Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279213 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ PookPick

  • มองฉัน รักฉันสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
เข้มข้นมากค่ะ

อย่าบอกว่าทิดเป็นพี่น้องกับฮาร์ฟนะ

โอยยยลุ้นทุกตอน รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อ่านแล้วเครียดจนไม่อยากอ่านต่อ แต่สนุกเลยอ่าน :katai1:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
งือออออ หน่วง
 :hao5:

ออฟไลน์ anuyasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอยย หายไปไหนคะ อย่าทิ้งกันไปสิ

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
รออยู่นะคะ (;ω;)

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 7 let’s dance in the rain

ร่างโปร่งแสงยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ในเมื่อในโลกนี้ไม่มีอะไรให้ห่วงเขาก็พร้อมแล้วที่จะไป เมื่อเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นด้านหลังอีกครั้ง

“อทิฏฐ์”

...เสียงฮาร์ฟนี่... เกิดอะไรขึ้น คุณเป็นอะไรไปทำไมน้ำเสียงของคุณถึงได้เจ็บปวดขนาดนั้น...

และทั้งที่ไม่ใช่ชื่อตัวเองแต่ทำไมถึงรู้สึกผูกพัน

เขาเหลียวกลับไปมองความมืดมิดด้านหลัง พลันภาพเหตุการณ์ในงานเลี้ยงของคณิณปรากฏขึ้นมาให้เห็น แต่เขาไม่ได้เห็นแค่ภาพหากยังได้ยินเสียง เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ดังออกมาหัวใจของใครคนหนึ่ง

มันเป็นเหมือนแผ่นฟิล์มหนังที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ ภาพที่หน้าห้องผ่าตัด ห้องทำงาน ไอซียูจนกระทั่งมาจบลงที่ความมืดในห้องพักแพทย์

ร่างโปร่งนั่งซบหน้าอยู่บนโต๊ะ ไหล่ทั้งสองที่เคยยืดอย่างผึ่งผายด้วยความมั่นใจลู่ลงและสั่นสะท้าน

...ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่ผมเองก็ไม่อยากกลับไปเจ็บปวดอีกแล้ว...

กำลังจะเดินต่อเมื่อภาพในหัวเปลี่ยนไปอีกครั้ง ท่ามกลางความทรงจำมากมายในช่วงมีชีวิตที่ยังคงหลงเหลือ มีคำสัญญาหนึ่งในช่วงเวลาที่กลายเป็นวิญญาณซึ่งหัวใจยังคงจดจำได้

‘ไม่ว่าคุณจะเป็นใครผมจะไม่ทอดทิ้งคุณ’

เสี้ยววินาทีที่ใบหน้าจริงจังของเจ้าของคำพูดไหววูบเข้ามาแทนที่เธอ พร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบจุดขึ้นกลางหัวใจคล้ายกับมันกำลังพยายามบีบเพื่อสูบฉีดเลือดออกไป สองขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดนิ่ง

อทิฏฐ์จ้องมองแสงสว่างตรงหน้าสลับกับความมืดมิดเบื้องหลัง

...จะ ‘อยู่’ หรือ ‘ไป’...

ไตร่ตรองอยู่อึดใจแล้วจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด

เขาเลือกที่จะไปแต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้ ในเมื่อตอนเป็นคนไม่อาจรักษาอะไรไว้ได้สักอย่างแม้แต่ชีวิตของตัวเอง ถ้าเช่นนั้นในตอนนี้ก็ขอให้เขาได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อใครสักคนก็แล้วกัน

ก่อนจะหันหลังให้แสงและเดินกลับสู่ความมืดมิด

เกิดความรู้สึกกระตุกวูบในช่องอก ตอนนี้อทิฏฐ์ไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างของตนแต่เขาได้ยินเสียงเดิมที่กระซิบข้างหูอย่างโล่งอกว่า

“ยินดีต้อนรับกลับมา”
 



“อทิฏฐ์”

“เรียกผมทำไมครับ”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้น นรกรเงยหน้าขึ้นจากวงแขนมองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่าแต่แล้วความมืดตรงหน้าก็สั่นไหวเล็กน้อยพร้อมกับที่ร่างโปร่งแสงปรากฏตัวขึ้น

นรกรใช้หลังมือขยี้ตาเร็วๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้ากลั้นเสียงไม่ให้สั่น “อทิฏฐ์ คุณไปอยู่ที่ไหนมา ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่แน่ะ นึกว่าคุณจำอะไรได้แล้วไปนั่งร้องไห้คนเดียวที่ไหนซะอีก”

ร่างโปร่งแสงจ้องมองนัยน์ตาสีอ่อนที่แดงก่ำก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ขนาดตัวเองแค่แรงจะยืนยังไม่ไหว ยังอุตส่าห์มีใจเป็นห่วงคนอื่นอีกนะ “ใครกันแน่ที่ร้องไห้”

“ผมไม่ได้ร้อง”

อทิฏฐ์ก้าวเลี่ยงบรรดาข้าวของที่กระจายเกลื่อนเข้าไปยืนตรงหน้า “แล้วทำไมสภาพเป็นแบบนี้”

“ลลิน...”

“นอนโคม่าอยู่ไอซียู” อทิฏฐ์แทรกขึ้น “ผมเจอเธอระหว่างทางมาที่นี่ น่าสงสารนะดูเธอเศร้ามากคงยังไม่อยากไปแต่จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อคุณหมอของเธอใจไม่สู้เสียแล้ว” เขาโกหกอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้เจอเธอหรอก

“ผมไม่ได้ถอดใจ!”

“ไม่ได้ถอดใจแล้วมา...” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงพลางเหลือบตาลงและกวาดมองไปรอบๆ “ทำอะไรที่นี่ นี่น่ะเหรอสภาพของคนที่ใจสู้น่ะ”

“ผมก็พยายามอยู่นี่ไง”

“ไหนล่ะ... ที่ผมเห็นก็แค่ผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่งที่เอาแต่นั่งโทษตัวเองแล้วไม่ทำอะไรสักอย่าง”

“ก็บอกแล้วไงว่ากำลังทำอยู่ การที่เธอยังไม่ตื่นเกิดได้จากหลายสาเหตุแล้วผมก็กำลังหามันอยู่นี่ไง”

“จากไหน?”

“ก็จาก...”

นรกรเงียบไปอึดใจเมื่อคำพูดของศาสตราจารย์สรวิชญ์ดังขึ้นในหัว

‘คนแรกที่คุณควรไปหาในเวลานี้ไม่ใช่ผม’

ริมฝีปากยกมุมขึ้นเล็กน้อย “รู้แล้วใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

ในที่สุดนรกรก็เข้าใจความหมายที่ทั้งพ่อของเขาและอทิฏฐ์ต้องการจะสื่อ การโทษตัวเองไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ควรทำคือหันหน้ามาเผชิญกับปัญหา

“อย่าปล่อยให้เธอสู้อยู่คนเดียวสิ”

นรกรหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าจนสุด และเมื่อเขาเปลือกตานั้นเปิดขั้นขึ้นอีกครั้งเขาก็กลับมาเป็นนรกรคนเดิมที่อทิฏฐ์รู้จัก

คุณหมอหนุ่มพยักหน้าให้ร่างโปร่งแสงตรงหน้าที่ยิ้มตอบกลับมาแล้วก้มลงเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ไอซียู

พ่อกับแม่ของลลินยังคงนั่งเฝ้าอยู่ด้านนอก ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นหน้าเขา

“หมอ!”

“หมอจะรักษาเธอสุดความสามารถครับ” นรกรชิงพูดขึ้นก่อน “คุณพ่อไม่ต้องเชื่อหมอ แต่หมออยากให้คุณพ่อเชื่อในตัวลูกสาวเพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังสู้อยู่เหมือนกัน ขอตัวนะครับ” แล้วค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งก่อนจะผลักประตูเข้าไป

หลังจากตรวจโดยละเอียดอีกครั้งและสั่งการรักษาเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงไปเกือบรุ่งสางแล้ว แต่ลลินยังคงไม่รู้สึกตัว นรกรยืนอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกวาดหาอาการผิดปกติของร่างกายและเส้นกราฟต่างๆ ที่มอนิเตอร์ไว้ซึ่งอาจมองข้ามไป
นรกรทราบดีว่าทุกอย่างต้องใช้เวลาเขาเดินกลับออกมาหน้าห้องไอซียูอีกครั้งเพื่อแจ้งอาการให้ญาติทราบซึ่งตอนนี้เหลือผู้เป็นพ่อนั่งอยู่เพียงลำพัง

“ขอโทษนะครับ คุณแม่ไปไหนครับ”

“แม่เขาต้องทำงานตอนเช้า ไม่อยากให้ลาน่ะ เสียวันลาเยอะแล้วเดี๋ยวโดนไล่ออก”

นรกรรายงานอาการและการรักษา ผู้เป็นพ่อนั่งฟังอย่างสงบแม้จะเห็นได้ชัดถึงความผิดหวังในแววตา

“คุณพ่อมีอะไรที่อยากให้หมออธิบายเพิ่มอีกไหมครับ”

พ่อส่ายหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ไม่มีอะไรแล้วครับ” เขาเงียบไปอึดใจก่อนจะกระซิบขึ้น “แล้วก็ขอโทษนะหมอ เมื่อกี้ผมใจร้อนไปหน่อย”

นรกรอดแปลกใจไม่ได้กับท่าทีที่เปลี่ยนใจ “ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ แล้วก็ขอบคุณนะครับ”

“ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณหมอ” พ่อพูดพลางหยิบไดอารี่ของลูกสาวที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างตัวขึ้นมาวางบนหน้าตัก ฝ่ามือที่เริ่มมีริ้วรอยพลิกไปที่หน้าสุดท้ายที่เจ้าของเขียนค้างไว้ ลายมืออาจไม่สวยแต่เป็นระเบียบแสดงถึงความตั้งใจของคนเขียน เขาเงยหน้าขึ้นสบตานรกรก่อนจะเหลือบมองเก้าอี้ว่างข้างตัว

คุณหมอหนุ่มจึงทรุดตัวลงนั่ง แล้วผู้เป็นพ่อก็อ่านออกเสียงข้อความนั้นให้เขาฟัง

“ขอบคุณ คุณหมอที่ให้หนูได้มีโอกาสตามความฝัน”
   
แล้วพ่อก็เงียบไปในขณะที่นรกรเม้มปากสนิท เขาก้มลงมองมือตัวเองที่กำแน่นจนชื้นเหงื่อเมื่อมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองเจ้าของมือ

“ตลกดีนะหมอ” เสียงของพ่อเครืออยู่ในลำคอ “เป็นพ่อลูกกันมายี่สิบปี ผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเธออยากเป็นอะไร หมอรู้ไหม ตั้งแต่รู้ว่าเธอป่วยไม่มีคืนไหนเลยที่ผมจะหลับสนิท ตัวนอนอยู่ที่บ้านแต่ใจเฝ้าลูกอยู่ข้างเตียง ผมอาจดูไม่เสียใจเพราะผมต้องทำตัวให้เข้มแข็งในขณะที่แม่เขาร้องไห้ผมต้องมีสติ แต่กลายเป็นว่าลลินกลับเข้มแข็งได้มากกว่าพ่ออย่างผมเสียอีก รอยยิ้มของลูกคือกำลังใจของผม ตอนเห็นเธอเป็นแบบนั้นมันเหมือนโลกของผมพังทลาย แล้วก็เอาแต่โทษว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั้งๆ ที่หมอบอกผมแล้ว ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนเลือกมันเอง”

พ่อยกมือขึ้นปิดหน้าแน่นและซบลงกับหัวเข่า

“ขอโทษนะหมอ... ช่วยลูกผมให้ได้นะ”

“หมอจะทำให้ดีที่สุด” นรกรบอก “ทุกอย่างอยู่กับเธอครับว่าจะสู้ไปกับพวกเราได้แค่ไหน”

พ่อเงยหน้าขึ้นมาและสบตาเขา

“แต่ผมก็ไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่เธอยอมแพ้นะ”

ประตูห้องไอซียูเปิดออก พยาบาลสาวเหลียวซ้ายมองขวาก่อนจะพุ่งตรงมาที่พวกเขา “หมอคะคนไข้เริ่มตื่นแล้วค่ะ”
ทั้งสองผุดลุกขึ้นทันที

“หมอขอไปดูอาการคนไข้ก่อนนะครับ”

นรกรรีบเดินตามเธอเข้าไปในขณะที่พ่อยืนรออยู่ด้านนอก

เขาเข้าไปยืนข้างเตียง เปลือกตาบางค่อยๆ ปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกะพริบสองถึงสามครั้งเพื่อสู้แสงไฟ

“ตื่นแล้วเหรอ”

ลลินไม่มีทีท่าตกใจกับสิ่งแปลกปลอมที่สอดใส่เข้ามาในร่างกลายเพราะคุ้นชินกับพวกมันดีจาการผ่าตัดถึงสี่ครั้งในรอบห้าปี ริมฝีปากแห้งผากขยับเบาๆ ไม่มีเสียงเพราะมีท่อช่วยหายใจอยู่พออ่านได้ว่าเธอกำลังเรียกชื่อเขา “หมอฮาร์ฟ”

“เป็นไงบ้าง”

เด็กสาวค่อยกระดิกปลายนิ้วที่ยังรู้สึกหนึบชาก่อนจะยกขึ้นชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางให้อย่างรู้งาน มันเป็นคำสั่งพื้นฐานที่แพทย์ใช้ทดสอบระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยแต่สำหรับลลิน นรกรดีเข้าใจดีว่ามันสื่อความหมายว่าเธอกำลังสู้อยู่

ลำคอของคุณหมอหนุ่มแห้งผาก คำพูดมากมายจ่ออยู่คอหอยแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนสุดท้ายเขาก็พูดได้แค่ประโยคพื้นๆ ที่ถอดความออกมาจากตำรา “ตอนนี้หนูอยู่ไอซียู การผ่าตัดเรียบร้อยดีอาจารย์สรวิชญ์เป็นผู้ผ่าให้ นอนพักนะครับถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ตอนเช้าหมอจะเอาท่อช่วยหายใจออกให้”

ลลินพยักหน้าพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้

“หมอขอโทษนะ”

นัยน์ตากลมของคนป่วยหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปที่ตัวเองแล้วเอานิ้วชี้แตะกับนิ้วโป้งและกรีดนิ้วที่เหลือออก ที่สื่อความหมายได้ว่า “หนูโอเค” เธอชี้มาที่เขาอีกครั้งและชูนิ้วโป้งขึ้น

“นอนพักนะครับ”

ลลินพยักหน้า

หลังจากตรวจจนแน่ใจและสั่งการรักษาเสร็จสิ้นนรกรเดินกลับออกมาหน้าไอซียู พ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับแม่มือไม้สั่นด้วยความดีใจ “เห็นพยาบาลบอกว่าตื่นแล้ว หมอกำลังเข้าไปดูอยู่... อ๊ะ หมอมาพอดีเลยแค่นี้ก่อนนะแม่ แม่ก็นอนพักนะมีอะไรเดี๋ยวพ่อโทรหา”

“ตอนนี้อาการเริ่มคงที่แล้ว ถ้าจนถึงช่วงเช้ายังไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรหมอคิดว่าตอนเช้าน่าจะเอาท่อช่วยหายใจออกได้”

“ขอผมดูลูกได้ไหมหมอ”

“เชิญครับ”

นรกรออกมาจากไอซียู ระหว่างทางเดินกลับไปห้องพักแพทย์ เงียบๆ ทำให้ได้คิดทบทวนเรื่องราวในคืนที่ผ่านมา เขาไม่ได้ภูมิใจในตัวเองที่ช่วยลลินได้สำเร็จแต่รู้สึกดีที่ได้ทำอย่างเต็มความสามารถและจะไม่มาคิดเสียใจภายหลัง

“เช้าแล้วนะ”

เสียงอทิฏฐ์พึมพำขึ้นข้างๆ นรกรเหลียวมองออกไปด้านนอก ก่อนจะหยุดยืนมองแสงแรกของวันที่ริมขอบฟ้า ไม่ว่ากลางคืนจะยาวนานแค่ไหนแต่เมื่อถึงเวลาพระจันทร์ก็ต้องลับขอบฟ้าและวันใหม่จะเริ่มต้น

นัยน์ตาสีอ่อนมองจ้องร่างโปร่งแสงตรงหน้าอยู่อึดใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกขอบคุณสิ่งที่ตัวเองมองเห็น “เมื่อคืนหายไปไหนมา”

“เปล่า”

“ไม่เชื่อหรอก” นรกรว่า “ทีผมมีอะไรยังบอกคุณเลย ทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกผมล่ะ... เรื่องคุณเพียงพิรุณเหรอ”

อทิฏฐ์พยักหน้า

“จำตัวเองได้แล้วเหรอ”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้าครั้งหนึ่ง

“หมายความว่าไง”

“ผมจำได้ว่าเคยรักเธอมากแค่ไหน จำเรื่องราวของเราได้ แต่ที่สิ่งเดียวที่ยังไม่รู้คือผมเป็นใคร”

“แล้ว...”

