Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59  (อ่าน 134893 ครั้ง)

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
คราวนี้ซีเลนจะเป็นพระเอก ถึงจะแอบเกีลยดตรงที่อ้างว่ากวินทร์เป็นของตัวเองก็เถอะ...

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ซีเลน แลดูเริ่มจะเด่นนำหน้าคีธแล้วนะ แอบคิดว่าซีเลนคงไม่ใช่พวกตัวร้าย แค่ดีไม่พอจะเป็นพระเอกเท่านั้นเอง :katai2-1:

ออฟไลน์ pe-ar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ติดตาม ๆๆๆชอบๆๆๆ
พล็อตเรื่องแปลกดี

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตอนพิเศษวันเด็กจ้า ตอนนี้บอกเลยว่าวุ่นวายมว้ากกกก กวินทร์นางวุ่นวายมาก เป็นขุ่นแม่ที่จู้จี้จุกจิกขี้โวยวาย ส่วนบักคีธก็...ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาคมพ่อบ้านใจกล้าจย้าาาา ฮาาา
----------------------------------

Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[1]
 
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเลิกตั้งหน้าตั้งตาคอยวันเด็กไปตั้งแต่ตอนอายุเท่าไหร่ ที่รู้ๆ ตอนนี้คือ วันเด็กก็คือวันธรรมดาอีกวันที่ผมต้องทำงาน ถึงแม้ว่าวันเด็กของอเมริกาจะเป็นวันอาทิตย์ที่สองของเดือนมิถุนายนก็เถอะ แต่โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่างผม ถ้าอยู่ในช่วงที่เปิดกล้องแล้ว วันไหนก็คือวันทำงานทั้งนั้น ยิ่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น และผมก็เป็นโปรดิวเซอร์ไฟแรงอยู่ในขณะนี้ด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าตอนนี้คิวทองแค่ไหน แทบไม่มีเวลาเจอหน้าลูกผัวเลยเถอะ
อย่าว่าแต่เจอหน้าลูกผัวเลย แค่เวลาจะหายใจหรือนั่งพักแบบสมองว่างๆ สักห้าหรือสิบนาทียังไม่มี
แต่ถึงผมจะมองว่าวันเด็กก็คือวันธรรมดา ทว่าสำหรับลูกๆ ผมอย่างคีตากับคินน์แล้ว วันพรุ่งนี้มันไม่ใช่วันธรรมดาๆ สองคนนั้นถามผมแทบทุกวันว่าเมื่อไหร่จะถึงวันอาทิตย์และมีสีหน้าตื่นเต้นระคนดีใจทุกครั้งที่ผมบอกจำนวนวันที่เหลืออยู่กลับไป ทั้งหมดก็เพราะเมื่อเดือนก่อน ผมดันไปรับปากลูกๆ ไว้ว่าจะพาไปเที่ยวธีมปาร์คตอนวันเด็ก เรื่องยุ่งยากมันก็เลยบังเกิด ผมต้องเปลี่ยนแพลนการทำงานตลอดอาทิตย์ใหม่ทั้งหมด ทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อที่จะขอลาหยุดในวันพรุ่งนี้
สุดท้ายเมื่อคืนก็ต้องทำงานล่วงเวลา กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปตีสาม กลับถึงบ้านตีสี่ แต่นรกคืออะไรรู้มั้ย... นรกก็คือพอหกโมงเช้าตรงเด๊ะ คีตากับคินน์ก็บุกเข้ามาในห้องนอน ปลุกผมที่เพิ่งจะนอนไปได้แค่สองชั่วโมงให้ตื่นทั้งๆ ที่ผมบอกลูกๆ ไปแล้วว่าจะออกจากบ้านตอนเก้าโมง เพราะธีมปาร์คเปิดสิบโมง ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง ไปสายหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ทว่าเหมือนไอ้ลูกพวกนี้จะนับเลขไม่เป็น
เลขเก้าคือเลขหกกลับหัวนะเว้ยไอ้เด็กพวกนี้!
“อืม... คีตา คินน์... พ่อจะนอน” ผมงึมงำ ตางี้เปิดไม่ขึ้นเลย มึนหัวมาก
แต่ทั้งคีตาทั้งคินน์ไม่มีใครฟัง ปลุกให้ผมตื่นอยู่นั่น
“แต่นี่มันเช้าแล้วนะฮะพ่อกวินทร์ ตื่นเร็วเข้า ไปเที่ยวกัน!” ผมไม่เห็นหน้าว่าใครพูด แต่เสียงร่าเริงแบบนี้ต้องเป็นเสียงของคินน์แน่ แถมปลุกผมอย่างเดียวยังไม่พอ เอามือเล็กๆ มาเขย่าไหล่ผมอีก
“ห้านาทีนะคินน์...” ผมว่าโดยไม่ลืมตา หากแต่คินน์ไม่สนใจฟังแม้แต่น้อย
“นาทีนึงของพ่อกวินทร์ก็คือหนึ่งชั่วโมง ห้านาทีก็ห้าชั่วโมง ผมไม่ให้พ่อกวินทร์นอนต่อหรอก ตื่นเดี๋ยวนี้!” ตอนนี้คินน์เริ่มโวยวายละ
ผมเลยพลิกตัวหนี ตลบผ้าห่มคุมโปงแล้วทำเป็นไม่สนใจ ทว่าการเมินหนีลูกก็เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้สำแดงฤทธาซะงั้น
“ถ้าพ่อกวินทร์ไม่ตื่น คินน์ก็จะไม่ให้นอน!” ว่าแล้วก็ปืนขึ้นเตียง ก่อนจะกระโดดไปมาพลางส่งเสียงร้องไปด้วย “พ่อตื่น! พ่อตื่น! พ่อตื่นเดี๋ยวนี้!”
คินน์คนเดียวคงจะไม่พอ ยังมีคีตาที่ยืนมองน้องชายป่วนผมอยู่นานสองนานขึ้นมาช่วยกระโดดปลุกผมด้วยอีกคน ผมเลยจำเป็นต้องดันตัวขึ้นนั่งเพราะสปริงเตียงมันเด้งกระแทกจนผมรำคาญจนชักทนไม่ไหว
“เออๆ! ตื่นแล้วๆ ไอ้เด็กพวกนี้นี่!” แล้วผมก็เผลอโวยวายโดยไม่รู้ตัว
แต่พอเห็นผมลุกขึ้นมานั่งได้ คีตากับคินน์ก็หยุด ก่อนทั้งคู่จะส่งยิ้มกว้างมาให้ผม
“พ่อกวินทร์ตื่นแล้ว เย่ๆ!” ตามมาด้วยไอ้ตัวแสบประจำบ้านที่ร้องเฮลั่น พลันเข้ามากอดผมแน่น
จากที่รำคาญอยู่เมื่อกี้ ผมก็เผลอยิ้มออกมากับความขี้อ้อนของคินน์อย่างเสียมิได้ ส่วนคีตาน่ะไม่หือไม่อือหรอก ทำหน้าอึนๆ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“แล้วพ่อคีธไปไหน” ผมถามหาใครอีกคนเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้างกายไร้เงาของร่างใหญ่
“พ่อคีธทำอาหารเช้าอยู่ฮะ” อันนี้คีตาตอบ ผมเดาในใจว่าคีธก็คงจะถูกลูกปลุกเหมือนกัน แต่คิดผิดถนัดเมื่อคีตาว่าขึ้นมาอีก “พ่อคีธไม่ว่างก็เลยให้ผมกับคินน์มาปลุกพ่อกวินทร์แทน”
อ๋อ! มึงนี่เองที่เป็นตัวการทำให้กูโดนลูกป่วนแต่เช้า!
หัวคิ้วผมย่นลงโดยอัตโนมัติ ไม่หงุดหงิดลูกละ หงุดหงิดไอ้เวรนั่น แม่ง รู้ทั้งรู้ว่าผมเพิ่งจะได้นอนตอนกี่โมง มันก็ยังมีหน้ามาปลุกผมอีก แต่ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ลุกๆ ไปเลยแล้วกัน
“โอเค งั้นเดี๋ยวพ่อไปล้างหน้าก่อน คีตาพาน้องไปที่ครัวไป”
คีตาพยักหน้า คินน์หอมแก้มผมส่งท้ายทีนึงก่อนเดินไปหาพี่ชายแล้วก็กอดคอกันออกจากห้องนอนไป
 
ผมใช้เวลาไม่นานในการจัดการธุระส่วนตัว พอแต่งตัวเสร็จก็ตรงไปที่ห้องครัวที่มีลูกๆ นั่งรอกินมื้อเช้าอย่างพร้อมหน้า ส่วนไอ้เวรคีธในผ้ากันเปื้อนแม่งก็ทอดเหวอะไรอยู่ไม่รู้ พอเห็นผมเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับก็ร้องทักทันที
“ตื่นแล้วเหรอกวินทร์ เมื่อคืนนอนสบายมั้ย”
มึงยังจะถามอีก! นอนไปแค่สองชั่วโมง มึงคิดว่ากูสบายมั้ยล่ะ!
“เอากาแฟมาแก้วนึง” ผมไม่ตอบ สั่งมันแทน
คีธพยักหน้า ปิดเตาแก๊สแล้วตักเบคอนใส่จานยกมาให้ผมพร้อมกับกาแฟดำแก้วเล็กๆ แก้วหนึ่ง ผมกระดกกาแฟอึ้กๆ คิดว่าวันนี้คงต้องพึ่งคาเฟอีนทั้งวัน ขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วของคินน์ดังไม่หยุดเมื่อตระหนักได้ว่าอีกไม่นานก็จะได้ไปเที่ยวแล้ว
“เค้าจะขึ้นรถไฟเหาะ แล้วก็ไวกิ้ง แล้วก็ถ่ายรูปคู่กับแดร็กคิวล่า คีตาจะเล่นอะไรมั่ง”
“อืม โกคาร์ทมั้ง” คีตาทำท่าคิดไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“โห เด็กอะ แต่ถ้าคีตาอยากให้เค้าเล่นเป็นเพื่อนก็ได้นะ เค้าจะเล่นกับคีตา”
คินน์พูดไปเรื่อยตามประสาเด็ก คีตาก็พยักหน้าเออออรับคำน้องไป ท่าทางเหมือนจะเฉยๆ แต่ผมสังเกตได้ว่าคีตาอมยิ้ม แววตาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ปกติแล้วคีตาไม่ค่อยแสดงสีหน้าเท่าไหร่ เหมือนกับคีธเด๊ะๆ ราวกับถอดแบบออกมา จนบางครั้งผมรู้สึกว่าคีตาโตเร็วเกินเด็กวัยสิบขวบไปหน่อย แต่วันนี้ดูมีความเป็นเด็กแฮะ ส่วนคินน์ก็เด็กนั่นแหละ เด็กกว่าเด็กอายุเก้าขวบทั่วไปด้วยมั้ง คิดแต่จะเล่นตลอดเวลา เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ผมก็ได้เห็นลูกๆ มีความสุขแล้วกัน คิดไม่ผิดที่ยอมหยุดงานมาให้เวลากับลูกแบบนี้
“รีบๆ กินเร็วเข้า จะได้ไปกัน ดูท่าทางวันนี้คนจะเยอะ รีบไปหน่อยก็ดี” ผมว่าพลางจิบกาแฟอึกสุดท้าย
เด็กทั้งสองพยักหน้าแล้วจัดการกับอาหารเช้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว คีธเดินมานั่งพร้อมกับอาหารเช้าของตัวเอง ก่อนจะเปรยกับผม
“ขอโทษนะกวินทร์ที่ปลุกแต่เช้า เห็นเด็กๆ ตื่นเต้นกันแล้วอดไม่ได้”
ผมพยักหน้าก่อนจะถาม “แล้วนี่ลูกก็ไปปลุกนายเหรอ”
คีธส่ายหน้าพรึ่บ “เปล่า ฉันไปปลุกลูก”
หัวคิ้วผมย่นลงทันที วางแก้วกาแฟเปล่ากระแทกบนโต๊ะดังปึง
กูว่ามึงนั่นแหละที่ตื่นเต้น ไม่ใช่ลูกตื่นเต้นหรอก มึงอย่าเอาลูกมาอ้างหน่อยเลยไอ้คีธ! มนุษย์ต่างดาวอย่างมึงคงไม่เคยมีวันเด็กล่ะสิท่า!
“เอากาแฟมาอีกแก้วซิ” ผมขี้เกียจจะด่ามันก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป
พอได้กาแฟแก้วใหม่มา ผมก็จัดการกระดกอึ้กๆ อีกครั้งจนคีธที่กำลังจิ้มเบคอนเข้าปากมองหน้า
“ดื่มแต่กาแฟไม่ดีนะกวินทร์ กินอย่างอื่นด้วยสิ”
“อย่ายุ่งน่า ก็คนมันง่วงนี่หว่า” ผมว่าเสียงขุ่น คีธก็เลยจัดการส่งเบคอนในมือมาตรงหน้าผมทันควัน
“กินซะ เดี๋ยวหิว”
“ไม่เอา” ผมปฏิเสธในทันที คีธก็เลยเรียกชื่อผมเสียงเรียบ
“กวินทร์ อย่าดื้อ เดี๋ยวไม่มีแรงเที่ยวหรอก ลูกๆ จะหมดสนุกเอา”
คราวนี้ไม่ใช่แค่คีธที่มองหน้าผม ลูกๆ ก็ละสายตาจากจานอาหารของตัวเองมามองหน้าผมและเข้าข้างคีธทันใด
“พ่อกวินทร์กินนะฮะ คินน์อยากให้พ่อกวินทร์เล่นกับคินน์ด้วย” แล้วก็ตามมาด้วยการออดอ้อน
คีตามองผมแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่ากินๆ ไปเถอะ ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงแล้วอ้าปากงับเบคอนนั่นอย่างไร้ทางเลือก
“พอใจยัง” ผมถามขณะปากยังเคี้ยวอยู่
ไม่มีใครตอบ นอกจากพากันยิ้มให้เท่านั้น พอกลืนลงคอไป คีธก็จิ้มไส้กรอกมาตรงหน้าผมอีก
“กินอีกสิ”
ผมอ้าปากเตรียมบอกว่าไม่เอาแล้ว อดนอนแล้วมันไม่อยากอาหาร ทว่าพอเห็นสายตาของคีตากับคินน์ที่มองมาอย่างกังวลว่าผมจะไม่มีแรงเที่ยว ผมก็ตัดใจไม่พูด งับไส้กรอกอย่างไม่มีทางเลือก ปากเคี้ยวไปก็ต่อรองกับคีธไปด้วย
“วันนี้นายขับรถนะ”
“ได้ แต่มีข้อแม้”
“อะไร” ผมเผลอเสียงเขียวใส่มันเลย แม่ง กูยิ่งเหนื่อยๆ อยู่ อย่ามาหาเรื่องให้กูเหนื่อยกว่าเดิมนะ
แต่ข้อต่อรองของคีธไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมเหนื่อยอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้แต่อย่างใด มันแค่เลื่อนจานอาหารของผมเข้าหาตัว แล้วก็หยิบเอาขนมปังปิ้งขึ้นมา
“กวินทร์ต้องกินเยอะๆ กินให้หมดจานรู้มั้ย”
“ก็นึกว่าเรื่องอะไร เออๆ กินก็กิน” ผมตอบรับอย่างโล่งอก แล้วก็งับขนมปังในมือมันอีก
ตอนนี้แหละที่คินน์พูดขึ้นมา “พ่อกวินทร์เหมือนเด็กเลยนะฮะ ต้องให้พ่อคีธป้อน คินน์ไม่ต้องให้ป้อน แสดงว่าคินน์เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
คีตาพยักหน้าเห็นด้วยเป็นพัลวัน ผมหัวเราะในลำคอทันใด
“ผู้ใหญ่เค้าไม่เที่ยวสวนสนุกกันหรอกนะ”
เท่านั้นแหละ ทั้งคู่จ้องหน้าผมนิ่งแล้วคินน์ก็หันหนีไปเลย มีแต่คีธนั่นแหละที่ทำลายความเงียบขึ้นมา
“แต่วันนี้เป็นวันเด็กนี่ คีตากับคินน์จะเป็นเด็กสักวันก็ได้” ลูกๆ มีสีหน้าดีขึ้น ยิ้มให้คีธกันใหญ่ที่คีธเข้าข้าง ก่อนที่มันจะหันมาบอกผมบ้าง “กวินทร์ก็เหมือนกัน เป็นเด็กบ้างสักวันก็ได้นะ”
แล้วก็ตามด้วยการมองแบบมีเลศนัย ผมฉุกใจขึ้นมาทันทีเลยว่ามันหมายความว่าอะไร ทว่าไม่ต้องพูด มันก็เอ่ยปากขึ้นมาซะแล้ว
“กินนมได้นะ”
นมที่ว่าของมันไม่ใช่นมวัวแน่นอน แต่เป็นนมมันนี่แหละ ผมเลยทุบมันไปดังปั้กท่ามกลางสายตางุนงงของลูกๆ ว่าผมทุบคีธทำไมทั้งที่แค่มันบอกให้กินนมเท่านั้น
แต่อย่ารู้แหละดีแล้วลูก รู้ความจริงว่าพ่อคีธหื่นแค่ไหนแล้วจะหมดศรัทธา
 
กว่าจะกินมื้อเช้าเสร็จ กว่าจะเตรียมนั่นเตรียมนี่ก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า สุดท้ายเราก็ออกจากบ้านเกือบๆ แปดโมง รถแวนครอบครัวถูกเอาออกมาใช้เป็นพาหนะของวันนี้ คีธประจำตำแหน่งคนขับ ลูกๆ นั่งเบาะหลังตามปกติ ส่วนผมก็นั่งข้างๆ คีธ ขึ้นรถได้ รัดเซฟตี้เบลท์เสร็จ ผมก็ตั้งท่าจะนอนทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแม้ว่าคีตาจะอ่านแผนที่จากในแท็บเล็ต บอกจุดหมายปลายทางให้คีธรู้ทั้งที่หน้ารถก็มีจีพีเอสอยู่แล้วแท้ๆ ส่วนคินน์ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไม่เลิกจนผมต้องดุถึงจะหยุดได้
สรุปก็คือ ธีมปาร์คที่เราจะไปคือธีมปาร์คที่เพิ่งเปิดใหม่ อยู่ห่างจากบ้านเราซึ่งอยู่ในละแวกฮอลลีวูดพอสมควร อย่างที่บอกแหละว่าใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงหลังจากคำนวณระยะทางโดยจีพีเอสแล้ว เพราะที่นั่นมันดันไปสร้างอยู่นอกเมือง แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าผมไม่สน ปล่อยให้ลูกๆ คุยกับคีธแล้วตัวเองก็นอนอย่างเดียว กระทั่งผ่านไปชั่วโมงเศษและพวกเรามาถึงครึ่งทาง เสียงจอแจของลูกทั้งสองก็ค่อยๆ เงียบลง มีแต่เสียงแอร์ดังหึ่งๆ ให้ได้ยินเท่านั้น
ได้นอนหลับลึกซะที...
ผมผ่อนลมหายใจ เคลิ้มๆ จนเกือบจะหลับลึกอยู่แล้ว เสียงกระเง้ากระงอดก็ดังขึ้นน้อยๆ พร้อมกับมือเล็กที่สะกิดไหล่ผมเบาๆ
"พ่อกวินทร์... คินน์หิว"
มาละไอ้ตัวงี่เง่าเบอร์หนึ่งประจำบ้าน ว่าจะนอนๆ ไม่ได้นอนอีกแล้วเนี่ย
"เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อดทนก่อน" ผมว่าส่งๆ ตาก็ปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็ทันสังเกตเห็นว่าแก้มใสของคินน์ป่องขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตามมาด้วยการแหกปากเสียงดัง
"คินน์หิว! คินน์จะกิน! คินน์หิวอะ! พ่อกวินทร์ใจร้าย! ทำไมไม่ยอมให้คินน์กิน! ฮือ...!"
โอย... ปวดหัว ไมเกรนกินไปครึ่งซีกแล้วเนี่ย ไอ้ลูกคนนี้ติดนิสัยขี้โวยวาย เอาแต่ใจนี่มาจากใครวะ!
ผมเปิดตาขึ้นมา หันไปมองก็เห็นคินน์ร้องไห้น้ำตาไหลพราก เลยมองเลยไปยังคีตาที่นั่งเล่นเกมจากแท็บเล็ตอยู่
"คีตาดูทีว่าท้ายรถมีอะไรให้น้องกินบ้าง เอายัดๆปากไป พ่อปวดหัว อยากนอน"
คีตาพยักหน้ารับ ปีนไปมองหลังรถก่อนจะหันกลับมาส่ายหน้าให้ผม
"ไม่มีของกินเลยฮะพ่อกวินทร์"
"คินน์ต้องอดตายแน่ๆ! พ่อกวินทร์ใจร้าย! คินน์หิวก็ไม่ให้คินน์กิน! ฮือ!"
ยังไม่ได้บอกสักคำเลยว่าไม่ให้กิน! แค่บอกว่าให้ทนไปก่อน มันจะถึงที่หมายปลายทางแล้วเนี่ยไอ้ลูกงี่เง่า!
ผมยกมือขึ้นคลึงขมับตัวเองไปมาอย่างหงุดหงิด จังหวะเดียวกับคีธที่ขับรถอยู่พูดขึ้นพร้อมมองคินน์ผ่านกระจกมองหลัง
"กินนี่ก่อนมั้ยคินน์"
ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่า 'นี่' ที่มันว่าคืออะไร ทว่าพอเหลือบไปเห็นมันยกนิ้วชี้ขึ้นให้ลูกดู ผมก็รีบคว้ามือมันหมับก่อนมันจะเอาของกินไม่ถูกหลักโภชนาการป้อนให้คินน์ที่พยักหน้าหงึกหงักตอบรับทั้งน้ำตา
คีธมองหน้าผมเหมือนกับจะถามว่าทำไม ผมเลยแหวออกไปทันที
"อย่ามาเอานิ้วสกปรกๆ ให้ลูกดูดนะเว้ยไอ้คีธ โน่น ปั๊มน้ำมันอยู่ข้างหน้า แวะปั๊มไป"
คีธพยักหน้า ตีไฟเลี้ยวเข้าชิดเลนนอกก่อนจะเลี้ยวเข้าปั๊มไป พอจอดรถหน้ามินิมาร์ทได้ คินน์ที่ยังโวยวายไม่เลิกก็ตบมือแปะ ยิ้มร่าขึ้นมาทันที ก่อนจะเป็นคนแรกที่โดดลงจากรถทันทีที่ผมอนุญาต ตามด้วยคีตาที่เดินตามไปติดๆ
เฮ้อ... เบาหูสักที
"กวินทร์จะเอาอะไรมั้ย" ส่วนคีธนี่พอลงจากรถได้ก็ถามผมที่ตั้งท่าจะงีบ
"เอากาแฟ"
"เช้านี้กวินทร์ดื่มไปสองแก้วแล้วนะ"
"งั้นก็ไม่ต้องซื้อ"
พอมันขัดมางี้ ผมก็ปฏิเสธไปด้วยอยากพักมากกว่า โบกมือไล่มันหย็อยๆ คีธไม่เร้าหรือ หายไปข้างในมินิมาร์ทแต่โดยดี
ทว่าการรอคอยสามพ่อลูกนั่นซื้อของกินช่างยาวนานนัก นานซะจนผมงีบไปตื่นนึงแล้ว พวกมันก็ยังไม่ออกมา เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าทั้งสามหายเข้าไปเกินสามสิบนาที ความเป็นห่วงก็แล่นพล่านเกาะกุมจิตใจทันที
คีธน่ะไม่ห่วงหรอก ที่ห่วงน่ะลูกๆ ต่างหาก
เท่านั้นผมก็รีบลงจากรถ ถลันเข้าไปในมินิมาร์ท มองหาลูกอย่างรวดเร็ว ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับร่างสูงของคีธยังโซนหนังสือเล็กๆ ด้านใน พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นมันถือหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ่านโดยมีคินน์กับคีตายืนประกบดูหนังสือเล่มนั้นอยู่ใกล้ๆ ด้วย
จากที่อยากจะบ่นมันว่าทำไมช้านักก็ไม่อยากบ่นละ เอาเถอะ อย่างน้อยๆที่มันช้าก็เพราะชวนลูกดูของที่เป็นประโยชน์นะ หากแต่ในจังหวะที่มันพลิกหน้าหนังสือ สายตาผมก็ปะทะเข้ากับรูปวาบหวิวของนางแบบในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเข้าอย่างจัง เท่านั้นผมก็รู้ได้เลยว่ามันเอาหนังสืออะไรให้ลูกดู
มึงจะชวนลูกดูนิตยสารปลุกใจเสือป่าทำไมไอ้คีธ! ลูกมึงเพิ่งจะเก้าขวบกับสิบขวบเองนะเว้ย!
ผมไม่รอช้า เดินเข้าไปตบกบาลมันทันที คีธกับลูกๆ หันมามองผมอย่างงงๆ ส่วนผมก็กอดอกมองพวกมันอย่างเอาเรื่อง
"อย่าเอาหนังสือพวกนี้ให้ลูกดูสิวะ ลูกยังเด็กนะ ดูเล่มอื่น!"
คีธเข้าใจได้ทันทีว่าเมื่อกี้ผมตบมันทำไม มันพยักหน้ารับน้อยๆ วางนิตยสารเล่มนั้นลงที่เดิม ก่อนจะหยิบเล่มใหม่ออกมาเปิดให้คีตากับคินน์ดูอีก แล้วหัวคิ้วผมก็ต้องกระตุกหนักเมื่อเห็นว่าเล่มที่มันหยิบมาใหม่ก็ไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมแม้แต่น้อย เพียงแค่เปลี่ยนจากผู้หญิงเป็นผู้ชายเท่านั้น
เปลี่ยนจากปลุกใจเสือป่าเป็นปลุกใจเสือไบก็ไม่ได้เว้ยไอ้เวรคีธ! มึงอย่าปลูกฝังให้ลูกมึงเป็นคนหื่นๆเหมือนมึงนะเว้ย!
ผมพุ่งไปกระชากหนังสือออกจากมือคีธแล้วเอาตีหัวมันไปทีนึง คีธทำหน้าเหมือนจะถามผมอีกรอบว่าตีทำไม ลูกๆ เองก็เช่นกัน แต่ผมไม่รอให้ถาม โบกมือไล่ทันควัน
“รีบไปเลือกของกินแล้วไปจ่ายตังค์ แล้วก็ออกเดินทางต่อได้แล้ว จะเที่ยวมั้ยเนี่ยฮะ ไม่เที่ยวก็กลับ!”
เท่านั้นแหละ ทั้งลูกทั้งผัวต่างพากันแยกย้ายโดยไว เหอะ ก็ลองไม่แยกย้ายดูสิ กูจะทิ้งแม่งให้เดินกลับบ้านทั้งหมดนั่นเลย
 
สถานการณ์กลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง และผมก็ได้หลับไปอีกงีบนึงแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อร่างกายอยู่ดี ทว่าก็ไม่ได้แย่เท่าตอนเช้า อย่างน้อยๆ ก็ทำให้มีแรงไปฝ่าฝูงชนที่แห่กันมาเที่ยวอย่างกับเปิดให้เข้าฟรีที่ยืนออกันอยู่ทางประตูทางเข้าเพื่อรอซื้อบัตรได้ ผมก็พอทำใจไว้แล้วล่ะว่าวันนี้คนจะต้องเยอะแน่ๆ เป็นธีมปาร์คเปิดใหม่ แถมมาเปิดใกล้ๆ วันเด็กอีกต่างหาก บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองจะหอบลูกเต้ามาเที่ยวก็ไม่แปลก
ผมเดินตามคีตากับคินน์ที่กอดคอเข้าไปข้างใน เด็กสองคนนั่นเห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ไปเต๊ะท่ากับตัวมาสคอตบ้าง หุ่นปูนปลาสเตอร์บ้าง ให้ผมถ่ายรูปให้จนมือแทบหงิก ผมฉุกคิดได้ก็ในตอนนี้ว่านี่เป็นการเที่ยวสวนสนุกครั้งแรกของสองคนนี้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยพามาเที่ยวที่อย่างนี้ด้วยซ้ำ เหตุผลก็คือพาเด็กเล็กๆ มาเที่ยวแล้วจะเสียเงินเปล่าเพราะเล่นเครื่องเล่นอะไรไม่ได้เลยน่ะ ส่วนไอ้คีธ...
อะ...เอ๊ะ หายหัวไปไหนของมันวะ
ผมมองซ้ายขวาหาตัวคีธที่เดินตามกันเข้ามาเป็นพัลวัน ทว่ามองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็น เลยบอกให้ลูกยืนรออยู่ที่เดิมก่อนเผื่อว่ามันจะกลับมา แล้วมันก็กลับมาอย่างที่คะเนไว้จริงๆ ด้วย แต่ไม่ได้กลับมามือเปล่า กลับมาพร้อมกับสายไหมสามแท่งในมือและขวดน้ำดื่ม
“นายหายหัวไปซื้อขนมเนี่ยนะ!” ผมถอดแว่นออก แหวใส่มันทันที
คีธพยักหน้ารับแล้วก็ส่งสายไหมให้คีตากับคินน์คนละแท่ง
“สีสวยดี ฉันไม่เคยกิน อยากให้ลูกลอง”
มึงก็บอกอยู่แหม็บๆ ว่าตัวเองไม่เคยกิน มึงอย่ามาอ้างว่าอยากให้ลูกลองนะเว้ย!
อยากด่าฉิบ ยิ่งนอนไม่พอ ยิ่งหงุดหงิดเป็นเท่าตัว แต่พอเห็นมันเลียสายไหมจนละลายติดปากพร้อมกับทำหน้าตกใจนิดๆ แล้ว ผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
น่ารักดีแฮะ ถ่ายรูปเก็บไว้ดีกว่า
แชะ!
คีธละสายตามามองผมที่ยกโทรศัพท์ถ่ายรูปมันเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมโดยไม่สนใจลูกๆ ที่ยืนแทะสายไหมอย่างเอร็ดอร่อยสักนิด
“ปากเลอะน่ะกวินทร์ เช็ดให้หน่อย”
“ก็เอาลิ้นเลียๆ สิวะ” ผมว่าเสียงขุ่นที่จู่ๆ มันก็มาอ้อน หากแต่คีธไม่หยุด ส่ายหน้าแล้วว่าเสียงเรียบ
“งั้นกวินทร์ก็เลียให้หน่อย”
มึงเห็นมั้ยว่าลูกอยู่ตรงนี้น่ะไอ้คีธ! ไม่ใช่แค่ลูกมึง แต่ยังมีลูกคนอื่นด้วย มึงอย่ามาชวนกูทำอนาจารกลางแจ้งนะเว้ย!
แต่คีธมันสนที่ไหน แค่ผมเบิกตาโต มันก็พุ่งเข้ามาจูบผมแล้ว รสหวานปะแล่มที่มาพร้อมกับรสจูบและสายตาของคนรอบๆ กายที่จับจ้องมาทำให้ผมหน้าร้อนฉ่าทันควัน ดีที่มันแค่จูบเฉยๆ ไม่ได้ล้วงลึกชอนไชอะไรเข้ามาในปากแล้วก็ผละไป ผมก็เลยไม่อายมาก จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกการจูบกันในที่สาธารณะเนี่ย ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำสำหรับคนชาตินี้ แต่ผมเป็นคนไทยไง ยังไงก็ทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆ
ที่สำคัญ พอคีธละริมฝีปากจากผมแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นคีตากับคินน์ที่มองผมกับคีธนิ่ง พร้อมกับทำสายตาเจ้าเล่ห์
“พะ...พ่อแค่กินสายไหมที่พ่อคีธป้อนให้” ผมรีบแก้ตัวก่อนลูกเข้าใจผิด
แต่สองคนนั้นกลับยักไหล่แล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนคินน์จะพูดขึ้น
“คินน์จะถือว่าไม่เห็นแล้วกันฮะ”
คีตาพยักหน้าตามน้องเป็นการใหญ่ ผมนี่หน้าร้อนไปถึงไหนต่อไหนเลย พลันหันไปมองคีธที่ทำหน้านิ่งตาเขียว
มึงนะมึง... ทำอะไรก็หัดเกรงใจลูกบ้างสิวะ!
ดีที่ความสนใจจากการเห็นพ่อๆ จูบกันเมื่อครู่ถูกดึงไปได้เมื่อคีตากับคินน์ได้ยินเสียงกรีดร้องของคนที่อยู่บนรถไฟเหาะใกล้ๆ ดังลอยมา เท่านั้นคินน์ก็หูตาแพรวพราว รีบหันมาร้องบอกผมกับคีธทันที
“พ่อกวินทร์ พ่อคีธฮะ! ไปเล่นไอ้นั่นกัน!” ว่าพลางชี้นิ้วเล็กๆ ไปที่รถไฟเหาะ
ผมเห็นแล้วก็เบ้หน้า บอกตรงๆ ว่าผมไม่ถูกกับเครื่องเล่นจำพวกนี้เท่าไหร่ ขึ้นทีไร อ้วกแตกอ้วกแตนทุกที ผมเลยรีบปฏิเสธไปก่อนจะถูกลูกๆ มาคะยั้นคะยอ
“ไปเล่นกับพ่อคีธนะ เดี๋ยวพ่อรอข้างล่าง”
คีธดูท่าทางไม่มีปัญหา มันก็คงไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ ยานอวกาศมันยังขับมาแล้ว กับอีแค่รถไฟเหาะนี่กระจอก
ทว่าการปฏิเสธของผมทำให้คินน์ยู่หน้า โวยวายใส่ผมทันใด
“ไม่เอาอะ! คินน์จะเล่นกับพ่อกวินทร์ด้วย ถ้าพ่อกวินทร์ไม่เล่น คินน์ไม่ยอม!” แล้วก็ตามมาด้วยการดีดดิ้นพล่านๆ
คีตาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน ดูก็รู้แหละว่าเข้าข้างน้อง แต่ไม่พูดอะไรออกมา คีธเห็นลูกกระทืบเท้าปึงๆ แล้วก็หันมาหาผมทันควัน
“กวินทร์...”
“อย่ามาตามใจลูกแถวนี้ บอกว่าไม่เล่นก็คือไม่เล่น” ผมดักคอทันควัน
คีธเลยหุบปากฉับ ไปจับตัวคินน์ที่งอแงไม่เลิกให้ยืนนิ่งๆ จังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์ผมมีสายเรียกเข้าพอดี พอปรายตามองก็เห็นว่าเป็นหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์ที่ทำงานร่วมกับผมอยู่ และวันนี้ผมก็มอบหมายหน้าที่ดูแลงานทั้งหมดให้หมอนั่น มันก็คงจะโทรมารายงานความคืบหน้าให้ผมฟังนั่นแหละ ผมก็เลยใช้โอกาสนี้บอกปัดลูกๆ ทันที
“ไม่ว่างด้วยตอนนี้ มีคนโทรมา” ว่าพลางชูโทรศัพท์
คินน์เม้มปากแน่น สีหน้าบ่งบอกเลยว่างอน ก่อนจะกระแทกเสียงใส่ผมแล้วถลาเข้าไปเกาะแขนคีธแน่น
“คินน์เล่นกับพ่อคีธก็ได้ พ่อกวินทร์ไม่น่ารัก ไม่รักแล้ว!”
“คร้าบๆ ท่านคินน์” ผมเออออส่งๆ ไป โบกมือเป็นสัญญาณให้คีธพาลูกไปต่อคิวเล่นเครื่องเล่นได้แล้ว
พอทั้งสามเดินไปต่อคิวซื้อบัตร ผมก็เลี่ยงมาคุยโทรศัพท์ คุยเสร็จก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คีธกับลูกๆ ขึ้นเครื่องเล่นพอดี ผมเลยไปยืนถ่ายวิดีโอไว้ พอพวกนั้นลงมา ผมก็ทำท่าจะโชว์วิดีโอให้ดู แต่คีตากับคินน์เมินผม จูงมือกันไปเล่นเครื่องเล่นอื่นแทน
“ลูกโกรธกวินทร์แล้วน่ะ” คีธที่เดินมาข้างหลังผมว่าขึ้นเบาๆ
ผมตวัดตาไปมองมันอย่างหงุดหงิด “รู้แล้วน่า”
“กวินทร์ไม่อยากให้ลูกงอนก็ไปเล่นกับลูกสิ”
“นายไม่เห็นหรือไงว่าเมื่อกี้มีคนโทรมาหาฉัน อย่ามาทำตัวงี่เง่าเป็นคินน์อีกคนนะเว้ย” ตอนนี้ผมชักรู้ละว่าคินน์ติดนิสัยเสียมาจากใคร
ก็จะใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้บ้าหน้าตายนี่!
คีธมองผมนิ่งๆ ก่อนจะถือวิสาสะมาแย่งโทรศัพท์ในมือผมไปแกะซิมการ์ดออก แล้วโยนทิ้งไปไหนสักที่ก็ไม่รู้
“เฮ้ย!” ผมแหกปากลั่นด้วยตกใจที่ไม่คิดว่าคีธจะทำแบบนี้ ก่อนจะแหวมันเสียงลั่น “รู้มั้ยว่าในซิมการ์ดนั่นมีเบอร์สำคัญอยู่น่ะ!”
คีธยังคงนิ่ง แถมตอกหน้าผมอีกด้วย
“มีอะไรสำคัญไปมากกว่าลูกอีกเหรอกวินทร์ แค่วันเดียว ให้เวลาลูกหน่อย พรุ่งนี้กวินทร์ก็ได้กลับไปทำงานแล้ว วันเดียวในหนึ่งปีที่ไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยว มีแต่ลูก กวินทร์ทำได้ใช่มั้ย”
ผมตระหนักได้ในตอนนี้ว่าผมทำอะไรพลาด เลยเบือนหน้าหนี ขยับปากพึมพำแทน
“ก็ได้อยู่หรอกถ้าไม่เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวน่ะนะ ฉันไม่อยากอ้วกแตกต่อหน้าลูก”
คีธยกยิ้มน้อยๆ วางมือลงบนหัวผมแล้วยีเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันบังให้”
สรุปคือไม่ว่ายังไงมึงก็จะลากกูขึ้นเครื่องเล่นหวาดเสียวนั่นให้ได้ใช่มั้ย!?
ไม่ทันได้ถาม คีธก็เปลี่ยนตำแหน่งมือจากหัวผมมาเป็นจับมือแทน แล้วลากไปหาลูกที่ยืนรออยู่หน้าซุ้มบัตรเครื่องเล่นไวกิ้งแล้ว
แม่ง... เอาก็เอาวะ เพื่อลูกนะไอ้กวินทร์ ท่องไว้... เพื่อลูก
 


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2016 05:27:14 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[2]

“โอ้กกก!”
หายนะคืออะไร รู้ได้ก็ตอนลงมาจากไวกิ้งหลังถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมากว่าสิบรอบ ผมกอดถังขยะแน่นจนแทบจะรวมร่างกับมัน ขาก็ทรงตัวไม่อยู่ ดีที่มีคีธช่วยพยุงพร้อมลูบหลังให้ ผมเลยไม่ปล่อยให้หน้าตัวเองทิ่มลงไปข้างในได้
“พ่อกวินทร์ไหวมั้ยฮะ” คินน์ถามด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเมื่อผมผละมานั่งยังม้านั่งได้
ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง ก่อนรับขวดน้ำดื่มจากคีตามาจิบเล็กน้อยขณะที่คีตาเองก็มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน
หากแต่การไม่ตอบเป็นคำพูดของผม ทำให้ดวงตาคู่สวยของคินน์เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ
“คะ...คินน์ขอโทษ ฮือ...” แล้วก็ตามมาด้วยระเบิดเสียงร้องไห้ลั่น
กลายเป็นว่ากูทำลูกร้องไห้อีก เวรกรรมจริงๆ เลยไอ้กวินทร์!
“พ่อไม่เป็นไรลูก ไม่เป็น...โอ้ก!” ระลอกที่สองตามมาทันใด ผมนี่พุ่งไปเกาะถังขยะข้างๆ แทบไม่ทัน
คินน์ร้องไห้หนักกว่าเดิมอีกจนคีธต้องเข้าไปปลอบก่อนจะแหกปากหนักไปกว่านี้ ส่วนผมก็เหี่ยวเป็นผักเลย โลกงี้หมุนจนแทบทรงตัวไม่ไหว
“ถ้าพ่อกวินทร์เล่นเครื่องเล่นแบบนั้นไม่ได้ ผมกับคินน์เล่นแบบธรรมดาก็ได้นะครับ” คีตาที่ยืนมองอยู่นานเสนอความเห็นขึ้นมา
ผมพยุงตัวเองกลับมานั่งที่เดิม พยักหน้ารับน้อยๆ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมคีตากับคินน์ชอบเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว ก็เด็กพวกนี้มีสายเลือดมนุษย์ต่างดาวอยู่ในตัว ไอ้เรื่องอะไรพวกนี้ไม่กลัวอยู่แล้ว หากแต่ผมก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อคีธที่เช็ดคราบน้ำตาให้คินน์พูดขึ้น
“พ่อกวินทร์ไม่ชอบเครื่องเล่นหวาดเสียว แต่ถ้าเรื่องเสียวๆ ล่ะก็ พ่อกวินทร์ชอบ”
กูบอกว่าอย่าปลูกฝังให้ลูกเป็นคนหื่นๆ เหมือนมึงไงไอ้คีธ!
ดีที่คีตาไม่เข้าใจ ผมเลยรีบเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น คีตาเลยลืมคำพูดเมื่อกี้ของคีธได้
“แล้วคีตาโอเคเหรอถ้าเล่นเครื่องเล่นแบบธรรมดา ถ้าคีตาอยากเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวก็ไปเล่นกับน้องได้นะ เดี๋ยวพ่อรอ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ได้เล่นกับพ่อกวินทร์ พ่อคีธก็พอแล้ว ผมกับคินน์อยากให้เราเล่นด้วยกันมากกว่า เราไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมร่วมกันเลยนี่ พ่อกวินทร์งานยุ่งตลอด”
พอคีตาว่ามาอย่างนี้ ผมก็รู้สึกผิดอีกเป็นเท่าตัว แต่ก็ยิ้มให้ลูกแล้วพยายามดันตัวเองขึ้นยืน
“โอเค งั้นไปเล่นกันเถอะ”
ผมจูงคีตาเดินนำไป ทว่าเดินเป๋ เลยกลายเป็นว่าลูกต้องช่วงพยุงผมอีก สุดท้ายคีธก็มาช่วยพยุงอีกที เลยกลายเป็นว่าคีตาจูงมือข้างซ้ายของผม ส่วนคีธจูงมือข้างขวาและคินน์ก็จูงมือขวาของคีธ ดูเหมือนจะเป็นภาพครอบครัวที่น่ารักนะ แต่เปล่าเลย... พวกมันแค่กลัวว่าผมจะเดินๆ อยู่แล้วล้มหน้าคะมำเพราะยังเมาไวกิ้งไม่เลิกเท่านั้น
 
พวกเราเริ่มต้นเล่นเครื่องเล่นธรรมดาจากการขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน เคเบิลลอยฟ้า โกคาร์ท แล้วก็อื่นๆ ที่ไม่มีความหวาดเสียว จากตอนแรกที่ผมกลัวว่าลูกๆ จะไม่สนุกเพราะผม ทว่าพอผมเริ่มสนุกไปกับการเล่นของพวกนี้แล้ว ลูกๆ ก็พากันสนุกตาม ผมเลยเบาใจได้ ปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นเด็กอย่างเต็มที่
และเป็นเด็กยิ่งกว่าเดิมเมื่อคีตากับคินน์เดินผ่านซุ้มปาลูกโป่งชิงตุ๊กตา พอเห็นทั้งคู่มองชายหญิงคู่หนึ่งปาลูกดอกกันอย่างสนอกสนใจแล้ว คีธก็หยุดเดินบ้าง ก่อนจะไปซื้อบัตรอย่างรู้หน้าที่
“พ่อปาให้” แล้วมันก็เสนอตัว
เกมปาลูกโป่งก็ง่ายๆ เหมือนในงานวัดที่เมืองไทยนั่นแหละ มีอยู่ทั้งหมดสี่ดอก ต้องปาให้ลูกโป่งแตกทั้งสี่ดอกถึงจะได้รางวัล ปาแตกตามแถวที่กำหนด รางวัลก็จะใหญ่ขึ้น
หากแต่ไอ้เวรคีธกลับดับฝันลูกๆ หลังให้ลูกๆ เลือกแล้วว่าจะเอาตุ๊กตาตัวไหนด้วยการปาไม่เข้าสักดอก ไปซื้อบัตรมาใหม่ แม่งก็ยังปาไม่เข้าจนผมชักจะรำคาญ เข้าไปผลักมันออกจากตำแหน่งปาก่อนที่มันจะได้เริ่มปาลูกดอกชุดใหม่ทันที
“ถอย ฉันเอง”
“กวินทร์ทำได้เหรอ” มันเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เชื่อใจนัก ลูกๆ ก็พาลมองผมอย่างไม่เชื่อใจไปด้วย
ผมพ่นลมหายใจออกมา ยิ้มเผล่อย่างท้าทายทันที
“ดูถูกเด็กที่โตกับมาเกมปาลูกโป่งงานวัดเกินไปแล้ว”
คีธไม่ว่าอะไร ถอยออกมาให้ผมได้ถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนคว้าเอาลูกดอกมาเล็ง และ...
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
รางวัลใหญ่ออกทันที คินน์กระโดดดีใจจนตัวลอย ก่อนจะรับตุ๊กตามนุษย์ต่างดาวตัวใหญ่จากพนักงานมากอดแน่น คีตาเห็นน้องได้ ก็รีบรบเร้าให้ผมปาให้บ้าง
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
รอบสองก็ปาเข้าทุกดอกไม่มีพลาด คีตาเลยได้ตุ๊กตามนุษย์ต่างดาวแบบเดียวกับน้องไปเหมือนกัน ผมพ่นลมออกจากปากดังฟู่ หันมายักคิ้วให้คีธ
“เป็นไง”
“เก่ง” มันว่าแค่นี้ แล้วก็ดึงผมไปกอดแน่นหน้าตาเฉย “เก่งจนอยากผูกพันด้วย”
มึงอย่ามาเนียนหื่นกามใส่กูนะเว้ย!
ผมเอาหัวโหม่งมันอย่างรวดเร็ว แต่มันหลบได้แล้วก็ปล่อยผม ผมเลยว่ามันเสียงเขียว
“อย่ามาทำแบบนี้นะเว้ย”
“ก็กวินทร์เก่งนี่ อยู่ที่ไหนก็เก่ง อยู่บนเตียงก็...”
“อย่าพูด! จะเล่นต่อมั้ยฮะ ไม่เล่นก็กลับ!” ผมรีบขัดขึ้นก่อนมันจะได้พูดจบประโยค รีบคว้ามือลูกสองคนเดินหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
คีธหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินไล่ตามหลังมา
เราเล่นกันจนไม่มีอะไรให้เล่นอีก ผมไล่ให้คีตากับคินน์ไปเล่นเครื่องเล่นที่ยังไม่ได้เล่นจำพวกเครื่องเล่นหวาดเสียวก็ไม่ไป ยืนยันจะอยู่กับผมและคีธอย่างเดียว ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะกินมื้อเย็นกันก่อน แล้วค่อยไปดูขบวนพาเหรดที่จะมีขึ้นตอนหกโมงกัน แต่ก็แน่นอนแหละว่าไม่ได้มีแค่พวกผมที่รอดูขบวนพาเหรด ครอบครัวอื่นๆ ก็เช่นกัน และคนที่รอก็แย่งกันรุมซื้ออาหารกันเป็นพัลวันแม้ว่าจะเป็นขนมปังงี่เง่ายัดฮอทดอกและราดซอสมะเขือเทศกับมัสตาร์ดก็ตาม
“เดี๋ยวพ่อไปซื้อของกินมาให้ อยู่ตรงนี้กับพ่อคีธ อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวหลง” ผมเสนอ แล้วให้ทั้งสามนั่งรออยู่ที่โต๊ะกลางแจ้งเพื่อจองที่ก่อนจะไปเข้าคิวรอซื้อ
กว่าจะกลับมาได้พร้อมกับของกินก็เสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทว่าพอกลับมาที่โต๊ะ ทั้งลูกทั้งผัวก็หายหัวกันไปหมด มีครอบครัวอื่นมานั่งแทนที่ ผมเลยเข้าไปถามว่าเห็นคนของผมมั้ย ครอบครัวนั้นส่ายหน้ายิก บอกว่าก่อนที่จะมานั่งคือโต๊ะก็ว่างอยู่แล้ว ผมเลยรู้ได้ว่าไอ้คีธมันต้องพาลูกไปแน่ๆ
กูก็บอกอยู่ว่าให้นั่งรอจองที่ไว้ อย่าไปไหนเพราะเดี๋ยวหลง มึงนี่ก็พาลูกไปหลงอีก แม่งเอ๊ย!
อารมณ์เกือบจะดีเต็มร้อยอยู่แล้วเชียว กลายมาเป็นหงุดหงิดอีก ผมเลยตัดสินใจจะไปแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประกาศหา แต่ไม่ทันจะได้ก้าวไปไหน เสียงประชาสัมพันธ์ก็ดังขึ้นมาตามสายเสียก่อน
“ขออภัยในความไม่สะดวก คุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟ... คุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟ โปรดมาที่ประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ สามีและลูกๆ รอพบอยู่ที่นี่ แจ้งอีกครั้ง คุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟ โปรดมาที่ประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ...”
ผมกำฮอทดอกในมือแน่นเลย
ไอ้คีธมึง! พวกมึงต่างหากที่หลง ไม่ใช่กูเว้ย จะไปแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านชาวช่องเข้าใจว่ากูเป็นแม่โง่เง่าทำไมวะ! แล้วไอ้ที่ให้ประชาสัมพันธ์ประกาศว่าคุณนายเควินนี่หมายความว่าไง!
ผมหนีบของกินในอุ้งมือแน่น ก้าวพรวดๆ ไปยังซุ้มประชาสัมพันธ์ด้วยความเร็วแสง พอไปถึงก็เห็นพวกมันยืนหน้าสลอนอยู่ และพวกมันก็ยิ้มร่าทันทีเมื่อเห็นหน้าผม
“พ่อคีธ! พ่อกวินทร์มาแล้ว!”
ผมไม่ได้สนใจเสียงลูกๆ ที่ร้องเรียกผมอย่างดีใจ ไม่สนใจแม้แต่สีหน้างงๆ ของประชาสัมพันธ์สาวที่เห็นว่าคุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟอะไรนั่นเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงด้วย ก่อนจะถลาเข้าไปยกขาถีบไอ้คีธยืนทำหน้าตายทันใด
“บอกให้นั่งรอๆ แล้วจะเดินมาที่นี่ทำไมเนี่ย!” แหวใส่แม่งด้วย หงุดหงิดจริงๆ หงุดหงิดโคตร มึงทำอะไรของมึงวะ!
“ก็เห็นกวินทร์หายไปนานเลยนึกว่าหลง”
พอคีธตอบมาแบบซื่อๆ ผมก็ปวดหัวหนึบขึ้นมาเลย
“ไม่ได้หลงเว้ย คนมันเยอะ มัวแต่ไปต่อแถวซื้ออยู่เนี่ย” แล้วผมก็ยื่นของกินในมือที่เละไปเพราะแรงขยุ้มของผมไปตรงหน้า
ซอสไหลเลอะง่ามนิ้วเล็กน้อย ก่อนที่คีธจะรับไปถือแล้วส่งให้ลูกคนละอัน
“มือเลอะแล้วนะ” แถมเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยอีกต่างหาก เปลี่ยนเรื่องไม่พอ ก้มหน้าลงมาเลียซอสที่เปรอะนิ้วผมอีกด้วย
ผมหน้าร้อนผ่าว รีบชักมือกลับ ทว่าคีธใช้มือข้างที่ว่างคว้าเอาไว้แล้วจัดการเลียจนหมดจด ไม่สนใจสายตาคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างงงๆ ปนขยะแขยงแม้แต่น้อย
“อะ...ไอ้คีธ หยุดเดี๋ยวนี้” ผมพูดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้
คีธไม่หยุด เลียจนเกลี้ยงก็ยังไม่พอ เอานิ้วไปดูดจ๊วบๆ อีกต่างหาก ผมเลยรีบชักมือออก มันยิ้มเผล่ทันที
“หิว”
“หิวก็กินของที่ซื้อมาให้สิวะ จะมาดูดนิ้วเพื่อ!?” คีธไม่ตอบ และผมก็ไม่รอให้มันตอบ แย่งฮอทดอกในมือมันมาแล้วยกขึ้นป้อนมันรัวๆ “เนี่ยฮอกดอกเนี่ย หิวก็รีบๆ กินไปเลย”
คีธไม่กิน เอี้ยวหน้าหลบแล้วโน้มใบหน้ามากระซิบข้างหูผมเบาๆ “อยากกินฮอทดอกของกวินทร์มากกว่า”
กะ...กูก็บอกอยู่ว่าอย่ามาหื่นกามข้างนอกบ้าน มึงฟังกูบ้าง!
ผมผลักหน้ามันออก เอาฮอทดอกยัดปากมันทันควัน คีธเคี้ยวไปยิ้มไป ลูกๆ ที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ก็มองพวกผมพร้อมอมยิ้มมีเลศนัยเช่นกัน จนผมต้องหันไปแหวทั้งคู่ด้วย
“ยิ้มอะไร รีบๆ กินไป จะได้รีบไปดูพาเหรด!”
คีตากับคินน์ไม่พูดอะไรสักแอะ ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างที่ผมว่า ทิ้งให้ผมยืนบ่นฟ้าบ่นฝน กลบเกลื่อนความเขินอายที่คีธก่อไว้เมื่อครู่ไม่เลิก
 

ขบวนพาเหรดเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของความสนุกที่สุดในวันนี้ ทั้งคีตาทั้งคินน์ชวนกันคุยเรื่องตัวละครที่เคยเห็นในหนังการ์ตูนต่างๆ ที่มาร่วมขบวนพาเหรดด้วยไม่เลิกตลอดทางกลับบ้าน คุยกันจนเหนื่อยก็พากันหลบคอพับคออ่อน ส่วนผม จากที่เหนื่อยในตอนแรกอยู่แล้ว ตอนนี้เหนื่อยกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ผล็อยหลับตามลูกไปบ้าง ปล่อยให้คีธขับรถไปคนเดียวกระทั่งถึงบ้าน
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คีธขับรถเข้าไปจอดในโรงรถที่บ้านแล้ว ผมปลดเซฟตี้เบลท์ ทำท่าจะลงจากรถไปอุ้มลูกขึ้นห้องนอน ทว่าคีธกลับเอื้อมมือมารั้งผมเอาไว้ ไม่ทันจะได้ถาม อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน
“กวินทร์รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวมา”
ผมไม่รู้หรอกว่ามันให้ผมรออยู่ที่นี่ทำไม แต่ก็ยอมรอเมื่อเห็นมันลงจากรถไปเปิดประตูเบาะหลัง อุ้มลูกทั้งสองคนขึ้นพาดบ่าคนละข้าง หิ้วตุ๊กตาไปด้วย ผมเลยหลับตาเอนตัวนอนอีกหน่อยด้วยยังไม่หายมึนหัวดี
อึดใจเดียว คีธก็กลับมาเปิดประตูรถฝั่งผม ช้อนตัวอุ้มผมไปบ้าง ผมก็ปล่อยให้อุ้มนั่นแหละเพราะคิดว่ามันจะอุ้มขึ้นไปส่งที่ห้องนอน แต่เปล่า... เปล่าเลย มันไม่ได้อุ้มไปส่งที่ห้อง แต่อุ้มไปนอนที่หลังรถแทนที่คีตากับคินน์ เปิดประตูรถทิ้งไว้ ก่อนจะตามมาด้วยการพาตัวเองเข้ามาขึ้นคร่อมผมไว้ ผมรู้เลยว่ามันจะทำอะไร รีบดันตัวขึ้นนั่งทันที
“คีธ... วันนี้เหนื่อย”
“วันนี้วันเด็ก” มันสวนกลับมาให้ผมย่นคิ้ว
“เกี่ยวอะไรกันวะ”
“ก็ขอคีธเป็นเด็กสักวัน”
ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่คำพูดมันน่ารักจังแฮะ เรียกแทนตัวเองว่าคีธเหรอ ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้ยินแบบนี้
“แล้วนายจะเอาอะไร เด็กชายคีธ” ผมเลยลองเล่นคืนบ้าง
คีธยิ้มเจ้าเลห์ขึ้นมา ยกปลายนิ้วขึ้นลูบหน้าท้องผมผ่านเสื้อก่อนจะลากขึ้นมาวางยังจุดอ่อนไหวบริเวณหน้าอก
“อยากกินนี่ แล้วก็...” แล้วก็ลากปลายนิ้วลงมาที่เป้ากางเกงผม “กินนี่”
หน้าผมร้อนผะผ่าวขึ้นมา เข้าใจละว่ามันอยากเล่นบทบาทอะไร แต่... ทำในรถนี่จะดีเหรอวะ ถึงจะเป็นรถแวนที่กว้างกว่ารถยนต์เก่าๆ ที่ผมเคยใช้เป็นสถานที่จัดแสดงหนังสดกับคีธ แต่มันก็น่าอึดอัดอยู่ดี ที่สำคัญ ผมไม่ชอบเอาท์ดอร์ ถึงจะเป็นโรงรถบ้านตัวเองที่มีประตูปิดแน่นหนาก็เถอะ
“งั้นก็ไปที่ห้อง...” ผมเสนอไป หากแต่พูดยังไม่ทันจบเลย คีธก็ประกบปากจูบลงมาแล้ว
ไออุ่นร้อนจากริมฝีปากหนาดูดกลืนเรียวปากผมอย่างโหยหา เราแลกกันลิ้มรสปลายลิ้นฉ่ำน้ำหวานกันจนเสียงลามกดังแว่วมาให้ได้ยิน ทว่าก็ไม่มีใครสนใจนอกจากตั้งหน้าตั้งตาแลกลิ้นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น
จากที่เหนื่อยๆ ตอนนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นอยากจะทำขึ้นมาละ คีธล้วงมือเข้าไปใต้สาบเสื้อผม ลูบเคล้นยอดอกไปมาจนลุกชูชัน ผมสะกดเสียงไว้ด้วยเกรงว่าลูกจะมาได้ยิน ทว่าคีธว่าออกมาอย่างรู้ทัน
“ล็อคประตูเข้าโรงรถไว้แล้ว ลูกก็หลับไปแล้ว ไม่ลงมากันหรอก ร้องออกมาเถอะ”
มึงนี่ก็รู้ทันตลอด!
ผมทำปากยื่นใส่เล็กน้อย ก่อนจะครางออกมาเมื่อคีธถลกปลายเสื้อขึ้นแล้วครอบครองยอดอกด้วยริมฝีปาก ปลายลิ้นตวัดไล้ไปมาอย่างกระหายจนผมต้องบิดตัวหนีจากสัมผัสรุกเร้า แต่น่าแปลกที่หน้าอกกลับขยับเข้าหาปลายลิ้นนั่นเสียอย่างนั้น
เนิ่นนานทีเดียวกว่าคีธจะยอมเลิกเล่นกับยอดอกของผม ดูดกลืนจนผมรู้สึกเจ็บแปลบน้อยๆ คาดว่ามันคงแดงจัดไปแล้วด้วย แต่กระนั้นผมก็ทำได้แค่ส่งเสียงอือออจนคอแหบแห้ง คีธถึงละริมฝีปากออกมาจูบต้นคอผมเบาๆ
“กินนมแล้ว ต่อมาก็กิน... ฮอทดอก”
ผมหน้าร้อนวาบ นึกถึงคำพูดของคีธที่พูดกับผมที่สวนสนุกทันใด ผมอยากจะห้าม แต่กางเกงยีนส์ก็ถูกดึงออกจากตัวไปอยู่ที่ข้อเท้าเสียแล้ว ก่อนจะตามด้วยใบหน้าคร้ามที่ไล่พรมจูบลงไปตั้งแต่ซอกคอ หน้าอก หน้าท้อง และส่วนนูนที่ดุนดันอยู่ใต้กางเกงบ็อกเซอร์
“อือ...”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อส่วนอ่อนไหวถูกสัมผัสด้วยการจูบ ถึงจะเป็นการจูบเพียงภายนอก แต่บอกได้เลยว่าผมรู้สึกเอามากๆ คีธเองก็ยังคงพรมจูบอยู่อย่างนั้น อ้าปากงับซ้ายทีขวาที ขบเม้มเบาๆ จนผมบิดเร่า กลั้นเสียงตัวเองไม่ไหวอีกด้วย
ทรมาน... ทรมานมาก อยากให้ทำเร็วๆ...
แต่ไม่ต้องพูด คีธก็รู้ใจ กำจัดปราการตรงหน้าออก ส่งฝ่ามือมาเกาะกุมตรงโคนแก่นกายไว้มั่นและค่อยๆ รูดขึ้นลงไปมาเบาๆ
“อืม... ทะ...ทำสักที” ผมทนไม่ไหวกับปฏิกิริยายั่วเย้า ร้องขอให้รีบๆ ทำ
คีธไม่ทำ เอาแต่รูดไปมาแล้วเพิ่มจังหวะแทน
“รู้สึกดีเหรอ”
“ถ้าไม่รู้สึกดีแล้วจะอยากให้ทำมั้ยล่ะ”
“งั้นรอก่อน ขอเล่นก่อน”
พอมันตอบกลับมา ผมก็ชักหงุดหงิดละ มึงนี่ก็เล่นเป็นเด็กเลย รีบๆ ทำสิเว้ย!
ปลายนิ้วโป้งแตะลงบนส่วนปลาย ลากวนเอาของเหลวสีใสชโลมอาบไปทั่ว ผมแอ่นตัวรับสัมผัสนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนตบะชักจะแตก ร้องสั่งออกมาอีก
“ถะ...ถ้าไม่ทำอะไรสักที ฉันจะไม่ให้ทำแล้วนะ”
ตอนนี้แหละที่คีธเลิกเล่น เผยอริมฝีปากมากลืนกินส่วนนั้นทีละน้อยจนสุดโคน ตวัดปลายลิ้นไปมาเพิ่มความเสียวซ่านให้กับผมอีกเป็นเท่าตัว
“อา... อือ...”
ผมเริ่มครางออกมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ละ ยิ่งครางหนักขึ้นไปอีกเมื่อคีธยกขาข้างหนึ่งของผมขึ้นจนเข่าชิดหน้าอก และส่งปลายนิ้วมาแตะยังส่วนบอบบางบริเวณช่องทางด้านหลัง
“ดะ...เดี๋ยวคีธ... เจล...”
แม่งไม่ทันละ ไม่ต้องใช้ละเจลอะไรนั่น คีธคายแก่นกายของผมออกมา จัดการชโลมนิ้วมือของตัวเองด้วยน้ำลาย แล้วค่อยๆ สอดเข้าไปทีละนิ้วช้าๆ
ผมเกร็งสุดตัว ความจุกเสียดอัดแน่นเข้ามาทำให้คีธต้องกระซิบบอกผมเบาๆ
“ผ่อนคลายหน่อยกวินทร์”
ผมเลยค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อ คีธเลยสอดนิ้วที่สองเข้ามาได้ ก่อนจะควานเนื้อนุ่มด้านในไปมาจนกระทั่งเจอจุดสำคัญและออกแรงดันมันน้อยๆ ผมเกร็งตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อความเสียวซ่านเข้าเล่นงาน ทีนี้เองที่คีธกลับมาจัดการครอบครองส่วนที่ชูชันอยู่ด้านหน้าด้วยปากอีกครั้ง
ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไหลซึมออกจากร่างกายตัวเองทีละน้อย จิตใต้สำนึกบอกชัดเจนเลยว่าอีกไม่นาน ผมก็จะอดทนไม่ไหวแล้ว ผมเลยรีบสะกิดคีธอย่างรวดเร็ว
“คะ...คีธ... จะไปแล้ว”
แทนที่คีธจะผละออกมาแล้วจัดการดันตัวเองเข้ามาในร่างผม กลับขยับริมฝีปากที่ง่วนอยู่กับกลางร่างกายผมอยู่เร็วขึ้นไปอีก
“อ๊า...”
พริบตาเดียว ผมก็ปลดปล่อยความวาบหวามทั้งหมดออกมา คีธก็ยังไม่ปล่อยผมให้เป็นอิสระอยู่ดี ดูดกลืนทุกหยาดหยดจนผมต้องเป็นฝ่ายบอกให้พอ
“นายไม่ทำหรือไง” พอหายใจเริ่มเข้าที่แล้วก็ถามคีธที่เลื่อนใบหน้ามาคลอเคลียอยู่ข้างแก้มผม
“ทำสิ” คำตอบของมันทำผมถามเสียงขุ่น
“แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ทำ”
“ก็อยากเล่นก่อน บอกแล้วไงว่าอยากกินกวินทร์ ตอนนี้ได้กินสมใจแล้ว”
“นายนี่มันบ้าจริงๆ” ผมหัวเราะน้อยๆ อย่างเอ็นดูที่คนตัวใหญ่จะมีโมเม้นต์อ้อนๆ แบบนี้สักที
คีธยิ้ม จูบผมเบาๆ
“พรุ่งนี้กวินทร์หยุดงานได้มั้ย”
“ทำไม คิดจะทำอะไรอีก” คราวนี้ไม่หัวเราะละ ชักไม่ไว้ใจมันแทน
ก็สมควรจะไม่ไว้ใจแหละเมื่อมันพูดมา
“เพราะคืนนี้จะเป็นวันเด็ก...ของฉันกับกวินทร์”
สรุปก็คือมึงจะปล้ำกูทั้งคืนจนกูไม่ได้นอน เสร็จแล้วกูก็จะไปทำงานไม่ไหว มึงเลยให้โทรไปลางานก่อนล่ะสินะ!
“ไม่ได้ งานฉันมันสำคัญ” ผมปฏิเสธเลย แต่คีธก็รีบทำตาลูกหมาส่งกลับมา
“กลางวันเป็นเวลาของลูก กลางคืนเป็นเวลาของพ่อคีธบ้างไม่ได้เหรอ”
นะ...น่ารัก... มึงน่ารักเกินไปแล้ว! หยุดทำตาอ้อนวอนแล้วก็พูดจาน่ารักๆ แบบนี้เดี๋ยวนี้!
ผมเงียบ ไม่ยอมตอบ จริงๆ คือชั่งใจอยู่ ทว่าพอคีธอ้อนขึ้นมาอีกครั้งก็ใจอ่อนยวบอย่างช่วยไม่ได้
“นะ... พ่อกวินทร์นะ ให้เวลาพ่อคีธหน่อยนะครับ”
มึงอ้อนเยอะไป! กูยอมแล้ว กูยอม!
“ได้ แต่เดี๋ยวไปเอาเบอร์ที่โน้ตบุ๊กก่อนนะ นายโยนซิมการ์ดฉันทิ้งไปแล้ว ไม่มีเบอร์”
คีธพยักหน้า ประทับจูบบนหน้าผากผมก่อนจะถอยตัวออกมาจากรถ แล้วมาช่วยพยุงผมลงมายืน ไม่ใช่ช่วยสิ เรียกว่าอุ้มดีกว่า อุ้มเข้าบ้านด้วยท่าทางร่าเริงสุดๆ เลยด้วย
“จะเล่นกับกวินทร์ทั้งคืน”
มึงนี่ลูกสองแล้วนะ ความหื่นไม่ได้ลดน้อยลงเลยจริงๆ!
แต่ก็เอาเถอะ ย้อนวัยกลับไปช่วงสมัยหนุ่มๆ บ้างก็ดี คิดถึงความเร่าร้อนตอนนั้นเหมือนกัน เอ... หยุดพรุ่งนี้อีกวันคงไม่พอ หยุดยาวถึงวันมะรืนดีมั้ยนะ วันเด็กปีนี้จะได้เล่นกับคีธนานๆ หน่อย
ไม่พอแฮะ หยุดแม่งทั้งอาทิตย์เลยแล้วกัน จะเล่นแล้วก็เล่นให้สุด ไหนๆ ก็เป็นเด็กแล้วนี่เนอะ
เอาล่ะเด็กชายคีธ มีเวลาเล่นกันทุกวันตั้งแต่เช้ายันมืดแล้วล่ะ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2016 20:18:02 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ nadty27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ๊ายยย พ่อคีธ กะ พ่อกวินทร์
ครอบครัวสุขสันต์~

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
 :m3: อร๊ายยยย น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
อ่านตอนจบแล้วก็สงสัย ว่า สรุปแล้วใครกันแน่ ที่หื่น?

ออฟไลน์ minmin96

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
พ่อกวินทร์นี่ไม่ค่อยหื่นนนน..เลยน่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pe-ar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
พ่อคีธขอแค่คืนเดียวแต่พ่อกวินท์จัดให้เป็นอาทิตย์
ใครหื่นกันแน่5555

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
เด็กๆน่ารักดี  :L2:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ซีเลนเอาบทพระเอกไหม

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
น่าร้ากที่สู้ดดดด

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[1]

ผมยังงงอยู่ว่ามันโผล่มาที่นี่ได้ยังไง และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผมที่งง ไอ้มนุษย์ต่างดาวสองตัวที่เหลือเองก็งง แถมยังมองเพื่อนที่นอนแผ่สลึงอย่างไม่เชื่อสายตาอีกต่างหาก ซีเลนเองก็ร้ายกาจ แค่พุ่งชนมนุษย์ต่างดาวตัวนั้นล้มกระเด็นอย่างเดียวคงไม่สาแก่ใจ ยังเดินไปคร่อมตรงช่วงหัวแล้วทิ้งตัวลงนั่งจับล็อคด้วยท่าล็อคคอ เสียงดังกร๊อบลั่นมาให้ผมได้ยินรางๆ ทว่าทำให้ผมเสียวสันหลังวาบไปทั้งทรวงได้เลย
มะ...หมอนั่นฆ่ามนุษย์ต่างดาวตัวนั้นทิ้ง! พละกำลังของซีเลนนี่คงไม่ธรรมดาละ ขนาดไม่ได้อยู่ในร่างจริง ยังฆ่ามนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในจักรวาลได้ด้วยมือเปล่า นี่ถ้าคืนร่างจริงเมื่อไหร่ ไม่ต้องถามเลยว่าพละกำลังจะมากมายขนาดไหน!
พวกที่เหลือพอเห็นเพื่อนพ้องถูกฆ่าตายต่อหน้า สีหน้าฉงนก็หายไปพลัน กลายเป็นสีหน้าเคร่งเครียดแทน
“เจ้า...”
“อะไร เห็นหน้ากันแค่นี้ทำเป็นตกใจเลยเหรอ” ซีเลนว่าอย่างไม่ยี่หระ ลุกขึ้นมาพลางปัดฝุ่นออกจากเนื้อตัว
ไม่รู้ทำไมสัญชาตญาณของผมถึงได้บอกว่ามนุษย์ต่างดาวพวกนี้รู้จักซีเลนมาก่อน และก็จริงเสียด้วยเมื่ออีกฝ่ายร้องเรียกชื่อของแขกไม่ได้รับเชิญออกมา
“ซีเลน... เจ้าอย่ามายุ่ง”
นั่นไง รู้จักกันจริงๆ ด้วย แต่คงจะรู้จักในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักและคงจะไม่ได้รู้จักกันแบบญาติฉันท์มิตรแน่ๆ เพราะดูท่าทางเหมือนพวกมันพร้อมจะจู่โจมซีเลนถ้ายื่นมือเข้ามายุ่งยังไงก็ไม่รู้
“ไม่ยุ่งไม่ได้ กวินทร์เป็นคนของฉัน”
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันฉิบว่าไม่ใช่ แต่ในตอนนี้ สงบปากสงบคำไว้คงจะดีที่สุดแหละ
“งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” พูดจบ พวกมันสองตัวก็กางแขนออก หนามแหลมๆ เหมือนกับที่หัวไหล่ก็งอกยาวจากหลังมือทุกนิ้ว ให้เดา ผมก็คิดว่าคงจะเป็นอาวุธ
แต่ผมไม่สนใจจะถามหรือสงสัยอะไรอีกแล้ว นอกจากเหลือบไปมองซีเลนที่ดวงตาสีเทาเข้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งเบ้าขณะที่มันว่าออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“งั้นก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน” สิ้นเสียง ซีเลนก็ค่อยๆ คืนร่างเดิม
จะว่ายังไงดีล่ะ มันก็ยังเป็นซีเลนเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ตรงหัวไหล่และหลังมือของมันมีหนามแหลมออกมาเหมือนกับพวกเซนไทน์พวกนั้นไม่มีผิด ต่างกันก็คือหนามของซีเลนไม่ได้เป็นสีดำ แต่เป็นสีเทาเข้ม ผมเกือบจะคิดว่ามันเป็นพวกเดียวกันแล้วถ้าทันทีที่ซีเลนคืนร่างเสร็จ มันไม่พุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงน่ะ
ผมรีบวิ่งไปหาที่หลบทันทีด้วยเกรงจะถูกลูกหลง ที่หลบที่ว่าก็คือด้านหลังถังขยะใบโตนั่นแหละ คือผมก็ไม่ได้มีสติมากพอที่จะไปหาที่หลบที่ดีกว่านี้ แถมแถวนี้ก็ไม่ได้มีสถานที่ซ่อนตัวให้เลือกมากนักอีก แค่มีที่ให้หลบก็ถือว่าดีแล้ว
พอตั้งหลักได้ ผมก็พยายามควบคุมร่างกายตัวเองไม่ให้สั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น หัวใจก็เต้นแรงจนได้ยินเสียงรัวดังของมันอย่างชัดเจน
ให้ตายเถอะ ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องมาอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างนี้กับพวกมนุษย์ต่างดาวครั้งด้วยนะ!
ผมหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายต่อหลายครั้ง พยายามทำให้จิตใจสงบแล้วตั้งท่าจะดูการต่อสู้ของซีเลนกับพวกเซนไทน์นั่น กะว่าถ้าซีเลนพลาด ผมก็จะได้หนีทัน ทว่าพอชะโงกหน้าออกจากที่กำบังไปปุ๊บ ผมก็เห็นซีเลนกำลังจัดการมนุษย์ต่างดาวตัวสุดท้ายด้วยการใช้หนามที่หลังมือแทงกระซวกเข้าที่คอของอีกฝ่าย เลือดสีเขียวอ่อนไหลรินเป็นสายก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงลงไปกับพื้น
ซีเลนสะบัดมือเล็กน้อยจนเลือดนั่นกระเซ็นไปบนพื้นเป็นดวง ก่อนที่มันจะเก็บหนามลงไป คืนร่างเดิมกลายเป็นซีเลนคนเดิม
“กระจอกชะมัด” หมอนั่นพึมพำ ก่อนจะปรายตามองมายังผมที่ลอบมองมันอยู่ “ออกมาได้แล้วกวินทร์ ปลอดภัยแล้ว”
ปลอดภัยบ้านมึง! กูจะไม่ปลอดภัยเพราะมึงนี่แหละ!
ผมไม่ออก วางแผนจะหนีด้วยเพราะกลัวว่าไอ้ซีเลนจะเป็นพวกเซนไทน์อะไรนี่เหมือนกัน แต่พอผมทำท่าจะลุก ซีเลนก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับมันหรอกน่า ถ้าใช่แล้วจะมาฆ่าพวกมันเพื่อช่วยนายทำไม”
ผมชะงักกึกทันใด เออ...ก็จริงแฮะ ถ้ามันเป็นพวกเดียวกัน ไอ้พวกนั้นก็คงจะไม่บอกให้ซีเลนอย่ามายุ่งแน่ แต่มันจะเชื่อได้มั้ยล่ะในเมื่อพวกนั้นมันรู้จักซีเลน ถ้ารู้จักอย่างนี้ก็ต้องแสดงว่าถ้าซีเลนไม่เป็นคนดังของจักรวาลเหมือนคีธ ก็ต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเซนไทน์แน่ แต่จะอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าไม่ปลอดภัย หนีก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ผมตั้งท่าจะหนีอีกครั้ง ทว่าก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่คว้าเข้ามาที่ต้นแขนผมอย่างจัง พอหันไปเห็นว่าเป็นฝีมือของซีเลนที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้ ผมก็ร้องเสียงดังทันควัน
“เฮ้ย!”
“กลัวอะไรของนาย ถ้านายจะกลัวว่าจะถูกฉันฆ่า ไปกลัวว่าจะถูกฉันปล้ำดีกว่ามั้ง ช่วยแล้วยังจะหนีอีก ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ” หมอนั่นว่ายิ้มๆ
ก็จริงของมันนั่นแหละ ผมเลยรีบเก็บสีหน้าตื่นกลัวทันที
“ขะ...ขอบใจแล้วกัน” แต่ถึงจะเก็บสีหน้าตื่นกลัว ทว่ามันก็ยังออกมาทางน้ำเสียง
ซีเลนมองหน้าผม หยักยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็หัวเราะในลำคอ
“กลัวเหรอฮะ นี่กลัวอะไร กลัวโดนฆ่าหรือกลัวโดนปล้ำ?”
ทั้งสองอย่างนั่นแหละโว้ย ก็มึงมันไว้ใจไม่ได้นี่หว่า! แค่เป็นมนุษย์ต่างดาวหื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นสายพันธุ์อะไรก็น่ากลัวแล้ว นี่มึงยังจะมาฆ่ากันโชว์ต่อหน้ากูอีก เป็นใครก็กลัวทั้งนั้นแหละ!
ผมไม่ตอบออกมาเป็นคำพูด ซีเลนก็เลยปล่อยมือออกจากต้นแขนผมแล้วย้ายมาวางบนหัวแทน
“เพิ่งฆ่าพวกสวะมาสดๆ ร้อนๆ ฉันไม่มีอารมณ์กับนายหรอกน่า นายปลอดภัย สบายใจได้”
ท่าทางเป็นมิตรของซีเลนที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนทำเอาผมคลายความกังวลได้เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับมันช้าๆ ทั้งที่ตาทั้งสองยังคงจ้องจับผิดมันอย่างระมัดระวัง
“กลับบ้านได้แล้วไป พวกนี้มันโผล่มาอย่างนี้ แสดงว่าเดี๋ยวต้องมีโผล่มาอีก” ได้ทีมันก็สั่งใหญ่ แถมตามมาด้วยอธิบายอีกเมื่อเห็นว่าผมเหลือบมองไปยังร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ต่างดาวทั้งสามที่กองอยู่กับพื้นพวกนั้น
“ส่วนไอ้เศษซากพวกมัน นายก็ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเซนไทน์จะย่อยสลายไปเองภายในหนึ่งชั่วโมงหลังตาย”
ผมเผลอคิดไปเลยว่าซีเลนมันก็เป็นคนดีเหมือนกัน แต่มันก็ทำท่าทางเป็นคนดีได้แค่แวบเดียวเท่านั้น เพราะพอมันพูดประโยคนั้นจบปุ๊บ มันก็ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่ผมทันที
“หรือถ้านายไม่อยากกลับ เตียงฉันก็ยังว่าง อยากเห็นนายร้องทุรนทุรายเพราะฉันนานแล้ว”
มึงนี่มันหื่นได้ตลอดเวลาจริงๆ ด้วยสินะ!
ผมนี่อยากจะต่อยหน้ามันฉิบเป๋ง แต่ก็อดใจไว้ ถามเรื่องอื่นออกไปแทน
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน”
ซีเลนชะงักมือที่กำลังพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น หันมามองหน้าผมที่กำลังมองมันอย่างขอคำตอบทันใด
“ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวไง”
“รู้ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่สายพันธุ์อะไร”
“นายจะอยากรู้ไปทำไมนักหนา” ซีเลนว่าพลางเหลือบมามองผม ก่อนจะทำท่าไม่สนใจ พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นต่อ
“อยากรู้สิ ก็ร่างจริงของนายเหมือนกับพวกนั้น นาย...เป็นเซนไทน์ใช่มั้ย” ประโยคหลังนี่ผมถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนักว่าสมควรถาม
ซีเลนเหลือบมามองผมอีกครั้งพลางหยักยิ้มให้
“ไม่ใช่หรอก”
“แต่ลักษณะร่างกายของนายมันเหมือนเซนไทน์...”
“ก็แค่ลักษณะของหนาม มีตั้งกี่ชาติพันธุ์ที่ร่างกายมีหนามแหลมเป็นอาวุธน่ะ ดูสีก็รู้แล้วว่าไม่ใช่” ซีเลนว่าไม่ยี่หระ
ทว่าผมยังคงข้องใจถึงจะจริงอย่างที่ซีเลนว่าก็เถอะ พวกเซนไทน์น่ะมีหนามเป็นสีดำ ส่วนของซีเลนเป็นสีเทา แต่ลักษณะภายนอกมันดูเหมือนกันอย่างกับพิมพ์เดียวกันเลยไง ผมเลยได้สงสัยแบบนี้
“แค่สีต่างกัน มันไม่ได้หมายความว่านายไม่ใช่เซนไทน์” ผมยังคงจับผิดไม่เลิกจนซีเลนต้องหยุดมือจากการพับแขนเสื้อ หันมามองหน้าผมและตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันไม่ใช่เซนไทน์”
“แต่ว่า...”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่พวกมัน”
ผมจ้องหน้าซีเลนนิ่ง... โอเค ในเมื่อยืนยันกันถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่ก็ไม่ใช่วะ
“งั้นนายเป็นพวกไหน”
“นายจะอยากรู้ทำไม”
“ก็ฉันอยากรู้”
“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับนาย ไม่ต้องรู้หรอก” ซีเลนก็ยังไม่บอกอยู่ดี
ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงบอก ไอ้ที่ไม่บอกนี่มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ ถึงไม่ยอมบอก และเชื่อเหรอว่าผมจะหยุดเค้นถามมันแค่นี้ ในเมื่อผมอยากรู้ ผมก็ต้องรู้ให้ได้
ทว่าพอผมเปิดปากจะถามอีก สายตาก็เหลือบไปเห็นของเหลวบางอย่างไหลซึมออกจากเสื้อบริเวณหน้าอกของซีเลน มองแวบเดียวก็รู้ว่ามันคือเลือดสีเขียวอ่อนอะไรนั่น ก่อนที่ผมจะชี้นิ้วไปยังจุดนั้นทันใด
“นาย...เลือดออก”
ซีเลนเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเลือดไหลก็ตอนนี้เหมือนกัน หมอนั่นละมือจากการพับแขนเสื้อไปถลกเสื้อขึ้นแทน ผิวเนื้อภายใต้เสื้อเชิ้ตที่ถูกของแข็งกรีดเป็นทางยาวปรากฎสู่สายตาและเกือบทำให้ผมเป็นลมเพราะบาดแผลค่อนข้างใหญ่พอสมควร ดีที่ปากแผลมันไม่ลึก เลือดเลยไม่ไหลทะลักเป็นน้ำตกแต่แค่ซึมๆ ออกมาราวกับถูกมีดบาดถากๆ เท่านั้น
“สงสัยจะพลาด ไม่รู้ตัวเลยแฮะ” ซีเลนพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังดึงเสื้อลงเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก
“ไปโรง’บาลมั้ย” ผมถามออกไปด้วยคำถามโง่ๆ รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันไม่ไปหรอก เลือดสีเขียวอย่างนั้นมันจะไปทำไม ชาวบ้านก็ได้รู้กันทั้งบางว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวพอดี
และซีเลนก็ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบพลางยิ้มรับ
“ เดี๋ยวก็หาย ร่างกายฉันรักษาตัวเองได้ แต่อาจจะใช้เวลาหน่อย น่าจะสักวันสองวันนะถ้าไม่ติดเชื้อ นายกลับบ้านได้แล้วไป” แล้วมันก็ไล่ผมสำทับอีก
ผมก็อยากจะกลับนั่นแหละ แต่พอเห็นซีเลนมาบาดเจ็บเพราะช่วยผม ผมก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาฉับพลัน ถึงมันจะหื่นและมั่วไม่เลือก แต่ดูท่าทางเนื้อแท้มันก็น่าจะเป็นคนดี ถ้ามันไม่ใช่คนดี มันก็คงไม่มาช่วยผมแบบนี้ ทำอะไรสักอย่างตอบแทนบุญคุณมันหน่อยแล้วกัน
“เดี๋ยวฉันไปที่ห้องนายแล้วกัน” ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น ซีเลนถึงกับมองหน้าผมเลย
“นายอยากมีอะไรกับฉัน?”
“จะไปทำแผลให้เว้ย เดี๋ยวแผลก็ติดเชื้อก่อนหรอก เลิกคิดหื่นๆ ซะที” ผมว่าเสียงเขียว ซีเลนร้องว้าออกมาอย่างเสียดาย
“ที่แท้ก็คิดจะตอบแทนบุญคุณด้วยการทำแผลล่ะสินะ แย่จัง ฉันก็นึกว่าจะตอบแทนด้วยร่างกาย กำลังหิวพอดี”
เดี๋ยวกูก็เปลี่ยนจากทำแผลมาเป็นกระซวกไส้มึงอีกคนซะหรอก!
“อย่ามัวพูดมาก ไปเร็วๆ เลือดไหลขนาดนั้น เดี๋ยวก็ตายก่อนแผลมันจะหายเองหรอก” ผมตัดบทเอาดื้อๆ
ซีเลนยักไหล่แล้วเดินนำไป ผมเดินตามแผ่นหลังมันไปเงียบๆ คิดในใจว่าการไปเพนท์เฮ้าส์ของซีเลนครั้งนี้จะต้องไม่ให้คีธรู้เป็นอันขาด ไม่ใช่ว่ากลัวคีธหึงแล้วจะเอาท์ดอร์อะไรหรอกนะ แต่ผมกลัวจะทำให้คีธไม่สบายใจมากกว่า
ทว่าความคิดของผมก็ต้องสะดุดลงเมื่อจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความหนักของท่อนแขนที่วางลงมาบนไหล่ผม พอเหลือบไปมองคนตัวการก็เห็นว่าเป็นซีเลนที่ถือวิสาสะมาโอบบ่าผมหน้าตาเฉย
“พยุงหน่อย เจ็บแผล” ว่าพลางยิ้มเผล่อย่างเจ้าเล่ห์
มึงมันขี้โกหก! หน้าตามึงไม่ได้บอกสักนิดว่าเจ็บ บอกแต่ว่ามึงหื่นเนี่ย!
ผมทำท่าจะดึงแขนมันออก แต่ซีเลนก็กระชับอ้อมแขนให้ร่างผมแนบชิดกับมันมากขึ้น ก่อนมันจะว่า
“ฉันบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตนายนะ เอาใจหน่อยสิ”
แม่ง พูดไม่ออกเลย มึงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ!
ผมส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าก็ยอมให้มันโอบไหล่แต่โดยดี แต่ก็ไม่วายสั่งมันเอาไว้ก่อนกันเหนียว
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนี้ก็อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวอีก”
ซีเลนไม่ตอบ ยักคิ้วให้แทน ผมก็เลยไม่รู้ว่ามันตกปากรับคำหรือเปล่า ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเรื่อง
“กลับกันเถอะ ฉันเหนื่อยละ หิวด้วย อยากจะมีเซ็กส์”
คะ...คิดถูกหรือเปล่าวะที่หลุดปากว่าจะไปทำแผลให้มันเนี่ย?

ตอนแรกเหมือนจะคิดผิดที่มาที่ห้องของซีเลน ซึ่งจริงๆ ก็คิดผิดนั่นแหละ เพราะพอมาถึง ซีเลนก็สั่งให้ผมโทรตามนายแบบคนหนึ่งที่รับจ็อบพิเศษมาให้ แผลเผลออะไรก็ไม่สนใจทำก่อน นอกจากแค่อาบน้ำ แล้วจัดการลากนายแบบนั่นเข้าไปกินหัวกินหางในห้องนอนโดยไม่สนใจผมที่นั่งรอมันหัวโด่อยู่ที่ห้องนั่งเล่นแม้แต่น้อย กว่ามันจะจัดการธุระปะปังเสร็จก็เล่นเอาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมเองก็ผล็อยหลับไปที่โซฟาตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่กดมายังข้างตัวจนโซฟายวบ
ผมกระเด้งตัวตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ที่เด้งตัวตื่นนี่ไม่ใช่อะไรนะ กลัวว่าถ้าไม่ตื่น ไอ้ซีเลนจะมาปล้ำผมต่อนี่แหละ และพอตั้งหลักได้ ผมก็เห็นซีเลนนั่งกระดกเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ข้างๆ พลางปรายตามองผมอย่างยั่วเย้า
“กลัวโดนปล้ำหรือไงถึงได้สะดุ้งตื่นซะใหญ่โตขนาดนั้น”
ผมอยากจะบอกว่าเออใส่หน้ามันแรงๆ ทว่าก็ได้แต่ลูบหน้าลูบตาไล่ความงัวเงีย แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“นายแบบนั่นล่ะ”
“กลับไปแล้ว เมื่อกี้” ซีเลนว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนวางขวดเครื่องดื่มชูกำลังลงบนโต๊ะแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟา
ผมชำเลืองมองบาดแผลบนหน้าอกของซีเลนที่บัดนี้เลือดหยุดไหลไปแล้ว มีแต่ร่องรอยบาดแผลที่เด่นเป็นสง่าเล็กน้อย ก่อนจะตระหนักได้ว่าผมควรจะรีบทำแผลให้มันแล้วรีบกลับก่อนที่มันจะมาปล้ำผมต่อ เท่านั้น ผมก็ออกปากทันใด
“กล่องยาอยู่ไหนล่ะ ฉันจะได้ทำแผลให้”
“ในชั้นเหนือกระจกในห้องน้ำน่ะ” ซีเลนชี้นิ้วส่งๆ
ผมรีบพุ่งไปยังพิกัดที่มันบอก คว้าเอากล่องยาที่บรรจุอุปกรณ์ทำแผลกลับมายังห้องนั่งเล่นและจัดการทำแผลให้มันทันใด ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ซีเลนจะมีกล่องยาติดบ้านเพราะก่อนหน้าที่มันจะมาเป็นพระเอก มันเคยเป็นสตั๊นแมน การที่สตั๊นแมนจะมียากับอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นอยู่ติดบ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วก็ไม่แปลกหนักเข้าไปอีกที่อุปกรณ์และยาพวกนั้นไม่มีร่องรอยของการเปิดใช้เลย คงจะอย่างที่มันบอกแหละว่าร่างกายมันรักษาตัวเองได้เลยไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้ถึงมันจะบอกว่าแผลมีโอกาสติดเชื้อก็ตาม
ผมเอาสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบาดแผลให้อย่างเบามือ ตาก็เหลือบมองหน้าซีเลนที่เอาแต่จ้องผมนิ่งไปด้วย จ้องอย่างเดียวไม่ว่า นี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนทำผมประหม่าอีก ผมเลยต้องถามมันออกมาเสียงเขียว
“ยิ้มบ้าอะไร”
“ก็นายน่ารักดี”
คำชมที่เหมือนกับคำชมที่คีธชอบพูดบ่อยๆ ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาน้อยๆ ด้วยความเขินอาย ไอ้ซีเลนนี่ปกติมันเคยแต่หื่นใส่อย่างเดียวไง มันไม่เคยพูดจาดีๆ ด้วยแบบนี้ ผมก็เลยประหม่าน่ะ ผมก็เลยรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนที่มันจะหาโอกาสลากเข้าเรื่องใต้สะดืออีก เพราะตอนนี้มันก็อยู่ในสภาพพร้อมจะลุยสนามรัก ถ้าไม่รีบเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวมันชมเสร็จก็ลากผมไปปล้ำแน่
และหัวข้อที่ผมเปลี่ยนเรื่องคุยก็คือเรื่องสายพันธุ์มนุษย์ต่างดาวของมันนี่แหละ ด้วยผมตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ผมยังไม่ได้คำตอบเลยว่ามันคือสายพันธุ์ไหนกันแน่
“ตกลงนายเป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์อะไรถ้าไม่ใช่เซนไทน์”
“นี่นายยังไม่จบอีกเหรอเนี่ยเรื่องนี้น่ะ” ซีเลนถึงกับหุบยิ้มเมื่อได้ยินคำถาม
“เออ ยังไม่จบหรอก ก็ฉันยังไม่ได้คำตอบเลยนี่หว่า” ผมว่าขณะเอาผ้าก๊อซปิดแผลให้มัน
“พวกมนุษย์โลกช่างสอด” ซีเลนพ่นลมหายใจออกมายาว ปากพึมพำด่าผมไปด้วย
ผมนี่อยากจะเอาแอลกอฮอล์ล้างปากมันชะมัดเลยให้ตาย
“ไม่สอดไม่ได้ ก็นายน่ะมันหื่นผิดมนุษย์มนา กินอาหารด้วยการมีเซ็กส์เหมือนพวกบ้ากามนี่มันก็ทำให้คนที่รู้จักนายจิตตกเหมือนกันนะเว้ย ตกลงนายเป็นสายพันธุ์อะไรกันแน่ ถ้าเป็นตัวอันตราย ฉันจะได้ไปบอกนาซ่าให้มาจัดการนายก่อนที่นายจะยึดครองโลก” ผมพูดไปเรื่อย
ซีเลนหัวเราะออกมาในตอนนี้ก่อนจะอธิบายความเข้าใจผิดของผม
“ไม่ได้กินอาหารด้วยการมีเซ็กส์ มีเซ็กส์นี่เพื่อเก็บพลังงานสะสมต่างหาก ฉันก็กินอาหารเหมือนมนุษย์โลกอย่างพวกนายนี่แหละ แต่การกินอาหารแบบนั้นมันทำให้สะสมพลังงานได้ไม่นาน การมีเซ็กส์เพื่อสะสมพลังงานมันเลยเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่การมีเซ็กส์ระหว่างสองเพศมันก็ต่างกันนะ มีเซ็กส์กับผู้หญิงจะเก็บพลังงานสะสมได้น้อยกว่าการมีเซ็กส์กับผู้ชาย ฉันก็เลยเลือกผู้ชาย”
ผมพยักหน้ารับ เข้าใจรายละเอียดมากขึ้นมานิดนึง ไม่แปลกใจละว่าทำไมมันถึงได้เรียกแต่ผู้ชายมาปรนเปรอทั้งที่ก่อนหน้ามันก็เคยมีข่าวกับดารานางแบบสาวๆ ออกจะบ่อย
“จะอะไรก็ช่างเถอะ ฉันแค่อยากรู้ว่านายเป็นพวกสายพันธุ์อะไรถึงได้ตามดมชาวบ้านไปทั่วอย่างนั้น” ผมนึกถึงตอนที่ซีเลนดมผมบ้าง ริชาร์ดบ้าง บรูคลินบ้าง แล้วก็พูดว่ากลิ่นแรงอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้เลยพูดออกไป
ซีเลนนิ่งไปครู่ มองหน้าผมพลางหยักยิ้มขึ้นมาน้อยๆ
“อยากรู้จริงๆ เหรอ”
“อยากสิ ไม่อยากจะถามหรือไง”
“มานั่งนี่สิ ฉันจะบอก” แล้วมันก็ตบพื้นที่บนโซฟาข้างๆ ตัวมัน เรียกให้ผมที่นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าทำแผลให้มันอยู่ไปนั่งตรงนั้น
ผมชั่งใจเล็กน้อยว่าควรไปนั่งมั้ย แต่ความอยากรู้มันมากกว่าความหวาดระแวง ผมเลยตัดสินใจลุกไป ทว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งที่สอง เพราะพอบั้นท้ายผมสัมผัสกับเบาะนุ่มปุ๊บ ซีเลนก็กดผมลงนอนปั๊บ
“เฮ้ย! ทำอะไรวะ!” ผมแหกปากลั่นโดยอัตโนมัติทันที ในหัวที่ด่าตัวเองเป็นพัลวันเลยว่าโง่ มีบทเรียนจากมันตั้งหลายครั้งแล้วก็ไม่จำ ยังจะพลาดท่าให้มันอีกจนได้
ทว่าซีเลนไม่ลงมือทำอะไร นอกจากหัวเราะในลำคอ ส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ผมเท่านั้น
“ก็จะบอกไงว่าฉันเป็นสายพันธุ์อะไร”
มึงก็นั่งบอกดีๆ สิเว้ย!
ผมกำลังจะบอกมันแบบนี้ แต่มันก็พูดขึ้นมาก่อน
“ฉันเป็นสายพันธุ์หายากและฉันเป็นคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์นี้”
ผมเก็บคำพูดที่จะไล่มันออกไปจากตัวผมทันใด ก่อนจะย่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อคำพูดของคีธกับแอสตันที่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่รับพลังงานโดยการมีเซ็กส์ให้ฟัง
“นายหมายถึง... นายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์งั้นเหรอ”
ซีเลนพยักหน้าเล็กน้อย
“แล้วทำไมถึงใกล้สูญพันธุ์ โดนล่า?”
“คิดว่าไงล่ะ” ซีเลนไม่ตอบแต่ถามผมกลับ
ผมเลยคิดเอาเองว่ามันคงจะโดนล่าเหมือนกัน และที่พวกเซนไทน์นั่นรู้จักซีเลนก็คงเพราะซีเลนได้ชื่อว่าเป็นคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ล่ะมั้ง ขนาดคีธเป็นผู้พิทักษ์ทั้งที่ไม่ได้เป็นแค่คนเดียว คนยังรู้จักกันทั้งจักรวาล แล้วประสาอะไรกับซีเลน รายนี้คนก็คงจะรู้จักกันทั้งจักรวาลเหมือนกันแหละ
แต่เอ... ถ้าซีเลนดังไปทั่วจักรวาลจริง ทำไมคีธกับแอสตันถึงไม่รู้จักซีเลนแต่เซนไทน์พวกนั้นถึงรู้จักล่ะ?
“แล้วชื่อสายพันธุ์ของนายคืออะไร” ที่ถามแบบนี้ ก็เพื่อผมจะเอาไปบอกคีธกับแอสตันได้ถูกนั่นแหละ
“ไม่มี” ทว่าคำตอบของซีเลนทำให้ผมต้องย่นคิ้วอีกครั้ง
“มันจะไม่มีได้ไงวะ ใครๆ เค้าก็มีกันแต่นายไม่มีเนี่ยนะ”
“ก็ไม่มี นายอยากตั้งให้มั้ยล่ะ ชาติพันธุ์พ่อรูปหล่อเป็นไง?”
ผมนี่อยากจะเอาหัวโขกหน้ามันเลย มึงนี่หื่นไม่พอ ยังจะหลงตัวเองอีก มั่นหน้าเหลือเกิน!
ถึงจะยังรู้ไม่ชัดเจนว่าซีเลนเป็นสายพันธุ์อะไรกันแน่ ผมก็ไม่อยากจะรู้อีกต่อไปละพอเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพถูกซีเลนเปลือยล่อนจ้อนคร่อมอยู่บนโซฟานานเกินไป เลยตัดบทเอาดื้อๆ
“โอเค ฉันเข้าใจละ ลุกออกไปได้แล้ว” พูดพลางทำท่าจะลุก แต่ซีเลนก็กดผมให้นอนลงมาอีก
“ฉันตอบคำถามนายไปแล้ว นายก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้ฉันด้วยสิ”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก รู้เลยว่าค่าเสียเวลาที่มันว่าคืออะไร แน่นอนว่าผมไม่ให้มันหรอก
“ปล่อยนะเว้ย! ถ้าคิดจะปล้ำล่ะก็ ฝันไปเลย!” ผมแหกปากลั่นอีกครั้ง ซีเลนส่งเสียงจุปากเป็นพัลวัน
“รู้น่า ก็ไม่ได้คิดจะปล้ำหรอก ก็แค่...” ว่าแล้วก็หยุดไป สายตาปรายมองใบหน้าผมไปทั่วให้ผมได้เสียวสันหลังขึ้นมาด้วยลุ้นว่ามันจะทำอะไร ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากผม
“แค่ขอจูบทีนึง”
“ไม่ได้”
ผมตอบโดยไม่คิดด้วยฉุกคิดได้ว่าถ้าซีเลนจูบผม คีธจะต้องรู้แน่เพราะอีกไม่กี่วัน ผมก็ต้องกลับไปเป็นโฮสต์ให้คีธ ถึงจะรู้ว่าคีธจะไม่ได้กลิ่นซีเลนก็เถอะ แต่กันไว้ก็ดีกว่าต้องไปตามแก้ทีหลังเปล่าวะ
ทว่าซีเลนไม่ฟัง แถมยังต่อลองมาอีก
“นิดเดียว ฉันอยากจะลองชิมริมฝีปากนายมานานแล้ว”
“อะไรของนายวะ ก่อนหน้านี้เห็นอยากได้ริชาร์ดไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาเป็นฉันเล่า!” ผมโบ้ยขี้ให้ไอ้ริชาร์ดเลย
ซีเลนนิ่งไปเล็กน้อย ทำท่าคิดไปครู่ก่อนจะว่าออกมา
“ก็จริง นั่นเพราะฉันได้กลิ่นจากริชาร์ดน่ะเลยสนใจ จริงๆ แล้วฉันสนใจนายมากกว่า สนใจนายตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้านายครั้งแรกแล้ว แต่ตอนนั้นนายไม่มีกลิ่นชัดเจนเท่ากลิ่นของริชาร์ด”
กลิ่นอีกแล้ว กลิ่นนี่คือกลิ่นยูนิกม่าใช่มั้ย?
ผมชักสงสัยขึ้นมาอีกแล้วว่าทำไมมันถึงได้มีปัญหากับกลิ่นของยูนิกม่าที่ติดกับตัวผมนัก แต่ก็ไม่กล้าถามด้วยกลัวว่าจะหลุดปากออกไปว่าเป็นโฮสต์ให้คีธ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่ามันมาดีหรือมาร้ายกันแน่ ผมก็ไม่ควรจะบอกว่ายูนิกม่าที่ผมเป็นโฮสต์ให้อยู่คือใคร ไม่งั้นความซวยจะตกอยู่ที่คีธ
“นายก็กลับไปตามริชาร์ดสิวะ” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการอย่างต่อเนื่องขณะที่ซีเลนตอบกลับมา
“ตอนนี้กลิ่นของนายชัดแล้ว ฉันเลยอยากตามนายมากกว่า”
“ไม่เอา!” ผมร้องลั่น ซีเลนไม่ฟังเลยสักนิด
“แค่จูบน่ากวินทร์ แค่จูบ”
“ไม่!”
“จุ๊ๆ นิดเดียว เป็นเด็กดี อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวรู้สึกดีเอง” มันปลอบประโลมผม โน้มน้าวด้วย ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่! บอกว่าไม่ ไม่เข้าใจหรือไงวะ!”
แต่ก็เท่านั้นแหละ พอเปิดช่องว่างปุ๊บ มันก็ฉวยโอกาสเข้าครอบครองริมฝีปากของผมเลย แถมไม่ได้เป็นการจูบแบบจุ๊บแล้วก็เลิกแล้วต่อกันด้วย แต่เป็นการจูบแบบเฟรนช์คิสชนิดดูดดื่ม ผมพยายามผลักไสแต่ก็เหมือนเรี่ยวแรงจะถูกสูบออกไปอย่างไรอย่างนั้น
ร่างกายผมอ่อนแรงไปเลยและก็คิดว่าถ้าซีเลนจะทำอะไรต่อจากนี้ ผมก็คงสู้ไม่ไหวด้วย แต่ดีที่ซีเลนทำแค่จูบจริงๆ ก่อนจะผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
“เด็กดี” มันว่าพลางคลายมือที่กดแขนผมอยู่มาปัดปอยผมที่ปรกหน้าผมอยู่เบาๆ
ผมอยากจะด่ามันเหลือเกินแต่หน้ามืดขึ้นมากะทันหัน แล้วก็หน้ามืดหนักเข้าไปอีกเมื่อมันพูดขึ้นมา
“ฉันชอบนายนะ แต่น่าเสียดายที่มีคนจับจองนายไว้แล้ว อ้อ แล้วก็จูบเมื่อกี้อาจจะมีกลิ่นของฉันติดไปนิดหน่อย ลืมเก็บกลิ่น”
มะ...หมายความว่ายังไงวะที่ว่าลืมเก็บกลิ่นน่ะ!?
“คนที่นายดูแลอยู่อาจจะได้กลิ่นฉันนะ บอกไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน”
ซีเลนพูดจบก็ลุกออกจากตัวผม ทิ้งให้ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่มันพูดเมื่อครู่
ซะ...ซวยแล้ว อย่างนี้คีธรู้แน่ว่าผมกับซีเลนทำอะไรกันมา มะ...มึงจงใจทำแน่ๆ เลยใช่มั้ยไอ้ซีเลน!
ผมอ้าปากจะด่ามัน แต่ซีเลนดันเดินไปเปิดประตูห้องแล้วพยักหน้าเชิญผมออกไปเป็นที่เรียบร้อย
“กลับไปได้แล้ว ดึกแล้ว ไม่ไปส่งนะ กลับเอง”
มึงนี่มัน…!
ผมฮึดฮัด หงุดหงิดขึ้นมาทันทีเลย ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปเมื่อเห็นซีเลนพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผมออกจากห้องมันอีกครั้ง
นี่ควรเป็นบทเรียนสุดท้ายที่ผมเรียนรู้จากซีเลนแล้วจริงๆ สาบานเลยว่าต่อไปนี้ ต่อให้มันมีพระคุณกับผมแค่ไหน ผมก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกแล้ว!
 


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[2]
 
ผมทำงานไม่เป็นสุขเลยเมื่อวันใหม่มาถึงด้วยคิดว่าถ้าพรุ่งนี้คีธกลับมาวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่กับผม แล้วคีธรู้ว่าผมไปจูบกับผู้ชายคนอื่นที่คีธเคยกำชับนักหนาว่าอย่าไปเข้าใกล้ คีธจะรู้สึกยังไง อารมณ์ตอนนี้คือเหมือนเมียที่ไปมีชู้มาแล้วกลัวถูกผัวจับได้ฉิบเป๋ง แล้วเชื่อมั้ยว่าผมจิตตกทั้งวันจนริชาร์ดยังทัก แต่ผมไม่ได้บอกมันหรอก กลัวว่ามันจะไปบอกแอสตันแล้วคีธจะรู้เร็วกว่าเดิม ถ้าคีธจะรู้ ก็ให้รู้กันแค่กับผมสองคนดีกว่า
ส่วนซีเลนก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับผม ทำงานตามปกติ มีบ้างที่หันมาส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยกับส่งจูบให้เป็นพักๆ ผมก็ทำเป็นไม่สนใจมัน ไม่สนใจแม้แต่การแจ้งข่าวของผู้กำกับวิลล์ที่จู่ๆ ก็ตัดสินใจว่าจะจัดงานปาร์ตีที่บ้านเขาคืนวันพรุ่งนี้เพื่อเลี้ยงอำลาด็อกเตอร์มาร์ติน ผมกับริชาร์ดก่อนที่จะกลับนิวยอร์กอาทิตย์หน้าด้วยซ้ำ จนกระทั่งกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์หลังเลิกงาน นรกเริ่มต้นก็ตอนที่ผมนั่งรอการมาถึงของคีธหลังจากที่แอสตันโทรมาบอกริชาร์ดว่าจะเข้ามาหานี่แหละ
ผมคิดคำแก้ตัวเป็นพัลวัน ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก ผมสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรงก่อนลุกขึ้นไปเปิดประตูพร้อมฉีกยิ้มที่ดูยังไงก็น่าจะเป็นการฝืนยิ้มแบบสุดๆ เมื่อเห็นสีหน้านิ่งเรียบของคนที่ผมรอการมาถึง
“งะ...ไงคีธ” แล้วก็ตามด้วยการทักแบบโง่ๆ ออกไป
คีธเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าไม่ปกติของผมก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ทำหน้าแปลกๆ กวินทร์ไม่สบายเหรอ”
หน้าตากูคงจะดูผิดปกติมากเลยสินะถึงได้ทักแบบนี้น่ะ!
“เปล่า ฉันสบายดี” ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดด้วยไม่ต้องการให้มีพิรุธ
แต่การฝืนทำตัวปกติมันก็คือพิรุธนั่นแหละ แล้วก็ยิ่งพิรุธหนักขึ้นไปอีกเมื่อคีธทำจมูกฟุดฟิดแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ ผม
“กวินทร์... นี่มันกลิ่นใคร”
ระ...รู้แล้ว!
ผมรีบดึงคีธเข้ามาในห้อง จัดการปิดประตูแล้วดึงคีธที่ทำท่าจะถามผมอีกเดินมานั่งบนเตียงทันใดก่อนจะชิงเปิดปากอธิบายก่อน
 “คืองี้นะคีธ แบบว่า...” แล้วก็หยุดไปด้วยไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีที่ไม่ทำร้ายจิตใจคีธ
ก็แหม ก่อนหน้าจะจูบกับซีเลนวันเดียว ผมเพิ่งจะเอาท์ดอร์กับมันหน้าบ้านไอ้บรูคลินอยู่เลย ถ้าผมเป็นมันแล้วรู้ว่าคนรักของตัวเองทำแบบนี้ ผมก็ไม่โอเคเหมือนกันล่ะวะ
และเพราะผมมัวแต่อึกอัก คีธก็เริ่มย่นหัวคิ้วแล้วว่าเสียงต่ำ
“กลิ่นใคร”
“คะ...คือ...” ผมยังอึกอักอยู่ และเพราะอึกอักนี่แหละที่ทำให้ดวงตาคู่สวยของคีธแปรเปลี่ยนจากสีเทาสว่างเป็นสีดำทั้งเบ้า มิหนำซ้ำ มือทั้งสองข้างยังจับมาที่ต้นแขนของผมแล้วบีบแน่นอีก
“ฉันถามว่ากลิ่นของใครกวินทร์”
หะ...ให้กูตั้งสติแป๊บสิวะ!
“ถ้าไม่บอก ฉันจะฆ่านายโทษฐานที่หักหลังฉัน นี่เป็นธรรมเนียมของชาวยูนิกม่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ผ่านการผูกพันไม่แล้วไม่ซื่อสัตย์ต่ออีกฝ่าย จุดจบคือความตาย” แล้วก็ตามด้วยขู่สำทับมาอีกที
ผมรู้เลยว่ามันไม่ได้พูดขู่เล่นๆ ก็คีธมันเคยพูดเล่นกับใครซะที่ไหน ผมก็เลยรีบโพล่งบอกออกไปอย่างรวดเร็ว
“กลิ่นของซีเลน ตะ...แต่ฉันไม่ได้ยินยอมจูบกันมันนะ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรกับมันด้วย แค่ไปทำแผลให้มันเพราะมันมาช่วยฉันตอนถูกเซนไทน์ตามล่า แล้วก็ถามมันว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ไหนเท่านั้น มันก็เลยจูบแลกกับคำตอบที่ฉันอยากได้น่ะ”
คีธชะงัก คลายมือออกจากผมทันทีที่ผมพ่นความจริงออกมายาวเหยียด และดูเหมือนคีธจะไม่สนใจเรื่องที่ซีเลนจูบผมอีกต่อไปเมื่อได้ยินชื่อของศัตรูขึ้นมา
“พวกเซนไทน์มาตามล่ากวินทร์เหรอ”
“อะ...อืม ก็ฉันเดินกลับบ้านคนเดียว จู่ๆ พวกมันก็โผล่มาแล้วบอกว่าได้กลิ่นยูนิกม่าจากตัวฉันเลยบังคับให้ฉันไปด้วย พอฉันไม่ไปมันก็จะบังคับแต่ซีเลนโผล่เข้ามาช่วยก่อนน่ะ แต่ซีเลนไม่ใช่เซนไทน์นะ ฉันถามแล้ว เห็นบอกว่าเป็นพวกใกล้สูญพันธุ์อะไรสักอย่าง อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันรู้แล้วว่าซีเลนไม่ใช่เซนไทน์ กลิ่นไม่ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน” คีธค่อยๆ คลายหัวคิ้วขณะพูด
ผมพยักหน้า ก่อนจะถูกคีธรวบตัวไปกอดแน่นกะทันหัน
“ขอโทษนะกวินทร์”
ฮะ!? ขอโทษทำไมวะ
“ขอโทษที่ไม่ดูแลกวินทร์ให้ดีจนกวินทร์ตกอยู่ในอันตราย”
อ๋อ ที่แท้ก็เรื่องนี้...
“ไม่เป็นไร ฉันยังปลอดภัยดีอยู่ ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ไปยุ่งเกี่ยวกับซีเลนอีกทั้งที่นายสั่งห้ามแล้ว” ผมว่าอุบอิบในท้ายประโยค
คีธผละออกมาจากผม มองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร มันช่วยให้กวินทร์ปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของคีธฟังดูไม่โอเค ผมเลยยื่นมือไปแตะซีกแก้มของคีธเบาๆ
“คีธ... นายไม่โอเคใช่มั้ยที่รู้ว่าฉันจูบกับซีเลน”
คีธพยักหน้าช้าๆ ให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมามากกว่าเดิม แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นแหละเพราะคีธก็พูดขึ้นมาให้ผมเบาใจ
“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ว่ากวินทร์ไม่ได้เต็มใจ ถือว่าหายกันกับตอนที่ฉันจูบกับบูลิโอเพื่อกินสารอาหารก็แล้วกัน”
เออเนอะ ผมก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลยแฮะ
แม่ง มึงก็ให้กูจิตตกอยู่ได้ตั้งนาน กูแค่จูบกับซีเลนครั้งเดียว มึงจูบกับไอ้บรูคลินตั้งหลายครั้ง มึงสมควรจะต้องรู้สึกผิดมากกว่ากูอีก
 “งั้นก็ถือว่าฉันเอาคืนนายแล้วกัน” ผมเลยว่าออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แต่ฉันไม่ปล่อยให้กลิ่นของซีเลนอยู่บนตัวนายหรอกนะ”
“จะทำอะไรก็ทำเลยถ้างั้น ยอมทุกอย่าง” ผมแสร้งเอาใจคีธหน่อยๆ ใบหน้านิ่งเฉยของคีธเลยแต่งแต้มรอยยิ้มขึ้นมาได้
“พูดแล้วนะ” คีธว่าเสียงแผ่วก่อนจะประคองใบหน้าผมเข้ามาใกล้แล้วประทับจูบเบาๆ พลันผละออกมา
“ฉันไม่ชอบให้กลิ่นของใครอยู่บนตัวกวินทร์ กวินทร์เป็นของฉัน...คนเดียว” แล้วก็จูบลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนักหน่วงและดุดันกว่าครั้งแรกมาก
เราจูบกันเนิ่นนานจนคีธพอใจและมั่นใจว่ากลิ่นของซีเลนหายไปแล้ว ผมเองก็เกือบคิดแล้วว่าคีธคงจะพาผมไปท่องอวกาศอีก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ก่อนว่าคีธต้องวางไข่สร้างร่างใหม่ตอนที่หมอนั่นว่าออกมาเสียงอ่อย
“น่าเสียดายที่คืนนี้ผูกพันกันไม่ได้ ต้องสร้างร่างใหม่” ไม่ว่าเสียงอ่อยอย่างเดียว ทำตาเป็นลูกหมาน่าสงสารด้วย
“งั้นเดี๋ยวจะชดเชยให้วันหลัง”
พอผมพูดแบบนี้ คีธก็ยิ้มออกมาได้
“ขอรบกวนด้วยนะกวินทร์” พูดแค่นี้ ผมก็รู้เลยว่าคงจะถึงเวลาแล้ว
ผมพยักหน้า คีธเลื่อนใบหน้ามาจูบผมอีกครั้ง คราวนี้มีวัตถุทรงกลมขนาดเท่าเม็ดถั่วแมคคาเดเมียถูกส่งเข้ามาในปากผมด้วย พอคีธถอยออกไปก็เลื่อนริมฝีปากมาจูบหน้าผากผมเบาๆ
“แล้วเจอกันกวินทร์”
และนั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่คีธร่างเก่าจะทรุดฮวบไปบนเตียง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าตอนนี้ผมได้กลับมาเป็นโฮสต์ของหมอนี่และท้องหมอนี่อีกครั้งแล้ว
เอาเถอะ ถึงจะต้องพบกับความสยองตอนคลอดมันออกมาแต่ก็ถือว่าดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้โดยราบรื่นก็แล้วกัน
 
กว่าจะรอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง กว่าจะคลอด แล้วไหนจะร่างกายอ่อนเพลียหลังคลอดอีก ผมก็เลยปรึกษากับริชาร์ดที่โดนแอสตันวางไข่เหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะขอลาหยุดสักวัน โดยอ้างกับด็อกเตอร์มาร์ตินและผู้กำกับวิลล์ว่าทำงานหนักมาหลายคืนเลยทำให้ไม่ค่อยสบาย ถึงจะเป็นการโกหกโง่เง่า และสองคนนั้นก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง ทว่าก็ยอมให้ผมกับริชาร์ดหยุดด้วยเห็นว่าผมกับริชาร์ดตั้งใจทำงานกันมาโดยตลอด แล้วผมก็ไม่ลืมที่จะลาหยุดให้คีธกับแอสตันด้วย รอบนี้ผู้กำกับวิลล์ไม่ถามแล้วว่าสองคนนั้นลาหยุดเพราะอะไรอาจเป็นเพราะช่วงนี้ไม่มีคิวถ่ายทำที่ต้องใช้สตั๊นแมนสองคนนั้นแล้วก็ได้เลยไม่ใส่ใจนัก ทว่าผู้กำกับวิลล์กลับกำชับผมไว้ว่าถึงเขาจะยอมให้ผมกับริชาร์ดหยุด แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ขอลาหยุดไม่ได้ก็คือการไปร่วมงานปาร์ตีที่บ้านของเขาในคืนนี้ ผมกับริชาร์ดก็โอเคนั่นแหละ คนที่โอเคมากกว่าใครเพื่อนเลยคือริชาร์ด ดูเหมือนมันกระสันอยากจะปาร์ตีสุดเหวี่ยงหลังจากไม่ได้สัมผัสความสนุกมานานแล้วเหลือเกิน
หากแต่ตอนที่คลอดคีธกับแอสตันออกมา ริชาร์ดดันไม่สบายจริงๆ ซะนี่ แอสตันก็เลยไม่ไปงานปาร์ตีด้วย อยู่ดูแลริชาร์ดที่อพาร์ตเม้นต์แทน ผมเลยไปรับหน้าอย่างไม่อาจเลี่ยงโดยมีคีธตามติดไปด้วย
ผมมาถึงบ้านผู้กำกับวิลล์ในเวลาไม่นานนัก บ้านของเขาเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ตามประสาคนมีหน้ามีตาในวงการฮอลลีวูดนั่นแหละ งานปาร์ตีก็จัดที่ริมสระว่ายน้ำที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่นที่ดูเผินๆ เหมือนห้องโฮมเธียร์เตอร์หรูหราไม่มีผิด คนที่มางานก็เป็นพวกคนที่ทำงานในกองถ่ายที่โผล่หน้ามากันเกือบทุกคน วันนี้ทุกคนดูผ่อนคลายกันเป็นพิเศษ ดื่มกิน เต้นกันแหลกลานราวกับปล่อยผี ผมก็เอ็นจอยขึ้นมานิดๆ เมื่อเห็นบรรยากาศครื้นเครง จะรำคาญก็แต่คีธนี่แหละที่เดินตามติดผมเป็นเงาตามตัว แถมพอมีคนเข้ามาทัก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง คีธก็ออกอาการหมาหวงก้างขึ้นมาทันใด
อาการแบบ... จะกอดทักทายก็ไม่ให้กอด เข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งเมตรก็ไม่ได้อะไรอย่างนั้นน่ะ
แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันหรอก เข้าใจอยู่ว่ามันคงจะหึงเพราะเรื่องที่ผมไปจูบกับซีเลนเลยปล่อยเลยตามเลย ส่วนบรูคลินก็เหมือนจะไม่ได้มางานแฮะ ช่างหัวมันเถอะ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ไม่มาสิดี จะได้ไม่ต้องมาคอยรำคาญสายตามัน ซีเลนเองก็เหมือนจะไม่ได้มามั้ง รายนั้นไม่เห็นหัวตั้งแต่เข้างานมาแล้ว
งานปาร์ตีดำเนินไปเรื่อยๆ ผมดื่มกินไปตามประสา มีแต่คีธนี่แหละที่ไม่ยอมแตะของมึนเมาเลยนอกจากน้ำพันช์จนคนอื่นๆ แซวกันว่าคีธเป็นพวกรักสุขภาพ ผมล่ะไม่อยากจะบอกเลยว่าที่มันไม่แตะแอลกอฮอล์เพราะขยาดมากกว่า ไม่ได้รักสุขภาพอะไรหรอก
“เดี๋ยวฉันไปเอาเบียร์ก่อนนะ” ผมว่าขึ้นหลังจากที่ดื่มเบียร์กระป๋องที่สองหมดขณะที่เรากำลังนั่งดูการร้องเพลงคาราโอเกะของบรรดาทีมงานที่ผู้กำกับวิลล์ชวนเปลี่ยนกิจกรรมเมื่อครู่เพลินๆ
คีธพยักหน้าน้อยๆ ผมเลยลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ เดินไปยังตู้เย็นหลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ทว่าในจังหวะที่ผมก้มลงหยิบเบียร์ในตู้เย็น ผมก็รู้สึกได้ถึงใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ข้างประตูตู้เย็น พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นซีเลนที่ยืนยิ้มให้อยู่
“ไงกวินทร์ที่รัก”
มึงไม่ต้องมาที่รักเลย โผล่มาอย่างนี้ มึงต้องการอะไร!
ผมระแวงขึ้นมาฉับพลัน ไม่ทักทายมันตอบด้วยจนมันส่งเสียงตัดพ้อออกมาให้ได้ยิน
“ว้า ทักแล้ว เค้าไม่ทักกลับนี่รู้สึกแย่จังนะ”
“นายจะเอาอะไร” ผมกดเสียงต่ำถามทันที สายตาเหลือบไปยังคีธด้วยกลัวว่าคีธจะมาเห็นเข้าแล้วเป็นเรื่องใหญ่
ซีเลนยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที
“อยากให้ฉันบอกจริงหรือเปล่าล่ะว่าต้องการอะไร”
“ถ้าจะปล้ำฉันล่ะก็ ลืมไปได้เลย” ผมว่าอย่างรู้ทัน คนอย่างมันก็มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นแหละ
“ตอนนี้คนอื่นๆ เริ่มเมากันแล้ว ขึ้นไปข้างบนมั้ย เห็นมีห้องว่างอยู่” แล้วมันก็ชวนผมไปนัวเนียกับมันหน้าด้านๆ
กูก็เพิ่งจะบอกแหม็บๆ ว่าถ้าจะปล้ำกูล่ะก็ลืมไปได้เลย มึงนี่ฟังบ้างหรือเปล่าวะ!
“พอเลยซีเลน ฉันไม่ไป” ผมปฏิเสธไปตรงๆ แล้วทำท่าจะเดินกลับไปหาคีธ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อแขนข้างหนึ่งถูกซีเลนคว้าเอาไว้
“เอาน่า ลองสักครั้งจะติดใจ”
อะไรของมึงวะเนี่ย ตกลงมึงเป็นคนดีแน่หรือเปล่าวะ!
“ซีเลน... ปล่อย” ผมว่าเสียงต่ำ พยายามทำให้เบาที่สุดด้วยกลัวว่าคีธจะเห็น
แต่กลัวไปก็เท่านั้นแหละ คีธที่เห็นว่าผมไปเอาเบียร์นานเหลือเกินหันมามองเห็นว่าผมกำลังถูกซีเลนรั้งตัวไว้เรียบร้อยแล้ว และมันก็ไม่รอช้า รีบผุดลุกจากโซฟา ก้าวเร็วๆ เข้ามายืนข้างผมทันใด แถมยังไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร ประกาศความเป็นเจ้าของเอาโต้งๆ
“กวินทร์เป็นของฉัน”
“อ้อ นายนี่เองเจ้าของกลิ่นบนตัวกวินทร์” ซีเลนว่ายิ้มๆ ตอนนี้มันรู้ไปเรียบร้อยแล้วล่ะว่าคีธเป็นยูนิกม่า
ผมนี่ใจหายวาบเลย มีแต่คีธที่ยังคงนิ่งและพูดประโยคเดิมขึ้นมาอย่างไม่สนใจอะไรอีก
“กวินทร์เป็นของฉัน” สีหน้าของคีธยังนิ่งเรียบอยู่แต่สายตาประกายวาบไม่พอใจขณะที่มือข้างหนึ่งคว้าต้นแขนผมไว้แน่น
ซีเลนแสยะยิ้ม กระชับมือที่จับผมไว้อยู่แน่นกว่าเดิมพลันว่ายียวน
“กวินทร์อยู่กับฉันเมื่อคืนก่อน แถมเรายังทำอะไรๆ กันอีก กวินทร์ก็เป็นของฉันเหมือนกัน”
ผมล่ะอยากบอกเหลือเกินว่าที่กูอยู่กับมึงเมื่อคืนก่อนนั้นที่คือกูไปทำแผลให้มึงโว้ย ไอ้ทำอะไรๆ ของมึงก็ทำแผลนี่แหละ มึงอย่ามาพูดให้คีธเข้าใจผิดสิวะ!
แต่คีธคงไม่เข้าใจผิดหรอกเพราะผมบอกคีธไปหมดแล้ว คีธเลยได้แต่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วว่าเสียงเข้ม
“ปล่อยกวินทร์”
“ไม่ปล่อย” ซีเลนว่าพลางทำหน้ากวนประสาท
“ปล่อย”
“นายก็ปล่อยก่อนสิ”
“ถ้านายไม่ปล่อย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะซีเลน”
“โอ้ รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ ว่าแต่นายชื่ออะไรนะชาวยูนิกม่า ฉันลืมไปละ” ตอนนี้มันเปิดเผยเต็มที่เลยว่ามันรู้แล้วว่าคีธเป็นชาวยูนิกม่า แต่ดันไม่รู้จักว่าคีธเป็นผู้พิทักษ์ ดูท่าพวกมันคงจะได้แค่ดมกลิ่นแล้วแยกแยะได้ว่าเป็นสายพันธุ์ไหนเท่านั้นล่ะมั้ง แต่ไม่สามารถแยกกลิ่นเป็นคนๆ ได้
คีธก็ไม่บอกว่าตัวเองชื่ออะไร จ้องหน้าซีเลนนิ่งแล้วพูดคำเดิม
“ปล่อยกวินทร์”
“ถ้าไม่ปล่อย นายจะทำไม จะฆ่าฉันหรือไง”
“ก็คงจะอย่างนั้นถ้านายไม่ปล่อยกวินทร์ของฉัน”
“ลองดูมั้ยล่ะ ฆ่ากันให้รู้แล้วรู้รอด ใครชนะก็ได้กวินทร์ไป”
พวกมึงปล่อยกันทั้งคู่เลย! อย่ามาทำเหมือนกูเป็นของเล่นให้พวกมึงแย่งกันนะเว้ย!
ผมเกือบจะร้องบอกพวกมันไปแล้วหลังจากได้ยินซีเลนท้าทายคีธอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าผมกลัวว่าคีธจะสู้ไม่ได้หรอกนะ แต่กลัวว่าคนที่ซวยจะเป็นมนุษย์โลกอย่างผมกับคนอื่นๆ ที่โดนลูกหลงจากการตีกันของพวกมันนี่แหละ ดีที่เสียงร้องเรียกของด็อกเตอร์มาร์ตินที่กำลังกรึ่มได้ที่ดังขึ้นมาก่อน พร้อมกับกวักมือเรียกผมหย็อยๆ
“เควิน! ไหนมาร้องเพลงไทยให้ฟังหน่อยซิ!”
พอเห็นโอกาสทอง ผมเลยรีบฉวยโอกาสพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัดทันที ก่อนตรงไปยังบริเวณหน้าจอแอลซีดีระบบทัชสกรีน ก่อนจะไล่นิ้วเลือกเพลงไทยที่มีอยู่ในโปรแกรมคาราโอเกะนี่ ทว่าผมก็ไม่เจอเพลงร่วมสมัยเลยแม้แต่เพลงเดียว มีแต่เพลงเก่าๆ จำพวกเพลงรุ่นปู่รุ่นย่าอะไรแบบนี้ หนักไปทางเพลงของวงสุนทราภรณ์ด้วย แถมยังมีอยู่ไม่กี่เพลง
และก่อนที่ผมจะได้เบ้หน้ากับความเก่าของเพลง ผู้กำกับวิลล์ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เสียก่อน
“ฉันชอบเพลงยุคเก่า มันคลาสสิกดี”
ก็เหมาะกับอายุและหน้าตาคุณดี...ผู้กำกับวิลล์
ผมถอนหายใจน้อยๆ ไล่สายตาหาดูเพลงที่พอจะร้องได้อีกครั้ง ใจจริงก็ไม่อยากจะร้องหรอก แต่เพื่อหนีไอ้บ้าสองตัวนั่นไง หนทางนี้เลยน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“มีแต่เพลงคู่นี่ครับ” ผมร้องขึ้นเมื่อเห็นว่ารายชื่อเพลงทั้งหมดมีแต่เพลงจีบกันไปมา ก่อนผู้กำกับวิลล์ที่กระดกวิสกี้ลงคอจะหัวเราะ
“ฉันชอบเพลงพวกนี้ มันโรแมนติกดี”
โรแมนติกตรงไหนวะ!
โอเค สำหรับคนเจเนอร์เรชันก่อนอาจจะใช่ แต่สำหรับคนเจนวายอย่างผม มันไม่ใช่น่ะ
“งั้นผมก็คงจะร้องไม่ได้แล้วล่ะฮะ ไม่มีคู่” ผมว่าไปตามจริง
ผู้กำกับวิลล์โบกมือเป็นพัลวัน
“เฮ้ย ทำไมจะไม่ได้ นายก็ร้องสลับเสียงชายหญิงไปสิ”
มึงก็พูดเป็นเรื่องตลกเลยนะไอ้ผู้กำกับ! ทำอย่างกับกูมีความสามารถในการร้องเพลงสูงอย่างนั้นแหละ แค่ร้องถูกคีย์ก็ดีแล้ว!
ผมเบ้หน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว และเพราะผมเบ้หน้า ผู้กำกับวิลล์ก็เลยร้องถามดังลั่น
“มีใครรู้ภาษาไทยบ้างมั้ย”
คีธที่ยังคงยืนอยู่กับซีเลนเกือบจะเดินเข้ามาหาผมแล้ว ทว่าซีเลนไวกว่า รีบยกมือแล้วเดินหน้าตั้งเข้ามา
“ผมรู้ ได้ทั้งฟังพูดอ่านเขียน”
“เออดี งั้นร้องคู่กับเควินนะ ให้เควินร้องท่อนผู้หญิง แล้วนายร้องท่อนผู้ชาย”
ซีเลนหยักยิ้ม ไม่พูดอะไรนอกจากเดินไปคว้าไมโครโฟนมาให้ผม แล้วก็คว้าของตัวเองมาถือในมือ ผู้กำกับวิลล์กดรีโมตเลือกเพลงให้ผมเสร็จสรรพโดยไม่ถามความสมัครใจผมสักคำว่าอยากจะร้องเพลงนี้มั้ย เสียงอินโทรเพลงดังขึ้น ผมยังไม่ทันรู้ว่ามันเป็นอินโทรเพลงอะไรก็ตั้งท่าจะหันไปมองคีธเพราะผมคิดว่าคีธคงไม่โอเคแน่ที่เห็นผมร้องเพลงคู่กับซีเลน
มันก็ไม่โอเคอย่างที่ผมคิดนั่นแหละ เพราะแค่ผมทำท่าจะหันไป คีธก็โผล่มายืนข้างหลังผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะยื่นมือมาแย่งไมค์จากมือ พลันดึงผมออกห่างจากซีเลนไปหลบหลังตัวเอง ส่วนตัวเองก็ประจันหน้ากับซีเลนแทน
ผมอ้าปากทำท่าจะร้องห้าม ทว่าเนื้อเพลงท่อนแรกก็ปรากฎบนหน้าจอแอลซีดีเสียก่อน พร้อมกับเสียงซีเลนที่ร้องเพลงออกมาเป็นภาษาไทยแบบชัดถ้อยชัดคำ
“โอ้นวลละออง น้องจะเหนียมอายไปทำไม หันมาใกล้ๆ ซิ จะอายไปไหนกัน”
“อุ๊ยไม่เอา อุ๊ยไม่เอาเขารู้ทัน น้องอายพระจันทร์ ดูสิท่านกำลังมอง”
ผมอ้าปากค้างทันควัน ไม่ได้อ้าปากค้างเพราะเห็นมนุษย์ต่างดาวสองตัวร้องเพลงภาษาไทยประหนึ่งภาษาแม่นะ แต่เป็นเพราะตระหนักได้ว่าเพลงที่ผู้กำกับวิลล์เลือกนั้นเป็นเพลงอะไรต่างหาก
มึงจะเลือกเพลงจูบเย้ยจันทร์ทำไมเนี่ยไอ้ผู้กำกับ! ดูซิน่ะ พวกมันสองคนกลายเป็นคู่เกย์กันไปเรียบร้อยแล้ว!
คนอื่นๆ พากันหัวเราะร่วนพร้อมส่งเสียงเชียร์ดังลั่นที่เห็นพระเอกหนังกับสตั๊นแมนหนุ่มร้องเพลงคู่กันเสียงหวาน
“เอาอีกๆ! หวานอีก!” ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ตะโกนขึ้นมาให้ผมได้หันขวับไปมองยังต้นเสียง
นี่พวกมึงไม่ได้แหกตาดูเลยใช่มั้ยว่าพวกมันร้องเพลงไป พลางจ้องหน้ากันเขม็งอย่างกับจะฆ่ากันให้ตายอยู่เนี่ย!
เห็นสายตาที่มันสองคนมองกันแล้ว ผมก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาว่ามันจะฆ่ากันตายก่อนเพลงจบขึ้นมาจริงๆ แต่เปล่าเลย มันไม่ฆ่ากัน เอาแต่จ้องหน้ากันแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาร้องเพลงอย่างดุเดือด
“ถึงจะมองก็ไม่เห็นเป็นอะไร ท่านก็คงเป็นใจเพราะอยากให้เราสมปอง”
“นึกนึก เอาแต่ใจทำลำพอง แน่ะท่านมองทำยั่วยิ้มเป็นนัยนัย”
“จันทร์ไม่มองแล้ว จันทร์ไม่มอง”
“จันทร์ไม่มองน้องก็ไม่ให้”
“จันทร์ไม่มอง น้องอายอะไร”
“อายแก่ใจ เห็นดาวยังจ้อง”
“แน่ะเมฆมาทับ ดับแล้วเดือนดารา มาหอมหน่อยขวัญตา น้องเอยอย่ากลัวท่านเหลียวมอง”
“อุ๊ยว้าย ดูสิช้ำไปเป็นกอง”
“โธ่ อย่าร้องสิท่านจะเหลียวมองดูเรา”
ถึงตอนนี้ ผมอยากบอกเลยว่า...
พวกมึงฆ่ากันไปเลย! หยุดร้องกันซะทีเว้ย! ฟังแล้วกูจะอ้วก!
ขนลุกเลย บอกเลยว่าขนลุกไปทั้งตัวเลย เผลอนึกสภาพคีธกับซีเลนได้กันขึ้นมานิดๆ ด้วย แม่งสะพรึงมาก ไม่รู้ว่าใครจะรุกใครจะรับ ถ้ามันจะได้กันขึ้นมาจริงๆ นี่ ผมคงพูดได้เลยว่าสยองมาก ไอ้หื่นปะทะไอ้หื่นเนี่ย
กว่าเพลงจะจบ ผมก็หน้ามืดขึ้นมาหน่อยๆ พอเสียงตัวโน้ตตัวสุดท้ายสิ้นสุดลง เสียงโห่ฮาของคนอื่นๆ ก็ดังขึ้นกับเพลงรักแสนหวานของไอ้มนุษย์ต่างดาวสองตัวนี้ทันใด ซีเลนยักคิ้วให้คีธอย่างกวนโมโหก่อนจะวางไมโครโฟนแล้วทำท่าจะเข้ามาดึงผมออกจากคีธ คีธไวกว่า รีบกระชากผมมาแนบกับลำตัวท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่มองมาอย่างงงๆ ว่าจู่ๆ ก็เกิดอะไรขึ้น
ทั้งคู่จ้องหน้ากันนิ่งโดยไม่สนใจสายตาใคร ผมโคตรอยากจะสะกิดให้พวกมันเลิกทำแบบนี้สักทีเหลือเกิน ทว่าคีธก็พูดขึ้นมาก่อน
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน”
“แล้วนายล่ะเป็นใครชาวยูนิกม่า”
“ฉันถามนายก่อน”
“ฉันถามนายทีหลังแล้วจะทำไม”
ผมเห็นเลยว่าคีธสูดหายใจเต็มแรงราวกับกำลังจะหมดความอดทน แต่คีธก็ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร พูดอย่างอื่นออกมาแทน
“นายไม่ใช่เซนไทน์ กลิ่นของนายไม่ใช่”
“กวินทร์ก็น่าจะบอกนายแล้วนี่ว่าฉันเป็นใคร บอกหรือยังล่ะว่าฉันเป็นพวกใกล้สูญพันธุ์” ประโยคหลังนี่หันมาถามผม
ผมไม่หือไม่อือ ปล่อยให้คีธจัดการ
“บอกฉันมาว่านายเป็นใคร ไม่อย่างนั้นฉันไม่ไว้หน้านายแน่ นายไม่ใช่พวกรักสงบ”
ผมชะงักกึกกับประโยคนี้ ไม่รู้ว่าคีธพูดแบบนี้ทำไม อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของหมอนี่ก็ได้ที่ทำให้รู้สึกว่าซีเลนเป็นอย่างนั้น หากแต่ซีเลนยิ้มเผล่ เดินเข้ามาใกล้คีธแล้วว่าเสียงเบา
“อยากรู้เหรอ ถ้าอยากรู้ก็เอากวินทร์มาแลกสิ” ว่าแล้วก็เหลือบมองมาทางผม
ผมโคตรอยากจะด่าความหน้าด้านของมันเลย แล้วก็มั่นใจด้วยว่าคีธคงไม่ยอมแลกผมกับคำตอบบ้าๆ นั่นแน่ ก็คีธน่ะทั้งรักทั้งหวงผมอย่างกับอะไรดี ดูจากท่าทางที่นิ่งแล้วจ้องหน้าซีเลนนิ่งๆ ก็รู้แล้วว่าอีกเดี๋ยวก็จะปฏิเสธ เชื่อสิ เชื่อได้เลย
อึดใจเดียว คีธก็พูดออกมา
“ได้”
อะ...อะไรนะ! มึงเอากูไปแลกง่ายๆ แบบนี้เลยนี่นะไอ้คีธ!
ผมอ้าปากค้าง มองหน้าไอ้บ้าคีธทันควัน กำลังจะอ้าปากถามมันด้วยว่ามันกำลังทำบ้าอะไร แต่ไม่ทันจะได้ถาม คีธก็ดึงผมออกห่างตัวแล้วดันออกไปตรงหน้าซีเลนแล้ว
“เอาไปเลย”
อะไรของมึงวะเนี่ย! เมื่อกี้มึงยังว่ากูเป็นของมึงอยู่แหม็บๆ แค่มึงร้องเพลงคู่กับไอ้ซีเลนเพลงเดียว มึงก็จะเปลี่ยนใจจากกูไปหาไอ้หื่นซีเลนแล้วเหรอวะไอ้มนุษย์ต่างดาวใจง่าย!
----------------------------------------
หักมุมเอาตอนท้าย คีธไปคู่กับซีเลนซะ 555555555
เก๊าล้อเล่นนนน เดี๋ยวกลายเป็นนิยายวายสายบาระแทนถ้าสองคนนี้คู่กัน ฮาาา
มาทิ้งปริศนาซีเลนแล้วก็จากไป ตกลงนางเป็นใครถ้าไม่ใช่เซนไทน์ บอกไว้ก่อนเลยว่าตัวละครลับยังออกมาไม่หมดนะคะ เดี๋ยวแห่ยกโขยงกันมาอีกกกก บอกเลยเรื่องนี้มหากาพย์ดีๆ นี่เอง XD

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
555ฮาตอนจบ

ออฟไลน์ Glitterycandy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เอ้า คีธ ไหงงั้นอะ 555555555

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
แหม เพลงมันช่าง :m20:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[1]
“เดี๋ยวสิเว้ย!”
ผมตวาดใส่คีธทันทีที่มันดันผมเข้าไปหาซีเลน พลันทำหน้าเหมือนจะถามมันด้วยว่ามันทำบ้าอะไร ก่อนหน้านี้ยังบอกผมกับซีเลนแหม็บๆ ว่าผมเป็นของมัน แถมตอนที่มันได้กลิ่นซีเลนที่จูบแล้วมันเอากฎของยูนิกม่าบ้าบอคอแตกที่ว่าถ้าผูกพันไปแล้ว แล้วอีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์ โทษคือความตายมาขู่นี่คืออะไรวะ มึงนี่มันกลับกลอกตลบแตลงฉิบ!
แถมไอ้บ้าซีเลนก็เร็วเลยเชียว พอเห็นคีธส่งผมให้ก็ทำท่าจะคว้าผมทันใด
“พูดง่ายดีนี่”
แต่พอมือของซีเลนกำลังจะจับผม คีธก็ดึงผมกลับไปอย่างรวดเร็วจนผมกระแทกกับแผงอกมันเต็มแรง
“แต่นายต้องบอกมาก่อนว่านายเป็นใคร”
ซีเลนชะงักกึก ผมก็ชะงัก ตอนนี้รู้ละว่าที่คีธพูดอย่างนั้น ไม่ได้จะยกผมให้จริงๆ แต่เป็นการเล่นตุกติกต่างหาก
มึงจะใช้แผนนี้ มึงก็ปรึกษากูก่อนสิเว้ย! ใจหายใจคว่ำหมด!
ผมแอบโล่งใจขึ้นมานิดนึงที่ไม่ได้ถูกยกให้ซีเลนจริงๆ ขณะที่ซีเลนหัวเราะในลำคอแล้วพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
“ไม่เคยรู้เลยว่าชาวยูนิกม่าจะต่อรองเก่ง” พูดจบ รอยยิ้มร้ายก็ปรากฎบนใบหน้า สาบานเลยว่าเป็นรอยยิ้มที่โคตรจะดูไม่เป็นมิตรตั้งแต่ผมเห็นมันยิ้มมาเลย มันเป็นรอยยิ้มแบบว่าพร้อมจะกระซวกไส้ไอ้คีธทันทีที่มันเผลออะไรแบบนั้นน่ะ
หากแต่คีธยังคงทำหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แถมยืนยันประโยคเดิมอีก
“อย่างที่บอก ถ้านายบอกว่านายเป็นใคร กวินทร์ก็จะเป็นของนาย”
มึงอย่ายกกูให้ชาวบ้านง่ายๆ อย่างนี้สิวะ! กูเป็นคู่ตุนาหงันของมึงนะเว้ย!
ปรี๊ดเลย บอกตรงๆ ว่าปรี๊ดเลย ถึงจะรู้ว่ามันเอาผมไปต่อรองเพื่อเล่นตุกติกก็เถอะ แต่นี่แม่งโคตรจะไม่แคร์ความรู้สึกของผมเลยสักนิด
ตกลงมึงรักกูจริงหรือเปล่าวะเนี่ย!
“ส่งกวินทร์มาก่อน แล้วฉันจะบอก” ซีเลนต่อรองบ้าง หากแต่คีธไม่โอเค
“บอกมา แล้วกวินทร์จะเป็นของนาย”
“อย่ามาเล่นลิ้นชาวยูนิกม่า ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ซีเลนเริ่มขู่ หน้ายังยิ้มอยู่แต่ดวงตาประกายกร้าว
“นายไม่ใช่พวกรักสงบ ไว้ใจไม่ได้ และฉันไม่เชื่อใจว่านายจะรักษาคำพูด”
“ลองดูสิว่าฉันจะรักษาคำพูดมั้ย ส่งกวินทร์มา”
“ไม่ ฉันพูดคำไหนคือคำนั้น บอกมาก่อนว่านายเป็นใคร”
“ถ้านายไม่ส่งกวินทร์มาก่อน อย่าหาว่าฉันไม่เตือน อย่าได้มาล้อเล่นกับฉันเชียวชาวยูนิกม่า” ซีเลนเริ่มว่าเสียงต่ำ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป ดูก็รู้ว่ามันชักจะหมดความอดทนกับคีธแล้ว
“ฉันว่าฉันพูดชัดเจนแล้ว บอกมา แล้วกวินทร์จะเป็นของนาย”
ส่วนคีธก็ยังกวนตีนไม่เลิก แถมทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อหลังจากที่ตกลงกันไม่ได้ และผมก็ไม่รอให้มันสองคนตกลงกันได้อีกต่อไปแล้ว สะบัดตัวหลุดออกจากการเกาะกุมของคีธ แผดเสียงใส่มันทั้งคู่ทันใดอย่างหมดความอดทนทันทีที่ได้ยินว่าไอ้คีธมันจะยกผมให้ซีเลนระลอกใหม่นี่แหละ
“พวกมึงหยุดเลย เลิกทำเหมือนกูเป็นของเล่นที่จะยกให้กันง่ายๆ ได้แล้ว!”
ผมแผดเสียงเป็นภาษาไทยล่ะ ที่ใช้ภาษาไทยเพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องและกำลังยืนมองอยู่รู้ว่าพวกผมมีปัญหาอะไรกัน แค่ลือกันทั้งกองเรื่องผมกับคีธเอาท์ดอร์กันในห้องแต่งตัวก็ว่าแย่ละ เดี๋ยวมันจะมีเรื่องคีธกับซีเลนแย่งผมไปมาหลังจากร้องเพลงคู่ให้ได้ลือกันอีก กันไว้ก่อนจะดีกว่า
พอตะคอกใส่มันสองคนเสร็จ ผมก็รีบหันไปบอกลาผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินโดยไม่สนว่าทั้งคู่พยายามถามผมว่ามีปัญหาอะไรกันแต่อย่างใด ก่อนผมจะรีบเดินออกมาจากจุดนั้นด้วยความรู้สึกเดือดดาลสุดๆ
กับซีเลนน่ะไม่ได้โกรธหรอก รู้อยู่ว่าไอ้บ้านี่มันเป็นคนยังไงและผมก็ไม่แคร์ด้วย แต่กับไอ้เวรคีธนี่สิ มันเป็นบ้าอะไรของมันวะ จู่ๆ พูดอย่างนี้ได้ยังไง!
ผมเดินพรวดพราดออกเลาะสระว่ายน้ำไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ตั้งใจจะดิ่งกลับอพาร์ตเม้นต์เลย ทว่าผมก็ต้องชะงักหลังจากเดินมาถึงขอบสระเพียงไม่กี่ก้าวเพราะมือใหญ่ของใครบางคนคว้าหมับที่แขนผมเอาไว้
“กวินทร์” ตามมาด้วยเสียงเรียกชื่อ
เจ้าของมือก็คือไอ้บ้าคีธนี่แหละ ผมหันไปมองมันตาขวางขณะที่มันทำหน้าตายเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
“ขอโทษ” แล้วมันก็ว่าเสียงแผ่ว
ผมสะบัดมือออกทันที ก่อนจะว่าช้าๆ
“ไปตายซะ” พูดจบก็เดินหนีอีกครั้ง คีธก็ยังตามมาคว้ามือผมไว้อีก
“กวินทร์”
“มึงเลิกยุ่งกับกูไปเลย จะไปตายที่ไหนก็ไป!”
โอเค ตอนนี้ผมสติแตก แหกปากด่าคีธเป็นภาษาไทยอย่างลืมตัว มือก็ยังสะบัดให้คีธปล่อย หากแต่ครั้งนี้คีธไม่ปล่อย จับผมไว้แน่นแล้วพูดประโยคเดิมออกมาอีก
“ขอโทษ”
“ถ้ามึงไม่มีคำพูดที่ดีกว่าคำว่าขอโทษ มึงก็ไม่ต้องพูด!”
ผมยังคงแผดเสียงลั่นเป็นภาษาบ้านเกิด คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นพากันโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ ก็คงจะเดากันได้แหละว่าผมกับคีธกำลังมีปัญหากัน แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว นอกจากความน้อยใจที่ประดังประเดเข้ามาเกาะกินใจผมจนผมอยากจะต่อยหน้าหล่อๆ ของไอ้มนุษย์ต่างดาวบ้านี่ให้หงายเก๋งสักครั้ง
ส่วนคีธก็มองหน้าผมด้วยสายตาสำนึกผิด ปากก็ว่าแก้ตัวไปเรื่อย
“ฉันขอโทษนะกวินทร์ มันก็แค่แผนต่อรอง” คีธพูดด้วยภาษาไทยเช่นเดียวกับผม คงเป็นเพราะเห็นผมพูดนั่นแหละถึงได้พูดตาม
แต่มันไม่สำคัญเว้ย! มึงเทกูหลายครั้งแล้ว ครั้งแรกก็จูบไอ้บรูคลินต่อหน้ากู ครั้งที่สองที่กูเจ็บใจไม่หายก็ตอนที่มึงเลือกไอ้บรูคลินทั้งที่กูถวายตัวเข้าปากมึงขนาดนั้น ครั้งนี้ก็มายกกูให้ไอ้บ้ากามซีเลนง่ายๆ อีก กูควรจะโกรธมึงจริงๆ จังๆ ได้แล้ว!
“ไปตายที่ไหนก็ไป” คราวนี้ผมว่าเสียงต่ำ ผลักอกมันเต็มแรง แต่มันไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด ผมก็เลยโวยวายอีกครั้ง
“ปล่อยสิโว้ย!”
“กวินทร์” คีธพยายามเรียกผมราวกับให้ผมตั้งสติ
แต่ใครมันจะไปตั้งสติได้วะ ก่อนหน้านี้แม่งยังมาหึงกูที่ถูกไอ้ซีเลนจูบอยู่เลย แล้วมึงก็มาทำเหมือนกูไม่สำคัญแบบนี้ กูก็ไม่ทนแล้วเหมือนกันเว้ย!
“ถ้ามึงไม่ปล่อย กูจะต่อยมึงให้คว่ำเลยไอ้คีธ!” ผมกลายเป็นคนหยาบคายโดยสมบูรณ์ ปากด่าคีธไม่พอ มืออีกข้างที่ไร้การพันธนาการก็ง้างขึ้นสูงขู่มันด้วย
คีธไม่สะทกสะท้าน แถมยังมีหน้ามาท้าผมอีก
“ถ้าการทำร้ายฉันมันจะทำให้กวินทร์รู้สึกดีขึ้นก็เอาเลย”
มึงอย่ามาพูดให้กูรู้สึกผิดก่อนจะได้ลงมือนะเว้ย! มึงทำร้ายจิตใจกูตั้งหลายครั้ง กูยังไม่ได้เอาคืนมึงเลยนะ!
ผมฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง ใจนี่คือปล่อยหมัดปะทะดั้งมันไปแล้ว แต่ร่างกายมันดันไม่ไปตาม ไอ้ที่ง้างๆ ตั้งท่าจะต่อยก็ใจอ่อน ลดมือลงแนบข้างลำตัวซะอย่างนั้น
แม่ง ไว้ให้กูเกลียดขี้หน้ามึงได้เมื่อไหร่ก่อน จะต่อยทบทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้คีธ!
ทว่าถึงผมจะไม่ต่อย แต่ก็มีคนมาจัดการให้แล้ว เพราะทันทีที่ผมลดมือลง ร่างใหญ่ของซีเลนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เดินอาดๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปล่อยหมัดปะทะซีกหน้าของคีธโดยที่หมอนั่นไม่ทันตั้งตัว
ผัวะ!
ตูม!
 พอหมัดปะทะข้างแก้ม คีธก็ปล่อยมือจากผมพลัน ที่ปล่อยมีนี่ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะมันเสียหลักตอนถูกต่อยแล้วกระเด็นตกสระน้ำไปต่างหาก
“เฮ้ยคีธ!” ผมร้องตกใจเสียงดังเมื่อเห็นว่าแวบหนึ่งก่อนที่มันจะร่วงลงไปในน้ำ เหมือนผมจะเห็นหัวมันโขกกับขอบสระอย่างแรงด้วย
ซึ่งไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่เห็น คนอื่นๆ ที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็เห็นเหมือนกัน พอคีธร่วงลงน้ำ ทุกคนก็พากันกรูออกมาข้างนอก ส่งเสียงโวยวายให้ทีมงานผู้ชายพาร่างคีธที่แน่นิ่งและค่อยๆ จมลงไปยังก้นสระขึ้นมาทันใด ส่วนพวกผู้หญิงก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลตามที่ผู้กำกับวิลล์ร้องบอก จากที่โกรธๆ คีธอยู่ ผมก็เป็นห่วงมันขึ้นมาทันควัน จะมีก็แต่ซีเลนนี่แหละที่หัวเราะในลำคอขึ้นมาเล็กน้อยพลันพึมพำให้ผมได้ยิน
“กวินทร์บอกให้ปล่อยเพราะกวินทร์จะมาเป็นของฉัน ไม่ได้ยินหรือไงชาวยูนิกม่า”
ใช่ที่ไหนเล่าไอ้ซีเลน! มึงอย่ามามโน!
ผมตั้งท่าจะด่ามันทันทีที่เห็นมันทำท่าไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่มันทำ หากแต่ไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ซีเลนก็หันมามองผมพลางเหยียดยิ้มร้าย
“ไม่มีปรสิตอวกาศมาขวางแล้ว ไปจัดการทำให้นายเป็นของฉันกันเถอะ” สิ้นเสียง มันก็พุ่งเข้ามาดึงแขนผมทันที
ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกมันกระชากตัวปลิวเข้าไปข้างในห้องนั่งเล่นทันใด ผมรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่อึดใจต่อไปนี้ ก็จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ มันก็จะปล้ำผมไง ร้ายกว่านั้นคือตอนที่ผมถูกมันดึงเข้ามาข้างใน คนอื่นๆ ก็ดันไม่ทันได้สนใจ มัวแต่สนใจคีธที่ยังอยู่ในสระด้วยความตื่นตระหนกกันอยู่ ผมเลยถูกซีเลนลากขึ้นไปชั้นบนอย่างง่ายดายโดยที่มันไม่ถามเจ้าของบ้านเลยว่าชั้นบนนี่อนุญาตให้ขึ้นมั้ย แต่ถึงจะขึ้นไม่ได้ มันก็ไม่สนใจหรอกนอกจากตั้งหน้าตั้งตาจะปล้ำผมให้ได้น่ะ
“เฮ้ยปล่อย!”
ผมร้องเสียงหลง ดิ้นขลุกขลัก หวังในใจว่าเสียงโวยวายของผมจะทำให้คนที่วุ่นวายอยู่ข้างขอบสระหันมาสนใจกันได้บ้าง ทว่าซีเลนก็จัดการสงบปากสงบคำผมโดยการหยุดลากแล้วเปลี่ยนมาอุ้มผมพาดบ่าแทนเมื่อผมเอาแต่ดิ้นไม่หยุด ไม่ยอมตามมันไปง่ายๆ
“ขัดขืนไปก็เหนื่อยเปล่า ไปเหนื่อยตอนที่นายอยู่ใต้ร่างฉันก็พอ” อุ้มผมพาดบ่าได้ก็กระซิบเสียงพร่าอย่างเจ้าเล่ห์
ใครจะไปเชื่อฟังมึงวะ!
“ปล่อยนะเว้ยไอ้ซีเลน!” ผมยังคงร้องลั่น มือทั้งสองรัวหมัดทุบแผ่นหลังมันเต็มแรง สายตาก็มองไปยังคีธที่จมอยู่ในสระว่ายน้ำไปด้วยอย่างเป็นห่วงขณะที่ทีมงานชายจำนวนหนึ่งทิ้งตัวลงไปในสระเพื่อพาคีธขึ้นมา
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เห็นคีธโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ผมก็ถูกซีเลนลากขึ้นมาถึงชั้นบนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะถูกโยนเข้าไปในห้องซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนแขกของผู้กำกับวิลล์
เสียงปิดประตูดังปังทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว รีบดันตัวเองขึ้นจากเตียงทันใด แต่ก็ไม่เร็วเท่ากับซีเลนที่จัดแจงถอดเสื้อผ้าตัวเองด้วยความไวแสง ก่อนมันจะกระโดดขึ้นมาบนเตียง กดผมลงนอนแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าผมด้วยอีกคนอย่างไม่แยแส
“มามีเซ็กส์กันกวินทร์”
จะ...ใจเย็นๆ ก่อนสิเว้ย!
“ไม่!”
ผมปฏิเสธลั่นทันควัน ทว่าร้องห้ามไปก็เท่านั้นแหละ ซีเลนมันก็เหมือนคีธ บ้ากามและชอบฉีกทึ้งเสื้อผ้าผมเหมือนกันไม่มีผิด ฉีกแม้กระทั่งปราการด่านสุดท้าย ในเมื่อไม่มีอะไรปกปิดอยู่บนตัวอีกต่อไป ผมเลยได้แต่คว้าผ้าห่มหมายจะเอามาคลุมตัว แต่ซีเลนก็รั้งข้อมือผมไว้ก่อนจะรวบแขนทั้งสองข้างของผมขึ้นเหนือหัวด้วยมือของมันเพียงข้างเดียว
“อยากจะกินนายมานานแล้ว” มันกระซิบเสียงพร่า พลางลากปลายคางไปยังหน้าอกผม
เคราสากๆ ที่สัมผัสกับผิวเนื้อแผ่วเบาทำเอาผมขนลุกชันไปทั้งตัว ผมเบือนหน้าหนีทันควันเมื่อลิ้นอ่อนนุ่มตวัดกลืนกินยอดอกอย่างกระหาย ขณะที่เนื้อตัวบิดเร่าเมื่อมืออีกข้างของซีเลนลูบไล้ลงมายังโคนขาด้านใน
บอกตรงๆ ว่ามันเป็นความรู้สึกเสียวซ่านที่โคตรจะขยะแขยงเลย เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้รังเกียจซีเลนหรอกนะ แต่ผมไม่ได้เต็มใจจะมีอะไรกับมันไง มันเลยขยะแขยงจนขนหัวลุกขนาดนี้เนี่ย
“อย่า! หยุดนะเว้ยซีเลน ฉันเป็นของคีธนะ!” ผมยังคงโวยวายอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ หากแต่ซีเลนไม่สนใจ พึมพำออกมาทั้งที่ริมฝีปากยังวนเวียนอยู่กับหน้าอกผม
“อีกไม่นานก็ไม่ใช่แล้ว มันยกนายให้ฉันแล้วนี่”
ก็จริง แต่คือกูไม่ได้เต็มใจไง! มึงอย่ามาคิดว่ากูเป็นสิ่งของที่ยกให้กันง่ายๆ สิวะ!
“แต่ไอ้บ้าคีธมันตุกติกกับนายนะเว้ยถึงได้พูดแบบนั้น นายก็เห็นแล้วนี่หว่าว่ามันพูดไม่จริง!” ผมอ้างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นพัลวัน ซีเลนก็ยังไม่สนใจเหมือนเดิม ก่อนที่มือซึ่งลูบไล้โคนขาผมอยู่จะแตะลงมายังจุดอ่อนไหวให้ผมสะดุ้งเฮือก
“บอกว่ายกให้ก็คือยกให้ คำว่าพูดเล่นไม่มีบัญญัติในชาติพันธุ์ของฉัน” ซีเลนว่าเสียงต่ำ
ตอนนี้แหละที่มันจับขาทั้งสองข้างผมแยกออกจากกัน พลันแทรกตัวเข้ามาระหว่างกลาง ผมรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ น้ำตาพานจะไหลออกมาดื้อๆ ทันใด
นี่กูไม่ได้เต็มใจเลยนะเว้ย มึงอย่าทำแบบนี้สิวะไอ้ซีเลน!
“หยุดเลยซีเลน! หยุด!”
ไม่ทันแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงวัตถุอุ่นร้อนบางอย่างมาถูไถบริเวณบั้นท้ายแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมไม่เคยรู้สึกอัปยศแบบนี้มาก่อนเลย ตอนที่ถูกคีธจูบครั้งแรกขณะที่ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกันก็ว่าอัปยศแล้ว แต่ถูกผู้ชายด้วยกันข่มขืนทั้งที่ผมไม่ยินยอมแบบนี้มันน่าอัปยศกว่าเป็นไหนๆ
ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้เพราะคำพูดพล่อยๆ ของไอ้คีธมันด้วยวะ!?
ถึงจะโกรธมันแทบตายที่ทำอะไรไม่ได้นึกถึงผม แต่สมองของผมกลับฉายภาพใบหน้าคีธขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ตายเถอะ อยากจะโกรธจะเกลียดมันแค่ไหน ทว่าสุดท้ายผมก็อยากเห็นหน้ามันในตอนนี้มากที่สุดอยู่ดี พลันริมฝีปากผมก็ขยับไปตามสัญชาตญาณเมื่อรู้สึกว่าซีเลนพร้อมที่จะรวมร่างกับผมแล้ว
“เป็นของฉันซะกวินทร์”
“คีธ! ช่วยด้วย!” ผมร้องเสียงดังออกมาโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าคีธที่จมลงไปใต้สระน้ำจะเป็นตายร้ายดียังไงหรือได้ยินผมมั้ย ผมหวังแค่อย่างเดียวเท่านั้นว่าขอให้คีธโผล่หัวมาในตอนนี้
แล้วความหวังของผมก็เป็นจริงเมื่อประตูบานเขื่องถูกกระแทกเปิดด้วยฝีมือของใครบางคนทันทีที่สิ้นเสียงผม ซีเลนผละจากผมหันไปมองยังต้นเสียงทันที ก่อนจะเห็นว่าคนตัวการเป็นคีธที่อยู่ในสภาพเปียกซ่กไปทั้งตัวยืนจ้องหน้าซีเลนเขม็งอยู่ ส่วนผมก็ใจชื้นขึ้นมาทันควันที่ได้เห็นหน้าหมอนั่นในสภาพที่ปลอดภัยตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งที่ใจอยากจะวิ่งไปกระโดดถีบสองขารวดโทษฐานที่มันทำผมตกอยู่ในสภาพอุบาทว์แบบนี้ก็ตาม
“ฮู้ว อึดดีจริงๆ ชาวยูนิกม่า” ซีเลนยิ้มเผล่ ก่อนจะกระชากผมขึ้นมาจากเตียงแล้วกอดก่ายไว้แน่น
กอดอย่างเดียวยังไม่เท่าไหร่ นี่มันยังเลียลำคอผมด้วยพลางว่าอย่างท้าทาย
“ฉันเกือบจะได้กินกวินทร์ของฉันอยู่แล้วเชียว”
สายตาของคีธประกายวาววาบก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งเบ้าทันใด ผมเดาเลยว่าอีกเดี๋ยวคีธจะต้องเบรกแตกแน่ๆ แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อจู่ๆ คีธก็ถลาเข้ามากระชากผมออกจากซีเลนเต็มแรง ผมลอยหวือหล่นจากเตียงไปกระแทกพื้น ก่อนที่คีธจะเป็นฝ่ายกดซีเลนลงบนเตียง
ผมเผลอคิดไปทันทีว่าอีกไม่ถึงเสี้ยววินาที คีธจะต้องตะบันหมัดใส่ซีเลนไม่บันยะบันยังแน่ ทว่าผิดคาดเมื่อได้ยินเสียงคีธพูดออกมา
“กวินทร์เป็นของฉัน นายจะแตะต้องไม่ได้ ถ้านายอยากจะผูกพันกับกวินทร์นัก ก็มาผูกพันกับฉันนี่ซีเลน!”
เอ้าเฮ้ย! ไหงมึงพูดอย่างนี้เล่า! ผัวกูเป็นเมียไอ้ซีเลนแบบนี้ไม่เอานะเว้ย!
ซีเลนชะงักไปครู่เหมือนจะอึ้งไป แต่ก็ครู่เดียวจริงๆ ก่อนที่มันจะยิ้มออกมา
“ก็ไม่เลว ฉันก็ยังไม่เคยลองกับชาวยูนิกม่าเหมือนกัน จะบุกหรือจะอยู่รอรับมือล่ะ”
“ยังไงก็ได้ ขอแค่นายอย่าแตะต้องกวินทร์ก็พอ”
พอคีธว่ามาเนิบๆ ด้วยสีหน้าตายเหมือนเดิม แต่ดวงตายังประกายความไม่พอใจ ซีเลนก็เป็นฝ่ายหัวเราะในลำคอขึ้นมาน้อยๆ
“งั้นฉันจะบุกเอง”
“มา”
เดี๋ยวสิพวกมึง! กูยังจำเป็นอยู่มั้ยวะ ตอบเดี๋ยวนี้!
เพลงผัวข้อยเป็นเมียเขาของจินตหรา พูนลาภนี่ดังขึ้นมาในหัวผมเลย แล้วผมก็ต้องใจหายวาบไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยตอนเห็นซีเลนมันตวัดมือโอบรอบคอคีธที่คร่อมอยู่บนตัวมัน ทำท่าเหมือนจะเป็นฝ่ายพลิกสถานการณ์มาขึ้นคร่อมคีธไว้เองอีก ส่วนไอ้บ้าคีธก็ยังคงทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร จะมีก็แต่ซีเลนนี่แหละที่กระซิบออกมาเสียงต่ำ
“จะเอาให้ถึงตาย”
มึงก็โหดไปไอ้ซีเลน! ที่สำคัญ ไอ้คนที่มึงจะเอาให้ถึงตายเนี่ยผัวกูเว้ย! ผัวกู!
ขืนอยู่เฉยๆ มีหวังได้เห็นมนุษย์ต่างดาวร่างยักษ์ ตัวหนึ่งหน้ามึน ตัวหนึ่งเครายุ่บยั่บผสมพันธุ์กันต่อหน้าต่อตาแน่ ผมเลยไม่รอช้า รีบผุดลุกขึ้นถลาไปกอดเอวคีธจากด้านหลังเอาไว้ก่อนที่มันจะถูกซีเลนที่ตั้งท่าจะลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายจับกดลงไปนอนแทน
“อย่านะเว้ย คีธเป็นของฉัน!”
ทั้งคู่ชะงึกกึก หันมามองหน้าผมทันใด ซีเลนยังแค่มองนิ่งๆ มีคีธนี่แหละที่ครางเรียกชื่อผมออกมาด้วย
“กวินทร์... ถอยออกไป มันอันตราย”
มันจะอันตรายกับกูเพราะมึงสองคนทำกูตาบอดเนี่ยแหละไอ้คีธ!
“ไม่ถอย! หยุดทำบ้าๆ แบบนี้ซะที คิดอะไรของนายอยู่วะ!” ผมโวยวายไป สองแขนก็ยังโอบรัดเอวมันไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยปุ๊บแล้วมันโผเข้าหากันขึ้นมา มันจะเลยเถิดจนห้ามไม่ได้
ก็ใครอยากจะให้ผัวตัวเองไปเป็นเมียชาวบ้านกันวะ! ถึงจะไม่เคยพูดเต็มๆ ปากว่ามึงเป็นผัวกู แต่สถานะมึงมันใช่ มึงก็รู้อยู่แก่ใจ อย่าทำมึนไปเป็นเมียคนอื่นสิเว้ย!
“แต่ฉันจะปกป้องกวินทร์” คีธยังอ้างมาอีก โอเค ผมรู้มาว่าพวกเซนไทน์น่ะ เวลาดูดพลังงานจากอีกฝ่ายโดยการมีเซ็กส์ มันจะดูดพลังงานจนถึงตาย
แต่ไอ้บ้าซีเลนมันไม่ใช่เซนไทน์เว้ย! มึงอย่ามาทำเป็นเนียนเสียสละตัวเองเพราะมึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นรับหน่อยเลยไอ้คีธ!
“ถ้าจะปกป้องโดยสละร่างกายตัวเองให้ไอ้หื่นซีเลนมันปู้ยี่ปู้ยำแบบนี้ ฉันก็ไม่เอา! จะพูดจะทำอะไรก็คิดถึงใจคนที่รักนายบ้างสิวะ! ใครมันจะบ้ายอมเห็นคนที่ตัวเองรักไปมีอะไรกับคนอื่นได้หน้าตาเฉยกัน และถ้านายอยากจะถูกกดก็บอกฉัน เดี๋ยวฉันกดเอง ไม่ใช่ให้ไอ้บ้าหนวดเฟิ้มหื่นกามนี่มันกด! นายเป็นของฉันนะเว้ย!” ผมตะโกนสุดเสียง พ่นความในใจออกมายาวเหยียด ความรู้สึกเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกแย่งของเล่นเป็นยังไง ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันพร่างพรายเต็มหัวผมเลย
คีธนิ่งงันกว่าเดิมทันใด แถมยังมีหน้ามาครางเรียกชื่อผมราวกับตะลึงงันที่ผมบอกความในใจออกไปอีก
“กวินทร์...”
มึงไม่ต้องมากวินทร์เลย! มึงลุกออกจากไอ้เวรซีเลนเดี๋ยวนี้!
ผมไม่รอช้า เป็นฝ่ายดึงมันออกมาจากร่างของซีเลนทันใด ดีที่มันยอมลุกออกมาง่ายๆ แถมซีเลนก็ยอมปล่อยมือง่ายๆ ผมเลยไม่ต้องมาวิตกรอบสองว่าจะแย่งผัวจากมนุษย์ต่างดาวหื่นกามกลับมาได้มั้ย พอคีธลงมายืนบนพื้นได้ ผมก็ยอมคลายอ้อมกอดจากมัน พลางมองหน้ามันอย่างเอาเรื่องขณะที่หายใจหอบโยนด้วยความเหนื่อย
“กวินทร์... ฉัน...”
“ไม่ต้องมาฉันอย่างโน้นอย่างนี้เลย! กลับเดี๋ยวนี้!” แล้วผมก็เป็นฝ่ายลากมันออกมาจากห้อง
อยู่ไม่ได้แล้วที่นี่ อยู่ไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าอยู่ต่อนี่ ดูท่าทางไอ้คีธไม่ไปเป็นเมียไอ้ซีเลน มันก็คงจะกลายเป็นทรีซัมระหว่างผม คีธ แล้วก็ซีเลนนี่แหละ
“ไม่สนุกเลยแฮะ” เสียงของซีเลนที่นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง แสยะยิ้มร้ายอยู่บนเตียงดังมาให้ผมได้ยินนิดหน่อย แต่ผมไม่สนแล้ว สิ่งที่ผมสนคือพาคีธออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนมันจะเปลี่ยนใจไปสมยอมไอ้ซีเลนอีก
ทว่าไม่ทันจะได้เดินถึงประตู คีธก็กระตุกมือที่ผมจับอยู่แล้วหยุดเดินทันควัน
“กวินทร์”
“มึงหยุดทำไม มึงจะไปเป็นเมียไอ้ซีเลนใช่มั้ย ตอบมา!” ผมหันขวับไปแทบในวินาทีนั้น หลุดด่ามันออกมาเป็นภาษาไทยด้วย
นี่ไม่ใช่อาการหึงนะ แต่มันเป็นอาการไม่แน่ใจว่าไอ้คีธมันจะเอายังไงกับชีวิต บอกตรงๆ ว่าแค่รู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ผมก็คลั่งจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งถ้ามารู้ว่าไอ้ผู้ชายที่ผมมีใจให้นึกอยากจะเปลี่ยนสถานะจากรุกเป็นรับนี่ ผมคงจะยิ่งคลั่งมากกว่าตอนค้นพบตัวเองอีก
โชคดีที่ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เพราะที่คีธหยุดเป็นเพราะหมอนั่นเห็นว่าผมเปลือยเปล่าไปทั้งตัวต่างหาก
“อย่าออกไปในสภาพนี้ ฉันไม่อยากให้ใครเห็นร่างกายของกวินทร์ กวินทร์เป็นของฉัน”
ว่าจบ มันก็ลากผมไปยังประตูเลื่อนกระจกที่เป็นทางเชื่อมออกไปยังระเบียง พลันกระชากผ้าม่านผืนใหญ่ออกจากราวแล้วเอามาตลบพันร่างผมเอาไว้ พอพันผ้าม่านคลุมกายให้ผมได้เสร็จ มันก็ช้อนตัวผมขึ้นอุ้มในท่าอุ้มเจ้าสาวโดยไม่ให้ผมตั้งตัวทันใด ผมไม่ขัดขืน ปล่อยให้อุ้มแต่โดยดี กระทั่งมันอุ้มผมมาจนเกือบจะถึงประตู ซีเลนก็พูดขึ้นมาอีก
“ครั้งนี้ฉันจะปล่อยพวกนายไปก่อน แต่อย่าเผลอก็แล้วกัน เผลอเมื่อไหร่ กวินทร์เป็นของฉันแน่” แล้วมันก็เลียริมฝีปากอย่างยั่วเย้า
ผมนี่มองหาของใกล้มือเตรียมจะเอาขว้างใส่หน้ามันเลยโทษฐานที่มันทำให้ผมระแวงว่าจะถูกมันปล้ำ แถมยังต้องระแวงว่าคีธจะถูกมันปล้ำอีก ไอ้ซีเลนนี่แม่งมั่วไม่เลือกจริงๆ!
“ฝันไปเลย” คีธทิ้งท้ายไว้ด้วยน้ำเสียงกร้าวเล็กน้อย ก่อนจะปรับดวงตาให้เป็นปกติแล้วเดินออกมาข้างนอกอย่างรวดเร็ว
พอออกมาด้านนอก ก็เห็นบรรดาอเมริกันมุงอยู่ตรงบันได เงี่ยหูฟังสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในห้องอย่างพร้อมเพรียง ทว่าพอพวกนั้นเห็นคีธกับผมก็พากันแตกฮือเป็นผึ้งแตกรัง ปล่อยให้คีธอุ้มผมเดินผ่าลงบันไดมาเงียบๆ โดยไม่มีใครถามอะไร ไม่เว้นแม้แต่ผู้กำกับวิลล์และด็อกเตอร์มาร์ตินที่ทำหน้าเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่พูดอะไรจนคีธพาผมออกมาพ้นจากเขตตัวบ้าน
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[2]
เพราะหาแท็กซี่ไม่ได้เนื่องจากดึกมากแล้ว คีธเลยเดินอุ้มผมไปเงียบๆ ตามถนนที่มีแสงไฟสลัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมเหลือบมองหน้ามันตลอดทาง สังเกตเห็นว่าซีกหน้ามันข้างที่ถูกซีเลนต่อยเป็นปื้นแดงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนบริเวณมุมของหน้าผากก็มีรอยแดงและรอยแตกเล็กๆ เหมือนกัน คาดว่ารอยนี้น่าจะมาจากการที่มันพลาดตกลงสระแล้วหัวกระแทกขอบสระแน่ๆ ผมก็เป็นห่วงมันนั่นแหละ แต่อารมณ์คุกรุ่นที่เกิดจากคำพูดและการกระทำบ้าๆ ของมันยังคงอบอวลอยู่ในใจผม ทำให้ผมทำลายความเงียบขึ้นมา
“ปล่อย”
“หือ?”
“ปล่อยฉันลง ฉันจะเดินเอง” ผมว่าอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำ
คีธหยุดเดินทันใด ก้มลงมองหน้าผมแล้วปฏิเสธ
“ไม่ ฉันจะอุ้มกวินทร์ไปจนกว่าจะถึงที่หมาย”
“ไม่ต้องคิดจะมาทำดีกับฉันตอนนี้ มันสายไปแล้ว!” แล้วผมก็ตะคอกใส่มันขึ้นมา
คีธก็คงจะรู้แหละว่าผมหมายถึงอะไร มันจะหมายถึงอะไรได้ล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องที่จู่ๆ มันก็เอาผมไปเป็นเครื่องมือต่อรองให้ซีเลนบอกตัวตนที่แท้จริงโดยไม่ถามความสมัครใจผมก่อน แล้วก็เสนอตัวเองให้ซีเลนเพื่อปกป้องผมอีก คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัด นี่มันฉลาดเกินไปจนผมไม่เข้าใจระบบความคิดของมัน หรือมันโง่จนผมเข้าไม่ถึงกันแน่ก็ไม่รู้
ถึงจะตะคอกไปแบบนั้น คีธก็ไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดีนั่นแหละ เอาแต่มองหน้าผมนิ่งๆ ผมรู้เลยว่าเดี๋ยวมันก็จะมาใช้ส่งสายตาแบบลูกหมาทำให้ผมใจอ่อน ไม่โกรธมันอีก ผมเลยดิ้นเต็มแรงพลางร้องเสียงดัง
“บอกให้ปล่อย!”
คีธยอมวางผมลงบนพื้นแต่โดยดี พอเท้าทั้งสองสัมผัส ผมก็เดินพรวดๆ หนีมันเลย ส่วนคีธก็รีบร้องเรียกผมไว้ทันใด
“เดี๋ยวสิกวินทร์”
มึงไม่ต้องมาเดี๋ยวสิกวินทร์เลย กูโกรธ โกรธมาก! โกรธแบบที่ไม่เคยโกรธมึงแบบนี้มาก่อนเลยขอบอก!
“กวินทร์”
ยัง... มันยังร้องเรียกผมอยู่ แล้วก็เดินตามมาแบบติดๆ ด้วย
“กวินทร์...”
ผมไม่สน เอาแต่เดินจ้ำอ้าวหนีลูกเดียว
“กวินทร์...”
ไม่สน กูโกรธมากและหยิ่งมาก มึงกล้าดียังไงถึงได้ทำร้ายจิตใจกูแบบนี้! กูอุตส่าห์รักมึงแล้วแท้ๆ มึงนี่มัน...!
“กวินทร์...”
เพราะผมไม่ยอมหยุดเดินสักที คีธก็เลยเรียกแล้วคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วดึงเข้าไปกอดแนบอกไว้แน่น
“กวินทร์...”
ยัง...ยังเรียกอยู่ ถ้ามึงจะกอดกูแล้วพูดแค่ชื่อกูล่ะก็ มึงฝันไปเลยว่ากูจะยกโทษให้ สิ่งที่มึงทำมันมากเกินกว่าที่กูจะให้อภัยง่ายๆ เว้ย!
เหมือนคีธจะรู้เลยว่าผมคิดอะไร พอเห็นผมนิ่ง ยอมให้กอดง่ายๆ แต่ทำตัวแข็งทื่อไม่หือไม่อือ คีธก็ซุกใบหน้าลงมาบนเส้นผมของผมพลางว่าเบาๆ
“ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะชดเชยความผิดที่ทำให้กวินทร์โกรธได้นอกจากพูดคำว่าขอโทษ”
“ก็ไปเป็นเมียไอ้ซีเลนสิวะ กูจะได้หายโกรธ”
ผมประชดนะ ไม่ได้พูดจริงๆ แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะมาพูดภาษาอังกฤษอะไรกับมันด้วย อยากจะง้อกูก็ต้องพูดภาษาของกู!
ดีที่คีธมันไม่โง่ เชื่อไปตามที่ผมพูดอย่างคราวก่อนๆ ที่รู้ว่าครั้งนี้ผมประชด แล้วก็ไม่ได้โง่ที่จะมาถามผมว่าผมพูดภาษาไทยทำไมอีก พอได้ยินผมพูดภาษาไทย มันก็เปลี่ยนสวิตซ์ภาษา พูดภาษาเดียวกันออกมาทันที
 “อย่าพูดแบบนี้สิกวินทร์ ฉันรู้ว่านายไม่ได้อยากให้ฉันทำแบบนั้น”
“เออ กูไม่ได้อยากให้มึงทำ แต่มึงอยากทำไง” ผมยังหยาบคายไม่เลิก ตอนนี้ทุบอกมันไปเต็มแรงด้วย หมั่นไส้ฉิบเป๋ง
 “ก็ไม่ได้อยากทำ แต่พวกชาติพันธุ์ที่ดูดกลืนพลังงานโดยการผูกพัน ถึงจะเป็นพวกรักสงบแต่ส่วนใหญ่ก็อันตราย อีกอย่าง จากการที่ถูกซีเลนจู่โจมแบบไม่ได้ตั้งตัว มันก็ทำให้ฉันประเมินพละกำลังของมันได้คร่าวๆ ว่ามันมีกำลังพอๆ กันกับฉัน ซึ่งถ้ามันทำอะไรกวินทร์ขึ้นมาจริงๆ กวินทร์ต้านทานแรงมันไม่ไหวแน่ถ้ามันไม่ได้ทำกวินทร์แค่ครั้งเดียว ฉันกลัวว่ากวินทร์จะเป็นอันตรายก็เลยทำแบบนั้น”
ผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมตอนที่ซีเลนต้องการดูดกลืนพลังงานถึงได้เรียกผู้ชายมาทีเดียวหลายๆ คน ที่แท้ก็เพื่อกินทีละคน คนละครั้งนั่นเอง ดูท่ามันก็คงจะประเมินพละกำลังของมันไว้เหมือนกันว่าอันตรายต่อร่างกายมนุษย์โลก มันถึงได้ทำแบบนี้
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่คำพูดของคีธทำให้คิ้วผมย่นยู่จนผูกกันเป็นโบว์
“แล้วมึงไม่คิดบ้างหรือไงวะว่าวิธีของมึงโคตรจะงี่เง่าเลย กลัวมันทำอะไรกู มึงก็เลยเสนอตัวไปเองเนี่ยนะ ทำไมมึงไม่ต่อยมันเหมือนกับที่มันต่อยมึงวะ”
“ถ้าฉันทำอย่างนั้น มีหวังตัวตนของฉันคงได้ถูกเปิดเผยแน่ กวินทร์จินตนาการไม่ออกหรอกว่าถ้าฉันกับซีเลนสู้กันขึ้นมา มันจะรุนแรงขนาดไหน ฉะนั้นการปกป้องกวินทร์ด้วยวิธีนั้นเลยเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ทั้งฉัน ทั้งกวินทร์”
เออ ก็จริงอยู่ แค่โดนซีเลนต่อยทีเดียวยังกระเด็นกระดอนขนาดนั้น ถ้ามันสู้กันขึ้นมาจริงๆ คงไม่ต้องถามเลยว่าบ้านผู้กำกับวิลล์จะวินาศสันตะโรขนาดไหน
แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอกับการที่มึงขายกูกินแล้วก็เสนอตัวเป็นเมียไอ้ซีเลนหรอกเว้ย!
“แล้วไอ้เรื่องที่มึงยกกูให้ไอ้ซีเลนง่ายๆ เพื่อแลกกับคำตอบว่ามันเป็นตัวอะไรนี่ มึงจะแก้ตัวว่าไง” ผมถามเสียงเขียว
คีธผละออกจากผมมามองหน้าผมนิ่งๆ ทันใด
“ฉันไม่ได้คิดจะยกกวินทร์ให้จริงๆ หรอก แต่เพราะเห็นกวินทร์เป็นที่ต้องการของมัน ฉันก็เลยคิดจะใช้ต่อรอง”
มึงเห็นกูเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์จริงๆ ด้วยสินะ!
จากที่โกรธอยู่แล้ว ผมเลยโกรธยิ่งขึ้นไปใหญ่เลยที่มันสารภาพออกมาตรงๆ อย่างที่บอกแหละว่าผมไม่เข้าใจระบบความคิดของมนุษย์ต่างดาวบ้านี่จริงๆ ตอนที่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆ ผมว่าผมไม่เข้าใจระบบความคิดบางอย่างของคนอเมริกันเพราะต่างชาติ ต่างวัฒนธรรมแล้วนะ มาเจอต่างดาว ต่างกาแล็กซี่แล้วนี่มืดแปดด้านไปเลย
“กูไม่เข้าใจ” ผมครางออกมา จ้องหน้ามันเขม็งขณะที่คีธเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่าไม่เข้าใจอะไรให้ผมได้พูดต่อ “ไม่เข้าใจเลยว่ามึงคิดอะไรอยู่ กูเป็นใครสำหรับมึงวะคีธ ปากมึงก็บอกว่ารักกู ผูกพันกับกูได้แค่คนเดียว ใครไปมีคนอื่นถึงกับต้องโทษตาย แต่จู่ๆ มึงก็เอากูไปใช้เป็นเครื่องมือต่อรองอะไรไร้สาระหน้าตาเฉย แถมมึงยังจะหักหน้ากูด้วยการเสนอหน้าจะไปมีอะไรกับไอ้ซีเลนอีก กูไม่เข้าใจมึงเลย มึงรักกูยังไงของมึงเนี่ย เห็นกูรักมึงเข้าหน่อย มึงก็ทำกับกูแบบนี้เหรอวะ!” ผมพ่นความรู้สึกอัดอั้นออกมายาวเหยียด
มันเป็นความรู้สึกอึดอัดที่พูดไม่ถูกเลย วูบหนึ่งที่ผมรู้สึกไปนิดๆ ด้วยว่าคีธมันไม่ได้รักผมจริงๆ คีธเองก็ไม่ได้พูดแก้ตัวอะไรออกมา มีแต่ใบหน้านิ่งๆ กับดวงตาประกายเศร้าสร้อยดุจลูกหมา ผมกลอกตาในวินาทีนั้นเลย ก่อนจะดักคอออกมาทันควัน
“ถ้ามึงทำได้ดีแค่ทำหน้าน่าสงสารให้กูใจอ่อนกับพูดแค่ขอโทษล่ะก็ ไม่ต้องเลย กูไม่ต้องการ”
“กวินทร์...” คีธรีบเรียกผม แต่ผมก็แทรกขัดคอขึ้นมาอีก
“และถ้ามึงจะเรียกแค่ชื่อกูแบบนี้ก็ไม่ต้อง จบๆ กันไปเลย มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป ที่กูได้กับมึงถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่แล้วกัน” อันนี้ผมก็ประชดล่ะ ไม่ได้คิดจริง เกลียดตัวเองเหมือนกันที่จู่ๆ ก็น้อยใจมันขึ้นมา แถมยังยั้งตัวเองให้ไม่พูดหยาบคายไม่ได้อีกด้วย
แต่ผมก็ไม่สนใจแล้ว เดินหนีแม่งเลย หงุดหงิดว่ะ ทว่าเดินหนีก็เท่านั้นแหละ เพราะคีธมันเดินตามหลังผมต้อยๆ อยู่พักหนึ่ง
ไม่พักหนึ่งอ่ะ พักใหญ่เลยล่ะ แถมไม่พูดอะไรอีกจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังเล่นสงครามประสาทกับผม ผมเลยทำท่าจะหันไปด่ามันแล้วบอกให้มันหยุดเดินตามสักที ทว่าเสียงของมันก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“You gotta go and get angry at all of my honesty (นายจะต้องโมโหกับความจริงใจของฉันแน่ๆ)”
ไม่ใช่เสียงพูดธรรมดาซะด้วยแต่เป็นเสียงร้องเพลง ผมชะงักกึกเลยเมื่อได้ยินเพลง Sorry ของจัสติน บีเบอร์ดังออกมาจากปากมัน แต่ไม่ทันจะได้หันไปถามว่ามันคิดจะทำบ้าอะไร คีธก็ร้องท่อนต่อไปออกมา
“You know I try but I don’t do too well with apologies (นายรู้ว่าฉันพยายามแล้ว แต่ฉันก็ขอโทษได้ไม่เก่งนัก)”
นั่นไง มันเริ่มปฏิบัติการง้อแล้ว ไหนดูซิว่ามันจะทำได้ดีแค่ไหนเชียว
ผมแกล้งเดินหนีต่อ คีธก็เดินตามต่อ แล้วก็ร้องเพลงออกมายาว
“I hope I don’t run out of time, could someone call a referee? Cause I just need one more shot at forgiveness (ฉันหวังว่าฉันยังจะพอมีเวลาอยู่นะ ใครก็ได้เรียกกรรมการให้ฉันที เพราะฉันต้องการแค่โอกาสอีกสักครั้งเพื่อขอโทษ)”
“...”
“I know you know that I made those mistakes maybe once or twice. By once or twice maybe a couple a hundred times (ฉันรู้ว่านายรู้ว่าฉันทำพลาดอะไรไปบ้าง ครั้งหรือสองครั้ง แต่ครั้งหรือสองครั้งนั้นก็อาจจะเป็นสองร้อยครั้งแล้วก็ได้)”
“...”
ผมแสร้งไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ในใจจะคิดว่าเสียงของมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่ามันร้องเพลงเข้าขั้นดีเลยล่ะ น่าจะเป็นความสามารถพิเศษทางภาษาของมันล่ะมั้ง เหมือนกับที่พูดภาษาต่างๆ ได้ด้วยการฟังไม่กี่นาที การร้องเพลงถูกคีย์ถูกจังหวะก็คงจะเหมือนกันกับการเรียนรู้ภาษานั่นแหละ
แต่เดี๋ยวนะ พอกูบอกว่าถ้าจะทำตาเป็นลูกหมากับพูดแค่ขอโทษหรือเรียกชื่อกูก็ไม่ต้อง มึงก็เลยร้องเพลงง้อหรือไง มึงนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังอินเดียเหรอฮะ กูไม่เป็นนางเอกให้มึงได้วิ่งไล่ตามไปทั่วภูเขาทั้งลูกหรอกบอกไว้เลย
ทว่าพอผมเดินไม่หยุดและไม่สนใจมัน คีธก็เลยคว้าข้อมือผมไว้อีกครั้ง ดึงให้ผมหันหน้าไปมองมันพร้อมกับร้องเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง
“So let me, oh let me redeem, oh redeem, oh myself tonight cause I just need one more shot at second chances (ให้ฉันได้แก้ตัว ให้ฉันกู้ความเชื่อใจคืนมาในคืนนี้ได้มั้ยเพราะฉันแค่ต้องการโอกาสอีกสักครั้ง)”
ร้องจบท่อนนั้น มันก็ดันผมถอยหลังไปจนแผ่นหลังชิดกับกำแพงข้างถนนอย่างไม่ทันตั้งตัว คิ้วผมกระตุกทันควัน จิตใต้สำนึกบอกรัวๆ เลยว่ามันจะทำอะไร ยิ่งเห็นใบหน้ามันเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยแล้ว ผมก็รีบดันหน้าอกมันออกห่างเลย
“มึงอย่าคิดว่าปล้ำกูกลางถนนแล้วกูจะให้อภัยนะเว้ย กูจะโกรธหนักกว่าเดิมอีก!”
แต่คีธไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย ประกบริมฝีปากลงมาบนเรียวปากผมเบาๆ แล้วร้องต่อขณะที่สายตาจ้องผมนิ่ง
“Is it too late now to say sorry? Cause I’m missing more than just your body(มันสายเกินไปหรือยังที่ฉันจะขอโทษตอนนี้เพราะที่ฉันคิดถึง ไม่ใช่แค่ร่างกายของนาย)”
“สาย!” ผมโพล่งใส่มันทันที แต่มันทำเป็นหูทวนผม ไม่ได้ยินที่ผมพูด
“Is it too late now to say sorry? I know that I let you down. Is it too late to say I’m sorry now? (มันสายเกินไปหรือยังที่ฉันจะขอโทษตอนนี้ ฉันรู้ว่าฉันทำให้นายผิดหวัง แล้วมันสายเกินไปหรือยังที่ฉันจะขอโทษนายตอนนี้)
ร้องจบท่อนนั้น มันก็จรดริมฝีปากลงมาบนเรียวปากผมอีก
“ถอยออกไป!” ผมไม่ยอมให้มันง่ายๆ ดันอกมันออกห่าง แต่มันคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วตรึงไว้กับกำแพง ก่อนละริมฝีปากออกมา พึมพำร้องเพลงต่อ
“I’ll take every single piece of the blame if you want me to but you know that there is no innocent one in this game for two (ฉันยอมรับทุกคำตำหนิจากนายถ้านายต้องการจะต่อว่า แต่นายรู้มั้ยว่าไม่มีคนที่ไม่เคยทำผิดในเกมสำหรับคนสองคนหรอก)”
มันคงจะหมายถึงตอนที่ผมไปยอมให้ซีเลนดูดคอกับจูบกับซีเลนมาล่ะสินะ นี่มึงจะง้อกู หรือจะสอนกูวะ!
“Can we both say the words and forget this (เรามาคุยกันดีๆ ได้มั้ยแล้วก็ลืมเรื่องนี้ไป)”
คีธสบตาผมอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ผมถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่คีธมองมันไม่ใช่สายตาแบบลูกหมาอ้อนวอน แต่เป็นสายตาสำนึกผิดจริงๆ ก่อนที่มันจะร้องเพลงท่อนสุดท้ายออกมา
“I’m sorry, sorry… (ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ)” ตามมาด้วยการจูบผมอีกครั้ง
จากตอนแรกที่ผมตั้งใจว่าจะโกรธมันไปนานๆ ตอนนี้ใจอ่อนยวบเป็นเทียนไขละลายเลย
มะ...แม่ง ทำไมมึงถึงง้อได้น่ารักจังวะ
“ขอโทษนะกวินทร์” ตอนนี้มันกลับมาพูดภาษาไทยอีกแล้ว
ผมหลบตามันทันใด ปากก็พูดไปด้วย
“ไม่”
“ยังไม่หายโกรธเหรอ เอาอีกเพลงมั้ย”
“ไม่ต้อง หายโกรธอยู่แต่แค่นิดเดียว” ผมว่าไปตามจริง ตาเหลือบกลับมามองมันขวางๆ ด้วย
คีธยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ประหนึ่งว่าใจชื้นขึ้นมาที่เห็นผมยอมอ่อนลง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปง้อที่เหลือต่อที่ห้อง” ว่าจบก็จูบลงมาบนหน้าผากผมเบาๆ
“จะปล้ำกูอีกแล้วล่ะสิ” ผมชิงพูดอย่างรู้ทัน คีธหัวเราะในลำคอน้อยๆ
“เปล่า จะร้องเพลงให้ฟัง เผื่อกวินทร์จะใจเย็นแล้วจะได้หายโกรธ”
ผมหลบตามันอีกครั้ง หัวใจพลันอุ่นร้อนขึ้นมาเลย ไม่ค่อยได้เห็นโมเม้นต์อบอุ่นของคีธแบบนี้แล้วพอมาเจอแบบกะทันหัน ผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ก็ชอบนะ ไม่ใช่ไม่ชอบ มันแบบ... รู้สึกดีเป็นบ้า
“กลับกันเถอะ” แล้วคีธก็ทำให้ผมต้องโวยวายอีกครั้งเมื่อจู่ๆ มันก็ช้อนตัวผมขึ้นอุ้มในท่าเดิม
“บอกแล้วไงว่าฉันเดินเองได้” ผมว่าเสียงเขียว
คีธไม่สน ออกเดินพร้อมพูดไปด้วย
“ในเมื่อกวินทร์ไม่เข้าใจว่าฉันรักกวินทร์ยังไง ฉันก็จะทำให้กวินทร์ดูว่าฉันรักกวินทร์ รักมาก รักจนอยากจะดูแลกวินทร์ไปตลอดชีวิต ต่อไปนี้ฉันจะดูแลกวินทร์เป็นอย่างดี แม้แต่ฝุ่นก็จะไม่ให้เปื้อนตัว”
หน้าผมร้อนขึ้นมาทันควัน มะ...มันพูดบ้าอะไรของมันวะ เหตุผลนี้เลยอุ้มผมแทนการปล่อยให้ผมเดินหรือไง
“มะ...ไม่เชื่อ” ผมก้มหน้างุด ปากก็ยังส่งเสียงเขียวๆ ออกมา
เหมือนคีธจะหัวเราะออกมาหน่อยนึงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“จะพิสูจน์ให้ดูตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ขอโทษอีกครั้งนะกวินทร์”
ผมไม่พยักหน้า ไม่ตอบรับอะไรสักอย่าง
เอาเถอะ ถือว่าง้อดี สร้างสรรค์ผลงานได้ดี ยอมอ่อนข้อให้มันสักหน่อยก็แล้วกัน
 
คีธอุ้มผมเดินกลับมาจนถึงอพาร์ตเม้นต์อย่างที่มันว่า ถึงจะเจอแท็กซี่วิ่งผ่าน มันก็ไม่ยอมให้ผมเรียก เอาแต่พูดว่าจะพิสูจน์ให้ดูว่ารักผมแค่ไหน ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ยอมหน้าด้านให้คนอื่นมองอย่างสงสัยว่าผมไปทำอะไรมาถึงได้มีผ้าม่านห่อตัวแล้วมีผู้ชายร่างยักษ์อุ้มเดินไปตามถนนหนทางแบบนี้ ก็ยังดีที่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางคืน และผมก็ยังพอจะซ่อนใบหน้าตัวเองด้วยการซุกแผงหน้าอกของคีธได้เลยทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าผมเป็นใคร มีแต่หน้าคีธเท่านั้นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก แต่เอาจริงๆ นะ ถึงคนอื่นจะเห็นหน้าก็ไม่รู้หรอกว่าผมกับคีธเป็นใคร ทุกคนที่มองพวกเราก็คนแปลกหน้าทั้งนั้นแหละ ถ้าเกิดมีใครจำได้ขึ้นมาว่าผมเป็นใคร ผมก็แก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการหนีกลับประเทศแม่งเลย
และเรื่องโกรธนี่ ความจริงผมหายโกรธตั้งแต่มันจูบหน้าผากผมแล้วแหละ แล้วก็ต้องขอซูฮกให้กับความอึดของมันด้วยที่อุ้มผมเดินมาเป็นหลายสิบกิโลเมตรอย่างนี้ถึงจะรู้ว่าร่างกายมันทรหดอดทนแค่ไหนก็ตาม ส่วนเรื่องเพลงของจัสติน บีเบอร์ ผมเพิ่งมารู้ระหว่างกลับห้องนี่แหละว่าคีธไปได้ยินมาจากทีมงานคนหนึ่งที่เป็นแฟนคลับของจัสตินเปิดเพลงนี้ฟังตอนพักในสตูดิโอบ่อยๆ ก็เลยจำเนื้อเพลงได้ ถึงจะเปิดฟังจากโทรศัพท์และมีหูฟังเสียบ แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ดี คีธก็เลยได้ยินอย่างชัดเจน
เห็นมั้ยล่ะ ผมบอกแล้วว่าการที่มันร้องเพลงได้ดีต้องเป็นเพราะความสามารถพิเศษของมันแน่
และพอกลับมาถึงห้อง คีธก็ไม่แม้แต่จะไปทักทายแอสตันที่ยังอยู่ดูแลริชาร์ดแม้แต่น้อย ตั้งหน้าตั้งตาพาผมเข้าห้อง เข้าห้องอย่างเดียวไม่พอ พาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำอาบท่าให้ด้วย ผมก็ปล่อยให้มันทำนั่นแหละ อยากจะรู้ว่ามันจะดูแลผมได้ดีอย่างที่พูดหรือเปล่า หากแต่การปล่อยให้มันอาบน้ำให้เหมือนจะคิดผิดสักเล็กน้อย เพราะมันไม่แค่ขัดถูเนื้อตัวไปทุกซอกทุกมุมอย่างเดียว มันยังจะปล้ำผมในห้องน้ำด้วย เพลงอะไรที่มันบอกจะร้องให้ฟังนี่คือลืมไปหมดแล้ว ผมก็ทำเป็นขัดขืนพอเป็นพิธีนั่นแหละ เล่นตัวหน่อยแต่ก็ยอม ช่วยไม่ได้ ก็มันน่ารักนี่หว่า อดใจไม่ไหวเหมือนกัน
“รักกวินทร์นะ” คีธว่าเสียงพร่าหลังจากจูบกับผมอย่างดูดดื่ม
“รักเหมือนกัน” ผมก็บ้าจี้ เผลอบอกรักตอบมันไปซะอย่างนั้นโดยลืมไปเสียสนิทว่ายังโกรธมันอยู่
“รักมาก รักที่สุด” คีธยิ้มออกทันที พลางพร่ำบอกรักผมไม่เลิก
“ทำสักที ทนไม่ไหวแล้ว” สุดท้ายก็เป็นผมที่รำคาญ ตัดบทเอาดื้อๆ
คีธพยักหน้า หยอกล้อกับร่างกายผมตามแบบฉบับของมัน หากแต่ครั้งนี้ออกจะรุนแรงและดุเดือดสักหน่อย อาจเป็นเพราะทะเลาะกันมาก่อนด้วยล่ะมั้ง เมคเลิฟครั้งนี้เลยร้อนแรงเป็นพิเศษ
ทว่าพอถึงวินาทีสำคัญที่ผมกับมันควรจะรวมกันเป็นหนึ่ง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะและอารมณ์รุ่มร้อนของผมให้ดับมอดทันใด ผมหันไปมองยังประตูอย่างหัวเสียขณะที่คีธมองอย่างสงสัย
“ใครวะ” ผมเปรยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
คีธส่ายหน้า ก่อนจะผละจากตัวผม
“อาจจะเป็นองค์ชาย”
“ถ้าเป็นไอ้แอสตันล่ะก็ ฉันฆ่ามันทิ้งแน่” ผมขู่ฟ่อ
คีธยีหัวผมพลางหัวเราะเบาๆ เล็กน้อยก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมท่อนล่างของตัวเองแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
หากแต่คนที่มาขัดความสุขนั้นไม่ใช่แอสตันอย่างที่คาดเดาไว้ ทว่าเป็นชายหนุ่มผมยาวหน้าหวานในชุดสูทที่ปรากฎให้เห็นอยู่หลังบานประตู หมอนั่นมองหน้าคีธเล็กน้อยก่อนมองเลยมายังผมที่ซุกตัวท่อนล่างอยู่ใต้ผ้าห่ม พลันว่าออกมา
“ขออภัยที่มาขัดจังหวะการผูกพันนะคีทาเย กวินทร์”
ไอ้เจเนซิส! เมียเก่าไอ้คีธนี่หว่า มึงมาได้ยังไง แล้วมึงมาทำไมวะ!
ผมย่นคิ้วยู่เลย ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่งที่เห็นหน้ามัน ก่อนที่คีธจะเป็นฝ่ายถามคำถามที่ผมอยากรู้
“มีอะไรเหรอเจเนซิส”
เจเนซิสละสายตาจากผมไปมองหน้าคีธ ก่อนถือวิสาสะแทรกตัวเข้ามาในห้องพร้อมปิดประตูเสร็จสรรพ
ผมเกือบจะด่ามันว่าไม่มีมารยาทอยู่แล้วถ้ามันพูดขึ้นมาก่อน
“มีเรื่องให้เราลำบากแล้วล่ะคีทาเย”
“อะไร” คีธถาม ผมเองก็พานอยากรู้ไปด้วย
เจเนซิสเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะว่าเสียงเครียดพร้อมกับสีหน้าเครียดไม่ต่างกัน
“พวกเซนไทน์แห่กันมาที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินแล้ว”
“ฉันรู้แล้วว่าพวกมันจะต้องแห่กันมา วันนี้พวกมันก็ตามจับตัวกวินทร์อยู่ พวกนั้นคงกำลังตามหาตัวพวกเราสักคนแล้วจับไปเค้นถามหาที่อยู่ขององค์ชาย” หัวคิ้วของคีธย่นยู่เล็กน้อยขณะพูด
“ใช่” เจเนซิสคราง ก่อนสีหน้าจะดูแย่ลงกว่าเดิม “แต่พวกมันไม่ได้มาแค่พวกลูกกระจ๊อก หมอนั่นก็มา”
คำว่า ‘หมอนั่น’ ทำเอาสีหน้าคีธดูไม่ดีไปด้วยอีกคนทันใด ส่วนผมก็หูผึ่งเลยด้วยอยากรู้ว่าหมอนั่นอะไรนี่เป็นใคร
“หรือว่า...
เจเนซิสพยักหน้า พลันว่าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเครียดอีกครั้ง
“องค์ชายแห่งเซนไทน์ตัวจริงเสียงจริง บุกมาที่นี่เองเลย เตรียมรับมือไว้ให้ดี”
--------------------------
บักคีธเป็นผู้ชายอบอุ่น แอร๊ยยยย >///< เดินตามหลัง ร้องเพลงง้อเมียต้อยๆ น่ารักน่าชังจริงๆ แต่เกือบเป็นเมียซีเลนนี่ก็ไม่ไหวนะ 5555
ตัวละครใหม่ใกล้โผล่มาอีกแล้วค่ะ ตัวตนที่แท้จริงของซีเลนก็ยังคงเป็นปริศนาเหมือนเดิม ฮาา ไม่รู้ว่านางจะเป็นตัวร้าย พระรอง หรืออะไรกันแน่ ปริศนามากๆ กำลังจะค่อยๆ เฉลยนะคะ แม่ยกใจร่มๆ เน้อ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เนื้อคู่ของซีเลนมาถึงแล้วววววววววววววววววววววววววววว

ป.ล. ลงยาว สะใจมาาากกก

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เนื้อคู่ของซีเลนมาถึงแล้วววววววววววววววววววววววววววว

ป.ล. ลงยาว สะใจมาาากกก

 :katai2-1: :z1:

น่าคิดนะเนี่ย

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
โห คีธ....มุขนี้คิดได้ไง ยอมพลีกายแทน  :jul3:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 29: Zylenata[1]
คีธยืนนิ่ง ไม่ถามสักแอะว่าเจเนซิสรู้ได้ไงว่าเจ้าชายแห่งเซนไทน์อะไรนี่บุกมาตามว่าที่เมียอย่างแอสตันด้วยตัวเอง เจเนซิสก็ไม่อธิบาย แต่ให้ผมเดานะ ผมว่าพวกมันคงจะมีสายคอยรายงานข่าวให้นี่แหละ ก็แหม... มนุษย์ต่างดาวอยู่บนโลกเยอะจะตาย แถมส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่หนีตายจากการไล่ล่าของเซนไทน์มาด้วย จะมาเป็นพันธมิตรกับชาติพันธุ์สูงศักดิ์อย่างยูนิกม่าก็ไม่แปลก แต่ประเด็นก็คือ... ไอ้เจ้าชายมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์หื่นโคตรบุกมาที่นี่แล้วยังไงต่อล่ะ? สู้เหรอ? หรือจะก่อสงครามกันโดยใช้โลกเป็นพื้นที่? แบบนี้ไม่เอานะเว้ย!
ไม่ทันจะได้ถาม คำถามของผมก็ได้รับการแถลงไขเมื่อคีธที่เงียบไปอึดใจหนึ่งทำลายความเงียบขึ้น
“จะไปเมื่อไหร่”
“เมื่อยานได้รับการพัฒนาเสร็จ ตอนนี้ฉันประสานงานกับพวกของเราที่ทำงานอยู่ในองค์การการบินและอวกาศฯ ของที่นี่แล้วว่าให้ลักลอบพัฒนาวิวัฒนาการยานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คิดว่าอย่างเร็วก็ไม่เกินสองอาทิตย์ งานนี้ฉันคุมเอง ระหว่างนี้พวกเราคงต้องหลบซ่อนตัวให้ดีก่อน”
ผมรู้ในตอนนี้นี่เองว่าเจเนซิสทำมาหากินอะไรอยู่ในโลกมนุษย์ ดูท่าทางมันน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในองค์การนาซาแหง ก็มันเป็นปราชญ์ที่ได้รับชื่อว่าฉลาดที่สุดในยูนิกม่านี่นา แถมตอนที่เจอคีธใหม่ๆ คีธก็เคยบอกแล้วด้วยว่าพวกมันมาพึ่งพามนุษย์โลก แลกกับการให้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ จะแทรกซึมตามองค์กรระดับโลกแบบนี้ก็ไม่แปลก
แต่! ไอ้ที่ถามเจเนซิสว่าจะไปเมื่อไหร่นี่มันหมายความว่าอะไรวะ!?
ผมมองไปยังคีธอย่างขอคำตอบทันที คีธเองก็หันมามองหน้าผมก่อนจะเดินมานั่งบนเตียงแล้วเปิดปากอธิบาย
“ถ้าพวกเซนไทน์มา เราก็จำเป็นต้องหนี”
“หนีทำไมวะ ก็สู้สิ”
“สู้ก็สู้ได้แต่คงจะไม่ไหว พวกเราเหลือกันอยู่ไม่มาก พวกเซนไทน์แห่กันมาอย่างนี้คงจะไม่ออมมือแน่ แล้วถ้าต้องสู้กันจริงๆ มันจะเดือดร้อนชาวเคราะห์สีน้ำเงินอย่างกวินทร์เอา”
ผมก็พอจินตนาการออกอยู่ว่าถ้าเกิดพวกมันใช้โลกเป็นสมรภูมิรบแย่งไอ้แอสตันกันมันจะพินาศขนาดไหน ที่สำคัญ ถ้าต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ คีธก็มีโอกาสจะถูกฆ่าเพื่อแย่งชิงแอสตันได้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้คีธไปนี่หว่า
“งั้นฉันจะไปด้วย” เพราะไม่อยากให้คีธไปจากผมนี่แหละ ผมเลยพูดออกมาไม่ทันคิด
คีธเลิกคิ้วสูงทันที ก่อนที่เจเนซิสจะแทรกขึ้น
“ไอ้ไปด้วยน่ะก็ไปได้ แต่ไม่รับประกันความปลอดภัยของนายนะ”
ผมตวัดหางตาไปมองมัน ก็เข้าใจอยู่ว่ามันคงจะหมายถึงเรื่องร่างกายของผมที่ไม่สามารถปรับตัวได้เหมือนพวกมัน ออกไปนอกโลกมีหวังได้ซี้แหงแก๋ ไอ้เรื่องที่จะไปด้วยนี่มันเป็นไปไม่ได้ชัดๆ
แต่ผมก็คิดผิดเมื่อเจเนซิสว่าลอยๆ ขึ้นมาอีก
“ยาปรับสมดุลร่างกายก็เพิ่งจะผลิตเสร็จพอดี กินเข้าไปสักเม็ด ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็น่าจะอยู่ในอวกาศได้สักหนึ่งเดือน”
ผมเบิกตาโตทันควัน มองเจเนซิสอย่างไม่เชื่อสายตาขณะที่หมอนั่นเหลือบมามองผมน้อยๆ
“งั้นก็มัวรออะไรอยู่ เอามาให้ฉัน ฉันจะได้หนีไปกับคีธ” ผมพูดออกมาโดยไม่อายปากเลยว่าจะหนีตามมันไป
“ก็บอกแล้วว่าจะไปก็ไปได้ แต่ไม่รับรองความปลอดภัย ไอ้ความปลอดภัยที่ว่าน่ะไม่ใช่เรื่องร่างกายนายอยู่ในอวกาศไม่ได้ แต่เป็นเรื่องนายจะมีชีวิตรอดจากการถูกเซนไทน์ตามล่าหรือเปล่านี่น่ะสิ คิดไม่ออกเลยนะว่าถ้านายถูกจับตัวไประหว่างที่หลบหนีอยู่ในอวกาศ คีทาเยจะลำบากแค่ไหน ไหนจะต้องปกป้ององค์ชาย ไหนจะแม่พันธุ์ สงสัยชีวิตจะลำบากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว” เจเนซิสหัวเราะในลำคอ
ผมเข้าใจได้ในตอนนี้เองว่าที่มันพูดไว้ก่อนหน้าหมายถึงอะไร ก่อนชะงักไปด้วยตระหนักได้ว่าที่เจเนซิสพูดก็ถูก ถ้าผมไปด้วยก็เหมือนจะเป็นตัวถ่วงเปล่าๆ แต่มันช่วยไม่ได้นี่หว่า ผมไม่อยากให้คีธไป บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมโคตรจะชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองเลย
ไอ้ความรู้สึกจะเป็นจะตายที่ไม่ได้อยู่ใกล้คนรักนี่ แค่คิดมันก็ทรมานแล้ว!
“กวินทร์” คีธคว้ามือผมมาบีบแน่นเมื่อเห็นว่าผมนิ่งไป ผมปรายตามองหน้ามันเล็กน้อยก่อนมันจะว่าขึ้น
“เดี๋ยวฉันก็กลับมา”
“เดี๋ยวกลับมานี่เมื่อไหร่” ผมถามเสียงเครียด
คีธส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนว่า “ไม่รู้ แต่ฉันจะกลับมา”
ถ้ากลับมาตอนกูแก่หง่อมไปแล้ว กูจะโกรธมึงมากไอ้คีธ! กูรู้หรอกว่ามึงคงไม่ไปแค่วันสองวันแน่!
แต่เอาเถอะ คิดแล้วก็ปวดหัว ผมไม่อยากจะสร้างความเครียดให้ตัวเองเท่าไหร่นักเลยโบกมือปัดๆ ไปแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน ซึ่งหัวข้อใหม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของแอสตันนี่แหละ
“แล้วทำไมพวกนายไม่ยกแอสตันให้ทางนั้นไปเลยวะจะได้จบๆ ดองกันไปเลย จะได้ไม่ถูกล่าอีก”
สองคนนั้นเงียบไป มองหน้าผมที่พูดประโยคเมื่อครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วเจเนซิสก็เป็นคนอธิบาย
“ยกให้ไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกล่าหรอกนะ ทางเราเคยยกเจ้าหญิงให้กับกษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของพวกมันเพื่อสงบศึกตามข้อเสนอของมันแล้ว แต่ไม่ได้ผล”
“เจ้าหญิงเหรอ?” ผมเลิกคิ้วสูงขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินสรรพนามนั้น เจเนซิสพยักหน้าก่อนอธิบายต่อ
“อืม เจ้าหญิงซีเลนาตา รามูเอลี”
          ซีเลนาตา... ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ
          ผมนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนที่เจเนซิสจะดึงความสนใจของผมไปอีกครั้ง
“เสด็จป้าขององค์ชายน่ะ พี่สาวแท้ๆ ของพระบิดาองค์ชาย”
ผมร้องอ๋อขึ้นมา สลัดความสงสัยเรื่องชื่อคุ้นหูไปหมดสิ้น เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน
“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ยกป้าของแอสตันให้ทางนั้นแล้ว ทำไมพวกมันยังตามมารุกรานอีก”
“ก็กษัตริย์แห่งเซนไทน์รัชกาลก่อนใช้ข้ออ้างในการดองเป็นพระญาติกันมาบีบบังคับชาวยูนิกม่าให้ไปเป็นแหล่งพลังงานน่ะ พอพระบิดาของเจ้าหญิงซีเลนาตาซึ่งเป็นกษัตริย์ในรัชสมัยนั้นไม่ทรงยินยอม ทางนั้นก็สังหารองค์หญิง กษัตริย์เราเลยยกพลไปรบแต่ก็สิ้นพระชนม์ในระหว่างการปะทะกัน จากนั้นพระบิดาขององค์ชายซึ่งทรงพระเยาว์อยู่ในขณะนั้นก็ขึ้นมาเป็นรัชกาลใหม่แทน แต่เป็นกษัตริย์ใต้อำนาจการปกครองของเซนไทน์ เรียกง่ายๆ ก็คือเป็นกษัตริย์ของดาวที่เป็นเมืองขึ้นน่ะ พอองค์ชายแอสโซซิโนประสูติ กษัตริย์รัชกาลปัจจุบันของพวกมันก็ต้องการให้ดองกับเจ้าชายของมันอีก แต่พระบิดาขององค์ชายทรงไม่ยินยอม แล้วพวกเราก็เริ่มอพยพหนีการรุกรานของเซนไทน์มาตั้งแต่ตอนนั้น”
โอเค... ถึงเรื่องราวมันจะซับซ้อนแต่ผมก็พอจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ ลามมาถึงรุ่นพ่อแล้วก็มาลงที่รุ่นลูกอย่างแอสตัน ตอนนี้ผมเข้าใจละว่าทำไมต้องหนี ที่แท้พวกมันก็ไม่ต้องการให้คนสำคัญของพวกมันกลายเป็นเครื่องมือให้พวกเซนไทน์ใช้ต่อรองนี่เอง
“ถือว่าดีนะเนี่ยที่แอสตันมันหนีรอดจากการถูกไล่ล่ามาตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่ามีผู้พิทักษ์ดีได้มั้ยนะ เห็นนายบอกว่ารู้จักกับแอสตันมาตั้งแต่เด็ก ก็หมายความว่าเป็นผู้พิทักษ์ให้กับหมอนั่นมานานแล้วล่ะสิ” ผมแสร้งว่า เหลือบมองไปทางคีธด้วย
คีธพยักหน้า สีแววตาเจื่อนไปทันที เป็นแววตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
“ก็ไม่ได้ดีนักหรอก เคยมีพลาดอยู่ครั้งหนึ่งตอนองค์ชายมีพระชนมายุยี่สิบชันษา ฉันคลาดสายตาไปหน่อยเดียวก็ถูกองครักษ์ของเจ้าชายแห่งเซนไทน์จับไป เกือบจะช่วยมาไม่ได้เหมือนกัน”
ยี่สิบชันษานี่หมายถึงสิบขวบล่ะสินะ
“หมายความว่ายังไงที่ว่าถูกจับไปน่ะ” แต่ผมไม่สนใจ ย่นคิ้วถาม สังหรณ์ใจน้อยๆ ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ และค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าการที่แอสตันถูกจับไปต้องไม่ใช่การจับตัวไปเฉยๆ แน่ มันต้องมีเรื่องใต้สะดือมาเกี่ยวข้อง
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธพูดมา
“จับไปดูดพลังงานน่ะ พ่อฉันไปช่วยไว้ได้ ตอนกลับมานี่เรียกได้ว่าสภาพไม่น่าดูเลย เกือบจะเปลือย”
นั่นไง! คิดไว้ไม่มีผิด! ไอ้แอสตันมันเสียซิงตอนอายุสิบขวบสินะ!
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลยกวินทร์ องค์ชายยังบริสุทธิ์ แค่โดนจับแก้ผ้า” เจเนซิสรีบดักคอขึ้นมาเลยเมื่อเห็นผมทำตาโต พร้อมกับทำหน้าไม่สบอารมณ์ด้วย ผมก็เลยว่าเย้ามันเล่น
“แล้วนายเห็นหรือไงว่ามันยังไม่เสียเวอร์จิ้นด่านหลัง อยู่ในเหตุการณ์หรือไง เผลอๆ ตอนนั้นนายยังไม่ได้เข้ามาทำงานกับแอสตันเลยด้วยซ้ำมั้ง” ประโยคหลังนี่ผมคาดเดาน่ะ
“เจเนซิสเข้ามารับใช้องค์ชายตอนฝ่าบาทมีอายุสามสิบชันษา” แล้วคีธก็ตอบออกมาแบบไม่รู้ว่าผมไม่ได้อยากรู้ “แล้วองค์ชายก็ยังบริสุทธิ์ เห็นผู้ใหญ่ว่ากันว่าองค์ชายรับสั่งมาอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นยังไง ไม่มีใครรู้หรอก”
เจเนซิสค้อนประหลับประเหลือกให้คีธทันใดที่มันพร่ำบอกผมหมดเปลือกชนิดที่ผมไม่ได้เอ่ยปากถามสักแอะ
ส่วนผมน่ะเหรอ... ยิ้มเยาะใส่มันแม่ง  หึ! มึงเพิ่งจะเข้ามาทำงานตอนแอสตันอายุสิบห้าแท้ๆ ทำมาเป็นรู้ดี คีธมันทำงานกับแอสตันมาตั้งแต่เด็ก มันเองยังไม่แน่ใจเลย มึงทำมาเป็นแน่ใจ แหม... ไอ้เมียเก่า!
“จะอะไรก็ช่าง หน้าที่ของนายคือปกป้ององค์ชายนะคีทาเย ไม่ใช่มาเล่าเรื่องส่วนพระองค์ขององค์ชายให้คนไม่เกี่ยวข้องฟังอย่างนี้” พอสู้ผมไม่ได้ มันก็ไปวีนใส่คีธแทน คีธก็พยักหน้ารับไปตามเรื่อง ก่อนที่เจเนซิสจะพูดขึ้นอีก
“แต่งตัวแล้วไปเข้าเฝ้าองค์ชายกัน เรื่องนี้จะมัวรอช้าไม่ได้”
 
ผมใช้เวลาไม่นานก็แต่งตัวเสร็จแล้วก็ตามมนุษย์ต่างดาวสองตัวนี้มาหยุดที่หน้าห้องของริชาร์ด จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเสนอหน้ามาหรอกเพราะเจ้าพวกนี้จะมาคุยกับแอสตันเรื่องการอพยพ แต่ด้วยความที่มันเป็นห้องของริชาร์ดไง จะให้พวกมันไปเคาะเรียกก็เกรงใจเจ้าของห้อง อีกทั้งยังเสียมารยาทกับเจ้าชายของพวกมัน พวกมันก็เลยเอาผมมาเป็นกันชน
ผมเดินมาหยุดหน้าประตูห้อง ยกมือขึ้นยังไม่ทันได้เคาะ ประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือของแอสตันก่อนแล้ว เจเนซิสกับคีธรีบคำนับทักทายแอสตันทันใด ขณะที่แอสตันยิ้มเจื่อนๆ ให้สองคนนั้นพลางว่า
“เรื่องที่พวกนายคุยกัน เราได้ยินหมดแล้ว”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะอะไร คงจะใช้ความสามารถพิเศษเรื่องประสารทสัมผัสดีอะไรนี่อีกล่ะสิ
“เข้ามาก่อนสิ”
พอไม่เห็นว่ามีใครพูดอะไรออกมา แอสตันก็เปิดประตูให้กว้างขึ้นก่อนเดินไปทรุดตัวนั่งข้างเตียงที่มีริชาร์ดนอนซมอยู่ เจเนซิสกับคีธเดินมาหยุดตรงปลายเตียง ส่วนผมก็เดินตามมายืนอยู่ข้างๆ คีธ กระทั่งแอสตันเป็นฝ่ายถามขึ้น
“แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“คาดการณ์ว่าอีกสองอาทิตย์พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจเนซิสตอบ
แอสตันพยักหน้ารับ ใบหน้าน่ารักดูหนักใจขึ้นมากะทันหัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหนักใจเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องของริชาร์ด เห็นมันตอบรับเจเนซิสแล้วยกมือไปลูบผมริชาร์ดที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เบาๆ ผมก็อดสงสารมันขึ้นมาไม่ได้
อุตส่าห์หนีมามีเมียถึงโลกที่อยู่คนละกาแล็กซี่ ทั้งยังห่างจากดาวบ้านเกิดตัวเองตั้งสิบห้าพันล้านปีแสง ยังจะโดนว่าที่ผัวในอดีตมาตามตัวกลับไปอีก เป็นเจ้าชายที่ซวยจริงๆ เลยไอ้แอสตัน
“แล้วเราจะกลับมาอีกมั้ย” แอสตันถามคำถามที่ผมอยากรู้
“กลับมาแน่พ่ะย่ะค่ะ เราต้องกลับมา” คีธเป็นคนตอบ ผมหันไปมองหน้ามันที่มองผมอยู่เหมือนกันนิ่งๆ ความกังวลในตอนแรกที่กลัวว่าจะไม่ได้เจอคีธอีกหายไปเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาจริงจังคู่นั้น
ก็แน่ล่ะสิ ถ้ามึงไปแล้วไปลับ ไม่กลับมา กูจะแช่งให้มึงโดนพวกเซนไทน์จับทำเมียเหมือนไอ้แอสตันเลยคอยดู!
“ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่เมื่อไหร่ แต่ถึงยังไงก็คงต้องกลับ ก็ว่าที่พระชายาอยู่ที่นี่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เจเนซิสพูดเสริมอีก คราวนี้พอจะเรียกรอยยิ้มจากแอสตันได้บางๆ
เกือบลืมไปเลยว่าพวกมันผูกพันได้คนเดียว ผูกพันแล้วก็เหมือนเป็นเจ้ากรรมนายเวร ต้องตามติดสอยห้อยตามกันไปจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง แต่ก็ดี เวลาคีธหนีพวกเซนไทน์ไปที่อื่น ผมจะได้ไม่ต้องระแวงว่ามันจะไปจุดถ่านไฟเก่ากับเจเนซิสขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้ ที่สำคัญในตอนนี้คือผมควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกสองอาทิตย์กับคีธให้คุ้มค่าที่สุดก่อนหมอนี่จะหนีไปมากกว่า อาทิตย์หน้าผมก็ต้องกลับนิวยอร์กแล้ว ไว้คุยกับริชาร์ดให้มันอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยดีกว่า
หลังจากนั้นแอสตันก็คุยเรื่องแผนการหลบหนีกับเจเนซิสอีกโดยมีคีธยืนฟังอยู่เงียบๆ เสียงพูดคุยของพวกมันดูท่าจะรบกวนริชาร์ดที่นอนอยู่ให้ตื่นขึ้นมา หมอนั่นกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะขยับริมฝีปากแห้งผากเรียกชื่อผัวมันที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“แอสตัน...”
“ตื่นแล้วเหรอริชาร์ด” แอสตันละความสนใจจากเจเนซิสไปสนใจเมียตัวเองทันที
ริชาร์ดไม่ตอบ กวาดตามองมาทางพวกผมแล้วก็ย่นหัวคิ้วหน่อยๆ อย่างสงสัย เจเนซิสรีบยกมือขึ้นไขว้หน้าอก โค้งคำนับให้ ริชาร์ดแค่พยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถาม
“นี่มีเรื่องอะไรกัน ทำไมมาอยู่กันที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตาเลยล่ะ" ว่าพลางพยายามดันตัวขึ้นนั่ง
แอสตันที่ทำหน้าเครียดอยู่เมื่อครู่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนถลาเข้าไปประคองริชาร์ดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ และเพราะมันไม่พูด ริชาร์ดเลยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอแอสตัน มีเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงดูเครียดๆ”
“คือ...” แอสตันอึกอัก
ผมพอจะเข้าใจแหละว่ามันพูดยากที่จะบอกริชาร์ดว่าว่าที่ผัวที่ถูกยัดเยียดให้โดยไม่สมยอมตั้งแต่วัยเด็กมาตามตัวถึงที่ ใจจริงผมก็อยากจะบอกริชาร์ดแทนมันนะ แต่มันไม่ใช่เรื่องของผมไง ผมเลยเงียบปากไว้ให้แอสตันมันพูดเอง
แต่มันก็ไม่พูดอยู่ดี จนริชาร์ดชักจะย่นคิ้วแล้วถามออกมาอีก
“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน คอขาดบาดตายมากนักเหรอถึงไม่กล้าบอกฉัน” เหมือนริชาร์ดจะจับพิรุธได้
แอสตันพยักหน้าน้อยๆ แล้วหันมาส่งสายตาให้ผมที่ยืนอยู่กับคีธและเจเนซิสด้วยอารมณ์ประมาณว่าให้ช่วยหน่อย คีธกับเจเนซิสได้ทีก็หันมามองผมเลย
แหม พวกมึงนี่ ได้ทีโยนขี้ให้กูเลยนะ
“มีอะไรกันแน่เควิน” แถมริชาร์ดมันยังยิงคำถามใส่ผมอีก
ผมถอนหายใจจนไหล่ยกออกมาเล็กน้อย พวกมันคงเห็นว่าผมเป็นเพื่อนสนิทริชาร์ดนี่แหละถึงได้ผลักภาระมาให้ เอาวะ ในเมื่อโบ้ยหน้าที่ให้กันถึงขนาดนี้ จะช่วยก็แล้วกัน
“ริชาร์ด ตั้งใจฟังให้ดีนะ” ผมโพล่งขึ้นก่อนเดินเข้ามาหยุดที่ปลายเตียง
ริชาร์ดพยักหน้า สายตาจ้องผมเขม็งอย่างรอคำตอบ
“ฉันจะพูดให้นายเข้าใจแค่ประโยคเดียวแล้วก็ครั้งเดียว โอเคมั้ย” ผมย้ำอีกครั้ง ริชาร์ดเลยย่นคิ้วยู่ก่อนกระชากเสียงใส่
“บอกมาซะทีเถอะ”
ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ
“ผัว-ของ-ผัว-นาย-มา-ตาม-ผัว-นาย-กลับ-ไป-ผสม-พันธุ์”
“ฮะ!?” ริชาร์ดทำหน้าช็อกไปเลย หันไปหาแอสตันด้วยสีหน้าตื่นๆ ด้วย “หมายความว่าไงเนี่ยแอสตัน!” แล้วมันก็หันไปทำหน้าสับสนโลกใส่แอสตัน
“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น เข้าใจผิดแล้ว”
แอสตันส่ายหน้าเป็นพัลวัน ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย ขณะที่เจเนซิสถลาเข้ามากระชากคอเสื้อผมแล้วแหวใส่เสียงดัง
“พูดบ้าอะไรของนายเนี่ยกวินทร์! ไอ้เจ้าชายนั่นไม่ใช่ผัวขององค์ชายเว้ย!”
เอ้า กูจะไปรู้เหรอ ก็เห็นพวกมึงบอกว่าตอนเด็กๆ แอสตันมันถูกลากไปกดซึ่งก็ไม่รู้ว่าแม่งพลาดท่าเสียทีไปหรือยังด้วย แถมโตมาแล้วยังจะมาถูกตามล่ากลับไปเป็นเมียอีก กูก็แค่พูดให้ริชาร์ดมันเข้าใจง่ายๆ เฉยๆ มึงจะโมโหทำไมวะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 29: Zylenata[2]
คีธรีบเข้ามาดึงเจเนซิสให้ปล่อยมืออกจากผม ก่อนจะแทรกตัวมายืนคั่นกลางพลางจัดคอเสื้อผมที่ถูกเจเนซิสดึงเมื่อครู่ให้เข้าที่ขณะที่หัวคิ้วมันย่นยู่ ส่วนเจเนซิสก็บ่นไม่หยุดปากกับคำพูดของผมเมื่อกี้
“พูดอย่างนั้นได้ไง พระเกียรติยศขององค์ชายได้เสื่อมเสียพอดี องค์ชายไม่ได้มีสัมพันธ์ใดๆ กับเจ้าชายนั่นสักหน่อย อย่ามาพูดเองเออเองสิวะ”
“นายไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แล้วนายรู้ได้ไงว่ามันไม่โดน มันอาจโดนเปิดบริสุทธิ์ไปแล้วก็ได้แต่ไม่ยอมบอก ใครจะไปรู้” ผมว่าลอยๆ ไปตามความจริง ทำให้เจเนซิสหันขวับมามองผมตาเขียวพลันแผดเสียงใส่
“กวินทร์!”
“อะไร”
“บอกว่าอย่าพูดให้พระเกียรติยศขององค์ชายเสื่อมเสีย!”
ผมยักไหล่ให้อย่างไม่ยี่หระ ส่วนริชาร์ดก็ทำหน้าเหมือนโลกแตกประหนึ่งถูกผัวนอกใจ แอสตันเห็นท่าไม่ดีเลยต้องยกมือห้ามทัพเป็นพัลวัน
“เอาน่าๆ ที่กวินทร์พูดก็ถูก ตอนนั้นไม่มีใครอยู่กับเรา จะไม่แน่ใจก็ไม่แปลก”
“เห็นมะ ฉันพูดผิดตรงไหน เจ้าตัวยังเห็นด้วยเลย” ผมได้ทีก็สำทับใหญ่ ก่อนที่เสียงแอสตันจะดังขึ้นมาอีก
“แต่เราไม่ได้ถูกเจ้าชายนั่นทำอะไร แค่เกือบเฉยๆ จริงๆ นะริชาร์ด เราไม่เคยผูกพันกับใครมาก่อน มีนายเป็นคนแรกจริงๆ” ประโยคหลังนี่หันไปแก้ตัวกับริชาร์ดที่ทำหน้าเมากัญชาไปแล้ว
“ไม่เข้าใจเลย นี่เรื่องบ้าอะไรเนี่ย” แล้วมันก็ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา พึมพำออกมาไม่ได้ศัพท์
เจเนซิสได้ทีเลยรีบอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว พอมันรู้ความจริงเหมือนกับที่ผมรู้ สีหน้าของมันก็ดีขึ้นทันตา ก่อนมันจะถอนหายใจออกมาเต็มแรง
“ตกใจหมด นึกว่านายจะเป็นทั้งรุกทั้งรับ”
ผมนี่อยากจะหัวเราะออกมาแรงๆ เลย แต่ก็รักษาหน้าเพื่อนไงเลยได้แต่อมยิ้มแล้วหันไปมองหน้าคีธที่กำลังจะละมือจากคอเสื้อผม คีธมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะว่าออกมาเป็นภาษาไทยเนิบๆ
“มีใครเคยบอกกวินทร์มั้ยว่ากวินทร์กวนตีน”
นี่มึงด่ากูเหรอไอ้คีธ!
รอยยิ้มบนหน้าผมหายวับไปกับตาเลย สะบัดตัวออกจากมันด้วย หน็อย! มึงเข้าข้างเมียเก่ามึงล่ะสินะ!
“แล้วเจ้าชายเซนไทน์นี่อายุเท่าไหร่เหรอ ฟังดูเหมือนจะอายุมากกว่าแอสตันเลย” งอนคีธได้ไม่เท่าไหร่ ริชาร์ดก็เรียกความสนใจของผมไป
“สี่สิบแปดเซนไทน์ เท่ากับยี่สิบสี่ปีมนุษย์โลกพ่ะย่ะค่ะ อายุของพวกเซนไทน์มากกว่ามนุษย์โลกสองเท่าเหมือนกับชาวยูนิกม่า” เจเนซิสตอบ
แหมไอ้ริชาร์ด ผัวของผัวมึงอายุมากกว่าซะด้วย สงสัยมึงต้องลำบากหน่อยนะ แย่งกันเลี้ยงต้อยขนาดนี้เนี่ย
ผมอยากจะล้อมันอยู่เหมือนกันนะ แต่จากที่โดนคีธด่าหน้าตายว่ากวนตีนแล้ว ผมก็เลยไม่พลั้งปากออกไป จะมีก็แต่เจเนซิสนี่แหละที่พูดไม่เลิก
“เอาเป็นว่าตอนนี้เพื่อความปลอดภัยขององค์ชายและว่าที่พระชายา ฝ่าบาททั้งสองพระองค์คงจะต้องยุติการเป็นโฮสต์ให้กันชั่วคราวก่อน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะตามกลิ่นมาได้ กลิ่นจากองค์ชายนี่หม่อมฉันไม่เป็นห่วงเท่าไหร่เพราะเก็บซ่อนได้ แต่กลิ่นขององค์ชายที่อยู่ในตัวของว่าที่พระชายานี่แหละที่หม่อมฉันเป็นห่วง”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง” ริชาร์ดถาม ดูท่าทางมันโคตรกระตือรือร้นที่จะปกป้องผัวมันเลย
ผมเข้าใจความรู้สึกมันเลยนะไอ้ความรู้สึกกลัวว่าผัวตัวเองจะไปเป็นเมียชาวบ้านเนี่ย ดูไอ้คีธเมื่อช่วงหัวค่ำเป็นตัวอย่าง ถ้าผมไม่ห้าม มันคงถวายตัวเป็นเมียไอ้ซีเลนไปแล้ว
“หม่อมฉันเตรียมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียง เจเนซิสก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง คว้าเอาตลับยาออกมาก่อนจะเปิดมันออกให้เห็นแคปซูลยาสีฟ้าใสด้านใน “ตลับนี้สำหรับองค์ชายกับคีทาเย กินยานี่เข้าไปแล้วจะอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์ประมาณสามเดือน”
ว่าจบก็ส่งตลับยานั้นให้แอสตันเม็ดหนึ่งแล้วค่อยเอามาให้คีธ ก่อนมันจะล้วงตลับยาอีกตลับขึ้นมาเปิด เผยให้เห็นเม็ดยาแคปซูลสีแดงใสอีกสองเม็ด
“ส่วนนี่เป็นยาระงับกลิ่นของชาวยูนิกม่าในตัวโฮสต์ ปกติแล้วถ้าไม่ได้เป็นโฮสต์กันแล้ว กลิ่นจะค่อยๆ เลือนหายไปเอง แต่ในกรณีที่ผูกพันกันไปแล้ว กลิ่นจะไม่หาย ต้องพึ่งพายา” พูดจบก็เดินเอายาไปให้ริชาร์ดและส่งให้ผม
ผมมองอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่าควรจะกินมันดีหรือเปล่า แต่ไอ้ริชาร์ดนี่สิ ไม่พูดพร่ำทำเพลง แค่เจเนซิสส่งให้ มันก็จับยายัดลงคอ กระดกน้ำตามอย่างง่ายดายโดยไม่สงสัยอะไรแม้แต่นิด
ออร่าหวงผัวมึงแรงมากไอ้เจ๊ก มีผัวเด็กก็ต้องหวงเป็นธรรมดาล่ะสินะ
“กวินทร์ก็กินสิ”
ผมได้สติอีกครั้งเมื่อคีธพูดขึ้น ผมชักสีหน้าใส่มันเล็กน้อย งอนอยู่นิดหน่อยที่มันด่าผมว่ากวนตีนแต่ก็ยอมยัดยาเข้าปากแต่โดยดี แล้วเดินไปเอาขวดน้ำดื่มที่ริชาร์ดซื้อมาทิ้งไว้ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นมากระดกดื่มอั้กๆ ขณะที่คีธกับแอสตันเองก็กินยานั่นเข้าไปเหมือนกัน
“แล้วก็จากนี้เราคงจะต้องพึ่งพาพวกไบโทปอีกครั้ง”
“อะไรนะ!” ไม่ใช่แค่ผมที่ร้องถาม ริชาร์ดเองก็ด้วย
อะไรของมันวะ อุตส่าห์สลัดพวกเปรตวัดสุทัศน์นั่นไปได้แล้วแท้ๆ ยังจะหนีพวกมันไม่พ้นอีกหรือไง!
“แค่ไปพึ่งพาขออาศัยอยู่ด้วยเท่านั้นน่ะ ไม่ได้ให้พึ่งพาเป็นโฮสต์ พวกนั้นมีความสามารถในการซ่อนตัวเลยว่าจะให้องค์ชายไปซ่อนตัวกับพวกนั้น” เจเนซิสเหมือนจะรู้ว่าผมกับริชาร์ดคิดอะไรเลยรีบพูดขึ้นมา
ผมถอนหายใจ กลอกตาอย่างเบื่อหน่ายขณะที่ริชาร์ดทำหน้าเบื่อโลก แต่มันทำใจได้เร็วกว่าผม เออออไปตามเรื่อง
“ช่วยไม่ได้ งั้นแอสตันก็ไปอยู่กับพวกนั้นก่อนแล้วกัน ไว้ฉันช่วยงานที่กองถ่ายเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปอยู่ด้วย” แล้วมันก็พูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยไม่รอให้ผมถามมันเลยว่าหลังจากช่วยงานด็อกเตอร์มาร์ตินเสร็จแล้วจะอยู่ที่นี่ต่อมั้ย
แอสตันยิ้มกว้างให้ริชาร์ดก่อนจะคว้ามือมาจูบ
“เราจะรอนะ”
คลื่นไส้ฉิบ ทำไมมันหวานจังวะ
มองแล้วก็เหลือบไปมองหน้าคีธ คีธยังคงทำหน้านิ่งอย่างเคย และมันคงจะรู้แหละว่าผมรอให้มันพูดและทำเหมือนแอสตัน แต่เปล่าเลย มันไม่ทำ เอาแต่มองหน้าผมจนผมเป็นฝ่ายละสายตาไปจากมันเอง
มึงจะหวานกับกูหน่อยก็ไม่ได้! กูก็อยากให้มึงปลอบใจกูเหมือนกันนะ!
“หมดธุระแล้ว หม่อมฉันคงต้องกราบบังคมลาก่อนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท มีธุระให้ต้องสะสางค้างอยู่” เจเนซิสตัดบทเอาดื้อๆ
แอสตันพยักหน้ารับทันใด
“ไปเถอะเจเนซิส ขอบใจมากที่มาส่งข่าว”
“พรุ่งนี้เช้า หม่อมฉันจะส่งคนมารับ” เจเนซิสทิ้งท้ายก่อนจะค้อมตัวคำนับแล้วออกจากห้องไป
หมดเรื่องแล้ว ผมเองก็จะกลับห้องเหมือนกันด้วยเหนื่อยล้าเต็มทนกับเรื่องที่ผจญมาทั้งวัน ประกอบกับหงุดหงิดไอ้บ้าคีธที่ด่าผมแล้วยังทำเฉย ไม่แยแสด้วย
ทว่าพอผมเดินพ้นจากห้องริชาร์ดได้ไม่เท่าไหร่ คีธก็ตามออกมาติดๆ ก่อนมันจะเป็นฝ่ายลากผมเข้าไปในห้องตัวเองแทน
“อะไรเนี่ย” ผมถามมันเสียงขุ่น สะบัดตัวหนีด้วย กะว่าจะเล่นตัวให้มันง้อซะหน่อย แต่ก็โดนมันดึงเข้าไปกอดแน่นทันทีที่ปิดประตู
“กวินทร์ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะกลับมา”
ผมนิ่งไปเลยที่จู่ๆ มันก็เกิดมาสวีทหวานกับผมโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ในเมื่อตอนแรกตั้งใจว่าจะงอนมัน ผมก็เลยไม่ยอมให้มันกอดง่ายๆ ทำเป็นสะบัดสะบิ้งหน่อยๆ ให้มันได้ง้อ
“ไม่ต้องกลับมาก็ได้ ฉันจะได้มีคนใหม่” จะบอกว่ามีผัวใหม่ก็เกรงใจ ตอนนี้ผมก็ยังลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะชอบผู้ชายหรือผู้หญิงดีถ้าคีธไม่กลับมา
หากแต่คีธก็ทำให้ผมต้องปิดปากเงียบเมื่อมันกระชับกอดผมแน่น
“ต้องกลับมาสิ หัวใจฉันอยู่ที่นี่” สิ้นเสียงก็ผละออกจากผมเล็กน้อย ยกมือขึ้นมาวางบนหน้าอกข้างซ้ายของผมแล้วว่ายิ้มๆ “อยู่ที่กวินทร์”
กะ...กูเขินแรงมาก!
อายม้วนไปเลย อายม้วนคืออะไร ดูท่าทางผมในตอนนี้ได้ ผมหน้าร้อนฉ่า หลบสายตามันรัวๆ ทำท่าผลักมันออกด้วย
“พะ...พูดบ้าอะไรของนาย”
“ไม่ได้พูดบ้าอะไร พูดว่าหัวใจของฉันอยู่ที่กวินทร์”
กูรู้แล้ว! กูแค่เขินเลยพูดไปอย่างนั้น แล้วมึงจะมาพูดซ้ำให้กูเขินมากกว่าเดิมทำไมเนี่ย!
คีธดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง คราวนี้ไม่กอดเฉยๆ แต่ประทับจูบเบาๆ บนหน้าผากผมด้วย
“รอนะ ฉันจะกลับมา จัดการเรื่องขององค์ชายเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาหากวินทร์แน่ ไม่นานหรอก”
“อืม”
“จากนั้นเราก็จะมีลูกกัน”
“อืม... เฮ้ย เดี๋ยวนะ!” ผมร้องเสียงดังเลย
“ตกใจอะไรกวินทร์ แค่บอกว่าเราจะมีลูกกัน” คีธไม่สะทกสะท้าน ยกยิ้มขึ้นมาด้วย
กูควรตกใจสิ จู่ๆ มึงก็มาชวนกูมีลูกเนี่ย!
“มีกี่คนดี สักสองคนดีมั้ย” แถมมันยังวางแผนคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยอีก
ผมอ้าปากจะห้ามไม่ให้มันคิดไปไกลเพราะผมยังไม่ได้ตกลงอะไรกับมันเลย แต่ก็ไม่ทันมัน มันพล่ามไปเรื่อยแล้วเรียบร้อย
“ลูกคนแรก ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็จะให้ชื่อคีตา แปลงมาจากชื่อฉันผสมกับภาษาไทย ส่วนคนที่สองจะให้ชื่อคินน์ เป็นชื่อของกวินทร์แบบสั้นๆ ในภาษาอังกฤษ”
มึงอย่ามาตั้งชื่อลูกเอาตามใจชอบสิวะ!
“กวินทร์ชอบมั้ย” ตบท้ายด้วยการถามผมหน้าระรื่น
“หยุดเพ้อเจ้อเลย ฉันจะนอนแล้ว” ผมยุติการพูดคุยเอาดื้อๆ ผลักมันออกห่างแล้วเดินหน้าร้อนมาที่เตียงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ไม่ใช่แค่หน้าแล้วล่ะที่ร้อน ร้อนไปทั้งตัวเลยเถอะ แถมไอ้คีธก็ไม่ปล่อยให้ผมได้นอนอย่างที่ตั้งใจไว้ด้วย แค่เห็นผมเดินหนี มันก็เดินตามมาติดๆ มิหนำซ้ำยังจับผมที่เพิ่งจะเดินมาถึงขอบเตียงกดลงบนฟูกอย่างไม่ทันตั้งตัวอีก ผมอ้าปากเตรียมจะถามมันว่าทำบ้าอะไร แต่มันก็พูดขึ้นมาก่อน
“มาทำลูกกันเถอะ”
มึงอย่ามาเนียนรวบหัวรวบหางกูนะเว้ย! อสุจิมันไม่ปฏิสนธิกับด่านหลัง! ที่สำคัญ เวลาพวกมึงมีลูกกัน พวกมึงผสมไข่กับน้ำเชื้อในร่างกายตัวเองแล้วค่อยเอามาป้อนอีกฝ่ายไม่ใช่หรือไง อย่าคิดว่ากูลืมสิวะ!
“คีธ...” ผมเรียกชื่อมันเสียงต่ำที่มันทำหน้าด้าน คีธไม่สนใจ ยิ้มเผล่แล้วฉกจูบผมเร็วๆ
“ก็แค่เลียนแบบมนุษย์โลกน่า จริงๆ อยากผูกพันกับกวินทร์ กวินทร์น่ารัก” สุดท้ายมันก็สารภาพออกมาตามตรง
จะด่ามันก็ไม่มีอารมณ์ด่าละเพราะพอมันพูดจบ มันก็จัดการทึ้งเสื้อผ้าผมทันใด ไอ้คำพูดมากมายที่อยู่ในหัวมลายหายไปทันทีเมื่อสัมผัสเร่าร้อนจากมันลูบไล้ไปทั่วร่างกาย
ชะ...ช่วยไม่ได้ ถือว่าเป็นการส่งท้ายก่อนที่มันจะไปอยู่กับพวกไอ้เปรตวัดสุทัศน์ก็แล้วกัน
 
เจเนซิสกับพลพรรคกว่าสิบคนมารับคีธกับแอสตันถึงอพาร์ตเม้นต์ผมแต่เช้า ที่แห่กันมาเยอะก็เพราะกลัวว่าระหว่างทางจะถูกพวกเซนไทน์โจมตี ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ปล่อยให้พวกมันทำหน้าที่กันไป มีร่ำลาคีธนิดหน่อยก่อนจะออกไปทำงาน ส่วนริชาร์ดก็ยังลางานเหมือนเดิมเพราะอาการป่วยของมันยังไม่ดีขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่นัก
พอมาถึงที่สตูดิโอ ด็อกเตอร์มาร์ตินก็ถามนิดหน่อยว่าริชาร์ดไปไหน ผมตอบไปตามความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ไม่มีแม้แต่จะถามด้วยว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น คนอื่นๆ ก็เช่นกัน แค่มองๆ ผมด้วยสายตาแปลกๆ เท่านั้น ผมเลยถือโอกาสบอกกับด็อกเตอร์มาร์ตินและผู้กำกับวิลล์ว่าคีธกับแอสตันขอลาออก อ้างเหตุผลไปว่าเป็นเพราะคีธทะเลาะกับซีเลนเมื่อคืน ทว่าเหมือนพวกเขาจะรู้อยู่แล้วเลยไม่ได้ว่าอะไร แถมยังจัดการหาสตั๊นแมนใหม่มาแทนสองคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยอีก
การทำงานก็เหมือนเดิมทุกวัน ผมก็ยังเจอกับซีเลนทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่ตอนเลิกงานที่มันเดินตามผมไม่เลิกตั้งแต่ผมเดินออกจากสตูดิโอมา มุ่งหน้าจะไปย่านไชน่าทาวน์เพราะจู่ๆ ไอ้บ้าริชาร์ดก็นึกอยากกินบะหมี่ผัดขึ้นมาแล้วโทรมาบอกผมให้ไปซื้อให้เมื่อช่วงเย็น กำชับมาอีกว่ามันยังไม่ได้กินอะไรทั้งวัน บอกให้มันกินเบอร์เกอร์ก็ไม่เอา อ้างว่าเอียนอาหารฝรั่ง ผมก็กลัวว่ามันจะตายก่อนเลยปฏิเสธมันไม่ลง สุดท้ายผมก็เลยเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินโดยมีซีเลนติดสอยห้อยตามมาด้วยดุจเหาฉลาม
ไอ้นี่ก็อีกคน หน้าด้านเหลือเกิน ไล่ก็ไม่ไป ไม่รู้มนุษย์ต่างดาวนี่หน้าด้านกันทุกตัวหรือเปล่า!
ร้ายกว่านั้นคือมันพูดประโยคเดิมไม่หยุดตั้งแต่ออกจากสตูดิโอ จนหัวคิ้วผมย่นยู่แทบจะผูกกันเป็นโบว์อยู่รอมร่อแล้ว
“ซื้อบะหมี่เสร็จแล้วไปที่ห้องฉันกันมั้ยกวินทร์”
“มึงเลิกชวนกูไปเอากับมึงซะทีเถอะไอ้ซีเลน กูเป็นของคีธ มึงไม่เข้าใจหรือไง”
ผมหมดความอดทน หันไปแผดเสียงใส่มันเป็นภาษาไทย ที่ใช้ภาษาบ้านเกิดก็ไม่มีอะไร กลัวคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยินแล้วจะทำท่าทางเหยียดเกย์อะไรประมาณนี้น่ะ ประเทศเสรีนี่ก็ไม่ได้เสรีจริงอย่างที่โฆษณาไว้สักเท่าไหร่หรอก พวกเหยียดเชื้อชาติ เหยียดสีผิว เหยียดเพศยังมีอยู่อีกเยอะ
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าที่ไอ้ซีเลนพูดในลำดับต่อไป
“เอ้า ก็ไม่รู้ ไม่เห็นได้กลิ่นหมอนั่นจากตัวนาย เลยนึกว่าเลิกเป็นของกันและกันไปแล้ว”
ผมฉุกคิดได้ตอนนี้นี่เอง สงสัยจะเป็นฤทธิ์ของยาที่เจเนซิสให้ผมกินเมื่อวานล่ะมั้ง ได้ผลเร็วจังแฮะ
“ยังไม่ได้เลิกกันเว้ย” ผมแผดเสียงใส่มันอีกครั้งแล้วก้าวหนีอย่างไว มุ่งตรงไปยังร้านขายอาหารจีนร้านหนึ่ง สั่งอาหารรนๆ แล้วยืนรอ
ระหว่างที่ยืนรอ ไอ้ซีเลนก็เข้ามากระแซะผมไม่เลิก เดี๋ยวจับเดี๋ยวคลำจนผมรำคาญ หันไปแผดเสียงใส่มันจนคอแทบแตก แต่มันก็ไม่หยุด ตามมาด้วยชวนผมไปนอนด้วยอีก
“เสร็จจากนี่แล้วไปกับฉันนะ ถ้าไม่อยากไปห้องฉันก็ไปที่โรงแรมแถวๆ นี้ก็ได้ ตอนเดินผ่านมาเมื่อกี้ฉันเห็นว่ามีโรงแรมห้าดาวอยู่ ห้องสวีทเลยเป็นไง”
“ไม่เอา! ดูปากกูนะไอ้เวรซีเลน... กู-ไม่-ไป-นอน-กับ-มึง! เคลียร์นะ!”
ผมยังคงโวยวายเป็นภาษาไทย มือก็ล้วงหยิบเงินจ่ายให้กับอาเจ้ที่ส่งกล่องบะหมี่ผัดให้ผมด้วย ทว่าซีเลนก็แย่งจ่ายเสียก่อน แย่งกล่องบะหมี่ไปถือด้วย มือข้างที่ว่างก็คว้าข้อมือผมหมับแล้วออกเดินไปหน้าตาเฉย
“โรงแรมอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่กี่ช่วงตึกเอง เดินนิดหน่อยเดี๋ยวก็ถึง”
กูบอกอยู่แหม็บๆ ว่ากูไม่ไปนอนกับมึง! มึงฟังกูอยู่มั้ยเนี่ย!
“ปล่อยนะเว้ย!”
ผมขัดขืนสุดกำลัง แต่จะไปสู้แรงอะไรไอ้มนุษย์ต่างดาวหื่นกามอย่างมันได้ รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนอยู่หน้าโรงแรมห้าดาวอะไรที่มันว่าแล้ว โรงแรมนี่เป็นโรงแรมกึ่งภัตตาคารอาหารจีน ดูจากการตกแต่งหรูหราตั้งแต่ภายนอกยันภายในก็รู้แล้วว่าคงจะแพงหูฉี่ และคนกระเป๋าแห้งกรอบอย่างผมก็ไม่มีปัญญามาพักหรอก ทว่าต่อให้มีโอกาสได้เข้าพัก ผมก็ไม่เอา โดยเฉพาะการเข้าพักกับไอ้หน้าหนวดที่พยายามดึงผมเข้าไปข้างในเนี่ย!
“บอกให้ปล่อย ไม่ได้ยินหรือไงวะ!” ผมแผดเสียงลั่น ไม่อายสายตาพนักงานโรงแรมที่มองอยู่เลยสักนิด มือข้างที่ไม่ถูกดึงก็เกาะเสาป้ายโรงแรมที่อยู่ข้างหน้าโรงแรมแน่นขณะที่ซีเลนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาดึงผมเข้าไปข้างในนั้น
“แป๊บเดียวน่า แป๊บเดียว ไม่กี่ชั่วโมง”
ไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่ไปเว้ย! อย่ามาเกลี้ยกล่อมกูซะให้ยากไอ้ซีเลน!
ผมออกแรงดึงตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุมเต็มที่ แล้วก็ได้ผลเมื่อตอนที่ผมดึงตัวออกมานั้น พนักงานโรงแรมเข้ามาถามซีเลนว่ามีปัญหาอะไรพอดี มันก็เลยปล่อยมือผมอย่างง่ายดาย หากแต่จังหวะที่ผมหลุดจากมันมานั้น ก็มีรถลีมูซีนคันหนึ่งมาจอดเทียบพอดีเช่นกัน ทำให้ผมเซไปกระแทกข้างรถเต็มแรง หัวเข็มขัดเจ้ากรรมก็ดันไปขูดข้างรถเป็นรอยถลอกหน่อยๆ ด้วย
พอผมตั้งหลักได้ คนบนรถในชุดสูทสีดำ ท่าทางเหมือนบอดี้การ์ดสองคนกรูกันลงจากรถทันใด ผมเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้เองว่าไม่ได้มีแค่คนพวกนี้ แต่ยังมีพวกคนชุดดำซึ่งดูเหมือนจะมาด้วยกันจากรถคันอื่นที่ขับตามหลังมาอีกสามคันกรูกันลงมาด้วย ผมใจแป้วไปทันที
นะ...นี่กูไปทำรถเจ้าพ่ออะไรสักอย่างเป็นรอยหรือเปล่าวะเนี่ย ดูบอดี้การ์ดพวกนั้นสิ แห่กันมาอย่างกับกูจะไปฆ่าเจ้านายมันอย่างนั้นแหละ!
“ขะ...ขอโทษครับ” ถึงจะเป็นเจ้าพ่อหรือคนใหญ่คนโตจากไหน แต่สิ่งที่ผมได้ดีที่สุดก็คือขอโทษไปก่อน จากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที
งะ...งานนี้จ่ายค่าเสียหายบานแน่!
ทว่าในวินาทีที่ผมเอ่ยคำขอโทษ กระจกหน้าต่างรถข้างที่ผมชนเมื่อครู่ก็ค่อยๆ เลื่อนลง เผยให้เห็นชายวัยไล่เลี่ยกับผมในชุดสูทลายทางประหนึ่งหลุดมาจากหนังมาเฟียเรื่องก็อดฟาเธอร์ ใบหน้าหล่อหากแต่ดูนิ่งขรึมทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายเอื้อกทันใด ก่อนที่หมอนั่นจะยกมือขึ้นโบกน้อยๆ เป็นสัญญาณให้บรรดาบอดี้การ์ดถอยห่างจากผม
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงอำนาจบางอย่างจากท่าทางของหมอนั่น ที่สำคัญ หมอนี่น่ะ นะ...น่ากลัวฉิบหาย
แต่มันก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาเมื่อริมฝีปากหนาขยับขึ้นเปล่งเสียงเบาๆ
“นิดหน่อย ไม่เป็นไร”
คงจะหมายถึงเรื่องที่ผมทำรถคันหรูของมันเป็นรอยนี่แหละ ผมรีบเซย์แต๊งค์กิ้วรัวๆ เลย ถึงหน้ามันจะหล่อและดูโฉด แต่ดูท่าทางจะเป็นคนดีแฮะ ไม่เอาเรื่องอย่างนี้คือคนดีศรีอเมริกามาก
พอสิ้นเสียงมัน บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็เดินมาเปิดประตูรถให้ ผมเลยได้เห็นรูปร่างของคนในรถเต็มสองตาว่าสูงใหญ่ไม่แพ้คีธกับซีเลนเลย
อย่างกับนายแบบเลยให้ตายเถอะ นี่เจ้าพ่อจริงๆ เหรอเนี่ย?
ผมยืนนิ่ง มองหมอนั่นค้างอย่างตะลึงงัน ยอมรับเลยว่าโคตรจะหล่อ และไม่ใช่แค่ผมที่ตะลึงนะ ซีเลนที่เพิ่งคุยกับพนักงานโรงแรมเสร็จแล้วหันมาสนใจผมก็ตะลึงไปเหมือนกัน ก่อนที่หมอนั่นจะคว้าแขนผมแล้วเดินออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว
“แพลนยกเลิก กลับ”
ผมไม่ถามหรอกว่าทำไมจู่ๆ มันถึงเปลี่ยนใจไม่ลากผมเข้าโรงแรม ก็คงจะกลัวว่าจะถูกเจ้าพ่อฆ่าทิ้งเพราะผมไปทำรถนั่นถลอกนั่นแหละ
หากแต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาสีเทาเข้มของชายคนนั้นมองมายังซีเลนแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยชื่อคุ้นหู
“ซีเลนาตา...”
อะ...อะไรนะ!? ซีเลนนาตา... หมอนั่นรู้ชื่อนี้ หรือว่านี่ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวอีก!? แล้วที่เรียกซีเลนด้วยชื่อนั้น ยะ...อย่าบอกนะว่า...
ผมหันไปมองซีเลนที่ลากผมจ้ำอ้าวหนีทันควัน ขณะที่ใบหน้าของมันไม่เหลือเค้าความอารมณ์ดีอยู่เลยแม้แต่น้อย
“อย่าหันไปมอง เดินให้เร็ว” มันว่ากับผมเท่านั้น ตอกย้ำความมั่นใจของผมเข้าไปอีกว่าจริงๆ แล้วซีเลนเป็นใคร
ตกลงไอ้ซีเลนมันจะเป็นเจ้าหญิงแห่งยูนิกม่าที่ถูกส่งไปแต่งงานกับเจ้าชายแห่งเซนไทน์ที่เจเนซิสเล่าล่ะสินะ! นี่มึงเป็นป้าไอ้แอสตันเหรอเนี่ย!?
--------------------------------------
หักมุมท้ายตอนจะโดนแม่ยกตบมั้ย 5555555
อย่าเพิ่งตกใจนะคะ ยังไม่ชัดเจน อย่าเพิ่งเชื่อนังกวินทร์นะ ฮาาาา

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เชื่ออ่ะ ซีเลน คงเป็นรุ่นลูก, มาเฟียคงเป็นพ่อ ที่ทำลูกหายไป.

อ้าว แล้วซีเลนจะคู่ใคร... สงสัยจะเป็นบูลิโอ

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ใครอ่าาาาาาาาา

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด