Episode 34: Almost about time to leave[2]เรื่องของเจเนซิสถูกเล่าให้ชาวยูนิกม่าทุกคนฟังทันทีที่พวกเรามาถึงที่หมาย ทุกคนเลยมีมติกันว่าจะพาแอสตันไปที่วอชิงตันในวันรุ่งขึ้น การหาตั๋วเครื่องบินไปวอชิงตันสำหรับคนกว่าสิบชีวิตไม่ยากนักสำหรับพวกมนุษย์ต่างดาวนี่ เพราะในบริษัทสายการบินหลายแห่งก็มีมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวทำงานอยู่ เลยไม่เป็นที่น่ากังวลนัก จะมีก็แต่แอสตันนี่แหละที่ดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ที่จะต้องหนีไปก่อนตามคำแนะนำของเจเนซิสทั้งที่ตัวคนแนะนำยังติดอยู่ในรังของเซนไทน์ แถมยังเป็นตัวตายตัวแทนตัวเองอีกด้วย
เอาจริงๆ ผมก็ไม่สบายใจเหมือนกัน แต่พอคิดถึงความปลอดภัยของประตูหลังผัวเพื่อนแล้ว ผมก็ช่วยริชาร์ดยุแอสตันให้ทำตามแผนของเจเนซิสอย่างไม่มีทางเลือก สุดท้ายแอสตันก็ตกลง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเรามาอยู่ที่สนามบินกลางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในคืนวันใหม่
การที่ผมกับริชาร์ดติดสอยห้อยตามมาด้วย อันนี้ไม่แปลกใจเพราะรู้กันอยู่แล้วว่าผมกับริชาร์ดเป็นคู่ผูกพันของแอสตันกับคีธ จะมาส่งก็ไม่แปลก ซีเลนตามมาด้วยก็ไม่แปลกเช่นกันเพราะมันได้ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของแอสตัน มันก็คงอยากจะมาส่งบ้าง แต่ไอ้การที่เห็นบรูคลินกับเบนมาด้วยโดยที่พ่อแม่มันไม่มานี่แหละที่ทำให้ผมกับริชาร์ดไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
พวกมึงไม่ต้องมากันก็ได้นะอันที่จริง จะตามกันมาทำไมวะ เกะกะลูกตาฉิบ!
หงุดหงิดได้แป๊บเดียว พอเห็นซีเลนมันทิ้งกระเป๋าตัวเองให้ยูนิกม่าคนหนึ่งถือแล้วตัวเองก็เดินไปโอบไหล่บรูคลินกับเบนนวยนาดไปที่หน้าสนามบิน ผมก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าพวกมันคงจะตามซีเลนมา เกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้พวกมันเป็นเมียไอ้หื่นซีเลนเป็นที่เรียบร้อย ได้ทั้งเซนไทน์ ได้ทั้งยูนิกม่าแบบทูอินวัน สมใจอยากพวกมึงมั้ยล่ะ
มารู้อีกทีว่าพวกมันไม่ได้ตามซีเลนมาอย่างที่ผมคิดก็ตอนที่มีพวกไบโทปขับรถมารับพวกเราที่หน้าสนามบินนั่นแหละ จริงๆ แล้วที่พวกมันมาก็เพื่อเป็นตัวแทนในการส่งการดูแลต่อให้พวกไบโทปอีกกลุ่มซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของมัน ผมเลยได้รู้ชาติกำเนิดของบรูคลินกับเบนในตอนนี้ว่าพวกมันเองก็ไม่ใช่ไบโทปธรรมดาๆ แต่เป็นถึงลูกหลานคนใหญ่คนโตของดาวเลยทีเดียว พูดง่ายๆ ก็คือไอ้ดาวไบโทปเนี่ยมันมีตระกูลใหญ่สี่ตระกูลปกครอง คล้ายกับกษัตริย์แต่ไม่ใช่ มันเรียกว่าตระกูลผู้นำแห่งดาว ผู้นำตระกูลก็เป็นคนรุ่นปู่ของพวกมัน ดังนั้นบรูคลินกับเบนก็มีสถานะไม่ต่างจากเจ้าชายไปด้วย พอรู้ปุ๊บ ผมกับริชาร์ดนี่เบ้ปากใส่พวกมันแทบไม่ทันเลย
แม่ง น่าหงุดหงิดว่ะ ทำไมมีแค่กูกับริชาร์ดเป็นมนุษย์โลกต่ำเตี้ยเรี่ยดินกันอยู่สองคนวะ!