“ฮาร์ฟ” อทิฏฐ์เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตัดสินใจโกหก “ที่ผมเคยบอกว่าตัวเองยังไม่ตายน่ะ ดูเหมือนว่าผมจะเข้าใจผิดล่ะ จริงๆ แล้วผมตายไปนานแล้ว”

“เสียใจด้วยนะ แล้วคุณจะเอายังยังไงต่อ” รู้สึกย้อนแย้งกับตัวเองไม่น้อย ที่ไม่ได้เสียใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย อันที่จริงดูเหมือนเขากลับรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ด้วยซ้ำ

“คุณเคยบอกว่าคนเราตายแล้วต้องไปที่ชอบๆ ใช่ไหม แล้วจะให้ผมไปทำไมในที่ๆ ไม่รู้จัก ในเมื่อผมชอบที่นี่ ข้างๆ คุณ ดังนั้นผมจะอยู่จนกว่าผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นใครและคิดออกว่าจะไปที่ไหน”

ยิ่งได้ยินดังนั้น กอปรกับรอยยิ้มกว้างของร่างโปร่งแสงที่มีแสงสีทองของพระอาทิตย์สาดส่องอยู่ด้านหลังดูเป็นประกายเจิดจ้า จนเขาต้องหันหน้าหนีพลางยกมือขึ้นปิดเสี้ยวหน้าซ่อนริมฝีปากที่เผลออมยิ้มตามไปด้วย หากปากยังแข็งแกร้งทำเป็นไม่สนใจ

“อยากทำอะไรก็ทำ” 

“แกล้งทำเป็นดีใจหน่อยก็ไม่ได้” อทิฏฐ์แยกเขี้ยวใส่ก่อนจะหันไปชี้ชวนให้ดูหญิงสาวคนหนึ่งที่วิ่งสวนไปบนทางของตึกที่อยู่ติดกัน “นั่นคุณเพียงพิรุณไม่ใช่เหรอ มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

นรกรไม่ตอบ คิ้วเรียวขมวดเป็นโบอยู่อึดใจ ไม่ได้นึกสงสัยกับทางเดินที่ตัดตรงไปยังแผนกสูติ-นารีเวช แต่เพราะอะไรบางอย่างที่เด่นสะดุดตานั่นต่างหากที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด

เมื่อมาถึง OPD นรกรตั้งใจจะไปขอบคุณและคุยกับวินทร์ให้รู้เรื่องแต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องตรวจ จึงเดินไปถามสิทธิชัยที่อยู่ห้องตรงข้าม

“พี่วินทร์ไปธุระน่ะครับ ฝากเคสพวกผมไว้แล้ว”

นรกรกลับไปทำงานของตนต่อ และก่อนถึงเวลาพักเที่ยงเขาก็ได้รับข่าวดี เมื่อจิงโจ้โทรมารายงานอาการของลลิน

“ถ้าตื่นดีนายก็ถอดท่อช่วยหายใจออกได้เลย” นรกรสรุปการรักษาหลังจากฟังการตรวจร่างกายโดยละเอียดยิบ

[จะเอาอย่างนั้นเหรอครับ ผมว่าพี่ฮาร์ฟมาดูเองดีกว่า]

ไม่ใช่ไม่เต็มใจแต่น้ำเสียงรุ่นน้องบ่งชัดถึงความไม่มั่นใจ จิงโจ้เป็นคนหัวดีและมีไหวพริบแต่กลับไม่ค่อยกล้าทำหัตถการกับคนไข้

“มีอาการอะไรไม่แน่ใจที่ต้องรอให้พี่ไปประเมินเพิ่มเติมเหรอ”

[ก็... ไม่มีครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี]

“พี่ยังตรวจไม่เสร็จเลยคงอีกนาน คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ครั้งก่อนที่พี่สอนนายก็ทำได้ดีนี่ ทำเหมือนเดิมแหละ”

[แต่ว่า...]

“จากข้อมูลที่นายบอกพี่คนไข้ตื่นดี หายใจได้เอง และเส้นเสียงก็ไม่บวมตามสถิติที่ผ่านมาเปอร์เซ็นความสำเร็จในการถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ต้องใส่ใหม่คือ 90% เสร็จแล้วนั่งสังเกตอาการสักครึ่งชั่วโมง ผลเป็นยังไงโทรบอกพี่ด้วยนะ” นรกรวางสายและหันไปสบตาคนที่นั่งเท้าคางมองอยู่ “มีอะไร”

“เมื่อกี้เป็นคนไข้คนสุดท้ายของคุณ และผมก็เพิ่งเห็นอนุวัฒน์เดินออกไป” อทิฏฐ์ว่า

“ถ้าไม่หัดให้ทำคนเดียวบ้างแล้วจะมีความมั่นใจได้ยังไง” นรกรบอก “แล้วพี่พยาบาลที่ไอซียูก็เก่งๆ และมีประสบการณ์ทั้งนั้น ถ้ามีปัญหาอะไรเผลอๆ เขาโทรหาผมก่อนเจ้าจิงโจ้อีก”

“คุณนี่เป็นคนดีจริงๆ”

มือที่กำลังเขียนแฟ้มผู้ป่วยชะงักไปเล็กน้อยพลางพึมพำกับตัวเอง “ไม่หรอก... ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่คุณคิดหรอก”
   
ส่งเคสสุดท้ายกลับบ้านก็ปาไปบ่ายโมง ตอนนี้ห้องตรวจอื่นๆ ปิดไฟเงียบแล้วเหลือแต่เขาคนเดียว นรกรกำลังจะออกจากห้องเมื่อเห็นเงาคนผ่านหน้าประตูกระจกเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องตรวจที่อยู่ติดกัน
   
“พี่วินทร์คงกลับมาแล้ว”
   
กำลังจะเคาะกำปั้นลงบนบานประตู แต่เสียงที่ดังลอดออกมาทำให้นรกรชะงักมือไว้แค่นั้นเพราะวินทร์ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“พี่ว่าฝนทำแบบนี้ไม่ถูกนะ”

“มันก็เรื่องของฝน”

“แล้วฝนคิดว่าจะโกหกเรื่องท้องไปได้อีกนานแค่ไหน ปอมันเป็นหมออายุรกรรมนะไม่ใช่ควายจะได้ไม่รู้น่ะ”

“มันก็เรื่องของฝนอีกน่ะแหละ ยังไงก็ขอบคุณพี่วินทร์นะคะที่วันนี้อุตส่าห์พาฝนไปหาหมอ”

“คุณว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน” อทิฏฐ์ถามรู้สึกวิตกหน่อยๆ ไม่ว่าจะมองให้โลกสวยแค่ไหนมันก็ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเลย

“เรื่องอะไรก็ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวกับผม” นรกรตัดบท เขาเดินออกมาถึงหน้า OPD แล้วเมื่อร่างสูงในชุดกาวน์ยาวพุ่งออกจากลิฟต์และวิ่งตรงมาหา

“ฮาร์ฟ”

“ไม่เกี่ยวไม่ได้แล้วสินะ” อทิฏฐ์ย่นปาก

“ไปกินข้าวกับพี่ไหม พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“แต่ผมกำลังจะไปดูคนไข้ที่วอร์ด” นรกรรีบปฏิเสธเขาไม่อยากให้เพียงพิรุณออกมาเห็นว่าอยู่ด้วยกัน

“งั้นพี่ไปด้วย”

“นานนะครับ พี่ปอไปก่อนเถอะอย่าหิ้วท้องรอผมเลย”

“ไม่เป็นไรพี่รอได้” คณิณคว้าเข้าที่มือพร้อมทั้งออกแรงดึง “งั้นเรารีบไปกันเถอะ”

บานประตูห้องตรวจเปิดออก หญิงสาวในชุดเดรสก้าวออกมาก่อน เพียงพิรุณชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสองคนที่ยื้อยุดกันอยู่

“พี่ปอ”

“อ้าวฝนมาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

นัยน์ตากลมสวยมองสองคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะไปหยุดลงที่มือซึ่งยังจับกันไม่ปล่อย “เปล่าค่ะ”

“ฝน!” เสียงวินทร์ดุมาจากข้างหลังและเดินมายืนข้างกัน

“พี่วินทร์ ฝนจัดการเองค่ะ”

“มีเรื่องอะไรกัน” คณิณถามงงๆ

“อยากรู้ก็ถามแฟนตัวเองเองสิ ไม่ใช่มามัวขลุกอยู่กับคนอื่น”

“นายพูดบ้าอะไรน่ะวินทร์”

“แล้วมันไม่จริงหรือไง”

นรกรไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวมากกว่านี้เขารีบแกะมือคณิณออกและเดินเลี่ยงออกมา “ผมขอตัวนะครับ”

“เดี๋ยวสิฮาร์ฟ”

เมื่อเห็นคณิณเดินตามมาจากที่ตั้งใจจะลงลิฟต์ นรกรจึงยอมเลี้ยวลงบันได หูยังแว่วได้ยินเสียงพูดคุยที่จับความได้บ้างไม่ได้บ้างดังมาเป็นระยะ

“พอเถอะค่ะพี่วินทร์ ฝนบอกแล้วไงว่าฝนจัดการเอง”

“แล้วนี่พวกนายไปรู้จักกันตอนไหน”

“ก็ตอนที่นายไม่รู้น่ะแหละ”

“พี่วินทร์คะ พอเถอะค่ะ”

“ฝน!”

เสียงของคณินกับวินทร์ที่ดังก้องขึ้นพร้อมกันทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมองตรงขั้นบนสุดของบันได เสี้ยวนาทีที่รองเท้าส้นสูงก้าวพลาดและไถลไปข้างหน้าพาเจ้าของให้ร่วงลงมาด้วยกัน
   
โครม!
   
เสียงกระแทกดังสนั่นก่อนที่เสียงกรีดร้องจะเงียบลงไปพร้อมกับร่างที่แน่นิ่งอยู่ตรงชานพักบันได ของเหลวสีแดงสดไหลรินเป็นสายออกมาบนพื้น
   
มันควรจะเป็นจะเป็นเช่นนั้นแต่ต่างกันตรงที่ไม่มีเลือด ถึงหญิงสาวจะสลบไปเพราะแรงกระแทกบวกกับตกใจแต่เธอยังปลอดภัยดีอยู่ในวงแขนของเขาที่ยื่นออกไปคว้าไว้ได้ทันแบบเฉียดเส้นยาแดง
   
“ฝนไม่เป็นไรนะ” เสียงคณิณดังก้องมาจากบันไดขั้นบนสุดพร้อมเสียงรองเท้าสองคู่วิ่งลงบันไดมา

“ค่ะ” เพียงพิรุณเริ่มได้สติเธอพยายามดันตัวลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองช้าๆ ก่อนจะหน้ามืดเซล้มลงซึ่งเป็นโชคดีอีกครั้งที่คณิณซึ่งวิ่งลงบันไดมาถึงรับไว้ได้ทัน

“อย่าเพิ่งยืนสิฝน”

“รีบพาเธอไป ER ก่อนดีกว่า” วินทร์บอก “เดี๋ยวฉันตามเปลให้”

“ไม่เป็นไร” คณิณว่า “เธอยังลุกมาเดินได้เดี๋ยวฉันอุ้มเธอลงไปเองน่าจะเร็วกว่า นายช่วยโทรบอกที่ ER ให้เตรียมรับหน่อยละกันไม่รู้วันนี้พี่ปืนอยู่เวรหรือเปล่า”

“ได้ๆ”

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนสมองแปลข้อมูลแทบไม่ทัน นรกรคว้าราวบันไดดึงตัวเองลุกขึ้นยืนและเฝ้ามองชายหนุ่มสองคนช่วยกันปฐมพยาบาลหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่มีใครสักคนที่จะหันมาสนใจเขา

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” อทิฏฐ์พยายามจะเข้ามาช่วยประคองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนอย่างเคย

นรกรส่ายหน้า “คุณจะตามไปดูเธอก็ได้นะ ผมไม่เป็นไรแค่...” เขายกข้อมือข้างซ้ายที่เจ็บจนชาขึ้นมาดูมันกระแทกเข้ากับขอบบันไดตอนยื่นมือออกไปคว้าตัวหญิงสาวไว้และตกลงมาด้วยกัน พยายามกำมือเข้าออกช้าๆ เมื่อเห็นว่ายังขยับได้ดีจึงค่อยโล่งใจ ส่วนรอยถลอกเล็กๆ ตรงหลังมือนั่นเดี๋ยวค่อยไว้ไปล้างแผลเองทีหลัง เมื่อวินทร์วิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดมาอีกครั้ง

“ฮาร์ฟ”

นรกรรีบซุกมือใส่กระเป๋าให้พ้นจากสายตา “พี่วินทร์ลืมอะไรหรือครับ”

“ไปทำแผลกัน”

“แผลอะไรครับผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“อย่าปากแข็ง” วินทร์คว้าเข้าที่ข้อมือข้างซ้ายและดึงออกมา หลังมือโดนครูดจนผิวหนังหลุดไปเป็นริ้วๆ เห็นเนื้อขาวซีดกับเลือดไหลซิบ นัยน์ตาคมมองจ้องอยู่อึดใจแล้วออกแรงดึงกึ่งลากกลับไปที่ OPD เข้าไปในห้องตรวจของตนซึ่งยังไม่ได้ล็อกและดันให้นรกรนั่งลงบนเก้าอี้ในขณะที่เจ้าตัวเดินไปหาอุปกรณ์ทำแผล

เมื่อได้มาครบก็วางลงบนโต๊ะเทน้ำยาฆ่าเชื้อผสมกับน้ำเกลือล้างแผล ก่อนจะคว้ามือเขาขึ้นมาและใช้คีมคีบสำสีจุ่มน้ำยาแล้วแตะลงบนหลังมือ

“พี่วินทร์หายโกรธผมแล้วเหรอ”

“ยัง” วินทร์ตอบทั้งที่นัยน์ตายังจับจ้องอยู่ที่แผล

“แล้วทำไม...”

“ฉันโกรธนายไม่ได้หมายความว่าจะเป็นห่วงนายไม่ได้นี่” และวินทร์ก็ไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อยน้ำเสียงของเขายังห้วนสั้น แต่มือนั้นค่อยบรรจงแตะสำลีเพื่อให้เขาเจ็บน้อยที่สุด “เหมือนกับที่นายไม่ชอบฝนแต่นายก็ยังช่วยเธอ... แต่ที่ฉันช่วยนายไม่เกี่ยวกับเรื่องที่นายช่วยฝนหรอกนะ”

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นหลุบลงมองบาดแเผลสลับกับคนตรงหน้าและนึกละอายกับความใจดีที่ตนไม่สมควรได้รับสักนิด

“เจ็บก็บอกนะ”

“เจ็บครับ”

“ตรงไหน” นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมองแต่เมื่อสบเข้ากับแววตาที่มองตรงมา เขาก็เข้าใจเพราะความเจ็บนั้นไม่ได้อยู่ที่แผลบนหลังมือแต่มันกัดกินลึกลงไปมากกว่านั้น วินทร์บีบฝ่ามือที่ประคองไว้แน่นขึ้นอีก

“ผมขอโทษ” กระซิบเสียงพร่าผ่านริมฝีปากที่แห้งผาก

“รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงโกรธ” นัยน์ตาคมเหลือบลงดูแฟ้มประวัติของเพียงพิรุณที่ตั้งใจเปิดกางทิ้งไว้บนโต๊ะ

นรกรพยักหน้า

“นายรู้ใช่ไหมว่าวันที่ฉันชวนนายไปกินข้าวมันคือวันอะไร”

นรกรพยักหน้าอีกครั้ง

วินทร์ทายาลงบนหลังมือและปิดด้วยผ้าก๊อซ ก่อนจะประกบมืออีกข้างทับลงไปและบีบเบาๆ “ไม่ใช่ความผิดนายคนเดียว ฝนก็ผิด ปอก็ผิดแต่เราทำเรื่องนี้ให้มันถูกต้องได้”

ริมฝีปากเม้มแน่น นรกรพยักหน้าอีกครั้ง “ครับ”
oooooo


(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2016 01:56:42 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 7 (ต่อ)

“คุณมาทำอะไรที่นี่” อทิฏฐ์ถามเมื่อเห็นป้ายชื่อหน้าห้องพักในหอผู้ป่วยพิเศษ
   
“มาทำให้เรื่องมันถูกต้องไง” นรกรกระซิบ “อทิฏฐ์ ไม่ว่าต่อจากนี้คุณจะได้ยินอะไรคุณมีสิทธิ์ที่จะโกรธผม ต่อว่าผม แต่ผมขอได้ไหม อย่าเกลียดผมเลยนะเพราะแค่นี้ผมก็เกลียดตัวเองจะแย่แล้ว” เขาเคาะมือลงบนบานประตูห้องพักและเปิดเข้าไป “ขออนุญาตครับ”

หญิงสาวในชุดคนไข้นอนอยู่บนเตียง หน้าตาของเธอดูซีดเซียวแต่ยังคงดูสวยทั้งที่ปราศจากเครื่องสำอางแต่งแต้ม บนหลังมือข้างหนึ่งต่อสายให้น้ำเกลือไว้ มีเลือดไหลย้อนขึ้นมาเต็มสายเมื่อเธอพยายามลุกขึ้นนั่ง เพียงพิรุณตกใจและลนลานหันไปคว้าออดที่หัวเตียงเพื่อเรียกพยาบาลที่เคาน์เตอร์

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูให้” นรกรก้าวเข้าไปยืนข้างเตียง คว้ามือมาตรวจดูบริเวณจุดที่ให้เมื่อเห็นว่าปกติดีจึงเปิดเร่งน้ำเกลือให้ไหลเร็วขึ้นเพื่อไล่เลือดเข้าไปก่อนจะปรับกลับมาที่อัตราหยดเท่าเดิม

“พี่ปอไม่อยู่เพิ่งโดนโทรตามออกไปเมื่อกี้เอง” เธอกระซิบพร้อมกับชักมือกลับมากุมไว้บนหน้าตัก

“ดีแล้วครับเพราะผมนั่งรอจังหวะที่คุณจะอยู่คนเดียวอยู่ตั้งนาน” นรกรกล่าวเขาทราบเรื่องที่เธอต้องเข้าพักรักษาตัวมาจากวินทร์
   
เพียงพิรุณเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและขยับตัวนั่งให้ถนัดพลางผายมือเชิญแขกให้นั่งลง “มีธุระอะไรกับฝนคะ”

นรกรเหลือบตาลงมองที่พื้นก่อนจะตวัดขึ้นมาสบตาเธอเต็มที่ “รองเท้าสวยนะครับ” มันคือรองเท้าส้นเข็มคู่เดียวกันกับที่เขาเห็นที่ร้านอาหารเมื่อหลายวันก่อน

“แล้วทำไมคะ”

“คนท้องไม่น่าใส่รองเท้าแบบนี้นะครับ โดยเฉพาะคนที่ฉลาดและรอบคอบอย่างคุณ”

เพียงพิรุณทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอทำปากขมุบขมิบที่อ่านได้ว่า ‘พี่วินทร์’ ก่อนจะพูดด้วยเสียงปกติ “แล้วยังไงคะ คุณจะบอกพี่ปอเรื่องที่ฝนไม่ได้ท้องเหรอ”

“เปิดเผยความลับคนไข้ไม่ใช่สิ่งที่หมอควรทำ”

เธอไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “แล้วคุณมาทำไม”

“มาขอโทษ” นรกรเอ่ยขึ้นและนั่นยังความแปลกใจให้หญิงสาวอย่างที่สุด เพียงพิรุณหันมาสบตาเขาเต็มตาเป็นครั้งแรก  “ถ้ามันเป็นเพราะผม ไม่ว่าจะมากหรือน้อยได้โปรดยกโทษให้ผม... ที่ทำให้คุณต้องเสียลูกไป”

นัยน์ตากลมเบิกโพลง อทิฏฐ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เองก็ตกใจไม่แพ้กัน

นรกรเม้มปากแน่นก่อนจะพูดต่อ “คุณอย่าโกรธพี่ปอเลย ผู้ชายไม่ละเอียดอ่อนคนนั้นจำไม่ได้หรอก... แต่ผมรู้ และทั้งๆ แบบนั้นผมก็ตอบรับคำชวนไปกินข้าวกับเขาในวันครบรอบวันแต่งงานของพวกคุณ”

...ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร แค่อยากมีสักเศษเสี้ยวหนึ่งที่รู้สึกว่าได้ช่วงชิงเวลาของตนคืนมา...

“คุณ...” เสียงของเพียงพิรุณแหบพร่าในทันที เธอยกมือขึ้นปิดปากแน่นก่อนจะไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป “คุณมัน...”

“ผมขอโทษ คุณจะด่าว่าผมยังไงก็ได้แต่ผมคงให้คุณได้แค่คำว่าขอโทษ”

เพียงพิรุณเหลือบมองคนในชุดกาวน์ สองมือกำเป็นหมัดแน่น จินตนาการมาตลอดว่าอยากจะทำอะไรไม่ว่าจะต่อยตี หรือถ้อยคำต่อว่ารุนแรง แต่เมื่อเห็นศีรษะที่ก้มลงต่ำจนแทบชิดหัวเข่าสิ่งเดียวที่เธอทำคือเอื้อมมือไปคว้ากล่องทิชชูหัวเตียงมาซับน้ำตาก่อนจะเงยหน้ามองเพดานและสูดลมหายใจเข้าจนสุด

“คุณไม่ใช่คนเดียวที่ผิด” เสียงของเธอยังติดสะอื้นนิดๆ “ฉันมันก็บ้าไปเอง... ทั้งๆ ที่เขาก็ขออนุญาตกับฉันแล้วว่าจะออกไปไหน ทั้งๆ ที่เขาก็กลับมาตรงตามเวลาที่บอกแต่ฉันก็ยังไม่หยุดคิดอะไรไร้สาระ ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนเอาแต่นั่งทำงานเพื่อให้หายฟุ้งซ่าน... เขาจากฉันไปตอนเช้าวันรุ่งขึ้น อายุสองเดือนมันจะมีอะไรมากไปกว่าก้อนเลือดเล็กๆ แต่ถึงยังไงเขาก็คือลูกของฉัน”

นรกรปล่อยให้เธอได้พูดระบายและร้องไห้จนพอใจจึงพูดต่อ “จากนี้ไปคุณสบายใจได้แล้วนะครับ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผม ถ้าคุณไม่อยากให้ผมมาเจอเขาอีกผมจะไม่ทำ... พี่ปอรักคุณนะ ไม่ได้รักแค่ลูกของคุณ เห็นตอนที่ตกบันไดไหม เขาแทบไม่สนใจผมสักนิด”

“เขาก็แค่เป็นห่วงลูก”

“อยากคิดแบบนั้นก็ตามใจครับ แต่คุณรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่”

เพียงพิรุณนิ่งไปเล็กน้อย ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งกุมมืออยู่ข้างเตียงเฝ้าปลอบซ้ำๆ ว่าเธอจะไม่เป็นไรจนกระทั่งปาวัสม์รุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ห้องฉุกเฉินต้องออกปากไล่เพราะขัดขวางการตรวจรักษา รวมทั้งเรื่องที่ขอแอดมิทให้น้ำเกลือทั้งที่ไม่จำเป็นนี่ถ้าไม่ถูกโทรตามเพราะคนไข้อาการไม่ดีก็คงไม่ยอมผละไป เธอโยนทิชชูที่ปั้นจนเป็นก้อนลงถังขยะข้างเตียงและพยักหน้า

“ฝนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะเรื่องหมาของคุณ”

“เลิกปกป้องพี่ปอได้แล้วครับ” นรกรว่า “ถ้าคุณเกลียดจนอยากจะฆ่ามันจริงๆ คุณคงไม่ลงทุนหาหมาตัวใหม่ที่เหมือนกันมาและตั้งชื่อมันว่าบิชอฟ... ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับจริงๆ แล้วมันตายยังไง มันทรมานไหม”

“พี่ปอไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้มันตายแต่ตอนนั้น...” 

เพียงพิรุณไม่เคยลืมภาพสุนัขหงอยๆ ที่นั่งรอเจ้าของกลับบ้านเป็นชั่วโมงๆ แต่คณิณแทบไม่สนใจมันเลยสักนิด ไม่แม้จะเล่นด้วยหรือแลดูมันด้วยหางตา แม้ในยามที่มันป่วยข้าวปลาไม่ยอมกินเป็นวันๆ

และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเธอพามันใส่รถไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ประจำมหาวิทยาลัยซึ่งมีสมุดประวัติการฉีดวัคซีนอยู่

สุนัขที่นอนซมอยู่ในตะกร้าผงกศีรษะขึ้นมาเลียมือเบญจพัฒน์สัตวแพทย์หนุ่มที่เรียกชื่อมันอย่างสนิทสนมก่อนเขาจะหันมาหาเธอและถามหาชื่อเจ้าของที่เธอไม่เคยได้ยิน

‘แล้วฮาร์ฟไปไหนครับทำไมถึงปล่อยให้คุณพามา’

“มันดีขึ้นอยู่พักหนึ่งค่ะก่อนที่มันจะตาย หมอเบลล์บอกว่ามันเป็นโรคพยาธิหนอนหัวใจ”

นับจากวันนั้นคณิณก็ยิ่งเศร้าซึมหนักขึ้น เธอจึงหาสุนัขตัวใหม่ที่เหมือนเดิมมาให้เลี้ยงและทันทีที่เห็นบิชอฟตัวใหม่วิ่งหูปลิวเข้ามาในบ้าน คณิณก็ยกมือขึ้นปิดหน้าคุกเข่าลงกับพื้นและยอมปริปากเล่าทุกอย่างในใจให้เธอฟังจนหมดหลังจากที่อยู่กินกันมาถึงหนึ่งปีเต็ม

ถึงเป็นการแต่งงานทางการเมืองเพราะญาติผู้ใหญ่ตกลงกันไว้ แต่เป็นฝ่ายเธอที่รักเขาหมดใจจึงยอมทนทุกอย่างและตลอดแปดปีที่อยู่กินกันมานอกจากเรื่องอดีตที่ตามหลอกหลอนเขาก็ดูแลเธออย่างดีและไม่เคยทำให้เสียใจ แม้ตอนที่เธอรั้นจะไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่อเมริกาเขาก็หาเวลาบินตามมาดูแลตลอด

“อย่าโกรธพี่ปอเลยนะคะ”

“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ผิดเหมือนกัน ผมควรจะเอามันคืนมาไม่ใช่ยังปล่อยไว้แบบนั้น... ขอบคุณคุณฝนอีกครั้งนะครับที่ช่วยดูแลมัน บิชอฟรักคุณนะถึงมันจะดื้อไม่ค่อยยอมเล่นกับคุณก็เถอะและมันก็ชอบตุ๊กตาหมีที่คุณซื้อให้มันมากด้วย”

จริงๆ แล้ววันนั้นบิชอฟไม่ได้เห่าเพราะเห็นอทิฏฐ์ แต่มันเห่าเพราะเห็นหมาอีกตัวในบ้าน บิชอฟตัวเดิมที่เคยอยู่ มันนั่งอยู่ที่ประตู กระดิกหางให้เขาและร้องเสียงงึมงำเหมือนพยายามจะบอกให้ช่วยขอบคุณใครบางคนแทนมันที

เพียงพิรุณหลุดขำออกมาเล็กน้อย “ฝนใช้เวลาตั้งสามเดือนเชียวนะกว่าทำให้มันญาติดียอมกินข้าวที่ฝนเทให้ได้... เดี๋ยวนะคุณรู้เรื่องตุ๊กตาหมีได้ยังไง”

“พี่เบลล์โทรมาเล่าให้ฟังน่ะ”

“แต่หมอเบลล์...”
   
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่คณิณก้าวเข้ามา นรกรจึงไม่ต้องปั้นเรื่องโกหกไปมากกว่านี้ เขารีบลุกขึ้นยืนและเอ่ยคำลา “ผมไปก่อนนะ พวกคุณจะได้คุยกัน”

“เดี๋ยวสิฮาร์ฟ พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“ถ้าเป็นเรื่องบิชอฟ คุณฝนเล่าให้ผมฟังหมดแล้วครับ”

คณิณหน้าเจื่อนไปทันทีเขาตั้งใจหาโอกาสบอกเรื่องนี้มาหลายหนแต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอเสียที “พี่ขอโทษนะที่ไม่ดูแลมันให้ดี”

“ครับ”

“แล้วก็เรื่องไปกินข้าวน่ะ พี่ขอโทษนะฝนป่วยแบบนี้คงไปไม่ได้แล้ว”

“ไม่เป็นไรครับพี่ปอทำถูกแล้ว” นรกรบอก “แล้วก็ไม่ใช่แค่วันนี้แต่วันต่อๆ ไปด้วย ผมว่าเราเจอกันเฉพาะเวลางานก็พอครับ”

คณิณเหลือบมองหญิงสาวบนเตียงสลับกับเขาก่อนจะพยักหน้าครั้งหนึ่ง “ฮาร์ฟ” เรียกไว้อีกครั้งเมื่อเขาเดินไปถึงหน้าประตู

“มีอะไรครับ”

“ขอบคุณนะที่ช่วยฝน”

นรกรยิ้มบางให้คู่สามีภรรยาตรงหน้าก่อนจะปิดประตูลงพร้อมๆ กับอดีตและความรู้สึกที่หนักอึ้งในหัวใจ

“ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอ” หันไปถามคนที่ยืนมองเขาเงียบๆ

อทิฏฐ์ส่ายหน้า

“จะต่อว่าผมก็ได้นะ ผมทำร้ายแฟนคุณนะ”

“ผมคิดว่าคุณเจ็บมากพอแล้วล่ะ” อทิฏฐ์บอก “ฝนเองก็ผิดที่ไม่ยอมปรับความเข้าใจกับผู้ชายคนนั้น ถึงจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรักแต่ผมว่ามันก็คงมีอะไรมากกว่าแค่คำว่าอยู่ไปวันๆ แหละ ทั้งสองคนถึงอยู่กินกันมาได้ตั้งแปดปี ที่ผมอยากบอกก็คงมีแค่เรื่องที่ฝนไม่เคยเป็นแฟนผม มันเป็นรักข้างเดียวและผมก็ไม่เคยบอกให้เธอรู้ด้วย... ดังนั้นไม่ใช่เธอที่ทำร้ายผมแต่เป็นตัวผมที่ไม่รักตัวเองและทำร้ายตัวเอง”

“ให้ผมพูดให้ไหม”

“ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ได้พูดด้วยตัวเองจะมีค่าอะไร ต่อให้ผมย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ผมยังมีชีวิตผมก็ไม่คิดจะบอกเธออยู่ดี”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ถ้าผมสมหวังกับเธอ ผมก็จะไม่ได้มาเจอคุณน่ะสิ”

นรกรหยุดฝีเท้าและหันไปมองคนที่เดินตามให้เต็มตา นับตั้งแต่อทิฏฐ์หายไปและกลับมาเมื่อคืน แม้จะพยายามพูดตลกกวนประสาทเหมือนเดิม แต่เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติเหมือนกับกำลังฝืน “ตกลงคุณเป็นใครกันแน่”

ร่างโปร่งแสงเองก็หยุดยืนมองคนตรงหน้าเช่นกัน

...อาจารย์องค์อินทร์พูดถูก บางครั้งคนเราก็แค่ลืมเพื่อที่จะจดจำให้ได้อีกครั้ง และไม่ลืมอีกเป็นครั้งที่สอง...

“เป็นอทิฏฐ์... เป็นเพื่อนของคุณแค่นี้ได้ไหม”

นรกรอยากจะถามต่อแต่เมื่อเห็นความวูบไหวในแววตาที่ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดแต่มีอะไรมากมายที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นเขาก็พยักหน้าและตัดสินใจจะรอจนกว่าวันที่เจ้าตัวพร้อมพูดมันออกมาเอง “ได้สิก็ผมให้สัญญาไปแล้วนี่นา”

“ขอบคุณนะฮาร์ฟ”

“คุณขอบคุณผมทำไม ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณ”

“ขอบคุณที่ให้ผมได้รู้จักคุณ” อทิฏฐ์ไม่ขยายความอะไรอีก กับความรู้สึกมั่นคงทว่าก็เปราะบางเพียงแค่ลมพัดผ่านก็อาจแหลกสลาย ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วว่าจะอยู่หรือไป ขอเพียงที่ข้างๆ นี้ยังมีสำหรับเขาเขาก็จะอยู่ต่อไป

oooooo

นรกรไปเยี่ยมลลินที่หอผู้ป่วย อาการของเธอเป็นปกติดี สามารถหายใจได้เอง ไม่มีอาการชักอีก ส่วนตำแหน่งและขนาดของก้อนในสมองที่ชัดเจนยังต้องรอผลสแกนสมองโดยวิธิการฉีกสารทึบรังสีเพื่อดูให้ละเอียดอีกครั้งแต่โดยรวมก็ถือว่าพ้นภาวะวิกฤตแล้ว

“ไง” วินทร์ร้องทักเมื่อเห็นเขาเดินพ้นออกมาจากหอผู้ป่วย “ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”

“ครับ”

“ดีแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ”

“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืนก็ช่างเถอะ ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำอะไรมากมายสักหน่อย”

“เรื่องพี่ปอ” นรกรบอก “พี่วินทร์พูดถูก ผมยังลืมเขาไม่ได้จริงๆ”

“แล้วมาบอกฉันทำไม”

“เพราะคนเราไม่จำเป็นต้องลืมความรักครั้งก่อนๆ เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไป”

ไม่มีใครหรอกที่ไม่เจ็บปวด ชีวิตมันก็เหมือนกับลมฟ้าอากาศ ใช่ว่าจะมีแต่วันที่ฟ้าใส ในเมื่อมีจุดหมายที่ต้องไปให้ถึง ต่อให้พายุมาเราก็ต้องกางร่มเดินออกไปไม่ใช่ยืนรอให้ฝนซาเสียเมื่อไหร่ หรือถ้าไม่มีร่มก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงพอจะวิ่งฝ่ามันไป

แต่มันก็คงจะดีกว่า ถ้าจะมีใครสักคนหยิบยื่นร่มมาให้และชักชวนให้เดินไปด้วยกัน

“นั่นนายกำลังยิ้มอยู่เหรอ”

“คงใช่ครับ”

“แน่ะ ยอมรับได้แบบนี้แสดงว่าตอนนี้มีใครที่แอบชอบอยู่ล่ะสิ”

ทั้งที่คำตอบในใจค่อนข้างแน่ชัดว่ายังไม่มีใครมาจับจอง แต่สายตากลับเผลอเหลือบมองคนข้างๆ โดยไม่รู้ตัว “ไม่มีครับ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ ถามแต่ผม พี่วินทร์เหอะป่านนี้แล้วยังไม่ยอมพาแฟนมาเปิดตัวสักที”

“ก็...” ยังไม่ทันได้ตอบ คนในชุดกาวน์สั้นอีกคนที่เดินผ่านมาก็เข้ามาร่วมวง

“ไงวินทร์”

“ว่าไงไอ้เต้” วินทร์หันไปหาธเนตรเพื่อนที่เรียนอยู่แผนกตาพลางขยับตัวเล็กน้อยคล้ายกับพยายามจะบังใครให้พ้นจากสายตา

“ไม่ว่าไง แค่จะถามว่าแว่นที่แกมาชี้นิ้วสั่งให้ฉันทำพิเศษแบบด่วนๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะตกลงมันยังไงวะ”

“ไว้คุยกันวันหลังนะ” วินทร์พยายามเปลี่ยนเรื่องและดันไหล่ให้รีบกลับไปทำงานต่อ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมหยุด

“นี่ถ้าจะเอาไปจีบสาวก็คิดใหม่เหอะมีอย่างที่ไหนวะให้แว่น ถึงพวกฉันจะชอบแซวกันบ่อยๆ ว่า ‘รักใครให้แว่นเพราะอยากเป็นคนในสายตา’ ก็เหอะ แต่ในชีวิตจริงมันไม่เวิร์คนะเว้ย นี่พูดเลย!” แล้วจักษุแพทย์ก็อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังร่างสูง และที่วางอยู่บนสันจมูกโด่งนั้นคือแว่นตาอันที่เขากำลังพูดถึง

“ไอ้เต้!” วินทร์แทบจะกระโดดบีบคอธเนตรแล้วตอนนี้

ธเนตรยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดว่าเป็นของที่ตนนั่งหลังขดหลังแข็งทำแน่ๆ ก่อนจะเหลือบมองวินทร์ที่เอามือเกาหน้าผากพยายามตีหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ เขาพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วหันไปยิ้มกว้างให้นรกร “แว่นสวยนะครับ”

“ไอ้เต้!”

ไม่ใช่แค่นรกรที่พูดไม่ออก อทิฏฐ์ครางในลำคอพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก ทำไมเขาจะไม่สังเกตว่าแว่นอันนี้ออกแบบได้เข้ากับรูปหน้าคนใส่ทั้งยังสีที่รับกับเรือนผมและสีตาเหมือนกับถูกสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ นึกนินทาในใจมาตลอดว่าถ้ามีแว่นที่ดูดีและสวยขนาดนี้ก็น่าจะเอามาใส่ตั้งแต่แรก แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นของที่คนอื่นให้มา

“โอ๊ะ! นึกขึ้นได้พอดีว่าต้องรีบไปดูคนไข้ ฉันไปก่อนนะ วันหลังค่อยคุยกัน” ถอดสลักระเบิดวางไว้แล้วธเนตรก็รีบเดินจากไป

ทันทีที่ธเนตรคล้อยหลัง วินทร์หยุดเกาศีรษะพลางเหลือบตามาดูคนที่ยืนมองจ้องเขาอยู่ “เอ่อ...”

“ตกลงนี่ไม่ใช่แว่นตาอันเก่าของพี่วินทร์เหรอครับ” นรกรถาม

“ถ้าบอกไปตรงๆ ก็กลัวนายจะไม่รับนี่...” วินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะลดมือลงล้วงกระเป๋า “แล้วตกลงชอบไหมล่ะ”

“ครับ”

“งั้นก็รับไว้นะ”

“แล้วทำไมพี่วินทร์ถึงทำให้ผมล่ะครับ”

“ฉันแค่ไม่อยากให้นายฝืน” วินทร์บอก “นายไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่คนอื่นคิดว่าดี แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว ถ้าใครๆ เขาจะชอบนายก็ควรจะชอบในแบบที่นายเป็นไม่ใช่คนที่เขาต้องการให้เป็น” เว้นวรรคไปเล็กน้อยและกวาดตามองไปรอบตัวราวกับกำลังหาใครสักคนก่อนจะมาหยุดลงที่คนตรงหน้า “อย่างแว่นตา มันก็ไม่ได้มีแบบเดียวสีเดียวสักหน่อย นายแค่ยังไม่เจออันที่เข้ากับนายก็เท่านั้น... ก็ตามใจนายนะว่าจะลองหาแว่นที่ใช่หรือเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์”

นรกรเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย “ผมชอบใส่แว่นมากกว่า”

“ฉันก็ชอบเหมือนกัน” คำตอบกำกวมกับอมยิ้มหวานมุมปากที่ส่งมาจากร่างสูง ทำให้นรกรต้องเสทำเป็นใช้ปลายนิ้วดันสันแว่นให้เข้าที่เพื่อหลบสายตา กำลังจะคิดหาคำตอบให้อีกฝ่ายเมื่อเสียงห้าวเรียกดังก้องมาตามทางเดิน

“ฮาร์ฟ!”

ยังไม่ทันจะได้หันไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึงเต็มตาท่อนแขนแข็งแรงก็เอื้อมมารั้งร่างโปร่งเข้าแนบอกพร้อมกับเบียดหน้าแนบแก้มจนชิด

“ไม่เจอกันนานคิดถึงเป็นบ้าเลย”

“ธีร์!”

บางครั้งฝนฟ้าก็เล่นตลก เพราะในขณะที่เราเพิ่งจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับพายุลูกแรก เราก็ไม่ได้เตรียมใจไว้รับมือกับพายุลูกที่สองหรือลูกเห็บเม็ดใหญ่ที่ซัดเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว

*****************************************************TBC*************************************

Talk

เขียนมา 7 ตอนเกือบร้อยหน้า A4 แล้วก็พบว่าไม่เคยคุยกะคนอ่านเลย
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้ค่ะ
บางคนคงทราบแล้ว แต่ขออนุญาตพูดซ้ำอีกครั้งว่านี่เป็นภาคต่อของ ER นาทีหัวใจ
แต่ไม่ใช่ความต่อของตัวเนื้อหา แต่เป็นในส่วนของ 'แก่นเรื่อง' ที่เรา(ดันทุรัง)อยากจะเขียนให้ได้

จากนาทีของหัวใจ ที่ยื้อชีวิตและลมหายใจคืนมา สู่เรื่องราวของสิ่งที่ไม่ได้จบแค่การช่วยชีวิต แต่คือการทำให้ 'มีชีวิต' ก็เลยมาเจอกันใน พลิกตำรารักษาหัวใจ


Spoil
จนถึงตอนนี้เรายังยืนยันว่าสำหรับเรา ER คือนิยายฟีลกูดโทนสีชมพูอมเทา แต่ Text book เป็นนิยายโทนสีเทาอมชมพู

ปล1. เรายังยืนยืนอีกครั้งว่าเป็นน้องใหม่มากสำหรับเล้า อะไรที่ลงผิดๆ ถูกๆ บอกเราด้วยน้าาาา
ปล2. เราจะอัพนิยายทุก ศ. ส. อา. ถ้าอาทิตย์ไหนปางตายจริงๆ เราจะบอกล่วงหน้าในเฟส
ปล3. ขอบคุณคุณParacetamol คุณfanglestและcocococoa สำหรับ การแนะนำนิยายในกระทู้ค่ะ 
ปล4. รักนะจุ๊บๆ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ อ่านกี่ครั้งก็ยิ้มแก้มแตกทุกครั้ง นอกจากคำขอบคุณเราคงไม่มีอะไรจะให้นอกจาก ตอนพิเศษจากเรื่องER(คู่ไหนขออุบไว้ก่อนอาทิตย์หน้ารออ่านนะคะ):mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2016 02:07:25 โดย leGGyDan »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
นี่อย่าบอกนะจะมีดราม่าอะไรอีกอ่าาา ม่ายยยย

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ธีร์คือใคร? รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :L2:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อ่านแล้วมีอะไรให้ค้นหาที่ต้องติดตามตอนต่อไป

 :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:


ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
แต่เราดันชอบ text book มากกว่า ER ซะอักนะเนี้ย
ถึงจะบอกว่ามันเทาอมชมพูก็เถอะ (′ェ`)
อาจจะเพราะชอบเรื่องเหนือธรรมชาติ
หรืออาจเพราะชอบที่มันไม่ค่อยกดดัน? มาก
หรือชินแล้วก็ไม่แน่ใจ
อทิฏฐ์ อยากจะตายจริงๆเหรอ
อยู่เถอะนะ ตอนไหนจะเจอร่างทิด สักทีนะ TT
แล้วยังไปโกหกหมอว่าตัวเองตายแล้วอีก
ค่อยๆรักษากันไปสิน่าา
⊙﹏⊙

ออฟไลน์ ment12835

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o8: :o8: :o8:

ปกติไม่เคยอ่านแนวหมอเลย พึ่งมาอ่านเรื่องนี้ แล้วชอบมากกกก อ่านยาวยันตีสาม สนุกมากเลยครับ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
อย่าบอกนะว่ามาม่าชามใหม่กำลังมา !!
 :hao5:

ออฟไลน์ ploysure

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบเรื่องนี้
เมื่อไหร่ฮาร์ฟจะเจอร่างสักที นี่ลุ้นจนแบบ..โอ้ยย
ละพี่วินมาขโมยซีนอก
อัพบ่อยๆนะคะ คือติด คืออยากอ่านต่อ  :hao5:

ออฟไลน์ ROCKLOBSTER

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-4

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ชอบหมอฮาร์ฟกับอทิฏฐ์
เค้ามีความผูกพันกันดี ชอบบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เรารักเรื่องนี้  :katai2-1:

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เขียนได้ผูกพันและซับซ้อน สนุกตรงที่เดาอะไรแทบไม่ได้เลย

ออฟไลน์ banazjj

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ธีย์คือใคร??  :katai1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 8 Pandora

“ธีร์” นรกรละล่ำละลักเรียกคนที่ในชุดกาวน์สั้นที่พุ่งเข้ามากอดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

“เป็นไงฮาร์ฟ สบายดีไหม” ธีร์ปล่อยนรกรออกจากวงแขนก่อนจะใช้สองมือรวบใบหน้าไว้ในอุ้งมือแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งไล้ไปตามขอบตาที่บวมช้ำ “พกแพนด้าน้อยมาทำงานอีกแล้ว นี่เมื่อคืนไม่ได้นอนอีกแล้วล่ะสิ ฉันไม่อยู่ดูแลแป๊บเดียวโทรมไปเยอะเลยนะ”

“แล้วแกไปดูแลฮาร์ฟตอนไหนวะ” วินทร์กระซิบลอดไรฟัน

“คนไข้อาการไม่ค่อยดีน่ะฉันเลยต้องอยู่เฝ้า” นรกรมองคนที่หายไปดูงานต่างประเทศกว่าหนึ่งเดือนโดยไม่ส่งข่าวคราว ผิวที่เคยขาวใสออกสีแทนเล็กน้อยแม้แต่เรือนผมที่เคยดำขลับยังออกแดงไปด้วยเพราะเจ้าตัวเป็นพวกชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเที่ยวไปเล่นเซิร์ฟหลีสาวตามชายหาด เพราะอยู่ฮาวายจะมีอะไรให้ทำมากไปกว่าดูฝรั่งสาวๆ ขาวๆ อึ๋มๆ ในชุดบิกินีตัวจิ๋ว

“แล้วตอนนี้เป็นไงบ้าง”

“ก็ถือว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”

“ให้มันได้ยังงี้สิ นายมันเจ๋งอยู่แล้ว” พร้อมกับรวบตัวเข้ามากอดอีกครั้ง

“ที่นี่เมืองไทยไม่ใช่ฮาวาย!” วินทร์กระแอมเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก

ไม่ใช่แค่วินทร์ที่ไม่สบอารมณ์ ถ้าอทิฏฐ์มีพลังจิตเหมือนผีในหนังก็คงจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อจับทั้งสองแยกออกจากกันแล้ว

...หมอนี่มันเป็นใครวะมาถึงก็ทั้งกอดทั้งไซร้ไม่แคร์สายตาผีสางเทวดา แล้วทางนี้ก็เหมือนกัน ไหนบอกคุยไม่เก่งไงแล้วไอ้ที่พูดแจ้วๆ แถมยังไม่ใช้คำสุภาพเหมือนคนอื่นๆ นั่นคือไร...

“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

ธีร์คลายวงแขนออกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ “เมื่อคืน มาถึงก็สลบเหมือด พอตื่นก็อาบน้ำมาโรงพยาบาล กระเป๋ายังไม่ได้รื้อเลยเนี่ย ของฝากไว้เอาพรุ่งนี้นะ แล้วนี่นายเป็นอะไรวินทร์ไอโขลกๆ อยู่ได้ ไม่สบายก็ไปหาพี่เบลล์ไป๊”

“พูดงี้อยากลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงหรือไง พี่เบลล์เป็นหมอสัตว์นะเว้ยไม่ใช่หมอคน”

...เอาเลยพี่วินทร์ผมจะยอมเจียดค่าทำศพมาจ้างรถแบ็คโฮให้ ขุดให้ลึกๆ แล้วฝังหมอนี่ให้มิดเลยนะครับ...

“เปลี่ยนจากมะม่วงเป็นขนุนได้ไหม พอดีหลังบ้านมีอยู่ต้นหนึ่ง ตอนเป็นเด็กฉันเคยไปปูเสื่อนอนคุยกับมันบ่อยๆ ฮาร์ฟก็ด้วย” หันไปพยักเพยิดกับคนที่ยังอยู่ในวงแขน “พูดแล้วก็คิดถึงจังว่างๆ ไปนอนด้วยกันอีกนะ”

...ทำไมนายไม่โชคดีเหมือนนิวตันบ้างนะ ป่านนี้ขนุนต้นนั้นคงมีคนอยู่เฝ้าแล้ว...

อทิฏฐ์ทำท่าจะกระโดดบีบคอเข้าจริงๆ เมื่อนรกรแกะอุ้งมือใหญ่ออกจากตัวได้สำเร็จและหันมาปรามทางหางตา เขาจึงยอมกลับไปยืนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอีกครั้ง

“แล้วนี่ไปหาอาจารย์สรวิชญ์มาหรือยัง”

“ป๊าน่ะเหรอ” ธีร์ถามกลับ “ไปที่ภาคมาแล้วแต่วันนี้ไม่มาทำงานอย่างว่าแหละเมื่อคืนเจอศึกหนักขนาดนั้นเป็นฉันก็คงอยากลายาวๆ”

“อะไรของแกวะ” วินทร์เกาหัวแกรก

“อ้าว อยู่เมืองไทยแท้ๆ ไม่ได้ดูข่าวเลยเหรอวะ” หลิ่วตาให้วินทร์พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดหน้าฟีดข่าวให้ดู “ฉันนั่งดูข่าวช่อง CNN ตอนรอเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลีเห็นออกข่าวกันครึกโครมว่ามีนักการเมืองบ้านเราที่ดังๆ น่ะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกหามเข้าโรงพยาบาลต้องผ่าตัดด่วนนี่ งานระดับชาติแบบนี้ป๊าต้องได้รับเชิญไปลงมีดแน่ ฉันเลยส่งข้อความไปให้กำลังใจถึงจะตอบกลับมาสั้นๆ แค่อือก็เถอะ” ธีร์กรอกตาครั้งหนึ่ง “ทีคนไข้ละไปนั่งเฝ้าเช้าเย็น ทีกะลูกกะเต้านะ... เฮ้อ~ เฮ้ย! ว่าแต่เรื่องมันเป็นไงมาไงวะ ป๋าเป็นคนผ่าแท้ๆ แต่ทำไมข่าวเมื่อเช้าถึงบอกว่าอาจารย์ธนบดีได้เลื่อนตำแหน่งเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในกระทรวงสาธารณสุขเฉยเลยล่ะ แล้วอีกอย่างงานนี้ป๊าก็เป็นตัวเก็งอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“เรื่องผ่าตัดน่ะฉันรู้ แต่ถ้าเรื่องเข้ากระทรวงฉันไม่รู้จริงๆ ว่ะ”

“เมื่อห้าปีที่แล้วก็ปฏิเสธตำแหน่งคณบดีคณะแพทย์ไป ปีกลายก็รองผอ. นี่ถึงขนาดได้เป็นที่ปรึกษายังไม่เอาอีก ไม่รู้ว่าป๊าคิดอะไรอยู่ถึงปฏิเสธความก้าวหน้าในอาชีพตัวเอง” ธีร์ยังไม่เลิกบ่น “ฮาร์ฟรู้ไหม”

นรกรส่ายหน้า เขารู้ว่าบิดาของตนมีฝีมือเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ไม่ว่าจะเรื่องผ่าตัดหรือเรื่องเลื่อนตำแหน่งทั้งหมดเขาเพิ่งทราบจากธีร์เดี๋ยวนี้เอง “พ่อไม่เคยบอกอะไรฉันนานแล้ว”

“คงเห็นนายยุ่งๆ น่ะ” ธีร์โบกมือให้ทำนองว่าอย่าไปใส่ใจ

แต่นรกรคิดมากไปแล้ว พ่อแทบไม่เคยตอบข้อความเขา ในขณะที่ตอบธีร์ทุกฉบับแม้จะแค่คำสั้นๆ

ธีร์เป็นน้องชายบุญธรรมของเขา เป็นลูกของเพื่อนสนิทของพ่อที่เกิดห่างจากเขาแค่สามเดือนซึ่งโชคร้ายทั้งพ่อและแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตตอนอายุได้ห้าขวบ เพราะไม่มีญาติที่ไหนศาสตราจารย์สรวิชญ์จึงรับมาอุปการะไว้เอง ถึงจะจดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมแต่ก็ไม่ได้ให้เปลี่ยนนามสกุลเพราะยังถือว่าเป็นลูกชายของเพื่อนรักหากก็มีสิทธิ์ในบ้านนี้ทุกอย่างเทียบเท่ากับเขา

ไม่สิ! บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะธีร์มีอิสระสามารถทำได้ทุกอย่าง ในขณะที่เขาต้องเดินตามกรอบที่ขีดไว้ให้เท่านั้น
เขายังจำได้ดี วันที่ได้กลับบ้านเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ารับการบำบัด เด็กชายแปลกหน้าสวมชุดนักเรียนที่มานั่งอยู่บนเตียงอีกหลังในห้องนอนของเขา

‘ฮาร์ฟ นี่ธีร์ต่อจากนี้เขาจะมาเป็นน้องชายของลูกนะ’ แม่เดินตามหลังเข้ามานั่งข้างเด็กคนนั้นและลูบศีรษะอย่างรักใคร่

‘ธีร์ไม่เหลือใครแล้วนอกจากเรา ฮาร์ฟต้องรักธีร์ให้มากๆ นะ’ พ่อสำทับ

เขาจ้องมองเด็กชายตรงหน้าที่ส่งยิ้มกว้างให้ก่อนจะลุกจากเตียงเข้ามาสวมกอด

‘ฝากตัวด้วยนะครับพี่ฮาร์ฟ’

เขาไม่ได้รังเกียจอ้อมกอดนั้น แต่บางทีเขาก็แค่สังสัยว่ามันยังมีอยู่ใช่ไหม... ที่ๆ เป็น ‘ที่ของเขา’

“อ้าว ป๊าตอบข้อความมาแล้ว” ธีร์กดโทรศัทพ์เปิดอ่านข้อความให้ฟัง “ป๊าชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกันวันนี้น่ะฮาร์ฟ”

“ฝากบอกพ่อด้วยว่าฉันไม่ว่างมีเข้าผ่าตัด”

“หึย งั้นนายคุยเองเถอะ นายก็รู้ สำหรับป๊านี่มันเป็นคำสั่งไม่ใช่การชวน”

“นายบอกพ่อไปแบบนั้นแหละ” นรกรยืนยัน “เพราะพ่ออยากกินข้าวกับนายไม่ใช่ฉัน... ขอตัวก่อนนะ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ” พูดจบก็เดินแยกออกไปอีกทาง

“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครน่ะ ใช่เดนท์อีกคนที่เคยพูดถึงหรือเปล่า ทำไมคุณถึงยอมให้เขากอด แล้วทำไมเขาเรียกพ่อคุณว่าป๊าล่ะ เขาเป็นพี่ชายคุณเหรอ” อทิฏฐ์ที่วิ่งเหยาะๆ ตามมารัวคำถามใส่เป็นชุด

“น้องชาย” นรกรแก้ให้ถูกต้อง หน้าที่หงิกเป็นมะเหงกของอทิฏฐ์ค่อยยืดออกก่อนจะหุบลงอีกครั้งเมื่อนรกรอธิบายต่อ“เขาเป็นลูกของเพื่อนสนิทที่ครอบครัวผมรับมาเลี้ยง”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปกินข้าวกับพ่อล่ะ” เขารู้ตารางงานของนรกรซึ่งว่างไปจนถึงช่วงเย็นซ้ำยังไม่ได้อยู่เวร ถ้าไม่มีเคสผ่าตัดด่วนและโดนตามให้มาช่วยก็เท่ากับว่าเขามีเวลาว่างยาวจนถึงเช้า

“ก็ตามที่บอกน่ะแหละ... พ่อไม่ได้อยากเจอผมจะไปเป็นตัวแถมให้เสียเวลาทำไม แล้ววันมะรืนนี้ก็ต้องพรีเซนต์งานวิจัยแล้ว ผมอยากตรวจทานอีกรอบให้แน่ใจน่ะว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด”

“วิจัยอีกล่ะ นี่ใจคอจะเอาโนเบลสาขาคนขยันเพื่อสันติสุขแห่งชาติเลยไหมครับคุณ” อทิฏฐ์ว่า

“แล้วนายอยากลงกินเนสบุคบ้างไหมล่ะ”

“เรื่องอะไรครับ”

“เป็นผีที่ได้ตายสองรอบไง ถ้าไม่ช่วยกันทำก็หัดอยู่เงียบๆ สักห้านาทีได้ไหม”

“ได้สิครับ” ร่างโปร่งแสงรับคำเสียงใส “โอเค เริ่มนับถอยหลัง สี่นาทีห้าสิบเก้าวินาที สี่นาทีห้า...”

“อทิฏฐ์!”

ร่างโปร่งแสงยกมือขึ้นปิดปากฉับทั้งที่ยังทำลอยหน้าลอยตา

oooooo

“มีอะไรเหรอ” อทิฏฐ์ถามคนที่เอาแต่เหม่อมองดูเสื้อกาวน์สีขาวที่แขวนอยู่หน้าตู้ทั้งที่ปิดไฟเตรียมจะนอนนานแล้ว

“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนิดหน่อยน่ะ” นรกรกระซิบ “อทิฏฐ์... ขอโทษนะ คุณเรียนจบหรือยังแล้วจำวันรับปริญญาของตัวเองได้ไหม”

“ขอนึกก่อน” อทิฏฐ์ที่นั่งเหยียดขาอยู่ข้างเตียงตรงที่ประจำเงยหน้าขึ้นมองฝ้าเพดานแล้วหลับตาลง พยายามนึกย้อนกลับไป

เกิดจุดสีมากมายขึ้นในหัวก่อนจะไหลมารวมกันแล้วเรียงร้อยออกมาเป็นภาพเหตุกาณ์ที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งและค่อยๆ เล่ามันออกมาเท่าที่นึกได้

“พ่อกับแม่ขับรถจากต่างจังหวัดมารอถ่ายรูปกับผมแต่เช้ามืด พ่อใส่สูทอย่างหล่อ ส่วนแม่ก็สวมชุดผ้าไหมที่สั่งตัดมาใหม่ พอทำพิธีเสร็จฝนก็มาหาพร้อมกับบูเก้ที่ทำจากชอคโกแลตช่อใหญ่แล้วพวกเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน ที่ร้านอาหารข้างมหา’ลัย คนแน่นมากพอได้โต๊ะฝนก็รีบถอดรองเท้าส้นสูงออกเพราะโดนรองเท้ากัด ผมแซวฝนว่ารู้ว่าเดินมากแล้วยังฝืนใส่ทำไม เธอก็บอกว่ากลัวจะไม่สวย ไม่เข้ากับชุด โน่นนี่นั่นตามประสาผู้หญิง แล้วสุดท้ายผมก็ต้องแบกเธอขึ้นหลังเอาไปส่งที่บ้านเพราะทนเห็นเธอเดินกะเผลกไม่ไหว”

เล่าด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขก่อนจะเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่านรกรถูกคณิณบอกเลิกในวันนั้น

แต่นรกรกลับส่งยิ้มบางให้เขา “คุณนี่ก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกันนะ”

“แต่ก็ไม่มีใครรัก” อทิฏฐ์ไหวไหล่ “ถามผม แล้วคุณล่ะ”

“พ่อกับแม่ผมติดผ่าตัดทั้งคู่เลย”

“น่าเสียดายนะ แต่มันก็...”

“ช่วยไม่ได้” นรกรต่อให้ “ผมเข้าใจ... แต่คงจะไม่เสียใจเลยถ้าสามวันต่อมาธีร์ไม่ได้เอารูปถ่ายกับพวกท่านมาอัดใส่กรอบติดบนฝาผนังในห้องนอนของเรา” เว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อสูดลมหายใจเข้าจนสุด “น่าแปลกนะ ทั้งที่เรียนด้วยกันจบพร้อมกันแต่เขามีรูปกับพ่อแม่ในขณะที่ผมไม่มี”

“คุณ... ไม่ชอบธีร์เหรอ”

“ผมไม่ได้ไม่ชอบเขา แต่เขาคือเหตุผลที่ผมต้องเป็นที่หนึ่ง” นรกรเริ่มต้นเล่า “ตั้งแต่ประถม มัธยมจนถึงมหา’ลัย... ผมไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เขามีทางเลือก ทั้งๆ ที่พ่อไม่เคยบังคับว่าเขาต้องเรียนอะไรแต่ทำไมเขาต้องพยายามทำทุกอย่างเหมือนผม ทั้งคณะและสาขาที่เรียน... พรีเซนต์วิจัยมะรืนนี้ ต่อให้ไม่มีพี่วินทร์ ผมก็ไม่มีวันได้รับเลือกอยู่ดี... เฮ้อ นี่ผมพูดอะไรไร้สาระให้คุณฟังเนี่ย ขอโทษนะ”

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ผมชอบนะเวลาที่คุณเล่าอะไรให้ผมฟัง” อทิฏฐ์บอก “และถึงอาจารย์สรวิชญ์จะไม่ชอบหน้าคุณ แต่เขาต้องฟังคุณเพราะผลงานของคุณดีไม่เป็นสองรองใครเลย”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ ก็คุณทุ่มเททำจนมันออกมาเป๊ะเวอร์ขนาดนั้นนี่” อทิฏฐ์ยิ้มกว้าง “แต่ตอนนี้คุณต้องนอนก่อนนะ... นอนสิเอ้างี้ถ้าคุณนอนไม่หลับงั้นผมจะร้องเพลงกล่อมนะ”

“พอเลย” นรกรหัวเราะคิกพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้า “เป็นผีดีๆ อยู่แล้วไม่ต้องริจะเป็นนักร้องเลย”

“โธ่~ คนเขาอุตส่าห์หวังดี” อทิฏฐ์กอดอกหันหลังพิงขอบเตียงเมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นมาจากโปงผ้าห่ม

“อยากร้องก็ร้องสิ”

“เอาเพลงไรดี”

คุณหมอหนุ่มม้วนผ้าห่มลงมาไว้ที่อกและพลิกตัวกลับมา “Stay รู้จักไหม”

“ของปาล์มมี่น่ะเหรอ”

นรกรจ้องตาคนตรงหน้าอยู่อึดใจ “ใช่”

อทิฏฐ์จับคางทบทวนเนื้อเพลงที่ได้ฟังผ่านรายการวิทยุและเริ่มต้นร้อง แต่แค่ผ่านไปได้ท่อนเดียวร่างโปร่งก็หัวเราะหึและมุดหนีเข้าโปงผ้าอีกครั้ง

“โคตรเพี้ยนเลย”

“เอ้า! เป็นคนบอกให้ผมร้องเองแล้วไหงพูดงี้อะ นี่ผมไม่เคยร้องเพลงให้ใครฟังมาก่อนเลยนะ แม้แต่ฝนก็ไม่เคย”

“ก็ไม่คิดว่าจะเลวร้ายขนาดนี้นี่นา” นรกรหัวเราะออกมาในที่สุดแล้วเปิดผ้าห่มออกมา เห็นร่างโปร่งแสงกอดอกทำหน้ามุ่ยมองจ้องอยู่ เขามองตอบสายตาคู่นั้นก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง “ร้องต่อสิ... เพี้ยนก็ช่าง ผมอยากฟังอีกเพราะเสียงทุ้มๆ ของคุณฟังแล้วอบอุ่นดี”

“ชมกันแบบนี้เดี๋ยวก็อยู่ร้องให้ฟังตลอดชีวิตซะเลยนี่” แล้วเขาก็เริ่มต้นร้องอีกครั้ง

นรกรแนบแก้มลงกันหมอนตั้งใจฟังเสียงที่คลออยู่ข้างหูก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะดึงให้จมสู่ห้วงนิทราฝัน

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

เสียงเจื้อยแจ้วดังทักทายมาจากในบ้าน ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์รถดับลง สรวิชญ์ก้าวลงจากรถพร้อมกับเด็กชายตัวสูงในชุดนักกีฬา

สรวิชญ์เปิดประตูเข้าบ้านพลางดึงปมเนกไทที่พันอยู่รอบคอให้คลายออก เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการผ่าตัดและไปรับลูกชายคนรองกลับจากแข่งขันฟุตบอลประจำจังหวัดในระดับมัธยมต้นซึ่งแน่นอนว่าสามารถคว้าชัยชนะนำถ้วยกลับมาเป็นเกียรติประวัติให้โรงเรียนได้ วันนี้ภรรยาของเขามีเคสผ่าตัดและน่าจะกลับมาหลังสามทุ่มไปแล้ว เขากวาดตามองไปรอบบ้านที่เงียบเชียบเพื่อหาลูกชายอีกคน

“ทำอะไรอยู่ฮาร์ฟ”

“พ่อครับมาช่วยผมหน่อย”

“อะไร” ถามพลางเดินเข้าไปในครัวซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียง ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่น จนธีร์ที่กำลังจะถอดเสื้ออาบน้ำต้องวิ่งพรวดพราดออกมาดู

สรวิชญ์ยืนเท้าเอวปั้นหน้าถมึงทึง ในมือถือมีดปอกผลไม้เล่มเล็กที่เพิ่งยื้อแย่งมาจากลูกชายได้ “มาถือมีดวิ่งไปมาอะไรแบบนี้ เล่นซนอะไรไม่เข้าเรื่อง”

“ผมไม่ได้ซนนะ ผมแค่...” เด็กชายตัวสั่นกับท่าทีกราดเกรี้ยวของผู้เป็นพ่อ เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนทำโครงงานวิทยาศาตร์ส่งประกวดของโรงเรียนและหัวข้อคือส่วนประกอบและโครงสร้างของสัตว์ อาจารย์สั่งให้ผ่ากบเพื่อนำมาประกอบแต่เขาจะทำได้ยังไงในเมื่อแค่มีดยังจับไม่เป็นด้วยซ้ำ “มันเป็นงานโรงเรียน ผมบอกพ่อแล้วไงครับว่า...”

“อย่าเถียง!” พ่อว่า “แล้วอย่าให้พ่อเห็นเป็นครั้งที่สองนะว่าแกจับมีดอีก”

“แต่...”

“ไป!” ตวาดอีกครั้งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่บันได “ขึ้นห้องนอนเดี๋ยวนี้ ทำไมถึงไม่รู้จักทำตัวดีๆ แบบธีร์บ้างนะ”


เปลือกตาเปิดพรึ่บขึ้นในความมืด นรกรกรอกตาไปมาเมื่อคุ้นชินกับความมืดและตั้งสติได้ว่าที่นี่คือห้องนอนในห้องพักแพทย์ไม่ใช่ห้องนอนที่บ้าน เขาก็ฟาดมือลงบนผ้าห่มก่อนจะชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นนั่งแล้วก้มหน้าลงซบ

“บ้าเอ๊ย! เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว มาฝันอะไรเอาตอนนี้เนี่ย”

“เป็นอะไรคุณ ฝันร้ายเหรอ” อทิฏฐ์ดึงตัวขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง

“แค่เรื่องเก่าๆ น่ะ” นรกรตอบเสียงอู้อี้ออกมาจากอ้อมแขนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง

อทิฏฐ์มองดูคนที่เอามือก่ายศีรษะพยายามข่มตาให้หลับแล้วขยับตัวเข้าใกล้มากขึ้นอีก

“คุณจะทำอะไรน่ะ” นรกรถามเมื่อร่างโปร่งแสงวางมือทับลงมาบนดวงตาทั้งสองข้าง

“พ่อชอบทำแบบนี้บ่อยๆ ตอนผมเป็นเด็กน่ะ” อทิฏฐ์ตอบพลางลูบมืออีกข้างเบาๆ ไปบนเรือนผมสีอ่อน เมื่ออีกฝ่ายยอมปิดเปลือกตาลงเขาก็ก้มหน้าลงต่ำจนสัมผัสได้ลมหายใจจากปลายจมูกโด่งที่พุ่งผ่านไป เขาเม้มริมฝีปากแน่นและขยับไปกระซิบที่ข้างหู “หลับซะ คืนนี้จะไม่มีอะไรทำร้ายคุณได้อีก ผมจะเป็นกับดักฝันร้ายให้คุณเอง ฝันดีนะครับ”

แม้จะสัมผัสไม่ได้แต่นรกรรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของอะไรบางอย่างที่แตะลงบนหน้าผาก เขาปล่อยใจไปกับความรู้สึกนั้นและหลับสนิทจนถึงเช้าโดยไม่ฝันอีกเลย

oooooo

“ฮาร์ฟ~ ทุกอย่างโอเคไหม” ธีร์ร้องทักเมื่อเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องพักแพทย์เห็นร่างโปร่งนั่งหน้าเครียดอยู่หลังคอมพิวเตอร์โน้ตบุค ข้างกันมีตำราวางซ้อนกันเป็นตั้งสูง ทุกเล่มมีกระดาษหรือโพสอิสหลากสีคั่นไว้เต็มไปหมด

“อืม” นรกรตอบ

เขากวาดตามองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงดึงประตูปิดและเดินมายืนมือไพล่หลังดู “เมื่อวานเสียดายนายไม่มา ป๋าพาไปกินร้าน Midnight ที่เมื่อก่อนเราไปด้วยกันบ่อยๆ น่ะ รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิมแถมยังปรับปรุงร้านใหม่บรรยากาศดีสุดๆ”

“อืม” นรกรยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ พยายามไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ในขณะที่อทิฏฐ์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กันได้แต่เอามือเท้าคางดูวิธีการที่สองพี่น้องสื่อสารกัน

“แล้วงานวิจัยของนายถึงไหนแล้ว”

“ก็เรียบร้อยดี”

“พรุ่งนี้พรีเซนต์แล้วนี่ ขอให้ราบรื่นนะ”

“นายก็เหมือนกัน”

ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่จิงโจ้เยี่ยมหน้าเข้ามา “พี่ฮาร์ฟอยู่นี่เอง พี่ธีร์ด้วย พอดีมีเคสมาใหม่ที่ ER น่ะครับ ผมเพิ่งถูกตามลงไปดูพวกพี่จะไปพร้อมผมไหม”

“คนไข้เป็นอะไรมา” นรกรถามพลางกดเซฟงานและปิดคอมพิวเตอร์ เขาทำเสร็จนานแล้วเพียงแต่เอามาตรวจเช็กคำผิดและเตรียมคำตอบไว้สำหรับข้อคำถามที่น่าจะโดนคณะกรรมการซักพรุ่งนี้

“เห็นว่าปั่นจักรยานล้มหัวกระแทกขอบทางเท้ามาสามวันแล้วครับ วันนี้จู่ๆ ก็เริ่มมีแขนข้างขวาอ่อนแรงเลยให้ญาติพามาโรงพยาบาล”

“แล้วหมอที่ ER ทำอะไรให้เราแล้วบ้าง” ธีร์ถามเพิ่มและเดินตามออกประตูไปด้วยกัน

เมื่อทุกคนออกไป ภายในห้องพักแพทย์จึงกลับมามืดทึบและเงียบสนิท ก่อนที่ประตูค่อยถูกแง้มออกอีกครั้งและใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาไม่ยอมเปิดไฟและดูจะคุ้นชินกับข้าวของในห้องดีเพราะสามารถเดินเลี่ยงของที่วางระเกะระกะบนพื้นตรงไปยังโต๊ะทำงานที่นรกรวางโน้ตบุคทิ้งไว้

ใครคนนั้นไม่รีรอที่จะกดสวิซต์เปิดเครื่อง แสงไฟสีขาวอมฟ้ากะพริบขึ้นก่อนหน้าจอจะขึ้นกล่องเตือนให้ใส่รหัสผ่าน เขาจับคางครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะใส่ตัวเลขสี่หลักลงไป

ครั้งแรกไม่ผ่าน เขานิ่งคิดไปพักใหญ่ก่อนจะใส่รหัสอีกครั้งแล้วกดเอนเตอร์ ซึ่งได้ผล คอมพิวเตอร์เปิดเข้าสู่หน้าหลัก เขาชี้เมาส์ไปที่ปุ่มสตาร์ทแล้วเปิดไฟล์ที่ใช้งานล่าสุดขึ้นมา รอยยิ้มแสยะผุดขึ้นบนเรียวปาก เขาวางนิ้วลงบนแป้นพิมพ์สามปุ่ม Ctrl + Alt + Delete และกดพร้อมๆ กันก่อนจะกดเซฟแล้วปิดคอมพิวเตอร์เก็บวางไว้ที่เดิม
 
เงาตะคุ่มในความมืดยิ้มอย่างพอใจในผลงานของตัวเองก่อนจะเดินกลับออกประตูไปอย่างเงียบเชียบ

เวลาล่วงไปจนตะวันตกดินนรกรจึงเสร็จจากคนไข้ที่ ER และกลับมาที่ห้องพักแพทย์อีกครั้ง เขายกสายกระเป๋าโน้ตบุคขึ้นพาดบ่าโดยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ และยังมั่นใจในผลงานของตน จนกระทั่งกลับไปถึงห้องและเปิดมันขึ้นมาดูอีกครั้ง

“ไม่มี มันหายไปไหน”

“เกิดอะไรขึ้นคุณ” อทิฏฐ์วิ่งจนแทบจะบินเข้ามายืนข้างๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก

“ไฟล์งานวิจัยของผม มันหายไปทั้งหมดเลยเหลือแต่หน้ากระดาษเปล่าๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบสำรวจ ตัวเนื้อหาหรือแม้แต่เพาเวอร์พอยต์”

“เฮ้ย! มันจะเป็นไปได้ยังไง” อทิฏฐ์ว่าแต่เมื่อมาดูให้เห็นกับตาก็เข้าใจ เครื่องไม่ได้โดนไวรัส ไฟล์ไม่ได้ถูกลบทิ้งแต่มันถูกแก้ไขและคนทำก็ฉลาดมากเพราะการทำแบบนี้จะไม่สามารถกู้ไฟล์เก่าคืนมาได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหาตัวคนทำเพราะนรกรต้องนำเสนอผลงานตอนเก้าโมงเช้าพรุ่งนี้ “ใจเย็นๆ คุณมีไฟล์สำรองไหม”

“มีก๊อปปี้ไว้แต่เป็นส่วนที่ยังทำไม่เสร็จมีแค่ครึ่งเดียวเอง... ผมจะทำยังไงดี” ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษเมื่องานวิจัยที่เฝ้าเก็บข้อมูลมาสี่ปีเต็มนับจากวันที่กำหนดหัวข้อได้อันตธานหายไปเหลือเพียงหน้ากระดาษเปล่าๆ ถ้าคอมพิวเตอร์พังเขายังมีข้ออ้างที่ดูน่าฟังในการขอเลื่อนการนำเสนอ แต่เนื้อหาทั้งหมดหายไปแบบนี้เขาไม่สามารถอ้างอิงอะไรได้เลย มีทางเดียวคือเขาต้องทำใหม่ทั้งหมดภายในคืนเดียว

“ฮาร์ฟ” อทิฏฐ์เอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากตรึกตรองอยู่อึดใจ “ทำไมคุณไม่ลองไปขอไฟล์จากพ่อ... จากอาจารย์สรวิชญ์ล่ะ ผมจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณส่งงานให้เขาไปนี่ไม่ใช่แค่รูปเล่มแต่ยังมีไฟล์ใส่ CD ให้เขาไปเปิดดูด้วย ถึงมันจะมีบางจุดที่คุณยังไม่ได้แก้ก็เถอะแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรในมือนะ”

“ผมไม่ได้ลืม” นรกรตอบ “แต่คุณจำไม่ได้เหรอว่าเขาโยนมันทิ้งลงถังขยะไปแล้ว”

“ลองถามดูก่อนไหม เผื่อเขาจะเปลี่ยนใจเก็บมันขึ้นมา”

“ผมจะลองดู” นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปที่หน้ารายชื่อแล้วเลือกเบอร์ของพ่อขึ้นมา นัยน์ตาหลังกรอบแว่นเพ่งมองอยู่อึดใจก่อนจะกดโทรออก

เสียงรอสายดังจนหลุดไปเองก็ยังไม่มีคนรับ เขาลดโทรศัพท์ลงและส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

“โทรจนกว่าเขาจะรับ” อทิฏฐ์ว่า “เพิ่งจะสองทุ่ม ยังไม่ดึกจนน่าเกลียดเสียหน่อย”

นรกรกดโทรออกอีกครั้ง เขาเพียรโทรจนสายตัดอยู่เกือบสิบสายจึงละความพยายาม “เขาคงไม่อยากรับโทรศัพท์ผม”

“ลองส่งข้อความดูไหม”

ริมฝีปากเม้มแน่น นรกรพยักหน้าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเสียงเรียกเข้าดังสวนขึ้นพอดี

Daddy is calling

“รีบรับสิคุณ” อทิฏฐ์ร้องบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองราวกับไม่เชื่อสายตา

นรกรกดรับ ยังไม่ทันจะได้กรอกเสียงลงไปปลายสายก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน “มีธุระอะไร”

“อาจารย์ครับ”

“มีอะไร”

“ผมจะขอ CD งานวิจัยที่ส่งไปเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะครับ พอดีมันมีปัญหานิดหน่อยไม่ทราบว่าอาจารย์ยังอยู่ที่ภาคไหมครับ”

“ไม่อยู่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเสียงห้วน นรกรเม้มปากสนิท เขากำลังจะเอ่ยขอบคุณและวางสายเมื่ออีกฝ่ายพูดต่อ “พ่อเอากลับมาเปิดดูที่บ้านน่ะ ถ้าอยากได้ก็กลับมาเอาสิ”

หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอกไม่ใช่แค่ว่า CD งานยังอยู่ แต่เป็นเพราะคำเรียกแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ ที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานและคนๆ นั้นกำลังบอกให้เขา ‘กลับบ้าน’

“ขอบคุณครับ”




(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2016 18:21:49 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 8 (ต่อ)

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคชะลอจอดหน้าประตูบ้าน ร่างโปร่งเปิดประตูลงมายืนข้างรถและแหงนมองบ้านสองชั้นหลังใหญ่ตรงหน้าที่ไม่ได้กลับมาเหยียบหลายปี มันยังเหมือนเดิมทุกอย่างกับในความทรงจำเมื่อครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น
   
ตรงมุมชั้นสองที่ซึ่งเคยเป็นห้องของเขามีแสงไฟเปิดอยู่ก่อนจะปิดลง ท่าทางธีร์จะอยากกลับมานอนบ้านหลังจากไปอยู่ต่างประเทศนาน

“บ้านคุณสวยดีนะ” อทิฏฐ์เดินอ้อมรถมายืนข้างๆ “ท่าทางมีพื้นที่ใช้สอยคุ้มทีเดียว”
   
“ปู่ผมเป็นสถาปนิก เขาเป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้เอง บอกว่าอยากให้ลูกหลานมาอยู่ด้วยกัน... แต่น่าเสียดายนะที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพ่อกับแม่”

“วันหลังคุณก็หัดกลับบ้านบ่อยๆ สิ”   

“ถ้าพวกเขายังต้อนรับผมอยู่ล่ะก็นะ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” อทิฏฐ์ถามกลับ “วันก่อนพ่อก็ชวนคุณไปกินข้าว วันนี้ก็ชวนกลับบ้าน บ้านก็คือบ้านยังไงซะพวกคุณก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ”

นรกรไม่ตอบแล้วเดินนำไปที่ประตูไม้บานคู่ตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปสัมผัสลูกบิดพบว่ามันไม่ได้ล็อกจึงค่อยผลักเปิดและเดินนำเข้าไป รู้สึกประหม่าเหมือนเป็นคนแปลกหน้าทั้งที่ที่นี่คือบ้านของเขาเอง

เขาเดินผ่านเข้าไปยังโถงรับแขก กำลังกวาดตามองหาใครสักคนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง

“มาแล้วเหรอฮาร์ฟ”

นรกรหันไป ศาสตราจารย์สรวิญ์ยังอยู่ในชุดทำงานแต่ถอดเนกไทออกแล้วและพับแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอกทำให้เขาดูเหมือนจะผ่อนคลายมากกว่าทุกที หากเครื่องหน้านั้นก็ไม่ได้ดูดุดันน้อยลงเลย ซ้ำยังดูอิดโรนเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน
   
“ผมมาเอาของครับ... พ่อ” เสี้ยววินาทีที่ลังเลว่าจะใช้คำแทนว่าอะไรแต่เพราะคนตรงหน้าเรียกเขาด้วยชื่อเล่น นรกรจึงเปลี่ยนสรรพนามตามไปด้วย
   
“ตามมาสิ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับหลังหันเดินนำไปยังห้องทำงาน

หากนรกรยังลังเลไม่ยอมขยับ

“ทำไมไม่ตามไปล่ะคุณ” อทิฏฐ์ถาม

“ผมรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นผีครั้งแรกที่นั่น” นรกรกระซิบพลางพยักเยิดไปที่กรอบรูปขาวดำที่อัดใส่กรอบไว้บนผนัง“คุณเห็นผู้ชายหน้าตาถมึงทึงในรูปนั่นไหม เขาชื่อคุณสุชาติเป็นปู่ผมเอง ท่านเสียไปก่อนที่ผมจะเกิดและชอบมานั่งดูพ่อทำงานอยู่ตรงมุมห้องแล้วก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผมฟัง แต่พอผมบอกพ่อว่าคุยกับใคร ผมก็โดนสั่งห้ามไม่ให้เข้าห้องนั้นอีกเลย”

“แต่เมื่อกี้เขาบอกให้คุณตามไปนะ”

ร่างโปร่งพยักหน้าและค่อยเดินตามไป ประตูห้องถูกเปิดอ้าไว้ เขาหยุดยืนอยู่ที่ประตูและมองเข้าไปข้างใน มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ก่อชั้นหนังสือจนถึงเพดานทุกด้าน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอใส่หนังสือทำให้ต้องวางกองสุมๆ อยู่บนพื้นตรงนั้นตรงนี้ โต๊ะทำงานไม้สักรูปครึ่งวงกลมตั้งอยู่กลางห้อง มีโซฟาสีน้ำตาลตัวเก่าตั้งอยู่ที่มุมในสุดข้างชั้นหนังสือ

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมยกเว้นก็เพียงบนโซฟาตัวนั้นไม่มีชายชรานั่งอยู่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นเขาเป็นวันที่นรกรรู้ผลสอบแพทย์ และนั่นเป็นครั้งแรกที่คุณปู่ลุกออกจากโซฟาเดินมาหาเขาถึงห้องนอนบนชั้นสองเพื่อแสดงความยินดี

“แล้วแม่ล่ะครับ” นรกรพยายามชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบชวนอึดอัดระหว่างที่พ่อของเขาหาของ

“มีผ่าตัดน่ะ เพิ่งโดนตามไปลงมีดเมื่อกี้เองคงเสร็จเกือบๆ เช้าเลยมั้ง”

“แล้วธีร์ล่ะครับ”

“อยู่หอ เตรียมพรีเซนต์วิจัย”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันถ้าเช่นนั้นเมื่อสักครู่ใครอยู่ในห้องของเขา

“หลังเรียนจบแกจะกลับมาอยู่บ้านไหม”

“ก็... ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย ทำไมเหรอครับ”

“พ่อคิดว่าจะใส่ชื่อบ้านหลังนี้เป็นชื่อธีร์”

“พ่อจะยกบ้านนี้ให้ธีร์เหรอครับ แต่ปู่เป็นคนออกแบบแล้วก็สร้างมันขึ้นมานะครับ”

“ปู่แกตายไปนานแล้ว” มีกระแสของความไม่พอใจเจืออยู่ในน้ำเสียง “พ่อจะยกให้ใครมันก็สิทธิ์ของพ่อ”

“แล้วผมล่ะ” นรกรถามเสียงแผ่ว

นัยน์ตาสีเทาเหลือบมามอง “ก็ถึงได้ถามไงว่าแกจะว่ายังไง”

เหมือนมีใครกระชากหัวใจออกจากอก มือทั้งสองสั่นจนเขาต้องกำเป็นหมัดแน่น ...นี่ไงที่สาเหตุที่โทรมาชวนไปกินข้าวด้วยกัน นี่ไงสาเหตุที่บอกให้กลับบ้าน และนั่นอธิบายเหตุผลที่มีใครเข้าไปในห้องตอนที่เขาไม่อยู่ได้เป็นอย่างดี... ทั้งหมดก็เพื่อจะบอกเขาว่าจะยกบ้านหลังนี้ให้ธีร์

...มันไม่มีอีกแล้ว ที่ๆ เป็นที่ของเขา...

“ตามใจพ่อครับ” นรกรตอบ อทิฏฐ์หันมามองพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่เขากลับส่ายหน้า เพราะคงไม่ประโยชน์อันใดที่จะพูด เขาอาจไม่สนิทกับพ่อ แต่ก็คิดว่ารู้จักพ่อตัวเองดี นั่นไม่ใช่การถามความเห็น แต่มันเป็นการบอกให้รับทราบในเรื่องที่ตัดสินใจมาแล้วต่างหาก

“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้นะ” ในที่สุดศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็เจอของที่หาและเดินเอา CD ข้อมูลออกมาส่งให้ “นี่ใช่ไหม”

“ขอบคุณครับ” นรกรรับมาเก็บใส่กระเป๋า

“น่าสนใจนะ”

“พ่อเปิดดูด้วยเหรอครับ”

“ก็แค่ผ่านๆ น่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “ยังมีคำผิดอยู่เลย แล้วเคสที่เลือกมาเป็นกลุ่มทดลองก็มีบางเคสที่ใช้ไม่ได้ด้วย จะเลือกมาใช้ก็หัดกรองข้อมูลดูให้ดีๆ หน่อยสิ แบบนี้มันจะทำให้งานวิจัยออกมาน่าเชื่อถือได้ยังไง”

“เรื่องนั้นผมเอาไปปรึกษากับอาจารย์ธนบดีแล้ว ท่านบอกว่าอนุโลมได้นะครับเพราะแค่ไม่เข้าเกณฑ์เป็นบางข้อ ไม่ได้...”

“ใช้ไม่ได้มันก็คือใช้ไม่ได้ ไม่มีข้อยกเว้น!” เขายืนยัน “และนั่นก็ทำให้งานของแกไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่ง”

อทิฏฐ์ยกมือขึ้นปิดปากและเหลือบมองคนข้างตัว

นรกรกำมือแน่นจนเล็บจิกลงในผิวเนื้อ “เอาไว้คอยดูวันพรีเซนต์พรุ่งนี้ละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ”

“แกมันเป็นซะแบบนี้ ไอ้เด็กอวดดี”

“ผมไม่ได้อวดดี”

“ถ้าไม่เรียกว่าอวดดี แล้วไอ้ยืนเถียงฉันฉอดๆ อยู่นี่มันจะเรียกว่าอะไรล่ะ! แกมันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดื้อด้าน พูดอะไรก็ไม่เคยฟัง สอนอะไรก็ไม่เคยจำ”

“ผมแค่พยายามอธิบาย พ่อต่างหากที่ไม่เคยฟังผมเลย”

“ธีร์เพิ่งเอางานของเขามาให้ดูเมื่อเย็น” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “น่าสนใจมาก มีการเก็บข้อมูลจากชาวต่างชาติที่เขาไปเจอมาตอนไปดูงานมาเปรียบเทียบให้เห็นอีกกลุ่มด้วย ของวินทร์เองก็ทำได้ดีมากเหมือนกัน ถ้าแกยังดึงดันจะพรีเซนต์ทั้งแบบนั้นมันก็เหมือนกับเอาขยะไปให้คนอื่นดู”

“ขอบคุณที่ช่วยหา CD ให้ครับครับ” นรกรกลับหลังหันเป็นการตัดบท ไม่ต้องการจะฟังหรือพูดอะไรต่อในเมื่อทุกสิ่งที่อยากพูดคนตรงหน้าไม่ยอมฟังและคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ลำพังแค่คำต่อว่านั่นก็มากเกินพอ ทำไมต้องเอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วย จะตอกย้ำกันไปถึงไหนว่าเขาเป็นลูกที่ไม่ต้องการ

“แล้วนั่นแกจะไปไหน” เสียงของศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังดังตามหลัง “ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”

“ผมจะไปไหนมันก็เรื่องของผม”

“ฮาร์ฟ!”

แต่นรกรไม่หยุด และเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“ถ้าวันนี้แกไม่ฟังฉัน แกก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

ร่างโปร่งหยุดฝีเท้า มือเรียวกำแน่นมากขึ้นอีก ปลายเล็บจิกลงในผิวเนื้อจนแสบไปหมด ทว่ามันเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ

อทิฏฐ์รีบเข้ามายืนคียงข้างและกระซิบให้ใจเย็นๆ

แต่นรกรหมดความอดทนแล้ว ร่างโปร่งค่อยหมุนตัวกลับมาสบตาผู้สูงวัยตรงหน้า “แล้วคิดว่าผมอยากเจอหน้าคุณนักหรือครับ”
พูดรวดเร็วโดยไม่สนใจความเจ็บปวดในแววตาของผู้เป็นพ่อแล้วรีบก้าวไปให้ถึงประตู อทิฏฐ์รีบเดินตามมาติดๆ

“ฮาร์ฟ รอผมด้วยสิ”

นรกรหยุดอยู่ที่หน้าประตูมือกำลูกบิดแน่นแต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะดึงมันเปิดออก

หนัก!

มันหนักอึ้งไปทั้งตัวและหัวใจ หนักจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะยืน เขายกมืออีกข้างขึ้นขยี้ตาเร็วๆ ก่อนจะลดลงมากำลูกบิดประตูเพื่อช่วยดึงเปิดออก เมื่อเสียงโครม! เหมือนอะไรล้มดังออกมาจากห้องทำงาน

“เกิดอะไรขึ้นน่ะคุณ”

นรกรไม่ทันได้ตอบเมื่อสายตาเหลือบไปสะดุดกับกรอบรูปของคุณปู่บนฝาผนังก่อนจะที่มันจะร่วงลงพื้นอย่างแรงจนกรอบกระจกแตกละเอียด

นัยน์ตาเบิกโพลง เขากลับหลังหันวิ่งไปห้องทำงานทันที

ประตูห้องยังคงถูกเปิดทิ้งไว้ หนังสือที่เรียงกันเป็นตั้งสูงล้มระเนระนาดลงบนพื้น และท่ามกลางหนังสือที่กระจัดกระจายนั้นมีร่างของศาตราจารย์สรวิชญ์นอนคว่ำหน้าอยู่

“อาจา... พ่อ!” นรกรถลาเข้าไปนั่งคุกเข่าลงด้านข้าง “พ่อเป็นอะไร”

“ผมว่าเรารีบพาเขาไปโรงพยาบาลเถอะ”อทิฏฐ์บอก

นรกรพยักหน้ากำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อมือใหญ่ของศาสตราจารย์สรวิชญ์เอื้อมมาคว้าข้อมือของเขาไว้แน่น ในขณะที่อีกมือกุมแน่นอยู่ที่หน้าอก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากอ้าออกพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่เขาอ่านไม่ออก 

นัยน์ตาหลังกรอบแว่นกวาดมองคนตรงหน้าพร้อมกับที่สมองคิดวิเคราะห์รวดเร็ว ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังคงกุมหน้าอกแน่น เหงื่อกาฬเม็ดใหญ่แตกพลั่กเต็มหน้าท่าทางกระสับกระส่ายคล้ายคนหายใจไม่อิ่ม เขาลองจับชีพจรที่ข้อมือ มันเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งสั่นพลิ้วซ้ำยังเต้นเร็วเกินหนึ่งร้อยห้าสิบครั้งต่อนาที

และถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดทั้งหมดนี้มันเป็นอาการของคนเป็นโรคหัวใจ

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจคนเดียวที่รู้จัก โชคดีที่ปลายสายรับแทบจะในทันที

[ว่าไงฮาร์ฟ]

“พี่ปอ ช่วยผมด้วยครับ”

oooooo

นรกรนั่งกุมมือชื้นเหงื่อแน่นอยู่หน้าห้องระหว่างรอให้คณิณทำการตรวจโดยละเอียด อาการเจ็บหน้าอกของศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่ทุเลาลงและหมดสติไปก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึงแค่ไม่กี่นาที

...ไม่อยากเห็นหน้าพ่องั้นเหรอ... นี่เขาเป็นบ้าอะไรถึงปากพล่อยพูดแบบนั้นออกไป... ถ้าเกิดพ่อเป็นอะไร แล้วถ้าเกิดพ่อตาย...

“เขาจะปลอดภัย” อทิฏฐ์กระซิบขึ้นราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และพูดคำนี้กับเขาไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่นับจากยืนมองหน่วยกู้ชีพยกร่างของพ่อเขาขึ้นเปล นอกจากนั้นยังคอยเตือนว่าเขาต้องโทรหาใคร แม่ยังออกมาจากห้องผ่าตัดไม่ได้ ธีร์กำลังมา ส่วนวินทร์... เขายังลังเลว่าควรจะบอกดีไหม ถึงอทิฏฐ์จะพูดซ้ำๆ ว่าให้บอกก็เถอะ

“ผมไม่น่าพูดแบบนั้น ถ้านั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมจะได้พูดกับพ่อล่ะ...”

“เขาจะปลอดภัย” อทิฏฐ์ย้ำอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นฮาร์ฟ” ธีร์ถามทันทีที่กระหืดกระหอบวิ่งมาถึง “ป๊าอาการกำเริบอีกแล้วเหรอ!”

“อีกแล้ว...” นรกรทวนคำอย่างไม่เชื่อหูเพราะนั่นหมายความว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคนตรงหน้าเขาก็รู้เรื่องราวดีทุกอย่าง

ธีร์เท้าเอวพลางเหลือบมองทางหางตาเมื่อรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไป เขาเม้มปากแน่นก่อนจะหันมาสบตาเต็มที่ “ฮาร์ฟนายรู้หรือเปล่าว่าป๊าป่วยเป็นโรคหัวใจ”

นรกรส่ายหน้า

“ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”

“แล้วนายรู้ได้ยังไง”

“เพราะป๊าล้มลงต่อหน้าฉันหลังจากถ่ายรูปรับปริญญากับฉันเสร็จน่ะสิ”

“แล้วเรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีใครบอกฉัน” นรกรโพล่งออกมา

“อยากรู้จริงๆ เหรอฮาร์ฟว่าทำไม” ธีร์ถามกลับ “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครอยากบอกหรอก แต่เพราะตอนนั้นนายมัวแต่คร่ำครวญที่พี่ปอทิ้งนายไปต่างหาก”

“ฉัน...” เสียงของนรกรแหบพร่า

“พ่อเสียใจมากนะฮาร์ฟที่รู้ว่านายเป็นแบบนี้”

“ฉันขอโทษ”

“ขอโทษแล้วมันทำให้หัวใจป๊ากลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมหรือเปล่าล่ะ” น้ำเสียงของธีร์ราบเรียบแต่มันกระแทกหัวใจคนฟังทุกคำ “เพราะยังไงนายก็เป็นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ‘ลูกที่พ่อต้องการน่ะ’”

นรกรเม้มปากแน่น

“โธ่เว้ย! ทั้งที่ป๊าก็คุมอาการมาได้ดีตลอดแท้ๆ นายไปทำอะไรให้ป๊าเครียดอีกล่ะฮาร์ฟ แค่กลับบ้านไปเอางานวิจัยไม่ใช่หรือไง”

“ฉันก็แค่...” นรกรเว้นวรรคไปเล็กน้อย “นายรู้ได้ไงว่าฉันกลับบ้านไปเอางานวิจัยที่พ่อ”

ธีร์เหลือบตามามอง “พ่อบอก”

แต่นรกรไม่เชื่อ “ที่มันหายไป เป็นฝีมือนายใช่ไหม”

“นายกำลังพูดเรื่องอะไรฮาร์ฟ”

“พูดถึงคนที่มีกุญแจเข้าห้องพักแพทย์ และคนที่รู้รหัสเข้าโน้ตบุคฉันไงล่ะ”

“อ้อ!” ธีร์พยักหน้า ถึงจะบอกว่าเดาล้วนๆ แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะนึกถึงหรือต่อให้นึกถึงก็น้อยคนนักที่จะรู้วันเกิดศาสตราจารย์สรวิชญ์ เรื่องมาถึงขนาดนี้ก็ไม่คิดจะโกหกอีกต่อไป มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมราวกับจะถอดหน้ากากน้องชายที่แสนดีออกก่อนจะหันมาเผชิญหน้า “เพราะฉันเกลียดนายไงล่ะ”

คำตอบเสียงดังฟังชัดจากปากน้องชายบุญธรรมทำให้นรกรพูดไม่ออก

“ทำไม... ตกใจเหรอ ทีนายยังเกลียดฉันได้แล้วทำไมฉันจะเกลียดนายบ้างไม่ได้ล่ะ”

“นายจะเกลียดฉันทำไม ในเมื่อนายได้ทุกๆ อย่าง ทั้งความรัก ทั้ง...”

“เพราะฉันไม่ต้องการความรักที่น่าสมเพชแบบนั้น” ธีร์โพล่งออกมา “รักมากแค่ไหนแต่ฉันก็เป็นได้แค่ลูกเลี้ยง เป็นแค่ตัวสำรองของนายที่เขาเอามาเปรียบเทียบเพื่อผลักดันให้นายเก่งยิ่งๆ ขึ้นไป”

“ไม่จริง”

“นั่นแหละความจริงฮาร์ฟ”

ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่คณิณก้าวออกมา ทั้งสองจึงหยุดบทสนทนาไว้เท่านั้นและพุ่งเข้าไปหา

“ป๊าเป็นไงบ้างครับ”

คณิณนิ่วหน้าเครียด “ได้สติแล้วแต่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันรายงานอาจารย์ชาญชัยที่เป็นเจ้าของไข้แล้ว เอาไว้ให้ท่านเป็นคนมาอธิบายให้พวกนายฟังดีกว่า”

“แล้วตอนนี้เยี่ยมได้ไหมครับ”

คุณหมออายุรกรรมมองหน้าสองพี่น้องสลับกัน “รู้ใช่ไหมว่าคนไข้ต้องการการพักผ่อน และที่สำคัญคืออย่าทำให้เครียด”
ทั้งสองค้อมศีรษะขอบคุณและรีบผลักประตูเข้าไปในห้อง

บนเตียงผู้ป่วยสีขาว ชายสูงวัยในชุดคนไข้สีฟ้ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงใบหน้าของเขาซีดเซียวแทบไร้สีเลือดฝาด หลังมือข้างหนึ่งต่อสายให้น้ำเกลือไว้ การที่ช่วยปฐมพยาบาลเมื่อสักครู่ทำให้นรกรรู้ว่าร่างกายกำยำที่เคยจำได้ในความทรงจำนั้นผ่ายผอมลงมากจนแทบเขาอุ้มลอยขึ้นจากพื้นได้ เนื้อหนังที่เคยเต่งตึงกลับเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอย นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มองหน้าพ่อของตัวเองตรงๆ และใกล้ชิดถึงเพียงนี้

แต่โอกาสที่ได้มา มันก็ไม่ดีเอาเสียเลย

ธีร์รีบเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงและดึงมือมากุมไว้

นรกรหันไปสบตากับร่างโปร่งแสงข้างกายและเลือกจะยืนหลบอยู่ตรงมุมห้อง

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ขยับตัวเล็กน้อยผ้าห่มจึงร่นลงมากองอยู่ที่หน้าอกธีร์เอื้อมมือไปดึงห่มให้ถึงคอเมื่อเขาปรือตาขึ้นมามอง

“พักผ่อนเถอะครับป๊า”

“แกไปพักเถอะ พ่ออยู่ได้”

“ไม่ได้หรอกครับป๊าห้องพิเศษต้องมีญาติอยู่เฝ้าครับ มันเป็นกฏเดี๋ยวพวกผมโดนพี่พยาบาลดุนะ” ธีร์พยายามพูดติดตลก

“เดี๋ยวแม่เขาก็มา”

“แต่ผมอยากอยู่เฝ้าป๊านี่นา”

ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่อาจารย์ชาญชัย แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจก้าวเข้ามาพร้อมกับคณิณ

“ขออนุญาตครับ”

“สวัสดีครับ” นรกรกับธีร์หันมายกมือไหว้ ในขณะที่คนบนเตียงกวักมือเรียกให้เข้ามา

“มาคราวนี้แย่เลยนะครับพี่” อาจารย์ชาญชัยเดินมายืนข้างเตียงก่อนจะพูดขึ้น เขาเป็นรุ่นน้องและสนิมสนมกันดีจากการดูแลรักษากันมาหลายปี “ผมบอกพี่แล้วใช่ไหมว่าให้ฉีดสีดูสักทีจะได้รู้ชัดๆ ว่ามันเป็นอะไรกันแน่แล้วจะใส่ลวด ทำบอลลูนหรือผ่าตัดอะไรก็ว่ากันไป คราวนี้พี่ผัดผมไม่ได้แล้วนะ”

“ฉันก็บอกนายแล้วไงว่าไม่ทำ”

“มาถึงขั้นนี้ไม่ทำไม่ได้แล้วครับ” อาจารย์ชาญชัยกล่าว “มันไม่ใช่หัตถการใหญ่อะไรพี่ก็รู้นี่ครับ แค่สอดท่อไปตามเส้นเลือดใหญ่ที่ขาไม่เกินสามชั่วโมงผมก็ทำเสร็จ พี่ได้กลับมานอนดูทีวีที่ห้องแล้ว”

“แต่ภาวะแทรกซ้อนมันก็มีนี่ ไอ้ที่หายก็มีแต่ที่ตายคาเขียงมันก็เยอะไม่ใช่เหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามกลับ “โอกาสรอดมันคือ 50-50 แล้วเปอร์เซ็นล้มเหลวก็มี”

“จากผลการวิจัยคือ 5 ใน 1000 หรือแค่ 0.5% ครับ”

“แต่นายเองก็การันตีไม่ได้นี่ว่าฉันจะเป็นคนส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้ามันยังไม่กำเริบก็ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ”

“มันก็กำเริบแล้วนี่ไงครับ ดูจากอาการและผลการตรวจคลื่นหัวใจ(Echocardiogram) ความสามารถในการบีบตัวของหัวใจพี่ลดลงจาก 80% เหลือแค่ 50%” อาจารย์ชาญชัยว่า “ผมฟังพี่มาหลายปีแล้วเพราะฉะนั้นวันนี้พี่ต้องฟังผมนะ ทำนะครับพี่เดี๋ยวผมโทรหาคุณภาให้”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ ร่างกายของฉัน ฉันรู้ดีว่าต้องทำยังไงกับมัน”

“ทำไมพ่อถึงไม่ทำครับ” นรกรที่เงียบอยู่นานถามขึ้น แต่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่ยอมตอบว่าอะไรเขาจึงหันไปหาแพทย์โรคหัวใจทั้งสอง “ขอผมคุยกับพ่อสักครู่นะครับ”

“ได้สิ ผมจะไปนั่งรอที่ห้องสวนหัวใจนะหวังว่าจะมีข่าวดี” อาจารย์ชาญชัยหันไปพยักหน้ากับคณิณและกลับออกไป

นรกรรอจนประตูปิดลงจึงเดินไปยืนข้างเตียงด้านตรงข้ามกับธีร์ “ทำไมพ่อถึงไม่รักษาครับ”

“ก็บอกไปแล้วไง”

“ไม่ใช่สิครับ เหตุผลมันไม่ได้มีแค่นั้น พ่อกลัวอะไรครับ”

“อย่างฉันเนี่ยนะจะกลัว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามกลับ “เลิกพูดเถอะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว พรุ่งนี้มีสอนแต่เช้าแล้วตอนบ่ายก็ต้องเข้าเคสอีก”

นรกรก้มหน้าลงมองพื้น ที่แท้ก็เรื่องเดิมๆ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากงาน “งานมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“สำคัญสิ”

“มากกว่า ‘ชีวิตของพ่อ’ อีกเหรอครับ” นรกรกระซิบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น “ผมไม่ได้หมายถึงพ่อ แต่ผมกำลังพูดถึงปู่... ปู่บอกผมว่าพ่อเอาแต่ทำงานจนมาไม่ทันดูใจวันที่ท่านตายด้วยซ้ำ”

“ฮาร์ฟ!” ธีร์พูดลอดไรฟัน “นายไม่ได้ฟังที่พี่ปอพูดเหรอว่าอย่าทำให้พ่อเครียด”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ยกมือปรามและหันไปสบตาลูกชายแท้ๆ “ใครเล่าให้แกฟัง... แม่เหรอ”

“พ่อไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอครับ” นรกรพูดช้าๆ ชัดๆ “ผมบอกว่า ‘ปู่เล่าให้ฟัง’”

“ฮาร์ฟ! แกอย่าบ้าไปหน่อยเลย”

“ผมไม่ได้บ้า! พ่อฟังผมนะ ผมไม่ได้บ้า! แต่...”

“แกออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ไปที่ประตู “ไป!”

ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับหญิงวัยกลางคนก้าวพรวดเข้ามา เหมือนกับระฆังหมดยกดังเมื่อต่างคนต่างเงียบทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วิมลภายืนอยู่ที่หน้าประตู มองหน้าลูกชายทั้งสองสลับกับสามี “คุณป่วยอยู่ หมอบอกให้พักให้พักแล้วก็อย่าเครียดไม่ใช่หรือคะเดี๋ยวอาการก็กำเริบอีกหรอก” กำลังจะดึงประตูปิดเมื่อลูกชายก้าวพรวดพราดเบียดตัวแทรกออกไป

เธอมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนสุดสายตาก่อนจะถอดเสื้อกาวน์ออกโยนไว้บนโซฟารับแขกและเดินไปยืนข้างเตียง

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก

“อาจารย์ชาญชัยโทรมาบอกฉันเรื่องสวนหัวใจ ตกลงคุณจะยอมทำใช่ไหมคะ”

“ทำเถอะนะป๊า ผมขอร้อง”

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ทำ ฟังกันบ้างสิ!”


*******************************************************TBC***********************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2016 02:37:18 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
โธ่บ้านนี้มีแต่พวกหัวแข็ง
ไม่ยอมเข้าใจคนอื่น แต่ยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเอง
ค่อยๆเปิดใจหน่อยสิ อ. นี่ก็แหม
โอ้ยย  มีแต่คนมีปมเว้ยเรื่องนี้ พระเอกกก็อยากตาย
นายเอกก็คิดว่าที่บ้านไม่รัก
ที่บ้านก็คิดว่าฮาร์ฟ เพ้อเจ้อ ดื้อด้าน
โอ้ยยยย เซ็งจริง ครอบครัวนี้ เปิดใจหหน่อยๆ

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มีแต่คนดื้อจริงๆด้วย

ปล.มีคำผิดนะคะ
ทำบอลลูนหรือผ่าตัดอะไรก็ว่ากันไป คราวนี้พี่ผลัดผมไม่ได้แล้วนะ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ู^
^
ในความหมายของประโยคนั้น เราว่า ใช้ถูกแล้วนะคะ


--------------

ครอบครัวนี้ชวนให้เครียดให้อึดอัดจริงๆ
หันหน้ามาคุยกันได้แล้วค่ะ คุณพ่อ เปิดใจค่ะเปิดใจ อย่าเป็นตาแก่หัวแข็งเลยค่ะ แก่ขนาดนี้แล้ว ( แต่ยิ่งแก่ก็ยิ่งแข็ง ; _ ; )
แต่เพราะอะไรคุณพ่อถึงไม่ยอมรักษาตัวเองกันละเนี่ย เหตุผลนั้นไม่น่าจะทำให้รั้นหัวชนฝาขนาดนี้ ขุ่นพ่ออออ :z3:

ธีร์ก็ร้ายจริง ถึงขั้นลบไฟล์งานกันเลย

จะมีทางไหนพิสูจน์ว่าฮาร์ฟมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นบ้างไหมหนออ...

ออฟไลน์ polkadot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ตอนที่พ่อบอกว่าจะยกบ้านให้ธีร์ เราแอบหวังว่าอยากให้ฮาร์ฟค้าน ไม่ยอม ไม่เห็นด้วยและแย้งเอาบ้านคืนมาจริงๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
แพนดอรากล่องนี้ซ่อนอะไรไว้มากมาย


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด