเขาจนมีวันนี้

“ถ้าอาจารย์รีบก็ไม่เป็นไรครับ” เขาบอกทั้งยังรีบเปลี่ยนสรรพนามเพราะกลัวจะโดนหาว่าลามปาม แต่พี่วินทร์เคยบอกไว้นี่นาว่าตอนเรียนเป็นศิษย์-อาจารย์ และเรียนจบเมื่อไหร่เราคือเพื่อน พี่น้องร่วมวิชาชีพ... ดูท่าอาจารย์นรกรจะไม่คิดแบบนั้นสินะ

เขาเดินคอตกกลับไปหากลุ่มเพื่อนที่บ้างก็ชูไม้ชูมือส่งกำลังใจให้ บ้างก็ทำหน้าล้อเลียนในความใจกล้าแล้วก็ดันผิดหวังกลับมา

“ได้สิ”

“ครับ” นึกว่าตัวเองหูเพี้ยนไปจนกระทั่งหันมาเห็นนรกรเดินตามมา

“ขอโทษที พอดีพี่กำลังคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ เลยไม่ทันได้ฟังที่เรียก” นรกรบอกพลางพยายามปรับสีหน้าให้เข้ากับบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น

“ขอบคุณครับ” คนที่กลับกลายเป็นฝ่ายถูกเรียกหน้าตื่นขึ้นมาทันที

“แล้วพี่ต้องทำยังไง”

“ทำยังไง คือ...?” บัณทิตใหม่ทวนคำ

“ก็นั่นไง” นรกรชี้มือไปที่ตากล้องซึ่งยืนส่งยิ้มแฉ่งสู้แสงแดดยามเที่ยงวันมาให้ “สมัยพี่ไม่มีอะไรแบบนี้น่ะ” อย่าว่าแต่เรื่องมีตากล้องเดินตามเก็บภาพทุกอิริยาบทเลย แม้แต่ครอบครัวที่มาแสดงความยินดีก็ไม่มี เขาไม่มีภาพที่เป็นของตัวเองเลยสักใบ มีเพียงรูปที่รับพระราชทานปริญญาบัตรเพียงใบเดียวเท่านั้น อันที่จริงเขาแทบไม่มีความทรงจำที่ดีในวันนี้เลยด้วยซ้ำ

“อ้อ! ไม่ต้องทำอะไรเลยครับพี่ฮาร์ฟแค่ยืนข้างๆ ผมก็พอครับ”

“แค่นั้นเหรอ” นรกรถามย้ำอีกครั้ง

“ยิ้มด้วยก็ดีครับ”

หลังจากให้ตากล้องรัวชัตเตอร์จนพอใจ นรกรก็เตรียมจะผละแต่ก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง

“พี่ฮาร์ฟครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขออีกสักรูปสองรูปได้ไหมครับ”

“ได้สิ”

“เฮ้ย! มันจะมากไปแล้วนะเว้ย เรื่องอะไรแกยึดพี่ฮาร์ฟไว้เดียววะ ถอยออกมาให้พวกเราถ่ายมั่งสิ” เสียงบ่นดังมาจากกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ถัดออกไป

“อะไร ก็พวกแกไม่ขอเองล่ะ”

“มาๆ ถ่ายด้วยกันหมดนี่แหละ” นรกรบอก รู้สึกงงๆ ที่จู่ๆ ก็มีคนมาขอต่อคิวเต็มไปหมด ทั้งยังเริ่มตาลายกับบรรดานักศึกษาแพทย์ที่เข้ามารุมล้อม

“ไม่เอาครับ ผมจะถ่ายกับพี่ฮาร์ฟสองคน นี่มันวันของผมนะเรื่องอะไรต้องเอาไอ้บ้านี่เข้ามาในเฟรมด้วยล่ะ”

“วันนี้แกรับปริญญาคนเดียวไง๊”

“เออ”

“ไอ้นี่ เดี๋ยวปั๊ด!”

“ถ้าไม่เลิกทะเลาะกันพี่ไปแล้วนะ” นรกรแทรกขึ้นทำเอาสองหนุ่มเงียบกริบก่อนเจ้าตัวจะหลุดขำออกมา “ล้อเล่นน่า จะกลุ่มจะเดี่ยวก็ได้ทั้งนั้นแหละวันนี้พี่ว่างทั้งวัน”

“ทำอะไรกันอยู่น่ะท่าทางน่าสนุกจัง”

คนในชุดกาวน์ซึ่งเดินผ่านมาพอดีแวะเข้ามาร่วมวง
“พี่ปอ” นรกรก้มศีรษะทักทาย ซึ่งก็ได้รอยยิ้มกว้างตอบกลับไป

“พี่ถ่ายด้วยคนสิ” คณิณบอก

“เชิญเลยครับ เดี๋ยวพี่ปอยืนคู่กับพี่ฮาร์ฟตรงกลางนะครับ”

“จะดีเหรอ นี่วันของพวกนายนะ พี่ต้องยืนริมสิ”

“พวกผมเรียงตามลำดับอาวุโสครับ ใครแก่ต้องยืนกลาง”

คณิณยกมือขึ้นกอดอก “คิดว่าฉันกลับไปแก้เกรดไม่ทันสินะ”

“ไม่ทันแน่ๆ ครับ และขอบคุณสำหรับ B+นะครับ” บัณทิตใหม่ยิ้มทะเล้น และได้รับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตอบกลับไป

นรกรยืนมองคณิณคุยเล่นกับน้องๆ เขาเป็นแบบนี้เสมอ เข้ากับคนง่ายและเป็นที่รักของทุกคน ซึ่งมันต่างกันกับเขาราวฟ้ากับเหว

“ร้อนไหม?” คณิณหันมาถามพลางยกสองแขนขึ้นป้องแดดให้

“นิดหน่อยครับ” นรกรตอบ

และจู่ๆ โดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ฝนเม็ดเล็กๆ ก็โปรยปรายลงมาก่อนที่กลายเป็นห่าฝน

ทุกคนพากันวิ่งวุ่นหลบฝนจ้าละหวั่น นรกรเหลียวมองซ้ายขวาท่ามกลางความสับสนเพราะตรงนี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ยังไม่รู้จะไปทางทิศใด ฝ่ามือหนึ่งก็ฉวยเข้าที่ข้อมือและดึงให้วิ่งตามไปหลบใต้ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด

“ดูสิ นึกจะตกก็ตกนะฟ้าฝน” คณิณบ่นพลางชะเง้อมองผ่านม่านสายน้ำที่ไหลมาตามกันสาดไปยังท้องฟ้าที่จู่ๆ ก็มืดทึบขึ้นทันทีทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังมีแดดเปรี้ยงอยู่แท้ๆ

“นั่นน่ะสิครับ” นรกรตอบพลางเหลือบมองคนข้างกาย เพราะมีคนมาหลบฝนกันเยอะทำให้เขาต้องยืนเบียดกับคณิณจนไหล่ชนไหล่ และรับรู้ได้ถึงผิวกายที่ยังอุ่นท่ามกลางอุณหภูมิที่เริ่มเย็นลง

ทว่าเหนือกว่าการได้มองและสัมผัส คือการที่สมองดันหวนคิดถึงวันที่เขาไม่เคยลืม วัน...ที่เหมือนกับวันนี้ไม่มีผิด

วันที่ฝนตก... วันที่ฝนพาคนรักของเขาจากไป

“ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่เราเลิกกันเถอะ”

คำที่หลุดออกจากปากชายหนุ่มตรงหน้าฟังดูแสนธรรมดาจนคนฟังต้องถามซ้ำว่าไม่ได้ยินผิดไป

“พี่ปอพูดว่าอะไรนะครับ”

“ฉันบอกว่าเราเลิกกันเถอะ”

สองมือที่ประคองดอกกุหลาบช่อโตจับกันแน่น สมองยังไม่ยอมเข้าใจความหมายใดๆ ในเมื่อคนที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเพิ่งยื่นดอกไม้แสดงความยินดีให้เขา

“นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ฉันจะให้นาย ในฐานะแฟน จากนี้ไปเราจะไม่มาเจอกันอีก”

“ผมถามได้ไหมครับว่าทำไม”

“เพราะฉันอยากเลิกไง”

พูดจบคณิณก็หันหลังเดินจากไป พร้อมกับที่ฟ้าเปลี่ยนสีและทิ้งมวลน้ำมหาศาลลงมา ทุกคนในสนามพากันวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น ในขณะที่นรกรตัวชาจนก้าวขาไม่ออก ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมในต้องเกิดในวันนี้ วันสำคัญที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต

เคยคิดว่ารักมันไม่มั่นคง จนกระทั่งคนตรงหน้าเดินเข้ามาทำให้ความคิดนั้นเปลี่ยนไป แต่แล้วทำไมสุดท้ายมันถึงได้แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าฝนในเดือนกันยายนแบบนี้ล่ะ


เสียงฟ้าผ่าดังครืนใกล้ๆ ดึงสตินรกรกลับจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน ถึงแม้หลังจากนั้นเขาจะปรับความเข้าใจกับคณิณได้ในที่สุดว่าเพราะต้องไปแต่งงานกับหญิงสาวที่ครอบครัวหมายหมั้น แต่มันก็ไม่อาจเรียกคืนหรือลบล้างความทรงจำอันเลวร้ายในวันนั้นได้เลย

“รับปริญญาหน้าฝนนี่ไม่ไหวเลยนะ” คณิณบ่นพลางชะเง้อคอมองท้องฟ้ามืดครึ้มที่ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะซา

“ครับ” นรกรบอกพลางพยายามสะบัดเรื่องในหัวออกไป แต่กลับถูกแทนด้วยเรื่องราวต่อมาที่เขากำลังเดินอย่างเชื่องช้าราวกับคนไร้สติท่ามกลางสายฝนเม็ดใหญ่ที่เทลงมา ในมือกอดดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่ตอนนี้ดอกหนึ่งในนั้นยังถูกทับแห้งอยู่ในสมุดบันทึกของเขาในลิ้นชัก

“เปียกหมดเลย” คณิณบอกพลางยกมือขึ้นช่วยเสยผมที่ลู่ลงปรกตาเพราะเปียกฝน

นรกรสะดุ้งเล็กน้อยกับฝ่ามืออุ่นที่แตะลงบนผิวแก้มเย็นเฉียบของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว พยายามขืนตัวหนีแต่ก็ไม่ทันมือที่ขยับตามมา จะปฏิเสธตอนนี้ก็กลัวจะโดนหาว่ารังเกียจ เขาจึงต้องยืนนิ่งให้มือนั้นช่วยจัดผมจนเสร็จ “นิดหน่อยเองครับ ขอบคุณที่ปอนะครับที่ช่วยบังฝนให้” เขารู้สึกขอบคุณจริงๆ ในจุดนี้ เพราะถ้าคณิณไม่ถอดกาวน์ของตัวเองออกมาช่วยกันฝนให้ เขาคงกลายเป็นลูกหมาตกน้ำไปแล้ว

“รีบกลับไปเช็ดผมให้แห้งล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”

“ขอบคุณครับ” นรกรมองคนตรงหน้าที่ส่งยิ้มพรายมาให้ และแววตาคู่นั้นมันช่างอบอุ่นยิ่งกว่าฝ่ามือที่แตะอยู่ข้างแก้มนี่เสียอีก

และมันช่างแตกต่างกับภาพแผ่นหลังที่เดินห่างออกไปหวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ความเหมือนที่แตกต่างกับเมื่อวันวาน จนทำให้นรกรอดคิดไม่ได้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากวันนั้นคณิณไม่เดินจากไป หรือถ้าเขาจะมีความกล้ามากพอที่จะวิ่งตามหรือส่งเสียงเรียกออกไป และยืนหยัดในความสัมพันธ์ คนที่ยืนเคียงข้างเขาในวันนี้จะยังเป็นผู้ชายคนนี้หรือเปล่า

oooooo

“ทำอะไรอยู่เหรอ” วินทร์ที่เดินออกมาจากห้องน้ำถามคนที่กำลังนิ่วหน้าเครียด... ไม่สิ! ต้องเรียกว่าจมอยู่กับหนังสือบนโต๊ะทำงานจะเหมาะกว่า

“เปล่าครับ” นรกรตอบทั้งที่ยังไม่หันมา

วินทร์เดินไปยืนซ้อนหลังแล้วดึงผ้าเช็ดตัวที่คล้องอยู่รอบคออีกฝ่ายขึ้นมา ตั้งใจจะช่วยเช็ดผมให้แต่เรือนผมนั้นกลับหมาดจนเกือบแห้งในขณะที่ผ้าชื้นแค่เพียงเล็กน้อย ทำให้วินทร์นึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเพราะนั่นหมายความว่านรกรมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับอะไรสักอย่างจนปล่อยให้ผมแห้งไปเอง

ได้ข่าวว่าเมื่อกลางวันก็ไปตากฝนมานี่นา... คอยดูนะถ้าป่วยขึ้นมาแบบครั้งที่แล้ว คราวนี้เขาจะแกล้งให้หนำใจเลยถือว่าเป็นการเอาคืนเรื่องที่ทิ้งเขาไว้หลังประตู

“งั้นก็นอนกันเถอะ”

“พี่วินทร์นอนก่อนเลย ผมอยากนั่งอ่านหนังสือต่ออีกสักหน่อย”

“หนังสือนั่นสำคัญกว่าฉันเหรอ” เพราะนัยน์ตากลมตวัดมองมา วินทร์จึงรีบยิ้มกว้างให้รู้ว่าล้อเล่น
จะมีแค่สองเรื่องที่ทำให้นรกรหงุดหงิด นั่นคือเรื่องงานกับการถูกรบกวนตอนอ่านหนังสือ ซึ่งเขาก็เว้นช่องว่างนั่นให้มาโดยตลอด แต่บางที ไม่สิ! บ่อยครั้งที่นรกรชอบลืมเวลาจมอยู่กับงานหรือการอ่านหนังสือเป็นวันๆ ข้าวปลาไม่กิน จนพวกเขาต้องมีการตั้งข้อตกลงเพื่อเจอกันครึ่งทาง แน่นอนว่าการเรียกไปนอนเป็นหนึ่งในนั้นแต่นี่เพิ่งสองทุ่มเขาจึงไม่เร้าหรือต่อและยื่นข้อเสนอใหม่

“ฉันจะให้เวลาถึงสี่ทุ่ม ตกลงไหม”

“ครับ”

วินทร์ยิ้มกว้างขึ้นอีก มือใหญ่คว้าเข้าที่ปลายคางรั้งให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นมาแล้วกดจูบเข้าที่กลางหน้าผาก “จะรอที่เตียงนะ รีบมาล่ะเตียงมันกว้างไม่มีคนนอนข้างๆ แล้วมันเหงา” ทิ้งท้ายด้วยการหอมแก้มซ้ายขวาไปอีกข้างละฟอด เขาจงใจไม่จูบเพราะจะเก็บไว้รวบยอดตอนนรกรมาขึ้นเตียง

หลังจากที่วินทร์ผละไป นรกรก็ปิดหนังสือ… เขาโกหกวินทร์เพราะอันที่จริงเขาแทบอ่านไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำเมื่อในสมองคิดฟุ้งซ่าน นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองไปนอกหน้าต่างที่สายฝนซึ่งตกตั้งแต่ช่วงเช้ายังไม่ขาดสาย เขาถอนหายใจยืดยาวแล้วเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดก่อนจะหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ซุกไว้ล่างสุดขึ้นมา แล้วเปิดไปที่หน้าสุดท้าย

ที่ๆ ดอกกุหลาบ ดอกหนึ่งถูกทับอยู่ตรงนั้น
.
.
.

วินทร์รู้สึกตัวครึ่งหลับครึ่งตื่นเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงยวบบนฟูก เขาปรือตาดูนาฬิกาหัวเตียงที่บอกเวลาตีสามกว่าแล้ว “นายทำผิดที่ตกลงกันไว้นะฮาร์ฟ”

นรกรไม่ตอบคำถามนั้น แต่ซุกศีรษะเข้าที่หัวไหล่ แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่วินทร์ใจอ่อน เขายกแขนขึ้นโอบรอบไหล่รั้งให้คนตัวเล็กกว่าขึ้นมานอนหนุนบนอกพลางลูบมือเบาๆ ไปตามแผ่นหลังจนอีกฝ่ายผล็อยหลับไปในสุด

แต่เขากลับเป็นฝ่ายข่มตานอนไม่ลง ถึงจะดูเป็นเรื่องปกติ หากสังหรณ์ในใจบอกว่ามีอะไรสักอย่างที่มันไม่ปกติ ในเมื่อนรกรจะทำแบบนี้เวลารู้สึกผิดหรืออยากอ้อน แต่เขากลับไม่คิดถึงข้อหลังและนรกรไม่มีวันรู้สึกผิดกับการอ่านหนังสือ และไม่ว่าจะเพราะอะไรแต่นั่นไม่ทำให้เขารู้สึกดีเลย รู้สึกในอกเบาหวิว ราวกับหัวใจมันหายไปทั้งที่เจ้าของหัวใจนั้นก็นอนแนบชิดอยู่ด้วยกันแท้ๆ

เสียงฟ้าร้องครืนครางดังขึ้นราวกับจะร้องเตือน นัยน์ตาคมตวัดมองออกไปนอกหน้าต่างยังสายฝนที่ยังคงโปรยปราย ถึงจะรู้อยู่เต็มอก หากยังภาวนาจนสุดใจขอให้ไม่ใช่อย่างที่คิด

แล้ววินทร์ก็ได้รู้ว่าลางสังหรณ์นั้นไม่ผิดก็ในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง

“ฮาร์ฟ” เสียงทุ้มเรียกขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงชะโงกหน้าเข้ามาในห้องทำงาน “ว่างไหม”

“ว่างครับ”

วินทร์มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินตามคณิณ… หรือจะพูดให้ชัดๆ ไปเลยก็คือแฟนเก่าออกไปโดยที่ไม่คิดจะบอกอะไรเขาที่นั่งหัวโด่อยู่ด้วยกันสักคำ และที่สำคัญคือนรกรสามารถละมือไปจากหนังสือเล่มที่กำลังอ่านอยู่ได้ทันทีโดยไม่มีอิดออดราวกับกำลังรออีกฝ่ายอยู่แล้วเช่นกัน

และก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ ในลักษณะนี้อีกหลายครั้งในระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน จนวินทร์เริ่มรู้สึกไม่ดีนั่นยังไม่รวมถึงอาการเหม่อมองออกไปหน้าต่างทุกๆ ครั้งที่ฝนตก

วินทร์รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไร เขาเข้าใจทุกอย่างดี แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือตัวของตัวเอง ว่าควรจะยืนอยู่ตรงไหน ในเมื่อคนที่อยากจะยืนเคียงข้างกำลังเดินออกห่างไปทุกที

อย่างวันนี้ที่เขาดูเหมือนเป็นส่วนเกินทั้งที่เดินมาด้วยกัน แถมคณิณยังเป็นฝ่ายเดินมาสมทบทีหลังด้วยซ้ำ

“พี่ปอคิดว่าแบบนี้ดีไหม” นรกรบอกพลางยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้ดู

คณิณขยับเข้ามาหาเพื่อดูให้ขัดๆ “ก็ดีนะ ถ้านายชอบ ฉันก็ว่าดีทั้งนั้นแหละ”

“ถ้าผมตัดสินใจได้จะถามพี่ปอเหรอครับ”

นัยน์ตาคมตวัดมองคนนั้นทีคนนี้ที …มันคือการปรึกษาเคสใช่ไหม? หรืออะไร ยังไง แล้วทำไม นรกรถึงเลือกจะถามผู้ชายคนนั้นทั้งที่อยู่กับเขาแท้ๆ …อ้อ ใช่สิ! เขามันไม่ใช่หมอเฉพาะทางโรคหัวใจนี่นา

วินทร์พยายามทำเป็นไม่สนใจและเสมองไปทางอื่นแต่เพราะศีรษะที่ขยับเข้ามาใกล้กันทุกทีของทั้งคู่ทำให้เขาอดทนต่อไปไม่ไหวจนต้องชะโงกหน้าเข้าไปขอแทรกกลาง “คุยอะไรกันอยู่เหรอ”

“เปล่านี่” คณิณหันมาตอบกึ่งๆ จะไม่พอใจนิดๆ ที่โดนขัด

“จะเปล่าได้ยังไงก็เห็นอยู่ว่าคุยกันอยู่”

“ก็แค่เรื่องทั่วๆ ไป ใช่ไหมฮาร์ฟ”

วินทร์หันไปมองคนรักของตน คาดว่าคำตอบที่ได้น่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่านั้น แต่นรกรกลับเลือกที่จะเข้าข้างคณิณ “ครับ”

คณิณแอบยักคิ้วให้เขาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปคุยกับนรกรต่อราวกับวินทร์ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น “ตามนั้นแหละ เอาตามที่นายชอบเลย ฉันไปก่อนนะ”

“ครับ”

วินทร์กอดอกมองคนที่เดินจากไปแล้วหันไปถามนรกรอีกครั้ง “ตกลงคุยเรื่องอะไรกัน”

“เอ่อ…” นรกรอึกอัก “เปล่าครับ ไม่มีอะไรจริงๆ”

“ไม่มีะไร แล้วทำไมบอกฉันไม่ได้ล่ะ”

“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ นี่นา อ๊ะ! ได้เวลาสอนแล้ว ผมไปก่อนนะครับ”

“เย็นนี้ฉันมีผ่าตัด ถ้านายเสร็จเร็วรอที่ห้องทำงานละกันนะจะได้กลับพร้อมกัน” วินทร์นัดแนะเวลา ถึงจะอยู่ด้วยกันแต่ทั้งสองขับรถมาคนละคันเพื่อความสะดวก ไม่ว่าจะในเรื่องของกายหรือใจ ที่จะไม่ต้องตอบคำถามคนที่บังเอิญผ่านมาเห็น

“ครับ” นรกรรับคำ

แล้วทั้งคู่ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตน

จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย วินทร์ที่ผ่าตัดเสร็จเร็วกว่าเวลาค่อนข้างเยอะเพราะเคสที่จองห้องผ่าตัดไว้ก่อนหน้ายกเลิกไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็เดินฮัมเพลงกลับไปห้องทำงาน เขาลืมเรื่องที่หงุดหงิดเมื่อเช้าไปจนหมดแล้วและตั้งใจจะไปเซอร์ไพรส์นรกรด้วยการชวนออกไปกินข้าวเย็นข้างนอก ในหัวคิดวางแผนเสียดิบดี แต่กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายแปลกใจ

ในห้องทำงานที่เงียบสนิท มีคนสองนั่งอยู่ทีแรกเขาคิดว่านรกรกำลังคุยอยู่กับศาสตราจารย์สรวิชญ์แต่เมื่อดูดีๆ เขาก็พบว่าไม่ใช่

วินทร์เปิดประตูแง้มไว้เล็กน้อย เขากอดอกพิงกรอบประตูและหวังลึกๆ ในใจว่าจะมีใครหันมาเห็นเขา แต่หลังจากยืนมองอยู่เกือบ 5 นาที สองคนที่คุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนานในเรื่องที่เขาไม่ได้ยินก็ยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว

เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ตั้งใจจะเคาะประตูส่งสัญญาณแต่แล้วเสี้ยวนาทีก่อนที่หลังมือจะสัมผัสบานประตูกลับชะงักไป วินทร์กำมือแน่น ริมฝีปากเม้มสนิท เขาลดมือลงแล้วหีนหลังเดินจากไปโดยไม่หันมามองซ้ำสอง

เพราะเขาทนไม่ได้กับสายตานั้น สายตาที่เป็นประกายเจิดจ้า เขาเฝ้ามองนรกรมาตั้งหลายปีทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่ายังไง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านรกรมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้กลับไปคุยกับคนรักเก่าอย่างป็นปกติได้ในที่สุด

เสียงเม็ดฝนกระทบหน้าต่างดังเปาะแปะ วินทร์เงี่ยหูฟังเสียงนั้นแล้วก็ได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆ ในใจว่าขอให้ฝนช่วยดับถ่านไฟเก่าให้มอดไป อย่าได้ทำให้มันติดไฟขึ้นมาเลย


(ยังไม่จบนะคะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 17-09-2016 16:02:26
หวานจ๊นนนน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 17-09-2016 18:22:16
สงสารพี่วินทร์ ตอนหลักต้องต่อสู้กับตัวเองที่เป็นวิญญาณ   กว่าฮาร์ฟจะยอมรับรักก็ต้องปลอบใจตัวเองไปกี่รอบหล่ะนั่น

ตอนพิเศษยังต้องมาต่อสู้กับความรู้สึกจากอดีตที่ผุดขึ้นมาใหม่เรื่องแฟนเก่าอีก  ช่างเป็นคนที่แน่วแน่มั่นคงมากเลย

สุดยอดของพระเอกต้องยกให้หมอวินทร์
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 17-09-2016 18:30:07
พี่วิ๊นทร์ เพราะไอ้ฝนที่ตกลงมานี่แหละ กลายเป็นเชื้อไฟเฉ๊ย~

ฮือเกลียดการถูกเมิน :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 17-09-2016 18:34:13
โอ้ยยย เครียด พี่วินทร์เศร้า

เฮ้อ !!รอที่เหลือค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 17-09-2016 18:50:44
สงสารพี่วิน  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 17-09-2016 21:27:35
พี่วินทร์อย่ามาเล่นบทโศกแบบนี้
จากอยู่ทีมหมอฮาร์ฟมาตลอด
ตอนนี้พระเอกเราเศร้าล่ะปล่อยฟีโรโมน ขอย้ายทีมค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-09-2016 22:41:45
ฮาร์ฟมีอะไรที่ปิดบังพี่วินทร์อยู่อ่ะ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: SOBANG✖ ที่ 17-09-2016 22:45:29
พี่วินทร์ของน้อง งอนเลยค่ะ งอนเลย!! :angry2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ภาคผนวก ข. P.17 [19/07/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 17-09-2016 23:45:02
 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ1 P.19 [17/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 18-09-2016 05:52:01
ฮาร์ฟใจร้ายจุงเบย // พี่วินทร์ ระหว่างที่เรารอตอนต่อไป มาซบอกเจ๊ก่อนนะ มามะๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ1 P.19 [17/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 18-09-2016 20:33:57

รักของเรา กับกาวน์ตัวเก่าในวันที่ฝนพรำ part 2


“ป่านนี้แล้ววินทร์มันยังผ่าไม่เสร็จอีกเหรอ” คณิณถามพลางก้มลงดูนาฬิกา

“พี่วินทร์บอกว่าจะเลิกดึกน่ะครับ” นรกรตอบ

“ไม่น่าใช่นะ เพราะบังเอิญห้องผ่าตัดว่าง เคสของวินทร์เลยได้เลื่อนมาผ่าเร็วขึ้น” คณิณบอก “และที่ฉันรู้ก็เพราะว่าเคสที่ยกเลิกไปเป็นเคสของฉันเอง พอดีคนไข้ผลเลือดไม่ค่อยดีน่ะ ฉันเลยว่างมาหานายนี่ไง”

“เหรอครับ”

“จะโทรหาไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากกวน”

“กวนเหรอ?” คณิณทวนคำ เพราะเคยคบกันมาก่อนเขาจึงรู้ว่านรกรทั้งขี้เกรงใจและไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวจะถูกหาว่าเซ้าซี้น่ารำคาญ “ฉันเรียกมันว่าความเป็นห่วงนะ โทรเถอะ ฝนก็จะตกแล้วจะได้กลับบ้านเร็วๆ”

นรกรพยักหน้าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหา แต่เพียงแค่สัญญาณแรกดัง สายก็ถูกตัดทิ้งทันที “น่าจะยังไม่เสร็จ”

“มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าทะเลาะกัน” คณิณถามเพราะจับความผิดปกติได้ในน้ำเสียง

นรกรรีบส่ายหน้า “เปล่าครับ”

“แล้วทำไมดูนายกังวลจัง แค่หมอนั่นไม่รับสายเอง อาจจะแบตหมดก็ได้นะ” คณิณพยายามหาข้อแก้ต่างให้ “เอางี้ เดี๋ยวฉันโทรไปถามที่ห้องผ่าตัดให้เลยดีกว่า นะ นายจะได้สบายใจ” แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์สายในบนโต๊ะขึ้นมากดโทรออก แต่คำตอบที่ได้ก็คือ “เขาบอกว่าเคสเสร็จตั้งนานแล้ว แล้วหมอนั่นก็ไม่มีเคสผ่าตัดต่ออีก”

“คงไปดูคนไข้มั้งครับ”

“ฮาร์ฟ” คณิณเรียก “มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

“ก็…” นรกรอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจบอกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะให้คำปรึกษาได้ “พี่วินทร์ไม่เคยตัดสาย ถ้าอยู่ในห้องผ่าตัดรับไม่ได้ก็จะให้คุณพยาบาลช่วยรับแทน ถึงจะยุ่งยังไงก็จะรับแล้วรีบวาง”

“ก็แสดงว่าไม่ใช่เรื่องปกติสินะ”

นรกรพยักหน้า “ครั้งเดียวที่พี่วินทร์ตัดสายผมทิ้งก็หลายปีแล้วครับ ตั้งแต่ตอนเขากลับไปใช้ทุนต่างจังหวัด ตอนที่เขา…” แล้วนรกรก็เงียบไปเสียเฉยๆ

“อ้อ” คณิณพยักหน้าเข้าใจ ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนั้นมีเรื่องอะไรกัน แต่ก็คิดว่าต้องทะเลาะกันรุนแรงพอสมควรเพราะทำให้นรกรซึมไม่พูดจากับใครไปหลายวัน และแทบไม่ยิ้มไปเป็นเดือนๆ อันที่จริงเขาก็เห็นว่านรกรเพิ่งจะกลับมาร่าเริงก็ตอนหมอนั่นกลับมากรุงเทพอีกครั้งนี่แหละ

“ครับ”

“อะไรอีก” คณิณพยายามซักไซร้เพราะดูทีท่าแล้วอีกฝ่ายยังมีเรื่องเก็บไว้ในใจอีก

“เอ่อ…” นรกรขยับปากอยู่หลายครั้งก่อนจะตัดสินใจเม้มสนิทและส่ายหน้าให้แทนคำตอบ ก็จะให้เขาพูดได้ยังไงว่าเขารู้สึกเหมือนวินทร์กำลังทำตัวคล้ายๆ กับตอนที่โดนคนตรงหน้าบอกเลิก… ไม่มีสัญญาณอะไร แต่จู่ๆ ก็หายไป

“ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร” คณิณบอก “แต่ถ้าหมอนั่นทำเสียใจ บอกนะ ฉันจะอัดมันเอง”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ แต่ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ เรากลับกันเถอะ พี่ปอเองก็นัดคุณฝนไว้นี่นา” นรกรเก็บกระเป๋าแล้วทั้งสองก็ลุกเดินออกมาก่อนจะแยกกันที่หน้าห้องนั่นเอง

นรกรเดินไปตามทางที่ร้างผู้คน สายฝนซัดซาดหน้าต่างขยับดังปึงปังกับเสียงสายลมหวีดหวิวพาให้ใจคอปั่นป่วน

เขาเกลียดเสียงนี้ เกลียด… เพราะทุกๆ ครั้งที่ได้ยินมันทำให้เขานึกถึงวันนั้น

มือกำโทรศัพท์แน่น นิ้วขยับจะกดโทรหาใครคนหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายใจก็ไม่กล้า เขาไม่อยากทำให้วินทร์รำคาญ ไม่อยากให้วินทร์คิดมากว่าทำไมยังไม่ลืมเรื่องเก่าๆ ที่มันจบไปนานแล้ว เขาพยายามแล้วจริงๆ แต่มันทำไม่ได้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมทั้งที่ตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรกับคณิณแล้วสักนิด

บางทีมันคงเหมือนกับที่หลายๆ คนบอกว่ารักแรกมันคือความหลังฝังใจ

สองขาพามายืนที่หน้าตึกในที่สุด นรกรเงยหน้ามองสายฝนที่โปรยปรายลงมา ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่เขาไม่อยากรอ ไม่อยากทนฟังเสีงฝน เขาอยากกลับบ้านไปหาใครคนที่ตอนนี้คิดถึงจนสุดใจและภาวนาให้รอเขาอยู่ที่นั่น นรกรกระชับสายกระเป๋าในมือ

…ต้องทำได้สิ เลิกร้องไห้สักที เรื่องมันผ่านไปนานแล้วนะ…

บอกกับตัวเองแล้วตัดสินใจวิ่งฝ่าออกไป เตรียมใจรับเม็ดฝนที่เหมือนหยดน้ำตาซึ่งเทกระหน่ำลงมา ทว่า ฝนที่ตกลงมากลับไม่โดนตัวเขาสักนิดมีเพียงละอองน้ำบางเบาที่กระเด็นมาโดยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นรกรหยุดฝีเท้าและเหลียวมองไปรอบตัวแล้วเขาก็พบคำตอบ นั่นก็คือร่มคันใหญ่ที่กางอยู่เหนือศีรษะ

“จะไปลานจอดรถใช่ไหมเดี๋ยวไปส่ง” เจ้าของร่มบอก
 
นรกรพยักหน้ารับคำ ใจจริงอยากกระโดดกอดแน่นๆ ด้วยซ้ำ แต่เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาทำให้ชะงักไว้ บางทีวินทร์อาจจะกำลังเครียดเรื่องงานและเขาไม่ควรเอาเรื่องของตัวเองไปทำให้ปวดหัวอีก

วินทร์เหลือบมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นแล้วถอนหายใจ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเป็นเชิงให้สัญญาณออกเดินไปพร้อมกัน

อุณหภูมิที่เย็นลงเรื่อยๆ ทำให้นรกรเดินห่อตัวด้วยความหนาวกอปรกับคนที่เดินมาส่งปั้นหน้าเครียดและไม่ยอมพูดจาอะไรเหมือนทุกทียิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนน้ำตาพาลจะไหล

นรกรแสร้งทำเป็นกวาดตามองออกไปนอกร่มดูเม็ดฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย พลันก็รู้สึกถึงความผิดปกติแม้จะเพียงเล็กน้อย

ร่มนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ใหญ่พอจะกันผู้ชายสองคนจากห่าฝนที่โถมเข้ามาได้

นรกรเหลียวกลับมามองคนข้างกายแล้วก็ได้คำตอบ เมื่อวินทร์สละร่มมากกว่าครึ่งให้เขาแล้วปล่อยให้ไหล่อีกข้างของตนเปียกฝนจนชุ่มโชก

“พี่วินทร์ขยับมาใกล้ๆ สิครับ เปียกหมดแล้ว” นรกรบอกพลางขยับเข้าไปใกล้

“อืม” ปากรับคำไปแบบนั้นหากคนถือร่มกลับขยับออกไปรักษาระยะห่างไว้เท่าเดิม

เห็นดังนั้น นรกรก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาหยุดฝีเท้ากะทันหันส่งผลให้วินทร์เดินนำไปเล็กน้อย “พี่วินทร์โกรธอะไรผมหรือเปล่าครับ”

“เปล่านี่” วินทร์ส่ายหน้าพลางขยับร่มมาบังให้ทั้งที่ตัวเองยังยืนอยู่ที่เดิม ตอนนี้จึงไม่ใช่แค่ไหล่ที่เปียก แต่เป็นทั้งแผ่นหลัง

นรกรมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เข้าใจกับอาการที่แสดงออก ไม่ยอมพูด ไม่บอกอะไรเขา เหมือนกับกำลังโกรธ แต่ทำไมยังทำเหมือนเป็นห่วงกัน “แล้วทำไมถึงทำตัวเหินห่างแบบนี้ล่ะครับ”

ถึงตรงนี้นรกรก็กำมือที่สั่นแน่น เมื่อความทรงจำในสายฝนย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาเกลียดการกระทำแบบนี้ เพราะมันแทบไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่คณิณเคยทำเลย ปากบอกว่าเลิกกัน แต่ยังมาหา มาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่กลับมารักกันไม่ได้เพราะตัวเองต้องไปแต่งงาน แล้ววินทร์ล่ะ มีเหตุผลอะไรถึงทำแบบนี้

“บอกผมมาสิครับพี่วินทร์ ผมจะได้ทำตัวถูก”

วินทร์สังเกตเห็นความหวาดกลัวอะไรบางอย่างที่ฉายชัดในแววตาคนตรงหน้า เขาจึงรีบคว้ามือข้างหนึ่งมาจับไว้และบีบแรงๆ

นรกรมองมือที่จับไว้แล้วเงยหน้าขึ้นสบสายตา

“หมู่นี้นายกับปอสนิทกันมากไปหรือเปล่า”

“แต่ผมกับพี่ปอ...”

“ฉันรู้” วินทร์ย้ำและบีบนั้นแรงขึ้นอีก “ฉันถึงได้โกรธตัวเองนี่ไงที่หงุดหงิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ปอแต่งงานแล้ว และฉันก็เชื่อใจนาย ฉันรู้ว่านายรักฉัน ส่วนปอเป็นแค่คนในความทรงจำซึ่งมันจบไปแล้วในวันที่ฝนตกวันนั้น การที่นายคิดถึงเขาเรื่องนั้นฉันเข้าใจ ฉันก็แค่... น้อยใจน่ะ ในเมื่อตอนนี้ฝนตกทุกวันแล้วเมื่อไหร่ล่ะมันจะถึงวันที่นายจะคิดถึงฉันบ้าง”

พูดยังไม่ทันจบประโยคดีคนที่ยืนฟังอยู่ก็โถมทั้งตัวเข้าใส่ ใช้สองแขนโอบรอบคอแน่นแล้วใช้ริมฝีปากขโมยข้อความที่เหลือก่อนจะซุกใบหน้าลงบนหน้าอก

“คำตอบคือตลอดเวลาครับ”

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนวินทร์ตั้งตัวไม่ทัน แต่ถึงอย่างนั้น ใครจะว่าเขาใจง่ายก็ยอม เมื่อความรู้สึกทั้งน้อยใจ งอน หรือแม้แต่โกรธเคืองที่มีมาหลายวันถูกริมฝีปากและความอบอุ่นที่กอดรัดอยู่นี้ดูดกลืนและละลายทิ้งไปกับน้ำฝนจนหมดสิ้น “พูดจริงเหรอ”

ศีรษะซึ่งประกอบด้วยเรือนผมสีอ่อนขยับเบาๆ
“ขอโทษนะครับ ถ้าทำให้ไม่สบายใจ”

“ขอโทษเหมือนกันที่เป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว” เพราะอีกมือหนึ่งต้องถือร่มทำให้วินทร์กอดคนในอ้อมแขนไม่ถนัด เขาจึงทำได้แค่ลูบมือไปตามเรือนผมก่อนจะเลื่อนลงโอบรอบเอวไว้

“ตรงไหนครับ” นรกรถาม

“ก็ตรงที่อยากจะเก็บนายไว้คนเดียวไม่แบ่งให้ใครนี่ไง”

นรกรเงียบเพื่อไตร่ตรองอยู่อึดใจ ก่อนจะดันตัวออกเล็กน้อยเพื่อมองตาอีกฝ่ายให้ชัดๆ “ผมเองก็ไม่อยากให้พี่วินทร์กังวลและอยากลืมมันไปเหมือนกัน แต่ผมทำคนเดียวไม่ได้ พี่วินทร์ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”

“แล้วนายจะให้ฉันช่วยยังไงล่ะ”

“แล้วพี่วินทร์อยากให้ผมคิดถึงวันนี้ในแบบไหนล่ะครับ”

นัยน์ตาสองคู่สบกันอยู่อึดใจ ก่อนที่วินทร์จะทิ้งร่มในมือแล้วรวบตัวนรกรเข้าเต็มวงแขน

ลมฝนพัดร่มปลิวขึ้นฟ้าหายไปในความมืดมิด หากตอนนี้แม้มีพายุพัดโหมก็ไม่อาจทำอะไรคนสองคนที่กำลังกอดกันแน่นนี้ได้

พวกเขาจูบกันดูดดื่มราวกับนี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ละอองฝนพัดมาเข้าจมูกจนพาลให้หายใจไม่ทันแต่นั่นยิ่งกลับเป็นตัวเร่งให้ช่วงชิงลมหายใจจากอีกฝ่าย น้ำฝนที่เกาะพราวอยู่เต็มหน้าและริมฝีปากราวกับน้ำหวานลิ้นเรียกให้อีกฝ่ายมาชิม และผิวกายที่เย็นลงเพราะเปียกฝนยิ่งทำให้เบียดกายเข้าหาความอบอุ่นของกันและกันจนร่างกายแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ทั้งสองจูบปรับความเข้าใจกันอยู่หลายนาทีก่อนจะวิ่งจูงมือกันเข้าไปในลานจอดรถพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ต่างคนก็ไม่คิดว่าจะกล้าทำอะไรแบบนี้กลางลานโล่งๆ

“เปียกหมดเลย หนาวล่ะสิ รอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันเอาผ้าให้” วินทร์เปิดประตูรถตัวเองให้อีกฝ่ายขึ้นไปนั่งรอก่อนจะเดินอ้อมไปหลังรถและค้นเอาผ้าเช็ดตัวจากกระเป๋าใส่ของเตรียมไว้ค้างคืนเวลาอยู่เวรออกมา เขากลับมาขึ้นรถฝั่งคนขับและส่งผ้าที่ถือมาให้

แต่นรกรไม่ยอมรับไป “มีผืนเดียวเหรอครับ”

วินทร์คลุมผ้าลงบนศีรษะ และขยี้เบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวคนที่เหมือนกับลูกหมาตกน้ำซึ่งนั่งตัวสั่นเพราะความหนาวอยู่ข้างๆ “ทนหน่อยนะ เดี๋ยวถึงบ้านจะพาไปอาบน้ำสระผมแล้วชงอะไรอุ่นๆ ให้กิน”

นรกรเหลือบตามองผ้าผืนใหญ่ที่คลุมลงไปจนถึงเอวแล้วฉวยมาถือไว้เอง  เขาตวัดมันลงรอบตัวคนตัวใหญ่กว่าก่อนจะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีกแล้วคว้าแขนของวินทร์ขึ้นคล้องรอบคอตัวเองพลางเอนตัวซุกหน้าลงบนหน้าอก “แบบนี้อุ่นกว่า”

“นายทำแบบนี้แล้วฉันจะขับรถยังไงล่ะ” วินทร์พูดกับเรือนผมซึ่งคลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูก แบบนี้ไม่ใช่ทั้งการอ้อนหรือสำนึกผิด เขายังไม่รู้ว่าจะเรียกอาการนี้ว่าอะไร รู้แต่ว่ามันรู้สึกดีและเขาไม่ควรจะมาเสียเวลาวิเคราะห์ ตอนนี้แค่คิดว่าจะกอดอีกฝ่ายยังไงให้อุ่นมากที่สุดก็พอ

“ขับรถตอนฝนตกอันตรายนะครับ ไว้รอให้ฝนซาก่อนก็ได้ค่อยกลับ บ้านก็อยู่ที่เดิมไม่ได้หนีไปไหนสักหน่อย”

วินทร์ถอนหายใจเสียงดัง เขาขยับเบาะถอยหลังจนสุดเพื่อให้มีที่กว้างมากขึ้นก่อนจะสอดแขนเข้ารอบเอวสอบแล้วดึงตัวนรกรให้มานั่งตรงระหว่างขาและสอดคางวางลงบนบ่า พยายามให้เนื้อแนบเนื้อส่งผ่านความอบอุ่นถึงกันให้มากเท่าที่จะทำได้ “แล้วระหว่างนี้เราจะทำอะไรกันดีล่ะ”

“ท่องสูตรคูณ แล้วตามด้วย ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูกดีไหมครับ” นรกรแกล้งประชด “หรือจะท่องเส้นประสาทสมอง 12 คู่ก็ได้”

“เป็นความคิดที่ดีนะ ถือเป็นการทบทวนบทเรียนและตรวจร่างกายไปในตัว”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะมามุกไหน “ยังไงครับ”

“คู่ที่ 1 คืออะไรล่ะ”

“Olfactory” นรกรตอบ

“มันมีหน้าควบคุมประสาทการดมกลิ่น” วินทร์อธิบาย “ทีนี้ นายได้กลิ่นฉันไหม”

“กลิ่นพี่วินทร์มันเป็นยังไงเหรอครับ”

“ก็มาลองดมดูใกล้ๆ สิ” วินทร์บอกพร้อมกับกดปลายจมูกเข้าหาปลายจมูกอีกฝ่าย “เป็นไง ได้กลิ่นอะไรไหม”

จุดที่ลมหายใจจากปลายจมูกโด่งนั้นสัมผัสผิวร้อนวาบ มันไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่กลิ่นสบู่ที่ใช้ทุกวันผสมกับเหงื่อและมีกลิ่นฝนผสมมานิดๆ มันไม่ได้หอมหวาน แต่ก็ยั่วยวนให้อยากเข้าไปสูดดมใกล้ๆ จนคล้ายๆ กับความลุ่มหลง แบบนี้หรือเปล่านะที่เรียกว่า ฟีโรโมนน่ะ

วินทร์ถอนจมูกออกเล็กน้อยและพูดต่อ “ต่อมาก็คู่ที่ 2, 3, 4, 6”

“optic oculomotor trochlear และabducens” ทั้งที่ไม่ได้อยากจะตามน้ำ แต่นรกรก็เผลอตอบไปโดยอัตโนมัติ “ทั้งหมดนี้ควบคุมการมองเห็นและกล้ามเนื้อตา” ทั้งยังอดที่จะอธิบายต่อไม่ได้อีก

วินทร์ยิ้มมุมปาก แกล้งเด็กเรียนได้นี่มันสนุกจริงๆ “มองตาฉันสิฮาร์ฟ แล้วตอบมาว่าเห็นอะไร”

“ไม่เห็นมีอะไรเลยครับ”

“มีสิ ไหนดูใหม่ ดูดีๆ นะแล้วนายจะเห็น”

“อะไรครับ” นรกรถามกลับ หัวใจเริ่มเต้นแรงไม่เป็นส่ำ เพราะในความล้ำลึกของนัยน์ตาสีดำขลับนั้นสะท้อนให้เห็นเพียงสิ่งเดียว

“นายไง” วินทร์พูดคำตอบเดียวกับที่อยู่ในใจเขา และนั่นยิ่งทำให้หัวใจทำงานหนักกว่าเดิม

นรกรแทบอยากจะมุดดินหนีด้วยความอายให้รู้แล้วรู้รอด พวงแก้มร้อนผ่าว เขาหลับตาแน่นและฝังตัวเองลงลึกในอกกว้างที่เกาะเกี่ยวไว้

และนั่นยิ่งทำให้วินทร์ได้ใจหนัก

“คู่ที่ 5 trigeminal มีหน้าที่ควบคุมการรับความรู้สึกที่ใบหน้า” แล้ววินทร์ก็แตะปลายจมูกและปากไล้ไปบนผิวหน้า ทั้งหอมทั้งไซร้สลับกันไปทั่วทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา

“พี่วินทร์อย่าแกล้งกันสิ” นรกรขอร้อง

แต่วินทร์ไม่ยอมหยุด

“คู่ที่ 7 Facial การรับรส” ว่าแล้วก็ใช้หัวแม่มือเชยคางคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ริมฝีปากเผยอออกแล้วสอดปลายลิ้นเข้าไปแตะยั่วเย้าพอให้รู้สึกรสหวานที่ปลายลิ้นก่อนจะถอนริมฝีปากออก

“ต่อไปก็คู่ที่ 8 Auditory ควบคุมการได้ยิน” วินทร์บอกก่อนจะเลื่อนริมฝีปากไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู “รักนะ ได้ยินหรือเปล่า”

“ได้ยินแล้วครับ”

“ชัดไหม"

นรกรพยักหน้า

“แน่ใจนะว่าได้ยินถูก จะให้พูดอีกรอบไหม”

นรกรก้มหน้างุดซ่อนแก้มขาวที่เริ่มขึ้นสีพร้อมกับส่ายหน้า

“งั้นก็มาต่อคู่ที่…"

“พี่วินทร์พอแล้ว” นรกรปรามเพราะถ้าขืนปล่อยให้วินทร์ทำตามใจมากกว่านี้เขารู้สึกว่าตัวเองต้องขาดใจตายเพราะความเขินแน่ๆ จะขยับหนีก็ไม่รู้จะไปทางไหนในเมื่อเบาะหน้านี่ก็แสนคับแคบและตัวเองก็เป็นคนยินยอมให้เขาดึงมานั่งตักเองแท้ๆ

“พออะไร เพิ่งจะเกินครึ่งทางมานิดเดียวเองนะ ยังเหลืออีกตั้ง 4 คู่แน่ะ”

อันที่จริงวินทร์มีสติมากพอจะยั้งอารมณ์หวามไหว ตั้งใจแค่จะแกล้งนัวเนียพอให้อะดรีนาลีนหลั่ง หัวใจเต้นแรง เลือดลมสูบฉีดให้คลายหนาว

แต่เพราะปฏิกิริยาตอบรับที่เกิดคาดเดาของคนในอ้อมแขนทำให้เส้นสติเริ่มขาดวิ่นและใกล้ขาดมากขึ้นทุกที

“พอแล้วครับ”

ทั้งที่ปากบอกแบบนั้น แต่มือกลับรั้งคอเสื้อเขาแน่น ซ้ำยังเบียดกายเข้าหาแทนที่จะขยับหนีเมื่อมือใหญ่สามารถแทรกผ่านสาบเสื้อไปสัมผัสผิวใต้ร่มผ้าได้สำเร็จ

“ไม่พอ” วินทร์อ้าปากกำลังจะแกล้งขบเนื้ออ่อนตรงติ่งหูเล่นเบาๆ พลันนัยน์ตาเหลือบไปเห็นแสงสีอมส้มที่สว่างเรืองๆ ขึ้นตรงขอบฟ้า เขาก็ชะงักไปและสะกิดคนในอ้อมแขน “ฮาร์ฟลืมตาสิ”

“พี่วินทร์จะแกล้งอะไรผมอีกล่ะ”

“ไม่ได้แกล้ง ลืมตาสิ ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วนะ” วินทร์ยืนยัน

นรกรจึงปรือตาขึ้นช้าๆ และหันมองออกไป

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือรุ้งกินน้ำอันใหญ่กางเต็มฟ้า แถบสีทั้งเจ็ดตัดกับก้อนเมฆสีขาวต้องแสงอาทิตย์เรืองๆ ดูคล้ายมีประกายกากเพชรระยิบระยับ

“สวยเนอะ”

“ครับ… สวย”

“มองหน้าฉันทำไม รุ้งสวยก็มองรุ้งไปสิ” วินทร์ว่าเมื่อกรอกตากลับมาเห็นนรกรกำลังจับจ้องมาที่เขา

“ก็กำลังดูอยู่นี่ไงครับ รุ้งในตาพี่วินทร์สวยกว่าของจริงอีก” และนรกรไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด สำหรับเขาแถบสีที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตานั้นงดงามยิ่งกว่ารุ้งใดๆ ที่เคยเห็นมาทั้งชีวิตเสียอีก

วินทร์เม้มปากสนิทด้วยความเขิน แต่ก็ทำเป็นตีหน้านิ่ง “จะบอกว่าฉันหล่อก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

“ครับ หล่อ”

วินทร์แทบจะไปไม่เป็นมากกว่าเดิมกับคำตอบที่ได้รับ เขาไม่โกรธที่นรกรเคยบอกว่าเขา(อทิฏฐ์) ไม่หล่อแต่ก็ฝังใจมาตลอดว่าตนไม่ใช่คนในสเปคแบบคณิณ ถึงได้แอบรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ่อยๆ “แน่นอนอยู่แล้ว นี่อดีตเดือนคณะเชียวนะ”

“อดีตเป็นเดือนคณะ แต่ตอนนี้เป็นสายรุ้งของผมนะ”

วินทร์แสร้งทำเป็นสูดจมูกพร้อมกับยกมือขึ้นถูแรงๆ เมื่อรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า “สายรุ้ง? ไม่เอาหรอกไม่อยากเป็น”

“อ้าว”

“รุ้งมันอยู่ไกล และถึงจะสวยงามแค่ไหน แต่ก็จับต้องไม่ได้” วินทร์บอก “ฉันขอเป็นตุ๊กตาไล่ฝนแทนได้ไหม ฉันไม่รับประกันหรอกนะว่าจะทำให้ฝนหยุดตกได้ แต่ฉันพร้อมและยินดีที่จะเปียกไปกับนาย และถ้าหากฉันทำหน้าที่สำเร็จ เราก็จะได้มานั่งดูรุ้งกินน้ำสวยๆ ด้วยกันไง”

นรกรจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกซาบซึ้งสุดหัวใจ ในที่สุดเขาก็หาเจอแล้วใช่ไหมคนที่จะไม่ทอดทิ้งเขาไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนที่จะยอมเดินตากฝนไปด้วยกัน “ขอบคุณพี่วินทร์นะครับที่เลือกผม”

“นายต่างหากที่ยอมรับฟังเสียงของอทิฏฐ์… โอ๊ะ! นี่ฉันจะพูดถึงไอ้ผีนั่นให้หึงเองเจ็บเองทำไมเนี่ย” วินทร์ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน เมื่อนรกรยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เขาพูดต่อ ก่อนจะเลื่อนไปโอบรอบกรอบหน้าดึงให้หันมาสบตาเต็มที่

“ผมรักพี่วินทร์นะครับ”

สั้นๆ ง่ายๆ หากมันคือความจริงจากใจทั้งหมด

“ฮาร์ฟ กลับบ้านกันเถอะ” วินทร์ตอบสั้นๆ พร้อมกับยกตัวอีกฝ่ายกลับไปนั่งบนเบาะข้างคนขับตามเดิมแล้วดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้เรียบร้อย

นรกรมองหน้าอีกฝ่ายงงๆ คิดว่าเผลอพูดอะไรผิด

วินทร์จึงรีบเฉลย “รู้สึกว่าแค่เส้นประสาทสมอง 12 คู่จะไม่พอซะแล้วเพราะตอนนี้ฉันอยากตรวจนายให้ละเอียดกว่านั้น”

แล้วก็เข้าเกียร์รถก่อนจะเหยียบมิดเกจออกไป


(ยังมีต่ออีกพาร์ทนะคะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 18-09-2016 21:10:32
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 18-09-2016 21:16:39
รักเลยท่องเส้นประสาทแบบนี้   :o8:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 18-09-2016 21:53:27
ตอนแรกแอบสงสารพี่วินทร์ ตอนหลังๆ นี่หวานเชียวนะคะพี่วินนนนนนทร์ 55555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 18-09-2016 22:06:24
พาร์ทนี้ทำเขิน :o8:

รอพาร์ทตรวจร่างกายค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 18-09-2016 22:55:37
พาร์ทนี้ต่างจากพาร์ทแรกสิ้นเชิงเลย หวานอบอุ่นเลย  พี่วินทร์ใจง่าย ฮาร์ฟง้อนิดเดียวก็ยอมแล้ว

แต่ก็ดีแล้วที่เข้าใจกัน รอพี่วินทร์ตรวจร่างกายหมอฮาร์ฟนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-09-2016 02:53:39
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 19-09-2016 09:15:10
พี่วินทร์ใจกว๊างกว้าง เป็นเรนคงยังน้อยใจไม่หาย  :monkeysad:  ไม่ลืมแฟนเก่าก็ไม่เป็นไร แต่ถึงขนาดละเลยคนปัจจุบันนี่ต้องปรับปรุงน้าน้องฮาร์ฟ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-09-2016 14:43:05
 :L2: :L1: :pig4:

เป็นวิชาการที่ ฟินเวอร์ อ่าาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-09-2016 17:32:53
จากไม่เคยรู้ ตอนนี้จำได้ขึ้นใจว่ามีเส้นประสาทอะไรบ้าง

อ่านไปเขินไป
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 19-09-2016 20:31:19
เขินยาวไป :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-09-2016 20:54:10
ขอบคุณค่ะ  รออ่านอีกพาร์ทนะคะ
โรแมนติกท่ามกลางสายฝน  ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: npsp2555 ที่ 19-09-2016 22:45:51
เพิ่งเข้ามาอ่าน ยังอ่านไม่จบ แต่ขอเดาว่า อธิฏฐ์คือวินทร์ใช่มั๊ยค่ะ 
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 19-09-2016 23:25:05
ตอนนี้น่ารักมาก  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 20-09-2016 00:06:21
ต้นๆตอนมาซะหน่วงๆปวดจิตใจ
แล้วก็ปิดท้ายด้วยการสาดน้ำตาลใส่หน้าแบบเพียวๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 20-09-2016 06:15:28
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:รอออออออออนะค้าาาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: npsp2555 ที่ 20-09-2016 09:36:22
อ่านจบแล้ว ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ ซึ้งมากเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 20-09-2016 12:56:29
น้ำตาคลอไปกับพี่วินทร์เลยค่ะ
นึกว่าจะดราม่าซะแล้วววว ฮือออ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sincere13 ที่ 20-09-2016 12:57:13
ตอนพิเศษมันหวานๆขมๆฮวือออออออร่อยเลิศรสส
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 20-09-2016 13:17:48
รอการตรวจร่างกายค่ะ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 20-09-2016 13:19:56
เพิ่งอ่านจบนะคะ ทันปัจจุบันแล้ว^^
แต่งได้ดีมากเลยค่ะ เนื้อเรื่องเดาทางไม่ถูกเลย แต่บางคห.ก็เดาถูก เราคงโง่เกินไป 5555
เราไม่ได้เชียร์พี่วินทร์ตั้งแต่แรกเลยค่ะ หวังว่าพ่อทิดกลับเข้าร่างแล้วค่อยมาเจอกันใหม่ โนวววว
ตอนบางคห.บอกว่าทิดกะพี่วินทร์คนเดียวกัน เราก็ยังไม่คิดว่าใช่ค่ะ เพราะบางตอนออกพร้อมกันอีก เวลามันไม่ได้อ่าาาา
พอมาค่อยๆคิดตาม อู้หูววววว คนแต่งสุดยอดค่ะ
ทีแรกเราไม่ชอบธีร์ด้วยค่ะ คิดว่าเป็นคนไม่ดีจริงๆ
ส่วนฮาร์ฟก็น่ารักมากๆเลย เป็นคนใสซื่อมากกก ระวังโดนพี่วินทร์ล่อลวงน้า
ปกติไม่เคยเม้นอะไรยาวขนาดนี้เลยค่ะ นี่เพิ่งอ่านจบอัดอั้นมาก จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: wakwan ที่ 20-09-2016 16:51:06
อยากจะบอกว่าชอบพี่วินทร์เหลือเกินน ฮื่ออออ :sad4: ดีนะเนี่ยที่ได้มาเจอกับฮาร์ฟ ~ การดำเนินเนื้อเรื่องดีงาม แบบว่าอดหลับอดนอนอ่านรวดเดียวจนจบเลยนะ 555  มันสนุก มันน่าติดตามจนวางไม่ลงจริงๆ ขอบคุณที่ทำให้มีนิยายดีๆแบบนี้ให้เราได้อ่านกันนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: gasia ที่ 20-09-2016 21:52:42
หวานเหลือเกินนะคะะะะะะะะ
แอบเสียน้ำตาตามไปด้วยเลยบ้าจริงงงง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 21-09-2016 08:48:02
ภาคพิเศษน่ารักจังค่ะ   ชีวิตคู่ของคนสองคนมีเข้าใจผิด มีงอน มีน้อยใจ  พี่วินนี่พอเป็นแฟนแล้วกลายเป็นผู้ชายน่ารัก   ฮาล์ฟก็ลแความเย็นชาลงไปเยอะค่ะ เริ่มกล้าพูด กล้าถาม รู้จักปลอบใจพี่วิน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 22-09-2016 21:02:54
พิวินทร์ ฮืออออ ตอนพิเศษก็ยังเป็นพระเอกน่าสงสารเหมือนเดิม
ฮ่าๆๆ จริงๆพี่วินทร์นี่กว่าจะได้รักกับฮาร์ฟก็ยากมากแล้ว
ต้องเชื่อมั่นในตัวเองเยอะๆนะพี่วินทร์ ฮาร์ฟเลือกแล้ว ไม่ทิ้งหรอกกกก
เราด้วย รักพี่วินทร์เหมือนกัน อิอิ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-09-2016 23:03:34
วินทร์ ทำให้วันฝนตก
เปลี่ยนเป็นวันวินทร์ รักฮาร์ฟ ที่สุดเลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: zatannn ที่ 23-09-2016 14:13:37
สนุกมาก อ่านมา 3-4 ตอนติด ลุ้นมาก คือใครคือพระเอก อะไรยังไง ลุ้นทั้งหมอวิน ร่างหมี ทั้งนายทิดผีความจำเสื่อมเลย ลุ้นสุดๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ2 P.19 [18/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-09-2016 14:49:07
รักของเรา กับกาวน์ตัวเก่า ในวันที่ฝนพรำ part 3 (จบ)

ประตูห้องปิดยังไม่ทันสนิท วินทร์ก็คว้ามือนรกรดึงเฃข้าไปในห้องน้ำ แล้วผลักติดกำแพงพร้อมๆ กับเปิดน้ำอุ่นจากฝักบัวเหนือศีรษะให้รดลงมาบนตัวทั้งสอง

เสื้อที่เริ่มหมาดโดนน้ำจนเปียกชุ่มแนบไปตามผิวกายทำให้เห็นส่วนสัดชัดขึ้น คนที่พยายามข่มอารมณ์ขับรถมาตลอดทางจึงไม่ขออดทนอีกต่อไป

วินทร์เข้าประชิดตัวอีกฝ่าย สอดมือรั้งรอบเอวสอบให้มาเบียดกับสะโพกของตนพร้อมๆ กับแตะเชยปลายคางคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อย ให้กลีบปากเผยอออกแล้วแทรกปลายลิ้นผ่านเข้าไปกอดรัดถึงด้านใน

“ไหนพี่วินทร์บอกว่าไม่โกรธแล้วไงครับ” นรกรอุทธรณ์คนที่ตอนนี้ละจากริมฝีปากไปซุกหน้าดูดชิมความหวานของจุดอ่อนไหวบนยอดอกพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาไปด้วย

อันที่จริงวินทร์ไม่ได้ตะกละตะกลามหรือเร่งเร้า เขายังคงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่มีอะไรกัน แต่ในความนิ่มนวลนั้นนรกรกลับรู้สึกได้ถึงความดุดันของความต้องการจะครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากและปลายลิ้นที่แทบจะกลืนกิน ฝ่ามือใหญ่ที่โอบรัดและสอดไซร้ไปทุกที่ที่เข้าถึงราวกับกำลังตีตราจอง สุดท้าย นัยน์ตาสีดำสนิทที่มองมาราวกับแทงทะลุทุกๆ ส่วนของร่างกายไปจนถึงวิญญาณและนั่นทำให้เขารู้สึกตัวร้อนวูบวาบเหมือนกำลังเปล่าเปลือยทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าครบทุกชิ้น

“ก็นิดหน่อย” ตอบพลางขบเม้มเนื้ออ่อนเน้นๆ ครั้งหนึ่งจนนรกรเผลอสูดปากและต้องคว้าไหล่กว้างนั้นไว้แน่น

“ผมว่าไม่น่าใช่นะครับ”

ได้ยินดังนั้น วินทร์ก็ถอนริมฝีปากออกจากยอดอกแล้วเลื่อนขึ้นไปกดจูบหนักๆ อีกครั้งหนึ่ง “ทิ้งแฟนคนปัจจุบันให้เหงาแล้วไปหัวร่อต่อกระซิกกับแฟนเก่า นายคิดว่าฉันเป็นผู้ชายที่ใจกว้างได้ขนาดไหนกัน”

“ขอโทษนะครับ”

“เพราะงั้นคืนนี้นายต้องโดนลงโทษ อ้อ! แล้วนายยังมีคดีเก่าเมื่อวันก่อนที่มัวอ่านหนังสือเพลินจนมาขึ้นเตียงช้าด้วยนะ”

“ครับ” นรกรรับคำอย่างรู้สึกผิด

“ตกลงกันไว้ที่สี่ทุ่ม แต่นายมาตอนตีสามเพราะฉะนั้นจะต้องโดนกี่ครั้ง หืมมมม ไหนลองคำนวนแล้วตอบมาสิพ่อนักเรียนดีเด่น” วินทร์ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบปลายจมูกคนที่ยืนตัวสั่นเป็นลูกนกแล้วบิดไปมา

“พี่วินทร์จะทำทีเดียวเลยเหรอ” นรกรละล่ำละลักถาม “ตั้งห้าครั้งเลยนะครับ”

…หนึ่งรอบจนกว่าจะพอใจต่อการผิดเวลาหนึ่งชั่วโมง นั่นคือข้อตกลง… ฟังดูแสนหวาน แต่อย่าลืมว่าแม้แต่มดก็ตายในน้ำเชื่อมได้

วินทร์หยักยิ้มมุมปาก “น้อยไปสิ คืนนี้นายคิดว่าจะได้นอนเหรอ”

“ก็...”

“แต่ถ้านายทำตามที่ฉันบอกฉันจะยอมลดให้ครึ่งหนึ่งนะ”

“อะไรครับ”

“อาบน้ำให้หน่อยสิ”

“แค่นี้ใช่ไหมครับ” นรกรลอบถอนหายใจเล็กน้อย อาบน้ำด้วยกันมาตั้งหลายครั้ง นี่ฟังดูไม่ยากเลย และเพราะมัวแต่โล่งใจเขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก

“สระผมด้วยนะ”

“ได้ครับ” นรกรรับคำ ก่อนจะเงียบไปและมองเรือนร่างสูงใหญ่ที่คร่อมตัวเองไว้ “พี่วินทร์… ถอดเสื้อสิครับ”

“นายก็ถอดสิ”

มือเรียวเอื้อมออกไปด้านหน้าและค่อยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่แนบเนื้อนั้นออกทีละเม็ด… ทีละเม็ด… ทีละ… เม็ด

นรกรกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงลำคอที่จู่ๆ ก็แห้งผากเสียเฉยๆ ใบหน้าร้อนวูบวาบ ต้องยอมรับจากใจว่าถึงจะคบกันมาเกือบปี มีอะไรกันมาก็หลายครั้งแต่เขาแทบไม่ได้มองร่างกายอีกฝ่ายตรงๆ อย่างเต็มตาแบบนี้เลย ไม่สิ! ต้องบอกว่าไม่มีโอกาสได้มองมากกว่าเพราะพอวินทร์เริ่มจูบเขาก็หูอื้อตาลายแล้ว

แผงอกกว้างปรากฏอยู่ตรงหน้า ถึงจะไม่ถึงขั้นมีซิกแพคเป็นลอนๆ เหมือนนายแบบตามหน้านิตยสารแต่ก็เป็นกล้ามแน่นไร้ไขมันส่วนเกิน นรกรพยายามไม่มองลงต่ำตอนปลดเข็มขัด แต่ไรขนอ่อนบนหน้าท้องนั้นก็ทำให้หัวใจเต้นแรงไม่แพ้กันเลย

เขาจัดการร่นกางเกงทั้งตัวนอกตัวในให้ร่วงลงไปกองที่พื้นได้สำเร็จ และวินทร์ก็จัดแจงก้าวออกมาแล้วใช้เท้าเขี่ยมันไปตรงมุมห้อง

“ถอดของนายด้วยสิ” วินทร์ก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู

เมื่อเหลือเพียงตัวเปล่าๆ ในสายน้ำจากฝักบัวเหนือศีรษะที่โปรายปรายลงมา นรกรก็เอื้อมไปหยิบสบู่เหลวมาเทลงบนฝ่ามือแล้วถูให้เป็นฟองก่อนจะไล้ไปบนตัวอีกฝ่าย

“ออกแรงถูหน่อยสิ แบบนี้จะสะอาดเหรอ” วินทร์ว่า ดูเขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ได้เห็นอีกฝ่ายเงอะงะทำอะไรไม่ถูกแต่ก็ตั้งใจทำเต็มที่ และมันน่ารักจนเขาอดที่จะแกล้งไม่ได้

ในที่สุดนรกรก็ถูสบู่มาจนถึงส่วนสุดท้ายที่เว้นไว้ ทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสโดนเลยสักนิด แต่มันกลับตื่นตัวจนเกือบจะเต็มที่...

“คิดอะไรอยู่” วินทร์คนที่จู่ๆ หน้าก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มจัดพร้อมกับที่ชะงักมือลง

“ปะ...เปล่าครับ”

“สารภาพมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะโดนอีกกระทงนะฮาร์ฟ”

“คือผม... กำลังคิดว่า... พี่วินทร์... เอ่อ... หุ่นดีจังเลยนะครับ”

“ตอบไม่เต็มเสียงนี่ แบบนี้โกหกกันแน่ๆ” วินทร์ถามพร้อมกับเชยปลายคางขึ้นให้สบตา แต่กลับถูกหลบตาทันควัน เขารู้ว่านรกรคิดแบบนั้นจริงๆ อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งล่ะ และเขาอยากรู้ว่าที่เหลือน่ะคืออะไร

“ผมไม่ได้โกหกนะ”

“แสดงว่าบอกไม่หมด”

“ก็... ก็...”

“อะไร”

“ผมแค่สงสัยน่ะ”

“ว่า”

“ที่ผมซื้อมามันผิดไซส์หรือเปล่า”

“หืม” วินทร์เริ่มจะสงสัยจริงจังแล้วตอนนี้ว่านรกรหมายถึงอะไร

“ก็ตามตำราบอกว่าเส้นรอบวงจะเท่ากับขนาดนิ้วชี้แตะกับนิ้วโป้ง” เป็นครั้งแรกที่นรกรตอบทฤษฏีตะกุกตะกัก “และ... ยาวเท่ากับนิ้วชี้... ตะ... แต่พอลองจับดูแล้วผมว่ามันน่าจะ... คับ... ไป...”

คนพูดพูดต่อไม่ออก ในขณะที่คนฟังก็ไปไม่เป็น แต่อาศัยความอายที่มีน้อยกว่าทำให้วินทร์ตั้งหลักได้รวดเร็ว

“ฉันเปลี่ยนใจแล้วฮาร์ฟ ฉันขอเป็นฝ่ายอาบให้นายเองดีกว่า”

นรกรก้าวถอยหลังไปจนติดกำแพงเมื่อรอยยิ้มผุดขึ้นบนเรียวปากคนตรงหน้า อยากจะปฏิเสธเหลือเกินว่าไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าวินทร์อาบให้ไม่ดี แต่วินทร์น่ะมักจะอาบจนสะอาดเกินไปทุกครั้งเลยน่ะสิ

oooooo

“คุณป้ายกแขนขึ้นนะครับ ลองงัดข้อกับหมอดูนะ” สิ้นคำ คนที่กำลังตรวจกำลังกล้ามเนื้อของคนไข้หุบยิ้มไว้ไม่อยู่ เมื่อภาพของใครบางคนผุดขึ้นมาห้วงความคิด เพียงแต่สลับกันนิดหน่อยว่าตรงที่เขาให้ยกน่ะเป็นส่วนขา นึกเป็นห่วงอยู่หน่อยๆ ว่าวันนี้จะยืนผ่าตัดไหวไหม แต่เขาก็ไถ่โทษโดยการจัดมื้อเช้าชุดใหญ่บนที่นอนให้แล้วนะ

ตรวจร่างกายคนไข้พร้อมสั่งการรักษาเสร็จ วินทร์ก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อคืนแฟ้มให้ เมื่อใครคนหนึ่งเอ่ยทักมาจากอีกฝั่งของเคาน์เตอร์

“ไง”

นัยน์ตาตวัดควับมองคนตรงหน้าที่ส่งยิ้มมีเลศนัยน์มาให้ “มีอะไร”

คณิณส่งแฟ้มผู้ป่วยที่เพิ่งตรวจเสร็จเช่นกันให้พยาบาลและเดินเข้ามาหาก่อนทั้งสองจะเดินตามกันออกจากหอผู้ป่วยไป “ดีกันแล้วเหรอ”

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง” วินทร์บอกพร้อมหยักยิ้มมุมปากให้ “ในเมื่อเราไม่เคยทะเลาะกัน”

คณิณหลุดขำออกมาเล็กน้อยกับท่าทีของคนขี้หวงทั้งยังเหมือนอวดแฟนกลายๆ นั่น “ว้า~ เห็นหน้าบูดเป็นตูดลิงอยู่หลายวันนึกว่าแผนฉันจะสำเร็จซะอีก”

“แผนอะไรของนาย เตือนไว้ตรงนี้เลยนะว่านายอยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่มันไร้ประโยชน์เพราะฮาร์ฟรักฉัน”

“แต่เขายังไม่ลืมฉัน แล้วฉันก็ดูจะมีโอกาสเสียด้วยที่จะจีบเขาใหม่”

“แล้วไง” น้ำเสียงของวินทร์ห้วนขึ้นทันที “ถ้านายว่างมากนักก็กลับไปดูแลฝนเถอะ”

“ก็ดูอยู่ เธอสบายดีแล้วก็ท้องได้สี่เดือนแล้ว” เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ คณิณจึงต้องเฉลย

วินทร์รู้สึกตกใจไม่น้อยกับข่าวที่เพิ่งได้รับฟัง “ละ..แล้ว”

“ฉันมาจีบฮาร์ฟเป็นพ่อทูนหัว” คณิณบอก “และฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าฮาร์ฟรักเด็กจนเคยคิดอยากเป็นกุมารแพทย์ แต่นายคงไม่ใช่สินะ”

“เฮ้ย! เดี๋ยวสิปอ! นี่พูดจริงเหรอ”

คณิณไม่สนใจและเดินเลี้ยวไปอีกทาง จริงๆ แล้วเขามีเรื่องที่คุยกับนรกรมากมาย แต่ส่วนใหญ่ที่อีกฝ่ายตอบมามักจะมีเรื่องของวินทร์แทรกมาด้วยเสมอทั้งที่บางเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยน่ะสิ แถมสีหน้าและแววตาของนรกรยังมีความสุขสุดๆ ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วงสามปีที่คบกับเขา แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาหมั่นไส้จนอยากแกล้งได้ยังไงล่ะ

ทีแรกก็ตั้งใจจะเล่าให้คนขี้หึงฟังหรอกนะจะได้สบายใจ แต่ดูท่าแล้วจะกลายเป็นเหลิงจนตีปีกพั่บๆ มากกว่า ดังนั้น ให้หมอนั่นมันหงุดหงิดไปแบบนี้แหละ สะใจดี

“ปอ! ไม่ว่าลูกสาวหรือลูกชาย ฉันดีใจด้วยนะ” วินทร์ตะโกนตามหลัง

คณิณไม่ตอบ แต่ยกสองนิ้วขึ้นในอากาศเหมือนกับจะบอกใบ้อะไรบางอย่าง

วินทร์ยิ้มกับตัวเองก่อนจะเดินต่อไปอีกทาง ลงไปยังสนามข้างล่างที่ตอนนี้ผู้คนพลุกพล่านเพราะเป็นวันพระราชทานปริญญาบัตรหลังจากซ้อมใหญ่ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเขาไม่ได้ไปถ่ายรูปกับน้องๆ เพราะติดผ่าตัดซึ่งทุกคนก็บ่นกันระงมด้วยความเสียดายและขอให้เขาสัญญาว่าจะมาวันจริงให้ได้

เมื่อมาถึงจุดถ่ายรูปของคณะเขาก็เห็นใครคนหนึ่งถูกห้อมล้อมอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะดูเก้ๆ กังๆ แต่นรกรก็ยังยิ้มได้และไม่มีทีท่าอึดอัดจะเดินหนีเหมือนเมื่อก่อน นั่นทำให้เขารู้สึกดีใจที่เห็นนรกรยอมเปิดใจและเข้ากับคนอื่นๆ ได้มากขึ้น

ในขณะที่กำลังเฝ้าดูนั่นเองกลุ่มนักศึกษาที่ถ่ายรูปเสร็จก็กระจายออกทำให้วินทร์เห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งให้เกียรติใส่ชุดครุยมาถ่ายรูปด้วย ดูเหมือนเขากำลังมีปัญหากับปกเสื้อเชิ้ตตัวในเสื้อสูทที่ติดคอมากเกินไปจนหายใจไม่สะดวก

วินทร์กำลังจะเดินเข้าไปหา แต่ใครอีกคนที่อยู่ใกล้กว่าเดินเข้าไปถึงตัวก่อน และช่วยจัดการแก้ไขให้เรียบร้อย

รอยยิ้มเล็กๆ จุดขึ้นบนมุมปากก่อนจะกระจายไปเต็มหน้า วินทร์ล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

“พี่วินทร์ครับ”

เสียงบัณทิตใหม่เรียกไปถ่ายรูปด้วยกันทำให้คนที่เฝ้ามองอยู่หันมา วินทร์ลดโทรศัพท์ในมือลง นัยน์ตาสองคู่จึงสบกันพอดี สายลมพัดมาผะแผ่ว นำพารอยยิ้มละมุนไปส่งให้คนที่ยิ้มให้เขาเช่นกัน ก่อนที่ขายาวจะรีบก้าวเข้าไปหา

oooooo

“ฮาร์ฟ” วินทร์เรียกคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาพร้อมกับชะโงกหน้าไปหอมแก้มครั้งหนึ่งเป็นคำขออนุญาต เมื่อเห็นอีกฝ่ายละสายตาขึ้นมามองจึงหย่อนกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมมีฝาปิดขนาดเท่าพ็อกเก็ตบุ๊คลงไปตรงหน้า

นรกรปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะและรับมาเขย่าเบาๆ “อะไรครับ”

“เปิดดูสิ” วินทร์บอกพลางเดินอ้อมมานั่งลงเคียงข้างพลางลุ้นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในขณะที่เปิดกล่องของขวัญของตนไปด้วย

นรกรเปิดฝากล่องและดึงเอาของข้างในออกมา มันเป็นรูปถ่ายในกรอบวิทยาศาสตร์ลายไม้สีน้ำตาลดูไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกคนให้เท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะถูกใจคนรับไม่มากก็น้อย

วินทร์เขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดแล้ววางท่อนแขนลงรอบไหล่ และแตะมือไปบนรูปถ่ายที่นรกรกำลังจัดปกเสื้อให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์ “จริงๆ มีรูปที่ดีกว่านี้นะ แต่ฉันว่ามันดูเป็นทางการแล้วเกร็งๆ ยังไงก็ไม่รู้ อันนี้นายกับอาจารย์ดูเป็นธรรมชาติดี”

“ขอบคุณนะครับ” นรกรที่เงียบไปนานเอ่ยจากใจ มันเป็นภาพคู่กับพ่อใบแรกนับจากเรียนจบมัธยม ถึงนี่จะไม่ใช่ภาพฝีมือโปรกล้อง ไม่ได้ใส่เทคนิคการถ่ายหวือหวาหรือแต่งภาพให้ดูเลิศหรู แต่มันกลับอวลไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่างจนสัมผัสได้ ไม่เชิงจะเรียกว่าอบอุ่น เป็นความรู้สึกของสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่ต่อให้ห่างกันยังไงก็ตัดไม่ขาดมากกว่า และสำหรับนรกรแค่นี้ก็รู้สึกดีกับใจมากทีเดียว
“ผมก็มีของจะให้พี่วินทร์เหมือนกัน”

“อะไร”

“ตามมาสิครับ” นรกรบอกพลางลุกขึ้นและเอากรอบรูปไปวางบนชั้นหนังสือ

“ทำไมเอาไปวางตรงนั้นล่ะ เอาไปไว้ในห้องนอนสิ” วินทร์แอบงอนเล็กๆ ด้วยคาดหวังว่านรกรต้องเอาของขวัญที่เขาให้ไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง

“ไม่ได้หรอกครับ ก็นั่นมันรูปพ่อ... ผม...”

เพราะแก้มขาวที่ขึ้นสีเล็กน้อยทำให้วินทร์เดาประโยคในส่วนที่เหลือได้ทันที “ทำอย่างกับว่าบนโซฟาไม่เคย”

“พี่วินทร์”

“ถ้านายห่วงเรื่องนั้นเห็นทีต้องเอาออกไปไว้ที่ระเบียงแล้วล่ะ เพราะในครัวก็...”

“พี่วินทร์!”

เจ้าของชื่อปิดปากได้ในที่สุด หากยังไม่วายทำหน้าล้อเลียนในขณะที่เดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้องนอน

แต่ยังไม่ทันจะได้ปิดประตู คนที่แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยมก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

“ฉันขอแกะห่อของขวัญเลยนะ” ว่าแล้วก็โถมเข้าใส่คนตัวเล็กกว่าจากทางด้านหลังล้มลงนอนบนเตียงจนหมอนกระจายไปคนละทิศ และซุกไซร้ใบหน้าไปตามลำคอระหงไล่ต่ำลงมาตามแนวไหปลาร้าในขณะที่สองมือก็วุ่นวายอยู่กับการปลดกระดุมเสื้อพร้อมกับใช้หัวเข่าดันเรียวขาอีกฝ่ายให้แยกออกจากกันก่อนจะดันตัวเข้าแทรกตรงกลาง

“เดี๋ยวก่อนครับ” นรกรใช้สองมือดันไหล่วินทร์ให้ปล่อย แต่ถ้ามันจะทำสำเร็จได้ง่ายๆ เขาคงไม่โดนแกล้งมาจนถึงตอนนี้ นรกรจึงเปลี่ยนไปใช้วิธีบีบจมูกให้อีกฝ่ายหายใจไม่ออกแทน

วินทร์สะบัดหน้าหลุดอย่างขัดใจก่อนจะก้มลงงับปลายจมูกนรกรหยอกๆ เป็นการเอาคืนแล้วใช้สองแขนคร่อมตัวอีกฝ่ายไว้ “อะไร ก็นายไม่ได้จะให้ของขวัญฉันหรอกเหรอ”

“ไม่ใช่แบบนี้สิครับ!” นรกรพูดเสียงดังใส่คนที่ใจกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องใต้สะดือพลางชี้ไปที่โต๊ะข้างเตียง “ผมหมายถึงนี่ต่างหาก”

วินทร์ยืดตัวขึ้นมองให้ชัดๆ ครั้งก่อน ตอนที่เห็นถุงยางนั่นเขาก็ดีใจมากมายแล้ว และถึงครั้งนี้ของที่เตรียมไว้จะไม่เซ็กซี่เท่าครั้งที่แล้ว เป็นรูปภาพอีกใบในกรอบที่วางไว้คู่กับภาพสเกตซ์ของเขา แต่นั่นก็ทำเอายิ้มกว้างหุบไม่ลงเลยทีเดียว

วินทร์กดจูบลงกลางหน้าผากครั้งหนึ่งแทนคำขอบคุณก่อนจะพลิกตัวนั่งพิงหัวเตียงแล้วเอื้อมมือไปหยิบรูปมาดูให้ชัดๆ “รูปที่ฉันหล่อกว่านี้ไม่มีเหรอ”

“มีครับแต่ผมชอบรูปนี้” นรกรลุกขึ้นนั่งบ้าง เขาได้ไฟล์รูปนี้มาจากหนึ่งในนักศึกษาแพทย์ที่มาขอถ่ายรูปด้วยและเอาภาพทั้งหมดมาให้เขาเลือกเผื่อจะมีรูปไหนที่ชอบจะได้อัดมาเผื่อ จริงๆ ในภาพเต็มนั้นมีเจ้าของภาพด้วยและเขากับวินทร์เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ข้างหลัง แต่เขาเอาไปให้ร้านช่วยตัดออกและขยายมาใส่กรอบ โชคดีที่ต้นฉบับเป็นไฟล์จากกล้องคุณภาพสูงจึงได้ภาพคมชัด

“ทำไมล่ะ ลมพัดหัวยุ่งแถมยังยิ้มแปลกๆ อีก”

“แต่พี่วินทร์กำลังมองมาที่ผม” แล้วนรกรก็เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “พี่วินทร์ต้องไม่เชื่อแน่ แต่ตอนนั้นผมกำลังคิดถึงพี่วินทร์พอดี... แล้วพอหันไปก็เห็นว่าพี่วินทร์ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็กำลังมองมาก็เลย...”

เป็นอีกครั้งที่ส่วนของประโยคที่เหลือถูกแทนที่ด้วยสีแดงระเรื่อบนผิวแก้ม วินทร์โอบแขนลงรอบไหล่รั้งตัวอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้

“ฉันก็มองแค่นายคนเดียวน่ะแหละ”

“ผมก็คิดถึงพี่วินทร์คนเดียวเหมือนกัน”

“งั้นเรามาทำเรื่องที่จะเป็นการยืนยันความคิดของเราไปพร้อมๆ กันเลยดีไหม”

“ยังไงครับ” นรกรถามแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดออกไปเลยจริงๆ เมื่อรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จุดขึ้นบนริมฝีปากคนตรงหน้า นรกรถอนหายใจ นี่ยังหัววันอยู่แท้ๆ และเขาอยากอ่านหนังสือต่อให้จบ

แต่เมื่อสบกับนัยน์ตาที่พราวระยับ เขาก็รู้ว่าไม่ใช่เพราะกรงแขนแข็งแรงหรอกที่ทำให้ใจอ่อน แต่เป็นความรู้สึกรักมากมายในแววตานี้ต่างหากที่หลอมละลายเขาได้ทุกครั้ง

วินทร์พลิกตัวกลับเอาตัวเองทาบทับคนตัวเล็กกว่าไว้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้นอกจากจะไม่ขัดขืนนรกรยังยกสองแขนขึ้นคล้องรอบคอและยินยอมฝังกายลงในอ้อมอกของเขา
.
.
.
.
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความหวานมาได้สักพัก นรกรนอนหนุนอกเปลือยของวินทร์ต่างหมอน และปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ปลายนิ้วเขี่ยติ่งหูกับไล้แก้มเขาเล่น เรียวคิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยกำลังขบคิดบางอย่างไม่ตก

เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบจนกระทั่งปลายนิ้วนั้นเริ่มรุกรานมาถึงริมฝีปากนรกรก็ตัดสินใจได้ เขาใช้ฟันขบเบาๆ ให้หยุดก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตา
 “พี่วินทร์ครับ ผมมีอะไรจะบอก”

“เรื่องปอเหรอ” วินทร์ว่า “ในที่สุดก็ยอมพูดสักทีนะ ไหนเล่ามาสิ ว่ามีเรื่องอะไรถึงได้ปล่อยฉันไว้ลำพังแล้วไปกุ๊กกิ๊กอะไรกันสองคนตั้งหลายวัน”

“คุณฝนท้องลูกแฝด”

“แล้วปอก็มาจีบนายเป็นพ่อทูนหัวใช่ไหม เรื่องนั้นมันบอกฉันแล้ว” วินทร์บอก “แล้วไงต่อ”

“อาทิตย์หน้าพี่ปอต้องไปประชุมสมาคมโรคหัวใจที่ต่างจังหวัด 10 วัน เขาไม่อยากทิ้งคุณฝนที่กำลังท้องไว้คนเดียวเลยจะพาไปด้วย”

“ก็ดีนี่ แล้วไงอีก”

“พี่วินทร์จำเจ้าบิชอฟได้ไหมครับ”

“เจ้าโกลเด้นที่เห่าเก่งๆ ตัวนั้นน่ะเหรอ”

นรกรพยักหน้า “พอไม่มีคนอยู่บ้าน พี่ปอก็จะเอามันไปฝากไว้ที่โรงพยาบาลสัตว์กับหมอเบลเหมือนที่เคยทำ แต่พอติดต่อไปปรากฏว่าตอนนี้กรงเต็มแล้วไม่สามารถรับได้อีก พี่ปอเลยมาปรึกษาผมว่าจะเอามันไปฝากไว้ที่ไหนดี ผมก็เลยช่วยหาร้านหรือคลินิคให้ ได้ที่ๆ น่าสนใจมาที่หนึ่ง พี่ปอไปดูสถานที่มาแล้วก็คิดว่าโอเคดี”

“ก็ดีแล้วนี่นา แล้วทำไมเหรอ”

“แต่มันก็แปลกที่ ผมเป็นห่วงมันกลัวว่าจะเหงาก็เลย... จะขอพี่วินทร์ไปเยี่ยมมันบ้าง”

“ได้สิ”

“ขอบคุณครับ”

“แค่นี้เหรอ” วินทร์ถามย้ำ

“ครับ”

“พูดสิฮาร์ฟ แล้วฉันจะอนุญาต” จู่ๆ วินทร์ก็พูดขึ้น
นรกรผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย “อะไรครับ”

“ที่เกริ่นนำมาทั้งหมดนี่เพราะนายอยากเอามันมาเลี้ยงเองใช่ไหมล่ะ เพราะคอนโดนี่เขาอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้”

คนฟังตาโตขึ้นมาทันที “สรุปว่าพี่วินทร์อนุญาตให้ผมเอาบิชอฟมาเลี้ยงได้ใช่ไหมครับ”

“ไม่อนุญาต”

“อ้าว”

“ก็ฉันบอกให้นายพูดแล้วจะอนุญาต แต่เมื่อกี้ฉันเป็นคนพูดเองนี่นา นายไม่ได้พูดสักหน่อย เพราะฉะนั้นฉันไม่อนุญาต”

“งั้นผมขอ…”

“มาพูดตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไม่ก็คือไม่” วินทร์ยืนยันเสียงเข้ม

“ครับ” นรกรรับคำเสียงอ่อย และซบหน้าลงนอนตามเดิม ทำอาการเหมือนลูกแมวกำลังงอนเจ้าของที่ไม่ยอมเล่นด้วยไม่มีผิด

….เป็นแมวแท้ๆ แต่ริจะเลี้ยงหมา….

วินทร์ยิ้มขันด้วยความเอ็นดูก่อนจะผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อจูบคลายรอยย่นตรงหว่างคิ้ว “ฉันล้อเล่นน่ะ จะไปรับมาวันไหนล่ะจะได้เตรียมที่ให้มัน”

“ขอบคุณนะครับ”

“แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ”

“อะไรครับ”

“ห้ามรักหมามากกว่าฉันนะ ห้ามเอาแต่สนใจมันแล้วไม่สนใจฉันด้วย”

“สัญญาครับ”

“เชื่อได้จริงปะเนี่ย”

“ผมจะรักมันมากกว่าพี่วินทร์ได้ไง”

“พูดปากเปล่าไม่มีน้ำหนัก งั้นฉันขอทำข้อตกลงไว้ก่อนเลยดีกว่า” วินทร์บอกพร้อมกับเริ่มต้นร่างสัญญาโดยการรวบตัวคนที่หนุนอยู่บนหน้าอกพลิกลงไปบนเตียงแล้วขึ้นคร่อมไว้

“เมื่อกี้เพิ่งทำไปไม่ใช่เหรอครับ”

“เมื่อกี้มันส่วนของขวัญ แต่อันนี้เป็นส่วนของข้อตกลง”

นรกรย่นปากใส่คนตรงหน้า วินทร์ก้มหน้าลงมาหาและแตะริมฝีปากแผ่วค่อยแล้วผิวกายที่เริ่มเย็นลงครั้งหนึ่งกลับอุ่นขึ้นอีกครั้งจากจุดที่ริมฝีปากนั้นสัมผัสก่อนจะแผ่ซ่านไปจนถึงปลายนิ้ว

ยังไม่ทันจะขัดขืนร่างกายก็ยินยอมพร้อมใจให้เขาเสียแล้ว นรกรจึงทำได้แค่ยกสองแขนขึ้นกอดเกี่ยวลำคอหนาและปล่อยให้วินทร์พาไปอีกครั้ง
.
.
.
.
“พี่วินทร์” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากกลุ่มผ้าที่คนซึ่งอยู่ใต้ร่างใช้ปิดหน้า

เจ้าของชื่อละริมฝีปากจากสิ่งที่กำลังชิมแล้วเคลื่อนตัวขึ้นมาหา ดึงผ้าที่ปิดหน้าไว้ออกเห็นน้ำที่ฉ่ำเต็มสองตาจึงก้มลงจูบซับน้ำตาให้ทีละข้าง “มีอะไร”

“ข้อสุดท้ายแล้วได้ไหมครับ พรุ่งนี้ผมมีผ่าตัดแต่เช้า”
คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันพลางใช้สายตามองสำรวจเรือนร่างเปลือยเปล่า ผิวขาวเนียนแทบกลืนหายไปเตียง ถ้าไม่ติดว่าเห็นรอยสีแดงระเรื่อเป็นหย่อมๆ ก็คงไม่รู้ว่ามีคนนอนอยู่ “เอางั้นก็ได้”

คำตอบของวินทร์ทำให้นรกรค่อยใจชื้น เพราะตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างคำว่าสุขสมกับเจ็บปวด แต่ไม่ว่าอะไรนั่นก็ทำให้แทบขาดใจทั้งคู่ เขาส่งยิ้มขอบคุณให้วินทร์ ก่อนที่สีหน้าจะค่อยๆ ซีดเผือดเมื่ออีกฝ่ายพูดประโยคต่อมา

“แต่ข้อสุดท้ายนี้ยาวหน่อยละกันนะ”

ตาคมเหลือบมองเม็ดฝนที่กระทบหน้าต่าง สาบานได้ว่าเขาไม่ใช่คนขี้หึง แต่จนกว่าฝนเม็ดสุดท้ายจะลาไปจากฟ้า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้นรกรเผลอใจไปคิดถึงใครนอกจากเขาอีกแล้ว


The End

สาบานได้ว่าบทนี้ยากกว่าบทดราม่าใดๆ ที่เคยแต่งมา555

นี่เป็นตอนพิเศษตอนสุดท้ายแล้วนะคะที่เราจะลงเว็บ แต่ถ้าหลังจากฉบับรวมเล่มวางแผงไปแล้ว อาจจะมีอีก(หรือเปล่า) ขอดูฟ้าฝนและใจเราก่อนน้าาา ว่าจะมีดราม่าอะไรมาให้พี่วินทร์ปวดใจอีก555

ปล.สำหรับผู้ที่สอบถามเข้ามาถึงการรวมเล่ม เนื่องจากนี่เป็น ภาคต่อของ ER เราจึงขอไว้ใจให้ สนพ. Hermit ทำต่อค่ะ และตอนนี้กำลังอยู่ในส่วนของเราเองที่กำลังเคลียร์ต้นฉบับและแต่งตอนพิเศษซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว

ปล2. ตอนพิเศษในเล่มจะมี 5 ตอนรวมที่ลงเว็บด้วย (แต่อาจมีเพิ่ม ขอดูอีกทีนะคะ) ถ้าหากใครมีรีเควสอะไรที่คิดว่าอยากให้เราเพิ่มหรือขยายบอกได้เลยนะคะ เราจะได้แต่งให้ค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามและชื่นชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ
พบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ

ด้วยรักและขอบคุณ
leGGyDan


ฝากผลงานเรื่องใหม่ด้วยนะคะ
#Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.0)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 23-09-2016 16:21:51
น่ารักยันตอนสุดท้ายเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 23-09-2016 17:36:42
โอ๊ยยยยย น่ารักมากๆๆๆๆ
แต่สงสารฮาร์ฟนิดๆละ พี่วินทร์ลงโทษเยอะมาก

รอติดตามเล่มค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-09-2016 18:19:46
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-09-2016 19:44:46
วินทร์ ฮาร์ฟ มีความสุข และสุขสมสุดๆ :mew1: :mew1: :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 23-09-2016 20:17:14
ง่าาาาา จบซะแล้ว มีความสุขมากค่า พี่วินทร์น้องฮาร์ฟ รักกันๆ คนอ่านชื่นใจฝุดๆค่ะ
เป็นเลิฟซีนแบบไม่หื่นจนหวือหวา แต่เราฟินมากเลยนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 23-09-2016 20:44:43
ขอบคุณค่ะ  รอซื้อเป็นเล่มนะคะ  งานหนังสือตุลานี้  จะไปซื้อ ER ค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 23-09-2016 21:53:26
พี่วินทร์คนหื่นนนนน ร้ายกาจจจจจ อ่านตอนพิเศษแล้วไม่น่าไปสงสารตอนหลักเลย 55555
แต่ฮาร์ฟก็น่าร้ากก ยอมที่สุดเลย งือๆๆ ยิ่งทฤษฎีคำนวนเส้นรอบวงนะ โอยยย
คงไม่ทนเหมือนพี่วินทร์นี่แหละ บ้าที่สุด น่ารัก น่ารัก
จอรอรวมเล่มค่า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Kitsune1st ที่ 23-09-2016 22:19:34
เหมือนอ่านดราม่ามาทั้งเรื่อง
เพื่อจะมาอ่านตอนพิเศษที่หวานจนมดขึ้นในตอนหลัง
อ่านไปเขินไป มีความสุขแทนพี่วินทร์  :hao6:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-09-2016 22:46:52
ฮาร์ฟน่ารักน่าแกล้งเสมอ

พี่วินทร์น่าร้ากกกกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-09-2016 00:07:16
น่ารักมากเลย  :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 24-09-2016 00:21:11
พี่วินเขาก็สมชื่อจริงๆนะ วินทุกเรื่องตั้งแต่แรก คิดถึงเรื่องนี้ น่ารักมากคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 24-09-2016 03:52:40
ว่างๆเมื่อไรก็เข้ามาอ่าน :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
อ่าแล้วซึ้งดีชอบ :กอด1: :กอด1: ชอบความรักที่มั่นคงของหมอวิทย์ทั้งตอนเป็นวิญญาณและเป็นคนเลย
แล้วสรุปวิญญาณผู้หญิงบนล็อกเกอร์ในห้องแต่งตัวแพทย์นางจะยัังไงต่อนางน่ารักนะอิอิมีแอบชอบน้องของหมอฮาฟด้วย :mc4: :mc4:
มาต่อตอนพิเศษอีกนะเราอยากอ่านเรื่อยๆๆไม่ให้จบเลย :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 24-09-2016 09:41:48
พี่วินทร์ไม่ขี้หึงเลยจริงจริ๊งงงง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 24-09-2016 22:16:37
งื้ออออ  น่ารักอ่ะ

จะรอติดตามผลงานนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 25-09-2016 19:52:39
เดาถูกตั้งแต่ คนเขียน หย่อน Hint เอาไว้ในตอนต้น ๆ แต่มีไขว้เขว ตอนช่วงกลาง ๆ เรื่อง วางดักให้เขวได้ดีครับ

เนื้อเรื่องดีมาก รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ชอบที่อ่านแล้วได้ความรู้สึกดี ๆ ในการได้อ่านจากประสบการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการกระทำของตัวละคร หย่อนพล็อตตอนแรกไว้ ก็น่าติดตามเลยครับ ชื่นชม

เดาว่า อาจจะเป็นซีรี่ย์ โรงพยาบาล เพราะมีตัวละครอื่น ๆ อีก หรือหากไม่ใช่ที่คาดเดาไว้ ก็จะติดตามผลงานต่อไปครับ ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sincere13 ที่ 27-09-2016 12:36:07
ืตอนพิเศษหวานทดแทนช่วงเสียน้ำตาสิน้า ฮื้ิอ  :o8: นึกว่าจะมีภาคผนวกถึง ฮ.  ซะอีกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: zatannn ที่ 30-09-2016 14:12:13
อ่านจบแล้วค่าาา เย้ กำลังจะเก็บตอนพิเศษ ขอมาเม้นให้กำลังใจก่อนสักรอบ
คือมันดีมาก เราอ่านนิยายหมอๆ ผีๆ มาเยอะ ชอบเรื่องนี้ที่สุดคือลงตัวทั้งสองด้าน
เขียนถึงบรรยากาศได้ดีมาก คือเราอ่านนิยายบางเรื่องที่่มีแต่บทสนทนาไม่เอ่ยถึงบรรยากาศรอบข้างใดๆเลย เราจะไม่ค่อยปลื้มเราว่ามันคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เราอินกับตัวละครได้มากขึ้นกว่าเดิม มันสำคัญนะ  คุณทำได้ดีจริงๆ ชื่นชมค่ะ

ชอบพล็อต ชอบทุกอย่าง อ๊ากกก  ขออนุญาติเก็บไว้เป็นนิยาย top10 ในใจตอนนี้เลย

ปล. ตอนยังทิดจะไปไม่ไป จะอยู่หรือตาย นี้โคตรลุ้นบอกเลย 
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 01-10-2016 20:42:22
พี่วิน น้องฮาร์ฟน่ารักเกิ๊น  เชียร์พี่วินมาตั้งแต่เริ่มอ่านวันแรก ไม่อยากให้คุณอทิฐได้กับน้องฮาร์ฟ พอเฉลยว่า เป็นคนเดียวกันนี่ โคตรดีใจเลย  ยิ่งตอนพิเศษเป็นแฟนก้น  อยู่ด้วยกันนี่ยิ่งหวาน ดีต่อใจมาก พี่วินนี่เอะอะ กินตับฮาร์ฟตลอด
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 02-10-2016 06:43:15
โอ้ยยยย พี่วิน หื่นๆๆๆ  สงสารหมอฮาร์ฟเลย 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 02-10-2016 11:57:30
อ่านจบแบบด้วยสนุกและความประทับใจมากๆๆๆๆค่ะ
สนุกสมกับได้รับการเสนอให้เป็นนิยายสุดประทับใจเซ็งเป็ดอวอร์ดปีนี้
ตามมาอ่านจากที่มีคนเสนอไว้ในกระทู้โหวตค่ะ
ลุ้นตลอดว่าพระเอกคือใคร พล็อตเรื่องและไทม์ไลน์ในเรื่องโคตรเทพอ่ะค่ะ คนแต่งเก่งมากๆๆ
ดีใจมากที่ไม่พลาดเรื่องดีๆแบบนี้
เดี๋ยวต้องไปรื้อเอา ER นาทีหัวใจมาอ่านต่อ ซื้อเก็บไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้อ่านสักที


หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 02-10-2016 17:44:11
เป็นนิยายที่ดีมากเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ครบทุกอารมณ์จริงๆ
เสียดายพึ่งมาเจอ :katai1: :katai1:

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ แบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 02-10-2016 20:39:11
กลับมานึกๆดู มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจอ่ะค่ะ
ทำไมเวลาทิดเจอน้องบุรุษพยาบาลชื่ออธิษฐ์ ถึงรู้สึกคุ้นเคยล่ะคะ
ทั้งๆที่ทิดนอนป่วยอยู่เมื่อแปดปีที่แล้ว ไม่น่าจะได้เจอกับน้องอธิษฐ์
ถ้าใครรู้วานบอกหน่อยนะคะ อ่านรวดเดียวเมือคืน ไม่รู้ข้ามหรือพลาดตอนไหน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 02-10-2016 21:56:15
กลับมานึกๆดู มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจอ่ะค่ะ
ทำไมเวลาทิดเจอน้องบุรุษพยาบาลชื่ออธิษฐ์ ถึงรู้สึกคุ้นเคยล่ะคะ
ทั้งๆที่ทิดนอนป่วยอยู่เมื่อแปดปีที่แล้ว ไม่น่าจะได้เจอกับน้องอธิษฐ์
ถ้าใครรู้วานบอกหน่อยนะคะ อ่านรวดเดียวเมือคืน ไม่รู้ข้ามหรือพลาดตอนไหน

ที่รู้สึกคุ้นเคยกันเพราะ อธิษฐ์เคยดูแลอทิฐฏ์(พี่วินทร์)สมัยเป็นนักเรียนพยาบาลขึ้นฝึกงานที่ ICU ค่ะ
คือนักเรียนจะโดนสอนให้แนะนำตัวและพูดคุยกับคนไข้แม้จะไม่รู้สติความรู้สึกก็เลยเหมือนได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ จนคุ้นหู
มีเฉลยใน บทที่ 12 พาร์ทสองค่ะ^^

เผื่อมีคำถามต่อว่าแล้วทำไมไม่คุ้นกับคนอื่น เช่น อ.สรวิชญ์ เพราะในเรื่องมาเจอกับอธิษฐ์ก่อนไงคะ ตั้งแต่บทที่ 1 คือถ้าเจอคนอื่นก็จะเห็นว่าคุ้นเหมือนกัน แต่คุ้นเคยกับโปรดมากว่าเพราะเป็นเด็กน้อย(นักเรียน) ก็จะเฝ้าเคสตัวเองอยู่ข้างเตียงตลอด เมื่อเทียบกับอ.สรวิชญ์ หรือคนอื่นๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 02-10-2016 23:04:29
กลับมานึกๆดู มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจอ่ะค่ะ
ทำไมเวลาทิดเจอน้องบุรุษพยาบาลชื่ออธิษฐ์ ถึงรู้สึกคุ้นเคยล่ะคะ
ทั้งๆที่ทิดนอนป่วยอยู่เมื่อแปดปีที่แล้ว ไม่น่าจะได้เจอกับน้องอธิษฐ์
ถ้าใครรู้วานบอกหน่อยนะคะ อ่านรวดเดียวเมือคืน ไม่รู้ข้ามหรือพลาดตอนไหน

ที่รู้สึกคุ้นเคยกันเพราะ อธิษฐ์เคยดูแลอทิฐฏ์(พี่วินทร์)สมัยเป็นนักเรียนพยาบาลขึ้นฝึกงานที่ ICU ค่ะ
คือนักเรียนจะโดนสอนให้แนะนำตัวและพูดคุยกับคนไข้แม้จะไม่รู้สติความรู้สึกก็เลยเหมือนได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ จนคุ้นหู
มีเฉลยใน บทที่ 12 พาร์ทสองค่ะ^^

เผื่อมีคำถามต่อว่าแล้วทำไมไม่คุ้นกับคนอื่น เช่น อ.สรวิชญ์ เพราะในเรื่องมาเจอกับอธิษฐ์ก่อนไงคะ ตั้งแต่บทที่ 1 คือถ้าเจอคนอื่นก็จะเห็นว่าคุ้นเหมือนกัน แต่คุ้นเคยกับโปรดมากว่าเพราะเป็นเด็กน้อย(นักเรียน) ก็จะเฝ้าเคสตัวเองอยู่ข้างเตียงตลอด เมื่อเทียบกับอ.สรวิชญ์ หรือคนอื่นๆ


ขอบคุณ คุณ leGGyDan มากๆค่ะ ดีใจจังคนแต่งมาตอบคำถามให้เอง

อ๋อๆ จำได้แล้วค่ะ พอบอกมาอย่างนี้ว่าน้องโปรดเคยดูแลทิดตอนเป็นนักเรียนพยาบาล ก็นึกออกเลยค่ะว่าอ่านผ่านตาแล้ว สงสัยเมื่อคืนอ่านแบบรีบด่วนรวดเดียวด้วยความอยากรู้ ทำเอาสมองเออเร่อไปเลย 5555 ว่าจะกลับไปอ่านทวนช้าๆแบบเก็บรายละเอียดอีกรอบหลังจากอ่าน ER นาทีหัวใจจบ

จะรอซื้อหนังสือกับเฮอร์มิทนะคะ ชอบเรื่องนี้มากกกกกกๆๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 02-10-2016 23:19:05
กลับมานึกๆดู มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจอ่ะค่ะ
ทำไมเวลาทิดเจอน้องบุรุษพยาบาลชื่ออธิษฐ์ ถึงรู้สึกคุ้นเคยล่ะคะ
ทั้งๆที่ทิดนอนป่วยอยู่เมื่อแปดปีที่แล้ว ไม่น่าจะได้เจอกับน้องอธิษฐ์
ถ้าใครรู้วานบอกหน่อยนะคะ อ่านรวดเดียวเมือคืน ไม่รู้ข้ามหรือพลาดตอนไหน

ที่รู้สึกคุ้นเคยกันเพราะ อธิษฐ์เคยดูแลอทิฐฏ์(พี่วินทร์)สมัยเป็นนักเรียนพยาบาลขึ้นฝึกงานที่ ICU ค่ะ
คือนักเรียนจะโดนสอนให้แนะนำตัวและพูดคุยกับคนไข้แม้จะไม่รู้สติความรู้สึกก็เลยเหมือนได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ จนคุ้นหู
มีเฉลยใน บทที่ 12 พาร์ทสองค่ะ^^

เผื่อมีคำถามต่อว่าแล้วทำไมไม่คุ้นกับคนอื่น เช่น อ.สรวิชญ์ เพราะในเรื่องมาเจอกับอธิษฐ์ก่อนไงคะ ตั้งแต่บทที่ 1 คือถ้าเจอคนอื่นก็จะเห็นว่าคุ้นเหมือนกัน แต่คุ้นเคยกับโปรดมากว่าเพราะเป็นเด็กน้อย(นักเรียน) ก็จะเฝ้าเคสตัวเองอยู่ข้างเตียงตลอด เมื่อเทียบกับอ.สรวิชญ์ หรือคนอื่นๆ


ขอบคุณ คุณ leGGyDan มากๆค่ะ ดีใจจังคนแต่งมาตอบคำถามให้เอง

อ๋อๆ จำได้แล้วค่ะ พอบอกมาอย่างนี้ว่าน้องโปรดเคยดูแลทิดตอนเป็นนักเรียนพยาบาล ก็นึกออกเลยค่ะว่าอ่านผ่านตาแล้ว สงสัยเมื่อคืนอ่านแบบรีบด่วนรวดเดียวด้วยความอยากรู้ ทำเอาสมองเออเร่อไปเลย 5555 ว่าจะกลับไปอ่านทวนช้าๆแบบเก็บรายละเอียดอีกรอบหลังจากอ่าน ER นาทีหัวใจจบ

จะรอซื้อหนังสือกับเฮอร์มิทนะคะ ชอบเรื่องนี้มากกกกกกๆๆค่ะ
ด้วยความยินดีและขอบคุณมากๆ ค่าาาา
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 02-10-2016 23:35:27
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: freeurhart ที่ 03-10-2016 20:14:29
สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 04-10-2016 11:31:22
โอยยยยย บีบหัวใจ
ตามลุ้นทุกตอน จบตอนนี้ต้องอยากอ่านตอนหน้าต่อจะได้หายคาใจ
ในที่สุดก็ตามอ่านจนจบ
พี่วินทร์ดีมากกกก รักมากกกกก ฮืออออ
เหมือนอยากชดเชยให้ความผิดที่พลาดไป แงงงง
รู้สึกเสียใจมาก ตอนที่พี่วินทร์รู้ว่าตัวเองสู้ตัวเองไม่ได้
มันแบบแข่งกับใครก็ไม่สู้แข่งกับตัวเองจริงๆ
เรายังคิดอยู่เลยว่า หมอฮาร์ฟจะพลิกกลับมาชอบหมอวินทร์ยังไง
ฮอลลลล แต่ในที่สุดก็รักกันอ่ะ ดีแล้ว ดีใจแทนหมอวินทร์
นี่อ่านไปร้องไห้ไป น้องลลินดีมากจริงๆ หนูสู้มากๆลูก เก่งค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะคะ
^^
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 05-10-2016 13:29:38
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-10-2016 01:57:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 08-10-2016 14:19:24
โหยยยยยย สนุกมากกกกกกกก
เผลอเข้ามาอ่าน ละวางไม่ได้เลย อ่านทีเดียวรวด
คือจะบอกว่าเดาว่าอทิฏคือใครได้ตั้งแต่แรกๆละ เพราะแอบเชียร์พี่วินทร์
เลยคิดว่าน่าจะใช่ กลิ่นพี่วินทร์เป็นพระเอกชัดมาก 555555555555
มีมาลังเลชั่วแวบตอนฮาร์ฟไปหาโปรด ละเจอคนไข้เตียงสี่ แวบเดียวที่ตกใจนึกว่าตัวเองเดาผิด
แต่สรุปก็เดาถูก 5555
แต่ก็สนุกอยู่ดี อย่างที่พี่วินทร์ว่าไว้ แข่งกับใครก็ไม่เหนื่อยเท่าแข่งกับตัวเอง
สุดท้ายก็สำเร็จ พาร์ทหลังๆนี่หวานมากกกกกก

สนุกจริงๆ ภาษาดีด้วย
ขอบคุณที่สร้างสรรค์นิยายดีมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Arancia ที่ 08-10-2016 18:29:38
โอ๊ยยยดีงามมาก
เข้ามาอ่านเพราะเห็นชื่อในเซ็งเป็ดอวอร์ด. ไม่ผิดหวังเลย. อ่านรวดเดียววันเดียวไม่ต้องทำอะไรเลย
ชอบมาก. ดีใจที่เดาถูกแบบเป๊ะตั้งแต่ที่วินทร์ตอบว่าเพราะเค้าเป็นหัวใจ. แล้วทุกอย่าง ที่อ่านมาคือใช่. 555. ดีใจที่เดาถูก
ฮาร์ฟน่ารักกกกก. ดูตอนท้ายๆสิหวานสะ.

ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆแบบนี้นะคะ. จะตามไปอ่านเรื่องก่อนหน้าและซื้อฉบับรวมเล่มแน่นอน. อิอิ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 08-10-2016 23:32:26
โอ๊ยอ่านตอนพิเศษแล้วฟิน ดีใจมากที่หมอวินทร์เป็นพระเอก ดีใจมากที่เดาถูกตั้งแต่กลางเรื่องแระว่าอทิฐกับหมอวินทร์คือคนเดียวกัน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sujusaranghae ที่ 09-10-2016 08:27:58
สนุกมากกกกกค่า ขอโทษที่เม้นครั้งเดียว แบบมันสนุกมากจนอ่านรอบเดียวถึงเช้าจนจบเลย
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-10-2016 21:31:06
สนุกมาก แม้จะเดาอะไรไม่ถูกเลยก็ตาม 5555
นี่เชียร์พี่วินทร์มาแต่ต้นเลยนะ ลุ้นมาก
ขอบคุณสำหรับนิยายอบอุ่น ๆ อีกเรื่องนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MM ที่ 10-10-2016 01:47:50
ขอตอนพิเศษหวานๆ เยอะๆค่ะ ชอบที่สุดก็ตอนที่วินท์แกล้งฮาร์ฟนี่แหละ นรกรเป็นอะไรที่น่าแกล้งมากจริงๆ >.,<  :m25:
ออกมาไวๆนะคะ นี่พร้อมโอนรอไว้เลย เรื่องนี้จะตามซื้อมาเก็บแน่นอน  :mew1:
ถ้าจะขยายตรงไหน ก็อยากให้พวกลำดับเวลามันเคลียร์กว่านี้อีกหน่อยค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Arika-yaoi ที่ 10-10-2016 18:32:07
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่า :bye2: :o8:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 10-10-2016 21:40:03
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 13-10-2016 22:48:27
อบอุ่นหัวใจมากๆเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: AdLy ที่ 15-10-2016 20:47:09
พอพ้นจากดราม่า ก็เผยตัวเป็นสายหื่นทั้งคู่เลยค่า ปลื้มปริ่ม
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: secretowl ที่ 16-10-2016 00:18:25
สนุกมากๆเลยค่าาา อ่านรวดเดียวจบเลย
เป็นกำลังใจให้น้า จะติดตามเรื่องอื่นต่อๆไปค่า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Aomampapeln ที่ 16-10-2016 10:44:03
ชอบเรื่องนี้ค่ะ ลุ้นดี มีอะไรให้ติดตามตลอดเวลา ตอนแรกแอบสงสารพี่วินทร์ :hao5: แต่พอถึงตอนพิเศษสงสารฮาร์ฟมากกว่าอะ พี่วินทร์ใช้แรงงานหนักไปเปล่า แต่ดูนรกรคงชอบอะนะ เตรียมพร้อมซะ อ่านไปยิ้มไป ดราม่าประปรายแต่ก็ไม่เศร้าจนน้ำตาไหลพราก พอให้มีสีสันของชีวิตบ้าง ตอนแรกก็งงๆ ตอนนี้เข้าใจละ ผูกเรื่อง ผูกปมได้แบบคาดไม่ถึงจริง ขอยคุณที่แต่งนิยายดีๆ สนุกๆ ให้อ่านนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sasithornae ที่ 21-10-2016 15:12:58
เพิ่งเจอค่ะเรื่องนี้ อ่านรวดเดียวจบเลย มีความดีงามมาก เรื่องพลิกไปพลิกมา รู้สึกโง่เลยเวลาอ่าน งงเเรง แต่ชอบมากเลยค่ะ เป็นเรื่องเเรกที่มาเม้น ในเล้าเป็ดเลย  ชอบมากค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 22-10-2016 18:30:38
พี่วินเจ้าเล่ห์นะคะ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Shin Heeyoo ที่ 23-10-2016 17:44:01
นี่เพิ่งได้อ่าน!
เพราะตามมาจากเซ็งเป็ดอวอร์ดค่ะ
เห็นคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าพูดถึง
เลยเชื่อมั่นว่าต้องมีไรแน่ๆ
แล้วก็จริง!
โอ้โห เมื่อวานทั้งวัน แล้วนอนอ่านมาทั้งคืน วันนี้อีกวันกว่าจะจบครบถ้วน
ขนาดว่าทนความสงสัยไม่ไหว แอบอ่านเฉลย ก็ยังงง
นี่มันนิยายแนวไหน เหมือนจะดราม่า เหมือนจะผี เหมือนจะแฟนตาซี
บางทีก็คอมเมดี้ บางทีก็โรแมนติก บางทีก็ฟีลกู้ด

นี่หน่วงมากตอนที่วินทร์ไปเยี่ยมฮาร์ฟแล้วโดนเปิดประตูบัง
คือเห็นภาพตอนวินทร์เดินคอตกกลับไปเลยอ่ะ

แต่ที่เสียน้ำตาให้จริงจังกลับเป็นตอนที่ลลินเสียค่ะ
โอ้โห มาเต็มสองตา ล้นทะลักหยังกะปล่อยน้ำออกจากเขื่อน

นี่ว่าจะไปอ่านเรื่อง ER เคยอ่านค้างไว้ ไม่จบที

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ

ปล.เราจะข้ามเรื่องของศาสตราจารย์สรวิชญ์ไป
เพราะเกลียดมาตั้งแต่ต้นเรื่อง กำลังจะโหวตให้เป็นตัวร้ายยอดเยี่ยมอยู่แล้วเชียว
กว่าจะมาเปลี่ยนความคิดได้ ก็เสียความรู้สึกไปแล้ว ถถถถ นั่นพ่อนายเอ๊กกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 24-10-2016 22:39:16
เห็นชื่อเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นแนวหมอเลยค่ะ
แถวมีเรื่องลี้ลับอีก
แต่พอรู้ว่าเป็นภาคต่อของ นาทีหัวใจก็ อ๋อออ
ตามมาจากที่คุณ ถธปทฟ ไปโหวตไว้เหมือนกันค่ะ
แอบงงตอนตังโผล่มา
คือเห็นทอล์คว่าจะมีแขกรับเชิญก็นึกว่าจากนาทีหัวใจ
ที่ไหนได้ เชิญข้ามเรื่องข้ามคนเขียนกันเลยทีเดียว 555
นี่อ่านเม้นของ คุณ ถธปทฟ มา เห็นด้วยทุกอัน ความรู้สึกเดียวกันทุกตอนเลยค่ะ
"งง"
บางตอนนี่อ่านแล้วอ่านอีก เหมือนจะพลาดอะไรไป ทำไมฉันไม่เข้าใจ
บางทีก็สงสัยว่าตัวเองคิดเยอะไปค่ะ เลยงงเอง เรื่องไม่ได้งงหรอก ฮ่าาา

ไว้เขียนมาให้อ่านอีกเยอะๆนะคะ จะรอค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 27-10-2016 11:09:11
สนุกมากค่ะ ชอบตั้งแต่เรื่อง ER แล้ว
อยากให้เขียนแนวคุณหมอต่อ อิอิ ชอบมากเลยค่ะ
อ่านรวดเดียวจบ จนตาแดงเลยค่ะ แต่วางไม่ลงจริงๆ
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 30-10-2016 18:39:14
อ่านจบแล้วรู้สึกประทับใจนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ o13

ตัวละครทุกตัวมีเอกลักษณ์ ความคิความอ่านเป็นของตัวเอง แม้กระทั่งพี่วินทร์หรืออทิฐฏ์

อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 01-11-2016 05:40:54
อ่านรวดเดียวเลย ซับซ้อนมากกกกกก แต่ก็สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ ตอนพิเศษ3(จบ) P.20 [23/09/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-11-2016 15:06:01
Special moment : ลอยกระทง

วันนี้พี่ฮาร์ฟไปลอยกระทงที่ไหนคะ” หนึ่งในกลุ่มแพทย์ประจำบ้านที่เข้าร่วมผ่าตัดด้วยเอ่ยขึ้นหลังจากช่วงเวลาแห่งความเคร่งเครียดผ่านพ้นไป ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือความซวยแกล้งมาหล่นทับ คืนนี้พวกเขาที่อยู่เวรก็คงจะได้มีเวลาออกไปผ่อนคลายและเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญซึ่งจะมีเพียงปีละครั้งนี้บ้าง

“ลอยกระทง?” นรกรทวนคำ นานแค่ไหนแล้วนะที่ในหัวของเขาไม่เคยมีเรื่องงานเทศกาลรื่นเริงเลย ไม่สิ! ต้องเรียกว่าไม่เคยคิดถึงมากกว่า

“จริงๆ อยากไปเอเชียทีคล่ะ เห็นว่าที่นั่นมีงานใหญ่ ว่าจะไปแอ่วสาวๆ สักหน่อยแต่ดันติดเวรซะได้ พวกเราเลยเปลี่ยนแผนไปลอยกันที่คลองหลังโรงพยาบาลครับ พี่ฮาร์ฟไปกันด้วยกันไหม” แพทย์ประจำบ้านอีกคนพูดขึ้น “เจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบบาลเราก็ไปกันเยอะครับ กระทงไม่มีก็ไปหาเอาดาบหน้าได้ มีขายรายทางให้เลือกเยอะแยะเลย”

“จะว่าไปชุมชนตรงนั้นเขาก็มีจัดประกวดนางนพมาศด้วยไม่ใช่เหรอ ฉันได้ยินเขาประกาศแว่วๆ ผ่านลำโพงมา”

“เฮ้ย! จริงดิ งั้นเรารีบไปกันเถอะครับพี่ฮาร์ฟ”

“เอ่อ...” นรกรอึกอัก เขาไม่ได้รังเกียจที่จะไป แต่งานแบบนี้นี่แหละที่พวกวิญญาณชอบมารวมตัวกัน ปะปนเที่ยวเล่นไปกับพวกมนุษย์ ครั้งสุดท้ายที่เขาเข้าร่วมงานนี้คือที่โรงเรียนจัดตอนมัธยมปลายเพราะเลี่ยงไม่ได้ถึงตอนนั้นเขาจะปรับตัวได้มากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีหลุดบ้างอยู่ดี ดังนั้นพอเข้ามหาวิทยาลัยเขาจึงปฏิเสธโดยการอ้างว่าต้องอ่านหนังสือตลอดมา

“อะไรกันไอ้หนูพวกนี้” จิงโจ้ที่ตอนนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสี่วิ่งมากอดคอน้องไว้คนละข้าง “พี่ฮาร์ฟน่ะเขาไม่ไปกับพวกแกหรอกเพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะว่าพี่ฮาร์ฟน่ะต้อง...” ยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยคคนที่คิดว่าจะเป็นสาเหตุให้นรกรต้องปฏิเสธแน่ๆ ก็เดินเข้ามาร่วมวง

“คุยอะไรกัน” วินทร์ถามพลางจ้องตาเจ้ารุ่นน้องตัวดีที่ทำหน้าตามีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด

“เปล่าครับ” จิงโจ้บุ้ยใบ้กับน้องๆ ที่พยักหน้ารับอย่างรู้กัน

“ฮาร์ฟกลับกันเถอะ” พร้อมกับพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ครั้งหนึ่งแล้วออกเดินนำไป

นรกรโบกมือลาน้องๆ แล้วจึงตามเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า วินทร์ยังคงไม่ถอดชุดยืนรอให้เขาเดินแทรกเข้าไปก่อนจึงเปิดประตูล็อกเกอร์ของตนเอง

มือเรียวคว้าชายเสื้อที่เป็นแบบสวมเตรียมจะถอดหากก็ชะงักไว้ เมื่อคำชวนของแพทย์รุ่นน้องยังคงติดอยู่ในหัว โดยส่วนตัวเขาไม่ยินดียินร้ายอะไรอยู่แล้ว แต่ฟังจากคำบอกเล่า สำหรับคนอื่นๆ มันคงน่าสนุกทีเดียว ตั้งแต่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยเห็นวินทร์ไม่ไปงานไหน หลังจากคบกันแล้วจึงไม่อยากให้นักกิจกรรมตัวยงต้องพลาดงานสำคัญนี้เพราะมัวมาติดแหงกอยู่กับเขา

“พี่วินทร์ครับ”

“มีอะไร” เสียงก่อกแก่กดังมาจากอีกฟากของประตูโลหะดูเหมือนวินทร์จะเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว

“วันนี้วันลอยกระทง”

“ใช่” วินทร์ตอบสั้นๆ ใครๆ ก็รู้เรื่องนั้น

“คือผม...” นรกรอึกอักและกลับกลายเป็นคนถูกชวนที่พูดขึ้นมาก่อน

“อยากไปหรือไม่อยากไป”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือ... ผมไม่เคยไปลอยที่ไหนเลย แต่สมัยเป็นเดนท์ผมเคยเห็นพี่วินทร์ไปกับพวกพี่ๆ น้องๆ ถ้าพี่วินทร์อยากไปจะไปก็ได้นะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม”

มือใหญ่ผลักประตูล็อกเกอร์ของนรกรปิดเพื่อมองหน้ากันให้ชัดๆ “แล้วนายล่ะ อยากไปหรือเปล่า”

“ผมยังไงก็ได้ครับ”

“ตอบแค่ว่านายอยากไป หรือไม่อยากไป”

“กับพี่วินทร์”

“หืมมม” คนอายุมากกว่าย่นคิ้วกับส่วนของคำตอบที่ดูเหมือนจะขาดหายไป

“ก็... ผมเคยไปแต่งานโรงเรียน ที่เขาจัดๆ กันผมไม่เคยไปเลยสักครั้ง” นรกรบอกตามตรง“เห็นเขาลอยกันแต่ในทีวี ไม่รู้ว่าไอ้ประทัดที่เขาจุดกันมันจะสนุกสำหรับผมไหม หรือผมจะตื่นตาตื่นใจกับพลุ การแสดงและการประกวดนางนพมาศหรือเปล่า แถมคนก็เยอะ ผมกลัวว่าถ้าไปกับคนอื่นจะพาเขาหมดสนุก แต่ถ้าพี่วินทร์ไปผมก็อยากไปด้วย หรือถ้าพี่วินทร์เหนื่อยเรากลับห้องไปกินข้าวแล้วนอนพักก็ได้ครับ เพราะผมแค่อยากอยู่กับพี่วินทร์”

วินทร์ถอนหายใจทิ้งแรงๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับสืบเท้าเข้าหา ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นยันกำแพงข้างศีรษะไม่ให้คนตัวเล็กกว่าขยับหนีได้แล้วเอ่ยถามเสียงนุ่ม “ตอบไม่ตรงคำถามนะ”

“เอ่อ...”

“นายคิดว่าฉันจะปล่อยนายไปคนเดียวหรือไง ยิ่งปล่อยให้ไปกับคนอื่นนี่ยิ่งไม่มีทาง”

“ก็...”

“หืมมม” วินทร์ลากเสียงหวานถามพร้อมกับขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ เขาชอบเวลาที่นรกรอ่อยโดยไม่รู้ตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดตัวเองที่มีน้ำอดน้ำทนต่ำกับนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมาแบบสั่นๆ นั่นจนเกินไป

นรกรยืนตัวแข็งทื่อเมื่อถูกดันจนแผ่นหลังติดกำแพงพร้อมๆ กับริมฝีปากอุ่นประทับลงข้างซอกคอ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าประโยคไหนที่พูดออกไปแล้วดันไปกดติดสวิตช์ของวินทร์เข้า

ร่างสูงเบียดสะโพกเข้าหาพร้อมกับลากริมฝีปากขึ้นมาตามลำคอ คาง ใบหู จนกระทั่งมาถึงปลายจมูกที่ลมหายใจเริ่มปั่นป่วน เขาแตะเล่นอย่างหยอกเย้าก่อนจะมาหยุดลงตรงริมฝีปาก   ทีแรกก็เชื่องช้าเนิบนาบค่อยๆ กำซาบความรู้สึกผ่านปลายลิ้นสลับกับขบเม้มเล่นเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ว่ามือที่ดันอยู่กลางหน้าอกค่อยผ่อนแรงลงและเลื่อนขึ้นเกี่ยวกระหวัดรอบลำคอหนา มือใหญ่ก็สอดเข้าใต้เสื้อตัวโคร่งของห้องผ่าตัดแล้วกำจัดให้พ้นทางโดยการดึงผ่านศีรษะโยนทิ้งลงพื้น หลังจากเสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากละออกจากกันเพื่อให้เสื้อผ่านไปได้ ตาคมมองจ้องคนตรงหน้าราวกับเป็นการถามคำถามครั้งสุดท้าย นัยน์ตาสีอ่อนสั่นไหวแต่เพราะนรกรไม่ได้แสดงอาการขัดขืนอะไรอีก วินทร์จึงถือว่านั่นคือการตกลง มือใหญ่ไม่รอช้ากระตุกปมเชือกผูกเอวของกางเกงผ้าออกแล้วจัดการร่นมันลงไปกองไว้ที่ข้อเท้า

“อย่า...”

“สายไปแล้ว” เสียงของวินทร์สั่นพร่าไปด้วยอารมณ์ที่ยากเกินจะฉุดรั้ง เขายึดสะโพกเล็กที่เหลือเพียงชั้นในตัวเดียวไว้ด้วยการบดเบียดต้นขาของตัวเองในขณะที่มือทั้งสองสอดเข้าไปในร่มผ้าชิ้นสุดท้ายนั่นแล้วแทรกนิ้วไปตามเนินเนื้อที่ด้านหลัง ค่อยๆ ผ่านเข้าไปตามทางที่คุ้นเคย

“พี่วินทร์... อย่า...”

อุทธรณ์ได้เพียงเท่านั้นคำพูดก็ถูกดูดกลืนไปกับริมฝีปากหยักลึกที่ทาบทับลงมา ปลายนิ้วที่พยายามจะรุกรานชะงักไปและเปลี่ยนตำแหน่งมารุกเร้าที่ปลายลิ้นแทน เพียงอึดใจกล้ามเนื้อที่ขัดขืนก็เริ่มคลายลงและยอมให้เขาผ่านนิ้วเข้าไปได้จนสุด

วินทร์ดูดริมฝีปากที่ครอบครองไว้แรงๆ อีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงเนื้อตัวที่สั่นสะท้านและแรงบีบรัดจากด้านใน เขาเริ่มขยับปลายนิ้วเข้าออกช้าๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยเหมือนทุกครั้ง สารหล่อลื่นตามธรรมชาติที่หลั่งออกมาจนชุ่มช่ำทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายพร้อมแล้วที่จะรับเขาเข้าไป เขากลั้นหายใจ มือข้างหนึ่งเลื่อนลงรั้งต้นขาขยับยกขึ้นเล็กน้อยเตรียมเผด็จศึก

แต่ทันใดนั้นประตูล็อกเกอร์ด้านหลังก็เขย่าอย่างแรงคล้ายมีคนมาผลักหรือกระโดดถีบ

ตึง!

นรกรสะดุ้งเฮือกได้สติจากอารมณ์ที่กำลังดำดิ่งผวากอดคออีกฝ่ายแน่น ในขณะที่วินทร์จิ๊ปากเบาๆ อย่างขัดใจ กำลังจะเอ่ยปากบ่นคนทำเสียงดัง จู่ๆ ประตูห้องล็อกเกอร์ก็ถูกเปิดออกพร้อมๆ กับที่แพทย์ประจำบ้านอีกกลุ่มซึ่งเพิ่งเสร็จจากการผ่าตัดเดินเข้ามา

“วันนี้อาจารย์สรวิชญ์ไม่รู้ไปอารมณ์เสียมาจากไหน ปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว วันนี้นึกว่าระเบิดจะลง”

“ก็บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ตามพี่วินทร์ๆ แกดันไปตามอาจารย์สรวิชญ์มาช่วยเองนี่หว่า”

“ก็โทรแล้วพี่แกไม่รับโทรศัพท์ จะให้ข้าทำยังไงล่ะวะ ผ่าเองได้ไม่ตามมาช่วยหรอก”

โชคดีประตูล็อกเกอร์ซึ่งเปิดค้างไว้นั้นใหญ่พอจะปิดทางเดินแคบๆ ได้เกือบหมด ประกอบกับวินทร์เป็นคนตัวใหญ่แผ่นหลังกว้าง ถ้าจะมีใครชะเง้อมองเข้ามาก็คงจะได้เห็นแค่ตัวเขาเท่านั้น

นรกรสบตาคนตรงหน้าเริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูกเพราะทั้งตัวไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยสักชิ้น มือกำปกเสื้อด้านหน้าของอีกฝ่ายแน่น “พี่...”

เพราะปลายนิ้วยังคงติดอยู่ในตัวอีกฝ่าย วินทร์จึงใช้ริมฝีปากปิดปากคนในอ้อมแขนไม่ให้เสียงดังพร้อมกับส่งสายตาให้เงียบ เมื่อเห็นว่านรกรพยักหน้ารับจึงค่อยๆ ดึงนิ้วออกและเพราะยังใช้ปากปิดปากไว้อยู่จึงไม่มีเสียงแปลกปลอมเล็ดลอดออกมา เขากดศีรษะที่ประกอบด้วยเรือนผมสีอ่อนซุกในอ้อมอกปลอบขวัญพร้อมกับตะโกนออกไป

“จะนินทาอะไรให้มันเบาๆ หน่อย” ถึงจะไม่ได้ดุหากก็มีความเฉียบขาดในน้ำเสียง อันที่จริงวินทร์ไม่ได้แคร์เรื่องนั้นหรอกแค่หงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะมากกว่า
สิ้นเสียง กลุ่มแพทย์ประจำบ้านก็ปิดปากสนิท ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยขึ้นมา

“ขอโทษครับ”

“ฉันติดเคสอยู่ห้องข้างๆ พวกนายน่ะแหละ ที่ไม่ได้รับโทรศัพท์เพราะวางลืมไส้ในล็อกเกอร์” วินทร์พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ เพราะตอนนี้แม้แต่นรกรเองก็เริ่มมองหน้าเขาด้วยความเป็นห่วง “แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง อาจารย์สรวิชญ์อุตส่าห์มาสอนเองเลยนะ”

“ไอ้ดีมันก็ดีครับพี่วินทร์ แต่หัวพวกผมก็ไม่เหลือแล้วเหมือนกันคร้าบบบบ”

“โดนอะไรกันมาล่ะ”

“คืองี้นะครับ...”

ระหว่างที่กำลังฟังน้องๆ แย่งกันระบายความอัดอั้นตันใจ วินทร์ก็เอื้อมมือไปแง้มประตูเปิดออกแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตจากไม้แขวนในตู้มาตวัดอ้อมหลังให้นรกรใส่ก่อนจะช่วยติดกระดุมให้จนครบและส่งกางเกงให้ กว่าจะเรียบร้อยแพทย์รุ่นน้องก็เปลี่ยนชุดเสร็จพอดีพร้อมๆ กับที่บ่นจบและเอ่ยลา

“พี่วินทร์พวกผมไปก่อนนะครับ”

“เออ” วินทร์ส่งเสียงออกไป เขารอจนแน่ใจว่าเสียงฝีเท้าสุดท้ายผ่านออกประตูไปจึงก้มลงดูคนที่ยังขดตัวอยู่ในอ้อมแขน

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำ” นรกรบ่นเสียงอู้อี้ออกมาจากอก มองเห็นลายริ้วสีแดงเป็นปื้นตั้งแต่แก้มไปจนถึงใบหูจนวินทร์อดไม่ได้ที่จะก้มลงหอมสักฟอดหวังจะปลอบให้คลายใจ แต่กลายเป็นยิ่งทำให้จุดที่ประทับริมฝีปากนั้นขึ้นสีเข้มจัดจนคนถูกกอดต้องเป็นฝ่ายขืนตัวออกห่างเพราะกลัวจะโดนคนอื่นมาเห็นเข้าจริงๆ

“แหม ตื่นเต้นดีออก” บอกพลางพยายามปั้นหน้าไม่ให้ดูยิ้มระรื่นจนน่าหมั่นไส้ แหม ก็สีหน้าของนรกรตกใจกลัวว่าจะถูกจับได้ตอนกำลังเข้าได้เข้าเข็มน่ะมันโคตรน่ารักเลยนี่นา แล้วเจ้าตัวก็คงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้นัยน์ตาสีอ่อนฉ่ำน้ำตานั่นดูคล้ายกับคนหงุดหงิดเพราะโดดขัดจังหวะมากกว่าจะโกรธเขาเสียอีก “ว่าแต่ฝากไว้ก่อนเถอะ คอยดูนะฮาร์ฟสักวันฉันจะปล้ำนายในนี้ให้ผีบางตัวอกแตกตายให้ได้”

ตึง!

เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปทำเอาคนปากดีสะดุ้งเฮือกก่อนจะทำเก๊กเหมือนไม่กลัวอะไร

นรกรเหลือบตามองบนหลังตู้ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อคนตรงหน้า “ครั้งแรกนั่นเขาไม่ได้แกล้งนะครับ เขาช่วยเราต่างหาก”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง วินทร์คิดสะระตะอยู่อึดใจ ตอนนั้นถ้าไม่มีคนมาผลักประตูล็อกเกอร์พวกเขาคงหูอื้อและยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ ตาคมตวัดขึ้นมองบนหลังตู้ล็อกเกอร์ใบแรก “ถ้างั้นก็ขอบคุณนะครับ” เอ่ยเบาๆ ทั้งที่เห็นเพียงความว่างเปล่าก่อนจะปิดประตูล็อกเกอร์ให้เรียบร้อยและหันมาคว้ามือนรกร “ไปกันเถอะ”

“ไปไหนครับ?”

“ลอยกระทงไง”

“ผมนึกว่า...”

“อะไร? ไม่อยากไปแล้วเหรอ” วินทร์กรีดยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับนัยน์ตาที่พราวระยับขึ้นอีกครั้ง “คงอยากกลับบ้านแล้วสินะ แหม นายนี่ทะลึ่งจริงๆ เลย”

“ผม... เปล่านะ” นรกรรีบเถียงแต่ก็ฟังดูไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก

“ตกลงจะกลับบ้านหรือจะไปลอยกระทง” วินทร์ถามซ้ำ

“ไปลอยกระทงครับ”

ทันทีที่ทั้งสองออกไปห้องเปลี่ยนเสท้อผ้าก็กลับมามืดมิดและเงียบเชียบอีกครั้ง หากในความมืดนั้นถ้าจะมีใครสักคนตั้งใจเงี่ยหูฟังก็คงจะได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ และถ้าใจกล้าพอจะแหงนหน้ามองขึ้นไปหลังตู้ใบแรก ก็คงจะได้เห็นหญิงสาวผมยาวในชุดขาวยาวกรอมเท้านั่งห้อยขาลงมา เรียวขาแห้งเหี่ยวขยับไปมาตามจังหวะเพลง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ผีสาวคนนี้ถึงได้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-11-2016 15:48:11
Specual Moment : ลอยกระทง (ต่อ)

เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศไทย งานเทศกาลที่เคยจัดอย่างใหญ่โตถึงถูกลดขนาดและแสงสีลงมาให้เหมาะสม เพลงครื้นเครงทำนองโจ๊ะโดนใจวัยรุ่นถูกแทนด้วยบทเพลงในพระราชนิพนธ์ ถึงจะอวลไปด้วยความเศร้าแต่ก็ผสมด้วยความหวานในบรรยากาศของความคิดถึง

ถึงนรกรจะบอกว่าไปลอยที่ไหนก็ได้ แต่วินทร์คิดแล้วว่าครั้งแรกควรจะเลือกที่ใกล้ๆ ดีกว่าจึงพามางานที่จัดขึ้นโดยชุมชนที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงพยาบาล

“คนเยอะจัง” นรกรกระซิบเขาไม่คิดว่าชุมชนเล็กๆ ที่เงียบสงบแท้จริงแล้วจะมีคนอาศัยอยู่มากมายขนาดนี้

“นี่ว่าเลือกจุดที่คนไม่น่าจะเยอะแล้วนะ” วินทร์กวาดตามองไปรอบๆ ซึ่งผู้คนยังค่อนข้างหนาตาแม้การประกวดบนเวทีจะจบไปแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แถมจุดนี้ยังเป็นต้นน้ำที่ต้องขับรถย้อนขึ้นมาอีกไกลพอสมควร

“ไม่เป็นไรครับ” นรกรรีบบอกพร้อมกับปั้นยิ้มสนับสนุน “เราไปกันเถอะครับ” ถึงจะเป็นยิ้มเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้ดูเสแสร้งจนเกินไป กลับกันวินทร์เห็นถึงความพยายามที่จะเข้าใจและเรียนรู้ในสังคมและสิ่งที่เขาชอบ เพราะปกติแค่ออกไปกินข้าวกับน้องๆ นรกรยังคิดแล้วคิดอีก นั่นยิ่งทำให้วินทร์รู้สึกประทับใจจนนึกอยากขอขมาพระแม่คงคาแค่ตรงริมถนนนี่แล้วลากนรกรขึ้นรถพากลับบ้านซะตอนนี้เลย

จิตคิดอกุศล แต่สมองยังมีสติคิดดีอยู่บ้าง เขาจึงรีบก้าวมายืนข้างกันและรีบเอ่ยชวนก่อนที่สมองจะยอมตามใจ “ไปกันเถอะ”

ถึงจะดึกแล้วแต่ร้านแผงลอยเล็กๆ ที่เปิดเฉพาะกิจเพื่อขายกระทงก็ยังเรียงรายเต็มสองข้างทาง พวกเขาเลือกแวะร้านหนึ่งที่คนขายเป็นหญิงสูงวัยร่างท้วมท่าทางใจดี

“ชอบแบบนี้เหรอ” วินทร์ถามคนที่ดูจะสนอกสนใจกระทงใบหนึ่งเป็นพิเศษ มันทำจากหยวกกล้วยประดับด้วยใบตองพับเป็นรูปกลีบผกาแปะรอบฐานและใส่ดาวเรืองดอกใหญ่ไว้ตรงกลาง

“เห็นแล้วนึกถึงสมัยเรียนน่ะครับ ตอนทำประกวดเพื่อนผู้หญิงที่เก่งงานฝีมือมักจะเรียกให้ผมไปช่วยบ่อยๆ”

“โห นี่นายทำกระทงเป็นด้วยเหรอ ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”

“เปล่าครับ” นรกรตอบ “ผมแค่ไปช่วยเช็ดใบตองกับทาน้ำมันมะกอกให้ขึ้นเงาสวยๆ น่ะครับเพราะเพื่อนผู้ชายคนอื่นหนีไปเตะบอลกันหมด”

“ว่าแล้ว” วินทร์ขำในลำคอแล้วหันไปหาแม่ค้า “เอาใบนี้ครับคุณป้า”

“กระทงใบตองเหลือใบเดียวนะพ่อหนุ่ม” คุณป้าเจ้าของร้านบอกเพราะเห็นมากันสองคน “อีกใบเอาแบบขนมปังไปแทนไหม หรือจะเอาแบบที่ทำจากกะลามะพร้าวนี่ก็เก๋ดีนะจ๊ะ”

“งั้นเอา...” นรกรกำลังจะหันไปเสนอความเห็นว่าเอาแบบไหนก็ได้ที่เหมือนกันสองใบ วินทร์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับเอาใบนี้ใบเดียวเดี๋ยวลอยด้วยกันครับ” บอกพร้อมกับส่งธนบัตรสีแดงให้ใบหนึ่งโดยไม่รับเงินทอนก่อนจะรับกระทงใบตองมา

“ปกติเขาต้องลอยกันคนละใบไม่ใช่เหรอครับ” นรกรถามเมื่อเดินพ้นออกมาจากร้าน

“โบราณเขาถือน่ะ ถ้าคนเป็นแฟนกันมาลอยกระทงคนละใบแล้วน้ำพัดกระทงหลงไปคนละทางจะเป็นลางว่าต้องเลิกกัน” วินทร์แต่งเรื่องตอบไปเรื่อยเปื่อย แต่พอเห็นคิ้วเรียวที่มุ่นเข้าหากันของคนคงแก่เรียนจึงต้องรีบเฉลย “ล้อเล่นน่ะ ก็นายอยากได้ใบนี้แต่มันมีใบเดียวแล้วฉันไม่อยากได้กระทงไม่เหมือนนาย เลยตัดปัญหาซื้อใบเดียวลอยด้วยกัน แบบนี้ก็ประหยัดดีแถมยังช่วยลดโลกร้อนด้วย”

“ครับ” แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กน้อยด้วยรู้สึกดีใจที่คนที่มาด้วยกันคิดเหมือนกัน

ทางเดินลงไปชายน้ำไม่ไกลเท่าใดนัก แต่ก็ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควรเพราะฝูงชนมีทั้งที่เดินสวนกันขึ้นมาและเดินเบียดเสียดกันลงไป นอกจากจะต้องคอยระวังไม่ให้พลัดหลงกันแล้วยังต้องระวังกระทงในมือไม่ให้พังอีก แต่ไปๆ มาๆ ที่น่ากลัวจะช้ำมากกว่าเห็นจะเป็นคนซึ่งไม่คุ้นชินกับการมาในที่ที่มีคนเยอะๆ

ทีแรกพวกเขาก็เดินมาด้วยกันดีๆ แต่หลังจากที่นรกรโดนคนดันไปทางนั้นทีทางโน้นทีจนวินทร์ต้องเดินย้อนกลับมาตามเป็นครั้งที่สาม เขาก็แก้ปัญหาด้วยการคว้ามือจูงให้มาเดินข้างกัน ถึงจะมีคนแอบมองมือที่กุมกันไว้หลายครั้งจนนรกรต้องสะกิดให้ปล่อย แต่ที่วินทร์ทำคือยิ้มให้และบีบมือแน่นขึ้นอีก

ทว่า ดูเหมือนปัญหาจะไม่จบง่ายๆ เมื่อคนตัวเล็กกว่าก็ยังคงโดนชนอยู่เนืองๆ หากปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือการวินทร์สังเกตเห็นว่าหลายครั้งที่นรกรหันไปขอโทษทั้งที่ไม่มีใครแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร จนครั้งล่าสุดที่หันไปยิ้มกับความว่างเปล่าข้างตัวเขาคงแกล้งทำเป็นไม่เห็นต่อไปไม่ได้

“พี่วินทร์เขยิบไปหน่อยได้ไหมครับ เขาบอกว่าเราเบียด”

กำลังจะเอ่ยปากถามว่า ‘เบียดใคร?’ คนที่มองเห็นในสิ่งที่เขาไม่เห็นก็รีบบอก

“เอ่อ... ขอโทษครับ” นรกรหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเพราะแบบนี้แหละถึงไม่อยากมา เขาไม่ได้กลัวหรือรังเกียจที่จะทักทายและคุยด้วย แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะรับได้

ยิ่งได้ยินเสียงถอนหายใจแม้จะแผ่วค่อยจากคนข้างๆ ยิ่งรู้สึกไม่ดีจนอยากกลับบ้านเสียตอนนี้

เมื่อจู่ๆ มือใหญ่ที่จับไว้ก็คลายออกแล้วยกขึ้นวาดข้ามไหล่มาคล้องลงรอบเอวและดึงไปชิดจนเหมือนกับกอด

“พี่วินทร์?”

“จะได้ไม่ไปเบียดกับใครไง” วินทร์บอก “นายเลิกเกรงใจฉันด้วยเรื่องนี้สักทีเถอะ”

“ก็พี่วินทร์กลัวผี”

“ก็ถ้ามาหลอกแบบหลอนๆ หน้าเหี่ยวๆ ทำคอยื่นคอยาวหรือมาแต่เสียงอย่างพี่สาวในห้องล็อกเกอร์นั่นมันไม่ไหวจะเคลียร์นี่นา” คิดถึงภาพนั้นทีไรก็อดขนลุกขนพองไม่ได้ “แต่เอาจริงๆ นะ ตอนนี้ฉันน่ะกลัวผีเพราะ ‘หึง’ มากกว่า”

“หึง?” นรกรทวนคำงงๆ “ยังไงครับ”

“ก็เพราะฉันมองไม่เห็นไง แบบนี้ใครมาคุยอะไรกับนายฉันจะรู้ได้ไง ดูสิขนาดจับมือตัวติดกันไว้ซะขนาดนี้ยังกล้ามาทักอีกแน่ะ”

“พี่วินทร์” นรกรเน้นเสียง อยากจะขำแต่ก็ไม่กล้าเพราะอีกฝ่ายดูจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่น “ผมจะไปชอบผีได้ยังไงครับ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเป็นเชิงให้คิดดูอีกครั้ง “จริงเหรอ?”
นรกรเข้าใจในที่สุด ไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลยแกล้งทำเป็นหัวเราะแก้อาการเขินของตนเอง เชื่อแล้วว่าเป็นคนขี้หึงจริงๆ อย่างที่เจ้าตัวเคยบอก

“ถือสิ” วินทร์บอกพร้อมกับยัดกระทงใส่มือ

“แล้วทำไมพี่วินทร์ไม่ถือเองล่ะครับ”

“มือไม่ว่าง จับคนบางคนอยู่ไม่เห็นเหรอครับ”

คำตอบที่อยู่ในใจดังออกมาหากไม่ใช่เสียงของตน ทำให้ทั้งสองหันไปมองคนต่างวัยสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่ข้างๆ

ถึงจะไม่มีแสงไฟ แต่เพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ปราศจากเมฆมาบดบังทำให้เห็นหน้าคนพูดชัด หนึ่งในนั้นเป็นแพทย์รุ่นพี่ที่โรงพยาบาลในขณะที่อีกคนเป็นชายหนุ่มที่ถึงจะแต่งกายด้วยชุดดูภูมิฐานเสื้อเชิ้ตสีสุภาพกางเกงสแลคเหมือนเพิ่งเลิกงานแต่เขาก็ยังดูอ่อนเยาว์กว่าคนที่มาด้วยกันหลายปี จะบอกว่าเป็นน้องชายก็หน้าตาไม่ละม้ายคล้ายกันเสียเลย

“แล้วจับทำไม” ปาวัสม์บ่นพลางยกมือข้างหนึ่งที่ถูกอีกคนจับไว้แน่นเป็นตีนตุ๊กแกถึงจะแกล้งสะบัดแรงยังไงก็ไม่ยอมปล่อย

ชายหนุ่มที่มาด้วยกันฉีกยิ้มกว้าง นานๆ จะได้มีโอกาสหาเรื่องแต๊ะอั๋งนอกสถานที่ทั้งที เขาก็ต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้สิ “คนเยอะแยะ ไม่จับไว้เดี๋ยวลุงก็หลงทางน่ะสิ”

“ฉันบอกนายแล้วว่าให้กลับไปลอยในอ่างอาบน้ำที่บ้านก็ไม่เชื่อ”

“อันนั้นมันลอยเป็ดยางก้าบก้าบแล้วครับ ต้องมาลอยในคลองแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าขอขมาพระแม่คงคา”

“สร้างขยะเพิ่มให้พระแม่ท่านปวดใจล่ะไม่ว่า” ปาวัสม์อ่อนใจจะเถียง

“เพราะแบบนี้เขาถึงได้รณรงค์ให้ใช้วัสดุธรรมชาติกับของที่ปลากินได้อย่างขนมปังนี่ไงครับ” ภาวัฒน์บอกพร้อมกับยกกระทงในมือขึ้นอวดด้วยความภาคภูมิใจ “ผมอุตส่าห์ตั้งใจทำนะ หมอปืนนี่ล่ะก็ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย”

“อยากโรแมนติกมีวิธีที่ดีกว่าชวนฉันมาลอยกระทงตั้งเยอะ”

“ลอยอะไรครับ? โคม? เขารณรงค์กันให้รึ่มว่าห้ามลอยในเขตกทม.นี่เคยฟังข่าวดูทีวีบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

“จะสนใจทำไมก็มีนายช่วยอัพเดตให้แล้วนี่ไง” พลันคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อคนหน้าทะเล้นฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับแบสองมือออกตรงหน้า “อะไร”

“ทำดีต้องมีรางวัลสิครับ”

ปาวัสม์พ่นลมหายใจออกอย่างแรงจนจมูกบานครั้งหนึ่งพร้อมกับยกมือขึ้น “เอาไปเลย”

“โอ๊ย! หมอปืนทำอะไรน่ะ ผมเจ็บนะ” ภาวัฒน์ร้องเสียงหลงเมื่อรางวัลที่ได้รับคือมะกอกดอกใหญ่ที่ดีดป้าบเข้ากลางแสกหน้า จนหน้าผากแดงแปร๊ด

“ก็รางวัลไง”

“เจ็บจัง” ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นกุมหน้าผากทำตารื้น คะแนนความเจ็บแค่ห้าแต่ลีลาออเซาะเต็มสิบ

“อ้าวเหรอ โทษๆ มาเป่าให้” ปาวัสม์หัวเราะในลำคอ และถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งแต่ก็ยอมตามน้ำคว้าหลังศีรษะดึงเข้าเป่าลมที่ดูคล้ายๆ กับพ่นน้ำลายใส่มากกว่า “แหม~ แค่นี้ทำเป็นงอแงนะเจ้าตัวแสบ”

“พี่ปืน สวัสดีครับ” วินทร์ที่หาจังหวะอยู่นานเอ่ยออกไปในที่สุดพร้อมกับยกมือไหว้หลังจากชั่งใจว่าควรแกล้งทำเป็นไม่เห็นหรือเปล่า แต่เพราะอยู่ใกล้กันเกินไปถ้าจะไม่ทักกันเลยก็คงจะน่าเกลียด

“เอ่อ...” ปาวัสม์หันมารับไหว้ กำลังจะเอ่ยทักทายไปตามเรื่อง แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นอีกคนที่อยู่ในวงแขนและกำลังยกมือไหว้เขาเช่นกันจึงเปลี่ยนใจเป็นพูดเรื่องอื่น “นี่พวกนายน่ะ ทำแบบนั้นไม่คิดว่าประเจิดประเจ้อไปหน่อยเรอะ”

วินทร์สบตาแพทย์รุ่นพี่ก่อนจะตวัดลงมองมือของเจ้าตัวที่จับมืออีกคนไว้ไม่ยอมปล่อยแม้จะรู้ว่าเขามองอยู่ก็ตาม “แล้วแบบนั้นล่ะ เรียกว่าอะไรครับ”

ปาวัสม์ก้มลงมองฝ่ามือที่จับไว้ก่อนจะเลื่อนขึ้นสบตาคนที่มาด้วยแล้วจึงตอบคำถาม “ก็หมอนี่มันชอบมึน ไม่จับไว้เดี๋ยวก็หลงกันน่ะสิ”

“อ๋อเหรอออ~ ครับ” วินทร์แกล้งลากเสียงล้อเลียน หลังจากลอบมองอยู่อึดใจเขาก็นึกออกแล้วว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหน ที่แท้ก็เป็นคนที่แวะเวียนเอาข้าวเอาน้ำมาส่งเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินบ่อยๆ เห็นว่าเคยทำงานเป็นกู้ชีพแล้วลาออกไปเรียนต่อ แต่ดูท่าว่าปัจจุบันจะมีตำแหน่งอื่นพ่วงมาด้วย

“อะไรกันหมอปืน” ภาวัฒน์ร้องเสียงหลงเมื่อรู้ตัวว่าโดนใส่ร้าย “ทำเป็นมาว่าผม ตัวเองน่ะแหละที่ชอบหลงทาง”

“พี่วินทร์ครับ!” นรกรกระซิบเรียก

“อะไรล่ะเนี่ยดึงแขนเสื้อฉันยิกๆ อยู่ได้เดี๋ยวก็จับหอมแก้มซะเลยนี่” วินทร์หันมาเอ็ดคนในอ้อมแขนเบาๆ

“ไปแซวอะไรพี่เขาแบบนั้นครับ” นรกรบ่นพลางทำมือให้ลดเสียงลง แต่วินทร์ไม่สนใจ

“พี่ปืนไม่โกรธหรอก” เขาบอกพลางพยักเพยิดไปทางแพทย์รุ่นพี่กับชายหนุ่มคนนั้น “ดูสิ ฉันพูดขนาดนี้ยังไม่ปล่อยมือเลยแถมยังมาทำสวีทโชว์อีก ดูเขาไม่ได้อายหรือปิดปังอะไรนี่ ก็คงเหมือนกับพวกเราน่ะแหละ ไม่ได้อยากป่าวประกาศให้ใครรู้แต่ถ้าถามก็บอกตรงๆ ใช่ไหมล่ะ”

“เหรอครับ” นรกรทำเสียงประชดเพราะเจ้าตัวเป็นคนออกปากเองว่าอยากอวดให้ทุกคนรู้ใจจะขาด แล้วก็ทำไปแล้วด้วย จนไม่รู้ว่าตอนนี้เรื่องไปถึงหูพ่อของเขาหรือยัง พวกเขาเพิ่งจะเริ่มปรับความเข้าใจกันได้ไม่นานจึงยังไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมาทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงอีกเพราะคนหัวโบราณอย่างศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่มีทางรับได้แน่ๆ ถึงจะรู้มานานแล้วว่าเขาไม่มีวันชอบผู้หญิง แต่นั่นก็คนละเรื่องกับการเปิดตัวแฟนที่เป็นผู้ชาย

เพราะแก้ตัวไม่ได้ วินทร์จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เลิกสนใจคนอื่นแล้วหันมาสนใจฉันได้แล้ว”

“พี่วินทร์น่ะแหละที่เอาแต่สนใจคนอื่นไม่สนใจผม”

“อ้าวเหรอ โทษๆ” วินทร์หัวเราะกลบเกลื่อน เขาปล่อยให้ปาวัสม์กับชายหนุ่มเถียงกันต่อและประคองหลังคนในอ้อมแขนย่อตัวลงนั่งลงข้างแม่น้ำ “นายอธิษฐานเสร็จหรือยัง จะได้ลอยกระทงกันเสียที”

“ไม่ต้องมาเร่งผมเลยครับ” นรกรค้อนไปครั้งหนึ่งก่อนยกกระทงในมือขึ้นจบเหนือศีรษะพร้อมกับหลับตาตั้งจิตอธิษฐานกับกระทงใบแรกในชีวิตที่ตั้งใจมาลอยด้วยตัวเองจริงๆ “เรียบร้อยแล้วครับ”

แล้วทั้งสองก็ช่วยกันประคองกระทงใบตองวางลงในน้ำ ใช้มือพุ้ยน้ำให้ลอยออกจากฝั่ง เพียงแค่อึดใจเมื่อกระทงของเขาจับกระแสน้ำได้ก็ลอยตามกระทงใบอื่น เห็นเป็นดวงไฟสีอมส้มรายเรียงไปเป็นสายบนผิวน้ำสีนิลที่เป็นเงาวาววับยามคลื่นกระทบกับแสงจันทร์ถึงจะรู้ว่าปลายทางของแม่น้ำสายนี้จะไปจบลงที่ใด แต่ในใจลึกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากให้มันลอยต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ให้แสงเทียนไม่มีวันดับ และนำพาคำอธิษฐานของทุกคนไปส่งให้ถึงให้คนที่อยู่ฟ้า

ไม่นานกระทงของพวกเขาก็ลอยไปจนลับตา วินทร์จึงถอนสายตากลับมาหาคนข้างกาย “เมื่อกี้นายอธิษฐานนานจัง ขออะไรเหรอ”

“ไม่บอกครับ”

“บอกหน่อยน่า” วินทร์ยังไม่ละความพยายาม “เอางี้ แลกกันก็ได้ ฉันขอให้ปีหน้าได้มาลอยกับนายอีก แล้วนายขออะไร”

“ไม่บอกครับ”

“อ้าวเฮ้ย! ขี้โกงนี่”

“ผมยังไม่ได้ตอบตกลงสักคำนะ พี่วินทร์พูดเองเออเองอยู่คนเดียว ใบ้ให้นิดหนึ่งก็ได้ ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแน่ๆ ครับ”

“โห นั่นช่วยได้เยอะเลย”

นรกรยิ้มขันพลางยกมือขึ้นลูบแก้มที่เป่าลมเข้าจนป่องของหมีตัวโตให้หายงอน ถึงจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่คิดจะบอกสิ่งที่อธิษฐานกับพระแม่คงคาออกไป

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าที่ส่องแสงสกาวราวกับจะเป็นพยานให้

ขอให้ความรักครั้งนี้เป็นเหมือนสายน้ำ หัวใจที่ให้ไปอย่าได้ถูกปฏิเสธเหมือนน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ ไม่มีวันแห้งเหือด และส่งต่อความสุข สร้างรอยยิ้มให้คนรอบข้าง เหมือนน้ำที่พาเอาความอุดมสมบูรณ์ไปส่งให้ทุกที่ที่ไหลไปถึง

เขาตวัดสายตากลับลงมาหาคนข้างกาย ถึงจะทำเป็นเบือนหน้าหนีไปอีกทางหากมือยังกอดเอวเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

บอกไม่ได้หรอก ใครจะไปกล้าบอกเรื่องน่าอายขนาดนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขากล้าพูดเต็มปากเต็มคำ

ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างขึ้น นรกรวางมือข้างหนึ่งทาบมือข้างที่วางอยู่รอบเอวและเอ่ยออกไป “ปีหน้าจะมาด้วยกันแน่ๆ ครับ”

เพียงเท่านั้นก็ทำให้หน้าที่ตูมอยู่คล่อยคลายออกและยอมหันกลับมาสบตากันตรงๆ อีกครั้ง “สัญญาแล้วนะ”

“ครับ”
...
...
...
...
...

ถึงจะได้คำสัญญาอื่นมาทดแทน แต่จนกลับมาถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าใส่ชุดนอนเรียบร้อยวินทร์ก็ยังคงไม่หายติดใจว่านรกรขออะไรไป ร่างสูงนั่งกางสองแขนแผ่เต็มโซฟาตัวยาว ทีวีตรงหน้าก็เปิดทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้ให้ความสนใจอะไร นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่คนซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่อีกฟากหนึ่งของโซฟาตัวเดียวกัน

“ตกลงนายขออะไรไป” เอ่ยถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในค่ำคืนนี้

นรกรพลิกกระดาษไปหน้าถัดไป เพราะเบื่อจะพูดแล้วครั้งนี้รูปประโยคจึงถูกปรับเปลี่ยนไปนิดหน่อย “ขอเหมือนพี่วินทร์น่ะแหละ”

คนรอฟังคำตอบตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าการอ้อนสัมฤทธิ์ผล “แน่ใจเหรอ?”

“ครับ”

“ไม่ใช่มั้ง เพราะถ้าขอแค่นั้นทำไมนายไม่ยอมบอกดีๆ แต่แรกล่ะ มีอะไรอีกบอกมาให้หมดนะ”

“พี่วินทร์เองก็ไม่ได้ขอแค่นั้นสักหน่อย” นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองคนที่ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็แก้เกมได้ทัน

“นายพูดจริงๆ เหรอเพราะฉันขอให้คืนนี้เรา...” คนที่กำลังคิดเรื่องลามกกรีดยิ้มมีเลศนัยน์ “ถ้านายคิดเหมือนฉันจริง... อ๊ะ! อ๊ะ! เห็นเงียบๆ แบบนี้นี่ทะลึ่งไม่เบานะ เราน่ะ”

คนโดนแซวไม่สนใจและก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือต่อพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเรียบ “แน่ใจเหรอครับว่าใช่”

“ใช่สิ” วินทร์ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมก่อนจะเขยิบเข้าไปนั่งเบียดจนชิดแล้วทำเล่นหูเล่นตาให้เป็นสัญญาณชวนเข้านอน

“งั้นก็ได้ครับ”

"หืมมม" คำตอบสั้นๆ อย่างตรงไปตรงมา ทำให้คนชวนกลายเป็นฝ่ายแปลกใจเสียเอง พร้อมกับจ้องตาเขม็งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด

นรกรผ่อนลมหายใจออกจมูกพร้อมกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาสบตากันให้ชัดๆ ก่อนจะเอ่ยคำที่คนบางคนอยากจะฟังใจแทบขาดแต่กลับไม่ยอมถามคำถามนั้นออกมาตรงๆ เอง “รักนะครับ”

วินทร์นั่งมองตาปริบๆ แก้มแดงไปจนถึงหู “ฮาร์ฟ~ เล่นตัวหน่อยสิ”

“ชอบแบบนั้นมากกว่าก็ไม่บอก” นรกรมุ่นคิ้วทำเป็นครุ่นคิด โวยวายก็ว่าตามใจก็บ่นคนอะไรเอาใจยากจริงๆ “ตกลงจะทำไหมครับ ถ้าไม่ทำผมนอนแล้วนะ”
เขาลุกขึ้นเตรียมจะไปนอน แต่แล้วก็ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ วงแขนแข็งแรงของคนตัวโตกว่าตวัดเข้ารอบเอวแล้วรวบตัวเขายกลอยขึ้นพาดบ่า

“พี่วินทร์จะทำอะไรครับ” จะดิ้นก็ไม่กล้าเพราะกลัวตกนรกรจึงทำได้เพียงเกาะเสื้อด้านหลังอีกฝ่ายไว้แน่น

“วันนี้วันลอยกระทง ฉันก็จะพานายไปลอยนี่ไง”

“แต่เราลอยกันไปแล้ว!”

“ยังเหลืออีกใบ” วินทร์ตอบพร้อมกับผิวปากเดินไปห้องนอนพลางครุ่นคิดในใจว่ากระทงใบนี้จะใช้อะไร ‘จุดไฟ’ ดี

************************************************
ก็ว่าจะไม่เขียนแล้วนะ แต่ก็อดใจไม่ได้เลย

สำหรับคนที่รอเล่ม ข่าวดีคือตอนนี้เราส่งต้นฉบับทั้งหมดให้สนพ.แล้วค่ะ ทีนี้ก็เหลือรอกระบวนการของสนพ.เนอะ^^

ปล. เค้าฝากเรื่องใหม่ที่แต่งกับ คุณพี่ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าด้วยนะคะ ช่วยเชียร์ #หมอโมหัวเถิก ให้จีบหนุ่มจิตรกรท่ามากติดด้วยนะคะ

Once กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56342.0)


หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-11-2016 16:24:38
พี่วินทร์ ฮาร์ฟ :mew1: :mew1: :mew1:
มาลอยกระทงด้วยแหละ  :katai2-1:
แต่ว่า พี่วินทร์ ลอยฮาร์ฟ บนเตียงอะ
เอ่อ.....น้ำไม่กระฉอกแย่เหรอ  :o8: :-[ :impress2:
พี่วินทร์ ใช้อะไรจุดไฟ นะ  :katai1: :katai1: :katai1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-11-2016 16:50:54
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-11-2016 21:12:58
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 14-11-2016 21:15:41
น่ารักกกก ปีนี้ไม่ได้ลอยกระทงเลยค่ะ ปั่นเคสรัวๆ มาอ่านในนิยายก็ได้ฟีลไปอีกแบบ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 14-11-2016 21:25:49
ฮาร์ฟน่ารัก

รอหนังสือค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-11-2016 23:41:01
มาลอยสองคู่เลย
หมอฮาร์ฟน่ารักที่สุด
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 15-11-2016 01:43:45
น่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 15-11-2016 02:14:19
สองคู่ชูชื่นซินะคับ
ดีใจมากที่ได้อ่านตอนพิเศษอีก....ขอบคุณที่นำมาลงให้ได้อ่านนะคับ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-11-2016 08:24:21
 :impress2 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: taltal020441 ที่ 15-11-2016 09:11:22
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
ชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-11-2016 11:22:34
ฮาร์ฟน่ารักมากเลย  :-[ ตอนนี้มีหมอปืนกับพลุด้วย คิดถึงจัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 15-11-2016 15:53:10
ฮาร์ฟน่าฟัดตลอดดดดดด ฮืออออ
พี่วินทร์ชอบแกล้ง แง้ แล้วยังจะแกล้งพี่ปืนอีกแหนะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 15-11-2016 17:57:47
น่ารักจัง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 20-11-2016 13:32:05
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: masterjj ที่ 21-11-2016 08:47:14
พี่วินทร์กับฮาร์ปช่างเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ส่วนคุณลุงหมอนั่น ก็น้ำมันตราเต่าชราเหมือนเดิม

รอหนังสือ วางแผงเมื่อไหร่แจ้งด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 21-11-2016 10:01:43
 :-[
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 21-11-2016 12:23:15
ลุ้นเรื่องห้องั้นมากกว่าลอยกระทงอีก  อิอิ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 26-11-2016 02:48:46
โว้ววว ชอบมาก ดีมาก และอ่านสนุกมากๆเลยค่ะ
รู้สึกทึ่งกับมิติใหม่แห่งพล็อตนิยายวาย มีความอินเซ็ปชั่น มีความแมทริกซ์สุดฤทธิ์
บางบทอ่านจบแล้ว มีปรัศนีลอยเต็มหัว ...ชิบละ ทำไมอ่านแล้วงงวะคะเนี่ย กรี๊ดดด
เสียเซลฟ์เบาๆ เราก็ว่าตัวเองสกิลการอ่าน การจับทาง การเดานิยายแน่นพอตัวแล้วนะ
แต่สุดท้าย พอพล็อตคลายตัวลง ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง และชื่นชมคนเขียนมากๆๆๆๆ

อยากบอกว่านี่ #ทีมพี่วินทร์ ตั้งแต่แรกด้วยนะคะ อิอิ //ดีใจชูคอลอยหน้าลอยตา ...มันก็คนเดียวกันป่ะ โว๊ะ! - -"

ปล. ต้องขอขอบคุณสองนักอ่านมา ณ ที่นี้ คือ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า และคุณ arjinn
ที่เม้นท์อธิบายไทม์ไลน์ให้ทางนี้หายรับประทานจุด โมเม้นท์นั้นแบลงค์จริงๆอะไรจริง 555 #กราบค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: namaquaru ที่ 26-11-2016 23:36:50
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 27-11-2016 09:00:58
ตอนพิเศษ มีความเป็นคู่รักมากเลยค่ะ :-[


ลอยกระทงด้วยกัน แถมมีแขกรับเชิญพิเศษอีก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Pine_apple ที่ 30-11-2016 02:50:04
 :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 05-12-2016 23:42:36
น่ารัก  อ่านแล้วอยากมีแฟนเป็นหมอ ขอบคุณนะคะสำหรับตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 11-12-2016 14:50:19
น่ารักมากค่ะ
ละมุนมาก
ช่วงที่บีบคั้นอารมณ์ก็เขียนได้ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 25-12-2016 08:10:35
สนุกมากค่ะ วางไม่ลงอ่านตั้งแต่ต้น จนจบ พี่วินทร์ พี่หมีถ้ำ น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: sunakai ที่ 26-12-2016 20:40:06
เป็นคนกลัวผีเข้าขั้นโคม่า แต่ผีในเรื่องนี้คือน่าเอ็นดูทุกตน

ฮือออออ ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมเพิ่งมาเจอนิยายเรื่องนี้
พลอตเรื่องแบบนี้ถือว่าแปลกใหม่สำหรับเรามาก
ตอนอ่านมีความลุ้นและคิดตามอยู่ตลอดเวลา
ในขณะเดียวกันก็อุ่นหัวใจไปด้วย ชอบความมีมิติของตัวละครจังเลยค่ะ
ไม่มีใครดีสุดขั้ว ไม่มีใครชั่วสุดขีด ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง
คนเขียนแต่งเก่งมากจริงๆ ขอชื่นชมจากหัวใจเลย  เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ o13

ปล. ดีใจที่ #ทีมพี่วินทร์ มาตั้งแต่แรก ดิฉันรักมนุษย์หมี~~ คนอะไรหื๊นหื่น... เอ้ย! อบอุ๊นนน อบอุ่น ประหนึ่งสืบเชื้อสายมาจากไมโครเวฟ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ZwolfTD ที่ 03-01-2017 22:10:20
นั่งอ่านตั้งแต่ต้นเรื่องตามมาอ่านต่อจาก ER ค่ะ
แอบเสียน้ำตาไปหลายเลย จากการไม่เข้าใจกันของครอบครัวพี่ฮาร์ฟ มีแต่คนเจ็บปวด อ่านไปก็สงสารพี่วินทร์ไป ทั้งๆที่เป็นคนเดียวกันแท้ๆแต่กลับต้องทำเหมือนไม่ใช่ แต่พออ่านมาจนจบรวมถึงตอนพิเศษก็ถือว่าทั้งสองคนหมอวินทรงหมอฮาร์ฟได้ชดเชยให้แก่กันและกันแล้ว อ่านตอนภาคผนวกจนมาถึงตอนสุดท้ายนี่ยิ้มตามตลอดเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนลอยกระทง หมอปืนกับพลุแอบมาแจมด้วย แหมๆหมอปืนมัวแต่แซวรุ่นน้อง ตัวเองใช่ย่อยนะคะ555 ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆให้อ่านค่ะ ได้ความรู้เกี่ยวกับทางการแพทย์เพิ่มขึ้น รวมถึงวิธีการทำงานของคุณหมอทั้งหลายด้วยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: M.J. ที่ 04-01-2017 04:10:23
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: seii ที่ 17-01-2017 08:22:28
ยังอ่านไม่จบหรอกค่ะ เเต่ขอเม้นหน่อย
โมโหพ่อกับเเม่มาก อยากผลักดันลูกให้เป็นที่หนึ่ง
ต่อยากรู้ว่ามันคุ้มไหมที่ลูกต้องเสียใจมาจนอายุสามสิบกว่า?
เป็นเด็กที่ไม่เคยมีความสุข เรียนก็ไม่มีความสุข คุ้มไหม?
วิธีอื่นมีตั้งเยอะเเยะ ไม่เห็นต้องต่อว่าด่าทอ ทำเหมือนไม่รักเลย
คิดว่าเท่เหรอห๊ะ นังคุณเเม่ตาคุณพ่อ????
--------------------
อ่านจบล่ะ คู่นี้พอตกลงเป็นเเฟนล่ะหวานจนมดขึ้นจอ อิอิ
ต้องขอบคุณปอที่เดินจากไป ทำให้ฮาร์ฟ เจอคนที่ดีกว่า
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 23-01-2017 17:29:20
เป็นเรื่องที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 24-01-2017 00:26:11
กัดลิ้นตาย555555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 24-01-2017 09:56:25
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 24-01-2017 21:08:02
ดีต่อใจ คืองานดีมาก/น้ำหูน้ำตาไหล
ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องดีๆออกมา
ให้เราได้อ่าน เราชอบในทุกๆสิ่งของเรื่อง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 26-01-2017 17:12:49
 :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 04-02-2017 14:37:35
เพิ่งตามเข้ามาอ่าน จบแล้วขอให้กำลังใจที่เดียวเลยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ เป็นนิยายที่ดี สนุก น่าติดตามมากๆๆๆๆ ติดอันดับนิยายในดวงใจ (จัดอันดับโดยเราเอง)
ตั้งแต่ต้นอยู่ทีมตาวินทร์มาตลอด ตอนแรกเลยนะ อ่านแล้ว เอ๊ะ เดี๋ยวนะ  หมอฮาร์ฟนี่ยังไงวะ จะรีเทิร์นกะพี่หมอปอ หรืออ่อยพี่หมอวินทร์ เอาซะคนสิ แล้วผีทิดล่ะ
แต่ว่าแล้วแต่ฮาร์ฟ ฮาร์ฟรักใครพี่ก็ว่าตามกัน เว้นพี่ปอคนเดียว แต่ทิดมันก็ดี แต่พี่วินทร์มันก็ใช่บรรยากาศเวลาที่อยู่ด้วยกันของผีทิดกับฮาร์ฟมันอบอุ่น สดใส ทิดช่างพูดช่างเจรจาค่อยๆชักจูง ค่อยๆคืนความเป็นมนุษย์ให้หมอฮาร์ฟ ทิดทำให้ฮาร์ฟเปิดใจได้เป็นคนแรก
 แต่พี่พออยู่กับพี่วินทร์มันแบบรู้เลยว่าหมอนี่รักฮาร์ฟมาก เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นผู้คอยค้ำจุน เป็นกำลังใจ เป็นห่วงเป็นใยเข้าอกเข้าใจใส่ใจทุกอย่าง แต่ฮาร์ฟไม่มองพี่วินทร์ในฐานะนั้นเลย ปิดตาปิดใจก็คือไม่มอง ไม่ ก็คือไม่ คนไม่ใช่ยังไงก็คือไม่ใช่ คนที่ดีบางทีก็ไม่ใช่คนที่รัก  ทั้งสงสารทั้งเอาใจช่วยมาตลอด แม้ดูทรงเป็นพระรองเหลือเกินก็เถอะ แต่แอบเชียร์พี่วินทร์นี่สิฮาร์ฟ มองพี่วินทร์บ้างสิ เป็นพี่วินทร์ไม่ได้หรอ  (บางคราวก็เวทนาแกจนแทบอยากกอดโน๊ตบุ๊ค อยากร้องไห้ให้กับความรักของพี่วินทร์)
แต่พอๆ อ่านไป ผีทิดมันก็ดีนะ แต่ว่าเป็นพี่วินทร์เถอะ  ความรู้สึกสลับกันไปมาจนกระทั่ง มาถึงตอนที่เริ่มตะหงิดๆในใจ
เอ๋  หรือว่า ผีทิดกับพี่วินทร์จะมีความเกี่ยวข้องกันหว่า
หื้มมมม พออ่านๆไปใจเต้นแรงลุ้นนนน  ให้ทิดรู้ว่าตัวเองคือใคร (แกคือพี่วินทร์ใช่ไหม ไอ้ผีความจำเสื่อม) นี่ดีใจมากนะ บอกตรงๆ คนคนนี้จะสมหวังว่ะ ดีใจมาก  เพราะเอาใจช่วยแกมาตลอด
แต่ก็นั้นล่ะ ถึงจะเป็นคนคนเดียวกัน แล้วไง ก็ยังไม่ใช่คนที่ใช่ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมอยู่ดี พี่วินทร์เจองานหนักกว่าเดิมคือต้องแข่งกับตัวเอง แถมแกก็พยายามจีบมาก่อนหน้านั้นแล้วทั้งทางตรงทางอ้อมมาตั้ง 5 ปี
“จะต้องทำยังไงถึงจะเอาชนะคนที่อยู่ในใจของฮาร์ฟได้” ปรากฏว่าน่าสงสารกว่าเดิมอีก
แต่จะว่าไปแล้วอะนะ ฮาร์ฟก็แอบหวั่นไหวกับพี่วินทร์มาตลอดล่ะว่ะ นางก็มีใจให้พี่วินทร์มาช้านานแล้วล่ะ แต่นางมองข้ามไป นางมองสิ่งอื่น คนอื่น ฝังพี่วินทร์ไว้แบบลึกสุดใจ พี่วินทร์ก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ มองไปทีไรก็เจอรออยู่ตลอด ใกล้เกินไปมองไม่เห็นค่า

แต่พอรู้ว่าเป็นคนเดียวกัน ก็ดันไม่ยอมรับอีกละเอ้อออ ให้มันได้อย่างงี้สิ (วะ) ก็นี่ไง คนที่นายตามหา เค้ามาอยู่ตรงหน้านายแล้ว เปิดตาเปิดใจดูเค้าให้ชัดๆสักทีสิ
หัวใจที่ปิดตาย ต้องใช้เวลางัดนาน ได้แต่ตบบ่าพี่วินทร์แปะ แปะ สู้เค้านะพี่

คนอ่านน้ำตาซึมตอนหมอฮาร์ฟรู้ตัวว่ารักพี่วินทร์แค่ไหน ตอนที่นางโทรไปหาพี่วินทร์ แล้วนางร้องไห้
“พี่วินจะกลับมาใช่ไหม นานแค่ไหนผมก็รอ”

สำเร็จแล้วว้อยยยย นี่กรีดร้องลั่นบ้าน พี่วินทร์ทีมเราชนะแล้ว ยานแม่ส่งสัญญาณมาแล้วเพ่

ก็ยังดีที่ตาวินทร์แกรู้ว่าถ้าหันหลังกลับไปตอนนี้ต้องเสียอะไร เลยไปต่ออีกสองปีค่อยกลับมาเจอกันใหม่ในอนาคต ให้ฮาร์ฟได้รู้ค่าของการรอคอย โหยหาความรักบ้าง ก็ดีที่พี่กลับมาตามสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกันและกันตลอดไป 
8 ปีที่รักที่รอที่พยายามมา พี่ทำได้แล้ว อิ่มเอมใจกับความรักอันยิ่งใหญ่ ยาวนาน และหนักแน่น ได้รับรักตอบแล้ว

ต้องขอบคุณท่านอาจารย์องค์อิน ที่นำพาให้ทิดให้มาเจอะหมอฮาร์ฟ ให้พี่วินทร์คนที่อยากตายคนนั้นมาเจอกับอนาคต มาเจอกับคนที่ทำให้เค้าอยากมีชีวิตอยู่อีกครั้ง
เคยอ่านมาตามหลักความเชื่อนะ กรณีผีทิด หรือพี่วินทร์ ตอนที่วิญญาณออกจากร่างแกฆ่าตัวตาย คือทุกข์มากอยากไป อยากตาย ตายด้วยความแค้นเคือง  มีแต่ความทุกข์ คือถึงจะเรียก พ่อแม่เรียกร้องไห้คร่ำครวญ มันไม่รับรู้ ปิดรู้แต่ความทุกข์ของตัวเอง ว่าทุกข์หนัก จะไป แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาเค้าจะวนเวียนตายอยู่อย่างนั้น ทุกวัน เวลาเดิมที่ฆ่าตัวตาย ก็ว่ากันไปจนกว่าจะถึงเวลาที่อายุขัยหมดไป ถึงจะไปลงนรกได้ ทิดยังดีที่ได้มาเจอกับหมอฮาร์ฟ 49 วันที่ได้ติดตามฮาร์ฟ จากที่ความจำเสื่อม จำไม่ได้ จนหลังๆมาเริ่มจำได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน มาทำไม ก็ดันไม่อยากกลับ อยากอยู่กะฮาร์ฟ แต่มันเป็นไปไม่ได้มันอยู่ได้แค่ 49 วัน ไม่งั้นก็กายละเอียดก็จะสลายไป เลยก็ต้องเลือกอีกครั้ง ว่าจะไปคือตาย หรือจะเข้าร่าง เพื่อกลับมาเจอฮาร์ฟอีกครั้ง แต่ต้องสู้กับคนในใจฮาร์ฟนะ และก็สู้ต่อไปถึง 5 ปี

ตอนเป็นทิดแกก็เริ่มรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นจากการกระทำของตัวเอง พ่อแม่ตาย ตัวเองเกือบหมดอนาคต ใจอันเป็นด้านมืดก็ไม่อยากสู้ อยากจะตายเพราะหากฟื้นก็สูญเสียทุกอย่าง แต่เพราะมีฮาร์ฟยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้ ถึงกลับมา และก็ต้องมาตามจีบแบบที่เราเห็น แต่สำหรับวินทร์ ฮาร์ฟเป็นมากกว่าความรัก เพราะเป็นคนที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่อีกครั้ง    ถึงแกจะแอบแช่งให้ผีทิดไปสักที รอจนทิดรู้ตัวสักที ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วจะไปรึยัง กุจะได้เดินหน้าแบบเต็มสูบ เวลาของกุมาแล้ว  แต่ก็นั่นแหละ ไม่ดีใจอยู่ดี เพราะทิดไปฮาร์ฟก็เสียใจ เลยให้คำแนะนำกับวิญญาณตัวเองไปว่าให้อดทน หนทางการรักษาตัวมันยากนะ ต้องทำกายภาพ ไปบำบัดจิต ให้อดทน ให้ไหว แล้วกลับมาเป็นกุตอนนี้ให้ได้ ถ้าทิดทนไม่ได้ก็ไม่มีพี่วินทร์ในตอนนี้

ทำไมไม่บอกฮาร์ฟไปตรงๆ ล่ะว่า เป็นคนคนเดียวกันกับทิด ไอ้ครั้นจะบอกแบบโต้งๆเลยว่า พี่วินทร์ก็คือทิดนะ คิดว่าฮาร์ฟจะเชื่อหรือ ไม่เชื่อหรอก  ต้องให้ตะหนักรู้เอง ถึงจะบอกว่าเป็นคนคนเดียวกัน นางก็ไม่รักพี่วินทร์อยู่ดี ต้องให้นางรู้สึกว่ารักพี่วินทร์เอง ไม่ใช่รักเพราะพี่วินทร์บอก ว่าพี่วินทร์คือทิด แล้วก็ทำตัวเป็นทิด พี่วินทร์มีความคล้ายทิด แต่พี่วินทร์ไม่ทำตัวเป็นทิด ทำตัวเป็นพี่วินทร์ อะไรที่ต้องห้าม ก็ห้าม ที่ต้องบังคับ ก็ทำ อะไรจะตามใจก็ตามใจ ไม่เหมือนทิดที่ตามใจเป็นส่วนใหญ่ตอนเป็นทิดมันก็คือความคิดของคน อายุ 25 ความรักของคนอายุ 25 กับคนอายุ 32 (ไม่แน่ใจ) การดูแลคนรักมันก็ต่างกันอยู่แล้ว
พออ่านจบแล้วก็นั่งคิดตามเป็นฉากๆ คนเขียนทิ้งคำเบาะแสให้เป็นระยะ นี่หว่า คีย์สำคัญอยู่ที่อาจารย์องค์อิน แกบอกตั้งแต่เเรกแล้วว่า ให้อยู่กะปัจจุบัน ให้ยอมรับให้เปิดใจ ...

สุดท้าย ขอบคุณคนเขียนค่ะ ที่สร้างสรรเรื่องราวดีๆแบบนี้ให้อ่าน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 13-02-2017 15:06:37
ชอบมากตั้งแต่ ER แล้ว เรื่องนี้มีลี้ลับด้วยเก๋มากครับ

ขอบคุณที่สร้างนิยายดีๆมาให้ได้อ่านนะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 28-02-2017 15:13:54
ดีต่อใจที่ได้อ่านนน
เรื่องประทับใจมาก ร้องไห้ได้น้ำตาเกือบทุกตอนเลย
ยิ่งเป็นเรื่องครอบครัว ความผิดหวังนะ
โอ๊ยไหลพราก
ตอนพี่วินทร์ไม่สมหวัง ตอนทิดจะไป
ตอนทิดแตะต้องไม่ได้
เรียกว่าทุกตอนดีกว่า ประทับใจมาก
แต่งเก่งมากๆค่ะ ถึงจะมีคำผิดบ้างประปราย

ฟ้าหลังฝนมันดีงามจริงๆ สำหรับฮาร์ฟและพี่วินทร์

เราดีใจที่อ่านตอนที่มีครบทุกตอนแล้ว
เพราะถ้าขาดตอนละก็ มีหวังลงแดง
นี่อยากคอมเม้นเป็นตอนๆมากนะ
แต่ว่าทนความอยากอ่านต่อไม่ไหว
ต้องอ่านไปเรื่อยๆ สองวันจบจ๊าาา
นี่ถ้าไม่ติดทำงาน น่าจะแค่วันเดียวหมด

ติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ
และติดตามเพจแล้วเรียบร้อย
นักเขียนดีๆแบบนี้ เราอินมากกกกก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 18-03-2017 10:23:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ChaniiNoiy ที่ 20-03-2017 16:49:26
เข้ามาขอบคุณคนเขียน เนื้อเรื่องมีความแปลก ความงงนิดหน่อย แต่ภาพรวมคือดีต่อใจมาก เก่งมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Fragrant ที่ 27-03-2017 17:04:25
น่ารักไปอีกกกกกกกก เราจะตามไปอ่านตอนพิเศษในเล่มแน่นอนค่ะ เลิฟๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: automaton ที่ 03-04-2017 20:07:27
เนื้อเรื่องน่าติดตาม ชอบมาก
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: o4u0n7 ที่ 04-04-2017 04:51:24
ครบรส

เขียนได้ดีจริงๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 08-04-2017 19:05:25
 :mew3:  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 08-04-2017 22:01:28
สนุกมากค่ะ ผูกเรื่องได้ดี เป็นเรื่องที่อ่านแล้ววางไม่ลง อยากอ่านต่อให้จบ
 o13  o13  o13
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: skysky ที่ 09-04-2017 16:35:43
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกก มากจริงๆ
มันเหมือนเพื่อนค่อยๆเปิดใจ เล่าเรื่องส่วนตัวของเขาให้เราฟัง
ให้เราค่อยๆได้รู้จักตัวตนของเขา ค่อยๆเข้าใจเขา
การดำเนินเรื่อง มันมีปมที่ค่อยเฉลยออกมาเรื่อยๆ
เรื่องราวที่ทำให้เราอมยิ้ม ทำให้เราขมวดคิ้ว ทำให้เราสับสน ทำให้เรามีน้ำตา
แต่สำคัญที่สุด ทำให้เรามีความสุข :)

ดีใจจริงๆที่ได้รู้จัก ฮาร์ฟ พี่วินทร์ และอทิฏฐ์ ^^
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-04-2017 20:13:59
กลับมาอ่านหลายรอบแล้วค่ะ ด้วยความคิดถึง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 07-05-2017 18:37:23
 :z1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 09-05-2017 15:04:24
เค้าอ่านไม่จบอ่ะ เพราะงงขั้นรุนแรง 5555+
แต่เขียนดีค่ะชอบ แต่เราอ่านแล้วงงแค่นั้นเอง
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 18-05-2017 12:40:58
ทำไมรู้สึกสงไปหมด
T__________________T
พี่หมอปอยังชอบน้องฮาร์ฟอยู่แน่น ๆ เรารู้สึกด้ายยยยยยยยย
กิ้ดดดดดดดดดด ! เป็นกำลังใจให้พี่หมอวินทร์ด้วยค่ะ
โอ่ย แต่ก้คถพี่หมอปอนะ เคียดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 19-05-2017 16:53:44
โอ้ยยยยยยยยยยยยย
อยากจะจุดพลุแล้วก็ร้องไห้ในทีเดียวกัน
T________________T
จุดพลุคือพี่หมอวินทร์เริ่มรุกแล่ว ๆๆๆๆ กิ้ดดดดดดดดด
ฮื่อออออออออ สักทีอะะะะะ

ร้องไห้สงน้องลลิน

ปล. กำลังคิดถึงทิดด้วย T^T
ดราม่าอะะ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 19-05-2017 22:14:31
นี่เราต้องรู้สึกยังไงอ่ะ ?
จะร้องไห้ , โอ่ยยยยยยยยย
นี่เราอ่านถึงตอนที่ห้าแล้วค่ะ
มันหนึบ ๆ มาเรื่อย ๆ ไม่มากเท่าไหร่ แต่มันอยู่ตลอด
เราต้องพักการอ่าน ทำใจ แล้วมาอ่านต่อ
เรียกง่าย ๆ ว่าอิน ฮื่ออออออออ
หน่วงไปหมด , ความลับก้เยอะไปหมดเช่นกัน .
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 20-05-2017 12:19:02
เราร้องไห้ทุกตอนเลย ตั้งแต่ปม 4-5 จนถึง 11-12
มันจะถึงคราวชมพูแล้วใช่มั้ยคะ ?
เส้าอ่ะ ทุกเรื่องเลย
ตั้งแต่ทิด คุณพ่อ ฮาร์ฟ พิวินทร์ ขนาดคุณฝนเราก้เส้า
5555555 แต่วันนี้ตื่นมาเราฮีลตัวเองแล้ว
เราจะฮึบ แต่ขอทำใจก่อน แฮ่

ปล. ชอบการตั้งชื่อของคุณพ่อมาก
ล้ำลึก !
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 20-05-2017 22:51:30
อ่านวนและอ่านเม้น
งงงงงงง 5555555555555555
กำลังว่าทิดกับพี่วินจะปรากฏตัวพร้อมกันไงอ้ะะะ
เอ๊ะ งงงงง 5555555555
อ่านต่อก่อนนนน
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ บทที่ 12Beside(s) my side P.7[01/05/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 20-05-2017 23:08:08
Talk

กว่าจะจบบทนี้เล่นเอาเราหืดขึ้นคอ

ขอโทษที่ลงแบบลุ่มๆ ดอนๆ ค่ะ แบบว่าภากิจรัดตัวอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แล้วมันก็ค่อนข้างยาวพอสมควรทีเดียว

ตอนหน้าจะพยายามอัพทีละเต็มบทเหมือนเดิมนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ

ปล. ขอบคุณพี่ชาย 'คุณตฤณกร' ที่ให้เกียรติมาเดินผ่านฉากโดยไม่คิดค่าตัวค่ะ

ปล.2 สปอยชื่อตอนหน้า 'Depress'

ปล.3 ตอนนี้มี 3พาร์ทนะคะ คือครึ่งแรก ต่อ และ จบค่ะ อย่าอ่านข้ามนะคะ


Depress ล่วงหน้าไปแล้วค่ะ
ก่อนอ่านทอล์คคำนี้ขึ้นมาในหัวเลย
น้ำตาจะไหล
เมื่อไหร่จะอมชมพู 555555555555555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 21-05-2017 13:39:29
ชูป้ายไฟ ทีมพี่วินทร์
t t , หนูจะเป็นกำลังใจให้เฮียเองค่ะ !
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 21-05-2017 15:27:46
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ตอนจบแล้วค่ะ ฮื่ออออออออออออออออ
ดีอ่ะ รักพี่วินทร์ด้วยดิ ดีอ่ะ อยากได้ 555555555
ขอบคุณสำหรับตอนจบค่ะ น่ารักก อบอุ่นมาก ๆ
เราสัมผัสได้ งื้อออออออออ เขิงเขิงง

 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: plooy ที่ 22-05-2017 13:23:21
ขออนุญาตรวมค่ะ
มะวานอ่านก่อนนอนไงงง , จดเม้นไว้ในโน็ต ฮี่ ๆๆๆ
ชอบมั่ก ๆๆ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

โอ๊ยยยยยย ฮื่อออออ รักภาคผนวกกก
จิง ๆ เรารักทุกตอนนะ แต่แบบ ขอคืนกำไรให้พี่วินทร์เค้าหน่อยค่ะะ พี่วินทร์แบบ โอ๊ยยย ดีอ่ะ , ฮรึก . ภาคผนวกนี่ถึงฮ นกฮูกเลยได้ไหมคะ ? 555555555
แล้วคือฮาร์ฟก็น่ารักขึ้นมากอ่ะ แบบ มาก ๆๆๆๆๆ นี่ไม่รุ้จะอิจพี่วินทร์หรือน้องฮาร์ฟดี 5 ฮื่อออออ เขิ๊ลลลลล อีกแยะะ

/

เกือบละ , เกือบดราม่าและ .
ฮื่ออออออออ ดีอีกและอ่ะ คือฮาร์ฟยังฝังใจไงง หู่ยย ทำไงดีอ่ะ แพ้พี่วินทร์มาก อยากได้ 5555555 โหง๊ยยยยยย
ฮาร์ฟก็น่ารัก อ้อนน่ารัก เขิลก็น่ารัก
ฮรุก นี่ต้องทำตัวยังไงเดดดด คือบนรถก็เขิลขนาดนี้แล้วอ่ะ ยังมีต่ออ่ะะ
มาจดเม้นต่อ .
ฮรึกกก พี่วินทร์นี่มันพี่วินทร์จริง ๆ เลย
โอ๋ยยยย สงฮาร์ฟมั้ยละ 5
วันฝนตกจะไม่นึกถึงพี่ปออีกต่อไปละแหละ เราว่า ,
เพราะไม่มีเวลาให้นึกถึงแล้ว =.,=
บ้าเอ้ย !

/

อ๊ะ โหหหห , ตอนลอยกระทงค่ะซิสสสสส
พี่วินทร์เค้าไม่เกรงใจสิ่งที่อยู่บนล็อคเกอร์เลยค่ะ แหน่ ~
คือตอนนี้มีความพีคอ่ะ โหง๊ย ตื่นเต้นเว่อ
แต่ . ฮาร์ฟโคดน่ารัก ตอนเรียก พี่ ..
แบบบบบบ ฮื่ออออิ ่ดเวหงเสงหฃห ดีไปเลยยยยยย ฮรึก เอาอีกกกกก

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารัก ๆ นะคะ
ชอบมาก ๆ เลยยยย งิงิงิ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 04-06-2017 21:32:01
กว่าจะตามหากันเจอ นานและอดทนกันมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: KiteRunner ที่ 08-06-2017 19:48:28
พี่วินทร์ ~~~~~ แม่จ่าพี่เขาควรต้องเป็นของหนูวววววววว

ขอบคุณมากนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: lipure ที่ 15-06-2017 21:36:20
ขอบคุณ มาก ค้า สำหรับ เรื่องนี้ แต่งได้ ครบรสเลย

ทั้งหวาน ขม สุข เศร้า

พี่วินทร์คือสุดยอด เป็นคนที่รักมั่นคงมากๆ

หมอฮาร์ฟก็น่ารักมากๆๆๆ

เป็นกะลังใจให้คนแต่งน่ะตะเอง เด่วตามไปอ่านอีกเรื่องนึงน่ะค้า จุ๊ฟๆ
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Yukina ที่ 08-09-2017 22:52:04
เห็นนานแล้วในนิยายได้รางวัล คิดว่าจะอ้านนานแล้ว พึ่งมีโอกาส
ขอบอกว่า ปมขมวดกันสุดมาก เหอะๆ อ่านแล้วหน่วงมาก ตอนแรกๆสงสารฮาร์ฟมาก เฮ้อ อีพี่วินทร์ก้อไม่ได้ดั่งใจ แต่สุดท้ายก้อแฮปปี้ ดีด้า
สนุกมากครับ อ่านรวดเดียวเลย ไม่เคยเจอนิยายแบบนี้ ถ้ามีโอกาส จะไปตามอ่านเรื่องอื่นนะขอรับ ขอบคุนครับบบ  :mew2: :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-09-2017 22:21:40
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 15-09-2017 00:21:00
 o13สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Timber ที่ 20-11-2017 12:38:12
 :z3:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:ลอยกระทง P.22 [14/11/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-02-2018 22:01:09
Special moment Valentine's day

…หงุดหงิด…

อันที่จริงวินทร์ก็ไม่อยากใช้คำนี้ในวันแห่งความรักเลยนะ เขาพยายามแล้วจริงๆ ที่จะไม่คิดไม่หึงหวงแต่มันก็อดไม่ได้ เมื่อได้เห็นภาพบาดตาบาดใจที่คนรักของตัวเองนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับสมุดบันทึกเล่มเก่าเมื่อคืนก่อน พอเขาถามว่าทำอะไรอยู่ นรกรก็รีบเก็บสมุดเล่มนั้นให้พ้นไปจากสายตาแล้วส่งยิ้มมาให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ด้วยความที่ยังหาบทลงโทษคนที่ทำให้หัวใจเขาปั่นป่วนไม่ได้ เช้านี้วินทร์จึงปล่อยให้นรกรไปเดินราวน์คนไข้คนเดียวแล้วอ้างว่าต้องเตรียมแผนการสอนสำหรับวันนี้

เช้าวันนี้ของนายแพทย์นรกรไม่ต่างอะไรกับทุกวัน ก็แค่วันพุธที่ 14 เดือนกุมภาพันธ์… เมื่อวานเขามีเคสผ่าตัดใหญ่ หลังจากยืนขาแข็งอยู่ 9 ชั่วโมงนั่นยังไม่นับว่าทรหดพอเมื่อเทียบกับการรอให้ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาหลังจากจากย้ายไปดูอาการต่อที่ไอซียู แล้ว 3 ชั่วโมงต่อมาเขาก็ค้นพบว่าที่พยายามมานั้นไม่สูญเปล่า และรอยยิ้มของญาติที่ส่งมาให้เขานั้นมีค่ามากกว่าคำขอบคุณใดๆ
นรกรเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยหลังจากที่ให้พูดคุยอาการและแผนการรักษาต่อไปกับญาติเสร็จสิ้น เขาเดินอมยิ้มเอาแฟ้มมาส่งคืนให้พยาบาลที่เคาน์เตอร์และเธอก็สร้างความแปลกใจให้เขาด้วยการยื่นของสิ่งหนึ่งให้

“มีคนฝากมาให้คุณหมอค่ะ”

มันคือดอกกุหลาบสีแดงช่อโตที่ต้องใช้สองแขนประคองไว้ กะด้วยด้วยสายตาคร่าวๆ ยังไงก็ไม่ต่ำกว่าหลักร้อยดอก

“อะไรครับเนี่ย”

พยาบาลสาวหัวเราะคิกคัก “ดอกกุหลาบไงคะ คุณหมอไม่รู้จักเหรอ”

“รู้จักครับ แต่ผมคิดว่าไม่รู้จักคนที่เอามาให้… คุณพยาบาลให้ถูกคนหรือเปล่าครับ”

พยาบาลสาวหันไปยิ้มกับเพื่อน “ไม่ผิดค่ะ นี่ไงคะมีการ์ดด้วย” เธอบอกพร้อมกับชี้ให้ดู ซึ่งจะว่าไปแล้วมันเป็นแค่โน้ตของร้านดอกไม้ที่ระบุสถานที่ส่งกับผู้รับเท่านั้น ไม่มีชื่อผู้ส่งและไม่ข้อความใดๆ นอกจากกลิ่นหอมอบอวลที่มากับกลีบบางสีแดงสดใส

นรกรรับมาถือไว้อย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยความเขิน เขาค้อมศีรษะขอบคุณพยาบาลที่ดูพออกพอใจกับหน้าที่กามเทพจำเป็นเป็นอย่างมาก ก่อนจะรีบเดินออกจากไอซียูมา

แต่นรกรก็ไม่อาจเดินได้ไวอย่างใจคิด เพราะเจ้ากุหลาบช่อโตนั้นใหญ่พอๆ กับตัวและเมื่อถือไว้ก็สูงท่วมหัว เขาเดินได้ต้วมเตี้ยมเหมือนเต่า แล้วพอเลี้ยวไปทางไหนก็มีแต่คนมองทั้งเพื่อนร่วมวิชาชีพไปจนถึงญาติคนไข้ และส่งสายตาแปลกๆ มาให้ แม้แต่คุณผีผู้หญิงตรงชั้นสองที่ปกตินั่งกอดอกก้มหน้าตลอดยังต้องรีบลุกขึ้นยืนเพื่อหลีกทางให้

นรกรอยากจะรีบเดินเอาดอกไม้ไปเก็บที่ภาควิชาใจจะขาด แต่เขายังเหลือคนไข้อีกหลายคนที่ต้องไปราวน์ให้เสร็จ เดินไปก็นึกภาวนาจนหมดใจว่าอย่าให้เจอคนรู้จัก หากทันทีที่คิดจบฟ้าก็เล่นตลกส่งแก๊งน้องๆ แพทย์ประจำบ้านตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีห้ามาเจอที่หน้าลิฟต์

“สวัสดีครับอาจารย์” น้องๆ ส่งเสียงทักทายในแบบที่รู้ว่าต่างพยายามกลั้นยิ้มไว้สุดฤทธิ์ แต่แล้วก็มีเสียงของคนใจกล้าแหวกกลางวงขึ้นมา

“พี่ฮาร์ฟ~” จิงโจ้ที่ตอนนี้เลื่อนขึ้นมาเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสี่ร้องเป็นทำนองพร้อมกับยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาดูช่อกุหลาบใกล้ๆ “กุหลาบสวยจัง~ ใครให้มาหนอ~”

“ไม่ใช่ว่าพี่ฮาร์ฟจะเอาไปให้ใครหรอดเหรอครับพี่โจ้” แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งหน้าตาละอ่อนถาม

จิงโจ้จุ๊ปาก “พี่เข้าใจว่าแกเพิ่งมาใหม่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่อยู่ไปสักพักเดี๋ยวก็ชินนะ”

“ครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านรับคำทั้งที่ยังงงๆ

“เวลาเข้าห้องผ่าตัดกับพี่เขาก็เตรียมพกพวกยาไล่มดอะไรแบบนี้ไว้ด้วยนะ” จิงโจ้พูดต่อ

“ครับ”

“จิงโจ้” นรกรพูดลอดไรฟัน ทำให้เจ้ารุ่นน้องตัวดีค่อยสงบปากสงบคำลงได้ “บ่ายโมงเจอกันที่ห้องประชุม หวังว่าวันนี้ทุกคนคงพร้อมสำหรับการพรีเซนต์ตัวเองนะ”

“โห~ พี่ฮาร์ฟอะ อย่าดุสิครับ แค่’จารย์สรวิชญ์คนเดียวพวกผมก็จะขาดใจตายอยู่แล้ว” อนุวัฒน์ที่ตอนนี้ขึ้นปีใหญ่โอดครวญ

“ใช่ๆ ใครจะดุก็ได้แต่พี่ฮาร์ฟห้ามดุนะครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านปีสามรีบเข้ามาเกาะแขนขอความเห็นใจ

“พี่ว่าพี่ฮาร์ฟไม่ได้ดุเหมือนอาจารย์สรวิชญ์หรอก แต่ว่าดุเหมือนใครบางคนมากกว่า” จิงโจ้ยังไม่เลิกล้อเลียน

“ใครครับพี่โจ้” แพทย์ประจำบ้านปีสองหันไปถาม

“ก็ใครล่ะที่ชอบตีหน้ายักษ์ใส่พวกเราน่ะ มีอยู่คนเดียวน่ะแหละ… คนที่ชอบขลุกอยู่แต่กับพี่ฮาร์ฟน่ะ”

“ใครครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งถามย้ำ

“ก็พี่…”

“จิงโจ้” นรกรทำเสียงเข้มให้รู้ว่าเอาจริง

“พี่ธีร์ไง” จิงโจ้กลับลำแทบไม่ทัน “อ้อๆ พวกแกมาไม่ทันพี่ธีร์กันนี่นา เป็นพี่ชายพี่ฮาร์ฟ รายนั้นนะคู่ปรับ ‘พี่วินทร์’เลย” แต่ก็ยังไม่วายแอบเน้นเสียงมาเบาๆ

“บ่ายโมงตรงเจอกันนะ” นรกรตัดบทอย่างจนใจจะต่อล้อต่อเถียงกับรุ่นน้อง เขาเดินหอบกุหลาบฝ่าสายตาของประชากรนับร้อยในโรงพยาบาลเดินราวน์จนเสร็จและในที่สุดก็มาถึงภาควิชาจนได้

“ทำไมวันนี้ราวน์เสร็จช้าจัง” วินทร์ร้องทักมาจากหลังโต๊ะทำงาน

“ก็เพราะเจ้านี่แหละครับเลยเดินไม่สะดวก แถมยังโดนพวกน้องๆ กับคุณพยายาลแซวมาตลอดทางเลย” นรกรบอกพลางขยับช่อดอกไม้ในมือ

วินทร์ลุกจากโต๊ะของตัวเองมายืนตรงหน้านรกรเพื่อดูสิ่งทอยู่ในสองแขนนั้นให้ชัดๆ “ใครให้มาเหรอ”

“ญาติคนไข้ให้มาครับ” นรกรตอบยิ้มๆ เดาได้อยู่แล้วว่าคนให้เป็นใครเขาถึงได้รับมา

“คนไข้คนไหน” วินทร์ถามเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “ฉันเพิ่งเคยเห็นญาติขอบคุณหมอด้วยกุหลาบช่อโตขนาดนี้ แถมวันนี้ยังเป็นวันวาเลนไทน์ด้วย”

นรกรหน้าเจื่อนไปทันที สีหน้าจริงจังของวินทร์บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น “นี่ไม่ใช่ของพี่วินทร์เหรอครับ”

ตาคมเหลือบลงมองดอกไม้ที่ชูช่อสดใส ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับดึงเอาสิ่งที่ถือซ่อนไว้ข้างหลังออกมา มันคือกุหลาบขาวดอกหนึ่งที่ผูกโบสีทองอันเล็กตรงก้าน “ของฉันอยู่นี่… รอไว้ให้เองกับมือน่ะ” วินทร์พูดเนิบ เสียงเบาลงเรื่อยๆ “โดนคนอื่นตัดหน้าจนได้ แถมยังดอกเล็กกว่าด้วย…” เขาเม้มปากสนิทพูดต่อไม่ออก มือที่ถือดอกไม้ไว้ค่อยลดลงต่ำ รู้สึกอายเกินกว่าจะให้

“ขอโทษครับ” นรกรละล่ำละลักบอกพร้อมกับรีบคว้าข้อมือคนตรงหน้าไว้ “ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่วินทร์รู้สึกไม่ดี ผมคิดว่านี่เป็นของพี่วินทร์ก็เลยรับมา… ผมขอโทษ”

“ไม่ใช่ความผิดนายหรอก… เป็นความผิดฉันเองต่างหากที่…” วินทร์ค่อยเบือนสายตากลับมามองคนที่ฉุดรั้งตนไว้ แล้วคำพูดที่ค้างอยู่ก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดกับนัยน์ตาสั่นไหวที่ราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงในพริบตา “ของฉันเอง!” เขารีบพูดเสียงดังพร้อมกับดึงตัวนรกรเข้ามาใกล้ “ของฉันเองแหละ… ฉันเตรียมไว้เซอร์ไพรส์นายเอง”

“พี่วินทร์ไม่ต้องโกหกเพื่อให้ผมรู้สึกผิดน้อยลงหรอกครับ”

“จริงๆ นะ ไม่เชื่อดูนี่” วินทร์ลนลานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดให้ดูอีเมลสั่งซื้อพร้อมกับหลักฐานโอนเงิน “แค่แกล้งเล่นน่ะ… อย่าคิดมากนะ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ และคนขี้แกล้งก็ได้เรียนรู้ว่าไม่ควรเลยจริงๆ ถึงสีหน้าของนรกรจะดีขึ้นแล้ว แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับประกายวิบวับในแววตาตอนเดินกอดช่อกุหลาบเข้าประตูห้องมา และเขาก็เป็นคนทำลายมันเองกับมือ

วินทร์ใช้สองมือประคองใบหน้านั้นไว้ในอุ้งมือแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งไล้เบาๆ เป็นการปลอบขวัญ “ขอโทษนะที่แกล้งแรงไปหน่อย”

“ครับ” นรกรพยักหน้า “แล้ว… ทำไมพี่วินทร์ต้องแกล้งผมด้วยครับ”

“ไม่มีอะไร… ก็แค่แกล้งเล่นน่ะ… กะว่าจะทำเป็นงอนแล้วให้นายง้อก็แค่นั้นแหละ”

“แล้วพี่วินทร์อยากให้ผมง้อด้วยอะไร”

“ก็…” วินทร์อึกอักเล็กน้อย แต่เขาเป็นฝ่ายผิดและคิดว่าควรสารภาพให้หมด “แค่อยากได้จูบ”

“เมื่อเช้าก็เพิ่งทำไปไม่ใช่เหรอครับ”

“ไม่ใช่แบบนั้นสิ” วินทร์ว่า “อยากได้แบบที่นายเป็นคนทำน่ะ”

“แค่นี้เหรอครับ”

“กับโปรโมชั่นวันวาเลนไทน์”

“อะไรคือโปรโมชั่นวันวาเลนไทน์ครับ”

ถึงตรงนี้วินทร์นึกอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด “ยังไม่ได้คิดเรื่องรายละเอียดน่ะ แต่คืนนี้ก็แลกเวรออกไว้แล้ว… ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็จินตนาการอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ… ว่าแต่… นายยกโทษให้ฉันหรือยัง”

นรกรเงียบไปอีกครั้ง ทำเอาคนผิดใจแป้ว “พูดสิครับ”

“ขอโทษนะ”

“ผมไม่ได้อยากฟังคำขอโทษครับ” นรกรว่า

“แล้วนายอยากฟังอะไรล่ะ”

“ก็พี่วินทร์บอกว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์… ลืมเรื่องดอกไม้นั่นไปซะ ผมเพิ่งเดินเข้าห้องมาแล้วพี่วินทร์มีอะไรอยากจะพูดกับผมไหมครับ”

ริมฝีปากค่อยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง “คนไข้เป็นไงบ้าง”

“สบายดีครับ”

“แต่คนนี้ไม่ค่อยสบายเลย” วินทร์แสร้งทำเสียงอ่อย

“เป็นอะไรครับ”

“เป็นแฟนนายไง”

“พี่วินทร์~” นรกรหลุดยิ้มออกมาด้วยความเขิน “จะพูดอะไรก็พูด อย่าลีลาน่า”

“ก็นายให้พูดที่อยากพูดนี่นา”

“ไม่พูดผมก็ไม่ฟังแล้วนะ”

“รักนะ” วินทร์บอก “ยกโทษให้หรือยัง”

นรกรไม่พูดอะไร แต่คล้องสองมือลงรอบคอคนตัวสูงกว่าแล้วส่งคำให้ผ่านริมฝีปาก สะกดออกมาเป็นคำด้วยปลายลิ้นที่สอนประสานกัน

“แบบนี้ใช่ไหมครับที่อยากได้น่ะ”

“อย่าทำตัวน่ารักนักสิ เดี๋ยวลากขึ้นรถกลับบ้านนะ” วินทร์แกล้งว่าด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “รู้ไหมว่าทั้งช่อนี้มีกี่ดอก”

“ถ้าให้เดาก็ 999 ดอก ใช่ไหมครับ” นรกรทาย “ความหมายสุดคลาสสิคของกุหลาบจำนวนนี้คือรักนิรันดร์ แม้แต่คนอย่างผมก็พอจะรู้อยู่บ้างนะครับ”

“เกือบถูกล่ะแต่ผิด” วินทร์บอก “กุหลาบแดงในช่อนี้มี 998 ดอก รวมกับดอกสีขาวนี่ถึงจะเป็น 999”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “มันมีความหมายอะไรมากกว่าที่ผมคิดหรือเปล่าครับ ถึงได้ต้องแบ่งให้”

“กุหลาบน่ะไม่ว่าดอกไหนก็สวยเหมือนๆ กัน” วินทร์บอกพร้อมกับหยิบดอกกุหลาบขาวขึ้นมาปักตรงกลางช่อกุหลาบแดง “แต่ในบรรดาดอกไม้เหล่านั้นก็ยังมีดอกหนึ่งที่แตกต่าง”

“ยังไงต่อครับ”

“กุหลาบแดงคือคนอื่นคนทั่วๆ ไป ส่วนฉันเป็นดอกกุหลาบขาว… ฉันไม่อยากเป็นเหมือนคนอื่นน่ะ อยากเป็นคนพิเศษ เป็นคนที่นายรัก”

“ถึงต้องรอให้เองกับมือใช่ไหมครับ”

“นายจะรับรักฉันไหม” วินทร์ถามพร้อมกับส่งช่อดอกไม้ให้ด้วยตัวเองอีกครั้ง

“เราไม่ได้ผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้วเหรอครับ” นรกรยิ้มเขินรับช่อดอกไม้ไปกอดไว้ “ขอบคุณนะครับ”

OOOOOO

หลังจากเลิกงานวินทร์ก็ทำเซอร์ไพรส์เล็กๆ อีกอย่างโดยการพานรกรไปทานอาหารร้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เขาเตรียมการจองล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว บรรยากาศดีๆ กับอาหารอร่อยพอจะช่วยทำให้แผนแกล้งกันเมื่อเช้ากลายเป็นโมฆะไปได้ แล้วตอนนี้วินทร์ก็แค่นั่งยิ้มฟังคุณสารานุกรมเคลื่อนที่ของเขาเล่าถึงขั้นตอนการเลาะเนื้องอกขนาดเท่ากำปั้นออกจากเนื้อสมองส่วนหลังอย่างออกรส ก็เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่าคู่อื่นๆ เวลาไปเดทเขาคุยเรื่องอะไรกันเพราะคู่ของเขานี่มีแต่วิชาการ บางทีก็เผลอนึกไปว่ากำลังนั่งประชุมในงานโรคสมองนานาชาติไม่ได้มาเที่ยว แต่แล้วมันยังไงล่ะ ในเมื่อมันเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้คนชอบเก็บตัวอย่างนรกรมีชีวิตชีวาขึ้นมา อันที่จริงคนแปลกต้องเป็นเขาด้วยซ้ำที่นั่งยิ้มฟังได้ไม่เบื่อ นานๆ ทีก็พยักหน้า ขานรับ “อืม” “อือ” ให้รู้ว่ายังฟังอยู่และก็แสดงความคิดเห็นบ้างซึ่งส่วนใหญ่ก็จะหนักไปทางชมเสียมากกว่าว่า “สุดยอด” “นายเก่งมาก” หรืออะไรทำนองนั้น… เปล่านะ เขาไม่ได้อวยหรือพูดเวอร์เกินไปก็แฟนเขาเก่งจริงๆ นี่นา

กลับถึงบ้านวินทร์ที่วางแผนจะรวบหัวรวบหางชวนเล่นเกมยันสว่างก็รีบเอ่ยไปตามบทที่คิดไว้ “เดี๋ยวนายไปอาบน้ำ…”

“พี่วินทร์ไปอาบน้ำก่อนเลยนะครับ” นรกรหันมาบอกก่อนที่เขาจะพูดจบ
วินทร์หน้ายู่แอบเซ็งที่แผนเสีย “นึกว่าจะได้อาบด้วยกัน” ถ้านรกรอาบก่อนเขาจะหาทางเปิดประตูตามเข้าไปด้วยจนได้แม้อีกฝ่ายจะล็อก แต่ถ้าเป็นเขาอาบก่อนคิดเหรอว่านรกรจะมาเคาะประตูขออาบด้วยคน ซื้อหวยให้ถูกสามตัวตรงยังจะง่ายกว่าเลย

“ผมจะเอากุหลาบไปเก็บก่อน” นรกรบอก

“รอได้” วินทร์ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ

นรกรส่งยิ้มแกมดุมาให้พร้อมกับเดินหอบดอกกุหลาบหนีไปอีกทางเป็นการตัดบท
เมื่อลงเอยเช่นนี้วินทร์จึงจำยอมคว้าผ้าขนหนูเดินหน้าตูมเข้าห้องน้ำไป

วินทร์อาบน้ำเสร็จก็ใส่ชุดนอนมานอนรอที่เตียงระหว่างที่อีกฝ่ายผลัดเข้าไปอาบน้ำบ้าง เขานอนพลิกไปทางซ้ายของเตียงก่อนจะกลิ้งกลับมาทางขวา ใช้สองมือหนุนต่างหมอนนอนจ้องประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท แผนการสำหรับคืนนี้มีแน่ๆ ร้อยแปดพันท่า แต่ที่ยังคิดไม่ออกคือจะเริ่มต้นยังไงไม่ให้ดูจงใจจนเกินไป ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำก็เพราะว่าเคยนี่แหละเขาถึงอยากคิดหาอะไรที่มันแปลกไปจากทุกวัน อย่างน้อยก็สร้างบรรยากาศให้โรแมนติกขึ้นสักนิดก็คงจะดีกว่าสะกิดเรียกเบาๆ แล้วจับปล้ำแบบทุกคืน

หลังจากที่คิดไม่ตก สมองก็พาฟุ้งซ่านกลับไปถึงเรื่องเมื่อเช้า สีหน้าผิดหวังของนรกรที่ฉายแวบขึ้นมาทำเอาเจ็บแปลบจนจุกในอก
วินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมรับกับตัวเองตรงๆ ว่าไม่ควรหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไปและตัดใจลุกขึ้นจากเตียง เขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่างให้ใจและลูกชายคนเล็กยอมสงบลงด้วยดีก่อนที่นรกรจะอาบน้ำเสร็จ

ร่างสูงใหญ่ในกางเกงนอนขายาวตัวเดียวเดินงุ่นง่านเหมือนหมีเข้าไปในครัวเพื่อหาตัวช่วย เดินวนไปวนมาอยู่สองรอบสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับมีดเล่มใหญ่ที่เสียบอยู่ในที่เก็บมีด เขาหยิบมันขึ้นมาหมุนไปหมุนมาอยู่อึดใจก็ได้ทางออกให้กับความหงุดหงิดในใจนี้แล้ว

ฉับ!
.
.
.
.
.
(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-02-2018 22:13:16
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“พี่วินทร์ทำอะไรอยู่ครับ”

เพราะใจมัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำอยู่ จึงทำให้วินทร์สะดุ้งสุดตัว “เฮ้ย! อย่ามายืนเงียบๆ แบบนี้สิ ฉันตกใจนะ แถมอันตรายด้วย” เขาหันไปเอ็ดคนที่ยืนแอบดูอยู่ข้างข้อศอก

“ขอโทษครับ แล้วนี่พี่วินทร์ทำอะไร หิว?” นรกรถาม สายตากวาดมองเนื้อหมูชิ้นที่ถูกสับค้างอยู่บนเขียง ถัดออกไปมีกล่องพลาสติกใส่ผักที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเสร็จแล้ววางเรียงกันอยู่สามกล่อง มีบล็อคโคลี่ แครอท และกล่องสุดท้ายที่เขาไม่ใจว่าใช่พริกหยวกหรือเปล่าเพราะถูกซอยจนเล็ก เขาเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผักเสียด้วย แต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่เพราะเขาเกลียดเจ้าผักชนิดนี้มากและคิดว่าวินทร์คงไม่ใจร้ายพอจะมาบังคับให้กิน

“พอดียังไม่ค่อยง่วงเลยมาเตรียมวัตถุดิบสำหรับเมนูพรุ่งนี้น่ะ” วินทร์บอก

“จะทำอะไรเหรอครับ” นรกรถาม

“ไม่บอกหรอกรอลุ้นเอาเองละกัน”

“พี่วินทร์รู้ใช่ไหมว่าผมไม่ชอบกินพริกหยวก” นรกรรีบบอก

แต่วินทร์ไม่ยอมบอกและเปลี่ยนเรื่อง “นายไปนอนก่อนเลยไป ฉันคงต้องใช้เวลาอีกสักพักน่ะ”

“ตกลงจะไม่มีพริกหยวกใช่ไหมครับ” นรกรถามย้ำ

“ถึงมีก็ต้องกิน”

“ผมไม่กิน” นรกรยืนกรานแล้วเดินกลับห้องนอน โดยมีวินทร์ชูมีดพร้อมกับแลบลิ้นใส่ตามหลัง

ใช้เวลาอีกไม่กี่นานวินทร์ก็เก็บหมูสับใส่กล่องและนำของที่เตรียมไว้ทั้งหมดไปวางเรียงในตู้เย็นเรียบร้อย เขากวาดตามองวัตถุดิบต่างๆ อีกครั้งให้แน่ใจว่ามีครบถ้วนและเพียงพอสำหรับอาหารมื้อเช้าที่ตั้งใจจะทำไข่ทรงเครื่องสำหรับคนไม่ชอบกินผักซึ่งแน่นอนว่าการแอบใส่พริกหยวกลงไปด้วยนั้นถือเป็นความซาดิสม์ส่วนตัว เอ๊ย! ความภาคภูมิใจเล็กๆ ของเขาที่ทำให้นนรกรกินผักได้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายเกินไปหรอกนะเพราะเดี๋ยวจะทำแซนด์วิซใส้ไข่ชีสเยิ้มๆ ของโปรดแพคใส่กล่องไปให้กินกับกาแฟเป็นของว่างตอนสายก่อนเข้าห้องผ่าตัดซึ่งเป็นเคสยากที่นรกรคงจะต้องยืนยาวไปจนบ่าย มื้อเที่ยง ไม่สิ! มื้อบ่าย เดี๋ยวเขาไปดักรอหน้าห้องผ่าตัดเพื่อจับลากไปกินด้วยกันที่คาเฟ่ต์ ส่วนตอนเย็นค่อยว่ากันอีกทีว่าเคสช่วงบ่ายจะเสร็จกี่โมง ถ้าเลิกเร็วก็ตั้งใจว่าจะทำกะหล่ำปลียัดไส้กับผัดผักรวมมิตร แต่ถ้าเลิกดึกก็ไปหาร้านกินข้างนอกเอาละกัน

ทบทวนรายละเอียดปลีกย่อยของวันพรุ่งนี้เสร็จสิ้นก็เก็บล้างอุปกรณ์ต่างๆ พลางนึกดีใจที่ตัวเองยกหน้าที่เตรียมเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ในแต่ละวันให้นรกรไปแล้ว ถ้าทำอาหารเสร็จแล้วต้องมานั่งคิดว่าวันนี้จะใส่เสื้อสีอะไรแล้วแมตซ์กับเนกไทลายไหนเขาคงปวดหัวตายแน่ๆ ไหนจะสีถุงเท้าอีก ในเมื่ออีกฝ่ายชอบบ่นว่าเขาแต่งตัวไม่เรียบร้อยงั้นก็ช่วยจัดการเลือกมาให้เลยละกัน

วินทร์เดินผิวปากกลับมาห้องแล้วก็ต้องแปลกใจว่าคนที่โดนไล่ให้มานอนก่อนยังนั่งพิงหัวเตียงง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างบนตักที่เขามองไม่เห็น แถมยังเปิดแค่ไฟดวงเล็กหัวเตียงและไม่ใส่แว่น “มัวทำอะไรอยู่ก็บอกให้นอนก่อนเลยไง”

“รอได้ครับ” นรกรตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากของที่ดูอยู่

วินทร์ย่นปากพร้อมกระโดดขึ้นเตียงไปนั่งข้างๆ “อย่ามาใช้มุกเดียวกันทั้งที่ไม่มีใจ”

“พี่วินทร์ผมถามอะไรหน่อย”

“ว่ามา”

“ไอ้นี่มันต่างจากแบบปกติยังไงครับ”

วินทร์หันไปดูแล้วก็ต้องตาโตเพราะที่วางกองอยู่บนตักคือกล่องถุงยางอนามัยสีสวยเกือบสิบกล่อง นึกสงสัยว่านรกรแอบไปซื้อมาตอนไหนเยอะแยะ แหม~ ชอบว่าเขาคิดแต่เรื่องลามกแต่ตัวเองก็ให้ท้ายจัง “แค่สีสวยกับมีกลิ่นหอมมั้ง” เขาแอบกลืนน้ำลายลงคอแกล้งทำเสียงนิ่ง “ลองอ่านข้างกล่องสิเขาก็มีคำอธิบายกับวิธีใช้บอกนี่”

“ถอดแว่นแล้วอ่านไม่ออก” นรกรบอก

วินทร์หลิ่วตายังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนเขาเอื้อมมือไปกดไฟหัวเตียงปิดและพูดหน้าตาเฉย “ปิดไฟแล้วอ่านไม่เห็นเหมือนกัน” เสร็จแล้วก็หันไปจุ๊บราตรีสวัสดิ์ ตั้งใจจะนอนจริงๆ แต่ริมฝีปากบางที่แตะอยู่นั้นคล้ายกับมีแม่เหล็กดูดดึงไม่ให้ถอนออกได้ง่ายๆ

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมหนีและเขาเองก็ไม่อยากปล่อย วินทร์กดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่มือก็เริ่มซุกซนจากที่วางอยู่แค่หัวไหล่ก็ไต่ลงต่ำเรื่อยๆ จนถึงเนินสะโพก ทันทีที่ปลายนิ้วสอดผ่านขอบกางเกงนอนลงสัมผัสผิวเนื้ออุ่นวินทร์ก็เริ่มได้สติ เขากดย้ำริมฝีปากอีกครั้งแล้วถอนออกมาซุกลงที่ข้างซอกคอขาว ที่อุตส่าห์ลงทุนไปหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความคิดจากเรื่องบนเตียงพังทลายลงไม่มีชิ้นดีด้วยจูบเดียว

“ฉันรู้ว่าตอนนี้มันดึกแล้ว…” วินทร์เอ่ยอ้อมแอ้มจะขอกันตรงๆ ก็นึกเกรงใจตารางงานวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคคนที่กอดอยู่ก็สอดสองแขนเข้าโอบรอบแผ่นหลังแล้วกระซิบที่ข้างหู

“โปรโมชั่นวันวาเลนไทน์ที่ขอไว้ ถ้าไม่ใช้คืนนี้ก็หมดสิทธิ์แล้วนะครับ”
 
วินทร์ตอบสนองต่อคำพูดนั้นไวปานสายฟ้าแลบ เขาพลิกตัวกลับรวดเร็วกดคนตัวเล็กกว่าลงกับเตียง ในเมื่ออีกฝ่ายยื่นคำอนุมัติมาขนาดนี้ เขาก็ขออนุญาตนำไปปฏิบัติโดยข้ามส่วนที่โรแมนติกไปส่วนอิโรติกเลยละกัน

ริมฝีปากป้อนจูบลึกล้ำดึงความสนใจไปจากมือที่ค่อยคลายกระดุมชุดนอนของคนที่อยู่ใต้ร่างออกทีละเม็ด ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามแผงอกขาวหมดจด เขาลากมือลงผ่านช่วงอก ท้อง ไปจนถึงเนินสะโพก เขาค่อยๆ ทำอย่างไม่รีบเร่งราวกับหยุดเวลาไว้แล้วและราตรีนี้ยังอีกยาวนาน สัมผัสนุ่มนวลของปลายนิ้วที่ลากไปบนผิวทำให้ขนอ่อนลุกซู่จุดอารมณ์หวามไหวให้ติดขึ้น ไม่ใช่เป็นแบบที่ลุกโชนแล้วดับไป แต่เหมือนถ่านไม้คุกรุ่นที่ร้อนระอุมาจากข้างในพร้อมจะโหมไหม้และให้ความร้อนยาวนานโดยไม่มอดดับลงง่ายๆ

ในขณะที่ริมฝีปากยังไม่ละออกจากกัน มือทั้งสองข้างของวินทร์ต่างก็สาละวนกันคนละที่ ข้างหนึ่งพอใจกับการเล่นยอดอกสีอ่อนที่เป็นไตแข็งขึ้นสู้มือ ส่วนอีกมือก็เพลิดเพลินกับการเค้นคลึงบั้นท้ายสลับกับการบดเบียดสะโพกแข็งแรงของตนเข้าหา สักพักเดียวมือข้างนั้นก็จัดการรูดกางเกงนอนผ่านเรียวขาออกไปโดยที่นรกรแทบไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

ริมฝีปากละออกจากกันเป็นครั้งแรกให้คนใต้ร่างที่ลมหายใจแปรปรวนเริ่มหายใจไม่ทันได้สูดลมเข้าเต็มปอด วินทร์ค่อยขยับตัวลงต่ำมาใช้ปลายลิ้นเล่นกับยอดอกแทนมือที่เลื่อนลงไปช่วยมืออีกข้างที่กำลังพยายามจะหาทางเข้าสู่ข้างในที่ยังคงรัดแน่น

วินทร์ใช้สองนิ้วถูไถไปตามร่องลึกช้าๆ เน้นๆ เผลอแผลบเดียวเขาก็แทรกผ่านนิ้วชี้เข้าไปได้สำเร็จ มันค่อนข้างฝืดเล็กน้อยแต่เพียงแค่ขยับนิ้วเข้าออกไม่กี่ครั้งน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติก็เริ่มไหลออกมาชุ่มฉ่ำ ทว่าเท่านี้มันยังไม่เพียงพอ เขาละริมฝีปากจากยอดอกจูบสลับกับขบเม้มผิวเนื้อเบาๆ ไล่ต่ำลงเรื่อยๆ ผ่านหน้าท้องแบนราบ มาจนถึงจุดอ่อนไหวที่ตอนนี้เริ่มแข็งขืน เขาใช้มือข้างที่ว่างจับเรียวขาแยกออกจากกันจนกว้างพอให้เขาสอดตัวเข้าตรงกลาง เขากัดหยอกๆ ลงบนต้นขาขาวเรียกเสียงสูดปากเบาๆ จากอีกฝ่าย แล้วค่อยพรมจูบลงข้างซอกขาทั้งสองสลับกันไปมาจนสะโพกที่จับไว้เริ่มอยู่ไม่สุข มันขยับส่ายไปมาอย่างไร้การต้านทานส่งสัญญาณเชิญชวนให้วินทร์เริ่มบทรักต่อไป เขาอ้าปากออกใช้ปลายลิ้นสัมผัสวนไปรอบๆ ส่วนปลายที่สีอมชมพูระเรื่อตัดกับผิวขาว ร่างเล็กสะดุ้งเกร็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาครอบปากทับลงไปและเริ่มดูดดึง

ในขณะที่ส่วนอ่อนไหวในปากแข็งขึ้นเรื่อยๆ ช่องทางด้านหลังก็เริ่มอ่อนนุ่มจนเขาสอดนิ้วกลางตามเข้าไปได้

“อย่าเพิ่งเสร็จนะ”

วินทร์กระเซ้าแกมขอร้องคนที่นอนเกร็งปลายเท้าจิกเตียง นัยน์หลับตาพริ้ม สองมือขยุ้มศีรษะเขาแน่นจนเริ่มเจ็บนิดๆ

วินทร์ยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อขยับกลับขึ้นมากดจูบลงบนริมฝีปาก และในขณะที่ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดอยู่ในโพรงปากหวาน เขาก็ถอนนิ้วออกทางช่องทางแคบด้านหลังแล้วสอดลูกชายของตนเขาแทนที่

ถึงจะขยายขนาดเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่สองนิ้วนั้นก็ยังเล็กไปสำหรับลูกชายของวินทร์ที่กำลังโตเต็มที่ ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความความคับแน่น ถ้าเป็นสมัยที่คบกันใหม่ๆ วินทร์ต้องหยุดพักไปครู่หนึ่งและใช้วิธีจูบเพื่อให้นรกรผ่อนลมหายใจตามให้ทัน แต่ตอนนี้พวกเขาผ่านจุดนั้นมาแล้ว ร่างกายของนรกรเรียนรู้ที่จะยอมรับเขาเข้าไป เขาไม่จำเป็นต้องรอเพียงแต่ต้องช้าลงพร้อมกับกระตุ้นอารมณ์หวามผ่านปลายลิ้น แล้วเพียงแค่อึดใจจังหวะที่เนิบช้านั้นก็ค่อยๆ เร่งแรงขึ้นเรื่อยๆ

“รู้สึกว่าจะไม่ได้มีดีแค่สีสวยสินะ” วินทร์อดหยอกคนที่บิดตัวอยู่ใต้ร่างไม่ได้ แม้ในแสงไฟสลัวยังพอเห็นเลือดฝาดที่สูบฉีดจนแก้มออกสีระเรื่อ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ดูเหมือนว่านอกจากเจ้าของใหม่ที่เพิ่งซื้อมาลองใช้นั้นจะบางเฉียบแล้วบนพื้นผิวยังมีลวดลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยกระตุ้นให้รู้สึกดีขึ้นได้

วินทร์หยุดพักเล็กน้อยพร้อมกับจับนรกรให้นอนคว่ำ เขาส่งหมอนให้นรกรกอดไว้แล้วสอดแขนเข้าใต้ลำตัวดึงสะโพกเล็กให้ยกลอยขึ้นแล้วสอดใส่ลูกชายกลับเข้าไปอีกครั้งด้วยจังหวะเดิม เขาชอบท่านี้มากกว่าเพราะมันเข้าได้ลึกและทำให้เขาเล่นกับร่างกายอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น มือหนึ่งหยอกล้อกับยอดอก ในขณะที่อีกมือกอบกุมส่วนล่างแล้วขยับไปตามแรงสะโพก

“พี่วินทร์…” เสียงหวานที่ครางเรียกชื่อตนซ้ำๆ ทำให้วินทร์รู้ว่าอีกฝ่ายเกือบจะถึงแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ขัดและตอบสนองด้วยการขยับสะโพกให้เร็วและแรงขึ้นอีกจนส่วนล่างนั้นทั้งร้อนและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำรักที่ไหลออกมาไม่หยุด หัวใจสูบฉีดเต้นแรง อารมณ์หวามพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินจะฉุดรั้ง แล้วในที่สุดมันก็ระเบิดออกมา

“ขอจูบหน่อย” วินทร์กระซิบข้างหูพร้อมกับคว้าลำคอระหงดึงให้หันหน้ามา ลมหายใจของอีกฝ่ายที่ทั้งร้อนและแรงพุ่งมากระทบหน้า นัยน์ตาหวานเยิ้ม และริมฝีปากแดงฉ่ำนั้นเร้าอารมณ์ของวินทร์ที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด เขากดจูบหนักหน่วงพร้อมๆ กับขยับอย่างแรงอีกครั้ง… และอีกครั้ง… ทั้งสองร่างกอดเกี่ยวกันแน่นกระตุกพร้อมๆ กันก่อนที่จะนิ่งไป

วินทร์ดูดดึงริมฝีปากอิ่มนั้นอีกครั้งเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะถอนออกพร้อมๆ กับดึงตัวลูกชายที่หมดแรงออก จัดการโยนถุงยางที่ใช้แล้วทิ้งลงถังขยะข้างเตียงเสร็จแล้วก็หันมาดึงตัวนรกรขึ้นมานอนพักบนอก… ตอนที่ทำนั้นรู้สึกดีก็จริงแต่อีกตอนหนึ่งที่ดีมากไม่แพ้กันคือการได้โอบกอดและคลอเคลียหลังจากทำเสร็จแล้วหลับไปด้วยกัน… หรือถ้ายังไม่ง่วง การที่นอนกอดก่ายแนบชิดกันทั้งตัวที่เปลือยเปล่าแบบนี้ก็ช่วยให้เขาปลุกไฟในตัวนรกรขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

(ต่ออีกนิดค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-02-2018 22:25:17
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

เขาซุกจมูกลงบนเรือนผมสีอ่อนสูดกลิ่นกายให้ชุ่มปอดพลางลูบมือไปตามแผ่นหลังลงไปจนถึงเนินสะโพกแล้วประคองกอดไว้หลวมๆ สายตาเหลือบมองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือที่บอกเวลาเกือบตีสองแล้ว

วินทร์เม้มปากชั่งใจระหว่างไปต่ออีกยกกับปล่อยให้อีกฝ่ายได้นอนพัก แล้วจู่ๆ คนที่นอนใช้อกเขาต่างหมอนก็พูดขึ้น

“พี่วินทร์โกรธผมเรื่องอะไรครับ” นรกรเอ่ยถามเสียงแหบเล็กน้อยจากกิจกรรมที่ทำร่วมกันเมื่อครู่

วินทร์ผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองหน้าให้ชัดๆ “โกรธอะไร? เปล่านี่”

“เรื่องดอกไม้นั่น… ปกติพี่วินทร์ชอบแกล้งก็จริง แต่ก็ไม่เล่นแรงแบบนี้” นรกรพูดต่อ “มีอะไรก็พูดมาครับ ถ้าโกรธผมจะได้ขอโทษ ถ้างอนผมก็จะได้ง้อถูก”

“ไม่มี” วินทร์พยายามปฏิเสธ แต่พอสบสายตาที่มองจ้องมาอย่างตรงไปตรงเขาก็ยอมแพ้ เมื่อก่อนนรกรเป็นคนคิดอะไรก็ไม่พูดจนเขาต้องเค้นถามจึงจะได้คำตอบ แต่หลังจากคบกันก็ยอมเปิดใจมากขึ้นเพราะฉะนั้นเมื่ออีกฝ่ายรวบรวมความกล้าเอ่ยถามมาแล้วเขาก็ต้องให้คำตอบแม้จะไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่ “เอ่อ… มีก็ได้”

“เรื่องอะไรครับ”

“เมื่อวันก่อนฉันเห็นนายนั่งดูสมุดบันทึกเล่มนั้นน่ะ แล้วก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว… ฉันรู้ว่ามันไม่มีอะไร… แต่ก็ไม่ชอบใจน่ะ”
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “เล่มไหนครับ”

“ก็ไอ้เล่มนั้นน่ะ” วินทร์พยักเพยิดเป็นเชิงว่ารู้กันเพราะเขาไม่อยากเอ่ยชื่อบุคคลที่สามออกมา “ก็เล่มนั้นไง”

นรกรนิ่วหน้านึกอยู่อึดใจก็ลุกขึ้นจากเตียงคว้าเสื้อเชิ้ตสำหรับใส่นอนที่กองอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวมลวกๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักล่างสุดแล้วหยิบเอาของข้างในออกมาและเดินกลับมาที่เตียง “เล่มนี้หรือเปล่าครับ”

วินทร์เหลือบตามองพร้อมกับพยักหน้า “อือ”

นรกรนั่งลงข้างกันแล้วยื่นสมุดเล่มนั้นให้ “เปิดสิครับ”

“ไม่เอาหรอก มันสมุดบันทึกของนาย”

“ผมอนุญาตแล้ว” นรกรบอก “เปิดดูสิครับ”

วินทร์รับมา ใจหนึ่งก็ยังเกรงใจ อีกใจก็อยากรู้ และในใจลึกๆ ก็กลัวจะเจ็บกับความทรงจำเก่าๆ ที่แสนสวยงามของอีกฝ่าย

เขาค่อยๆ เปิดออกแบบสุ่มตรงกลางๆ เล่มแล้วก็ต้องประหลาดใจกับหน้ากระดาษที่ค่อนข้างใหม่ ไม่เหมือนหนังสือเล่มเก่าที่เก็บมาหลายปี เขากวาดตามองผ่านๆ รวดเร็วตรงหัวกระดาษซึ่งมีวันที่กำกับไว้ และมันก็เป็นวันที่เมื่อเดือนก่อนนี่เอง วินทร์ลองพลิกย้อนกลับไปหน้าแรกๆ และมันก็เป็นช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก

นรกรไม่ได้เขียนบึนทึกประจำวันแบบไดอารี่ เขาใช้วิธีแปะสิ่งที่ได้มาในวันนั้นไว้เป็นเครื่องเตือนความทรงจำพร้อมกับโน้ตสั้นๆ ว่ามันคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร… และแทบทุกวันนั้นที่มีการบันทึกนั้นก็เรื่องของวินทร์อยู่ด้วย มีตั้งแต่เศษกระดาษที่เขาเขียนแปะไปกับข้าวกล่องว่า ‘ห้ามแอบเติมน้ำปลา!’ ที่จับแก้วกาแฟกันร้อนที่เขาวาดรูปหน้ายิ้มไว้ ตั๋วหนังที่ไปดูด้วยกัน มีกระทั่งใบเสร็จหรือกระดาษที่มีชื่อร้านอาหารที่ไปกินด้วยกัน

มันคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงถึงความใส่ใจกัน ทำให้รู้สึกว่าทุกวันที่ได้ใช้เวลาร่วมกันเป็นวันพิเศษไม่ใช่มีแต่วันสำคัญตามเทศกาลเท่านั้น… และสิ่งนี้ก็ทำให้วินทร์ตื้นตันจนพูดไม่ออก ได้แต่พลิกดูหน้าแล้วหน้าเล่าและแอบอมยิ้มเขินๆ กับตัวเอง

“เล่มของพี่ปอผมทิ้งไปแล้ว” นรกรบอกเรียบๆ

“ทิ้ง?!” วินทร์แปลกใจไม่น้อยเพราะเท่าที่เขาเคยเห็นนรกรทั้งหวงและยังมีความอาลัยอาวรณ์มันมากทีเดียว

“ตั้งแต่ช่วงรับปริญญาปลายปีที่แล้ว” นรกรพูดต่อ

วินทร์นึกถึงหน้าฝนที่แล้วที่ตอนนั้นเขาก็แอบหึงเบาๆ ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่หลายวัน และแก้ปัญหาด้วยการทำโทษนรกรโดยไม่สนว่าจะเป็นกลางวันกลางคืนในวันที่ฝนตก “จริงๆ นายไม่ต้องทิ้งก็ได้นะ… เอ่อ… แต่ก็ทิ้งไปแล้วนี่นา”

“เสียดายเหมือนกันครับแต่ถ้ามันทำให้พี่วินทร์รู้สึกไม่ดี ทิ้งไปก็ไม่เสียใจ”

วินทร์มองสมุดบันทึกในมือสลับกับคนตรงหน้า รู้สึกดีใจที่นรกรให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้

“ก็ว่าแปลกๆ อยู่ตอนเห็นกุหลาบแดงเพราะทั้งทิดกับพี่วินทร์รู้ว่าพี่ปอชอบกุหลาบแดงมาก พี่วินทร์เลยเลี่ยงไปให้ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต… กุหลาบแดงช่อนั้นกับกุหลาบขาวหนึ่งดอกมีความหมายอย่างที่บอกจริงๆ สินะครับ… อยากเป็นคนพิเศษ คนที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ”

“ขอโทษนะที่เป็นคนใจแคบ” วินทร์บอกเสียงอ่อยรู้สึกผิดจริงๆ กับนิสัยนี้ของตัวเอง
นรกรมองดูคนที่หน้าเจื่อนไปถนัดแล้วพิงศีรษะลงข้างหัวไหล่พร้อมกับลูบแขนเบาๆ ให้รู้ว่าไม่ได้โกรธเคืองอะไร “แคบก็ดีครับ ผมจะได้อยู่คนเดียว”

“อึดอัดหรือเปล่า”

“ตอนนี้สบายมากครับ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มเยอะเกินไปแล้วจะบอก”

“ขอบคุณนะ” วินทร์กระซิบพร้อมกับกดจูบลงกลางหน้าผาก

“ถ้าหายงอนแล้วก็เอาคืนมาได้แล้วครับ” นรกรบอกพร้อมกับดึงสมุดคืนแต่วินทร์ยังยื้อไว้

“ขอดูอีกนิดสิ”

“พอแล้วครับ แค่นี้ผมก็เขินจะแย่แล้วนะ” นรกรแย่งคืนมาได้สำเร็จ เขารีบลุกออกจากเตียงเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักตามเดิม

“แล้วนายเอาดอกกุหลาบฉันไปเก็บไว้ไหน” วินทร์ถาม ช่อกุหลาบแดงนั้นเขาเห็นใส่แจกันวางไว้อย่างดีในห้องรับแขก แต่เขาไม่เห็นดอกกุหลาบขาว ทีแรกก็คิดว่านรกรคงเอามาทับใส่สมุดไปแล้ว ทว่าที่เขาแอบเปิดดูเมื่อกี้ก็ไม่เห็นมี

“ในลิ้นชักไงครับ”

“ทำไมไปเก็บไว้ตรงนั้นล่ะ” วินทร์ถามด้วยความแปลกใจพร้อมกับชะโงกตัวไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงดู แต่สิ่งที่เจอกลับสร้างความประหลาดใจให้อีกครั้ง เขาค่อยๆ หยิบเอากล่องของขวัญสีแดงสดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พอถือได้ด้วยมือเดียวออกมา “นี่อะไรน่ะฮาร์ฟ”

“คิดว่ามีแต่ตัวเองหรือไงครับที่เซอร์ไพรส์เป็น” นรกรบอก

“ของขวัญให้ฉันเหรอ” วินทร์ถามด้วยความตื่นเต้นพลางคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าตนได้อะไร กล่องนั้นมีน้ำหนักพอสมควร และจากการลองเขย่าเบาๆ ก็ไม่ช่วยบอกใบ้อะไร

นรกรเดินกลับมานั่งลงข้างกันพร้อมกับบอก “เปิดสิครับ”

วินทร์แกะกล่องของขวัญด้วยหัวใจเต้นรัว แวบแรกที่เห็นคือผ้าผืนหนึ่งเขาหยิบมันออกมาคลี่ออกดูแล้วก็หัวเราะเสียงดัง เพราะมันคือผ้ากันเปื้อนสีขาวลายหมีสีน้ำตาลแถมยังมีขนปุยๆ ตรงหน้าหมีด้วย

“เวลาทำกับข้าวตอนเช้าชุดจะได้ไม่เปื้อนไงครับ” นรกรบอก

“รู้ใจจริงๆ” วินทร์เอาผ้ากันเปื้อนมาลองแนบกับตัวตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะใช้จริงๆ แล้วตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นอะไรอีกอย่างอยู่ก้นกล่อง เขาวางผ้ากันเปื้อนลงและหยิบเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาดู “แล้วนี่อะไรน่ะฮาร์ฟ”

“ร้านขายผ้ากันเปื้อนเขาแถมที่ทับกระดาษมาให้ด้วยมั้งครับ” นรกรพูดยิ้มๆ

“ผ้ากันเปื้อนนี่ราคาเท่าไหร่เนี่ยทำไมถึงได้ของแถมแพงจัง” วินทร์ถามในขณะที่พลิกวัตถุทรงสีเหลี่ยมขนาดเหมาะมือสีดำวาววับเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนไปมา

“แพงเพิงอะไรกันครับ ผมซื้อมาจากตลาดนัดหน้าโรงพยาบาลนี่เอง ผืนละ 199 บาทผมต่อได้ 150 บาทด้วยนะ เก่งไหมล่ะ”

วินทร์โอบแขนข้างหนึ่งลงรอบตัวเจ้าของของขวัญแล้วดึงมาชิดอกกว้าง… ที่ทับกระดาษอะไรราคาเกือบครึ่งแสน ใช้โทรออกรับสายได้แถมยังถ่ายรูปชัด นี่ไปแอบซื้อมาตอนไหนเนี่ย

“แล้วนั่นจะทำอะไรครับ” นรกรถามคนที่จู่ๆ ก็ยกโทรศัพท์เครื่องใหม่ขึ้นเปิดโหมดกล้องถ่ายรูปแล้วหันมาทางเขา

“อยากได้ภาพหน้าจอใหม่”

นรกรยกมือขึ้นปิดเลนส์กล้อง “แล้วมาถ่ายอะไรกันตอนนี้ครับ”

“ก็เขาโฆษณาว่าถ่ายในที่มืดก็สวย”

“แต่ไม่ใช่ในสภาพนี้ครับ”

“งั้นไม่ตั้งเป็นหน้าจอ แต่ขอถ่ายเป็นที่ระลึกก็ได้ นะ นะ” วินทร์กระเซ้า

“ไม่เอาอยู่ดีครับ เดี๋ยวคนอื่นเห็น” นรกรว่ามือหนึ่งยังปิดเลนส์กล้อง อีกมือรวบสาบเสื้อที่ไม่ได้ติดกระดุมสักเม็ดเข้าหากัน

“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า ฉันจะเก็บไว้ดูคนเดียว”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่วินทร์ต้องเอามือถือไปอวดคนอื่นแน่ๆ” นรกรพูดอย่างรู้ทันก่อนจะหาทางมุดหนีเข้าโปงผ้าไปได้สำเร็จ “ไม่เอาหรอก”

วินทร์พยายามแกะผ้าห่มที่ม้วนเป็นก้อนกลมออกแต่ก็ไม่สำเร็จ… ก็ว่าทำไปตั้งเยอะทำไมแรงยังเหลือล่ะ “ไม่ถ่ายแล้วก็ได้ ออกมาให้เห็นหน้าหน่อย”

“ไม่ถ่ายแล้วจริงๆ นะครับ” เสียงนรกรดังอู้อี้ออกมาจากใต้ผ้าห่ม

“อืม” วินทร์รับคำ… ตอนนี้ไม่ถ่ายแล้วจริงๆ เดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยแอบถ่ายรูปตอนหลับไว้เก็บในคอลเล็กชั่นภาพส่วนตัวก็ได้
นรกรค่อยเลื่อนผ้าห่มลงและโผล่หน้าออกมา

“ไม่ถ่ายแล้วแต่ขอจูบทีได้ไหม” วินทร์ถาม “แทนคำขอบคุณ”

“ทำไมคำขอบคุณของพี่วินทร์แต่ผมต้องเปลืองตัวด้วยล่ะ” นรกรบ่น

“แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ” วินทร์ถาม “บอกมาสิ ยกเว้นดาวกับเดือนฉันจะไปหามาให้”

นรกรมองตอบสายตาจริงจังของคนตรงหน้า ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้มช้าๆ อย่างสะท้านอายพร้อมกับกระซิบเสียงเบา “ปีหน้าไม่เอากุหลาบนะผมอายน้องๆ กับคนไข้”

“งั้นเอาเป็นดอกฟอร์เก็ตมีน็อตช่อเล็กๆ เหมือนเดิมได้ไหม”

“ก็ได้ครับ” นรกรบอก “อันที่จริงไม่ต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ก็ได้ แค่ยังอยู่ด้วยกันไปอีกปีผมก็ดีใจแล้วครับ”

“งั้นฉันเอาตัวเองผูกโบให้เอาไหม”

“ให้ก็รับครับ” นรกรว่า

“งั้นมาเอามัดจำไปก่อน” วินทร์บอกพร้อมกับก้มหน้าลงจูบ
และทันทีทีริมฝีปากสัมผัสกัน ไฟที่ยังดับไม่สนิทก็แตกเปรี๊ยะขึ้น

“ฮาร์ฟ… โปรโมชั่นวันวาเลนไทน์ของฉันใช้หมดไปหรือยัง” วินทร์กระซิบถามทั้งทียังขบเม้มกลีบปากล่างของนรกรเล่นอยู่ และตอนนี้มือทั้งสองข้างก็เลื้อยลงไปยึดสะโพกเล็กไว้ไม่ให้ขยับหนีได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“หมดแล้วครับ” นรกรตอบ

“ว้า~ แย่จัง”

“แต่ถุงยางยังไม่หมด” นรกรบอกอ้อมแอ้ม “อยากใช้ก็ได้นะครับ”

“ใช้หมดสิบกล่องเลยได้ไหม”

“นี่จะเอามาเป่าเล่นหรือเอามาทำอะไรครับ” นรกรขบฟันเบาๆ ให้คนที่ยังงับปากเขาไว้ปล่อยเสียที “เก็บไว้ใช้ปีหน้าบ้างสิครับ”

“ไม่ได้หรอกเดี๋ยวหมดอายุ” วินทร์บอกหน้าตาเฉยพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบซองพลาสติกขึ้นมาหนึ่งชิ้น “ใส่ให้หน่อยสิ”

“ใครจะใช้ก็ใส่เองสิครับ”

“งั้นไม่ใส่นะ”

คนฟังตาโตพร้อมกับเอ็ดเบาๆ “เดี๋ยวติดโรคนะครับ”

“ไม่กลัวหรอกติดมานานแล้ว” วินทร์ว่า

“โรคอะไรครับ”

“โรครักนายไง” วินทร์ยิงมุกที่คิดว่าเด็ดที่สุด และมันก็ได้ผล แก้มขาวซับสีฝาดขึ้นทันที “ตกลงจะใส่ให้หรือไม่ให้ใส่”

“ถ้าพี่วินทร์ไม่ใส่ ผมก็ไม่ให้ใส่เหมือนกัน” นรกรยื่นคำขาด

“ใส่เอง ฉันใช้สองอันนะ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “เขาให้ใส่ทีละอันไม่ใช่เหรอครับ”

“อืม” วินทร์ไม่ต่อความอะไรอีกแล้วก้มหน้าลงจูบ กว่านรกรจะคิดตามเกมได้ทันเขาก็คงแกะซองอันที่สองเสร็จพอดี

บอกแล้วใช่ไหมว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน

**********************************************
Talk

ไม่เจอกันนานคุยกันหน่อย
เขียนNC ครั้งแรกในรอบหลายปี... งือ~ เขิน เค้าพยายามทำตามสัญญาแล้วนะ(เปิดเพลงลุงตู่ประกอบ) ได้ประมาณนี้แหละ จะพยายามหัดเขียนให้มากขึ้นนะ(หรือเปล่าฟะ555)
เอาเป็นว่าขอตรงๆ เลยละกัน คอมเมนต์นิด ด่าก็ได้ให้กำลังก็ดีแบบว่ารามือจากnc18+แบบจัดเต็มขนาดนี้มานานมาก
ขอบคุณล่วงหน้างับ ^___^



หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-02-2018 23:07:41
เขิลลลลล
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 20-02-2018 23:34:14
 :-[ ฟินมาก ไม่คิดว่าจะได้อ่านnc พี่วินทร์เป็นตลกนะคะ 555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-02-2018 00:24:19
ทำไมฮาร์ฟต้องใจอ่อนตลอด
หมั่นไส้พี่วินทร์โว้ยยยยยยยย

ปล. เขารักกันละมุนมาก รู้สึกได้ว่านี่คือร่วมรัก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: haramoonlight ที่ 21-02-2018 06:45:03
ทำไมพี่วินทร์ฬ้ายยยยย ถ้าใส่เองจะใช้สองอัน ทำไมเราโฟกัสแค่ประโยคนี้ 5555
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-02-2018 07:20:36
ยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 21-02-2018 07:46:44
       Wooooooow!!!!
ดีมจมากเลยค่ะที่มาต่อตอนพิเศษให้ทั้งสองคนน่ารักไม่เปลี่ยนเลยค่ะ :heaven :heavenช่างเป็นวาเลนไทน์ที่หวานน่ารักและ18+ได้ลงตัวที่สุดค่ะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-02-2018 11:31:44
อะร้างงงงง.....ดีต่อใจจริงๆ  :hao5: :heaven
โปรโมชั่นวาเลนไทน์ ใช้หมดโปรเลย ทั้งกล่อง    :pighaun: :haun4: :jul1:

พี่วินทร์ ฮาร์ฟ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 21-02-2018 12:14:16
หมออออออออออออ
พรุ่งนี้จะไปทำงานยังไงล่ะ
ตีสองยังไม่ได้นอนต่ออีกสองรอบ
ฟ้าเหลือง
 :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 21-02-2018 13:53:32
ขอตอนพิเศษ มาอีกนะค๊ะ รักเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 22-02-2018 13:41:32
สวัสดีค่ะอ่านจบภายในวันเดียวเลยค่ะ  สนุกมากๆเลยเห็นชื่อเรื่องครั้งแรกแล้วนึกว่าจะเป็นเรื่องวัยมหาลัยซะอีกแต่ดีจังค่ะที่เป็นวัยทำงาน  เพราะตอนนี้เราชักอิ่มกับเรื่องรักตอนเรียน  เปิดมาตอนแรกก็สร้างความแปลกใจได้มากๆเลยค่ะ  ไม่คิดว่าให้นายเอกหมอฮาร์ฟเป็นหมอแล้วมีสัมผัสพิเศษเห็นวิญญาณอีกด้วยย้อนแย้งดีจัง  เราค่อนข้างเชื่อเรื่องเวลา49วันนะคะเพราะเจอมาด้วยตัวเองแล้วค่อนข้างอินเวลาอ่านอะไรแนวนี้มากพอสมควร  ชอบการวางพล็อตเรื่องมากๆเลยค่ะ  ค่อนข้างซับซ้อนเดาทางได้ยากแต่ก็ถ้าจับสังเกตุดีๆคุณก็บอกใบ้คนอ่านมาตลอดใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆมาให้ได้เอะใจเสมอ  เราเชียร์พี่หมอวินทร์มาตั้งแต่ต้นเลยค่ะ  ชอบผู้ชายแบบนี้มากๆดูเป็นไปได้จริงกับการมีตัวตนจริงๆดียิ่งตอนหลังๆยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆอีกแถมดีใจมากสุดๆที่การเดาของตัวเองถูกส่วนหมอฮาร์ฟเป็นอะไรที่เราเข้าใจในลักษณะนิสัยที่คนเขียนพยายามบอกเพราะเราก็มีบางส่วนที่เหมือนหมอฮาร์ฟเหมือนกันค่ะ 

สำหรับพาร์ทครอบครัวของหมอฮาร์ฟนั้นเราเข้าใจนะความสัมพันธ์แบบที่ต่างคนต่างอยู่แล้วไม่ยอมพูดคุยกันดีๆเลยทำให้เข้าใจผิดกันนานหลายปีแต่ก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้ในท้ายที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป  เราว่าทั้งหมดมันลงตัวที่สุดแล้วแถมยังจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งทำให้เรารู้สึกว่าดีใจจริงๆนะที่ได้มาอ่านนิยายเรื่องนี้  text book  เป็นงานเขียนเรื่องแรกที่เราได้อ่านผลงานของคุณแล้วเราจะตามไปอ่านเรื่องอื่นๆของคุณต่อไปนะคะ

ป ล.เราชอบตอนพิเศษมากๆเลยทั้งหวานทั้งฟิน :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 22-02-2018 15:19:33
อร๊ายยยยย น่ารัก
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-02-2018 23:36:43
คิดถึงคนเขียน..ยังสนุก น่ารักเหมือนเดิม   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 23-02-2018 02:24:31
หวานจัง :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 27-02-2018 23:02:26
หวานมากและ :jul1:มากด้วย
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 28-02-2018 05:02:02
ถ้าชั้นเลือดหมดตัวใครจะรับผิดชอบเนี่ย!
งื้อออออออออ
เขินตัวจะแตก(ไม่ได้แตกเพราะน้ำหนักนะคะ555555)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: PUN ที่ 02-04-2018 22:44:10
 :hao5:

อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจมาก คือมีอารมณ์ร่วมตามตัวละครจริงๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: หมูหมู่ ที่ 04-04-2018 01:36:38

อ่านรวดเดียวจบ จริงๆแล้วเราพอจะเดาอะไรได้บ้าง แต่ไม่คิดว่าปมของเรื่องจะเป็นเหมือนที่เฉลย อ่านไปเเล้วเครียดมาก คิดตามอย่างหนัก พอค่อยๆเฉลยปุ๊บ เราเซอร์ไพรซ์ แต่งดีมากๆ

ขอบคุณนิยายดีๆมากค่า
 :L1:
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 07-04-2018 10:59:48
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-05-2018 22:39:50
Text Book#2

Intro

It is much simpler to buy books than to read them
and easier to read them than to absorb their contents.
William Osler

การซื้อหนังสือนั้นง่ายกว่าการอ่านหนังสือ และยิ่งง่ายกว่าการอ่านหนังสือนั้นให้เข้าใจ

…ความรักก็เช่นกัน…

การตกหลุมรักใครสักคนเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าการมีความรัก และยิ่งง่ายกว่าการรักษาความรักนั้นไว้ตลอดไป

หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-05-2018 22:46:24
บทที่ 1 Sign

นัยน์ตาสีอ่อนหลังกรอบแว่นจับจ้องอยู่ที่ชิ้นส่วนของสมองส่วนหน้า เนื้อสีปกติที่ควรเป็นสีขาวอมเทามีจุดช้ำเลือดเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไปหมดแสดงให้เห็นถึงการกระทบกระเทือนอย่างหนัก นัยน์ตานั้นยังคงนิ่งสนิทจนแทบไม่เห็นปฏิกิริยาการกะพริบ ในขณะที่มือทั้งสองขยับไม่หยุดแข่งกับเวลาชีวิตที่นับถอยหลังเรื่อยๆ หากเขาไม่สามารถค้นหาเจ้าสิ่งนั้นได้

และแล้วความพยายามก็ประสบผล ก้อนเลือดขนาดใหญ่ที่กดเบียดสมองอยู่ด้านใน เขาจัดการเอามันออกไปได้สำเร็จ
นายแพทย์หนุ่มผ่อนลมหายใจยืดยาวอย่างโล่งใจเป็นครั้งแรกนับจากยืนขาแข็งอยู่ในห้องผ่าตัดนานกว่าสี่ชั่วโมง มันเป็นเคสฉุกเฉิน เหตุเกิดตรงแยกไฟแดงบนถนนเส้นหลังโรงพยาบาลนี่เอง คนไข้กำลังขับรถกลับบ้านหลังเลิกงานเหมือนที่ทำเป็นประจำมาหลายปี ทว่าวันนี้เขาไม่อาจกลับถึงบ้านเพราะโดนรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งฝ่าไฟแดงมาปาดหน้า เขาหักหลบกะทันหัน คนขับรถมอเตอร์ไซค์ปลอดภัยในขณะที่รถของเขาเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าเต็มที่

“ลุ้นแทบตายเลยนะ”

เสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัว ร่างสูงใหญ่ในชุดสีเขียวของห้องผ่าตัดเดินมายืนเคียงข้างพร้อมกับถอดผ้าปิดปากปิดจมูกออกเผยให้เห็นรูปหน้าคมสันที่มีไรหนวดขึ้นเขียวตามแนวกราม

“กะโหลกแตกละเอียด เลือดออกในสมอง สมองทั้งช้ำทั้งบวมขนาดนั้นแถมญาติก็ไม่มี เป็นฉันนี่ไม่สู้แล้วนะ” วินทร์พูดพลางยกมือปิดปากหาว “ง่วงเป็นบ้าเลย กลับไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปธุระด้วยกันแต่เช้านะ”

นรกรพ่นลมหายใจออกจมูกกึ่งขำคนที่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง อยากถามกลับไปจริงๆ ว่าแล้วใครขอร้องให้มาช่วย ตัวเองอยู่เวรหรือก็เปล่า แค่เขาส่งข้อความบอกว่ามีเคสด่วน จู่ๆ คนที่น่าจะกลับบ้านไปแล้วก็เดินเข้ามาในห้องผ่าตัดเฉยเลย “เคสนี้อาจารย์ภูมิศิลป์ท่านลงมือเองเลยนะครับแล้วจะไม่ให้ผมมาช่วยได้ยังไง”

“ก็ถ้านายบอกสักคำว่าอาจารย์เข้าด้วยฉันก็คงไม่ย้อนกลับมาหรอก นึกว่าอยู่แต่กับเจ้าพวกลูกเจี๊ยบ”

“แล้วใครขอให้มาครับ กลับบ้านไปนอนก็ดีแล้ว” นรกรว่าออกไปจนได้ “ตัวก็โตเต็มห้องผ่าตัด สมองคนไข้ก็มีอยู่แค่นั้นเอง”

“ทำเป็นพูดดี วันหลังจะปล่อยให้อยู่คนเดียว” วินทร์ทำเป็นเชิดใส่ พูดไปแบบนั้นแหละ ต่อให้ไม่กลับบ้านก็คงนั่งแกร่วรอแถวๆ โรงพยาบาลนี่แหละ ใครจะอยากกลับไปนอนเหงาๆ คนเดียวกัน “จะว่าไปอาจารย์ภูมิศิลป์นี่ก็พอๆ กับพ่อนายเลยนะ ขยั๊นขยัน ดูสิ นี่ปาไปตีหนึ่งตีสองแล้วก็ยังช่วยผ่าจนจบเคสทั้งๆ ที่นายก็อยู่เวรแท้ๆ”

“อาจารย์คงเห็นว่ายากมั้งครับ แล้วพูดกันตามตรงผมก็เพิ่งจบได้ยังไม่ครบสามปีดีเลย ยังถือเป็นyoung staffอยู่ อาจารย์คงไม่ไว้ใจให้ทำกับน้องๆ”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” วินทร์ยกมือขึ้นสัมผัสไหล่คนช่างถ่อมตัว “เพราะนายกับอาจารย์เหมือนกันต่างหาก”

“อะไรครับ”

“ใจดีไง” วินทร์บอก “พวกขี้เป็นห่วง พวกชอบสอน”

“ชมกันขนาดนี้ผมไม่มีลูกสาวจะยกให้หรอกนะหมอวินทร์” อาจารย์ภูมิศิลป์ที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินมาร่วมวง

“ผมไม่ได้ชมสักหน่อยครับแค่พูดความจริง ตั้งแต่ผมมาเรียนที่นี่จนถึงตอนนี้อาจารย์ดูแลผมดีตลอดเลย” วินทร์ไม่ได้พูดเอาใจเพราะโดนจับได้อะไร เขาแค่พูดไปตามสิ่งที่สัมผัสได้ ถ้าเปรียบอาจารย์สรวิชญ์เป็นด้านมืด… หมายถึงในแง่ของความดุน่ะนะ… อาจารย์ภูมิศิลป์ก็คือด้านสว่าง ผู้ชายวัยสี่สิบปลายๆ พูดเก่งมากพอๆ กับรอยยิ้มสวยทรงเสน่ห์ มีข่าวลือว่าสมัยหนุ่มๆ เจ้าชู้มากมีสาวๆ ต่อคิวมาให้เลือกยาวเป็นหางว่าว และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเลือกมากหรือไม่อยากจะเลือกใครตอนนี้แกก็อยู่เป็นหนุ่มใหญ่ที่ยังโสดสนิท ที่อุทิศทั้งชีวิตให้กับงานและใช้เวลาว่างที่เหลือในการดูแลน้องแพทย์ประจำบ้านกับนักเรียนแพทย์เหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง

“เอาไว้พูดกับอาจารย์พ่อของเธอเถอะ” อาจารย์ภูมิศิลป์พูดกลั้วขำ “ผมแค่ทำไปตามหน้าที่น่ะ ไม่ได้ใจดีอะไรหรอก อายุมากแล้วแถมยังอยู่คนเดียวนอนไม่หลับเลยมาหาอะไรทำน่ะ นี่ถ้ารู้ว่าคนมีคู่บางคนนอนไม่หลับเหมือนกัน ผมก็คงไม่ผ่าเองหรอก กลับบ้านไปนอนดีกว่า”

วินทร์ยิ้มเขินไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เพราะเป็นตัวเองที่นอกจากจะไม่ปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนรกรแล้วยังแสดงออกชัดเจนอีกต่างหาก

“ผมไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าวลา

“สวัสดีครับอาจารย์” ทั้งสองยกมือไหว้พร้อมกันก่อนวินทร์จะหันไปบอกกับนรกร “เราก็ไปนอนกันบ้างเถอะ… มาเถอะฮาร์ฟ” วินเรียกซ้ำเมื่อเห็นนรกรนิ่งไป “มีอะไร”

“เปล่าครับ” นรกรรีบบอกพลางดึงสายตากลับมา “แค่… เปล่าครับ พี่วินทร์ครับผมลืมสมุดจดเคสไว้ในล็อกเกอร์น่ะพี่วินทร์ไปเปลี่ยนชุดแล้วฝากหยิบมาให้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิ รอแป๊บนึงนะ”

“ขอบคุณครับ”

ทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของวินทร์คล้อยหลัง นรกรก็หันกลับไปมองยังจุดเดิมที่เขามองอยู่เมื่อสักครู่ ตรงแถวเก้าอี้ที่ตั้งไว้หน้าห้องผ่าตัดสำหรับให้ญาตินั่งรอ ตรงเก้าอี้ตัวในสุดที่โดนเงาของเสาบังไว้ครึ่งหนึ่ง เขาเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
นรกรค่อยเดินเข้าไปหาช้าๆ

“มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

“ผมเอาหนังสือมาให้ครับ”

นรกรหลุดถอนหายใจออกมาเล็กน้อยกับชายหนุ่มหน้าตี๋ที่เดินออกจากเงามืดมายืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า “คุณพาสมาทำอะไรตรงนี้ครับ”

“ผมเอาหนังสือมาให้” ภาษิตหรือพาสพูดซ้ำพร้อมทั้งส่งถุงหนังสือให้ “วันก่อนไปงานหนังสือ บังเอิญเจอเรื่องที่คุณหมอน่าจะชอบน่ะครับเลยซื้อมาให้”

นรกรรับถุงมาเปิดดู นัยน์ตาสีอ่อนหลังกรอบแว่นเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันทีเพราะมันคือ textbook ฉบับอัปเดทล่าสุดที่เขาอยากได้ไว้อ้างอิง “ขอบคุณนะครับ”

คนให้อมยิ้ม ไม่เสียแรงที่ไปขอนั่งฟังตอนนรกรประชุมเคสกับรุ่นน้องทำให้ได้ยินอีกฝ่ายเปรยว่าน่าสนใจ เขาจึงดั้นด้นเดินฝ่าผู้คนไปหามาให้ “วันนี้ผ่าตัดเลิกดึกเลยนะครับ เหนื่อยไหมครับ”

“นิดหน่อยครับ”

“แล้วนั่นอะไรติดหน้าคุณหมอน่ะครับ” ภาษิตชี้ไปที่ข้างแก้ม “หันมาสิครับเดี๋ยวผมดูให้”

นรกรใช้มือลูบเองไม่เห็นมีอะไรติดมา จึงเอียงหน้าให้อีกฝ่ายช่วยดู “อะไรครับ”

“รอยมาส์กน่ะครับ” ภาษิตบอกหลังจากใช้ปลายนิ้วสัมผัสแล้วจับมาได้แค่เนื้อแก้มนิ่ม “มันมืดผมเลยดูผิดน่ะ”

“คุยกับใครน่ะฮาร์ฟ” วินทร์ที่เปลี่ยนชุดเสร็จเดินออกมาหา “คุณนี่เอง มีธุระอะไรกับฮาร์ฟเหรอครับ”

“คุณพาสเอาหนังสือมาให้ครับ” นรกรชิงตอบเสียก่อน

“พอดีผมเพิ่งเสร็จจากเลี้ยงรับรองลูกค้าน่ะครับ ผ่านมาทางนี้เลยแวะเอาของมาให้”

วินทร์กวาดตาดูชายหนุ่มหน้าตี๋ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ตีสองแล้ว… ขอบคุณนะครับที่ดึกขนาดนี้ยังอุตส่าห์มารอ” เขาทำน้ำเสียงไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง ไม่ว่าเหตุผลไหนก็ฟังไม่ขึ้นที่ผู้แทนจากบริษัทยาชื่อดัง หรือที่เขาชอบเรียกสั้นๆ ว่า ‘เซลล์ขายยา’ จะแวะมาหานรกรตอนนี้ ถึงแม้จะอ้างว่าอยากเอาใจลูกชายของคนที่มีอำนาจตัดสินใจในการสั่งซื้อยาตัวใหม่เพื่อนำมาใช้รักษาคนไข้ก็เถอะ แต่นี่มันตีสองแล้วนะ! อมพระประธานวัดพระแก้วมาพูดเขาก็ไม่เชื่อเว้ย!!

“ดูท่าวันๆ เวลาจะเหลือเยอะนะครับ” วินทร์ประชด

“ก็เหลือไม่เยอะเท่าไหร่หรอกครับ ต้องวิ่งไปโรงพยาบาลสลับกับบริษัท บางวันก็มีเลี้ยงรับรอง แต่สำหรับคุณหมอแล้วผมทำว่างเสมอครับ” เพราะภาษิตตอบด้วยท่าทีที่ดูไม่เสแสร้งนั่นยิ่งทำให้คนขี้หึงหงุดหงิด

“ไว้มาหาตอนเช้าก็ได้มั้งครับ”

“เห็นว่าตอนเช้าคุณหมอมีสอน ผมกลัวไม่เจอแล้วก็จะเป็นการรบกวนน่ะครับ ยังไงคืนนี้ผมก็ว่างอยู่แล้วเพราะว่าอยู่คนเดียวน่ะครับ”

…นอกจากขายยาเก่งแล้วยังเนียนขายตัวเองเก่งอีกต่างหาก… วินทร์นินทาในใจ

นรกรมองคนสองคนที่เริ่มเขม่นใส่กันแปลกๆ แล้วจึงรีบตัดบท “ขอบคุณ คุณพาสมากนะครับสำหรับหนังสือ ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”

“ขับรถดีๆ นะครับ” ภาษิตบอก

“ผมเป็นคนขับ” วินทร์รีบพูดแทรกพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่นักขายมือหนึ่งที่ทำเพียงส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมกับกล่าวทิ้งท้าย

“ฝันดีนะครับคุณหมอ”

นรกรหันไป คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะรีบตอบออกไป “ครับ”

เพราะมัวแต่มองภาษิต วินทร์จึงไม่ทันสังเกตว่าถึงนรกรจะตอบรับคำของภาษิต แต่สายตานั้นกลับมองเลยไปด้านหลัง ซึ่งเจ้าตัวก็รีบปรับสีหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหมือนทุกครั้งที่เขาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นก่อนจะถูกวินทร์ดันหลังให้รีบเข้าลิฟต์ไป

oooooo

“ฮาร์ฟไปนอนได้แล้ว” วินทร์ลุกจากเตียงมาเรียกนรกรที่กำลังอ่านหนังสือที่ภาษิตให้มาอย่างสนอกสนใจ เขาเหลือบตามองนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้ล่วงไปถึงสามนาฬิกาของวันใหม่แล้ว “อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วนะ”

“พี่วินทร์ไปนอนก่อนเลยครับ ผมขออ่านตรงนี้อีกหน่อย” นรกรตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา

วินทร์ยกมือขึ้นกอดอก เริ่มหงุดหงิดเพราะนี่ไม่ใช่การเรียกครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สามแล้ว เขาเดินเข้าไปยืนข้างๆ และเอื้อมมือไปดึงหนังสือจากมือนรกรมาถือไว้ “พอได้แล้วฮาร์ฟ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยอ่านต่อ”

“ผมบอกพี่วินทร์แล้วนี่ครับว่าขออ่านให้จบตรงนี้ก่อน”

“นายเดี๋ยวมาสามเดี๋ยวแล้วนะ” วินทร์บอก “เราตกลงกันแล้วไว้ยังไงเรื่องนี้ นายยังจำได้ใช่ไหม”
คนถูกทวงสัญญาถอนหายใจ “พี่วินทร์ก็เอาแต่คิดถึงเรื่องใต้สะดือ”

“เดี๋ยวนะ!” วินทร์ว่า “ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลย ฉันก็แค่อยากให้นายเลิกอ่านไอ้หนังสือบ้านั่นแล้วไปนอนได้แล้ว... ตกลงที่ต้องรีบอ่านใจจบนี้เป็นเพราะเนื้อหามันน่าสนใจหรือเป็นเพราะกลัวไปคุยกับไอ้คนที่ให้มาไม่รู้เรื่องกันแน่”

“ผมว่าพี่วินทร์พาลใหญ่แล้วนะ” นรกรเองก็เริ่มอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน

“ก็นายมาว่าฉันก่อนทำไมล่ะ” วินทร์สวนกลับ “นี่ดูไม่ออกจริงๆ เหรอว่าหมอนั่นมันกำลังจีบนาย”

“ดูออกครับ” นรกรบอก “แต่จะให้ผมทำปั้นปึงใส่เขามันก็ไม่ใช่เรื่องนี่ครับ เขาก็แค่มาคุยด้วยดีๆ แล้วเขาจะทำอะไรได้มากกว่านี้ในเมื่อพี่วินทร์ก็ประกาศตัวอยู่ว่าเป็นแฟนผม แล้วผมก็ไม่ได้ชอบเขา พี่วินทร์ก็แค่หึงเพราะเขาดูเป็นผู้ชายที่ผมเคยบอกว่าตรงสเปคเท่านั้นเอง”

วินทร์หน้าบึ้งที่โดนพูดแทงใจดำ “อยากทำอะไรก็ตามใจ อยากอ่านจนถึงเช้าไม่หลับไม่นอนก็ตามสบาย ฉันไม่สนใจนายแล้ว” พูดจบก็ส่งหนังสือคืนแล้วเดินย่ำเท้าหนักๆ กลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียง

นรกรกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบหนังสือมาเปิดหาหน้าที่อ่านค้างไว้

ตามปกติแล้วเขาจะเป็นคนที่ตั้งสมาธิได้ง่ายมาก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ อย่าว่าแต่อ่านให้จบหน้าเลย นรกรอ่านวนย่อหน้านี้ซ้ำมาสี่ห้ารอบแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิด เขากำลังหงุดหงิด... มากด้วย... กับการทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ข้อตกลงบ้าอะไรก็ไม่รู้” นรกรบ่นพึมพำ

...ขึ้นเตียงช้าหนึ่งชั่วโมง ต้องยอมมีอะไรด้วยหนึ่งครั้งจนกว่าจะพอใจ... นั่นคือข้อตกลงระหว่างทั้งสอง

“ใครมันช่างคิดนะ”

ถึงจะเป็นข้อตกลงที่ฟังดูไร้สาระ แต่มันก็ผ่านการคิดและตกตะกอนระหว่างทั้งสองคนมาดีแล้ว เพราะวินทร์เองก็ต้องปรับอารมณ์ให้ยังยิ้มได้ทั้งที่จริงในใจก็คงหงุดหงิดไม่ต่างจากเขา

คิดมาถึงนรกรก็เริ่มใจเย็นลง จริงๆ แล้ววินทร์แค่โกรธที่เขาไม่ยอมนอนทั้งที่ตีสามแล้วและพรุ่งนี้มีนัดกันว่าจะไปทำบุญวันพระที่วัดด้วยกันแต่เช้าต่างหาก ส่วนเรื่องหึงนั่นถึงจะมีส่วนอยู่บ้างแต่เขาเองที่เป็นคนพาลเปิดประเด็นขึ้นมาตามที่อีกฝ่ายบอก

นรกรปิดหนังสือเก็บแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังห้องนอน

ปกติแล้วเขาจะขึ้นเตียงทางด้านซ้ายเสมอเพราะวินทร์จะยึดที่นอนฝั่งขวาไป ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าเจ้าตัวถนัดแบบนี้... ถนัดที่จะให้เขานอนหนุนบนแขนข้างซ้ายแล้วจะได้เหลือแขนขวาเอาไว้กอด

วันนี้วินทร์ก็ยังนอนในตำแหน่งเดิม แต่เขาหันหน้าหนีไปอีกทางทั้งยังคลุมโปงแน่นเหลือแต่ส่วนลูกตากับจมูกไว้หายใจ

นรกรยืนมองโปงผ้า ตัดสินใจระหว่างปล่อยให้วินทร์นอนหลับไปก่อนแล้วตอนเช้าค่อยมาคุยกัน หรือจะปลุกขึ้นมาง้อตอนนี้ นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองนาฬิกาที่เดินไปจนเกือบจะถึงเลขสี่แล้ว

เขาเดินอ้อมเตียงไปอีกฝั่ง แล้วล้มตัวลงนอน

“ทำไมมานอนตรงนี้ ที่นอนนายมันฝั่งโน้นต่างหาก” วินทร์พึมพำเสียงห้วนออกมาจากผ้าห่ม

“ไม่ใช่ครับ” นรกรบอกพร้อมกับเบียดตัวเข้าหา “ที่นอนผมคือตรงนี้ต่างหาก”

“นิสัยเสียแล้วนะเราน่ะ” วินทร์ว่า “คิดว่าทำอะไรผิดก็ได้ เพราะแค่ง้อนิดๆ หน่อยๆ ฉันก็จะยกโทษให้สินะ”

“ขอโทษครับ” นรกรพูด “พี่วินทร์แค่เป็นห่วง ข้อตกลงนี้เราก็ช่วยกันคิด ผมเองก็ยอมรับแล้ว”

คนในผ้าห่มเงียบไปอึดใจ “ขอโทษที่พาล”

“ตกลงผมนอนตรงนี่ได้ใช่ไหมครับ”

“ไม่ได้”

“ทำไม...”

วินทร์เปิดผ้าห่มออก แล้วใช้สองแขนรั้งคนตัวเล็กกว่าเหวี่ยงข้ามตัวเองไปนอนอีกฝั่งของเตียง “เพราะที่ของนายคือตรงนี้”

“ครับ” นรกรรับคำแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าคมที่วางเกยอยู่ตรงหน้าผากของตน ลำแขนแข็งแรงถูกสอดรัดรอบตัวหากวินทร์ก็แค่กอดไว้เท่านั้นไม่มีทีท่าจะทำอะไรจนเขานึกสงสัย “ไม่ทำเหรอครับ”

“ไม่ล่ะ”

“ยังโกรธอยู่เหรอครับ”

“แค่ฉันอยากนอนกอดนายเฉยๆ นี่มันผิดมากเลยหรือไง”

“ไม่ผิดครับ แต่มันแปลก”

วินทร์ถอนหายใจแรง… วันพระตั้งใจจะรักษาศีลสักหน่อย แต่จะว่าไปศีลข้อข้อสามมันแค่ห้ามผิดลูกเมีย แล้วนี่ก็เมียเขาเองนี่นาไม่ได้ไปพรากของใครมา “งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ” เขากระซิบพร้อมกับพลิกตัวขึ้นคร่อม

“ไหนว่าไม่ทำไงครับ”

“เปลี่ยนใจแล้ว” วินทร์บอกก่อนจะก้มหน้าลงปิดปากคนที่ชอบดื้อกับเขามากขึ้นทุกวัน เห็นทีต้องสั่งสอนเสียหน่อยว่าให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร

“พี่วินทร์อย่าเล่นมันจั๊กจี้” นรกรหัวเราะคิกคักพลางใช้สันมือดันหน้าคมที่ไรหนวดเริ่มขึ้นเขียวครึ้มทั้งที่ไม่ได้โกนหนวดแค่สองวันให้ออกห่างเพราะแทนที่จะจูบดีๆ วินทร์กลับถูคางเล่นไปมาตรงระหว่างแก้มกับซอกคอ

“ไม่เล่นแล้วก็ได้” วินทร์บอกพร้อมกับใช้แขนเท้าไว้ข้างศีรษะเพื่อดันตัวออกมองคนบนเตียงให้ชัดๆ

นรกรใช้สองมือประคองใบหน้าไว้ นัยน์ตาสองคู่จึงบังเอิญสบกัน เสียงหัวเราะหยุดลงเมื่อเขามองลึกเข้าไปในแววตาที่พราวระยับที่แสดงถึงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง เกิดความรู้สะท้านอายขึ้นในอกจนต้องใช้ปลายนิ้วไล้ไปรอบคางที่อุดมหนวดนั้นแก้เขิน “พรุ่งนี้โกนด้วยนะครับ”

“ไม่ล่ะ” วินทร์ประกบมือทับลงไปบนเรียวนิ้วที่ยุกยิกอยู่ข้างแก้มแล้วเลื่อนริมฝีปากไปกดจูบหนักๆ ลงกลางฝ่ามือ… นิ่มนวลและเนิ่นนานทั้งที่ยังทิ้งสายตาให้สบกันไว้ “นั่นมันหน้าที่นาย”

“งั้นผมโกนให้นะ” นรกรเปลี่ยนคำใหม่ ก่อนจะกัดปากแน่นเมื่อความรู้สึกอุ่นซ่านแล่นจากฝ่ามือ ตรงที่วินทร์ยังฝังริมฝีปากไว้พุ่งเข้ากลางอกพาให้หัวใจเต้นรัวขึ้น นึกเกลียดตัวเองที่มักบ่นว่าเขาหมกมุ่น แต่ร่างกายของตัวเองก็ยอมให้เขาง่ายดายเหลือเกิน
ริมฝีปากอุ่นขยับไล่ขึ้นมาตามลำแขน แวะเล่นตรงเนินหัวไหล่ก่อนจะมาหยุดลงที่ข้างแก้ม และเลื่อนลงหยอกเย้าที่ยอดอก
เขาชอบตรงที่วินทร์ไม่เคยเร่งรัดแม้บางครั้งก็ควรจะรีบบ้างอย่างตอนนี้ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าจะสางก็ยังไม่เคยลัดขั้นตอนหรือหักหาญน้ำใจกัน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่มำให้นรกรไม่เคยปฏิเสธได้ลง เพราะอีกฝ่ายใส่ใจกันขนาดนี้ และมันก็รู้สึกดีทุกๆ ครั้ง

“พ… พอได้แล้วมั้งครับ”

“อีกนิดนะ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ… ม… มันจะ… เช้าแล้วนะ”

ตาคมตวัดขึ้นมองก่อนจะขยับไปกระซิบที่ข้างหู “ปากตรงกับใจหน่อยสิ… จะเช้าหรือจะเสร็จ”

“จะตีห้าแล้วนะครับ”

“ยังไม่เลิกปากแข็งอีก” คนขี้แกล้งคว้าเรียวขาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายยกขึ้นพาดบนหัวไหล่เพื่อสอดปลายนิ้วเข้าสู่ด้านในที่ร้อนรุ่มให้ได้ลึกที่สุด ได้ยินเสียงครางเบาๆ จากคนที่นอนบิดอยู่ใต้ร่างเขากรีดยิ้มอย่างพึงใจเตรียมจะขยับเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ

กริ๊ง… กริ๊ง…

“ขอเวลานอกครับ” นรกรละล่ำละลักบอกเพราะมันเป็นสายจากโรงพยาบาล แต่วินทร์ไม่ยอมปล่อย เขาละมือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายแล้วส่งให้

นรกรถลึงตาใส่ หากวินทร์ก็ยังไม่ยอมหยุดมืออีกข้างจนเขาต้องคว้าข้อมือแข็งแรงนั้นไว้แต่ก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย

“พี่ฮาร์ฟครับ ขอโทษที่ต้องโทรปลุกตอนนี้ แต่ว่ามีเรื่องด่วนครับ”

เสียงร้อนรนที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ทำให้นรกรต้องรีบตอบรับ พยายามกลั้นหายใจไม่ให้เสียงสั่นหรือมีเสียงแปลกๆ หลุดออกไป

“ว่าไง”

เขาเงียบฟังเพียงแค่อึดใจก็กดตัดสายและหันมาบอกข่าวร้าย “คนไข้อีกคนอาการแย่ลงครับ น้องส่งไป CT ซ้ำแล้วมีเลือดออกเพิ่ม คงต้องผ่าใหม่ ผมต้องกลับไปโรงพยาบาลตอนนี้”

นรกรสบตาวินทร์ที่จ้องตาเขม็งมาคิดว่าต้องโดนโกรธแน่ๆ หากอีกฝ่ายก็ยอมหยุดมือทันทีและบอกเรียบๆ “เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับผมไปเองได้ พี่วินทร์นอนเถอะ เดี๋ยวตอนเช้าต้องเตรียมของไปวัดอีก” เขารีบบอกอย่างร้อนรนแค่นี้ก็รู้สึกผิดกับวินทร์จะแย่แล้ว

“ส่งนายเสร็จเดี๋ยวค่อยกลับมาเตรียมก็ได้”

“แต่ว่า…”

“นายไปแต่งตัวซะ” วินทร์ตัดบทพร้อมกับลุกจากที่นอนแล้วคว้าเสื้อยืดมาสวมทับก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถ

เมื่อลงจากรถตรงหน้าห้องฉุกเฉินแล้ว นรกรก็ยังไม่ยอมลงจากรถ เขายังรีรออยู่ด้วยความรู้สึกผิดเพราะคำนวณเวลาแล้วยังไงก็ไม่น่าทันไปทำบุญด้วยกัน “เสร็จเคสแล้วผมจะโทรหานะ”

“ไม่เป็นไรฉันไปคนเดียวก็ได้แค่ทำบุญวันพระเอง” วินทร์ย้ำคำนี้ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนับตั้งแต่ขับรถมาด้วยกันจนถึงโรงพยาบาล

“แต่ว่า…”

“ไม่ต้องมีแต่แล้ว นายไปช่วยคนไข้ ส่วนฉันจะไปทำบุญ ยังไงเราก็ได้บุญเหมือนกัน เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันกลับมาหา ตกลงนะ” วินทร์บอกพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายคลายใจว่าไม่มีอะไรต้องกังวลกับการผิดนัดครั้งนี้

“ครับ” นรกรรับคำทั้งที่ยังรู้สึกผิดเต็มหัวใจ เขาหันไปจับที่เปิดประตูรถแล้วก่อนจะหันกลับมาและชะโงกตัวไปหอมแก้มคนขับรถครั้งหนึ่ง “ไว้จะชดเชยให้นะครับ” กระซิบที่ข้างหูก่อนจะลงจากรถไป

วินทร์ยกมือขึ้นลูบแก้มที่ยังอุ่นซ่านพลางมองตามหลังนรกรจนลับตาไป “ก็เป็นซะแบบนี้แล้วจะโกรธลงไหมล่ะ… คอยดูนะ ครั้งหน้าจะเอาให้ลุกไม่ขึ้นเลย”

พลันโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาหยิบมากดดูข้อความที่ขึ้นเตือนสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ เขายิ้มเหงาๆ กับโทรศัพท์ก่อนจะวางมันลงและขับรถออกไป

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book พลิกตำรารักษาหัวใจ special moment:Valentine's day P.24 [20/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-05-2018 22:55:19
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ขอโทษนะครับ”

“พอๆ ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรแล้ว การมีเลือดออกซ้ำหลังผ่าตัดเป็นภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ พวกนายเองก็ทำเต็มที่แล้ว และตอนนี้คนไข้ก็ปลอดภัยแล้วด้วย” นรกรกล่าวกับน้องๆ แพทย์ประจำบ้านตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีห้าที่อยู่เวรเมื่อคืนยืนก้มหัวประหลกๆ อยู่ตรงหน้า

“พี่ฮาร์ฟ รีบกลับไปทำธุระต่อเถอะครับ เห็นวันนี้นัดกับพี่วินทร์ไว้นี่นา” แพทย์ประจำบ้านปีสามบอก

นรกรโบกมือกลบเกลื่อน ไม่ว่าใครก็รู้เรื่องที่พวกเขาเป็นแฟนกันสินะ “ไม่เป็นไรๆ เราตกลงกันแล้ว”

“พี่วินทร์จะไม่โกรธใช่ไหมครับ พวกผมเห็นพี่วินทร์ดูคาดหวังมากเลย วันสำคัญอะไรหรือเปล่าครับ” น้องแพทย์ประจำบ้านปีสี่ถามซ้ำ

“ไม่หรอก แค่ไปทำบุญเอง”

จิงโจ้ที่ตอนนี้ขึ้นเป็นพี่ปีห้าแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “พี่ฮาร์ฟรีบตามพี่วินทร์ไปเถอะครับ นี่เพิ่งจะเก้าโมงน่าจะทันถวายเพลนะครับ”

“ไม่เป็นไร เราตกลงกันแล้วว่าไว้ครั้งหน้าน่ะ”

“ครั้งหน้า?” จิงโจ้ทวน “ปีหน้าเลยนะครับ”

“ทำไมถึงเป็นปีหน้าล่ะ”

จิงโจ้ขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะครับว่าพี่ฮาร์ฟไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้วันอะไร”

“ก็วันพระไง” นรกรตอบพาซื่อ

จิงโจ้หน้าตื่นขึ้นทันที เขาคว้ามือนรกรพร้อมกับพูดเสียงดัง “พี่ฮาร์ฟรีบตามพี่วินทร์ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

oooooo

“เจอกันอีกแล้วนะโยม” พระภิกษุแก่พรรษาท่าทางใจดีผู้ทำหน้าที่รับสังฆทานกล่าวเมื่อชายหนุ่มถวายชุดสังฆทานเรียบร้อยแล้วก้มลงกราบเป็นอันเสร็จพิธี

“สิบสองปีแล้วสินะ” พระภิกษุกล่าวต่ออย่างผู้ที่คุ้นเคยกันดี เพราะอย่างน้อยปีละสองครั้งที่เขาจะเห็นชายหนุ่มคนนี้มาทำบุญที่นี่ ยังจำปีแรกๆ ที่เจอกันได้ดีตอนนั้นผู้ชายคนนี้ดูซีดเซียวเหมือนคนเพิ่งออกจากโรงพยาบาล หลังจากทำพิธีต่างๆ เสร็จก็มักจะมานั่งในโบสถ์หรือสวนด้านหลังไม่พูดไม่จากับใครแล้วก็กลับไปเงียบๆ คนเดียวตอนตะวันตกดิน เขาเคยถามครั้งหนึ่งว่ารอใครอยู่หรือเปล่าและคำตอบที่ได้รับคือ

“ครับ ผมกำลังรอเขาอยู่”

“ยังไม่เจอคนที่รออีกเหรอโยม” พระท่านลองถามดูอีกครั้ง

“เจอแล้วครับ แต่วันนี้เขาไม่ว่าง” วินทร์ยิ้มแห้งๆ พลางหยิบชุดสำหรับกรวดน้ำขึ้นมา พระสงฆ์เตรียมจะขึ้นบทสวดเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“รับซะสิ” พระท่านบอก

วินทร์ยกมือไหว้แล้วกดรับ ยังไม่ทันจะพูดอะไร คนปลายสายก็ใส่มาเป็นชุดเขาต้องเอามือป้องไว้พลางเหลือบตามองพระท่านด้วยความเกรงใจ

“พี่วินทร์ใส่บาตรเสร็จหรือยังครับ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“ใส่บาตรเสร็จแล้ว ตอนนี้อยู่ในโบสถ์น่ะ เพิ่งถวายสังฆทานเสร็จกำลังจะกรวดน้ำแค่นี้ก่อนนะ”

“โบสถ์ใหญ่ที่อยู่ด้านในใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมไปหา”

“นายอยู่นี่เหรอ ฮาร์ฟ เดี๋ยว…” วินทร์มองโทรศัพท์ที่โดนตัดสายไปดื้อๆ ก่อนจะหันไปหาพระท่านอย่างลังเล “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับท่าน แต่ว่าผมขอ…”

“ไม่เป็นไรโยม อาตมารอได้”

“ขอบคุณครับ” วินทร์ยกมือไหว้แล้วรีบลุกไปที่ประตูโบสถ์ ยังไม่ทันจะไปถึง ใครคนหนึ่งก็ก้าวพรวดเข้ามาถึงตัว “มายังไงเนี่ยแล้ว…”

“นั่งแท๊กซี่มาครับ” นรกรบอกรัวเร็วก่อนจะมองข้ามไหล่วินทร์ไปเห็นพระที่นั่งอยู่บนอาสนะจึงหันมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันนะครับ” เขาบอกแล้วกลับเป็นฝ่ายเดินนำไปนั่งลงตรงหน้าพระ โดยมีวินทร์เดินตามมานั่งข้างกัน “ก่อนจะกรวดน้ำ ผมขออนุญาตถวายสังฆทานอีกชุดได้ไหมครับ”

“ได้สิโยม” พระกล่าวทั้งรอยยิ้มพลางผายมือไปยังมุมหนึ่ง “โยมเลือกชุดที่ต้องการได้แล้วเอาเงินใส่ตู้ เสร็จแล้วกลับมาหาอาตมาตรงนี้นะ”

เสียงสวดมนต์กังวาลไปทั้งบริเวณที่เงียบสงบ พระภิกษุผู้ทำพิธีพินิจดูชายหนุ่มสองคนที่นั่งประนมมือคู่กันอยู่ตรงหน้า สีหน้าของชายหนุ่มผู้มาคนเดียวทุกปีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และถึงปากจะสวดตามคำพระหากสายตากลับเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ ตลอดเวลา ไม่ต้องจับยามสามตาหรือรอให้ใครอธิบายอะไรท่านก็เข้าใจในความเป็นไปของโลก รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นในหน้า ท่านดูแลทำพิธีจนกรวดน้ำเสร็จสิ้นและทั้งสองก้มลงกราบพร้อมกัน

“ขอบคุณหลวงพี่มากนะครับ” วินทร์บอก “วันนี้ผมรบกวนเสียอย่างเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกโยมอาตมาเต็มใจ”

วินทร์ตั้งท่าจะกราบลาพระท่านก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ทั้งสองคนขยับมาใกล้ๆ สิ อาตมามีของจะให้” แล้วล้วงมือลงในย่ามหยิบสายสิญจน์ทำจากด้ายถักสีขาวเป็นเชือกเส้นกลมออกมาสองเส้นแล้วผูกที่ข้อมือให้ทีละคน ท่านเลือกผูกให้นรกรก่อนโดยไม่กล่าวอะไรเพียงแต่พึมพำคำสวดในลำคอ พอถึงตาวินทร์พอท่านสวดจบก็เอ่ยขึ้น “โยม… สุขทุกข์อยู่ที่ใจหาใช่รูปกาย เชื่อมั่นในหนทางที่โยมเลือก จากนี้ไปขอให้พบเจอแต่ความสุขนะ”

“ขอบคุณครับ”

กราบลาพระเสร็จ ทั้งสองเดินตามกันออกมาข้างนอก และทันทีที่เท้าพ้นธรณีประตู นรกรก็ใช้สองนิ้วหยิกเนื้อที่ข้างแขนคนที่เอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จาแล้วบิดเต็มแรง

“โอ๊ย!” วินทร์สะดุ้งโหยงก่อนจะกัดปากแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวน “เจ็บนะฮาร์ฟ”

ลงโทษจนรู้สึกสาแก่ใจแล้วนรกรจึงยอมปล่อย “ไม่ต้องมายิ้มเลยครับ ทำไมพี่วินทร์ไม่ยอมบอกผมว่าวันนี้วันอะไร”

วินทร์ลูบแขนตัวเองที่เป็นปื้นแดง... เห็นตัวเล็กๆ แต่มือหนักเป็นบ้า “ฉันเกรงใจนี่นา”

“แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องเกรงใจไหมครับ นี่วันครบรอบวันที่คุณแม่ที่พี่วินทร์เสียนะ”

“แค่คิดว่านายคงไม่ค่อยชอบมาที่ที่น่าจะ ‘พวกนั้น’ อยู่เยอะน่ะ” วินทร์พูดเสียงอ่อย

“อย่าคิดเองเออเองสิครับว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร” นรกรเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ “นับแค่ช่วงระยะเวลาที่คบกันก็ปีนึงแล้วนะครับ... ผมอยากรู้ทุกๆ เรื่องของพี่วินทร์ ไม่ได้อยากรู้เพราะเป็นแฟนกันเลยต้องรู้ แต่ผมอยากรู้เพราะอยากเป็นคนที่พี่วินทร์แชร์ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องสุขหรือเรื่องทุกข์”

“ขอโทษนะ” วินทร์บอก

“พี่วินทร์ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ” นรกรพูดต่อเสียงของเขาสั่นขึ้นเล็กน้อย “จริงๆ แล้วก็เป็นความผิดผมเองที่ไม่เคยถาม ถ้าจิงโจ้ไม่พูด ผมก็คงไม่รู้ไปจนถึงปีหน้า... ไม่สิ อาจไม่มีวันรู้เลยก็ได้... ขอโทษนะครับ”

“ไม่ต้องโทษตัวเองหรอกเพราะฉันตั้งใจไม่บอกนายเอง” วินทร์บอก ทั้งที่รู้สึกผิดกับอีกฝ่ายแต่ใบหน้าก็ยังเปื้อนยิ้มด้วยความรู้สึกดีใจท่วมท้นที่นรกรรีบมาหาและสนใจเรื่องของเขา “ที่ฉันบอกคนอื่นได้ แต่บอกนายไม่ได้มันมีเหตุผลน่ะ... มันเป็นความตั้งใจของฉันที่จะทำแบบนั้น”

“เหตุผลอะไรครับ”

“ฉันมีเรื่องขอร้องหน่อยได้ไหม อยากให้ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันน่ะ”

นรกรพยักหน้า วินทร์จึงคว้าข้อมือให้เดินตามไป เขาพาลัดเลาะลึกเข้ามาด้านหลังโบสถ์ที่เงียบเชียบมากขึ้นทุกทีผ่านสวนเล็กๆ เข้ามาตรงส่วนสุสานที่เป็นเจดีย์เก็บอัฐิเรียงราย วินทร์ไม่พูดอะไรเลยสักคำตลอดเวลาที่เดินมาจนกระทั่งหยุดลงหน้าเจดีย์องค์หนึ่ง ตรงฐานด้านหน้ามีกระถางจุดธูปปักไว้หนึ่งดอกที่ยังคงไม่มอด และในแจกันทองเหลืองสองใบก็มีช่อดอกเบญจมาศขาวแสนสวยปักอยู่

นรกรมองแผ่นหินอ่อนที่แปะรูปด้านหน้าซึ่งเป็นภาพของชายหญิงสองคนซึ่งน่าจะเป็นสามีภรรยากัน เขาไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่วินทร์มาก่อนแต่ก็คิดว่าเข้าใจไม่ผิด เขารีบยกมือไหว้แต่ยังไม่รู้จะพูดอะไร บางทีที่วินทร์อยากพาเขามาทีนี่แต่ก็ลังเลอาจเป็นเพราะอยากให้เขาใช้ความสามารถพิเศษที่มีช่วยเปป็นสื่อให้ นัยน์ตาสีอ่อนรีบกวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังเผื่อว่าจะเจอใครสักคนที่เหมือนกับในรูป แต่ในบรรดาวิญญาณที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นเขาก็ไม่เห็นใครที่น่าจะใช่เลย

แล้วตอนนั้นเองที่คนซึ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น

“พ่อครับแม่ครับ ผมมาหาอีกแล้ว ปีนี้ผมไม่ได้มาคนเดียวแล้วนะครับ ผมพาใครคนหนึ่งมาแนะนำให้รู้จักด้วยล่ะ”

นรกรรู้สึกประหม่านิดๆ เมื่อฝ่ามือที่จับอยู่ตรงข้อมือค่อยเคลื่อนขึ้นสัมผัสกลางหลังเบาๆ วินทร์ยังคงพูดไปเรื่อยๆ ทั้งที่ตรงหน้าไม่มีใครนอกจากควันธูปที่ลอยวนเป็นสาย แต่ตอนนี้นรกรเข้าใจแล้ว เพราะตัวเขายังมีครบจึงไม่ได้คิดถึงจุดนี้ และประโยคที่วินทร์พูดต่อมาก็ช่วยยืนยันในสิ่งที่เขาคิดได้เป็นอย่างดี

“เขาชื่อฮาร์ฟครับ เป็นคนสำคัญของผม… คงไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่พ่อกับแม่หวังสินะ แต่ผมรักเขา อยู่กับเขาแล้วผมมีความสุขทุกวันเลย… ขอโทษนะครับที่เคยทำให้เป็นห่วง ตอนนี้ผมสบายดีแล้วนะ... ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะครับ”

แล้วเสียงที่มั่นคงของวินทร์ก็ขาดหายไปเสียเฉยๆ นรกรหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ในสายตาที่ทอดมองรูปถ่ายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเศร้า รู้สึกผิด คิดถึง หากก็ยังมีประกายของความยินดีปนอยู่บ้างตรงมุมปากที่เหมือนจะยกขึ้นนิดๆ

“พี่วินทร์…” นรกรพูดไม่ออก เขาไม่รู้จะพูดอะไร ควรจะยกมือไหว้แล้วฝากเนื้อฝากตัวไหม หรือควรจะคิดหาถ้อยคำมาปลอบคนข้างๆ ก่อนดี

“ฉันไม่เป็นไร” เสี้ยวนาทีหนึ่งที่นัยน์ตาซึ่งหาสบกันนั้นดูเหมือนจะพังทลายลงด้วยน้ำตาที่เก็บไว้ข้างหลัง

โดยไม่รู้ตัวนรกรยื่นมือออกไปข้างหน้าและรวบตัววินทร์ไว้ในอ้อมแขน ไหล่กว้างนั้นสั่นเทิ้ม เขาออกแรงกอดไว้ให้แน่นมากที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ “ผมไม่รู้ว่าจะทำให้พี่วินทร์มีความสุขได้ทุกวันไหมเพราะบางวันผมก็ทำตัวงี่เง่า แต่ผมสัญญา ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์เราจะอยู่ด้วยกันนะ”

วินทร์ไม่ได้ตอบหรือพยักหน้า แต่วงแขนที่ยกขึ้นกอดรัดแน่นพอๆ กันนั้นก็แทนคำตอบรับได้เป็นอย่างดี

“ปีหน้าผมก็ขอมาด้วยคนนะครับ”

“อืม”

สายลมพัดแรงมาวูบหนึ่งพาให้ธูปในกระถางที่กำลังจะมอดดับสนิทลงทันที

oooooo

“เรียบร้อยไหมครับ” จิงโจ้รีบปราดเข้าไปถามทันทีที่เห็นนรกรอีกครั้งตอนบ่าย สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนักและหนักไปทางหงุดหงิดเสียมากกว่า

“เอ่อ… ไม่…” นรกรพยายามจะปฏิเสธแต่มันก็จุกจนพูดไม่ออก

“ทะเลาะกันมาเหรอครับ… พี่วินทร์คงงอนน่ะ พี่ฮาร์ฟก็ช่วยง้อหน่อยละกันนะครับ” จิงโจ้พยายามทำตัวเป็นกาวใจ หมู่นี้เขาเห็นสองคนนี้ดูระหองระแหงกันบ่อยเสียจนนึกหวาดๆ อยู่ในใจว่าสุดท้ายจะจูนกันไม่ติด

“เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ” นรกรพยายามตัดบท จิงโจ้จะพูดต่อก็มีสายเข้าพอดี นรกรรีบยกขึ้นมากรับพลางหันหนีไปคุยอีกทาง “มีอะไรครับ แล้วนี่โทรมาทำไมขับรถอยู่ไม่ใช่หรอครับ”

“จอดติดไฟแดงอยู่หลังโรงพยาบาลเนี่ย” วินทร์บอก “แค่อยากเช็กให้นายใจน่ะว่านายไม่เป็นอะไร”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“แน่ใจนะ เห็นตอนลงรถเมื่อกี้ทำท่าเหมือนจะยืนไม่ไหว”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นทันที พยายามจะลืมสาเหตุที่ทะเลาะกันแท้ๆ ยังจะมาชวนขุดคุ้ยอีก “แล้วสาเหตุเป็นเพราะใครละครับ”

“นายเริ่มก่อนนะ” ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหยอกเอินผสมกลั้วขำ

“ผมไม่ได้เริ่มสักหน่อย” นรกรเผลอพูดเสียงดังจนจิงโจ้ที่ตามมาแอบฟังสะดุ้งทำเป็นหันไปมองทางอื่นแทบไม่ทัน เขาหันไปเห็นพอดีจึงรีบรวบรัด “แค่นี้นะครับผมไม่อยากคุยกับพี่วินทร์แล้ว พี่วินทร์คนบาป”

“ใจร้ายเกินไปแล้วนะมาเรียกกันแบบนี้”

“ก็มันจริงนี่นา… พี่วินทร์!”

“เกิดอะไรขึ้นครับ” จิงโจ้ที่แอบฟังอยู่ตลอดชะโงกหน้าออกมาถามเพราะจู่ๆ นรกรก็ตะโกนออกมา

“จู่ๆ สายก็ตัดไป” นรกรเครือเสียงสั่น หูแว่วได้ยินเสียงสะอื้นลอยมาตามลม เขาเหลือบตามองไปเห็นหญิงสาวที่ปกติจะนั่งกอดเข่าก้มหน้าตรงชั้นสองยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าหายไปครึ่งหนึ่งจากการถูกไฟไหม้เป็นสีดำเกรียม ตรงบริเวณที่น่าจะเป็นดวงตาทั้งสองข้างมีของเหลวสีแดงไหลรินลงมาเป็นสาย มันดูน่ากลัวมากพอๆ กับน่าสงสาร ใจของนรกรล่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ใบหน้าขาวซีดเผือด เขาก้มลงมองโทรศัพท์ในมือที่ถูกตัดสายไปแล้วกดโทรออกอีกครั้ง… และอีกครั้ง…

แต่มันคงไร้ความหมาย…

เพราะตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เมื่อรถอีกคันที่ขับมาด้วยความเร็วสูงเกิดเสียหลักและพุ่งข้ามเลนมาชนเข้าอย่างจัง แม้ถุงลมนิรภัยจะทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมก็ยังไม่อาจปกป้องชีวิตคนขับไว้ได้ทั้งหมด มือที่ยังถือโทรศัพท์ค้างไว้ตกห้อยลงข้างตัว แรงกระแทกทำให้กระจกหน้ารถแตกยุบลงมาใส่ร่างที่หมดสติ กระจกนิรภัยนั้นตามปกติแล้วจะแตกเป็นเม็ดเล็กๆ เหมือนเม็ดข้าวโพดไม่ค่อยมีเหลี่ยมคมทำอันตรายต่อคนขับ ทว่า มันคงเป็นเหตุบังเอิญที่แปลกจนเกินไปที่เศษกระจกชิ้นใหญ่กลับตัดผ่านสายสิญจน์ที่ทำจากด้ายถักเส้นใหญ่ตรงข้อมือให้ขาดลงได้อย่างง่ายดาย 

คนเราอาจกำหนดวันที่จะพบกันได้ หากไม่มีใครล่วงรู้ว่าวันสุดท้ายจะมาถึงเมื่อไหร่... ไม่มีใครรู้ ยกเว้นก็เพียงเงาดำที่เร้นกายอยู่ในความมืด


**********************************************TBC*******************************************

Talk

ไม่อยากใช้ว่าเป็นภาค2 เลยค่ะ จริงๆ แล้วอยากให้เป็นส่วนเติมเต็มมากกว่า
หลังจากที่เขียนจบในตอนแรก... ตามความคิดเรามันยังไม่จบเลย มันยังมี "ปม" อีกหลายปมที่เราอยากเขียนแต่ยังไม่ได้เขียน ทั้งๆ ที่คิดเอาไว้หมดแล้ว ว่าถ้ามีคนสงสัยในจุดนี้ก็จะตอบงี้ๆ... แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครถาม555 เราเลยขอสนองนี้ดตัวเองอีกครั้ง เขียน "ฉาก" และ "บทสนทนา" ที่อยากเขียน เพื่อที่เราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างให้มันวุ่นวายใจอีกต่อไป
 

หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 15-05-2018 23:05:16
ดีใจ..ยังแอบมาดูความเคลื่อนไหวเสมอ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แต่จะกลับมาพร้อมมาม่าชามโตจริงๆหรา...โอว โนว
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 15-05-2018 23:08:38
 :a5:  เกิดอะไรขึ้นกับพี่วินทร์เหรอ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 15-05-2018 23:28:09
เฮ้ย ไม่นะ พี่วินทร์ต้องไม่เป็นอะไร

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเครียด
อ่านแล้วกลัว อ่านแล้วกังวลตลอด
แต่เราชอบมาก ...
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 15-05-2018 23:49:57
ดีใจที่ได้อ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 16-05-2018 08:53:33
มาเกาะรอด้วยคน  :z2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 16-05-2018 09:32:28
พี่วินนนนนน ม่ายยยยยย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 16-05-2018 16:35:03
ง่า พี่วินทร์จะไม่เป็นไรมากใช่ไหม  :serius2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 16-05-2018 18:29:41
ม่ายนะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 16-05-2018 19:55:53
พี่วินทร์จะตายรอบสองเหรอ  :ling1: :ling1:

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่1 Sign P.24 [15/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-05-2018 20:57:43
บทที่ 2 Awake

เกิดความอลม่านขนาดย่อมๆ ขึ้นในหอผู้ป่วยอาการหนักวิกฤตเมื่ออาจารย์แพทย์จบใหม่ผู้เป็นที่รักของทุกคนถูกนำมาพักรักษาตัว ทั้งเพื่อนร่วมวิชาชีพและอาจารย์ท่านอื่นที่อยู่ต่างสาขาซึ่งพากันมาช่วยให้การรักษานับตั้งแต่ได้รับการยืนยันชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บในที่เกิดเหตุ มาจนถึงห้องฉุกเฉินจนกระทั่งถูกส่งตัวมาเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดที่นี่ต่างผลัดกันวิ่งเข้าวิ่งออกคนแล้วคนเล่า ทุกคนต่างระดมสมองและใช้การตรวจวินิจฉัยต่างๆ ทุกวิธีที่จะนำไปสู่การรักษาได้

แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไร ก็ไม่อาจทำให้คนที่นอนอยู่ในห้องหมายเลข 4 นั้นฟื้นขึ้นมาได้เลย

ศาสตราจารย์สรวิญช์กับภรรยามาถึงห้องเป็นคนท้ายๆ คนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับกันไปเกือบหมดแล้วเพราะตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้อีกนอกจาก ‘รอ’ เท่านั้น

ทั้งสองมองผ่านกระจกเข้าไปในห้องหมายเลข 4 เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่คล้ายกับหลับอยู่เฉยๆ หากในปากนั้นถูกสอดท่อช่วยหายใจ ใส่สายให้น้ำเกลือและอุปกรณ์เพื่อติดตามค่าสัญญาณชีพต่างๆ เต็มไปหมด พวกเขาหันมองหน้ากัน มันช่างเป็นภาพที่เคยคุ้นตาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกครั้งเลยจริงๆ และเมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องยิ่งได้เห็นภาพที่ไม่อยากเห็น คือลูกชายคนเดียวของพวกเขาที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง

วิมลภาหันไปสบตาสามี เธอพูดอะไรไม่ออกและเลือกที่จะเดินอ้อมไปดูคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องบนเตียงใกล้ๆ ใบหน้านั้นซีดเผือดอีกทั้งมือก็เย็นเชียบราวกับคนไม่มีชีวิตทั้งที่สัญญาณชีพปกติ ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูสวนทางกันไปหมด

“เป็นไงบ้างลูก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยปากถาม ปกติเขาเป็นคุณพ่อที่แสดงอารมณ์ไม่เก่ง ซ้ำยังปากยังไม่ค่อยไม่ตรงกับใจ แต่วันนี้เขาไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิดเผื่อทำให้น้ำเสียงที่แข็งกระด้างนั้นอ่อนโยนลง

“ผล CT พบสมองส่วนหน้าช้ำเล็กน้อย เอ๊กซเรย์ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีกระดูกชิ้นไหนหัก ผลเลือดทุกอย่างปกติครับ” นรกรตอบไปก็รู้สึกเกลียดตัวเองไปพร้อมๆ กัน เกลียดที่มีสมองอันชาญฉลาดซึ่งรู้ทุกอย่าง และเขาก็มีดวงตาที่มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่ไม่ว่าจะความสามารถไหนก็ช่วยคนบนเตียงไม่ได้สักอย่าง ในเมื่อมันไม่มีอะไรผิดปกติให้เขารักษา และไม่เห็นวิญญาณของวินทร์ด้วย

“อืม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พยักหน้า เขาอ่านผลการตรวจทุกอย่างมาอย่างละเอียดละออดีแล้วก่อนเข้ามาคุยกับลูกชาย และคำถามที่ย้อนถามต่อมาก็เป็นคำถามที่เขาก็กำลังถามตัวเองอยู่เหมือนกัน

“แล้วทำไมเขาไม่ฟื้นครับพ่อ” นรกรคาดหวังว่าจะได้รับการอธิบายเชิงทฤษฎีหรือผลงานวิจัยอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะจากปากอาจารย์ด้านศัลยกรรมประสาทและสมองที่เขานับถือ หากตอนนี้ศาสตราจารย์ได้ถอดเสื้อกาวน์ของครูแพทย์วางทิ้งไว้แค่หน้าประตู เหลือแค่คนเป็นพ่อคนหนึ่งที่เดินเข้ามาปลอบโยนลูกชาย

“พ่อไม่รู้”

นรกรเม้มปากแน่นพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ

“แต่ถ้าสิ่งที่เขาบอกกับพ่อไม่ใช่เรื่องโกหก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดต่อ “สิบสองปีก่อนเขาตื่นขึ้นมาเพื่อมาหาลูก พ่อคิดว่าครั้งนี้เขาก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน”

นรกรเงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นพ่อ “ทำไมพ่อถึงมั่นใจแบบนั้นครับ”
“เปล่า พ่อไม่ได้มั่นใจ แต่พ่อเชื่อใจ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบบ่านรกรครั้งหนึ่ง “และพ่อคิดว่าฮาร์ฟคงจะทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าพ่อในตอนนั้นอีก... อยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้เขานะลูก เรื่องงานเรื่องสอนไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวพ่อกับแม่จัดการให้เอง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้ อย่าทำให้ทุกคนต้องลำบาก...”

“ปกติไม่ดื้อกับพ่อไม่ใช่เหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว “ถือซะว่าเป็นของเยี่ยมไข้นะ ไม่ต้องห่วงหรอกไว้เขาฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ พ่อเอาคืนหนักแน่”

“ขอบคุณครับ” นรกรยกมือไหว้

หลังจากพ่อกับแม่ออกไปก็ไม่มีมีใครมาเยี่ยมวินทร์อีก ทำให้ห้องนั้นกลับมาเงียบเชียบมีเพียงเสียงตีลมจากเครื่องช่วยหายใจที่ดังเป็นจังหวะ คุณพยาบาลเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่าต้องการเพิ่มไหมพร้อมกับรีบบอกว่าให้อยู่นานเท่าได้ที่ต้องการทั้งยังช่วยปิดม่านให้เพื่อความเป็นส่วนตัว

นรกรสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มและกำมือข้างหนึ่งของวินทร์ไว้ตลอด ไม่ใช่แค่ต้องการบอกให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกไม่ไว้ใจอะไรเลยแม้แต่กราฟที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจ เขาแค่อยากสัมผัสให้ได้มากขึ้นอีกนิดถึงจะเป็นแค่แรงเต้นของชีพจรที่มากระทบโดนปลายนิ้วว่าวินทร์ยังอยู่กับเขาจริงๆ ไม่ได้หนีไปไหน

ระหว่างที่นั่งรอให้วินทร์ฟื้นอยู่เงียบๆ นั้นนรกรก็คิดอะไรหลายอย่าง มีสิ่งหนึ่งที่เป็นแค่เหตุการณ์เล็กๆ ทั้งที่ตัวเองก็รู้ในระเบียบข้อนี้ดี หากพอเจอเข้ากับตัวมันก็ทำให้เขาจุกจนพูดไม่ออกไปเหมือนกัน เมื่อมีการนำส่งคนไข้ที่ไม่รู้สึกตัวมายังโรงพยาบาลจะต้องมีการตามหาญาติให้เร็วที่สุดเพื่อแจ้งข่าวและให้มาช่วยทำหน้าที่ตัดสินใจแทนคนไข้ วินทร์ซึ่งพ่อแม่เสียหมดแล้วและไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก จึงไม่สามารถตามคนเหล่านั้นมาได้ แล้วตอนนั้นเองที่ตัวเขาซึ่งทุกคนรู้ดีว่ามีสถานะเป็นคนรักและอยู่ด้วยกันมานานพอสมควร ซึ่งเขาควรเป็นคนที่สามารถมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนได้ แต่ตามกฏหมายแล้วเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ส่งเอกสารคืนคุณพยาบาลที่ยิ้มแห้งๆ อย่างรู้สึกผิดมาให้ก่อนจะขอตัวไปทำการพิมพ์ลายนิ้วมือแทน

นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นรกรรู้สึกว่าไม่อยากขยับไปไหน เพราะตอนนี้ดูเหมือนแทบไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเขากับวินทร์เชื่อมโยงกันไว้เลย และเพียงแค่ปล่อยมือหรือละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียวคราวนี้วินทร์อาจจากเขาไปไม่กลับมาเลยก็ได้

นั่งไปสักพักเขาก็ลุกขึ้นชะโงกตัวเหนือคนที่นอนหลับตาพริ้ม คอยดูแลจัดผ้าห่มให้ทั้งที่มันก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไร ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามปลายคางที่หนวดเคราเริ่มขึ้นเป็นตอแข็งที่เขาสัญญาว่าจะโกนให้เมื่อคืน แตะเรื่อยไปจนถึงริมฝีปากที่เขาชอบอิดออดเวลาจะโดนจูบ นึกถึงอ้อมแขนสุดท้ายที่เขาสะบัดทิ้งก่อนจะเดินหนีไปขึ้นรถตอนอยู่ที่วัดและนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ทะเลาะกันก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ

ถ้าหากรู้ว่านั่นจะเป็นจูบสุดท้าย เขาจะไม่ปฏิเสธเลยแม้จะต้องยอมบาปไปด้วยกัน
ถ้าหากรู้ว่าเมื่อคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน เขาคงไม่รีรอที่จะกลับไปขึ้นเตียง
ถ้าหากรู้ว่ากอดนั้น... อาจจะเป็นการกอดกันครั้งสุดท้าย เขาคงจะกอดให้แน่นและยาวนานที่สุด
ถ้าหากว่า... มันไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวอีกครั้งล่ะ
ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้ว วินทร์ไม่กลับมา...

นรกรกัดฟันลงบนริมฝีปากจนห้อเลือด บอกตัวเองหนักแน่นว่าห้ามร้องไห้เด็ดขาดเพราะวินทร์ยังไม่ตาย เขาจะไม่ทำเหมือนกับว่าวินทร์กำลังจะจากเขาไป เขาต้องเข้มแข็งและรอวันที่วินทร์จะกลับมา

นรกรใช้มือเสยผมที่ลู่ลงมาปรกหน้าผากคนที่นอนหลับอยู่ให้เข้าที่ อย่างน้อยวินทร์จะต้องดูดีตอนที่ทุกคนมาเยี่ยม พรุ่งนี้เช้าเขาจะกลับบ้านไปเอาที่โกนหนวดอันที่ใช้ประจำมาและจะแวะซื้อลิปมันมาด้วยที่ร้านสะดวกซื้อมาด้วย

“รีบตื่นได้แล้วนะครับ ผมรออยู่นะ” 

เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะกดริมฝีปากลงกลางหน้าผากครั้งหนึ่งแล้วนั่งลงที่เดิมก่อนจะเผลอฟุบหลับไปทั้งที่ยังกุมมืออีกฝ่ายไว้แบบนั้น
.
.
.
.
.
“ที่นี่ที่ไหน” วินทร์ถามกับตัวเอง ตอนนี้ที่ๆ เขาอยู่มันมืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้มือของตัวเอง  เขาเดินสะเปะสะปะไปตามทางที่ราวกับไม่มีจุดหมายเรื่อยๆ แล้วตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกระซิบขึ้นข้างหู

“รีบตื่นได้แล้วนะครับ ผมรออยู่นะ”

“นั่นเสียงฮาร์ฟนี่นา นายอยู่ที่ไหนน่ะ” เขาร้องเรียกพร้อมกับวิ่งไปทางที่น่าจะเป็นที่มาของเสียง เขาวิ่งไปเรื่อยๆ เร็วที่สุดเท่าที่สองเท้าจะมีกำลังพาไปได้ แล้วเขาก็เห็นจุดแสงสีทองเล็กๆ ที่สว่างเรืองๆ ตรงสุดทาง แสงที่เขาเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เขาวิ่งเข้าหาไปมันอย่างไม่ลังเล

“ตื่นสิฮาร์ฟ ฉันกลับมาแล้ว”

นรกรสะดุ้งตื่น เขาตกใจเล็กน้อยที่ตัวเองเผลอหลับไปและพยายามรวบรวมสติเข้าด้วยกัน นัยน์ตาสีอ่อนจับจ้องไปยังฝ่ามือที่เขาจับไว้ทั้งคืนมันไม่ได้ดูอ่อนระโหยโรยแรงหากกำลังเกาะกุมมือเขาไว้เช่นกัน หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที เขารีบมองไล่ไปตามลำแขน ผ่านหน้าอก ไปจนถึงใบหน้าของคนบนเตียงที่กำลังลืมตาและมองมาที่เขา

“หมอวินทร์ฟื้นแล้วเหรอคะ” พยาบาลประจำห้องไอซียูที่เดินเข้ามาดูเป็นระยะร้องทักขึ้น และรีบเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ให้มาช่วยกัน

นรกรชักมือที่จับไว้แน่นออกและลุกขึ้นยืนหลบฉากเพื่อให้พวกเธอได้ทำงานกันอย่างเต็มที่

หลังจากที่หลับไปหนึ่งวันเต็มๆ วินทร์ก็ฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ และสามารถถอดท่อช่วยหายใจออกได้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

“เป็นไงบ้าง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับมาเยี่ยมพร้อมกับภรรยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้งนะ”

“ขอบคุณครับ” วินทร์ตอบ

“ดูเงียบๆ ไปนะ ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะ” วิมลภาที่สังเกตเห็นความผิดปกติถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรครับผมแค่เจ็บคอนิดหน่อย” วินทร์บอกพลางยกแก้วน้ำอุ่นที่พยาบาลเตรียมไว้ให้ขึ้นจิบ “เอ่อ... แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปทำงานเหรอครับวันนี้”

“ปากดีแบบนี้หายแล้วล่ะคุณ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปพยักเพยิดกับภรรยา “เพิ่งสอนเสร็จน่ะ พอดีฮาร์ฟส่งข่าวว่าคุณฟื้นแล้วเลยรีบแวะมาดูอาการ เห็นแบบนี้ค่อยเบาใจไปเยอะ อยากกลับบ้านหรือยังล่ะ”

“ก็อยากกลับแล้วครับ แต่ไม่แน่ใจว่าหมอเขาจะให้อยู่ดูอาการอะไรอีกหรือเปล่า” วินทร์ตอบ

“ถ้างั้นกลับเลยไหมล่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม “เดี๋ยวผมอนุญาตเอง”

“จะดีเหรอครับ”

“จะกลัวอะไรล่ะ กลับไปบ้านก็มีหมอส่วนตัวเฝ้าอยู่ทั้งคนนี่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “หรือคุณไม่เชื่อใจลูกชายผม”
ได้ฟังดังนั้นวินทร์ก็หันไปมองคนที่นั่งอยู่อีกด้านของเตียงพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ขอบคุณครับ ผมอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว”

oooooo
   
เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา วินทร์ก็กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟา “ในที่สุดก็ได้กลับบ้านสักที ไม่มีที่ไหนดีเท่าบ้านเราอีกแล้วเนอะ”

“ครับ” นรกรตอบ

“เป็นอะไรทำไมเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ ฉันหายดีได้กลับบ้านแล้วนายไม่ดีใจเหรอ” วินทร์ทำเสียงตัดพ้อพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหา ใช้สองแขนวางบนไหล่แล้วโอบรอบตัวไว้หลวมๆ “ไม่คิดถึงกันเลยเหรอ... หืมมม แต่ฉันคิดถึงนะ ขอจูบทีนึงสิ” กระซิบที่ข้างหูก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้

และตอนที่ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกันนั่นเอง นรกรก็ยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายไว้ พร้อมกับจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง

“เป็นอะไร หรือว่างอนอะไรฉันอีกเหรอ” วินทร์พยายามง้อทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร

นรกรลดมือลงก่อนจะหยิบท่อนแขนที่วางพาดอยู่บนบ่าทั้งสองข้างออกจากตัวแล้วถอยหลังห่างออกไปสองก้าว เขายังคงมองสบตาอีกฝ่ายไว้แล้วกล่าวออกไป “คุณเป็นใครกันแน่ครับ”

“นายเป็นอะไรฮาร์ฟ ฉันก็วินทร์แฟนนายไง” เขามีสีหน้าตกใจไม่น้อยกับท่าที่ที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า วินทร์พยายามจะเดินเข้าไปหา แต่อีกฝ่ายก็ถอยหลังหนีแบบก้าวต่อก้าวจนเขาจนใจที่จะตาม

“คุณไม่ใช่พี่วินทร์” นรกรบอกเสียงดังฟังชัด “ร่างกายคุณอาจเป็นพี่วินทร์ก็จริง แต่วิญญาณไม่ใช่”

“นี่นายจะบ้ากันไปใหญ่แล้วนะ!” วินทร์เริ่มเสียงดัง “มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ก็ฉันยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้านายนี่ยังไง”

“ไม่ใช่ครับ” นรกรพูดซ้ำ “เพราะพี่วินทร์ตัวจริงยืนอยู่ตรงนี้ต่างหาก” พร้อมกับชี้มือไปตรงที่ว่างข้างตัว แต่ในสายตาของเขามีร่างโปร่งแสงร่างหนึ่งซึ่งตามมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงพยาบาลยืนอยู่

“ฮาร์ฟ!” ร่างโปร่งแสงหรือวินทร์ตัวจริงร้องเสียงดัง “ถ้าเห็นกันก็ส่งสัญญาณบอกกันบ้างสิ นายรู้ไหมว่าทำฉันใจเสียแค่ไหน ตอนที่เห็นนายนอนจับมืออยู่กับหมอนั่นน่ะ แถมเรียกแทบตายก็ไม่สนใจ”

“ผมเองก็ตกใจไม่แพ้พี่วินทร์น่ะแหละ ที่ลืมตามาเห็นคนอื่นอยู่ในร่างพี่วินทร์” นรกรบอก “แล้วผมจะบอกใครได้ล่ะ ว่านี่ไม่ใช่พี่วินทร์ โรงพยาบาลเราไม่มีหมอสายไสยศาสตร์เสียด้วยไม่งั้นผมคงโทรตามให้มาช่วยแล้ว สุดท้ายก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยพากลับมาบ้านก่อนนี่ไงครับ”

“มุกนี้เฉียบ” วินทร์หัวเราะชอบใจกับคำว่าหมอสายไสยศาสตร์ การที่นรกรยังมองเห็นและพูดคุยกับเขาได้นั่นทำให้โล่งใจจนเกือบจะลืมไปว่าปัญหาจริงๆ คือการที่ร่างของเขาถูกวิญญาณดวงอื่นแย่งไป

“โอ้ นี่นายมองเห็นหมอนั่นจริงๆ สินะ” วิญญาณที่อยู่ในร่างวินทร์ว่า

“ไม่ใช่แค่พี่วินทร์ แต่ผมเห็นทุกอย่างรวมทั้งรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของคุณด้วย” นรกรบอก “แล้วนี่คุณมาสิงร่างพี่วินทร์ได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

“น่าสนใจนี่” วิญญาณในร่างวินทร์ตอบ “ฉันก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงดีดหมอนี่ออกไปได้ง่ายนัก บางทีอาจเป็นเพราะมีคนมีความสามารถพิเศษอย่างนายอยู่ด้วยก็ได้ เคยได้ยินมาว่าคนพวกนี้มักดูดกินพลังงานชีวิตคนที่อยู่รอบตัว”

“ฮาร์ฟไม่ได้ดูดพลังชีวิตอะไรฉันทั้งนั้น” วินทร์แทรกขึ้น “มันน่าจะเป็นเพราะฉันเคยมีประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วครั้งหนึ่งมากกว่า ก็เลยทำให้นายมาสิงได้ง่ายๆ ไม่ได้เกี่ยวกับฮาร์ฟเลยสักนิด”

“เห ปกป้องกันดีจังเลยนะ ชักสนุกซะแล้วสิ”

“บอกความต้องการของคุณมา” นรกรรีบดึงเข้าเรื่อง “คุณเป็นใครแล้วต้องการอะไรกันแน่ถึงได้มาสิงพี่วินทร์แบบนี้”

“ฉันต้องการร่างกาย”

“ไม่มีปัญหา ผมจะไปตามหาร่างคุณให้”

“ฉันไม่ได้อยากตามหาร่าง” วิญญาณในร่างวินทร์บอก “ฉันรู้ดีว่าร่างของฉันอยู่ที่ไหน มันบาดเจ็บสาหัสจนทนพิษบาดแผลไม่ไหวและถูกเผาไปหลายสิบปีแล้ว”

“แล้วคุณต้องการอะไร”

“ฉันก็บอกพวกนายไปแล้วไง” วิญญาณในร่างวินทร์บอก “ฉันแค่อยากได้ร่างของหมอนี่... ฉันต้องการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”

*****************************************TBC************************************************

Talk

คืนค่ะ!
แลดูเอาไว้นานจะเราจะกลายเป็นคนใจร้ายไปจริงๆ 555
ตอนนี้ร้อนมากนะขอบอกระวังมือพอง เพราะเรากลับมาใช้วิธีแต่งสดลงสดในมือถือแบบเดิมอีกแล้ว(หาเรื่องเป็นoffice syndromeอีกรอบ หลังจากรักษาหายไปแล้ว555)

ตอนต่อจากนี้ไป อาจจะไม่ยาวมากดูไม่สมศักดิศรีเราเท่าไหร่นะคะ (ปกติตอนหนึ่งของเราตั้งไว้ที่ 9-12 หน้า) เพราะเราได้รับคอมเมนต์มาพอสมควรเรื่องการตัดเวลาไปมาในภาคที่แล้ว และอันนี้ก็จะมีการดัดเวลาไปมาอีกเช่นกัน เลยจะลองปรับดูนิดหน่อยจะได้อ่านได้ง่ายขึ้น และเราก็คิดว่าอาจจะมีข้อดีตรงที่ไม่กดดันตัวเองมากด้วยความยาวที่ลดลง

เราไม่ได้ลืมCheckmateนะคะยังคงแต่งคู่กัน จะลงสลับๆ กันไป แต่อันนี้อาจจะไวกว่านิดนึงด้วยเหตุผลอย่างที่บอกไปว่ามันติดอยู่ในใจเรานานแล้ว ดังนั้นพวกฉากหรือคำบรรยายมันจึงค่อนข้างลื่นไหลกว่า

ปล.ขอพูดนิดนุงว่าที่แต่งเยอะๆ นี่ไม่ได้ว่างนะคะ แค่อยากลองชาเลนจ์ตัวเองดู มันก็สนุกดีแล้วก็คิดว่าคนอ่านคงสนุกไปกับเราด้วย ถึงเวลานอนจะลดลงก็ตาม555
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 16-05-2018 21:24:01
ผีในโรงพยาบาลมาสิงวินทร์หรือเปล่า ดูเหมือนจะรู้จักฮาร์ฟ วินทร์ พอสมควร ฟื้นมาถึงได้เนียนเชียว
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 16-05-2018 21:32:35
อยากกลับมามีชีวิต
โดยแย่งร่างคนอื่นนะหรือ
 :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 16-05-2018 21:59:14
อ่า หมอวินทร์ของเจ้ ทำไมกลายเป็นวิญญาณอีกแล้ว -,-
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 16-05-2018 22:24:13
 :hao7: เร่ร่อนเป็นสิปปีมาแย่งร่างหมอวินทร์ได้ไงนี่
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-05-2018 22:38:35
อูยยยยยย.......มีวิญญาณเร่ร่อนมาสิงร่างวินทร์    o22 o22 o22
เป็นคนอื่นคงไม่มีใครรู้   :fire: :fire: :fire:
แถมเนียนจะลวนลามฮาร์ฟซะด้วย
ดีว่าเป็นฮาร์ฟ เลยรู้  ไล่ก็ไม่ไป  :z6:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-05-2018 22:45:26
อ้าว

หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 16-05-2018 22:49:14
โอยยยยยย จะนอนหลับมั้ยเนี่ย
ตาค้างเพราะความอยากรู้ต่อเลยค่า *_*
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 16-05-2018 23:32:24
 o12 o12 o12
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 16-05-2018 23:55:23
เรื่องนี้น่าติดตามก็เพราะแบบนี้
เวลาอ่านก็ต้องค่อยๆ อ่าน
และมักจะต้องกลับไปอ่านย้อนตลอด
นี่ว่าจะกลับไปอ่านตั้งแต่ต้น
ว่าแต่อิที่มาสิงนี่ ใคร?
ทำไมเป็นแบบนี้ ต้องพาเข้าวัด
สงสารพี่วินทร์ ต้องลอยไปลอยมา

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 17-05-2018 03:13:38
โอ๊ย ทำไมเป็นแบบนี้ ฮือ อยู่นอกร่างนาน ๆ จะไหวมั้ย แล้วจะไล่วิญญานนี่ไปยังไง แล้วจะกลับเข้าร่างยังไง วิญญานนี้น่าจะตามมาระยะนึงแล้ว เลยรู้ข้อมูลของสองคนนี้
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-05-2018 07:22:29
ต้องแย่งร่างกลับมายังไงละทีนี้  o22 o22
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 17-05-2018 20:37:36
ตายค่ะ บอกได้เลยว่าค้างคาใจทุรนทุรายจนเกือบดิ้นตาย อีกแล้วคุณทำให้นักอ่านอย่างเราติดกับคุณเหมือนเดิมค่ะ ยังคงสไตล์เดิมมาแบบมีปมชวนให้คิดภาษาสวยแถมลื่นไหลนึกเห็นภาพตามได้ไม่ยาก แค่เริ่มก็สนุกแล้วชวนติดตามมากค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 19-05-2018 17:14:56
 :a5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่2 Awake P.25 [16/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-05-2018 16:52:22
บทที่ 3 Fate

“คุณเป็นใครครับ” นรกรถาม

“ตอนนี้ฉันก็เป็นเจ้าหมอนี่ไง” วิญญาณตอบกวน

“คุณจะไม่ออกจากร่างพี่วินทร์จริงๆ เหรอครับ”

“เซ้าซี้อยู่นั่นแหละ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ออก... พวกแกอยากให้ฉันออกนักเหรอ ได้!” วิญญาณตนนั้นบอกก่อนจะหันมองซ้ายขวาเห็นมีดปอกผลไม้เล่มหนึ่งวางอยู่จึงหยิบมาจ่อที่ข้างคอตัวเอง

“เฮ้ย! ไอ้ผีบ้านั่นแกคิดจะทำอะไรน่ะ!” วินทร์ร้องเสียงดัง

“ใจเย็นๆ นะครับ วางมีดลงก่อนมีอะไรเราค่อยพูดค่อยจากันก็ได้” นรกรพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“อยากให้ฉันออกไป มีวิธีเดียวคือทำให้ร่างนี้หยุดลมหายใจอีกครั้ง… หรือพูดง่ายๆ ก็คือฆ่าหมอนี่ทิ้งซะ” มันบอกพร้อมกับกดคมมีดลงบนผิวเนื้อจนเลือดไหลซิบ “อยากให้ทำอย่างนั้นไหมล่ะ”

“หยุด! ผมบอกให้หยุดไง!”

“ไม่อยากได้ร่างคืนแล้วหรือไง” วิญญาณหัวเราะหึในลำคอก่อนจะโยนมีดลงบนพื้นตรงหน้านรกรอย่างแรง “ฉันไม่ออก และถ้าพวกแกอยากได้ร่างนี้คืนนักทางเดียวก็คือฆ่าฉันให้ตายเท่านั้น จำใส่กะโหลกไว้ซะ!” แล้วมันก็หัวเราะร่วนอย่างสะใจราวกับคนวิกลจริตก่อนจะเดินไปนั่งแผ่หราอยู่บนโซฟา “ฉันจะอยู่ในร่างนี้ และจะอยู่ที่นี่ด้วย”

“ไอ้ผีเฮงซวยเอ๊ย!” วินทร์สบถ

“พี่วินทร์ใจเย็นๆ นะครับ” นรกรกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคนพร้อมกับก้มลงเก็บมีดเอาไปไว้ไกลๆ มือ “ผมจะหาทางช่วยพี่วินทร์ให้ได้ เราลองไปหาอาจารย์องค์อินทร์กันไหมครับ” นรกรออกความเห็น เขาแค่คุยกับผีได้แต่ไล่ไม่เป็น และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาผีพวกนี้ก็ไม่ได้กลัวพระหรือเครื่องรางของขลังเสียด้วย

วินทร์เงียบไปอึดใจ “ก็คงต้องพึ่งเขาแล้วล่ะ”

“แต่ว่าเราจะเอายังไงกับเขาดีล่ะครับ” นรกรถามเสียงเครียดพลางพยักเพยิดไปยังคนที่หยิบรีโมททีวีขึ้นมาพลิกดูอย่างสนอกสนใจ “จะปล่อยไว้แบบนี้เหรอครับ”

“ตามที่มันบอกว่าอยากได้ร่างกับที่อยู่ มันคงไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายกับร่างของฉันหรอก เอาเป็นว่านายไปเก็บพวกของมีค่าใส่กุญแจล็อกไว้ดีๆ ก่อนละกัน เดี๋ยวมันขโมยหรือทำพังไปจะแย่”

“ได้ครับ”

“ตามสบายนะ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง” วิญญาณหันมาโบกมือให้ในขณะที่นรกรเดินวนไปรอบๆ ห้องเพื่อเก็บข้าวของสำคัญซึ่งมีแค่ไม่กี่ชิ้นอย่างคอมพิวเตอร์โน้ตบุคเพราะมีรายงานกับแผนการสอน และเอาสมุดบัญชีกับบัตรต่างๆ มาเก็บไว้กับตัว นอกจากนั้นในห้องก็มีแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วๆ ไปก่อนจะคว้ากุญแจรถมินิคูเปอร์

ในขณะที่กำลังจะออกจากห้องนรกรก็ยังคงลอบมองร่างของวินทร์ที่กำลังกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปมาอย่างเป็นกังวล ไม่แน่ใจว่าควรจะทิ้งไว้แบบนี้ดีไหมจนกระทั่งวินทร์พยักหน้าให้ไปเขาจึงยอมปิดประตูในที่สุด หากก็ไม่ลืมล็อกกุญแจห้องจากด้านนอกไว้ด้วยเป็นการป้องกันอีกชั้น อย่างน้อยก็จะได้อุ่นใจว่าเมื่อกลับมาร่างของวินทร์จะยังอยู่ในห้อง

oooooo

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวมาจอดลงหน้าบ้านทรงไทยสองชั้น นรกรเปิดประตูก้าวลงจากรถ นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองไปบนยอดกาแลตรงจั่วหลังคามีกาตัวใหญ่เกาะอยู่ นัยน์ตาสีอำพันของมันจับจ้องมาที่พวกเขา

นรกรรู้สึกใจคอไม่ดีชอบกล เขาหันไปหาร่างโปร่งแสงของวินทร์ที่มีสีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก แล้วก็คิดได้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องเข้มแข็ง เขาจะมาทำตัวเหลาะแหละให้วินทร์ต้องเป็นห่วงอีกไม่ได้ เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อตั้งสมาธิก่อนจะออกเดินนำเข้าไปในบ้าน

กว่าจะขึ้นมาบนบ้านได้ก็ผ่านพิธีกรรมรมธูปเหมือนครั้งก่อน ซึ่งทำเอานรกรไอโขลก ตาแสบร้อนไปหมด

ชายในชุดนุ่งขาวห่มขาวผู้ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับแขกพาพวกเขาเดินผ่านชานบ้านที่วันนี้ไม่มีใครเข้าไปยังห้องด้านในที่เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลังซึ่งเขาเคยมาเมื่อครั้งก่อน

“ว่าไงพ่อหนุ่ม” ร่างทรงเจ้าของหนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวในชุดสีขาวปลอดทักทาย “มาเยี่ยมหากันทั้งทีทำไมมาในสภาพนี้ล่ะ”

“ไหนว่าดูดวงแม่นไงครับ แล้วมาถามผมทำไม” วินทร์ว่า

“พี่วินทร์” นรกรเอ็ดเบาๆ มาขอร้องให้เขาช่วยยังจะปากดีอีก

“ก็เพราะรู้น่ะสิถึงได้ถาม” อาจารย์องค์อินทร์เว้นวรรคไปพร้อมกับจ้องตาร่างโปร่งแสงตรงหน้าเพื่อเป็นการทวงถามถึงคำที่เคยคุยกันไว้เมื่อสิบสองปีก่อน “ฉันเตือนพ่อหนุ่มแล้วไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่ตอนนั้น ว่ากลับมาแล้วต้องเจอกับอะไรบ้าง และเป็นพ่อหนุ่มเองที่ยืนยันว่าจะกลับมา ในเมื่อพ่อหนุ่มเชื่อมั่นว่านี่คือพรหมลิขิต ทั้งที่มันคือกรรมลิขิตแท้ๆ”

“พูดมากไปแล้วนะครับ” วินทร์กระซิบลอดไรฟัน

“หมายความว่าไงครับ” นรกรรีบแทรกขึ้น “ที่บอกว่าเป็นกรรม…”

“กลับกันเถอะฮาร์ฟ ดูท่าว่าเขาจะช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก” วินทร์ตัดบทพร้อมกับกลับหลังหันเดินไปที่ประตู

นรกรมองร่างโปร่งแสงที่หยุดยืนรออยู่แล้วหันกลับมาหาร่างทรงที่นั่งประสานมือมองดูพวกเขาอยู่ นึกเสียดายที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง มีเรื่องอยากจะถามต่อว่าที่ทั้งสองคุยกันนั้นมีความหมายอะไรกันแน่ หากสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเชื่อใจวินทร์

“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ อ้อ! แล้วอาทิตย์หน้าอย่าลืมมาหาหมอตามนัดนะครับ เดือนก่อนคุณก็ผิดนัดผมมาครั้งหนึ่งแล้ว” นรกรทิ้งท้ายก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ไปหาวินทร์

“ยังจะห่วงเรื่องมาไม่มาตามนัดอีกนะ” วินทร์ดุไม่จริงจัง หนักไปทางเอ็นดูเสียมากกว่า

“ก็พอดีผมนึกขึ้นได้นี่ครับ”

“พ่อหนุ่มยังจำได้ใช่ไหม วิธีตัดกรรมที่เคยบอกไป” อาจารย์องค์อินทร์พูดตามหลัง

วินทร์ก้าวสะดุดทันที “เรื่องไร้สาระแบบนั้นใครจะไปจำ” เขาพูดเสียงดังก่อนจะเดินจ้ำพรวดลงบันไดไป

ลงมาถึงรถวินทร์ก็พุ่งเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับ นรกรเปิดประตูตามขึ้นมา เขากดปุ่มสตาร์ทรถเตรียมจะเข้าเกียร์ขับออกไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจดับเครื่องและหันไปหาร่างโปร่งแสงที่ดูหงุดหงิดพิกล อีกทั้งการที่ทำตัวเสียมารยาทถึงขนาดเดินหนีมาแบบนั้นมันก็ดูไม่ค่อยสมเป็นคนที่ชอบเผชิญหน้าอย่างวินทร์เท่าไหร่ “พี่วินทร์ เล่าให้ผมฟังสิครับว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”

วินทร์ทำเป็นหันไปมองวิวนอกหน้าต่างทั้งที่รถยังไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน “ไม่มีอะไรหรอกฮาร์ฟ เรื่องมันตั้งนานมาแล้ว”

“มันต้องมีสิ มาถึงป่านนี้แล้วพี่วินทร์จะปิดผมทำไมครับ บอกมาสิว่ามีอะไรเราจะได้ช่วยกันแก้ไข”

วินทร์เงียบไปอึดใจ เคยตั้งใจว่าจะให้มันเป็นความลับติดตัวที่ตายตามเขาไปในสักวัน แต่ในเมื่อสักวันที่ว่านั้นมันมาถึงเร็วกว่าที่คิด เขาก็คงไม่มีทางเลี่ยงอีกแล้ว วินทร์หันหน้ากลับมาช้าๆ สบนัยน์ตาสีอ่อนที่เขาหลงรักมานานหลายปี ยังคงรู้สึกลำบากใจที่จะพูดหากก็ค่อยๆ เล่าออกไป “สิบสองปีก่อน วันที่ฉันเลือกว่าจะอยู่หรือไป… เขาบอกฉันว่าทั้งบุญและกรรมของฉันชดใช้กันหมดแล้ว จะไปเกิดใหม่เพื่อสะสมบุญหรือจะกลับมาก็ได้ แต่ถ้าเลือกที่จะกลับมาก็เท่ากับฉันยอมให้เอาห่วงมาผูกคออีกครั้ง”

“ห่วงที่ว่านั่นคืออะไรครับ” นรกรถามต่อ

วินทร์เงียบไปอีกครั้ง เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะพูดต่อ “นายเคยได้ยินคำโบราณคำหนึ่งไหมที่ว่า ‘น้ำตาทำให้คนตายมีห่วง’”
นรกรพยักหน้าช้าๆ

“ตอนนั้นฉันเหมือนคนตายไปแล้วฮาร์ฟ และฉันเลือกที่จะกลับมาเพราะฉันทนเห็นน้ำตานายไม่ได้”

นรกรนิ่งไปเมื่อเข้าใจความหมายของมัน เขารู้ว่าวินทร์ต้องผ่านความลำบากอะไรมาบ้างเพื่อมาเจอกับเขา แต่ที่เขารับรู้มานั่นคงไม่ถึงครึ่งของความจริงที่วินทร์ต้องเผชิญสินะ

“ไม่ต้องรู้สึกผิดฮาร์ฟ อย่าคิดมาก ไม่มีความสุขใดได้มาฟรีๆ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันยอมแลกมามันแสนคุ้มค่า เพราะมันทำให้ฉันได้มาเจอและรักกับนาย” วินทร์บอก

“ถึงว่าสิ พี่วินทร์ดูตกใจก็จริงที่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้แต่ก็ไม่ได้โวยวาย หรือกังวลมากอย่างที่ควรจะเป็น ที่แท้ก็พอจะรู้อยู่แล้วนี่เอง”

วินทร์พยักหน้า “ก็เตรียมใจมาตลอดล่ะนะ เพราะฉันไม่รู้ว่าเวลาที่ได้คืนมาอีกครั้งมันเหลือมากน้อยแค่ไหน นี่คือเหตุผลที่ฉันอยากอยู่กับนายให้มากที่สุด จนบางครั้งก็เยอะเกินไปจนดูไร้สาระบ้าง ขอโทษนะถ้าทำให้อึดอัด ฉันมันคนเห็นแก่ตัวน่ะ”

“แต่เรายังมีทางแก้ใช่ไหม วิธีตัดกรรมที่อาจารย์บอก”

วินทร์พยักหน้า

“บอกผมมาสิครับว่าวิธีที่ว่าคืออะไร” นรกรถาม “บอกมาครับ ผมยอมทำทุกอย่างเลยถ้ามันจะช่วยพี่วินทร์ได้”

“ไม่ต้องลำบากหรอกฮาร์ฟ”

“ไม่ลำบากอะไรเลยครับ” นรกรบอกหนักแน่น “ถ้าหากพี่วินทร์ยังยืนยันว่าการพบกันของเราคือพรหมลิขิต ผมก็จะทำแน่ใจว่านั่นไม่ใช่ห่วงกรรม แต่มันคือคำสัญญาของเรา” เขาพูดพร้อมกับขยับแหวนเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายที่แทบไม่เคยถอดออกจากนิ้วนับจากวันที่ได้รับมาจากคนตรงหน้า

วินทร์หลุบตาลงมองแหวนเงินที่เป็นคู่กันบนมือของตนก่อนจะตวัดขึ้นสบตานรกร แววตามุ่งมั่นจริงจังที่จะช่วยเขาให้ได้ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี มันก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจนนิดเดียว

ความรู้สึกตื้นตันเอ่อล้นขึ้นเต็มหัวใจ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ชีวิตถึงจุดตกต่ำเขายังมีใครสักคนที่อยู่เคียงข้างเขา ทว่า ก็กลับมีอีกคำถามผุดขึ้นมาในใจ ว่าแล้วเขาจะต้องทำให้คนที่เขารักต้องมาทนลำบากเพื่อเขาอีกสักกี่ครั้งกัน

เมื่อรู้แล้วว่าคงไม่มีใครช่วยได้ตามคำพระที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ระหว่างเดินทางกลับบ้านทั้งสองก็ลองขบคิดหาวิธีไปเรื่อยๆ
“แล้วเราจะทำยังไงให้หมอนั่นยอมออกจากร่างฉันในเมื่อมันบอกว่าอยากมีชีวิต แล้วร่างเก่ามันก็โดนเผาไปแล้ว...หาร่างให้ใหม่เหรอ งั้นเราลองไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ห้องฝากศพไหมเผื่อว่าจะมีพวกศพไร้ญาติอะไรแบบนี้” วินทร์เสนอ

“ไปถึงที่นั่นถ้าไม่โดนแช่แข็งก็ฉีดฟอร์มาลีน” นรกรว่า “แบบนั้นใช้ไม่ได้หรอกครับ และพอลองคิดตามหลักแล้ว ถ้าสมองขาดออกซิเจนนานเกินสี่นาทีจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ แบบนั้นผมว่าต่อให้วิญญาณเข้าร่างได้ก็ฟื้นมาในสภาพพิการหรือเป็นผักอยู่ดี ซึ่งเจ้าผีนั่นก็คงไม่ยอมแน่ๆ ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากรู้คือทำไมมันถึงเลือกพี่วินทร์มากกว่า”

วินทร์นิ่วหน้านึกอยู่อึดใจ “หล่อ”

“อย่ามาตลกครับ” นรกรว่า นึกอยากหยิกให้เนื้อขาดจริงๆ ถ้าหากว่าทำได้ละก็

“ก็ฉันคิดไม่ออกแล้วนี่นา” วินทร์ถอนหายใจ “เราลองมองโลกในแง่ดีนะ พอกลับไปถึงบ้านมันอาจจะออกร่างฉันไปแล้วก็ได้”

“แบบนั้นจะดีได้ยังไงครับ พี่วินทร์ไม่ได้ฟังที่ผมพูดเรื่องสมองตายเพราะขาดออกซิเจนเลยใช่ไหม”

“วันนี้อาจารย์ดุจัง ลูกศิษย์กลัวจนหัวหดแล้วนะครับ” วินทร์จุ๊ปากพร้อมกับหลิ่วตา นั่นทำให้ใบหน้าที่เคร่งเครียดของนรกรผ่อนคลายลงบ้าง ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเขายังไม่เห็นนรกรยิ้มเลยสักครั้ง แล้วนับจากนี้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกบ้างก็ไม่รู้ หลังจากฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลเมื่อสิบสองปีก่อนตัวเขาค่อนข้างทำใจไว้เยอะแล้วจริงๆ อย่างที่บอกไป แต่เขาไม่ได้ทำใจและทำใจไม่เลยถ้าต้องมาเห็นคนที่รักต้องมาเป็นทุกข์เพราะเรื่องของเขา

ทั้งสองเดินมาหยุดหน้าประตูห้อง นรกรกำลังไขประตูเตรียมจะเข้าไป วินทร์ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

“ฮาร์ฟอย่าเพิ่งเข้าไป”

“มีอะไรเหรอครับ”

“ฉันได้กลิ่นแปลกๆ นายรออยู่ตรงนี้แหละเดี๋ยวฉันจะเข้าไปดูก่อน”

“แบบนั้นจะรอได้ยังไงครับ ถ้าเกิดเจ้าวิญญาณนั่นมันทำอะไรกับร่างพี่วินทร์ล่ะ” นรกรไม่ฟังคำทัดทานและเปิดประตูพรวดเข้าไป นัยน์ตาสีอ่อนกวาดมองไปรอบๆ รวดเร็ว ในห้องตรงส่วนพื้นที่รับแขกทุกอย่างดูปกติดี มีแค่ทีวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้ แต่ไม่มีร่างของวินทร์นั่งอยู่ตรงโซฟาเหมือนครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนออกไป “หายไปไหนนะ”

“ฮาร์ฟ นายรออยู่ตรงนี้แหละ” วินทร์พยายามคว้าตัวคนตัวเล็กกว่าแต่ก็คว้ามาได้เพียงความว่างเปล่า เขากำหมัดแน่นด้วยความขัดใจก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ตามหลังนรกรที่เดินไปทางห้องครัว “ฮาร์ฟ! รอด้วย อย่าไปคนเดียวสิ”

สิ่งที่นรกรกลัวที่สุดคือการที่วิญญาณร้ายนั่นจะทำร้ายร่างของวินทร์ เขาจึงมองหาที่เก็บมีดเป็นที่แรก เห็นมีดทุกเล่มยังอยู่ครบดีในช่องเสียบก็ถอนหายใจไปเปลาะหนึ่ง กำลังจะเดินออกจากครัวไปหาในห้องอื่นหูก็แว่วได้ยินเสียงกุกกักมาจากด้านใน เขาละสายสายตาจากมีดหันไปมองหาต้นตอของเสียงซึ่งมาจากหลังประตูตู้เย็น

ระยะหลังมานี้วินทร์ค่อนข้างชอบทำอาหารเป็นพิเศษและเน้นไปทางอาหารเพื่อสุขภาพ เขาจึงลงทุนซื้อตู้เย็นแบบสองประตูคู่ขนาดยี่สิบคิวไว้เพื่อใช้แช่ของสดที่เขาซื้อมาตุนไว้มากมายมีทั้งผัก ผลไม้ ปลาเป็นตัวๆ และอกไก่แช่แข็งอีกหลายแพค

ภาพที่นรกรเห็นทีแรกคือประตูถูกเปิดคาไว้ และเพราะตอนนี้เริ่มเย็นมากแล้ว ข้างนอกเริ่มเป็นเวลาโพล้เพล้ อีกทั้งในห้องก็ไม่ได้เปิดไฟสักดวง แสงไฟสีขาวจากในตู้เย็นจึงส่องกระทบให้เห็นเงาสีดำทอดยาวไปบนพื้น เขาค่อยๆ เดินอ้อมไปด้านหลังอย่างระแวดระวัง และภาพที่ปรากฏสู่สายตานั้นแทบทำให้เขาล้มทั้งยืน

ตั้งแต่จำความได้ เขาเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นมาทั้งชีวิต ทั้งภูติผี วิญญาณเร่ร่อน หรือสัมภเวสีที่มาในสภาพสวยงามและไม่น่าพิศมัย ซึ่งเขาชินชากับภาพเหล่านี้แล้ว แต่ไม่ใช่กับภาพวิญญาณที่อยู่ในร่างของคนที่เขารักนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ใบหน้าเลอะเศษอาหารมอมแมม สองมือถือชิ้นเนื้อไก่ดิบและกัดกินอย่างตละตะกลาม รอบตัวมีเศษซากของที่มันกินเหลือทิ้งไว้เต็มพื้นทั้งกระดูก ปลาที่ถูกแทะจนแหว่งวิ่น เปลือกไข่แตกกระจายเละเทะ

“คุณ... ทำ... อะไร” นรกรพยายามตั้งสติถามออกไป

วิญญาณในร่างวินทร์ค่อยๆ หันกลับมามองเขาด้วยนัยน์ตาขวางๆ ของมัน แล้วโยนกระดูกไก่ที่แทะเนื้อจนหมดทิ้งลงพื้นก่อนจะแลบลิ้นเลียปากที่เป็นคราบมันและลุกขึ้นยืน “ฉัน... หิว...” เสียงนั้นเป็นของวินทร์ก็จริงแต่ก็แหบแห้งจนน่ากลัว มันค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาหาเขาช้าๆ

“ฮาร์ฟอันตราย ถอยไป อย่าไปยุ่งกับมัน” วินทร์พยายามเรียกแต่นรกรไม่ฟังเขาทิ้งร่างวินทร์ไว้แบบนี้ไม่ได้

“ถ้าหิวผมทำอะไรให้กินไหม... กินสดๆ ท้องจะเสียเอานะครับ”

“อาหารเหรอ” มันถาม

“ใช่ครับ ผมจะทำอาหารให้” นรกรพูดซ้ำ “คุณบอกว่าอยากกลับมามีชีวิต... อยากเป็นคนไม่ใช่เหรอ คนเป็นๆ เขาไม่กินของดิบๆ กันหรอกนะครับ”

“แต่... ฉัน... หิว...”

“ก็กำลังจะทำให้นี่ไงครับ วางลงก่อนสิ” นรกรพยายามปะเหลาะ “นะครับ”

“จริงนะ”

“ผมจะโกหกทำไมล่ะครับก็คุณสิงร่างพี่วินทร์อยู่” นรกรบอก “เอางี้เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาคุณไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะครับ ชุดเปื้อนหมดแล้ว แล้วระหว่างนี้ผมจะทำอาหารให้กิน ตกลงนะ”

มันเคี้ยวปากแจ๊บๆ อย่างช่างใจก่อนจะตอบรับ “อย่าโกหกล่ะ”

“ห้องน้ำอยู่ด้านใน ของในนั้นใช้ได้ตามสบาย แล้วผมจะเตรียมชุดใหม่สะอาดๆ ไว้ให้นะครับ”

แล้วมันก็เดินดูดนิ้วที่เปรอะเปื้อนผ่านหน้านรกรไปทางห้องน้ำ

คล้อยหลังวิญญาณร้าย ร่างโปร่งแสงก็ถอนหายใจเสียงดังแล้วหันไปหาคนใจกล้า “นายนี่มันสุดยอดจริงๆ แต่ฉันขอร้องล่ะอย่าทำแบบเมื่อกี้บ่อยๆ นะฉันหัวใจจะวาย”

“สบายมากครับ พี่วินทร์อย่าลืมสิว่าผมอยู่กับพวกนี้มาแต่เด็กนะ” นรกรบอก “พี่วินทร์ไปเฝ้าหมอนั่นไว้เถอะ ผมจะเก็บของ”

“แล้วนายจะทำอะไรให้มันกิน เละเทะเสียขนาดนี้”

“โทรศัพท์มีไว้ทำไมครับ เดี๋ยวผมสั่งพวกเดลิเวอร์รี่มาส่งเอาก็ได้”

“พ่อคนฉลาด” วินทร์บอกก่อนจะพุ่งไปทางห้องน้ำ ตอนนั้นเองที่เขานึกขึ้นได้ว่าจดเบอร์ของร้านอาหารตามสั่งหน้าคอนโดไว้และหันกลับมาเพื่อจะบอก ทว่าภาพที่เขาเห็นกลับไม่ใช่คนใจกล้าที่ยืนเจรจากับผีเมื่อสักครู่ แต่เป็นแค่ผู้ชายตัวผอมบางคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าลงกับพื้น มือซึ่งกำลังยื่นออกไปเก็บกวาดของทิ้งสั่นน้อยๆ จนเจ้าตัวต้องดึงมากำไว้แน่นให้หายสั่น วินทร์เม้มปากแน่น อยากโผเข้าไปปลอบหากก็พูดอะไรไม่ออกและเขาคิดว่านรกรเองก็กำลังพยายามไม่ทำตัวอ่อนแอให้เขาเห็น ดังนั้นการที่เขาเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปอาจจะเป็นการดีเสียกว่า

อึดใจต่อมาวิญญาณในร่างวินทร์ก็อาบน้ำเสร็จใส่ชุดนอนออกมา ทันทีที่เห็นอาหารบนโต๊ะมันก็พุ่งเข้าใส่และกินเอาๆ ราวกับตายอดตายอยากมาหลายปี

“เติมข้าวอีกไหมครับ”

“เอามาอีก” มันคำรามพร้อมกับทำท่าจะเข้ามากระชากหม้อหุงข้าวไป

นรกรรีบคว้าหลบพร้อมกับกล่าวเสียงเฉียบ “อยู่แบบมนุษย์ครับ”

วิญญาณในร่างวินทร์ทำหน้าขัดใจ แต่ก็ยอมยื่นจานเปล่าให้ตักข้าวใส่ เอาทำวินทร์ตัวจริงที่นั่งดูอยู่ข้างๆ ต้องแอบปิดปากหัวเราะ แฟนเขานี่แน่นอนจริงๆ จะว่าไปตัวเขาเองก็โดนปราบซะอยู่หมัดเลยนี่นา นี่ถ้าหากนรกรคุยกับเจ้าผีนี่รู้เรื่องได้จริงๆ ก็คงจะดีสินะ
พอเห็นวิญญาณดูเริ่มจะอารมณ์ดี นรกรก็ลองเลียบเคียงถาม “คุณชื่ออะไรครับ”

“จะรู้ไปทำไม” วิญญาณว่า “ตอนนี้ฉันก็เป็นไอ้วินทร์ แฟนแกไง”

“เราคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอครับ”

“ไม่!” วิญญาณตอบ “เพราะแกกำลังจะหาทางไล่ฉันออกจากร่างนี้”

“ก็มันไม่ใช่ที่ๆ คุณควรอยู่นี่ครับ” นรกรบอก “ไม่คิดจะไปสู่สุขคติเหรอครับ”

“ไม่! ถ้าฉันคิดจะทำแบบนั้นฉันคงไปนานแล้วล่ะ” พูดจบมันก็กระแทกจานข้าวลงบนโต๊ะจนมันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ “อิ่มแล้วฉันจะนอนล่ะ” มันลุกขึ้นแล้วตอนนั้นเองที่ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้และหันกลับมาคว้าต้นแขนนรกรแล้วออกแรงดึงให้ลุกตามมาด้วยกัน

“แกจะทำอะไรน่ะปล่อยฮาร์ฟเดี๋ยวนี้นะ!” วินทร์ตะโกนพร้อมกับวิ่งเข้าไปขวาง พยายามจะกระชากตัวทั้งสองให้แยกออกจากกันแต่ก็คว้าอะไรไม่ได้เลย

“แกจะไปนอนด้วยกันไหมล่ะ หืมมมม ที่รัก”

นรกรออกแรงขืนตัวไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี “ผมจะนอนโซฟา” เขาพูดเสียงดังฟังชัด “แล้วจำไว้ด้วยว่าผมไม่ใช่แฟนคุณ”
ได้ยินดังนั้นมันก็ปล่อยมือแล้วเดินกระทืบเท้าเข้าห้องไป วินทร์หันไปชูนิ้วกลางใส่ตามหลังก่อนจะหันมาดูนรกรที่กำลังลูบแขนซึ่งเป็นรอยจ้ำแดงรูปมือชัดเจน “เจ็บมากไหม”

“นิดหน่อยครับ”

“ฉันเป่าให้นะ” วินทร์บอกพร้อมกับทำแก้มป่องอมลมไว้เต็มแล้วเป่าใส่ท่อนแขนพร้อมกับทำปากขมุบขมิบท่องคาถามั่วๆ ไปด้วย นาทีนี้เขาคงทำได้ดีที่สุดแค่นี้แหละ “ดีขึ้นไหม”

“ครับ” นรกรหัวเราะคิกคักกับท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของร่างโปร่งแสง

วินทร์มองดูคนตรงหน้า ถึงนี่จะยังไม่ใช่ยิ้มที่สดใสนักอย่างที่เขาคาดหวังจะได้เห็นแต่มันก็เป็นยิ้มแรกของนรกรในรอบวัน “ดึกแล้ว นายเองก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ”

เดินเข้าไปในห้องน้ำเห็นเสื้อผ้าที่วิญญาณในร่างวินทร์ถอดทิ้งไว้วางกองอยู่หลังประตู เขาค่อยๆ หยิบมันขึ้นมามันเป็นเสื้อสีครีมตัวที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดตั้งหลายปีมาแล้วจนคอเริ่มเปื่อย หากเจ้าตัวก็ยังชอบเอามาใส่บอกว่าเสื้อเก่าใส่สบาย แต่เขารู้ว่าวินทร์แค่ชอบเพราะเขาซื้อให้ มาตอนนี้โดนเจ้าผีนั่นทำเสียเละเทะจนไม่คิดว่าเอาไปซักหลายๆ ครั้งแล้วก็จะใส่ได้อีก

ขอบตาทั้งสองร้อนผ่าว นรกรกัดปากจนห้อเลือด เขากลั้นใจดันความอ่อนไหวที่กำลังจะทะลักอกมากลับลงไปซ่อนให้ลึกที่สุดในหัวใจพร้อมกับเก็บเสื้อผ้าชุดนั้นทิ้ง... พอไล่เจ้าผีนั่นไปได้ แล้ววินทร์กลับมาเป็นวินทร์ของเขาเมื่อไหร่ อย่าว่าแค่เสื้อตัวเดียวเลย เขาจะเผาเสื้อทุกตัวที่เจ้าผีนั่นสัมผัสทิ้งแล้วเหมาซื้อของใหม่หมดทั้งร้านมาให้วินทร์เลย

หลังจากอาบน้ำเสร็จนรกรก็หอบผ้าห่มมาที่โซฟาในห้องรับแขก เขากราบพระแล้วล้มตัวลงนอนมองฝ้าเพดานในความมืดโดยมีร่างโปร่งแสงของวินทร์นั่งเหยียดขาพิงอยู่บนพื้นข้างๆ ฟังจากเสียงกรนที่ดังออกมาเจ้าวิญญาณไม่รู้หัวนอนปลายเท้านั่นคงหลับปุ๋ยไปแล้ว แต่เขายังไม่ง่วงเลยสักนิด ทั้งที่แทบไม่ได้นอนมาร่วมสามวันแล้ว

“แล้วพรุ่งนี้เราจะเอายังไงกับเจ้าผีนี่ดีครับ” เขาถาม

“ก็คงต้องใช้มุกขังไว้ที่บ้านเหมือนเดิม” วินทร์บอก “นายจะหอบไปทำงานด้วยยังไงล่ะ เจ้าผีนี่ไม่ได้มารยาทดีเหมือนฉันนะ ดูท่าทางตอนมันกินสิ โคตรน่าขยะแขยงเลย”

“เขาคงอดอยากมานาน” นรกรกระซิบ “พรุ่งนี้ผมจะลองไปถามพี่สาวในห้องล็อกเกอร์ดูเผื่อเธอจะช่วยอะไรได้”

“นี่นางยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกเหรอ” วินทร์ถาม
“ก็เห็นนั่งแอบมองน้องๆ เปลี่ยนชุดอยู่” นรกรบอก “จะว่าไป... พี่วินทร์เคยเห็นผู้หญิงตรงบันไดทางขึ้นระหว่างชั้นสองกับชั้นสามไหมครับ”

วินทร์ทำหน้านึกอยู่อึดใจ “เคยเดินสวนกันตั้งแต่สมัยนู้นแน่ะ แต่ไม่เคยคุยด้วย ฉันก็บอกนายแล้วนี่นาว่าไม่มีผีที่ไหนยอมคุยกับฉัน... มีอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าจะแนะนำให้รู้จักน่ะ” 

“พี่วินทร์อยากรู้จักไหมล่ะครับ”

“จะบ้าเรอะ!” วินทร์เอ็ดเบาๆ “ฉันกลัวผีนะ ไม่เอาหรอก”

“แต่ผมเห็นเธอดูเป็นห่วงเป็นใยพี่วินทร์นะ” นรกรบอก “ตอนนั้นเธอก็เป็นคนกระชากขาผมแล้วบอกว่าพี่วินทร์กำลังจะไป ผมก็เลยวิ่งออกไปหาที่สวนถึงจะไม่ทันก็เถอะ แล้วเมื่อวันก่อนตอนที่ผ่าตัดเลิกดึกน่ะ เธอก็ขึ้นมาหาเหมือนกับจะบอกอะไร แล้ววันที่พี่วินทร์เกิดอุบัติเหตุเธอก็ร้องไห้ด้วยล่ะ”

คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “เธอน่าจะเป็นห่วงนายมากกว่า ไม่ได้เป็นห่วงอะไรฉันหรอก”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละครับ”

“ก็นายมีแต่ผีรักนี่นา”

“จริงเหรอครับ ผมไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย”

“จริงสิ อย่างน้อยก็มีคนนึงที่นั่งอยู่ตรงนี้ไง”

นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงนี่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กน้อย คนอะไรขนาดเหลือแค่วิญญาณยังทำให้เขาใจเต้นได้ เขารีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่อีกฝ่ายจะทำให้เขาเลือดลมสูบฉีดไปมากกว่านี้ “นอนไม่หลับน่ะ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”

“เอาแต่ใจจัง แฟนใครเนี่ย” วินทร์บอกพร้อมกับชะโงกตัวไปกดจูบลงหน้าผากแล้วกลับมานั่งลงตามเดิมก่อนจะค่อยขยับริมฝีปากฮึมฮัมเพลงในลำคอ

นรกรยกมือขึ้นจับหน้าผาก มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเย็นวูบเหมือนโดนลมพัด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงอุ่นในใจเขาเสมอ เขาค่อยๆ ขยับตัวหันตะแคงข้างเพื่อมองดูร่างโปร่งแสงนั้นให้ชัดๆ ก่อนจะค่อยๆ ปิดตาลงพาใจล่องลอยไปกับเนื้อเพลงที่วินทร์ร้องและผล็อยหลับไปในที่สุด พร้อมกับคำภาวนาจนสุดหัวใจ ว่าเมื่อแสงของวันใหม่กลับมาจะพาเอาความหวังกลับคืนมาให้พวกเขาด้วย

*****************************************TBC************************************************

Talk
ตอนนี้แต่งยากตรงที่ พาอารมณ์ไปสุดไม่ได้สักทาง จะให้เศร้าจนน้ำตาไหลพรากไปเลยก็ไม่ได้เพราะทั้งคู่อยู่ในจุดที่พยายามจะเข้มแข็งเพื่อกันและกัน เป็นครั้งแรกที่เขียนๆ ไปละแบบ... วินทร์เอ๊ย มุกเสี่ยวแกนี่แป่กจังว่ะ แกจะเล่นแบบนี้จริงๆ เหรอวะ... แล้ววินทร์ก็คงหันมายิ้มแห้งพร้อมกับบอกว่า 'ทำสิ ถ้ามันจะทำให้ฮาร์ฟยิ้มได้'

 ปล. ช่วงนี้ถ้าอัพถี่อย่าเพิ่งเบื่อเก๊านะ เก๊าอยากจะผ่านจุดเศร้านี้ไปเร็วๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-05-2018 18:42:25
อึดอัดจัง ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย แงๆๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Poompim ที่ 20-05-2018 18:44:57
 :sad4: :sad4: :sad4: ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า ขอให้ทั้งคู่ผ่านเรื่องนี้ไปเร็วๆๆด้วยเทิด เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-05-2018 20:15:45
กำจริงๆ  กรรมเวรแท้ๆ  ได้ผีปอบ  :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 20-05-2018 21:12:09
อัพถี่ๆ เลยจ้า รออ่าน  :call:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-05-2018 10:51:54
มาอัพทุกนาทีเลย..ยยยย อยากผ่านไปให้ไวยิ่งกว่า..หัวใจจะวาย  :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 21-05-2018 12:14:51
สู้ๆนะ
ผ่านมาม่าไปเร็วๆเถอะ
สงสาร
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-05-2018 18:55:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 22-05-2018 02:43:16
ปวดจายยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 22-05-2018 07:40:43
จับมือผ่านมันไปด้วยกัน  :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-05-2018 15:40:54
รักยังอยู่
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 23-05-2018 00:47:07
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

ไม่น่าผ่านมาเห็นเลยยย

น่าจะรอให้ผ่านไปหลายๆตอนก่อน

ฮืออออออ

สงสารฮาฟฟฟฟ พี่วินด้วย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 23-05-2018 13:41:21
สงสารน้องฮาร์ฟจังเลยค่ะ ขอให้ไล่ผีบ้าไปได้เร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Milk2537 ที่ 23-05-2018 14:06:16
อ่านเล้าเป็ดมานานแล้วแต่ไม่เคยสมัครสมาชิค นี้มาสมัครเพราะจะบอกว่า...อ่านเรื่องนี้อยู่นะ ให้เค้าได้รักกันสงบๆหน่อย งืออออ  :o12:แล้วก็ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 23-05-2018 14:38:15
โอ้ยยย...อิผี!!!  ผีนั่นมันเป็นใคร  งื้ออออ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 23-05-2018 18:48:59
อัพถี่เลยค่ะ เป็นห่วงทั้งคู่จริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 23-05-2018 23:04:51
ความรู้สึกแรกตอนเห็นว่ามีภาคสองมาต่อด้วยคือดีใจมาก
แต่พออ่านๆ ไปกลับเศร้าเลย แง้ๆๆๆๆ
สงสารฮาร์ฟมากๆ นุ้งรับบทหนักมาก
เอาอิตาผีไม่ดีนี่ออกไปให้ห่างจากนุ้งเดี๋ยวนี้
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 25-05-2018 11:02:05
พอเห็นว่ามาต่อเลยรีบเข้ามาอ่าน
เจอมาม่าชามโตเลย     :hao5:
สงสารฮาฟ ไอ้ผีบ้ารีบๆออกไปเลยนะ  :angry2:
มาต่อเร็วๆนะคะใจจะขาดด  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: boboaje ที่ 27-05-2018 00:15:40
ขนาดตอนพิเศษยังตื่นเต้นเลยนะคะ พี่วินทร์เราเป็นพระเอกสุดเศร้าแห่งปีได้มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 04-06-2018 23:12:01
รู้สึกค้างคา สงสานวินทร์จริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 08-06-2018 11:09:48
ใช้เวลานานมากกกกกก กว่าจะอ่านจบ
ชอบในความมีมิติของตัวละครแต่ละตัว บุคลิกของแต่ละคนมันมีที่มาที่ไปทั้งหมด
ฮาร์ฟเป็นตัวละครที่มีรายละเอียดเยอะมาก และมีสีสันต์มากๆ คนหนึ่ง มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ชื่อจริง ชื่อเล่นที่มันแสดงถึงความละเอียดอ่อน เอาใจใส่ของครอบครัว แต่ครอบครัวของฮาร์ฟโดยเฉพาะพ่อ แสดงออกแบบผิดๆ ไปหน่อย โดยเฉพาะวิธีการเลี้ยงดู แต่โชคดีที่ท้ายที่สุดกลับมาเข้าใจกันได้ ผมชอบตัวละครตัวนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-06-2018 21:59:32
บทที่ 4 บ้าน

คืนนั้นนรกรฝัน มันไม่ใช่ฝันร้ายแต่ก็ไม่ใช่ฝันที่ดีนัก แค่เรื่องราวในวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง

ย้อนกลับไปสมัยเขายังเป็นเด็ก ตอนที่เริ่มรู้ว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็มองเห็น เขาถูกพ่อกับแม่พาไปรักษา เด็กน้อยที่เอาแต่นั่งก้มหน้าไม่อยากคุยกับใครเพราะไม่รู้ว่านี่คนหรือผี เบื่อที่ต้องตอบคำถามเดิมๆ ว่า “ยังเห็นอยู่ไหม” และสิ่งที่เกลียดที่สุดก็เห็นจะเป็นยาเม็ดขมบาดคอซึ่งโดนบังคับให้กินวันสามเวลาหลังอาหาร

เด็กชายตัวผอมบางนั่งอยู่ที่ระเบียง ตาสีน้ำตาลอ่อนหลุบลงมองเม็ดยากลมๆ ที่แอบกำแน่นอยู่ในมือ เขาเบะปากใส่ก่อนจะเหลือบมองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคนก็ตั้งท่าจะปาทิ้ง

แล้วตอนนั้นเองที่จู่ๆ ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นก็เดินมานั่งลงข้างๆ

มันเป็นเรื่องปกติที่โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์จะมีนักเรียนแพทย์ขึ้นฝึกงาน เด็กชายแอบมองทางหางตา เพราะเกิดในครอบครัวอาจารย์แพทย์เขาจึงคุ้นเคยกับนักเรียนแพทย์เป็นอย่างดี ชายหนุ่มคนนี้ก็เหมือนกับนักเรียนแพทย์คนอื่นๆ

...สดใส เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นหมอที่ดีและเป็นอนาคตของชาติ...

เขาเหยียดขาที่ดูยาวเหลือเกินไปข้างหน้าและสบสออกมา

“ให้ตายสิพับผ่า!”

ใช่ซะที่ไหน! เครื่องหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวขมวดเป็นก้อนเหมือนคนไม่ได้ถ่ายมาสามวัน นอกจากจะพูดไม่เพราะแล้วยังมานั่งนินทาคนไข้คนอื่นเสียงดัง คงคิดว่าเขาเป็นเด็กได้ยินอะไรไปก็คงไม่เข้าใจ

“ตาลุงเตียงสามโคตรน่าเบื่อเลย ยาเยอไม่ยอมกินแล้วจะหายไหมเนี่ย เมื่อเช้าฉันก็เพิ่งจับได้ว่าแอบซุกยาไว้ข้างแก้มแล้วแอบไปบ้วนทิ้ง แบบนี้จะหายไหมเนี่ย มันน่าจับมัดแล้วเอายากรอกปากจริงๆ… นี่เจ้าหนูน่ะ”

นรกรสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าจะโดนเรียก เขารีบกำยาในมือแล้วเอาไปซ่อนไว้ข้างหลัง

“เด็กใหม่เหรอเราเพิ่งเคยเห็นหน้า”

นรกรพยักหน้าครั้งหนึ่ง

นักเรียนแพทย์คนนั้นย่นปาก “เห~ ตัวแค่นี้ป่วยซะแล้ว… เฮ้อ~ คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้นี่นะ เอาน่า! ก็แค่ป่วยนิดหน่อย เชื่อฟังหมอ กินยาแป๊บๆ เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วล่ะ”

หลังจากวันนั้น จากที่ไม่สนใจใคร เขาก็เริ่มแอบมองนักเรียนแพทย์คนนั้นทะเลาะกับลุงเตียงสามบ่อยๆ
“นี่ลุงแอบอมยาไว้ข้างแก้มอีกแล้วเรอะ! ผมบอกให้กินทำไมไม่กินเล่า ตาลุงขี้เหล้าเอ๊ย!”

“ข้าไม่กิน  หมออยากกินก็กินเองสิวะ!”

“ผมบอกให้กินไง นี่ลุงไม่อยากหายดีกลับบ้านเร็วๆ หรือไง!”

พวกเขาทะเลาะกันเสียงโหวกเหวกโวยวายทุกวัน จนเกือบจะเป็นเรื่องปกติของที่นี่

ในสายตานรกร นักเรียนแพทย์คนนี้นั้นช่างตรงกันข้ามกับอาจารย์แพทย์ผู้ที่เลี้ยงดูเขามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งกายที่เรียบร้อย พูดจาสุภาพ และบุคลิกที่น่าเชื่อถือ เขาดูไม่ใกล้เคียงกับคนที่จะมาเป็นหมอที่ดีเลยสักนิด แต่ในความแตกต่างนั้นก็ทำให้นรกรเลิกมองไม่ได้สักที

เช้าวันหนึ่งในอีกหนึ่งเดือนต่อมา จู่ๆ เสียงโหวกเหวกนั้นก็เงียบไปจนน่าใจหาย นรกรแอบย่องไปดูและเห็นนักเรียนแพทย์คนเดิมนั่งเหม่ออยู่บนเตียงหมายเลขสาม

“เจ้าหนู”

นรกรหันไปเห็นลุงเจ้าของเตียงมายืนอยู่ข้างๆ นึกแปลกใจว่าทำไมวันนี้ลุงพูดดีกับคนอื่นได้และดูหน้าตาแจ่มใสกว่าทุกวัน

“ฝากขอบคุณหมอคนนั้นหน่อย ที่มาเป็นเพื่อนคุยให้ตาลุงขี้เมาคนนี้ทุกวัน”

นรกรหันไปมองนักเรียนแพทย์คนนั้นอีกครั้ง

“หลายเดือนก่อน เมียกับลูกสาวฉันโดนรถชนตายน่ะ ฉันเลยกลายเป็นคนสำมะเลเทเมา พยายามทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเพื่อนบ้านทนไม่ไหวเลยจับมาส่งโรงพยาบาลน่ะ” ลุงบอก “เขาอยากให้ฉันหายจากโรคซึมเศร้า บังคับให้ฉันกินยา เอาแต่บอกว่าชีวิตเราต้องไปต่อ แต่หมอยังเด็กคงไม่รู้ว่าชีวิตคนเราน่ะถ้าไม่มีจุดหมาย ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่อใครก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเหมือนกัน”

นรกรพยักหน้าตามเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“ฝากบอกหมอให้ด้วยนะ ลุงไปล่ะ”

“ลุงได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”

ลุงหันมายิ้มให้พร้อมกับชี้มือไปที่ประตู นรกรมองตามไปเห็นผู้หญิงกับเด็กสาวยืนอยู่จะถามว่าสองคนนั่นเป็นใครแต่พอหันกลับมาลุงก็หายไปเสียแล้ว เขามองไปที่เตียงหมายเลขสามเห็นนักศึกษาแพทย์คนนั้นยกหลังมือขึ้นเช็ดหน้าเร็วๆ ก่อนจะกระโดดลงจากเตียงแล้วเดินกลับไปทำงานต่อ

นรกรได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไป ไม่ได้คิดจะตามหรือพูดอะไร เพราะเขาเองก็อยากกลับบ้านแล้วเหมือนกัน
.
.
.

“ฮาร์ฟตื่นเถอะ... ฮาร์ฟ...”

เสียงเรียกชื่อทำให้นรกรลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยชะโงกเงื้อมอยู่เหนือตัว เขาเอื้อมมือออกไปคล้องรอบคอร่างสูงใหญ่ตามความเคยชิน “เช้านี้มีอะไรกินครับ”

“ฮาร์ฟ! ตั้งสติก่อน นั่นมันไม่ใช่ฉัน!”

นรกรกะพริบตาอีกครั้ง เมื่อใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ในระยะประชิดพอและสายตาปรับโฟกัสได้เขาก็ร้องเสียงหลง ยิ่งได้เห็นมือที่กำลังยุ่มย่ามไปทั่วร่างกายเขาก็รีบรวบคอเสื้อที่หลุดลุ่ยแล้วกระโดดหนีลงจากโซฟา “นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ!”

“จะร้องโวยวายทำไมก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”

“ปกติอะไรกันวะ!” ร่างโปร่งแสงของวินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ โวยวาย

“ก็ไอ้นี่มันตั้งจะให้ทำยังไงล่ะ ฉันก็ต้องหาทางเอาออกสิ” มันชี้มือไปที่กางเกงนอนซึ่งโป่งนูนขึ้นมาชัดเจน

นรกรหน้าแดง ในขณะที่วินทร์กุมขมับแน่น ไม่รู้ว่าที่คึกนั่นจะโทษเจ้าผีบ้านี่ดีหรือเป็นเพราะความเคยชินของร่างกายตัวเองกันแน่

“ก็ไปเอาออกเองสิเว้ย! มายุ่งอะไรกับแฟนคนอื่นเล่า”

“แกลืมไปหรือเปล่าว่าตอนนี้เขาก็เป็นแฟนฉันด้วย” มันหันมาพูดหน้าตาเฉย

นรกรปล่อยให้ทั้งสองคนทะเลาะกันแล้วก็แอบหลบฉากหนีออกมาอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วผลัดให้เจ้าวิญญาณที่สิงอยู่ในร่างวินทร์เข้าไปอาบบ้าง ระหว่างนั้นเขาก็รีบคว้ากุญแจรถแล้วชิ่งออกจากคอนโดไปโดยไม่ลืมล็อกประตูจากด้านนอก

“หวังว่าวันนี้กลับบ้านไปจะไม่เจอฉากแบบหนังสยองขวัญเมื่อวานอีกนะครับ” ระหว่างที่เดินราวน์หอผู้ป่วยรอบเช้านรกรก็ยังอดเป็นห่วงเรื่องของวินทร์ไม่ได้

“นั่นสิ”

“จนป่านนี้แล้ว มันยังไม่ยอมบอกเราเลยว่ามันเป็นใครกันแน่ เอาแต่พูดว่าอยากมีชีวิตๆ ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ...” นรกรชะงักไปเพราะที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ร่างโปร่งแสง แต่มีนักเรียนแพทย์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้วย

ทุกคนพาทำหน้าตาประหลาดและสบตากันเร็วๆ ก่อนจะยกมือไหว้ “สวัสดีครับอาจารย์”

“สวัสดี” นรกรรีบตอบรับ

“เมื่อกี้อาจารย์คุยอยู่กับใครเหรอครับ...” นักเรียนแพทย์คนหนึ่งถามขึ้น

นรกรหน้าเสีย “เอ่อ... ก็...”

“บ่นว่าจู่ๆ ฉันก็หายไปไหนไม่รู้สิ” ร่างโปร่งแสงข้างกายกระซิบ

“อาจารย์วินทร์ไง” นรกรรีบพูด “ก็เมื่อกี้เดินคุยมาด้วยกันดีๆ แล้วนี่เดินหายไปไหนเสียแล้วล่ะ ให้ฉันคุยคนเดียวอยู่ได้”

“อ้อ” นักเรียนแพทย์พยักหน้า

“ได้ข่าวว่าอาจารย์วินทร์เกิดอุบัติเหตุ ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ”

“ขอให้หายเร็วๆ นะคะ พวกเราเป็นห่วง”

“อืม” นรกรตอบ “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ไว้จะบอกเขาให้”

นักเรียนแพทย์พากันสวัสดีอีกครั้งก่อนจะเดินเลี้ยวไปอีกทาง นรกรยกมือทาบอกอย่างโล่งอกก่อนจะรีบเปิดกระเป๋าเพื่อหาหูฟังเอามาสวมหลอกๆ ไว้เหมือนสมัยก่อน

“ขอโทษนะ ฉันทำให้นายลำบากอีกแล้ว” วินทร์พูดเสียงเศร้า

เขาใช้เวลาอยู่หลายปีเพื่อทำให้คนที่ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ไม่สุงสิง ไม่พูดจากับใครๆ กลายเป็นคนร่าเริงที่เข้ากับคนอื่นได้ และมาวันนี้ก็กลายเป็นเขาเองที่ทำให้นรกรกลับมาเป็นตัวประหลาด ที่ดูแปลกแยกในสายตาคนอื่นอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงเลี่ยงที่จะไม่พูดไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้าหรือส่ายหน้าให้แทนเวลาที่นรกรคุยด้วย

“ผมใส่หูฟังแล้ว คนอื่นดูไม่ออกหรอก” นรกรพูดราวกับอ่านใจเขาออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“แต่นายก็ไม่ควรใส่หูฟังเดินไปเดินมานะ” วินทร์กระซิบ “ตอนนี้นายไม่ใช่นักเรียนแพทย์ หรือแพทย์ประจำบ้านเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ... นายเป็นอาจารย์แล้วนะฮาร์ฟ”

“ผมมีบลูทูธนะครับ”

“ก็ไม่สมควรอยู่ดี” วินทร์ตัดบท “นายตั้งสมาธิกับงานเถอะ ฉันจะเดินตามนายไปเงียบๆ นี่แหละ... ไม่งั้นฉันจะกลับบ้านไปเฝ้าเจ้าผีนั่นแทนนายจะได้ไม่ต้องมาพะวักพะวนเรื่องฉัน”

“ผมไม่ชวนคุยแล้วก็ได้ครับ” นรกรรีบบอก “แต่อยู่ด้วยกันนี่แหละครับ แบบนี้ผมอุ่นใจกว่า”

“ฮาร์ฟ” เสียงเรียกดังมาตามทางเดิน นรกรหันไปเห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์กับภรรยาจึงเดินเข้าไปหา

“เมื่อกี้คุยอยู่กับใครเหรอ” ผู้เป็นพ่อถาม

“พี่วินทร์ครับ” นรกรจับสายหูฟังที่ต่ออยู่กับโทรศัพท์ก่อนจะรีบดึงออกยัดใส่กระเป๋าเสื้อ “วันนี้ผมให้เขานอนพักอยู่บ้านน่ะครับ”

“อาการเป็นไงบ้างล่ะ”

“ก็ดีครับ”

“เหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พยักหน้า “ไม่มีอาการผิดปกติอะไรแน่นะ ตอนที่คุยกันวันก่อนพ่อว่าเจ้าวินทร์มันดูเอ๋อๆ แปลกๆ ยังไงชอบกล ปกติถึงจะชอบกวนประสาทพ่อ โดยการเรียกว่าอาจารย์พ่อบ้าง แต่จู่ๆ มาเรียกคุณพ่อคุณแม่มันก็ยังไงๆ อยู่”

“สมกับเป็นอาจารย์พ่อ สายตาเฉียบคมจริงๆ เลยครับ” ร่างโปร่งแสงของวินทร์บอกพร้อมกับยกนิ้วให้

“แต่คุณก็ไม่ได้ถืออะไรนี่คะ” วิมลภาว่า

“ก็ไม่ได้ถือ แต่รู้สึกว่ามันแปลกไง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปพูดกับภรรยา “ผมคิดถึงเรื่องพฤติกรรมเปลี่ยนจากสมองกระทบกระเทือนหรือมีเลือดออกอะไรพวกนี้น่ะ นี่ก็จะสี่สิบแปดชั่วโมงหลังเกิดเหตุแล้วให้มาสแกนสมองซ้ำสักหน่อยก็ดีนะ กันไว้ดีกว่าแก้”

“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ผมจะบอกเขาให้”

“แล้วเดือนหน้าที่พ่อจะทำบุญใหญ่ที่บ้านไปพร้อมๆ กับงานเกษียณน่ะตกลงแกจะเอายังไง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม “จะมาหรือเปล่า”

“พ่อจะไม่ทำงานแล้วจริงๆ เหรอครับ”

“จริงๆ พ่อก็ถึงวัยมาหลายปีแล้วนะ นี่ก็อาศัยว่าอยู่มานานเลยขอช่วยราชการเขามาตลอด นี่เห็นว่าอะไรๆ มันก็เข้าที่เข้าทางไปเยอะแล้ว คลื่นลูกเก่าไป คลื่นลูกใหม่มา ถึงเวลาที่พ่อต้องหลบไปพักแล้วให้พวกลูกๆ ทำหน้าที่แทนแล้วล่ะ” ถึงปากจะพูดแบบนั้นหากก็มีกระแสของความเสียดายปนมากับน้ำเสียงของศาสตราจารย์สรวิชญ์ “อาจารย์ภูมิศิลป์เขาก็เป็นคนเก่งที่ทุ่มเทเพื่องานมาตลอด คิดว่าคงทำหน้าที่หัวหน้าภาคได้ดี ลูกก็ช่วยเขาดูแลน้องๆ แล้วถ้าเห็นใครมีแววก็รีบจีบมาช่วยกันสานงานต่อนะ”

“ผมเล็งอนุวัฒน์ไว้ครับ”

“อืม... เจ้าวัฒน์น่ะเหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์นึก “เป็นคนฉลาด หัวไว แต่วันๆ พ่อไม่ค่อยเห็นเขาพูดเลยออกแนวขรึมๆ เสียมากกว่า ให้มาสอนจะไหวเหรอ”

“ผมเคยเห็นเขานั่งหลังขดหลังแข็งช่วยติวให้เจ้าโจ้อยู่ครับ ไม่เคยได้ยินเหมือนกันว่ามีทริคหรือวิธีการสอนอะไรยังไง แต่ดูจากคะแนนที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาหลังจากที่สอบตกครั้งก่อนของเจ้าโจ้แล้ว ผมคิดว่าวัฒน์สอนดีทีเดียว” นรกรบอก “ยังไงผมจะลองคุยกับเขาดู ได้ผลเป็นยังไงจะมาเล่าให้พ่อฟังนะครับ”
ศาสตราจารย์สรวิชญ์พยักหน้า “ฝากด้วยนะ... แล้วตกลงจะมาหรือเปล่างานที่บ้านน่ะ”

“ขอผมคิดดูก่อนได้ไหมครับ”

“ธีร์ก็มาด้วยนะ เห็นว่าจะพาแฟนกับหลานมาด้วย” วิมลภารีบบอกด้วยท่าทางตื่นเต้น

“ดีจังเลยครับ ไม่ได้เจอกันมาปีนึงแล้วมั้ง ครั้งล่าสุดก็ตอนงานแต่งเลย ธีร์นี่มีลูกทันใช้จริงๆ นะครับ”

“อืม” ศาตราจารย์สรวิชญ์พยักหน้า

นรกรเงียบไปเมื่อฉุกใจคิดขึ้นได้ เขายังไม่แน่ใจว่าพ่อจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการที่เขาไม่สามารถมีหลานให้อุ้มได้อยู่หรือเปล่า จริงๆ แล้วงานทำบุญบ้านเป็นงานที่เขาไม่ชอบและมักจะหลบเลี่ยงทุกครั้งเพราะนอกจากจะต้องเจอหน้าญาติๆ แล้วสิ่งที่เขาไม่ชอบจนถึงขั้นเกลียดเลยคือคำถามจุกจิกส่วนตัวที่มักจะตามมาทุกครั้ง ตอนยังเด็กก็จะออกแนว “เทอมนี้ได้เกรดเท่าไหร่” “สอบได้ที่เท่าไหร่ของชั้น” พอเรียนขึ้นชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัยก็กลายเป็น “จะเรียนต่อที่ไหน” “เป็นหมอสายอะไร” และตอนนี้เขาเดาได้เลยว่าคงหนีไม่พ้นคำถาม “มีแฟนหรือยัง” กับ “จะแต่งงานเมื่อไหร่” ยิ่งถ้าธีร์พาภรรยากับลูกสาวมาด้วย เขาคงต้องตอบคำถามนี้จนเบื่อแน่ๆ
แล้วจู่ๆ นรกรก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ว่าเขาไม่มีวันตอบคำถามสองข้อหลังนี้ได้ นั่นทำให้เขาหน้าเจื่อนไปทันที

“ขอโทษครับ” จู่ๆ เขาก็พูดออกไปเพราะรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูด

ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปสบตากับภรรยาก่อนจะบอก “ไม่เป็นไรลูก” แล้วคนเป็นพ่อก็เงียบอย่างตรึกตรองอยู่อึดใจก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา

นรกรมองพวงกุญแจรถที่ผู้เป็นพ่อส่งมาให้ “ทำไมเหรอครับ”

“ก็รถพังยับขนาดนั้นจะซ่อมยังไงล่ะ ถึงซ่อมได้พ่อก็ไม่ไว้ใจให้เอาไปขับอีกอยู่ดี จะซื้อใหม่เลยก็คงไม่ไหวใช่ไหมล่ะ ได้ข่าวว่าคันนั้นก็ยังผ่อนไม่หมด ระหว่างนี้ก็ให้วินทร์มันใช้รถพ่อไปก่อนก็ได้ ช่วงนี้พ่อไม่ได้ใช้รถทำอะไรอยู่แล้วไปไหนมาไหนกับแม่เขาตลอด ถึงจะเก่าไปหน่อยแต่ก็ยังขับได้ดีนะ... รับไปสิ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เขย่าพวงกุญแจในมือเป็นการย้ำถึงเจตนา

“อาจารย์พ่อใจดีเกินไปแล้วนะครับ” ร่างโปร่งแสงของวินทร์ที่ยืนอยู่ข้างพึมพำในลำคอ รู้สึกซาบซึ้งใจในความหวังดีที่มีให้มาเสมอ

“ขอบคุณครับ” นรกรกำลังจะยื่นมือไปรับก็มีอีกมือที่ไวกว่าคว้าไปเสียก่อน

“ขอบคุณคุณพ่อมากนะครับ”

นรกรหันควับไปมองพร้อมๆ กับร่างโปร่งแสงข้างกายที่ยกมือขึ้นชี้หน้าคนที่เพิ่งมาถึง

“นี่แกมาได้ไงวะเนี่ย!”

“นั่งรถเมล์จากคอนโดมาโรงพยาบาล กว่าจะถึงใช้เวลานานพอดูเลย” คนที่เพิ่งมาถึงหยักยิ้มมุมปาก “ขอบคุณคุณพ่อมากๆ เลยนะครับที่อุตส่าห์ให้ยืมรถ”

“เพิ่งคุยกับฮาร์ฟเห็นว่าให้นอนพักอยู่บ้านไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มาทำอะไรล่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม

วิญาณญาณในร่างวินทร์เหลือบมองนรกรที่ยืนงงพูดไม่ออกก่อนยิ้มกว้างอย่างร่าเริง “ก็อยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อนี่ครับ ผมเองก็แข็งแรงดีแล้วเลยคิดว่ามาช่วยฮาร์ฟทำงานที่โรงพยาบาลดีกว่า”

“ดีๆ ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าเพิ่งหักโหมล่ะ เคสไหนที่ต้องผ่านานๆ ก็ให้อาจารย์คนอื่นเขาช่วยผ่าให้ไปก่อน ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทุกคนเข้าใจดี มีอะไรเราต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”

“ขอบคุณนะครับ”

“พ่อกับแม่ไปก่อนนะฮาร์ฟ”

“ครับ” นรกรรีบยกมือไหว้

ทันทีที่พ่อกับแม่เดินคล้อยหลังไปนรกรก็หันไปหาคนที่กำลังยืนพินิจดูพวงกุญแจรถในมือ ถึงศาสตราจารย์สรวิชญ์จะบอกว่าเป็นรถคันเก่าแต่ก็เป็นเบนซ์รุ่น C class สุดรักสุดหวงที่ถนอมดูแลอย่างดี

“พ่อนายนี่ขับรถหรูเป็นบ้า” มันกระหยิ่มยิ้มย่อง

นรกรยื่นมือไปจะฉวยพวงกุญแจรถคืนแต่มันก็เอี้ยวตัวหลบได้ทัน “เอาคืนมา”

“เรื่องอะไรจะคืน พ่อนายให้ฉันเองกับมือเลยนะ”

“อาจารย์พ่อไม่ได้ให้แก เขาให้ฉันต่างหาก!” วินทร์ว่า

“แล้วแกรับมาเองกับมือไหมล่ะ” มันควงกุญแจหมุนเป็นวงด้วยปลายนิ้ว “อุ๊ย! โทษทีลืมไปว่าแกหยิบจับอะไรไม่ได้ แถมพวกเขาก็เขามองไม่เห็นหัวแกอีกต่างหาก”

“แล้วนี่คุณออกมาได้ยังไง” นรกรถาม “ผมจำได้ว่าล็อกประตูดีแล้วนี่”

“ก็โทรลงไปหาคนดูแล ทำเสียงเศร้าเล่าว่าโดนแฟนลืมทิ้งไว้ทั้งที่ยังอยู่ในห้องน้ำให้ช่วยมางัดกุญแจออกกับทิปเงินไปอีกนิดหน่อยแค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

“แล้วแกเอาเงินจากไหน” นรกรถามต่อ

“จากไหนน่ะเหรอ” มันทำเป็นนึกก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “นี่ไง… ว่าแต่ทำไมในนี้มีทุกอย่างยกเว้นเงินวะ ที่เป็นปึกๆ นี่ใบเสร็จทั้งนั้น ได้ข่าวว่าเป็นหมอศัลย์ไม่ใช่เหรอ ก็ไม่น่าจะจนนะหรือว่าแกเป็นพวกขี้งกไม่ยอมให้เงินค่าขนมแฟนวะ”

“เอาคืนมา!” นรกรพยายามแย่งกระเป๋าสตางค์ของวินทร์คืน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่สำเร็จ

“อย่าใจร้ายกับแฟนนักสิ นี่ใจคอจะขังให้อยู่แต่ในห้องไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยเหรอจ๊ะ”

“ต้องให้ย้ำกี่ทีว่าคุณไม่ใช่แฟนผม!” นรกรพูดลอดไรฟัน “เอาคืนมา ทั้งกุญแจรถแล้วก็กระเป๋าสตางค์ด้วย”

“อยากได้ก็มาแย่งเอาสิ”

ในที่สุดนรกรก็คว้าข้อมือมันไว้ได้ ในขณะที่กำลังพยายามแกะพวงกุญแจรถออกจากนิ้วที่คล้องแน่นไว้ใครคนหนึ่งก็ส่งเสียงเรียก

“ฮาร์ฟ! วินทร์! ทำอะไรกันอยู่น่ะ” คณิณปรากฏตัวขึ้นที่สุดทางเดินพร้อมกับรีบก้าวยาวๆ ตรงมาหา
นรกรอึกอัก ตกใจว่าควรจะพาวินทร์ที่โดนผีสิงนี่หลบไปทางอื่นดี หรือจะอยู่คุยกันอันไหนจะดูมีพิรุธน้อยกว่า คนที่กำลังยื้อแย่งของอยู่ก็อาศัยจังหวะนั้นรวบข้อมือนรกรแล้วดึงบิดไปด้านหลังทำเสมือนว่าโอบเอวไว้อยู่

“ไม่อยากให้มีพิรุธก็ตามน้ำไปสิ” มันกระซิบ “หรืออยากให้ทุกคนคิดว่าหมอนี่เป็นบ้า ผีเข้าก็ตามใจ”

นรกรกัดฟันแน่น คณิณเดินเข้าใกล้มากขึ้นทุกทีเขาจึงต้องจำยอม “พี่ปอเป็นพี่รหัสผม พูดกับเขาดีๆ ล่ะ” เขากระซิบบอก

“หายดีแล้วเหรอไง ถึงมาทำงานได้” คุณหมอเฉพาะทางโรคหัวใจทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ดีขึ้นเยอะแล้วครับพี่ปอ” มันตอบ “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”

คณิณย่นคิ้วกับคำพูดคำจาที่สุภาพมากกว่าปกติ “นี่นายยังสมองไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางสินะ”

“ก็ยังมีเบลอๆ บ้างนิดหน่อยครับ”

“เรียกปอเฉยๆ ก็พอ มาพี่เพ่ออะไร แล้วก็ไอ้คับเคิ้บอะไรนั่นอีกฟังแล้วจั๊กจี้หูพิกล เรารุ่นเดียวกันนะ”

“ได้สิปอ”

คณิณเงียบไปอึดใจก่อนจะหันไปหานรกร “พี่ว่าอย่าเพิ่งให้มันมาทำงานสักพักจะดีกว่าไหมฮาร์ฟ”

“ก็ห้ามแล้ว แต่เขาดื้อจะมาครับ เอ่อ… พี่ปอมาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” นรกรพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติและชวนคุยเรื่องอื่น

“อ้อ” คณิณทำหน้านึกขึ้นได้ “พอดีน้องนายเพิ่งเขียนใบปรึกษาอาการเคสมา ที่นอนอยู่ไอซียูน่ะเห็นว่าผ่าตัดไปเมื่อวันก่อน แล้วจู่ๆ วันนี้คลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็น AF แถมความดันก็ตก เลยอยากให้ช่วยไปดูหน่อย นี่กำลังจะไปพอดีเจอนายระหว่างทาง”

“เคสไหนครับผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“เคสชื่อกฤตธีน่ะ” คณิณบอก “เพิ่งมีอาการเช้านี้นี่แหละ น้องคงเห็นนายยุ่งๆ อยู่เลยไม่อยากกวน… จะไปด้วยกันไหมล่ะ”

“ได้ครับ”

“แล้วนายล่ะวินทร์ จะไปด้วยกันไหม” คณิณหันไปถาม

“เอ่อ…” นรกรพยายามตัดบทแต่ไม่รู้จะอ้างอะไร หากเจ้าผีดูจะหาทางหนีไล่ให้ตัวเองได้ดี

“ไม่ดีกว่า ฉันยังรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ ยังไม่ค่อยอยากคิดอะไรให้หนักหัว ขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”

“พักเยอะๆ ล่ะ” คณิณบอก “ไปกันเถอะฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ดูท่าจะไม่ใช่แค่พี่รหัสธรรมดาสินะ” มันรำพึงพลางเหลือบตามองท่าทีของวินทร์ที่ยังยืนอยู่ข้างๆ

“ก็พี่รหัสน่ะแหละ” วินทร์บอก

“หรือจะเป็นแฟนเก่า… โอ๊ะ! ท่าทางฉันจะเดาถูกสินะ”  มันตบมือชอบใจที่เห็นสีหน้าของร่างโปร่งแสงเปลี่ยนไปทันควัน

“แล้วนี่แกจะไปไหน” วินทร์ถาม

“ก็ได้รถใหม่มาเลยจะไปลองขับดูเสียหน่อย ใบขับขี่ก็หาเจอแล้ว ว่าแต่แกจะไปด้วยกันไหมล่ะ หรือจะตามแฟนไป” มันถาม “แต่ฉันว่าแกรีบตามสองคนนั้นไปดีกว่า ไม่เฝ้าไว้เดี๋ยวถ่านไฟเก่าก็คุหรอก”

วินทร์ไม่ตอบแต่เดินแยกตัวไปทางที่นรกรเพิ่งเดินไปกับคณิณ

“หึ” มันหัวเราะในลำคอ “ต่อหน้าแสดงออกว่ารักกันนักหนา สุดท้ายก็ไม่ไว้ใจกันอยู่ดี”

มันเดินเล่นเตร็ดเตร่ไปตามทางพลางมองป้ายหาทางไปลานจอดรถก็มีคนเข้ามาทักอีก

“อ้าว อาจารย์วินทร์เป็นยังไงบ้างคะ”

มันหันไปตามเสียง นึกรำคาญใจว่าหมอนี่มีคนรู้จักเยอะแยะไปหมด แต่พอเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดกาวน์สั้น ผมดำยาวถูกมัดเป็นหางม้าไว้ด้านหลังก็ค่อยยิ้มออก… แบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย

“ได้ข่าวว่าอาจารย์โดนรถชน หนูใจคอไม่ดีเลย แต่พอเมื่อวานไปเยี่ยมคุณพยาบาลก็บอกว่าอาจารย์กลับบ้านไปแล้ว นี่หายดีแล้วเหรอคะ”

ดูจากท่าทางเอียงอายกับสายตาหวานที่มองมาทำให้มันรู้สึกว่าเธอคนนี้แอบมีใจให้ชายหนุ่มที่มันขโมยร่างมา แล้วตอนนั้นเองที่มันคิดเรื่องสนุกๆ ขึ้นได้ มันค่อยเดินเข้าประชิดตัวเธอช้าๆ พร้อมกับเอ่ยเสียงนุ่ม “พี่ครับ”

“คะ”

“เรียกผมว่าพี่วินทร์ก็พอครับ อย่าเรียกอาจารย์เลยมันฟังดูเหินห่างพิกล”

เธอกะพริบตาถี่ๆ ด้วยไม่เชื่อหูสามสี่ครั้ง “ก็ได้ค่ะ… พี่วินทร์”

“แล้วน้องชื่ออะไรครับ” มันถาม “ขอโทษทีนะ พอดีพี่สมองกระทบกระเทือนเลยยังงงๆ อยู่น่ะ จำอะไรไม่ค่อยได้”

“ต่ายค่ะ”

“ชื่อน่ารักสมตัวจังเลยนะคะ” มันบอกพลางยิ้มโปรยเสน่ห์และก็ดูจะได้ผลกับคนที่แอบมีใจอยู่แล้ว

“ตอนพี่วินทร์กลับมาเป็นอาจารย์ใหม่ๆ แล้วยังหาที่พักไม่ได้หนูเคยชวนพี่วินทร์ไปพาที่บ้านพักของหนูด้วย จำได้หรือยังคะ”

“เหมือนจะจำได้นิดๆ ล่ะ เอ… แล้วทำไมตอนนั้นพี่ถึงปฏิเสธน้ำใจของคนน่ารักๆ อย่างหนูไปละคะ”

“ก็พี่วินทร์บอกว่าจะไปอยู่กับอาจารย์ฮาร์ฟไงคะ”

“อืม” มันครางในลำคอ “แล้วถ้าตอนนี้พี่จะขอแก้ตัว ไม่รู้ว่าจะยังว่างไหม”

“หมายถึงห้องนั่นเหรอคะ”

“หมายถึงตัวน้องต่ายน่ะค่ะ” มันกล่าวเสียงนุ่มพร้อมกับวางมือลงบนไหล่ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมขึ้นมาม้วนเป็นวงเล่น “วันนี้พอจะมีเวลาว่างไปทานข้าวกับพี่ไหมคะ”

หญิงสาวใจสั่น ถึงจะรู้ว่าไม่ควรกับการไปท่านข้าวกับแฟนคนอื่น แต่เขาเป็นคนชวรและเธอก็แค่ไปกินข้าว ไม่ได้ทำอะไรเสียหายสักหน่อย

“เงียบ แปลว่าตกลงนะคะ” มันรีบมัดมือชกซึ่งดูอีกฝ่ายก็ยินยอมพร้อมใจส่งมือให้เขามัดเอง

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-06-2018 22:09:25
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

หลังจากถูกเจ้าของใหม่พาขับตะลอนไปทั้งวัน รถเบนซ์สีบรอนซ์เงินก็ขับวนเข้ามาจอดตรงตำแหน่งที่จอดรถประจำตำแหน่งหัวหน้ากองศัลยกรรมอีกครั้ง

หากจนเวลาล่วงไปนานโข รถก็ยังไม่ถูกดับเครื่องและก็ยังไม่มีใครก้าวลงจากรถ

“ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวนะคะ” หญิงสาวกล่าวกับคนที่เธอเข้าใจว่าเป็นอาจารย์หนุ่มที่แอบหลงรัก

“วันหลังขอไปเลี้ยงอีกได้ไหมคะ”

หญิงสาวยังมีท่าทางลังเล แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหาย “ก็… ได้ค่ะ”

“ไปจริงๆ เหรอคะ หลอกให้พี่ดีใจเก้อหรือเปล่าเนี่ย”

“จริงสิคะ หนูจะหลอกพี่วินทร์ทำไมล่ะ”

“ถ้างั้นพี่ขอมัดจำไว้ก่อนได้ไหมคะ”

“มัดจำ?” หญิงสาวเอียงคอถามด้วยท่าทางใสซื่อ เมื่อมือใหญ่ค่อยเลื่อนจากพวงมาลัยรถยนต์มาวางลงบนตักตัวเอง เธอไม่ได้ขัดขืนเช่นเดียวกับตอนที่เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้


หลังราวน์รอบเย็นเสร็จ ทีมแพทย์ศัลยกรรมประสาทและสมองหรือที่คุณพยาบาลชอบเรียกว่า ‘แก๊งลูกหมี’ ด้วยขนาดตัวที่ไม่มีใครยอมใคร ก็พาร่างกายที่หิวโซเดินลงจากตึกมาหาของกิน

“นั่นรถอาจารย์สรวิชญ์ไม่ใช่เหรอครับ” แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งทักขึ้น “เย็นป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีกเหรอ”

คนอื่นๆ พากันหันไปมองและขานรับ “เออใช่ๆ”

“ทำไมจอดติดเครื่องทิ้งไว้ไม่ลงมาสักที อาจารย์แกเป็นอะไรหรือเปล่า” น้องปีหนึ่งตั้งข้อสังเกตต่อ

“เหมือนผมเคยได้ยินแว่วๆ มาว่าอาจารย์เป็นโรคหัวใจหรือเปล่า ที่หลายปีก่อนสลบไปที่บ้านต้องเอารถโรงพยาบาลออกไปรับมาน่ะ” แพทย์ประจำบ้านหันไปถามพี่ใหญ่ของตนที่มีสีหน้าหงุดหงิดด้วยความหิว

“เหมือนเคยมีเรื่องแบบนั้นตอนฉันอยู่ปีหนึ่ง” จิงโจ้บอกก่อนที่สมองซึ่งเริ่มอ่อนเพลียด้วยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจะประมวลผลถึงความน่าจะเป็นได้ “เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า… เราลองไปดูกันหน่อยไป”

แล้วแก๊งลูกหมีก็รีบวิ่งกรูกันไปที่รถด้วยความเป็นห่วง บางคนถึงกับรีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรห้องฉุกเฉินเตรียมไว้ เผื่อได้เรียกใช้งาน

“อาจารย์ครับ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!”

ทุกคนมองผ่านฟิล์มกระจกที่ค่อนข้างทึบเข้าไปและพร้อมใจกันร้องเสียงดังเมื่อเห็นชายหนุ่มหญิงสาวที่กำลังกอดรัดกันอย่างไม่อายผีสางเทวดาหน้าไหน
และยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเต็มตาว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร

“เฮ้ย! พี่วินทร์!!!”

OOOOO

“นี่มันเรื่องอะไรกันตอบผมมาสิ!” เสียงตวาดของศาสตราจารย์สรวิชญ์ดังลอดออกมาจากหลังบานประตูห้องทำงานส่วนตัวแม้ว่ามันจะปิดสนิท

บรรดาแก๊งลูกหมีผู้พบเห็นเหตุการณ์พากันกระจุกตัวแอบฟังอยู่ด้านนอก และมองตากันประหลกๆ ไม่มีใครอยากให้เรื่องมันบานปลาย แต่เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดันร้องไห้โวยวายขึ้นมาว่าโดนลวนลามป้ายความผิดทั้งหมดให้วินทร์ หากฝ่ายจำเลยก็หาได้ทุกข์ร้อนไม่ เพียงตอบด้วยท่าทียียวนว่า “มีปัญหาก็ไปฟ้องพ่อเธอสิ”

แล้วเรื่องมันก็ถึงหูศาสตราจารย์สรวิชญ์ในอีกสิบนาทีต่อมา แล้วทุกคนก็ถูกเรียกตัวมาสอบสวน

นรกรเพิ่งจะเดินเข้าห้องไปสวนกับหญิงสาวที่เดินปิดหน้าร้องไห้ออกมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แล้วหลังบานประตูห้องเชือดที่เงียบมาตลอดก็ระเบิดลงนี่แหละ

“พวกแกมาแอบฟังอะไรกัน” อนุวัฒน์ที่เพิ่งจบหมาดๆ กอดอกถามน้องๆ ที่กระจุกตัวสอดรู้สอดเห็นจนน่าเกลียด

“คือพวกเราเป็นห่วง…”

“เป็นห่วงหรือเสือก เอาให้แน่” อนุวัฒน์ถามย้ำ “ไอ้โจ้! แกน่ะตัวดีเลย แทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆ ดันมานำหน้าทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง… ทุกคนแยกย้ายไปทำงานได้แล้ว!” เขาพูดเรียบๆ แต่เด็ดขาดในน้ำเสียง น้องๆ พากันยกมือไหว้และหลบฉากไปคนละทาง ยกเว้นก็แต่เจ้าตัวหัวหน้าขบวนการ “ยังไม่ไปอีก”

“ก็ผมเป็นห่วง” ถึงจะฟังดูเหลือเชื่อแต่จิงโจ้ก็พูดจากใจ “จริงๆ นะพี่วัฒน์ ผมว่ามันแปลกๆ คนอย่างพี่วินทร์น่ะนะจะนอกใจพี่ฮาร์ฟ ผมเฝ้าดูสองคนนี้เขาจีบกันมาตั้งสี่ห้าปี ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ ต่อให้ทะเลาะกันแล้วจะทำประชดกันพี่วินทร์ก็ไม่น่าทำแบบนี้”

“แล้วแกเห็นอะไรมาล่ะ” อนุวัฒน์ถามกลับ

“ก็…” จิงโจ้อ้ำอึ้ง

“มันเป็นเรื่องของคนสองคน” อนุวัฒน์บอก “ถ้าแกเข้าไปยุ่งอีกคนมันจะกลายเป็นมือที่สาม… เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

จิงโจ้หน้าบูด “มั้ง”

“ไม่ต้องมามั้ง แล้วก็ไปได้แล้ว มัวแต่ห่วงคนอื่นตัวเองจะสอบบอร์ดอยู่อีกไม่กี่วันยังอ่านหนังสือไม่ถึงไหนเลยนะเราน่ะ” พูดจบอนุวัฒน์ก็คว้าคอเสื้อจิงโจ้แล้วลากออกไป

“แล้วนี่พี่วัฒน์จะลากผมไปไหน”

“ไปติวไง” อนุวัฒน์ว่า “คืนนี้จะเอาให้หนักเลย”

“นี่มันเรื่องอะไรกันตอบผมมาสิ!” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามย้ำเมื่อยังไม่ได้คำตอบจากชายหนุ่มที่นั่งไขว้ห้างอยู่ตรงหน้าโดยไม่มีทีท่าสลด

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ” นรกรที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบออกรับแทน

“เข้าใจผิดอะไรฮาร์ฟ คนเขาเห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดดังขึ้นอีก “ผมผิดหวังในตัวคุณนะหมอ”

“ก็ไม่ได้ขอร้องให้มาคาดหวังอะไรสักหน่อย” มันตอบหน้าตาเฉย

“นี่คุณ...”

“ฟังนะครับคุณพ่อ จะมาโทษผมฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก เพราะจริงๆ แล้วฝ่ายเริ่มก่อนมันลูกชายคุณพ่อน่ะแหละ วันก่อนก็นอกใจผมไปหาไอ้ผู้แทนยาอะไรนั่นทั้งคืน วันนี้ทั้งวันก็ไปขลุกอยู่กับแฟนเก่าที่ชื่อปออะไรนั่นไม่งั้นผมคงไม่ไปหาคนอื่นแก้เหงาหรอก” มันโกหกหน้าตาย

“นี่แกพูดเรื่องอะไรวะ!!!” ร่างโปร่งแสงของวินทร์ที่ยืนฟังอยู่ด้วยปรี่เข้ามาจะชก แต่ก็ทำได้แค่ต่อยลม มันหันไปยักคิ้วทำกวนประสาทใส่ก่อนจะพูดต่อ

“เอาจริงๆ น้องคนนั้นเขาก็สมยอมเองนะ เด็กอะไรใจง่ายชะมัด แล้วยังจะมาร้องไห้คร่ำครวญว่าผมลวนลาม ตอแหลจริงๆ”

มาถึงตรงนี้ถึงอยากจะแก้ตัวแทนแต่นรกรก็พูดไม่ออกแล้ว เขาได้แต่ยืนกำมือที่สั่นเทาแน่น ในขณะที่แม่ของเขาซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยยกมือขึ้นกุมขมับคล้ายจะหน้ามืด

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ชี้มือไปที่ประตู “ออกไป! ไปให้พ้นหน้าผมเดี๋ยวนี้”

นรกรเดินเข้าไปสัมผัสไหล่ด้วยความเป็นห่วง “พ่อครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เดี๋ยวโรคหัวใจกำเริบ...”

“แกด้วยฮาร์ฟ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันมาตวาดลั่นพร้อมกับปัดมือลูกชายทิ้ง “ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้”

“คุณคะ” วิมลภาลุกขึ้นมาช่วยปรามแต่ก็ดูท่าจะไม่ประสบผลเพราะสามีของเธอเมื่ออารมณ์ขึ้นแล้วก็ไม่ยอมลงง่ายๆ

“ฉันคิดผิดจริงๆ ที่ยอมแกเรื่องนี้ ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าไอ้พวกรักร่วมเพศเนี่ยมันวิปริต มันหาความจริงใจอะไรไม่ได้หรอก”

วิมลภาหน้าเสีย เธอรู้ว่าสามีโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่ก็ไม่คิดว่าจะพูดแรงขนาดนี้ “คุณพูดเกินไปแล้วนะคะ”

“ไม่เกินไปหรอก!” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ประกาศลั่น “จำคำฉันไว้ให้ดีนะฮาร์ฟ ถ้าแกยังอยากเป็นลูกบ้านนี้ต่อไป ไปเลิกกับไอ้หมอนั่นซะแล้วก็เลิกทำตัวแบบนี้ด้วยฉันขายขี้หน้าคนอื่นเขา”

“คุณคะ...” วิมลภาหน้าซีด เธอพยายามคว้ามือที่ยกขึ้นชี้หน้าด่าลูกชายไว้แต่ก็สู้แรงสามีไม่ได้ “ใจเย็นๆ ค่ะค่อยพูดค่อยจากันก่อน”

นรกรกัดฟันแน่น “ขอโทษครับพ่อ ผมรู้ว่ามันอธิบายยากแต่ว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่ความผิดพี่วินทร์เลย ถ้าพ่อจะโกรธเรื่องที่ผมเป็นแบบนี้ผมก็คงทำอะไรไม่ได้เพราะนี่คือตัวผม... ขอโทษนะครับที่ทำให้ผิดหวัง”

“ถ้าแกยังไม่เลิกแก้ตัวแทนมันก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่ออีก”

คำพูดจุกคาอยู่ที่อก ริมฝีปากบางสั่นระริก “ผม…”

“ฮาร์ฟพอเถอะ” ร่างโปร่งแสงของวินทร์กระซิบ “ขอโทษพ่อนายซะ ไม่ต้องมารับผิดแทนฉัน”

“แต่นี่มันไม่ใช่ความผิดพี่วินทร์เลยนะครับ” นรกรโพล่งตอบออกไป ยิ่งทำให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์โกรธจนเลือดขึ้นหน้า

“นี่แกยังปกป้องมันอยู่อีกเหรอ!”

“ฮาร์ฟ… พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” วินทร์ย้ำ

“ไปเลย! แกไปอยู่กับไอ้สารเลวนี่เลย แล้วไม่ต้องมาเหยียบบ้านฉันอีก”

“ฮาร์ฟ รีบขอโทษพ่อนายก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่สิ” วินทร์บอกอย่างร้อนใจแต่ก็ไม่มีใครมองเห็น เพราะในสายตาของทุกคนสิ่งที่พวกเขาเห็นคือคนทำความผิดที่กำลังนั่งยิ้มเยาะอยู่

“บ้าน…” นรกรมองหน้าพ่อกับแม่ แล้วจู่ๆ ภาพความฝันเมื่อคืนก็ย้อนกลับมาในหัว ถ้าเพียงแต่เขาจะสามารถอธิบายให้ใครๆ ได้รับรู้ในสิ่งที่เขามองเห็นก็คงจะดี แต่ถ้าเขาพูด… เขาจะไม่ได้กลับบ้าน ดังนั้น เขาควรเลือกที่จะเงียบเหมือนที่ผ่านๆ มาสินะ

เขาเหลือบตาไปมองร่างโปร่งแสงข้างตัว วินทร์กำลังพยายามโน้มน้าวให้เขาขอโทษและพูดจาดีๆ
ใช่… วินทร์พูดถูก เขาควรจะขอโทษและพูดจาดีๆ

นรกรยกมือขึ้นไหว้ “ผมขอโทษนะครับพ่อ ขอโทษนะครับแม่” แล้วหันไปคว้ามือคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น “พี่วินทร์ครับเราไปกันเถอะ”

“นี่แก!” คนเป็นพ่อคำรามลั่น “แล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ!”

นรกรฟังและจดจำทุกคำพูด เขาไม่ได้คิดเนรคุณ เพียงแต่เขาเลือกแล้วว่าจะกลับ ‘บ้านหลังไหน’

“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่” นรกรถามเมื่อเดินพ้นออกมาจากห้อง

“เอาคืนเรื่องที่ขังฉันไว้ในห้องวันก่อนไงล่ะ ส่วนที่เหลือก็… นะ” มันไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “เด็กมันยั่วแล้วฉันก็เก็บกดมาตั้งนาน”

“ฮาร์ฟ นี่มันเรื่องอะไรกัน” คณิณที่ได้ยินเรื่องที่เขาลือกันรีบมาหาด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ปอ” นรกรรีบบอก เขาเข้าใจในความหวังดี แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์นี้

คณิณมองหน้าคนที่นัยน์ตาแดงก่ำค่อนข้างมั่นใจว่าที่ไปเค้นถามจากจิงโจ้ไม่ใช่เรื่องโกหก เขาหันไปกระชากคอเสื้อตัวต้นเหตุ “ไอ้วินทร์! ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าแกทำฮาร์ฟร้องไห้ฉันไม่ให้อภัยแกแน่ๆ”

“เคยพูดตอนไหนเหรอ?” มันถามกวน

“แก!”

“แล้วนี่แกเป็นใครทำไมต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจแทนด้วยวะ อ้อ! ลืมไปว่าเป็นแฟนเก่า มาทำเป็นห่วงเป็นใยกันแบบนี้อยากได้คืนหรือไง ถ้างั้นก็เอาไปสิฉันเบื่อแล้ว แต่ว่าคิดจะเอาอะไรน่ะก็คิดดีๆ หน่อยนะ เดี๋ยวจะมีปัญหากับลูกเมียที่บ้าน” มันพูดเดาเรื่องไปส่งๆ กะว่าต้องมีมั่วถูกบ้าง แล้วมันก็ดันไม่พลาดเลยเสียด้วย

“ไอ้นี่!” คณิณเงื้อหมัดขึ้นสุดแขน วินทร์ที่ยืนมองอยู่แอบลุ้นว่าให้โดนจังๆ สักหมัดแทนส่วนที่เขาทำไม่ได้ ในขณะที่นรกรยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ เขาพุ่งเข้าไปคว้าแขนคณิณไว้แน่น

“พี่ปอ หยุดเถอะครับ ผมขอร้อง หยุด!” นรกรบอก “พี่วินทร์เขาแค่ป่วยครับ ผมขอร้องหยุดเถอะ”

“ฮาร์ฟ! นี่มันทำกับนายขนาดนี้แล้วนายยังปกป้องมันอีกเหรอ”

“ผมขอนะครับพี่ปอ อย่ามีเรื่องกันเลยนะครับ”

คณิณฮึดฮัดในลำคอแต่ก็ยอมปล่อยมือ “ฉันเห็นแก่ฮาร์ฟหรอกนะไม่งั้นแกตายแน่”

“พูดอย่างกับกลัวนักนี่” มันยังไม่เลิกกวน “เอาสิ! โกรธนักจะฆ่าฉันเลยก็ได้ แล้วลูกเมียแกจะได้โดนตราหน้าว่ามีผัวมีพ่อเป็นฆาตกรเพราะไปทะเลาะแย่งเมียคนอื่น แถมเมียคนอื่นนั่นยังเป็นผู้ชายเสียด้วย”

คณิณหันมาเงื้อหมัดใส่อีกครั้ง “ไอ้เหี้...”

“พี่ปอไปเถอะครับผมจัดการเอง” นรกรตัดบท “ได้โปรด… นะครับ”

คณิณหันไปมองหน้านรกรถึงจะโมโหจนสุดทนแต่ก็ยอมรามือ เขากวาดตามองอดีตคนรักที่ตอนนี้เหลือความสัมพันธ์แค่น้องชายคนสำคัญ “มีอะไรโทรหาฉันได้นะฮาร์ฟ” แล้วตบไหล่นรกรครั้งหนึ่งก่อนจะเดินจากไป

“เก่งแต่ปากนี่หว่า” มันพูดไล่หลัง

“คุณต้องการอะไรกันแน่ครับ” นรกรหันไปผลักอกถามด้วยความอัดอั้นตันใจ “บอกผมมาสิว่าคุณต้องการอะไร ทำไมถึงต้องทำกับพี่วินทร์... ทำไมถึงทำกับเราแบบนี้ พวกเราไปทำอะไรให้คุณเหรอ”

“พวกแกไม่ได้ทำอะไรหรอก แค่หมั่นไส้น่ะ เห็นรักกันปานจะกลืนน่าขยะแขยงเป็นบ้า ดูสิลองเป็นแบบนี้แล้วยังจะรักกันลงหรือเปล่า” มันบอกพร้อมกับผลักอกคืน ด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่าทำให้นรกรหงายหลังล้มลงกับพื้น

วินทร์รีบถลาเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง “ฮาร์ฟเจ็บไหม”

“หึ! น่าสมเพชว่ะ คนกับผี ฉันว่าแกรีบยอมรับว่าตัวเองตายไปซะ แล้วก็ไปเกิดใหม่ซะเถอะ อย่ามาวนเวียนเป็นผีเร่ร่อนอยู่แถวนี้เลย” มันทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน! นั่นคุณจะไปไหนอีก” นรกรพยายามจะลุกตามเพราะกลัวว่ามันจะไปก่อเรื่องอีก แต่ความเจ็บจากการล้มรั้งตัวไว้ให้ลุกตามไปไม่ทัน

“ช่างมันเถอะฮาร์ฟ” วินทร์บอก “นายเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม”

“ไม่ครับ” นรกรโกหก เขารู้สึกเจ็บแปลบตรงข้อเท้าขวาและฝ่ามือข้างขวาก็แสบนิดหน่อยเพราะครูดไปกับพื้น เขาฝืนลุกขึ้นยืน และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวลไปมากกว่านี้

“แล้วนี่นายจะไปไหน” วินทร์ถาม

“ก็ไปตามหมอนั่นไงครับ จะปล่อยไปได้ยังไงเดี๋ยวมันก็เอาร่างพี่วินทร์ไปทำเรื่องไม่ดีอีก”

“ช่างมันเถอะฮาร์ฟ” วินทร์บอก “เราคงทำอะไรไม่แล้วล่ะ เรื่องมันไปตั้งขนาดนี้แล้ว”

“ผมถึงได้ต้องไปลากตัวมันกลับมานี่ไงครับ ให้มันมาขอโทษทุกๆ คน”

“นายคิดว่ามันจะยอมเหรอ”

“ก็ลองดูก่อน”

“ไม่ต้องเสียเวลาหรอก”

“แต่เรายังไม่ได้ลองเลยนะครับ”

“แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาละฮาร์ฟ ถึงมันจะขอโทษคนจะให้อภัย ยังไงฉันก็ยังกลับเข้าร่างไม่ได้อยู่ดี”
“ก็ยังดีกว่าให้ใครมาว่าร้ายพี่วินทร์ ทั้งที่พี่วินทร์ไม่ได้ทำนะครับ”

“ไม่ได้ทำตรงไหน ก็นั่นมันร่างฉันทุกคนก็เห็นแบบนั้น”

“แล้วจะให้ผมทำยังไง” นรกรถาม

“ฉันก็บอกให้ช่างมันนี่ไง!” วินทร์บอก “ที่นายควรทำไม่ใช่ไปตามมัน แต่ไปขอโทษพ่อกับแม่นาย ขอให้ท่านอภัยให้… ฟังนะฮาร์ฟ กว่านายจะทำความเข้าใจกับพวกท่านได้ใช้เวลาตั้งกี่ปี อย่าให้มันมาพังลงในเวลาไม่กี่นาทีเพราะฉัน”

“ก็พี่วินทร์ไม่ได้ทำอะไรผิด” นรกรย้ำ “ถ้าผมทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าผมยอมรับว่าพี่วินทร์ทำผิดจริงๆ ซึ่งผมทำไม่ได้”

“ได้สิฮาร์ฟ ตอนนี้ฉันเป็นผีนะ แล้วไอ้ผีบ้านั่นมันก็เอาร่างฉันไปแล้ว”

“ก็แค่ชั่วคราว ยังไงผมก็ช่วยพี่วินทร์ให้ได้ หรือว่าพี่วินทร์ไม่เชื่อใจผม”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อฮาร์ฟ แต่นายต้องยอมรับนะว่าตอนนี้ฉันเป็นผี”

“ผมน่ะยอมรับได้มาตั้งนานแล้วครับ” นรกรบอกหนักแน่น “แต่ว่าเรื่องตอนนี้มันต่างออกไปตรงที่มันก็แค่ชั่วคราว ผมจะหาทางเอาร่างพี่วินทร์คืนมาให้ได้… หรือต่อให้เอาคืนมาไม่ได้ผมก็ยังรักพี่วินทร์เหมือนเดิมอยู่ดี… เชื่อผมสิครับ ผมทำได้”

“ขอบคุณนะฮาร์ฟ” วินทร์บอก “แต่ตอนนี้ดึกแล้ว แล้ววันนี้นายก็เจออะไรมาเยอะเหลือเกิน กลับบ้านไปพักก่อนนะ หมอนั่นน่ะช่างมันก่อนอย่างน้อยถ้ามันยังอยากมีชีวิตมันคงไม่เอาร่างฉันไปทำปู้ยี่ปู้ยำถึงตายแน่ๆ เรื่องวันนี้ไม่รู้พรุ่งนี้จะกระจายไปถึงไหนยังไง เรากลับไปพักตั้งหลักกันก่อนดีกว่านะ”

นรกรเริ่มคล้อยตามทั้งที่ไม่ค่อยเต็มใจ “ก็ได้ครับ”

(ต่ออีกนิดค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่3 Fate P.25 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-06-2018 22:18:54
(ต่อนะคะ)

ทั้งสองเดินไปที่รถเพื่อขับกลับบ้าน นรกรกำลังจะไขประตูรถเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มตรงหลังเสา

“นั่นใครน่ะ” นรกรตะโกนถามออกไป คนในเงามืดจึงค่อยๆ ก้าวออกมาตรงแสงไฟให้เห็นตัว

“ผมเองครับ” ภาษิตร้องบอก “ขอโทษนะครับถ้าทำให้ตกใจ”

“อ้าว คุณพาส... มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้ครับ”

“เปล่าครับ ผมแค่เพิ่งนำเสนอยาเสร็จน่ะครับกำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน รถผมจอดอยู่ตรงโน้นน่ะครับ” ภาษิตบอกพลางพยักเพยิดไปทางรถญี่ปุ่นสีแดงดูโฉบเฉี่ยว

“งั้นผมขอตัวนะครับ”

ภาษิตเริ่มลนลาน เขาไม่อาจบอกได้ว่ามาดักรอเพราะอยากคุยด้วย และตอนนี้เขาต้องหาเรื่องคุยเพื่อยืดเวลาอยู่ด้วยกันแม้จะเพียงเล็กน้อย “เดี๋ยวครับ”

“มีอะไรเหรอครับ”

“คือ… คุณฮาร์ฟไม่สบายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าตาดูซีดๆ จัง”

“เอ่อ… เปล่านี่ครับ”

ภาษิตกวาดตามองไปทั่ว พยายามหาเรื่องคุยแล้วเขาก็เห็นรอยถลอกเล็กๆ ตรงฝ่ามืออีกฝ่าย “แล้วนั่นมือคุณไปโดนอะไรมาครับขอผมดูหน่อย”

นรกรดึงมือหลบ ไม่ใช่แค่ภาษิตแต่เขาไม่อยากให้วินทร์เห็น “แค่ถลอกนิดเดียวเองครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“ไม่ได้นะครับ ต้องทำแผลก่อน สำหรับหมอศัลย์มือคือสมบัติล้ำค่าไม่ใช่เหรอครับ” ภาษิตบอกพร้อมกับคว้ามือนรกรไว้แน่น “ขอผมดูหน่อยนะครับ”

“ไหนว่าไม่เป็นอะไรไงฮาร์ฟ” วินทร์ทำเสียงดุ “แบมือออกมา”

“แค่ถลอกเองครับ” นรกรบอกอ้อมแอ้มพร้อมกับค่อยๆ แบมือออกเห็นรอยหนังขาดเป็นริ้วๆ มีเลือดไหลซิบสามรอยขนานกันพาดผ่านกลางฝ่ามือ

“ก็ไม่เล็กเท่าไหร่นะครับเนี่ย” ภาษิตอุทาน ในขณะที่ร่างโปร่งแสงกอดอกฉับ

“มันน่าดุไหมเนี่ย!”

“ในรถผมมีพวกแผ่นปิดแผลมาด้วย คุณฮาร์ฟรอสักครู่นะครับ” ภาษิตบอกแล้วรีบวิ่งกลับไปที่รถคว้าขวดน้ำและแผ่นปิดแผลกลับมาด้วยความรวดเร็ว
เขาเทน้ำล้างเศษฝุ่นเศษผงออกจากแผล ใช้กระดาษทิชชูซับเบาๆ จนแห้งแล้วดูแลปิดแผลให้

“เป็นผลิตภัณฑ์พัฒนาใหม่ของบริษัทครับ เป็นแผ่นฟิล์มมีความยืดหยุ่นสูง มีรูระบายอากาศขนาดนาโนทำให้ออกซิเจนผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้และในขณะเดียวกันก็กันน้ำได้อย่างดีเยี่ยมด้วยนะครับ”

“ขายของเก่งอีกแล้ว” วินทร์กระซิบ

“อยากให้แผลหายไวๆ ต้องใส่ยา แต่ถ้าจะให้หายเร็วกว่าต้องใส่ใจนะครับ”

วินทร์ย่นปาก ทำหน้าบูด “ใจเย็นนะ นี่แฟนฉัน”

นรกรรีบชักมือกลับ “ขอบคุณนะครับ”

“ผมว่าคุณฮาร์ฟไม่สบายจริงๆ นะครับ เหมืนจะตัวรุมๆ” ภาษิตบอกพร้อมกับคว้าแขนนรกรกลับมาอีกครั้งแล้วใช้หลังมืออังไปรอบๆ “ตัวร้อนจริงๆ ด้วย แบบนี้ขับรถไหวเหรอครับ ให้ผมไปส่งไหมครับ”

“ไม่เป็นครับอย่าลำบากเลย” นรกรรีบปฏิเสธ

“แต่มือคุณเจ็บแบบนี้ขับรถลำบากนะครับ แถมยังป่วยอีก ไปคนเดียวถ้าหากอาการคุณแย่ลงกลางทางจะทำยังไงละครับ ให้ผมไปส่งนะครับ” ภาษิตไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“แต่ว่า…”

“ให้เขาไปส่งเถอะฮาร์ฟ” วินทร์บอก

“แต่ว่า...”

“นายเดินกะเผลกตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ตอนล้มขาคงเคล็ดนิดหน่อยใช่ไหม” วินทร์ว่า “เหยียบเบรกเหยียบคันเร่งผิดไปจะทำยังไง อันตรายจะตาย ให้เขาไปส่งน่ะแหละ”

ได้ฟังดังนั้น นรกรจึงจำยอม “ขอรบกวนด้วยนะครับ”

OOOOOO

หลังจากกลับมาถึงห้อง นรกรก็เดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง พบว่าตามตู้และลิ้นชักโดนเจ้าผีบ้านั่นรื้อจนเละเทะตามที่คาด ระหว่างที่กำลังจัดแจงเก็บของอยู่นั่นเองเขาก็เห็นตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่นอนเอ้งเม้งอยู่ตรงมุมหนึ่ง มันเป็นของขวัญวันเกิดจากวินทร์ผู้ซึ่งเป็นคนเซอร์ไพรซ์อะไรเล็กๆ ไม่เป็น และเพราะว่ามันตัวใหญ่จนล้นเตียง จะวางตรงไหนก็ดูเกะกะไปหมดเขาจึงขออนุญาตเอามันไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า

นรกรจับเจ้าหมี ‘วินนี่’ นั่ง ด้วยขนาดใหญ่โตของมันมันจึงนั่งได้ตัวตรงโดยไม่ต้องพิงอะไร เขานั่งยองลงและเอานิ้วจิ้มจมูกโตๆ ของมันเล่น

“นึกยังไงถึงซื้อตุ๊กตาตัวเท่าหมีให้ผู้ชายอายุสามสิบกว่าครับ” นรกรถามร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างกัน

“เพราะผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนก็เลยอยากให้” วินทร์ตอบ

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “นี่ตอบตรงคำถามแล้วเหรอครับ”

“ก็นายชอบว่าฉันเป็นหมี แล้วเจ้าวินนี่ก็ตัวเท่าฉัน เลยกะว่าจะเอาไว้ให้นายกอดแทนฉันเวลาที่ฉันเข้าเวรไงจะได้ไม่เหงา"

“แต่สุดท้ายคนบางคนกลับบ้านมาก็หงุดหงิดหึงหมีแล้วจับมันโยนลงเตียงทุกที”

“นายไม่เข้าใจความรู้สึกฉันตอนเปิดประตูห้องเข้ามาแบบงัวเงียๆ แล้วเห็นอะไรตะคุ่มๆ ตัวใหญ่ๆ นอนอยู่ข้างๆ นายสินะ” วินทร์ว่า “ครั้งแรกที่เห็นนี่เกือบช็อกตายคิดว่านายนอกใจ”

นรกรหัวเราะคิกคัก “ใครจะไปทำแบบนั้นครับ มีพี่วินทร์เป็นแฟนแค่คนเดียวนี่ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ใครจะไปกล้ามีตั้งสองคน”

“อะไร ฉันทำให้นายปวดหัวเหรอ” วินทร์ถาม “มั่นใจนะว่าไม่เคย แต่ถ้าปวดตรงอื่นน่ะคงมีบ้าง”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ปวดตรงไหนครับ”

“ตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ”

“ตรงนั้นที่ว่าน่ะตรงไหนล่ะครับ” นรกรยังไม่หายสงสัย

“ก็บางวันตอนเช้าที่ตื่นมาร้องหายาพาราน่ะ นายปวดตรงไหนล่ะ หืม”

“ก็ตรง…” แก้มขาวซับสีเข้มทันทีที่เข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ “พี่วินทร์!”

“กว่าจะเก็ต เล่นมุกกับนายนี่บางทีก็เหนื่อยไปนะ”

“คนลามก” นรกรว่าพลางลุกขึ้นยืน แล้วตอนนั้นเองที่เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ทั้งสองมองหน้ากัน “มันกลับมาแล้วเหรอ”

แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตู แต่คนที่ยืนอยู่กลับเป็นหนุ่มหน้าตี๋ที่เพิ่งมาส่งเขาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

“คุณพาสลืมอะไรหรือครับ”

“ขอโทษที่มารบกวนอีกรอบนะครับ” ภาษิตบอกเขินๆ พร้อมกับยื่นถุงพลาสติกในมือที่หอบหิ้วมาให้ “ผมกลัวว่าคุณจะป่วยจนไม่มีแรงทำกับข้าว พอคิดแบบนั้นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลยซื้อโจ๊กมาให้ ส่วนนี่แผ่นแปะไข้ลดกับวิตามินครับ จริงๆ พวกอาหารเสริมมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ยี่ห้อนี้ผมเคยขายอยู่สรรพคุณเขาดีจริงๆ มีพวกสารแอนตี้ออกซิเดนท์กับวิตามินซีสูงมาก... เอ่อ ขอโทษนะครับที่พูดมากไปนี่ไม่ใช่เวลาขายของสักหน่อย เอาเป็นว่าหายเร็วๆ นะครับ”

นรกรรับมาพร้อมกับกล่าว “ขอบคุณครับ”

“เอ่อ... ผมขอโทษนะครับถ้าหากว่าเป็นการละลาบละล้วงมากเกินไป คือจริงๆ ผมได้ยินมาเรื่องหมอวินทร์น่ะ...”

“เขาแค่ไม่สบายน่ะ” นรกรตัดบท

“ผมยอมรับว่าผมชอบคุณครับ” ภาษิตสารภาพตรงๆ ทำให้คนฟังหน้าร้อนขึ้นทันที “แต่ว่า... ผมก็ชอบเวลาที่พวกคุณอยู่ด้วยกัน แววตาที่หมอวินทร์มองคุณมันมีแต่ความจริงใจ คือ... ผมพูดก็แปลกๆ สินะครับ เอาเป็นว่าไม่ว่าพวกคุณจะทะเลาะอะไรกัน ผมก็ขอให้พวกคุณปรับความเข้าใจกันได้เร็วๆ นะครับ... แต่ถ้ามันไม่สำเร็จผมก็หวังว่าคุณจะเอาผมไว้เป็นตัวเลือกสำหรับปลอบใจนะครับ... ขอบคุณครับ” เขาพูดรัวเร็ว

นรกรหน้าร้อนฉ่า ทั้งเขินทั้งตกใจที่โดนจู่โจมตรงๆ “ผม...”

“ขอโทษนะครับที่พูดอะไรแปลกๆ” ภาษิตรีบบอก “ผมกลับก่อนดีกว่า… ฝันดีนะครับ” แล้วเขาก็รีบก้าวเร็วๆ จากไป

นรกรมองจนหนุ่มหน้าตี๋หายเข้าไปในลิฟต์จึงดึงประตูปิดและหันมามองร่างโปร่งแสงที่ยืนกอดอกหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ

“ไปกินข้าว กินยาแล้วไปนอนซะ”

“ไม่หึงเหรอครับ” นรกรถามคนที่ยืนตีหน้าขรึม

“มาก” วินทร์พูดลอดไรฟัน “แล้วสภาพนี้ฉันทำอะไรได้ล่ะ… นายรีบไปกินข้าวกินยาแล้วนอนเถอะ อาการยังไม่หนักมาก พรุ่งนี้จะได้หาย หมู่นี้นายนอนน้อยจริงๆ น่ะแหละ ร่างกายมันถึงได้อ่อนแอแบบนี้ไง”

“ก็ผมกลัวนี่นา”

“กลัวไอ้ผีบ้านั่นทำร้ายเหรอ”

นรกรส่ายหน้า “ผมกลัวว่าระหว่างที่ผมหลับ พี่วินทร์จะหายไป”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ขนาดคุยโทรศัพท์กันอยู่ดีๆ พี่วินทร์ยัง…” แล้วเสียงของนรกรก็ขาดหายไป

ร่างโปร่งแสงยกแขนสองข้างขึ้นโอบรอบตัวร่างเล็กกว่าไว้ “ถึงจะกอดไม่อุ่น แต่สัญญาว่าจะไม่ทิ้งไปไหนนะ”

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นสบดวงตาที่มองมา วินทร์โกหก สำหรับเขามันยังอบอุ่นเสมอ ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นหัวใจ

สายตานี้แหละที่ทำให้เขามั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่ได้สู้อยู่เพียงลำพัง มันทำให้เขามั่นใจว่าจะผ่านมันไปได้ และถึงสุดท้ายแล้วเขาจะทำไม่สำเร็จก็ยังมีที่ให้เขานั่งพักเสมอ รอจนเขามีแรงพร้อมจะกลับมาสู้ใหม่

และที่นี่แหละ คือบ้านของเขา ตราบที่วินทร์ยังยืนเคียงข้างเขา เขาก็พร้อมจะเป็นบ้านให้วินทร์เหมือนกัน

**********************TBC*********************
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 17-06-2018 03:30:25
ผีบ้าร้ายกาจมาก สงสารฮาร์ฟอีกแล้ว
ขอให้ได้ร่างพี่วินทร์กลับมาไวๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 17-06-2018 07:18:05
ดีใจจังมาต่อแล้ว สงสารทั้งคู่เลย รีบมาต่อตอนหน้าไวๆ น๊า  :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-06-2018 11:24:27
เมื่อไหร่จะคลี่คลาย..สมกับเป็นผีร้ายจริงๆ :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-06-2018 19:49:44
ฮาร์ฟวินสู้ๆ  :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 18-06-2018 01:57:58
อีผีบ้าาา ขอให้ไม่ได้ผุดได้เกิด ทำให้คนรักกันต้องแยกกันเป็นมันบาป รู้ตัวม้ายยย ขัดใจๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 18-06-2018 06:32:40
โอ๊ยยยยย  อิผีบ้า  :m31:
เอาร่างพี่วินไปทำแบบนั้น  :angry2:
สงสารฮาร์ฟมากกกกก  :sad4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-06-2018 10:03:24
ผีร้ายที่มาเข้าร่างวินทร์ ต้องมีอะไรที่ทำให้ไม่อยากไปอย่างที่ควรจะไป
คงเหมือนๆลุงขี้เมา ที่ไม่ยอมกินยา
เพราะที่บ้านไม่มีใครรออยู่อีกแล้ว
เอาใจช่วยฮาร์ฟ วินทร์ ให้พบทางออกไวๆ

แอบคิดว่าคนไข้กฤตธี ที่พี่ปอให้ฮาร์ฟช่วยไปดู
จะเป็นคัวตนของไอ้ผีร้ายที่มาป่วนวินทร์
คงมีอะไรสักอย่างที่จะช่วยเรื่องนี้ได้   :z3:

ชอบพาสนะมาได้จังหวะทีเดียว
ทั้งช่วยดูแล แถมสารภาพรักฮาร์ฟซะด้วย
แต่วินทร์ไม่ชอบด้วยแน่ๆ   :angry2:
วินทร์  ฮาร์ฟ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 18-06-2018 17:32:57
มีลางสังหรณ์ว่าวิญญาณที่มาสิงคือวิญญาณที่นรกรเห็นว่าอยู่ข้างหลังหมอพาสไม่ก็เกี่ยวกับหมอพาสแน่ เรื่องดีมาก รอติดตามต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 19-06-2018 02:08:12
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

จะไม่คิดอะไรทั้งนั้นนนน
นอกจากรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 19-06-2018 16:01:20
โอยยยยย อิผีบ้า!!  ดูมันทำแต่ละอย่างสิ ถ้าพี่วินทร์กลับมาเป็นคนเดิมนี่ชื่อเสียงที่สั่งสมมาไม่ป่นปีัไปหมดแล้วเหรอ? สงสารหมอฮาล์ฟ บอกใครก็ไม่ได้ ยิ่งซีนหมอต้องมาเก็บซากของสดที่มันกินเละเทะไว้ โอ๊ยยย ใจบางเลยอ่ะ งืออออออ สงสารหมอออ

คุณ leGGyDan มาลงภาคต่อห้องนิยายจบแล้วแบบนี้ เราเลยต้องแวะมาดูห้องนี้บ่อยขึ้น จะติดตามให้กำลังใจเสมอนะคะ รีวิวช้าไม่ว่ากันน้าาา ปกติจะสิงอยู่ห้อง Boy's love story เป็นหลัก ห้องนี้นานๆจะแวะเข้ามาหานิยายเก่าๆ อ่านสักที / ต้องแวะมาบ่อยขึ้นละ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-06-2018 14:40:57
สงสารทั้งสองคนเลย จะทำอย่างไรต่อไปล่ะนี่
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 26-06-2018 21:09:56
เกลียดอิผีนั่นน แง
สงสารทั้งคู่เลยยยยย :ling1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 30-06-2018 19:22:23
ผีคือผชที่ฮาร์ฟโดนเรียกไปดูอาการแน่ๆ อยากให้คนแต่งตั้งกระทู้ใหม่ดีมั้ยคะ เพราะเราจะตามง่ายเพราะมันเด้งมาหน้าแรก ในนิยายจบแล้วไม่ค่อยมีคนเข้ามาเท่าไหร่ อยากให้คนมาเห็นเยอะๆว่าคนแต่งแต่งภาค2 สู้ๆนะคะตามต่ออออ สงสารวินมาก
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 09-07-2018 19:32:03
คิดถึงพี่วิน :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 25-07-2018 01:11:27
บทที่ 5 แลก

กลางดึกเงียบสงัด ร่างโปร่งแสงนั่งอยู่ริมขอบเตียงที่คนรักของเขานอนหลับอยู่ ฤทธิ์ของยาแก้แพ้กับอาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากการอดนอนติดๆ กันทำให้นรกรหลับสนิทในรอบหลายวัน

วินทร์นั่งนิ่งๆ ทอดสายตามองอยู่อย่างนั้นพลางหวนคิดถึงวันที่รู้หัวใจตัวเองเมื่อหลายปีก่อน มันเริ่มขึ้นตอนที่เขารู้ตัวว่าไม่เคยเบื่อเลยกับการเฝ้าดูใครสักคนนอนหลับเป็นชั่วโมงๆ คอยปัดยุง เป็นห่วงว่านอนสบายไหม หนาวหรือเปล่า หรือว่าร้อนไปไหม จะพลิกตัวไปทางไหน คืนนี้ฝันถึงใคร แล้วในฝันนั้นมีเขาอยู่บ้างไหม และตอนที่ดีที่สุดก็คงเป็นตอนที่นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นเขาเป็นคนแรก

นับจากวันที่ได้เจอกัน ตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่จำแม้ชื่อของตัวเองไม่ได้ จนได้มาอยู่ด้วยกัน ผ่านเรื่องสุขทุกข์ วันที่มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา เกือบสองปีที่ได้อยู่ด้วยกัน มันไม่นานเลยเมื่อเทียบกับเวลาที่เขารอมาตลอด และเขาไม่เคยคิดเลยสักครั้งถึงวันที่ต้องแยกจากกัน

วินทร์เอื้อมมือไปแตะบนกรอบหน้าคนหลับ ถึงจะรู้ดีว่านรกรคงไม่รู้สึก หากเขาก็ไล้อย่างเบามือด้วยกลัวว่าจะทำให้ตกใจตื่น เขาพินิจดูทุกเสี้ยวส่วนของใบหน้านั้นอย่างตั้งใจเพื่อจดจำทุกรายละเอียด ราวกับนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มอง

เขาค่อยๆ ลูบมือไปตามขอบตาที่เห็นเป็นรอยช้ำนิดๆ ภาพนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวแดงก่ำหากไม่มีน้ำไหลสักหยดที่ปรากฎขึ้นตอนทะเลาะกับพ่อเมื่อช่วงหัวค่ำผุดขึ้นมาในความคิด นั่นทำให้หัวใจกระตุกวูบ วินทร์เม้มปากสนิทก่อนจะลากมือเรื่อยลงมาตามสันจมูกจนถึงริมฝีปากบางที่ส่งยิ้มมาปลอบประโลมหัวใจเขาได้เสมอ ทว่าตอนนี้เขาไม่เห็นยิ้มนั้นมาหลายวันแล้ว และเป็นเพราะเขาเองที่เป็นคนพรากมันไป

ถึงตรงนี้วินทร์หยุดมือลงและนิ่งมองพลางไตร่ตรองถึงการตัดการสินใจครั้งสุดท้าย

…ถ้าหากรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะกลับมาในวันนั้น วันนี้เขาคิดว่ามันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว ถ้าเขาจะขอแลกอีกครั้งเพื่อรักษามันไว้…

วินทร์ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากที่กลางหน้าผาก… แผ่วเบาหากว่าเนิ่นนาน…

ขอแค่นายมีความสุข แม้เขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกต่อไปแล้วก็ไม่เป็นไร… เพราะสำหรับเขาไม่มีอะไรเจ็บปวดไปมากกว่าการที่ต้องทนเห็นนายต้องทนทุกข์โดยที่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

…ลาก่อนหัวใจของฉัน…





นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ถึงจะรู้สึกสดชื่นที่ได้นอนเต็มอิ่มหากก็รู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ แม้ไม่ได้ฝันร้าย สิ่งแรกที่เขาทำเหมือนทุกวันหลังตื่นนอนคือมองหาคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่พื้นที่บนเตียงนั้นก็ว่างเปล่าและเย็นเยียบ

“พี่วินทร์”

นรกรส่งเสียงเรียกออกไปพลางกวาดตามองไปรอบห้อง มันเงียบเชียบจนน่าใจหาย แค่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงสั่นเบาๆ ก็ทำให้สะดุ้ง นรกรหยิบมากดดูข้อความจากจิงโจ้

“วันนี้ไม่มีนัดผ่าตัด พี่ฮาร์ฟไม่ต้องมาทำงานก็ได้ครับเดี๋ยวผมกับน้องๆ จะช่วยดูคนไข้แทนเอง ถ้ามีอะไรด่วนเดี๋ยวผมจะโทรหา…

ขอโทษนะครับที่ช่วยได้แค่นี้… พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”

นรกรพิมพ์ตอบไปแค่ “ขอบคุณ” เขาเข้าใจว่าจิงโจ้หวังดีในหลายๆ อย่าง ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนถึงเรื่องเมื่อวาน แต่ตอนนี้ตัวเขายังคิดไม่ตกว่าควรจะหยุดดีหรือเปล่า เพราะนั่นอาจจะยิ่งดูเหมือนเป็นการไม่กล้าไปสู้หน้าพ่อ สู้หน้าคนอื่นๆ แล้วจะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงก็ได้ หรือเขาหยุดพักตามที่จิงโจ้บอกแล้วปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปเองก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้ 

แต่ไม่ว่าจะทางไหน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องตามหาวินทร์ทั้งที่เป็นวิญญาณกับร่างของวินทร์ที่เจ้าผีนั่นเอาไปให้เจอเสียก่อน

นรกรก้าวลงจากเตียง เขาเดินออกจากห้องนอนมาและเห็นศีรษะของร่างโปร่งแสงเป็นสีมุกจางๆ โผล่พ้นพนักโซฟาในห้องนั่งเล่น เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและรีบก้าวยาวๆ เข้าไปหา

“พี่วินทร์อยู่นี่เอง ถ้าได้ยินที่ผมเรียกก็ขานตอบกันหน่อยสิครับ ผมเป็นห่วงนะ แล้วนี่มานั่งทำอะไรตรงนี้ ไหนว่าจะนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ไปไหนไง”

เขาบ่นไปเสียยืดยาวหากวินทร์ไม่ตอบอะไรสักคำ ร่างโปร่งแสงหันหน้าหลบตาก่อนจะถอนหายใจเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน

“ฮาร์ฟ เราเลิกกันเถอะ!”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเบา แต่ก็หนักแน่นมากจนคนฟังไม่กล้าโกหกตัวเองว่าฟังผิดไป

นรกรสบตาคนตรงหน้านิ่ง “พี่วินทร์ล้อผมเล่นหรือเปล่าครับ”

“ท่าทางฉันเหมือนคนแบบนั้นเหรอ” วินทร์มองตอบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองตรงมาที่เขา “ถ้าเมื่อกี้ฟังไม่ชัด ฉันจะพูดให้ฟังอีกครั้ง และมันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ฟังแล้วจำไว้ให้ดีๆ นะว่า… เรา-เลิก-กัน-เถอะ”

นัยน์ตาสีอ่อนไหววูบ ริมฝีปากบางสั่นจนเจ้าตัวต้องเม้มไว้ “ผมถามได้ไหมครับว่าทำไม”

“ไม่มีเหตุผลอะไรมากหรอก ก็แค่ฉันไม่อยากอยู่กับนายแล้ว จบ… ทางใครทางมัน เรื่องก็มีแค่นี้แหละ” วินทร์ตอบ ก่อนจะรีบเดินหนีออกไป

“ผมไม่ให้ไป” นรกรตะโกนตามหลัง

“มันจบแล้ว นายไม่เข้าใจหรือไง ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะ” วินทร์ตอบทั้งที่ยังไม่ยอมหันมา

“พี่วินทร์ต่างหากที่ไม่เข้าใจ” นรกรบอก ทั้งที่ในใจปวดหนึบจนมือเริ่มสั่นแต่น้ำเสียงนั้นไม่สั่นเลยสักนิด “ผมรู้นะว่าพี่วินทร์กำลังคิดอะไรอยู่… พี่วินทร์ไม่เคยเชื่อใจผมเลยใช่ไหมว่าผมจะหาทางเอาร่างพี่วินทร์คืนมาให้ได้…”

“นายคิดว่าคนเราจะวิญญาณออกจากร่างได้กี่ครั้งกันฮาร์ฟ” วินทร์พูดแทรก “ฉันไม่ได้ตัดใจหรือไม่เชื่อใจนาย แต่นี่คือความจริง… ความจริงที่เราสองคนต้องยอมรับว่าฉันตายไปแล้ว”

 “แต่ผมก็เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าต่อให้เป็นผีผมก็รัก ผม…”

“แค่รักมันพอที่ไหนล่ะ” วินทร์พูดเสียงดัง “ให้เรื่องของเราจบลงแค่ตรงนี้… นายไปหาผู้ชายคนใหม่… คนที่เขาดูแลนายได้ แล้วลืม ‘ผี’ อย่างฉันไปเถอะ”

ทันทีที่พูดจบ ร่างกายที่เคยเป็นรูปร่างชัดเจน กลับกลายโปร่งแสงขึ้นจนแทบจะกลืนหายไปกับสิ่งรอบตัวพาให้ใจของคนมองแทบจะสลายตามไปด้วย นรกรก้าวยาวๆ เข้าไปหาคนที่ยังคงยืนหันหลังให้ พยายามเอื้อมมือไปคว้าร่างนั้นไว้หากก็สัมผัสได้แค่เพียงความว่างเปล่าเหมือนกับที่เคยเป็นมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่ยอมแพ้ เดินอ้อมไปยืนด้านหน้า นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองคนที่กำลังจะเลือนหายไปจากชีวิตเขาอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นเศร้าสร้อยและดำดิ่งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“แล้วพี่วินทร์จะไปไหน ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาตาย วิญญาณก็ไปสู่สุขคติหรือเกิดใหม่ไม่ได้อยู่ดี”

“มันก็เรื่องของฉัน นายไม่ต้องมาสนใจหรอก” วินทร์บอก “อย่ามารั้งฉันไว้เลย ทำแบบนี้มันจะดีกับตัวนายเองนะ”

“คิดเองเออเอง!” นรกรพูดเสียงดัง “ทำไมถึงมาคิดแทนผมว่าอะไรดี อะไรไม่ดีสำหรับผม ผมก็บอกแล้วไงว่ารับได้กับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่”

“นายก็คิดเองเออเองไม่ต่างจากหมอนั่นน่ะแหละ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังแทรกขึ้น “ในเมื่อเจ้าตัวเขาอยากจะไปก็ปล่อยให้เขาไปสิ นายจะไปรั้งเขาไว้ทำไมให้เสียเวลาล่ะ”

ทั้งสองหันไปมอง คนที่เพิ่งเปิดประตูห้องเดินสองมือล้วงกระเป๋าเข้ามายืนตรงกลางด้วยท่าทียียวน แล้วหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีพร้อมกับยักคิ้วให้ครั้งหนึ่งและพูดต่อ

“ยังไงก็คงไม่ได้คืนอยู่แล้วล่ะร่างนี้น่ะ ปล่อยให้ไปเป็นสมภเวสีเร่ร่อนสักพักเดี๋ยวก็ปรับตัวได้ ผีสาวๆ สวยๆ แถวนี้ก็เยอะอยู่… อ้อ! โทษทีลืมไปว่าผีตัวอื่นเขาก็ไม่อยากคุยกับผีไม่เข้าพวก”

นรกรกำหมัดแน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาโกรธเกลียดใครได้มากขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าใบหน้าที่ลอยหน้าลอยตาอยู่นั่น คือใบหน้าและร่างกายของคนที่เขารักแล้วละก็ สิ่งที่กำอยู่ในมือคงได้กระทบเข้าเบ้าตาสักข้างไปแล้ว

“ทำหน้าแบบนั้นคงโกรธ เกลียดฉันมากสินะ” คนตรงหน้าเยาะยิ้มพร้อมกับผายมือสองข้างออก “อยากต่อยฉันใช่ไหม เอาเลย ถ้านายกล้าทำ… ฮึ ไม่กล้าสินะ… ส่วนนาย” เขาหันไปหาวินทร์ “โถๆ อย่าทำหน้าบิดเบี้ยวแบบนั้นสิ ไม่รู้หรือไงว่าตอนเป็นผีหน้าตาน่าเกลียดขนาดไหน ถ้านายเกลียดฉันนักก็มาฆ่าฉันแล้วเอาร่างคืนสิ… ก็ทำไม่ได้สินะ ถ้างั้นคนที่ต้องไปเป็นนายก็ถูกแล้วล่ะ”

“คนเดียวที่ต้องไปคือคุณต่างหาก” นรกรพูดเสียงแข็ง

“ฟังดูยากจังเพราะร่างนี้ก็อยู่สุขกายสบายใจดี” มันว่า “นี่… ถ้าไหนๆ นายก็จะไปแล้วแฟนนายฉันขอละกันนะ”

“แกพูดเรื่องอะไร” วินทร์ถามเสียงห้วน

“ไม่สนใจเขาแล้วไม่ใช่เหรอ อยากเลิกกันใจจะขาด เมื่อกี้ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย แต่ฉันสนใจและเขาก็ยังไม่อยากเลิก แล้วก็บังเอิญว่าฉันก็อาศัยอยู่ในร่างนายพอดี แหม อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดีว่าไหม”

“แกจะทำอะไร” วินทร์ถาม

“ก็ว่าเคยพูดชัดแล้วนะว่าฉันอยากนอนกับแฟนแก”

“ผมไม่นอนกับคุณหรอก” นรกรบอก

“ก็ตามใจนะฉันไม่บังคับหรอก แต่ว่านะฉันมันพวกขี้น้อยใจน่ะ ถ้าหากว่ามีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจก็อาจทำร้ายร่างกายตัวเอง… แบบนี้” ทันใดนั้นมันดึงคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกรีดฉับลงบนท้องแขน

“แก!” วินทร์ขบกรามแน่น ไม่คิดว่ามันจะกล้าเอาร่างกายเขามาเป็นเครื่องต่อรองถึงขนาดนี้

“อย่าเสียงดังสิ ฉันมันคนขวัญอ่อนนะ ถ้าหากมือไม้สั่นไปมันจะอาจจะพลาด…” แล้วมันก็กรีดมีดลงไปอีกครั้ง เลือดสดๆ ไหลเป็นสายหยดลงพื้น “หรือบางที…”

“พอได้แล้ว!” นรกรร้องปราม

“บอกแล้วไงว่าอย่าเสียงดัง…”

“ก็ได้ครับ” นรกรบอก “ผมยอมคุณทุกอย่าง หยุดทำร้ายร่างกายพี่วินทร์ได้แล้ว”

“ฮาร์ฟ!” วินทร์จ้องตาเขม็ง

“พูดแบบนี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย” มันกระหยิ่มยิ้มย่อง

“ฮาร์ฟ…” วินทร์พยายามจะห้ามแต่นรกรก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“พี่วินทร์ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ ผมตัดสินใจแล้ว”

“จะเริ่มเลยไหม” มันถาม

“ขอผมทำแผลให้ก่อนได้ไหมครับ” นรกรพูดเรียบๆ พร้อมกับหันไปหยิบผ้าขนหนูมาให้กดหยุดเลือดก่อนจะเดินไปหยิบกล่องใส่อุปกรณ์ทำแผล ระหว่างนั้นผีในร่างวินทร์ก็เดินเข้าห้องนอนไปนั่งอยู่บนเตียงราวกับที่นี่เป็นบ้านของมันเอง

“ฮาร์ฟ… เดี๋ยว…” วินทร์พยายามจะห้ามแต่นรกรไม่ฟัง

“ผมตัดสินใจแล้วครับ” นรกรบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“พี่วินทร์รออยู่ข้างนอก… ตรงนี้นะ อย่าเข้าไป แล้วก็อย่าหายไปไหนอีก ผมขอร้อง” พูดได้เท่านั้นก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอไม่ให้พูดต่อได้อีก นรกรกัดฟันแน่น หันหลังเดินเข้าห้องนอนแล้วปิดประตู ทิ้งให้ร่างโปร่งแสงได้แต่มองบานประตูที่ถูกปิดลงนั้นอย่างสับสน

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 25-07-2018 01:19:41
นรกรนั่งคุกเข่าลงบนพื้นตรงหน้าคนที่หน้าอยู่บนเตียงแล้วคว้าท่อนแขนข้างซ้ายที่มีคราบเลือดเปรอะไปทั่วมาพิจารณาดูแผลที่เป็นรอยกรีดขนานกันไปสองรอย ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว ดูเหมือนจะไม่ลึกมากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่เย็บหรือดูแลดีๆ ก็คงจะทิ้งรอยแผลเป็นน่าเกลียดไว้แน่นอน

นรกรเริ่มใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบเลือดรอบๆ แผลออกแล้วทายาฆ่าเชื้อ

“ไม่ต้องบรรจงทำขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเลือดมันหยุดแล้วก็แค่เอาผ้าก็อซหรืออะไรก็ได้ปิดไปก็พอ ฉันขี้เกียจรอแล้วนะ” มันว่า

“ขอเวลาอีกนิดครับ ผมไม่อยากให้แผลมันติดเชื้อ หรือว่าเป็นแผลเป็น”

“โอ๊ย! น่ารำคาญจริง จะอะไรกันนักหนา เจ้าของร่างมันไม่สนใจแล้วนี่นา มันทิ้งนายไปแล้วนะ!”

นรกรพยายามตั้งสมาธิทั้งหมดให้อยู่กับแผล ไม่สนใจถ้อยคำที่มันว่าและยังค่อยๆ ทำไปตามวิธีของเขาจนเสร็จ

“มาเริ่มกันสักทีเถอะ ฉันเบื่อจะรอแล้ว!” มันสะบัดแขนหลุดจากมือนรกรแล้วคว้าเข้าที่สันกรามดึงให้เงยหน้าขึ้นสบตา

นรกรมองและตอบอย่างไร้อารมณ์ “จะให้ผมทำอะไร”

“ก่อนอื่นเลยก็ต้อง…” มันแสยะยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะถอดเข็มขัดโยนลงบนพื้นแล้วดึงกางเกงทั้งตัวนอกกับตัวในลงไปกองที่ข้อเท้า “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร”

นรกรเม้มปากสนิท พยายามเบือนหน้าหนีจากส่วนของร่ายกายที่เปิดเผยและลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เมื่อมันเอื้อมมือมาขยุ้มเข้าที่กลางศีรษะเขาแล้วกระชากลงไปซุกตรงหว่างขา

“ทำสิ!” มันสั่งพร้อมกับใช้อีกมือคว้าท่อนเนื้อที่เริ่มแข็งขึ้นมาตีปาก

นรกรหลับตาแน่น เขาไม่ได้นับหนึ่งถึงสิบเพื่อระงับความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่าน แต่เขานึกถึงว่ากำลังทำเพื่อใคร และไม่ได้ไม่มีทางเลือก แต่เขาเลือกแล้วว่าจะทำเพื่อช่วยวินทร์

“เออ… เก่งนี่หว่า มิน่าแฟนแกถึงได้หลงนัก ขนาดตายเป็นผีแล้วยังไม่ยอมไปไหน เห็นหงิมๆ แบบนี้ที่แท้ก็ลีลาเด็ดนี่เอง… อย่างนั้นแหละ… ดี... ดูดแรงๆ อีกสิ...” มันส่งเสียงร้องครางอย่างพึงใจ มือใหญ่สอดไซ้ไปตามเรือนผมและขยุ้มจับศีรษะให้ขยับขึ้นลงอย่างที่มันต้องการ เมื่ออารมณ์เริ่มขมวดตึงมันก็ดึงให้นรกรเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะจูบ

“อย่าครับ” นรกรยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับขืนตัวออกห่าง “ให้ผมทำอะไรก็ได้แต่ผมไม่ยอมจูบคุณเด็ดขาด”
“อย่ามาตลก แกเลียให้ฉันจนแข็งขนาดนี้แต่กลับรังเกียจที่จะจูบฉันเนี่ยนะ”

“ครับ”

“ไม่จูบก็ได้วะ!” มันสบถพร้อมกับคว้าคอเสื้อนรกรกระชากลากถูขึ้นมาบนเตียงแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อม “แต่ทำอย่างอื่นได้ใช่ไหม” พูดจบก็ดึงเสื้อนอนตัวที่นรกรสวมใส่อยู่อย่างไม่ปรานีปราศรัย จนกระดุมขาดผึงกระเด็นไปคนละทิศแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ขัดขืนอะไร ตามด้วยกางเกง เสร็จแล้วก็จับขาสองข้างแยกออก

นรกรนอนนิ่งไม่ขัดขืน มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัดแน่น เขาไม่ได้กลัว แต่รู้สึกขยะแขยงมากกว่า ทั้งที่ร่างกายภายนอกนั้นก็เป็นของคนที่เขารัก แต่ในเมื่อสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ ถึงจะพยายามคิดหลอกตัวเองเพื่อไม่ให้เจ็บปวด หากยิ่งหลับตาภาพที่ปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึกก็กลับกลายเป็นคนอื่นนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจถูกบีบให้แหกเหลว น้ำใสเอ่อขึ้นที่ขอบตา เขากัดริมฝีปากแน่นเพื่อให้ความเจ็บปวดของร่างกายช่วยลดทอนความรู้สึกเจ็บที่หัวใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เหมือนร่างกายโดนฉีกเป็นชิ้นๆ เมื่อมันพยายามจะสอดแทรกเข้ามา

ตอนนั้นเองที่เสียงตวาดลั่นดังขึ้น

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

มันชะงักไปทันทีพร้อมกับปรายตามองด้วยหางตาเห็นร่างโปร่งแสงยืนอยู่ตรงปลายเตียง “หมาที่ไหนมันเห่าวะ น่ารำคาญจริง”

“ฉันสั่งให้แกถอยออกมาจากฮาร์ฟเดี๋ยวนี้!” ใบหน้าของร่างโปร่งแสงนั้นดูดุดันและน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนนรกรยังตกใจ

“แล้วแกจะทำไม” มันถาม

“พี่วินทร์… ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ผม…”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วฮาร์ฟ มาหาฉันนี่” วินทร์ยื่นคำขาด “ส่วนแกจะเอาร่างฉันไปทำอะไรก็เชิญจะไปฆ่าปาดคอ กระโดดตึกหรืออะไรก็ตามสบายเลย ขออย่างเดียวอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก”

“พี่วินทร์!” นรกรร้องเสียงดัง คิดไม่ถึงว่าวินทร์จะพูดแบบนั้น

“แกกล้าต่อรองกับฉันเหรอ” มันถาม

“ฉันไม่ได้ต่อรอง แต่ฉันกำลังท้าให้แกทำ”

“ปากดีจริงนะ”

“ใช่! ฉันปากดี แกเองก็ทำให้ได้เหมือนปากละกัน เอาสิ! จะไปตายที่ไหนก็เชิญ ตอนนี้ ตรงนี้เลยก็ได้ แต่จำใส่วิญญาณกลวงๆ ของแกไว้ด้วยว่าฉันไม่เคยกลัวแก ที่ฉันยอมอดทนนิ่งมาจนถึงตอนนี้เพราะฮาร์ฟเท่านั้น แล้วก็อย่าลืมล่ะว่าถ้าหากแกทำลายร่างฉัน แกก็จะกลายเป็นผีเหมือนฉัน และตอนนั้นแหละฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรสชาติว่าการตายทั้งๆ ที่ตายอยู่แล้วน่ะมันเป็นยังไง!”

“แกแน่ใจแล้วเหรอ”

“ใช่!” วินทร์พูดเสียงดังฟังชัด “ฉันยอมตาย แต่ฉันไม่มีวันยอมให้แกทำให้ฮาร์ฟมีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ไปซะ! ฉันยกร่างฉันให้อยากเอาไปทำอะไรก็เชิญ”

“พี่วินทร์!”

“ปล่อยมันไปฮาร์ฟ แล้วมาหาฉันตรงนี้ ฉันขอร้องล่ะ” วินทร์บอกเสียงเข้ม แต่ถึงอย่างนั้นก็อ่อนโยนกว่าตอนที่พูดกับเจ้าผีนั่นราวกับเป็นคนละคน

“แต่ว่ามัน…”

“นายบอกว่ารักฉันไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นจะไปอยู่กับมันทำไม มาหาฉันสิ”

“ผม...” นรกรพยายามจะหาเหตุผลมาแย้งต่อ แต่พอสบสายตาเด็ดเดี่ยวที่มองมา เขาก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่หันไปคว้าเสื้อมาสวมลวกๆ แล้วรีบลุกหนีเจ้าผีร้ายนั่นไปหาร่างโปร่งแสงที่ขยับตัวมายืนบังข้างหน้าทันที

“แกพูดเองนะ” มันย้ำ

“เชิญ!” วินทร์ไปตะคอกใส่พร้อมกับผายมือไปที่ประตู
มันรูดซิปกางเกงแล้วหยิบเสื้อขึ้นพาดบ่าเดินผ่านหน้าพวกเขาออกไป โดยมีวินทร์ที่มองตามจนสุดสายตาว่าไปแล้วจริงๆ

“พี่วินทร์ แบบนี้ดีแล้วจริงๆ เหรอ…”

“ล็อกประตูซะ” วินทร์บอก “เดี๋ยวมันกลับมา”

นรกรทำตามก่อนจะเดินมาหมดแรงนั่งทรุดลงบนโซฟา “มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้…”

“นี่แหละดีสุดแล้ว” วินทร์เดินมานั่งลงข้างๆ พลางยกมือขึ้นจะช่วยจัดผมเผ้า หรือเสื้อผ้าให้เข้าที่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากนั่งอยู่ข้างๆ แล้วใช้สองมือประกบใบหน้าที่ไม่อาจสัมผัสได้นั้นไว้ “ฉันขอโทษนะที่ช่วยนายได้แค่นี้”

“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” นรกรรีบพูด “ผมช่วยอะไรพี่วินทร์ไม่ได้เลย” แล้วก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำเป็นหมัดแน่น มันสั่นระริกจนควบคุมไม่ได้

วินทร์สังเกตเห็นและลดมือข้างหนึ่งของตนวางทาบไว้ “นายช่วยฉันมามากพอแล้ว”

“ผมทำอะไร?… สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”

“นายบอกต่อให้ฉันเป็นผีก็รักใช่ไหม” วินทร์ถาม “ถึงฉันจะเป็นแบบนี้ก็อยู่ข้างนายต่อไปได้ใช่ไหม”

“ได้สิครับ”

“แค่นี้ก็พอแล้ว” เครื่องหน้าที่แทบจะขมวดมารวมกันเมื่อสักครู่ค่อยๆ คลายออกเป็นรอยยิ้มบาง “นายไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันอีกแล้ว”

นรกรเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่มองตรงมา แววตาจริงใจนั้นทำให้มือหยุดสั่น “พี่วินทร์…”

“ที่เมื่อกี้เสียงดัง ทำให้นายตกใจหรือเปล่า”

“นิดหน่อยครับ ปกติพี่วินทร์ก็ชอบดุอยู่แล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นเกรี้ยวกราดขนาดนี้นี่แหละ”

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไมครับ เมื่อกี้พี่วินทร์เท่จะตาย” นรกรรีบบอก “เท่มากจนผมตกหลุมรักอีกรอบเลยนะ”

“แต่ฉันไม่ได้อยากเท่เพราะแบบนี้หรอกนะ เอาไว้เท่เรื่องอื่นดีกว่า” วินทร์บอก “ฉันดีใจนะที่นายยอมทำเพื่อฉัน แต่นายก็ต้องห่วงตัวเองด้วย”

“ครับ”

“สัญญานะว่าต่อไปจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก”

“ครับ” นรกรรับคำ

“ดีมาก” จริงๆ แล้ววินทร์อยากดุมากกว่านี้ แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรนอกจากจะทำให้นรกรรู้สึกแย่ขึ้นไปอีกและเขาก็ปลอบไม่ได้

“ทำไมเมื่อกี้พี่วินทร์ถึงบอกเลิกผมละครับ” นรกรถาม
วินทร์เงียบไปอึดใจก่อนจะพูดออกมา “ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่ฉันโกหกนายเรื่องตัดกรรมนั่นน่ะ จริงๆ แล้วมันก็เหมือนการขออโหสิกรรมต่อกันน่ะแหละ ในเมื่อเราคบกัน ก็ต้องเลิกกันให้เรียบร้อยแบบไม่มีอะไรติดค้าง เป็นการตัดห่วงให้ขาด”

“แล้วบอกกันดีๆ ไม่ได้เหรอครับทำไมต้องพูดแรงๆ แบบนั้นด้วย”

“มันต้องออกมาจากใจ ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ ว่าเราเลิกกันเถอะแล้วมันจะจบเสียเมื่อไหร่ ถ้าหากในใจของเรายังมีอะไรติดค้างแม้จะแค่คนใดคนหนึ่งก็ถือว่าตัดไม่ขาดอยู่ดี”

“เหรอครับ”

“ตกใจสินะ”

“ยิ่งกว่าตกใจอีกครับ เหมือนใจจะขาดเลย”

“ขอโทษนะ”

“แล้วตกลงว่าพี่วินทร์จะเลิกกับผมไหม”

“อย่าว่าแต่เลิกเลย ไปไหนไม่ได้แล้วตอนนี้” วินทร์บอก “ว่าแต่นายคิดดีแล้วจริงๆ นะ เพราะตอนนี้ฉันยกร่างให้มันไปแล้ว ฉันให้โอกาสนายคิดอีกรอบว่าจะอยู่กับฉันที่เป็นแบบนี้ได้แน่นะ”

“ได้ครับ”

“ขอบคุณนะ”

“พี่วินทร์คิดอะไรอยู่เหรอ…” นรกรถามเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป “หรือว่าผมทำให้ลำบากใจหรือเปล่า”

“ก็… แค่กำลังหาวิธีทำให้เราสัมผัสกันได้น่ะ”

“ทำได้เหรอครับ”

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ขอลองดูหน่อย บางทีมันอาจจะเวิร์คก็ได้”

“ยังไงครับ”

“เจ้าวินนี่ไง” วินทร์บอก “นายช่วยไปอุ้มมันมานั่งบนโซฟาหน่อยสิ”

นรกรพยักหน้าและลุกไปอุ้มตุ๊กตาหมีสีน้ำตาตัวโตมานั่งจัดท่าทางตามที่วินทร์บอก “แล้วยังไงต่อครับ”

“ลองพิงมันดูสิ”

แม้จะยังงงๆ แต่นรกรก็นั่งลงข้างๆ แล้วเอียงศีรษะไปซบลงบนไหล่ที่เป็นขนนุ่มฟูน่ากอดนั่น “แบบนี้เหรอครับ”
เสร็จแล้ววินทร์จึงนั่งลงบ้าง เขาไม่ได้นั่งตรงที่ว่างทึ่เหลือแต่นั่งทับซ้อนลงไปบนตัวเจ้าหมีวินนี่

นรกรถึงบางอ้อทันที เขายกมือขึ้นกอดเจ้าหมีตัวโตแน่นได้กลิ่นหอมจางๆ ของน้ำหอมที่คนให้เคยฉีดไว้และมันเป็นกลิ่นเดียวกับที่เจ้าตัวใช้ “ได้เป็นพี่หมีสมใจแล้วนะครับ”

“เจ๋งไหมล่ะ เป็นพี่หมีของนายคนเดียวด้วย” วินทร์บอกยิ้มๆ ถึงจะไม่ได้สัมผัสกันจริงๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว “ตอนนี้ขอฝึกสิงหมีไปก่อนนะ เดี๋ยวอยู่ไปสักพักพลังวิญญาณกล้าแกร่งฉันจะลองไปสิงอย่างอื่นดู”

“หมู่นี้ดูหนังมากไปใช่ไหมครับ” นรกรแกล้งว่าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เห็นเป็นเงาทับซ้อนอยู่บนตัวหมี “ไม่ต้องไปสิงอย่างอื่นแล้วครับ เป็นเจ้าหมีวินนี่นี่แหละ… แค่นี้ก็พอแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ยอมอยู่ด้วยกัน”

“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณนายที่ยอมให้ฉันอยู่ด้วย” วินทร์กดจูบลงข้างขมับพลางภาวนาจนหมดใจขออย่าให้เจ้าผีนั่นกลับมาอีก

***********************TBC************************
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 25-07-2018 08:21:39
 :sad4: สงสารบ่วงกรรมคู่นี้จริงๆ พี่วินทร์จะเร่รอนอีกี่รอบ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 25-07-2018 09:13:48
อยากกำจัดผีตัวนี้ออกไปจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-07-2018 14:47:57
ใจบาง...งงงงงง เอาใจช่วย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 25-07-2018 19:04:29
เอาใจช่วยพี่วิน  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-07-2018 19:06:09
อยากให้ไอ้ผีไม่มีร่างไปซักที 
มาสิงร่างวินทร์ ก่อกวนฮาร์ฟอยู่นั่นแหละ

วินทร์ ฮาร์ฟ    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 25-07-2018 23:37:59
แง่ๆๆๆจะเป็นยังไงต่อน้อออ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 26-07-2018 05:32:47
สงสารฮาร์ฟกับพี่วินมากเลยค่ะ TT
อีผีบ้าต้องโดนกำจัดๆๆๆ
เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-07-2018 22:41:42
อยากเอาน้ำมนต์สาดผีบ้าให้หลุดไปจากตัวพี่วินทร์เลย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ปากกาหมึกซึม ที่ 16-08-2018 13:55:35
โอ้ยยย โกรธแทนพี่วินทร์  :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 17-08-2018 14:53:15
 :mew1:  :katai2-1: ดีงามมากกก ชอบในความหื่นกามของพี่วินทร์ คืออึดอัดสงสารพี่วินทร์ สุดท้ายพี่วินทร์ก็ได้ปลดปล่อยความอัดอั้นนั้นซะปลื้มมมมมม   :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 17-08-2018 22:52:07
แงงงงง อ่านแล้วเครียดดด
ขนาดมาม่าถ้วยเล็กนะเนี่ยย  :z3:
ปวดหัวใจจจจจ เดาทางไม่ถูกอีกแบ้ววว
จะเป็นยังไงต่อน้า   :sad4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 04-09-2018 19:02:15
 :katai1: :katai1: :katai1:
เกลียดเจ้าวิญญาณร้ายที่สุด.. เลวมากมารังแกน้องฮาร์ฟแบบนี้ได้ไง.. ทำเกินไปแล้วนะถึงจะเป็นร่างพี่วินทร์ก็เถอะ.. เลวๆๆๆๆ.. หาผลประโยชน์ไม่คิดถึงจิตใจคนอื่นบ้าง... ท้ายที่สุดไม่ควรได้รับการให้อภัยนะขอบอกเลย.. ไม่มีเหตุอันใดที่จะเอาชีวิตรันทดของตัวเองมาทำกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องแบบนี้ได้.. น้องฮาร์ฟที่น่ารักคงไม่เอาโทษถ้าได้พี่วินคืนมา.. แต่ขอให้กรรมที่ทำกับน้องต้องได้รับสาสม.. กล้าทำร้ายร่างกายและใจน้องแบบนี้ได้ไง... เกลียดมันอ่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-10-2018 21:59:10
บทที่ 6 เหตุผล

การลาหยุดอยู่บ้านตามคำแนะนำของจิงโจ้เพียงแค่หนึ่งวันแต่ก็ทำให้นรกรได้พักทั้งกายและใจเต็มที่ในรอบหลายวัน นรกรจัดการเก็บข้าวของที่เจ้าผีนั่นรื้อจนเละเทะ ทำความสะอาดบ้านทุกซอกทุกมุม เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนใหม่ จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการ ‘ล้างซวย’ ครั้งใหญ่เลยทีเดียว

วินทร์ที่ตอนนี้เหลือแค่ร่างโปร่งแสงช่วยหยิบจับอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเดินตามให้คำแนะนำสลับกับบ่นบ้างตามประสาคนช่างพูด แต่ก็ไม่ได้ทำให้นรกรนึกรำคาญอะไร แถมยังรู้สึกไม่เหงาด้วยซ้ำ ถึงจะขัดใจอยู่บ้างตรงที่สัมผัสตัวกันไม่ได้ แต่เมื่อต่างฝ่ายตัดสินใจแล้วว่าจะปรับตัว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก เพราะก็เคยใช้ชีวิตร่วมกันแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตราบใดที่สายตายังมองเห็น และหัวใจยังรับรู้ถึงกันได้ เพียงแต่ต้องใช้ภาษาพูดให้มากขึ้นเพื่อทดแทนสัมผัสทางกายที่หายไป วันนี้ทั้งวันนรกรจึงรู้สึกว่าตนเองพูดมากราวกับว่าได้ใช้โควต้าการพูดของทั้งปีหมดไปแล้ว

นรกรลงมือทำอาหารเย็นโดยมีวินทร์ยืนพากษ์วิธีการทำอยู่ข้างๆ ถึงจะทุลักทุเลไปบ้างเพราะระยะหลังมานี่วินทร์มุ่งมั่นกับการขุนนรกรให้อ้วนจึงยึดพื้นที่ครัวทำอาหารเองทุกวัน จนนรกรแทบลืมวิธีเปิดเตาไปแล้ว แต่เมนูข้าวผัดรวมมิตรกับไข่ดาวกรอบๆ ที่ไข่แดงเป็นตานีสวยก็สำเร็จลงด้วยดี และพวกเขาก็จบวันด้วยการล้มตัวลงบนนอนเตียงนุ่มที่ตอนนี้ที่ว่างข้างๆ มีเจ้าหมีวินนี่ซึ่งโดนจับแต่งตัวใส่เสื้อลายตัวการ์ตูนคอเปื่อยตัวโปรดของวินทร์มานอนอยู่ด้วย

“ยอมให้ผมกอดมันแล้วเหรอ” นรกรแซวร่างโปร่งแสงที่นั่งอบู่บนขอบเตียงพลางลูบหัวเจ้าหมีตัวโต

“ได้สิ ก็ตอนนี้ฉันเป็นมันนี่นา” วินทร์บอก “หรือมันเป็นฉันนะ? …ช่างเถอะ นอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปทำงานแต่เช้า”

นรกรเหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง “เพิ่งจะสามทุ่มเอง”

“นอนให้ครบแปดชั่วโมงร่างกายจะได้สดชื่น”

“พรุ่งนี้ผมไม่ตั้งนาฬิกาปลุกนะ” นรกรบอก “พี่วินทร์ปลุกผมด้วยนะครับ”
คนฟังหยักยิ้มมุมปากกับแผนของอีกฝ่ายที่ถึงจะเป็นการบังคับกลายๆ แต่นานๆ ทีนรกรจะอ้อนแบบนี้แล้วมีหรือเขาจะไม่ใจอ่อน “ได้จ๊ะ พ่อคนเจ้าเล่ห์”

“เจ้าเล่ห์ตรงไหนครับ แค่ให้ปลุกเอง”

ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มกว้างจนสุด “ไม่หนีไปไหนหรอก” วินทร์ย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจ “นอนเถอะ ฉันจะอยู่ตรงนี้จนกว่านายจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง” พร้อมกับกดริมฝีปากลงกลางระหว่างหัวคิ้วที่ย่นมาชนกันนิดๆ ด้วยความกังวลนั่นให้คลายออก

นรกรหลับตาลงช้าๆ พลางกอดเจ้าหมีตัวโตไว้ในอ้อมแขน ได้เสียงบทเพลงหนึ่งคลอเบาๆ อยู่ข้างหู ไม่รู้ว่าเนื้อหาที่แสนกินใจนั้นคือเพลงอะไรหากก็นึกจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะกล่อมให้เขานอนหลับฝันดี
เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับเสียงกระซิบปลุกข้างหูตามสัญญาที่ให้ไว้ นรกรลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานในขณะที่คนปลุกนั่งกอดอกค้อนใส่เจ้าหมีวินนี่ที่นั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่ข้างๆ

“แฟนฉันกอดอุ่นล่ะสิ ชิส์! ไม่ต้องมานั่งยิมน้อยยิ้มใหญ่เลยเจ้าวินนี่”

วินทร์ย่นปากใส่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอิจฉาตุ๊กตาไปก็ใช่ที่ เขาถอนหายใจแล้วลุกไปด้อมๆ มองๆ แอบดูนรกรอาบน้ำแทน

“วันนี้เลิกงานแล้วแวะซื้อของที่ซุปเปอร์ด้วยนะ ในตู้เย็นไม่มีอะไรเหลือแล้ว แล้วก็อย่ามัวหยิบแต่ขนมนมเนยล่ะ นายต้องกินผักบ้างหมู่นี้กินแต่พวกกาแฟกับแซนด์วิชมันจะไปมีประโยชน์อะไร” วินทร์กำชับในขณะที่นรกรใส่รองเท้าเตรียมจะออกจากห้อง

“อย่างน้อยก็ครบห้าหมู่นะครับ มีทั้งแป้ง โปรตีนกับไขมันจากแฮม แล้วก็วิตามินกับเกลือแร่จากผักกาดหอมกับมะเขือเทศไง” นรกรบอกรั้นๆ

“วันหลังถ้าคนไข้บอกแบบนี้ก็ห้ามไปดุเขานะ” วินทร์ว่า “แหม~ กินแค่นั้นมันจะไปพออะไร”
“พอประทังชีวิตไงครับ”

วินทร์ยกมือขึ้นกอดอกฉับ “นี่ถ้าโดนตัวได้ ฉันจับจูบไปแล้วนะเนี่ย ทำไมเดี๋ยวนี้เถียงเก่งจังนะเรา”
“ก็ทำสิครับ รอให้ทำอยู่เนี่ย”

“มีท้าอีก… หันหน้ามานี่เลยฮาร์ฟ แน่จริงก็อย่าหนีสิ เคยเจอผีจับหัวไหม”
นรกรหันควับมาจ้องหน้าทันที

“อ้าวๆ มองหน้าแบบนี้นี่หาเรื่องหรือหารัก… ว่าแต่มุกที่แซวไปนั่นเก็ตไหมน่ะ”

นรกรทำเป็นไม่สนใจแล้วคว้ากระเป๋ามาเปิดหากุญแจรถ

“ไม่เก็ตแหงม มุกคำผวนนี่คงจะแอดวานซ์ไป” วินทร์รำพึงพลางขำเบาๆ ในลำคอ ตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นแก้มขาวซับสีเข้มเล็กน้อยกับอาการหยิบๆ จับๆ กุญแจรถแบบที่ดูไม่ค่อยจำเป็น จึงแกล้งหยอดไปอีกมุก “รู้หรือเปล่าว่าผีในที่นี้แปลว่าอะไร”

“อะไรครับ”

“ผีแปลว่าสามัว”

นรกรกรอกตาอยู่อึดใจ “พี่วินทร์!”

แต่คนโดนทำเสียงดังใส่ไม่มีทีท่าสลด ทั้งยังหัวเราะชอบใจ “เก่งนะเนี่ย เล่นผวนคำเป็นด้วย”

“ผมไม่คุยกับพี่วินทร์แล้วเดี๋ยวไปทำงานสาย”

“โอ๋ๆ งอนเหรอ ไม่เอาไม่งอนน่า ที่แซวนี่เพราะผีรักทุกเทอนะจ๊ะ”

“ยังไม่เลิกอีก” นรกรหันมาบ่น เขาผลักประตูห้องออกไปก่อนจะเงียบไปอึดใจเมื่อเห็นใครคนหนึ่งนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ข้างประตูห้อง

ร่างสูงผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจทันทีที่เห็นนรกร

“คุณกลับมาทำไม มีธุระอะไรกับพวกเราอีก” นรกรถามเสียงห้วน
วินทร์รีบปราดเข้ายืนแทรกตรงกลาง “ไม่ต้องไปยุ่งกับมันฮาร์ฟ นายรีบไปทำงานเถอะ ปล่อยให้สัมภเวสีมันกรีดร้องไป”

“ฟังฉันพูดก่อนสิ”

“ฮาร์ฟอย่าไปสนใจ ล็อกห้องแล้วไปขึ้นรถ วันนี้นายต้องไปออกตรวจ OPD นะ”

“ครับ” นรกรทำตาม เขาจะเดินหลบฉากไปขึ้นลิฟต์แต่ก็โดนคว้าข้อมือไว้

“อย่าเอามือสกปรกของแกมาโดนตัวฮาร์ฟนะไอ้ผีบ้า!” วินทร์ตวาดที่ข้างหูแต่มันก็ไม่ยอมแพ้

“ปล่อยครับ”

“ฉันจะปล่อยก็ต่อเมื่อนายยอมฟังที่ฉันพูด”

“ไม่ครับ” นรกรยืนกรานเสียงแข็งพร้อมกับสะบัดมือออก “ผมยอมคุณถึงขนาดนั้นเพราะคุณเอาร่างพี่วินทร์มาต่อรอง แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นแล้ว เพราะฉะนั้นคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ”

“ฉันบอกให้ฟังก่อนไง!” มันเผลอตะโกนออกมาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะลดเสียงลง “ได้โปรด…”

เพราะเป็นตอนเช้าตรู่ที่ทุกคนเริ่มออกไปทำงานประกอบกับเสียงโต้แย้งที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้อยู่อาศัยห้องอื่นๆ ในชั้นเดียวกันเปิดประตูออกมา บางคนก็เดินผ่านไปทำเหมือนไม่สนใจแต่ก็แอบชำเลืองตามองตอนเดินผ่าน บ้างก็ซุบซิบกันจนดูออกนอกหน้าทำนองว่า “ผัวเมียทะเลาะกัน”

นรกรเหลือบมองซ้ายขวาก่อนจะตัดบท “ไปคุยกันที่โรงพยาบาลครับ” นั่นทำให้คนที่ยื้อไว้ดูดีใจมากทีเดียว

“ขอบคุณนะ”

“ฮาร์ฟ เราไม่จำเป็นต้องฟังมันเลยนะ” วินทร์ท้วง

“ทำตัวดีๆ แล้วเดินตามมาเงียบๆ ด้วยครับ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของคุณก่อนที่ผมจะเรียกตำรวจ” นรกรพูดเสียงเบาทว่าชัดเจน

“ฮาร์ฟ…”

“ทั้งสองคนเลยครับ” นรกรเอ่ยเสียงเฉียบถึงจะไม่ได้เสียงดังอะไรแต่ก็มีรังสีความน่ากลัวบางอย่างที่ทำให้คนฟังนิ่งไปทันที “เร็วๆ ครับ ผมมีนัดคนไข้คิวแรกตอนเก้าโมง”

ผีในร่างคนปิดปากฉับพลางเหล่ตามองเจ้าของร่างที่ยืนเงียบไปด้วยกัน “แฟนนายนี่ดุใช้ได้เลยนี่หว่า”
“ฮาร์ฟบอกให้เงียบไง” วินทร์แยกเขี้ยวใส่ก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ตามไปเดินคู่กับนรกร โดยมีเจ้าผีนั่นเดินตามหลังมาติดๆ

OOOOOO
(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-10-2018 22:11:36
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

กว่าจะฝ่าการจราจรมาถึงโรงพยายาลและราวน์รอบเช้าเสร็จก็กินเวลาไปจนแปดโมงกว่า  พอถึงห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกนรกรก็รีบเดินเข้าไปในห้องของตน ล็อกประตูและหันมาพูดกับเจ้าผีนั่นเสียงเครียด

“ผมมีเวลาแค่สิบนาที คุณอยากจะพูดอะไร”

“คือเรื่องเมื่อวานน่ะฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น… ไม่ใช่สิ! ตั้งแต่แรกเลยคือฉัน…”

“ไม่ต้องอารัมภบท เอาแต่เนื้อครับน้ำไม่ต้อง” นรกรบอกเรียบๆ

เจ้าผีนิ่งไปอึดใจเพื่อเรียบเรียงคำพูด ในขณะที่วินทร์ได้แต่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ปกติแล้วนรกรเป็นคนไม่ค่อยโกรธใคร เรียกได้ว่าเป็นคนโกรธยากมากทีเดียว แต่ถ้าโกรธขึ้นมาละก็ศาสตราจารย์สรวิชญ์สองดีๆ นี่แหละ ถ้ารู้ตัวว่าผิดหรือทำให้หงุดหงิดส่วนใหญ่เขาจึงต้องหาทางง้อให้หายงอนก่อนเรื่องจะไปกันใหญ่เพราะถ้าของขึ้นเมื่อไหร่ เขาก็ทำได้แค่ตีหน้าเศร้าสำนึกผิดแล้วพยักหน้ารับโทษทัณฑ์สถานเดียว

“คุณจะบอกว่าคุณไม่ได้ตั้งใจแกล้งเราอย่างนั้นเหรอ” นรกรเปิดบทสนทนาขึ้นก่อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

มันรีบพยักหน้ารับคำ “ใช่”

“แล้วคุณทำไปทำไม จะว่าล้อเล่นก็แรงเกินไปนะ” นรกรพูดต่อ “พวกผมเคยไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือไง”

“จะว่าไม่ใช่แกล้งก็คงไม่ถูกเพราะฉันก็ตั้งใจทำจริงๆ น่ะแหละ แต่มันก็… ไม่ได้ตั้งใจน่ะ”

“พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ” วินทร์ว่า “ก็บอกอยู่ว่าเวลามีน้อย… ใช่ไหมฮาร์ฟ” ประโยคหลังหันไปทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างประจบประแจง แต่นรกรก็ยังทำหน้าดุเหมือนเดิม เขาจึงกลับมาตีหน้าขรึมและยืนกอดอกรอฟังต่อ

“ฉันโดนเพื่อนสนิทกับคนรักที่กำลังจะแต่งงานด้วยสวมเขา” มันเริ่มต้นเล่า “เคยมีคนเตือนฉันแล้วแต่ฉันก็ไม่เชื่อจนกระทั่งได้มาเห็นตำตา ฉันช็อกมากแล้วก็ขับรถเตลิดออกไป ฉันหลับหูหลับตาขับเร็วมากพอรู้ตัวอีกทีก็เห็นเด็กกำลังจะข้ามถนน ฉันหักหลบแล้วรถก็เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า… ตรงที่รถนายโดนชนน่ะแหละ คงไม่ต้องบอกนะว่าผลเป็นยังไง ฉันรู้แค่ว่าถึงหมอจะช่วยตบแต่งให้จนสุดฝีมือแล้วแต่หน้าก็เละแทบไม่เหลือเค้าเดิม จนตัวฉันเองยังจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หลังจากได้ฟังก็ทำให้นรกรรู้สึกสงสารขึ้นมานิดหน่อย “แล้วยังไงต่อครับ”

“ถึงจะตายไปแล้วแต่ฉันก็ยังจมอยู่กับความแค้นที่โดนหักหลัง เอาแต่คิดซ้ำๆ ว่าจะต้องทำยังไงถึงสาสมกับที่พวกมันทำกับฉัน ภาพที่พวกมันกอดจูบกันตามหลอกหลอนฉันทั้งวันทั้งคืนจนแทบเป็นบ้า แล้ววิญญาณฉันก็ติดอยู่ตรงเสาไฟฟ้านั่น คือฉันไปไหนมาไหนได้ก็จริง แต่ก็แค่แป๊บเดียวสักพักมันก็แวบ… รู้ตัวอีกทีก็กลับมาที่เดิม… มาขับรถชนตาย รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร่างกายโดนบีบอัด แรงกระแทกที่ทำให้กระดูกหักและฉีกเส้นเลือดขาด ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเต้นในจังหวะสุดท้ายก่อนที่จะหยุดลง มันเป็นความทรมานที่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งๆ ที่ร่างกายก็ไม่มี และมันก็วนเวียนอยู่แบบนี้วันแล้ววันเล่า”

มันเว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่วินทร์

“จนกระทั่งตอนที่เห็นรถนายถูกชน ฉันเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทุกอย่างก็วูบไป รู้ตัวอีกทีฉันก็มาอยู่ในร่างนายแล้ว… ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วรู้ตัวกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในหัวฉันมันมีแต่คำว่าแก้แค้น… สวรรค์หรือนรกคงสงสารและให้โอกาสฉัน ยิ่งพอได้เห็นนายเป็นห่วงหมอนี่เท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน ขยะแขยง มันมีที่ไหนความรักที่แท้จริง และฉันคิดว่ามันคงสะใจที่ทำให้พวกนายเลิกกันได้  ทำให้พวกนายและทุกๆ คนเจ็บเหมือนที่ฉันเคยโดนสองคนนั่นทำกับฉัน”

“สรุปว่าเราไม่เคยทำอะไรให้แก ก็แค่ซวยเพราะทำให้นายเหม็นความรัก… แค่นี้เองเหรอ” วินทร์ถาม
มันพยักหน้ายอมรับความผิด

“ไม่ใช่แค่ซวยธรรมดา แม่งโคตรอภิมหาซวยเลย” วินทร์รำพึงคล้ายบ่นกับตัวเอง “แล้วยังไงต่อ… ตอนนี้สาแก่ใจแล้วเลยจะมาขอโทษหรือไง”

มันส่ายหน้า “ฉันคิดมาตลอดว่าการแก้แค้นจะทำให้รู้สึกดี หรืออย่างน้อยก็คงได้ปลดปล่อยความทุกข์ที่มันอัดแน่นอยู่ในใจออกไปบ้าง แต่เปล่าเลย ยิ่งทำฉันกลับยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้น เกลียดตัวเองมากขึ้น และถึงจะกลับมามีชีวิตแล้วแต่พอถึงเวลานั้นภาพกับความรู้สึกตอนที่รถชนมันก็หวนกลับมา ตั้งแต่อยู่ในร่างนายมาจนถึงตอนนี้ฉันแทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ… และเมื่อวานพออกจากห้องนายไป ฉันบอกตัวเองว่าสะใจที่ได้แก้แค้น แต่ในใจมันกลับยิ่งว่างเปล่า ตอนเย็นฉันแอบย้อนกลับมาดูพวกนาย นอกจากจะไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายแล้วพวกนายยังดูมีความสุขดี นั่นยิ่งทำให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันกลับมาเพื่อแก้แค้นจริงๆ เหรอ ยิ่งคิดถึงตอนพวกนายเถียงกันเพื่อช่วยอีกคนแล้วยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ทำเรื่องเลวร้ายลงไป… หลังจากที่คิดมาทั้งวันทั้งคืนฉันก็ได้คำตอบ ฉันไม่ได้อยากมีชีวิต ฉันตายมาหลายสิบปีแล้ว โลกที่ฉันรู้จักมันไม่มีอีกแล้ว และฉันไม่ได้ต้องการแก้แค้น ฉันแค่ไม่อยากเจอกับความทรมานซ้ำซากแบบนี้อีก… ฉันอยากไปสู่สุขคติ แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไง จะให้ฆ่าตัวตายอีกหนก็เข็ดแล้ว แล้วฉันก็ไม่อยากทำร้ายร่างของนายแล้วด้วย… พวกนายช่วยฉันได้ไหม”

“ทำกันถึงขนาดนี้แล้วจะมาขอร้องให้ช่วยเนี่ยนะ มันจะง่ายเกินไปหรือเปล่า” วินทร์ถามกลับ

แต่นรกรตอบทันที “ก็ได้ครับ”

วินทร์หันไปถลึงตาตั้งคำถามกับนรกร “ทำไมใจอ่อนง่ายจัง”

“ก็วินวินด้วยกันทั้งสองฝ่ายนี่ครับ” นรกรบอก “เขาได้ไปสู่สุขคติ พี่วินทร์ก็ได้ร่างคืน”

“มันก็ใช่แต่…” วินทร์ยังคงรู้สึกคลางแคลงใจ เขาพยักเพยิดไปตรงมุมห้อง “ขอเวลานอกแป๊บสิ”

นรกรหันหลังให้เจ้าผีและเดินตามวินทร์ไปกระซิบคุยกันสองคน

“นายเชื่อที่มันพูดจริงๆ เหรอ มันอาจจะโกหกเราก็ได้นะ”

นรกรเหลือบตามองเจ้าผีที่ยืนสงบนิ่งอยู่ “เขาดู ‘เป็นคน’ มากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เจอกัน… จิตสุดท้ายก่อนตายจะผูกพันอยู่กับสิ่งสุดท้ายที่ทำอยู่หรือเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็จะทำให้จิตใจตกต่ำมากขึ้นและเมื่อมันดำดิ่งลงไปถึงจุดหนึ่งก็อาจผลักดันให้ทำเรื่องแย่ๆ ได้”

“นายรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” วินทร์ถามรู้สึกทึ่งนิดๆ

“ผมเรียนรู้มาจากอทิฏฐ์ครับ” นรกรบอกตามตรง “ทิดก็เคยพยายามจะทำร้ายผม แล้วเขาก็จำไม่ได้ด้วยว่าทำอะไรลงไป”

“อืม” วินทร์พยักหน้าพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว “ขอโทษนะ จนถึงตอนนี้ก็นึกไม่ออกจริงๆ”

“ผมรู้ว่าเขาอาจจะโกหกเราก็ได้ แต่ผมคิดว่ามันก็คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง”

“นายจะบอกว่าเราไม่มีอะไรจะเสียแล้วใช่ไหม”

นรกรส่ายหน้า “เพราะผมไม่อยากเสียอะไรไปต่างหากครับ ผมถึงยอมเสี่ยง และอะไรที่ว่านั่นก็คือพี่วินทร์”

“แต่ฉัน…”

เพราะวินทร์ยังดูลังเล นรกรจึงตัดสินใจบอกเหตุผลที่แท้จริงไป “ผมอยากกอดพี่วินทร์ครับ… ถึงเจ้าวินนี่จะกอดอุ่นแต่มันก็ไม่ใช่พี่วินทร์”

วินทร์สบนัยน์ตาสีอ่อนแน่วแน่ที่มองตรงมาที่เขา นึกสงสัยว่าทำไมคนที่เขินกับมุกคำผวนผีบาทสองบาทของเขาเมื่อเช้าถึงได้กล้าพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ออกมาได้

“หรือว่าพี่วินทร์ไม่อยากกอดผมแล้วเหรอครับ”

ได้ยินดังนั้นร่างโปร่งแสงก็ถอนหายใจแรงพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นประคองข้างแก้ม ถึงอยู่ใกล้แค่ไหนก็ไม่อาจแนบชิดได้เมื่อไม่มีเนื้อหนังมังสา “ฉันไม่ยอมให้นายเสี่ยงคนเดียวหรอก”

นรกรหน้าเจื่อนไปทันที “แต่ผม…”

“เราจะช่วยกัน” วินทร์พูดต่อ และนั่นทำให้ริมฝีปากของคนตรงหน้าคลี่ยิ้มออกทันที

… ก็เล่นน่ารักซะขนาดนี้แล้วเขาจะไม่ให้เขาใจอ่อนได้ยังไง…

วินทร์ชะโงกหน้าไปกระซิบที่ข้างหู “แล้วอย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้อยากทำแค่กอดน่ะ”

“ถึงตอนนั้นอะไรก็ยอมครับ”

“ปกติเขามีแต่ผีหลอกคน วันนี้ผีจะโดนคนหลอกไหมเนี่ย” วินทร์แซวพลางขยิบตาให้อย่างหมายหัวไว้ก่อน

“ตกลงเราจะช่วยคุณครับ” นรกรหันไปสรุป

“จริงๆ นะ” มันพูดด้วยความตื่นเต้น

“แต่มีข้อแม้นะครับ” นรกรพูดต่อ “และคุณต้องตอบตกลงเท่านั้น ผมถึงจะยอม”

“ได้สิ จะให้ฉันทำอะไร”

“ก่อนอื่น คุณต้องไปขอโทษทุกคนที่คุณก่อเรื่องไว้” นรกรบอกข้อตกลง

มันพยักหน้า “ลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับอยู่แล้ว”

“งั้นเริ่มต้นที่พี่วินทร์ก่อนเลย” นรกรพยักเพยิดไปทางร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ฉันขอโทษนะที่พูดจาร้ายๆ แล้วก็เอาร่างนายไม่ทำเรื่องแย่ๆ ฉันสัญญาว่าจะตามไปเคลียร์ให้ ส่วนแผลที่เอาคัตเตอร์กรีดแขนนี่ฉันก็ตั้งใจดูแลอย่างดี ทำแผลทายาไม่ให้เป็นแผลเป็นแน่นอน” มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ

วินทร์ยกมือรับไหว้ “อืม”

“แล้วต่อจากนี้คุณก็ต้องทำตัวดีๆ และเชื่อฟังสิ่งที่ผมกับพี่วินทร์พูดทุกอย่าง ตกลงไหมครับ”

“ทุกอย่างเลยเหรอ”

“ผมไม่สั่งให้คุณทำอะไรแปลกๆ หรืออันตรายหรอกครับ” นรกรอธิบาย “กลับกัน นี่เพื่อป้องกันไม่ให้คุณทำอะไรแปลกๆ อีกต่างหาก”

“อ้อ” มันพยักหน้าเข้าใจ “งั้นก็ตกลง”

“แล้วนี่คุณชื่ออะไรครับ” นรกรถาม

“ชื่อ?”

“จะให้ผมช่วยคุณก็ต้องให้ข้อมูลผมก่อนสิครับว่าชื่ออะไร แล้วเป็นคนที่ไหน ทำงานอะไร แฟนชื่ออะไร เพื่อนคนนั้นเป็นใคร ผมจะได้หาทางช่วยคุณถูกไง”

มันนิ่งเงียบไปหลายนาทีอย่างครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะตอบด้วยท่าทางจริงจัง “ฉันไม่รู้… ขอโทษที… มันเหมือนจะนึกออก มีภาพนู่นนี่ลอยไปมาในหัวเต็มไปหมด แต่ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองชื่ออะไร แล้วเป็นใครมาจากไหน”

นรกรกับวินทร์หันมองหน้ากัน “กฏข้อแรกของการเป็นผีนี่คือต้องลืมเรื่องตัวเองให้ได้ก่อนเหรอครับ”

“ใช่แล้ว มันเขียนไว้ในวิชาวิญญาณศาสตร์101… ปัดโธ่! นายมาถามฉันแล้วฉันรู้ไหมเนี่ย” วินทร์พูดติดตลก

“ก็เห็นมีประสบการณ์นี่นา”

ตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ นรกรยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาเห็นว่าเลยเวลาเก้าโมงมาสิบห้านาทีแล้ว “คนไข้คิวแรกของผมมาแล้ว”

“จะให้ฉันออกไปก่อนไหม” มันถาม

“ไม่ต้องครับ แค่ช่วยยืนเงียบๆ ทำตัวดีๆ แล้วเออออตามน้ำไปก็พอ” นรกรบอกพร้อมกับเดินไปเปิดประตูเชิญผู้ที่รออยู่เข้ามา

หญิงสาวสวยวัยทำงานท่าทางทะมัดแมงคนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับอุ้มลูกชายวัยหนึ่งขวบไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง “สวัสดีค่ะ”

“สายฟ้า!” วินทร์ร้องขึ้นอย่างลิงโลด มิน่าล่ะ นรกรถึงไม่ยอมมาทำงานสาย ที่แท้เป็นคนไข้คนสำคัญนี่เอง
นรกรผายมือให้เพียงพิรุณนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจก่อนตนเองจะเดินอ้อมไปนั่งลงอีกฝั่ง “เป็นไงบ้างครับ” ถามพร้อมกับเอื้อมมือไปเขี่ยแก้มยุ้ยของเด็กชายด้วยความมันเขี้ยว

คณิณกับเพียงพิรุณได้ลูกแฝดชายหญิงชื่อว่าสายฟ้ากับสายรุ้งล้อตามชื่อเล่นของคนเป็นแม่ที่ชื่อฝน แรกเกิดทั้งสองเป็นเด็กร่าเริงเลี้ยงง่าย ร่างกายแข็งราย พัฒนาการตามวัย ดูไม่มีอะไรให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องเป็นกังวล จนกระทั่งอายุได้สามเดือนเมื่อจู่ๆ สายฟ้าก็เกิดชักทั้งตัวในขณะที่เพียงพิรุณกำลังอุ้มดูดนมจากอก ถึงมันจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก็หาย หากนั่นก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของฝันร้าย หลังจากที่พาลูกชายมาตรวจโดยละเอียดก็พบว่ามีก้อนเลือดโตผิดปกติในสมองแต่กำเนิด

“ดีขึ้นค่ะ” เพียงพิรุณบอกพลางหันไปยิ้มกว้างกับลูกชายที่เธอจับนั่งลงบนตัก นับตั้งแต่ผ่าตัดเมื่อหลายเดือนก่อนลูกชายก็ไม่มีอาการชักให้เห็นอีกเลย เทียบกับก่อนหน้านี้ที่มีอาการชักแทบจะวันเว้นวัน “ใช่ไหมครับสายฟ้าคนเก่ง… อ้าว ลุงวินทร์ก็อยู่ด้วยหนูไปหาลุงวินทร์ไหมครับ” ไม่รู้ว่าถูกชะตาหรืออย่างไรลูกทั้งสองคนเธอนั้นติดวินทร์มาก ยิ่งช่วงหลังจากป่วยก็มาช่วยดูแลกันบ่อยๆ ยิ่งติดหนึบจนบางครั้งคณิณก็แอบน้อยใจ คนเป็นแม่บุ้ยใบ้พลางทำท่าจะส่งต่อให้ จู่ๆ เด็กชายที่ดูร่าเริงก็เบะปากทำหน้ายู่แล้วหันไปกอดคอแม่แน่น

“เอ่อ… ถ้าน้องเขาไม่อยากให้ผมอุ้มก็ไม่เป็นไรครับ” ผีในร่างวินทร์รีบบอก ไม่รู้หรอกว่าทำไมจู่ๆ เด็กถึงกลัวเขา แต่ที่แน่ๆ คือเขาเกลียดเด็กมาก งานนี้จึงถือว่ารอดตัวไปได้

“ไม่ต้องมาแตะหลานฉันเลย” วินทร์ทำปากขมุบขมิบใส่ก่อนจะปราดเข้าไปยืนตรงหน้าแล้วทำท่าปิดตาเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กน้อย

“ขอผมตรวจก่อนนะครับ” นรกรรีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมจะลดยากันชักลงนะ แล้วจะให้พวกยาบำรุงสมองเพิ่ม และนัดห่างขึ้น แต่ถ้ามีอาการอะไรก็รีบพามาหาได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะครับ”

“เรื่องนี้ไม่มีเกรงใจอยู่แล้วค่ะ” เพียงพิรุณพูดยิ้มๆ นึกถึงช่วงที่ลูกชายมีอาการไม่คงที่ ค่อนไปทางแย่ พอมีอาการผิดปกติอะไรนิดอะไรหน่อยหัวอกคนเป็นแม่ก็อยู่ไม่สุข นอกจากสามีก็มีนรกรกับวินทร์นี่แหละที่ยอมให้รบกวนตลอดเวลาจนบันทึกเป็นเบอร์ฉุกเฉินไว้ บางครั้งที่เธออยู่บ้านคนเดียวเพราะคณิณไปเข้าเวรแล้วตกใจทำอะไรไม่ถูก โทรหาตอนตีสองตีสามพวกเขาก็รับสายและมาหาโดยไม่เคยอิดออดหรือปริปากบ่นสักครั้ง

“แล้วนี่พี่ปอไปไหนครับ ทำไมไม่มาด้วย” นรกรถามถึงคนเป็นพ่อ

เพียงพิรุณเงียบไปเล็กน้อย “ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะยืนรออยู่หน้าห้องกับสายรุ้งนี่แหละ พอดีเขาแอบเห็นว่าพี่วินทร์อยู่ด้วยก็เลย… ไม่อยากเข้ามาน่ะค่ะ” ปลายเสียงตะกุกตะกักไปเล็กน้อย สามีเล่าเรื่องที่ทั้งสองทะเลาะกันให้เธอฟังหมดแล้ว

“อ้อ…”

“งั้นเดี๋ยวผมออกไปหาเขาเองครับ” ผีในร่างวินทร์รีบบอก

“คุณจะทำอะไร” นรกรร้องถาม

“ขอโทษไง” มันหันมาพูดก่อนจะก้าวยาวๆ ไปที่ประตูและเปิดออกไปหาคนในชุดกาวน์ยาวที่อุ้มเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขน

คณิณที่ยืนเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดถอยห่างเล็กน้อยพร้อมกับถามเสียงห้วน “มีอะไร”

ทั้งนรกรและวินทร์รีบพุ่งตามออกมาเพราะเกรงว่าจะมีเรื่อง ภาพแรกที่เห็นคือชายหนุ่มสองคนยืนห่างกันเป็นวาและจ้องตากันเขม็งเหมือนฉากในหนังก่อนที่มือปืนจะสาดกระสุนเข้าใส่กัน

“พี่วินทร์… พี่ปอ…” นรกรพยายามจะยุติเหตุการณ์เพราะคิดว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีสำหรับการขอโทษหรืออธิบายอะไร แต่ก็สายไปเสียแล้ว

“ฉันขอโทษ” มันบอก

“เรื่องอะไร” คณิณถามเสียงห้วนยิ่งกว่าเดิม

“ทุกอย่าง” มันพูดต่อ “ฉันขอโทษ… เอ่อ… ไม่อยากโทษว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุหรอกนะ แต่ช่วงนี้บางครั้งฉันก็ทำอะไรโดยไม่รู้ตัวหรือคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่น่ะ”

“ฉันจะโทษว่าเป็นเพราะพฤติกรรมเปลี่ยนจากสมองโดนกระทบกระเทือนอย่างหนัก และขาดออกซิเจนชั่วคราวอย่างนั้นล่ะสิ” คณิณพูดเรียบๆ

มันดีดนิ้วเป๊าะ “นั่นล่ะ! นายพูดถูกเผง แล้วก็มี PTSD หน่อยๆ นี่ตอนกลางคืนฉันยังนอนฝันหลายสะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่เลย”

นรกรกลืนน้ำลายลงคอ คณิณเป็นคนเอาจริงเอาจังและมีแบบแผน ถึงการขอโทษนั้นจะดูจริงใจแต่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบที่จะถูกใจคณิณจนยอมยกโทษให้

คุณหมอโรคหัวใจกอดอกนิ่งมองคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง

“สรุปว่านายยกโทษให้ฉันหรือเปล่า” มันถามอ้อมแอ้ม

คณิณเหลือตามองมาทางนรกรครั้งหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “อย่าให้มีครั้งที่สอง” เขายื่นคำขาด

“ไม่มีอีกแล้วล่ะ” มันชูมือขึ้นทำท่าสาบานขึงขัง

คณิณพ่นลมออกจมูกราวกับโล่งใจเหมือนกันที่จัดการปัญหาหนักอกได้ ก่อนจะยื่นตัวลูกสาวออกมาตรงหน้า “เอ้า!”

“อะไร?”

“ก็เห็นยื่นหน้ายื่นตามา นายไม่ได้จะมาเล่นกับสายรุ้งเหรอ ปกติลูกฉันติดนายจะตาย” คณิณถาม

มันจ้องเด็กน้อยที่มองเขาตาใสแป๋วก่อนจะตวัดขึ้นมองคนเป็นพ่อแล้วตวัดกลับมามองเด็กน้อยที่จู่ๆ ก็ทำเหมือนจะเบะปากร้องไห้ใส่ “เอ่อ… ไม่ดีกว่า พอดีว่าเมื่อเช้ารีบ ไม่ได้อาบน้ำมาน่ะ เดี๋ยวหลานจะป่วย ไว้วันหลังนะ”

“โอ้โห! ไอ้วินทร์ ไอ้หมีซกมก ไปไกลๆ ลูกฉันเลยนะ” คณิณดึงตัวลูกสาวกลับมากอดแนบอก

คนโดนว่าไหวไหล่

“คืนดีกันได้แล้วก็ไปกันเถอะค่ะ รบกวนคนอื่นเขา” เพียงพิรุณบอกยิ้มๆ

คณิณเหลือบตามองรอบตัวที่มีคนไข้นั่งรอตรวจอยู่เต็มก่อนจะพยักหน้าให้ภรรยาแล้วหันมาหานรกน “พี่ไปก่อนนะฮาร์ฟ วันหลังค่อยคุยกัน”

“ครับ”

คล้อยหลังออกมาจากห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกเพียงพิรุณก็เอ่ยถามกับสามี “ทำไมคุณยกโทษให้ง่ายจัง”

“ก่อนหน้านี้เขาก็ดีกับเราตั้งเยอะ”

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลของคุณ” เพียงพิรุณกล่าวอย่างรู้ทัน

คณิณเหลือบตามองลูกชายในอ้อมแขนภรรยาก่อนจะเหลือบตาลงมองลูกสาวในอ้อมแขนตัวเองที่กลับมายิ้มร่าหัวเราะคิกคักให้ เขาก้มลงหอมแก้มยุ้ยด้วยความมันเขี้ยวครั้งหนึ่งจึงตอบคำถาม “เขาแค่ขอโทษผมแล้ว”

หญิงสาวเลิกคิ้ว ยังคงไม่เชื่อ

“แล้ววินทร์มันก็ไม่ได้ทำผิดอะไร… แค่สมองกระทบกระเทือน”

“ตกลงคุณเชื่อแบบนั้น”

“ผมเลือกที่จะเชื่อแบบนั้น” คณิณพูดซ้ำแต่ดูเหมือนกับกำลังย้ำความคิดของตนให้เชื่อในเหตุผลนั้นจริงๆ มากกว่าจะบอกอีกฝ่าย

“จบไปเรื่องหนึ่งสินะ ที่เหลือก็แค่พ่อกับแม่นาย” มันพูดอย่างภูมิอกภูมิใจขณะมองสองสามีภรรยาเดินออกไป

“เรื่องขอโทษพักไว้ก่อนก็ได้ ขืนคุณทำแบบเมื่อกี้อีกผมหัวใจวายตายแน่ๆ” นรกรว่า

“ทำไมล่ะ ก็จบสวยดีนี่นา”

“เพราะพ่อผมไม่ได้เข้าใจอะไรง่ายๆ และใจดีเหมือนพี่ปอน่ะสิ” นรกรบอก

“แต่ว่า…”

“ฟังที่ฮาร์ฟยอกเถอะน่า” วินทร์บอก “พ่อตาฉัน ฉันรู้ดีว่าควรจัดการยังไง”

มันกรอกตามองบน “ก็แค่ขอโทษเอง ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วยนะ”

“เพราะเรื่องที่แกทำยุ่งมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไงวะ ไอ้หอกหักนี่! ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง” วินทร์กอดอกพูดเสียงดัง

“จะมีเรื่องหรือไงวะ”

“ถ้าจะทะเลาะกันเชิญข้างนอกครับ ผมจะทำงาน” นรกรพูดเรียบๆ

“ฮาร์ฟไล่แล้วเห็นไหม” วินทร์ว่า

“พี่วินทร์ด้วยน่ะแหละ” นรดรพูดต่อ

“ฮาร์ฟฟฟ~ ฉันเปล่า…”

“พาเขาไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องพักแพทย์แล้วก็เปลี่ยนชุดใหม่โกนหนวดโกนเคราหน่อยได้ไหมครับ วันนี้มีแกรนด์ราวน์ อย่างน้อยๆ ผมก็อยากให้เขาดูน่าเชื่อถือต่อหน้าน้องๆ กับนักเรียนแพทย์”

วินทร์มองร่างจองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าที่สถาพตอนนี้ก็หมีดีๆ นี่เอง นึกถึงตัวเองสมัยเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ค่อนข้างปล่อยตัวเพราะอยากลองใจว่านรกรจะชอบตนที่รูปร่างหน้าตาภายนอกหรือเปล่า ถึงตอนนี้จะพิสูจน์ได้แล้วว่าไม่ใช่แต่การทำตัวให้ดูดีมันก็ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ

“ตามมา” เขาบอกพร้อมกับออกเดินนำไปตามทาง
หลังจากที่จัดการล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ มันก็มายืนแต่งตัวที่หน้ากระจก โชคดีที่นรกรเป็นคนรอบคอบจึงเตรียมชุดสำหรับเปลี่ยนเวลาต้องขึ้นเวรหลายๆ วันไว้ให้

วินทร์ยืนกอดอกมองคนที่กำลังผิวปากติดกระดุมเสื้ออย่างสบายอารมณ์แล้วจึงถามขึ้น “ถามอะไรหน่อยสิ”

“ว่ามาสิ” มันตอบ

“ทำไมต้องโกหก”

“เรื่องอะไร” มันว่า “ฉันก็บอกไปแล้วไงว่ารู้สึกผิดจริงๆ”

“ฉันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น” วินทร์บอก “เรื่องที่โดนแฟนกับเพื่นสวมเขานั่นอาจจะจริง แต่มีเรื่องนึงที่นายโกหกเราแน่ๆ”

“เรื่องอะไร” มันถามหน้าตาย

“เรื่องที่ขับรถชน”

“ทำไม”

“ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุอย่างที่นายว่า นายจะไม่ติดอยู่ตรงนั้นหรืออย่างน้อยนายก็จะไม่เจ็บปวดกับเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา” วินทร์บอกพลางมองเข้าไปในดวงตาร่างตรงหน้าราวกับต้องการมองให้ทะลุ “ถ้าไม่ใช่เพราะตั้งใจฆ่าตัวตาย นายก็พยายามฆ่าใครสักคนแล้วก็อาจจะสำเร็จเสียด้วยถึงได้ต้องมาทนรับกรรมอยู่แบบนี้”

“นายรู้ได้ไง” มันถาม เสียงห้วนขึ้นชัดเจน

“เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้วน่ะสิ” วินทร์บอก “และคงเป็นเพราะเหตุนี้แหละ เราถึงต้องมาติดอยู่ด้วยกันแบบนี้”

มันผูกเนกไทจนเสร็จจึงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า “แล้วจะเอายังไง นายจะเอาเรื่องนี้ไปบอกแฟนนาย แล้วก็จะเปลี่ยนใจไม่ช่วยฉันแล้วเหรอ ทำแบบนั้นแฟนนายจะผิดหวังหรือเปล่า”

“ต่อให้ฉันพูดไปก็เปลี่ยนใจฮาร์ฟไม่ได้อยู่ดี” วินทร์บอก “และถึงฉันไม่พูดก็ไม่คิดว่าฮาร์ฟจะไม่ระแคะระคายอะไรหรอกนะ เห็นแบบนั้นแต่หมอนั่นก็ผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งเรื่องคนและผี”

“แล้วสรุปว่านายต้องการอะไรจากฉัน”

“แค่อยากเตือน” วินทร์พูดเสียงเย็น “ว่าที่เคยพูดว่า ถ้านายทำฮาร์ฟเสียน้ำตาอีก ฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรสชาติว่าการตายทั้งๆ ที่ตายอยู่แล้วน่ะมันเป็นยังไง”

“เหรอ” มันพ่นลมออกจมูก “ฉันว่าการที่ฉันโกหกมันคงไม่ทำให้เขาเสียใจเท่ากับคำโกหกของนายหรอกมั้ง… เหตุผลจองฉันน่ะมันมีอยู่แล้วล่ะ แล้วนายล่ะมีหรือเปล่า เหตุผลที่ต้องโกหกกัน”

วินทร์ขบกรามจนเป็นสันพร้อมกับกำหมัดแน่นเมื่อโดนย้อนเข้าอย่างจัง

“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นสิ อย่างน้อยเราต้องร่วมมือกันอีกากพักเลยนะ” มันบอก “มาเถอะ เดี๋ยวจะไปแกรนด์ราวน์สาย” พูดจบมันก็ผลักประตูห้องออกไป

วินทร์ก้มลงมองมือตัวเองที่มองทะลุผ่านเห็นพื้นด้านล่าง เขากำหมัดแน่นอีกครั้งก่อนจะสะบัดสีหน้าและแววตาวิตกกังวลทิ้ง ทำเหมือนไม่มีอะไรแล้วเดินตามหลังออกไป นรกรกำลังรอเขาอยู่และเขาไม่ควรปล่อยให้รอนานไปกว่านี้


*****************************************TBC*************************************************************

Talk

ที่หลายคนเป็นห่วงกันเข้ามาถึงตอนจบ เรายังยืนยันคำเดิมนะคะว่าเลิกเป็นห่วงได้ สปอยตรงนี้เลยว่าคืนพี่หมีวินทร์ให้ฮาร์ฟแน่ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 15-10-2018 00:16:55
 :z2: เราจะตามจนกว่าพี่หมีวินทร์จะคืนสู่อ้อมอกน้องฮาร์ฟ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-10-2018 10:47:43
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 15-10-2018 12:17:21
พี่หมีวินทร์โกหกอะไรอยู่???   :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 15-10-2018 13:23:28
ก็สบายใจที่คนเขียนบอกว่าพี่วินทร์จะได้กลับไปอยู่กะฮาร์ฟนะคะ
แต่ยังคาใจอีกนิดนึง อิผีคงไม่ทำอะไรแผลงๆแล้วใช่มั้ย ฮือออ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ida_iii ที่ 15-10-2018 21:14:12
ความเข้าหมวดนิยายที่จบแล้ว. แล้วมาเจอนิยายค้างคานี้
จัลล้องห้ายยย


อินมากอะไรมาก

ซดน้ำมาม่าาาาาา
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-10-2018 22:31:40
พี่หมีโกหหกอะไร
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-10-2018 18:59:27
ลึกลับซับซ้อนจังพี่วิน
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-10-2018 21:30:36
บทที่ 7  Say it again

“ส… สวัสดีครับ” จิงโจ้ที่มาถึงเป็นคนสุดท้ายรีบกล่าวขอโทษ เพราะความตะกละแท้ๆ ที่ยัดซาลาเปาไส้หมูค้างคืนเข้าไปสองลูกรวด สุดท้ายก็เลยต้องไปสิงอยู่ในห้องน้ำเสียนานสองนานกว่าจะลากสังขารออกมาได้จนเกือบจะมาไม่ทันแกรนด์ราวน์วันนี้เสียแล้ว

“เริ่มได้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปพยักหน้าให้แพทย์ประจำบ้านปีห้าที่จะทำหน้าที่รายงานเคสเป็นคนแรก ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่มาร่วมแกรนด์ราวน์เนื่องจากมีแพลนจะเกษียณอยู่สิ้นเดือนนี้แล้ว แต่เขาก็ยังคงความเฉียบขาดและดุดันเหมือนเคย

“ครับ” แพทย์ประจำบ้านปีห้ารับคำก่อนจะเริ่มต้นเล่าอาการของคนไข้ “ผู้ป่วยชายไทยอายุยี่สิบห้าปี…”

จิงโจ้กวาดตามองรวดเร็วไปรอบวงแกรนด์ราวน์ที่ทุกคนอยู่กันครบขาดก็แต่อาจารย์ภูมิศิลป์ที่ติดเคสผ่าตัดยังไม่เสร็จ ก่อนจะใช้ศอกสะกิดแขนอนุวัฒน์ที่มาร่วมสังเกตุการณ์ด้วยเพราะรับปากแล้วว่าจะมาเป็นอาจารย์ที่นี่หลังจากเรียนจบและกลับไปใช้ทุนเสร็จสิ้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่วัฒน์”

“ก็ไม่มีอะไรนี่” อนุวัฒน์กระซิบตอบพยายามปั้นหน้าให้นิ่งเพื่อไม่ให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์สังเกตุเห็นความไม่เงียบสงบในสถานการณ์ควรที่ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ

“มันจะไม่มีอะไรได้ยังไงพี่วัฒน์ สองคนนั้นเขายืนอยู่ข้างกันแบบนั้นวงไม่แตกได้ไงครับ” จิงโจ้กระซิบอย่างร้อนรนพลางบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง

อนุวัฒน์ละสายตาจากเคสเหลือบไปมองวินทร์ที่ยืนมือไพล่หลังร่วมวงฟังอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างนรกร “ทำไมถึงวงจะแตกล่ะ”

“ก็…!” จิงโจ้ขยิบตาพลางพยักเพยิดให้มองใหม่ “ไม่ใช่สองคนนั้นสิครับ… ผมหมายถึงนั่นต่างหาก นั่นน่ะ… นั่นน่ะ… น่านนน~ น่ะ!” เขาขยิบตาจนแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งที่ยืนข้างๆ เริ่มชำเลืองตามองด้วยความสงสัยว่าเขาหนังตากระตุกเพราะมีอาการชักหรือเปล่า พอแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่แน่ๆ ก็ค่อยลากเท้าหนีให้ห่างออกไปเพื่อไม่ให้โดนหางเลขข้อหาสมรู้ร่วมคิด

อนุวัฒน์หันไปมองอีกครั้ง สิ่งที่จิงโจ้ต้องการให้เห็นไม่ใช่คนที่อยู่ทางซ้ายของวินทร์ แต่เป็นอีกคนที่อยู่ถัดไปทางขวามือ คือศาสตราจาย์สรวิชญ์ซึ่งทำหน้าตึงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด “แล้วยังไงเหรอ”

“ก็เขาไม่ได้ทะเลาะกันอยู่เหรอ”

“ดีกันแล้วมั้ง” อนุวัฒน์ตอบเรียบๆ

“จะบ้าเหรอ!? เรื่องแบบนี้มันดีกันได้ง่ายๆ หรือไง แล้วปกติเวลาแกรนด์ราวน์พี่วินทร์ก็ไม่ยืนข้างๆ พี่ฮาร์ฟเสียหน่อยเพราะกลัวจะโดนอาจารย์พ่อเขม่นโทษฐานทำตัวติดกัน นี่ทำไมยิ่งมีเรื่องถึงยิ่งไปยืนซะชิดขนาดนั้นล่ะ หรือว่าอยากให้มันเป็นเรื่อง”

“ตรงนั้นน่ะเงียบๆ หน่อย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ็ดทำเอาจิงโจ้สะดุ้งโหยง

“ขอโทษครับ” ถึงจะบอกแบบนั้น แต่จิงโจ้ก็ยังไม่หยุดสงสัยและไม่เลิกกระซิบกระซาบ “แล้วพี่แกหายดีแล้วเหรอ ถึงได้มาแกรนด์ราวน์กับเราได้น่ะ”

“ก็คงงั้น” อนุวัฒน์ตอบอย่างเสียไม่ได้

“แต่ถึงจะหาย ผมว่าก็ยังไม่ควรมานะ น่าจะให้เรื่องมันเงียบไปอีกหน่อย โธ่! เมื่อวานผมอุตส่าห์ส่งข้อความไปบอกให้หยุดพักแล้วนะ เดี๋ยวจะช่วยดูคนไข้แทนเอง”

“มันก็มีส่วนที่พี่เขาต้องรับผิดชอบมาดูเองไม่ใช่หรือไง” อนุวัฒน์พยายามขยับตัวหนีแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะจิงโจ้ยังคงทู่ซี้ตามมาใกล้อีก

“แต่พี่ฮาร์ฟก็น่าจะดูแทนได้นี่นา แบบนี้ผมว่า…”

“ท่าทางคุณจะมีข้อสงสัยเยอะเหลือเกินนะจิงโจ้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยเสียงเฉียบ ไม่ใช่แค่เจ้าของชื่อหากทำเอาทั้งวงสะดุ้งไปตามๆ กัน “นี่เป็นเวลาทำงาน ถ้าหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเคสก็ไว้รอให้น้องเขารายงานให้จบก่อน แต่ถ้าหากเป็นเรื่องส่วนตัวก็ไว้คุยกันข้างนอก อยู่ปีห้า จะจบอยู่อีกไม่กี่เดือนนี้แล้วทำตัวให้น้องๆ มันอยากยกมือไหว้หน่อย” ปากพูดเหมือนดุจิงโจ้หากสายตาเหลือบมองคนที่ยืนทำหน้าไม่รู้เรื่องราวอยู่ข้างๆ

“ข… ขอ…” จิงโจ้กำลังจะเอ่ยขอโทษหากคนที่รู้ตัวว่าถูกว่ากระทบกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ถ้าอาจารย์หมายถึงผม ผมขอโทษครับ”

เกิดความเงียบขึ้นทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อทุกคนในที่นั้นพร้อมใจกันกลั้นหายใจด้วยกลัวว่าจะตกเป็นจำเลยตามไปด้วย จะมีก็แค่เสียงฟืดฟาดเบาๆ เป็นจังหวะจากเครื่องช่วยหายใจที่ต่อกับคนไข้ดังเป็นฉากหลังราวกับเป็นเสียงสวดมนตร์ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นบทอวยพรหรือสาปส่งกันแน่

“แกพูดบ้าอะไรวะ!” ร่างโปร่งแสงเจ้าของร่างแทบจะพุ่งผ่ากลางวงไปบีบคอให้คนปากไวตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด “ตกลงกันแล้วนี่หว่าว่าให้สงบปากสงบคำไว้ แกอยากตายอีกทีจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!”

นรกรเม้มปากแน่นพร้อมกับใช้ปลายเท้าสะกิดให้หยุดพูด

ทว่ามันก็ยังไม่หยุดง่ายๆ ตามสำนวนที่ว่าผีเจาะปากมาให้พูดจริงๆ

“ผมรู้ตัวดีครับว่าผมผิด แต่การที่อาจารย์จะมาว่ากระทบผมในขณะที่เรากำลังทำงานผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ถ้าหากว่าอาจารย์ต้องการจะคุยกับผมหลังจากนี้ผมมีเวลาให้อา... โอ๊ย!” วิญญาณในร่างวินทร์ร้องเสียงหลงเพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่เขี่ยแต่นรกรเหยียบลงมาเต็มฝ่าเท้า “เจ็บนะ… สะกิดกันเบาๆ ก็ได้นี่”

“เงียบครับ” นรกรพูดลอดไรฟันพลางหันไปสบตาพ่อขอตนแวบหนึ่ง “ขอโทษครับ”

ร่างโปร่งแสงโผไปยืนเท้าเอวตรงหน้าพร้อมกับชี้นิ้ว “หุบปาก!”

มันจ้องหน้าวินทร์กับนรกรซึ่งเขาได้ทำข้อตกลงไว้ก่อนจะมาร่วมวงแกรนด์ราวน์แล้วว่าจะทำเสมือนว่าตัวเองเป็นใบ้และเดินตามนรกรไปเงียบๆ มันเหลือบตามองไปรอบวงที่ตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว นึกรู้ตัวว่าไม่ควรทำให้เจ้าของร่างที่ยืมมาลำบากไปมากกว่านี้จึงพูดต่อด้วยใจที่เย็นลง “ผมแค่จะบอกว่า…”

“นี่ยังไม่หยุดอีกเหรอวะ!” วินทร์ตะโกนใส่หน้า

มันเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยและพูดต่อ “…ผมขอโทษ และผมพร้อมคุยทุกเมื่อที่อาจารย์ต้องการ แต่ไม่ใช่ที่นี่ครับ”
 
ถ้ามองอย่างเป็นกลาง นรกรยอมรับว่าเจ้าวิญญาณนี่พูดมีเหตุผลมากทีเดียวและเขาก็พูดด้วยท่าทีสุภาพ ไม่ใช่โผงผางอยากเอาชนะ แต่ก็นั่นล่ะ เมื่อมองตามมุมของคนเป็นลูกที่รู้ว่าพ่อจะมองการอธิบายว่าเป็นเรื่องเถียงแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่คิดว่าผลลัพท์จะออกมาดีเท่าไหร่

แล้วความเงียบก็โรยตัวลงมาอีกครั้งอย่างน่าอึดอัดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ นรกรเห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์กำมือเป็นหมัดแน่น เขาเหลือบตาไปมองแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ และโชคดีที่แม่รู้วิธีหาทางออกในสถานการณ์อันน่าตึงเครียดนี้

“เมื่อกี้เล่าเคสถึงไหนแล้วนะจ๊ะ” วิมลภาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“ค… ครับ อาจารย์” แพทย์ประจำบ้านปีห้าที่เล่าเคสค้างอยู่ละล่ำละลักตอบ

“เมื่อกี้เธอเล่าเคสถึงตรงที่ประสบอุบัติเหตุมา มีเลือดออกในสมอง ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว แล้วสรุปว่าตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง” วิมลภาขยายความ

“ก็… ก็ดีครับ” แพทย์ประจำบ้านตอบตะกุกตะกัก

แม้แต่วิมลภาที่ปกติใจเย็นอยู่เสมอก็อยากจะของขึ้นตามไปด้วยอีกคน “ที่ดีน่ะมันยังไงล่ะ อธิบายมาสิ”

“ก็…”

“ผมขอ…” จิงโจ้ค่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

“ชี่!” อนุวัฒน์จิ๊ปากใส่ ไม่ว่าจะขอถามหรือขอโทษตอนนี้เจ้าตัวที่เป็นคนพัดไฟให้กระพือก็ควรสงบปากสงบคำได้แล้ว

“…ขณะนี้เราเอาท่อช่วยหายใจออกแล้ว คนไข้หลับเป็นส่วนใหญ่ พอสื่อสารให้ทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้ครับและยังไม่พูดครับ” แพทย์ประจำบ้านปีห้าเล่าต่อ

“คิดว่าคนไข้เคสนี้ไม่พูดเพราะอะไร” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปถามแพทย์ประจำบ้านปีสี่

“เพราะว่าสมองกระทบกระเทือนครับ”

“ตอบกำปั้นทุบดินแบบนี้แม้แต่คนเข็นเปลยังตอบได้เลยในเมื่อคนไข้โดนรถชน หัวแตกมีเลือดไหลอาบหน้ามาขนาดนี้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “ตอบอะไรที่มันสมกับเป็นหมอโรคสมองหน่อยสิ”

“เอ่อ… เพราะว่า… สมอง…”

“ท่าทางจะไม่ใช่แค่คนไข้แต่ตอนนี้หมอก็มีอาการเดียวกันแล้วเนี่ย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถอนหายใจ “ไหนปีสามลองช่วยพี่ปีสี่หน่อยสิ”

“คนไข้น่าจะมีอาการอะเฟเซียครับ” แพทย์ประจำบ้านปีสามตอบ

“ดีขึ้นมาหน่อย แล้วมันคืออะไรปีสองรู้ไหม” ศาสตราจารย์สรวิญช์ถามต่อ

“Aphasia คืออาการผิดปกติของการพูดและการเข้าใจภาษาครับ” แพทย์ประจำบ้านปีสองตอบ

“แล้วมันยังไงต่อ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปพยักเพยิดกับน้องเล็กของวง

“บริเวณสำคัญของสมองที่เกี่ยวข้องกับการพูดและการเข้าใจภาษามีอยู่สองส่วน คือสมองส่วน Wernicke’s area ซึ่งอยู่บริเวณกกหูด้านซ้านกับ Broca’s area ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าทางซีกซ้ายครับ” แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งตอบฉะฉาน “คนไข้ได้รับการกระแทกตรงบริเวณหน้าผากกับศีรษะด้านขวาก็จริง แต่ตามกลไกการบาดเจ็บแล้วก็อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บในสมองส่วนตรงข้ามได้ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการอะเฟเซียในคนไข้เคสนี้ครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เลิกคิ้วครั้งหนึ่ง ทำเอาคนตอบใจแป้ว แต่พออาจารย์พูดต่อก็กลับทำให้หัวใจพองฟูขึ้นมาทันที “สนใจมาเป็นอาจารย์หลังเรียนจบไหมเราน่ะ”

“เอ่อผม…” คนถูกทาบทามแบบไม่ตั้งตัวอึกอัก

“คุณยังมีเวลาคิดอีกสี่ปี” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกก่อนจะหันไปหาแพทย์ประจำบ้านปีห้า “แล้วเราจะรักษาคนไข้ยังไงต่อ”

“ส่งปรึกษาแผนกกายภาพมาช่วยฝึกพูดครับ” เจ้าของเคสตอบ

“แล้วเราทำอะไรได้อีก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามต่อ “คุณเล่าว่าคนไข้คนนี้ไม่มีญาติพี่น้องใช่ไหม แล้วเราจะให้เขากลับบ้านยังไงในสภาพที่ยังไม่พร้อมออกจากโรงพยาบาลแบบนี้ สภาพบ้านเป็นยังไง อยู่บ้านตัวเองหรือว่าเช่าอยู่ อยู่คนเดียวหรือว่าแชร์ห้องกับเพื่อนร่วมงาน ค่าใช้จ่ายส่วนเกินระหว่างที่นอนโรงพยาบาลจะหาจากไหน ถ้ากลับบ้านไม่ได้แล้วเราจะทำยังไงจะปล่อยให้นอนโรงพยาบาลไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอ มันจะเป็นการกินเตียงและเสียโอกาสสำหรับคนไข้คนอื่นที่นอนรอแอดมิทหรือเปล่า… หน้าที่ของพวกคุณไม่ใช่แค่รักษาโรคแค่ด้านเดียว แต่ต้องดูไปถึงมิติอื่นๆ ด้วย เขาเรียกว่าการรักษาแบบองค์รวม”

“ในกรณีนี้แผนกสังคมสงเคราะห์จะช่วยได้ไหมครับ” แพทย์ประจำบ้านปีสี่ที่พลาดไปเมื่อสักครู่พยายามแก้ตัว

“ก็ได้… แล้วเรายังทำอะไรได้อีก”

แล้วทุกคนก็ช่วยกันถกถึงสหวิชาชีพและหน่วยงานอื่นๆ ที่อาจช่วยเหลือได้

นรกรยืนฟังเพลินๆ พลางสบตากับวินทร์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามว่าน้องๆ รุ่นนี้ไม่เลวทีเดียวพอฝากผีฝากไข้ได้ ในขณะที่เจ้าวิญญาณตัวดีที่สิงร่างวินทร์อยู่ก็ทำปากขมุบขมิบอย่างอัดอั้นเต็มที

ในที่สุดมันก็ทนไม่ไหว ยกมือขึ้นเป็นการขออนุญาตแสดงความเห็นบ้าง “เอ่อ… ผมขอถามอีกที คนๆ นี้เขาไม่มีญาติจริงๆ น่ะเหรอ”

“เพื่อนร่วมงานที่มาเยี่ยมยืนยันว่าพ่อแม่เขาเสียหมดแล้ว ญาติพี่น้องก็ไม่มี”

มันพยักหน้า คิดตาม “น่าสงสารเนอะ เป็นผมเจอแบบนี้ก็อาจจะไม่อยากพูดก็ได้”

“คุณจะพูดอะไรน่ะ” นรกรกระซิบกระซาบ “ผมบอกให้อยู่เงียบๆ ไง”

มันไม่ฟัง หันไปยกมือขออนุญาตอีกครั้งและพูดสิ่งที่ตนคิดต่อ “ก็ตามที่น้องเขาอธิบายเมื่อกี้มันก็ไม่ได้ฟันธง 100% นี่นาว่าอาการพวกนี้เกิดจากการบาดเจ็บที่สมองก็แค่ ‘อาจจะ’ ‘น่าจะ’ ใช่ปะ” มันหันไปพยักเพยิดกับแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งเจ้าของคำตอบ “ผมกำลังคิดว่าสาเหตุมาจากอย่างอื่นหรือเปล่า… อาการหลับเป็นส่วนใหญ่ ซึม ไม่พูดนี่มันเข้าได้กับกลุ่มอาการเบื้องต้นของโรคจิตเวชอยู่นะเช่น โรคซึมเศร้า หรือ PTSD ยิ่งเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างรถชนที่เกือบทำให้เสียชีวิตมาหมาดๆ วันๆ ผมเห็นแต่พวกคุณทดสอบให้ชูสองนิ้ว เอานิ้วจิ้มกันไปมา ยกแข้งยกขาดูการทำงานของระบบประสาท เคยมีใครถามคนไข้บ้างว่ากลางคืนเขานอนหลับไหม หรือว่าฝันร้ายหรือเปล่า ลองคุยถามสารทุกข์สุขดิบบ้างบางทีเขาอาจจะเปิดใจพูดกับคุณก็ได้นะ”

มันพูดเสียยืดยาว พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าคนอื่นๆ กำลังมองมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว

“เอ่อ… ขอโทษครับ ผมคงพูดมากไป”

“ทำไมคุณคิดแบบนั้น” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม

“ก็… มันมีไม่ใช่เหรอครับ เคสคล้ายๆ แบบนี้น่ะ ส่งไปฝึกพูด หาสาเหตุกันอยู่ตั้งนานสุดท้ายก็พบว่าคนไข้แค่ไม่อยากพูด เพราะท้อแท้กับชีวิต กว่าเราจะรู้ตัวก็เกือบเสียคนไข้ไปเพราะเขาพยายามกระโดดจากหน้าต่างชั้นที่สิบหกของโรงพยาบาลเพื่อฆ่าตัวตายน่ะ ดีนะที่คุณพยาบาลไปเห็นเสียก่อนเลยช่วยไว้ได้ทัน”

“คุณเคยไปรักษาคนไข้แบบนั้นตอนไหนครับ” นรกรหันไปถามด้วยความสงสัย

“ก็…”

“ขอโทษทีที่ผมมาช้า” อาจารย์ภูมิศิลป์ที่เพิ่งเสร็จจากเคสผ่าตัดเดินเข้ามาร่วมวง

มันเหลียวไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึงและกำลังจะตอบ แต่แล้วก็เหมือนม้วนฟิล์มที่กำลังหมุนอย่างต่อเนื่องหยุดไปเสียเฉยๆ กลายเป็นภาพดำมืด “ก็ตอน… เอ่อ…” พยายามจะนึกแต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกถอดปลั๊กให้หยุดการทำงานไปเสียเฉยๆ จึงเลี่ยงไปตอบกลางๆ “ตอน… เอ่อ… มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากๆ แล้วน่ะนะ”

“คุณจำได้ด้วยเหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามขึ้น “เคสนั้นน่ะ”

มันเลิกคิ้วขึ้นสูง จนใจจะนึกหาคำตอบมาให้ แต่เพราะแววตาของผู้สูงวัยที่กำลังโกรธเคืองกันนั้นเปลี่ยนไปคล้ายจะเจือความอาทรนิดๆ มันจึงรีบเออออ “ครับ”

“ก็ตามที่อาจารย์วินทร์เสนอมา คุณก็ลองตรวจประเมินคนไข้ดู ถ้าหากเห็นว่ามีข้อบ่งชี้ที่ต้องส่งปรึกษาจิตเวชจริงๆ ก็ทำไปได้เลย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์สรุป

“ครับอาจารย์” แพทย์ประจำบ้านปีห้าพยักหน้ารับคำพลางจดลงสมุดโน้ตของตัวเองเพื่อป้องกันการลืม

“ท่าทางจะวิเคราะห์อะไรกันสนุกเลยสินะ เสียดายจังที่ผมพลาดอะไรไป” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าว

“เราเพิ่งเริ่มเคสแรกเองค่ะ” อาจารย์วิมลภาบอก “เคสคุณกฤตธีที่อาจารย์อุตส่าห์มาช่วยผ่าตัดให้ทั้งที่ไม่ได้อยู่เวรเมื่ออาทิตย์ก่อนไงคะ”

“ไม่ใช่แค่ผมหรอก วันนั้นหมอฮาร์ฟกับหมอวินทร์เขาก็อยู่ด้วย ผมมันแค่อยากมีส่วนร่วมน่ะเลยไปขอช่วย”

“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกค่ะ อาจารย์ก็เป็นคนใจดีแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” อาจารย์วิมลภาบอก “ตอนนี้คนไข้อาการดีขึ้นเยอะแล้ว กำลังคิดกันว่าจะส่งไปฝึกกายภาพ และจะหาทางช่วยอะไรคนไข้ได้บ้างเพราะเห็นว่าไม่มีญาติน่ะค่ะ”

“ดีๆ” อาจารย์ภูมิศิลป์พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย “ขาดเหลืออะไรบอกผมได้เลยนะ ผมยินดีช่วยเต็มที่”

“อาจารย์ภูมิศิลป์เป็นประธานเครือข่ายโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน ในมูลนิธิเมาไม่ขับของโรงพยาบาลเราน่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ให้ข้อมูลพลางยกมือขึ้นสัมผัสหลังครั้งหนึ่ง “แสดงความยินดีด้วยนะ”

อาจารย์ภูมิศิลป์ยกมือไหว้ “ผมได้ยินแต่ข่าวลือ ยังไม่เห็นหนังสือคำสั่งเลย แต่อาจารย์อวยพรมาแบบนี้แล้วผมก็ยืนดีน้อมรับครับ”

“ไม่พลิกโผหรอก คุณทุ่มเทกับงานนี้มากมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ แล้วนี่ ตำแหน่งนี้เหมาะสมกับคุณแล้ว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวอย่างชื่นชมก่อนจะหันไปหาลูกศิษย์ “มีอะไรก็ปรึกษาอาจารย์เขาได้นะ”

“ขอบคุณครับ” แพทย์ประจำบ้านปีห้าเจ้าของเคสรับคำ

“ไปต่อเคสที่สองกันเถอะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกก่อนจะผายมือให้เจ้าของเคสเดินนำไป

หากวิญญาณที่อยู่ในร่างวินทร์ยังคงไม่ขยับ นัยน์ตาจับจ้องไปยังป้ายชื่อที่หน้าห้องคนไข้สลับกับชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียง

นรกรจึงเดินเข้าไปสะกิดพลางกระซิบ “ไปได้แล้วครับ”

แต่มันก็ยังไม่ขยับ ทั้งยังเดินเข้าไปชะโงกหน้ามองเจ้าของป้ายชื่อก่อนจะเดินออกมาและบ่นพึมพำเรียกชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมา “กฤตธี… กฤตธี”

“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถาม

“ฉันคิดว่านี่คือชื่อฉัน” มันตอบ

“คุณแน่ใจใช่ไหม แล้วนอดจากนี้คุณนึกอะไรออกอีกบ้าง… เมื่อกี้คุณก็พูดอาการกับโรคเป็นฉากๆ เลยนี่ คุณต้องเคยทำงานที่โรงพยาบาลนี้แน่ๆ”

“ใจเย็นๆ สิ เล่นถามมาเป็นชุดแบบนี้ฉันจะตอบทันไหม” มันว่า “ถามว่าแน่ใจไหม… คำตอบคือไม่เลย แต่ในทางตรงกันข้ามฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้มากๆ เช่นกัน ส่วนไอ้ที่พูดไปเมื่อกี้ คือปากมันขยับไปเองน่ะ แบบมันแล่นปรื๊ดออกมาเลย ฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน”

“คงไม่ใช่คนไกลตัวเราเท่าไหร่” วินทร์ออกความเห็น “อาการหมอนี่มันเหมือนฉันไม่มีผิด”

“เป็นไปได้ครับ” นรกรตอบ “ถ้ามาตายแถวๆ นี้ก็ต้องเป็นคนแถวๆ นี้แหละ ถ้าเขานึกชื่อกับนามสกุล ไม่สิ! เอาแค่ชื่อก็ได้ แค่นี้ผมก็ไปค้นดูประวัติได้แล้ว”

“แต่หมอนี่มันตายมาหลายปีแล้วนะฮาร์ฟ อย่างน้อยก็ยี่สิบปีเลยนะ โรงพยาบาลเราเพิ่งทำลายประวัติที่เก่าเกินสิบปีแล้วไม่มีการอัปเดทข้อมูลทิ้งไปเมื่อต้นปีนี่เอง” วินทร์บอก

“แล้วพี่วินทร์รู้ได้ไงครับ”

“ก็หมอนี่มันไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือ” วินทร์บอก “เมื่อกี้ตอนที่ไปเปลี่ยนชุดน่ะ ฉันถามว่าเอาโทรศัพท์ฉันมาหรือเปล่า จะได้ติดต่อนายว่าอยู่ที่ไหนอะไรยังไง มันตอบกลับมาหน้าตายว่าของแบบนั้นใครเขาพกกัน... โทรศัพท์ในความทรงจำหมอนี่คือไอ้รุ่นคุณปู่ที่มันต้องหมุนๆ แป้นอะ”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนี่รุ่นคลาสสิคเลยนะ” มันว่า

“แต่เขาขับรถเป็นนี่นา”

“รถพ่อนายมันก็เป็นแบบเกียร์กระปุกไม่ใช่เหรอ แถมยังเป็นรุ่นเก่าด้วย ฉันพนันได้เลยว่ามันต้องขับน้องเต่าฟ้าของนายไม่เป็นเพราะระบบเกียร์ออโต้นี่ถึงจะมีใช้มานานแต่เพิ่งมานิยมช่วงสิบปีมานี่เอง” วินทร์ว่า

“อะไรคือเกียร์ออโต้” มันถามงงๆ

“นายรู้จักซีดีไหม” วินทร์ถามล้อๆ “ไม่สิ! ถามว่ารู้จักแผ่นเสียงกับวิทยุทรานซิสเตอร์ไหมดีกว่า”

“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ” มันว่า “ฉันก็บอกแล้วไงว่าตายมานานแล้ว ตอนที่หายออกจากบ้านพวกนายไป ฉันลองขับรถไปตามที่ต่างๆ มา ถึงได้รู้ไงว่าโลกที่ฉันรู้จักมันไม่มีเหลือแล้ว แค่จะหาเส้นทางกลับบ้านเดิมที่เคยอยู่ฉันยังหาไม่ถูกเลย หลงวนไปวนมา ดีนะที่ไม่ถูกตำรวจเรียก สุดท้ายไปไหนไม่ได้ถึงได้กลับมาหาพวกนายนี่แหละ”

“ฉันพอจะเข้าใจจริงๆ แล้วล่ะฮาร์ฟว่าทำไมมันถึงซมซานกลับมาหาเรา” วินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อละกันครับ ตอนนี้เราต้องไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ แล้ว” นรกรบอกพลางบุ้ยใบ้ไปทางคณะแกรนด์ราวน์ก่อนจะออกเดินไปสมทบโดยมีวินทร์เดินคู่กันไป

มันกำลังจะตามหลังไปเช่นกันเมื่อพยาบาลสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาสะกิดที่ข้อศอก

“เอ่อ… คือว่า…” เธอกล่าวอึกอัก

มันมองตามหลังคนอื่นๆ ก่อนจะรีบหันมาหาเธอ “ครับ”

“เรื่องนั้นน่ะค่ะ อาจารย์จะให้หนูทำยังไงคะ ยังทำตามแผนเดิมไหม”

มันขมวดคิ้ว จะขอความช่วยเหลือทั้งสองคนก็เดินไปไกลแล้วและไม่มีทีท่าจะหันมา “เรื่องไหนครับ”

“ก็เรื่องนั้นไงคะ” พยาบาลสาวขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง

“แล้วมันเรื่องไหนล่ะครับ”

“แหม~ ก็เรื่องนั้นไง” เธอขยิบตาให้อีกครั้ง

มันจนใจจะเลี่ยงจึงตัดสินใจตามน้ำไปให้จบๆ “อ่อ! ครับ ตามนั้นเลยครับ”

พยาบาลสาวยิมกว้างพร้อมกับทำมือประกอบ “ตกลง โอเคนะคะ”

“โอเคครับ” มันพยักหน้ารับทั้งที่ยังงงๆ อยู่ แต่ในที่สุดพยาบาลสาวก็เดินฮัมเพลงจากไป มันจึงเดินตามไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ได้ทันเวลาก่อนจะโดนต่อว่า

เสร็จจากแกรนด์ราวน์ในหอผู้ป่วยนี้ ทุกคนก็เตรียมเคลื่อนย้ายไปยังหอผู้ป่วยถัดไป และในขณะที่นรกรกำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์นั่นเอง พยาบาลสาวคนที่เข้ามาสะกิดแขนวินทร์ซึ่งโดนวิญญาณคนอื่นสิงอยู่ก็ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงหวานเรียก

“อาจารย์ขา~”

นรกรที่คุ้นเคยกับวิธีการเรียกแบบนี้ดีเพราะเป็นพยาบาลสาวที่ทำงานด้วยกันมานานคุ้นหน้าคุ้นตากันดีตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์ประจำบ้านเดินแยกตัวจากคนอื่นๆ เข้าไปหา “มีอะไรเหรอครับ”

“อาจารย์คิดว่าหนูเรียกจะมีเรื่องอะไรบ้างล่ะคะ”

“เยอะแยะไปครับ” นรกรตอบยิ้มๆ “เรื่องชวนปวดหัวทั้งนั้น คนไข้วุ่นวายบ้าง ดึงท่อช่วยหายใจบ้าง หัวใจหยุดเต้นบ้าง”

“ไม่คุยล่ะ เดี๋ยวนี้อาจารย์ชักจะมุกเยอะไปทุกที ไม่น่ารักน่าแซวเหมือนตอนมาใหม่ๆ เลย” พยาบาลสาวแกล้งว่า

“ตกลงมีธุระอะไรถึงเรียกผมครับ” นรกรถามซ้ำ

เธอพ่นลมออกจมูกพร้อมกับหลุดยิ้มกว้างที่เก็บซ่อนเอาไว้ไม่มิดออกมาก่อนจะก้มลงหยิบของที่วางแอบไว้ใต้เคาน์เตอร์ขึ้นมาส่งให้ “มีญาติฝากของไว้ให้ค่ะ”

มันเป็นช่อดอกไม้สีฟ้าอมม่วงที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ให้ผู้ที่ได้เคยดมแล้วครั้งหนึ่งจะไม่มีวันลืมตลอดไป… ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต

คนรับเองก็ซ่อนความรู้สึกไว้ไม่มิดเช่นกัน นรกรอมยิ้มมุมปากในขณะที่เอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้ที่ห่อด้วยกระดาษลายตัวหนังสือสีซีดพันทับด้วยผ้ากระสอบผูกโบสีฟ้าสดใสเช่นเดียวกับกลีบดอกบางนั้นมาถือไว้ เพราะมีเรื่องวุ่นวายหลายอย่างเขาจึงลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้คือวันที่ 21 กันยายน “ขอบคุณนะครับ”

“วันนี้ไม่มีขนมค่ะ” พยาบาลสาวหลิ่วตาให้ครั้งหนึ่ง

“หืม~ ไอ้ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตนี่ผมไม่เห็นมาสักพักแล้วนะ นึกว่าเขาหายกลับบ้านไปแล้วซะอีกตกลงยังอยู่เหรอครับ” จิงโจ้ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถามด้วยความไม่รู้ เขายังเข้าใจว่าเป็นของตอบแทนจากญาติตามที่คุณพยาบาลบอก

แต่ครั้งนี้นรกรต้องขอบคุณความพูดมากของจิงโจ้ เพราะทำให้เขาไม่ต้องอธิบายอะไรและทุกคนก็เชื่อตามนั้นจริงๆ
นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ยืนยิ้ม ทำตาหวานใส่อยู่ข้างๆ แต่เขาก็ทำได้แค่ปั้นหน้านิ่งตอบกลับไปแล้วเดินตามคนอื่นๆ ออกไป

อนุวัฒน์หันมองหน้าวินทร์ที่ดูสนอกสนใจสนใจดอกไม้ช่อนั้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก่อนจะมองหน้านรกร แวบหนึ่งที่รู้สึกขัดใจอะไรแปลกๆ แต่เขาก็นึกไม่ออกได้แต่ปล่อยความสงสัยนั้นไว้และหันไปลากคอจิงโจ้ที่เผลอแวบเดียวไปเกาะเคาน์เตอร์ก้อร่อก้อติกคุณพยาบาลให้รีบตามมา


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-10-2018 21:38:24
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

หลังเสร็จจากแกรนด์ราวน์ นรกรมีผ่าตัดต่อ เขา วินทร์และวิญญาณตนนั้นจึงตรงไปยังห้องเปลี่ยนชุด

“STOP!!!” ร่างโปร่งแสงหันควับมายืนจังก้าขวางหน้าประตูพร้อมกับยกมือทำท่าปางห้ามญาติใส่วิญญาณที่สิงร่างตนอยู่ “นี่คือเขตหวงห้ามเขตที่หนึ่งที่นายห้ามแหยมแม้ปลายหัวแม่โป้งเท้าเข้ามาเด็ดขาด!” วินทร์บอกพลางใช้ปลายเท้าลากเส้นสมมติจากขอบประตูฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง

“ทำไมล่ะ” มันท้วง

“ข้อแรก นายผ่าตัดเป็นหรือไง”

“ก็ไม่เป็น…”

“แล้วจะเสนอหน้าเข้าไปทำซากอะไร”

“ก็แล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรกับนายใช่ไหม”

“สมองนายยังกระทบกระเทือนอยู่ แค่จับมีดก็มือสั่นแล้ว โอเคนะ” วินทร์หันไปพยักเพยิดกับนรกร “บอกคนอื่นไปตามนี้นะฮาร์ฟ”

“แต่อย่างน้อยก็ให้ฉันไปร่วมสังเกตุการณ์ก็ได้นี่ ก็แค่ยืนเฉยๆ…”

“โอเค เรามาที่ข้อสองกัน” วินทร์กอดอกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่ยอมให้นายเข้าใกล้แฟนฉันในขณะที่มีโอกาสทำอันตรายได้มากที่สุดเป็นอันขาด”

มันนิ่วหน้าคิดตามก่อนจะถึงบางอ้อ “อ๋อ! ที่แท้ก็กลัวฉันแอบดู ไม่ต้องห่วงหรอกน่าหมอนี่ไม่ใช่สเปกฉันสักหน่อย”

“ถึงไม่ใช่ แต่ฉันหวง เข้าใจไหม!”

“เออๆ ก็ได้ ไม่เข้าก็ไม่เข้า” มันรับคำ “แล้วระหว่างนี้จะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน”

“รอตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันออกมาพานายไปอยู่ที่ห้องพักแพทย์”

“ตามนั้น”

นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ตามหลังเข้ามาหลังจากตกลงกันเสร็จสิ้น เขาเปิดประตูตู้ล็อกเกอร์ออก กำลังจะเอาช่อดอกไม้วางแต่แล้วก็เปลี่ยนใจยกขึ้นมาแตะปลายจมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นให้ชื่นใจก่อนจะพูดขอบคุณคนให้อย่างเป็นทางการ

“ขอบคุณนะครับ”

ร่างโปร่งแสงขยับผ่านประตูล็อกเกอร์ที่เปิดค้างไว้เข้ามา ตอนนี้จึงมีพวกเขาสองคนในช่องสี่เหลี่ยมแคบๆ “สองปีแล้วนะ”

“แล้วยังไงครับ”

“แค่จะบอกว่ารักนะ”

นรกรกดใบหน้าต่ำลงให้จมหายไปกับกลีบบางสีฟ้าอมม่วงเพื่อซ่อนพวงแก้มที่ต้องขึ้นสีแน่ๆ “เหรอครับ”

“แล้วนายรักฉันหรือเปล่า”

“ครับ”

“เทียบกับสองปีก่อนถือว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง” วินทร์ถามต่อ

“ไม่ลด แต่ก็ไม่เพิ่มครับ”

“เหรอ”

“ครับ”

“เท่าเดิมเลยเหรอ”

“ครับ”

“ไม่คิดว่ามันจะเพิ่มขึ้นสักนิดเลยเหรอ” วินทร์ยังไม่เลิกกระเซ้าจะเอาคำตอบ

“ไม่ครับ” นรกรบอก “และผมคิดว่าต่อให้ปีหน้าหรือปีต่อๆ ไปพี่วินทร์ถามคำถามนี้อีก คำตอบของผมก็คงเหมือนเดิม”

วินทร์ทำเป็นถอนหายใจ “น้อยใจดีไหมเนี่ย”

“แค่นี้ไม่พอเหรอครับ” นรกรเงยหน้าขึ้นหันมาสบตาคนที่จ้องมองตนอยู่เป็นครั้งแรก “จะเพิ่มไปมากกว่านี้ได้ยังไง ก็ความรู้สึกที่ให้ไปมันคือทั้งหมดของหัวใจที่มีแล้วนี่ครับ”

“น้ำเน่าจัง!” วินทร์หลุดปากอุทานออกไปเสียงดัง

นรกรหุบยิ้ม หันหน้ากลับไปวางช่อดอกไม้บนวางชั้นในล็อกเกอร์ “บ่นมาก งั้นวันหลังก็ไม่พูดแล้ว”

“อย่างอนน่าฮาร์ฟ~” วินทร์เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “พูดอีกสิ อยากฟัง”

“ไม่พูดแล้วครับ”

“ขอโทษนะ~ ก็เมื่อกี้ฉันเขินนี่นา นายเล่นจู่โจมแบบนั้น ฉันก็ทำตัวไม่ถูกสิ ไม่ได้ตั้งใจจะบ่น จะว่าอะไรสักหน่อย”

“เหรอครับ”

“ปกติฉันชินกับวิธีการแก้เขินโดยการรวบหัวรวบหางนายมาจูบไม่ก็กดลงเตียง” วินทร์บอกอ้อมแอ้ม “แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้วไง มันก็เลย… เออ… ไปไม่เป็นแบบนี้แหละ”

นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ยืนก้มหน้าเกาหัวเกาคอเสมือนเป็นโรคกลากเกลื้อน นึกถึงตอนที่วินทร์มาจีบใหม่ๆ มันน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาต้องแอบหันไปยิ้มอีกทางเพราะกลัวอีกฝ่ายจะได้ใจ “แบบนี้ก็ดีนะครับ นานๆ ทีผมจะได้เอาคืนพี่วินทร์บ้าง” นรกรว่าก่อนจะเงียบไป เนิ่นนานพอสมควรจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากถาม

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เมื่อกี้ผมเกือบร้องไห้แน่ะ” นรกรตอบเสียงสั่นนิดๆ “ก็ตอนนี้พี่วินทร์… เป็นแบบนี้… แต่ก็ยัง… ดอกไม้… ผมดีใจมากเลยนะ”

“ปกติก็จะสั่งไว้ตั้งแต่ต้นเดือนน่ะ เพราะกลัวร้านจะหาดอกไม้ตามแบบกับจำนวนที่ต้องการไม่ได้” วินทร์บอก “โชคดีจังที่เตรียมไว้ เพราะนี่คงเป็นช่อสุดท้ายแล้วที่ฉันจะเซอร์ไพรส์นายได้… ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ขอโทษนะ” วินทร์พูดซ้ำ

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” นรกรย้ำพลางสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอดเพื่อกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปแล้วทำเสียงให้เป็นปกติ “แล้วนี่ไปแอบจองร้านอาหารหรืออะไรที่ไหนไว้อีกหรือเปล่าครับ ต้องไปกินนะเดี๋ยวจะเสียสิทธิ์”

วินทร์ส่ายหน้า “แพลนไว้ว่าจะทำอาหารให้นายกินเองน่ะ คิดเมนูไว้แล้ว ตั้งใจว่าพอนายเข้าห้องผ่าตัดจะแอบไปซื้อเตรียมไว้ แต่สภาพนี้คง…”

“งั้นเราไปทำอย่างอื่นกัน” นรกรตัดบท “ไปขับรถเล่นกัน ผมให้สิทธิ์พี่วินทร์เลือกเพลง แต่สิทธิ์เลือกสถานที่ที่จะไปเป็นของผม ตกลงไหม”

“อย่าไปไกลนักล่ะ พรุ่งนี้มีออกตรวจตอนเช้านะ”

“แพลนเดิมของพี่วินทร์ก็คงไม่คิดจะให้ผมเข้านอนแต่หัวค่ำอยู่แล้วนี่ครับ แค่เปลี่ยนกิจกรรมเอง”

“เบื่อคนรู้ทัน” วินทร์แกล้งว่า “จริงๆ ก็กะจะให้เข้านอนเร็วแต่ไม่ให้หลับแค่นั้นเอง”

“มันต่างกันตรงไหนครับ”

วินทร์ไหวไหล่ “แล้วนายจะทำยังไงกับไอ้ผีนั่น”

“เดี๋ยวผมให้การบ้านไว้”

“การบ้าน?”

“ก็ให้ศึกษาการใช้โทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต เครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ แล้วก็ให้อ่านพวกหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารน่ะ เขาจะได้รู้ว่าโลกมันไปถึงไหนแล้ว อย่างน้อยก็จะได้ไม่ทำตัววุ่นวายเป็นคนหลงยุคแล้วก็เผื่อจะนึกอะไรออกด้วย”

“ฉันนึกว่านายจะพาเขาไปด้วยซะอีก”

“ผมจะพาก.ข.ค.ไปทำไมล่ะครับ” นรกรว่า

“ตกลงตามนี้นะ” วินทร์สรุป “งั้นเดี๋ยวฉันพาหมอนั่นไปเก็บตัวที่ห้องพักแพทย์ ส่วนนายก็ตั้งใจทำงานดีๆ ล่ะ เลิกงานเดี๋ยวฉันมารับนะ”

“ขอบคุณครับ”

วินทร์ยื่นหน้าเข้าไปทำท่าหอมแก้มครั้งหนึ่งก่อนจะผละออกไป

ตอนจะผ่านประตู หางตาเหลือบไปเห็นชายผ้าสีขาวปลิววับแวมอยู่ตรงเหนือตู้ล็อกเกอร์ตู้แรก วินทร์เงยหน้ามองขึ้นไปเห็นผู้หญิงผมยาวในชุดกระโปรงสีขาวนั่งห้อยขา นัยน์ตาลึกโหลของเธอจ้องมองลงมาที่พวกเขาจึงเอ่ยออกไป “นิสัยไม่ดี แอบดูคนอื่นจีบกัน”

ผีสาวเอียงคอมองด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปหานรกรที่กำลังเปลี่ยนชุด “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”

“เรื่องมันยาวน่ะครับ” นรกรตอบรีบๆ เพราะมัวแต่คุยกับวินทร์จึงทำให้เขากำลังจะไปเข้าเคสสาย “ไว้จะเล่าให้ฟัง ไม่สิ! ไว้จะมาปรึกษาขอความช่วยเหลือนะครับ” พูดจบก็ปิดประตูตู้ล็อกเกอร์และรีบวิ่งออกไป

ผีสาวถดขาที่ห้อยอยู่ขึ้นมากอดไว้ก่อนจะวางศีรษะพาดลงไปแล้วโยกตัวไปมาช้าๆ ทำให้เรือนผมยาวของเธอค่อยๆ ขยับพลิ้วเหมือนผ้าม่านสีดำที่ขาดเป็นริ้วๆ พลางพึมพำด้วยเสียงแหบยานคางของเธอ “จะให้ช่วยอะไรก็ได้... ก็ตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกันแล้วนี่นา”

OOOOO

สองพี่น้องที่ไม่มีงานค้างและไม่อยู่เวรตกลงใจจะไปหาอะไรกินด้วยกัน เพราะจิงโจ้ที่ระบายของเก่าทิ้งไปหมดแล้วต้องการน้ำตาลไปเลี้ยงสมองอย่างแรงหลังจากที่ใช้พลังงานมากมายไปกับการแกรนด์ราวน์ในวันนี้ หากดูบทสนทนาก็ยังไม่พ้นเรื่องของคนที่เพิ่งจากมา

“นี่ๆ พี่วัฒน์ พี่วัฒน์ว่าวันนี้พี่วินทร์ดูแปลกๆ ปะ คือว่านะ อย่างแรกเลยก็เรื่องตำแหน่งยืนที่ผมบอกไปน่ะแหละ อย่างที่สองก็ตอนที่พูดเรื่องเคสนั้นน่ะ ยังไงดีล่ะ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ทำไมเหมือนผมคุยกับคนอื่นก็ไม่รู้ รู้สึกสำเนียงการพูดมันทะแม่งๆ อะ อย่างที่สามนะก็เรื่องดอกไม้นั่น เป็นของเจ้าตัวแทนยาที่แอบมาจีบพี่ฮาร์ฟหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังจะหน้าระรื่นอยู่ได้ ปกติแค่คนอื่นมาทำรุ่มร่ามด้วยก็หน้าบูดเป็นตูดแล้วแท้ๆ…”

“เอาตรงๆ นะโจ้ คนที่แปลกน่ะไม่ใช่พี่วินทร์หรอก แกต่างหาก” อนุวัฒน์ที่อดทนเงียบมาตลอด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวโพล่งออกไป

“ผม?” จิงโจ้ทำหน้าตาเหรอหรา แต่ก็ไม่ใช่ในแบบที่รู้สึกสำนึกผิดอะไร “ผมแปลกยังไงพี่วัฒน์”

“ก็แกจะเที่ยวเป็นห่วงเป็นใยอะไรพี่เขานักหนาวะ”

“ก็เราสนิทกัน” จิงโจ้ตอบตามตรง

“สนิทแค่ไหน ก็ให้มันมีลิมิตบ้าง นี่มันจะเกินคำว่าพี่น้องไปแล้วนะเว้ย!”

“ไม่เกินไปหรอกพี่วัฒน์เรื่องแค่นี้ หูย~ พี่วัฒน์อะคิดมาก”

“เออ ฉันมันคิดมาก!” อนุวัฒน์กระแทกเสียงใส่

“พี่วัฒน์เป็นอะไร ทำไมวันนี้ดูแปลกๆ”

“เอาเข้าไป นอกจากคนแปลกจะมีพี่วินทร์แล้ว ฉันยังแปลกอีกเรอะ”

“ก็… พี่วัฒน์ดูหงุดหงิดแปลกๆ นี่นา ปกติพี่จะฟังเงียบๆ ไม่ค่อยออกความเห็น เอ๊ะ! เดี๋ยวนะๆ หรือว่านี่พี่วัฒน์เพิ่งทะเลาะกับแฟนมา ใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เลย”

“ฉันบอกแกไปหลายรอบแล้วไงว่าไม่มีแฟน”

“ที่ว่าอกหักจากคนที่เขาไม่รักเราอะเหรอ” จิงโจ้ว่า “โหพี่~ มุกตั้งแต่ผมอยู่ปีหนึ่ง ป่านนี้แล้วเปลี่ยนมั่งเหอะ”

“ไม่ได้เล่นมุก ก็บอกอยู่ว่าเรื่องจริง” อนุวัฒน์บอกอย่างหงุดหงิดใจเต็มทน

“ก็ผมไม่เห็นพี่พูดถึงคนที่พี่ชอบเลยอะ เอาแต่บอกว่าอกหักๆ ใครจะเชื่อ” จิงโจ้แซวพลางยื่นหน้ายื่นตาเข้าไปใกล้และใช้ข้อศอกกระทุ้งยิกๆ “บอกหน่อยน่านะๆตกลงคนที่หักอกพี่วัฒน์เป็นใคร?.... เฮ้ย! เดี๋ยวนะ หรือว่า… อย่าบอกนะว่า… จริงอะพี่ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่พี่ชอบจะเป็น… เอาจริงอะ!”

อนุวัฒน์หยุดฝีเท้าหันไปมองตาคนที่เดินข้างๆ รู้สึกตกใจพอๆ กับโล่งใจที่ในที่สุดอีกฝ่ายก็รู้ตัวสักที “เออ แล้วมันมีปัญหาหรือไงวะ”

“มีสิ!”

“ทำไมวะ”

“ก็ทำไมพี่ไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้ล่ะ โธ่~ นี่ผมเผลอทำร้ายหัวใจพี่ไปตั้งเท่าไหร่เนี่ย”

“ก็เยอะอยู่” อนุวัฒน์พูดอ้อมแอ้ม

“ขอโทษนะครับ”

“ช่างมันเถอะ”

“พี่วัฒน์” จิงโจ้เรียกเสียงอ่อย

“อะไร”

“ผมขอโทษจริงๆ นะพี่”

อนุวัฒน์มองคนที่ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดแล้วยกมือขึ้นสัมผัสไหล่ครั้งหนึ่ง “ช่างเหอะโจ้”

“ผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ นะ ที่เชียร์พี่วินทร์ออกนอกหน้าขนาดนั้น ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นาว่าพี่ชอบพี่ฮาร์ฟ”

มือที่วางแตะเบาๆ แทบจะปลี่ยนเป็นกระชากตัวมาจับตีเข่า อนุวัฒน์ถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงดัง “เออ! แกไม่รู้อะไรจริงๆ น่ะแหละ

“อ้าว จู่ๆ พี่โกรธอะไรผมอีกล่ะ”

อนุวัฒน์หมุนตัวเดินหนี วันนี้เขาหมดความอดทนกับเจ้าลิงจ๋อจอมพูดมากตัวนี้แล้วจริงๆ “เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว”

“หรือผมเข้าใจผิด” จิงโจ้วิ่งตามมาติดๆ “จริงๆ แล้วพี่วัฒน์ชอบพี่วินทร์เหรอ”

“ไปกันใหญ่ล่ะไอ้โจ้”

“แล้ว…”

“เลิกถามได้แล้วโจ้!!”

“อยากให้ผมเลิกถาม งั้นพี่วัฒน์ก็ตอบมาสิว่าจริงๆ พี่ชอบใคร…”

แล้วคนพูดมากก็ไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เมื่อถูกคนอายุมากกว่ากระชากคอเสื้อเหวี่ยงติดผนังด้วยความโกรธ แค่จะอ้าปากร้องโอ๊ย! ยังไม่มีสิทธิ์เพราะริมฝีปากถูกปิดสนิทเสียแล้วด้วยริมฝีปากของอีกฝ่าย ทั้งบดเบียดและดูดดึงจนร้อนฉ่ามันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยจินตนาการและคิดไม่ออกเลยว่าคนหน้านิ่งพูดน้อยจะต่อยได้หนักขนาดนี้ เล่นเอาคนที่คิดว่าตัวเองเจนสนามผ่านผู้หญิงมานักต่อนักถึงขั้นต้องผลักอกอีกฝ่ายออกเพื่อสูดหาอากาศหายใจ

หากยิ่งห่างออกกลับยิ่งรู้สึกวูบไหวในอก เพราะแววตาจริงจังที่มองมานั้นมันอธิบายความในใจทุกสิ่งจนหมดเปลือกก่อนที่ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยเสียอีก

“ฉันชอบแก” อนุวัฒน์บอกเสียงเบาทว่าชัดเจน “ชอบมาตั้งแต่ตอนแกเข้ามาใหม่ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ ที่ฉันยอมอยู่ที่นี่เพราะอยากอยู่กับแกให้นานขึ้น แม้จะแค่ปีเดียวก็เถอะ”

“พี่วัฒน์พูดจริงอะ” จิงโจ้ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบผ่านแววตาและการกระทำอยู่เต็มอก แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร และนั่นก็ทำให้สายตาที่มองมานั้นฉายความเจ็บปวดออกมาชัดเจน

“หน้าฉันเหมือนคนแกล้งกันเล่นหรือไง” อนุวัฒน์ปล่อยมือพร้อมกับผละถอยหลัง ไม่เคยคิดจะสารภาพออกไปกับรักที่ไม่มีทางสมหวัง อยากจะยื้อความสัมพันธ์ของคำว่าพี่น้องไว้ให้นานที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็พลาดทำมันพังทลายเองกับมือ ที่พี่วินทร์เคยพูดไว้มันไม่ผิดหรอก แข่งกับใครแข่งได้แต่แข่งกับตัวเองนี่แหละยากที่สุด ในเมื่อด้านที่คิดไม่ซื่อของเขามันพยายามจะเอาชนะด้านที่อยากจะรักษาความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเอาไว้ วันนี้มันก็ทำสำเร็จแล้ว และความสำเร็จของมันก็ทำให้เขาไม่มีหน้าจะไปมองหน้าอีกฝ่ายได้อีกต่อไป

“พี่วัฒน์…” จิงโจ้เรียกคนที่กำลังจะเดินจากไป

“อะไรอีกวะไอ้โจ้” อนุวัฒน์ถามทั้งที่ไม่ยอมหันไป เพราะถ้าได้สบตาอีกครั้งหลังจากที่ได้สัมผัสริมฝีปากที่โหยหามาตลอด ความรู้สึกที่เก็บมาตลอดหลายปีมันต้องระเบิดออกไปแน่นอน

“พี่วัฒน์พูดอีกทีสิ”

อนุวัฒน์ย่นคิ้ว “ถ้าพูดแล้วแกจะยอมคบกับฉันหรือไง”

“ก็… ผมไม่รู้” จิงโจ้ตอบตามตรง

“งั้นฉันก็ไม่พูดแล้ว” อนุวัฒน์บอก “แค่นี้ฉันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว” และเขาก็หมายความตามที่พูดจริงๆ

จิงโจ้มองตามคนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปจนสุดสายตา เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่ยังคงรู้สึกอุ่นซ่านจากรสสัมผัส เรื่องที่น่าตกใจมากพอๆ กับที่โดนจูบคือเรื่องที่เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยสักนิด อนุวัฒน์เป็นรุ่นพี่ที่แสนดี ซึ่งเขาให้ความเคารพนับถือมาตลอด

แต่ความรู้สึกแค่นี้มันจะเรียกว่ารักไหม? เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เพราะเหตุนี้หรือเปล่าเขาถึงอยากได้ยินอีกฝ่ายพูดคำว่ารักให้ฟังอีกสักครั้ง เผื่อว่าเขาจะเข้าใจหัวใจตัวเองขึ้นมา

********************************************TBC***********************************************************

Talk

สำหรับเราตอนนี้หวานมากเลยนะ555 และจะคงระดับน้ำตาลไว้ที่ประมาณนี้คลุกดราม่าพอกรุบกริบ เพราะตั้งใจแล้วว่า 'ส่วนเติมเต็ม' นี่จะไม่ขม แค่อยากมาเล่าให้ฟังว่าทำไมเค้ารักกั๊น รักกันเฉยๆ~
และในที่สุด!!! เราก็ได้เขียนอีกหนึ่งในฉากทีอยากเขียน คือตอนจบภาคแรกเสียใจมากที่ทำให้คู่นี้ไม่ได้ไปต่อ ก็พยายามปูมาตลอด แต่ไม่มีใครจิ้นกะเราเลย555 เอองั้นเราสรุปเองว่าเค้าต้องได้กัน(ร่ายมา7บทเกือบร้อยหน้าเพื่อฉากจูบนี้แหละ)
ปล. ตอนต่อไปจะพยายามคงความเร็ว1ตอน/สัปดาห์ไว้แบบเดิม ไม่รู้จะไหวแค่ไหน เพราะเราต้องไปอบรมเสริมเตรียมย้ายที่ทำงาน แต่จะพยายามค่ะตอนนี้หายนอยด์แล้ว~
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/09/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 24-10-2018 00:12:35
เอาใจช่วยวัฒน์...สาวผมยาวบนหลังตู้กลับมาแล้ว..ช่วยพี่หมีวินทร์ด้วย  :call: :call: :call:
ปล.วันที่อัพหน้าแรกผิดอยู่จ้า   -Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/09/2561]
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 24-10-2018 13:02:49
ว้าย พี่วัฒน์แอบรักจิงโจ้ อิอิ
พี่วินทร์หวานจริงๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 24-10-2018 19:23:37
เพิ่งเห็นว่ามีภาคต่อด้วยยยย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 24-10-2018 22:55:42
เอาใจช่วยทุกคนให้แฮปปี้ไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-10-2018 11:15:57
อูยยยยย..........
เอาใจช่วยทุกคู่เลย.......   :mew1: :mew1: :mew1:

อนุวัฒน์  จิงโจ้   :กอด1:

หมอเปรม  ฮาร์ฟ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: konfaibint ที่ 26-10-2018 11:32:57
มีความสุขที่ได้อ่าน  :กอด1: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-11-2018 00:41:40
บทที่ 8 ลั่นทม

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวออกจากคอนโดเข้าสู่ถนนสายหลัก วินทร์ที่ปกติจะเป็นคนขับเสมอวันนี้ต้องเปลี่ยนมานั่งที่ข้างๆ เขาหันไปมองนรกรที่ตั้งสมาธิอยู่กับท้องถนนก่อนจะหันไปมองคอนโดอีกครั้ง นึกถึงการบ้านชุดใหญ่ที่นรกรฝากฝังไว้กับเจ้าผีไม่รู้หัวนอนปลายเท้านั่น

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
“นี่คือเขตหวงห้ามที่สอง” วินทร์ชี้อาณาเขตห้องนอนให้ดู

“จ้า~” มันรับคำพลางหาวหวอด “ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ใช่สเปคก็ยัง…”

“มีครั้งแรกได้ก็มีครั้งที่สองได้” วินทร์ชี้หน้า “และฉันต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

“นี่แกไม่ไว้ใจแฟนแกหรือไง”

“ฉันเชื่อใจฮาร์ฟ แต่ไม่ไว้ใจแก” วินทร์ตัดบท “เลิกต่อล้อต่อเถียงแล้วก็ฟังไปเงียบๆ ซะ ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกัน”

“จ้า~” มันรับคำ

“ผมจะให้โทรศัพท์เครื่องเก่าของพี่วินทร์ไว้ใช้จะได้ตามตัวกันถูก” นรกรเข้ามาขวางการทะเลาะกันของทั้งพร้อมทั้งส่งโทรศัพท์มือถือให้

มันรีบรับไปจับๆ ดูด้วยความสนอกสนใจ “โห~ สมัยนี้โทรศัพท์เหลือเครื่องแค่นี้เองเหรอโคตรจ๊าบเลย”

“จ๊าบ?” วินทร์เลิกคิ้ว “ครั้งล่าสุดที่เคยได้ยินคนพูดคำนี้ก็สมัยเรียนประถมโน่นเลย… มันเชยแล้ว ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาใช้คำว่า ‘เท่’ หรือ ‘ชิคๆ’ ‘คูลๆ’ อะไรพวกนี้แล้ว”

มันไหวไหล่ “ทำไมล่ะก็จ๊าบดีออก”

“ผมจะโทรเข้านะเดี๋ยวคุณลองรับสายดู” นรกรหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดโทรออก เพียงอึดใจเสียงเพลงของโทรศัพท์อีกเครื่องก็ดังขึ้น

“มันสั่นได้ด้วยล่ะ” มันร้องด้วนยความตื่นเต้น

“ผมตั้งระบบเสียงกับสั่นไว้ เผื่อคุณจะยังไม่ชินว่านี่เสียงอะไร” นรกรอธิบายต่อ “ทีนี้ก็ใช้ปลายนิ้วสไลด์ไปตรงปุ่มรับสายเบาๆ” เพราะอีกฝ่ายยังดูเงอะงะเขาจึงต้องช่วยจับมือทำ “แบบนี้แหละ… ไหนลองพูดสิ… ฮัลโหล”
มันยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูกลับหัวกลับหางจนนรกรต้องมาช่วยจับอีกที “ฮัลโหล?”

“ได้ยินชัดไหม”

“ชัดแจ๋วเลย”

“ดีมาก ทีนี้ก็วางสายแล้วคุณลองเป็นฝ่ายโทรมาบ้าง ทำแบบนี้ผมทำเมื่อกี้น่ะ”

มันพยักหน้าแล้วกดๆ อยู่อึดใจโทรศัพท์ในมือนรกรก็ส่งเสียงร้อง

“เก่งมาก” นรกรชม “ยังมีฟังค์ชั่นต่างๆ อีกหลายอย่าง คืนนี้คุณลองเล่นดู คู่มืออยู่ในนี้แล้ว แล้วผมก็เปิดไวไฟ… อินเตอร์เน็ต… เอ่อ… มันคือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อและส่งข้อมูลถึงกันได้น่ะ”

“อินเตอร์… อะไรนะ” มันทวนคำ

“Internet” นรกรพูดซ้ำ

“อ่อ อันนี้ฉันพอรู้จักนะ” มันว่า “สมัยนั้นเราเรียกว่าเครือข่ายไทยสารน่ะ มหาวิทยาลัยเพิ่งเอาเข้ามาเพื่อพัฒนางานวิจัยน่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เลย ตอนนี้มันพัฒนาไปไกลแล้วสินะ”

“ส่วนนี่คือวิธีการที่เราใช้ค้นหาข้อมูลในปัจจุบัน คุณลองพิมพ์สิ่งที่อยากรู้ลงไปแล้วกดตรงรูปแว่นขยาย” นรกรอธิบายต่อ “สมมติว่าผมจะทำข้าวไข่เจียว ผมก็พิมพ์ลงไปตรงนี้ รอสักครู่… เห็นไหมมีตัวเลือกบอกวิธีการทำเยอะแยะเลยแล้วเราก็กดเข้าไปดูได้ จะหาอะไรก็แค่พิมพ์ลงไป”

“ง่ายดีแท้ ไม่ต้องมานั่งค้นหาในหนังสือหรือตำราอะไรกันแล้วสินะ”

“สะดวกใช้ไหมล่ะ” นรกรว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกกับพี่วินทร์จะกลับดึกหน่อย ผมจะไม่ล็อกประตู ถ้าคุณยอมรับปากว่าจะช่วยอยู่เฝ้าบ้านดีๆ ไม่ออกไปไหนและห้ามเปิดประตูรับใครนอกจากพวกผมตกลงไหมครับ”

“มีไอ้เครื่องนี่ให้เล่นฉันคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ” มันว่าสายตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งตอนนี้มันค้นพบเกมแข่งรถอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว “พวกนายจะไปสวีทกันที่ไหนก็ไปเถอะ ตามสบายเลย”

“งั้นพวกผมไปแล้วนะครับ”

มันไถลตัวลงนอนเอกเขนกบนโซฟาก่อนจะชูมือขึ้นโบกหยอยๆ ไล่ให้พวกเขาออกจากห้อง


อันที่จริงวินทร์รู้สึกไม่วางใจเลยสักนิดที่ทิ้งมันไว้คนเดียวแบบนั้น แต่อย่างที่นรกรบอกว่าพวกเขาจะเอาก้างขวางคอมาทำไมในวันสำคัญแบบนี้ ยังไงก็ขอมีความสุขก่อนค่อยกลับมาปวดหัวทีหลังละกัน

“ตกลงเราจะไปไหนกัน” เขาหันไปถามคนที่ยึดกุญแจรถและจุดหมายปลายทางในวันนี้

“ไปวัดครับ” นรกรตอบ

“วัด?” วินทร์ถามย้ำแต่ก็ไม่ซักไซ้อะไรเพิ่มเติมอีกเพราะตกลงกันแล้วว่าจะให้สิทธิ์นรกรเลือกสถานที่ เขาจึงหันมาสารวนกับการเสนอเพลงและคลื่นวิทยุ เมื่อเลือกได้จนถูกใจแล้ว แทนที่จะปล่อยให้นักร้องได้ทำหน้าที่ขับกล่อม เจ้าตัวก็กลับแหกปากร้องแข่งประหนึ่งว่านั่นเป็นเพลงของตัวเอง

นรกรไม่ได้บ่นว่าอะไร เพียงแต่เคาะปลายนิ้วตามจังหวะไปด้วย เขาชินเสียแล้วกับโน้ตสูงๆ ต่ำๆ ตามใจฉันไม่แคร์เสียงดนตรี แต่พูดแบบไม่ลำเอียงเลย เขาก็ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้วินทร์ร้องเพลงเพราะขึ้นเยอะจริงๆ เปรียบเทียบว่าเมสมัยก่อนเป็นเสียงหมาหอนตอนนี้ก็หมาแก่พรรษาที่อยู่วัดมานานจนมีลูกเล่นลูกคอรับกับเสียงสวดมนตร์ตีกลองเพลล่ะ

ขับมาไม่นานเจ้าเต่าฟ้าที่วินทร์ชอบเรียกก็แล่นมาถึงปลายทาง ซึ่งเป็นวัดที่พวกเขามาทำบุญด้วยกันก่อนที่วินทร์จะประสบอุบัติเหตุ

“นายมาทำอะไรที่นี่” วินทร์ถาม “คงไม่ได้แค่มาทำบุญหรอกใช่ไหม”

“มาทำบุญครับ” นรกรบอกก่อนจะดับเครื่องยนตร์และเปิดประตูลงจากรถ “ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เกิดชาติหน้าเราจะได้เจอกันอีกไง”

“ว่าไปนั่น” วินทร์หัวเราะในลำคอกับคำพูดทีเล่นที่ทีจริงของอีกฝ่ายพลางเดินเคียงคู่กันไปบนถนนปูอิฐตัวหนอนที่สองข้างทางปลูกดอกลั่นทมเรียงรายไว้ แสงอาทิตย์ยามอัศดงสีอมส้มที่สาดผ่านริ้วเมฆมาเป็นสายกระทบพื้นดูสวยงามยิ่งนัก

“พี่วินทร์จำที่พระองค์นั้นบอกได้หรือเปล่าครับ” นรกรถาม “ตอนที่ท่านผูกสายสิญจน์ให้พี่วินทร์น่ะ”

“จำได้แม่นเลยล่ะ” วินทร์ตอบทันที “ท่านบอกว่า… สุขทุกข์อยู่ที่ใจหาใช่รูปกาย ให้เชื่อมั่นในหนทางที่เลือก แล้วจากนี้ไปก็ขอให้พบเจอแต่ความสุขน่ะ”

นรกรพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “วันนี้พามาขอสายสิญจน์เส้นใหม่ครับ เส้นเก่าดูเหมือนว่าจะหายไปแล้ว”

วินทร์เหลือบตามองข้อมืออีกฝ่ายที่ยังมีด้ายถักสีขาวผูกอยู่แน่นหนาก่อนจะยกข้อมือตัวเองขึ้นดู “คงขาดตอนอุบัติเหตุมั้ง ไม่ก็คงเป็นหน่วยกู้ชีพตัดออกแล้วเผลอทิ้งไปตอนพยายามช่วยชีวิตน่ะ… จะว่าไปแหวนของฉันที่พ่อนายให้มาอยู่ไหนน่ะฮาร์ฟ นายได้เก็บไว้หรือเปล่า”

“อยู่นี่ครับ” นรกรบอกพร้อมกับแหวกคอเสื้อเชิ้ตออกเล็กน้อย

วินทร์จึงได้เห็นว่าตอนนี้ลำคอขาวมีสายสร้อยสีเงินเส้นบางที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนคล้องอยู่ นรกรดึงมันออกมาและสิ่งที่คล้องอยู่บนสายสร้อยนั้นคือแหวนเงินวงที่เป็นของคู่กันบนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย

“รอใส่คืนให้อยู่นะครับ” นรกรบอกก่อนจะเก็บใส่ไว้ในเสื้อตามเดิม

“ก็อยากให้ทำจะแย่แล้ว”

“จะมาทำบุญก็รีบหน่อยนะโยม ใกล้จะได้เวลาปิดโบสถ์เพื่อทำวัดแล้ว” เสียงทุ้มกังวาลดังขึ้นตรงใต้ต้นลั่นทมหน้าประตูโบสถ์

“สวัสดีครับ” นรกรหันไปยกมือไหว้และนึกจำได้ทันทีว่าเป็นพระรูปเดียวกับที่ทำพิธีให้ตอนที่มาครั้งก่อน “ผมจะมาถวายสังฆทานครับ”

พระสงฆ์แก่พรรษาหน้าตาใจดีกวาดตามองผู้มาเยือนยามโพล้เพล้อยู่อึดใจก็ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน “ตามมาสิโยม”

นรกรหันไปพยักกับร่างโปร่งแสงและเดินตามเข้าไปด้านในโบสถ์ ทั้งสองนั่งลงตรงหน้าพระประธานของวัดอันเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เพราะวันนี้ไม่ได้รีบร้อนมาแบบครั้งก่อนนรกรจึงสังเกตว่าดวงตาของพระประธานที่ทอดมองลงมานั้นช่างอ่อนโยนเหลือเกิน อีกทั้งดวงหน้าผ่องใสก็ราวกับจะส่งยิ้มน้อยๆ มาให้
ทั้งสองก้มลงกราบพระประธานพร้อมกันในขณะที่พระท่านนั่งลงบนอาสนะตรงหน้าพลางเตรียมเครื่องสังฆทานและขันน้ำมนตร์สำหรับทำพิธี

กรวดน้ำพรมน้ำมนตร์เสร็จและทั้งสองก้มลงกราบเป็นครั้งสุดท้ายพระท่านก็เอ่ยขึ้น “ช่วงนี้มีเรื่องทุกข์ใจหรือโยม ทำไมหน้าตาไม่ค่อยสดใสเหมือนที่มาครั้งก่อน”

นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างๆ และตอบคำถาม “ก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่ครับ”

“คิดเยอะไปบางทีก็ปวดหัวเปล่า เหมือนพายเรือในอ่างวนไปวนมาหาทางออกไม่ได้” พระท่านกล่าว “โยมแค่ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อยให้ผลกรรมเป็นตามครรลองของมันน่ะแหละ”

“ครับ” นรกรรับคำ “ท่านครับ ผมขอสายสิญจน์อีกเส้นได้ไหมครับ”

“จะเอาไปทำไมหรือโยม เส้นที่ข้อมือนั้นอาตมาเพิ่งจะให้โยมไปนี่นา”

“ผมไม่ได้จะใส่เองครับ แต่จะเอาไปให้เพื่อน”

“ถ้าเป็นเพื่อนที่มาด้วยกันวันนั้น เขามีอยู่แล้ว”

“แต่ว่ามันขาด…” นรกรยังไม่ทันพูดจบประโยคพระท่านก็พูดต่อ

“เส้นนั้นอาตมาให้ไว้ป้องกันตัว ขาดไปก็ไม่เป็นไรเพราะเขามีติดตัวอยู่แล้วอีกเส้นหนึ่ง” ท่านบอก
นรกรเหลือตามองร่างโปร่งแสงข้างกายที่ยกมือสองข้างของตัวเองขึ้นดูแบบงงๆ ว่ามีอะไรมาผูกไว้ตอนไหนซึ่งมันก็ว่างเปล่า ทั้งที่คอและที่ขา ถึงขั้นลองตบๆ ดูตามกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงก็ไม่เห็นมีสายอะไรที่ว่า

“ไม่มีเครื่องรางของขลังใดที่อาตมาหรือวัดแห่งนี้มีศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าเส้นที่เขามีติดตัวอยู่แล้ว… และเขาก็ผูกมันไว้แน่นหนาทีเดียว” ท่านกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม

วินทร์หันไปทำปากขมุบขมิบบอกกับนรกร “แต่ฉันไม่มีจริงๆ นะ”

“ได้เวลาปิดโบสถ์แล้ว โยมต้องกลับแล้วล่ะ”

“ครับ” เพราะไม่อาจขัดนรกรจึงกราบลาก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอกโดยมีพระรูปนั้นเดินออกมาส่ง “เอ่อ… ผมขอถามได้ไหมครับ” เขายังคงติดใจสงสัย “เส้นที่ท่านว่ามันคืออะไรครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ผูกหรือใส่อะไรไว้”

พระท่านไม่ตอบในทันที ท่านเงยหน้าขึ้นมองร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทางเดินปูด้วยอิฐตัวหนอน ทั้งสองมองตาม ตอนนั้นเองที่สายลมพัดมาต้องกิ่งใบลู่ไปทำให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ยิ่งกำจายไปทั่ว พลันดอกไม้สีขาวนวลดอกหนึ่งปลิวหลุดจากขั้วลงมา ท่านยื่นมือออกไปรับไว้และส่งให้
นรกรรับดอกลั่นทมนั้นมาถือไว้พลางพินิจดู “แล้วมันยังไงเหรอครับ…”
หากพอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพระรูปนั้นก็หายไปเสียแล้ว

OOOOOO

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-11-2018 00:50:29
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ออกจากวัดก็พาฉันมาที่แบบนี้เนี่ยนะ” วินทร์พูดติดตลกพลางกวาดตามองไปรอบตัว “นายทำฉันปรับอารมณ์ตามไม่ทันนะฮาร์ฟ”

ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ร้านมิดไนท์ซึ่งเป็นร้านอาหารน่านั่งธรรมดาในตอนกลางวันและเปลี่ยนเป็นร้านกึ่งผับในยามกลางคืน ซึ่งตอนนี้ทั้งร้านมีผู้คนจับจองครบทุกโต๊ะ แต่พวกเขา(หรือจริงๆ คือนรกรคนเดียวตามที่พนักงานในร้านเห็น) กลับได้โต๊ะตรงได้มุมด้านในที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนักทั้งๆ ที่มาคนเดียวน่าจะต้องโดนจัดให้ไปนั่งที่บาร์แล้ว แถมตรงกลางโต๊ะยังประดับด้วยแก้วใส่กรวดเม็ดเล็กๆ สีขาวปักดอกกุหลาบที่ตัดก้านจนสั้นต่างจากโต๊ะอื่นๆ อีก
และคำตอบก็เดินมาหาตอนที่วินทร์กำลังจะถามออกไปพอดี

“จะให้ผมเริ่มเสิร์ฟอาหารเลยไหมครับหรือว่าจะรอแขกอีกท่านมาถึงก่อน” บริกรเดินมาถาม

“เสิร์ฟเลยครับ” นรกรตอบ

วินทร์ขยิบตาให้ “ร้ายนะเรา”

“ผมแค่ไม่อยากให้คนบางคนทำอาหารจนหมดแรง ไม่มีแรงทำอย่างอื่นครับ”

“หมดแรงทำอะไร” วินทร์ว่า “ตอบดีๆ นะ”

“ล้างจานครับ”

“ฉันล้างสะอาดนะ… ทั้งจานชามหม้อไห”

นรกรเหลือบตาขึ้นมองตาคนตรงหน้า นัยน์ตาพราวระยับที่สบมาบ่งบอกให้รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้ข้อความที่เอื้อนเอ่ย

“ไม่เชื่อเหรอ?”

หัวใจเต้นสะดุดกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปาก จนนึกอยากจะเอื้อมมือไปหยิกแขนล่ำๆ นั้นให้เขียวสักทีถ้าหากว่าทำได้ “คนลามก”

“ฉันพูดถึงเรื่องทำอาหารกับล้างจาน” วินทร์พูดหน้าตายโดยไม่หลบสายตา หากคนมองนั้นสะท้านจนสองแก้มร้อนผ่าว “ใครกันแน่ที่คิดลามก”

“ผม… เปล่าสักหน่อย…”

โชคดีที่อาหารถูกยกมาเสิร์ฟพอดี นรกรจึงสบโอกาสหลบสายตามาสนใจสเต็กปลาตรงหน้า ส่วนของฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นเนื้อที่ย่างแบบมีเดียมแรร์แบบที่เจ้าตัวชอบกิน

บริกรเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับตะกร้าใส่ไวน์แดง

“หยุด! อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ” วินทร์รีบปราม “ฉันไม่ยอมให้นายเมาต่อหน้าคนอื่นนอกจากฉัน ไม่ใช่สิ! วันนี้นายขับรถมามันอันตราย…”

“แก้วเดียวครับ”

“ฮาร์ฟ”

นรกรไม่ฟัง เขาหันไปพยักหน้ากับบริกรก่อนจะผายมือไปด้านตรงข้าม “ผมขอน้ำเปล่าครับ”
บริกรมีท่าทีลังเลเล็กน้อยเพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าผู้ร่วมโต๊ะอาหารจะมา หากก็ไม่ได้ปริปากถามและทำตามหน้าที่จนเสร็จสิ้น

“นาย… โอเคนะ” วินทร์ถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่บริกรเดินไป “เมื่อกี้น้องเขาก็ทำหน้าแปลกๆ”
“ไม่มีใครสนใจเราหรอกครับ” นรกรบอก “มืดก็มืด เพลงก็ดัง ถึงบริกรจะดูงงๆ แต่ตราบใดที่ผมมีเงินจ่ายครบทุกบาททุกสตางค์ เขาก็ไม่มีสิทธิ์บ่น”

“แล้วนายจะทำยังไงกับอาหารส่วนของฉันล่ะ นายกินคนเดียวไหวเหรอ”

“เดี๋ยวผมสั่งให้ห่อกลับบ้าน เอาไว้อุ่นกินเป็นมื้อเที่ยงไม่ก็เย็นพรุ่งนี้ครับ พี่วินทร์จะได้ไม่ต้องลำบากใจเรื่องอาหารห้าหมู่ของผมไง” นรกรว่าพลางหยิบเฟรนซ์ฟรายซึ่งเสิร์ฟเป็นเครื่องเคียงจิ้มซอสมะเขือเทศแล้วแหย่ไปที่ปากคนตรงหน้า

วินทร์อ้าปากงับทันทีตามสัญชาติญาณแต่ก็กินไม่ได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถูกแกล้งเมื่ออีกฝ่ายส่งชิ้นมันฝรั่งทอดเข้าปากตัวเองพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“กินดีๆ ซอสเลอะปากแล้ว” กินไม่ได้แต่บ่นได้

“ตรงไหนครับ” นรกรถามพลางยกมือขึ้นแตะมุมปาก แต่ก็ไม่มีเศษอะไรติดมือมาก

“ไม่ใช่ๆ ตรงนี้ต่างหาก” วินทร์ชี้โดยอิงตำแหน่งจากริมฝีปากตัวเอง

“ไม่เห็นมีเลย”

“มีสิตรงนี้ไง” วินทร์ทนไม่ไหวลุกขึ้นยืนแล้วชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาหา “ตรงนี้… เม้มปากสิ”

นรกรทำตาม ชั่วขณะที่นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งและใบหน้าห่างกันแค่คืบ ต่างคนต่างรู้ความต้องการลึกๆ ของหัวใจ เหมือนเสียงเพลงและความอึงอลของผู้คนรอบกายมันดับไปชั่วครู่ ใบหน้าค่อยขยับเข้าหากันทีละนิด… ทีละนิด… ในห้วงเวลาที่โลกนี้มีแค่เราเพียงสองคน มันช่างอบอุ่น นุ่มนวลและเคลิ้มฝันก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาแจ่มชัดด้วยเสียงของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ

“อ้าว คุณฮาร์ฟมาทำอะไรที่นี่คนเดียวครับ”

นรกรได้สติหันไปทักทายหนุ่มหน้าตี๋ที่มายืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ “สวัสดีครับคุณพาส”

“พอดีผมพาลูกค้ามาเลี้ยงรับรองน่ะครับ เพิ่งเสร็จส่งขึ้นรถไปเมื่อสักครู่นี่เอง พอดีเห็นรถคุณฮาร์ฟจอดอยู่เลยเดินกลับมาดู โชคดีจังที่เจอกัน” ภาษิตบอก

“แต่ทางนี้น่ะโคตรโชคร้ายเลย” วินทร์บ่นเสียงดังพร้อมกับกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้

“แล้วทำไมมาคนเดียวล่ะครับ” ภาษิตกวาดตามองอาหารที่ถูกเสิร์ฟเป็นสองที่แต่มีคนนั่งทานแค่คนเดียว พลันสีหน้ายิ้มแย้มก็หมองหม่นลง “หรือว่า… เขาทิ้งคุณให้มาคนเดียวครับ”

“เปล่าครับ” นรกรรีบบอก

“ก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ไง” วินทร์จิ๊ปาก

“ถ้าคุณไม่ว่ากันผมขออนุญาตนั่งเป็นเพื่อนคุณแทนเขาได้ไหมครับ” ไม่พูดเปล่าภาษิตยังถือวิสาสะนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นรกรจะห้ามก็ไม่ทันทำให้ร่างโปร่งแสงต้องผวาลุกหนีและหลบมายืนข้างๆ นรกรแทน “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากคุยกับคุณ ให้ผมได้นั่งเป็นเพื่อนคุณนะครับ”

“แต่ผม…” นรกรเหลือบตามองดูวินทร์ที่ยืนกอดอกจ้องตาเขม็งอยู่ หากนั่นทำให้บริกรประจำโต๊ะที่คอยดูแลอยู่เข้าใจผิดว่านรกรกำลังส่งสัญญาณเรียก

“รังเกียจผมเหรอครับ” ภาษิตถามเสียงอ่อย

“ไม่ได้รังเกียจครับ แต่แบบว่า…”

บริกรเดินมาถึงโต๊ะพอดี เขายิ้มกว้างให้ทั้งสองพร้อมกับส่งช่อดอกกุหลาบขาวที่ถือมาให้ “นี่ครับ”

“เขาไม่ใช่…” นรกรพยายามจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อดอกไม้ช่องานถูกถ่ายโอนไปสู่มือของหนุ่มหน้าตี๋
ทำหน้าที่เรียบร้อยบริการก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับกล่าวอวยพรก่อนจะจากไป “ขอให้รักกันนานๆ นะครับ”

ภาษิตมองช่อดอกไม้ที่โดนยัดใส่มือมา ก่อนจะส่งคืนให้นรกรที่ตอนนี้สีหน้าไม่สู้ดีนัก “ผมไม่กล้ามาแทนที่เขาหรอกครับ แต่อย่าลืมนะครับว่าวันใดที่เขาทิ้งคุณไป ยังมีผมอีกคนนะครับ”
นรกรไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่รับช่อดอกไม้คืนมาเงียบๆ ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความเข้าใจผิดให้ภาษิตว่านรกรโดนทิ้งจริงๆ

“เขาไม่ควรทำให้คุณเสียใจ”

“พี่วินทร์ไม่ได้ทำให้ผมเสียใจเลยครับ”

“แล้วเขาหายไปไหนล่ะครับ ทำไมเขาถึงปล่อยให้คุณมาคนเดียว แล้วทำไมคุณถึงยังทำเหมือนว่าเขาอยู่กับคุณทั้งที่…” ภาษิตตัดพ้อ “ถ้าเขาไม่รักคุณแล้ว คุณก็เลิกหลอกตัวเองเถอะครับ”

“ผมแค่อยากมาครับ แล้วเราก็ยังรักกันดี” นรกรตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวนะครับ”

ภาษิตรีบลุกขึ้นมายืนขวางหน้า “คุณฮาร์ฟครับ…”

นรกรเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินก้าวเร็วๆ ไปจ่ายเงินก่อนจะรีบออกจากร้านไป

“ฮาร์ฟ” วินทร์ที่เดินคู่กันมาส่งเสียงเรีกเป็นครั้งแรกเมื่อทั้งสองมายืนอยู่ในลานจอดรถซึ่งร้างผู้คน

นรกรหยุดฝีเท้าและหันไปหาร่างโปร่งแสงที่กำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง “ผมขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดีนะครับ… ผมไม่น่าฝืนมาเลยจริงๆ...”

“ไม่เอาน่า ไม่ใช่ความผิดนายสักหน่อย ไอ้บ้านั่นต่างหากที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้” วินทร์ปลอบ “นายเลยได้กินไปนิดเดียวเอง เดี๋ยวไปหาอะไรกินร้านสะดวกซื้อละกันนะ”

“ครับ” นรกรรับคำด้วยน้ำเสียงที่คนฟังแทบอยากดึงตัวมากอดแน่นๆ
เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ วินทร์จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง เขาเหลียวมองรอบตัวอยู่อึดใจแล้วก็พูดขึ้น “เราเดทกันครั้งแรกที่นี่”

นรกรมองคนตรงหน้า

“นายจะนับหรือเปล่าไม่รู้ แต่ฉันนับเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราออกมาข้างนอกกันสองคนโดยไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยวข้อง” วินทร์บอก “ฉันรวบรวมความกล้าชวนนายมากินเลี้ยงวันเกิดกันสองคนแล้วนายก็ตอบตกลง ตอนนั้นฉันดีใจมากเลยนะที่นายรับปากฉันน่ะ ฉันมารอนายก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมงนึงแน่ะ”

“มีเวลารอนานขนาดนั้น แต่กลับใส่เสื้อยืดตัวเก่ากับกางเกงยีนส์ขาดๆ มา” นรกรพูดขำๆ พลางนึกย้อนไป ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายหรอกที่นับว่านี่เป็นเดทแรกเขาเองก็นับเหมือนกันและนี่คือสาเหตุที่เลือกมาร้านนี้ในวันนี้ “นี่ถ้าวันนั้นพี่วินทร์ไม่ได้ใส่ชุดแบบปกติแต่แต่งตัวหล่อๆ มาผมคงเอะใจไปแล้วล่ะว่าจะจีบจริงจังน่ะ… อย่างน้อยก็โกนหนวดโกนเคราทำให้ดูพิเศษกว่าปกติหน่อย ผมก็คิดว่าพี่วินทร์ชวนไปงั้นๆ น่ะสิ”

“ก็แค่อยากลองใจน่ะว่าจะรับพี่หมีซกมกคนนี้ได้หรือเปล่า” วินทร์พูดไปขำไป “เปล่าหรอก… จริงๆ คือลองแต่งหล่อแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจน่ะ แค่ส่องกระจกก็เขินตัวเองจะแย่แล้ว ว่านี่เราทำอะไรอยู่วะ เปลี่ยนๆ ถอดๆ อยู่ตั้งหลายชุด เสื้อผ้ากองเต็มห้อง สุดท้ายก็เอาแบบปกติที่เคยเห็นๆ กันดีกว่า พอดีตอนนั้นยังไม่พร้อมแกรนด์โอเพนนิ่งด้วย แต่ใครจะไปคิดว่านายจะจัดเต็ม… ตอนนั้นก็รู้จักกันมาห้าปีแล้วนะ แต่ไม่ยักแต่งหล่อขนาดนั้นมาให้เห็นสักครั้ง นึกแล้วน่าน้อยใจไอ้ผีบ้านั่นกับปอชะมัด ตอนนั้นโกรธก็โกรธที่นายที่นายไปกับหมอนั่น แต่พอเห็นตอนที่รีบวิ่งเข้ามาในร้านนี่ทำเอาฉันใจสั่นจนพูดไม่ออกไปกันใหญ่เลย”

“ที่วันนั้นไม่ยอมพูดกับผมเพราะแบบนี้นี่เองเหรอครับ” นรกรว่า

“อือ” วินทร์พยักหน้ารับเขินๆ

“แล้วนี่ไปอิจฉาทิดกับพี่ปอทำไมครับ”

“ก็สองคนนั่นได้เห็นก่อน แล้วที่นายแต่งมาแบบนั้นเพราะว่านัดกับไอ้ปอไว้ใช่ไหมล่ะ”

“เปล่าครับ” นรกรบอก “ต่อให้ไม่มีนัดกับพี่ปอผมก็ตั้งใจใส่มาแบบนั้นอยู่แล้ว”

“พูดโกหกให้ฉันรู้สึกดีหรือเปล่าเนี่ย” วินทร์ทำปากขมุบขมิบ

“โกหกหรือเปล่า คนที่รู้จักผมดีที่สุดอย่างพี่วินทร์น่าจะตอบคำถามนี้ได้ด้วยตัวเองนะครับ”

“ก็ตอบตรงๆ ให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไงเล่า… ไอ้เราก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองนะ”

“งั้นถ้าย้อนเวลากลับไปวันนั้นได้ พี่วินทร์มีอะไรอยากแก้ตัว แบบว่า… อยากทำอะไรให้ผม หรืออยากให้ผมทำอะไรให้ไหม ไหนๆ เราก็มาที่นี่อีกรอบแล้ว”

“อยากจูบ” วินทร์ตอบแบบไม่ลังเล

“ทำ… อะไรนะครับ”

“ก็… ตอนที่ฉันถอดคอนแทคเลนส์ให้นายน่ะ นายหลับตาปี๋แล้วก็เกาะฉันแน่นเลยนี่นา วันนั้นฉันข่มใจจนหัวใจแทบจะเป็นเหน็บ แล้วหลังจากนั้นฉันก็สาบานกับตัวเองว่าหลังจากนี้ถ้าฉันจีบนายติดฉันจะไม่ขอทนอีกแล้ว จูบได้จูบ ปล้ำได้ปล้ำ นายจะต้องชดใช้กับสิ่งที่นายอ่อยฉันไว้มานานสองนาน”

“คนอะไรน่ากลัวจัง” นรกรว่า “แล้วตกลง… เอ่อ… จะจูบไหมครับ”

“ไม่เอาหรอก”

“อ้าว”

“ขอเป็นคำสัญญามัดจำไว้ก่อน ฉันจะรอทบต้นทบดอกรวดเดียว” วินทร์บอกยิ้มๆ “วันนี้ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณอะไรล่ะครับ แผนผมพังไม่เป็นท่าทั้งอาหาร ดอกไม้…” นรกรหยุดพูดเมื่อวินทร์ยื่นนิ้วชี้มาปิดปาก

“แค่เราสองคนยังอยู่ด้วยกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเพอร์เฟคไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ” วินทร์บอกทั้งรอยยิ้ม

นรกรสบตาคนตรงหน้า ไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่เลือกคนๆ นี้ ริมฝีปากค่อยคลี่ออกช้าๆ กลายเป็นรอยยิ้มกว้าง

“ไม่ต้องห่วงปีหน้าฉันให้โอกาสแก้ตัว หรือถ้ายังไม่ดีก็เอาไว้ปีต่อไป ต่อไป และต่อๆ ไป ตกลงไหม หืมมม~ ว่าไง ฮาร์ฟ อย่าเอาแต่มองตาหวานแล้วยิ้มเงียบๆ สิ มันทำให้ฉันใจคอไม่ดีนะ ตกลงจะมาด้วยกันหรือเปล่า”

“พี่วินทร์ครับ” มีคำพูดและคำตอบมากมายที่อยากบอก แต่มันก็เยอะเกินกว่าที่คนพูดไม่เก่งอย่างเขาจะถ่ายทอดออกไปได้หมด

“ว่าไง”

ถ้าอย่างนั้น… เขาขอสรุปให้ฟังแค่สั้นๆ ละกัน… หวังว่าแค่นี้คงจะพอ…

“ผมรักพี่วินทร์นะครับ”

รอยยิ้มกระจายออกจากริมฝีปากไปจนถึงดวงตา “รักเหมือนกัน” และนี่คือคำตอบจากหัวใจ
ในชั่วขณะที่วินทร์กำลังสบตาคนตรงหน้าอยู่นั่นเอง เขาก็คิดว่ารู้แล้วว่าเส้นที่ติดตัวเขามาตามที่พระท่านบอกนั้นคืออะไร…  เส้นเพียงเส้นเดียวที่ยื้อตัวเขาไว้ให้ยังยืนอยู่ตรงนี้… เส้นที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีวันยอมปล่อยไปเด็ดขาด… และเส้นนั้นก็คือ… นายนี่เอง… พรหมลิขิตของฉัน

OOOOOO

เพียงไม่นานหลังจากที่เจ้าของห้องปิดประตูออกไป คนที่รับปากดิบดีว่าจะอยู่เฝ้าห้องก็ลุ้นขึ้นจากโซฟามองซ้ายมองขวาหาที่เก็บกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถอีกคัน เมื่อเจอแล้วก็เก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจากห้องไป
“สวัสดีค่ะอาจารย์” พยาบาลประจำหอผู้ป่วยร้องทักคนที่เพิ่งเปิดประตูเดินเข้ามา
วินทร์หรือจะพูดให้ถูกคือวิญญาณที่สิงร่างวินทร์อยู่ผงกศีรษะตอบรับก่อนจะเดินตรงไปยังห้องผู้ป่วยที่หมายตาไว้ตั้งแต่ตอนที่มาแกรนด์ราวน์

...กฤตธี…
มันเดินไปหยุดข้างเตียง และจ้องดูคนที่นอนหลับสนิท มือใหญ่กำเป็นหมัดแน่นสลับกับคลายซ้ำแล้วซ้ำแล้วอีกก่อนจะยกขึ้นแตะที่ข้างแก้ม สังเกตว่าคนที่นอนอยู่ยังไม่รู้สึกตัวก็ค่อยๆ เลื่อนมือลงมาตามแนวคาง เรื่อยลงมาถึงลำคอที่ยาวระหง เขาค่อยๆ สอดนิ้วอ้อมไปทางด้านหลัง กดน้ำหนักมือลงช้าๆ

ในตอนนั้นเองที่ใครอีกคนมาปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู

“ทำอะไรอยู่เหรอ”

มันรีบชักมือกลับซุกในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันไปหาชายเจ้าของใบหน้าใจดีที่เต็มไปด้วยยิ้มเสมอ “เปล่านี่”
อาจารย์ภูมิศิลป์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยืนเคียงข้าง

“ผมแค่มาดูเคสน่ะครับ… อาจารย์” มันรีบปรับคำพูดเสียใหม่เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย

“น่าสงสารนะยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ แต่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” อาจารย์ภูมิศิลป์พึมพำพลางเอื้อมมือไปจับผ้าห่มที่ร่นลงมาดึงให้คลุมอก

“ครับ”

“ผมอยากช่วยเขาแต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน”

“ทำไมอาจารย์ถึงต้องอยากจะช่วยเขาด้วยล่ะครับ” มันถาม “เขาต่างจากคนไข้คนอื่นๆ ยังไงหรือครับ ดูอาจารย์สนใจเขาเป็นพิเศษเลยนะครับ” จงใจเน้นประโยคอย่างชัดเจน

อาจารย์ภูมิศิลป์หันมามองคนตั้งคำถาม “เขาไม่ได้พิเศษไปกว่าคนไข้คนอื่นหรอก ผมก็แค่อยากช่วยเท่าที่จะช่วยได้แค่นั้นเอง ผมเป็นประธานเครือข่ายโครงการช่วยผู้ประสบภัยบนท้องถนนนะ”

“อาจารย์ใจดีจัง” แต่ใจของมันไม่ได้ชมอย่างที่ปากว่า

“ไม่หรอก ความใจดีของผมมันเทียบไม่ได้กับที่อาจารย์สรวิชญ์ช่วยเธอไว้ตอนนั้นหรอก เจาคาดหวังกับเธอไว้สูงเพราะเหตุนี้แหละเขาถึงโกรธเธอมาก”

“แต่ผมว่าอาจารย์ก็ยังใจดีกว่าอยู่ดี” มันพยายามดึงกลับมาเรื่องเดิม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมตามน้ำเลย

“ไปขอโทษเขาอีกครั้ง… ดีๆ ผมว่าเขาพร้อมจะอภัยให้เธอนะ”

“ครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์ตบบ่ามันครั้งหนึ่งพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจก่อนจะเดินออกไป
มันเหลือบตามองชายหนุ่มที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว สองมือกำเป็นหมัดแน่น เห็นท่าไม่ดีที่วันนี้จะผลีผลามลงมือ… อย่างน้อยเขาก็ยังมีเวลา ถึงจะไม่เยอะหากก็มากพอจะจัดการอะไรหลายๆ อย่างให้เสร็จ… คนเจ็บในเรื่องนี้มันต้องไม่ใช่เขาคนเดียว

ทางเดินในสวนร่มรื่น ชายหนุ่มหญิงสาวเดินเคียงคู่กันมา ใบหน้าแย้มยิ้มเปี่ยมสุขกับอากัปกิริยาหัวร่อต่อกระซิกที่มีต่อกันถึงจะไม่ได้ยินบทสนทนาก็ทำให้พอเดาได้ว่าทั้งสองมีความสุขมากแค่ไหน

สายลมพัดแรงมาวูบหนึ่งทำให้เรือนผมยาวจนถึงสะโพกของเธอปลิวสยาย เขาหันมาเอาตัวช่วยบังกระแสลม
ลมสงบลงพร้อมกับที่ดอกไม้กลีบขาวปลิวมาตกที่ข้างเท้า เขาก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเรือนผมยาวของเธอขึ้นทัดหูให้ข้างหนึ่งก่อนจะประดับด้วยดอกไม้ขาวแสนสวยนั้น แก้มขาวซับสีเข้มด้วยความเขิน จนเขาอดใจไม่ไหวแนบริมฝีปากลงข้างรอยนั้น

กลิ่นแก้มผสมกลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายจมูก ยามนั้นรักช่างหอมหวาน แต่เมื่อวันเวลาผันผ่าน กลับกลายเป็นขมระหมหัวใจเสียยิ่งกว่าชื่อของดอกไม้ที่เขามอบให้เธอวันนั้น


*******************************************************TBC*************************************************
Talk

เอาจริงๆ ตอนนี้ควรจะหวานนะ เริ่มแต่งBG song คือ perfect ของพี่เอ็ด ซีราน ต่อด้วยคู่ชีวิตของค็อกเทล แต่เพลย์ลิสต์มันดันจบที่ ซ่อนกลิ่นของพี่ปาล์มมี่ซะได้ มันก็เลยออกมาแบบนี้ล่ะค่ะ (ตกลงนี่นิยายรักหรือฆาตกรรม)

สปอย!!
ที่เราใช้ชื่อดอก 'ลั่นทม' แทน 'ลีลาวดี' นั้นเพราะว่า...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
จะให้ติดตามตอนต่อไปค่ะ แฮร่~
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-11-2018 08:47:39
เอ้า...ค้างนะสิพี่นอง...งงงงงงงงงงงงงงงง      :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 05-11-2018 05:49:04
อ่านตอนพระท่านพูด จนลุกเลยค่า
ขอให้พี่วินทร์ได้กลับร่างไวๆนะคะ ทรมานมานานแล้ว TT
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 05-11-2018 07:02:01
คุณวิญญาณจะทำอะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 05-11-2018 21:01:29
สงสัยเลยยย ไอ้เจ้าผีจะไปทำอะไรกับคนไข้ เพราะตัวเองก็ตายมานานแล้วว  :confuse:
จะทำอะไรกันแน่น้อออออ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-11-2018 19:36:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอาใจช่วยนะคะทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 08-11-2018 09:36:37
รอจ้ารอ ลุ้นใจจะขาด
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 10-11-2018 03:46:03
อาจารย์ภูมิศิลป์ คนไข้ แล้วก็วิญญาณในร่างวินทร์
นางต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ


นี่กำลังคิดไปถึงว่าวิญญาณในร่างวินทร์ คือแพทย์ที่ฮาร์ฟเคยฝันถึง ที่ช่วยลุงที่ติดเหล้าก็ได้
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 12-11-2018 14:09:21
 o22.ซับซ้อนจริงๆ.... หายจากเรื่องนี้ไปนาน.. ดีใจที่กลับมาได้ต่อกันอีกครั้ง.... เนื้อเรื่องดีงามน่าติดตามต่อมากๆ.... รอนะคะ...
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-11-2018 11:49:44
บทที่ 9 Past

“แหม~ ดูท่าจะสบายเกินไปแล้วนะ” วินทร์แซวคนที่ตอนนี้นอกจากจะยึดร่างตนไปแล้วยังยึดโซฟาตัวยาวกลางห้องรับแขกไปอีกด้วยการนอนเหยียดยาวกระดิกเท้าที่พาดอยู่บนที่เท้าแขน นัยน์ตาจดจ่ออยู่กับเกมรถแข่งในโทรศัพท์มือถือ ทำตัวประหนึ่งเป็นบ้านของตัวเอง “แล้วนั่นทำอะไรอยู่น่ะ”

“นอนเล่นมือถือไง ตาบอดเหรอ”

“โอ้โห! มีย้อนเว้ย ไอ้ผีบ้านี่” วินทร์ว่า

“ทานอะไรหรือยังครับ ผมซื้อข้าวมาฝากคุณด้วยนะ” นรกรที่เดินตามมาทีหลังบอกพลางชูถุงของที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ

“กินแล้วแต่กินได้อีก” มันปิดเกมพร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งและคว้าถุงไปเปิดดู พอเห็นว่าเป็นพวกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งก็หน้ามุ่ยขึ้นทันที “อะไรเนี่ย อาหารขยะพวกนี้”

“บ่นนักวันหลังก็ทำเองละกัน” วินทร์ว่าพลางโบกมือไล่ให้ขยับไปเพื่อจะนั่งด้วย

“ทำได้เหรอ ก็แฟนนายห้ามฉันเข้าใกล้ห้องครัว โดยเฉพาะตู้เย็น”

“ถ้าคุณจะทำให้สุกก่อน แล้วนั่งกินดีๆ แบบคนปกติทั่วไปเขาทำกันผมก็ไม่ห้ามหรอกครับ” นรกรบอก

มันไหวไหล่ “ขอโทษทีตอนนั้นมันหิวจริงๆ”

“แล้วนี่นายไม่ได้ไปทำอะไรแปลกๆ มาใช่ไหม” วินทร์หรี่ตามองจับพิรุธ

“อาบน้ำปะแป้งเย็นเตรียมตัวนอนนี่ถือว่าแปลกพอไหม” มันว่าพลางขยิบตาอย่างมีเลศนัยน์ส่งให้นรกรเพื่อแกล้งยั่วร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้หึง แต่ตอนนี้วินทร์ก็อารมณ์ดีเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียงด้วย

นรกรไม่สนใจอาการเขม่นกันของทั้งคู่ วางของต่างๆ ที่ถือมาลงบนโต๊ะเตรียมจะเก็บ หนึ่งในนั้นคือดอกลั่นทมที่พระที่วัดให้มา เมื่อคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเห็นก็ละความสนใจจากวินทร์และอาหารหันไปมอง นรกรสังเกตเห็นท่าทางผิดปกตินั้นจึงเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือครับ”

“นายไปเอาดอกนี่มาจากไหน” มันถามพลางหยิบดิกลั่นทมสีขาวขึ้นมาหมุนดู

“พระที่วัดท่านให้มาน่ะครับ” นรกรตอบ
“เหรอ”

นัยน์จับจ้องไปที่กลีบขาวบาง พลันภาพคนสองคนยืนคู่กันใต้ต้นลั่นทมผุดขึ้นมาให้ห้วงความคิดก่อนจะหายแวบไปเปลี่ยนเป็นอีกฉากที่มีหญิงสาวคนเดิมกับผู้ชายอีกคนอยู่ด้วยกัน มันเปลี่ยนสับไปมารวดเร็วจนเขาเริ่มเวียนหัวต้องสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อลบภาพสุดท้ายนั้นออกไป แต่ดูเหมือนว่ายิ่งอยากจะลบ อยากจะลืมเท่าใด ภาพนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“คุณนึกอะไรออกเหรอครับ” นรกรเลียบเคียงถามคนที่จู่ๆ นัยน์ตาก็เหม่อมองราวกับว่าดอกไม้กลีบขาวในมือนั้นพาข้ามผ่านกาลเวลาไปไกลแสนไกล “ตกลงกฤตธีนั่นใช่ชื่อคุณหรือเปล่า ผมจะได้เรียกถูก”

มันสะดุ้งเล็กน้อย ค่อยๆ หมุนดอกลั่นทมในมือก่อนจะผ่อนลมหายใจออกจมูก เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างมันจุกแน่นอยู่ที่อกและคิดว่าการระบายให้ใครสักคนฟังอาจจะช่วยผ่อนความเจ็บปวดที่อัดแน่นนี้ออกไปได้บ้าง “นั่นไม่ใช่ชื่อฉันหรอก” มันเริ่มต้นเล่า “แต่เป็นชื่อลูกของฉันน่ะ”

“นี่นายมีลูกด้วยเหรอ ไหนบอกว่าโดนแฟนนอกใจแล้วก็ขับรถชนตายไง แล้วลูกมาได้ไง” วินทร์ถาม

“ไม่มีหรอก” มันบอก “ไม่เคยมีอะไรกันจะท้องได้ไง คนนะเว้ยไม่ใช่ปลากัด มันก็แค่… เอ่อ แค่วางแผนกันน่ะว่าหลังจากเราแต่งงานกันถ้ามีลูกชายตั้งชื่อนี้” เล่าถึงตรงนี้เสียงของมันก็เริ่มสั่นขึ้นเล็กน้อย

“กฤตธี แปลว่านักปราชญ์” นรกรพึมพำขึ้นมาทำให้มันหันไปมองเขาจึงพูดต่อ “ชื่อของผมมันไม่เหมือนคนอื่นน่ะ ตอนเด็กๆ ผมก็เลยชอบอ่านตำราการตั้งชื่อเพื่อหาความหมายชื่อของตัวเองก็เลยจำอะไรพวกนี้ได้”

“สมกับเป็นคุณสารานุกรมเคลื่อนที่ของฉันจริงๆ” วินทร์หันไปยิ้มพร้อมกับขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง

“ชื่อนายแปลกจริงๆ น่ะแหละ” มันบอก “ทีแรกฉันอ่านว่านรก แต่มันคงความหมายดีสินะ ฉันรู้เพราะคงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกมีปมด้อยกับชื่อหรอก”

“มาจากคำว่า neuron กลับหัวครับ”

“นั่นไงล่ะ พ่อกับแม่นายเป็นนิวโรศัลย์นี่นา ช่างคิดจริงๆ”

“ตกลงนายชื่ออะไรแล้วเป็นใครกันแน่” วินทร์ที่เงียบฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น

“กฤต” มันบอก “ผมเคยอยู่ที่นี่ เรียนที่นี่ เจอเธอที่นี่ โดนหักหลังและก็ตายอยู่ที่นี่… ที่โรงพยาบาลนี้นี่แหละ”

“คุณเป็นหมอเหรอครับ”

มันพยักหน้า ภาพต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัว แล้วมันก็ค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นให้พวกเขาฟัง

ในโรงพยาบาลใหญ่ย่านใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ประกอบด้วยตึกสูงใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคืออาคารปูนแปดชั้นที่ด้านหลังเป็นสวนหย่อมให้คนไข้ ญาติและเจ้าหน้าที่ได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจกัน ตรงมุมในสุดของสวนมีต้นลั่นทมสูงใหญ่ยืนต้นแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอยู่ต้นหนึ่ง

ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นเดินต่อยฟ้าบ่นลมเป็นหมีกินผึ้งมาตามทาง หน้าตาคมสันรับกับผมและผิวสีเข้มแบบนักกีฬาบูดเบี้ยวด้วยความหงุดหงิด เขาเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นลั่นทม ทำปากบ่นขมุบขมิบก่อนจะบันดาลโทสะใส่ต้นไม้โชคร้ายด้วยการยกเท้าขึ้นถีบเต็มแรงตรงกลางลำต้นจนกิ่งสั่น

“โธ่เว้ย! ไอ้ลุงบ้านี่!! อยากตายนักก็ตายไปเลย แล้วมาโรงพยาบาลทำไมวะ! มาให้เรารักษาทำไมกันเล่า!!!”
ตะโกนจบก็ยืนหอบด้วยความโล่งใจที่ได้ระบายออกมาและตอนนั้นเองที่เสียงหวานของใครคนหนึ่งดังขึ้น

“นิสัยไม่ดีโกรธคนอื่นแล้วมาพาลลงกับต้นไม้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”

ชายหนุ่มหันไปก่อนจะร้องเสียงดัง “เฮ้ย! ขอโทษครับเจ้าแม่ ผมไม่ได้ตั้งใจลบหลู่ผมไม่คิดว่าท่านอาศัยอยู่ที่ต้นไม้ต้นนี้ครับ อภัยให้ผมด้วยครับ” พร้อมกับหลับหูหลับตายกมือไหว้ท่วมหัว

“นี่หมอ! ให้มันน้อยๆ หน่อยย่ะ ผีที่ไหนจะสวยขนาดนี้”
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองทีละข้าง เห็นว่ามีเงาหัวทอดยาวไปตามพื้นแน่ๆ จึงลดมือลงทาบอกและถอนหายใจเสียงดัง “เธอก็อย่ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงสิ สวยขนาดราชินีป่าช้าวัดดอนหมาหอนต้อนรับขนาดนี้”

“ปากเสีย! ตบปากเท่าอายุเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“อายุฉันหรืออายุเธอ ถ้าอายุฉันก็สองทีถ้าอายุเธอก็…” เขาแกล้งยกมือขึ้นนับนิ้ว “โห~ ปากชาเลยนะนั่น”

หญิงสาวยกมือขึ้นทำท่าจะหลังแหวนใส่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจลดมือลง ต่อล้อต่อเถียงกับเขาไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เธอหมุนตัวเดินหนีรู้สึกอารมณ์เสียที่โดนทำลายวันดีๆ ในขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่นเพลินๆ

เขามองตามหลังหญิงสาวที่เดินงอนหนีไป ผมดำสนิทเป็นมันยาวของเธอยาวเลยกลางหลังพลิ้วเบาๆ ยามสายลมพัดต้องนั่นทำให้เขาตกใจตอนเห็นครั้งแรก แต่เมื่อเขาได้มองชัดๆ ยามมันต้องแสงอาทิตย์นั้นกลับดูสวยเหลือเกิน เขาคิดว่าจะต้องได้เจอเธออีกโดยไม่ต้องพึ่งลางสังหรณ์หรือจับยามสามตา ไม่ใช่เพราะรู้จักกันมาก่อนหรือเคยเห็นหน้า แต่เมื่อสักครู่เธอเรียกเขาว่าหมอได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และนอกจากอาจารย์แพทย์แล้วสิ่งมีชีวิตเดียวที่กล้ามีปากมีเสียงกับคนวิชาชีพอย่างเขาในรั้วโรงพยาบาลนี้ก็มีแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แล้วเขาก็คิดไม่ผิดเลยเมื่อเขาได้เจอเธออีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น

“สวัสดีครับคุณเจ้าแม่ลั่นทม”

เสียงทักทายของชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นที่ดังมาจากกลุ่มนักเรียนแพทย์ที่อยู่อีกฟากห้องหอผู้ป่วยทำเอาหญิงสาวคนโดนทักรีบหลบวูบไปอยู่หลังเพื่อนๆ ในกลุ่มของเธอ

“วู้~ เธอน่ะแหละเจ้าแม่ลั่นทม เราไง ที่เจอกันวันก่อน เจ้าแม่ครับ!”

“ฉันว่าเขาเรียกแกนะพลู” เพ็ญ หญิงสาวในชุดขาวบอกกับเพื่อนที่เกาะบ่าแอบอยู่ด้านหลัง

“ไม่รู้จัก ใครก็ไม่รู้”

เพ็ญหันไปมองชายหนุ่มที่ยังคงโบกมืออย่างไม่ลดละ

“เฮ้~”

“ฉันว่าแกรีบตอบเขาไปเถอะยัยพลู จะได้จบๆ เรื่องไป คนไข้เริ่มมองแล้วเดี๋ยวอาจารย์ต้อยมาได้เม้งแตกตายกันยกกลุ่ม” พูดจบเพ็ญก็จับไหล่เพื่อนสาวดึงออกจากหลังแล้วเหวี่ยงกึ่งๆ ถีบออกไปยืนด้านหน้ากลุ่ม

“มีอะไร” เธอทำปากขมุบขมิบตอบไป

“จำเราได้ป่าว” ชายหนุ่มตะโกนตอบ

“เออ จำได้”

“เราชื่อ…”

“นายกฤต ผมว่าเช้านี้คุณมีพลังเหลือเฟือเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้นจากด้านหลังจากคนในชุดกาวน์ยาวสีขาวทำให้ขนลุกซู่ “ไปวิ่งรอบวอร์ดสักสองสามรอบไหมเผื่อแบตมันจะอ่อนลงบ้าง อ้อ! แล้วการบ้านที่ผมสั่งให้ไปหามาเมื่อวานล่ะได้ทำมาใช่ไหม”

“การบ้าน… อ้อ! ใช่ การบ้าน ทำสิครับอาจารย์ ใครจะกล้าลืมการบ้านอาจารย์ล่ะครับ” ชายหนุ่มหันไปตอบก่อนจะหันกลับมายิ้มให้หญิงสาวอีกครั้ง

“เฮ้ย! ใครวะไอ้กฤต สวยนี่หว่า ร้ายนะแก” ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นอีกคนพุ่งเข้ามากอดคอชะเง้อมองตามสาวน้อยในชุดขาวที่เดินจากไป

“ไม่บอกเว้ย! ถอยไปเลยไอ้ภูมิไม่ต้องยุ่งคนนี้ข้าจอง” เขาใช้มือผลักเพื่อนรักกระเด็นไปอีกทางก่อนจะเดินตามไป แต่ก็ยังไม่วายหันมาโบกมือพร้อมกับยิ้มให้ คนอะไรตอนปล่อยผมก็สวยตอนเก็บรวบตึงไว้ที่ท้ายทอยเหมือนเครื่องหน้าที่ปั้นปึงใส่เขานั่นก็น่ารัก “ไว้คุยกันนะ”

เธอเบะปากพร้อมกับโบกมือไล่

“แน่ะๆ ทำเป็นเล่นตัว นั่นคุณชายกฤตไม่ใช่เหรอ ฉันว่าเขาจีบแกนะยัยพลู นี่ไปรู้จักกันตอนไหนยะ” เพ็ญเข้ามาใช้ศอกกระทุ้งสีข้างแซว

“อย่ามาล้อเล่นน่า” เธอว่า “จีบกะผีน่ะสิ เขากะแกล้งให้ฉันอายมากกว่า”

“รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจไว้ใจไม่ได้” เพ็ญต่อประโยคที่เพื่อนสาวคนนี้พูดจนติดปาก “แต่เขาไม่ใช่สักข้อเลยนะ เป็นถึงว่าที่คุณหมออนาคตไกลเชียวนะ ไม่รับไว้พิจารณาบ้างเหรอ~”

“ก็ไม่เอาอยู่ดี” เธอส่ายหัว “อย่าพูดเรื่องแฟนกับฉันเลย ความรักมันไกลตัวสำหรับฉัน ฉันไม่มีเวลาไปคิดเรื่องแบบนั้นหรอกเพ็ญ นี่เราจะเรียนจบอยู่อีกไม่กี่เดือนแล้ว ฉันจะตั้งใจทำงานจะได้มีเงินส่งน้องเรียนสูงๆ”

เพ็ญถอนหายใจแรง รู้สึกเสียดายแทนเพื่นสาวที่หน้าตาออกสะสวยแต่เพราะพ่อเสียแต่เด็ก แม่ที่ทำงานหาเลี้ยงเธอมาคนเดียวก็ป่วยและเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย เธออยู่กับน้องชายที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงสองคนพี่น้อง ชีวิตที่ผ่านเรียกว่าลำบากมากเลยทีเดียว ที่เรียนมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะตั้งใจเรียนหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ผลการเรียนอยู่ในระดับดีมากจนได้ทุนเสมอมา ยามว่างก็ไปทำงานพิเศษหาเงิน ตอนเช้าปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์เย็นก็ไปเป็นลูกจ้างขายของที่ตลาด เสาร์อาทิตย์ไปเป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา

จริงอย่างที่เจ้าตัวว่านอกจากจะไม่มีเวลาคิดเรื่องความรักแล้ว เรื่องที่ลูกชายคนเดียวเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ‘สมรศรีโภชนา’ ผู้ชายรูปหล่อพ่อรวยแม่หวงดั่งไข่ในหินจะมาชอบเธอได้ยังไง มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเกินไป

แต่พรหมลิขิตก็เล่นตลก เมื่อดอกรักค่อยๆ เบ่งบานใต้ต้นลั่นทมในสวนนั่นเอง ถึงจะทะเลาะตลอดกันยามเจอกันบนหอผู้ป่วย หากในยามว่างทั้งสองกลับมานั่งคุยกันที่นี่บ่อยๆ แม้ตอนนี้เธอจะเรียนจบตามที่ฝันได้เป็นนางฟ้าในชุดขาวแล้ว การทำงานของเธอในฐานะพยาบาลน้องใหม่กับการเรียนแพทย์ในช่วงสองปีสุดท้ายของเขาที่ทั้งเข้มข้นและวุ่นวายก็ไม่ใช่อุปสรรคในการมาเจอกันของทั้งคู่

“พลูอ่านอะไรน่ะ เห็นกี่ทีก็อ่านไอ้เล่มนั้นทุกที” คนในชุดกาวน์สั้นถามคนที่นั่งพับเพียบนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ

“คู่กรรม” เธอตอบสั้นๆ

“สนุกเหรอ”

“สนุกสิ ไม่งั้นจะอ่านเหรอ” เธอตอบ “เป็นบทประพันธ์ของคุณทมยันตีที่เราชอบมากๆ เลย”

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรน่ะ”

“เรื่องเกิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พระเอกเป็นทหารญี่ปุ่นที่มาตกหลุมรักกับนางเอกซึ่งเป็นหญิงสาวชาวบ้านตอนมาสร้างสะพานผ่านไปพม่าที่ไทยน่ะ”

“อื้อหือ ฟังดูน่าสนใจแล้วจบดีไหม”

“ทั้งสองคนได้แต่งงานและมีลูกด้วยกัน แต่ก็เกิดมีเรื่องให้เข้าผิดใจกันแล้วตอนจบพระเอกก็โดนระเบิดตายน่ะ”

“ไอ้เรื่องนั้นน่ะเอง” เขาว่า “ที่พี่เบิร์ดเล่นคู่กับกวางกมลชนกใช่ไหมเห็นแม่นั่งดูอยู่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร”

“อ้าว ไหนบอกว่าไม่รู้จักไง”

“แต่ที่บ้านเรามีทีวีนี่นา” เขาบอก “หรือบ้านเธอไม่มี”

หญิงสาวส่ายหน้า “เมื่อก่อนเคยมีแต่ตอนนี้ขายไปแล้ว ต้องเอาไปจ่ายค่ารักษาน้องชายน่ะ”

เขาหน้าเสียไปเล็กน้อยเพราะกลัวว่าเธอจะอาย แต่หญิงสาวกลับไม่มีทีท่าแบบนั้นทำให้เขากล้าถามต่อ “แล้วเธอดูทีวีที่ไหน”

“เมื่อก่อนก็ที่ห้องแพนทรีของหอ หรือไม่ก็ดูกับคุณป้าเจ้าของร้านที่เราไปช่วยขายของน่ะ ส่วนตอนนี้ก็ดูกับคนไข้ที่วอร์ด”

“งั้นวันหลังมาดูบ้านเราสิ” เขารีบชวน “บ้านเราทีวีจอใหญ่สี่สิบสองนิ้วเลยนะ เห็นพี่เบิร์ดตัวใหญ่ชัดแจ๋ว”

“ไม่เอาหรอก เราเกรงใจ ได้ข่าวว่าแม่นายดุจะตาย”

“งั้นเดี๋ยวเราซื้อให้ใหม่” เขาบอกพร้อมกับคว้าข้อมือดึงให้เธอลุกขึ้นยืน

หากหญิงสาวขืนตัวไว้ “จะบ้าเหรอกฤต แพงจะตายของแบบนั้นเรารับไว้ไม่ได้หรอก”

“แต่เราอยากให้นี่นา พลูจะได้มีไว้ดูละครกับน้อง น้องพลูก็จะได้ไม่เหงาตอนพลูไม่อยู่บ้านด้วย”

“ไม่เอาหรอก พลูดูแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว กฤตไม่ต้องซื้ออะไรให้เราหรอก รู้หรอกว่าบ้านรวย แต่นั่นก็ไม่ใช่เงินกฤตนี่นา เอาไว้กฤตเรียบจบทำงานหาเงินเองได้แล้วใช้เงินตัวเองซื้อเราจะรับ”

เขายู่ปาก “ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้แล้วจะให้เราทำยังไงล่ะครับเจ้าแม่ลั่นทมถึงจะยอมตกลงกับเราสักอย่าง”
“ก็กฤตขออะไรที่มันเป็นไม่ได้นี่นา”

“งั้นถ้าเราขอเธอเป็นแฟนล่ะจะเป็นไปได้หรือเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ได้ไหมพลู เรารักพลูเป็นแฟนกับเรานะ”

เธอไม่ตอบได้ก้มหน้างุดซ่อนพวงแก้มขาวที่เริ่มซับสีเข้มเหมือนกับกลีบของดอกลั่นทมแดงที่กำลังแย้มกลีบบาน
ริมฝีปากคลี่ออกช้าๆ เป็นรอยยิ้ม เขาเอื้อมมือไปหยิบดอกลั่นทมที่ล่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาทัดให้ที่หูข้างหนึ่ง เธอเคยเล่าให้เขาฟังว่าชื่อพลูนี้ไม่ได้มาจากคำว่าใบชะพลูอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แต่มาจาก Plumeria ที่แปลว่าดอกลั่นทมนั่นเอง ชื่อนี้พ่อของเธอที่เสียไปแล้วเป็นคนตั้งให้เธอจึงชอบมานั่งใต้ต้นไม้ต้นนี้เวลาคิดถึงพ่อ

“ลั่นทม เขาบอกว่าชื่อนี้ไม่เป็นมงคลเพราะพ้องกับคำว่าระทม ทั้งที่ความหมายแท้จริงของลั่นทมคือละแล้วซึ่งความทุกข์” เขาบอกพร้อมกับเลื่อนมือลงกุมมือบางไว้ “ให้เราเป็นลั่นทมของพลูนะ สิ่งที่มทำให้พลูไม่มีความสุข สิ่งที่ทำให้พลูเป็นทุกข์เราจะรับไว้เอง แล้วพลูมาเป็นความสุขให้เรานะ”

ศีรษะซึ่งประกอบด้วยเรือนผมยาวผงกเบาๆ แต่แค่นั้นก็เป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว

ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี ทุกวันคืนเต็มไปด้วยความสุขจนกระทั่งเขาเรียนจบและต้องไปทำงานใช้ทุนที่ต่างจังหวัดไกลบ้านในถิ่นทุรกันดาลแถบชายแดนฝั่งตะวันตก ในจังหวัดที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพานมรณะ

“พลูรอเรานะ อีกสามปีเราจะกลับมา” เขายืนกุมมือเธอที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ร่างสูงมีเป้สะพายอยู่บนหลัง บนพื้นข้างตัวมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอยู่อีกใบ

“รู้แล้วน่า นี่ไปทำงานนะไม่ใช่ไปรบไม่ต้องมาทำตาแดงๆ เลย เดี๋ยวเราก็ร้องไห้ตามไปด้วยหรอก”

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่ารถกำลังจะออก เขาจึงต้องรีบรวบรัด “เขียนจดหมายหาเราด้วยนะ” บอกพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้น

“จะเขียนทุกวันเลย กฤตรีบขึ้นรถไฟได้แล้ว” เธอบอกพร้อมกับรุนหลัง

เขากระโดดขึ้นรถไฟและพุ่งตรงไปยังหน้าต่างบานที่ใกล้สุดแล้วชะโงกหน้าออกมา “สัญญานะ”

“สัญญาค่ะ”

รถไฟค่อยเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ก่อนจะไต่ความเร็วเพิ่มขึ้น เขายังคงหันมองดูเธอ หญิงสาวผู้กุมหัวใจไว้โบกมือลาจนสุดสายตาด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาหากันเร็วๆ นี้

เขายังจำภาพนิ้วก้อยสองนิ้วที่ยกขึ้นเกี่ยวให้คำมั่นแก่กันได้ดี แต่อย่างที่คำโบราณว่าไว้ว่าสามวันจากนารีเป็นอื่นแล้วนี่นับประสาอะไรกับสามปีที่จะจากกันไปไกลตา

เพียงแค่เดือนที่สามนับจากแยกกันจดหมายที่มีมาเกือบทุกวันกลายเป็นอาทิตย์และหนึ่งเดือนถึงจะมีมาสักฉบับสั้นๆ เขาก็ยังไม่เอะใจคิดว่าเธอคงทำงานยุ่ง จนกระทั่งเขาทำงานใกล้จะครบปี เขาได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงสั้นๆ ก่อนจะต้องอยู่เวรยาวไปอีกหลายเดือน

“นั่นแกจะออกไปไหน” คุณนายสมรศรีแม่ของเขาถามเมื่อเห็นเขาแต่งตัวหล่อเตรียมออกจากบ้าน

“ไปหาพลูครับ” เขาตอบด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เจอได้กับเธอเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันเกือบปี

“แกไม่ได้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นไปแล้วหรอกเหรอ”

“ไม่นี่ครับ แม่ไปฟังเรื่องนั้นมาจากไหน” เขาถามกลับ

“อ้าวเหรอ ก็ไม่รู้สิ เหมือนตอนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเมื่อหลายเดือนก่อนเห็นเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับผู้ชายคนอื่น ใช่ไหมแจ๋ว”

“ค่ะคุณผู้หญิง” สาวใช้ที่นั่งบีบนวดขาอยู่รับคำ “เกาะแขนอี๋อ๋อกันน่าบัดสีบัดเถลิง เอ๊ย! น่ารักมากเลยค่ะ ดูสมกั๊น สมกัน”

“พูดมากน่ะแจ๋ว” คุณนายสมรศรีหันไปเอ็ดสาวใช้คนสนิทก่อนหันมาพูดกับลูกชาย “นั่นล่ะแม่ก็เลยนึกว่าพวกแกเลิกกันแล้ว”

“ผมคิดว่าแม่จำคนผิดแล้วล่ะ” เขาบอกเสียงแข็ง

“ก็คงงั้น แม่คงคิดมากไปเองน่ะแหละ” คนเป็นแม่ไหวไหล่และหันกลับไปดูทีวีต่อ

เขาเดินออกหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ในใจยังคงครุ่นคิดถึงคำที่แม่พูดแต่อีกใจก็ยังเชื่อมั่นในคำสัญญาที่มีให้กัน เขาล้วงมือลงในกระเป๋าหยิบกล่องกำมะหยี่ใบหนึ่งขึ้นมา เธอเคยบอกว่าไม่ต้องซื้ออะไรให้เธอจนกว่าจะทำงานหาเงินได้เอง และนี่คือเงินตกเบิกทั้งหมดของเขารวมกับเงินเดือนข้าราชการหมอซึ่งเขาเก็บหอมรอมริบมาหลายเดือนจนในที่สุดก็มีมากพอจะซื้อมัน

…ของแทนใจที่เขาจะใช้ขอเธอแต่งงาน…

เขาเปิดกล่องดูแหวนทองที่หัวแหวนประดับเพชรเม็ดเล็กๆ เรียงเป็นแถวสามเม็ด เขายิ้มกับตัวเองก่อนจะปิดฝากล่องและก้าวขึ้นรถขับออกไป โดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นการออกจากบ้านครั้งสุดท้าย


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-11-2018 11:53:11
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นเหรอครับ” นรกรถามเมื่อจู่ๆ คนเล่าก็เงียบไป

“สิ่งที่แม่พูดเป็นความจริง” มันบอก “และผู้ชายคนนั้นก็คือเพื่อนสนิทของฉันเอง เพื่อนรักที่ฉันฝากฝังให้ช่วยดูแลเธอตอนที่ฉันไม่อยู่… ใครจะรู้ว่ามัน…” เสียงของมันขาดหายไปเสียเฉยๆ เหมือนมันจุกอยู่แค่ตรงคอ “แล้วก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ฉันหนีจากภาพนั้นออกมาขับรถชนตาย เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

นรกรมองดูชายผู้ซึ่งผิดหวังในรัก มือของเขากำแน่น นัยน์ตาที่เคยแข็งกระด้างในตอนที่เจอกันวันแรกนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด… ตัวเขาเองก็เคยผ่านจุดที่โดนทิ้งมาแล้ว ถึงจะไม่ได้เลวร้ายเท่านี้แต่แค่นั้นมันก็เจ็บจนแทบยืนไม่ไหว แล้ว คนๆ นี้ต้องเจ็บขนาดไหนกันถึงได้มีเรื่องติดค้างที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดตายแล้วก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดอยู่แบบนี้ เขาเหลือบตามองวินทร์และเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรครับ ผมจะช่วยคุณเอง เราจะช่วยหาเรื่องที่ทำให้คุณยังติดค้างอยู่แล้วจะได้ไปเกิดใหม่ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์อีกแล้วนะครับ”

“ขอบคุณนะที่รับฟังเรื่องของฉัน” มันบอก

“งั้นต่อจากนี้ไปผมเรียกคุณว่ากฤตนะ” นรกรกล่าว

“ได้สิ” กฤตบอก “ไม่มีใครเรียกชื่อฉันมานานแล้ว ตลกจังจู่ๆ ก็รู้สึกดีใจกับเรื่องแค่นี้”

“ฉันเข้าใจความรู้สึกนาย” วินทร์ว่า “มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเรายังมีตัวตนอยู่น่ะ”

กฤตพยักหน้าอย่างรู้สึกขอบคุณ

“แต่ถึงจะเห็นใจแค่ไหน ที่นอนของนายก็คือโซฟานะ” วินทร์พูดต่อ “แล้วก็อย่าลืมเรื่องเขตหวงห้ามอย่างที่ฉันบอก”

“รู้แล้วน่า” กฤตหัวเราะในลำคอ… หัวเราะอย่างนั้นเหรอ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขได้ง่ายๆ กับเรื่องแค่นี้ มันคงจะดีถ้าหากว่าสักวันเขาจะกลับมามีความสุขและยิ้มได้จากใจอีกครั้ง แต่เขาคิดว่าสำหรับตัวเขาในตอนนี้แล้วมันคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว

OOOOOO

“มองหน้าผมแบบนั้นคิดอะไรอยู่ครับ” นรกรพลิกตัวกลับมาถามร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างเตียง คืนนี้เขาไม่กอดเจ้าวินนี่แล้ว เพราะรู้แล้วว่ามันไม่ได้ช่วยให้ความโหยหาสัมผัสที่มีต่อคนตรงหน้าลดลงไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“คิดว่านายนี่ใจดีจังเลยน้า~” วินทร์ว่า

“เขาน่าสงสาร”

“ไม่คิดว่าจะโดนหลอกเหรอ”

“ไม่ครับ” นรกรบอก “อย่างน้อยก็เรื่องที่เขาถูกทิ้ง”

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ”

“อย่างที่บอกไป ช่วยหาสิ่งที่ทำให้เขาติดค้าง”

“ถ้าสิ่งนั้นคือการแก้แค้นสองคนนั่นล่ะ นายจะทำยังไง” วินทร์ถาม

“ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ติดค้างอยู่ที่นี่ไม่ใช่การแก้แค้นครับ” นรกรบอก “ความแค้นมีพลังขับเคลื่อนมากก็จริง แต่ผมรู้สึกว่ามันยังมีอะไรที่มากกว่านั้น”

“อะไรล่ะ”

“ผมไม่รู้ แต่ผมจะช่วยเขาและไม่ใช่แค่เพราะว่าผมอยากช่วยเพื่อให้พี่วินทร์ได้ร่างคืน แต่เป็นเพราะผมอยากช่วยเขาจริงๆ”

วินทร์ยิ้ม “ฉันถึงได้บอกว่านายใจดีไง”

“คนที่ใจดีคือพี่วินทร์ต่างหาก”

ร่างโปร่งแสงเลิกคิ้วขึ้นสูง “เกี่ยวอะไรกับฉัน”

“ตั้งแต่จำความได้ ผมน่ะเกลียดตัวเองที่มองเห็นอะไรที่คนอื่นเขามองไม่เห็น” นรกรเริ่มต้นเล่า “ใครๆ ก็ว่าผมบ้า แต่พี่วินทร์เป็นคนเดียวที่บอกว่าความสามารถนี้มันเป็นสิ่งพิเศษ เพราะทำให้เรามาเจอกัน… ผมเลิกคุยกับผีเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่สิบขวบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ฟังมาตลอด จนกระทั่งพี่วินทร์เข้ามาทัก หลังจากนั้นผมก็ได้คุยกับผีอีกหลายๆ ตนทั้งคนที่อยู่ตรงไดแล้วก็พี่สาวที่ห้องล็อกเกอร์ จนมาถึงตอนนี้ที่มีผีบุกมาหาถึงบ้าน… พอมาลองคิดดูอีกทีนี่อาจจะไม่ใช่ความซวยก็ได้ แต่เป็นเพราะผมไม่เหมือนคนอื่น… เป็นเพราะผมพิเศษกว่าคนอื่น ผมจึงเป็นคนเดียวที่ช่วยเขาได้… เอ่อ นี่ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอก” วินทร์ยิ้มอย่างเอ็นดู “นายพิเศษจริงๆ น่ะแหละ อย่างน้อยก็เป็นคนพิเศษของฉันไง”

“ยังอุตส่าห์ตบมุกได้นะครับ” นรกรพูดยิ้มๆ

“ไม่ได้มุกนี่พูดจริงๆ” วินทร์ย้ำ “ฝันดีนะ”

“ครับ”

“นอนหลับหรือเปล่า”

“ทำไมครับ”

ตาคมพราวระยับ วินทร์ท้าวแขนลงบนเตียงแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ก็ปกติทำเกือบทุกวัน แล้วตั้งแต่เกิดเรื่องมาก็ปาไปอาทิตย์นึงแล้ว ไหนจะก่อนหน้านั้นอีกรวมๆ แล้วก็สักครึ่งเดือนได้ ก็เลยคิดว่านายจะอัดอั้นหรือเปล่า”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นทันที นรกรขยับหนีพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง “ผมไม่ได้เป็นหมีหื่นอย่างพี่วินทร์นะครับ”

“ไม่ได้เป็นหมี แต่เป็นเมียหมีนะ… หรือนายจะปฏิเสธว่าไม่จริง”

นรกรดึงผ้าห่มลงและชี้มือไปตรงมุมห้อง “ไปเล่นตรงโน้นเลยครับ”

“ไม่เอาหรอกฉันจะนั่งเฝ้านายอยู่ตรงนี้ เอ๊ะ! หรือว่านายจะช่วยตัวเองก็เลยเขิน แกล้งทำเป็นไล่ให้ฉันไปไกลๆ ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องเกรงใจ…” วินทร์หยุดพูดเมื่อหมอนใบหนึ่งลอยคว้างผ่านร่างเขาไป ก่อนที่คนขว้างจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะจนมิดอีกครั้ง “โห~ เดี๋ยวนี้มีอาวุธด้วย ไม่ต้องเขินหรอกน่าเรื่องธรรมชาติ นายทำเองได้หรือเปล่า ให้ฉันช่วยบิ๊วอารมณ์ไหม… ฮาร์ฟ~ มามะมาเล่นเซ็กซ์โฟนกันที่รัก”

“ไอ้ผีลามก!”

เสียงอู้อี้ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม วินทร์หัวเราะชอบใจ เขาชะโงกตัวไปเหนือส่วนที่เป็นศีรษะและก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ฝันถึงฉันด้วยนะ” พูดจบก็แตะริมฝีปากลงเบาๆ เห็นผ้าห่มขยับเล็กน้อยคล้ายกับคนนอนพยักหน้าให้ เขาจึงลุกขึ้นเดินออกมานอกห้อง

“สารภาพไปหรือยัง” กฤตที่ยังนอนไม่หลับและนั่งดูทีวีอยู่ถามร่างโปร่งแสงที่เดินออกมานั่งลงข้างกัน

วินทร์ส่ายหน้า ใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มจนถึงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“ตอนแรกฉันคิดว่าหมอนั่นใจร้ายนะที่ยื้อนายไว้ แต่ไปๆ มาๆ ฉันว่าคนที่ใจร้ายจริงๆ คือนายต่างหาก” กฤตว่า

“ใช่ ฉันมันคนใจร้าย” วินทร์ยอมรับพลางชำเลืองมองไปทางห้องนอนที่ประตูปิดสนิทและลงกลอนจากด้านใน เมื่อสักครู่เขาไม่ได้แกล้งนรกรเพราะอยากจะหยอกเล่น แต่เขาแกล้งเพื่อที่จะแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ลุกออกจากที่นอนและมาได้ยินบทสนทนานี้

“ที่เขาทำใจไม่ได้ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะนายไม่ให้โอกาสเขาได้ทำใจ” กฤตพูดต่อ “เวลาของนายน่าจะเหลืออีกไม่มากแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงไม่รีบบอกไปจะมัวรออะไรอีก ฉันนึกว่านายจะบอกเขาตอนไปด้วยกันเมื่อเย็นนี้เสียอีก”

“ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีน่ะสิ ฉันเคยพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งแต่มันไม่สำเร็จ”

“ก็ไอ้ละครบอกเลิกโง่ๆ พรรณ์นั้นเป็นใครก็ดูออก แทนที่จะทำแบบนั้นฉันว่านายบอกเขาไปตรงๆ เลยเถอะว่าครั้งนี้มันจะไม่เหมือนตอนที่นายวิญญาณออกจากร่างครั้งที่แล้วเพราะอยู่ในภาวะโคม่า” กฤตบอก

“แล้วนายแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ” วินทร์ถาม

“ก็เหมือนกับที่นายรู้อยู่แก่ใจน่ะแหละ” กฤตว่า “โลกนี้มันมีกฏอยู่ คนเป็นไม่คุยกับคนตาย และคนตายก็ไม่อยากคุยกับคนเป็น แฟนนายน่ะเป็นข้อยกเว้น ส่วนนายน่ะไม่ใช่ และที่ฉันคุยกับนายได้เพราะนายเป็นเหมือนฉัน เราสองคนเหมือนกัน… ตรงที่เรา ‘ตาย’ ไปแล้วยังไงล่ะ เวลาในโลกนี้ของเรามันหมดแล้ว”

วินทร์เม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เถียงและเถียงไม่ออก เพราะเขารู้อยู่แก่ใจดี นับตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าวิญญาณออกจากร่างอีกครั้ง ในเมื่อโอกาสที่เขาได้มามันมีแค่ครั้งเดียวและเขาก็ใช้มันไปแล้ว ตอนนี้ที่วิญญาณยังอยู่ได้บางทีก็คงเหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่อยู่เพื่อสะสางสิ่งที่ค้างคาและรอเวลาที่จากไปโดยไม่หวนกลับมาก็เท่านั้น

****************TBC*******************************


Talk
เปิดตัวละครครบแล้วนะ~
แต่งตอนนี้จบแอบดีใจเล็กๆ ว่าเหย~ เรายังแต่ง Normal  ได้นี่หว่า
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-11-2018 12:24:25
ใจไม่ดีแล้วอ่ะ...........  :mew2:
วินทร์ จะไปจากฮาร์ฟจริงๆหรือ  :z3: :z3: :z3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 13-11-2018 12:35:08
ฮือ พี่วินทร์ ฝ่าฟันกันมาทั้งเรื่อง ไม่ให้มาตายแบบนี้นะค๊ะ อีกอย่างคุณกฤติก็ยังไม่ตายซะหน่อย อย่ามาคุยกันเองอย่างนี้น๊า ตื่นมาในราางตัวเองทั้งสองคนเถอะค๊ะ  แต่ว่ากฤติที่เป็นผีกับกฤตธีที่เป็นคนไข้  ใช่คนเดียวกันไหมเนี้ย เรามโนไปไกลเลย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 13-11-2018 15:47:22
ลุ้น

ลุ้น

ลุ้น
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 13-11-2018 16:22:13
ฮือออออออออ ไม่น้าาาาา พี่วินทร์ อย่าเพิ่งทิ้งฮาร์ฟฟฟ  :ling3: :ling3: อยู่กันแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอ พี่วินทร์ สงสารฮาร์ฟ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-11-2018 19:00:17
เห็นเค้าลางความเศร้าอยู่ข้างหน้า เป็นกำลังใจให้ทุกๆคน  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 13-11-2018 19:41:44
ไม่จริงงงงงง วินทร์จะทิ้งไปจริงๆหรอ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 13-11-2018 22:06:09
เราฝ่าฝันจนมาถึงภาค 2 เพื่อรู้ว่าพี่วินจะตายหรอ
ไม่น้าาาาาาา
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 14-11-2018 01:26:52
พี่วินทร์จะทิ้งฮาร์ฟไปไม่ได้นะคะ
โอ๊ยยย ความรู้สึกบอกไม่ถูกค่ะ
แล้วฮาร์ฟจะอยู่อย่างไร ม่ายยยย
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 15-11-2018 20:02:47
 :katai1:
ม๊ายยยยยยยยยยย
อย่าทำร้ายกันแบบนี้เลยยยยยย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 16-11-2018 08:33:37
ไม่น๊าาาาาา  :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 16-11-2018 09:13:07
รอพี่วินทร์
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: sleepybear ที่ 17-11-2018 13:34:59
อะไรคือเหมือนมันจะดีขึ้น
เพราะวิญญาณในร่างวินทร์จำได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร

แต่กลายเป็นว่าวินทร์ตายแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววว

หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: taku_kimu ที่ 22-11-2018 08:33:29
ตอนอ่านภาคแรกจบ ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรติดค้างกับนิยายเรื่องนี้นะคะ มองว่ามันก็สมบูรณ์เคลียร์ได้ทุกอย่างแล้ว แต่คนเขียนก็เก่งมากค่ะที่สามารถเปิดภาคต่อมาได้ค่อนข้างเนียน แล้วก็คุมโทนหม่นๆ เหมือนในภาคแรกไม่มีผิด เก่งมากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วให้ความรู้สึกต่อเนื่องมาก ทั้งคาแรคเตอร์ตัวละครไม่มีหลุดเลย  :katai2-1: ยกให้เป็นนิยายเรื่องผีๆ ที่ดีที่สุดอีกเรื่องที่เคยอ่านมาเลยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-11-2018 23:07:30
โฮๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่จริงใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-11-2018 20:28:50
บทที่ 10 ลอง

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นนรกรก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยกลิ่นหอมที่อบอวลไปทั่วห้อง เขาลุกขึ้นมาแต่งตัวและเดินตามกลิ่นไปถึงห้องครัว เห็นแผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคยกำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรอยู่หน้าเตา ร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีพื้นถูกพับขึ้นมาถึงข้อศอกกับกางเกงสแลคนุ่งทับคาดเข็มขัดเรียบร้อย เสียงทุ้มฮัมเพลงด้วยโน้ตสูงๆ ต่ำไม่ค่อยลงจังหวะ ทุกอย่างดูปกติเหมือนยามเช้าในทุกๆ วันที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา… ยามเช้าของวันธรรมดาๆ หากทำให้ใจเต้นแรงได้ทุกครั้ง
หรือเรื่องราวร้ายๆ ทั้งหมดที่ผ่านมามันแค่ฝันไป

“พี่วินทร์ทำอะไรอยู่ครับ”

ร่างสูงหันมายิ้มให้ “ข้าวผัดก้นครัว ฉันเอาพวกของเหลือๆ ในตู้เย็น มีไข่ ผักกาดที่รากเริ่มงอก ถั่วฝักยาว ผักชีแล้วก็ปลากระป๋องใส่ลงไปคลุกๆ รวมกันน่ะ นี่กำลังทอดไข่ดาวอยู่นายชอบแบบไข่แดงสุกหรือไม่สุก”
นรกรผิดหวังไปในทันทีที่รู้ว่าไม่ใช่คนที่ตั้งใจเรียก ทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน เขาทำสีหน้าให้เป็นปกติและตอบกลับไป

“คุณทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ”

“เห็นแบบนี้เชฟมิชลินเรียกพี่นะจ๊ะ ลองชิมดูแล้วร้องโอ้วมายก็อด~” กฤตอวดพลางทำท่าทำทางประกอบ “ตกลงนายเอาไข่แดงสุกหรือไม่สุก”

“ขอแบบไม่สุกครับ” นรกรตอบ “แล้วทำไมผมต้องร้องว่าอะไรนั่นด้วยล่ะครับ”

“มุกนี้เอามาจากการ์ตูนใช่ไหม” วินทร์แทรกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาชะโงกดูเมนูอาหารเช้านี้ “จำชื่อเรื่องไม่ได้ล่ะแต่ตอนเด็กๆ เคยดูที่พระเอกจะทำอาหารเก่งๆ แล้วพอคนกินก็จะร้องโอ้วมายก็อดมีควันออกตูดพุ่งขึ้นฟ้าแบบจรวดน่ะ”

“หมอนี่มันรู้จริงเว้ย!”

“ฉันก็ชอบอ่านการ์ตูนนี่หว่า” วินทร์ว่า

กฤตเริ่มตักแบ่งข้าวใส่จานและยกมาเสิร์ฟ “เออ คินดะอิจิมันจบหรือยัง ฉันเพิ่งอ่านได้สองเล่มคดีกำลังสนุกเลย”

“จบไปเป็นชาติแล้วมีตั้งหลายภาครวมๆ แล้วสี่สิบกว่าเล่มได้มั้ง ไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนี้เขาตามเรื่องโคนันกันอยู่เป็นการ์ตูนนักสืบเหมือนกัน แล้วออกทีหลังคินดะอิจิไม่กี่ปีแต่ยังไม่มีวี่แววจะจบเลย ก็เลยลุ้นกันว่าใครจะตายก่อนระหว่างการ์ตูน คนแต่ง หรือคนอ่าน”

“มีเรื่องที่มีภาคเยอะกว่าดราก้อนบอลอีกเหรอ”

“น้อยไปสิ นี่ฉันตามตั้งแต่ม.ต้นกลายเป็นผีมาสองรอบล่ะจนตอนนี้ออกมา 98 เล่มแต่คนแต่งบอกเนื้อเรื่องในเล่มยังไม่ถึงหนึ่งปีเลยนะ งงไหมล่ะ… เออ ตอนนายตายดูดราก้อนบอลถึงภาคไหนเหอะ นี่รู้หรือยังเขาไปถึงขั้นฟิวชั่นรวมร่างกันได้แล้วนะ”

“จริงเหรอ” กฤตร้องเสียงดัง “นายซื้อเก็บไว้หรือเปล่าเอามายืมอ่านมั่ง”

“เคยมี” วินทร์บอก “แต่พอสอบติดหมอแล้วมาเรียนในกรุงเทพไม่มีใครดูแลโดนปลวกแทะ แม่เลยขนไปขายหมดแล้ว แม่งไอ้ปลวกเลวพวกนี้อยากอ่านก็ไม่บอก”

“แล้วแบบนี้ฉันจะหาอ่านได้ที่ไหนล่ะ แถวนี้มีร้านเช่าหนังสือไหม” กฤตถามอย่างกระตือรือร้น

“อย่าว่าแต่ร้านเช่าเลย ตอนนี้แค่ร้านขายหนังสือก็หายากแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปจากยุคกระดาษสิ่งพิมพ์เข้ายุคออนไลน์แล้ว” วินทร์บอก “แต่ดูเหมือนในเน็ตจะมีคนอัปฉบับอนิเมะไว้อยู่นะเสียงน้าต๋อยพากย์เป็นโกคูนี่โคตรคลาสสิค”

“มีพระเอกเรื่องไหนบ้างที่แกไม่พากย์วะ จะว่าไปตอนนี้แกตายไปหรือยัง”

“ยังแข็งแรงดีอยู่แต่ก็ไม่ค่อยมีผลงานแล้วล่ะนะ ก็อายุมากแล้วนี่นาแต่ผลงานของแกก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักพากย์รุ่นหลังเจริญรอยตามอยู่”

“ดีแล้วล่ะ” กฤตยิ้ม มันดีแล้วจริงๆ ที่ได้รู้ว่ามีใครสักคนที่รู้จักยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี แล้วเขาก็คิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมา ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วป่านนี้ไม่รู้ว่าพวกท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง แทนที่แก่เฒ่าจะมีลูกหลานดูแลแต่ต้องให้คนหัวหงอกมาทำศพคนหัวดำเสียได้ เขานี่ช่างเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ

“อยู่ดีๆ ก็คุยกันถูกคอนะครับ” นรกรแซว “ผมไปทำงานก่อนนะ แล้วทั้งสองคนจะเอายังไงจะอยู่บ้านดูการ์ตูนหรือไปด้วยกัน”

“ไปด้วย” ทั้งคนและผีหันมาตอบพร้อมกัน

OOOOOO

“พี่ฮาร์ฟครับงานเลี้ยงวันปีใหม่โรงพยาบาลปีนี้พี่ฮาร์ฟจะมาร่วมงานด้วยไหมครับ เขาขอรายชื่อมาจะได้เตรียมจัดโต๊ะให้” จิงโจ้ถามเมื่อเจอพวกเขาที่ภาควิชาในตอนสายหลังจากเดินราวน์รอบเช้าเสร็จ วันนี้ไม่มีออกตรวจที่ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอก

“คงไม่…” นรกรยังพูดไม่ทันจบดีคนข้างๆ ก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน

“ไปสิไป น่าสนุกออก”

“แต่…” นรกรหันไปหาร่างโปร่งแสงหวังจะให้ช่วยปราม แต่กลับกลายเป็นเจ้าตัวน่ะแหละที่ส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างๆ

“ไปเหอะน่า” วินทร์ทำเสียงอ้อน “นะๆ นะ น้า~”

นรกรอมยิ้ม รู้สึกเหมือนโดนป้ายยาให้หันไปตอบว่า “พี่ไปด้วย”

“ตกลงว่าภาคเราไปกันครบทุกคนเลย ผมส่งชื่อให้แล้วนะครับ” จิงโจ้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความเสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาถามต่อ “แล้วพี่ฮาร์ฟคิดไว้หรือยังครับว่าจะแต่งเป็นตัวอะไร”

“ตัวอะไรคืออะไร?” นรกรถามกลับงงๆ

“อ้าว ผมยังไม่ได้บอกเหรอครับว่าธีมงานปีนี้คือผีลืมหลุมน่ะครับ” จิงโจ้บอก “ท่านผอ.บอกว่าคอนเซปต์คือเราจะแดนซ์กันให้กระจายจนกลับไปราวน์ไม่ถูกเลยทีเดียว ถือว่าเป็นวันปล่อยผีให้วันหนึ่งหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปีครับ”

“สรุปว่าพี่ต้องแต่งชุดแฟนซี” นรกรถามย้ำ

“ชุดผีครับ” จิงโจ้แก้ “แต่เห็นว่าแต่งชุดปิศาจ มอนสเตอร์ หรือจะคอสเพลย์อะไรมาก็โอเคทั้งนั้นครับ ขอแค่ไม่ใช่ชุดปกติก็พอ งานนี้มีรางวัลขวัญใจผอ.ให้ด้วยนะครับตั้งหมื่นนึงเชียวนะน้อยซะที่ไหน เท่ากับอยู่เวรสิบวันเลยนะ”

นรกรกลืนน้ำลาย จริงอยู่ว่าช่วงนี้เขาพูดกับคนอื่นเก่งขึ้น แต่เขายังคงเกลียดการเข้าสังคมไปงานรื่นเริง ที่ยอมไปเพราะวินทร์ไปด้วยหรอกนะ แต่ที่แน่ๆ คือเขาจะไม่มีวันใส่ชุดแปลกๆ แบบนั้นเด็ดขาด “ฉันลืมไปว่า…”

“ฉันจะไม่พลาดงานนี้แน่ๆ เดี๋ยวไปตัดชุดรอเลยเนี่ย”

นรกรหันควับไปหาร่างโปร่งแสงที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ “ผมรู้นะครับว่าพี่วินทร์คิดอะไรอยู่”

“ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแน่นอน” วินทร์ขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง รายชื่อผีมีเป็นร้อย เรื่องชุดไม่ใช่ปัญหา เหลือแค่จะทำยังไงให้นรกรยอมใส่ก็พอ

นรกรดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้ได้เวลาไปสอนแล้วจึงได้แต่จ้องหน้าจอมวางแผนอย่างหมายหัวไว้ก่อน แล้วรวบหนังสือกับเอกสารที่เตรียมไว้บนโต๊ะขึ้นถือในอ้อมแขน “อย่าไปเถลไถลไกลนักนะครับแล้วตอนเที่ยงเจอกัน”

“ตั้งใจทำงานนะ อย่ามัวแต่คิดถึงฉันล่ะ” วินทร์โบกมือให้ จะว่าไปชีวิตแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ทำให้เขาแกล้งแหย่นรกรได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแคร์สายตาใครเพราะยังไงก็มองไม่เห็น

“เอ่อ พี่วินทร์ครับ” จิงโจ้เรียก “ผมมีเรื่องปรึกษาพี่ได้ไหมครับ แต่ว่าเรื่องมันออกจะส่วนตัว แล้วก็ไร้สาระหน่อยน่ะครับ เอ่อ…”

“เอ่อ…” เพราะกฤตที่อยู่ในร่างวินทร์ทำหน้าประมาณว่า ‘ปรึกษาฉันเหรอ’ พลางชำเลืองตามองเจ้าของร่าง จิงโจ้จึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา

“ไม่เป็นไร ผมไม่ปรึกษาแล้วดีกว่า ขอโทษที่รบกวนครับ”

กฤตหันไปส่งสายตาถามวินทร์ว่าจะเอายังไง แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบจิงโจ้ก็ทำท่าจะเดินไปเขาจึงรีบตบปากรับคำ
“เล่ามาสิ!”

“นายไหวนะ” วินทร์ถาม

“ถ้าฉันตอบไม่ได้นายก็พากย์มาสิวะ” กฤตกระซิบตอบโดยไม่ขยับปาก “เขาดูเครียดขนาดนั้นจะให้ปล่อยไปหรือไง หรือว่าเป็นนายจะไม่ช่วย นี่ฉันอุตส่าห์พยายามทำตัวเป็นนายแล้วนะ เอาไง จะให้ช่วยไหม”

“ช่วยสิ แต่แค่ไม่คิดว่าจิงโจ้มันจะอยากให้คนนอกรู้”

“คนนอก?” กฤตถามกลับ “ถ้านายอยากได้คนในมากกว่าฉันก็ตับไตไส้พุงแล้วล่ะ… คิดว่าฉันอยากรู้นักหรือไง”

“ถ้าพี่วินทร์ลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะครับ” จิงโจ้บอก “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

“คนที่ปากบอกว่าไม่เป็นไร ร้อยทั้งร้อยคือเป็นจริงๆ” กฤตรีบพูด “เล่ามาเถอะ”

“ผม…”

จิงโจ้ทำเหมือนจะเล่าแต่กลับปิดปากแน่น กฤตหันไปมองหน้าวินทร์ที่กระซิบบอกบทให้เขาพูดตาม

“ไม่ว่าใครก็มีเรื่องให้เครียดหรือกังวลทั้งนั้นแหละ เล่ามาเถอะฉันพร้อมจะช่วยนาย เหมือนกับที่นายเคยช่วยฉันเรื่องฮาร์ฟไง”

กฤตทำหน้าที่ได้ดี แต่ดูเหมือนคนที่กำลังกลุ้มใจจะแปลความหมายไปคนละทาง

“นั่นสินะ พี่วินทร์มีเรื่องให้คิดมากอยู่แล้ว ผมไม่ควรเอาเรื่องของผมมาทำให้พี่คิดมากเลย”
เพราะจิงโจ้ทำท่าจะไม่เล่าจริงๆ ประกอบกับตัวเองเป็นคนปากไวอยู่แล้ว กฤตจึงโพล่งออกไปก่อนที่วินทร์จะทันพูดอะไร

“นายรู้ไหมว่าดราก้อนบอลมีภาคต่อด้วย!”

“รู้ครับ” จิงโจ้พยักหน้ารับงงๆ

“เออ แต่ฉันเพิ่งรู้ไง แล้วตอนนี้ฉันก็เครียดมากเลย ไม่รู้จะไปหาอ่านที่ไหนเล่มเก่าๆ ก็ปลวกแทะไปหมดแล้ว นี่กลุ้มใจจะแย่แล้ว”

“มันมีแบบสแกนลงเว็บนะครับ” จิงโจ้บอก

“อะไรของแก๊~” วินทร์ยกมือกุมขมับ

“เห็นไหมจิงโจ้ เรื่องที่ฉันกลุ้มนายยังไม่เห็นว่ามันน่ากลุ้มตรงไหนเลย แถมยังให้คำแนะนำได้ด้วย” กฤตพูดต่อ “เรื่องของนายก็เหมือนกัน ฉันไม่คิดว่ามันไร้สาระหรอก ฉันเข้าใจว่าคนเรามันมีเรื่องที่ต้องคิดต่างกัน ถึงฉันจะช่วยนายคิดไม่ได้แต่การได้เล่าให้ใครสักคนฟังแค่นี้ก็ช่วยให้เรื่องที่อยู่ในใจมันเบาลงได้นะ”

จิงโจ้เม้มปากอยู่อึดใจก่อนจะพูดออกมา “คือวันก่อนน่ะ มีคนมาสารภาพรักกับผม แต่พอพูดจบเขาก็หลบหน้าผมเฉยเลย แบบนี้ผมจะทำยังไงดีครับ”

“ก็ลองดูท่าทีเขาไปก่อนสิ เขาอาจจะแค่เขินเฉยๆ ก็ได้ นายก็ลองเข้าหาเขาก่อนดู”

“ลองแล้วครับแต่เขาก็เอาแต่เดินหนี หน้าก็ไม่ยอมมอง”

“นายชอบเขาหรือเปล่าล่ะ”

“ก็… ผมไม่รู้”

“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องแคร์” กฤตบอก “ชีวิตคนเราน่ะมันสั้นเกินกว่าจะมาสนใจเรื่องคนอื่นโดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบ แต่ถ้านายชอบเขา คิดว่าเขาสำคัญ ซึ่งฉันว่านายคงต้องคิดแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่กลุ้มใจแบบนี้”

“แต่เขาเป็นผู้ชาย” จิงโจ้โพล่งออกมาในที่สุด “คือพี่วินทร์เข้าใจไหม ผมไม่ได้รังเกียจเกย์แต่ผมก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้อะ”

วินทร์เข้าใจสถานการณ์แล้วว่าทำไมคนที่เชี่ยวผู้หญิงอย่างจิงโจ้ถึงเลือกมาปรึกษาเขาเพราะดูท่าแล้วคนสารภาพรักที่พูดถึงคงเป็นคนใกล้ตัวที่เขาเองก็จับพิรุธมานานสองนานนี่แหละ เขาหันไปมองหน้ากฤตที่ดูจะอึ้งไปทันที กำลังจะกระซิบบอกบท อีกฝ่ายก็ปรับสีหน้าและพูดตอบได้ทันท่วงที

“ตกลงนายชอบเขาหรือเปล่า” กฤตถามย้ำ

“เขาเป็นคนดีคอยช่วยผมตลอด” จิงโจ้บอก

“นายยังไม่แน่ใจตัวเองเลยนี่หว่า งั้นก่อนจะไปเคลียร์กับเขาว่าเขาไม่พูดด้วย ฉันว่านายไปเคลียร์ใจตัวเองก่อนว่าชอบเขาแบบไหน จะผู้ชายหรือผู้หญิงมันก็เหมือนๆ กันน่ะแหละ ตอนนี้เขาก็แค่หลบหน้านายเพราะเข้าหน้าไม่ติด ทำตัวไม่ถูกก็แค่นั้นเอง”

“แล้วผมจะแยกยังไงล่ะครับ อย่างที่ผมบอก เขาเป็นผู้ชายนะ”

“ผู้ชายแล้วไง ถ้าคิดแค่นั้นก็เท่ากับว่านายมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าจะปฏิเสธ” กฤตถามกลับ “แต่นี่ไม่ใช่ นายไม่ได้รังเกียจเขาถึงขนาดนั้นนายถึงลังเลอยู่แบบนี้ ลองทำแบบนี้ดูนะ ให้นายลืมไปก่อนว่าเขาเพศอะไร ลองหลับตาแล้วคิดดูสิว่าโลกที่มีเขากับไม่มีเขามันต่างกันยังไง และแบบไหนมันดีกว่ากัน”

จิงโจ้พยักหน้า “โอเคครับ ผมจะลองดู ขอบคุณพี่วินทร์มากนะครับ” พูดจบจิงโจ้ก็เดินออกไป

“มองฉันแบบนั้นจะบอกว่าฉันเป็นคนดีล่ะสิ” กฤตถามร่างโปร่งแสง

“ก็เยอะกว่าที่คิด” วินทร์ว่า “ปกติคนรุ่นนายที่ฉันเจอมานี่จะว่ายังไงดี… หัวโบราณ แล้วก็ไม่ยอมรับเรื่องเพศที่สามไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าจะพูดกันตรงๆ ต้องเรียกว่าในสมัยที่ฉันอยู่มันยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้มากกว่า เราโดนปลูกฝังมาว่าสิ่งมีชีวิตมีแค่สองเพศคือหญิงและชายที่เกิดมาคู่กันก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนไม่ชอบซึ่งฉันเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น” กฤตบอก “แต่ตอนนี้ฉันเริ่มชินแล้วไงเพราะเห็นพวกนายสองคนจีบกันทุกวัน มันก็ไม่เห็นจะแปลกหรือแตกต่างไปจากชายหญิงธรรมดาตรงไหน แล้วฉันก็เป็นพวกชิลๆ ไรงี้ด้วย… ฉันใช้คำแบบนี้ถูกแล้วใช่ไหม”

“จ๊าบมากลวกเพ่~”

“ไอ้นี่มีแซว!”

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่นรกรก็กลับมา เขากวาดตามองจนแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงเดินมาหา “ขอโทษที่มาช้าครับ พอดีผมไปแวะห้องสมุดมาน่ะครับ แล้วก็เลยเดินไปเยี่ยมคุณกฤตธีด้วย”

“อาการเขาแย่ลงอีกเหรอ” วินทร์ถาม

“เหมือนๆ เดิมครับ แต่พอดีวันนี้มีเคสผ่าตัดด่วนแล้วจำเป็นต้องใช้เตียงที่ไอซียู จิงโจ้เลยจะขอย้ายคุณกฤตธีที่อาการคงที่ที่สุดไปวอร์ดสามัญ ผมเลยไปดูอีกทีให้แน่ใจน่ะครับว่าจะย้ายไปได้จริงๆ”
นรกรอธิบายพลางวางตั้งหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดลงบนโต๊ะแล้วหันไปหากฤต

“เมื่อวานคุณเล่าให้พวกเราฟังเรื่องดอกลั่นทมในสวนใช่ไหมครับ”

“ทำไมเหรอ” กฤตถามพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

“ผมโตมากับโรงพยาบาลนี้ ช่วงเวลาที่คุณไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ตึกแปดชั้นที่คุณว่านั้นมันโดนทุบทิ้งไปแล้วโดนสร้างเป็นตึกใหม่ทับ ต้นลั่นทมนั่นก็โดนตัดไปแล้วเหมือนกัน”

“น่าเสียดายนะ ตอนฉันมาเรียนก็เห็นมันแล้ว กว่าจะโตมาได้ขนาดนี้ใช้เวลาตั้งหลายปี แต่ใช้เวลาตัดทิ้งแป๊บเดียวเอง”

“ผมลองไปหาข้อมูลเพิ่ม ขอบคุณนะครับที่คุณไม่ได้โกหกผมเรื่องที่ว่าคุณเป็นใคร” นรกรหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกมาวางตรงหน้า มันคือหนังสือทำเนียบรุ่น เขาพลิกไปยังหน้าที่ได้คั่นด้วยโพสต์อิสไว้และชี้ไปชายหนุ่มคนหนึ่งในรูปถ่ายรวมรุ่นกับอาจารย์ที่ปรึกษาตอนวันจบ “คนนี้คือคุณใช่ไหมครับ”

“ใช่”

“โห~ หล่อสมราคาคุยจริงๆ ด้วย” วินทร์ร้องแซว

“อ้าว แล้วตัวจริงฉันไม่หล่อเหรอ” กฤตถาม

“ตอนนี้ฉันมองเห็นเป็นหน้าตัวเองน่ะ” วินทร์บอก “ไม่เหมือนฮาร์ฟ”

“นั่นสินะ”  กฤตพยักหน้าเข้าใจ

“แล้วผมก็ไปขอยืมไอ้นี่มาด้วย” นรกรล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบเอาหนังสือรุ่นอีกเล่มออกมา

“นายไปเอามาจากไหนน่ะ” กฤตถาม

“เมื่อเช้าตอนไปราวน์ผมลองถามคุณพยาบาลที่ไอซียูคนที่พี่วินทร์ฝากของให้ผมบ่อยๆ น่ะ เธอบอกว่าไม่รู้จักรุ่นพี่ชื่อพลู แต่ตอนที่แวะไปเมื่อกี้เธอก็เอาเล่มนี้มาให้ผมแล้วบอกว่าให้ไปหาเอาเอง ซึ่งผมก็หามาแล้ว จากที่คุณบอกว่าอายุเท่ากันพอลองเทียบรุ่นดูก็น่าจะเป็นรุ่นนี้ แล้วก็…” นรกรไล้ปลายนิ้วไปตามรูปและหยุดที่หญิงสาวคนหนึ่ง “ใช่คนนี้หรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่ๆ” กฤตบอก “เธอผมยาว ยาวมากๆ เลย"

“จะดูยังไงว่ายาวหรือสั้นวะ พวกเธอรวบผมใส่มวยเหมือนกันทุกคนเลย” วินทร์ถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาช่วยหา

“คนที่สวยๆ น่ะ”

“นี่นายกำลังให้ข้อมูลหรือเล่นเกมแฟนพันธุ์แท้วะ มีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ไหม”

“ขอฉันดูหน่อย” กฤตดึงหนังสือรุ่นไปพลิกๆ ดูเสียเอง เพียงอึดใจเดียวเขาก็ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “นี่ไงๆ คนนี้แหละ”

“มีที่อยู่กับเบอร์โทรด้วย เราน่าจะลองโทรไปนะครับ” นรกรเสนอ

“ทำไมเราต้องทำแบบนั้นด้วย” กฤตถามท่าทีตื่นเต้นเมื่อสักครู่หายไปหมดสิ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอนอกใจไปกับเพื่อนสนิทของเขา

“บางทีสิ่งที่ทำให้คุณติดค้างคือการอโหสิกรรม ถ้าได้เจอเธออีกครั้งและพูดคุยกันอาจจะช่วยอะไรได้ก็ได้”

“ก็ลองดู” กฤตว่า

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกและเพียงแค่อึดใจเขาก็ลดโทรศัพท์ลง “หมายเลขนี้ถูกยกเลิกบริการไปแล้วครับ”

“คงแต่งงานย้ายบ้านไปแล้วมั้ง ป่านนี้แล้ว” วินทร์ออกความเห็น

“แต่งงานงั้นเหรอ” กฤตรำพึง “ขนาดงานศพฉันเธอยังไม่มาเลยด้วยซ้ำ”

“คุณ…” นรกรกำลังจะพูดต่อก็โดนเจ้าตัวขัดไว้

“ไม่ต้องตามหาเธอหรอก ฉันไม่อยากเจอเธออีก”

“ถ้าไม่เจอเธอเราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณยังมีอะไรติดค้างอยู่”

“เดี๋ยวฉันก็คงนึกออกเองน่ะแหละ”

“แล้วถ้าคุณนึกไม่ออกล่ะ” นรกรถาม “และถึงจะนึกออกคุณจะรู้ได้ยังไงว่านี่คือสิ่งที่คุณติดค้างอยู่… คุณมีอะไรปิดปังพวกผมอยู่อีกใช่ไหม ไม่งั้นคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่ไปงานศพคุณ”

“ไม่ได้โกหกแค่ยังไม่ได้เล่าต่างหาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็เล่ามาสิครับ”

“หลังเกิดเหตุพ่อกับแม่ก็มาเรียกฉันกลับบ้านจากตรงที่รถชน” กฤตเริ่มต้นเล่า “ก็ทำพิธีมีพระสวด โยนเหรียญอะไรตามธรรมเนียมล่ะนะ ฉันเลยกลับบ้านได้แต่พอถึงเวลาตายวิญญาณของฉันก็กลับมาที่เดิมอยู่ดี… แม่ฉันจัดงานสวดเจ็ดวัน ฉันไปงานศพตัวเองทุกวัน ไปนั่งฟังพระสวดแต่แปลกนะที่ไม่มีคำเทศน์ไหนกินใจฉันเลย ไปนั่งดูแม่ร้องไห้จนเป็นลม ยิ่งเห็นแม่ทุกข์ฉันก็ยิ่งแค้นว่าเป็นเพราะพวกมันถึงทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ฉันพยายามมองหาพวกมันสองคนแต่ก็ไม่เจอ ทั้งคนที่เคยรักและคนที่เคยคิดว่าเป็นเพื่อน จนถึงวันเผา ฉันยืนอยู่บนบันไดข้างรูปถ่ายตัวเอง มองดูแขกเหรื่อคนแล้วคนเล่าที่เดินเอาดอกไม้จันโยนเข้าไปในเปลวไฟ ไฟเผาร่างฉันจนไหม้หมดไม่เหลือแต่ไฟแค้นในใจฉันมันกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”

“เราต้องตามหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ” นรกรตัดบทเพราะในขณะที่กำลังเล่านั้นเขาสังเกตเห็นว่ากฤตกำมือเป็นหมัดแน่น และนัยน์ตาที่ตอนนี้ดูเหมือนคนปกติก็ค่อยๆ วาวโรจน์ขึ้นเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน “คำอธิบายและการขอโทษเป็นสิ่งที่คุณควรได้รับในตอนนี้”

“ก็เอาสิ! อยากทำอะไรก็เชิญ ดูท่าฉันคงห้ามอะไรนายไม่ได้นี่นา ยังไงนายก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ร่างนี้คืนอยู่แล้ว” กฤตตบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ฟังผมพูดก่อนครับ” นรกรพูดอย่างใจเย็น “ผมไม่ปฏิเสธเรื่องที่อยากได้ร่างพี่วินทร์คืน แต่ถ้าคุณตั้งใจฟังที่ผมพูดให้ดี ผมบอกว่า ‘คำอธิบายและการขอโทษเป็นสิ่งที่คุณควรได้รับในตอนนี้’ เหตุผลไม่ใช่แค่เพราะผมหวังว่าพอคุณได้รับคำขอโทษแล้วจะไปสู่สุขคติ แต่ผมคิดว่าคุณคือผู้เสียหาย และคนที่คุณกล่าวหาควรต้องมาอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“แล้วถ้าไอ้ชายโฉดหญิงชั่วนั่นมันไม่สำนึกผิดล่ะ แล้วถ้าตอนนี้มันยังมีความสุขดีอยู่กินมีลูกด้วยกัน แบบนั้นมันจะไม่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ลงไปอีกเหรอ!”

“คุณก็จะได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยและปล่อยวางไงครับ” นรกรพูดต่อ “ว่าของที่ไม่ใช่ของคุณ มันย่อมไม่ใช่ของคุณ เธอจะไม่กลับมาหาคุณอีก อภัยให้ได้ก็ทำแต่ถ้าทำไม่ได้ก็แค่ปล่อยวาง”

“คิดว่าฉันจะทำได้เหรอไง ถ้ามันง่ายขนาดนั้นป่านนี้ฉันไปเกิดใหม่นานแล้ว!”

“ผมจะช่วยคุณเอง” นรกรบอก “ผมเข้าใจครับว่ามันเจ็บกับการโดนทิ้งแบบไม่มีสัญญาณใดๆ”

“โดนทิ้ง?” กฤตทวนคำ “ใครทิ้งนาย คนที่ชื่อปอนั่นน่ะนะ ฉันนึกว่านายทิ้งเขาเสียอีก”

“เขาบอกเลิกผมในวันรับปริญญาเพื่อไปแต่งงานกับคู่หมั้นที่แม่เลือกให้ครับ ” นรกรบอก “ของคุณแค่ไม่มางานศพแต่ของผมนี่ถูกขอร้องให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งเลยนะครับ”
หลังจากที่ได้ฟังก็เหมือนกฤตจะใจเย็นลงเล็กน้อย “นายคงเจ็บน่าดูเลยสินะ แล้วทำไมนายกับเขาถึงยังพูดดีกันได้ล่ะ เป็นฉันโดนทำถึงขนาดนี้นี่เกลียดยันเงาเลยนะ”

“อย่างน้อยตอนที่คบกันก็เป็นวันเวลาที่ดีครับ แล้วผมก็ได้คำอธิบายและคำขอโทษที่มากพอด้วย ถึงจะมารู้เรื่องทั้งหมดในอีกหนึ่งเดือนให้หลังก็เถอะ” นรกรเว้นวรรคไปเล็กน้อย “ผมจึงคิดว่าคุณเองก็สมควรได้รับครับ ถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจะได้เข้าใจให้ถูก แต่ถ้าไม่ใช่ก็แค่เจ็บให้พอ ให้อภัย ปล่อยวางแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ครับ คุณเองก็น่าจะรู้แล้วนี่นาว่าชีวิตเรามันสั้นเกินกว่าจะมาจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ และการแก้แค้นมันก็ไม่ใช่เรื่องสนุกสักนิดเดียว”

“นาย… ใช้เวลาทำใจนานไหม”

“แปดปีครับ” นรกรบอก

กฤตนิ่งฟังเหมือนจะคล้อยตาม นรกรจึงพูดต่อ

“แล้วผมจะพาคุณไปเยี่ยมแม่คุณด้วย ไม่แน่ว่าคุณอาจจะติดค้างเรื่องที่เป็นห่วงว่าท่านยังสบายดีไหมก็ได้”

“ขอบใจนะ นายนี่เป็นคนดีจริงๆ” กฤตกล่าว “ตั้งใจช่วยฉันขนาดนี้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันทำไม่ดีไว้กับพวกนานตั้งเยอะ”

“คนเราพลาดกันได้ครับ” นรกรบอก “ดูๆ แล้วคุณก็ไม่ใช่คนเลวนี่นาฟังจากตอนที่แกรนด์ราวน์วันก่อน แล้วก็ที่จิงโจ้เล่าให้ฟังเมื่อกี้”

“หมอนั่นเล่าอะไรให้นายฟัง” กฤตถาม

“ก็ที่คุณให้คำปรึกษาไปเมื่อกี้ไงครับ ผมถึงคิดว่าคุณเป็นคนดีและเราก็ไม่ควรตัดสินใครว่าเลวจากการทำผิดพลาดแค่ครั้งเดียว แถมยังเป็นความผิดที่เกิดจากการที่เขาถูกคนอื่นกระทำมาก่อนหน้านี้อีก”

“นายไม่คิดว่านั่นเป็นคำปรึกษาของแฟนนายหรือไง” กฤตถาม

“พี่วินทร์ไม่พูดแบบนี้” นรกรตอบ “ผมไม่รู้หรอกว่าคุณหรือพี่วินทร์จะให้คำปรึกษาได้ดีกว่ากันเพราะมันขึ้นกับคนฟังคือจิงโจ้ แต่ที่แน่ๆ พี่วินทร์ไม่ยกเรื่องดราก้อนบอลขึ้นมาพูดแน่นอน”

“แล้วนายคิดว่าเขาจะยกเรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องตัวเอง” นรกรบอก “ซึ่งผมดีใจมากเลยที่ไม่เป็นแบบนั้น”

กฤตเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตอนนั้นหมอนี่ตั้งใจจะเปรียบเทียบกับเรื่องตัวเองจริงๆ แต่เพราะเขาพูดแทรกขึ้นมาเองก่อนก็เลยยอมตามน้ำให้เขาพูดไป

“แต่ฉันเสียใจนะ เลยอดเล่าเรื่องของเราเผื่อเป็นวิทยาทานเลย” วินทร์ว่า
 
“พี่วินทร์แค่อยากอวดน่ะสิ”

“นี่ฉันจริงจังนะฮาร์ฟ” วินทร์บอก “แล้วนายคิดว่าจิงโจ้มันมาปรึกษาเรื่องใคร”

“อนุวัฒน์”

“นายรู้ได้ไงน่ะ”

“ก็ตอนไปราวน์ด้วยกันเมื่อเช้าสองคนนั่นยืนห่างคนละมุมเตียง คนเงียบก็เงียบได้อีก ส่วนคนช่างพูดก็อ้ำอึ้งจนน้ำลายบูด แล้วพอจิงโจ้มาขอบคุณเมื่อกี้ผมเลยปะติดปะต่อเรื่องได้”

“ที่รักเก่งจริงๆ เลยครับ”

นรกรเม้มปากสนิทกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียก คงถึงเวลาที่ต้องคุยกันจริงจังแล้ว “พี่วินทร์เลิกเรียกแบบนั้นสักทีได้ไหมครับ ตกลงกันแล้วนี่นาว่าจะเรียกเฉพาะตอนอยู่ด้วยกันสองคน”

วินทร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “พอดีฉันไม่นับหมอนี่เป็นคนน่ะแล้วถึงเรียกเสียงดังยังไงก็ไม่มีใครได้ยินนอกจากนายอยู่ดี”

“ฉันได้ยินนะ” กฤตแทรกขึ้น

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่นับนายเป็นคน” วินทร์บอก “แล้วนายก็บอกเองว่าตอนนี้เป็นคนใน และที่สำคัญนี่คือการเอาคืนที่นายเคยมาทำตัวเหม็นความรักของพวกเราแล้วพาลไปทำร้ายฮาร์ฟ ฉันก็จะทำให้นายเหม็นจนอกแตกตายไปเลย”

“ฉันก็หลงคิดว่านายเป็นคนดี ที่แท้นายนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นกว่าที่คิดนะเนี่ย”

“ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ” วินทร์ยอมรับหน้าตาย “ฉันจำได้หมดทุกท่าเลยด้วยว่าวันนั้นนายทำอะไรฮาร์ฟบ้างแค่ไม่อยากขุดคุ้ยเฉยๆ”

“นี่ขนาดไม่ขุดนะ”

“แล้วอยากให้ขุดไหมล่ะ! โห นี่พูดแล้วของขึ้นเลยเนี่ย”

“อะไรกันครับสองคนนี้ เดี๋ยวก็ดีกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน” นรกรปราม “ไปกินข้าวกันเถอะครับผมหิวแล้ว”

“ไปสิ ฉันก็หิวเหมือนกัน” กฤตรับคำพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้ามือนรกร

“แล้วนี่คุณจะทำอะไรครับ”

“จับมือไง” กฤตตอบยิ้มๆ คิดว่าเอาคืนสักหน่อยคงไม่เสียหายเท่าไหร่ “ก็ดูแล้วปกติพวกนายคงเป็นประเภทเดินจับมือจี๊จ๋าอะไรแบบนี้สินะ ฉันก็จะทำบ้างไง จะได้เหมือนปกติ ไม่งั้นคนอื่นเขาจะคิดว่าเรายังทะเลาะกันอยู่น่ะสิ”

“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นครับ เพราะคุณไม่ใช่แฟนผม” นรกรดึงมือกลับ

“พ่อนายจะไม่สงสัยใช่ไหม"

“พ่อผมจะยิ่งหงุดหงิดถ้าเห็น แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ทำแบบนี้ที่ทำงานครับ”

“งั้นถ้าฉันไม่ไปกินข้าวกับนายก็ไม่แปลกแล้วคงไม่มีใครสงสัยใช่ไหม”

“แล้วคุณจะไปไหน” นรกรถาม

“สวน” กฤตตอบ “ไปดูต้นลั่นทมน่ะ ฉันรู้แล้วล่ะว่ามันหายไปแล้ว แต่ก็อยากไปดูชัดๆ อีกสักทีน่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะรักษาสัญญาที่ว่าจะไม่ทำให้พวกนายเดือดร้อนอีก”

พูดจบกฤตก็เดินกึ่งวิ่งออกไปก่อนที่จะรั้งตัวไว้ได้ทัน นรกรถอนหายใจและหันไปเก็บหนังสือที่วางกางไว้เต็มโต๊ะใส่กระเป๋า

“ฮาร์ฟ แบบนี้จะดีเหรอ” วินทร์ถามอ้อมแอ้ม “แบบว่า… ฉันเข้าใจอยู่นะเรื่องที่หมอนั่นต้องแกล้งทำตัวเป็นแฟน คนอื่นจะได้ไม่สงสัยน่ะ”

“ดีแน่นอนครับ ถ้าดูจากสีหน้าพี่วินทร์แล้ว” นรกรตอบยิ้มๆ

วินทร์พ่นลมออกจมูกอย่างโล่งอก “ขอโทษนะที่เป็นคนขี้หึง”

“บอกแล้วไงครับว่าแค่นี้รับมือได้ เอาไว้ไม่ได้เมื่อไหร่แล้วจะบอก” นรกรบอก “แล้วอีกอย่างวันไหนที่พี่วินทร์ไม่หึงสิ ผมถึงต้องเครียดว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ไปกินข้าวเถอะ ป่านนี้แล้วเดี๋ยวบ่ายมีเคสมีผ่าตัดนี่นา”

นรกรดูนาฬิกาแล้วรีบคว้ากระเป๋า “เพราะพี่วินทร์น่ะแหละ ที่ชวนผมคุย”

ทั้งสองมัวแต่คุยกันและผลุนผันออกไปอย่างรีบร้อนจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนหนึ่งแอบฟังอยู่ที่ประตู และกำลังวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งดูจากสีหน้าและแววตาแล้วคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-11-2018 20:46:44
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


“ผมเอาหนังสือที่ยืมไปมาคืนครับ” นรกรบอกพร้อมกับส่งหนังสือรุ่นและเสบียงขนมที่ซื้อมาให้อีกถุงใหญ่ให้คุณพยาบาลสาวประจำห้องไอซียู

“ช่วยอะไรได้บ้างไหมคะ”

นรกรเปิดหนังสือรุ่นและชี้ไปที่หญิงสาวคนที่ตามหา “เอ่อ… คุณรู้จักผู้หญิงคนนี้ไหมครับ”

“โห~ ไม่เลยค่ะอาจารย์ พี่เขาห่างจากหนูเป็นสิบรุ่น… แต่เอ๊ะ! หนูคุ้นหน้าพี่คนนี้จัง” เธอชี้ไปที่คนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ “สักครู่นะคะขอนึกก่อน… อ๋อ นี่พี่เพ็ญที่อยู่ห้องคลอดนี่นา”

“พี่เขาทำงานอยู่ที่นี่เหรอครับ” นรกรถามด้วยความดีใจ ผู้หญิงคนนี้กฤตบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ

“ใช่ค่ะ หน้ากับหุ่นเปลี่ยนไปเยอะทีเดียวแต่ดูจากชื่อแล้วไม่น่าจะผิดนะคะ”

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วนั่นอาจารย์จะไปไหนคะ” เธอเรียกไว้เมื่อเห็นเขาทำท่าจะเดินออกไป

“ไปหาพี่เพ็ญครับ”

“พี่เขาน่าจะระดับอยู่แค่เวรเช้าแล้วนะคะ ป่านนี้คงกลับบ้านแล้วล่ะค่ะ… เอางี้ อาจารย์รอสักครู่นะคะ” เธอบอกก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์สายในแล้วกดโทรออก “สวัสดีค่ะ พี่คะหนูจอรบกวนหน่อย วันนี้พี่เพ็ญอยู่เวรไหมคะ… เหรอคะ ขอบคุณนะคะ” เธอคุยเจื้อยแจ้วกับคนปลายสายสักพักก็วางหูและหันกลับมา “มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายค่ะ”

“ยังไงครับ” นรกรถาม

“ข่าวร้ายคือพี่เพ็ญไม่อยู่ค่ะ ส่วนข่าวดีคือหนูขอเบอร์มาให้แล้ว” คุณพยาบาลบอกพร้อมกับส่งกระดาษโน้ตที่จดเบอร์โทรให้

“ขอบคุณมากครับ”

“เอ่อ… ข่าวร้ายยังไม่หมดค่ะอาจารย์”

“มีอะไรอีกครับ”

“พี่เพ็ญหยุดยาวไปทัวร์ยุโรปกับครอบครัวค่ะ เพิ่งไปวันนี้เอง อีกสิบวันถึงจะกลับ ไม่แน่ใจว่าได้โรมมิ่งไปหรือเปล่า”

“เดี๋ยวผมลองโทรดูก่อนนะครับ” นรกรกดเบอร์ตามที่ได้รับมาและผลคือโทรไม่ติด

พยาบาลสาวมองดูคุณหมอหนุ่มที่มีสีหน้าผิดหวังและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ… ธุระของอาจารย์ด่วนไหมคะ หนูจะลองโทรไปถามให้อีกรอบว่าพี่เขาเล่นไลน์หรือเฟสไหม”

“ไม่เป็นไรครับ” นรกรรีบบอก “ผมเกรงใจ แค่นี้ก็รบกวนพอแล้วครับ เดี๋ยวผมจะลองโทรอีกเผื่อจะติด ถ้าไม่ได้จริงๆ เอาไว้อีกสิบวันผมค่อยลองติดต่อดูก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย”

“แค่อาจารย์ไม่เอาเคสยุ่งมาฝากบ่อยๆ ก็พอค่ะ” เธอยิ้มหวานพร้อมกับโบกมือให้ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ

“เหมือนจะได้เรื่องแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยนะครับ” นรกรถอนหายใจ

“วันนี้ก็คืบหน้ามาตั้งเยอะแล้วนี่นา วันนี้พักก่อนเอาไว้พรุ่งนี้ลองโทรหาพี่เพ็ญดู พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันต้องรู้อะไรบ้างล่ะ” วินทร์ให้กำลังใจ

“ครับ”

“แล้วนี่หมอนั่นมัวไปทำอะไรอยู่ถึงยังไม่มาเนี่ย” วินทร์บ่นถึงกฤตเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถยังไม่เห็นแม้เงา “นายลองโทรตามอีกทีสิ”

“เพิ่งถึงเวลานัดเองครับ เราลองรออีกสักห้านาทีค่อยโทรก็ได้ ให้โอกาสเขาหลงทางหน่อย”

“มันจะหลงทางจนไปกันใหญ่น่ะสิ” วินทร์บ่นพลางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วเขาก็เห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหา กำลังจะตะโกนเรียกก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าไม่ใช่กฤต แต่เป็นหนุ่มหน้าตี๋สุดยอดนักการขาย

“คุณฮาร์ฟสวัสดีครับ” ภาษิตเดินกึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“สวัสดีครับ” นรกรตอบรับ

“เรื่องเมื่อคืนผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมพูดไม่ดีทำให้คุณฮาร์ฟไม่สบายใจ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ภาษิตหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “วันนี้เขาก็ไม่มาอีกแล้วเหรอครับ งั้นผมขออนุญาตชวนคุณไปกินข้าวแล้วแวะไปส่งคุณที่บ้านได้ไหมครับ”

“พี่วินทร์มาทำงานครับเพียงแต่แวะไปทำธุระเฉยๆ”

“เมื่อวานคุณก็พูดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่มา”

“เมื่อวานมันมีเหตุสุดวิสัยครับ แต่วันนี้เขามาจริงๆ”

“จริงเหรอครับ” ภาษิตถามย้ำ “ขอโทษนะครับ ผมขออนุญาตถามตรงๆ ว่าพวกคุณคืนดีกันจริงๆ หรือเปล่า”

“ทำไมหรือครับ”

“ผมบังเอิญได้ยินน่ะครับที่พวกคุณคุยกัน ที่บอกว่าต้องแสดงเป็นคนรักกัน” ภาษิตว่า “ถ้าหากพวกคุณยังรักกันจริงแล้วทำไมต้องแกล้งแสดงละครอะไรแบบนี้ด้วยล่ะครับ”

“คุณพาสอาจจะได้ยินผิดก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องปฏิเสธหรอกครับ ผมได้ยินกับหูและเห็นเต็มสองตาด้วยว่าคุณปัดมือเขาทิ้ง”

นรกรพูดไม่ออก ปกติเขาก็เป็นคนคุยกับคนอื่นไม่เก่งอยู่แล้ว การจะโต้แย้งอะไรสักอย่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก แล้วจะให้เขาแต่งเรื่องไปมากกว่านี้ก็ทำไม่เป็น เขาจึงทำได้แค่เงียบและขยับตัวอย่างอึดอัดซึ่งนั่นยิ่งทำให้ภาษิตเข้าใจว่าตัวเองคิดถูกต้อง

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจนถึงตอนนี้คุณจะปกป้องเขาไปทำไม ในเมื่อเขานอกใจคุณถึงขนาดนั้น”

“ผม… เปล่า…”

“มีอะไรกันเหรอ” กฤตที่มาถึงพอดีเดินเข้ามาแทรก

“พี่วินทร์มาแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” นรกรกล่าวอย่างโล่งอกแต่ดูท่าวันนี้ภาษิตจะไม่ยอมจบง่ายๆ

“คุณมาก็ดีแล้ว ผมขอถามคุณตรงๆ ในฐานะคู่แข่งเลยว่าคุณยังรักคุณฮาร์ฟอยู่หรือเปล่า”
กฤตเหลือบตามองวินทร์ที่ส่งบทพูดมาให้ “รักสิ”

“รักแล้วทำไมถึงนอกใจเขาไปหาคนอื่นล่ะครับ” ภาษิตถามต่อ

“ก็…” กฤตจะตอบแต่วินทร์ชี้หน้าให้เงียบไว้ก่อนเขาจึงรีบปิดปากซึ่งเป็นการเปิดช่องให้ภาษิตยิงคำถามมาอีก

“แล้วเมื่อคืนคุณหายไปไหน ทำไมปล่อยให้คนรักไปกินข้าวคนเดียว ทำไมต้องสร้างภาพว่ายังเป็นแฟนกันทั้งที่ไม่ได้รักกันแล้วด้วยล่ะครับ”

วินทร์กัดฟันแน่น ขนาดตัวเขาเองยังไม่รู้จะเถียงหรืออธิบายไปทางไหน จึงไม่แปลกใจเลยที่นรกรจะตอบไม่ได้

“เราไม่ได้สร้างภาพครับ” นรกรบอก

ภาษิตเหลือบตามองวินทร์ หรืออันที่จริงก็คือกฤตที่ยืนกรอกตาไปมาทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วยิ่งรู้สึกโกรธแทน “คุณดูเขาสิ คุณดูไม่ออกเหรอครับว่าเขาไม่ได้รักคุณแล้ว ในแววตาของเขามันไม่มีเยื่อใจเหลือให้คุณสักนิดเดียว”

“ก็…”

“ไอ้หมอนี่มันพูดบ้าอะไรเนี่ย” กฤตกระซิบถาม

“ความผิดนายล้วนๆ เลย” วินทร์ตอบ

“เอางี้ ถ้าพวกคุณยังรักกันจริงก็ลองจูบกันให้ผมดูหน่อยสิครับ ทำได้ไหมล่ะเรื่องแค่นี้เอง” ภาษิตท้า

นรกรเหลือบตามองกฤต ถึงใครๆ จะเห็นเป็นร่างของวินทร์แต่ที่เขาเห็นมันไม่ใช่ “ผม…”

“ไม่เห็นต้องลำบากใจขนาดนั้นเลยนี่ครับ” ภาษิตว่าพร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้และคว้าไหล่นรกรไว้แน่น

“เอ่อ…”

เห็นท่าไม่ดีกฤตจึงคิดว่าต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าความเข้าใจผิดนั้นมันมีสาเหตุมาจากตัวเขา “ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เราต้องมาอวดให้คนนอกอย่างนายดู” เขาพูดพร้อมกับยื่นมือมาดึงตัวนรกรให้พ้นจากภาษิตและโอบไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง “แต่ถ้านายอยากเห็นนักฉันจัดให้ก็ได้นะ”

ภาษิตเม้มปากแน่น ไม่ตอบโต้อะไรเพราะอย่างไรเสียตัวเองก็ยังเป็นได้แค่คนนอก “ตาสว่างสักทีเถอะครับ”

 “กลับบ้านกันเถอะ” กฤตพูดเสียงดังพร้อมกับเดินกึ่งประคองตัวนรกรหนีไปจากตรงนั้น

“ขอบคุณครับ” นรกรบอกเมื่อพ้นจากภาษิตมาได้พร้อมกับดันตัวออกห่าง

“หมอนั่นน่าจะเลิกยุ่งกับนายได้แล้วนะ” กฤตว่าหันมองข้ามไหล่ไปดูว่าอีกฝ่ายไม่ได้แอบตามมา “ฉันสงสัยจริงๆ ว่าทำไมคนเราต้องชอบยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วด้วย แฟนเขาก็ยืนอยู่ทนโท่”

“นั่นน่ะสิ” วินทร์เห็นด้วยและเขารู้สึกว่าภาษิตคงไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่นอน

“บอกแล้วว่าให้ทำตามที่ฉันเสนอก็ไม่เชื่อ” กฤตว่า “นี่! ฉันไม่ได้อยากเป็นแฟนนายจริงหรอกนะ ที่ทำนี่เพราะอยากไถ่โทษให้ก็แค่นั้นแหละ”

“มีอีกหลายวิธีที่จะไถ่โทษครับ ไม่จำเป็นว่าต้องแกล้งเป็นแฟน” นรกรบอก

“แฟนนายนี่กลัวนายหึงถึงขนาดนี้เลยเหรอไง” กฤตหันไปหาวินทร์ “เวลาแบบนี้นายก็มองข้ามๆ ไปบ้างเถอะ”

วินทร์เหลือบตามองนรกรก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องนั้นก็ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก อย่างที่นายรู้ ฮาร์ฟไม่ได้มองเห็นนายเป็นฉันเหมือนคนอื่นๆ ปกติเขาเป็นคนการ์ดสูงแล้วก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอยู่แล้ว แค่ยอมให้นายที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อนเลยเข้าใกล้ขนาดนี้นี่เขาก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วล่ะ”

“แต่ถ้าพี่วินทร์โอเคผมจะลอง…”

“ให้นายฝืนทำไปก็ออกมาไม่จริงใจ แล้วจะยิ่งไปกันใหญ่มากกว่า” วินทร์บอก “แล้วฉันก็ไม่โอเคด้วย เพราะงั้นนายสบายใจได้”

“ขอบคุณนะครับ” นรกรตอบ

กฤตไหวไหล่ “ก็แล้วแต่พวกนายแล้วกัน”

OOOOOO

อีกด้านหนึ่งของลานจอดรถ จิงโจ้ก็กำลังยืนแอบอยู่ที่หลังเสา รอการมาของเจ้าของรถที่หลบหน้าเขามาตั้งแต่เมื่อวาน
พอร่างสูงของอนุวัฒน์เดินมาถึงและกำลังเปิดประตูรถ จิงโจ้ก็รีบกระโดดออกจากที่ซ่อนเข้าประชิดตัวทันที

“พี่วัฒน์ครับเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“แต่ฉันไม่มี” อนุวัฒน์ตอบด้วยท่าทีเย็นชาและทำท่าจะขึ้นรถ จิงโจ้จึงรีบปราดเข้าไปขวางไว้

“อ้าวพี่วัฒน์ พี่จะมาบอกรักผมแล้วชิ่งแบบนี้ไม่ได้นะพี่”

“อะไรของแกเนี่ยไอ้โจ้!”

“คือผมคิดๆ ดูแล้วพี่ แต่ผมคิดไม่ออก แล้วผมมันก็คนโง่ด้วย ดูสิ! ว่าแต่พี่ฮาร์ฟ พี่วัฒน์อยู่ข้างๆ ผมมาตั้งห้าปี ผมยังไม่รู้ตัวเลย ผมก็เลยคิดว่าไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เรามาลงมือทำกันเลยดีกว่า ถ้าเวิร์คก็คือเวิร์ค แต่ถ้าไม่เวิร์คพี่วัฒน์ก็จะได้ตัดใจ แล้วผมก็จะได้สบายใจด้วย”

“แกหมายความว่าไง”

“เรามาทดลองคบกันเถอะพี่วัฒน์”

“ทดลองคบกัน?” อนุวัฒน์ถามกลับ “จะบ้าเหรอ ความรู้สึกคนนะไม่ใช่เครื่องมือแพทย์จะมาทดลงทดลองอะไร”

“มันคือการเรียนรู้กันไงพี่” จิงโจ้บอกพร้อมกับเกาะแขนคนตัวสูงกว่าที่พยายามจะหนีขึ้นรถไว้แน่น

“ฉันเข้าใจ ที่ฉันถามน่ะเพราะสงสัยว่าแกเข้าใจจริงๆ อย่างที่ปากว่าหรือเปล่า”

“เข้าใจสิครับ” จิงโจ้ยืนยัน

“แน่ใจนะ” อนุวัฒน์ถามย้ำพร้อมกับดันตัวอีกฝ่ายจนหลังติดรถแล้วก้มหน้าลงจูบแบบเมื่อวานอีกครั้ง

“พี่วัฒน์… เดี๋ยว…” จิงโจ้ที่หายใจหายคอไม่ทันใช้สองมือดันอกคนอายุมากกว่าออกห่าง

“ตกใจอะไร เป็นแฟนกันแล้วนี่ จูบแฟนผิดตรงไหน” อนุวัฒน์ถามเสียงเรียบ

อันที่จริงเขากำลังเก็บอาการไว้ไม่ให้ดีใจจนออกนอกหน้า จะว่าเขาเล่นไม่ซื่อก็ได้เพราะตั้งแต่แรกแล้วเขาก็ตั้งใจหนีให้อีกฝ่ายตามนี่แหละ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดกฏอะไรเพราะก็ทำใจไว้แล้วว่าถ้าจิงโจ้ไม่ตามเขาก็แค่อกหัก แต่นี่ผ่านไปยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายร้อนรนมาหาเขาก่อน แถมยังมาเสนอข้อตกลงให้คบกันนี่อีก ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสนี้คว้าไว้ก็บ้าแล้ว ถึงจะอกหักจริงๆ แต่การได้จูบตั้งสองครั้งก็ถือว่าคุ้มแล้ว… ไม่สิ! ประเมินจากการที่จูบแล้วไม่โดนต่อยทั้งสองครั้ง เดิมพันครั้งนี้เขามีสิทธิ์ชนะสูงมากเลยทีเดียว

“ตกลงฉันจูบไม่ได้เหรอ” อนุวัฒน์ถามซ้ำ

“ก็…” จิงโจ้อำอึ้ง

อนุวัฒน์มีสีหน้าผิดหวัง เขาดันตัวอีกฝ่ายให้พ้นจากประตูรถ “ฉันถึงได้ถามไงว่านายเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ทีนี้ก็หลีกไปได้แล้วฉันจะกลับบ้าน”

จิงโจ้เข้ามาคว้าแขนไว้อีกครั้ง “เข้าใจสิพี่ เมื่อกี้มันกะทันหันผมเลยไม่ทันตั้งตัวเฉยๆ”

อนุวัฒน์ถอนหายใจเสียงดัง “แล้วจะต่อไหม”

“ต่อคือ?”

“เซ็กซ์ไง”

“หืมมม” คนฟังคาโต

“ตัวเลือกมีห้องนาย ห้องฉันหรือจะเอาโรงแรม เดี๋ยวฉันออกค่าห้องกับถุงยางเอง แต่ถ้านายชอบสดฉันก็โอเคหมด”

“เดี๋ยวนะพี่วัฒน์ ใจเอา… เอ๊ย! ใจเย็นๆ ครับ” จิงโจ้ลิ้นพันกันพัลวันเมื่อคนหน้านิ่งไม่มีทีท่าล้อเล่นแถมยังคว้าคอเขาโยนใส่รถฝั่งข้างคนขับแถมดึงเข็มขัดมาคาดให้เรียบร้อยอีกต่างหาก

“นี่เย็นแล้วนะ ไม่เย็นฉันจับนายกดตรงนี้แล้ว” อนุวัฒน์ว่า “ตกลงเอาที่ไหนนะ”

“เอาที่ห้องพี่วัฒน์ก็ได้ครับ” จิงโจ้รีบบอก

คนพูดน้อยยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆ “ตกลง ‘เอา’ ที่ห้องฉันนะ” เขาแกล้งเน้นเสียงทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ

จิงโจ้กลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วนั่งตัวตรงมองทางข้างหน้า ไม่รู้ว่าที่คิดน้อยๆ ง่ายๆ มาแบบนี้มันดีจริงๆ หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่คิดจะถอยหลังกลับอีกแล้วเพราะตัวเขาเองก็อยากจะได้คำตอบที่ชัดเจนให้กับความรู้สึกนี้เหมือนกัน

OOOOOO

จิงโจ้นั่งอยู่บนเตียงในห้องที่เขามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา อนุวัฒน์ให้โอกาสเขาอาบน้ำก่อนที่เจ้าตัวจะหายเข้าไปนานสองนาน จนจากที่กลัว ตอนนี้เขาเริ่มกังวลแทนแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่า
นั่งคิดสองจิตสองใจว่าจะลองเรียกดูดีไหมประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับที่ร่างสูงซึ่งนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินออกมา

“อ้าวนี่ยังอยู่อีกเหรอ” อนุวัฒน์ถาม

“เกือบจะไม่อยู่แล้วล่ะครับ ก็พี่วัฒน์เล่นอาบน้ำตั้งชั่วโมงนึง” จิงโจ้ว่า

“ฉันให้เวลานายหนีต่างหาก” อนุวัฒน์บอกพลางเดินมาหยุดยืนตรงหน้า “แต่ก็ไม่ยักกะหนีแฮะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าเตรียมใจมาแล้ว”

อนุวัฒน์พยักหน้า “ถามจริงๆ เลยนะ นี่แค่เหงาเพราะโสดมานานหรืออยากลองของใหม่”

“พี่วัฒน์พูดอะไรน่ะ ผมไม่คิดเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอกนะ”

“ฉันเป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิง” อนุวัฒน์ถามย้ำ

“ก็รู้อยู่”

“แล้วทำไมถึงคิดจะลองคบกับฉันล่ะ”

“ก็บอกแล้วว่าผมมันคนหัวทึบ” จิงโจ้ว่า “ผมไปปรึกษาพี่วินทร์…”

“อ๋อเหรอ” อนุวัฒน์ลากเสียงนึกหึงหน่อยๆ ที่หมอนี่มีอะไรกลุ่มใจก็วิ่งไปปรึกษาวินทร์เสียทุกเรื่อง

“พี่วินทร์บอกให้ผมลองลืมเรื่องเพศไปแล้วคิดดูว่าโลกที่มีพี่กับไม่มีพี่วัฒน์อันไหนมันดีกว่ากัน”

“แล้วคำตอบล่ะ”

“แบบที่มีพี่ดีกว่า”

“อย่างนั้นเหรอ”

“แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันคือความรักไหม เพราะฉะนั้นก็อย่างที่บอกไปน่ะแหละ เรามาลองดูให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยเถอะครับ!”

อนุวัฒน์หลุดขำออกมาเล็กน้อยกับท่าทีที่เหมือนจะไปออกศึกบางระจันของอีกฝ่าย ทั้งที่กลัวแต่ก็ยังคิดเรื่องของเขาอย่างตั้งใจ และถึงจะไม่เข้าใจก็พร้อมใจจะลองคบกันเพื่อไม่ให้เสียเขาไป… น่ารักขนาดนี้เขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง… หรืออย่างน้อยที่สุด คืนนี้เขาไม่ยอมปล่อยให้กลับบ้านแน่ๆ ล่ะ

“งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”

“ปิดไฟไหมครับ” จิงโจ้เสนอ

“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากให้นายเห็นชัดๆ จะได้ไม่ต้องคิดถึงใคร จะได้รู้ว่าคนที่กอดนายไว้คือฉัน” อนุวัฒน์กระซิบกับริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าก่อนจะประกบปิดลงไป

อย่างดูดดื่มและเนิ่นนาน… เขาต้องการให้อีกฝ่ายค่อยๆ ซึมซับกับตัวตนของเขา ให้รู้ว่ากำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งความเป็นพี่น้องและต่อจากนี้ไปมันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

จิงโจ้ค่อยคล้อยตามไปกับจูบของอีกฝ่าย เขายกมือขึ้นโอบรอบแผ่นหลัง มันทั้งกว้างและแข็ง ไม่นุ่มนิ่มเหมือนกับสาวๆ ที่เคยคบมา “พี่วัฒน์นี่กล้ามแน่นเหมือนกันนะครับ”

อนุวัฒน์ยิ้มมุมปากก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “มาชมอะไรตอนนี้ก็เห็นอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”
นัยน์ตาที่สบมาพราวระยับจนหัวใจเริ่มสั่น และเขาคิดว่าต้องหาเรื่องคุยไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป “ที่เขาบอกว่าพวกเกย์ชอบฟิตกล้ามให้ล่ำๆ นี่ท่าจะเป็นเรื่องจริง”

“มันแค่แนวคิดเรื่องรักสุขภาพ ถ้านายไม่ชอบออกกำลังก็ไม่ต้องมาค่อนแคะคนอื่น ถึงฉันจะไม่ปฏิเสธเรื่องที่เป็นเกย์ก็เถอะ”

อนุวัฒน์ตอบพลางเริ่มต้นจูบไล่ไปตามส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เริ่มจากใบหูที่แดงแจ๋ด้วยความเขินอาย เรื่อยลงมาตามแนวลำคอ มือใหญ่ค่อยร่นชายเสื้อยืดที่อีกฝ่ายสวมอยู่ขึ้นสูงจนเห็นยอดอก เขาใช้ปลายลิ้นตวัดติ่งเล็กๆ นั้นเข้าปากและดูดดึงจนมันเด้งขึ้นมา

“พี่วัฒน์… อย่า…” จิงโจ้คราง เขาไม่คุ้นเคยกับการโดนสัมผัสตรงนี้ ปกติเคยแต่เป็นฝ่ายดูด เพิ่งรู้ว่าโดนดูดเองแล้วจะรู้สึกดีขนาดนี้

แต่คำห้ามปรามนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าหูเลย ในขณะที่อนุวัฒน์ใช้ปลายลิ้นเล่นกับหัวนมข้างหนึ่ง เขาก็ไม่ยอมปล่อยอีกข้างไว้เฉยๆ ใช้นิ้วเขี่ยเล่นไปมาสลับกันไปทั้งสองข้างจนมันเปียกแฉะไปหมด เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ใต้ร่างไม่ขัดขืน เขาจึงค่อยๆ ขยับลงต่ำ… อย่างช้าๆ… ไม่ให้กระต่ายน้อยตกใจตื่นและวิ่งหนีออกจากห้องไปเสียก่อน

ริมฝีปากจูบไซ้มาจนถึงท้องน้อย ในขณะที่มือใหญ่ลูบไล้ลงไปถึงขอบกางเกงบ๊อกเซอร์ รู้สึกตื่นเต้นอีกเท่าทวีเมื่อรับรู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นขยับขึ้นสู้มือ เขาค่อยๆ ใช้ฝ่ามือนวดมันวนไปมา เรียกเสียงสูดปากจากอีกฝ่ายได้เป็นระยะ

“เปียกหมดแล้วนะ” อนุวัฒน์กระซิบแซว ตอนนี้เขาขยับลงมานั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้ว “นี่ขนาดยังไม่ได้จับตรงๆ เลยนะ ท่าทางจะเก็บกดเอาไว้เยอะล่ะสิ” พูดพลางใช้ปลายนิ้วถูไถลงตรงจุดที่นูนขึ้นมามากที่สุดและมีน้ำซึมออกมาเป็นวงกว้าง

“เปล่าสักหน่อย” คนพูดมากที่ตอนนี้เริ่มพูดไม่ออกตอบเสียงสั่นพร่าด้วยอารมณ์หวามไหวที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมีอารมณ์กับผู้ชายด้วยกันได้

“งั้นฉันทำต่อแล้วนะ” พูดจบอนุวัฒน์ก็ถอนนิ้วออกแล้วใช้ปลายลิ้นเล่นกับส่วนนั้นแทน

“พี่วัฒน์… อย่าทำแบบนั้น… ไม่เอา…”

“ไม่ให้ทำแบบนั้นคือไม่ให้ทำผ่านผ้าใช้ไหม” อนุวัฒน์ถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แล้วเพียงพริบตาเขาก็จัดการรูดบ็อกเซอร์ออกจากเรียวขาไปกองอยู่บนพื้น และจัดการส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นทันที

ความรู้สึกหวามไหวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง จิงโจ้นอนราบลงกับเตียงสองขากางออกให้คนอายุมากกว่าเข้ามาอย่างไร้แรงต้านทาน เขาหอบหายใจแรงไปตามจังหวะที่ริมฝีปากและปลายลิ้นขยับขึ้นลง ยอมรับว่ารู้สึกดี… ดีมากอย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้มาก่อน เขาปรือตามองผ่านร่างกายของตัวเองไปยังส่วนล่างที่เห็นเพียงศีรษะของอนุวัฒน์ขยับขึ้นลงอยู่ตรงระหว่างขา

“แล้วนี่พี่วัฒน์จะ…” เขาละล่ำละลักถาม

“อยู่ข้างบน” อนุวัฒน์ตอบเสียงอู้อี้หน่อยๆ เพราะยังอมของอีกฝ่ายไว้เต็มปาก

“หืมมม” จิงโจ้ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำตอบ

“ฉันจะเป็นฝ่ายรุก”

“เอิ่มมมม”

“ฉันจะเป็นคนเสียบนาย”

“เฮ้ยยยย!”

“ถือว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ” อนุวัฒน์สรุปพร้อมกับยืดตัวขึ้นมา “ไม่ต้องห่วงฉันเก่ง ไม่ทำให้เจ็บหรอก”

“พี่วัฒน์ไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหน” จิงโจ้ถามเสียงสั่น ตอนนี้ผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันตัวอนุวัฒร์หลุดไปแล้ว เขาจึงได้เห็นช่วงล่างของอีกฝ่ายเต็มตา

“จากไหนน่ะเหรอ” อนุวัฒน์หยักยิ้มมุมปากพร้อมกับก้มตัวลงมาจูบ “ฉันว่านายลองพิสูจน์ดูเองดีกว่า”
จิงโจ้กลืนน้ำลายเหนียวลงคอยังไม่ทันจะคัดค้านก็โดนอีกฝ่ายจับพลิกคว่ำอย่างง่ายดาย

“ยกสะโพกขึ้นให้หน่อยสิ”

เสียงกระซิบหวานที่ข้างหูพร้อมกับที่ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมากอบกุมส่วนกลางที่ร้อนรุ่มขยับโยกจนเคลิ้มไป ทำให้เขาทำตามที่อีกฝ่ายขออย่างง่ายดาย

“พี่วัฒน์พอแล้ว” จิงโจ้โอดครวญกับคนที่โอบรัดตนไว้จากด้านหลัง อนุวัฒน์ไม่ได้จะฝืนดึงดันเข้ามา ตรงกันข้ามเขากลับค่อยๆ ทำให้ชินโดยการสอดนิ้วเข้ามาทีละนิ้วพร้อมกับสอนกายวิภาคไปด้วย

“ตรงนี้คือต่อมลูกหมาก” อนุวัฒน์กระซิบ “ผู้ชายเราจะรู้สึกดีเวลาถูกกระตุ้นที่ตรงนี้”

“ผมรู้แล้ว”

“ฉันก็เห็นแล้วเหมือนกัน” อนุวัฒน์ยิ้มเมื่อร่างในอ้อมแขนกระตุกรับกับจังหวะนิ้วที่สอดใส่และกอดรัดเขาแน่นขึ้นทุกทีเช่นเดียวกันกับช่องทางแคบที่ค่อยๆ นุ่มขึ้น “เพิ่งเข้าได้แค่สองนิ้วเอง ต้องสักสามนิ้วถึงจะพอดีกับของฉัน” อนุวัฒน์ว่าและสอดนิ้วที่สามเข้าไป ขยับไปมาอยู่สามสี่ครั้งจึงถอนออกเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะชิงล่วงหน้าไปเสียก่อนที่เขาจะทำภารกิจสุดท้าย “โอเค… เท่านี้น่าจะได้ เดี๋ยวฉันจะใส่แล้ว นายห้ามเกร็งนะ”

“พอห้ามปุ๊บก็รู้สึกเกร็งปั๊บเลยอะ” จิงโจ้ร้อง

อนุวัฒน์จับคนอายุน้อยกว่านอนหงายแล้วดึงสองแขนขึ้นมาคล้องคอตัวเอง“เจ็บก็กอดฉันไว้ ทีนี้ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ นะ จะได้ไม่เกร็ง… นั่นล่ะ ดีมาก คนเก่ง”

เขาเอื้อมือไปหยิบถุงยางที่เตรียมไว้ขึ้นมาฉีกออกใส่ของตัวเอง แล้วจัดแจงลูบไล้ด้วยสารหล่อลื่นอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าบทรักนี้จะผ่านไปอย่างราบรื่น

“พร้อมนะ”

อนุวัฒน์ค่อยๆ สอดเข้าไปช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็บทว่ามันไม่ง่ายเลยเมื่อได้เข้ามาอยู่ในตัวคนที่เฝ้ารอมาถึงห้าปี ในที่สุดร่างกายก็ขยับไปตามอารมณ์ปรารถนา เสียงสะโพกกระทบกันกับเสียงครางของคนในอ้อมแขนยิ่งพาให้สติกระเจิง เขาสอดใส่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ได้เสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อไม่หยุด จนในสุดเขาก็หมดแรงล้มลงนอนกอดคนที่ถึงไปก่อนหน้าแล้ว

เขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ตกลงมาระหน้าผากขึ้นไป แล้วจูบซับน้ำตาให้ มันเป็นเซ็กซ์ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยสัมผัสมาเลยทีเดียว “เป็นไงบ้าง”

“พี่วัฒน์” เสียงของจิงโจ้แหบไปเล็กน้อย

“รู้สึกดีไหม”

“มันเจ็บอ่ะ” จิงโจ้โอดครวญ “ผมจะไม่ยอมให้พี่วัฒน์มาแทงข้างหลังผมแบบนี้อีกแล้ว” พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทิ้งให้อนุวัฒน์นอนงงเป็นไก่ตาแตกว่าทำพลาดไปตอนไหนทั้งๆ ที่ตอนทำก็ดูจะพออกพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายแท้ๆ

****************************************************TBC*****************************************************
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: 9nawKIHAE ที่ 26-11-2018 21:13:11
อุ๊ยตายยยยย กำลังอิน กำลังปวดหัวกะคู่หลักอยู่เลยจ้าาา  :hao7:

เจอเลิฟซีนคู่น้องโจ้เข้าไป หักอารมณ์ เบลอเลย 555555 :katai5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 26-11-2018 21:30:41
 :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ปากกาหมึกซึม ที่ 26-11-2018 21:56:03
น้องจิงโจ้ โดนพี่เขาหลอกกินเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 27-11-2018 09:52:02
ยิ่งอ่านยิ่งกังวล จะเป็นยังไงต่อไป

สงสารฮาร์ฟ จะเสียใจแค่ไหน ถ้าวินทร์ไม่ได้กลับมา ...

ไม่ชอบภาษิต และไม่ไว้ใจกฤต ดูอ้ำๆ อึ้งๆ ปิดบังบางเรื่อง ...
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 27-11-2018 20:26:07
 :hao5:สู้ๆนะน้องฮาร์ฟ.. ถ้าพี่วินทร์ไม่กลับมา.. กลัวน้องเป็นซึมเศร้าอ่ะ... คิดไปก่อนก็เจ็บปวดนะเนี่ยยยย.. สายมโน
 :a5:แต่มาเจอตัดบทกะจิงโจ้น้อยเนี่ยยยย... โห.. มาแย่งซีนกันชัดๆ... งั้นนั่งชื่นชม่นี้แป๊บนะ.. เดี๋ยวไปเอาใจช่วยตามหาความจริงในอดีตกันต่อ.. เนอะๆ :z10: :z2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 29-11-2018 19:01:02
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-12-2018 23:08:45
ทำไมจิงโจ้กับวัฒน์มาแย่งซีนได้ล่ะ

หมดกัน 55555
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 03-12-2018 20:44:22
พี่วินทร์ เป็นห่วงนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 04-12-2018 22:48:53
 :pighaun:ใจ.... เป็นกำลังใจนะจ๊ะน้องโจ้.... อะคิอะคิ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-12-2018 10:53:32
สู้นะทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 22-12-2018 12:03:33
พาพี่วินทร์-ฮาร์ฟ มาหน่อยค่ะ คิดถึงมาก
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 04-01-2019 10:56:19
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ อ่านแล้วได้ความรู้ได้อะไรหลายๆอย่างจากเรืองนี้ค่ะ ถึงแม้จะมีความหม่นๆแต่ก็แซมไปด้วยสีชมพูแต่ชอบมากกกก ชอบมากจริงๆค่ะ มีความสุขมากๆ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 06-01-2019 06:39:16
อาจารย์ภูมิศิลป์ คนไข้ แล้วก็วิญญาณในร่างวินทร์
นางต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ


นี่กำลังคิดไปถึงว่าวิญญาณในร่างวินทร์ คือแพทย์ที่ฮาร์ฟเคยฝันถึง ที่ช่วยลุงที่ติดเหล้าก็ได้

ทายถูกด้วยว่า 'กฤต' คือหมอที่ฮาร์ฟเคยเจอตอนเด็ก

แต่อยากรู้จริงๆ ว่า อาจารย์ภูมิศิลป์ แย่งแฟนกฤตจริงมั้ย

หรือว่าเพราะแม่ของกฤตกีดกันก่อนกันแน่

แล้ว กฤตธี คือลูกพลูกับภูมิศิลป์ หรือลูกของกฤต



แต่ประเด็นใหม่ตอนนี่คือ พี่วินทร์ โอ๊ยยย

ไม่เอาแบบนี้ :sad4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 06-01-2019 07:13:16
บท 10 คือแบบ อิพี่วัฒนืมันร้ายนะคะท่านผู้ชม :o8:

แล้วโจ้นี่ก็พูดจริงทำจริงเกินนนนน


ส่วนคู่หลัก

อยากให้วินทร์กับกฤตอยู่ด้วยกันได้ทั้งคู่อ่ะ

คือ พอสนิทกันก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลย

อยากให้ 2 คนนี้กำจัดพาสออกไปทีเถอะ

นี่อยากรู้แล้วอ่ะ ว่ากฤตธี คือลูกของกฤตใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-01-2019 23:03:40
บทที่ 11 ที่ปรึกษา

“หึ!”

นรกรที่กำลังตรวจงานนักเรียนแพทย์เหลือบตาขึ้นมองคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่โต๊ะถัดออกไป เขาเหลียวมองซ้ายขวาเห็นสายตาดุๆ ไม่สบอารมณ์ของอนุวัฒน์ที่มองสบมาต่อให้เป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งกับใครอย่างเขาที่สุดยังอดถามออกไปไม่ได้ “ทำเสียงใส่พี่แบบนั้นคืออะไร”

“งอนครับ” อนุวัฒน์ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

นรกรกวาดตามองรอบห้อง เช้านี้พอมาถึงโรงพยาบาลกฤตก็ขอแยกตัวไปทำอะไรคนเดียวเหมือนเมื่อวาน คนอื่นๆ ก็แยกย้ายไปตรวจบ้าง เข้าเคสบ้าง เมื่อไม่นับวินทร์ตอนนี้ทั้งภาควิชาจึงมีแค่เขากับอนุวัฒน์สองคน “แล้วพี่ไปทำอะไรให้นาย”

“ไม่ได้ทำครับ แค่แพ้แล้วพาล” อนุวัฒน์บอก

“อ้าว”

อนุวัฒน์เงียบไปอีกครั้ง นรกรจึงหันกลับมาสนใจงานของตนต่อ แต่ก็พบว่าตัวเองแทบไม่มีสมาธิเลยเพราะคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะถึงจะไม่พูดอะไรหากก็เหลือบตามามองเป็นระยะจนเขารู้สึกอึดอัด อีกสักพักใหญ่ๆ ต่อมารุ่นน้องที่เป็นคนพูดน้อยพอกันก็เป็นฝ่ายยอมเปิดปากขึ้นมาก่อน

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“ว่ามาสิ”

“ผมซีเรียสนะ”

ได้ยินดังนั้นนรกรก็ปิดเอกสารรายงานในมือพร้อมกับนั่งตัวตรงรอรับฟัง “พูดมาสิ”

“ทำยังไงถึงจะไม่เจ็บครับ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “อะไรคือไม่เจ็บ”

“ก็นั่นแหละ”

“นั่นแหละ…” นรกรทวนคำยังคงไม่เข้าใจจนกระทั่งร่างโปร่งแสงที่นั่งฟังอยู่ด้วยอดสงบปากสงบคำไว้ไม่ไหวต้องเฉลยออกไป

“หมอนี่หมายถึงตอนทำอย่างว่าน่ะ”

“อย่างว่า…” นรกรทวนคำอีกครั้ง เขาคิดไม่ทันเพราะไม่คิดว่าอนุวัฒน์จะเอ่ยถามคำถามในเชิงนี้ พอคำตอบค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในหัว แก้มขาวก็ซับสีเข้มขึ้นและยิ่งเข้มไปอีกเมื่อวินทร์จำกัดความให้ง่ายขึ้น

“เซ็กซ์ไง”

“เฮ้ย!” นรกรอุทาน

อนุวัฒน์ลุกพรวดจากโต๊ะทำงานของตนลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามนรกรทันที “ผมต้องทำยังไงครับ!”

นรกรยกมือกุมขมับแน่น

“พี่ฮาร์ฟ ผมซีเรียสจริงๆ นะ”

“ทำ… ทำไมไม่ไปถามวินทร์เล่า” นรกรหลุดคำตอบออกจากปากได้ในที่สุด

“ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากขอความเห็นจากมารหัวใจ”

“เดี๋ยวนะ พี่ตามไม่ทัน ขอพี่ตั้งสติหน่อย” นรกรรำพึง หน้าร้อนไปหมด รู้สึกหูอื้อตาลายที่จู่ๆ รุ่นน้องก็มาปรึกษาปัญหาทางเพศ จะว่าดีใจก็ไม่เชิงที่น้องให้ความไว้วางใจ แต่จะมาเอาอะไรกับคนที่จะพูดอวยพรงานวันเกิดคนอื่นยังต้องพึ่งกูเกิ้ลอย่างเขาล่ะ เขาเหลือบตามองร่างโปร่งแสงข้างๆ ที่นอกจากไม่คิดจะช่วยแล้ว ยังทำหูผึ่งนัยน์ตาพราวรอฟังคำตอบราวกับเป็นคนถามเสียเอง

“ถามแบบนี้แสดงว่าเรียบร้อยกันไปแล้วแน่ๆ เลย” วินทร์พูดอย่างกระตือรือร้น “นายต้องช่วยน้องนะฮาร์ฟ น้องเขาคงไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว”

นรกรเหลือบตาขึ้นมองอนุวัฒน์ที่มองจ้องจริงจัง แล้วก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดเสียว่ากำลังสอนสุขศึกษาคนไข้ “พี่ขอถามอีกที ที่ไม่ถามวินทร์เพราะเอ่อ… เป็นอะไรนะ”

“มารหัวใจ” อนุวัฒน์ตอบ

“มันยังไงเหรอ” นรกรถามพลางเหล่ตามองร่างโปร่งแสงข้างๆ ที่โบกมือแก้ตัวพัลวันว่าไม่มีอะไรในกอไผ่

“ก็หมอนั่นน่ะ อึกอักอะไรก็วิ่งไปหาพี่วินทร์ ผมหมั่นไส้น่ะครับไม่มีอะไรหรอก” อนุวัฒน์ว่า “ผมหมายความตามนั้นจริงๆ นะครับ พี่ฮาร์ฟเข้าใจนะ” เขาย้ำไปอีกครั้งเพราะเกรงว่าคำพูดตัวเองจะไปสร้างความร้าวฉานให้คนอื่น

“เข้าใจ” นรกรพยักหน้า “แล้วหมอนั่นที่นายพูดถึงคือ…”

“ก็หมอนั่นน่ะแหละ ไอ้โจ้ไง”

“ตกลงว่าพวกนายสองคน…”

“ถึงจะไม่อยาก แต่เรื่องนี้ผมต้องขอบคุณคำแนะนำของพี่วินทร์ เพราะเขาผมก็เลย… เอาเป็นว่าเราเข้าเรื่องกันเถอะพี่ฮาร์ฟ ตกลงผมต้องทำยังไงเวลามีอะไรกันอีกฝ่ายถึงจะไม่เจ็บ”

“ของแบบนี้มันอยู่ที่กึ๋นและลีลาส่วนตัวนะไอ้น้อง” วินทร์ชิงตอบเสียก่อน

“คือแบบ… ผมก็ผ่านมาเยอะพอตัวนะ ไอ้เจลหรือโลชั่นอะไรที่เขารีวิวว่าดีผมก็ลองมาหมดแล้ว ที่ผ่านมามันก็เวิร์คนะพี่ แต่ทำไมคราวนี้มันไม่เวิร์คล่ะ”

นรกรสูดลมหายใจเข้าลึกอีกรอบ รู้สึกเวียนหัวในขณะที่วินทร์ดูกระตือรือร้นอยากช่วยตอบมาก “เรื่องนี้นายควรไปถามวินทร์จริงๆ นะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ถาม” อนุวัฒน์ย้ำ “แล้วผมว่าถามคนมีประสบการณ์ตรงอย่างพี่ฮาร์ฟน่าจะเวิร์คสุด… นอกเสียจากว่าพี่วินทร์เป็นพวกบ่มีไก๊ ได้แต่ทฤษฎีแต่ภาคปฏิบัติห่วยแตกมาก”

“ตกลงนี่แกจะมาปรึกษาหรือหาเรื่องกันวะไอ้วัฒน์” วินทร์เปลี่ยนท่าทีเป็นถกแขนเสื้อเตรียมวางมวย “แกว่าใครห่วยวะ”

นรกรเริ่มหูอื้อจริงๆ แล้วตอนนี้ และดูท่าเขาต้องให้ความเห็นอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ไม่งั้นอนุวัฒน์คงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่

“บอกเคล็ดลับผมหน่อยสิครับ” อนุวัฒน์ขอร้อง

“จัดไปอย่าให้เสียฮาร์ฟ” วินทร์ว่า “เล่าให้ละเอียด อธิบายให้ครบจบทุกกระบวนท่าเลย”

นรกรมองลอดแว่น นึกอยากจับผีถ่วงน้ำจริงๆ ก็วันนี้แหละ เขาพยายามไม่สนใจวินทร์และค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดตอบไป “เคล็ดลับมีไหมฉันไม่รู้หรอก”

“อ้าว”

“พูดกันตามตรงมันไม่เคยไม่เจ็บนะ…”

“นี่ที่รักพูดจริงเหรอ” วินทร์ชะโงกหน้าเข้ามาถามแทรก

“แล้วพี่ฮาร์ฟทำยังไงครับ ทนเหรอ?”

“อย่าเพิ่งขัดฉันได้ไหมทั้งสองคนเลย” นรกรพูดเสียงเฉียบ ทั้งคนและผีปิดปากสนิทในทันที “คือมันเป็นความเจ็บที่ไม่ต้องทนน่ะ เพราะมันจะรู้สึกอย่างอื่นมากกว่า”

“เสียว?” อนุวัฒน์ถาม

“รู้สึกดี” นรกรกลั้นใจแก้คำให้ใหม่

“แล้วมันต่างกันยังไงครับ”

“ต่างสิ” นรกรตอบ “เพราะมันมีความใส่ใจและความรักอยู่ด้วย… ถ้านายถามหาเคล็ดลับจากฉัน คำตอบของฉันก็คงเป็นสิ่งนี้ล่ะนะ”

“สรุปว่าไม่ใช่โฟกัสแค่เรื่องของลีลา แต่ผมต้องโฟกัสกับอย่างอื่นด้วยสินะ”

“อืม” นรกรพยักหน้า “นายต้องค่อยเป็นค่อยไป และคอยสังเกตการตอบสนองของอีกฝ่ายด้วย ไม่ใช่ห่วงแต่ว่าจะทำให้เสร็จอย่างเดียว”

“ขอบคุณมากครับพี่ฮาร์ฟ” อนุวัฒน์บอก “ผมขอถามอีกอย่าง แล้วในกรณีนี้วิธีง้อแบบไหนเวิร์คสุด คือมันไม่ยอมพูดกับผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะ อ้อ! ผมไม่เอาดอกไม้นะ ผมเสี่ยวสู้พี่วินทร์ไม่ได้”

“ขอโทษ” นรกรบอก “ฉันไม่ชอบอะไรที่วุ่นวายและเข้าใจยาก แค่ขอโทษอย่างจริงใจฉันก็พร้อมให้อภัย แต่สำหรับจิงโจ้แค่นี้จะถูกใจหรือเปล่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ”

“โอเคครับผมจะลองดู ขอบคุณนะครับ นี่ผมนอนเครียด คิดไม่ตกมาทั้งคืนเลยเนี่ย” อนุวัฒน์บอกพร้อมกับลุกพรวดขึ้น “อ้อ! เกือบลืม ผมขออะไรพี่ฮาร์ฟอย่างหนึ่ง พี่ฮาร์ฟห้ามบอกพี่วินทร์นะว่าผมมาปรึกษาเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีน่ะ พี่เข้าใจนะ”

“ฮาร์ฟไม่ต้องเล่าหรอก เพราะฉันได้ยินเต็มสองหูเลยจ้า~” วินทร์ทำกอดอกล้อเลียน

“ผมไปก่อนนะครับ ไว้วันหลังมีอะไรผมจะมาถามใหม่” พูดจบอนุวัฒน์ก็รีบร้อนออกไป

“ยังจะมีวันหลังหลังอีกเหรอ” นรกรก้มหน้าลงซบกับท่อนแขนอย่างหมดแรง

“แต่ว่าเมื่อกี้ที่รักทำได้ดีมากเลยนะครับ พี่ให้สิบเต็มสิบเลย”

“พี่วินทร์รีบกลับมาเป็นศิราณีเองเถอะ ผมไม่ไหวแล้ว” นรกรโอดครวญออกมาจากวงแขนของตัวเอง

“ศิราณีอะไร นายก็ได้ยินแล้วนี่นาว่าไอ้วัฒน์มันไม่ปรึกษาฉัน” วินทร์ว่า

“นั่นสินะ”

วินทร์มองคนที่ตอบเองเขินเองอย่างเอ็นดูแล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ “นี่… ตกลงว่าเจ็บเหรอ… จนถึงตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่เหรอ ทำไมนายไม่ยอมบอกฉันล่ะ”

“นี่ก็อีกคน” นรกรหันหน้าหนีไปอีกทาง “ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ อย่าให้ผมพูดซ้ำบ่อยๆ ได้ไหม”

“แต่มันจะดีกว่าไหมถ้าไม่เจ็บเลยน่ะ เอ้า! นี่ฉันก็ซีเรียสนะ คบกันมาสองปี เรามีอะไรกันเฉลี่ยสัปดาห์ละ3-4 วัน คูณสองปี ก็ราว 384 วัน แต่ถ้านับเป็นครั้งก็จะมากกว่านี้อีกเกือบเท่าตัว ทำไมเรื่องแบบนี้ฉันถึงไม่เคยรู้เลยล่ะ”

“ไม่ต้องมาเก็บสถิติกับเรื่องแบบนี้ก็ได้มั้งครับ”

“ต้องทำสิ” วินทร์ยืนกราน “สงสัยฉันต้องทำวิจัยแล้วล่ะ ใช้ทั้งวิธีศึกษาย้อนกลับและเก็บข้อมูลไปข้างหน้าควบคู่กัน”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องจริงจังไงครับ”

“ก็…”

“ถ้ามันทนไม่ไหว ผมจะทนได้ยังไงตั้งสองปี มากกว่า 384 ครั้งครับ” นรกรตัดบท “แทนที่จะกลุ้มว่าทำยังไงไม่ให้เจ็บ คิดหาวิธีที่จะได้ทำอีกครั้งก่อนดีกว่าไหมครับ”

วินทร์มองคนที่ก้มหน้างุดพูดอยู่กับมือของตัวเอง สาบานได้เลยว่าถ้ายังมีเนื้อหนังมังสาจังหวะนี้เขาไม่ทนแน่ๆ

“ยังไงผมก็เป็นกลุ่มทดลองกลุ่มเดียวอยู่แล้วนี่… หรือไม่จริงครับ” นรกรพูดต่อไม่ออกเมื่อเหลือบสายตาขึ้นมาเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ ยิ้มหวานกับนัยน์ตาพราวระยับทำให้เขาต้องหลบสายตาหนีอีกครั้ง

“ที่รักพูดถูกทุกอย่างเลยครับ”

“บอกแล้วไงว่าห้ามเรียก” นรกรบอกอ้อมแอ้มเพื่อเปลี่ยนเรื่องและไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป

“แต่ตอนนี้อยู่กันแค่สองคนนะ”

“ห้ามเรียกที่ทำงานด้วย”

“กฏมาตอนไหน ที่รักอย่าตั้งเองมั่วๆ สิ ไม่งั้นฉันจะเอามั่งนะ”

“อะไรครับ”

“ฉันจะเพิ่มรอบวันที่นายไปขึ้นเตียงช้า”

“มีแรงทำก็เชิญ”

“งั้นไม่ใส่ถุง”

นรกรหันควับมาทันที “มันล้างยากนะครับ”

“เดี๋ยวฉันล้างให้ นายจะงอแงทำไม”

“แล้วมันเคยได้ล้างอย่างเดียวสักครั้งไหมล่ะครับ”

“แหมมม~ ก็ที่รักน่ารักขนาดนี้ใครจะอดใจไหวล่ะ”

นรกรย่นปากใส่ จนใจจะต่อล้อต่อเถียง เขาสะบัดศีรษะแรงๆ ครั้งหนึ่งเพื่อเรียกสติก่อนเปิดรายงานของนักเรียนแพทย์ขึ้นมาตรวจต่อ

ฝ่ายวินทร์ก็ไม่คิดจะรบกวนอีก เขาเท้าคางมองดูคนรักทำงานไปเงียบๆ ได้นั่งเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ แบบนี้มันก็ดีแต่คงจะดีมากกว่าถ้าจะเป็นกำลังกายช่วยแบ่งเบาภาระงานต่างๆ ให้ได้ด้วย ตาคมเหลือบลงมองมือตัวเองพลางครุ่นคิดถึงวิธี เขาต้องทำยังไง… จะมีทางไหนที่จะยื้อเวลาออกไปได้ แต่ก็คิดไม่ออกเขาเก็บซ่อนความผิดหวังไว้ในใจแล้วส่งยิ้มให้นรกรแทน

********************************TBC**********************************
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่11 ที่ปรึกษา P.29 [9/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 08-01-2019 23:36:18
 :a5: :a5: :a5: :a5:
ตัดฉับฉับ.. มาหย่อนให้อยากแล้วจากไป..... อ๊าคคคคค.....  :ling1:  กลับมาได้ไหมมมม.. กลับมาต่ออีกได้ไหมมมม.. คนดี :ling3:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่11 ที่ปรึกษา P.29 [9/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 09-01-2019 03:49:35
เหมือนจะหวานนะ แต่โคตรหน่วง
เวลาก็เหลือน้อยแล้ว ถึงจะช่วยให้กฤตหลุดพ้นก็ไม่รู้ว่าวินทร์จะกลับเข้าร่างเดิมได้รึเปล่า
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่11 ที่ปรึกษา P.29 [9/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-01-2019 21:15:38
หน่วงจนอยากร้องไห้
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่11 ที่ปรึกษา P.29 [9/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 09-01-2019 22:25:09
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่11 ที่ปรึกษา P.29 [9/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-01-2019 15:05:13
ตกลงนี่คือกลับมาไม่ได้ใช่มั๊ย!  :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่11 ที่ปรึกษา P.29 [9/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-01-2019 20:36:16
บทที่ 12 ความจริงอีกด้าน

“เมื่อเช้าไปไหนมาเหรอครับ” นรกรถามคนที่นั่งกินข้าวเที่ยงอยู่ด้วยกัน

“ธุระ” กฤตตอบพลางตักข้าวใส่ปาก ช่วงนี้เขาทำตัวดี จนนรกรวางใจปล่อยให้ไปไหนมาไหนคนเดียวเป็นบางครั้ง

“ขอคำตอบที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านี้หน่อยครับ”

“ไปนั่งรำลึกความหลังมา” กฤตอธิบายเพิ่ม

“แล้วได้อะไรบ้าง” วินทร์เป็นฝ่ายถามบ้าง

“ก็ไม่มีอะไรมาก อย่างที่เขาพูดกันน่ะแหละว่าเรื่องที่อยากลืมกลับจำเรื่องที่อยากจำกลับลืม ดูเหมือนฉันจะนึกออกแต่เรื่องที่ไม่จำเป็นทั้งนั้นเลย”

“เช่นอะไร” วินทร์ถามต่อ

“สมัยที่ฉันเป็นนักเรียนแพทย์น่ะ” กฤตเริ่มต้นเล่า “ตอนไปวนวอร์ดจิตเวช คนไข้คนหนึ่งที่ฉันดูแลอยู่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแกชื่อลุงชวน ลุงชวนเป็นลุงแก่ๆ คนแถวบ้านบอกว่าปกติแกไม่เคยกินเหล้า ขยันทำมาหากิน แต่ตั้งแต่ลูกเมียโดนรถชนตายก็กลายเป็นไอ้ขี้เหล้า พอเมาแล้วก็อาละวาด ทำร้ายตัวเองแล้วก็ทำร้ายคนอื่น เพื่อนบ้านจับมาส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษา ฉันพยายามรักษาลุง ใช้ความรู้ทุกอย่างเท่าที่มีแต่มันก็ไม่สำเร็จ ลุงไม่ยอมเปิดใจให้ฉัน หนักกว่านั้นคือลุงไม่ยอมกินยา แล้วสุดท้ายลุงก็ฆ่าตัวตายสำเร็จ… การที่ฉันช่วยลุงไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับฉันฆ่าลุงหรอก”

“ไม่หรอกครับ คุณทำเต็มที่แล้ว ตอนนั้นคุณก็ยังเป็นนักเรียนแพทย์เองด้วย” นรกรบอก

กฤตส่ายหน้า “ลุงชวนผูกคอตายตอนเจ็ดโมงเช้า เวลาที่ฉันจะไปเยี่ยมแกทุกวัน แต่วันนั้นฉันตื่นสาย… ตั้งแต่ขึ้นฝึกงานมาเกือบปีฉันไม่เคยไปสายเลยสักครั้ง แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว… ฉันไปถึงตอนเจ็ดโมงสิบนาที… ภาพร่างของลุงที่ห้อยลงมาจากหลังคาในห้องน้ำตอนฉันเดินไปตามยังติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเพียงแต่วันนั้นฉันไม่ตื่นสาย หรือฉันวิ่งเร็วกว่านั้นสักนิด ฉันอาจจะ… ไม่สิ! ฉันคงช่วยลุงได้ทัน หรือบางทีลุงอาจจะเกลียดฉันมากก็ได้นะถึงได้เลือกตายตอนที่ฉันจะไปหา”

นรกรหันไปสบตากับวินทร์ ไม่รู้จะพูดปลอบยังไงดี
กฤตทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะพูดต่อ “หลังจากเกิดเรื่องนี้ฉันก็เดินหงุดหงิดไปเจอพลู”

“ท่าทางคุณจะชอบวิชาจิตเวชมากนะครับ” นรกรพยายามชวนคุย “วันก่อนที่ไปแกรนด์ราวน์คุณก็ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ดี”

“ชอบมากเลยล่ะ ถ้าใช้ทุนจบก็ตั้งใจจะกลับมาเรียนเฉพาะทางด้านจิตเวชนี่แหละ เพราะฉันอยากจะมีความรู้เยอะๆ จะได้กลับมาช่วยคนที่มีปัญหาได้… จะได้ไม่มีใครต้องตายแบบลุงชวนอีก แต่ฉันก็ทำไม่สำเร็จ” กฤตถอนหายใจ “มานั่งนึกดูชีวิตฉันไม่ประสบความอะไรสำเร็จสักอย่างทั้งเรื่องที่อยากเป็นหมอ เรื่องคนรัก บุญคุณพ่อแม่ก็ยังไม่ได้ทดแทน ดราก้อนบอลก็ยังไม่ได้ดู” เขาพยายามพูดติดตลก “ดูเหมือนฉันมีเรื่องติดค้างเต็มไปหมดเลยนะเนี่ย”

“งั้นเรามาแก้กันไปทีละเรื่องนะครับ” นรกรที่เงียบฟังอยู่นานเอ่ยขึ้นพร้อมกับเลื่อนโทรศัพท์ที่เปิดหน้าจอค้นหาค้างไว้ไปตรงหน้า มันเป็นโปรแกรมหนังเรื่อง dtagonball supet broly ที่กำลังจะเข้าฉายเร็วๆ นี้ “เราไปดูหนังกัน”

กฤตหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเหลือบตามองวินทร์ที่หลิ่วตามาให้ ทั้งสองคุยกันด้วยสายตาอย่างเป็นอันรู้กัน
“ฉันไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมนายหลงหมอนี่นักหนา”

“ดูปากนะ… คนนี้ของฉัน” วินทร์ทำปากขมุบขมิบตอบกลับไป

“ตกลงจะไปดูไหมครับ” คนที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนนินทาถาม

“ไปสิไป” วินทร์รีบตอบแทน “เดี๋ยวนายจองที่นั่งแบบฮันนีมูนซีทนะฉันจะได้ดูด้วย แล้วจองที่นั่งปกติให้หมอนี่ต่างหากอีกที่หนึ่ง”

“สองมาตรฐาน” กฤตพ่นลมออกจมูก

“สองที่ไหน กับนายฉันแบ่งได้ไม่ต่ำกว่าสิบมาตรฐานเลยล่ะ” วินทร์กระซิบ “โรงหนังเงียบๆ มืดๆ น่ะมันน่ากลัวนะโดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่นั่งข้างๆ”

“ฉันว่ามีแต่นายน่ะแหละที่น่ากลัว” กฤตตอบ

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวหนังเข้าโรงแล้วผมจะจองให้นะครับ” นรกรแทรกขึ้นเพื่อไม่ให้สองคนเขม่นกันไปมากกว่านี้ “แล้วเย็นนี้ผมต้องไปธุระต่อ ทั้งสองคนอยู่บ้านกันดีๆ นะ”

“ธุระอะไรเหรอ” วินทร์ถาม

“เป็นงานประชุมเรื่องยาตัวใหม่ที่โรงพยาบาลเรากำลังจะนำเข้ามาใช้  พร้อมกับเลี้ยงขอบคุณปีใหม่ไปในตัวด้วยน่ะครับ จัดที่โรงแรมใกล้ๆ นี่เอง” นรกรตอบพลางเปิดรายละเอียดที่ส่งมาทางข้อความในโทรศัพท์ขึ้นมาอ่าน

“อย่าบอกนะว่าเป็นยาของบริษัทที่เจ้าหมอนั่นกำลังนำเสนอขายเราอยู่” วินทร์หมายถึงภาษิต

“ใช่ครับ” นรกรตอบ “คุณพ่อยังสองจิตสองใจอยู่เพราะยาตัวนี้เป็นยาที่พัฒนามาจากยาตัวเดิมที่ใช้อยู่ ราคาค่อนข้างแพงมากเมื่อเทียบกับสรรพคุณที่เพิ่มมา แต่ก็อยากลองฟังรายละเอียดอีกสักครั้งก่อนตัดสินใจ… จริงๆ งานนี้พ่ออยากไปเอง แต่เพราะพ่อเป็นโรคหัวใจอยู่ แม่เลยไม่อยากให้กินเหล้า กลับบ้านดึกน่ะครับ อาจารย์ภูมิศิลป์ก็ไม่ว่างเลยมาขอให้ผมช่วยไปแทนน่ะครับเพราะต้องมาสรุปให้พ่อฟังว่าจะเซ็นอนุมัติไหม”

“แล้วนายไหวนะฮาร์ฟ” วินทร์ถามด้วยรู้ว่านอกจากจะไม่สันทัดงานเลี้ยงอะไรแบบนี้แล้ว ความทนต่อแอลกอฮอล์ของนรกรยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของชายไทย ไม่สิ! ต่ำกว่าคนทั่วไปอีกด้วย

“ครับ” นรกรพยักหน้าทั้งที่ยังดูลังเล

“เดี๋ยว…” วินทร์ยังไม่ทันจะพูดอะไรนรกรก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“พี่วินทร์ไม่ต้องตามมานะครับ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็มันเป็นงานเลี้ยง ผมคงต้องคุยกับคนอื่นบ้าง แล้วก็คงไม่ดีถ้าจะให้พี่วินทร์ตามไปเฉยๆ โดยไม่คุยด้วย”

“ไม่เป็นไรฉันชินแล้ว”

“แต่ผมไม่ชินนี่นา”

“นายก็เอาหมอนี่ไปด้วยสิ” วินทร์พยักเพยิดไปทางกฤตที่รีบยืดอกขันอาสาทันที

“เรื่องปาร์ตี้ไว้ใจพี่ได้”

“ผมไม่อยากให้เขาไปด้วย”

“ทำไมล่ะ”

“คนต้องเข้ามาทักเรื่องที่ป่วยเยอะแน่ๆ พี่วินทร์ยิ่งเป็นที่รู้จักอยู่ บางคนผมก็ไม่รู้จัก ผมไม่อยากวุ่นวาย เพื่อเป็นการตัดปัญหาเขาไม่ต้องไปน่ะดีแล้ว ส่วนพี่วินทร์ไม่ต้องไปเพราะเหตุผลที่ผมบอกไปแล้ว และจะได้อยู่เฝ้าเขาด้วย”
วินทร์หน้ายู่แต่ก็ยอมตอบตกลง “เอาแบบนั้นก็ได้”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่11 ที่ปรึกษา P.29 [9/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-01-2019 20:46:04
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

เย็นวันนั้นหลังจากขับรถกลับมาส่งวินทร์กับกฤตที่คอนโด นรกรก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดออกไปงานเลี้ยง ทิ้งให้สองหนุ่มอยู่ด้วยกัน

เวลาผ่านไปจนเริ่มดึกพอสมควรจู่ๆ กฤตก็พูดขึ้นกับคนที่นั่งดูทีวีสบายใจเฉิบ “นี่นายน่ะปล่อยแฟนไปคนเดียวแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ”

“ทำไม” วินทร์ถามกลับ

“นายน่าจะคิดได้นี่นาว่าคนที่ควรเฝ้าไม่ใช่ฉัน แต่เป็นแฟนนายมากกว่า”

“ไม่ต้องมาคิดแทนพวกเราหรอกน่า”

“ก็ไม่ได้อยากคิดแทนหรอกนะ ถ้าไม่ได้บังเอิญรู้มาว่าแฟนนายโกหก”

วินทร์ค่อยหันหน้ามา “เรื่องอะไร”

“เรื่องที่ไปกินเลี้ยงนั่นไง” กฤตตอบ “ที่บอกว่าไม่อยากให้นายไปเพราะไม่อยากให้นายเซ็ง แต่จริงๆ แล้วเขาจะไปกับไอ้ผู้แทนยาคนนั้นต่างหาก”

“แล้วนายรู้ได้ยังไง”

“เมื่อเย็น ตอนที่จะกลับบ้าน ฉันเห็นรุ่นน้องนายที่ชื่อวัฒน์กับโจ้น่ะ คุยกันเรื่องอยู่เวรวันนี้ ลักษณะไม่เหมือนคนจะไปงานเลี้ยงเลย แล้วฟังจากที่แฟนนายพูด ก็ดูเหมือนว่าทั้งพ่อแม่นายกับอาจารย์อีกคนก็ไม่ได้ไป”

“ก็แค่ไปคนเดียวแล้วเกี่ยวอะไรกับหมอนั่น” วินทร์ว่า

“เมื่อกี้ตอนลุกไปเข้าห้องบังเอิญไปเห็นไอ้นี่เข้า” กฤตหันหน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือซึ่งเป็นเครื่องใหม่ของวินทร์ที่นรกรเพิ่งซื้อให้เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาให้ดู “ฉันเห็นมันสั่นๆ เลยหยิบมาดู มันบอกให้สแกนลายนิ้วมือ แล้วพอแตะไปปุ๊บภาพมันก็เด้งขึ้นมาปั๊บ… ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูนะ”

วินทร์จ้องเขม็งไปที่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเป็นภาพคนรักของตนถ่ายคู่กับหนุ่มหน้าตี๋ในลักษณะเซลฟี่ในงานเลี้ยง หากสิ่งที่ทำให้ตกใจมากกว่าคือภาพนั้นถูกส่งผ่านมาทางแอปพลิเคชั่นไลน์ในชื่อของนรกร เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของโทรศัพท์ถึงได้ให้คนอื่นเข้ามายุ่มย่ามได้ถึงขนาดนี้ “มีรูปอื่นไหม หรือมีข้อความอะไรอีก”

“มันต้องเปิดยังไงล่ะ” กฤตถามกลับ

วินทร์ชะโงกหน้าเข้ามาอธิบาย “กดปุ่มข้างบน… นั่นแหละ แล้วเลื่อนขึ้นลงดูสิ”

“ดูเหมือนจะมีรูปเดียวนะ” กฤตว่าหลังจากลองทำตาม “จะเอายังไง จะให้ฉันส่งข้อความกลับไป โทรหา หรือว่าจะไปตามไหม”

“ไม่ล่ะ” วินทร์ตอบ “หมอนั่นคงแกล้งทำเป็นขอถ่ายรูปด้วยโดยใช้มือถือฮาร์ฟแล้วพอตอนจะให้ส่งรูปให้ก็แกล้งทำเป็นกดผิดส่งมาหาฉันเพื่อยั่วให้ฉันโกรธเฉยๆ น่ะ อีกอย่างฮาร์ฟก็บอกไม่ให้ฉันไป ฉันก็จะไม่ไป เขาคงมีเหตุผลของเขา บางครั้งงานประชุมมันก็งานเล็กๆ น่ะ ใช่ว่าจะต้องยกโขยงกันไปทั้งหมดแล้วก็ไม่ใช่มีแค่คนของที่เราที่ได้รับเชิญ แต่คนจากมีโรงพยาบาลหรือหน่วยงานอื่นมาร่วมด้วย”

“ฟังดูมีเหตุผลดี แต่เป็นฉัน ฉันไม่โอเคว่ะ” กฤตไหวไหล่ “แล้วแต่นายนะ ก็แค่พูดในมุมมองของฉันให้ฟังเฉยๆ… เฮ้ยๆ มีอะไรส่งมาอีกแน่ะ” เขาอุทานพร้อมกับหันภาพมาให้ดู

มันเป็นภาพเสื้อเชิ้ตสีพื้นเรียบๆ ที่ถูกถืออยู่ในมือข้างหนึ่ง ซึ่งวินทร์จำได้ทันทีว่ามันเป็นเสื้อของใครโดยไม่ต้องพึ่งการเลื่อนกลับไปดูภาพที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้ และครั้งนี้ฉากหลังที่โผล่มานิดหน่อยนั้นเปลี่ยนไปห้องที่มีเตียงนอนหลังใหญ่

“เปลี่ยนใจไหม” กฤตถามอีกครั้ง

วินทร์ไม่ตอบ ได้แต่นั่งนิ่ง นัยน์ตาเครียดเขม็ง สองมือกำเป็นหมัดแน่น

OOOOOO

หลังจากส่งภาพเสร็จ ภาษิตก็กดลบประวัติการคุยทั้งหมดเพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานให้ทางนี้เห็น เขากระหยิ่มกับตัวเองที่แผนสำเร็จ ทีแรกก็คิดว่าจะใช้โทรศัพท์ตัวเองส่งเองแต่แบบนี้น่าจะสะใจมากกว่า ถึงจะเจ็บใจหน่อยๆ ที่รหัสปลดล็อกของโทรศัพท์เครื่องนี้จะเป็นวันเกิดของคนที่เขาเพิ่งส่งข้อความหา แต่ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่หาข้อมูลของอีกฝ่ายมาเป็นอย่างดี

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะครับ”

เสียงของนรกรดังขึ้นด้านหลัง ภาษิตรีบวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะตรงที่เจ้าของวางทิ้งไว้แล้วหันไปตีหน้าซื่อให้คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ “ไม่เลยครับ ผมเองต่างหากที่ทำให้คุณลำบาก เพราะไม่ทันระวังผมเลยทำไวน์หกใส่เสื้อคุณเปื้อนหมดเลย”

นรกรก้มลงมองเสื้อตัวใหม่ที่สวมใส่อยู่พอดีว่าฝั่งตรงข้ามของห้องจัดเลี้ยงซึ่งอยู่ในโรงแรมนั้นเป็นร้านขายเสื้อผ้าพอดี ภาษิตที่อยากไถ่โทษจึงรีบไปซื้อมาให้เขาเปลี่ยนเพื่อจะกลับไปประชุมต่อได้ วินทร์จะต้องบ่นหูชาแน่ๆ เรื่องที่ไม่ระวังแต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะตอนนั้นเขามีเรื่องให้คิดหนักอยู่ คือเรื่องที่พี่เพ็ญโทรกลับมา

“สวัสดีค่ะ” เสียงปลายสายทักทาย “พอดีเห็นว่าโทรมาหลายรอบมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ"

“นั่นพี่เพ็ญใช่ไหมครับ”

“ค่ะ ใช่ค่ะ”

“ผมชื่อนรกรนะครับเป็นหมอที่ทำงานโรงพยาบาลเดียวกันครับ”

“แล้วคุณหมอโทรหาพี่มีธุระอะไรคะ”

“คือผมอยากทราบเรื่องคุณพลูเพื่อนพี่เพ็ญน่ะครับ พอดีมีคนรู้จักมาถามหา”

“คนรู้จักของคุณหมอคือใครเหรอคะ” เพ็ญย้อนถาม

“เอ่อ… เพื่อนของคุณกฤตน่ะครับ”

ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นปลายสายเสียงเปลี่ยนไปทันที “นี่คุณหมอล้อพี่เล่นเหรอคะ”

“เปล่าครับ… ผมไม่ได้…”

“คนตายไปตั้งนานแล้วจะมาอะไรกันอีก ฝากบอกเพื่อนคุณกฤตอะไรนั่นของคุณหมอด้วยว่าปล่อยให้เธอหลับให้สบายเถอะค่ะ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย แค่นี้เธอก็น่าสงสารมากพอแล้ว”

“เดี๋ยวนะครับพี่เพ็ญพูดเรื่องอะไร… คุณพลูเสียแล้วเหรอครับ”

“หลังจากจัดงานศพคุณกฤตได้ไม่นานค่ะ”

นรกรอึ้งไปทันที “เอ่อ… ผมขอเสียมารยาทถามหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมเธอถึงไม่ไปงานศพคุณกฤต”

“เธอไปค่ะ” เพ็ญตอบ “เธอไปทุกวันเลย แต่ทำได้แค่ยืนร้องไห้อยู่หน้างานเพราะแม่คุณกฤตไม่ให้เข้างาน เดิมคุณแม่ก็เกลียดเธอมากอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นก็ยิ่งไปกันใหญ่ ให้คนจับเธอลากออกจากงานเหมือนหมูเหมือนหมาแถมยังด่าทอไม่มีชิ้นดี ทั้งที่เธอก็แค่อยากไปเห็นหน้าคุณกฤตเป็นครั้งสุดท้ายก็เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่พี่ก็ห้ามแล้วแท้ๆ ว่าจะไปทำไมในเมื่อเลิกรากันไปแล้ว”

นรกรเหมือนโดนเหวี่ยงหมัดใส่จนมึนไปหมดกับความจริงอีกด้านที่เพิ่งได้รับรู้ โดยเฉพาะกับประโยคสุดท้ายที่พี่เพ็ญบอกเรื่องจดหมาย

“ตอนไปทำงานที่ต่างจังหวัด พลูเขียนจดหมายหาเขาทุกวัน แต่เป็นเขาต่างหากที่ไม่เคยตอบเธอเลย สิ่งเดียวที่เธอได้รับมาคือซองสีชมพูใส่การ์ดงานแต่งงานของเขากับผู้หญิงอีกคน”

“พี่เพ็ญแน่ใจนะครับ… คือผมหมายถึงว่า…”

“ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรือว่าแกล้งกันเล่นแน่นอนค่ะ” เพ็ญยืนยัน “ในจดหมายมีข้อความบอกเลิกมาด้วย และมันเป็นลายมือเขาไม่ผิดแน่ค่ะ”

จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้เชื่อใจกฤตร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหากว่าเรื่องที่โกรธแค้นกันนั้นเป็นความจริง เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเรื่องจดหมาย เรื่องการ์ดแต่งงาน หรือแม้กระทั่งเรื่องไม่ไปงานศพ

และในขณะที่กำลังพยายามรวบรวมความคิดอยู่นั้นภาษิตก็เข้ามาสะกิดจากทางด้านหลัง ทำให้เขาตกใจหันไปชนกันจนเครื่องดื่มหกแล้วก็โดนพามาที่นี่นี่แหละ


“เรารีบกลับไปในงานกันเถอะครับ” นรกรบอก

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ คุณนั่งพักที่นี่อีกสักหน่อยดีกว่า สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย” ภาษิตกล่าว

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่มีเรื่องคิดนิดหน่อย” นรกรบอกความจริงครึ่งเดียว เพราะคงจะฟังดูไม่ดีถ้าจะให้พูดตรงๆ ว่าเขาเป็นคนเกลียดงานเลี้ยงและสถานที่ที่มีคนเยอะๆ “แล้วผมต้องไปสรุปการประชุมวันนี้ให้อาจารย์สรวิชญ์ฟังด้วย”

“เดี๋ยวผมอธิบายให้คุณฟังเองทีหลังก็ได้ครับ”

นรกรอึกอักเพราะเท่าที่ได้ฟังมาเขาคิดว่าผลการรักษาที่คนไข้ได้รับกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มมันไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ ในเมื่อมียาอีกตัวที่สามารถทดแทนกันได้และราคาถูกกว่าที่บริษัทของภาษิตนำเสนอ ถ้าเขาทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนเรื่องนี้คงไม่เป็นปัญหา แต่ในเมื่อคนไข้ส่วนใหญ่ที่เขาดูแลนั้นใช้สิทธิ์การรักษาของรัฐและไม่ได้มีเงินทองมากมายที่จะจ่ายได้ในระยะยาวขนาดนั้น

ดูเหมือนภาษิตจะอ่านความเงียบนั้นออก “ท่าทางคุณก็ไม่เห็นด้วยเหมือนคุณพ่อของคุณสินะ”

นรกรย่นคิ้ว พอลองมาคิดทบทวนดูแล้วที่พ่อของเขาไม่มางานนี้ก็คงไม่ใช่แค่เพราะปัญหาสุขภาพ แต่ไม่มาเพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่เซ็นอนุมัติแน่นอน แม่จึงมาขอร้องเขาให้มาแทนเพื่อไม่ให้เสียมารยาทมากกว่า 

เขาเหลือบตามองภาษิตที่ดูมีสีหน้าผิดหวังไปถนัดและค่อยๆ เดินไปนั่งลงข้างๆ “ผมขอโทษนะครับ”

“มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ จะทำอย่างไรได้ก็ของมันไม่ดีจริงๆ นี่นา” ภาษิตกล่าว “แต่ถึงอย่างนั้นหน้าที่ของผมคือนำเสนอขาย ถ้าขายไม่ได้ ทำยอดไม่ถึงผมก็คงถูกหัวหน้าตำหนิแล้วนี่ก็จะสิ้นปีแล้วผมยังทำสัญญาซื้อขายกับที่ไหนไม่ได้เลยอาจจะมีผลต่อการทำสัญญาจ้างงานปีหน้าด้วย… ตอนนี้พ่อผมก็ป่วยอยู่ด้วยถ้าโดนให้ออกจริงๆ คงแย่เลย”

ภาษิตถอนหายใจยืดยาวแล้วก็เงียบไป นรกรขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะไม่รู้จะพูดหรือจะปลอบว่าอะไร ก็เป็นทางนั้นเองที่ทำลายความเงียบขึ้นมา

“ผมขอโทษนะครับที่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาพูดให้คุณฟังเยอะแยะเลย มันเป็นปัญหาของผมที่ต้องแก้ไขเองแท้ๆ… ขอโทษนะครับ”

“พ่อคุณป่วยเป็นอะไรหรือครับ” นรกรถาม

“เป็นโรคธาลัสซีเมียน่ะครับ พ่อเข้าออกโรงพยาบาลตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ตอนเด็กๆ เวลาเห็นพ่อป่วยทรมานไม่หายสักที ตอนเลือดจางมากๆ จนต้องให้เลือดก็หอบกันสองคนพ่อลูกมากินนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นช่วงเวลาที่ลำบากใช้ได้เลยล่ะครับ”

“แล้วคุณแม่คุณล่ะครับ”

“แม่ผมเสียตั้งแต่ตอนผมเกิดแล้วครับ” ภาษิตบอก “ผมอยู่กับพ่อสองคน”

“เสียใจด้วยนะครับ” นรกรกล่าวเสียงแผ่ว

ภาษิตรีบโยกมือว่าไม่ถือสาพร้อมทั้งเล่าต่อ “ตอนที่มาเฝ้าพ่อ พวกคุณพยาบาลใจดีกับผมมาก พ่อบอกว่าแม่ผมก็เป็นพยาบาลเหมือนกัน ใส่ชุดขาวสวยเหมือนนางฟ้าเลย ตอนนั้นผมเคยคิดอยากเป็นหมอด้วยนะเพราะอยากทำงานสายวิชาชีพเดียวกับแม่แล้วก็อยากรักษาพ่อให้หาย”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่เป็นล่ะครับ”

“พ่อผมไม่อยากให้เป็นน่ะสิครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ดูท่าพ่อจะเกลียดหมอมากจนถึงขั้นประกาศว่าถ้าผมไปสอบหมอจะไล่ออกจากบ้านเลยนะ ผมก็เลยเบนเข็มมาเรียนเภสัชฯ แล้วก็มาทำงานที่บริษัทยาแทน จริงๆ อยากทำพวกงานวิจัยครับแต่ตำแหน่งเต็ม บริษัทเสนองานนี้ให้เพราะขาดคน ผมเลยทำไปก่อนครับดีกว่าอยู่ว่างๆ เพราะที่บ้านต้องใช้เงินเยอะ แล้วเนื้องานก็ทำให้ได้เรียนรู้ข้อดีข้อเสียของยากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ไม่เลวเท่าไหร่ครับ” ภาษิตเล่าไปยิ้มไปก่อนจะหันมาสบตานรกรพร้อมกับหยอดทิ้งท้าย “แต่ถึงไม่ได้เป็นหมอ ขอมีแฟนเป็นหมอก็ยังดีนะครับ”

สายตาที่มองมาลึกซึ้งเสียจนนรกรต้องรีบหลบตา “ผมมีแฟนอยู่แล้วนะครับ”

ภาษิตถอนหายใจ “ผมไม่อยากเห็นคุณเถียงแทนผู้ชายห่วยๆ พรรค์นั้นเลยให้ตายสิ!”

“พี่วินทร์ไม่ใช่ผู้ชายห่วยๆ” นรกรพูดขึ้น “เขาอาจไม่ใช่คนที่เพอร์เฟค แต่เขาก็เป็นคนที่ผมเลือกแล้ว”

“ผมไม่เถียงกับคุณเรื่องนี้หรอก ยังไงผมก็คงไม่ชนะอยู่ดี” ภาษิตว่าพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เรากลับไปที่งานกันเถอะครับ  ออกมาก็นานมากแล้ว”

ในระหว่างที่นรกรเดินตามหลังภาษิตออกไป ภาพเด็กชายที่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลตั้งแต่เด็กซ้อนทับขึ้นมาบนแผ่นหลังของชายหนุ่ม เขาเองก็เข้าออกที่นี่ตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาก็ยังทำงานที่นี่ได้เห็นความลำบากของผู้ป่วยและครอบครัวมามาก นั่นทำให้นรกรเข้าใจความจำเป็นจองภาษิตและรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา ถึงจะยังไม่แน่ใจนักแต่ตอนที่กำลังจะแยกกันเขาก็ลองพูดออกไป

“เรื่องยาน่ะครับคุณพาส”

“ทำไมหรือครับ”

“ถ้าหากคุณสามารถนำเสนอข้อดีของมันได้อีกสักนิดหรือว่าทางบริษัทคุณสามารถลดราคาสินค้าลงมาอีกสักสักหน่อยให้ใกล้เคียงกับยาตัวเดิมที่ใช้อยู่ได้ผมอาจช่วยคุณพูดกับศาสตราจารย์สรวิชญ์ให้ลองคิดดูอีกทีได้นะครับ”

“เรื่องราคานี่คงยากครับ แต่ผมจะลองปรึกษากับหัวหน้าดู” ภาษิตกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่นขึ้น “ขอบคุณมากนะครับ คุณเป็นคนดีจริงๆ”

“ไม่หรอกครับ ผมก็แค่มองถึงประโยชน์ของคนไข้เป็นสำคัญมากกว่า เพราะถ้ามันช่วยได้จริง ราคายาเทียบกับราคาชีวิตแล้วผมคิดว่ามันคุ้มค่าอยู่ แต่บังเอิญว่าคนทุกคนไม่ได้กำลังทรัพย์มากขนาดนั้น เอาไว้เป็นทางเลือกให้คนที่พร้อมก็ไม่น่าเสียหายอะไร”

ภาษิตยิ้มกว้าง “คุณดีกับผมขนาดนี้ ผมก็ตัดใจจากคุณไม่ได้สักทีน่ะสิครับ”

“แล้วทำไมผมต้องทำเรื่องไม่ดีกับคุณเพื่อให้คุณตัดใจจากผมด้วยล่ะครับ” นรกรถามกลับ

“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือครับ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับตรรกะนี้เท่าไหร่”

“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะครับ”

นรกรเงียบไปอึดใจเพื่อเรียบเรียงคำพูด “ผมคิดว่า… ถ้าคนสองคนจับมือกันแน่นพอแค่นั้นก็เพียงพอแล้วครับ”

“ถ้างั้นคุณคงไม่เคยได้ยินคำว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนสินะครับ” ภาษิตพูดยิ้มๆ “แล้วก็…”

“แล้วก็อะไรครับ”

“มือที่สามน่ะมันไม่ได้จำเป็นต้องแทรกตรงกลาง แต่เข้าข้างๆ ก็ได้นะครับ”

“เข้าข้างๆ” นรกรทวนคำ “ยังไงครับ”

“ก็แบบนี้ไงครับ” พูดจบภาษิตก็อาศัยจังหวะที่นรกรไม่ทันได้ตั้งตัวยื่นหน้าเข้าไปหอมที่ข้างแก้ม

“คุณ…”

“ฝันดีนะครับ” ภาษิตกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

นรกรกุมแก้มข้างที่โดนขโมยสัมผัสแน่น ความร้อนจากริมฝีปากยังคงไม่จางเช่นเดียวกับแก้มขาวที่ซับสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกไม่ดีพอๆ กับที่รู้สึกผิดต่อคนรัก เขาพยายามใช้มือถูเพื่อลบรอยนั้นออกไปพลางหมุนตัวจะกลับไปขึ้นรถบ้างเมื่อเสียงเรียกชื่อดังขึ้น

“ฮาร์ฟ”

นรกรสะดุ้งเบาๆ กับความดุที่เจือมาในน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยนั้น เขาค่อยหันไป

คณิณยืนกอดอกจ้องเขม็งอยู่ไม่ไกล เขาเองก็ได้รับเชิญให้มาร่วมประชุมในงานนี้ด้วย บังเอิญเดินออกมาเข้าห้องน้ำแล้วหลบมายืนคุยโทรศัพท์กับภรรยาก็หันมาเห็นเข้าพอดี “ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ผม…”

“ฉันเห็นตั้งแต่ต้นจนจบน่ะแหละ” คณิณพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ตั้งแต่ตอนไหนครับ”

“ตอนที่พวกนายเดินออกมาจากห้องจนกระทั่งมายืนหอมแก้มกันตรงทางเดินพร้อมกับบอกลาฝันดีครับ” คณิณว่า

“พี่ปอเข้าใจผิดนะครับ”

“ฉันว่าฉันเข้าใจถูกนะ” คณิณสวนกลับ “ระหว่างนายกับวินทร์มันยังไงกันแน่ ทางนั้นก็เพิ่งจะมีข่าวฉาวไป ส่วนนายก็…”

“ผมบอกว่าพี่ปอเข้าใจผิดไงครับ” นรกรย้ำคำเดิม “เขาทำไวน์หกใส่เสื้อผมก็เลยพามาเปลี่ยน เห็นว่านี่เป็นห้องพักที่บริษัทจองเผื่อไว้สำหรับพนักงานที่บ้านอยู่ไกล”

“แล้วที่เขาหอมแก้มนายเมื่อกี้ล่ะ”

“ผมแค่ไม่ทันระวังตัว”

คณิณเลิกคิ้ว “ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเชื่อ แต่มุกนี้ใช้ไม่ได้กับคนที่เคยคบกับนายมาถึงสามปีแบบฉัน… ขนาดเป็นแฟนกันแล้วจะจับมือยังยาก แล้วนี่ต้องขาดความระวังตัวขนาดไหนถึงพลาดให้เขาทำได้ถึงขนาดนั้น”

“ผมก็แค่…”

“นายจะเลิกหรือจะคบใครฉันไม่ว่าหรอกแต่ช่วยทำให้มันถูกต้องหน่อย แบบนี้มันทำเหมือนต่างคนต่างมีชู้แล้ว…”

“พี่ปอกำลังเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะครับ”

คณิณยกมือขึ้นกอดอกมองคนที่เถียงเขาเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แล้วนี่ไอ้วินทร์ไปไหนทำไมไม่มากับนาย”
“พี่วินทร์ยังไม่หายดี ผมเลยไม่อยากให้เขามาออกงานครับ”

คณินย่นคิ้ว เป็นอีกครั้งที่คำตอบนั้นฟังดูเข้าที แต่เวลาที่พูดโกหกนรกรจะไม่ยอมสบตา ถึงตอนนี้อีกฝ่ายจะไม่หลบตาเขา หากเขาก็เห็นเงาของความกังวลที่ซ่อนอยู่ข้างหลังนัยน์ตาสีอ่อนนั้น คณิณลดมือที่กอดอกไว้ลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “ฟังนะฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ฉันไม่ได้หึง ไม่ได้หวงแต่ฉันเป็นห่วง ในฐานะผู้ชายคนนึงที่เคยรักนายมากและตอนนี้ก็ยังรักอยู่แม้จะไม่ใช่ในสถานะเดิมก็ตาม” คณิณพูดพลางวางมือลงบนไหล่และบีบเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ฮาร์ฟ นายไม่ได้อยู่คนเดียว นายยังมีฉันนะ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่ามีปัญหาอะไรนายสามารถปรึกษาหาฉันได้ทุกเรื่อง ขอแค่นายพูดมาฉันพร้อมรับฟังและช่วยนายเสมอ เหมือนที่นายกับวินทร์ช่วยฝน และลูกของฉัน”

นรกรมองตาคนตรงหน้า แวบหนึ่งในหัวใจที่เหมือนย้อนวันกลับไปเป็นน้องปีหนึ่งที่มีปัญหาอะไรก็วิ่งไปหาพี่ปีสองแล้วบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอัดแน่นอยู่ในใจนับตั้งแต่วันที่วินทร์โดนรถชนออกมา แต่ตอนนี้เขาทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“ขอบคุณครับ” นรกรตอบ พยายามส่งยิ้มกลับไปให้อีกฝ่ายเบาใจทว่ามันก็ดูแห้งเหี่ยวเต็มที “แต่ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”

คณิณถอนหายใจ ไม่มีทางใดเลยที่เขาจะเปิดปากคนปากหนักที่ชอบเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวได้ เขาจึงยื่นข้อเสนอใหม่ที่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ปฏิเสธ “พรุ่งนี้ฉันจะพาสายฟ้ากับสายรุ้งไปฉีดวัคซีน นายกับวินทร์ช่วยเคลียร์คิวตอนเที่ยงให้ว่างไว้ด้วย ฉันกับฝนอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณพวกนายน่ะ”

“ผมไม่…”

“ถ้านายไม่ได้โกหกฉันเรื่องที่ว่าไม่เป็นอะไร แค่กินข้าวด้วยกันแค่นี้ไม่น่ามีปัญหานะ” คณิณรีบพูดขึ้นก่อน

นรกรจึงต้องตอบตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ครับ”

“เจอกันที่ร้านมิดไนท์นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พาลูกฉีดวัคซีนเสร็จฉันจะโทรหาอีกที”

“ครับ”

พอตกลงกันได้คณิณก็บอกลา นรกรขับรถกลับบ้าน ระหว่างที่ลิฟต์วิ่งขึ้นมาที่ห้อง เขาก็พยายามไล่ความกังวลออกจากหัว และปั้นหน้าให้เป็นปกแล้วเปิดประตูเข้าไป

“ฮาร์ฟเกิดอะไรขึ้น ทำไมกลับมาดึกป่านนี้”

หากทันทีที่ได้ยินเสียงความพยายามที่จะทำให้เหมือนไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นก็แทบจะพังลงง่ายดาย เพราะผู้ชายคนนี้คือคนเพียงคนเดียวที่เขาอยากจะแชร์ทุกๆ เรื่องให้ฟัง ยิ่งเห็นร่างโปร่งแสงโผเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วงก็อยากจะจับมือแล้วนั่งเล่าให้ฟังว่างานประชุมเครียดแค่ไหน ความอึดอัดที่ต้องทนอยู่กับคนหมู่มากในงานเลี้ยง เรื่องที่โดนภาษิตขโมยหอมแก้ม รวมทั้งเรื่องที่โดนคณิณเห็นและเข้าใจผิดไปกันใหญ่ แต่อีกใจก็คิดว่ามันเล็กน้อยเกินไปที่จะทำให้วินทร์ต้องมากังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่เล่า

“ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัวไปนอนก่อนนะ”

“ไม่มีอะไรแล้วหลบตาฉันทำไม นายมีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า”

นรกรหยุดฝีเท้า เป็นเรื่องยากที่จะโกหกคนที่อยู่ด้วยกันเกือบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง เขากัดปากแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปหา “ปิดบังเรื่องอะไรครับ”

วินทร์กวาดตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยุดลงที่เสื้อซึ่งไม่ใช่ตัวที่ใส่ไปแล้วตวัดขึ้นสบสายตา เขาไม่ได้โกรธแต่เขาต้องการคำอธิบาย หากนรกรก็เอาแต่เงียบ เขาจึงพูดเลี่ยงๆ “ก็หน้าตานายดูอิดโรยขนาดนั้น แค่ไปกินเลี้ยงทำไมถึงดูแย่ขนาดนี้”

“ผมแค่เหนื่อยน่ะครับ ไม่มีอะไร”

“เจอหมอนั่นหรือเปล่า”

“ใครครับ”

“ภาษิต”

นรกรนิ่งไปอึดใจ “ไม่ครับ ไม่เจอ”

“เหรอ แปลกนะที่หมอนั่นไม่มา” วินทร์พึมพำ

“ผมขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ” นรดรตัดบท และในตอนที่กำลังจะเดินสวนวินทร์ไป อีกฝ่ายก็พูดขึ้น

“รู้อะไรไหมฮาร์ฟ คำโกหกที่หอมหวานมันเจ็บกว่าความจริงที่ขมขื่นเยอะเลยนะ”

นรกรไม่ถามหรือตอบรับใดๆ เขาเพียงแค่เงียบและเดินเข้าห้องไป ซึ่งวินทร์ทำได้แค่ยืนมองตามหลังไปเท่านั้น

“ความเชื่อใจมันก็เหมือนกับแก้วน่ะแหละ” กฤตที่แอบมองดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้น “ดูแข็งแรงแต่เพียงแค่กระทบเบาๆ ก็ร้าวเสียแล้ว… ทั้งเปราะบางและก็ทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก”

*************************************************** TBC***************************************************
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 19-01-2019 21:33:14
งุ้ย..ยยยย ปัญหาทับซ้อน    :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 19-01-2019 22:58:34
 :katai1: :katai1: :katai1:
โอ๊ยยยยยย.. น้องฮาร์ฟคะ.. อย่าทำให้เรื่องมันกดดันซิคะลู๊กกกก.... โดนรังแกเราต้องฟ้องนะคะลูก.. ฟ้องทุกคนเลยค่ะ.. ผู้ๆทั้งหลายรอบตัวพร้อมช่วยเหลือเสมอนะคะ.. ให้เวลานอนคิด1คืนนะคะ.... ตื่นมาแล้วฟ้องให้หมดเลยนะคะ.. หลายหัวดีกว่าหัวเดียวแน่นอน.เพราะปัญหาไม่ใช่จองเราผู้เดียว.เราจะคิดเองเออเองไม่ได้นะคะ...  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-01-2019 23:52:10
ฮาร์ฟ นายจะเก็บกดไปทำไม จะเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวทำไม บ้าที่สุด
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 20-01-2019 00:22:10
สงสารฮาร์ฟ เลือกที่จะเก็บไว้หมด แบบนี้ไม่ได้นะลูก
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 20-01-2019 10:44:47
อะไรกันๆคุยกันสิอย่าคิดแทนคนอื่น :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 20-01-2019 17:56:18
ไม่เอาแบบนี้ รู้สึกเสียใจ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 21-01-2019 18:49:40
โอยยยยยย คนอ่านจะทนไม่ไหวแล้วค่ะ
เข้าใจกันไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 21-01-2019 22:31:23
ไม่เข้าใจอ่ะ แบบฮารืฟควรคุยควรเล่าอะไรบ้างนะ นี่คบกันมาตั้งนานแล้วอ่ะ กับเรื่องพวกนี้ควรคุยกันนะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 22-01-2019 03:31:12
งื้อออออ....ทำไมความกดดันมันสูงปรี๊ดจนแทบระเบิดไปเสียทุกเรื่อง
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 30-01-2019 12:24:16
ทำไมฮาร์ฟไม่ยอมบอกความจริงกับวินทร์
จะปิดเพื่ออะไร ทำไมต้องโกหกว่าไม่ได้เจอพาส
แบบนี้ยิ่งผิดปกติไปใหญ่

ส่วนเรื่องกฤตฮาร์ฟก็ต้องรีบบอกเรื่องพลูนะ ก่อนที่กฤตจะไปแก้แค้น คนไข้ที่อยู่บนเตียงคนนั้น
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 30-01-2019 20:18:17
ลุ้นมากไม่ไหวแล้ว อยากอ่านต่อแล้วจ้า :sad4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่12 ความจริงอีกด้าน P.29 [19/01/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-02-2019 20:24:42
บทที่ 13 สารภาพ

“วันนี้พี่ปอนัดกินข้าวเที่ยงที่ร้านมิดไนท์นะครับ” นรกรเอ่ยขึ้นเรียบๆ ขณะขับรถออกไปทำงานในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

“อืม” ร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่เบาะหลังส่งเสียงในลำคอให้รู้ว่าฟังอยู่ ถึงจะอยู่ในสภาพนี้เขาก็ไม่ชอบนั่งหลัง ถ้าหากไม่ติดว่าต้องเอากฤตไปโรงพยาบาลเขาจะชิงนั่งข้างคนขับตลอด แต่วันนี้เขากลับพุ่งไปนั่งกอดอกที่เบาะหลังก่อนใคร

“คุณฝนกับลูกก็ไปด้วย เขาอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณครับ” นรกรให้ข้อมูลเพิ่ม

“ก็ไปสิ” วินทร์ตอบเสียงห้วน

“พี่ปอชวนพี่วินทร์ด้วยนะครับ”

“ไปก็ไป” วินทร์ว่าก่อนจะหันไปพูดกับกฤต “นายก็ช่วยเล่นละครเนียนๆ หน่อยละกันนะ”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา” กฤตที่นั่งข้างคนขับตอบพลางเหลือบตามองคนนั้นทีคนนี้ที ตอนกินข้าวเช้าว่าแปร่งๆ แล้วแต่มานั่งรวมๆ กันในห้องโดยสารแคบๆ แบบนี้ยิ่งออกอาการชัด บอกตรงๆ ว่าเขาหมั่นไส้สองคนนี้เวลาอี๋อ๋อกัน แต่บรรยากาศที่จะโกรธก็ไม่ใช่จะดีกันก็ไม่เชิงแบบนี้มันน่าอึดอัดกว่ากันเยอะเลย เหมือนสงครามประสาทที่รอว่าใครจะทนไม่ไหวแล้วระเบิดออกมาก่อนกัน “แต่ก่อนจะไปฉันขอถามเพื่อเป็นข้อมูลหน่อยจะได้ทำตัวถูก… พี่ปอนี่คือหมอคนที่มีเรื่องกันวันนั้น เขาเป็นแฟนเก่านายที่ตอนนี้แต่งงานไปแล้วกับผู้หญิงที่ชื่อฝนแล้วก็มีลูกฝาแฝดชื่อสายฟ้ากับสายรุ้งใช่ไหม”

“ฝนเป็นน้องแถวบ้านที่ฉันสนิทมาตั้งแต่เด็ก แล้วฉันก็เคยชอบเขามากด้วย” วินทร์เสริม เขาจงใจเน้นคำว่าคนที่เคยชอบพลางเหลือบตามองปฏิกิริยาของนรกรซึ่งยังมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิม

“เรื่องซับซ้อนไปอีก” กฤตไหวไหล่ “มีอะไรที่ฉันควรรู้อีกไหม”

“ฝนน่าจะเล่าเรื่องอาการกับพัฒนาการลูกให้ฟัง นายก็เออออตามฮาร์ฟไปน่ะแหละ รีบกินแล้วก็รีบกลับไม่ต้องนั่งนาน”

“ตามนั้น” กฤตรับคำ

รถเลี้ยวเข้าจอดพอดี กฤตเปิดประตูลงจากรถและพูดขึ้น “นัดเที่ยงใช่ไหม ถ้างั้นฉันขอไปทำธุระนะ”

“คุณจะไปไหนครับ” นรกรถาม

“ไปนั่งรำลึกความหลังน่ะ” กฤตตอบโดยไม่ขยายความอะไรเหมือนทุกครั้งและทำท่าจะเดินไปนรกรจึงถามต่อ

“ตอนนี้คุณยังฝันร้ายอยู่ไหมครับ”

“ฝันอะไร” กฤตถาม

“ฝันที่ว่ากลับไปที่เดิม ไปขับรถชนตรงสี่แยกนั่น”

กฤตหันกลับมาสบตานรกรอยู่อึดใจ “มันยังเจ็บเหมือนยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา”

“แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงต้องย้อนกลับไปที่นั่น… ผมหมายถึงคุณจำเหตุการณ์อื่นๆ ในวันนั้นได้อีกไหม ผมคิดว่ามันต้องมีเหตุผลที่คุณต้องเจอเรื่องเดิมๆ”

“ไม่น่ามีอะไรมากไปกว่าเรื่องที่ฉันโดนหักหลัง” กฤตตอบ

“แล้วถ้ามันไม่อย่างที่คุณคิดล่ะ” นรกรถาม “ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้หักหลังคุณแต่เป็นแค่การเข้าใจผิด…”

“จะเข้าใจผิดได้ยังไง ในเมื่อฉันเห็นเต็มสองตาว่าเธอกอดจูบอยู่กับไอ้หมอนั่น!” กฤตโพล่งออกไปเสียงดัง เขาหอบหายใจแรงด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นในอก ภาพความทรงจำในวันที่รู้ว่าโดนเพื่อนสนิทกับคนรักหักหลังปรากฏขึ้น เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนสองคนราวกับเสียงเยาะเย้ยดังสะท้อนไปมาในหัวจนรู้สึกปวดหน่วง ขอบตาร้อนผ่าว เขากลับหลังหัน “ฉันขอตัวนะ”

“คุณไม่ได้โกหกเราใช่ไหม” นรกรถามตามหลัง

“เปล่า” กฤตตอบโดยไม่หันมา ก่อนจะก้าวเดินออกไป
กฤตเดินย่ำเท้าหนักๆ ด้วยความหงุดหงิดมาตามทาง และตอนนั้นเองที่หนุ่มหน้าตี๋ปรากฏตัวขึ้น เขาพยายามเดินหนีแต่ภาษิตก็ตามมาขวางไว้ กฤตจึงจำต้องหยุดเดินและถามถึงธุระ

“มีอะไรกับผมเหรอ”

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ภาษิตบอก

“แต่ผมไม่มี”

“เห็นภาพที่ผมส่งไปเมื่อคืนแล้วก็ไม่คิดอะไรหรือครับ”

“มันไม่มีอะไรในกอไผ่ใช่ไหมล่ะ” กฤตพยายามตัดบท
 เขาไม่อยากมีเอี่ยวหรือสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรอีก

“ในกอไผ่ไม่มีแต่ข้างๆ กอไผ่ก็ไม่แน่นะครับ” ภาษิตว่า “ถ้าไม่คุณคุยงั้นดูภาพเฉยๆ ก็ได้ครับ” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดรูปแล้วส่งให้อีกฝ่ายดู “ปากบอกว่ารักคุณ ไม่ยอมเล่นกับผม เพราะจริงๆ แล้วเขายังแอบกลับไปกินกับแฟนเก่าอยู่ต่างหาก”

กฤตมองดูภาพนรกรคุยกับคณิณตรงจุดที่เป็นทางเดินของโรงแรม คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “คุณต้องการอะไร”

“ถึงขนาดนี้แล้วยังสงสัยอีกเหรอครับ… ที่ผมลงทุนขนาดนี้” ภาษิตเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเอื้อมมือมาเกาะแขนข้างหนึ่ง “ก็เพื่อแย่งคุณมาเป็นของผมไง” พูดจบก็ดึงตัวขึ้นไปหอมแก้มสากครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มหวานให้ “ไหนๆ ก็เบื่อหมอนั่นแล้ว ไม่มาเล่นกับผมหน่อยเหรอ” ภาษิตทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

พออีกฝ่ายลับสายตา กฤตก็เอ่ยขึ้น “ได้ยินแล้วสินะ”

ร่างโปร่งแสงที่แอบตามมาเดินออกมาหาจากที่หลบหลังเสา

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าคนที่นายควรตามเป็นแฟนนาย ไม่ใช่ฉัน”

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้นายมาสอน” วินทร์ว่า

“สามวันจากนารีเป็นอื่น” กฤตพึมพำ “คำโบราณไม่กล่าวเกินจริงหรอก เรื่องนี้ฉันพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว… รักแท้น่ะมันก็มีอยู่จริงพอๆ กับตัณหาราคะน่ะแหละ ครั้งก่อนก็ถึงขั้นจะต่อยกับนายเลยไม่ใช่เหรอ คนไม่คิดอะไรกันแล้วเขาไม่โกรธ ไม่ปกป้องกันขนาดนี้หรอก แถมยังมีลูกมีเมียแล้วด้วย ได้ยินว่าเลิกกันเพราะทางนั้นต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านเลือกให้นี่ แต่ก่อนหน้านั้นเขาคบกับแฟนนายที่เป็นผู้ชายได้ ฉันว่ารสนิยมคนเรามันไม่เปลี่ยนกันง่ายๆ หรอกมั้ง”

วินทร์ไม่ตอบ ได้แต่กลับหลังหันแล้วเดินย้อนกลับไป

กฤตถอนหายใจ รู้สึกผิดนิดๆ ที่ต้องใช้วิธีนี้เพื่อสลัดวินทร์ที่คอยตามตลอดเวลาให้หลุด แต่เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และถ้าเขาอยากจะแก้แค้นให้สำเร็จก็ดูเหมือนจะไม่มีวันไหนเหมาะสมไปมากกว่าวันนี้อีกแล้ว
เขามองให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไปจริงๆ จึงรีบกลับไปลงมือทำตามแผน

OOOOOO

ถึงเวลานัดนรกรก็ขับรถพากฤตกับวินทร์มาที่ร้านมิดไนท์ ทันทีที่รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิกเลี้ยวเข้ามาถึงหน้าร้าน คนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับก็ออกอาการอยู่ไม่สุข

“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถามกฤตที่เอาแต่หมุนไปหมุนมารอบๆ

“คือ… ไม่รู้เป็นเพราะว่าความจำฉันมันเว้าแหว่งหรือเพราะมันเปลี่ยนไปมากจากที่เคยจำได้… แต่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มากเลย” กฤตบอก

“ยังไงเหรอครับ”

กฤตยังไม่ทันจะตอบ คณิณก็เดินมาหาและเรียกให้เข้าไปนั่งในร้านซึ่งได้ทำการจองล่วงหน้าไว้แล้ว
บรรยากาศในร้านค่อนข้างคึกคัก สมกับเป็นร้านดังในย่านนี้

นั่งสองนั่งลงตรงข้ามกับคณิณและเพียงพิรุณในขณะที่วินทร์ยืนเล่นจ๊ะเอ๋กับฝาแฝดที่นอนกอดขวดนมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีอยู่ในรถเข็นเด็กข้างเพียงพิรุณ
“ร้านนี้บรรยากาศดีนะคะ ไม่เคยเห็นพี่ปอพาฝนมาทานบ้างเลย” เพียงพิรุณกวาดตามองไปรอบๆ ร้านที่เป็นอาคารปูนชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น ติดกระจกรอบด้านทำให้มองเห็นภายนอกที่เป็นสวนดูโปร่งสบายตา มีเคาน์เตอร์บาร์ตั้งอยู่ตรงกลางร้าน เพดานสูงทาสีเป็นลายท้องฟ้า และติดไฟดาวไลท์เป็นลวดลายซึ่งพอเปิดในช่วงกลางคืนดวงดาวสีทอง บริกรชายหญิงแต่งกายสุภาพคุมโทนตามสีประจำร้านคือเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ

“ร้านนี้ตอนกลางวันเป็นร้านอาหาร ตอนกลางคืนจะออกแนวกึ่งผับ” คณิณอธิบายให้ภรรยาฟัง สมัยเด็กๆ ที่บ้านพามากินบ่อยแต่ตอนหลังเปลี่ยนเจ้าของแล้วคุณแม่ไม่ชอบสไตล์ผับน่ะเลยไม่ได้มาอีก เห็นฮาร์ฟเล่าให้ฟังว่าร้านสวย อาหารอร่อยก็เลยอยากลองมาดูสักทีนะ”

“คุณหมอมีเมนูอะไรแนะนำฝนไหมคะ” เพียงพิรุณหันไปหานรกร

“ผมว่าอร่อยทุกอย่างแหละครับแล้วแต่คุณฝนชอบเลย” นรกรตอบ

“แล้วพี่วินทร์ว่าไงคะ จะทานอะไร” เพียงพิรุณหันไปถามคนที่ไม่พูดไม่จาเอาแต่มองไปรอบๆ ร้านอย่างสนอกสนใจ “พี่วินทร์คะ!” เพียงพิรุณเรียกเสียงดังขึ้นเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหันมา

“พี่วินทร์ครับ” นรกรสะกิด “คุณฝนเรียก”

กฤตสะดุ้งและหันมา “คุณฝนเรียกผมมีอะไรครับ”
เพียงพิรุณย่นคิ้วกับสรรพนามที่ฟังดูแปลกแปร่งแต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไร “ฝนถามว่าพี่วินทร์จะทานอะไรคะ”

กฤตเหลือบตามองนรกรที่หลิ่วตาบอกว่าให้ตอบไปสักอย่าง เขาจึงตอบเมนูแรกที่อยู่บนกระดานเมนูแนะนำของวันนี้ไป “เอ่อ… เอาเป็นปลาช่อนลุยสวนละกัน”

นรกรเม้มปากสนิท เขาคิดผิดจริงๆ ที่ให้ตอบเองเพราะวินทร์ไม่ชอบกินปลา โดยเฉพาะปลาช่อนนี่ไม่แตะเลย หวังว่าคนอื่นจะไม่สงสัย และก็เป็นโชคดีที่ไม่มีใครทัก
เพียงพิรุณพยักหน้ากับบริกรที่ทวนชื่อเมนูก่อนจะหันไปหาสามี “แล้วพี่ปอล่ะคะ”

“พี่เอาแกงเลียงกับทอดมันหัวปลี”

“แหมพี่ปอละก็… นานๆ ออกมากินอาหารนอกบ้านกับคนอื่นทั้งทีสั่งอย่างอื่นบ้างก็ได้นะคะ ไม่ต้องตามใจฝนหรอก”

“พี่ก็ไม่ได้ตามใจฝน แต่พี่ตามใจลูกต่างหาก เดี๋ยวลูกมีนมกินไม่พอ” คณิณพยักเพยิดไปทางฝาแฝดในรถเข็นก่อนจะหันมาหานรกร “แล้วฮาร์ฟจะกินอะไร”

“อะไรก็ได้ครับ”

“อะไรก็ได้นี่หน้าตาเป็นยังไงเหรอ พี่ไม่เห็นมีในเมนูเลย หรือว่าเป็นเมนูลับ”

“พี่ปอล่ะก็” เพียงพิรุณตบมือลงบนท่อนแขนสามี

“อ้าว ก็มันจริงนี่ฝนหรือว่าฝนหาเจอบอกพี่หน่อยว่าอยู่ตรงไหน” คณิณทำหน้าตาขึงขังพลางเปิดเมนูพลิกไปมาหารายการอาหารที่ว่า

เพียงพิรุณหันมาหลิ่วตาให้นรกรพร้อมกับทำปากขมุบขมิบว่าอย่าถือสาสามี

“เพิ่งได้สามอย่างเอง… วินทร์แกจะสั่งอะไรเพิ่มไหม”
“ไม่เอาแล้ว ตามใจเจ้าภาพเลย”

“งั้นขอกะหล่ำปลีทอดน้ำปลากับปลาหมึกผัดไข่เค็มครับ” คณิณจัดแจงสั่งเสียเองแล้วส่งเมนูคืน “เดี๋ยวนี้ฮาร์ฟทานผักเก่งแล้วใช่ไหม” แกล้งแซวเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบทานผักและเมนูส่วนใหญ่ที่สั่งก็มีแต่ผักทั้งนั้น

“ทานได้ครับ”

“สั่งเพิ่มได้นะ ไม่หมดก็ห่อกลับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่ใช่คนทานยากอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

“จริงอะ” คณิณถามยิ้มๆ

“จริงครับ”

ร่างโปร่งแสงเหลือบมองปฏิกิริยาของคนรักกับอดีตแฟนก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และทำเป็นเล่นกับฝาแฝดต่อ ดูเหมือนที่เคยได้ยินมาว่าเด็กเล็กจะมีความสามารถในการมองเห็นวิญาณหรือที่เรียกว่า ‘แม่ซื้อ’ จะเป็นเรื่องจริง และความสามารถนั้นจะค่อยๆ หายไปเมื่อเติบโตขึ้น

“ทำไมวันนี้อารมณ์ดีจัง” คณินตั้งข้อสังเกต “ฉัดวัคซีนก็ไม่ร้องสักแอะ ปกติพามาร้านแบบนี้ฝนต้องเตรียมปวดหัวแล้ว แต่ไม่มีทีท่าจะงอแงเลย”

“สงสัยเพราะพี่วินทร์มาด้วยมั้งคะ” เพียงพิรุณว่าก่อนจะหันไปหาเจ้าตัว “พี่วินทร์อุ้มหลานไหม”

หญิงสาวตั้งท่าจะยื่นมือลงไปในรถเข็นคนเกลียดเด็กก็รีบร้องปราม “ยะ… อย่าดีกว่าครับคุณฝน”

“ทำไมล่ะ” คณิณถามพลางมองไปยังลูกสาวลูกชายในรถเข็นเด็กที่กำลังหันไปส่งยิ้มหวานให้โต๊ะข้างๆ

“เอ่อ… รู้สึกยังไม่ค่อยหายดีน่ะ… มือสั่นๆ ไม่เอาดีกว่า” กฤตตอบก่อนจะหาทางเลี่ยงไปโดยการคุยกับบริกรที่กำลังดูแลเสิร์ฟน้ำให้แต่ละคน “น้อง พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”

“ครับ"

“เจ้าของที่นี่ชื่ออะไรเหรอ”

“คุณแอนดี้ครับ”

คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “เขาเป็นฝรั่งเหรอ”

“เป็นคนไทยนี่แหละครับ แค่ชื่อฝรั่งเฉยๆ”

“อ้อ” กฤตพยักหน้า

“มีอะไรเหรอ” คณิณถาม

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นร้านสวยดีก็เลยถามดู อยากรู้ว่าเขาได้ไอเดียมาจากไหนน่ะ” กฤตตอบเลี่ยง

“แล้วนี่แกอาการเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” คณิณชวนคุยระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ “เมื่อกี้บอกว่ามีมือสั่นด้วยเหรอ”

กฤตเงียบไปเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณขอคำตอบจากเจ้าตัวก่อนจะพูดไป “อือ… แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ แล้วก็ยังมีงงๆ หลงๆ อยู่นิดหน่อย ฮาร์ฟเลยไม่ยอมให้ขับรถ”
“แล้วจะกลับมาทำงานได้เมื่อไหร่”

“ก็คงเร็วๆ นี้แหละ”

“ดีแล้ว ช่วงนี้ฉันเห็นฮาร์ฟหน้าตาดูไม่ไหวเลย คงเหมาชั่วโมงสอนกับเคสของนายมาดูเองหมดล่ะสิ รีบๆ หายแล้วก็รีบๆ กลับไปช่วยฮาร์ฟทำงานได้แล้วนะ”

“เรื่องนั้นฉันรู้หรอกน่า”

“ผมยังไหวอยู่ครับ” นรกรแทรกขึ้น

“นี่ไง” คณิณว่า “หมอนี่ปากแข็งมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ต้องให้ล้มคากองงานน่ะแหละถึงจะยอมรับ”

อาหารถูกยกมาเสิร์ฟพอดี พวกเขาเริ่มทานอาหาร ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดี คณิณไม่ได้มีทีท่าจะมาบีบคอจับผิดอะไรอย่างที่คิดไว้ เขาก็แค่ชวนคุยถามเรื่องงานหรือข่าวสารบ้านเมืองไปเรื่อย

จนกระทั่งมื้ออาหารใกล้จบลงคณิณก็เอ่ยขึ้น

“เออ… ที่แกถามบ๋อยว่าใครเป็นเจ้าของน่ะ พอดีเมื่อกี้ฉันไลน์คุยกับแม่ว่ามากินร้านนี้แม่เลยโม้ความหลังมายาวยืดเลยเนี่ย มีรูปประกอบด้วยนะ ลงทุนไปขุดอัลบั้มสมัยฉันยังเด็กมาเลย ดูสิ” คุณหมอโรคหัวใจพูดกลั้วขำพลางส่งโทรศัพท์ให้ดูรอบวง

นรกรรับมาดูเป็นภาพที่ถ่ายจากภาพที่ล้างออกมาจากกล้องฟิล์มอีกที ภาพนั้นค่อนข้างเก่ามากแล้วและปัจจุบันคนในภาพก็อายุมากขึ้นไปตามกาลเวลา มีคุณพ่อที่สวมกางเกงขาเดฟตามสมัยนิยมและคุณแม่ทำผมทรงเกล้าสูงตามแบบนางเอกละครมนต์รักลูกทุ่งซึ่งเป็นที่โด่งดังในตอนนั้น กับเด็กชายตัวสูงหน้าตาหล่อเหลาที่ในตอนนี้เจ้าตัวก็ยังดูดีเหมือนหยุดอายุหน้าไว้เมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด

“รูปนี้ถ่ายเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่ร้านเปิดเป็นวันสุดท้ายน่ะ” คณิณเล่าไปตามที่แม่พิมพ์มา

กฤตชะโงกหน้ามาดูบ้างแล้วเขาก็รีบคว้าโทรศัพท์ไปซูมภาพดูใกล้ๆ

ป้ายชื่อร้านที่ปรากฏอยู่เป็นฉากหลังของภาพนี้คือ ‘ร้านสมรศรีโภชนา’

นรกรเองก็เห็นแล้วเช่นกัน นึกจำได้ทันทีว่าเป็นร้านของแม่กฤต และยังเป็นบ้านของเขาอีกด้วย เพราะเหตุนี้นี่เองอีกฝ่ายถึงรู้สึกคุ้นแต่จำไม่ได้ เนื่องจากสภาพร้านและส่วนตกแต่งรอบๆ นั้นถูกเปลี่ยนใหม่หมดไม่เหลือเค้าเดิมแบบในภาพถ่ายเลยสักนิด

“แล้วตอนนี้คุณสมรศรีเจ้าของร้านคนเก่าเขาไปไหนแล้วล่ะ” กฤตถามพยายามซ่อนความร้อนใจเอาไว้

“เดี๋ยวถามแม่ให้” คณิณรับโทรศัพท์คืนมา ระหว่างที่พิมพ์ก็ถามไปด้วย “แล้วนายอยากรู้ไปทำไม”

“ก็แค่อยากรู้น่ะ… แม่นายตอบมาหรือยัง” กฤตเร่ง

“ใจเย็นสิวะ… แม่บอกว่าลูกชายเขาเสียเพราะอุบัติเหตุ คุณสมรศรีทำใจไม่ได้ ตรอมใจจนล้มป่วยเพราะคิดถึงลูกชาย สามีก็เลยขายร้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นน่ะ แต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน” คณิณอ่านออกเสียง

“น่าสงสารจังเลยนะคะ” เพียงพิรุณกล่าว

“เหมือนจะเป็นลูกชายคนเดียวด้วย… ชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่นอนแบบนี้ล่ะนะ” คณิณว่าก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “ใกล้จะบ่ายโมงล่ะ ฉันเรียกเช็กบิลเลยนะ ช่วงบ่ายฮาร์ฟต้องไปเข้าเคสผ่าตัดแทนอาจารย์ภูมิศิลป์นี่นา”

“พอดีอาจารย์ได้รับเชิญไปสอนข้างนอกแล้วเวลามันชนกัน ผมเลยอาสาเข้าเคสแทนน่ะครับ”

“ใจดีกว่านายนี่ก็คงต้องไปหาตามวัดแล้วมั้ง” คณิณแซว “งานที่มีอยู่ยังล้นมือไม่พอใช่ไหม”

“ไม่หรอกครับ พอดีผมก็ว่างอยู่”

คณิณยิ้ม “ไม่ได้ห้ามหรอก เอาที่นายสบายใจละกัน แค่จะบอกว่าดูแลตัวเองด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-02-2019 20:47:25
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

บอกลาเรียบร้อย แยกย้ายกันกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง ร่างโปร่งแสงที่เงียบมาตลอดมื้ออาหารก็เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่เห็นเคยบอกว่านายเอาคาบสอนกับเคสฉันไปดูเองทั้งหมด”

“ไม่ใช่แค่ผมหรอกครับ อาจารย์ท่านอื่นก็ช่วย เพียงแต่ผมรับอาสามาเยอะหน่อย” นรกรบอก

“อืม” วินทร์ครางในลำคอ

“ทำไมหรือครับ”

“แค่แปลกใจน่ะ ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฉันควรรู้และรู้เป็นคนแรกแท้ๆ แต่ฉันกลับไม่รู้อะไรเลย กลายเป็นไอ้หมอนั่นเสียอีกที่รู้ แถมยังรู้ด้วยนะว่าตอนบ่ายนายจะไปเข้าเคสแทนใคร”

“ผมก็เพิ่งบอกพี่ปอตอนเขาขอนัดเมื่อวาน”

“กับไอ้หมอนั่นนี่บอกได้ทุกเรื่องเนอะ” วินทร์พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันเต็มที่

“ผมก็แค่บอกตารางงานให้พี่ปอฟัง”

“แล้วเรื่องแค่นั้นทำไมบอกฉันไม่ได้ล่ะ  ตกลงคนที่เป็นแฟนนายมันฉันหรือไอ้หมอนั่น”

“พี่วินทร์พาลไปใหญ่แล้วนะครับ”

“ไม่ได้พาล แค่พูดความจริงที่เห็นอยู่ตำตา พอเจอหน้าไอ้หมอนั่นนายก็ลืมไปเลยสินะว่าฉันมาด้วย… อ๋อ… ฉันเข้าใจล่ะเมื่อวานที่นายไม่ให้ฉันไปด้วยไม่ได้กลัวอะไรหรอก แต่เป็นเพราะไอ้หมอนั่นมันไปด้วยต่างหาก”

“มันไปกันใหญ่แล้วนะครับพี่วินทร์ แล้วก็เลิกเรียกพี่ปอว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ ด้วยได้ไหมครับ”

“โอเค งั้นฉันเรียกว่าแฟนเก่านายก็ได้!”

“พี่ปอไม่ใช่…”

“ไม่ใช่แฟนเก่า? งั้นเป็นอะไร? แฟนคนปัจจุบันเหรอ?!”

“พวกนายใจเย็นๆ นะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน” กฤตที่นั่งหดตัวลีบติดกระจกรถแทรกขึ้นเบาๆ

“นายไม่เกี่ยวจะไปไหนก็ไปเลย!”

รถเลี้ยวเข้าจอดพอดี กฤตสบโอกาสรีบขอตัว “ถ้างั้นฉันไปนะ”

“เชิญ!”

ลงจากรถได้กฤตก็รีบก้าวยาวๆ ไปตามทาง ต้องขอบคุณภาษิตที่ทำให้เขาคิดแผนที่สลัดสองคนนั่นหลุดง่ายขนาดนี้ เขาแวะไปเอากระเป๋าใส่ของที่เตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อนแล้วเดินลัดเลาะไปตามทางเดินของโรงพยาบาลจนไปถึงตึกเวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งเป็นหอผู้ป่วยสำหรับผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อทำกายภาพบำบัด ตึกนี้อยู่ด้านหลังไกลจากตึกหลักแต่ติดกับสวนของโรงพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยที่เดินหรือนั่งวีลแชร์ได้ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศหรือร่วมกันทำกิจกรรมตามตารางฝึกได้ง่าย

“สวัสดีค่ะ” พยาบาลประจำหอผู้ป่วยทักทายอย่างคุ้นเคยเมื่อเห็นร่างสูงเดินผ่านมา “วันนี้ก็มาอีกแล้วนะคะ”

“สวัสดีครับ” กฤตตอบเธอเพียงสั้นๆ และรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไม่ให้เสียเวลา เขาเดินตรงเข้าไปในสวนอย่างคุ้นเคยเพราะมาหลายครั้งแล้ว แม้จะมีคนไข้อื่นๆ และญาติออกมาเปลี่ยนอิริยาบทและพักผ่อนมากมายแต่เขาก็รู้ว่าจะต้องมองตรงไปที่ไหน

ด้านในสุดของสวนนี้มีต้นลั่นทมอยู่ต้นหนึ่ง ลำต้นนั้นสูงใหญ่หากก็มีแต่ใบไม่มีดอกให้ชื่นชมแม้จะถูกปลูกมานานแรมปี และมันก็ไม่ใช่ต้นเดียวกันกับในความทรงจำของกฤต

แต่ใต้ร่มเงาลั่นทมต้นนี้ มีใครคนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องแอบตัวจากสองคนนั่นเพื่อมาหาทุกวัน

ตมคมมองไปเห็นรถวีลแชร์คันหนึ่งจอดอยู่ตรงที่เดิมเหมือนเช่นทุกวัน ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนนั้นคือคนไข้ไร้ญาติที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายวันก่อน เขาทอดสายตามองเลื่อนลอยขึ้นไป…

มอง… ราวกับว่ามีใครหรืออะไรอยู่บนต้นไม้นั้น

กฤตกวาดตามองซ้ายขวาว่าไม่มีใครสนใจจึงเดินตรงเข้าไปหา เขาเข้าไปทางด้านหลังแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่ถือมา

“คิดจะทำอะไรเหรอครับ”

กฤตสะดุ้งและยิ่งตกใจมากขึ้นอีกเมื่อหันไปเห็นนรกรกับวินทร์ยืนอยู่

“ปะ… เปล่า ไม่มีอะไร” เขาตอบตะกุกตะกัก

“ไม่มีอะไรแล้วทำไมคุณต้องโกหกผมด้วยครับ” นรกรถาม

“ฉันไม่ได้โกหกอะไรนายเสียหน่อย” กฤตยืนกรานและพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่พวกนายหายโกรธกันแล้วเหรอ เมื่อกี้ยังทะเลาะกันอยู่เลย”

วินทร์หันไปสบตานรกรก่อนจะตอบเรียบๆ

“จริงๆ เราไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ถ้างอนล่ะก็ใช่ แล้วเราก็เคลียร์กันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วย ฉันถือคติว่ารักให้รีบบอก โกรธให้รีบเคลียร์น่ะ เพราะฉันเข็ดแล้วกับการที่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัว”

กฤตนึกแปลกใจ “แล้วนี่ไปปรับความเข้าใจกันตอนไหน”

“เมื่อคืน หลังจากที่นายหลับไปแล้ว"



“ฮาร์ฟ! บอกมานะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วนี่เอาเสื้อใครมาใส่ โดนใครเขาแกล้งมาบอกฉันมาสิจะไปเข้าฝันหลอกมันให้”

“เปล่าครับ”

“ยังจะมาเปล่าอีก! นี่แฟนนะไม่ใช่ควาย ถึงจะตายไปแล้วก็มีตามองเห็นว่านายใส่เสื้อคนละตัวกับตอนออกไป”

นรกรยังคงปากหนัก วินทร์จึงต้องต้อนให้พูด

“ฝีมือไอ้ภาษิตใช่ไหม”

“พี่วินทร์รู้ได้ไงครับ”

“ก็มันส่งรูปถ่ายคู่กับนายมาเย้ยฉันทางไลน์น่ะสิ แถมยังใช้มือถือนายด้วย”

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูแล้วหันหน้าจอไปหาอีกฝ่าย “ไม่เห็นมีอะไรเลยครับ”

“ส่งเสร็จมันก็ลบทำลายหลักฐานน่ะสิ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ นี่นายกินเหล้าเหรอ? เมาหรือเปล่าถึงได้ให้มันหลอกเอามือถือไปทำอะไรต่อมิอะไรได้”

“ผมไม่ได้แตะเครื่องดื่มอะไรเลยนะ ครับนอกจากน้ำเปล่า” นรกรเงียบไปอึดใจเพื่อทบทวนเหตุการณ์ “น่าจะเป็นตอนที่วางโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วไปเปลี่ยนเสื้อมากกว่า… คือเขาทำไวน์หกใส่เสื้อผมน่ะก็เลยไถ่โทษด้วยการซื้อตัวใหม่ให้ใส่”

“โอเค เรื่องเสื้อจบไป” วินทร์ว่า “แล้วมันปลดล็อกเข้าเครื่องนายได้ไงถ้าไม่มีลายนิ้วมือนาย”

“ผมไม่ได้ใช้ลายนิ้วมือ แต่ใช้รหัส”

“ฉันเตือนแล้วใช่ไหมว่าตัวเลขอย่างพวกวันเดือนปีเกิดน่ะมันง่ายไป ทำไมไม่เอาเลขยากๆ”

“ผมไม่ได้ใช้วันเกิดตัวเองเป็นรหัสสักหน่อย” นรกรรีบแก้ตัว

“แล้วใช้อะไร เบอร์โทร? เลขบัตรประชาชน? หรือว่าเลขว.แพทย์”

“วันเกิดพี่วินทร์” นรกรตอบอ้อมแอ้ม

เจ้าของตัวเลขเงียบไปอึดใจถึงจะโกรธแต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายเห็นความสำคัญของตนจนถึงขั้นเอาไปตั้งเป็นรหัส เขากระแอมในลำคอนิดนึงแก้เขินก่อนจะเอ่ยขึ้น “เลขนี้ก็สวยดีนะ… แต่มันก็ง่ายไปอยู่ดี… เปลี่ยนเป็นวันครบรอบที่เราเป็นแฟนกันสิจะได้ยากขึ้นหน่อย”

“ผมว่าอันนั้นเดาง่ายกว่าอีกตราบใดที่พี่วินทร์ยังไม่เลิกส่งดอกไม้ไปเซอร์ไพรส์ที่โรงพยาบาล”

“งั้นนายก็เปลี่ยนมาสแกนลายนิ้วมือแบบฉันซะ โอเคนะ” วินทร์ตัดบท “แล้วตกลงจะเล่าได้หรือยังว่าโดนใครรังแกมา”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ”

วินทร์กอดอกพร้อมกับทำเสียงเข้ม “จะต้องให้ย้ำอีกรอบใช่ไหมว่าไม่ใช่ควาย… แค่เรื่องเสื้อไม่มีทางทำให้นายทำหน้าอมทุกข์ขนาดนี้หรอก ไอ้ภาษิตมันทำอะไรนาย!”

“พี่วินทร์สัญญามาก่อนสิครับว่าจะไม่โกรธ”

“ไม่โกรธนายน่ะได้ แต่ไอ้หมอนั่นมันตายแน่”

“มันก็ไม่ได้เรื่องใหญ่โตถึงขนาดจะไปฆ่าแกงกันนะครับ”

“นายมีหน้าที่เล่าก็เล่ามา เดี๋ยวฉันตัดสินเองว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก”

นรกรเหลือบตามองวินทร์ที่ยืนกอดอกทำหน้าตาขึงขังเป็นยักษ์วัดแจ้ง หากไม่ใช่ลักษณะของคนที่โกรธเคืองกัน ในแววตาคมกริบที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย และนั่นก็ทำให้คนปากหนักยอมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง

และทันทีที่ฟังจบวินทร์ก็ยิ่งหัวเสียหนักกว่าเดิม “บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ฉันไปด้วย แล้วนี่ไอ้หมอนั่นมันกล้าดียังไงมาหอมแก้มแฟนคนอื่น”

“ผมขอโทษครับที่ไม่ระวังตัว”

“มันหอมข้างไหน”

“ข้างนี้” นรกรบอกพร้อมกับหันข้างให้

“ตรงไหน”

“จำไม่ได้แล้ว ดูเหมือนจะแถวๆ นี้มั้งครับ” นรกรชี้นิ้วไปแถวๆ โหนกแก้ม

วินทร์ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้วชะโงกหน้าเข้าไปหา เอาริมฝีปากแตะตรงที่ปลายนิ้วชี้ไว้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “ไม่เป็นไรนะถือว่าหมามันเลีย”

“โดนพี่ปอดุด้วยครับ”

วินทร์กอดอก พ่นลมอกจมูก “ไอ้นี่ก็ห่วงแฟนชาวบ้านเกินเบอร์ไปอีก”

“พี่ปอแค่เป็นห่วง”

“ฉันคนเดียวห่วงยังไม่แน่นพอหรือไง”

“ก็…”

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ดุเพราะรักนะ เข้าใจไหม เพราะตอนนี้ฉันทำได้แค่นี้ กอดไม่ได้ จูบไม่ได้ อยากจะไปต่อยไอ้หมอนั่นให้นายก็ทำไม่ได้” วินทร์บอก “มีอะไรก็บอกนะอย่าเก็บไว้คนเดียว”

“ขอโทษครับ”

วินทร์ถอนหายใจทิ้งครั้งหนึ่ง “หายโกรธแล้ว”

“หายแล้วแน่นะครับ”

วินทร์พยักหน้า

“แล้วพี่วินทร์ไม่… เอ่อ… ที่ผมบอกว่าไม่ระวังตัว…” นรกรพูดตะกุกตะกักเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกเพราะมันพาดพิงไปถึงอีกคน

“นายจะถามว่าทำไมฉันถึงเชื่อเรื่องที่นายบอกว่าไม่ทันระวังตัว ในขณะที่ปอมันบอกว่าไม่เชื่อใช่ไหม”

นรกรพยักหน้า “ครับ”

“ถ้าเป็นนายสมัยที่คบกับหมอนั่นก็คงใช่ แต่ไม่ใช่นายที่เป็นอยู่ตอนนี้”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ผมไม่เข้าใจ”

“นายไม่ใช่คนสันโดษที่ตั้งกำแพงปิดกั้นคนภายนอกเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว” วินทร์บอก “ตอนนี้นายลดกำแพงลง ยอมให้คนนอกมองเห็นหลังกำแพง มองเห็นในสิ่งนายเป็น และนายก็ยังคอยชะโงกหน้าออกมามองคนอื่นด้วย… นายกล้าลุกขึ้นสู้เพื่อความฝันของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง นายยอมทะเลาะกับพ่อเพื่อเลือกอยู่ข้างฉัน… แค่สองข้อนี้ฉันก็ไม่คิดว่าปอจะรู้จักนายคนนี้แล้ว อย่างล่าสุดนี่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมวัฒน์ถึงเลือกมาคุยเรื่องเซ็กซ์กับนาย ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนขนาดนั้น ทั้งที่มันก็มีเพื่อนคนอื่นอีกตั้งหลายคน… นายเป็นคนใจดีฮาร์ฟ และเพราะความใจดีนี่แหละ นายจึงไว้ใจคนอื่นที่เข้ามามากขึ้นเพียงแต่คนทุกคนที่เข้ามามันไม่ได้ดีไปเสียทั้งหมด”

ยิ่งวินทร์ไม่โกรธนรกรยิ่งรู้สึกผิดและขอบคุณมากไปอีก “ผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ครับ”

“อืม… ก็แค่นั้นแหละ แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าให้นายคิดมากจนกลับไปทำตัวแบบเดิมนะ แค่อยากให้ระวังคนให้มากขึ้น แต่เอาจริงๆ ถึงนายจะกลับไปเป็นแบบเดิมฉันก็ไม่ซีเรียสนะ เอาที่นายสบายใจเลย”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็มันไม่ได้ทำให้ฉันรักนายน้อยลงนี่นา” วินทร์พูดยิ้มๆ “ปีนกำแพงแข่งกับคนที่นายโยนบันไดลงมาให้ก็ทำมาแล้ว เรื่องแค่นี้สบายมาก”

“ประตูก็มีครับ”

“มีแล้วไง โดนลืมไว้หลังประตูก็เคยมาแล้ว”
นรกรหลุดขำออกมาเล็กน้อย ช่างเป็นคนที่จำฝังใจไปเสียทุกเรื่องจริงๆ “มีปากบ่นผมได้ คราวหลังก็เรียกสิครับ”

“จะเปิดประตูให้เหรอไง” วินทร์ถามกวน

นรกรยิ้มตอบ “จะเดินออกมาหาครับ”

“เนี่ย… ก็เป็นซะแบบเนี้ย… หมายถึงตัวฉันน่ะนะ แค่นี้ก็ใจอ่อนแล้ว” วินทร์หัวเราะกับตัวเอง “ไป… นายเลิกคิดมาก ไปอาบน้ำอุ่นให้สบายตัวแล้วรีบมาขึ้นเตียงมาเดี๋ยวฉันร้องเพลงกล่อม วันนี้อนุญาตให้เลือกเพลงได้”

“อยากฟังเพลงที่พี่วินทร์ร้องวันก่อนครับ”

วินทร์นึกอยู่อึดใจ “คู่ชีวิตเหรอ”

“นั่นชื่อเพลงเหรอครับ” นรกรถาม “หมู่นี้ผมไม่ค่อยได้ฟังเพลงเลย ฟังแต่ที่พี่วินทร์ร้องให้ฟังนี่แหละ เดี๋ยวจะลองไปหาต้นฉบับฟังดู รู้สึกว่าความหมายดีจัง”

“นี่ถ้ารู้ว่านายชอบฟังเพลงขนาดนี้ ตอนนั้นฉันไปฝึกร้องเพลงให้เก่งๆ เป็นนักร้องดีกว่าไม่น่ามาเป็นหมอเลย”

“พูดไปนั่น”

“พูดไปนั่นอะไร นี่ฉันจริงจังนะ” วินทร์ว่าก่อนจะร้องออกมาเป็นเพลง “น้องรักนักร้อง แต่พี่รักน้องงงง~ ให้เป็นนักร้องแล้วพี่ก็เป็นไม่ได้ ไม่ใช่นักร้องอย่างที่น้องรักกกก~ แต่พี่รักน้องน้องก็มองบ้างเป็นไร~”

นรกรไม่โต้ตอบอะไรอีก ได้แต่ถอนหายใจเสียงดังแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป



“ก็ประมาณนี้แหละ” วินทร์ว่า “แล้วฮาร์ฟก็เล่าอะไรที่น่าสนใจให้ฟัง ฉันเลยชวนเขาเล่นละครตบตานายว่าเรายังทะเลาะกันเพราะรู้สึกทะแม่งๆ ว่านายหวังดีแปลกๆ เหมือนจะเป็นห่วงแต่ก็คอยยุให้เราระแวงกัน”

“เมื่อกี้ก็แกล้งเหรอ” กฤตถาม

“นึกว่าจะโดนจับได้เหมือนกันเพราะฮาร์ฟเล่นแข็งชะมัด โชคดีนะที่ฉันจบเอกหมอ โทการแสดงน่ะ”

“มันใช่เวลามาเล่นมุกไหมครับ” นรกรเอ็ดเบาๆ

วินทร์กระแอมในลำคอก่อนจะตีหน้าขรึม “เอ้า! ตกลงจะสารภาพมาได้หรือยังว่าวางแผนอะไรไว้”

“ไม่ใช่แผนการพิเศษอะไรหรอก ฉันก็แค่ทำสิ่งที่ค้างคาไว้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อน” กฤตพูดพลางดึงของที่ดึงค้างไว้ออกจากกระเป๋า

วินทร์กำลังจะร้องปรามนึกว่าจะเป็นอาวุธ แต่สิ่งที่อยู่ในมือเป็นเพียงผ้าคลุมไหล่ผืนหนานุ่มสีขาวเท่านั้น

กฤตกางผ้าออกพับเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วคลุมลงบนไหล่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็น ก่อนจะก้มลงพูดที่ข้างหู
“อากาศเริ่มหนาวแล้วนะ”

สายตาที่มองเหม่อขึ้นไปบนต้นไม้ไม่ได้มีแววตอบสนอง แต่กฤตก็ไม่ได้ใจและจัดแจงคลุมผ้าให้เรียบร้อย

วินทร์หันไปสบตากับนรกรก่อนจะหันมามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง “ผู้ชายคนนั้นเกี่ยวอะไรกับนาย ไหนนายบอกว่าไม่มีลูกไง”

“ก็ไม่มีน่ะสิ”

ทั้งสองยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก

กฤตยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงและหันมาเผชิญหน้า “นี่เป็นวันสุดท้ายที่ฉันตั้งใจจะอยู่ที่นี่แล้ว เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ลากพวกนายมาเอี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก ฉันจะเล่าความจริงที่เหลือให้พวกนายฟังละกัน… เมื่อเช้านายถามฉันใช่ไหมว่าทำไมถึงต้องกลับไปที่สี่แยกนั่นเพื่อจะตายเวลาเดิมทุกวัน”

นรกรพยักหน้า

กฤตหันไปหาร่างโปร่งแสง “เรื่องนี้นายก็น่าจะเดาได้นี่นาว่าเพราะอะไร”

“เพราะมันไม่ใช่อุบัติเหตุ” วินทร์พูดขึ้น “แต่เป็นการฆ่าตัวตาย”

กฤตพยักหน้า “เมื่อก่อนตอนเข้าวัดฟังพระเทศน์ ท่านบอกว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมและสร้างความดี  แต่ถ้าหากใครละทิ้งโอกาสที่ได้เกิดมาแล้วหนีทุกข์ด้วยวิธีลัดที่เรียกว่าการฆ่าตัวตายแล้วละก็ แทนที่ทุกข์หรือกรรมนั้นจะหมดไป แต่คนนั้นต้องชดใช้กรรมในนรกโดยการฆ่าตัวตายด้วยวิธีเดิมๆ 500 ครั้งหรือต่อให้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็ยังต้องตายด้วยวิธีเดิมเช่นกัน” เขาเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อทบทวนความหลัง “แต่ในกรณีของฉันมันพิเศษกว่าคนอื่นเพราะฉันไม่ได้ตั้งใจจะตายคนเดียวแต่ฉันตั้งใจจะพา ‘มัน’ ไปตายกับฉันด้วย… อดีตเพื่อนรักของฉัน”

“คุณว่าไงนะ…” นรกรถามอย่างไม่เชื่อหู

“หลังจากที่ฉันเห็นมันอยู่กับแฟนฉัน มันก็วิ่งตามเพื่อจะเคลียร์ ฉันก็ยอมพามันขึ้นรถขับออกไปด้วยกัน แต่ยิ่งฟังเรื่องที่มันเล่าฉันก็ยิ่งปวดใจ ฉันเลยเหยียบคันเร่งจนมิดชนกับเสาไฟฟ้าตั้งใจจะตายไปพร้อมๆ กับมัน”

“แต่คุณบอกผมว่าหักรถหลบเด็กที่ข้ามถนน”

“ฉันไม่ได้โกหก แต่ฉันแค่บอกนายไม่หมดต่างหาก” กฤตว่า “จังหวะที่รถพุ่งไปนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนมาพอดี ฉันหักรถหลบ รถเลยปัดไปแต่สุดท้ายก็ยังปัดไปอัดกับเสาไฟฟ้า และมีแค่ฉันที่ตายส่วนมันแค่บาดเจ็บเท่านั้น”

“แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ” วินทร์ถามพลางพยักเพยิดไปทางชายหนุ่มบนรถเข็น “ถ้าเขาไม่ใช่ลูกนายแล้วเกี่ยวอะไรกับนาย”

“หรือว่า…” นรกรอุทานเมื่อปะติดปะต่อเรื่องได้

“ฉันยืนอยู่ตรงนั้นในสภาพดวงวิญญาณที่เว้าแหว่ง” กฤตเล่าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย “ยืนมองรถที่กำลังลุกไหม้ด้วยความสะใจคิดว่าลงโทษมันสำเร็จ แต่คงเป็นเพราะดวงมันไม่ถึงฆาตและความช่วยเหลือก็มาถึงก่อนพญามัจจุราชมันจึงไม่เป็นอะไร กู้ภัยงัดเอาร่างมันออกไปส่งให้ถึงมือหมอ ฉันแค้นมากจนเกือบจะร้องไห้ แล้วตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นด้านหลัง ฉันหันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นนอนกองอยู่บนพื้น ตรงจุดที่ไม่มีใครเห็นเพราะรถบัง เธอหายใจรวยริน แต่ลำแขนบางที่ชุ่มเลือดนั้นกลับกอดเด็กคนหนึ่งไว้แน่น เธอมองตรงมาที่ฉันและขอร้องให้ช่วยลูกของเธอ... แต่ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดูเธอค่อยๆ ตายไปต่อหน้าต่อตา… ฉันฆ่าเธอ ฉันเป็นคนพรากญาติคนสุดท้ายไปจากเด็กชายผู้บริสุทธิ์คนนี้”

“แล้วคุณจำเขาได้ยังไง” นรกรถามต่อ

“ชื่อน่ะ” กฤตบอก “แม่ของเด็กคนนี้บอกแล้วพอดีมันคล้ายกับชื่อฉัน… อืม เท่ากับว่าฉันโกหกไปหนึ่งเรื่องสินะ”

“คุณจำได้ทุกอย่างแล้วนี่ครับ” นรกรว่า

“ตั้งแต่วันที่ไปนายพาไปแกรนด์ราวน์วันนั้น… ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าวันที่ฉันได้เจอมันอีกครั้งต่างหาก”

“นายหมายถึงอาจารย์ภูมิศิลป์เหรอ” วินทร์ถาม พยายามนึกถึงหนังสือรวมรุ่นที่เปิดดูกับนรกร “ฉันไม่เห็นจำได้ว่าชื่ออาจารย์อยู่ในรุ่นนาย”

สีหน้าของกฤตเปลี่ยนเป็นชิงชังทันที “มันคงเปลี่ยนชื่อนามสกุลแก้เคล็ดน่ะสิ คงหวังจะให้พ้นเคราะห์ แต่น่าเสียดายที่เจ้ากรรมนายเวรมันคนนี้ดันจำหน้ามันได้” กฤตว่า “หึ! คนอย่างมันทำมาลอยหน้าเป็นอาจารย์ แถมยังเป็นหัวหน้าหน่วยงานอุบัติเหตุอะไรนั่นอีก… คนอย่างมันน่ะนะ… จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ!” จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “เพราะในที่สุดวันนี้ฉันก็แก้แค้นสำเร็จแล้ว”

“ตกลงแผนของคุณคืออะไรกันแน่”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดบทสนทนา นรกรเห็นว่าเป็นจิงโจ้โทรมาจึงกดรับ “ว่าไง พี่กำลังยุ่ง…” นรกรเงียบฟังอยู่อึดใจก็ลดโทรศัพท์ลงหันไปหาวินทร์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “อาจารย์ภูมิศิลป์ขับรถชนครับ”

มุมปากยกขึ้นยิ้มนิดๆ …ในที่สุดความแค้นนี้มันก็จบลงเสียที

***********************TBC************************

Talk
ตอนนี้คิดว่าเฉลยจะครบทุกปมละนะ แต่มีประเด็นอันหนึ่งอยากเอามาเล่าสู่กันฟังเพราะเขียนจั่วหัวไว้นานแล้วกลัวลืมกัน
ตามที่เขียนไว้ตรงบทนำของเรื่อง
คือภาคนี้เขียนต่อเพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการมีความรักไม่ใช่แค่ตกหลุมรัก สารภาพรัก และได้รักกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความรักนี้ไว้มากกว่า ดังนั้นเราจึงเขียนออกมาให้คู่นี้เจอมรสุมชีวิตอะไรก็ไม่รู้(กรรมของพี่วินทร์แท้ๆ ที่มาเจอคนเขียนอย่างเรา) แล้วเขาทั้งคู่จะประคองความรักชีวิตคู่ไปได้อย่างไร ทั้งสังคม แฟนเก่า คนใหม่ ครอบครัวที่ในครั้งแรกคิดว่ารับเราได้... เทียบกับชีวิตคู่อีกคู่ที่ล้มเหลว จนถึงขั้นอาฆาตกัน
เรื่องนี้ใกล้ถึงบทสรุปแล้วค่ะ แต่ดราม่ายังพอมีกรุบกริบหวานปนขมตามเลกกี้แดนสไตล์จนจบเรื่อง555 (ยัยนักเขียนคนนี้แม่งโรคจิตว่ะ555)

ปล. บางคนอาจมีคำถามว่าที่เคยให้โหวตว่าขอเทาๆ ไม่เอาดำแล้วนี่คือ??... คือนี่เทาแล้วค่ะ เทาจริงๆ นะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-02-2019 22:15:43
หลายซับหลายซ้อนเหลือเกิน..นน ว่าแต่เทาของไรต์ยังขนาดนี้ ถ้าดำพี่คงแย่  :hao5:
ตามอ่านตลอดชอบค่า  :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 04-02-2019 00:20:36
รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 04-02-2019 13:34:57
รอแกะปมต่อไป มากันเรื่อยๆ กรุบกริบๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 04-02-2019 13:36:36
เอาแล้วไง ถ้ากฤตรูว่าทั้งพลูทั้งภูมิศิลป์ไม่ผิด
กฤตจะต้องเจ็บปวดมากๆแน่
คนนึงก็เพื่อนรัก คนนึงก็คนรัก
ถ้าฮารืฟบอกความจริงหวังว่ากฤตคงคิดได้ซะที

แอบโล่งอกเรื่องวินทร์กับฮาร์ฟที่เลือกจะเคลียร์กัน
แต่เป็นห่วงวินทร์สรุปวินทร์ไม่มีโอกาสกลับเข้าร่างแล้วใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 04-02-2019 14:50:51
เหลือปมของพี่วินทร์สินะ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordstringer ที่ 06-02-2019 12:14:23
เทา ๆ ด้วยกันต่อไปครับ  :hao5: :hao5: :hao5:

ไม่ชอบคนอย่างภาษิตเลย  :m16: สมควรโดน  :beat:
ก่อนจบ รบกวนคนเขียนจัดหนัก ๆ ให้ซักทีนะครับ  :fire: :fire: :fire:

ปล.คนเขียน สู้ ๆครับ :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 06-02-2019 22:18:40
 :katai2-1:พี่วินทร์เนี่ยมีความสตอแหลเกินเบอร์จริงๆเลยนะคะ.. 5555..."นี่แฟนนะไม่ใช่ควาย..." จร้าาาา.. พี่ไม่มีเขาถูกคร่าาา.. แต่รู้สึกจะโดนน้องฮาร์ฟจูงเข้าทางตลอดเลยนะคะ.. คิคิคิ.. จะยากอะไรก็แค่ยอมทุกทางใช่มั้นคะพี่วววววววินทร์ :katai3:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-02-2019 18:16:32
บทที่ 14 สิ่งสำคัญ

“อาจารย์อาการเป็นอย่างไรบ้าง” นรกรถามกับน้องๆ แพทย์ประจำบ้านที่ยืนออกันอยู่หน้าห้องผ่าตัด

“กะโหลกศีรษะแตก มีเลือดคั่งในสมองครับ” อนุวัฒน์รายงานพร้อมกับหยืบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดภาพแผลกับผลCT scan ให้ดู “ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหา ผลเอ็กซเรย์ทั้งตัวปกติ ที่หนักสุดก็คงเป็นที่หัวนี่แหละครับ ตั้งแต่มาถึงห้องฉุกเฉินอาจารย์ไม่รู้สึกตัวเลย โคม่าสกอร์เท่ากับสอง”

“อืม” นรกรพยักหน้าตามพลางรับโทรศัพท์มาเปิดดูภาพสแกนสมองที่อนุวัฒน์ถ่ายมา เขาค่อยๆ ซูมดูทุกภาพและจดจำรายละเอียดไว้ในหัว

“ครั้งนี้มัจจุราชมาไวกว่าที่คิดแฮะ” กฤตที่ตามหลังมาดูผลงานแทบจะร้องเป็นเพลงด้วยความสะใจ

“แกทำอะไรวะ!” วินทร์ถามผ่านซี่ฟันที่ขบแน่นด้วยความโกรธ

“ไม่ได้ทำอะไรมากเลย ก็แค่ตัดสายเบรก” กฤตตอบสบายๆ “นี่แอบตามอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าใช้รถคันไหน แล้วก็ขอบคุณพวกนายนะที่ทำให้ฉันรู้ตารางงานของเขา”

“แกมัน…” วินทร์ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาต่อว่าดี เขากัดฟันแน่นและหันไปหานรกรที่ทำหน้าเครียดกับโทรศัพท์ “ฮาร์ฟ…”

นรกรไม่พูดอะไร เขาส่งโทรศัพท์คืนอนุวัฒน์แล้วพุ่งไปที่ประตูห้องเปลี่ยนชุดรวดเร็วจนจิงโจ้ต้องคว้าแขนไว้

“เดี๋ยวก่อนครับพี่ฮาร์ฟ”

“มีอะไรเหรอ”

“อาจารย์สรวิชญ์เป็นคนลงมือผ่าตัดเองครับ” จิงโจ้บอก

นรกรพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”

ด้วยเป็นเวลาน่าสิ่วน่าขวานต้องใช้สมาธิเป็นอย่างสูงและใช้มือดีที่สุดในการทำงาน ไม่ใช่แค่ต้องการคนเก่งและทำงานรวดเร็ว แต่ต้องเป็นคนที่รู้ใจกันเพียงแค่มองตาก็สามารถตอบสนองและประสานงานกันได้ ตั้งแต่ทีมดมยาไปจนถึงผู้ช่วยส่งเครื่องมือแพทย์ เพราะเหตุนี้จึงไม่มีแพทย์ประจำบ้านคนใดกล้าเข้าไปเป็นผู้ช่วยหรือสังเกตอาการข้างในห้องผ่าตัด แม้แต่อนุวัฒน์ที่เพิ่งจบหมาดๆ ชั่วโมงบินยังไม่สูงมากก็กลัวว่าจะไปทำให้ล่าช้าเสียมากกว่าจะช่วย

“อาจารย์ต้องการผู้ช่วย” นรกรตอบสั้นๆ

“อาจารย์วิมลภากำลังขับรถมาครับ อีกครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง” อนุวัฒน์ให้ข้อมูลเพิ่ม

นรกรสบตาอนุวัฒน์แล้วมองเลยไปหาน้องๆ คนอื่น ทุกคนเป็นห่วงเพราะรู้ว่าเขากับพ่อยังคงทะเลาะและไม่พูดกันอยู่ “อาจารย์สรวิชญ์กับพี่แยกเรื่องส่วนตัวได้” เขาบอก “ตอนนี้การช่วยอาจารย์ภูมิศิลป์สำคัญกว่า”

นรกรพยักหน้าให้จิงโจ้ปล่อยแขนที่รั้งไว้แล้วรีบก้าวยาวๆ เข้าไปเปลี่ยนชุด

“นี่นายน่ะ ฉันมีอะไรจะบอก” วินทร์เอ่ยเสียงเครียดกับกฤต

“ว่าไง”

“ฮาร์ฟเล่าให้ฉันฟังเมื่อคืน”

“เรื่องอะไร”

“พี่เพ็ญโทรกลับมาแล้ว” วินทร์เริ่มต้น “เธอเล่าว่าคุณพลูไปงานศพนายทุกวัน…”

“เธอโกหก!” กฤตขัดขึ้น “ฉันมองหาอยู่ทุกวันแต่ฉันไม่เห็นแม้เงาของผู้หญิงคนนั้นเลย”

“เป็นเพราะว่าแม่นายไม่ให้เข้างานต่างหาก พี่เพ็ญเล่าว่าแม่นายเกลียดคุณพลูมาก”

“เพราะเธอเป็นสาเหตุให้ฉันต้องตายไง”

“นั่นก็ใช่ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะแม่นายเกลียดเธออยู่แล้วเพราะว่าเธอจน”

“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง แม่ฉันเอ็นดูเธอจะตาย”

“แม่นายอยากให้นายแต่งงานกับผู้หญิงที่หมั้นหมายไว้”

“แต่ฉันปฏิเสธงานคลุมถุงชนไร้สาระอะไรนั่นไปแล้ว!” กฤตเถียง

“พี่เพ็ญยังบอกอีกว่าเธอเขียนจดหมายหานายทุกวัน คนที่ไม่เคยตอบเธอเลยคือนายต่างหาก และจดหมายฉบับเดียวที่เธอได้รับคือจดหมายบอกเลิกพร้อมกับการ์ดงานแต่งงานของนายกับผู้หญิงคนที่แม่นายหมั้นหมายให้”

“นายจะบอกว่าแม่ฉันจัดฉากเรื่องทั้งหมดเหรอ! แล้วยังไงอีก ยังไงสิ่งที่ฉันเห็นตำตามันก็คือความจริงอยู่ดี เรื่องก็ดูลงล็อกกันดีนี่ พอผิดหวังจากฉันก็เลยไปคบกับเพื่อนฉัน”

“เรื่องนั้นฉันกับฮาร์ฟก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่านะ…” วินทร์เว้นวรรคไปเล็กน้อย “นายบอกว่านายรู้มาตั้งแรกใช่ไหมว่าอาจารย์ภูมิศิลป์คือเพื่อนรักของนาย สิ่งที่นายคิดคือคุณพลูหนีไปกับอาจารย์ แต่สิ่งที่ฉันรู้และเห็นมาตลอด คืออาจารย์ภูมิศิลป์เป็นโสด เขาไม่เคยมีใครมานานมากๆ แล้ว และอุทิศทั้งชีวิตให้กับงาน เรื่องนี้ทุกคนเป็นพยานได้”

“แล้วยังไง พวกมันก็แค่เลิกกันไง กรรมตามสนองมันแล้ว”

วินทร์เงียบไปอึดใจ “พี่เพ็ญบอกว่าคุณพลูเสียหลังจากงานศพนายไม่นาน… เธอตรอมใจตายเพราะคิดถึงนาย”

ดวงตาของกฤตเบิกค้างด้วยความตกใจ “แกโกหก!”

“นี่คือความจริง!” วินทร์ยืนยัน “และตอนนี้เราก็คิดว่าเราเจอคุณพลูแล้ว”

“แกหมายความว่าไง”

“นี่ยังเป็นแค่ลางสังหรณ์กับการคาดเดาของฮาร์ฟ แต่ฉันคิดว่าเขาไม่น่าพลาด” วินทร์บอก “และมันก็เป็นความผิดของฉันด้วยส่วนหนึ่งที่ห้ามนายไม่ให้เข้าห้องล็อกเกอร์ ไม่งั้นเรื่องมันอาจจะจบเร็วกว่านี้ก็ได้”

“ไหนแกบอกว่าเธอตายไปแล้วไง!”

“ใช่! เธอตายไปแล้ว แต่ถ้าเธอไม่ได้ไปไหน ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่เพื่อรอนายกลับมาล่ะ… รอมาตลอดยี่สิบสี่ปี”


นรกรเดินเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ เขาเหลือบมองทางหางตาเห็นชายกระโปรงสีขาวโผล่วับแวมลงมาจากหลังตู้ล็อกเกอร์ใบแรกเหมือนอย่างที่เคยเห็นมานาน อย่างน้อยก็สิบปีนับจากวันที่เขาเข้ามาเรียนเฉพาะทางที่โรงพยาบาลแห่งนี้

หลังจากที่ได้ฟังพี่เพ็ญเล่า จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว ภาพติดตาของคนทั่วไป ‘ผี’ คือผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาว แต่สำหรับคนที่เห็นผีมาทั้งชีวิตอย่างเขาแล้วมันไม่ใช่ เขาไม่เคยเห็นผีตนอื่นผมยาวและสวมชุดขาว ทุกคนล้วนแล้วแต่ใส่ชุดก่อนตายหรือชุดที่ญาติทำบุญมาให้ทั้งนั้น

ถ้าหากว่าลางสังหรณ์ของเขาถูก การที่ผู้หญิงตรงบันไดชั้นสองขึ้นมาหาเขาหน้าห้องผ่าตัดในวันที่กฤตธีโดนรถชน เรื่องที่คุณพลูเสียไปแล้ว และคุณพลูคือพยาบาลสาวสวยที่มีผมยาวมากๆ ทุกอย่างมันดูเข้าล็อกกันพอดี

“ผมมีเรื่องอยากถามครับ” ถามไปพลางก็เปลี่ยนชุดไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลา “คุณชื่ออะไร แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ”

ใบหน้าที่เหลือแค่หนังแห้งเหี่ยวหุ้มกระดูกก้มมองลงมา เธอเอียงคอคล้ายกำลังนึกก่อนจะตอบด้วยเสียงยานคาง “ไม่รู้สิ… ฉันเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน… เรื่องมันนานมาแล้ว”

นรกรพยักหน้า เพราะเวลาที่งวดเข้ามาทำให้ไม่มีเวลาถามต่อแล้ว เขาปิดประตูตู้ล็อกเกอร์ “ผมจะไปช่วยชีวิตคนๆ หนึ่ง”

“ก็ไปสิ… ช่วยให้ได้นะ… แต่ถ้าตายก็มาอยู่ด้วยกัน”

“ต้องได้สิครับ” นรกรยืนยัน “ผมจะช่วยให้ได้เขาชื่อภูมิศิลป์เป็นอาจารย์ที่รักของพวกผม และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เขาอาจจะเป็นคนสำคัญของคุณก็ได้นะครับ”

“หมอพูดเรื่องอะไร… ใครคือภูมิศิลป์ แล้วเกี่ยวอะไรกับคนสำคัญของฉัน…”

“ถ้าอยากรู้ว่าผมพูดอะไร ก็นึกให้ออกสิครับว่าคุณเป็นใคร แล้วคุณจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดโดยไม่ต้องรอให้ผมบอกเลย” นรกรทิ้งท้าย “เดี๋ยวผมกลับมาแล้วเราค่อยคุยกันนะครับ”

OOOOO

“ไม่จริง! แกโกหก!!”

“ฉันไม่ได้โกหก ฉันบอกแล้วว่ามันเป็นแค่ลางสังหรณ์กับการคาดการณ์ของพวกเราและตอนนี้คนเดียวที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ได้นายก็ทำให้เขาอยู่อาการโคม่าไปแล้ว”

“ก็ดีแล้วไง ถ้ามันตายฉันจะได้คุยกับมันง่ายๆ ไง”

“แบบนั้นมันจะดีจริงๆ เหรอกฤต” วินทร์ถาม

“แน่นอน”

“ถึงแม้ว่าทั้งหมดนั่นจะเป็นความเข้าใจผิดของนาย… คุณพลูยังรักและรอนาย และอาจารย์ภูมิศิลป์ก็เป็นเพื่อนที่คอยดูแลคนรักของเพื่อนจนนาทีสุดท้ายของชีวิตเธอ… ไม่มีการทรยศ ไม่มีใครหักหลังใคร ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด… แบบนี้แล้วมันยังดีจริงๆ เหรอกฤต”

“มันก็แค่นิยายที่พวกแกแต่งขึ้นมา! ฉันไม่เชื่อเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้หรอก!!”
 
OOOOO

ด้านในห้องผ่าตัดที่กำลังคร่ำเครียด ในขณะเจาะผ่านกะโหลกศีรษะลงไป ปลายสว่านก็ไปโดนแอ่งเลือดที่คั่งอยู่ทำให้เลือดกระเด็นขึ้นมาโดนแว่นตาของนายแพทย์ที่กำลังจับจ้องไปที่แผ่นบางๆ สีขาวขุ่นของเยื่อชั้นนอกซึ่งหุ้มสมองไว้อยู่ นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิ แต่บดบังทัศนวิสัย จะละสายตาไปจากงานตรงหน้าแม้เพียงชั่วครู่ก็กลัวจะเสียเวลา

และตอนนั้นเองที่ใครคนหนึ่งในชุดกาวน์ปลอดเชื้อเดินแทรกเข้ามา แวบแรกในใจของศาสตราจารย์สรวิชญ์คิดถึงผู้หญิงที่เป็นทั้งภรรยาที่ดีและเพื่อนร่วมงานที่รู้ใจ หากด้วยส่วนสูงที่มากกว่าก็ทำให้รู้ทันทีว่าไม่ใช่

ห้องผ่าตัดที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบไปกันใหญ่ คนอื่นๆ ลอบมองตากันต่างไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะได้ยินข่าวมาเหมือนๆ กัน จนกระทั่งคนที่เพิ่งมาถึงเอ่ยขึ้น

“ผมเปิดกะโหลกให้ครับ” นรกรพูดผ่านหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง

“รู้เหรอว่าฉันจะทำะไร” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามเสียงห้วน

“เลือดออกในสมองส่วนหน้าทั้งสองข้าง เราต้องทำการเปิดกะโหลกด้านหน้าออกทั้งสองฝั่ง”

“อืม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พยักหน้ากับแผนการผ่าตัดที่เหมือนก๊อปปี้ออกมาจากสมอง แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นศัลยแพทย์ ขนาดพยาบาลที่ช่วยส่งของในเขตผ่าตัดยังรู้ขั้นตอนเลย

ถึงอย่างนั้นนั่นก็ทำให้เขายอมละสายตาหันไปให้พยาบาลที่อยู่นอกเขตผ่าตัดช่วยเช็ดแว่นตาให้

เมื่อเขาหันกลับมากะโหลกก็ถูกเปิดออกอย่างสวยงามเห็นก้อนเลือดที่คั่งอยู่ด้านใน และความรวดเร็วนั่นต่างหากที่ทำให้เขานึกชื่นชม ยังไม่ทันจะพูดอะไรนายแพทย์ที่เข้ามาเป็นผู้ช่วยก็กล่าวต่อ

“ปริมาณก้อนเลือดที่คั่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ วัดจากภาพสแกนน่าจะราวๆ 60 CC ก่อนคนไข้เข้าห้องผ่าตัดตรวจค่าความเข้มข้นเลือดของคนไข้ได้ 35 vol% การผ่าตัดโดยเฉลี่ยเสียเลือดราว 500-1000 cc หรืออาจมากกว่านั้นถ้ามีภาวะแทรกซ้อน ผมขออนุญาตตามเลือดจากธนาคารเลือดมารอให้เลยนะครับ” นรกรหันไปสบตาศาสตราจารย์สรวิชญ์เพื่อขอความเห็น

“หมอจะเอากี่ถุงคะ” พยาบาลร้องถามพลางเปิดดูข้อมูลในแฟ้มที่ส่งมากับคนไข้ นรกรก็พูดต่อ

“ที่ ER จองเลือดไว้สี่ถุง พลาสม่าสี่ถุง เกร็ดเลือดอีกสิบถุง คุณพยาบาลช่วยคอนเฟิร์มให้ผมหน่อยครับว่าได้ครบไหม ถ้าได้แล้วขอเลือดมาเตรียมไว้ก่อนสองถุงครับ”

พยาบาลพยักหน้าตาม ข้อมูลทั้งหมดตรงตามที่เขาพูดทุกบรรทัด เธอจึงหันไปจัดแจงให้ตามที่ขอ

“จำเคสแม่นดีนี่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พึมพำผ่านผ้าปิดปากปิดจมูก

“เรื่องพื้นฐานที่ศัลยแพทย์ต้องรู้ก่อนผ่าตัด” นรกรตอบ “ไม่ใช่แค่ต้องรู้ว่าจะผ่าตรงไหน อย่างไรแต่ต้องจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ว่าจะโรคเดิม ผลเลือด ยาที่ทานในอดีตจนถึงปัจจุบัน ผลแลป จำนวนเลือดที่มีเพื่อวางแผนให้สอดคล้องกับการผ่าตัด และต่อให้มีโอกาสที่จะรอดชีวิตมีแค่ 1% เราก็ต้องช่วยให้เต็มที่ ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นหมอ แต่เพราะความหวังแค่นั้นมันก็มากพอแล้วสำหรับคนที่รอเขาอยู่ด้านนอกห้องผ่าตัด…. เรื่องทั้งหมดนี้คุณเป็นคนสอนผมเองนี่ครับ”

“ใช่ ผมสอน” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเรียบๆ “แต่วันนี้คุณพูดผิดไปอย่างหนึ่งนะหมอ”

นรกรกลั้นหายใจเตรียมรับคำต่อว่า แต่ถ้อยคำที่เอ่ยต่อมานั้นกลับช่วยเติมหัวใจที่เบาหวิวให้กลับเต็มตื้นขึ้นมาอีกครั้ง

“เคสนี้ไม่ได้มีความหวังแค่ 1%” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกพลางเพ่งสมาธิไปตรงเนื้อสมองที่กำลังทำการล้างเลือดที่คั่งออกและหยุดเลือดที่ไหลอยู่ตรงหน้า ถึงเขาจะเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่การที่มีอีกมือมาช่วยแบบนี้มันก็ดีกว่ากันเยอะเลย “เพราะมันคือ 100% ต่างหาก”

นรกรหันไปสบนัยน์ตาสีเทาที่มองมาและพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง

OOOOOO

กฤตยืนกำหมัดแน่น ภาพความทรงจำในหัวตีกันสับสน

“ฉันว่าแฟนแกกับไอ้ภูมิมันแปลกๆ หรือเปล่า”

คนถูกตั้งคำถามเหลือบตาขึ้นมอง “อะไรของแกที่ว่าแปลก”

“ก็แบบไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ วันก่อนฉันก็เห็นไปกินข้าวด้วยกัน”

“อ้อ! วันนั้นฉันอยู่เวรไม่ว่างพาพลูไปส่งบ้าน ภูมิมันเลยอาสาไปเอง คงแวะกินข้าวกันก่อนกลับล่ะมั้ง”

“เรื่องแบบนี้คนไม่ใช่แฟนทำแทนกันได้ด้วยเหรอวะ” คนถามยังไม่หยุดสงสัย”

“ในฐานะเพื่อนสนิทแฟนไง” กฤตหัวเราะพลางตบบ่าคนถาม “แกอะคิดมาก ไอ้ภูมิมันไม่ตีท้ายครัวฉันหรอกน่า”

“ระวังไว้หน่อยแล้วกัน แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”





“ทำไมแกถึงทำกับฉันแบบนี้ไอ้ภูมิ! ฉันอุตส่าห์ไว้ใจแกให้แกดูแลเธอแต่พวกแกสองคนกลับมารวมหัวกันหักหลังฉันแบบนี้น่ะเหรอ”

คนที่นั่งมาด้วยกันในรถเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ฉันขอโทษ”

“ขอโทษแล้วมันหายไหม” เขาถามย้ำหากคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ “ฉันถามแกว่ามันหายไหม ไอ้เพื่อนสารเลว!!”


ใช่! เขาไม่ได้เข้าใจผิด มันสารภาพกับเขาเอง… ที่เขาทำมันถูกต้องแล้ว ไอ้เพื่อนสารเลวคนนี้มันสมควรตายแล้ว

วินทร์เหลือบตามองกฤตสลับกับประตูห้องผ่าตัดเป็นระยะ เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังนั้นสั่นไหวไปจากเดิม เขาคิดว่ากฤตคงกำลังทบทวนเรื่องในอดีตและกำลังสับสนอยู่เหมือนกันเพราะถ้าเรื่องมันไม่เป็นอย่างที่เจ้าตัวคิดมาตลอดเท่ากับว่าเขากำลังจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปอีกคน

เข็มเวลาของคนรอคืบผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ละนาทีนั้นยาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกันตร์ บรรดาแพทย์ประจำบ้านเดินวนกันเป็นหนูติดจั่นไม่มีใครเป็นอันทำอะไร

“อาจารย์วิมลภาส่งข้อความมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้รถติดมากเลยจะจอดรถแล้วนั่งวินมา” จิงโจ้ร้องขึ้นทำลายความเงียบ

“แกก็ตอบไปสิว่าพี่ฮาร์ฟไปช่วยแล้ว” อนุวัฒน์บอก “ไม่ต้องให้อาจารย์รีบมาก เดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกคนจะแย่”

“ครับๆ” จิงโจ้พิมพ์ตอบยุกยิกปากก็บ่นงึมงำไปด้วย “นี่ถ้าพี่วินทร์ไม่ได้ทะเลาะกับอาจารย์สรวิชญ์อยู่เราก็คงไม่ต้องมานั่งลุ้นกันขนาดนี้ อย่างน้อยก็จะได้เข้าไปให้กำลังใจกันข้างใน”

“เงียบน่าไอ้โจ้” อนุวัฒน์พูดลอดไรฟัน “พี่ฮาร์ฟเข้าไปช่วยแล้วไง แล้วถึงพวกเราเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

“ก็ไปให้กำลังใจไงพี่วัฒน์”

อนุวัฒน์ถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก อย่างน้อยการได้ต่อล้อต่อเถียงกับจิงโจ้ก็ทำให้เส้นประสาทที่กำลังตึงเปรี๊ยะของเขาคลายลงบ้าง

วินทร์ก้มหน้าลงมองมือตัวเอง… นี่ไม่ใช่ที่ของเขา เขาไม่สมควรอยู่ที่นี่…

เขาหันไปมองกฤตอีกครั้ง เห็นว่าไม่มีทีท่าจะหนีหรือไปทำอะไรที่ไหนจึงแอบหลบฉากไปอีกทาง

OOOOOO

เลือดที่คั่งอยู่ถูกล้างออกจนหมด เลือดที่ไหลสามารถทำการหยุดได้เรียบร้อย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และสัญญาณชีพต่างๆ บนหน้าจอมอนิเตอร์นั้นก็คงที่เป็นที่น่าพอใจ

พยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งเครื่องมือหยิบเข็มกับไหมสำหรับเย็บปิดแผลส่งให้ แต่ศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับไม่ยอมรับมา และกล่าวเสียงเรียบ

“ขอดูฝีมือเย็บหน่อยว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”

“ครับ อาจารย์”

นรกรรู้สึกหายใจทั่วท้องเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้าห้องผ่าตัดมา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ยืนชูนิ้วโป้งให้อยู่ตรงมุมห้อง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ้าปิดปากปิดจมูกอมยิ้มตอบก่อนจะยื่นมือไปรับเข็มกับไหมสำหรับเย็บแผลมา

OOOOOO

“เป็นไงบ้างครับพี่ฮาร์ฟ” จิงโจ้โผเข้าไปหาเป็นคนแรกทันทีที่เห็นนรกรเดินออกมาจากห้องผ่าตัด คนอื่นๆ ก็พลอยลุกตามกันไปด้วย

นรกรถอดผ้าปิดปากปิดจมูกออกแล้วพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตอนนี้อยู่ห้องรอฟื้น เดี๋ยวจะส่งไปสังเกตอาการต่อที่ไอซียู พี่สั่งเจาะเลือดกับยาไว้แล้ว ฝากพวกนายดูต่อด้วยนะ”

“พี่ฮาร์ฟสุดยอด!”

“แล้วเป็นไงบ้างครับ” อนุวัฒน์ถามแบบรู้กันเพราะยังไม่เห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับออกมา

“อาจารย์เปลี่ยนชุดอยู่น่ะ พี่เลยออกมาบอกอาการกับพวกนายก่อนจะได้ไม่เครียด” นรกรว่า “แต่ถ้าพวกนายหมายถึงเรื่องนั้น… ก็ไม่มีอะไรทุกอย่างเรียบร้อยดีเหมือนกัน… ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”

นรกรรู้ว่าพ่อยังไม่หายโกรธเขา แต่การที่พ่อไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขานั้นก็มีความหมายมากเกินพอแล้ว เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยที่สุดพ่อก็ยอมรับเขาในฐานะหมอคนหนึ่งที่จะช่วยพ่อ… ที่จะช่วยคนไข้ไปด้วยกันได้

“รีบๆ ปรับความเข้าใจกันนะครับ” อนุวัฒน์ให้กำลังใจ

“ขอบคุณนะ” นรกรบอก “พี่ไปเปลี่ยนชุดก่อน พวกนายไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์ให้หน่อยเดี๋ยวพี่ตามไป”

“ครับ”

นรกรรอจนทุกคนแยกย้ายกันไปหมดจึงหันไปพูดกับคนที่สุดท้ายที่ยังยืนอยู่

“คุณกฤต ช่วยตามผมมาด้วยครับ”

“นายจะพาฉันไปไหน” กฤตถาม

“ไปหาคุณพลูครับ” นรกรตอบพลางเดินนำไปทางห้องล็อกเกอร์ เขามองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ ทั้งฝั่งของสายศัลยกรรมทั่วไปที่อยู่ห้องติดกันจึงเปิดประตูเข้าไป

“คุณครับ” นรกรเรียกผีสาวในชุดขาวบนตู้ล็อกเกอร์

เธอตวัดขาห้อยลงมาพร้อมกับชะโงกหน้าลงมาหา “มีอะไรหรือคะคุณหมอ”

“คุณจำผู้ชายคนนี้ได้ไหมครับ”

หญิงสาวเอียงคอมองอยู่อึดใจ “นั่นแฟนคุณหมอ” เธอชี้ไปที่ร่างโปร่งแสงของวินทร์ก่อนจะหันไปทางกฤต “นั่นก็แฟนคุณหมอ… มันเกิดอะไรขึ้นทำไมแฟนคุณยังเดินได้ทั้งที่วิญญาณออกจากร่างมาแล้ว…”

นรกรหันไปมองหน้าวินทร์

“ฉันก็เห็นเป็นหน้าตัวเองเหมือนกัน” วินทร์บอก

นรกรหันไปหากฤต “คุณจำเธอได้ไหม”

“ไม่รู้…” กฤตตอบตะกุกตะกัก “ฉันจำไม่ได้ นี่ไม่ใช่พลูที่ฉันรู้จัก… เธอไม่ได้หน้าตาแบบนี้”

นรกรล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและยื่นขึ้นไปบนหลังล็อกเกอร์ มันคือดอกลั่นทมที่พระท่านให้เขามาเมื่อหลายวันก่อน
 
“คุณจำดอกลั่นทมดอกนี้ได้ไหมครับ”

เธอเอียงคอมองอย่างสนอกสนใจ “ก็… สวยดี แต่… มันเหี่ยวแล้ว”

นรกรถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เธอตายมานานเกินไป เราต้องฟื้นความทรงจำเธอ”

“ทำยังไงล่ะฮาร์ฟ”

“หาสิ่งกระตุ้นอื่นๆ อะไรที่แรงกว่านี้” นรกรบอก “แต่ก่อนจะทำแบบนั้น ผมขอถามคุณอีกครั้งได้ไหมครับคุณกฤต”

“อะไร”

“เธอคนนี้ใช่คุณพลู… ผู้หญิงที่คุณรักหรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่” กฤตตอบ

“ไม่ใช่จริงๆ เหรอครับ คุณลอง…”

“ฉันบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ไง!” กฤตตะโกนจนเกือบจะตวาดแล้วก็ผลุนผลันออกไป

“ไม่ตามไปจะดีเหรอ” วินทร์ถาม

“เขาไม่ไปไหนไกลหรอกครับ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรด้วยที่เราจะไปบังคับให้เขาคิดว่านี่คือคุณพลู” นรกรพูดเรียบๆ พลางเก็บดอกลั่นทมใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวบนตู้ล็อกเกอร์อีกครั้ง

วินทร์เลิกคิ้ว “มีแผนอะไรเหรอไง”

“ไม่มีครับ” นรกรตอบตามตรง “ผมแค่พูดไปตามความจริง… ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ก่อนที่เราจะแก้ปัญหาได้เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่ามีปัญหา”

“ก็จริงน่ะนะ” วินทร์พยักหน้าเห็นด้วย “แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงต่อ… รอ?”

“ไม่ครับ” นรกรตอบ “แบบนั้นมันเสียเวลา ในเมื่อเขาไม่ยอมรับก็ช่างเขา ส่วนผมก็จะหาทางทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้”

“งั้นเราก็เริ่มตรงที่ต้องพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่านี่คือคุณพลู… ว่าแต่นายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน เพราะเท่าที่ฉันเห็นเธอก็แบบว่า… คือ… ไม่มีเค้าความสวยของผู้หญิงในรูปคนนั้นเลยนะ”

“ใช่เธอแน่นอนครับ” นรกรกล่าวหนักแน่น

“อะไรทำให้นายมั่นใจขนาดนั้น”

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเปิดรูปกฤตที่เขาถ่ายมาจากหนังสือรุ่นเมื่อหลายวันก่อน เขากดขยายภาพจนเต็มหน้าจอแล้วหันให้ดู “พี่วินทร์ลองดูให้ดีๆ สิครับ ว่าเขาหน้าคล้ายใคร”

วินทร์หรี่ตามองอยู่อึดใจ… จะว่าไม่คุ้นก็ไม่คุ้น… แต่พอเขาลองจินตนาการเปลี่ยนทรงผมในใจ ภาพของใครอีกคนก็ซ้อนทับขึ้นมาทันที “หมอนี่หน้าคล้ายไอ้ธีร์น้องชายนาย! ไม่สิต้องบอกว่าไอ้ธีร์หน้าคล้ายกฤตถึงจะถูก”

นรกรพยักหน้า “ใช่ครับ ผมนึกตั้งนานว่าเขาหน้าคุ้นๆ ที่แท้ก็คล้ายธีร์นี่เอง ผมไปสืบมาแล้วว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรอกนะครับ ก็แค่คนหน้าคล้ายกันเฉยๆ”

“อืม” วินทร์ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมนรกรถึงมั่นใจนัก “นายเคยบอกฉันว่าเธอเป็นแฟนคลับไอ้ธีร์ใช่ไหม”

นรกรพยักหน้า “ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน… ถึงจะแทบไม่เหลือความเป็นคนและความทรงจำแล้ว แต่ลึกลงไป… ฝังแน่นอยู่ในดวงวิญญาณ เธอยังคงจำคนที่เธอรักได้ และยังเฝ้ารอเขาอยู่”

“แล้วทำไมต้องจำเพาะเจาะจงมานั่งรอที่ตู้ล็อกเกอร์ใบนี้ด้วยล่ะ” วินทร์ตั้งข้อสังเกต

นรกรกวาดสายตาขึ้นลงมองตู้ล็อกเกอร์ตรงหน้าอย่างพิจารณา “พี่วินทร์ครับ… ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ มีใครเคยใช้ตู้ใบนี้ไหม”

วินทร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่มีนะ”

“แล้วเคยมีใครเปิดดูไหมครับว่ามีอะไรอยู่ข้างใน” นรกรถามต่อ

“เท่าที่จำได้ ก็ไม่มีเหมือนกัน หรือว่ามันจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน”

นรกรยกมือขึ้นสัมผัสประตูตู้ แล้วออกแรงดึงแต่ไม่ว่าจะดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออกทั้งที่ไม่มีกุญแจล็อก

“ลองตามช่างมางัดไหม” วินทร์เสนอ “มันอาจจะติดอะไรก็ได้”

“ผมคิดว่าช่างก็งัดไม่ออกครับ” นรกรบอกหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง “ที่มันเปิดไม่ออก ไม่ได้เกี่ยวกับประตูตู้ไม่ดี แต่เป็นเพราะเธอไม่ยอมให้เราเปิดต่างหาก”

ทั้งสองเงยหน้ามองขึ้นไปบนหลังตู้ หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านบนใช้สองมือที่แห้งเหี่ยวเกร็งจับจับฝาตู้ไว้แน่น นัยน์ตาลึกโหลที่มองจ้องลงมาดูวาวโรจน์ขึ้นอย่างโกรธเคืองพวกเขาที่บังอาจมายุ่งกับของสำคัญของเธอ

**********************TBC****************************
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 11-02-2019 19:27:12
เหยยยย คุณพลู คือพี่สาวในห้องล็อคเกอร์
พีคไปอีกกกกกก

กฤตต้องใจเย็นกว่านี้ ยอมรับความจริงได้แล้ว
อย่าให้ความแค้นมาบังตา
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 11-02-2019 19:34:26
โอ้ยยยยย ผีที่เป็นเพื่อนฮาร์ฟมานาน คือคุณพลู ค้างไปอีก
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 11-02-2019 22:26:02
พีคในพีค..คคคคคคคค   o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 12-02-2019 12:22:12
มีเรื่องที่คาดไม่ถึงมาอีก :a5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 12-02-2019 16:23:35
อ่านเรื่องนี้แล้ว ได้มีโอกาสไปดูซีรีย์ย้อนหลังเรื่อง เซนสื่อรักสืบวิญญาณ ทำให้รู้ว่า ตอนเป็นคน เลวและเห็นแก่ตัวยังไง ถ้าไม่มีสำนึก ตายกลายเป็นผีแล้วความเห็นแก่ตัวจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ตัวกูของกูเรื่องกูสำคัญที่สุดใครจะฉิบหายจากการกระทำของเราเท่าไหร่ มากมายยังไงก็ไม่สน  อ่านไปดูไป ขัดใจยิ่งนัก เลวววว
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 14-02-2019 09:18:38
โอ้โหหหห เปิดเผยเรื่องของส่วในห้องล็อกเกอร์แล้ว
พีคเลยยยยย ปัญหาปมของกฤตใกล้จะคลี่คลายแล้ว แต่เป็นกังวลปมร่างของพี่วินทร์จังเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: honeymic ที่ 15-02-2019 14:08:36
 ลุ้นค่ะลุ้น  ให้เดาก็คิดว่าน่าจะเป็นลอคเกอร์เก่าของคุณกฤต
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 23-02-2019 09:02:25
 :a5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-02-2019 21:14:10
บทที่ 15 เผชิญหน้า

“ผมอยากไปปรึกษาอาจารย์องค์อินทร์” นรกรบอกหลังจากที่เปลี่ยนชุดผ่าตัดเรียบร้อยและเดินออกมานอกห้องล็อกเกอร์

“นายคิดว่าเขาจะช่วยอะไรเราได้หรือไง” วินทร์ถาม

“อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ถึงจะช่วยไม่ได้ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลองดูนี่ครับ”

“ก็ตามใจนาย” วินทร์ตอบแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก “แต่ตอนนี้มืดแล้วนะ ไม่ใช่ว่าสำนักปิดไปแล้วเหรอ”

นรกรพลิกนาฬิกาขึ้นดู การผ่าตัดกินเวลานานกว่าที่เขาคิดไว้มาก แต่เขาก็ไม่อยากรอจนถึงวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าเข้าใกล้โอกาสที่จะช่วยทุกคนได้มากแล้ว ทุกคนจะได้หลุดจากบ่วงกรรมนี้ กฤตจะได้ไปสู่สุขคติและเขาจะได้ร่างของวินทร์คืนมาเสียที
“ลองไปดูก่อนก็ได้ครับ”

แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงลานจอดรถ ทั้งสองก็พบคนที่กำลังจะไปหาที่สำนักคนทรงเจ้าตรงทางเชื่อมระหว่างตึกซึ่งเป็นลานกว้าง ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

ร่างทรงสูงวัยที่ปกติจะนุ่งขาวห่มขาวสำหรับทำพิธีเปลี่ยนมาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวปิดบังรอยสักที่เป็นลายพร้อยเต็มตัวกับกางเกงขายาวสีสุภาพ ผมสีดอกเลายาวรุงรังถูกรวบและรัดไว้เรียบร้อยเหมือนทุกครั้งที่เขามาโรงพยาบาล มีแค่หนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวลงเจลจนแข็งขนาดลมพัดยังไม่กระดิกที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ เขายืนประสานมืออย่างสงบนิ่งคล้ายกับกำลังรอใครอยู่ และเมื่อทั้งสองเดินเกือบถึงตัว อาจารย์องค์อินทร์ก็เบนสายตามาหา

“เจอกันอีกแล้วนะพ่อหนุ่ม” ร่างทรงทัก “มีเรื่องอะไรอยากคุยกับข้าอย่างนั้นรึ”

“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ แล้วทำไมถึงรู้ว่าผมมีเรื่องจะคุยด้วย” นรกรถาม

หนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวกระดิกเล็กน้อยเมื่อร่างทรงยกยิ้มมุมปาก “มาตรวจตามนัดไง พ่อหนุ่มลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อหนุ่มนัดให้มาตรวจนอกเวลาวันนี้ ครั้งก่อนเจอกันยังย้ำอยู่เลยว่าอย่าลืมนัด แต่กลายเป็นพ่อหนุ่มเสียเองที่ผิดเวลานัด”

นรกรกรอกตา ตกลงเขายังเชื่อได้อยู่ใช่ไหมว่าร่างทรงชื่อดังคนนี้มีฝีมือจริงๆ ไม่ใช่ของเลียนแบบหรือพวกโอ้อวดเกินจริงแบบที่รายการทีวีชอบนำเสนอ “ขอโทษครับ พอดีผมมีผ่าตัดด่วน เชิญตามผมมาครับเดี๋ยวผมตรวจให้”

“ถ้ามีเรื่องด่วนขนาดนั้น ตอนนี้นัดของข้าคงไม่สำคัญแล้ว” อาจารย์องค์อินทร์กล่าว “มีเรื่องร้อนใจอะไรรึ ถึงจะไม่ได้นัดล่วงหน้า แต่ข้าก็ยินดีให้คำปรึกษาพ่อหนุ่มนะ”

นรกรเหลียวมองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคน เขาหันไปสบตาวินทร์ครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามออกไป “ผมต้องทำยังไงถึงจะทำให้ดวงวิญญาณที่ตายมานานมากๆ แล้วจำเรื่องของตัวเองได้ครับ”

“เรื่องนั้นพ่อหนุ่มมีคำตอบในใจอยู่แล้ว” อาจารย์องค์อินทร์บอก

“แต่มันต้องใช้เวลา ผมไม่อยาก…”

“เข้าใจว่าพ่อหนุ่มร้อนใจ แต่รีบไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา อีกอย่างพ่อหนุ่มทำใจได้แล้วอย่างนั้นรึที่จะปล่อยเขาไป”

“คุณหมายความว่าอะไรครับ”

 “การที่พ่อหนุ่มคิดจะช่วยวิญญาณที่น่าสงสารดวงนั้นเป็นเรื่องดี แต่เมื่อใดก็ตามที่เรื่องที่ติดค้างนั้นคลี่คลาย ‘วิญญาณทุกดวง’ ก็จะไปอยู่ภพภูมิที่เหมาะที่ควร”

“ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วนี่ครับ”

“ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ก่อนที่เราจะแก้ปัญหาได้เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่ามีปัญหา” อาจารย์องค์อินทร์กล่าวต่อ

นรกรเงียบฟัง นั่นเป็นประโยคที่เขาเพิ่งพูดกับวินทร์เมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“ในเมื่อตัวพ่อหนุ่มเองยังไม่เข้าใจถึงต้นเหตุของปัญหาแล้วพ่อหนุ่มจะแก้ปัญหาจริงๆ ได้อย่างไร”

“อะไรทำให้คุณคิดว่าผมไม่เข้าใจปัญหาครับ” นรกรถาม

อาจารย์องค์อินทร์หันไปสบตาวินทร์ “พ่อหนุ่มคนนี้น่ะได้ใช้บุญกับกรรมหมดไปแล้ว…”

“อาจารย์” วินทร์ที่เงียบฟังอยู่นานขัดขึ้นทันทีแต่อาจารย์องค์อินทร์ไม่สนใจ

“รู้ไหมว่าความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร…”

“อาจารย์ ผมขอร้อง!”

“มันหมายความว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว” อาจารย์องค์อินทร์พูดต่อจนจบ

“โธ่… ผม… ฟังฉันก่อนนะฮาร์ฟ” วินทร์หน้าเสีย เขารีบหันไปหานรกรเพื่ออธิบาย

“เรื่องนั้นผมทราบอยู่แล้วครับ” นรกรพูดขึ้นอย่างใจเย็นด้วยสีหน้าที่ยังคงเป็นปกติ และนั่นทำให้ทุกคนแปลกใจมากทีเดียว

“ตั้ง… ตั้งแต่เมื่อไหร่ฮาร์ฟ” วินทร์ละล่ำละลักถาม

“ตั้งแต่แรก… วันที่กฤตฟื้นขึ้นมาในร่างพี่วินทร์ที่โรงพยาบาล” นรกรบอก

ตาคมเบิกโพลงด้วยความตกใจ “ทำไมนายถึงรู้…”

“พี่วินทร์ลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าตั้งแต่จำความได้ไม่มีวันไหนที่ผมไม่เห็นผี”

มันไม่เหมือนกัน… เค้าโครงที่เคยเห็นเลือนรางตอนเป็นอทิฏฐ์นั้นกลับชัดเจน เช่นเดียวกับร่างโปร่งแสงอื่นๆ
ไม่ถึงขั้นมั่นใจ เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แค่รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเชื่อใจ และรอ… รอวันที่วินทร์จะบอกกับเขาด้วยตัวเอง

“แสดงว่าพ่อหนุ่มพร้อมจะปล่อยเขาไปแล้วสินะ” อาจารย์องค์อินทร์ถาม

“เรื่องนั้นผมจัดการเองครับ” นรกรว่า “คำถามของผมคือทำยังไงวิญญาณของพี่สาวที่ห้องล็อกเกอร์ถึงจะจำเรื่องของตนเองได้เร็วที่สุดครับ”

“เปิดประตูที่ปิดตาย” อาจารย์องค์อินทร์ยอมตอบคำถามในที่สุด “แก้ผิดให้เป็นถูก”

“แค่นี้ใช่ไหมครับ ขอบคุณมากครับ” นรกรกล่าว “ผมเองก็ไม่มีอะไรจะถามอาจารย์แล้ว ถ้าเช่นนั้นขอเชิญที่ห้องตรวจ ผมจะ…”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดี” อาจารย์องค์องค์แทรกขึ้น “ยาที่ให้ไปครั้งก่อนยังมีอยู่อีกมาก พ่อหนุ่มไม่ต้องเป็นห่วงข้า เอาเวลานี้ไปห่วงตัวเองเถอะ” พูดจบก็กลับหลังหันออกเดินไป

“นี่คุณ…”

“ขอให้โชคดี” อาจารย์องค์อินทร์กล่าวทิ้งท้าย

พอร่างทรงเดินลับตาไป วินทร์ก็หันไปสบตาคนข้างตัว มองลึกเข้าไปในดวงตาสีอ่อนตรงหน้า เขาคิดว่าจะได้เห็นความหวั่นไหวหรือเศร้าหมองแม้สักนิด หากมันยังคงแน่วแน่ไม่มีความลังเลเหมือนตอนที่ประกาศออกมาครั้งแรกว่าจะช่วยเขาให้ได้ไม่มีผิด
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่านรกรไม่รู้ถึงได้พยายามช่วยเขา แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่นรกรรู้อยู่แล้วว่าความหวังที่เขาจะกลับมานั้นริบหรี่กว่าเปลวเทียวในคืนวันฝนตกก็ยังยืนยันและยืนหยัดที่จะช่วยเขาโดยที่ไม่เคยเผยด้านอ่อนแอให้เขาเห็นแม้สักครั้ง

บนไหล่เล็กๆ นั่นแบกความรู้สึกหนักอึ้งไว้มากมายขนาดไหนกัน ทุกรอยยิ้มที่ส่งมาให้ต้องกล้ำกลืนอะไรลงไปบ้าง เขาไม่เคยรู้และประมาณค่าไม่ได้เลย

ที่นรกรเคยต่อว่าเขาไว้มันถูกทุกอย่าง ทั้งที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เขากลับไม่กล้าแชร์ส่วนที่เป็นทุกข์ให้อีกฝ่ายรับฟัง แบกรับความรู้สึกที่ต้องเข้มแข็งและอยากจะปกป้องรอยยิ้มนั้นไว้ทั้งที่จริงแล้วเป็นตัวเองต่างหากที่ได้รับการปกป้องจากอีกฝ่ายมาตลอด

“ขอโทษนะ”

“เรื่องอะไรครับ”

“ฉันน่าจะบอกนายด้วยตัวเอง” วินทร์บอก “นายรอให้ฉันพูดอยู่ใช่ไหม”

“ครับ”

วินทร์เงียบไปอึดใจก่อนจะสารภาพความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมา “ฉันกลัว”

“พี่วินทร์กลัวอะไรครับ”

“ทีแรกฉันคิดว่าตัวเองกลัวนายจะเสียใจ… กลัวนายทำใจไม่ได้… กลัวว่านายจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีฉัน” วินทร์หยุดเว้นวรรคไปเล็กน้อย “แต่หลายวันมานี่นายแสดงให้เห็นว่านายอยู่ได้ถ้าไม่มีฉัน นายไปทำงานได้ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ… แล้วฉันก็เข้าใจว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ฉันกลัวคือเรื่องที่ต้องไปจากนาย กลัวว่านายจะมีคนใหม่ และที่กลัวที่สุดคือกลัวว่าวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปตัวเองจะหายไปจากความทรงจำของนาย… และฉันก็ยังมีเรื่องที่ต้องบอกนายอีกเต็มไปหมด สองปีที่ได้อยู่กันมันไม่พอ… มันยังมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ ฉันกลัว…” จู่ๆ เสียงของเขาก็ขาดหายไปเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่อก

“ผมก็กลัวเหมือนกันครับ” นรกรบอก “ทุกอย่างที่วินทร์พูดมาผมกลัวหมดเลย วันแรกผมกลัวจนไม่กล้ามองหน้าพี่วินทร์ตรงๆ ด้วยซ้ำ เพราะมันตอกย้ำความคิดที่เวียนวนอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าเวลาของเราไม่มีเหลือแล้ว… กลัวจนอยากจะร้องไห้ แต่ผมร้องไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมเข้มแข็งแต่ผมทำให้พี่วินทร์มีห่วงมากกว่านี้ไม่ได้ แล้วตอนนั้นเองที่ผมคิดได้ว่า ถ้าครั้งนั้นพี่วินทร์กลับมาได้เพราะผม ครั้งนี้ผมก็จะทำให้พี่วินทร์กลับมาให้ได้แต่จะต้องไม่ใช่วิธีเดิม เพราะฉะนั้นผมถึงหันมาเผชิญหน้ากับความกลัวแล้วก็สู้กับมัน สู้เพื่อที่จะพาพี่วินทร์กลับมา แล้วผมเองก็ต้องขอโทษพี่วินทร์ด้วย”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่คิดเองเออเองว่าที่พี่วินทร์ไม่ยอมบอกผมตรงๆ เป็นเพราะพี่วินทร์ยังอยากอยู่กับผมใช่ไหมครับ”
คำพูดที่เคยให้กันไว้เมื่อนานมาแล้วดังขึ้นในหัว

…ถ้าคุณจะไป ผมคงไม่รั้งคุณไว้ แต่ถ้าคุณเลือกที่อยู่ คุณจะมีผมอยู่ข้างๆ นะ…
“ใช่ไหมครับ… ผมไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม”

วินทร์สบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมา มันยังคงมั่นคงเหมือนเดิมนับแต่เอ่ยคำสัญญานั้น และถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนไป ก็คงจะเป็นความรักที่เพิ่มขึ้นทุกๆ นาทีละมั้ง

เขาเคยกลัวที่จะตอบคำถามนี้เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดว่ามันยากเกินไปอีกแล้ว “ฉันอยากกลับไปอยู่กับนาย” เขารู้ว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่นรกรต้องการคือคำยืนยันจากปากของเขา “นายคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้า และนี่เป็นรอยยิ้มที่สวยงามและจริงใจที่สุดในรอบหลายวันมานี้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ นรกรรีบกดรับสายจิงโจ้ที่โทรมาด้วยความร้อนใจ และสิ่งที่ปลายสายบอกมาก็ทำให้เขาต้องออกวิ่งเป็นครั้งที่สองในรอบวัน

OOOOOO

นรกรวิ่งมาถึงไอซียูโดยไม่หยุดพัก เปิดประตูเข้าไปได้ก็พุ่งตรงไปยังห้องผู้ป่วยที่น้องๆ แพทย์ประจำบ้านยืนรุมกันอยู่ “เกิดอะไรขึ้นจิงโจ้”

จิงโจ้ส่งแฟ้มให้ ในขณะที่อนุวัฒน์รายงานผลให้ฟังพร้อมกับเดินนำไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเปิดภาพผลสแกนสมองรอไว้แล้ว “ระดับความรู้สึกตัวลดลง ม่านตาเริ่มขยายและความดันเลือดก็สูงขึ้นมาก ตอนนี้ให้ยาลดความดันจนจะถึงระดับสูงสุดแล้วแต่ความดันยังไม่ลดลง ผมเลยส่งทำ CT scan ซ้ำ ไม่มีเลือดออก แต่คนไข้มีภาวะสมองบวมเพิ่มขึ้นมากครับ”

นรกรอ่านผลอย่างละเอียดอีกครั้ง ผลเป็นอย่างที่อนุวัฒน์ว่า และอาการทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นอาการของความดันในกะโหลกศีรษะสูงโดยไม่ต้องสงสัย  หากปล่อยไว้นานกว่านี้สมองจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ เหมือนกับนับถอยหลังรอเวลาเวลาระเบิด “ให้ยาลดการบวมของสมอง”

“ข่าวร้ายครับพี่” จิงโจ้ว่า “คุณพยาบาลโทรมาบอกว่าตอนนี้ของขาดโรงพยาบาล พี่ฮาร์ฟจะใช้ยาตัวไหนแทนดีครับ”

นรกรนิ่งคิดอยู่อึดใจ ยาตัวอื่นที่พอใช้ได้ก็มีอยู่แต่ประสิทธิภาพต่างกันค่อนข้างมาก แล้วเขาก็นึกถึงยาตัวใหม่ที่ภาษิตพรรณาสรรพคุณกรอกหูทุกวันกับผลงานวิจัยที่เพิ่งไปรับฟังมา แต่ด้วยข้อดีข้อเสียที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับเพราะยังไม่ได้นำมาใช้ในวงกว้างและยังไม่ได้อนุมัติให้นำมาใช้อย่างถูกต้องในโรงพยาบาลทำให้เขาต้องปรึกษาคนที่มีอำนาจเหนือกว่า

“นายคิดจะใช้ยาของหมอนั่นใช่ไหม” วินทร์ถามราวกับอ่านความคิดของเขาออก “พ่อนายจะยอมเหรอ ได้ข่าวว่ายังไงก็ไม่ยอมนี่ ถึงขั้นปฏิเสธคำเชิญแล้วส่งนายไปแทน”

“ผมจะลองคุยดูก่อน”

เพราะไม่อยากทะเลาะกับบุพการีให้น้องๆ ได้ยิน นรกรจึงเดินหลบฉากออกมายืนคุยโทรศัพท์ที่ด้านนอก

เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุด เตรียมพร้อมข้อมูลในหัว การถกปัญหาเรื่องงานกับศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังคงเป็นเรื่องยากเสมอ ยิ่งมีเรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันจนถึงขั้นไม่มองหน้า แต่จากที่เผชิญหน้ากันในห้องผ่าตัดเมื่อสักครู่ อย่างน้อยศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็ยังเป็นคนเดิมที่เขารู้จัก… คนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจนแม้กับลูกชายเพียงคนเดียว สำหรับคนอื่นอาจฟังดูแย่ แต่สำหรับเขามันก็แค่กลับไปเริ่มต้นใหม่

และตอนนี้เวลามีไม่มากแล้วเขาต้องคุยกับพ่อให้รู้เรื่องแม้ว่าพ่อจะไม่อยากคุยกับเขาก็ตาม
นิ้วเรียวกดปุ่มโทรออก หูคอยฟังจังหวะที่เสียงรอสายจะกลายเป็นเสียงคนพูด แต่แล้วสัญญาณก็หลุดไป เขากดโทรซ้ำจนถึงครั้งที่สามซึ่งจู่ๆ เสียงก็ไปกลางคันเหมือนโดนกดตัดสายทิ้ง

นรกรลดโทรศัพท์ลงมองกำลังจะกดโทรหาเป็นครั้งที่สี่เสียงห้าวก็ดังขึ้นด้านหลัง
“โทรหาฉันมีอะไร”

เขาสะดุ้งหันไปเห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์กำลังเดินตรงมาหา ใบหน้าของศาสตรจารย์สรวิชญ์นั้นเครียดขมึงจนนรกรรู้สึกตกประหม่า เขาเตรียมใจที่จะคุยแค่โทรศัพท์ และการคุยโดยที่มีหน้ากากปิดไว้ครึ่งหน้าในห้องผ่าตัดนั้นก็ง่ายกว่าคุยแบบเผชิญหน้าตรงๆ เยอะเลย

“เอ่อ… พ่… อาจารย์ครับผมมีเรื่องจะปรึกษา เรื่องอาการของอาจารย์ภูมิศิลป์น่ะครับ”

“ว่ามาสิ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเสียงห้วน

นรกรเล่าอาการและปัญหาให้ฟังก่อนจะจบด้วยแนวทางแก้ไขของเขา “จากผลงานวิจัยที่นำเสนอมาพบว่าสามารุช่วยลดอาการบวมของสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ เทียบกับยาตัวเดิมคิดเป็น 20% และยังมีผลข้างเคียงน้อยกว่า อาจารย์คิดว่ายังไงครับ”

“คิดรอบคอบดีเแล้วใช่ไหม” นั่นเป็นทั้งคำตอบและคำถามเชิงคาดคั้นที่มากับน้ำเสียงเฉียบขาด

“ครับ”

“ก็ลองดู”

“แล้วอาจารย์ไม่มีความเห็นอะไรเลยเหรอครับ”

“แกตัดสินใจแล้วนี่”

“พ่อกำลังจะโยนความรับผิดชอบนี้ให้ผมแบกไว้คนเดียว”

“พ่อไม่ได้โยน แต่พ่อกำลังส่งต่อให้ต่างหากฮาร์ฟ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว “ฟังนะฮาร์ฟ สิ้นเดือนนี้พ่อก็จะหมดความรับผิดชอบทุกอย่างในฐานะหัวหน้าภาควิชาแล้ว ข้อแรกคือพ่อไม่อยากโดนด่าตามหลังว่าวางแนวทางอะไรไว้ให้คนรุ่นหลัง ข้อสอง ต่อเนื่องจากข้อแรก คนที่ต้องใช้คือพวกลูกและคนที่รับผลจากยาเหล่านั้นคือคนไข้ที่ให้ความไว้วางใจยกชีวิตให้ลูกรักษา ดังนั้น ลูกก็คิดเอาเองละกันว่าควรทำยังไง และนี่คือเหตุผลที่พ่อให้แกไปประชุมแทน”

นรกรนิ่งงันไปอึดใจ ช่วงปีหลังที่เขาพยายามพูดกับพ่อให้มากขึ้นทำให้เห็นอะไรที่ต่างออกไปจากมุมมองของตัวเองในวัยเด็กมากมาย นัยน์ตาสีเทายังคงแข็งกร้าวแต่เขาในวันที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็เริ่มเข้าใจถึงความเป็นห่วงและความหวังดีที่มาพร้อมกับความดุนั้น “พ่อครับ”

“อะไรอีก”

“วันนั้นผมขอโทษที่เสียงดังใส่” นรกรบอก “ผมเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงโกรธ สิ่งที่พ่อเห็นและเข้าใจมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องซึ่งพ่อสมควรโกรธ แต่ผมก็อยากให้พ่อฟังเรื่องที่ผมอยากจะอธิบายบ้าง”
กลายเป็นฝ่ายศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่เงียบไปบ้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ไว้วันหลังค่อยไปคุยกันที่บ้าน”

“เอ่อ…”

“ตอนนี้อาการของอาจารย์ภูมิศิลป์สำคัญกว่า ถ้าแกคิดจะใช้ยาก็รีบโทรหาภาษิตเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในไอซียู

“มีเบอร์โทรหรือเปล่า” วิมลภาที่ยืนฟังอยู่ห่างๆ เดินเข้ามาถาม

“มีครับ” นรกรตอบ “เอ่อ… ผมเองก็ต้องขอโทษแม่ด้วยนะครับ”

“จริงๆ เรื่องพฤติกรรมเปลี่ยนนี่มันก็อธิบายได้ตามทฤษฏีเรื่องกระสมองกระทบกระเทือนล่ะนะ” วิมลภาเอ่ยขึ้น “แต่มันก็… เหตุการณ์ที่เกิดมันเกินที่ใจพ่อเขาจะรับไหว… แม่ก็ด้วย แล้วเรื่องที่ทะเลาะกันมันก็เลยเลยเถิดไปหน่อย จนถึงขั้นที่ต่อว่าลูกเรื่องที่ลูกเป็นแบบนี้น่ะ”

“ผมเข้าใจครับ”

“ซึ่งตรงจุดนี้พ่อเขาก็พยายามทำความเข้าใจอยู่นะ” วิมลภาเปิดกระเป๋าสะพายและหยิบเอาแผ่นพับใบหนึ่งออกมาส่งให้ “เผื่อว่านี่จะทำให้คืนดีกันง่ายขึ้น”

นรกรรับมาเปิดดูมันคือเอกสารเชิญชวนเข้าสัมมนาเรื่องความหลากหลายทางเพศ และวันที่จัดงานนั้นก็ตรงกับวันที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ให้เขาไปประชุมแทน

“พ่อลูกบ้านนี้ปากแข็งพอกัน” วิมลภาบอกแกมบ่น “ทั้งๆ ที่หันหน้ามาคุยกันจะเร็วกว่าแท้ๆ… ให้ตายสิ! เมื่อกี้ลูกก็อุตส่าห์ขอโทษแล้วแท้ๆ ยังจะทำเมินอีก เมื่อกี้ยังพูดชมกับแม่อยู่เลยแท้ๆ ว่าฮาร์ฟฝีมือดีขึ้นเยอะแล้ว”

นรกรนึกถึงคำที่พ่อเพิ่งจะบอกให้เขาไปคุยกันที่บ้านทั้งที่ตอนที่ทะเลาะกันประกาศกร้าวว่าอย่าให้เขาไปเหยียบบ้านอีก เขามองแผ่นพับในมือ… แค่นี้ยังไม่พอหรอก เขาต้องขอโทษพ่ออีกครั้งและต้องคุยกับพ่อให้มากขึ้นอีก เขาจะปล่อยให้พ่อพยายามอยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไงล่ะ “ขอบคุณนะครับแม่”

“แม่เข้าไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์ก่อนนะ ฮาร์ฟรีบโทรให้คุณภาษิตเอายามาเลยนะ”
นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งและกดโทรออก คราวนี้รอเพียงแค่อึดใจปลายสายก็รับ “สวัสดีครับคุณพาส ผมมีเรื่องรบกวนหน่อยครับ”

“อะไรหรือครับคุณหมอ” เสียงปลายสายตอบกลับมาอย่างสดใสเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครโทรมา
“ผมอยากให้คุณช่วยนำยามาให้หน่อยได้ไหมครับ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมเสียงคุณหมอฟังดูรีบร้อนจัง”

“พอดีเรามีคนไข้วิกฤตที่จำเป็นต้องใช้ยาในกลุ่มที่ช่วยลดอาการบวมของสมองน่ะครับ”

“สำหรับคุณหมอไม่มีปัญหาครับ” ภาษิตอบ มีความลังเลปนมาในน้ำเสียง “แต่มันจะดีเหรอครับ เพราะยาตัวนี้ยังไม่ได้อนุมัติใช้ในโรงพยาบาลเลยนะครับ ถ้าผมเอาไปให้ใช้จะมีความผิดหรือเปล่า”

“ผมรับผิดชอบเองครับ แล้วก็ถ้าการรักษาในคนไข้รายนี้เป็นได้ด้วยดี ผมคิดว่าศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็คงไม่ลังเลที่จะเซ็นอนุมัติแน่ๆ”

“แต่ว่า…” น้ำเสียงของภาษิตยังมีความไม่แน่ใจ

“ทำไมหรือครับ”

“มันก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดีนี่ครับ”

“แล้วคุณต้องการอะไรครับ”

“ก็ผมอุตส่าห์เอายาไปให้คุณทั้งที่ค่ำมืดดึกดื่นขนาดนี้ แถมต้องแวะไปเอายาที่บริษัทอีก ไกลก็ไกลอย่างน้อยผมก็ควรจะได้ค่าตอบแทนอะไรบ้างนะครับ”

“คุณอยากได้เท่าไหร่ครับ”

“ผมไม่อยากได้เงินครับ”

“แล้วคุณอยากได้อะไร”

“คุณเลิกกับผู้ชายคนนั้นให้ผมได้ไหมครับ”

“นี่คุณ มันไม่ใช่เวลา…”

“เวลามีน้อยไม่ใช่หรือครับ รีบคิดรีบตัดสินใจครับ”

นรกรเงียบไปอึดใจ “ช่วยเอายามาให้ที่โรงพยาบาลด้วยครับ”

“เกิดอะไรขึ้นฮาร์ฟ หมอนั่นว่าไง” วินทร์ถามหลังจากที่นรกรวางสายด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“เขาเสนอข้อต่อรองเพิ่มมาครับ”

“อะไรเหรอ”

“เขาขอให้ผมเลิกกับพี่วินทร์”

“เดี๋ยวนะ!” วินทร์โวยขึ้นทันที “แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน เล่นสกปรกไม่พอ นี่แผนชั้นต่ำมากเลยนะเอาคนไข้มาเป็นข้อต่อรองแบบนี้”
“พี่วินทร์ใจเย็นๆ ก่อนครับ”

“จะเย็นยังไงไหว เมื่อกี้นายตกลงกับมันไปแล้ว แล้วจะยังไง เมื่อกี้นายเพิ่งเริ่มคุยกับพ่อได้ จะหาเรื่องบ้านแตกอีกรอบเหรอ… อ้อ! แล้วนี่ฉันเล่าให้นายฟังหรือยังว่าตกลงคนที่หมอนั่นมันเล็งไว้คือฉันไม่ใช่นาย เมื่อเช้าตอนที่มันเอารูปที่นายคุยกับไอ้ปอมาให้ดูมันแอบหอมแก้มฉันด้วย”

“พี่วินทร์นอกใจผมเหรอ”

“ฉันยืนเฉยๆ มันหอมของมันเองเว้ย!”

“แล้วทำไมตอนที่เล่าให้ฟังทีแรกไม่เล่าให้หมดครับ”

“ก็…”

“ว่าแต่ผม ตัวเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันน่ะแหละ”

“เพราะตอนนี้คนที่อยู่ในร่างพี่วินทร์เป็นกฤตหรอกนะ ถ้าวันหลังยอมให้คนอื่นมาทำแบบนี้อีก ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

“จ๊ะ พ่อคนขี้หึง” วินทร์รับคำพร้อมกับส่งตาหวานให้คนที่มองเขาตาเขียวปั๊ดกลับมา “แล้วตกลงเรื่องนายภาษิตนั่นจะเอายังไง”

“ถ้าเขาอยากได้พี่วินทร์” นรกรเอ่ยขึ้น “ก็ยกให้เขาไปครับ”

“อ้าว เฮ้ย!”

“ยังไงเขาก็จะได้แต่ร่างของพี่วินทร์ไป… ถ้าคุณกฤตยอมน่ะนะ ซึ่งผมว่าเขาไม่เล่นด้วยแน่นอน รู้แบบนี้ผมค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าจะต้องไปเปลืองตัวกับคนอื่นอีก”

“เดี๋ยวนี้ปากคอเลาะร้ายนะเราน่ะ” วินทร์แกล้งว่า

“เราเข้าไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์กันเถอะครับ”

“เปลี่ยนเรื่องเก่งด้วย” วินทร์ยังไม่หยุดแซว เขาจึงได้ค้อนวงใหญ่กลับไปอีกหนึ่งที
อีกราวหนึ่งชั่วโมงต่อมาภาษิตก็มาถึง นรกรรีบลุกเดินไปหา

“ยาอยู่ไหนครับ”

“อยู่นี่ครับ” ภาษิตยกถุงที่ใส่กล่องยาเอา... แล้วเอกสารล่ะครับ”

“คุณต้องรอพรุ่งนี้ครับ เพราะตอนนี้อาจารย์สรวิชญ์กลับบ้านไปแล้ว” นรกรตอบพร้อมกับเอื้อมมือไปจะหยิบถุงยาแต่ภาษิตขยับหนี

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ ถ้าเช่นนั้นอีกเรื่องที่เราตกลงกันไว้ล่ะครับ”

“ผมต้องรีบเอานี้ไปช่วยชีวิตคน ขอยามาก่อนแล้วเราค่อยคุยกันได้ไหมครับ”

“แต่ผมกลัวคุณจะเปลี่ยนใจน่ะสิครับ”

“คุณพาสครับ” นรกรเอ่ยเสียงเรียบ “ผมได้ยินเรื่องทั้งหมดจากพี่วท์แล้วครับ ผมรู้แล้วครับว่าคุณวางแผนอะไรไว้”

“รู้แล้วคุณจะทำยังไงล่ะครับ”

“ก็ไม่ทำอะไรครับ ก็แค่ปล่อยให้คุณทำตามที่คุณต้องการ”

“หมายความว่าคุณจะยอมยกหมอวินทร์ให้ผมง่ายๆ อย่างนั้นหรือครับ”

“เขาไม่ใช่สิ่งของเพราะฉะนั้นผมไม่สามารถยกเขาให้ใครได้หรอกครับ” นรกรตอบ “ถ้าหากว่าคุณรักเขาก็พิสูจน์ด้วยการทำให้เขาเห็นสิครับ ไม่ใช่มายุ่งกับผมแบบนี้”

“แต่มันก็ได้ผลไม่ใช่หรือครับ เพราะดูเขาก็ไม่ไดัรังเกียจผม อ้อ! หรือว่าคุณไม่กล้าเลิกเพราะกลัวขี้ปากชาวบ้าน ขนาดเรื่องที่เขาไปเล่นจ้ำจี้กับเรียนแพทย์ในรถดังไปทั่วขนาดนั้นคุณยังปกป้องเขาเลยนี่นา ถ้าอย่างนั้นผมยอมให้คุณเป็นเมียหลวงนั่งสวยๆ หน้ารถก็ได้ แต่พอผ่านประตูโรงพยาบาลแล้วรบกวนแวะส่งเขาลงกลางทางที่หน้าบ้านผมด้วยนะครับ”

“พูดจบแล้วก็ขอยาด้วยครับ” นรกรไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาเถียงคนไม่เก่งแต่เขาไม่เห็นประโยชน์อันใดกับการคุยกันครั้งนี้ ความรักมันขอกันไม่ได้ และเขาเชื่อมั่นในคำพูดตัวเองว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ตราบใดที่วินทร์ยังรักเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร

“อย่าลืมที่คุยกันวันนี้นะครับ” ภาษิตบอก

นรกรรับยามาและเดินไปคุยรายละเอียดกับคุณพยาบาลที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินกลับมาหาภาษิตอีกครั้ง “รบกวนสอนวิธีการเตรียมยาให้คุณพยาบาลด้วยนะครับ”

ภาษิตยิ้มการค้าให้พร้อมกับเดินตามเธอไปยังรถเตรียมยา “ไม่ทราบว่าต้องใช้กับคนไข้คนไหนหรือครับ”

“นี่ค่ะ” พยาบาลสาวผายมือบอกไปยังห้องที่อาจารย์ภูมิศิลป์นอนพักรักษาตัวอยู่

“นี่… หมอภูมิไม่ใช่หรือครับ”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ใช่ครับ”

“เอ่อ… เขาเป็นอะไรมาหรือครับ”

“อุบัติเหตุรถชนน่ะครับ ตรงสี่แยกหลังโรงพยาบาลตอนนี้อาการเป็นตายเท่ากัน” นรกรตอบ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ภาษิตหน้าซีดเผือด “ปะ…เปล่า ครับ ขอให้หายไวๆ นะครับ” พูดจบเขาก็รีบเดินออกจากห้องไป

นรกรมองตามหลังคนที่รีบร้อนออกไปด้วยอาการแปลกๆ แล้วหันหน้าไปมองร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้องคนไข้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้พี่วินทร์ไม่ต้องกลับบ้านนะครับ”

OOOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-02-2019 21:17:09
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ในหอผู้ป่วยอาการหนักบรรยากาศเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมของเครื่องช่วยหายใจกับเสียงสัญญาณจากหน้าจอมอนิเตอร์ดังสลับกันมาเป็นระยะ

นางพยาบาลสาวที่เข้าเวรกะดึกในคืนนี้เดินเข้าไปดูคนไข้ในห้อง ตรวจระดับความรู้สึกตัวและหยดน้ำยาของยาตัวใหม่ที่เพิ่งทดลองใช้เป็นครั้งแรกให้ไหลในอัตราปกติ เธอถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งด้วยความอัดอั้นใจที่ต้องรับหน้าที่ดูแลคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในระยะเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองคน ทั้งเป็นห่วงและเสียใจสิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีแค่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดและเชื่อมั่นในการรักษาของทีมเท่านั้น
เธอกลับหลังหันแล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบกับแขดที่ไม่ได้รับเชิญมายืนที่ด้านหลัง

“อุ๊ย!”

“ขอโทษครับ”

“ตกใจหมดเลยค่ะ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ คะ คุณภาษิต”

หนุ่มหน้าตี๋มองไปที่คนไข้บนเตียงครั้งหนึ่ง “ผมมาดูว่าการให้ยาเรียบร้อยดีไหมน่ะครับ เห็นว่าเป็นยาตัวใหม่เผื่อจะมีปัญหาอะไร แล้วก็เอายามาให้เพิ่มด้วยครับเพราะผมคำนวณดูแล้วยาขวดนี้จะหมดตอนแปดโมงเช้ากลัวว่ารถติดจะมาไม่ทัน”

“การให้ยาไม่มีปัญหาค่ะ” พยาบาลสาวตอบพลางหันกลับไปมองอาจารย์ภูมิศิลป์ครั้งหนึ่ง “ขอบคุณนะคะที่เอายามาให้ ขอให้ยาของคุณได้ผลนะคะ ช่วงนี้มีแต่ข่าวให้ใจคอไม่ดีเลยเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหมอวินทร์ก็เพิ่งเกิดเรื่องไปยังไม่หายดีเลยแท้ๆ”

“ผมขออยู่เฝ้า… เอ่อ… ดูความเรียบร้อยของวิธีการให้ยาสักครู่นะครับ”

“ได้ค่ะ เชิญตามสบายเลย” เธอกล่าวพร้อมกับเดินออกไป

ภาษิตค่อยๆ ขยับเข้าไปยืนข้างเตียง เขากวาดตามองใบหน้าซีดเซียวและสายที่ต่อระโยงระยางออกมาเต็มไปหมด เขาเดินอ้อมไปดูขวดยาของตน ทำเป็นจับนั่นจับนี่ดูความเรียบร้อย ไล่มือไปตามสายน้ำเกลือที่สอดสายไว้ที่หลังมือ ภาษิตวางมืตัวเองทับลงไป มันเย็นเสียจนเขาใจสั่น เขาบีบนั้นส่งผ่านความอบอุ่นไปให้พร้อมกับถ้อยคำจากหัวใจ

“สู้นะครับ พ่อ”

หยดน้ำใสพยายามจะผลักตัวเองออกมาทางหางตา ภาษิตเงยหน้าดันมันกลับเข้าไป เขาปล่อยมือและรีบกลับออกไป
นางพยาบาลสาวมองผ่านตรงหน้าเคาน์เตอร์เห็นหนุ่มหน้าตี๋กลับออกไปแล้วจึงหันไปพูดกับเพื่อนร่วมเวร “คืนนี้มีคนมาเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์เยอะจัง”

“มีแต่คนเป็นห่วงอาจารย์นี่นา” เพื่อนกล่าวก่อนจะหันไปทักทายใครอีกคนที่เพิ่งเดินออกมา “อาจารย์วินทร์ก็ไปนอนพักเถอะค่ะ มีอะไรเดี๋ยวพวกหนูโทรตาม”

ร่างสูงพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป

กฤตในร่างวินทร์ก้าวไปตามทางที่ว่างเปล่า เพราะความเงียบเขาจึงได้ยินทุกถ้อยคำที่ภาษิตพูดชัดเจน และมันทำให้เกิดความสับสนขึ้นในใจ

ไหนว่าไม่มีใคร… แล้วนี่ลูกใคร… แล้วใครเป็นแม่ของผู้ชายคนนี้

ตกลงเขาเชื่อสองคนนั่นได้ไหม หรือมันก็แค่คำโกหกซ้ำซ้อนเพื่อที่จะไล่ให้เขาไปพ้นๆ สักที

***************************************************TBC********************************************************

หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 23-02-2019 22:06:03
หืม...มมมมมมมมมมมมมมมมมมม    :ruready :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 24-02-2019 05:46:16
เอาแล้วววววว มาเพิ่มอีกปมนึงแล้วจ้า

พาส กับ อาจารย์ภูมิศิลป์

แล้วกฤตจะตามไปเอาเรื่องพาส โดยใช้ร่างวินทร์มั้ยอ่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 24-02-2019 15:28:21
 :katai1: โอ้ยยยยย มาอีกปม พาสคือลูกรึเปล่านี่
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 24-02-2019 19:12:50
ซับซ้อนกว่าเรื่องหลักอีกนะคะนี่
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 24-02-2019 19:53:46
อ้าวววว ซับซ้อนเพิ่มขึ้นอีกปม พาสเป็นลูก แล้วใครเป็นแม่ ใช่คุณพลูไหม  หรือจริง ๆ เป็นลูกของกฤตกับคุณพลู เดามั่วซั่วหมดแล้วววววว :katai1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordstringer ที่ 25-02-2019 20:09:45
กรรม !? เพิ่มมาอีกปม  :a5:
พอเรื่องนี้จบ สงสัยผมต้องไปทำบุญล้างซวยให้คู่หมอฮาร์ฟ - หมอวินทร์แล้วล่ะครับ  :katai1:
มีแต่ปัญหาประเดประดังเข้ามา จนมึนไปหมด  :really2:
(ขออย่าให้ร่างกายของหมอวินทร์ ถูกกระทำระยำตำบอนโดยนายพาเสีย เลยนะครับ  :sad4: :sad4: :sad4: รับบ่ได้)

ปล.คนเขียนสู้ ๆ ครับ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 27-02-2019 07:21:07
มีปมเพิ่มมาอีกหนึ่ง  :a5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 16-03-2019 23:08:30
 :hao4: :hao3: :katai1: :katai1:

โอ๊ยยยยยย... งงในงง... สับสนและมีเบื้องหลังกันไปหมดเลยย.. เป็นซีนพาบินขึ้นฟ้าแล้วปล่อยลงหน้าผาลงหุบเหวชัดๆ... หวังว่าจะไม่มีใครมาเพิ่มความนัวเนียแล้วนะ.. แค่นี้ก็ต้องอ่านพร้อมทำชาร์จ​ความสัมพันธ์​แล้วเนี่ยยยย... อะไรจะตั้งใจกว่าอ่านหนังสือสอบสมัยเรียนขนาดนี้เนี่ย
.... น้องฮาร์ฟสู้ๆนะจ๊ะ.. น้องเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้ป้าเป็นสุขได้
:heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-03-2019 20:51:44
บทที่ 16 หมดเวลา

“เฮ้ย!”

ภาษิตที่กำลังจะก้าวขึ้นรถสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงห้าวดังขึ้นด้านหลัง เขาหันไปมอง และอมยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “มีธุระอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

ร่างสูงยืนนิ่งไม่ตอบคำถามใดๆ เขาจึงลองเดินเข้าไปใกล้ ค่อยยกมือขึ้นสัมผัสที่ต้นแขนเห็นว่าไม่มีท่าทีจะขยับหนีก็สอดมือเข้าคล้องเต็มที่ ไม่คิดว่าของแลกเปลี่ยนที่ขอจะยอมมาหาถึงที่ขนาดนี้

“หรือว่าเปลี่ยนใจอยากลองเล่นกับผมดูครับ”

ตาคมเหลือบลงมอง แล้วใช้มือเชยปลายคางขึ้นให้สบตา “ถ้าอยากเล่นกับไฟก็ตามมาสิ” ก่อนจะก้มลงจูบครั้งหนึ่ง

หนุ่มหน้าตี๋เม้มริมฝีปากที่ยังอุ่นชื้นจากรสสัมผัส “ผมน่ะไม่กลัวอยู่แล้ว คุณต่างหากแน่ใจแล้วเหรอ”

“ไม่มีอะไรแน่ใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

ภาษิตกำลังจะเดินไปขึ้นรถเมื่อลำแขนแกร่งรั้งเอวไว้

“ฉันขับให้” ร่างสูงก้มลงกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับแกล้งเป่าลมอุ่นใส่ทำให้เจ้าของรถใจอ่อนยวบยอมให้กุญแจรถง่ายดายโดยไม่ซักไซ้อะไรอีก

รถของภาษิตเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถไปอย่างรวดเร็ว ร่างโปร่งแสงที่แอบตามมาตามที่นรกรขอร้องไว้ตกใจกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน เขารีบกลับหลังวิ่งกลับไปปลุกคนที่นอนหลับอยู่ห้องพักแพทย์ทันที

“ฮาร์ฟ! ตื่น เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

นรกรที่เพิ่งจะข่มตาหลับได้รีบลุกขึ้นคว้าแว่นมาสวม และแต่งตัวในระหว่างที่ฟังวินทร์เล่าไปด้วย

“ฉันได้ยินหมอนั่นมันเรียกอาจารย์ภูมิศิลป์ว่าพ่อเต็มสองหูเลย ก่อนหน้านี้ที่มาโรงพยาบาลบ่อยๆ เจอหน้ากันก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแปลกๆ นี่นา เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่เนี่ย!”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าเรื่องที่กฤตเข้าใจมันจะถูกต้อง เขาจะต้องยิ่งโกรธแค้นขึ้นไปอีกแน่ๆ” นรกรบอกพลางกดโทรศัพท์หาไปด้วย “โทรไม่ติดครับ”

“ก็คงปิดเครื่องไปแล้วล่ะ โธ่! ไม่รู้ว่าว่าหมอนั่นวางแผนอะไรไว้ถึงได้ไปหาภาษิต แต่ฉันว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ขับรถออกไปแล้วแบบนี้จะตามเจอได้ยังไงล่ะ… แล้วนั่นนายทำอะไรน่ะ” วินทร์ถามเมื่อเห็นนรกรยังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ต่อไป

“ผมลองใช้โปรแกรมตามหาโทรศัพท์ดูน่ะครับ ถ้าพวกเขาเพิ่งออกไปหาจะยังอยู่ในขอบเขตสัญญาณให้เราตามไปได้” นรกรตอบ

“แล้วถ้าเขาปิดโปรแกรมนั่นไปแล้วล่ะ”

“ผมไม่คิดว่าเจาจะปิดเป็นนะครับ แต่ถึงจะปิดได้ ผมก็ยังมีแผนสำรองเป็นแอประบุตำแหน่งที่แอบลงไว้อีกอันครับ”

“รอบคอบดี” ชมไปวินทร์ก็นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเขานรกรก็เป็นคนซื้อให้และลงโปรแกรมจัดเป็นโฟลเดอร์ให้เสร็จสรรพ ดูเหมือนจะมีแอปพลิเคชั่นที่มันหน้าตาแปลกๆ อยู่ด้วย หลงคิดว่ามากับเครื่อง จริงๆ แล้วไม่ใช่สินะ

“เจอแล้วครับ” นรกรบอก “ยังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่”

“เรารีบไปกันเถอะ”

ทั้งสองรีบวิ่งออกจากห้องมา นรกรเลือกลงบันไดเพราะขี้เกียจรอลิฟต์ให้เสียเวลา พอมาถึงชั้นสามกำลังจะลงไปชั้นสอง เงาร่างตะคุ่มก็ปรากฏพรวดขึ้นตรงหน้า

“เฮ้ย! มีอะไรครับ… ทำไม…” นรกรก้าวถอยหลังเพราะนอกจากจะไม่หลบ วิญญาณของผู้หญิงซึ่งปกติจะนั่งหลบมุมอยู่เงียบๆ ยังพุ่งเข้ามาหา จังหวะนั้นเองที่ลิฟต์เปิดออกและชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ก้าวออกมาเดินพอดี ทั้งสองจึงชนกันล้มลง

“โอ๊ย!”

นรกรลุกขึ้นได้ก็รีบเข้าไปพยุงชายคนนั้นให้ลุกขึ้นพร้อมกับขอโทษขอโพยพลางเหลือบตามองไปทางบันได แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของผู้หญิงคนนั้นแล้ว “ขอโทษครับพอดีผมกำลังรีบ”

“ไม่เป็นไรครับผมเองก็ไม่ระวังเหมือนกัน” ชายคนนั้นตอบ

นรกรกำลังจะผละจากไป ชายคนนั้นก็เอ่ยเรียกไว้

“ขอโทษนะครับ ผมรบกวนสอบถามหน่อยว่าไอซียูศัลยกรรมนี่อยู่ชั้นนี้หรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ” นรกรผายมือบอกทาง “เดินตรงไปทางด้านนั้นเลยครับ”

เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นบุคลากรในโรงพยาบาลชายคนนั้นจึงชวนคุยต่อ “พอดีผมมาเยี่ยมเพื่อนโดนรถชนมาน่ะครับ ลูกชายเพิ่งส่งข่าวให้ทราบว่าอาการหนักมาก ผมร้อนใจเลยรีบมา ถึงจะดึกแล้วแต่เขาคงให้เยี่ยมได้ใช่ไหมครับ”

“ได้ครับ กดออดหน้าประตูบอกชื่อคนไข้กับคุณพยาบาลนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

แล้วนรกรก็ฉุกใจคิดขึ้นได้ว่า คนไข้ที่เพิ่งโดนรถชนมามีแค่เคสเดียวนั่นคืออาจารย์ภูมิศิลป์ เขาเหลือบตามองไปตรงบันไดทางลงตรงที่วิญญาณหญิงสาวปรากฏตัวเมื่อสักครู่ก่อนจะเอ่ยถามออกไป

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเพื่อนคุณชื่ออะไรครับ” ถามพลางเขม่นตามองรู้สึกเค้าโครงหน้าของชายคนนี้คล้ายกับใครบางคนที่รู้จัก

“ชื่อภูมิครับ” ชายคนนั้นตอบ “ไม่ใช่สิ เขาเปลี่ยนเป็นภูมิศิลป์ตั้งหลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ชินกับชื่อใหม่เขาสักที เขาเป็นหมอที่โรงพยาบาลนี้แหละครับ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักเขาไหมครับ”

“รู้จักครับเขาเป็นอาจารย์ผมเอง” นรกรตอบ

“บังเอิญจังเลยครับ ถ้าเช่นนั้นผมขอสอบถามหน่อยได้ไหมครับว่าเขาอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

“ผ่าตัดเสร็จแล้วตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวครับ… เอ่อ แล้วที่คุณบอกว่าลูกชายส่งข่าว ไม่ทราบว่าเขาก็ทำงานที่นี่เหมือนกันเหรอครับ” นรกรถาม “บอกได้ไหมครับว่าเขาเป็นใครเผื่อผมจะรู้จัก”

“เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่นี่หรอกครับแต่เป็นผู้แทนยาน่ะชื่อภาษิต… พอดีหมอที่รักษาอยู่เขาโทรหาให้ช่วยเอายาที่ลูกผมกำลังนำเสนออยู่มาให้น่ะครับ”

“ผมนี่ล่ะครับหมอคนนั้น” นรกรกล่าว

“ขอบคุณที่ช่วยหมอภูมินะครับ”

“เขาจะต้องหายแน่นอนครับ เรากำลังพยายามช่วยเขาอยู่”

ชายคนนั้นพยักหน้า ถึงจะดูเศร้าหากแววตายังคงมีความหวัง ก่อนจะพึมพำออกมาคล้ายให้กำลังใจตัวเอง “เขาเคยรอดตายมาแล้วครั้งหนึ่งครั้งนี้ก็ต้องหายดีแบบคราวที่แล้วสิ… ผมขอตัวไปเยี่ยมเขาก่อนนะครับ”

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ”

“ผมชื่อพลครับ”

“ขอผมเสียมารยาทถามอีกคำถามได้ไหมครับ” นรกรถามต่อ “คือผมบังเอิญได้ยินคุณภาษิตเขาเรียกอาจารย์ภูมิศิลป์ว่าพ่อ ส่วนคุณก็บอกว่าเขาเป็นลูก… ตกลงว่าเขาเป็น…”

“ลูกหมอภูมิครับ”
.
.
.
“เกิดอะไรขึ้นครับทำไมจู่ๆ คุณถึงเปลี่ยนใจอยากเล่นกับผมขึ้นมาล่ะ” ภาษิตถามคุณหมอหนุ่มซึ่งขันอาสาขอเป็นคนขับรถให้ “หรือว่าทะเลาะกันอีก ตอนเอายาไปให้เมื่อหัวค่ำผมก็ไม่เห็นคุณอยู่กับหมอฮาร์ฟ ทั้งที่ปกติตัวติดกันแท้ๆ”

“อย่าเอ่ยชื่อหมอนั่นให้ฉันได้ยินอีก”

ภาษิตหยักยิ้มพลางเหลือบตามองโทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่ถูกโยนไว้บนคอนโซลหน้ารถ หลังจากที่มันขึ้นชื่อคนโทรมาให้เห็นบนหน้าจอ “แหม บทจะได้มาก็ง่ายดายเสียจริง รู้งี้ผมไม่น่าคิดแผนแยกพวกคุณให้เวียนหัวเลย… แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกันครับ”

“ไปที่ชอบที่ชอบไง”

“หืม” ภาษิตหันควับ แวบหนึ่งที่รู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไปเป็นเยียบเย็นจนน่าใจหาย และมันฟังดูไม่เหมือนเสียงของวินทร์เลย

“ก็แล้วที่ๆ ไม่ชอบจะไปทำไมล่ะ จริงไหม”

“ก็… จริงครับ” ถึงอีกฝ่ายจะยิ้มทำให้ดูเหมือนแกล้งแหย่เล่น แต่ลึกๆ ในใจของภาษิตกลับรู้สึกเบาหวิวราวกับที่อีกฝ่ายพูดนั้นกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง

รถถูกขับวนมาสักพักก็มาจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกหนึ่ง

“เล่าเรื่องพ่อกับแม่นายให้ฟังหน่อยได้ไหม” กฤตถาม

“แม่ตายตอนผมเกิดน่ะ” ภาษิตเล่า “ผมโตมากับพ่อแค่สองคน แต่จะเรียกว่าพ่อก็ไม่ถูกน่ะนะ จริงๆ แล้วเขาเป็นน้องชายของแม่น่ะ”

“แล้วพ่อนายล่ะ”

“ผมไม่รู้เหมือนกัน”

“อย่ามาโกหกฉันได้ยินนายเรียกไอ้ภูมิว่าพ่อ!” กฤตเผลอตวาดออกไปด้วยความโกรธ

ภาษิตสะดุ้งเฮือก หันมองคนที่หน้าตาบึ้งตึง ทำตาขวางใส่ เขาไม่เคยเห็นหมอวินทร์เป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่แค่วันนี้แต่เป็นตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา นั่นผิดกับผู้ชายอารมณ์ดีขี้เล่นทำให้เขาตกหลุมรักจนคิดจะช่วงชิงราวกับเป็นคนละคน แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ไม่คิดจะถอยเหมือนกัน

“ตกลงไอ้ภูมิมันเป็นอะไรกับนาย!” กฤตคาดคั้น

“เปล่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน… แค่คนรู้จัก”

คำตอบนั้นทำให้กฤตยิ่งอารมณ์เดือดพล่าน “ทำไมพวกแกต้องโกหกฉันทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

“ผมไม่ได้โกหกนะ!”
.
.
.
“เขาเป็นลูกหมอภูมิแล้วก็เป็นลูกผมด้วยครับ” พลตอบก่อนจะขยายความต่อ “จริงๆ เขาเป็นลูกชายของพี่สาวผมที่เสียไปแล้วน่ะครับ”

“แบบนี้เอง” นรกรหันไปสบตากับวิทนทร์

“ผมป่วยเป็นธาลัสซีเมีย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเจ็บออดๆ แอดๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นตอนเขายังเล็กหมอภูมิก็เลยอาสาช่วยดูแลเวลาผมมาโรงพยาบาลน่ะครับ” พลเล่า “ไม่ใช่แค่นั้น แต่เวลาผมลำบาก ไม่ว่าเรื่องอะไร หมอภูมิก็ยื่นมือเข้ามาช่วยตลอด”

“ตกลงอาจารย์ภูมิศิลป์ไม่ใช่พ่อเขาใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่น่ะครับ แล้วเจ้าตัวก็เรียกแบบนั้นมาตลอด แต่หมอภูมิไม่ชอบให้เรียกหรอกครับ”

“แล้วพ่อแท้ๆ ของเขาล่ะครับ”

พลหน้าตึงขึ้นเล็กน้อย “เสียไปในอุบัติเหตุรถชนครับ นี่คงเป็นอีกเหตุผลที่หมอภูมิมาช่วยดูแลเขาด้วยล่ะ คงรู้สึกผิดเพราะนั่งไปด้วยกันแต่มีแค่ตัวเองรอดมาได้โดยบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น”

“เขาชื่ออะไรครับ”

เล่าถึงตรงนี้พลก็เงียบไป “ผมขอไม่ตอบได้ไหมครับผมไม่อยากเอ่ยชื่อคนที่ทิ้งพี่สาวผมไป”

พลไม่ยอมพูดแต่นรกรได้คำตอบแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรหาภาษิต
.
.
.
“แฟนคุณโทรหาผมน่ะครับคงรู้ตัวแล้วล่ะมั้งว่าคุณหายมากับผม” ภาษิตบอก

“ปิดโทรศัพท์ซะ!” กฤตตะคอก

“ไม่เห็นต้องเสียงดังใส่เลยนี่ครับ” ภาษิตกดตัดสาย แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตื๊อจัง”

กฤตเอื้อมมือข้ามเบาะมาคว้าโทรศัพท์จากมือภาษิตกดปิดแล้วโยนไปที่เบาะหลัง

“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ เบาๆ หน่อยสิเดี๋ยวโทรศัพท์ผมพังหรอก!” ภาษิตเริ่มเสียงดังกลับ รู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกที เหมือนตัวเองกำลังถูกทำเป็นสนามระบายอารมณ์มากกว่าจะถูกชวนมาเพราะความพิศวาสใดๆ

ไฟจราจรที่เป็นสีแดงอยู่กะพริบเปลี่ยนเป็นสีเขียวรถคันข้างหน้าค่อยเคลื่อนตัวตามกันออกไปยกเว้นก็แต่รถของพวกเขา

“ออกรถได้แล้วคุณ” ภาษิตเร่งเมื่อรถที่จอดต่อท้ายเริ่มบีบแตรไล่ต่อกันเป็นทอดๆ เสียงดังลั่นถนน

แต่กฤตก็ยังไม่ยอมขยับรถ เขากดเท้าเหยียบคันเร่งจนมิดทั้งๆ ที่ยังเข้าเกียร์ว่างทำให้เกิดเสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่ม

“นี่คุณ! คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!”

“ก็บอกแล้วไง” กฤตกล่าวเสียงเย็น “ว่าจะพาไปที่ชอบๆ”

เขารอจนถนนถนนด้านหน้าโล่ง แล้วก็เข้าเกียร์ปล่อยให้รถพุ่งทะยานออกไปด้านหน้า เป้าหมายคือเสาไฟฟ้าที่เห็นอยู่ไกลๆ อีกฟากของถนน

ยี่สิบสี่ปีก่อนที่ทำพลาดไป วันนี้เขาจะทำมันให้สำเร็จให้ได้ พวกมันทั้งหมดจะต้องตายตามกันไป ให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำกับเขาไว้

“เฮ้ย! คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้!!”

ภาษิตพยายามยื้อแย่งพวงมาลัยแต่ก็ไม่อาจสู้แรงได้ รถเริ่มส่ายไปมาอย่างน่าหวาดเสียวแต่ก็ยังพุ่งตรงไปข้างหน้า และเสี้ยวนาทีน่าสิ่วน่าขวานนั้นเอง จู่ๆ หน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกปิดวางอยู่บนคอนโซลก็สว่างวาบขึ้นมาสะท้อนข้อความขึ้นบนกระจกหน้ารถ
กฤตละสายตาจากเสาไฟฟ้าจ้องมองข้อความนั้น นัยน์ตาเบิกโพลง พลันรถสีฟ้าเมทัลลิกก็พุ่งมาจากถนนอีกด้านแล้วจอดขวางหน้า เขาถอนเท้าจากคันเร่งแล้วกดเหยียบเบรคจนมิด

เอี๊ยดดดด!

รถของภาษิตปัดไปเล็กน้อยจากการเบรคกะทันหันแต่ก็ยังคงทรงตัวอยู่บนถนนได้ก่อนจะจอดสนิท โชคดีที่เป็นกลางดึกไม่มีรถวิ่งมากนัก รถคันอื่นเพียงแค่บีบแตรแทนการสบถใส่ก่อนจะเหยียบคันเร่งให้พ้นไป

“ฮาร์ฟ! นี่นายทำบ้าอะไรเนี่ย!” วินทร์ตะโกนใส่คนที่นั่งหอบอยู่หลังพวงมาลัย รู้เลยว่าถ้าหัวใจยังเต้นอยู่มันจะต้องรัวจนแทบจะระเบิดกับความบ้าระห่ำของนรกร “ถ้านายเป็นอะไรไปอีกคนจะทำยังไง ห่วงตัวเองบ้างสิ!”

นรกรไม่โต้ตอบอะไร เขามองผ่านกระจกเห็นกฤตเปิดประตูลงจากรถแล้วจ้ำพรวดตรงมาหา เขาจึงรีบเปิดประตูรถออกไปเผชิญหน้า

“นี่มันหมายความว่ายังไง!” กฤตถามเสียงดังพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ในมือให้ดู

คุณจะทำร้ายลูกตัวเองไม่ได้นะครับ

นรกรเหลือบตามองข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์ที่เขาใช้วิธีส่งข้อความควบคุมระยะไกล รู้สึกดีใจเหลือแสนที่โชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง “เมื่อกี้คุณพลมาเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์… คุณจำคุณพลได้ใช่ไหมเขาเป็นน้องชายคุณพลู”

ภาพเด็กผู้ชายตัวผอม ผิวซีดและใส่มาร์สปิดหน้าทุกครั้งที่เจอกันปรากฏขึ้นในความคิด กฤตพยักหน้า

“เขาบอกผมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกของพี่สาวเขากับเพื่อนของอาจารย์ภูมิศิลป์ที่ตายไปในอุบัติเหตุ นั่นก็คือคุณไม่ใช่เหรอ”

“แต่มันเรียกผู้ชายคนนั้นว่าพ่อ”

“พ่อบุญธรรม” นรกรต่อให้ “ขอร้องล่ะคุณกฤต ผมอยากให้คุณใจเย็นลงสักนิด... ลองนึกดูดีๆ อีกสักครั้ง”

“แต่ฉันไม่…”

พลันภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัว ภาพวันเลี้ยงส่งเขาที่ต้องไปทำงานไกลบ้าน ค่ำคืนที่เขาดื่มจนเมามายและตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้อยู่ที่บ้านของหญิงคนรัก

“นี่… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” ภาษิตลงจากรถในสภาพที่ยังตื่นตระหนกไม่หาย หัวของเขาปูดจากการโขกกับกระจกด้านข้างตอนรถเหวี่ยง

กฤตหันไปกระชากคอเสื้อภาษิตและร้องถาม “ตอบฉันมาอีกทีสิว่าพ่อนายชื่ออะไร”

“ชื่อ… พล มีอะไร” ภาษิตตอบตะกุกตะกักด้วยความมึน

“ไม่ใช่! ฉันหมายถึงพ่อจริงๆ พ่อที่เป็นผัวแม่นายน่ะ”

“คุณจะอยากรู้ไปทำไม!”

“ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับ” นรกรขอร้อง

ภาษิตมองคนนั้นทีคนนี้ที งงเป็นไก่ตาแตกไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ยอมตอบไปเพื่อให้จบๆ เรื่อง “พ่อบอกว่าผู้ชายคนนั้นชื่อ กฤตเขาหลอกฟันแม่ก่อนจะทิ้งแม่ไปแล้วก็ขับรถชนตายไปตั้งแต่ก่อนผมเกิดพวกคุณมีปัญหาอะไรกับเขาหรือไง”

ผัวะ!

ภาษิตกุมปากซึ่งเจ็บจนชาจากแรงหมัดที่กระแทกเข้ามาเต็มๆ “นะ… นี่คุณต่อยผมทำไมเนี่ย!”

“ข้อแรกเลยนะเจ้าหนู” กฤตชี้หน้า “อย่าเรียกพ่อว่าผู้ชายคนนั้น ข้อสองเขาไม่ได้หลอกฟันแล้วก็ไม่ได้ทิ้งแม่แก และข้อที่สามจำใส่กะโหลกไว้ให้ดีเลยนะว่าอย่าริเที่ยวไปยุ่งผู้ชายที่เขามีเจ้าของแล้ว!”

“เฮ้ย! นี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย แล้วคุณก็เป็นคนชวนผมเองนะ”

“แล้วแกปฏิเสธไม่เป็นหรือไงวะ” กฤตบอก พอคิดว่าถ้าหมอนี่เป็นลูกขึ้นมาจริงๆ เขาก็อดอายตัวเองไม่ได้ที่ไข่อะไรทิ้งไว้ให้มาสร้างปัญหาให้คนอื่น ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้เป็นคนเลี้ยงเองก็เถอะ

“พูดบ้าอะไรวะ!” ภาษิตถกแขนเสื้อพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหา

ทั้งสองทำท่าจะวางมวยใส่กัน นรกรจึงเข้ามาจับแยกและขอให้ภาษิตกลับบ้านไปก่อนค่อยมาเคลียร์กันวันหลัง

หลังจากนั้นเขากับวินทร์พากฤตกลับมาที่ตู้ล็อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนชุดอีกครั้งและตั้งคำถามเดิม

“นี่ใช่คุณพลูหรือเปล่าครับ”

กฤตเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกกับเรือนผมสีดำยาวนั้นอยู่อึดใจ ก็พยักหน้าครั้งหนึ่ง

มีใครบ้างจำคนรักของตัวเองไม่ได้ ต่อให้เธอเปลี่ยนไปแค่ไหนเขาก็จำเธอได้อยู่ดี… ที่ปฏิเสธไปในทีแรกก็แค่กลัว… กลัวที่จะยอมรับความจริงว่าเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็นแค่ความเข้าใจผิดของตัวเขาเอง

“ล็อกเกอร์นี่เคยเป็นของเธอ” กฤตเอ่ยขึ้นช้าๆ “เธอเรียนจบแล้วทำงานก่อนฉัน เวรของเธอก็ยุ่งไม่ใช่น้อยส่วนฉันก็วุ่นวายกับการสอบ เวลาที่ว่างพวกเราจะนัดเจอกันใต้ต้นลั่นทมในสวน แต่เวลาทำงานฉันจะแอบแวะมาหาเธอที่วอร์ด ได้เจอก็ถือเป็นโชคดี แต่ถ้าเธอยุ่งฉันก็จะเอาขนมหรือบางทีก็เป็นจดหมายใส่ไว้ในตู้ล็อกเกอร์ของเธอ เข้าทำนองว่าไม่ได้เห็นหน้าขอเห็นล็อกเกอร์ก็ยังดี ฉันทำแบบนี้ทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรของเรา เธอเคยบอกว่าตู้นี้เหมือนเป็นกล่องวิเศษที่ให้พลังกับเธอ ฉันไม่ได้ให้อะไรเลิศเลอหรอกบางวันก็แค่ดอกลั่นทมดอกเดียวที่เก็บมาจากในสวนเธอก็เก็บใส่กระเป๋ายิ้มหน้าบานได้ไปทั้งวันแล้ว…”

กฤตเล่าไปยิ้มไปกับความทรงจำแต่หนหลัง

“วันนั้นฉันเอาแหวนมาใส่ในล็อกเกอร์ และแอบอยู่รอเธอเลิกงาน รอให้เธอมาเจอแหวนแล้วฉันจะขอเธอแต่งงาน แต่คนที่มาถึงก่อนกลับเป็นไอ้ภูมิ แวบแรกที่เปิดตู้ไปเห็นกล่องแหวนมันดูตกใจมากทีเดียว ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน ในเมื่อนี่เป็นตู้ส่วนตัวของเธอ เป็นที่นัดพบของเราแล้วมันมาทำอะไรที่นี่ แล้วสักพักเธอก็เดินมาหามัน มันปิดประตูตู้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นฉันก็เห็นพวกมันสองคนโผเข้ากอดกัน คุยกันอย่างสนิทสนม ฉันทนไม่ไหวก็เลยออกจากที่ซ่อน แล้วเราก็เลยทะเลาะกัน…”

“กฤตฟังฉันก่อนมันไม่ใช่อย่างที่แกคิด”

“ไม่ใช่ได้ยังไงก็เห็นอยู่ตำตา… ใครๆ ก็เตือนฉันว่าแกมันไม่ซื่อ ฉันก็โง่ไม่ฟังหลงเชื่อใจแกมาตลอด สุดท้ายมันก็เป็นจริงตามที่คนเขาว่า!”

“กฤต…” พูดได้เท่านั้นกำปั้นก็พุ่งเข้าเต็มแสกหน้า

“กฤตอย่าทำภูมิ ฟังพลูอธิบายก่อน”

“นี่เธอปกป้องมันเหรอ”

“มันเป็นความผิดพลูเอง อย่าโทษภูมิเลย”

“ตกลงพวกแกสองคนแอบเป็นชู้กันแล้วสวมเขาให้ฉันจริงๆ ใช่ไหม” เขาต่อยตู้เสียงดังด้วยโทสะแล้วเดินกระทืบเท้าปึงปังออกไปเพราะไม่อาจทนดูภาพบาดตาต่อไปได้

“กฤต…”

“ฉันไปเอง” ภูมิบอกพร้อมกับลุกขึ้น “เธอรออยู่ที่นี่นะพลูเดี๋ยวฉันพาไอ้กฤตกลับมา”


“แต่ฉันก็ไม่ได้กลับไป และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเธอ” กฤตผ่อนลมหายใจออกมายืดยาวและเงียบไปอึดใจ “พวกนายพูดถูก มันอาจเป็นการเข้าใจผิดของเองก็ได้ ที่ฉันเห็นมันก็แค่กอด แต่อย่างนั้นทำไมสองคนถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ ลับหลังฉัน ถ้าพลูยังรักและรอฉัน แล้วหมอนั่นมันเป็นลูกฉันจริง ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงไม่บอกฉัน… ทุกอย่างมันดูสับสนและย้อนแย้งกันไปหมด”

“คุณลองเปิดล็อกเกอร์ดูสิครับ” นรกรบอก “คำตอบอาจจะอยู่ในนั้นก็ได้นะ”

กฤตเอื้อมมือไปจับประตูตู้ ทั้งนรกรและวินทร์พากันกลั้นใจลุ้นตามไปด้วย กฤตออกแรงดึง แต่ว่า…

“มันเปิดไม่ออก” กฤตบอก

“เปิดไม่ออก?” วินทร์ย้อนถาม

กฤตพยักหน้าพร้อมกับออกแรงดึงให้มากขึ้น “มันเปิดไม่ออกจริงๆ นะ” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวที่มองลงมา “พลู นี่ฉันเอง กฤตไง จำฉันได้ไหม”

“กฤต” เธอทวนคำ

“ใช่! เธอจำฉันได้ใช่ไหม”

“ฉัน… รู้จัก… ชื่อนี้…” เธอทวนคำด้วยเสียงที่ยานคางไปอีก “ฉัน… รอ… เขาอยู่”

“เธอรอฉันอยู่เหรอ ฉันกลับมาหาเธอแล้วนี่

หญิงสาวชะโงกหน้ามองลงมา “คุณ… ไม่ใช่เขา”

“ใช่สิ!” กฤตว่า “ฉันนี่ไงกฤตของเธอ ในตู้นี่มีอะไรขอฉันดูหน่อยได้ไหม”

“ไม่ได้!”

กฤตทั้งอ้อนวอนและขอร้องจนอ่อนใจแต่หญิงสาวบนตู้ล็อกเกอร์ก็ไม่ทีท่าจะใจอ่อนเลย

นรกรกับวินทร์มองหน้ากันแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยังคงจับประตูไว้แน่น “ถ้าคุณไม่ใช่คนที่จะเปิดได้ งั้นใครกันล่ะคือคนที่จะเปิดได้”

“บางทีอาจจะเป็นอาจารย์ภูมิศิลป์” วินทร์บอกความคิดของตน “เรื่องราวมันต้องมีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้อีก เรายังไม่ได้คำตอบว่าจดหมายที่พวกคุณเขียนหากันมันหายไปไหน ใครเป็นคนปลอมจดหมายลายมือกฤตส่งไปให้นาย ไหนจะเรื่องคุณกฤตธีแล้วก็เรื่องที่คุณพลูมีลูก อาจารย์ก็รู้และคอยดูแลส่งเสียมาตลอด ฉันคิดว่าอาจารย์นี่แหละคือคนที่กำความลับทุกอย่างไว้ ถ้าอยากรู้ความจริงก็มีทางเดียวคือเราต้องช่วยอาจารย์ให้ได้แล้วก็ถามกับเจ้าตัวเขาเอง”


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-03-2019 20:58:06
(ต่อตรงนี้ค่ะ)
ในตอนสายๆ ของวันต่อมาภาษิตก็กลับมาโรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับพล

“สวัสดีครับ” พลกล่าวกับคุณพยาบาลพร้อมกับส่งขนมที่ถือติดมือมาฝากให้พวกเธอ “แบ่งกันทานนะครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลหมอภูมิ”

“ขอบคุณค่ะ”

“ดูเขาเป็นคนดีผิดกับลูกชายลิบลับเลยนะ” วินทร์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่กระซิบกับนรกรที่นั่งทบทวนแผนการรักษาพร้อมกับผลสแกนสมองตอนเช้าวันนี้หลังให้ยาหมดไปหนึ่งคอร์ส ซึ่งผลที่ได้ดูเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

“ถ้าไม่นับเรื่องนั้นผมว่าเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะครับ” นรกรตอบพลางมองข้ามคอมพิวเตอร์ไปดู

“นึกยังไงถึงชมคนที่จะมาแย่งแฟนตัวเอง” วินทร์ว่า

“นึกว่าตัวเองโชคดีได้ของดีถึงขั้นมีคนอยากมาแย่งไงครับ” นรกรพูดติดตลก

พลกับภาษิตแยกตัวจากพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์และเดินตรงมาหาพวกเขา

“สวัสดีครับคุณหมอ” พลทักทายอย่างยิ้มแย้มผิดกับภาษิตที่ดูไม่ค่อยกล้ามองหน้าเขาเท่าไหร่ “วันนี้หมอภูมิอาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวครับ แต่ว่าสมองยุบบวมลงอย่างเห็นได้ชัด และไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นเพิ่มมาอีกครับ” นรกรตอบ

“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย แบบนี้เขาก็มีโอกาสหายใช่ไหมครับ”

“ครับ” นรกรตอบ “แล้วก็ต้องขอบคุณคุณพาสมากเลยนะครับที่ช่วยเหลือเรื่องยา ถ้าไม่ได้คุณเอายามาให้เมื่อคืนการรักษาคงล่าช้าและทำให้อาการของอาจารย์แย่ลง”

ภาษิตตกใจเล็กน้อยที่โดนเอ่ยชื่อ เขาพยักหน้ารับคำขอบคุณเขินๆ

“ผมขอตัวไปเยี่ยมหมอภูมิก่อนนะครับ” พลบอก และเดินเข้าไปในห้องในขณะที่ภาษิตยังยืนอยู่ด้านนอก

นรกรเห็นว่าสบโอกาสที่จะเคลียร์เรื่องเมื่อคืนจึงเอ่ยขึ้น “เอ่อ… คุณพาสครับ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมต้องขอโทษแทนพี่วินทร์ด้วยนะครับ คุณก็รู้ว่าเขาเพิ่งได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองมาช่วงนี้อารมณ์ก็เลยแปรปรวนน่ะครับ”

“ครับ” ภาษิตตอบ “ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่ฉวยโอกาสทำเรื่องโง่ๆ ที่เลวร้ายกับคุณ ทั้งที่คุณกำลังพยายามช่วยชีวิตคนอยู่… และคนๆ นั้นก็เป็นคนสำคัญของผมด้วย”

แล้วต่างคนก็เงียบไปอีกครั้งก่อนที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คือว่า… ที่พวกคุณถามถึงคนชื่อกฤต… เอ่อพ่อผมน่ะ… มันทำไมเหรอครับ”

“พอดีเรารู้จักกับพ่อคุณน่ะครับ แล้วเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งรู้ว่าเขามีลูกก็เลยอยากรู้ว่าเป็นใคร แล้วยิ่งตกใจไปอีกพอรู้ว่าเป็นคนใกล้ตัวอย่างคุณน่ะครับ”

ภาษิตพยักหน้าเข้าใจ

“คุณเคยบอกว่าแม่คุณเป็นพยาบาลใช่ไหมครับ แล้วเธอก็เสียไปหลังจากที่คุณเกิดไม่นาน ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”

“แม่ผมเสียเพราะคลอดผมออกมานี่แหละครับ” ภาษิตบอก “แม่ป่วยครับแต่ก็ยังฝืนท้องผมและคลอดออกมา”

“แม่คุณป่วยเป็นอะไรครับ”

“มะเร็งสมองครับ” ภาษิตอบ “เพิ่งรู้ตัวก่อนจะท้องผมได้ไม่นาน จริงๆ แม่จะทำแท้งก็ได้เพื่อจะได้ไปรับการรักษาเต็มที่ แต่ก็ฝืนจนคลอดผมออกมาครับ แม่บอกว่ายังไงตัวเองก็ต้องตายและผมคือของขวัญที่จะมาต่อชีวิตให้แม่ ถ้าผมรอดแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ในตัวผม”

“คุณพลเล่าให้คุณฟังเหรอครับ”

“เปล่าครับ” ภาษิตบอก “พ่อบอกความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกตั้งแต่ยังเด็ก แต่คนที่เล่าเรื่องแม่ให้ฟังคือหมอภูมิ พ่อเกลียดผู้ชายที่ชื่อกฤตมากเพราะทิ้งแม่ไปแล้วก็ทำให้ใครๆ เข้าใจผิดว่าแม่เป็นสาเหตุให้เขาตาย แต่หมอภูมิไม่อยากให้ผมคิดกับพ่อแท้ๆ แบบนั้น ก็เลยแอบเล่าเรื่องเขาให้ฟังบ่อยๆ น่ะครับ”

“อาจารย์สนิทกับครอบครัวคุณมากเลยนะครับ”

“มากๆ เลยล่ะครับ” ภาษิตตอบ “จนผมคิดว่าจริงๆ แล้วเขานี่แหละคือพ่อแท้ๆ ของผม แต่เขายืนยันว่าไม่ใช่ แล้วก็ไม่ชอบที่ผมเรียกเขาว่าพ่อด้วย แต่ผมก็ยังดันทุรังเรียกอยู่ดี”

“ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ฟัง”

“ผมขอตัวไปเยี่ยมหมอภูมิบ้างนะครับ”

“ครับ”

นรกรมองตามเข้าไปในห้อง พลยืนอยู่ข้างเตียงด้านหนึ่งมองคนที่ยังไม่รู้สติ ภาษิตเข้าไปยืนอีกด้านและสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มจับมือคนบนเตียงส่งกำลังใจไปให้

“อาจารย์เก็บความลับอะไรไว้กันแน่ครับ รีบตื่นขึ้นมาแล้วเล่าให้พวกผมหน่อยเถอะครับ” นรกรรำพึงกับตัวเอง

OOOOOO

ถึงจะยอมรับได้ส่วนหนึ่งว่าอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่กฤตก็ยังทำใจไปเยี่ยมอดีตเพื่อนรักไม่ได้ เขาจึงมาขลุกตัวอยู่ที่ตึกกายภาพกับกฤตธีเหมือนที่เขาแอบสองคนนั่นทำมาตลอดหลายวัน แต่ต่างตรงที่วันนี้ไม่ต้องแอบอีกแล้ว

ตอนนี้กฤตธีอาการดีขึ้นมาก การทำกายภาพเป็นไปด้วยดี เขาเริ่มช่วยเหลือตัวเองและทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีอาการเหม่อลอยหรือเผลอหลับเป็นช่วงๆ และยังพูดได้ไม่ชัด การสื่อสารส่วนใหญ่จึงใช้วิธีเขียนใส่กระดาษ

หลังจากทำกายภาพตามตารางประจำวันเสร็จกฤตก็อาศัยร่างที่เป็นหมอในโรงพยาบาลนี้ของวินทร์ขอพาชายหนุ่มออกมานั่งเล่นในสวน และในขณะที่กำลังเหม่อมองต้นลั่นทมที่กำลังชูช่อและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น จู่ๆ กฤตธีก็หันมาดึงแขนเสื้อเขา

“ว่ายังไง” กฤตถามพลางนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็นเพื่อให้สายตาเสมอกัน

“เขาไปไหน” กฤตอ่านคำถามที่ถูกเขียนส่งมาในสมุดโน้ตเล่มเล็กก่อนจะถามกลับ “นายหมายถึงใครเหรอ”

…หมอภูมิศิลป์...

กฤตมองตัวหนังสือโย้ไปเย้มาเพราะเจ้าตัวยังจับดินสอเขียนไม่ค่อยถนัดอย่างไม่เชื่อสายตาและตอบออกไป “เขาไม่สบายน่ะ”

…เป็นอะไร…

“รถชน”

ชายหนุ่มมีสีหน้าตกใจขึ้นทันที

…ผมขอไปเยี่ยมเขาได้ไหม…

กฤตกลั้นหายใจ เขามองสายตาวิงวอนแกมขอร้องที่ส่งมาก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ เดี๋ยวฉันพาไป”

…ขอบคุณครับ…

กฤตมองคนป่วยที่มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันตา ไม่คิดจะถามว่าทำไมถึงรู้จักเพราะคำตอบนั้นเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในหัวแล้ว… คำตอบที่เขาปฏิเสธมันมาโดยตลอด บางทีนี่อาจจะถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว

พยาบาลสาวที่หน้าเคาน์เตอร์ในห้องไอซียูโบกมือทักทายทันที่ที่เห็นร่างสูงเดินผ่านประตูเข้ามาและกระวีกระวาดมาช่วยเขาเข็นรถ

“อาจารย์ฮาร์ฟเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง ไม่สวนกันเหรอคะ”

“พอดีผมพาคนมาเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์น่ะครับ” กฤตตอบ

“นี่ใช่คุณกฤตธีที่เคยนอนอยู่เตียงหรือเปล่าคะ”

ชายหนุ่มบนรถเข็นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้

“ดูแข็งแรงขึ้นเยอะเลยนะคะ อีกไม่นานก็คงได้กลับบ้านแล้วนะคะ”

กฤตธียกมือไหว้พร้อมกับค้อมศีรษะรับคำอวยพร

พยาบาลสาวยกมือรับไหว้และเข็นรถมาส่งจนถึงข้างเตียงจึงปลีกตัวไปทำงานต่อ

กฤตไม่เข้าไปด้านใน เขายืนอยู่แค่หน้าประตูห้องและมองดูคนบนรถเข็นสัมผัสแขนบีบมือคนที่ยังนอนไม่รู้สติอยู่บนเตียง
ครู่หนึ่งกฤตธีก็เปิดสมุดโน้ตที่ไว้ใช้สื่อสารและพยายามฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ด้วยความที่ยังจับอะไรไม่ค่อยถนัดดูเงอะงะ คนที่ยืนดูอยู่หน้าห้องจึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วย

“จะฉีกออกใช่ไหม ฉันทำให้” กฤตบอกและรับสมุดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงแต่ในขณะที่กำลังจะฉีกก็สังเกตเห็นว่ามันเป็นจดหมายที่เจ้าตัวเขียนขอบคุณอาจารย์ภูมิศิลป์ เมื่อดูจากความยาวของจดหมายแล้วคงต้องใช้ความตั้งใจและความพยายามเป็นอย่างมาก

กฤตธีรับกระดาษมาพับและสอดใส่สมุดเยี่ยมที่วางไว้บนโต๊ะตรงข้างเตียง

เสร็จหน้าที่ฉีกกระดาษ กฤตก็ถอยออกมายืนหน้าห้องตามเดิม และหันหลังให้ เขาไม่อาจทนมองภาพร่างที่นอนนิ่งศีรษะพันผ้าพันแผลหนา มีท่อช่วยหายใส่และสายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางเต็มไปหมดได้

ตอนนั้นเองที่ใครคนหนึ่งเดินมา

ถึงจะดูไม่เหมือนเด็กชายตัวผอมผิวซีดในความทรงจำตรงที่ร่างกายนั้นดูมีเนื้อหนัง แข็งแรงขึ้นและใบหน้าก็เริ่มมีริ้วรอยไปตามวัย แต่เขาก็ยังคงหน้าตาไว้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน… หน้าที่เหมือนกันกับพี่สาวของเขา

“พล” กฤตเผลอเรียกชื่อออกไป

“สวัสดีครับ” เจ้าของชื่อรับคำงงๆ เพราะเพิ่งเจอคุณหมอคนนี้เป็นครั้งแรก “รู้จักผมได้ยังไงครับ เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ”

“นี่หมอวินทร์ครับ” ภาษิตที่เดินตามหลังมาบอก “เป็นแฟ… เพื่อนคุณหมอนรกรที่รักษาหมอภูมิครับ”

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลหมอภูมิ” พลกล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะ

“แล้วนั่นใครมาเยี่ยมหมอภูมิน่ะพ่อ” ภาษิตถาม “ใส่ชุดคนไข้ด้วย”

พลมองเข้าไปในห้อง “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวพ่อเข้าไปคุยดู”

แล้วพลก็เดินเข้าไปทักทายแขกในห้องด้วยท่าทียิ้มแย้มเสมือนตัวเองเป็นญาติของคนป่วย

“เรื่องเมื่อวานขอโทษที” กฤตเอ่ยขึ้น “คือฉัน…”

“คุณป่วยอยู่” ภาษิตพูดขึ้น “หมอฮาร์ฟคุยกับผมเมื่อเช้าแล้ว เขาขอโทษแทนคุณแล้วก็อธิบายเสียยืดยาวเลย”

กฤตเงียบไป รู้สึกผิดที่สร้างความยุ่งยากให้สองคนนั่นทั้งที่สัญญาไว้แล้ว

“เอาจริงๆ นะผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าตกลงนี่เป็นนิสัยคุณจริงๆ หรือเพราะคุณป่วย หรือจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่ผมยอมแพ้แล้ว ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าจะทนอารมณ์แปรปรวนแปลกๆ ของคุณไม่ไหวหรือเพราะคุณไม่ได้เหมือนกับตอนที่ผมแอบชอบ แต่ผมยอมแพ้ผู้ชายคนนั้น”

“อืม”

“ผมแค่อยากเอาชนะน่ะ” ภาษิตพูดต่อ “ผมเห็นพ่อแอบชอบคนๆ นึงมาเป็นสิบๆ ปี โดยไม่คิดที่จะแย่งเขามาทั้งๆ ที่ก็ทำได้ แล้วก็คิดว่าตัวเองจะต้องไม่เป็นแบบนั้น… แล้วผมก็คิดผิด”

กฤตมองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงร่างกายจะโตเป็นผู้ใหญ่แต่ประสบการณ์รักยังอ่อนนัก “นายก็แค่ยังไม่เจอคนของนายก็แค่นั้นเอง” เขาบอก “ถ้านายเจอเขา นายจะรู้ว่าเขาเป็นของนายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามหรือแย่งชิงมาเลย”

ภาษิตหัวเราะแห้ง “ผมอุตส่าห์ตัดใจแล้วนะ อย่ามาทำให้ไขว้เขวได้ไหม”

“ขอโทษที” กฤตบอก “แล้วนี่นายไม่เข้าไปเยี่ยมภูมิเหรอ”

“หน้าที่ผมคือขับรถมาส่งพ่อ” ภาษิตบอก

เห็นว่าสบโอกาสกฤตจึงเอ่ยถาม “แล้ว… แม่นายเป็นอะไรตายเหรอ”

ภาษิตเหลือบตามองคนถามครั้งหนึ่ง แต่ก็ยอมตอบ “มะเร็งสมองน่ะ”

“มะเร็งสมอง” กฤตทวนคำด้วยเสียงแหบแห้ง นึกจำได้ว่าเธอชอบบ่นปวดหัวให้ฟังอยู่บ่อยๆ และเขาก็ไล่ให้เธอไปนอนพักคิดว่าแค่ทำงานหนักไปก็เท่านั้น ไม่คิดว่านั่นจะเป็นอาการนำของโรคร้ายแรงขนาดนี้ “แล้วทำไมเธอไม่รักษา”

“ถ้าแม่จะรักษา แม่ต้องเอาผมออกเพราะต้องให้คีโม แม่ก็เลยเลือกจะเก็บผมไว้”

กฤตอึ้งไปเล็กน้อยที่ได้ยิน “เรื่องนี้พลกับภูมิรู้หรือเปล่า”

“รู้สิ หมอภูมินี่แหละที่เป็นคนพาแม่ไปหาหาหมอ”

ทั้งสองหยุดบทสนทนาเมื่อพลเดินกลับออกมาหา “เขาบอกว่าหมอภูมิเป็นคนให้ทุนเขาเรียนจนจบน่ะ ตัวเขาเองก็เพิ่งเกิดอุบัติเหตุเมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากแวะมาเยี่ยมหมอภูมิที่โรงพยาบาลน่ะ”

กฤตเม้มปากสนิท นั่นตอกย้ำการคาดเดาของเขาและเนื้อความในจดหมายของกฤตธีที่เขาแอบเห็นได้เป็นอย่างดี

“แหม พ่อนี่สุดยอดเลย ทำหน้าที่รับแขกได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องสมกับเป็น…จริงๆ” ภาษิตแกล้งเว้นวรรคอย่างมีเลศนัยน์

“อะไรเจ้าพาส ฉันก็แค่ถามไปตามมารยาท”

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา... เพื่อนสนิทไงเพื่อนสนิท… ว่าแต่พ่อจะอยู่เฝ้าหมอภูมิต่อใช่ไหม งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะเดี๋ยวตอนเย็นมารับ”

“ไปพักบ้างเถอะ นายเองก็ไม่ค่อยแข็งแรงนี่นา” กฤตเอ่ยขึ้น

“ผมไหวครับ” พลบอก 

ภาพเด็กชายในความทรงทรงจำซ้อนทับขึ้นมาในความคิด คนที่ยังคงยิ้มให้อย่างร่าเริงเสมอและบอกว่าไหวทั้งที่นอนซมแทบไม่มีแรงหายใจอยู่บนเตียง ฉับพลันภาพก็เปลี่ยนไปเป็นเด็กผู้ชายอีกคนที่มักจะส่งยิ้มมาให้ทั้งที่นัยน์ตาเศร้า เขาย่นคิ้วกับภาพนั้น เหมือนจะคุ้นแต่นึกไม่ออก โดยเฉพาะนัยน์ตาสีอ่อนนั่นคุ้นเหลือเกิน

“เมื่อก่อนหมอภูมิทำให้ครอบครัวเรามากกว่านี้อีก แค่อยู่ข้างๆ จนกว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา เรื่องแค่นี้สบายมากครับ”
พูดจบพลก็เดินกลับเขาไปในห้องอีกครั้ง

กฤตมองเข้าไปในห้อง แล้วเขาก็ได้เห็นบางสิ่งที่ต่างไปจากครั้งแรก… บางสิ่งที่เขาเคยมองเห็นแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นมาโดยตลอดหลายปี

รถเก๋งจอดติดไฟแดง กฤตเหลือบตามองสัญญาณไฟที่กะพริบเปลี่ยนสีและตัดสินใจเด็ดขาด “แกตอบฉันมาตรงๆ สิไอ้ภูมิว่าแกรักพลูใช่ไหม”

“เปล่า ฉันไม่ได้รักเธอ”

เขากระทืบเท้าลงบนคันเร่งด้วยแรงโทสะที่บังตาจนมืดบอด ตอนนี้เขาพร้อมตายเพื่อยุติปัญหาทุกอย่าง “อย่ามาโกหก! ถ้าแกไม่ได้รักเธอแล้วที่มาคอยดูแล พาไปกินข้าว ไปรับไปส่งช่วยพาน้องชายเธอไปหาหมอ แกทำทั้งหมดนี่เพื่ออะไร”

รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะปัดไปด้านข้างเมื่อคนขับหักหลบหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่บังเอิญเดินผ่านมา เสียงล้อรถเบียดไปกับถนนและเสียงกระแทกกันของโครงรถกับเสาไฟฟ้าดังสนั่นทำให้เสียงคำตอบสุดท้ายของคนที่นั่งคู่มาด้วยกันนั้นแผ่วค่อยเต็มที แต่ตอนนี้มันกลับชัดเจนอยู่ในสองหูและสะท้อนซ้ำไปซ้ำมา

“เพื่อแกไงกฤต ทั้งหมดเพื่อแก… เพราะว่าฉันรักแก”


กฤตรู้สึกว่าทั้งตัวหนักอึ้ง เขาก้าวช้าๆ เข้าไปในห้องก่อนจะหมดแรงทรุดลงนั่งคุกเข่าข้างเตียง เขาคว้ามือคนที่ยังไม่ได้สติขึ้นมาและซบหน้านิ่ง มันเกินกว่าคำว่าเสียใจหรือรู้สึกผิดกับการตัดสินใจผิดเพียงชั่วครู่ที่ให้หลายชีวิตเปลี่ยนไป ในขณะที่เขายังจมอยู่กับความทุกข์และการแก้แค้น แต่อีกคนกลับพยายามก้าวเดินต่อ ใช้ชีวิตเพื่อชดเชยความผิดที่ทำพลาดไป

ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าทำไมวิญญาณถึงไม่ไปไหน ทำไมตัวเขาถึงได้กลับมาในร่างนี้

“ฉันขอโทษไอ้ภูมิ… ฉันขอโทษ… ยกโทษให้ฉันเถอะ”

OOOOOO

กว่าจะผ่าตัดเคสสุดท้ายของวันเสร็จก็มืดค่ำเอาการ นรกรเดินลงจากตึกกลับไปขึ้นรถ ระหว่างทางร่างโปร่งแสงที่เดินคู่กันมาก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ทั้งวัน

“ฮาร์ฟ”

“อะไรครับ”

“ทำไมไม่บอกกฤตเรื่องที่คุณพลูเสียเพราะอะไร”

“จะบอกได้ยังไงล่ะก็ผมยังไม่เจอตัวเขาเลยนี่นา”

“เหรอ” วินทร์ทำเสียงอย่างไม่เชื่อ

นรกรหันไปสบตา “อยากพูดอะไรก็พูดมาครับ”

วินทร์มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำอ่อนตาลคู่นั้น ต่างคนต่างเข้าใจดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากที่กฤตแก้ไขเรื่องทุกอย่างได้ นั่นคือเหตุผลที่นรกรไม่บอกกฤตเพราะอยากจะยืดเวลาออกไป ตัวเขาเองก็กลัวที่จะพูดเรื่องนี้เหมือนกันแต่เมื่อมันเวลามันใกล้เข้ามาก็คงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนจะไม่มีโอกาสเหมือนครั้งก่อน “เรามาคุยกันหน่อยไหมว่าหลังจากนี้จะเอายังไง”

นรกรดูลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตอบตกลง “ครับ”

ทั้งสองเดินลัดเข้ามาในสนามแล้วนั่งลงตรงม้านั่งตัวเดิมที่พวกเขามักจะมานั่งคุยกันบ่อยๆ นรกรนั่งตัวตรงในขณะที่วินทร์นั่งตะแคงข้างเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ

“เอาสีที่นายชอบน่ะ” เขาเอ่ยขึ้นโดยปราศจากการอารัมภบทใดๆ

“สีขาวได้ไหมครับ” นรกรถามกลับ “ผมไม่เคยเห็นพี่วินทร์ใส่สูทขาว แต่คิดว่าใส่แล้วต้องหล่อมากแน่ๆ เลย”

“สูทใส่ยากนะ”

“ผมใส่ให้ได้น่า” นรกรบอก

“โกนหนวดให้ด้วยนะ”

“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วครับ”

“อย่าทำบาดนะ”

“อันนี้ห้ามยากนะครับ” นรกรว่า “ผมเลือกชุดแล้ว ดอกไม้ให้พี่วินทร์เลือกนะ”

“เอาเป็นกุหลาบขาวกับฟอร์เก็ตมีน็อตสีฟ้า” วินทร์ตอบ “เบอร์โทรร้านประจำฉันบันทึกไว้ในเครื่องแล้ว เจ้าของร้านชื่อคุณนิด เขาจะจัดการให้นายได้”

“ได้ครับ”

“ฝากขอบคุณพ่อกับแม่นายด้วยสำหรับความกรุณาตลอดมา แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกลาด้วยตัวเอง”

“ครับ”

“นายจะร้องไห้ไหม”

“ไม่ร้องหรอกครับ”

“ดีแล้ว”

แล้วต่างคนก็เงียบไปรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ ที่ต้องมานั่งคุยเรื่องการจัดงานศพของตัวเอง

วินทร์กวาดตามองบรรยากาศรอบตัวที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเห็นมันอีกครั้งเมื่อไหร่ พยายามซึมซับมันไว้ทั้งต้นไม้ เสียงลม แสงดาวบนท้องฟ้า เมื่อเวลาเปลี่ยนไปก็คงไม่มีอะไรเหมือนเดิม “ฮาร์ฟ… ถ้าหากว่าฉัน…”

“ผมจะรอครับ” นรกรชิงพูดขึ้นก่อน “นานแค่ไหนก็จะรอ”

วินทร์อมยิ้มกับตัวเอง “ฉันกำลังจะขอให้นายลดสเปค”

“ยังไงครับ”

“ก็แบบ… นายชอบคนอายุมากกว่าแต่เดี๋ยวกลายเป็นฉันอายุน้อยกว่า ซึ่งดูแล้วก็คงเยอะด้วย นายจะยอมลดตัวมาคบกับเด็กไหมล่ะ”

“ตอนนี้ผู้ชายในสเปคผมเปลี่ยนไปแล้วนะ”

“แล้วชอบแบบไหน”

“แบบนี้” นรกรชี้ไปที่คนข้างตัว “เป็นให้ได้ไหมครับ”

“ไม่น่ายาก” วินทร์ยิ้มเขิน

“พี่วินทร์น่ะแหละ… ถึงเวลานั้นเป็นหนุ่มหน้าใส คงมีสาวๆ มีคนน่ารักๆ รุมล้อมแล้วจะสนใจอาจารย์หมอแก่ๆ เหรอ” นรกรรำพึงเบาๆ “ผมไม่อยากรอนานขนาดนั้นเลย”

“ถ้านายรอไม่ไหว ฉันยอมให้พรากผู้เยาว์นะ”

“ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากติดคุก”

“ไม่ติดหรอก เดี๋ยวฉันยอมรับเองว่าเป็นคนลงมือก่อน”

“ไม่ต้องมาเรียนหมอนะ งานหนัก ไม่มีเวลาเจอกัน อยากเรียนอะไรก็เรียนถ้าพ่อแม่ไม่ยอมเดี๋ยวผมส่งเสียเอง”

“ป๋าไปอีก” วินทร์หัวเราะในลำคอ “เป็นหมอนี่แหละ ยังอยากไปเดินราวน์ด้วยกันอยู่ เคสหนักก็ช่วยกันรักษา เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน และฉันก็ไม่อยากพลาดเห็นรอยยิ้มตอนนายผ่าตัดสำเร็จ”

“ไหนว่าถ้าเลือกใหม่ได้ จะไปเป็นนักร้องหรือเป็นเชฟไง”

“แล้วนายว่าไงล่ะ ฉันเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้เป็นแฟนนายอีก”

“ก็เป็นอยู่แล้ว” นรกรว่า “ไม่ได้เลิกกันเสียหน่อย แค่ห่างกันสักพักไม่ใช่เหรอครับ”

“นั่นสินะ”

แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไปอีกครั้ง ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะพูด แต่เพราะคำพูดมากมายมันแย่งกันมาจุกอยู่ที่คอจนไม่รู้จะบอกเล่าเรื่องไหนก่อนจึงจะเหมาะสมและพอดีกับเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้

วินทร์ขยับตัวเข้าไปใกล้ วางมือลงทาบทับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนม้านั่ง “ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“นายจะผ่านมันไปได้… ฉันแค่หลับไป… นานหน่อย แค่นั้นเอง เดี๋ยวตื่นมาก็ได้เจอกันแล้วนะ”

นรกรพยักหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกลำคอตีบตันจนตอบได้แค่สั้นๆ “ครับ”

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“รักนะ”

นรกรเม้มปากสนิท พยายามแค่นเสียงให้ตอบออกไป “ผมก็…”

“นายไม่ต้องตอบตอนนี้…” วินทร์พูดขึ้นพร้อมกับหันไปสบตา “ฉันขอเก็บไว้ฟังตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตกลงไหม”

“ครับ”

“แล้ว...” วินทร์พูดได้แค่นั้น น้ำเสียงก็ขาดหายไป รู้สึกถึงแรงกระตุกแปลกๆ ในอก

“พี่วินทร์... เกิดอะไรขึ้น...” นรกรลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจเพราะจู่ๆ ร่างโปร่งแสงตรงหน้าก็ค่อยๆ จางลงจนแทบจะกลืนหายไปกับความมืดมิด

“ฉัน... ไม่...รู้...”

ฉับพลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นรกรกดรับและเสียงจิงโจ้ที่ตอบกลับมาก็เหมือนช่วยให้คำตอบของคำถามที่สงสัย

“พี่ฮาร์ฟครับ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พี่วินทร์เป็นอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็ล้มลงไปแล้วยังไม่ยอมฟื้นเลย!”

*******************************************TBC**********************************************
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-03-2019 21:49:13
 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 17-03-2019 22:30:20
 :sad4: สงสารจะพรากจากกันอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Poompim ที่ 17-03-2019 22:40:54
พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยค่ะสงสานทั้งคนรอ และคนคนที่จากไปต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกัน :sad4: :hao5: :m15: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordstringer ที่ 17-03-2019 23:32:20
เฮ้อออ  :เฮ้อ: นึกถึงพุทธศาสนสุภาษิต ประโยคนี้เลยครับ
   "กมฺมุนา วตฺตตี โลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"  :hao5:

ขอให้ทุก ๆ อย่างผ่านไปด้วยดีนะครับ หมอฮาร์ฟ & หมอวินทร์  :impress3:

ปล. :L2: :L2: :L2: คนเขียน สู้ ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 18-03-2019 00:20:54
 :katai1: :katai1: :katai1:
กฤตเนี่ยเป็นผีพ่อที่ฮาร์ดคอร์จริงๆ.. ถ้ามีชีวิตอยู่ถ้าจะปะฉะดะกะลูกชายจนบ้านแตกแหงๆ.. ก็ไม่รู้ว่าอะไรดีกว่าเนอะ.แต่ก็ทำหน้าที่สั่งสอนลูกได้รวดเร็วทันใจเป็นพวกคิดไวทำไวไม่ฟังใครไม่เปลี่ยนแปลงดี.. คลี่คลาย.....
.. แต่ใจสลายหนักมากกับการพบแล้วจากแบบไม่ตั้งตัวของน้องฮาร์ฟกะพี่วินทร์..  :o12: :o12: :o12:  น้องเข้มแข็งมากๆ.. แต่ถ้าน้องจะไม่ร้อง.. พี่ขออนุญาติร้องก่อนเลยนะคะ :o12:  เป็นนิยายที่บีบคั้นกันเกินไปแล้ว.. ใจสลาย​ใจสลาย.. ความหวังของวันใหม่อยู่ที่น้องแล้วจริงๆ.. ป้าจะนั่งรอฟ้าสว่างไปด้วยกันนะคะ :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 18-03-2019 11:55:37
ไม่ได้เลิกกันสักหน่อย แค่ห่างกันสักพักไม่ใช่เหรอครับ ...
เศร้า สงสารทั้งคู่
ชีวิตต้องอยู่การรอคอยและทำใจ :(
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: thebrownbear ที่ 18-03-2019 15:55:16
เศร้ามากเลย แบบเหมือนยังไงก็ต้องยอมรับอ่ะ คนที่จะต้องจัดงานศพให้แฟนตัวเองนี่ต้องขนาดไหน เง้อเศร้า
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 20-03-2019 06:19:57
อยากให้วินทร์กลับมา อย่าเอาวินทร์ไปเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-03-2019 19:49:23
บทที่ 17 บอกลา

นรกรวิ่งขึ้นตึกกลับไปที่ห้องพักแพทย์ เปิดประตูเข้าไปเห็นอนุวัฒน์กับจิงโจ้กำลังช่วยกันปฐมพยาบาลให้รุ่นพี่ของตนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าคมสันซีดจนไร้สีเลือด นรกรรีบเข้าไปยืนอย่างเตียง คว้าข้อมือมาคลำชีพจรในขณะที่สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า แรงเต้นของชีพจรถึงจะเร็วกว่าปกติหากยังคงแรงและสม่ำเสมอ เขายังมองเห็นกฤตอยู่ในร่างของวินทร์ แต่ดวงวิญญาณนั้นก็ดูลางเลือนเต็มทีเหมือนกัน

“คุณพยาบาลบอกว่าเห็นพี่วินทร์เดินไปจับมืออาจารย์ภูมิศิลป์แล้วร้องไห้บอกว่าขอโทษ หลังจากล้มลงไปเลยครับ พอดีพวกผมไปราวน์เช็กสัญญาณชีพเห็นว่าปกติเลยช่วยกันแบกมาที่นี่” อนุวัฒน์บอก

“ขอบคุณมาก” นรกรตอบ

“เขาคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” วินทร์สรุปความ

นรกรเม้มปากสนิท โอกาสเดียวที่จะช่วยวินทร์ได้มาถึงแล้วแต่ถ้าเขาทำไม่สำเร็จนั่นก็หมายความว่าเรื่องที่เพิ่งคุยกันเมื่อสักครู่จะเกิดขึ้นจริงแล้วเขาจะเสียวินทร์ไป และนั่นทำให้เขาเกิดกลัวขึ้นมา

ร่างโปร่งแสงเขยิบเข้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหู “มันจะต้องสำเร็จสิ ฉันเชื่อใจนายนะ”

นรกรหันไปสบตา รอยยิ้มกว้างบนหน้าอีกฝ่ายลบความหวาดกลัวให้หายเป็นปลิดทิ้ง “เราต้องไปตามอาจารย์ภูมิศิลป์”

“แต่อาจารย์ยังไม่ฟื้นไม่ใช่เหรอ” วินทร์ว่า

“พี่ฮาร์ฟจะให้เราช่วยอะไรไหมครับ” จิงโจ้ถามอย่างไม่แน่ใจนักเพราะเหมือนนรกรจะพูดกับพวกตนแต่กลับหันหน้าไปทางที่ไม่มีใคร

“พวกนายช่วยออกไปก่อน” นรกรหันมาบอก

“ไม่ครับ” อนุวัฒน์ที่แอบสังเกตการณ์มาสักพักพูดขึ้น

“อะไรของนายวัฒน์” นรกรถาม

จิงโจ้เองก็สงสัยเช่นกัน “นั่นสิพี่วัฒน์”

“วัฒน์ ตอนนี้พี่กำลังรีบ ไม่มีเวลามาอธิบายเพราะฉะนั้นช่วยทำตามที่พี่บอกเถอะ” นรกรขอร้อง

“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาพี่ฮาร์ฟก็ไม่เคยอธิบายอะไรสักอย่างอยู่แล้วนี่ครับ” อนุวัฒน์ว่า

“เฮ้ย! พี่วัฒน์... พูดแบบนี้มันก็ออกจะเกินไป... ไหม...” จิงโจ้เหลือบมองคนที่หน้าเสียไปถนัด

“วัฒน์ นาย...”

“ผมอยากช่วยครับ” อนุวัฒน์บอก “ตั้งแต่วันที่พี่วินทร์เกิดอุบัติเหตุ ผมรู้ว่ามันมีอะไรเปลี่ยนไป มันมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม ผมเองก็ทำได้แค่เดาซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ผมอยากช่วยพี่ พี่บอกผมมาได้ไหมว่ามันคืออะไร แล้วผมจะได้ช่วยพี่ได้”

“ขอบคุณนะวัฒน์ แต่เรื่องนี้นายช่วยพี่ไม่ได้หรอก” นรกรปฏิเสธ

“ผมก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าพี่จะช่วยผมเรื่องปัญหาหัวใจกับเซ็กซ์ได้” อนุวัฒน์บอก “เพราะพวกพี่ทำให้ผมกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำ ดังนั้น ถึงเวลาพวกพี่ลำบากขอให้ผมได้ช่วยพวกพี่บ้างเถอะ”

“เฮ้ย! พี่วัฒน์อย่าบอกนะว่า...” จิงโจ้หน้าแดง ไม่คิดว่าจะมีคนรู้เรื่องของพวกเขาเพิ่มมาอีกหนึ่ง และยิ่งเขินขึ้นไปอีกเมื่อคิดไปถึงว่าการขอแก้ตัวบนเตียงครั้งที่สองซึ่งทำให้เขาต้องยอมจำนนจนต้องยอมจำนนคือสิ่งที่ได้รับคำแนะนำมาจากคนตรงหน้า

“ทีแกยังไปปรึกษาพี่วินทร์ได้ แล้วทำไมฉันจะปรึกษาพี่ฮาร์ฟไม่ได้วะ”

“ก็แหม...” จิงส่งเสียงงึมงำ “ผมก็ไม่ได้ปรึกษาถึงขั้นนั้นนี่นา”

นรกรหันไปสบตาวินทร์อย่างขอความเห็น ยังสองจิตสองใจว่าจะให้ช่วยดีไหม “พี่...”

เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น จิงโจ้รีบล้วงออกมากดดู “น้องส่งข้อความมาบอกว่าจะขออนุญาตถอดท่อช่วยหายใจอาจารย์ภูมิศิลป์น่ะครับ... พี่ฮาร์ฟคิดว่าไง”

“จะถอดได้ยังไงก็อาจารย์ยังไม่รู้สึกตัว” นรกรถามกลับ

“โอ๊ะ! ขอโทษครับ ผมมัวแต่ห่วงเรื่องพี่วินทร์เลยไม่ทันได้บอก” จิงโจ้ว่า “หลังจากที่พี่วินทร์ล้มลง อาจารย์ก็ตื่นครับ ตอนนี้ให้น้องๆ เฝ้าไว้”

นรกรหันไปมองร่างที่นอนนิ่งบนเตียงแล้วหันไปสบตาร่างโปร่งแสง “วัฒน์ นายช่วยดูพี่วินทร์ไว้ที เดี๋ยวพี่กลับมา”

“แต่...”

“นายอยากช่วยไม่ใช่เหรอ” นรกรว่า “เฝ้าเขาไว้ อย่าให้คลาดสายตา ดูให้แน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นอะไร แล้วถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียวโทรหาพี่ทันทีตกลงไหม”

“ได้ครับ” อนุวัฒน์รับคำ

“ส่วนนายมากับพี่” นรกรหันไปบอกจิงโจ้ “ไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์กัน”

“ครับผม!”

“พี่ฝากพี่วินทร์ด้วยนะวัฒน์” นรกรกำชับจนเกือบจะเป็นการอ้อนวอนก่อนจะวิ่งออกไปโดยมีจิงโจ้วิ่งตามมาติดๆ

“ทำไมให้ไอ้โจ้ตามมาล่ะ ไอ้วัฒน์ดูน่าจะไว้ใจได้มากกว่าแท้ๆ” วินทร์ถาม

“ก็เพราะไว้ใจได้น่ะสิครับ ผมถึงได้ขอร้องให้เขาช่วยดูสิ่งที่สำคัญที่สุดไว้”

นรกรเปิดประตูห้องไอซียูเข้าไป เห็นน้องๆ แพทย์ประจำบ้านกับพยาบาลกำลังกลุ้มรุมช่วยกันตรวจร่างกายและวัดสัญญาณชีพอาจารย์ภูมิศิลป์อยู่

“พี่ฮาร์ฟมาแล้ว” แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งร้องทัก แล้วคนอื่นๆ ก็หันมาสวัสดีก่อนที่แพทย์ประจำบ้านปีห้าจะเริ่มรายงานอาการ

“อาจารย์ตื่นดีครับ ผมลองให้หายใจเองผ่านท่อช่วยหายใจเห็นไม่มีปัญหาอะไรเลยถอดท่อช่วยหายใจออกเมื่อสักครู่นี่เอง ดูแล้วไม่เหนื่อยครับ ค่าออกซิเจนในเลือดวัดได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์”

“ดีมาก” นรกรเอ่ยชมพร้อมกับตบไหล่น้องแพทย์ประจำบ้าน เขามองชายวัยกลางคนที่พยาบาลช่วยจัดให้นั่งหัวสูงอยู่บนเตียงมีหน้ากากออกซิเจนครอบไว้ สีหน้าของเขายังคงซีดเซียวและอ่อนเพลียแต่ดูดีขึ้นกว่าที่เห็นเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด

“อรุณสวัสดิ์หมอฮาร์ฟ” อาจารย์ภูมิศิลป์ทักด้วยเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อยเพราะใส่ท่อช่วยหายใจไว้หลายวัน “น้องๆ บอกว่าอาจารย์สรวิชญ์กับเธอเป็นคนช่วยผมไว้ใช่ไหม ต้องขอบคุณมากเลยนะ”

นรกรเดินเข้าไปยืนข้างเตียง “ตอนนี้สองทุ่มแล้วครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์หัวเราะร่วน “ผมไม่น่าเล่นมุกกับคุณเลย”

“ทุกคนช่วยออกไปก่อนได้ไหม พี่อยากคุยกับอาจารย์สองคน” นรกรพูดพยายามทำน้ำเสียงให้ฟังเป็นปกติที่สุด

“ทำไมต้องทำหน้าตาเคร่งเครียดถึงขนาดนั้นด้วยล่ะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ถามยิ้มๆ ในขณะที่คนอื่นทยอยเดินตามกันออกไป “หรือคิดว่าผมสับสนอะไร ผมบอกแล้วไงว่าแค่เล่นมุก”

เมื่อน้องแพทย์ประจำบ้านคนสุดท้ายก้าวพ้นประตูนรกรก็พูดขึ้น “อาจารย์ครับ ผมมีเรื่องขอร้อง”

คนเป็นอาจารย์หุบยิ้มเมื่อเห็นความเว้าวอนในแววตาจริงจังของลูกศิษย์ “ว่าไง”

“อาจารย์ครับช่วยมากับผมสักครู่ได้ไหมครับ”

“ได้สิ” อาจารย์ภูมิศิลป์ตอบ “แล้วเราจะไปกันยังไง”

นรกรหันไปพยักหน้าให้จิงโจ้ที่ยืนรออยู่หน้าห้องพร้อมรถนั่ง เขาเข็นมาจอดลงข้างเตียงพร้อมกับผายมือ

“เชิญครับอาจารย์”

“หมอฮาร์ฟจะพาอาจารย์ไปไหนคะ” พยาบาลที่เคาน์เตอร์ร้องถาม

“พาไปตรวจพิเศษครับ” นรกรตอบ

“เดี๋ยวหนูช่วยตามน้องเปลให้นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมมาแล้ว”

“อยู่ไหนคะ” เธอถามพร้อมกับชะเง้อคอมองหา

“กระผมเองครับ” จิงโจ้เข็นอาจารย์ภูมิศิลป์ออกมาแวะโบกมือให้

พยาบาลประจำห้องไอซียูถึงกับกุมขมับ “ให้หมอโจ้เข็นไป เราว่าเข็นไปเองดีกว่า”

“คุณพยาบาลดูคนไข้คนอื่นเถอะครับ เรื่องใช้แรงแบบนี้ให้ผู้ชายแมนๆ อย่างผมจัดการเองดีกว่า” จิงโจ้ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

“เอาที่หมอโจ้สบายใจละกัน... เข็นดีๆ นะหมอโจ้ อาจารย์เพิ่งจะฟื้นอย่าซิ่งมากนักล่ะ” เธอกำชับกับคนเข็นเปลกิตติมศักดิ์

“จะรีบไปรีบกลับ ไม่ต้องรีบคิดถึงกันนะครับ” จิงโจ้ทิ้งท้ายแล้วเข็นรถไปโดยมีนรกรช่วยเปิดประตูรออยู่

“เข้าใจแล้วว่าทำไมนายพาจิงโจ้มา” วินทร์เอ่ยชมพลางหันกลับไปมองคุณพยาบาลที่กลับไปนั่งทำงานต่อ “ถ้าเป็นไอ้วัฒน์มันคงไหลจนคุณพยาบาลลืมถามไม่ได้แบบนี้ แล้วพอมากันสองคนก็น่าสงสัยน้อยกว่ามาคนเดียวด้วย”

นรกรพยักหน้า

เขาเดินนำจิงโจ้ไปยังห้องล็อกเกอร์ เมื่อถึงแล้วก็ให้จอดรถและพยุงอาจารย์ภูมิศิลป์ให้ลุกขึ้นยืน “ขอบคุณมากนะโจ้ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเองนายไปดูพี่วินทร์ให้หน่อย”

“ได้ครับ”

นรกรเปิดประตูเข้าไป

“เธอพาฉันมาทำอะไรที่นี่เหรอ” อาจารย์ภูมิศิลป์ถาม

“อาจารย์ครับ... อาจารย์รู้จักคุณพลูกับคุณกฤตใช่ไหมครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที “เธอ... รู้จักพวกเขาได้ยังไง”

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย เอาเป็นว่าอาจารย์ช่วยเปิดล็อกเกอร์ใบนี้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”  นรกรชี้มือไปยังตู้ล็อกเกอร์ใบแรกที่ติดกับประตู

ถึงจะยังมีเรื่องติใจสงสัย แต่เมื่อรับปากแล้วว่าจะช่วยอาจารย์ภูมิศิลป์จึงเอื้อมมือไปดึงประตูล็อกเกอร์

นรกรกับวินทร์แทบจะกลั้นหายใจ ลุ้นว่าจะมีของสำคัญอะไรอยู่ข้างหลังบานประตูโลหะนั่น เมื่ออาจารย์ภูมิศิลป์พูดขึ้น

“มันล็อกไว้หรือเปล่า”

“เอ๊ะ!” นรกรอุทาน

“ฉันดึงมันไม่ออก” อาจารย์ภูมิศิลป์บอกพร้อมออกแรงดึงมากขึ้นอีกก่อนจะตบๆ ตรงขอบตู้เพราะคิดว่าจะติดอะไร แต่ก็ยังเปิดไม่ออกอยู่ดี

ชายกระโปรงสีขาวปลิวลงมาจากด้านบน นรกรเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยังคงจับประตูตู้ไว้แน่น “ทำไมล่ะ... ถ้าแม้แต่อาจารย์ยังเปิดไม่ออกแล้วใครจะเปิดออกล่ะ”

“เมื่อกี้เธอเอ่ยชื่อกฤต” อาจารย์ภูมิศิลป์เป็นฝ่ายถามบ้าง “เธอรู้จักเขาได้ยังไง”

“เขาเคยเป็นหมอที่ช่วยดูแลผมสมัยเป็นนักเรียนแพทย์ครับ” นรกรตอบ “เพราะเขาช่วยดูแลผมเป็นอย่างดี ผมถึงหายป่วยและได้กลับบ้านครับ”

“เขาเป็นคนดี แต่น่าเสียดายที่อายุสั้นไปหน่อย” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความคิดถึง “ตลอดเวลาที่ไม่รู้สึกตัว ฉันเอาแต่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต การที่จู่ๆ เธอก็พูดถึงเขาขึ้นมาและพาฉันมาที่นี่ มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ”

“ถ้าผมบอกว่านี่เป็นล็อกเกอร์ของคุณพลูอาจารย์จะเชื่อไหมครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์พยักหน้า

“อาจารย์มีอะไรอยากบอกกับพวกเขาไหมครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์หลุบตาลงมองพื้น เขาเงียบไปนานพอสมควรก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอโทษ”

คำแรกที่หลุดออกจากปปากสร้างความแปลกใจให้นรกรมากทีเดียว “อาจารย์ขอโทษทำไมครับ ในเมื่ออาจารย์ดูแลคุณพลูเป็นอย่างดีตอนที่เธอป่วยจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไหนจะพาคุณพลไปหาหมอแล้วก็ยังช่วยเลี้ยงลูกของเธออีก...”

“เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับความเลวร้ายของฉันน่ะสิ” อาจารย์ภูมิศิลป์แทรกขึ้นเบาๆ “ทั้งหมดนั่นมันก็แค่การไถ่โทษในเรื่องโง่ๆ ที่ฉันทำลงไป”

“อาจารย์... ทำอะไรครับ” นรกรถามอย่างไม่เชื่อหู

“ฉันขโมย ซ่อนแล้วก็ปลอมจดหมายที่กฤตส่งมาให้เธอ” อาจารย์ภูมิศิลป์สารภาพ “และเอาจดหมายที่เธอฝากส่งให้เขาไปทิ้ง”

“อาจารย์ทำแบบนั้นทำไมครับ”

“เพราะฉันไม่อยากเสียเขาไปไง” อาจารย์ภูมิศิลป์เม้มปากสนิทพร้อมกับกำมือที่สั่นระริกแน่น “ฉันแค่อยากให้พวกเขาทะเลาะแล้วก็เลิกกัน แต่ทั้งสองคนนั่นก็กลับมาตายไปทั้งที่ยังเข้าใจผิดกัน มันเป็นตราบาปที่ฉันยังคงฝันถึงมาตลอด ไม่ว่ายังไงก็ลืมไม่ลงสักทีและไม่ว่าจะทำความดีชดเชยให้แค่ไหน ฉันก็ไม่อาจอภัยให้ตัวเองได้เลย... ในฝัน... เขามาขอโทษฉัน... มาขอให้ฉันอโหสิกรรมให้... ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อเป็นฉันเองที่ก่อเรื่องขึ้นทั้งหมด”

“เรื่องราวเป็นอย่างนี้เองเหรอ” นรกรกระซิบเสียงพร่า คาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้ยิน นั่นผิดจากสิ่งที่คิดไว้ ถ้ากฤตรู้เข้าเขาจะต้องโกรธแน่ๆ

ทันใดนั้นประตูก็เปิดห้องก็เปิดออกทั้งสองคนหันไป

“หมอวินทร์?” อาจารย์ภูมิศิลป์เรียก

“คุณมาที่นี่ได้ยังไง แล้ววัฒน์กับจิงโจ้ล่ะ” นรกรถามด้วยความตกใจ

“ไม่มีอะไรนี่ แค่โกหกว่าจะมาหานายสองคนนั่นก็ปล่อยฉันมาแล้ว”

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่ก็ไม่มีทั้งสายเรียกเข้าและข้อความใดๆ

“ก็แค่บอกว่าไม่ต้องทำอะไร” กฤตพูดต่อ

นรกรพ่นลมหายใจออกจมูก ทั้งที่กำชับแล้วแท้ๆ แต่จะโทษสองคนนั่นก็ไม่ได้เพราะการที่พวกเขาเชื่อฟังวินทร์ก็เป็นเรื่องถูกแล้ว

กฤตเดินเข้ามาใกล้ และจ้องมองอดีตเพื่อนรักตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” นรกรพยายามเข้ามาแทรกแต่กฤตยกมือห้ามไว้

อาจารย์ภูมิศิลป์มองตอบตาคมที่จ้องมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสมองได้รับความกระทบเทือนอย่างแรงจนสลบไปหลายวันหรือเปล่า เพราะเมื่อมองข้ามรูปกายภายนอกที่เป็นลูกศิษย์ของตนไปเขากลับเห็นเงาของอีกคนซ้อนอยู่ในนั้น “นั่นนายเหรอกฤต” น้ำเสียงแทบแห้งปนเปหลากอารมณ์ ทั้งดีใจ คิดถึงและรู้สึกผิด

“ใช่ฉันเอง” กฤตตอบ

อาจารย์ภูมิศิลป์ขยับเข้าไปใกล้ ภาพของคนที่เคยรักจนยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องที่เห็นแก่ตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเจ้าตัวมายืนตรงหน้าจริงๆ “ฉัน... ขอโทษ ยกโทษให้ฉันนะ”

ถ้าเป็นแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะมาได้ยินบทสนทนานี้ กฤตคงโกรธจนพร้อมจะลงมือทำร้ายกัน แต่เมื่อได้รับฟังเหตุผลว่าเพราะอะไร เขายังคงรู้สึกโกรธอยู่ หากเป็นความโกรธที่เข้าใจเพราะตัวเองยังหลงผิดหน้ามืดตามัวทำเรื่องเลวร้ายสารพันจนทำให้ต้องหลายคนลำบาก

พอแล้วกับการแก้แค้น...
พอแล้วกับความขุ่นข้องหมองใจ...

กฤตเอื้อมไปคว้ามือที่สั่นเทาของคนตรงหน้าไว้ “ฉันยกโทษให้” เขาบอก “และขอบคุณนายที่ดูแลเธอจนนาทีสุดท้ายของชีวิต... ขอบคุณที่ช่วยเลี้ยงลูกฉันเหมือนลูกของนาย... และขอบคุณที่ช่วยบอกเขาถึงเรื่องราวของฉัน”

“ฉันก็ทำได้แค่นี้แหละ” อาจารย์ภูมิศิลป์กุมมือกลับ เสียงแตกพร่าขึ้นเล็กน้อยในขณะที่หยดน้ำเริ่มไหลออกจากดวงตาไม่ขาดสาย

“แค่นี้ก็พอแล้ว... ฉันไม่ติดใจอะไรแล้ว”

ทันทีที่กฤตพูดจบก็เกิดเสียงดังแกร๊กขึ้นเบาๆ ทุกคนหันไปมอง

ประตูล็อกเกอร์ที่ปิดตายมานานหลายปีค่อยๆ แง้มเปิดออก

นรเงยหน้ามองขึ้นไปบนหลังตู้ล็อกเกอร์แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมา

หญิงสาวที่ใบหน้ามีแต่หนังหุ้มกระดูกกลับมามีรูปลักษณ์เป็นสาวสวยเหมือนในรูปถ่ายที่เขาเคยเห็น เรือนผมดำยาวทิ้งตัวไปด้านหลังพลิ้วสยายไม่กระเซอะกระเซิง ชุดที่ดูมอมแมมกลับมาขาวสะอาด เธอโน้มตัวมาด้านหน้าก่อนจะกระโดดที่ดูคล้ายกับลอยลงมาช้าๆ มายืนข้างเขา

เธอประสานมือไว้ด้านหน้าพร้อมกับค้อมศีรษะเล็กน้อย “ฉันเองก็รู้มาตลอด ว่าเขาคิดยังไงกับเพื่อนของเขา เพราะสายตาที่เขามองมันเหมือนสายตาที่ฉันมองกฤตไม่มีผิด... และถึงจะรู้อย่างนั้นฉันก็ยังอาศัยความใจดีของเขา ขอร้องให้เขาช่วยตลอดมา”

กฤตเอื้อมมือไปดึงล็อกเกอร์เปิดออกจนสุด แล้วรอยยิ้มกว้างก็คลี่เต็มหน้า “อยู่นี่เอง... ไม่สิต้องบอกว่ามันไม่เคยไปไหนสินะ”

“อาจารย์บอกเธอว่าจะพาคนรักของเธอกลับมา” วินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นของที่อยู่ข้างใน “และเธอก็รอวันที่คำสัญญานั้นจะเป็นจริงเพราะเธอรักเขา และเชื่อมั่นว่าเขาก็รักเธอเหมือนกัน”

กฤตหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาเปิดดูแหวนทองที่หัวแหวนประดับเพชรเม็ดเล็กๆ เรียงเป็นแถวสามเม็ด เขาหันมาหานรกรแล้วค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปหาหญิงสาวในชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างกัน “ขอบคุณนะพลูที่รอฉันมาตลอด”

นรกรขยี้ตาตอนนี้เขาไม่เห็นกฤตซ้อนอยู่ในร่างวินทร์แล้ว แต่เห็นเป็นชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าคนรักของเขา

“สัญญาไว้แล้วนี่คะ” เธอตอบทั้งรอยยิ้ม “แล้วนั่นกฤตเอาอะไรมาพลูอีก”

“พลูบอกว่าถ้าเราทำงานมีเงินเดือนแล้วซื้ออะไรให้ก็จะรับ” กฤตบอกพร้อมกับดึงแหวนออกมาจากกล่องและถ่ายทอดคำพูดที่ซ้อมท่องอยู่ในใจมานานหลายสิบปีให้อีกฝ่ายรับรู้ “พลูช่วยรับไว้ได้ไหม... ไม่ใช่แค่แหวนวงนี้แต่เป็นทั้งชีวิตที่เหลือให้เราได้แลพลูนะ”

“ค่ะ”

หญิงสาวรับคำพร้อมกับส่งมือให้ เขาค่อยบรรจงสอดแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายก่อนจะโผเข้าสวมกอดกัน

เกิดแสงสว่างวาบขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะที่หายไปพร้อมกับร่างของทั้งสอง แล้วร่างของวินทร์ก็ล้มลงนอนแน่อยู่บนพื้น

“พี่วินทร์!” นรกรคุกเข่าลงด้านข้าง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อาจารย์ภูมิศิลป์ถาม รู้สึกสับสนไปหมด เขาพยายามเรียบเรียงความคิดว่ามันเป็นความจริงหรือภาพฝัน แล้วจู่ๆ ความปวดก็แล่นปราดขึ้นมาในหัวอย่างแรงและรวดเร็วจนเขาเข่าทรุดลงกับพื้น “โอ๊ย!”

“อาจารย์!” นรกรหันไปคว้าตัวอาจารย์ภูมิศิลป์ได้ทันก่อนที่ศีรษะจะกระแทกพื้น กำลังหันรีหันขวางจะเรียกให้ใครช่วยประตูห้องล็อกเกอรก็เปิดพรวดพร้อมกับที่คนสองคนพุ่งเข้ามา

“พี่ฮาร์ฟเกิดอะไรขึ้น” อนุวัฒน์ที่ยังคงติดใจและเป็นห่วงขอให้จิงโจ้บอกว่าพานรกรกับอาจารย์ภูมิศิลป์ไปที่ไหนและตามมา พอมาถึงก็ได้ยินเสียงเอะอะเหมือนของล้มและเสียงนรกรที่อยู่ในภาวะตกใจจึงรีบเข้ามา “พี่วินทร์กับอาจารย์เป็นอะไรครับ”

“พวกนายช่วยพาอาจารย์ภูมิศิลป์กลับไปพักที” นรกรบอกอย่างร้อนรน

“ได้ครับ” อนุวัฒน์รับคำและแทรกเข้ามาช่วยกันหิ้วปีกกับจิงโจ้คนละข้าง “แล้วพี่วินทร์ล่ะ”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจัดการเอง นายช่วยอาจารย์ภูมิศิลป์ก่อน”

“ครับ”

ทั้งสองคนช่วยกันพาอาจารย์ภูมิศิลป์กลับไปไอซียู นรกรหันมาสนใจร่างวินทร์ที่ยังนอนนิ่งอีกครั้งพลางพยายามตบหน้าหวังจะได้เห็นเขาลืมตาขึ้นมา “พี่วินทร์... ตื่นสิครับ... พี่วินทร์!”

“ฮาร์ฟ”

เสียงวินทร์เรียกแต่มันไม่ได้ดังมาจากร่างในอ้อมแขน

นรกรหันไปตามเสียง เห็นร่างโปร่งแสงคุกเข่าอยู่ข้างๆ กำลังส่งยิ้มมาให้เหมือนอย่างเคย

“แล้วเจอกันนะ”

สิ้นคำร่างโปร่งแสงก็หายวับไป

“พี่วินทร์!” นรกรหันกลับมามองร่างที่นอนนิ่ง ใบหน้าซีดเซียว หน้าอกไร้การกระเพื่อมของการหายใจ และไร้แรงของหัวใจกระทบปลายนิ้วที่เขาใช้จับชีพจรอยู่ตรงข้อมือ

นรกรไม่เสียเวลาคิดหาปฏิหาริย์ เขาสูดลมหายใจเข้ารวบรวบพลังกายและพลังใจทั้งหมดที่มี ยืดตัวขึ้น วางสันมือลงตรงกระดูกหน้าอกแล้วเริ่มต้นนวดหัวใจ “ใครจะไปทนรอตั้งสิบแปดปีกัน!”
.
.
.
.
.
.

วินทร์เหลียวมองไปรอบตัวซึ่งเป็นทางเดินมืดสนิท มองไปไกลๆ เห็นแสงสว่างอยู่ตรงสุดปลายทาง

...กลับมาที่นี่อีกแล้วเหรอ...

เขาพึมพำกับตัวเองพลางพยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่เคยนำทางกลับบ้านมาแล้วถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เลย รอบตัวเงียบจนน่าใจหาย สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกวิ่งตามแสงนั้นไป ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

แต่เขาก็ไม่ยอมหยุด ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ... เขาวิ่งเต็มฝีเท้าจนหมดแรงล้มลง เจ็บเสียดในอกจนต้องยกมือกุมไว้แน่น

...นึกว่าความตายมันจะไม่เจ็บปวดแล้วเสียอีก...

วินทร์รู้สึกว่าตัวเองกำลังหอบจนตัวโยน เขาอ้าปากเหมือนปลาพยายามฮุบหาอากาศ ทั้งเหนื่อยและเจ็บจนอยากจะยอมแพ้กับจุดหมายปลายทางที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงไหม รู้สึกจุกในอกเหมือนมีอะไรพุ่งขึ้นมาอยู่ที่คอและแสบร้อนไปหมดโดยเฉพาะรอบดวงตา วินทร์ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสีแดงเลอะอยู่บนมือข้างซ้าย

...เลือดเหรอ...

เขาพยายามเพ่งมอง

...ไม่ใช่นี่นา... นี่มัน... เชือกเหรอ... เชือกอะไรแล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!?...

พลันคำพูดของพระรูปนั้นดังขึ้นในหัว

“ไม่มีเครื่องรางของขลังใดที่อาตมาหรือวัดแห่งนี้มีศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าเส้นที่เขามีติดตัวอยู่แล้ว… และเขาก็ผูกมันไว้แน่นหนาทีเดียว”

ริมฝีปากลากรอยยิ้มกว้างเมื่อรู้แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร

เขากำมือแน่น และฝืนลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะออกวิ่งไปหาแสงนั้น... วิ่ง... ให้เร็วที่สุด... แม้จะต้องล้มลุกคลุกคลานสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่ยอมหยุดพัก เพราะที่ปลายทางของแสงนั้นมีเจ้าของเชือกเส้นนี้รออยู่... และเขาคงให้รอนานไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

*******************************************TBC**********************************************



หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: MmildD ที่ 20-03-2019 21:17:58
 :z3: :really2: :really2: :z3:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: MmildD ที่ 20-03-2019 21:20:15
 :really2:สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 20-03-2019 21:23:47
มันจะไม่เศร้าใช่ม๊ายยยยย  :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 20-03-2019 22:01:32
ตามด้ายแดงไปหาน้องฮาร์ฟให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 20-03-2019 23:48:25
โอ๊ยยยย คนนึงก็กำลังปั๊มหัวใจ คนนึงก็กำลังวิ่ง
เพื่อไปหากันและกัน ขอให้สำเร็จนะ

ลุ้นสุดตัวจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 21-03-2019 19:55:57
 :katai1: รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 23-03-2019 09:32:19
 :o12: :o12:
สู้ๆพี่วินทร์.. วิ่งอีกวิ่งเข้าไป.. เร็วอีกนิด.. น้องกำลังสู้อยู่.อย่ายอมแพ้.. วิ่ง.วิ่ง.วิ่ง.... ขืนรออีกตั้ง18ปียังไม่รู้จะได้เจอกันหรืเปล่า.. แล้วพี่จะกลายร่างเป็นหนุ่มน้อยมารังแกปู่ฮาร์ฟ=^^=.... ปู่จะไม่ไหวหัวใจวายเอาได้นะจ๊ะ.... สู้เข้า.. อีกนิดก็ปลายทางแล้ว... รอนะคะ.. ป้าจะรอวันฟ้าสางของเราทั้งสองคน...
.... น่าสงสารและเห็นใจความรักของอาจารย์ภูมินะ... แรงรัก.แรงอิจฉา.ทำให้เห็นแก่ตัวทำอะไรผิดพลาดไป.แต่พื้นๆอาจารย์ก็ยังมีจิตใจดีอยู่.. มันเป็นความเจ็บปวดในวังวนของความรักจริงๆ.. ขอให้ทุกคนที่มีความรักเช่นนี้จงมีสติและเข้มแข็ง.เห็นในสิ่งที่เกิดเป็นไปและดับลง.. อย่าได้เอาจิตไปผูกกับอารมณ์มากเลยย.ปลายทางมีแต่ความวุ่นวายและเจ็บปวด.....
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordstringer ที่ 23-03-2019 20:03:37
วิ่ง พี่วินทร์ วิ่ง !!  :o12: :o12: :o12:

ปล.คนเขียน สู้ ๆ ครับ  :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 24-03-2019 17:24:09
เย้ๆ วินทร์สู้ๆวิ่งไปให้เจอปลายทางของด้ายให้ได้นะ เอาใจช่วย ฮาร์ฟรออยู่ :z2:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-03-2019 20:09:44
บทที่ 18 Together Forever

วินทร์อ้าปากเพื่อสูดลมหายใจเข้า เป็นจังหวะเดียวกับที่สายลมอุ่นพุ่งเข้ามากระทบพอดี มวลอากาศถูกส่งผ่านริมฝีปากเข้าไปสู่ปอด เขายกสองแขนขึ้นไขว่คว้าและไล่จับสายลมนั้นอย่างโหยหา

พลันสายลมก็แปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นของแข็งขนาดที่คุ้นเคยอ้อมแขน เช่นเดียวสัมผัสของสายลมที่ช่วยต่อลมหายใจและปลุกให้หัวใจกลับมาสูบฉีดอีกครั้ง

นรกรที่กำลังเป่าปากสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิของริมฝีปากหยักที่เคยเย็นชืดกลับมาอุ่นซ่าน กับแรงดูดดึงกลีบปากที่ประกบกันอยู่พร้อมๆ กับอ้อมแขนที่ยกขึ้นโอบรัดอยู่รอบตัว เขารีบผละออกก่อนจะใช้สองมือประกบรอบกรอบหน้าจับให้อยู่นิ่งๆ “พี่วินทร์…”

“เป็นการต้อนรับกลับที่ชื่นใจจริงๆ” คนที่นอนอยู่บนพื้นพูดทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา

“พี่วินทร์!”

เปลือกตากะพริบเปิดขึ้นช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยคลี่ออกเต็มริมฝีปาก เขามองสบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมาแล้วค่อยยกมือขึ้นจับแก้มนิ่ม “กลับมาแล้ว... นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย”

“สามนาทีครับ” นรกรตอบ

วินทร์พ่นลมออกจมูก “รู้สึกเหมือนหลับไปสักสามปี”

“สำหรับผมมันนานกว่านั้นอีกนะ” นรกรบอก

“ขอโทษที ฉันไม่รู้ว่ามันไกลแค่ไหน แต่นี่ก็วิ่งสุดฝีเท้าแล้วนะ… หัวใจยังเต้นเร็วอยู่เลยเนี่ยจับดูสิ” วินทร์บอกพร้อมกับคว้ามือเล็กกว่ามาวางทาบลงบนหน้าอกที่ยังกระเพื่อมแรงและมีหัวใจเต้นตึกตัก

“จริงด้วยครับ” นรกรว่า “แล้วนอกจากหัวใจเต้นเร็วแล้วมีอาการอะไรแปลกๆ อีกหรือเปล่าครับ อย่างเช่น เจ็บ ปวดหัวหรือว่ารู้สึกไม่สุขสบายตรงไหนอะไรแบบนี้”

“แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ” วินทร์ตอบก่อนจะย่นคิ้ว “ถามแบบนี้นายกำลังจะไล่ให้ฉันไปตรวจให้ละเอียดใช่ไหมเนี่ย”

“ครับ”

“ไว้พรุ่งนี้ละกันนะ” วินทร์บอกปัดพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง “ไม่เอาน่าฮาร์ฟ ตอนนี้มันใช่เวลามาทำเรื่องนั้นซะที่ไหนกัน”

“ไม่ได้ครับต้องตอนนี้” นรกรยืนกราน

ได้ยินดังนั้นคนที่เพิ่งฟื้นก็เสียงอ่อนลงเล็กน้อย เพราะดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่ยอมวางใจง่ายๆ แน่จนกว่าจะได้อะไรยืนยันออกมาเป็นรูปธรรมและพิสูจน์ได้ทางการแพทย์ว่าเขาปกติดีแล้วจริงๆ “แต่ดึกป่านนี้แล้วจะให้หมอคนไหนตรวจล่ะ…”

เสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นขัดจังหวะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอนุวัฒน์

“พี่ฮาร์ฟ พวกเรากลับแล้ว…”

“ไม่เป็นไร” นรกรหันไปตะโกนตอบ “พี่วินทร์ฟื้นแล้ว พวกนายไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

“แน่ใจนะครับ” จิงโจ้ถามย้ำ

“อืม” วินทร์ส่งเสียงยืนยันไปอีกแรง ทั้งสองคนจึงยอมวางใจและกลับไป

เสียงวุ่นวายหน้าประตูเงียบไปแล้ว วินทร์จึงพูดขึ้นด้วยความสงสัย “แล้วนายไล่เจ้าพวกนั้นกลับไปแบบนี้ ทีนี้จะให้ใครช่วยตรวจล่ะ”

“ผมไง”

“ยังไง...”

วินทร์ถามยังไม่ทันจบ นรกรก็ตวัดขาข้างหนึ่งขึ้นนั่งคร่อมลงบนตักพร้อมกับดึงคอเสื้อร่างสูงให้เข้ามาใกล้ “ออกจากร่างนานจนลืมไปแล้วเหรอครับว่าตัวเองมีแฟนเป็นหมอ”

ตาคมพราวระยับขึ้น ในขณะที่มือใหญ่ตอบรับในทันทีโดยการรวบเอวสอบเข้าประชิดอก “ได้ข่าวว่าเป็นอาจารย์หมอเสียด้วย... แบบนี้ต้องตรวจให้ละเอียดยิบเลยนะเดี๋ยวจะเสียชื่อ” พูดจบก็ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากที่เผยอรออยู่แล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าแค่จูบก็ปลุกความรู้สึกหวามไหวให้ตื่นขึ้นง่ายดายนัก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามเหมือนว่านี่เป็นจูบแรกทั้งที่มันเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว

ยิ่งปลายลิ้นพันเกี่ยวกันแน่นเท่าใด ร่างกายก็ยิ่งร้อนรุ่มขึ้นมากเท่านั้น มือไม้พันยุ่งเหยิงเมื่อต่างแย่งถอดเสื้อให้กัน ก่อนจะหยุดหัวเราะไปด้วยกันเพราะแกะกระดุมเสื้อไม่ออก นัยน์ตาสองสองคู่มองสบกัน เสียงหอบหายใจดังพอๆ กับเสียงหัวใจเต้นแต่ก็ไม่มากพอจะดังกลบความต้องการกันและกันได้

วินทร์เหลือบตาลงมองฝ่ามือที่ยังคงสาระวนอยู่ตรงคอเสื้อตนกับกระดุมที่ดูจะมาแน่นผิดที่ผิดเวลา เขาคว้ามือเล็กกว่าขึ้นมาแล้วกดจูบลงกลางฝ่ามือก่อนจะไล่ไปตามข้อนิ้วทีละข้อ “ขอบคุณนะที่พาฉันกลับมา”

“ผะ... ผมก็แค่ทำสิ่งที่ทำได้เอง” นรกรเสียงสั่น นอกจากจูบแล้ววินทร์ยังเริ่มใช้ปลายลิ้นเลียเบาๆ ด้วย “เอ่อ... พี่วินทร์... หยุด... ก่อน... เสื้อ... ผม... ถอด...”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันถอดเอง” กระซิบเสียงหวานแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นยอดอกสีหวานที่รออยู่ตรงหน้า “นายมีหน้าที่ตรวจแล้วให้การวินิจฉัยไปก็พอ”

ถึงที่ทางในห้องล็อกเกอร์จะคับแคบแต่ก็เพียงพอที่จะขยับให้พอดี วินทร์ใช้เสื้อของตนปูลงบนพื้นเพื่อถนอมแผ่นหลังของนรกรก่อนจะจับนอนลง เพราะลำพังแค่รอยแดงที่เขาเป็นคนสร้างจากริมฝีปากนั่นก็มากเกินพอแล้ว

“ยังเจ็บอยู่ไหม” วินทร์กระซิบถามคนที่เกร็งนิ้วเกาะบ่าเขาไว้แน่น แก้มขาวซับสีเข้มร้อนฉ่า เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนจึงไม่มีตัวช่วยอะไรสักอย่างนอกจากลิ้นกับนิ้วมือของเขาที่ตอนนี้ยังคาอยู่ตรงส่วนในสุดที่ดูไวต่อสัมผัสของเขามากกว่าทุกครั้ง เพียงแค่เขาขยับนิดเดียวก็รัดเสียแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะรีบดึงออก

“มันใช่เวลามาถามไหมครับ” นรกรเอ็ดเบาๆ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายติดใจเรื่องที่ตนเคยบอกว่าเจ็บ

“ไม่ถามตอนนี้แล้วจะถามตอนไหนล่ะ” วินทร์สอดนิ้วที่สามเข้าไปในช่องทางที่เริ่มอ่อนนุ่ม “ว่าไง... ตกลงยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”

นรกรตอบคำถามด้วยการเงยหน้าขึ้นจูบ เป็นอันรู้กันว่าให้หยุดพูดแล้วรีบทำต่อได้แล้ว

...ขอมาขนาดนี้แล้วเขาจะขัดได้ยังไง...

กว่านรกรจะมั่นใจว่าร่างกายอีกฝ่ายปกติดีไม่มีบกพร่อง วินทร์ต้องใช้เวลาและเรี่ยวแรงพอควรเพื่อตรวจจนถึงระบบสุดท้ายให้แล้วเสร็จ

มือใหญ่ผละจากส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวเลื่อนขึ้นมาประคองแก้มเพื่อจะจูบให้ชื่นใจ แต่สิ่งที่มือสัมผัสได้ไม่ได้มีแค่เนื้อแก้มนิ่มหากยังมีของเหลวอุ่นชื้นเต็มไปหมด เขาสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นเพื่อมองดูคนที่อยู่ใต้ร่างให้ชัดๆ “ฮาร์ฟ! นายเป็นอะไร ฉันทำให้นายเจ็บเหรอ”

“ป… เปล่าครับ”

วินทร์พยามใช้อุ้งมือคว้าใบหน้าที่พยามยามหันหนีให้หันกลับมาสบตาพลางกวาดสายตามองสำรวจอย่างรวดเร็วว่าตนเผลอทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า “แล้วนายร้องไห้ทำไม”

“ไม่… ไม่มีอะไรครับ”

“ฮาร์ฟ…” เสียงของวินทร์อ่อนลงด้วยใจคอไม่ดี ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นน้ำตานรกรมากมายขนาดนี้คือตอนที่อทิฏฐ์จากไปแล้วเขากอดปลอบไว้… ไม่สิ ตอนนั้นดูเหมือนจะน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ

“ไม่มีอะไรครับ” นรกรพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด

“แล้วฉันทำอะไรเพื่อช่วยนายได้บ้าง…”

“กอด… ช่วยกอดแน่นๆ… ได้ไหมครับ” พร้อมกับโอบมือรอบแผ่นหลังกว้างแล้วดึงเข้าหาตัว แนบสนิทจนร่างเล็กนั้นแทบจะจมหายเข้าไปในอก แน่นเสียจนวินทร์ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาแม้แต่สักนิดเดียว

ตอนที่ผิวสัมผัสอุณหภูมิกายที่คุ้นเคย จมูกได้กลิ่นแชมพูที่เคยหอม และจังหวะการเต้นของหัวใจที่สะท้อนผ่านหน้าอกซึ่งทำให้อบอุ่นใจเสมอ เขาก็รู้แล้วว่าทำไมนรกรถึงร้องไห้ ทั้งที่ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแค่สีหน้าเจ็บปวดยังแทบไม่มีหลุดให้ได้เห็น

“ฉันกอดนายแบบนี้ไม่ได้หรอก” วินทร์กระซิบพร้อมกับปล่อยมือข้างหนึ่งออกยันกับพื้น

“ผมขอโท…” นรกรตกใจจะผละออก แต่ในจังหวะนั้นเองเขาก็โดนจับพลิก แล้วจากที่นอนอยู่บนพื้นตอนนี้เขาก็ขึ้นมานอนทับอยู่บนหน้าอกกว้างกว่าแทน

“ฉันตัวหนักจะตาย กอดแบบนั้นนายจะหายใจได้ยังไง” วินทร์กระชับอ้อมแขนพลางขยับจนได้ท่าทางที่เหมาะสมแล้วจึงกดริมฝีปากลงข้างขมับคนในอ้อมแขน “แบบนี้ดีกว่าเยอะเลยใช่ไหม”

นรกรไม่ตอบได้แต่ซุกหน้าอยู่กับอกกว้างเพราะตอนนี้น้ำตามันพาคำพูดของเขาไปจนหมดแล้ว

วินทร์ไม่ถามอะไรอีก ในขณะที่ใช้ริมปากพรมจูบเท่าที่จะขยับไปถึง สองมือก็ลูบหัวลูบหลังเรียกขวัญไปด้วย

ถ้าหากให้ไล่หาเหตุผลของน้ำตา คงมีแค่คำว่าคิดถึง…

…คิดถึง…
…คิดถึงมาก…
…คิดถึงมากที่สุด…
...คิดถึงจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร

วินทร์ปล่อยให้นรกรร้องไห้อยู่แบบนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาทีร่างที่สั่นสะท้านก็สงบนิ่ง

“เป็นไงบ้าง โอเคหรือยัง” วินทร์ถามพลางพยายามแกะใบหน้านั้นออกจากอก

“ครับ” แต่นรกรอายเกินกว่าจะให้เห็นสภาพหน้าตาที่ยับเยินจึงรีบก้มหน้าแอบเช็ดน้ำตา

“ฮาร์ฟ… เงยหน้าขึ้นสิ… ไม่เงยหน้าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่านี่ใช่พี่วินทร์ของนายหรือเปล่า”

“ใช่สิครับ” ตอบแบบนั้นแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

“ใช่จริงเหรอ” วินทร์กระเซ้า

“ก็พิสูจน์ไปแล้ว”

“แต่ฉันอยากเห็นหน้านาย ไม่ได้อยากคุยกับผม เงยหน้าขึ้นมาคุยกันหน่อยเร็ว” วินทร์ทำสำเร็จในที่สุด เขาเชยคางอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งรวบสองมือของนรกรไว้ไม่ให้ขยี้ตา “ไม่เอาไม่ทำแบบนั้นนะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตาช้ำไปทำงานคนจะคิดว่าเราทะเลาะกันอีก”

“ทะเลาะอะไรล่ะครับ เขาคิดว่าเรายังไม่คืนดีกันต่างหาก”

“โถ...โถ...โถ” วินทร์หัวเราะอย่างเอ็นดูพลางจูบซับน้ำตาให้จนแห้งพร้อมทั้งช่วยจัดปอยผมม้าที่ลู่ลงยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง

“ขอโทษนะครับ” นรกรบอกหลังจากตั้งสติได้

“ขอโทษทำไมเรื่องแค่นี้เอง”

“ก็พี่วินทร์อุตส่าห์พยายามแทบตายเพื่อกลับมาหาผม ผมควรจะต้องยิ้มต้อนรับสิ แต่ผมดันร้องไห้ซะได้ ผมนี่ไม่ได้เรื่องเลย ทำตัวอ่อนแอ…”

“นายเข้มแข็งที่สุดแล้ว” วินทร์บอก “เป็นฉันร้องไห้สติแตกตั้งแต่วันแรกแล้ว… เจอเรื่องขนาดนี้นอกจากประคองใจตัวเองแล้วนายยังเป็นกำลังใจให้ฉันได้ นายสุดยอดที่สุดแล้ว ดังนั้น ถ้าอยากจะร้องก็ร้องให้พอเถอะ ไม่ว่านี่จะเป็นน้ำตาของความดีใจ โล่งใจหรืออัดอั้นอะไรก็ตาม ร้องได้เท่าที่นายต้องการเลย… เพราะอะไรรู้ไหม”

“เพราะอะไรครับ”

“เพราะฉันกลับมาแล้วไง ฉันจะเช็ดน้ำตาให้นายเอง” วินทร์บอกแล้วประทับริมฝีปากลงกลางหน้าผากแล้วจูบไล่ลงไปตามแนว
สันจมูกก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปาก

นรกรเบี่ยงศีรษะหลบลงซุกบนหน้าอกด้วยความเขิน แล้วหัวใจที่เพิ่งจะสงบลงได้ก็กลับมาเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตึกตักของหัวใจอีกดวงที่แนบหูฟังอยู่ “พี่วินทร์ครับ”

“ครับที่รัก”

“กลับบ้านกันเถอะครับ”

“ได้เลย เดี๋ยวฉันพาอาบน้ำนอนแล้วจะร้องเพลงกล่อมด้วยดีไหม”

“ผมไม่อยากนอน” นรกรบอกอ้อมแอ้ม

“หืมมมม”

“ผมอยากกลับบ้าน… กลับไปกอดพี่วินทร์… บนเตียงของเรา”

“แค่กอดอย่างเดียวเหรอ” วินทร์แกล้งถาม

“ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าวินนี่จะกอดอย่างเดียวก็ตามใจครับ” นรกรบอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นรับจูบตกลง คิดว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งคืนก็คงไม่เพียงพอจะเติมเต็มความคิดถึง กว่าจะได้นอนก็คงถึงเช้าแน่ๆ แต่ตอนนี้ใครแคร์เรื่องนั้นกันล่ะ

OOOOOO
(ต่อข้างล่างค่ะ)



หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-03-2019 20:28:30
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า ร่างกายส่วนล่างยังรู้สึกเสียวซ่านและเมื่อยขบจากกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องเกือบทั้งคืน นึกแล้วภาพก็ลอยขึ้นมาในหัวจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มๆ ไปได้... ไม่ใช่สิ! ตอนหนุ่มๆ ก็ไม่เคยได้ทำอะไรที่มันมากมายแบบนี้สักหน่อย

คิดไปก็ทั้งขำทั้งเขิน เขาพลิกตัวเพื่อหันไปดูหน้าตัวต้นเหตุที่คงยังนอนหลับไปตื่น

แต่พื้นที่ข้างตัวนั้นกลับว่างเปล่า

นรกรพลิกตัวอีกครั้งก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง ผืนผ้าที่เย็นเฉียบทำให้ใจหายวาบ

“พี่วินทร์ครับ”

เขาส่งเสียงเรียกออกไป และมันไม่มีการตอบรับใดๆ เขาไม่เสียเวลาลองเรียกครั้งที่สอง รีบก้มลงคว้าเสื้อเชิ้ตที่กองอยู่ข้างเตียงมาสวมลวกๆ แล้ววิ่งออกไป

ในโซนทำครัวตรงหน้าเตา ร่างสูงที่สวมใส่เพียงกางเกงนอนขายาวตัวเดียวยืนฮัมเพลงสบายอารมณ์ เขากำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหารเช้าที่ใช้เวลาว่างๆ นั่งคิดนอนคิดมาหลายวันว่าจะทำอะไรจนได้เมนูอาหารยาวไปจนถึงเดือนหน้า แต่น่าเสียดายที่นรกรไม่ได้ซื้อของสดมาตุนไว้เลย ดังนั้นแผนที่คิดไว้จึงพังไม่เป็นท่า เขาเลยต้องรีบคว้าเงินลงไปซื้อของที่ซุปเปอร์ข้างล่างแต่เช้ามืด อย่างน้อยๆ กับข้าวมื้อแรกงานไส้กรอกไข่ดาวต้องมา ขนมปังปิ้งต้องมีล่ะ

“พี่วินทร์...”

แว่วได้ยินเสียงเรียก เจ้าของชื่อตอบโดยไม่หันหน้ามา “ครับที่รัก”

นรกรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันและวินทร์ยังไม่หนีเขาไปไหน “ทำอะไรแต่เช้าครับ”

“ขนมปังชุบไข่ทอด และแน่นอนว่าฉันใส่ชีสให้นายเป็นพิเศษด้วย” วินทร์สาธยายเมนูให้ฟัง “วันนี้งดกาแฟนะ เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันไม่ห้ามนี่นายเล่นกินวันสองแก้วแทนน้ำ เช้านี้เอาเป็นนมกับน้ำส้มแทนตกลงนะ แล้วห้ามแอบไปซื้อกินเองตอนฉันเผลอด้วยล่ะ” 

“ครับ”

“แล้วก็มี...” วินทร์หันหน้ามา เขาชะงักไปเล็กน้อยกับร่างเปลือยในเสื้อเชิ้ตตัวเดียวของคนรักที่ยืนอยู่ตรงประตู แต่นั่นก็ยังไม่น่าพุ่งไปหาเท่ากับความกังวลที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ใต้สีหน้าที่พยายามทำให้ดูเป็นปกติ วินทร์เอื้อมมือไปปิดเตาแก๊สแล้วก้าวยาวๆ ไปรวบตัวนรกรเข้ามากอดพร้อมกับจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง

“มีอะไรอีกครับ” นรกรถามเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ

“มีฉันนั่งกินด้วยกันไง” วินทร์กดจูบลงไปอีกครั้งตรงรอยย่นเล็กๆ ระหว่างหัวคิ้ว “ตกใจเหรอที่ตื่นมาไม่เห็นฉัน”

“ครับ” นรกรยอมรับ

“ขอโทษที พอดีแค่อยากจะเซอร์ ไพรส์ที่รักน่ะ”

“เซอร์ไพรส์จริงๆ ครับ”

“หายตกใจได้แล้วนะ” วินทร์หยอดลูกอ้อนแล้วกดจูบปลอบขวัญเป็นการไถ่โทษ

แต่มันกลับลึกล้ำจนเกือบจะเกินห้ามใจ เสียงเข็มนาฬิกาที่ขยับไปข้างหน้าราวกับไม้เรียวหวดขาให้หยุดเพราะกำลังจะพากันไปทำงานสาย วินทร์กลั้นใจผละออกจากกลีบปากหวานลิ้น หากยังคลอเคลียอยู่ไม่ห่างอย่างอ้อยอิ่งพลางใช้สองมือคล้องรอบเอวสอบประคองไว้หลวมๆ 

“นายไปอาบน้ำแต่งตัวไป จะได้มากินข้าวเช้าด้วยกัน”

นรกรทำหน้าคล้ายกับจะงอนที่โดนไล่เอาดื้อๆ เขาก้มหน้าหนีลงซุกกับหน้าอกกว้าง

“ไม่อยากกินข้าวฝีมือฉันเหรอ…” วินทร์พูดไม่ทันจบประโยคดี คนในอ้อมแขนก็เอ่ยทวงสัญญาขึ้นเบาๆ

“คนบางคนบอกว่าถ้ายอมจะอาบน้ำให้”

วินทร์แก้มร้อนฉ่าและซับสีเข้มไม่ต่างจากกับคนที่ซบหน้าอยู่ เขาก้มหน้าลงกระซิบถามให้แน่ใจข้างใบหูที่เห่อแดงไปหมด “นายรู้ใช่ไหมว่ามันจะไม่จบแค่อาบน้ำอย่างเดียว”

นรกรพยักหน้า วินทร์เหลือบตามองนาฬิกาบนผนังแล้วรวบคนตัวเล็กกว่ายกลอยขึ้นจากพื้น “ฉันไม่ชอบรีบๆ วันนี้เราเอาข้าวใส่กล่องไปกินที่โรงพยาบาลละกันนะ”

นรกรพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับคว้ารอบคอคนตัวโตแน่น ยินยอมให้เขาอุ้มเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี

OOOOOO

“เกือบมาสายแล้วเห็นไหมครับ” นรกรดุคนที่เดินตามมาติดๆ เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานแล้วรีบคว้าเอกสารที่ต้องใช้ในวันนี้ใส่กระเป๋า

“ก็แค่เกือบ” วินทร์ว่า “นี่ฉันกะเวลาพอดีเป๊ะเลยนะ… อ๊ะ! อ๊ะ! อย่ามาทำขมวดคิ้วใส่ เพราะใครล่ะที่ไม่ยอมปล่อยสักที”

“ปล่อยอะไรครับ” นรกรสะดุ้งเมื่อหันไปชนเข้ากับอกกว้างที่แอบมายืนประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ยกมือขึ้นผลักให้หลบแต่ก็ถูกอีกฝ่ายคว้ามือไปเสียได้

“นั่นน่ะสิ ปล่อยอะไรน้า~” วินทร์ทำเสียงล้อพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้เป็นครั้งแรกเลยที่นรกรออดอ้อนเขาถึงขนาดนี้ จนเขาเผลอแอบคิดว่านานๆ ทีกลายเป็นผีให้คิดถึงหนักๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน “ปล่อยมือหรือปลดปล่อย... หรือว่าทั้งสองอย่าง…”

“พี่วินทร์!”

“แน่ใจนะว่าวันนี้ยืนผ่าตัดนานๆ ไหว ให้ฉันเข้าเคสแทนไหม”

“เงียบไปเลยครับ”

ประตูห้องทำงานเปิดออกขัดบทสนทนา ทำให้นรกรฉวยจังหวะนั้นกระทืบเท้าวินทร์ให้ถอยห่างออกไปได้

“โอ๊ย!”

“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้าครับ” อนุวัฒน์ที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมจิงโจ้ร้องทัก

“เปล่านี่” วินทร์พยายามเก๊กหน้านิ่งทั้งที่ปวดหัวแม่โป้งเท้าแทบตาย

“เอ่อ… ให้พวกผมช่วยอะไรไหมครับ” จิงโจ้ถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไร” นรกรตอบ

“แต่พี่ฮาร์ฟตาช้ำมากเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าทะเลาะ…”

“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อ่านหนังสือดึกไปหน่อยน่ะ” นรกรพยายามตัดบท

“เอ่อ…”

อนุวัฒน์เหลือบตามองที่คนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วรีบคว้าแขนจิงโจ้ “มาเถอะ”

“แต่…”

“มานี่!” อนุวัฒน์ทำเสียงเข้มแล้วลากตัวจิงโจ้ออกไปได้สำเร็จ

วินทร์ปราดเข้ามายืนที่เดิมทันทีที่สองคนนั้นออกไป “ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าขยี้ตา ดูสิ เจ้าพวกนั้นคิดว่าเราทะเลาะกันจริงๆ ด้วย” มือใหญ่โอบเข้ารอบแนวกรามแล้วเชยคางคนตัวเล็กกว่าให้เงยหน้าขึ้นเพื่อดูดวงตาที่ทั้งแดงและช้ำ “ฉันหยอดน้ำตาเทียมให้”

“เดี๋ยวผมทำเองครับ”

“ฉันจะทำ หน้าที่นายคือส่งแว่นมาแล้วยืนเกาะเสื้อฉันไว้เฉยๆ”

“ครับ” นรกรจนใจจะเถียง เขาจึงทำตามที่บอก

วินทร์ดูแลหยอดน้ำตาเทียมให้ข้างละสองหยด “หลับตาไว้สักพักนะ”

ใจจริงวินทร์ไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากกยอดน้ำตาเทียม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือคนรักที่จับเขาไว้แน่นทั้งยังเงยหน้าขึ้นมาหลับตาพริ้มราวกับกำลังรอคอยให้เขาทำอะไรบางอย่าง

แล้วแบบนี้เขาจะอดใจไหวเหรอ

“พี่วินทร์” นรกรอุทานพร้อมกับลืมตาขึ้นทันทีเมื่อรู้สึกตัวว่าโดนขโมยจูบไปเรียบร้อยแล้ว เขาเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใคร “ทำอะไรน่ะครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”

“ไม่มีใครมาแล้วล่ะน่า”

“แต่ก็…”

“เลิกบ่นสักทีน่า เห็นก็ดีฉันอยากให้เห็น จะได้เลิกลือเรื่องที่เราทะเลาะกันสักที”

“เดี๋ยวพ่อก็โกรธอีก”

“ยังไงฉันก็โดนโกรธอยู่แล้ว ฉันขอโดนโกรธเรื่องที่ฉันตั้งใจทำดีกว่าเป็นเรื่องที่คนอื่นทำ”

“จริงๆ เลยนะครับ”

“งืมมม”

“เป็นอะไรอีกครับ”

“เป็นหมีหงอยโดนคุณแฟนดุ” วินทร์พูดด้วยเสียงสองพร้อมกับใช้ศีรษะดันๆ ที่หัวไหล่แกล้งแหย่ต่อเพราะรู้ว่านรกรเปิดโหมดเอาจริงเอาจังแก้เขินไปอย่างนั้นแหละ

“พี่วินทร์” นรกรใช้หนังสือในมือฟาดด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที

“ดูสิ ไม่พอใจก็ลงไม้ลงมือ” วินทร์ออเซาะเอามือลูบห้วป้อยๆ ทำเหมือนว่าเจ็บนักหนาทั้งที่แรงตีนั้นไม่ครณาผิวสักนิด

“ยังไม่เลิกเล่นอีก”

“ที่สัญญากันไว้จนป่านนี้ก็ยังไม่พูดให้ได้ยินเลย”

“สัญญาอะไรครับ”

“ที่บอกว่าตื่นมาแล้วจะพูดให้ฟังน่ะ”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคำที่เคยให้ไว้ “มาทวงอะไรตอนนี้ครับ”

“ก็นึกขึ้นได้ตอนนี้นี่นา”

“ไว้หลังเลิกงานครับ”

“ไม่อาววว... จะฟังตอนนี้”

นรกรเม้มปากสนิท เขาทำเป็นดุไปอย่างนั้นแหละเพราะอยู่ที่ทำงานทั้งที่ใจจริงนี่ยอมตั้งแต่โดนขโมยจูบแล้ว เวลาแค่คืนเดียวมันเติมความคิดถึงได้ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

“นะ...นะ...”

ในที่สุดนรกรก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว เขาเหลียวมองรอบห้องเห็นว่าปลอดคนแน่ๆ จึงเขยิบไปกระซิบที่ข้างหู “รักนะครับ”

“รักเหมือนกันจ๊ะ” วินทร์ตอบพร้อมกับฉวยโอกาสขโมยหอมไปได้อีกหนึ่งฟอด

ในขณะที่ในห้องกำลังหวานน้ำตาลขึ้นกันอยู่ ที่หน้าประตูห้อง อนุวัฒน์กับจิงโจ้กำลังหรี่ตามองผ่านช่องประตูที่แอบแง้มอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องเป็นห่วง” อนุวัฒน์บอก

“ก็แหมมม ใครมันจะไปคิดทันล่ะครับว่าตาช้ำเพราะกิจกรรมอื่น” จิงโจ้เบะปาก “ทำตัวน่าหมั่นไส้จริงๆ พี่วินทร์นี่ แบบนี้ต้องจัดสักหน่อย”

“จัดเลยดีกว่า” อนุวัฒน์กระแอมเบาๆ ให้คอโล่งก่อนจะเคาะประตูแล้วผลักเข้าไป “พี่วินทร์ พี่ฮาร์ฟครับเมื่อกี้น้องส่งข้อความมาบอกว่าอาจารย์ภูมิศิลป์ตื่นแล้ว พวกผมเลยว่าจะไปเยี่ยมก่อนไปออกตรวจพวกพี่จะไปด้วยกันไหมครับ”

นรกรรีบผลักอกอีกฝ่ายให้ออกห่างแล้วทำเป็นก้มหยิบหนังสือ “ไปสิ... พี่ไปด้วย”

วินทร์ทำหน้าเซ็งใส่รุ่นน้องตัวดีทั้งสองที่ปั้นหน้าใสซื่อเหมือนทารกแรกเกิดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับไปให้ เขาเดินไปหาอนุวัฒน์และพูดผ่านริมฝีปากที่แทบไม่ขยับ “แอบดูฉันไม่ว่าหรอกนะ แต่ถ้าฮาร์ฟจับได้ฉันเอาพวกนายตายแน่”

“งั้นผมก็ฟ้องพี่ฮาร์ฟกลับบ้างว่าคนบางคนอยากอวดมากกว่า” อนุวัฒน์กระซิบตอบอย่างรู้ทัน “รู้นี่นาว่ายังไงพวกผมก็แอบดูอยู่ แล้วยังมาทำตัวออดอ้อนน่ารักประหนึ่งว่าเป็นหมีน้อยโคอาล่ามาร์ชทั้งที่จริงเป็นหมีควายป่าปลอมตัวมากินลูกแกะ”

“ปากแกนี่วอนโดนหมีควายตะปบหัวเบะจริงๆ ว่ะ” วินทร์บ่นขมุบขมิบก่อนจะเงียบไปเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องตาเขาแล้วกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “มีอะไรเหรอ”

“ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วนะครับ” อนุวัฒน์ว่าพร้อมกับตวัดสายตาขึ้นสบอีกครั้ง

“อืม” วินทร์รับคำ “หายดีแล้ว”

อนุวัฒน์พยักหน้าถึงสุดท้ายจะไม่เข้าใจอะไร แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้สึกมั่นใจว่าวินทร์หายดีและกลับมาเป็นวินทร์คนเดิมที่เขารู้จักแล้ว

“พวกพี่คุยอะไรกันงุ้งงิ้งๆ น่าสงสัย” จิงโจ้แทรกตัวเข้ามาร่วมวง

“เปล่านี่” อนุวัฒน์ตอบ

“ถ้าพี่วินทร์ไม่บอกผมจะฟ้องพี่ฮาร์ฟ” พูดจบจิงโจ้ก็พุ่งไปเกาะแขนนรกร “พี่ฮาร์ฟครับสองคนนั่นสุมหัวคุยอะไรกันแปลกๆ อีกแล้ว”

“อะไรเหรอ”

“ไม่รู้สิครับ แต่ผมว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ เลย ผมได้ยินคำว่าลูกแกะอะไรด้วย สงสัยพี่วินทร์วางแผนจะให้พี่ฮาร์ฟคอสเพลย์เป็นแกะวันงานเลี้ยงปีใหม่แน่ๆ เลย”

นรกรหันควับมาทันที “ผมไม่แต่งเป็นแกะนะ”

“แกะบ้านแกสิไอ้โจ้ ได้ข่าวธีมผี” วินทร์ตะโกนสวนไป

“หืมมม แต่ผมว่าไอเดียนี้น่าสนใจนะครับเพราะท่านผอ.ให้คอสเพลย์ได้ พี่วินทร์ก็แต่งเป็นหมีควายไม่ก็หมาป่าคู่กันน่ารักดีออก” อนุวัฒน์แซว

“เห็นไหมพี่ฮาร์ฟ สองคนนั่นมีแผนจริงๆ ด้วย” จิงโจ้ยังไม่เลิกแกล้ง แต่สิ่งที่ทำวินทร์ไม่พอใจมากกว่าคือมือไม้ที่เกาะแขนนรกรแน่นขึ้นทุกที

“เห็นนั่นไหมวัฒน์” เขากระซิบที่ได้ยินกันสองคน

“ดูอยู่ครับ” อนุวัฒน์กระซิบตอบ

“จัดการคนของแกซะ อย่าให้ต้องถึงมือฉัน”

“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วครับ” อนุวัฒน์รับคำแล้วเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อจิงโจ้ให้ออกห่างจากนรกร

“อะไรเนี่ยพี่วัฒน์” จิงโจ้โวย

“ไปเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์ได้แล้ว” อนุวัฒน์กระซิบเสียงเข้มแล้วลากอีกฝ่ายนำออกประตูไป

“เราก็ไปกันเถอะ” วินทร์บอก “เราสองคนก็มีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์เยอะเลยนี่นา”

“พี่วินทร์ครับ”

“อะไร”

“ไม่เอาชุดสัตว์นะครับ” นรกรกระซิบย้ำ “ไม่งั้นผมไม่ไปงานจริงๆ ด้วย”

“ไม่เอาก็ไม่เอาจ๊ะ” วินทร์ให้ความมั่นใจ เพราะที่เขาจินตนาการและวางแผนเอาไว้คือชุดปิศาจแมวเหมียว... นั่นไง สัตว์ที่ไหน ไม่มี้! ปิศาจชัดๆ เดี๋ยวถึงวันงานค่อยไปเช่ามาเซอร์ไพรส์แล้วอ้างว่าชุดอื่นไม่มีไซซ์ แหม เขานี่ฉลาดจริงๆ

OOOOOO

การไปเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์ในเช้าวันนี้ดูเป็นเรื่องชื่นมื่นมากกว่าเมื่อวานกับอาการที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าวขอบคุณทุกคนที่ช่วยดูแลเป็นอย่างดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจะมีบ่นๆ นิดหน่อยก็แค่กังวลเรื่องผมจะไม่ขึ้นตรงที่โกนออกไปเพื่อผ่าตัดเพราะของเดิมก็เริ่มบางไปตามวัยแล้ว

นรกรกับวินทร์รอให้คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องเมื่อวานผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้อาจารย์ลำบาก”

อาจารย์ภูมิศิลป์ทำหน้าราวกับเพิ่งขึ้นนึกขึ้นได้ เขาคิดว่าเพราะตัวเองป่วยหนักและอยู่ในภาวะเฉียดตายจึงฝันถึงเรื่องที่เคยทำพลาดไป แต่พอรู้แบบนี้ก็ไม่รู้สึกแย่อะไรกลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น “ไม่นี่ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย... ต้องขอบคุณพวกเธอทั้งสองคนมากๆ เลยนะ”

“ขอบคุณพวกผมทำไมครับ พวกผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”

“ต้องขอบคุณสิ” อาจารย์ภูมิศิลป์ย้ำ “เพราะพวกเธอฉันเลยได้โอกาสพูดในสิ่งที่อยากพูดมากตลอด แล้วก็ได้ยินเขาบอกว่าอภัยให้ฉันแล้วด้วย และก็ดูเหมือนสองคนนั่นจะได้เจอกันแล้วสินะ หลังจากที่แยกจากกันมานาน... อืม... นี่ฉันเผลอพูดอะไรเลอะเทอะหรือเปล่าเนี่ย คนตายไปแล้วจะมาปรากฏตัวให้เห็นได้ยังไง”

“ได้สิครับ” วินทร์เอ่ยขึ้น “เพราะจริงๆ แล้วคนตายไม่เคยไปไหน แต่อยู่กับเราตลอด... ในห้วงความคำนึงของเราไงครับ”
อาจารย์ภูมิศิลป์พยักหน้า “จะว่าไปเมื่อคืน ฉันก็ฝันถึงสองคนนั่นอีกแล้ว”

“ฝันว่าอะไรครับ” นรกรถาม

“ก็...” อาจารย์ภูมิศิลป์ทำหน้านึก กำลังจะอ้าปากเล่าใครคนหนึ่งก็เดินผ่านประตูเข้ามาพอดี

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” พลส่งยิ้มทักทายให้ทุกคนแต่ดูจะส่งให้คนบนเตียงกว้างกว่าคนอื่นๆ

“ตอนนี้อาการ...” นรกรอ้าปากจะตอบวินทร์ก็ยกมือขึ้นสะกิดก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ดูว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องตอบเลยเพราะเขาตั้งใจถามคนที่อยู่บนเตียงมากกว่า

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ตอบ “ขอบใจนะที่มาเยี่ยมฉันทุกวันเลย”

“รู้ได้ยังไงครับว่าผมมา” พลถามยิ้มๆ “ผมอาจจะเพิ่งมาก็ได้นะ”

อาจารย์ภูมิศิลป์ยิ้มตอบ “อืม ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เธอจะมาเยี่ยมฉันอีกไหม”

“ถ้าหมอภูมิไม่รังเกียจ ผมมาทุกวันเลยก็ได้ครับ”

วินทร์หันมายิ้มให้นรกรก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามกันออกจากห้องไปเงียบๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ส่วนเรื่องที่ว่ากฤตกับพลูมาบอกอะไรในฝันนั้น ตอนนี้พวกเขาคิดว่าได้คำตอบแล้ว

OOOOOO
   
ตกเย็นวันนั้นพวกเขาทั้งสองก็กลับไปที่วัดแห่งเดิมอีกครั้งเพื่อทำบุญให้กับกฤตพลูจากไปอยู่ภพภูมิที่เหมาะที่ควร และเพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลสร้างขวัญให้กับคนที่ยังอยู่ด้วย

ทั้งสองก้าวลงจากรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิก ในมือถือชุดสังฆทานที่เตรียมพร้อมมาเรียบร้อย พวกเขาเดินตรงไปที่โบสถ์และก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้พบกับพระรูปเดิมยืนอยู่หน้าประตูราวกับรอการมาของพวกเขาอยู่ “สวัสดีโยมทั้งสอง มาทำบุญหรือ เชิญด้านในเลย”

“ครับ” ทั้งสองพยักหน้าและเดินตามหลังท่านเข้าไปกราบพระประทานด้านใน

หลังจากทำพิธีและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเสร็จสิ้นพระท่านก็กล่าวขึ้น “อาตมาดีใจนะที่เห็นโยมมีความสุขเสียที”

“ต่อไปนี้ผมจะหมดเคราะห์กรรมแล้วใช่ไหมครับ” วินทร์ถาม

“ไม่หมดหรอก” พระท่านตอบ ทั้งสองหันมองหน้ากันใจคอไม่ดีก่อนที่ท่านจะเอ่ยต่อ “การที่มนุษย์เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารก็ถือว่ามีกรรมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหากไม่มีก็คงจะไปนิพพานแล้ว”

“แล้วถ้าเป็น ‘เคราะห์’ ล่ะครับ” นรกรลองถามเลี่ยงๆ

“มีแล้วยังไง ไม่มีแล้วยังไง สิ่งสำคัญคือโยมจะใช้สติพิจารณาและผ่านมันไปได้ยังไงมากกว่า” ท่านตอบ “ส่งมือมาสิอาตมาจะให้สายสิญจน์เส้นใหม่แทนเส้นเก่าที่ขาดไป”

รับสายสิญจน์มาและกราบลาเรียบร้อยทั้งสองก็กลับออกมายืนบนทางเดินที่สองข้างขนาบด้วยต้นลั่นทมเรียงรายอีกครั้ง

“ฮาร์ฟ ฉันได้ยินนายบอกอาจารย์ภูมิศิลป์ว่ากฤตเคยดูแลนายสมัยเป็นเด็กมันยังไงเหรอ” วินทร์ถาม

“พี่วินทร์จำที่เขาเล่าเรื่องลุงชวนได้ไหมครับ”

“จำได้”

“ตอนแรกผมก็นึกไม่ออกหรอก แต่พอเขาเล่าเรื่องลุงชวนขึ้นมาผมก็เลยนึกออกว่ามีนักเรียนแพทย์คนหนึ่งที่ถึงจะดูห้าวๆ เหมือนไม่ค่อยเต็มแต่เขาก็ตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเราพูดทุกวัน และเพราะเขานี่แหละผมถึงได้กลับบ้าน เขาเป็นคนแรกที่เชื่อว่าผมปกติและบอกกับใครๆ แบบนั้น”

“จริงๆ ต้องพูดว่านายหลอกหมอนั่นได้เป็นคนแรกนะ” วินทร์พูดปนหัวเราะ “ฉันไม่ได้จะขัดนะ แต่แบบ... ก็จริงๆ แล้วนายไม่ปกตินี่นา”

นรกรหัวเราะบ้าง “อันที่จริงผมติดค้างเขาอยู่เรื่องหนึ่งนะ เพราะวันนั้นลุงชวนมาฝากผมลาเขาด้วยแต่ผมก็ไม่ได้บอก นี่อาจจะเป็นหนึ่งในร้อยแปดเหตุผลที่เราได้มาเจอกันก็ได้... เพื่อมาชดเชยในสิ่งที่เราต่างติดค้างกันไว้”

“นั่นสินะ”

“ครับ”

“ขอบคุณนะ”

“พี่วินทร์ขอบคุณผมทำไมครับ” นรกรถาม

“เปล่านี่ ฉันพูดว่านั่นสินะ” วินทร์พูดซ้ำ

นรกรหันมองรอบตัวแต่เขาก็ไม่เห็นใคร ลมพัดมาเอื่อยๆ พาให้ดอกลั่นทมดอกหนึ่งปลิวหลุดจากขั้วร่วงลงมาตรงหน้า ก่อนที่อีกดอกจะร่วงลงมาคู่กัน

วินทร์ก้มลงเก็บดอกลั่นทมทั้งสองดอกขึ้นมาถือไว้ “พวกเขาคงอยากมาขอบคุณ”

นรกรมองดอกไม้กลีบขาวในมือวินทร์และเอ่ยขึ้น “พี่วินทร์บอกผมได้ไหมครับว่าคราวนี้เรามีเวลาเท่าไหร่”

“รู้ดีขนาดนั้น ฉันไปเปิดสำนักทรงเจ้าแข่งกับอาจารย์องค์อินทร์แล้ว”

“พี่วินทร์ผมจริงจังนะครับ”

“ก็ไม่รู้จริงๆ นี่นา” วินทร์ยืนยัน “ขนาดพระท่านยังไม่รู้เลย”

“เหรอครับ”

“ยังกังวลอยู่เหรอ”

“นิดหน่อยครับ” นรกรตอบ “แต่เลิกคิดแล้วล่ะเพราะพระท่านก็บอกแล้วนี่ครับ... คิดมากไปก็เท่านั้น เราแค่ทำทุกวันให้ดีที่สุด ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย และพอวันนั้นมาถึงเราก็จะไม่มีอะไรให้ติดค้างและเสียใจอีกต่อไป พี่วินทร์เห็นด้วยไหมครับ”

วินทร์ไม่ตอบแต่ยื่นมือให้ข้างหนึ่ง เมื่อมือเล็กกว่าลงมาเขาก็กุมกระชับเอาไว้ ทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนจะออกเดินไปตามทาง ไม่ต้องมีคำพูดอะไรมากมายเมื่อต่างมองตาก็เข้าใจกันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งสุขและทุกข์ ขอแค่เพียงมีกันและกันแบบนี้ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี

The End

******************************************************************************************
Talk

ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำนี้สักนี้ หลังจากแต่งมานานเหลือเกิน จากทีี่แค่ความคิดซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความคิดชั่ววูบก็ว่าได้ว่าอยากแต่งต่อเพราะมีอีกหลายๆ ฉาก อีกหลายๆ ตอนที่อยากเขียน จากพล็อตสั้นๆ ที่คิดว่าแค่ร้อยหน้าจบ แต่พอเขียนเข้าจริงกลับยาวเกือบสองร้อย และใช้เวลาเกือบหนึ่งปีในการเขียน
 
ขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ กำลังใจที่มีให้กันจนมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ

ปล.ปากบอกว่าจบแต่ก็ไม่นิทอยู่ดีค่ะ เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษมาให้อ่านกันอีกน้าาา

หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 26-03-2019 21:19:29
 :o8:จบได้ถูกใจมากๆ รอตอนพิเศษนะคะ รักเรื่องนี้จัง
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 26-03-2019 21:35:27
ดีใจแทน..นนนนนนนนนน  กว่าจะสุขสมหวัง ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ    :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-03-2019 23:40:53
ขอบคุณมาก สนุกชวนติดตามจริงๆ ค่ะ
รอตอนพิเศษ รวมถึงเรื่องใหม่
แต่ไม่เอาอีกแล้วนะคะแบบใครจะหายไปอีก

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 27-03-2019 08:53:06
ดีใจที่วินทร์ได้กลับมาเจอฮาร์ฟอีกครั้ง สนุกและลุ้นไปกับทั้งสองคนว่าจะลงเอยยังไง ขอบคุณผู้เขียนที่ทำให้เรื่องราวจบลงอย่าง Happy ยังไงก็รอตอนพิเศษอยู่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 27-03-2019 20:27:03
ทุกอย่างจบลงด้วยดี  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: THiiCHA ที่ 27-03-2019 22:01:41
โอ้ยย​  เราอยากสะสมหนังสือเรื่องนี้ค่ะ​ 
ตีพิมพ์มั้ยคะ
 
ปล.นิยายสนุกมากเลยย​
ตอนแรกที่คนเขียนบอกว่าอยากเคลียร์ปมที่ไม่มีใครท้วง​ เรานึกว่าจะเคลียเรื่อง​ที่นรกรเห็นวิญญาณแต่ที่บ้านไม่เชื่อกับเรื่องเพศ​ ไปๆมาๆเอ้าา​ คุณพลูในห้องล็อกเกอร์นี่เอง​ 555555​ รออ่านตอนพ่อตาเคลียร์กับลูกเขย​ คดีที่กฤตทำไว้ก่อนไปแต่ละอย่างก็น่าปวดหัวแทนคนตามเช็ดตามล้าง​ ปูเสื่อ รอๆๆ 5555
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: thebrownbear ที่ 28-03-2019 13:48:43
จบแล้ววว ว ดีใจที่ไม่ต้องแยกจากกัน ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 28-03-2019 15:33:07
จบดีมากจริงๆค่ะ ชอบมากเลย
มีแอบปันใจให้คู่ ภูมิศิลป์กับพล

ในที่สุดอาจารย์ภูมิศิลป์
ก็ได้เจอความรักของตัวเองซักที

กฤตกับพลูในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน

พี่วินทร์นี่ตื่นมาก็จัดฮาร์ฟเลยเนอะ
แหมมมมมมมม


แอบอยากให้มีตอนพิเศษคู่ ภูมิศิลป์พล
พลต้องแอบรักภูมิศิลป์มานานแล้วแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-03-2019 11:00:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-03-2019 13:57:51
ชอบตอนที่คุยกันเรื่องงานศพพี่วินทร์ มันก้าวข้ามเกินกว่าแค่รักกันไปแล้ว

ขอบคุณมาก ๆ ที่มาเขียนภาคต่อ จบได้สวยงามมาก
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 30-03-2019 12:06:05
 :o8: :L3:โอ๊ยยยยยย...
ทำใจอยู่นานหลงไปกะข่าวบ้านเมือง=^^=
จริงๆต้องตั้งสติเพื่อกลับมาอ่าน.. กลัวใจเตลิดไปกะบทที่รอคอย.. 55555#พี่ไม่เคยทำน้องผิดหวัง....เป็นอีกคู่ในดวงใจจริงๆ..ให้เห็นถึงสติของการคบหากัน.ถึงพลังความเชื่อใจ.ช่วยเหลือ.ดูแล>>>>>>>>>เค้าอยากได้แบบนี้บ้างอ่ะ..โอ๊ย.คิดเข้าตัวแล้วเศร้าใจ.หวังว่าจะมีน้องๆเยียวยากันต่อไปเรื่อยๆนะคะ..จุ๊บๆม๊วฟๆ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: 15magnitude ที่ 08-04-2019 22:58:13
สนุกมาก ดีใจกับพี่วินทร์ด้วยนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 06-05-2019 18:09:03
ภาคผนวก ข.

“เราเอาเสื้อกาวน์สมัยเป็นมาราดน้ำแดงแล้วเอาหูฟังมาพันคอไหม คอนเซปต์คือผีหมอที่ทำงานหนักจนตายคาห้องพักแพทย์แล้ววิญญาณก็ยังวนเวียนราวน์ตอนดึกๆ” จิงโจ้เสนอความคิดสำหรับธีมงานเลี้ยงโรงพยาบาลที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า

   “ชุดน่ะพอทำได้ แต่หน้าตานี่จะแต่งยังไงล่ะ มันไม่จบที่เอาสีมาทาๆ แล้วมันจะเหมือนผีนะ ฉันเองก็ไม่ได้มีหัวศิลป์ขนาดนั้น”

   “ไม่ต้องห่วงพี่วัฒน์ ผมไปจีบน้องจิ๊บไว้แล้วเดี๋ยวน้องจิ๊บแต่งให้”

อนุวัฒน์หนังตากระตุกเมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่สาม “ใครคือน้องจิ๊บ”

“ก็คุณพยาบาลที่อยู่ไอซียูไง”

“คนไหน”
   
“คนที่จบมาใหม่ ตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าหมวยๆ เวลายิ้มแล้วตาเป็นสระอิไง” จิงโจ้บรรยายเป็นฉากๆ ยังไม่รู้สึกสะกิดใจกับเงาดำที่แผ่ออกมารอบตัวคนข้างๆ

อนุวัฒน์พยักหน้า “ตัวเล็ก ขาว หมวย ยิ้มสวย”

“ใช่แล้วๆ พี่วัฒน์นึกออกแล้วใช่ปะ”
   
“นึกออก” อนุวัฒน์ว่า “แกชอบแบบนั้นเหรอ”
   
“ก็น้องเค้าน่ารักดี”

“น่ารักด้วย?”

“ช่ายยยย”

“เหรอออ”

   เพี๊ยะ!

“โอ๊ย อะไรเนี่ยพี่วัฒน์! มาดีดหูผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ” จิงโจ้ร้องเสียงหลง เจ็บจนน้ำตาเล็ด เขาเอามือกุมใบหูที่แดงเป็นปื้นแน่น

“ยังจะมาถามอีก!” อนุวัฒน์โวยกลับ “มีแฟนเป็นตัวเป็นอยู่แล้วยังจะไปจีบสาวที่ไหนอีก”

“ผมไม่ได้จีบนะ”

“แล้วเมื่อกี้หมาตัวไหนมันบอกว่าจีบ”

“แค่จีบมาช่วยแต่งหน้า ไม่ได้จีบแบบนั้นสักหน่อย พี่วัฒน์อย่าเข้าใจผิดสิ”

“แน่ใจ?”

“ก็ใช่น่ะสิ” จิงโจ้ว่า “ก็อยากจะจีบอยู่หรอกแต่ไม่กล้าน่ะ”

“ทำไมเหรอ” อนุวัฒน์เสียงอ่อนลงเล็กน้อย คิดว่าคำตอบจากคนที่กำลังทำเป็นเอียงอายนั้นคงจะทำให้ใจสั่นอยู่ไม่น้อย แต่ครั้นพอได้ฟังคำตอบก็สั่นจริงๆ เสียด้วย

“ผัวน้องเขาไม่อนุญาต”

...กำปั้นในมือนี่สั่นไปหมด...

“ผัวแกก็ไม่อนุญาตเหมือนกัน!”

“ผัวไหน?”

อนุวัฒน์กอดอก ทำหน้าตึงให้แทนคำตอบ

“เฮ้ย! ไม่ใช่... ผัวเผอที่ไหน”

“ก็คนที่เมื่อคืนแกกอดเสียแน่นแล้วบอกว่าเอาอีกๆ ไม่หยุดน่ะ คนนั้นแหละ”

“พอเลยพี่ พอเลย” จิงโจ้ยกมือปรามคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับตัดบท “ตกลงตามนี้นะ”

“ไม่ตกลง”

“อ้าว”

“ถ้าแกไปให้น้องจิ๊บอะไรนั่นแต่งหน้าให้ แกก็ไม่ต้องเสียเวลาแต่งตัวเพราะฉันจะทำให้สภาพแกเหมือนศพเอง”

คนตรงหน้าขึ้นเสียงแข็งยื่นคำขาด จิงโจ้รีบประสานมือทำสำนึกผิด “ผมผิดไปแล้วคร้าบบบ”

ประตูห้องเปิดออกช่วยชีวิตจิงโจ้ไว้ได้ทันเวลาพอดี ทั้งสองหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา หันมาอีกทีอนุวัฒน์ก็พบว่าคนข้างตัวดอดไปเกาะแขนร่างโปร่งแน่นเสียแล้ว

“พี่ฮาร์ฟครับ ผมโดนรังแก” จิงโจ้ฟ้อง

นรกรกะพริบตามองรุ่นน้องงงๆ เขาสบตาวินทร์ก่อนจะหันไปหาอนุวัฒน์ “มีอะไรกันเหรอ”

“เรื่องชุดที่จะใส่ไปงานอาทิตย์หน้าน่ะครับ” อนุวัฒน์ตอบ “น้องๆ ชวนว่าเรามาแต่งให้เหมือนกันดีกว่าดูเป็นทีมเดียวกันดี เผื่อจะได้รางวัลพิเศษติดมือมาบ้าง ทีนี้เจ้าโจ้มันเลยเสนอธีมผีหมอที่อยู่เวรหนักจนตายในหน้าที่มา”

“แล้วจะแต่งหน้าแต่งตัวยังไง” นรกรถามอย่างสนอกสนใจฟังดูไม่เกินความสามารถจะก้าวข้ามความอายของตัวเองเท่าไหร่

“เรื่องชุดพอไหว แต่เรื่องแต่งหน้าพี่วัฒน์ไม่รับข้อเสนอครับ” จิงโจ้รีบบอก

“ทำไมล่ะ” นรกรถามต่อ

“โจ้มันจะให้คุณพยาบาลที่ไปจีบไว้ช่วยแต่งให้” อนุวัฒน์ตอบ

“ก็บอกว่าไม่ได้จีบไง”

วินทร์หัวเราะ เดาสถานการณ์ออกอยู่เพราะวันก่อนเขาเห็นจิงโจ้ไปเกาะเคาน์เตอร์คุยกับคุณพยาบาลอยู่นานสองนานนี่ยังแอบถ่ายรูปไว้เลยว่าจะเอาไว้แบล็คเมล์กับอนุวัฒน์สักหน่อย เห็นทีจะไม่ได้ใช้เสียแล้ว “อย่าเลย เดี๋ยวจะมีปัญหาครอบครัว”

“แล้วจะแต่งหน้ายังไงให้เหมือนผีล่ะครับ” จิงโจ้โอดครวญ “ดูสิออกจะหล่อขนาดนี้ ผมไม่เหมือนพี่วินทร์นะที่แค่ขึ้นเวรติดๆ กัน ไม่อาบน้ำ ไม่โกนหนวดสักสามวันก็หน้าสดไปงานก็ได้แล้วน่ะ”

“ปากเสียนะแก” วินทร์เอื้อมมือไปเขกกบาลเจ้าคนพูดมากหนึ่งที

“เอ๊า! พูดจริงก็โกรธ ใช่ไหมครับพี่ฮาร์ฟ พี่วินทร์สภาพนั้นน่ะพอจับใส่ชุดหมีแล้วก็ผีหมีชัดๆ”

นรกรนึกภาพตามก่อนจะตอบจริงจัง “อือ… ก็เหมือนอยู่นะ”

“ใช่ไหมครับ” จิงโจ้รีบสำทับ “ได้ยินไหมครับพี่วินทร์ พี่ฮาร์ฟยังเห็นด้วยเลย”

“แต่พี่ว่าดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แบบว่าดูน่ารัก… มากกว่า” ปลายเสียงของนรกรเบาลงเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป

วินทร์เชิดหน้าทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ในขณะที่
จิงโจ้กับอนุวัฒน์ย่นปากใส่ด้วยความหมั่นไส้

นรกรยิ้มเขินๆ ก่อนจะกะแอมคอให้โล่งแล้วพูดต่อ “แต่ถ้าจะหวังรางวัลจริงจังฉันว่าแบบนั้นมันง่ายไปไหม ไม่ใช่ว่าไม่สร้างสรรค์แต่พี่ว่าต้องมีคนอื่นคิดแบบนี้เหมือนกันเยอะแน่ๆ เพราะมันดูเข้ากับโรงพยาบาลที่สุดแล้วนี่นา ดังนั้นเราต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น”

จิงโจ้หูผึ่งไม่คิดว่ารุ่นพี่ผู้เคร่งขรึมและเรียบร้อยที่สุดในภาควิชาจะสนใจเรื่องแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่รู้กันว่านรกรเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่องถ้าลองได้รับปากแล้วว่าจะทำก็ยอมทุ่มสุดตัวเหมือนกัน “แล้วพี่ฮาร์ฟมีความเห็นว่าไงครับ”

“พี่ลองเสิร์ชในอินเตอร์เน็ตดูก็มีหลายอย่างน่าสนใจนะ” นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปที่สืบค้นมาให้ดู “ก่อนอื่นเราต้องคิดก่อนว่าจะเอาผีสัญชาติไหนของไทยหรือต่างชาติ ถ้าไทยก็มีผีปอบ กระสือ กระหัง ของฝรั่งก็มนุษย์หมาป่า ซอมบี้ แดรกคูล่า หรือจะไปทางผีญี่ปุ่นก็มีจูออน คุณซาดาโกะ กับผีไร้หน้าจากเรื่องสปิริตอะเวย์ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้”

“นี่นายทำวิจัยหัวข้อการแต่งกายงานเลี้ยงปีใหม่ในธีมผีเหรอ” วินทร์แซวยิ้มๆ เห็นนั่งหลังขดหลังแข็งทำอะไรอยู่หลายวันที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง

“แล้วไม่ดีเหรอครับ”

“ดีสิ ฉันชอบทุกอันเลย ติดอยู่แค่นิดเดียว” วินทร์ว่าพร้อมกับเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งประกบกันตรงหน้าทำท่าประกอบ

“อะไรครับ”

“นายกล้าแต่งเหรอ”

จิงโจ้กับอนุวัฒน์หันควับมาจ้องเขม็ง นรกรเหลือบตามองซ้ายขวาก่อนจะหลุบตาลงต่ำ “ก็… ข้ามๆ พี่ไปก็ได้”

“ไม่ได้หรอกครับ เราเป็นทีมเดียวกันนี่นา” จิงโจ้รีบบอก

“แต่ถ้าทุกคนอยากได้รางวัลมันก็ต้อง...”

“ไม่ต้องคิดถึงรางวัลอะไรหรอกปวดหัวเปล่าๆ แค่ทุกคนสนุกก็พอแล้ว เรามาโหวตหาชุดที่ทุกคนอยากแต่งกันดีกว่า” วินทร์เสนอ “ยังไงพวกเรามันก็สายฮาอยู่แล้ว”

“แล้วพี่วินทร์มีความเห็นว่าไงครับ” อนุวัฒน์ถาม

“ฉันกำลังคิดว่าเวลาที่คนทั่วไปทั้งพี่น้องหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สายงานอื่นพูดถึงเราเขาคิดถึงอะไรน่ะ ฉันอยากจะดึงจุดเด่นตรงนั้นมาแต่งเวลาเดินเข้างานไปเห็นปั๊บ ร้องอ๋อปุ๊บว่า เฮ้ย! นี่มันไอ้พวกนิวโรศัลย์นี่หว่า... อะไรแบบนี้น่ะ มันจะต้องฮาสมเป็นเราแน่เลย”

“แบบนี้น่าสนครับ” จิงโจ้เห็นด้วย “เดี๋ยวผมลองถามไปในไลน์กลุ่มดูนะครับว่าคนอื่นๆ จะว่ายังไง”

หลังจากพิมพ์ส่งไปไม่นานก็ได้รับกระแสตอบรับมากมาย แต่ข้อความที่ดูจะโดดเด่น โดนใจหลายๆ คนมากที่สุดเห็นจะเป็น

...หมี...

“เขาว่าเราเป็นแก๊งลูกหมีครับ” จิงโจ้อ่านผล

“ตัวใหญ่ เสียงดัง ชอบตีกันและรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ  คติประจำแก๊งคือเซิ้งยันเช้าข้าไม่ว่า ขอแค่ท้องข้าต้องอิ่ม” อนุวัฒน์ช่วยสาธยายสรรพคุณ “เออ ตรงจริงๆ ด้วย... สรุปเราจะแต่งเป็นผีหมีกันเหรอครับ”

“ผมว่ามันจะดูน่ารักมากกว่ากลัวนะครับ” จิงโจ้ท้วง

“ไม่เห็นเป็นไรเลยตลกดีออก” วินทร์ว่า

...ไม่ได้ปิศาจแมวเอาหมีก็ยังดีวะ อย่างน้อยก็ยังมีหูเล็กปุยๆ ตะมุตะมิให้เขาดีดเล่น… ว่าแต่จะเอาหมีอะไรดีหนอ...

จินตการภาพในหัวไปเริ่มล่องลอยไปแสนไกล

…หมีขาว! ต้องสีขาวเท่านั้น ถึงจะน่ารักที่สุด...

“มันจะดีจริงๆ เหรอครับ” จิงโจ้ถามย้ำ

วินทร์ม้วนภาพฝันเก็บใส่กระเป๋าแล้วหันไปหานรกร
“แน่นอนอยู่แล้ว หรือนายว่าไงฮาร์ฟ”

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เอาสัตว์… แล้วพี่วินทร์ก็สัญญากับผมแล้วนะ” นรกรพูดเสียงเบา

แต่นั่นก็ทำให้ทั้งวงสนทนาเงียบกริบในพริบตา
สามพี่น้องต้นความคิดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“เอ่อ...” ขนาดวินทร์เองยังไปต่อไม่ถูก ไม่น่าเผลอไปตกปากรับคำเลยให้ตายสิ

“ผมบอกแล้วไงว่าข้ามๆ ผมไปก็ได้” นรกรพึมพำในลำคอด้วยความรู้สึกผิด

OOOOOO

ในที่สุดวันงานก็มาถึง หลังจากที่ผ่านการคัดสรร กลั่นกรองและถกเถียงกันมาอย่างรอบคอบแล้วชาวแก๊งลูกหมีนิวโรศัลย์จึงตัดสินใจแต่งตัวเป็นผีหมอตามความคิดแรกของจิงโจ้เพราะว่าหาชุดง่ายและสร้างความอึดอัดใจให้พี่ใหญ่ของพวกเขาน้อยที่สุดแล้ว

ถึงจะดูว่าลงทุนน้อยแต่ก็มากด้วยการเล่นใหญ่ของแต่ละคน บ้างก็ตัดเสื้อกาวน์ตัวเก่าให้แหว่งวิ่น หรือจุดไฟแช็คเผาจนเกรียมได้ที่ บวกกับอุปกรณ์ประกอบฉากที่ขนกันมาเองแบบจัดเต็ม อย่างจิงโจ้ก็เอาตุ๊กตาหมีตัวใหญ่จับแต่งตัวใส่ชุดคนไข้ขาดๆ แล้วผูกห้อยมาข้างหลังเหมือนมีผีอีกตัวขี่คออยู่เพราะติดใจในความหล่อของหมอสมัยยังมีชีวิต ส่วนอนุวัฒน์ก็อุ้มตุ๊กตาเด็กทารกที่ทำหน้าให้ดูเละเทะ เป็นผีหมอสูติที่โดนแม่เด็กเอากรรไกรฆ่าปาดคอเพราะทำคลอดลูกเขาตาย

ทางวินทร์นั้นถึงจะผิดหวังจากการจับนรกรแต่งเป็นปิศาจแมวตามที่จินตนาการไว้เพราะแอบไปสั่งชุดหนังกับหูแมวสีดำจากร้านในอินสตราแกรมมาเตรียมไว้แล้ว แต่การได้เห็นคนขี้อายยอมแต่งตัวบ้าๆ บอๆ ตามใจน้องๆ ก็มีความสุขไปอีกแบบ วันนี้นรกรอุตส่าห์ลงทุนใส่คอนแทคเลนส์แบบบิ๊กอายสีดำตั้งใจปรับลุคให้ดูน่ากลัวแต่เขากลับคิดว่ามันดูแบ๊วมากกว่า นึกแล้วก็เสียดาย นี่ถ้าหากได้หูแมวที่เขาซื้อไว้มาใส่เสริมเข้าไปอีกมันจะต้องแจ่ม เอ๊ย! ต้องยิ่งน่ากลัวมากขึ้นแน่ๆ

ไม่เป็นไร ชุดนั้นเขาก็เอาไปซุกๆ ซ่อนในลิ้นชักไว้ก่อน มันจะต้องมีสักวันละน่าที่ฝันจะเป็นจริง และถึงมันจะไม่เป็นจริง วันไหนเหงาๆ เขาก็เอาชุดขึ้นมาดูฝันกลางวันแก้ขัดไปก่อนก็ได้

และด้วยสตอรี่ที่สร้างมาประหนึ่งเมาตารางเวรที่อัดแน่นจนไม่มีอะไรจะเสีย ทีมของพวกเขาจึงได้รางวัล “ผีสิ้นคิด” มาครอบครอง

หลังจากที่วินทร์ขึ้นไปรับรางวัลเป็นซองสีแดงจากมือท่านผอ.บนเวที แล้วทุกคนก็ตั้งแถวชักภาพร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาก็มาล้อมวงกันที่โต๊ะซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้

“เอ้า! เอาไปคนละแก้ว” จิงโจ้บอกพลางส่งแก้วเครื่องดื่มให้ทุกคนเตรียมชนแก้วฉลอง

ตอนนี้เขาเลื่อนเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสูงที่สุดแล้วจึงยกหน้าที่ชงเหล้าให้เป็นน้องเล็กของสายไป แล้วผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการวงเหล้าเต็มตัว ชื่อตำแหน่งดูหรูหรา แต่จริงๆ ก็คือคอยเล็งว่าแก้วใครพร่องก็ส่งสัญญาณให้น้องคอยเติมให้เต็มอยู่ตลอด ดังนั้นเรื่องกลัวไม่เมานี่ลืมไปได้เลย เพราะจิงโจ้มอมทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว

อ้อ! ยกเว้นนรกรไว้คนหนึ่งเพราะตั้งแต่ที่เขาพานรกรไปเมาตอนงานฉลองเรียนจบเมื่อครั้งกระโน้น เขาก็โดนทั้งวินทร์และธีร์หมายหัวไปเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น การแจกเหล้าทุกแก้วมีความเสี่ยงเขาต้องคอยคัดแยกให้ดีว่าแก้วไหนเพียว แก้วไหนผสม แก้วไหนน้ำอัดลมก่อนหยิบยื่นให้ผู้นั่งดื่มร่วมโต๊ะ

“แก้วนี้ของพี่วินทร์ครับ”

“พี่ไม่กินพวกนายกินเลย” วินทร์โบกมือปฏิเสธ

“อะไรพี่ นิดหน่อยน่า มาๆ ชนแก้ว” จิงโจ้คะยั้นคะยอ แก้วนี้เขาบรรจงคำนวณส่วนผสมต่างๆ เป็นอย่างดี เป้าหมายคืนนี้คือล้มคนคอแข็งที่สุดให้ได้เป็นรายแรก ดังนั้นนี่คือสูตรล้มช้างแบบไม่รู้ตัวที่เขาสั่งสมประสบการณ์จากการเป็นคงชงเองและคนที่โดนลงโทษให้กินบ่อยๆ กลั่นกรองออกมาเป็นแก้วนี้ให้พี่วินทร์โดยเฉพาะ

“พี่ไม่กินจริงๆ” วินทร์ยืนยันคำเดิม

“พี่วินทร์เล่นมุกอะไรหรือเปล่าเนี่ย” แม้แต่อนุวัฒน์ยังสงสัยเพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่วินทร์จะต้องเป็นคนเมานำหน้าน้องๆ ไปก่อนเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ประวัติดีมาตลอดไม่เคยทำให้เสียการเสียงาน

“พูดจริง” วินทร์ย้ำ ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้ทั้งวง

“เดี๋ยวผมขับรถเอง” นรกรเอ่ยขึ้น “พี่วินทร์ดื่มได้เต็มที่เลยครับ พรุ่งนี้ก็หยุดด้วย”

“นั่นไงพี่ฮาร์ฟไฟเขียวแล้วพี่ เอาหน่อยน่า นะ นะ” จิงโจ้ตื๊อต่อ เขาไม่ยอมให้แผนล่มง่ายๆ หรอก

“เอ๊ะ! เอ๊ะ! หรือว่าแกล้งทำฟอร์มเป็นคนดีให้น้องๆ ดูอยู่” อนุวัฒน์แซว “อย่าเสียเวลาเลยพี่ น้องๆ พวกนี้มันรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว”

นรกรเหลือบมองซ้ายขวาคิดว่าวินทร์เกรงใจเขาเลยไม่กล้าดื่ม เขาจึงเตรียมจะลุกหลบฉากออกไปเงียบๆ แต่วินทร์กลับเอื้อมมือมาคว้าไว้ใต้โต๊ะ

“ไม่ได้ฟอร์ม พี่เอาจริง ตั้งใจว่าจะเลิกเด็ดขาดน่ะ ขอถือโอกาสนี้บอกพวกนายไว้เลยแล้วกัน เผื่อวันหลังชวนแล้วฉันปฏิเสธจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน”

“แต่พวกเราก็ไม่ได้กินทุกวันนี่ครับ ก็นานๆ ที”

“นานๆ ทีก็ไม่เอา”

“ทำไมล่ะพี่” จิงโจ้ถาม

“ฉันแค่อยากรักษาสุขภาพน่ะ”

“อ้อ! พี่เพิ่งหายป่วยมานี่นะ” จิงโจ้ะยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ

“อืม นั่นก็เหตุผลส่วนหนึ่งน่ะ”

“แต่แค่นิดๆ หน่อยๆ แก้วสองแก้วเอาสังคมกินบรรยากาศแบบนี้ไม่น่าเป็นอะไรมั้งครับ” จิงโจ้ยังไม่เลิกหว่านล้อม

“ฉันตัดสินใจแล้ว ถึงการทำแบบนี้มันจะทำให้อายุยืนขึ้นอีกแค่หนึ่งนาทีแต่สำหรับฉันมันก็โคตรคุ้มค่าแล้วล่ะ”
วินทร์ตอบน้องๆ ด้วยท่าทีสบายๆ แต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง

“พวกเราต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่ลำบากใจ” อนุวัฒน์บอก

“เฮ้ย! ขอโทษไร ไม่ต้อง ไม่ได้ลำบากใจอะไรเลย เอ้า! กินต่อๆ ถึงฉันจะกินน้ำเปล่าแต่เราก็สนุกกันได้นี่หว่า”

“งั้นผมขอคืนนะครับ... อ้าว...” จิงโจ้เอื้อมมือไปจะหยิบแก้วคืน ทว่า เหล้าแก้วนั้นกลับอันตธานหายไปเสียแล้ว
พวกเขาหันควับไป

นรกรกำลังยกแก้วน้ำขึ้นซดดับไอร้อนของพวงแก้มที่เห่อขึ้นมาเพราะคนข้างตัวนอกจากจะกำมือแน่นไม่ปล่อยแล้วยังเหลือบมามองแล้วอมยิ้มมุมปากให้ราวกับส่งสัญญาณบอกว่าทั้งหมดที่ทำไปนี้ก็เพื่อเขาเท่านั้น

...พี่วินทร์คนบ้า! ตัวเองไม่เขินแต่เขาเขินนะ… ว่าแต่… ทำไมเป๊บซี่แก้วนี้แทนที่ดื่มแล้วจะเย็น กลับกลายเป็นยิ่งดื่มยิ่งร้อนคอแปลกๆ นะ...

วินทร์หันไปสบตาจิงโจ้เป็นเชิงถามว่าผสมไปเท่าไหร่เพราะปกติจิงโจ้ก็ไม่เคยใส่ให้เขาน้อยๆ อยู่แล้ว พอได้รับคำตอบทางสายตากลับมาว่าเกินครึ่งก็รีบหันไปดึงแก้วออกจากมือนรกรทันที

แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อน้ำแก้วนั้นโดนซดหมดลงจนหยดสุดท้ายภายในครั้งเดียว

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ไหว… ไหม”

นรกรพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ทุกคนถึงหันมามองเป็นตาเดียวด้วยสายตาแปลกๆ “ไหวครับ”

วินทร์ถอนหายใจ อย่างน้อยนรกรก็ไม่คออ่อนจนเกินไปนัก แต่ยังไม่ทันจะผ่อนลมหายใจออกสุดคนข้างตัวก็ทิ้งน้ำหนักลงมาพิงบนหัวไหล่

“พี่ฮาร์ฟ!”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ท่าทางจะน๊อคไปแล้ว นั่นพี่โจ้ผสมอะไรให้พี่ฮาร์ฟกินน่ะ”

“พี่ฮาร์ฟจะปลอดภัยใช่ไหม”

น้องๆ พากันโวยวายด้วยความตกใจที่เห็นพี่ใหญ่ของตนแน่นิ่งไป

“พวกแก ใจเย็นๆ เว้ยมันก็แค่เหล้า ฉันไม่ได้ผสมยาพิษให้สักหน่อย” จิงโจ้รีบบอก

“แต่พี่ฮาร์ฟคออ่อนมากเลยนะ คราวที่แล้วแค่ค๊อกเทลไม่กี่แก้วก็ยืนแทบไม่ไหวแล้ว” อนุวัฒน์สำทับ

“พี่วัฒน์ไม่ต้องมาตอกย้ำความผิดในอดีตของผมได้ไหมเนี่ย! พี่วินทร์ผมขอ...”

“ชู่~” วินทร์ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากไม่ให้เสียงดังรบกวนคนหลับ “ขอโทษนะทุกคน ท่าทางฉันต้องกลับบ้านแล้วล่ะ” แล้วจึงหันไปกระซิบข้างหูคนที่ซวนซบอยู่บนไหล่ “กลับบ้านกันเถอะ”

พูดจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงตัวนรกรให้ลุกตามขึ้นมาก่อนจะใช้ลำแขนช้อนเข้าที่ใต้ข้อพับขาแล้วอุ้มออกไป

“ทำไงดีอะพี่วัฒน์ ผมต้องโดนพี่วินทร์สวดยับแน่เลย” จิงโจ้หันไปเขย่าแขนอนุวัฒน์ขอความช่วยเหลือ

“ฉันว่าไม่หรอก เผลอๆ นายอาจจะได้รางวัลด้วยนะ” อนุวัฒน์พูดยิ้มๆ รู้สึกหมั่นไส้วินทร์หน่อยๆ ถือว่าเปิดตัวแล้วจะทำอะไรก็ได้สินะ ครั้งก่อนโน้นแค่บอกจะพากลับยังเขม่นกับน้องชายเขาตาแทบถลน ตอนแบกกลับก็ทำเขิน ตอนนี้ละอุ้มท่าเจ้าหญิงหน้าตาเฉย

“ทำไมล่ะพี่วัฒน์”

“นายไม่เห็นสายตาพี่แกตอนอุ้มพี่ฮาร์ฟออกไปเหรอ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้หยุดด้วย”

“แล้วมันยังไงเหรอ”

อนุวัฒน์พ่นลมออกจมูก นึกตลกหมอนี่จริงๆ ว่าบทจะเข้าใจอะไรยากก็ยากเสียจริงๆ “ไม่มีอะไรหรอก แกไม่เห็นก็แล้วไป เอาเป็นว่าแกทำใจให้สบายแล้วมากินเหล้าต่อดีกว่า”

“พี่ไม่คิดจะเลิกเหล้าเพื่อผม แบบพี่วินทร์อะไรงี้บ้างเหรอ”

“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”

“เอ้า! ก็แบบว่า… มันดูเท่ดีอะ”

“ถ้าเหตุผลแค่นั้นก็ไม่ล่ะ” อนุวัฒน์ส่ายหน้า

“ทำไมล่ะ”

“ก็ตอนแกเมามันสุดยอดไปเลยนี่นา” อนุวัฒน์ว่าพร้อมกับชนแก้ว “กินสิ... คืนนี้ไม่เมา ฉันไม่ให้กลับหรอกนะ”

“ไม่เมาไม่กลับ!” จิงโจ้ร้องพร้อมกับชูแก้วขึ้นสูงก่อนจะยกแก้วซดอักๆ

ในขณะที่รุ่นพี่ซึ่งนั่งยิ้มหวานตาเป็นประกายอยู่ข้างๆ เพียงแค่จิบเบาๆ …คืนนี้สำหรับเขาสองคนมันยังอีกยาวไกลนัก และเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสทองนี้แน่ๆ เหมือนกัน

OOOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 06-05-2019 18:26:10
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ขอโทษนะครับ ผมทำให้พี่วินทร์หมดสนุกเลย” นรกรพูดลิ้นพันกัน

“หมดสนุกอะไรกัน” วินทร์ยิ้มขันในขณะที่กำลังถอดเสื้อกาวน์ที่ทำเป็นชุดผีออกโยนใส่ตะกร้าพลางมองดูคนเมาที่นอนแผ่อย่างหมดสภาพอยู่บนเตียง

“ก็พี่วินทร์ต้องมาดูแลผม จริงๆ พี่วินทร์ทิ้งผมไว้แบบนี้แล้วไปสนุกกับน้องๆ ต่อก็ได้ พี่วินทร์ต้องเข้าสังคมนะ จะมามัวแต่ขลุกอยู่กับคนแบบผมได้ไง”

“เมาแล้วพูดมากนะเราน่ะ” วินทร์เดินกลับมาที่เตียงแล้วก้มตัวลงเอาสองแขนคร่อมตัวคนเมาที่ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาที่แดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ไว้

“ไม่ได้พูดมาก ผมแค่พูดความจริง เพราะผมมันคนไม่เอาไหน กินเหล้าก็ไม่ได้ คุยก็ไม่เก่ง”

วินทร์หัวเราะในลำคอ “พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว นอนพักเถอะ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำล้างไอ้พวกเครื่องแต่งหน้าพวกนี้ออกก่อนแล้วจะมาเช็ดตัวให้นายนะ” พูดจบก็กดริมฝีปากลงข้างแก้มตรงที่มือปิดไม่มิด

“งือออ” นรกรส่งเสียงคราง ทั้งๆ ที่ตอนนี้รู้สึกหน้าตาร้อนไปหมด แต่ริมฝีปากที่จูบลงมานั้นกลับร้อนเสียยิ่งกว่า และมันเป็นความรู้สึกวูบวาบแปลกๆ ไม่ใช่แค่ตรงจุดที่โดนสัมผัสแต่มันร้อนรุ่มไปทั้งตัว

เขาพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างุ่นง่าน แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตัวเองใส่คอนแทคเลนส์ไปงานเลี้ยงจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกหัวหมุนเหมือนโดนจับเหวี่ยงไปรอบๆ ห้อง แต่เขาไม่อยากเป็นภาระวินทร์ไปมากกว่านี้ เขาจับหัวไว้ด้วยมือสองข้างไม่ให้โคลงแล้วโผเผไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะกระจก เงาสะท้อนบนกระจกแสดงให้เห็นว่าวินทร์เช็ดเครื่องสำอางบนหน้าเขาออกไปให้จนหมดแล้ว นรกรจ้องตากับเงาตัวเองและพยายามใช้โป้งกับนิ้วชี้แหกตาให้โตๆ เพื่อหยิบคอนแทคเลนส์ออก แต่ไม่ว่าจะลองสักกี่ครั้งมันก็หยิบไม่ติดแถมยังจิ้มโดนตาตัวเองจนแสบอีก

“ต้องเป็นเพราะผมหน้าม้ายาวแล้วแน่ๆ เลย บังตาจนมองไม่เห็นแล้วเนี่ย” นรกรสรุป เขาทำปากจู๋แล้วเป่าลมเสยขึ้น มันโดนผมหน้าปลิวขยับแค่เพียงเล็กน้อยก่อนจะลู่ลงมาตามเดิม เป็นเช่นนั้นเขาก็เริ่มมองหาอะไรที่จะช่วยปัดผมหน้าให้เสยขึ้นไปเป็นการชั่วคราวได้ จึงเริ่มรื้อค้นลิ้นชักและเทของข้างในออกมา แล้วเขาเจอ...

“ที่คาดผมอันนี้ หน้าตาประหลาดดีแฮะ มาอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย ของใครน่ะ พี่วินทร์? เออ ช่างเถอะขอยืมใช้ก่อนละกัน!”

เขาสวมที่คาดผมประดับหูแมวสีดำลงบนศีรษะแล้วก็เริ่มต้นปฏิบัติการถอดคอนแทคเลนส์ต่อ

วินทร์ที่ใส่กางเกงนอนตัวเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำแทบทำผ้าเช็ดตัวที่กำลังใช้ซับน้ำบนผมอยู่หลุดมือ เขาหยิกแก้มตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป “น... นาย...ทำอะไรน่ะ”

“ผม... พยายามจะ... ถอด... คอนแทคเลนส์... แต่มันเอา... ไม่ออก” นรกรตอบพลางสูดจมูกเช็ดน้ำที่ไหลเป็นทาง

ยิ่งนรกรหันหน้ามาเขาแทบจะตบหน้าตัวเองอีกรอบให้ตื่น อะไรจะฝันดีขนาดนี้ เจ้าหูแมวนั่นถึงจะมีสีดำแต่มันก็เข้ากันได้ดีกับเรือนผมสีน้ำตาล และช่วยขับผิวขาวๆ ให้ดูเด่นขึ้นไปอีกตามที่เขาจินตนาการไว้จริงๆ ด้วย แก้มแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้วตากลมๆ แบ๊วๆ นั่นพอโดนน้ำตาก็ยิ่งฉ่ำหวานเข้าไปอีก ที่ลงทุนหนีไปอาบน้ำเย็นมากลายเป็นโมฆะไปในพริบตา

หัวใจเต้นแรง แข้งขาสั่น อยากกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าแล้วกระโดดขย้ำคอให้หายมันเขี้ยวเสียจริงๆ

ตอนนี้มโนสำนึกของวินทร์กำลังประมวลผลอย่างหนักเพระต้องเลือกว่าจะช่วยนรกรถอดคอนแทคเลนส์ก่อนหรือจะรีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกก่อนดี

ในที่สุดสำนึกดีก็ชนะ วินทร์เม้มปากฮึบไว้ ทำเป็นตีหน้าขรึมแล้วเดินเข้าไปหา ตอนนี้ในฐานะคนรักเขาต้องทำเรื่องที่ถูกต้องก่อนเรื่องที่ถูกใจสิ

“ตาแดงหมดแล้ว หันหน้ามานี่เดี๋ยวฉันถอดให้เอง” เขาใช้สองมือประกบรอบกรอบหน้าให้เงยขึ้น แต่ดวงตาที่ผ่านสมรภูมิรบโดยเจ้าของมาพอสมควรนั้นเริ่มแดงแล้วก็มีน้ำตาไหลเต็มไปหมด จนเขาเองยังไม่กล้าจับด้วยกลัวว่าจะพลาดทำให้นรกรเจ็บมากขึ้นไปอีก

และชั่วขณะที่กำลังจ้องตากันอย่างเงียบๆ เพื่อคิดหาหนทางถอดคอนแทคเลนส์แบบนุ่มนวลที่สุดอยู่นั้น นรกรก็เริ่มต้นส่ายหน้าไปมาเพราะความเมื่อยที่โดนเขาจับล็อกเอาไว้นาน แล้วซุกหน้าลงมาพักบนหน้าอกเขาแทนพร้อมกับสอดแขนเข้ากอดรอบเอวแน่น

“พี่วินทร์ครับ”

“อะไรเจ้าขี้เมา” วินทร์จ้องหูแมวที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า พยายามห้ามใจไม่ให้ยกมือไปดีดขนปุยๆ นั่นเล่นโดยการประสานมือไว้รอบเอวสอบแทน

“พี่วินทร์พูดจริงเหรอ”

“เรื่องอะไร”

“ไม่ได้แกล้งพูดไปเท่ๆ หรือพูดให้ผมคิดไปเองใช่ไหม”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ที่บอกว่ายอมเลิกเหล้าเพราะอยากอยู่ไปนานๆ  แค่หนึ่งนาทีก็เอาน่ะ”

“พูดจริงสิ”

นรกรขยับยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา “เพราะอยากอยู่กับผมเหรอ”

“อยู่กับนายน่ะแหละ”

ริมฝีปากบางค่อยๆ คลี่ยิ้มหวานที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ “ขอบคุณครับ”

“ฮาร์ฟ... พอไม่ต้องทำตาเยิ้มเลย ฉันไม่อยากปล้ำคนเมา เดี๋ยว...”

คำพูดของวินทร์ถูกหยุดไว้แค่นั้นเมื่อคนในอ้อมแขนยกตัวขึ้นมาจูบปากเขาเบาๆ ก่อนจะกลับลงไปซุกบนหน้าอกเขาตามเดิม

“ผมก็อยากอยู่กับพี่วินทร์ไปนานๆ เหมือนกัน”

วินทร์บีบมือตัวเองแน่นแล้วตอนนี้ ถึงจะเป็นคนหื่นขนาดไหนและตั้งปณิธานแน่แน่วไว้แล้วว่าจะไม่ขออดทนทุกการอ่อยโดยไม่ตั้งใจ แต่เขามีอุดมการณ์มั่นคงเช่นกันว่าจะไม่รังแกคนเมาเด็ดขาด เขาอยากร่วมรักด้วยความยินยอมพร้อมใจและมีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม

วินทร์ตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เริ่มต้นนับหนึ่งถึงร้อยเพื่อข่มอารมณ์ แต่ยังไม่ทันจะนับสอง คนในอ้อมแขนก็เงยหน้าขึ้นมองเขาตาแป๊วแล้วถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อว่า…

“ไม่ทำเหรอครับ”

“ฮาร์ฟ! น... นั่นนายพูดอะไรน่ะ”

“ปกติถึงจังหวะนี้พี่วินทร์ต้องทำแล้วนี่นา ทำไมวันนี้ไม่ทำล่ะ”

“ก็... ก็นายเมาอยู่ฉันจะทำบะ... แบบนั้นได้ยังไงเล่า!”

แต่ดูท่าคนเมาจะไม่ยอมฟังคำพูดของเขาเลยสักนิด

นรกรยกต้นขาขึ้นถูกับหน้าขาของร่างสูงเบาๆ ครั้งหนึ่งเป็นการตรวจสภาพเบื้องต้น ก่อนจะเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยแล้วดึงขอบกางเกงนอนพร้อมกับก้มมองลงไป
“หรือว่าไม่ตั้ง อ้าว... ก็ปกติดีนี่นาแล้วทำไม...”

วินทร์ตีมือซนๆ นั่นแล้วรีบกุมเป้าหมุนตัวหนี “ก็บอกว่าไม่อยากปล้ำคนเมาไง!”

นรกรเกาหัวแกรก มองคนตัวโตที่จู่ๆ ก็ทำตัวเป็นสาวน้อยขึ้นมาซะอย่างนั้น “ถ้างั้นผมปล้ำเอง” พูดจบก็ผลักวินทร์หงายหลังล้มลงนอนแผ่หราบนเตียง

วินทร์นอนลืมตาโพลงไม่ใช่ว่าเขาสู้แรงไม่ได้ แต่เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูกต่างหาก ยิ่งตอนที่ร่างโปร่งถอดเสื้อกาวน์ออกโยนลงบนพื้นแล้วก้าวขึ้นคร่อมลงมาบนตัวเขา เจ้าลูกชายตัวดีที่อยู่ในกางเกงก็ลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วพร้อมสู้ศึกแล้ว

สีหน้าของนรกรเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาจัดการรั้งขอบกางเกงนอนของวินทร์ลง แล้วสิ่งที่พยายามจะดุนดันอยู่ข้างหลังผืนผ้านั่นก็ได้ออกมาสู่โลกกว้าง แต่ก็เพียงแค่อึดใจเท่านั้นแล้วมันก็ถูกดูดกลืนเข้าสู่ความมืดมิดในโพรงปากนุ่ม

“ด... เดี๋ยว... ฮาร์ฟ ถอยไป อย่าทำแบบนี้”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็มัน…”

“เพราะผมมันไม่เอาไหนสินะ พี่วินทร์ถึงไม่ยอมให้ผมทำ” นรกรสูดจมูกพลางใช้สันมือปาดน้ำตรงหางตา

“เดี๋ยว! มันไม่ใช่แบบนั้นนะ” วินทร์ร้อง …นอกจากต่อมหื่นแล้ว แอลกอฮอล์มันยังไหลไปโดนต่อมอ่อนไหวอีกเหรอเนี่ย

“ผมก็อยากสัมผัสพี่วินทร์บ้าง อยากให้รู้ว่าผมก็รักนะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำหรือชอบนอนรอนิ่งๆ ให้โดนทำอยู่ฝ่ายเดียว นานๆ ทีก็ให้ผมทำบ้างสิ”

“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว ที่ไม่ให้นายทำเพราะฉันชอบแบบนี้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับว่านายเก่งหรือไม่เก่งเลย”

“ถ้างั้นก็ให้ผมทำสิ” นรกรพูดรั้นๆ “ฮึก… ครั้งก่อนน่ะ โดนไอ้หมอนั่นบังคับให้ทำ… ตอนนั้นผมพยายามคิดถึงพี่วินทร์แต่ก็ยังรู้สึกจะอ้วกอยู่ดี เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากทำอีกทีมาตลอด… แค่ก… แค่ก…”

“เดี๋ยวก็สำลักหรอก” วินทร์ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าแก้มคนที่กำลังไอโขลกเพราะพยายามจนเกินตัว “ถ้ามันไม่สุดก็ไม่ต้องฝืนหรอก เอาแค่ข้างบนก็พอที่เหลือใช้มือช่วยเอา…”

“งือออ… เอาแบบนั้นก็ได้” นรกรเป่าลมเข้าแก้มอย่างขัดใจกับปากที่เล็กเกินไปของตัวเอง แล้วลองค่อยๆ แตะปลายลิ้นลงบนส่วนอ่อนไหวที่สีเข้มขึ้นเพราะโดนปลุกเร้านั่นอีกครั้ง

“ช้า... ช้าอีก... ไม่ต้องรีบ” เมื่อห้ามไม่ได้ วินทร์จึงโยนอุดมการณ์อะไรนั่นทิ้งลงนรกไป ไหนๆ ตอนนี้นรกรก็กลายเป็นปิศาจแมวสมใจเขาแล้ว เขาก็ขอเป็นซาตานร้ายสักวันก็แล้วกัน “นั่นแหละ... แบบนั้น... เล่นกับตรงปลายเยอะๆ”

ปากพากษ์ไปมือหนึ่งก็ขยุ้มลงบนศีรษะจับโยกเป็นจังหวะ ในขณะที่อีกมือสอดเข้าใต้สาบเสื้อเชิ้ตแล้วลูบไล้ไปเท่าที่เอื้อมถึง ใช้ปลายนิ้วเขี่ยขยี้หัวนมเล่นจนมันกลายเป็นไต

วินทร์สูดปากกับความร้อนรุ่มที่เริ่มคัดแข็ง คนเคยรุกรู้สึกเหงาปากอยากหาอะไรมาเติมเต็ม สายตากวาดมองแผ่นหลังเนียนเรื่อยลงไปจนถึงเอวสอบแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “ฮาร์ฟ ขยับสะโพกมาทางนี้สิ”

“ผมยังอยากทำอยู่”

“ก็ไม่ได้ให้หยุดนี่นา ฉันให้ขยับมาแต่สะโพก”
นรกรยกตัวขึ้นงงๆ เพราะนึกภาพไม่ออกว่าจะขยับไปทางไหน จนกระทั่งมือใหญ่นั้นคว้าเข้าที่เอวแล้วรั้งตัวให้หมุนขึ้นไปคร่อมแบบกลับหัวกลับหางอยู่บนตัวอีกฝ่าย “พ… พี่วินทร์จะทำอะไรครับ”

“ทำแบบนี้ไง”

คำตอบมาพร้อมมือที่ดึงขอบกางเกงชั้นนอกกับชั้นในลงพร้อมกัน เนินเนื้อขาวลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเขาบีบเล่นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะลากมือไปตามร่องแล้วค่อยๆ สอดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางแคบด้านหลัง

“พี่วินทร์... ท่านี้มัน...”

“ทำไม” วินทร์คิดว่าคำตอบที่จะได้รับคือ ‘มันน่าอาย’ และการขัดขืน เขาเตรียมจะพลิกกลับมาอยู่ท่าปกติแต่กลับกลายเป็นว่าร่างโปร่งที่คร่อมทับอยู่ด้านบนนั้นกดสะโพกลงต่ำเพื่อให้เขาจัดการได้ง่ายขึ้น “รู้สึกดีเหรอ?”

“อือ”

จริงๆ แล้วเขาไม่จำเป็นต้องถามเลย เพราะร่างกายสั่นเทิ้มนั้นกำลังเรียกร้องให้เขาทำมากกว่านี้อีก

“ถ้างั้นฉันจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้อีกเอาไหม”

แต่มันสนุกที่ได้แกล้งนี่นา แถมพิษสุราก็ทำให้คนปากหนักซื่อตรงต่อความต้องการของตัวเองด้วย

“อือ”

วินทร์เริ่มได้ใจหนัก เขาก้มหน้าลงแล้วใช้ปลายลิ้นกวาดไปทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมๆ กับที่ขยับนิ้วเข้าออกเพื่อเปิดช่องทางให้เตรียมพร้อมรับบทรักต่อไป

ตอนนี้นรกรรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปหมด เขาไม่สามารถขยับมือหรือลิ้นได้อีกได้แต่นอนกอบกุมของวินทร์ไว้เฉยๆ หากสะโพกนั้นกลับขยับโยกไปเองอย่างควบคุมไม่อยู่ราวกับว่านั่นไม่ใช่ร่างกายของเขา มันตอบรับสัมผัสของวินทร์เป็นอย่างดี น้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติของทั้งสองผสมกันเฉอะแฉะจนไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่นใดๆ ช่วยอีก

เมื่อคิดว่าเพียงพอแล้ววินทร์ก็อุ้มนรกรขึ้นแล้วจับนอนหงายลงบนเตียงก่อนจะสอดตัวเองเข้าแทรกตรงกลางระหว่างขาแล้วก้มหน้าลงกระซิบขออนุญาต “วันนี้ไม่ใส่นะ ฉันอยากสัมผัสนายตรงๆ”

จริงๆ ก็แค่บอกพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละเพราะในจังหวะนั้นเขาก็สอดใส่ลูกชายผ่านเข้าไปแล้ว น้ำรักที่ออกมามามากกว่าปกติทำให้ลื่นเข้าไปจนเกือบสุด รู้สึกถึงแรงตอดรัดอย่างอบอุ่นจากด้านในคล้ายกับกำลังเชิญชวนให้เขาเข้าไปในลึกมากกว่านี้อีก

“รู้สึกดีจัง อยากอยู่ในตัวนายแบบนี้ทั้งคืนเลยได้ไหม”

“ได้สิครับ” นรกรตอบ “ทำแบบนี้ทั้งคืนเลยนะ”

“จริงเหรอ ทำไมวันนี้ที่รักน่ารักจัง หืมมม” แล้วก้มลงจูบที่หน้าผากแตะไล่ลงมาจนถึงริมฝีปาก ตรงที่เขาบรรจงจูบอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะผละออก

“แล้วปกติผมไม่น่ารักเหรอ” นรกรถามเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ

“น่ารัก แต่วันนี้น่ารักกว่าทุกวันไง” บอกพร้อมกับงับลงบนยอดจมูก

“ไม่ได้นะ ต้องเหมือนกันทุกวันสิครับ”

“ถ้างั้นครั้งต่อไปก็ทำตัวน่ารักแบบนี้อีกสิ ดีไหมครับที่รัก”

“ไม่เอา”

“ไม่เอาอะไร”

“อย่าเรียกแบบนั้น”

“ทำไมล่ะ”

“ชื่อ” นรกรครางในลำคอ เมื่อรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งขึ้นมาตามแนวกลางลำตัว ขมวดรัดอยู่ด้านในตามจังหวะที่อีกฝ่ายสอดแทรกเข้าออกซ้ำไปซ้ำมา “ผมชอบให้พี่วินทร์เรียกชื่อ... มันทำให้รู้สึกดีมากกว่า”

คำตอบนั้นทำให้สติแทบขาดวิ่น วินทร์กระแทกกระทั้นจนแผ่นหลังอีกฝ่ายขยับตามแทบไม่ติดเตียง เรียวแขนที่โอบรัดกับปลายเล็บที่จิกลงมาบนแผ่นหลังกว้างกลายเป็นแรงผลักดันให้สอดกายเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับเสียงพร่ำเรียกชื่อซ้ำๆ ข้างหูที่ฉุดรั้งให้อารมณ์หวามหวิวพุ่งสูงขึ้น...

อีกครั้ง...

อีกครั้ง...

และอีกครั้ง...

จนวินทร์ลืมนับว่าเท่าไหร่ ปกติเขาจะทำสองครั้ง แต่วันนี้มันมากกว่านั้น...

จนกระทั่งแสงอาทิตย์ของวันใหม่สาดส่องเข้ามาทางรอยแยกของม่านหน้าต่าง ตกกระทบลงมาบนร่างเปลือยเปล่าที่นอนคว่ำหน้ากอดหมอนอยู่บนเตียง โดยมีร่างสูงใหญ่คร่อมทับอยู่ บริเวณสะโพกของทั้งสองยังเชื่อมสนิทถึงกันราวกับว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว

ทั้งสองปลดปล่อยอารมณ์จนหมด แล้ววินทร์ก็ทิ้งตัวลงนอนทับบนตัวนรกร สอดมือเข้ารอบตัวพร้อมกับกดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากบางที่เห่อบวมขึ้นเล็กน้อยจากการดูดดึงกันมาหลายชั่วโมง “รักนะ”

“รักเหมือนกันครับ” นรกรพึมพำรับคำก่อนจะผล็อยหลับไป

ในที่สุดแสงอาทิตย์ก็พาปิศาจร้ายกลับไปนรก วินทร์กดจูบลงกลางหน้าผากของคนที่กำลังหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องมาทั้งคืน เขาไล้มือไปตามกรอบหน้าพิจารณาทุกๆ รายละเอียดอย่างแสนรักก่อนจะใช้ปลายนิ้วเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วจัดแจงถอดคอนแทคเลนส์ให้ หลังจากนั้นก็ก้มลงควานหาหูแมวที่กระเด็นตกไปใต้เตียง เอาไปเก็บซ่อนไว้ในลิ้นชักตามเดิม แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินไปอาบน้ำ

จริงๆ เขาก็อยากนอนกกกอดต่อจนสายแต่พอลองมาคิดดูดีๆ แล้วก็ต้องตัดใจ เพราะต่อให้นรกรตื่นขึ้นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้างแต่เมื่อดูจากร่องรอยรักที่ปรากฏอยู่เต็มตัวแล้วละก็... เขาจะต้องโดนเจ้าตัวงอนใส่ยาวไปหลายวันด้วยข้อหาขาดความยับยั้งชั่งใจแน่ๆ ดังนั้นเขาควรรีบไปทำมื้อเช้าบนเตียงเตรียมไว้ง้อดีกว่า เพราะต่อให้จำได้แต่ถ้าอารมณ์ดี นอกจากจะไม่โดนงอนแล้วเขาก็อาจมีโอกาสรวบหัวรวบหางต่ออีกยก แต่ถึงจะไม่มีได้เสียยังไงเขาได้กำไรเป็นภาพเซ็ตหูแมวเก็บเข้าอัลบั้มลับไว้แล้วนี่นา ซึ่งอันนี้แหละที่น่ากลัวกว่า ถ้าโดนจับได้ว่าเขาแอบถ่ายรูปไว้ตั้งสมัยแอบชอบจนถึงปัจจุบันนี้มีเป็นคลังแสงนับพันรูปแล้วละก็ ต่อให้มีเก้าชีวิตเหมือนแมวก็คงไม่พอแน่ๆ
วินทร์ถอนหายใจ

…คิดไปก็ปวดหัว รีบไปแช่ผ้าเตรียมซักแล้วไปทำกับข้าวดีกว่า ชีทก็หมดอีกต้องลงไปซื้อมาไว้สินะเจียวไข่ไม่ใส่ชีทเดี๋ยวก็งอนเขาเป็นสองเท่าอีก… แฟนใครนะเอาใจยากจัง…

.

.

.

.

ทันทีที่นรกรลุกสึกตัวตื่นขึ้น ความรู้สึกเมื่อยก็แล่นปราดขึ้นมาจากสะโพก จนเขาต้องกอดหมอนไว้แน่น ในหัวปวดหนึบจนแทบจะระเบิด เมื่อคืนดูเหมือนเขาจะเมาจนทำอะไรแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำอะไรแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่จริงๆ แล้วเขากลับจำได้ทุกคำพูดและทุกการกระทำของตัวเองไม่ว่าจะท่วงท่าไหน

แก้มขาวร้อนวาบ แอลกอฮอล์นี่ช่างน่ากลัวจริงๆ ทำให้เขาขาดความยับยั้งชั่งใจได้ถึงขนาดนี้

นรกรขยับพลิกตัวเพื่อลุกไปเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย ของเหลวเหนอะหนะที่เกรอะกรังอยู่ตามตัวโดยเฉพาะตรงระหว่างเรียวขายิ่งทำให้อยากมุดเตียงแทรกแผ่นดินหนีไปเสีย

“ฮาร์ฟตื่นแล้วเหรอ”

เสียงวินทร์ดังขึ้นที่หน้าประตู ภาพตัวเองที่กระโดดขึ้นคร่อมแล้วงอแงขอใช้ปากปรากฎขึ้นในหัว นรกรหน้าแดงรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาพันรอบตัวขดเป็นตัวหนอน เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้าวินทร์ตอนนี้

“เป็นไงบ้าง” วินทร์นั่งลงข้างๆ เท้าแขนข้างหนึ่งลงคร่อมไว้ “ข้าวเช้า ไม่สิ! ข้าวเที่ยงเสร็จแล้วนะ วันนี้ฉันทำแต่ของโปรดนายทั้งนั้นเลย มากินด้วยกันเถอะ หรือว่าคอแห้งไหม อยากได้น้ำเย็นหรือน้ำหวานอะไรไหมฉันจะไปเตรียมมาให้”

“ม… ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่เป็นไรแล้วทำไมไม่ออกมาล่ะ” วินทร์ถามอย่างอ่อนโยนปนรู้สึกผิด “โกรธฉันเหรอ…”

“…” นรกรไม่ตอบ

“โกรธสินะ… ถ้างั้นก็ขอโทษนะ” วินทร์บอกเสียงอ่อย
ม้วนผ้าขยับยุกยิก ก่อนที่ส่วนศีรษะที่ปกคลุมเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนจะโผล่ออกมาให้เห็นจนถึงดวงตา

“ผมไม่ได้โกรธครับ”

“แล้วเป็นอะไร”

“คือ…”

“หืมมมม”

นรกรดึงผ้าห่มลงต่ำอีกนิด จนตอนนี้วินทร์มองเห็นถึงคางแล้ว “ผม…”

“ทำไมเหรอ”

“ล… ลุกไม่ขึ้นครับ” นรกรตอบอ้อมแอ้ม

“แล้วจะให้ฉันช่วยยังไงดี”

“ก็…” นรกรเงยหน้าดูคนที่กำลังจ้องมองมาที่เขา นัยน์ตาคมเต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้ใบหน้าร้อนวูบขึ้นอีก “ช่วย…” เขาพูดต่อไม่ถูก จู่ๆ ลิ้นก็เกิดพันกันขึ้นมา เขาจึงค่อยๆ ดึงแขนออกจากม้วนผ้าแล้วยื่นออกไปด้านหน้า

วินทร์เอียงคอมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือไปช้อนตัวนรกรขึ้นและอีกฝ่ายก็ตอบรับทันทีด้วยการวางวงแขนลงรอบคอเขาแล้วซุกหน้าลงบนบ่า

ในระหว่างที่วินทร์อุ้มนรกรขึ้นเพื่อพาไปอาบน้ำนั้น เขาก็คิดขึ้นได้ว่าจริงๆ แล้วในอ้อมแขนของเขานี่ไม่ใช่คนหรอก แต่เป็นปิศาจน้อยในคราบลูกแมวชัดๆ ไม่งั้นจะหลอกล่อให้เขาหลงกลรักติดกับดักแน่น ขนาดวิญญาณออกจากร่างถึงสองครั้งก็ยังกระเสือกกระสนดิ้นรนหาทางกลับมาหาได้ยังไง

คนอะไรเข้าใจก็ยาก ปากหนักมีอะไรไม่ยอมบอกแต่พูดมาแต่ละคำก็ทำให้ใจสั่นตลอด ปกติชอบทำหน้านิ่งใส่เขาแต่พอส่งยิ้มมาให้ทีก็ทำใจเขาละลาย ชอบดื้อพูดไม่ฟังแต่บางทีก็ออดอ้อนจนเขาตามใจแทบไม่ทัน
ทั้งที่คิดว่าเขาตามทันทุกมุมแล้ว แต่ก็กลับมีมุมที่เขาไม่เคยเห็นซ่อนอยู่อีก ใครจะคิดว่าคนขี้อายเวลาเมาจะก๋ากั่นได้ขนาดนี้

“พี่วินทร์… เดินช้าลงหน่อยครับ… เจ็บ”

“ขอโทษที ฉันรีบเดินเพราะกลัวนายจะหนาวน่ะ” วินทร์บอกพร้อมกับจูบขมับปลอบขวัญ “ให้อาบให้ด้วยเหรอ”
นรกรพยักหน้า

“ไม่จบแค่อาบน้ำนะ” เขากระซิบเตือน

นรกรไม่ตอบแต่กระชับวงแขนกอดคอเขาแน่นขึ้นอีก
วินทร์ยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ช่าง เพราะยังไงเขาก็ยอมพลีกายเป็นเหยื่อให้ตลอดไปอยู่แล้ว ถ้าหากว่าปิศาจน้อยจะน่ารักถึงขนาดนี้แล้วละก็นะ

********************************************
Talk
เห็นเขียนว่า ภาคผนวก ข. คือตั้งใจนะคะ ไม่ได้พิมพ์ผิดแต่อย่างใด คือเราแต่งข้าม ก. ไปก่อนเพราะเนื้อหาค่อนข้างเครียดคือจะเป็นตอนที่พี่วินทร์ไปคุยกับศ.สรวิชญ์
และสาเหตุที่ไม่ยกตอนนี้ขึ้นเป็น ก.แทนเพราะต้องการจะให้เรียงเป็นไทม์ไลน์ตอนลงเล่มค่ะ แต่ว่าเนื้อหาแต่ละตอนนั้นก็จะจบในตอนเป็นตอนๆ ไป ไม่ต้องกังวลว่าจะงงนะคะ

หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: 15magnitude ที่ 06-05-2019 20:27:24
พี่วินทร์ผู้พ่ายแพ้ต่อปิศาจแมวตลอดกาล 55555555555555555 เห็นมีความสุขกันแบบนี้ แม่ยกพี่วินทร์ชื่นใจมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 06-05-2019 21:19:29
งื่ออออออ คิดถึงทั้งสองคนเลยค่ะ
สำลักความหวานไปหมดแล้ว ><
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 06-05-2019 22:29:15
 :impress2: หวานมาก คนอ่านฟิน พี่วินทร?ฟินมากกว่า
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Poompim ที่ 06-05-2019 22:51:07
 :m25: :katai4: :hao6: :impress2: :ling3:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-05-2019 22:54:59
 :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 07-05-2019 18:02:58
 :m31: :m31: :m31:   นรกร~~~
.. เรานี่มันตัวร้ายจริงๆเลยนะเนี่ย..แมวปีศาจชัดๆ​.. สูบพี่วินทร์​ซะหมดตัวเลย... น่าซมซาน.. เฮ้ย.น่าสงสารจริงๆ...  :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 09-05-2019 07:45:15
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 12-05-2019 02:41:23
สนุกมากๆ ครับ ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-05-2019 21:19:13
ร้อนแรงไปล้าวววววววว
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: taku_kimu ที่ 04-07-2019 13:29:08
ชอบมากค่ะ รวมเล่มเมื่อไหร่ช่วยบอกดังๆนะคะ เดี๋ยวมีไม่ครบเซ็ท :)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-08-2019 23:39:49
ภาคผนวก ก.

“แล้วเรื่องคุณพ่อพี่วินทร์มีความเห็นว่าไงครับ”
   
“ถามซะดูเป็นทางการเชียว” วินทร์ถามกลับปนขำ เขาละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังเล่นเกมค้างอยู่ขึ้นมองแผ่นหลังของคนที่นั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะปลายเตียง

“ก็ผมซีเรียสนี่ครับ” นรกรตอบพลางหันมาสบตา “จนป่านนี้คุณพ่อยังไม่ยอมมองหน้าพี่วินทร์เลย เราจะปล่อยไว้แบบนี้ได้ยังไงล่ะครับ”

“ฉันคิดไว้แล้วล่ะว่าจะพูดอะไรบ้าง” วินทร์บอก “ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกก็จะขอโทษไปตรงๆ ส่วนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ตามน้ำอย่างที่นายบอกไปว่าเป็นเพราะสมองกระทบกระเทือน”
   
“แล้ว...” นรกรถามต่อ ที่วินทร์พูดมามันฟังดูตรงไปตรงมาและง่ายที่สุดซึ่งเขาก็คิดว่าดีแล้วแต่จนถึงตอนนี้วินทร์ก็ยังไม่ยอมทำสักที

วินทร์ถอนหายใจ “ก็มันหาโอกาสพูดไม่ได้นี่นา อย่างที่นายบอกน่ะแหละว่าหน้าฉันเขายังไม่อยากมองเลย เฮ้อ... เรื่องนั้นนายปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเหอะ ตอนนี้เรื่องที่นายต้องห่วงมากกว่าคือการทำเรื่องขอรองผศ.กับเรื่องที่งานวิจัยนายได้เข้าชิงผลงานวิจัยระดับประเทศต่างหาก ถึงไหนแล้วล่ะ”

“ใกล้จะเสร็จแล้วครับ”

“แต่...” วินทร์ลากเสียงถามอย่างรู้ทันเพราะถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจริงในเวลาเกือบตีสองนี่เขาคงลากอีกฝ่ายขึ้นเตียงสำเร็จแล้วล่ะ

“พอมานั่งอ่านซ้ำเป็นรอบที่สี่ผมก็รู้สึกว่าเนื้อหามันยังไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ เลยกำลังลองรีวิวผลงานวิจัยอันเดิม กับหาดูเรื่องใหม่ๆ เผื่อว่าผมจะมองข้ามอะไรไปหรือหาผลอ้างอิงใหม่มาช่วยเสริมน่ะครับ”

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม” วินทร์กดปิดเกมแล้วลุกจากเตียงเดินยืนซ้อนหลังก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูหนังสืออ้างอิงที่นรกรเปิดกองไว้เต็มโต๊ะ

   
นรกรส่ายหน้า “พี่วินทร์ไปนอนเถอะ ขออีกชั่วโมงนึงเดี๋ยวผมตามไป”
   
“รู้นะว่าถ้าเลทจะโดนอะไร”

“ครับ”

วินทร์กดจูบลงข้างขมับแทนค่ามัดจำแล้วกลับไปล้มตัวลงนอน
แน่นอนว่าคืนนั้นนรกรมาขึ้นเตียงช้ากว่าที่ตกลงกันไปหลายชั่วโมง แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตอนนี้นรกรเครียดเรื่องงานพอแล้วเขาจึงไม่อยากเอาเรื่องอะไรไปใส่หัวอีก

“อ้าววินทร์ นั่นขนอะไรมาเยอะแยะน่ะ” คณิณร้องทักในขณะที่บังเอิญเดินสวนกัน

“หนังสือ” วินทร์ตอบพร้อมกับวางถุงที่หอบหิ้วพะรุงพะรังมาสองมือลงแล้วเอื้อมมือไปคว้าตัวเด็กชายจากคนเป็นพ่อมาอุ้มแทน “ว่าไงครับสายฟ้าคนเก่ง วันนี้แข็งแรงดีใช่ไหม”
เด็กชายยิ้มร่าจนตาหยีพร้อมกับหัวเราะชอบใจกอดคอวินทร์แน่น

“แหม ตอบแบบนี้อย่าตอบเลยดีกว่าว่ะ” คณิณบ่นพลางหันไปสบตาภรรยา คิดว่าเธอเองก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเช่นกัน

“เพิ่งเสร็จจากนัดหมอเด็กมา กำลังจะไปหาหมอฮาร์ฟค่ะ” เพียงพิรุณบอก

“ดีๆ เดี๋ยวไปด้วยกันนี่แหละ” วินทร์บอก “ปอ แกช่วยหิ้วถุงหนังสือไปให้หน่อยฉันจะอุ้มหลาน”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเว้ย ได้ข่าวว่านี่พ่อนะ” คณินว่าไปแบบนั้นแต่ก็ยอมคว้าถุงขึ้นมาแต่โดยดี

“ก็เพราะเป็นแกน่ะสิถึงกล้าใช้ เป็นคนอื่นฉันไม่ใช้หรอก” วินทร์ว่าพลางหันไปจับแก้มกลมของสาวน้อยในชุดกระโปรงสีหวานที่เพียงพิรุณอุ้มอยู่ “ว่าไงคะสายรุ้งคนสวย คิดถึงคุณอาไหมคะ”

เด็กหญิงยิ้มหวาน แล้วเอียงคอหัวเราะคิกคักเหมือนตอบว่าคิดถึงเหมือนกันค่ะ

“อาวินทร์ว่าอาฮาร์ฟก็คิดถึงหนูม๊ากมากค่ะ งั้นเรารีบไปหาอาฮาร์ฟกันเถอะนะคะ”

คณิณหันไปสบตาภรรยาอีกครั้ง แล้วเดินตามไประหว่างทางวินทร์ก็ทำตัวเหมือน ‘ปกติ’ อย่างที่เคยเป็นมาตลอด ชี้ชวนให้ลูกสาวลูกชายของเขาดูนั่นดูนี่และหันมาแซวเขากับภรรยาเป็นระยะ จนกระทั่งมาถึงห้องตรวจ

“ดูสิฮาร์ฟวันนี้ฉันพาใครมา” วินทร์เดินนำเข้าไปในห้องก่อนจะใช้เท้าดันประตูให้เปิดค้างไว้เพื่อให้เพียงพิรุณเดินตามเข้ามาได้สะดวก “แกก็รีบๆ หน่อยสิวะปอ ขาฉันจะเป็นตะคริวแล้วเนี่ย”

“เออ รู้แล้วก็หนังสือมันหนักนี่นา”

“พี่ปอซื้ออะไรมาเยอะแยะครับ” นรกรถาม

“ไม่ใช่ของฉันหรอก ของหมอนี่น่ะแหละ มันแย่งลูกฉันไปอุ้มแล้วก็เอาหนังสือพวกนี้มาให้ฉันถือเนี่ย”

“วารสารรวมบทความที่นายศึกษาอยู่น่ะ” วินทร์บอก

“ผมอ่านในเน็ตเอาก็ได้ครับ”

“แต่นายชอบแบบเป็นเล่มมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

คณิณหยิบเอาหนังสือเล่มหนาในถุงที่ตนหอบหิ้วข้ามตึกขึ้นมาดู “โห ปกติค่าสมัครสมาชิกอ่านออนไลน์พวกนี้ก็หลายพันต่อปีแล้วนะ นี่ลงทุนซื้อเล่มมาเลยเหรอ”

“ให้ส่งแบบด่วนมาจากอเมริกาเลย” วินทร์ทำเสียงอวดหน่อยๆ “ฮาร์ฟกำลังจะยื่นขอรองผศ.น่ะแล้วผลงานวิจัยที่ทำตอนเรียนจบเอามาต่อยอดตอนนี้มีชื่อเข้าชิงผลงานวิจัยดีเด่นประจำปีด้วยนะ”

“สุดยอดไปเลยค่ะ” เพียงพิรุณชม

“ระดับฮาร์ฟแล้วยังไงก็ผ่านฉลุย ว่าแต่แกเถอะไม่คิดจะทำบ้างเหรอ” คณิณถาม

“อีกสักพักน่ะ ฉันไม่รีบ” วินทร์ตอบยิ้มๆ

“ระวังฮาร์ฟแซงหน้าไปไกลแล้วจะโดนคนเขาเปรียบเทียบนะ ฉันรู้ว่าแกน่ะไม่คิดอะไรแต่คนอื่นเขาไม่คิดแบบนั้นนะ”

“รู้แล้ว ก็บอกแล้วไงว่าไม่รีบ อย่ากดดันกันได้ไหม” วินทร์พูดไปขำไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วไปหาหมอเด็กวันนี้มาเป็นไงบ้าง”

“พัฒนาการตามวัยเป็นไปตามเกณฑ์ดี ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ”

“ดีแล้วล่ะครับ ตอนนั้นที่ชักบ่อยๆ ผมก็ใจคอไม่ดีเลยว่าสมองจะมีปัญหา เพราะพี่ปอกับคุณฝนใส่ใจลูกมากเลยนะครับถึงได้ดีขึ้นขนาดนี้ สุดยอดมากๆ เลย”

“เพราะพวกนายช่วยด้วยล่ะ” คณิณบอก “ผมคงไม่นัดมาตรวจแล้วนะครับ เพราะดูแล้วจะเจอกันบ่อยกว่านัดอีก มีอะไรก็โทรมาได้ทันทีเลยนะครับ ผมไปไม่ได้ก็จะส่งพี่วินทร์ไป”

“ขอบคุณมากค่ะ งั้นวันนี้ฝนพาเด็กๆ กลับก่อนนะ พอดีตอนบ่ายมีธุระ ไว้วันหลังค่อยไปกินข้าวกัน”

“ตกลงครับ”

“ขอลูกฉันคืนด้วย”

“ไว้เจอกันวันหลังนะครับ” วินทร์ยิ้มกับเด็กชายแล้วส่งคืนอกคนเป็นพ่อ

คณิณรับลูกชายมา เขามองคนตรงหน้าอยู่อึดใจแล้วหันไปยิ้มให้นรกร “นายเองก็สุดยอดเหมือนกันนะ”

นรกรรู้ว่าคณิณไม่ได้พูดถึงเรื่องงานที่กำลังทำหรือว่าเรื่องที่ช่วยรักษาลูกชายของแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร หากก็ตอบรับไปตามมารยาท “ขอบคุณครับ”

“บ๊ายบายครับคนเก่ง” วินทร์โบกมือพร้อมกับส่งจูบให้ฝาแฝดที่หัวเราะคิกคักชอบใจ

และเพราะมัวแต่สนใจเด็กๆ เขาจึงไม่ทันสังเกตุว่ารอยยิ้มในหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นจางลงไปเล็กน้อย

พ้นออกจากห้องตรวจเดินมาจนถึงลิฟต์ คณิณก็หันไปหาภรรยาแต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรเพียงพิรุณก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วนะคะ”

คณิณยิ้มตอบ “นั่นสิ”

“แบบนี้พี่ปอก็หมดห่วงได้แล้วนะคะ”

“ก็ไม่ได้ห่วงอะไรมาตั้งนานแล้ว”

“แล้วจะมาขอฝนแอบตามไปดูที่งานสัมมนาอีกหรือเปล่า”

คณิณพยักหน้า

“อ้าว”

“แต่ไม่ได้จะไปเพราะเป็นห่วงฮาร์ฟหรอกนะ ไปเพราะเป็นห่วงฝนนี่แหละ นานๆ ทีออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ ไปออกงานกับพี่ก็ได้ อยู่แต่บ้านเลี้ยงลูกไม่เบื่อเหรอ”

“ก็ฝนห่วงลูกนี่นา พี่เลี้ยงก็ดูแลได้ไม่ดีเท่าเราดูเองนะคะ ไม่งั้นฝนจะยอมลาออกจากงานมาทำไม”

“ก็เอาลูกมาด้วยสิ พี่ว่ายังไงฝนก็มีคนช่วยเลี้ยงนะ”

“พี่ปอหมายถึงใครคะ”

“ก็พี่ไง จะใครล่ะ” คณิณว่า “ให้สองคนนั่นเลี้ยง สายรุ้งกับสายฟ้าได้เรียกชื่อไอ้วินทร์ก่อนชื่อป๊ะป๋าแน่เลยติดแจซะขนาดนั้น”

“โถโถโถ คุณพ่ออย่าน้อยใจไปเลยค่ะ” เพียงพิรุณหัวเราะคิกคักในลำคอ

“ปะ”

“เมื่อกี้ฝนได้ยินลูกพูดไหม” คณิณหันไปถามภรรยาเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเสียงอ้อแอ้ของเด็กชายในอ้อมแขนฟังดูชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา

“ได้ยินค่ะ” เพียงพิรุณตอบรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กันก่อนจะหันไปมองลูกชายพร้อมๆ กัน

“เมื่อกี้หนูเรียกพ่อเหรอลูก”

สายฟ้าทำปากจู๋ก่อนจะอ้ากว้างแล้วลากเสียงออกมาเป็นคำ “ปอ”

“ปอ?” คณิณทวนคำ “ปอใช่ไหม… ฝนได้ไหมลูกเรียกชื่อพี่ด้วย”

“พี่ปอขี้โกงน่ะ สายฟ้าเรียกแม่สิลูก… แม่… เร็วลูก”

“ฝนอย่ากดดันลูกสิ”

เด็กชายขยับปากอีกครั้งคนเป็นพ่อกับแม่กลั้นใจรอฟังก่อนที่ริมฝีปากเล็กๆ นั้นจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง

“ปอ”

“ลูกเรียกชื่อผม” คณิณทำเสียงอวดหน่อยๆ พร้อมกับหอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่ “เก่งมากเลยครับลูกพ่อ”

“พี่ปอน่ะ” เพียงพิรุณกล่าวอย่างอิจฉาพลางใช้ข้อศอกกระทุ้งาข้างสามีเบาๆ ก่อนจะเดินเคียงคู่กันไป

หลังจากที่คณิณออกไป ประตูห้องตรวจก็เปิดออกอีกครั้ง ซึ่งคนไข้คนรายต่อไปนี้ทำเอาทั้งสองเชิญนั่งแทบไม่ทัน

“คุณพ่อสวัสดีครับ” นรกรกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ วินทร์เองก็ทำเช่นเดียวกัน

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ปิดประตูก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฮาร์ฟพ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”

“เรื่องอะไรครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เหลือบตามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกชายก่อนจะพูดต่อ “ที่นี่ไม่สะดวก เย็นนี้มาที่บ้านได้ไหม”

“ได้ครับ… เอ่อ… แล้วพ่อ…”

“มาคนเดียวนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดอย่างรู้ทันก่อนจะกลับออกไป
ทั้งสองมองหน้ากัน มันไม่มีโอกาสให้พูดขอโทษจริงๆ อย่างที่วินทร์บอกน่ะแหละ

“แน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้” วินทร์พยายามเกลี้ยกล่อมหลังจากที่นรกรยืนยันว่าจะไปคนเดียวตามที่พ่อของตนบอก “ให้ฉันไปด้วยดีกว่า เผื่อจะได้มีโอกาสพูด นายเองก็อยากให้ฉันรีบๆ เคลียร์ความเข้าใจผิดอยู่แล้วนี่… แค่ขับรถไปส่งก็ยังดี… นะๆ ไม่งั้นนายจะกลับยังไงล่ะ”

“ผมกลัวบ้านแตกก่อนจะได้คุยน่ะสิครับ” นรกรว่า “เพราะพ่อพูดชัดเลยว่าให้ผมไปคนเดียว ผมก็ควรจะไปคนเดียว เอาไว้คุยได้ความว่ายังไงเราค่อยมาวางแผนกันอีกทีดีไหมครับ”

“จะเอาแบบนี้เหรอ”

“ตามนี้แหละครับ”

หลังเลิกงานนรกรก็ขับรถกลับไปส่งวินทร์ที่คอนโดก่อนจะขับรถออกมาอีกครั้งคนเดียวตรงไปที่บ้านของพ่อกับแม่

วิมลภาออกมาเปิดประตูต้อนรับลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนั่นทำให้นรกรสบายใจขึ้นเล็กน้อย

“พ่อจะคุยเรื่องอะไรหรือครับแม่” นรกรลองถามหยั่งเชิงดู

“แม่ไม่รู้เลยจ๊ะ พ่อบอกแค่ว่าวันนี้ลูกจะมาให้แม่เตรียมทำกับข้าวไว้เผื่อด้วยแค่นั้นเอง แล้วนี่วินทร์ไม่มาด้วยกันเหรอ”

“พ่อบอกให้ผมมาคนเดียวครับ” นรกรแปลกใจกับคำถามของแม่เพราะปกติถึงพ่อจะไม่ค่อยพูดกับเขาแต่ก็จะบอกแม่ทุกเรื่องเสมอ “แล้วนี่พ่ออยู่ไหนครับ”

“เก็บของอยู่ในห้องหนังสือน่ะ ต้องรอจนเกษียณถึงจะมีเวลาเก็บ” วิมลภาพูดกลั้วขำ “หรือจะให้ลูกมาช่วยเก็บหนังสือนะ… คิดแทนไปก็เท่านั้น ฮาร์ฟรีบไปหาพ่อเขาเถอะ เดี๋ยวแม่ไปทำกับข้างต่อก่อนนะ”

“ครับแม่” นรกรรับคำและออกเดินตรงไปห้องหนังสือที่อยู่สุดทางเดิน

เขาเปิดประตูเข้าไปเห็นแผ่นหลังของคนเป็นพ่อกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บหนังสือที่วางกองเป็นตั้งๆ บนพื้นใส่เข้าชั้น นรกรถอนหายใจเล็กน้อย อาจจะเป็นอย่างที่แม่บอกก็ได้ บางทีเขากับวินทร์คงกังวลมากเกินไป

“ผมมาแล้วครับ” นรกรร้องทักออกไป “พ่อมีธุระอะไรจะคุยกับผมหรืออยากให้ผมช่วยอะไรครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันมาสบตาลูกชาย “พอดีพ่อเก็บบ้านเตรียมรับแขกสำหรับงานทำบุญบ้านที่จะจัดอาทิตย์หน้าน่ะ แล้วตอนที่กำลังเก็บห้องหนังสืออยู่ก็นึกขึ้นได้ว่ามันมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ปู่แกชอบอ่านมากๆ แต่พ่อนึกยังไงก็นึกไม่ออกสักทีว่าชื่อเรื่องอะไรแล้วเก็บไว้ตรงไหน และมันก็รู้สึกคาใจมากๆ เลยอยากให้แกมาช่วยหาหน่อย”

นรกรนิ่วหน้านึกอยู่อึดใจก่อนจะเดินไปหยุดยืนหน้าชั้นหนังสือที่มีขนาดเต็มพื้นที่ของผนังห้อง แล้วเลือกหยิบหนังสือบนชั้นออกมาเล่มหนึ่ง “ใช่เล่มนี้ไหมครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์รับมาถือไว้ก่อนจะพยักหน้า “ใช่แล้ว”

“ดีจังครับ” นรกรยิ้ม แต่คนเป็นพ่อไม่ยิ้มด้วยและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ทำไมแกถึงรู้ล่ะ”

“ก็ผมเห็นปู่อ่านบ่อยๆ นี่ครับ เลยเดาว่าน่าจะใช่เล่มนี้”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ลูบมือไปบนหน้าปกอย่างคิดถึง “ปู่เสียตอนแกห้าขวบ ช่วงปีสุดท้ายก่อนจะเสีย ปู่ก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลตลอด แทบไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเลยและตอนที่กลับมาก็ไม่น่ามีแรงลุกมาอ่านหนังสือได้ น่าแปลกนะที่แกจำได้ทั้งที่ยังเด็กขนาดนั้น”

นรกรเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป เพราะตอนที่เขาเห็นว่าปู่อ่านหนังสือเล่มนี้คือตอนที่ปู่เสียไปแล้ว เขาหลุบตาลงมองพื้นไม่พูดอะไรอีก

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เงียบอีกแล้ว… แกก็เป็นซะแบบนี้ถามอะไรก็เงียบตลอดไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรมาแต่ไหนแต่ไร”

“คือผม…”

“หรือจริงๆ อาจจะเป็นเพราะแกพูดแล้ว ฉันไม่ยอมฟังแกก็เลยเลิกพูดก็ได้นะ”

นรกรเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ ภายใต้น้ำเสียงที่ยังคงราบเรียบนั้นเขารู้สึกว่ามันมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม เช่นเดียวกับสายตาที่มองมา มันไม่ใช่สายตาของการตำหนิหรือตั้งคำถาม แต่สายตานั่นราวกับกำลังเอ่ยคำขอโทษกับเขา
ศาสตราจารย์สรวิชญ์เก็บหนังสือใส่เข้าชั้นตามเดิม “ตกลงงานอาทิตย์หน้าแกจะมาไหม”

นรกรสบตาคนเป็นพ่อ “ผมมาได้ใช่ไหมครับ”

“มาสิ พ่ออยากให้มา”

นรกรส่งยิ้มให้พ่อ และได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา ก่อนที่สองพ่อลูกจะช่วยกันเก็บหนังสือเรียงเข้าชั้น

วิมลภาที่แอบมายืนดูลาดเลาตรงประตูก็แอบยิ้มตาไปด้วยเพราะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นสองพ่อลูกทำอะไรด้วยกันนอกจากเรื่องงานรวมไปถึงบทสนทนาง่ายๆ อย่างรายการทีวีหรือข่าวสารบ้านเมืองช่วงนี้แบบที่ครอบครัวอื่นๆ เขาทำกัน

หลังจัดชั้นหนังสือจนเสร็จก็เป็นเวลาค่ำพอสมควรนรกรจึงขอตัวกลับ

สองสามีภรรยาออกมาส่งลูกชายที่หน้าบ้าน ในขณะที่วิมลภายังไม่เลิกบ่นเสียดายที่นรกรไม่ยอมอยู่ทานข้าวเย็นด้วย

“วันหลังต้องอยู่กินข้าวให้ได้นะ”

“ครับแม่”

“ชวนวินทร์มาด้วยนะ”

“ได้ครับ”

“ดึกแล้วขับรถดีๆ นะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว

“ขอบคุณครับพ่อ แล้วผมขอโทษด้วยนะครับแม่ที่ต้องรีบกลับ ไว้วันหลังผมจะไม่พลาดจริงๆ ครับ” นรกรให้คำมั่น

“สัญญาแล้วนะ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ละสายตาจากสองแม่ลูกหันมองออกไปที่ถนนหน้าบ้าน พลันสายตาของผู้สูงวัยเห็นเงาตะคุ่มๆ ของอะไรบางอย่างตรงต้นไม้ริมรั้ว จึงตะโกนออกไป “นั่นใครมายืนลับๆ ล่อๆ ตรงนั้นน่ะ!”

“โจรหรือเปล่าคะ” วิมลภาร้องพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมไว้

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะไม่งั้นฉันจะให้เมียโทรเรียกตำรวจ!”

เจ้าของเงาตะคุ่มรีบเดินออกมาตรงแสงสว่าง “ผมเองครับ ผมเอง!”

“พี่วินทร์?”

“หมอวินทร์นี่เอง” วิมลภายกมือทาบอกอย่างโล่งใจ

“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ” วินทร์รีบยกมือไหว้ขอโทษ

“ผมบอกให้รออยู่บ้านไง ตามมาทำไมครับ” นรกรกระซิบเอ็ด

“ขอโทษที ก็คนเป็นห่วงนี่นา”

“มีอะไรถึงมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านคนอื่นในยามวิกาลแบบนี้ ทำตัวเป็นขโมยขโจรไปได้” ศาสตรจาร์สรวิชญ์ถามเสียงเข้ม

“ขอโทษครับ ผมแค่เป็นห่วงฮาร์ฟ เลยมารอรับกลับน่ะครับ” วินทร์ตอบ

“ถ้างั้นก็กลับไปได้แล้ว”

“เอ่อ… อาจารย์ครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมขออนุญาตคุยกับอาจารย์ได้ไหมครับ”

“เรื่องอะไร ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรจะคุยกับคุณ”

“เรื่องที่ผมทำให้อาจารย์โกรธไงครับ… ผมอยากมาขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษอะไรแล้วนี่ เรื่องมันจบไปแล้ว”

“คุณคะ” วิมลภากระซิบพลางดึงชายเสื้อสามี

“พี่วินทร์ครับผมว่า…”

“ผมอยากคุยด้วยจริงๆ ครับ” วินทร์ยืนกราน

ศาสตราจารย์สรวิชญ์มองตาชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเงียบไตร่ตรองอยู่อึดใจ “ตรงนี้ไม่เหมาะ ไปคุยในบ้าน”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เดินนำเข้าไปในห้องรับแขก เขากับภรรยานั่งลงตรงโต๊ะด้านหนึ่งพลาพยักหน้าให้ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้าม ก่อนจะเริ่มต้นประโยคโดยไม่อารัมภบทใดๆ

“ตกลงคุณจะบอกว่าที่ทำเรื่องแย่ๆ เหล่านั้นไปเพราะป่วยและจำอะไรไม่ได้เลยสินะ”

“ครับ”

“ผมไม่เชื่อ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตัดบทฉับถึงกับทำให้วินทร์พูดต่อไม่ถูก

“เอ่อ…”

“แต่ผมจะยกโทษให้ก็ได้ถ้าคุณจะรับปากผมมาข้อหนึ่ง”

“อะไรครับ”

“คุณยินดีจะทำเหรอ”

“ครับผมยินดี”

“เลิกยุ่งกับลูกชายผมซะ บอกตามตรงผมทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกชายเจ็บปวดอีก และเลิกยุ่งที่ว่าไม่ใช่แค่เลิกกันแต่ผมอยากให้คุณหายไปจากเขาซะ ผมให้คุณเลือกว่าคุณจะย้ายไปอยู่ที่ไหน คุณเลือกมาได้เลย เดี๋ยวผมทำเรื่องให้”

“ผม…”

“พ่อครับ”

“ทำได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ” วินทร์ตอบ

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าพูดออกมาสิว่าทำอะไรก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องยอมให้ตาแก่หัวแข็งอย่างผมทุกเรื่องก็ได้นะ ถ้าคุณเห็นว่ามันไม่สมเหตุสมผล” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “นี่สองคนอยู่ๆ กันไปกลายเป็นนิสัยสลับกันไปซะแล้ว เมื่อก่อนฮาร์ฟที่ไม่ค่อยพูดเดี๋ยวนี้กล้าเสียงดังใส่พอแถมยังเถียงหัวชนฝา ในขณะที่คนอวดดีกล้าขอจีบลูกชายผมซึ่งๆ หน้าอย่างคุณกลับกลายเป็นยอมผมไปเสียทุกอย่าง”

“ผมก็ต้องยอมสิครับ ก็ผมกลัวอาจารย์เอาลูกชายคืน” วินทร์พูดเสียงอ่อย

“เอาคืนอยู่แล้วล่ะถ้าให้ไปแล้วดูแลไม่ดีหรือทำให้ลูกชายผมลำบาก”

“ผมไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ แล้วพี่วินทร์ก็ดูแลผมดีมากด้วย” นรกรแทรกขึ้น

“นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า

วินทร์เงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยกโทษให้ผมแล้วเหรอครับ”

“ก็มาตามตื๊อก้มหัวขอโทษให้วันละสามสี่รอบ ผมเองก็ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารขนาดที่จะไม่ให้อภัยคนสำนึกผิดนี่นา”

นรกรกับวินทร์หันไปสบตากัน คงจะเป็นกฤตที่มาขอโทษตามคำสัญญาที่ให้ไว้

“แล้วตกลงว่าจะสัญญาได้หรือยัง”

“สัญญาอะไรครับ” วินทร์ถาม

“ก็ตอนที่มาขอโทษผมถามคุณว่าสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำให้ลูกผมเสียใจอีก คุณตอบว่าไม่ได้ยังไงก็ทำไม่ได้ ผมก็เลยสงสัยว่าตอนนี้จะให้ได้หรือยัง”

“ผม…”

“ก็หายดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ครับ” วินทร์รับคำ “หายดีแล้ว”

“ก็ดีแล้ว”

“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้แล้วจะทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนไหม”

“ตกลงครับ”

“อาทิตย์หน้าเตรียมเสื้อผ้ามาค้างด้วยนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์นัด “สักสามวัน คืนก่อนวันงาน วันงานแล้วก็หลังวันงานอีกวันหรือจะอยู่นานกว่านั้นก็ได้ เห็นธีร์บอกว่าลางานมาเจ็ดวันแน่ะ พวกแกสองคนพี่น้องไม่เจอกันนานคงมีเรื่องคุยกันเยอะ”

“อ้างลูก จริงๆ คุณอยากให้มาก็พูดตรงๆ สิคะ”

“แล้วนี่ผมอ้อมตรงไหน”

วิมลภากรอกตาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปขยิบตาให้ลูกชาย

“ได้ครับพ่อ” นรกรตอบ

“ไม่ต้องห่วงงานนะ เดี๋ยวฉันเข้าเคสให้เอง” วินทร์รีบอาสา

“ขอบคุณครับ”

“จะมาเข้าเคสแทนอะไรแล้วคุณจะไม่มางานผมเหรอ”

“ผม… มาด้วยจะดีเหรอครับ”

“ฉันเป็นเจ้าภาพชวนเองไม่ดีตรงไหน”

“ขอบคุณครับ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-08-2019 23:43:27
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ตามที่สัญญากับศาสตราจารย์สรวิชญ์ไว้ ทั้งสองจึงรีบเคลียร์งานต่างให้เสร็จตั้งแต่คืนวันพฤหัสและมาที่บ้านในตอนเย็นวันศุกร์

“เอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อน แม่เขาจัดที่นอนไว้ให้แล้ว เสร็จแล้วค่อยลงมาคุยกัน” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกทั้งรอยยิ้มพลางชี้มือขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน “นอนห้องเดิมลูกน่ะแหละ ส่วนเจ้าธีร์กับหนูโบว์ให้นอนห้องรับแขก”
   
“นี่ที่ห้องนายเหรอ” วินทร์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับการได้ขึ้นมาบนห้องที่คนรักนอนตั้งแต่เด็กเป็นครั้งแรก เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไม่ได้กว้างมากนัก เหมาะสำหรับนอนคนเดียวหากมีข้าวของเครื่องใช้ทั้งเตียง โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้าและชั้นวางของอย่างละสองชุดตั้งอยู่คนละฝั่งของห้อง เขาวางกระเป๋าลงและเดินไปนั่งลงบนเตียงฝั่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดหน้าต่าง เมื่อชะเง้อคออมองอ้อมออกไปเล็กน้อยก็จะเห็นต้นมะม่วงสูงใหญ่ที่ปลูกอยู่หลังบ้าน “ฉันเดาว่านายนอนเตียงนี้”

“ทำไมล่ะครับ” นรกรถาม

“ก็ธีร์เคยเล่าว่าตอนเป็นเด็ก ชอบแอบไปนั่งร้องไห้ที่ใต้ต้นมะม่วงแล้วนายก็ไปตามเจอทุกครั้ง”

“ผมไม่ได้ตามเจอเพราะเห็น แต่ตามไปเจอเพราะมีคนบอกว่าอยู่ที่นั่นต่างหากครับ”

“อ้าวเหรอ” วินทร์ยิ้มแก้เก้อ

“ผมนอนฝั่งนี้ครับ” นรกรบอกพลางนั่งลงบนเตียงฝั่งที่อยู่ติดมุมห้อง “ผมไม่ชอบหน้าต่างเพราะกลางคืนมักมีคนมากวน ไม่มาชวนคุยก็มาชวนไปเล่นมันทำให้ผมนอนค่อยไม่หลับ”

“ฉันไม่น่าเปิดประเด็นเลยให้ตายสิ” วินทร์นึกภาพคนที่มาเคาะหน้าต่าง ‘ชั้นสอง’ ตอนดึกๆ แล้วขนลุกวูบ ไม่ว่าจะมาดีหรือมาร้ายเขาก็คิดว่าไม่น่าลุกมาคุยด้วยอยู่ดี “แล้วนี่เราจะเอายังไงดี เตียงเล็กแค่นี้นอนคนเดียวก็เต็มแล้ว เราลากเตียงมาติดกันไหม”

นรกรส่ายหน้า “เตียงที่ห้องรับแขกเป็นเตียงนอนใหญ่” เขาบอกยิ้มๆ “ถึงธีร์จะพาลูกมาด้วยแต่ผมไม่คิดว่านี่เป็นเหตุผลที่พ่อให้เรานอนห้องนี้นะครับ”

วินทร์พยักหน้า ถึงศาสตราจารย์สรวิชญ์จะยอมรับเขาแต่ก็ไม่ค่อยชอบใจให้เขาเกาะแกะลูกชายมาแต่ไหนแต่ไหนแล้ว นี่คงเป็นการประกาศอ้อมๆ แบบยอมลงให้ครึ่งหนึ่ง ว่าให้นอนด้วยกันก็ได้แต่ห้ามทำอะไรกันสินะ “งั้นนายนอนเตียงตัวเองไปนะ เดี๋ยวฉันนอนเตียงไอ้ธีร์เอง ห่างกันสักคืนคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”

“ดูพูดเข้า” นรกรหัวเราะเบาๆ กับท่าทีเง้างอนของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง “ลงไปข้างล่างกันเถอะครับ เผื่อจะมีอะไรให้เราช่วย”
   
วินทร์ลุกเดินตามลงไป ทั้งสองเจอศาสตราจารย์สรวิชญ์กับภรรยากำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
   
“ธีร์ส่งข้อความมาบอกว่าไฟล์ทดีเลย์น่ะค่ะ เพิ่งถึงสนามบินเมื่อสักครู่นี่เอง ถ้ารถไม่ติดอีกครึ่งชั่วโมงคงมาถึงบ้านเรา” วิมลภาบอก

“มาช้าไม่เป็นไร ขอให้มางานพรุ่งนี้ทันก็พอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว “ผมห่วงก็แต่เจ้าตัวเล็กน่ะสิต้องมาแกร่วเดินทางนานๆ แบบนี้คงเหนื่อยน่าดู”

“ธีร์บอกว่าไม่ต้องห่วงค่ะ เมื่อสองปีก่อนที่พาบินมาก็ไม่ร้องสักแอะ ดูท่าจะชอบขึ้นเครื่องนะคะ”

“กำลังพูดถึงน้องเอสเทล ลูกเจ้าธีร์เหรอครับ” นรกรเข้ามาร่วมวงด้วย

“ธีร์มีลูกสาวเหรอ” วินทร์ถามแทรกขึ้น

“สามขวบปีนี้ครับ” นรกรตอบพลางเปิดรูปที่ธีร์เข้ามาในไลน์ครอบครัวให้ดู “พี่วินทร์ยังไม่เคยเจอสินะ ผมเองก็ได้เจอแค่ครั้งเดียวเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นพี่วินทร์ยังไม่กลับจากใช้ทุนต่างจังหวัดนี่นา”

“แก้มยุ้ยเชียว สวยเหมือนแม่เลย สามขวบนี่กำลังช่างพูดช่างคุยเลยสิ” วินทร์บอกอย่างเอ็นดู

“น่ารักขนาดทำให้พ่อกับแม่บินไปหาได้ปีละหลายครั้งเลยละครับ” นรกรว่า

“จะหกโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้กินนะ” วิมลภาบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ไม่ต้องหรอกครับแม่ เราสั่งอะไรมากินหรือออกไปหาอะไรกินข้างนอกก็ได้ แม่เตรียมงานเหนื่อยมาหลายวันแล้วพรุ่งนี้คงยุ่งอีกทั้งวัน” นรกรบอก

“นานๆ ลูกกลับบ้านทีแม่อยากแสดงฝีมือนี่นา ซื้อของเตรียมไว้แล้ว ฮาร์ฟนั่งเฉยๆ รอกินเถอะจ๊ะ”

“ผมขอไปช่วยได้ไหมครับ” วินทร์เสนอตัว

“ก็ได้อยู่หรอก แต่แม่ว่าวินทร์นั่งคุยกับพ่อกับฮาร์ฟดีกว่า แม่ทำคนเดียวได้”

“เห็นแบบนี้พี่วินทร์ทำอาหารเก่งนะครับ” นรกรบอก

วิมลภาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ เพราะผู้ชายที่บ้านตั้งแต่คนพ่อยันคนลูกอาหารที่ดีที่สุดที่ทำได้เห็นจะเป็นมาม่ากับไข่เจียวเพราะแค่ให้ตอกไข่ใส่ชามยังทำไข่แดงแตกเลย

“แม่ผมเป็นครูสอนคหกรรมครับเลยพอได้วิชาติดตัวมาบ้าง” วินทร์บอก “อาจจะไม่เก่งเท่าไหร่ แต่น่าจะพอเป็นลูกมือได้ไม่น่าเกลียดครับ”

“พูดถึงขนาดนี้ แม่ต้องขอดูฝีมือหน่อยล่ะ”

“ผมช่วยด้วยครับ” นรกรลุกตามแต่วินทร์ยกมือห้ามไว้

“ไม่เป็นไร นายอยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันทำเอง นายรอล้างจานตกลงนะ”

วิมลภาหลุดขำออกมาเล็กน้อย กับท่าทางที่จ๋อยไปของลูกชายและเดินนำวินทร์ไปทางห้องครัว

ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาธีร์กับครอบครัวก็มาถึง

ธีร์ดูอวบขึ้นกว่าเดิมหลายกิโลเพราะอาหารที่อเมริกาค่อนข้างถูกปาก ตรงริมฝีปากมีไรเขียวครึ้มขึ้นน้อยๆ เพราะตอนนี้เจ้าตัวเริ่มไว้หนวดเนื่องจากลูกโตเป็นสาวแล้ว เขาดูเปลี่ยนไปจากที่เจอกันครั้งล่าสุดพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคืออ้อมกอดที่พุ่งเข้าใส่นรกรทันทีที่ยกมือไหว้ศาตราจารย์สรวิชญ์เสร็จ

“คิดถึงนายเป็นบ้าเลยฮาร์ฟ”

“คิดถึงเหมือนกันครับคุณพ่อน้องเอสเทล”

คำตอบกลับนั้นทำให้คนที่ไม่เจอกันนานนึกแปลกใจเหมือนกัน ปกติแค่อ้าปากคุยกันก็ยากแล้ว นี่มีเรียก ‘คุณพ่อน้องเอสเทล’ ด้วย ถือว่าสกิลการเข้าสังคมดีขึ้นเยอะทีเดียว แล้วไหนจะรอยยิ้มหวานๆ นั่นอีก ที่กอดไปเมื่อกี้ก็เต็มไม้เต็มมือไม่ได้ผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแบบแต่ก่อน แบบนี้แสดงว่า...

“ฉันดีใจนะที่ในที่สุดนายก็ทำใจจากไอ้หมีบ้านั่นได้แล้ว” ธีร์ว่าพลางตบบ่านรกรแปะๆ

“ทำใจอะไรเหรอ” นรกรถามงงๆ

“กับผู้ชายห่วยๆ พรรค์นั้นเลิกกันไปได้ก็ดีแล้วนะ”

“แกว่าใครเลิกกับใครวะไอ้ธีร์” คนที่รู้ตัวว่ากำลังโดนนินทาตะโกนแทรกมากลางวง

“อ้าว ไอ้วินทร์นี่แกยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอวะ เห็นป๊าบอกว่าเดือนก่อนแกโดนรถชน ตื่นมาสมองเลอะเลือนทำฮาร์ฟเสียใจ ฉันก็นึกว่าแกเลิกกับฮาร์ฟไปแล้วซะอีก นี่ดีนะที่ฉันไม่อยู่ไทย ไม่งั้นฉันนี่แหละจะขับรถชนแกให้ตายอีกรอบ”

“ไอ้ธีร์... นี่แก...” วินทร์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจะเถียงก็เถียงได้ไม่เต็มปากนัก

“หรือฉันพูดไม่จริง”

“ไม่เอาน่าธีร์” นรกรปราม “พี่วินทร์ก็ใจเย็นๆ นะครับ ธีร์เขารู้อยู่แล้ว แค่แกล้งแหย่ไปงั้นแหละ”

แต่ธีร์ไม่ยอมลงง่ายๆ “ไม่ได้แหย่นะฮาร์ฟ ฉันพูดจริงเพราะไอ้หมอนี่มันเคยสัญญากับฉันไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้นายร้องไห้ หนอยแน่ะ! ไม่เจอกันแป๊บเดียว...”

“เรื่องมันจบไปแล้ว ก็ปล่อยผ่านไปเถอะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยขึ้น “เอาของไปเก็บไป แล้วเตรียมตัวลงมากินข้าว”

“เพราะป๊าขอหรอกนะ อย่าให้มีครั้งที่สองนะเว้ย” ธีร์ชี้หน้าหมายหัว

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างรู้นิสัยลูกชายคนรองดีและหันไปหาวินทร์ “อีกนานไหมกว่าอาหารจะเสร็จ”

“คงจะอีกสักครึ่งชั่วโมงครับ อาจารย์เห็นว่าคนมาเยอะเลยทำกับข้าวหลายอย่างเลยครับ” วินทร์บอก “เดี๋ยวตั้งโต๊ะเสร็จผมมาตามนะครับ”

“ฉันอุ้มลูกให้มา เดี๋ยวโบว์จะได้ไปอาบน้ำ” ธีร์หันไปบอกภรรยาที่มีลูกสาวตัวเล็กหลับพาดคาอยู่บนไหล่

“ไม่เป็นไรธีร์ โบว์อุ้มมาตั้งนานแล้ว เปลี่ยนมือตอนนี้เดี๋ยวลูกตื่น โบว์วางลูกบนเตียงทีเดียวเลยดีกว่า ธีร์ลากกระเป๋าขึ้นไปให้หน่อยละกัน”

“ให้ฉันช่วยไหม” นรกรอาสา

“ไม่เป็นไรหรอกฮาร์ฟ ให้ธีร์ยกเองเถอะ กระเป๋าไม่ได้หนักเท่าไหร่ ออกกำลังบ้างเริ่มลงพุงแล้วเนี่ยคุณพ่อ”

“ครับๆ” ธีร์รับคำและคว้าหูกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบเดินลากตามหลังภรรยาไป

“พ่อครับ” นรกรเรียก “แล้วงานพรุ่งนี้ยังขาดเหลืออะไร หรือมีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ”

“ไม่มีแล้วล่ะ พ่อกับแม่จัดการหมดแล้ว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก “ฮาร์ฟไปพักเถอะ จะไปนั่งอ่านหนังสือให้ห้องทำงานพ่อก็ได้นะ พอดีพ่อเพิ่งได้พวกนิตยสารที่เพิ่งตีพิมพ์งานวิจัยกับText book เล่มใหม่มาหลายเล่มเลยวางอยู่บนโต๊ะแน่ะ ถ้าชอบหรือสนใจเล่มไหนจะเอากลับไปด้วยก็ได้นะ ได้ข่าวว่ากำลังจะไปนำเสนองานวิจัยไม่ใช่เหรอ”

ได้ยินดังนั้นนรกรก็หูผึ่งทันที “งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ”

“ตามสบายเลย”

เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย วินทร์ก็มาตามทุกคนไปร่วมรับประทาน ตอนนี้สาวน้อยที่หลับมาตลอดทางตื่นแล้วและแปลงร่างเป็นเจ้าหญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีชมพูเล่นซ่อนหากับคุณปู่อย่างสนุกสนาน แถมยังเล่นลามมาถึงในครัวแอบหลังขาวินทร์อย่างไม่กลัวทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก

“ฮาร์ฟไปไหนล่ะ” วิมลภาถามหาลูกชายที่ยังมาไม่ถึงโต๊ะ

“อ่านหนังสืออยู่ในห้องทำงานป๊าน่ะครับ เมื่อกี้ผมไม่ตามหนนึงแล้วเห็นกำลังตั้งใจเลยไม่เรียก” ธีร์บอกพลางนั่งลงข้างภรรยาของตน

“ผมเป็นคนบอกเองแหละ พอดีเพิ่งได้หนังสือใหม่มา” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว

“ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้นะคะ เราเริ่มกินกันก่อนเลยแล้วกัน” วิมลภาพูดอย่างเสียดายนิดๆ

“ทำไมล่ะครับเดี๋ยวผมไปตามให้” วินทร์ถามเพราะดูท่าทางทุกคนจะไม่อยากไปรบกวนนรกร

“ฮาร์ฟเป็นพวกที่ถ้าได้มีสมาธิกับอะไรแล้วจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ น่ะ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือ” ธีร์พูดอวดๆ อย่างรู้จักพี่ชายของตัวเองดี

“เหมือนพ่อเขาน่ะแหละ” วิมลภาพูดต่อ “เดี๋ยวอ่านจบบท เจ้าตัวนึกได้ก็มาเองแหละ”

วินทร์เหลือบตามองนาฬิกาบนผนังซึ่งตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว “เดี๋ยวผมไปตามให้ครับ”

“อย่าเลยน่า เดี๋ยวฮาร์ฟหงุดหงิด อาหารจะพาลกร่อยเอานะ” ธีร์ว่า

วินทร์ยิ้ม “ไม่หงุดหงิดหรอก แค่ตามมากินข้าวเอง” เขาบอกก่อนจะเดินออกไป

สามพ่อแม่ลูกมองหน้ากันเงียบๆ แล้วธีร์ก็เอ่ยขึ้น “เดี๋ยวผมมานะครับ” เขาลุกขึ้นและเดินตามหลังวินทร์อกไปเงียบๆ จนถึงหน้าห้องทำงาน เขาแอบแง้มประตูเล็กน้อยและมองผ่านเข้าไปตามรอยแยก

“ทำไมกลับมาเร็วจัง มีอะไรเหรอธีร์” วิมลภาถามลูกชาย

“แล้วสองคนนั่นล่ะ อย่าบอกนะว่าทะเลาะกันอยู่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามต่อ

ธีร์เบะปากพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่มีอะไรครับ อีกเดี๋ยวคงตามมา”

“แล้วตกลงมันยังไงล่ะ” วิมลภาว่า

“นั่นน่ะสิ ธีร์อย่ามาทำให้พวกเราอยากรู้แล้วก็ไม่บอกแบบนี้สิ” โบว์ร่วมด้วยอีกคน

“ก็มัน...” ธีร์ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ “ช่างมันเถอะ”

“ขอโทษที่มาช้าครับ” เสียงนรกรที่ดังขึ้นช่วยให้ธีร์รอดไปได้แบบหวุดหวิด หากทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินตามหลังเข้ามานั่งลงข้างกัน ธีร์ก็อดเขม่นมองด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้

“มีอะไรเหรอธีร์” วินทร์ถาม “จะเอาข้าวเพิ่มเหรอ ฉันทำอร่อยล่ะสิ”

“เปล่า” ธีร์ตอบพร้อมกับหลบตา สาเหตุที่เขาเล่าไม่ได้พูดไม่ออกเพราะไอ้หมีบ้านี่มันเล่นทำอะไรไม่อายผีสางเทวดากับพี่ชายบุญธรรมของเขาทั้งที่ยังกลางวันแสกๆ น่ะสิ


ในห้องทำงาน นรกรกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา

ร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไม่พูดอะไรแต่เดินอ้อมไปด้านหลังเงียบๆ ราวกับไม่อยากรบกวน นั่นสร้างความแปลกใจให้คนที่แอบดูอยู่หน้าประตูเป็นอย่างยิ่ง แต่แล้วร่างสูงก็กลับทำสิ่งที่น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อจู่ๆ เขาก็วาดแขนโอบรอบคนตัวเล็กกว่าจากทางด้านหลังพร้อมกับพาดศีรษะลงบนหัวไหล่แล้วกระซิบที่ข้างหู

‘ฮาร์ฟ ได้เวลากินข้าวแล้ว’

นรกรหันไปด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรปากก็ถูกปิดสนิท และในขณะริมฝีปากกำลังยื้อยุดกันอยู่ร่างสูงก็หยิบที่ขั้นหนังสือขึ้นมาสอดเข้าตรงหน้าที่อ่านค้างไว้ จัดการปิดหนังสือแล้วดึงออกห่างมือเรียวที่กำลังจับค้างไว้อย่างง่ายดาย

มันเป็นการใช้กำลังอย่างอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยจินตนาการได้ จนต้องรีบหนีกลับมาก่อนเพราะไม่กล้าอยู่ดูการโต้เถียงหลังจากนั้นต่อนี่แหละ


ธีร์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางตักข้าวใส่ปากก่อนจะอุทานออกมา “ไข่ตุ๋นชีสนี่อร่อยจัง แม่ได้สูตรมาจากไหนน่ะ”

“อันนั้นแม่ไม่ได้ทำจ๊ะ วินทร์เป็นคนทำ” วิมลภาบอก

คนที่ติดใจและกำลังจะเอื้อมมือไปตักเพิ่มแทบสำลักเมื่อได้ยินชื่อเชฟ “ไอ้วินทร์น่ะนะ!”

“ใช่จ๊ะ”

ธีร์หันไปมองหน้าคนที่นั่งอมยิ้มเคี้ยวข้าวตุ้ย จะถอนคำพูดก็ไม่ทันเพราะเพิ่งกลืนไข่เจียวชีสลงคอไป “เพิ่งรู้ว่าทำอาหารอร่อยนะเนี่ย”

“อันนี้เมนูโปรดฮาร์ฟเลยนะ กินอีกไหม มาฉันตักให้” วินทร์พูดล้อๆ

“อร่อยจริงๆ ค่ะ เอสเทลเคี้ยวตุ้ยเลยดูสิ” โบว์ว่าพลางลูบหัวลูบสาว

“ตอนฮาร์ฟบอกทีแรกแม่ก็ไม่เชื่อจ๊ะ เอาเข้าจริงที่บอกจะไปเป็นลูกมือแม่น่ะ สุดท้ายแม่ได้แต่ยืนดู วินทร์ลงมือทำเกือบหมดเลย”

“ผมก็ว่าจะทักอยู่ว่าวันนี้รสมือคุณมันแปลกไปนิดหน่อย... แต่เป็นแปลกในทางที่ดีน่ะนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยขึ้น “ที่แท้ก็ไม่ได้ปรุงเองนี่เอง”

“วินทร์ก็ให้ฉันชิมเหมือนกันค่ะว่าอยากใส่อะไรเพิ่มไหม แต่ฉันเห็นเขาทำดูคล่องเชียวก็เลยให้ทำเต็มที่อยากรู้ด้วยว่าปกติเวลาอยู่กันสองกินกันยังไง”

“แล้วใช้ได้ไหมครับ” วินทร์ถาม

“แม่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมู่นี้ฮาร์ฟอ้วนขึ้น” วิมลภาว่า “แม่เลี้ยงมาตั้งสามสิบปีไม่อ้วน ไปอยู่กับวินทร์แป๊บเดียวมีเนื้อมีหนังขึ้นเยอะเลย ขุนเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

“กับข้าวแม่ก็อร่อยครับ” นรกรรีบบอก

“ดูสิ เดี๋ยวนี้มีชมแม่ด้วย เมื่อก่อนเอาแต่นั่งอมข้าวแท้ๆ” วิมลภาว่า “ไหนวินทร์เล่าให้แม่ฟังบ้างสิ ว่าอบรมกันยังไงลูกแม่ถึงได้กินเก่งแล้วก็พูดเก่งขึ้นแบบนี้”

“ฮาร์ฟก็ไม่ใช่คนกินยากนี่ครับ ผมทำอะไรเขาก็กิน” วินทร์บอก “เพียงแต่วันไหนเขากินเยอะหน่อยผมก็จำไว้ว่าเขาชอบแบบนี้ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ถามครับ”

“แล้วฮาร์ฟบอกด้วยเหรอ”

“แรกๆ ก็ตอบอะไรก็ได้ครับ ผมเลยแกล้งทำไข่เจียวให้กินทุกวัน ต่อมาก็เลยยอมปริปากพูดครับว่าอยากกินอะไร ชอบแบบไหน”

“บังเอิญจัง” วิมลภาหัวเราะ “ใช้มุกเดียวกับแม่ตอนที่แต่งกับพ่อเขาใหม่ๆ เลย แต่ของแม่ทำผัดผักรวมมิตรเพราะรู้ว่าพ่อเขาไม่ชอบกินผัก ก็เลยแกล้งให้ซะเลยอยากปากแข็งดีนัก”

“ฮาร์ฟก็ไม่กินผักเหมือนกันครับ นี่ผมต้องเอาไปทอดบ้าง หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผัดรวมทำเป็นพวกยัดไส้อะไรแบบนี้บ้าง กินยากยิ่งกว่าเด็กสามขวบอีกครับ” วินทร์ได้ทีรีบฟ้อง “โดยเฉพาะพริกหยวกนี่ไม่กินเลยครับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อยครับ” นรกรบอก “ใช่ไหมครับพ่อ”

“ผมว่าผมกินผักเก่งนะคุณ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวเรียบๆ พลางตักผัดผักใส่จานตนเอง

“เห็ดไม่ได้อยู่ในอาณาจักรพืชนะคะ เผื่อคุณลืม” วิมลภาแย้งเพราะสามีเลือกตักไปแต่เห็ดฟางทำเอาคนอื่นๆ ในวงกลั้นยิ้มกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยกเว้นนรกรที่มีท่าทีเลิ่กลั่กนิดหน่อยเพราะในจานตัวเองก็มีแต่เห็ดเหมือนกัน

“เวลากินข้าวไม่ใช่เวลาคุย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใช่ไหมฮาร์ฟ”

“ครับพ่อ”

วิมลภาหันไปสบตากับวินทร์แล้วกินข้าวต่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหาเรื่องอื่นมาคุยกันต่ออย่างสนุกสนานเช่นเดิม
(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-08-2019 23:56:30
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

หลังรับประทานอาหารเสร็จทุกคนก็มารวมตัวกันต่อที่ห้องนั่งเล่น ศาตราจารย์สรวิชญ์นั่งดูละครหลังข่าวบนโซฟาเป็นเพื่อนภรรยา นรกรหยิบเอาหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้ออกมานั่งอ่านต่อมุมหนึ่ง ในขณะที่ธีร์กับโบว์นั่งเล่นขายของกับลูกสาวอยู่ตรงพื้นห้อง แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะไม่ได้เล่นด้วยสักเท่าไหร่เพราะสาวน้อยนั้นนั่งจุมปุ๊กอยู่บนตักอาวินทร์และฉอเลาะอย่างสนิทสนมทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก

“วันนี้คุณลูกค้าจะรับอะไรดีคะ”

“แล้ววันนี้น้องเอสเทลมีอะไรมาขายล่ะคะ”

“โน โน โนววว” สาวน้อยร้องเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับโบกมือไปด้วย “อาวินทร์เป็นลูกค้านะคะ อาวินทร์จะเรียกน้องเอสเทลไม่ได้ค่ะ”

“ทำไมจะเรียกไม่ได้ล่ะคะ”

“แล้วคุณลูกค้ารู้ชื่อแม่ค้าได้ยังไงคะ”

“รู้สิคะก็อาวินทร์เป็นลูกค้าประจำไง”

“จริงเหรอคะ”

“จริงสิคะ ไหนน้องเอสเทลขายอะไรอาวินทร์ซื้อหมดเลย”

“เอสเทลไม่ขายปะป๊าบ้างเหรอคะ ปะป๊าอยากซื้อ” ธีร์พยายามเรียกร้องความสนใจจากลูกสาว

“ปะป๊าต้องรอต่อคิวนะคะ เอสเทลต้องขายให้อาวินทร์ก่อน” เอสเทลหันไปจีบปากจีบคอพูดกับคุณพ่อ

“ท่าทางคุณวินทร์จะรักเด็กนะคะ” โบว์ที่นั่งดูอยู่ข้างๆ พูดยิ้มๆ

“ผมรักเด็กครับ แล้วเด็กๆ ก็รักผมด้วยเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” วินทร์ว่า

“เออ ไอ้ปอก็เคยบ่นให้ฟังว่าลูกแฝดมันก็ติดแกน่าดู” ธีร์ว่า “รักขนาดนี้ก็มีเป็นของตัวเองไปซะสิ”

“ถ้าฉันท้องได้ก็ดีน่ะสิ” วินทร์พูดติดตลก “ว่าแต่พวกแกคุยกันด้วยเหรอ เห็นเมื่อก่อนแกเขม่นปอมันจะตาย”

“บังเอิญอยู่ในกลุ่มคุณพ่อลูกอ่อนกลุ่มเดียวกันน่ะ ช่วงหลังนี่เลยได้คุยกันเยอะ แล้วมันก็มาปรึกษาฉันเรื่องลูกมันเหมือนกันว่าจะส่งมารักษาที่อเมริกาดีไหม แต่เห็นแกกับฮาร์ฟดูแลได้ดีนี่”

“ตอนนี้คุมอาการได้ดีเลยล่ะ ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว”

“แกสองคนนี่เก่งว่ะ” ธีร์ยกนิ้วโป้งให้ “เรื่องนี้ยอมรับเลย”

“ของมันแน่อยู่แล้ว จริงไหมฮาร์ฟ” วินทร์หันไปหานรกร แต่ว่าที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า “อ้าว...”

“ไปห้องน้ำมั้ง” ธีร์เองก็สงสัยเหมือนกันเพราะเห็นนั่งอ่านหนังสืออยู่เป็นนานโดยไม่มีท่าทีจะลุกไปไหน

“โบว์ว่าไม่ใช่นะคะ” โบว์พูดขึ้นแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“ทำไมเหรอโบว์” ธีร์ถาม

“เมื่อกี้... ที่ธีร์แซวคุณวินทร์เรื่องมีลูกน่ะ โบว์หันไปเห็นพอดี ฮาร์ฟหน้าซีดเลย แล้วสักพักก็ลุกเดินออกไปน่ะค่ะ”

“เอ่อ... ฉันขอโทษทีฉันคิดน้อยไปหน่อย” ธีร์รีบพูดด้วยรู้สึกผิด “เดี๋ยวฉันไปขอโทษฮาร์ฟ...”

“ไม่ต้องหรอก” วินทร์บอก “ฉันคุยเอง เพราะประเด็นหลักของเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่คำพูดของนายหรอก”

“ค่อยๆ คุยกันนะ”

“อืม” วินทร์อุ้มสาวน้อยออกจากตักส่งคืนให้คนเป็นพ่อแล้วลุกออกจากห้องนั่งเล่นไป เขาเดินตามหาสักพักก็เจอนรกรยืนอยู่ใต้ต้นไม่หลังบ้านจึงเดินเข้าไปหา

“มาทำอะไรตรงนี้เหรอ”

“กำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อยครับ” นรกรตอบโดยไม่หันมา

ปลายเสียงนั้นสั่นน้อยๆ อย่างอ่อนแรงเช่นเดียวกันกับแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า

“คิดอะไรอยู่ บอกฉันได้ไหม”

เสียงของวินทร์นั้นอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด ราวกับรู้เรื่องราวที่หนักอึ้งอยู่ในใจของเขา นรกรเม้มปากแน่น คิดไว้นานแล้วว่าจะพูดเรื่องนี้ออกไปดีหรือไม่ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงกลัวกับคำตอบ แต่คิดว่าการพูดออกไปก็น่าจะดีกว่า

เขาค่อยๆ หันไปเผชิญหน้า หากยิ่งเห็นรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนริมฝีปากกลับยิ่งกลัวจะพูด “พี่วินทร์ครับ ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าหากพี่วินทร์… อยากจะคิดใหม่อีกสักครั้ง… กับเรื่องของเรา”

วินทร์ไม่ตอบ แต่รอยยิ้มในหน้านั้นจางลงไปชัดเจนเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าลงไปแล้วและปล่อยให้ความมืดคืบคลานเข้ามาปกคลุมท้องฟ้า

“ผมขอโทษที่ไม่สามารถทำให้พี่วินทร์มีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้... เพราะฉะนั้น... ถ้าพี่วินทร์อยากคิดใหม่ ผมก็เข้าใจและไม่ว่าอะไรนะ” พูดจบก็หลุบตาลงมองพื้น ไม่กล้าสู้สายตา ไม่อยากคิดว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ทั้งที่เป็นคนยื่นข้อเสนอให้แต่ก็กลับกลัวคำตอบเสียเอง

ได้ยินเสียงถอนหายใจดังแว่วมาเบาๆ พร้อมกับที่รองเท้าตรงหน้าขยับเล็กน้อย

“นาย... พูดจบแล้วใช่ไหม”

นรกรพยักหน้า

รองเท้าคู่นั้นขยับอีกครั้ง และค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีจนกระทั่งมาหยุดลงตรงหน้า

“ฟังนะฮาร์ฟ” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับที่ปลายนิ้วอุ่นสัมผัสเข้าที่ปลายคางดันให้เชยขึ้นเพื่อให้เห็นหน้าและสบตากันให้ชัดๆ “ฉันจะพูดให้นายฟังอีกครั้ง แต่ถ้านายยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะฉันยินดีจะพูดให้ฟังทั้งชีวิตอยู่แล้ว”

นรกรรู้สึกว่าใบหน้าร้อนวาบ เหมือนตามันพร่าและหูอื้อขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ยินถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักนั้นชัดเจนเป็นอย่างดี

“ฉันคิดมาดีแล้ว ฉันเลือกแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจแล้ว”

“แต่ผม…” นรกรพูดไม่ออก ความรู้สึกทั้งดีใจ ตื้นตันและความความรู้ผิดมันตีกันสับสนในหัว

“อยากให้พูดให้ฟังอีกครั้งไหม” วินทร์ถามซ้ำพร้อมกับเลื่อนฝ่ามือทั้งสองลงประคองรอบเอว

“พี่วินทร์... ผม...”

“ฉันรักนาย”

ถึงบรรยากาศรอบตัวจะมืดมิดหากรอยยิ้มกว้างบนเรียวปากคนตรงหน้านั้นเจิดจ้าราวกับพระจันทร์ในยามราตรี นรกรหลับตาแน่น ซึบซับคำพูดแสนอ่อนโยนนั้นไว้ในหัวพลางขยับศีรษะลงซบที่หน้าอก ตรงตำแหน่งหัวใจ “ขอโทษนะครับ”

“ขอโทษทำไม ในเวลาแบบนี้นายต้องขอบคุณหรือไม่ก็ต้องบอกรักฉันกลับสิ” วินทร์เลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะปลอบขวัญ เนื้อตัวที่สั่นเทิ้มเบาๆ บอกให้รู้ว่านรกรคงคิดทบทวนเรื่องนี้มานานมากแล้ว มันไม่ใช่แค่อาการคิดมากแต่มันคือการทบทวนชีวิตที่เหลือที่ยึดเอาตัวเขาเป็นศูนย์กลาง เป็นห่วงเขา อยากให้เขาได้เดินไปบนทางเลือกที่ดีสุด ถึงแม้ว่าเส้นทางนั้นจะไม่มีตัวเองยืนอยู่ด้วยก็ตาม

“ขอบคุณครับ” นรกรกระซิบตอบ

วินทร์รวบตัวคนในอ้อมแขน กอดแน่นๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะผละออก “ฮาร์ฟนายเหงาไหม”

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็ถ้านายเหงาหรืออยากมีลูก เราจะรับลูกบุญธรรมหรือเลี้ยงหมาแมวอะไรก็ได้นะ”

“แล้วพี่วินทร์อยากทำยังไงครับ” นรกรถามกลับ

วินทร์หยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบจริงจัง “ถ้าเป็นสัตว์ แมวไม่เอาแน่ๆ เพราะฉันมีอยู่แล้วหนึ่งตัว” เว้นววรคไปเล็กน้อยเพื่อให้คนตรงหน้าได้ทำความเข้าใจว่าเขาหมายถึงแมวตัวไหน “แล้วคอนโดที่เราอยู่ตอนนี้ก็แคบไปหน่อยสำหรับหมา ส่วนลูก… ฉันรักเด็กก็จริง แต่ถ้าไม่ใช่ลูกที่มีกับนายฉันก็เฉยๆ เลี้ยงหลานไปก็ไม่ต่างกัน เอาเป็นว่าแล้วแต่นายเลย ฉันขอแค่มีนายอยู่ด้วยกันนอกนั้นฉันได้หมด”

“อยู่กันแค่สองคนนะครับ” นรกรถามย้ำ

“ไม่มีปัญหา” วินทร์ตอบพร้อมกับยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “ขอโทษนะที่ท้องให้นายไม่ได้ ถ้าฉันมีมดลูกก็ดีสิ”

เพราะได้รับคำยืนยันชัดเจนแล้ว นรกรจึงเริ่มยิ้มออกได้บ้างกับคำที่อีกฝ่ายแกล้งแหย่ “พี่วินทร์น่ะ”

“เลิกคิดมากได้แล้วนะ” วินทร์ลูบมือลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีอ่อนนั้นอีกครั้ง “นี่… รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงชอบเรียกนายว่าที่รัก”

“ทำไมครับ”

“เพราะอยากให้รู้ว่านายเป็นที่รักของฉันไง” วินทร์บอก “เพราะฉะนั้นถึงนายไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ก็ขอให้เชื่อมั่นในตัวฉัน ว่าฉันรักนายจริงๆ ได้ไหม... ที่รัก”

“ครับ”

“เข้าไปข้างในกันเถอะ ธีร์มันใจคอไม่ดีแล้วเนี่ยคิดว่านายโกรธเพราะคำพูดมันเมื่อกี้”

“ไม่ใช่ความผิดธีร์เสียหน่อย”

“ก็ใช่น่ะสิ เพราะถ้าจะมีคนผิดในเรื่องนี้ก็คงเป็นฉันเองนี่แหละ” วินทร์พูดเสียงเบาคล้ายกับกำลังพูดกับตัวเองมากกว่า

“พี่วินทร์ผิดอะไรครับ”

“ผิดที่ทำให้นายเชื่อใจไม่ได้ จนต้องเก็บเอามาคิดมากนี่ไง”

“พี่วินทร์ไม่ผิดสักหน่อย ผมแค่...”

“เอาเป็นว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วละกันนะ” วินทร์ตัดบท “คิดน่ะคิดได้ แต่คิดถึงทางที่เราจะอยู่ด้วยกันสิ ไม่ใช่จะให้ฉันไปมีความสุขคนเดียวแล้วทิ้งนายไว้... หืม... ที่แบกวิญญาณกลับมาหาเนี่ยรู้ไหมว่าเพราะรักแค่ไหน หืม... แล้วยังจะมาไล่ให้ไปรักคนอื่นอีก มันน่าตีจริงๆ”

“ผมไม่ได้ไล่สักหน่อย แค่บอกให้คิดใหม่เอง”

“แล้วต่างกันตรงไหน รู้ไหมตอนฟังนี่เจ็บจี๊ดเลยนะ... โหย แบบ... นึกว่าใจจะขาดแล้วนะ”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษไม่หาย”

“แล้วจะให้ผมทำยังไง”

“นายรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง”

“พี่วินทร์ นี่ไม่ใช่ที่บ้านเรานะครับ”

“นายยังบอกไล่ฉันเมื่อกี้นี้ ตรงนี้เลย” วินทร์ลอยหน้าลอยตาพูด

“ก็บอกว่าไม่ได้ไล่ไง”

“ไม่รู้ล่ะ เจ็บตอนนี้ ก็ต้องง้อตอนนี้”

“สองเท่า” นรกรกระซิบ

“อะไรคือสองเท่า” วินทร์ถาม

“ถ้ายอมให้เลื่อนไปก่อน จะง้อให้สองเท่า”

“แน่ใจ?”

“ครับ”

วินทร์คำนวนความคุ้มทุนกับเวลารอในหัว “ถ้าผิดสัญญาฉันเก็บค่าปรับนะ”

“รู้แล้วครับ”

ทั้งสองเดินคู่กันกลับเข้ามาในบ้านก็เจอใครคนหนึ่งยืนรออยู่ที่ประตู

“ฮาร์ฟ เมื่อกี้ขอโทษนะ” ธีร์รีบพูดอย่างรู้สึกผิด

นรกรหันไปสบตาวินทร์ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสไหล่ธีร์ “ไม่เป็นไรธีร์ ไม่ใช่ความผิดนายหรอก”

ธีร์เหลือบตามองฝ่ามือเรียวที่วางคาอยู่บนหัวไหล่ แล้วมองเรื่อยไปสบนัยน์ตาสีอ่อนก่อนจะพุ่งเข้าสวมกอดแน่น “ยกโทษให้นะ”

“อืม” นรกรยกมือขึ้นตบไหล่ธีร์เบาๆ

“พอๆๆ” วินทร์เข้ามาแทรกกลางวง “หมดเวลาติดพี่แล้ว อยากอ้อนไปอ้อนเมียนายนู่นไป”

“ไอ้คนขี้หวง” ธีร์ว่าพร้อมกับแลบลิ้นใส่แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวคนที่กอดไว้

“เออ หวงมากด้วย”

“ไปนอนกันเถอะค่ะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีเลี้ยงพระเช้านะคะ” โบว์ที่อุ้มลูกสาวที่หมดแรงหลับไปอีกรอบแล้วเดินมาเรียก

“จ๊ะ” ธีร์รับคำภรรยาก่อนจะปล่อยมือ “ฉันพาลูกเข้านอนก่อนนะฮาร์ฟ”

“อือ”

“ไอ้วินทร์!” ธีร์หันมาทำปากบุ้ยใบ้ก่อนจะไป

“อะไรวะ”

“รู้ใช่ไหมว่าอะไรควรไม่ควร”

วินทร์หยักยิ้มมุมปากเข้าใจว่าธีร์พูดถึงเรื่องอะไรจึงแกล้งแหย่กลับไป “อะไรเหรอที่ว่าควรไม่ควร” พร้อมกับยกมือขึ้นโอบรอบเอวนรกรและยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง

“ไอ้นี่!” ธีร์ทำได้แค่กัดฟันแล้วเดินตามภรรยาขึ้นห้องไป

“ทั้งสองคนกระซิบกระซาบอะไรกันครับ” นรกรถาม

“เปล่าจ๊ะ” วินทร์ยิ้มใสซื่อประหนึ่งหมีน้อยตัวเล็กๆ พลางดึงมือกลับมาไพล่หลัง “เราเองก็ไปนอนกันเถอะ”

หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย วินทร์กับนรกรก็ขึ้นนั่งบนเตียงที่อยู่กันคนละฝั่งห้อง

“พี่วินทร์กับธีร์นี่ไม่เจอกันหลายปีก็ยังเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“ก็หมอนั่นมันกวนฉันก่อน”

“พี่วินทร์ก็ไม่ยอมเขาเลย รู้อยู่ว่าธีร์ก็แค่พูดแกล้งไปอย่างนั้น”

“รู้สิ ไอ้คนหวงพี่ชายพรรค์นั้น ธีร์น่ะมันคอยกันท่าฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“แต่อย่างน้อยเวลาอยู่กับผม ธีร์ก็ไม่เคยใส่ร้ายพี่วินทร์ให้ฟังนะ”

“จริงเหรอ”

“ครับ” นรกรตอบ “ออกจะชมด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเขาแค่ไม่พูดต่อหน้าเพราะเขินหรือกลัวเสียฟอร์มอะไรแบบนี้มากกว่า ตอนผมยังลืมพี่ปอไม่ได้เขายังบอกให้ผมลองพิจารณาคนใกล้ดูสิ มาคิดๆ ดูผมว่าเขาหมายถึงพี่วินทร์นะ”

“ใช่เหรอ” วินทร์ถามย้ำ “หมอนั่นหมายถึงคนอื่นมากกว่า”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าพี่วินทร์อยากรู้พรุ่งนี้ลองไปถามธีร์สิ”

“ไม่เอาหรอก” วินทร์เบะปาก “เลิกพูดถึงผู้ชายคนอื่นแล้วนอนกันเถอะ”

“ครับ” นรกรเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

“นอนห่างกันขนาดนี้ทั้งที่อยู่ด้วยกันนี่ครั้งแรกเลยนะ” วินทร์พูดขึ้นในความมืดพลางมองไปทางด้านซ้ายของตัวที่ปกติจะมีคนนอนเกาะแขนอยู่เสมอ “ทำไงดีคิดถึงอะ”

“คิดถึงอะไรครับ”

วินทร์ตะแคงตัวกลับมาเพื่อมองคนที่อยู่อีกฝั่งของห้อง “พ่อนายใจร้ายอะ แยกเตียงแบบนี้แยกห้องไปเลยดีกว่า อย่างนี้ฉันทำใจลำบากนะ อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่กอดไม่ได้เนี่ย”

“สวดมนต์เอาละกันครับ” นรกรตอบพร้อมกับดึงผ้าขึ้นห่มแล้วหลับตานอน หูแว่วได้ยินเสียงรำพึงรำพันว่า ‘คนใจร้าย’ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะตอนนี้ใจก็แทบจะลอยข้ามไปเกาะขอบเตียงด้านตรงข้ามแล้ว
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-08-2019 12:04:26
พ่อลูกเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 04-08-2019 14:30:31
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ครอบครัวแข็งๆแต่น่ารักกันทุกคน.. ยิ่งอ่านยิ่งคิดึง.ความเป็นน้องฮาร์ฟกะพี่วินทร์จริงๆ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-08-2019 08:21:25
จบลงด้วยดี พ่อลูกเข้าใจกัน :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 05-08-2019 09:14:27
งือออ อยากได้แบบพี่วินทร์มั่ง

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-08-2019 13:16:14
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 05-08-2019 19:24:45
ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: 15magnitude ที่ 06-08-2019 16:57:24
เอ็นดูคุณพ่อคุณลูก และขำมุกเห็ดของคุณแม่มาก 555555555555

รักในความรักหนักแน่นแบบแบกวิญญาณมารักของพี่วินทร์ เอ็นดูหมอฮาร์ฟมากๆ อยากจะรวบกอด ก็กลัวพี่วินทร์โดดเตะ แง
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 06-08-2019 17:39:53
ผ่านอะไรมาเยอะมากเลยน้าาา ทั้งคู่
รักกันนานๆนะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 07-08-2019 16:39:05
คิดถึง กลับมาอ่านตอนพิเศษ  :L2: :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 09-08-2019 15:06:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
ปรบมือรัวๆๆๆๆๆๆๆ
เป็นนิยายที่ดีงามมากกกกกก
จะตามอ่านทุกเรี่องเลยนะคะ
 :katai2-1:
 :katai2-1:
 :katai2-1:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 17-08-2019 14:31:07
 o13 ชอบมากยิ่งอ่านยิ่งชอบ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: NongJesZa ที่ 29-12-2019 15:06:07
สนุกมากกกกกกกกกกก ลุ้นใจแทบขาด อ่านตั้งแต่แรกๆ ก็เชียร์พี่วินทร์ ทีมพี่วินทร์ตั้งแต่แรกเลย สุดท้ายทิดกับวินทร์ก็คนๆเดียวกันจริงๆ ดีใจ55555 นึกว่าพี่วินทร์จะแห้วแล้ว5555555 อยากให้มีผชแบบพี่วินทร์สักแปดล้านคน ยกให้พี่วินทร์เป็นพระเอกยอดเยี่ยมเลย ส่วนฮาร์ฟน่ารักมากๆ น่ารักไม่ไหว อยากฟัดแก้มน้องเหลือเกิน เรื่องราวในเรื่องสนุกมาก ปมทับปมซ้อนแต่ก็ผ่านไปได้ ขอบคุณนักเขียนที่ทำให้มีเรื่องราวดีๆสนุกๆแบบนี้ ขอบคุณมากนะค้าบบบ สุดท้าย เราอยากจะบอกว่าเรารักพี่วินทร์กับฮาร์ฟมากนะ ต่อจากนี้ไปเมื่อเราฟังเพลง Stay เราคงนึกถึงเรื่องนี้แล้วแหละ อาจจะดูเศร้าแต่เราสุขใจ ขอให้พี่วินทร์และฮาร์ฟอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าเลย รักเสมอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-12-2019 19:16:01
สนุกมากกกกกกกกกกก ลุ้นใจแทบขาด อ่านตั้งแต่แรกๆ ก็เชียร์พี่วินทร์ ทีมพี่วินทร์ตั้งแต่แรกเลย สุดท้ายทิดกับวินทร์ก็คนๆเดียวกันจริงๆ ดีใจ55555 นึกว่าพี่วินทร์จะแห้วแล้ว5555555 อยากให้มีผชแบบพี่วินทร์สักแปดล้านคน ยกให้พี่วินทร์เป็นพระเอกยอดเยี่ยมเลย ส่วนฮาร์ฟน่ารักมากๆ น่ารักไม่ไหว อยากฟัดแก้มน้องเหลือเกิน เรื่องราวในเรื่องสนุกมาก ปมทับปมซ้อนแต่ก็ผ่านไปได้ ขอบคุณนักเขียนที่ทำให้มีเรื่องราวดีๆสนุกๆแบบนี้ ขอบคุณมากนะค้าบบบ สุดท้าย เราอยากจะบอกว่าเรารักพี่วินทร์กับฮาร์ฟมากนะ ต่อจากนี้ไปเมื่อเราฟังเพลง Stay เราคงนึกถึงเรื่องนี้แล้วแหละ อาจจะดูเศร้าแต่เราสุขใจ ขอให้พี่วินทร์และฮาร์ฟอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าเลย รักเสมอ  :กอด1:

มีภาคสองด้วยนะคะ เป็นเรื่องราวหลังจากคบกันแล้วค่ะ^^
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: yaoigirl ที่ 07-01-2020 23:38:05
รักเรื่องนี้มากกกกกก เนื้อหาคือดีมีครบทุกรส ข้อมูลแน่นแต่อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ ดีจนไม่รู้จะชมยังไง ขอบคุณคนแต่ง มากๆค่ะ ที่แต่งนิยายสนุกๆๆมาให้เราอ่าน
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: lipure ที่ 15-04-2020 23:05:09
 :L2: :L2: กลับมาอ่านภาคสองจ้า หายคิดถึงเบย. :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 30-04-2020 22:32:47
วันนี้ย้อนอ่านตั้งแต่แรกจนจบภาค2 รู้สึกอิ่มมากเลยกับการติดตามความรักของเขาทั้งสองคน แล้วยังได้รับรู้เรื่องราวของตัวละครที่ชอบมากๆอีกคนหนึ่ง นั่นคือพี่สาวในห้องล็อคเกอร์หรือคุณพลู เราชอบตัวละครนี้ตั้งแต่ภาคแรกถึงจะออกไม่เยอะ แต่มันดูมีเสน่ห์ยังไงไม่รู้ แล้วพอได้รับรู้เรื่องราวของเขาแล้วก็ยินดีที่เขาหลุดพ้นไปเจอกับสิ่งที่รอคอยแต่ก็เสียดายที่เราจะได้เจอพี่สาวคนนี้ห้อยขาแกว่งเท้าเฝ้ามองฮาร์ฟกับวินทร์อีก ส่วนวินทร์กับฮาร์ฟเกือนร้องไห้ตอนเขาสองคนพูถึงการเตรียมงานศพกัน คือมันต้องเข้มแข็งขนาดไหนที่ต้องมานั่งปรึกษากันเรื่องแบบนี้อ่ะ พอเฉลยว่าฮาร์ฟรับรู้นานแล้วว่ายังไงวินทร์คงอาจจะไม่กลับมา ต้องเข้มแข็งเพื่อให้วินทร์สบายใจ ต้องอดทนเห็นเขาแต่ไม่สามารถจับต้องได้ ไม่สามารถทำอะไรร่วมกันได้เหมือนเก่ามันทรมารแค่ไหน ตอนเป็นอฐิษท์เพราะไม่เคยได้สัมผัสมันเจ็บแต่ไม่เท่ากับตอนที่วินทร์ออกจากร่างอีกครั้งอ่ะ คือเคยอยู่ด้วยกัน กอดกัน ทำอะไรด้วยกันแต่วันหนึ่งมันทำได้แค่มองแต่ทำอะไรไม่ได้ ตอนที่วินทร์กับมาได้คือตื้นตันใจมากๆที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง อยากกอดทั้งสองคนแน่นๆสักครั้งกับการพรากจากแล้วได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ขอบคุณนิยายดีๆ เรื่องนี้มากๆค่ะ
ปล.อาจจะวกไปวนมาเขียนไม่รู้เรื่องบ้าง แต่อยากบอกว่าชอบนิยายเรื่องนี้มากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 30-04-2020 22:40:07
วันนี้ย้อนอ่านตั้งแต่แรกจนจบภาค2 รู้สึกอิ่มมากเลยกับการติดตามความรักของเขาทั้งสองคน แล้วยังได้รับรู้เรื่องราวของตัวละครที่ชอบมากๆอีกคนหนึ่ง นั่นคือพี่สาวในห้องล็อคเกอร์หรือคุณพลู เราชอบตัวละครนี้ตั้งแต่ภาคแรกถึงจะออกไม่เยอะ แต่มันดูมีเสน่ห์ยังไงไม่รู้ แล้วพอได้รับรู้เรื่องราวของเขาแล้วก็ยินดีที่เขาหลุดพ้นไปเจอกับสิ่งที่รอคอยแต่ก็เสียดายที่เราจะได้เจอพี่สาวคนนี้ห้อยขาแกว่งเท้าเฝ้ามองฮาร์ฟกับวินทร์อีก ส่วนวินทร์กับฮาร์ฟเกือนร้องไห้ตอนเขาสองคนพูถึงการเตรียมงานศพกัน คือมันต้องเข้มแข็งขนาดไหนที่ต้องมานั่งปรึกษากันเรื่องแบบนี้อ่ะ พอเฉลยว่าฮาร์ฟรับรู้นานแล้วว่ายังไงวินทร์คงอาจจะไม่กลับมา ต้องเข้มแข็งเพื่อให้วินทร์สบายใจ ต้องอดทนเห็นเขาแต่ไม่สามารถจับต้องได้ ไม่สามารถทำอะไรร่วมกันได้เหมือนเก่ามันทรมารแค่ไหน ตอนเป็นอฐิษท์เพราะไม่เคยได้สัมผัสมันเจ็บแต่ไม่เท่ากับตอนที่วินทร์ออกจากร่างอีกครั้งอ่ะ คือเคยอยู่ด้วยกัน กอดกัน ทำอะไรด้วยกันแต่วันหนึ่งมันทำได้แค่มองแต่ทำอะไรไม่ได้ ตอนที่วินทร์กับมาได้คือตื้นตันใจมากๆที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง อยากกอดทั้งสองคนแน่นๆสักครั้งกับการพรากจากแล้วได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ขอบคุณนิยายดีๆ เรื่องนี้มากๆค่ะ
ปล.อาจจะวกไปวนมาเขียนไม่รู้เรื่องบ้าง แต่อยากบอกว่าชอบนิยายเรื่องนี้มากๆค่ะ


ขอบคุณมากเลยนะคะ เราอ่านที่คุณเมนต์แล้วซึ้งตามเลย เดี่ยวอีกไม่นานจะออกเล่มฝากติดตามด้วยนะคะ ตอนพิเศษเราตั้งใจเขียนมากเลย เขียนจนถึงวันที่ฮาร์ฟได้เห็นวินทร์ใส่สูทขาวโดยไม่ต้องถึงวันตาย เราอยากให้ทุกคนอ่านตอนนี้แล้วอวยพรให้สองคนนี้ไปด้วยกันนะคะ
หัวข้อ: Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: amkang12 ที่ 27-06-2020 21:11:22
สนุกมากๆเลยน่ะครับหลังจากอ่านจบแล้ว นิยายเรื่องนี้ก็ลงมานานแล้วแตเพิ่งได้อ่าน
ขอบคุณพลอตใหม่ๆที่นำมาให้เราได้อ่านกันน่ะครับ
จริงๆไม่น่าลงเรื่องว่าจบเลย ถ้าภาค2ต่อไปเรื่อยๆแล้วค่อยมาจบคนน่าจะอ่านมากว่านี้

ไว้จะอุดหนุนหนังสือน่ะครับ