แต่แล้วความหงุดหงิดของผมก็หายไปเมื่อพวกยูนิกม่าที่มาสมทบยังบ้านญาติของสองพี่น้องเปรตนั่นชวนให้แอสตันไปที่องค์การนาซาซึ่งอยู่ไม่ไกลเพื่อรายงานความพร้อมของยานสำหรับหลบหนีที่จะเสร็จสิ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แน่นอนแหละว่าผมกับริชาร์ดก็ต้องตามไปด้วย ริชาร์ดนี่ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยเมื่อรู้ว่เดี๋ยวมันก็ต้องแยกจากกับแอสตันแล้ว ส่วนผมน่ะเหรอ... ก็จ๋อยนั่นแหละ แต่ยังเก็บอารมณ์อยู่ไง ไม่เหมือนริชาร์ดที่เกาะแขนผัวเด็กแน่นไม่ยอมปล่อย เหมาะสมกับฉายาเห็บหมาที่ผมตั้งให้มันจริงๆ อีกนิดเดียวมันก็จะฝังตัวลงไปในรูขุมขนผัวมันได้อยู่แล้ว เกาะแน่นขนาดนั้นน่ะ
พวกเราไม่ได้ถูกพาไปที่ห้องสร้างยานอย่างที่ผมเข้าใจในตอนแรก แต่ถูกพามายังห้องหนึ่งที่มีผู้คนราวร้อยกว่าชีวิตส่งเสียงโหวกเหวกไปมา ถึงจะไม่ใช่เสียงโหวกเหวกแบบตะโกน แต่การคุยกันเสียงขรมกับบรรยากาศวุ่นวายก็ทำให้ผมปวดหัวขึ้นมานิดๆ ทว่าอะไรก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจได้เท่ากับจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าราวกับเป็นกำแพง บนจอมีจุดสีแดง เขียว เหลือง และอีกสารพัดสัญลักษณ์ที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เหมือนจะเคยเห็นตามหนังแนวไซไฟมาก่อน มานึกขึ้นได้ว่าเรียกว่าอะไรก็ตอนที่ริชาร์ดเลิกเกาะผัวมัน กระซิบข้างๆ ผม
“ห้องปฏิบัติการควบคุมการบิน”
เออ นั่นแหละ ผมก็นึกไม่ออก แต่หันไปมองหน้าริชาร์ดแล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นสายตามันประกายวาบราวกับเด็กเห็นของเล่นน่าสนใจ
เมื่อกี้มึงยังจ๋อยเป็นเห็บขาดเลือดอยู่เลยไม่ใช่หรือไงวะ พอเห็นของน่าสนใจกว่า มึงก็ถีบหัวส่งผัวมึงเลยนะไอ้เจ๊ก!
แต่ก็เข้าใจมันนั่นแหละ ยิ่งคนบ้าหนังแนวไซไฟ-วิทยาศาสตร์อย่างมันด้วย มาเจออะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะตื่นเต้น ยิ่งเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาเข้าไม่ได้ง่ายๆ มันก็คงกะจะกอบโกยรายละเอียดทุกอย่างไปเต็มที่
ทว่าสิ่งที่ผมสนใจกลับไม่ใช่การปฏิบัติงานของพนักงานพวกนี้ แต่เป็นชายวัยกลางคนร่างสูงที่สั่งการคนอื่นอยู่มากกว่า หมอนั่นชะงักไปนิดเมื่อยูนิกม่าที่นำพวกผมมาเดินเข้าไปกระซิบบางอย่าง พอหันกลับมาเห็นแอสตัน สีหน้าเคร่งเครียดก็ฉายแววดีใจเต็มเปี่ยมก่อนจะรีบตรงเข้ามาทำความเคารพแอสตันทันที
“อะ...องค์ชาย ไม่ได้เจอตั้งนาน ทรงสบายดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เราสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วงท่านเจโรว์”
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ชื่อเจโรว์ใกล้ๆ ถึงจะเป็นการเจอหน้ากันครั้งแรกของผมกับหมอนี่ แต่ผมมั่นใจได้เลยว่าหมอนี่จะต้องข้องเกี่ยวกับคนที่ผมรู้จักแน่ๆ
ก็จะไม่ให้ข้องเกี่ยวได้ยังไง ถ้าคนที่ชื่อเจโรว์อะไรนั่นเหมือนเจเนซิสอย่างกับแกะ! อีแบบนี้ต้องเป็นญาติกันแน่ๆ!
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธที่ยืนอยู่เยื้องๆ ผมว่าขึ้นเบาๆ
“ท่านพ่อของเจเนซิสน่ะ ได้ยินว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ไม่กี่วันก่อน ตอนแรกมีแผนว่าจะมาช่วย แต่ตอนนี้มาทำหน้าที่แทนเจเนซิสแล้วเพราะเจเนซิสไม่อยู่”
นั่นไง! ซวยแล้วกู ถ้าแม่งรู้ว่าผมเอาลูกมันไปขายให้พวกเซนไทน์ มันจะจับผมยัดเข้าจรวดแล้วปล่อยออกนอกโลกแบบไปแล้วไปลับหรือเปล่าวะ
ผมใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ขึ้นมากะทันหัน ขณะที่เจโรว์ก็เอ่ยปากถามหาลูกชายเมื่อไม่เห็นว่าอยู่ที่นี่ดว้ย
“แล้วเจเนซิส...”
“เจเนซิสถูกพวกเซนไทน์จับไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเรา เราต้องขออภัยท่านด้วย”
สีหน้าของเจโรว์ดูหม่นไปเล็กน้อย หากแต่พยักหน้าแล้วฝืนยิ้มออกมา
“หม่อมฉันพอจะทราบมาบ้างแล้วเรื่องลูกชาย ไม่เป็นไร ถือว่าลูกหม่อมฉันทำสิ่งที่สมควรแล้วแม้ว่าจเป็นเรื่องไม่ได้ตั้งใจก็ตาม” ว่าจบก็ปราดมองมายังผมราวกับรู้ว่าใครเป็นตัวการอย่างไรอย่างนั้น
ผมก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ เสมองไปทางอื่น ทำไม่รู้ไม่เห็นไปเรื่อยสิ เรื่องอะไรจะไปยอมรับล่ะว่าเป็นตัวการ ดีที่เจโรว์ไม่ได้ใส่ใจมากนัก นอกจากผายมือเชื้อเชิญให้แอสตันเดินไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีแผงจออะไรบางอย่างฝังอยู่ ก่อนจะเริ่มอธิบายยาว
“ตามกำหนดการเดิมที่เจเนซิสวางไว้คือเราจะอพยพไปที่ดาว R18 ในอีกสองอาทิตย์ซึ่งก็หมายถึงอีกห้าวันข้างหน้า หม่อมฉันเช็คระยะการเดินทางจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินไปที่นั่นแล้ว คำนวณได้ทั้งสิ้นสิบพันล้านปีแสง รูหนอนที่ใกล้กับดาว R18 มีระยะทางทั้งสิ้นสามหมื่นปีแสง เทียบกับความเร็วของยานที่สร้างขึ้นที่นี่ เรียกได้ว่าวิวัฒนาการไม่อาจเทียบเท่ากับยานที่สร้างขึ้นที่ยูนิกม่าได้ การเดินทางจึงอาจจะล่าช้าไปกว่าปกตินัก เราคงต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายปีเลยทีเดียวกว่าจะถึง คำนวณคร่าวๆ คงจะเกือบสองปีได้”
ฟังแล้ว ผมก็อ้าปากค้าง ไม่ได้อ้าปากค้างเพราะชื่อดาว R18 ที่ฟังยังไงก็เหมือนกับชื่อย่อของ Rate 18+ หรอกนะ แต่เป็นเพราะระยะเวลาในการเดินทางของพวกมันต่างหาก ส่วนริชาร์ดที่ลั้นลาอยู่เมื่อกี้ก็มีสีหน้าช็อคไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก แอสตันเองก็ดูไม่ค่อยดี มีแต่คีธเท่านั้นนั่นแหละที่ยังนิ่งอยู่ ก่อนที่เจโรว์จะพูดขึ้นอีก
“หม่อมฉันจึงอยากเตือนองค์ชายไว้ว่าการอพยพครั้งนี้เสี่ยงต่อการถูกพวกเซนไทน์ตามมาทัน เราจะรอช้าไม่ได้ รออีกห้าวันก็ยังถือว่าช้าไป หม่อมฉันเลยเร่งรัดทุกอย่างให้เสร็จสิ้นและพร้อมเดินทางในอีกสามวัน ขอให้องค์ชายทรงเตรียมพร้อม”
“สามวัน... เร็วไปมั้ยท่านเจโรว์” แม้แต่แอสตันเองก็ยังใจหาย
ทว่าเจโรว์กลับส่ายหน้า “เรารอไม่ได้”
“แล้วเจเนซิส...”
“รายนั้นไม่ต้องห่วงพ่ะย่ะค่ะ ไว้เจเนซิสหาทางหนีออกมาจากพวกเซนไทน์ได้เมื่อไหร่ จะตามไปสมทบทีหลังพร้อมกับหม่อมฉันและพวกเราที่เหลือ... ถ้าหนีออกมาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ปลายประโยคเน้นย้ำคำว่า ‘ถ้า’ ชัดเจน เหลือบมามองผมด้วย ผมเลยรีบหันหนี
รู้ละว่าไอ้เจเนซิสติดนิสัยชอบเหน็บแบบนิ่งๆ มาจากใคร พ่อมันนี่เอง...
แอสตันทำท่าจะต่อรองอีก ดูท่าทางมันก็ไม่อยากจะไปจากที่นี่เร็วกว่ากำหนดการเดิมนัก ทว่าริชาร์ดก็แตะบ่ามันเสียก่อน พร้อมกระซิบบอกด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกแอสตัน เพื่อความปลอดภัยของนาย ไปเถอะ ฉันจะรอ”
แอสตันก็เลยไม่พูดอะไรอีก พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก ส่วนผมก็ใจหายหนักกว่าเดิมที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้
ไม่เป็นไรบ้านมึงสิไอ้ริชาร์ด! มึงไม่ได้ท้องนี่ คือกูท้อง! กว่าพวกมันจะไป กว่าพวกมันจะกลับ มันไม่ได้ไปแค่วันสองวัน ไปกันเป็นปีๆ แล้วไหนพวกมันจะต้องรอให้เหตุการณ์สงบก่อนถึงจะกลับมาที่นี่ได้อีก แม่งไม่เป็นสิบๆ ปีเลยเหรอวะ คิดถึงกูบ้างสิเว้ย!
ผมชักควบคุมตัวเองไม่อยู่ละ กระสับกระส่าย ซ้ำยังหงุดหงิดจนคีธที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องมาจับมือผมเอาไว้ ผมมองหน้ามันแล้วก็นิ่งลงได้บ้าง แต่คำพูดของมันหลังจากนี้กลับทำให้ผมใจไม่สงบเลย
“ไม่ต้องกลัวนะกวินทร์ นานแค่ไหน ฉันก็จะกลับมา ต่อให้อีกกี่สิบปีก็จะกลับมา”
ถ้ามึงกลับมาตอนกูใกล้ตาย กูจะโกรธมึงมาก! จะจองล้างจองผลาญมึงทุกชาติด้วย!
ผมพยักหน้าส่งๆ ไปด้วยไม่อยากจะจิตตกไปมากกว่านี้ คีธก็เลยไปฟังเจโรว์อธิบายแผนการเดินทางต่ออีกยาวเหยียด สิ่งที่หลุดออกจากปากหมอนั่นต่อจากนี้ บอกเลยว่าไม่เข้าหูผมสักนิด ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่จิตใจว้าวุ่นเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่นได้ ทว่าก็ได้แต่ทำนิ่ง รอจนพวกมันคุยธุระกันเสร็จเท่านั้น
ไม่อยากให้ไปเลย... ไม่อยากให้ไป...
ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดจนผมแทบไม่รับรู้อะไร กระทั่งกลับมาถึงบ้านญาติของพวกบรูคลิน คีธก็ขอตัวพาผมแยกกับคนอื่นๆ ไปพักผ่อนทันทีด้วยเห็นสีหน้าผมไม่ดีนัก มันก็คิดว่าคงเป็นผลจากการตั้งท้องของผมนั่นแหละที่ทำให้ผมดูไม่ค่อยโอเค แต่จริงๆ ไม่ใช่ เป็นเพราะผมทำใจไม่ได้เรื่องที่มันจะไปจากผมต่างหาก
ผมเอนกายนอนบนเตียง ทอดมองยังร่างใหญ่ที่กำลังถอดเสื้อโชว์แผ่นหลังอยู่ทางปลายเท้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายปวดหนึบ ไม่เคยคิดเลยว่าการจากลามันจะทำให้ทรมานได้ถึงขนาดนี้แม้ว่าจะเพียงแค่คิดก็ตาม ผมก็เลยพยายามไม่คิด แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ผุดลุกจากเตียง เดินเข้าไปหาคีธขณะที่มันหันมามองผมพอดี
“ทำไมไม่นอนล่ะกวินทร์”
ผมไม่สน สวมกอดมันทันใด คีธดูงุนงงเล็กน้อย แต่ก็กอดผมตอบ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยผมด้วย
“เป็นอะไรหืม?”
ผมไม่พูด เอาแต่ซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง คีธเลยต้องถามขึ้นมาอีก
“เป็นอะไรเหรอกวินทร์”
“ไม่อยากให้ไป” ผมว่าเสียงอู้อี้ คีธเลยรู้ทันทีว่าที่ผมเงียบมาตลอดตั้งแต่อยู่ที่นาซาจนกลับถึงที่นี่เป็นเพราะเรื่องของมัน มันก็เลยดึงผมผละออกเล็กน้อย ช้อนปลายคางขึ้นแล้วจูบผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“ฉันก็ไม่อยากไปเหมือนกัน”
“นายก็ไม่ต้องไปสิ”
“ไม่ได้ มันจำเป็น”
ผมย่นคิ้วทันทีที่ได้ยินมันว่าอย่างนี้ นิสัยเอาแต่ใจก็พาลกำเริบขึ้นมาด้วย
“แต่ฉันกับคีตาอยู่ที่นี่นะ นายจะทิ้งไปปกป้องผัวไอ้ริชาร์ดหรือไง ถามจริงเถอะ มันสำคัญอะไรนักหนาเนี่ยไอ้แอสตันน่ะ สำคัญกว่าฉัน สำคัญกว่าคีตามากเลยหรือไงฮะนายถึงยอมทิ้งไปแบบนี้ได้!”
คีธนิ่ง มองผมราวกับรอให้ผมหยุดโวยวาย จนผมถอนหายใจเต็มแรงแล้วเงียบ มันถึงพูด
“ฉันเป็นผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่านะกวินทร์ เป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชาย ถึงจะไม่อยากไป ไม่อยากทำ หรืออยากอยู่กับกวินทร์และคีตามากแค่ไหน แต่ก็ทิ้งหน้าที่ไม่ได้ ถ้าฉันทิ้งหน้าที่แล้วเลือกกวินทร์กับลูก นั่นก็หมายความว่าองค์ชายมีสิทธิ์ถูกจับไป และจากนั้นชาวยูนิกม่าก็จะตกอยู่ใต้เบี้ยล่างของเซนไทน์ ทีนี้ก็จะไม่ใช่แค่ยูนิกม่าเท่านั้นแล้วที่เดือดร้อน มันจะลามไปถึงชาติพันธุ์อื่นๆ รวมถึงกวินทร์กับลูกด้วย ลองคิดดูว่ายูนิกม่าที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งพอๆ กับเซนไทน์ยังถูกกำราบ ชาติพันธุ์อื่นๆ จะเหลือรอดเหรอ”
ผมเงียบ ก็รู้อยู่หรอกว่าพวกเซนไทน์เป็นพวกนักล่าที่ไม่รู้จักพอ น่ากลัวก็จริง แต่ยังไงผมก็ไม่อยากให้คีธไปอยู่ดีนี่หว่า จะว่าเห็นแก่ตัวก็เอาเถอะ อยากอยู่กับคนที่รัก ไม่อยากจากกันมันก็เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่าวะ
“ที่ฉันทำ ไม่ได้ทำเพื่อชาวยูนิกม่าอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อกวินทร์กับลูกด้วย ฉันกำลังปกป้องกวินทร์กับลูกอยู่นะ” เพราะผมไม่พูด มันก็เลยพูดขึ้นมาอีก
คราวนี้ผมฟังต่อไม่ไหวละ น้ำตาจะไหล ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่พาไปส่งโรงเรียนวันแรกแล้วถูกหลอกเดี๋ยวมารับแต่จริงๆ กว่าจะมารับก็เย็นย่ำยังไงยังงั้น
“ก็...ก็ไม่อยากให้ไปนี่หว่า...” ผมว่าเสียงสั่น น้ำตาเอ่อปริ่มขอบตา เกือบจะไหลลงมาอยู่แล้วถ้าไม่สะกดกลั้นไว้
คีธยกมือประคองหน้าผม สายตาที่มองผมก็ดูเจ็บปวดไม่แพ้กัน ก่อนจะดึงผมไปกอดแน่น
ผมซุกหน้าลงบนแผ่นอก ปล่อยให้อ้อมแขนใหญ่กอดอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว พอผละจากกัน คีธก็ช้อนตัวผมกลับมานอนที่เตียง ตามขึ้นมานอนข้างๆ พรมจูบแผ่วเบาไปทั่วใบหน้า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันกำลังบอกว่ารักผมมากแค่ไหนอยู่ ก่อนมันจะเลื่อนต่ำลงไปทิ้งหัวลงแนบบนหน้าท้องผม พูดขึ้นมาเบาๆ
“พ่อคีธจะกลับมานะคีตา รอพ่อด้วย เป็นเด็กดีให้แม่กวินทร์นะ”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับสรรพนามที่มันใช้เรียกตัวเองกับผม ก่อนผมจะดึงหูมันไปที
“แม่กวินทร์อะไรของนาย ฉันเป็นผู้ชายก็ต้องเรียกว่าพ่อเว้ย”
“แต่กวินทร์เป็นคนคลอด...”
“ตอนนายกลับมา นายก็ต้องเป็นคนป้อนนม ทำไมไม่ให้เรียกนายว่าแม่ล่ะวะ แม่คีธ...” นมที่ว่า ผมหมายถึงสารอาหารจากนิ้วมันนั่นแหละ
คีธยกยิ้มเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วแนบหัวลงบนหน้าท้องผมอีกครั้งพร้อมกับพูดประโยคเดิม
“พ่อคีธจะกลับมานะคีตา รอพ่อด้วย เป็นเด็กดีให้พ่อกวินทร์นะ”
“เออ ค่อยฟังรื่นหูหน่อย” ผมว่าติดตลก
คีธผงกหัวขึ้นมา คราวนี้ประกบจูบปากผมอย่างดูดดื่ม เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะผละออกมาแล้วจ้องตาผมนิ่ง
“ฉันจะกลับมานะกวินทร์ ได้โปรด... ช่วยรอจนกว่าจะถึงวันนั้น รอฉัน ฉันสัญญาว่าจะกลับมา”
ดูท่าทางผมคงจะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้นอกจากการรอแล้วล่ะ จึงได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วตอบรับมันไป
“อืม จะรอ”
คีธยิ้มออกได้เล็กน้อย แล้วจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากผม “ฉันรักกวินทร์ รักที่สุด...”
ผมไม่ได้บอกรักตอบ ทำเพียงแค่ตวัดมือโอบกอดร่างใหญ่ไว้เท่านั้น
เกลียดสถานการณ์บีบคั้นแบบนี้ เกลียดความรู้สึกแบบนี้ชะมัดเลยให้ตายเถอะ...
-----------------------------------------------
ตอนนี้ไม่ได้อัพตัวอย่างไว้ก่อน ประเด็นคือขี้เกียจ เอาเต็มตอนไปเลยแล้วกัน ฮาาา
เรื่องนี้เหลืออีก 2 ตอนก็จะจบแล้วนะคะ มีบทส่งท้ายอีก 2 ตอนด้วยเช่นกัน จริงๆ มีตอนพิเศษ 10 ตอน (คีธ-กวินทร์ 4 ตอน/ แอสตัน-ริชาร์ด 2 ตอน/ ซีเลน-สองเปรต 2 ตอน/ ลาร์ค-เจเนซิส 2 ตอน) แต่จะไม่อัพนะ อัพถึงแค่บทส่งท้ายเท่านั้น ใครอยากอ่าน ไปตามฉบับหนังสือเอาเน้อ
หลังจากอัพจบแล้วก็จะอัพตัวอย่าง Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน ต่อนะคะ อัพไม่จบเช่นกัน บอกไว้ก่อนเลย จะอัพแค่พาร์ทละ 3 ตอนเท่านั้น (มีพาร์ทของคีตา แล้วก็พาร์ทของคินน์) แล้วก็อัพก็อัพตัวอย่าง Alien's Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน ตอนนึง หมดจากนี้ก็จบอย่างเป็นทางการแล้วจ้า อาจจะมีแวบมาอัพตอนพิเศษตามโอกาสเทศกาลบ้าง (ขึ้นอยู่กับอารมณ์คนเขียนนะ อารมณ์ดีก็ดีไป ขี้เกียจก็บายยยย 555)
ปล.สนใจหนังสือ เข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3