Rough and Tender 14
ด้วยข้อเสนอแกมบีบบังคับจากพลชนะว่าพวกเขาควรจะซื้อของมาทำบาร์บีคิวกินเองที่บ้านพัก ตกเย็นภายในห้องครัวจึงมีเสียงดังออกมาตลอด ผู้หญิงสองคนในทริปเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการเตรียมของสดที่ซื้อมาจากตลาดสด โดยมีลูกมือคอยช่วยอีกสองคน
ขอบฟ้าเหลียวมองไปทางครัวเป็นพักๆ เมื่อบางครั้งบางคราวจะมีเสียงโวยวายดังลั่น “ใครมันเสนอให้ซื้อมาทำเองวะเนี่ย”
“โอ๊ย กูร้อน ทำไมแม่งไม่ติดแอร์ในครัวด้วยวะ”
“สัด เหงื่อไหลเข้าตากู แสบชิบหาย”
เมื่อไปกระจุกกันอยู่ในห้องครัวเล็กๆ กันสี่คน อีกสามคนที่เหลือก็มานั่งตากลมยามเย็น แช่ขาในสระว่ายน้ำไปพลาง มองดูคลื่นซัดซาดเข้าหาชายฝั่งไปพลางอย่างบรมสุข เหตุที่ทั้งสามไม่ต้องเข้าไปผจญภัยในครัวเป็นเพราะพลชนะบอกเพื่อนของตนว่า
“กูเสนอไอเดียแล้วและเป็นหัวหน้าทริป ไส้ติ่งอย่างพวกมึงอยากมาก็ลงแรงซะ”
และเหตุผลของกรคือ “กูขับรถมาหลายชั่วโมง เมื่อยมือมาก”
ส่วนขอบฟ้า เพราะไปยืนเกะกะในครัวแคบๆ เลยโดนเตะส่งออกมา
“พี่พลๆ” หันไปสะกิดคนที่นอนแผ่หราเหมือนจะเคลิ้มหลับ “เราไม่ไปช่วยเขาจะดีเหรอ”
“หืม” พลชนะครางรับ หากไม่ยอมเปิดเปลือกตา “ไม่เป็นไรหรอก สี่คนเหลือเฟือ”
ขอบฟ้าจึงได้แต่นั่งฟังเสียงล้งเล้งจากครัวอีกพักใหญ่ จนกระทั่งหนึ่งในลูกมือเดินตึงๆ เหงื่อท่วมออกมา “ป่านบอกว่าให้เตรียมจุดเตาได้แล้ว”
พลชนะนอนหลับตาใส่ ส่วนกรดีกว่านิดหน่อยเพราะยอมเงยหน้าจากกระป๋องเบียร์ บอกหน้าตาเฉย “มึงก็ไปจุดดิวะ ไอ้สิน”
ก่อนที่เพื่อนกันจะฆ่ากันตาย ขอบฟ้าจึงรีบตะกายลุกขึ้นเสนอตัว “ผมจุดให้ๆ”
ขันอาสาแล้วเขาก็รีบวิ่งไปลากเตาที่เช่ามาจากรีสอร์ทออกไปริมหาดหน้าบ้านพัก ลากกลับไปกลับมาหาทำเลเหมาะๆ อยู่พักใหญ่ด้วยความทุลักทุเลเพราะเป็นพื้นทรายจนกระทั่งได้มุมทะเลสวยที่สุดในสายตาเขา
“ถ่านล่ะถ่าน” วิ่งวกกลับไปหาถุงถ่านที่ซื้อหามาพร้อมกันและเริ่มพิธีจุดไฟด้วยอาการตื่นเต้น หลังพยายามเอาหนังสือพิมพ์มาขยำเป็นเชื้อเพลิงแล้วแต่เพราะลมพัดแรงมาก จึงจุดไม่ติดสักที เขาจึงคิดหาเชื้อเพลิงใหม่
ขณะที่เขาหอบขวดน้ำมันเดินผ่าน ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอืดมานานก็อดมองตามไม่ได้ นึกตะหงิดๆ แล้วพลชนะจึงส่งเสียงเรียก “ฟ้าจะเอาน้ำมันไปทำอะไร”
“ผมจะเอาไปจุดเตา ลมมันแรง จุดเท่าไหร่ก็ไม่ติดสักที” ยิ้มตอบแล้วรีบเดินกลับไปหาเตาย่าง ในขณะที่เตรียมตัวราดน้ำมันลงไปบนกระดาษ มือแข็งๆ ก็คว้าหมับ
“ไสหัวไปห่างๆ เลยมึง พวกกูยังไม่อยากโดนข้อหาวางเพลิง” เป็นกรที่ดันหัวเขาออกจากหน้าเตาพร้อมกับที่พลชนะดึงเขาถอยห่างออกมาอีก
“ฟ้านั่งดูเฉยๆ ดีกว่า มันอันตราย” จับเขาลงนั่งกับเก้าอี้ผ้าใบได้ พลชนะก็เดินไปช่วยเพื่อนจุดเตา เถียงกันนิด ด่ากันอีกหน่อย ไม่นาน เตาย่างก็พร้อมให้บริการ เป็นเวลาเดียวกับที่พวกคนในครัวทยอยลำเลียงของสดออกมา
“ยอมย้ายตูดมาช่วยงานแล้วเหรอมึง” วศินที่ประคองถาดมามองผลงานกับคนขันอาสาซึ่งรีบวิ่งไปช่วยผู้หญิงถือของให้วุ่น กล่าวลอยๆ โดยไม่ชี้ชัดว่าบอกใคร “รู้งี้ กูใช้น้องฟ้าตั้งนานแล้ว”
ขอบฟ้าชะงัก แต่ยังไม่ทันได้ชำเลืองมองหน้าอีกฝ่าย ปลายฝนก็วิ่งเข้ามาคล้องแขนเขาไว้ “มาเถอะ พี่ฟ้า ฝนจะย่างไม้แรกประเดิมให้ก่อนเลย”
หลังจากนั้น เขาก็มัวแต่ง่วนกับการย่างบาร์บีคิวอยู่หน้าเตา ถึงจะยุ่งแต่ก็สนุก ผนวกกับเสียงโวยวายมาเป็นพักๆ ทำให้ต้องย่างไปยิ้มไป กระทั่งรอบหาดเริ่มมืด ลมทะเลเย็นขึ้นและดีกรีแอลกฮอลล์ในตัวพวกหนุ่มๆ เริ่มพลุ่งพล่าน อาการบ้าก็เริ่มถามหากันทันที
ในชั่วพริบตา ความสนุกก็ข้ามขั้นไปถึงจุดอันตรายก่อนที่ใครจะทันรู้สึกตัว
มันเริ่มต้นจากวศินที่วิ่งลงทะเล ตามด้วยศรุต และต่อด้วยปลายฝนซึ่งเริ่มกรึ่มๆ จากเบียร์ ลามมาถึงขอบฟ้าที่วิ่งลงไปหวังลากน้องสาวขึ้นจากน้ำ พลอยทำให้พลชนะต้องทิ้งกระป๋องเบียร์ ลุยน้ำกระโจนตามลงมาด้วย ห้าชีวิตมะรุมมะตุ้มกันอยู่กลางคลื่นกับน้ำทะเลซึ่งเริ่มขึ้นสูงขึ้นทุกขณะ
“ฝน... ฝน! พอได้แล้ว ขึ้นฝั่งเดี๋ยวนี้” ขอบฟ้าคว้าได้ชายเสื้อน้องสาวก็พยายามออกแรงลากกลับเข้าฝั่ง แต่คลื่นแรงที่ซัดเข้ามาก็เป็นเหตุให้เขาทำน้องหลุดมือ “บ้าชะมัด ฝน!”
“แค่กๆ พะ...พี่ฟ้า ช่วยด้วย” เขาได้ยินเสียงเรียกดังแว่วแทรกเสียงคลื่น แต่การมองหาคนในทะเลตอนมืดนั้นเหมือนคนตาบอดไม่มีผิดขณะที่เริ่มทำอะไรไม่ถูก พลชนะก็มาถึงตัวเขา
“ฟ้ากลับขึ้นไปก่อน เดี๋ยวพี่พาน้องฝนไปเอง” พอเห็นท่าทางละล้าละลัง ชายหนุ่มก็ตะคอก “พี่บอกให้ขึ้นไป!”
คลื่นซัดมาอีกตูม ซัดเขาลอยกลับเข้าฝั่งแค่ชั่วอึดใจก่อนกระแสน้ำจะลากกลับออกไปยังท้องทะเลกว้างที่ลึกกว่าเดิม ขอบฟ้าเริ่มเห็นว่าทะเลตอนกลางคืนน่ากลัวขนาดไหน
เขาว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งจนกระทั่งรู้สึกว่าพื้นที่เหยียบนั้นมั่นคงถึงเพิ่งสังเกตเห็นป่านที่ยืนป้องปากตะโกนอยู่ไม่ไกลพร้อมกวักมือเรียกเขาหยอยๆ
ครั้นลุยน้ำขึ้นไปจนถึงระดับเอว จึงเห็นศรุตนอนแผ่หราอยู่บนหาดและได้ยินสิ่งที่ป่านร้องบอกด้วยท่าทางร้อนใจ “พี่กรลงไปช่วยพี่สินอยู่! ฟ้ารีบขึ้นมาเถอะ”
“ฝนล่ะ...” พอไม่เห็นว่าน้องสาวอยู่ในที่ปลอดภัย ขอบฟ้าก็ไม่ได้คิดซ้ำสอง หากหมุนตัวกลับลงไปหาอีกรอบ ความร้อนใจมีมากกว่าความกลัวจนไม่สนใจอะไรอื่นอีก ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็เจอคลื่นลูกโตกระแทกใส่หน้าจนผงะหงาย น้ำเค็มทะลักเข้าปากเข้าจมูกจนหายใจไม่ออก ยิ่งพอพยายามตั้งหลัก กลับต้องใจหายวาบเมื่อเหยียบพื้นไม่ถึง หันไปทิศไหนก็เจอแต่คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้าหาแสบตาแสบจมูกไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ขอบฟ้าคิดว่าตนอาจไม่รอดก็เป็นได้
เขาสำลักน้ำไปหลายอึก ตะเกียกตะกายหาฝั่งอยู่พักใหญ่จนเริ่มหมดแรง ลืมตาไม่ขึ้น หายใจไม่ออก คิดว่าต้องตายแน่ๆ
ในสติที่เริ่มเลือนลาง มีมือใหญ่จิกผมเขาเต็มแรง กระชากให้เงยหน้าขึ้นจนพ้นน้ำและลากเขาเข้าฝั่งด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล คำเดียวที่นึกออกคือเขารอดแล้วก่อนสติจะวูบหาย
มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่กระอักกระไอสำลักน้ำบนชายหาด แสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น พยามยามสูดอากาศหายใจเข้าปอดทั้งที่ยังสำลักไม่หาย ได้ยินเสียงร้องเรียกสับสนและรู้ว่าคงมีใครสักคนอุ้มเขาขึ้น
มีผ้าเช็ดตัวโอบลงรอบตัวในขณะที่ขอบฟ้าเริ่มสังเกตรอบข้างได้ สิ่งแรกที่ทำคือนับว่าทุกคนยังอยู่ครบหรือเปล่า พอเห็นว่าครบเจ็ดคนจึงถอนหายใจเฮือก
“ดีจังที่ทุกคนปลอดภัย”
และรู้ว่าคิดผิดที่พูด เมื่อมีเสียงหนึ่งตวาดลั่นด้วยความเดือดจัด
“มึงคนเดียวนั่นล่ะที่เกือบจมน้ำตายห่าในทะเล! คนอื่นกูยังพอเข้าใจว่าแม่งเมาหัวทิ่ม แต่มึงน่ะจมน้ำด้วยความโง่! ว่ายน้ำไม่แข็งยังเสือกตะกายลงไปหาที่ตาย นอกจากจะช่วยใครเขาไม่ได้ยังดีแต่เป็นตัวถ่วง โง่บัดซบอย่างมึงแม่งน่าจะปล่อยให้ตายโหงเป็นผีเฝ้าทะเลไปซะก็ดี!!”
อารมณ์ของกรพุ่งสูงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยพบเจอ นอกจากสีหน้าถมึงทึงอย่างหนัก เจ้าตัวยังทำท่าเหมือนอยากจะฆ่าเขาให้ตายคามือจริงๆ ท่าทีดังกล่าวทำให้ขอบฟ้ายิ่งกลัวหัวหด หน้าซีดตัวสั่น งกเงิ่นขึ้นมาทันควันและกำลังจะอ้าปากเอ่ยขอโทษ หากพลชนะที่นั่งประคองเขาอยู่กลับหันไปตวาดใส่เพื่อน
“มึงพอได้แล้ว ไอ้กร ไม่เห็นเหรอว่าแค่นี้ฟ้าเขาก็แย่พอแล้ว มึงจะด่ากันให้ได้อะไรอีกวะ!”
“กูจะด่าจนกว่าแม่งจะสำนึกในความงี่เง่าของตัวเองและขอโทษที่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปหมด มึงแม่งก็ดีแต่โอ๋กันเข้าไป โอ๋จนแม่งเอ๋อแดก กลวงจะตายห่าอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไง”
“ไอ้กร!” พลชนะตั้งท่าจะลุกไปชกปากเพื่อนอยู่แล้ว โชคดีที่คนอื่นๆ รีบขยับเข้าห้ามทัพ ป่านดึงแขนกรไว้ บอกให้ใจเย็นๆ พร้อมกับลากไปอีกทาง ปลายฝนเองก็รีบเข้ามาขวางพลชนะไว้แล้วบอกให้รีบพาเขาไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเป็นหวัด
กระนั้น ขอบฟ้าที่ถูกพลชนะโอบบ่าพาไปทางหนึ่งยังอดเหลียวมองกลับไปอีกครั้งไม่ได้ แม้จะยังสับสน แม้จะมีคนอื่นเดินกันให้ขวักไขว่ แต่สายตาของกรก็ยังจ้องตรงมาที่เขา ในดวงตาดำมืดคู่นั้น สะท้อนแต่ภาพเงาของคนเพียงคนเดียว
+++++++++++
ขอบฟ้านอนเอนหลังบนเตียงทั้งที่อยากนั่งมากกว่า แต่เพราะทุกคนทำเหมือนเขาเป็นคนป่วยอาการสาหัสจึงสั่งให้นอนท่าเดียว
ข้างกายคือปลายฝนที่อาบน้ำสระผมเรียบร้อย ส่วนพลชนะเพิ่งปลีกตัวไปอาบน้ำเมื่อครู่ เด็กสาวสร่างเมาไปเรียบร้อยและกำลังมองเขาพร้อมถอนหายใจไปด้วย
“เป็นอะไร เหนื่อยก็ไปนอนสิ ไม่ต้องเฝ้าพี่หรอก พี่ไม่เป็นไรแล้ว” คิดว่าปลายฝนคงเกรงใจที่พลชนะฝากฝังให้อยู่กับเขาระหว่างที่เจ้าตัวไปอาบน้ำราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียว เขาอาจจมน้ำอีกรอบก็เป็นได้
“ฝนล่ะเป็นห่วงพี่ฟ้าจริงๆ” เด็กสาวเหลียวมองไปทางประตูที่ปิดอยู่ด้วยทีท่ากังวลไม่หาย “ในหลายๆ ด้านนะ อย่างแรกเลยคือห่วงว่าพี่ฟ้าจะจมน้ำตายเสียแล้ว ตอนพี่พลลากฝนขึ้นมาบนฝั่งได้ พี่ป่านบอกว่าพี่ฟ้าลงไปหาฝนในทะเล แว่บแรกฝนก็คิดนะว่าพี่ฟ้านี่โง่จริงๆ...”
“อืม พี่ก็ว่างั้นล่ะ” คนยอมรับผิดคอตกเอ่ยไม่เต็มเสียง
“ฝนภาวนาขอให้พี่ฟ้าไม่เป็นอะไร ขอให้พี่ฟ้าปลอดภัย แล้วฝนสัญญาว่าจะเป็นน้องสาวที่ดี จะไม่ดื้อกับพี่ฟ้าอีกเลย”
“เหรอ จริงนะ” เขายิ้มดีใจได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องหุบยิ้มเมื่อโดนค้อนขวับ
“ยังจะดีใจอีก รู้ตัวหรือเปล่าว่าเกือบตายไปแล้วน่ะ” ทำเสียงหึอีกที ปลายฝนจึงค่อยเอ่ยต่อ “ห่วงอย่างที่สองคือ... เอางี้ ฝนถามก่อน พี่ฟ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนช่วยขึ้นมาจากทะเล”
“ทีแรกคิดว่าเป็นพี่พล...” คิดถึงแรงกระชากหนังหัวแทบหลุดแล้วสันนิษฐาน “แต่น่าจะเป็นพี่กรมากกว่า”
“ฉลาดนี่” คำชมแรกของวันมาจากน้องสาวที่พยักหน้าหงึก “เป็นพี่กรจริงๆ พี่ศรุตน่ะตะกายขึ้นมาจากทะเลได้เอง พี่กรลากพี่สินตามขึ้นมาไล่ๆ กับที่พี่พลช่วยฝน พอฟังว่าพี่ฟ้าลงไปหาฝน พวกเขาก็เลยต้องกระโจนลงทะเลอีกรอบ ...ท่าทางตกใจกันมากๆ ...ทั้งคู่เลย”
เขาเริ่มตะหงิด ฟังแล้วเหมือนจะคิดอะไรออก ความรู้สึกดูคล้ายจะแปลกๆ แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นยังไง
“ทะเลมันมืด ไหนจะทั้งลมแรง ทั้งคลื่นอีก น้ำก็ขึ้นเร็วมากๆ ฝนมองอะไรแทบไม่เห็นเลยยืนร้องไห้กับพี่ป่าน จนกระทั่งเห็นพี่กรลากพี่ฟ้าขึ้นมาได้ คิดว่ารอดแล้ว แต่พี่ฟ้าแทบไม่หายใจ พี่กรเลยช่วยผายปอดให้ ความจริงพี่พลก็อยู่ตรงนั้นด้วยนะ แต่ทุกอย่างมันสับสนไปหมด เลยไม่มีใครคิดอะไร...มั้ง แต่ฝนก็แอบอึ้งๆ ไปนิดนึงนะ ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น พี่ฟ้าคงพอจำได้”
ขอบฟ้าหน้าเริ่มขาวจนเขียวเหมือนจมน้ำอีกรอบ สายตาของปลายฝนมองเขาอย่างไม่มั่นใจ กระซิบเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“คนที่พี่ฟ้าเคยไปนอนเฝ้าไข้คือพี่กรใช่ไหม”
ตอนนี้ไม่มีน้ำทะเล แต่เขารู้สึกเหมือนกำลังสำลัก “ไม่... ไม่ใช่”
ปลายฝนไม่สนใจคำตอบของเขา เพราะความจริงมันปรากฏชัดเจนแผ่หราบนใบหน้าพี่ชายที่โกหกไม่ได้เรื่องตั้งแต่เล็กยันโต “ฝนเคยบอกให้พี่ฟ้าระวังพี่พล แต่ตอนนี้ฝนต้องบอกว่าพี่กรน่ากลัวกว่าพี่พลอีกนะ แฟนเพื่อนสนิทแท้ๆ เขายังกล้า ไหนจะพี่ป่านอีก เขาคิดอะไรอยู่กันแน่”
ริมฝีปากที่ถูกกัดแน่นเผยอออก ขอบฟ้าพึมพำแหบแห้ง “เพราะเบื่อไง เขาบอกว่าเบื่อ เขาแค่อยากหา...อะไรทำแก้เซ็ง”
เขาไม่รู้ตัวว่าร้องไห้จนปลายฝนหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดใบหน้าให้ ท่อนแขนบอบบางโอบรอบบ่าเขาในขณะที่เด็กสาวซบหน้าลงกับไหล่ “หยุดเถอะ พี่ฟ้า อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลย ถอนตัวออกมาซะตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถ้าเขาคนนั้นเกิดฝังใจกับพี่ฟ้าขึ้นมา เขาคงไม่มีวันหยุดจนกว่าสิ่งที่ต้องการจะแหลกคามือแน่ๆ”
เพิ่งหยุดน้ำตาได้ ประตูห้องก็ถูกเคาะก่อนเปิดผางโดยไม่รอคำอนุญาต บุคคลในหัวข้อสนทนาเดินเข้ามา เอ่ยเรียบ “ขอคุยกับพี่ชายแป๊บนึง”
ปลายฝนพยักหน้าแต่ไม่มีทีท่าว่าจะลุก กรจึงเสริมเสียงแข็ง “ตามลำพัง”
ต่อให้ก่อนหน้า ปลายฝนจะไม่สามารถคาดเดาออก แต่คงไม่ต้องกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่มีความพยายามจะปิดบังหรือแอบแฝงสักนิด
“เดี๋ยวพี่พลก็มาแล้ว” เด็กสาวกัดฟันขู่กลับ แต่ร่างสูงเพียงแค่เหยียดยิ้ม ย้อนถาม
“แล้วไง”
มาถึงจุดนี้ ขอบฟ้าก็เลยเริ่มหมดอาลัย “ฝนไปนอนเถอะ วันนี้คงเหนื่อยมากแล้ว พี่ไม่เป็นไรหรอก”
ปลายฝนจึงลุกขึ้นอย่างอิดออด แถมจังหวะที่เดินสวนกับชายหนุ่มยังไม่วายทำหน้าขู่ใส่ทั้งที่สูงแค่แถวๆ อกฝ่ายนั้น ซึ่งกรไม่เพียงไม่โกรธ ซ้ำยังเอ่ย “น้องมึงตลกดีว่ะ”
คำชมแบบนี้ ขอบฟ้าไม่อยากได้ “พี่กรมีธุระอะไร”
เงยหน้ามองผู้ชายที่มายืนกอดอก มองเขาผ่านปลายจมูกเพราะท่ายืนเชิดหน้าของเจ้าตัว นึกเตรียมทั้งคำขอขมาและคำสำนึกบุญคุณไว้ในใจ
“ป่านบอกให้กูมาขอโทษมึง” ประโยคดังกล่าวทำให้เขาแปลกใจแต่วินาทีต่อมาก็กลับเป็นปกติเมื่อฟังกรพูดต่อ “แต่กูไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะกูไม่ผิด สิ่งที่พูดออกไป กูหมายความตามนั้นทั้งหมด กูไม่ได้ด่ามึงแค่เพราะโมโหจนขาดสติหรือเป็นห่วงจนแทบจะเป็นบ้า กูขอยืนยันคำเดิมว่าที่มึงเกือบตาย ล้วนมาจากความโง่งี่เง่าของมึงตัวเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเป็นข้ออ้างในการพาตัวเองลงไปจมน้ำของมึงทั้งสิ้น”
ถึงจะต่างแพทเทิร์น แต่ความหมายยังคงอยู่ครบถ้วน ขอบฟ้าก้มหน้ายอมรับความผิดแต่โดยดี
“อืม ผมรู้ ผมขอโทษที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน”
อาจจะเพราะยอมรับผิดโดยไม่เถียงสักคำ กรจึงพยักหน้าพอใจ เอื้อมมือข้างหนึ่งออกมาลูบหัวคนก้มหน้างุดด้วยซ้ำ ขอบฟ้าจึงนึกออกอีกเรื่อง เงยหน้าขวับจนมือใหญ่ชะงัก
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยชีวิตผมไว้ ฝนเล่าให้ฟังแล้วว่าพี่กรเป็นคนช่วยผมขึ้นมา หนังหัวผมไม่เป็นไรหรอกครับ ยังเจ็บๆ อยู่นิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็หาย”
“เหรอ อื้ม ก็ดีแล้วนี่” กรชักมือกลับไปกอดอกไว้เหมือนเดิม “ทีนี้เรื่อง...”
“อ้าว ไอ้กร” พลชนะซึ่งผมยังเปียกลู่เดินเข้ามาขัดจังหวะคำพูดที่เหลือ สายตาบอกวี่แววหวาดระแวงชัดเจน “มึงมาพูดอะไรอีก”
ขณะที่ขอบฟ้าคิดเอ่ยแก้ตัวแทน ร่างสูงกลับยักไหล่ พูดหน้าตาเฉย “กูมาขอโทษเด็กมึงที่พูดแรงไป”
อย่าว่าแต่พลชนะที่ทำท่าไม่แน่ใจเลย ตัวขอบฟ้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาเผลอวูบเลยพลาดช่วงที่กรขอโทษไปหรือเปล่า
แต่พลชนะก็ไม่ซักไซ้ต่อ นอกจากเดินมานั่งลงข้างๆ “ทำไมยังไม่นอนล่ะ หรือไม่สบายตัวตรงไหน พี่บอกแล้วว่าให้กินยากันไว้ ฟ้าก็ดื้อ”
จะมีก็แต่เรื่องนี้ล่ะที่ยอมความไม่ได้ “ไม่เอาหรอก มันขม”
“มึงไม่ออกไปกินเหล้ากับพวกมันล่ะ” พลชนะหันไปเอ่ยกับเพื่อน ออกคำสั่งเชิงไล่ “เดี๋ยวกูตามไป”
ร่างสูงพยักหน้าส่งๆ แล้วจึงเดินออกไปสมทบกับวงเหล้าทางด้านนอกที่ตั้งต้นมาได้สักพัก ด้วยเหตุผลว่าต้องเลี้ยงฉลองที่รอดตายมาหมาดๆ
“ทำไมไม่มานั่งกินในห้องล่ะ เกรงใจผมเหรอ ข้างนอกมันยุงเยอะจะตาย มานั่งข้างในดีกว่า” ขอบฟ้าเริ่มกระสับกระส่าย เพราะวงเหล้าออกไปตั้งด้านนอกห้องพักแทนที่จะมานั่งกินเย็นๆ สบายๆ ด้านใน
“พี่ไล่พวกมันออกไปเอง ฟ้าไม่ต้องคิดมาก ลมแรงแบบนี้ไม่ค่อยมียุง อีกอย่าง พอมันเริ่มเมาก็ไม่สนใจยุงเยิงหรอก”
ตัดสินใจแทนเพื่อนเสร็จ พลชนะก็ทิ้งหัวลงบนตักเขา หลับตาเหมือนตั้งท่าจะนอน
“พี่พลผมเปียก ทำไมไม่ไปเป่าผมให้แห้ง เดี๋ยวก็เป็นหวัดจนได้” ตักเตือนพลางลูบปอยผมเปียกเล่น “แล้วเมื่อกี๊ไหนว่าจะออกไปกินเหล้า ง่วงแล้วเหรอครับ”
“อืม ไม่ได้ง่วง” ตอบเสียงอู้อี้แล้วพลิกตัวขึ้นโอบเอวเขาไว้ทั้งที่ยังนอนอยู่ “แต่ยังไม่หายตกใจต่างหาก ฟ้ารู้ไหมว่าพี่กลัวมากแค่ไหนตอนลงไปควานหาเราในทะเลนั่น กลัวจนหัวใจเกือบหยุดเต้น”
“ผมขอโทษ ผม...งี่เง่าเองล่ะ” อุบอิบตอบอีกรอบ หากแรงรัดรอบเอวกลับแน่นขึ้น
“พี่ไม่ได้ว่าฟ้างี่เง่า แล้วก็ไม่ได้อยากฟังคำขอโทษด้วย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มเขาแล้วยิ้มเศร้า “ถ้าฟ้าเป็นอะไรไป พี่จะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย”
พลชนะยันตัวขึ้น ไล้ปลายนิ้วผ่านริมฝีปากสีอ่อนแล้วจึงค่อยแทนที่ด้วยริมฝีปากของตน สัมผัสนั้นเรียกร้องอ่อนหวาน เรียกเสียงครางหลุดจากปากขอบฟ้าและนั่นราวกับจะเป็นตัวกระตุ้นให้มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อเพื่อลูบผิวเนื้อโดยตรง
ขอบฟ้ายอมรับว่ารู้สึกดีแต่ไม่ได้ถึงกับเคลิบเคลิ้มจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตรงกันข้าม เขาค่อนข้างจะสติแตกกับเรื่องนี้มานานพอสมควร เตรียมใจถูกทิ้งมาก็แล้ว แต่...
“พี่พล ผมว่า...”
พูดยังไม่ทันจบประโยค ขอบฟ้าก็ถูกผลักลงกับที่นอนแล้วโดนทับไว้ทั้งตัว ข้อมือสองข้างถูกกดไว้ด้วยมือใหญ่ในขณะที่ใบหน้าของพลชนะเริ่มเคร่งเครียด
“ทำไมถึงยังไม่ได้ล่ะ ฟ้ารู้ไหมว่าพี่ทรมานมากแค่ไหนกับการต้องอยู่ใกล้กับคนที่เราต้องการแต่กลับแตะต้องไม่ได้ ยิ่งวันนี้...ตอนพี่คิดว่าเกือบจะต้องเสียเราไปแล้ว พี่ยิ่งเอาแต่คิดโทษตัวเองว่าทำไมไม่กอดไว้ให้แน่นกว่านี้ ทำไม” สายตาของพลชนะมีทั้งความกราดเกรี้ยวและหวาดกลัว “ถ้าพี่ยืนยันว่า คืนนี้พี่จะไม่ปล่อย ฟ้าจะว่ายังไง”
เขาจะว่ายังไงได้ จะห้ามใครได้ ในเมื่อตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครฟังเขาสักคน ไม่เคยมีใครสนใจว่าเขาจะต้องการอะไร เสียใจแค่ไหน เจ็บหรือเปล่า ร้องไห้เป็นไหม หัวเราะเป็นหรือเปล่า ทุกคนเอาแต่สั่งให้เขาทำตัวยังไง หรือไม่ก็ด่าว่าโง่แค่ไหน ก็มีอยู่แค่นั้นเอง
ถ้าพลชนะเอาจริง เขารู้ตัวว่าคงไม่มีปัญญาห้าม แต่หลังจากนั้น เขาก็ไม่สามารถทนนิ่งเฉย ตีหน้าตายทำตัวเป็นคนรักที่ดีต่อไปได้เหมือนกัน
ถ้านี่เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจริงๆ เขาก็ควรจะตอบแทนที่ฝ่ายนั้นสู้อุตส่าห์อดทนมาตลอดด้วยไม่ใช่หรือ
ร่างสูงไม่ได้ออมแรงให้เขาดังเช่นทุกที ตรงกันข้าม มือหยาบที่เริ่มลูบตะโบมไปทั่วก็รุนแรงเสียจนน้ำตาซึม
“อึ้ก พอ... หยุดก่อน พี่พล ผมเจ็บ” นอกจากจะไม่หยุดแล้ว เขายังร้องโอ๊ยออกมาเมื่อฟันคมกัดเข้าที่ซอกคอจนเจ็บตุบๆ “ผม... ผมรู้แล้ว ผมยอมแล้ว แต่ขอเวลา...แป๊บเดียว”
ไม่รู้เพราะได้ยินคำยินยอมของเขาหรือเพราะเริ่มได้สติ ร่างที่ทาบทับอยู่จึงยอมหยุดการกระทำและปล่อยให้เขาตะเกียกตะกายถอยออกห่าง
“ผมรู้แล้ว ทำก็ทำ พี่จะทำก็ได้” พูดพลางปาดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาไปด้วย “ผมไม่ดีเอง ไม่น่ายื้อไว้จนตอนนี้ ผมผิดเอง ฮึก...”
พยายามถอดเสื้อออกทางหัวด้วยความขลุกขลักทุลักทุเล ซึ่งกว่าจะหลุดออกมาได้ หน้าตาก็แดงก่ำ น้ำหูน้ำตาเลอะไปทั้งหน้า ถ้าพลชนะไม่แคร์ เขาก็ไม่ถือเหมือนกัน
ทว่านอกจากจะไม่กระโจนเข้าใส่ ชายหนุ่มยังเอาแต่จ้องตรงมา ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ฟ้า ถ้าพี่...”
“ผมจะไม่ห้าม ไม่ขัดขืนแล้ว ผมสัญญา” ยืนยันให้แน่ใจและนิ่งรอ ในขณะที่หัวใจเขาเริ่มเต้นช้าลงๆ
“ถ้าพี่มีอะไรกับเราในคืนนี้ แล้วหลังจากนี้...เรื่องระหว่างเราจะเป็นยังไง”
ขอบฟ้าชะงักนิดหนึ่ง มองคนที่รอคอยคำตอบเขาอย่างจริงจังแล้วเอ่ยเบาๆ “เราสองคนคง...”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดต่อแล้ว!” เสียงตวาดที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำเอาเขาสะดุ้งโหยง มองพลชนะที่ลุกพรวดพราด มองหน้าเขาแบบคนไม่รู้ว่าจะจูบหรือเตะก้านคอดี “สำหรับฟ้า พี่คงเป็นแค่คนที่คิดจะสลัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้งั้นสิ! มีแต่พี่ใช่ไหมที่คิดจริงจัง ฟ้าเคยคิดจะเหนี่ยวรั้งพี่ไว้บ้างไหม เคยอยากเป็นเจ้าของพี่แค่คนเดียวบ้างหรือเปล่า คงไม่เคยสินะ เพราะคนที่ไม่เคยรักกระทั่งตัวเองแบบฟ้า คงไม่มีหัวใจที่จะรักคนอื่นได้หรอก”
พูดอะไรเข้าใจยากก่อนร่างสูงจะเดินตึงตัง ปิดประตูดังโครมจากไป
ทิ้งให้คนข้างหลังนั่งคิดถึงสิ่งที่ได้ยินด้วยใบหน้าเปรอะเปื้อนแดงก่ำยับเยิน แต่คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ลงท้ายจึงหยิบเสื้อกลับมาใส่อย่างเงื่องหงอยแล้วล้มตัวลงนอน ขดตัวซุกในที่นอนตามลำพัง
+++++++++++