พิมพ์หน้านี้ - Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 22:40:25

หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 22:40:25
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

********************************************************************************************


คุยกันนิดนึง


นิยายเรื่องนี้เริ่มจากการที่หนูแดงไม่เข้าใจถึงความฟินของแนว Mpreg (แนวผู้ชายท้องได้) หนูแดงก็เลยลองมาเขียนเองค่ะ แต่ผู้ชายท้องได้ของหนูแดงอาจจะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องนิดนึงตรงที่นายเอกไม่ได้ท้องลูกพระเอก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายกับพระเอก แต่ถูกพระเอกวางไข่ (?) แล้วก็คลอดลูกออกมาเป็นพระเอก (งงมั้ยคะ ปล่อยให้งงไปก่อน ฮา)

โดยรวมแล้ว นิยายเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซี+คอมเมดี้ค่ะ แฟนตาซีตรงที่พระเอก (คีธ) เป็นเอเลี่ยน ส่วนคอมเมดี้ตรงที่นายเอก (กวินทร์) มีสถานะเป็นโฮสท์ให้พระเอกได้วางไข่ ฉะนั้น ใครที่ไม่ชอบหรือแอนตี้แนว Mpreg อ่านได้ค่ะ อ่านแล้วไม่ขัดๆ หรือตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ส่วนคนที่ชอบแนว Mpreg แท้ๆ หนูแดงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

เนื่องจากหนูแดงเขียนแนวๆ นั้นแบบของแท้เลยไม่ได้ค่ะ ขัดความรู้สึกตัวเองเลยพลิกแพลงมาแทน

ปกติลงที่ Dek-d อยู่เป็นประจำค่ะ (ที่นี่นะจ๊ะ -- http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1400290) แต่ลองมาขยายสาขาดูบ้าง ยังใช้งานไม่คล่อง อาจจะมีผิดพลาดไปบ้าง ต้องขออภัยนะคะ

ยังไงก็ขอฝากฝังนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^

พูดคุยติดต่อได้ที่ -- https://web.facebook.com/NooDangzzz/
********************************************************************************************
สารบัญ
Prologue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255805#msg3255805)
Episode01:Giving Birth (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255809#msg3255809)
Episode02:The host (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255813#msg3255813)
Episode 03: Alien’s guru[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255815#msg3255815)
Episode 03: Alien’s guru[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255817#msg3255817)
Episode 04: Alien Prince’s casting[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255880#msg3255880)
Episode 04: Alien Prince’s casting[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255882#msg3255882)
Episode 05: A porn star[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255884#msg3255884)
Episode 05: A porn star[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3255886#msg3255886)
Episode 06: Lollipop[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3256398#msg3256398)
Episode 06: Lollipop[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3256400#msg3256400)
Episode 07: Kill him if I can![1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3257213#msg3257213)
Episode 07: Kill him if I can![2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3257214#msg3257214)
Episode 08: Apologize[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3258152#msg3258152)
Episode 08: Apologize[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3258157#msg3258157)
Episode 09: The prince of Uniquema[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3259087#msg3259087)
Episode 09: The prince of Uniquema[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3259089#msg3259089)
Episode 10: Richard's son is coming (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3260217#msg3260217)
Episode 11: Richard, The murderer[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3260740#msg3260740)
Episode 11: Richard, The murderer[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3260741#msg3260741)
Episode 12: A Hollywood star[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3261971#msg3261971)
Episode 12: A Hollywood star[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3261972#msg3261972)
Episode 13: Sound of exciting[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3262738#msg3262738)
Episode 13: Sound of exciting[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3262740#msg3262740)
Episode 14: About nipples and feelings (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3263323#msg3263323)
Episode 15: Zylen is hungry[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3264392#msg3264392)
Episode 15: Zylen is hungry[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3264395#msg3264395)
Episode 16: Kawin is mine (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3265065#msg3265065)
Special Episode: Santa Keith is coming to Kawin[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3266122#msg3266122)
Special Episode: Santa Keith is coming to Kawin[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3266125#msg3266125)
Episode 17: When Richard is jealous[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3266561#msg3266561)
Episode 17: When Richard is jealous[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3266562#msg3266562)
Episode 18: Time for breeding[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3267518#msg3267518)
Episode 18: Time for breeding[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3267521#msg3267521)
Episode 19: Making a baby[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3268197#msg3268197)
Episode 19: Making a baby[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3268199#msg3268199)
Episode 20: Kawin vs Brooklyn for Keith[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3269112#msg3269112)
Episode 20: Kawin vs Brooklyn for Keith[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3269114#msg3269114)
Episode 21: Relationship between both ‘K’[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3269854#msg3269854)
Episode 21: Relationship between both ‘K’[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3269855#msg3269855)
Special Episode [New Year]: Let bind Kawin tight and give Keith as a gift[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3271097#msg3271097)
Special Episode [New Year]: Let bind Kawin tight and give Keith as a gift[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3271098#msg3271098)
Episode 22: Do not make Keith jealous (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3272288#msg3272288)
Episode 23: Alien’s gala dinner[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3272986#msg3272986)
Episode 23: Alien’s gala dinner[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3272987#msg3272987)
Episode 24: Forgive me right now![1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3273920#msg3273920)
Episode 24: Forgive me right now![2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3273924#msg3273924)
Episode 25: Is Zylen an alien!?[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3275839#msg3275839)
Episode 25: Is Zylen an alien!?[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3275842#msg3275842)
Episode 26: I love you, Keith[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3276575#msg3276575)
Episode 26: I love you, Keith[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3276576#msg3276576)
Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3278644#msg3278644)
Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3278648#msg3278648)
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3279722#msg3279722)
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3279724#msg3279724)
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3282513#msg3282513)
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3282515#msg3282515)
Episode 29: Zylenata[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3283014#msg3283014)
Episode 29: Zylenata[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3283016#msg3283016)
Episode 30: You are my children’s father[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3284711#msg3284711)
Episode 30: You are my children’s father[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3284713#msg3284713)
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3285567#msg3285567)
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3285569#msg3285569)
Episode 32: Genesis is a prince[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3287987#msg3287987)
Episode 32: Genesis is a prince[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3287989#msg3287989)
Episode 33: Our first baby is Keta[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3289029#msg3289029)
Episode 33: Our first baby is Keta[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3289032#msg3289032)
Episode 34: Almost about time to leave[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3289690#msg3289690)
Episode 34: Almost about time to leave[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3289693#msg3289693)
Episode 35: Ambassador of Uniquema[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3290344#msg3290344)
Episode 35: Ambassador of Uniquema[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3290347#msg3290347)
Episode 36: My smelly hubby is back[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3291310#msg3291310)
Episode 36: My smelly hubby is back[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3291311#msg3291311)
Epilogue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3292898#msg3292898)
Extra: Kinn is our second kid[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3293513#msg3293513)
Extra: Kinn is our second kid[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3293514#msg3293514)

ตัวอย่างตอนพิเศษที่จะมีเฉพาะในหนังสือค่ะ
[Sample]Special Episode 01 [Kieth & Kawin] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3294370#msg3294370)
[Sample]Special Episode 02 [Kieth & Kawin]: Father-in-law vs Son(?)-in-law (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3295828#msg3295828)
[Sample]Special Episode 03 [Kieth & Kawin]: Half-Alien kids are all trouble (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3296828#msg3296828)
[Sample]Special Episode 04 [Kieth & Kawin]: Super jealous hubby (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3298578#msg3298578)
[Sample]Special Episode 05 [Aston & Richard]: When a prince crushes on me (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3300963#msg3300963)
[Sample]Special Episode 06 [Aston & Richard]: Big surprise with pajamas (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3320935#msg3320935)
[Sample]Special Episode 07 [Zylen & Brooklyn & Ben]: Half-blood prince & Hulk brothers (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3321387#msg3321387)
[Sample] Special Episode 08 [Zylen & Broolyn & Ben]: I will teach you how to eat your cake  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3322384#msg3322384)
[Sample]Special Episode 09 [Larc & Genesis]: Violent couple (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3323254#msg3323254)
[Sample]Special Episode 10 [Larc & Genesis]: Hit me hard in the bed (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3324084#msg3324084)


[Sample]Alien's Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน
[Sample]Prologue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3330986#msg3330986)
[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3343629#msg3343629)
[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3343631#msg3343631)
[Sample]Episode 02: Love potion (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3345151#msg3345151)

[Sample]Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน
[Sample] Kyta's Part: Prologue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3378784#msg3378784)
[Sample] Kyta's Part: Episode 01: The egg from the prince[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3385272#msg3385272)
[Sample] Kyta's Part: Episode 01: The egg from the prince[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3385273#msg3385273)
[Sample] Kyta's Part: Episode 02: I am pregnant with your baby! (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3399555#msg3399555)
[Sample] Kyta's Part: Episode 03: Father or mother? (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3401020#msg3401020)
[Sample] Kyta's Part: Episode 04: Our deep kiss (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50709.msg3407135#msg3407135)

เปิดขายหนังสือซีรีส์ 'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน' รอบปกติแล้วค่ะ
รายละเอียดอื่นๆ อ่านเพิ่มเติมที่นี่นะคะ
https://www.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/1111796852209500/?type=3&theater
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดงล
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 22:41:29
Prologue

‘แบล็กชาโดว์’ คือไนท์คลับใต้ดินซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมอบายมุขชั้นเลิศกลางมหานครนิวยอร์กของบรรดาหนุ่มสาวไฮโซโดยเฉพาะพวกลูกหลานคนมีตังค์ เพราะที่นี่ต้อนรับแต่ลูกค้ากระเป๋าหนักและสมาชิกวีไอพีที่มีปัญญาจะจ่ายเงินแลกกับความสนุกสุดเหวี่ยงเท่านั้น แน่นอนว่านักศึกษาปริญญาโทกระเป๋าแห้งอย่างผมไม่มีทางได้เข้าไปในไนท์คลับแห่งนี้แน่ ถ้าหากว่าผู้หญิงที่ผมกำลังคั่วอยู่ด้วยในตอนนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของไนท์คลับแห่งนี้
ผมลงจากแท็กซี่ มาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าที่มีการ์ดร่างยักษ์หลายคนเฝ้าอยู่ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาเอมิเลียเพื่อให้เธอออกมารับ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาที่นี่ แต่ด้วยความที่ไม่ได้เป็นสมาชิกวีไอพี ผมจึงไม่สามารถเข้าไปด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ไม่นานนัก สาวผมบลอนด์ในชุดเดรสสีดำก็พาเรือนร่างอวบอัดออกมาให้ผมได้เห็น เธอตรงเข้ามากระโดดกอดผมทันทีพร้อมกับหอมแก้มอีกฟอดใหญ่
“คิดถึงจังเลยเควิน นึกว่านายจะไม่ยอมมาหาฉันซะแล้ว เห็นชวนทีไรก็บ่ายเบี่ยงตลอด”
เควิน คือชื่อภาษาอังกฤษของผมที่เพื่อนฝรั่งเรียกกัน จริงๆ แล้วผมชื่อ กวินทร์ ซึ่งแน่นอนว่าผมเป็นคนไทย และที่ผมมาโผล่หัวอยู่ในเมืองฝรั่งแบบนี้ก็เพราะผมเป็นนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนิวยอร์กที่มาเรียนต่อในคณะนิเทศศาสตร์ แต่การมาเรียนอย่างเดียว มันทำให้ผมเครียดเสียจนแทบเป็นบ้า ดังนั้นเป้าหมายในการมานิวยอร์กของผมจึงเปลี่ยนไปตั้งแต่เดือนแรกที่มาอยู่ที่นี่ มันไม่ได้มีแค่การเรียนอย่างเดียว แต่ยังมีปาร์ตีจัดหนักและคั่วหญิงไม่เลือกหน้าอีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเพื่อนร่วมคณะที่เป็นคนจีนมันชวนผมมา ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผมเปลี่ยนไปตั้งแต่บัดนั้น
“บอกแล้วนี่ว่าฉันติดทำโปรเจ็กต์ก่อนปิดเทอมกับเพื่อน ไม่เข้าใจเลยหรือไง” ผมว่าเหมือนไม่แคร์ แต่จริงๆ แล้วเสียงผมหวานหยดย้อยมากนะ
เอมิเลียยิ้มแห้งๆ เล็กน้อยที่ถูกผมถามในตอนท้าย เธอรู้ดีว่าผมเป็นพวกไม่แคร์ใครนัก ถ้าหากอยากควงผมนานๆ ก็ต้องยอมผม เพราะไม่อย่างนั้น ผมก็พร้อมจะสลัดเธอทิ้งแล้วไปคั่วกับคนใหม่ทันที จริงอยู่ที่ผมเป็นคนเอเชีย ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่สเป็กของสาวฝรั่งสักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงได้ป็อปปูล่าร์ในหมู่พวกเธอนัก อาจเป็นเพราะผมมีรูปร่างสูงไม่แพ้ชาวตะวันตก ทว่ามีใบหน้าอ่อนหวานและคมเข้มในขณะเดียวกันด้วยก็ได้มั้ง ถึงทำให้พวกเธอติดผมกันงอมแงมขนาดนี้ ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเรียกได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีหรือเปล่า แต่คืนไหนที่ผมออกท่องราตรี ผมไม่เคยพลาดที่จะได้เหยื่อกลับมากินเลยแม้แต่ครั้งเดียว เคยได้ยินพวกเธอพูดบ่อยๆ เหมือนกันว่าที่สนใจผมเพราะผมมีเสน่ห์และเซ็กแอพพึลสูง
ผมไม่รู้หรอกมันเป็นยังไง ที่รู้ๆ คือไม่เพียงแต่พวกผู้หญิงฝรั่งเท่านั้นที่สนใจผม บางครั้งก็มีพวกผู้ชายด้วยที่มาเสนอตัวให้ผม ไม่สิ... เรียกว่ามาขอให้ผมเสนอตัวให้จะดีกว่า เพราะพวกนั้นคิดว่าผมเป็นโฮโมฯ จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลกแหละ เพราะถึงผมจะมีความสูงถึง 180 เซนติเมตร แต่ก็มีรูปร่างผอมบางแม้จะมีกล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วน ประกอบกับการที่ผมชอบแต่งตัวจัด สำหรับคนที่แต่งตัวธรรมดา มองยังไง ผมก็เป็นโฮโมฯ ชัดๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยอยากจะลองมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันหรอกนะ แน่ล่ะว่าผมปฏิเสธไปทุกราย
“เข้าใจสิ แค่นี้ต้องดุด้วยเหรอ” เอมิเลียว่ากระเง้ากระงอดพลางเบียดหน้าอกอิ่มเข้ามาที่แขนผมจนผมต้องกลืนน้ำลายเอื้อก ถึงจะเคยกินเธอไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าหุ่นเธอน่าฟัดเป็นบ้า
“ไม่ได้ดุ เสียงฉันฟังดูเหมือนดุตรงไหน” ผมยิ้ม “แล้วนี่จะเข้าไปกันได้หรือยัง”
เอมิเลียนึกขึ้นได้ในตอนนี้เองว่าผมยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ก่อนเธอจะเข้าไปกระซิบบอกการ์ดว่าผมเป็นเพื่อนของเธอ ผมถูกเช็คพาสปอร์ตนิดหน่อยแล้วก็ถูกปล่อยตัวเข้ามาด้านในง่ายๆ
เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์และเสียงหัวเราะร่วนดังลอดออกมาจากประตูทางเข้าเรียกให้เลือดในกายผมแล่นพล่าน อยากจะเอ็นจอยเต็มแก่ กลิ่นบุหรี่สอดไส้กัญชาลอยคละคลุ้งไปทั่วจนผมอดใจที่จะขอเอมิเลียมาดูดสักตัวไม่ได้ พอได้บุหรี่แล้ว เอมิเลียก็พาผมเข้ากลุ่มเพื่อนสาวของเธอที่นั่งเล่นโป๊กเกอร์ดวดวอดก้าอยู่ยังโซฟามุมห้อง เธอแนะนำผมพอเป็นพิธี ก่อนที่พวกเพื่อนๆ ของเธอจะร้องเสียงขรมด้วยเคยได้ยินกิตติศัพท์ของผมดี
“นี่น่ะเหรอเควินเสือผู้หญิง หล่อสมคำร่ำลือจริงๆ แฮะ” ไวโอเล็ต หนึ่งในเพื่อนของเอมิเลียทักขึ้น ผมจึงหันไปหยักยิ้มให้เธอเล็กน้อย
“ถ้าไม่ติดว่านายมากับเพื่อนฉันล่ะก็ ฉันจะชวนนายเข้าห้องน้ำแบบไม่คิดเลย” เธอว่าขึ้นมาอีก ผมรู้ดีว่าการชวนเข้าห้องน้ำนั้นคืออะไร แน่ล่ะ มันคือการพากันไปฟาดแบบอาหารจานด่วนนั่นเอง
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว คนนี้ของฉัน” เอมิเลียว่าเสียงแข็งเมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดอย่างนั้น เรียกเสียงหัวเราะของคนทั้งกลุ่มให้ดังขึ้น
“ก็แค่พูดเล่นน่า คิดมากไปได้ มาเล่นโป๊กเกอร์กันต่อเถอะ กำลังได้ที่เลย” ไวโอเล็ตรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เพื่อนเธอจะคว้าขวดวอดก้ามาฟาดหัวเธอจริงๆ “นายก็เล่นด้วยสิเควิน สนุกนะ”
พอเธอหันมาชวนผม ผมก็ตกปากรับคำทันที และแน่นอนว่าสาวๆ พวกนี้รวมหัวกันโกงให้ผมแพ้เพื่อจะมอมเหล้าผม ผมรู้แต่ผมก็ยอมเพราะกระหายแอลกอฮอล์มาเป็นอาทิตย์แล้ว ทว่าการมอมเหล้าผมไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเธอคิดนัก ยิ่งดื่มเยอะ เลือดนักสังสรรค์ในกายผมก็ยิ่งสูงขึ้นจนผมเริ่มจนผมกลายเป็นตัวสร้างสีสันให้กลุ่ม และนั่นก็ทำให้เอมิเลียออกอาการหวงผมมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พยายามนัวเนียตลอดเวลาจนผมอดใจไม่ไหว กอดรัดฟัดเหวี่ยงเธอต่อหน้าเพื่อนๆ ไปหลายรอบ หากแต่พอเกือบจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เอมิเลียก็ดันเมาหลับไปเสียก่อน ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเพื่อนๆ ของเธอในกลุ่มแทน
อย่างที่บอกว่าผมไม่แคร์ ถ้าใครตอบสนองผมไม่ได้ ผมก็พร้อมที่จะหาคนใหม่มาแทนทันที และใครคนนั้นก็คือไวโอเล็ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ผมอยู่นานแล้ว ทำไมผมจะไม่รู้ว่าสายตานั่นเป็นการเชิญชวน
ผมไล่สายตามองรูปร่างใต้ชุดเดรสสีแดงสดของเธอพลางเลียริมฝีปากยั่ว ไวโอเล็ตหัวเราะเบาๆ พลันยื่นเท้ามาลูบขาผมที่ใต้โต๊ะเป็นสัญญาณให้ผมเตรียมพร้อม ไม่นานนัก เธอก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทันทีที่เพื่อนๆ ของเธอเมาคอพับคออ่อน ผมเองก็กำลังเมาได้ที่ แต่พอเห็นโอกาสงามอย่างนั้น ผมก็เลือกที่จะคว้าไว้ ทิ้งจังหวะนิดหน่อยก่อนจะลุกตามไป
พอเลี้ยวมายังหัวมุมทางเข้าห้องน้ำ มือบางของไวโอเล็ตที่ดักรออยู่แล้วก็โอบลำคอผมไปจูบอย่างดูดดื่ม ผมสอดมือเข้าไปใต้กระโปรงเธอ กะว่าจะจัดการให้เสร็จตรงนี้ ทว่าเธอก็คว้ามือผมเอาไว้ก่อน
“ตรงนี้ไม่ได้ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ว่าจบก็ลากผมไปยังประตูหลังไนท์คลับซึ่งเป็นตรอกแคบๆ ร้างไร้ผู้คน มีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากหลอดไฟเก่าๆ เท่านั้นที่ส่องมาพอให้มองเห็นบ้าง
มันจะน่าพิศสมัยมากถ้าหากไม่มีถังขยะใบใหญ่ตั้งตระหง่านส่งกลิ่นคลื่นเหียนอยู่ แต่ในเวลาอย่างนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการซุกไซ้ร่างอวบอั๋นตรงหน้าแล้ว ผมดันเธอไปชิดผนัง จัดการบรรเลงตามสัญชาตญาณดิบจนทุกอย่างเข้าที่ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง ล้วงเอาซองพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมจัสตุรัสออกมาแล้วฉีกมันออก
ไวโอเล็ตมองยางสีขาวขุ่นทรงยาวแล้วก็หัวเราะออกมาน้อยๆ
“เตรียมพร้อมดีจังนะ”
“รักสนุกก็ต้องรู้จักเซฟ” ผมบอก พลันส่งให้ไวโอเล็ตถือมันไว้ ก่อนจะเลื่อนไปปลดเข็มขัด แต่ก็ต้องส่งเสียงจึ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อโทรศัพท์มือถือของไวโอเล็ตที่เหน็บอยู่ในร่องอกเธอดังขึ้นมา
เธอยกมือขึ้นจุปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบ ก่อนกดรับ ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง พร้อมกับไฟราคะเมื่อครู่ที่ค่อยๆ มอดลงทันทีที่รู้ว่าคู่สนทนาของเธอคือแฟนหนุ่มที่โทรมาตามเธอกลับบ้าน
“เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง อะไรนะ มารออยู่ข้างหน้าแล้ว!? โอเคได้ๆ เดี๋ยวฉันออกไป”
พอวางสาย เธอก็หันมายิ้มแหยให้ผม ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าสังเวียนครั้งนี้ถึงเวลาล่มไม่เป็นท่า
“ขอโทษนะเควิน ไว้ครั้งหน้าฉันจะแก้ตัวให้นะ” ว่าพลางส่งถุงยางอนามัยคืนให้ผม
“ไปเถอะ เธอกับฉันคงไม่มีครั้งหน้าแล้ว” ผมตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกตรงๆ ว่าโคตรจะอารมณ์เสียเลย
ไวโอเล็ตทำท่าจะพูดอะไรกับผม แต่ผมไม่สนใจ คว้าบุหรี่ขึ้นมาสูบ ทำให้เธอตัดใจแล้วหายเข้าไปด้านใน ทิ้งให้ผมยืนหัวเสียตามลำพังอยู่พักใหญ่
“บ้าฉิบ” ผมสบถเบาๆ อารมณ์อยากจะสนุกหายวับไปกับตา
ช่วยไม่ได้ สงสัยวันนี้จะไม่ใช่วันของผมแล้วล่ะ กลับบ้านนอนเลยก็แล้วกัน
ผมโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้น ใช้เท้าขยี้มันจนดับ แล้วกำซองถุงยางอนามัยไปทิ้งที่ถังขยะใกล้ๆ หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสายตามองเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ถังขยะใบนั้นในอีกฝั่ง
ผมคิดในใจว่าเขาต้องรู้แน่ว่าเมื่อกี้ผมทำอะไร เพราะถึงจะไม่เห็นแต่ก็ได้ยินเสียงอยู่ดี ทว่าพอเห็นสภาพทรงตัวไม่ได้ของเขาแล้ว ผมก็โล่งใจ สงสัยหมอนี่คงจะเมาไม่รู้เรื่องอะไรแล้วมั้ง
ผมโยนของในมือทิ้ง สายตาก็ยังจับจ้องที่เขา ที่มองไม่วางตาอย่างนี้ก็เพราะเสื้อผ้าที่เขาใส่ดูประหลาดตาจนเกินกว่าจะคนปกติจะใส่ออกมาเดินตามท้องถนนได้ ก็ชุดที่เขาใส่น่ะ มันเป็นชุดบอดี้สูทรัดรูปสีเงินเมื่อม ดูเผินๆ เหมือนกับชุดของสป็อค มนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์เรื่องสตาร์ เทรค ไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันก็แค่ตรงสีกับความเงาเท่านั้น ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วถ้าหากว่าจู่ๆ เขาไม่เงยหน้าขึ้นมาให้ผมเห็นเสียก่อน
แสงไฟสลัวตกกระทบใบหน้าเขาทำเอาผมนิ่งค้างไปชั่วขณะ ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้หล่อมาก แม้แต่ผมที่ไม่เคยชายตามองผู้ชายด้วยกันมาก่อนยังอดชมไม่ได้ แม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยปื้นดำๆ แต่ก็ไม่สามารถบดบังรูปหน้าสมมาตรได้เลย จมูกเป็นสันคมรับกับแนวกรามเป็นอย่างดี มองอย่างไรก็ไม่ต่างจากเทพบุตรกรีก
ผมทรุดตัวนั่งยอง ปัดปอยผมสีเฮเซลนัทที่ปรกหน้าผากเขาออก พลางถามเสียงเบา
“เฮ้ นายโอเคมั้ย”
เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา และผมก็ต้องตะลึงงันไปอีกรอบเมื่อเห็นดวงตาสีเทาสว่างของเขา
ผู้ชายคนนี้... มีเสน่ห์น่าดูเลยแฮะ นี่ล่ะมั้งที่เรียกว่าเซ็กส์แอพพึล
“จะให้เรียกแท็กซี่ให้มั้ย ดูท่าทางนายจะเมาหนักแล้วนะ”
ผมว่า เดาเอาเองว่าเขาคงจะเป็นลูกค้าของไนท์คลับแห่งนี้เหมือนกัน รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ไม่พ้นเป็นนายแบบไม่ก็ลูกคนรวยที่ไหนสักที่แน่ๆ แต่ผมไม่คุ้นหน้าเขาเลยแฮะ ถ้าเป็นลูกค้าวีไอพีของที่นี่ อย่างน้อยๆ ผมก็ต้องเคยเห็นเขา ไม่ก็ต้องเคยได้ยินสาวๆ พูดถึงบ้างสิ หล่อขนาดนี้จะถูกเมินนี่เป็นไปไมได้เลย
เขาไม่ตอบ มองผมตาปรือ พลันไอโขลกออกมาขนานใหญ่
“เฮ้ ไหวมั้ย” ผมรีบพยุงเขา ก่อนที่มือจะสัมผัสเข้ากับของเหลวบางอย่างที่ไหลซึมมาจากสีข้างของร่างใหญ่ แค่ของเหลวอย่างเดียวยังไม่เท่าไหร่ นี่ยังมีแท่งอะไรบางอย่างปักอยู่บนตัวเขาด้วย
ผมใจหายวาบ รู้ได้ในทันทีว่ามันคือมีด และเขาก็คงจะถูกทำร้ายมา
“เดี๋ยวฉันโทรแจ้งตำรวจให้” ผมรีบบอกเร็วๆ พลันดึงมือออกมา หมายจะล้วงเอาโทรศัพท์โทรหาตำรวจ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีของของเหลวที่เปื้อนมือ
มันไม่ใช่สีแดงอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเป็นสีเขียว... สีเขียวอ่อนซะด้วย!
ผมเบิกตาโพลง กลิ่นคาวของมันทำให้ผมมั่นใจว่ามันคือเลือด แต่สีเขียวอ่อนอย่างนี้ ผมอดคิดไม่ได้เลยว่านี่เป็นการเล่นตลกอะไรของพวกลูกหลานคนไฮโซ เพราะเจ้าคนพวกนี้ชอบแกล้งกันอยู่เนืองนิตย์ โดยเฉพาะพวกที่มาเที่ยวที่นี่
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!” เท่านั้น ผมก็หัวเสียทันที
เขาไม่ตอบ แต่ยื่นมือมาจับไหล่ผมไว้มั่นแทน
“ขะ...ขอ...” น้ำเสียงขาดห้วงไป ทำเอาผมย่นคิ้วยุ่ง
“อะไร”
“ขอวางไข่หน่อย...”
“อะไรนะ!” ผมถามเสียงดัง ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่เขาพูดมันใช่ประโยคเดียวกับที่ตัวเองได้ยินหรือเปล่า
“ขอวางไข่...” เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอีกครั้ง
วางไข่อะไรวะ!
ผมทำท่าจะลุกหนีเพราะเห็นว่าการคุยกับเขามันทำให้ผมหัวเสียกว่าเดิม หากแต่พอผมจะลุกขึ้น มือใหญ่ที่จับไหล่ผมอยู่ก็ออกแรงดึงร่างผมให้เข้าไปใกล้ ก่อนที่เขาจะจรดริมฝีปากหยักลงมาบนเรียวปากผม มิหนำซ้ำ ยังพยายามดุนลิ้นเข้ามาข้างในด้วย ทำให้ผมผลักเขาออกเต็มแรง
“ทำเวรอะไรเนี่ย!”
เขาไม่ตอบเช่นเคย และไม่ยอมปล่อยให้ผมไปไหนด้วย พอผมผละออก เขาก็รีบพยุงตัวเองขึ้น แล้วดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้ง การจูบครั้งนี้รุนแรงและหนักหน่วงกว่าครั้งแรกมาก เขาแทบจะไม่รั้งรอที่จะดุนลิ้นนุ่มเข้ามาในโพรงปากผมเลยแม้แต่น้อย ผมพยายามจะสะบัดหน้าหนีแต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเขามีตรึงไว้ให้อยู่กับที่จนขยับไม่ได้ ครู่เดียว ผมก็รู้สึกถึงวัตถุทรงกลมบางอย่าง ขนาดเท่าเมล็ดถั่วแมคคาเดเมียในปากผม ผมพยายามจะขย้อนมันออก แต่อีกฝ่ายใช้ลิ้นดันมันเข้ามาลึกเรื่อยๆ จนผมต้องกลืนมันลงไปอย่างไร้ทางเลือก
และพอผมกลืนมันลงไป เขาก็ถอนริมฝีปากออกมา ผมได้สติในตอนนี้ พลันง้างหมัด กระชากคอเสื้อเขาเตรียมจะซัดทันใด
“คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่วะ!”
“วางไข่...” เขาว่ามาเท่านี้ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะค่อยๆ ปรือและปิดลง พร้อมกับร่างใหญ่ที่อ่อนปวกเปียกทรุดไปกับพื้น
ผมรีบปล่อยมือออกจากเขาทันทีที่เห็นใบหน้าหล่อซีดเผือดราวไร้เลือด ความโมโหเมื่อครู่มลายหายไป เหลือเพียงความตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นเขาฟุบแน่นิ่งไป
“นะ...นาย... เฮ้ เป็นอะไรน่ะ” ผมถาม
เขาไม่ไหวติง ผมจึงรวบรวมความกล้า ยื่นมือไปสะกิดเขา แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่มีการตอบรับใดๆ จากร่างใหญ่แม้แต่น้อย ซ้ำร้าย ร่างนั้นยังค่อยๆ เย็นชืดจนก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายผมเต้นถี่จนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ ผมรวบรวมความกล้า ยื่นนิ้วอันสั่นเทาไปอังจมูกเขาใกล้ๆ
มะ...ไม่หายใจ!
ผมเด้งตัวขึ้นยืนทันที
ฉิบหายละ จูบกันอยู่ดีๆ ก็ตายซะงั้น ซวยแล้วไอ้กวินทร์!
ผมยืนทึ้งหัวตัวเองอย่างตระหนก หันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ใจหนึ่งก็อยากจะโทรแจ้งตำรวจ แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าโทรแจ้งไป ผมจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งในข้อหาฆาตกรรม เพราะก่อนหน้านี้ ผมเพิ่งจะจับด้ามมีดที่ปักตัวเขาไปหมาดๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมหมดอนาคตแน่
แล้วความเห็นแก่ตัวก็เข้าครอบงำผม ผมรีบถอดเสื้อตัวเองออก เอามาเช็ดรอยนิ้วมือของตัวเองบนด้ามมีดที่ตัวเขา แล้วสวมกลับเหมือนเดิม ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในไนท์คลับและมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว
ใครมันจะอยู่ให้โดนจับกัน! คนที่จะโดนจับคือฆาตกร ไม่ใช่กวินทร์คนนี้เว้ย!

 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 22:43:53
 
Episode 01: Giving birth

6 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 09.00 น.)

ก๊อกๆๆ...
“ใครครับ”
“นักสืบทราวิสจากสำนักงานนักสืบ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องชายนิรนามที่กลายเป็นศพหลังไนท์คลับ คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ผมคงต้องขออนุญาตเชิญคุณไปคุยแบบส่วนตัวที่โรงพัก”
“ชะ...ชายนิรนามไหน ผมไม่รู้เรื่อง เฮ้! อย่ามาจับตัวผมนะ! ปล่อย!”
“คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูด เราจะใช้ปรักปรำคุณในชั้นศาลได้ คุณมีสิทธิที่จะเรียกทนายความ หากคุณไม่มีทนาย ทางรัฐจะจัดหาให้ คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามใดๆ คุณเข้าใจสิทธิที่แจ้งมา เชิญไปโรงพัก”
“ผมไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น! ผมไม่รู้เรื่อง! ปล่อยนะเว้ย!”
ปิ๊บ!
ผมกดรีโมทปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายซีรีย์ชื่อดังที่มีนักสืบหนุ่มหน้าหล่อนามทราวิสเป็นตัวดำเนินเรื่อง พลันใช้นิ้วมือคลึงบริเวณหัวคิ้วอย่างหัวเสีย ทำไมไอ้ซีรีย์บ้านี่ถึงได้มาฉายในเวลาประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่ผมประสบมาเมื่อคืนด้วยก็ไม่รู้ คนยิ่งกังวลๆ อยู่ว่าจะมีตำรวจตามมาจับตัวถึงบ้านเหมือนกับไอ้อ้วนโง่เง่าในซีรีย์นั่น
ผมลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาทั่วห้องเมื่อนึกถึงภาพชายร่างใหญ่ล้มฟุบหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อมา ตั้งแต่กลับมาจากไนท์คลับเมื่อตอนตีสามและซุกตัวอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์ของตัวเองย่านบรูคลิน ผมก็มีอาการพารานอยด์ไม่หยุดจนถึงตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อจากนี้ดี จะแจ้งตำรวจก็กลัวว่าตัวเองจะซวยเพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับศพนั่น แต่จะเก็บตัวเงียบอย่างนี้ ผมก็วางตัวปกติไม่ได้อีก
คนตายต่อหน้าต่อตาเลยนะ! จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไง!
ผมกดรีโมทเปิดโทรทัศน์อีกครั้ง เปลี่ยนช่องไล่หาช่องข่าวพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ที่ผมต้องไล่หาข่าวอย่างนี้ทั้งคืนก็เพราะผมอยากจะรู้ว่าป่านนี้มีใครไปเจอศพผู้ชายคนนั้นหรือยัง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่ข่าวเดียว จนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกๆ ที่ไม่มีใครไปเจอศพเขา นี่มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีพวกพนักงานไนท์คลับ ไม่ก็พวกพนักงานทำความสะอาดออกไปทิ้งขยะหลังร้านบ้างสิ
เอ... หรือว่าจะเจอศพแล้ว แต่ตำรวจยังไม่ยอมให้ปล่อยข่าวกัน? แต่ถ้าตำรวจเจอศพแล้ว แสดงว่าตอนนี้คงถึงขั้นตอนเสาะหาตัวคนร้ายแล้วล่ะมั้ง
ผมคิดวุ่นไปทั่ว เผลอยกนิ้วมือขึ้นมากัดเล็บอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งไปเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาร้องลั่น พอตั้งสติได้ ผมก็เอื้อมมือไปคว้ามันมาดูชื่อคนโทรเข้าที่หน้าจอแล้วกดรับอย่างหงุดหงิด
“ว่า?”
[เมื่อคืนนายทิ้งฉันแล้วหนีกลับก่อนได้ยังไง แถมยังปล่อยให้ฉันนอนที่แบล็กชาโดว์จนถึงเช้าอีก นายใจร้ายมากเกินไปแล้วนะ]
เอมิเลียกรอกเสียงขุ่นๆ มาตามสาย ทำเอาผมย่นคิ้วยู่ที่จู่ๆ เธอก็โผล่มาวีนไม่รู้จังหวะ
“ก็เธอเมาพับ แล้วฉันก็เหนื่อยด้วย เลยกลับมาก่อน”
[ไม่ใช่ว่าตอนฉันเมา นายควงคนอื่นไปฟาดกันที่ไหนหรอกนะ]
เอมิเลียทำผมหงุดหงิดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อเธอพูดประโยคนี้ขึ้นมา ผมรู้ว่าเธอระแวง แต่มันใช่เวลาที่จะมาสร้างความรำคาญให้ผมมั้ย
“ถ้าเธอไม่เชื่อใจ ก็ไม่ต้องมายุ่งกัน รำคาญ!” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยตามอารมณ์
อีกฝ่ายชะงักไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหวานทันควัน
[ฉันก็แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องโมโหด้วย อย่าโกรธกันเลยนะ นายก็รู้ว่าฉันชอบนายมาก ฉันเลยหวงเป็นธรรมดา ขอโทษนะเควิน อยากได้อะไรเป็นพิเศษมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อไถ่โทษให้]
เธอทักจะเอาสิ่งของมาล่ออย่างนี้ตลอดเวลาทำให้ผมหัวเสีย แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยขอให้เธอซื้ออะไรให้นะ นอกจากเธอจะซื้อให้เอง
“ช่างมันเถอะ” ผมตอบส่งๆ ด้วยไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ทว่าเอมิเลียก็ยังไม่หยุด
[งั้นมาเจอกันตอนนี้มั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันจะบริการอย่างเต็มที่เลย]
บริการที่เธอว่าก็คือเรื่องเซ็กส์นั่นแหละ
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันปวดหัว อยากจะพัก” ผมตอบปฏิเสธโดยแทบไม่ต้องคิด ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงจะไม่รีรอที่จะตอบรับเธอไปแล้ว
[ไม่ค่อยสบายเหรอ ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย] เธอเสนอขึ้นมาอีก
“บอกว่าไม่ต้อง ให้ฉันอยู่คนเดียว อย่ามาวุ่นวายกับฉันจนกว่าฉันจะติดต่อกลับไปเองก็พอ”
[เดี๋ยวสิเควิน แต่ว่าฉันอยากเจอ...ตู๊ดๆๆ]
ผมกดวางสายเอาดื้อๆ ไม่สนใจเสียงของเอมิเลียที่ร้องเรียกแต่อย่างใด พลันทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ทึ้งผมตัวเองไปมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความกลัดกลุ้มยังคงเกาะกุมจิตใจ พลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเอมิเลียที่โทรมาหาเมื่อครู่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์ที่ผมเจอเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย ทำเอาผมฉุกใจ โทรกลับไปหาเธออีกครั้ง
“เอมิเลีย”
[โทรกลับมาอย่างนี้ แสดงว่าจะให้ฉันไปหาสินะ] เธอว่าด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“เปล่า ฉันแค่มีเรื่องจะถาม”
[เรื่องอะไร]
“แบบว่า...” ผมเงียบไปครู่ ชั่งใจว่าจะพูดอย่างไรให้เอมิเลียไม่เอะใจดีว่าผมมีส่วนรู้เห็นกับการตายของผู้ชายคนนั้น
[แบบว่าอะไร] เอมิเลียเร่งเร้า ให้ผมโพล่งออกไป
“แบบว่าที่ไนท์คลับน่ะ มีอะไรแปลกๆ มั้ยตอนที่เธอกลับออกมา”
[อะไรเหรอที่ว่าแปลกๆ]
“ก็แบบ... เรื่องร้ายๆ หรือเรื่องน่าตกใจอะไรประมาณนี้” ผมว่าอ้อมๆ เอมิเลียเงียบไปครู่แล้วก็ตอบกลับมา
[ก็ไม่นะ เรื่องร้ายๆ เรื่องเดียวที่ฉันเจอก็คือตื่นมาแล้วเห็นว่านายหนีกลับไปก่อนนี่แหละ]
พอได้ยินอย่างนี้ ผมก็โล่งใจขึ้นมาเปาะหนึ่ง ถ้าเอมิเลียที่อยู่ในที่เกิดเหตุจนถึงเช้าไม่รู้ ก็แสดงว่ายังไม่มีใครไปเจอศพแหงๆ
[ถามอะไรแปลกๆ นี่มีอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย]
เธอก็วกกลับมาเรื่องเดิมอีกจนได้ นี่ก็อยากจะมาหาผมให้ได้เลยสินะ
“ไม่ต้อง” สุดท้าย ผมก็ตัดบทโดยการตัดสายไปอีกครั้ง
คงจะต้องรอดูต่อไปอีกสักหน่อยก่อน ไม่แน่ว่าอีกสักพักอาจจะมีข่าวออกมาก็ได้
 
10 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 13.00 น.)

ผมยังคงนั่งประจำที่โซฟา สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวอย่างใจจดจ่อ ไม่นานนัก รายงานข่าวก็จบลงและไร้ซึ่งข่าวที่ผมเฝ้ารออีกเช่นเคย ผมถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าถอนหายใจเพราะโล่งใจที่ไม่ได้เห็นมัน หรือถอนหายใจที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองหลังจากนี้สักที
ผมเปลี่ยนช่องหารายการข่าวอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงที่ช่องหนึ่งแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมผมมีสภาพเหมือนจะตายให้ได้อย่างนี้ เพราะตั้งแต่กลับมาถึงห้องเมื่อคืน ผมก็ยังไม่ได้นอนเลยแม้แต่งีบเดียว แถมยังไม่ได้กินอะไรด้วย เอาแต่เฝ้าระแวงจนไม่เป็นอันทำอะไร มิหนำซ้ำ ตอนนี้ผมก็เริ่มจะปวดหัวหนึบขึ้นมาด้วยแล้ว ทั้งปวดหัวจากอาการแฮ้งค์เมื่อคืน และปวดหัวเพราะเครียดเรื่องบ้าๆ นี้ด้วย ปวดจนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้
ผมหลับตาลง นวดคลึงขมับไปมาด้วยหวังว่าจะทำให้อาการปวดบรรเทาลงได้บ้าง แต่เปล่าเลย นอกจากจะไม่บรรเทาแล้ว ยังจะมีอาการคลื่นไส้แทรกซ้อนขึ้นมาอีก ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นมาหายาแก้ปวดกิน ทว่าไอ้สลากยาบนขวดสีขาวมันดันระบุไว้ว่าให้ทานหลังอาหาร ผมก็เลยต้องไปจัดการเปิดตู้เย็น หาอะไรมายัดลงกระเพาะเพื่อรองท้องสักหน่อยก่อน
อาหารแช่แข็งค้างคืนตั้งแต่เมื่อวานก่อนถูกเอามาอุ่นในไมโครเวฟ ผมทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ เตรียมจะจัดการสปาเก็ตตี้ที่เหลืออยู่ครึ่งกล่องเข้าปาก ทว่าพอเปิดกล่องมันออกมา กลิ่นของมันก็ปะทะเข้าจมูกผมอย่างจัง มันก็เป็นกลิ่นสปาเก็ตตี้นี่แหละ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นมันชวนคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูก จนผมต้องหันไปไอโขลกตัวโยนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติ หันกลับมากลั้นใจตักมันเข้าปาก และพอผมส่งเส้นสปาเก็ตตี้เข้าไปในปากได้ อาการคลื่นไส้ก็รุนแรงขึ้นจนผมต้องรีบวางส้อมลง แล้ววิ่งพรวดไปยังซิงค์ล้างจาน สำรอกมันออกมาในทันใด
พอกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมก็เดินกลับมายกกล่องสปาเก็ตตี้นั่นทิ้งลงถังขยะ กระเดือกยาแก้ปวดลงคอโดยไม่สนว่าจำเป็นต้องมีอะไรลงท้องก่อนหรือไม่ แล้วกลับมาที่ห้องนั่งเล่นในสภาพอิดโรย
ให้ตายเถอะ... สงสัยจะเครียดมากเกินไปแน่ๆ
 
15 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 18.00 น.)

ฤทธิ์ของยาแก้ปวดและความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาตลอดทั้งคืนทำให้ผมผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงอินโทรของรายการข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งดังเข้ามาในหู ผมดันตัวเองขึ้นนั่งตัวตรง สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์อย่างใจจดจ่ออีกครั้ง
และก็เช่นเคย ยังไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนๆ ก็ไร้วี่แววจนผมชักจะเอะใจแล้วว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มันแปลกๆ ไม่แน่ว่า บางทีผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ตายก็ได้ อาจจะหยุดหายใจไปตอนที่ผมอยู่ที่นั่น แล้วก็กลับมาหายใจเหมือนเดิม เดินกลับบ้านหน้าตาเฉยก็เป็นได้
ทว่าคิดเข้าข้างตัวเองไปก็เท่านั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่หยุดหายใจแล้วกลับมาหายใจเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็นิยายแฟนตาซีเกินไปแล้ว!
หรือผมควรจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองดีว่าศพยังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?
...บ้าแล้ว ถ้าไปแล้วเจอศพอยู่ที่เดิมแล้วผมจะทำอะไรต่อได้ล่ะ ซ่อนศพเหรอ? ไม่มีทางเลย โผล่หัวไปอย่างนั้น รังแต่จะทำให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากขึ้นเปล่าๆ ทำตัวเฉยๆ รอดูข่าวอยู่ที่บ้านนี่แหละเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ผมปลอบใจตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นไปในครัวอีกครั้งเมื่อเห็นว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จริงๆ แล้วผมก็ไม่ใช่คนกินอาหารตรงเวลาอะไรนัก แต่ที่พยายามพาตัวเองไปหาอะไรกินก็เพราะว่าวันนี้ทั้งวันผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากยาแก้ปวดและน้ำเปล่าเท่านั้น
ผมสอดส่ายสายตามองวัตถุดิบในตู้เย็น พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอะไรกินดี เพราะตอนนี้ไม่มีอาหารกล่องแช่แข็งหลงเหลืออยู่แล้ว ปกติแล้วผมทำอาหารกินเองนะ แต่ส่วนใหญ่จะขี้เกียจเลยชอบซื้ออาหารกล่องแช่แข็งมาแช่ทิ้งเอาไว้มากกว่า มันสะดวกและเร็วดี เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอะไรจุกจิกอย่างผม
ระหว่างกำลังเลือกวัตถุดิบและคิดว่าจะทำเมนูอะไร สายตาก็ปะทะเข้ากับเลม่อนสีเหลืองสดลูกโตเข้า พลันน้ำลายในปากก็หลั่งเยอะกว่าปกติจนน่าแปลกใจ มิหนำซ้ำ ยังมีประโยคแปลกๆ ลอยเข้ามาในหัวอีกด้วย
เปรี้ยวปาก...
ผมไม่รู้ว่าอาการนี้มันเป็นผลข้างเคียงจากความเครียดหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจจะหาคำตอบนัก นอกจากเอื้อมมือไปหยิบมะนาวลูกนั้นมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วโรยเกลือนิดหน่อย ก่อนจะจับบีบเข้าปากอย่างกระหาย
มันไม่ได้ทำให้ผมอิ่มท้องเลยสักนิด แต่มันช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้พอสมควร เพียงเวลาไม่นาน เลม่อนลูกนั้นก็ถูกผมดูดกลืนน้ำไปจนหมดสิ้น ผมมองจานที่มีเลม่อนฝานเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวนิ่งๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าผมจัดการมันไปเกือบหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่รู้ๆ คือ มันไม่พอ ผมอยากกินอีก ....อยากกินมากกว่านี้
ผมรีบจัดการบีบน้ำรสเปรี้ยวจากเลม่อนชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แล้วไปแต่งตัว ออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ๆ กับละแวกที่พักทันใด
 
20 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 22.00 น.)

หลังจากที่ผมกลับมาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับเลม่อนกว่าสิบลูก ผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงอ่อนเพลียมากกว่าปกติเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ถ้าอดนอนหรือเมาแฮ้งค์ นอนไม่เกินสิบชั่วโมง ผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
นี่ต้องเป็นเพราะผมเครียดจัดด้วยแน่ๆ ร่างกายถึงได้มีอาการแปลกๆ แบบนี้
ผมดันตัวขึ้นนั่ง เอื้อมตัวไปคว้ารีโมทที่วางอยู่ข้างจานเลม่อนซึ่งเหลือแต่เปลือกมาเปิดโทรทัศน์ดูข่าวต้นชั่วโมงอีกครั้ง ผลยังคงเหมือนเดิม... ไม่มีข่าว ไม่มีการพูดถึง ไม่มีอะไรเลย
สงสัยจะยังไม่มีใครพบศพจริงๆ...
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยๆ ผมก็รอดจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นไปอีกคืน
ผมปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้นยืน กะว่าจะไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุ้นใหม่ ทว่าในจังหวะที่ลุกขึ้น ผมก็เกิดวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงจนต้องทรุดตัวนั่งลงไปบนโซฟาอีกครั้ง ในจังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นว่าร่างกายของตัวเองมันเปลี่ยนไป หน้าท้องภายใต้เสื้อยืดป่องยื่นออกมาทำให้ผมเบิกตาโพลง รีบถลกเสื้อขึ้นดูทันใด ก่อนจะตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าหน้าท้องแบนราบที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามซิกแพ็ค บัดนี้กลายเป็นวันแพ็คเหมือนกับท้องของคนท้องก็ไม่ปาน แถมสะดือยังจุ่นออกมาจนเหมือนจะระเบิดให้ได้อีกด้วยทั้งที่จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนสะดือโบ๋
ผมรีบตั้งสติ ข่มความวิงเวียนนั่นทิ้งไปแล้วรีบกลั้นใจวิ่งไปยังห้องน้ำ ถอดเสื้อออกแล้วส่องกระจกมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นๆ ทันใด
“อะ...อะไรวะเนี่ย” ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
นี่มันท้องของคนท้องชัดๆ เลยให้ตาย! เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย! หรือว่าจะเป็นเพราะผมกินเลม่อนแบบไม่บันยะบันยังเข้าไปกัน!? หรือจะป่วย? ท้องผูก? ท้องมาน? มะเร็ง?
เป็นเวรอะไรวะ!
ผมแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นตัวเองในสภาพที่ไม่น่าดูนัก พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับผมหนักหนา แค่เห็นคนตายต่อหน้าแล้วต้องมานั่งกังวลว่าตัวเองจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมยังไม่พออีกหรือไง ทำไมต้องมาทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่าเดิมด้วย
“โอเคไอ้กวินทร์ มันก็แค่ท้องอืด... แค่ท้องอืด ขี้ออกเดี๋ยวก็หาย”
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ปลอบตัวเองอย่างเต็มที่ ก่อนถอดกางเกงออก ไปนั่งบนโถชักโครกอย่างไม่รีรอ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ไม่มีอะไรหลุดไหลออกมาจากปากประตูหลังเลยแม้แต่น้อย จากที่พยายามปลอบตัวเองในตอนแรกว่าแค่ท้องอืด ตอนนี้ผมคิดเข้าข้างตัวเองไม่ลงแล้วว่ามันเป็นแค่นั้น
พระเจ้าลงโทษผมเข้าให้แล้ว!
ท้องโตขนาดนี้มันไม่ใช่ท้องอืดแล้ว ต้องมีอะไรร้ายแรงกว่านั้นแน่นอน และคนที่จะช่วยผมได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือหมอ!
ผมพาตัวเองออกจากห้องน้ำ ไปแต่งตัวในห้องนอนอย่างรนๆ ในจังหวะที่ผมกำลังจะสวมเสื้อนั่นเอง ความเจ็บแปลบก็แล่นพล่านขึ้นมาทั่วหน้าท้องจนผมต้องเบ้หน้า ยกมือกุมท้องตัวเองทันใด
“เป็นเวรอะไรอีกวะ” ผมสบถ พยายามจะใส่เสื้ออีกครั้ง แต่ก็ต้องละความพยายามเมื่อความเจ็บปวดมันเพิ่มมากขึ้นจนผมพยุงตัวให้ยืนไว้ไม่ไหว
ปวดจนหน้ามืดเป็นยังไงรู้ได้ก็ในตอนนี้...
ผมทรุดตัวลงกับพื้น ค่อยๆ คลานพาตัวเองไปที่เตียงอย่างทุลักทุเล พอทิ้งตัวลงนอนได้ ก็ควานหาโทรศัพท์มือถือ กะว่าจะโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับเพราะดูท่าทางแล้ว ผมคงจะไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองไม่ไหว ก่อนจะตระหนักได้ว่าผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่หน้าโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น
เวรจริงๆ... พักสักหน่อยแล้วกันแล้วกัน ดีขึ้นเมื่อไหร่แล้วค่อยออกไปโทร
 
24 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 02.00 น.)
จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะพักแค่ครู่เดียว ก็กลายเป็นว่าผมผล็อยหลับไปอีกแล้ว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวหนังหน้าท้องของผม ผมปรือตาขึ้นอย่างงัวเงีย ยกมือคลำไปยังหน้าท้องก่อนจะรีบชักมือออกเมื่อมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวมาโดนฝ่ามือเข้าอย่างจัง พลันรีบขยับไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างตื่นๆ
หนะ...หน้าท้องขยับจริงๆ ด้วย!
ใจผมเต้นแรงจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แล้วผมก็ต้องตกใจหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ามีของเหลวสีใสบางอย่างค่อยๆ ซึมออกมาจากสะดือ
ผมทำใจกล้า ค่อยๆ ยื่นมือสั่นเทาไปแตะของเหลวนั้นมาดูใกล้ๆ สัมผัสเหนียวเหนอะของมันทำให้ผมนึกถึงน้ำเมือกอะไรบางอย่าง และมันก็ยิ่งไหลมากขึ้นกว่าเดิม จากที่ซึมๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าไหลเป็นเขื่อนแตกก็ไม่ปาน
“อะ...อะไรเนี่ย!” ผมสติแตกเอาในตอนนี้ ร้องโวยวายลั่น พยายามจะพาตัวเองออกไปเอาโทรศัพท์มาโทรเรียกรถพยาบาล แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ทำได้ง่ายดายนัก
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะน้ำหนักของท้องที่ใหญ่ขึ้นหรือยังไงที่ทำให้ผมไม่อาจลุกขึ้นได้ น้ำเมือกนั่นยังคงไหลออกมาไม่หยุด แย่กว่านั้น สะดือที่ไม่เคยจุ่นเลยตลอดชีวิต นอกจากจะจุ่นอย่างไร้เหตุผลและตรรกะใดๆ แล้ว มันยังค่อยๆ ขยายออกกว้างเป็นรูโบ๋ขนาดเท่าหัวแม่มือและมากยิ่งกว่าเดิม ทำเอาผมเสียสติเข้าไปใหญ่
“อ๊ากกก!”
ผมร้องสุดเสียง ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองจะเหยียบย่างเข้าใกล้ความตายเท่าในตอนนี้มาก่อน
นี่มันหนังสยองขวัญชัดๆ!
แล้วความสยองขวัญก็เพิ่มทวีมากขึ้นเมื่อจู่ๆ ผมก็เหลือบเห็นนิ้วมือซีดขาวโผล่ออกมาจากรูสะดือตัวเองที่ขยายกว้างยิ่งกว่าบ่อน้ำบนถนนลูกรังในประเทศไทย น้ำหูน้ำตาที่ไม่เคยไหลมาตลอดหลายปีไหลพรากยิ่งกว่าน้ำตกไนแองการา สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมไม่ได้สร้างความเจ็บปวดเลยสักนิดแต่ผมกลับแหกปากลั่นประหนึ่งหมูถูกเชือด และลั่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อสิ่งที่โผล่มาจากสะดือไม่ได้มีแค่นิ้ว แต่มันมาทั้งมือ
มืออย่างเดียวคงไม่สาแก่ใจ ตามมาด้วยแขน ไหล่ และ...หะ...หัว! หัวคนทั้งดุ้นเลยแม่เจ้าโว้ยยย!
ผมหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ภาวนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นเพียงแค่ฝัน อยากสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าร่างกายผมในตอนนี้ ต่อให้สมองสั่งการหนักแค่ไหนก็ไม่ปฏิบัติตามแล้ว ผมเอาแต่จ้องสิ่งที่ผุดออกมาจากสะดือผมอย่างตกตะลึง
มะ...มนุษย์ผู้ชาย! มนุษย์ผู้ชายตัวเท่าหมีควายแหกสะดือผมออกมา!
ไอ้นรกนั่นใช้มือทั้งสองข้างเสยผมขึ้นแล้วเงยหน้ามองผมนิ่งๆ ขณะที่ตัวช่วงล่างของมันยังอยู่ในตัวผม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจได้เท่ากับใบหน้าคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนที่ปรากฏตรงหน้าผมเลยแม้แต่น้อย
ก็ไอ้ตัวบ้านี่มันคือผู้ชายที่ผมเจอหลังไนท์คลับเมื่อคืนนี้น่ะสิ!
ผมอ้าปากค้าง ชี้นิ้วสั่นเทาไปยังหน้าหมอนั่นอย่างพรึงเพริด หมอนั่นมองผมเล็กน้อยโดยไม่ตอบอะไร นอกจากจะใช้มือทั้งสองข้างดันฟูกข้างๆ ดึงตัวส่วนที่เหลือออกมาจากสะดือผม แล้วหย่อนตัวลงมายืนข้างๆ เตียง ปล่อยให้ผมนอนจมกองน้ำเมือกราวผักปลา และชั่ววินาทีเดียว สะดือผมทีหมอนั่นมุดออกมาก็หดกลับมาเป็นสะดือยามปกติเหมือนเดิม ราวกับว่าเป็นยางยืดที่ยืดได้หดได้อย่างไรอย่างนั้น แถมไร้ความเจ็บปวดหรือบาดแผลใดๆ อย่างที่ควรจะเป็นเสียด้วย หน้าท้องเต็มไปด้วยซิกแพ็คก็กลับมาเหมือนเดิมเช่นกัน ไม่มีร่องรอยใดๆ บ่งบอกเลยว่าก่อนหน้านี้มันเคยป่องประหนึ่งคนท้องแม้แต่น้อย
ผมรีบลุกพรวด สำรวจร่างกายตัวเองอย่างรนๆ ทันทีว่ามีตรงไหนสึกหรอไปหรือไม่ ก่อนจะลงจากเตียง ทำท่าจะวิ่งไปแต่งตัวแล้วไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามีร่องรอยบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เพราะถึงจะไม่เห็นความผิดปกติใดๆ บนร่างกาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นปกติ
แน่ล่ะ มันไม่ปกติแน่นอนอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ผุดออกมาจากสะดือ ชาวบ้านที่ไหนมองว่าเป็นเรื่องปกติกันบ้าง! มันไม่ปกติตั้งแต่จู่ๆ ท้องก็ป่องเป็นคนท้องแล้ว!
หมอนั่นมองท่าทางลุกลี้ลุกลนของผมได้ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบพร้อมกับดักหน้าผมเอาไว้
“ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นเรื่องปกติ”
ปกติบ้านปู่มึง! แหกสะดือชาวบ้านออกมาอย่างนี้ มันไม่ปกติแล้วโว้ย!
ผมมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัวระคนโกรธ พยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วหนีออกจากห้องให้รวดเร็วที่สุด ทว่าความที่เขาตัวใหญ่กว่า ทำให้ผมหลบได้ไม่ง่ายนัก ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อเขายื่นมือมาคว้าไหล่ผมไว้มั่น
“ขอบใจมากที่ให้ข้าวางไข่”
วะ...วางไข่อะไรอีกวะ!
ผมสะบัดตัวหนีเขาเต็มแรง ใจหนึ่งก็อยากจะถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันคือเรื่องบ้าอะไร แต่ความกลัวในตอนนี้มันมีมากกว่า สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน ต้องเป็นผีห่าซาตานอะไรสักอย่างถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ หากแต่พอผมหลบเขาออกมาได้จนเกือบจะถึงขอบประตูห้อง เขาก็คว้าข้อมือผมเอาไว้อีกครั้ง
“อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ร่างกายเจ้ายังไม่คืนสภาพ”
“ปล่อยนะโว้ย!”
ผมโวยวายเสียงหลง พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมเต็มกำลัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเขายังคงยืนจับข้อมือผมอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีก
“นอนเฉยๆ ก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นอันตรายได้”
อยู่เฉยๆ นี่แหละอันตราย ใครจะไปอยู่ให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มุดออกมาจากสะดืออีกรอบกันวะ!
“บอกให้ปล่อย!”
ผมเหวี่ยงหมัดอีกมือหนึ่งใส่หน้าหล่อๆ นั่นทันที กะว่าพอต่อยแล้วเขาหงายหลังไป จะใช้โอกาสนี้หนีเอาตัวรอด หากแต่พอปล่อยหมัดไป เขาก็ใช้มือที่ว่างอยู่รับหมัดหน้าตาเฉย
“นอนพักซะ”
“ปล่อยสิวะไอ้เวรเอ๊ย!”
ผมชักจะหมดความอดทน เหลือบไปเห็นไม้เบสบอลที่วางพิงกำแพงใกล้ๆ พอดีเลยคว้ามาถือ ตั้งใจว่าจะฟาดกระหน่ำไปยังคนตรงหน้าอีกครั้ง ทว่าในวินาทีที่ง้างไม้ขึ้น ความวิงเวียนก็จู่โจมผมโดยไม่ทันตั้งตัว จนผมมองเห็นภาพตรงหน้าเลือนราง เซถลาไปทรุดลงบนพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไปพร้อมกับเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน
“บอกแล้วว่าร่างกายเจ้ายังไม่คืนสภาพ เจ้ามนุษย์โลก”
-------------------------------
เป็นการเจอกันครั้งที่ 2 ระหว่างพระเอกกับนายเอกที่น่าประทับใจมากมาย เจอรอบแรก พระเอกตาย เจอรอบสอง พระเอกแหวกสะดือนายเอกออกมา 555 ที่บอกไว้ว่านายเอกถูกพระเอกวางไข่ แล้วคลอดออกมาเป็นพระเอกก็คือแบบนี้นี่แหละค่ะ ส่วนเหตุผลอะไรนั้นเดี๋ยวมาต่อในตอนหน้านะ
กระซิบเบาๆ ว่าเรื่องนี้นายเอกออกแนวหยาบคายกร้านโลกนิดนึงนะคะ ส่วนพระเอกก็มึนๆ อึนๆ เกรียนหน้าตายไปตามเรื่อง
นิยายเรื่องนี้หลุดโลกแปลกๆ นิดนึง เขียนสนองนี้ดคนแต่งล้วนๆ ไม่ได้เขียนนิยายแบบตามใจตัวเองมานาน
นิยายเรื่องนี้ไม่ต้องการเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นะคะ เพราะมันเป็นแฟนตาซี (มันมีเหตุผลในตัวของมันอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง)
หนูแดงพยายามจะเขียนให้ออกมาเป็นคอมเมดี้ อ่านขำๆ ไม่รู้ว่าจะคอมเมดี้มั้ย ส่งฟีดแบ็กกันได้นะคะ ^^
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 22:45:17
 
Episode 02: The host

ไม่รู้ว่าผมหมดสติไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่มีอะไรบางอย่างเป็นแท่งๆ ยัดลงมาในปากผม และพอผมลืมตาขึ้น ก็เห็นนิ้วชี้ของไอ้คนที่แหกสะดือผมออกมาคาปากอยู่ คาปากเฉยๆ ยังไม่เท่าไหร่ นี่มีน้ำอะไรใสๆ ไหลออกมาจากปลายนิ้วด้วยก็ไม่รู้ แย่ไปกว่านั้นคือ ผมดันดูดอย่างเมามันส์ประหนึ่งดูดจุกนมก็ไม่ปาน
“อะไรวะเนี่ย!”
ผมรีบเด้งตัวขึ้นบ้วนน้ำลายผสมกับน้ำรสหวานปะแล่มที่อบอวลอยู่ในปากทิ้งอย่างไม่ไยดี พลันถอยกรูดไปจนติดหัวนอน หัวสมองคิดทบทวนพลันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ก่อนจะระลึกได้ว่าก่อนหน้านี้ผมสลบไปหลังจากถูกไอ้หน้าตายที่นั่งอยู่ข้างเตียงแหกสะดือออกมา เท่านั้นก็ตัวสั่นงันงกขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์
“สารอาหารจากร่างกายข้า มันจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น” หากแต่หมอนั่นไม่สะทกสะท้านกับท่าทางของผม นอกจากชูนิ้วชี้ที่ผมดูดไปเมื่อครู่ขึ้น
น้ำสีใสแจ๋วหยดแหมะออกจากปลายนิ้วเขาตกลงบนผ้าปูเตียงสีขาวเป็นดวง ผมมองแล้วก็เกิดอาการคลื่นเหียนขึ้นมาพลัน
รู้สึกดีกับผี! ขยะแขยงเป็นบ้า! น้ำอะไรของมันเนี่ย!
ผมเอานิ้วล้วงคอแทบจะในทันใด พยายามขย้อนของในกระเพาะออกมาเต็มแรง แต่ก็มีเพียงน้ำลายเท่านั้นที่ออกมา นั่นก็เพราะวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้กินอะไรไปเลยแม้แต่น้อย ขย้อนจนน้ำหูน้ำตาไหลได้พักหนึ่ง หมอนั่นก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก
“ไม่เป็นไรหรอก สารอาหารจากร่างกายข้าเข้าได้กับทุกชาติพันธุ์ในจักรวาล”
นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอวะว่าที่ผมสำรอกจะเป็นจะตายนี่เพราะอะไร มันไม่ได้เกี่ยวกับเข้าได้หรือไม่ได้เว้ย แต่มันขยะแขยง!
ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจน้ำบ้าๆ ที่ถูกยัดเยียดเข้าปากตอนไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่นัก ที่สำคัญมากกว่านี้ก็คือ หมอนี่เป็นใครและเป็นตัวอะไรต่างหาก!
“นะ...นายเป็นใคร” เท่านั้นผมก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาก็ปราดมองสำรวจร่างกายเขาไปด้วย
จากการประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ แล้ว หมอนี่น่าจะสูงเกือบ 190 เซนติเมตรได้ ร่างกายกำยำสูงใหญ่กอปรกับหน้าตาหล่อชวนฝันทำให้สาวๆ หลงใหลหลงใหลได้ไม่ยาก แถมยังแก้ผ้าล่อนจ้อนอีกต่างหาก ดูดีๆ เนื้อตัวยังมีคราบเมือกแห้งๆ ติดอยู่เลย เห็นแล้วก็ชวนให้อยากล้วงคออีกรอบเป็นบ้า
“ข้าไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ของดาวนี้ แต่ข้ามาจากดาวที่ห่างจากดาวของเจ้าสิบห้าพันล้านปีแสง”
หัวสมองผมประมวลผลคำพูดของเขาทันที
ไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ของดาวนี้ ก็แสดงว่า...
“มะ...มนุษย์ต่างดาว...” ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อหู
เขาพยักหน้ารับ “ถ้าเป็นภาษาของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินล่ะก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่ เผ่าพันธุ์ในจักรวาลจะเรียกพวกข้าว่าชาวยูนิกม่า เพราะดาวของข้าชื่อว่ายูนิกม่า”
ผมทำหน้าไม่เชื่อพลัน แต่ถึงจะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันเหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติมากหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใดๆ จะมาอธิบายได้แล้ว นี่ถ้าไม่ได้มาเจอกับตัวล่ะก็ ใครเล่าให้ฟัง ผมก็คงจะด่าว่าบ้าไปแล้ว ร้ายกว่านั้นก็คือ... มันโผล่มาที่โลกทำไม
และเพราะท่าทางของผมแสดงออกชัดเจนว่าหวาดกลัวเขาชัดเจน เขาจึงรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป
“ข้ามาเยือนดาวของเจ้าก็เพราะภารกิจบางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ามาอย่างสันติ ไม่ทำอันตรายคนของดาวเจ้าทั้งนั้น”
“สันติตรงไหนวะ ผุดออกจากสะดือให้เห็นกันจะๆ นี่ ไม่มีใครเรียกว่าสันติแล้ว” ผมพึมพำออกไปอย่างลืมตัว
เขามองหน้าผมนิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาด้วยเกรงว่าเขาจะทำอันตรายขึ้นมา พลันคว้าหมอนที่อยู่ใกล้ๆ มากอดแน่นบังร่างตัวเองเอาไว้ เผื่อว่าถ้าถูกจู่โจม อย่างน้อยๆ หมอนก็น่าจะบรรเทาแรงปะทะได้ไม่มากก็น้อย
แต่ผิดคาด เขาไม่ได้จู่โจมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากว่าหน้าตายเท่านั้น
“เรื่องนั้นข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาท ปกติชาวยูนิกม่าจะไม่กระทำอย่างที่ข้าทำ เราจะขออนุญาตก่อน เมื่อได้รับการยินยอม เราถึงจะวางไข่ แต่ที่ข้าไม่ได้รอให้เจ้ายินยอมก่อนนั้น เป็นเพราะอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ข้าจึงต้องทำเช่นนั้น”
วางไข่อีกแล้ว ถ้าจำไม่ผิด หมอนี่พูดว่าวางไข่ให้ผมได้ยินจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วมั้งเนี่ย
“ละ...แล้วไอ้วางไข่นี่คืออะไร” ผมถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“การวางไข่คือวิธีการสืบพันธุ์ของชาวยูนิกม่า” เขาว่าแล้วอธิบายยาว “การสืบพันธุ์ของชาติพันธุ์เราสามารถสืบพันธุ์ได้โดยการวางไข่ผ่านทางปากให้กับอีกฝ่าย อย่างที่ข้าทำกับเจ้า”
ผมนึกถึงวัตถุทรงกลมขนาดเท่าถั่วแมคคาเดเมียที่กลืนลงไปเมื่อคืนขึ้นมาทันที
ยะ...อย่าบอกนะว่าไอ้นั่นคือไข่หมอนี่น่ะ แล้วไอ้ที่จู่ๆ ผมก็พุงป่องขึ้นมาน่ะ ก็คือการตั้งท้องหมอนี่ใช่มั้ย!?
ผมลมแทบจะใส่เมื่อนึกถึงอาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นี่ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย มาตั้งทงตั้งท้องอะไร แถมยังตั้งท้องมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย กินไข่มันเข้าไปแล้วก็คลอดออกมาเป็นมันอีกที คุณพระคุณเจ้า! ฝันร้ายชัดๆ!
“ไม่ต้องกังวลไป ครั้งแรกก็จะตกใจเช่นนี้ แต่การฟักตัวและคลอดของชาวยูนิกม่าไม่ทำให้ผู้ตั้งครรภ์เจ็บปวดหรือเป็นอันตรายใดๆ ทั้งนั้น เพราะเมือกของตัวอ่อนที่หลั่งออกมาจะทำให้เส้นประสาทที่สัมพันธ์กับความเจ็บปวดเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ และยังทำให้ผิวหนังหน้าท้องยืดและหดได้ ทุกอย่างจะกลับคืนเหมือนเดิมเมื่อคลอดออกมาแล้ว อีกทั้งการเจริญเติบโตก็ตัวอ่อนก็มีระดับการเติบโตในครรภ์จำกัด ต่อให้ตัวใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่เกินกว่าผู้ตั้งครรภ์จะรับไหว แต่จะมาขยายใหญ่เมื่อสัมผัสชั้นบรรยากาศด้านนอกอีกครั้ง อย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย” เขาโพล่งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะร้องไห้ออกมาให้ได้
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่อันตรายหรือไม่อันตรายเว้ย มันอยู่ที่จู่ๆ นายที่เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้โผล่มาทีละส่วนจากสะดือของชาวบ้านต่างหาก แม่งอย่างกับหนังสยองขวัญเกรดบี ใครไม่เสียสติก็บ้าแล้ว” ผมก่นด่ายาวอย่างลืมตัว “ที่สำคัญ ฉันเป็นผู้ชายเว้ย ท้องอย่างนี้ยังมีหน้ามาเรียกว่าปกติได้อีกเหรอวะ”
แล้วก็ตบท้ายด้วยอาการหัวเสียสุดๆ ที่หมอนี่ทำท่าเหมือนทุกอย่างปกติ
“สำหรับชาวยูนิกม่าแล้ว ไม่ว่าจะเพศชายหรือหญิงก็สามารถวางไข่และตั้งท้องได้ทั้งนั้น เพราะการตั้งท้องของชาวยูนิกม่าไม่จำเป็นต้องอาศัยมดลูกอย่างชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินหรือชาติพันธุ์บางพันธุ์ เพียงอาศัยกระเพาะอาหารซึ่งเป็นอวัยวะหลักของสรีระชาติพันธุ์ในอวกาศทุกพันธุ์ในการดูดซึมอาหารก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว”
ผมอ้าปากค้าง มิน่า ทำไมหมอนี่ถึงได้ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ตั้งครรภ์บ้านมันได้ทั้งชายทั้งหญิง แถมยังโตในกระเพาะอาหาร แม่งมนุษย์ต่างดาวจากดาวโฮโมฯ ชัดๆ!
“และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอ่อนเพลียหลังคลอด เจ้าสูญเสียสารอาหารในร่างกายไป ข้าจึงชดเชยคืนให้โดยการให้เจ้าดูดสารอาหารจากข้า” หมอนั่นยังพล่ามต่อ
ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างเสียสติทันทีที่นึกถึงน้ำสีใสที่ไหลจากปลายนิ้วชี้ของเขา
“จะบ้าตาย อะไรวะเนี่ย”
เขามองผมนิ่งจนผมต้องละมือลง แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด พลันถามเขาอย่างเอาเรื่อง
“แล้วนี่นายต้องการอะไรถึงได้มาที่โลกมนุษย์”
“ก็บอกแล้วว่ามาเพื่อภารกิจบางอย่าง”
“วางไข่เนี่ยนะ?” ผมย่นคิ้วยู่ หากแต่เขาส่ายหน้าพลัน
“วางไข่เป็นเพียงการเอาตัวรอดในดาวที่มีชั้นบรรยากาศต่างจากดาวของข้ากับขยายเผ่าพันธุ์เท่านั้น ข้ามาเพื่อภารกิจอย่างอื่น”
ผมปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าหมอนี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร เดี๋ยววางไข่ เดี๋ยวดาวยูนิกม่า เดี๋ยวภารกิจ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะบ้าเข้าไปทุกทีเลยให้ตาย
“จะอะไรก็ช่าง ถ้านายหมดธุระกับฉันแล้วก็ไสหัวไปซะ จะกลับดาวไปก็ได้ ไปไหนก็ไป ไม่ต้องโผล่มาที่นี่อีก” ผมตัดบทเอาดื้อๆ พลันขับไล่ไสส่งอย่างไร้เยื่อใย
ก็ควรจะไล่อยู่หรอก ขืนให้มันอยู่ต่อ มีหวังมันได้ทำให้ผมช็อคตายแน่
หากแต่หมอนั่นไม่หือไม่อือ เอาแต่มองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเผยอปากออกมา
“ข้ายังไปไม่ได้”
“แล้วนายต้องการอะไร” ผมย่นคิ้วยู่ เชื่อเลยว่าตอนนี้หน้าผมยับยิ่งกว่าผ้าที่หมกไว้ในตู้และยังไม่ได้รีดไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้านัก เพียงแค่ต้องการพึ่งพาสักระยะเท่านั้น”
พึ่งพา? พึ่งพาอะไรวะ? หมายถึงมาขออยู่ด้วยแบบนี้น่ะเหรอ เหย... ใครมันจะไปยอมวะ แหกสะดือกันซึ่งๆ หน้าแล้วยังมาขออยู่ด้วยหน้าด้านๆ อีก ให้อยู่ด้วยก็บ้าแล้ว!
“ไม่ให้พึ่งพาอะไรทั้งนั้นแหละ จะไปไหนก็ไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่ามนุษย์โลกใจร้ายไม่ได้นะเว้ย!” ผมเดือดดาลเอาก็ตอนนี้ หันซ้ายหันขวาหาของมาขว้างใส่เขา พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างหัวเตียง
หากแต่พอขว้างใส่แล้ว หมอนั่นกลับรับมันไว้ได้ทันและออกแรงบีบจนนาฬิกาแตกออกเป็นเสี่ยงด้วยมือเพียงข้างเดียว
ผมอ้าปากค้างพร้อมกับเสียวสันหลังวาบ
นะ...นอกจากจะท้องไม่เลือกเพศแล้ว ยังมีพลังมหาศาลอีกเหรอเนี่ย!?
“ก็บอกว่ายังไปไม่ได้”
“ทะ...ทำไม ก็หมดธุระกับฉันแล้วนี่ ฉันให้นายวางไข่ก็ทำแล้ว คลอดนายก็ทำแล้ว จะเอาอะไรอีก” ผมว่าเสียงเครือ กลัวเหลือเกินว่าหมอนั่นจะเอามือมาบีบกะโหลกผมแหลกคามือ
หมอนั่นยังคงมองผมนิ่งๆ เช่นเคย ก่อนจะว่าออกมา
“อย่างที่บอกว่าข้าต้องพึ่งพาเจ้าสักระยะ ข้าไม่อาจอยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์สีน้ำเงินได้เกินเจ็ดวัน จำต้องลอกคราบและฟักตัวใหม่ ไม่เช่นนั้นข้าจะตาย ซึ่งการทำเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องมีร่างฝากเพื่อการเจริญเติบโต และนั่นหมายความว่าข้าต้องพึ่งเจ้า”
ภาพหนังเอเลี่ยนที่มันใช้ลิ้นเจาะฝากไข่กับมนุษย์แล้วตัวอ่อนเจริญเติบโตโดยการกินสารอาหารจากร่างกายมนุษย์ฉายแวบขึ้นมาในหัวผมทันที แต่ในหนังจะน่ากลัวกว่าหน่อยตรงที่เอเลี่ยนพวกนั้นมันแหวกอกคนที่ถูกวางไข่ออกมาหน้าด้านๆ ทว่าหมอนี่ทำแค่แหวกสะดือ แต่ถึงอย่างนั้น การแหวกสะดือนี่ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่หน้าด้านและไร้ยางอายเช่นกัน ถึงผมจะพอเข้าใจแล้วว่าที่หมอนี่วางไข่ใส่ผมก็เพราะมันเป็นวิธีการเอาชีวิตรอดของเขาก็ตาม
“ก็ไปหาร่างฝากที่อื่นสิวะ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” ผมโวยวายลั่นถึงจะพอเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาแล้ว
“เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่โผล่มาตอนข้ากำลังจะตาย ข้าจึงจำต้องใช้เจ้า และเจ้าก็เป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า ข้าจึงจำเป็นต้องใช้เจ้าต่อไปอีกเช่นกัน การเปิดเผยตัวตนมากจนเกินไปไม่เป็นผลดีกับข้ามากนัก เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่รบกวนเจ้านานนักหรอก เพียงแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังวางไข่ ข้าก็ฟักตัวแล้ว”
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การตั้งท้องยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ปัญหามันอยู่ที่ทำไมผมต้องไปรับอุ้มท้องให้มันด้วย!
“แล้วทำไมไม่ไปฝากร่างกับไอ้คนที่แทงนายตั้งแต่แรกเล่า!” ผมนึกถึงมีดที่ปักอยู่ข้างตัวเขาขึ้นมาได้ฉับพลัน ตอนที่โดนแทงก็น่าจะวางไข่ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถือว่าเอาคืนไปซะก็หมดเรื่อง
“ข้าวิ่งตามไม่ทัน” เขาว่าออกมาหน้าตาย
คำตอบของเขาทำให้ผมแทบจะทึ้งผมตัวเองรัวๆ ไอ้เอเลี่ยนนี่แม่งโคตรจะซื่อบื้อเลย หน้ามึนหน้าด้านยังไม่พอ ยังจะทึ่มอีก!
“แล้วนายไปถูกแทงมาได้ยังไง” ผมพยายามสงบสติอารมณ์ ซักถามเขาออกไป
“ข้าเพิ่งจะมาถึงดาวของเจ้าก่อนจะพบเจ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง พอมาถึง ข้าก็พลัดหลงกับพรรคพวกจึงเตร็ดเตร่ถามทางจนพบกับมนุษย์ผู้นั้น แต่ถูกมนุษย์นั่นถามหาบางสิ่งที่เรียกว่าเงินกับข้า พอข้าบอกว่าไม่มีก็ถูกทำร้ายอย่างที่เห็น”
“จากนั้นนายก็มาโผล่หลังไนท์คลับเนี่ยนะ เข้ามาได้ยังไงวะ” ผมทำหน้างงหนัก ก็ไนท์คลับที่ผมไปเมื่อคืนมันเปิดให้เฉพาะนักท่องราตรีที่เป็นสมาชิกระดับวีไอพีเท่านั้นนี่ ขนาดผมที่ไปบ่อยๆ ยังต้องมีคนพาเข้าเลย ไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบัตรวีไอพีอะไรเทือกนั้น ต้องมีคนพาเข้ามาเหมือนกันแน่ๆ
แต่แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้ผมต้องตีหน้ายุ่ง
“ข้าเห็นมันอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุจึงเดินเข้าไปพัก จากการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์โลกในดาวข้า ว่ากันว่าหากทำตัวนิ่งๆ และวางท่าเหมือนคุ้นเคยก็จะไม่มีใครสงสัย ข้าจึงเข้ามาได้โดยง่าย เพียงแค่เดินเข้ามาเฉยๆ เท่านั้น”
อีแบบนี้เค้าเรียกทำเนียนหน้าด้านๆ! มิน่าล่ะถึงได้ผ่านมาได้ง่ายนัก แต่ก็อย่างว่าแหละ พวกการ์ดที่นั่นมองรูปลักษณ์ของแขกที่มาเที่ยวเป็นหลัก ถ้าเห็นท่าทางภูมิฐานหน้าตาดีหน่อยก็ไม่เอะใจสงสัยอะไรแล้ว แต่ก็น่าแปลกนะที่พวกการ์ดไม่ได้เอะใจไอ้บอดี้สูทมันๆ เลื่อมๆ ที่เขาใส่ตอนแรกเลยแม้แต่น้อยว่ามันประหลาด หรือว่าเพราะเห็นหน้าหล่อจัดก็เลยปล่อยผ่านไปเฉยๆ? โคตรจะไม่แฟร์กับผมเลยว่ะ ผมแต่งตัวดีทุกครั้งที่ไปที่นั่นนะ แต่ก็ไม่เคยเข้าได้ด้วยตัวเองสักที
“แล้วร่างเก่าของนาย...?” ผมถามเมื่อนึกถึงร่างไร้ลมหายใจของเขาขึ้นมาได้
“ย่อยสลายไปแล้ว หลังจากวางไข่ก็จะย่อยสลายไปในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง” เขาตอบเรียบๆ
ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงไม่มีใครมาเห็นร่างของเขา ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ผมคงไม่มานั่งกังวลเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ทั้งวันหรอก บัดซบเอ๊ย!
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ให้นายมาวางไข่ใส่ฉันอีกไม่ได้ นายจะเป็นจะตายมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉัน ไสหัวไปได้แล้ว” สุดท้าย ผมก็วกกลับมาเข้าเรื่องอีกครั้งพลันโบกมือไล่เขาอย่างกับหมูกับหมา
แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าหมอนี่มันหน้าด้านจะตาย ปฏิเสธหน้ามึน ทำเอาเส้นความอดทนข้างขมัยผมเต้นกระตุกยิกๆ
“ไปไม่ได้ บอกแล้วว่าข้าจะเปิดเผยตัวตนกับมนุษย์โลกมากเกินไปไม่ได้ มันอันตรายต่อข้า”
“แล้วมาวางไข่ใส่ฉันมันไม่อันตรายหรือไงวะ!” ผมแผดเสียง ชักจะหัวเสียมากขึ้นเมื่อหมอนี่ไม่ยอมฟังใดๆ เลย แล้วก็เปลี่ยนเป็นใจหายวาบทันทีที่ถูกขู่
“มันจะอันตรายเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าพึ่งพา เพราะข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง รู้ตัวตนของข้าแล้วไม่อาจปล่อยไปได้”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก โดนมันวางไข่ แถมคลอดมันออกมายังไม่พอ ยังโดนขู่ฆ่าด้วย!
สีหน้าหมอนั่นบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดเล่น คิดถึงตอนเห็นหมอนั่นบีบนาฬิกาแหลกคามือแล้ว ผมก็กลัวตายขึ้นมาฉับพลัน และด้วยความกลัวตาย ผมจึงหลุดปากตอบตกลงโดยแทบไม่ทันคิด
“กะ...ก็ได้ แต่อยู่ด้วยกันจะต้องทำตามกฎกติกาของฉันเข้าใจมั้ย”
“ไม่มีปัญหากับข้อเสนอ ขอเพียงอย่างเดียว ขอให้ข้าได้วางไข่เจ้าอาทิตย์ละครั้งก็พอ”
ผมก็ตั้งใจจะบอกว่ากติกาของการอยู่ร่วมกันคือห้ามวางไข่นี่แหละ แต่มันดันชิงพูดออกมาเสียก่อน
“ถ้าสมมตินะ สมมติว่าฉันไม่ยอมให้นายวางไข่ล่ะ” ผมลองแย็บถามเผื่อว่าจะหาทางหนีทีรอดได้
ก็ใครมันจะไปยอมให้หมอนี่ผุดออกจากสะดือเป็นครั้งที่สองกันล่ะ ฝันไปเลย!
“ถ้าไม่ให้ข้าวางไข่ ข้าก็จะตาย บอกไปแล้ว จำไม่ได้รึ”
“อ้อ...” ผมแกล้งลากเสียงยาว ในหัวมีความคิดดีๆ แวบขึ้นมา
ความจริงหนทางกำจัดหมอนี่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเท่าไหร่แฮะ แค่ตอนที่หมอนี่จะวางไข่ ผมก็แกล้งออกจากบ้านแล้วขังหมอนี่ไว้ในบ้านทั้งวัน พอหมอนี่ไม่ได้วางไข่ก็ตาย แค่นั้นผมก็จะเป็นอิสระ
“แต่ถ้าเจ้ามีแผนหนียามข้าต้องวางไข่ล่ะก็ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าจำกลิ่นกายของเจ้าได้ ประสาทสัมผัสของชาวยูนิกม่าดีกว่ามนุษย์โลกหลายเท่านัก ต่อให้เจ้าหนีไปสุดหล้าอวกาศ ข้าก็ตามเจ้าเจอ” แล้วมันก็พูดดักคอผมขึ้นมาอีก
ผมบุ้ยปากด่ามันพึมพำทันใด
หน็อย... ดันมารู้ทันซะได้ งั้นเอาเป็นว่าไม่ยอมให้มันวางไข่ก็แล้วกัน
“และถ้าเจ้าไม่ให้ข้าวางไข่ล่ะก็ ข้าก็จะขืนใจเจ้า” สุดท้ายก็รู้ทันผมอีกอยู่ดี
และคำพูดของหมอนี่ก็ทำให้ผมหันไปมองหน้าหล่อๆ นั่นแบบเหวอๆ
ขืนใจวางไข่นี่มันพิลึกเกินไปแล้ว!
“เออๆ เอาเป็นว่าฉันให้นายอยู่ด้วยก็แล้วกัน เรื่องกฎกติกาอะไรนี่เดี๋ยวฉันคิดได้แล้วจะบอกนายอีกที” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ก่อนที่ประสาทจะเสียไปมากกว่านี้ พลันยื่นมือไปให้จับทักทาย
ตอนนี้ยังหาทางหนีมันไม่พ้น ก็ผูกมิตรไปก่อนจะดีกว่า
“ฉันชื่อกวินทร์ จะเรียกเควินก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก”
หมอนั่นหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ยอมรับเลยว่าใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มนั่นดูดีเป็นบ้า และมันก็เกือบทำให้ผมเป็นบ้าที่พอผมยื่นมือไปให้หมอนั่นจับ หมอนั่นก็คว้ามือผมไปดูดนิ้วชี้ดังจ๊วบ
“ข้าชื่อคีทาเย ซาเคมอร์ฟ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
ทักทายบ้านมึงเค้าทำกันแบบนี้เหรอฟะ!
ผมรีบดึงมือกลับมา เช็ดน้ำลายหมอนั่นกับขากางเกงเป็นวรรคเป็นเวร
ให้ตายเถอะ ขยะแขยงเป็นบ้า ทำไมผมต้องมาเจอตัวประหลาดอะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้!
 
แต่สุดท้ายก็ได้แค่บ่นในใจเท่านั้น เพราะหลังจากทำความทักทายกันและกันเสร็จ ผมก็มาจัดการหาเสื้อผ้าให้หมอนั่นใส่เป็นที่เรียบร้อย ไม่ต้องถามเลยว่าหมอนั่นใส่เสื้อผ้าผมได้มั้ย
มันก็ต้องไม่ได้อยู่แล้ว รัดปลิ้นไปทุกสัดส่วนตั้งแต่ลิ้นปี่ถึงคอหอยอย่างนั้นไม่เรียกว่าใส่ได้หรอก! ตัวจะใหญ่ไปไหนก็ไม่รู้!
“ฉันว่าเสื้อนั่นไม่พอดีตัวนายเลยแฮะ” ผมชี้นิ้วไปทางเขาหลังจากเอาเสื้อยืดตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมมีให้เขาใส่ จากเสื้อที่หลวมโพรกสำหรับผม พออยู่บนตัวเขากลับกลายเป็นเสื้อเอวรัดรูปกึ่งเอวลอย มองยังไงก็เหมือนพวกตุ๊ดแก่ในบาร์เกย์ชัดๆ
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น” หมอนั่นเห็นด้วยเมื่อพยายามดึงชายเสื้อลงมาคลุมหน้าท้องเต็มไปด้วยลอนกล้ามของตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผล
“งั้นก็ใส่แค่บ็อกเซอร์ไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันหาเสื้อผ้าให้ใหม่”
พอผมพูดอย่างนี้ หมอนั่นก็ถอดเสื้อยืดทิ้งลงพื้น เหลือแต่บ็อกเซอร์เอวย้วยๆ ที่มัดด้วยยางรัดผมข้างเอวเดินร่อนไปร่อนมาทั่วห้องสำรวจโน่นนี่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะหันมาหาผม
“ข้าหิวแล้ว”
ผมถอนหายใจพรืดเต็มแรง เหนื่อยใจกับมันฉิบ ไม่รู้ทำไมผมจะต้องมาทำหน้าที่แม่ให้หมอนี่ด้วยก็ไม่รู้ โดนวางไข่ไม่รู้ตัวแล้วคลอดมันออกมา ไม่ได้หมายความว่าจะยอมเป็นแม่ให้ด้วยนะโว้ย!
“หิวก็ไปหาอะไรกินเองในตู้เย็นโน่น ฉันไม่ใช่แม่นายนะถึงต้องมาตามกวาดตามเช็ดงกๆ” ผมโพล่งไปแทบจะในวินาทีนั้น
หมอนั่นย่นคิ้วเล็กน้อย “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นแม่ข้า คลอดโดยการฝากไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ ชาวยูนิกม่าจะเรียกเจ้าว่าโฮสท์ หากเจ้าถูกวางไข่ที่ผ่านการปฏิสนธิกับน้ำเชื้อแล้ว นั่นถึงจะกลายเป็นแม่พันธุ์เต็มตัว”
ผมจินตนาการภาพตาม... แค่วางไข่ธรรมดาๆ ยังใช้วิธีการป้อนทางปาก แล้วถ้าผสมกับน้ำเชื้อ วิธีการวางไข่ก็ต้องป้อนทางปากอีกเหมือนกันใช่มั้ย? คิดแล้วก็คลื่นไส้ฉิบเป๋ง
“เออ จะเรียกอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าของกินอยู่ในตู้เย็น หากินเองก็แล้วกัน” ผมบอกปัดไปให้พ้นๆ
แต่หมอนั่นกลับไม่เดินไปที่ตู้เย็นในครัว เดินเข้ามาหาผมที่กำลังรวบผมระต้นคอของตัวเองขึ้นแล้วผูกด้วยยางรัดผมแทน
“เดินมาทำไม อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักตู้เย็น?” ผมรีบพูดขึ้นก่อนที่หมอนั่นจะเข้ามาใกล้กว่านี้ แต่ไม่ทันแล้ว หมอนั่นมาหยุดยืนตรงหน้าผมเป็นที่เรียบร้อย
“ข้าไม่กินอาหารมนุษย์”
“แล้วจะกินอะไร อาหารหมา?” ผมพ่นคำพูดไปอย่างรำคาญ
“ข้ากินสารอาหารจากโฮสท์” ไอ้คนที่ชื่ออะไรเยๆ ว่า
ผมย่นคิ้วยู่ แล้วยื่นนิ้วชี้ให้มัน “เอ้า ดูดซะ”
หมอนั่นมองหน้าผมงงๆ ไปครู่หนึ่ง
เอ้า! ผิดอะไรล่ะ ก็ตอนที่หมอนี่ให้สารอาหารผม ยังให้ผ่านปลายนิ้วชี้เลยนี่ ตอนกินสารอาหารจากผมก็น่าจะดูดจากทางนี้เหมือนกันนี่หว่า
“สรีระของมนุษย์โลกไม่สามารถหลั่งสารอาหารได้ทางนี้” ในที่สุด เขาก็พูดออกมา
“แล้วจะกินทางไหนฮะ” ผมชักจะหัวเสีย มองหน้าอย่างเอาเรื่อง ก่อนหมอนั่นจะยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าผมแล้วดึงเข้าไปใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ
“ทางนี้” ว่าจบแล้วก็ประกบจูบลงมาทันใด
ผมเบิกตาโพลงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกขโมยจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่สิ... นี่ไม่เรียกว่าจูบ เรียกว่าสูบเหอะ! แถมจูบอย่างเดียวไม่พอด้วยนะ ยังดันลิ้นนุ่มเข้ามาในโพรงปากผมอีก ตวัดกลืนกินบางสิ่งในปากผมอย่างคล่องแคล่วจนเพลย์บอยอย่างผมอยากจะชูฮกเลยว่าหมอนี่จูบเก่งเป็นบ้าถ้าไม่ติดว่าผมเป็นผู้ชาย และมันก็เป็นผู้ชาย ที่สำคัญ มันกำลังกินสารอาหารจากร่างกายผมอย่างนี้เนี่ย!
ผมดิ้นขลุกขลัก พยายามหนีออกจากการเกาะกุม แต่ก็สู้แรงจากหมอนี่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่ายิ่งดิ้น เรี่ยวแรงก็หดหาย ซ้ำยังถูกหมอนั่นจูบหนักหน่วงขึ้นอีกด้วย เนิ่นนานทีเดียวที่หมอนั่นจูบผมอย่างดูดดื่ม กว่าจะผละออกมาได้ ผมเล่นเอาผมอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง พอเป็นอิสระ ผมก็เซไปเกาะโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ รอให้อาการวิงเวียนเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมาฉับพลันหายไป
หากแต่หมอนั่นเห็นผมเซแท่ดๆ แล้วก็ยังยืนเฉย แถมยังว่าออกมาหน้าตาเฉยอีกต่างหาก
“เดี๋ยวก็หาย เวียนหัวเป็นเรื่องปกติ”
ยังมีหน้ามาพูด! ดูดขนาดนี้ ดูดหัวเข้าไปเลยเถอะพับผ่าเอ๊ย!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 22:46:57
Episode 03: Alien’s guru [1]

พอหายเวียนหัว ผมก็ต้องถ่อสังขารไปซูเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ ที่พักเพื่อซื้อเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ให้หมอนั่น ดีที่ผมซื้อเสื้อผ้าบ่อย แถมยังเป็นคนเลือกให้เพื่อนผู้ชายหลายๆ คนที่ไร้เซ้นส์แฟชั่นอีก แค่ประเมินจากสายตาก็กะขนาดไซส์ของไอ้คนชื่อแปลกนั่นได้แล้ว
ผมรีบกลับมาที่ห้องพร้อมเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หมอนั่นใส่ จริงๆ มันก็เป็นแค่เสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงยีนส์ยี่ห้อตลาดๆ ที่ผมไม่ใส่เท่านั้นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพออยู่บนตัวหมอนี่แล้วดูดีเป็นบ้า บอกเลยว่าตอนนี้หมอนี่ไม่เหลือคราบมนุษย์ต่างดาวในชุดบอดี้สูทเงาเลื่อมเลยแม้แต่น้อย ถ้าเดินไปแถวย่านแฟชั่นสักหน่อย ต่อให้เป็นชุดบ้านๆ แบบนี้ ผมก็รับรองได้ว่าต้องมีโมเดลลิ่งมาแจกนามบัตรให้แน่นอน
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมมองหมอนั่นแล้วตระหนักได้ว่าหมอนี่เป็นตัวอะไร ผมพอจะทำใจยอมรับได้บ้างแล้วล่ะเรื่องที่หมอนี่เป็นมนุษย์ต่างดาว เพราะก็เชื่ออยู่ลึกๆ อยู่เหมือนกันว่านอกจากโลกแล้ว ก็น่าจะยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นอีก แค่ไม่นึกไม่ฝันว่าสักวันจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผมเท่านั้น
ผมกอดอกมองหมอนั่นเดินว่อนไปมาในห้องอย่างพินิจ
โอเค ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมก็ต้องรู้ข้อมูลของหมอนี่เอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ตอนนี้เท่าที่ผมรู้คือ...
หนึ่ง... หมอนี่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกได้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ หลังจากนั้นจะต้องวางไข่โดยใช้มนุษย์โลกเป็นโฮสต์ในการสร้างร่างใหม่ แถมยังเจริญเติบโตได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงและคลอดออกมาโดยการแหกสะดือโฮสต์
สอง... หมอนี่ไม่กินอาหารเหมือนมนุษย์ แต่กินสารอาหารจากโฮสต์โดยผ่านทางปาก และแน่นอนว่าการถูกมันดูดสารอาหารอย่างนั้น ทำให้ร่างกายผมอ่อนเพลียและวิงเวียนมากจนต้องซัดอาหารมื้อใหญ่เข้าไปเป็นการชดเชยภายหลัง
สาม... หมอนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ท้องได้ทั้งชายและหญิง แถมชายกับชายมีอะไรกันก็ท้องได้อีกด้วย
และสี่... หมอนี่มาที่โลกเพื่อทำภารกิจบางอย่าง
ผมไม่รู้ว่าการที่หมอนี่กับพรรคพวกมาที่โลกมนุษย์นั้นมาเพื่ออะไรกันแน่ ถ้าให้ผมเดานะ เอเลี่ยนอย่างหมอนี่ ถ้าไม่มาแพร่พันธุ์ก็ต้องมายึดโลกแน่นอน ประสบการณ์ของผมจากที่เห็นในหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกหลายๆ เรื่องมันบอกมา ถึงแม้ว่าหนังเรื่อง ‘อี.ที. เพื่อนรักจากต่างดาว’ ที่เคยดูตอนเด็กๆ จะไม่ได้บุกยึดโลกและมนุษย์ต่างดาวก็ดูหน่อมแน้มก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ตัวที่อยู่ในห้องผมจะไว้ใจได้นี่หว่า
ปากก็บอกว่ามาอย่างสันติ แต่มาถึงก็วางไข่แล้วพุ่งทะลุสะดือชาวโลกออกมา ดูยังไงก็ไม่สันติสักนิด! ถ้ามันเป็นอย่างเอเลี่ยนที่เคยเห็นในหนังก็คงจะสยองพิลึก อะไรไม่ว่า ผมนี่แหละที่จะโดนมันงาบเป็นคนแรก
ครุ่นคิดอยู่ได้ครู่หนึ่ง ผมก็นึกถึงเพื่อนสนิทในคณะที่เป็นคนจีนขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิด ไอ้หมอนี่เป็นพวกคลั่งหนังแนวมนุษย์ต่างดาวกับสัตว์ประหลาด ไปถามเรื่องเอเลี่ยนก็คงจะพอรู้อะไรบ้างแหละว่าพวกมันจะมาที่โลกกันทำไม
เท่านั้นผมก็เดินไปคว้าโทรศัพท์แล้วโทรหามัน
ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...
ไม่รับ
งั้นส่งข้อความไปแล้วกัน
ส่งข้อความบอกไปลวกๆ ว่าจะแวะไปหาเสร็จ ผมก็เดินไปแต่งตัวที่ห้องนอน ตั้งใจว่าจะแวะไปหาสักหน่อย ทว่าพอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมาปะทะกับไอ้เอเลี่ยนชื่อเรียกยากเข้าอย่างจัง
“จะไปไหน”
“ไปทำธุระ” ผมว่าคิ้วยุ่งๆ หมอนั่นมองผมอย่างจับผิด
“ข้าว่าเจ้าคงจะไปหาใครสักคนคุยด้วยเรื่องข้า”
ทำไมมันรู้ดีจังเลยวะ!
“ก็แค่จะแวะไปหาเพื่อน ถ้าไม่เชื่อจะตามไปด้วยมั้ยล่ะ” ส่วนผมก็ดันเป็นพวกถูกจับได้แล้วไม่ยอมรับ พอโดนรู้ทันอย่างนั้น ผมก็โพล่งออกไปไม่ทันคิด
แล้วอย่าถามนะว่าหมอนั่นจะไปมั้ย... มันก็ต้องไปด้วยแหงอยู่แล้ว!
“ก็ดี ข้าจะได้ไปสำรวจโลกมนุษย์ด้วย”
ปากพล่อยจริงๆ! ถ้ามันไปด้วยอย่างนี้ แล้วผมจะคุยกับเพื่อนได้ยังไง!
“งั้นพอฉันไปถึงอพาร์ตเม้นต์เพื่อน นายก็ไปเดินเล่นแถวๆ นั้นแล้วกัน แยกย้ายกัน ต่างคนต่างไป แล้วค่อยกลับมาเจอกันใต้อพาร์ตเม้นต์อีกสองชั่วโมง” ผมทำเนียนไป เผื่อว่าหมอนี่จะเห็นด้วย
“ไม่” แล้วมันก็แสกหน้าผมเข้าให้อย่างจัง
จริงๆ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องลงเอยอย่างนี้
“แล้วนายจะมาเกาะแกะอะไรฉันหนักหนา ให้วางไข่ก็ให้วางแล้ว คลอดก็คลอดแล้ว แถมยังเป็นเครื่องให้อาหารนายแล้วด้วย ให้ฉันมีเวลาส่วนตัวบ้างเถอะ!” ผมแสร้งทำเป็นเดือดดาล โวยวายใส่ด้วยหวังว่าต่อมสมบัติผู้ดีของมันจะทำงานขึ้นมาบ้าง ถึงจะไม่รู้ว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่จะรู้จักคำว่าสมบัติผู้ดีหรือเปล่าก็เถอะ
แต่ผมคงจะลืมคิดไปว่าหมอนี่มันหน้ามึนขนาดไหน ขนาดไล่แล้วยังไม่ไป นับประสาอะไรกับขอเวลาส่วนตัวอย่างนี้
“ข้าเพิ่งฟักตัวจากไข่ ยังต้องการสารอาหารจากเจ้าอีกมาก มันยังอ่อนแอ ไม่คืนสภาพดีนัก การปล่อยให้เจ้าไปไหนมาไหนตามลำพังแล้วข้าต้องการสารอาหารเมื่อไหร่ หากไม่ได้รับสารอาหารในทันที อวัยวะภายในของข้าจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ต้องรอให้ผ่านไปอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนถึงจะกลับเป็นปกติ”
ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองพลัน นี่หมายความว่าผมต้องยอมให้มันดูดปากอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย!
“แต่ถ้าเจ้ายืนกรานว่าจะขอเวลาส่วนตัว ข้าก็คงต้องกักเก็บสารอาหารจากเจ้ามาไว้ให้เพียงพอก่อน ถึงจะยอมให้เจ้าไปตามลำพังได้” แล้วหมอนี่ก็พูดขึ้นมาอีก พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังเดินเข้ามายกมือประคองใบหน้าผมอีกด้วย
คราวนี้ผมไม่ยอมให้หมอนี่ได้ประกบปากสูบอะไรต่อมิอะไรได้อีก รีบยกมือดันหน้ามันเอาไว้ ก่อนจะรีบร้องบอกอย่างรนๆ
“เออๆ ไปด้วยก็ได้ พอซะที โดนดูดปากจากผู้ชายด้วยติดกันหลายๆ รอบมันไม่น่าพิสมัยนะโว้ย!”
หมอนั่นยอมถอยแต่โดยดี แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ให้ผมย่นคิ้วยู่
“แต่ถ้าข้าต้องการ เจ้าก็ต้องยินยอม ปฏิเสธไม่ได้”
จำเลยรักชัดๆ เลยแม่ง!
ผมทำปากขมุบขมิบ ก่นด่ามันนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าพาหมอนี่ไปให้เพื่อนเจอ รับรองเลยว่าต้องถูกเพื่อนถามแน่ๆ ว่าพาใครมา และผมก็เดาได้เลยว่าไอ้เพื่อนสนิทนั่นมันคงจะคิดว่าผมพาคู่ขามาแน่ๆ
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็มันน่ะคิดอยู่ตลอดว่าผมเป็นโฮโมฯ ผมไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องนั้นเพราะพอเข้าใจอยู่ว่าหน้าตา รูปร่างและการแต่งกายของผมมันส่อไปในทางนั้น แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบใจอยู่ดีที่ได้ยินมันล้ออย่างนั้น ฉะนั้น อย่างน้อยๆ ถ้าจะพาไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่ไปด้วยก็ต้องเตรี๊ยมกันก่อน
“เออนี่ คีธ...” คิดแล้วผมก็พูดออกไปทันที ทว่าหมอนั่นหันมามองผมแล้วสวนคืนฉับพลัน
“ชื่อเต็มของข้าคือ คีทาเย ซาเคมอร์ฟ”
“เรียกยาก ฉันเรียกนายว่าคีธแล้วกัน” ผมตัดบทเอาลวกๆ
หมอนั่นมองหน้าผมก่อนพยักหน้า “ ภาษายูนิกม่าคงจะไม่คุ้นชินกับมนุษย์โลกมากนัก เรียกอย่างนั้นก็ได้”
ไม่ให้เรียกก็จะเรียกโว้ย ชื่อบ้าบอคอแตกอะไรของมัน เรียกโคตรยาก!
“ถ้าไปถึงห้องเพื่อนฉัน นายอย่าไปพูดมากเชียว อย่าพูดแม้แต่คำเดียวด้วยถ้าถูกถามอะไรแปลกๆ เพื่อนฉันคนนี้ไม่ธรรมดา มันเป็นโปรฯ ด้านมนุษย์ต่างดาว ถ้ามันรู้ว่านายมาจากนอกโลกล่ะก็ รับรองเลยว่าความลับของนายรู้กันไปทั่วแน่” ผมแกล้งขู่นิดหน่อยให้เขาเชื่อฟัง
คีทา... เออ มันชื่อคีธแล้วนี่นา... คีธทำหน้านิ่งแล้วก็ว่าเสียงเรียบ
“ไม่ยาก แค่ฆ่าพวกที่รู้ความลับข้าก็สิ้นเรื่อง”
ผมเบ้หน้าใส่ ไอ้หมอนี่มาอย่างสันติแน่เหรอวะ เอะอะขู่ฆ่าลูกเดียวเนี่ย!
“เอาเป็นว่าอย่าทำอะไรให้มีพิรุธแล้วกัน ฉันขี้เกียจแก้ต่างให้ แล้วถ้ามันถามว่าฉันกับนายเป็นอะไรกัน ก็ไม่ต้องไปตอบอะไรแล้วกัน เดี๋ยวเรื่องจะยาว” ผมดักคอเอาไว้เลย
คีธยอมรับข้อเสนอแต่โดยดี ก่อนที่จะตามผมออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังที่พักของเพื่อนสนิทผมทันใด
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 22:48:04
Episode 03: Alien's guru [2]

เพื่อนสนิทผมคนนี้มันชื่อว่า ริชาร์ด หวัง มันเป็นคนจีน แต่สัญชาติอเมริกัน เคยได้ยินมันเล่าว่าพ่อแม่มันพาย้ายมาอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เด็กก็เลยเปลี่ยนสัญชาติไปโดยปริยาย ผมสนิทกับมันเพราะมันเป็นเอเชียคนเดียวในคลาสที่ผมเรียนอยู่ และมันก็ยังเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง เรียกได้ว่ามีงานปาร์ตี้ใหญ่ๆ ที่ไหน ต้องเจอมันที่นั่น แถมมันยังเป็นคนพาผมเข้าวงการนี้อีกด้วย
ที่พักของริชาร์ดอยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก มันเป็นอีกคนที่ไม่ยอมอยู่หอพักนักศึกษาของมหา’ลัยด้วยเหตุผมเดียวกันกับผมก็คือ หอพักนักศึกษาของมหา’ลัยมีกฎระเบียบเยอะ กำหนดเวลาเข้าออก แถมยังแยกชาย-หญิง และจัดงานปาร์ตี้ไม่ได้ ผมกับมันเลยระเห็จมาอยู่กันข้างนอกแม้ว่าจะต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม แต่ผมไม่อยู่กับมันหรอกนะเพราะผมเป็นพวกชอบความเป็นส่วนตัว บางครั้งหิ้วสาวกลับห้องก็ไม่อยากจะให้ใครมารบกวน ริชาร์ดเองก็เหมือนกัน หมอนั่นก็คงไม่อยากให้ใครมารบกวนตอนกำลังเมากัญชาอยู่แน่
ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าหมอนั่นน่ะ นอกจากจะเป็นเจ้าพ่อปาร์ตี้แล้ว เหล้ายากัญชาก็ขอให้บอก แทบจะเปิดร้านขายเองแล้วมั้ง เป็นนักปาร์ตี้คนละสายกับผมโดยสิ้นเชิง สำหรับผมน่ะ แค่มีสาวๆ ให้คั่วก็พอใจแล้ว ไม่ลงไปเกลือกกลั้วกับอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่หรอก (แต่ก็นานๆ ทีน่ะแล้วแต่โอกาส)
ผมมาหยุดอยู่หน้าห้องของริชาร์ด กลิ่นเหม็นฉุนของบุหรี่ผสมกัญชาลอยคละคลุ้งลอดออกมาจากใต้ประตูทำให้ผมรู้ว่าที่หมอนั่นไม่ยอมรับโทรศัพท์ คงเป็นเพราะเมาอยู่แหง ผมเลยเคาะประตูเรียกไปแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง พักใหญ่ทีเดียวกว่าหมอนั่นจะมาเปิดประตูให้
พอประตูเปิดออก ริชาร์ดก็โผล่หน้าตี๋ๆ พร้อมกับดวงตาเรียวเล็กปรือๆ ออกมามอง ในมือหมอนั่นยังคีบบุหรี่ยัดไส้กัญชาไว้อยู่เลย ก่อนที่หมอนั่นจะเอ่ยปากทักเมื่อตระหนักได้ว่าแขกที่มาทำลายเวลาเปี่ยมสุขคือผม
“เอ้า เควิน มีอะไรถึงโผล่หัวมาหาฉันถึงที่ได้ เมื่อวานก็ไม่ไปเรียน เมาค้างยาวเหรอวะ” ริชาร์ดว่าขำๆ
“เออ หนักไปหน่อยก็เลยหยุด” ผมเออออไปตามเรื่อง ไม่อยากจะมาอธิบายว่าที่ไม่ไปเรียนก็เพราะโดนไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ วางไข่แล้วคลอดมันออกมา “แล้วนี่พี้กัญชาตั้งแต่หัววันเลยเหรอวะ ไม่มีเรียนหรือไง”
ผมทักกลับไปบ้าง ที่ทักอย่างนี้ก็เพราะริชาร์ดไม่ได้เรียนคลาสเดียวกับผมทุกวิชา
ริชาร์ดส่ายหน้าพรืด “ไม่มีอ่ะ ส่งโปรเจ็กต์เสร็จก็ว่างแล้ว มีแต่โครงการหนังสั้นของชมรมที่ต้องนั่งทำสตอรี่บอร์ด”
ผมไม่แปลกใจนักแล้วล่ะว่าทำไมหมอนี่ถึงเมาตั้งแต่หัววัน จำได้ว่าริชาร์ดเคยพูดไว้ว่าไอเดียจะมาก็ตอนที่กำลังเมากรึ่มๆ ได้ที่ นี่คงจะนั่งทำงานอยู่ล่ะมั้งถึงได้เมาตาหวานตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินอย่างนี้
ผมทำท่าจะพูดต่อว่าผมมาหาเขาทำไม ทว่าริชาร์ดก็ดันเหลือบมาเห็นคีธที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเอาในตอนนี้ เขาหรี่ตาลงจนดวงตาที่เล็กเรียวอยู่แล้วเล็กมากขึ้นไปอีก ดูเผินๆ อย่างกับหลับตา ก่อนที่เขาจะถามออกมาพลางชี้บุหรี่ในมือไปที่หน้าหล่อๆ ของคีธด้วย
“แล้วนี่ใคร”
“ข้าชื่อคีทาเย ซาเคมอร์ฟ” คีธตอบแทบจะในทันที ลืมไปหมดสิ้นว่าตกลงกับผมไว้ว่าอะไร แถมยังบอกชื่อจริงตัวเองไปอีก
“คีอะไรนะ” ริชาร์ดทำหน้าไม่เชื่อหูว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นชื่อคน
“คีทาเย ซาเค...”
“หมอนี่ชื่อคีธ” ผมรีบชิงพูดก่อนที่หมอนั่นจะพูดชื่อตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งคู่หันมามองผมที่ทำหน้าหงุดหงิดแทบจะในทันใด ก่อนจะถูกเบนความสนใจไปยังริชาร์ดอีกครั้งเมื่อเขาพูดขึ้นมา
“แล้วนี่...เป็นเพื่อนหรือคู่ขาคนใหม่ล่ะ เปลี่ยนแนวแล้วเหรอวะเควิน”
ว่าแล้วเชียวว่ามันจะต้องพูดแบบนี้ คิดไว้ไม่มีผิด!
“หุบปากน่า” ผมว่าเสียงขุ่น
ริชาร์ดหัวเราะขำๆ ก่อนจะหันไปหาคีธอีกครั้ง
“เอาเป็นว่ายินดีที่ได้เจอนายแล้วกันคีธ ฉันชื่อริชาร์ด หวัง แต่อย่าเรียกด้วยนามสกุลเลย มันไม่น่าฟังเท่าไหร่” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือบุหรี่ไปข้างหน้าให้คีธจับอีก
คีธก็รับไมตรีเต็มที่ พยักหน้ารับทันใด มีแต่ผมนี่แหละที่ฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้ พลันหันไปมองคีธตาไม่กะพริบ
“ข้าก็ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ริ...”
พูดยังไม่ทันจะจบ ผมก็ดันเห็นคีธยกมือไปข้างหน้า ทำท่าจะจับมือทักทายริชาร์ด เท่านั้น ผมก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ามือคีธเอาไว้ ก่อนจะกดมันลงอย่างรวดเร็ว
“เอ้อ...” ผมว่าแก้เก้อพลางลูบต้นคอตัวเองไปมาเมื่อถูกสองคนนั้นมองหน้าแบบงงๆ
ครู่เดียวเท่านั้น สีหน้างุนงงของริชาร์ดก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยทันใด
“หวงกันออกนอกหน้านอกตาแบบนี้ คู่ขาไม่ผิดตัวแน่ๆ”
คู่ขาพร่อม! ปากดีอย่างนี้ รู้งี้น่าจะปล่อยให้ไอ้มนุษย์ดาวโฮโมฯ ดูดนิ้วซะก็ดี!
“ไอ้ริชาร์ด...” ผมกัดฟันแน่น มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างเอาเรื่อง ขณะที่มันยังคงหัวเราะร่วนกับท่าทางของผม
“ไม่เห็นจะต้องอาย เป็นไบฯ ก็เป็นสิวะ ฉันไม่ถือหรอกที่นายจะได้ทั้งชายทั้งหญิง เนอะคีธ” มันยังมีหน้ามาพูด ซ้ำยังหันไปพยักเพยิดกับไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่น
ร้ายกว่านั้น คีธยังเออออไปกับมันอีก
“เรื่องปกติ จะชายจะหญิงก็ไม่ต่างกัน”
“นั่นน่ะสิ พาไปขึ้นสวรรค์ได้เหมือนกัน ได้ทั้งหน้าได้ทั้งหลังแบบนี้ดีจะตาย พ่อหนุ่มรวยเสน่ห์อย่างนายจะได้ไม่ขัดสน” ว่าแล้วก็หันมาเหล่มองผม
“จะหุบปากได้หรือยัง” ผมแทบอดใจพุ่งเข้าไปกระโดดถีบมันไม่ไหวแม้จะรู้ดีว่ามันล้อเล่นก็ตาม
และเหมือนมันจะรู้ว่าชะตาตัวเองกำลังจะขาด จึงรีบเปิดประตูออกกว้างกว่าเดิมแล้วเชื้อเชิญผมเข้าไปด้านใน
“เข้ามาก่อน ถ่อสังขารมาหาฉันถึงที่อย่างนี้ นายต้องมีเรื่องสำคัญแน่ๆ”
“แน่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีจะหาทำบ้าอะไร” ผมว่าอย่างหงุดหงิด เดินนำเข้ามาก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยคีธที่เดินหน้านิ่งๆ เข้ามา
ห้องของริชาร์ดยังคงรกเหมือนเคย ผมกวาดตามองไปยังแผ่นดีวีดีหนังของแท้เกลื่อนกระจายหน้าจอโทรทัศน์ที่เปิดหนังเอเลี่ยนอยู่ ก่อนปรายตามองไปยังจานอาหารใช้แล้ววางเรียงเป็นตั้งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ไม่ไกลนัก รอบข้างมีกองกระดาษและไวท์บอร์ดสำหรับเขียนสตอรี่บอร์ดอยู่ไม่ไกลจากกองขวดเบียร์นับสิบขวด และแน่นอนว่ามันก็กระจายไปคนละทิศละทางเช่นกัน เห็นสภาพแล้วผมก็อดเบ้ปากขึ้นมาไม่ได้
“อยู่ไปได้ยังไงวะเนี่ย อย่างกับกองขยะ”
“ช่วงใช้สมองก็อย่างนี้แหละ หาที่นั่งเอาเองแล้วกัน เอามือปัดๆ หน่อยก็นั่งได้แล้ว” ริชาร์ดว่าอย่างไม่ยี่หระ
แน่นอนว่าผมไม่ไปหาที่นั่งอย่างที่มันว่า เพราะผมไม่ได้มาเที่ยวหามัน มีก็แต่คีธนี่แหละที่จับจ้องไปยังจอโทรทัศน์เขม็ง ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ดูท่าทางหมอนั่นจะสนอกสนใจเป็นพิเศษ ผมก็เลยได้โอกาส รีบคว้าแขนริชาร์ดเข้าไปยังห้องนอนที่อยู่ถัดไปอย่างรวดเร็ว
“อะไรของนายวะเนี่ย บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่นิยมทรีซัมนะเว้ย โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกันหมดเนี่ย” ริชาร์ดโวยน้อยๆ เมื่อจู่ๆ ก็ถูกผมลากเข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย
ผมแทบจะตบกะโหลกมันทันทีที่มันนึกว่าผมจะรวมร่างกับมันพร้อมกับคีธ แต่ก็อดใจไว้ด้วยต้องใช้ประโยชน์จากมัน จึงได้แค่ชักสีหน้าใส่
“ฉันแค่มีเรื่องจะถาม แล้วก็ไม่อยากให้ไอ้บ้าที่นั่งอยู่ข้างนอกรู้ก็เท่านั้น”
“ไอ้บ้านั่น... หมายถึงคีธน่ะเหรอ”
ผมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียดๆ ขณะที่ริชาร์ดทำหน้าสงสัย
“ทำไมวะ หมอนั่นเป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่เพื่อน”
“งั้นก็คู่ขา”
“ถ้าพูดคำนี้ออกมาอีกครั้ง สาบานได้เลยว่าฉันจะเลาะฟันนายออกมาทีละซี่” ผมย่นคิ้ว
“เพื่อนก็ไม่ใช่ คู่ขาก็ไม่ใช่ แล้วหมอนั่นเป็นใครวะ”
“ก็เอ่อ...”
พอถูกริชาร์ดถามกลับ ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี บอกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาวางไข่ในตัวผมมันก็ใช่เรื่อง จะบอกว่าเป็นลูกชายเพราะผมคลอดมันออกมาก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องเข้าไปใหญ่
ผมอึกอักไปนาน ท่าทางของผมบอกให้ริชาร์ดรู้ทันทีว่าต่อให้ถามไปก็เท่านั้น ถ้าผมไม่อยากบอกก็ไม่มีทางได้รู้ และหมอนี่ก็ไม่ใช่พวกขี้ตื๊อหรือแส่เรื่องของคนอื่นด้วย เลยตัดบทเอาดื้อๆ
“เออช่างเหอะ จะเพื่อนจะคู่ขาหรือจะอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน ว่าแต่นายมีเรื่องอะไรจะถามถึงได้ถ่อมาอย่างนี้”
ผมรีบหันซ้ายขวา พุ่งตรงไปล็อคประตูห้องด้วยกลัวว่าคีธจะโผล่เข้ามา แล้วกลับไปกระซิบเสียงเบา
“คือว่า... ที่ฉันจะถามก็คือ...”
“คือ?” ริชาร์ดดูตื่นเต้นไปกับท่าทางของผมด้วยจนออกทางสีหน้า
“ส่วนใหญ่เอเลี่ยนมันมาที่โลกเพราะอะไรวะ”
ความตื่นเต้นที่ฉาบพรายบนใบหน้าของริชาร์ดหายวับไปกับตา หมอนั่นผลักหัวผมออกห่างแทบจะทันใด
“ทำซะอย่างกับเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ!” แล้วก็ตามด้วยโวยวายเสียงดังจนผมต้องรีบจุปากบอกให้มันเงียบ
“ก็สำคัญถึงได้ลากนายมาคุยกันลับๆ อย่างนี้นี่ไง”
ริชาร์ดยกมือขึ้นกอดอก พ่นลมหายใจเต็มแรง “ปกตินายไม่เคยสนใจเรื่องเอเลี่ยนอะไรพวกนี้นี่หว่า ทำไมจู่ๆ ถึงมาถาม อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนแนวจากศึกษาหนังอีโรติกมาศึกษาหนังสัตว์ประหลาดแล้ว?”
“ก็ทำนองนั้น” ผมเออออไปตามเรื่อง
ริชาร์ดมองอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมอธิบายออกมาแต่โดยดี
“จากที่ดูหนังแนวๆ นี้มา ส่วนใหญ่พวกมันมาที่โลกก็เพื่อครองโลกนะ น้อยครั้งที่จะเห็นบุกโลกมาอย่างสันติ ส่วนใหญ่ก็เพื่อขยายอาณาจักร ครอบครองจักรวาลอะไรงี้ และไอ้การครองโลกมันก็มีหลายแบบ ครองโลกโดยใช้วิธีการขยายพันธุ์ ครองโลกด้วยวิธีการล่า ครองโลกด้วยการใช้วิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า มันก็ต้องดูว่าสายพันธุ์อะไรถึงจะบอกได้ว่ามันพยายามจะครองโลกด้วยวิธีไหน”
“แล้วไอ้ประเภทพวกที่วางไข่ใส่ร่างมนุษย์ล่ะ” ผมถามอ้อมแอ้ม
ริชาร์ดทำท่าคิดไปครู่ “พวกนั้นก็น่าจะเป็นพวกเอเลี่ยนที่เห็นทั่วๆ ไปในหนัง เป้าหมายของมันก็มีแค่ฆ่ากับขยายพันธุ์ ถ้ามันบุกมาที่โลกก็มีเป้าหมายแค่สองอย่างนี้เนี่ยแหละ”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกทันที ภารกิจที่ว่าของคีธคงจะหนีไม่พ้นเป้าหมายนี้แน่ๆ เพราะหมอนั่นไม่แค่วางไข่ใส่ผม แต่ยังขู่ฆ่าอยู่เนืองๆ ด้วย
“ละ...แล้วถ้าจะกำจัดมันล่ะ นายคิดว่ามีวิธีมั้ย”
“ถ้าเป็นในหนังมันก็มีวิธีของมันจนได้นั่นแหละ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง ต่อให้ยกกองทัพทั่วโลกมาถล่ม ก็รับประกันได้เลยว่าไม่มีวันเอาชนะมันได้แน่ๆ ไอ้พวกนี้ถ้าได้วางไข่ แล้วถ้าไข่มันฟักตัวเป็นเฟซฮักเกอร์จนมาปล่อยน้ำเชื้อในมนุษย์ได้เมื่อไหร่ ก็เตรียมตัวฉายหนังอวสานวันสิ้นโลกได้เลย”
ยิ่งได้ยินริชาร์ดพูด ผมก็ยิ่งใจไม่ดี พลันนึกถึงตัวเฟซฮักเกอร์ที่เป็นตัวอ่อนของเอเลี่ยนที่ฟักออกมาจากไข่ มีอีกชื่อว่าตัวเกาะหน้า ไอ้ตัวนี้จะจู่โจมโดยการเกาะหน้าเหยื่อแล้วสอดงวงเข้าไปทางปาก ทำให้เหยื่อสลบแล้วปล่อยน้ำเชื้อตัวอ่อนลงไปฝังที่อกของเหยื่อ เสร็จแล้วก็ตาย จากนั้นน้ำเชื้อนั่นก็จะโตเป็นเชื้อตัวอ่อนที่เรียกว่าเชสเบิร์สเตอร์หรือตัวทะลวงอกอีกที
แค่คิดก็สยองแล้ว!
“มีอะไรจะถามอีกมั้ย” ริชาร์ดเรียกสติผมเมื่อเห็นผมเอาแต่พึมพำคนเดียวไม่เลิก
“ไม่” ผมสะดุ้ง ตอบปฏิเสธแทบจะในทันที
“มาแค่มาถามเรื่องนี้เนี่ยนะ แปลกชะมัด” ริชาร์ดพึมพำแล้วส่ายหน้า ก่อนหนีออกไปนอกห้อง
ผมเดินตามกลับไปด้วย พลางมองไปยังคีธที่ยังเอาแต่จ้องจอโทรทัศน์ไม่เลิก ภาพหน้าจอกำลังฉายฉากที่ตัวเชสเบิร์สเตอร์แหกอกผู้ชายคนหนึ่งออกมาพอดี ผมทำหน้าแหยพลัน ขณะที่ริชาร์ดหัวเราะน้อยๆ พร้อมหยิบบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นสูบแล้วไปนั่งข้างๆ คีธ
“เป็นไงหนังเรื่องนี้ เจ๋งใช่มั้ยล่ะ ฉันชอบภาคนี้ที่สุดละ ดูยังไงก็ไม่เคยเบื่อ ไอ้ตัวเชสบัสเตอร์นี่เจ๋งเป็นบ้า นายว่ามั้ย”
“ข้าไม่เห็นว่าจะประหลาดตรงไหน เรื่องปกติ” คีธว่าเสียงเรียบ
มันก็ต้องปกติอยู่แล้วสำหรับคนที่มันแหกสะดือชาวบ้านอย่างเอ็งน่ะ!
“นายคงหมายถึงว่ามุขเก่าสินะ” ริชาร์ดไม่สงสัยในคำพูดของคีธสักนิด แถมยังร่ายยาวอีกต่างหาก “แต่ฉันว่ามันเจ๋งว่ะ โดยเฉพาะเวลาเห็นวัฏจักรการเจริญเติบโตของมัน ลองคิดดูนะเว้ย ออกมาจากไข่เป็นตัวเฟซฮักเกอร์ เสร็จแล้วก็กลายเป็นตัวเชสเบิร์สเตอร์ จากนั้นก็แหกอกออกมาเป็นตัวโตเต็มวัยแบบซีโนมอร์ฟ ไม่ก็เป็นนางพญา บางครั้งก็เป็นไฮบริดเอเลี่ยนลูกผสม เวลากินเหยื่อก็ใช้ลิ้นเจาะทะลวงเฉาะหัวมนุษย์ กินเลือดกินมันสมองไรงี้ เจ๋งจะตาย”
ฟังแล้วผมก็นึกถึงที่ผมถูกคีธดูดสารอาหารจากร่างกาย พลันเสียววาบไปทั้งร่าง
เสียววาบนี่ไม่ใช่ว่าจูบของหมอนั่นชวนสยิวหรืออะไรหรอกนะ แต่เสียวเพราะกลัวหมอนั่นจะเอาลิ้นมาทะลวงขึ้นไปกินสมองผมมากกว่า ตัวบ้าอะไรวะน่ากลัวฉิบ!
“ถึงรูปร่างและการเจริญเติบโตจะไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่พวกนั้นเป็นชาติพันธุ์ผู้รุกราน ในจักรวาลไม่มีใครต้อนรับหรือพิสมัยสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะพวกชาติพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มฮิวมานอยด์ เพราะเชื่อกันว่าเจ้าพวกนั้นเป็นพวกไร้อารยะ รุกรานไม่เลือกหน้าและเป็นปรสิตชั้นต่ำของห้วงอวกาศ ส่วนพวกฮิวมานอยด์ก็มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์โลก ส่วนมากเป็นพวกรักสันติ บางชาติพันธุ์ก็มีบ้างที่ชอบรุกราน แต่ถือว่าเป็นผู้มาอารยะสูงส่งหากเทียบกับปรสิตอวกาศเหล่านั้นและฮิวมานอยด์อย่างมนุษย์โลก” คีธสวนขึ้นมาบ้าง
“ไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากหนังเรื่องไหนเนี่ย ทำไมฉันไม่เคยรู้ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย” ริชาร์ดทำหน้าอึ้งๆ ขณะที่คีธว่าต่อหน้าตาย
“มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของมนุษย์โลก หากวิวัฒนาการของพวกเจ้าก้าวหน้ากว่านี้ล่ะก็ เจ้าจะได้รู้เองว่าสิ่งที่พวกเจ้าจินตนาการขึ้นมาในสิ่งบันเทิงเหล่านั้นล้วนเป็นเท็จ”
สีหน้าของริชาร์ดดูงุนงงไปชั่วขณะ จนผมต้องโพล่งออกมา
“หมอนั่นแต่งขึ้นมาเอง”
ริชาร์ดค่อยๆ คลายหัวคิ้วที่ย่นกลางหน้าผาก ก่อนจะตบบ่าแกร่งของคีธเต็มแรง
“เฮ้ยเจ๋งว่ะ มาเป็นนักเขียนบทได้สบายๆ เลยนะเนี่ย ยืมไอเดียนายมาใส่ในหนังสั้นของฉันหน่อยได้มั้ย ฉันกำลังทำหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวอยู่พอดี”
คีธทำเพียงพยักหน้า มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่ลอบเบ้ปาก
เหอะ... ยืมไอเดียเหรอ ถ้าอยากจะให้มีฉากแหกสะดือสุดสะพรึงล่ะก็เอาเลย
หลังจากนั้น ริชาร์ดก็ชวนคีธคุยเรื่องนี้อยู่อีกครู่ใหญ่ ส่วนใหญ่มีแต่ริชาร์ดที่ถามโน่นนี่ไปตามประสาคนคลั่งหนังเอเลี่ยน กระทั่งเวลาล่วงเลยไปช่วงบ่าย บทสนทนานั่นจึงมีทีท่าว่าจะจบลงสักที
“นายนี่มันไอเดียสุดยอด โคตรชอบเลยว่ะ แต่ฉันว่าฉันจะไม่ให้นายมาเขียนบทให้ละ ฉันจะเขียนเองนี่แหละแต่ยืมไอเดียนายมาปรับหน่อย จะให้นายเปลี่ยนมาแสดงเป็นตัวเอกแทน”
ผมหูผึ่งพลัน จากที่นั่งแกร่วเป็นส่วนเกินอยู่ก็รีบพุ่งเข้าไปหาทั้งคู่ทันที
“จะให้หมอนี่มาเป็นนักแสดงให้นายเนี่ยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ คีธออกจะหล่อ แถมยังมีบุคลิกเข้ากับตัวละครหลักของฉันด้วย ให้มาแคสติ้งเป็นนักแสดงดีกว่า ทำงานเบื้องหลังน่าเสียดายจะตาย นายว่าไงล่ะคีธ สนใจมั้ย ถ้าดังขึ้นมานี่ สาวเพียบเลยนะเว้ย” ริชาร์ดหันมาบอกผม
ผมมุ่ยหน้า สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความยุ่งยากขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบปฏิเสธโดยไม่รอให้คีธตอบ
“ไม่ล่ะ หมอนี่ไม่สนใจหรอก”
“ดักคออย่างนี้แสดงว่าหวงล่ะสิ กลัวสาวๆ จะตามเกาะแกะคู่ขาหรือไง” ริชาร์ดว่าหน้าทะเล้น
ขมับผมกระตุกยิกทันใด “ไม่ได้กลัวเว้ย!”
“ไม่ได้กลัวก็ไม่เห็นต้องหวง” หมอนั่นยักไหล่ วางท่าราวกับอยู่เหนือกว่าผม
เห็นแล้วก็หงุดหงิดชะมัด งั้นก็ช่างแม่ง! ดีเหมือนกัน เผื่อไอ้มนุษย์ดาวโฮโมฯ นี่อยากจะวางไข่ใส่คนอื่น ผมจะได้รอดจากการเป็นร่างกาฝากให้หมอนี่สักที
“แล้วนายล่ะว่าไง สนใจมาแคสติ้งนักแสดงกับฉันมั้ย หนังฉันเป็นแนวโรแมนติก-ไซไฟ เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่ตกหลุมรักมนุษย์โลกน่ะ” ริชาร์ดให้ความสนใจไปที่คีธอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็อยากเรียนรู้อารยธรรมของชาวโลกเหมือนกัน” แล้วคีธก็ตอบรับไปหน้าตาย
“ดีเลย แคสให้ผ่านนะเพื่อน บทพระเอกเรื่องเจ้าชายอวกาศจะได้อยู่ในมือนาย” ไอ้เพื่อนตัวดีหัวเราะร่วน
ผมเบ้ปากเมื่อได้ยินชื่อหนังสั้นของหมอนั่น หนังบ้าบอคอแตกอะไรของมัน ชื่อโคตรจะไม่เมกเซ้นส์ แถมพล็อตคร่าวๆ ยังไม่ต่างจากหนังเกรดบี ไม่สิ... เกรดดี เกรดอี ยันแซดเลยดีกว่า พล็อตอย่างเกร่อ
“จะว่าไปนี่ก็เลยเที่ยงมาแล้วนี่หว่า หิวกันหรือยังล่ะพวกนาย” ริชาร์ดเปลี่ยนเรื่องให้ผมเบนความสนใจไปที่เขาอีกครั้ง
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันกลับไปกินที่ห้อง” ผมรีบตัดบทเพราะเห็นว่าอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ที่สำคัญ ถ้าเกิดคีธตอบว่าหิวขึ้นมา ผมนี่แหละจะซวยเอา
ทว่าพอผมทำท่าจะลากคีธออกจากห้อง ริชาร์ดก็พุ่งตัวมาขวางเอาไว้
“เฮ้ย กลับอะไร อุตส่าห์พาว่าที่พระเอกมาหาฉันถึงที่ทั้งที ให้ฉันเลี้ยงหน่อยเหอะ เอาเบอร์เกอร์แล้วกันเนอะ ง่ายๆ”
“ไม่เอา” ผมปฏิเสธแทบจะในวินาทีนั้น แต่ไอ้เพื่อนเวรนี่ไม่สน นอกจากจุดบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นสูบ
“เอาน่า เดี๋ยวมื้อเย็นค่อยกลับไปกินที่ห้อง พวกนายมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ คีธน่าจะหิวแล้วมั้งฉันว่า” ว่าพลางพยักปลายคางไปยังไอ้หน้าตายที่นั่งมองอยู่
“อืม ข้าหิวแล้ว” แถมมันก็ยังตอบรับหน้าด้านๆ อีกด้วย
“เห็นมะ บอกแล้วว่าต้องหิว รอแป๊บนึงแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้”
“เฮ้ยเดี๋ยว!” ผมรีบร้องเรียกมันไว้ก่อนที่มันจะออกไปนอกห้อง
แต่ก็ไม่ทันแล้ว ริชาร์ดหายวับไปนอกห้องราวกับติดจรวด ทิ้งให้ผมยืนค้างเป็นหุ่น ก่อนจะเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียบๆ ดังมาจากทางด้านหลัง
“ข้าหิวแล้ว”
นั่นไง! มันเอาแล้ว!
“กะ...กลับไปกินที่ห้องฉัน” ผมรีบหันไปบอกอย่างลวกๆ แต่เหมือนคีธจะไม่เข้าใจ
“รอไม่ได้ หากหิวแล้วข้าต้องกินเลย ไม่เช่นนั้นอวัยวะภายในของข้าจะบาดเจ็บ”
“รอไม่ได้ก็ไม่ต้องกินโว้ย มากินในห้องเพื่อนฉันอย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวมันโผล่เข้ามาเห็นก็ได้เข้าใจผิดตาย!” ผมโวยลั่น แน่ล่ะ ที่ผมไม่ยอมไม่ใช่เพราะไม่อยากจะจูบกับมันเพียงอย่างเดียว แต่กลัวว่าไอ้ริชาร์ดจะกลับมาเห็นแล้วล้อผมว่าเป็นโฮโมฯ ไม่เลิกด้วย
แต่ก็อย่างว่า ภาษามนุษย์จะไปทำให้ไอ้มนุษย์ต่างดาวกาฝากนี่เข้าใจลึกซึ้งได้ยังไง พอบอกว่าไม่ หมอนี่คงจะได้ยินว่าใช่ ลุกจากโซฟาเดินเข้ามาหาผมให้ผมถอยกรูดไปจนแผ่นหลังติดกับประตู
“เช่นนั้นข้าจะรีบกินก่อนที่สหายเจ้าจะกลับมาแล้วกัน”
สิ้นเสียง มือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนทั้งสองข้างของผมทันใด ผมเบิกตาโพลง ยกขาถีบมันที่กำลังจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้เป็นพัลวัน
“ปล่อยนะเว้ย! บอกให้กลับไปกินที่ห้องไม่เข้าใจหรือไง!”
ถีบอย่างเดียวไม่พอ ยังดีดดิ้นเต็มแรงอีกด้วย แต่ไอ้ถึกนี่ไม่สะทกสะท้านกับแรงดิ้นของผมเลยสักนิด แถมยังจับผมแน่นกว่าเดิมจนผมแทบยกแขนตัวเองไม่ขึ้น
“ไม่เกินห้านาที เดี๋ยวก็เสร็จ”
ยัง... มันยังมีหน้ามาต่อรองหน้าด้านๆ
“ห้านาทีก็ไม่ได้! ปล่อย! ได้ยินมั้ยบอกว่าให้ปล่อยเนี่ย!” ผมรวบรวมแรงที่มีอยู่ทั้งหมดดิ้นหนีจากการเกาะกุมอีกครั้ง
เรียวคิ้วสวยของคีธย่นลงเล็กน้อยที่เห็นผมสะบัดสะบิ้งไปมาไม่ยอมให้สูบสารอาหารง่ายๆ ก่อนที่หมอนั่นจะออกแรงยกผมในสภาพที่ยังจับต้นแขนทั้งสองข้างของผมอยู่ ผมลอยหวือไปพร้อมกับสีหน้าเหวอๆ และยิ่งเหวอหนักเมื่อหมอนั่นจับผมเอนนอนลงบนโซฟา แล้วขึ้นมาโถมร่างทับตัวผมไว้ไม่ให้ดิ้น
 “ครู่เดียวเท่านั้น ข้าจะรีบกิน” คีธว่าเสียงเบาพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผมจนแทบชิด
ลมหายใจอุ่นๆ ที่เลียโลมใบหน้าผมทำเอาผมพรึงเพริดยิ่งกว่าเดิม แต่ถึงจะดิ้นแรงแค่ไหน ตอนนี้ก็หนีไม่ได้อีกแล้ว อย่าลืมสิว่าหมอนี่มีพละกำลังมากกว่ามนุษย์โลกนะ แถมยังตัวใหญ่กว่าผม ใครจะไปสู้มันได้
“ไม่เอา!” ผมเลยได้แต่ร้องโวยวายเท่านั้น
ทว่าคีธไม่สนใจอะไรแล้ว เลื่อนริมฝีปากหยักเข้ามาใกล้ ก่อนจะวางนาบลงบนเรียวปากผม ผมเม้มปากแน่นแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของลิ้นอ่อนนุ่มที่ทะลวงเข้ามาชิมรสหวานในโพรงปากผมได้
นะ...นี่มันขืนใจกันชัดๆ เลยนี่หว่า! ทุเรศเอ๊ย! ทำไมผมต้องมาโดนมนุษย์ต่างดาวขืนใจสูบสารอาหารด้วยวะ!
ผมก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ยังสู้ ดิ้นหนีจนเสื้อผ้าเริ่มหลุดลุ่ย ขณะที่เรี่ยวแรงเริ่มถดถอยไปทีละน้อย ความวิงเวียนถาโถมเข้ามาจนผมไม่อาจดิ้นหนีอีกต่อไปได้ ผมเลยยอมอยู่นิ่งๆ ให้หมอนี่ดูดกินสารอาหารเร็วๆ จะได้หลุดจากสภาพน่าอดสูนี่เสียที ผมล่ะกลัวไอ้ริชาร์ดกลับมาเห็นจะแย่อยู่แล้ว
ทว่าพระเจ้าคงจะชิงชังผมมาก เพราะไม่ทันที่คีธจะปฏิบัติภารกิจเสร็จ เสียงประตูห้องก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยเสียงของริชาร์ดที่โพล่งเข้ามา
“ลืมกระเป๋าตังค์ว่ะ นายจะฝากซื้ออะไรเพิ่มมั้ยเค...วิน...”
ฉิบหาย!
ผมลืมตาโพลง คีธเองก็ละริมฝีปากออกจากผมเหมือนกัน เราทั้งคู่หันไปมองริชาร์ดด้วยความรู้สึกคนละแบบ แน่นอนว่าไอ้เวรที่คร่อมตัวผมอยู่ยังคงทำหน้าตายเหมือนเดิม ขณะที่ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนริชาร์ดก็เหวอไปสามโลกแปดโลกที่จู่ๆ ก็เปิดประตูห้องตัวเองเข้ามาเจอเพื่อนกำลังถูกผู้ชายตัวเท่าหมีควายอีกคนลวนลามอยู่
“มะ...ไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ” พอได้สติ ผมก็รีบอ้าปากแก้ตัว
ริชาร์ดปิดประตูห้องลง รีบปรับสีหน้าตกใจให้นิ่งเรียบและไม่พูดอะไร นอกจากเดินไปที่ห้องนอนแล้วกลับออกมาพร้อมกับกล่องขนาดเท่าฝ่ามือ ก่อนจะโยนมาใส่ผมกับคีธ
“ใช้ไปก่อน เดี๋ยวฉันไปซื้อใหม่”
ผมปรายตามองกล่องสี่เหลี่ยมคุ้นตาที่ถูกโยนมาบนพื้นข้างโซฟาด้วยตาที่เบิกโต
ถะ...ถุงยางอนามัย! มันเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย!
“ริชาร์ด มันไม่ใช่...” ผมอ้าปากจะแก้ตัวอีกรอบ
แต่ก็ไม่ทันอีกเช่นกัน เพราะริชาร์ดสวนขึ้นมาก่อน
“อีกสองชั่วโมงจะกลับมา จัดการให้เสร็จล่ะ” แล้วมันก็ออกจากห้องไป
ออกไปแล้วยังจะเปิดกลับเข้ามา ล็อคประตูที่ลูกบิดให้ก่อนจะหายออกไปอีกรอบอีก
คุณพระ! นี่ผมกลายเป็นโฮโมฯ จริงๆ ในสายตาเพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว!
จะมีก็แต่คีธนี่แหละที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง พอเห็นริชาร์ดหายออกไป ก็ก้มหน้ามามองผมอีกครั้ง
“สหายเจ้าคงอยากจะกินอาหารข้างนอก งั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกระมัง”
กินอาหารข้างนอกบ้านเตี่ยมึง! มันคิดว่าเรากำลังจะฟันดาบกันโว้ย! มันเอาสมองส่วนไหนคิดวะเนี่ย!
ผมทำท่าจะปฏิเสธ ไม่ยอมให้คีธได้ทำตามใจอีก แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่ามันก็เท่านั้น พอพูดจบ หมอนั่นก็ทิ้งตัวลงมาจูบผมอีก... ไม่สิ สูบเถอะ สูบจนแม่งจะกรอบไปทั้งตัวแล้วเนี่ย!
ชีวิตจะบัดซบเกินไปแล้ว!

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: igaga ที่ 12-12-2015 23:19:38
เอาอีกๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 12-12-2015 23:19:58
 :mew1:

ฮาชีวิตเควิน

ยังต้องหัวหมุนกับคีธไปอีกนาน~

(ใครจะตกหลุมรักใครก่อนค้าาาาาาาาา?  :hao7:)
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 23:29:22
Episode 04: Alien Prince’s casting [1]

ผมนอนแผ่หลาไม่ต่างอะไรจากปลาขาดน้ำหลังจากถูกคีธสูบสารอาหารเต็มที่ ในเมื่อไม่ต้องรีบร้อน เขาก็ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะสูบสารอาหารมากกว่าครั้งแรกอยู่มากโข เพราะมันทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่ผมมีอันตรธานหายไปคาตา แม้จะนอนพักไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว เรี่ยวแรงก็ยังไม่กลับคืนมาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ หัวผมยังวิงเวียนไม่เลิก แถมยังหิวจนท้องกิ่วอีกด้วย
ความรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้เป็นยังไง ผมรู้สึกได้ในตอนนี้นี่แหละ
ริชาร์ดที่เพิ่งจะกลับมาหลังจากสองชั่วโมงให้หลัง พอเห็นผมนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟาในสภาพอิดโรยก็จุปากเป็นจิ้งจกทันใด
“หมดแรงขนาดนี้สงสัยจะโดนหนัก”
“ข้าเผลอตัวไปเลยลืมยั้งมือ แต่จริงๆ ก็แค่รอบเดียวเท่านั้น” ไอ้มนุษย์ต่างดาวหน้าตายว่าสวนขึ้น ทำเอาริชาร์ดหันไปด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ขนาดแค่รอบเดียวยังทำเอารากเลือดขนาดนี้ แล้วนี่ถุงยงถุงยางก็ไม่ใช้ ระวังเควินเครื่องพังก่อนวัยอันควรนะ”
สาบานเลยว่าคีธไม่รู้จักว่าถุงยางคืออะไร แต่หมอนั่นก็ไม่ได้สนใจ นอกจากพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดเท่านั้น แถมสิ่งที่พูดออกมายังส่อไปในทางสองแง่สองง่ามอีกด้วย แม้ว่าหมอนั่นจะไม่ได้คิดไปในทางนั้นเลยก็ตาม
“ข้าก็ลืมไปว่าสหายเจ้าเพิ่งจะเคย ครั้งหน้าข้าจะระมัดระวังมากกว่านี้”
“ดีแล้วๆ มือใหม่ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไว้คล่องเมื่อไหร่ค่อยจัดเต็ม”
“ได้ ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบทำอย่างเบามือเช่นกัน มันไม่ทันใจ”
พวกเอ็งคุยอะไรกันฟะ! คุยกันคนละเรื่องเดียวกันแต่ทำไมมันถึงฟังเหมือนคุยเรื่องใต้สะดือกันชะมัด!
“หุบปากกันได้ละ” ผมพึมพำพลางหันไปมองริชาร์ดตาขวาง
หมอนั่นหัวเราะร่วนที่เห็นผมหัวเสีย “ถ้าไม่อยากให้พูดถึง ทีหลังก็อย่ามาทำกันในห้องเพื่อนสิวะ”
ไปบอกไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่นเหอะ! บอกมันแล้วว่าอย่ามาสูบอาหารในนี้ เป็นไงล่ะ โดนเข้าใจผิดเลยแม่ง!
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าริชาร์ดอย่างนั้น ทว่าก็ทำได้แค่มองอย่างโกรธๆ แล้วพยายามดันตัวขึ้นนั่ง แขนทั้งสองข้างที่ยันโซฟาพยุงตัวเองขึ้นสั่นระริกจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน แล้วมันก็ทำให้ริชาร์ดแซวออกมาทันควัน
“ท่าจะหนักเอาเรื่องแฮะ สั่นระริกไปทั้งตัวแบบนี้ เป็นไงล่ะพ่อเพลย์บอย ระหว่างนายกับคีธใครแน่กว่ากันวะ”
“ไอ้ริชาร์ด...” ผมคว้าหมอนอิงไปปาใส่มัน แต่ก็ไม่โดนเพราะแรงของผมไม่มากพอจะปาหมอนให้พ้นจากโซฟาได้
พอผมลุกขึ้นมานั่งได้ ริชาร์ดก็เดินหัวเราะไปหยิบขวดเครื่องดื่มชูกำลังมาให้
“เอ้า ดื่มซะ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ค้างที่นี่ก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบนอนค้างที่อื่น นี่ก็ยังไม่เย็น พักอีกสักแป๊บก็น่าจะดีขึ้น” ผมว่าขณะพยายามเปิดฝาขวดเครื่องดื่มชูกำลังออก
“เอาน่า ไม่ไหวจริงๆ ก็ค้างเถอะ เดี๋ยวฉันสละห้องนอนให้ รับรองว่าไม่กวน” ริชาร์ดว่า
ตอนแรกก็ยังพอทนฟังคำล้อเลียนของมันได้อยู่หรอก แต่พอชักถี่เข้า ผมก็เริ่มไม่ชอบใจ ตวัดหางตาไปมองดุๆ แล้วพ่นภาษาไทยใส่มัน
“ไอ้เวรริชาร์ด”
“หืม? อย่าพูดภาษาตัวเองสิ ฟังไม่ออก” ริชาร์ดหัวเราะกลบเกลื่อน จริงๆ มันก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าผมเริ่มโกรธขึ้นมา มันก็เลยเปลี่ยนเรื่อง หันไปหยิบแฮมเบอร์เกอร์ที่ซื้อมาวางบนโต๊ะข้างหน้าผมแทน
“อีกสักพักนายคงจะหิว ใช้แรงเยอะขนาดนี้ต้องบำรุงกันหน่อย”
สุดท้ายก็ไม่พ้นแซวผมไม่เลิก และก่อนที่ผมจะได้ขว้างขวดเครื่องดื่มชูกำลังใส่มัน มันก็หันไปตบบ่าคีธ
“ดูแลคู่ขานายด้วย เดี๋ยวฉันไปทำสตอรี่บอร์ดต่อละ ตามสบายเลย ฉันจะไปทำในห้องนอน” ว่าจบ มันก็จัดการขนข้าวของหนีเข้าไปในห้องนอน
พอเหลือแค่คีธกับผมเพียงสองคน ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมเราทันใด ก็ดีแล้วล่ะ ผมเองก็ไม่อยากจะเสวนากับหมอนี่เท่าไหร่ ยิ่งเหนื่อยๆ อย่างนี้ด้วย จะพานหงุดหงิดขึ้นไปใหญ่ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหมุนฝาเครื่องดื่มในมือออกเท่านั้น
ทว่าไอ้ฝาเครื่องดื่มนี่ก็ไม่รู้จะแน่นไปไหน หมุนตั้งนานแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะออกสักที
ชักจะโมโหแล้วนะแม่งเอ๊ย!
ก็รู้แหละว่าที่เปิดไม่ออกเป็นเพราะเรี่ยวแรงผมไม่มี แต่ก็อดโมโหไม่ได้ ผมเลยทำท่าจะวางมันลงบนโต๊ะ หากแต่คีธที่มองดูอยู่นานก็ตรงเข้ามาหาแล้วยื่นมือมาข้างหน้าเสียก่อน
“ส่งมา ข้าเปิดให้”
ผมยื่นให้หมอนั่นรับแต่โดยดี คีธวางมือข้างหนึ่งลงบนฝาขวด ขณะที่อีกข้างจับตัวขวดไว้แน่น พลันออกแรงบิดเล็กน้อย และ...
เพล้ง!
เปิดมันออกในสภาพคอขวดหัก...
ให้เปิดฝาโว้ย ไม่ใช่ให้พังขวด!
“เอาไป” หมอนั่นยื่นขวดกลับมาให้ผม
ผมพ่นลมหายใจพรืด มองหน้าหมอนั่นอย่างระอา
จะให้ดื่มยังไงวะ คอขวดแตกเป็นปากฉลามอย่างนั้น จะฆ่ากันหรือไง! แล้วก็เชื่อได้เลยว่าในขวดนั่นคงจะมีเศษแก้วแตกๆ หล่นลงไปด้วยแหง
“ไม่ล่ะ ฉันจะกินเบอร์เกอร์” ผมเมินหมอนั่นหน้าตาเฉย แล้วเอื้อมมือไปคว้าเบอร์เกอร์มาแกะออกจากห่อแทน
คีธมองผมเล็กน้อย พลันวางขวดนั่นลงบนโต๊ะแล้วเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ผม สายตาจับจ้องมายังผมที่กำลังอ้าปากงับ ถ้าจ้องธรรมดา ผมจะไม่อะไรเลย นี่เล่นจ้องชนิดตาไม่กะพริบจนผมต้องลดเบอร์เกอร์ในมือลง หันไปถามอย่างเอาเรื่อง
“จะมองอะไรนักหนา สูบสารอาหารจากฉันไม่พอหรือไง”
“ข้าไม่ได้อยากกินอาหารเจ้า”
“แล้วมองทำไม” ผมว่าเสียงขุ่น พลางงับเบอร์เกอร์เข้าปากไปเคี้ยวตุ้ยๆ
“ข้าเพียงแต่จะบอกว่าข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าคุยกับสหายเจ้าในนั้นเกี่ยวกับภารกิจของข้า”
ได้ยินแล้ว ผมก็สำลักทันใด พลันรีบหันไปมองหน้าหมอนั่นด้วยดวงตาเบิกโพลง
“ได้ยินได้ยังไงวะ”
“ก็เคยบอกเจ้าแล้วว่าประสาทสัมผัสของข้าดีกว่ามนุษย์โลกมากนัก ไม่ใช่เพียงกลิ่นกายเจ้าที่ข้าจดจำได้ แต่ข้ายังสามารถได้ยินเสียงในรัศมีสิบกิโลเมตรอีกด้วย”
ฟังแล้วผมก็อึ้งๆ ไป ให้ตายเถอะ นี่เอเลี่ยนหรือหมา ประสาทสัมผัสจะดีเกินไปแล้ว ไม่สิ... ประสาทสัมผัสดีกว่าหมาเสียอีก!
“ในฐานะที่เจ้าเป็นโฮสต์ให้ข้า ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้ว่าข้ามาที่นี่ทำไม แต่รู้ไว้เลยว่าข้าไม่ได้มาที่ดาวของเจ้าเพราะหมายจะรุกราน” คีธโพล่งขึ้น “แต่มาเพื่อขยายเผ่าพันธุ์และหาที่ลงหลักปักฐานใหม่”
ผมเกิดอาการยัดอาหารไม่ลงขึ้นมากะทันหัน ถึงจะไม่ใช่อย่างที่ริชาร์ดพูดเสียทีเดียว ทว่าก็มีส่วนถูกอยู่ และไอ้การที่หมอนี่มาขยายเผ่าพันธุ์รวมถึงลงหลักปักฐาน มันก็หมายความว่าหมอนี่กับพรรคพวกคงจะมีแผนยึดครองโลก แน่นอนว่าการขยายเผ่าพันธุ์ก็คงจะเป็นการวางไข่ใส่มนุษย์อย่างที่ผมโดนนี่แหละ ส่วนลงหลักปักฐานนี่ผมยังไม่แน่ใจนัก แต่เชื่อเลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ผมรีบเก็บความตระหนกลงไป พลันปั้นสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“แล้วทำไมไม่ไปที่ดาวอื่น มาที่โลกทำไม”
และสิ่งที่ผมคิดก็จริงเสียด้วยเมื่อหมอนั่นตอบออกมา
“เพราะมนุษย์โลกเป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่มฮิวมานอยด์ที่รักสงบและด้อยพัฒนาที่สุด ซึ่งง่ายต่อการควบคุมของพวกข้า จะทำการอันใดก็ค่อนข้างจะง่ายดายต่อการตบตามากกว่าชาติพันธุ์บนดาวอื่นนัก”
“จ้องจะยึดครองโลกชัดๆ” ผมพึมพำ
“ไม่ได้มายึดครอง เรียกว่าว่าพึ่งพาจะดีกว่า”
ไอ้มนุษย์ต่างดาวปรสิต! อยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองไม่เป็นกันหรือไง!
เหมือนคีธจะรู้ว่าผมคิดอะไรจากการมองสีหน้า จึงโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกเราพึ่งพาพวกเจ้าโดยการวางไข่และพักอาศัยที่ดาว ส่วนพวกเจ้าก็รับวิทยาการจากเราเป็นการแลกเปลี่ยน เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนดาวของเจ้าล้วนมาจากนักคิดของดาวเราทั้งนั้น”
ผมนึกถึงนักวิทยาศาสตร์ในหนังบางเรื่องที่เป็นมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวมาทันใด สงสัยพวกของหมอนั่นก็คงจะเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะมั้ง แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการค่อนแคะหมอนั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวที่ทำตัวสูงส่งนี่ต้องพึ่งพามนุษย์โลกด้อยวิทยาการมากแค่ไหน
“ถ้ามีวิทยาการก้าวหน้านาดนั้น ทำไมไม่สร้างยาที่ทำให้อยู่ได้โดยไม่ต้องไปดูดปากชาวบ้านเค้าวะ”
“มีอยู่ แต่ยาที่พวกข้าเอามาจากดาวมันสูญหายไประหว่างการถูกไล่ล่าและสละยาน แต่เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อข้าตามหาพรรคเจอและไปยังสถานที่ที่มียานั่นอยู่ได้ เมื่อนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าโดยการกินสารอาหารและวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่อีกต่อไป”
แต่ขยายเผ่าพันธุ์นี่ยังคงต้องพึ่งอยู่สินะ?
“จะอะไรก็เอาเถอะ ตราบใดที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้โลกของฉันก็พอรับได้” ผมตัดบทด้วยไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ให้ปวดหัวอีกต่อไป แต่ก็ฉุกใจนึกขึ้นมาได้ว่าการที่มนุษย์ต่างดาวสักพวกหนึ่งจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ มันคงต้องมีสาเหตุ ซึ่งไอ้สาเหตุนี่ต้องค่อนข้างหายนะพอสมควรด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ระเห็จกันมาอย่างนี้หรอก
“ว่าแต่พวกนายย้ายถิ่นฐานมากันทำไม ถูกรุกรานหรือไง”
“ใช่” และคำตอบก็ตรงอย่างที่ผมคิดไว้เสียด้วย “อย่างที่ข้าได้บอกกับสหายเจ้าไว้ว่าชาติพันธุ์ในกลุ่มฮิวมานอยด์ ส่วนมากเป็นพวกรักสันติ แต่ก็มีบางพวกที่ชอบรุกรานชาติพันธุ์อื่น ชาติพันธุ์ของข้าได้ชื่อว่าเป็นพวกรักสงบมากที่สุดในกลุ่มนี้หากไม่นับมนุษย์โลก จึงทำให้ถูกรุกรานจากเผ่าพันธุ์นักล่า ถึงวิทยาการจะล้ำหน้าไม่แพ้ชาติพันธุ์ใด แต่ก็นับว่าด้อยอยู่มากหากเทียบกับชาติพันธุ์ที่มารุกรานแล้วเลยต้องอพยพ จริงๆ พวกข้าก็อพยพไปหลายดาวแล้ว ถึงอย่างนั้นก็หนีไม่พ้นการตามล่าสักทีเลยต้องมาที่นี่”
“เป็นตัวซวยของจักรวาลล่ะสิพวกนายน่ะ ไปที่ไหน ที่นั่นฉิบหายวายป่วง” ผมเหน็บ “แล้วเวลาไปที่ดาวอื่นนี่พูดภาษาของดาวนั้นด้วยป่ะ”
ที่ถามอย่างนี้เพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าหมอนี่พูดภาษาอังกฤษคล่องเป็นต่อยหอย แม้ว่าสำนวนจะเป็นแบบผู้ดีอังกฤษโบร๊าณโบราณก็ตาม
คีธพยักหน้ารับ ก่อนอธิบาย “สมองของชาวยูนิกม่ามีความซับซ้อนมากและประมวลผลได้ฉับไวกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ เพียงแค่ฟังภาษาอื่นไม่กี่นาทีก็พูดได้แล้ว ภาษาของเจ้า ข้าเองก็เพิ่งจะมาเรียนรู้เอาตอนที่ออกเดินทางมาที่นี่ด้วยยานความเร็วเสียงจากสิ่งบันเทิงที่มีภาพเคลื่อนไหวของมนุษย์”
“สิ่งบันเทิงที่ว่าคงจะเป็นหนัง?”
“ถ้าจำไม่ผิด เหมือนสิ่งบันเทิงนั่นจะมีชื่อว่าเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ได้ยินว่ามนุษย์โลกยกย่องให้เป็นสิ่งบันเทิงชิ้นเอกของดาวในยุคสมัยนี้ พวกข้าถึงได้ศึกษาภาษาของเจ้าจากสิ่งนี้”
เออ ไม่แปลกหรอกที่จะพูดจาเหมือนหลุดออกมาจากยุคโบราณอย่างนี้ ไปดูหนังโบราณแถมแฟนตาซีอย่างนั้น ก็ต้องสำนวนอย่างนี้แหละ
“ถ้าบอกว่าฟังแค่ไม่กี่นาทีก็พูดได้ งั้นก็หมายความว่านอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาอื่นก็พูดได้งั้นสิ”
“ถ้าได้ฟังก็ไม่มีปัญหา”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกอิจฉาความสามารถของหมอนี่ขึ้นมาตงิดๆ ผมพูดได้แค่สองภาษาเอง แถมกว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างนี้ยังต้องใช้เวลาเรียนมาเกือบทั้งชีวิต โคตรจะไม่แฟร์เลย
“งั้นถ้านายก็ไปหัดฟังภาษาไทยบ้างนะ ฉันจะได้ไม่ต้องพูดกับนายด้วยภาษาอังกฤษ เวลาด่ามันไม่ถนัดปาก” ผมว่าทีเล่นทีจริง
ทว่าคีธดันเอาจริง “ได้ หาสิ่งบันเทิงที่เป็นภาษานั้นมาให้ข้าฟังก็แล้วกันกวินทร์”
เป็นครั้งแรกที่คีธเรียกชื่อผม แถมสำเนียงยังชัดเจนมากราวกับได้ยินคนไทยมาพูดเอง ถึงชื่อผมจะออกเสียงง่ายสำหรับชาวต่างชาติ แต่ถึงยังไงมันก็ฟังรู้ว่าชาวต่างชาติพูด ไม่เหมือนกับหมอนี่ที่ฟังแล้วไม่รู้เลยว่าเป็นชาวต่างชาติพูดหรือคนไทยพูดกันแน่
แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมก็ไม่ได้ยินชื่อจริงๆ ของตัวเองมานานแล้ว
“ไว้จะหาให้” ผมรับปากส่งๆ แล้วจัดการกินเบอร์เกอร์ในมือต่อ
ความเหนื่อยล้าทำให้ผมไม่สามารถกินได้หมดทั้งชิ้น ไม่ถึงครึ่งผมก็จำต้องวางมันลง พลางหันไปมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาว่าเกือบจะเย็นแล้ว ผมจึงตัดสินใจว่าจะกลับห้อง ทว่าพอยืนขึ้นเท่านั้น ขาทั้งสองข้างก็สั่นจนผมต้องทรุดตัวนั่งลงมาอีก
ให้ตาย... แค่โดนสูบสารอาหารแค่นี้ถึงกับไปไม่เป็นเลยหรือไงนะ
“หากเจ้าต้องการจะกลับที่พัก ข้าจะพาไป” เสียงของคีธดังขึ้นเรียกให้ผมหันไปมอง
และไม่ทันที่ผมจะได้ตอบรับหรืออะไร หมอนั่นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเข้ามาช้อนผมขึ้นอุ้มด้วยสองแขน
“ทำอะไรของนายวะ!” ผมโวยวายทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในท่าถูกอุ้มแบบอุ้มเจ้าสาว
คีธชะงัก ชำเลืองมองหน้าผมเล็กน้อย แล้วปล่อยผมลงยืนดังเดิม
“ไม่สบายตัวรึ เช่นนั้นก็อย่างนี้แล้วกัน”
แล้วมันก็เดินมาข้างหน้าผม ดึงแขนผมไปเกาะคอมันแล้วออกแรงดึงขึ้น กลายเป็นถูกอุ้มด้วยท่าขี่หลังอีก
“ปล่อยนะเว้ยไอ้คีธ!”
คีธปล่อยผมลงยืนบนพื้นอีกครั้ง มองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง
“ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอนัก ขืนเคลื่อนไหวมาก เจ้าจะบาดเจ็บได้” ว่าจบ มันก็เข้ามายกผมขึ้นพาดบ่าทันใด
“ไม่ต้องอุ้มโว้ย! เดินเองได้!” ผมตะโกนสุดเสียง เรียกให้ริชาร์ดที่นั่งทำงานอยู่ในห้องนอนออกมาดูเหตุการณ์ทันใด
พอเห็นผมที่อยู่ในสภาพดิ้นไม่หยุด ขณะที่คีธจับผมแน่น ก็ออกปากแซวทันควัน
“ทุบหัวเสร็จแล้ว จะเข้าถ้ำมั้ย เดี๋ยวสละถ้ำให้” ว่าพลางชี้เข้าไปในห้อง
อย่ามาพูดอย่างกับว่าสิ่งที่เห็นมันเกิดขึ้นในยุคหินนะโว้ย!
“ไม่เป็นไร ข้าจะพากวินทร์กลับที่พัก” ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบาย คีธก็ว่าขึ้น
“ไปต่อกันที่ห้องคงจะสบายใจกว่าสินะ” ริชาร์ดยิ้มเผล่
“ดูสถานการณ์แล้วเลิกล้อเล่น ไสหัวมาช่วยเพื่อนสักที!” ผมหันไปพ่นภาษาไทยใส่มันรัวๆ
ทว่าริชาร์ดกลับเมินเฉย แล้วหันไปพูดกับคีธ
“จะทำอะไรก็เอาเถอะ แต่อย่าหักโหมมากแล้วกัน เพราะพรุ่งนี้นายต้องมาแคสติ้งกับฉันตอนบ่ายโมง อย่าเลทล่ะ สถานที่ก็ที่ห้องชมรมของมหา’ลัย ให้เควินพามาแล้วกันจะได้มาถูก”
เมินใส่อย่างเดียวไม่ว่า ยังมาสั่งเป็นฉากๆ อีก ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า ‘ไม่’ แต่ด้วยความที่ต้องดิ้นให้หลุดจากการถูกจับพาดบ่า จึงทำให้พูดไม่ถนัด คีธเลยแทรกขึ้นมาก่อน
“ได้ ข้าจะย้ำกวินทร์ให้” สิ้นเสียง ก็แบกผมเดินออกจากห้องไปทันทีโดยมีริชาร์ดเปิดประตูออกมาส่ง
“กลับให้ถึงที่ล่ะ อย่าแวะข้างทาง เควินไม่ชอบแบบบุกป่าฝ่าดง ถนอมๆ หน่อย”
ปวดกบาลกับไอ้เพื่อนเวรนี่จริงๆ! เลิกคิดว่าผมกับไอ้มนุษย์ดาวโฮโมฯ นี่จะไปมีซัมธิงกันสักทีเถอะ!



หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 23:30:16
Episode 04: Alien Prince’s casting [2]


สุดท้ายแล้ว การดิ้นรนของผมให้หลุดจากการถูกแบกก็สูญเปล่า แถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งทำให้คนมองมากขึ้นอีกต่างหากที่เห็นผู้ชายสองคนอุ้มกันหน้าตาเฉยขณะเดินไปตามถนน และเพราะกลายเป็นจุดสนใจ ผมจึงแกล้งตายตั้งแต่หมอนั่นพาผมออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ของริชาร์ด พอถึงห้องถึงได้ฤกษ์วีนใส่คีธ
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็สู้หมอนั่นไม่ได้อยู่ดีด้วยถูกหมอนั่นสูบสารอาหารอีกครั้งสำหรับมื้อเย็น แม้หมอนั่นจะบอกว่าเป็นครั้งสุดท้ายของวัน ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตก่อนที่ผมจะตายยังไงก็ไม่รู้
หลังจากถูกดูดสารอาหาร ผมก็หลับยาวกระทั่งเข้าเที่ยงวันของวันใหม่ ตอนแรกผมก็กะจะเบี้ยวนัดของริชาร์ดอยู่แล้วด้วยยังรู้สึกเหนื่อยล้าจากสิ่งที่เจอเมื่อวาน แต่พอถูกคีธมานั่งจ้องข้างเตียง เร่งให้ผมพาไปแคสติ้งด้วยแล้ว ผมก็รีบลุกพรวดจากเตียงด้วยเกรงว่าถ้าไม่พามันไป มันจะสูบสารอาหารจากผมอีกทั้งๆ ที่ปากมันบอกว่าจะให้ผมพักก็ตาม
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมายืนอยู่ในห้องชมรมทำหนังของริชาร์ด ชมรมนี้เป็นชมรมที่รวมเอานักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์และคณะอื่นทั้งปริญญาตรีและโทที่มีใจรักการทำหนังเอาไว้ด้วยกัน โดยปีนี้มีริชาร์ดเป็นประธาน
ผมไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมหรอกแต่ก็มาเยือนบ่อยเพราะบางครั้งริชาร์ดก็ขอให้ผมมาช่วยงานกำกับบ้าง นั่นทำให้มีเสียงทักทายดังขึ้นตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องชมรม และตามด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ เล็กน้อยเมื่อผมพยักหน้ารับคำทักทายนั้น ผมเองก็ป็อปปูล่าร์ในหมู่เด็กในชมรมนี้เหมือนกัน อีกทั้งบางคนก็เคยคั่วกับผมระยะหนึ่งด้วย
จริงๆ แล้วอย่าเรียกว่าบางคนเลย เกือบทั้งหมดที่เป็นเพศหญิงเลยดีกว่า จะมีก็แต่พวกหน้าใหม่บางคนนี่แหละที่ผมยังไม่เคยควง
ทว่าผมในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะสนใจผู้หญิงที่ไหนทั้งนั้น นอกจากเดินตรงไปนั่งกับริชาร์ดที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์ของกล้องบันทึกเทปตัวใหญ่
“เมื่อคืนหนักหรือไงถึงได้เป็นผีตายซากอย่างนี้” และนี่คือประโยคแรกที่มันทักผม
ผมหันไปมองมันตาเขียวพลัน “ถ้าอยากจะให้ไอ้เวรคีธแคสฯ กับนายล่ะก็ หุบปากไปเลย”
ริชาร์ดยักไหล่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วหมอนั่นไปไหนล่ะ”
ผมพยักปลายคางไปยังบริเวณเก้าอี้มุมห้องที่ถูกจัดให้พวกนักแสดงที่มาแคสติ้งนั่ง ริชาร์ดหันไปมองคีธซึ่งอยู่ในเสื้อยืดสีเทาเข้มที่ผมเพิ่งซื้อจากซูเปอร์มาเก็ตให้เมื่อเช้ากับกางเกงยีนส์ตัวเมื่อวานเล็กน้อย พลันว่าขึ้น
“หมอนี่ตั้งใจมาแคสจริงๆ เปล่าวะ แต่งตัวอย่างกับอยู่บ้าน นายออกจะเซ้นส์แฟชั่นดี ทำไมไม่หาเสื้อผ้าดีๆ ให้หมอนั่นล่ะ”
ก็ถูกของริชาร์ดนั่นแหละหากเทียบกับการแต่งตัวของนักแสดงคนอื่นๆ ที่มาแคสติ้ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก แค่พามันมาให้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว
“หน้าตาอย่างมัน ใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวยังดูดีเลย แค่นี้แหละพอแล้ว อย่าเยอะ”
ริชาร์ดเลิกคิ้วอย่างเห็นด้วย ก่อนที่นักศึกษา ป.ตรีคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกมือของริชาร์ดจะเข้าไปคุยกับพวกคนที่มาแคสติ้ง พร้อมแจกกระดาษสำหรับบทที่จะต้องพูดต่อหน้าผู้กำกับ
“บทที่ทุกคนจะต้องแคสฯ ในวันนี้เป็นบทของเจ้าชายต่างดาวซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องนะคะ ส่วนฉากที่จะต้องแสดงก็คือ ฉากที่เจ้าชายร้องขอความรักจากหญิงสาวชาวมนุษย์ พูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้นค่ะ ส่วนแอคติ้งก็ทำยังไงก็ได้ให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกอยากจะตอบรักความรักนะ เดี๋ยวทางเราจะให้นักแสดงที่รับบทเป็นหญิงสาวมาเข้าฉากด้วยจะได้สมจริง แล้วก็เตรียมตัวสแตนด์บายได้เลย อีกห้านาทีจะเริ่มแคสติ้งแล้ว” เธอว่ายาว
ผมฉงนใจทันที พลันหันไปหาริชาร์ดที่นั่งไขว่ห้างอยู่ข้างๆ
“แคสฯ แค่นี้เองเหรอวะ”
“อือ แค่นี้แหละ อย่าเยอะ” หมอนี่ล้อเลียนผม พลันส่งกระดาษซึ่งเป็นบทพูดของเจ้าชายต่างดาวอะไรนี่มาให้
ในกระดาษนั้นเขียนแค่ว่า ‘ได้โปรด รับความรักจากข้า’ แค่นี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย
ผมมองหน้าริชาร์ดอย่างขอคำตอบว่าทำไมบทสำหรับการแคสติ้งถึงได้ง่ายนัก แต่ไม่ต้องออกปากถาม ริชาร์ดก็เหมือนจะรู้ว่าผมสงสัยอะไร
“หนังสั้นเรื่องนี้เน้นแอคติ้งของนักแสดงมากกว่าบทพูด เจ้าชายต่างดาวเป็นพวกพูดน้อยแต่แสดงออกด้วยสีหน้ากับสายตาเป็นหลัก อารมณ์แบบพวกแข็งนอกอ่อนใน ฉันเลยให้พูดแค่นี้”
ผมพยักหน้า นึกในใจพลันว่าอย่างคีธเนี่ยคงไม่ผ่านแน่นอน แสดงสีหน้าได้แบบเดียว แถมยังทำสายตาได้แค่แบบเดียวอย่างนั้น ฝันไปเลยว่าจะเข้าตากรรมการ
ไม่นานนัก การแคสติ้งก็เริ่มขึ้น ทุกคนที่มาเข้าแคสติ้งต่างแสดงออกมาได้ดี ทว่าก็ไม่ได้ดีมากนักในความรู้สึกผม ริชาร์ดเองก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน เพราะผมเห็นหมอนี่ได้แต่กากบาทรายชื่อนักแสดงที่ไม่เข้าตาออกอย่างเดียว
“แย่ว่ะ บุคลิกไม่ได้เลย แค่นักแสดงหลัก ทำไมมันหายากจังวะ” ริชาร์ดพึมพำด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ถ้าหาไม่ได้ นายก็เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ตัวละครสิวะ ไม่เห็นจะยาก” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก สายตาจับจ้องไปยังนักศึกษารุ่นน้องที่เพิ่งจะแสดงจบไป ก่อนจะเบือนไปยังคีธที่ถูกลูกมือของริชาร์ดเรียกให้ออกมา
ริชาร์ดตั้งใจดูหมอนั่นเป็นพิเศษ ในใจก็คงจะหวังว่าคีธคงจะแสดงออกมาได้ดีล่ะมั้ง แต่ขอโทษที่หมอนั่นต้องทำให้ผิดหวังอย่างแรง เพราะนอกจากจะเดินเนือยๆ ออกมาโดยไม่แนะนำตัวหรืออะไรแล้ว ยังพูดออกมาทื่อๆ อีกต่างหาก
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
ริชาร์ดยกมือตบหน้าผากตัวเองในทันใด ขณะที่ผมหัวเราะร่วนที่เห็นหมอนั่นแสดงได้แข็งเป็นท่อนไม้
“ว่าที่พระเอกนายนี่หินเรียกพี่เลยว่ะ”
ริชาร์ดมองผมเคืองๆ เล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกความสนใจของทุกคนที่มองยังคีธอยู่ไป
“ลองแสดงใหม่อีกทีซิคีธ จินตนาการว่าคนที่อยู่ตรงหน้านายเป็นผู้หญิงที่นายรักมากๆ แล้วนายอยากได้มาเป็นแม่ของลูกน่ะ ไม่ต้องเกร็งๆ”
คีธพยักหน้ารับหน้าตาย ก่อนที่จะหันไปมองนักแสดงสมทบอีกครั้ง
และ...
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
...พูดออกมาแข็งทื่อเหมือนเดิม
ผมหยุดหัวเราะไม่ได้ก็ในตอนนี้ “หมอนั่นไม่ไหวหรอกมั้ง ให้แสดงเป็นหินก็ว่าไปอย่าง”
ริชาร์ดพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะยกแขนมากระทุ้งผม “นายไปโชว์ให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยซิ”
“ฉันเนี่ยนะ” ผมหันไปมองหมอนั่นเหวอๆ รอยยิ้มพร่างพรายบนใบหน้าเลือนหายไปทันที
“นายนั่นแหละ”
“ฉันไม่เคยแสดงนะเว้ย จู่ๆ มาให้ว่าที่ผู้กำกับไปแสดงแบบนี้มันได้ที่ไหน”
“เสือผู้หญิงตัวพ่อไม่ใช่เหรอ แค่นี้คงไม่คณามือหรอกมั้ง”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าถูกริชาร์ดดูแคลนอยู่กลายๆ พอสิ้นเสียง ผมก็ลุกขึ้นยืน
“ก็ได้ๆ เดี๋ยวป๋าโชว์ให้ดูเอง” ว่าจบ ผมก็เดินเข้าไปหาคีธ ขณะที่ริชาร์ดว่าเสียงดัง
“เดี๋ยวฉันจะให้เควินแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างนะ”
พอคีธพยักหน้ารับ ผมก็เริ่มการแสดงทันทีโดยการยื่นมือออกไปจับมือของนักแสดงสมทบข้างหน้า ใช้นิ้วโป้งลูบหลังมืออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองพลางส่งสายตาหวานหยดให้
“ได้โปรด... รับความรักจากข้า”
นักแสดงสมทบถึงกับอึ้งงันเมื่อเห็นสายตาที่ผมมอง ไม่เว้นแม้แต่สาวๆ คนอื่นๆ ที่อยู่รอบนอกซึ่งพากันส่งเสียงกรี๊ดเบาๆ ตามมา ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันจะต้องออกมาเป็นอย่างนี้ ก็สายตาของผมน่ะ มันเย้ายวนจนไม่เคยมีผู้หญิงที่ถูกผมมองด้วยสายตาแบบนี้หลุดรอดไปได้สักราย
“เนี่ย แบบนี้เนี่ย ทำได้มั้ย” พอแสดงจบ ริชาร์ดก็ถามคีธ “แต่ไม่ต้องเอาแบบอย่างเควินมันนะ เอาแบบสไตล์นาย เดี๋ยวมันดูไม่เป็นธรรมชาติ”
คีธพยักหน้า พอผมเดินกลับมานั่งที่ หมอนั่นก็แสดงแบบเดิมอีก
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
ริชาร์ดถึงกับกำกระดาษในมือแน่นด้วยหัวเสียขึ้นมานิดๆ ผมหัวเราะในลำคอ สะใจไม่น้อยที่หมอนี่ไม่ได้สมหวังแต่ริชาร์ดไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดูท่าทางอยากให้คีธได้รับบทนี้เต็มแก่ถึงได้ให้โอกาสแก้ตัวอยู่หลายต่อหลายครั้งแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ป่านนี้หมอนี่เฉดหัวออกจากห้องไปนานแล้ว
“ไปแนะนำมันหน่อยซิว่าควรทำยังไง นายอยู่กับมัน น่าจะรู้ว่ามันเป็นคนสไตล์ไหน”
“ทำไมต้องเป็นฉันวะ” ผมเล่นลิ้น ทว่าริชาร์ดไม่เล่นด้วย
“ถ้าไม่อยากให้เรื่องนายเป็นคู่ขากับหมอนั่นหลุดไปล่ะก็ ไปซะ”
โดนขู่มาอย่างนี้ ผมก็หน้าม้านทันควัน ก่อนจะลุกเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปหาคีธอีกครั้ง แล้วลากออกมากระซิบกระซาบเป็นการส่วนตัว
“ฟังนะไอ้มนุษย์ต่างดาว เวลาแสดงน่ะ นายก็แค่นึกถึงเวลานายกำลังจะวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ แต่ก่อนจะวางไข่ นายต้องขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน โอเคมั้ย แบบว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่านายแม่งโคตรเท่ น่าให้นายวางไข่ชะมัดอะไรงี้น่ะ แบบธรรมชาติๆ ของนายอ่ะ ทำได้มั้ยวะ” ผมพูดไปอย่างนี้เพราะนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เผ่าพันธุ์หมอนี่จะวางไข่จะต้องขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน
คีธพยักหน้ารับ ผมไม่รู้ว่าที่หมอนี่พยักหน้าเป็นเพราะเข้าใจแน่หรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เดินกลับมานั่งที่เดิม แล้วรอดูการแสดงอีกครั้ง
พอริชาร์ดบอกให้เริ่ม คีธก็เดินมาหยุดตรงหน้านักแสดงสมทบแล้วจ้องหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่โดยไม่พูดอะไรออกมา จนนักแสดงสมทบหันมามองริชาร์ดที่ดูงงๆ ไปเหมือนกัน
“มันเป็นอะไรวะ นายไปพูดตัดกำลังใจอะไรมันหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่ได้พูดตัดกำลังใจอะไรสักนิด แค่บอกให้มันเล่นไปตามธรรมชาติ” ผมว่าไปตามตรง
ทว่าไม่ทันจะสิ้นเสียงผมดี คีธก็ขยับตัว ทำให้ริชาร์ดที่กำลังตั้งท่าจะพูดเงียบปากไป มองคีธอย่างตั้งใจ ครู่เดียว คีธก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทื่อๆ อีก
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่ที่ต่างออกไปก็คือ พอหมอนั่นพูดจบ มือทั้งสองข้างก็เอื้อมไปจับคอเสื้อแล้วจัดการถอดมันออก เผยให้เห็นกล้ามท้องเป็นลอนสวยเต็มสองตา ที่สำคัญ สีหน้าของหมอนั่นยังเรียบสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย ขณะที่ผมเบิกตาโตทันควัน
จะแก้ผ้าหาป้ามึงเหรอ?! ให้ขอความรักจากผู้หญิง ไม่ใช่แก้ผ้าโว้ย!
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์อ้าปากค้าง ความเงียบเข้าครอบงำจนผมแทบได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน และก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรขึ้น คีธก็เลื่อนมือไปยังขอบกางเกง ก่อนเริ่ม...
ถะ...ถอด!
เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ดังขึ้น ผมได้สติในตอนนี้ พลันรีบพุ่งไปคว้าขอบกางเกงหมอนั่นไว้ก่อนที่มันจะลงไปกองกับพื้นหรือเผยให้เห็นอะไรต่อมิอะไร แล้วแหวใส่มันเสียงดัง
“ทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“ขอความรัก”
“ขอความรักก็ขอเฉยๆ สิวะ จะแก้ผ้าเพื่อ!?”
“ชาติพันธุ์ข้ายามขออนุญาตวางไข่ ผู้ขออนุญาตจะต้องเผยให้เห็นความแข็งแรงของร่างกาย แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าแกร่งพอที่จะเป็นพ่อพันธุ์ได้ นี่คือวิธีขอความรักของดาวข้า”
ฟังแล้ว ผมก็แทบจะเอาหัวโขกหน้ามัน ถ้ารู้ว่าวิธีการขออนุญาตวางไข่คือการแก้ผ้าโทงๆ ให้อีกฝ่ายพิจารณาไปทุกสัดส่วนล่ะก็ ผมคงไม่บอกให้มันทำตามธรรมชาติหรอก แม่งโรคจิตชัดๆ!
“รีบใส่เสื้อผ้ากลับไปเลยเร็ว!” ผมออกคำสั่ง
คีธติดตะขอกางเกงเหมือนเดิม พลางเดินมาหยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นสวม ผมมองแล้วก็คิดว่าหมอนี่คงไม่ผ่านแน่นอน ทว่าก็ผิดคาดเมื่อจู่ๆ ริชาร์ดก็ปรบมือพลางหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ
“เฮ้ย ถูกใจว่ะ ไอเดียนายโคตรเจ๋งเลย แบบนี้สิถึงจะได้ฟีลเอเลี่ยน ปรับบทนิดหน่อย รับรองว่าได้เรื่องแน่”
แก้ผ้าต่อหน้าฝูงชนมันได้ฟีลเอเลี่ยนตรงไหนวะ!
ผมอยากจะแย้งนะ แต่พอเห็นริชาร์ดร้องบอกทุกคนว่าได้นักแสดงสำหรับบทนี้แล้ว ผมก็ได้แต่ยกมือคลึงขมับตัวเองไปมา
มาถึงขั้นนี้ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยแล้ว
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 23:31:21
Episode 05: A porn star[1]

มาคิดดูอีกที การพาคีธไปแคสติ้งกับริชาร์ดมันก็ดีเหมือนกัน เพราะหลังจากที่หมอนั่นได้รับบทเจ้าชายต่างดาวบ้าบอคอแตกอะไรนั่นแล้ว ริชาร์ดก็ไม่ยอมปล่อยให้กลับง่ายๆ รั้งตัวเอาไว้โดยอ้างว่าจะแนะนำนักแสดงคนอื่นๆ ให้รู้จักและเลี้ยงเปิดกล้อง รวมถึงการคุยเรื่องการฟิตติ้งเสื้อผ้าที่จะมีขึ้นในวันมะรืนด้วย ผมก็เลยได้ที ทิ้งมันไว้แล้วรีบชิ่งกลับมาก่อน โดยไม่ลืมสั่งริชาร์ดไว้ว่าคืนนี้ให้คีธไปนอนที่ห้องหมอนั่นแทน
ในใจก็ได้แต่ภาวนานั่นแหละว่าขอให้คีธมันหาเหยื่อสำหรับวางไข่คนต่อไปได้แล้วไม่ต้องโผล่หัวมาหาผมอีก ผมจะได้เป็นอิสระจากมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่สักที
และเพราะผมไม่มีคีธติดสอยห้อยตาม พอกลับมาถึงห้องได้ ผมก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว เตรียมไปร่อนที่ไนท์คลับตามประสาหนุ่มโสดทันที ระยะนี้อดอยากปากแห้งมานานแล้ว ขอไปหาเหยื่อแถวๆ นั้นกลับมากินบ้างเถอะ
ผมสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป จัดแต่งทรงผมด้วยเจลและฉีดน้ำหอมแบรนด์หรูที่ผู้หญิงคนไหนสักคนซื้อให้ พลางมองตัวเองในกระจกเงา พอเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพดูดีไม่มีที่ติแล้ว ผมก็ตรงไปยังประตูห้อง เตรียมตัวจะออกไปท่องราตรี คืนนี้ผมคงไปได้แค่ไนต์คลับระดับกลางๆ เท่านั้นแหละ ช่วงนี้ใช้จ่ายมากไม่ได้ อยู่ในช่วงรัดเข็มขัด
ทว่าพอผมเปิดประตูออกไป ผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างระหงของหญิงสาวในชุดเดรสเกาะอกรัดรูป โชว์เรือนร่างอวบอัดอยู่ตรงหน้า
“เซอร์ไพรส์!” เธอตรงเข้ามากระโดดกอดผมทันทีที่สิ้นเสียง
 “เอมิเลีย มาได้ยังไงเนี่ย” ผมย่นคิ้วนิดหน่อยที่เห็นเธอแบบไม่ทันตั้งตัว พลันดึงเธอออกจากตัว
“ก็ขับรถมาน่ะสิ ถามอะไรแปลกๆ” เธอทำหน้ามุ่ยแบบขำๆ แต่ผมไม่ขำด้วย
โอเค ผมรู้ว่าเธอน่ะมีรถและขับรถมา แต่ที่อยากรู้ก็คือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้โผล่มากะทันหันต่างหาก
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ถาม เธอก็เหมือนจะรู้ว่าผมอยากรู้อะไรผ่านสีหน้าเคร่งเครียดของผม ทำให้เธอฉีกยิ้มร่า รีบตอบคำถามก่อนที่จะทำให้ผมหงุดหงิดทันที
“ล้อเล่นน่า ฉันก็คิดถึงนายน่ะสิถึงได้มาหา ฉันโทรหานายตั้งหลายครั้งแล้วนะ นายไม่รับสายฉันเลย ส่งข้อความอะไรไปก็ไม่ตอบ ไม่สิ ไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำ ฉันก็เลยถ่อมาหาถึงที่นี่แหละ”
ผมพยักหน้ารับ เพิ่งจะนึกขึ้นได้เหมือนกันว่าเอมิเลียทั้งระดมโทร ระดมส่งข้อความมาหาผมหลายรอบแล้ว แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องคีธอยู่
“แล้วนี่นายจะไปไหนน่ะ แต่งตัวหล่ออย่างนี้ อย่าบอกนะว่าจะออกล่าเหยื่อ” ผมได้สติกลับมาอีกทีเมื่อเธอทักขึ้น
“เปล่า ก็แค่จะออกไปผ่อนคลาย” ผมโกหกหน้าตายด้วยไม่อยากฟังเธอตัดพ้อง้องแง้งเรื่องที่ผมควงเธออยู่แล้ว แต่ยังมีหน้าออกไปหาผู้หญิงคนอื่น
“แน่นะ?”
“อือ”
สายตาเธอบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดสักนิด
“จริง” พอผมย้ำคำ เธอก็ยิ้มออก
“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันก็นึกว่านายจะนอกใจฉันซะแล้ว”
เอาตรงๆ นะ ผมไม่ได้จริงจังกับเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมตกลงกับเธอก่อนจะควงกันแล้วด้วยว่าอย่ามาหึงหวงอะไรเทือกนี้ เพราะผมไม่ได้เป็นแฟนเธอ แต่เหมือนเธอจะลืมไปแล้วล่ะมั้ง
“แล้วเธอมาหาฉันมีธุระอะไร” ผมตัดบทด้วยไม่อยากเสียเวลาสนุกไปมากกว่านี้ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็เกือบจะสองทุ่มแล้วด้วย กว่าจะไปถึง กว่าจะหาเหยื่อได้ เหนื่อยก่อนได้สนุกพอดี
“ก็บอกแล้วว่าคิดถึง คิดถึงนี่ไม่ใช่ธุระหรือไง” เอมิเลียชักสีหน้าใส่ผมพลันที่ถูกถามอย่างนั้น พอผมถอนหายใจพรืดด้วยรำคาญนิดๆ เธอก็พูดออกมาอีก “นอกจากคิดถึงแล้ว ธุระของฉันก็...บริการนายไง”
ไม่พูดเปล่า ยังแกล้งลากเล็บคมๆ ลงบนหน้าอกผมอีก สัมผัสวาบหวิวทำเอาผมขนลุกชันเล็กน้อย และผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอหมายถึงอะไร
“หรือนายอยากให้ฉันกลับ” เธอว่าทีเล่นทีจริง ช้อนสายตามองผมอย่างยั่วยวน แต่แค่นั้นคงยังไม่พอที่จะรั้งผมไว้ เธอยังโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ให้ผมเห็นเนินเนื้อนูนที่อยู่ใต้เสื้อเกาะอกตัวจิ๋วของเธออีก
ผมยิ้มเผล่ เอาเถอะ ในเมื่อยั่วขนาดนี้ แถมมาหาถึงที่ ผมก็จะตอบสนองให้แล้วกัน ดีเสียอีกที่ไม่ต้องออกไปข้างนอก ไม่เปลืองเงินดี
“งั้นก็เข้ามาก่อน” ผมผายมือให้เธอเดินเข้าไปในห้อง
ทันทีที่ประตูปิดลงและล็อคเรียบร้อย ผมก็ไม่รอช้า ดึงเธอเข้ามาบดจูบหนักหน่วงทันที เอมิเลียตอบสนองผมอย่างสิเหน่หา เธอเองก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ดึงทึ้งเสื้อผมออกจากตัวอย่างกระหาย ผมกับเธอจูบกันนัวเนีย ประคองกันเข้าไปข้างในอย่างสะเปะสะปะ ก่อนจะมาทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น
ผมสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปใต้กระโปรงเธอแล้วถลกมันขึ้น ขณะที่มืออีกข้างก็ควานหาเพื่อนคู่ใจที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ
เพื่อนคู่ใจนี่ก็คือถุงยางอนามัยนั่นแหละ เคยบอกแล้วว่าถ้ารักสนุกก็ต้องรู้จักเซฟ ผมก็เลยซื้อมาทิ้งไว้เกลื่อนกลาดเต็มห้อง เวลาจะหยิบใช้จะได้คล่องตัว
พอคว้าตัวช่วยมาไว้ในมือได้ ผมก็ส่งให้เอมิเลียรับไว้ ก่อนจะผละจากเธอไปปลดเข็มขัดที่กางเกงยีนส์ตัวเอง เอมิเลียหัวเราะที่เห็นผมร้อนรนจนอดล้อเลียนไม่ได้
“เร่าร้อนจังเลยนะ อดอยากปากแห้งเหรอ”
ผมเหยียดยิ้มเป็นคำตอบ แกล้งแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อยให้เธอได้หัวเราะ เอมิเลียเอนตัวนอนอิงโซฟา รอให้ผมได้หรรษากับเรือนร่างของเธอ ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ถอดเข็มขัดออกจากตัวดี เสียงดังตึงก็ลั่นเข้ามาในหู ทำเอาผมกับเอมิเลียผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“เสียงอะไรน่ะ” เธอถามด้วยสีหน้าตื่นๆ ขณะที่ผมก็ตกใจไม่แพ้กัน
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงก็ในเมื่อเสียงที่ได้ยินมันดังมาจากประตูห้องของผม แถมยังดังมากเหมือนกับว่ามีใครพยายามพังประตูเข้ามาอีกด้วย
“เดี๋ยวฉันไปดูก่อน”
เท่านั้นผมก็หย่อนตัวลงจากโซฟา เดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังประตูห้องทันใด แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นร่างใหญ่ของไอ้มนุษย์หน้าตายยืนหิ้วลูกบิดประตูผมอยู่ ขณะที่ประตูเปิดอ้าออก
“ไอ้คีธ!”
“ขออภัย ข้าออกแรงมากไปหน่อย ไม่นึกว่าประตูของชาวโลกจะบอบบางถึงเพียงนี้”
หลุดมาทั้งลูกบิดอย่างนี้ บ้านกูไม่เรียกว่าหน่อยแล้ว!
หมอนั่นเดินมาหยุดตรงหน้าผม มือข้างหนึ่งคว้ามือผมออกไปตรงหน้า แล้ววางซากลูกบิดประตูลงมาให้ผมถือ
“ข้าจะชดใช้ให้”
ชดใช้อะไร! กูต่างหากที่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าประตูที่มึงทำพังเนี่ย!
ผมยกมือยีผมตัวเอง ชักสีหน้าไม่พอใจใส่คีธอย่างไม่ปกปิด ยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมโคตรจะหัวเสีย ไม่ใช่แค่หัวเสียที่หมอนี่โผล่เข้ามาไม่ได้จังหวะ แล้วก็พังประตูผมเท่านั้น แต่ยังหัวเสียที่เห็นหมอนี่กลับมาที่ห้องทั้งๆ ที่กำชับไอ้ริชาร์ดไปแล้วว่าให้หมอนี่นอนที่ห้องมัน นี่ยังจะปล่อยให้กลับมาอีก!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไร เอมิเลียที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เดินออกมาเสียก่อน พลางถามด้วยน้ำเสียงตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเควิน มีใครมา ให้ฉันโทรเรียกตำรวจมั้ย”
ผมแค่มองหน้าเธอ ยังไม่ทันจะได้ตอบ แต่พอเธอเห็นคีธ สีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นฉงน ก่อนจะกลายเป็นเย้ายวนทันที
“แล้วนี่... เพื่อนนายเหรอ”
ผมมองหน้าเอมิเลียอย่างระอาที่จู่ๆ ก็แสดงอาการอ่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก็แหม ไอ้คีธมันหล่อนี่เนอะ ไม่อ่อยนี่สิถึงจะแปลก แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่มาอ่อยต่อหน้าผมทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังนัวเนียกับผมอยู่เลยนี่แหละ
“ไม่ใช่” ผมว่าเสียงห้วน หัวเสียสุดๆ ไปเลยตอนนี้
“เอ้า ไม่ใช่เพื่อนนายแล้วเป็นใคร”
“ข้าชื่อ คีทาเย ซาเค...”
คีธนี่ก็เสร่อ ยัยนั่นไม่ได้ถามก็เสนอหน้าตอบ ทำให้ผมต้องขัดขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
ทั้งคีธ ทั้งเอมิเลียหุบปากฉับ มองหน้าผมพลัน คีธน่ะมองหน้าผมโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ผมก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าหมอนี่คิดอะไร ส่วนเอมิเลียนี่คือหน้าม้านไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก นอกจากออกปากไล่
“กลับไปก่อนไป ฉันมีธุระต้องจัดการ”
“ฉันเพิ่งจะมาไม่ถึงชั่วโมงเองนะ” เธอท้วงเสียงแหลม ทำให้หัวคิ้วผมย่นยู่หนักขึ้นไปอีก
“ฉันบอกให้กลับไป”
“แต่ว่า...”
“กลับ-ไป-ซะ”
พอผมหันไปว่าเสียงเขียว เอมิเลียที่ทำท่าเหมือนจะงอนเมื่อครู่ก็ระงับสีหน้าทันใด ยอมเดินออกจากห้องไปโดยดี เหลือแต่ผมกับคีธเท่านั้นที่เผชิญหน้ากันอยู่ จนเขาทำลายความเงียบขึ้นมา
“ไล่นางไปอย่างนั้น ไม่เป็นอะไรรึ”
“ช่างแม่ง ว่าแต่นายเถอะ กลับมาทำไม ฉันบอกริชาร์ดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้นายนอนห้องหมอนั่น” ผมเข้าเรื่อง ในใจคิดว่าริชาร์ดคงจะไม่สะดวกให้คีธนอนด้วยหรือเหตุผลจำเป็นอะไรสักอย่างแน่ เพราะคนอย่างริชาร์ด ถ้ารับปากอะไรผมไปแล้ว มักจะทำตามเสมอ ไม่มีมาแคนเซิลทีหลังอย่างนี้หรอก
หากแต่คำตอบของคีธก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เพราะเหตุผลที่หมอนี่กลับมา ไม่ใช่เพราะริชาร์ด แต่เป็นเพราะหมอนี่นี่แหละ
“ข้าจำเป็นต้องกินสารอาหารจากเจ้า ก็เลยตามกลิ่นเจ้ากลับมา”
เมื่อวานยังสูบไปไม่พออีกเหรอวะ!?
ผมทำหน้าแหยทันที อยากจะปฏิเสธให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าคีธก็ดักคอขึ้นมาก่อน
“หลังจากถือกำเนิด ข้าจำเป็นต้องกินสารอาหารจากโฮสต์ทั้งวัน เมื่อผ่านไปยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แค่วันละครั้งก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิต”
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ากี่ครั้งต่อวันเว้ย มันอยู่ที่ทำไมจะต้องยอมให้จูบครั้งแล้วครั้งเล่าต่างหาก!
แถมพอหมอนั่นพูดเสร็จก็ไม่ยอมให้ผมได้พูดอะไร ขยับเข้ามาใกล้ รวบเอวผมเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้น ข้าจะขอกินสาอาหารจากเจ้าอีกครั้ง” ว่าจบก็โน้มใบหน้าลงมา
ผมถลึงตาโต รีบยกมือดันหน้ามันเอาไว้ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะเข้าครอบครองริมฝีปากผม
“หยุดเลยไอ้คีธ! ถ้าอยากกินล่ะก็ตามฉันมานี่ เดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย!”
ตอนพูดไปก็ไม่ทันได้คิดหรอกว่าของอร่อยที่ว่าคืออะไร แต่มันก็ทำให้คีธยอมหยุดได้
“ของอร่อย?”
“เออ ของกินในโลกมนุษย์เนี่ย เดี๋ยวจะพาไปกิน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิวะ จะมากินสารอาหารอย่างนี้ตลอดได้ไง มนุษย์กินแบบไหนก็หัดกินตามบ้าง” ผมว่ายาวแล้วผลักอกหมอนั่นออกห่าง
หมอนั่นมองผมนิ่งๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตอบรับออกมา
“ลองดูก็ได้ พาไปสิ”
อยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า ‘มึง-สม-ควร-ลอง’ เอะอะก็มาดูดสารอาหารทั้งวันอย่างนี้ เดี๋ยวผมก็ได้แห้งตายก่อนพอดี
“งั้นตามมา จะพาไป”
พูดจบ ผมก็เดินออกจากห้องไปทันที โดยไม่ลืมโทรบอกคนดูแลอพาร์ตเม้นต์ให้ส่งช่างขึ้นมาซ่อมลูกบิดให้ แน่ล่ะว่าผมโดนคนดูแลฯ บ่นนิดหน่อยที่โทรไปรบกวนช่วงกลางคืน แต่เพราะสนิทกัน เธอก็เลยส่งช่างประจำอพาร์ตเม้นต์ขึ้นมาดูให้ พร้อมกับล็อคห้องให้ ผมเลยไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก นอกจากพาไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่ไปหาอะไรยัดลงท้องเท่านั้น
 
ร้านอาหารจีนข้างถนนละแวกที่พักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในยามกลางคืนแบบนี้ จริงๆ มันก็มีตัวเลือกอื่นนั่นแหละ แต่เพราะร้านนี้เป็นร้านประจำของผมเวลาที่ผมกลับจากไนท์คลับตอนดึกๆ แถมผมยังสนิทกับอาแปะเจ้าของร้าน ผมก็เลยเลือกที่นี่เป็นที่ฝากท้อง ที่สำคัญ ยังราคาถูก ประหยัดเงินในกระเป๋าผมไปได้พอสมควรถ้าคีธเกิดกินแบบยัดห่าขึ้นมา
พอเข้าไปในร้าน ผมก็จัดการสั่งบะหมี่ผัดสองที่สำหรับผมกับคีธทันที จริงๆ ไม่ทันจะได้สั่งเลย แค่ลูกจ้างหนุ่มชาวจีนของอาแปะเห็นหน้าผม เขาก็รู้แล้วว่าผมจะกินเมนูอะไร แค่ชูสองนิ้วบอกจำนวนที่ต้องการให้เท่านั้น
ไม่นาน บะหมี่ผัดสไตล์จีนในกล่องกระดาษก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ผมคว้ากล่องบะหมี่มาถือ พลางถามหาใครบางคนเมื่อตระหนักว่าไม่เห็นเขาอยู่ที่นี่
“อาแปะไปไหนล่ะวันนี้”
“อ๋อ เข้าห้องน้ำอยู่น่ะ วันนี้ลุงแกท้องเสีย ไม่รู้ไปกินอะไรมา เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะออกมา”
ผมพยักหน้ารับ ส่วนอาแปะที่ว่าก็คือเจ้าของร้านนี่แหละ เขาเป็นชายจีนแก่ๆ ร่างเล็กที่ชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘ลีโอนาร์โด’ เหตุผลก็เพราะนามสกุลเขาคือ ‘แซ่หลี่’ แต่ถ้าถูกฝรั่งเรียก มันจะเพี้ยนเสียงกลายเป็น ‘ลี’ ซึ่งฟังเหมือนเป็นนามสกุลของชาวเกาหลีและเขาไม่ชอบ แต่ดูจากสภาพหนังหน้ากับความเหี่ยวของเขาแล้ว ผมก็ทำใจเรียกลีโอนาร์โดไม่ไหว เลยเลี่ยงไปเรียกว่าอาแปะแทน เขาก็โอเคนะ อนุโลมให้ผมเรียกได้คนเดียวเท่านั้น เพราะเขาบอกว่าผมหล่อเหมือนเขาตอนหนุ่มๆ แม้ว่าเบ้าหน้าจะต่างกันคนละโยชน์เลยก็ตาม
ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ จัดการคีบบะหมี่ด้วยตะเกียบเข้าปากอย่างคล่องแคล่ว หากก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคีธถือกล่องบะหมี่ขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือถือตะเกียบด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เขาเหลือบมองผม ผมก็เลยยื่นมือที่ถือตะเกียบอยู่ไปตรงหน้า โชว์ให้ดูว่ามนุษย์โลกเขาใช้ตะเกียบกันยังไง
แต่จนแล้วจนรอด คีธก็ไม่สามารถคีบไม้แท่งเล็กๆ สองแท่งได้อยู่ดี พอทำท่าจะคีบบะหมี่ปุ๊บ ตะเกียบก็หลุดมือ ทำเอาผมที่มองอยู่ถึงกับถอนหายใจ วางกล่องบะหมี่กับตะเกียบในมือตัวเองลงแล้วหันไปจับมือเขา
“นี่ๆ มันจับแบบนี้” ว่าพลางจัดระเบียบตะเกียบให้ไปพลาง
ใช้เวลาไม่นานนัก คีธก็สามารถจับตะเกียบได้สมใจหมาย นี่คงจะเป็นสกิลการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งของเขาล่ะมั้งถึงได้ทำตามได้เร็วขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่จับแหละนะ พอจะคีบบะหมี่เข้าปาก ตะเกียบก็กระเด็นกระดอนไปคนละทางจนผมชักรำคาญขึ้นมาตงิดๆ
“เฮ้ นายมีส้อมบ้างมั้ย” ผมร้องถามลูกจ้างของอาแปะทันที
หมอนั่นส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ส้อมพลาสติกหมดแล้วเฮีย วันนี้แปะยังไม่ได้ใช้ให้ไปซื้อใหม่เลย”
ผมลืมบอกไปสินะว่าถึงร้านอาหารจีนนี่จะเปิดเป็นร้านนั่ง แต่ก็เป็นแค่ร้านเล็กๆ ขนาดแมวดิ้นตาย อุปกรณ์อะไรต่างๆ ก็เน้นเป็นของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
ผมก็เลยต้องกลับมาแก้ปัญหาด้วยตัวเองอีกครั้งเมื่อคีธพูดสวนขึ้นมา
“ข้าไม่กินก็ได้ ไว้รอกินสารอาหารจากเจ้า”
“ไม่ต้องเลย กินไม่ได้เดี๋ยวจะป้อน” ผมว่าเสียงขุ่น พลันคว้ากล่องบะหมี่ของเขามาตรงหน้าแล้วจัดการคีบมันไปจ่อตรงปากเขา “อ้าปากสิ”
คีธมองบะหมี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมเปิดปากรับมันเข้าไปแต่โดยดี
“อืม รสชาติประหลาดนัก แต่ก็อร่อยดี”
“อร่อยก็กินๆ เข้าไปให้หมดเร็วๆ เข้า” ผมเร่ง เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ผมกับหมอนี่เหมือนคู่รักเกย์ยังไงพิกล ยิ่งเห็นสายตาลูกจ้างของร้านมองมาที่ผมอย่างงงๆ เป็นระยะๆ แล้ว ผมก็แทบจะจับไอ้คีธแหกปากแล้วเทบะหมี่ทั้งกล่องลงไปให้จบๆ ในทีเดียวชะมัด
 ไม่นานนัก บะหมี่ในกล่องของเขาก็ถูกจัดการจนเกือบหมด ช่วงเวลาแห่งการเป็นคู่รักโฮโมฯ กับหมอนี่ถึงได้จบสิ้นสักที ผมส่งกล่องบะหมี่คืนให้คีธแล้วหันมาจัดการกับบะหมี่ของตัวเองบ้าง ทว่ากินไปได้ไม่กี่คำ อาแปะที่แทบจะเข้าไปนอนหลับในห้องน้ำก็โผล่หน้าออกมา เขาเดินตรงไปยังอ่างล้างมือหน้าห้องน้ำ ทำท่าจะใช้มันแต่ก็ชะงักเมื่อหันมาเห็นผม เปลี่ยนใจจากล้างมือเป็นเดินเข้ามาหาผมแทน ก่อนทักทายอย่างเคยด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงจีน พร้อมยิ้มตาหยี
“ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวันแน่ะอาเควิน ช่วงนี้นอนเร็วหรือไง” ประโยคที่เขาถามก็เป็นประโยคเดิมๆ อีกเช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าผมนอนเร็ว ก็หมายถึงวันไหนที่ผมไม่ได้ออกไปไนท์คลับ ผมก็ไม่ได้แวะมาหาอะไรกินที่ร้านของเขานั่นแหละ
“ช่วงนี้ยุ่งๆ ก็เลยเพลาๆ ลงก่อนน่ะ” ผมตอบอย่างขอไปที ก่อนจะเบนความสนใจไปยังคีธที่วางกล่องบะหมี่เปล่าในมือลง จ้องหน้าอาแปะนิ่งๆ ข้างราวกับคิดอะไรบางอย่าง ผมรู้เพราะเห็นหัวคิ้วของเขายู่ลงน่ะ
อาแปะเองก็เพิ่งจะสังเกตในตอนนี้ว่าผมไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีผู้ชายแปลกหน้าตัวยักษ์มาด้วย ทำให้เขาเบนความสนใจไปยังคีธทันที
“แล้วนี่เพื่อนใหม่ลื้อเหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
ผมส่ายหน้า พลันตอบเสียงห้วน “กาฝาก”
อาแปะทำหน้าไม่เข้าใจ ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายว่ากาฝากคืออะไร คีธก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ข้าได้กลิ่นชาวโอนิซิสจากเจ้า”
รอยยิ้มพร่างพรายบนใบหน้าเหี่ยวย่นหายวับไปกับตาแทบในวินาทีนั้น ดวงตาเรียวเบิกโตอย่างตกใจจนผมต้องชะงักมือที่กำลังคีบเส้นบะหมี่เข้าปากอีกครั้งเหลือบมองท่าทางแปลกๆ ของเขา ผมเดาเอาไว้ในใจเลยว่าไอ้ชาวโอนิซิสอะไรที่หลุดออกมาจากปากคีธเมื่อครู่คงจะเป็นชื่อมนุษย์ต่างดาวอีกพันธุ์หนึ่งแน่ๆ พลันสงสัยว่าอาแปะลีโอนาร์โดที่ผมรู้จักคงจะไม่ใช่มนุษย์โลก ก็จริงเสียด้วยเมื่ออาแปะโน้มหน้าเข้าใกล้คีธ แล้วถามเสียงเบาจนแทบกระซิบ
“ลื้อเป็นใคร”
“ชื่อของข้า คีทาเย ซาเคมอร์ฟ” คีธยังคงรักษาระดับน้ำเสียงไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา
สิ้นเสียง สีหน้าของอาแปะก็ดูตกใจมากขึ้นไปอีก ก่อนเขาจะครางออกมา
“ลื้อคือ...ผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่า”
คีธพยักหน้ารับ เท่านั้น จากสีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้ายินดีทันที
“ได้ยินชื่อเสียงทั่วจักรวาลมานาน เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงก็คราวนี้ อั๊วชื่อลีโอเธ”
ก่อนหน้านี้ยังชื่อลีโอนาร์โดอยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ
ผมอยากจะท้วงอย่างนี้นะ แต่พอเห็นอาแปะยื่นมือไปให้คีธจับทักทายแล้ว ผมก็เบิกตาโพลงพลัน
เดี๋ยว! เมื่อกี้เพิ่งออกมาจากห้องน้ำใช่มั้ย!? มือก็ยังไม่ได้ล้างด้วยมั้งรู้สึก!
“เอ่อ...คีธ...”
ผมทำท่าจะบอกเขาว่าอาแปะนี่เพิ่งจะเช็ดประตูหลังมาสดๆ ร้อนๆ แถมยังไม่ได้ล้างมือด้วย แต่ไม่ทันแล้ว แค่ผมอ้าปาก ไอ้คีธมันก็คว้ามืออาแปะไปดูดดังจ๊วบเป็นที่เรียบร้อย
“ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านผู้เฒ่าลีโอเธ”
อะ...เอิ่ม... ช่างแม่งก็แล้วกัน
ผมทำหน้าสะอิดสะเอียน ความอยากกินบะหมี่หมดไปทันตา พอวางมันลงบนโต๊ะ อาแปะก็หันมาให้ความสนใจกับผมอีกครั้ง
“ลื้อจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าชาวโอนิซิสคืออะไร แล้วผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่าคืออะไร แล้วอั๊วรู้จักท่านผู้พิทักษ์นี่ได้ยังไง” ที่ถามอย่างนี้คงเพราะเห็นผมไม่แสดงท่าทีตกใจอะไรออกมาที่ได้เจอมนุษย์ต่างดาวตัวที่สองแบบไม่ได้ตั้งใจล่ะมั้ง
“ไม่อ่ะ”
พอผมปฏิเสธ คิ้วยุ่งๆ ของอาแปะก็ยุ่งกว่าเดิมอีก
“ไม่ตกใจเลยรึ”
“แค่รู้ว่าตัวจริงของแปะเป็นมนุษย์ต่างดาวน่ะไม่น่าตกใจเท่าถูกไอ้บ้านี่แหวกสะดือออกมาหรอก”
อาแปะร้องอ๋อแล้วหัวเราะร่วนออกมาทันที
“ที่แท้ลื้อก็เป็นโฮสต์ให้ท่านผู้พิทักษ์น่ะเอง มิน่าถึงได้ดูไม่ตกใจที่รู้ว่าตัวจริงของอั๊วเป็นใคร เออ ไอ้หมอนั่นก็เป็นชาวโอนิซิสเหมือนกันนะ” ว่าจบ เขาก็หันไปชี้นิ้วที่ลูกจ้างของตัวเอง ก่อนที่ลูกจ้างนั่นจะหันมายิ้มให้ผมพร้อมเผยตัวตนให้เห็นแวบหนึ่ง
จากที่ไม่ตกใจ ผมก็ต้องตกใจในตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าแหลมเล็กสีม่วงเข้มและดวงตาปูดโปนฉาบแวบขึ้นมาแทนใบหน้าของมนุษย์โลกทั่วๆ ไป พออาแปะเห็นดวงตาเบิกโตของผมก็ระเบิดหัวเราะลั่น
“ตกใจแล้วสินะ”
“ตกใจสิแปะ ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว แล้วนี่ไปเอาหนังมนุษย์ที่ไหนมาใส่น่ะ” ผมถามอย่างนี้เพราะคิดว่ามนุษย์ต่างดาวพันธุ์ของอาแปะนี่น่าจะมีสกิลในการถลกหนังหรืออะไรเทือกนี้
ทว่าเขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ชาวโอนิซิสมีความสามารถในการลอกเลียนรูปร่างของชาติพันธุ์อื่นๆ ไม่ได้ไปเอาหนังมนุษย์มาใส่ตบตา ไม่ต้องห่วง”
“แล้วแปะมาที่โลกทำไม” ผมถามแบบนี้เพราะรู้อยู่แล้วล่ะว่าการที่มนุษย์ต่างดาวมาที่โลก ต้องมีเหตุผลบางอย่างเหมือนกับคีธ และดูท่าทางเหตุผลนั้นจะเหมือนกับคีธเสียด้วย
“โดนไล่ล่าน่ะ ก็เลยอพยพมา”
เห็นมั้ย เหมือนอย่างที่ผมคาดเดาไม่มีผิด!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ปวดหัวหนึบๆ ขึ้นมาเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็มาอยู่ในดงมนุษย์ต่างดาวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ อาแปะเรียกคีธว่าอะไร เลยหันไปถามหมอนั่นที่นั่งหน้าตายอยู่ข้างๆ
“เห็นแปะเรียกนายว่าเป็นผู้พิทักษ์ ผู้พิทักษ์นี่คืออะไร ใช่แบบพวกอัศวินอะไรแบบนี้ป่ะ”
คีธพยักหน้าน้อยๆ “ถ้าเป็นภาษาของมนุษย์โลกน่ะใช่ ข้าเป็นอัศวิน ผู้ปกป้องเชื้อพระวงศ์ของยูนิกม่า”
เพิ่งจะรู้ในตอนนี้นี่แหละว่าดาวดวงอื่นก็มีระบอบกษัตริย์ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการที่อาแปะบอกว่าเคยได้ยินชื่อหมอนี่มาก่อน นั่นก็หมายความว่าเขาคงจะเป็นพวกฝีมือดีน่าดู ถึงได้เป็นที่รู้จักอย่างนี้
ทว่าไม่ทันจะได้ปริปากถาม อาแปะก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ท่านคีทาเยน่ะเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่โด่งดังมากเลยนะ มีวีรกรรมเด็ดๆ อย่างเยอะ ทั้งปราบพวกปรสิตอวกาศ ทั้งรับมือกับพวกฮิวมานอยด์สายพันธุ์รุกราน ไหนจะช่วยพวกชาติพันธุ์อื่นที่ถูกรุกรานอีก จนได้ชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยูนิกม่าเลยล่ะ”
เรื่องแข็งแกร่งน่ะไม่เถียง จากที่เห็นก็น่าจะพอรู้อยู่
“ว่าแต่ทำไมท่านผู้พิทักษ์ถึงมาอยู่ที่โลกมนุษย์ได้ล่ะ” ว่าจบก็หันไปถามคีธ
“ยูนิกม่าถูกพวกเซนไทน์รุกราน เลยต้องอพยพไปที่ดาวดวงอื่น ข้าได้รับมอบหมายให้มาสมทบกับพรรคพวกที่มายังดาวเคราะห์สีน้ำเงินก่อนหน้า แต่ถูกพวกไซนไทน์ไล่ล่าทันเลยต้องสละยานกลางครัน ข้าก็เลยพลัดหลงกับพวกพ้อง”
อาแปะพยักหน้ารับราวกับเข้าใจเรื่องราวได้เป็นอย่างดี มีแต่ผมนี่แหละที่ทำหน้างงๆ
“อย่างนั้นตอนนี้ท่านก็กำลังตามหาพรรคพวกอยู่ล่ะสินะ”
คีธพยักหน้าอีกครั้ง “แล้วท่านผู้เฒ่าเห็นพรรคพวกของข้าบ้างหรือไม่”
“ถ้าถามถึงแถวนี้ล่ะก็ ไม่เคยเห็นนะ แต่เคยได้ยินมาว่ามีพวกยูนิกม่าอยู่ในอเมริกาเหมือนกัน”
“ที่ไหนรึ”
“จำไม่ผิดก็น่าจะฮอลลีวูดล่ะมั้ง”
ผมย่นคิ้วพลัน มนุษย์ต่างดาวบ้าอะไรจะไปโผล่อยู่ในฮอลลีวูด แต่ดูท่าทางคีธคงจะเชื่อไปแล้วเรียบร้อย
“แล้วข้าจะไปที่นั่นได้อย่างไร”
“นั่งรถไป ขึ้นเครื่องบิน ไม่ก็ให้อาเควินพาไป”
ความซวยตกมาอยู่ที่ผมทันที คีธมองหน้าผมก่อนจะพูดออกมา
“พาข้าไปหน่อย”
“มันใช่ธุระกงการอะไรของฉันมั้ยเนี่ย” ผมแผดเสียงน้อยๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกลากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทว่าก็ต้องเงียบเสียงเมื่อถูกคีธขู่
“หากเจ้าไม่ต้องการเป็นโฮสต์ให้ข้าไปชั่วชีวิต ก็จงช่วยข้า”
เวรเอ๊ย... นี่ผมจะเอาชนะหมอนี่สักครั้งไม่ได้เลยหรือไง
“เอาน่าอาเควิน แค่พาท่านผู้พิทักษ์ไปส่งที่ฮอลลีวูดแค่นี้ ไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่หรอก”
“ไม่หนักหนาบ้าไรแปะ พาไปส่งก็ต้องใช้เงิน แถมฮอลลีวูดก็ไม่ใช่เล็กๆ พาไปหาใครก็ยังไม่รู้เลย แม่ง ปวดกบาลฉิบ” ปลายประโยคนี่ผมบ่นเองคนเดียวเบาๆ ทำให้อาแปะเอื้อมมือเหี่ยวย่นมาตีบ่าผมน้อยๆ
“ถือว่าช่วยเหลือในฐานะโฮสต์ก็แล้วกัน เราเป็นสายพันธุ์ฮิวมานอยด์ประเภทรักสันติเหมือนกัน ช่วยๆ กันไปน่ะดีแล้ว ลื้อควรจะยินดีด้วยซ้ำที่ได้เป็นโฮสต์ของท่านผู้พิทักษ์ มนุษย์โลกอย่างลื้อน่ะไม่รู้หรอกว่าชาวยูนิกม่าสูงส่งแค่ไหน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่งที่สุดในจักรวาลเลยก็ได้มั้ง”
ยินดีกับผีเหอะ! โดนมันวางไข่ คลอดมันออกมา เป็นแหล่งอาหารให้มัน แถมยังถูกมันขู่ฆ่า ใครมันจะไปยินดีวะ!
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ได้แต่เบ้หน้าเมื่ออาแปะตัดบทเอาดื้อๆ
“ไหนๆ ก็ได้เจอกับท่านผู้พิทักษ์โดยบังเอิญแล้ว มื้อนี้อั๊วจะเลี้ยงก็แล้วกัน กินเยอะๆ นะท่าน ไม่ต้องเกรงใจ” ว่าจบ ก็หันไปสั่งลูกจ้างให้ทำบะหมี่กล่องใหม่มาเสิร์ฟเพิ่ม
พอบะหมี่มาวางอยู่บนโต๊ะ เขาก็ขอตัวไปทำความสะอาดหลังร้าน ทิ้งให้ผมกับคีธนั่งมองหน้ากันเงียบๆ แน่นอนแหละว่าผมทำหน้าบอกบุญไม่รับ ขณะที่หมอนั่นมองหน้าผมนิ่ง แล้วก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“ป้อนหน่อย”
“เป็นง่อยหรือไง กินเองไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” ผมหลุดบ่นออกมาเป็นภาษาไทย
เหมือนเขาจะฟังรู้เรื่องนะ เพราะพอผมพูดจบ เขาก็หันไปคว้าตะเกียบมาจัดการคีบบะหมี่เข้าปากอย่างทุลักทุเล ผมมองได้ครู่หนึ่งก็คว้ากล่องบะหมี่มากินบ้าง
ดีเหมือนกัน ในเมื่ออาแปะนี่มัดมือชกกันแบบนี้ จะกินฟรีให้ร้านเจ๊งแม่งไปเลย
หากแต่ผมกินเข้าไปได้ไม่กี่คำ คีธก็วางกล่องบะหมี่กับตะเกียบลง แล้วหันมาจับไหล่ผมด้วยสองมือให้หมุนเข้าหาตัว
“กินด้วยวิธีแบบมนุษย์โลกมันลำบาก”
ผมถลึงตาในวินาทีนั้น ปากกลืนเส้นบะหมี่ลงคออย่างยากลำบากฉับพลัน
พูดมาอย่างนี้ ยะ...อย่าบอกนะว่า...
“ขอกินสารอาหารจากเจ้าหน่อย”
“เดี๋ยว! อุ๊บ!”
ห้ามไปก็ไม่ทันแล้ว ไม่ทันจะพูดจบ ไอ้บ้าคีธก็ดึงผมเข้าไปจูบทันใด ร่างกายผมสั่นเทา อ่อนปวกเปียกไปภายในเวลาไม่ถึงนาที ความวิงเวียนเข้าจู่โจมผมจนแทบทรงตัวไม่อยู่ จังหวะเดียวกับที่อาแปะกับลูกจ้างเดินออกมาจากหลังร้านพอดี พอเห็นผมกำลังถูกคีธสูบอย่างดูดดื่ม ก็พากันถอยกลับเข้าไปหลังร้านอีกครั้ง
ถึงจะรู้ว่าพวกนั้นรู้ว่านี่คือการกินสารอาหารของคีธ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่า แม่ง! ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ อีกแล้ว!

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2015 23:31:49
 Episode 05: A porn star[2]

เพราะถูกดูดสารอาหารติดต่อกันมากเกินไป ร่างกายเลยปรับตัวไม่ทัน พอกลับมาถึงห้อง ผมก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที ผมอัดยาแก้ไข้แล้วรีบเข้านอนด้วยหวังว่าอาการจะทุเลาลงบ้าง แต่จนแล้วจนรอด อาการที่คาดว่าจะเบาลงก็ไม่ได้เบาลงเลยแม้แต่น้อย กลับหนักขึ้นด้วยเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าช่วงกลางดึก
ผมนอนเหงื่อแตกพลั่กทั้งๆ ที่รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ร่างกายหนักอึ้งและตัวร้อนฉ่าดุจเปลวไฟทำให้ผมรู้ว่าอาการของตัวเองไม่ใช่เล่นๆ แล้ว พรุ่งนี้คงจะไปเรียนไม่ไหวแน่ ผมเลยฝืนตื่นขึ้นมาส่งข้อความไปบอกริชาร์ดลวกๆ ว่าไม่สบาย แล้วล้มตัวลงนอนต่อ
หากแต่พอผมพยายามข่มตาหลับ อาการปวดหัวก็แล่นพล่านขึ้นมาจนผมหลับไม่ลง กลายเป็นดิ้นไปมาบนเตียงอย่างทรมานแทน
สงสัยต้องอัดยาเพิ่มอีก...
ผมพยายามดันตัวขึ้นนั่งเพื่อจะคว้ากระปุกยาพาราเซตามอลมากิน แต่โลกของผมก็หมุนติ้วจนผมไม่อาจจะทรงตัวได้ ต้องทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิมอย่างไร้ทางเลือก
ผมล่ะเกลียดที่สุดเลยเวลาป่วยเนี่ย เพราะนอกจากมันจะทรมานชวนน่ารำคาญแล้ว ยังช่วยเหลือตัวเองได้ไม่เต็มที่อีก
ทว่าสวรรค์ก็เหมือนจะเมตตาผม ในจังหวะที่ผมทิ้งตัวลงนอน ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของคีธ เขาเดินมาเปิดไฟเพดานอย่างถือวิสาสะจนผมต้องแหวใส่
“เปิดไฟทำบ้าอะไร”
“ข้าจะเช็ดตัวให้”
“จะทำอะไรนะ”
“เช็ดตัว” หมอนั่นว่าเสียงเรียบ “ได้ยินมาว่าหากมนุษย์โลกป่วยด้วยไข้ การดูแลอาการในขั้นแรกคือการทำให้ตัวเย็นลง”
ผมหรี่ตาขึ้นมองหมอนั่นทันที แล้วก็เห็นว่าในมือหมอนั่นมีกะละมังใส่น้ำในมือและผ้าเช็ดตัวผืนเล็กพาดบ่าอยู่ ผมอยากจะบอกให้มันไสหัวไปฉิบเป๋ง แต่ก็ไม่ทันเพราะหมอนั่นพูดจบ ก็เดินเข้ามาวางกะละมังบนโต๊ะข้างหัวเตียง ทิ้งตัวนั่งข้างผมเป็นที่เรียบร้อย
“เออ จะทำอะไรก็ทำเหอะ เร็วๆ เข้าล่ะ ฉันจะได้นอน” สุดท้าย ผมก็ต้องยอมจำนน
คีธพยักหน้า เอื้อมมือไปชุบผ้าเช็ดตัวแล้วบิดหมาด ผมปิดเปลือกตาลง ไม่ได้ฉุกใจคิดเลยแม้แต่น้อยว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่จะเช็ดตัวเป็นหรือไม่ และการที่ผมละเลยข้อสงสัยนี้ไป คีธก็ทำสิ่งที่สร้างความพรึงเพริดให้ผมเป็นอย่างมาก เพราะทันทีที่ผมหลับตา หมอนั่นก็เอื้อมมือไปจับขากางเกงขายาวที่ผมใส่นอน แล้วดึงมันออกอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว กางเกงขายาวก็หลุดไปกองยังข้อเท้า เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ที่ยังปิดบังส่วนสำคัญเอาไว้
ถอดทำเตี่ยมึงเหรอ! แค่ถลกขากางเกงขึ้นมาก็ใช้ได้แล้วมั้ง!
“เดี๋ยวๆ!” ผมร้องห้ามทันทีเมื่อเห็นว่าคีธกำลังจะโปะผ้าเช็ดตัวเปียกลงไป
เขาชะงัก มองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วสูง
“ถามจริงจะถอดทำไมวะ เลิกขากางเกงขึ้นมาก็พอแล้ว”
“ข้าเกรงว่าจะคลายความร้อนในตัวเจ้าได้ไม่หมดจึงจำเป็นต้องเปลื้องผ้า”
เหตุผลโคตรปัญญาอ่อนเลย!
“ไม่ต้องเลย ขาไม่ต้องเน้น บ้านนายเช็ดตัวลดไข้กันนี่เน้นที่ขาเหรอวะ เค้าเน้นกันที่ช่วงตัวเว้ย หน้าอก คอ หลังอะไรแบบนี้ ไม่ใช่ขา” ผมว่าเสียงขุ่น ขณะที่เขายังคงทำหน้าตาย
ให้ตายเหอะ ขนาดผมป่วยอย่างนี้ หมอนี่ยังทำให้ผมหัวเสียจนแทบเป็นบ้าได้ มันจะสามารถเกินไปแล้ว!
แต่ยังดีที่หมอนี่เชื่อฟัง พอสิ้นเสียงผม เขาก็ดึงกางเกงขึ้นมาใส่ให้เหมือนเดิม แล้วขยับมาถลกชายเสื้อผมขึ้น ถลกอย่างเดียวไม่พอ ยังกระชากจนเสื้อออกจนผมที่นอนอยู่เด้งไปตามแรงกระชาก รู้ตัวอีกที เสื้อก็หลุดออกจากตัวไปแล้ว
ถอดล่างไม่ได้ก็เลยมาถอดบนหรือไงฟะ!?
ผมจนปัญญาจะด่า ได้แต่ถอนหายใจแล้วปล่อยให้หมอนั่นวางผ้าเช็ดตัวแหมะลงบนแผงอก แล้วก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมาอีกเมื่อหมอนนั่นไม่ได้เช็ดตัวแบบปกติที่คนทั่วไปทำกัน แต่ดันวางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนผ้าแล้วถูไปมาอย่างกับถูพื้น
ถูอย่างเดียวไม่เท่าไหร่ เน้นถูหัวนมอีก ถูจนจะเงาเป็นกระจกส่องหน้ามันได้อยู่แล้วเนี่ย!
ผมกัดฟันแน่น พยายามข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมา รอให้มันทำให้เสร็จจะได้หลับๆ ไป ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว พอเสร็จแล้ว เขาก็คว้าเสื้อมาใส่คืนให้ผม ผมรีบโบกมือไล่ทันที
“เสร็จแล้วก็ออกไป ที่นอนนายอยู่ข้างนอก”
คีธพยักหน้า แต่ยังไม่ยอมออกไป ทำให้ผมต้องจ้องเขาเขม็ง
“อะไรอีก”
“ร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก หากไม่รีบฟื้นฟู เจ้าจะเป็นอันตรายได้”
“งั้นก็ส่งยามา จะได้กิน” ผมชี้นิ้วปัดๆ ไปยังกระปุกยาข้างๆ เตียง ทว่าสิ่งที่คีธส่งกลับมาก็คือนิ้วชี้ของเขา
“กินสารอาหารจากข้า ยาของเจ้าไม่ช่วยให้หายไวนัก”
ผมเหลือบมองปลายนิ้วชี้ที่ครั้งหนึ่งเคยดูดตอนสลบก็เบ้หน้าทันที
ฝันไปเถอะ! ใครมันจะไปยอมดูดกันวะ!
“ฉันจะกินยา” สุดท้าย ผมก็ปัดมือหมอนั่นทิ้ง ทำท่าจะลุกขึ้น เอื้อมมือไปหยิบยา
หากแต่ถูกคีธคว้าข้อมือเอาไว้ แล้วดันตัวลงไปให้นอนเหมือนเดิมโดยรั้งข้อมือข้างนั้นไว้เหนือหัวผม ไอ้กดลงนอนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่นี่มันดันไปคว้าข้อมืออีกข้างมารวบกับอีกข้างไว้ด้วยมือเดียวเนี่ยมันคืออะไร!? อย่าบอกนะว่าขืนใจกินสารอาหารยังไม่พอ จะขืนใจบังคับให้ผมกินสารอาหารจากเขาอีกน่ะ!?
ผมดิ้นขลุกขลัก หนีการพันธนาการทันใด แต่ด้วยสังขารไม่เอื้ออำนวยทำให้ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ความจริงแล้ว ต่อให้สังขารเป็นปกติ ผมก็สู้แรงเขาไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าถึงอย่างนั้นก็ต้องสู้ ไม่งั้นถูกหมอนี่บังคับดูดนิ้วแน่ๆ
แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดก็ดันเกิดจริงๆ เสียด้วย เมื่อเขาว่าเสียงเรียบ
“หากเจ้าไม่กินแล้วเจ้าป่วยยาว เมื่อนั้นข้าจะลำบากเพราะเจ้าเป็นแหล่งอาหารของข้า รีบกินเสียจะได้พักผ่อน”
“ไม่เอาเว้ย!” ผมแหกปากลืมป่วยในนาทีนั้น แต่ไอ้จังหวะที่แหกปากนี่แหละ คีธก็ส่งปลายนิ้วชี้เข้าปากผมทันใด
“หากเจ้ากัดนิ้วข้า ข้าจะฆ่าเจ้า” บังคับอย่างเดียวไม่พอ ยังขู่ด้วย ทำเอาผมกลืนน้ำลายเอื้อก
“ดูดซะ อย่าต้องให้ข้าใช้กำลังไปมากกว่านี้”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้พูดเล่นแต่เอาจริง ผมจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
ดูดก็ดูดวะ!
คีธเหยียดยิ้มเล็กน้อยที่เห็นผมยอมจำนนแต่โดยดี บอกตรงๆ ว่าหมอนี่ตอนยิ้มเนี่ยดูดีเป็นบ้า ดีกว่าตอนทำหน้าตายเป็นไหนๆ แต่มันควรจะยิ้มในช่วงเวลาปกติต่างหากเว้ย ไม่ใช่ตอนกำลังบังคับขืนใจผมให้ดูดนิ้วแบบนี้!
น้ำรสหวานไหลเข้าปากผมทีละน้อย จริงๆ รสชาติมันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก ออกจะอร่อยด้วยซ้ำ คล้ายๆ กับน้ำหวานเฮลบลูบอยละลายน้ำอะไรเทือกนั้น แต่พอผมเหลือบไปเห็นสภาพตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่บนตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างเตียง ไอ้ความอร่อยก็อันตรธานหายไปทันที
เหมือนนางเอกหนังเอวีญี่ปุ่นที่กำลังถูกผู้ชายหื่นบังคับให้ดูดนิ้วฉิบเป๋งเลยเว้ย!
ผมอยากจะร้องไห้ออกมาก็ในตอนนี้ หมดกันศักดิ์ศรีหนุ่มเพลย์บอยที่สะสมมาทั้งชีวิต ทำไมผมต้องมาถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่จับกดด้วยก็ไม่รู้!
โอย...พระเจ้า ชีวิตจะแย่ไปไหน!
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกินสารอาหารจากเขาแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ เรี่ยวแรงที่หดหายไปในตอนแรกเหมือนจะคืนกลับมาเล็กน้อย ทว่าผมก็ต้องได้สติเมื่อคีธโน้มหน้ามามองผมเสียใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนของเขาคลอเคลียอยู่บนหน้า
“ดีขึ้นมั้ยกวินทร์” เขาถามเสียงต่ำ ให้ผมพยักหน้ารับพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่โผล่มาในกายผมโดยไม่ทันตั้งตัว
จะ...ใจเต้น... ยิ่งเห็นใกล้ๆ อย่างนี้ หมอนี่หล่อไม่มีที่ติชะมัด หล่อจนขนาดผมที่เป็นผู้ชายยังอดชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะดวงตาสีเทาสว่างนั่นที่จับจ้องผมอยู่ ดูยังไงก็เซ็กซี่เป็นบ้า... เอ๊ะเดี๋ยว! นี่ผมโดนหมอนี่ถ่ายทอดเชื้อโฮโมฯ ให้เข้าแล้วใช่มั้ยถึงได้คิดอะไรไร้สาระแบบนี้!?
ผมพยายามจะสะบัดหน้าหนีทันทีด้วยตกใจกับตัวเองที่คิดอะไรฟุ้งซ่าน แต่คีธก็ไม่ยอมให้หนี กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงเป็นฝ่ายดึงมือออกเอง แล้วปล่อยผมออกจากพันธนาการ
“สีหน้าเจ้าดีขึ้นแล้ว แดงเรื่ออย่างนี้ แสดงว่าระบบเลือดหมุนเวียนดีขึ้น”
“เสร็จแล้วก็ออกไปได้แล้ว!” ผมแหวใส่ทันที ก่อนจะรีบตวัดผ้าห่มมาคลุมโปงแล้วพลิกตัวหนี
คีธมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บข้าวของออกไป พอเสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่ดับลง ผมก็โผล่หน้าออกจากผ้าห่ม ข่มก้อนเนื้อข้างซ้ายที่เต้นแรงเมื่อกี้ให้เป็นปกติเป็นพัลวัน
บ้าจริง... เผลอไปใจเต้นกับหมอนั่นได้ยังไงกันนะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 13-12-2015 00:05:53
อย่าลืมแปะกฏของเล้าด้วยนะคะ  คนเขียน  >_<
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 13-12-2015 00:11:01
มาต่อๆชอบๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: rabiaang ที่ 13-12-2015 11:48:57
สนุกมากกกกกกกกกกก

มากกกกกกกกก ค่ะ

ชอบทั้งพล็อต ภาษา คาแรคเตอร์ของหนุ่มๆ

ชอบมากค่ะ

มาต่ออีกเรื่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 13-12-2015 18:26:24
Episode 06: Lollipop[1]

ดูดนิ้วของหมอนั่นแค่ครั้งเดียวก็เกินจะเหลือรับประทาน แต่นี่ดูดถึงสองครั้ง! สองครั้งที่มาจากการยัดเยียดให้ดูดตอนผมไม่ได้สติในครั้งแรก และครั้งที่สองจากการถูกบังคับ ซึ่งไม่ว่าจะครั้งไหน มันก็คือการขืนใจทั้งสิ้น!
ผมสาบานกับตัวเองไว้ตั้งแต่ผ่านคืนมหาวิปโยคนั้นไว้เลยว่าจะไม่มีทางกลายร่างจากหนุ่มเพลย์บอยเป็นนางเอกหนังเอวีอีกแล้ว แม้ว่าไอ้น้ำใสๆ ที่ไหลจากปลายนิ้วหมอนั่นจะทำให้ผมมีอาการดีขึ้นกว่าเดิมก็ตาม แต่ก็ดีขึ้นนิดเดียวเท่านั้นแหละ พอวันใหม่มาถึง ผมก็นอนแห้งเป็นผักจนหมอนั่นต้องมายัดเยียดให้ผมดูดนิ้วอีกเป็นครั้งที่สาม
ถามว่าผมดูดมั้ย... บอกเลยว่าไม่...
ไม่เหลือ! โดนมันจับยัดปากแถมขึงพืดอย่างนั้น ใครมันจะไปสู้ได้! ใช้ให้มันไปซื้ออาหารให้ มันก็ไม่ไป เอะอะก็จะให้ดูดนิ้วอย่างเดียว ดูดจนมันจะเอานิ้วทะลวงไปยังคอหอยได้อยู่แล้ว!
แต่การป่วยมันก็ดีอยู่อย่างนึงตรงที่พอผมไม่สบาย หมอนั่นก็เลยยกเลิกการดูดสารอาหารจากผมไปชั่วคราว ผมก็เลยไม่ต้องถูกมันบังคับให้ดูดนิ้ว แล้วก็ถูกมันดูดปากควบคู่กันไป และไอ้การรับสารอาหารจากหมอนั่นนี่แหละที่ทำให้ผมแงะตัวเองออกจากเตียงได้ กระนั้นอาการก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก แค่อยู่ในระดับที่พาตัวเองออกไปสูดอากาศนอกห้องได้เท่านั้น และเหมือนริชาร์ดจะรู้ดีเสียด้วยว่าผมอาการดีขึ้นแล้ว เพราะพอรุ่งเช้ามาถึง หมอนั่นก็โทรสายตรงมาเร่งผมทันที เรื่องที่เร่งก็คือการพาคีธไปฟิตติ้งเสื้อผ้านั่นแหละ ผมก็เลยต้องระเห็จพาหมอนั่นไปที่ห้องชมรมหนังมหา’ลัยเพื่อไปลองเสื้อผ้า
พอมาถึงห้องชมรม เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของสมาชิกชมรมที่ดังลอดประตูออกมาก็ทำให้ผมรู้เลยว่าตอนนี้ทุกคนวุ่นวายกันเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นคือพอเปิดประตูเข้าไป คนจำนวนมากที่อยู่ฝ่ายคอสตูมก็วิ่งวุ่นจัดเสื้อผ้าให้บรรดานักแสดงลองใส่กันจ้าละหวั่น ผมปรายตามองห้องชมรมที่วันนี้ถูกจัดฉากเป็นห้องลองเสื้อผ้าเล็กๆ เหมือนในห้างอย่างไม่สนใจนัก ก่อนจะเรียกรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจำได้ดีว่าเป็นคนเดียวกับลูกมือของคีธที่บรีฟบทให้นักแสดงที่มาแคสติ้งบนเจ้าชายต่างดาวในวันนั้น แล้วฝากคีธที่เดินตามหลังมาไปให้เธอจัดการต่อ ก่อนจะปลีกวิเวกมานั่งหลบมุมด้วยรู้สึกว่าตัวยังรุมๆ
สีหน้าบอกบุญไม่รับและท่าทางอิดโรยของผมทำให้ไม่มีใครคนไหนกล้าเข้ามาทักทายผมเลยแม้แต่น้อย มันก็ดีสำหรับผมนั่นแหละเพราะผมจะได้ไม่ต้องรำคาญใจ แค่คีธคนเดียวก็ทำผมจะประสาทเสียจะตายอยู่แล้ว
หากแต่นั่งได้ไม่เท่าไหร่ คีธที่ถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องลองเสื้อเล็กๆ ก็กลับมาพร้อมกับรุ่นน้องของริชาร์ดคนนั้น ผมเหลือบมองเขาแล้วก็ต้องส่ายหน้ากับความประหลาดของเสื้อผ้า ก็เสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นหลักมันเป็นชุดบอดี้สูทสีดำที่มีผ้าคลุมยาวสีแดงปกคอตั้งและรองเท้าบูทหนังสีดำยาวเต็มแข้งเป็นองค์ประกอบ ดูยังไงก็น่าจะเป็นชุดสำหรับรับบทเป็นแดร็กคิวล่ามากกว่าเจ้าชายต่างดาว แถมยังไร้เซ้นต์ด้านแฟชั่นสุดๆ จัดมาได้ยังไง สีโทนเดียวกันทั้งชุด ดีที่รองเท้าบูทยังมีดิ้นทองพอให้มีลวดลายแปลกตาบ้าง แล้วหน้าตาคีธก็ดีพอที่จะกลบความบกพร่องของชุดนั้นไปได้ ยิ่งผ่านการแต่งหน้าทำผมมาแล้ว ก็ยิ่งดูดีอย่างไม่มีที่ติ ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่รอช้า ไปด่าคนจัดเสื้อผ้าให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว
“เควินคะ เดี๋ยวช่วยรับช่วงพาคีธไปที่ห้องสตูดิโอข้างๆ ได้มั้ยคะ จะได้ถ่ายรูปไว้ทำโปสเตอร์น่ะค่ะ” ลูกมือของริชาร์ดไหว้วานผมหน้าตาเฉยโดยไม่ดูสีหน้าผมเลยว่าอยู่ในอารมณ์อยากช่วยหรือเปล่า
พอผมไม่ตอบรับ เอาแต่มองหน้าเธออย่างเคืองๆ เธอก็ย้ำขึ้นอีกครั้งจนผมต้องชักสีหน้าใส่
“แล้วไอ้ริชาร์ดมันไปไหน”
“ไปประชุมเรื่องโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายทำน่ะค่ะ อีกสักพักคงจะไปที่สตูดิโอ”
ผมล่ะอยากจะด่าไอ้เพื่อนเวรนี่จริงๆ งานก็ไม่ใช่งานผมแต่ต้องมารับผิดชอบโน่นนี่อย่างกับเป็นงานของตัวเอง
ผมอยากจะปฏิเสธลูกมือของริชาร์ดเหมือนกัน แต่พอเห็นเธอถูกเรียกซ้ายทีขวาทีแล้ว ผมก็อดสงสารไม่ได้ ยอมรับปากส่งๆ ไป
“เออๆ เดี๋ยวจะจัดการให้”
“ขอบคุณมากค่ะ!” ยัยนั่นตอบรับดีใจเสียงหลง ก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระปะปังในส่วนอื่นต่อ ทิ้งให้ผมกับคีธมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งหมอนั่นทำลายความเงียบออกมา
“เสื้อผ้ามนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินช่างล้าสมัยนัก เสื้อผ้าของชาวยูนิกม่าทันสมัยกว่าเป็นไหนๆ”
“เออ ทันสมัยมาก ทันสมัยจนล้ำอนาคตไปไกลละไอ้ชุดบอดี้สูทสีเงินเลื่อมของนายน่ะ ถ้ามีปีกด้วย ฉันคงเข้าใจว่านายเป็นแมลงทับแทนมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว” ผมค่อนแคะ
คีธย่นคิ้วไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าแมลงทับหมายถึงอะไร แต่ผมไม่สนใจ นอกจากผุดลุกขึ้นแล้วเดินนำเขาออกจากห้องให้เขาเดินตามต้อยๆ เท่านั้น
 
ห้องสตูดิโอที่ลูกมือริชาร์ดว่าอยู่ข้างๆ ห้องชมรมนั้น จริงๆ แล้ว บ้านผมไม่เรียกว่าข้างๆ เพราะมันอยู่ห่างกันคนละโยชน์ เรียกได้ว่าเดินออกจากห้องชมรมมา ก็ต้องเดินเลาะไปตามทางเดินไปจนสุดทางของตึกแล้วเลี้ยวขวาถึงจะเจอห้องสตูดิโอ ผมอยากกลับถ่อสังขารกลับไปกระชากยัยนั่นมาตะคอกใส่หน้าเหมือนกันว่า ‘นี่เรียกว่าข้างๆ บ้านหล่อนเหรอ!’ แต่ผมไม่ลงทุนขนาดนั้น ได้แต่บ่นในใจไปตามเรื่องแล้วผลักประตูบานเขื่องเข้าไป
ข้างในก็เหมือนกับห้องสตูดิโอทั่วๆ ไป ห้องสีดำ มีฉากสีขาวและไฟสำหรับถ่ายภาพอยู่กลางห้อง ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ข้างในไม่มีใครอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ผมเลยต้องรับหน้าที่มาเปิดห้องเปิดไฟให้อีก รับรองเลยว่าถ้าไอ้ริชาร์ดโผล่หน้ามาล่ะก็ ผมด่ามันเปิงไม่ไว้หน้าแน่ที่ทำให้ผมต้องมาลำบากขนาดนี้
พอจัดการกับห้องเสร็จ ผมก็พาตัวเองเดินมาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้มุมห้อง ความวิงเวียนและพิษไข้ยังคงเล่นงานเล่นงานผมอย่างต่อเนื่องจนผมชักจะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มฝืนสังขารไม่ไหวแล้ว
แย่ชะมัด นี่คงเป็นผลพวงจากการเที่ยวกลางคืนหนักสินะ ไม่สิ... ไม่ใช่เที่ยวกลางคืนหนัก เป็นเพราะถูกไอ้บ้าหน้าตายนั่นดูดปากหนักไปต่างหาก!
ผมก้มหน้าลง ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางบนหัวเข่าแล้วเอายันหน้าผากตัวเองไว้ ผมไม่เคยรู้สึกว่าหัวตัวเองหนักได้เท่าตอนนี้เลย อยากกลับห้องไปนอนชะมัด
และเพราะท่าทางจะเป็นจะตายของผม ทำให้คีธที่ยืนมองอยู่ต้องทำลายความเงียบออกมา
“อาการป่วยของเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก”
“เพราะใครล่ะ” ผมว่าเสียงเขียวเบาๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ หากแต่คีธกลับตอบออกมาหน้าตาเฉย
“เพราะข้า”
“ไม่ได้เล่นเกมยี่สิบคำถามนะเว้ย อย่ามากวน” ผมเงยหน้าว่าเสียงดุๆ ทว่าก็ไม่ได้ทำให้คีธสำนึกได้สักนิด มิหนำซ้ำ ยังพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องย่นคิ้วขึ้นมาอีก
“หากเจ้าอยากหาย ก็จงรับสารอาหารจากข้าซะ” ไม่ว่าเปล่า มันยังยื่นนิ้วชี้มาตรงหน้าผมอีกด้วย
ผมเงยหน้ามองนิ้วชี้เรียวที่ดูดไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วนด้วยสีหน้าพะอิดพะอมเล็กน้อย ก่อนจะมองเลยขึ้นไปยังใบหน้าหล่อๆ อย่างหัวเสีย
“บอกเลยว่าฉันไม่ดูดนิ้วนายอีกแล้ว ดูปากนะ ไม่-ดูด!” ผมตะคอก ก่อนจะไอโขลกจนตัวโยน
คีธมองผมนิ่ง แวบหนึ่งที่ผมเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยก่อนที่มันจะหายไปในพริบตา
“ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะดูดเองหรือต้องให้บังคับอีก”
ได้ยินคำว่า ‘บังคับ’ ความมึนในหัวผมก็อันตรธานหายไปทันใด ผมมองหน้าหมอนั่นพลางเบิกตาโต ขณะที่หมอนั่นยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่ก็รับรู้ได้ว่าหมอนั่นพูดจริง แล้วก็เอาจริงด้วยถ้าผมไม่ยอม ดูจากวันอื่นๆ ก็น่าจะรู้แล้วว่าผมจะตกอยู่ในชะตากรรมแบบไหนในอีกไม่กี่นาทีต่อไป
ไอ้ดูดในห้องน่ะมันไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ดูดนอกสถานที่นี่มันก็เกินไปมั้ง!
“แต่นี่มันห้องสตูดิโอนะเว้ย!” ผมก็เลยอ้างเรื่องสถานที่ไป
หากแต่มันไม่ได้ผล เพราะคีธยังคงมองผมด้วยสายตาแบบเดิมแล้วว่าออกมาเรียบๆ
“ที่ไหนก็บังคับได้ถ้าข้าจะทำ”
“แล้วถ้ามีคนมาเห็นจะทำยังไง” ผมเริ่มโวยวาย แต่ก็อย่างที่บอกว่าโวยวายไปก็เท่านั้นแหละ เพราะหมอนั่นไม่ฟัง พูดแต่สิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดเท่านั้น
“เลือกมาว่าจะดูดหรือไม่ดูด”
ผมเม้มปากแน่น มองหน้าหมอนั่นที่ดูก็รู้ว่าถ้าผมไม่ตัดสินใจว่าจะดูดเอง ผมต้องโดนมันขืนใจให้ดูดนิ้วอีกแน่ ผมเลยต้องรับปากไปอย่างไร้ทางเลือก
“เออ! ดูดก็ดูด”
สิ้นเสียง คีธก็ส่งนิ้วเข้าปากผมทันใด ผมรีบคว้ามือหมอนั่นไว้ก่อนที่ปลายนิ้วจะพุ่งเข้าไปในปาก แล้วว่าอย่างหงุดหงิด
“ไม่ต้องยัด เดี๋ยวจัดการเอง”
คีธเลิกคิ้วเล็กน้อย ชูนิ้วชี้รอให้ผมดูด ผมช่างใจครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปากงับเอาปลายนิ้วหมอนั่นเข้าไปอยู่ดี รสหวานปะแล่มไหลเข้าปากทีละน้อย มันทำให้ผมรู้สึกมีกำลังขึ้นกว่าเดิมพอสมควร กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้น้ำหนักที่หัวเบาลงได้เลย ดูดไปได้สักพัก ผมก็ต้องยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาวางบนเข่าแล้วยันหัวตัวเองเอาไว้อีกครั้ง
ตอนแรกผมก็ดูดไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอรู้สึกว่าคีธขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมก็รู้สึกตัวเอาในตอนนี้ว่าระดับสายตาตัวเองอยู่กับระดับเป้ากางเกงเขาพอดี
จะเลื่อนเป้าเข้ามาหากูเพื่อ!?
ผมลำสักน้ำลายตัวเอง คายปลายนิ้วหมอนั่นออกจากปากทันใด
“ทำบ้าอะไรของนาย!” ผมโวยวายทันที
“ข้าเห็นเจ้าดูดไม่ถนัดก็เลยกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ” หมอนั่นดูเหมือนจะรู้ว่าผมโวยวายเรื่องอะไรเลยตอบออกมาหน้าตาย ขณะที่ผมผลักหมอนั่นออกห่างทันใด
“เอาเป้ามาใกล้จนจะเกยหน้าฉันแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นก็นึกว่าฉันกำลังกินโลลิป๊อปของนายอยู่พอดี”
“โลลิป๊อป?”
“เออ โลลิป๊อปนั่นแหละ” ผมไม่อยากจะอธิบายเลยว่าไอ้โลลิป๊อปที่หมายถึงคือจุ๊กกรู้ของหมอนั่น เลยได้แต่บอกปัดๆ ไป
ทว่าหมอนั่นก็ทำให้ผมเกือบจะลืมไปว่าตัวเองป่วยทันใด เมื่อจู่ๆ ก็ดึงมือที่ให้ผมดูดกลับแล้วเลื่อนไปชี้เป้าตัวเอง
“โลลิป๊อป?”
มึงไม่ต้องย้ำก็ได้!
ผมปวดกะโหลกหนักกว่าเดิมก็ในตอนนี้ รีบดึงมือหมอนั่นออกจากเป้ากางเกงแล้วเอากลับมาดูดเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่ทันใด
ดีที่คีธไม่ถามอะไรต่อ ปล่อยให้ผมดูดนิ้วดังเดิม หากแต่ครั้งนี้ผมดูดด้วยท่าทางหวาดระแวง เหลือบมองไปยังประตูเป็นระยะๆ ไปด้วย ที่หวาดระแวงก็ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวว่าจะมีคนโผล่ทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นแล้วเข้าใจผิดว่าผมกำลังกินโลลิป๊อปของหมอนี่อยู่นั่นแหละ คีธก็คงจะเห็นผมมีท่าทีแปลกๆ ไปก็เลยโพล่งขึ้น
“หากเจ้าเป็นกังวล ข้าจะกำบังให้” แล้วมันก็ใช้มือข้างที่ว่างดึงชายผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวผมเอาไว้
ผมรีบดึงผ้าคลุมนั่นออก แล้วแหวใส่หมอนั่นทันที
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!”
“ก็เจ้าเป็นกังวล ข้าก็เลยกำบังให้”
“ถ้าจะกำบังอย่างนี้ล่ะก็ไม่ต้องเลย คลุมไว้แบบนี้นี่คนเข้ามาเห็นจะได้ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่”
“ก็ยังดีกว่าให้คนอื่นมาเห็นเจ้าจังๆ แล้วกัน” หมอนั่นไม่ฟัง แถมยังยอกย้อน
ยอกย้อนอย่างเดียวไม่พอ ยังตลบชายผ้าคลุมมาคลุมหัวผมอีกรอบ ผมทำท่าจะมุดออก แต่ไม่ทันแล้ว หมอนั่นเอามือข้างที่ว่างกดหัวผมผ่านผ้าคลุมให้ลงต่ำ ขณะที่อีกมือหนึ่งใต้ผ้าคลุมเลื่อนมายัดปลายนิ้วเข้าปากผม ตอนนี้สภาพผมก็เลยกลายเป็นผีผ้าคลุมกินโลลิป๊อปไปเรียบร้อย
แน่นอนว่าผมไม่ยอมตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชอย่างนี้แน่ โดยเฉพาะอยู่ข้างนอกที่รโหฐานอย่างนี้!
ผมขืนตัว พยายามสะบัดหัวตัวเองออกจากฝ่ามือใหญ่ แต่ไม่ว่าจะออกแรงยังไงก็ไม่อาจสู้แรงของคีธได้ ผมเลยตัดสินใจว่าจะกัดนิ้วเขาให้เขายอมปล่อย ทว่าคีธดันรู้ทัน พูดขึ้นมาก่อน
“เคยบอกไว้แล้วว่าถ้ากัดนิ้วข้า ข้าจะฆ่าเจ้า”
งั้นก็ฆ่ากูเลยเถอะ ข่มเหงกันถึงขนาดนี้แล้วอย่าไว้ชีวิตกันอีกเลย!
ถูกขู่อย่างนั้น ผมก็เลยไม่กล้ากัด เอาแต่ฝืนเงยหน้าขึ้นจากมาแทน จนกลายเป็นว่าพอผมผงกหัวขึ้น คีธก็กดหัวผมลงมาอีก แล้วก็เป็นอย่างนี้อยู่ครู่ใหญ่จนผมชักจะคิดว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ เหมือนกับกำลังถูกคีธบังคับให้ทำอะไรกับโลลิป๊อปของเขาอยู่ก็ไม่ปาน
มันจะอุบาทว์เกินไปแล้ว!
ผมสู้สุดกำลัง พยายามคายนิ้วของเขาที่อยู่ในปากออกจนน้ำลายเปรอะเปื้อนใบหน้าไปหมด ขณะที่คีธเองก็ไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ ซ้ำยังย้ำขึ้นมาอีก
“ดูดจนกว่าเจ้าจะมีอาการดีขึ้น อย่าขัดขืน”
มันควรจะขัดขืนมั้ยเล่า! อยู่ในสภาพนี้เนี่ย!
แล้วสวรรค์ก็ยังไม่สาแก่ใจกับความอุบาทว์ที่ประทานให้ผม ยังส่งใครบางคนเปิดประตูผางเข้ามาตอนที่ผมกำลังถูกคีธกดหัวลงอีก
เสียงพูดคุยนั้นหยุดชะงักทันที จังหวะเดียวกับที่คีธคลายแรงจากการกดเพื่อหันไปมอง ผมสะบัดตัวหลุดออกจากผ้าคลุมก็ในตอนนี้ พอเห็นว่าเป็นริชาร์ดกับลูกมืออีกสองคนที่ทะเล่อทะล่าเข้ามา ผมก็อ้าปากค้าง ขณะที่พวกหมอนั่นก็อ้าปากค้างไปเหมือนกัน
อ้าปากค้างอย่างเดียวไม่พอ ใครบางคนยังทำเอกสารที่ถืออยู่ในมือตกลงพื้นเพราะอึ้งงันอีกด้วย
ริชาร์ดได้สติเป็นคนแรก รีบดันคนในทีมให้ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว พอเสียงประตูปิดดังขึ้นเท่านั้น ผมก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที ทว่ายังไม่ทันจะได้หลั่งน้ำตา ริชาร์ดก็เปิดประตูกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับชี้นิ้วไปที่มุมปากของตัวเองแล้วชี้มายังผม เป็นสัญญาณให้รู้ว่าผมควรจะเช็ดอะไรบางอย่างออกจากปาก
ซึ่งอะไรบางอย่างเนี่ย มันคือน้ำลายผมเอง แต่ไอ้ริชาร์ดมันคิดว่าเป็นอย่างอื่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วโว้ย!
ริชาร์ดชูมือขึ้นห้านิ้วเป็นสัญญาณให้รู้ว่าอีกห้านาทีจะกลับมา แล้วก็ออกไป ทิ้งผมไว้กับคีธราวกับบอกว่าให้รีบจัดการให้เสร็จอย่างไรอย่างนั้น
“บ้าฉิบ...” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา สบถออกมาอย่างเหลืออด
หากแต่คีธยังไม่รู้สึกตัว ยังมีหน้ามาชูนิ้วชี้มาให้อีก
“ดูดต่อสิ เจ้ายังอาการดีขึ้นไม่มากไม่ใช่รึ”
ผมสะบัดหน้าหนี ไม่อยากจะคุยกับมันเลยให้ตาย กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ที่ถูกมันทำอะไรบ้าๆ จนคนอื่นเข้าใจผิดอย่างนี้ หากแต่การที่ผมปฏิเสธนั้น กลับทำให้คีธย่นคิ้วแล้วว่าเสียงเนือยๆ
“บอกแล้วว่าหากเจ้าไม่ดูดเอง ข้าจะบังคับ”
แล้วมันก็บังคับจริงๆ ด้วย สิ้นเสียง มันก็เอามืออีกข้างคว้าท้ายทอยผมให้โน้มต่ำลงมา ขณะที่มืออีกข้างก็จัดการยัดนิ้วเข้าปาก ผมอยากจะร้องไห้ลั่นก็ตอนนี้
อนาคตนางเอกเอวีญี่ปุ่นแท้ๆ เลย บัดซบเอ๊ย!
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 13-12-2015 18:27:13
Episode 06: Lollipop[2]

ริชาร์ดไม่ได้กลับมาในห้านาทีให้หลังอย่างที่บอก ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้ว่าที่หมอนั่นยกมือขึ้นอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าห้านาที แต่เป็นห้าสิบนาทีต่างหาก หมอนั่นคงจะคิดว่าหลังจากผมกินโลลิป๊อปเสร็จแล้ว ผมคงจะเปิดสตูดิโอถ่ายหนังผู้ใหญ่ต่อล่ะมั้งถึงได้มาช้าขนาดนี้ และพอหมอนั่นกลับเข้ามาพร้อมกับพรรคพวก ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์สุดอัปยศก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที ผมเองก็เช่นกัน
ก็จะให้ไปบอกพวกมันยังไงว่าไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พวกมันคิดในเมื่อท่าทางมันให้ซะขนาดนั้นน่ะ!
โชคดีที่เจ้าพวกลูกมือของริชาร์ดเป็นผู้ชายและสนิทกับผมพอสมควร ผมเลยมั่นใจได้ว่าพวกนั้นคงจะไม่เอาเรื่องที่เห็นไปบอกใคร ยิ่งมีริชาร์ดคอยกำชับแกมขู่ว่าจะไล่ออกจากชมรมหากแพร่งพรายความลับด้วยแล้ว ผมก็เบาใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่กระนั้นก็กระอักกระอวลอยู่ดีที่ต้องทำทีวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่มันมีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ จะมีก็แต่ริชาร์ดกับคีธนี่แหละที่ปรับตัวได้เร็ว สำหรับคีธน่ะ มันไม่เคยรู้สึกรู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว แต่สำหรับริชาร์ด หมอนั่นคงพยายามทำให้ผมไม่อึดอัดล่ะมั้ง
พวกนั้นใช้เวลาไม่นานในการถ่ายฟิตติ้ง ผมก็นั่งตัวลีบ มองคีธกับนักแสดงคนอื่นๆ ถ่ายรูปกันไป ทั้งๆ ที่ในใจโคตรอยากจะหนีกลับ ไม่ก็มุดดินหนีไปที่ไหนสักที่แทบแย่ เพราะถึงลูกมือของริชาร์ดจะไม่พูด แต่สายตาที่มองมายังผมเป็นระยะๆ ก็ทำให้ผมอยากเข้าไปตบกะโหลกคีธสักป้าบสองป้าบ โทษฐานทำชาวบ้านชาวเมืองเข้าใจผิด
เข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ นี่ยังไม่เจ็บเท่าถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ ฝ่ายรับนะ รู้สึกเสียศักดิ์ศรีชะมัด
นานพอดูกว่าการถ่ายภาพฟิตติ้งสำหรับทำโปสเตอร์จะสิ้นสุดลง ริชาร์ดสั่งให้นักแสดงทุกคนแยกย้ายกันกลับได้ ขณะที่หมอนั่นเรียกทีมงานบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเขียนบทมาประชุมต่อในสตูดิโอนั้น
“ฉันกลับก่อนนะ” พอเห็นว่ากลับได้แล้วก็ไม่รอช้า ไปบอกลาริชาร์ดที่กำลังกางบทไว้บนโต๊ะตัวหนึ่งทันที
“เฮ้ย กลับแล้วเหรอ ฉันยังไม่ได้คุยกับนายเลย” หมอนั่นทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่ผมไม่อยู่รอคุยด้วย
ใครมันจะไปอยู่คุยด้วยไหววะ โดนเห็นในสภาพแบบนั้นคงจะมีอารมณ์อยู่เสวนาด้วยหรอก
“ฉันไม่ค่อยสบาย จะกลับไปนอน” ผมว่าส่งๆ ก่อนที่ริชาร์ดจะหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์
“กลับไปนอน หรือว่าจะกลับไปต่อ”
“ต่อบ้านมึงเถอะไอ้เจ๊ก” ผมสวนเป็นภาษาไทยกลับไปทันที ก็ไอ้ต่อที่หมอนั่นว่ามันหมายถึงเรื่องใต้สะดือน่ะสิ
ริชาร์ดหัวเราะในลำคอน้อยๆ ไม่รู้หรอกว่าผมพูดว่าอะไร แล้วก็ไม่สนใจด้วย ก่อนหันไปให้ความสนใจกับคนอื่น คนอื่นที่ว่าก็คือลูกทีมของหมอนั่นที่มาเห็นผมกับคีธนั่นแหละ พวกนั้นก็ดูท่าไม่อยากจะให้ผมอยู่ต่อสักเท่าไหร่นัก คงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกันที่จู่ๆ เห็นรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเป้าพระเอกหนังของพวกมันน่ะ
“เอาเป็นว่าฉันกลับก่อนแล้วกัน” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ไม่สนใจริชาร์ดแต่อย่างใด หากแต่ริชาร์ดก็คว้าแขนผมเอาไว้ ก่อนจะว่าขึ้น
“ขอห้านาที ฉันอยากปรึกษาเรื่องบทกับคีธสักหน่อย”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ!
ผมเกือบจะตะโกนใส่หน้ามันแล้ว ถ้าหากว่าคนที่หมอนั่นอยากคุยด้วยไม่เดินผ่าเข้ามากลางวงเสียก่อน ริชาร์ดเลยผละจากผมไปให้ความสนใจคีธทันที
“เออคีธ ว่าจะถามความเห็นหน่อยน่ะ”
“ความเห็น?”
“เรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าชายต่างดาว” ริชาร์ดว่า
คีธเลิกคิ้วข้างหนึ่งเล็กน้อยเป็นเชิงให้หมอนั่นถาม ก่อนที่ริชาร์ดจะคว้ากระดาษที่จดข้อมูลต่างๆ ออกมาร่ายยาว
“ฉันเขียนว่าเจ้าชายต่างดาวเนี่ยมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ดาวของเจ้าชายอยู่ห่างจากโลกไปประมาณพันล้านปีแสง เดินทางมาที่โลกด้วยยานอวกาศที่มีความเร็วเหนือแสง ความเร็วในการเดินทางในห้วงอวกาศของยานอยู่ที่ประมาณหนึ่งปีแสงต่อวัน นายว่าเป็นไงบ้าง”
คีธนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะว่าเสียงเรียบ “ความเร็วยานเหนือแสงที่เดินทางได้แค่หนึ่งปีแสงต่อวันช้ามากนะเจ้ามนุษย์ หากเจ้าท่องอยู่ในอวกาศด้วยยานความเร็วเท่านั้น จากดาวดวงนั้นกว่าจะมาถึงดาวของเจ้า มีหวังคงได้สิ้นอายุขัยก่อนจะมาถึงแน่”
“งั้นเหรอ แต่ฉันว่ามันเร็วแล้วนะ” ริชาร์ดทำท่าคิด ให้คีธได้ว่าขึ้นมาอีก
“เร็วสำหรับพวกเจ้าที่วิทยาการยังไม่ก้าวหน้า ข้าพอรู้ว่ามายานของพวกเจ้าที่เรียกว่าจรวดสามารถเดินทางในอวกาศด้วยความเร็วประมาณ 27,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายความว่าการเดินทางต่อวัน พวกเจ้าสามารถเดินทางด้วยความเร็วแค่ 648,000 กิโลเมตรเท่านั้น  การเดินทางด้วยความไวแสงเพียงหนึ่งปีแสง หากเทียบกับยานจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล เรียกได้ว่าวิทยาการนั่นเชื่องช้ากว่าการเคลื่อนไหวของปรสิตอวกาศเสียอีก ความเร็วระดับนั้น เชื่อได้เลยว่าเจ้าคงหนีแรงดึงดูดจากหลุมดำไม่พ้น อย่าว่าแต่หลุมดำเลย แม้แต่ปรสิตอวกาศก็อาจจะหนีไม่พ้นด้วยซ้ำ”
“ก็จริงแฮะ คิดไปคิดมาก็คงจะช้าอย่างที่นายพูด” ริชาร์ดทำท่าเหมือนจะคิดได้ “แล้วนายคิดว่าฉันควรจะเปลี่ยนแปลงยังไงดี เอาแบบที่คนดูดูแล้วรู้สึกเชื่อว่าเจ้าชายมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาลจริงๆ น่ะ”
พอเปิดทางให้แบบนี้ คีธก็ได้ทีร่ายยาวออกมาเป็นมหากาพย์พลัน
“จริงๆ แล้ว ดาวยูนิกม่าของข้าได้ชื่อว่าเป็นดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ดังนั้น ยานของดาวข้าจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งพันปีแสงต่อวัน ขณะที่ยานขนาดเล็กจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งร้อยปีแสงต่อวัน ส่วนความไกลของดาวข้าและดาวของเจ้าห่างกันอยู่สิบห้าพันล้านปีแสง กระนั้นการเดินทางมาดาวของเจ้า ความเร็วเหนือแสงขนาดนั้นก็ไม่อาจมาถึงดาวของเจ้าในเร็ววันได้ พวกข้าจำต้องใช้รูหนอนในการเดินทาง กว่าข้าจะมาถึงดาวของเจ้าได้ ข้าต้องเดินทางในรูหนอนเพื่อย่นระยะเวลา รูหนอนที่มีพิกัดอยู่ใกล้ดาวของเจ้าที่สุดอยู่ห่างไปสี่หมื่นปีแสง ฟังดูเหมือนจะไม่ไกล แต่ข้าก็ต้องใช้เวลาถึงปีครึ่งในการมาถึงที่นี่ หากไม่รวมระยะเวลาที่ร่อนเร่อยู่ในอวกาศอีกสองปีครึ่ง รวมทั้งสิ้น ข้าเดินทางในอวกาศมายังดาวของเจ้าเป็นเวลาสี่ปี สรุปได้ว่า ต่อให้มีวิทยาการสูงเพียงใด การเดินทางในอวกาศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากเจ้าต้องการจะใช้ข้อมูลของดาวที่มีวิทยาการสูงสุดในจักรวาลแล้ว ข้อมูลจากดาวข้านับเป็นข้อมูลที่ดีและสมจริงที่สุด เสียดายนักที่ข้าไม่รู้ข้อมูลของพวกเซนไทน์ ไม่อย่างนั้นคงจะแนะนำเจ้าได้มากกว่านี้เพราะพวกนั้นก็มีวิทยาการสูงไม่ต่างจากพวกข้าเช่นกัน”
สิ้นเสียง ทั้งริชาร์ด ทั้งผมและลูกทีมที่ฟังอยู่ก็อ้าปากค้างไปทันที
สำหรับผม บอกได้เลยคำเดียวว่าอ้วกแตก! พูดอะไรของมันวะ ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด!
แต่สำหรับกูรูเอเลี่ยนอย่างริชาร์ดแล้ว หมอนั่นก็อึ้งได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนจะยิ้มร่าแล้วตบบ่าคีธเป็นการใหญ่
“เจ๋งว่ะเฮ้ย คำนวณเป๊ะแบบนี้เอาใจไปเลย ขอยืมข้อมูลมาใช้เลยนะ”
คีธพยักหน้ารับพลางหยักยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะอธิบายสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้ซ้ำอีกรอบ ให้ริชาร์ดกับพรรคพวกจดตามเป็นพัลวัน
ผมยืนรออยู่พักใหญ่ ริชาร์ดก็ยอมปล่อยตัวคีธออกมาได้ แถมยังมีหน้ามากำชับผมอีกว่าให้ดูแลคีธให้ดีๆ เพราะหมอนั่นเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงต่อหนังสั้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะการตอบสนองเรื่องอย่างว่า
“บริการให้ดีๆ ล่ะคืนนี้น่ะ เดี๋ยวฉันออกค่าถุงยางให้” ริชาร์ดว่าไล่หลังขณะที่ผมกำลังจะออกจากสตูดิโอ
ผมหันไปมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง พลันชูนิ้วกลางให้
“เก็บเงินไว้เป็นค่าทำแผลปากนายเหอะ” ผมว่าเสียงขุ่น
ริชาร์ดไม่ถือสา นอกจากหัวเราะร่วนแล้วหันกลับไปสนใจกับงานของตัวเองต่อ ผมเลยเดินออกจากห้องมา ปล่อยให้คีธเดินตามหลังต้อยๆ
“เดี๋ยวนายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องชมรมนะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” ผมว่าส่งๆ ขณะที่คีธหยุดเดินให้ผมหันกลับไปมอง
“อะไร” ผมถามเสียงขุ่นพลัน
“เจ้าไม่คิดจะถามข้าหน่อยรึว่าสิ่งที่ข้าพูดไปมันคืออะไร”
“จำเป็นต้องรู้มั้ย”
“ก็ไม่จำเป็น เพียงแต่ข้าอยากจะตอบแทนที่เจ้าสอนให้ข้ารู้ศัพท์ใหม่ของมนุษย์โลกก็เท่านั้น”
หัวผมประมวลผมทันทีว่าผมไปสอนศัพท์ใหม่ให้หมอนั่นตอนไหน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้เมื่อหมอนั่นพูดขึ้น
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่ามนุษย์โลกเรียกสิ่งนี้ว่าโลลิป๊อป” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่เป้ากางเกงตัวเอง
ผมรีบเข้าไปตะครุบมือหมอนั่นแล้วดึงออกห่างกลางลำตัวทันทีด้วยเห็นว่ารอบข้างมีคนเดินผ่านไปผ่านมาพลุกพล่านพอสมควร
“ไม่ต้องระบุพิกัด” ผมกัดฟันว่า หมอนั่นเลยยอมลดมือลง
“ตกลงเจ้าอยากจะถามอะไรข้าหรือไม่”
“ไม่” ผมปฏิเสธแทบจะในทันที ใจนี่อยากจะกลับห้องเต็มแก่แล้ว หากแต่คีธก็พูดขึ้นมาอีก
“ไม่ถามรึว่าเหตุใดข้าต้องดูดนิ้วอีกฝ่ายยามทักทายกัน”
ผมชะงักขึ้นมาในตอนนี้ จะว่าไปผมก็สงสัยมาพักหนึ่งแล้วเหมือนกัน ก็เลยยกมือขึ้นกอดอก เชิดหน้าถามกลับ
“แล้วดูดนิ้วทำไม”
“การทักทายโดยการดูดนิ้วอีกฝ่ายถือว่าเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดของชาวยูนิกม่า เพราะการดูดนิ้วนั้นถือว่าเป็นการสร้างชาวเราขึ้นมาให้เติบใหญ่ การแสดงความเคารพเช่นนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเจริญเติบโตของทารกชาวยูนิกม่าที่ล้วนได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อและแม่ผ่านทางสารอาหารจากปลายนิ้ว”
ผมพยักหน้าเข้าใจ มิน่าล่ะ ทำไมหมอนี่ถึงได้ขยันดูดนิ้วชาวบ้านไปทั่วเหลือเกิน
“อยากจะถามอะไรต่อหรือไม่” พออธิบายเรื่องแรกจบ ก็ถามขึ้นมาอีก
ผมส่ายหน้าดิก “ไม่ล่ะ ไม่อยากรู้”
“เรื่องอายุข้าก็ไม่อยากรู้รึ”
พอถูกถามแบบนี้ จากที่ไม่อยากรู้ก็อยากรู้ขึ้นมาทันควัน
“เออ แล้วนายอายุเท่าไหร่”
“สี่สิบสี่”
ผมอ้าปากค้าง “สี่สิบสี่เนี่ยนะ ทำไมดูอย่างกับรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเลยวะ”
“สี่สิบสี่ปียูนิกม่า เท่ากับยี่สิบสองปีของมนุษย์โลก ชาวยูนิกม่ามีอายุมากกว่ามนุษย์โลกสองเท่า”
ผมร้องอ๋อทันใด “งั้นก็อายุเท่ากันกับฉัน ฉันก็ยี่สิบสอง”
คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ใจจริงผมก็มีเรื่องอยากจะถามต่อล่ะนะ แต่ดันได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงที่เป็นลูกมือของริชาร์ดที่ดูแลด้านเสื้อผ้าดังขึ้นเรียกให้คีธไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ผมก็เลยเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ แล้วโบกมือไล่หมอนั่นแทน
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ฉันจะได้กลับไปนอน”
คีธไม่ตอบรับ นอกจากหมุนตัวไปยังห้องชมรม หากแต่ก็ชะงักขา แล้วเดินวนกลับมาหาผมอีกครั้ง
“เมื่อกลับถึงที่พักของเจ้า ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”
“อะไร” ผมมุ่นคิ้วแทบผูกกันเป็นโบว์ ก่อนหมอนั่นจะพูดขึ้น
“ข้าสงสัยนักว่าโลลิป๊อปของมนุษย์โลกจะเหมือนกับของชาวยูนิกม่ามั้ย เมื่อกลับไปถึงที่พักแล้ว ข้าอยากจะขอดูโลลิป๊อปของเจ้าสักหน่อย”
“คะ...ใครเค้ามาขอดูกันหน้าด้านๆ แบบนี้บ้างวะ!” หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
จะสองแง่สองง่ามมากเกินไปแล้ว!
“หากเจ้าให้ข้าดู ข้าจะให้ดูของข้าเป็นการตอบแทน”
ยังๆ มันยังไม่หยุดอีก!
“ไม่ดูเว้ย! รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยไป๊!” ผมรีบโบกมือไล่หมอนั่นเป็นพัลวันขณะที่ความร้อนไม่ได้แล่นพล่านแค่ที่หน้า แต่ดันแล่นไปทั่วทั้งกายพร้อมกับก้อนเนื้อข้างซ้ายที่เต้นระทึกขึ้นมาเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่คลอดหมอนั่นในสภาพเปล่าเปลือย
จะว่าไปตอนนั้นผมก็เห็นโลลิป๊อปของหมอนั่นนี่หว่า... มะ...แม่ง! นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย!
สิ้นเสียงผม คีธก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาว่าพูดอะไรออกไป ทว่าในจังหวะที่หมอนั่นหมุนตัวกลับไปยังห้องชมรม ผมดันแอบเห็นเสี้ยวหน้าของหมอนั่นมีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย เท่านั้นผมก็รู้เลยว่าถูกหมอนั่นแกล้งเข้าให้แล้ว
หน็อย... อีแบบนี้มันแกล้งโง่นี่หว่า! ไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่ชักจะลามปามมากเกินไปแล้ว!

-----------------------------------------------
ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าคู่นี้ไม่ได้เกรียนอย่างเดียว แต่ยังหื่นแบบมึนๆ ด้วย 555 อันนี้ตัวละครยังมาไม่ครบนะ มาครบเมื่อไหร่ ทั้งเกรียนทั้งหื่นหนักกว่าเก่า ฮาาา

หนูแดงยังงงๆ ระบบของเล้าเป็ดอยู่นะคะ อาจจะเมาๆมึนๆไปบ้าง ใช้งานยังไม่ค่อยคล่องมือ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-12-2015 18:38:38
 :pighaun:

อยากเห็นโลลิป๊อบของคีธค่า 5555+


จะสงสารเควินนิดๆ เจอเอเลี่ยนกวนประสาทเข้าไป
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: punnicha ที่ 13-12-2015 19:57:33
น่าติดตามมากค่าา :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: Candy CAT ที่ 13-12-2015 20:24:51
เกาะเรื่องนี้ค่าาา  :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 13-12-2015 22:15:52
แวะมาติดตามโลลิป๊อบ เอ้ย ติดตามเนื้อเรื่องครับ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 14-12-2015 00:06:30
ขอดู lollipop ด้วยคน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]-14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-12-2015 17:16:22
 
Episode 07: Kill him if I can![1]

อาการผมดีขึ้นตามลำดับ ไม่กี่วันให้หลังก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง แถมยังมีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัวราวกับดูดม้ามาก็ไม่ปาน เดาเอานะว่าคงเป็นเพราะน้ำใสๆ จากปลายนิ้วของคีธนั่นแหละที่ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าได้ขนาดนี้
และแน่นอนว่าพอผมหายดีปุ๊บ คีธก็ได้ทีเอาคืนทันใด จับผมมาสูบอาหาร เป็นแหล่งพลังงานให้หมอนั่นเหมือนเคย ยังดีที่ในตอนนี้หมอนั่นรับสารอาหารจากผมวันละครั้ง ผมก็เลยยื่นคำขาดว่าให้กลับมาดูดสารอาหารที่ห้องเท่านั้น ห้ามเอาท์ดอร์ ห้ามกลางแจ้ง ห้ามโฉ่งฉ่างกลางที่สาธารณะเป็นอันขาด หมอนั่นก็ยอมทำตามดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมก็ยังมีอาการวิงเวียนหลังจากโดนดูดสารอาหารบ้างนิดหน่อย แต่ก็พอจะปลงได้แล้วกับวงจรอุบาทว์แบบนี้ โดยเฉพาะการถูกหมอนั่นประกบปากดูดอย่างกับจะดูดหัว
ก็นะ ในเมื่อหนีไม่พ้น ผมก็ควรจะต้องทำให้ยอมรับมันนั่นแหละแม้ว่าไอ้การยอมรับนี่จะไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะทำเลยก็ตาม
แต่ช่วงนี้ดีอย่างที่คีธต้องไปซ้อมบทกับริชาร์ดที่ห้องชมรมของมหา’ลัยแล้วก็เริ่มถ่ายทำเกือบทุกวัน ผมก็เลยไม่ต้องตัวติดกับหมอนั่นตลอดเวลา ไปเรียนได้อย่างสบายใจ เจอกันแค่ช่วงเย็นที่กลับมาที่ห้องเท่านั้น มีบ้างที่บางครั้งถูกไอ้เพื่อนตัวดีเรียกไปช่วยงานกำกับ ซึ่งผมก็ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง แล้วแต่อารมณ์ หากแต่วันนี้ริชาร์ดดันมีคิวถ่ายฉากเปิดตัวพระเอกของเรื่องโดยมีฉากเป็นดาวของพระเอก แล้วต้องใช้ห้องสตูดิโอในการถ่ายทำ ความยุ่งยากมันเลยอยู่ที่การจัดองค์ประกอบของฉากและนักแสดงให้สมดุลกัน เพราะพอถ่ายทำเสร็จก็ต้องเอาไปใส่คอมพิวเตอร์กราฟฟิกทีหลังอีก ผมก็เลยถูกริชาร์ดขอร้องให้มาช่วยกำกับด้วย เนื่องจากหมอนั่นอ้างว่าดูแลคนเดียวอาจไม่ทั่วถึง ผมเลยรับปากส่งๆ ไปอย่างไม่มีทางเลือก
ห้องสตูดิโอที่ใช้ในการถ่ายทำหนังสั้นคือห้องสตูดิโอขนาดใหญ่ ไม่ใช่ห้องสตูดิโอสำหรับถ่ายภาพอย่างที่ผมเคยพาคีธไปในวันนั้น พอผมเข้ามาในห้อง ความวุ่นวายของทีมงานริชาร์ดก็ปรากฏสู่สายตาทันใด ทุกฝ่ายล้วนง่วนอยู่กับหน้าที่ของตัวเองจนไม่ได้สังเกตเห็นผมเลยสักนิด แต่ผมก็ไม่สนใจพวกนั้นนักนอกจากเดินตรงไปหาริชาร์ดที่นั่งอยู่หลังจอมอร์นิเตอร์กล้องวิดีโอตัวใหญ่ แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ หมอนั่น
“ไง” ผมทัก
ริชาร์ดละสายตาจากตัวหนังสือบนบทหนังขึ้นมาเห็นผมก็ในตอนนี้
“มาช้าชะมัดเลยนายน่ะ จะถ่ายกันอยู่แล้ว” แล้วคำบ่นของหมอนั่นก็คือประโยคแรกที่ทักผม
“แล้วมันใช่ธุระกงการอะไรของฉันที่จะต้องมาช่วยนายมั้ยเนี่ย” ผมยอกย้อนอย่างไม่แคร์ ทำเอาริชาร์ดหุบปากฉับเพราะรู้ว่าการมาช้าของผมนั้น อย่างไรเสียมันก็ดีกว่าไม่มาเป็นไหนๆ
“เออๆ เอาเถอะ นายรู้แล้วใช่มั้ยว่าฉากแรกที่จะถ่ายเป็นฉากอะไร” ริชาร์ดเข้าเรื่องให้ผมว่าอย่างรำคาญ
“รู้น่า นายย้ำจนแก้วหูจะทะลุอยู่แล้ว”
“รู้แล้วก็ดี จะได้เริ่มกันเลย อ่ะ นี่บทแล้วก็รายละเอียดองค์ประกอบฉาก ช่วยฉันดูหน่อยแล้วกันว่ามันโอเคมั้ย” ว่าจบ ริชาร์ดก็ยื่นปึกกระดาษในมือตัวเองให้ผม ก่อนที่จะไปคว้าปึกกระดาษอีกชุดหนึ่งมาถือแทน
ผมไล่สายตาอ่านคร่าวๆ จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เป็นฉากที่ให้คีธเดินออกมาจากหอคอยพระราชวัง แล้วพูดกับประชากรของดาวว่า ‘ข้าคือเจ้าชายของพวกเจ้า’ แค่นั้น แล้วก็ปล่อยให้ไอ้พวกที่เหลือที่เป็นตัวประกอบร้องเฮสรรเสริญกันไป ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมริชาร์ดถึงอยากให้ผมมาช่วยนัก ก็เล่นเขียนรายละเอียดฉากซะอลังการ แต่นักแสดงหลัก รวมนักแสดงประกอบฉากนี้มีแค่สิบกว่าคน ดูก็รู้เลยว่าลำบากฝ่ายคอมพิวเตอร์กราฟฟิกแน่นอน
“เดี๋ยวจะเริ่มกันแล้วนะ นักแสดงทุกคนเข้าฉากได้” เสียงริชาร์ดดังขึ้น เรียกให้ทีมงานทุกคนเตรียมพร้อม พอหมอนั่นนับสาม การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้นทันที
ผมนั่งมองคีธที่โผล่หน้ามาจากฉากหอคอยปลอมๆ ในชุดที่เคยใส่เมื่อวันฟิตติ้งเล็กน้อย พอหมอนั่นเดินมาถึงจุดที่กำหนด ก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วพูดออกมาทื่อๆ
“ข้าคือเจ้าชายของพวกเจ้า”
พูดเท่านั้น เสียงเฮจากตัวประกอบก็ดังขึ้น ผมถึงกับถอนหายใจที่เห็นหมอนั่นแสดงได้ไร้อารมณ์เช่นเคย บอกตรงๆ นะว่าขอนไม้ยังแสดงดีกว่าเลย แต่เหมือนริชาร์ดจะชอบใจนะเพราะไม่ได้สั่งคัตหรืออะไร ดูท่าคงจะเปลี่ยนคาร์แร็กเตอร์บทของคีธให้เข้ากับบุคลิกเขาไปเรียบร้อยแล้วมั้ง
การถ่ายทำฉากแรกในส่วนของนักแสดงไม่มีปัญหา มามีปัญหาตรงที่เรื่องของมุมกล้องกับองค์ประกอบฉากบางส่วนที่มีจุดบกพร่องเล็กน้อย ทำให้ริชาร์ดต้องสั่งเทคใหม่ ผมก็ช่วยโน่นนี่ไปตามเรื่อง ผ่านไปหลายชั่วโมงกับการสั่งเทคใหม่ไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ทำเอาผมเริ่มจะเบื่อขึ้นมาน้อยๆ ที่ต้องนั่งฟังเสียงเรียบๆ และการแสดงทื่อๆ ของคีธซ้ำไปซ้ำมา กระทั่งริชาร์ดสั่งเทคครั้งล่าสุด ผมถึงได้สังเกตเอาในตอนนี้ว่าคีธมีบางอย่างผิดปกติไป
“ข้าคือ...เจ้าชายของพวกเจ้า” เสียงของคีธขาดๆ หายๆ ใบหน้าก็ดูอิดโรยจนริชาร์ดที่ดูผ่านจอมอนิเตอร์อยู่ต้องกระซิบถามผม
“หมอนั่นดูไม่สดชื่นเลยว่ะ นายว่าฉันสั่งเทคมากเกินไปหรือเปล่าวะ”
“ก็นายเล่นสั่งเทคแบบไม่ให้พักติดต่อกันเป็นชั่วโมงๆ แบบนี้ เป็นใครก็เหนื่อยวะ ถึงไอ้บ้านั่นจะพูดแค่ประโยคเดียวก็เถอะ” ผมว่าส่งๆ ริชาร์ดก็เลยสั่งคัตแล้วสั่งพักกองทันใด
“เดี๋ยวพักกันก่อนสักครึ่งชั่วโมงนะ”
พอมีเสียงสั่งพักกองเท่านั้น เสียงของทีมงานก็ดังเฮมาให้ได้ยินแทบจะในวินาทีนั้น ผมลุกขึ้นทำท่าจะไปเข้าห้องน้ำล้างตาล้างตาบ้าง เพราะไอ้การมาช่วยงานริชาร์ดแบบนี้มันก็สร้างความเหนื่อยล้าให้ผมพอตัวเหมือนกัน ทว่าในจังหวะที่ผมลุกขึ้นยืน ผมก็เหลือบไปเห็นคีธซึ่งกำลังเดินลงจากฉากหอคอยปลอมเซถลาไปเกาะราวบันไดเหล็ก จนทีมงานที่ช่วยพาเขาลงร้องอุทานลั่น เท่านั้นผมก็หรี่ตามองไปยังจุดเกิดเหตุ
“ไหวมั้ยคีธ” ทีมงานคนหนึ่งถาม ขณะที่คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แล้วพยุงตัวเองเดินลงมา
ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เลยเปลี่ยนทิศทาง เดินเข้าไปหาเขาแทน
“เป็นอะไรของนาย” ผมโพล่งถามไปพลางโบกมือไล่ทีมงานที่เดินตามเขามาให้ไปทางอื่นเมื่อเห็นว่าคีธชำเลืองหางตาไปมอง
พอทีมงานคนนั้นเดินจากไป เขาก็เผยอปากกระจับขึ้น
“วันนี้ครบหนึ่งอาทิตย์ที่ข้าถือกำเนิดแล้ว”
“แล้ว?”
“ข้าต้องวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ จำได้หรือไม่ว่าข้าเคยบอกเจ้าว่าข้าจำเป็นต้องวางไข่อาทิตย์ละครั้ง”
ผมย่นคิ้วทันควัน ความทรงจำในวันแรกๆ ที่เจอหมอนี่หวนกลับมาราวกับน้ำในเขื่อนไหลทะลัก
เวรแท้ๆ ผมก็ลืมไปสนิทเลยว่านอกจากจะต้องถูกหมอนี่ดูดปากสูบเอาสารอาหารแล้ว ยังจะต้องเป็นยอมให้มันวางไข่แล้วก็คลอดมันออกมาอีก ผมเบ้หน้าเหยเกเมื่อคิดถึงตอนคลอด แหกสะดือพุ่งทะลุออกมาพร้อมกับน้ำเมือกเหนียวๆ แค่คิดก็สยองแล้ว
“ดังนั้น ข้าจึงขอวางไข่...”
ผมได้สติกลับมาเมื่อคีธพูดขึ้นอีกครั้ง พูดอย่างเดียวไม่ว่า นี่มันยังเสนอหน้าเข้ามาใกล้ ผมรีบดันหน้ามันออกห่างอย่างรวดเร็ว
“วางไข่บ้าบออะไรตรงนี้ เดี๋ยวคนก็ได้แตกตื่นกันทั้งบางหรอก” ผมว่าเสียงเขียว สายตามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง ขณะที่ลูกทีมของริชาร์ดเองก็เหลือบมองมายังผมด้วยท่าทีสงสัยเช่นกัน
“แต่หากข้าไม่ทำ ข้าก็จะตาย อีกไม่กี่ชั่วโมง ข้าก็จะหมดอายุขัยแล้ว ร่างกายข้าตอนนี้เริ่มอ่อนแอเช่นกัน จำเป็นต้องรีบทำอย่างเร่งด่วน” หมอนั่นว่าเสียงเรียบ พลางย่นคิ้วลงเล็กน้อย  ย่นคิ้วแบบชวนให้น่าสงสาร มองเผินๆ เหมือนลูกหมาร้องขอความเห็นใจ
หากแต่ผมไม่เห็นใจสักนิด แถมความคิดชั่วร้ายก็ยังผุดพรายขึ้นมาอีก
ดี! ในเมื่อกำลังจะตายอย่างนี้ ผมก็ไม่ยอมให้วางไข่ซะก็สิ้นเรื่อง จะได้เป็นอิสระจากมันสักที
ทว่าก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ พอยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ได้ไม่กี่วินาที คีธก็ดักคอขึ้นพลัน
“หากข้าตาย ข้าจะไม่ยอมตายคนเดียว”
จะลากกูไปด้วยล่ะสินะ!
ผมบุ้ยปากด่ามันเล็กน้อยที่รู้ทันผมตลอดเวลา ก่อนจะเออออส่งๆ ไป
“วางไข่ก็วางไข่ แต่ไม่ใช่ที่นี่ โอเค้ กลับไปวางที่ห้อง ไม่งั้นพอนายวางไข่เสร็จแล้วนายทิ้งร่างเดิมไว้ที่นี่ มีหวังได้แตกตื่นกันทั้งมหา’ลัยแน่”
คีธพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนผมไว้หมับ
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอสูบสารอาหารจากเจ้าก่อน ตอนนี้ร่างกายข้าอ่อนแอเกินไป”
“สูบสารอาหารบ้าบออะไรก็ทำตรงนี้ไม่ได้เว้ย ถ้าจะทำก็ไปหาที่ลับตา” ผมแหวใส่ แทบไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะเป็นคนพูดประโยคนี้ ฟังดูแล้วราวกับกำลังชวนหมอนั่นไปทำเรื่องอย่างว่ายังไงก็ไม่รู้
“งั้นห้องน้ำแล้วกัน จะได้ไม่มีผู้ใดรบกวน” พูดจบ มันก็ลากผมออกจากสตูดิโอไปทันที ปล่อยให้ผมทำหน้าเอือมระอาใส่ที่สู้อะไรมันไม่ได้สักอย่าง
 
หลังจากให้คีธสูบสารอาหารเสร็จ หมอนั่นก็ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันตา ขณะที่ผมดูอ่อนเพลียไปจากเดิม พอกลับเข้ามาในสตูดิโอได้ คีธก็จัดการไปบอกกับริชาร์ดว่าจะถ่ายต่ออีกแค่เทคเดียวเท่านั้น แล้วจะกลับที่พักโดยอ้างว่าเพิ่งทำผมอ่อนเพลียมา ไอ้ริชาร์ดก็ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยทันที แล้วก็อนุญาต แถมยังแซวว่าที่หายไปตอนพักนี่คงไปด้วยกันมาแน่ แล้วก็เน้นย้ำว่าอย่าให้หนักนัก
อ่อนเพลียที่ว่านี่คือมันดูดสารอาหารจากกูไปโว้ย! แม่งคิดไปเป็นเรื่องใต้สะดือตลอด!
และพอถ่ายทำเทคสุดท้ายเสร็จจนเราทั้งคู่ออกจากสตูดิโอมาได้ คีธก็ทำลายความเงียบขึ้นขณะที่เราเดินตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้กับมหา’ลัย
“ที่ข้าบอกสหายเจ้าว่าเจ้าอ่อนเพลียนั้น แท้จริงมันคือข้ออ้าง”
“ไม่บอกก็รู้” ผมว่าเสียงขุ่น ก่อนจะชะงักเมื่อหมอนั่นพูดขึ้นมาอีก
“จริงๆ ข้ามีเวลาเหลืออีกไม่มาก จึงอยากกลับที่พักไปวางไข่ให้เร็วที่สุด”
“เหลือเวลาอีกไม่มากนี่ประมาณเท่าไหร่”
“ราวๆ ห้าชั่วโมง”
ผมลอบยกยิ้ม... งั้นก็แกล้งกลับช้าๆ ซะเลย มันจะได้แห้งตายไปก่อนจะได้วางไข่
“หากเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาเพื่อให้ได้กลับที่พักช้าๆ ล่ะก็ ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ”
แล้วทำไมมึงจะต้องรู้ทันทุกทีว่ากูคิดอะไรอยู่ด้วยวะ!?
ผมตวัดสายตาไปมองหมอนั่นตาเขียว แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อจู่ๆ ก็มีแผนชั่วบางอย่างผุดพรายขึ้นมาในหัว แผนชั่วนี่ก็คือแผนกำจัดไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ให้ออกไปจากชีวิตผมนั่นแหละ ถึงผมจะรู้ว่าการสู้กับหมอนั่นในตัวเป็นๆ จะไม่มีทางสู้ได้โดยเฉพาะในด้านของพละกำลัง แต่ถ้าหมอนั่นไม่ได้อยู่ในสภาพตัวเป็นๆ แบบนี้ล่ะ จะเป็นยังไง?
ไม่ได้อยู่ในสภาพตัวเป็นๆ ก็แน่นอนล่ะว่าหมายถึงอยู่ในสภาพที่เป็นไข่หรือตัวอ่อน ซึ่งถ้าผมต้องการให้หมอนั่นเป็นแบบนั้น ผมต้องยอมให้หมอนั่นวางไข่ก่อน หลังจากนั้นค่อยหาทางกำจัด การกำจัดก็มีอยู่แค่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ...การทำให้มันแท้ง
ฟังดูเหมือนจะโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ผมเองก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับวิธีการนี้สักเท่าไหร่ แต่สำหรับไอ้แมลงที่รบกวนชีวิตผมตลอดเวลาอย่างคีธเนี่ย ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมด้วยแล้ว อีกอย่าง หมอนี่ก็ไม่ใช่มนุษย์โลก มันเป็นมนุษย์ต่างดาว การกำจัดมันทิ้งไปก็เท่ากับการปกป้องโลกให้พ้นภัยจากการคุกคามของมนุษย์ต่างดาวเลยนะ
งั้นตกลงเอาวิธีนี้แหละ! ยอมให้มันวางไข่ไปก่อน แล้วจัดการมันให้สิ้นซากทีหลัง
ตัดสินใจได้อย่างนั้น ผมก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันไปถามคนข้างๆ ที่ยืนมองผมหน้าตายอยู่ทันใด
“นายว่านายยังเหลือเวลาอีกห้าชั่วโมงใช่มั้ย”
“อืม”
“งั้นก็ดี ก่อนกลับห้องไปให้นายวางไข่ ฉันอยากจะไปซื้อของที่ซูเปอร์ฯ สักหน่อย ตอนที่ถูกนายวางไข่ครั้งแรก ฉันแพ้ท้องจะเป็นจะตาย ท้องครั้งนี้เลยอยากจะเตรียมพร้อมไว้ก่อน” ผมอ้างไปเรื่อย
คีธมองผมนิ่งโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าคิดอะไรอยู่ ผมแอบเสียวเล็กน้อยว่าจะถูกจับพิรุธได้ว่าผมมีแผนอะไร จนผมต้องย้ำคำขึ้นอีกครั้ง
“ของบำรุงครรภ์น่า ไปซื้อเร็วเข้า เดี๋ยวนายก็ได้ตายก่อนวางไข่กันพอดี” ผมกลบเกลื่อนโดยการคว้ามือหมอนั่นออกเดิน
คีธเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ผมก็มีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมา ทว่าก็ไม่พูดอะไร นอกจากเดินตามมาแต่โดยดี
 
ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้อพาร์ตเม้นต์คือสถานที่ที่ผมมาเพื่อซื้อของเตรียมความพร้อม ผมไม่ได้สนใจคีธที่ดูตื่นเต้นกับการได้เห็นแหล่งชอปปิงของมนุษย์โลกเลยแม้แต่น้อย นอกจากเดินไปคว้ารถเข็นมา แล้วยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าอะไรบ้างที่กินเข้าไปแล้วเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าไอ้ของพวกนั้นมันจะมีฉลากคำเตือนอยู่ด้านหลังสินค้า เท่านั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเข็นรถเข็นเลาะไปตามซอกชั้นสินค้า หาไอ้ของที่ว่านั่นทันที
อันดับแรกเลยที่ได้มาคือ เครื่องดื่มชูกำลัง... ด้านหลังขวดระบุชัดเจนว่าห้ามดื่มเกินวันละสองขวด เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม แม้จะไม่ใช่สตรีมีครรภ์ ผมก็หยิบใส่รถเข็นมาสองโหลทันใด
เดินไปอีกหน่อย สายตาก็เหลือบไปเห็นชั้นแอลกอฮอล์เด่นหรา พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับชั้นวิสกี้ที่เรียงรายกันเป็นตับ มองปราดเดียว นักท่องราตรีอย่างผมก็รู้เลยว่ายี่ห้อไหนที่แรงที่สุด ถึงราคาจะแพงชวนกระเป๋าฉีก แต่การที่เคยได้ยินมาว่าถ้ากินเหล้าหนักๆ ก็มีสิทธิแท้งได้ ผมก็ไม่รีรอที่จะจัดมาสองกลมทันใด
พอจะเดินไปจ่ายตังค์ ก็เหลือบไปเห็นชั้นบุหรี่หลากยี่ห้ออีก
โอเค... ควันบุหรี่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ งั้นเหมาแม่งหมดแผงเลยแล้วกัน
เดินวนกลับไปหยิบยาย้อมผมด้วยดีกว่า เห็นว่าสารเคมีจากยาย้อมผมก็อาจก่อให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์ได้เหมือนกัน ถึงจะไม่รู้แน่ชัดนักว่าก่อให้เกิดอันตรายด้วยสาเหตุอะไร แต่มือผมก็คว้าเอากล่องยาย้อมผมสีน้ำตาลประกายแดงใส่ลงรถเข็นเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้สีผมที่เคยย้อมไว้ก็เริ่มจะมีโคนดำงอกมาให้เห็นประปรายแล้วด้วย ย้อมๆ ไปเลยก็ดีเหมือนกัน จะได้ได้ประโยชน์สองต่อ สีผมสวย แถมกำจัดไอ้มนุษย์ต่างดาวหน้าตายได้ กำไรเห็นๆ
หากแต่พอผมตั้งท่าจะหยิบกล่องยาย้อมผมใส่รถเข็นเพิ่มอีกกล่องด้วยคิดว่ากล่องเดียวคงจะย้อมไม่พอ คีธที่เดินตามหลังผมต้อยๆ อยู่นานก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“ข้าเห็นเจ้าซื้อแต่ของไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์โลกทั้งนั้น นี่เจ้าตั้งใจจะเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์ข้าแน่รึ”
“เออ นี่แหละเตรียมพร้อม” ผมว่าอย่างมั่นใจพลางแสยะยิ้ม
เตรียมพร้อมจะแท้งเอ็งนั่นแหละบักคีธ!
“แต่ข้าเคยศึกษามาเมื่อครั้งร่อนเร่อยู่ในอวกาศนะว่าของที่เจ้าหยิบมาพวกนี้ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์โลกทั้งนั้นหากรับเข้าสู่ร่างกายเป็นปริมาณมาก”
“ข้อมูลผิดพลาดได้น่า ไปอ่านจากตำราไหนมา พวกนี้แหละของบำรุงครรภ์บอกไว้เลย” ผมโกหกหน้าด้านๆ สายตาที่คีธมองมา ดูก็รู้เลยว่าไม่เชื่อที่ผมพูดสักนิด แต่ผมไม่สนใจแล้ว เดินหนีไปจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย
แต่เอ... ที่นิวยอร์กนี่มียาสตรีขายด้วยมั้ยนะ น่าซื้อมากระดกดื่มแทนน้ำชะมัด เผื่อมันจะช่วยให้ได้ผลเร็วๆ
 

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]--14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-12-2015 17:17:23
Episode 07: Kill him if I can![2]

ความคิดที่จะซื้อยาสตรีมาด้วยเป็นอันต้องยกเลิกไปเมื่อผมไม่สามารถหาสินค้าได้ ไม่แน่ใจว่ามันมีหรือไม่มีขาย แต่ก็ช่างมันเถอะ แค่ของที่ซื้อมาพวกนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการกำจัดคีธเวอร์ชั่นตัวอ่อนได้แล้ว
ผมจัดการเก็บข้าวของเข้าชั้นแล้วไปอาบน้ำอาบท่า เตรียมความพร้อมก่อนถูกวางไข่ในขั้นสุดท้าย คีธดูจะงงๆ ไปเหมือนกันว่าผมไปกินอะไรมาถึงได้คึก อยากถูกหมอนั่นวางไข่เต็มแก่แบบนี้ ทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะดูเหมือนตอนนี้เขากำลังเริ่มอ่อนแอลงอีกครั้ง
และตอนนี้ผมก็กำลังนั่งประจันหน้ากับหมอนั่นบนพื้นห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะคว้าขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่วางอยู่ใกล้ๆ มาดื่มย้อมใจทีเดียวรวด แล้ววางขวดเปล่ากระแทกลงพื้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาอันสมควรต่อการวางไข่แล้ว
“มา ฉันพร้อมละ” ผมว่าอย่างมั่นใจ
“เจ้าแน่ใจนะ”
“แน่สิวะ มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องแน่ใจอยู่แล้ว” ผมย้ำอีกครั้ง ขณะที่ผมสะบัดมือ สะบัดคอไปมาประหนึ่งนักมวยกำลังวอร์มร่างกายก่อนขึ้นสังเวียน
“ข้าว่าเจ้ากระตือรือร้นเกินไปจนน่าประหลาด” แล้วมันก็จับผิดผมขึ้นมาจนได้
ผมรีบโบกมือไปมา หัวเราะกลบเกลื่อนพิรุธทันใด “กระตือรือร้นอะไร ปกติน่าปกติ”
“ไม่ปกติ” มันว่าสวน “ถ้าปกติของเจ้าคือต้องปฏิเสธ ไม่ก็ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ต่างหาก”
“นั่นเพราะนายมาบังคับฉันโดยที่ฉันไม่ได้เต็มใจนี่หว่า จะมีท่าทางต่อต้านอย่างนั้นก็ไม่แปลก” ผมอ้างไปเรื่อย
คีธหรี่ตาลง เอียงคอน้อยๆ สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อ ยังไงก็ไม่เชื่อ จนผมต้องเปลี่ยนเรื่องก่อนจะถูกจับได้
“อย่ามัวมาชวนคุยโน่นนั่นน่า อีกไม่ถึงชั่วโมงนายก็จะตายแล้วไม่ใช่หรือไง วางไข่สักที มา!”
ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากโดนวางไข่เต็มแก่ทำให้คีธนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“เช่นนั้นข้าคงต้องขออนุญาตวางไข่”
ว่าจบ มันก็เลื่อนมือไปถอดเสื้อออกแล้วโยนไปข้างๆ แล้วก็เลื่อนไปยังส่วนล่างของร่างกาย ผมเบิกตาโพลง รีบเอื้อมมือไปคว้ามือมันที่เลื่อนลงไปจับขอบกางเกงไว้อย่างรวดเร็ว
“จะวางไข่ก็วางเร็วๆ เข้า ไม่ต้องแก้ผ้า”
“มันเป็นธรรมเนียมของดาวข้า”
“จะวางหรือจะโชว์ฮะไข่เนี่ย ลีลานักก็ไม่ต้องวางแม่ง”
พอผมว่าเสียงขุ่น เชื่อเลยว่าคีธไม่รู้ว่าไอ้โชว์ที่ว่านั่นคืออะไร ผมไม่อธิบายแล้วเหมือนกันว่ามันคือส่วนต่อเติมของโลลิป๊อป ดีที่คีธก็ไม่ถาม นอกจากยอมปล่อยมือจากขอบกางเกง ย้ายมาประคองใบหน้าผม
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนด้วย กวินทร์...”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก สบดวงตาสีเทาสว่างนิ่งด้วยใจเต้นระทึก
มะ...มา! มึงมา! วางไข่มาเลย!
ผมหลับตาปี๋ รออย่างใจจดใจจ่อให้คีธเลื่อนใบหน้าเข้ามาประกบปาก หากแต่ความระทึกนั้นก็ต้องสะดุดลงเมื่อน้ำเสียงแหบห้าวดังขึ้นอีก
“แต่ข้าว่าเจ้าดูแปลกๆ”
มึงอย่าสงสัยเยอะ! กูลุ้นจนเหงื่อพุ่งทะลุออกจากรูขุมขนเป็นน้ำพุแล้วเนี่ย!
และเพราะความลุ้นระทึกถูกขัด ผมก็เลยหัวเสียขึ้นมา ดึงมือใหญ่ที่ประคองใบหน้าตัวเองอยู่ออก แล้วยื่นมือไปคว้าหน้าหมอนั่นแทน
“ยืดยาด ชักช้า เสียเวลา!”
ว่าจบ ผมก็ประกบปากหมอนั่นทันใด พี่ไม่ต้อง น้องทำเองเป็นยังไง บักคีธมันรู้ได้ก็ในตอนนี้ เหมือนคีธจะตกใจหน่อยๆ ด้วยที่จู่ๆ ก็ถูกผมจู่โจม นี่นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมเต็มใจจูบกับหมอนั่นร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็แน่ล่ะ มันเป็นแผนนี่นา ไม่เต็มใจก็กำจัดมันไม่ได้น่ะสิ
 “อย่าเฉยสิ เฟรนช์คิสน่ะเฟรนช์คิส ปิดปากอย่างนี้มันทำไม่ได้” ผมผละออกจากริมฝีปากหยักเล็กน้อยเมื่อคีธไม่ยอมเปิดปาก เอาแต่นิ่งอึ้ง พูดไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเชื้อเชิญหมอนั่นชะมัด
ครู่เดียว คีธได้สติ พยักหน้ารับก่อนจะยกมือขึ้นรั้งท้ายทอยผมเข้ามา แล้วเป็นฝ่ายดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้ง พลันสอดลิ้นอ่อนนุ่มเข้ามาในโพรงปากผม จูบของหมอนี่ยังคงเจ๋งเหมือนเดิม เจ๋งจนผมเกือบจะเคลิ้มไปตามรสจูบนั่นแล้ว ส่วนสิ่งที่เพิ่มเติมกว่าความเจ๋งของสกิลการจูบแล้ว ก็คือนอกจากลิ้น ยังมีวัตถุทรงกลมขนาดเท่าถั่วแมคคาเดเมียถูกดันเข้ามาในปากผมด้วย ผมเกือบจะขย้อนมันออกมาอย่างเผลอตัวแล้วถ้าไม่ตระหนักได้ว่ามีแผนการชั่วบางอย่างที่จะต้องจัดการอยู่ จึงหลับหูหลับตากลืนมันลงไป ก่อนที่คีธจะเป็นฝ่ายผละออกจากผมด้วยสีหน้าอิดโรย
“แล้วเจอกันกวินทร์” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่หลุดออกจากปากหมอนั่นก่อนที่ร่างใหญ่จะทรุดฮวบลงไปพื้น
ผมนิ่งงัน อ้าปากอย่างเหวอๆ ที่จู่ๆ ก็เห็นไอ้บ้านี่ตายต่อหน้าต่อตาอีกเป็นครั้งที่สอง ถึงจะรู้ว่ามันเป็นการเปลี่ยนร่าง แต่ก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี พอเอานิ้วมือไปอังที่ปลายจมูกแล้วสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจ ผมก็ตระหนักได้อีกครั้งว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่สมควรจะมาตกใจ ตอนนี้คือเวลาแห่งการโด๊ปทุกสิ่งอย่างที่ซื้อมาเพื่อกำจัดไอ้ตัวที่อยู่ในกระเพาะผมต่างหาก
เท่านั้น ผมก็ทิ้งร่างเย็นชืดนั่นไว้บนพื้น แล้วรีบลุกไปคว้าเครื่องดื่มชูกำลังอีกขวดขึ้นกระดกเพื่อย้อมใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปทันใด
สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือการย้อมผม เครื่องดื่มชูกำลังก็ดื่มเพิ่มไปอีกขวด แต่การที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาข้างนอกได้นั้นทำให้ผมล้มเลิกความคิดที่จะดื่มเพิ่มไปทันใด ถ้าดื่มเพิ่มล่ะก็ รับรองเลยว่าผมนี่แหละที่จะถูกกำจัดก่อนไอ้เวรข้างในท้องผมนี่
ผมใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการย้อมผม พอสระผมเสร็จเรียบร้อยก็กลับออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ในตอนนี้ ร่างเย็นชืดของคีธได้อันตรธานหายไปแล้ว เหลือแต่เพียงเสื้อผ้าที่หมอนั่นสวมใส่ก่อนหน้าเท่านั้น ให้เดานะ มันคงจะย่อยสลายด้วยกระบวนการเหนือธรรมชาติบางอย่างเหมือนกับที่หมอนั่นเคยว่า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องสนใจ สิ่งที่ควรสนใจก็คือ ไปโด๊ป! โด๊ปให้ไอ้ตัวประหลาดนี่มันแท้งต่างหาก!
ผมถอดเสื้อโยนทิ้ง คว้าขวดวิสกี้และบุหรี่ซองหนึ่งไปนั่งบนโซฟา เปิดฝาขวดออกแล้วกระดกอึ้กๆ โดยไม่สนใจที่จะผสมน้ำหรือโซดาอะไรแต่อย่างใด ก่อนจุดบุหรี่ขึ้นสูบ หัวก็คิดไปด้วยว่าถ้าแผนชั่วนี่สำเร็จขึ้นมา ไอ้อาการแท้งจะเป็นยังไง บอกตรงๆ นะว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เดาเข้าข้างตัวเองตามความน่าจะเป็นว่าถ้ามันคลอดโดยการแหวกสะดือออกมา ตอนแท้งก็น่าจะเป็นซากแหวกสะดือออกมา ถ้าเป็นแบบที่คิดก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ อาจจะสยองขวัญนิดหน่อย แต่ถ้ามันแท้งแล้วไม่แหวกสะดือออกมานี่สิ ผมได้กลายเป็นผีตายท้องกลมแน่นอน
กระนั้น ผมก็ไม่อยากจะคิดฟุ้งซ่าน เอาให้มันตายก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นค่อยลากสังขารไปโรงพยาบาล ให้หมอผ่าออกให้ก็ได้
ผมใช้เวลาเกือบค่อนคืนก็จัดการวิสกี้ที่ซื้อมาสองกลมนั่นหมด แค่สองกลมมันยังไม่พอ ผมยังไปซื้อเพิ่มมาอีกเป็นลัง แต่คราวนี้เป็นวิสกี้ระดับล่างซึ่งมีรสชาติบาดคอและดีกรีความแรงค่อนข้างสูง แต่ก็ดื่มต่อได้แค่ครึ่งขวดเท่านั้นก็ต้องยอมแพ้ ต่อให้ได้ชื่อว่าคอแข็งขนาดไหนก็เถอะ ถ้าดื่มเป็นน้ำเปล่าอย่างที่ผมทำแบบนี้ ไม่จมกองอ้วกตายก็เมาเรื้อนอยู่ข้างถนนแน่นอน
และเพราะว่าเมา ผมก็เลยงีบหลับไปก่อน รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่เสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกก่อนจะผล็อยหลับไปดังขึ้น ผมงัวเงียดันตัวเองขึ้นนั่งพร้อมกับความปวดหนึบไปทั้งหัว ตอนนี้เข้าชั่วโมงที่ยี่สิบแล้ว ท้องผมใหญ่ขึ้นประหนึ่งคนท้องไปเรียบร้อย
พอเห็นสภาพตัวเองในตอนนี้ก็หวั่นใจขึ้นมา ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าการกระดกวิสกี้เพียวๆ ขวดแล้วขวดเล่า มันไม่น่าจะได้ผลในการกำจัดคีธที่อยู่ในท้องได้ก็ไม่รู้ บุหรี่นี่ผมก็สูบจนควันท่วมห้องแล้วด้วย สูบมากจนลำคอแห้งผากและแสบไปหมด นี่ถ้าสูบอีกนิดนี่มีหวังห้องข้างๆ ได้เรียกรถดับเพลิงแน่ แต่มันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองให้ผมรู้สึกว่าคีธมันตายแหงแก๋ไปแล้วเลยแม้แต่น้อย
อีกสี่ชั่วโมง... สี่ชั่วโมงเท่านั้นกว่าจะได้รู้ว่าคีธมันจะอยู่หรือจะไป
แน่อยู่แล้วล่ะว่าผมไม่ปล่อยให้เวลาสี่ชั่วโมงนี่มันสูญเปล่า พอตั้งสติได้ ผมก็จัดการคว้าขวดวิสกี้ที่ดื่มค้างไว้มาดื่มต่อ ทว่าพอสาดน้ำขมเฝื่อนลงคอไปได้ไม่ทันหมดขวดดี ของเก่าที่ซัดไปก่อนหน้าก็ทำท่าจะพุ่งออกปาก จนผมต้องรีบวางขวดวิสกี้ลง แล้วหันไปคว้ากระถังน้ำที่เตรียมไว้สำหรับรองของเก่ามาจ่อปากตัวเองทันที
น้ำสีเดียวกับวิสกี้ที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้าไหลออกจากปากเป็นลิตรๆ ผมเองก็เหมือนคนโรคจิต ยิ่งอ้วกก็ยิ่งดื่มหนัก พอยิ่งดื่มก็อ้วกหนักกว่าเดิม บางจังหวะไม่ได้ดื่มก็อ้วก จนผมไม่แน่ใจนักว่าที่ทำท่าพะอืดพะอมนี่เป็นเพราะแพ้ท้องหรือเมาจัดกันแน่
ผ่านไปร่วมชั่วโมง ร่างกายผมก็ไม่สามารถรับแอลกอฮอล์ได้อีกต่อไป ผมนอนแผ่หลาบนโซฟาอย่างหมดแรง โลกทั้งโลกหมุนคว้างและมีภาพซ้อนเยอะแยะไปหมด จนผมไม่อาจฝืนตาให้เปิดอยู่ได้เลยผล็อยหลับไปอีก
กระทั่งครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ความปวดหนึบบริเวณหน้าท้องก็ปลุกให้ผมตื่น ผมฝืนลืมตาขึ้นขณะที่อาการเมายังไม่สร่างแม้แต่น้อย ทว่าพอเห็นบางอย่างใต้ผิวหนังหน้าท้องขยับแล้ว ความมึนเมาก็แทบจะมลายหายไป กลายเป็นเบิกตาโพลงที่เห็นว่าคีธยังมีชีวิตอยู่แทน
ยะ...อย่าบอกนะว่าไม่ได้ผล!?
ก็ไม่ได้ผลจริงๆ นั่นแหละ แค่คิดจบเท่านั้น น้ำเมือกสีใสก็ปริไหลจากสะดือผมทีละน้อย ก่อนจะมาพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตกไนแองการา อึดใจเดียว ความสยองขวัญก็บังเกิดกับผมเมื่อนิ้วขาวซีดโผล่ออกมาจากสะดือ ถึงจะเคยเห็นมาก่อนหน้านั้นแล้ว ผมก็ยังอดขวัญผวาไม่ได้ แถมครั้งนี้มันไม่ทะลุพรวดขึ้นมาทีเดียวจบเหมือนครั้งแรกด้วย ค่อยๆ โผล่มาทีละนิ้วสองนิ้ว กว่าจะมาครบทั้งมือ ผมก็อ้าปากจนกรามแทบค้าง
หากแต่ความสยองขวัญมันไม่จบแค่นี้เมื่อหัวของคีธโผล่มา รอบนี้หมอนั่นไม่ได้โผล่ออกมาแบบหน้าตาย แต่โผล่มาในสภาพเหมือนจะตาย ใบหน้าขาวซีดและดวงตาปรือๆ ของหมอนั่นใต้คราบเมือกเหนียวหนืดที่กำลังค่อยๆ เหยียดมือไต่มายังหน้าอกผมในท่าคลานอย่างเชื่องช้าทำเอาผมขนหัวลุกขึ้นมาฉับพลัน
“อ๊ากกก! อึก... อ้วก!” ความสยองขวัญบังเกิดหนักขึ้นเมื่อผมทั้งแหกปากร้องชนิดลืมเมา ทั้งหันไปอ้วกพร้อมๆ กัน
ทรมานคืออะไร วินาทีนี้แหละคือคำตอบ! ตกลงมึงเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือจูออน! ตอบ! สยองขวัญสั่นประสาทเกินไปแล้ว!
ผมแหกปากร้องจนเหนื่อย แต่หมอนั่นก็ไม่ยอมออกจากสะดือผมมาสักที ค่อยๆ กระดึ๊บๆ มาได้เพียงครึ่งตัว ก็ฟุบหน้าลงนอนบนแผงอกผมอย่างไร้เรี่ยวแรง พลางพึมพำเสียงต่ำ
“มึนหัว...”
มึงก็ออกมามึนข้างนอกสะดือกูได้มั้ยเล่า! จะค้างเป็นฝาแฝดอินจันไปถึงไหน!
ผมสร่างเมาโดยไม่ต้องรอให้ใครเอาน้ำมาสาด จากที่เป็นฝ่ายรอให้คีธออกจากตัวผม ก็กลายเป็นว่าผมต้องงัดหมอนั่นออกจากสะดือตัวเอง ความที่หมอนั่นตัวใหญ่ สภาพในตอนนี้ก็เลยทุลักทุเลและอุบาทว์ไปพร้อมๆ กัน กว่าจะเขี่ยหมอนั่นออกจากร่างได้ก็เล่นเหนื่อยจนหอบ
คีธนอนแผ่กับพื้นอย่างหมดรูป ตาทั้งสองข้างปิดสนิทขณะที่ปากยังพึมพำอยู่
“ข้า...รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย...”
ผมหูผึ่งก็ในตอนนี้ หันไปมองหมอนั่นทันใด และสภาพของหมอนั่นก็ดูจะจริงอย่างที่พูดเสียด้วย เพราะทั้งใบหน้าและสีผิวยังคงดูซีดขาว ไม่ต่างจากตอนที่สละร่างเก่าทิ้งหลังจากวางไข่ใส่ผมเลยแม้แต่น้อย
หรือว่ามนุษย์ต่างดาวนี่จะแพ้แอลกอฮอล์?
“กวินทร์... ขะ...ข้ากำลังจะตาย...”
เสียงของคีธดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ก่อนที่มันจะเงียบไปพร้อมกับแผ่นหน้าอกที่ค่อยๆ กระเพื่อมเบาลงและนิ่งไป
ผมมองหมอนั่นอย่างตะลึงงัน ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองเข้ามามองใกล้ๆ
“คีธ...” ผมเปล่งเสียงเรียก หากแต่ไร้การตอบสนอง ผมก็เลยเอาเท้าลองเขี่ยๆ ดู ปรากฏว่าไม่ไหวติงอีก เท่านั้นความดีใจก็ลิงโลดขึ้นมาฉับพลัน
ตายแล้ว... คีธตายแล้ว ผมฆ่าหมอนั่น... สะ...สำเร็จแล้ว! ถึงจะผิดแผนไปหน่อยที่ไม่ได้แท้งหมอนี่  แผนชั่วนี่ใช้ได้ผลจริงๆ
เป็นอิสระสักทีไอ้กวินทร์!
กระนั้นผมก็ยังไม่มั่นใจดีว่าหมอนั่นจะตายเพราะเหล้าจริงๆ เลยว่าจะก้มลงไปพิสูจน์ลมหายใจที่จมูก ทว่าความมึนเมาและความอ่อนเพลียจากการคลอดหมอนั่นออกมาก็มาเล่นงานผมเอาในตอนนี้ พอผมโน้มตัวลงปุ๊บ โลกของผมก็ดับวูบไปราวกับมีคนมาปิดสวิตซ์ไฟ ก่อนที่เสียงดังตึงของร่างผมที่ล้มลงกับพื้นจะดังเข้ามาในหูให้ได้ยินเป็นเสียงสุดท้าย แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดฉับไปทันตา
---------------------------------
กวินทร์! นังเมียชั่ว! เดี๋ยวเป็นหม้ายขึ้นมาไม่รู้ตัวหรอก 555 วางแผนชั่วงี้ เดี๋ยวตอนหน้ารู้เลย ...รู้เลยจริงๆ ฮาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]--14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 14-12-2015 18:13:58
กวินทร์อยากเป็นโสดก็ไม่บอก


คีธจะฟื้นขึ้นมายังไงน้ออออ?  :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]--14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: Chompooiriza ที่ 14-12-2015 21:52:16
สวัสดีคร้า~

หลงตามกลิ่นเอเลี่ยนเข้ามา

แรกก็เฉยๆนะคะ แต่พอถึงฉากแหวกสะดือเท่านั้นแหละ!

อือฮือๆ ไม่เคยเจอ แปลก แต่ชอบค่ะ แปลกดี~ คริๆๆ

อย่าหายไปนะคะ แต่งต่อไปจนจบนะคะ ติดตามๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]--14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 15-12-2015 09:32:04
กวินทร์เด็กดื้อ.....ทำตัวไม่ดีอย่างนี้ต้องมีลงโทษกันบ้างล่ะ คีธจัดไป!!!ฮ่าๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]--14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 15-12-2015 11:21:58
เมาทั้งคู่
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]--14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-12-2015 11:59:18
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.07]--14/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 15-12-2015 15:38:53
โอ๊ยยยย หมดคำพูดจริงๆ
ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 15-12-2015 17:01:42
Episode 08: Apologize[1]

รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ช่วงย่ำเย็นของวันใหม่ ใจจริงผมก็ไม่อยากจะตื่นเท่าไหร่นักด้วยอาการเมาค้างเข้าเล่นงานจนปวดหนึบไปทั้งหัว และยังมีอาการคลื่นไส้ อยากจะสำรอกของในกระเพาะออกมาเนืองๆ อีก แต่ก็จำต้องฝืนลืมตาตื่นเพราะตระหนักได้ว่ายังมีสิ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่ และไอ้สิ่งที่น่าเป็นห่วงนั้นก็คือคีธนั่นแหละ จิตใต้สำนึกผมตอนนี้ลุ้นแทบแย่แล้วว่ากำจัดหมอนั่นได้แน่หรือเปล่า
คงจะกำจัดได้แหละมั้ง รับแต่ของไม่ดีเข้าไปตั้งแต่ตอนเป็นตัวอ่อนอย่างนั้น ไม่น่าจะรอด
หากแต่พอผมลืมตาขึ้น ความงัวเงียและความมึนงงก็อันตรธานหายไปทันตาเมื่อเห็นว่าคีธในชุดเดียวกับเมื่อวานนั่งกอดอก มองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบอยู่ข้างเตียง
มะ...มันยังอยู่อีก!
ผมลุกกระเด้งผึง ถอยกรูดมาจนชิดขอบเตียง ในตอนนี้เองที่สังเกตเห็นว่าเนื้อตัวผมตอนนี้สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ แถมไม่ใช่ชุดนอนอย่างที่ควรจะเป็นด้วย แต่เป็นเสื้อเชิ้ตตัวเก่งที่ผมชอบใส่ไปเที่ยวกับกางเกงนอนขายาวแทน เดาได้รางๆ ว่าคนจับผมแต่งตัวไม่แมทท์กันอย่างนี้คงจะเป็นคีธนั่นแหละ
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อหมอนั่นว่าขึ้นทันทีที่เห็นสีหน้าตระหนกของผม
“อุณหภูมิร่างกายเจ้าต่ำ หากไม่สวมใส่เสื้อผ้าจะทำให้เจ้าไม่สบายได้”
พอจะรู้อยู่ว่าหลังคลอดหมอนี่ ร่างกายจะอ่อนแอ แต่ผมไม่ได้สนใจ นอกจากกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อเห็นหมอนั่นชำเลืองหางตามองมา
“ดูดมั้ย” มองอย่างเดียวไม่พอ ยังดึงมือที่กอดอกอยู่มายื่นนิ้วชี้ให้อีก
ผมส่ายหน้าดิก แต่มีเหรอที่หมอนั่นจะสนใจ แค่เห็นผมปฏิเสธ มันก็ถลาเข้ามายัดนิ้วใส่ปากผมเป็นที่เรียบร้อย
“ดูดซะ เดี๋ยวป่วย”
ยังจะมีกะจิตกะใจมาห่วงอีก! กูเพิ่งจะวางแผนฆ่ามึงไปนะเว้ย!
ผมยอมทำตามไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตาก็เหลือบมองหน้าหมอนั่นที่ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาแม้แต่น้อยด้วยหวั่นใจว่าที่มันมาทำดีด้วยอย่างนี้ มันต้องมีแผนเอาคืนผมแน่ๆ
ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้คิดว่าคีธจะเอาคืนผมแบบไหน เขาก็ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“ข้าไม่ได้ตาย”
ก็เห็นอยู่!
“แต่ข้าเกือบตายเพราะรับสารอาหารจากร่างกายเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นตัวอ่อน เจ้าคิดจะกำจัดข้าใช่มั้ยกวินทร์”
ผมช้อนตามองหน้าหมอนั่นอย่างหวาดๆ ที่ถูกจับได้ พลันค่อยๆ คลายริมฝีปากออกจากปลายนิ้วเรียว แล้วโกหกหน้าตายพลางหัวเราะแห้งๆ
“ปะ...เปล๊า ฉันก็แค่บำรุงครรภ์”
“หากเจ้าบำรุงครรภ์จริง ข้าคงไม่มึนหัวเจียนตายเช่นนั้น แม้จะออกจากร่างเจ้าแล้ว ข้าก็ยังเวียนหัวอยู่ ซ้ำยังอาเจียนโอ้กอ้ากราวกับถูกวางยา กว่าจะฟื้นตัวได้ก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมง โชคดีนักที่ยาพิษของมนุษย์โลกไม่ร้ายแรงจนร่างกายข้ารับไม่ไหว”
ผมประจักษ์ได้ตอนนี้นี่เองว่าทำไมตอนที่หมอนี่โผล่ทะลวงสะดือผมออกมาถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตายให้ได้
ก็มึงเมา! มึงไม่ได้ตาย! แล้วจะทำท่าเหมือนตายให้ดีใจเก้อทำไมเนี่ย!
“ข้าโกรธเจ้ามาก” คีธทำลายความเงียบขึ้นมาอีก น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่งและสีหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม ไม่มีส่วนไหนบอกเลยว่ามันโกรธจริงอย่างที่ปากว่า นอกจากแววตาที่ประกายกร้าวไปด้วยความโกรธอย่างปิดไม่มิด
ผมมองแล้วก็เสียวสันหลังวาบด้วยเดาว่าอีกไม่กี่อึดใจ ผมต้องโดนมันสั่งสอนแน่ แต่ใครมันจะไปยอมรับง่ายๆ ล่ะว่าวางยามัน อีกอย่างนะ ที่ผมทำน่ะ มันเรียกว่ามอมเหล้า ไม่ใช่วางยา แถมไม่ได้ตั้งใจจะมอมด้วย ตั้งใจจะให้มันแท้งไปต่างหาก
“ฉันไม่ได้วางยานาย” ผมโพล่งขึ้นมาบ้างจนได้
“แต่เจ้าทำข้ารู้สึกเหมือนจะตาย เจ้าก็รู้มิใช่รึว่ายามข้าเป็นตัวอ่อน ข้าจำเป็นต้องดูดกลืนสารอาหารจากร่างกายเจ้าเป็นอาหารในการเจริญเติบโต ไยถึงได้ดื่มและกินสารพิษเหล่านั้น ไยถึงคิดกำจัดข้า”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก แล้วใครใช้ให้นายมาวางไข่ใส่ฉันเล่า!”
“ก็ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่สามารถเปิดเผยตัวตนให้มนุษย์โลกรู้มากไปกว่านี้ได้ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าเพราะเจ้าเป็นผู้เดียวที่รู้ตัวตนของข้า” หมอนั่นสวน
ผมหงุดหงิดขึ้นมาก็ในตอนนี้ ทำไมมันถึงได้พูดราวกับว่าไอ้การยอมให้หมอนี่พึ่งพามันเป็นหน้าที่ที่ผมควรพึงกระทำเลยวะ
“เจ้าต้องเป็นโฮสต์ให้ข้าจนกว่าข้าจะหาพรรคพวกเจอ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว และสิ่งที่เจ้ากระทำกับข้ามันก็มากเกินไป เจ้ารู้มิใช่หรือว่าข้าจำเป็นต้องสร้างร่างใหม่ทุกอาทิตย์”
และประโยคต่อไปที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักก็ทำให้ความอดทนของผมถึงขีดสุด ผมละทิ้งความหวาดกลัวไป จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่องก่อนจะคอกใส่หมอนั่นอย่างเหลืออด
“แล้วฉันปกป้องอธิปไตยของร่างกายตัวเองมันผิดตรงไหนวะ มนุษย์ต่างดาวอย่างนายน่ะรู้จักคำว่าสิทธิมนุษยชนบ้างมั้ย เอะอะก็สูบสารอาหาร เอะอะก็วางไข่ ถามฉันบ้างสิวะว่าอยากให้ทำมั้ย ที่ยอมนี่เพราะสู้ไม่ได้หรอกนะ นายลองไปทำแบบนี้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันสิ ป่านนี้นายโดนยิงสมองกระจุยไปแล้ว ไม่มาพยายามทำให้แท้งด้วยวิธีปัญญาอ่อนแบบนี้หรอก!”
พอผมพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมดออกไปราวกับภูเขาไฟปะทุ คีธนิ่งงันไปอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาโกรธกรุ่นในตอนแรกจะวาวโรจน์ดุจสัตว์ป่า วาวโรจน์อย่างเดียวไม่พอ ยังเปลี่ยนจากสีเทาสว่างเป็นสีดำเข้มไปทั้งลูกตา ไม่เว้นแม้แต่ตาขาวอีกด้วย ทำเอาผมขนลุกชันอย่างพรั่นพรึงไปทั้งตัวที่เห็นหมอนั่นในเวอร์ชั่นอมนุษย์อย่างนี้ ก่อนที่หมอนั่นจะว่าขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่เลยสักนิด
“เพื่อความปลอดภัยในการสร้างร่างใหม่ของข้าในครั้งหน้า ข้าคงต้องผูกพันกับเจ้า”
ไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากถามว่าผูกพันอะไร คีธก็ลุกผึง โถมกายเข้ามาทาบทับผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงอย่างรวดเร็ว พลันใช้มือข้างหนึ่งรวบข้อมือทั้งสองของผมขึ้นเหนือหัว ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งเลื่อนไปจับคอเสื้อบนตัวผม สัญชาตญาณบอกทันทีว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่คิดมิดีมิร้ายกับผมอยู่แน่
“เฮ้ย! จะทำอะไรเนี่ย! ปล่อยนะเว้ย!” ผมแหกปากโวยวายสุดเสียง ดิ้นรนหนีสุดชีวิตแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอย่างไรก็สู้ไม่ได้
คีธก็ไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ เช่นกัน นอกจากว่าหน้านิ่ง
“ผูกพันกับเจ้า”
ตอบมาแค่นี้ แถมยังไม่หยุด ออกแรงมือข้างที่จับคอเสื้อผมอยู่เต็มแรงจนเสื้อเชิ้ตตัวเก่งของผมหลุดติดมือมันไป
แคว่ก!
เสียงขาดของเสื้อทำเอาผมเบิกตาโพลงประหนึ่งเห็นผีก็ไม่ปาน
คุณพระ! บักคีธผู้ฉีกเสื้อกวินทร์ด้วยมือเปล่า!
ผมอ้าปากค้างกับความแข็งแรงของร่างกายหมอนั่น แล้วก็ต้องตาแทบเหลือกเมื่อเห็นมันโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ข้างหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ก่อนที่เสียงทุ้มจะดังขึ้นเบาๆ
“ข้าจะผูกพันกับเจ้าจนกว่าฟ้าจะมืด เตรียมใจไว้ให้ดี กวินทร์”
พะ...พูดอย่างนี้นี่...มึงจะปล้ำกูใช่มั้ย!?
ไม่ต้องตอบก็น่าจะรู้เพราะแค่คิด ไอ้คีธมันก็โน้มหน้ามาประกบปากจูบผมแล้ว จูบครั้งนี้ไม่ใช่การจูบเพื่อดูดกลืนสารอาหาร ไม่ใช่การจูบเพื่อการวางไข่
แต่เป็นการจูบเพื่อเสพสังวาส!
ผมรู้เพราะผมก็เคยทำกับผู้หญิงที่เคยนอนด้วยแบบนี้นั่นแหละ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีเต็มแรง โชคดีที่หลุดมาได้ ทว่าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่ให้จูบ คีธก็เลื่อนไปจัดการกับส่วนอื่นของร่างกายผมแทน และส่วนนั้นก็คือ...
ทะ...ท่อนล่าง!
มือใหญ่เลื่อนไปจับขอบยางยืดของกางเกงผมไว้มั่น ก่อนจะดึงมันลง ผมแหกปากร้องเป็นควายถูกเชือดก็ในตอนนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยไอ้คีธ! หยุด!”
ถามว่ามันสนใจมั้ย ตอบเลยว่าไม่ พริบตาเดียว กางเกงที่ปกปิดความเป็นชายผมอยู่ก็ร่นไปยังข้อเท้า คุณพระคุณเจ้ายังพอเมตตาผมอยู่บ้างที่ดลบันดาลให้หมอนั่นใส่กางเกงในให้ผมตอนที่สวมเสื้อผ้าให้ขณะที่ผมไม่รู้สึกตัว ผมก็เลยยังไม่ได้แก้ผ้าโทงเทงให้มันเห็น แต่สภาพในตอนนี้ก็นับว่าอุบาทว์อยู่พอตัวเลยทีเดียว
แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อหมอนั่นเลื่อนใบหน้าขึ้นมาจ้องผมนิ่ง พลันประทับจูบลงมาบนซอกคอ ก่อนค่อยๆ เลื่อนต่ำไปยังหน้าอกผม
ผมเกร็งไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะรู้สึกดีหรืออะไรนะ แต่กลัว... โคตรจะกลัวถูกมันพรากพรหมจรรย์เลยโว้ย! ปฏิเสธผู้ชายที่มาก้อร่อก้อติกตั้งหลายปี จะมาเสร็จไอ้มนุษย์ต่างดาวแบบนี้ไม่เอานะเว้ย!
“ปล่อยนะคีธ! ยอมทุกอย่าง! ยอมทุกอย่างแล้ว! ปล่อยนะเว้ย!” ผมแหกปากร้องอย่างต่อเนื่อง และยิ่งแหกปากหนักขึ้นไปอีกเมื่อริมฝีปากนุ่มของหมอนั่นแตะลงบนหน้าท้องแล้วค่อยๆ ลากต่ำไปอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดลงบริเวณเหนือสะดือ
มึงอย่าเลื่อนต่ำไปกว่านี้นะเว้ย!
ผมหายใจหอบหนักด้วยความเหนื่อย... เหนื่อยจากการตะโกนห้ามมันกับดิ้นหนีเนี่ยแหละ ในจังหวะนี้เองที่คีธเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาของหมอนั่นยังคงเป็นสีดำทั้งเบ้า แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมพรั่นพรึงได้เท่ากับคำพูดของมันที่ดังเข้ามาในหู
“ผูกพันกับข้า เจ้าจะได้ไม่คิดสังหารข้าอีก”
งั้นก็ฆ่ากันเลยเถอะถ้าจะปล้ำกันขนาดนี้!
“ปล่อยนะไอ้คีธ...” ผมพยายามทำจิตใจให้สงบ ว่าเสียงต่ำด้วยคิดว่าในเมื่อตะโกนห้ามมันไปไม่ได้ผล ก็ลองจริงจังดู แต่มันก็ไม่ได้ผลทั้งคู่ เพราะพอพูดจบ หมอนั่นก็แตะริมฝีปากลงบนหน้าท้องผมอีกครั้ง แถมยังค่อยๆ ไล่ต่ำลงไปจนผมต้องรีบเบิกตาโพลง
กูบอกว่าอย่าลงต่ำไง!
“นายมันเผด็จการมากไปแล้ว! ไอ้ที่ฉันยอมๆ นี่ก็ไม่เคยเต็มใจสักนิด! บ้าหรือเปล่าวะ มาพึ่งพาเค้าแล้วยังจะบังคับเค้าอีก! อีแบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าพึ่งพาแล้ว มันเรียกบังคับขืนใจ แถมแม่งจะข่มขืนด้วยเนี่ย! ไอ้เวรเอ๊ย!” ผมก่นด่าออกไปจนลิ้นแทบพันกัน ใจก็ลุ้นระทึกภาวนาขอให้มันอย่าไปยุ่งกับส่วนที่อยู่ต่ำกว่านี้เลย
แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเพราะทันทีที่สิ้นเสียง คีธก็หยุดชะงัก มองหน้าผมอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ดวงตาสีดำทั้งเบ้าตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลับไปเป็นสีเทาสว่างและมีตาขาวดังเดิม และหมอนั่นก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจเมื่อจู่ๆ ก็ยอมถอยออกแต่โดยดี มิหนำซ้ำยังฉุดผมที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นนั่งอีกด้วย
“ข้าต้องขออภัยด้วย”
มะ...มันจะมาไม้ไหนอีกวะ
ผมมองหมอนั่นอย่างไม่ไว้ใจ ทว่าพอเห็นคีธลุกขึ้นจากเตียงกลับไปนั่งยังเก้าอี้ข้างเตียงเหมือนเดิม ผมก็รีบดึงกางเกงที่ข้อเท้าขึ้นมาสวม แล้วพุ่งไปยังตู้เสื้อผ้า จัดการหาเสื้อมาใส่ ก่อนคว้ากระเป๋าสตางค์ทันใด
ไม่อยู่แล้วห้องนี้! มึงอยากอยู่ก็อยู่ไปเลย! อยู่กับมันนี่อันตรายสุดอะไรสุดจริงๆ!
หากแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ออกจากห้องนอน คีธก็ลุกขึ้นมาคว้าข้อมือผมเอาไว้ เรียกให้ผมหันไปมอง
“ข้าขออภัย”
ผมจ้องหน้าหมอนั่นเขม็ง จากตอนแรกที่ไม่โกรธมาก พอได้ยินมันขอโทษแล้วก็ชักจะโกรธมากขึ้นมาซะแล้ว
“ถ้าขอโทษแล้วหาย ก็ไม่ต้องมีกฎหมายแล้วเว้ย!” ผมสะบัดแขนออก ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงจะสะบัดไม่หลุดหรอก แต่คราวนี้หมอนั่นยอมปล่อยแต่โดยดี แถมยังทำหน้าน่าสงสาร เรียกชื่อผมเสียงแผ่วอีก
“กวินทร์... ข้าขออภัยจริงๆ”
มึงไม่ต้องมาทำเป็นพระเอกละครตามง้อนางเอกหลังปล้ำเสร็จเลย กูไม่อิน!
ผมเมินแล้วพุ่งตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว รอบนี้คีธไม่ตามมา พอพ้นจากเขตห้องได้ ผมก็หายใจโล่งทันใด
เกือบไปแล้วไอ้กวินทร์... เกือบเสียตัวให้มันแล้ว...
 
พอทะเล่อทะล่าออกจากห้องมาอย่างนี้ ผมก็เลยไม่รู้จะไปไหน ปกติถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ผมก็คงจะพุ่งไปผ่อนคลายที่ไนต์คลับที่ไหนสักแห่งแล้ว แต่เพราะแต่งตัวไม่แมทท์กันตั้งแต่หัวจรดเท้า ความคิดที่จะไปไนท์คลับก็เลยถูกพับเก็บไปโดยปริยาย ที่ที่ผมจะไปได้ในสภาพอย่างนี้มีที่เดียวที่คิดออก ซึ่งนั่นก็คือร้านอาหารจีนของอาแปะลีโอนาร์โด
สุดท้ายผมก็มานั่งจ๋องอยู่ที่นี่ อาแปะกับลูกจ้างเห็นสีหน้าเบื่อโลกของผมก็ไม่ได้เข้ามาทักทายหรือถามอะไรที่พอมาถึง ผมก็เอาแต่นั่งถอนหายใจ ไม่สั่งอะไรกินสักอย่าง กระทั่งถึงเวลาเก็บร้าน อาแปะจึงไล่ให้ลูกจ้างไปทำความสะอาดที่หลังร้าน ส่วนตัวเองก็เดินมานั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าผม
“เป็นอะไรของลื้ออาเควิน ตั้งแต่เข้าร้านอั๊วมา ถอนหายใจได้เป็นพันครั้งแล้วมั้งเนี่ย”
ผมเหลือบมองหน้าอาแปะเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่มีไรแปะ เบื่อนิดหน่อย”
“ถ้าเบื่อก็ให้ท่านผู้พิทักษ์เล่าเรื่องวีรกรรมให้ฟังสิ ลื้อน่าจะชอบนะเรื่องอวกาศอะไรพวกนี้น่ะ”
“เบื่อมันนั่นแหละแปะ อย่าพูดชื่อมันให้ได้ยินอีกเชียว” ผมควัดสายตาไปมองอาแปะอย่างเคืองๆ
รอยยิ้มอาแปะหายวับไปทันที ก่อนจะแทนทีด้วยสีหน้าสงสัยทันที
“ลื้อกับท่านผู้พิทักษ์ทะเลาะกันมารึ”
“ไม่ได้ทะเลาะ”
“ไม่จริงมั้ง ถ้าไม่ได้ทะเลาะ ลื้อคงไม่หนีมานั่งทำหน้าซังกะตายที่ร้านอั๊วหรอก”
“ถ้าจู่ๆ แปะจะถูกมันข่มขืน แปะจะหนีมามั้ยล่ะ” ผมหลุดพูดออกไป
คราวนี้อาแปะมีสีหน้าตกใจขึ้นมาพลัน “ข่มขืน? อย่าบอกนะว่าท่านผู้พิทักษ์คิดจะผูกพันกับเจ้า”
“เออ ไอ้ผูกพันอะไรเนี่ยแหละที่ทำให้ผมเกือบเสียตัวให้ผู้ชายด้วยกัน” ผมว่าเสียงขุ่น
ทว่าแทนที่อาแปะจะตกใจต่อ กลับหัวเราะออกมาก็ในตอนนี้
“น่าดีใจนะอาเควินที่ท่านผู้พิทักษ์ให้ความสำคัญกับลื้อถึงขนาดอยากผูกพันด้วยอย่างนี้ ถ้าเป็นอั๊วล่ะก็ อั๊วคงจะดีใจจนเนื้อตัวเต้นไปแล้ว”
ผมเบ้หน้ากับคำพูดนั้นทันใด “นี่แปะเป็นมนุษย์ต่างดาวไม่พอ ยังจะเป็นโฮโมฯ ด้วยเหรอ”
อาแปะหัวเราะร่วนก่อนจะยื่นมือมาตบบ่าผมเบาๆ
“เปล่า ไม่ได้เป็น ลื้อคงไม่รู้ล่ะสินะว่าพวกยูนิกม่าอย่างท่านผู้พิทักษ์น่ะได้รับการยกย่องว่าเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่งที่สุดในจักรวาล การที่ได้เป็นโฮสต์ให้กับชาวยูนิกม่า สำหรับชาติพันธุ์ต่างๆ ในกลุ่มฮิวมานอยด์น่ะถือว่าเป็นเกียรติแล้ว แต่การที่ถูกชาวยูนิกม่าผูกพันด้วยนับว่าเป็นเกียรติยิ่งกว่า เพราะลื้อจะไม่ได้เป็นแค่โฮสต์อย่างเดียว แต่ลื้อจะได้เป็นแม่พันธุ์ด้วย การมีบุตรที่เป็นลูกของชาวยูนิกม่าเป็นอะไรที่ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดเลยนะ”
ผมเบ้หน้าหนักเข้าไปอีก มันจะเป็นเกียรติยังไงวะ ถูกมันข่มขืนแล้วโดนวางไข่ซ้ำจนมีลูกเนี่ย!
“แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่เป็นแม่พันธุ์อย่างเดียวนะ การที่ชาวยูนิกม่าจะผูกพันกัน มันเป็นเหมือนการสาบานตนว่าจะอยู่เคียงคู่กันจนตายด้วย ยิ่งถ้าชาวยูนิกม่าไปผูกพันกับชาติพันธุ์อื่น มันก็เหมือนการปฏิญาณตนว่าจะดูแลอีกฝ่ายตลอดไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยนั่นแหละ ว่ากันว่าพวกที่ได้ผูกพันกับชาวยูนิกม่าได้รับการดูแลและปกป้องจากผู้รุกรานเป็นอย่างดี เลยทำให้ส่วนใหญ่อยากจะผูกพันกับชาวยูนิกม่าน่ะ”
“ผมว่าไอ้ท่านผู้พิทักษ์ของอาแปะนั่นแหละที่เป็นผู้รุกราน แม่งรุกรานจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ขยะแขยงชะมัด” ผมพึมพำ พอจะเข้าใจได้ในตอนนี้ว่าทำไมคีธถึงอยากจะปล้ำผมนัก มันคงคิดว่าถ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วจะทำให้ผมยอมใจอ่อนเหมือนกับชาติพันธุ์ในอวกาศอื่นๆ ล่ะสินะ
“ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ท่านผู้พิทักษ์ถึงได้จะผูกพันกับลื้อล่ะ ปกติแล้วชาวยูนิกม่าจะไม่นิยมผูกพันกับชาติพันธุ์อื่นนี่นาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ” จู่ๆ อาแปะก็เปลี่ยนเรื่อง ผมมองหน้าเขาแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“ผมพยายามฆ่ามันตอนมันยังเป็นไข่น่ะ”
 “ฆ่าเหรอ” รอยยิ้มของอาแปะหายไปอีกครั้ง
“อือ ด้วยการดื่มเหล้าน่ะ กะว่าดื่มหนักๆ แล้วมันจะแท้งอะไรงี้ แต่ไม่แท้ง เมา... เมาทั้งคู่ ทั้งผมทั้งมัน” ผมว่าเนือยๆ
อาแปะมีสีหน้าโล่งใจขึ้นทันตา “ค่อยยังชั่วหน่อย ก็นึกว่าจะร้ายแรงอะไร บอกไว้เลยนะอาเควินว่าถ้าลื้อพยายามจะกำจัดไข่ชาวยูนิกม่าในตัวน่ะ มันมีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้นคือการเอาไข่ออกจากร่าง”
“แบบถ่ายท้องออก หรืออ้วกออกอะไรงี้เหรอ” ผมถาม
“ก็น่าจะนะ แต่ไม่มีใครรับประกันว่าได้ผลมั้ย เพราะเหมือนจะยังไม่เคยมีใครลอง ส่วนใหญ่เวลาที่โฮสต์ถูกวางไข่ ล้วนมาจากความเต็มใจทั้งสิ้น จะมีก็แต่ลื้อเนี่ยแหละ เป็นคนแรกของจักรวาลที่พยายามจะกำจัดไข่ชาวยูนิกม่าในตัว”
ผมก็ลืมไปว่าเวลาคีธวางไข่ ไข่นั่นจะไปอยู่ในกระเพาะ รู้งี้ซื้อยาถ่ายมาก็ดี ไม่น่าโง่ไปซื้อไอ้ของพวกนั้นเลย
หากแต่อาแปะก็ดับฝันผมลงเมื่อพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ถ้าจะทำจริงๆ ก็คงจะต้องรีบทำทันทีที่ถูกวางล่ะนะ เพราะไข่ของชาวยูนิกม่าเจริญเติบโตเร็ว ถ้าเกินครึ่งชั่วโมงไปแล้วจนกลายเป็นตัวอ่อนก็ไม่ทันแล้ว ไปทำตอนนั้นมีหวังโฮสต์ได้รับอันตรายแน่”
“อันตรายนี่คือ?”
“ตาย พวกยูนิกม่าน่ะ แม้จะเป็นตัวอ่อนก็นับว่าแข็งแรง กำจัดไม่ได้ง่ายๆ หรอก แถมประสาทสัมผัสก็ดี ถ้ารู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตรายหรือกำลังจะตายด้วยฝีมือโฮสต์ รับรองเลยว่าพวกนี้ไม่ยอมตายแค่ตัวเดียวแน่”
มิน่าล่ะ คีธมันถึงได้บอกผมว่าถ้ามันตาย มันจะไม่ยอมตายคนเดียว เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นนี่เองสินะ
“จะอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าผมเกือบจะถูกมันข่มขืนก็แล้วกัน ผมเลยต้องระเห็จมาร้านแปะเนี่ย” ผมบอกปัดๆ ด้วยไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก
ทว่าไอ้อาแปะต่างดาวนี่ก็กวน พอผมพูดอย่างนั้น ก็ยิ้มเผล่ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนหน้าตาจากชาวจีนแก่ๆ เป็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของคีธ
“กลับไปให้ท่านผู้พิทักษ์ผูกพันจะดีกว่า อีกเดี๋ยวอั๊วก็จะปิดร้านแล้ว”
ผมเกือบจะชกหน้าอาแปะเพราะตกใจแล้วถ้าไม่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามนุษย์ต่างดาวพันธุ์อาแปะนี่มีความสามารถพิเศษในการลอกเลียนรูปร่างหน้าตาได้
“แปะ อย่าเล่น อารมณ์ไม่ดี”
อาแปะใต้ใบหน้าของคีธหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าเดิม
“อั๊วให้ลื้อนั่งได้อีกห้านาทีแล้วกัน อั๊วจะปิดร้านแล้วกลับไปนอนแล้ว วันนี้ขายดีจัด เหนื่อย” ว่าจบก็ลุกไปสาละวนกับการยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ ทิ้งให้ผมนั่งมองตามหลังอย่างเหนื่อยใจ
ปวดกบาลกับพวกมนุษย์ต่างดาวนี่จริงๆ ให้ตาย แต่ละตัวนี่แม่งเพี้ยนหลุดโลกกันทั้งนั้น!
 
ถึงอาแปะจะบอกว่าให้นั่งได้อีกห้านาที แต่เอาเข้าจริง ผมก็นั่งต่ออีกเป็นชั่วโมง ใช่ว่าผมอยากจะนั่งหรืออะไรหรอก แต่พอกำลังจะออกจากร้านก็โดนอาแปะที่เพิ่งจะเก็บร้านเสร็จชวนคุย ก็เลยกลายเป็นคุยยาว ผมเลยได้รู้ว่าอาแปะมาที่โลกมนุษย์ทำไมแบบละเอียดยิบ คร่าวๆ ก็คือ ดาวโอนิซิสที่เป็นบ้านเกิดของอาแปะเนี่ยถูกรุกรานจากมนุษย์ต่างดาวพันธุ์ที่ชื่อว่าเซนไทน์จนอยู่ไม่ได้ อาแปะก็เลยเดินทางอพยพไปตามดาวต่างๆ จนสุดท้ายมาจบที่โลก
ประเทศแรกที่อาแปะไปก็ประเทศจีนนั่นแหละ เห็นว่าอยู่ที่นั่นเกือบร้อยปีแล้วก็ย้ายมาอยู่อเมริกา ผมถึงได้รู้เพิ่มอีกในตอนนี้ว่าชาติพันธุ์ของอาแปะมีอายุมากกว่ามนุษย์โลกหลายเท่า มากกว่าพวกยูนิกม่าอีก ค่าเฉลี่ยอายุอยู่ที่ห้าร้อยปีได้ ส่วนเรื่องภาพลักษณ์ของอาแปะ ผมก็ถามแหละว่าในเมื่อลอกเลียนรูปร่างหน้าตาได้สารพัด ทำไมถึงเลือกที่จะเป็นตาแก่ชาวจีนแบบนี้ อาแปะบอกว่ามันไม่ต้องคีปลุคหรือรักษาอิมเมจใดๆ ง่ายต่อการใช้ชีวิตดี ส่วนลูกจ้างอาแปะ ผมก็เพิ่งจะรู้วันนี้นี่แหละว่าชื่อโดมินิค รายนี้เหมือนว่าจะอพยพมายังโลกตอนที่อาแปะย้ายมาอยู่อเมริกาแล้ว พอเจอกัน อาแปะก็เลยชวนมาอยู่ด้วย ช่วยกันทำมาหากินไปตามเรื่องอย่างที่เห็น
ผมคุยกับอาแปะต่อได้ไม่นานก็ถูกไล่เพราะอาแปะเห็นว่าเกือบจะตีสามแล้ว สุดท้ายผมก็เลยต้องมาเตร็ดเตร่อยู่หน้าอพาร์ตเม้นต์ของตัวเอง พอเงยหน้ามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องตัวเอง ผมก็ต้องถอนหายใจออกมาเต็มแรง
ไม่อยากกลับเข้าไปเลยพับผ่า... ไม่อยากเจอหน้ามันด้วย
เพราะคิดแบบนี้ ผมก็เลยตัดสินใจไม่นอนที่ห้องตัวเองเหมือนเดิม แต่มุ่งหน้าไปยังอพาร์ตเม้นต์ของริชาร์ดแทน
 

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 15-12-2015 17:04:47
Episode 08: Apologize [2]

ผมใช้เวลาเดินเท้าไม่นานนักก็ถึงยังที่หมาย พอมาหยุดตรงหน้าประตูห้องของริชาร์ด กลิ่นเหม็นฉุนของบุหรี่ก็ลอยลอดออกมาจากใต้ประตูให้ผมได้รู้ว่าหมอนั่นยังไม่นอน ก็คงจะทำงานอยู่นั่นแหละ
ผมเคาะประตูเรียกสองสามที ครู่เดียว ใบหน้าเมากัญชาได้ที่ของริชาร์ดก็โผล่ออกมา ก่อนหมอนั่นจะยิ้มร่าเมื่อเห็นหน้าผม
“มีอะไรเนี่ยถึงได้โผล่หน้ามาดึกๆ ดื่นๆ”
“มาขอนอนค้างด้วยคืนนึง” ผมว่าเสียงเรียบ ก่อนหมอนั่นจะย่นคิ้วแล้วปราดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แต่งตัวเหมือนไม่ได้วางแผนชีวิต แถมโผล่มากลางดึกแบบนี้ ทะเลาะกับคู่ขามาแน่ๆ”
“นี่เมาหรือตั้งใจกวนตีน?” ผมชักสีหน้า หมอนั่นหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูให้ผมเข้าไป
“รกหน่อยนะ ฉันกำลังรื้อสตอรี่บอร์ดทำใหม่อยู่”
ผมพยักหน้าส่งๆ ไป เดินตรงไปทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน ริชาร์ดเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผมก็เดินมาหาพร้อมกับกระป๋องเบียร์เย็นเฉียบ
“ดื่มซะ จะได้ผ่อนคลาย”
ผมรับมากระดกอึ้กๆ แบบไม่ลืมหูลืมตา พอวางกระป๋องเบียร์ลงก็ยังเห็นริชาร์ดยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ จนผมต้องถามมันเสียงเขียว
“อะไรของนาย”
“กำลังคิดอยู่ว่านายเป็นอะไรถึงได้ดูเครียดขนาดนี้”
“ไม่ต้องสนใจ ฉันก็แค่เบื่อๆ” ผมบอกปัด ไม่อยากจะบอกเรื่องจริงเท่าไหร่ เพราะไม่อย่างนั้น มันต้องล้อผมไม่เลิกแน่ที่จู่ๆ เพลย์บอยอย่างผมก็จะถูกผู้ชายด้วยกันเล่นงาน
ทว่าในจังหวะที่ริชาร์ดยักไหล่ หมุนตัวจะกลับไปทำงาน เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ผมกับหมอนั่นหันไปมองตามต้นเสียงแทบจะพร้อมกัน ในใจผมรู้เลยว่าคนที่มาใหม่นี่ต้องเป็นไอ้คีธแน่ๆ แม้แต่ริชาร์ดเองก็คิดแบบนั้น เพราะหมอนั่นหันมาส่งยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยให้ผม
“คู่ขามาตาม”
ผมแทบจะคว้ากระป๋องเบียร์ขว้างใส่หัวมัน ดีที่มันเดินไปเปิดประตูก่อนเลยรอดตัวไป
และพอบานประตูเปิดออก สีหน้านิ่งเฉยของคีธก็ปรากฏให้เห็นพร้อมกับน้ำเสียงเรียบๆ
“ข้ามาตามกวินทร์”
“นอนรอให้มาตามอยู่ที่โซฟาน่ะ”
กูแค่กึ่งนั่งกึ่งนอน ไม่ได้นอนรอมัน!
ผมกัดฟันกรอด แต่ริชาร์ดมันไหวตัวทัน ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไร มันก็คว้าเอาอุปกรณ์ทั้งหมดหนีเข้าห้องนอนเป็นที่เรียบร้อย
“ง้อกันตามสบายนะ ไม่รบกวน ไม่แอบฟัง ห้องพร้อม ถุงยางมี”
“ไอ้เวร...” ผมเงื้อมือขึ้นพร้อมกระป๋องเบียร์ ริชาร์ดเลยรีบปิดประตูห้องนอนหนีไปพร้อมกับเสียงหัวเราะร่วน
พอทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ ผมก็มองหน้าคีธที่กำลังจับจ้องผมนิ่งๆ แล้วเมินใส่โดยการกระดกเบียร์ขึ้นดื่ม
เวรจริง อุตส่าห์หนีมาแล้วก็ดันลืมซะได้ว่าประสาทสัมผัสมันดี ตามกลิ่นมาถูก เอาเถอะ คิดซะว่ามันไม่อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน
ทว่าการเมินของผมไม่ได้ทำให้คีธไร้ตัวตนได้เลย แถมหมอนั่นยังเดินมาแย่งกระป๋องเบียร์ที่ผมกระดกเข้าปากไปอีก
“เอาคืนมา” ผมว่าเสียงเขียว หากแต่คีธกลับวางมันลงบนโต๊ะ
“มันไม่ดีต่อร่างกายของเจ้า เมื่อวานเจ้าก็ดื่มของจำพวกนี้ไปเยอะแล้ว”
“มันคนละอย่างกัน”
“แต่คล้ายกัน ข้าจำกลิ่นเฉพาะตัวของมันได้”
ผมเลิกเถียง ได้แต่ถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นกอดอกพลันเข้าเรื่อง
“ตามฉันมาทำไม”
คีธมองหน้าผมนิ่ง ยังไม่ยอมตอบจนผมต้องพูดขึ้นอีกครั้ง
“ถามเนี่ยไม่ได้ยินหรือไง”
“ข้าตามมาขอโทษ”
ผมหรี่ตามองอย่างจับผิด แต่เห็นแววตาจริงจังของคีธแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันมาทำอย่างที่พูดจริงๆ
บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมก็ไม่ได้โกรธมันหรอก แต่เบื่อมันมากกว่า เบื่อแบบเอือมระอา ไม่อยากเห็นหน้าอะไรประมาณนี้
“งั้นก็รีบๆ พูดแล้วก็ไสหัวกลับไปซะ” ผมทำลายความเงียบขึ้น
คีธพยักหน้า ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผมแล้วเริ่มเปิดปากพูด
“ข้ามาคิดดูแล้วว่าเรื่องที่เจ้าต่อว่าข้าว่าเผด็จการนั้นล้วนเป็นความจริงทุกประการ ข้ากระทำทุกอย่างโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าแม้แต่น้อย ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“เพิ่งจะรู้ตัวเหรอ” ผมประชัดประชัน มองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง ขณะที่คีธพยักหน้ารับช้าๆ
“เพิ่งรู้”
ความรู้สึกช้าไปมั้ยวะ!
ผมถึงกับส่ายหน้า ก่อนคีธจะเรียกความสนใจจากผมไป
“เพราะข้าเพิ่งรู้ว่ากระทำการไม่เหมาะสมกับเจ้าไว้มาก ดังนั้นจึงอยากจะขออภัยจากใจ หวังว่าเจ้าจะให้อภัยข้า”
“ลองมาถูกปล้ำเหมือนฉันบ้างมั้ยล่ะ ดูซิว่าจะให้อภัยได้มั้ย”
“หากเจ้าประสงค์เช่นนั้น ข้าก็ยินยอม”
กู-ประ-ชด!
ปวดกบาลกับมันจริงๆ จากที่หายโกรธก็ชักจะหงุดหงิดละ มันแกล้งโง่หรือเปล่าเนี่ย!
และก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ ผมก็โบกมือปัดๆ ตัดบทให้จบๆ ไป
“เออๆ ขอโทษแล้วก็จบๆ ไปแล้วกัน”
คีธทำหน้าเฉย แต่แววตาประกายขึ้นมาเล็กน้อยราวกับดีใจที่ได้ยินผมพูดอย่างนั้น ก่อนจะพูดขึ้นมาบ้าง
“ต่อจากนี้ หากข้าต้องการจะกระทำการใดกับเจ้า ข้าจะขออนุญาตเจ้าก่อน หากเจ้าไม่ยินยอม ข้าจะไม่ทำ จะไม่บังคับหรือขืนใจเจ้าอีกเป็นอันขาด ข้าขออภัยอย่างสุดซึ้งจริงๆ” ว่าจบมันก็ทำท่าจะเอื้อมมือมาจับมือผม
ผมเหลือบมองทันควัน จังหวะเดียวกับที่คีธชะงักในท่าหงายมือข้างหนึ่งขึ้น
เมื่อกี้เพิ่งจะพูดอยู่แหม็บๆ ว่าจะไม่ทำอะไรตามใจไงวะ!
เหมือนคีธจะรู้ตัว พอเห็นสายตาไม่พอใจของผม ก็ขยับปากพูด
“หากเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าขอมือเจ้าหน่อย”
ฟังเหมือนจะสุภาพ แต่ฟังดีๆ ก็เหมือนขอมือหมาชะมัด
“เอาไปทำไม” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ ในใจแอบกลัวลึกๆ ว่ามันจะคิดทำมิดีมิร้ายผมอีก
“แสดงความขอโทษอย่างสุดซึ้ง”
“ถ้าจะเอาไปดูดล่ะก็ ไม่ต้องเลย” ผมรีบดักคอ ก็เวลาทักทายกัน มันยังดูดนิ้วเลย แล้วขอโทษนี่จะไปเหลือเรอะ!
หากแต่คำตอบของคีธผิดกับที่ผมคาดคิดไว้
“ไม่ได้ดูด”
“แล้วเอาไปทำอะไร”
“ส่งมือมาแล้วเจ้าจะรู้เอง”
ผมก็ยังไม่ไว้ใจนั่นแหละ แต่ความอยากรู้ว่าคีธจะทำอะไรมันมีมากกว่า ผมเลยลองเสี่ยงดวงยื่นมือไปวางบนมือใหญ่ รอดูว่ามันจะทำอะไร แล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อคีธโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกโด่งแตะหลังมือเบาๆ
“ข้าขออภัย...จากใจ” แล้วก็ตามด้วยแตะริมฝีปากลงมา
ลมหายใจอุ่นกับริมฝีปากนุ่มทำเอาผมร้อนไปทั้งหน้า ให้ตาย... ทำไมละมุนจังวะ
เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้พิเศษอะไรหรอกไอ้การจูบหลังมือเนี่ย ผมก็ทำกับผู้หญิงบ่อยๆ เหมือนกัน แต่พอถูกกระทำแล้ว มันดันตื่นเต้นจนอกแทบแตก โดยเฉพาะกับคนที่บังคับข่มเหงผมตลอดเวลาอย่างคีธด้วย
ระ...รู้สึกดีชะมัด
ผมแทบจะยีหัวตัวเองรัวๆ ที่ดันไปรู้สึกดีกับจูบโง่ๆ ของหมอนี่ บัดซบเอ๊ย! ไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่มันเป็นผู้ชายนะ ผู้ชายเหมือนกัน! จะไปรู้สึกดีกับมันทำไม! สลัดมือทิ้งเร็วๆ เข้า!
แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ ผมปล่อยให้คีธจูบจนพอใจกระทั่งเขาละริมฝีปากขึ้นมองหน้าผม
“ข้าขออภัย”
“ระ...รู้แล้ว ไม่ต้องพูดหลายรอบ” ผมว่าติดๆ ขัดๆ ด้วยยังตื่นเต้นอยู่ แล้วก็ต้องยิ่งใจเต้นเข้าไปอีกเมื่อถูกทักกะทันหัน
“ใบหน้าเจ้าช่างแดงนัก ไม่สบายรึ”
“ปะ...เปล่า!” ผมรีบเบือนหน้าหนีพร้อมชักมือกลับมากอดอกอีกครั้งเมื่อถูกดวงตาคู่สวยจ้องมอง
นานทีเดียวที่ผมพยายามสงบจิตสงบใจจนกระทั่งเราทั้งคู่ก็เข้าสู่ความเงียบ และมันคงจะเงียบนานไปหน่อยจนคีธต้องทำลายความเงียบขึ้น
“กวินทร์”
“อะไร” ผมหันไปมองหน้าเขาก็ตอนนี้
“เจ้าจะว่าอะไรมั้ยถ้าข้าจะขอ...”
“ผูกพันล่ะก็ลืมไปเลย” ผมดักทาง หากแต่คีธส่ายหน้า
“ขอกินสารอาหาร ตั้งแต่ถ้าถือกำเนิดครั้งนี้ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย ข้าหิว”
ผมมองหน้าหมอนั่นนิ่ง ใจก็อยากจะปฏิเสธนั่นแหละ แต่พอถูกขอร้องแบบนุ่มนวล แถมอีกฝ่ายยังทำหน้าเหมือนลูกหมาด้วยแล้ว ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้
เอาเถอะ ถือว่าหมอนี่รักษาคำพูด ไม่ข่มเหงน้ำใจ ไม่บังคับกันเหมือนเดิม จะยอมให้ง่ายๆ ก็ได้
“ได้ แต่อย่านานนักนะ ริชาร์ดมันอยู่ที่นี่ด้วย” ผมว่าเสียงเบา
คีธพยักหน้าแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ผม ยกมือใหญ่ประคองใบหน้าแล้วสบตาผมนิ่ง
“ขอบใจ” ว่าจบก็จรดริมฝีปากลงมา
การสูบสารอาหารครั้งนี้ของคีธไม่ได้เป็นไปอย่างตะกรุมตะกรามหรือดุเดือดแต่อย่างใด หากแต่มันเป็นไปอย่างอ่อนโยนจนผมเผลอยกมือขึ้นแตะซีกหน้าเขาแล้วจูบตอบอย่างไม่ได้ตั้งใจ
คะ...เคลิ้ม เวรแล้ว... นี่มันชักจะเลยเถิดกันไปใหญ่แล้ว! หยุดเดี๋ยวนี้ไอ้กวินทร์! หยุดจูบมันตอบเดี๋ยวนี้!
เสียงในหัวผมร้องสั่งอย่างนั้น แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตามเลยแม้แต่น้อย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงริชาร์ดเปิดประตูออกมา พร้อมกับส่งเสียงร้องทัก
“นี่คู่รัก อยากย้ายห้องมั้ย ฉันจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์น่ะ”
ผมผลักหน้าคีธออกห่างทันใด พลันหันไปมองริชาร์ดอย่างหัวเสีย
มึงนี่ก็โผล่มาไม่รู้เวล่ำเวลา! โผล่มาจังหวะแบบนี้ทุกที!
“ขอโทษทีๆ” ริชาร์ดเดินยิ้มแห้งๆ มาเปิดคอมพิวเตอร์ ทิ้งให้ผมมองตามอย่างระอา
แรกๆ ก็ระอาที่หมอนั่นโผล่มาไม่ได้จังหวะตลอดเพราะมันทำให้ผมถูกหมอนั่นเข้าใจผิดว่าเป็นคู่ขากับคีธ แต่ในตอนนี้ ผมกลับระอาระคนเสียดายที่ถูกขัด แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่หลงเคลิ้มไปกับจูบของคีธอีก
แต่เหมือนการดูดกินสารอาหารเมื่อครู่จะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของคีธนัก เพราะพอริชาร์ดย้ายข้าวของออกมาเสร็จเรียบร้อย มันก็ว่าหน้าตายออกมา
“ไปต่อในห้องได้มั้ยกวินทร์”
ริชาร์ดหันขวับมามองทันใด ขณะที่ผมเองก็มองมันอย่างตกใจ
มาพูดต่อหน้าไอ้ริชาร์ดแบบนี้ เดี๋ยวไอ้เพื่อนเวรนั่นก็ได้เชื่อฟังใจหรอกว่าเป็นคู่ขากันจริงๆ!
ผมตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันแล้ว คีธโน้มตัวลงมากระซิบบอกผมเบาๆ
“ขออภัย...”
แล้วมันก็ช้อนตัวผมขึ้น อุ้มเข้าห้องไปเฉยเลย ปล่อยให้ริชาร์ดพูดโดยไม่มีเสียงไล่หลังกับผมให้พอจับใจความได้ว่า ‘ถุงยางอยู่ในชั้นที่โต๊ะหัวเตียง’ เท่านั้น
วะ...เวร! ถ้าจะขอโทษแล้วทำแบบนี้ ทีหลังก็ไม่ต้อง!
------------------------------------
เกือบไปแล้วลูกสาว เกือบเสียตัวให้บักคีธแล้ว 555 ขอโทษที่ดับฝันแม่ยกนะคะ นางยังไม่ถึงเวลา คีปเวอร์จิ้นก่อนเนอะ ฮาาา ตอนนี้คีธแอบน่ารัก มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกิ่งก่องแก้วมากๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 15-12-2015 17:27:47
 :hao7:

ชาวยูนิกม่าโรแมนติกมากกกกกกกกกกกกกกก บอกเลย ฟิน  :z3:  :hao7:  :-[ :-[ :-[ :-[


คีธตอนนี้ทำตัวน่ารักมากกกกกกกก หัดเข้าอกเข้าใจกวินทร์บ้างนะ ^^

(ว่าแต่มะไหร่คีธจะตกหลุมรักกวินทร์ค้า???) :hao3:

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: mcooky ที่ 15-12-2015 17:29:15
มารอลุ้นให้เสียตัว :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 15-12-2015 19:02:36
น่าร๊ากกก พอมีขออนุญาตแล้วโครตละมุน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 15-12-2015 23:22:46
น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 15-12-2015 23:50:32
โอ๊ยยยย หวานกันจ๊างงงงง :katai2-1: มีไปกิน(สารอาหาร)กันต่อในห้องอีกแน่ะ กิ้วๆๆๆ ฮ่าๆๆ :impress2:

เกือบไปแว้ววกวินทร์!! ครั้งนี้ถือว่าคีธมันงดให้นะเออเห็นไหมดีแค่ไหน(อวยเต็มที่)ครั้งหน้าถ้ายังทำอะไรแผลงๆอีก...คุณคนเขียนจัดไปค่ะ!!! ฮ่า
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 16-12-2015 00:24:14
โอ๊ยสนุกเวอร์
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 16-12-2015 10:22:28
เห็นคนแต่งว่างใว้หลายเรื่องนึงว่าจะนานๆอัพ ทีไหนได้จัดเติมๆ ติดตามๆค่ะ

พระเอกเราแรกๆก็น่ายันหน้ามาแต่พอสำนึกได้หน่อยก็อย่างน่ารักอ่ะ :really2:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 16-12-2015 14:33:10
Episode 09: The prince of Uniquema[1]
หลังจากวันนั้น ความสันติในชีวิตผมก็กลับคืนมาอีกครั้ง ผมไม่ถูกคีธบังคับดูดสารอาหารหรือวางไข่อีกต่อไปแล้ว เพราะหมอนั่นทำตามที่สัญญาไว้ทุกประการ จะทำอะไรกับร่างกายผมคือต้องขออนุญาตก่อน ถ้าผมไม่โอเค หมอนั่นก็ไม่ทำ แต่ส่วนใหญ่ก็โอเคนั่นแหละด้วยมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง อีกอย่าง หมอนั่นก็ไม่เคยขอตอนที่เราทั้งคู่อยู่ข้างนอก จะขอก็แค่ตอนที่เราอยู่ในห้องกันตามลำพังเท่านั้น
ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะแกล้งไม่โอเคให้หมอนั่นอดอาหารตาย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็ยอมให้มันดูดปากทุกครั้งที่ถูกขอทุกที ก็จะทำไงได้ มันทำหน้าเป็นลูกหมาใส่ผมตลอดเลยนี่หว่า!
บอกตรงๆ ว่าตัวอย่างกับหมีอย่างมัน เวลาทำหน้าบ้องแบ๊วเป็นหมาน้อยแล้วแม่งโคตรจะน่าเอ็นดู
แต่ก็น่าเอ็นดูตอนขอกินเท่านั้นแหละ เวลาอื่นก็ทำหน้าตายเหมือนเดิม จริงๆ ตอนขอกินก็หน้าตาย มีแค่สายตาเท่านั้นแหละที่ดูอ้อนวอนสุดชีวิตจนผมโดนดวงตาคู่นั้นดาเมจไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องยอมมันทุกที
ทว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะอาการประสาทเสียจากการโดนมันกดบ้าง จูบบ้าง ค่อยๆ ลดลงทีละน้อยจนผมกลับมาเป็นกวินทร์คนเดิมตามปกติ
และเพราะกลับมาเป็นปกติ ริชาร์ดก็เลยลากผมมาช่วยงานของชมรมมันอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจโดยอ้างว่าผมดีกับคู่ขาแล้ว ทำงานด้วยกันคงไม่น่ามีปัญหา
นี่มึงเห็นกูดีกับไอ้คีธหน่อย มึงก็เอาใหญ่เลยนะ!
ปากก็ด่ามันไปงั้นแหละแต่สุดท้ายก็มาเพราะมันเอาเงินมาล่อ มันบอกว่าถ้าผมมาช่วย มันจะจ่ายค่าเสียเวลาให้ คนอยู่ในภาวะรัดเข็มขัดอย่างผมก็ตกลงสิ อย่างน้อยๆ ก็เป็นค่าเลี้ยงเหล้าสาวเวลาไปเที่ยวคลับได้
วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วที่ผมมาช่วยงานมัน หน้าที่ของผมก็ยังเหมือนเดิมคือผู้ช่วยผู้กำกับ ส่วนไอ้คีธก็เล่นได้เป็นท่อนไม้เหมือนเดิม จนตอนนี้ผมชักจะขี้เกียจบ่นเรื่องนี้ละเลยปล่อยเลยตามเลย ในเมื่อริชาร์ดไม่พูด มันก็ไม่ใช่ธุระกงการของผมที่จะไปพูด ก็มันไม่ใช่งานผมนี่หว่า
“เดี๋ยวถ่ายใหม่อีกเทคนะ นางเอกเล่นแข็งไป ฉากนี้ตอนเจอเจ้าชายโผล่มาที่หน้าต่างห้องนอน เธอต้องทำหน้าตกใจให้มากกว่านี้ โอเคนะ” ริชาร์ดร้องบอกผ่านโทรโข่งให้นักแสดงหญิงที่รับบทนางเอกรับทราบ
ผมถึงกับกลอกตา... ไอ้คีธเล่นแข็งกว่านางเอกหลายเท่า ทำไมมึงไม่สั่งมันเทคใหม่บ้างวะ
ผมนั่งไขว่ห้างดูการถ่ายทำไปเรื่อยๆ ก่อนที่รุ่นน้องของริชาร์ดคนหนึ่งจะวิ่งรนๆ เข้ามากระซิบข้างหูริชาร์ด ให้หมอนั่นสั่งคัต
“เดี๋ยวพักกองสักสามสิบนาทีนะ”
ผมหันไปมองมันทันทีที่จู่ๆ ก็สั่งคัตโดยไม่มีเหตุผล ริชาร์ดฉีกยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นราวกับรู้ว่าผมจะพูดอะไร
“ด็อกเตอร์มาร์ตินขอคุยด้วยน่ะ ตอนนี้มารออยู่หน้าห้องละ”
ผมพยักหน้า โบกมือปัดๆ ให้มันรีบๆ ไปจัดการ ทว่าริชาร์ดกลับคว้ามือข้างนั้นของผมไว้
“เขาอยากคุยกับนายด้วย ไม่ใช่แค่ฉัน”
“เรื่องอะไรวะ” ผมย่นคิ้วทันที ขณะที่ริชาร์ดส่ายหน้า
“ไม่รู้ อยากรู้ก็ออกมาคุยสิ”
สิ้นเสียง มันก็ตรงไปยังประตูเป็นคนแรก ผมเลยต้องลุกตามอย่างช่วยไม่ได้
พอผ่านประตูออกมา สายตาก็ปะทะเข้ากับชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดยืนยิ้มให้อยู่ ปกติแล้ว พวกนักศึกษาในสายเรียนของผม ถ้าได้เจอเขาก็คงจะตื่นเต้นกันยกใหญ่เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์ของคณะที่ผมเรียนอยู่ แต่เขายังเป็นผู้กำกับชื่อดังที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการหนังฮอลลีวูดอีกด้วย แต่สำหรับผมกับริชาร์ดกลับไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนักด้วยเขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเรา และผมกับริชาร์ดก็มักถูกเรียกไปช่วยงานตัดต่อบ่อยๆ จนความตื่นเต้นนั้นมันหายไปหมดแล้ว
“เรียกพวกผมพบด่วนนี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ” ริชาร์ดไม่รอช้า ถามเข้าเรื่องทันควัน
“ไม่มีอะไรสำคัญนักหรอก ฉันแค่ต้องการลูกมือน่ะ” ด็อกเตอร์มาร์ตินหยักยิ้มเล็กน้อย
ผมถึงกับลอบถอนหายใจเลยเมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูกมือ’ เพราะนั่นหมายถึงเขาต้องการให้ผมกับริชาร์ดช่วยงานเขา โดยที่คะแนนพิศวาสก็ไม่ได้ เงินก็ไม่ได้ แถมงานก็หนัก ไหนจะต้องเรียนอีก อย่างเดียวที่ได้จากงานฟรีของด็อกเตอร์มาร์ตินก็คือพวกประสบการณ์กับเทคนิคการกำกับหนังนี่แหละเลยทำให้ผมปฏิเสธไม่ลงเพราะมันไม่สามารถหาได้ในตำราเรียน แล้วก็ใช่ว่านักศึกษาทุกคนจะได้รับโอกาสแบบนี้ด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็อดระอาไม่ได้ ถ้าต้องช่วยทั้งงานริชาร์ด ทั้งงานของด็อกเตอร์มาร์ตินอย่างนี้ ดูท่าผมคงจะอดเที่ยวยาว จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ก็แน่ล่ะ ด็อกเตอร์มาร์ตินเป็นผู้กำกับหนังจำพวกสัตว์ประหลาด เอเลี่ยนอะไรเทือกนี้นี่นา มันไม่กระตือรือร้นนี่สิแปลก
“ช่วยงานอะไรเหรอครับ” ริชาร์ดเป็นคนถาม ก่อนด็อกเตอร์มาร์ตินจะยื่นเอกสารบางอย่างให้เราทั้งคู่ถือ
ผมก้มลงมองตัวหนังสือในกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยมันไม่ใช่เอกสารเกี่ยวกับงาน แต่มันเป็นตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ที่บินตรงจากนิวยอร์กไปแอลเอ
แล้วเขาก็ทำให้ผมกับริชาร์ดอึ้งงันขึ้นมาอีกโดยไม่ทันได้เอ่ยปากถาม
“ฉันอยากให้พวกนายไปเป็นลูกมือฉันตอนฉันไปช่วยงานกำกับที่ฮอลลีวูด”
“ฮอลลีวูด!?” คราวนี้ทั้งผมทั้งริชาร์ดแหกปากขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน
“ใช่ ฮอลลีวูดนั่นแหละ พอดีเพื่อนฉันกำลังมีแพลนทำหนังเกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่น่ะ เลยอยากได้ฉันไปช่วยกำกับในส่วนฉากแอ็กชัน จริงๆ แล้วฉันมีลูกทีมของฉันอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้สองคนนั้นมันไม่ว่าง งานมันกะทันหันเกิน ฉันหาคนไม่ได้ก็เลยมาชวนพวกนายนี่แหละ สนใจมั้ยล่ะ”
ไม่ต้องถามเลยว่าผมกับริชาร์ดจะตอบยังไง
มันก็ต้องสนใจอยู่แล้ว! โอกาสอย่างนี้มันหาได้ง่ายๆ ซะที่ไหน เผลอๆ ไปช่วยงานครั้งนี้ ผมอาจจะได้คั่วนักแสดงฮอลลีวูดกับเค้าบ้างก็ได้ใครจะไปรู้!
พอเห็นผมกับริชาร์ดพยักหน้ารัวๆ ด็อกเตอร์มาร์ตินก็หัวเราะร่วน
“ดีใจนะที่เห็นพวกนายกระตือรือร้นกันขนาดนี้ ไว้ฉันจะทำเอกสารขอไปดูงานของพวกนายให้ น่าจะประมาณเดือนนึงนะ พวกนายจะได้เอาไปยื่นขอลาหยุดที่คณะ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องเรียน ส่วนเรื่องที่พักที่โน่นก็ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการเช่าอพาร์ตเม้นต์ให้พวกนายไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณมากเลยครับด็อกเตอร์!” ริชาร์ดแทบจะถลาเข้าไปกอดคนตรงหน้า หน้าตามันบ่งบอกชัดเจนว่าดีใจจนปกปิดไม่มิด
ด็อกเตอร์มาร์ตินยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วทิ้งท้ายไว้
“ไว้ฉันจะนัดพวกนายมาคุยรายละเอียดกันอีกทีนะ เดี๋ยวหาเวลาว่างก่อน อาทิตย์นี้นี่แหละ เพราะเดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราจะต้องเดินทางกันแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
ผมกับริชาร์ดบอกลาเขา พอเขาหายไปจนลับสายตา ริชาร์ดก็หันมามองหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง แล้วกระโดดกอดผมแน่นทันใด
“ได้ไปฮอลลีวูดแล้วโว้ยเควิน! ไปแบบไม่ได้ไปเที่ยวด้วย! ไปทำงานแหละ ไปทำงาน!”
ผมหัวเราะไปกับท่าทางของมันด้วยรู้ดีว่าริชาร์ดฝันที่จะไปเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นมากแค่ไหน ผมเองก็ฝัน แต่ไม่ได้ฝันมากเท่ามัน ยอมรับก็ได้ว่าผมเองก็ดีใจไม่น้อยไปกว่ามันเหมือนกัน แต่เก็บอารมณ์ได้ดีกว่าก็เท่านั้นแหละ
“เดี๋ยวพอนายโดนด็อกเตอร์จิกหัวใช้เยี่ยงทาส แล้วจะดีใจต่อไม่ออก” ผมแกล้งว่า
“ให้จิกหัวใช้มาเถอะ ถ้าได้ช่วยงานอยู่ที่ฮอลลีวูดล่ะก็ ต่อให้โดนใช้เยี่ยงทาสก็ไม่เกี่ยง” ริชาร์ดผละออกจากผมก็ในตอนนี้
ผมพ่นลมหายใจอย่างขำๆ ก่อนจะตัดบท “เออๆ พ่อคนอึด ขอให้จริงอย่างที่ปากพูดแล้วกัน แล้วนี่ถ้านายไป หนังสั้นของชมรมนายจะเอายังไง”
ริชาร์ดเหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ในตอนนี้ว่าตัวเองก็ยังมีงานค้างคาอยู่ แต่ในวินาทีนี้ หมอนี่ไม่สนใจหนังสั้นกะโหลกกะลาของตัวเองแล้ว พลันว่าอย่างไม่แคร์
“คงจะต้องพักเอาไว้ก่อน ไว้ฉันกลับมาเมื่อไหร่ค่อยมาต่อ”
“นายจะเลื่อนงานง่ายๆ เลยว่างั้น?”
“อีกฝ่ายนี่งานระดับฮอลลีวูดเลยนะเว้ย งานมหา’ลัยเอาไว้ก่อนแหละดีแล้ว”
“เออๆ นายเป็นหัวหน้าชมรมนี่ จะทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ” ผมว่า ก่อนริชาร์ดจะขอตัวเข้าไปเรียกประชุมด่วนกับทีมงาน ทิ้งให้ผมมองตามหลังมันอย่างระอา
ถึงจะเสียดายนิดหน่อยที่อดได้เงินจากมันในเร็ววัน แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไปหาประสบการณ์ด้วย อยู่แต่นิวยอร์กเบื่อจะตายอยู่แล้ว ผู้หญิงที่นิวยอร์กก็เบื่อ ลองไปดูผู้หญิงแอลเอบ้างซิว่าจะเด็ดขนาดไหน
ทว่าขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงแหบห้าวของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ฮอลลีวูดเหรอ” มาแค่เสียงอย่างเดียวไม่พอ ยังโผล่หน้ามาเกยบนไหล่ผมด้วย ทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว
“ไอ้คีธ! โผล่มาอย่างนี้ อยากให้ฉันหัวใจวายตายหรือไง” ว่าพลางดันหน้าหมอนั่นออกห่าง
คีธย่นจมูกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมว่านัก นอกจากพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด
“ข้าได้ยินเจ้าพูดว่าจะไปฮอลลีวูด”
“เออ จะไปนั่นแหละ” ผมตอบรับส่งๆ
บ้าฉิบ! มัวแต่ดีใจที่จะได้ไปจนลืมไปสนิทเลยว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่มีมันเกาะหนึบเป็นปรสิตชีวิตด้วย
“ดี เช่นนั้นข้าจะไปด้วย” แล้วมันก็พูดให้ผมต้องถอนหายใจยาว ก่อนบ่นพึมพำทันใด
“วุ่นวายชะมัดเลยนายเนี่ย”
วุ่นวายที่ว่าก็เรื่องที่มันต้องคอยกินสารอาหารจากผมเป็นกาฝากนี่แหละ ถ้าผมไปคนเดียว มันก็ต้องอดตาย เลยจำเป็นต้องเกาะติดกันเป็นหมากฝรั่งแบบนี้
“หากเจ้าไม่อยากให้ข้าวุ่นวาย เจ้าก็พาข้าไปฮอลลีวูดด้วย ข้าจะไปตามหาพรรคพวกที่นั่น”
ผมนึกขึ้นมาได้ในวินาทีนี้เองว่าหมอนี่อยากไปฮอลลีวูดทำไม ก็ครั้งที่เจอกับอาแปะลีโอนาร์โดครั้งแรก อาแปะบอกว่าเคยได้ยินว่าพรรคพวกของคีธอยู่ในฮอลลีวูดนี่นา
ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกแฮะ ให้มันไปด้วยก็ได้ มันจะได้เจอพรรคพวกแล้วจะได้ไปจากชีวิตผมเร็วๆ
“เออๆ ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินให้นายนะเว้ย นายต้องไปหาเอาเอง” ผมว่าไปตามจริง
หากแต่คีธไม่รู้สึกรู้สากับปัญหาของตัวเองข้อนี้แต่อย่างใด แถมยังว่าออกมาหน้าตาเฉย
“ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านผู้เฒ่าลีโอเธ”
ไปขอยืมเงินก็บอกว่าขอยืมเงิน ไม่ใช่ขอความช่วยเหลือ! มึงนี่มันมนุษย์ต่างดาวกาฝากจริงๆ!
ผมพยักหน้าส่งๆ ไป ให้มันไปจัดการเอาเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ทว่าก็ต้องชะงักขาเมื่อได้ยินเสียงไล่หลังมา
“เมื่อข้าเจอพรรคพวกแล้ว ข้าจะไปจากเจ้า กวินทร์...”
ผมหันไปมอง พลันความดีใจก็พร่างพรายไปทั่วร่างฉับพลัน ก่อนจะยิ้มเผล่
“งั้นก็อย่าให้พลาดแล้วกัน ฉันอยากให้นายไสหัวไปจากชีวิตฉันจะแย่” พูดจบ ผมก็เดินเข้าไปข้างในโดยไม่ได้หันไปสนใจหมอนั่นอีก
 
คีธไปยืมเงินค่าตั๋วเครื่องบินจากอาแปะอย่างที่ปากว่า อย่างที่อาแปะบอกนั่นแหละว่าการได้ช่วยเหลือชาวยูนิกม่าอะไรนี่เป็นเกียรติอันสูงสุดของทุกชาติพันธุ์ในจักรวาล เขาก็เลยยอมให้มาอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำยังแถมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาด้วย แน่นอนล่ะว่าผมเก็บเรียบแล้วอ้างว่าเป็นค่าสูบสารอาหารจากผม
ก็คีธมันไม่ต้องซื้ออาหารกินอยู่แล้วนี่ มีเงินไปก็เท่านั้น ให้ผมเก็บไว้ยังมีประโยชน์กว่าเป็นไหนๆ
คีธก็ซื่อบื้อ อาแปะให้มาเท่าไหร่ก็ให้ผมหมดเกลี้ยง
ดีมาก... อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าพึ่งพาอาศัยกัน
แล้ววันเดินทางก็มาถึง เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง เราก็มาเหยียบสนามบินนานาชาติฮอลลีวูดเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าคีธก็มาด้วย แต่ด็อกเตอร์มาร์ตินไม่ได้ว่าอะไรเพราะก่อนหน้านี้ผมไปขออนุญาตเขาเรียบร้อยแล้วโดยอ้างว่าให้คีธมาเป็นลูกมือพวกผม เขาก็โอเคเพราะคีธออกค่าใช้จ่ายและค่าเดินทางเอง เว้นก็แต่เรื่องที่พักที่จะมาอยู่กับผม
“สองวันแรกนี่พวกนายพักผ่อนกันให้เต็มที่เลยนะ เราจะเริ่มงานกันวันที่สาม ฉันต้องไปคุยกับทีมงานเรื่องสตอรี่บอร์ดของฉากแรกก่อน ไว้เจอกันวันมะรืน” ด็อกเตอร์มาร์ตินว่าเมื่อรถที่เพื่อนเขาไปรับเรามาจากสนามบินมาส่งผมกับริชาร์ดถึงหน้าอพาร์ตเม้นต์ที่เราจะใช้ซุกหัวนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมกับริชาร์ดพยักหน้ารับ ก่อนที่รถจะพาด็อกเตอร์มาร์ตินไปยังบ้านเพื่อนของเขา เขาไม่ได้พักกับเราเพราะเพื่อนของเขาไม่ยอม กลายเป็นว่าห้องพักที่เขาเช่าเอาไว้สองห้องสำหรับเขาและลูกทีมตกมาเป็นของผมกับริชาร์ดอย่างละห้อง ซึ่งมันก็ดีสำหรับผม เพราะเวลาที่ถูกคีธดูดกินสารอาหาร ไอ้ริชาร์ดจะได้ไม่ต้องโผล่มาจ๊ะเอ๋ถูกจังหวะอีก
พอด็อกเตอร์มาร์ตินจากไป พวกเราก็เดินเข้ามาในอพาร์ตเม้นต์กลางเก่ากลางใหม่ มันก็ไม่ได้แย่หรอก แต่ก็ไม่ได้หรูหรา เรียกว่าอยู่ได้ ไม่ต่างจากอพาร์ตเม้นต์ที่ผมเช่าอยู่ในนิวยอร์กเท่าไหร่นัก
“นายเอาห้องของด็อกเตอร์ไปแล้วกัน อยู่กันสองคนก็เอาห้องกว้างหน่อย” ริชาร์ดว่าพลางส่งคีย์การ์ดให้เมื่อเรามาหยุดยังหน้าห้องที่ด็อกเตอร์มาร์ตินเช่าไว้ มันเป็นห้องข้างๆ กันนั่นแหละ แต่ขนาดห้องไม่เท่ากัน ห้องของด็อกเตอร์มีขนาดใหญ่กว่าห้องของผมกับริชาร์ดพอสมควร
ผมไม่ได้พูดอะไรด้วยรู้ดีอยู่แล้วว่าหมอนั่นหมายถึงไอ้หน้าตายที่เดินแบกกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ข้างหลักผม ก่อนที่ริชาร์ดจะเปิดประตูห้องของตัวเองเข้าไป แต่ก็ไม่วายชะโงกหน้าออกมาทำหน้าทะเล้น
“อย่าหนักนะเว้ย วันนี้เดินทางมาเหนื่อยๆ พักผ่อนๆ”
“ริชาร์ด...” ผมว่าเสียงต่ำ โคตรจะเบื่อมันเลยที่เอาแต่คอยล้อผมเรื่องเป็นคู่ขากับคีธเนี่ย
แต่ริชาร์ดไม่สน พอทำผมหัวเสียได้ก็ออกอาการตบหัวลูบหลัง
“อย่าหงุดหงิดน่า ก็แค่พูดเล่น ไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวหล่อๆ ไป จะได้ออกไปร่อนกัน”
“ไปไหน” ผมย่นคิ้วถาม ขณะที่ริชาร์ดจุปาก
“ไปท่องราตรีสิครับ มาถึงแอลเอแล้ว นายจะหมกตัวอยู่ในห้อง ไปออกไปปาร์ตี้หรือไง”
ได้ยิน อาการหัวเสียเมื่อครู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ผมยกยิ้มก่อนจะตอบรับมัน
“เออ แบบนี้ค่อยพูดถูกใจหน่อย งั้นอีกชั่วโมงเจอกัน”
ริชาร์ดยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์โอเคแล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง ผมเลยเข้าห้องของตัวเองบ้าง และพอประตูปิดสนิท ผมก็รีบหันไปสั่งคีธทันใด
“เดี๋ยวฉันจะออกไปเที่ยวกับริชาร์ด นายก็ออกไปตามหาเพื่อนซะนะ จะได้แยกย้ายกันไปซะที”
“หากมันง่ายเช่นนั้น ข้าคงจะไม่รีรอที่จะทำไปแล้ว” หมอนั่นว่าเสียงเรียบ ทำเอาผมยู่หน้า
“นายก็ใช้จมูกดมกลิ่นหาสิวะ ไหนว่าประสาทสัมผัสดีไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่ข้าคงจะลืมบอกเจ้าไปว่าชาวยูนิกม่าเช่นข้า นอกจากจะประสาทสัมผัสดีแล้ว ยังมีความสามารถในการซ่อนกลิ่นเฉพาะตัวจากศัตรูได้อีกด้วย ต่อให้ประสาทสัมผัสดีแค่ไหนก็ไม่อาจตามกลิ่นได้ไม่ว่าจะอยู่ใกล้เพียงใดก็ตาม และการมาที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน เราจำเป็นต้องซ่อนกลิ่นเอาไว้เพื่อความปลอดภัยเพราะเราไม่รู้ว่าในดาวเคราะห์แห่งนี้ จะมีศัตรูแฝงกายอยู่ที่ไหนบ้าง”
“เรื่องเยอะชะมัด” ผมเบ้หน้า “งั้นถ้าไม่ไป ก็รออยู่ที่นี่แล้วกัน ฉันจะกลับมาดึกๆ”
ว่าจบ ผมก็ตรงไปดึงกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองที่คีธแบกอยู่มาค้นเอาผ้าเช็ดตัว หมายจะไปอาบน้ำ โดยลืมไปสนิทว่าสั่งมันไปก็เท่านั้นแหละ มันยอมอยู่ซะที่ไหน
“หากเจ้าไป ข้าก็จะไป แม้ข้าจะซ่อนกลิ่นกายของข้าได้ แต่ใช่ว่าจะซ่อนกลิ่นกายของข้าในตัวเจ้าได้ ข้าต้องตามไปปกป้องเจ้า”
“ไม่ต้องเลย อยู่ที่นี่แหละ นายไปเดี๋ยวได้หมดสนุกกันพอดี”
“แต่หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตที่ไม่ดูแลเจ้าให้ดี”
อย่าพูดเหมือนกูเป็นเมียมึงได้มั้ยเนี่ย ดูแลตัวเองได้เว้ย!
ผมทำท่าจะปฏิเสธอีก ทว่าคีธกลับสวนขึ้นมาเสียก่อน
“ข้าจะไปกับเจ้า หากเจ้าไม่ให้ข้าไป ข้าจะผูกพันเจ้าไว้”
“หยุดขู่เลย จะไปก็ไป แม่ง...” ผมยอมอย่างไม่มีทางเลือก
“ยามเจ้าใจดีกับข้าเช่นนี้ ข้าชอบ” คราวนี้คีธยกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง บอกตรงๆ ว่าดูดีมากจนผมไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าหล่อนั่นในเสี้ยววินาทีได้ และเพราะไม่ยอมละสายตานี่แหละ คีธก็เลยเดินเข้ามาหาผม แล้วคว้ามือผมไปจับหน้าตาเฉย
“ข้าขอขอบคุณจากใจ” สิ้นเสียง ก็ประทับจูบลงมาบนหลังมือ
ผมได้สติเอาก็ในตอนนี้ รีบชักมือกลับพลันผลักอกแกร่งออกห่าง
“จะไปก็รีบไปอาบน้ำ เล่นบ้าอะไรอยู่ได้”
คีธพยักหน้า ยอมทำตามแต่โดยดี ผมถอนหายใจยาวเมื่อเห็นหมอนั่นปิดประตู พลันใจเต้นขึ้นมาน้อยๆ ที่ถูกจูบหลังมืออย่างไม่ทันได้ตั้งตัวอีกครั้ง ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ คีธก็โผล่หน้าออกมาร้องถามผมหน้าตาย
“เจ้าจะชำระล้างร่างกายพร้อมกับข้าหรือไม่ ข้ายังไม่ได้กินสารอาหารเลย กะจะทำพร้อมกันในทีเดียว จะได้ไม่รบกวนเวลาของเจ้า”
จากที่หน้าร้อนวาบอยู่แล้วก็ร้อนยิ่งขึ้นไปใหญ่
“อาบๆ ไปเลยเร็วๆ เข้า!” ผมกลบเกลื่อนความเขินอายนั่นด้วยการตะคอกเสียงดัง
คีธมองผมครู่หนึ่งก่อนจะปิดประตูเข้าไปอีกครั้ง ทิ้งให้ผมใจเต้นระทึกตามลำพัง
คะ...ใครมันจะไปอาบน้ำกับมึง! ขืนเข้าไป กูก็โดนปล้ำน่ะสิ อย่ามาอ้างว่าจะกินสารอาหารเลย ไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ หื่นกาม!
 
พอคีธออกจากห้องน้ำได้ ผมก็ใช้เวลาจัดการตัวเองต่อ ไม่นานนัก เราก็พร้อมสำหรับการท่องราตรี เมื่อมาถึงที่หมาย ริชาร์ดก็ทำการจองโต๊ะไว้สำหรับนั่งดื่มโดยเฉพาะด้วยหมอนี่เป็นคอเหล้า ส่วนผมน่ะไม่ได้สนใจเรื่องดื่มเท่าไหร่ นอกจากกวาดสายตามองหาสาวๆ ที่จะมาเป็นเหยื่อให้เสืออย่างผมได้กินในคืนนี้
“นายอยู่กับคีธนะ เดี๋ยวฉันจะไปส่องสาว” ผมตะโกนแข่งกับเสียงเพลงบอกริชาร์ดที่ตั้งหน้าตั้งตาชงเหล้าอยู่ ก่อนจะส่งเหล้าแก้วนั้นให้คีธที่นั่งข้างๆ รับไว้ แน่นอนว่าคีธไม่ดื่ม แค่ได้กลิ่นก็วางลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแสแล้ว
“เออไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลหมอนี่เอง” ริชาร์ดตอบรับผมโดยไม่มองหน้าด้วยซ้ำ หมอนี่ก็อย่างนี้แหละ เจอเหล้าเมื่อไหร่ ไม่เคยสนใจอะไรทั้งนั้น
ผมเองก็ไม่สนใจหมอนั่นเหมือนกัน เดินเข้าไปหาผู้หญิงผมสีบรูเน็ตคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าบาร์เพราะเห็นเธอส่งสายตาให้ผมอยู่นานแล้ว เข้าไปคุยได้ไม่เท่าไหร่ เธอก็แสดงท่าทางชัดเจนว่าถูกใจผม ผมก็เลยชวนเธอไปเต้นที่ฟลอร์เต้นรำ
ระหว่างเดินไป ผมก็ชำเลืองมองคีธกับริชาร์ดเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วงว่าถ้าผมไม่อยู่ตรงนั้นด้วย แล้วจะมีปัญหา ผมไม่ได้ห่วงริชาร์ดมันหรอก หมอนั่นน่ะ ต่อให้มาคนเดียว มันก็หาเพื่อนดื่มได้ และตอนนี้มันก็ไปชวนใครที่ไหนไม่รู้มาชนแก้วเป็นที่เรียบร้อย แถมหน้าตาก็บอกชัดเจนว่าเริ่มเมานิดหน่อย จะมีก็แต่คีธนี่แหละที่มองคนในโต๊ะแหกปากหัวเราะกันด้วยสีหน้านิ่งๆ
ดูท่าทางจะอยู่ได้แฮะ งั้นปล่อยแม่งเลยแล้วกัน
ผมไม่สนใจอะไรอีก โอบเอวคอดของสาวคนนั้นมาใกล้ก่อนจะแทรกฝูงชนเข้าไปเต้นเบียดเสียดอย่างเมามันส์ ยอมรับเลยว่าสาวแอลเอนี่เสน่ห์แรงมาก แล้วก็เร่าร้อนใช้ได้ เพราะทันทีที่ออกสเต็ป เธอก็ไม่รั้งรอที่จะใช้บั้นท้ายถูกับตัวด้านหน้าของผมอย่างแนบชิด กระตุ้นเพลิงราคะของผมให้โชติช่วงขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย จนผมเผลอสวมวิญญาณปลาหมึก นัวเนียเธอไปหลายรอบเหมือนกัน กะว่ารอเวลาอีกสักหน่อย ผมก็จะชวนเธอไปต่อ เพราะเธอเชื้อเชิญผมจนแสดงออกชัดเจนว่าต้องการผมแค่ไหนแล้ว
หากแต่ขณะที่ผมกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่นั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงมือของใครบางคนมาถูไปถูมากับบั้นท้ายของตัวเอง ตอนแรกผมก็แค่คิดว่าอาจจะเป็นความไม่ได้ตั้งใจของใครบางคนที่เผลอเอามือมาโดนเพราะตอนนี้ฟลอร์เต้นรำคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจนแทบจะหายใจรดกัน ผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจนัก เต้นต่อด้วยกำลังได้อารมณ์เต็มที่ แต่พอผ่านไปสักพัก ผมว่ามันไม่ใช่บังเอิญมาโดนละ เพราะมือนั่นมันวนเวียนอยู่ที่ก้นผมไม่เลิก
วนเวียนอย่างเดียวไม่พอ นี่ขยำอีก! ขยำซะจะมาโดนส่วนหน้าอยู่แล้ว!
ผมสะดุ้งเฮือก ผลักผู้หญิงตรงหน้าออกห่างแล้วหมุนตัวไปคว้าข้อมือของไอ้บ้านั่นทันใด
“ทำเวรอะไรวะ!” ผมตวาดกร้าวพร้อมกระชากเจ้าของข้อมือนั่นมาใกล้ ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ดูจากหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนพวกนักร้องบอยแบนด์วัยรุ่นแล้ว เดาเลยว่าหมอนี่อายุยังไม่ถึงยี่สิบเอ็ดแน่ๆ หน้าทรงหนุ่มน้อยไฮสกูลอย่างนี้ เชื่อเลยว่ามันต้องแอบเข้ามาที่นี่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ ที่ผมสนใจก็คือ มันมาขยำก้นผมทำไมมากกว่า!
“คือ... ขอโทษนะ เราอดใจไม่ไหว เห็นนายน่ารักดี” หมอนั่นว่าโดยไม่ต้องร้องถามเมื่อเห็นว่าผมจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง พลางยกมือขึ้นทัดผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ยาวระต้นคอเข้ากับใบหู
เส้นประสาทในส่วนของความอดทนของผมถึงกับขาดดังผึง ขยำก้นชาวบ้านแล้วยังมีหน้าพูดเสียงระรื่นอีก
“ไอ้เด็กเวร...” ผมคำราม กระชากมันเข้ามาใกล้ ขณะที่อีกมือหนึ่งเงื้อหมัดขึ้นเตรียมจะต่อย
ตอนนี้เองที่ริชาร์ดสังเกตเห็นความวุ่นวายในฟลอร์เต้นรำ เลยรีบละความสนใจจากขวดเหล้า ปรี่เข้ามาห้ามผมด้วยความเร็วแสงและดึงมือผมออกจากไอ้เด็กนั่น ก่อนเอาตัวเองเข้าไปขวางไว้ไม่ให้ผมทำร้ายอีกฝ่าย
“ใจเย็นๆ สิวะเควิน มีอะไรก็ค่อยๆ พูด อย่ามีเรื่อง”
มึงลองมาโดนขยำก้นเหมือนกูบ้างมั้ยล่ะ จะได้รู้ว่าควรใจเย็นมั้ย!
“ก็ดูไอ้เวรนี่มันทำสิวะ! ใครจะไปอดใจไหว!” ผมแผดเสียงลั่นจนคนที่อยู่รอบๆ วงแตก เว้นก็แต่ไอ้เด็กนั่นที่ยังคงยิ้มไม่เลิก
“มันทำอะไรนายวะ”
พอริชาร์ดถามมาแบบนี้ ผมก็พูดไม่ออกว่าโดนมันลวนลาม
แม่ง เสียเชิงชายชะมัด แค่โดนผู้ชายด้วยกันจีบบ่อยๆ ก็ว่าเสียเชิงแล้ว นี่ถึงขนาดโดนลวนลาม ยังไม่นับรวมไอ้มนุษย์ต่างดาวคีธอีกคนนะ รู้ถึงไหน อายถึงนั่นเลยให้ตาย!
“ว่าไงล่ะ ตกลงมันทำอะไรนาย”
พอริชาร์ดถามมาอีกครั้ง ผมก็เดือดเอาในตอนนี้ ไม่ตอบคำถามมัน แต่ทำท่าจะเข้าไปต่อยคนตัวการแทน ริชาร์ดร้องห้ามเสียงหลงก่อนจะเอาตัวเข้ามาขวางอีก ส่วนหมอนั่นก็ยังคงยิ้มระรื่นไม่หยุดจนน่าโดนกระทืบ
“ปล่อยฉันริชาร์ด! ฉันจะถีบมันให้หายแค้นสักที!”
“ใจเย็นๆ เว้ยเควิน! มีอะไรค่อยๆ พูดกัน!”
ความโกลาหลที่ดูท่าจะบานปลายมากขึ้นทำให้คีธสังเกตเห็น หมอนั่นลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าขึงขัง แล้วดึงผมลอยหวือออกจากวง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรนะกวินทร์”
ผมเดาว่าหมอนั่นคงจะคิดว่าผมถูกมนุษย์ต่างดาวศัตรูของหมอนั่นโจมตีล่ะมั้งถึงได้ถามแบบนี้ หากแต่ผมไม่สนใจ เอาแต่โวยวายอย่างเดือดดาลอย่างเดียว
“ปล่อยนะเว้ย ฉันจะสั่งสอนมัน!”
ผมสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม แต่คีธไม่ปล่อย แล้วมองตามไปยังตัวต้นเหตุที่ผมยังคงจ้องเขม็ง ทว่าพริบตาเดียว สายตานิ่งเรียบของคีธก็เบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กเปรตนั่นอย่างชัดเจน
“อะ...องค์ชาย!” น้ำเสียงแห้งผากที่หลุดออกจากริมฝีปากหยักสวยทำเอาผมหยุดดิ้นทันใด มองหน้าเจ้าของเสียงอย่างสงสัย แล้วก็ต้องหันกลับไปยังคู่กรณีเมื่ออีกฝ่ายทักคีธกลับมา
“ไง คีทาเย”
ผมเบิกตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน มองสองคนนั่นสลับไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา
อะ...ไอ้เด็กนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวอีกตัวเหรอวะเนี่ย!

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][หนูแดง][Ep.08]--15/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 16-12-2015 14:33:58
Episode 09: The prince of Uniquema[2]
จริงอย่างที่ผมคิดนั่นแหละ เพราะพอสิ้นเสียงไอ้เด็กนั่น คีธก็รีบปล่อยผมแล้วคุกเข่าลงทำความเคารพทันใด
“ขออภัยองค์ชายที่หม่อมฉันไม่รีบตามหาพระองค์เมื่อมาถึงดาวเคราะห์สีน้ำเงิน พอดีหม่อมฉันกับพรรคพวกประสบปัญหาเล็กน้อยระหว่างเดินทาง”
“ไม่เป็นไร เราไม่ถือสาหรอก ลุกขึ้นเถอะ คนอื่นแตกตื่นกันแล้วนะ ไว้ค่อยเล่าให้เราฟังทีหลัง”
คีธลุกขึ้นแต่โดยดี พลันเบนความสนใจไปที่เด็กนั่นโดยลืมผมไว้ข้างหลังเสียสนิท
“เช่นนั้นก็เชิญองค์ชายไปนั่งก่อนพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะได้เล่าให้ฟัง”
นี่มึงจะไม่ถามกูหน่อยเหรอว่าโดนเจ้าชายมึงทำอะไรมา! สนใจกูหน่อย กูเพิ่งโดนขยำตูดไปนะเว้ย!
ผมได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเพราะสิ้นเสียง คีธก็พาเด็กเวรนั่นไปนั่งยังโต๊ะของพวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้ผมมองตามอย่างหัวเสีย ขณะที่ริชาร์ดเขยิบเข้ามากระซิบถามผม
“คนรู้จักของคีธเหรอวะ”
“เออ”
“หน้าตาดีว่ะ น่ารักอย่างนี้น่าให้มารับบทเป็นน้องชายนางเอก”
“ให้มันรับบทเป็นเจ้าชายต่างดาวจะดีกว่า” ผมว่าเสียงห้วน แล้วก็เดินไปที่โต๊ะบ้าง ทิ้งให้ริชาร์ดทำหน้างงๆ ว่าทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้สนใจถามอะไร นอกจากเดินมานั่งด้วย
และทันทีที่ผมทิ้งตัวนั่งลง ผมก็ได้รู้ว่าคีธกับเจ้าชายลามกนี่ไม่ได้เดินทางมาพร้อมกัน เจ้าชายนี่อพยพหนีมาก่อนโดยการหนีในครั้งนั้นเป็นความลับ แล้วรอให้พวกผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ตามมาทีหลังเพราะพวกคีธต้องแวะไปรับยาที่ทำให้อยู่ในโลกโดยไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์จากดาวดวงอื่นมาด้วย ทว่าการอพยพมาของเจ้าชายในครั้งนั้น ก็ถูกไล่ล่าจากพวกเซนไทน์เช่นเดียวกันกับพวกคีธ เลยทำให้ลูกเรือของยานที่เจ้าชายเดินทางมาถูกฆ่าตายหมด มีเพียงเจ้าชายคนเดียวที่รอดมาถึงที่นี่ ส่วนคีธก็อย่างที่รู้ว่าพอมาเกือบจะถึงโลกก็ถูกไล่ล่า เลยต้องหนีตายจนพลัดหลงกับพรรคพวกอย่างที่เห็น
“แล้วองค์ชายอยู่ที่นี่กับผู้ใด ใครเป็นโฮสต์ให้พระองค์?” คีธถามด้วยแววตาสงสัย ผมล่ะนึกอยากจะเห็นหน้าโฮสต์ของเจ้าชายขึ้นมาทันที พร้อมกับอยากรู้ด้วยว่าโฮสต์นั่นพยายามหาทางกำจัดเจ้าชายนี่เหมือนกับผมบ้างมั้ย
หากแต่คำตอบของหมอนั่นกลับทำให้ผมผิดหวัง เพราะคนที่เป็นโฮสต์ให้ดันไม่ใช่มนุษย์โลกเสียอย่างนั้น
“พวกไบโทปน่ะ เราบังเอิญได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขาพอดี พวกเขาก็เลยอาสาเป็นโฮสต์ให้”
มนุษย์ต่างดาวอีกแล้วเหรอวะ นี่มันอพยพกันมาที่โลกจนจะเป็นเมืองขึ้นมนุษย์ต่างดาวแล้วมั้งเนี่ย!
 “เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจไป พวกไบโทปเป็นพวกเก็บตัว แม้จะอาศัยอยู่ที่นี่ก็อาศัยแบบหลบๆ ซ่อนๆ นับว่าองค์ชายทรงพระปรีชามากที่เลือกอยู่กับพวกนั้น” คีธชมเปราะ ขณะที่เด็กนั่นยิ้มน้อยๆ
“ไม่หรอก คนที่ฉลาดน่ะคือนายต่างหาก อุตส่าห์ตามหาเราจนเจอ ขอบใจมากนะ”
“บังเอิญน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เออ บังเอิญมาก บังเอิญเจอกันเพราะตูดกู รู้เอาไว้ด้วย!
ในตอนนี้เองที่คีธรู้สึกตัวได้ว่านอกจากเจ้าชายแล้ว ยังมีผมกับริชาร์ดนั่งหัวโด่อยู่ด้วย หมอนั่นก็เลยออกปากแนะนำเจ้าชายให้รู้จัก
“องค์ชาย... มนุษย์ผู้นี้คือโฮสต์ของข้า มีนามว่ากวินทร์ และสหายของเขา... ริชาร์ด ส่วนนี่เจ้าชายแอสโซซิโน รามูเอลี ที่แปด”
ริชาร์ดทำหน้าเหวอไปนิดหน่อยที่ได้ยินชื่อแปลกๆ หลุดออกมาจากปากคีธ ผมถอนหายใจแล้วกระซิบบอกมัน
“พวกบ้าหนังจักรๆ วงศ์ๆ”
ริชาร์ดร้องอ๋อ ก่อนที่เจ้าชายนั่นจะยื่นมืออกมาให้จับทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ กวินทร์ ริชาร์ด”
ผมเหลือบมองอย่างไม่ไว้ใจ ไม่ยื่นมือไปจับด้วยเพราะรู้ว่าถ้ายื่นมือไป มันต้องเอาไปดูดแน่ มีแต่ไอ้ริชาร์ดที่ยื่นมือไปพร้อมกับยิ้มร่า
“ยินดีที่ได้รู้เช่นกันเจ้าชายอะไรสักอย่างที่แปด”
พอผมเห็นเจ้าชายจับมือริชาร์ด ผมก็รีบหันไปคว้ามือเพื่อนแล้วดึงออกอย่างรวดเร็ว
ทุกคนหันมามองผมอย่างสงสัย ขณะที่ผมทำเป็นชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปเรื่อย แต่ในจังหวะที่ผมทำกลบเกลื่อนนี่แหละที่ไอ้เวรริชาร์ดยื่นมือไปให้มันจับอีกรอบ
“เอาใหม่แล้วกัน เมื่อกี้โดนเควินขัด ยินดีที่ได้รู้จัก”
จ๊วบ!
เสียงนั้นทำผมอ้าปากค้าง ขณะที่ริชาร์ดก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจด้วยเช่นกัน ก่อนเจ้าชายที่ดูดนิ้วริชาร์ดเรียบร้อยแล้วจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
แล้วมึงจะยื่นมือไปให้มันดูดทำไมเนี่ย! เมื่อกี้กูอุตส่าห์ช่วย!
เหวอรับประทานคืออะไร ดูหน้าริชาร์ดได้ในตอนนี้ แต่ครู่เดียว สีหน้ามันก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งด้วยนึกว่าสิ่งที่เจ้าชายชื่อเรียกยากทำเป็นการเล่นตลกโง่ๆ
“นายนี่ตลกดีแฮะ ตั้งแต่ตอนแนะนำตัวเมื่อกี้แล้ว ไหนบอกอีกครั้งซิว่าชื่ออะไรนะ”
“แอสโซซิโน รามูเอลี ที่แปด”
“แอสโซอะไรนะ”
“แอสโซซิโน รามูเอลี ที่แปด”
“เรียกมันแอสตันก็พอ” ผมขัดขึ้นอย่างหงุดหงิด คีธตวัดดวงตาดุๆ มามองผมทันควัน
“กวินทร์... นี่คือเจ้าชายแอสโซซิโน รามูเอลี ที่แปด”
“ไม่เป็นไร เรียกแอสตันก็ได้ เรียกง่ายดี” เจ้าชายนั่นแทรกขึ้นให้ผมเบ้ปาก
ไม่ให้เรียกก็จะเรียกเว้ย! กูตั้งชื่อใหม่ให้หมดแหละไอ้พวกชื่อเรียกยากๆ เนี่ย
“โอเคแอสตัน แล้วนายเป็นอะไรกับคีธเหรอถึงได้ดูท่ารู้จักกันมานานแบบนี้” คำถามนี้เป็นของริชาร์ด
ดีที่แอสตันไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าคีธคือใคร ดูท่าทางจะเดาได้ว่ามันคือชื่อใหม่ของผู้พิทักษ์ตัวเอง เลยตอบกลับมาได้อย่างราบรื่น
“คีธเป็นลูกชายของลูกน้องพ่อเราน่ะ รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ก็เลยสนิทกัน”
“อ๋อ มิน่าล่ะ ถึงได้ดูสนิทกันจัง แต่นายยังดูเด็กอยู่เลยนะ อายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบแปดน่ะ”
“เด็กมาก หนุ่มน้อยไฮสกูลนี่หว่า” ริชาร์ดไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย
ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องแก้ตัวแทน ก็เจ้าพวกนี้มันอายุมากกว่ามนุษย์โลกสองเท่านี่นา อายุสิบแปดมนุษย์โลกก็เท่ากับว่าอายุสามสิบหกยูนิกม่าแล้ว
“แต่เอ... นายเพิ่งอายุสิบแปด เข้ามาได้ยังไง อย่าบอกนะว่าแอบเข้ามา”
“เราจ่ายเงินให้การ์ดด้านหน้าน่ะ ก็เลยได้เข้ามาทางหลังร้าน” แอสตันว่ายิ้มๆ
ผมรู้เลยว่าหมอนี่ต้องมาอยู่ที่โลกนานพอตัวแน่ถึงได้รู้วิธีเข้าไนต์คลับตามแบบฉบับของมนุษย์โลกแบบนี้ หากแต่ไม่ได้สนใจอะไรมากเมื่อเห็นว่าริชาร์ดเริ่มชงเหล้า แล้วส่งให้เด็กนั่นดื่ม
“ใจกล้าดีนี่หว่า นี่คงจะมาคนเดียวด้วยสินะ งั้นมาดื่มด้วยกัน”
ผมดูก็รู้ว่าริชาร์ดตั้งใจจะมอมเหล้าเด็กนั่นเล่น คีธเองก็คงไม่อยากให้นายของตัวเองดื่มเหมือนกันเลยทำทีเป็นปรามเล็กน้อย ทว่าแอสตันกลับยกมือไปรับแก้วเหล้านั้นมาพลันกระซิบบอกคีธเบาๆ
“ไม่เป็นไร เราชินแล้ว” ว่าจบ ก็กระดกดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
ริชาร์ดหัวเราะร่วนอย่างชอบใจทันควัน “ดูท่าทางนายจะคอแข็งนี่หว่า งั้นเอาวอดก้ามาดวดเลยเป็นไง เอาให้เมาสุดเหวี่ยงไปเลย”
“ได้ เราชอบนะวอดก้าน่ะ”
ดูท่าทางผมจะเจอมนุษย์ต่างดาวขี้เหล้าเข้าให้แล้วล่ะ ส่วนไอ้ตัวที่นั่งข้างๆ นั่นก็มนุษย์ต่างดาวคออ่อน
เจ้านายกับลูกน้องนี่สวนทางกันชะมัด

 
หลังจากนั้นก็มีแต่ริชาร์ดกับแอสตันเท่านั้นที่ดื่มไม่สนโลก ผมไม่ดื่มเพราะกลัวว่าถ้าเกิดผมเมาไปด้วยอีกคน แล้วแอสตันมันวางไข่ใส่ ตอนนั้นมันจะวุ่นวาย คีธนี่ไม่ดื่มชัวร์ๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเพราะห่วงเจ้าชายหรอก แต่มันขยาด
ริชาร์ดเมาแล้วพูดไปเรื่อยอย่างไม่รู้ตัว มีพูดถึงสำนวนการพูดของคีธนิดหน่อยด้วยสงสัยว่าทำไมหมอนั่นถึงเอาแต่พูดภาษาอังกฤษสำนวนโบราณ ผมเลยแก้ต่างให้ไปว่าคีธอินกับบทเจ้าชายต่างดาวจัด เลยเอามาพูดในชีวิตจริง ดีที่ริชาร์ดไม่สงสัย เอาแต่ดวดเหล้าอย่างเดียวเท่านั้น
ผ่านไปค่อนคืน ไอ้คนที่ตั้งใจจะมอมเหล้าชาวบ้านก็เมาปลิ้นเป็นหมา ส่วนไอ้คนโดนมอมยังคงนั่งยิ้มหน้าแป้น ไม่มีอาการมึนเมาเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็ลำบากผมที่ต้องหามเพื่อนเวรนี่กลับมาที่อพาร์ตเม้นต์โดยมีแอสตันตามติดมาด้วย เพราะคีธขอให้แอสตันอยู่กับเราคืนนึงก่อนที่พรุ่งนี้จะแยกจากผมไป
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยอมน่ะสิ เอาเถอะ อดทนกับมันอีกแค่คืนเดียว เดี๋ยวผมก็ได้เป็นอิสระแล้ว
พอมาถึงที่พัก ผมก็พยุงริชาร์ดมาหยุดที่หน้าห้อง ก่อนพยายามถามริชาร์ดที่เมาพล่ามไปเรื่อย
“คีย์การ์ดห้องนายอยู่ไหน”
“คีย์...อึ้ก...คีย์การ์ดหนาย...”
“คีย์การ์ดห้องนายน่ะ”
“คีย์การ์ดอะร้าย ไม่มี้! เอื้อก!”
ผมถอนหายใจ ก็เรื่องปกตินั่นแหละที่พอเมาแล้ว หมอนี่ก็ลืมหมดทุกสิ่ง ผมเลยต้องรับหน้าที่ในการสำรวจหาคีย์การ์ดจากกระเป๋าทุกซอกบนเสื้อผ้ามันด้วย
กระเป๋าเสื้อไม่มี... กระเป๋ากางเกงด้านหน้าไม่มี... งั้นก็คงจะกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
“คีธ ช่วยหยิบคีย์การ์ดที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังหมอนี่ให้หน่อย” ผมร้องบอกคีธที่ยืนหน้าตายอยู่เพราะผมเอื้อมมือไปหยิบไม่ถึงด้วยยังพยุงริชาร์ดไว้อยู่
คีธพยักหน้า ทำท่าจะเดินเข้าไป ทว่าแอสตันที่ยืนมองอยู่นานกลับขันอาสาขึ้นมาแทน
“เดี๋ยวเราช่วย” ว่าจบ ก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของริชาร์ด
ล้วงอยู่นาน ก็ไม่ดึงเอาคีย์การ์ดออกมาสักที จนผมที่ยืนรออยู่ต้องหันไปมอง แล้วก็ต้องเบิกตาเมื่อเห็นว่าไอ้บ้าแอสตันมันไม่ได้ล้วงหาคีย์การ์ด แต่กำลังขยำตูดไอ้ริชาร์ดอย่างเมามันส์อยู่
นี่ขยำของกูไม่พอ ยังจะขยำของเพื่อนกูอีกเหรอ!
“เอาอีก...อึ้ก...”
แล้วมึงก็จะไปชอบทำไมเนี่ย!
ผมปวดกบาลหนึบกับเสียงครางของริชาร์ดที่ร้องขอให้แอสตันขยำอีกทันใด ก่อนจะผลักมันเข้าไปหาแอสตันให้รับมันไว้ แล้วเป็นฝ่ายค้นคีย์การ์ดเอง พริบตาเดียว คีย์การ์ดก็มาอยู่ในมือผม ผมมองหน้าไอ้เจ้าชายนั่นอย่างหัวเสีย
“หยิบแค่เนี้ย ลีลา”
“ก็เพื่อนนายน่ารักดี”
มึงก็น่ารักไปหมดแหละไอ้เจ้าชายลามก!
ผมจัดการเปิดประตู คว้าริชาร์ดกลับมาพยุง พอเดินมาถึงเตียงได้ก็จับมันทุ่มลงเตียงอย่างไม่ไยดี ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มันอย่างเหนื่อยอ่อน
มาวันแรกก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดซะแล้ว!
“เดี๋ยวฉันจะนอนกับริชาร์ด พวกนายไปนอนที่ห้องโน้นไป” ผมโบกมือไล่ พลันคว้าคีย์การ์ดของอีกห้องทำท่าจะส่งให้คีธ
คีธดูไม่มีปัญหา แต่ไอ้เจ้าชายนี่แหละที่มีปัญหา พอเห็นผมยื่นคีย์การ์ดให้คีธปุ๊บ ก็เข้ามาขวางปั๊บ
“เราไม่มีปัญหาหรอกนะที่ต้องนอนกับผู้พิทักษ์ แต่เรามีเรื่องจะขอร้องนายอย่างนึง”
“อะไร” ผมถามเสียงขุ่น เดาในใจว่าเดี๋ยวมันต้องขอดูดสารอาหารจากผมแน่ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อแอสตันพูดออกมา
“ขอกินสารอาหารจากนายหน่อยสิ”
ผมไม่ได้ตกใจ แต่คนที่ตกใจคือคีธ พอสิ้นเสียงเจ้าชาย หมอนั่นก็รีบโพล่งขึ้นทันใด
“แต่กวินทร์เป็นโฮสต์ของหม่อมฉันนะพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราชาวยูนิกม่าจะไม่ใช้โฮสต์ร่วมกัน มันเป็นธรรมเนียม”
ผมเพิ่งจะรู้ในตอนนี้นี่แหละว่ามีธรรมเนียมปฏิบัติอะไรแบบนี้ด้วย
แต่พูดไป แอสตันก็ไม่สนหรอก นอกจากยิ้มกว้างเท่านั้น
“เรารู้ แต่เราเบื่อรสชาติสารอาหารจากพวกไบโทปแล้ว เราอยากรู้ว่าสารอาหารจากมนุษย์โลกมีรสชาติอย่างไรบ้าง” ว่าจบแล้ว มันก็พุ่งเข้ามาฉุดผมให้ลุกขึ้นทันใด
จริงๆ แอสตันก็ไม่ได้สูงกว่าผมมากนัก แต่ก็นับว่ารูปร่างใหญ่หากเทียบกับผมและริชาร์ดที่เป็นชาวเอเชียแล้ว ยิ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวด้วย ผมก็ยิ่งสู้แรงของหมอนั่นไม่ได้
“ปล่อยนะเว้ย” ผมขัดขืนเล็กน้อย พลางว่าเสียงต่ำ
แต่มันไม่ฟัง ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปากเกือบจะชนกับผม
“นิดเดียว เราแค่ชิม”
ชิมพร่อม! อย่าทำให้ชีวิตกูน่าอดสูไปมากกว่านี้เลยขอร้อง!
คีธเหมือนจะได้ยินคำร้องขอของผม พอแอสตันเลื่อนหน้าเข้ามา หมอนั่นก็พุ่งมาเอามือปิดปากผมอย่างรวดเร็ว ทำให้แอสตันจูบกับหลังมือของหมอนั่นแทน
“องค์ชาย... มันผิดธรรมเนียม”
แอสตันทำหน้ายุ่ง ยกมือข้างหนึ่งดึงมือคีธออก ขณะที่มืออีกข้างยังโอบเอวผมไว้แน่น ส่วนผมก็ยกมือสองข้างดันอกมันออกห่างเป็นพัลวัน
“เออ ผิดธรรมเนียมเนี่ย ถอยออกไปเลย!” แล้วก็ตามมาด้วยการโวยวาย
หากแต่แอสตันไม่ฟัง โน้มหน้าลงมาอีก ให้คีธเอามือมาปิดปากผมอีก
“องค์ชาย...”
เช่นเดิม พอถูกขวาง แอสตัสก็ดึงมือคีธออกแล้วทำท่าจะจูบผมอีกครั้ง แล้วไอ้คีธก็เอามือมาปิดปากผมเหมือนเดิม
“องค์ชาย...”
มึงก็กระชากมันออกจากกูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยสิวะ! ปิดปากกูจนปากจะเบี้ยวแล้วเนี่ย!
แต่ดูเหมือนครั้งนี้แอสตันจะยอมแพ้ พอเห็นสีหน้านิ่งๆ ของคีธ ก็ยอมปล่อยผมออกแต่โดยดี
“ก็ได้ๆ เราไม่ยุ่งกับโฮสต์ของนายก็ได้”
พอเป็นอิสระ ผมก็เซไปเล็กน้อยเพราะตอนหมอนั่นปล่อย ผมผลักตัวเองออกมาพอดี คีธรีบเข้ารับผมไว้จากข้างหลัง เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมโดนมันกอดเอวอีก
ร้องไห้ได้มั้ย วันนี้โคตรจะเปลืองตัวกับผู้ชายเลย!
“เช่นนั้นก็เชิญองค์ชายเสด็จไปบรรทมเถอะพ่ะย่ะค่ะ ดึกมากแล้ว องค์ชายคงจะเหนื่อย” คีธตัดบท
แอสตันพยักหน้าแล้วพยักหน้าให้คีธเดินนำออกจากห้องไป ผมเดินตามสองคนนั้นไปด้วยเพราะจะไปล็อคประตู ทว่าพอผมเอื้อมมือไปจับประตูปุ๊บ แอสตันก็ชะงักขาปั๊บ
“แต่วันนี้เรายังไม่ได้กินอะไรเลย เราหิว”
อย่าบอกนะว่ามึงจะดูดกูอีกแล้ว!
ผมผวาหนักก็ในตอนนี้ คีธเองก็รีบเข้ามาคว้าตัวผมไปซ่อนไว้ข้างหลังประหนึ่งเด็กกำลังจะโดนแย่งของเล่น พลางว่าเสียงเรียบ
“แม้จะเป็นองค์ชาย แต่หม่อมฉันก็ไม่ยินดีนักที่จะใช้โฮสต์ร่วมกับพระองค์”
“แล้วใครว่าเราจะใช้โฮสต์ร่วมกับนายล่ะ” แอสตันยิ้ม ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มของหมอนี่ในครั้งนี้ดูเจ้าเล่ห์พิกล ก่อนจะตระหนักได้ว่าหมอนี่คิดอะไรก็ตอนที่เห็นดวงตาสีเทาสว่างเหมือนกับของคีธเหลียวไปมองคนที่นอนแผ่หลาไร้สติอยู่บนเตียง
ยะ...อย่าบอกนะว่าเล็งไอ้ริชาร์ดไว้?
ผมได้สติ รีบพุ่งเข้าไปทำท่าจะดึงแอสตันออกมาจากห้อง แต่ก็ไม่ไวเท่าเมื่อแอสตันบอกลาแล้วปิดประตูดังปึง ทิ้งให้ผมยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าประตูอย่างตะลึงงัน
“สหายของเจ้าคงจะไม่รอดในคืนนี้” คีธว่าเสียงเรียบ ตอกย้ำความกังวลของผมเข้าไปอีก
ผมหันรีหันขวาง คิดหาทางช่วยชีวิตเพื่อนตัวเองก่อนจะมีชะตาชีวิตเหมือนกันกับผม แต่ไม่ทันจะได้คิดออก ผมก็ลอยหวือไปตามแรงของคีธที่เข้ามาอุ้มผมจากทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
“อย่ารบกวนเวลาส่วนตัวขององค์ชาย เจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าเองก็ยังไม่ได้กินสารอาหารจากเจ้าเลย ก่อนนอนมาทำกันเถอะ”
นี่ก็อีกตัว! ไอ้มนุษย์ต่างดาวพวกนี้มันเป็นโฮโมฯ กันจริงๆ ด้วยสินะ!
--------------------------------------
เจ้าชายมาแล้ววว เกรียนมาก ลามกก็เช่นกัน 555 บอกไว้ก่อนเลยว่าตอนหน้าเกรียนหนักมาก ริชาร์ดโดนบ้างละหลังจากล้อกวินทร์อยู่นาน ฮาาา

อ่านตอนนี้จบแล้ว วกกลับไปอ่านตรงแนะนำเรื่องหน้าแรกด้วยนะคะ หนูแดงอัพเดตข่าวสารเกี่ยวกับนิยายไว้จ้า จะได้รู้ว่ามีนิยายเรื่องไหนในสต็อกให้เสพกันบ้างเนอะ ^^
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: Malila ที่ 16-12-2015 14:44:33
5555555  ริชาร์ดเสร็จแน่ :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 16-12-2015 18:11:08
รีบมาต่อน๊าา ชอบมากเลย

กวินจะมีลูกกับคีธไหม

รอลุ้นครับ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 16-12-2015 20:50:20
ริชาร์ดโดนจองซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-12-2015 22:02:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 16-12-2015 23:25:56
ริชาร์ดจะรอดมั้ย.ริชาร์ดจะรอดมั้ยเอ่ย?555+
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 17-12-2015 00:08:01
สืบพันธุ์ไปพร้อมๆ กันเลยก็ได้พะยะค่ะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 17-12-2015 14:13:15
องค์ชายโคตรเกรียน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 17-12-2015 18:45:35
รอออออ คนแต่ง
บอกเลย ว่าตามทั้งสามเรื่อง
ชอบมากกก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.09]--16/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-12-2015 21:28:34
Episode 10: Richard's son is coming

ผมเป็นห่วงริชาร์ดจนคิดว่าคืนนี้คงจะข่มตาหลับไม่หลง แต่เอาจริงๆ พอหัวถึงหมอน สติผมก็ดับวูบราวกับมีใครมาปิดไฟ คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและเรื่องวุ่นๆ ที่ผจญมา กอปรกับถูกคีธดูดสารอาหารด้วย ผมเลยไม่มีเรี่ยวแรงเหลือที่จะมาห่วงใครอีก
รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนหัวค่ำของอีกวัน ผมชวนคีธไปหาอะไรกินเป็นเพื่อน แต่หมอนั่นไม่ไป อ้างว่าเป็นห่วงเจ้าชายที่ยังไม่โผล่หัวออกมาจากห้องริชาร์ดตั้งแต่เช้า ผมก็เลยไม่ได้สนใจ ไปคนเดียวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ผมเลือกที่จะซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดและของกินเล่นจากซูเปอร์มาร์เก็ตกลับมากินที่ห้อง ที่เลือกซื้อกลับมาก็เป็นเพราะจู่ๆ ก็เกิดเป็นห่วงริชาร์ดนั่นแหละ ไม่โผล่หัวออกมาแต่เช้าจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันคงจะถูกไอ้เจ้าชายหื่นนั่นดูดสารอาหารจนหมดตัวตายสยองไปแล้ว
และเพราะความเป็นห่วงว่าเพื่อนจะตาย พอเข้ามาในอพาร์ตเม้นต์ได้ ผมก็ปรี่ไปที่หน้าห้องริชาร์ดแล้วยกมือขึ้นเคาะสองสามครั้ง
“ริชาร์ด” เรียกมันด้วยเผื่อมันไม่ได้ยิน
หากแต่ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ ออกมาจนผมต้องเคาะเรียกอีก
“ริชาร์ด... ไอ้ริชาร์ด...”
เงียบ... ยังเงียบอยู่ ไม่ใช่ว่าแห้งตายไปแล้วหรอกนะ
ผมเกือบจะวางถุงขนมลงแล้วเอาหูไปแนบกับประตูเพื่อฟังเสียงข้างในแล้ว ถ้าจู่ๆ คีธที่อยู่อีกห้องหนึ่งไม่โผล่หน้าออกมาเสียก่อน
“อย่ารบกวนองค์ชายสิกวินทร์” หมอนั่นว่าหน้าตาย ทำเอาผมชะงัก
“ฉันก็แค่แวะมาดูว่าเพื่อนฉันเป็นไงบ้างก็เท่านั้น” ผมว่า
“องค์ชายอยู่ด้วย สหายเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก”
เพราะมันอยู่ด้วยนี่แหละถึงต้องเป็นห่วง!
“กลับมารอที่นี่กับข้าเถอะ สหายเจ้าคงจะอ่อนเพลีย ดีขึ้นเมื่อไหร่คงจะมาหาเจ้าเอง”
ผมฉุกคิดได้ในตอนนี้ว่าตอนที่ตัวเองถูกคีธกินสารอาหารครั้งแรกมันอ่อนเพลียจนแทบลุกไม่ขึ้นแค่ไหน ริชาร์ดก็คงจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แถมเมื่อคืนมันก็เมาหนัก โดนอย่างนั้นคงจะลุกไม่ขึ้นเป็นแน่ ผมก็เลยไม่ใส่ใจอะไร เดินหอบถุงของกินกลับเข้ามาในห้องตามคำชวนของคีธ
หากแต่ไม่ทันจะได้ก้าวเข้าห้อง เสียงร้องโหยหวนประหนึ่งควายถูกเชือดก็ดังลั่นออกมาจากห้องของริชาร์ด ผมชะงักกึก หมุนตัวกลับไปทุบประตูห้องมันอย่างรวดเร็วทันที
“ไอ้ริชาร์ด! เป็นอะไรวะ!”
หมอนั่นยังไม่มาเปิด เอาแต่ร้องเสียงหลงจนคีธที่ยืนมองอยู่เดินมาหาผมนิ่งๆ
“ข้าจัดการเอง”
“ถ้าคิดจะพังประตูล่ะก็หยุดเลย ไม่มีตังค์จ่ายค่าประตูนะเว้ย” ผมว่าเสียงขุ่น คีธก็เลยหยุดความคิดที่จะพังประตูไป ปล่อยให้ผมทุบประตูเป็นบ้าเป็นหลังอีกครั้ง
“ไอ้ริชาร์ด! เปิดสิเว้ย! เปิดประตู!”
ครู่เดียว เสียงกลอนประตูถูกปลดดังกริ๊กก็ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าหวาดหวั่นและซีดเผือดของริชาร์ดที่ปรากฏมาให้เห็น พอมันเห็นหน้าผม มันก็เรียกผมเสียงสั่นเครือทันที
“คะ...เควิน ช่วยด้วย”
ผมไม่เคยเห็นหน้าตาเหมือนจะตายให้ได้แบบนี้ของมันมาก่อนเลย เกือบจะออกปากถามแล้วว่าให้ช่วยเรื่องอะไร แต่สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างกายของมันเสียก่อน เท่านั้นผมก็เบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นหน้าท้องของริชาร์ดบวมเป่งไม่ต่างจากคนท้อง ลางสังหรณ์บอกกับผมเลยว่าไอ้เจ้าชายเวรนั่นคงจะไม่ได้แค่กินสารอาหารอย่างเดียวแล้ว แต่มันคงจะวางไข่ด้วย ไม่อย่างนั้นไอ้ริชาร์ดคงจะไม่ท้องโย้แบบนี้ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อผมกวาดตามองเข้าไปในห้องแล้วไม่เห็นหัวไอ้เจ้าชาย
ถึงจะรู้ว่าตอนนี้มันคงจะสิงสถิตอยู่ในท้องของเพื่อนผม แต่ผมก็อดถามออกไปไม่ได้
“ไอ้แอสตันมันไปไหน”
“มะ...ไม่รู้ ช่วยฉันด้วยเควิน...” ริชาร์ดส่ายหน้ารัว ดวงตาเรียวคลอไปด้วยน้ำตารื้นๆ เห็นแล้วก็โคตรจะสงสารมันฉิบเป๋ง เมาไม่รู้เรื่องตั้งแต่เมื่อคืน ตื่นขึ้นมาก็เจอตัวเองกำลังท้อง โดนลักหลับวางไข่ชัดๆ
"อะ...โอ๊ย..."
จู่ๆ ริชาร์ดก็ร้องโอดโอยขึ้นมาพร้อมกับบางสิ่งที่ขยับบริเวณหน้าท้องภายใต้เสื้อยืด ผมรีบแทรกตัวเข้ามาในห้อง ร้องบอกให้คีธที่เดินนิ่งๆ เข้ามาปิดประตู แล้วพยุงเพื่อนตัวเองไปที่เตียง
แต่ตอนนี้ริชาร์ดมันขวัญผวาสุดๆ พอเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวใต้ผิวหนังหน้าท้องตัวเอง แข้งขาก็ไม่มีแรงเดิน ทิ้งตัวเองลงนั่งกับพื้นตรงนั้นจนผมต้องปลอบขวัญมันเป็นพัลวัน
“ใจเย็นๆ ก่อนนะเว้ย ไม่มีอะไร ใจเย็นๆ”
“ไม่มีอะไรได้ไงวะ ฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ นอนอยู่ดีๆ ก็ตื่นมาเห็นตัวเองท้องอืดแบบนี้เนี่ย!” มันแผดเสียง น้ำตาจากที่คลอๆ ทำท่าเหมือนจะไหลออกมาให้ได้
ผมล่ะอยากจะบอกมันเหลือเกิดว่ามันไม่ได้ท้องอืด แต่มันกำลังตั้งท้องไอ้เจ้าชายลามกนั่น ทว่าก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ เพราะเสียงร้องโอยอย่างเจ็บปวดหลุดออกมาจากปากของริชาร์ดเสียก่อนพร้อมกับน้ำเมือกสีใสที่ค่อยๆ ไหลซึมผ่านเสื้อยืด
ผมผลักมันให้ลงนอนราบ พลันถอดเสื้อออกจากตัวมันอย่างรวดเร็ว ริชาร์ดทำหน้าเหมือนอยากได้คำตอบว่าผมจะทำอะไร ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากตอบว่าช่วยมันเตรียมคลอด น้ำเมือกนั่นก็พุ่งออกมาจากสะดือมันอย่างกับเขื่อนแตกจนผมที่พยายามช่วยริชาร์ดอยู่ผงะไปอีกทางด้วยความขยะแขยง ส่วนริชาร์ด จากที่ตกใจอยู่แล้วก็ตกใจเข้าไปใหญ่ และหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันเห็นบางอย่างผุดพรายขึ้นมาจากสะดือตัวเอง
“นะ...นิ้วมือ! ไอ้เควิน! นิ้วมือคน! อ๊ากกก!” มันตะโกนร้องเป็นบ้าเป็นหลัง ขนาดผมที่เคยผ่านประสบการณ์สยองแบบนี้มาถึงสองครั้งแล้ว พอได้มาเห็นอีกครั้งก็ยังอดขนหัวลุกไม่ได้
และความสยดสยองก็เพิ่มขึ้นอีกเมื่อแอสตันค่อยๆ ดันแขนทั้งสองข้างของตัวเองออกมา ในตอนนี้ผมกับริชาร์ดประสานเสียงกันแหกปากราวกับกำลังดูหนังสยองขวัญเวอร์ชั่นโคตรโหด
“อ๊ากกก! เควิน! ไอ้เควินช่วยด้วย! อ๊ากกก!” ริชาร์ดสติแตกไปแล้ว ดิ้นพราดราวกับถูกน้ำร้อนลวก
ผมถอยกรูดไปติดผนัง ทิ้งให้ริชาร์ดเผชิญหน้ากับการคลอดทีละส่วนของแอสตันเพียงลำพังด้วยการคลอดของแอสตันมันสยองเกินกว่าผมจะทนดูอยู่ใกล้ๆ
คือตอนที่คลอดคีธน่ะ ผมว่ามันสยองแล้วนะแต่มันเห็นไม่ชัดแบบสามร้อยหกสิบองศาแบบนี้ไง มันเลยไม่สยองมาก แต่พอมาเห็นแบบนี้แล้ว ผมนี่แทบจะเสียสติตามริชาร์ดไปเหมือนกัน
ผมมองริชาร์ดดิ้นทุรนทุรายกับแขนทั้งสองข้างที่โผล่มาจากหน้าท้องตัวเองด้วยความหวาดหวั่น กระทั่งแอสตันมันได้ฤกษ์โผล่หัวออกมาพร้อมกับน้ำเมือกอาบใบหน้า ผมถึงได้สติอีกครั้ง
“ไฮริชาร์ด ไฮกวินทร์” โผล่หน้าออกมาได้ มันก็ยิ้มร่า โบกมือทักทายผมกับริชาร์ดที่ทำหน้าซีดมองมันอยู่
ไฮป้ามึง! แหกสะดือเพื่อนกูซึ่งๆ หน้าแล้วยังจะมาทำหน้าระรื่นอีก!
“อ๊ากกก!” ริชาร์ดแผดเสียงหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในท้องตัวเองนานสองนานคือเด็กที่เจอในคลับเมื่อคืน
แล้วมันก็ทำท่าจะสลบให้ได้เมื่อแอสตันดึงตัวเองออกมายืนบนพื้น
“ตอนแรกว่าจะกินสารอาหารอย่างเดียว แต่นึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาต้องสร้างร่างใหม่พอดีก็เลยจัดการวางไข่แทนน่ะ” แอสตันว่าราวกับรู้ว่าอีกเดี๋ยวจะถูกถามว่าอะไร ขณะที่ผมทำหน้าราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ไหนพวกมึงบอกว่าถ้าจะวางไข่ต้องขออนุญาตก่อนไง!
“ไม่ต้องมองเราแบบนั้นกวินทร์ เราขออนุญาตเพื่อนนายแล้ว” แอสตันว่าขณะที่คีธเดินเอาผ้าเช็ดตัวของริชาร์ดมาให้หมอนั่นเช็ดหน้า ไอ้ท่าทางรู้ทันว่าผมจะถามอะไรมันทำเอาผมเบ้หน้า
“ใครมันจะไปอนุญาตวะ ไปขอวางไข่แบบนั้นน่ะ”
“ก็เพื่อนนายไง พอเราถามว่าขอวางไข่ได้มั้ย เพื่อนนายบอกว่าอือ แล้วก็หัวเราะใหญ่เลย ทำท่าเหมือนจะชอบด้วย”
ก็มันเมา มันจะไปรู้เรื่องมั้ยเล่า!
ผมปวดขมับขึ้นมาหนึบๆ ไอ้มนุษย์ต่างดาวพวกนี้นี่ทำผมประสาทเสียขึ้นมาจริงๆ ซะแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะได้ปวดกะโหลกไปมากกว่านี้ เสียงดังตุ้บของวัตถุบางอย่างกระแทกพื้นก็เรียกความสนใจของผมไป พอหันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นริชาร์ดฟุบสลบไปกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
คีธผละจากการปรนนิบัติไอ้เจ้าชายเวรนั่นมายังริชาร์ด ทำท่าเหมือนจะช้อนตัวหมอนั่นขึ้น ทว่าแอสตันก็ยกมือขัดเสียก่อน
“ไม่ต้อง เราเอง ริชาร์ดเป็นโฮสต์ของเรา เราจะดูแลเขาเป็นการขอบคุณ”
คีธพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถอยออกมาให้แอสตันเดินเข้าไปแทน แอสตันโน้มตัวลงช้อนริชาร์ดขึ้นในอ้อมแขน ก่อนพามันไปนอนบนเตียง พร้อมกับจัดการเอานิ้วตัวเองยัดปากหมอนั่นให้กินสารอาหาร
ผมเห็นแล้วก็ถอนหายใจเต็มแรง ฉากนี้เหมือนกับที่ผมโดนคีธทำไม่มีผิด ก่อนจะได้สติอีกครั้งเมื่อคีธว่าขึ้น
“อย่ารบกวนองค์ชาย ปล่อยให้พระองค์ได้ใช้เวลาส่วนตัว” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังทำท่าจะลากผมออกจากห้องไปด้วย แต่ผมไม่ยอมไป รีบเบี่ยงตัวหลบก่อนจะถูกมันจับไว้
“ฉันจะอยู่ดูเพื่อนฉัน”
“แต่นี่มันเวลาส่วนพระองค์” คีธว่าเสียงเรียบ
ผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่าผู้พิทักษ์อย่างหมอนี่มีหน้าที่อะไร แต่ไอ้คนที่อยู่กับเจ้าชายนั่นมันเป็นเพื่อนผมนี่หว่า เมื่อคืนก็ปล่อยให้มันโดนกระทำชำเราตอนเมาไม่รู้เรื่องไปแล้ว รอบนี้ผมไม่ปล่อยให้มันโดนอีกเป็นรอบที่สองแน่ เผลอๆ ถ้าลับสายตาแป๊บเดียว ไอ้ริชาร์ดมันจะโดนผูกพันด้วย ถ้าโดนขึ้นมาล่ะก็ เรื่องใหญ่เลยทีนี้
“ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ดูเพื่อนฉัน เจ้าชายของนายมันไว้ใจไม่ได้” ผมว่าไปตามตรง
“กวินทร์... อย่าดื้อ” คีธยู่คิ้วเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้รู้ว่าไม่พอใจเท่าไหร่นักที่ผมดูหมิ่นเจ้านายตัวเองแบบนี้ ดีที่แอสตันพูดขัดขึ้นมา ไม่อย่างนั้นผมคงต้องถูกมันหิ้วปีกออกจากห้องไปแน่ๆ
“ไม่เป็นไรคีทาเย อยู่ด้วยกันหลายๆ คนก็ดี สนุกดี”
สนุกกับผี! มีแต่มึงเนี่ยแหละที่สนุกอยู่คนเดียว!
พอแอสตันว่าอย่างนั้น คีธก็ยอมผละจากผมไปได้ ผมเลยเดินไปทรุดตัวนั่งยังเก้าอี้ที่โต๊ะมุมห้อง มองการกระทำของแอสตันตาไม่กะพริบ
ผ่านไปชั่วโมงกว่า ผมก็เริ่มวางใจว่าคงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะดูท่าทาง แอสตันก็ดูแลริชาร์ดที่นอนไม่ได้สติดี ตอนนี้ผมเลยได้เวลามาจัดการกับอาหารมื้อแรกของตัวเองบ้าง ผมใช้เวลากินไม่นานนัก เบอร์เกอร์ในมือก็ถูกจัดการเหี้ยน คีธที่เห็นผมอิ่มแล้วก็เดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้อีกตัวใกล้ๆ พลางมองผมนิ่งๆ
“อะไร” ผมว่าเสียงขุ่นที่ถูกจ้องอยู่นานสองนาน
“อิ่มแล้วใช่มั้ย” หมอนั่นถามกลับ ผมรู้เลยว่าเดี๋ยวมันจะต้องขอกินสารอาหารจากผมแน่ก็เลยรีบพูดดักไป
“ถ้าจะกินล่ะก็ กลับไปกินที่ห้อง”
คีธพยักหน้า เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่ามันจะต้องขอกิน
หากแต่พอผมดันตัวเองลุกขึ้น หมอนั่นก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือผมเอาไว้
“แต่ข้าหิวแล้ว หิวมาก” ว่าอย่างเดียวไม่พอ ส่งสายตาออดอ้อนใส่อีก
มึงไม่ต้องมาทำหน้าเป็นลูกหมาเลย กูไม่เห็นใจ!
“ไปกินที่ห้อง” ผมว่าเสียงแข็ง
แต่ก็เท่านั้นแหละ คีธมันฟังอะไรที่ไหน ลุกขึ้นมาประจันหน้าผม แล้วใช้แขนข้างหนึ่งตวัดเอวผมเข้าไปใกล้ พลันว่าเสียงแผ่ว
“หิวจัง”
มึงหยุดอ้อนเดี๋ยวนี้!
“เออๆ เร็วๆ เข้า” สุดท้ายผมก็ยอม ไม่ใช่ว่าใจอ่อนหรอก แต่ตัดรำคาญ อีกอย่าง แอสตันมันก็ไม่ได้ทำท่าว่าจะสนใจผมกับคีธแม้แต่น้อย นอกจากสนใจโฮสต์ของมัน ผมก็เลยยินยอมโดยไม่ว่าอะไร
พอได้ยินคำอนุญาต คีธก็ยกมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ทำเอาผมใจสั่นนิดๆ ที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ” หมอนั่นว่าขึ้นอีกครั้งก่อนจะประกบริมฝีปากลงมา
จูบของคีธยังคงนุ่มนวลแต่ลีลาเด็ดเหมือนเดิม จูบได้ครู่เดียว เราก็จำเป็นต้องผละออกจากกันเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหายใจเฮือกของริชาร์ดดังขึ้น พอหันไปก็เห็นว่าหมอนั่นรู้สึกตัวแล้ว
“อะ...อะไรวะเนี่ย!” แน่นอนว่าสิ่งแรกที่มันทำคือบ้วนนิ้วเจ้าชายที่อยู่ในปากออก แล้วก็รีบถอยห่างจากแอสตันราวติดจรวด
“ฟื้นแล้วเหรอ” แอสตันก็ถามยิ้มๆ ไม่รู้สึกรู้สาว่ามันนั่นแหละที่เป็นคนทำให้ริชาร์ดสลบอย่างนั้น ขณะที่ริชาร์ดปราดสายตามองร่างเปล่าเปลือยของคนตรงหน้าด้วยสายตาหวาดๆ ก่อนจะเบนมายังผมที่ถูกคีธประคองใบหน้าค้างไว้อยู่
“คะ...เควิน นี่มันเรื่องอะไร” ถามพลางทำหน้าจะร้องไห้
“ไม่มีอะไรริชาร์ด ใจเย็นๆ”
ผมผลักคีธออกห่าง หันไปมองหน้ามันอย่างเห็นใจที่จู่ๆ ก็มาเจอเรื่องแบบนี้โดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะปลอบมันให้สงบจิตสงบใจลง แต่แล้วมันก็ทำให้ผมต้องหงุดหงิดอีกครั้งเมื่อมันพูดขึ้น
 “อย่า...อย่าบอกนะว่าพวกนายกำลังทำเกย์เซ็กส์โฮมวิดีโอ”
ปล่อยให้ไอ้เจ้าชายลากไปปู้ยี่ปู้ยำแม่งซะเลยดีมั้ง!
“ไม่ใช่เว้ย! ไอ้พวกนี้มันเป็นมนุษย์ต่างดาว มันวางไข่ใส่นาย ไม่ได้ทำหนังโป๊เกย์!” ผมตะเบ็งเสียงใส่ ริชาร์ดเหมือนจะได้สติมาในตอนนี้
“มนุษย์ต่างดาว?”
“เออ มนุษย์ต่างดาวนั่นแหละ” ผมยกมือขึ้นยีผมตัวเองอย่างหัวเสีย “สงบสติอารมณ์ซะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
พอเห็นว่าริชาร์ดพอจะทำใจได้แล้ว ผมก็สาธยายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองตอนที่เจอคีธครั้งแรก และสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันเมื่อคืนให้ฟังทั้งหมด ริชาร์ดทำหน้าเหมือนไม่เชื่อกระทั่งได้ยินคำสุดท้ายหลุดออกจากปากผม มันถึงได้มองหน้าคีธกับแอสตันสลับกันไปมาด้วยยังงุนงงกับเรื่องที่ได้ยินไม่เลิก
“หมายความว่า... คีธกับแอสตันเป็นมนุษย์ต่างดาวจากดาวที่อยู่ห่างจากโลกเราไปสิบห้าพันล้านปีแสง?”
“เออ ไอ้ที่คีธเคยบอกอะไรกับนายแล้วนายเอาไปทำเป็นรายละเอียดตัวละครเจ้าชายต่างดาวอะไรนั่น เป็นข้อมูลของดาวไอ้พวกบ้านี่หมดนั่นแหละ” ผมว่าเนิบๆ
“เป็นไปไม่ได้น่า” ริชาร์ดพึมพำออกมาทันใด ทำเอาผมแสยะยิ้มเย้ย
“เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปแล้ว เพิ่งจะถูกวางไข่จนคลอดไอ้บ้านี่ออกมา ยังจะไม่เชื่ออีกหรือไง เป็นไงล่ะ ได้เจอเจ้าชายต่างดาวตัวจริง อึ้งเลยมั้ย”
ไม่รู้ทำไมตอนผมพูดประโยคนี้ ผมโคตรจะสะใจมันเลย กูรูเอเลี่ยนก็กูรูเอเลี่ยนเถอะ ได้มาเจอตัวเป็นๆ ถึงกับพูดไม่ออก
“แสดงว่าแอสตันเป็นลูกฉันเหรอ” ริชาร์ดเหลือบไปมองแอสตันอย่างหวาดๆ ก่อนที่ผมจะตอบ
“ไม่เชิง อย่างที่บอกว่ามันอาศัยร่างนายในการสร้างร่างใหม่ นายมีสถานะเป็นโฮสต์ให้มันวางไข่กับแหล่งอาหารให้มากกว่าที่จะเป็นแม่ เรียกง่ายๆ ก็กาฝาก”
ริชาร์ดเงียบนิ่งไปครู่ ดูท่าทางน่าจะเข้าใจระบบการเจริญเติบโตของพวกเอเลี่ยน มันต้องเข้าใจอยู่แล้วล่ะ ก็มันเป็นแฟนพันธุ์แพ้หนังเอเลี่ยนนี่หว่า
“ฝังไข่ เป็นแหล่งอาหาร มันต้องมีแผนครองโลกแน่ ไม่สิ ขยายพันธุ์ก่อนแล้วก็ครองโลก มนุษย์โลกก็จะกลายพันธุ์ ไม่กลายพันธุ์ก็ต้องถูกกำจัด ถูกกำจัดแน่ๆ...” ริชาร์ดพึมพำอยู่คนเดียวจนฟังไม่ได้ศัพท์ ผมเห็นแล้วก็กะจะปล่อยมันไว้สักพัก ดูท่าทางมันคงจะยังทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ให้เวลามันสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น
“เดี๋ยวฉันกลับห้องก่อน มีอะไรก็เรียกแล้วกัน” ผมทำลายความเงียบขึ้นเมื่อเห็นว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
หากแต่พอผมทำท่าจะเดินไปที่ประตูเท่านั้น ริชาร์ดก็รีบทิ้งตัวมาคว้าเสื้อผมจากทางด้านหลังไว้ทันที
“อย่าไปนะเว้ยเควิน อย่าทิ้งฉันไว้ นายไปไหน ฉันไปด้วย”
“ทีงี้ทำมาเป็นกลัว ก่อนหน้านี้ยังเห็นชอบเอเลี่ยนอยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ ได้อยู่กับเอเลี่ยนก็สมใจแล้วนี่” ผมแสร้งว่าประชดประชันให้ริชาร์ดส่ายหน้ายิก
“ก็อันนั้นมันในหนัง อันนี้มันตัวจริง ไม่เหมือนกันนี่หว่า ถ้าจู่ๆ มันคิดจะกินฉันขึ้นมา แล้วฉันจะทำยังไง”
ผมนึกขึ้นได้ในตอนนี้ว่าหลังจากที่ถือกำเนิดออกมาจากร่างโฮสต์แล้ว มนุษย์ต่างดาวพวกนี้มันจะหิวมาก และต้องการสารอาหารจากโฮสต์มากเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่าการกินสารอาหารก็คือการจูบ เท่านั้นผมก็ยิ้มเผล่
คราวนี้ล่ะมึง ไอ้ที่ล้อกูว่าเป็นโฮโมฯ เป็นคู่ขากับไอ้คีธบ่อยๆ เดี๋ยวมึงได้รู้ เดี๋ยวรู้เลย!
“ไม่เป็นไรเว้ย ไอ้พวกนี้มันไม่กินคน แต่มันกินอย่างอื่น”
“กินอะไรวะ” ริชาร์ดถามด้วยสีหน้าหวาดระแวง
“เดี๋ยวรู้” ผมยิ้มเผล่ ส่งสายตาไปทางแอสตันที่กำลังรับเสื้อผ้าชุดเมื่อวานจากคีธมาสวมใส่
พอแอสตันจัดการปกปิดร่างกายตัวเองด้วยเสื้อผ้าพวกนั้นเสร็จ ผมก็ดีดนิ้วเปาะเรียกทันที
“เฮ้แอสตัน”
หมอนั่นหันมาเลิกคิ้วให้ผมเป็นคำถาม
“นายไม่หิวหรือไง”
พอผมถามแบบนี้ แอสตันก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเอาแต่ป้อนสารอาหารให้ริชาร์ดจนตัวเองลืมกินไปเสียสนิท
“หิวสิ เรายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
คำพูดนี้ทำเอาริชาร์ดขนลุกขนพอง มันส่ายหน้าให้ผมเป็นพัลวัน
“ไม่เอานะเว้ย อย่าให้มันทำอะไรฉันนะเควิน”
ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบรับ แอสตันก็เข้ามาดึงแขนริชาร์ดไปแล้ว ริชาร์ดหันมามองผมที่ยิ้มให้มันเล็กน้อยด้วยสีหน้าวิงวอน
“เรี่องปกติ เดี๋ยวก็ชิน” ผมว่าอย่างไม่แยแส เสร็จแล้วก็รอดูเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น
คราวนี้แหละไอ้ริชาร์ด ไม่ใช่แค่กูที่เป็นโฮโมฯ มึงก็ด้วย!
“เราขออนุญาตกินสารอาหารจากนายหน่อยนะริชาร์ด” ความสนใจของริชาร์ดถูกเบนไปที่แอสตันเมื่อหมอนั่นพูดประโยคนี้ออกมา
“มะ...ไม่เอา” ริชาร์ดส่ายหน้าดิก แต่ก็ไม่ทันการเมื่อแอสตันเลื่อนมือจากข้อมือมาจับไหล่ให้หันไปทางมัน แล้วฉกจูบลงไปเรียบร้อย เสี้ยววินาทีเดียว ริชาร์ดก็ดิ้นสุดแรงแล้วผลักคนตรงหน้าออก ตามด้วยร้องเสียงหลง
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย! ปล่อยนะเว้ย!”
ทว่าแอสตันก็ไม่ยอมปล่อย จับไหล่ของริชาร์ดไว้แน่นกว่าเดิม แถมยังเลื่อนหน้าใกล้เข้าไปหาพร้อมกับว่าเสียงระรื่น
“ก็แค่กินสารอาหารน่า”
“กินบ้าอะไร นี่มันจูบชัดๆ! จูบ! นายเป็นโฮโมฯ หรือไงวะ!”
“นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่สึกหรอ แต่อาจจะเพลียมากสักนิด ครั้งแรกของนายนี่นะ”
พอได้ยินแอสตันว่าไม่ยี่หระ แถมยังสองแง่สองง่ามอย่างนั้น ริชาร์ดก็ดิ้นประหนึ่งปลาขาดน้ำทันที จนแอสตันที่จับอยู่แสดงสีหน้ารำคาญออกมาเล็กๆ ก่อนออกปากสั่งคนตัวใหญ่ที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“คีทาเย ช่วยหน่อยสิ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” สิ้นเสียง คีธก็พุ่งเข้าไปจับแขนริชาร์ดมาไพล่ข้างหลังด้วยมือเพียงข้างเดียว ขณะที่อีกมือหนึ่งบีบใต้คางเรียวของหมอนั่นให้หันไปหาแอสตัน
“ทีนี้จะได้กินแบบสบายใจสักที” แอสตันว่าพลางหยักยิ้ม
ริชาร์ดทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้ขณะที่สายตาเหลือบมามองผม
“คะ...เควิน...ช่วยด้วย...”
ผมเห็นท่าทางของมันแล้วก็ไม่รอช้า รีบตรงไปลากเก้าอี้มากลางห้องทันใด สายตาของริชาร์ดประกายราวกับมีความหวังว่าผมจะช่วย แต่เปล่าเลย ผมแค่เดินมานั่งตรงหน้าพวกมันพร้อมกับหยิบถุงมันฝรั่งทอดติดมือมาด้วย พอนั่งได้ปุ๊บ ผมก็แกะถุงขนมออก พลันยิ้มเผล่
“นักแสดงพร้อม สาม สอง หนึ่ง แอคชัน!”
“ไอ้เควิน!” ริชาร์ดแหกปากเสียงหลงก็ในตอนนี้
สมน้ำหน้า อยากล้อกูนัก ของกูยังแค่ไอ้คีธคนเดียว ของมึงเอาไปเลยทั้งไอ้เจ้าชาย ทั้งไอ้คีธ ทรีซัมสมใจมั้ยล่ะมึง!
ริชาร์ดถูกแอสตันจูบอย่างดูดดื่ม จากที่ดิ้นพราดๆ ในตอนแรกก็อ่อนแรงลงทีละน้อยจนแทบจะทรุดไปกับพื้น หน้าตาหมอนั่นอิดโรย ทว่าสายตาที่มองมายังผมที่กำลังเคี้ยวมันฝรั่งทอดตุ้ยๆ บ่งบอกชัดเจนว่าแค้นผมโคตรๆ
แอสตันผละออกจากริมฝีปากของริชาร์ด ขณะที่คีธทำท่าจะอุ้มหมอนั่นไปที่เตียง หากแต่ก็โดนห้ามไว้
“เดี๋ยวเราจัดการเอง นายไปพักผ่อนเถอะ”
คีธพยักหน้าแล้วถอยออกมา ให้แอสตันอุ้มริชาร์ดไปนอนราบบนเตียง ผมเห็นแล้วก็ภาวนาในใจว่าขอให้มันโดนสูบอีก สูบให้กรอบเลย จะว่าผมเลวก็เอาเถอะ แต่ใครมันจะไปสนล่ะ ได้ทีเอาคืนแล้วต้องเอาคืนอย่างสาสม
ล้างแค้นอีกสิบปีก็ยังไม่สาย!
ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้เห็นริชาร์ดถูกเอาคืนจนหนำใจ คีธก็เข้ามาล็อคแขนผมเป็นที่เรียบร้อย
“ไปเถอะ หมดหน้าที่เจ้ากับข้าแล้ว” ว่าจบก็ลากผมออกจากห้องไปเลย
มาปล่อยอีกทีก็ตอนพาผมกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้เห็นตอนนี้ เดี๋ยวก็ได้เห็นอีก มันเป็นโฮสต์ของแอสตันแล้วนี่นะ ยังไงก็หนีไม่พ้น
“นี่กวินทร์”
ผมละความสนุกในใจหันไปมองตามต้นเสียง พอเห็นคีธที่ทำหน้าเนือยๆ ก็ย่นคิ้ว
“อะไรอีก”
“ข้ายังไม่อิ่มเลย”
มึงก็เรื่องเยอะจริงโว้ย!
“จะกินก็กิน” ผมว่า
คีธเดินเข้ามาดึงผมไปนั่งบนเตียง ก่อนประคองใบหน้าผมแล้วจรดริมฝีปากลงมา ดูดกลืนสารอาหารอย่างอ้อยอิ่ง ผมชักจะรำคาญกับความยืดยาดของมันขึ้นมาตงิดๆ จนผมต้องผลักมันออก
“ชักช้าว่ะ จะทำอะไรก็ทำเร็วๆ ไม่ได้หรือไง”
“ก็สารอาหารจากเจ้ามันอร่อย ข้าอยากจะละเลียดชิมรสชาติของเจ้าทีละน้อย” พูดจบ ก็นาบริมฝีปากหยักลงมาบนเรียวปากผมอีก แต่ความยืดยาดยังคงเหมือนเดิม แถมยังแผ่วเบาเนิบนาบซะจนหัวคิ้วผมกระตุกยิกอย่างหงุดหงิด
“ฉันจัดการเอง” ผมผลักหมอนั่นออกห่างแล้วพูดขึ้น
คีธเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังถามว่าผมจะทำอะไร หากแต่ไม่ต้องให้ผมตอบ หมอนี่ก็รู้เมื่อผมเป็นฝ่ายรุกจูบเอง แน่นอนว่าจูบของผมดุดันและเร่าร้อนกว่าของหมอนี่มาก แต่ไม่ได้เป็นไปเพราะผมนึกพิศวาสขึ้นมาแต่อย่างใด แค่ต้องการให้มันรีบๆ ทำ รีบๆ เสร็จไปต่างหาก
คีธเหมือนจะไม่รู้ พอตั้งสติได้ มันก็ยกมือมากดท้ายทอยผมให้ริมฝีปากเราแนบสนิทกันยิ่งกว่าเดิม การกินสารอาหารครั้งนี้เนิ่นนานกว่าปกติเป็นเท่าตัว น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกอ่อนเพลียเลยแม้แต่น้อย ก่อนจิตใต้สำนึกจะบอกว่านี่ไม่ใช่การกินของคีธ แต่มันคือการจูบ
จูบแบบจูบจริงๆ น่ะ!
พอรู้ตัว ผมก็พยายามจะเอาตัวเองออกมา ทว่าคีธไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ มิหนำซ้ำ ยังกดผมลงบนเตียงแล้วโถมร่างขึ้นมาคร่อมทับไว้ ทับอย่างเดียวไม่ว่า มือยังเป็นปลาหมึก ล้วงเข้ามาใต้เสื้อผมแล้วลูบหน้าท้องไปมาอีกด้วย เท่านั้นผมก็เบิกตาโพลง ทุบมันเป็นพัลวัน คีธชะงัก ละริมฝีปากออกจากผมให้ผมได้หายใจหายคอโล่งออกอีกครั้ง
“ขออภัย ข้าลืมตัว”
มึงไม่ต้องมาอ้าง! จะปล้ำกูอีกแล้วสินะ!
ผมชักสีหน้าใส่มัน ปากก็ก่นด่าไปด้วย
“ไอ้เวร...”
คีธไม่พูดอะไร นอกจากเหยียดริมฝีปากขึ้นสูง พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะจากหมอนี่ แต่สาบานเลยว่ามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีสักนิด เห็นมันทำแบบนี้แล้วอยากจะกระโดดถีบสองขาคู่ชะมัด
แต่ผมก็ทำได้แค่คาดโทษมันเท่านั้นแหละ
“ทีหลังไม่ต้องมากินเลย ปล่อยให้อดตายแม่ง”
คีธยกมือขึ้นมาจับปลายผมของผมเล็กน้อย พลางพูดเสียงเรียบ
“แกล้งเล่นนิดเดียวน่า”
นิดเดียวเตี่ยมึง! ถ้ากูไม่ห้าม มึงคงปล้ำกูไปแล้ว!
ผมปัดมือใหญ่ออกจากตัว ทำท่าไม่สนใจอีกต่อไป ทว่าในจังหวะที่กำลังจะหันหนีนั้นก็สังเกตเห็นแววตานิ่งเฉยที่มองมายังผมว่ามันประกายวาวไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เท่านั้นผมก็ใจเต้นขึ้นมาเบาๆ
ผมรีบสลัดความรู้สึกนั้นออกไป แต่จู่ๆ คีธก็เรียกผม ทำเอาผมตวัดสายตาไปมอง
 “กวินทร์”
“อะไรอีกวะ” ผมถามเสียงขุ่น ตอนนี้ใบหน้าของคีธกลับมาเป็นหน้าตายเหมือนเดิมแล้ว
“แค่จะบอกว่าการกระทำของเจ้าน่าเอ็นดูดี ข้าชอบ”
จากที่อุตส่าห์ทำใจให้เป็นปกติได้ ก็กลายเป็นว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวกว่าเดิม ผมรีบเมินหมอนั่นอีกครั้งโดยการลุกหนีเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้หมอนั่นมองตามขณะที่หัวผมก็คิดยุ่งไปหมด
หมอนี่ไม่ได้นิ่งๆ มึนๆ อย่างที่ผมคิดไว้ซะแล้ว เจ้าเล่ห์ตัวพ่อชัดๆ ไอ้นี่แหละอันตรายกว่าไอ้เจ้าชายลามกเยอะ!
----------------------------------------------
ริชาร์ดนี่งามไส้มากๆ น่าสงสาร โดนลักหลับวางไข่เฉย 555
กวินทร์กับคีธนี่ก็มุ้งมิ้งกันเรื่อย คีธนี่ร้ายมาก ตอดนิดตอดหน่อยตลอดดดด พักนี้เริ่มขี้อ่อยแล้วด้วย กวินทร์ใจสั่นหลายรอบแล้วนะ ฮาาา ตอนหน้าแก๊งนี้ยังคงเกรียนหนักอย่างต่อเนื่อง รออ่านกันนะจ๊ะ
 
 
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.10]--17/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: Oo๐FosfoggY๐oO ที่ 17-12-2015 22:23:47
อ่านรวดเดียวมาถึงนี่ ตาคีธนี่ร้ายกาจมากกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.10]--17/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 17-12-2015 23:57:48
ว้ายยยนังคีธนังคน(รึเปล่า?)ขี้อ่อย :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.10]--17/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 18-12-2015 00:11:27
เสพติดเรื่องนี้ไปแระ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.10]--17/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-12-2015 17:49:38
Episode 11: Richard, The murderer[1]
ความวินาศสันตะโรเริ่มขึ้นเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ผมได้ยินเสียงโหยหวนของริชาร์ดดังออกมาจากห้องเป็นระยะๆ เชื่อได้เลยว่าไอ้เจ้าชายลามกนั่นคงจะจับริชาร์ดกดเพื่อกินสารอาหารทั้งวันแน่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม ผมเลยไม่เข้าไปช่วยแต่อย่างใด ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอดแล้วจะมีหน้าไปช่วยใครที่ไหน ต่อให้หมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทก็เถอะ ยอมรับก็ได้ว่าประเด็นจริงๆ ก็คือผมอยากให้หมอนั่นได้ลิ้มรสความอัปยศเหมือนกับที่มันชอบล้อผมก่อนหน้านั้นบ้าง ทีนี้มันคงจะรู้แล้วล่ะว่าทำไมผมถึงได้ถูกไอ้บักคีธมันจูบบ่อยนัก
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมหงุดหงิดไม่ใช่เรื่องที่ริชาร์ดเคยล้อเลียนผมแต่อย่างใด หากแต่เป็นการหมกตัวอยู่ในห้องกับคีธทั้งวันโดยที่หมอนั่นเอาแต่นั่งจ้องโทรทัศน์ ดูซีรีย์ชื่อดังจากฮอลลีวูดไม่หยุดตั้งแต่เช้านี่แหละ ที่หงุดหงิดนี่ก็ไม่ใช่เพราะมันดูโทรทัศน์จนไม่สนใจผมนะ แต่หงุดหงิดเพราะมันบอกกับผมก่อนมาที่นี่ว่าถ้ามันเจอพรรคพวกเมื่อไหร่ก็จะไปจากผมทันทีต่างหาก นี่อะไรของมัน เจอไอ้เจ้าชายนั่นก็แล้ว ยังหน้าด้านอยู่ต่ออีก แถมยังทำเป็นลืมว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้ด้วย จนผมชักจะทนเห็นมันทำมึนไม่ไหว คว้ารีโมทมากดปิดโทรทัศน์ เรียกความสนใจจากหมอนั่นให้หันมามองผมทันที
“มีอะไรเหรอกวินทร์” พอหันมาเห็นหน้าตาไม่สบอารมณ์ของผมได้ คีธก็ถามขึ้น
“ยังจะมีหน้ามาถาม ไหนบอกว่าพอเจอพวกของนายแล้ว นายจะไปจากฉันไง” ผมพูดออกไปโต้งๆ
คีธทำท่าเหมือนจะนึกขึ้นได้ในตอนนี้ นึกขึ้นได้ของหมอนี่ก็คือการเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยแต่หน้ายังนิ่งเหมือนเดิมนั่นแหละ
“ฉันก็อยากจะไปเหมือนกัน แต่องค์ชายติดภารกิจ”
ภารกิจของเจ้าชายที่หมอนี่ว่าก็คือการดูดปากไอ้ริชาร์ดสินะ
ผมไม่ได้สนใจสำนวนการพูดของหมอนี่ที่เปลี่ยนไปเพราะดูซีรีย์เมื่อครู่นี้สักเท่าไหร่นักแม้ว่ามันจะแปลกๆ หูบ้างก็ตามนอกจากย่นหน้าให้มัน
 “แต่พวกนายควรจะไสหัวไปได้แล้ว ฉันเบื่อเต็มทนกับการต้องมาเป็นแหล่งอาหารให้นายแล้วนะเว้ย พูดอะไรไว้ก็รักษาสัญญาไว้บ้างสิวะ”
พอถูกผมแหว หัวคิ้วเรียวของคีธก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะสวนออกมาเสียงเรียบ
“ก็ฉันหิว”
“มันใช่ข้ออ้างมั้ยวะ!” ผมถึงกับอุทานกับความหน้าด้านของมัน ก่อนจะยีผมตัวเองรัวๆ ให้คีธได้พูดต่ออีก
“ฉันยังหาโฮสต์ใหม่ไม่ได้ อาจจะต้องพึ่งพานายไปอีกสักหน่อยก่อน ว่าแต่วันนี้ฉันก็ยังไม่ได้กินสารอาหารจากนายเลยนะ”
“พอเลย ไสหัวไปเร็วๆ เลย แม่งโดนดูดปากจนจะกลายเป็นผัวเมียกันอยู่แล้วเนี่ย” ว่าพลางโบกมือไล่มันไปด้วย เอะอะก็ดูดปาก เผลอหน่อยก็วางไข่ ประสาทจะกินตายอยู่แล้วเนี่ย!
ทว่าคีธไม่สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังยกยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาอีก
“หรือนายอยากจะผูกพันกับฉัน?”
กูประชดเว้ย!
ผมตวัดสายตาไปมองอย่างเคืองๆ หากแต่คีธยังคงยกยิ้มอยู่อย่างนั้น แถมยังหัวเราะในลำคอออกมาอีก ทำเอาผมใจเต้นขึ้นมาเบาๆ กับรอยยิ้มมีเลศนัยนั่น
ถ้าไม่เปลี่ยนเรื่องคุย ดูท่าคงจะได้เป็นเมียมันจริงๆ แน่
“เอาเป็นว่าฉันอยากให้พวกนายรีบๆ ไสหัวไปโอเค้? จะไปเมื่อไหร่ก็เอาเถอะ แต่ขอให้ยิ่งเร็วยิ่งดี ฉันไม่พิสมัยนักหรอกนะที่จะต้องมาเป็นโฮสต์รับผิดชอบชีวิตนายเนี่ย เบื่อว่ะ!” ผมทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงกระแทก
คราวนี้รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อนั่นหายไป กลายเป็นการพยักหน้ารับแทน
“ไว้ฉันจะหารือกับองค์ชายไปขอพึ่งพาพวกไบโทป เมื่อองค์ชายเห็นพ้องด้วย เราจะไปจากพวกนายให้เร็วที่สุด”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไม่ได้ใส่ใจว่าพวกมันจะไปขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาวกลุ่มเดิมที่เป็นโฮสต์ให้แอสตีนหรืออะไรยังไงอีก กระทั่งได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง ผมกับคีธหันไปมองพร้อมกัน ไม่ทันจะได้คิดว่าเสียงนั้นมาจากใคร เสียงคุ้นหูของเพื่อนสนิทผมก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เควิน! เปิดประตู! เปิดประตูเร็วๆ เข้า!” แล้วก็ตามมาด้วยการเคาะประตูประหนึ่งมีเรื่องคอขาดบาดตาย
ผมเดินไปเปิดประตู เพียงแค่แง้มเท่านั้น ริชาร์ดในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซิงก็พุ่งพรวดเข้ามาในห้องแล้วจัดการกระชากประตูปิดทันใด
“อะไรของนายวะ” ผมถามเสียงขุ่น แต่แค่เห็นหน้าริชาร์ดที่บัดนี้พร่างพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันหนีตายไอ้เจ้าชายลามกนั่นมา
แล้วมันก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ริชาร์ด เราขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจทำให้นายตกใจ”
ฟังแล้วเหมือนผัวมาตามง้อเมียมาก ผมถึงกับมองหน้ามันอย่างขอคำตอบ ขณะที่มันส่ายหน้าเป็นพัลวันเป็นเชิงบอกว่าอย่าเปิดประตูเด็ดขาด
หากแต่ไม่เปิดไปก็เท่านั้น เพราะการที่ไม่ยอมเปิดประตูให้แอสตันเนี่ย มันก็พังประตูเข้ามาเองอยู่ดี พอผมเห็นลูกบิดประตูถูกเขย่าอย่างบ้าคลั่งแล้ว ผมก็รีบจัดการปลดล็อคด้วยไม่ต้องการจะเสียค่าซ่อมประตู และพอประตูเปิดออก สีหน้าของริชาร์ดก็พลันซีดเผือดทันตาเห็นเมื่อเห็นแอสตันยืนยิ้มร่าให้อยู่
“ไม่โกรธนะ” พอเห็นหน้าริชาร์ด ก็โพล่งขึ้นมา
ผมถึงกับย่นคิ้วเมื่อเห็นริชาร์ดถอยกรูดไปหลบหลังผม
“มันทำอะไรนายวะ” และเพราะเอะใจ ผมก็เลยถามไปแบบนี้
“สภาพเหมือนถูกหมาบ้าฟัดมาอย่างนี้ นายคิดว่าไอ้เวรนั่นทำอะไรฉันล่ะ” ริชาร์ดว่าเสียงหวาดๆ ผมรู้ทันทีเลยว่ามันผ่านอะไรมา
มึงโดนไอ้แอสตันปล้ำมาสินะ!
ผมถอนหายใจ มองหน้าแอสตันอย่างระอาทันที
“ทำไมพวกนายถึงได้อยากจะผูกพันกับพวกฉันมากนักฮะ เป็นเกย์กันหรือไง” อันนี้ผมว่าเสียงเนือยๆ
แอสตันยิ้มไม่ยี่หระ เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูพลางตอบ
“ปกติแล้วชาวยูนิกม่าสามารถผูกพันได้ทั้งชายและหญิง แต่ในระยะหลัง หญิงชาวยูนิกม่าถูกสังหารจากพวกรุกรานจนแทบไม่หลงเหลือ ชายชาวยูนิกม่าจึงต้องผูกสัมพันธ์กันเองเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ และเพื่อนของนายน่ารักดี เราเลยอยากให้ริชาร์ดเป็นโฮสต์ให้เราตลอดไป”
อยากได้เป็นเมียก็บอกว่าเมีย ไม่ใช่เป็นโฮสต์!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้พวกนี้ถึงได้ออกอาการโฮโมฯ ในกระแสเลือดกันนัก ก็มึงกินกันแต่ผู้ชายด้วยกันนี่หว่า! สงสารก็แต่ริชาร์ดที่ได้ยินประโยคนั้นก็ส่ายหน้ารัวๆ
ไอ้นี่ก็อีกคน ตอนก่อนจะรู้ว่ามีเอเลี่ยนบุกโลก ยังทำเป็นชมเอเลี่ยนว่าเจ๋งอย่างนั้นอย่างนี้ พอมาเจอจริงๆ ก็หัวหด เพลียกับมันจริงๆ
“จะอะไรก็เอาเถอะ แต่การที่นายมาปล้ำเพื่อนฉันเอาซึ่งๆ หน้าโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเว้ย ต้องให้เจ้าตัวยินยอมด้วยถึงจะถูก ไม่ใช่มาบังคับขืนใจกันแบบนี้”
ได้ที ผมก็สั่งสอนแอสตันเป็นการใหญ่ มีเหลือบไปมองไอ้คีธอย่างคาดโทษด้วยเพราะครั้งก่อนผมก็เคยเกือบจะเสร็จมัน ทว่ามันกลับไม่รู้สึกรู้สา พอได้ยินผมพูดอย่างนี้ก็ดันพยักหน้าหงึกหงัก รุมไอ้เจ้าชายด้วยซะอีก
“องค์ชายเป็นถึงผู้สูงศักดิ์ ทำการข่มเหงเช่นนี้จะทำให้ไม่น่าเคารพได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
มึงก็ด้วยบักห่าน! มึงน่ะตัวดีเลย!
“เรารู้ ถึงได้มาขอโทษอยู่นี่ไง นะริชาร์ด ยกโทษให้เรานะ” แอสตันหันมาหาริชาร์ดอีกครั้ง หันมาอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นมือมาให้จับ กะว่าจะเอาไปจูบเป็นการขอโทษตามแบบฉบับของพวกมันด้วย
ริชาร์ดผวาหนัก ไม่ยอมยื่นมือให้ แถมยังดันผมเข้าไปหาแอสตันอีก จนผมต้องหันไปแหวมันเล็กน้อยก่อนจะเดินหนี แอสตันเลยใช้โอกาสนี้เข้ามาฉุดมือริชาร์ดไปจูบ ผมแอบเห็นชัดเจนเลยว่าริชาร์ดขนหัวลุกกับการกระทำนั้นแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“กลับห้องกันเถอะ” แอสตันออกปากชวนขณะที่จับริชาร์ดไปไว้ในอ้อมแขนได้แล้ว
สีหน้าริชาร์ดดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้ได้ บอกเลยว่าผมไม่ช่วย อะไรที่ผมเจอ มันก็ต้องเจอเหมือนกับผม จะได้เข้าใจหัวอกผมสักทีว่าตอนที่ถูกมันล้อนั้น ผมรู้สึกยังไง ทว่าคงจะเป็นโชคดีของมันที่จู่ๆ คีธก็โพล่งขึ้นเสียก่อนที่มันจะถูกเจ้าชายลากกลับไปรวมร่าง
“องค์ชาย หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลปรึกษา”
“อะไรเหรอ”
“เรื่องการตามหาพรรคพวกของเรา”
ได้ยินอย่างนั้น แอสตันก็ยอมปล่อยริชาร์ดที่เอามือยึดกับขอบประตูขืนตัวเองไว้ไม่ยอมไปกับหมอนั่นออกได้ ก่อนเบนความสนใจไปที่คีธ ขณะที่ริชาร์ดวิ่งหนี  กลับห้องไปพร้อมล็อคประตูเป็นที่เรียบร้อย
“ว่ามาสิ”
“หม่อมฉันว่าพวกเราสมควรจะตามหาพรรคพวกและปฏิบัติตามเป้าหมายให้บรรลุประสงค์เสียที การมาพึ่งพาโฮสต์ซึ่งเป็นมนุษย์โลกโดยที่พวกเขาไม่เต็มใจอย่างนี้ หม่อมฉันว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำนัก”
จริงๆ มึงก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วเปล่าวะ!
ผมฟังแล้วหัวคิ้วก็กระตุกยิกๆ ขณะที่แอสตันเอียงคอเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
“ที่นายพูดก็ถูก เราเองก็รู้สึกว่าริชาร์ดไม่ค่อยยินดีกับการเป็นโฮสต์ของเราสักเท่าไหร่นัก”
ก็มึงขืนใจวางไข่มันอย่างนั้น มันจะยินดีกับมึงมั้ยเล่า! ต่อให้ไม่ได้ขืนใจ มันก็ไม่ยินดีเว้ย!
“แล้วนายมีแผนยังไงล่ะถ้าเราต้องไปจากพวกเขา” แอสตันว่าขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาที่แอสตันว่าก็คือผมกับริชาร์ดนี่แหละ
“หม่อมฉันว่าจะขอให้องค์ชายไปพึ่งพาพวกไบโทปอีกสักระยะในระหว่างที่เราสืบหาว่าพรรคพวกของเราคนอื่นๆ อยู่ที่ไหน” คีธว่าเสียงเรียบแบบเดียวกับที่บอกผม
ผมลุ้นในใจเลยว่าขอให้แอสตันตอบตกลง หมอนั่นนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะว่าเสียงแผ่วประหนึ่งเสียดาย
“ถ้านายพูดอย่างนั้นก็คงช่วยไม่ได้ ไปพึ่งพาพวกไบโทปก็ได้”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็แทบจะแหกปากร้องอย่างดีใจทันทีที่จะได้เป็นอิสระ แต่ก็ดีใจได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละเมื่อแอสตันพูดขึ้นมาอีก
“แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราไม่รู้ว่าพวกไบโทปอาศัยอยู่ที่ไหนนี่สิ พวกนั้นพักไม่เป็นหลักแหล่งซะด้วย อย่างที่นายรู้นั่นแหละว่าพวกไบโทปเป็นพวกเก็บตัว การตามหาตัวคงต้องใช้เวลาหาที่อยู่ของพวกนั้นสักระยะ”
ฟังแล้วผมถึงกับอ้าปากค้าง พอได้สติ ก็รีบแทรกขึ้นถามขณะที่คีธพยักหน้ารับคำพูดของแอสตัน
“แล้วก่อนหน้านี้นายมาที่ไนต์คลับได้ไงวะถ้าไม่รู้ว่าพวกนั้นอยู่ไหนน่ะ”
“อ๋อ เราออกมาตอนกลางคืนเป็นปกติอยู่แล้ว มาตามหาพรรคพวกนี่แหละ ปกติพวกไบโทปจะมารับมาส่งเรา แต่พอเรามากับพวกนาย พวกนั้นก็คงจะหาเราไม่เจอ”
แล้วมึงจะตามพวกกูมาทำไมวะ!
“เอาเป็นว่าเราจะรีบหาพวกไบโทปให้เจอแล้วไปจากพวกนายแล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วง” แอสตันแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับ
ผมพยักหน้าเออออไปอย่างไม่มีทางเลือก เอาเถอะ อย่างน้อยๆ พวกมันก็คิดจะไปกันสักที ไม่อย่างนั้นการเป็นคนไข้โรงพยาบาลบ้าคงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ๆ
 
อย่างที่บอกว่าแอสตันกับคีธมีแผนว่าจะไป ผมจึงปล่อยให้พวกมันทำตามใจปรารถนา ...หมายถึงยอมเป็นแหล่งอาหารให้อย่างง่ายดายน่ะ ไม่ใช่เรื่องผูกพันอะไรเทือกนั้น
ที่ยอมง่ายๆ ก็เพราะอีกไม่นานผมก็จะเป็นอิสระแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมก็แอบใจหายเหมือนกันที่นึกว่าอีกเดี๋ยว ไอ้หน้าตายที่นั่งหัวโด่อยู่ในห้องผมตลอดสองวันที่ผ่านมาก็จะหายไปจากชีวิตเสมือนไม่เคยรู้จักกันแล้ว ทว่าผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ส่วนหมอนั่นก็เหมือนเดิม ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเช่นกัน นอกจากทำหน้าตายแล้วก็ชวนแอสตันออกไปตามหาพวกไบโทปในตอนกลางคืนหลังจากที่ตกลงกับแอสตันได้ เพราะแอสตันบอกว่ามนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้จะยอมเปิดเผยตัวเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางคืนอย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนผมกับริชาร์ดก็เริ่มยุ่งจนหัวปั่นเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ด็อกเตอร์มาร์ตินโทรมาปลุกพวกเราแต่เช้าและกำชับส่งท้ายว่าจะส่งรถมารับในอีกครึ่งชั่วโมง ทำเอาผมกับริชาร์ดแทบจะวิ่งผ่านน้ำแล้วแต่งตัวด้วยความเร็วแสงทันที ผมแอบกังวลเล็กๆ เหมือนกันนะที่จะต้องปล่อยมนุษย์ต่างดาวสองตัวไว้เลยจับพวกมันมารวมกันไว้ในห้องเดียว ห้องที่ว่าก็เป็นห้องของผมนั่นแหละ และในส่วนที่เป็นห่วงน่ะ ไม่ใช่เป็นห่วงว่ามันสองตัวจะอยู่ได้หรือไม่ได้ แต่เป็นห่วงว่าพอผมกับริชาร์ดไม่อยู่ มันจะไปจับเอามนุษย์โลกคนอื่นมาเป็นโฮสต์นั่นแหละ และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจผสมหลอกล่อให้มันอยู่แต่ในห้อง ผมก็เลยยอมสละโน้ตบุ๊กไว้ให้พวกมันใช้ พร้อมกับเปิดไฟล์หนังสารพัดเรื่องที่โหลดมาไว้ให้พวกมันได้ดูกัน
ลืมบอกไปใช่มั้ยว่ามนุษย์ต่างดาวพวกนี้ชื่นชอบการดูหนังของมนุษย์โลกมาก พวกมันบอกว่าเป็นการเรียนรู้อารยธรรมของมนุษย์โลกได้ง่ายดี
พูดมาอย่างนี้ก็เข้าทางผมเลย ผมเลยหยิบยกเอาคำพูดที่เคยรับปากกับคีธว่าจะหาหนังที่เป็นภาษาไทยให้หมอนี่ดูเพื่อฝึกภาษา หมอนี่ก็เลยเลิกทำหน้าเป็นลูกหมาอยากจะตามผมไปที่กองถ่ายฉับพลัน แล้วเบนความสนใจไปที่หนังพวกนั้นแทน ส่วนแอสตันนี่พูดง่าย แค่บอกว่าริชาร์ดเป็นคนจีน ถ้ามันพูดภาษาของริชาร์ดได้ ไม่แน่ว่าริชาร์ดอาจจะใจดีด้วย มันก็ยอมนั่งนิ่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊กทันใด
ว่านอนสอนง่ายมากๆ สอนง่ายกว่าสอนให้หมาฉี่ให้เป็นที่เป็นทางอีกนะบอกเลย
วันนั้นทั้งวันผมก็เลยได้ไปทำงานอย่างสบายใจ จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ยังดูเป็นผีตายซากไม่เลิก เหตุผลหนึ่งก็คงเพราะร่างกายยังปรับตัวไม่ได้กับการถูกดูดสารอาหารล่ะมั้ง แต่เหตุผลสำคัญหลักๆ เลยก็คือ มันผวาแอสตันมากกว่า แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวพอไอ้พวกนั้นไปแล้ว ริชาร์ดคงจะโอเคขึ้น
 
ตอนแรกผมคิดว่างานในวันแรกคงจะไม่หนักหนาสาหัสมาก แต่เอาเข้าจริงคงต้องพูดเลยว่านรกชัดๆ ผมกับริชาร์ดถูกใช้ต้องทำทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบจนชักไม่แน่ใจว่ามาเป็นลูกมือของผู้ช่วยผู้กำกับ หรือมาเป็นแรงงานทาสกันแน่
ก็อย่างว่าแหละ นี่มันฮอลลีวูดนี่นา งานที่ทำจะมากิ๊กก๊อกอะไรแบบที่เคยทำๆ มาคงเป็นไปไม่ได้
กว่าจะกลับถึงห้องก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ผมเป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องเพราะริชาร์ดขอแวะไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลังก่อนด้วยวันนี้หมอนั่นรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียพลังงานไปมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว ผมเลยฝากให้มันซื้อเผื่อแล้วเอามาให้ที่ห้องด้วย ขณะที่ตัวเองกลับมาที่ห้องก่อนด้วยเป็นห่วงคีธกับแอสตันว่าจะก่อปัญหา
และพอผมเข้ามาในห้อง สายตาก็ปะทะเข้ากับมนุษย์ต่างดาวสองตัวนั่งจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กเหมือนเมื่อเช้าตาไม่กะพริบขณะที่หน้าจอมีหนังสัญชาติจีนเรื่องหนึ่งเล่นอยู่ ผมจำได้ว่ามันเป็นหนังอีโรติกอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก นอกจากโล่งใจที่มันสองคนไม่ได้ก่อปัญหาอย่างที่คิด พลางปรายตามองไปที่พวกมันเท่านั้น
 “เฮ้” ผมถอดเสื้อแจ็คเก็ตและวางกระเป๋าลงพร้อมกับร้องทักขึ้น
หากแต่ไม่มีใครเหลียวมามอง ยิ่งกำลังถึงฉากเข้าพระเข้านางของหนังเรื่องนั้นด้วยแล้ว พวกมันก็เมินผมราวอากาศธาตุไปโดยปริยาย มิหนำซ้ำยังกอดอกดูอย่างใจจดใจจ่ออีกด้วย
แม่ง พวกมึงจะสมาธิสูงกันไปไหนเนี่ย!
“เฮ้ย เรียกนี่ไม่ได้ยินหรือไง”
พอผมทักขึ้นอีกครั้ง ทั้งคู่เลยละสายตาจากจอโน้ตบุ๊กหันมามองได้ ก่อนที่แอสตันจะร้องทักผมตอบบ้าง
“ไงกวินทร์ กลับมาแล้วเหรอ เหนื่อยมั้ย”
“นิดหน่อย” ผมว่า “แล้วพวกนายล่ะเป็นไง ฝึกภาษาไทยได้เรื่องมั้ย พูดได้ยัง” ผมทักกลับอย่างไม่ใส่ใจนักขณะที่มือก็ถอดเสื้อชุ่มเหงื่อออก กะว่าจะเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่เสียหน่อยด้วยเสื้อตัวนี้เหม็นอับสุดกำลัง
คีธกับแอสตันพยักหน้าตอบรับกันรัวๆ เมื่อผมเข้าเรื่อง ก่อนที่แอสตันจะเป็นฝ่ายเปิดฉาก ยิงภาษาไทยใส่ผมอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ข้าจดจำคำศัพท์ของชนชาติเอ็งได้แล้วอ้ายกวินทร์ ภาษาของเอ็งมิยากนักต่อการเรียนรู้ ใช้เวลาเพียงมินาน ข้าก็พูดได้ประหนึ่งเป็นภาษาตัว ใช่หรือไม่อ้ายคีทาเย”
"ใช่พระพุทธเจ้าข้า”
ผมที่กำลังจะขว้างเสื้อทิ้งลงตะกร้าหันขวับไปมองทันทีที่ได้ยินสำนวนแปลกๆ หลุดออกมาจากปากพวกมัน ก่อนย่นคิ้วถามอย่างเอะใจว่าพวกมันจะพากันไปดูหนังโบราณมา
“พวกนายดูหนังเรื่องอะไรกันมาน่ะ” ถึงจะเอะใจแต่ผมก็ถามออกไปเพื่อความมั่นใจ
“ข้าก็จำมิได้ดีนัก มีนามว่ากระไรนะอ้ายคีทาเย เอ็งจำได้หรือไม่” แอสตันว่าพลางหันไปถามคนข้างๆ
“ข้าพระพุทธเจ้าเองก็จำมิได้ดีนักพระพุทธเจ้าข้า”
จากที่เหนื่อยๆ อยู่แล้ว ผมก็มีอาการปวดหัวหนึบขึ้นมาอีกอย่างด้วยพอได้ยินมนุษย์ต่างดาวสองตัวนี้คุยกันไปมา พลันเดินไปแทรกกลาง ปิดหนังที่กำลังเล่นอยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊กแล้วเปิดไฟล์หนังที่ผมทิ้งไว้ให้พวกมันดูอยู่ทันที
“ไหน ชี้ให้ดูหน่อยซิว่าดูเรื่องไหน”
คีธเป็นคนชี้ ผมมองตามปลายนิ้วเรียวแล้วก็ต้องตบหน้าผากตัวเองดังเพียะ
พวกมึงจะดูพระนเรศวรกันทำไมเนี่ย! กูให้มึงดูหนังร่วมสมัยโว้ย! มิน่าพูดจาอย่างกับหลุดมาจากสมัยพ่อขุนฯ ปวดประสาทกับพวกมันจริง!
“แม้นเรื่องราวจะยาวนานและใช้เวลาในการพินิจไปหลายชั่วยาม กระนั้นพวกข้าก็เข้าใจได้เร็วแม้ได้ยินภาษาของเอ็งเพียงกระผีกเดียว เอ็งมิต้องห่วงไปดอก จากนี้ข้ากับอ้ายคีทาเยจะเจรจากับเอ็งเป็นภาษาของเอ็ง” แอสตันว่าขึ้นมาอีก พอสิ้นเสียง คีธก็พยักหน้ารับน้อยๆ
พวกมึงไม่ต้องเลย กลับไปพูดภาษาอังกฤษเดี๋ยวนี้!
ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร ริชาร์ดที่หิ้วขวดเครื่องดื่มชูกำลังและของกินอีกนิดหน่อยก็เดินเข้ามาในห้อง สายตาของแอสตันจึงละไปยังหมอนั่นทันที ก่อนจะขยับริมฝีปากถามด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“ริชาร์ด หนี่ฮุยไหลเลอม่ะ? เล่ยม่ะ? (ริชาร์ด นายกลับมาแล้วเหรอ? เหนื่อยมั้ย?)
ริชาร์ดชะงักกึกเมื่อได้ยินภาษาบ้านเกิดตัวเองแบบชัดถ้อยชัดคำจากปากของแอสตัน ถุงกระดาษที่ถืออยู่ในมือเกือบจะร่วงลงพื้นถ้าผมไม่รีบเข้าไปประคองเสียก่อน ขณะที่มันหันไปมองยังต้นเสียงอย่างตกตะลึง แล้วครางออกมาเป็นคำหยาบภาษาจีนที่ผมได้ยินมันอุทานบ่อยๆ
“ชะ...เช่าหนี่มา...” (วะ...เวรอะไรวะนั่น...)
แต่แอสตันไม่สะทกสะท้าน ยังพูดออกไปอีกให้ริชาร์ดได้ตาเหลือก
“หว่อเสียงหนี่ หนี่เสียงหว่อม่ะ?” (คิดถึงจัง นายคิดถึงเรามั้ย?)
ผมรู้นะว่าที่แอสตันพูดแปลว่าอะไร ก่อนจะหัวเราะในลำคอ
กูว่าอีกไม่นาน พวกมึงต้องได้กันแน่ๆ ไม่รอดแน่มึงไอ้ริชาร์ด...
ริชาร์ดมองหน้าแอสตันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบบอกลาผมอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวฉันกลับห้องก่อนนะ”
“เอ้า แล้วของกินนายล่ะ” ผมท้วงเมื่อเห็นมันทำท่าจะผลุบออกจากห้อง
“ไม่เอาแล้ว ไม่กิน จะนอนเลย เหนื่อย” มันว่ารนๆ
ผมรู้ว่าที่มันลุกลี้ลุกลนกลับห้องเนี่ย ไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อยหรอก แต่เป็นเพราะมันกลัวว่าจะโดนแอสตันจู่โจมต่างหาก แต่มันคงจะลืมไปว่าหนีไปก็เท่านั้น อย่างไรซะ แอสตันก็ตามไปดูดปากมันอยู่ดี
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อริชาร์ดหายออกจากห้องไป แอสตันก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เราหิวแล้วล่ะคีทาเย ริชาร์ดมาแล้ว เรากลับก่อนนะ”
คีธค้อมตัวให้เล็กน้อยก่อนแอสตันจะโบกมือลาผมแล้วออกจากห้องไป อึดใจเดียว เสียงร้องโหยหวนของริชาร์ดก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน ก่อนจะหายเงียบไปเช่นกัน ผมเดาได้เลยว่าตอนนี้มันนอนแห้งเป็นผักไปเรียบร้อยแล้ว

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.10]--17/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-12-2015 17:50:31
Episode 11: Richard, The murderer[2]
ถึงจะนึกขำริชาร์ดในใจ แต่เอาเข้าจริงก็ขำไม่ออกเมี่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าในเมื่อริชาร์ดโดน ผมเองก็คงไม่รอดเหมือนกัน ยิ่งหันมาเจอหน้าคีธที่กำลังมองด้วยสายตานิ่งๆ อยู่แล้วด้วย ผมก็กลืนน้ำลายดังเอื้อก
“คิดถึงจัง นายคิดถึงเรามั้ย” แล้วมันก็พูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ
มึงไม่ต้องมาเลียนแบบไอ้เจ้าชายนั่น! ไม่คิดถึงเว้ย!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง แล้วเดินเข้าไปหามัน
“จะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมาฉอเลาะ”
คีธเลิกคิ้วเล็กน้อยที่ผมพูดตรงๆ แถมยังเป็นฝ่ายเสนอตัวอีก ผมเห็นเลยว่าหมอนี่ยกยิ้มมุมปาก
มึงยิ้มอย่างนี้ทีไร บอกเลยว่ากูระแวงทุกที
“อะไร” เพราะความระแวง ผมก็เลยถามไปเสียงขุ่น
หมอนั่นยังคงยิ้มมุมปากอยู่ แล้วก็พูดออกมาหน้าตาเฉย
“น่ารัก”
“นะ...น่ารักป้ามึง”
ผมถึงกับทำหน้าไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ถูกชมจนหลุดอุทานหยาบคายเป็นภาษาไทยออกไปแก้เขิน ทว่าไอ้ที่ผมหลุดพูดไปดันเป็นศัพท์ใหม่ที่คีธเพิ่งเคยได้ยิน รอยยิ้มบนหน้าหมอนั่นเลือนหายไปทันตา แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน
“น่ารักป้ามึง?”
“เออ ป้ามึงนั่นแหละ” ผมว่าส่งๆ
คีธยิ้มขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเลียนแบบคำพูดของผม “กวินทร์น่ารักป้ามึง”
ป้ามึงสิ! มันไม่ใช่คำชมโว้ย!
ผมแทบจะเอาหัวโหม่งมัน แต่ก็ทำได้แค่ถลึงตาใส่เท่านั้นแหละ
“จะกินมั้ยเนี่ยสารอาหารน่ะ ถ้าไม่กินฉันจะได้ไปอาบน้ำ”
“กินสิ หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
พอพูดเป็นภาษาปกติสามัญอย่างที่ชาวบ้านทั่วไปพูดกันได้ คำพูดคำจามันก็ชวนน่าหมั่นไส้ขึ้นมาทันตาเห็น
“กินก็กิน ฉันจะได้ไปอาบน้ำ”
“อยากกินนะ แต่กวินทร์ตัวเหม็น อาบน้ำก่อนมั้ย”
มึงกวนตีนใช่มั้ย!
“ไม่กินก็ไม่ต้องกินโว้ย เรื่องมาก! รำคาญ!” ผมโวยวายใส่แทบจะในทันที
คีธย่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะรีบคว้าแขนผมไว้ทันทีที่เห็นผมทำท่าเดินหนีไปเข้าห้องน้ำ แล้วมันก็ทำให้ผมต้องร้อนวาบไปทั้งใบหน้าอีกครั้งเมื่อมันพูดออกมาหน้าตาย
“กินก็ได้ กวินทร์เหม็นก็จะกิน”
“ไม่ต้องย้ำว่าเหม็นได้มั้ยวะ” ผมว่าเสียงต่ำ ก่อนที่คีธจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วประกบปากจูบผมเบาๆ ทีหนึ่งแล้วผละออกมา
“คิดถึง”
ตอนนี้ผมไม่ได้ร้อนวาบแค่หน้าแล้ว แต่ร้อนวาบไปทั้งตัว ไม่เข้าใจเลยว่ามันจะฉอเลาะทำไม ไม่เจอหน้าแค่ไม่ถึงวัน มันจะคิดถึงอะไรกันมากมายวะ
“ตกลงจะกินหรือไม่กิน ลีลาว่ะ”
“กวินทร์เขิน?” คีธทำผมใจสั่นอีกครั้ง
ผมกลบเกลื่อนความเขินนั่นลงไปโดยการจ้องหน้าหมอนั่นเขม็งแทนและไม่พูดอะไรออกมา พอเห็นผมทำหน้าอย่างนั้น คีธก็หยักยิ้มแล้วจรดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ดีที่คราวนี้มันเป็นการกินสารอาหารจริงๆ ผมเลยโล่งใจที่ไม่ต้องฝืนทำหน้าเป็นปกติทั้งๆ ที่ใจเต้นตูมตามอีกแล้ว
การจูบอย่างหนักหน่วงบอกให้ผมรู้ว่าหมอนี่คงจะหิวโซพอสมควร นานทีเดียวกว่าที่หมอนี่จะผละออกมาได้ ส่วนผมก็เพลียกว่าเดิมไปทั้งร่างเมื่อถูกดึงสารอาหารจากร่างกายไป จากที่ตั้งใจจะไปอาบน้ำก็ชักจะไม่มีแรงแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปที่เตียงพลันทิ้งตัวลงนอนแทน
“กวินทร์ไม่อาบน้ำแล้วเหรอ”
“ไม่แล้ว เหนื่อย” ผมว่าพลางฟุบหน้าลงกับหมอน ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกดจากข้างเตียง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นคีธที่ทรุดตัวนั่งลงมา
“อยากอาบมั้ย เดี๋ยวฉันพาไป”
“หยุดหาทางปล้ำฉันสักทีได้มั้ยเนี่ย” ผมว่าอย่างหัวเสียด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
หากแต่คีธส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ได้จะผูกพัน แต่จะพาไปอาบน้ำจริงๆ กวินทร์ตัวเหม็น นอนด้วยไม่ไหว”
“ก็นอนกับพื้น ไม่ก็ไสหัวไปนอนนอกห้องสิวะ ฉันจะนอนแล้ว ง่วง”
จริงๆ มันก็ไม่ได้เหม็นขนาดนั้นสักหน่อย แค่มีกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ แต่ผมก็ลืมไปว่าไอ้พวกบ้านี่ประสาทสัมผัสดี กลิ่นอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันก็ได้กลิ่นแล้ว
และเพราะความที่ผมปฏิเสธนี่แหละที่ทำให้คีธยอมลุกจากเตียงไปได้ แต่มันไม่ได้ลุกไปเพราะตัดใจหรอกนะ มันลุกไปเอาผ้าเช็ดตัวของผมไปชุบน้ำในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวบิดหมาด แล้วเอามาเช็ดตัวผมแทน
สัมผัสเย็นวาบที่แตะลงมาบนแขนทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากหมอนอีกครั้ง พอเห็นว่าเป็นคีธที่ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดตัวให้ผมอยู่ ผมก็ยู่หน้า
“ทำอะไรของนายเนี่ย”
“อาบน้ำให้กวินทร์”
“นายเป็นอะไรกับการอาบน้ำมากมั้ยฮะ ก็บอกแล้วไงว่าถ้าเหม็นฉันก็นอนพื้น ไม่ก็ออกไปนอนนอกห้อง” ผมว่าอย่างเคืองๆ
คีธชะงักมือเล็กน้อย เหลือบมามองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ
“กวินทร์เหม็นไม่เป็นไร ฉันทนได้ แต่กวินทร์จะไม่สบายตัว”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ฟุบหน้าลงหมอนไปอีกครั้งพร้อมกับก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่เต้นแรงขึ้นมาอีกโดยไม่มีเหตุผล พลันพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“จะบอกว่าฉันจะเป็นขี้กลากล่ะสินะ”
“เปล่า”
“ก็พูดอยู่แหม็บๆ”
“แค่บอกว่ากวินทร์จะไม่สบายตัว”
“หยุดเรียกฉันว่ากวินทร์ๆ สักทีเถอะ ฟังแล้วมันแสลงหู เรียกว่านายเหมือนชาวบ้านเรียกได้มั้ย” รอบนี้ผมเงยหน้าขึ้นมาพูด
คีธเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะว่า “ได้กวินทร์”
เหนื่อยใจจะพูดกับมันจริง!
ผมทำท่าไม่สนใจหมอนี่อีกต่อไป ฟุบหน้าลงกับหมอนอีกครั้ง ปล่อยให้คีธเช็ดตัวผมตามสบาย ผมไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่เลยว่าการถูกปฏิบัติแบบนี้มันทำให้รู้สึกดีชะมัด และก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นไปอีกเมื่อหมอนั่นเริ่มบีบนวดท่อนแขนผมเบาๆ
“ผ่อนคลายมั้ย”
“อืม” ผมตอบรับคำถามนั้น พลันเคลิ้มๆ เหมือนจะหลับให้ได้เมื่อถูกนวดมากขึ้น
หากแต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะจู่ๆ ไอ้บ้าคีธมันก็จัดการถอดเข็มขัดแล้วดึงกางเกงผมลงอย่างไม่ทันตั้งตัว กลายเป็นว่าผมที่นอนเปลือยอกอยู่ ก็เปลือยช่วงล่างขึ้นมาอีกท่อน ดีนะที่ผมกระเด้งตัวลุกผึง ยกเท้ายันหมอนั่นออกห่างพร้อมกับดึงขอบกางเกงไว้ได้ก่อนที่มันจะถูกรูดลงไปที่ข้อเท้า ไม่อย่างนั้นล่ะก็เสร็จมันแน่ๆ
“กวินทร์...” คีธเรียกผมทันทีที่เห็นผมลุกขึ้นมาจ้องหน้ามันเขม็ง
มึงไม่ต้องมากวินทร์เลย จะหาเรี่องปล้ำกูอีกแล้วล่ะสินะ!
“ไม่ต้องกังวลไปกวินทร์ ฉันแค่จะเช็ดตัวให้” แล้วคีธว่าอย่างรู้ทันว่าผมคิดอะไร ทำเอาผมยู่หน้า
“ไม่ต้องเลย พอแล้ว ฉันจะนอน”
คีธพยักหน้ารับ มิหนำซ้ำยังขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วจัดการดึงกางเกงยีนส์ที่เกือบจะถูกดึงลงขึ้นมาใส่เหมือนเดิมอีก
มึงนี่แตะนิดแตะหน่อยก็เอาหมดเลยนะ!
ผมล่ะอยากจะกระโดดถีบมันนัก แต่พอเห็นหน้านิ่งๆ กับแววตาจริงจังของหมอนั่นแล้ว ก็ทำใจถีบไม่ลง ได้แต่ล้มตัวนอนเหมือนเดิม ปล่อยให้หมอนั่นได้ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวผม ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปปิดไฟ
ผมรออยู่ครู่หนึ่งว่าเดี๋ยวมันก็เดินกลับมานอนบนเตียง ทว่าผิดคาด วันนี้หมอนั่นไม่นอนบนเตียง แต่ลงไปนอนกับพื้นข้างๆ เตียง ท่าทางของมันทำเอาผมคิ้วกระตุกยิกๆ แถมมันยังว่าตบท้ายอีก
“วันนี้ฉันจะนอนที่นี่ พรุ่งนี้กวินทร์อาบน้ำแล้วจะขึ้นไปนอนด้วย”
นี่มึงกวนตีนจริงๆ ด้วยสินะ! กูไม่ได้เหม็นขนาดนั้นโว้ย!
ผมดันตัวเองขึ้นมา ส่งฝ่าเท้าไปเตะขายาวนั่นทีนึงด้วยความหมั่นไส้ คีธผงกหัวขึ้นมาราวกับว่าต้องการจะถามว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยปากถาม ผมก็เดินไปเปิดไฟแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อย
อาบน้ำก็ได้ ทำอย่างกับกูเป็นขยะแม่ง

 
เพราะเมื่อวาน คีธกับแอสตันไม่ได้ออกไปตามหาพวกไบโทปอะไรนั่น ทำให้พวกนั้นรีบออกจากห้องไปตามหาเบาะแสในเช้าวันรุ่งขึ้น และลามไปเป็นทั้งวัน กลับมาให้เห็นหน้าอีกทีก็ตอนกลางคืนที่ผมกับริชาร์ดกลับมาแล้ว และเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปจนเกือบครบอาทิตย์
ผมหวังในใจว่าพวกมันจะหาเบาะแสเจอ แล้วพระเจ้าก็เข้าข้างผมเสียด้วยเมื่อคีธกลับมาพร้อมกับข่าวดี
“กวินทร์ ฉันตามหาพวกไบโทปเจอแล้วนะ” หมอนั่นเปิดฉากทันทีที่เจอหน้าผมขณะที่ผมกำลังเช็คความเรียบร้อยของงานวันนี้บนหน้าจอโน้ตบุ๊กอยู่
“เออดี แล้วนายจะไปเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้”
จากที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ พอได้ยินคีธว่าอย่างนั้น ผมก็ละสายตาจากจอโน้ตบุ๊กหันไปมองหน้าหมอนั่นอย่างใจหาย ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะใจหายทำไม ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นความรู้สึกดีใจมากกว่า
“ฉันต้องรีบไปเพราะพรุ่งนี้จะครบกำหนดวันที่ต้องสร้างร่างใหม่แล้ว ฉันกับองค์ชายไม่อยากจะรบกวนพวกนาย”
ผมพยักหน้ารับ คิดในแง่ดีว่าก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องประสบกับความสยองขวัญตอนมันแหกสะดือผมออกมาอีก
“ดีละ จะได้ไสหัวไปสักที” ผมเก็บความรู้สึกใจหายนั่นลงไปแล้วว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก สายตาเบือนมาจับจ้องจอโน้ตบุ๊กเหมือนเดิม
หากแต่ครู่เดียวเท่านั้น ผมก็ต้องหันไปมองร่างใหญ่ที่เดินเข้ามาข้างหลังผมอีกครั้ง
“ขอบใจมากกวินทร์ที่เป็นโฮสต์ให้ฉัน บุญคุณครั้งนี้ ฉันจะไม่ลืม” ว่าแล้วมันก็ถือวิสาสะคว้ามือผมไปจูบเบาๆ
ผมไม่ได้ชักกลับมาอย่างที่ควรจะเป็น ได้แต่มองหน้าหล่อนั่นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“ขอให้พวกนายโชคดีแล้วกัน” ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลยอวยพรไป
คีธพยักหน้าแล้วผละไปอาบน้ำ ผมมองตามอย่างประหลาดใจกับตัวเองว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้มีความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
ไม่อยากให้หมอนั่นไป...
เวรชะมัด ความรู้สึกบ้าอะไรวะเนี่ย!
ผมสลัดศีรษะสองสามครั้งก่อนจะเบนความสนใจมาที่งานเหมือนเดิม แต่บอกเลยว่าทำงานไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
ไอ้มนุษย์ต่างดาวบ้านี่ชักจะเริ่มทำให้ผมเบี่ยงเบนมากไปแล้ว!
 

อย่างที่คีธพูดไว้ว่าจะไปพรุ่งนี้ ผมก็เลยแหกขี้หูขี้ตาตื่นก่อนเวลาเดิมเพื่อจะไปส่งหมอนั่น ถึงจะไม่ได้ชอบหน้านักแต่อย่างน้อยๆ ก็แสดงความไมตรีตามแบบฉบับชาวโลกให้เห็นสักหน่อย เผื่อวันหลังมันคิดจะครองโลกขึ้นมาจะได้ทวงบุญคุณได้
คีธใช้เวลาไม่นานนักในการเตรียมตัว ผมให้คีธได้ดูดสารอาหารจากผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากกันด้วยรู้ว่าถ้าวันนี้จำเป็นต้องสร้างร่างใหม่ หมอนี่จะอ่อนแอมากจนเข้าขั้นอันตราย
“ขอบใจมากกวินทร์” คีธผละออกมาเมื่อรับสารอาหารเต็มที่
ผมพยักหน้าแล้วตรงไปเปิดประตูห้อง
“ไปหาพวกนั้นกันเถอะ พวกนายจะได้ไปกันสักที” ว่าจบ ผมก็เดินนำไปยังห้องของริชาร์ด
กลิ่นควันบุหรี่ลอยฉุยจากห้องหมอนั่นทำเอาผมต้องย่นจมูกพลันด้วยไม่รู้ว่าริชาร์ดจะตื่นเช้าขนาดนี้ ไม่แน่ว่าหมอนั่นก็อาจจะตื่นมาเตรียมตัวส่งเจ้าชายด้วยเหมือนกัน ผมไม่แปลกใจนักว่าหมอนั่นรู้ได้ยังไง ก็คงเป็นแอสตันนั่นแหละที่บอก
เท่านั้น ผมก็เคาะประตูเรียกคนในห้อง รออยู่ครู่หนึ่งไม่มีใครมาเปิด ผมก็เลยลองหมุนลูกบิดประตูดู ปรากฎว่ามันไม่ได้ล็อค ผมเลยถือวิสาสะเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต พอเข้ามายืนในห้อง ผมก็เห็นริชาร์ดยืนสูบบุหรี่พ่นควันสีขาวอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ท่าทางของมันทำเอาผมเอะใจนิดหน่อย แต่สิ่งที่ชวนให้เอะใจกว่าก็คือคนที่สมควรอยู่ในห้องอีกคนไม่ได้อยู่กับมันด้วยในตอนนี้ ทำเอาผมต้องออกปากถาม
“เจ้าชายไปไหนน่ะริชาร์ด”
ริชาร์ดสะดุ้งเล็กน้อยราวกับว่าเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง พลันชะงักมือที่กำลังส่งบุหรี่เข้าปากหันมามองผมด้วยสีหน้าตื่นๆ
“ปะ...ไปไหนก็ไม่รู้”
ท่าทางมีพิรุธของมันสะดุดตาผมทันที ถึงผมจะเป็นเพื่อนกับหมอนี่มาไม่ถึงปี แต่ผมก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าหมอนี่กำลังโกหก โดยเฉพาะการได้เห็นเหงื่อเม็ดเป้งไหลอาบซีกหน้าคร้ามด้วยแล้ว ผมก็รู้เลยว่าหมอนี่มีบางอย่างปิดบังไว้อยู่
“ริชาร์ด...” ผมเรียกชื่อมันเสียงต่ำ ตาสองข้างหรี่ลงอย่างจับผิด
ริชาร์ดกลืนน้ำลายเอื้อก ก่อนจะรีบหลบสายตาทันควัน
“บอกมาว่าเจ้าชายนั่นอยู่ไหน” ผมถาม ริชาร์ดยังคงนิ่งและปฏิเสธ
“ฉะ...ฉันไม่รู้”
“ริชาร์ด... แอสตันอยู่ไหน” ผมว่าเสียงต่ำถามอีกครั้ง
คราวนี้ริชาร์ดยอมเปิดปากได้
“คือ...เมื่อคืนนี้ไอ้เด็กนั่นมันบอกว่ามันจะวางไข่ใส่ฉัน”
“แล้ว?”
“พอมันวางไข่เสร็จเมื่อช่วงเช้ามืด ฉันก็สลบไปวูบหนึ่ง พอรู้สึกตัวก็รีบไปที่มินิมาร์ท”
“ไปทำไม”
“ซื้อยาถ่าย”
คำตอบของริชาร์ดทำเอาผมอ้าปากค้าง ใจสั่นขึ้นมาฉับพลันเมื่อผมพอจะตีความได้ว่าหมอนี่ซื้อยาถ่ายมาทำไม พลันคำพูดของอาแปะลีโอนาร์โดก็พร่างพรายเข้ามาในหัว ถึงจะกำจัดไข่ของชาวยูนิกม่าที่วางไข่ในตัวโฮสต์ไปแล้วไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ในกรณีที่ตัวอ่อนของชาวยูนิกม่ายังไม่ฟักตัวออกจากไข่
เท่านั้นผมก็รีบถามริชาร์ดหน้าตาตื่นทันที
“หมอนั่นวางไข่นายตอนกี่โมงจำได้มั้ย”
“ปะ...ประมาณตีสี่”
“แล้วนายรู้สึกตัวตอนกี่โมง เหน็บยาไปกี่โมง”
“ระ...ราวๆ ตีสี่ครึ่ง”
ใจผมหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มฉับพลัน ก่อนครางออกมา
“ยะ...อย่าบอกนะว่านาย...”
พูดยังไม่ทันจบ ริชาร์ดก็พยักหน้ารับช้าๆ แล้วเปล่งเสียงแผ่วเบา
“กดชักโครกลงไปแล้ว”
ไอ้ริชาร์ด! มึงขี้เอาไข่ไอ้เจ้าชายออกมาแล้วกดชักโครกอย่างไร้เมตตาแบบนั้นได้ยังไง!
ผมเบิกตาโพลงกับคำตอบที่ได้ยิน ประจักษ์ได้ในตอนนี้ว่าที่มันตื่นมาแต่เช้าไม่ได้เป็นเพราะจะตื่นมาส่งแอสตัน แต่ตื่นมาฆาตกรรมต่างหาก ขณะที่คีธเป็นคนแรกที่วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะคุกเข่าลงหน้าชักโครกแล้วตะโกนเรียกผู้เป็นนายจากหน้าโถเสียงลั่น
“องค์ชาย!”
เรียกอย่างเดียวไม่พอ สองมือยังจับขอบชักโครกไว้มั่น ก่อนจะออกแรงเขย่าจนตัวชักโครกแทบจะหลุดออกมาจากฐาน
แล้วนี่มึงจะพังชักโครกทำไม!? หยุดความคิดที่จะเอามือไปควานหาไข่ไอ้เจ้าชายในบ่อปฏิกูลเดี๋ยวนี้!
แต่ความคิดของผมก็ไม่อาจหยุดความบ้าคลั่งของคีธได้ จนผมต้องรีบเข้าไปขวางมันก่อนที่มันจะดึงชักโครกหลุดออกมาทั้งยวง
“อย่าพังส้วม! ไม่มีเงินจ่ายนะเว้ย!”
คีธได้สติก็ในตอนนี้ ยอมปล่อยมือจากชักโครกได้พลางมองมาที่ผมอย่างขอให้ผมทำอะไรสักอย่าง แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากมองไปยังริชาร์ดที่กำลังหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ก่อนจะปรามาสมันเสียงต่ำ
“ไอ้ริชาร์ด... ไอ้ฆาตกร”
“คะ...คือ...มันวางไข่ฉัน”
“ฆาตกร นายมันไอ้ฆาตกร”
“ก็มันวางไข่ใส่ฉันนี่หว่า ฉันไม่อยากโดนอีกแล้ว ไม่อยาก!”
“โหดเหี้ยมอำมหิต ไอ้ฆาตกร” ผมยังคงปรามาสมันอย่างต่อเนื่อง ส่วนริชาร์ดน่ะเหรอ ตอนนี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไปแล้ว
ก็อำมหิตจริงมั้ยล่ะ มึงทำลงไปได้ยังไง ไอ้แอสตันมันตายอนาถมากเกินไปแล้ว ตายได้อุบาทว์มากอีกด้วย ที่สำคัญ พวกมันกำลังจะไปจากเรานะเว้ย มึงนี่มันฆาตกรรมได้ไม่รู้จังหวะเล้ย!
“ฉันก็แค่พยายามเอาตัวรอด...” ริชาร์ดยังคงแก้ต่างให้ตัวเอง ขณะที่ผมลูบหน้าตัวเองอย่างหัวเสีย
“มันกำลังจะไปหาโฮสต์ใหม่นะเว้ย นายนี่แม่ง...” สุดท้ายผมก็หลุดพูดออกมาจนได้
ริชาร์ดทำหน้าเหวอรับประทานไปทันใด คงจะตระหนักได้แล้วว่าการกระทำของตัวเองมันเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง
ผมล่ะอยากด่ามันให้ร้องไห้ชะมัด แต่ก่อนที่ผมจะได้ตีตราความชั่วของเพื่อนสนิทไปมากกว่านี้ คีธก็โพล่งขึ้นมา
“เดี๋ยวฉันจะไปตามหาเจ้าชาย”
“อย่าพังส้วม อย่าระเบิด อย่ามุด อย่าดำบ่อขี้เด็ดขาด” ผมรีบดักคอมันตามที่นึกออกว่าอะไรที่พอเป็นไปได้ที่มันจะทำบ้าง
คีธพยักหน้ารับ แล้วก็รีบก้าวเร็วๆ ไปยังประตู ทว่าพอหมอนั่นเปิดประตูปุ๊บ ไอ้ตัวที่ผมคิดว่าจมหายไปกับการกดชักโครกโดยฝีมือของริชาร์ดก็โผล่มาให้เห็นหน้าประตูพอดี ในมือหมอนั่นถือถุงห่อเบอร์เกอร์และอาหารจำพวกนมอยู่ แล้วมันก็ทำให้ผมอยากจะพุ่งไปต่อยหน้ามันนักเมื่อมันยิ้มร่าแล้วทักทายออกมา
“ไงกวินทร์ ไงคีทาเย ตื่นเช้ากันจังเลยนะ แล้วนี่มาทำอะไรกัน พร้อมหน้าพร้อมตากันเชียว”
มึงยังมีหน้ามาถามเสียงระรื่นอีก! พวกกูเข้าใจว่ามึงถูกส้วมดูดไปแล้วนะเว้ย!
คีธถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ที่ได้เห็นว่านายของตนยังอยู่รอดปลอดภัย ไม่ได้ถูกดูดไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ทำไมไอ้แอสตันมันถึงมายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งๆ ที่ริชาร์ดมันบอกว่าเพิ่งถูกมันวางไข่ไป
แต่ไม่ต้องรอให้ผมถาม ริชาร์ดที่เข้าใจว่าตัวเองถูกวางไข่ก็ถามออกมาก่อนแล้ว
“นะ...ไหนว่านายวางไข่...”
“ตอนแรกก็ว่าจะวางนั่นแหละ แต่ดูนายเหนื่อยๆ เราก็เลยกินแค่สารอาหาร พอนายหลับไป เราก็เลยออกไปหาซื้อของกินมาให้ กะว่าพอนายตื่นมาจะได้กินน่ะ”
ผมถึงกับหันไปมองหน้าริชาร์ดอย่างหงุดหงิดทันที
“มันอุตส่าห์หวังดี ดูนายทำกับมันซิน่ะ ทำไปได้ ไอ้คนใจคอโหดเหี้ยม”
ริชาร์ดกลืนน้ำลายเอื้อกทันใด “ก็ใครจะไปรู้เล่าวะว่ามันแค่กินสารอาหาร เห็นมันบอกวางไข่ๆ ฉันก็เลยจัดการ”
มึงก็ยังไม่สำนึกอีก! เกือบทำกูต้องเป็นโฮสต์ให้ไอ้คีธตลอดกาลปาวสานแล้วมั้ยล่ะ
แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันไปมากกว่านี้ พอจะเข้าใจมันว่าคงจะไม่รู้ว่าการวางไข่มันจะมีไข่ทรงกลมขนาดเท่าถั่วแมคคาเดเมียถูกส่งเข้ามาในปากด้วย ไม่เหมือนกับการกินสารอาหารที่เป็นเหมือนการจูบแบบเฟรนช์คิสอย่างเดียว ก็ว่ามันไม่ได้แหละ ในเมื่อตอนที่มันโดนวางไข่ครั้งแรก มันเมานี่นา ไม่รู้ก็ไม่แปลก
“ตื่นแล้วก็ดีนะริชาร์ด เรานึกว่าจะต้องไปจากนายโดยไม่ได้ล่ำลาซะแล้ว มากินมื้อเช้าก่อนสิ เราซื้อมาให้” แอสตันว่าพลางเดินไปวางของลงบนโต๊ะ ซ้ำยังจัดแจงเอาของที่ตัวเองซื้อมาวางเรียงไว้บนโต๊ะอีก ก่อนที่จะหยิบกล่องซีเรียลยี่ห้อโปรดของริชาร์ดขึ้นมาโชว์
“เราจำได้ว่านายชอบกินเจ้านี่ แต่มินิมาร์ทใกล้ๆ ไม่มีขาย เราก็เลยไปซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาให้”
ผมเข้าใจได้ในตอนนี้เองว่าทำไมริชาร์ดกับแอสตันถึงไม่เจอกันทั้งๆ ที่ออกไปมินิมาร์ทเหมือนกัน ที่แท้แอสตันมันถ่อไปที่อื่นนี่เอง ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ผมมองริชาร์ดอย่างประณามหยามเหยียดเข้าไปใหญ่
“ไอ้อำมหิต”
“หยุดด่าฉันสักทีเถอะน่า!” คราวนี้ริชาร์ดชักจะหัวเสียที่ผมว่ามันไม่เลิก ก่อนมันจะถูกผมผลักให้ไปนั่งเก้าอี้หลังจากที่แอสตันจัดการเทซีเรียลใส่ชามพร้อมนมให้หมอนั่นเป็นที่เรียบร้อย
“กินสิริชาร์ด เราทำให้”
“เออกินเลย มันอุตส่าห์หวังดี นายนี่แม่ง” ผมได้ทีสมทบเป็นการใหญ่
ริชาร์ดหน้าเสีย แต่ก็ยอมตักซีเรียลในชามกินแต่โดยดี ตอนนี้ล่ะผมโคตรจะสะใจมันเลย ดูท่ามันจะโดนไอ้เจ้าชายนี่รุกหนักกว่าที่ผมโดนจากคีธอีก
“อร่อยมั้ย” แอสตันถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อริชาร์ดตักซีเรียลเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนมันจะพยักหน้าอย่างหวาดๆ เป็นคำตอบ
หน้ามึงบอกชัดเจนว่าไม่อร่อย แต่ช่างแม่ง ได้ทีแล้วต้องซ้ำให้หนัก
“กินเสร็จแล้วก็ให้แอสตันกินด้วยล่ะ ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้วก็ชดเชยความผิด”
“ชดเชยความผิดอะไรเหรอ” แอสตันถามอย่างสงสัย ทำเอาริชาร์ดสะดุ้งเฮือก
“ก็ความผิดที่...”
ผมพูดขึ้น ทว่าพูดยังไม่ทันจบ ริชาร์ดที่กลัวว่าจะถูกจับได้ก็รีบผุดลุกขึ้นแล้วคว้าคอเสื้อแอสตันเข้ามาใกล้ ก่อนจะบดริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมที่กำลังจะเอาคืนมันอ้าปากค้าง แล้วก็ได้สติอีกครั้งเมื่อมันพูดขึ้น
“กะ...กินเร็ว ฉันจะได้กินต่อ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ปกติไม่เห็นจะยอมง่ายๆ แบบนี้” แม้แต่แอสตันเองยังสงสัย
มีแต่ผมกับคีธที่มองอยู่เท่านั้นแหละที่ดูออกว่าริชาร์ดกำลังปกปิดความผิด
“มะ...ไม่มีอะไร แค่อยากให้กิน รีบๆ กินเร็วๆ เข้า” แล้วมันก็เป็นฝ่ายประกบปากแอสตันอีกครั้ง
ผมที่อึ้งอยู่ในตอนแรกถึงกับยิ้มเผล่ ตามด้วยผิวปากใส่แล้วพูดตบท้ายให้มันได้แค้นใจเล่น
“เกย์...”
“ไอ้เควิน...” มันละริมฝีปากจากแอสตันหันมาส่งสายตาอาฆาตใส่ผม
“เสร็จแล้วก็ไปเรียกแล้วกัน ไม่อยากจะขวางคู่...เกย์...”
“ไอ้เวรเควิน!”
มันยังคงแผดเสียงใส่อย่างอาฆาต แต่ผมไม่สนใจแล้ว เดินออกจากห้องโดยมีคีธเดินตามหลังมาเท่านั้น
ไม่มีอะไรสะใจไปกว่านี้อีกแล้วโว้ย!

---------------------------
ตอนนี้อยากจะบอกเลยว่าสองคู่นี้มุ้งมิ้งกันมาก ริชาร์ดคือแบบ...อัลไลอ่ะ เกรียนเกิ๊นนนน 555
ตอนหน้ายังเกรียนได้มากกว่านี้อีก วงเล็บเบาๆ ว่ายังมีตัวละครลับอีกตัวที่ยังไม่ได้ออกนะคะ ออกมาเมื่อไหร่ล่ะก็ เกรียนระเบิดระเบ้อกว่านี้อี๊กกกก ฮาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.11]--18/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 18-12-2015 22:24:20
ได้ที ทับถมใหญ่เลยนะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.11]--18/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 19-12-2015 10:53:57
ดราม่าล็อตแรกกำลังจะมาสินะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.11]--18/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 19-12-2015 10:54:52
คีธน่ารักก :katai1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.11]--18/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 19-12-2015 17:11:10
แอสตันเกือบตายอนาทแล้วสิ55555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.11]--18/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: ppp044 ที่ 20-12-2015 00:03:41
ได้ทีเอาใหญ่เลยนะเควิน  :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 20-12-2015 17:33:11
Episode 12: A Hollywood star[1]
พอริชาร์ดจัดการปัญหาชีวิตกับแอสตันเสร็จ มันก็มาตามผมกับคีธที่ห้องอย่างที่ผมสั่งเอาไว้ ตอนนี้นี่แหละที่ผมเปิดปากบอกแอสตันทั้งหมดว่าทำไมจู่ๆ ริชาร์ดมันถึงเป็นฝ่ายจู่โจมหมอนั่นก่อนเอง ทั้งหมดก็เพราะปกปิดความผิดฐานวางแผนฆาตกรรมแอสตันนั่นเอง แน่นอนว่าไอ้ริชาร์ดเสียวสันหลังวาบไปเลยทันทีที่ผมเล่าให้แอสตันฟังจบ แต่ผิดคาดไปหน่อยที่แอสตันมันไม่ทำอะไรริชาร์ด ไม่แม้แต่จะโกรธด้วยซ้ำ นอกจากหัวเราะแล้วลูบหัวเพื่อนผมเบาๆ เท่านั้น
“ขี้เล่นจังเลยนะนาย” แล้วมันก็ว่าแบบนี้
ผมนี่เบ้ปากเลย ขี้เล่นพร่อม! มันกะฆาตกรรมมึงด้วยการขี้มากกว่า
และผมก็มารู้ความจริงในตอนนี้ว่าทำไมแอสตันมันถึงได้ขยำก้นผมอย่างเมามันส์ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน นั่นก็เพราะหมอนั่นได้กลิ่นของคีธจากตัวผม หมอนั่นก็เลยเข้ามาจู่โจมด้วยกะให้คีธปรากฏกายออกมา ผมนี่อยากจะบอกพวกมันเหลือเกินว่า...
พวกมึงไปหาวิธีอื่นที่ไม่ใช่การขยำตูดชาวโลกได้มั้ย! นี่ถ้าผมเจอพวกยูนิกม่าอีก มันไม่เข้ามาขยำเป้าเลยเรอะ!
ดีที่แอสตันกับคีธไขข้อข้องใจข้อนี้ให้ว่าเมื่อผมไม่ได้เป็นโฮสต์ให้อีกต่อไปแล้ว กลิ่นของคีธก็จะค่อยๆ จางหายไปในเวลาไม่กี่วันด้วย ทำให้ผมโล่งใจว่าหลังจากนี้ต่อให้เจอเอเลี่ยนอย่างพวกมันอีก ยังไงก็ไม่โดนขยำก้นอีก และจริงๆ แล้วถึงชาวยูนิกม่าจากตัวโฮสต์ ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะรู้ว่าเป็นกลิ่นของชาวยูนิกม่าคนไหนถ้าไม่เคยได้กลิ่นกันมาก่อน เว้นแต่สำหรับแอสตันกับคีธที่รู้จักกันมานานจึงจดจำกลิ่นของกันและกันได้
ผมบอกลาคีธกับแอสตันในเวลาอันสั้นเพราะพวกนั้นต้องรีบไปหาพวกไบโทปและวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ให้ไวที่สุด เราจึงยุติความสัมพันธ์ระหว่างโฮสต์กับกาฝากกันไว้แค่นั้น ผมรู้สึกโหวงในใจนิดหน่อยเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าคีธอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใจหายอะไรมาก ส่วนริชาร์ดน่ะเหรอ... ถ้ามันจ้างแตรวงมาได้ มันคงจ้างมาเล่นปิดแอลเอฉลองที่ไปแล้ว
พอคีธกับแอสตันไป ผมกับริชาร์ดก็มาช่วยงานด็อกเตอร์มาร์ตินที่สตูดิโอ ด็อกเตอร์มาร์ตินสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมคีธที่ผมอ้างไว้ว่าจะพามันมาเป็นลูกมือตั้งแต่ก่อนออกเดินทางไม่มาด้วย พอผมบอกว่าหมอนั่นมีธุระต้องกลับนิวยอร์กด่วน เขาก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เบนความสนใจไปที่งานของวันนี้เท่านั้น
งานวันนี้ก็ยังคงเป็นงานหนักเหมือนเดิม ริชาร์ดรับหน้าที่ประจำเป็นลูกมือของผู้ช่วยผู้กำกับในการดูแลฝ่ายเอฟเฟ็กต์ระเบิด ส่วนผมได้รับหน้าที่ดูแลคิวนักแสดงและสตั๊นแมนเวลาเข้าฉาก วันนี้ฉากที่เราจะถ่ายทำเป็นฉากแรกเป็นฉากการเปิดตัวซูเปอร์ฮีโร่ที่โผล่มาพร้อมกับการก่อวินาศกรรมของตัวร้าย
ก็ตามสูตรสำเร็จของหนังแนวฮีโร่แหละนะ มีตัวร้ายมาระเบิดเมือง ก็ต้องมีฮีโร่โผล่ออกมา แต่โผล่ออกมาในลักษณะของผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นเหยื่อระเบิดในฉากแรก หลังจากนั้นถึงจะทรานส์ฟอร์มตัวเองเป็นฮีโร่ หนังเรื่องนี้เป็นแนวแอนตี้ฮีโร่ ไม่ใช่ฮีโร่ซะเลยทีเดียว คือพระเอกไม่ใช่คนดีเด่อะไร ออกจะเกกมะเหรกเกเรถึงขั้นเรียกว่าสถุนเลยด้วยซ้ำ ชีวิตก็บัดซบ ติดเหล้า เมียเลิกแถมหิ้วลูกหนี ส่วนตัวเองก็ถูกศาลตัดสินให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ ตกงาน ไม่มีบ้านจะอยู่ แล้วก็ไม่สามารถเข้าเยี่ยมลูกสาววัยสิบขวบได้แม้ว่าจะเป็นในฐานะพ่อ ถ้าให้เปรียบเทียบกับหนังแนวฮีโร่ฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆ ก็ประมาณเรื่อง ‘เดดพูล นักสู้พันธุ์เกรียน’ ไม่ก็ ‘แอนท์-แมน มนุษย์มดมหากาฬ’ ของค่ายมาร์เวลนั่นแหละ
ส่วนเนื้อเรื่องในฉากแรกก็คือ พระเอกของเรื่องแอบไปรับลูกสาวจากที่โรงเรียนมาเที่ยวห้างก่อนวันเกิดของเธอโดยที่เมียเก่าไม่รู้ แล้วก็บังเอิญว่าห้างนั้นถูกก่อวินาศกรรมพอดี ลูกสาวที่มาด้วยโดนลูกหลงจากระเบิดจนตาย ส่วนตัวเองก็บาดเจ็บสาหัส การถ่ายทำมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกในฉากแรกของพวกตัวร้ายที่วางแผนระเบิดห้าง ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีตามขั้นตอนที่ด็อกเตอร์มาร์ตินกับเพื่อนผู้กำกับที่เราเรียกว่าวิลล์วางไว้ แต่พอถ่ายทำฉากระเบิดวินาศกรรมของเหล่าสตั๊นแมนและนักแสดงที่เล่นเป็นตัวร้ายเสร็จ ปัญหามันเกิดขึ้นก็ตอนที่ต้องถ่ายทำฉากพระเอกโดนลูกหลงจากแรงระเบิดจนลูกสาวตายในขณะที่ตัวเองยังไม่ได้เป็นฮีโร่นี่แหละ
ปัญหาที่ว่าก็คือการที่ผู้กำกับไม่โผล่หัวมาที่กองถ่ายทั้งๆ ที่อุตส่าห์ถ่ายฉากอื่นรอเวลาหมอนั่นไปก่อนหลายชั่วโมงแล้วนั่นเอง
“หมอนั่นมาหรือยัง” เสียงของผู้กำกับวิลล์ดังขึ้นอย่างหัวเสียทันทีที่สั่งคัต
เขาไม่ได้ถามผม แต่ถามขึ้นมาลอยๆ เพราะอีกไม่นานก็จะได้เวลาถ่ายทำฉากที่ว่าตามนัดหมายแล้ว
“ฉันถามว่าหมอนั่นมาถึงหรือยัง ทำไมไม่มีใครตอบหา!”
พอไม่มีใครให้คำตอบ ไอ้ผู้กำกับตัวเผละหุ่นเทอะทะก็เริ่มออกอาการเม้งแตก แต่ก็ยังไม่มีใครตอบ ตอนนี้นี่แหละ ริชาร์ดซึ่งเพิ่งกลับมาจากการพูดคุยนัดแนะคิวกับฝ่ายเอฟเฟ็กต์ระเบิดหันมามองผมที่ยังคงทำเฉย ก่อนมันจะกระซิบเบาๆ
“ตกลงหมอนั่นมาหรือยัง”
“ใคร”
“ก็พระเอกไงเล่าพระเอก”
“แล้วมันใช่หน้าที่ฉันต้องไปตามนักแสดงมั้ยวะ” ผมหันไปถามมันเสียงขุ่น ขณะที่ริชาร์ดพยักหน้าหงึกหงัก
“ก็นายอยู่ฝ่ายดูแลคิวนักแสดงนี่หว่า ก็ต้องตามพระเอกสิ”
“ตามเองเหอะ ดูแลคิวนักแสดงกับสตั๊นแมนตอนเข้าฉากเฉยๆ ไม่ได้มีหน้าที่ไปตามนักแสดงเว้ย ถ้าเป็นฝ่ายดูแลนักแสดงเฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง” ผมถึงกับบ่นอุบเมื่อได้ยินริชาร์ดว่ามางี้ มันทำอย่างกับไม่รู้อย่างนั้นแหละว่าหน้าที่ผมจริงๆ แล้วต้องทำอะไรบ้าง ผมแค่รับผิดชอบในส่วนของนักแสดงขณะถ่ายทำ ไม่ได้มีหน้าที่ไปคอยตามติดนักแสดงเป็นเงา
“ช่วยตามหน่อยแค่นี้จะเป็นไรไป ดูสิน่ะ ผู้กำกับวิลล์หัวเสียใหญ่แล้ว” ริชาร์ดหัวเราะขึ้นเบาๆ พลางพยักปลายคางไปยังผู้กำกับวิลล์ที่เริ่มโวยวาย ด่าคนนู้นที คนนี้ทีเพราะยังไม่เห็นพระเอกโผล่หัวมา
ผมไม่ได้สนใจเขานัก นอกจากหมั่นไส้ริชาร์ดขึ้นมาตงิดๆ
แหม พอไอ้แอสตันไสหัวจากชีวิตไปได้หน่อย ทำมาเป็นมีความสุขนะมึง
“ใครก็ได้ตามไปดูมันทีซิว่ามาหรือยัง!” พอผู้กำกับวิลล์บันดาลโทสะออกมาเสียงลั่น ด็อกเตอร์มาร์ตินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันมามองผมแล้วพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าให้ผมไปตามมา
ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นคำถามทันที พอเห็นเขาพยักหน้าอีกครั้ง ผมก็ต้องถอนหายใจออกมาเต็มแรง
“มันใช่หน้าที่ฉันมั้ยวะ” แล้วก็ตามด้วยพึมพำบ่นเล็กน้อย คราวนี้ริชาร์ดถึงกับหัวเราะ
“เห็นมั้ย ฉันบอกแล้วว่านายต้องไปตาม ห้องพักของหมอนั่นอยู่หน้าสตูฯ นะ มีชื่ออยู่ที่ประตู ไปดูเอา”
ผมพยักหน้าส่งๆ ไป พอจะรู้พิกัดอยู่ ก่อนจะเดินออกจากสตูดิโอไปตามไอ้บ้านั่นที่ห้องพักทันที
ห้องพักนักแสดงที่ว่า จริงๆ ก็ไม่ใช่ห้องหรอก เรียกว่าตู้รถซึ่งเป็นส่วนต่อเติมของรถบ้านดีกว่า ด้านหน้าประตูมีป้ายชื่อนักแสดงเขียนไว้เด่นหราว่า ‘ซีเลน’ ผมพอจะรู้มาบ้างว่าหมอนี่เป็นพระเอกหน้าใหม่ของวงการฮอลลีวูดที่ดังขึ้นมาจากการเป็นสตั๊นแมนของหนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งที่กวาดรายได้ถล่มทลายไปเมื่อปลายปีที่แล้ว และที่ดังขึ้นมาได้นี่ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะมีฝีมือในการบู๊เยี่ยมยอดอย่างเดียวนะ แต่เป็นเพราะหมอนี่มีหน้าตาหล่อคมคายถูกใจสาวน้อยสาวใหญ่อีกด้วยจนดังระเบิดระเบ้อชนิดฉุดไม่อยู่ แม้แต่พระเอกดังๆ ในวงการฮอลลีวูดเองก็ยังถูกหมอนี่แซงอันดับความนิยมไปหน้าตาเฉย เรียกว่าดังมากจริงๆ ผมเองก็เคยเห็นหมอนี่ตามข่าวบันเทิงฮอลลีวูดบ่อยๆ นะ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงสักที นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เห็นหมอนั่น ส่วนพวกข่าวบันเทิงที่พูดถึงหมอนั่นนอกจากเรื่องงานแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นข่าวไม่ค่อยดี ทั้งเรื่องชอบสาย ชอบผิดนัด เพลย์บอยตัวพ่ออะไรเทือกนี้ เรื่องคั่วไปทั่วแบบคลำไม่เจอหางก็เอานี่ เรียกได้ว่ามันนี่ตัวพ่อเลย ผมว่าผมมั่วแล้วนะ มันยังหนักกว่าอีก
ผมทิ้งความคิดเกี่ยวกับข่าวฉาวนั่นไป พอมาหยุดหน้าประตู ผมก็ยกมือขึ้นเคาะสองสามครั้งและยืนรออยู่ครู่หนึ่งให้คนข้างในมาเปิดประตู ทว่ารอไปพักใหญ่ก็มีแต่ความเงียบเท่านั้นเป็นคำตอบ ทำเอาผมย่นคิ้วขึ้นมาฉับพลัน
หรือมันจะยังมาไม่ถึงกองถ่ายวะ?
คิดพลางดูนาฬิกาข้อมือไป สายโด่งขนาดนี้ ต่อให้ได้ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายมาสายแค่ไหน มันก็ไม่น่าจะสายถึงขนาดนี้หรือเปล่าวะ นี่สายเกินกว่าเวลานัดไปสามชั่วโมงแล้ว น่าจะโผล่หัวมาได้แล้วมั้ง
และเพราะคิดอย่างนี้ ผมก็เลยยกมือเคาะประตูไปอีกพร้อมกับเรียกชื่อหมอนั่นด้วย
“ซีเลน อยู่หรือเปล่า”
เงียบอยู่ ยังไม่มีสัญญาณตอบรับจากไอ้เวรที่ท่านเรียก
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง แล้วถือวิสาสะบิดประตูดูว่ามันล็อกหรือเปล่า พอเห็นว่ามันไม่ได้ล็อก ผมก็ผลักประตูโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต เดาในใจว่าไอ้เวรชอบเบี้ยวนัดคงจะมาถึงแล้ว และก็จริงอย่างที่ผมคิดเสียด้วยเมื่อผมเปิดประตูเข้ามา สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มใบหน้าคมคายข้างในนั้น หมอนั่นสวมเพียงกางเกงยีนส์ตัวเดียวขณะที่ช่วงบนเปลือยเปล่าโชว์แผงอกแกร่ง
ถ้ามีมันเพียงแค่คนเดียว ผมก็คงจะไม่ตกใจอะไร แต่นี่มันดันอยู่กับใครอีกคนซึ่งผมจำได้ดีว่าเป็นหนึ่งในทีมงานกองถ่ายที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายคอสตูมของนักแสดง แถมมันสองคนก็กำลังนัวเนียกัน... ไม่สิ เรียกว่าไอ้ซีเลนมันจับสต๊าฟคนนั้นขึงพืดกับกำแพงแล้วจูบปากอย่างดูดดื่มมากกว่า และผมจะไม่อะไรเลยถ้าไอ้คนที่มันจูบอย่างกับจะกินหัวเข้าไปน่ะ มันเป็นผู้ชาย!
ผมถึงกับผงะ สองคนนั้นรีบผละออกจากกันหันมามองผม ซีเลนมองผมด้วยสายตานิ่งๆ ระคนหงุดหงิดเล็กน้อยที่ผมเข้ามาขัดจังหวะ ขณะที่คู่ขาของมันมองผมด้วยสายตาตระหนกแล้วรีบพูดขึ้นมารนๆ
“ฉะ...ฉันไปทำงานก่อนนะ” พูดจบก็พุ่งตัวออกจากห้องไปเลย
นี่มึงไม่ได้เป็นแค่เพลย์บอยอย่างเดียว แต่มึงเป็นเกย์ด้วยเหรอวะ!?
ผมนิ่งค้าง มองคู่ขาของซีเลนที่เดินหายออกไปจากห้องด้วยสายตาอึ้งๆ ความจริงหมอนั่นหน้าตาดีนะ อารมณ์เหมือนหนุ่มบอยแบนด์คล้ายๆ แอสตัน อายุอานามน่าจะใกล้เคียงกับผมนะคิดว่า แล้วผมก็เห็นสาวๆ ในกองถ่ายกรี๊ดหมอนั่นพอสมควรเหมือนกัน แต่หมอนั่นไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เก็บตัวมากถึงขั้นสันโดษ เรียกว่าแทบจะไร้ตัวตนเลยดีกว่า
หากแต่ผมไม่ได้สนใจอะไรนัก นอกจากหันไปพูดกับซีเลนที่ก้มตัวหยิบเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์บนพื้นขึ้นมาเท่านั้น
“ผู้กำกับตามให้ไปเข้าฉากแน่ะซีเลน ได้เวลาถ่ายทำฉากของนายแล้ว” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
หมอนั่นชำเลืองหางตามามองผมเล็กน้อย “มาขัดจังหวะ แล้วยังจะตามให้ไปทำงานโดยไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยเหรอ”
คำพูดของหมอนั่นทำเอาผมถึงกับยู่หน้า รับผิดชอบอะไรของมันวะ?
ยังไม่ทันจะให้คำตอบกับตัวเองได้ ซีเลนก็ตวัดเสื้อยีนส์พาดบ่าแล้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับยิ้มเผล่
“ทำฉันอารมณ์ค้างแบบนี้ นายควรจะรับผิดชอบ”
ผมรู้เลยว่ามันหมายถึงอะไร นี่มึงคิดจะปล้ำกูแทนไอ้นั่นล่ะสินะ! แม่งเอ๊ย! รอดจากไอ้คีธมาแหม็บๆ ก็มาเจอไอ้บ้านี่อีก กูไม่ใช่เกย์นะเว้ย!
“นายควรรู้ไว้นะว่าฉันเอาเรื่องที่เห็นเมื่อกี้ไปขายเป็นข่าวได้” ผมขู่ออกไปก่อนที่ซีเลนจะเดินเข้ามาใกล้ผม
หมอนั่นชะงักไปเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“จะเอาไปขายเป็นข่าวก็ได้ ยังไงฉันก็มีข่าวประเภทนี้เยอะอยู่แล้ว แต่ถ้าจะเอาไปขายล่ะก็ ฉันก็ขอส่วนแบ่งนิดหน่อย”
คำว่า ‘ฉิบหาย’ ดังก้องขึ้นในหัวผมทันที ผมเดาทางได้ว่าส่วนแบ่งที่มันว่าหมายถึงอะไร ก็จะให้หมายถึงอะไรล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องใต้สะดือน่ะ
“อย่ามัวแต่เล่นน่า รีบไปเข้าฉากเร็ว” ผมบอกปัดอย่างรนๆ สายตาก็มองไปยังประตู กะว่าจะรีบออกไปข้างนอกก่อนจะโดนมันปล้ำด้วย
ทำไมผมถึงกลัวมันน่ะเหรอ? ก็ดูขนาดตัวมันสิ สูงใหญ่พอๆ กับคีธเลย แถมยังเป็นอดีตสตั๊นแมนอีกต่างหาก ถ้ามันคิดจะจับกดผมขึ้นมาจริงๆ ผมก็คงสู้ไม่ได้แน่ ที่สำคัญ... มีใครที่ไหนจ้องจะปล้ำคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกในไม่กี่นาทีกันด้วยวะ!? มึงนี่คลำเจอไม่มีหางก็เอาหมดอย่างที่ข่าวซุบซิบว่าจริงๆ ด้วยล่ะสินะ!
“แป๊บนึง” ซีเลนตอบกลับมาพร้อมสายตากะลิ้มกระเหลี่ย
ผมมองดวงตาสีเทาเข้มที่จ้องผมตาไม่กะพริบแล้วก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาฉับพลัน วินาทีนี้ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ผมจะต้องอยู่ในห้องนี้อีกต่อไป ผมจึงรีบตัดบททันใด
“งั้นเดี๋ยวฉันไปรอข้างนอก” พูดจบ ผมก็ก้าวไปยังประตู
ทว่ายังไม่ทันจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู แขนล่ำๆ ของซีเลนก็วางลงมาบนกำแพง ขวางหน้าผมเอาไว้
“ก็บอกแล้วไงว่าแป๊บนึง”
แป๊บพร่อม! กูไม่แป๊บกับมึง!
“ยะ...หยุดเลยซีเลน ฉันไม่ได้เป็นเกย์” ผมรีบบอกมันไป แก้ความเข้าใจผิดเพราะพอจะรู้ว่ามันเห็นรูปร่างหน้าตาของผมแล้ว คงจะคิดไปในทำนองนั้น
หากแต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ มิหนำซ้ำยังคว้าต้นแขนผมไปกดลงกับกำแพงไว้แน่นเมื่อเห็นผมทำท่าจะหนีอีกครั้งด้วยอีกต่างหาก
“ไม่ได้เป็นก็ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนเดียวก็พอ”
ผมถึงกับอ้าปากค้างกับความหน้าด้านของมัน คีธกับแอสตันว่าหน้าด้านแล้ว มาเจอไอ้นี่แม่งหน้าด้านยิ่งกว่าอีก และไม่ทันที่ผมจะได้เปล่งเสียงใดๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ซีเลนก็โน้มใบหน้าเข้ามาที่ซอกคอผมอย่างไม่ทันตั้งตัว สัมผัสนุ่มจากริมฝีปากที่แตะลงบนคอทำเอาผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
ไม่ได้ขนลุกเพราะเสียวซ่านนะ... ขยะแขยง! ขยะแขยงอะไรอย่างนี้วะ! ทำไมระยะนี้ผมโดนผู้ชายลวนลามบ่อยจริงโว้ย!
“หอม...” ซีเลนว่าขึ้นมาเรียกสติพรึงเพริดของผมให้กลับมา
“ถอยออกไปเลยนะเว้ย! นายทำกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันแบบนี้ได้ไงวะ!” ผมรีบผลักหน้าอกมันออกแต่มันไม่ขยับสักนิด แถมมันยังไม่ฟังด้วย เอาแต่ยิ้มพร้อมส่งสายตาประกายระยับ
“คนอย่างซีเลน ถ้าหน้ามืดขึ้นมา จะใครก็ได้ทั้งนั้น”
ก็มึงมันมั่ว!
ผมฟังแล้วก็ปวดหัว เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมตอนที่ผู้กำกับวิลล์สั่งให้คนไปตามมันถึงได้ไม่มีใครกล้าเสนอตัวไป ที่แท้ก็กลัวโดนมันทำแบบนี้นี่เอง ความซวยเลยตกมาอยู่ที่ผมแบบนี้เนี่ย!
ผมได้สติขึ้นมา รีบผลักมันออกห่างอีกครั้ง เรื่องอะไรผมจะยอมให้ผู้ชายมานัวเนียกับร่างกายตัวเองล่ะ ...โอเค ถ้าไม่นับไอ้คีธที่ผมยอมบ้างเป็นบางครั้งบางคราวนะ แต่นอกจากคีธแล้ว ผมก็ไม่ยอมเว้ย!
แต่ดูเหมือนแรงผมจะสู้หมอนี่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งผลักไส มันก็ยิ่งเบียดตัวเข้ามาจนผมสัมผัสได้ถึงเป้ากางเกงของมันที่ถูไถเข้ามายังหน้าขา มาแค่เป้าอย่างเดียวไม่พอ ดาบยังตั้งตระหง่านประหนึ่งเสาเข็มอีกด้วย
คุณพระ! ขนหัวลุกไปตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลยโว้ย!
“อยู่เฉยๆ ฉันใช้เวลาไม่นาน” มันว่าขณะที่ผมดิ้นหนีสุดแรง ก่อนมันจะประทับจูบลงมาบนซอกคอผมอีกครั้ง และตามมาด้วยอีกหลายต่อหลายครั้งขณะที่ผมทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้
“หยุดนะเว้ย!” ผมแหกปากตะโกนสุดเสียงเมื่อสู้ไม่ได้
จังหวะดีเหลือเกินที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากภายนอก และตามมาด้วยการเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของใครบางคน
“เควิน ตามซีเลนได้...หรือ...ยัง...” ใครบางคนที่ว่านั่นก็คือริชาร์ดเจ้าเดิม มันโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับน้ำเสียงตึงเครียด ก่อนจะขาดห้วงไปเมื่อเห็นผมกำลังจะประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะกับพระเอกหนังอยู่
ทะ...ทำไมมึงต้องมาเห็นกูในตอนแบบนี้ทุกทีเลยวะ!
“เควิน...” มันครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาให้ผมได้ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่อย่างที่เห็นนะเว้ย”
แต่ก็เท่านั้นแหละ สีหน้าริชาร์ดบ่งบอกชัดเจนเลยว่ามันคิดไปแล้วว่าผมเป็นโฮโมฯ แน่ๆ จากที่ตอนแรกมันเข้าใจว่าที่ผมกับคีธจูบกันเป็นเพราะถูกคีธกินสารอาหาร แต่ตอนนี้ภาพมันชัดมาก แถมอีกฝ่ายก็ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวด้วย
เสียงของริชาร์ดทำเอาซีเลนชะงักไป ก่อนหันไปมองคนมาใหม่ด้วยสีหน้าหงุดหงิดที่ถูกขัดช่วงเวลาแห่งความสุขอีก แต่สายตาหงุดหงิดก็มีขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาตะลึงงัน และตามมาด้วยการผละออกจากผมประหนึ่งว่าผมเป็นขยะเปียกก็ไม่ปาน
“นาย...” ตามมาด้วยครางเรียกริชาร์ด ก่อนจะกระแอมไอสองสามครั้งแล้ววางท่าให้เป็นปกติ “นายชื่ออะไร”
“ระ...ริชาร์ด” ริชาร์ดตอบด้วยสายตาหวาดๆ ขณะที่ซีเลนยกยิ้มขึ้นมาเมื่อได้คำตอบ
“ริชาร์ด... ฉันจะจำเอาไว้”
ผมมองท่าทางนั่นแล้วก็เอะใจขึ้นมาทันที ก็ท่าทางนั่นน่ะ ผมรู้ดีว่ามันคือท่าทางถูกใจใครบางคนอย่างที่ผมชอบทำกับสาวๆ ที่ถูกใจนี่นา แล้วก็ไม่ต้องรอถามให้คอนเฟิร์มด้วยว่าที่หมอนั่นมีท่าทางแบบนั้นเป็นเพราะถูกใจริชาร์ดหรือเปล่า เพราะจู่ๆ หมอนั่นก็พูดออกมาเอง
“นายถูกใจฉันมาก หวังว่าสักวัน ฉันคงจะได้เห็นนายนอนเปลือยบนเตียงฉัน”
ผมกับริชาร์ดถึงกับอ้าปากค้าง
นี่มึงขอปล้ำมันซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยเหรอวะ! เมื่อกี้มึงเพิ่งจะพยายามปล้ำกูอยู่แท้ๆ!
คนที่ช็อกจากการเห็นเพื่อนเข้าด้ายเข้าเข็มกับผู้ชายอย่างริชาร์ดถึงกับช็อกหนักเข้าไปใหญ่ที่จู่ๆ เป้าหมายก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นตัวเองแทน
ผมอาศัยจังหวะกระอักกระอวลในตอนนี้รีบพุ่งออกมาจากห้อง กลับเข้าไปในสตูดิโอด้วยความเร็วแสง ปล่อยให้ริชาร์ดรับมือกับซีเลนต่อ แต่มันเองก็เร็วไม่แพ้กัน ทะยานออกมาจากที่นั่นประหนึ่งว่าเป็นที่หวงห้าม ไม่ควรเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว แถมมันยังวิ่งตามหลังมาบ่นผมด้วยน้ำเสียงตื่นๆ อีกต่างหาก
“ทำไมไม่มีใครบอกเลยวะว่าไอ้ซีเลนมันเป็นเกย์ บ้าชะมัด จู่ๆ ก็ถูกมันชวนไปนอนด้วยเนี่ย”
มึงยังแค่ถูกชวนไปนอน กูนี่เกือบจะได้เสียกับมันแล้วเหอะถ้ามึงไม่เข้ามาก่อนเนี่ย!
ผมชักสีหน้าใส่ริชาร์ดอย่างรำคาญ ปล่อยให้มันพูดขึ้นอีก
“แล้วหมอนั่นมันทำอะไรนายวะ”
“เห็นแล้วยังไม่รู้อีกหรือไงวะ มันก็จะฟันดาบกับฉันน่ะสิ มิน่าถึงไม่มีใครยอมไปตามมัน ที่แท้ก็เพราะมันเอาไม่เลือกแบบนี้นี่เอง ก่อนหน้าที่มันจะมาปล้ำฉัน มันก็กดไอ้หน้าอ่อนที่อยู่ฝ่ายคอสตูมอยู่นะจะบอกให้ ดีที่นายเข้ามาได้จังหวะ ไม่งั้นฉันได้เป็นเมียมันแน่”
ริชาร์ดถึงกับหน้าตึงเมื่อได้ยินผมพูดอย่างนั้น และพอผมกับริชาร์ดเดินเร็วๆ เข้ามาในสตูดิโอได้ ทุกสายตาก็หันมามองพวกเราอย่างมีเลศนัยทันที
“ว่าไง ตามได้มั้ยพ่อพระเอกน่ะ” ด็อกเตอร์มาร์ตินก็เป็นฝ่ายถามแทนทุกคน
ผมมองเขาอย่างระอาแล้วไม่รู้ว่าจะพยักหน้าเป็นคำตอบหรือปฏิเสธดี แต่ผมรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนในที่นี้อยากรู้ไม่ใช่เรื่องที่ผมตามซีเลนได้หรือไม่ได้ ทว่าอยากรู้ว่าผมเสร็จซีเลนหรือเปล่า หากแต่แวบเดียว ตัวการที่ว่าก็ปรากฏหน้าเข้ามาเรียกความสนใจจากทุกคนไป
“พักนิดๆ หน่อยๆ ถึงกับต้องไปตามจิกขนาดนี้เลยเหรอ” หมอนั่นทักทายทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้านายพักนิดๆ หน่อยๆ อย่างที่นายว่า ฉันจะไม่ว่าเลย นี่หายไปตั้งหลายชั่วโมง มันเสียเวลาคนอื่นนะรู้มั้ย” ผู้กำกับวิลล์ว่าเสียงเข้ม ขณะที่ซีเลนเพียงยักไหล่ไม่ยี่หระ
“ก็อย่างที่รู้กันแหละน่าว่าผมจะต้องทำกิจกรรมบางอย่างก่อนเข้าฉาก ไม่งั้นแสดงไม่ออก”
ไม่ต้องมีใครถามก็รู้ว่ากิจกรรมนั้นคืออะไร ผมกับริชาร์ดถึงกับกลอกตาให้กัน
“แล้วนี่จะเริ่มกันหรือยัง ถ่ายเลยมั้ย” ซีเลนพูดขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้กำกับวิลล์จากที่หน้าตึงอยู่ก็ดูผ่อนคลายไปทันตาเมื่อเห็นพระเอกพร้อมเข้าฉาก ก่อนจะหันไปสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อม พลันฝ่ายคอสตูมและช่างแต่งหน้าก็เข้ามาดูแลความเรียบร้อยให้กับซีเลนทันใด ผมเห็นไอ้คนที่ถูกซีเลนปล้ำก่อนหน้าผมเดินเหนียมๆ เข้ามาซับหน้าให้ซีเลน ก่อนที่สายตาจะสังเกตเห็นว่ามันสะดุ้งไปเล็กน้อยเมื่อถูกมือข้างหนึ่งของซีเลนตะปบเข้าที่ต้นขาและเลื้อยขึ้นมาลูบคลำยังเป้ากางเกง
ผมเบิกตาโพลง หันไปมองหน้าริชาร์ดที่ทำหน้าไม่ต่างกันอย่างอึ้งงัน
มึงปล้ำไอ้หน้าอ่อนนั่นแล้วก็มาปล้ำกู ปล้ำกูเสร็จก็ไปชวนไอ้ริชาร์ดนอนด้วย เสร็จแล้วก็ไปคลำเป้าไอ้หน้าอ่อนนั่นอีก มึงนี่มันเป็นคนประเภทไหนกันวะเนี่ย!
 
การถ่ายทำวันนี้เป็นไปด้วยดี ถึงซีเลนจะไม่ได้เรื่องในเรื่องของการไม่รักษาเวลา แต่ในการแสดงแล้ว หมอนั่นทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไม่มีฉากไหนเลยที่หมอนั่นเล่นไม่ผ่าน คำว่าเทคใหม่ไม่เคยหลุดออกจากปากผู้กำกับวิลล์สักครั้ง ผมกับทีมงานคนอื่นๆ ก็พลอยสบายไปด้วยที่การถ่ายทำเป็นไปง่ายๆ แต่ที่ชวนน่ารำคาญก็มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ นั่นก็คือการที่ซีเลนเสนอหน้ามาหาริชาร์ดตลอดเวลาที่มีช่วงพักเบรก
“คืนนี้เลิกกองแล้วไปหาอะไรดื่มกันมั้ย”
ผมบังเอิญได้ยินซีเลนเอ่ยปากชวนริชาร์ดระหว่างที่มันกำลังเรียงลำดับคิวระเบิดในส่วนของฉากต่อไปอยู่
ริชาร์ดทำหน้าเหรอหรา หันมามองผมที่เดินผ่านมันอย่างขอความช่วยเหลือทันที แต่ผมไม่ช่วยมันหรอก สมน้ำหน้ามัน นึกว่าแอสตันไปแล้วจะรอดงั้นสิ มึงเอาไปเลยอีกตัว ไอ้บ้าซีเลนนี่หนักกว่าไอ้เจ้าชายลามกนั่นอีก
“ถ้านายไม่อยากดื่ม ก็ไปขึ้นเตียงเลยก็ได้นะ ฉันเองก็ไม่ชอบพิธีรีตรองอะไร” พอริชาร์ดไม่ตอบรับ ซีเลนก็มัดมือชก ริชาร์ดทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทันที
ผมมองแล้วก็ได้แต่หยักยิ้มกับยักไหล่ไม่ยี่หระให้เท่านั้น ก่อนจะเดินมาหาด็อกเตอร์มาร์ตินเมื่อเห็นเขากวักมือเรียก
“เออนี่เควิน ฉันมีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย”
“ครับ?”
“สตั๊นแมนที่จะมารับบทเป็นหัวหน้าตัวร้ายกับลูกสมุนมือขวาน่ะ อาจจะต้องหาสตั๊นแมนมาแทนนะ คนที่รับบทหัวหน้าเพิ่งแจ้งเข้ามาเมื่อกี้ว่าป่วยกะทันหัน ข้อเท้าแพลงอะไรสักอย่าง ส่วนลูกสมุนมือขวานี่ ฉันเพิ่งไปเช็คมา รูปร่างกับบุคลิกไม่ได้ ฉันกับวิลล์เลยมีมติกันว่าจะเปลี่ยนสตั๊นแมนใหม่”
“แล้วด็อกเตอร์จะให้ผมช่วยอะไรล่ะครับ” ผมถามออกไปตรงๆ เพราะเห็นเขาสาธยายมายืดยาวแต่ไม่ยอมเข้าเรื่องสักที
“ฉันจะให้นายไปช่วยคัดสตั๊นแมนพรุ่งนี้น่ะ พอดีฉันกับวิลล์ติดถ่ายฉากต่อไป อยากให้นายไปช่วยดูหน่อย”
“ให้ผมไปคัดจะดีเหรอครับ ถ้าเลือกมาไม่ถูกใจจะทำยังไง”
“ไม่ถูกใจก็เปลี่ยนใหม่ได้น่า ฝากนายหน่อยก็แล้วกัน ฉันเชื่อในเซ้นส์ของนาย นายเป็นพวกประเภทมองคนแวบเดียวก็ดูออกแล้วไม่ใช่เหรอว่าใครมีบุคลิกยังไง จากที่เห็นนายเลือกเสื้อผ้าให้พวกเพื่อนๆ ฉันก็รู้แล้ว”
ฟังแล้วผมก็ย่นหน้าทันควัน นั่นมันเลือกเสื้อผ้า ไม่ได้เลือกสตั๊นแมนเว้ย แถมนี่ยังเป็นหนังฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูด มาวานคนไม่มีประสบการณ์อย่างผม ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาจะเป็นยังไง
ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ร้องแย้ง ด็อกเตอร์มาร์ตินก็สวนขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงเรื่องวิลล์นะ ฉันบอกหมอนั่นแล้วว่าจะส่งลูกมือไปช่วยดู หมอนั่นโอเค”
ผมลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้า โอเคก็โอเควะ ถ้าไม่ถูกใจก็อย่ามาว่ากันทีหลังแล้วกัน
“งั้นพรุ่งนี้นายไปประจำที่ห้องแคสติ้งนะ ไม่ต้องเข้ากอง ส่วนนี่เอกสารรายชื่อสตั๊นแมนที่จะมาแคสติ้งพรุ่งนี้ แต่อาจจะมีเพิ่มเติมอีก เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปช่วยดู”
ผมตอบตกลงไปแล้วรับเอกสารจากด็อกเตอร์มาร์ตินมาดู ส่วนใหญ่รายชื่อนั่นก็เป็นสตั๊นแมนดังๆ ที่เคยทำงานกับกองถ่ายในฮอลลีวูดทั้งนั้น ผมเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก กลับไปทำงานของตัวเองต่อเมื่อผู้กำกับวิลล์สั่งถ่ายทำต่ออีกครั้ง
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.11]--18/12/58[หน้า2]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 20-12-2015 17:33:56
Episode 12: A Hollywood star[2]

ผมไม่ได้เข้ากองถ่ายตามคำสั่งของด็อกเตอร์มาร์ตินในวันรุ่งขึ้น แต่โผล่หัวมาที่ห้องแคสติ้งอย่างที่ว่า จริงๆ ที่นี่จะเรียกว่าห้องก็ไม่ถูก เรียกว่าเป็นยิมจะดีกว่า ยิมที่ปูแผ่นยางไปทั้งห้องไว้สำหรับกันกระแทกเมื่อสตั๊นแมนพลาดตกจากที่สูงลงมา
ผมเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้หน้าห้องกับลูกมือของผู้กำกับวิลล์อีกจำนวนหนึ่ง พวกนี้ก็เป็นคนที่ถูกส่งมาคัดเลือกสตั๊นแมนกับผมเช่นกัน แน่นอนว่าคนที่ผู้กำกับวิลล์ส่งมาย่อมมีอำนาจในการตัดสินใจอยู่เหนือผม ผมก็แค่มานั่งเป็นหัวหลักหัวตอพอเป็นพิธีไปงั้นแหละ
ไม่นาน สตั๊นแมนที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อคัดเลือกที่ผมถือก็ทยอยเข้ามาแคสติ้ง การแคสติ้งมีทั้งหมดสองบทด้วยกัน คือคนที่จะรับบทเป็นหัวหน้าตัวร้ายจะต้องโชว์ลีลาการโหนสลิงและโรยตัวมาจากที่สูงด้วยท่าทางต่อสู้เพราะตัวร้ายตัวนี้มีพลังในการเหาะเหินเดินอากาศได้ ส่วนคนที่จะรับบทเป็นมือขวาของตัวร้ายจะต้องโชว์ลีลาการวิ่งและไต่บนนั่งร้านเหล็กขนาดมหึมาเกือบจะเต็มพื้นที่ของห้องที่จะใช้เป็นอุปกรณ์หนึ่งของฉากที่จะถ่ายทำโดยมีโจทย์ว่าจะต้องใช้เวลาให้เร็วและคล่องแคล่วที่สุดด้วยตัวละครตัวนี้ได้ชื่อว่าแข็งแรงที่สุดในเรื่อง และผู้ที่จะแคสติ้งทั้งสองบทจะต้องเข้าฉากพร้อมกันเหมือนกับกำลังร่วมต่อสู้กันอยู่ด้วย
การแคสติ้งผ่านไปด้วยดี หากแต่ทุกคู่ที่ทำการแคสติ้งล้วนมีจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการแคสติ้ง เช่นไต่พลาดบ้าง ลื่นไถลบ้าง บางคู่ไม่มีพลาดเลยแต่รูปร่างและบุคลิกกลับไม่ได้ ไม่เข้ากับนักแสดงที่รับบทของตัวละครสองตัวนี้  ทำให้ยังไม่มีใครเข้าตาลูกมือของผู้กำกับวิลล์ จนการแคสติ้งเกือบจะยุติลงแล้วถ้าหากใครบางคนไม่โผล่หน้าเข้ามาในห้องแคสติ้งเสียก่อน
“ขอโทษครับ ผมพาสตั๊นแมนมาแคสฯ ครับ”
ผมหันไปยังต้นเสียงที่ดังขึ้นหน้าประตู พอเห็นว่าเป็นไอ้หน้าอ่อนที่ถูกซีเลนปล้ำเมื่อวานก็ไม่ได้สนใจอะไร มีเพียงนึกขึ้นมาได้ว่าหมอนี่ชื่อบรูคลินเท่านั้น
“งั้นก็ให้เข้ามาเลย จะได้เสร็จๆ สักที” ลูกมือของผู้กำกับวิลล์ว่าขึ้น หมอนี่เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจแหละว่าจะเลือกสตั๊นแมนคนไหน
บรูคลินพยักหน้าก่อนจะหันไปเรียกใครบางคนที่อยู่นอกห้องให้เข้ามา ผมชำเลืองไปมองแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงสุดขีดเมื่อเห็นว่าคนที่มาใหม่คุ้นหน้าเหลือเกิน
ไม่สิ... ไม่ใช่แค่คุ้นหน้า มันใช่เลยแหละ! ไอ้สองคนนี้มันแอสตันกับคีธ! มากันยังไงวะเนี่ย!
ผมอ้าปากค้าง ชี้นิ้วไปที่พวกมันสองคนอย่างตื่นตะลึงที่จู่ๆ พวกมันก็โผล่หน้ามาที่นี่ได้จนคนข้างๆ ผมต้องร้องทักขึ้นเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าเควิน”
“ปะ...เปล่าครับ” ผมรีบเก็บความตกใจนั่นลงไป รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่มันไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เมื่อคีธมองมายังผมแล้วยกมือขึ้นทักทายทั้งที่สีหน้ายังนิ่งเรียบ
พะ...พวกมึงนี่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกูสินะถึงได้ตามติดกันขนาดนี้!
“เอ้า แนะนำตัวเองหน่อย” ลูกมือของผู้กำกับวิลล์ว่าขึ้น
แอสตันซึ่งในตอนนี้รวบผมยาวระต้นคอขึ้นเป็นมวยยกยิ้มขึ้นก่อนว่า
“เราชื่อแอสตัน ส่วนนี่เพื่อนของเรา ชื่อว่าคีธ”
“โอเค งั้นพวกนายไปเตรียมพร้อมกันเลยนะ จะได้แคสฯ กันเลย” คนข้างๆ ผมตัดบท
แอสตันกับคีธพยักหน้ารับแล้วไปประจำที่ แอสตันเดินเข้าไปหาทีมงานให้ทำการติดอุปกรณ์เข้ากับเชือกสลิงให้ ส่วนคีธก็เดินไปยังนั่งร้านเหล็ก จับๆ คลำๆ ราวกับกำลังเช็คความแข็งแรงของอุปกรณ์
ผมมองทั้งคู่แล้วโคตรอยากจะเข้าไปถามพวกมันเลยว่ามากันได้ยังไง แต่ก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจทันทีที่ลูกมือของผู้กำกับวิลล์ดังขึ้น
“แอสตัน นายต้องรับบทเป็นหัวหน้าตัวร้ายนะ ให้นึกว่านายเป็นตัวร้ายที่หมายจะครอบครองจักรวาล ท่าทางจะต้องดูทรงอำนาจโอเค้? ส่วนคีธ นายเป็นพวกบ้าพลัง เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล อย่าหลุดมาดตัวร้ายล่ะ”
ทั้งคู่พยักหน้า ผมไม่เป็นห่วงคีธว่าจะหลุดมาดหรือไม่เพราะหมอนั่นมีอยู่มาดเดียวคือหน้าตายตลอดเวลา และแน่นอนว่าแค่บุคลิกกับร่างกายก็เข้ากับบทแล้ว มีแค่อย่างเดียวที่ต้องผ่านไปให้ได้ก็คือลีลาสตั๊นแมนนี่แหละ แต่คีธก็ไม่ทำให้ต้องผิดหวังเพราะทันทีที่ลูกมือของผู้กำกับวิลล์ให้สัญญาณ คีธก็จัดการไต่ราวนั่งร้านขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว แถมยังตีลังกาโหนไปมาประหนึ่งมืออาชีพ ทำเอาผมต้องอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อเห็นท่วงท่าของหมอนั่น ซ้ำยังรวดเร็วราวกับติดปีก
ผมก็ลืมไปว่ามันเป็นผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่า ไอ้การทำอะไรแบบนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับหมอนี่อยู่แล้ว
ส่วนแอสตันเองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน ทันทีที่ถูกสลิงยกขึ้นสูง ท่าทางดุจผู้สูงศักดิ์ก็แสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและท่าทางทันที ซ้ำยังเคลื่อนไหวได้พลิ้วไหวราวกับเชี่ยวชาญการทรงตัวบนสลิง ผมเห็นแล้วก็ไม่แปลกใจ ก็มันเป็นเจ้าชายนี่หว่า จะมีท่วงท่าสง่างามก็ไม่แปลก
การแคสติ้งจบลงด้วยเวลาไม่นานนัก ทั้งคู่เป็นที่ถูกใจของบรรดาลูกมือผู้กำกับวิลล์เป็นอย่างมาก พวกนั้นเลยไม่รีรอที่จะเลือกสองคนนั้นทันใด
“ตกลงฉันเลือกพวกนายนะ พรุ่งนี้มาเข้าฉากได้เลย เดี๋ยวเสร็จจากนี้ฉันจะพาไปหาผู้กำกับแล้วก็นัดหมายเรื่องคิวถ่ายทำนิดหน่อย”
แอสตันที่ทิ้งตัวลงจากสลิงยิ้มรับกว้าง ส่วนคีธที่ยังอยู่บนนั่งร้านได้แต่พยักหน้านิ่งๆ
ผมถึงกับยกมือลูบหน้าที่หนีพวกมันไม่พ้น แม่ง ถ้าจะไปจากกันแล้วมีแค่วันเดียวที่ไม่เจอหน้ากันนี่ ทีหลังก็ไม่ต้องบอกลากันหรอก
“งั้นเดี๋ยวไปหาผู้กำกับกันเลย”
พอผมได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันใด ไม่อยากจะสนใจพวกมันอีก ทว่าพอเดินห่างจากที่นั่งมาได้ไม่กี่ก้าว ผมก็ได้ยินเสียงวัตถุขนาดใหญ่หล่นกระแทกพื้นแผ่นยางดังตุ้บจนผมต้องหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นคีธที่ทิ้งตัวลงมาในท่าชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ผมก็รีบหันกลับแล้วเดินหนี แต่ก็ไม่ทันเมื่อคีธก้าวไวๆ มาคว้าแขนผมเอาไว้
“กวินทร์”
“อะไร” ผมหันไปมองมันอย่างรำคาญ ก่อนที่หมอนั่นจะทำตาแพรวพราวขึ้นมาเล็กน้อย
“คิดถึง”
คะ...คิดถึงบ้านมึง เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่วันเดียว มึงไม่ต้องมาคิดถึงเลย!
“ไม่ต้องมาปากหวาน ฉันไม่เป็นโฮสต์ให้นายอีกแล้วนะบอกเลย” ผมรีบดักคอ
คีธพยักหน้าแล้วว่าด้วยเสียงเนือยๆ “ไม่เป็นไร ฉันมีโฮสต์ใหม่แล้ว”
“โฮสต์ของนายนี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ไม่รู้ทำไมผมถึงถามไปแบบนี้ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเป็นประโยคแรกของคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันวันนึงเลยด้วยซ้ำ
“ผู้ชาย... ผู้ชายเหมือนกวินทร์”
และคำตอบของคีธก็ทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงเพื่อระงับอารมณ์แล้วสะบัดแขนมันทิ้ง
“ก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องดูดปากกับนายอีก”
“แต่สารอาหารของกวินทร์อร่อยกว่า” พอเห็นผมทำท่าหัวเสีย คีธก็ว่าออกมาทื่อๆ
มึงไม่ต้องมาอ้อน! กูเลิกพิศวาสมึงแล้ว!
“จะอร่อยกว่าหรือไม่อร่อยกว่า ฉันก็ไม่ยอมให้นายมาวางไข่อีกแล้วโว้ย” คราวนี้ผมโวยใส่มันเล็กน้อย
คีธย่นปากนิดๆ ราวกับไม่เข้าใจว่าผมจะหงุดหงิดใส่ทำไม แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำท่าจะออกจากห้องไปเท่านั้น ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนไกล เสียงของลูกมือผู้กำกับวิลล์ที่เดินเข้าไปยังใต้นั่งร้านก็ดังขึ้น
“เฮ้เควิน มาช่วยตรงนี้ก่อนสิ อย่าเพิ่งไป”
ผมชะงัก เดินวนกลับไปหาเขาอย่างไม่มีทางเลือก เรื่องที่วานให้ช่วยดูก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องของนั่งร้านที่เหมือนว่ามันจะมีโครงสร้างผิดรูปร่างไปหน่อยนี่แหละ
“เหมือนจะจัดวางผิดยังไงก็ไม่รู้นะนายว่ามั้ย” คนเรียกผมไปพูดขึ้น
ผมมองแล้วก็พยักหน้า มันก็ดูแปลกๆ จริงนั่นแหละ ดูเหมือนจะมีบางชิ้นส่วนหายไปและดูไม่แข็งแรงเท่าที่ควร จำได้ว่าตอนที่พวกสตั๊นแมนโหนกัน มันก็โยกคลอนจนน่ากลัวว่าจะถล่มลงมาด้วย
“นายลองไปดูตรงนั้นซิเควินว่ามีอะไรแปลกไปมั้ย เดี๋ยวฉันไปดูตรงนั้น” ลูกมือผู้กำกับวิลล์ชี้ไปทางด้านในสุดของห้องซึ่งเป็นมุมห้อง
ผมเดินตรงเข้าไปอย่างว่าง่าย สายตาก็สำรวจไปด้วย ส่วนมือก็จับๆ โยกๆ ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่จะบังเอิญไปเตะเอาขาของนั่งร้านเข้าอย่างจัง ทำให้นั่งร้านที่โยกคลอนจากการถูกโหนอย่างหนักหน่วงไปก่อนหน้าทำท่าจะล้มครืนลงมาทันใด
สัญชาตญาณบอกผมว่าให้ผมรีบออกมาจากตรงนั้น ทว่าไม่ทันจะได้วิ่ง เสียงดังโครมก็แว่วเข้ามาในหูเสียแล้ว ผมเก็บคองอเข่า คิดในใจว่าตัวเองจะต้องตายแน่ๆ ทันทีที่เห็นท่อนเหล็กโค่นลงมายังพื้น ทว่าแรงกระชากจากใครบางคนที่พุ่งเข้ามารวบเอวผมแล้วกระโจนหลบไปอีกทางก็ทำให้ผมเกือบจะลืมความตายในชั่ววินาทีนั้นไปพลันถ้าหากว่าหลังจากเสียงล้มของนั่งร้านไม่ตามมาด้วยเสียงกระแทกของอะไรบางอย่างที่ดังก้องในหัวผม
แกร๊ง!
สิ้นเสียงก็ตามมาด้วยความปวดแปลบบริเวณศีรษะผมมึนงงไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็ประจักษ์เอาในตอนนี้ว่าถึงจะรอดจากการถูกเหล็กนั่งร้านหล่นใส่หัว แต่ผมก็หนีเหล็กของขาโต๊ะที่ผมนั่งประจำก่อนหน้าไม่พ้น กระทั่งเสียงคุ้นหูดังขึ้น ผมถึงเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“ปลอดภัยแล้วกวินทร์” คีธว่าด้วยสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิม มีแต่ผมที่มองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง
ปลอดภัยบ้านมึง! มึงทำกูหัวโขกกับขาโต๊ะเนี่ย!
ผมผลักร่างใหญ่ที่คร่อมตัวเองอยู่ออกแล้วดันตัวขึ้นนั่ง พลางลูบท้ายทอยซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกกระแทกไปด้วย ตอนนี้ทีมงานทุกคนต่างชุลมุนกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บนอกจากผม และนั่งร้านที่ถล่มลงมาก็มีแค่ส่วนที่ผมเข้าไปสำรวจเท่านั้น จึงไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
ลูกมือของผู้กำกับวิลล์ถามผมด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอะไรมั้ย พอเห็นผมปฏิเสธ เขาก็ไปบ่นฝ่ายจัดฉากที่ทำงานผิดพลาดแทน ปล่อยให้ผมพาตัวเองออกจากห้องพร้อมลูบหัวป้อยๆ
แต่คีธไม่ยอมให้ผมไปง่ายๆ หมอนั่นคว้าแขนผมไว้ แล้วดึงผมกลับไปลูบบริเวณที่ถูกกระแทก
“เจ็บมั้ย”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก ลองเอาหัวไปโขกกับขาโต๊ะบ้างมั้ยล่ะจะได้รู้ว่าเจ็บหรือไม่เจ็บ” ผมว่าเสียงขุ่น
คีธทำหน้านิ่งๆ ยอมปล่อยผมแล้วก็คุกเข่าลงบนพื้น ก่อนจะเอาหัวตัวเองโขกกับขาโต๊ะเต็มแรง
แกร๊ง!
“ไม่เจ็บ” แล้วมันก็ว่าเนิบๆ
มึงจะทำจริงทำไม กูประชด! โขกซะขาโต๊ะสั่นเลยไอ้บ้า!
ผมถึงกับคลึงขมับตัวเอง นี่มันซื่อหรือมันโง่กันแน่วะเนี่ย
คีธลุกขึ้น เดินกลับมาหาผมอีกครั้งแล้วยกมือขึ้นคลึงท้ายทอยผมเบาๆ
“ไม่เจ็บนะกวินทร์... ไม่เจ็บ”
กูไม่ได้กะโหลกหนาเหมือนอย่างมึงนะถึงจะได้ไม่เจ็บน่ะ
ผมสะบัดศีรษะหนีเล็กน้อยแต่คีธก็ใช้มือข้างหนึ่งจับคางผมเอาไว้ให้อยู่นิ่งๆ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยังคลึงท้ายทอยผมไม่เลิก
“พอได้ละ คลึงจนกะโหลกจะแตกอยู่แล้ว” ผมว่าเสียงต่ำ ประหม่านิดหน่อยที่จู่ๆ ก็ถูกหมอนี่ทำแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว
หากแต่คีธไม่ยอมปล่อย นอกจากว่าขึ้นมาเบาๆ
“ทดแทนบุญคุณที่กวินทร์ยอมเป็นโฮสต์ให้”
ผมพยักหน้าเออออไปทั้งที่ใจเต้นโครมครามเล็กน้อยกับสัมผัสอ่อนโยนนั้น กระทั่งแอสตันที่ยืนมองอยู่นานเดินเข้ามาหา คีธถึงยอมปล่อยมือออกจากผมได้
“แล้วริชาร์ดไปไหนล่ะกวินทร์”
กะไว้อยู่แล้วล่ะว่าหมอนี่จะต้องถามถึงริชาร์ด ผมมองหน้าหวานของแอสตันแล้วก็ว่าส่งๆ
“อยู่ในกองถ่าย ทำงานอยู่”
“อยากเจอริชาร์ดจัง” แอสตันพยักหน้าแล้วก็พูดออกมา
ผมถึงกับหัวเราะในลำคอเมื่อคิดถึงหน้าของริชาร์ดที่จะได้รู้ในอีกไม่กี่อึดใจว่าแอสตันกลับมาแล้ว และก็นึกสนุกขึ้นมาอีกเท่าทวีทันทีที่ฉุกคิดได้ว่าไม่ได้มีแค่แอสตันที่มันต้องเผชิญ แต่ยังมีไอ้บ้ากามอย่างซีเลนที่คอยตื๊อมันไปนอนด้วยอีกคน
หึๆ งานนี้สนุกแน่ริชาร์ด
แล้วก็เข้าทางผมเข้าอย่างจังเมื่อลูกมือของผู้กำกับวิลล์ตะโกนสั่งผมมา
“เควิน ฝากพาสองคนนั้นไปหาผู้กำกับหน่อย เดี๋ยวฉันขอจัดการตรงนี้ก่อน”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปพูดกับสองคนนั้น
“พวกนายตามมา เดี๋ยวฉันจะพาไปหาริชาร์ด”
แอสตันดีใจออกนอกหน้านอกตาก่อนที่หมอนั่นจะเดินออกจากห้องแคสติ้งเป็นคนแรกประหนึ่งรู้ว่ากองถ่ายอยู่ที่ไหน ส่วนผมก็เดินตามมันออกไปแล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งพร้อมกับใจเต้นระรัวเมื่อสัมผัสอุ่นร้อนแตะเข้ามาที่มือ
กะ...ก็คีธมันจับมือผมน่ะสิ!
ผมตวัดหางตาไปมองมันแล้วรีบดึงมือออกทันที หมอนั่นไม่ยอมปล่อย มิหนำซ้ำยังเลิกคิ้วสูงราวกำลังถามผมว่ามีอะไรจนผมต้องพูดออกไปเสียงต่ำ
“ปล่อยมือ”
คีธยกมือที่จับมือผมขึ้นสูงแล้วเลิกคิ้วเป็นคำถามว่า ‘มือนี้เหรอ’ อะไรประมาณนี้ให้ผมได้กระแทกเสียงใส่
“เออ! ปล่อยเลย”
คีธส่ายหน้าน้อยๆ จนผมต้องโวยวาย
“ปล่อยสิโว้ย จะจับทำไมเนี่ย!” โวยวายอย่างเดียวไม่พอ ยังพยายามดึงมือออกมาด้วย แต่ก็อย่างที่รู้กันว่ายังไงก็สู้แรงหมอนี่ไม่ได้
แล้วมันก็ทำให้ผมต้องหยุดโวยวายด้วยคำพูดเรียบๆ เพียงประโยคเดียว
“คิดถึงกวินทร์”
ผมชะงักงัน ความร้อนแล่นพล่านไปทั่วร่างจนไม่อาจทนมองหน้าซื่อๆ ของหมอนี่ได้ไหว ยิ่งหมอนี่ทำตาประกายเป็นลูกหมาด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งต้องเบือนหน้าหนีสายตานั้น
วะ...เวร... ใจเต้นไปใหญ่แล้ว...
“ให้เวลาจับครึ่งนาที” สุดท้ายผมก็พึมพำออกไป
ผมชำเลืองเห็นคีธพยักหน้าแล้วหมอนั่นก็จูงมือผมออกจากห้องนั้นไปโดยไม่พูดอะไร มีแต่เสียงในหัวผมเท่านั้นที่ดังขึ้นมาเบาๆ
จะว่าไปผมก็คิดถึงหมอนี่เหมือนกันแฮะ...
---------------------------------------
ตัวละครใหม่โผล่ออกมาแล้ว โผล่มาตอนแรกก็หื่นกามเลยทีเดียว ถถถ โผล่มาสองตัวด้วย มีบรูคลินอีกคน มาลุ้นเอานะคะว่ากวินทร์หรือริชาร์ดจะเสร็จหมอนี่ กวินทร์นี่ตัวละครใหม่โผล่มาทีไร นางโดนลวนลามก่อนเป็นคนแรกตลอดดดด ฮาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-12-2015 17:39:07
เย้ๆ อัพแล้ว เม้นต์คนแรกเลย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: Drizzleinwinter ที่ 20-12-2015 18:38:59
รอค่ะๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 20-12-2015 20:56:43
พวกนายเสร็จแน่ เควิน&ริชาร์ตเอ๋ย  :haun5:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-12-2015 23:11:33
คู่รองนี่3เศร้าหรือ3p
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 21-12-2015 00:51:25
นะ นังคีธ...อ้ายยยย เขินโว้ย!!! :z3: :z3: :impress2:

#ไม่สามผีนะครับไม่สามผีนะ o18
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 21-12-2015 00:57:05
เหมือนจะวุ่นวายขึ้นนะ
ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 21-12-2015 10:47:14
ขุ่นพี่หนูแดง

เขียนเรื่องนี้ให้จบนะคะ  :mew4:  อย่าให้เหมือนเรื่องหมาป่านะคะ เสียดายเรื่องนั้นมากๆ

น้องเคยอ่านแนววายเรื่องนึงของขุ่นพี่ บอกเลย เรื่องมีกลิ่นวายน้อยมากกกกก เป็นแนว Horror อ่าค่ะ

เรื่องนี้สนุกมาก จะติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-12-2015 19:49:17
Episode 13: Sound of exciting[1]
คีธยอมปล่อยมือผมออกหลังจากครึ่งนาทีให้หลัง ผมมองหน้ามันอย่างหัวเสียนิดหน่อยที่มันดันเป็นคนรักษาคำพูดเกินไป จริงๆ จะจับเกินกว่านี้หน่อยก็ได้ ผมไม่ว่าอะไรหรอก แต่ก็ช่างแม่ง เพราะความสนุกของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อผมพาคีธกับแอสตันเดินเข้ามาในสตูดิโอ ผมพาสองคนนั้นไปแนะนำตัวกับผู้กำกับวิลล์และด็อกเตอร์มาร์ตินก่อนเป็นอันดับแรก ด็อกเตอร์มาร์ตินสงสัยนิดหน่อยที่เห็นคีธโผล่หน้ามาให้เห็นอีกรอบทั้งๆ ที่ผมบอกกับเขาว่าคีธกลับไปนิวยอร์กแล้ว ผมก็เลยต้องโกหกอีกรอบว่าหมอนี่เคลียร์ธุระได้เสียก่อนเลยไม่ต้องกลับ ด็อกเตอร์มาร์ตินเลยไม่ได้ว่าอะไร นอกจากอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเป็นสตั๊นแมนของนักแสดงหลักที่รับบทหัวหน้าตัวร้ายและลูกสมุนมือขวาเท่านั้น และนัดหมายให้พรุ่งนี้ลองมาเข้าฉากแรกดู
ส่วนผมก็กวาดสายตามองหาริชาร์ด ตอนนี้ริชาร์ดกำลังคุยเรื่องคิวกับฝ่ายเทคนิคระเบิดสำหรับฉากวันพรุ่งนี้โดยมีซีเลนยืนก้อร่อก้อติกอยู่ใกล้ๆ ผมเหลือบไปเห็นมันยืนอยู่มุมในสุดของสตูดิโอแล้วก็ยิ้มเผล่ ก่อนจะเดินตรงไปหามันแล้วกระแอมไอสองสามที เรียกให้มันหันมามองผม
“ริชาร์ด”
“อะไร” มันหันมามองด้วยสีหน้าหงุดหงิด หงุดหงิดนี่ไม่ได้เป็นเพราะผมหรอก แต่เป็นเพราะซีเลนที่มองมันอย่างกะลิ้มกะเหลี่ยข้างหลังมันมากกว่า
“ผัวมาตาม” ผมพูดสั้นๆ แต่ทำเอาริชาร์ดย่นหน้ายู่ทันตา
“พูดอะไรของนายวะ”
“เดี๋ยวรู้” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแสร้งทำเป็นมองไปกลางสตูดิโอซึ่งมีแอสตันและคีธยืนอยู่
ริชาร์ดมองตาม ครู่เดียวใบหน้าย่นยู่ของมันก็กลายเป็นตกใจจนตาเบิกโพลงทันทีที่เห็นแอสตันยืนอยู่ตรงนั้น
“มะ...มันมายังไงวะนั่น”
“ก็บอกแล้วว่าผัวมาตาม” ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมา แต่ริชาร์ดไม่ขำด้วย ต่อยเข้ามาที่ไหล่ผมไม่แรงนักทีหนึ่ง
“มันไม่ได้เป็นอะไรกับฉันเว้ย”
เสียงโวยวายของริชาร์ดทำเอาซีเลนที่มองอยู่แทรกขึ้นมา
“ใครเป็นผัวใคร”
“ก็หมอนั่นไง ผัวริชาร์ด” ผมได้ทียุให้แตกใหญ่ ริชาร์ดถึงกับชักสีหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่แอสตันกับคีธคุยกับด็อกเตอร์มาร์ตินเสร็จและหันมามองยังผมพอดี
มองอย่างเดียวไม่พอ พอแอสตันเห็นว่าริชาร์ดยืนอยู่ตรงนี้ก็ฉีกยิ้มกว้างพร้อมโบกมือทักทายแล้วเดินตรงเข้ามาทันใด ผมได้ยินริชาร์ดพึมพำเป็นคำหยาบภาษาจีนเล็กน้อย พลางหันซ้ายขวาหาลู่ทางหนี แต่ไม่ทันแล้ว พอมันทำท่าจะไป ซีเลนก็คว้าข้อมือมันไว้
“ไปไหนน่ะ ตกลงว่ายังไง คืนนี้จะไปกับฉันมั้ย” ซีเลนถาม จังหวะเดียวกับที่แอสตันและคีธเดินมาหยุดตรงหน้า
“ไม่ไปเว้ย”
“ไปไหนเหรอ” ประโยคนี้ไม่ใช่ของริชาร์ด แต่เป็นของแอสตันที่โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ริชาร์ดหันไปมองตามต้นเสียงก็หน้าซีดเผือด ขณะที่ซีเลนขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนผมน่ะเหรอ... รอดูความสนุกที่จะบังเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ
“หมอนี่ใคร” ซีเลนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“เราชื่อแอสตัน” แอสตันตอบหน้าชื่นตาบาน ทว่ากลับถูกซีเลนค้อนใส่
“ฉันไม่ได้ถามนาย ฉันถามริชาร์ด”
แอสตันร้องอ๋อนิดหน่อย และไม่ได้พูดอะไรออกมา ปล่อยให้ซีเลนหันไปเล่นงานริชาร์ดที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน
“ตกลงหมอนี่เป็นใคร”
“ไม่ใช่เรื่องของนายน่า กลับไปพักได้แล้วไป” ริชาร์ดตัดบทเอาดื้อๆ และเพราะตัดบท แอสตันก็เลยแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“ริชาร์ดเคยเป็นคนของเรา”
ดีที่มันไม่บอกว่าริชาร์ดเคยเป็นโฮสต์ให้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ซีเลนคงจะถามยาวแน่ แต่ก็อย่างว่า แอสตันมันมาอยู่โลกมนุษย์สักระยะนึงแล้ว มันฉลาดพอที่จะไม่เปิดเผยตัวเองโท่งๆ อย่างนั้นหรอก เสียอย่างเดียวตรงที่คำตอบของแอสตันกลับทำให้ซีเลนทำหน้ายุ่งเข้าไปใหญ่นี่แหละ
“คนของนาย หมายความว่า?”
“ผัวเก่า” ผมได้ทีก็เสริมทันควัน ริชาร์ดถึงกับถลึงตามองผมทันใด
“ไอ้เควิน!” ถลึงตาใส่อย่างเดียวไม่พอ ยังแผดเสียงใส่ผมด้วย ยิ่งมีแอสตันพูดสำทับขึ้นมาอีก ก็ยิ่งทำให้เรื่องดูสมจริงเข้าไปใหญ่
“เราคิดถึงนายจังเลยริชาร์ด”
ริชาร์ดด่าแอสตันเป็นภาษาบ้านเกิดทันใดที่พูดขึ้นมาไม่รู้จังหวะ ขณะที่ซีเลนทำหน้าหงุดหงิด
“นี่ผัวเก่านาย?” แล้วก็ยกนิ้วโป้งชี้ไปทางแอสตัน
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่เคยนอนด้วยกันน่ะ” แอสตันตอบ
นอนด้วยกันที่ว่าก็นอนจริงๆ นั่นแหละ แต่สำหรับซีเลนแล้ว หมอนั่นไม่ได้คิดแบบนั้น มันเข้าใจว่าริชาร์ดกับแอสตันมีซัมธิงกันจริงๆ ไปเรียบร้อย ก่อนจะทำหน้ายุ่งกว่าเดิม
“ทำเป็นปฏิเสธเล่นตัว ที่แท้ก็มีผัวอยู่แล้วนี่เอง”
“ไม่ใช่เว้ย!” ริชาร์ดร้องลั่น
และก่อนที่ซีเลนจะได้ถามอะไรต่อ แอสตันก็เข้ามาคว้าข้อมือริชาร์ดไว้ ก่อนจะดึงเข้าไปกอดท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองอยู่
“คิดถึงจัง”
“ปล่อยนะเว้ย!” ริชาร์ดดิ้นพลาดยิ่งกว่าครั้งใดจนกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาฉับพลัน
ซีเลนที่มองอยู่ตรงเข้ามาคว้ามืออีกข้างของริชาร์ดแล้วกระชากออกห่างจากแอสตัน พลันแทรกตัวเองเข้ามาอยู่ระหว่างกลาง
“เป็นผัวเก่าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ก็แสดงว่าไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วล่ะสิ”
แอสตันมองหน้าซีเลนที่พูดประโยคนั้นออกมาอย่างงุนงงครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบรับด้วยท่าทางซื่อๆ
“ก็ใช่ แต่ฉันคิดถึงน่ะ”
“งั้นนายก็รู้เอาไว้เลยว่าฉันเล็งหมอนี่อยู่ คืนนี้ฉันจะพาหมอนี่ไปมีอะไรด้วย” ซีเลนออกอาการหวง แถมยังทู่ซี้เอาหน้าด้านๆ มิหนำซ้ำยังขยับเข้ามาหาแอสตันอย่างเอาเรื่อง
“งั้นเหรอ” แอสตันเอียงคอมองน้อยๆ ประหนึ่งท้าทาย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ท้าทายเลย หมอนั่นแค่สงสัยเท่านั้น และท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่นก็ทำให้ซีเลนขยับเข้ามาใกล้อีกพลางขู่เสียงต่ำ
“อย่ามายุ่งถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
คีธที่เห็นเจ้านายตัวเองอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างนั้น ก็เดินเข้ามาแทรกกลางแล้วประจันหน้ากับซีเลนแทนโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา พอซีเลนเห็นว่าอีกฝ่ายมีขนาดตัวพอๆ กับตัวเอง ไม่ได้ตัวเล็กกว่าเหมือนแอสตันก็ยอมเป็นฝ่ายถอยแต่โดยดี ผมเลยโล่งใจที่พวกมันไม่มีเรื่องกัน และโชคก็เข้าข้างที่ผู้กำกับวิลล์ร้องเรียกซีเลนไปคุยเรื่องคิวฉากต่อไปเสียก่อน ความกดดันเมื่อครู่จึงมีอันมลายหายไปได้ จะเหลือก็แต่ริชาร์ดนั่นแหละที่ยังคงทำหน้าเหมือนเมากาวอยู่ และยิ่งดูเมากาวหนักเมื่อแอสตันทำลายความเงียบขึ้นมา
“นายจะไปมีอะไรกับหมอนั่นเหรอ”
“มะ...ไม่ไป! เลิกถามเรื่องนี้สักที!” พูดจบ มันก็เดินหนีเอาดื้อๆ
แอสตันรีบเดินตาม ปากก็ร้องเรียกริชาร์ดไม่หยุด เหลือแค่ผมกับคีธเท่านั้นที่ยืนประจันหน้ากัน
ตอนนี้ผมล่ะโคตรสะใจมันเลย เป็นไงล่ะมึง ทีนี้ก็ได้เป็นเกย์เต็มตัวเหมือนกูแล้ว แถมไม่ได้จะมีผัวแค่คนเดียวแต่ได้ถึงสอง มึงโดนทรีซัมแน่ๆ
“กวินทร์ยิ้มอะไร” จู่ๆ คีธก็โพล่งขึ้นมาเมื่อเห็นผมยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียวอยู่นาน
“ไม่มีอะไร” ผมเลี่ยงที่จะไม่บอกเพราะคิดว่าถ้าบอกไปว่าผมมีแผนชั่วล่ะก็ มันคงจะเอาไปบอกริชาร์ดให้ริชาร์ดมาเล่นงานผมแน่
ทว่าการที่โกหกนี่แหละที่ทำให้ผมโดนกรรมตามสนองภายในเสี้ยววินาที คีธมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นมา
“แล้วกวินทร์จะไปนอนกับผู้ชายคนนั้นมั้ย”
“ทำไมฉันต้องไปวะ ไอ้บ้าซีเลนมันของริชาร์ด”
คีธหยักยิ้มขึ้นมาทันที ก่อนจะว่าออกมาเนิบๆ
“ค่อยยังชั่วหน่อย นายจะได้นอนกับฉันคนเดียว”
มึงเข้าใจความหมายของคำว่า ‘นอน’ ในบริบทนี้หรือเปล่าวะ!
ผมหน้าร้อนฉับพลัน เลี่ยงไม่มองหน้าแล้วทำท่าจะเดินหนี หากแต่คีธคว้าไหล่ผมไว้ พอผมหันกลับไป หมอนั่นก็สวมกอดผมแน่นทันที
“อะ...อะไรวะเนี่ย!” ผมโวยวายแทบจะในวินาทีนั้น มีแต่คีธเท่านั้นที่กระซิบออกมาแผ่วเบา
“คิดถึงจัง”
มึงเลิกเลียนแบบเจ้านายมึงซะที!
ผมยกสองมือกระแอกแผงอกแกร่งออกห่าง คีธยอมปล่อยแต่โดยดี พลางเอียงคอแล้วหยักยิ้ม
“ไม่ต้องมายิ้มเลยไอ้เวรคีธ วันนี้หมดหน้าที่แล้วไม่ใช่เหรอ ไสหัวกลับไปได้แล้ว!” ผมออกปากไล่เอาดื้อๆ
คีธพยักหน้ารับก่อนจะว่า “ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน ฉันก็เริ่มหิวแล้ว รอองค์ชายทำธุระเสร็จก่อนแล้วจะไป”
ผมไม่ได้สนใจเรื่องแอสตันที่ตามไปคุยกับริชาร์ดสักเท่าไหร่ สนใจก็แต่คำพูดของคีธที่ว่าหิว
หมายความว่าหมอนั่นจะกลับไปดูดปากกับโฮสต์คนใหม่ที่เป็นผู้ชายล่ะสินะ แม่ง น่าหงุดหงิดชะมัดถึงจะรู้ว่าเป็นการกินอาหารของเผ่าพันธุ์มันก็เถอะ แต่นี่เที่ยวจูบปากกับคนอื่นไปทั่วเวลาเปลี่ยนโฮสต์แบบนี้ก็ไม่ไหวมั้ง
แต่ถึงจะหงุดหงิด ผมก็ไม่พูดอะไรออกมานอกจากมองหน้าหล่อๆ ของคีธแล้วถอนหายใจ
“งั้นก็รอแอสตันอยู่แถวนี้ละกัน ฉันจะกลับไปทำงานต่อ” ผมยุติการสนทนา ทำท่าจะเดินกลับไปหาด็อกเตอร์มาร์ตินทั้งๆ ที่งานก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว
หากแต่ก้าวออกมาจากที่นั่นได้ไม่ถึงสามก้าว เสียงของคีธก็ดังขึ้นเรียกให้ผมต้องหยุดชะงัก
“จริงๆ ฉันอยากจะกินสารอาหารจากนายมากกว่า ตั้งแต่มีโฮสต์มา มีนายเป็นโฮสต์คนแรกที่ทำให้ฉันอยากได้นายเป็นโฮสต์ตลอดไป ถ้ารู้ว่าวันหนึ่งนายจะไม่ได้เป็นโฮสต์ฉันอย่างนี้ วันนั้นฉันคงจะผูกพันนายไปแล้ว”
ความร้อนหลั่งไหลเข้ามาในกายผมอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ร้อนแค่หน้าแต่ร้อนไปทั้งร่าง ผมข่มความเขินอายหันกลับไปมองหน้าหมอนั่นที่กำลังจ้องผม
“อยากมีอะไรกันมั้ยกวินทร์” พอเห็นผมมองอยู่ มันก็พูดออกมา ทำเอาผมที่อุตส่าห์เก๊กมาดขรึมได้แล้วหลุดมาดทันใด
มึงมาถามอะไรกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้วะ!
“มะ...ไม่เอาเว้ย ถ้านายเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง แต่บอกให้รู้เลยว่าฉันไม่ยอมให้นายปล้ำแน่ ไม่มีทาง” ผมว่าตะกุกตะกัก พูดจบก็รีบเดินหนี
คีธไม่ได้ตามมา ไม่แม้แต่จะหัวเราะหรือยิ้มให้ ผมเลยรู้ว่าสิ่งที่หมอนั่นพูดไปเมื่อกี้คือเอาจริง ไม่ใช่การพูดเล่นแต่อย่างใด และนั่นก็ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายผมเต้นถี่รัวจนแทบระเบิดเป็นจุณ
สงสัยผมคงต้องหาเหยื่อมากินบ้างแล้วล่ะ อยู่กับมันมากไปจนชักจะเริ่มมีอาการเบี่ยงเบนไปชอบผู้ชายด้วยกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเนี่ย!
 
หลังจากที่คีธกับแอสตันกลับจากสตูดิโอไป ผมก็ถูกริชาร์ดสวดเสียยกใหญ่เรื่องที่ทำให้มันถูกแอสตันตามไปเค้นถามเรื่องของซีเลนไม่เลิก ดีที่มันไม่ถูกแอสตันผูกพันหรือกระทำการหื่นกามใดๆ นอกจากซักถามเท่านั้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ แอสตันคงจะได้เป็นผัวมันจริงๆ แน่
ร้ายกว่านั้นก็คือพอวันใหม่มาถึงและทันทีที่พวกเรามาถึงสตูดิโอ ซีเลนก็ไม่ยอมออกจากห้องพักนักแสดง ยืนยันว่าจะให้ริชาร์ดมาตามอย่างเดียว ผมนี่รู้เลยว่าถ้าริชาร์ดเข้าไปตามล่ะก็จะเกิดอะไรขึ้น
มันก็ต้องโดนไอ้บ้าซีเลนปล้ำอยู่แล้ว! หื่นกามอย่างมันขนาดนั้นจะเหลือเรอะ!
แน่นอนว่าริชาร์ดไม่ยอมไป แต่ก็ถูกผู้กำกับวิลล์ออกงิ้วใส่ แถมด็อกเตอร์มาร์ตินก็ยุยงส่งเสริมอีกเพราะถ้านักแสดงหลักไม่มา การถ่ายทำก็เริ่มไม่ได้ ผมก็เลยถูกริชาร์ดมันลากไปตามซีเลนด้วย แล้วถามว่ารอดมั้ย...
จะรอดเรอะ! ทั้งผม ทั้งริชาร์ดเกือบจะถูกไอ้ซีเลนมันกดทั้งคู่!
แถมไอ้เวรริชาร์ดดันหนีออกมาได้ก่อนอีกต่างหาก ความซวยเลยตกมาอยู่ที่ผมที่ถูกซีเลนกระชากเสื้อเกือบขาด ยังดีที่รอดมาได้ มีโดนไซ้ซอกคอไปนิดหน่อย
แค่นี้ก็ขยะแขยงสุดจะทนแล้วแม่ง!
แต่สุดท้ายก็ตามซีเลนออกมาถ่ายทำฉากใหม่ได้แหละ การถ่ายทำก็ราบรื่นดีเหมือนเดิม กระทั่งถ่ายทำฉากของซีเลนเสร็จ มาถึงฉากที่หัวหน้าตัวร้ายและลูกสมุนมือขวาเปิดตัวและต้องใช้สตั๊นแมน คราวนี้แหละ ปัญหาก็บังเกิดขึ้น
“สตั๊นแมนอยู่ไหน!” ผู้กำกับวิลล์แหกปากลั่นเมื่อเห็นว่าสตั๊นแมนที่นัดหมายไว้อย่างดิบดียังไม่โผล่หัวมา
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก ตามองนาฬิกาข้อมือไปด้วยเมื่อเห็นว่ามันสายเกือบชั่วโมงแล้วทั้งที่เมื่อวานผมอุตส่าห์กำชับสองคนนั้นอย่างดิบดีว่าให้มาเจอกันที่สตูดิโอกี่โมง พวกมันก็ยังมาสายกันอีก
“โทรตามซิเควิน คีธเป็นเพื่อนนายไม่ใช่เหรอ” ด็อกเตอร์มาร์ตินร้องบอกผมด้วยน้ำเสียงระอา เขาก็คงจะเบื่อกับการที่นักแสดงกับสตั๊นแมนก่อปัญหาให้ไม่เว้นวันเหมือนกัน
ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้ผมซีดเข้าไปอีกเมื่อผมตระหนักได้ว่าคีธและแอสตันไม่มีโทรศัพท์ ต่อให้พวกมันมี ผมก็ไม่มีเบอร์มันอีก แต่ถ้าผมไปบอกด็อกเตอร์มาร์ตินอย่างนั้นมันก็ดูแปลกๆ ใช่มั้ยล่ะในเมื่อตอนแรกผมบอกว่าคีธคือลูกมือของผมกับริชาร์ด สนิทกันถึงขนาดพามาเป็นลูกมือขนาดนี้จะไม่มีเบอร์ติดต่อมันก็ยังไงอยู่
พอเห็นผมตกที่นั่งลำบาก ริชาร์ดมันก็ได้ทีทิ้งผมไปคลุกคลีกับพวกเทคนิคระเบิดทันที ผมเลยได้แต่หัวหมุนหาวิธีแก้ปัญหาตามลำพัง
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.12]--20/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-12-2015 19:50:18
Episode 13: Sound of exciting[2]

ลองไปถามไอ้หน้าอ่อนบรูคลินดูแล้วกัน เมื่อวานมันพาสองคนนั้นมาแคสติ้ง เผื่อมันจะมีเบอร์ติดต่อหรือรู้ว่าสองคนนั้นพักอยู่ที่ไหนบ้าง
ทว่าพอผมตั้งท่าจะเดินไปยังบริเวณที่ฝ่ายคอสตูมนั่งอยู่ เสียงเปิดประตูจากหน้าสตูดิโอก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างใหญ่ของชายหนุ่มสองคนที่ปรากฏให้เห็น
“พวกนายมาสายนะ” ผู้กำกับวิลล์เห็นสองคนนั้นก็ไม่รอช้า พ่นไฟใส่ทันที
แอสตันกับคีธพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนที่แอสตันจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“เราต้องขอโทษด้วย พอดีเมื่อวานเรามีปัญหาที่บ้านนิดหน่อย”
“มันไม่ใช่ข้ออ้างของการมาสายถ้าพวกนายคิดจะทำงานในวงการนี้ ถ้าไม่อยากจะตกงานล่ะก็ คราวหน้าก็ช่วยปรับปรุงตัวด้วย ไปแต่งตัวแล้วเตรียมไปเข้าฉากได้” ด่าจบก็ชี้นิ้วไปยังฝ่ายคอสตูม
ไม่ทันที่คีธกับแอสตันจะได้เดินไป ฝ่ายคอสตูมก็เข้ามาลากสองคนนั้นไปที่ห้องแต่งตัวก่อน ผมเลยรอกระทั่งพวกมันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พอเห็นพวกมันออกมา ผมก็ไม่รอช้า ปรี่เข้ามาด่าสาดทันใด
“ทำไมมาสายกันจังวะ เกือบทำฉันซวยแล้วมั้ยล่ะ”
“ขอโทษนะกวินทร์ เมื่อคืนเรามีปัญหากันนิดหน่อย” แอสตันว่า ทำเอาผมย่นคิ้ว
“ปัญหาอะไร”
“บอกนายได้แค่ว่าเป็นปัญหาของชาวยูนิกม่า”
พอพูดมาอย่างนี้ ผมก็เลยไม่ซักไซ้อะไรต่อ ทว่าก็ต้องย่นคิ้วอีกครั้งเมื่อบรูคลินเดินเข้ามาขอแต่งหน้าให้คีธ ก่อนที่แอสตันจะทักทายหมอนั่นทันทีที่เห็นหน้า
“ว่าไงบูลิโอ เมื่อคืนนายโอเคนะ”
บรูคลินพยักหน้าหงึกหงัก ผมอ้าปากค้างแล้วชี้หน้าติ๋มๆ ของบรูคลินทันที
มะ...มึงก็มนุษย์ต่างดาวเหรอเนี่ย!?
“บูลิโอเป็นชาวไบโทปน่ะ เราอาศัยครอบครัวและบ้านของบูลิโออยู่” ไม่ทันที่ผมจะได้ถาม แอสตันก็ว่าออกมาราวกับรู้ว่าผมจะถามอะไร
ผมถึงกับถอนหายใจที่เห็นมนุษย์ต่างดาวอยู่ใกล้กับผมเพียงเอื้อมอย่างนี้เสียหลายตัว แต่ก็เริ่มพอจะทำใจได้แล้วล่ะเลยทำเฉยๆ ทว่าก็เฉยได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเมื่อแอสตันพูดขึ้นมาอีก
“บูลิโอเป็นโฮสต์ให้คีทาเย”
นี่เมียใหม่มึงสินะไอ้คีธ!? มิน่าล่ะพวกมึงถึงได้มาแคสติ้งเป็นสตั๊นแมนได้ ที่แท้เมียใหม่มึงก็พามานี่เอง!
ผมมองหน้าคีธที่ยังคงทำหน้าเฉยกับบรูคลินที่เอาแต่ก้มหน้างุดๆ อย่างหัวเสีย แม่ง ตอนแรกก็นึกว่าจะไปหาโฮสต์ไกลๆ ที่ไหนได้ คนใกล้ตัวกูทั้งนั้น!
ผมโคตรอยากจะบอกคีธเลยว่าโฮสต์ของมันไปจูบกับซีเลนมาเมื่อวาน จูบเสร็จแล้วมันก็ไปให้คีธจูบดูดสารอาหารจากมันต่ออีก แต่ก็ทำได้เพียงหุบปากเงียบแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยแทน
“แล้วโฮสต์ของนายล่ะ”
“น้องชายของบูลิโอน่ะ เรียนอยู่ไฮสกูล”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกของผู้กำกับวิลล์ดังขึ้น เร่งให้ฝ่ายคอสตูมรีบจัดการกับสตั๊นแมนเพราะเลยเวลาถ่ายทำมามากแล้ว
ไม่นานนัก คีธกับแอสตันก็พร้อมเข้าฉาก ที่ตรงนั้นจึงเหลือแค่ผมกับบรูคลินเท่านั้นที่ยืนอยู่ ผมปรายตามองบรูคลินที่เก็บอุปกรณ์การแต่งหน้าอย่างรีบๆ ครู่หนึ่งก็เรียกมันไว้ก่อนที่มันจะเดินไป
“นายเป็นโฮสต์ให้พวกนั้น ทำไมไม่หาพาสองคนนั้นมากองถ่ายด้วยพร้อมกันตอนเช้าล่ะ”
บรูคลินชะงักกึก หันมามองผมด้วยสายตาหวาดๆ
“กะ...ก็องค์ชายแอสโซซิโอตรัสว่าให้ฉันออกมาก่อนน่ะ พระองค์ยังจัดการธุระเมื่อคืนไม่เสร็จ”
“พูดภาษาคน” ผมว่าเสียงเรียบ หงุดหงิดขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นมันพยักหน้ารับรัวๆ
“นั่นแหละ แอสตันจัดการธุระยังไม่เสร็จเลยให้ฉันออกมาก่อน”
“ธุระที่ว่านี่อะไร” ผมเบนความสนใจไปเรื่องอื่นบ้าง
“เมื่อคืนมีข่าวลือจากวงในว่าชาวยูนิกม่าคนหนึ่งถูกฆ่าในย่านไชน่าทาวน์น่ะ แอสตันกับคีธก็เลยรีบตามไปดู ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วถูกฆ่าจริงมั้ย”
“อย่างที่บอกว่าเป็นข่าวลือ สองคนนั้นไปตามหาเบาะแสทั้งคืนแต่ไม่เจอ”
ผมคลายความสงสัยไปได้ว่าทำไมคีธกับแอสตันถึงได้มาสายเลยไม่ติดใจอะไรมาก นอกจากกอดอกมองหน้าบรูคลินนิ่งๆ กระทั่งหมอนั่นถามผมด้วยน้ำเสียงอึดอัด
“นาย...มีอะไรอีกมั้ย ฉันจะไปทำงานต่อ”
“นายเป็นโฮสต์ให้คีธใช่มั้ย” ไม่รู้ทำไมผมถึงถามไปแบบนั้น
“อืม” คำตอบรับของมันทำเอาหัวใจผมเต้นแรงทันควัน ก่อนที่ผมจะถามออกไปอีก
“เวลาหมอนั่นกินสารอาหารจากนายก็ต้องประกบปากด้วยสินะ”
พอเห็นบรูคลินพยักหน้ารับ ผมก็เกือบอดใจพุ่งไปต่อยหน้ามันแทบไม่ได้ และก็ยิ่งพาลใหญ่เมื่อตระหนักได้ว่าที่ผมรู้สึกบัดซบในตอนนี้เป็นเพราะฝีมือของไอ้หน้าอ่อนตรงหน้านี่ ถ้าผมไม่เจอคีธอีกครั้งจนมารู้ว่ามันมีโฮสต์ใหม่เป็นบรูคลินแบบนี้ล่ะก็ ผมคงจะไม่หงุดหงิดแบบนี้หรอก
“แล้วทำไมนายต้องพาพวกมันมาสมัครเป็นสตั๊นแมนที่นี่ฮะ ไหนว่าเป็นโฮสต์ให้พวกมันพึ่งพาไง”
“ให้พึ่งพาแต่ก็ใช่ว่าการอยู่ด้วยกันมันไม่ต้องใช้เงินนี่ ถึงจะไม่ได้ใช้ซื้ออาหาร แต่ปัจจัยสี่อื่นๆ ก็จำเป็นนะ”
ผมพ่นลมหายใจแรงๆ จริงอย่างที่บรูคลินว่านั่นแหละ ตอนคีธอยู่กับผม ผมก็ต้องออกเงินเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะให้มันเหมือนกัน
“เออๆ นายจะไปไหนก็ไปไป๊ แล้วอย่าลืมหาโทรศัพท์ไว้ให้พวกมันใช้ด้วยล่ะ จะได้เอาไว้โทรตาม”
“ได้ แต่คงจะต้องอีกสักอาทิตย์นะ ขอเวลาเก็บเงินก่อน” บรูคลินว่าเบาๆ แล้วก็เดินจากไป
ผมหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่
แล้วถ้าแบบนี้ผมอยากรู้ว่าคีธทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใครในระหว่างที่รอบรูคลินซื้อโทรศัพท์ให้หมอนั่น ผมไม่ต้องลงแดงก่อนเรอะ เอ๊ะ! จริงสิ ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ อาแปะลีโอนาร์โดฝากเงินให้คีธมาไว้ใช้นี่นา แล้วผมก็ยึดมาหมดแล้วด้วย เงินจำนวนนั้นมากพอที่จะซื้อโทรศัพท์เครื่องนึงได้สบายๆ นี่หว่า
ช่วยไม่ได้ ซื้อให้มันไปเลยก็แล้วกัน
เพราะคิดอย่างนั้น ผมจึงขออนุญาตด็อกเตอร์มาร์ตินออกไปทำธุระที่ห้างใกล้ๆ ครู่หนึ่งโดยอ้างว่าที่ติดต่อกับคีธและแอสตันไม่ได้เป็นเพราะโทรศัพท์ของทั้งคู่พัง ผมเลยจะไปซื้อมาให้ใหม่ เขาอนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็น อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ผมจึงกลับมาพร้อมกับโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมหนึ่งเครื่อง
ผมรอกระทั่งผู้กำกับวิลล์สั่งคัตและปล่อยให้นักแสดงและสตั๊นแมนพัก ผมถึงได้โบกมือเรียกคีธที่อยู่ในชุดบอดี้สูทสีดำให้เข้ามาใกล้
“มีอะไรเหรอกวินทร์” หมอนั่นถามเสียงเรียบ ขณะที่ผมยื่นของในมือให้
“โทรศัพท์ จะได้เอาไว้ใช้ติดต่อกัน”
หมอนั่นรับโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กกว่าฝ่ามือไปสำรวจอย่างงุนงง เปิดโอกาสให้ผมอธิบาย
“ฉันโหลดโปรแกรมแชทเอาไว้ให้แล้ว แล้วก็เซฟเบอร์โทรของฉันกับริชาร์ด รวมถึงแอดรายชื่อเข้าโปรแกรมแชทให้แล้วด้วย ถ้าเกิดมีปัญหาอะไร พวกนายก็โทรหรือไม่ก็ส่งข้อความมาบอกก่อน เข้าใจมั้ย แล้วนี่ใช้เป็นหรือเปล่า หรือต้องให้สอนใช้”
“ไม่ต้องหรอก เทคโนโลยีของมนุษย์โลกเป็นเทคโนโลยีล้าหลังของยูนิกม่ามาก่อน ตอนนี้เทคโนโลยีการสื่อสารของยูนิกม่าไม่ได้ใช้เครื่องมือใหญ่เทอะทะเช่นนี้แล้ว มีเพียงแผ่นฟิล์มสำหรับรับประสาทสัมผัสชิ้นเดียวเท่านั้น เวลาใช้ก็แค่เอาแปะที่ขมับแล้วคิด เท่านั้นก็สามารถสื่อสารกันได้แล้ว แต่ถึงฉันจะเกิดไม่ทัน ก็พอรู้ว่าใช้ยังไง ขอบใจมากกวินทร์”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนจะถือวิสาสะคว้าโทรศัพท์ในมือคีธมาเข้าโปรแกรมแชทพลางว่าไปด้วย
“นายอ่านภาษาของมนุษย์โลกออกใช่มั้ย”
“อ่านได้ เมื่อครั้งที่ดูหนังของมนุษย์โลก ฉันกับองค์ชายศึกษาหมดแล้ว ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาไทยและภาษาจีน”
“ถ้าเป็นภาษาไทยฉบับพ่อขุนฯ ล่ะก็ ไม่ต้องเลย”
“ไม่ใช่แล้ว วางใจได้” คีธยกยิ้มน้อยๆ ก่อนผมจะส่งโทรศัพท์คืนให้มัน
“ฉันเพิ่มคีย์บอร์ดภาษาไทยกับจีนให้แล้ว จะใช้อันไหนก็เลือกเอาแล้วกัน”
คีธพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะถูกด็อกเตอร์มาร์ตินเรียกไปดูงานเมื่อใกล้จะได้เวลาถ่ายทำฉากต่อไปแล้ว
ความวุ่นวายเข้ามาถาโถมผมตอนนี้นี่แหละเพราะก่อนหน้าผมดันไม่อยู่ด้วยเหตุผลว่าไปซื้อโทรศัพท์ให้คีธ ผมต้องโยกซ้ายทีขวาที ไปจัดการบอกคิวสตั๊นแมนบ้าง คิวนักแสดงบ้าง ประสานงานกับผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับบ้าง รวมถึงกับทีมงานฝ่ายอื่นๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก ยิ่งพอเปลี่ยนฉากถ่ายทำใหม่ด้วยแล้ว หน้าที่ผมนี่เรียกว่านรกเลยเพราะผมต้องดูแลคิวนักแสดงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
แต่ไอ้ระหว่างที่วุ่นวายๆ อยู่นี่แหละที่มีเรื่องทำให้ผมหัวเสีย เรื่องที่หัวเสียก็เป็นเรื่องที่โทรศัพท์ผมมีเสียงข้อความถูกส่งมาดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
ติ๊งดึ่งๆๆ
ผมถึงกับย่นหน้าขณะที่ปากกำลังบอกคิวกับนักแสดงคนหนึ่งอยู่ พอบอกคิวเสร็จก็ละสายตาจากการดูคิวนักแสดงคนต่อไปมามองจอโทรศัพท์ พอเห็นชื่อคนส่งมาแล้วผมก็ต้องย่นหน้าพลัน
ไอ้คีธ... มึงว่างนักเหรอ!
มันก็ว่างจริงๆ นั่นแหละเพราะฉากต่อไป มันไม่ต้องเข้าถ่าย มีแต่แอสตันเท่านั้นที่ยังต้องร่วมฉาก ผมเก็บโทรศัพท์ลงไปโดยไม่แม้แต่จะสนใจกดเปิดข้อความดูด้วยซ้ำว่ามันส่งอะไรมา พลางกวาดสายตามองหามันทันที แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นมันยืนมองผมอยู่ในมุมไม่ไกลนัก
และพอมันเห็นผมมอง มันก็ก้มหน้าแล้วกดแป้นพิมพ์ส่งข้อความมาอีก
ติ๊งดึ่งๆๆ
มึงมีอะไรก็เดินมาบอก! ยืนห่างจากกูแค่ไม่กี่ก้าวเองเนี่ย!
ถึงผมจะบ่นมันในใจแต่สุดท้ายผมก็กดเปิดข้อความอ่าน แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นข้อความภาษาไทยที่มันส่งมาเป็นข้อความเหมือนกันรัวๆ
‘กวินทร์’
‘กวินทร์’
‘กวินทร์’
แล้วก็เป็นอย่างนี้อีกสิบกว่าข้อความ ผมเลยไม่สนใจ เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ทว่ามันก็ส่งมาอีก
ติ๊งดึ่ง!
‘กวินทร์’
มึงจะกวินทร์ทำไมนักหนา!
ผมรำคาญจนต้องกดพิมพ์ข้อความส่งไปหามันรัวๆ
‘อะไร!’
‘กวินทร์’
‘กวินทร์’
‘กวินทร์’
มึงมันกวนตีน!
ผมฟีลขาดเอาในตอนนี้ ยิ่งเห็นหน้ามันที่ส่งข้อความเสร็จแล้วมองผมนิ่งๆ ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ทำให้ผมตัดสินใจกดอัดเสียงแล้วส่งเป็นข้อความไปให้มันทันใด
“อะไร!”
คีธกดฟังแล้วย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าพิมพ์ข้อความกลับมา
‘อย่าเสียวดัง’
กูไม่ได้เสียวดัง! เสียงดังเว้ย! เสียงดัง! มึงพิมพ์ให้มันถูกๆ หน่อย เดี๋ยวคนอื่นมาแอบดูโทรศัพท์มึงก็ได้เข้าใจผิดกันพอดี!
ผมว่าผมได้ยินเสียงเส้นความอดทนในหัวขาดดังผึงเลยนะ ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงอีกครั้งแล้วสาวเท้าเข้าไปหามันอย่างรวดเร็ว
“อะไร” คราวนี้ผมไม่ได้เสียงดัง เรียกว่าแทบจะกระซิบเลยด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงฟังแล้วรู้เลยว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“แค่ลองใช้งานดูเฉยๆ ว่ามีเสถียรภาพดีมั้ย”
ได้ยินคำตอบมันแล้วผมก็แทบจะแย่งเอาโทรศัพท์ในมือมันขว้างลงพื้น แต่ผู้กำกับวิลล์ก็สั่งเทคขึ้นเสียก่อน ผมเลยได้แต่คาดโทษ
“อย่าส่งมาอีกถ้าไม่มีอะไรคอขาดบาดตาย เข้าใจมั้ย”
คีธพยักหน้า แต่ก็ไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ คว้าแขนผมเอาไว้แล้วดึงเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าผมจะเดินไป
“อะไรอีก” ผมชักสีหน้าถามให้คีธได้พูดขึ้น
“เสียวดังแปลว่าอะไร”
ก็แปลว่าเสียวไงโว้ย!
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันชิบเป๋ง ทว่าปากกลับหนัก ไม่กล้าอธิบายออกไปว่ามันคืออะไร แต่พอไม่พูด คีธก็ถามขึ้นมาอีก
“ตกลงเสียวดังแปลว่าอะไร”
“ฉันต้องไปทำงานนะโว้ย” ผมเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ
“ก็บอกมาก่อนสิว่าเสียวดังแปลว่าอะไร”
“ค่อยบอกคราวหลังได้มั้ยวะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาอธิบายตรงนี้ แล้วก็ตอนที่มีคนอยู่เยอะๆ ด้วย” ผมพูดไป หน้าก็ร้อนวาบไปด้วย
“มันยากมากหรือไงแค่อธิบายว่าเสียวดังแปลว่าอะไรแค่นี้” คีธย่นคิ้วเล็กน้อย หากแต่มือยังไม่ยอมปล่อย แถมยังดึงดันจะรู้ให้ได้อีก
ผมเลยมองซ้ายขวาหาจังหวะปลอดคนเพื่อจะอธิบาย เพราะดูท่าแล้ว ถ้าไม่รีบอธิบายไป มันคงไม่ยอมปล่อยผมไปทำงานแน่
“เสียวดังก็แบบ... เวลานายทำอะไรตื่นเต้นๆ ใช่มั้ย นายจะมีความรู้สึกวาบๆ ที่ท้องอะไรแบบนี้จนส่งเสียงออกมาน่ะ”
คีธทำหน้าสงสัยเข้าไปใหญ่ ขณะที่ผมยกมือตีหน้าผากตัวเองเบาๆ
ทำไมกูต้องมาอธิบายเรื่องเสียวๆ ให้มึงฟังด้วยวะ!
“อย่างเช่น?” คีธถามออกมาอีก คราวนี้ผมกลืนน้ำลายเลย พลันรีบปฏิเสธมัน
“ไม่มีตัวอย่าง”
“ไม่มีตัวอย่างก็ไม่ให้ไป”
ฉิบหาย! นี่มึงจะให้กูทำเสียงเสียวให้ฟังอีกเหรอ!?
ดูท่าทางคีธคงจะไม่ให้ผมไปจริงๆ เพราะผมพยายามแกะมือมันออกแล้ว แต่มันกลับเกาะผมแน่นยิ่งกว่าเดิมจนผมต้องหันไปพ่นลมหายใจใส่มันแรงๆ พลันจ้องหน้าหล่อนั่นนิ่งๆ
“เข้ามาใกล้ๆ” ผมว่าพลางกระดิกนิ้ว
คีธยื่นหน้าเข้ามา ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วทำเสียงกระเส่าให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้มันฟัง
“อาห์...อืม...อาห์...”
คีธเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ก่อนจะผละออกมาจากผมพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ส่วนผมน่ะเหรอ... อยากจะเป็นขอมดำดินมุดกลับประเทศไทยไปชะมัด!
“เข้าใจแล้ว” มันว่าขึ้นแล้วยอมปล่อยผมออกจากการเกาะกุม
ผมมองมันตาขวางแล้วกระชับเสื้อตัวเองให้เข้าที่ ทำท่าจะกลับไปทำงานต่อ หากแต่คีธก็ทำให้ผมต้องอยากวิ่งกลับเอาหัวไปโหม่งหน้ามันทันควัน
“งั้นกวินทร์เสียวเบาๆ แล้วกัน อย่าเสียวดัง”
เสียวพร่อม! มึงเสียวไปคนเดียวเหอะไอ้มนุษย์ต่างดาวลามก!
 -----------------------------------------
คีธคือแอบทะลึ่งอ่ะ 555 ตอนนี้กวินทร์แอบมีหึงด้วยพอรู้ว่าโฮสต์ใหม่ของคีธเป็นบรูคลิน แต่เก็บอารมณ์แรงมาก ตอนหน้ามาเกรียนกว่าและกามกว่าเป็นเท่าตัว ฮาาา
ปล.เรื่องนี้เขียนจบนะคะเพราะกำลังจะเปิดพรีออเดอร์ต้นเดือน ม.ค.59 ค่ะ ใครสนใจ ไปอ่านรายละเอียดตามลายแทงนี้นะคะ https://web.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.914616228594231.1073741838.122468307809031/917794364943084/?type=3&theater
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.13]--21/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 21-12-2015 21:37:48
ไม่อยากให้กวินทร์เสีย(ง)วดัง หนูคีธก็อย่าทำ(?)แรงสิเออ กร้ากกกกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.13]--21/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 21-12-2015 21:58:17
กวินเริ่มชอบคีธแล้ว  คีธตลกดีชอบจัง :mew3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.13]--21/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 21-12-2015 23:24:20
สนุกมาาากดด
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.13]--21/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 22-12-2015 02:19:46
คีธนี่กวนๆแบบน่ารักนะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.13]--21/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 22-12-2015 10:49:25
แงะ ค้างง
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.13]--21/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: MissM ที่ 22-12-2015 12:52:45
บอกเลยเรื่องนี้เสียวดังมาก55555+ มาต่อเร็วๆนะค่ะรออยู่ :mew1: :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.13]--21/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-12-2015 17:43:49
Episode 14: About nipples and feelings
อย่างเช่นทุกวัน พอการถ่ายทำเสร็จสิ้นตามกำหนดการ ผู้กำกับวิลล์ก็นัดแนะเรื่องการถ่ายทำสำหรับพรุ่งนี้อีกนิดหน่อยก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน มีเพียงทีมงานบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่สตูดิโอต่อเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำพรุ่งนี้ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีด็อกเตอร์มาร์ตินรวมอยู่ด้วย
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าไม่อยากจะกลับไปพักแม้ว่าจะทำงานเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม ยิ่งเห็นคีธกับแอสตันเตรียมตัวจะกลับบ้านพร้อมกับบรูคลินด้วยแล้ว ผมก็แทบอยากจะวิ่งไปกระชากมันเอาไว้แล้วชวนไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนสักทีชะมัด แต่ไอ้ริชาร์ดที่อยู่ข้างๆ ผมมันทำท่าจะตายเสียให้ได้ ผมก็เลยถอดใจแล้วยอมกลับไปพักแทน
มันจะไม่ทำท่าจะตายได้ยังไง ก็วันนี้มันโดนทั้งแอสตัน ทั้งซีเลนรุมกระหน่ำจนไม่เป็นอันทำการทำงานแบบนี้น่ะ
วันนี้ริชาร์ดเหนื่อยมาก พวกเราก็เลยตัดสินใจนั่งแท็กซี่กลับอพาร์ตเม้นต์ พอถึงห้องได้ ริชาร์ดก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกลาผมแล้วขอตัวไปนอนทันที มีแต่ผมนี่แหละที่ต้องนั่งเช็คคิวนักแสดงกับสตั๊นแมนต่อเพราะพรุ่งนี้เป็นฉากใหญ่ที่จะต้องใช้สตูดิโอกลางแจ้งในการถ่ายทำ หากแต่เช็คความเรียบร้อยของงานได้ไม่เท่าไหร่ เสียงเคาะประตูจากหน้าห้องดก็ดังขึ้น
“มีอะไร” ผมถามไปโดยไม่สนใจที่จะลุกขึ้นไปเปิดเพราะว่าเป็นริชาร์ด ทว่าไม่มีเสียงตอบรับกลับมานอกจากเสียงเคาะเท่านั้น
“ถามว่ามีอะไร”
ผมถามไปอีกครั้งก็ยังคงเหมือนเดิมว่าไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ผมเลยละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คลุกขึ้นไปเปิดประตู แล้วก็ต้องตะลึงงันเมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะเรียกไม่ใช่ริชาร์ดอย่างที่คิด แต่เป็นคีธกับแอสตัน พร้อมกับบรูคลินที่ยืนตัวลีบๆ อยู่ทางด้านหลังสองคนนั้น
เห็นสีหน้าเรียบนิ่งของหมอนั่นแล้ว ความเบื่อหน่ายในตอนแรกก็กลายเป็นความลิงโลดขึ้นมาฉับพลันโดยที่ผมก็หาเหตุผลไม่ได้ ทว่าผมยังเก็บอาการ ไม่แสดงออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ ถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เท่านั้น
“มากันได้ยังไงเนี่ย”
“เราจะมาขอพึ่งพานายหน่อย” แอสตันเป็นคนตอบ ผมถึงกับย่นคิ้ว
“พึ่งพานี่คือขอกลับมาให้พวกฉันเป็นโฮสต์อีกครั้ง?”
“เปล่า แค่จะมาขอค้างคืนด้วยคืนนึงนะ พอดีบรูคลินจะไม่อยู่บ้าน” แอสตันว่าออกมาอีกครั้งพลางเบือนหน้าไปทางบรูคลินที่ก้มหน้างุดอยู่ด้านหลัง
“ไม่อยู่บ้านแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกนายวะ มันไม่อยู่ พ่อแม่พี่น้องมันก็อยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมถาม
“พ่อแม่กับน้องชายของฉันไม่อยู่ พ่อกับแม่มีประชุมสานสัมพันธ์ของชาวไบโทปที่อยู่ในแอลเอ น้องฉันก็เลยตามไปด้วยน่ะ ส่วนฉันต้องไปช่วยงานฝ่ายคอสตูมสำหรับสเปเชียลเอฟเฟ็กต์วันพรุ่งนี้เลยไม่ได้กลับบ้าน” คราวนี้บรูคลินที่อมพะนำอยู่นานเป็นคนตอบ
“นายก็ให้พวกมันอยู่กันเองสิวะ”
“พ่อกับแม่ฉันเป็นห่วงน่ะถ้าทั้งสองคนจะอยู่กันตามลำพัง ก็เลยขอมาฝากให้โฮสต์เก่าช่วยดูแล”
พอบรูคลินว่ามาอย่างนี้ ผมก็ย่นหน้ายิ่งกว่าเดิม
พวกมึงนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่คิดเองเออเองโดยไม่ถามความสมัครใจชาวโลกสักคำเลยแม่ง!
“ไร้สาระฉิบเป๋ง คิดว่าพวกมันเป็นเด็กอมมือหรือไงวะถึงอยู่กันเองไม่ได้”
พอผมบ่น บรูคลินก็ทำหน้าจ๋อยจนแอสตันต้องว่าขึ้นแก้ต่างให้
“เป็นลักษณะนิสัยของชาวไบโทปน่ะ ชอบเก็บตัวแล้วก็ขี้กังวล ถ้ายิ่งได้เป็นโฮสต์ให้ชาวยูนิกม่าแล้วก็ยิ่งดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี”
แล้วมันใช่เรื่องที่จะต้องมาฝากฝังชาวบ้านให้ช่วยดูแลมั้ยวะ! มนุษย์ต่างดาวนะเว้ย ไม่ใช่หมาถึงจะได้มาฝากเลี้ยงกันได้ง่ายๆ!
ผมอยากจะด่าบรูคลินนักแต่แอสตันก็ตัดบทเอาเสียดื้อๆ
“เอาเป็นว่าเรากับคีทาเยขอพึ่งพานายกับริชาร์ดสักคืนแล้วกัน คงไม่ว่าอะไรนะ”
“เออๆ” ผมพยักหน้าส่งๆ ไปเพราะไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดด้วยเห็นว่าดึกแล้ว อีกอย่าง บรูคลินก็ต้องกลับไปที่สตูดิโอ ขืนไปช้า เดี๋ยวก็ได้ถูกด่ากราดกันพอดี
พอผมยอมตกลง บรูคลินก็มีสีหน้าดีขึ้น ขณะที่แอสตันยิ้มกว้างทันใดเมื่อเห็นว่าตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับริชาร์ดในคืนนี้ ก่อนที่หมอนั่นจะผละจากหน้าห้องผมไปยังห้องริชาร์ดให้ผมต้องรีบพูดแทรก
“ริชาร์ดมันหลับไปแล้วนะ ถ้าจะปลุกมันล่ะก็ เดี๋ยวฉันโทรเรียกให้ ห้ามพังประตู”
แอสตันหันมายิ้มให้ผมพลันพยักหน้า ผมเลยเดินไปคว้าโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อน อึดใจหนึ่งริชาร์ดก็รับด้วยน้ำเสียงงัวเงียแล้วตามด้วยเปิดประตูห้องให้เพราะผมบอกมันว่าลืมของไว้ในห้องมันและต้องใช้ด่วน ทว่าพอมันเปิดออกมาแล้วเจอหน้าแอสตัน ความงัวเงียของมันก็หายไปทันตา และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนเมื่อถูกแอสตันจู่โจมในระยะประชิดก่อนหายเข้าห้องไปด้วยความเงียบกริบ
ผมเดาได้เลยว่าแอสตันมันต้องกระทำการหื่นกามใส่ริชาร์ดแน่นอน มันถึงเงียบเป็นเป่าสากได้ขนาดนี้
ผมไม่สนใจอะไรนักด้วยรู้ว่าเป็นเรื่องปกติของริชาร์ดกับแอสตัน พลันเบนความสนใจมาที่ไอ้หน้าตายตรงหน้าแทน
“นายก็เข้ามาสิ” ผมเอ่ยปาก คีธพยักหน้าแล้วเดินเข้ามา ก่อนจะชะงักกึกราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ก่อนหันไปหาบรูคลิน
“บูลิโอ”
“ครับ?”
“องค์ชายเสวยมื้อเย็นหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ ก่อนเบนจะไปข้างนอก ได้ให้องค์ชายเสวยสารอาหารแล้ว”
เบนที่ว่าคงจะเป็นน้องชายของบรูคลินนั่นแหละ
คีธพยักหน้ารับพลันกวักมือเรียกให้บรูคลินเข้ามาในห้องผมบ้างโดยไม่ถามผมสักคำว่าผมอนุญาตหรือไม่ และพอบรูคลินเข้ามาได้ หมอนั่นก็ปิดประตูแล้วก็เอ่ยขึ้นมาเนิบๆ
“ฉันยังไม่ได้กิน คงต้องขออนุญาต”
ผมถึงกับเบิกตาโตเมื่อได้ยินประโยคนั้น
นี่มึงจะมาดูดปากกันต่อหน้ากู ในห้องของกูโดยไม่เกรงใจกูเลยเนี่ยนะ!?
บรูคลินมีสีหน้ากระอักกระอวลขึ้นมาทันตา ทว่าก็พยักหน้าตอบรับไปราวกับไม่มีทางเลือก
“ดะ...ได้ครับ”
สิ้นเสียง คีธก็เดินเข้าไปหาหมอนั่น ยกมือประคองใบหน้าหวานแล้วจรดริมฝีปากจูบ การจูบเพื่อดูดกินสารอาหารจากบรูคลินไม่ได้ต่างจากตอนที่คีธจูบผมเลยแม้แต่น้อย ไม่ต่างจากยามที่แอสตันจูบกับริชาร์ดด้วย ทว่าผมมองแล้วก็ร้อนวาบขึ้นมาทั้งร่างกาย ความหงุดหงิดหลั่งไหลเข้ามาท่วมท้นจนผมแทบจะวิ่งไปกระชากมันสองคนออกจากกัน หากก็ทำได้แค่กลั้นใจยืนมองพวกมันนัวเนียกันกระทั่งเสร็จสิ้นเท่านั้น
บรูคลินหายใจหอบโยนเล็กน้อยเมื่อคีธผละออกมา สีหน้าหมอนั่นดูอ่อนเพลียไปกว่าเดิม หากแต่มันเจือสีแดงเรื่อๆ บนพวงแก้มเมื่อคีธว่าเสียงเบา
“ขอบคุณนายมาก”
“มะ...ไม่เป็นไรครับ”
มึงจะหน้าแดงทำไม!? เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัดเลยบัดซบเอ๊ย!
“เสร็จแล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว ฉันจะได้พักผ่อน” ผมแสร้งว่าใส่ด้วยไม่อยากให้บรูคลินอยู่ที่นี่นาน
บรูคลินเหลือบมองผมด้วยสายตาหวาดๆ เล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแล้วเปิดประตูกลับออกไป ทิ้งคีธให้อยู่กับผมตามลำพัง พอลับหลังบรูคลินไปแล้ว ผมก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พยายามระงับอารมณ์หงุดหงิดที่เดือดพล่านไปทั่วร่างกายอย่างเต็มที่ ก่อนจะเดินหนีไปนั่งยังเก้าอี้แล้วทำงานต่อโดยไม่สนใจคีธอีกต่อไป
บ้าชะมัด... ทำไมผมต้องมาหงุดหงิดที่เห็นมันจูบกับคนอื่นด้วยวะเนี่ย
“กวินทร์เป็นอะไร” และเพราะผมทำเฉยชาใส่มัน คีธก็เลยถามออกมาอย่างนั้น
ผมชำเลืองมองหน้าหมอนั่นเล็กน้อย พลันปฏิเสธ
“ไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่ฉันสัมผัสได้ว่านายกำลังโกรธ”
“ไม่ได้โกรธ”
“ตัวนายมีไอความร้อน สีหน้านายแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ นี่หรือเรียกว่าไม่ได้โกรธ”
ผมก็ลืมไปว่าหมอนี่มันประสาทสัมผัสดี อุตส่าห์เก็บอาการแล้วนะ ยังจะมารู้ดีอีก!
“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ ฉันแค่รำคาญ ฉันทำงานยุ่งขนาดนี้ยังมีพวกนายมากวนอีกเลยหงุดหงิดเว้ย” จนแล้วจนรอดผมก็ยังปากหนัก ปฏิเสธออกไปอยู่ดี
“นายโกรธ ไม่ได้รำคาญ”
“ไม่ได้โกรธ”
“โกรธ”
คีธจ้องหน้าผมนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายหนีหน้า แม่ง มึงก็รู้ดีไปหมดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องทะลึ่งๆ นั่นแหละ
“ตกลงโกรธเรื่องอะไร” และมันก็ถามขึ้นมาอีก
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าประหนึ่งว่าระอากับความช่างตื๊อของมัน ก่อนจะหันกลับไปประจันหน้าอีกครั้ง
“โกรธที่นายมากินสารอาหารกับไอ้หน้าอ่อนนั่นในห้องฉันโดยไม่ขออนุญาตนี่แหละ” ไม่รู้ทำไมผมถึงหลุดปากพูดออกไป
คีธถึงกับยกยิ้มออกมาเมื่อผมยอมพูดความจริง ก่อนมันจะทำให้ผมต้องใจเต้นระรัวเมื่อมันพูดประโยคใหม่ขึ้นมา
“หึงฉันล่ะสิ”
ผมถลึงตาใส่มันทันควัน
กู-ไม่-ได้-หึง กู-แค่-ไม่-ชอบ!
“จะหึงนายทำไมวะ คิดว่าฉันเป็นเกย์หรือไง” ผมย่นคิ้วถาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คีธหยุดพูดอะไรเทือกนี้ออกมาได้เลย
“ถ้าไม่ได้หึง นายจะมาโกรธทำไม อยากกลับมาเป็นโฮสต์ให้ฉันอีกรอบมั้ยล่ะ นายจะได้ไม่ต้องโกรธอีก”
ทำไมวันนี้มึงพูดมากจังวะ!
“ไร้สาระฉิบหาย ฉันไปอาบน้ำละ” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ด้วยไม่อยากจะถูกมันเค้นถามโน่นนี่อีกต่อไป พลันถอดเสื้อยืดออก เหลือเพียงกางเกงยีนส์เท่านั้น ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย กะว่าจะสงบจิตสงบใจเสียหน่อย
หากแต่คีธก็ไม่ยอมปล่อยผมให้ทำตามใจง่ายๆ พอผมจะปิดประตู หมอนั่นก็สอดมือเข้ามาดันประตูเอาไว้
“อย่าหนีสิกวินทร์”
กูไม่ได้หนี! กูจะอาบน้ำ!
ผมชักสีหน้าใส่พลันดันประตูปิด แต่ก็เท่านั้นแหละ ยังไงก็สู้แรงมหาศาลของไอ้มนุษย์ต่างดาวขี้ตื๊อนี่ไม่ได้ สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้มันเข้ามา
“จะเข้ามาทำไม ฉันจะอาบน้ำ” พอมันเข้ามายืนในห้องน้ำได้ ผมก็แสร้งบ่นอุบ
คีธไม่ตอบ นอกจากถอดเสื้อยืดออกหน้าตาเฉย ทำเอาผมเบิกตาโตใส่มัน
มึงจะถอดทำไม!
“ฉันก็จะอาบน้ำกับกวินทร์ด้วย”
ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินมันพูดอย่างนี้
“งั้นนายอาบไปเลย ฉันไม่อาบแล้ว” ผมรีบหันหลังหนี ทำท่าจะออกจากห้องน้ำ แต่ก็ถูกคีธคว้าแขนเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องอาบด้วยกันก็ได้ แค่อยากใช้เวลากับกวินทร์ กวินทร์ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วจะแก้ผ้าเมื่อไหร่ ฉันจะออกไป นะ อยู่ด้วยกันก่อน”
“ก็อยู่ด้วยกันข้างนอกไม่ได้หรือไงวะ” ผมว่า แล้วมันก็ทำให้คีธยิ้มเผล่
“ก็อยากอยู่ในนี้”
มึงหื่นจริงๆ ด้วยสินะ!
ผมพ่นลมหายใจเต็มแรง รู้แก่ใจว่าจะปฏิเสธอย่างไรก็เสียเปล่าเพราะไม่ว่าอย่างไร คีธก็ดึงดันจะทำสิ่งที่ต้องการให้ได้อยู่แล้ว ผมก็เลยตัดใจ เปิดประตูตู้ชั้นเก็บของเหนือกระจกอ่างล้างหน้า คว้าอุปกรณ์สำหรับล้างหน้าล้างตาออกมา แล้วเริ่มจัดการรวบผมตัวเอง ล้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้จนคีธที่ยืนอยู่ข้างๆ มองอย่างงงๆ
“จะรีบไปไหนน่ะกวินทร์”
รีบให้มึงรีบๆ ออกจากห้องน้ำไปนี่แหละ!
“อย่าถามมาก รำคาญ” ผมว่าหลังจากล้างหน้าเสร็จแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวมาซับหยดน้ำบนใบหน้า
คีธไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่มองผมจัดการกับตัวเองเงียบๆ กระทั่งผมสังเกตเห็นว่าบริเวณใต้วงแขนตัวเองเริ่มมีขนอ่อนงอกขึ้นมาให้เห็นรำไร
บ้าฉิบ... เพิ่งจะแว็กซ์ไปก่อนจะมาแอลเอแท้ๆ งอกขึ้นมาอีกละ
เท่านั้น ผมก็เปิดประตูตู้ชั้นเก็บของอีกครั้งแล้วคว้าเอามีดโกนออกมา คีธมองผมในกระจกแล้วย่นหัวคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นผมยกแขนข้างหนึ่งขึ้น
“กวินทร์ทำอะไร”
“โกนขนรักแร้”
“โกนทำไม”
“ฉันไม่ชอบให้ตัวเองดูเหมือนคิงคอง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก พลันจัดการกับเส้นขนอ่อนๆ ที่ขึ้นอยู่ใต้นั้นอย่างเบามือ
“แสดงว่ากวินทร์ก็ไม่ชอบคนขนเยอะ”
“ใครจะไปชอบวะ ยิ่งผู้หญิงที่มีขนเยอะๆ นะ เวลามีอะไรด้วยนี่อย่างกับมีอะไรกับลิง”
ผมพูดไปเรื่อย จะว่าผมสำอางหรือดูถูกเพศแม่อะไรก็เอาเถอะ แต่ผมเป็นผู้ชายประเภทที่ไม่ชอบให้มีขนขึ้นพรึ่บพรั่บบนร่างกายสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะขนใต้วงแขน ยกเว้นก็ส่วนกลางของลำตัวที่ยอมปล่อยให้มันมีตามธรรมชาติได้ ส่วนขนบริเวณอื่นเช่นแขนขานี่ยังพอทำเนา แต่ขนรักแร้นี่ไม่ไหวจะเคลียร์ ปกติแล้วผมก็ไม่ได้โกนด้วยนะ ใช้บริการร้านแว็กซ์เอา แต่เพราะมาแอลเอและก็ยุ่งจนหัวหมุนแทบทุกวันแบบนี้ ผมเลยไม่มีเวลาที่จะไปหาดูว่ามีร้านบริการแว็กซ์กำจัดขนที่ไหนบ้าง การโกนด้วยตัวเองจึงเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ในตอนนี้
“ฉันก็อยากจะทำอย่างที่กวินทร์ทำบ้าง” จู่ๆ คีธก็พูดขึ้นมาขณะที่ผมจัดการกับใต้วงแขนของตัวเองข้างหนึ่งเสร็จ
“นายนี่มันเรื่องเยอะจริงๆ” ผมบ่นแต่ก็วางมือจากมีดโกนของตัวเองไปเปิดตู้เหนือกระจกแล้วหยิบมีดโกนอันใหม่ส่งให้หมอนั่นบ้าง
คีธรับมาถือพลางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นแล้วจัดการโกนขนอ่อนๆ ใต้นั้นตามอย่างผมบ้าง ผมเหลือบมองผ่านกระจกเล็กน้อยอย่างหวาดเสียวเมื่อเห็นมันรูดใบมีดลงบนผิวเนื้ออย่างไม่เบามือ
“ระวังๆ หน่อย เดี๋ยวก็ได้บาดเอาหรอก”
ทีนี้มันเบามือได้ ทำให้ผมโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง
“จริงๆ นายไม่ต้องโกนก็ได้นะ ไม่เห็นจะมีเลย จะโกนไปทำไม เดี๋ยวมันก็เป็นตอแข็งๆ ขึ้นมาหรอก” ผมว่าตามจริง จริงๆ แล้วคีธแทบจะไม่มีเส้นขนตามร่างกายเลยก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือยังไง แต่ที่รู้ๆ คือน่าอิจฉาชะมัด แม้ว่าผมจะโชคดีที่ไม่มีขนหน้าอกและขนแขนขารึ่บรั่บ แต่ขนรักแร้นี่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ
แต่สิ่งที่ผมเตือนไปเมื่อกี้นี้ ก็ไม่ได้ทำให้คีธหยุดมือได้ พอโกนข้างหนึ่งเสร็จแล้วก็หันไปโกนอีกข้างหนึ่ง ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย กลับมาจัดการกับใต้วงแขนของตัวเองบ้าง หากแต่คีธก็ทำให้ผมต้องเบิกตาแทบถลนเมื่อหมอนั่นสังเกตว่าบริเวณรอบหัวนมของตัวเองมีขนอ่อนเส้นเล็กๆ งอกออกมาเส้นหนึ่ง
ยะ...อย่าบอกนะว่า...
ผมคิดยังไม่ทันจะจบ คีธก็เลื่อนมือลงไปพร้อมกับมีดโกนแล้ว ก่อนที่จะ...
ปึ๊ด!
“โอ๊ย...”
มึงจะโกนหัวนมตัวเองทำด๋อยอะไร!?
เลือดสีเขียวอ่อนไหลซึมออกจากหัวนมของมันเล็กน้อยจนผมต้องรีบพุ่งเข้าไปแย่งมีดโกนจากในมือมันแล้วโยนทิ้ง พลันตรงไปดึงทิชชูสำหรับเช็ดชำระมาซับเลือดอย่างรวดเร็ว
“ทำบ้าอะไรของนาย ไม่เอาแล้วหรือไงหัวนมน่ะ!” ผมว่ารนๆ ใจก็อยากจะตบหัวมันให้หลุด คนบ้าอะไรโกนหัวนมตัวเองได้หน้าตาเฉย เป็นมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ อย่างเดียวไม่พอ สงสัยมึงคงอยากเป็นมนุษย์ต่างดาวหัวนมบอดด้วยสินะ!
คีธไม่พูดอะไร ยืนมองผมที่ซับเลือดให้กระทั่งเลือดหยุดไหลนิ่งๆ กระทั่งผมเป็นฝ่ายถามออกมา
“เจ็บมั้ยเนี่ย”
“ไม่เจ็บ”
ผมละสายตาจากหัวนมไปมองหน้ามันทันใด
“ไม่เจ็บ?”
“อืม ขนาดเอาหัวโขกโต๊ะอย่างแรงเมื่อวันก่อนยังไม่เจ็บเลย กวินทร์คิดเหรอว่าโดนมีดบาดแค่นี้ ฉันจะเจ็บ”
แล้วมึงจะโอ๊ยหาป้ามึงเหรอ! กูตกอกตกใจหมด!
ผมขยำกระดาษทิชชูแล้วปาใส่มันทันทีโทษฐานที่ทำให้ผมใจหาย คีธหัวเราะออกมาน้อยๆ ให้ผมได้ค้อนตาเขียว
“ไสหัวออกไปเลย ฉันจะอาบน้ำแล้ว” ผมว่าแล้วโบกมือไล่อย่างหัวเสียที่มันขยันแกล้งผมเหลือเกิน
แต่มันคงอยากจะแกล้งต่อ พอเห็นผมทำท่าจะหนี ก็รีบโพล่งขึ้นถ่วงเวลาเอาไว้
“แล้วไม่ใส่ยาให้ฉันเหรอ”
“อาบน้ำเสร็จจะใส่ยาให้”
“ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง”
“แค่หัวนมโดนบาดมันไม่ทำให้นายตายหรอกน่า ถึกขนาดนี้” ผมว่าเสียงขุ่น คีธเอียงคอแล้วหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง แถมยังถือวิสาสะมาคว้ามือผมไปวางบนหน้าอกข้างที่มันโดนบาดอีกต่างหาก
“ใส่ยาให้หน่อยนะกวินทร์” ว่าอย่างเดียวไม่พอ ยังทำตาเป็นลูกหมาอีก
มึงนี่ก็ขยันอ้อนเหลือเกิน กูไม่ได้เป็นโฮสต์ให้มึงแล้วนะเว้ย!
“ไม่” ผมตอบห้วนๆ ให้คีธได้พูดขึ้นมาเป็นภาษาไทย
“นะกวินทร์ นะๆ”
ไปได้ยินประโยคอ้อนนี่มาจากไหนวะ!
ผมหลับตาลง พยายามข่มใจที่จะคล้อยตาม ทว่าจังหวะที่หลับตานี่แหละ มันก็ฉวยโอกาสลากผมออกจากห้องน้ำไปนั่งที่เตียง แล้วถามผมขึ้นทันใด
“ยาอยู่ไหน”
“ในกระเป๋าสีดำบนโต๊ะ” ผมว่าส่งๆ แล้วชี้ไปยังกระเป๋าสำหรับใส่ของใช้จำเป็น
คีธเดินไปควานหาของในนั้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาพร้อมกับแอลกอฮอล์ ยาใส่แผล สำลีและปลาสเตอร์ ผมไม่แปลกใจที่ทำไมมันรู้จักของพวกนี้ มันก็คงจะศึกษามาแล้วล่ะว่าของพวกนี้คืออะไร
พอมันเอาของมาวางตรงหน้าผม ผมก็พยักหน้าให้มันนั่งลงแล้วจัดการทำแผลให้
“นายนี่มันงี่เง่าชะมัด” ทำแผลไป ผมก็ก่นด่ามันไป
คีธไม่พูดอะไรกระทั่งผมทำแผลเกือบจะเสร็จ วินาทีนี้นี่เองที่จู่ๆ มันก็เอ่ยปากขึ้นมาเรียกความสนใจผมไปฉับพลัน
“กวินทร์...”
“อะไร”
“เสียว”
เสียวเตี่ยมึง!
ผมมองหน้านิ่งๆ ของมันทันควันราวกับขอคำตอบว่าเสียวอะไรทั้งที่ใจก็รู้อยู่แล้วว่ามันเสียวที่หัวนมนี่แหละ แม่งมีปฏิกิริยาตอบสนองกับการสัมผัสของผมขนาดนี้ มึงคงไม่ได้เสียวอย่างอื่นแล้วล่ะ
“จะเสร็จแล้ว ทนหน่อย” ผมว่ารนๆ รีบทำแผลให้มันจบๆ ไป
ทว่าคีธมันไม่ยอมให้เรื่องน่าอัปยศนี่จบง่ายๆ คว้ามือผมที่วนเวียนอยู่บนหน้าอกไปจับไว้แน่น แล้วเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งมาจับหน้าอกผมบ้าง แถมจุดที่จับก็เป็นจุดที่ตอบสนองกับการสัมผัสไวอีกต่างหาก
“กวินทร์เสียวมั้ย”
ดะ...เดี๋ยว!
จับอย่างเดียวไม่พอ นี่มึงเขี่ยด้วย! หยุดเขี่ยเดี๋ยวนี้!
“ทำบ้าอะไรเนี่ย!” ผมโวยวายลั่นทันควันเมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนอง พยายามเอี้ยวตัวหลบแต่ก็ถูกคีธโถมน้ำหนักลงมากดให้ผมนอนราบลงบนเตียง
ฉะ...ฉิบหายแล้ว! ขนาดไม่ได้เป็นโฮสต์มันแล้วก็ยังโดนมันกดอีกเหรอเนี่ย!
“ปล่อยนะเว้ย!”
ผมรีบผลักมันออกก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิดไป แต่คีธไม่ยอมปล่อยง่ายๆ มิหนำซ้ำยังกระซิบข้างหูผมอีก
“ตอบแทนที่กวินทร์ทำแผลให้”
มึงก็ตอบแทนด้วยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่การเขี่ยหัวนมกูได้มั้ยเล่า!
“ไม่ต้องเลย ถอยออกไป!”
ผมยังคงดิ้น ทว่าการดิ้นทำให้คีธยิ่งล็อคตัวผมแน่น แล้วมันก็ทำในสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด ก็คือการที่มันแตะริมฝีปากลงมาเบาๆ บนแผงอกผมแล้ว แล้วไล้แผ่วเบาไปเฉียดในส่วนที่ไม่ควรจะโดน ผมถึงกับเกร็งตัวแข็ง หลับหูหลับตาปี๋ทันที ได้สติอีกครั้งก็ตอนที่มันพูดออกมาอีกรอบนี่แหละ
“สีชมพู...”
สีอะไรก็เรื่องของกู! ถอยออกจากหัวนมกูได้แล้ว!
“ลุกไปได้แล้วเว้ย!” ผมโวยวายอีกครั้ง แต่คีธก็ทำให้ผมต้องหุบปากสนิทไปเมื่อมันเลื่อนริมฝีปากหยักเข้ามาครอบครองยอดอกผมโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
ผมกระตุกเฮือกที่จู่ๆ ก็โดนจู่โจม เข้าใจความรู้สึกริชาร์ดในตอนนี้เองว่าทำไมมันถึงได้หนีแอสตันนัก ที่แท้ก็กลัวจะถูกมันทำแบบนี้นี่เอง!
แต่น่าแปลกที่การถูกคีธสัมผัสไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงเหมือนตอนถูกซีเลนลวนลาม มิหนำซ้ำ ผมยังตอบสนองไปตามสัมผัสวาบหวามนั่นอีกจนผมแทบไม่มีสติจะคิดอะไรต่อ นอกจากหลุดครางฮืมออกมาเท่านั้น
คีธละริมฝีปากออกจากตัวผมแล้วเงยหน้าขึ้นมองพลางยิ้มเผล่
“เสียวดังก็ได้นะกวินทร์”
มะ...มึงนี่เห็นทำนิ่งๆ แบบนี้ หื่นตัวพ่อเลยนี่หว่า! ตลอดมานี่มึงนี่มันแกล้งโง่สินะ ทำหน้าซื่อๆ นิ่งๆ มึงน่ะหื่นกามกว่าไอ้แอสตันอีก!
ผมได้สติก็ในตอนนี้ ยกมือขึ้นผลักหน้ามันออกห่างจากตัวจนแล้วรีบพาตัวเองออกมาจากใต้ร่างมันอย่างรวดเร็ว
“ยะ...อย่าทำอะไรแบบนี้อีก” ผมว่าละล่ำละลัก พยายามข่มใจตัวเองที่ตอนนี้มีเพลิงราคะเข้าครอบงำไปทั่วทุกอณูไปแล้วอย่างสุดทน บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมแทบจะไม่กล้ามองหน้าคีธเลยด้วยซ้ำ ได้แต่ก้มหน้างุด ซ่อนความอับอายที่พร่างพรายขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
จะมีก็แต่คีธนี่แหละที่เห็นผมอายแล้วชอบใจ ซ้ำยังจ้องหน้าผมนิ่งๆ พลางว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กลับมาเป็นโฮสต์ให้ฉันมั้ย”
“ไม่” ผมตอบโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ทำไม”
“ก็ไม่อยากเป็น! จะถามอะไรนักหนาวะ มีไอ้บรูคลินอยู่แล้วก็ไปดูดปากกับมันโน่น!” ผมแสร้งอารมณ์เสียใส่
คีธมีแววตาหม่นไปเล็กน้อย ทว่าครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ
“ฉันอยากให้นายเป็นโฮสต์ให้ฉันนะ แต่ไม่อยากบังคับ ไว้กวินทร์ยินยอมเมื่อไหร่ก็บอกฉันแล้วกัน”
ผมใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากหมอนั่น ความกรุ่นโกรธที่เห็นคีธจูบกับบรูคลินในตอนแรกมลายหายไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิด ยิ่งหันไปมองหน้าคีธที่มองผมด้วยสีหน้าจริงจังแล้ว ผมก็รู้เลยว่าหมอนี่พูดจริง
ที่แท้หมอนี่ก็แคร์ผม... รู้สึกดีชะมัด แต่จะให้มันมาวางไข่แล้วคลอดมันออกมาอีกก็ทำใจยากอยู่เหมือนกันนะ
“เออ ไว้อยากแล้วจะบอก” คราวนี้ผมไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว
คีธหยักยิ้มออกมาได้ ผมเลยตัดบทโดยการจะกลับไปอาบน้ำอีกครั้ง ทว่าแค่เดินผ่านมันไป คีธก็คว้ามือผมเอาไว้ให้ผมหันไปมองเป็นเชิงถาม
“ฉันจะรอ”
ผมใจเต้นระรัวขึ้นมาก็ในตอนนี้ รีบพยักหน้าส่งๆ ให้แล้วชักมือออก เดินหนีเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว
หะ...ให้ตาย หรือว่าผมจะชอบมันเข้าให้แล้ววะเนี่ย...
 ----------------------------------------
คีธหื่นเปิดเผยมากตอนนี้ 555 แม่ยกซับเลือดกำเดากันรัวๆ กวินทร์น้อยนี่เริ่มรู้ใจตัวเองละ หึงเขาไปเรื่อยแต่ทำซึน อิอิ แถมรู้แล้วด้วยว่าคีธแกล้งหื่นหน้าซื่อ ฮาาา หลงยอมให้ข่มเหงอยู่ตั้งนานสองนาน XD

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 22-12-2015 20:35:42
หื่นจริงๆเลยนะคีธ :hao3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 22-12-2015 20:41:44
คนเขียนได้ใจมากๆ เขียนสนุก แถมยังอัพบ่อยๆอีก ^.^

รีบๆ สมยอมเร็วๆนะ กวิน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: DKTime ที่ 22-12-2015 21:41:18
ชอบๆๆๆๆๆๆๆ บอกได้เลยว่าชอบมากกกกกกก ชอบจริงจังเลยอ่ะ หัวเราะตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่องเลยจริงๆ มาต่อไวๆนะครับ ภาษารื่นไหลดี อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่สะดุดด้วย ชอบครับ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 22-12-2015 21:59:33
มีคนแนะนำเรื่องนี้มาให้อ่านเมื่อวาน แต่ส่งลิ้งในเด็กดีมาให้ อ่านได้ไปสี่ห้าตอน.ปวดตาอ่ะ เราไม่ค่อยชอบเด็กดีเท่าไหร่ ดีใจที่วันนี้เห็นเรื่องนี้ในเล้า จะตามอ่านในนี้แหล่ะ เรื่องสนุก นายเอกฮาเกรียนดี ชอบๆ มาต่อไวๆนะ เรารออยู่
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 22-12-2015 22:40:35
แม๊ะ.....แค่หัวนมพี่ยังเป็นขนาดนี้  พี่ไม่อยากคิดถึงตอนผูกพันกันเลย :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 23-12-2015 02:41:34
อยากให้กลับมาเป็นโฮสต์

หรือให้มาเป็นเมียจ๊ะ พ่อหนุ่มมม :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 23-12-2015 09:54:09
แหมเต็มใจให้เขากระทำจริงๆนะกวินทร์ หึหึ :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 23-12-2015 20:53:48
Episode 15: Zylen is hungry[1]
หรือผมจะชอบคีธเข้าให้แล้ว?
คำถามนี้วกวนอยู่ในหัวผมตลอดทั้งคืนจนผมข่มตานอนไม่หลับ ยิ่งมีคีธนอนร่วมเตียงอยู่ข้างๆ ด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าผมได้นอนไปกี่ชั่วโมง ให้นับเป็นนาทีจะดีกว่า เผลอหลับไปถึงชั่วโมงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผล็อยหลับได้นิดหน่อยก็สะดุ้งตื่นเพราะจิตใต้สำนึกดันทำให้ฝันถึงภาพตอนถูกมันกดประทุษร้ายกับหัวนมซะได้ พอฟ้าสว่างและถึงเวลาไปทำงาน ทีนี้ก็รู้เลยว่านรกอยู่ใกล้แค่เอื้อม ผมทั้งปวดหัวเนื่องจากอดนอนทั้งคืน ทั้งง่วงจนแทบจะล้มพับให้ได้ ออกอาการชนิดที่ว่าแม้แต่คีธเองก็สังเกตเห็น
“ไหวมั้ยกวินทร์” หมอนั่นถามขึ้นมาขณะที่ผมกำลังหัวเสียกับการสวมเสื้อยืดกลับด้านไปเมื่อครู่ด้วยความเบลอและกำลังใส่ใหม่อีกครั้ง
“ไหวอะไร” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าหมอนั่นถามถึงอะไร คีธมองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะพูดแสกหน้าออกมา
“ก็ทนไหวมั้ย เมื่อคืนนายไม่ได้นอนทั้งคืนนี่นา”
มันรู้ได้ไงวะ!
“เป็นอะไรถึงนอนไม่หลับ” รอบนี้ถามตรงประเด็นขึ้นมาอีก ให้ผมได้รีบบ่ายเบี่ยง
“ไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมถึงนอนไม่หลับ”
“นายนี่ก็ถามมากจังวะ นอนไม่หลับก็เพราะฉันไม่ชินที่นายมานอนด้วยนี่หว่า” ผมโกหกออกไปด้วยไม่ต้องการให้คีธถามซักไซ้โดยลืมไปสนิทเลยว่าคีธไม่ได้มานอนร่วมกับผมแค่ไม่กี่คืนเท่านั้น และหมอนั่นก็คงจะคิดเช่นเดียวกันเลยพูดออกมาดักทางผมไว้
“แค่ไม่ได้นอนด้วยกันสองคืนเนี่ยนะไม่ชิน?”
“เออ”
“นายนอนไม่หลับเพราะถูกฉันเล้าโลมมากกว่า”
ผมตวัดดวงตาไปมองมันอย่างตกใจทันทีที่จู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาโต้งๆ ความร้อนพร่างพรายไปทั่วใบหน้าฉับพลัน และทวีมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นหน้าหล่อนั่นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มมุมปากน้อยๆ
“นิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นตื่นเต้น”
มึงไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี! ได้ทีนี่แกล้งกูใหญ่เลยนะ!
ผมมองสีหน้านิ่งเรียบนั้นครู่หนึ่งแล้วก็แสร้งทำเมินกลบเกลื่อน ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน ทำให้คีธที่นั่งอยู่เดินเข้ามาคว้าข้อมือผมเอาไว้
“อะไรอีก”
“นายนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะฉัน ฉันจะชดเชยความผิดให้”
ผมมองหน้าหมอนั่นอย่างงงๆ ก่อนจะประจักษ์ขึ้นมาได้ว่าคีธจะทำอะไรเมื่อมันยื่นนิ้วชี้มาให้ผม
“ดูดสิ”
“ไม่เอา พอเลยไอ้เรื่องดูดนิ้วเนี่ย ฉันไม่ดูดนิ้วนายอีกแล้ว” ผมปัดมือใหญ่ที่จ่อมาตรงหน้าออก คีธย่นคิ้วเล็กน้อยแล้วยื่นมาตรงหน้าผมอีกครั้ง
“ดูดซะกวินทร์ เดี๋ยวไม่มีแรงทำงาน”
“ไม่”
“อย่าต้องให้ใช้กำลังนะ เดี๋ยวเตียงพัง เผลอๆ ฉันจะไม่หยุดเหมือนเมื่อวานด้วย”
มะ...มึงมันเจ้าเล่ห์!
พอพูดมาอย่างนี้ ผมก็ยอมสิ คว้ามือหมอนั่นมาจ่อตรงปาก ถลึงตามองหน้ามันเล็กน้อยอย่างหัวเสียพลางขมุบขมิบปากด่ามันไปด้วย ก่อนจะอ้าปากงับปลายนิ้วนั่นอย่างยอมจำนน
น้ำรสหวานไหลลงคอผมทีละน้อย เรี่ยวแรงที่ถดถอยเริ่มคืนกลับมา พอผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีกำลังวังชาขึ้นมานิดๆ ผมก็ถอนริมฝีปากออก ทำเอาคีธย่นหน้ามองผมทันใด
“ดูดต่อสิกวินทร์”
“พอแล้ว”
“แต่นายยังอ่อนแอ”
“บอกว่าพอแล้วไง!” คราวนี้ผมขึ้นเสียงที่มันตอแยเหลือเกิน ก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋ามาสะพาย เตรียมตัวจะออกนอกห้อง ทว่าก็ต้องลอยหวือเมื่อถูกคีธคว้าเข้ามาที่ต้นแขนเข้าอย่างจัง
ลอยเข้าไปหามันยังพอทำเนา แต่นี่ลอยไปกระแทกลงบนเตียงพร้อมกับร่างใหญ่ที่โถมทับลงมาบนตัวผม ผมถึงกับเบิกตากว้าง มองหน้าไอ้มนุษย์ต่างดาวหื่นกามอย่างหวาดหวั่นทันใด
“ดูดอีกหน่อยนะ จะได้มีแรงกว่าเดิม”
มึงก็บอกกูดีๆ โดยที่ไม่ต้องกดกูได้มั้ยเล่า!
ผมไม่พูดอะไร มองนิ้วชี้ของคีธที่จ่อมาตรงหน้าก่อนตัดสินใจดูดอีกครั้ง และเพราะการดูดสารอาหารจากนิ้วของคีธในครั้งนี้มันต่างจากครั้งอื่นๆ ตรงที่ผมยินยอม และคีธก็อยู่ใกล้ผมเพียงคืบ ทำเอาความหวั่นไหวเมื่อวานหวนกลับคืนมาจนก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายผมเต้นระทึกประหนึ่งจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ และใจเต้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ จากคนตรงหน้าที่กำลังจ้องผมด้วยสายตายากจะอ่าน
“พะ...พอแล้ว” ผมรีบตัดบทก่อนที่หัวใจตัวเองจะมีอาการผิดปกติไปมากกว่านี้
คีธยอมดึงมือออก อมยิ้มน้อยๆ ที่เห็นผมดูมีเรี่ยวแรงขึ้น
“ยิ้มบ้าอะไรอยู่ได้ เสร็จแล้วก็รีบลุกไป ฉันจะได้ไปทำงาน” ผมแสร้งโวยเมื่อเห็นว่าคีธไม่ยอมลุกจากตัวผมสักที
แต่ไอ้บ้าคีธมันหน้าด้าน ไล่แล้วก็ยังไม่ไป แถมยังจ้องหน้าผมนิ่ง อมยิ้มไม่หยุดอีกต่างหากจนผมต้องเป็นฝ่ายยกมือขึ้นดันอกมันออก
“ลุกออกไป!”
หมอนั่นคว้ามือผมที่ดันอกตัวเองเมื่อครู่ออกแล้วกดมันลงกับฟูก ผมถึงกับใจหายวาบ ก่อนที่จะรีบรวบรวมสติให้มั่นเมื่อมันเรียกชื่อผมขึ้นมา
“กวินทร์”
“อะไร”
“กลับมาเป็นโฮสต์ให้ฉันเถอะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ นายนี่มันตื๊อจังวะ”
“ก็ฉันอยากให้กวินทร์เป็นโฮสต์ให้มากกว่า”
ยอมรับก็ได้ว่าผมรู้สึกดีนะที่คีธเห็นผมสำคัญกว่าบรูคลิน แต่มันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปยอมทำตามมันด้วยล่ะ อุตส่าห์เป็นอิสระแล้ว ใครจะโง่กลับไปอยู่ในกรงอีก
“ไม่มีทาง แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว” ผมก็ปฏิเสธหนักแน่นไปพลันพยายามดันตัวหมอนี่ให้พ้นกายอีกครั้ง
แต่ก็เท่านั้นแหละเพราะผมถูกคีธตรึงแขนทั้งสองข้างเอาไว้อยู่ และเพราะถูกตรึง กอปรกับเมื่อครู่ที่ผมปฏิเสธที่จะกลับไปเป็นโฮสต์ให้มันไป คีธก็เลยจ้องหน้าผมนิ่งแล้วว่าออกมาเนิบๆ
“ถามดีๆ แล้วไม่ยอม งั้นก็ช่วยไม่ได้”
ช่วยไม่ได้อะไรของมึง! มึงจะบังคับข่มเหงกูอีกล่ะสินะ!
สัญชาตญาณบอกเลยว่าอีกไม่กี่อึดใจจะมีเรื่องชวนเสียวไส้บังเกิดขึ้น แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันเรียกชื่อผมออกมา
“กวินทร์”
“อะ...อะไรอีก”
ผมถามเสียงเครือ ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ขึ้นมาพลัน แล้วก็ต้องพรึงเพริดหนักเมื่อมันไม่พูดอะไรออกมา แต่ลงมือปฏิบัติแทนโดยการปล่อยมือผมออกให้เป็นอิสระข้างหนึ่ง แล้วมันก็ใช้มือของตัวเองที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปใต้เสื้อผม ลูบไล้หน้าท้องผมไปมาก่อนจะลามไปยังหน้าอกจนอะไรต่อมิอะไรลุกขึ้นมายืนเคารพธงชาติตามเวลาท้องถิ่นแอลเอเป็นที่เรียบร้อย โชคดีที่มันยังยืนตรงแค่ช่วงบน แต่นั่นก็ทำให้ผมดิ้นพล่านเป็นปลาโดนน้ำร้อนลวกได้ทันควัน
“อย่านะเว้ย!” ผมแหกปากร้องลั่น พยายามจะหยุดมันด้วยการเตะเข้าที่หว่างขา
ทว่าพอผมยกขาขึ้น ไอ้บ้าคีธก็เล่นใหญ่ แทรกตัวเข้ามาระหว่างกลางหน้าตาเฉย
“เปิดทางให้อย่างนี้ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้”
กูไม่ได้เปิดทาง! มึงหน้าด้านแทรกเข้ามาเองต่างหาก!
ความรู้สึกของผู้หญิงที่ผมเคยตะล่อมขอมีอะไรด้วยสมัยก่อนเป็นยังไง ผมสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งก็ในตอนนี้ แม่งเอ๊ย! อุบาทว์กว่านี้มีอีกมั้ย!
ถ้ารู้ว่ากรี๊ดมันทำกันยังไง ผมคงจะกรีดร้องโหยหวนไปแล้ว แต่ในเวลานี้ที่ผมทำได้ก็คือการแหกปากโวยวาย ดึงตัวเองออกมาจากการรุกล้ำของมันเท่านั้น
“ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย! ห้ามผูกพัน! ห้ามๆๆ!”
คีธมันฟังที่ไหน ยิ่งผมร้องลั่นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำหน้าเหมือนสะใจ... จริงๆ ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาหรอก แต่สายตามันแพรวพราวมากกว่าปกติ สายตาเหมือนนักล่าที่จ้องมองเหยื่อไร้ทางสู้ก่อนจะกระชากวิญญาณออกมาจากร่างอะไรประมาณนั้น แล้วมันก็ทำให้ผมแทบอยากจะร้องไห้เมื่อมันเริ่มขยับตัวทีละน้อย แม้ว่าร่างกายของเราทั้งคู่จะมีเสื้อผ้าปกปิดอย่างมิดชิด แต่ผมสาบานได้เลยว่าผมสัมผัสได้...
สัมผัสได้จริงๆ...
สัมผัสได้ถึงดาบเลเซอร์มันเนี่ย! มึงมาเคารพธงชาติอะไรตอนนี้ไอ้คีธ! นี่ไม่ใช่หนังเรื่องสตาร์วอร์นะเว้ย! เก็บดาบเลเซอร์มึงลงไปเดี๋ยวนี้!
“หยุดสิวะ!” ผมยังคงแหกปากอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ต้องเงียบเสียงไปเพราะถูกมือใหญ่เลื่อนมาปิดปากไว้แน่น มือของผมข้างที่ยังเป็นอิสระอยู่ดึงมือมันที่ปิดปากออกเป็นพัลวัน ขณะที่ตัวก็เคลื่อนไหวเป็นจังหวะตามการเคลื่อนตัวของไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ตรงหน้า
แล้วก็ต้องกระตุกเฮือกอย่างไร้เรี่ยวแรงเมื่อคีธโน้มใบหน้าลงมาข้างใบหู ก่อนจะอ้าปากงับและขบเบาๆ ผมขนลุกไปทั้งตัวจนเรี่ยวแรงในการดิ้นเมื่อครู่หดหายไปอย่างน่าประหลาด พลันได้สติอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นเรียบๆ
“น่าเสียดายที่ไม่ใช่ของจริง” ว่าจบ มันก็ผละออกจากผม ทิ้งให้ผมมองหน้ามันอย่างตะลึงงันที่จู่ๆ มันก็หยุดเอาดื้อๆ ขณะที่มันยิ้มน้อยๆ ออกมา
นะ...น่าเสียดายปู่มึง! อีกนิดเดียวกูก็จะได้เสียกับมึงอยู่แล้วเนี่ย!
ผมรีบกระเด้งตัวขึ้นมา พุ่งเข้าไปถีบมันเต็มแรงทีนึงอย่างหัวเสีย คีธไม่สะทกสะท้านนอกจากหัวเราะในลำคอเท่านั้น ส่วนผมก็รีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องทันทีที่ตั้งหลักได้โดยมีมันเดินตามหลังมาแบบทองไม่รู้ร้อน
แม่ง กูยิ่งไม่มั่นใจรสนิยมตัวเองอยู่ มึงรุกหนักขนาดนี้ เดี๋ยวกูก็ได้กลายเป็นเมียมึงเข้าจริงๆ หรอก แถมถ้าเป็นเมีย คงจะเป็นเมียน้อยซะด้วยเพราะมันมีไอ้บ้าบรูคลินเอาไว้ดูดปากอยู่แล้ว คิดแล้วก็หงุดหงิด แต่ก็ช่างแม่ง รีบไปตามริชาร์ด แล้วรีบไปทำงานเถอะ
ทว่าพอผมเปิดประตูออกมา จากตอนแรกที่ตั้งใจไปตามริชาร์ดก็เป็นอันต้องล้มเลิกเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะขอบประตูแน่นในสภาพอิดโรยโดยมีแอสตันคอยประคองอยู่ข้างๆ และพอแอสตันเห็นหน้าผม หมอนั่นก็เป็นฝ่ายร้องทักขึ้น
“อรุณสวัสดิ์กวินทร์ พร้อมไปทำงานกันแล้วสินะ”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไม่ได้สนใจสิ่งที่แอสตันพูดสักเท่าไหร่นักด้วยเอาแต่มองริชาร์ดที่วันนี้มันดูแปลกๆ ไป
“เป็นไรวะริชาร์ด” แล้วผมก็อดสงสัยถามออกไปไม่ได้
ริชาร์ดสะดุ้งเฮือก มองหน้าผมด้วยสีหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ
“มะ...ไม่เป็นอะไร” มันเปล่งน้ำเสียงแห้งผากออกมา ฟังก็รู้เลยว่ามันเป็นแน่นอน
“ไม่สบายหรือเปล่าวะ ดูอาการไม่ค่อยดีเลย”
“สบายดี... ฉันสบายดี”
ผมหรี่ตาลงอย่างจับผิด ดูยังไงมันก็ไม่เห็นจะสบายดีอย่างที่ปากพูด หากแต่พอผมทำท่าจะถามขึ้นอีก แอสตันก็แทรกขึ้นขัดเสียก่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปกวินทร์ เดี๋ยวเราให้ริชาร์ดกินสารอาหารจากเรา อาการก็จะดีขึ้น”
ผมพยักหน้าส่งๆ แล้วโบกมือเป็นเชิงให้พวกมันเตรียมตัวไปทำงานได้แล้ว ริชาร์ดปล่อยมือออกจากขอบประตู ค่อยๆ ก้าวขาไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างยากลำบาก แอสตันทำท่าจะไปประคองทว่ากลับถูกริชาร์ดปฏิเสธด้วยสีหน้าหงุดหงิด ก่อนแอสตันจะพยายามเข้าไปช่วยประคองอีก ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่เดินตามต้อยๆ อยู่ใกล้ๆ เพราะถูกริชาร์ดแหวใส่
เห็นท่าทางแบบนั้น ผมก็ยิ่งหรี่ตาพินิจท่าทางพวกมันหนักกว่าเดิมเพราะมองยังไงก็เหมือนกับเมียงอนผัวไม่มีผิดเพี้ยน แล้วก็ต้องเอะใจขึ้นมาฉับพลันเมื่อได้ยินริชาร์ดร้องโอดโอยออกมาพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งมาประคองสะโพกไว้ แอสตันรีบเข้าไปช่วย แล้วก็ถูกด่ากราดเป็นภาษาจีนกลับมาอีก
ผมรู้ดีว่าอาการที่ปรากฏกับริชาร์ดเมื่อครู่คืออะไร เพราะผมเคยเห็นมันจากผู้หญิงที่ผมเคยนอนด้วยหลายต่อหลายครั้ง และนั่นก็ทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
สะ...สะโพกคราก... หรือว่าเมื่อคืนริชาร์กับแอสตันจะ...
ผมรีบสลัดความคิดบ้าๆ ออกจากหัวด้วยไม่อยากคิดต่อ ทว่าคีธที่ยืนอยู่ข้างหลังผมก็พึมพำขึ้นเบาๆ ตอกย้ำความคิดอกุศลของผมมากขึ้นไปอีก
“สงสัยเมื่อคืนองค์ชายคงจะลืมออมแรง”
พะ...พวกมึง...พวกมึงคงไม่ได้ผูกพันกันใช่มั้ย!
ผมใจสั่นก็ในตอนนี้ ก่อนจะรีบถอยห่างจากคีธให้เร็วที่สุดโดยการจ้ำอ้าวตามหลังริชาร์ดกับแอสตันไปดุจติดเทอร์โบ
อันตราย...อันตราย...อันตราย...
ในหัวนี่มีแค่คำนี้ผุดพรายขึ้นมา นี่ถ้าเมื่อกี้ผมพลาดไปล่ะก็ คงจะได้สะโพกครากอย่างไอ้ริชาร์ดแน่ๆ
ไอ้มนุษย์ต่างดาวพวกนี้มันหื่นได้อันตรายจริงๆ!
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.14]--22/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 23-12-2015 20:54:49
Episode 15: Zylen is hungry[2]
ผมไม่เป็นอันทำงานทำการตลอดทั้งวัน นอกจากคอยระวังไม่ให้คีธเข้ามาใกล้เวลาอยู่ในที่ลับตาคนแล้ว สายตาก็ยังจับจ้องไปที่ริชาร์ดตลอดเวลาเมื่อเห็นมันออกอาการสะโพกครากอยู่เนืองๆ ผมอยากจะถามมันให้แน่ใจใจจะขาดว่ามันไปทำอะไรอย่างที่ผมคิดไว้มาหรือไม่ ทว่าก็ไม่มีโอกาสเพราะแอสตันตัวติดมันตลอดเวลา แถมยังงานยุ่งจนหาเวลาว่างสำหรับพูดคุยไม่ได้ แต่พระเจ้าก็เข้าข้างผมเมื่อแอสตันต้องเข้าฉากและริชาร์ดมีเวลาว่างให้นั่งพักเพราะไม่มีฉากที่ต้องใช้เอฟเฟ็กต์ระเบิด ผมก็ไม่รอช้า เข้าไปหยอดถามมันทันใดขณะที่มันกำลังค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างยากลำบาก
“ริชาร์ด”
“ว่า?”
“เจ็บสะโพกเหรอ”
ริชาร์ดสะดุ้งเล็กน้อย หันมามองหน้าผมด้วยสายตาตื่นๆ ก่อนรีบเก็บอาการอย่างรวดเร็ว
“ปะ...เปล่า เจ็บหลังน่ะ เมื่อคืนนอนตกเตียง”
“เจ็บหลัง... เจ็บหลังแล้วจับสะโพกทำไมวะ”
ริชาร์ดเหลือบมองหน้าผมอย่างหวาดๆ ทันที ผมเองก็เหล่ตามองมันอย่างจับผิด ก่อนมันจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ละ...หลังกับสะโพกใช้กล้ามเนื้อส่วนเดียวกันน่า อย่าไปสนใจเลย ไปทำงานต่อไป เดี๋ยวเข้าฉากใหม่ นายต้องดูแลคิวนักแสดงไม่ใช่เหรอ ไปๆ ไปทำงาน”
ผมพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง แต่ในใจนี่รู้ชัดแจ้งแดงแจ๋เลยว่าสิ่งที่ผมคิดไว้ตอนแรกคือเรื่องจริงแน่ๆ ตอนนี้ผมชักจะมั่นใจแล้วล่ะว่ามันได้เสียเป็นผัวเมียกับแอสตันเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงมันจะไม่ยอมรับออกมาแม้แต่คำเดียวก็ตาม
ผมก็ใจหายเหมือนกันนะที่ริชาร์ดมันโดนกระทำหื่นกามถึงขั้นนี้แม้ว่าในตอนแรกผมจะสะใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นมันโดนแอสตันลวนลามบ่อยๆ ก็ตาม แต่ก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า
หากแต่ก่อนจะเดินกลับไปทำงานเหมือนเดิม ผมก็อดทิ้งท้ายให้ริชาร์ดมันเสียวสันหลังวาบไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อของใครอีกคนที่วันนี้ไม่มีคิวถ่ายทำขึ้นมาได้
“พรุ่งนี้ซีเลนมีเข้าฉาก ระวังมันมาหลีนายไว้แล้วกัน เจอหน้ามันแล้วเดี๋ยวจะเจ็บหลังเพิ่มกว่าเดิม”
ริชาร์ดหันมาค้อนผมขวับทันที ส่วนผมก็หยักยิ้มให้มันเล็กน้อยแล้วเดินกลับไปทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
เพราะความไม่มั่นใจว่าผมชอบคีธหรือแค่หวั่นไหว ทำให้ผมมายืนอยู่ที่คลับใต้ดินชั้นสูงแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสตูดิโอมากนักหลังจากเลิกงาน ที่มาที่นี่ก็เพราะผมได้ยินคนในสตูดิโอว่ากันว่าเป็นแหล่งล่าเหยื่อชั้นดีที่รับประกันได้ว่าจะได้เหยื่อชั้นดีกลับไปกินแน่นอน ผมก็เลยจัดการขอยืมบัตรสมาชิกวีไอพีจากพนักงานในสตูดิโอคนหนึ่งที่เป็นขาประจำของคลับแห่งนี้ ที่มาก็เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองนั่นแหละว่าผมไม่ได้เบี่ยงเบน และยังมีรสนิยมชอบเพศตรงข้ามเหมือนเดิม
ภายในคลับแห่งนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคลับที่ผมเคยไปกับเอมิเลีย มีหญิงสาวและชายหนุ่มที่เคยเห็นผ่านจอโทรทัศน์มากหน้าหลายตามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นพวกดารานายแบบ-นางแบบที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมาก และอีกจำนวนหนึ่งก็เป็นพวกคนที่ทำงานเบื้องหลังวงการฮอลลีวูดแต่ส่วนใหญ่จะมีบทบาทใหญ่โต ผมเองก็แนะนำตัวว่าเป็นคนเบื้องหลังวงการฮอลลีวูดเช่นกัน ติดอย่างเดียวที่ไม่ได้อธิบายต่อว่าเป็นแค่นักศึกษา ป.โทที่มาช่วยงานอาจารย์เท่านั้น
และเพราะแนะนำตัวอย่างนี้ก็เลยทำให้ผมล่าเหยื่อได้ไม่ยากนัก เพียงไม่ถึงชั่วโมงที่มาเหยียบในคลับแห่งนี้ ผมก็ล่ากวางสาวเจ้าเนื้อได้ ผมจำได้ว่าเธอเป็นนางแบบให้แบรนด์แฟชั่นแบรนด์หนึ่งเพราะเคยเห็นเธอเดินแบบให้แบรนด์นั้นบ่อยๆ ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก นอกจากเริ่มปฏิบัติการกินอาหารจานด่วนเท่านั้น
อาหารจานด่วนที่ว่าก็คือการจัดการธุระให้เสร็จสิ้นในห้องน้ำของคลับนั่นแหละ
ผมกอดรัดนัวเนียกับเธอตั้งแต่มาถึงหน้าห้องน้ำชาย เธอเป็นผู้หญิงร้อนแรงพอที่จะทำให้ความกำหนัดของผมก่อติดได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก ผมผลักเธอเข้าไปในห้องสุขาห้องเกือบริมด้านในสุดของห้องน้ำเพราะห้องในสุดมีใครบางคนใช้อยู่แล้ว พลันจัดการลงกลอนแล้วปิดฝาชักโครก ยกตัวเธอให้ขึ้นไปนั่งพลางกอดจูบเธอนัวเนีย
“มีถุงยางมั้ย” ผมถามเสียงกระเส่าขณะที่เธอสอดมือเข้าไปใต้เสื้อเพื่อลูบไล้แผ่นหลังของผม ก่อนที่เธอจะดึงมือออกไปค้นกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ ของตัวเองแล้วหยิบบางอย่างออกมาให้
“มี”
ผมไม่แปลกใจนักหรอกว่าทำไมเธอถึงพกของแบบนี้มาด้วย เธอก็คงจะเที่ยวแบบนี้บ่อยเลยเตรียมพร้อมเซฟตัวเองไว้นั่นแหละ
ผมผละจากเธอมารับซองเล็กๆ นั่นมาฉีกออก ก่อนทำท่าจะปลดเข็มขัดกางเกงตัวเอง หากแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงครางกระเส่าของผู้ชายดังออกมาจากห้องข้างๆ
ให้ตายเถอะ ไอ้บ้านี่เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรกหรือไงวะ ร้องอย่างกับถูกเชือด
ผมทำทีเป็นไม่สนใจ แต่ก็ได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเมื่อเสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่ามันสร้างความรำคาญให้กับผมมาก มิหนำซ้ำยังทำให้เพลิงราคะเมื่อครู่มอดลงไปอีกต่างหาก
ก็มันจะไปมีมากขึ้นกว่าเดิมได้ยังไงล่ะในเมื่อเสียงนั่นเป็นเสียงผู้ชาย ไม่ใช่เสียงผู้หญิงนี่หว่า!
แค่เสียงร้องยังคงไม่สาแก่ใจ เพิ่มเสียงดังตึงตังของวัตถุที่กระแทกเข้ามากับผนังด้วย ทำเอาผมกับผู้หญิงที่มาด้วยถึงกับมองหน้ากันอย่างหงุดหงิดทันควัน
“เฮ้ย! เบาๆ หน่อย!” สุดท้ายผมก็ตะโกนอย่างหัวเสีย แต่เสียงดังกึงกังและเสียงร้องครางกระเส่าก็ไม่ได้ลดระดับความดังลงได้เลยจนผมต้องพ่นลมหายใจออกมา ตะโกนใส่ห้องข้างๆ อีกครั้ง
“บอกให้เบาๆ หน่อยไงวะไอ้เวร!” ตะโกนใส่อย่างเดียวไม่พอ ด่าทับไปด้วยแต่ก็เหมือนฝั่งนั้นจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด แถมยังจะดังมากขึ้นด้วย ทำเอาผมที่กำลังอยู่ในอารมณ์กลัดมันหมดอารมณ์เป็นปลิดทิ้งทันที ไม่เพียงแค่ผมเท่านั้น หญิงสาวตรงหน้าก็ทำหน้าระอาพลางว่าขึ้นมาเช่นกัน
“ทำให้มันเงียบเสียงเร็วๆ เข้าสิ ฉันรำคาญจะแย่แล้วนะ”
“ฉันก็รำคาญเหมือนกันแหละน่า” ผมว่ากระชากเสียงใส่เธอเล็กน้อย ก่อนละมือที่ประคองบั้นท้ายเธออยู่ไปทุบผนังกั้นระหว่างห้องน้ำเต็มแรง
“เงียบหน่อยโว้ย!”
ปึงๆๆ!
ฝั่งนั้นเงียบไปอึดใจหนึ่ง... อึดใจหนึ่งจริงๆ เงียบคล้ายราวกับว่าหยุดฟัง แล้วมันก็ดังบรรเลงขึ้นอีก ทำเอาเส้นความอดทนเส้นสุดท้ายของผมขาดสะบั้น
“ไอ้เวรเอ๊ย...”
ผมครางออกมา ส่วนผู้หญิงที่มากับผมก็ชักสีหน้า จัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายเถอะ น่ารำคาญชะมัด ฉันขอยกเลิกก็แล้วกัน เชิญนายไปหาคนใหม่เอาข้างหน้าเถอะ” ว่าจบก็เดินพรวดออกไปทันที
ผมมองตามอย่างเสียดายเล็กน้อย พอลับหลังร่างอวบอัดนั่น ผมก็หันกลับมาจ้องผนังห้องน้ำที่ยังคงสั่นคลอนอย่างหงุดหงิด
เพราะมึงคนเดียวเลย! มึงจะเล่นชักกะเย่อกันเสียงดังไปไหนวะ!
ผมเดินออกจากห้องน้ำมาบ้าง กะว่าจะกลับอพาร์ตเม้นต์เพราะคืนนี้ฤกษ์ไม่ดีซะแล้ว ทว่าในจังหวะที่ผมเดินออกมา ห้องข้างๆ ก็ทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันเสร็จพอดี ผมหันไปมองร่างบางของผู้ชายผมสีบรูเน็ตในสภาพอิดโรย ใบหน้าแดงเรื่อเจือด้วยเม็ดเหงื่ออาบพรายทั่วทำให้ผมรู้ทันทีว่ามันคือไอ้ตัวต้นเหตุของเสียงเมื่อครู่ ผมเกือบจะหลุดด่ามันแล้วว่าไร้สมบัติผู้ดีไปแล้วถ้าสายตาไม่ชำเลืองไปเห็นว่านอกจากผู้ชายคนนั้นที่เดินออกมาจากห้องสุขาข้างๆ แล้ว ยังมีผู้ชายอีกคนเดินตามออกมาอีก
และผู้ชายคนนั้นก็คือ...
“ซีเลน!” ผมโพล่งเรียกชื่ออีกฝ่ายที่กำลังติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำของตัวเองอยู่สุดเสียง
ซีเลนเหลือบมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้าง
“เอ้า คนดูแลคิวในกองถ่ายนี่นา มาทำอะไรน่ะ”
กูอยู่ในห้องน้ำแบบนี้ ไม่มาใช้ส้วมก็มาทำอย่างที่มึงทำนั่นแหละไอ้ดาราฮอลลีวูดหื่นกาม!
ตอนนี้ผมไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมการแข่งขันชักกะเย่อของห้องข้างๆ เมื่อครู่ถึงได้มีแต่เสียงผู้ชายดังอยู่ฝ่ายเดียว ที่แท้แม่งก็ถูกไอ้ซีเลนกินหัวกินหางอยู่นี่เอง
“ไว้เจอกันใหม่นะ” ซีเลนไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย พอใส่เสื้อเสร็จก็โบกมือให้กับคู่ขาคนเมื่อครู่ที่ยิ้มรับให้ก่อนที่หมอนั่นจะเดินออกไป
พอในห้องน้ำเหลือแค่ผมกับซีเลนเพียงสองคน สถานการณ์ชวนกระอักกระอวลก็หลั่งไหลเข้ามาปะทะทันที ผมตั้งท่าจะเดินออกจากห้องน้ำไปบ้างแต่ก็ต้องชะงักเมื่อซีเลนนึกได้ว่าผมยังไม่ได้ตอบคำถามเมื่อครู่
“แล้วตกลงนายมาทำอะไรที่นี่”
“เข้าส้วม” ผมไม่กล้าบอกว่าพาเหยื่อมากินเพราะเดี๋ยวมันต้องรู้แน่ว่าผมอดกินโดยมีสาเหตุมาจากมัน
แต่ถึงจะโกหกไปก็เท่านั้นแหละ ซีเลนมันไม่ได้เป็นหนุ่มน้อยอินโนเซ้นส์ที่ไม่รู้ประสีประสา แค่มองหน้าผม มันก็เห็นไปถึงกระดูกดำแล้ว
“ขอโทษแล้วกันที่ฉันทำให้นายอารมณ์ค้าง อัดอั้นมานานก็เลยจัดหนักไปหน่อย”
มันว่าขึ้นมาลอยๆ ทำเอาผมย่นคิ้วไปเล็กน้อย แล้วโบกมือให้มันเป็นเชิงไม่เป็นไร ก่อนตั้งท่าจะออกจากห้องน้ำอีกครั้ง ในเวลาอย่างนี้ผมไม่ค่อยอยากจะเสวนากับมันสักเท่าไหร่ ยิ่งเคยถูกมันลวนลามมาถึงสองครั้งแล้ว ผมก็ยิ่งไม่อยากอยู่กับมันสองต่อสอง
หากแต่มันก็ทำให้ผมต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อมันว่าขึ้นมาอีก
“เพื่อชดเชยความผิด แล้วก็ต้อนรับในฐานะเพื่อนร่วมงาน ฉันจะช่วยนายปลดปล่อยอารมณ์ค้างคาเองก็แล้วกัน”
ฉิบหายแล้ว!
ผมสั่งให้ขารีบพาตัวเองออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด แต่ไอ้บ้าซีเลนมันไวกว่า ตะครุบตัวผมไว้ได้ก่อนที่ผมจะเดินพ้นธรณีประตูไป มิหนำซ้ำ มันยังปิดประตูห้องน้ำด้านหน้า จัดการล็อคไม่ให้คนด้านนอกเข้ามาได้อีก ผมหันไปมองหน้ามันอย่างตะลึงงันทันใด ขณะที่มันยังคงถามผมหน้าตาเฉย
“นายชื่ออะไรนะ ฉันลืมไปแล้ว”
มึงไม่ได้ลืม! มึงไม่เคยถามต่างหาก!
ผมไม่ทันจะตอบ ซีเลนก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นมาได้แล้วว่าออกมา
“อ๋อ ชื่อเควิน ฉันได้ยินริชาร์ดเรียกอยู่บ่อยๆ เป็นคนไทยด้วยนี่ รู้สึกว่าจะชื่อกวินทร์ใช่มั้ย”
ผมไม่หือไม่อือ ไม่แม้แต่จะแปลกใจที่หมอนี่เรียกชื่อภาษาไทยของผมได้ชัดเจน นอกจากถอยห่างจากมันอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถอยไปก็เหมือนพายเรือวนในอ่าง เพราะซีเลนเดินตามมาเรื่อยๆ แถมยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากให้ใจหล่นวูบอีกต่างหาก
“จะว่าไปนายก็หน้าตาดีนะ หน้าตาดีกว่าริชาร์ดซะอีก ฉันชักจะถูกใจนายขึ้นมาแล้วแฮะ”
มึงไม่ต้องมาถูกใจกูเลย! มึงไปตะล่อมไอ้ริชาร์ดโน่น!
“ไม่ตลกนะซีเลน ฉันไม่เล่น” ผมว่าเสียงแข็งกระทั่งถอยหลังไปจนติดกำแพง
ซีเลนขยับเข้ามาใกล้แล้วยกมือขึ้นยันกำแพงดักทางผมไว้เพื่อไม่ให้ผมหนี
“ฉันก็ไม่ได้เล่น เอาจริง เมื่อกี้ยังไม่หนำใจเท่าไหร่”
ไม่หนำใจบ้านมึงสิ! กำแพงห้องส้วมจะพังครืนลงมาขนาดนั้นน่ะ! มึงจะหื่นไปไหน!
“ไม่หนำใจก็ไปตามคู่นายกลับมาสิวะ” ผมว่าเสียงขุ่น สายตาก็มองหาทางหนีทีไล่ไปด้วย
“รายนั้นรับไม่ไหวซะก่อนก็เลยต้องหยุด” มันว่าออกมาเนิบๆ ให้ผมได้มองมันตาเขียว
“ก็ไปหาใหม่ ฉันไม่มีรสนิยมไม้ป่าเดียวกัน” พูดจบ ผมก็พยายามจะแทรกตัวออกมาจากวงแขนแกร่งนั้น
ทว่าแค่มุดหัวออกมา ซีเลนก็ใช้มือข้างที่ว่างมาคว้าผมไปแล้วผลักให้แผ่นหลังติดกำแพงอีกครั้ง
“ฉันว่าฉันเคยบอกนายแล้วว่านายไม่ได้เป็นเกย์ก็ไม่เป็นไร ฉันเป็นคนเดียวก็พอนี่นา”
“ไม่เอาเว้ย!” ผมเริ่มเสียงดังขึ้นมาบ้างแล้ว กะว่าเผื่อคนข้างนอกผ่านมาได้ยินจะได้เข้ามาช่วย
มันก็เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ นั่นแหละ เพราะทันทีที่สิ้นเสียงผม ซีเลนก็ดันตัวเข้ามาเบียดผมจนร่างของเราแนบชิดกัน แนบชิดอย่างเดียวไม่ว่า ผมสัมผัสได้ถึงดาบเล่มเขื่องของมันด้วย
มะ...มึงอย่าเพิ่งชักดาบ! ขอเวลากูตั้งตัวแป๊บ! เดี๋ยว!
“ท้องยังหิวอยู่ กลับบ้านไปนอนตอนท้องหิวๆ นี่คงนอนไม่หลับ” มันไม่ได้ฟังผมเลยแม้แต่น้อย มีแต่พูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกทันควัน ก่อนจะผลักมันออกเต็มแรง
“ถอยออกไปนะเว้ย!”
ซีเลนคว้าแขนผมหมับพลันตรึงไว้กับผนัง ผมเบิกตาโต ดูท่าทางมันก็รู้เลยว่าไม่ธรรมดา ไอ้บ้านี่คงต้องช่ำชองมากแน่นอนถึงได้รับมือกับการจู่โจมของอีกฝ่ายได้ง่ายดายขนาดนี้
“ขอกินก่อน แล้วจะปล่อยไป”
ผมอยากจะร้องไห้ให้น้ำตากลายเป็นสายเลือด ทำไมเรื่องบัดซบถึงจะต้องเกิดขึ้นถึงสองครั้งในวันเดียวกันด้วยก็ไม่รู้!
“ไม่ให้กินอะไรทั้งนั้นแหละ หยุดก่อนที่ฉันจะเอาข่าวนายไปขาย! หยุดนะเว้ย!” ผมขู่ฟ่อเมื่อซีเลนโน้มหน้าเข้ามาใกล้
เหมือนจะได้ผลเพราะหมอนั่นชะงักไปแล้วผละมามองหน้าผมเล็กน้อย
“ขายข่าวรึ? เอาสิ ขายไปเลย ฉันจะได้ขอส่วนแบ่งล่วงหน้าเยอะๆ”
วะ...เวรแล้ว! ผมก็ลืมไปว่าเคยขู่มันด้วยประโยคนี้มาก่อนและมันก็ใช้ไม่ได้ผล ผมเลยงัดไม้ตายใหม่ขึ้นมาต่อรองก่อนที่มันจะโน้มหน้าฝังริมฝีปากลงบนซอกคอผมทันใด
“ปล่อยนะซีเลน! อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวมองหน้ากันไม่ติดนะเว้ย ไอ้ริชาร์ดล่ะ ริชาร์ด! นายจีบมันอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้านายปล่อยฉันไปนะ ฉันรับปากเลยว่าจะช่วยพูดให้มันไปนอนกับนายให้!”
“ริชาร์ดเหรอ” ซีเลนชะงักทันควัน
“ใช่ๆ ริชาร์ดน่ะ เดี๋ยวฉันชดเชยด้วยการช่วยนายให้ได้กินมันแทน โอเคมั้ย? จะวางยา ดักตีหัว ลักพาตัวอะไรก็ได้ ฉันยอมช่วยทุกอย่างเลย ไปกินมันนู่น มันเป็นเกย์ เกย์หล่อๆ แบบนาย มันชอบ!”
งานขายเพื่อนต้องมา ต้องขออภัยริชาร์ดรัวๆ ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่พูดออกไปแบบนี้ ถ้าไม่พูดไปแบบนี้ ผมคงเสร็จมันแน่
ซีเลนยิ้มเผล่ รอยยิ้มของหมอนี่ดูดีเป็นบ้าถ้าหากว่ามันไม่ได้ยิ้มในเวลาอย่างนี้น่ะ
“น่าสนใจนี่”
ผมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย... เล็กน้อยจริงๆ ก่อนที่มันจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้อีก
“แต่ตอนนี้ฉันหิว อยากกินนายมากกว่า”
ใครจะไปยอมให้มึงกินหัวหินหาง กินกลางตลอดตัวกันล่ะเว้ย!
“หยุดความคิดบ้าๆ นั่นเดี๋ยวนี้เลยซีเลน เอามือออกจากก้นฉันด้วย!” ผมโวยวายลั่นทันทีที่มันเริ่มกลายร่างจากดาราฮอลลีวูดเป็นปลาหมึก แต่โวยวายไปก็เสียแรงเปล่า เพราะมันไม่หยุด
นอกจากไม่หยุดแล้วยังลามปามมากขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ขยำก้นผมอย่างเมามันส์อย่างเดียว ยังบดเบียดท่อนล่างของตัวเองแนบแน่นกว่าเดิม ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตั้งท่าจะด่ากราดมันอีกครั้ง แต่ทำได้แค่เผยอปาก ริมฝีปากอิ่มของซีเลนก็เข้าครอบครองเรียวปากผมแล้ว
ผะ...ผมถูกผู้ชายจูบเป็นคนที่สองในชีวิต!
ความรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้พร่างพรายเข้ามาในหัวแม้ว่าจูบของซีเลนจะไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าจูบของคีธเลยก็ตาม จะว่าไปเรียกว่าชำนาญและช่ำชองกว่าด้วยซ้ำ แถมยังไวเป็นกรด เพราะมันไม่ได้จูบอย่างเดียว มือที่นัวเนียกับบั้นท้ายผมก็เลื่อนมาที่หัวเข็มขัดด้านหน้า จัดการปลดมันออกอย่างรวดเร็วแล้วสอดมืออุ่นร้อนลงไปเหนือท้องน้อยผม ดีที่มันยังไม่โดนส่วนที่ควร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมคงจะได้ร้องไห้จริงๆ แน่
จังหวะนั้นผมเอี้ยวตัวหนีเป็นพัลวัน หนีทั้งจูบ ทั้งมือมัน โชคดีที่พระเจ้ายังเข้าข้างผม บันดาลเสียงทุบประตูและเสียงโวยวายให้ดังขึ้นหน้าห้องน้ำ เรียกความสนใจจากซีเลนไปยังต้นเสียงแทนการพยายามปล้ำผมได้
“ใครอยู่ในห้องน้ำวะ! เปิดประตู มีคนจะอ้วก!”
ผมอาศัยโอกาสที่ซีเลนเปิดช่องว่างพาตัวเองวิ่งไปยังประตูทันใด พลันหมุนลูกปิดให้เปิดออกแล้ววิ่งหน้าตั้งเข้าไปยังฟลอร์เต้นรำโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยแค่ไหน ต่อให้แก้ผ้าเป็นชีเปลือย ผมก็ไม่สนใจอยู่ดี ทางที่ดีที่สุดคือรีบหนีจากไอ้บ้ากามนั่น ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องโป๊อะไรแบบนั้น
ทว่าไอ้ซีเลนกลับไม่ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระง่ายๆ วิ่งตามออกมา แถมยังร้องตะโกนเรียกจนคนทั้งฟลอร์หันมามองผมเป็นตาเดียวอีกด้วย
“กวินทร์! รอก่อน!”
ใครจะไปรอมึง รอให้มึงมาปล้ำหรือไง!
วิ่งไป ผมก็จัดการสวมกางเกงไปด้วย ไอ้ซีเลนก็วิ่งหน้าตั้งมา ตอนนี้ผมเหมือนนางเอกละครที่เพิ่งถูกพระเอกปล้ำเสร็จมาหมาดๆ วิ่งไล่ตามชะมัด ดีที่ใช้เวลาไม่นานก็หลุดออกมาจากคลับนั้นได้ และประจวบเหมาะที่มีแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมาพอดี ผมจึงโบกมือเรียกโดยไม่หยุดใคร่ครวญใดๆ ทำให้ซีเลนที่เพิ่งวิ่งตามออกมามองตามรถที่ผมกระโจนขึ้นไปนั่งด้วยสายตาเจ็บใจที่วิ่งตามผมไม่ทันเท่านั้น
ผมถึงหายใจโล่งทันที แต่ก็ไม่โล่งเท่าที่ควรเมื่อรถแล่นผ่านหน้าซีเลนไปโดยมีหมอนั่นจ้องผมเขม็งพร้อมกับพูดโดยไม่มีเสียงพอให้อ่านปากได้ว่า ‘พรุ่งนี้นายไม่รอดแน่’ ทิ้งท้ายเอาไว้
บ้าฉิบ... ไอ้บ้านั่นมันจ้องริชาร์ดอยู่ไม่ใช่หรือไงวะ ทำไมจู่ๆ ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้เนี่ย!
-----------------------------------
ตอนนี้อะไรไม่รู้ ทำไมหื่นกันทุกคนและทั้งตอน 555 กวินทร์นี่โดนหนักมาก ส่วนริชาร์ดสะโพกครากคืออัลไลลลล ฮาาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.15]--23/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 23-12-2015 22:36:49
ซีเลนน่าจะโดนรุกบ้างให้หายซ่า
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.15]--23/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 24-12-2015 00:30:51
เอาอีกๆ
(นอนลงไปดิ้นกับพื้น)
 ฮืออออ รอคนแต่งเน๊อออ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.15]--23/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 24-12-2015 03:13:24
พึ่งเข้ามาอ่านนนนน สนุกอะ ชอบๆๆๆๆ มาต่อเร็วๆน้าาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.15]--23/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 24-12-2015 07:46:08
เกือบไปแล้วกวินทร์555. ไปไหนก็จะโดนปล้ำ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.15]--23/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 24-12-2015 08:54:14
คะ คะ คุณพิศาล!!! แอร๊ยยยยย ฮ่าๆๆๆ//ผิด
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.15]--23/12/58[หน้า3]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-12-2015 20:16:49
Episode 16: Kawin is mine
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมนอนไม่หลับ... จริงๆ จะว่านอนไม่หลับก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เอาเป็นว่าผมหลับ แต่พอเริ่มหลับลึกไปแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาตลอดทั้งคืนประหนึ่งฝันร้ายอะไรประมาณนั้นดีกว่า ทั้งหมดก็เพราะถูกไอ้บ้าซีเลนลวนลามมาแท้ๆ แต่แค่ถูกลวนลามยังไม่เป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมดันตระหนักได้ว่าวันพรุ่งนี้มันจะมาตามล่าผมนี่แหละที่ทำให้ผมหวาดระแวงจนนอนไม่ได้ พอเช้าขึ้นมา ผมก็เลยกลายสภาพเป็นผีตายซาก แม้แต่ริชาร์ดเห็นแล้วก็ยังต้องทักเพราะมันไม่เคยเห็นผมเป็นแบบนี้เวลาไปเที่ยวคลับ ผมไม่ได้บอกอะไรมัน มันเลยทึกทักไปเองว่าผมคงจะผ่านร้อนผ่านหนาวเมื่อคืนมาอย่างหนักหน่วง
ผมล่ะอยากจะบอกมันเหลือเกินว่าหนักหน่วงมาก... หนักหน่วงกับผู้ชายอย่างไอ้เวรซีเลนด้วย!
แต่ถ้าบอกไปแล้ว เดี๋ยวมันก็มาสะใจผมใช่มั้ยล่ะ ผมก็เลยไม่บอก ปิดปากเงียบกระทั่งมาถึงสตูดิโอ และผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าพอถึงตอนที่ซีเลนต้องเข้าฉาก มันร้องเรียกให้ผมเป็นคนไปตามมันผ่านทีมงานคนหนึ่งแทนที่จะเป็นริชาร์ดเหมือนเดิม ตอนนี้แหละที่ริชาร์ดเริ่มระแคะระคายขึ้นมาแล้วว่ามีอะไรผิดปกติไประหว่างผมกับซีเลน มันก็เลยถามขึ้นหลังจากที่ผมพยายามปฏิเสธการไปตามตัวไอ้หื่นกามมาเข้าฉากอยู่นานจนถูกผู้กำกับวิลล์แหวใส่
“นายไปทำอะไรถูกใจซีเลนมาหรือเปล่าวะ มันถึงได้เรียกนายแบบนี้”
“ไม่ได้ไปทำอะไรให้มันเลยเถอะ” ผมบ่นอุบอิบ ก่อนจะก่นด่าผู้กำกับวิลล์ที่ยืนอ้วนหัวเหม่งสั่งงานทีมงานคนอื่นอยู่ไปด้วยให้ริชาร์ดตบบ่าผมพลางว่า
“เอาเถอะน่า มันคงจะเปลี่ยนใจจากฉันไปหานายเพราะนายหล่อน่าปล้ำล่ะมั้ง ดีใจด้วยนะ”
สาบานเลยว่าผมเห็นไอ้เพื่อนบ้านี่แสยะยิ้มสะใจสุดๆ หน็อยมึง... ได้ทีล่ะรีบเอาคืนเชียวนะ แต่ผมก็อดใจไม่ด่ามันออกไป นอกจากขอร้องมันเท่านั้น
“ไปตามมันเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“เรื่องอะไรล่ะ มันเรียกหานาย นายก็ไปสิ”
“ครั้งก่อนที่มันเรียกหานาย ฉันยังไปเป็นเพื่อนเลยนะเว้ย” ผมโวยน้อยๆ ทว่าริชาร์ดไม่ยี่หระ
“นั่นนายยอมไปกับฉันเองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ ฉันไม่ว่าง” ริชาร์ดว่าเสียงเนือยๆ คิ้วข้างหนึ่งยกขึ้นอย่างกวนโมโห แล้วเดินหนีผมไปหน้าตาเฉย ผมนี่ถึงกับกำมือแน่นเลย
มึงกวนตีนมากไอ้ริชาร์ด ขอให้มึงโดนไอ้เจ้าชายลามกนั่นปู้ยี่ปู้ยำเยอะๆ! ไอ้พวกมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นั่นก็ยังไม่โผล่หัวมา ไม่อย่างนั้น ผมคงชวนพวกนั้นไปเป็นเพื่อนแทนไอ้ริชาร์ดแล้ว
ในเมื่อไม่มีทางเลือกและถูกเร่งเร้าไม่หยุด ผมก็ถอนหายใจแล้วเดินไปนอกสตูดิโอ มุ่งหน้าไปยังห้องพักนักแสดงของซีเลน พอมาหยุดตรงหน้าห้องได้ก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะตรงไปเคาะประตูสองสามครั้ง
ไม่มีเสียงตอบรับในครั้งแรก ผมเลยเคาะไปอีกพร้อมกับเรียกคนในห้องด้วย
“ซีเลน ได้เวลาเข้าฉากแล้ว”
“กวินทร์เหรอ?” เสียงของคนในนั้นถามกลับมาให้ได้ยินแว่วๆ ผมย่นหน้าเล็กน้อยที่หมอนั่นเรียกผมด้วยชื่อภาษาไทย หากแต่ไม่ได้ใส่ใจมาก เพียงแต่ตอบรับเท่านั้น
“เออ เข้าฉากได้แล้ว เดี๋ยวเสียเวลา”
สิ้นเสียง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านในพร้อมกับเสียงปลดกลอนประตู พอประตูแง้มออก ผมก็ทิ้งตัวออกห่างจากหน้าห้องทันใดด้วยเกรงว่าซีเลนจะใช้โอกาสกระชากผมเข้าไปในที่ลับตาคนแล้วจัดการสานต่อความค้างคาเมื่อวาน แล้วก็จริงอย่างที่คิดเสียด้วยว่าซีเลนจะทำอย่างที่ผมคิด เพราะพอหมอนั่นโผล่หน้าออกมาได้ มือใหญ่ก็พุ่งออกมาทำท่าจะคว้าตัวผมไว้อย่างรวดเร็ว ดีที่ผมไหวตัวทัน กระโดดหลบได้แบบฉิวเฉียด พอรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชหื่นกามได้ ผมก็วิ่งโกยหน้าตั้งกลับเข้าไปในสตูดิโอด้วยความไวแสงโดยไม่ลืมตะโกนทิ้งท้ายไว้
“ไปเข้าฉากเร็วๆ เข้า!”
“ฝากไว้ก่อนเถอะกวินทร์! เผลอเมื่อไหร่ นายโดนจัดหนักแน่!” ซีเลนตะโกนกลับคืนมาอย่างเจ็บใจที่ผมรอดไปได้ผมหันกลับไปมองหน้าหล่อๆ ของมันเล็กน้อยแล้ววิ่งไม่ลืมหูลืมตา
ใครจะไปยอมโดนมึงกระทำการหื่นกามใส่กันเล่า!
 
เพราะถูกซีเลนขู่ไว้อย่างนั้น ผมก็เลยทำงานไม่เป็นสุขตลอดทั้งวัน ยิ่งตอนต้องทำหน้าที่ไปบอกคิวมันก่อนเข้าฉากด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นมันมองผมด้วยสายตาหื่นกระหายราวกับราชสีห์จ้องเหยื่อ มองอย่างเดียวไม่พอ มันยังกำชับเรื่อยๆ อีกว่าผมต้องโดนมันกินวันนี้นี่แหละ ทำเอาผมกลายเป็นพวกวิตกจริตไปโดยปริยายพลัน
มึงก็ไปตายอดตายอยากมาจากไหน! หื่นกามได้บรรลัยตลอดเวลานี่ กูว่ามึงผิดปกติแล้ว!
ดีที่วันนี้มันมีฉากต้องถ่ายทำเยอะ ก็เลยยังสบโอกาสเข้าหาผมไม่ได้ ยิ่งตอนนี้มีคีธกับแอสตันมาเข้าฉากร่วมด้วยแล้ว ผมก็ค่อยเบาใจขึ้นมาหน่อยว่าอย่างน้อยๆ ถ้าซีเลนจะทำอะไร ผมก็ยังหาเกราะกำบังได้
เกาะกำบังที่ว่านี่ก็คือคีธนี่แหละ ส่วนริชาร์ดกับแอสตันก็ไม่ต้องพูดถึง พอว่างทีไร มันก็หายหัวกันไปทั้งคู่ทุกที หายชนิดแบบว่าล่องหนได้ด้วยนะ เห็นพวกมันอยู่หลัดๆ หันไปอีกทีก็หายหัวไปแล้วอะไรประมาณนั้น เดาได้เลยว่ามันต้องพากันไปตรวจภายในเป็นแน่
การถ่ายทำดำเนินไปตลอดทั้งวันจนถึงการถ่ายฉากสุดท้ายของซีเลน ผู้กำกับวิลล์ร้องบอกกับหมอนั่นทันทีที่หมอนั่นเดินออกมาจากฉาก
“ซีเลน วันนี้คิวถ่ายของนายหมดแล้วนะ ไปพักได้ ใกล้จะมีถ่ายฉากใหญ่แล้ว นายต้องพักผ่อนเยอะๆ”
ซีเลนพยักหน้ารับส่งๆ ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผู้กำกับวิลล์พูดเท่าไหร่นัก แถมจังหวะนี้เองที่มันเหลือบมองมายังผม ผมเลยรีบทำตัวให้ไม่ว่าง ตรงไปถามด็อกเตอร์มาร์ตินทันทีว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย ดีที่งานของด็อกเตอร์มาร์ตินมีมากพอให้ผมช่วย ผมจึงไม่ถูกมันเข้าจู่โจม
ซีเลนยืนมองผมด้วยสีหน้ายากจะอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปนอกสตูดิโอ ผมหายใจโล่งท้องได้ก็ในตอนนี้ หากแต่ก็ครู่เดียวเท่านั้น มันก็กลับมาอีกพร้อมกับยืนจ้องหน้าผมนิ่ง ผมกลืนน้ำลายเอื้อกด้วยสังหรณ์ใจอะไรขึ้นมาบางอย่าง กระทั่งเหลือบไปเห็นมันพูดโดยไม่มีเสียงว่า ‘ไปเอาถุงยางมา’ เท่านั้นแหละ ผมก็หัวขนลุกไปทั้งตัวอีกครั้ง
“ตรงนี้ไม่มีงานให้ช่วยแล้วเควิน ไปพักเถอะ” จู่ๆ ด็อกเตอร์มาร์ตินก็พูดขึ้นมาตัดอนาคตผม
ผมเบิกตาโต รีบกุลีกุจอเข้าไปหาเขาทันใด
“ไม่มีงานแล้วเหรอครับ หาให้ผมหน่อยสิด็อกเตอร์ ผมอยากทำ”
“วันนี้นายดูกระตือรือร้นแปลกๆ แฮะ” ด็อกเตอร์มาร์ตินเลิกคิ้วเล็กน้อยกับท่าทางตื่นๆ ของผม ผมรีบเก็บอาการแล้วโกหกเขาทันควัน
“ผมก็แค่ไม่อยากทำตัวให้ว่างน่ะครับ อยากได้ประสบการณ์กลับไปนิวยอร์กเยอะๆ”
ด็อกเตอร์มาร์ตินพยักหน้าราวกับปลื้มใจเสียเหลือเกินที่ลูกศิษย์กระเหี้ยนกระหือรืออยากได้วิชาขนาดนี้ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริง ผมแค่ไม่อยากเปิดโอกาสให้ซีเลนมันเข้ามาปล้ำได้ต่างหาก
“ฉันดีใจนะที่นายขยัน แต่นายพักก่อนเถอะ ถ้ามีงานเพิ่ม เดี๋ยวฉันจะเรียกเอง” ด็อกเตอร์มาร์ตินว่าจบแล้วก็เดินไปช่วยงานกำกับกับผู้กำกับวิลล์ ทิ้งให้ผมยืนเหงื่อแตกซิกเป็นน้ำตกเมื่อตระหนักได้ถึงหายนะที่กำลังจะบังเกิดในอีกไม่กี่อึดใจ
ซีเลนเองก็เห็นเหตุการณ์นั้นพอดี มันยกยิ้มทันทีที่ผมชำเลืองไปมองหลัง ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาหาจนผมต้องมองหาทางหนีทีไล่ทันควัน
มะ...แม่ง จู่ๆ ทำไมเปลี่ยนเป้าหมายจากริชาร์ดมาเป็นกูแทนวะ มึงนี่มันจริงๆ เลย!
มองซ้ายขวาอย่างร้อนรนได้อึดใจ ความหวังอันริบหรี่ที่จะหนีการจู่โจมของซีเลนก็ปรากฎขึ้นเมื่อผู้กำกับวิลล์สั่งร้องคัตการถ่ายทำฉากเมื่อครู่พอดี สายตาเหลือบผมเหลือบมองคีธที่กำลังเดินออกจากฉากอย่างอัตโนมัติ หมอนั่นกำลังเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้ายังห้องแต่งตัว ผมไม่รอช้า รีบพุ่งเข้าไปคว้าแขนล่ำของมันเอาไว้ก่อนที่มันจะหายเข้าไปข้างในนั้น
“เดี๋ยวคีธ”
คีธหันมามองหน้าผมอย่างมีคำถาม ผมไม่ทันจะได้บอกว่าผมเรียกไว้ทำไมก็สังเกตเห็นว่าซีเลนที่กำลังเดินเข้ามาหาผมชะงักขาเล็กน้อย สีหน้าระรื่นในตอนแรกกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันตาเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาขัดขวางกะทันหัน มันเลยยกนิ้วขึ้นเหนือลำคอแล้วทำท่าปาดเป็นการขู่ผม ผมกลืนน้ำลายเอื้อกอีกครั้ง หันกลับมามองสีหน้าเรียบนิ่งของคีธทันควัน
“มีอะไรเหรอกวินทร์” เพราะผมไม่ยอมพูดสักที คีธก็เลยถาม
ใจผมเต้นตึกตักด้วยความหวาดเกรงจนเกือบจะควบคุมไม่ได้ ก่อนผมจะตัดสินใจโพล่งออกไปด้วยมีความคิดบางอย่างในการเอาตัวรอดฉาบแวบเข้ามาในหัว
“ขอยืมตัวนายแป๊บนึง”
“หืม? ขอยืมทำไม”
“ขอยืมหน่อยแล้วกัน”
“ก็ขอยืมไปทำไมล่ะ มีอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่จะขอยืมเป็น...”
“เป็น?”
ขอยืมมาแกล้งเป็นผัวกูแป๊บนึง! ไอ้ซีเลนมันจะเข้ามาจู่โจมกูแล้วเนี่ย รีบเป็นผัวกูเร็วๆ ก่อนที่ไอ้ซีเลนมันจะมาเป็นแทนมึงเร็วเข้า!
ผมโคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันอย่างนี้ฉิบเป๋งถ้าไม่ติดว่าคนอยู่รอบข้างเยอะ แล้วกลัวว่าถ้าบอกมันไปแบบนั้น คีธมันจะไม่ยอมเป็นผัวแค่แป๊บเดียว แต่มันจะเป็นชั่วกาลปวสานนี่สิ ผมเลยได้แต่พูดอ้อมๆ ไป
“ยืมมาเป็นแฟนแป๊บนึง” ผมว่าเสียงเบากว่ากระซิบ
หัวคิ้วเรียวของคีธย่นยู่ฉับพลัน แถมยังยกมือขึ้นมาวางทาบผมหน้าผากผมอีก
“กวินทร์ป่วย?”
กูไม่ได้ป่วย! กูกลัวจะถูกปล้ำ! มึงรีบๆ แกล้งทำเป็นผัวกูสักที เดี๋ยวไอ้ซีเลนมันก็ฉุดกูไปหรอก!
“ฉันว่ากวินทร์ป่วย ปกติไม่เคยเข้าหา” คีธยังคงพูดอยู่ แววตาบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรจะสงสัยพฤติกรรมประหลาดๆ ของผมเลย
แต่ในตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ยิ่งเหลือบไปเห็นซีเลนที่ทำหน้าบูดและก้าวเข้ามา ผมก็ไม่รอช้า ผลักคีธเข้าไปข้างในห้องแต่งตัว แล้วจัดการปิดประตูล็อคทันควัน หากแต่ไม่ทันจะได้ล็อค มือใหญ่ของซีเลนก็ยันบานประตูเอาไว้เสียก่อน ก่อนที่มันจะโผล่ใบหน้าบูดบึ้งเข้ามาเรียกผมเสียงเข้ม
“กวินทร์...”
“อะ...อะไร” ผมทำใจดีสู้เสือร้องถามมันออกไป
ซีเลนไม่แม้แต่จะตอบ มองเลยผมไปยังคีธที่ทำหน้านิ่งๆ อยู่ด้านหลังครู่หนึ่ง ก่อนจะถือวิสาสะคว้าแขนผมเอาไว้โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว
“นายเสร็จฉันแน่”
ผมขืนตัวสุดกำลังทันทีที่ถูกหมอนั่นออกแรงกระชาก เกือบจะหลุดปากร้องเรียกให้คีธช่วยแล้ว แต่ไม่ทันจะได้ส่งเสียงออกมาสักแอะ ท่อนแขนใหญ่ของคีธก็โอบรอบช่วงเอวผมเอาไว้แล้วดึงกลับไปกระแทกกับลำตัวหมอนั่นเต็มแรง
“ทำอะไรของนาย” ซีเลนถามเสียงขุ่นเมื่อจู่ๆ ก็ถูกแย่งเหยื่อไปต่อหน้า
คีธไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องหน้าซีเลนนิ่งจนบรรยากาศมาคุเข้าครอบงำ ทำให้ซีเลนที่มีสีหน้ายุ่งอยู่แล้ว ยุ่งหนักเข้าไปอีก
“ฉันถามว่านายทำอะไรของนาย” ในเมื่อคีธไม่พูด ซีเลนก็เป็นฝ่ายถาม
“กวินทร์เป็นของฉัน” และคีธก็พูดขึ้นมาเนิบๆ ด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่สัมผัสได้จากน้ำเสียงว่าโคตรจะไม่พอใจเลย ส่วนผมก็เบิกตาโพลง มองหน้าคีธอย่างอึ้งๆ ที่จู่ๆ มันก็พูดประโยคนี้ออกมา
กวินทร์เป็นของมึงอะไร! มึงอย่ามาขี้ตู่!
ผมรู้สึกแปลกที่ถูกคีธกล่าวอ้างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแบบนั้น แต่มันก็ดีสำหรับในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงถูกปล้ำอย่างนี้ เพราะมันทำให้ซีเลนยอมละความสนใจจากผมไปสนใจคีธแทน
“มิน่า กวินทร์ถึงไม่ยอมฉัน ที่แท้ก็มีเจ้าของ” ซีเลนว่าก่อนยิ้มเย้ยขึ้นมา “แต่ถึงจะมีเจ้าของแล้ว เมื่อคืนก็เกือบจะเสร็จฉัน”
คราวนี้ผมเห็นเลยว่าคิ้วของคีธกระตุกเล็กน้อย แถมยังเหลือบมามองผมอย่างขอคำตอบ
“ก็ไอ้บ้านี่มันปล้ำฉันนี่หว่า ดูตัวมันสิ ใหญ่กว่าฉันขนาดนี้ ใครจะไปสู้มันได้วะ” ผมตะกุกตะกักตอบมันไป
คีธไม่หือไม่อือ ละสายตาจากผมไปมองหน้าซีเลนแล้วว่าเรียบๆ ออกมาเท่านั้น
“อย่ามายุ่งกับกวินทร์”
“คิดว่าห้ามฉันได้เหรอ” ซีเลนว่าอย่างท้าทาย
ผมสาบานเลยว่าโคตรจะเกลียดรอยยิ้มของซีเลนเลยแม้ว่ามันจะทำให้หมอนี่ดูหล่อร้ายเพียงใดก็ตาม แต่รอยยิ้มของมันในเวลานี้ บอกได้เลยว่าเป็นรอยยิ้มที่โคตรกวนตีน ไม่ได้กวนตีนผมนะ กวนตีนไอ้บักคีธนี่แหละ
และเหมือนมันจะได้ผลเสียด้วยเพราะคีธเผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทั้งที่ปกติแล้วจะทำหน้านิ่งตลอดเวลา พลางว่าออกมาอีกครั้ง
“ก็ลองดู”
พูดมาอย่างนี้ก็เหมือนกับการประกาศศึก ซีเลนหัวเราะในลำคอ ก้าวเข้ามาคว้าแขนผมไว้หมับขณะที่คีธก็ดึงผมเข้าแนบกับลำตัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“อย่ามาท้าฉัน”
คีธไม่พูดอะไร จ้องตาอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาเสียใกล้เขม็ง ส่วนผมที่อยู่ตรงกลางก็หายใจเริ่มติดขัด ไม่ใช่เพราะกลัวหรือตื่นตระหนกอะไรหรอกนะ
แต่เพราะกูถูกประกบคู่เป็นแซนด์วิซอยู่เนี่ย! พวกมึงอย่าทรีซัมกันนะเว้ย!
ผมล่ะโคตรเสียวมันสองคนดีกันขึ้นมากะทันหันแล้วมารุมผมเลย ดีที่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด เพราะพอคีธสังเกตว่าซีเลนเข้ามาใกล้ผมเกินไป มันก็ยกมือข้างที่ว่างอยู่ผลักอกซีเลนออกห่าง
“อย่าเข้าใกล้กวินทร์”
ซีเลนถอยหลังไปเล็กน้อย เอียงคอทำท่าเหมือนจะมีเรื่อง
“ก็บอกแล้วไงว่าห้ามฉันไม่ได้”
ต่อยกันแน่ๆ มันต้องต่อยกันแน่ๆ แล้วไอ้ซีเลนมึงต้องตายแน่ๆ ถึงตัวจะใหญ่พอๆ กัน แต่คีธมันแรงควายนะมึง มึงคิดผิดแล้วที่มาท้าผัวจำเป็นของกู มึงโดนอัดน่วมแน่!
ถึงผมอยากจะให้ซีเลนมันโดนคีธเล่นงานแค่ไหน แต่พอคิดถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นในกองถ่ายถ้าหากพระเอกของเรื่องมีอันเป็นไปขึ้นมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะห้ามคีธ ทว่าทำได้เพียงตั้งท่าจะห้าม ริชาร์ดที่กำลังหนีการตามตื๊อของแอสตันก็พุ่งพรวดเข้ามาในห้องแต่งตัวพอดี ก่อนที่มันจะชะงักเมื่อเห็นว่าในห้องมีพวกผมอยู่แล้ว แล้วมันก็ชะงักหนักขึ้นไปใหญ่ทันทีที่เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันคือซีเลน
“ซะ...ซีเลน... พะ...พวกนายมาทำอะไรกันอยู่ในนี้”
ผมว่ามันเดาได้แหละว่ากำลังเกิดเรื่องน่าอัปยศอะไรขึ้น แต่มันแสร้งถามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของซีเลนที่ละสายตาจากผมไปมองมัน ที่สำคัญ สายตาเกรี้ยวกราดและท้าทายของซีเลนเปลี่ยนไปฉับพลันทันทีที่เห็นใบหน้าของริชาร์ดอีกด้วย ร้ายกว่านั้นก็คือซีเลนเข้าไปคว้าไหล่ของริชาร์ดเอาไว้แล้วโน้มหน้าเข้าข้างซอกคอ พร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอด
“ริชาร์ด...” ตามมาด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่
ริชาร์ดตัวเกร็ง สีหน้าซีดเผือดไปทันตา หน้าตาตอนมันถูกจับข้อหามีกัญชาอยู่ในครอบครองในรัฐที่ไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ครอบครองกัญชาเป็นยังไง ตอนนี้มันก็เป็นแบบนั้น ก่อนที่มันจะมองมายังผมอย่างขอความช่วยเหลือ
“คะ...เควิน...”
มึงไม่ต้องมาส่งสายตาเลย เรื่องของมึงโว้ย! ถึงคราวมึงโดนบ้างแล้ว มึงเอาไอ้ซีเลนของมึงกลับไปเลย!
ผมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาวิงวอนของมัน ก่อนจะเหลือบไปมองมันอีกทีเมื่อซีเลนกระชากมันมากระแทกแผงอก แล้วโน้มหน้าลงจนปลายจมูกติดกับซอกคอ
“กลิ่นของนายมัน...”
ผมได้ยินไม่ถนัดนักว่าหมอนั่นพูดว่าอะไร แต่ที่รู้ๆ คือมันทำให้สติของริชาร์ดกระเจิดกระเจิง ก่อนไอ้เจ๊กเพื่อนผมจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมสุดแรง แล้วรีบพาตัวเองออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยมีซีเลนตามไปติดๆ
“เดี๋ยวริชาร์ด!”
เออดี เมื่อกี้ยังจะปล้ำกูให้ได้อยู่แหม็บๆ พอไอ้ริชาร์ดโผล่หน้ามา มึงก็ทิ้งกูอย่างไม่ไยดีเลยนะ!
พอลับหลังซีเลน ผมก็รีบพุ่งเข้าไปปิดประตูลงกลอนทันควัน ก่อนถอนหายใจออกมาเต็มแรงด้วยความโล่งอกที่รอดจากเงื้อมมือของซีเลนสักที แต่โล่งอกได้ไม่ถึงนาทีก็ตระหนักได้ว่ายังมีไอ้ตัวข้างหลังจ้องจะเล่นงานผมอยู่อีกตัว
“บอกมาซิกวินทร์ว่าที่นายถูกมันปล้ำคืออะไร”
ฉะ...ฉิบหายแล้ว!
“กะ...ก็ไม่มีอะไร แค่...”
ผมหันไปทำท่าจะแก้ตัว ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อสายตาประสบกับดวงตาของคีธ ตอนนี้มันไม่ใช่สีเทาสว่างเหมือนเคย แต่เป็นสีดำทั้งลูกตาเหมือนตอนที่หมอนั่นเคยพยายามจะผูกพันกับผมไม่มีผิดเพี้ยน ผมรู้เลยว่าถ้ามันอวตารมาเป็นร่างนี้เมื่อไหร่ หมายความว่ามันกำลังโกรธ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันค่อยๆ เดินเข้ามาต้อนผมจนหลังผมไปชิดกับกำแพง
“บอกมากวินทร์ ไปถูกมันปล้ำได้ยังไง” คีธว่าขึ้นมาอีกครั้ง ผมรีบตั้งสติให้มั่นแล้วตอบไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“กะ...ก็ฉันไปเจอมันในห้องน้ำที่คลับเมื่อคืน แล้วมันก็ปล้ำฉัน แค่นี้เอง ไม่มีอะไร!”
“แล้วกวินทร์ไปทำอะไรที่คลับ”
ผมหลบสายตามันทันควัน ไม่กล้าบอกว่าไปเพราะไปหาเหยื่อกินเนื่องจากผมไม่แน่ใจในรสนิยมทางเพศของตัวเอง หากแต่การไม่ตอบ ทำให้คีธพูดออกมาอย่างรู้ทัน
“ไปหาผู้หญิงมานอนด้วยสินะ”
“ก็รู้อยู่แล้วจะถามทำไมวะ” ผมพูดโดยไม่มองหน้า คีธเลยยกมือขึ้นจับปลายคางผมให้หันไปมองมันนิ่ง
“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้ากวินทร์จะไปมีอะไรกับใคร ถ้าฉันไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่กวินทร์ควรรู้ไว้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะตัวกวินทร์”
สรุปก็คือมึงไม่อยากให้กูไปมีอะไรกับใครนั่นแหละ! มึงไม่ต้องมาพูดเยอะ!
“ฉันจะไปมีอะไรกับใคร มันก็เรื่องของฉัน” ผมสะบัดหน้าหนี แต่ก็ไม่หลุดจากการเกาะกุม แถมคำพูดเมื่อครู่ก็ทำให้คีธย่นคิ้วประหนึ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
“กวินทร์เป็นของฉัน”
“ไม่ใช่เว้ย แล้วก็ไม่ได้เป็นโฮสต์ของนายด้วย ถึงจะเป็นโฮสต์ให้นาย นายก็ไม่มีสิทธิมาแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของฉัน ฉันจะไปนอนกับใครมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย!” ผมโวยออกมาในตอนนี้ คีธไม่ได้สนใจเลยนอกจากพูดประโยคเดิม
“กวินทร์เป็นของฉัน”
มึงมันหน้าด้าน! หน้าด้านไม่พอยังขี้ตู่ด้วย! กูไม่ใช่ของใครทั้งนั้นแหละ!
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ สะบัดหน้าหนีการเกาะกุมอีกครั้ง คราวนี้คีธยอมปล่อยแต่โดยดี ผมเลยผลักหมอนั่นออกห่างแล้วว่าอย่างไม่ใส่ใจ
“จะพูดอะไรก็พูดเถอะ ฉันจะกลับไปทำงานต่อละ ขอบใจที่ยอมมาแกล้งเป็นแฟนปลอมๆ หลอกไอ้ซีเลนให้ฉันแล้วกัน นายก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เผื่อจะมีคนมาใช้ห้องต่อ” ผมทิ้งท้ายไว้แล้วหมุนตัวทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
หากแต่ก้าวได้ไม่ถึงสามก้าว ร่างผมก็ลอยหวือไปด้วยการกระชากของคีธอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ถูกแค่กระชากอย่างเดียว ยังถูกอุ้มด้วยจนผมต้องดิ้นพล่านสุดกำลัง
“ทำอะไรของนายเนี่ย!” ผมโวยเสียงดังแต่ไม่ดังมากพอที่คนนอกจะได้ยิน
คีธอุ้มผมมานั่งบนชั้นวางของที่อยู่ติดกับผนัง ก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างกั้นไว้ไม่ให้ผมหนี
“เป็นแฟนกวินทร์”
ผมไม่แน่ใจนักว่าที่มันพูดมาอย่างนี้หมายความว่าอะไร แต่สัญชาตญาณบอกเลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ยะ...อย่าบอกนะว่ามึงก็จะปล้ำกูอีกคน!? นี่มันหนีเสือปะจรเข้ชัดๆ!
“ไม่ต้องเป็นแล้ว ซีเลนมันไปแล้ว ยกเลิกๆ โมฆะๆ” ผมว่าเร็วๆ ทำท่าจะหนีออกมาจากวงแขนแกร่งนั่น หากแต่คีธไม่ยอมปล่อย ดันผมเข้าติดกับกำแพงแล้วโน้มหน้าเข้ามาเสียใกล้
“ฉันยังไม่ได้ทำหน้าที่แฟนเลย”
“ไม่ต้องทำแล้ว! ก็บอกแล้วไงว่ายกเลิก!”
ห้ามไปก็เท่านั้นแหละ คนอย่างคีธมันหน้ามึน เคยฟังอะไรผมเสียที่ไหน สิ้นเสียงผม มันก็จรดริมฝีปากลงมาบนเรียวปากผมแรงๆ ทีหนึ่งจนผมต้องทุบมันเป็นพัลวัน
“ฉันไม่ได้เป็นโฮสต์นายแล้วนะเว้ย! อย่ามาทำแบบนี้!” พอเป็นอิสระได้ ผมก็แหกปากลั่น
คีธค่อยๆ เปลี่ยนสีตาดำสนิทของตัวเองกลับมาเป็นปกติ ก่อนว่าด้วยน้ำเสียงเบาแทบกระซิบ
“แต่นายทำให้ฉันอยากทำ”
“ระ...ไร้สาระชะมัด” ผมใจเต้นระทึกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล รีบว่ากลบเกลื่อนก่อนจะพยายามพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง เพราะดูท่าทางแล้ว ถ้าผมไม่หนี ผมต้องโดนมันปล้ำแน่ๆ
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อผมทำท่าจะลุก คีธก็รั้งผมไว้กับกำแพงอีกครั้งก่อนจะประกบปากจูบลงอีกครั้ง ผมผลักไสมันสุดกำลังแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือใหญ่ที่ถลกเสื้อผมขึ้น ก่อนจะลูบไล้หน้าท้องผมอย่างแผ่วเบาและเลื่อนขึ้นมาช่วงหน้าอก
“กวินทร์เป็นของฉัน” คีธละริมฝีปากจากผมเล็กน้อย พูดประโยคเดิมให้ผมได้ยินอีกเป็นครั้งที่สาม
ผมอยากจะปฏิเสธเหลือเกินว่าผมไม่ได้เป็นของมันแต่ปากก็ถูกครอบครองอีก คราวนี้จูบของคีธเป็นไปอย่างนุ่มนวลและค่อยๆ ทวีความหนักหน่วงขึ้นเมื่อลิ้นอ่อนนุ่มถูกสอดเข้ามา ผมไม่ได้ยินยอม แต่ก็เหมือนยินยอมนั่นแหละเพราะจู่ๆ ไฟราคะในตัวผมก็ถูกจุดขึ้นมากะทันหัน ยิ่งมีอารมณ์ค้างคาจากเมื่อวานหลงเหลืออยู่ด้วยแล้ว ผมก็เผลอปล่อยตัวโอนอ่อนไปตามแรงกระทำของคนตรงหน้าอย่างลืมตัว
เนิ่นนานทีเดียวที่เราจูบกัน คีธถอนริมฝีปากจากผมอย่างอ้อยอิ่ง พรมจูบบนใบหน้าและไล้ลามไปยังลำคอ ผมกระตุกเล็กน้อยทันทีที่สัมผัสได้ถึงแรงขบเบาๆ และกระตุกหนักขึ้นไปอีกเมื่อคีธไม่ได้หยุดแค่ลำคอ แต่ยังมุ่งหน้าไปยังยอดอก ดูดลิ้มชิมรสราวกับได้กินขนมหวานก็ไม่ปาน
ผมที่ปกติไม่เคยถูกจู่โจม มีแต่เป็นฝ่ายจู่โจม พอถูกกระทำแบบนี้ก็ไร้เรี่ยวแรงไปฉับพลันแม้ว่าสติสัมปชัญญะจะพร่ำบอกให้ผมปฏิเสธหมอนั่น ทว่าร่างกายกลับไปเป็นไปตามนั้นเลยแม้แต่น้อย แถมทำได้ดีที่สุดก็แค่เพียงว่าเสียงขาดๆ หายๆ ออกมาเท่านั้น
“ยะ...อย่า...”
เสียงของผมไม่มีผลอะไรกับคีธเลย หมอนั่นไม่แม้แต่จะละสายตาจากหน้าอกผมขึ้นมามองหน้าด้วยซ้ำ ยังคงวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนความแข็งขืนจากช่วงล่างปรากฎขึ้นมาให้ผมสัมผัสได้
คำว่า ‘ฉิบหาย’ พร่างพรายเข้ามาในหัวผมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมเกลียดความเป็นเพศชายของตัวเองขึ้นมาก็ในตอนนี้ที่พอมีอารมณ์กับการถูกกระตุ้นแล้ว มันมักจะหยุดไม่ได้ และเพราะหยุดตัวเองไม่ได้นี่แหละที่ทำให้คีธได้ใจ เลื่อนมือไปจัดการปลดเข็มขัดกางเกงผมภายในเสี้ยววินาที รู้สึกตัวอีกที กางเกงยีนส์ก็ถูกร่นไปยังข้อเท้าแล้ว
ผมรีบคว้าคอเสื้อมันเอาไว้ทันทีที่มันละจากแผ่นอกของผมเลื่อนต่ำลงไปข้างล่างขณะที่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม
“ดะ...เดี๋ยว ฉะ...ฉันว่ามันจะเลยเถิดเกินไปแล้ว...”
“ไม่ต้องห่วงกวินทร์ ไม่ได้จะผูกพัน” คีธว่านิ่งๆ
มันไม่ได้สำคัญว่าจะผูกพักหรือไม่ผูกพันเว้ย! มันสำคัญตรงที่สิ่งที่มึงจะทำเป็นอันดับต่อไปมันเป็นเรื่องอันตรายสำหรับกูเนี่ยแหละ!
“พะ...พอเลย ฉันไม่ต้องการ” ผมรีบรวบรวมสติ บอกปัดรนๆ แล้วพยายามจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
คีธผลักผมให้นั่งลง จ้องหน้าผมนิ่ง
“อยู่เฉยๆ”
ว่าอย่างเดียวคงไม่หนำใจ มันยังเลื่อนมือมาสัมผัสส่วนอุ่นร้อนบนร่างกายบนด้วย ผมสะดุ้งเฮือกทันทีที่ฝ่ามือหยาบกร้านเลื่อนเข้ามาใต้ร่มผ้า ความรู้สึกวาบหวิวที่ไม่ได้สัมผัสมาพักใหญ่พุ่งพล่านไปทั่วร่างจนผมไม่เป็นตัวของตัวเอง หากแต่ยังพอมีสติ ยกมือไม้สั่นเทามาจับมือใหญ่ที่วุ่นวายกับร่างกายตัวเองเพื่อพยายามดึงออกได้ แต่ก็เหมือนแค่จับเฉยๆ เพราะผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะทำอะไรแม้แต่น้อย นอกจากบีบมือนั้นแน่นเท่านั้น
อึดใจเดียว สิ่งที่เข้ามากระตุ้นเร้าผมก็ไม่ได้มีแค่มือเมื่อคีธก้มหน้าต่ำลงมาพร้อมกับป้อมปราการสุดท้ายที่หลุดหายไป ผมครางออกมาไม่ได้ศัพท์ก็ในตอนนี้จนคีธต้องผละมาจ้องหน้าผมแล้วหยักยิ้มเจ้าเล่ห์
“เสียวเบาๆ กวินทร์”
มะ...มึง! มึงรอจังหวะที่จะพูดประโยคนี้มานานแล้วสินะ!
“กะ...ก็หยุดสิวะ...อืม...”
ฉะ...ฉิบหาย... แค่จะออกปากห้ามมันก็ยังทำไม่ได้เลย
พูดไม่ทันจบประโยค คีธก็จัดการสยบผมอีกระลอก ไม่นานนัก หัวสมองผมก็สว่างวาบพร้อมกับความรู้สึกอัดอั้นที่ถูกปลดปล่อย จากตอนแรกที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้ว ตอนนี้มีเสียงหอบเล็กๆ ดังขึ้นมาด้วย
คีธลุกขึ้นมาประกบปากจูบผมเบาๆ พลางว่าด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ตีตราจองไว้ก่อน ไว้ค่อยผูกพันทีหลัง ถึงตอนนั้นค่อยไปหาที่ที่กวินทร์เสียวดังกัน”
มะ...ไม่มีครั้งที่สองแล้วเว้ย!
ผมรีบผลักมันออก แต่งตัวอย่างรนๆ พร้อมกับความรู้สึกผิดที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง
กะ...กูถูกผู้ชายตีตราจอง... แถมผู้ชายที่ว่าก็เป็นมนุษย์ต่างดาวด้วย
มะ...มึงมารีดพิษกูหน้าตาเฉยอย่างนี้ได้ยังไง!
ความรู้สึกยามฟันผู้หญิงเป็นยังไง เวรกรรมมาเอาคืนผมทั้งต้นทั้งดอก ผมมองหน้าคีธอย่างขุ่นเคือง แล้วต่อยเข้าที่อกมันไปเต็มแรงหนึ่งที
“กวินทร์...” คีธเรียก น้ำเสียงฟังเหมือนจะรู้สึกผิดที่ทำกับผมแบบนี้ แต่สีหน้ามันนี่ไม่ได้บ่งบอกสักนิดเลยว่ารู้สึกผิด
ยิ้มเผล่อย่างนั้นคงสาแก่ใจมึงแล้วสินะ!
“กวินทร์ เดี๋ยว...” แล้วมันก็เรียกผมอีกครั้งเมื่อเห็นผมไม่ยอมพูดกับมัน เอาแต่มุ่งหน้าออกจากห้องแต่งตัวไปอย่างเดียว
“หุบปากไปเลย!” ผมชะงักงัน หันไปแหวอย่างหัวเสีย แต่คีธก็ไม่ได้สะทกสะท้าน เพียงว่าเนิบๆ เท่านั้น
“หน้ายังแดงอยู่นะ แต่งตัวก็ยังไม่เรียบร้อย เช็ดเหงื่อด้วย เดี๋ยวคนอื่นสงสัย”
ผมร้อนวาบไปทั้งหน้าที่ถูกทักแบบนั้น พลันชักสีหน้าใส่มันทันใด
“น่ารัก” มันตอบผมมาแบบนี้
มะ...มึงไม่ต้องทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเลย กูเพิ่งจะถูกมึงจับฆาตกรรมหมู่ลูกๆ กว่าร้อยล้านตัวมาเมื่อกี้เองนะเว้ย! ถึงจะไม่ได้มีอะไรกันก็เถอะ แต่แบบนี้มัน... มะ...แม่งเอ๊ย นี่มันชักเลยเถิดกันไปใหญ่แล้ว!
 --------------------------------------
ตอนนี้หนูแดงเริ่มเปิดจองหนังสือนิยายเรื่องนี้แล้วนะคะ แม่ยกท่านไหนสนใจ เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-12-2015 20:22:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: Nam-Ing ที่ 24-12-2015 21:01:01
โอ๊ยคีธน่าร๊ากกก   :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 24-12-2015 21:30:42
รอให้ผูกพันกันอยู่ค่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 24-12-2015 21:47:28
งืออออออ เอาอีกๆๆๆๆ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: pedchara ที่ 24-12-2015 22:30:23
ปกติจะไม่อ่านแนวนี้  แต่แบบสนุกอ่ะ
ชอบกวินนะ นางเป็นเคะเถื่อนได้อีก
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 24-12-2015 23:46:41
555 ฮาอ่ะ แต่คีธใช้วิธีถูกละ ดื้อๆอย่าเควินต้องดื้อกลับเงี้ยแหละ  :jul3:

ป.ล. Merry Christmas
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 25-12-2015 00:50:45
เค้าตีตราจองกันแล้วววววววววววววว
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 25-12-2015 08:44:18
(ว่าที่)สามีตีตราสินะคะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 25-12-2015 09:10:47
แหมมมีการตีตราจอง5555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 25-12-2015 13:36:07
รีบมาต่อเลยยยยยยยยยย   :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-12-2015 01:13:54
ชี้แจงนิดนึงค่ะ ตอนนี้เป็นตอนพิเศษที่หนูแดงจะเอาลงในเว็บให้อ่านนะคะ เป็นตอนพิเศษที่ไม่ได้วางแผนว่าจะเขียนตั้งแต่แรก แต่เพิ่งมาตัดสินใจได้ว่าจะเขียนก็ตอนคริสมาสต์นี่แหละ ถือว่าเป็นของขวัญเซอร์วิซแม่ยกเล็กๆ ฮาาา
หนูแดงจะเอาตอนนี้ลงไปใส่ในหนังสือด้วยนะคะ ไม่รวมกับตอนพิเศษที่ตั้งใจจะเขียนตั้งแต่แรก อันนี้คือของแถมนะ ส่วนตอนพิเศษของปีใหม่นี่ไม่รู้ว่าจะเขียนมั้ยนะคะ ถ้ามีไอเดียก็อาจจะเขียนแล้วแถมเข้าไปในหนังสือให้อีกตอน แล้วก็เอาให้อ่านกันในเว็บด้วย ส่วนตอนอื่นๆ ถ้าใครอยากอ่านก็อุดหนุนหนังสือน้า

มาเลยคริสมาสต์ไปนิดนึง ไม่ว่ากันเนอะ แหะๆ ^^;;
*******************************

Special Episode: Santa Keith is coming to Kawin[1]

“You better watch out. You better not cry. Better not pout. I’m tell you why. Santa Claus is coming to town (นายควรระวังตัวให้ดีนะ อย่าร้องไห้ อย่าทำหน้างอ จะบอกให้นะว่าทำไม ก็ซานต้าคลอสกำลังมายังไงล่ะ)”
“...”
“He’s making a list and checking it twice. Gonna find out who’s naughty and nice. Santa Claus is coming to town (เขากำลังทำรายงานอยู่นะ แล้วก็เช็คสองรอบด้วย กำลังหาว่าใครที่ทำตัวดี ใครทำตัวไม่ดี ซานต้าคลอสกำลังมานะ)”
“ริชาร์ด...”
“He sees you when you’re sleeping. He knows when you’re awake. He knows if you’ve been bad or good so be good for goodness sake! (เขาเห็นนะเวลานายนอนหลับ เขาก็เห็นนะเวลานายตื่น เขารู้ด้วยว่านายทำตัวดีหรือไม่ดี ฉะนั้นทำตัวดีๆ เถอะนะ)”
“ริชาร์ด...หุบปาก”
“Oh! You better watch out! You better not cry! Better not pout! I’m telling you why! Santa Claus is coming to town! Santa Claus is coming to town! (โอ! นายควรระวังตัวให้ดีนะ! อย่าร้องไห้! อย่าทำหน้างอ! จะบอกให้นะว่าทำไม! ก็ซานต้าคลอสกำลังมายังไงล่ะ! ซานต้าคลอสกำลังมาที่เมือง!)”
“บอกให้หุบปากเนี่ยไม่ได้ยินหรือไงวะ! หนวกหูเว้ย!”
บอกดีๆ แล้วมันยังแหกปากไม่หยุด ผมก็เลยแผดเสียงใส่มันอย่างรำคาญ ริชาร์ดชะงักกึก ละมือจากการประดับต้นคริสมาสต์ที่ตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่นบ้านมันหันมามองผมที่นั่งกอดอกมองมันอย่างหัวเสียพร้อมกับยิ้มร่า ทิ้งดาวสำหรับประดับยอดต้นคริสมาสต์ เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างผม
“หงุดหงิดอารมณ์เสียอะไร ได้โปรดบอกริชาร์ด”
หงุดหงิดที่มึงแหกปากร้องเพลง Santa Claus is coming to town ไม่หยุด แถมเสียงก็เหมือนหมาฉี่ใส่สังกะสีนี่ไงไอ้เจ๊ก!
แต่ผมไม่อยากจะใส่ใจกับเสียงร้องเพลงไม่ถูกคีย์ของมันเลยเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน
“นายจะอารมณ์ดีอะไรนักหนาวะกับอีแค่วันคริสมาสต์”
“ก็ต้องอารมณ์ดีสิวะ ก็คืนนี้เราจะมีงานปาร์ตีฉลองคริสมาสต์อีฟ นายไม่ดีใจหรือไง เนื้อตัวฉันเต้น อยากจะแดนซ์ฉลองคริสมาสต์จะแย่อยู่แล้ว” ริชาร์ดเลิกคิ้วใส่ผมก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
ผมนี่เบ้หน้าใส่มันเลยที่เห็นมันกระตือรือร้นเกินเหตุ แต่ก็ปกติของมันแหละ ก็มันเป็นนักปาร์ตีตัวพ่อนี่นา ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ยังไม่มีผัวหรือมีผัวแล้ว มันก็ยังทิ้งความเป็นนักปาร์ตีไม่ได้อยู่ดีถึงมันจะเพลาเรื่องดูดกัญชาไปบ้างแล้วก็เถอะ ส่วนปาร์ตีฉลองคืนคริสมาสต์อีฟที่มันว่าก็เป็นงานปาร์ตีสไตล์มันนั่นแหละ เมาเหล้าเมากัญชาหัวราน้ำ ไม่ใช่งานปาร์ตีขอบคุณพระเจ้าอะไรนี่หรอก ผมรู้มาเกือบเดือนแล้วว่ามันจะจัดงานเลี้ยงที่บ้าน เพราะมันเล่นไปประกาศบอกรุ่นน้องในชมรมของมันไว้ตั้งแต่ต้นเดือนหลังจากที่มันรู้ว่าพ่อแม่ชาวคริสเตียนผู้เคร่งครัดของมันจะไปฉลองคริสมาสต์ที่บ้านญาติในรัฐอื่น วันนี้ผมก็เลยถูกมันลากมาช่วยจัดสถานที่ให้พร้อมสำหรับค่ำคืนนี้อย่างที่เห็นนี่แหละ
แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้ช่วยอะไร มาถึงมันก็ให้ผมมานั่งเฉยๆ ดื่มเบียร์ กินป็อปคอร์น ดูมันกับแอสตันกระหนุงกระหนิงด้วยความหมั่นไส้แทน ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะช่วยนะ แต่พอผมทำท่าจะหยิบจับ ไม่ริชาร์ดก็แอสตันก็ต้องเข้ามาแย่งทุกที แล้วพวกมันก็หนีไปทำกันสองคน ปล่อยให้ผมนั่งเฉาเป็นต้นไม้หมดใบหน้าหนาวอย่างที่เห็น เพิ่งจะมีปากมีเสียงก็ตอนที่ริชาร์ดมันแหกปากร้องเพลงลั่นไม่หยุดตอนมันกำลังช่วยกับแอสตันตกแต่งต้นคริสมาสต์นี่แหละ
ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมหัวเสียเท่าไหร่นัก แค่รำคาญ เรื่องที่ทำให้ผมหัวเสียเป็นอีกเรื่องมากกว่า
“นายก็ยิ้มได้แล้วน่า คริสมาสต์ทั้งที อย่ามัวทำหน้าเบื่อโลกสิวะ ซานต้ากำลังมองอยู่นะ”
“ช่างหัวซานต้าแม่งเหอะ” ผมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทำเอาริชาร์ดยิ้มเผล่ทันใด
“โหๆ หงุดหงิดประหนึ่งวัยหมดเมนส์ แค่คีธไม่อยู่ฉลองคืนคริสมาสต์อีฟด้วยแค่นี้ หงุดหงิดเป็นหมาแม่ลูกอ่อนเลยนะ”
นั่นแหละ เรื่องที่ทำให้ผมหัวเสียล่ะ
“อย่าพูดมากน่า” ผมบอกปัดไป ไม่อยากจะพูดถึงพลางกระดกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นดื่ม
ที่ไม่อยากจะพูดถึงก็เพราะไม่อยากจะหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมนี่แหละ มีอย่างที่ไหนวะ วางแผนกับผมซะดิบดีว่าจะอยู่ฉลองด้วยกันตั้งแต่คืนคริสมาสต์อีฟแล้วโต้รุ่งไปวันคริสมาสต์ แต่จู่ๆ ก็ดันมีเรื่องให้คีธต้องยกเลิกแผนที่วางไว้กับผมจนได้ เรื่องที่ว่าก็เรื่องการอบรมผู้พิทักษ์ยูนิกม่าบ้าบอคอแตกอะไรนี่แหละ เห็นแอสตันบอกว่าพ่อของหมอนั่นที่ตอนนี้ปกครองดาวยูนิกม่ามีคำสั่งเรียกหัวหน้าผู้พิทักษ์กลับไป คีธที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งหมาดๆ เลยต้องระเห็จไปอย่างไม่มีทางเลือก และผมจะไม่อะไรเลยถ้าการกลับไปของมันในครั้งนี้ไม่ได้กลับไปพร้อมกับเจเนซิสที่โดนเรียกตัวไปเช่นกัน
แม่ง กลับไปกับใครไม่ไป ดันไปกับแฟนเก่า แค่รู้ว่ามันไม่ได้อยู่ฉลองกับผมก็แย่ละ นี่แย่หนักเข้าไปใหญ่ ถ้าเกิดพวกมันเกิดไปทบทวนความหลังกันในยานอวกาศขึ้นมาตอนคืนคริสมาสต์อีฟจะทำยังไงวะ!
ยิ่งคิด ความหงุดหงิดก็ปรากฏออกทางสีหน้าจนเก็บไม่มิด แอสตันที่กำลังทะเลาะกับสายรุ้งที่แข้งพันขาอยู่เลยเดินเข้ามาหาผม ทิ้งตัวลงนั่งข้างริชาร์ดแล้วพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงคีทาเยหรอกกวินทร์ ไปแค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับมา”
ไม่กี่วันบ้านมึงก็คือวันคริสมาสต์อีฟกับวันคริสมาสต์นะเว้ย! มึงไม่รู้หรือไงว่ากูนั่งนับวันรอวันนี้มาเป็นเดือนแล้ว! พ่อมึงก็เป็นบ้าอะไร เกิดกระสันอยากจะเรียกข้าทาสบริพารไปพบเอาตอนวันสำคัญแบบนี้ แม่ง ไม่ได้ดูกาลเทศะเลย! ที่สำคัญ... ทำไมแม่งไม่เรียกไอ้แอสตันกลับไปด้วยวะ! เรียกแต่คีธกับเจเนซิสไปทำไม!
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันแบบนี้เหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่ว่าเสียงขุ่นแล้วทำท่าไม่แยแสเท่านั้นแหละ
“เออรู้ จริงๆ ประเด็นมันก็ไม่ได้อยู่แค่ว่าหมอนั่นจะไปกี่วัน”
“แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าคีทาเยจะไปรื้อฟื้นความหลังกับเจเนซิสหรอก ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าชาวยูนิกม่าน่ะผูกพันได้แค่คนเดียว ถ้าหักหลังนี่มีโทษถึงตายเชียวนะ คนเคร่งกฎระเบียบอย่างคีทาเยไม่ทำหรอก เจเนซิสก็เหมือนกัน” แอสตัวว่าออกมาอย่างรู้ทัน เรียกผมหันไปมองมันทันใดที่ถูกพูดแทงใจดำ
“ไม่ต้องทำมาเป็นรู้ทันว่าฉันคิดอะไร”
“อ๋อ ที่แท้ก็หึงผัวที่ไปกับแฟนเก่า” ริชาร์ดหัวเราะร่วน
“นายก็อีกคน ไม่ต้องทำมาเป็นรู้ทัน” ผมยกกระป๋องเบียร์ขึ้นสูง ทำท่าเหมือนจะขว้างใส่มัน แอสตันเลยรีบคว้าริชาร์ดไปกอดเหมือนจะปกป้องขณะที่ริชาร์ดหัวเราะเสียงดังไม่เลิก
ผมเห็นพวกมันกอดกันกลมดิกแล้วก็ยิ่งเกิดอาการขวางหูขวางตาหนักกว่าเดิม ทำท่าฮึดฮัดนิดหน่อยก่อนจะกระแทกกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะ
ท่าทางที่ดูไม่ดีขึ้นเลยของผมทำให้ริชาร์ดหยุดหัวเราะ ปลอบใจผมแทน
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็แค่ไม่ได้อยู่ด้วยกันในวันคริสมาสต์อีฟกับวันคริสมาสต์เฉยๆ วันอื่นๆ พวกนายก็อยู่ด้วยกันตลอดนี่ ไม่เป็นไรหรอก”
มึงก็พูดได้สิไอ้เจ๊ก! ผัวมึงอยู่นี่นี่หว่า! แล้วไอ้แค่ไม่ได้อยู่ด้วยกันในวันคริสมาสต์อีฟกับวันคริสมาสต์ที่มึงว่าเนี่ย มันเป็นคริสมาสต์แรกของกูกับคีธนะเว้ย!
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด หงุดหงิดจนผมรู้สึกว่าทนคุยกับไอ้คู่ผัวตัวเมียสองคนนี่ไม่ไหวอีกต่อไป ผมเลยโบกมือไล่พวกมันไปให้พ้นๆ แทน
“อย่ามาพูดนั่นพูดนี่อยู่เลยว่ะ รำคาญ จะไปทำอะไรก็ไปทำไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”
พอได้ยินผมว่าอย่างนั้น ริชาร์ดก็รู้เลยว่าผมอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ใกล้จะระเบิดเต็มทน และมันก็คงไม่อยากให้งานปาร์ตีของมันกร่อยเพราะผมแน่ มันเลยปล่อยให้ผมนั่งสงบสติอารมณ์โดยการชวนแอสตันไปตกแต่งต้นคริสมาสต์ต่อ
ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังก็ได้ฤกษ์เริ่มงานปาร์ตี บรรดาเพื่อนฝูง รุ่นพี่และรุ่นน้องคณะเดียวกันทยอยมาเต็มบ้านริชาร์ด ผมมองคนพวกนั้นอย่างงุนงงนิดหน่อยที่เห็นบางคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตาด้วย มารู้ทีหลังก็ตอนที่ริชาร์ดออกมาต้อนรับพวกนั้นแล้วบอกกับผมว่ามันอนุญาตให้พวกรุ่นน้องชวนเพื่อนคณะอื่นมาด้วยได้ งานเลี้ยงจะได้สนุกขึ้น
มิน่าล่ะ ผมถึงได้ไม่คุ้นหน้าพวกนี้เลย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากนักหรอก นอกจากฝังตัวอยู่บนเบาะโซฟาในห้องนั่งเล่นที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยหนุ่มสาววัยไล่เลี่ยกับผมที่กำลังดื่มกินและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พอทุกอย่างเข้าที่ ริชาร์ดก็จัดการยกเตาบารากุมาวางกลางห้อง พร้อมแจกบุหรี่ยัดไส้กัญชาให้อย่างทั่วถึง ก่อนที่เสียงดนตรีบีทหนักๆ จะดังกระหึ่มไปทั่ว ไฟในบ้านดับลง กลายเป็นไฟดิสโก้ที่ส่องแสงแวบไปแวบมาชวนให้ตาลาย ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มออกสเต็ปวาดลวดลายกันอย่างเมามัน
ผมเห็นภาพบรรยากาศความสนุกนั่นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกสนุกตามเลยแม้แต่น้อย รังแต่จะหัวเสียหนักกว่าเดิมที่ได้เห็นริชาร์ดกับแอสตันอยู่เคียงคู่กัน ไม่ใช่แค่พวกมันสองคนเท่านั้น คู่รักคู่อื่นก็ด้วย
นี่มัน Forever Alone ชัดๆ!
ผมเลยลุกขึ้น ตั้งท่าจะหนีขึ้นไปห้องนอนของริชาร์ดที่อยู่ข้างบน ทว่าแค่ลุกเท่านั้นแหละ ริชาร์ดที่นั่งนัวเนียกับแอสตัน พากันดูดบารากุอยู่ไม่ไกลก็เข้ามาคว้ามือผมหมับทันทีที่ผมเดินผ่าน
“จะไปไหนน่ะเควิน” มันถามเสียงดังแข่งกับเสียงดนตรี ตอนนี้ตาตี่ๆ ของมันเริ่มเยิ้มละ ให้เดานะ ผมว่ามันคงเริ่มเมากัญชาแล้วล่ะ
“ไปห้องนาย” ผมว่าส่งๆ ริชาร์ดถึงกับย่นคิ้ว
“เฮ้ย ไปทำไม อยู่สนุกด้วยกันก่อน”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยาก...” ผมทำท่าจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันจะได้พูดจบ ริชาร์ดก็ลุกจากตักของแอสตันขึ้นมากอดคอผมพลัน
“นายเขียนจนหมายถึงซานต้าคลอสหรือยังวะ” แล้วมันก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
“จดหมายถึงซานต้าคลอสอะไร”
“ก็นั่นไง” มันว่าก่อนพยักปลายคางไปยังกระดานไม้ที่อยู่บนผนังห้อง
มันเป็นกระดานไม้สำหรับเอาไว้ปักโน้ตนั่นแหละ แต่ตอนนี้มันมีตัวหนังสือแปะหราอยู่ว่า ‘จดหมายถึงซานต้า’ และมีกระดาษโพสอิสแปะอยู่เต็มไปหมด กระดาษโพสอิสพวกนั้นก็เป็นพวกคำอธิษฐานของบรรดาคนที่มาร่วมงานปาร์ตีนี่แหละ
ผมมองแล้วก็ย่นคิ้ว ไม่เห็นจะรู้เลยว่ามันทำอะไรแบบนี้ด้วย
“ไปเขียนคำอธิษฐานสิ อยากได้อะไรก็บอกซานต้า” มันยุ ผมหันไปมองมันด้วยสีหน้าเนือยๆ
“ไม่ล่ะ ปัญญาอ่อน”
“เฮ้ย ปัญญาอ่อนอะไร ไปเลย ไปเขียนเลย มา ฉันพาไป” แล้วมันก็ลากผมไปหยุดที่หน้ากระดานนั้นทันควัน
โอเค ผมรู้ละว่าตอนนี้มันเริ่มเมา ถ้าเป็นเวลาปกติแล้วผมปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ มันไม่ตอแยหรอกเพราะมันรู้ว่าถ้าตื๊อผมมากๆ ผมได้โวยวายใส่มันแน่ แต่เพราะมันเริ่มเมา มันก็เลยไม่ได้สนใจ คว้าปากกากับกระดาษโพสอิสมาให้ผมรับไว้เฉย
“เขียนสิ อยากได้อะไร บอกซานต้าไปเลย”
“นี่นายอายุสามขวบหรือไงวะ” ผมยังแหวใส่มันอยู่ แต่มันไม่สนใจ ยุผมไม่เลิก
“เอาเถอะน่า เขียนเถอะๆ”
แม่ง เขียนก็เขียนวะ ตัดปัญหาไป รำคาญชะมัด
ผมทำท่าจะจรดปลายปากกา เขียนว่าอยากได้ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์อะไรเทือกนี้ไปจะได้จบๆ ทว่ายังไม่ทันจะได้เขียน ริชาร์ดก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“คิดดีๆ ก่อนเขียนนะ เอาของที่นายอยากได้ อย่าเขียนส่งๆ”
“ไม่ต้องมารู้ทัน” ผมตอกกลับเสียงเขียว พลันยืนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าอยากได้อะไรก่อนจรดปลายปากกาลงไป
ริชาร์ดนี่ยื่นหน้ามาดูตัวหนังสือในกระดาษโพสอิสด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลย แต่ขอโทษเถอะ ผมรู้ว่ามันอยากรู้ก็เลยเขียนเป็นภาษาไทย ก่อนจะเอาไปแปะบนกระดาน
“เสร็จแล้ว”
“โห่ย เขียนภาษาอังกฤษสิวะ แบบนี้ก็ไม่รู้สิว่านายอยากได้อะไร”
“ก็ไม่อยากให้นายรู้ถึงได้เขียนเป็นภาษาอื่นเนี่ย ฉันไปละ” ผมตัดบท ทำท่าจะเดินหนีมันอีกครั้ง
ทว่าก็ไม่ได้เดินหนีอีกนั่นแหละ ริชาร์ดมันก็คว้าคอเสื้อผมเอาไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งไปสิวะ ยังไม่หมด”
“อะไรอีก” ตอนนี้น้ำเสียงผมเริ่มบ่งบอกชัดเจนละว่าโคตรจะรำคาญมันเลย แต่มันก็ไม่สะทกสะท้าน ยิ้มเผล่ออกมา
“นายยังไม่ได้บอกซานต้าเลยว่านายอยากได้อะไร”
“ก็บอกแล้วนี่ไง ไอ้กระดาษโพสอิสเนี่ย”
ริชาร์ดทำเสียงจุ๊ปากพลางส่ายหน้า
“ไม่ใช่ อันนั้นแค่จดหมาย ฉันหมายถึงบอกกับซานต้าตัวจริงต่างหาก”
อะไรของมึงวะ อย่าบอกนะว่าจะให้กูไปนั่งตักซานต้าแล้วกระซิบบอกว่ากูอยากได้อะไรเหมือนที่เด็กๆ ทำกับซานต้าคลอสปลอมๆ ในห้างน่ะ!?
ไม่ต้องรอให้มันตอบ ผมก็ว่าคงจะจริง เพราะทันทีที่สิ้นเสียงมัน เสียงเฮโลและเสียงปรบมือของคนรอบๆ ข้างก็ดังเกรียวกราวขึ้น ก่อนที่ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดซานต้าคลอสจะโผล่หน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่น ผมหันไปมองแล้วก็ขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิมทันใด
“ริชาร์ด... อย่าบอกนะว่า...”
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.16]--24/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-12-2015 01:15:45
Special Episode: Santa Keith is coming to Kawin[2]

“ไปนั่งตักแล้วบอกซานต้าสิว่าอยากได้อะไร หนูน้อยเควิน”
ป้ามึงเถอะ! กูไม่ได้อายุสามขวบนะเว้ย!
“ตลกละ เดี๋ยวต่อย” ผมแง่งใส่มันทันใด ง้างหมัดใส่ด้วย
หากแต่ริชาร์ดมันไม่สนใจสักนิด หัวเราะร่วนกับไอ้บ้าซานต้านั่นที่บัดนี้ไปทรุดตัวนั่งบนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่ง แล้วจัดการปล่อยให้สาวๆ มานั่งตักกระซิบบอกว่าอยากได้อะไร ไม่ก็หอมแก้มที่ติดหนวดปลอมยาวๆ อยู่เป็นพัลวัน ไม่ใช่แค่สาวๆ แต่หนุ่มๆ ใจสาวบางคนก็ด้วย จนดูเผินๆ เหมือนกับการนั่งตักซานต้าคลอสนั่นจะเกิดเป็นสงครามย่อมๆ
ผมไม่แปลกใจนักหรอกว่าทำไมใครต่อใครถึงได้อยากแย่งกันนั่งตักซานต้าคลอสนั่นนัก ก็ซานต้าคลอสนี่มันไม่ใช่ลุงแก่ๆ พุงพลุ้ย แต่เป็นหนุ่มร่างใหญ่ประหนึ่งนายแบบ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ นี่นา ถึงจะไม่รู้ว่าหน้าตาภายใต้หนวดเฟิ้มนั่นเป็นยังไง หรือลอนกล้ามใต้ชุดสีแดงแขนยาวขายาวนั่นจะเป็นลอนสวยแค่ไหนก็ตาม ผมก็บอกได้เลยว่าหมอนั่นโคตรจะดูดีในชุดวานต้าคลอสเฉยๆ เลย
ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจนัก นอกจากทำท่าจะหนีอย่างเดียว หากแต่จังหวะที่ผมกำลังจะหนี ริชาร์ดก็คว้าคอเสื้อผมไว้ได้อีก
“ไปสิ ถึงตานายแล้ว”
“ไม่เอาเว้ย นายอยากนั่งก็ไปนั่งเองสิวะ” ผมโวยวายใส่มันทันใด สะบัดตัวให้พ้นจากการเกาะกุมของริชาร์ดด้วย
แต่ริชาร์ดไม่ปล่อยผม มิหนำซ้ำยังพยักหน้าเรียกแอสตันที่นั่งมองอยู่นานให้มาช่วยลากผมอีก สุดท้ายผมก็ถูกจับมานั่งบนตักของไอ้ซานต้านี่จนได้
ผมทำหน้าบอกบุญไม่รับทันทีที่บั้นท้ายสัมผัสกับท่อนขาแข็งแรงทันที พลางมองริชาร์ดกับแอสตันอย่างกินเลือดกินเนื้อขณะที่พวกมันไม่รู้สึกรู้สาอะไร พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผมขอพรกับซานต้าอยู่นั่นแหละ
แม่ง พวกมึงเล่นสนุกกันมากไปละ!
“ไม่ตลกเลยริชาร์ด” ผมแค่นเสียงเขียวออกมา ทำท่าจะลุกด้วย แต่ก็ต้องนั่งลงไปอีกเมื่อท่อนแขนแกร่งของคนที่ผมนั่งตักอยู่โอบเอวผมไว้กะทันหัน
ผมหันขวับไปมองหน้ามันทันใด แสงไฟวิบวับในห้องทำให้ผมมองเห็นหน้ามันไม่ชัดนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการที่มันกอดผมนี่แหละ
“ปล่อย”
“ชื่ออะไรล่ะหนูน้อย” มันแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ แบบดัดเสียงพร้อมๆ กับที่ผมพูด
ผมย่นคิ้ว พ่นลมหายใจออกมาอย่างหัวเสีย
“ไม่เล่น”
“ชื่ออะไร” แล้วมันก็ว่าออกมาอีก ผมเลยกลอกตา บอกๆ ชื่อตัวเองไปให้จบๆ
“เควิน”
“อยากได้อะไรเป็นของขวัญคริสมาสต์ล่ะหนูน้อยเควิน” มันยังเล่นอยู่
ผมก็เลยพูดตอกหน้ามันไป
“เซ็กส์เด็ดๆ ทั้งคืน... ให้ได้มั้ยล่ะ”
สิ้นเสียงผม เสียงโห่ร้องของคนอื่นๆ ที่ได้ยินคำขอของผมก็ดังตามมา ซานต้าคลอสนั่นถึงกับปล่อยมือออกจากเอวผมเลย ดวงตาที่ดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไรประกายวาวขึ้นมาแวบหนึ่งด้วย ไม่รู้ว่าผมตาฝาดไปหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจแล้ว นอกจากลุกขึ้นจากตักมันเท่านั้น
“ขอของเด็ดว่ะเควิน” ริชาร์ดทักผมด้วยสีหน้าระรื่นทันทีที่ผมเดินมาทางมัน
“พอใจนายหรือยังล่ะไอ้ลิงเหลือง” ผมแหวใส่มันพร้อมด่าสบถด้วยคำเหยียดๆ ไปด้วย ริชาร์ดไม่ถือสา หัวเราะแล้วตบบ่าผมเต็มแรง
“เลิกหงุดหงิดได้แล้วน่า มาสนุกกัน ไม่มีคีธนายก็สนุกได้”
กูถึงได้บอกไงว่ามึงมีไอ้แอสตันอยู่กับมึง มึงก็พูดได้ไง!
“ดูนั่น พวกนั้นเริ่มเล่นเกมกันแล้ว” แล้วมันก็เบนความสนใจจากผมไปยังพวกรุ่นน้องที่พากันแบกทาวเวอร์เบียร์ต่อท่อเข้ามาในห้อง
ทว่าในทาวเวอร์นั้นไม่ได้มีเบียร์อยู่ แต่เป็นเหล้าผสมที่ไม่รู้ว่าแม่งผสมอะไรลงไปบ้าง รู้อย่างเดียวก็คือถ้าเผลอหลวมตัวไปเล่นเกมกับพวกมันล่ะก็ มีหวังได้ลงไปกองกับพื้นแน่
“เล่นมั้ยเควิน” ดูเหมือนไอ้ริชาร์ดนี่อยากให้ผมสนุกเหลือเกิน
ผมเองก็เหนื่อยที่จะเถียงกับมันแล้วด้วย มองหน้ามัน ถอนหายใจแล้วก็พยักหน้า
“เอาเท่าที่ไหว ห้ามคะยั้นคะยอ” ผมดักคอไว้ด้วยรู้ว่าถ้าผมเล่น มันจะต้องเชียร์ให้ผมดื่มเยอะๆ
ริชาร์ดพยักหน้า แล้วก็ดึงผมเข้าไปหาเด็กพวกนั้น ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะส่งท่อสำหรับดูดเหล้าจากทาวเวอร์นั่นมาให้ กติกาของเกมก็เป็นที่รู้กัน ใครดื่มได้มากสุดภายในเวลาหนึ่งนาทีคือผู้ชนะ วัดกันจากตัวเลขบอกปริมาณบนทาวเวอร์นั่นแหละ เราเรียกกันเป็นขีด มีเด็กที่เล่นเกมไปก่อนหน้าดูดไปได้ขีดกว่าๆ ฉะนั้นถ้าผมอยากจะชนะ ผมต้องดูดให้เกินกว่ามัน
“พร้อมมั้ยครับ” เด็กคนที่ส่งท่อให้ผมถาม ผมพยักหน้าก่อนที่มันจะนับ
“งั้นนับสามแล้วเริ่มนะ หนึ่ง...สอง...สาม เริ่ม!”
ผมดูดไม่บันยะบันยังทันใด ไอ้ที่ว่าจะไม่เล่นๆ ตอนแรก หรือเล่นแต่แบบเอาเท่าที่ดื่มไหว กลายเป็นว่าพอเล่นแล้วมีเสียงคนเชียร์เยอะๆ ผมก็ดูดแบบตะบี้ตะบัน ไม่บันยะบันยังด้วยจนผมเริ่มจะรู้สึกมึนๆ ขึ้นมา กอปรกับที่ดื่มไปก่อนหน้าตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ผมเลยมึนหัวได้ง่ายดายกว่าเดิม ทว่าผมก็ไม่หยุด ดูดน้ำรสหวานผสมขมเฝื่อนลงคอกระทั่งคอเสื้อเปียกโชก หยุดอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเด็กนั่นร้องบอกว่าหมดเวลา
“ไทม์อัพ!”
ผมส่งท่อคืนให้มันทันที เดินเซไปหาริชาร์ดด้วยขณะที่เด็กพวกนั้นส่งเสียงลั่นเมื่อเห็นว่าผมดื่มไปกว่าสามขีด นับเป็นขวดก็เท่ากับขวดเบียร์สองขวดใหญ่ๆ นั่นแหละ
“ไหวมั้ยวะเควิน” ริชาร์ดพยุงผมมานั่ง
 “ไหว แค่นี้เอง” ผมมองมันตาปรือบอกมัน “เอาเหล้ามาอีกซิ” แล้วก็ตามด้วยสั่งมัน
เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เมาแม่งให้หลับๆ ไปเลยแล้วกันจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดอีก
ริชาร์ดพยักหน้าก่อนจะไปคว้าขวดแอลกอฮอล์อะไรสักอย่างมาให้ผม ผมก็ไม่รู้หรอก มันส่งอะไรมาให้ดื่มก็ดื่ม แถมยังเริ่มไปขอชนกับคนอื่นมั่วไปหมดอีกด้วย ผ่านไปร่วมชั่วโมง จากที่แค่มึนๆ ในตอนแรก ก็กลายเป็นว่าทรงตัวไม่อยู่ ไหลไปกับแรงโน้มถ่วงของโลกจนร่วงจากโซฟา ริชาร์ดที่เมาแอ๋พอกันต้องพยุงผมขึ้นมานั่งโดยมีแอสตันคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
“ไหว...ไหวมั้ยวะเค...อึ้ก...วิน”
“หวาย...”
บอกเลยว่าไม่ไหวแต่ปากมันดันตอบไปโดยอัตโนมัติตามแบบฉบับคนเมา
ริชาร์ดทิ้งตัวนั่งข้างผมอย่างหมดสภาพเช่นกันขณะที่คนอื่นๆ ก็เริ่มเมาเรื้อนไปเรี่อยเปื่อย แต่ทั้งผมทั้งมันก็ไม่มีแรงจะไปสนใจใครแล้ว ตอนนี้โลกของผมหมุนคว้างจนเห็นภาพซ้อน ขณะที่ริชาร์ดเริ่มสวมวิญญาณปลาหมึก คว้าแอสตันที่ปัดปอยผมปรกหน้าให้มันมาจูบดูดดื่มชนิดไม่แคร์สายตาใคร
จูบอย่างเดียวไม่ว่า ดึงให้แอสตันมานั่งข้างผมแทนที่มัน แล้วมันก็ปืนทุลักทุเลไปนั่งคร่อมแอสตัน จูบนัวเนียอีก
เห็นแล้วก็อยากจะถีบมันฉิบหาย มึงนี่เมาแล้วรุงรังเหรอวะ
ไม่ใช่อะไรหรอก เห็นแล้วอิจฉามัน แต่ทำอะไรไม่ได้ไง แม่ง คู่ตัวเองก็ไม่อยู่ ป่านนี้คงไปเสพสมกับไอ้เจเนซิสอยู่ที่ทางช้างเผือกแล้วมั้ง บัดซบเอ๊ย!
“ไอ้คีธ! ไอ้เวร! มึงจะไปได้กับไอ้เจเนซิสก็เรื่องของมึง!” ผมเมาจนยั้งสติตัวเองไม่อยู่ คือรู้สึกตัวว่าทำอะไรแต่บังคับตัวเองไม่ได้ แค่คิดว่าคีธอยู่กับเจเนซิส ผมก็ร้อนวาบไปทั้งตัว ตะโกนแหกปากด่ามันเป็นภาษาไทยลั่น
ริชาร์ดแม่งก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ละริมฝีปากจากแอสตันมาหัวเราะใส่ผมแล้วก็เริ่มถอดเสื้อผัวมัน
เห็นอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากจะอยู่เป็นก้างขวางคอ ถึงมันจะไม่สนใจสายตาชาวบ้านที่เมาเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นไม่ไกล แต่ผมก็ไม่อยากจะเห็นไง เลยพยายามพาตัวเองขึ้นไปนอนที่ห้องมันแทน
“เดี๋ยว...อึ้ก...ฉันขึ้นไปนอนนะ...เอื้อก”
ริชาร์ดพยักหน้าทั้งที่หน้ามันยังซุกอยู่กับซอกคอแอสตัน ผมเลยเดินตุปัดตุเป๋คลำผนัง คลำโต๊ะเก้าอี้ไปตามทางเรื่อยๆ
เมาอย่างนี้นี่ทรงตัวลำบากฉิบเป๋งเลยให้ตาย ลำบากจนผมไม่อาจสังเกตเห็นโต๊ะที่วางขวางอยู่ตรงหน้าได้ พุ่งเข้าไปชนเต็มๆ จนเกือบล้ม หากแต่ไม่ล้มเพราะมีท่อนแขนใหญ่มารองรับเอวผมไว้อยู่ หันไปปรือตามองก็เห็นว่าเป็นซานต้าคลอสที่ผมนั่งตักไปก่อนหน้าช่วยพยุงผมไว้
“ซานต้า...อึ้ก... พาไปส่งที่ห้องหน่อย” ผมว่าเสียงอ้อแอ้
หมอนั่นมองผมนิ่งๆ ครู่หนึ่งพลันพยักหน้าแล้วก็จัดการช้อนตัวผมขึ้นในท่าอุ้มแบบเจ้าสาว เดินตรงขึ้นไปยังชั้นบนทันใด ผมก็ไม่ขัดขืนหรอก ไม่มีแรง ไม่มีสติด้วย อีกอย่าง ผมเป็นคนขอร้องมันเอง โดนอุ้มแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก
“ทางเน้ๆ...เอื้อก...น่านแหละ ห้องนี้เลย” ผมชี้นิ้วสะเปะสะปะบอกทางมันว่าห้องริชาร์ดอยู่ไหน
ซานต้าคลอสนั่นจะเปิดประตูห้องริชาร์ด พาผมเข้ามาข้างในแล้ววางผมลงบนเตียงอย่างเบามือ มันจัดการห่มผ้าให้ผมเสร็จสรรพด้วย แล้วก็ทำท่าจะออกไป ทว่าในตอนนี้เองที่ผมเห็นว่าดวงตาของมันเป็นสีเทาสว่าง
ให้ตายเถอะ เห็นแล้วก็คิดถึงคีธชะมัด ป่านนี้ได้กับเจเนซิสไปหรือยังนะ... เวร! เอาอีกละ คิดแบบนี้อีกแล้ว! มันจะได้กันหรืออะไรก็ช่างหัวมันสิเว้ย! กูก็จะเอาบ้าง! ไปมีอะไรกับคนอื่นเหมือนกับที่มึงไปมีอะไรกับเจเนซิสนั่นแหละไอ้คีธ!
และเพราะคิดบ้าบอแบบนั้น ผมก็เลยรีบคว้าชายเสื้อของซานต้าคลอสนั่นเอาไว้ขณะที่มันหมุนตัวทำท่าจะออกไปนอกห้อง ก่อนจะออกแรงดึงเบาๆ
“มีเซ็กส์กัน”
“นอนเถอะ นายเมามากแล้ว” หมอนั่นว่าด้วยน้ำเสียงทุ้มแบบดัดๆ เหมือนเดิม
ผมหัวเราะในลำคอออกมาเลย ก่อนจะดันตัวเองขึ้นนั่ง ถอดเสื้อตัวเองออกอย่างมึนๆ พร้อมกับทวงคำอธิษฐานไปด้วย
“มามีเซ็กส์กัน...อึ้ก ฉันขอนายไปแล้วนี่ซานต้าว่าอยากได้เซ็กส์เด็ดๆ ทั้งคืน”
ถอดเสื้ออย่างเดียวไม่ว่า นี่แม่งถอดกางเกงออกแบบไม่รู้ตัวด้วยว่าทำอะไร
เกลียดตัวเองตอนนี้ชะมัดเลยให้ตาย!
แถมพอเห็นว่าซานต้านั่นเอาแต่มองผม ไม่ทำอะไรสักที ผมก็เป็นฝ่ายออกแรงกระชากมันให้ลงนั่งบนเตียง แล้วจัดการเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมมันอีกด้วย
“เดี๋ยว” มันทำท่าจะห้าม แต่ผมไม่สนใจ ถลกเสื้อมันขึ้นแล้วจัดการละเลงปลายลิ้นลงบนแผงอกมันทันใด
แผ่นอกมันเป็นอย่างที่ผมคาดเดาไว้ตอนแรกไม่มีผิด เป็นลอนกล้ามสวยไปทั้งตัว และมันทำให้ไฟราคะในตัวผมประกายขึ้นมาเลยเมื่อผมจรดปลายลิ้นลงบนยอดอกแล้วมันมีปฏิกิริยาตอบสนอง
“ถอด...อึ้ก...ถอดกางเกง...” ผมสั่งมันรนๆ
“เดี๋ยวก่อน” มันพยายามจะปรามผมอีกครั้ง
ตอนนี้หัวสมองผมตื้อไปหมด ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยที่ทำให้เริ่มขาดสติ ผมก็เลยเป็นฝ่ายถอดกางเกงมันเอง พอกางเกงหลุดพ้นไป ผมก็เลื่อนมือไปจับส่วนอ่อนไหว เคล้นคลึงจนส่วนกลางอ่อนนุ่มค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมา ยัง...ยังไม่พอ ผมโน้มใบหน้าลงไปละเลงปลายลิ้นบนส่วนอุ่นร้อนนั่นด้วยจนผู้เป็นเจ้าของที่ห้ามผมเมื่อครู่กระตุกเกร็งขึ้นมาน้อยๆ ผมแสยะยิ้มอย่างพึงใจ ยิ่งเห็นมันตอบสนองมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งบรรเลงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
“มีเซ็กส์กัน...” ผมครางออกมา ความร้อนจากไฟราคะแล่นไปทั่วร่าง
คราวนี้มันไม่ปฏิเสธ เป็นฝ่ายจับผมนอนลงแล้วจัดการหยอกล้อกับร่างกายผมบ้าง ผมกระตุกเฮือกเล็กน้อยเมื่อรู้สึกอึดอัดบริเวณช่องท้อง หมอนั่นชะงักไป ก้มลงมากระซิบถามผมทั้งที่ใบหน้ามันยังมีหนวดปลอมติดอยู่
“ขยับได้มั้ย”
“ทำเถอะน่า” ผมไม่ตอบแต่ออกปากสั่ง
ร่างใหญ่ก็เลยค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่ มืออุ่นร้อนสัมผัสยังส่วนกลางตัวผม เร่งจังหวะให้พร้อมกับร่างกายมันที่ขยับไปด้วย
“ระ...แรงอีก” ผมออกปากสั่งโดยไม่รู้ตัว แล้วมันก็ทำตามคำสั่งผมอย่างว่าง่าย
อึดใจเดียว สมองผมก็พร่างพรายขาวโพลนพร้อมกับร่างกายที่กระตุกเฮือกสุดแรง เป็นสัญญาณให้คนบนตัวผมรู้ว่าผมถึงที่หมายแล้ว มันทำท่าจะหยุด แต่ผมรั้งมันเอาไว้
“อย่า...อย่าหยุด เอาอีก”
“แต่ว่า...”
“เอาอีก... เซ็กส์เด็ดๆ ทั้งคืน จำได้มั้ยซานต้า” ผมครางเสียงกระเส่าบอก ตอนนี้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่มีหลงเหลือแล้ว มีแต่ความกำหนัดที่ต้องการปลดปล่อยเท่านั้น
ซานต้านั่นพยักหน้าก่อนจะเริ่มเล่นสนุกกับร่างกายผมอีกครั้ง จนผมสุขสมกับเซ็กส์ครั้งนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตลอดทั้งคืน กระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
 
แสงสว่างจากช่องหน้าต่างที่ส่องกระทบเปลือกตาทำให้ผมต้องพลิกตัวหนีอย่างรำคาญ ก่อนจะร้องโอยลั่นเมื่อพลิกตัวแล้วเกิดเจ็บแปลบบริเวณสะโพกอย่างแรง ผมเลยหยุดค้างอยู่ท่านั้นแล้วค่อยๆ ปรือตาตื่นขึ้นแทน ภาพที่ผมเห็นยังคงพร่ามัวและหมุนคว้าง ความปวดหนึบไม่ได้อยู่ที่สะโพกอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่ที่หัวด้วย มันปวดหนึบจนผมต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าม่านตาจะปรับให้ชินกับภาพที่รับเข้ามาได้
พอสายตาคุ้นชิน ผมก็เหลือบไปมองเห็นชุดสีแดงของซานต้าคลอสที่ถูกถอดกองอยู่บนเตียงข้างกายทันใด ผมจะไม่ตกใจเลยถ้าหากว่าผมไม่สังเกตเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มผืนหนาแบบนี้
อะ...อะไรวะเนี่ย ทำไมชุดซานต้าคลอสมาอยู่ที่นี่!? ยะ...อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนผมกับซานต้า... มะ...มีอะไรกัน?
 เท่านั้นผมก็เบิกตาโพลง หัวสมองคิดทบทวนภาพเหตุการณ์เมื่อคืนทันใดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย คือก็จำได้แหละแต่เลือนรางมากๆ เท่าที่จำได้คือผมเล่นเกมดื่มทาวเวอร์เหล้าแล้วก็ดื่มหนักมาก จากนั้นก็พยายามพาตัวเองขึ้นมานอนที่นี่ แต่เหมือนจะมีคนมาส่ง แล้วก็...มะ...มี...ซะ...เซ็กส์...
ฉิบหายแล้วไอ้กวินทร์! นี่มึงมีอะไรกับคนอื่นทั้งที่มีไอ้คีธอยู่แล้วเนี่ยนะ!
เนื้อตัวผมสั่นขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าหลังจากคีธกลับมาแล้วจับได้ว่าผมนอกใจไปนอนกับคนอื่น หายนะที่ว่านี่ก็คือถูกมันฆ่านี่แหละ อย่างที่แอสตันบอกว่าถ้าผูกพันกับชาวยูนิกม่าแล้วดันไปนอกใจ จุดจบคือความตาย
แต่คือนี่กูเมาไม่รู้เรื่องเลยไง กูถึงขนาดต้องตายเลยเหรอวะ!?
มะ...ไม่ได้การละ ต้องทำอะไรสักอย่าง! โอเคกวินทร์ ตั้งสติ อันดับแรกเลย ไปตามหาตัวไอ้ซานต้านั่นก่อน เจอมันแล้วถามมันให้แน่ใจว่าได้มีอะไรกันแน่หรือเปล่า เผื่ออาจจะคิดไปเองก็ได้
ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองไปก่อนแหละทั้งที่หลักฐานจากอาการเจ็บสะโพกกับสารพัดคราบบนเนื้อตัวผมจะบ่งบอกชัดเจนว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ทว่าผมก็ไม่สนใจ รีบดันตัวขึ้น กัดฟันทนความเจ็บปวดไปคว้าเสื้อผ้ามาใส่ลวกๆ ไม่สนใจด้วยว่าเสื้อผ้าที่ผมใส่นั้นมันจะบาง ไม่ทนต่อสภาพอากาศหนาวยะเยือกในตอนเช้าแต่อย่างใด ตอนนี้คือต้องไปตามหาตัวไอ้ซานต้าคลอสนั่นก่อน
แต่งตัวเสร็จ ผมก็รีบพาตัวเองออกจากห้อง ทิ้งตัวลงบันไดเร็วๆ ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับสารพัดขยะและขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกลื่อนกลาดเต็มพื้นชั้นล่างประหนึ่งเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ นอกจากพุ่งเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่บัดนี้เหลือแต่ริชาร์ดกับแอสตันนอนกกกันอยู่บนพื้นพรมท่ามกลางเศษขยะอย่างเดียว
“ริชาร์ด! ริชาร์ดเว้ย!” ผมปรี่ไปเขย่าตัวมันอย่างรวดเร็ว
ริชาร์ดผละใบหน้าจากรักแร้ของแอสตัน หันมาปรือตามองผมอย่างงัวเงีย
“อือ...ปลุกทำไม ปวดหัว”
“ต้องปลุกสิวะ เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว!” ผมยังตะโกนไม่เลิก ริชาร์ดเลยย่นคิ้วเล็กน้อย
“เรื่องอะไร”
“เมื่อคืนฉันมีเซ็กส์กับซานต้าคลอส!”
ริชาร์ดนิ่งไปครู่ แอสตันก็ตื่นขึ้นมามองหน้าผมด้วย ก่อนที่พวกมันสองคนจะล้มตัวนอนลงไปเหมือนเดิม โดยมีเสียงของริชาร์ดดังเบาๆ ทิ้งท้าย
“ก็สมหวังแล้วนี่ เมื่อวานนายขอเซ็กส์เด็ดๆ กับซานต้าไม่ใช่เหรอ”
ก็ใช่! แต่กูมีเซ็กส์กับซานต้าคลอสก็เท่ากับว่ามีอะไรกับคนอื่น และเท่ากับว่านอกใจไอ้คีธ ซึ่งหมายถึงกูจะต้องตายนะเว้ย!
“เฮ้ย! ตื่นมาช่วยฉันคิดก่อนว่าฉันจะทำยังไงดี!” ผมเขย่าเรียกมันอีกครั้ง
หากแต่ริชาร์ดปัดมือผมทิ้งแล้วก็ว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“นายก่อเรื่องเองก็แก้เองสิวะ”
“แต่ฉันถึงตายเลยนะเว้ยไอ้ริชาร์ด!” ผมโวยวายไม่เลิก ริชาร์ดเลยแหวใส่ผม
“ก็ไปจับไอ้ซานต้านั่นมาให้คีธฆ่าแทนนายซะสิ”
ไม่ใช่ว่ามันไม่รู้ว่าผมกลัวอะไร มันรู้แต่มันไม่สนใจ แถมแอสตันก็พูดขึ้นมาให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดของผมทำงานขึ้นมาอีก
“ฆ่าชู้ก็ได้ ถ้าฆ่าชู้ นายก็อาจจะไม่ต้องตาย แค่อาจจะนะ”
พอมันพูดมาอย่างนี้ ผมก็ดีดตัวขึ้นยืนเลย
เอาก็เอาวะ! บอกคีธว่าไอ้ซานต้านั่นล่อลวงผมตอนผมเมา ผมก็เลยพลาดท่าเสียทีก็แล้วกัน ถึงจะดูเห็นแก่ตัวและชั่วมากแค่ไหน แต่ก็เอาเถอะ ผมไม่อยากตายนี่หว่า!
“แล้วนายรู้มั้ยว่าไอ้ซานต้านั่นเป็นใคร ฉันจะไปตามตัวมันได้ที่ไหน” ผมว่ารนๆ
“ไม่รู้ว่าใคร แต่เมื่อกี้ก่อนนายลงมา มันแวะมาบอกฉันว่าจะกลับแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่หน้าบ้าน” ริชาร์ดตอบผมโดยไม่ลืมตา
ได้ยินแล้วผมก็วิ่งสี่คูณร้อยไปที่หน้าบ้านของริชาร์ดเลย พอเปิดประตูออกไป สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างใหญ่ที่มีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ยืนอยู่บริเวณภายในรั้วหน้าบ้าน มันเงยหน้าขึ้นมองหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้านิ่งๆ ราวกับพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่าง
ผมไม่สนใจหรอกว่ามันกำลังทำอะไร ไม่สนใจแม้แต่หิมะแรกของเดือนธันวาคมในนิวยอร์กที่ตกในวันคริสมาสต์พอดีแต่อย่างใดด้วย นอกจากจะออกปากเรียกมันเท่านั้น
“ซานต้า...”
หากแต่เรียกยังไม่ทันจบประโยค เจ้าของร่างที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าอยู่ก็ปล่อยผ้าห่มที่คลุมร่างออก เผยให้เห็นเนื้อตัวเปล่าเปลือยทั้งกายทันใด ผมเบิกตากว้าง มองมันที่ยังคงเงยหน้ามองฟ้าไม่เลิก แถมยังอ้าปากรองรับเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมาด้วย
แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมตกใจเท่าการที่ผมได้เห็นซีกหน้าของมัน ใบหน้าคุ้นตาของคนคุ้นเคยทำให้ผมต้องตะลึงงันหนักกว่าเดิม ก่อนจะแหกปากเรียกชื่อเจ้าของใบหน้านั้นดังลั่น
“ไอ้คีธ!”
หมอนั่นชะงัก หุบปากที่กำลังกินหิมะแล้วหันมามองผมนิ่งๆ
“เอ้ากวินทร์ ออกมาทำไม แล้วแต่งตัวอย่างนั้นไม่หนาวเหรอ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
นั่นเป็นคำถามที่กูควรถามมึงมากกว่าว่ามึงจะแก้ผ้ามายืนกินหิมะหน้าบ้านไอ้ริชาร์ดทำไม!? ที่สำคัญ มึงมาได้ยังไง แล้วมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย!
ผมอึ้งจนพูดไม่ออกที่ได้เห็นคีธยืนอยู่ตรงหน้า จับต้นชนปลายไม่ถูกด้วยว่าทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ทั้งที่มันบอกกับผมเองว่าต้องไปยูนิกม่ากับเจเนซิส แต่ไม่ทันได้ถาม มันก็คว้าผ้าห่มจากพื้นขึ้นมาคลุมตัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมแล้วดึงผมเข้าไปกอด ให้ผมอยู่ใต้ผ้าห่มนั่นด้วย
“เดี๋ยวไม่สบาย”
มึงไม่ต้องมาทำเป็นห่วงกูเลย! ตอบกูมาเดี๋ยวนี้ว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร!
“ไอ้คีธ...” ทว่าแค่ผมอ้าปากเท่านั้นแหละ มันก็เหมือนจะรู้ว่าผมจะถามอะไร ก่อนมันจะยิ้มออกมา
“แผนของริชาร์ดน่ะ”
“หมายความว่า...”
“ริชาร์ดให้ฉันโกหกว่าต้องกลับยูนิกม่าเพื่อจะเซอร์ไพรส์กวินทร์เพราะเห็นว่ากวินทร์ตื่นเต้นที่ใกล้ถึงวันคริสมาสต์ แล้วก็ให้ฉันแต่งเป็นซานต้าคลอสมาร่วมงานเมื่อคืนน่ะ”
บอกมาสั้นๆ แค่นี้ ผมก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที
หน็อย! ไอ้ริชาร์ด มึงเห็นกูมีความสุขหน่อยไม่ได้ มึงเลยต้องกลั่นแกล้งใช่มั้ยไอ้เจ๊กขี้อิจฉา!
“ฆ่ามันแม่ง”
ผมพึมพำ ทำท่าจะผละออกจากคีธแล้วไปบีบคอไอ้เพื่อนเวรนั่นให้สาแก่ใจสักทีทั้งที่ใจก็โล่งเป็นปลิดทิ้งที่รู้ว่าเมื่อคืน ผมไม่ได้ไปมีอะไรกับใครที่ไหน แต่มีอะไรกับคีธนี่แหละ ไอ้คีธนี่แม่งก็เนียนเหลือเกิน มีอะไรกันตั้งหลายครั้ง ผมยังไม่รู้เลยว่าซานต้านั่นเป็นมัน สงสัยเป็นเพราะหนวดปลอมบนหน้า ผสมกับที่ผมเมาด้วยล่ะมั้ง
หากแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ไปฆ่าไอ้เจ๊กเมากัญชาให้สมใจหมาย คีธก็รั้งตัวผมเอาไว้ก่อน พลางว่าเสียงเรียบ
“ถ้าครั้งหน้ากวินทร์เมาโดยที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วย อย่าไปทำอะไรแบบเมื่อคืนอีกนะ”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วชูคอถามมันทันใด
“ทำอะไร ฉันไปทำอะไร”
“ก็ชวนคนแปลกหน้ามาผูกพันไง” มันว่าเนิบๆ
แล้วทีมึงล่ะ! มึงยังปล่อยให้ทั้งผู้หญิงผู้ชายมานั่งตักมึง หอมแก้มมึงนัวเนียเพราะมึงแต่งตัวเป็นซานต้าคลอสเลย! มึงอย่ามาเนียนทำเหมือนเป็นคนผิดกูคนเดียวนะเว้ย!
ผมทำท่าฮึดฮัด อยากจะด่ามันเหลือเกินที่มันก็ให้ความร่วมมือกับริชาร์ดเป็นอย่างดี ไอ้แอสตันนี่ก็น่ากระทืบ เห็นเมียทำชั่วก็ไม่ห้าม สนับสนุนแถมเก็บเงียบอีก เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงนะพวกมึง!
“อย่าทำแบบนั่นอีกเข้าใจมั้ย” คีธว่าขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบรับ
ผมมองหน้ามันนิ่ง ทำท่าจะโวยวายเรื่องที่มันให้คนอื่นมานั่งตักมันบ้าง ทว่าพอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ แล้ว ความหงุดหงิดที่ก่อตัวเป็นพายุเมื่อวานก็สลายหายไปทันที มีแต่ความคิดถึงเท่านั้นที่พร่างพรายขึ้นมาแทนที่ ผมเลยเบือนหน้าหนีแล้วว่าอุบอิบ
“รู้แล้วน่า ขอโทษแล้วกัน”
คีธหัวเราะในลำคอหน่อยๆ ก่อนโน้มใบหน้ามาจูบหน้าผากผมเบาๆ
“ขอโทษนะที่แกล้ง ไม่ได้ตั้งใจปิดบังแต่ยอมทำตามแผนของริชาร์ดเพราะไม่รู้ว่าจะหาของขวัญอะไรมาให้กวินทร์ในวันคริสมาสต์ดี” มันว่า
“อ๋อ นายก็เลยเอาตัวเองมาเป็นของขวัญให้ฉันแทนล่ะสินะ” ผมพูดเสียงสูงขณะที่คีธพยักหน้ารับ
หืม...สร้างสรรค์มาก! ทำกูเป็นบ้าเกือบทั้งวัน มึงสร้างสรรค์มาก!
ผมเกือบจะยกมือขึ้นตบหน้ามันให้หายหมั่นไส้แล้ว แต่ถูกคีธจับพลิกตัวให้หันหน้าออกไปทางหน้าบ้านแล้วกอดเอวเอาไว้ซะก่อน
“ดูสิกวินทร์ เกล็ดน้ำแข็งตกด้วย”
“โลกมนุษย์เรียกว่าหิมะ” ผมบอกเสียงขุ่น
“ว่ากันว่าถ้าหิมะตกในวันคริสมาสต์ สำหรับคู่รักแล้วถือว่าเป็นวันที่คริสมาสต์ที่ดีไม่ใช่เหรอ”
“ก็แค่ความเชื่อเด็กๆ น่า” ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไป ตาก็มองมือใหญ่ข้างหนึ่งของคีธที่ยื่นออกไปรองรับเกล็ดหิมะไปด้วย ก่อนที่มันจะถามผมกลับมาบ้าง
“แล้วคริสมาสต์ปีนี้ของกวินทร์ไม่ดีเหรอ”
ถ้ามึงไม่รวมหัวกันหลอกกู ก็ถือว่าดีเว้ย!
ผมไม่ตอบ บุ้ยปากหนีไปทางอื่นแทน คีธก็เลยจับผมพลิกตัวมาประจันหน้าแล้วถามอีกครั้ง
“ไม่ดีเหรอ”
“ดี” ผมว่าเสียงแข็ง “ถ้านายไม่แต่งตัวเป็นซานต้าคลอสบ้าๆ อะไรนั่นแล้วมาเซอร์ไพรส์ฉันแบบนี้น่ะ”
“ไม่ได้แต่งตัวเป็นซานต้า” คีธท้วงให้ผมย่นคิ้ว
“ไม่ได้แต่งบ้าอะไร ชุดแดงโร่ขนาดนั้น หนวดปลอมก็มาเต็ม ไม่ใช่ซานต้าคลอสตรงไหน”
“ก็ไม่ใช่ซานต้าคลอส แต่เป็น...”
“เป็น?”
“ซานต้าคีธของกวินทร์ต่างหาก”
หน้าผมร้อนวูบขึ้นมาทันใด หลบสายตาของคีธที่มองมาแทบไม่ทัน ก่อนจะถูกคีธฉกจูบลงมาบนริมฝีปากผมเร็วๆ
“อะไร!” ผมโพล่งออกมาเสียงดังเมื่อรู้ตัวว่าถูกขโมยจูบขณะที่คีธยิ้มมุมปากน้อยๆ
“สุขสันต์วันคริสมาสต์นะกวินทร์”
“เออ”
“รักนะ”
“อะ...อือ”
“อยู่ขอพรกับซานต้าคีธไปตลอดชีวิตเลยนะ”
“ระ...รู้น่า”
มะ...แม่ง อ้อนจังวะ หน้าผมร้อนวูบจนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นด้านนอกบ้านทั้งที่ยืนตากลมตากหิมะอยู่เลยแม้แต่น้อย 
“เข้าบ้านกันเถอะกวินทร์ เดี๋ยวไม่สบาย” แล้วมันก็เสนอขึ้นมา
ผมยอมเดินเข้ามาด้านในแต่โดยดี แน่นอนว่าที่แรกที่ผมพุ่งตรงไปเลยก็คือห้องนั่งเล่น กะว่าจะสำเร็จโทษไอ้ริชาร์ดให้สาแก่ใจ ทว่าพอเดินผ่านกระดานไม้ที่ติดโพสต์อิสอธิษฐานไว้เมื่อคืน ผมก็เผลอยิ้มออกมา ก่อนที่คีธที่เดินตามมาจะเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังแล้วถามขึ้น
“นั่นของกวินทร์เหรอ”
“อืม” ผมครางรับพลางมองไปยังโพสอิสที่มีลายมือผมเขียนติดอยู่
คีธยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะหอมแก้มผมเบาๆ
“สมหวังแล้วนะ ซานต้าคีธใจดีมาก”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเลย ลืมความคิดที่จะประทุษร้ายไอ้ริชาร์ดไปจนหมดสิ้น ไม่สนใจด้วยว่ามันกับแอสตันจะยังหลับหรือตื่นแล้ว ก่อนจะหันไปหาคีธแล้วจูบริมฝีปากหยักเบาๆ
“อืม ใจดีมาก ปีหน้าค่อยขอใหม่”
คีธพยักหน้า ก่อนจะว่าเสียงเรียบ
“แต่ฉันยังไม่ได้ขอพรซานต้าเลย”
“นายจะเอาอะไร”
“กวินทร์” พูดจบ สายตาก็แพรวพราวขึ้นมาเชียว
ผมหัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ
“เอาไปสิ”
คีธไม่พูดพร่ำทำเพลง ช้อนตัวผมขึ้นอุ้มแล้วพาออกจากห้องนั่งเล่น ขึ้นไปที่ห้องของริชาร์ดอีกครั้ง คงไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้แหละว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
เอาเถอะ ยอมๆ มันหน่อย ถือว่ามันทำดี แม้ว่าพวกมันจะทำแผนของผมพังไม่เป็นท่าเลยก็ตาม แต่ก็โอเค เจ๊าๆ กันไปได้
ส่วนจดหมายถึงซานต้าที่ผมเขียนบนโพสอิสน่ะ ผมเขียนว่า...
 
‘จดหมายถึงซานต้าคลอส’
‘อยากได้...คีธ จากกวินทร์’
 

ขอบคุณสำหรับของขวัญนะ...ซานต้าคีธ
*******************************
กวินทร์นี่โดนเพื่อนแกล้งตลอด ฮาาาา เจอกันอีกทีตอน Ep. หน้านะคะ สุขสันต์วันคริสมาสต์ (ย้อนหลัง) ค่า
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.for X'Mas]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 26-12-2015 01:20:59
ไปไม่เป็นเลยสินะ ทั้งกวินทร์และริชาร์ตเลยอ่ะ เจอคนไล่ตามแบบนี้  :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.for X'Mas]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-12-2015 11:31:21
เหอๆ ริชาร์ดแสบจริงๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.for X'Mas]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 26-12-2015 12:13:22
เจร้ยยยย เขิลลลลล  :-[

Merry Christmassssss
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.for X'Mas]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 26-12-2015 13:20:45
โอ้ย น่ารักไปไหน  :ling1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.for X'Mas]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-12-2015 18:54:55
Episode 17: When Richard is jealous[1]
ผมไม่พูดกับคีธอีกเลยหลังจากมันก่อเหตุสังหารหมู่กวินทร์น้อยนับร้อยล้านตัวอย่างโหดเหี้ยม คีธก็ไม่พูดกับผมเช่นกัน เอาแต่มองเป็นระยะๆ ด้วยสีหน้านิ่งๆ โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ และผมก็ไม่อยากจะสนใจด้วยว่ามันคิดอะไร นอกจากหลบหน้ามันตลอดทั้งวันเท่านั้น และดีที่ซีเลนกลับไปแล้ว ผมก็เลยไม่ต้องถูกหมอนั่นตามรบกวนตอนที่ไม่ได้อยู่กับคีธ จริงๆ แล้วผมก็ไม่น่าจะกังวลเรื่องซีเลนหรอกเพราะตอนนี้หมอนั่นกลับไปเกาะติดริชาร์ดเหมือนเดิมแล้ว แต่วันนี้มาแปลกเพราะหมอนั่นเกาะติดแค่ไม่นานนักแล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ริชาร์ดรอดตายจากการถูกกระทำการหื่นกามไปแทนผมโดยปริยาย จะมีก็แต่ไม่รอดเงื้อมมือของแอสตันที่คอยตามติดริชาร์ดเป็นเงาตามตัวนั่นแหละ เห็นว่างเมื่อไหร่ หายหัวกันไปสองคนทุกที ยิ่งแอสตันได้เห็นซีเลนตามริชาร์ดด้วยแล้ว ก็ยิ่งพากันหายหัวไปนานจนผู้กำกับวิลล์ต้องถามหา
อย่างที่รู้กัน มันก็คงจะพากันไปเคลียร์กันหลังม่านตามประสาผัวเมียนั่นแหละ
ทว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมอ่อนแรงมากเป็นพิเศษ ยิ่งไม่ได้นอนด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าตอนนี้ร่างกายผมอ่อนแอแบบนรกแค่ไหน เรียกได้ว่าแค่ยืนขายังสั่นเลยจะดีกว่า อาจเป็นเพราะผมไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานานแล้วก็ได้ คิดๆ ดูแล้วก็ตั้งแต่เจอกับคีธวันแรกนั่นแหละ นี่ก็ปาเข้าไปเกือบจะสามอาทิตย์แล้วที่รู้จักมันมา สามอาทิตย์นี่ถือว่านานนะสำหรับผม ปกติแล้วผมไม่เคยขาดเรื่องเซ็กส์สักอาทิตย์ ต้องเฉลี่ยอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แถมตอนที่เข้าได้เข้าเข็มกับเหยื่อก็ถูกขัดทุกที จนคู่ขาผมอย่างเอมิเลียที่ถูกไล่กลับไปเมื่อครั้งก่อนโน้นหายสาบสูญไปเลย สงสัยยัยนั่นคงจะได้คู่ควงคนใหม่แล้ว เสียดายนิดหน่อยที่อดยลรูปร่างอวบอึ๋มของยัยนั่นแต่ก็ช่างมันเถอะ หาเอาใหม่ก็ได้
ถึงจะคิดว่าหาเอาใหม่ก็ได้ แต่ผมก็อดหงุดหงิดคีธไม่ได้ ที่ต้องอดอยากปากแห้งก็เพราะมันคนเดียวแท้ๆ เลย แถมยังถูกมันรีดพิษไปอีก บ้าชะมัด เสียศักดิ์ศรีสุดๆ
ส่วนริชาร์ดเองก็มีท่าทางอิดโรยพอกัน ผมเดาว่ามันคงจะเหนื่อยจากการทำงาน พร้อมกับต้องหนีแอสตันและซีเลนด้วย แล้วก็ยังโดนแอสตันจัดการลากเข้าไปกินในที่ลับตาคนอีก จะมีอาการเหมือนจะตายให้ได้ก็ไม่แปลก
และเพราะเราทั้งคู่ไม่มีแรงหลงเหลือและเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะขึ้นรถไฟใต้ดินกลับอพาร์ตเม้นต์ ผมกับมันก็เลยตกลงกันว่าจะหารเงินกันขึ้นแท็กซี่กลับห้องแทน ทว่าไม่รู้ว่าวันนี้มันเป็นวันมหาวิปโยคหรืออะไร แท็กซี่ที่ควรจะมีคลาคล่ำกลับหาแทบไม่ได้สักคัน ผมยืนรอกับริชาร์ดอยู่ครู่ใหญ่ก็ชักจะหัวเสีย พลันถอนหายใจออกมาเต็มแรง ริชาร์ดเหลือบมามองผมเล็กน้อยก่อนจะชวนคุยฆ่าเวลาออกมา
“วันนี้เหนื่อยเนอะ งานเยอะชะมัด”
“อืม”
“พรุ่งนี้ก็งานหนักอีก แถมมะรืนก็ต้องออกไปถ่ายทำนอกสถานที่ เหมือนคิดผิดที่มาช่วยงานด็อกเตอร์มาร์ตินเลย นายว่ามั้ย”
“อืม” ผมได้แต่ขานรับสั้นๆ อย่างนั้นแหละเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนที่เราจะเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง และริชาร์ดก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบเช่นเคย
“เออนี่เควิน ฉันมีเรี่องจะถาม”
“ถามอะไร”
“วันนี้ที่ฉันเห็นนายเข้าไปในห้องแต่งตัวกับคีธแล้วก็ซีเลน นายเข้าไปทำอะไรวะ”
เป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบที่สุดเลย ผมสาบานได้ แต่ผมก็ตอบไปเนือยๆ ด้วยต้องการตัดปัญหาถ้าหากว่าริชาร์ดจะตื๊อถามผมไม่เลิก
“มีไอ้หื่นกามซีเลนอยู่ด้วยอย่างนั้น นายคิดว่าจะเป็นเรื่องอะไรล่ะ ฉันก็หนีมันที่ตามปล้ำฉันตั้งแต่เมื่อคืนไปให้คีธช่วยเป็นเกราะกำบังให้น่ะสิ”
“แสดงว่าที่นายไปคลับมาเมื่อคืนแล้วมีอาการเป็นผีตายซากที่ฉันเห็นเมื่อเช้าเป็นเพราะซีเลน?” ริชาร์ดผูกเรื่องเองโดยไม่ต้องให้ผมอธิบาย
ผมพยักหน้าพลางว่า “เออสิ เมื่อคืนฉันกะจะไปล่าเหยื่อซะหน่อย แต่ตอนกำลังกินเหยื่อดันมาเจอไอ้ซีเลนควงผู้ชายมากินอยู่ห้องน้ำข้างๆ ซะได้ แถมมันกินเสร็จแล้วก็จะมากินฉันต่ออีก ดีนะที่ฉันหนีมาได้ มันเลยมาตามคิดบัญชีกับฉันวันนี้อย่างที่นายเห็นไง”
“มิน่าล่ะ ถึงได้ไม่มาตามฉันตั้งแต่แรก” ริชาร์ดหัวเราะในลำคอน้อยๆ ทำให้ผมหัวเราะกลับบ้าง
“แต่สุดท้ายมันก็ไปตามนายใช่มั้ยล่ะ”
คราวนี้ริชาร์ดหน้าตึงไปเลย
“เออสิ ไม่รู้แม่งเป็นบ้าอะไร เจอหน้าก็มาดมซอกคอ พอหนีก็ตามมาดมอีก โรคจิตฉิบ ดีนะที่แอสตันเข้ามาช่วยได้ทัน ไม่งั้นฉันได้ถูกมันลากไปปล้ำที่ห้องพักมันแน่ๆ”
“ไม่ถูกไอ้ซีเลนปล้ำ แต่นายก็ถูกแอสตันปล้ำแทนหรือเปล่าวะ”
เหมือนผมจะพูดแทงใจดำริชาร์ดอย่างจัง ริชาร์ดหันมามองหน้าผมตาเขียวพลันปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ได้ถูกปล้ำเว้ย”
“แล้วหายกันไปไหนเป็นชั่วโมงๆ” ผมว่าเย้า ริชาร์ดกลืนน้ำลายแล้วแสร้งมองไปทางอื่น
“ก็... ไปคุยกัน”
คุยกันบ้านเตี่ยมึงต้องไปคุยกันในที่ลับตาคนด้วยเหรอวะ จะโกหกก็ให้มันเมคเซ้นส์หน่อย เห็นกูเป็นเด็กอมมือหรือไง
พอถูกผมถามเข้าเรื่องแบบนี้ ริชาร์ดก็เป็นฝ่ายเงียบไปแทน แต่ผมไม่ยอมให้มันจบบทสนทนาไปดื้อๆ แบบนี้หรอก ในเมื่อถามแล้ว ก็ต้องเอาคำตอบให้ได้
เท่านั้นผมก็ถามขึ้นมาใหม่โดยการเกริ่นเรียกชื่อมัน
“ริชาร์ด”
“อะไร” มันตอบรับโดยไม่หันมามองหน้าผม
“ถามจริงๆ นะ”
“ถามอะไร”
“ได้กับแอสตันหรือยัง”
ริชาร์ดสะดุ้งเฮือก หันขวับมามองหน้าผมอย่างหวาดๆ พลันส่ายหัวดิก
“ดะ...ได้บ้าได้บออะไร ไม่เคยได้กันเว้ย!”
“แล้วที่วันนั้นนายสะโพกคราก?”
“ไม่ได้สะโพกคราก บอกว่าตกเตียงเจ็บหลัง นายนี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!”
“ถ้ายังไม่ได้กัน แล้วทำไมต้องเสียงดังใส่ฉันด้วยวะ” ผมหรี่ตามองอย่างจับผิดทันทีที่มันเผยพิรุธออกมา ริชาร์ดรีบหลบสายตาแล้วขยับริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจ
“กะ...ก็... ไม่มีอะไรหรอกน่า ว่าแต่นายเถอะ ขากางเกงไปเปื้อนอะไรมา ฉันเห็นตั้งแต่ตอนที่นายออกจากห้องแต่งตัวกับคีธแล้ว”
ผมเบือนสายตาไปมองขากางเกงยังจุดที่ริชาร์ดชี้นิ้วอยู่ทันที แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าในตอนนี้กางเกงยีนส์สีดำของผมมีคราบสีขาวแห้งๆ ติดอยู่เล็กน้อยบริเวณไม่ห่างจากเป้ามากนัก
จริงๆ ก็ไม่เล็กน้อยหรอก รัศมีความยาวประมาณนิ้วก้อย และนั่นก็ทำให้ผมกลืนน้ำลายเอื้อก
ละ...หลักฐานการฆาตกรรมหมู่ลูกๆ ของกวินทร์นับร้อยล้านตัว!
“หรือว่าจะเป็น...” ไม่ต้องตอบ ริชาร์ดก็เหมือนจะรู้ว่าเป็นคราบอะไร
ผมมองหน้ามันแล้วเบนสายตาหนีเล็กน้อย ก่อนที่มันจะถามขึ้นมาอีก
“ตกลงใช่มั้ย”
“อืม” ในเมื่อหาข้อแก้ตัวไม่ได้ก็ต้องยอมรับไปอย่างจำยอม ทว่าริชาร์ดก็ทำให้ผมต้องย่นคิ้วยู่ขึ้นมาอีก
“ของคีธล่ะสินะ”
คีธป้ามึง! ของกูเนี่ย! มึงอย่ามาคิดว่ากูจะยอมให้ไอ้มนุษย์ต่างดาวพวกนี้กดเหมือนมึงสิวะ!
“ตัวเองก็ได้กับคีธเหมือนกัน ทำมาเป็นถามฉันว่าได้กับแอสตันหรือยัง” มันยิ้มเผล่ขึ้นมาฉับพลันราวกับผู้ชนะที่เอาคืนผมได้
ได้กับคีธอะไรของมึง! ไม่ได้มีอะไรกับมันเว้ย แค่ถูกมันลวนลาม แล้วที่มึงพูดว่า ‘เหมือนกัน’ นี่แสดงว่ามึงได้กับไอ้แอสตันแล้วสินะ! โถไอ้ริชาร์ด มึงไม่ต้องมาหาพวกเลย ไม่ต้องเลย!
“ฉันไม่ได้มีอะไรกับคีธ...”
“แท็กซี่มาพอดีเลย เดี๋ยวเรียกก่อน”
ผมปฏิเสธยังไม่ทันจะสิ้นเสียงดี ริชาร์ดก็โบกมือเรียกแท็กซี่ที่วิ่งผ่านหน้ามาพอดีทันใด ทำให้มันไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้แม้แต่น้อย ผมไม่อยากจะใส่ใจนัก ช่างมันเถอะ ปล่อยให้เรื่องมันแล้วไปก็แล้วกัน
 
เราทั้งคู่นั่งเงียบกันมาตลอดทางกระทั่งถึงอพาร์ตเม้นต์โดยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก โดยเฉพาะการพูดถึงเรื่องใต้สะดือและการกระทำอันหื่นหามของมนุษย์ต่างดาวพวกนั้น พอมาถึงหน้าห้อง ผมก็บอกลาริชาร์ดเล็กน้อยแล้วตั้งท่าจะเข้าห้อง ทว่ายังไม่ทันที่ผมกับมันจะได้เปิดประตู เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นเรียกชื่อของพวกเราไป
“เควิน... ริชาร์ด...”
ผมกับริชาร์ดหันไปมองยังต้นเสียงแล้วก็ย่นคิ้วยู่พร้อมกันโดยมิได้นัดหมายเมื่อเห็นบรูคลินมายืนอยู่ตรงหน้า หมอนั่นไม่ได้มาคนเดียว ยังพาเด็กผู้ชายวัยไฮสกูลมาด้วย ให้เดาอายุ ผมคิดว่าน่าจะไม่เกินสิบแปด แถมหน้าตาก็น่ารักจิ้มลิ้ม ร่างบางๆ เหมือนกับบรูคลินไม่มีผิด
คงจะเป็นเบน น้องชายของบรูคลินที่เคยพูดถึงล่ะมั้ง
“นายมาได้ยังไง” ริชาร์ดเป็นฝ่ายถามขณะที่บรูคลินกับเด็กผู้ชายคนนั้นยังก้มหน้างุด
“คือ...คือว่า...ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับพวกนาย”
“แล้วมาเอาดึกดื่นป่านนี้เนี่ยนะ ทำไมไม่ไปคุยที่สตูดิโอพรุ่งนี้วะ” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายแทรกขึ้นมาบ้างโดยมีริชาร์ดพยักหน้าอยู่ใกล้ๆ
“กะ...ก็...หาจังหวะคุยไมได้ พรุ่งนี้งานยุ่ง” บรูคลินว่าตะกุกตะกัก
ผมหลับตา พ่นลมหายใจออกมาทีหนึ่งอย่างรำคาญที่มันเอาแต่พูดเสียงงุ้งงิ้งๆ ไม่เต็มปากพร้อมทำท่าทางไม่มั่นใจอย่างนั้น และเกือบจะเฉดหัวมันกลับบ้านไปแล้วถ้าริชาร์ดไม่พูดขึ้นมาเสียก่อน
“งั้นเข้ามาก่อน” ว่าจบก็เปิดประตูห้องเชื้อเชิญพวกมันเข้าไป
บรูคลินบอกขอบคุณเบาๆ ชนิดแทบไม่ได้ยินเสียงแล้วเดินเข้าห้องริชาร์ดไปเป็นคนแรก ตามด้วยเด็กหนุ่มคนนั้น ริชาร์ดชะงักนิดหน่อย ก่อนจะชี้นิ้วไปยังหมอนั่น
“แล้วนี่ใคร”
เด็กนั่นชะงักกึก เหลือบมองริชาร์ดอย่างหวาดๆ ก่อนบรูคลินจะหันมาตอบ
“เบน น้องชายฉันเอง”
ริชาร์ดพยักหน้า ปล่อยให้เบนเดินเข้าไปในห้อง ขณะที่ผมยิ้มกริ่มในใจเลย
เด็กในสังกัดผัวมึงมาแล้ว เดี๋ยวมึงได้รู้เลยว่าฟีลเมียหลวงในละครหลังข่าวเป็นยังไง
พอสองคนนั้นเดินเข้าไป ผมก็ผละจากหน้าห้องตัวเองเดินเข้าห้องริชาร์ดไปบ้าง พลันเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเปิดฉากขึ้น
“ตกลงนายมีเรื่องอะไรจะคุย”
“คือ...” บรูคลินทำท่าไม่มั่นใจอีกแล้ว ทำเอาผมแทบอยากจะขว้างของที่อยู่ใกล้ๆ มือใส่มันทันควัน
“มีอะไรก็พูดมาสิ พวกฉันรอฟังอยู่” ริชาร์ดที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ผมว่าขึ้นบ้าง ทำให้เบนสะกิดพี่ชายให้รีบพูด บรูคลินจึงออกปากออกมาได้
“คือพวกเราอยากให้พวกนายเลิกยุ่งกับคีธและแอสตัน”
ผมขมวดคิ้วพลัน ริชาร์ดเองก็เช่นกัน สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับเมียใหม่ของผัวเก่ามาบอกให้เมียเก่าเลิกยุ่งกับผัวตัวเองยังไงก็ไม่รู้
“ฉันว่านายไปบอกให้ไอ้พวกบ้านั่นเลิกยุ่งกับพวกฉันจะดีกว่า ไม่เห็นหรือไงว่ามีแต่พวกมันที่ตามพวกฉันต้อยๆ เนี่ย” ผมโพล่งขึ้น ทำเอาริชาร์ดพยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ
“ฉันไม่ได้หมายความว่าให้เลิกยุ่งในลักษณะของการพูดคุยแบบนั้น แต่ฉันหมายถึง...” บรูคลินเงียบเสียงไป เหลือบมองหน้าน้องชายที่ทำหน้าหงิมๆ ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “หมายถึงเลิกยุ่งในลักษณะของการเป็นโฮสต์น่ะ พวกนายไม่ได้เป็นโฮสต์ให้สองคนนั้นอีกแล้วไม่ใช่เหรอ”
ประโยคนี้ทำเอาริชาร์ดหน้ายุ่งไปทันตา หันมามองผมอย่างขอคำตอบ ผมนึกขึ้นได้ในตอนนี้นี่เองว่ามันยังไม่รู้ว่าบรูคลินก็เป็นมนุษย์ต่างดาว ก่อนจะบอกมัน
“บรูคลินเป็นโฮสต์ให้คีธ ส่วนเบนเป็นโฮสต์ให้แอสตัน สองคนนี้ก็เป็นมนุษย์ต่างดาว ชื่อไบโทปไบเทปอะไรนี่แหละ”
ริชาร์ดเบิกตาโพลง หันไปมองทั้งคู่อย่างไม่เชื่อสายตา มันก็คงจะไม่เชื่อว่านอกจากคีธกับแอสตันแล้วก็ยังมีมนุษย์ต่างดาวอื่นอยู่บนโลกของเราอีก
“น้องชายนายเป็นโฮสต์ให้แอสตัน?” พอริชาร์ดถามแล้วเบนพยักหน้ารับพลางเม้มริมฝีปากแดงเฉียบน้อยๆ
“อายุเท่าไหร่เนี่ย ยังเด็กอยู่เลย”
“สิบเจ็ดครับ” เบนเป็นคนตอบ ริชาร์ดชำเลืองมองประหลับประเหลือกพลัน
“แล้วเป็นโฮสต์ให้แบบนี้ไม่เป็นอะไรหรือไง ให้มันพุ่งทะลุสะดือออกมา เดี๋ยวร่างกายนายก็รับไม่ไหวหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ชาวไบโทปมีร่างกายแข็งแรง ทนต่อทุกสภาพอากาศ ไม่ต้องห่วงครับ” เบนตอบเสียงแผ่ว คราวนี้ริชาร์ดไม่เพียงมองประหลับประเหลือก แต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ด้วย
ก็แน่ล่ะสิ เด็กของผัวมึงมันเอ๊าะกว่ามึง น่ารักน่ากอดกว่า แถมอายุก็ใกล้เคียงกับแอสตัน ส่วนมึงมันไอ้เจ๊กเมากัญชา อายุก็มากกว่า แอสตันมันจะไปกิ๊กกับเด็กๆ ก็ไม่แปลก
ทว่าก็ครู่เดียวเท่านั้นแหละที่ริชาร์ดทำหน้าอารมณ์เสีย ครู่เดียวมันก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนที่บรูคลินจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“อย่างที่บอกแหละว่าฉันไม่อยากให้พวกนายมายุ่งกับคีธและแอสตันอีกในลักษณะของโฮสต์ มันลำบากต่อการเป็นโฮสต์ของพวกเรา”
“ก็บอกแล้วไงว่าพวกมันมายุ่งกับพวกฉันเอง ฟังไม่รู้เรื่องหรือไงวะ” ผมโวยขึ้นมาน้อยๆ
บรูคลินสะดุ้งไปนิดแล้วตอบกลับมา
“รู้เรื่อง งั้นเอาเป็นว่าต่อไปนี้อย่าจูบกับสองคนนั้นอีกแล้วกันนะ ผูกพันก็ไม่ได้ มันทำให้พวกฉันหนักใจ”
ผมกับริชาร์ดมองหน้ากันทันควัน
“หนักใจอะไรวะ อย่าบอกนะว่าการที่พวกฉันจูบกับพวกมัน ทำให้พวกนายได้กลิ่นของพวกฉันจากตัวพวกมัน?” ผมเดาไปเรื่อย ก็คีธเคยบอกผมว่าตัวมันมีประสาทสัมผัสดี ผมก็เลยคิดว่าพวกไบโทปเองก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน
“ก็ไม่เชิง” บรูคลินว่าไม่สบตา “พวกเราไม่ได้มีประสาทการรับกลิ่นดีเหมือนกับชาวยูนิกม่า แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนกับมนุษย์โลก แต่การรับรสของพวกเราถือว่าดีมาก เวลาที่พวกเราป้อนสารอาหารให้กับคีธและแอสตัน พวกเรารับรสชาติของพวกนายได้ แล้วมันทำให้พวกเราแบบว่า...”
“พะอืดพะอม” อันนี้เบนเป็นคนตอบ “โดยเฉพาะเวลาได้กลิ่นจากคนที่องค์ชายไปผูกพันด้วยแล้วก็ยิ่งพะอืดพะอม”
ริชาร์ดถึงกลับถลึงตาใส่ทันควัน
เด็กผัวมึงไม่ใช่เล่นเว้ยเฮ้ย ตีกันเลย กูยุยง! แต่เดี๋ยวนะ ไหนมึงบอกว่ามึงกับไอ้แอสตันไม่ได้มีอะไรกันยังไงวะ?
“สรุปก็คือพวกนายเลิกมีความสัมพันธ์ทางกายกับคีธและแอสตันนะ วันนี้ฉันรับรสของนายจากคีธได้แรงมากจนฉันแทบทนไม่ไหว ถึงต้องมาหาพวกนายอย่างนี้ไง” บรูคลินว่าขึ้นมาอีก
ผมรู้เลยว่ากลิ่นที่ว่านั้นมาจากไหน ก็วันนี้คีธมันใช้ปะ...ปาก...
ช่างแม่งเถอะ...
“ที่สำคัญ การที่คีธกับแอสตันมีสัมพันธ์ทางกายกับพวกนายแบบนี้ด้วย ทำให้พวกนั้นไม่สามารถไปตามหาพรรคพวกอย่างที่ตั้งใจไว้ได้สักที ฉันเลยไม่อยากให้พวกนายมาเป็นตัวถ่วงของสองคนนั้น หวังว่าคงจะเข้าใจนะ”
กูไม่เคยไปเป็นตัวถ่วงชีวิตพวกมันเลย มีแต่พวกมันนี่แหละที่มาเป็นตัวถ่วงชีวิตกู!
ถึงคำพูดของบรูคลินจะชวนโมโห แต่ผมก็ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ตัดบทไปให้เรื่องมันจบๆ
“โอเคๆ ฉันเองก็ไม่อยากจะยุ่งกับพวกมันเหมือนกัน พวกนายก็ไปบอกมันด้วยแล้วกันว่าอย่ามายุ่งกับพวกฉัน เผลอทีไร พวกมันฉวยโอกาสทุกที”
บรูคลินและเบนพยักหน้ารับพลันขอบคุณที่ผมยอมรับข้อเสนอง่ายๆ จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ไม่หือไม่อือ แถมทำหน้าเหมือนเมากัญชาในระดับคุ้มคลั่งไปแล้วเรียบร้อย
“แล้วถ้าฉันปฏิเสธล่ะ”
ทุกชีวิตหันไปมองหน้ามันฉับพลัน ผมรู้เลยว่ามันกำลังท้าทายสองคนนั้น โดยเฉพาะกับเบน
มึง-หึง-ผัว! ไอ้ริชาร์ดสวมวิญญาณเมียหลวงเรียบร้อย
แถมไอ้เด็กเบนนั่นก็ร้ายใช่เล่นถ้าเทียบกับบรูคลินแล้ว เพราะพอสิ้นเสียงริชาร์ด หมอนั่นก็ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแบบหวาดหวั่น ทว่าแฝงไปด้วยความท้าทาย
“ถ้านายไม่ทำตาม ฉันก็คงจะต้องขอเตือนให้นายระวังตัวไว้”
“นายจะทำอะไรฉันได้ไอ้หนู ตัวเท่าลูกหมา” ริชาร์ดว่าพลางกลั้วหัวเราะ มองเหยียดเบนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็จริงอย่างที่ริชาร์ดว่านั่นแหละ ถึงสองคนนั้นจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่เมื่อเทียบส่วนสูงกับผมและริชาร์ดที่เป็นชาวเอเชียแล้ว ก็ยังนับว่าตัวเล็กกว่าพอสมควรเลยทีเดียว
“จะลองดูมั้ยล่ะครับ”
 ทว่าการพูดของริชาร์ดเมื่อครู่กลับทำให้ดวงตาของเบนประกายกร้าว บรูคลินรีบคว้าแขนน้องชายไว้ทันที
“ไม่เอาน่าเบน อย่าเปิดเผยตัว”
ผมไม่รู้หรอกว่าเปิดเผยตัวมันคืออะไร แต่เหมือนจะห้ามไปก็ไม่ทันแล้วเพราะริชาร์ดยังคงยั่วโมโหไม่หยุด แถมยังเดินเข้าไปวางมือบนหัวของเด็กนั่นอีกด้วย
“ก็ลองดูสิว่าเด็กอย่างนายจะทำอะไรได้”
สิ้นเสียง เบนก็ส่งเสียงคำรามออกมา ก่อนที่ตัวของหมอนั่นจะค่อยๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ จนเสื้อยืดตัวเล็กที่สวมอยู่ปริขาดเมื่อกล้ามเนื้อเด็กหนุ่มค่อยๆ ขยายใหญ่เป็นกล้ามเนื้อของชายฉกรรจ์พร้อมกับความสูงที่พุ่งขึ้นอย่างพรวดพราด
ริชาร์ดผงะถอยมายังผมทันที ขณะที่ผมเองก็ลุกจากเก้าอี้หนีไปหลบยังมุมห้องแทบไม่ทันเมื่อเห็นแบบนั้น
มึงจะอวตารร่างทำไม! กรุณาตอบกูด้วย!
กว่าเบนจะหยุดขยายร่างอีกทีก็ตอนที่ความสูงของหมอนั่นสูงเลยคีธไปแล้ว ผมว่าพวกยูนิกม่ารูปร่างสูงใหญ่แล้วนะ มาเจอไอ้บ้าพวกนี้ ต้องบอกเลยว่า... พวกมึงไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวแล้ว พวกมึงเป็นเดอะฮัล์คแน่นอน กูมั่นใจ! ไม่สิ ไม่ใช่แค่เดอะฮัล์คอย่างเดียว ผสมเปรตวัดสุทัศน์ด้วย มึงจะสูงไปไหน! โอ๊ย กูล่ะปวดหัวกับร่างอวตารของพวกมึงจริง!
น่ากลัวกว่านั้นคือ หน้าตาของมันก็เปลี่ยนไปด้วย ใบหูที่เหมือนมนุษย์ปกติในตอนแรกกลายเป็นหูเรียวแหลมเหมือนกับพวกเอลฟ์ และใบหน้าจิ้มลิ้มก็ดูคร้ามครัน อารมณ์เหมือนเด็กหนุ่มที่เจริญพันธุ์เข้าสู่วัยฉกรรจ์เต็มที่
 “นะ...นาย...” ริชาร์ดได้สติก็ตอนที่เบนหยุดขยายร่าง
บรูคลินพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะว่าเสียงเบา
“นี่คือร่างจริงของพวกเรา ความพิเศษของพวกเรานอกจากสามารถรับรสได้ดีแล้ว ก็คือมีความแข็งแกร่งและอดทนต่อทุกสภาพอากาศได้ดี ทำให้พวกเซนไทน์มักล่าพวกเราไปเป็นทาส พวกเราเลยต้องหลบหนีและซ่อนตัวโดยการย่อส่วนแทน”
“และที่ฉันเผยร่างจริงให้พวกนายดู ก็เพราะฉันไม่ต้องการให้พวกนายมายุ่งกับองค์ชายและท่านผู้พิทักษ์จริงๆ ปกติชาวไบโทปรักสงบนะ แต่ถ้าจะต้องสู้เพื่อปกป้องใครสักคนแล้ว พวกเราก็ไม่ออมมือเหมือนกัน” อันนี้เบนเป็นคนว่า
ผมพยักหน้าเข้าใจรัวๆ ทันใด ก่อนจะรีบโบกมือบอกให้มันบอกน้องชายให้คืนร่างเดิม
“เออๆ เข้าใจแล้ว รีบๆ คืนร่างเดิมไปเร็วๆ เข้า”
สิ้นเสียง เบนก็ย่อร่างกลับไปเป็นเด็กไฮสกูลเหมือนเดิม ผมได้ยินเสียงริชาร์ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังเข้ามาในหูทันที
เป็นไงล่ะเด็กผัวมึง สู้มั้ยล่ะมึง ตัวใหญ่เป็นหมีกริซลี่ได้อีก
ผมแอบคิดขึ้นมานิดนึงเลยว่าอยากให้บรูคลินคืนร่างเดิมตอนที่ถูกซีเลนมันบังคับจูบชะมัด ดูซิว่าไอ้หื่นอย่างมันจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าคนที่มันจูบเป็นมนุษย์ต่างดาวร่างยักษ์แบบนี้ แต่ก็ได้แค่คิดแหละเพราะบรูคลินคงจะไม่เปิดเผยร่างให้เห็นแน่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตตัวเอง
“ขอบคุณมากที่พวกนายรับฟัง ฉันดีใจมาก” บรูคลินยิ้มออกมาน้อยๆ หลังจากที่ผมยอมรับปากแต่โดยดี
จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ทำหน้าเมากาวไม่เลิก
“งั้นฉันกลับก่อนนะ” บรูคลินบอกลา ผมโบกมือไล่ให้พวกมันเดินไปที่ประตูห้อง หากแต่ไม่ทันจะได้ออกไป เบนก็หันกลับมามองยังริชาร์ดแล้วส่งยิ้มน่ารักให้
“ขอบคุณที่รับปากว่าจะไม่ยุ่งกับองค์ชายอีกนะครับ” ว่าจบก็หายหัวออกไป ทิ้งให้ริชาร์ดมองตามอย่างตะลึงงัน
พอสองคนนั้นไปแล้ว สถานการณ์ก็กลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง ริชาร์ดยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา พึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย”
“เรื่องที่ผัวนายแอบเลี้ยงต้อยน่ะเหรอ” ผมแกล้งว่า ทำเอาริชาร์ดมองผมตาเขียว
“ไม่ใช่เว้ย ฉันหมายถึงทำไมโลกเราถึงได้มีมนุษย์ต่างดาวเยอะแยะไปหมดต่างหาก”
“ก็ดีแล้วนี่ นายเป็นกูรูเอเลี่ยนนี่หว่า ชอบไม่ใช่เหรอพวกเอเลี่ยนน่ะ ก็หาโอกาสศึกษาพวกมันซะเลยสิ เผื่อจะได้ไอเดียสำหรับทำหนังเอเลี่ยนแนวใหม่ในอนาคต ดีไม่ดีอาจได้เป็นผู้กำกับชื่อดังระเบิดก็ได้นะ”
ริชาร์ดต่อยเข้ามาที่ไหล่ผมทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์แล้วออกปากไล่ผมเป็นพัลวัน
“กลับห้องไปเลยไป วันนี้มีแต่เรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ ปวดหัวฉิบ”
ผมหัวเราะกับท่าทางของมันแล้วกลับห้องไปแต่โดยดี เชื่อเลยว่าพรุ่งนี้ได้มีเรื่องให้สนุกแน่
 

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.for X'Mas]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-12-2015 18:57:10
Episode 17: When Richard is jealous[2]

เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องมีเรื่องให้สนุก เพราะทันทีที่เรามาถึงยังกองถ่าย พวกเราก็เห็นเบนมานั่งเสนอหน้าอยู่ที่นี่ด้วย บรูคลินอธิบายว่าเบนมารับงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กเสิร์ฟน้ำประจำกองถ่ายเพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วนั่นก็ทำให้ริชาร์ดที่หน้ายุ่งเหยิงตั้งแต่เมื่อคืนยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ ยิ่งได้เห็นแอสตันเข้าไปทักทายกับเบนอย่างสนิทสนมด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่ามันเป็นยังไง
หึงจนออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว!
แต่มันทำเป็นเฉย แถมยังเมินแอสตันด้วย ก็สมควรเมินอยู่หรอกหลังจากได้เห็นแอสตันจูบกับเบนในห้องแต่งตัวเพื่อดูดสารอาหารน่ะ แต่การเมินของมันนี่ดูเหมือนเมียงอนผัวฉิบเป๋ง
และเพราะมันทำท่าทางเหมือนเมียงอนผัว แอสตันก็เลยมีท่าทางเหมือนผัวง้อเมีย ตามประกบติดริชาร์ดเมื่อเห็นมันไม่ยอมพูดกับด้วยสักคำ ดีที่ตอนนี้ซีเลนยังไม่มากองถ่าย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ริชาร์ดมันได้ประชดผัวโดยการไปมีอะไรกับไอ้หื่นกามเหมือนในหนังน้ำเน่าบางเรื่องแน่ๆ
“ริชาร์ดเป็นอะไร ทำไมไม่คุยกับเรา” พอถูกงอนมากๆ เข้า แอสตันก็ชักจะสงสัยที่ถูกหนีหน้า คว้าไหล่ริชาร์ดให้หันมามองขณะที่มันก้มๆ เงยๆ เขียนอะไรบางอย่างในสคริปต์เรียงลำดับเอฟเฟ็กต์ระเบิดที่จะใช้ถ่ายทำในฉากแอคชันอยู่
“ไม่ได้เป็นอะไร แค่ไม่อยากคุย” มันพูดออกมาจนได้ ทำเอาผมที่กำลังนั่งเช็คคิวนักแสดงเหลือบมองมันนิดๆ
“แล้วทำไมไม่อยากคุยล่ะ”
ริชาร์ดไม่ตอบ ผมนี่อยากจะตอบแทนมันเหลือเกินว่า... ‘ก็เด็กของมึงมันมาบุกถึงห้องเมียหลวงไม่ให้ยุ่งกับมึงอย่างนั้น ใครมันจะไปยอมคุยวะ!’ แต่ก็ได้แต่รอดูท่าทีของริชาร์ดเท่านั้น บอกเลยว่าตอนนี้ผมสนุกชะมัด
“ริชาร์ด ทำไมไม่อยากคุย” พอริชาร์ดไม่ตอบ แอสตันก็คว้ามือริชาร์ดที่จับปากกาอยู่ไป
ริชาร์ดขมวดคิ้วหันไปมอง พลันว่าเสียงดัง
“อะไรของนายนักหนาวะ! บอกว่าไม่อยากคุยๆ จะเอาอะไรอีก!”
แอสตันผงะไปเล็กน้อยประหนึ่งไม่เคยถูกริชาร์ดตะคอกใส่ทั้งที่มันสมควรจะชินได้แล้วเพราะมันถูกตะคอกอยู่ทุกวัน แต่วันนี้มันคงจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติล่ะมั้ง
“แล้วเป็นอะไรถึงไม่อยากคุยล่ะ” แถมมันยังตื๊อไม่เลิก ผมสาบานเลยว่าเห็นหัวคิ้วของริชาร์ดกระตุกยิกๆ
“ไปถามไอ้เด็กเบนโน่นไป” ริชาร์ดว่าเรียบๆ
แอสตันเหลือบไปมองเบนที่นั่งจ้องเขม็งอยู่ก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าเพราะอะไรริชาร์ดถึงไม่ยอมคุย ก่อนจะยิ้มเผล่ออกมา
“โกรธที่เบนลิโอมาเหรอ”
เบนลิโอคงจะเป็นชื่อภาษาต่างดาวของเบน
ริชาร์ดไม่ตอบ ให้แอสตันพูดขึ้นอีกครั้ง
“รู้หรือยังว่าเบนลิโอก็เป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วก็เป็นโฮสต์ของเรา”
ริชาร์ดยังไม่ตอบอีก ผมชักจะรำคาญละที่มันงอนแอสตันนานเกินไป เลยออกปากตอบให้มันแทน
“รู้แล้ว เมื่อวานสองคนนั้นมาหาพวกฉันที่ห้องแล้วบอกให้พวกฉันเลิกยุ่งกับพวกนาย เพราะพวกนายไม่ยอมไปตามหาพรรคพวก”
พูดสั้นๆ แอสตันก็เข้าใจ พลันทำสีหน้าสำนึกผิดขึ้นมาทันควัน
“จริงๆ แล้วเราก็ตามหาอยู่นะ แต่ยังไม่ได้เบาะแสนี่สิที่ทำให้เราไปไหนไม่ได้”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ไอ้เด็กเวรนั่นมันมาบอกว่าพะอืดพะอมเพราะรับรสของฉันได้ตอนจูบนายวะ” ริชาร์ดยอมเปิดปากขึ้นมา แอสตัสเลยเข้าใจมากขึ้นไปอีกว่าเพราะอะไรที่ทำให้ริชาร์ดไม่ยอมพูดด้วย
“พวกไบโทปเป็นพวกรักสะอาดน่ะ เวลาเป็นโฮสต์ให้ชาวยูนิกม่า ก็ไม่อยากให้ชาวยูนิกม่าไปวุ่นวายกับคนอื่น พวกนี้อ่อนไหวกับรสชาติง่าย อย่าถือสาเบนลิโอเลยนะ เบนลิโอเป็นคนพูดตรงแต่ก็เป็นเด็กดี แล้วก็น่ารักด้วย”
แต่แทนที่การอธิบายของแอสตันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น กลับทำให้แย่ลงไปอีกเพราะมันดันพูดปกป้องเบนซะอย่างนั้น มิหนำซ้ำยังว่าเป็นนัยๆ ประหนึ่งว่าริชาร์ดสกปรกอีกต่างหาก
ริชาร์ดทุบกำปั้นลงบนโต๊ะดังปึง มองหน้าแอสตันอย่างเอาเรื่อง
“งั้นนายก็เลิกยุ่งกับฉันให้เด็ดขาดไปเลยสิวะจะได้ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องนี้อีก มาตามฉันต้อยๆ อยู่ได้!”
“ก็เราชอบ...”
“รำคาญชะมัดเลยให้ตาย! คิดว่าฉันชอบนักหรือไงที่ต้องถูกนายลวนลามไม่เว้นวันน่ะ คิดว่าเลิกเป็นโฮสต์แล้วจะรอดซะอีก ที่ไหนได้ ตามติดยิ่งกว่าเดิมอีกพับผ่า นายนี่มันปรสิตชีวิตคนอื่นชัดๆ ไอ้มนุษย์ต่างดาวปรสิตเอ๊ย!”
ผมมองหน้าริชาร์ดทันควัน แอสตันเองก็ชะงักกึกที่จู่ๆ ก็ถูกเปรียบเทียบเป็นปรสิต เท่าที่รู้มา ปรสิตอวกาศนี่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรจะชั้นต่ำที่สุดในจักรวาลเลยนะ ยิ่งคนถูกเปรียบเทียบมียศสูงศักดิ์ถึงตำแหน่งเจ้าชายด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าแอสตันช็อคแค่ไหน
หน้าตามันนี่เมากัญชาตามไอ้ริชาร์ดไปอีกคนแล้วเรียบร้อย
“ริชาร์ด...” แอสตันครางออกมาอย่างไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินริชาร์ดพูดแบบนั้น ก่อนจะเป็นฝ่ายออกห่างจากริชาร์ด
“ก็ได้ ในเมื่อนายไม่อยากให้เรายุ่งด้วย เราก็จะไม่ยุ่ง ขอโทษที่รบกวนมานาน” ว่าจบแล้วก็เดินหนีไปหาคีธ
คีธที่ยืนมองอยู่นานทำท่าเหมือนจะถามแอสตันว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่แอสตันยกมือขึ้นเป็นเชิงให้หยุด คีธก็เลยเงียบปากไปแล้วเดินเข้ามาหาพวกผมแทน
“มีปัญหาอะไรกับองค์ชาย”
“ไม่เกี่ยวกับนาย” ริชาร์ดสวน
“ไม่เกี่ยวไม่ได้ ฉันเป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชาย”
“ก็ไปถามไอ้เวรนั่นเองสิวะ!” พาลใส่แอสตันคนเดียวไม่พอ พาลใส่คีธด้วย
คีธย่นคิ้วเล็กน้อย หันมามองผมที่ยักไหล่ให้มันอย่างไม่ยี่หระประมาณว่าผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ก่อนริชาร์ดจะมองหน้าคีธแล้วโพล่งขึ้นมาเสียงแข็ง
“นายก็อีกคน เลิกยุ่งกับเควินได้แล้ว ไอ้พวกตัวน่ารำคาญ!”
คีธดูเอ๋อรับประทานไปทันที มันก็คงจะงงนั่นแหละว่าแค่เข้ามาถาม ทำไมจะต้องหงุดหงิดขนาดนี้ พอมันหันมามองหน้าผม ผมก็ว่าเรียบๆ
“ไปถามบรูคลิน”
คีธพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปถามบรูคลินจริงๆ บรูคลินที่กำลังแต่งหน้าให้กับนักแสดงคนหนึ่งอยู่หันมามองผม แล้วก็อธิบายให้คีธฟัง คีธพยักหน้าแล้วกลับมาบอกผมสั้นๆ
“โอเคกวินทร์ ไม่มีปัญหา” แล้วมันก็เดินหายหัวไปอีกทาง
นะ...นี่มึงไม่คิดจะทำเหมือนไอ้แอสตันหน่อยเหรอ มึงนี่ยอมรับข้อเสนอง่ายไปมั้ยเนี่ย! เมื่อวานมึงกับกูเพิ่งจะ... ฮึ่ย!
ผมถอนลมหายใจเต็มแรง มองหน้าริชาร์ดอย่างหงุดหงิดไม่มีสาเหตุ แต่ก็ว่าอะไรมันไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันได้หาว่าผมอยากจะโดนมนุษย์ต่างดาวผสมพันธุ์แน่
เอาเถอะ คิดว่าเป็นเรื่องดีแล้วกันที่คีธมันเลิกยุ่งกับผมง่ายๆ จะได้ตัดปัญหาเรื่องมันออกไปสักที
---------------------------------
รู้สึกว่าอัพถี่มาก 555 เล้าเป็ดนี่ยังคงเป็นมิติพิศวงของหนูแดงเหมือนเคยค่ะ มีความรู้สึกว่าอัพยากอ่ะ ฮาา แต่เห็นมีแม่ยกจากที่นี่ไปตามแฟนเพจอยู่เหมือนกัน ขอบคุณมากนะคะที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ตอนใหม่มาวันพรุ่งนี้น้า ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: Nam-Ing ที่ 26-12-2015 19:32:00
บรรดาเมียหึง อุคิ น่าสงสารแอสตัน :hao3:

 แต่ก็หมั้นไส้พวกไบโทปอ้ะ  :m16: :z6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 26-12-2015 20:29:31
เมียน้อยมาหาเมียหลวงถึงที่เลยฮ่ะ55
ง้อสิท่านง้อสิ แอสตัน คีธ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 26-12-2015 21:44:17
พวกต่างดาวมีแต่พวก คิดเองไม่เป็นสินะเหอะๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 26-12-2015 21:56:58
โอ้ย!!!! ค้างคาอ่ะ จะอ่านๆๆ *งอแงกับคนแต่ง :hao5:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 26-12-2015 22:13:20
อยากตบอิสองพี่น้องนั่นเหลือเกิน แต่ดูขนาดแล้วน่าจะโดนตบมากกว่า....
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 26-12-2015 22:16:53
อยากอ่านต่ออ่า รีบมาลงเลยน้า  :ling1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 26-12-2015 22:41:36
รออะ :katai1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 26-12-2015 22:50:13
อยากตบอิสองตัวนั่น
อร๊ากกกกกกก.!!!!
รอนะคนแต่ง
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 26-12-2015 23:42:48
ค้างงงงงง
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 27-12-2015 00:40:46
สนุกมากรอทุกวันเลยติดตามไม่ขาดไม่ยอมพลาดแน่
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 27-12-2015 13:13:19
เอาล่ะสิ องค์ลงด้วยกันทั้งคู่เลยจ้า สองสามีจะทำเยี่ยงไรเมื่อภรรเมียเป็นเยี่ยงนี้  :m29:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 27-12-2015 14:43:41
แหม องค์ชายต้องชัดเจนนะเจ้าคะ ทรงต้องการสิ่งใดระหว่างต้อยเด็กและโคเเก่(ไม่ได้ด่านะริชาร์ด แค่เปรียบเทียบ ฮ่าๆๆๆ :hao7: )

ส่วนนุงคีธ...นี่ก็ง่ายเกิ๊นนน!!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 27-12-2015 21:55:34
หน้าเมากัญชา? มันเป็นแบบไหนอ่าา :katai5:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-12-2015 22:20:55
Episode 18: Time for breeding[1]
ริชาร์ดไม่ยุ่งกับแอสตันจริงๆ อย่างที่ปากว่า ไม่ใช่แค่ริชาร์ด แอสตันก็เช่นกัน แถมมันยังไปสนิทสนมกับเบนออกนอกหน้านอกตา อย่าถามผมนะว่าเวลาริชาร์ดเห็นสองคนนั้นมันกระหนุงกระหนิงกัน มันทำหน้ายังไง
มันก็ต้องทำหน้าเมากัญชาอยู่แล้ว คนอย่างมันจะทำหน้ายังไงได้ ก็มันเป็นไอ้เจ๊กเมากัญชานี่หว่า
ความจริงแล้วแอสตันกับเบนก็ไม่ได้กระหนุงกระหนิงอะไรกันอย่างที่ผมพูดหรอก มันสองคนแค่เข้าหากันตอนที่แอสตันต้องการจะกินสารอาหารเท่านั้น แต่การดูดสารอาหารในห้องน้ำที่ริชาร์ดกับผมดันบังเอิญเข้าไปเห็นพอดีก็ทำให้บรรยากาศมาคุบังเกิดขึ้นได้เหมือนกัน มันเมินแอสตันหนักกว่าเดิม ขณะที่แอสตันเองก็ทำเป็นเฉย
ผัวเมียละเหี่ยใจชัดๆ
ผมไม่อยากจะสนใจมันมาก แล้วก็ไม่อยากจะเข้าไปถามหรือคะยั้นคะยอให้มันสองคนไปคืนดีกันด้วยเพราะมันไม่ใช่สไตล์ผม ที่สำคัญ ถ้ามันกลับมาคืนดีกันก็หมายความว่าคีธมันก็ต้องกลับมารังควาญเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมอีกแน่ ผมจึงได้แต่ปล่อยให้ริชาร์ดหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่อย่างนั้น
กระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินเรียกพวกเราไปประชุมก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านเล็กน้อยด้วยพรุ่งนี้พวกเราต้องออกไปถ่ายทำกันนอกสถานที่ สถานที่ที่ว่าก็คือป่าแห่งชาติแองเจลิส (Angeles National Forest) ด้วยผู้กำกับวิลล์ต้องการใช้ฉากป่าที่สมจริง เราเลยไม่ถ่ายทำกันในสตูดิโออย่างเคย ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกที่ต้องออกไปถ่ายทำนอกสถานที่ ดีซะอีก จะได้ถือโอกาสไปเที่ยวซะเลย ทำงานอยู่แต่ในสตูดิโอมันอุดอู้น่าเบื่อจะตาย จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ทำหน้าเหม็นเบื่อประหนึ่งท้องผูกไม่หยุดหลังจากรู้ว่าผู้กำกับวิลล์เปลี่ยนแผนการถ่ายทำนิดหน่อยจากตอนแรกที่บอกว่าจะใช้เวลาเพียงสามวันกลายมาเป็นหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เพราะนั่นหมายถึงมันจะต้องใช้ชีวิตอยู่กลางป่ากลางเขาร่วมกับแอสตันโดยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้โดยปริยาย
ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่าหนีหน้าแอสตันมันไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหามันจะบังเกิดก็ตอนที่ไอ้เด็กเบนมันไปด้วยนี่แหละ
โชคดีที่เบนไม่ได้ไปด้วยเพราะหมอนั่นติดเรียน ทว่าถึงจะไม่ได้ไปด้วย แต่มันก็ฝากความเจ็บช้ำน้ำใจให้ริชาร์ดเอาไว้ตอนที่พวกเรามารวมตัวกันหน้าสตูดิโอในช่วงเช้ามืดเพื่อขึ้นรถบัสของกองถ่ายมุ่งหน้าไปยังที่หมายนี่แหละ
“ขอกินสารอาหารหน่อยนะเบน”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
แล้วแอสตันกับเบนก็ยืนจูบกันไม่แคร์สายตาใครอยู่ใกล้ๆ กับทางขึ้นรถ ผมที่เดินลากกระเป๋ามาถึงกับชะงัก ริชาร์ดที่เดินตามผมมาเห็นโมเม้นต์นั้นพอดี ไม่ต้องถามเลยว่ามันทำยังไง
จะทำยังไงล่ะ มันก็ควักเอาบุหรี่ยัดไส้กัญชาขึ้นมาสูบน่ะสิ
“เดี๋ยวฉันขอตัวแป๊บนึงนะ ฝากเอากระเป๋าไปเก็บหน่อย” มันว่าแล้วโยนเป้ใบเขื่องใส่ผม
ผมไม่ทันจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ริชาร์ดก็เดินไปยังท้ายรถ ยืนพ่นควันบุหรี่ปุ๋ยๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดซะแล้ว ผมถอนหายใจ มองมันแล้วก็แอบสงสารนิดๆ ดูท่าทางมันคงจะชอบแอสตันนะผมว่า แต่มันทำเป็นปากแข็ง ไม่ยอมพูดว่าตัวเองรู้สึกยังไง
เหอะ เป็นเกย์ก็ไม่ยอมรับแต่ทำมาเป็นยัดเยียดความเป็นเกย์ให้กู
ผมกล้าว่ามันได้เต็มปากเพราะความรู้สึกหวั่นไหวที่ผมมีต่อคีธมันยังไม่ชัดเจนเท่านี้ แล้วผมก็ไม่อยากให้มันชัดเจนด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงจะทำใจลำบากน่าดูที่จู่ๆ รสนิยมทางเพศก็เปลี่ยนจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชายโดยไม่ได้ตั้งตัวน่ะ
“ดูแลพระองค์ดีๆ นะพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ผมละความสนใจจากริชาร์ดเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้นใกล้ๆ พอหันไปก็เห็นว่าเป็นเบนที่พูดขึ้นกับแอสตันหลังจากที่ทั้งสองถอนริมฝีปากออกจากกัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงน่าเบนลิโอ นายนี่เหมือนพี่ชายไม่มีผิด ขี้กังวลไปทุกเรื่อง”
“ก็หม่อมฉันเป็นโฮสต์ของพระองค์” เบนว่าพลางก้มหน้างุด ถ้าผมมองไม่ผิด เหมือนมันจะทำหน้าแดงๆ ด้วย
มนุษย์ต่างดาวพวกนี้นี่มันเป็นเกย์กันทุกตัวเลยหรือไงวะ
“น่ารักจังนะเบนลิโอ” แล้วแอสตันก็ยิ้มกว้าง วางมือลงบนเส้นผมสีบลอนด์สว่างเสียยุ่ง
“งั้นหม่อมฉันขอตัวไปเรียนก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างนี้องค์ชายอาจจะต้องพึ่งพาพี่ชายหม่อมฉันในการเสวยสารอาหารก่อน มะรืนนี้หม่อมฉันจะไปหาพระองค์ที่นั่นอีกที” เบนว่าส่งท้ายให้แอสตันพยักหน้า
“เรารู้แล้ว ไม่ต้องห่วง”
สิ้นเสียง เบนก็โบกมือลาแอสตันไป ผมย่นคิ้วมอง ดูยังไงท่าทางนั้นก็เหมือนคู่รักเพศเดียวกันวัยไฮสกูลไม่มีผิด หน้าตาของสองคนนั้นจัดได้ว่าเป็นนักแสดงวัยรุ่นได้ง่ายๆ เลย ถึงจะไม่ได้เป็นนักแสดงแต่ถ้าเป็นแฟนกันขึ้นมาจริงๆ ก็เรียกได้ว่าเหมาะสมกันมาก เทพบุตรกับเทวดาตัวน้อยชัดๆ
แต่เอ... ถ้าแอสตันกับเบนเปรียบเสมือนเทพบุตรกับเทวดาตัวน้อย งั้นแอสตันกับริชาร์ดก็คงจะเปรียบเสมือน...
คิดแล้วผมก็เบือนสายตาจากแอสตันที่ขึ้นรถไปแล้วมามองยังริชาร์ดที่เพิ่งดูดบุหรี่เสร็จแล้วเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในสภาพตาเยิ้มเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าอย่างระอา
มึงนี่มันเห็บหมาชัดๆ ไอ้ริชาร์ด ถ้าอยู่กับแอสตันก็เทพบุตรกับเห็บหมาอ่ะ กูพูดเลย คนบ้าอะไรแม่งทำหน้าเมายาได้เกือบทุกวัน เทียบกับเบนแล้ว มึงนี่หาความน่ารักน่าชังไม่เจอเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
“มันไปแล้วใช่มั้ย” ริชาร์ดโพล่งขึ้นเรียกความสนใจผมไป ผมเข้าใจว่ามันคงจะหมายถึงเบนเลยพยักหน้า
“แล้วไอ้เวรนั่นล่ะ” อันนี้มันคงจะหมายถึงแอสตัน
“ขึ้นรถไปแล้ว”
ริชาร์ดพยักหน้ารับเนือยๆ แล้วก็พุ่งขึ้นรถไปบ้าง ผมตามมันขึ้นไป พอโยนสัมภาระเข้าช่องเก็บของได้ ผมก็ตรงมานั่งคู่กับมันที่กำลังเท้าคางเบือนหน้ามองออกไปยังนอกหน้าต่างรถ ผมหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันดันเลือกที่นั่งเป็นที่หลังสุดเพราะมันอยู่ติดกับห้องน้ำ และเป็นจุดที่โยกคลอนที่สุดตอนรถวิ่ง แต่ก็พอจะเข้าใจมันอยู่ว่ามันคงจะไม่อยากอยู่ใกล้ๆ แอสตัน เพราะไอ้เจ้าชายนั่นดันนั่งอยู่ซะหน้ารถ แล้วที่ว่างที่สามารถนั่งคู่กันได้ก็ดันเป็นเบาะข้างหลังแอสตันพอดี ริชาร์ดก็เลยเลือกที่จะมานั่งตรงนี้แทน
“ถ้าจะมองหน้ากันไม่ติดขนาดนี้ ฆ่ามันทิ้งเลยมั้ยล่ะ” ผมแกล้งแซวด้วยไม่อยากเห็นริชาร์ดทำหน้าเหม็นเบื่อตลอดเวลา ทว่าเพราะผมพูดอย่างนั้น มันเลยทำหน้าเหม็นเบื่อเข้าไปใหญ่
“ไม่ตลกเลยเควิน”
“แล้วใครบอกว่าฉันจะพูดให้นายตลก นี่พูดจริง ฆ่าไอ้แอสตันไปเลยจะได้จบๆ”
“เลิกเล่นเลย แล้วก็เลิกพูดถึงมันด้วย ไม่อยากฟัง” ริชาร์ดว่าสั้นๆ แล้วก็หันหน้าหนีไปอีก
เห็นท่าทางอย่างนั้นแล้ว ผมก็รู้เลยว่ามันคงจะบิวท์ไม่ขึ้นเลยได้แต่ยักไหล่แล้วเมินมันแทน ทว่าในตอนนี้นี่แหละที่ผมสังเกตเห็นว่าบนรถมีเพียงแอสตันคนเดียว ผมสอดส่ายสายตามองหาไอ้หน้าตายนั่นทันใด ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับคีธที่เดินขึ้นรถมาพอดี หมอนั่นเดินไปทักแอสตันเล็กน้อย หากแต่ไม่ยอมนั่งคู่ด้วย เดินมานั่งเบาะด้านหลังแอสตันแทน
ผมย่นคิ้ว ความสงสัยเข้าครอบงำด้วยอยากรู้ว่าทำไมมันไม่นั่งคู่กัน หากแต่อึดใจเดียว ความสงสัยของผมก็ถูกคลายเมื่อเห็นบรูคลินขึ้นมาบนรถและเดินเข้าไปนั่งข้างๆ คีธ ก่อนที่มันสองคนจะหันหน้าเข้าหากันแล้วเริ่มปฏิบัติการกินสารอาหารต่อหน้าทุกคนบนรถโดยไม่แคร์สายตาใคร
ผมชาวาบไปทั้งร่างเมื่อเห็นคีธยกมือประคองใบหน้าได้รูปนั่นเพื่อจรดริมฝีปากลงไป ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระทึกจนแทบจะระเบิดออกมา ความคับแน่นในอกมันทำให้ผมร้อนวูบไปทั้งร่างจนต้องเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น
พะ...พวกมึงจะดูดปากกันให้เสร็จก่อนขึ้นรถเหมือนคู่ไอ้แอสตันไม่ได้หรือไงวะ
ริชาร์ดที่เสมองไปนอกหน้าต่างในตอนแรกก็หันมาเห็นภาพนั้นพอดีเหมือนกัน มันถึงกับส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอ เหล่มองผมอย่างผู้มีชัยทันที
“ฆ่ามันทิ้งซะเลยมั้ยล่ะ หยามหน้ากันขนาดนี้”
ฆ่ามึงนี่แหละ! ไม่ต้องมาย้อนกูคืนเลยไอ้เพื่อนเวร!
ผมส่งสายตาเขียวๆ ให้มันพร้อมกับต่อยเข้าที่แขนไปทีแล้วไม่พูดอะไรอีกเลยกระทั่งทีมงานทุกคนขึ้นมาบนรถเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังที่หมาย
 
บอกเลยว่าตลอดทางที่นั่งรถมายังสถานที่ถ่ายทำ ผมนั่งไม่เป็นสุขเลยเพราะสายตาเห็นคู่ผัวตัวเมียคู่นั้นอยู่ในสายตาตลอด ไม่ว่าจะเบือนหนีไปทางไหน ผมก็อดเผลอมองไปยังพวกมันไม่ได้เสียทุกครั้ง น่าเจ็บใจกว่านั้นก็คือคีธมันก็รู้ด้วยนะว่าถูกผมมอง มันแค่หันมามองผมนิ่งๆ แล้วก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สิ... มันทำราวกับว่าผมเป็นอากาศธาตุมากกว่า
เออ! ใช่ซี่! มึงมีโฮสต์คนใหม่แล้วนี่! แม่ง ทำไมผมต้องหงุดหงิดขนาดนี้ด้วยวะ!
“เดี๋ยววันนี้เราจะเตรียมสถานที่กันก่อน ฉันให้ทีมงานที่มาก่อนเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ดีนัก ใครที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไปพักผ่อน ส่วนคนที่รับหน้าที่นี้ก็มาประชุมกัน เดี๋ยวฉันจะแจงรายละเอียดของฉากที่จะถ่ายทำวันพรุ่งนี้ให้ฟัง” ผู้กำกับวิลล์ว่าขึ้นหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของในเต็นท์ที่กางเตรียมเอาไว้
ผมเป็นคนจัดคิวนักแสดงและสตั๊นแมน ส่วนริชาร์ดเป็นผู้ประสานงานฝ่ายเอฟเฟ็กต์ระเบิด แน่นอนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเต็มเปาทั้งคู่เลยต้องเข้าร่วมประชุมอย่างไม่มีทางเลือก การประชุมก็ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากเพราะทุกอย่างถูกจัดเตรียมเกือบเสร็จสิ้นหมดแล้ว จะมีก็แต่ผมกับริชาร์ดจะต้องไปสำรวจสถานที่ก่อนล่วงหน้าเพื่อจะได้รู้จุดที่จะใช้ถ่ายทำ
“เดี๋ยวแยกย้ายกันไปดูนะ เสร็จแล้วมาบรีฟงานกันอีกทีแล้วค่อยไปพักผ่อน” ผู้กำกับวิลล์ว่าอีกครั้ง
ผมกับริชาร์ดและทีมงานคนอื่นๆ รับคำสั่งแล้วก็ไปดูสถานที่อย่างที่ว่า สถานที่ใช้ถ่ายทำก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นป่า รอบข้างจึงรายล้อมไปด้วยต้นไม้หนาทึบทั้งน้อยใหญ่ ใกล้กันมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน ผมเห็นแล้วก็อยากจะกระโดดลงเล่นสักทีถ้าไม่ติดว่าต้องทำงานงกๆ อยู่อย่างนี้ กระทั่งความสนใจในการอยากกระโดดลงเล่นน้ำแบบเด็กๆ ของผมถูกทำลายไปเมื่อได้ยินเสียงผู้กำกับวิลล์ดังขึ้น
“พวกนายเห็นเนินเขาตรงนั้นมั้ย มันเป็นหน้าผาเตี้ยๆ ฉันอยากได้ฉากลูกสมุนตัวร้ายกับพระเอกปีนหน้าผาต่อสู้กันน่ะ ฉันว่ามันต้องเป็นฉากที่ดีมากแน่ๆ”
ผมถึงกับย่นหน้ากับไอเดียที่พุ่งขึ้นมาฉับพลันของผู้กำกับวิลล์พลางมองไปยังเนินเขาลูกนั้น จากสายตาผม ผมว่ามันจะเรียกว่าเนินเขาก็ไม่ได้ เรียกมันว่าเนินดินเถอะเพราะมันไม่ได้สูงอะไรมาก เพียงแต่ตรงช่วงหน้าผามันอยู่ติดกับแม่น้ำก็เท่านั้น
“ทำไมนายถึงไม่ถ่ายทำในสตูดิโอล่ะฉากอันตรายแบบนี้” สิ้นเสียงของผู้กำกับวิลล์ ด็อกเตอร์มาร์ตินก็ว่าขึ้น
ผมลอบพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอาจารย์ทันที ขณะที่ผู้กำกับวิลล์ทำหน้าเบ้
“เอาแต่พึ่งซีจีอย่างเดียว มันก็ไม่เรียกว่าหนังฮอลลีวูดสิ ถ้าเราถ่ายฉากนี้ได้ เราก็เอาไปพีอาร์ได้ว่าเป็นฉากที่นักแสดงและสตั๊นแมนของเราเล่นจริงเจ็บจริง แบบนี้สิถึงจะน่าดึงดูดคนให้มาดู”
ผมเข้าใจจุดประสงค์ของเขานะเลยไม่ได้ทักท้วงอะไร ถึงจะทักท้วงไปก็เท่านั้นแหละ เขาฟังซะที่ไหน แม้แต่ด็อกเตอร์มาร์ตินยังปรามไม่ได้เลย
“งั้นก็แล้วแต่นายละกัน” ด็อกเตอร์มาร์ตินเออออไปตามเรื่อง เท่านั้นผู้กำกับวิลล์ก็ร้องสั่งขึ้นทันที
“ใครก็ได้ไปตามสตั๊นแมนที่รับบทเป็นลูกสมุนตัวร้ายมาหน่อยซิ เดี๋ยวจะให้มาลองปีน”
ที่ไม่เรียกซีเลนก็เพราะหมอนั่นจะตามมาที่นี่ในวันรุ่งขึ้น ส่วนผมก็ทำเป็นยืนนิ่งไม่หือไม่อือ ริชาร์ดชำเลืองมองผมเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้ผมได้ส่ายหน้าพลัน
“ไม่ต้องมาให้ฉันไปตามมันเลย อยากตามก็ไปตามเองโน่น” ผมว่าเสียงเขียวกับริชาร์ด ริชาร์ดเลิกคิ้วขึ้นพลัน
“ผัวนายไม่ใช่เหรอ”
“อย่ากวนริชาร์ด ไม่ใช่ผัว”
“อ๋อ ลืมไป ตอนนี้ไม่ใช่ผัวแล้ว ต้องเรียกว่าผัวเก่า”
มึงมันกวนตีนไอ้ริชาร์ด! กูไม่เคยเป็นผัวเป็นเมียกับมันเหมือนมึงเว้ย!
ผมทำเฉยๆ รอให้มีใครสักคนไปตามคีธ ทว่าก็ไม่มีใครเสนอหน้าไป แถมด็อกเตอร์มาร์ตินก็ยังหันมามองผมอีก
“เพื่อนนายจากนิวยอร์กไม่ใช่เหรอเควิน ไปตามสิ”
ฉิบหาย! กูอุตส่าห์ทำเนียนอยู่เฉยๆ แล้วนะ!
“ไปตามมาเร็วๆ เข้า อย่าเสียเวลา จะได้พักกันซะที” ผู้กำกับวิลล์ว่าสำทับ ผมเลยไม่มีทางเลือก ต้องบากหน้าไปตามมันจนได้
ริชาร์ดทำหน้าสะใจ ก่อนจะกระซิบบอกผมให้ผมได้ง้างหมัดใส่มัน
“ระวังเมียใหม่มันหึงด้วย”
มึงนี่มัน! ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาด่ามึงเลยจริงๆ บอกว่าไม่เคยเป็นอะไรกับมัน ฟังไม่รู้เรื่องหรือยังไงวะ!
 
ผมเดินบ่นอุบอิบมาตลอดทางจนกระทั่งถึงหน้าเต็นท์ของคีธกับแอสตัน ที่ผมรู้ว่าเป็นเต็นม์ของพวกมันก็เพราะมันอยู่ในโซนของพวกสตั๊นแมน แอสตันที่นั่งอยู่ข้างหน้าเต็นท์ ในมือประคองแก้วกาแฟอุ่นๆ ไว้อยู่หันมายิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนร้องทัก
“กวินทร์ ดื่มกาแฟมั้ย”
ผมส่ายหน้า ไม่สนใจว่าทำไมมันถึงดื่มกาแฟได้แต่อย่างใดเพราะรู้อยู่แล้วว่าพวกมันก็กินอาหารของมนุษย์โลกได้แต่ไม่กิน ก่อนจะรีบเข้าเรื่อง
“คีธล่ะ”
“อยู่ในเต็นท์น่ะ” แอสตันพยักปลายคางไปยังเต็นท์
ผมเกือบจะตรงไปเปิดเต็นท์อยู่แล้วถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงของแอสตันไล่ตามหลังมาอีกประโยคเสียก่อน
“อยู่กับบูลิโอ ลองเรียกดูสิ”
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงพลัน นี่พวกมึงนัวเนียกันบนรถต่อหน้าทุกคนยังไม่พอ ยังจะมานัวเนียกันในเต็นท์อีกหรือไงวะ! ทำอะไรเกรงใจเจ้าป่าเจ้าเขาหน่อยเว้ย! ที่สำคัญ... เกรงใจกูด้วย! กูมาตามมึงไปทำงานอยู่เนี่ย!
ผมโมโหขึ้นมาฉับพลัน ใจอยากจะตรงไปถอนเต็นท์ออกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ใจฝ่อ ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้เต็นท์เสียอย่างนั้น เดินกลับมายังแอสตันแล้วบอกมันเสียงเบาแทน
“เรียกให้หน่อย”
“ทำไมไม่เรียกเองล่ะ” แอสตันทำหน้าสงสัย ผมไม่อยากบอกเลยว่ากลัวจะเปิดไปแล้วจะได้เห็นภาพบาดตาเลยได้แต่ยืนยันคำพูดไป
“เรียกให้หน่อยเถอะน่า ฉันรีบนะ ผู้กำกับวิลล์สั่งให้มาตามตัวคีธ”
แอสตันไม่ถามอะไรต่อ พยักหน้าแล้วเดินไปเปิดเต็นท์พร้อมส่งเสียงเรียก
“คีทาเย กวินทร์มาหา”
สิ้นเสียง คีธก็โผล่หน้าออกมามองแอสตันก่อนมองเลยมายังผม แล้วพาตัวเองออกมาด้านนอก ผมจะไม่อะไรเลยถ้าหากว่ามันไม่โผล่ออกมาจากเต็นท์ในสภาพสวมกางเกงยีนส์เพียงตัวเดียว เสื้อท่อนบนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ใจผมเต้นตึกตัก ไม่ได้ตึกตักเพราะเห็นกล้ามเนื้อเป็นลอนสวยนั่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะพอมันออกมา ก็มีไอ้บรูคลินตามออกมาด้วยใบหน้าแดงเรื่อต่างหาก
พะ...พวกมึง! พวกมึงเข้าไปทำอะไรกันในเต็นท์ บอกกูที กูอยากรู้!
แต่อยากรู้ไปก็เท่านั้นแหละ ผมไม่มีทางเอ่ยปากถามแน่ และบรูคลินก็ไม่อยู่ให้ผมถามด้วย เพราะพอมันเห็นหน้าผม มันก็ก้มหน้างุดแล้วรีบบอกลาคีธอย่างรวดเร็ว
“ไว้คุยกันใหม่นะครับ”
“อืม” คีธตอบรับปุ๊บ บรูคลินก็สาวเท้าออกไปอีกทางทันควัน
ผมมองตามมันแล้วโคตรอยากจะพุ่งไปกระโดดถีบมันทีเดียวสองขารวดเลย แต่ก็ถูกคีธดึงความสนใจไปก่อน
“มีอะไรเหรอกวินทร์”
“ผู้กำกับวิลล์ให้มาตามไปลองปีนผา” ผมว่าสั้นๆ
คีธพยักหน้ารับแล้วก็พยักหน้าอีกครั้งเป็นสัญญาณให้ผมเดินนำไป ตลอดทางที่เดินนำมา บรรยากาศรอบตัวโคตรจะน่าอึดอัดเลยเพราะผมไม่พูดกับมัน มันก็ไม่พูดกับผมแม้แต่คำเดียวเหมือนกัน ไม่แม้แต่จะเล่าด้วยว่ามันเข้าไปทำอะไรกับบรูคลินในเต็นท์ ทำให้ผมหัวเสียเข้าไปใหญ่ แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่คิดถึงภาพนั้นแม้ว่าภาพของคีธยามยืนคู่กับบรูคลินจะเหมือนกับเทพบุตรกับเทวดาตัวน้อยไม่ต่างจากยามแอสตันยืนคู่กับเบนก็ตาม และผมก็ไม่ยอมเป็นเห็บหมาเหมือนริชาร์ดแน่ เพราะผมน่ะหล่อ เสน่ห์แรง ไปที่ไหนก็เกี้ยวสาวได้ไม่เคยพลาด อย่างผมน่ะเรียกว่าเทพบุตรอีกคนได้สบายๆ เหมือนกัน
แต่ทำไมมันถึงได้หงุดหงิดจังวะ...
เดินมาได้ไม่นานนักก็ถึงยังที่หมาย ตอนนี้ผู้กำกับวิลล์พาทีมงานและเอาอุปกรณ์สำหรับปีนผามาที่หน้าผานั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอคีธมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง จับมันสวมอุปกรณ์ทันใด
“เดี๋ยวนายลองปีนลงไปหน่อยนะ ฉันจะลองให้ตากล้องถ่ายดูว่าจะได้ฉากอย่างที่ฉันต้องการมั้ย”
คีธพยักหน้ารับคำสั่งผู้กำกับวิลล์แล้วเดินตรงไปยังหน้าผา ผมมองหมอนั่นได้ครู่เดียวก็ต้องจดบันทึกลงกระดาษยิกๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าได้ฉากที่ผู้กำกับวิลล์ต้องการ ผมก็ต้องจัดคิวนักแสดงสำหรับฉากนี้เพิ่มเข้าไปด้วย ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังควานหาปากกาในกระเป๋ากางเกง กระดาษที่ถืออยู่ในมือก็ถูกลมพัดหลุดมือไปเสียก่อน ผมจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลยถ้ากระดาษแผ่นนั้นไม่ได้จดทุกสิ่งอย่างที่ผมต้องทำในวันพรุ่งนี้เอาไว้อย่างละเอียด แถมยังมีแผ่นเดียว ไม่มีก็อปปี้อีกด้วย พอเห็นมันปลิวไป ผมก็รีบพุ่งไปคว้าไว้พอดีก่อนที่มันจะปลิวตกหน้าผาไป
หากแต่ในจังหวะที่คว้ามันได้นั้น ขาผมดันสะดุดเข้าไปก้อนหินก้อนใหญ่เข้าอย่างจัง ทำให้ผมเซถลาไปข้างหน้าสุดแรง และเรียกว่าซวยได้เต็มปากเพราะมันไม่ได้ถลาไปแค่ข้างหน้าเพียงแค่ไม่กี่คืบ แต่ดันถลาไปซะเกือบจะตกเหว
ไม่เกือบสิไม่เกือบ... กูตกเลยเถอะ! ช่วยกูด้วย!
ผมใจหายวาบเมื่อรู้สึกถึงสายลมปะทะเข้ามาที่ร่างขณะที่ร่างตัวเองกำลังจะทิ้งดิ่งลงไปยังพื้นน้ำเบื้องล่าง เสียงคนร้องเรียกชื่อผมดังระงมขึ้นทันควัน ผมได้ยินเสียงริชาร์ดชัดเจนที่สุดก่อนที่เสียงนั้นจะไกลออกไปทันทีที่ผมร่วงลงมา
ผมหลับตาปี๋ ภาวนาในใจว่าขอให้อาการอย่าสาหัสมากเพราะรู้ตัวแน่ว่าจะต้องบาดเจ็บแน่ ทว่าในวินาทีที่ตัวเกือบจะถึงน้ำ ผมก็เห็นใบหน้าของคีธลอยเข้ามา พลันแขนข้างหนึ่งของผมก็ถูกคว้าไปเต็มแรง
“กวินทร์!”
ตูม!
เสียงคุ้นหูดังลอยเข้ามาตามด้วยเสียงวัตถุขนาดใหญ่กระแทกผิวน้ำ ผมสัมผัสได้ถึงสายน้ำเย็นยะเยือกที่ซึมผ่านเสื้อผ้าเข้ามาตั้งแต่ช่วงอกยันปลายเท้า ขณะที่แขนข้างหนึ่งยังคงถูกมือของใครบางคนดึงไว้อยู่อย่างนั้น ผมลืมตาขึ้น เงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนก็เห็นคีธที่มีสีหน้าตกใจคว้าข้อมือผมเอาไว้อยู่ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมเห็นหมอนั่นทำสีหน้าแตกตื่นแบบนี้ แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นก่อนมันจะกลายเป็นสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิม
“ตกใจหมด” คีธว่าเรียบๆ ขณะที่ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ตัวเองรอดตายแบบฉิวเฉียด
“พวกนายไม่เป็นไรนะ! เฮ้ย! ช่วยกันดึงสองคนนั้นขึ้นมาเร็ว!” เสียงของผู้กำกับวิลล์ที่อยู่ด้านบนดังขึ้นพร้อมกับความวุ่นวายที่ก่อเกิดในบัดดลเมื่อทีมงานพยายามจะดึงคีธขึ้นไปโดยการชักรอกเชือกที่ผูกติดอยู่กับเครื่องมือปีนผารอบเอวเขา
ทว่าแทนที่คีธจะปล่อยให้คนพวกนั้นพาตัวเองกับผมขึ้นไป มันดันใช้มือข้างที่จับเชือกอยู่มาจับที่เอวแล้วจัดการกระชากเข็มขัดที่รัดเอวอยู่ทิ้งทันควัน
ผมเบิกตาโพลง อ้าปากจะถามว่าทำอะไรของมัน แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะพอเข็มขัดนั่นหลุดออกไป ทั้งมันทั้งผมก็พุ่งลงน้ำเต็มแรง
มึงจะช่วยกูหรือมึงจะทำให้กูตายเร็วขึ้นเนี่ยไอ้เวรคีธ!
ผมรีบผุดหัวขึ้นจากน้ำ กอบอากาศเข้าปอดเต็มที่ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงมือใหญ่ที่เข้ามาประคองเอวผมไว้ให้ตัวอยู่เหนือน้ำ
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!” พอตั้งหลักได้ ผมก็แหวใส่มันทันที
“ดึงขึ้นไปอย่างนั้นมันช้า นายได้ไม่สบายก่อนพอดี” คีธในสภาพเปียกม่อล่อม่อแล่กไม่แม้แต่จะมองผมเลยขณะตอบ แล้วจัดการพยุงผมว่ายเข้าฝั่งที่อยู่ไม่ไกล
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า ‘มึงพากูจุ่มน้ำแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้กูไม่สบาย!’ แต่ก็ได้แค่คิดทำได้เพียงพยายามช่วบถีบตัวเองเข้าฝั่งเท่านั้น
ไม่นานนัก เราสองคนก็มาถึงริมตลิ่งโดยสวัสดิภาพ ริชาร์ดวิ่งหน้าตาตื่นมาหาผมทันใด
“ไม่เป็นไรนะเควิน”
“เออ สบาย ถ้าไม่โดนไอ้บ้านี่พาว่ายน้ำเล่นเนี่ย” ผมว่าพลางค้อนไปยังคีธที่กำลังเสยผมเปียกซ่กของตัวเองขึ้น
ผู้กำกับวิลล์และด็อกเตอร์มาร์ตินที่เห็นผมยังมีสภาพครบสามสิบสองประการอยู่พากันถอนหายใจอย่างโล่งอกทันใด แต่พวกเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ คงเพราะว่าผมอาจจะมีอวัยวะบางส่วนช้ำนั่นแหละ
“ไปโรงพยาบาลมั้ยเควิน”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมโอเค” ผมปฏิเสธเพราะรู้ตัวเองดีว่ายังปลอดภัย พวกเขาตื๊อผมอีกนิดหน่อย แต่พอผมปฏิเสธอีกก็ไม่ตอแย หันไปหาคีธที่กำลังจะเดินกลับไปยังเต็นท์ทันที
“งั้นเอาเป็นว่าฉากนี้ค่อยเตรียมตัวกันใหม่ครั้งหน้าแล้วกัน ขอบใจมากนะคีธที่ช่วยเควินไว้ ไม่งั้นล่ะก็เป็นเรื่องใหญ่แน่”
คีธพยักหน้ารับเนือยๆ ให้สองคนนั้นก่อนจะออกเดินไปอีก ผมที่รับผ้าเช็ดตัวมาจากทีมงานคนหนึ่งมองตามแผ่นหลังกว้างเล็กน้อย แล้วก็อดตงิดๆ ในใจไม่ได้ ก็ผมอยากจะขอบคุณหมอนั่นที่ช่วยผมน่ะ แต่ไม่กล้า ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี กระทั่งริชาร์ดที่ยืนมองอยู่สะกิด
“จะไปขอบคุณก็ไปเถอะ เรื่องนี้สมควรจะขอบคุณมัน” ไม่ว่าอย่างเดียว ยังผลักหลังผมออกไปข้างหน้าด้วย
ผมมองมันอย่างไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินตามหลังคีธไปแต่โดยดี เดินไปได้สักพักจนเกือบจะถึงเต็นท์ของหมอนั่น ผมก็ไม่ยอมเรียกมันด้วยเอาแต่ทำใจอยู่ จนคีธต้องหยุดเดินแล้วหันมามองผม
“มีอะไรเหรอกวินทร์ เดินตามมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
ผมชะงักที่จู่ๆ ก็ถูกจับได้ จริงๆ มันก็ควรจะจับได้อยู่หรอก เดินเหยียบใบไม้แห้งดังกรอบแกรบขนาดนั้น
“คือว่า...ฉันแค่อยากจะขอบใจนายที่ช่วยฉันเอาไว้” ในเมื่อหนีไม่ได้ ผมก็พูดออกไปแต่ไม่มองหน้ามัน
คีธเอียงคอเล็กน้อย พยักหน้ารับช้าๆ
“ไม่เป็นไร” แล้วมันก็เดินหนีไปอีก ทิ้งให้ผมอ้าปากค้างที่มันไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง
ผมเกือบจะร้องเรียกมันอีกครั้งแล้วถ้าหากว่าสายตาไม่เหลือบไปเห็นบรูคลินที่กลับมาที่เต็นท์รีบพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวและสีหน้าตื่นๆ เท่านั้นผมก็หยุดก้าวตาม หันหลังกลับแต่โดยดี
มึงนี่แม่ง... อย่างน้อยๆ ก็บอกกูหน่อยสิวะว่าช่วยเพราะเป็นห่วงกู เฉยชาเกินไปแล้ว!
 
เพราะการลงไปว่ายน้ำเล่นอย่างไม่ได้ตั้งใจอยู่นานสองนาน ประกอบกับสภาพภูมิอากาศกลางป่าตอนกลางคืนหนาวเย็นกว่าปกติ ทำให้ไข้หวัดเล่นงานผมเข้าอย่างจัง ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองไหว ทว่าในระหว่างประชุมงานรอบสุดท้ายก่อนเริ่มการถ่ายทำกันพรุ่งนี้ ผมก็ล้มฟุบไม่ได้สติลงไปโดยไม่รู้ตัว มีเพียงเสียงสุดท้ายของริชาร์ดที่ดังแว่วเข้ามาในหูว่าจะเป็นคนดูแลผมคืนนี้เอง แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้ทีมงานพาไปหาหมอถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น จากนั้นผมก็ถูกพามานอนยังเต็นท์พยาบาลซึ่งเป็นเต็นท์ใหญ่ที่สุดของบรรดาเต็นท์ที่มีทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้
ริชาร์ดมันเลยได้รับอานิสงค์ได้นอนในที่กว้างๆ แทนไปด้วย แน่นอนว่าผมนอนบนเตียงพยาบาลที่มีขนาดกว้างพอสมควร กว้างในที่นี้หมายถึงคนเอเชียตัวขนาดผมนอนได้สองคนน่ะ ถ้าเป็นชาวตะวันตกตัวใหญ่ๆ ก็น่าจะได้แค่คนเดียว ริชาร์ดมันนอนบนพื้นข้างเตียง ทว่าในขณะที่มันจัดที่หรับที่นอนสำหรับตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ เต็นท์ประตูเต็นท์ก็ถูกเขย่าด้วยฝีมือของใครบางคนจนมันต้องก่นด่าอุบเป็นภาษาจีนเล็กน้อยแล้วไปเปิดให้ พอเปิดมาแล้วเห็นว่าเป็นฝีมือของคีธกับแอสตัน มันก็ด่าเป็นภาษาบ้านมันดังขึ้นไปอีก และดังกว่าเดิมอีกเมื่อจู่ๆ มันก็ถูกแอสตันลากออกไปข้างนอก
ผมอยากจะผงกหัวดูมันฉิบเป๋งแต่ความหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามายังร่างทำให้ผมขยับไม่ได้ดั่งใจนัก ทำได้เพียงกลอกตาไปมา แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อสังเกตเห็นว่าในตอนนี้มีเพียงผมกับคีธเท่านั้นที่อยู่ในเต็นท์ ที่สำคัญ ไอ้บ้าคีธมันไม่ใส่เสื้อผ้า นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่ช่วงล่างเท่านั้น
“สะ...เสื้อผ้านายไปไหน” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
มันเหลือบมองผมนิดหนึ่งแล้วว่าเสียงเรียบ “ไม่มี”
“หมายความว่าไงว่าไม่มี”
“ไม่ได้เอามา”
อย่าบอกกูนะว่ามึงมาถ่ายหนังเป็นอาทิตย์ๆ แต่เอาเสื้อผ้ามาชุดเดียวน่ะ!
ดูท่าทางจะเป็นอย่างที่ผมคิดเสียด้วย เพราะไม่ทันจะถาม มันก็พูดขึ้น
“ฉันรอเสื้อผ้าแห้งอยู่”
มึงคิดจะซักแห้งตัวเองตลอดอาทิตย์ล่ะสินะ
ผมอยากจะด่ามันเรื่องความซกมกเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีแรง ได้แต่หลับตานิ่งเพราะยาที่กินเข้าไปก่อนหน้าเริ่มออกฤทธิ์จนความง่วงงันเข้าเล่นงานผมแล้ว หากแต่ผมยังไม่ทันจะได้หลับ ผมก็ได้ยินเสียงของแอสตันกับริชาร์ดดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าสองคนนั้นกลับมาแล้ว และแทนที่ทุกอย่างจะจบลงโดยการที่แอสตันกับคีธกลับไปนอนที่เต็นท์ตัวเอง กลายเป็นว่าผมได้ยินแอสตันพูดกับริชาร์ดขึ้นมา
“คืนนี้เราจะนอนที่นี่”
“นอนบ้าบอคอแตกอะไร กลับไปนอนที่เต็นท์ของนายเลย!”
“ไม่ เราจะนอนกับนาย ริชาร์ด”
“มะ...ไม่...”
“อย่าปฏิเสธเราริชาร์ด เราเหนื่อยที่จะทำเฉยเมยกับนายอีกแล้ว”
มึงโดนผัวง้อไอ้ริชาร์ด!
ผมอยากจะลุกขึ้นไปหัวเราะใส่หน้ามันนัก แต่ไฟฉายที่ดับสนิทลงพร้อมกับเสียงที่เงียบไปก็ทำให้ผมง่วงงุนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความรู้สึกเดียวที่ผมสัมผัสได้ก็คือน้ำหนักของบางสิ่งที่กดทับลงมายังข้างเตียง แต่ผมก็ไม่มีสติสัมปชัญญะมากพอที่จะสนใจอะไรอีกแล้ว ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย


 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.17]--26/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-12-2015 22:22:26
Episode 18: Time for breeding[2]
ไม่รู้ว่าผมหลับไปกี่ชั่วโมงแล้ว แต่ผมรู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงดังกุกกักมาจากข้างเตียงที่ดังเข้ามารบกวนโสตประสาทตลอดเวลา เสียงนั้นไม่ดังมากหรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำถ้าหากอยู่ในเขตเมือง ไม่ได้อยู่ในป่าที่เงียบสงัดอย่างนี้ และผมอาจจะไม่สนใจด้วยถ้าเสียงที่ได้ยินนั้นมันไม่ใช่เสียงหอบหนักๆ ของคนที่พยายามจะกลั้นหายใจไว้แต่เก็บไม่มิดอย่างนั้น สัญชาตญาณเสือป่าบอกผมทันทีว่ามันไม่ใช่เสียงหอบหายใจธรรมดา แต่เป็นเสียงหอบหายใจของคนที่กำลังเข้าร่วมสมรภูมิรักอย่างดุเดือดอยู่
เท่านั้นผมก็ใจเต้นระทึกทันควัน
นะ...หนังสด... มันต้องเป็นหนังสดแน่ๆ
แล้วก็ใจเต้นระทึกมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ที่ใจเต้นนี่ไม่ใช่เพราะว่าความกำหนัดในตัวมันพุ่งขึ้นสูงที่ได้ยินเสียงหนังสดหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมนึกขึ้นได้ว่าไอ้บริเวณจุดเกิดเสียงที่อยู่บนพื้นข้างเตียงนั้นมันเป็นที่นอนของแอสตันกับริชาร์ด
ระ...หรือว่าไอ้เจ้าชายกับริชาร์ดจะ...   
ผมไม่อยากจะคิดต่อไปในทางอกุศลอย่างนั้น แล้วก็ไม่อยากจะหันไปมองด้วย ทว่าร่างกายกลับไม่สัมพันธ์กับความคิดเลยแม้แต่น้อย สมองคิดปฏิเสธ แต่หน้านี่คือตะแคงหันข้างไปแล้วเรียบร้อย
ผมหรี่ตามองฝ่าความมืดไปยังเงาตะคุ่มด้านล่าง พลันร่างก็ชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อแสงไฟรางๆ จากภายนอกสาดเข้ามาพอให้เห็นเป็นรูปร่างว่าจุดกำเนิดเสียงมาจากคนสองคนที่กำลังประกบคู่กันอยู่ เงาดำของคนตัวใหญ่ด้านบน ผมจำได้ดีว่าเป็นเงาของแอสตัน ขณะที่ผมเห็นคนด้านล่างไม่ชัดนัก และผมก็ไม่อยากจะเห็นชัดด้วย ทว่าไอ้เจ้าของร่างด้านล่างที่พยายามกลั้นเสียงอยู่นานสองนานก็หลุดปากครางกระเส่าออกมาด้วยน้ำเสียงคุ้นหู
“อืม...อา...”
คะ...ใครวะ... ระ...หรือว่าจะเป็น...
“แอส...แอสตัน”
ตะ...ตันพร่อม! มึงมันไอ้ริชาร์ด! ชัดเลย! เสียงนี้ของมึงแน่!
ผมถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อจู่ๆ ก็ตื่นมาเห็นเพื่อนตัวเองถูกมนุษย์ต่างดาวกินหัวกินหาง กินกลางตลอดตัวไปทุกอณูรูขุมขนกลางดึก กลางดึกไม่พอ นี่แม่งเอาท์ดอร์ด้วย กลางป่านะเว้ย! กองถ่ายอีกต่างหาก! แถมนี่กูก็นอนป่วยอยู่นะ! กูป่วย! มึงก็ไปกินกันไกลๆ คนป่วยหน่อยไม่ได้หรือไงวะ!
จริงๆ ถ้าเห็นเพื่อนนัวเนียกับผู้หญิงแบบระยะเผาขนแบบนี้ ผมไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่นะ แต่เพราะเป็นผู้ชายด้วยกัน แถมอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ต่างดาวแบบนี้ ผมก็ทำอะไรไม่ถูก เข้าใจความรู้สึกของคนกลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึงทันที
ผมอยากจะตะคอกใส่มันสองคนว่า ‘พวกมึงเห็นกูเป็นหัวหลักหัวตอกันหรือไงวะ!’ ชะมัด หากแต่พอค่อยๆ พลิกตัวหันกลับมาอีกต่างเพื่อหนีภาพอุจาด ความวินาศก็บังเกิดเมื่อสายตาผมปะทะเข้ากับหน้าไอ้คีธที่นอนมองผมนิ่งๆ ผ่านความมืดในสภาพเปลือยเปล่าทั้งตัว ที่ผมรู้ว่ามันเปลือยเปล่าก็เพราะผมสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าขนหนูจากทางปลายเท้า ขณะที่ตอนนี้มันเอาตัวเองมาสอดใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับผม
มะ...มึงมานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้! กูไม่สวิงกิ้งนะเว้ย!
ผมเกือบจะผุดลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้ววิ่งหนีป่าราบแล้ว ทว่าเหมือนคีธจะรู้ว่าผมจะทำอะไร และถ้าผมลุก ก็หมายความว่าการรวมร่างของริชาร์ดกับแอสตันก็ต้องหยุดชะงักลงด้วย เท่านั้นมันก็เลื่อนมือมาคว้ามือผมใต้ผ้าห่มไว้มั่น ผมตัวแข็งเกร็งทันใด เสียวสันหลังวูบว่ามันจะเกิดคุ้มคลั่ง กินหัวกินหางผมขึ้นมาด้วยอีกคน
แต่ผิดคาดที่คีธไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่บีบมือผมเบาๆ ราวกับปลอบให้ผมอยู่นิ่งๆ แล้วเลื่อนมือจากมือผมมาเป็นโอบกอดเท่านั้น ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมถูกมันกอดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันในสภาพที่มันเปลือยเปล่า แถมมันก็ทำให้ผมต้องเกร็งตัวแข็งยิ่งกว่าเดิมเมื่อมันไม่ได้กอดอย่างเดียว แต่ดึงผมเข้าไปแนบกับลำตัวด้านหน้าเสียแนบแน่นอีกด้วย
ซะ...ซวยแล้ว มึงแนบเนื้อเกินไปแล้ว!
ความร้อนในกายผมหลั่งไหลท่วมทันใดพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง แย่ไปกว่านั้นคือพอคีธมันรู้ว่าผมตื่นเต้น มันก็แสร้งลูบฝ่ามือเข้ากับบั้นท้ายของผมไปมา แล้วสอดมือเข้าไปใต้เสื้อ ลูบแผ่นหลังไปเรื่อย ใบหน้าก็เลื่อนเข้ามาใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงปลายจมูกโด่งๆ ที่คลอเคลียใบหน้าผมไม่หยุด
ผมอยากจะร้องไห้ก็ในตอนนี้ ไอ้เวรริชาร์ดก็ครางฮือไม่หยุดแถมเริ่มดังขึ้นด้วย และเพราะอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ ร่างกายผมก็ดันตอบสนองกับการสัมผัสขึ้นมาเสียอย่างนั้นแม้ว่าสมองผมจะสั่งการให้ร่างกายหยุดก็ตาม
มึงตื่นขึ้นมาไม่รู้จังหวะเลยโว้ยไอ้กวินทร์น้อย!
ผมว่าคีธสัมผัสได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายช่วงล่างของผมเพราะเราแนบชิดกันขนาดนั้น หมอนั่นส่งเสียงหัวเราะในลำคอชนิดเบาจนแทบไม่ได้ยินแล้วกอดผมแน่น ผมอดทนกับสถานการณ์บ้าๆ อย่างนั้นอยู่นานกระทั่งเสียงของริชาร์ดดังถี่ขึ้นก่อนจะเงียบไป ตอนนี้แหละที่ผมหายใจโล่งขึ้นมาได้ พลันพยายามผลักคีธออกห่างเมื่อมั่นใจว่าแอสตันกับริชาร์ดเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
ทว่าคีธไม่ยอมปล่อยผม กระซิบคืนมาเบาๆ เท่านั้น
“ใจเย็นๆ กวินทร์ ร่างกายของนายยังไม่ปกติ”
ไม่ปกตินี่คือช่วงล่างของกูสินะ! อันนั้นกูรู้อยู่แล้วเว้ย!
“ปล่อย...” ผมว่าเสียงพร่า ผลักอกแกร่งออกห่าง แต่คีธก็ยังไม่ยอมปล่อยเหมือนเคย มิหนำซ้ำยังถือวิสาสะมางับปลายหูผมอีกด้วย
ผมเกร็งไปทั้งร่าง พยายามดิ้น แต่ก็ต้องหยุดใจเต้นรัวอีกครั้งเมื่อได้ยินมันพูดขึ้น
“นายต้องการฉัน”
“คะ...ใครบอก ฉันไม่ต้องการใครทั้งนั้นแหละ” ผมพูดด้วยเสียงลม ทำให้คีธหัวเราะในลำคอ
“ถ้าไม่ต้องการ นายคงจะไม่เป็นแบบนี้หรอก ร่างกายของนายมันฟ้อง”
“ไม่ได้ต้องการ...”
“ลองดูมั้ยล่ะว่าต้องการหรือไม่ต้องการ” มันว่าน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ พลางเลื่อนมือที่ลูบแผ่นหลังผมอยู่มายังด้านหน้าและเกือบจะโดนจุดอ่อนไหวของผม เท่านั้นผมก็สติหลุดทันที
“ไม่ได้ต้องการเว้ย!” ผมหลุดตะโกนลั่น ผุดลุกขึ้นนั่งทันที คีธยอมปล่อยผมโดยง่าย และเสียงของผมเมื่อครู่ก็ทำเอาริชาร์ดกับแอสตันที่กอดกันกลมในสภาพเปล่าเปลือยทั้งคู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ผมรีบคว้าไฟฉายมาเปิด ริชาร์ดดูตกใจประหนึ่งเห็นผีที่เห็นผมตื่นขึ้นมา ทำท่าจะอ้าปากอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างมันกับแอสตันคืออะไร แต่ผมไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว รีบทิ้งตัวลงจากเตียงแล้วผลุบออกมานอกเต็นท์ทันใดโดยมีคีธเดินตามหลังมาติดๆ
“จะตามมาทำไมเนี่ย ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วนะเว้ย!” ผมโวยวายที่เห็นมันเดินมาหน้าตาเฉย ดีนะที่มันยังมีกะจิตกะใจคว้าผ้าเช็ดตัวมานุ่ง ไม่อย่างนั้น ผมคงได้เห็นคีธน้อยโผล่หน้ามาทักทายด้วยแน่
“อยากเกี่ยวข้องมั้ยล่ะ” คีธมันก็หน้าด้าน ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดผมสักนิด ผมใจเต้นหนักกว่าเก่า มองหาทางหนีทีไล่ทันควัน
แต่ก็ถูกมันคว้าแขนไว้ได้แล้วลากไปที่เต็นท์เดิมของมันที่อยู่ในโซนสตั๊นแมนทันใด
“เต็นท์ยังว่าง ไม่ต้องกลัวมีใครเห็น”
มะ...มึงกลับมาหื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!
“ไม่เอาเว้ย! หยุดเลยไอ้คีธ! หยุด! จะทำอะไรก็ไปทำกับบรูคลินโน่น!” ผมขืนตัวสุดแรง
ชื่อของบรูคลินทำให้คีธชะงักงัน มองหน้าผมด้วยสายตานิ่งเรียบ หยุดดึงผมแล้วว่าขึ้นมา
“วันนี้บูลิโอมาคุยกับฉัน”
“แล้ว?”
“ขอผูกพัน บอกว่าจะตั้งท้องลูกของฉันและช่วยฉันขยายเผ่าพันธุ์ให้ วันนี้เบนลิโอก็มาบอกกับองค์ชายเหมือนกัน”
ผมใจหายวาบ ไอ้บรูคลินกับเบนนี่เห็นเงียบๆ ติ๋มๆ แบบนั้น พวกมึงนี่ร้ายใช่ย่อยเลยนะ! อยากตบกะโหลกมันนัก ทั้งพี่ทั้งน้องเลยให้ตาย!
“แล้วฉันต้องรู้มั้ย” ถึงผมจะหมั่นไส้สองพี่น้องนั้นขึ้นมาลางๆ แต่ผมก็แสร้งทำเฉยให้คีธได้พูด
“นายต้องรู้ เพราะคนที่ฉันอยากให้ท้องลูกของฉันไม่ใช่บูลิโอ แต่เป็นนาย... นายคนเดียวกวินทร์”
ผมเบิกตาโต มือไม้สั่นเทาขึ้นทันควัน เข้าใจได้ตอนนี้ว่าทำไมริชาร์ดกับแอสตันถึงได้เล่นหนังสดกลางแปลงอย่างนั้น ที่แท้ก็เพราะเหตุผลนี้นี่เอง
“ตะ...แต่ฉันไม่อยากท้องลูกของนาย ฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย ไม่ใช่ผู้หญิง ท้องไม่ได้”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับชาวยูนิกม่า” คีธว่าเนือยๆ ก่อนหูตาจะแพรวพราวขึ้นมา “อยู่ที่ว่านายจะยอมหรือเปล่าก็เท่านั้น”
คะ...ใครจะไปยอมมึงเล่า! ไม่เอาหรอกเว้ย กูอยากเป็นพ่อ ไม่อยากเป็นแม่!
แต่จะตอบรับหรือปฏิเสธ หนทางให้ผมเดินก็มีเพียงทางเดียวเพราะคีธมันออกแรงลากผมอีกครั้งไปแล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในเต็นท์กับมันแล้วเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่ผมจะเบิกตาโบกเมื่อมันจัดการดึงผ้าเช็ดตัวจากร่างตัวเองออก เข้ามาผลักผมให้นอนราบแล้วโถมตัวขึ้นคร่อมผมเอาไว้
“มาขยายพันธุ์กันกวินทร์”
ขยายป้ามึง! กูไม่เอาด้วยหรอกนะโว้ย!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 27-12-2015 22:41:35
อรั้ยยยยยยย ในที่สุดก็จะป่องแบ้วจินะคะ :hao6:

เอ หรือว่ายัง?

ป่องเตอะ พลีสสส :impress2:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 27-12-2015 22:41:45
มาแล้ววววววววววววววววววววววววววว  ^.^

สารภาพว่า รีเฟรชรอ - -"
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 27-12-2015 22:57:28
อยากจุดธูปอันเชิญ NC จัดเต็มตอนหน้าจริงๆ

เพี้ยงงงงงง ขอให้ได้ ขอให้โดน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-12-2015 23:03:29
กระซิบบอกเลยแล้วกันค่ะว่า NC จัดเต็มมาตอนที่ 21 นะคะ ตอนหน้านี่แค่ลูบๆคลำๆชวนสยิวกิ้ว อิอิ //โดนตบ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า4]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 27-12-2015 23:06:19
เดี๋ยววววว F5 รัววววๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: Candy CAT ที่ 27-12-2015 23:19:02
อัพแล้วววว เย้ บอกเลยว่ามารอทุกวันค่ะ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 27-12-2015 23:30:51
อัญเชินตอนนี้ได้ไหม.....
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 28-12-2015 01:08:23
แบบนี้เรียกว่าแรงแบบซื่อๆมั้ง  :m20:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: มะม่วงแรด ที่ 28-12-2015 08:06:32
โอมเพี้ยงงง ขอให้ได้ ขอให้โดน ป่องไปเล้ย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 28-12-2015 08:37:39
เอากันเลยๆๆๆ  :hao6: :hao6: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 28-12-2015 10:33:04
ริชาร์ด...นายเมากัญชาใช่ไหมถึงทำอะไรแบบนั้นน่ะ ฮ่าๆๆๆ

อ้ายยย จัดไปหนูคีธนุงกวินทร์จะได้เลิกฟุ้งซ่านสักที เอิ้กๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: Nam-Ing ที่ 28-12-2015 14:28:04
พี่น้องไบโทปนี่แรดเงียบจัง โอ้ยยยยยหมั่นไส้ๆๆๆๆ :m16:

รอncนะคะ>< :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 28-12-2015 16:07:03
ได้ลูกๆๆ :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 28-12-2015 17:07:46
เห้ยยยย ตัดฉับเลยอ่า กำลังลุ้นนนนน   :ling2:

รีบมาต่อนะค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 28-12-2015 18:13:56
จะบอกว่านิยายแปลกและแหวกมากแต่เราชอบนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-12-2015 20:31:15
Episode 19: Making a baby[1]
ผมตั้งท่าจะแหกปากร้องบอกให้คีธที่คร่อมร่างผมอยู่หยุดความคิดที่จะขยายพันธุ์บ้าๆ กับผมสุดเสียง ผมรู้ว่าการร้องบอกไปมันคือการเสียน้ำลายเปล่าเพราะหน้าด้านอย่างมัน ยังไงมันก็ไม่หยุด แต่ถึงจะไม่หยุด อย่างน้อยๆ เสียงผมก็ทำให้คนอื่นในกองถ่ายตื่นได้ และถ้าทุกคนตื่น นั่นก็หมายความว่าผมก็รอดจากความหื่นกามของไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ตรงหน้าได้เหมือนกัน
หากแต่ไม่ทันจะได้ตะโกน คีธก็เอามือมาปิดปากผมไว้แน่นเสียแล้ว ไม่ว่าผมจะพยายามส่งเสียงแค่ไหนก็มีเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้นที่เล็ดลอดออกมา และมันก็ไม่ใช่เสียงดังพอที่จะทำให้คนอื่นได้ยินด้วย เท่านั้นความหวังที่มีอยู่ริบหรี่อยู่แล้วก็ริบหรี่ลงกว่าเก่าทันตา
ไม่สิ เรียกว่าหายวับไปเลยดีกว่า นี่มึงจะขยายพันธุ์จริงๆ ใช่มั้ย!?
“เสียวดังหรือเสียวเบาก็ไม่ได้กวินทร์ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”
กูไม่ได้อยากจะเสียวกับมึงเลย! กูจะร้องให้คนช่วยต่างหากโว้ย!
ในเมื่อส่งเสียงร้องไม่ได้ ผมก็ใช้มือทั้งสองข้างระดมทุบมันให้มันลุกออกจากตัวผมไปแทน แน่นอนว่าผมขยับตัวไม่ได้เพราะถูกมันทับไว้อยู่ ทว่าการทุบก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกันเมื่อมันใช้มือข้างที่ยังว่างกระชากเสื้อผมออกจากตัว
ขอเน้นคำว่า กระ-ชาก! กระชากแบบฉีกแหวกขาดครึ่งกลางลำตัวเลย ถึงจะเป็นเสื้อยืด แต่เสื้อกูก็แบรนด์เนมนะเว้ย! มึงจะถนอมข้าวของหน่อยได้มั้ย!
ไม่เพียงแค่เสื้อ กางเกงก็ไม่เหลือ กางเกงในไม่ต้องพูดถึง ไอ้เวรคีธกระชากขาดหมดเกลี้ยง มึงนี่มันบ้าพลังจริงเลยเว้ย!
“ผูกพันกับฉัน ฉันจะดูแลนายไปชั่วชีวิต” ผมพรั่นพรึงมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคนี้ดังขึ้นข้างหูขณะที่ตัวเองอยู่ในสภาพเปล่าเปลือยไม่ต่างจากคีธ
ผมรีบส่ายหน้ายิกเพราะไม่ต้องการให้มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรไปตลอดชีวิตด้วยผมรู้มาจากอาแปะลีโอนาร์โดว่าถ้าชาวยูนิกม่าผูกพันกับใคร ชาวยูนิกม่าจะดูแลอีกฝ่ายไปชั่วชีวิต และผมก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้น ผมมองหน้าคีธผ่านความมืดอย่างหวาดหวั่น แสงไฟสลัวจากภายนอกที่ส่องเข้ามาทำให้ผมพอมองเห็นเล็กน้อยว่าบัดนี้คีธทำหน้ายังไง
มันจะทำหน้ายังไงล่ะ มันก็ทำหน้าตายแต่สายตานี่หื่นกระหายน่ะสิ! เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในอเมริกาได้โปรดช่วยลูกช้างด้วย!
สงสัยซูเปอร์เนเจอร์รัลของอเมริกาจะไม่ขลัง พออธิษฐานในใจเสร็จ คีธมันก็ซุกปลายจมูกโด่งลงมายังซอกคอผมทันใด ก่อนที่มันจะระดมจูบไปทั่ว ผมเกร็งสุดตัว พยายามผลักไสเมื่อเห็นว่ามันร่นต่ำไปยังยอดอกผมแล้วกลืนกินโดยไม่ถามความสมัครใจของผมสักคำ แถมครั้งนี้ยังต่างจากครั้งแรกและครั้งที่สองในห้องแต่งตัวที่มันเคยทำกับผมแบบนี้อีก ที่ต่างก็เรื่องของความรุนแรงหนักหน่วงนี่แหละ
ถึงจะรู้สึกดี ตะ...แต่ว่า...มึงจะหื่นไปไหนเนี่ยบักคีธ! ถามความสมัครใจกูมั่ง แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี่อะไรยังไง กูขอให้ช่วยให้รอดพ้นจากไอ้เวรคีธ ไม่ได้ขอให้มันลงมือเร็วขึ้น! ให้ตายเถอะ ได้ตกเป็นเมียมันจริงๆ แน่
พอคีธวุ่นวายกับยอดอกผมจนหนำใจ ก็เลื่อนใบหน้าขึ้นมาประทับจูบบนแก้มผมทั้งๆ ที่มือมันยังคงปิดปากผมอยู่อย่างนั้น ก่อนมันจะเลื่อนฝ่ามือข้างที่ลูบเค้นแผ่นอกผมไปมาลงต่ำไปจับโคนขาด้านใน สัมผัสอุ่นร้อนจากฝ่ามือทำเอาผมกระตุกวูบ แล้วก็กระตุกหนักมากขึ้นเมื่อมันเลื่อนไปอยู่ในจุดที่ไม่สมควร ความกำหนัดและไอร้อนระอุแล่นพล่านไปทั่วกายผมในตอนนี้ ผมรู้เลยว่าร่างกายไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว จากที่ขัดขืนๆ อยู่ในตอนแรก ผมก็ระทวยไปตามการลูบไล้จนได้กระทั่งเผลอครางฮืมออกมา
คีธกดฝ่ามือที่ปิดปากผมอยู่มากขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงให้ผมเบาเสียง ทว่ามืออีกข้างของมันกลับเร่งเร้าให้ผมต้องส่งเสียงดังกว่าเดิมเสียอย่างนั้น บอกตรงๆ ว่ามันโคตรจะเป็นช่วงเวลาที่ทรมานเลย
มะ...ไม่ไหวแล้ว...
คำนี้ดังขึ้นในหัวผมครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อถูกกระตุ้นอย่างหนักหน่วง ไม่นาน ผมก็แอ่นตัวเกร็งพร้อมกับความรู้สึกว่างเปล่าในหัว คีธละมือออกจากส่วนอ่อนไหวที่ค่อยๆ เอนอ่อนลง ก่อนคลายมือที่ปิดปากผมอยู่ออกเมื่อเห็นว่าผมที่กำลังหายใจหอบโยนอยู่หายใจไม่ถนัด
“ดีมั้ย” แล้วมันก็ถามเสียงพร่า
ผมรู้สึกตัวก็ในวินาทีนี้ว่าเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับมันอีกแล้ว ก่อนจะรีบผลักมันออก
“ยังมีหน้ามาถามอีก!” ว่าจบ ผมก็ผุดลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจจะรีบออกจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด
แต่คีธไม่ยอมให้ผมไป แค่เห็นผมดันตัวขึ้น มันก็กดผมลงมาอีกครั้งก่อนจะประกบปากจูบผมอย่างถือวิสาสะ
“มีลูกกันเถอะกวินทร์”
ผมใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มทันทีที่ได้ยินมันกระซิบบอก พลันความทรงจำเรื่องการขยายพันธุ์ของมนุษย์ต่างดาวประเภทเดียวกับคีธก็แล่นพล่านเข้ามาในหัว ถ้าผมจำไม่ผิดเหมือนคีธจะเคยบอกว่าการสืบพันธุ์ของชาวยูนิกม่าทำได้โดยการวางไข่ ซึ่งการวางไข่น่ะมันมีสองแบบ แบบแรกก็อย่างที่รู้กันว่าเป็นการวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ ส่วนแบบที่สองเป็นการวางไข่เพื่อสร้างทายาทที่ไข่จะต้องผ่านการปฏิสนธิกับน้ำเชื้อ
ผ่านการปฏิสนธิกับน้ำเชื้อ... เดี๋ยวนะ มันจะผ่านยังไงวะก็ในเมื่อมันวางไข่ผ่านทางปาก ส่วนน้ำเชื้อก็ไม่ได้สังเคราะห์ออกมาจากทางปาก แต่เป็นทาง... ยะ...อย่าบอกนะว่าพอผูกพันกับมันเสร็จ มันก็จะวางไข่ใส่ผมพร้อมกับน้ำ...
วะ...เวรแล้ว! คลื่นไส้ฉิบหาย! กูไม่เอาด้วยหรอกนะเว้ย!
คิดแค่นี้ ผมก็รีบโวยวายทันใด
“ไม่เอาเว้ย! ไม่มีลูก ไม่วางไข่ ไม่ผูกพันอะไรทั้งนั้น หยุดความคิดของนายเดี๋ยวนี้! อุ๊บ!”
“อย่าเสียงดังสิกวินทร์ เดี๋ยวคนอื่นก็ตื่นกันหมดพอดี” คีธยกมือมาปิดปากผมทันควันขณะที่มืออีกข้างจับขาข้างหนึ่งของผมยกขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามันคิดจะทำอะไรในขั้นต่อไป
ผมดิ้นประหนึ่งไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก ไม่ยอมให้มันฝังร่างลงมาง่ายๆ ปากก็ยังคงก่นด่ามันไปด้วยแม้ว่าจะมีเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้นที่เล็ดลอดออกมาก็ตาม ผมไม่เคยอยากจะร้องไห้ตอนก่อนมีเซ็กส์เลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้ขอเถอะ ไม่ไหวจริงๆ ว่ะ ความรู้สึกเหมือนจะถูกข่มขืนเป็นยังไง รู้ได้ในตอนนี้นี่แหละ
และเพราะผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คีธก็เลยหยุดชะงัก มองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะวางขาผมลงกับพื้นเหมือนเดิม พร้อมกับถอยออกจากร่างผมและปล่อยมือออกจากปากให้ผมเป็นอิสระ
“ถ้านายยังไม่พร้อม ฉันก็จะไม่บังคับ”
มึงสมควรจะรู้ตั้งแต่ตอนที่ฉุดกูเข้ามาในเต็นท์แล้วว่ากูไม่พร้อม! แล้วก็ไม่เคยพร้อมด้วย มีแต่มึงนี่แหละที่คิดว่ากูพร้อมไปเองคนเดียวน่ะ!
“ไอ้เวร...” ผมกัดฟันกรอด มองหน้ามันอย่างขุ่นแค้นที่เสียทีให้มันเป็นครั้งที่สอง
หากแต่คีธไม่สะทกสะท้าน ดึงผมเข้าไปจูบเสียอย่างนั้น
“ฉันจะรอจนกว่านายจะพร้อม ลูกของเราจะได้เกิดมาโดยความเต็มใจของเราทั้งคู่” จูบเสร็จมันก็ว่าเสียงเรียบ
มึงอย่าคิดเองพูดเองคนเดียวสิวะ!
ผมผลักมันออกทันใด พอเห็นรอยยิ้มมุมปากของมันแล้ว ผมก็ต้องรีบหลบสายตา
มึงนี่แม่ง... ทำให้กูใจเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว
“ฉันจะกลับไปนอน” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ควานหาเสื้อผ้าตัวเองขึ้นมาสวม แล้วก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของผมขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี
“นอนกับฉันที่นี่ก็ได้นะ เช้าแล้วค่อยบอกให้ริชาร์ดเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ของนายมาให้” คีธว่าขึ้นมาทันใด ผมหันขวับไปมองก็เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ประกายวาวอยู่ ผมรู้เลยว่าถ้านอนกับมันที่นี่ รับรองว่าผมได้มีลูกกับมันจริงๆ แน่
“ไม่ต้องมาพูดดี เอาผ้าเช็ดตัวนายมา ฉันจะกลับแล้ว”
คีธเลิกคิ้วเล็กน้อย ยอมส่งผ้าเช็ดตัวที่วางกองอยู่ใกล้ๆ มาให้ผมอย่างง่ายดาย ผมกระชากมาถือแล้วรีบเอาพันตัว ก่อนจะพุ่งออกมาจากเต็นท์ ถึงจะไม่อยากนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินกลางป่าแบบนี้แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆ การชิงผ้าเช็ดตัวของคีธมา มันก็ประกันให้ผมได้ว่าหมอนั่นคงจะไม่ตามออกมาอีกระลอกแน่ ถ้ามันออกมาก็ต้องแก้ผ้าโทงๆ นั่นแหละ
แต่ก็ไม่แน่แฮะ หน้าด้านอย่างมัน แค่แก้ผ้าเดินโทงเทงแค่นั้น มันคงจะไม่สะทกสะท้านหรอก
ทว่าผมก็ไม่หยุดคิดอีกต่อไป รีบโผล่หน้าออกจากเต็นท์ คีธก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมไปง่ายๆ อยู่ดี คว้าแขนผมเอาไว้แล้วว่าขึ้น
“ฉันอยากผูกพันกับนายนะกวินทร์ อยากให้นายเป็นโฮสต์ให้ตลอดไป”
ความร้อนวาบแล่นปราดไปทั้งร่างผมอีกครั้ง ผมหันไปมองสีหน้านิ่งเรียบของมันที่ดูยังไงก็ดูไม่ออกเลยว่าที่มันพูดมาเมื่อกี้แค่พูดเฉยๆ หรือจริงจัง แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็ทำให้ผมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้สติอีกครั้งก็รีบสะบัดมือมันออก แล้วออกมาจากเต็นท์อย่างไวโดยไม่หันกลับไปมองอีกแม้แต่น้อย
มะ...มึงก็มาสารภาพรักอะไรแบบนี้ กูหวั่นไหวไปหมดแล้วเนี่ย...
 
หลังจากออกมาจากเต็นท์ของคีธ ผมก็ไม่ได้กลับไปที่เต็นท์พยาบาลในคืนนั้นแต่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เต็นท์ซึ่งเดิมทีเป็นที่ซุกหัวนอนของผมกับริชาร์ดแทน เพราะรู้ว่าริชาร์ดคงจะอยู่กับแอสตัน และที่สำคัญ ผมก็ไม่อยากจะเข้าไปรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้นด้วย แค่ภาพที่เห็นกับเสียงที่ได้ยินก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบาย ผมก็รู้
แม่ง ตอนแรกก็แค่ล้อริชาร์ดเล่นๆ ว่าแอสตันเป็นผัวมัน ไม่รู้เป็นไงมาไงถึงได้เป็นจริงๆ ซะได้ ผมนี่ถึงกับปวดหัวหนึบเลย และก็เดาได้เลยว่าที่ริชาร์ดมันยอมให้แอสตันกินหัวกินหางอย่างนั้น แอสตันจะต้องพูดอย่างที่คีธพูดกับผมแน่ๆ
ประเด็นก็คือ... ทำไมริชาร์ดมันถึงยอมง่ายๆ อย่างนั้นวะ หรือว่าจะยอมตั้งแต่ตอนที่สะโพกครากแล้ว? ที่สำคัญ ริชาร์ดมันเป็นเกย์จริงๆ เหรอวะ ปกติมันก็ไม่เคยแสดงท่าทางออกมาว่าจะชอบผู้ชายด้วยกันเลยแม้แต่น้อยนี่หว่า แถมมันก็ขยันซื้อถุงยางมาเก็บไว้ที่ห้องด้วย หรือมันจะไม่ได้เอาไว้ใช้เอง แต่ให้คนอื่นเอาไว้ใช้กับมัน? โอ๊ย! อะไรวะเนี่ย!
คิดไปคิดมาก็ชักจะปวดหัว ผมพยายามไม่คิดวุ่นวาย ข่มตาหลับตลอดทั้งคืนแต่ก็หลับไม่ลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว พอฟ้าสางถึงจะยอมออกจากเต็นท์นั้นไปยังเต็นท์เปิดโล่งหลังใหญ่สำหรับทำงาน ผมแทบจะเป็นคนแรกที่ไปถึงที่นั่นด้วยตั้งใจว่าจะไปตั้งสติก่อนจะเจอหน้าริชาร์ดเพราะผมยังไม่รู้ว่าถ้าเจอหน้ามันแล้วควรจะทำหน้ายังไงดี รวมถึงตอนเจอไอ้หน้ามนุษย์ต่างดาวสองตัวนั่นด้วย
ก็ผมควรจะทำหน้ายังไงล่ะ มารู้ว่าเพื่อนตัวเองกับมนุษย์ต่างดาวได้เสียกัน แถมยังถูกมนุษย์ต่างดาวอีกตัวพยายามจะจับผมทำแม่พันธุ์อีก ผมคงจะต้องยิ้มระรื่นยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นมั้ง!
แต่ถึงจะมาตั้งหลักเป็นคนแรก พอถึงเวลาทำงานและเจอหน้าริชาร์ด แอสตันกับคีธ ผมก็ทำหน้าไม่ถูกอยู่ดี โดยเฉพาะยามเจอหน้าคีธ ผมเลี่ยงที่จะไม่มองหน้ามันขณะที่มันเอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งตลอดเวลาที่ผู้กำกับวิลล์นัดแนะเรื่องฉากที่จะถ่ายทำในวันนี้ กระทั่งมันถูกไล่ให้ไปแต่งหน้าแต่งตัวที่เต็นท์อื่น ผมถึงหายใจได้โล่งคออีกครั้ง
หากแต่พอแอสตันกับคีธไป ก็กลายเป็นริชาร์ดแทนที่แสดงท่าทางกระสับกระส่ายออกมา ผมมองก็รู้เลยว่ามันอึดอัดที่ต้องประจันหน้ากับผมอย่างนี้ โดยเฉพาะในตอนที่ผมกับมันต้องนั่งเช็คคิวนักแสดงและสตั๊นแมนที่จะเข้าถ่ายทำในฉากที่ต้องใช้เอฟเฟ็กต์ระเบิดร่วมกันด้วย มันก็ยิ่งแสดงท่าทางกระอักกระอวลออกมามากจนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้
ก็แน่ล่ะ กูเป็นคนเห็นมึงผสมพันธุ์กับไอ้แอสตันนี่ มึงนั่นแหละที่สมควรอาย ไม่ใช่กู!
“เอ่อ...เควิน” และเพราะนั่งกันอยู่ตั้งนานแต่ผมไม่ยอมพูดอะไร ริชาร์ดก็เลยทำลายความเงียบขึ้นมา
ผมเหลือบมองมันเล็กน้อย พลันซดกาแฟจากแก้วที่ถืออยู่ในมืออย่างไม่ใส่ใจ รอดูเชิงว่ามันจะทำยังไงต่อไปถ้าผมไม่พูดกับมันต่อยอย่างนี้ ให้เดานะ มันจะต้องแก้ตัวเรื่องมันขยายพันธุ์กับแอสตันแล้วผมดันตื่นมาเห็นแน่ๆ
“เรื่องเมื่อคืนน่ะ คือว่า...”
“นายเป็นเมียแอสตัน ฉันรู้แล้ว” ผมขัดขึ้นพลางปรายตามองมันอย่างระอา เห็นมั้ย ผมเดาผิดเสียที่ไหน คนอย่างมันน่ะ ถ้าถูกจับได้ว่าทำผิดอะไรมา มันจะต้องรีบแก้ตัว
ทว่าผิดคาด ริชาร์ดไม่แก้ตัว แต่ก้มหน้างุดพร้อมกับใบหน้าที่แดงเรื่อขึ้นมา ก่อนจะว่าออกมาเบาๆ ประหนึ่งเขินอาย
“ระ...เรียกว่าคู่หูจะดีกว่า อย่าเรียกว่าเมียเลย มันฟังดูแปลกๆ”
ผมนี่เบ้หน้าไปเลย โถ...ไอ้ริชาร์ด! มึงไม่ต้องมาคู่หูจะดีกว่าเลย! โดนกินหัวกินหางอย่างนั้น มึงเป็นเมียมันแล้ว! อย่ามาทำกระแดะ กูขยะแขยง!
ผมละแก้วกาแฟออกจากริมฝีปาก หันไปจ้องหน้ามันนิ่งๆ ก่อนจะถามเสียงเครียด
“ถามจริงๆ นะริชาร์ด ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเรื่องของนายกับแอสตันเนี่ย ใช่ตอนที่ฉันทักนายว่าสะโพกครากหรือเปล่า”
ริชาร์ดชะงัก เหลือบมองหน้าผมเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับช้าๆ
“ไปยังไงมายังไงวะเนี่ย” ผมถึงกับพึมพำออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อหู
“วันนั้นแอสตันบังคับฉันน่ะ ฉันก็พลาดเองที่เผลอใจ มันก็เลยเลยเถิดมาอย่างที่นายเห็นนี่ไง” ริชาร์ดว่าอ้อมแอ้มพลางก้มหน้าราวกับสำนึกผิด แต่ไม่... มันไม่ได้สำนึกผิด มันแค่ซ่อนหน้าแดงๆ ไม่ให้ผมเห็นเท่านั้น
ผมมองแล้วก็แทบอยากจะสาดกาแฟในแก้วใส่มันสักที แหม ทีตอนกูถามล่ะทำเป็นบอกปวดหลัง ถ้ากูเป็นผู้หญิง แล้วมึงก็เป็นผู้หญิง กูจะด่ามึงว่าตอแหลดังๆ สักที!
“งั้นถามอีกอย่างนะ ตกลงนายเป็นเกย์เหรอวะริชาร์ด ทำไมฉันไม่เคยรู้เลยวะ” ผมถามคำถามนี้ออกไปด้วยติดใจสงสัยเต็มทน
ริชาร์ดเงยหน้าขึ้นมองผมในตอนนี้แล้วส่ายหน้ารัว
“ไม่ได้เป็นหรอก ฉันก็ชอบผู้หญิงนี่แหละ แต่พอมาเจอแอสตัน ฉันก็เริ่มเปลี่ยนใจน่ะ แอสตันก็...น่ารักดี ฉันเลยคิดว่าฉันน่าจะเป็นไบฯ มากกว่าเกย์นะ ได้ทั้งชายทั้งหญิงแบบนี้น่ะ”
อะไรที่มึงว่ากูไว้นี่เข้าตัวมึงหมดเลยนะ แถมก่อนหน้าก็มาทำเป็นไล่แอสตันอย่างโน้นอย่างนี้ ปฏิเสธคอเป็นเอ็นว่าไม่ได้ชอบ ไม่ได้เป็นอะไร กูละสายตาแป๊บเดียว มึงเป็นเมียมันไปแล้ว ไอ้วัตถุไวไฟเอ๊ย!
ผมเบ้ปากเป็นเลขแปดทันทีที่ฟังริชาร์ดพูดจบ ถ้าไม่เกรงใจ แม่งจะเบ้เป็นเลขแปดไทยด้วย เลขแปดอารบิกมันน้อยไป จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องของผมหรอกที่ริชาร์ดจะไปนอนกับใครที่ไหน จะมีรสนิยมทางเพศยังไง หรือจะมีผัวมีเมียเป็นใคร ก็นี่มันชีวิตของมัน ให้มันตัดสินใจเอง และผมก็ไม่อยากจะใส่ใจเท่าไหร่ด้วยเพราะแค่เรื่องของตัวเองก็ปวดหัวแย่อยู่แล้ว
และริชาร์ดก็ทำให้ผมเครียดว่าเดิมเมื่อมันเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง
“ว่าแต่นายเถอะ เมื่อคืนออกไปกับคีธแล้วไม่ได้กลับเข้ามานี่ไปทำอะไรกัน”
“ไม่ได้ทำอะไร” ผมรีบตอบทันใด
ริชาร์ดหรี่ตามองอย่างจับผิด พลันว่าออกมายิ้มๆ
“ไม่ได้ทำอะไรแน่เร้อ ฉันรู้มาจากแอสตันว่าคีธก็คิดที่จะผูกพันกับนายเหมือนกัน สองคนนั้นก็เลยมาหาพวกเราที่เต็นท์ ไม่ใช่ว่านายเองก็ผูกพันกับคีธ เป็นเมียหมอนั่นไปแล้วหรอกเหรอ”
“ไม่ได้เป็นเว้ย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรกันอย่างที่นายทำกับแอสตันด้วย” ผมว่าเสียงขุ่น หากแต่ริชาร์ดไม่ยอมเชื่อ
“ไม่ได้ทำอะไรกัน แต่หายไปกันทั้งคืนแบบนี้ ฉันว่าอย่างน้อยๆ คีธก็พานายไปเที่ยวสวรรค์ว่ะ เป็นไงล่ะพ่อเพลย์บอย ถนัดพาคนอื่นไปเที่ยวสวรรค์นัก พอมาโดนเองแล้วปลื้มปริ่มมั้ยล่ะ”
ผมมองค้อนขวับทันใดที่มันดันรู้ทัน สงสัยมันก็เคยถูกแอสตันทำแบบนี้มาก่อนแน่ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเก็บเรื่องน่าอัปยศไว้เป็นความลับให้ลึกสุดใจ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นสูงเป็นเชิงขู่ว่าถ้ามันพูดอีก จะสาดใส่หน้าให้ มันเลยรีบยกมือห้าม
“หุบปากไปเลย” ผมว่าเสียงเขียวตบท้าย ใบหน้าพลันตึงเครียดขึ้นมาให้ริชาร์ดได้ทัก
“ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดเลยนี่หว่า เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ แค่เปลี่ยนจากผู้หญิงเป็นผู้ชายก็เท่านั้น”
“ขอเลยว่ะริชาร์ด หยุดพูดเลย ปวดหัวว่ะ แค่ไอ้คีธคนเดียวก็ปวดหัวมากพอแล้ว อย่ามาทำให้ฉันปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก”
“ปวดหัวเพราะคีธ? ปวดหัวเรื่องอะไรวะ เรื่องขอผูกพัน?” ริชาร์ดยังไม่ยอมหยุด ผมเลยตอบส่งๆ ไปให้จบๆ
“เออสิ ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น มีอย่างอื่นด้วย”
“ขอมีลูกด้วยล่ะสินะ” ริชาร์ดว่าอย่างรู้ทัน ก่อนหัวเราะออกมา
มันก็คงจะถูกแอสตันขออย่างนี้เหมือนกันล่ะมั้งผมว่า ผมไม่ได้สนใจจะถามมันนักเพราะจู่ๆ ผมก็ปวดขมับขึ้นมาฉับพลันนึกถึงประโยคที่คีธพูดกับผมเมื่อคืนขึ้นมาได้กะทันหัน
‘มาขยายพันธุ์กันกวินทร์’
‘มีลูกกันเถอะกวินทร์’
เหอะ ขยายพันธุ์ มีลูกบ้าบออะไร ใครจะยอมให้มันกดกัน!
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวหนัก ปวดหัวไม่เท่าไหร่ เครียดมากกว่า ก่อนจะหันไปหาริชาร์ดที่นั่งเงียบไปแล้ว พลันว่า
“ขอบุหรี่สักตัวสิ”
ริชาร์ดทำหน้าแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ผมก็มาขอบุหรี่มันเพราะมันรู้ว่าถ้าไม่ใช่เวลาปาร์ตี้หรืองานสังสรรค์ ผมแทบจะไม่แตะของจำพวกนี้เลย ก็ผมไม่ได้ติดอย่างมันนี่นา แค่ดูดเพิ่มความสนุกเวลามันส์ๆ เท่านั้น แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ดูดเอาสนุก ทว่าจะเอามาดูดระบายความเครียดกับคำพูดของคีธต่างหาก
ริชาร์ดทำหน้าสงสัยแค่แป๊บเดียวก็จัดการล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะดึงซองบุหรี่ที่ยัดไส้กัญชาอย่างดีพร้อมกับไฟแช็กส่งมาให้ผมทั้งหมด ผมมองแล้วก็ย่นคิ้วทันใด
“เอาแค่ตัวเดียวพอ”
“นายเอาไปเถอะ ฉันจะเลิกดูดแล้ว”
คำพูดของมันทำให้ผมย่นคิ้วหนักขึ้นไปอีก ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากไอ้ขี้ยาอย่างมัน ตั้งแต่รู้จักกันมา เห็นว่างทีไรมันก็พี้กัญชาตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงจะเลิกเอากะทันหันนะ
หากแต่ผมไม่ต้องเอ่ยปากถาม เพียงแค่ส่งสายตาสงสัยไปให้ ริชาร์ดก็ออกปากอธิบายขึ้น
“ฉันคุยกับแอสตันว่าจะตั้งท้องลูกของเราน่ะ แอสตันก็เลยขอให้ฉันเลิกดูดบุหรี่เพื่อสุขภาพตัวเอง แล้วก็ของลูกด้วยตอนฉันท้อง”
ผมฟังแล้วก็อ้าปากค้างไปเลย
ไอ้ริชาร์ด! มึงถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่นล้างสมองไปแล้ว!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.18]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-12-2015 20:32:57
Episode 19: Making a baby[2]

“อะ...เอาจริงดิ?” ผมถามอย่างไม่เชื่อหูเท่าไหร่นัก
ริชาร์ดพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่แก้มของมันจะเจือสีแดงๆ ขึ้นมาขณะขยับปากพูด
“จริง ฉันวางแผนกันแล้ว เราจะสร้างครอบครัวกัน”
มึงยังเรียนไม่จบเลยนะไอ้ริชาร์ด มึงเพิ่งจะปีหนึ่งนะเว้ย! ถึงจะเป็นปีหนึ่งปริญญาโทก็ดเถอะ แต่แค่มึงถูกผัวง้อเมื่อคืนนิดเดียว มึงเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ มะ...มึงนี่มันแรดจริงๆ ไอ้เจ๊กใจแตก!
ผมตบเข้าที่หน้าของมันไม่แรงนักทีนึง ริชาร์ดมองหน้าผมอย่างหงุดหงิดทันควัน
“ตบทำไมเนี่ย”
“ตบเรียกสติ” ผมว่า “นี่นายเอาจริงแน่เหรอวะ”
พอถูกถามขึ้นมาอีก ริชาร์ดก็พยักหน้า
“ถ้าไม่เอาจริงแล้วจะพูดทำไมวะ”
ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าความสิ้นคิดของมันต่อเลย ได้แต่ลูบหน้าลูบตาอย่างเหนื่อยใจเท่านั้น จนมันต้องรีบโพล่งขึ้นเมื่อเห็นผมทำท่าเหมือนพ่อที่ลูกสาวมาบอกว่าตั้งท้องกับแฟนหนุ่มไม่มีผิด
“เฮ้ย ไม่ต้องห่วงน่า มีลูกกับพวกมนุษย์ต่างดาวนี่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แอสตันบอกว่าตอนคลอดก็เหมือนกับตอนคลอดแอสตันนั่นแหละ เพียงแต่คลอดออกมาเป็นทารกเท่านั้น ตอนวางไข่ก็ทำเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ต้องห่วง”
กูไม่ได้ห่วงมึงเว้ย กูแค่ระอากับความใจง่ายของมึง!
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่คลอดทางไหนหรือวางไข่ทางไหนเว้ย มันอยู่ที่ตอนไข่ไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่นปฏิสนธิกับน้ำเชื้อต่างหาก นายไม่รู้เหรอวะว่าเวลาพวกมันสร้างทายาทกัน ไข่จะต้องผสมกับน้ำเชื้อ” ผมว่ารัวให้ริชาร์ดพยักหน้ารับ
“รู้ แอสตันบอกแล้ว”
“นายรู้แล้วยังจะยอมให้มันวางไข่ที่ผสมกับน้ำเชื้ออีกเหรอวะ” ผมถามออกไปตรงๆ ทันใด
“นี่นายคิดว่าถ้าจะท้องลูกของแอสตัน ฉันจะต้องให้แอสตันวางไข่แล้วก็กินไอ้นั่นตามลงไปใช่มั้ย”
‘ไอ้นั่น’ ที่ว่าก็คือน้ำเชื้อนั่นแหละ
ผมพยักหน้า ริชาร์ดถึงกับหลุดหัวเราะลั่นออกมา
“เฮ้ย มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด ไข่ที่ผสมกับน้ำเชื้อน่ะมันไม่ได้ผสมกันแบบนั้น แต่พวกยูนิกม่าจะสามารถผสมไข่ในร่างกายตัวเองก่อนได้แล้วค่อยวางไข่ใส่อีกฝ่าย มันไม่ใช่หนังโป๊แนวสัตว์ประหลาดนะเว้ย อย่าคิดไปไกล”
ไม่อยากจะบอกเลยว่าได้ยินอย่างนี้แล้วผมก็โล่งใจทันควัน ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดไว้ในตอนแรกล่ะก็นะ บอกเลยว่าชาตินี้ทั้งชาติ ผมจะไม่ยอมพลาดท่าเสียทีให้มนุษย์ต่างดาวหน้าไหนอีกแน่
“ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด แล้วมันจะมามีอะไรกับนายทำไมวะ แค่วางไข่ไปให้จบๆ ก็ท้องได้แล้วไม่ใช่หรือไง” ความสงสัยของผมยังไม่หมดแค่นี้ จริงๆ ผมก็รู้แหละว่าการผูกพันมันเป็นเหมือนการทำสัญญาว่าชาวยูนิกม่าจะดูแลอีกฝ่ายไปจนตาย แล้วก็เป็นเครื่องหมายของการเป็นแม่พันธุ์ให้กับมัน
แต่ถ้ามันวางไข่สร้างทายาทอย่างที่ริชาร์ดบอกได้ ทำไมมันจะต้องมาผูกพันอะไรด้วยวะ ยุ่งยากชะมัด
“ใช่ การวางไข่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการของเราก็ทำให้ตั้งท้องได้ แต่การผูกพันก่อนการวางไข่มันเป็นการสาบานของชาวยูนิกม่าว่าจะจงรักและภักดีต่ออีกฝ่ายจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และเป็นการแสดงความรักของชาวยูนิกม่า ที่สำคัญ มันเป็นการตีตราไว้ว่าคนที่ชาวยูนิกม่าผูกพันด้วยคือคนที่ชาวยูนิกม่าอยากจะได้เป็นแม่พันธุ์”
ประโยคนี้ริชาร์ดไม่ได้ตอบ แต่เป็นแอสตันที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วที่เดินมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เป็นคนตอบ พอผมกับริชาร์ดหันไปมอง ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่เห็นหมอนี่มาปรากฏตัวตรงนี้เพราะฉากแรกที่ถ่ายทำ ไม่ใช่ฉากที่หมอนี่จะต้องออกโรง แต่เป็นฉากของคีธ ก่อนที่แอสตันจะยิ้มกว้างแล้วพูดต่อเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“ปกติแล้วชาวยูนิกม่าไม่ผูกพันกับใครง่ายๆ นะ ชีวิตหนึ่งของชาวยูนิกม่าจะผูกพันกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะมันหมายความว่าเราจะต้องดูแลคนที่เราผูกพันด้วยไปจนกว่าอีกฝ่ายจะตายจาก พอเบนลิโอมาขอให้ฉันผูกพันและขอช่วยขยายพันธุ์ให้ ฉันก็เลยรีบไปหาริชาร์ดนี่แหละเพราะฉันกับริชาร์ดทำสัญญากันไปแล้ว” ว่าจบก็ส่งยิ้มหวานให้ริชาร์ด
ริชาร์ดยิ้มกริ่มพลันก้มหน้า ผมที่ตั้งใจฟังแอสตันในตอนแรกเบ้ปากรัวๆ อีกครั้ง แล้วผมก็ต้องเบ้หนักกว่าเดิมเมื่อแอสตันเดินเข้ามาหาริชาร์ดพร้อมกับคว้ามือมันไปจับ
“ทำสัญญากันไปหลายครั้งแล้วด้วย”
“ยะ...อย่าพูดอะไรต่อหน้าเควินแบบนี้สิ” ริชาร์ดว่ารนๆ
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร เราชอบนาย เราจะแสดงออกไม่ได้หรือไง”
“แต่นี่มันต่อหน้าเควิน”
“ต่อให้เป็นต่อหน้าทุกชาติพันธุ์ทั้งจักรวาล เราก็จะพูดว่าเรารู้สึกกับนายยังไงริชาร์ด”
ริชาร์ดอายม้วนต้วนทันใด ส่วนผมก็คลื่นไส้ขึ้นมากะทันหันเลย และแอสตันก็ทำผมคลื่นไส้หนักขึ้นไปอีกเมื่อมันก้มลงจูบหน้าผากริชาร์ดที่นั่งอยู่เบาๆ
“เราพูดผิดไป เราไม่ได้ชอบนาย แต่เราเริ่มรักนายเข้าให้แล้ว”
กู-จะ-อ้วก!
ผมมึนหัววิ้งๆ พลัน พลางมองภาพเทพบุตรกับเห็บหมาตรงหน้าอย่างคลื่นเหียน อย่างที่ผมบอกแหละว่าเวลาแอสตันกับริชาร์ดอยู่ด้วยกันเปรียบเสมือนเทพบุตรกับเห็บหมา แต่ตอนนี้ผมคงจะต้องขอถอนคำพูดนั้น เพราะตอนนี้ริชาร์ดมันไม่ใช่เห็บหมาแล้ว แต่เป็นเห็บหมาแอ๊บแบ๊ว
มึงจะทำท่าเขินอายไปไหนวะ มึงไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้มนะเว้ยไอ้เจ๊กเมากัญชา!
“ขอตัวก่อนนะ” สุดท้าย ผมก็ทนการแสดงความรักของมันทั้งคู่ไม่ได้ เป็นฝ่ายลุกออกมาจากจุดนั้นแทน
พอพ้นแอสตันกับริชาร์ดมาได้ ผมก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมาเมื่อนึกถึงคีธ ถ้าเป็นอย่างที่แอสตันว่าจริง นั่นก็หมายความว่าตลอดชีวิตของคีธ หมอนั่นไม่เคยผ่านมือใครมาเลยไม่ว่าจะชายหรือหญิง แล้วที่อยากให้ผมเป็นแม่พันธุ์พร้อมทั้งผูกพันด้วยก็หมายความว่า... มะ...หมอนั่นชอบผม!? ชอบแบบอยากใช้ชีวิตด้วยตลอดไป!?
ผมยกมือขึ้นทาบอกที่ก้อนเนื้อเต้นระทึกทันใดเพื่อให้มันสงบลง แต่ไร้ประโยชน์เพราะในหัวผมตอนนี้มีแต่ใบหน้าของคีธแวบฉายซ้ำไปซ้ำมา พอเริ่มจะตั้งสติขึ้นมาได้บ้าง ผมก็จุดบุหรี่ขึ้นสูบด้วยหวังว่ามันจะทำให้ผมสงบลง หากแต่สูบไปได้ไม่นาน รูปร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่เดินลงจากรถซึ่งเพิ่งขับเข้ามาจอดก็เรียกสายตาผมให้หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นซีเลน ผมก็รีบหันหนี หากแต่ไม่ทัน หมอนั่นดันตาไว เห็นผมเข้าเสียก่อน พลันร้องเรียกลั่น
“กวินทร์!”
กะ...กูแกล้งตายได้มั้ย!?
ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินจ้ำอ้าวหนี หมายจะกลับมาที่เต็นท์ทำงาน ทว่าซีเลนเร็วกว่า ตรงเข้ามาคว้าไหล่ผมไว้ทันใด
“ไม่เจอหน้ากันตั้งหลายวัน คิดถึงจัง”
หลายวันปู่มึงสิ เพิ่งจะไม่เจอกันเมื่อวานนี้เนี่ย แล้วมึงจะมาคิดถึงกูทำมะเขือเผาอะไร มึงคิดลามกกับกูอีกล่ะสินะ!
ผมรีบผลักซีเลนออก ทว่ามันกลับจับไหล่ผมไว้แน่น ใบหน้าหล่อเหลาพลันย่นยู่ทันตาขณะที่มันทำจมูกฟุดฟิด
“นาย... มีกลิ่นแปลกๆ” ว่าจบก็เลื่อนใบหน้าเข้ามาดมที่หน้าผม
“ก็ฉันสูบบุหรี่นี่หว่า!” ผมรีบโวยวาย เบี่ยงหน้าหลบจากมันทันใด
“ไม่ใช่กลิ่นบุหรี่ กลิ่นอย่างอื่น” ซีเลนไม่หยุดดม เลื่อนปลายจมูกโด่งเข้ามาดมที่ริมฝีปากผมจนกลายเป็นว่าท่าทางของเราในตอนนี้คือผมกำลังจูบปลายจมูกมัน
มึงเป็นหมาหรือไงวะถึงได้ดมไม่เลิกอย่างนี้เนี่ย!
“พอเลย! ไปเก็บข้าวของแล้ว เต็นท์นายอยู่ตรงโน้น! ไปเตรียมตัวได้แล้ว มีถ่ายไม่ใช่หรือไงวันนี้เนี่ย!” ผมร้องเสียงหลง ขืนตัวออกจากมันพลางชี้นิ้วส่งเดชไปยังบริเวณเต็นท์ที่พักของนักแสดงด้วยจำได้ว่ามีเต็นท์หนึ่งยังว่างอยู่
ซีเลนผละออกจากผมได้ หากแต่สีหน้าเริงรื่นในตอนแรกแปรผันเป็นตึงเครียดจนหัวคิ้วแทบชนกัน แล้วมันก็ทำให้ต้องเบิกตาโพลงเมื่อพูดขึ้นเสียงแข็ง
“มากับฉัน ฉันจะสำรวจร่างกายนาย” ว่าจบก็ลากผมออกมุ่งหน้าไป ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังเต็นท์ด้วย แต่เป็นห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ
ดะ...เดี๋ยวนะ! อย่าบอกนะว่ากูจะโดนปล้ำในป่าอีกแล้ว!? กูเพิ่งโดนมาเมื่อคืนเองนะเว้ย ไม่เอา!
แต่เหมือนจะไม่ทันแล้ว เพียงครู่เดียว ผมก็ถูกซีเลนเหวี่ยงเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนมันจะเข้ามาผลักผมให้ถอยหลังไปจนติดกำแพงแล้วจัดการดมใบหน้าผมอีกครั้ง จุดสำคัญที่มันวนอยู่นานก็คือริมฝีปาก ดมจนแทบจะดูดปากผมเข้าไปในรูจมูก แต่ก็ดีอย่างที่มันไม่ทำอะไรนอกจากการดมเท่านั้น
“มีกลิ่นแค่ตรงนี้” ซีเลนว่า
ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงรนๆ
“กะ...กลิ่นปากไงกลิ่นปาก มีกันทุกคนอยู่แล้ว ฉันยังไม่ได้แปรงฟันด้วย ได้กลิ่นก็ไม่แปลก”
ซีเลนไม่ว่าอะไร นอกจากผละออกมาจ้องหน้าผมแล้วกัดฟันกรอด ผมใจหายวาบ เดาไม่ออกเลยว่ามันจะทำอะไรต่อ จังหวะเดียวกับที่พระเจ้าส่งคนมาช่วยชีวิตผมพอดีทันทีที่ประตูถูกเปิดเข้ามา
ผมกับซีเลนมองไปยังคนมาใหม่ พอเห็นว่าเป็นบรูคลิน ผมก็โล่งใจทันควันเพราะซีเลนอาจจะเปลี่ยนใจไปยังบรูคลินก็ได้ด้วยมันสองคนเดียวดูดปากอย่างดูดดื่มกันมาก่อน ขณะที่บรูคลินทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมอยู่ในสภาพถูกซีเลนต้อนจนมุมอย่างนั้น
“อะ...เอ่อ...งั้นเดี๋ยวฉันไปรอข้างนอกก่อนแล้วค่อยมาใหม่นะ” บรูคลินก็คงจะรู้ว่าเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ผมเกือบจะอ้าปากร้องเรียกมันให้อยู่ต่อก่อนแล้ว ถ้าจู่ๆ ซีเลนไม่ผละออกจากผมไปคว้าแขนบรูคลินไว้ทันควัน
คว้าอย่างเดียวไม่พอ ยังดมหน้าบรูคลินด้วย ทำเอาผมที่มองอยู่ทำหน้าแหย
ไอ้บ้าซีเลนนี่มันเป็นอะไรของมันวะ มาถึงก็เที่ยวดมชาวบ้านเค้าไปทั่ว มึงนี่มันโรคจิตชัดๆ!
“กลิ่นของนายก็ชัดขึ้น” ซีเลนว่าออกมาให้บรูคลินทำหน้าแหยงๆ
ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้วในตอนนี้แม้จะอยากรู้ว่ากลิ่นที่ซีเลนได้กลิ่นนั้นคือกลิ่นอะไรก็ตาม รีบถลาออกจากห้องน้ำก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมอีกครั้ง พอรอดตัวมาได้ก็สะใจขึ้นมาทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้บรูคลินเสนอตัวเองให้คีธผูกพัน
หึ อยากผูกพันมากใช่มั้ยล่ะมึง ให้ไอ้ซีเลนผูกพันไปนู่น หื่นกามสมใจมึงดีมั้ยล่ะ!
********************************
ยังไม่เรียบร้อยโรงเรียนคีธ แต่ก็มีเซอร์วิซให้นิดๆ นะ อิอิ
ส่วนริชาร์ดกับแอสตันนี่ กลายสภาพจากเทพบุตรกับเห็บหมาในสายตากวินทร์มาเป็น เทพบุตรกับเห็บหมาแอ๊บแบ๊วไปเรียบร้อย เลเวลเลื่อนขึ้นอีกขั้น 555 ส่วน NC นี่ ใครรออยู่ กระซิบบอกไว้เลยว่ามา Ep.21 นะคะ ช่วงนี้ก็ให้บักคีธตอดๆกวินทร์ไปก่อนเนอะ ฮาาา

ตอนนี้เปิดจองหนังสืออยู่นะคะ ใครสนใจ เข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่น้า >> https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: Nam-Ing ที่ 28-12-2015 20:57:44
อย่าบอกนะว่าซีเลนก็เป็นมนุษย์ต่างดาว   :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: 13 จ้าวนภา ที่ 28-12-2015 21:58:18
 :hao5: มาไวไว
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 28-12-2015 22:05:10
รอออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ :katai1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-12-2015 22:12:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 28-12-2015 22:20:58
มารอ 20 แง่มๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 28-12-2015 22:57:04
จะเอาอีกกกกกกก ติดเรื่องนี้งอมแง่มเลย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 28-12-2015 23:34:48
ตอนหน้า 20 นี่ ข้ามไปเลยแล้วกันเน๊อะ 5555+
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: มิดไนท์ ที่ 29-12-2015 01:37:19
 :m20:บ ถ้าไม่เกรงใจ แม่งจะเบ้เป็นเลขแปดไทยด้วย :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 29-12-2015 22:00:39
เราเกิดข้อสงสัยมานานและ ตกลงว่าอีตาซีเลนนี่เป็นชาวต่างดาวด้วบหรือเปล่าเนี่ย  :hao4:
รอตอนหน้านะคร๊าาาา คีธใกล้ได้จับกวินท์กินตับแว้ว  :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 29-12-2015 22:02:09
สงสัยเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 29-12-2015 22:10:43
Episode 20: Kawin vs Brooklyn for Keith[1]
หลังจากรอดพ้นความหื่นกามของไอ้ซีเลนมาได้ ผมก็ไม่สนใจมันอีกเลยตลอดทั้งวัน ไม่สนใจแม้แต่จะถามบรูคลินว่ามันโดนซีเลนทำอะไรหรือเปล่าแต่อย่างใดเพราะผมรู้ว่ามันต้องโดนอยู่แล้ว และแน่นอนว่าผมไม่รู้สึกผิดที่โยนขี้อย่างซีเลนให้มันเก็บกวาดแม้แต่นิดเดียว
ก็มันอยากผูกพันกับคีธดีนักนี่หว่า ให้มันผูกพันซะให้สมใจ เอาให้ไอ้ซีเลนจัดหนักให้กระอักตายกันไปข้าง!
ฟังดูเหมือนผมเลวนะที่ทำแบบนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ มันหมั่นไส้นี่หว่า ถึงจะรู้ว่าพวกมนุษย์ต่างดาวพวกนี้มีคติว่าการได้ผูกพันกับชาวยูนิกม่าหรือมีลูกให้นั้นถือเป็นเกียรติอันสูงสุด แต่เสนอตัวถึงขนาดนี้มันก็ใช่เรื่องมั้ยวะ ทำซะผมนี่อายแทนมันเลย
และพอรอดจากปากเหยี่ยวปากกาของซีเลนมาได้ วันนั้นทั้งวัน ผมไม่ได้คุยกับคีธอีกเลย ...อย่าเรียกว่าไม่ได้คุย เรียกว่าผมไม่กล้าสู้หน้าหมอนั่นดีกว่าเลยทำให้ไม่ได้คุยกัน แม้ว่าคีธจะพยายามเข้าหาอยู่เนืองๆ แต่พอผมเห็นปุ๊บ ผมก็แสร้งทำเป็นยุ่ง ไม่ก็มีธุระปะปังต้องจัดการปั๊บ ก็จะให้ผมสู้หน้ายังไงได้ล่ะ เมื่อคืนมันเพิ่งจะปล้ำผมมาเองนะ ยิ่งตระหนักได้ว่าที่มันขอผูกพัน ขอมีลูกกับผม เป็นเพราะมันชอบผม ผมก็ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเข้าไปใหญ่ ล่าสุดที่ผมเห็นคีธพยายามเข้าหา ผมก็แกล้งทำเป็นว่ายังป่วยและยังมีอาการหนักอยู่ รีบหนีกลับไปที่เต็นท์พยาบาล คีธก็เลยไม่ตามมา ผมเลยรอดจากการเผชิญหน้ากับมันไปทั้งวันเต็มๆ
จนเช้าวันใหม่ ผมก็ยังไม่กล้าสู้หน้าคีธอยู่ดี เอาแต่หลบหน้าจนมันไปฟ้องริชาร์ด ริชาร์ดจึงเป็นหน่วยจู่โจมเข้ามาหาผมเพื่อไถ่ถามสาเหตุที่ผมไม่ยอมพูดกับคีธทันทีที่เจอหน้ากันในตอนเช้าที่เต็นท์สำหรับทำงาน
“ทำไมนายไม่คุยกับคีธฮะเควิน” มันเปิดฉากโดยไม่รอให้ผมได้ทักทายอะไร
ผมมองหน้ามันพลางจิบกาแฟขณะรอเริ่มงาน ก่อนจะสวนคืนนิ่งๆ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายวะ”
“ก็ไม่อยากจะเกี่ยวหรอก แต่คีธฝากมาถาม” มันว่าพลางเดินไปชงกาแฟบ้าง ผมนี่ย่นคิ้วยู่เลย
“นายไปเป็นพวกไอ้มนุษย์ต่างดาวพวกนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะถึงต้องมาออกหน้าถามแทนมันเนี่ย”
“ตั้งแต่ที่สะโพกครากแล้ว” ริชาร์ดว่าหน้าตาเฉย เดินกลับมานั่งข้างผมให้ผมได้เบ้ปากใส่มัน
โถ... ไอ้เจ๊กมีผัวแล้วลืมกำพืด! อีกหน่อยถ้าไอ้แอสตันมันจะครองโลกขึ้นมา มึงคงเป็นแกนนำสนับสนุนผัวมึงเลยสินะ!
“ตกลงทำไมนายไม่คุยกับคีธ” มันถามขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่าผมไม่พูด
“ก็ไม่มีอะไร แค่ไม่อยากคุย” ผมตอบเลี่ยงๆ ไปว่าที่ไม่อยากคุย จริงๆ เป็นเพราะไม่กล้าสู้หน้าหลังถูกปล้ำมาอย่างโชกโชนต่างหาก
ทว่าริชาร์ดไม่ใช่คนโง่ เห็นผมพูดอย่างนั้นมันก็จับผิดทันใด
“ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคีธขอมีอะไรด้วย แล้วก็ขอมีลูกด้วยเหรอวะที่ทำให้นายไม่อยากคุยกับหมอนั่น”
มึงไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี! กูอุตส่าห์ไม่พูดแล้วนะเนี่ย!
ผมไม่ตอบ ได้แต่มองมันตาเขียวที่มันพูดแทงใจดำอย่างนั้น ทำให้มันโพล่งขึ้นมาอีก
“นายไม่ชอบคีธเหรอวะ”
ประโยคที่หลุดออกจากปากมันครั้งนี้ก็ทำให้ผมสำลักกาแฟที่กำลังกระดกเข้าปากทันใด
“แค่ก...พะ...พูดอะไรของนายเนี่ย”
“ฉันก็แค่ถามว่านายไม่ชอบคีธเหรอก็เท่านั้น จะตกใจทำไมเนี่ย”
ผมไอโขลก โบกมือปัดเป็นพัลวันเป็นเชิงว่าไม่มีอะไร หากแต่ริชาร์ดมันไม่เชื่อ หรี่ตาที่เล็กอยู่แล้วให้เล็กลงกว่าเดิม พยายามจับพิรุธผมอย่างสุดความสามารถ
“นายชอบคีธแน่ๆ ฉันว่า”
“ชอบป้ามึงสิ” ผมสวนกลับเป็นภาษาไทยอย่างลืมตัว ทำเอาริชาร์ดย่นคิ้ว ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษขึ้นมา “ไม่ได้ชอบเว้ย”
“งั้นเหรอ” ริชาร์ดเชิดหน้าขึ้นราวกับไม่เชื่อ
“เออ ไม่ได้ชอบ”
“แต่คีธชอบนายนะ ชอบมากซะด้วย” แล้วมันก็ทำให้ผมแทบจะทำแก้วกาแฟในมือหล่นลงพื้น
“มัน...มันก็แค่พูดเล่นน่า อย่าไปสนใจ” ผมแสร้งทำเป็นไม่ยอมรับ ทว่าริชาร์ดก็ทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นมา
“หมอนั่นเพิ่งจะบอกกับฉันมาหมาดๆ เองว่าชอบนาย ฉันก็ดูออก ไม่งั้นคงไม่ขอให้ฉันมาคุยกับนายอย่างนี้หรอก”
ผมเงียบไปทันใด
กะ...กูรู้แล้วว่ามันชอบกู มึงก็ไม่ต้องมาย้ำก็ได้ กูก็อายเป็นหรือเปล่าวะ!
“แล้วนายล่ะชอบคีธหรือเปล่า” ได้ที มันก็ถามขึ้นมาอีก
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ชอบ เลิกถามซะทีได้มั้ยวะ เห็นฉันเป็นเกย์หรือไง” ผมชักจะหัวเสียก็ตอนนี้ที่ถูกริชาร์ดคาดคั้นไม่หยุด แต่ริชาร์ดไม่สนใจ พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ถ้าชอบก็ลุยๆ ไปเลย เรื่องเป็นเกย์หรือไม่ได้เป็นเกย์มันไม่ใช่ข้ออ้างว่ะถ้านายจะชอบหมอนั่นจริงๆ ฉันเห็นนายลีลาท่ามากแบบนี้แล้วรำคาญว่ะ ลุยแบบฉันเนี่ย ลุยไปเลยจะได้จบๆ”
ก็กูไม่ได้เป็นคนใจง่ายแบบมึงนี่หว่าไอ้เจ๊ก! อีกอย่างนะ กูยังไม่รู้เลยว่ากูชอบคีธจริงหรือเปล่า หรือแค่หวั่นไหวชั่วครู่เท่านั้น มึงอย่ามากดดันกูได้มั้ย!
“ฉันไม่ได้ชอบ...” สุดท้ายผมก็ชักรำคาญกับการคาดคั้นของเพื่อนสนิทจนว่าเสียงแข็งออกมาอีกครั้ง
ริชาร์ดพยักหน้ารับส่งๆ แล้วว่าปิดท้าย
“โอเคๆ ก็แล้วแต่นายนะ แต่ถ้าชอบคีธล่ะก็ ฉันแนะนำให้รีบลุย ไม่งั้นล่ะก็เสร็จบรูคลินแน่ รู้ไม่ใช่เหรอว่าพวกสองพี่น้องนั่นกำลังจ้องแอสตันกับคีธอยู่ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน เดี๋ยวฉันไปทำงานก่อน” ว่าจบ มันก็ถือแก้วกาแฟเดินออกจากเต็นท์ไป
ผมมองตามหลังมันเงียบๆ พร้อมกับความรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาในอกเมื่อตระหนักได้กว่าเดิมว่าบรูคลินพยายามจะทำอะไร แม่ง คิดแล้วก็อยากจะตบหัวไอ้พี่น้องคู่นั้นให้คว่ำนัก พวกมึงจะกระสันอะไรกันนักกันหนาวะ!
ไม่เพียงแต่ร้อนวูบวาบในร่างกาย ยังหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย ก่อนที่ผมจะรีบเก็บความรู้สึกนั้นลงไปเมื่อถูกด็อกเตอร์มาร์ตินตามตัวให้ไปช่วยงาน
บ้าชะมัด... ความรู้สึกนี้มันเหมือนกำลังหึงหวงคีธไม่มีผิด หรือผมควรจะต้องยอมรับว่าชอบคีธเข้าให้แล้วจริงๆ นะ?
 
ตลอดวันทั้งวัน ผมทำงานแทบไม่รู้เรื่องเลยก็ว่าได้เพราะในหัวมีแต่เรื่องของคีธเต็มไปหมด ยิ่งต้องมาทำงานคอยดูแลคิวนักแสดงและสตั๊นแมนในฉากที่มันเล่นด้วยแล้ว สมาธิของผมก็กระเจิดกระเจิงไปหมดเมื่อถูกสายตาคมคู่นั้นจ้องมองตลอดเวลา
มะ...มึงจะมองอะไรนักหนา กูก็อายเป็นเหมือนกันนะ โธ่เว้ย!
แต่จนแล้วจนรอดมันก็ได้แค่มองกันไปมองกันมาเท่านั้นแหละ เพราะผมก็ยังไม่กล้าคุยกับมัน มันเองก็คงจะเหนื่อยกับการพยายามเข้าหาผมล่ะมั้งถึงได้ปล่อยให้ผมทำงานโดยไม่เข้ามาก่อกวน จะมีก็แต่แอสตันกับริชาร์ดนี่แหละที่พอว่างเมื่อไหร่ ก็พากันจูงมือหายเข้าป่าบ้าง เข้าห้องน้ำบ้างอยู่เนืองๆ ผมรู้เลยว่าพวกมันหายไปทำอะไรกัน
พวกมึงนี่มันไม่เกี่ยงสถานที่กันเลยนะ!
ยอมรับว่าผมเห็นริชาร์ดยิ้มเล็กยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขยามพูดคุยเล่นหัวกับแอสตันแล้ว ผมก็แอบอิจฉาระคนหมั่นไส้เหมือนกัน ล่าสุดนี่ถึงกับนั่งหวีผมให้แอสตันโดยไม่แคร์ฝ่ายคอสตูมแม้แต่น้อย เห็นแล้วผมก็แทบจะเดินไปถีบมันให้หายหมั่นไส้ แม่ง ทำเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันไปได้ อย่างมึงก็เป็นได้แค่เห็บหมาข้างเทพบุตรเท่านั้นแหละไอ้ริชาร์ด!
หงุดหงิดฉิบหาย หงุดหงิดจนทนอยู่ดูพวกมันกระหนุงกระหนิงกันไม่ได้! พวกมึงเลิกถ่ายหนังแล้วไปเช่าโรงแรมอยู่ด้วยกันเลยไป๊! พาลเว้ยพาล!
แต่ก็พาลหัวฟัดหัวเหวี่ยงในใจได้ครู่เดียวเท่านั้นแหละ เพราะพอเลิกกองปุ๊บ เบนที่รับปากกับแอสตันว่าจะมาหาก็ปรากฎตัวมาให้เห็นพอดี แน่นอนว่าหมอนี่โผล่มาในฐานะเด็กเสิร์ฟน้ำอย่างเคย พอริชาร์ดเห็นหน้าเบนที่เดินเข้าไปทักผัวตัวเองด้วยสีหน้าเริงรื่นปุ๊บ มันก็ทำหน้าเมากัญชาใส่เด็กนั่นทันที หากแต่เบนมองเห็นหมอนั่นเป็นอากาศธาตุ คุยกับแอสตันหน้าตาเฉย
“องค์ชายเสวยอาหารหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังเลย” แอสตันว่ายิ้มๆ
“แล้วเมื่อวานองค์ชายได้เสวยมั้ยพ่ะย่ะค่ะ” เบนถามอีก ผมรำลึกได้ทันทีว่าก่อนหน้านั้นได้ยินเบนบอกให้แอสตันกินสารอาหารจากบรูคลินไปก่อนระหว่างรอตัวเองมา
“ไม่ได้กินหรอก”
พอแอสตันตอบ เบนก็ทำหน้าตกใจ
“ทำไมพระองค์ถึงไม่เสวยล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็บูลิโอเป็นโฮสต์ของคีทาเยนี่นา นายก็น่าจะรู้ว่าชาวยูนิกม่าไม่นิยมใช้โฮสต์ร่วมกัน มันเป็นธรรมเนียม”
“อย่างนี้พระองค์คงจะทรงหิวมากแน่ๆ” เบนทำหน้าจ๋อยๆ ทันใด ให้แอสตันได้ยกมือลูบหัวของเด็กนั่นเบาๆ
“นายก็มาแล้วนี่ไง”
ได้ยินเท่านั้น ริชาร์ดก็น่าตึงที่จู่ๆ ผัวตัวเองก็จะไปดูดปากกับเด็กในสังกัดซะอย่างนั้นขณะที่เบนยิ้มรับกว้างทันใด
“งั้นขอเชิญองค์ชายไปที่ลับตาพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะได้เสวยพระกระยาหารเต็มที่ วันนี้พระองค์ต้องวางไข่ด้วยนี่ หม่อมฉันเตรียมการสำหรับการคลอดไว้แล้ว ขอเชิญพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
แอสตันพยักหน้ารับ หันไปบอกริชาร์ดสั้นๆ
“เดี๋ยวเรามานะ”
“ไม่ให้ไป ถ้าจะกินก็มากินจากฉันนี่ วางไข่ก็วางที่ฉัน ไม่งั้นก็ปล่อยให้ตายไปเลย” ริชาร์ดว่าเสียงห้วน คว้าแขนล่ำของแอสตันไว้แน่น หน้าตาบอกบุญไม่รับสุดๆ ขณะที่เด็กเบนทำหน้างงงวย ส่วนแอสตันก็ยิ้มเผล่
“หึงเหรอ”
“เออ” ริชาร์ดว่ากระแทก
ผมเห็นแล้วก็หัวเราะก๊ากออกมาด้วยความสะใจเลย สมน้ำหน้ามึงไอ้ริชาร์ด ทำเป็นหวานแหววแต๋วจ๋า เป็นไงล่ะมึง พอเด็กผัวมึงมาแล้วฟีลเมียหลวงมาเต็ม เด็กผัวมึงมาทีก็จัดหนักจัดเต็ม แถมไม่มาเฉยๆ เอาดีดีทีมาฉีดมึงด้วย เห็บหมาช็อคเลยมั้ยล่ะมึง!
ใจจริงผมอยากจะดูนะว่าพวกมันจะทำอะไรกันต่อไป ไอ้นี่น่ะมันสนุกกว่าละครเมียหลวงเมียน้อยหลังข่าวอีกบอกเลย แต่ริชาร์ดก็จัดการลากแอสตันไปที่ป่าโดยมีเบนตามต้อยๆ ไปซะแล้ว ผมก็เลยอดดูไปโดยปริยาย หากแต่พอผมจะกลับไปที่เต็นท์เพื่อพักผ่อน เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง เรียกให้ผมหันไปมอง
“กวินทร์”
คีธนั่นเอง
ผมที่ไม่ได้ตั้งตัวว่าจะได้ประจันหน้ากับมันถึงกับทำหน้าไม่ถูก แต่ครู่เดียวผมก็ตั้งสติได้ แสร้งปั้นเสียงแข็งถามกลับทันใด
“อะไร”
“กลับมาเป็นโฮสต์ให้ฉันมั้ย” จู่ๆ คีธก็ว่าออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแทนที่จะพูดเรื่องอื่นอย่างเรื่องที่ทำกับผมเมื่อคืนก่อนอะไรเทือกนี้
ผมหรี่ตามองอย่างสงสัยกับท่าทางเหนื่อยอ่อนนั่น ทว่าก็ไม่ได้สนใจนักนอกจากสวนคืนไปโดยไม่หยุดคิดให้เสียเวลา
“ไม่”
“ไม่จริงๆ เหรอ”
“เออ ไม่ ไม่เอาอีกแล้ว นายถามฉันกี่รอบแล้ววะคำถามนี้เนี่ย น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่หว่า” ผมว่าลอยหน้าลอยตาไปเรื่อย
สายตาของคีธประกายความผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนี่จะส่งสายตาแบบนี้มาให้ทำไมทั้งที่รู้คำตอบของคำถามนี้ดีอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะถามยังไง ผมก็ไม่ยอมตกลง
ทว่าครั้งนี้มันต่างกันเพราะพอผมปฏิเสธแล้วแทนที่คีธจะเลิกตอแย ทว่ามันกลับว่าขึ้นมาอีกครั้ง
“วันนี้ฉันจะต้องวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ ถ้านายไม่กลับมาเป็นโฮสต์ให้ ฉันก็คงจะต้องพึ่งพาบูลิโอ”
ฟังแล้วผมก็เสียวแปลบขึ้นมาในใจขึ้นมา นึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ก็ได้ยินเบนพูดเรื่องวางไข่เหมือนกัน และผมก็ยิ่งเสียวแปลบในใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อนึกได้ว่าบรูคลินมันจ้องจะทำอะไรกับคีธอยู่ ใจผมนี่อยากจะกลับคำพูดทันควัน ทว่าไม่ทันจะได้อ้าปาก คีธก็เดินไปหาบรูคลินที่กำลังขนข้าวของไปเก็บแล้วเรียบร้อย
“บูลิโอ ได้เวลาแล้ว”
คีธว่าเรียบๆ บรูคลินพยักหน้า ปล่อยข้าวของที่อยู่ในมือให้ทีมงานคนอื่นจัดการต่อ ก่อนจะเดินตามคีธไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก
ผมเห็นแล้วก็ร้อนวาบทั่วทั้งร่างกายทันทีที่เห็นสองคนนั้นหายเข้าไปด้านใน ผมรู้ตัวเลยว่าอาการที่เกิดขึ้นกับผมมันคืออาการหึง...
หะ...หึง... หึงชะมัดเลย!
ผมอยากจะหันหลังกลับแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นชะมัด แต่จิตใต้สำนึกดันสั่งให้ขาทั้งสองข้างของผมก้าวตามสองคนนั้นไปเร็วๆ โดยผมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังทำอะไร พอมาหยุดหน้าห้องน้ำได้ ผมก็ไม่รอช้า ผลักประตูเข้าไปเต็มแรง โชคดีที่พวกมันไม่ได้ล็อคประตูห้องน้ำ ผมเลยเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
และพอแทรกตัวเข้ามาด้านใน ภาพของคีธที่มีสีหน้าอิดโรยกำลังประคองใบหน้าของบรูคลินเตรียมจะจูบก็ปรากฎสู่สายตาผมพอดี สองคนนั้นชะงักงันเมื่อจู่ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่เข้ามา หันมามองผมเช่นกัน คีธมองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบอย่างเคยขณะที่บรูคลินมองอย่างมีคำถาม
ผมไม่รอให้ใครต้องถามผมออกมาว่าเสนอหน้ามาที่นี่ทำไม ตรงเข้าไปหาคีธแล้วจัดการกระชากคอเสื้อหมอนั่นให้ออกห่างจากบรูคลินพลางพาตัวเองเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนนั้นอย่างลืมตัว
“หมอนี่เป็นของฉัน” ไม่รู้อะไรบันดาลใจให้ผมพูดอย่างนี้ แต่รู้ว่าตอนนี้ร่างกายผมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แถมหัวใจก็เต้นระทึกราวกับจะระเบิดออกมาให้ได้อีกต่างหาก
หึง... นี่มันคืออาการหึงจริงๆ ด้วย! ให้ตาย ทำไมผมจะต้องมาหึงมันจนตัวสั่นไปทั้งตัวแบบนี้นะ!
บรูคลินทำหน้าเอ๋อรับประทานไปทันทีด้วยยังตั้งตัวไม่ถูก ผมเองก็ไม่รอให้มันได้ตั้งตัวด้วย พูดจบก็หันไปหาคีธแล้วว่าเสียงกร้าว
“วางไข่มาเลย”
“หือ?” คีธเลิกคิ้วสูงให้ผมได้พูดซ้ำ
“วางไข่ใส่ฉันมาเลย ฉันจะเป็นโฮสต์ให้นายเอง”
“นายเป็นอะไรน่ะกวินทร์ ไม่สบายหรือเปล่า” คีธว่าเสียงเนือยๆ ให้ผมได้ย่นคิ้วยู่
“สบายดี วางไข่มาเร็วๆ” ผมเร่งเร้า กระชากคอเสื้อหมอนั่นเข้ามาทำท่าจะจูบปาก หากแต่คีธยกมือดันไหล่ผมเอาไว้
“เห็นเมื่อกี้เพิ่งจะปฏิเสธมาไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมันเมื่อกี้ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“แปลกแฮะ ปกติไม่เคยเห็นเสนอตัว ฉันว่ากวินทร์ป่วยแน่ๆ”
มึงนี่มันไม่ได้เข้าใจเลยใช่มั้ยว่าที่กูมาโผล่หน้าอยู่ตรงนี้เป็นเพราะอะไร! อย่ามาทำมึนตอนนี้ได้มั้ยโว้ย!
ตอนนี้ผมโคตรจะชัดเจนในความรู้สึกตัวเองเลยว่าผมชอบมันเข้าให้จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่หวั่นไหวอย่างที่ผมคิดในตอนแรก ถ้าไม่ชอบมันก็คงจะไม่หึงจนควันออกหูอย่างนี้หรอก ถึงจะไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ว่ารสนิยมทางเพศของตัวเองเปลี่ยนไปโดยไม่ทันตั้งตัวก็ตาม
“จะวางหรือไม่วาง อย่าเล่นตัวได้มั้ยวะ!” ผมชักจะหัวเสียที่คีธเอาแต่จ้องหน้าผมด้วยสายตาสงสัย
พอเห็นผมเริ่มออกอาการโมโห คีธก็พยักหน้าแล้วทำท่าจะจูบผม ทว่าก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อบรูคลินยกมือขึ้นมาแตะท่อนแขนของหมอนั่นเอาไว้
“เอ่อ...”
ผมตวัดหางตาไปมองขวับทันใด
มึงนี่มันไอ้ตัวขัดลาภจริงๆ!
“มีอะไร!” ไม่ใช่เสียงคีธ เสียงผมเองที่หันไปตวาดมัน
บรูคลินมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะว่าอ้อมแอ้มออกมา
“คือว่า... ถ้าท่านผู้พิทักษ์วางไข่ใส่เควินแล้ว เควินจะไปคลอดที่ไหนเหรอ ในกองถ่ายเนี่ยเหรอ?”
ผมนิ่งงันไปทันใด ลืมคิดถึงข้อนี้ไปเสียสนิทว่าถ้าต้องท้องคีธเพื่อสร้างร่างใหม่ ผมจะต้องอุ้มท้องมันเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง และถ้าจะต้องอุ้มท้องเพื่อรอคลอดในกองถ่าย รับรองเลยว่าคนทั้งกองถ่ายได้แตกตื่น เปลี่ยนจากถ่ายทำหนังฮอลลีวูดกลายมาเป็นถ่ายทำหนังสารคดีมนุษย์ต่างดาวแหวกสะดือแน่นอน เพราะดูท่าแล้วไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่น่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ได้จนครบยี่สิบสี่ชั่วโมงในสถานที่แบบนี้ เพราะไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องอาศัยร่วมกับคนอื่น ยังไงก็ความแตกแน่นอน
แต่ถ้าคีธวางไข่ใส่บรูคลิน มันก็ต้องท้องในกองถ่ายเหมือนกันนี่หว่า แล้วมันจะต่างจากผมตรงไหนล่ะถ้างั้น!?
ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ถาม บรูคลินก็เปิดปากอธิบายออกมาราวกับอ่านสีหน้าผมออกว่าผมจะถามเรื่องอะไร
“ฉันเตรียมสถานที่สำหรับคลอดไว้แล้ว เป็นโรงแรมด้านนอก ฉันจองไว้ตั้งแต่ก่อนมาที่นี่แล้วเพราะฉันรู้ว่าคืนนี้ฉันจะต้องไปซื้อของจำเป็นสำหรับฝ่ายคอสตูมน่ะ ก็เลยอ้างกับผู้กำกับว่าให้ท่านผู้พิทักษ์กับองค์ชายไปช่วยขนของด้วย”
อ๋อ มิน่าล่ะ ไอ้เด็กเบนถึงได้บอกว่ามันเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ที่แท้พวกมึงก็วางแผนกันเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วนี่เอง
“แต่ถ้าท่านผู้พิทักษ์อยากจะเปลี่ยนโฮสต์ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่คิดว่าเควินคงจะเดือดร้อนแน่ถ้ามีคนรู้” แล้วบรูคลินก็ว่าตบท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังเยาะเย้ยผมอยู่ก็ไม่รู้
“ท่านผู้พิทักษ์ตัดสินใจเถอะ” มันบอกกับคีธสั้นๆ
คีธมองหน้าผมเล็กน้อยพลันย่นคิ้ว ในใจผมรู้เลยว่ามันต้องไม่เลือกวางไข่ใส่ผมแน่ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันพูดขึ้นมา
“งั้นกวินทร์เอาไว้ครั้งหน้านะ”
มึงเลือกมันใช่มั้ยไอ้คีธ! ใช่ซี่! กูไม่มีโรงแรมไว้คลอดมึงนี่!
ผมโคตรจะรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่เลย อุตส่าห์เสนอตัวให้มัน แต่ดูมันสิแม่ง! มึงเห็นกูเป็นของตายสินะ! ใช่ซี่มึง! ใช่ซี่!
ผมก่นด่ามันพึมพำทันใด ก่อนจะว่ากระชากเสียงใส่หน้ามันอย่างหงุดหงิด
“เออ! เชิญไปแหกสะดือกันตามสบาย!” ว่าจบ ผมก็ทำท่าจะออกมาจากที่ตรงนั้น
ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้นะ ผมไม่เดินตามมันมาหรอก
ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้เปิดประตูห้องน้ำพาตัวเองออกไป คีธก็ตรงเข้ามาคว้าข้อมือผมเอาไว้
“กวินทร์”
ผมหันไปมองมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่คิดว่ามันคงจะไม่ได้เรียบเฉยอย่างที่ผมคะเนไว้ เพราะคีธมองแล้วก็ว่าขึ้นมาด้วยสีหน้าตาย
“อย่าโกรธ”
กูจะโกรธ! โกรธที่กูอุตส่าห์ถวายตัวถวายหัวเข้าปากมึงแต่มึงคายกูทิ้งเนี่ย!
ผมไม่พูด เอาแต่มองมัน มันก็เลยยกมือขึ้นมาวางบนหัวผมแล้วลูบไปมา
“อย่าโกรธนะกวินทร์”
กูโกรธหนักไปอีก! อย่ามาทำเหมือนกูเป็นหมานะเว้ย!
ผมสะบัดหัวออกจากมือมันทันใด ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ก่อนทำท่าจะออกจากห้องน้ำอีกครั้ง แล้วคีธก็ดึงผมไว้อีกครั้งเช่นกัน หากแต่ครั้งนี้ไม่ดึงเปล่า มันดันดึงเข้าไปกอดจากทางด้านหลังเสียอย่างนั้น
“อย่าโกรธนะกวินทร์ สัญญาว่าครั้งหน้าจะวางไข่ใส่นาย”
กูควรจะดีใจมั้ย! มึงคิดว่าคำพูดมึงคงจะโรแมนติกมากเลยล่ะสินะ!
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นโฮสต์ให้นายแล้ว เปลี่ยนใจ” ผมสวนกลับไป ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าหล่อๆ นั่น
คีธคงสัมผัสได้ว่าผมเคืองชัดเจนแม้ว่าน้ำเสียงที่ผมพูดจะเป็นน้ำเสียงเรียบๆ ก็ตาม และนั่นก็ทำให้คีธผละออกจากผม แต่ยังไม่ยอมปล่อย ผละออกเพื่อหมุนตัวผมให้หันไปประจันหน้าต่างหาก
“กวินทร์...”
มึงเลือกไอ้บรูคลิน มึงไม่ต้องมากวินทร์เลย!
“อย่าโกรธนะ” แล้วมันก็พูดประโยคเดิมขึ้นมาอีก
ผมเบือนหน้าหนี คีธก็จับปลายคางผมให้หันมาสบตา ผมย่นคิ้วยู่พลัน
“อะไรนักหนา!” แถมเผลอตะคอกใส่ด้วย
แต่แล้วคีธก็ทำให้ผมสงบลงด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
“นายเป็นโฮสต์คนแรกของฉันบนดาวดวงนี้ แล้วจะเป็นตลอดไป”
ผมใจเต้นระรัวพลัน ฟังแล้วเหมือนคำสาบานรักชะมัด แต่ขอโทษเถอะ เป็นโฮสต์คนแรกแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนสุดท้ายนี่หว่า! กูไม่หลงกลกับคำพูดอะไรแบบนี้หรอกเว้ยเพราะกูก็เคยใช้ตะล่อมสาวๆ มาก่อนเหมือนกันเวลาจะนอนกับพวกนั้นน่ะ
ผมยกมือทำท่าจะผลักมันออก แต่มันก็ทำให้ผมใจอ่อนเมื่อมันว่าขึ้นมาอีกครั้ง
“นะกวินทร์ อย่าโกรธนะ” พูดอย่างเดียวไม่พอ ทำตาเป็นลูกหมาใส่ด้วย
สายตาแบบนี้ผมไม่ได้เห็นมาระยะนึงแล้ว พอเห็นปุ๊บ ความขุ่นเคืองก็ถูกทำลายไปทันตา
“เออ รีบไปวางไข่แล้วรีบๆ ไสหัวกลับมา” ผมตัดบทเอาดื้อๆ
คีธพยักหน้า ก่อนจะประทับจูบลงบนกลีบปากผมเบาๆ โดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว
“สัญญาว่าครั้งหน้าฉันจะวางไข่กับนาย” พูดจบ มันก็เดินกลับไปหาบรูคลินที่ยืนมองอยู่ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในลำดับต่อไป แล้วก็ไม่อยากอยู่ดูด้วย แต่ก็ไม่ทันจะได้ก้าวไปไหน คีธก็จูบกับบรูคลินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว... ไม่สิ ไม่ใช่คีธจูบ เป็นบรูคลินต่างหากที่ดึงไอ้บ้าคีธเข้าไปจูบ
นี่มันสาสน์ท้ารบชัดๆ เลยนี่หว่า!
“ฝากด้วยนะบูลิโอ” คีธว่าหลังจากผละออกมาจากริมฝีปากของคนตรงหน้า
บรูคลินพยักหน้ารับก่อนค่อยๆ ประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของคีธลงไปนอนราบกับพื้น พลันหันมามองผมนิ่ง ผมเองก็สบตาคู่นั้นอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนที่บรูคลินจะพึมพำขึ้นมาเบาๆ
“น่าขยะแขยง”
“อะไรนะ”
“ฉันบอกว่าน่าขยะแขยง รสชาติของนายอยู่ในปากของท่านผู้พิทักษ์ตอนวางไข่ มันน่าขยะแขยง”
ฟังแล้วขมับก็เต้นกระตุกยิก ถึงท่าทางมันตอนพูดจะดูหน่อมแน้ม แต่ผมสาบานเลยว่ามันโคตรจะกวนโมโหผมเลย
ผมตั้งท่าจะสวนมันกลับว่า ‘ถ้าขยะแขยงมาก ทีหลังก็อย่าไปเสนอหน้าเป็นโฮสต์ให้ใคร’ ทว่าบรูคลินก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเสียก่อน
“ฉันเคยบอกนายแล้วนี่เควินว่าอย่ามายุ่ง นายเองก็รับปากแล้วนี่นา”
“แล้วจะทำไมวะ” ผมเอียงคอ สวนกลับอย่างเอาเรื่อง ท่าทางของผมตอนนี้บอกได้เลยว่าโคตรจะนักเลงอ่ะ
“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่ฉันไม่อยากจะทำร้ายนายก็เท่านั้น เบนก็บอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าไม่ฟัง พวกเราจะทำอะไร” มันว่าเนิบๆ
บอกตรงๆ ว่าตอนมันพูดประโยคนี้ ผมไม่รู้สึกว่ามันดูหน่อมแน้มอย่างที่เคยเป็นเลยแม้แต่น้อย หากแต่ดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจอย่างน่าประหลาดแม้ว่ามันจะไม่ได้แสดงสีหน้าต่างจากที่เคยทำเลยก็ตาม
“มันก็สิทธิของคีธว่าจะเลือกใครเป็นโฮสต์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันหรือนาย” ผมว่าสวนอย่างไม่เกรงกลัว
โอเค... จริงๆ ก็กลัวนั่นแหละ กลัวมันจะแปลงร่างแล้วเอามือเปรตวัดสุทัศน์เท่าใบตาลของมันมาตบผมหัวหลุดกระเด็น
ทว่าบรูคลินไม่ทำอะไร เอาแต่พูดพล่ามเท่านั้น
“ฉันเฝ้ามองท่านผู้พิทักษ์มานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะอพยพมายังดาวของนายอีก แล้วก็รอคอยวันที่จะเป็นโฮสต์ให้เขามานานแล้วเช่นกัน ฉันจะไม่ยอมให้มนุษย์โลกอย่างนายชุบมือเปิบเด็ดขาด”
ชุบมือเปิบอะไรวะ เค้าเรียกว่าใครดีใครได้เว้ยของแบบนี้น่ะ!
ผมไม่ตอบอะไรกลับไป มองบรูคลินเดินเข้ามาหาผมนิ่งๆ พอมันเดินมาหยุดตรงหน้าผม มันก็ว่าขึ้น
“อย่ามายุ่งแล้วกันเควิน ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันใจร้าย” พูดจบก็เปิดประตูห้องน้ำแล้วทิ้งท้ายไว้ “ฝากดูแลร่างเก่าของท่านผู้พิทักษ์จนกว่าจะสลายด้วย เดี๋ยวมีคนมาเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ ฉันไปที่โรงแรมก่อน”
สิ้นเสียง มันก็เดินออกไปเลย ผมมองตามมันด้วยอารมณ์แบบ... อะไรวะ! โดนมันขู่แล้วยังโดนมันใช้อีก กูนี่ใช่ขี้ข้ามึงมั้ยเนี่ย!
ผมอยากจะวิ่งไปกระโดดถีบมันเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าร่างที่แท้จริงของมันเป็นอุปสรรคล่ะก็ ผมคงจะไม่รีรอทำไปแล้ว และผมก็นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาด้วยที่ดันเชื่อฟังไอ้เปรตวัดสุทัศน์อย่างบรูคลิน ยืนเฝ้าศพไอ้เวรคีธอยู่เป็นชั่วโมงเพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นมาเห็น
ตอนนี้รู้เลยว่าฟีลเมียหลวงที่ไอ้ริชาร์ดมันรู้สึกน่ะมันเป็นยังไง
พอร่างเก่าของคีธสลาย ผมก็จัดการเก็บเสื้อผ้าของมันแล้วพาตัวเองออกมาจากห้องน้ำด้วยอารมณ์บูดสุดๆ ออกมาก็เจอริชาร์ดที่ทำหน้าเป็นตูดลิงแบบประจวบเหมาะพอดี ในมือมันหอบเสื้อผ้าของแอสตันเหมือนกับผมเด๊ะ ผมเดาได้เลยว่าแอสตันมันก็คงจะเลือกวางไข่ใส่เบนเหมือนกัน และพอมันเห็นหน้าผม มันก็โยนเสื้อผ้าแอสตันทิ้งโครม ก่อนออกปากกับผมด้วยน้ำเสียงเครียด
“ขอบุหรี่คืนด้วย”
“เอ้า ไหนว่าจะเลิกแล้วไง” ผมเลิกคิ้วสูง รู้เลยว่ามันจะเอาไปดูดคลายเครียดเรื่องแอสตัน แต่มันไม่ยอมพูด นอกจากแบมือจะเอาบุหรี่คืนอย่างเดียว
“เอามาเถอะน่า ฉันอยากดูด”
“ไม่ดีต่อเด็กในท้องนะเว้ย บุรุษมีครรภ์ไม่ควรดูด” ผมแสร้งว่าเย้า
หัวคิ้วริชาร์ดกระตุกยิกทันใด ก่อนมันจะว่าเสียงดังเล็กน้อย
“ช่างแม่งเถอะ เอาบุหรี่มา!”
ผมพยักหน้ารับแล้วล้วงมือลงไปควานหาบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ก่อนส่งให้มัน พอได้บุหรี่ไปอยู่ในมือปุ๊บ ริชาร์ดก็มี่รอช้า จุดสูบๆ จนหมดไปหลายมวน ผมมองมันแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ
ในที่สุดมึงก็กลับมาเป็นไอ้เจ๊กเมากัญชาเหมือนเดิมแล้วสินะ ดีละ เห็บหมาแอ๊บแบ๊วน่ะไม่เหมาะกับมึงหรอกกูพูดเลย
ถึงผมจะคิดอย่างนั้น แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้สนุกอะไรหรอกนะ ออกจะสงสารมันมากกว่าที่ต้องสละผัวไปให้เด็กอย่างจำยอม
มึงนี่ชะตากรรมเดียวกันกับกูแท้ๆ อุตส่าห์เสนอตัว โดนเทมาทั้งคู่ สมควรแล้วล่ะที่เป็นเพื่อนกู นี่แหละโบราณถึงได้เรียกพูดว่าเพื่อนแท้ต้องไม่ทิ้งกัน แต่ผมไม่บอกมันหรอกว่าผมก็โดนมาแบบมัน ไม่อย่างนั้นมันต้องล้อผมแน่ที่เมื่อเช้าเอาแต่ปฏิเสธว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคีธ
ไม่รู้สึกบ้าบออะไรล่ะ ชอบไปแล้วชัดๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเฟลแบบนี้หรอก!
 

 
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.19]--27/12/58[หน้า5]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 29-12-2015 22:11:32
Episode 20: Kawin vs Brooklyn for Keith[2]
คืนนั้นผมกับริชาร์ดนอนกันแทบไม่หลับ ไม่ใช่ว่าผมเป็นห่วงคีธจนนอนไม่หลับนะ นอนไม่หลับเพราะไอ้ริชาร์ดแม่งพลิกตัวไปมา ไม่ก็นั่งๆ นอนๆ เพราะเป็นห่วงผัวทั้งคืน
มึงนี่ไม่เห็นใจคนทำงานมาเหนื่อยๆ เลยนะ กูอยากจะนอน เลิกพลิกตัวมาชนกูสักที!
ผมโคตรอยากจะด่ามันเลย แต่พอเห็นมันสูบบุหรี่จัดหนักผิดปกติ ผมก็ไม่พูดอะไร ดูท่าทางมันคงจะเครียดจริงๆ เลยยอมอดนอนเพราะมัน พอรุ่งเช้า ผมก็กลายสภาพเป็นผีตายซาก เดินไปที่เต็นท์ทำงานอย่างอ่อนระโหยโรยแรง แต่แล้วก็ต้องตาสว่างทันควันเมื่อคนแรกที่ผมเจอในเต็นท์นั้นไม่ใช่ผู้กำกับวิลล์หรือด็อกเตอร์มาร์ตินที่มาเตรียมพร้อมสั่งงาน ทว่าเป็นซีเลนในชุดลำลองที่กำลังยืนท่องบทสำหรับฉากวันนี้ต่างหาก
เวรเอ๊ย เมื่อวานอุตส่าห์รอดตัวจากมันอย่างหวุดหวิดได้แล้ว ยังจะมาเจอมันนอกเวลาถ่ายทำอีก (ถ้าเป็นเวลาถ่ายทำ ผมยังเบาใจได้ว่ามันไม่กล้าทำอะไรเพราะมีคนอยู่ด้วยเยอะไง) ถ้าเกิดต่อมหื่นมันกำเริบขึ้นมา ได้มีซวยขนานใหญ่แน่!
ผมทำท่าจะหมุนตัวหนีทันที แต่ซีเลนก็ดันตาดี มองเห็นผมซะก่อน
“อรุณสวัสดิ์กวินทร์”
ผมชะงักกึก หันกลับไปมองมันแล้วทำหน้าแหย
“อะ...อรุณสวัสดิ์” ทำหน้าแหยอย่างเดียวไม่พอ มองหาริชาร์ดด้วย แต่มันไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว มันเดินลิ่วไปอีกทางโดยที่ผมไม่รู้ตัวเรียบร้อยทั้งที่ตอนแรกเดินตามกันมาติดๆ แท้ๆ
จำไว้เลยนะไอ้เพื่อนเวร วันหลังมึงโดนไอ้ซีเลนปล้ำ กูจะไม่ช่วยมึง!
ผมว่าเดี๋ยวซีเลนจะต้องถามว่าทำไมริชาร์ดถึงเดินหนีแน่ๆ แต่ผิดคาด ซีเลนไม่ถาม พึมพำอยู่คนเดียวเท่านั้น
“กลิ่นของริชาร์ด...” พึมพำแล้วก็หลับตาพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง
ผมนี่ขนลุกชันเลย
มึงยังไม่เลิกดมชาวบ้านเค้าอีกเหรอวะ! กูว่ามึงไม่ธรรมดาแล้วว่ะซีเลน โรงพยาบาลประสาทมั้ย ไปตรวจหน่อยเถอะกูขอ
สูดได้ฟอดใหญ่เสร็จ มันก็ลืมตาแล้วมองมายังผม ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
“นายเองก็กลิ่นแรงขึ้นกว่าเดิมเหมือนกัน”
“กะ...ก็เมื่อวานฉันไม่ได้อาบน้ำ” ผมว่าตะกุกตะกักไปทันใดเมื่อซีเลนโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วหลับตา
“ไม่ใช่กลิ่นตัว กลิ่นอย่างอื่น”
อย่างอื่นอะไรของมึงเนี่ย! เลิกดมกูซะที!
“โดยเฉพาะตรงนี้” แล้วมันก็เลื่อนปลายจมูกมาชนกับริมฝีปากผม
ผมสะดุ้งเฮือก ตกใจนึกว่ามันจะจูบเลยถอยไปชนกับเสาเต็นท์ซะเต็มแรง ในจังหวะที่ผมชนนั่นเอง เสาเต็นท์เหล็กก็โยกคลอนจนโค่นล้มลงมา ผมหลับตาปี๋ นึกว่าจะเจ็บตัวแต่เช้าเพราะถูกไอ้หื่นซีเลนดมซะแล้ว แต่พอล้มลงไปนอนราบกับพื้น ผมก็เห็นใบหน้าของซีเลนอยู่ใกล้เพียงคืบขณะที่ตัวมันทาบทับผมอยู่ใต้ผ้าใบเต็นท์นั้น
ผมรู้ทันทีว่ามันใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้ผมอยู่ ก่อนจะได้สติอีกครั้งเมื่อมันปริปากออกมา
“เป็นอะไรมั้ยกวินทร์”
ใจผมเต้นเลย... ไอ้ซีเลนภาคมนุษย์ปกติ ไม่หื่นกาม ไม่ลามก ไม่ทะลึ่ง โคตรจะสุภาพบุรุษจนผมไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นคนเดียวกัน ท่าทางนิ่มนวลอย่างนั้นทำเอาหน้าหล่อๆ ของมันดูหล่อกว่าเดิมหลายเท่าทันตา
“มะ...ไม่เป็นไร”
“ดีแล้ว”
มันว่า แล้วก็จัดการถลกผ้าใบเต็นท์ที่คลุมเราทั้งคู่อยู่ออก ก่อนที่เสียงโวยวายของทีมงานคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์จะดังขึ้นและพากันกรูเข้ามาดึงผมกับซีเลนให้ลุกขึ้น พร้อมถามไถ่ว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
ผมสบายดี ยังมีอวัยวะครบทั้งสามสิบสองประการเช่นเดิม แต่ซีเลนไม่ ดูท่าทางตอนเต็นท์ล้มแล้วหมอนั่นเข้ามาคร่อมกำบังผม เหล็กขาเต็นท์จะกระแทกเข้ากับหัวไหล่ซ้ายไปหน่อยนึงด้วย หากแต่มันบอกกับทีมงานคนอื่นๆ ว่าไม่เป็นไรเหมือนกัน แถมยังโชว์ควงแขนทั้งสองข้างให้ดูว่ายังสบายดี ก็เลยไม่ถูกตอแย มีแต่ผมนี่แหละที่เดินเข้าไปถามมันเพื่อความแน่ใจอีกครั้งด้วยกลัวว่าผมจะเป็นต้นเหตุทำให้พระเอกของหนังฮอลลีวูดเรื่องนี้ได้รับบาดเจ็บ
“นายโอเคแน่นะ”
“แล้วมีตรงไหนที่นายคิดว่าฉันไม่โอเคล่ะ”
ผมปรายตาสำรวจดูแล้วก็ยังเห็นมันปกติดีเลยไม่ได้เซ้าซี้อะไร ก่อนจะพูดขึ้น
“เอาเป็นว่าขอบใจแล้วกันที่ช่วยฉัน”
“ไม่เป็นไร ฉันเป็นพระเอกนี่นา แถมเป็นซูเปอร์ฮีโร่ด้วย จะช่วยคนก็ไม่แปลก ฉันเป็นคนดีนี่” มันว่าพลางยักคิ้วแล้วยิ้มเผล่
มึงจะดีกว่านี้มากถ้ามึงลดความหื่นลงได้สักเก้าสิบเปอร์เซ็นต์น่ะไอ้ซีเลน!
ถึงผมจะคิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูด และไม่คิดจะพูดด้วยเพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมา มันจะไปกระตุ้นความจำว่ามันสมควรจะหื่นแล้วหันมาปล้ำผมแทน กอปรกับซีเลนถูกผู้กำกับวิลล์เรียกให้ไปแต่งหน้าแต่งตัวด้วย บทสนทนาเลยจบลงแค่นั้น
“ไว้ว่างแล้วค่อยคุยกันใหม่นะกวินทร์ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายเยอะแยะเลย” ซีเลนทิ้งท้ายไว้โดยไม่ถามผมสักคำว่าอยากจะคุยกับมันมั้ย
คุยกันครั้งใหม่ มึงต้องหาเรื่องปล้ำกูแน่ๆ กูเชื่อ!
ซีเลนหันหลังให้ผมแล้วเดินออกไป จังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นว่าข้อศอกข้างหนึ่งของหมอนั่นแตก คงจะกระแทกกับเศษหินตอนที่ตะครุบตัวบังผมไว้แน่ๆ และผมเกือบจะร้องทักมันแล้วถ้าเกิดว่าสายตาไม่เห็นของเหลวสีเขียวใสไหลซึมผ่านออกมาจากผิวหนังนั่น
ของเหลวสีเขียวใส... สีเหมือนเลือดของคีธที่ผมเคยเห็นในวันที่เจอกับหมอนั่นครั้งแรก...
ระ...หรือว่า...ไอ้ซีเลนจะเป็น...
ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นมนุษย์ต่างดาว คีธกับแอสตันก็น่าจะได้กลิ่นเหมือนตอนที่คีธได้กลิ่นของอาแปะลีโอนาร์โดนี่ อาจจะเป็นคลอโรฟิวล์ของใบไม้ที่อยู่บนพื้นก็ได้...อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้...
ก็ได้บ้านมึงไอ้กวินทร์ คลอโรฟิวล์ใบไม้มันคงไม่ไหลโจ๊กเป็นน้ำตกอย่างนั้นหรอก!
ผมไม่กล้าคิดต่อ ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ถ้าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกตัวนึงล่ะก็ รับรองเลยว่าไม่ต้องหวังว่าโลกจะปลอดภัยอีกต่อไปเลย
ดาวกูเป็นเมืองขึ้นของมนุษย์ต่างดาวไปโดยไม่รู้ตัวแล้วเนี่ยแม่งเอ๊ย!
----------------------------------------
กวินทร์หึงแรงมากกก ยอมรับแล้วสินะว่าชอบเค้า แต่ยังปากหนัก ไม่ยอมพูดเหมือนเดิม
บรูคลินนี่เห็นเงียบๆ ร้ายนะจ๊ะ มาขู่กวินทร์น้อยซะได้ ฟีลเมียหลวงปะทะเมียน้อยมาก ฮาาา ส่วนซีเลนนี่อะไรยังไงไว้จะค่อยมาเฉลยเนอะ สงสารสุดคือริชาร์ดอ่ะ เมียหลวงสุดอะไรสุด ยิ่งกว่ากวินทร์อีก 555
อยากจะบอกว่าใครที่ลุ้นให้คีธกินหัวกินหางกวินทร์ ให้รอตอนหน้านะคะ มาพรุ่งนี้เน้อ

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.10]--29/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 29-12-2015 22:27:03
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
ปล.คนแต่งใส่ชื่อตอนผิดป่าว จาก20เป็น10 อ่า
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.20]--29/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 29-12-2015 22:40:55
แก้เรียบร้อยค่า ขอบคุณที่เตือนน้า ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.20]--29/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 29-12-2015 23:55:38
ศึกเมียหลวงเมียน้อยใหญ่หลวงนัก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.20]--29/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 30-12-2015 00:18:43
#ทีมเมียหลวง
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.20]--29/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 30-12-2015 08:50:20
เอาล่ะจ้า ทีมเมียหลวงได้ฤกษ์ออกโรงและจ้า  :interest:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.20]--29/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 30-12-2015 21:28:46
Episode 21: Relationship between both ‘K’[1]
เอเลี่ยนสี่ตัวนั่นกลับมาที่กองถ่ายดังเดิมหลังครบยี่สิบสี่ชั่วโมง พอกลับมาถึงปุ๊บ เบนขอตัวกลับก่อนเพราะมีเรียนในวันถัดไป มีคนถามบรูคลินนิดหน่อยว่าทำไมน้องชายถึงได้มารับงานพาร์ทไทม์แค่วันเดียว บรูคลินก็โกหกเนียนๆ ไปว่าเบนไม่มีเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วแม่งก็แค่มาให้แอสตันวางไข่แล้วก็คลอดออกมาเท่านั้นแหละ
พอเบนหายหัวไป แอสตันก็เริ่มปฎิบัติการง้อเมียทันที แน่นอนว่าริชาร์ดอยู่ในโหมดเมียหลวงโกรธมาก ทำเป็นสะบัดสะบิ้ง ไม่ยอมให้แอสตันเข้าหน้า ผมเห็นแล้วนี่ยิ้มเลย ผมจะได้มีเพื่อนเพราะผมก็ตั้งใจว่าจะไม่คุยกับไอ้เวรคีธเหมือนกัน โทษฐานที่ผมอุตส่าห์พลีกายให้มันแต่มันดันบ้วนผมทิ้งอย่างไม่ไยดี
ทว่าพอเผลอละสายตาจากไอ้ริชาร์ดแป๊บเดียว มันก็ควงหายไปในที่ลับสายตากับแอสตันเป็นที่เรียบร้อย โผล่มาอีกที มันก็ทรานส์ฟอร์มจากริชาร์ดเมากัญชากลายมาเป็นเห็บหมาแอ๊บแบ๊วเหมือนเดิม
มึงนี่โดนผัวง้อแบบสิบแปดบวกทีไร ใจอ่อนทุกทีเลยนะไอ้เจ๊กใจง่าย!
เห็นแล้วก็หงุดหงิดที่ไม่เพียงจะถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ เท ยังโดนเพื่อนสนิทตัวเองเทเมื่อผัวมันมาอีกต่างหาก
ช่างแม่ง กูอยู่ของกูคนเดียวก็ได้!
พอเป็นแบบนั้น ผมก็เลยถมึงทึงหนักเข้าไปอีกแม้ว่าคีธจะพยายามเข้าหาผมเพื่อพูดคุยเรื่องที่ผมรับปากว่าจะเป็นโฮสต์ให้ในครั้งต่อไปก็ตาม แต่ขอโทษเถอะ กูเปลี่ยนใจตั้งแต่มึงคายกูทิ้งเมื่อวานนี้แล้ว!
และคีธก็เข้าหน้าผมไม่ติดต่อเนื่องยาวกระทั่งเราถ่ายฉากที่ต้องใช้ป่าเสร็จสิ้น จนถึงเวลายกกองกลับฮอลลีวูด การถ่ายทำครั้งนี้ดำเนินไปด้วยดีจนผู้กำกับวิลล์ต้องออกปากชมความตั้งใจและความร่วมมือของทีมงาน และคนที่ถูกชมหนักกว่าใครเพื่อนก็คือซีเลนที่จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าผีบ้าอะไรเข้า เปลี่ยนจากไอ้หื่นกามมาเป็นสุภาพบุรุษเสียอย่างนั้น แม้แต่ผมเองยังแปลกใจเลยที่มันดูเป็นมนุษย์ปกติ ไม่ไปไล่ปล้ำชาวบ้านอย่างที่ควรจะเป็น จะมีก็อย่างเดียวที่เห็นแล้วยังคิดว่ามันโรคจิตก็คือการที่มันเที่ยวไล่ดมคนอื่นไปทั่วนี่แหละ โดยเฉพาะการดมไอ้ริชาร์ดกับบรูคลิน ผมก็โดนบ้างนิดหน่อยแต่หลังๆ ก็หยุดไป ไปเน้นดมสองคนนั้นแทน
กูว่าถ้ามึงไม่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีจมูกดี มึงก็ต้องป่วยทางจิตแน่ๆ เลยไอ้ซีเลน
ถึงผมจะแอบคิดว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกตัวแต่ก็ไม่พูดไป เพราะเห็นว่าบรูคลิน คีธกับแอสตันไม่ได้พูดอะไร เลยนึกว่าพวกนั้นรู้แล้ว ถึงพวกมันจะยังไม่รู้ ผมก็ไม่พูดหรอก ไอ้แอสตันมันก็คงไม่มีเวลามาพูดกับผมเพราะมันเอาแต่เกาะติดริชาร์ดแจ ไอ้บรูคลินนี่ไม่พูดด้วยอยู่แล้ว หมั่นน้ำหน้ามัน ส่วนไอ้คีธ...
บอกเลยว่ากูงอนแรง!
พอรถบัสของกองถ่ายมาถึงที่สตูดิโอในฮอลลีวูด ผมก็ไม่รอช้า คว้ากระเป๋าสัมภาระ เดินดุ่มๆ ออกมาว่าจะเรียกแท็กซี่กลับห้องโดยไม่รอริชาร์ดที่ยังพร่ำพรรณาบอกลากับผัวมันไม่เลิกแต่อย่างใด ทว่าเดินมายังไม่ทันจะพ้นสตูดิโอดี มือใหญ่ของใครบางคนก็คว้ากระเป๋าที่ผมกำลังลากไว้ ผมรู้เลยว่าเป็นฝีมือใคร พอหันไปก็ใช่จริงๆ ด้วย
ไอ้คีธ...
ผมหันไปมองด้วยสายตาขุ่นๆ โดยไม่พูดอะไรออกไปสักคำ มีแต่มันเท่านั้นที่เรียกชื่อผมเสียงเรียบ
“กวินทร์... ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”
เห็นหน้ากูแล้วก็ไม่น่าถาม หน้ากูยู่ขนาดนี้คงจะดีใจมั้ง!
“อย่าโกรธนะกวินทร์ บอกแล้วนี่ว่าครั้งหน้าจะวางไข่ใส่นาย” พอเห็นผมไม่พูด มันก็พูดขึ้นมาอีก
มึงอย่ามาคิดว่าคำพูดว่าจะวางไข่ใส่กูมันโรแมนติกได้มั้ย!
“จะไปวางไข่ใส่ใครที่ไหนก็เอาเถอะ เพราะฉันจะไม่เป็นโฮสต์ให้นายแล้ว ปล่อย ฉันจะกลับไปพัก” ผมว่าออกมานิ่งๆ แล้วกระชากกระเป๋าออกจากการเกาะกุมของมัน
คีธย่นคิ้วนิดหน่อยก่อนจะละมือจากกระเป๋า แต่แทนที่มันจะยอมปล่อยให้ผมไปง่ายๆ มันดันเดินเข้ามาคว้าต้นแขนผมเสียอย่างนั้น
“กวินทร์”
“อะไรอีก” ผมแหวใส่ทันใด
“อย่าโกรธ”
กูจะโกรธเพราะมึงตื๊อกูไม่เลิกเนี่ย!
“เออๆ ไม่โกรธ แต่ไม่เป็นโฮสต์ให้โอเคมั้ย แล้วก็ปล่อยสักที ฉันจะได้กลับ เหนื่อย” ผมตัดบทเอาดื้อๆ
คีธยอมปล่อยผม ยืนมองผมเดินจากมานิ่งๆ ผมแอบเหล่ไปมองข้างหลังแล้วก็ย่นคิ้ว
มึงง้อกูแค่นี้เองเหรอวะ! แล้วมึงก็ดันมาเชื่อกูอีกว่ากูไม่โกรธแล้ว มะ...มึงนี่มันมึนจริงๆ เลย!
ผมบ่นกระปอดกระแปดเล็กน้อยที่มันง้อก็ไม่ง้อให้สุด หากแต่พอผมจะเดินต่อ เสียงของริชาร์ดก็ดังเรียกผมไว้ให้ผมหันไปมองพอดี
“เฮ้เควิน คืนนี้แอสตันจะไปนอนกับฉันนะ”
แล้วมึงจะมาบอกกูทำไมว่ามึงจะไปนอนด้วยกันฮะ! ไอ้คนอวดผัว!
ผมเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้ทันทีที่เห็นมันควงกับแอสตันมากระหนุงกระหนิง โถ... ไอ้เห็บหมา อยากจะด่ามันต่ออีกเยอะๆ ฉิบเป๋ง แต่ตอนนี้เพลียกับความมึนของไอ้คีธมากกว่าเลยได้แต่ปล่อยไป
พอเห็นผมพยักหน้ารับเนือยๆ ริชาร์ดก็ว่าขึ้นมาด้วยสีหน้าระรื่นอีก
“คีธก็จะไปด้วย ฝากหมอนั่นไปนอนห้องนายคืนนึงนะ”
อะไรของมึงวะ จะเอาผัวไปนอนก็เอาแค่ผัวไปสิ ขี้ข้าผัวเอามาด้วยทำไม!
“ไม่ต้องเลย วันนี้ฉันเหนื่อย ฉันอยากพักผ่อนเงียบๆ” ผมรีบปฏิเสธ ทว่าริชาร์ดก็เสนอหน้ามาประจบผมทันใด
“เอาน่า ปกติคีธมันก็เป็นคนเงียบๆ อยู่แล้ว นายก็พักผ่อนไปสิ มันไม่กวนนายหรอก”
“แล้วทำไมมันต้องตามมาด้วยวะ ลำบากคนอื่นเห็นมั้ยเนี่ย”
“ไม่ลำบากหรอก นิดหน่อย”
นิดหน่อยป้ามึงไอ้ริชาร์ด มึงไม่เห็นเหรอว่ากูกำลังโกรธมันอยู่เนี่ย!
ผมไม่พูด เอาแต่มองหน้าริชาร์ดอย่างเคืองๆ จนแอสตันต้องรีบออกปากช่วยเมีย
“คีทาเยไม่รบกวนนายหรอก เรารับประกันได้”
“แล้วทำไมนายไม่มาคนเดียว” ผมสวนคืนแทบจะในทันใด ก่อนแอสตันจะยิ้มร่าตอบ
“ก็คีทาเยเป็นผู้พิทักษ์ของเรา เวลาเราไปไหนก็ต้องไปด้วย ตามไปพิทักษ์เราไง”
ทีตอนมึงยังไม่เจอมัน มึงยังอยู่ของมึงได้ พอมาตอนนี้ทำมาเป็นบอบบางเชียวนะไอ้เจ้าชายลามก!
“นะ แค่คืนเดียว” ริชาร์ดร่วมวงอ้อนผมกับผัวเป็นพัลวัน
ผมเห็นท่าทางแอ๊บแบ๊วของมันแล้วก็รำคาญ เลยรับปากส่งๆ ไป
“เออ แค่คืนนี้นะ แต่ถ้ามันวุ่นวายเมื่อไหร่ ฉันจะเฉดหัวกลับไปทันที โอเคนะ”
แอสตันกับริชาร์ดพยักหน้ารับกันรัวๆ ผมถอนหายใจ เหลือบไปมองคีธที่ยังยืนอยู่ที่เดิมและยังทำสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิมอย่างเหนื่อยใจ
ทำไมมึงไม่เข้ามาขอร้องไปค้างที่ห้องกูเหมือนไอ้พวกนี้บ้างวะ แม่ง มึงนี่มันจะเฉยชาเกินไปละ
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.20]--29/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 30-12-2015 21:29:37
Episode 21: Relationship between both ‘K’[2]
สรุปผมก็ยอมให้มนุษย์ต่างดาวสองตัวนั่นตามมายังที่พักจนได้ พอมาถึงที่หมายปุ๊บ แอสตันกับริชาร์ดก็หายหัวเข้าห้องไปประหนึ่งล่องหน ผมนี่มองตามมันสองคนที่จูบกันตั้งแต่ยังไม่เปิดประตูอย่างระอา พอหายเข้าไปในห้องก็ตามมาด้วยเสียงประหลาดๆ อีก เห็นแล้วก็อยากจะวิ่งลงไปซื้อยาคุมให้มันถ้าไอ้ริชาร์ดเป็นผู้หญิง
พวกมึงนี่มันขยันทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันจริง!
“เมื่อไหร่จะเปิดประตูล่ะกวินทร์” คีธว่าขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่ยืนจ้องประตูห้องของริชาร์ด
ผมเหลือบมองหน้ามันเล็กน้อยแล้วก็ล้วงหาคีย์การ์ดจากในกระเป๋าเสื้อออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องเป็นคนแรก
“ห้องกวินทร์นี่ ไม่ได้มานานแล้วนะ”
คีธพยายามจะชวนผมคุยล่ะ แต่ผมทำเป็นไม่สน รื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าแล้วจัดการเอาโน้ตบุ๊กมาวางบนโต๊ะ พลันสายตาก็เหลือบเห็นโน๊ตบุ๊กอีกเครื่องซึ่งเป็นของริชาร์ดอยู่ในกระเป๋าด้วย ผมนึกออกในตอนนี้นี่เองว่าหมอนั่นฝากโน้ตบุ๊กไว้กับผมตอนเราแพ็กกระเป๋ากลับฮอลลีวูด เพราะกระเป๋าเป้ของมันเต็มไปด้วยเสื้อผ้าใส่แล้ว ผมอยากจะเอาไปคืนมันตอนนี้ชะมัด แต่คิดว่ามันคงจะไม่มีอารมณ์มาเปิดประตูให้ผมแล้วล่ะ นัวเนียกับไอ้แอสตันตั้งแต่หน้าประตูซะขนาดนั้นน่ะ
ผมเลยเดินเนือยๆ เอาโน้ตบุ๊กของมันมาวางไว้บนโต๊ะด้วย ก่อนจะเปิดโน๊ตบุ๊กของตัวเอง ตั้งใจว่าจะเช็คคิวนักแสดงกับสตั๊นแมนของคิวถ่ายทำใหม่ในวันมะรืนให้เสร็จๆ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมจะได้พักผ่อนเต็มวันโดยไม่ต้องทำอะไร
“กวินทร์ ทำไมไม่คุยกับฉันเลยล่ะ” แล้วไอ้คีธมันก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่วุ่นวายกับอย่างอื่น
ผมหันไปมองมันแล้วก็ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงประหนึ่งรำคาญ
“ก็ไม่อยากคุย”
“ทำไมไม่อยากคุย”
“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอกเว้ย”
“กวินทร์ยังโกรธล่ะสินะ” มันว่า
ผมจ้องมันนิ่ง... ก็รู้ตัวนี่หว่า แล้วมึงจะมาถามซ้ำซากทำซากอ้อยอะไร
“กวินทร์ อย่าโกรธ”
“ฉันจะไปอาบน้ำ” ผมเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ พลันพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยให้คีธมองตามอย่างงุนงง
ผมใช้เวลาในการชำระล้างคราบเหงื่อไคลจากร่างกายตัวเองไม่นานนัก พอออกมาจากห้องน้ำได้ ก็จัดการโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้คีธที่ยืนรอผมกลับออกมาอยู่หน้าประตูห้องน้ำ แล้วสั่งมัน
“นายก็ไปอาบน้ำ ฉันไม่ให้คนที่ซักแห้งมาเป็นอาทิตย์นอนเตียงเดียวกับฉันหรอกนะ”
คีธพยักหน้า แล้วหายเข้าไปในห้องน้ำบ้าง พอมันเข้าไปอาบน้ำ ผมก็หาเสื้อผ้าใส่นอนให้มัน แต่ก็อย่างว่า เสื้อผ้าผมตัวเล็กเกินกว่าจะให้คีธใส่ได้ จะมีก็แต่กางเกงขาสั้นที่ยางยืดที่เอวเสื่อมนี่แหละที่ดูแล้วน่าจะพอให้มันใส่ได้ ส่วนเสื้อน่ะเหรอ... ช่างหัวมึงเถอะ ถอดเสื้อนอนก็แล้วกัน
ผมจัดการสวมชุดนอนแล้วก็มานั่งประจำที่โต๊ะ เลื่อนเม้าส์เช็คงานโน่นนี่ไปเรื่อยกระทั่งคีธอาบน้ำเสร็จและเดินออกมาในสภาพหยาดน้ำพร่างพราวทั้งตัว
มันทำท่าจะเรียกผม แต่ผมขัดขึ้นมาก่อน
“กางเกงอยู่บนเตียง เช็ดตัวแล้วก็ไปใส่เสื้อผ้าซะ”
มันพยักหน้า เดินไปสวมกางเกงแล้วก็ซับน้ำบนตัว แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นแหละ มันก็เรียกผมขึ้นมาอีก
“กวินทร์ จะนอนหรือยัง...”
“ยังไม่นอน ฉันจะทำงาน” ผมตอบก่อนที่มันจะถามจบด้วยซ้ำเพราะรู้ว่ามันจะถามอะไร
และผมก็คิดว่าเดี๋ยวมันก็ต้องหาเรื่องคุยขึ้นมาอีก แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันปริปากขึ้นมา
“แล้วกวินทร์จะทำงานถึง...”
“เสร็จเมื่อไหร่ก็จะนอน ไม่ต้องถาม รำคาญ!” ปลายประโยค ผมกระแทกเสียงไปเล็กน้อย แอบเหล่มองหน่อยนึงก็เห็นคีธส่งสายตาเป็นลูกหมามาให้
แต่บอกเลยว่าสายตาลูกหมาของมึงใช้กับกูตอนนี้ไม่ได้หรอก กูยังโกรธแรงมาก โกรธโทษฐานที่มึงง้อก็ไม่ง้อให้สุด ไอ้ง้อหักใน!
“กวินทร์...” แต่มันยังไม่หยุด ผมก็เลยหันไปมองมัน คว้าโน๊ตบุ๊กริชาร์ดขึ้นมาแล้วโยนไปให้มันที่นั่งไพล่ขาอยู่บนเตียงทันใด
“อย่ามาชวนฉันคุยอะไรตอนนี้ ฉันจะทำงาน ดูหนังฟังเพลงไปคนเดียวเงียบๆ อารมณ์ดีเมื่อไหร่จะคุยเอง”
คีธพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ พลันก้มหน้าก้มตาเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมา แล้วก็เทความสนใจทั้งหมดไปที่หน้าจอนั่นทันใด
นี่ไง... เห็นมั้ยล่ะ พอมีอะไรมาดึงความสนใจได้ กูก็เป็นกวินทร์หัวเน่าทันทีเลยนะ!
ผมหงุดหงิดขึ้นมาอีกนิดหน่อย ทว่าก็ทำเป็นเมินมัน เดินกลับมานั่งที่แล้วจัดการกับงานของตัวเอง งานที่ต้องทำค่อนข้างจะวุ่นวายสักเล็กน้อยตรงที่มันมีนักแสดงหลายคนเข้าฉากพร้อมกัน ผมเลยต้องใช้สมาธิเช็คความถูกต้องมากเป็นพิเศษ หากแต่ครู่เดียว สมาธิผมก็กระเจิดกระเจิงเมื่อคีธเปิดหนังขึ้นมาดังลั่น และเสียงของหนังเรื่องนั้นก็ทำให้ผมแทบเป็นบ้าเพราะมันไม่ใช่หนังปกติ... แต่เป็นหนังโป๊!
ผมตวัดสายตาไปมองมันที่จ้องหน้าคอโน๊ตบุ๊กนิ่งๆ ลุกขึ้นเดินไปยืนกอดอกมองมันอยู่ข้างเตียง แต่มันก็ยังไม่รู้ตัวว่าผมเดินมา จนผมต้องสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับรวบรวมสติ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกมันออกมา
“คีธ”
‘อาห์...อือ...อาห์...’
“คีธ”
‘อือ...โอ้ว...อาห์...’
“ไอ้คีธ!”
คีธละสายตาจากจอโน้ตบุ๊กหันมามองผมช้าๆ ก่อนจะเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอกวินทร์”
มึงยังมีหน้ามาถามอีก! กูต่างหากที่สมควรถามว่ามึงจะดูหนังโป๊ทำไม! กูบอกให้มึงดูหนังรอไปก่อนนี่คือดูหนังธรรมดาปกติที่ชาวบ้านสามัญชนเค้าดูกันเว้ย! แล้วนี่มึงจะเปิดทำไมซะเสียงดัง ป่านนี้ข้างห้องที่ไม่ใช่ห้องไอ้ริชาร์ดนึกว่ากูเป็นไอ้หื่นกามไปแล้วมั้งเนี่ย!
“ปิดหนังนั่นเดี๋ยวนี้” ผมพยายามข่มความหงุดหงิด ออกปากสั่งมันอย่างมีสติ ไม่บุ่มบ่ามอะไรเพราะไม่งั้นมันจะต้องถามแน่ๆ ว่าให้ปิดทำไม
ใช่ มันไม่ถาม แต่มันไม่ทำตาม
“ฉันอยากดู กวินทร์ทำแต่งาน ไม่มีเวลาให้ ฉันเบื่อที่จะนั่งอยู่เฉยๆ”
มึงก็ดูหนังเรื่องอื่นที่ไม่ใช่หนังโป๊สิวะ!
“งั้นก็เปลี่ยนไป” ผมโบกมือไล่อย่างระอา
คีธพยักหน้ารับ ก่อนจะเลื่อนนิ้วไปบนทัชสกรีนบนตัวโน้ตบุ๊ก ผมเกือบจะเดินกลับไปนั่งทำงานต่อแล้ว ถ้าหนังเรื่องต่อไปที่มันเปิดขึ้นมาไม่ส่งเสียงประหลาดๆ ออกมา
‘อาห์...โอ้ว...เยส...’
มึงจะเปิดหนังโป๊อีกเรื่องขึ้นมาทำป้ามึงเหรอ!
ที่สำคัญ หนังโป๊เรื่องใหม่ดันไม่ใช่หนังโป๊ชายหญิงซะด้วย แต่เป็นหนังโป๊เกย์ ผมรู้เพราะได้ยินเสียงผู้ชายดังเข้ามาในโสตประสาท แล้วนั่นก็ทำให้ผมรีบพุ่งไปที่เตียง คว้าฝาโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนตักมัน ตั้งใจว่าจะเอามาปิดทันใด
แต่คีธมันรู้ทันว่าผมจะทำอะไร เหลือบมองผมแล้วก็ชิงคว้ามือผมที่กำลังเอื้อมไปจับโน้ตบุ๊กไว้ ก่อนจะวางโน้ตบุ๊กลงบนเตียง แล้วดึงให้ผมไปนั่งบนตักมันแทน
“อะไรของนายเนี่ย!” ผมโวยวายทันใด หากแต่คีธไม่ตอบ สายตาเอาแต่จับจ้องไปยังผู้ชายสองคนที่กำลังเคลื่อนไหวเล่นบทรักอยู่บนหน้าจอนิ่ง
ผมหันไปมองบ้างแล้วหน้าก็ร้อนฉ่าทันทีที่เห็นว่าไอ้บ้าสองคนนั้นกำลังแสดงบทรักชนิดฮาร์ดคอร์กันอยู่ ก่อนที่เสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆ
‘โอ้ว...เยสๆ...โอ้ว... คัมมอนแมน...คัมมอน...โอ้ว...’
พวกมึงก็จะถึงพริกถึงขิงกันไปไหนโว้ย!
ผมทนมองไม่ไหวอีกต่อไป รีบเบือนหน้าหนี ทว่าพอคีธเห็นผมเสมองไปทางอื่น มันก็จับคางผมให้หันกลับไปมองหน้าจอเหมือนเดิม
“สนใจมั้ยกวินทร์”
สะ...สนใจอะไรของมึง!?
ผมสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมตอบ รู้นั่นแหละว่าคีธมันหมายความว่าไง และเพราะผมไม่ตอบ มันก็เลยพูดขึ้นอีกครั้ง
“ตกลงสนใจมั้ย”
“สนใจอะไร” ผมแสร้งว่าเสียงเครียด ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ามันแม้แต่น้อย แล้วมันก็ทำให้ต้องใจเต้นหนักขึ้นไปใหญ่เมื่อมันโน้มหน้ามาใกล้หูผมจากทางด้านหลังแล้วกระซิบเสียงพร่า
“ทำแบบในนั้น”
นะ...นี่มึงจะฮาร์ดคอร์กับกูเหรอฮะ!?
“ไม่!” ผมเสียงดังแทบจะในทันใด ที่สำคัญ... มึงคงจะลืมไปแล้วสินะว่ากูกำลังโกรธมึงอยู่เนี่ย!
“แต่ฉันอยากจะผูกพันกับกวินทร์”
ดูท่าทางมันคงจะลืมจริงๆ ด้วยเพราะมันไม่พูดถึงเรื่องที่ผมโกรธแต่อย่างใด พูดเอาแต่เรื่องความต้องการของมัน ยิ่งไปว่านั้น ผมยังรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันอยู่แถวบั้นท้ายผมขณะที่ผมยังนั่งอยู่บนตักมัน
ระ...หรือว่า...ดาบเลเซอร์!?
“บอกแล้วไงว่าไม่เอา! ไม่ท้อง! ไม่ผูกพัน! ไม่เป็นโฮสต์อะไรให้นายทั้งนั้น!” ผมโวยวายสุดเสียงก็ในตอนนี้ พยายามจะลุกขึ้นจากตักไอ้บ้านี่ แต่คีธกลับล็อกตัวผมไว้แน่น
“ก็บอกแล้วไงว่านายเป็นโฮสต์คนแรกของฉันบนดาวดวงนี้ และจะเป็นตลอดไป” พูดจบ มันก็ซุกหน้าลงมาที่ซอกคอผมจากทางด้านหลังทันที
ผมสะดุ้งเล็กน้อย พยายามเบี่ยงคอหลบแต่ก็ไม่พ้นเพราะตอนนี้มันไม่เพียงแค่พรมจูบ แต่มีขบกัดตามมาด้วย แถมมือทั้งสองข้างที่กอดผมอยู่ก็เริ่มซุกซน ล้วงเข้ามาใต้เสื้อ ลูบไล้ไปทั่วจนความร้อนวาบแล่นพล่านขึ้นมาทั่วตัวผมอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ยะ...หยุด...” ผมพยายามคุมสติตัวเอง สั่งเสียงพร่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันหยุดได้เลย
ร้ายกว่านั้นคือพอมันเหลือบเห็นสองหนุ่มบนหน้าจอโน้ตบุ๊กเริ่มบุกเข้าหากันอย่างไร้ปราณี แบบว่า... ฝ่ายรุกจับฝ่ายรับคว่ำหน้าลงบนเตียง แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าน่ะ แต่ในหนังมันเป็นเสื้อผ้าวาบหวิว อารมณ์แบบชุดตาข่ายบางๆ อะไรงี้
เท่านั้นแหละ คีธมันก็เหล่มามองผม ขณะที่ผมกลืนน้ำลายเอื้อก
มะ...มึง... หยุดความคิดที่จะทำตามหนังโป๊เดี๋ยวนี้!   
แต่ไม่ทันแล้ว แค่ผมจะออกปากห้ามมัน มันก็ทุ่มผมลงบนเตียงในท่าคว่ำหน้าทันใด
“เดี๋ยว!” ผมร้องลั่น ทว่าไอ้บ้าคีธมันก็เริ่มปฏิบัติการฉีกเสื้อผ้ากวินทร์ด้วยมือเปล่า
แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก!
มึงมันไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ป่าเถื่อนและเอสเอ็ม!
ผมนี่แทบจะร้องไห้เลยที่เห็นเศษเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายตัวเองถูกโยนทิ้งไปบนพื้นข้างเตียง เห็นกันอยู่หลัดๆ แท้ๆ มึงนี่จะถอดเสื้อผ้ากูก็ให้เวลากูเตรียมใจหน่อยก็ไม่ได้!
ตอนนี้ผมก็เลยอยู่ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อนทั้งตัวโดยมีคีธจับมือทั้งสองข้างของผมไพล่หลังไว้ด้วยมือเดียว ไม่ต่างจากในหนังโป๊แม้แต่น้อย และนรกก็ร้องเรียกผมมากยิ่งขึ้นเมื่อหูผมได้ยินเสียงประหลาดๆ ดังออกมาจากลำโพงโน้ตบุ๊ก
หึ่งๆๆ...
สะ...เสียงอะไรวะ...
หึ่งๆๆ...
ยะ...อย่าบอกนะว่า...
ผมรีบพลิกหน้าเหลียวกลับไปมองน้ตบุ๊กที่อยู่ปลายเท้าทันที ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นแท่งซิลิโคนสีชมพูใสกำลังขยับไปมาจากพลังงานของถ่านขนาด AA สองก้อน ก่อนมันจะหายเข้าไปในตัวของนักแสดงที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ขณะที่คีธมองภาพในจอนิ่งแล้วพูดออกมา
“กวินทร์มีมั้ย”
ใครมันจะไปมีวะไอ้ของแบบนั้นน่ะ! มึงคิดว่ากูจะซื้อดิลโด้มาทำเตี่ยอะไร!
“ปล่อยกูเดี๋ยวนี้...” ผมเผลอหลุดพูดออกมาเป็นภาษาไทยทันควัน สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อตระหนักได้ว่าไอ้คีธมันจะทำตามอย่างในหนัง
และเพราะผมพูดภาษาไทย มันก็เลยพูดภาษาไทยตอบกลับมา
“ข้าประสงค์จะเสพสังวาสกับเจ้าก็เพราะมันเป็นปรารถนาอันแรงกล้าของข้า หากเจ้ามิค้านอันใด ข้าก็อยากจะเชยชมเจ้าให้สมใจหมาย”
มึงไม่ต้องมากระแดะพูดภาษาไทยตามกูเลย!
ผมดิ้นพล่านก็ในตอนนี้ ปากก็ร้องโวยวายกลับมาเป็นภาษาอังกฤษไปด้วยทั้งๆ ที่ถูกมันจับอยู่ในท่าเดิม
“อยากทำก็ทำแบบนุ่มนวลสิโว้ย! ไม่เอาฮาร์ดคอร์! ไม่เอา!”
คีธเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับ
“เจ้ามิชอบแบบถึงพริกถึงขิงรึ?”
กูบอกให้เลิกพูดภาษาไทย!
“เอาแบบคนปกติเค้าทำกันสิเว้ย! ไม่ใช่พระเอกหนังโป๊นะเว้ย ไม่ต้องทำตาม!”
พอได้ยินผมพูดอย่างนั้น คีธก็ยอมปล่อยมือออกจากผม พร้อมกับดึงผมขึ้นให้นั่งหันหน้าไปทางมัน
“พูดอย่างนี้ แสดงว่ากวินทร์ยอมจะผูกพันกับฉันแล้วสินะ” ว่าจบก็ยิ้มเผล่อย่างเจ้าเล่ห์
ผมรู้ตัวขึ้นมาเอาตอนนี้ว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกไป พลันเบิกตาโพลงทันใด
วะ...เวรแล้ว พูดไปไม่ทันคิด ซวยแน่ไอ้กวินทร์!
“มะ...ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ผมรีบปฏิเสธ หลบตาคนตรงหน้าทันใด หากแต่ถูกคีธช้อนปลายคางให้หันไปสบตา
“สัญญาว่าจะให้นายเป็นโฮสต์คนแรกและคนสุดท้าย ผูกพันกับฉันเถอะ ฉันอยากมีลูกกับนาย”
ผมใจสั่นก็ในตอนนี้ ทั้งตื่นเต้น ทั้งรู้สึกดีในคราวเดียวกันที่ได้ยินคีธพูดแบบนี้ มิหนำซ้ำ สายตาที่มันมองผมก็ดูจริงจังมาก เด็กอนุบาลดูยังรู้เลยว่ามันไม่ได้พูดเล่น จนผมลืมความกรุ่นโกรธเรื่องที่มันไปวางไข่กับบรูคลินไปเสียสนิท
“ตะ...แต่ผูกพันกันมันไม่ได้หมายความว่าจะมีลูกได้นี่หว่า”
ผมว่าอ้อมแอ้มไปตามความจริง เพราะจากที่แอสตันอธิบายมา การผูกพันมันเป็นแค่การตีตราเป็นเครื่องหมายว่าชาวยูนิกม่าอยากได้เป็นแม่พันธุ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าการผูกพันจะทำให้ท้องได้ ต้องวางไข่ที่ผสมน้ำเชื้อแล้วผ่านทางปากต่างหากถึงจะเรียกว่าท้อง
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่จะขอทำสัญญาไว้ก่อนว่าจะมีนายเป็นโฮสต์คนแรกบนดาวดวงนี้ และเป็นแม่พันธุ์คนแรกด้วย”
ผมคิ้วกระตุกทันใด
เป็นคนแรก... แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนเดียวและคนสุดท้ายนี่หว่า!
“นายคิดว่ามันใช่คำพูดที่ควรเอามาหว่านล้อมให้ฉันยอมมีอะไรกับนายมั้ยวะ เป็นแม่พันธุ์เนี่ยนะ น่าดีใจตาย” ผมว่าเสียงขุ่น คีธนิ่งคิดไปนิด ก่อนจะพูดมาอีก
“ขอทำสัญญาไว้ก่อนว่าจะมีนายเป็นโฮสต์คนแรกบนดาวดวงนี้และเป็นแม่พันธุ์คนแรกและคนเดียว”
“ไม่โรแมนติก” ผมว่า ให้คีธนิ่งคิดไปอีก
“ขอทำสัญญาไว้ก่อนว่าจะมีนายเป็นโฮสต์คนแรกบนดาวดวงนี้ แม้จะไม่ใช่คนเดียว แต่จะเป็นคนสุดท้าย”
“...”
“แม่พันธุ์ก็เช่นกัน นายจะเป็นแม่ของลูกฉันคนแรก คนเดียว และคนสุดท้าย”
“...”
“คนที่ฉันผูกพันด้วยก็เช่นกัน... นายจะเป็นคนแรก คนเดียว คนสุดท้าย และตลอดไป”
“...”
“โรแมนติกหรือยัง”
กะ...กูเขิน!
โอเค คำว่าแม่พันธุ์นี่ไม่โรแมนติกเลย แต่ทำให้ผมใจเต้นแรงชะมัด และแค่ใจเต้นแรงอย่างเดียวคงจะไม่เป็นอะไร ผมดันเอนอ่อนไปตามคำพูดของมันด้วย
“อะ...อืม”
“งั้นผูกพันกันได้แล้วใช่มั้ย”
“อืม...”
เกลียดตัวเองจริงโว้ย! มึงไปตอบรับมันทำไมเนี่ยไอ้กวินทร์! อย่าใจง่ายตามไอ้ริชาร์ดไปสิวะ!
ถึงจะด่าตัวเองอย่างนั้น แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะทันทีที่ผมครางตอบรับ คีธก็จัดการปิดโน้ตบุ๊กแล้วดันผมนอนราบลงบนเตียง ก่อนจะโถมตัวขึ้นมาคร่อมทับ ผมใจเต้นจนแทบอกจะแตกเมื่อมันประทับริมฝีปากหยักลงมาบนเรียวปากผม ดูดกลืนความหอมหวานอยู่เนิ่นนาน ผมเกือบจะหายใจไม่ทันเมื่อถูกลิ้นนุ่มบุกรุกในโพรงปาก พอคีธผละออกมาได้ ผมก็หายใจหอบโยนทันที
“ชอบนะกวินทร์” ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงของคีธ มันจ้องหน้าผมนิ่ง ให้ผมได้หลบสายตา
“ระ...รู้แล้ว” ผมไม่บอกมันหรอกว่าผมก็ชอบมัน ขืนบอกไปล่ะก็ เสียหน้าตายเพราะไม่กี่ชั่วโมงก่อนเพิ่งจะทำท่าทางรังเกียจมันอยู่เลย
แต่มันคงไม่สนใจหรอก นอกจากเรือนร่างของผมตรงหน้า พอสิ้นเสียง มันก็ระดมจูบลงมายังซอกคอ แล้วค่อยๆ ไล่ต่ำไปตามแผงอก ไล่ขบเม้มไปทั่วจนผมกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น และผมก็เกือบทำผ้าปูที่นอนขาดเมื่อความอุ่นร้อนจากริมฝีปากนุ่มเข้าครอบครองยังยอดอก
“พะ...พอแล้ว” ผมพยายามร้องห้ามด้วยรู้สึกแปลกๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำแทนที่จะเป็นฝ่ายกระทำอย่างครั้งก่อนๆ
หากแต่คีธไม่หยุด เห็นผมร้องปรามก็เหมือนได้ยินว่าให้ทำมากขึ้น ไม่เพียงแต่วุ่นวายอยู่ที่ยอดอกผม มือที่ยังว่างอยู่ยังไปวุ่นวายกับช่วงล่างด้วย คราวนี้แหละที่ผมครางออกมาไม่ได้ศัพท์ สติสัมปชัญญะแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง มารู้ตัวอีกทีตอนที่คีธละออกจากหน้าอกผม พรมจูบไล่ไปตามหน้าท้องและไล่ต่ำลงไปยังจุดอ่อนไหว
ผมผงกหัวขึ้นมาทำท่าจะดันมันออก แต่ก็ถูกมันผลักให้ลงนอนตามเดิม ก่อนที่มันจะไปจัดการกับส่วนนั้น ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองพูดภาษาอะไรอยู่เพราะมันฟังไม่ได้ศัพท์เลยแม้แต่นิดเดียว เนิ่นนานทีเดียวกว่าคีธจะละความสนใจออกมาได้ ก่อนมันจะมาประกบปากจูบอีกครั้งพร้อมกระซิบข้างหู
“ผูกพันกันนะกวินทร์”
มาถึงขั้นนี้ก็คงต้องผูกพันแล้วล่ะ...
ผมพยักหน้าน้อยๆ ขณะที่คีธจัดการเปลื้องพันธนาการบนตัวของตัวเองแล้วโถมกายเข้ามาหาผม หากแต่ไม่ทันที่จะได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว จิตใต้สำนึกของผมก็ร้องดังขึ้นมา
ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็... ชื่อเสียงในฐานะเพลย์บอยที่สั่งสมมาหลายปีได้ป่นปี้เพราะถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่กดแน่ๆ!
“เดี๋ยว!” เท่านั้นผมก็รีบร้องห้าม คีธชะงัก มองหน้าผมอย่างสงสัยทันใด
“ฉันไม่อยากอยู่ข้างล่าง” ผมว่า ในใจตอนแรกคิดว่าคีธจะปฏิเสธ แต่ผิดคาดเพราะมันพยักหน้ารับแล้วทิ้งกายลงนอนข้างผมแทน
“มาสิ”
ผมเลยลุกขึ้นนั่ง ทว่าไม่ทันจะได้ทรงตัวดี มือใหญ่ก็คว้ามาที่เอวผมแล้วออกแรงยกให้ผมมานั่งคร่อมบนตัวมันหน้าตาเฉย
“ชอบอยู่ข้างบนก็ไม่บอก”
กูไม่ได้จะออนท็อป! กูหมายถึงกูอยากเป็นฝ่ายรุกเว้ย!
“ไม่เอาแล้ว!” ผมขืนตัว พยายามจะลงไปนอนเหมือนเดิม คีธหัวเราะออกมาเบาๆ ก็ในตอนนี้ ผมเลยรู้เลยว่าจริงๆ มันรู้ว่าผมหมายถึงอะไร แต่มันแกล้งโง่
หน็อย... มึงนี่ไม่ใช่แค่หน้ามึนกับหน้าด้านอย่างเดียวละ ยังเจ้าเล่ห์ด้วย กูพลาดจริงๆ ที่ไปสมยอมมึงเนี่ย!
“อยู่ข้างล่างแหละดีแล้ว ครั้งแรกไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวจะบาดเจ็บ” แล้วมันก็ว่าออกมาอย่างรู้ทันว่านี่เป็นครั้งแรกของผมกับผู้ชาย
ผมถอนหายใจพรืด ก่อนจะกลับมาหอบหายใจหนักอีกครั้งเมื่อคีธเตรียมความพร้อมให้ผมก่อนที่มันจะโถมร่างกายเข้ามา อึดใจเดียว ผมก็ต้องเกร็งตัวอีกครั้งเมื่อสัมผัสวาบไหวแล่นพล่านไปทั่วสพางค์กาย คีธค่อยๆ ขยับตัวทีละน้อยในช่วงแรกและมากขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเอ็นจอย
“คะ...คีธ...” ผมเผลอครางเรียกชื่อมันออกมานับครั้งไม่ถ้วน
คีธตระกรองกอดผมแน่นจนกระทั่งแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาในหัวผมเมื่อผมยื่นมือไปแตะขอบอวกาศ
ขอใช้คำว่าขอบอวกาศ ขอบสวรรค์ยังน้อยไปสำหรับมนุษย์ต่างดาวอย่างมัน
พอเห็นผมไปรออยู่ที่ทางช้างเผือกแล้ว คีธก็ตามมาติดๆ พลันทิ้งตัวลงมาบนร่างผม จูบพรมไปทั่วใบหน้าจนผมชักจะรำคาญ
“พอได้แล้ว” ผมดันหน้าหมอนั่นออกห่าง คีธยิ้มมุมปากแล้วว่าเสียงเรียบ
“พูดจาไม่เป็นภาษามนุษย์โลกเลยนะ”
หน้าผมร้อนขึ้นมาทันควัน มะ...มึงหมายถึงเสียงของกูเมื่อกี้ล่ะสินะ!
“มะ...มันใช่เรื่องเอามาล้อกันเล่นมั้ยวะ” ผมว่าพึมพำ ก่อนที่คีธจะจูบลงมาบนเรียวปากผมอีกครั้ง
“นายเป็นว่าที่แม่ของลูกฉันแล้ว ฉันสัญญาว่าจะจงรักและภักดีกับนายคนเดียวตลอดไป”
ผมเบือนสายตามามองหน้าคีธที่อยู่ห่างกันเพียงคืบแล้วพยักหน้า
“เป็นโฮสต์ด้วยใช่มั้ย”
“ใช่ แต่ต้องรอจนกว่าฉันจะสร้างร่างใหม่อีกครั้งก่อนนะ ถึงวันนั้นฉันจะวางไข่ใส่นาย”
“ทำไมวะ แล้วผูกพันนี่คือยังไม่ได้เป็นโฮสต์อีกเหรอ” ผมถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว เพราะริชาร์ดก็มีอะไรกับแอสตันไปแล้ว แต่สุดท้าย แอสตันก็ยังต้องไปพึ่งพาเบนอยู่ดี
“ใช่ ยังไม่ได้เป็นโฮสต์ การผูกพันเป็นแค่การสาบานตนของชาวยูนิกม่าว่าจะจงรักภักดี และเป็นการเลือกแม่พันธุ์พ่อพันธุ์ในการสร้างทายาทเท่านั้น ซึ่งพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์จะมีเพียงคนเดียวตลอดชีวิตของชาวยูนิกม่า ส่วนการเป็นโฮสต์ จะมีกี่คนก็ได้ แต่จะต้องมีครั้งละคน และการเป็นโฮสต์ ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นจากการวางไข่ ไม่ว่าจะวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ หรือเพื่อสร้างทายาท หากถูกวางไข่แล้ว จะเรียกว่าโฮสต์ ต่างกันเล็กน้อยตรงที่โฮสต์ที่ถูกพึ่งพาในการสร้างร่างใหม่และกินสารอาหารไม่จำเป็นต้องเป็นแม่พันธุ์ แต่โฮสต์ที่ถูกวางไข่เพื่อสร้างทายาทนั้นจำเป็นต้องเป็นแม่พันธุ์และเป็นคนรัก” คีธอธิบายยาว
ผมเข้าใจได้ก็ในตอนนี้เองว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาวยูนิกม่ากับโฮสต์มันเป็นยังไง ใจเต้นนิดหน่อยตอนได้ยินคำว่า ‘คนรัก’ หลุดออกมาจากเรียวปากคู่สวย
นี่ก็หมายความว่าผมเป็นคนที่คีธรักแล้วล่ะสินะ
ผมรีบเก็บความตื่นเต้นนั้นลงไป เลี่ยงไปถามเรื่องอื่นแทน
“แล้วทำไมนายไม่วางไข่มีลูกไปเลยวะ”
ที่ถามแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมอยากจะมีลูกกับมันจนตัวสั่นหรอกนะ บอกเลยว่าผมน่ะยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใครทั้งนั้นแหละ แค่สงสัยเท่านั้นเพราะมันตะล่อมขอให้ผมท้องลูกมันอยู่เนืองๆ แต่พอได้กันแล้วกลับไม่ทำซะอย่างนั้น ริชาร์ดกับแอสตันเองก็ด้วย เห็นพูดกันมาตั้งนานละว่าจะท้องๆ แต่ก็ไม่เห็นแอสตันมันจะทำอะไรสักที
“ใจจริงก็อยากจะทำ แต่ภารกิจของฉันยังไม่เสร็จสิ้น” คีธให้คำตอบ ผมเข้าใจได้ว่าภารกิจที่ว่านั่นก็คือการตามหาพรรคพวกนั่นเอง
“นั่นสินะ มีลูกแล้วคงจะทำภารกิจลำบาก กวนตัวกวนใจ” ผมว่าลอยๆ หากแต่คีธส่ายหน้า
“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่ฉันกลัวว่าลูกของเราจะได้รับอันตรายต่างหาก”
ผมขมวดคิ้วยุ่งทันที
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าตราบใดที่ฉันยังไม่เจอพรรคพวก และยังไม่มั่นใจว่าเราจะอยู่ที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินได้อย่างปลอดภัยจากการไล่ล่าของพวกเซนไทน์ ถ้าพวกเรามีลูกก่อน ก็จะไม่ใช่แค่พวกเราที่ได้รับอันตราย แต่ลูกของพวกเราเองก็ด้วย”
ผมร้องอ๋อทันใด เหตุผลนี้ล่ะสินะที่แอสตันถึงได้ไม่วางไข่สร้างทายาทกับริชาร์ดสักที
“แต่สักวันฉันจะทำแน่” แล้วคีธก็ว่าขึ้นมาอีก
ผมเลยทุบมันดังอั้ก
“แค่ยอมผูกพันกับนายก็แย่มากพอแล้ว ฉันไม่ยอมให้นายวางไข่ขยายพันธุ์อีกหรอก” ว่าจบ ผมก็ทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง
คีธคว้าแขนผมไว้ทันควัน
“ผูกพันไปแล้ว สาบานตนไปแล้วว่าจะจงรักและภักดีตลอดชีวิต ยังไงนายก็ปฏิเสธไม่ได้”
“งั้นฉันจะหนี”
“ฉันก็จะตามล่าตัวนายแม้ว่านายจะหนีไปไกลสุดขอบอวกาศ” คีธว่าเสียงเรียบ
ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ายังไงก็หนีมันไม่รอดถ้าจะหนีจริงๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ
“เออๆ เอาไงก็เอา อยากทำอะไรก็ทำเลยตามใจนาย ตามสบาย”
คีธยิ้มออกมาก็ในคราวนี้
“กวินทร์พูดจริง?”
“หน้าฉันดูเหมือนพูดเล่นหรือไง”
“งั้นก็มาผูกพันกันต่อเถอะ”
ผมถึงกับถลึงตาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พลันรู้ตัวทันทีว่าพลาดที่พูดอะไรส่งเดชไป
มะ...มึงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ ด้วย!
“ไม่เอา!” ผมรีบพลิกตัวหนี แต่ไม่ทันแล้ว คีธคว้าตัวผมมานั่งคร่อมบนตัวมันไว้ทันควัน พลันหยักยิ้ม
“คราวนี้อยู่ข้างบนนะ”
มึงเป็นโรคหอบหื่นหรือไง! กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้อยากจะออนท็อป! ไอ้มนุษย์ต่างดาวลามก!
 ------------------------------------------
มาแล้วจ้าาาา อ่านทอล์คแล้วรับเลือดกันรัวๆ คีธหื่นมาก 555 ได้กันสักทีนะ
ตอนนี้ยาวมากๆ เพราะคนเขียนหื่นมาก เขียนไป 11 หน้าแน่ะ ฮาาา
ปีใหม่นี้ไม่อัพตอนปกตินะคะ อัพตอนพิเศษเน้อ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.21]--30/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 30-12-2015 22:39:41
จะมีวิธีไหนมั้ยที่จะหลุดจากพวกสองพี่สองมนุษย์ต่างดาวร่างยักษ์เร็วๆ :sad4: สองตัวนี้ไม่ใช่ร้ายแบบสร้างสีสันนะแต่แอบร้ายแบบกวนรมณ์มาก :katai1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.21]--30/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 30-12-2015 23:01:21
เย้ๆ ได้กันแล้ว
ที่เหลือก็อิเมียน้อยสินะ
จัดการมัน กวินท์!! ริชาร์ด!!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.21]--30/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 31-12-2015 00:53:39
รอฉากเมียหลวงเมียน้อยประจันบาน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.21]--30/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 31-12-2015 01:40:41
แหมๆ เจ้าเล่ห์ไปไหนเนี่ย คีธคุง  :laugh:
รอได้เสมอจ้าคนแต่งจ๋า จุบุๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.21]--30/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 31-12-2015 22:17:16
เดาไม่ผิดเบย ท้องตอนท้ายแน่นวล เสียดาย แต่ ม ป ร

ซีเลน เป็นองค์รักษ์อีกคนรึเปล่าอ่าาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.21]--30/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 01-01-2016 14:03:09
Special Episode [New Year]: Let bind Kawin tight and give Keith as a gift[1]
[Keith’s Part]
เทศกาลบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่เทศกาลไหนก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าเทศกาลครบ 365 วันที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน บางปีก็มี 366 วันแล้วแต่การโคจรของดวงจันทร์ ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเรียกเทศกาลนี้ว่า ‘วันปีใหม่’ มันเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่มาก ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินทั้งดาวจะพร้อมใจกันนับถอยหลังในวันสุดท้ายของวันที่ 365 เข้าสู่วันแรกของปีใหม่พร้อมๆ กัน
ช่างเป็นธรรมเนียมแปลกประหลาด ต่างจากชาวยูนิกม่าอย่างผมเหลือเกิน ชาวยูนิกม่าแทบจะไม่มีเทศกาลเลยก็ว่าได้ ไม่สิ...อย่าเรียกว่าแทบไม่มี เรียกว่าไม่มีเลยจะดีกว่า ขนาดวันสำคัญของเหล่าเชื้อพระวงศ์ยังไม่เคยจัดขึ้นในระยะหลังนี้เลยด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะพวกเราใช้เวลากว่าค่อนชีวิตในการอพยพร่อนเร่ไปทั่วอวกาศก็ได้ที่ทำให้พวกเราลืมสิ้นความสำคัญของวันเหล่านี้ไป
ตัวผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก จะมีหรือไม่มีเทศกาลก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้เห็นพวกอยู่กันอย่างสงบสุขในดาวบ้านเกิดของตัวเอง แต่องค์ชายกับพระชายาที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมและกำลังช่วยกันห้องในที่พักแห่งหนึ่งสำหรับใช้นับถอยหลังเข้าปีใหม่กันนั้นแลดูตื่นเต้นกันเป็นพิเศษเหลือเกิน องค์ชายที่ทำเหมือนไม่สนใจในตอนแรกก็พลอยเป็นไปกับพระชายาด้วย และทั้งคู่ก็ไม่สนใจผมกับกวินทร์ที่โดนพระชายาเรียกตัวมาที่บ้านเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ใช้เวลากันอยู่สองพระองค์ แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะนั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความเกษมสำราญ ในฐานะผู้พิทักษ์ก็ได้แต่เฝ้ามองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พอผมเห็นท่าทางของทั้งคู่ จากที่ไม่ค่อยได้สนใจงานรื่นเริงนั้น ผมก็เริ่มสนใจขึ้นมาน้อยๆ แล้ว
ดูท่าทางจะสนุกแฮะ อยากลองทำอะไรแบบนี้กับกวินทร์บ้างจัง
แต่เหมือนกวินทร์จะไม่อยากเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่มาถึง กวินทร์ก็เอาแต่นั่งหน้ายู่ พอเห็นองค์ชายกับพระชายาทรงเกษมสำราญด้วยกันก็ยิ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจหนัก ก่อนจะเปรยเสียงแข็งขัดทั้งคู่ขึ้นมา
“พวกนายไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้นก็ได้ แค่เคาท์ดาวน์ปีใหม่ ไม่ได้ไปฮันนีมูนนะเว้ย ทำไมต้องถึงขนาดระเห็จไปถึงมัลดีฟส์วะ”
“ก็แอสตันไม่เคยไป แถมนี่ยังเป็นปีใหม่ครั้งแรกของแอสตันตั้งแต่อยู่ที่นี่ด้วย ฉันก็อยากทำให้มันพิเศษน่ะสิ แถมไอ้ไปมัลดีฟส์นี่ ฉันก็ตั้งใจจะไปอยู่นานแล้ว ได้โอกาสก็เลยจองตั๋วเผื่อแอสตันด้วยน่ะ” พระชายาตรัสอย่างสบายๆ สีพระพักตร์ยังคงยิ้มแย้มจนทำให้กวินทร์เบ้ปากไม่น่าดูขึ้นมา ซ้ำยังว่าด้วยคำไม่น่าฟังอีกต่างหาก
“เว่อร์ฉิบหาย ไอ้คนเห่อผัว”
“กวินทร์ อย่าจาบจ้วงพระชายา” ผมออกปากปรามกวินทร์ไว้อย่างอดไม่ได้ เลยกลายเป็นว่าผมถูกสายตาขวางๆ ของคนข้างกายตวัดมองอย่างไม่พอใจทันที
“ไม่ต้องไปเข้าข้างมันเลยไอ้คีธ คดีเก่าเมื่อวันคริสมาสต์ยังไม่หายนะเว้ย” ว่าจบก็ส่งกำปั้นหลุนๆ เข้ามาที่ต้นแขนผมเต็มแรงทีหนึ่ง ผมไม่เจ็บหรอก คนที่เจ็บดูท่าทางน่าจะเป็นกวินทร์มากกว่าเพราะพอต่อยผมเสร็จก็ทำหน้าเหยเกไปเลย
ทว่าอะไรก็ไม่สะกิดใจผมเท่ากับคำพูดของกวินทร์ประโยคเมื่อครู่
“ตกลงกวินทร์โกรธจริงๆ เหรอ” ถามแบบนี้เพราะผมไปทำเรื่องไว้นั่นแหละ กวินทร์หาว่าผมไปทำแผนฉลองคริสมาสต์ของเขาเสียด้วยผมไปร่วมแผนการของพระชายาที่หวังจะเซอร์ไพรส์กวินทร์ ตอนแรกก็ไม่เห็นว่าจะโกรธ แต่พอหลังวันคริสมาสต์ก็นึกโกรธอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้
“โกรธสิวะ ฉันอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาคอย แล้วจู่ๆ นายก็มาทำแผนเสีย เป็นใครก็โกรธทั้งนั้นแหละ” กวินท์แผดเสียงใส่ผมน้อยๆ
อืม...ดูท่าคงจะโกรธจริงๆ แหละ แต่ไม่น่าจะโกรธเพราะผมเป็นต้นเหตุ น่าจะหงุดหงิดที่เห็นพระชายามีความสุขมากกว่า
“นายอย่าโทษคีธเลยน่า คีธก็แค่อยากจะให้ของขวัญนายเท่านั้นเอง เนอะซานต้าคีธ” พระชายาตรัสขึ้นมา หันมาพยักเพยิดให้ผมด้วย ผมเลยก้มศีรษะน้อมรับน้อยๆ หากแต่ถูกกวินทร์ต่อยเข้ามาที่แขนอีก
“ของขวัญบ้าบอคอแตกแบบนั้น ฉันไม่อยากได้หรอกเว้ย!”
“ขอโทษนะกวินทร์” ก่อนที่กวินทร์จะโกรธไปมากกว่านี้ ผมเลยชิงขอโทษตัดหน้าไปก่อน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะกวินทร์เอาแต่ทำหน้างอ ยกมือขึ้นกอดอกแล้วก็ไม่ยอมพูดกับผมจนพระชายาต้องตรัสขึ้นมาอีก
“ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปน่า นายก็มีความสุขดีไม่ได้เหรอวะได้มีเซ็กส์กับซานต้าคีธ เอ้ย...ซานต้าคลอสทั้งคืนน่ะ ถ้าอยากจะมีค่ำคืนดีๆ ด้วยกันตามแผนของนาย นายก็ใช้โอกาสในคืนท้ายปีซะเลยสิ” ฟังก็รู้ว่าพระชายาแสร้งตรัสผิด แต่ก็ทำให้กวินทร์หน้าแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ เมื่อได้ยินคำว่าซานต้าคีธ พลันคว้าเอากระป๋องเบียร์เปล่าๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะง้างขึ้นสูง
“หุบปากไปเลยไอ้ริชาร์ด นายน่ะตัวดี”
พระชายาทรงไม่สะทกสะท้าน เอาแต่พระสรวล กวินทร์เองก็ดูท่าทางจะขว้างกระป๋องใส่แน่ถ้ายังได้ยินเสียงนั้นอยู่ ผมก็เลยจัดการแย่งกระป๋องเบียร์มาก่อนที่พระชายาจะโดนประทุษร้าย ทว่าผมกลับโดนกวินทร์หันมาแหวใส่ด้วยภาษาบ้านเกิดเสียอย่างนั้น
“มึงก็อีกตัว! เห็นดีเห็นงามกับมันไปหมดเลยนะ!”
ผมย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นักที่ได้ยินกวินทร์พูดแทนตัวเองอย่างนั้น ฟังดูไม่น่ารักเลย แต่ไม่เป็นไร กวินทร์กำลังโกรธ ถ้าไปห้ามอะไรตอนนี้ เดี๋ยวจะโกรธหนักขึ้นไปใหญ่
“ใจดีกับคีธหน่อยน่า คีธหวังดีกับนายนะ แล้วก็รักนายมากด้วยถึงได้ยอมทำตามแผนฉันแบบนั้น ไม่รักไม่ทำให้นายแบบนั้นหรอก” พระชายาก็ทรงไม่หยุด ตรัสออกมาเรื่อยๆ ปล่อยให้องค์ชายเลือกที่พักไปตามลำพัง มีหันมาแย้มพระโอษฐ์ให้บ้างครั้งสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้กวินทร์อารมณ์ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“นายก็พูดได้สิวะ แผนของนายมันสำเร็จไปด้วยดีนี่ไอ้เจ๊ก” แย่กว่านั้นคือการดูถูกเชื้อชาติพระชายากลายๆ อีก
ผมทำท่าจะห้าม ทว่าองค์ชายก็ส่งสายพระเนตรมาให้กลายๆ ว่าให้ปล่อย ผมเลยได้แต่เงียบปาก ปล่อยให้พระชายากับกวินทร์คุยกันต่อไป
“พูดอย่างนี้ อิจฉาฉันล่ะสิ ถ้าอิจฉาฉันมากล่ะก็ จองตั๋วแล้วก็พาคีธไปเที่ยวมัลดีฟส์ด้วยกันสิ” พระชายาทรงพระสรวลลั่น
กวินทร์ส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างไม่พอใจ พลันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะเปล่งเสียงออกมา
“จองตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้ว ป่านนี้คงหาตั๋วไม่ได้แล้วล่ะ ห้องก็เต็มหมดแล้วมั้ง”
“ก็ถูก ตั๋วเครื่องบินนี่ฉันก็จองล่วงหน้าก่อนหลายเดือนถึงได้มา โรงแรมก็เหมือนกัน มีแต่เลือกห้องนี่แหละที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาห้องสวีทแบบไหน” พระชายาตรัสลอยๆ ยิ่งทำให้แก้มของกวินทร์ดูป่องขึ้นมาอย่างน่ารัก และน่ารักยิ่งขึ้นเมื่อกวินทร์เหลือบมามองผมแล้วพึมพำ
“อยากไป”
“กวินทร์อยากไปไหน” ผมถาม
“ไปไหนก็ได้ที่ไปกับนายแค่สองคน แต่ตอนนี้ที่ไหนๆ ก็คงจะเต็มหมดแล้ว คนแย่งกันเที่ยวอย่างกับได้ของแจกฟรี ดูท่าจะได้อยู่แต่ที่ห้อง” กวินทร์พูดแล้วก็หน้าแดงกว่าเดิม ทำเอาผมใจเต้นขึ้นมาน้อยๆ
อืม... น่ารักชะมัด ใช้ห้องบรรทมพระชายาตอนนี้ พระชายาจะทรงอนุญาตมั้ยนะ?
ผมเกือบจะเอ่ยปากขอพระราชทานจากพระชายาอยู่แล้วหากพระชายาไม่ตรัสแทรกขึ้นมาก่อน
“งั้นแผนการไปเคาท์ดาวน์กับฉันแล้วก็แอสตันที่มัลดีฟส์คงต้องยกเลิกไป แต่ถ้าเคาท์ดาวน์กลางมหานครนิวยอร์กก็ไม่แน่”
“ฉันก็อยู่กลางนิวยอร์กอยู่แล้วเปล่าวะ” กวินทร์ว่าเสียงหวัดๆ ขณะที่พระชายายกนิ้วโบกไปมา
“จุ๊ๆ ไม่เอากลางนิวยอร์กแบบปกติสิ ฉันหมายถึงกลางนิวยอร์กแบบอยู่ในห้องสวีทของตึกสูงระฟ้าต่างหาก”
“นายหมายความว่า...?”
กวินทร์พูดยังไม่ทันจบ พระชายาก็หันไปตรัสบอกองค์ชายว่าจะใช้โน้ตบุ๊ก พอองค์ชายหันหน้าจอมาให้ก็จัดการเข้าเว็บไซต์ของโรงแรมแห่งหนึ่ง กรอกยูเซอร์เนมกับรหัสผ่านเข้าไปเสร็จก็หันหน้าจอมาทางกวินทร์
“ตึกระฟ้าแบบนี้ต่างหาก”
“อะไรของนายวะ” กวินทร์ย่นคิ้วเมื่อเห็นวอเชอร์การจองห้องของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งด้วยไม่เข้าใจที่พระชายารับสั่งนัก แต่ผมพอจะเข้าใจละว่าพระชายาทรงหมายความว่าอะไร
“ก็ให้นายกับคีธไปเคาท์ดาวน์กันที่นี่ไงล่ะ” นั่นแหละ พระชายาทรงหมายความว่าอย่างนั้น
กวินทร์ยังงงอยู่ แสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจนจนพระชายาต้องอธิบายยาว
“ก่อนหน้าที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินไปมัลดีฟส์ ฉันกะว่าคงจะไม่ได้ไปเพราะหาที่พักที่นั่นไม่ได้เพราะเต็มหมดก็เลยจองโรงแรมนี้ไว้ก่อนน่ะ แต่บังเอิญทางโรงแรมที่นั่นที่ฉันติดต่อไปเมล์กลับมาว่ามีแขกแคนเซิลการจอง ฉันก็เลยรีบตอบรับแล้วก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน ห้องที่จองไว้ก็เลยดูท่าจะไม่ได้ใช้ ตอนแรกก็กะว่าจะแคนเซิลแล้วเอาเงินคืน แต่ถ้านายอยากจะใช้ ฉันก็ยินดีขายต่อในราคาถูกนะ ลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากราคาเต็มเป็นไง”
กวินทร์ร้องอ๋อ ก่อนจะเบะปากใส่ “ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ไม่เรียกว่าถูกนะไอ้ริชาร์ด”
“แล้วนายจะเอาเท่าไหร่”
“ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ขาดตัว”
“โอเค้ เห็นเป็นเพื่อนกันหรอกถึงยอม ห้าสิบก็ห้าสิบ” พระชายาเลิกพระขนงขึ้นสูงขณะตรัส แล้วก็ทรงหยอกกวินทร์ขึ้นมาอีก “จ่ายผ่านบัตรหรือเงินสดดีครับมาดาม”
“เงินสด เดี๋ยวไปกดให้” กวินทร์ว่าส่งๆ
ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้เลยเมื่อได้เห็นท่าทางแบบนี้ของกวินทร์
“ยิ้มอะไรไอ้คีธ ที่ฉันยอมซื้อจองต่อจากริชาร์ดไม่ใช่เพราะอยากอยู่ข้ามปีกับนายหรอกนะเว้ย แค่เสียดาย มันอุตส่าห์จองได้เลยซื้อจองต่อ”
“เมื่อกี้กวินทร์ยังบอกว่าอยากไปที่ไหนก็ได้กับฉันสองคนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ” ผมว่าอย่างรู้ทัน
กวินทร์เลิ่กลั่กไปเล็กน้อย พวงแก้มแดงแจ๋ขึ้นมาก่อนจะหันไปทางอื่น แล้วว่าสั้นๆ
“เมาเบียร์ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”
ผมรู้ว่ากวินทร์ไม่ได้เมาหรอก นิสัยของกวินทร์ก็อย่างนี้แหละ ปากไม่ตรงกับใจเท่าไหร่ แต่น่ารักที่สุดในจักรวาลแล้วล่ะ น่ารักจนผมชักจะอดใจไม่ไหวแล้วสิ
“ถ้ากวินทร์เมา... อยากกลับห้องไปนอนมั้ย” ผมเอนตัวไปโอบไหล่กวินทร์เบาๆ กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใช่เสียงกระซิบเท่าไหร่เพราะองค์ชายกับพระชายาได้ยินสิ่งที่ผมพูดได้อย่างชัดเจนดี และทั้งสองพระองค์ก็คงจะเข้าใจความหมายด้วยว่าผมหมายถึงอะไร
ก็ไม่ได้หมายถึงนอนจริงๆ หรอก แต่เป็นนอนใต้ร่างผมน่ะ
“ตะ...ตอนนี้ไม่เมาแล้ว!” กวินทร์แผดเสียงใส่ผมอีกครั้ง ใบหน้าตอนนี้แดงเรื่อยิ่งกว่าเมื่อครู่อีก
ดีที่ก่อนกวินทร์จะได้ปฏิเสธผมไปมากกว่านี้ พระชายาก็ตรัสโพล่งขึ้นมา
“ถ้าเมาก็ไม่ต้องระเห็จกลับไปที่ห้องหรอก ตอนนี้หิมะตกด้วย ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นไปนอนที่ห้องฉันน่ะ วันนี้พ่อแม่ฉันไม่อยู่ เดี๋ยวฉันกับแอสตันย้ายไปนอนห้องพ่อแม่” ตรัสผมก็ยักพระขนงให้ผมเล็กน้อย ผมรู้เลยว่านั่นเป็นแผนการของพระชายา มิหนำซ้ำ องค์ชายยังช่วยเปิดทางให้อีก
“เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกหน่อยนะคีทาเย เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพระชายาของเราบอกไว้ว่าอยากกินกีวี”
“เออ นั่นสิเนอะ ลืมไปเลย งั้นเราไปซูเปอร์ฯ กันเถอะ ให้สองคนนี้เฝ้าบ้าน” พระชายาเออออเห็นด้วย ก่อนจะลุกขึ้นพรวด “ฝากบ้านหน่อยนะเควิน เดี๋ยวอีกสักสามชั่วโมงจะกลับมา สามชั่วโมงพอใช่มั้ยคีธ” ปลายประโยคหันมาตรัสถามผมซะได้ กวินทร์เลยรู้หมดเลยว่าที่ทั้งสองพระองค์ตรัสว่าจะไปข้างนอกนั้นก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผมได้ผูกพันกับกวินทร์
แต่เอาเถอะ ผมพยักหน้ารับพระชายาไปเรียบร้อยแล้วล่ะ
“ไม่ต้องเลยไอ้ริชาร์ด ไม่ต้องทำมาเป็นไปข้างนอกเลยนะเว้ย!” กวินทร์โวยวายน้อยๆ
แต่ไม่ทันแล้ว พระชายาตรงไปหยิบกุญแจรถพร้อมลากองค์ชายไปที่หน้าบ้านแล้วล่ะ แถมยังทิ้งท้ายด้วยประโยคตรงๆ อีก
“ถุงยางไม่มีนะ แต่เหมือนพวกนายคงจะไม่ต้องใช้ อยู่บ้านกันดีๆ แล้วกัน อย่าทำเตียงหัก”
“ไอ้ริชาร์ด!” กวินทร์แหวใส่ ทว่าพระชายากับองค์ชายก็ผลุบหายไปจากบ้านแล้ว เหลือแต่ผมกับกวินทร์ที่ยังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นที่เดิม
กวินทร์บ่นไม่เลิกที่ถูกทิ้งให้อยู่กับผมสองต่อสองกะทันหัน ผมเห็นแล้วก็อดหัวเราะในลำคอไม่ได้
กวินทร์นี่ตลอดแหละ เวลาอายหรือประหม่าทีไรก็แสร้งทำเป็นก่นด่าไปเรื่อย
“หัวเราะอะไรไอ้คีธ” แล้วตอนนี้ก็เริ่มหันมาเล่นงานผมแล้วล่ะ
“ก็กวินทร์น่ารักดี” ผมบอกตามจริง
ใบหน้าของกวินทร์ยังเจือสีเลือดฝาดขณะฟังผมพูด จนผมต้องโน้มหน้าลงไปประทับจูบบนพวงแก้มนั่นเบาๆ ทีหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว อดใจไม่ไหวหนักยิ่งกว่าเมื่อกวินทร์ที่มองผมตาเขียวเริ่มเม้มปากแน่นด้วยความเขินอาย
น่ารัก... น่ารักที่สุด
รุกเลยก็แล้วกัน...
ผมดันกวินทร์เอนตัวนอนราบไปกับโซฟา โถมตัวเข้าหาแล้วพรมจูบลงบนซอกคอระหงอย่างกระหาย กวินทร์เผลอส่งเสียงหวานออกมาเล็กน้อยแต่ก็ครู่เดียว แล้วก็ผลักผมออก
“เดี๋ยว”
“หืม?” ผมละใบหน้าออกมามองใบหน้ายุ่งๆ ของคนใต้ร่างทันควัน ใจจริงไม่อยากหยุดเลย แต่ถ้าไม่หยุด เดี๋ยวกวินทร์จะโกรธเอา
แต่กวินทร์ก็ทำให้ผมยิ้มออกเมื่อเขาพูดขึ้นมาแบบไม่มองหน้าผม
“ขึ้นไปทำข้างบน เดี๋ยวพวกมันกลับมาเห็น”
ก็นึกว่าจะขัดขืน ที่แท้ก็เสนอสถานที่ให้นี่เอง
ผมไม่พูดอะไร ลุกขึ้นแล้วช้อนตัวกวินทร์ขึ้นอุ้มแทน ก่อนตรงไปยังห้องบรรทมของพระชายาชั้นบนทันใด พอเปิดประตูเข้าไปและวางกวินทร์ลงบนเตียงได้ กวินทร์ก็ว่าออกมาอีก
“ออมแรงไว้บ้างนะ เผื่อไว้คืนเคาท์ดาวน์บ้าง”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเลย คิดว่าผมเป็นใครกันถึงจะได้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือสำหรับวันนั้น
“กวินทร์ไม่ต้องห่วง สำหรับกวินทร์ ฉันมีแรงให้เหลือเฟืออยู่แล้ว”
“เออ รู้ว่านายมีแรงเหลือเฟือ แต่คิดถึงสุขภาพฉันบ้างสิเว้ย หลังเดาะหรือสะโพกครากขึ้นมา บอกไว้เลยว่านายอดแน่”
“อืม จะอ่อนโยนนะ” ผมตอบรับ แล้วจัดการเปลื้องปราการที่ขัดขวางสายตาของกวินทร์ออกทีละชิ้น ก่อนจะลิ้มรสหวานจากร่างตรงหน้าไปทุกสัดส่วนอย่างเบามือกว่าปกติ
ฮืม... ไม่อยากจะเบามือเลย แต่ถ้าไม่ทำตาม เดี๋ยวกวินทร์โกรธ อดใจไว้จนกว่าจะถึงคืนข้ามปีก็แล้วกัน
 
หลังจากวันนั้น กวินทร์ก็บ่นไม่เลิกว่าไม่ได้อยากไปเคาท์ดาวน์กับผมที่โรงแรมนั่น แต่ที่ยอมซื้อจองก็เพราะเสียดายแทนพระชายาที่ทรงจองห้องได้ แล้วก็ว่าผมไม่เลิกด้วยว่าผมตื่นเต้นเกินตัวกับแค่การเคาท์ดาวน์ทั้งที่ผมถามแค่คำถามเดียวเองว่าถ้าไปที่นั่น กวินทร์อยากทำอะไรบ้าง ผมก็เลยไม่ได้ถามต่อเพราะไม่อยากทำให้กวินทร์รำคาญใจ
แต่เท่าที่ผมเห็นนะ มีแต่กวินทร์นี่แหละที่ตื่นเต้น ยิ่งก่อนวันเคาท์ดาวน์วันเดียว กวินทร์ก็รีบโทรไปจองมื้ออาหารเย็นที่จะให้ทางโรงแรมมาเสิร์ฟที่ห้อง ซ้ำตอนนี้ยังนั่งเลือกเพลงที่จะเอาไปเปิดที่นั่นตอนเราผูกพันกันด้วย ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมอง มีความสุขแปลกๆ ที่ได้เห็นกวินทร์กระตือรือร้นอยากอยู่กับผมขนาดนี้
“นายว่าเอาเพลงแจ๊ซหรือบลูดี แบบไหนมันโรแมนติกกว่ากันวะ”
“แบบไหนก็ได้ แล้วแต่กวินทร์” ผมตอบรับพลางเท้าคางมองหน้ากวินทร์ที่เอาแต่จ้องจอโน้ตบุ๊กตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อนไปด้วย
กวินทร์ละสายตามามองผมดุๆ เล็กน้อยก่อนว่า “ฉันให้นายช่วยเลือกเว้ย ไม่ได้ให้นายเออออตามไปทุกอย่าง”
“กวินทร์เลือกอะไรมันก็ดีสำหรับฉันหมดนั่นแหละ เลือกเถอะ ฉันชอบทุกอย่างที่มาจากกวินทร์” ผมก็เลยว่าเอาใจหน่อย
กวินทร์พ่นลมหายใจแรงๆ ใส่ผมทีหนึ่ง ก่อนจะบ่นมุบมิบ
“ไอ้บ้าคีธ” หน้าแดงด้วย น่ารักจัง...
น่ารักจนผมอดใจขยับไปใกล้ๆ เพื่อจะจูบหน้าผากไม่ได้ พอกวินทร์ไม่ว่าอะไร เอาแต่ยกมือแตะหน้าผากบริเวณที่ผมจูบอย่างเดียว ผมก็ได้ใจ เลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้แล้วเริ่มคลอเคลียพรมจูบไม่ห่างตั้งแต่พวงแก้มไล้ลามไปยังลำคอ มือไม้เริ่มลูบไล้ไปยังแผงอกของกวินทร์ด้วย ตอนนี้แหละที่กวินทร์เริ่มชักสีหน้าใส่ผม
“เลือกเพลงอยู่ อย่าวุ่นวาย”
“กวินทร์ก็เลือกไปสิ” ผมว่าขณะที่ใบหน้ายังซุกอยู่ยังซอกคอ กวินทร์เลยผลักหน้าผมออกห่าง
“ก็อย่ากวนสิวะ!”
“กวินทร์น่ารักนี่” ผมเลยรีบส่งสายตาอ้อนวอนให้ จากการเรียนรู้พฤติกรรม เหมือนกวินทร์จะแพ้ทางกับสายตาประมาณนี้ของผมนะ ทำทีไร เห็นใจอ่อนทุกที
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน กวินทร์จ้องตาผมได้แวบเดียวก็หันหนี แล้วเอ่ยปากขึ้นมา
“งั้นก็มานั่งที่ฉัน เดี๋ยวฉันนั่งตักนาย จากนั้นจะทำอะไรก็ตามใจ”
ผมไม่รอช้า เปิดทางให้ขนาดนี้ก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ตัวเองขณะที่กวินทร์ลุกขึ้นยืนให้ผมมานั่งแทนที่ของเขา พอผมนั่งปุ๊บ กวินทร์ก็ทรุกตัวลงมานั่งบนตักอย่างที่ว่า ทีนี้ผมก็ได้ทำตามใจกับร่างกายของกวินทร์เลย
“อืม... ตรงนั้นมันเซ้นซิทีฟ เบาๆ หน่อย” กวินทร์ส่งเสียงอือออออกมาเมื่อผมเลื่อนฝ่ามือเข้าไปลูบแผ่นอกใต้เสื้อแล้วขยับนิ้วหยอกเย้ากับยอดนูนเล็กๆ บนหน้าอกข้างหนึ่ง
แล้วผมฟังเหรอ... ฟังครับ แต่ไม่ทำตาม ชอบที่สุดเลยเวลากวินทร์ทำท่าทางเหมือนทนไม่ไหวแบบนี้เนี่ย
“กวินทร์เลือกเพลงไปสิ” ผมแสร้งว่า สิ้นเสียง ปากก็งับใบหูเล็กแล้วขบกัดเบาๆ
กวินทร์เกร็งสุดตัว จากที่นั่งอยู่บนตักผมก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว เอนไปตามแนวราบของโต๊ะขณะที่ผมก็ยังไม่หยุดมือ
“บะ...แบบนี้ใครจะไปเลือกต่อได้วะ” ตามด้วยเสียงกระเส่าเบาๆ
ใบหน้าของกวินทร์แดงเรื่อกระตุ้นให้ผมเกิดความต้องการขึ้นมา ผมเลยละมือมาปลดกระดุมเสื้อของกวินทร์ออก เลื่อนมือลงไปยังขอบกางเกงยีนส์แล้วลูบส่วนที่ดุนดันเนื้อผ้าออกมาอย่างเบามือด้วย กวินทร์สะดุ้งเฮือกก่อนเด้งตัวลุกขึ้นจากตักผมโดยเร็ว
“ไม่เลือกแล้ว! ช่างหัวเพลงแม่ง!”
ผมไม่ปล่อยให้กวินทร์หลุดมือ พอกวินทร์เด้งตัวขึ้นยืน ผมก็คว้าเอวเขาไว้หมับ ดึงกลับมาหาตัวเองด้วย แต่ครั้งนี้ไม่ได้ดึงให้มานั่งตักแบบหันหลังให้ แต่ดึงมานั่งคร่อมแล้วหันหน้าเข้าหาผมแทน
“ไม่ต้องเลือกก็ได้ ไม่จำเป็นเท่าไหร่” ผมบอกขณะดึงแขนของกวินทร์ข้างหนึ่งพาดบนไหล่ตัวเอง
กวินทร์ย่นจมูก จ้องตาผมขวางๆ “ก็แน่ล่ะสิ นายมันหื่นได้ตลอดเวลานี่หว่า จะมีเพลงประกอบหรือไม่มีก็เท่านั้น”
“อืม แค่เสียงกวินทร์คนเดียวก็พอแล้ว” ผมว่าไปตามตรง ยิ้มน้อยๆ ให้ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่ากวินทร์อายอะไร พอสิ้นเสียงผม ก็ทุบอกผมดังอั้ก
“ไอ้หื่นคีธ”
ไม่ได้หื่นสักหน่อย แค่ชอบฟังเสียงกวินทร์เวลาอยู่ใต้ร่างผมเฉยๆ ...แต่ถ้ากวินทร์อยู่บนร่างผม ผมก็ชอบฟังเหมือนกัน
ผมไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มให้แล้วจัดการยื่นใบหน้าเข้าไปครอบครองยอดอกสีชมพูเรื่อที่อยู่ในระดับสายตาทันที กวินทร์ที่ทำท่าเหมือนจะลุกอีกครั้งรีบคว้าลำคอผมยึดตัวเองไว้แน่น เสียงหวานที่ดังจากลำคอเหมือนถูกเจ้าของสะกดกลั้นประหนึ่งไม่อยากเปล่งออกมา ผมเลยดุนลิ้นเปียกนุ่มไปบนส่วนแข็งขันนั่นเบาๆ ก่อนจะออกแรงดูดและขบกัดตามมาสลับกัน เสียงนั้นก็เลยดังขึ้นกว่าเดิม ตามด้วยเสียงเรียกชื่อผม
“อา...คีธ...”
ใบหน้าหวานดูเย้ายวนและเชิญชวนกว่าปกติ ผมเหลือบมองแล้วก็ชักอดใจไม่ไหว วันนี้จะรุนแรงได้มั้ยนะ กวินทร์จะโกรธหรือเปล่าถ้าทำกวินทร์สะโพกคราก ฮืม... ไม่เอาดีกว่า อ่อนโยนแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอด
แต่ถึงตั้งใจไว้แล้วว่าจะอ่อนโยน ผมก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี ยิ่งกวินทร์ส่งเสียงครวญครางกระตุ้นอารมณ์ไม่หยุด ผมก็ประคองกวินทร์ขึ้นยืนด้วยแขนข้างเดียว มืออีกข้างก็ดันโน้ตบุ๊กตรงหน้าออกห่างแล้ววางกวินทร์ลงนั่งบนโต๊ะแทน
“จะทำอะไรเนี่ย” กวินทร์ถามเสียงขุ่น ผมไม่สนใจแล้ว ดันกวินทร์ลงนอนหงายบนโต๊ะนั่นแล้วกระซิบข้างหูเบาๆ
“ผูกพันกับกวินทร์ไง”
“บนโต๊ะเนี่ยนะ” กวินทร์ย่นคิ้วให้ผมพยักหน้า
“ไม่เอา ไปที่เตียง” พอได้คำตอบ กวินทร์ก็ชี้นิ้วสั่งเลย
กวินทร์นี่เป็นพวกชอบการผูกพันแบบปกติสามัญ อะไรที่โลดโผน กวินทร์จะไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ผมชอบไง ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ามัวแต่รอไปที่เตียงแล้วถ้าเกิดอยากจะผูกพันตอนไม่มีเตียงล่ะจะทำยังไง เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ไม่เป็นอะไรหรอก กวินทร์โกรธแล้วค่อยง้อทีหลัง
“ไอ้คีธ บอกให้ไปที่เตียง” กวินทร์โวยวายขึ้นมาน้อยๆ เมื่อเห็นผมดื้อแพ่งและเอาแต่วุ่นวายกับการลิ้มรสยอดอกเขาไม่เลิก
ผมไม่สนใจ ไล่จูบลงต่ำไปยังหน้าท้อง มือข้างหนึ่งยังคลึงเคล้นยอดอกกวินทร์ไม่เลิก อีกข้างก็จัดการปลดเข็มขัดกางเกงของกวินทร์ออกจนเหลือแต่ชั้นใน แล้วจัดการลูบคลำส่วนแข็งขันที่ปรากฏให้เห็นน้อยๆ ผ่านเนื้อผ้าอย่างเบามือ กวินทร์สะดุ้งเฮือก เสียงที่ห้ามผมอยู่เริ่มกระเส่าขึ้นมา
“ปะ...ไปที่เตียง อา...”
ไม่ไปแล้ว ที่โต๊ะนี่แหละ
ผมดึงกางเกงชั้นในของกวินทร์ลง หยอกล้อกับแก่นกายอุ่นร้อนด้วยอุ้งมือ ครู่หนึ่งร่องเล็กที่ส่วนปลายสีเรื่อก็เริ่มมีน้ำสีใสไหลซึมออกมาเล็กน้อยจนผมอดใจที่จะชิมรสหวานนั่นไม่ได้ แต่เพียงแตะริมฝีปากเบาๆ กวินทร์ก็เกร็งตัวจนแผ่นหลังอยู่ไม่ติดโต๊ะ ผมเลยลากเก้าอี้มานั่ง กดบั้นเอวเล็กให้แนบติดกับโต๊ะแล้วทำท่าจะจับส่วนบอบบางนั้นเข้าโพรงปาก
หากแต่แค่ตั้งท่าเท่านั้น เพียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของกวินทร์ซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงที่กองอยู่บนพื้นก็ดังขึ้น เรียกให้กวินทร์เด้งผึงขึ้นมานั่งทันใด
“ส่งโทรศัพท์มา”
“อืม” ผมขานรับ แต่ไม่อยากให้รับเลย ทำเป็นไม่สนใจไปก็แล้วกัน
ผมโน้มใบหน้าลง กะจะจัดการอยู่แล้ว ทว่ากวินทร์ดันเอามือมาจิกผมของผมไว้แน่น
“ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์หรือไงวะ บอกให้ส่งมา!”
ผมเงยหน้าขึ้นมองกวินทร์ที่ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย อยากถอนหายใจใส่จัง แต่เดี๋ยวโดนกวินทร์ด่า เสียงโทรศัพท์นั่นก็ดังไม่หยุดจนชวนให้รำคาญซะด้วย ให้รับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยผูกพันทีหลัง
ผมยอมผละจากกวินทร์ ก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ให้กวินทร์แต่โดยดี กวินทร์รับไปถือ พึมพำชื่อคนที่โทรเข้ามาเล็กน้อยให้ได้ยิน
“ด็อกเตอร์มาร์ติน...”
อาจารย์ของกวินทร์สินะ
“ครับ?” กวินทร์กดรับแล้วกรอกเสียงลงไป เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นมายาวเหยียด สีหน้าที่ย่นยู่ของกวินทร์ดูย่นยู่หนักขึ้นไปอีก ทำเอาผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน ผมเลยตั้งสมาธิแล้วใช้ประสาทสัมผัสของตัวเองให้เป็นประโยชน์เพื่อแอบฟังบทสนทนาทันใด
[นะเควิน นอกจากนายแล้ว ฉันก็ไม่รู้จะไปหาใครที่ไหนมาช่วยอีกแล้ว ริชาร์ดก็ไม่อยู่แล้ว แค่พรุ่งนี้วันเดียวเอง]
มีเอ่ยพระนามของพระชายาที่เพิ่งจะบินไปมัลดีฟส์เมื่อวานขึ้นมาด้วย ดูท่าทางคงอยากจะให้ไปช่วยงานแน่ๆ
“แต่ว่า...” กวินทร์ดูมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา ทว่าอีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมาก่อนกวินทร์จะพูดจบ
[แค่มาช่วยดูคิวตัดต่อเองน่า เสร็จไม่ดึกหรอก ก่อนเที่ยงคืนแน่นอน รับรองว่านายได้เคาท์ดาวน์แน่ ฉันกับทีมงานมีแพลนจัดการปาร์ตีเคาท์ดาวน์ไว้แล้ว]
อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ขอให้ไปช่วยงานจริงๆ
“แต่ผมมีนัดแล้วน่ะครับ”
[เถอะนะเควิน ฉันไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริงๆ ไม่มีใครที่ฉันไว้ใจได้เท่านายกับริชาร์ดเลย งานนี้ได้เงินด้วยนะ จริงๆ ถ้านายมาล่ะก็ ฉันสัญญาเลยว่าจะคุยเรื่องทุนเทอมหน้าของนายให้เลย เดี๋ยวจะพานายไปแนะนำให้โปรดิวเซอร์ดังๆ เพื่อนฉันรู้จักด้วย จะได้ปูทางในอนาคตดีมั้ย มาเถอะ โอกาสแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะ]
ผมเห็นความลังเลฉายวาบขึ้นมาในแววตากวินทร์เล็กน้อย ผมรู้ว่ากวินทร์อยากเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์หลังจากเรียนจบ ต่างจากพระชายาที่อยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ พอมีคนมาเสนอโอกาสแบบนี้แล้วก็อดลังเลไม่ได้ ถึงการประกอบอาชีพของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินจะไม่สำคัญกับผมนัก แต่สำหรับกวินทร์มันสำคัญ ผมก็เลยวางมือลงบนขาของกวินทร์แล้วออกแรงบีบเบาๆ
กวินทร์เหลือมามองผมขณะที่ผมพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าให้ตกปากรับคำไป กวินทร์เลยบอกอีกฝ่ายว่าให้รอเดี๋ยวแล้วหันมาพูดกับผม
“นายโอเคเหรอ”
“โอกาสของกวินทร์ในอนาคต ฉันโอเคหมด”
กวินทร์ทำหน้าไม่เชื่อ หัวคิ้วย่นยู่ทันควัน
“ถ้านายไม่โอเคก็บอกมาตอนนี้เลย ฉันจะได้ยกเลิกฝั่งนั้นไป”
“โอเคสิกวินทร์”
“แต่พรุ่งนี้มันเป็นวันส่งท้ายปีเก่าครั้งแรกของนายนะ... ของเราด้วย”
“ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ปีเดียวสักหน่อย อยู่ไปตลอดชีวิต ไม่เป็นไรหรอก เอาที่ใจกวินทร์ต้องการเถอะ”
กวินทร์ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงมาบ้าง ก่อนจะตัดสินใจในทันที
“งั้นไว้หลังปีใหม่จะชดเชยให้แล้วกัน”
ผมพยักหน้ารับ พอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่ากวินทร์จะเลือกแบบนี้ แต่ก็ดีแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่ได้มาง่ายๆ ส่วนผมอยู่กับกวินทร์ทุกวัน เมื่อไหร่ก็เป็นวันสำคัญทั้งนั้น ไม่ใช่แค่วันส่งท้ายปีใหม่อย่างเดียว ไม่ได้นับถอยหลังด้วยกันก็ไม่เป็นไร
“ตกลงครับ งั้นไว้เจอกันนะครับด็อกเตอร์” กวินทร์รับปากฝ่ายนั้นเรียบร้อย นัดแนะสถานที่และเวลากันด้วยก่อนจะวางสายไป
วางสายเสร็จ สีหน้าของกวินทร์ก็ดูสำนึกผิดขึ้นมา ก่อนเขาจะมองหน้าผมนิ่งแล้วว่าเสียงแผ่ว

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.21]--30/12/58[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 01-01-2016 14:04:43
Special Episode [New Year]: Let bind Kawin tight and give Keith as a gift[2]
“ขอโทษนะคีธ ไว้จะชดเชยให้ยาวๆ เลย ไม่เป็นไรนะ”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง ไม่เป็นอะไรอย่างที่บอกนั่นแหละ ผมไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอย่างกวินทร์ วันไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น ที่สำคัญคือตอนนี้ต่างหาก... จะต่อจากเมื่อกี้ได้หรือยังนะ?
อยากจะถามกวินทร์เหลือเกิน แต่กวินทร์ไม่อยู่ให้ถาม ทิ้งตัวลงจากโต๊ะแล้วยกโน้ตบุ๊กไปต่อกับปริ๊นท์เตอร์ ปริ๊นท์เอาวอเชอร์การจองโรงแรมออกมายื่นให้ผม
“ฉันคงไม่ได้ไปแล้ว แต่จะทิ้งหรือแคนเซิลไปก็เสียดาย พรุ่งนี้นายไปคนเดียวนะ ฉันจัดการจองอาหารอะไรไว้ให้หมดแล้ว ชุดดีลักซ์เลยนะ”
ผมรับมาถือ จริงๆ ผมไม่ได้สนใจเรื่องอาหารอะไรเท่าไหร่ถึงตอนนี้ผมจะกินอาหารได้เหมือนชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเพราะยาของเจเนซิสแล้วก็ตาม ก็สิ่งที่ผมอยากกินน่ะคือกวินทร์ต่างหาก ไม่ใช่อาหารหรูๆ นี่สักหน่อย
แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมสนใจได้เท่ากับสิ่งที่กวินทร์พูดต่อมา
“ฉันคงต้องไปค้างที่บ้านด็อกเตอร์คืนนี้เลย ด็อกเตอร์ขอมาน่ะว่าให้มาเร็วหน่อย”
อืม... ผมได้ยินจากบทสนทนาทางโทรศัพท์นั่นแล้วล่ะ
“กวินทร์ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” แล้วผมก็ตอบรับไป
กวินทร์ไม่ยอมไป ยืนมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นก่อนจะว่าออกมาเบาๆ
“ขอโทษนะคีธ”
ขอโทษอีกแล้ว กวินทร์จะรู้มั้ยนะว่าเรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ผมเสียความรู้สึกหรอก แค่เสียดายหน่อยๆ ที่ไม่ได้สานต่อกับกวินทร์จากที่ค้างไว้เมื่อกี้อย่างเดียว งั้นเอามาต่อรองเลยแล้วกัน
“ถ้ากวินทร์อยากจะขอโทษ ก็ขอโทษด้วยการต่อจากเมื่อกี้กันเถอะ”
สีหน้าสำนึกผิดของกวินทร์ดูหงุดหงิดขึ้นมาเลย แต่ครู่เดียวเท่านั้น กวินทร์ก็พ่นลมหายใจออกมา
“ก็ได้ จะรุนแรงแค่ไหนก็ตามสบาย ถือว่าชดเชยล่วงหน้าแล้วกัน ไว้กลับมาแล้วจะชดเชยให้อีกที แต่มีข้อแม้อยู่อย่างนึง”
ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ครู่หนึ่งกวินทร์ก็ตอบกลับมา
“ทำที่เตียง โต๊ะมันแข็ง เจ็บหลัง”
ผมหลุดหัวเราะน้อยๆ ทันใด แล้วก็พยักหน้ารับไปตามเรื่อง
“งั้นไม่ออมแรงนะ”
กวินทร์พยักหน้า ผมเลยตรงเข้าไปอุ้มกวินทร์แล้วพาเข้าไปในห้องนอน วันนี้จะไม่ออมแรงแล้ว กวินทร์ทำผิดทีไรยอมตามใจผมทุกที อยากให้กวินทร์ทำผิดอีกบ่อยๆ จัง

‘ไปก่อนนะคีธ ถ้ามีอะไรหรือขาดเหลืออะไรก็โทรมาหาฉันนะเข้าใจมั้ย แล้วก็อย่าลืมไปที่โรงแรมด้วย อย่าให้เสียของ’
กวินทร์สั่งผมยาวเหยียดก่อนจะออกไปหาด็อกเตอร์มาร์ตินในตอนกลางคืน ผมก็พยักหน้ารับส่งๆ ไป กะจะไม่ไปอยู่แล้วล่ะถ้ากวินทร์ไม่ยื่นคำขาดส่งท้ายมา
‘ถ้าฉันมารู้ทีหลังว่านายเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้อง ไม่ยอมไปที่โรงแรมให้ฉันเสียเงินฟรีล่ะก็ งดเซ็กส์เดือนนึง!’
นั่นแหละ ผมก็เลยมายืนอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมที่ว่านั่นในคืนวันส่งท้ายปี ผมเลือกมาตอนช่วงหัวค่ำเพราะไม่อยากจะใช้เวลาอยู่ที่นี่คนเดียว แต่คิดดูดีๆ แล้ว อยู่ที่ห้องของกวินทร์ก็ใช้เวลาอยู่คนเดียวเหมือนกัน ทว่ามันก็ต่างกันนั่นแหละ ที่ห้องของกวินทร์ยังมีกลิ่นกายของกวินทร์ ผิดกับที่นี่ที่ไม่มี ถึงจะไม่อยากมาก็ต้องมา งดผูกพันหนึ่งเดือนนี่ ฆ่าผมทิ้งยังจะดีซะกว่า
ผมถูกบริกรของโรงแรมพามายังห้องที่จองไว้ มันเป็นห้องสวีทก็จริง ทว่าก็ไม่ได้หรูที่สุดในโรงแรมแห่งนี้ ทว่าก็หรูพอตัว ตอนแรกผมก็แอบกังวลเรื่องค่าห้องที่กวินทร์จ่ายไปเหมือนกัน แต่พอกวินทร์บอกว่าจะมาเก็บเงินที่ผมทีหลัง ผมก็เลยเบาใจไป ผมน่ะได้เงินจากการเป็นสตั๊นแมนค่อนข้างเยอะ ยิ่งช่วงนี้ไปรับงานถ่ายแบบเดินแบบอะไรที่พระชายาแนะนำให้แล้วด้วย ยิ่งมีมากกว่าเดิมหากแต่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่นัก ให้กวินทร์ใช้นั่นแหละดีแล้ว
ผมปิดประตูห้อง เดินเข้าไปยังบานกระจกใสแทนที่กำแพงที่ทอดตัวยาวเกือบจะครึ่งห้องแล้วมองวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าจากความสูงในระดับชั้นที่สามสิบนิ่งๆ มันไม่ได้สูงพอที่จะทำให้เห็นทิวทัศน์ของนิวยอร์กทั้งหมด แต่ทิวทัศน์ที่ได้เห็นก็สวยงามไม่น้อย ยิ่งอยู่ในช่วงกลางคืน มีแสงไฟประดับประดาด้วยแล้วก็ยิ่งดูสวย ตัวผมไม่ได้สนใจมากนักหรอก ทิวทัศน์ที่เห็นจากอวกาศน่ะสวยกว่านี้เยอะ แต่ผมอยากให้กวินทร์ได้มาเห็นมากกว่า เพราะที่ผมอยากเห็นน่ะไม่ใช่ทิวทัศน์พวกนี้ ทว่าเป็นสีหน้าของกวินทร์ที่ได้เห็นมันต่างหาก
ตอนแรกที่คิดว่าไม่เป็นไรถ้ากวินทร์ไม่ได้มาด้วย ตอนนี้ก็ชักเป็นแล้วแฮะ อยากรู้จังว่ากวินทร์จะทำหน้าตื่นเต้นได้น่ารักขนาดไหนเวลาเห็นวิวของนิวยอร์ก
ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ หัวก็จินตนาการภาพสีหน้าของกวินทร์ไปด้วย ใจอยากจะตั้งสมาธิแล้วแอบฟังเสียงพูดคุยของกวินทร์ระหว่างทำงานเหมือนกันว่าคุยอะไรกับใครบ้าง แต่เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท ปล่อยให้กวินทร์ตั้งใจทำงานไปดีกว่า กลับมาแล้วค่อยคุยกัน
แต่นี่มัน... เหงาจังเลยแฮะ ถ้ากวินทร์มาอยู่ตรงนี้ด้วยก็ดี
ผมเผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกตัวอีกที เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นแล้ว คนโทรมาเป็นกวินทร์... ก็เป็นกวินทร์คนเดียวนั่นแหละ โทรศัพท์เครื่องนี้ไม่มีใครรู้เบอร์ คนที่ติดต่อผมมีแค่กวินทร์คนเดียว ส่วนพวกที่โทรมาติดต่อเรื่องงานก็โทรเข้าหากวินทร์หมด ก็เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของผมนี่นา
[ว่าไงคีธ ตกลงไปที่โรงแรมหรือยัง] พอกดรับสาย กวินทร์ก็กรอกเสียงลงมาเลย
“อืม ตอนนี้อยู่ในห้องสวีทที่กวินทร์จองไว้” ผมบอกไปตามความจริง สายตายังทอดมองไปยังวิวด้านนอกเหมือนเดิม
[แล้วเป็นไง นายชอบมั้ย]
“ชอบ สวยมาก แต่จะชอบกว่านี้ถ้ากวินทร์อยู่ด้วย” ผมหลุดปากพูดความในใจไปจนได้ นี่ก็นิสัยเสียของผมล่ะ เก็บความต้องการไม่ค่อยอยู่
กวินทร์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะพูดออกมา
[เอาน่า บอกแล้วไงว่าจะชดเชยให้ทีหลัง อ๊ะ เดี๋ยวฉันต้องไปก่อนนะ ใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนเคาท์ดาวน์ ไม่อยากทำงานข้ามปี แค่นี้ก่อน]
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าปลายประโยค กวินทร์ดูรนๆ แปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร คงจะยุ่งจริงๆ เลยขานรับแล้ววางสายไป
ใกล้ห้าทุ่มแล้ว... อีกไม่นานก็จะได้เวลาเข้าสู่ปีใหม่แล้วสินะ
ยิ่งคิด ความเสียดายที่ไม่ได้อยู่กับกวินทร์ในเวลานี้ก็เข้ามากัดกินใจผม ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกกวินทร์ในคืนวันคริสมาสต์อีฟแล้วล่ะว่าตอนนั้นกวินทร์รู้สึกยังไง แต่ผมไม่โกรธกวินทร์หรอก มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่
ทว่าในระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ เสียงกดกริ่งจากหน้าห้องก็ดังขึ้น เรียกความสนใจจากผมไป พอผมส่องช่องตาแมวก็เห็นบริกรสองคนพร้อมกับรถเข็นที่มีอาหารอยู่เต็มอยู่ตรงหน้าประตูก่อนที่ใครคนหนึ่งจะร้องบอกขึ้น
“อาหารมาเสิร์ฟครับ”
ผมเปิดประตูให้ทั้งคู่เข้ามา ทั้งคู่จัดการจัดโต๊ะอาหารใต้เชิงเทียนให้ นี่ก็เป็นสิ่งที่กวินทร์เตรียมไว้ฉลองกับผมเหมือนกัน เสียดายจังเลยแฮะ ไปลากกวินทร์มาตอนนี้เลยได้มั้ยนะ หรือผมจะไปหากวินทร์ดี กวินทร์จะโกรธมั้ยถ้าผมทิ้งห้องสวีทนี้มา?
ในหัวผมยังคงมีคำถามมากมายเต็มไปหมด ตาก็เหลือบมองนาฬิกาข้อมือไปด้วย ตอนนี้ห้าทุ่มครึ่งแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงก็จะได้เวลาเคาท์ดาวน์แล้วสินะ
“ทานให้อร่อยนะครับ” บริกรคนหนึ่งว่าขึ้นหลังจากจัดโต๊ะอาหารเสร็จ ผมพยักหน้า ทำท่าจะเดินไปส่งสองคนนั้นออกจากห้อง ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อมีบริการอีกจำนวนหนึ่งเข็นรถเข็นเข้ามา
ผมเอียงคอมองของที่อยู่บนรถเข็นนั่น มันเป็นกล่องของขวัญใบใหญ่ทีเดียว กะจากสายตาก็น่าจะสูงเกือบเอวผมได้มั้ง ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากถามอะไร บริกรที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าจากบริการชุดใหม่ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เซอร์วิสพิเศษจากทางโรงแรมน่ะครับ ของขวัญปีใหม่สำหรับลูกค้าคนพิเศษของเราครับ”
ผมพยักหน้ารับไป บริกรพวกนั้นบอกลาผมแล้วก็ออกจากห้องไป ผมแทบไม่ได้สนใจสิ่งของที่ทางโรงแรมขนมาให้เลยแม้แต่น้อย แต่ครู่เดียวก็ต้องสนใจขึ้นมาเมื่อกลิ่นคุ้นเคยของใครบางคนลอยแตะเข้ามาในจมูกอย่างจัง
กลิ่นนี่มัน... กลิ่นของกวินทร์...
ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดถึงกวินทร์จนเผลอได้กลิ่นของเขา แต่มั่นใจว่าเขาจะต้องอยู่ใกล้ๆ นี้แน่ เลยเดินตามกลิ่นหาต้นตอ พลันสะดุดใจเข้ากับกล่องของขวัญใบใหญ่นั่น พอยื่นหน้าไปดมใกล้ๆ กลิ่นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
หรือกวินทร์จะอยู่ในนี้? ไม่หรอกมั้ง คนอย่างกวินทร์คงไม่คิดทำอะไรแปลกๆ แบบเอาตัวเองใส่กล่องของขวัญมาเซอร์ไพรส์ผมหรอก นั่นกวินทร์นะ ไม่ใช่ผม ถ้ากวินทร์ทำแบบที่ผมคิดขึ้นมาจริง ดาวดวงนี้คงถึงกาลอวสานแน่
ผมยืนชั่งใจเล็กน้อย ถึงจะคิดว่ากวินทร์คงไม่ทำแบบนั้น แต่ในใจก็ภาวนาไปแล้วว่าขอให้ข้างในเป็นกวินทร์จริงๆ ก่อนเอื้อมือไปดึงริบบิ้นที่ผูกอยู่บนกล่องออกแล้วจัดการเปิดฝากล่องทันใด
เท่านั้นผมก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นกวินทร์นั่งคุดคู้งอตัวอยู่ในนั้น ที่เบิกตาโตไม่ใช่เพราะเห็นกวินทร์มาเซอร์ไพรส์แบบนี้ แต่เบิกตาโตเพราะกวินทร์ที่อยู่ในนั้นไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้น มีแต่ผ้าแดงๆ ลักษณะคล้ายริบบิ้นพันตัวอยู่แล้วก็ผูกกันเป็นโบว์ใหญ่ๆ ที่หน้าอก เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าผมเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้างุดอย่างเดียว
“กวินทร์?” พอตั้งสติได้ ผมก็เปรยชื่อเขาออกมา เขาเหลือบมองหน้าผมเล็กน้อยแล้วก็กอดเข่า ก้มหน้าลงไปอีก
“ก็ฉันน่ะสิ คิดว่าใคร” ตามมาด้วยเสียงอู้อี้ ผมรู้แหละว่าเขาอาย ก็ควรอายอยู่หรอก คิดทำอะไรอยู่เนี่ย แก้ผ้าแบบนี้ไม่หนาวหรือไงนะ?
และเพราะผมกลัวว่าเขาจะหนาว ผมก็เลยค้อมตัวไปดึงกวินทร์ให้ยืนขึ้น ตอนนี้แหละที่ผมได้เห็นรูปร่างของกวินทร์เต็มสองตา ปกติแล้วเวลากวินทร์อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าก็น่ารักจนผมอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว แต่พอมาอยู่ในผ้าเส้นๆ ที่ผูกกันเป็นโบว์อย่างนี้แล้ว ผมก็ยิ่งใจเต้นหนัก ถึงจะอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยและไม่ได้เห็นทุกสัดส่วนชัดเจน ทว่ากลับทำให้ผมร้อนที่หน้าขึ้นมาอย่างประหลาด
นะ...น่ารักชะมัด
ผมเผลอปล่อยมือจากกวินทร์ ดึงมือมาปิดปากแทน สายตาก็พินิจพิเคราะห์การแต่งตัวของกวินทร์ในวันนี้ไปด้วย ลืมสิ้นไปสนิทเลยว่าจะถามว่ากวินทร์มาได้ยังไง ส่วนกวินทร์ก็ก้มหน้างุดอีกครั้งเมื่อเห็นผมเอาแต่จ้อง ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“มะ...มองอะไรเล่า พูดอะไรบ้างสิ”
แสงไฟสีส้มจากในห้องทำให้ผมเห็นได้ไม่ชัดเจนนักว่ากวินทร์หน้าแดงขนาดไหน แต่คงจะแดงมากนั่นแหละเพราะแม้แต่ลำคอขาวนั่นยังเปลี่ยนสีเลย
“กวินทร์อยากให้พูดอะไรล่ะ” ผมถาม กวินทร์ตวัดหางตามามองผมเคืองๆ ทันที
“ก็ถามฉันสิว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วแต่งตัวแบบนี้ทำไมน่ะ!”
อ๋อ... ที่แท้ก็อยากให้ถามเรื่องนี้ อุตส่าห์มองข้ามไปแล้วแท้ๆ แต่อยากให้ถามก็จะถามก็ได้
“กวินทร์มาที่นี่ได้ยังไง”
“มาเซอร์ไพรส์นายไง พอดีงานเสร็จเร็วก่อนกำหนด เสร็จตั้งแต่สามทุ่มแล้ว ฉันก็เลยขอด็อกเตอร์มาร์ตินกลับมาก่อน แล้วก็โทรมาเตรี๊ยมกับพนักงานที่นี่ไว้อย่างที่นายเห็นนั่นแหละ”
ผมพยักหน้ารับ ถามอีกคำถามขึ้นมา
“แล้วกวินทร์แต่งตัวแบบนี้ทำไม”
กวินทร์สะดุ้งน้อยๆ ไม่ยอมตอบในทันที มือทั้งสองข้างดึงผ้าส่วนที่ปกปิดส่วนล่างให้ลงต่ำเมื่อเห็นว่ามันร่นขึ้นมาน้อยๆ
“กะ...ก็...ชะ...ชุดนอนไม่ได้นอน ริชาร์ดมันแนะนำมา”
ชุดนอนไม่ได้นอนนี่คืออะไร?
ใช้เวลาคิดไปครู่ก็นึกขึ้นได้ เหมือนองค์ชายจะเคยตรัสให้ฟังว่าพระชายาชอบใส่ชุดแบบนี้เวลาทั้งสองพระองค์ผูกพันกัน ว่ากันว่าเร้าอารมณ์นัก
ก็จริงอย่างที่องค์ชายว่า เร้าอารมณ์จริงๆ ด้วย ผูกมาซะเป็นโบว์ขนาดนี้ กวินทร์คิดจะเอาตัวเองมาให้ผมเป็นของขวัญปีใหม่แน่ๆ
“ของขวัญปีใหม่เหรอ” ถึงจะมั่นใจ แต่ผมก็ถามไป
กวินทร์พยักหน้ารับ ผมเลยยิ้มออก ถลาเข้าไปกอดกวินทร์แน่นทันที
“อะ...อะไรของนายเนี่ย!” แล้วกวินทร์ก็โวยวายใส่ ดันตัวออกจากผมด้วย แต่ผมไม่ปล่อยหรอก ก็ให้ผมแล้วนี่ของขวัญชิ้นนี้น่ะ
“ก็กวินทร์น่ารัก” ผมว่ายิ้มๆ จรดริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มเบาๆ กวินทร์ยังไม่หยุดดิ้น ผมเลยจูบอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใช่จูบผ่านๆ แต่ผมยังลิ้มรสกลีบปากบางอย่างอ้อยอิ่งอีกด้วย กวินทร์เรี่มหยุดดิ้น ตอบสนองต่อการรุกล้ำของผม ผมเลยดันลิ้นเข้าไปในโพรงปาก ตวัดชิมความหวานล้ำจากโพรงปากเล็กของคนตรงหน้าจนกวินทร์หายใจหอบหนัก ใบหน้าแดงอยู่แล้วแดงมากกว่าเดิม เนื้อตัวก็อ่อนระทวยแทบหยัดยืนไม่อยู่ ผมต้องประคองไว้ในอ้อมแขนแน่น
“ปะ...ไปที่เตียงกันเถอะ” กวินทร์ว่าเสียงพร่า
ผมไม่ปฏิเสธ ช้อนกวินทร์ขึ้นอุ้มแล้วพาไปที่เตียงไซส์คิงเบดก่อนวางลงเบาๆ สายตายังคงชื่นชมของขวัญชิ้นงามภายใต้โบว์สีแดงไม่เลิก กระทั่งกวินทร์เอ่ยขัดออกมา
“มองอยู่ได้ จะทำอะไรก็ทำสักที”
“เดี๋ยวสิ ขอชื่นชมก่อน ของขวัญชิ้นแรกที่กวินทร์ให้ฉันเลยนะ” ผมหยอก กวินทร์หันหน้าหนีทันใด ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรงด้วย เห็นแล้วก็ไม่อยากแกะของขวัญชิ้นนี้เลย กลัวจะไม่ได้อีก ถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอเก็บไว้ได้มั้ยนะ?
ไม่ทันได้ขออนุญาตกวินทร์ ผมก็ล้วงมือเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปแล้ว กวินทร์หันขวับมามองผมด้วยสายตาดุๆ ทันที
แชะ!
“ทำอะไรของนายน่ะ!”
“ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก”
แชะ!
สองรูปคงไม่พอ อีกสักหน่อยแล้วกัน อืม... น้อยไป สักสิบ... หรือจะทำเป็นคอลเล็คชันเลยดี?
แชะ! แชะ! แชะ!
“พอได้แล้วเว้ย! คิดจะแบล็คเมล์กันหรือไงวะ!” กวินทร์โวยวาย พุ่งเข้ามาแย่งโทรศัพท์จากมือผม แต่ผมไวกว่า เอี้ยวตัวหลบแล้วชูขึ้นสูง แล้วอีกมือหนึ่งก็คว้ากวินทร์เอาไว้
“เอามานะเว้ย! ลบทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลย!”
ผมไม่ฟัง ยิ้มให้อย่างเดียว กวินทร์เลยทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่กล่องเมื่อครู่ คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในกล่องนั่นมีกระเป๋าเป้อยู่ในนั้นด้วย คงจะเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าล่ะมั้ง
“งั้นฉันกลับแล้ว แม่ง!”
ใครจะปล่อยให้กลับล่ะ ผมรีบเก็บโทรศัพท์ลงที่เดิม ก้าวเร็วๆ เข้ามาโอบเอวกวินทร์แล้วพากลับมาที่เตียงอีกครั้ง
“อะไรอีกเล่า!” กวินทร์แผดเสียงลั่น ผมเลยจูบปิดปากไปทีนึง
“อยู่เคาท์ดาวน์ด้วยกันก่อนสิ”
“ไม่เอาแล้ว! จะกลับ!”
“ฉันยังไม่ได้แกะของขวัญเลย จะกลับได้ยังไง” ผมว่าพลางลูบฝ่ามือไปตามแผ่นอกของกวินทร์ด้วย อ๊ะ...ลูบแรงไปหน่อย ผ้าที่คาดปิดยอดอกนูนเปิดออกเลย อืม... ผมจงใจนั่นแหละ
“งะ...งั้นก็แกะสิ” กวินทร์ผ่อนเสียงลง หน้ากลับมาแดงอีกครั้งแล้ว สายตาก็เว้าวอน น่ารักเป็นบ้า ทำเลยแล้วกัน
ผมเลื่อนมือไปยังปลายริบบิ้นที่อยู่บนหน้าอก พินิจจากปมของมันแล้วดูท่าแค่กระตุก ริบบิ้นที่พันอยู่รอบตัวกวินทร์ก็น่าจะหลุดออกทั้งหมด งั้นยังไม่ดึงดีกว่า ขอเล่นก่อน
ผมก้มหน้าลงชิมริมฝีปากสีชมพูอ่อน ค่อยๆ ไล้ปลายลิ้นไปทั่วเรียวปากก่อนจะบุกรุกเข้าไปด้านใน กวินทร์เองก็จูบตอบผมเช่นกัน สองมือโอบรัดรอบลำคอผม ส่งเสียงฮืมในลำคอทุกครั้งที่ถูกผมรุกเร้า ปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้เร้าให้ความต้องการของผมทวีรุนแรงมากขึ้นเป็นเท่าตัวจนผมต้องเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ เล่นให้หนำใจก่อนแล้วค่อยจัดการ
เท่านั้นผมก็ผละจากริมฝีปาก เลื่อนไปหน้าไปขบเม้มใบหูเล็ก กวินทร์กระตุกน้อยๆ เมื่อถูกฟันคมๆ จู่โจม ก่อนผมจะไล้ปลายลิ้นต่ำลงมายังลำคอและไหปลาร้า ผิวขาวๆ ทำให้ผมอดใจอยากรังแกไม่ไหว เผลอดูดเสียแรงจนเกิดเป็นรอยจ้ำแดงขนาดใหญ่หลายรอย กวินทร์ทำท่าจะร้องท้วงแต่ผมไม่ได้สนใจนัก เลื่อนต่ำลงมายังส่วนแข็งนูนบนหน้าอกข้างหนึ่งที่โผล่ออกมายั่วเย้าสายตา
ผมไม่รอช้า เข้าครอบครองทันที ไออุ่นจากโพรงปากผมทำให้กวินทร์แอ่นตัวขึ้นตอบรับ เสียงคราญครางดังออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้น แต่มันยังไม่พอ ผมอยากได้ยินอีก อยากได้ยินดังกว่านี้เลยตวัดปลายลิ้นไล้หยอกเย้าไปทั่ว มืออีกข้างก็ซุกซน ดึงผ้าที่ปกปิดยอดอกอีกข้างให้หลุดพ้นแล้วละเลงปลายนิ้วบนส่วนนั้นไปมา
“อือ...คีธ...”
กวินทร์ส่งเสียงเรียกชื่อผมไม่หยุดก็ตอนนี้ ช่วงหน้าท้องผมสัมผัสได้ถึงแก่นกายแข็งขืนของกวินทร์จากใต้ผ้าที่ดุนดันอยู่ทันใด ผมรู้ว่ากวินทร์พร้อมแล้ว แต่ผมยังไม่ทำตอนนี้หรอก ยังเล่นไม่พอ
กว่าจะผละจากยอดอกได้ กวินทร์ก็ส่งเสียงหวานเสียจนแหบแห้ง ผมไม่อยากให้เสียงนั้นหายไปเลยผละมาไล่พรมจูบลงบนหน้าท้องเป็นลอนสวยแทน และค่อยๆ ลงต่ำเรื่อยๆ จุมพิตผ่านเนื้อผ้าบางในส่วนอ่อนไหว กวินทร์กระตุ้งเฮือก สองมือคว้าผมของผมไว้แน่นเหมือนจะดึงออก แต่ผมไม่สน เป็นฝ่ายที่ดึงมือเขาออกแล้ววนเวียนอยู่ตรงนั้นไม่หยุด
“อา... มะ...ไม่ไหวแล้วคีธ แกะของขวัญสักที”
กวินทร์ขอร้องผมเสียงกระเส่า เห็นใบหน้าแดงดุจดวงอาทิตย์แล้วผมก็ยิ้มกริ่ม ละจากบริเวณกลางลำตัวขึ้นมาดึงริบบิ้นออกตามคำขอ พอเรือนร่างขาวเนียนเปลือยเปล่า ความกำหนัดในกายผมก็ทวีรุนแรงมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่ผมยังอยากเล่นอยู่ โดยเฉพาะการเล่นกับบริเวณที่ทำให้ของขวัญชิ้นนี้เปล่งน้ำเสียงหวานได้
ผมเลยเลื่อนมือไปยังส่วนแข็งขันอีกครั้งแล้วกอบกุมไว้เต็มอุ้งมือ พลันค่อยๆ ขยับช้าๆ ส่วนปลายนิ้วโป้งแตะลงบนยอดปลายที่มีน้ำสีใสไหลซึมออกมาและค่อยๆ ขยับเร็วขึ้นเมื่อทุกอย่างเข้าที่ กวินทร์บิดเร่า ส่งเสียงออกมาไม่หยุด ถึงตอนนี้จะแหบแห้งไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังไพเราะสำหรับผมไม่น้อยจนผมอยากจะมอบรางวัลให้
ผมเลื่อนใบหน้าลงต่ำ ดันส่วนที่อยู่ในมือเข้าปากมาชิมรส คราวนี้ไม่รู้เลยว่ากวินทร์ร้องว่าอะไร ชื่อผมที่หลุดออกจากปากกวินทร์ก็ฟังเหมือนไม่ใช่ชื่อผมแล้ว เหมือนภาษาต่างดาวที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น และเพราะกวินทร์พูดไม่เป็นภาษา ผมก็เลยอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก ละริมฝีปากออก แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าข้อเท้าเล็กทั้งสองข้าวรวบขึ้น ดันขาเรียวให้หัวเข่าติดหน้าอก เผยให้เห็นผิวเนื้อบอบบางด้านหลังแก่นกายที่กระตุกยั่วยวนไม่หยุด ก่อนที่ผมจะยื่นปลายนิ้วไปสัมผัสวนไล้เบาๆ
“อื้อ... จะ...จะทำอะไรก็ทำสักที...มะ...ไม่ไหวแล้ว...” กวินทร์ออกปากสั่ง
แต่สั่งผมไม่ได้หรอก วันนี้เป็นวันของผม ของขวัญของผม ผมจะทำอะไรก็ได้
ผมจัดการส่งปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางอุ่นร้อน ส่วนนั้นคับแน่นจนผมต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ยิ่งเห็นใบหน้าเหยเกของกวินทร์ด้วยแล้ว ผมก็เกรงว่าจะทำให้กวินทร์เจ็บขึ้นมาจนต้องเอ่ยปากถาม
“กวินทร์โอเคมั้ย”
“อะ...อื้ม...อา...”
ตอบมาอย่างนี้ก็คงจะโอเคนั่นแหละ พอเข้าไปได้นิ้วหนึ่ง ผมก็ขยับช้าๆ กระทั่งช่องทางนั้นเริ่มเปิดกว้างให้อีกนิ้วหนึ่งสอดเข้าไปได้สะดวกกว่าเดิม พอผมขยับเร็วขึ้นทีละน้อย แผ่นหลังของกวินทร์ก็อยู่ไม่ติดเตียงอีกต่อไป เอวบางแอ่นรับสัมผัสคับแน่นตามจังหวะจนส่งสัญญาณให้ผมรู้ว่ากวินทร์พร้อมแล้ว ผมเลยผละมาปลดเปลื้องพันธนาการบนร่างกายตัวเอง แล้วดึงกวินทร์ลุกขึ้นนั่ง
ลุกขึ้นนั่งอย่างเดียวไม่พอ ดึงให้ลงมายืนบนพื้นด้วย กวินทร์ทำหน้างงไปทันที
“อะ...อะไร ไม่ทำต่อแล้วเหรอ”
“ทำสิ แต่ไม่ใช่บนเตียง” ผมว่า กวินทร์อ้าปากจะท้วง แต่ผมไม่รอให้ได้ท้วงหรอก ดึงกวินทร์ไปที่หน้าต่างบริเวณที่มองเห็นวิวได้ชัดที่สุด แล้วดึงมือกวินทร์ทั้งสองข้างวางแนบบนกระจกทันใด
“ดะ...เดี๋ยว จะทำตรงนี้เนี่ยนะ” กวินทร์เริ่มโวยวายอีกครั้ง แล้วก็เริ่มขัดขืนเมื่อเห็นผมพยักหน้า
“ไม่เอา จะทำบนเตียง”
“ตรงนี้วิวสวย อยากให้กวินทร์เห็น” ผมว่า ดันแผ่นหลังกวินทร์ให้หันไปทางกระจกอีกครั้งเพราะกวินทร์ทำท่าจะหนี แล้วจัดการแทรกกายเข้ามาในตัวกวินทร์
กวินทร์ที่พยศเมื่อครู่เกร็งตัวแน่นขึ้นมา ไม่ขัดขืนแล้วแต่ตอบรับกับสัมผัสแทน ผมค่อยๆ ขยับตัวทีละน้อย ดูท่าทางของกวินทร์ไปด้วย พอเห็นกวินทร์เริ่มคุ้นชินกับการรุกล้ำ ผมก็ค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้น มือข้างหนึ่งจับสะโพกคอดไว้มั่น อีกข้างก็รุกรานส่วนแข็งขืนของคนตรงหน้าไปด้วย
เสียงฝ่ามือเล็กรูดกับกระจกระคนเสียงกระเส่าจากริมฝีปากคู่สวยทำให้ผมไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้เลย กระทั่งเสียงนาฬิกาจากโทรศัพท์ที่ถูกตั้งเวลาให้ปลุกตอนเที่ยงคืนดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟสว่างวาบของพลุที่แล่นสู่ฟากฟ้าปรากฏให้เห็น ผมจึงผ่อนกำลังลง สายตาจับจ้องไปยังสีสันสวยงามบนฟ้าวิกาลนิ่งขณะที่กวินทร์เองก็จ้องมองไม่ต่างกันขณะหายใจหอบหนักๆ
“สวัสดีปีใหม่นะกวินทร์” ผมโน้มใบหน้าไปกระซิบข้างหูพลันจุมพิตลงบนข้างแก้มชื้นเหงื่อด้วย
กวินทร์พยักหน้ารับ หันมามองผมแล้วว่ายิ้มๆ
“สวัสดีปีใหม่นะคีธ บ้าชะมัดเลย ตั้งใจมากินอาหารอร่อยๆ แล้วเคาท์ดาวน์กับนายเข้าปีใหม่แท้ๆ แล้วดูตอนนี้ ทำบ้าอะไรเข้าปีใหม่ก็ไม่รู้”
ผมหัวเราะในลำคอ เห็นท่าทางของเราทั้งคู่ก็รู้อยู่ ผิดแผนของกวินทร์อีกแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ดูกวินทร์เองก็เหมือนจะชอบ ผมก็เลยเริ่มเร่งจังหวะขึ้นอีกครั้งขณะที่แสงไฟจากพลุยังส่องประกายให้เห็นไม่หยุด ไม่เว้นแม้แต่พลุของกวินทร์ที่ถูกจุดประกายวาบออกมาเมื่อกวินทร์กระตุกเฮือกเต็มแรงหลายครั้งติดกัน ผมเองก็ตามกวินทร์ไปติดๆ เช่นกัน ก่อนค่อยๆ ผ่อนแรงลง ตระกรองกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนแน่นทันทีที่เห็นว่าเริ่มไหลไปตามแรงโน้มถ่วง
“คืนนี้ฟ้าสวยนะ” กวินทร์ครางบอกเสียงแผ่ว สายตาของเราทั้งคู่ยังคงจับจ้องพลุบนน่านฟ้า
ผมไม่มีความเห็น พลุสวยก็จริง แต่สีหน้าเหนื่อยอ่อนของคนในอ้อมแขนผมน่าดูยิ่งกว่า น่าดูจนผมอดใจไม่ได้ที่จะกอดแน่นๆ สักที
“รักนะกวินทร์” แล้วก็ตามด้วยจูบบนใบหูพร้อมกระซิบแผ่วเบา
“อืม รักเหมือนกัน” กวินทร์ตอบรับให้ผมได้จูบใบหูอีกที
“ปีนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะ” ผมว่า กวินทร์หัวเราะร่วนออกมาเลย
“ขอฝากตัวด้วยเหมือนกัน”
ฮืม... น่ารัก ชักอยากจะผูกพันอีกรอบขึ้นมาแล้วสิ
“กวินทร์”
“หืม?”
“ผูกโบว์ใหม่แล้วให้ฉันแกะของขวัญอีกรอบได้มั้ย” ในที่สุด ผมก็ถามออกไป
หัวคิ้วของกวินทร์ย่นยู่ทันที แต่ก็แวบเดียวเท่านั้นก่อนตามมาด้วยน้ำเสียงแผ่วราวกระซิบ
“ได้ แต่ช่วยฉันผูกนะ ผูกคนเดียวมันลำบาก”
ผมพยักหน้ารับ เกือบจะถลาไปเอาโบว์มาผูกอยู่แล้วถ้ากวินทร์ไปพูดขึ้นมาอีก
“แล้วคราวนี้ก็ไปที่เตียง ตรงนี้มันเมื่อย”
กวินทร์นี่ติดเตียงจังนะ เมื่อกี้ก็เริ่มที่เตียงไปแล้วถึงมาตรงนี้นี่ เหมือนเดิมอีกรอบแล้วไม่ตื่นเต้นเลยแฮะ ถ้างั้น...
“ถ้าจะทำที่เตียง ขอเปลี่ยนจากผูกโบว์ที่ตัวกวินทร์ เป็นผูกกวินทร์ติดกับเตียงได้มั้ย”
“นายซาดิสม์หรือไงวะไอ้มนุษย์ต่างดาวลามก!” กวินทร์ทุบผมเต็มแรงเลย ผมไม่รู้ว่าผมผิดอะไร แค่อยากผูกกวินทร์ไว้ที่หัวเตียงแล้วก็เล่นสนุกเฉยๆ เอง
แต่ครู่เดียว รอยยิ้มบนใบหน้าของกวินทร์ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับพวงแก้มแดงๆ
“ผูกก็ได้ ของใหม่ก็ดี แต่ห้ามรุนแรงเข้าใจมั้ย”
“อืม”
ครับ... รับรองว่าไม่รุนแรง แต่ถ้าไม่รุนแรง ขอหลายๆ รอบจะได้มั้ยนะ? จะได้ฉลองปีใหม่ยาวๆ ไปเลยทั้งคืน กวินทร์น่าจะยอมมั้ง?
ช่างเถอะ ไม่ยอมก็ไม่เป็นไร มัดติดกับเตียงไว้แล้ว จัดการเลยก็แล้วกัน ก็กวินทร์เป็นของขวัญปีใหม่ของผมแล้วนี่
จะมัดให้แน่นจนดิ้นหลุดไม่ได้เลยเชียว...



หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 01-01-2016 14:11:36
วันนี้อัพตอนพิเศษปีใหม่ค่ะ เทศกาลหน้าไม่มีละ เดี๋ยวหนังสือจะเกินงบดุล ฮาา
ตอนนี้กวินทร์แรดมาก อย่าด่ากวินทร์แรงนะ เดี๋ยวเสียใจ แรดหนักกว่าเดิม 555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 01-01-2016 14:58:08
คีทเอ้ยเราควรสงสารกวินท์ดีไหม
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 01-01-2016 15:13:33
ไม่รุ้จะว่ายังไง
แต่พออ่านจบ ทำไมรู้สึกเขิลลล
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 01-01-2016 15:32:58
น่ารักจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompooiriza ที่ 01-01-2016 19:08:43
ว๊ายยยยยยยย~~~
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: JK ที่ 01-01-2016 23:49:16
มารายงานตัวว่าตามอ่านอยู่นะคะ สนุกมากเลยย  :mew3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 02-01-2016 12:27:44
เป็นการให้ของขวัญแบบทุ่มสุดตัวจริงๆ 5555

Happy New Year  :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 02-01-2016 14:28:33
โอ้วววววววววว มดขึ้นจอออ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][New Year Special Ep.]--01/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 02-01-2016 22:57:15
Episode 22: Do not make Keith jealous
คืนนั้นผมแทบไม่ได้นอน...
อย่าถามว่าทำไมไม่ได้นอน ก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่แล้วเปล่าวะว่าทำไม มีไอ้คีธอยู่ข้างๆ แบบนี้ทั้งคืน น่าจะเดากันได้อยู่แล้ว ผมนี่หมดแรงเลย ที่ใครเคยว่าเป็นเพลย์บอยพันธุ์อึดหรืออะไรยังไง มาเจอไอ้บ้าที่นอนกอดผมอยู่นี่เข้าไป บอกเลยว่ามีร้อง...
ร้องไห้!
ไม่รู้ว่ามันแม่งไปตายอดตายอยากมาจากไหน หายเหนื่อยหน่อยไม่ได้ หายเหนื่อยปุ๊บ มันจับกดตลอด ยิ่งพอวันใหม่มาถึงแล้วมันรู้ว่าเป็นวันหยุดผม มันก็จ้องจะเล่นงานผมตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาตื่น ดีนะที่ผมปรามมันไว้ได้โดยการยกเอางานที่ต้องทำก่อนไปทำงานวันพรุ่งนี้มาอ้างได้ ผมเลยรอดจากปากไอ้คีธมาได้หวุดหวิด
แต่ถึงจะรอดมาได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะได้อยู่อย่างปกติสุข ก็คือทำงานอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กนั่นแหละ แต่ไม่ได้นั่งทำที่โต๊ะเพราะถูกคีธเกาะติดแจยิ่งกว่ากาวดักหนูด้วยมันไม่ยอมให้ผมนั่งทำงานที่โต๊ะ ทว่าให้ยกโน้ตบุ๊กมาที่นั่งทำที่เตียง ผมยอมทำตามง่ายๆ ด้วยเห็นว่าถ้าไม่ยอมมัน งานการคงจะไม่เดินแน่ๆ และการนั่งทำงานบนเตียงก็คงจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก ถ้าเกิดว่าผมไม่ยกโน้ตบุ๊กมาวางบนเตียงเพื่อทำงานแล้ว ผมดันถูกไอ้คีธดึงตัวให้ไปนั่งบนตักมันแทนเก้าอี้น่ะ ที่สำคัญ ทั้งผมทั้งมันยังคงเปลือยเปล่ากันทั้งคู่ ผมนี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าทำงานอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ มันเกิดอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมา งานการผมจะเป็นยังไง
มันก็ต้องไม่เดินน่ะสิถามได้! โน่น ไอ้ที่เดินน่ะมันโน่น! เดินหน้าบุกทะลวงป้อมปราการกวินทร์จนจะซูบกรอบไปทั้งตัวหมดแล้วเนี่ย!
และดูท่าทางมันคงจะกำลังหาโอกาสเดินหน้าบุกผมอยู่แน่ เพราะระหว่างที่ผมทำงานอยู่ มันก็เอาหน้าเอาปลายจมูกโด่งมาชอนไชซอกคอผมไม่เลิก จนผมชักจะรำคาญ หันไปตวาดมันสุดเสียง
“เลิกดอมๆ ดมๆ ฉันได้แล้ว รำคาญ!”
แต่ตวาดไปก็เท่านั้นแหละเพราะนอกจากจะไม่ทำให้มันเลิกดมซอกคอผมแล้ว ยังทำให้มือมันกลายเป็นปลาหมึก เลื่อนมาลูบไปมาบนหน้าอกของผมอีก ผมนี่แทบอยากจะยกโน้ตบุ๊กทุ่มใส่มันเลยถ้าไม่ติดว่างานที่อยู่ในเครื่องมันสำคัญและผมก็ไม่มีตังค์มากพอที่จะซื้อใหม่น่ะ
“บอกว่ารำคาญไง! ไม่ได้ยินหรือไงวะ!” ผมตวาดขึ้นมาอีกรอบพร้อมกับผลักหน้ามันออกห่างจากตัวด้วย
คราวนี้คีธหยุดชะงัก ก่อนเหลือบมามองผมด้วยสีหน้าเนือยๆ
“ได้ยิน”
“ได้ยินแล้วทำไมไม่หยุดวะ จะต้องรอให้ฉันอารมณ์เสียก่อนทำไม”
“ไม่ได้อยากให้กวินทร์อารมณ์เสีย แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่มันหยุดไม่ได้”
ก็มึงมันหื่นไงไอ้เวรคีธ! ทั้งคืนเกือบฟ้าเหลืองที่ผ่านมานี่ยังไม่พออีกหรือไงวะ!
ผมพ่นลมหายใจใส่มันเต็มแรงอย่างระอา ก่อนจะทิ้งตัวลงจากตักมันด้วยเห็นว่าขืนนั่งไปนานกว่านี้ ผมคงจะไม่รอดถูกมันจับกดลงบนเตียงแน่ และเพราะผมลุก มันก็เลยคว้าแขนผมไว้แน่น
“จะไปไหน ไม่ทำงานแล้วเหรอ”
“ไม่ทำแล้ว ไม่มีอารมณ์” ผมว่าเสียงขุ่น เกือบจะทิ้งตัวนอนอยู่แล้วเชียวถ้ามันไม่พูดขึ้นมาให้คิ้วกระตุกเสียก่อน
“แล้วกวินทร์อยากมีอารมณ์มั้ย”
มึงเลิกพูดจาหื่นกามใส่กูสักที! ถูกมึงโจมตีทั้งคืนนี่ยังไม่สาแก่ใจมึงอีกเหรอฮะ!
“ถ้ากวินทร์อยากมีอารมณ์ ฉันช่วยได้นะ” มันว่าขึ้นมาอีก ก่อนจะขยับตัวมาใกล้
ผมรีบเอี้ยวตัวหลบทันใด ก่อนจะรีบคว้าโน้ตบุ๊กมาใกล้ๆ แล้วรีบเปิดไฟล์หาหนังขึ้นมาเบี่ยงความสนใจมัน เพราะไม่อย่างนั้น มันคงได้หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องแบบนี้แน่
“ดูหนังกันเถอะ” ผมว่ารัวๆ
คีธหยุดกึกไปนิด พลันพยักหน้า
“ถ้ากวินทร์อยากดูก็เอาสิ”
ไม่อยากก็ต้องอยากแล้วล่ะ มึงเล่นจ้องจะกินกูทุกวินาทีที่กูหายใจขนาดนี้ กูต้องรีบเบี่ยงเบนความสนใจมึงแล้ว!
ผมใช้เวลาไม่นานก็ได้หนังไทยมาเรื่องนึง ที่เลือกดูหนังไทยเพราะตระหนักได้ว่าภาษาไทยของไอ้มนุษย์ต่างดาวบ้านี่ยังอยู่ในยุคพ่อขุนรามฯ อยู่เลย แต่หนังไทยที่ผมเลือกมา ดูแล้วก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้มากนักเพราะมันไม่ได้หนังไทยร่วมสมัย แต่เป็นหนังไทยกึ่งพีเรียดอย่างเรื่อง ‘บ้านทรายทอง’
ทำไงได้ล่ะ ผมไม่ค่อยพิสมัยกับการดูหนังสัญชาติตัวเองเท่าไหร่นี่นา ดูแล้วมันไม่ใช่แนว แค่มีอยู่ในเครื่องก็ถือว่าดีถมถืดแล้ว
ผมไม่รอช้า กดดับเบิลคลิกเล่นหนังทันที ก่อนจะผละมานั่งอิงกับหมอนที่หัวเตียง พอหนังเริ่ม ความหื่นของคีธก็อันตรธานหายไปทันตา ...เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าหนังพวกนี้น่ะช่วยลดความหื่นของมันได้
จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใช้ภาษาโบราณอะไรสักเท่าไหร่นัก แต่ติดอย่างเดียวตรงที่เนื้อหาของหนังมันน่าเบื่อ ชวนให้ผมหาวหวอดๆ จะหลับให้ได้เสียเหลือเกิน อาจเป็นเพราะผมรู้เรื่องราวมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วก็ได้มั้ง ก็แน่ล่ะ เอามารีเมคทำทั้งภาพยนตร์ ทั้งละครไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ไม่รู้ก็แปลกละ
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หนังเล่นไปได้ครึ่งเรื่องและคีธถามผมขึ้นมานี่แหละที่ทำให้ผมหันไปสนใจจอโน้ตบุ๊กอีกครั้ง
“กวินทร์มีพี่น้องมั้ย”
“ถามทำไม”
“อยากรู้”
ผมว่ามันถามคงเพราะเห็นตัวละครในเรื่องมีพี่น้องนี่แหละ
“มีพี่สาว” ผมว่าไปตามความจริง ให้คีธได้มองหน้าอย่างสงสัย
“กี่คน”
“สองคน”
“พี่หญิงใหญ่กับพี่หญิงเล็กเหรอ” คราวนี้มันพูดออกมาเป็นภาษาไทย
ผมหลุดขำออกมาเลยกับสรรพนามของพี่สาวที่อยู่ในเมืองไทยทั้งคู่ ก่อนพยักหน้าตอบมันเป็นภาษาไทยบ้าง
“เออ พี่หญิงใหญ่กับพี่หญิงเล็กนั่นแหละ พี่หญิงใหญ่ชื่อว่าแก้ว ส่วนพี่หญิงเล็กชื่อกิ่ง” ไม่รู้ทำไมผมถึงได้บอกชื่อพี่สาวตัวเองไป อาจเป็นเพราะผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลายเวลาคุยกับคีธแล้วก็ได้มั้ง
แต่ผ่อนคลายได้แป๊บเดียวเท่านั้น ผมก็ต้องย่นคิ้วขึ้นมาอีกเมื่อคีธพูดขึ้นมา
“งั้นกวินทร์ก็เป็นชายน้อย”
มึงเห็นกูเป็นง่อยหรือไงวะ!
“ชายน้อยบ้านเตี่ยมึงสิ หล่อๆ อย่างกูต้องเป็นชายกลาง” ผมยังคงพูดภาษาไทยอยู่ คีธย่นคิ้วทันใด ก่อนว่าสวน
“ชายน้อยพูดไม่เพราะเลยนะคะ พูดจาเพราะๆ สิคะชายน้อยของพี่”
มึงไม่ต้องมาเลียนแบบคำพูดของไอ้ชายกลางเลย! นี่ไม่ใช่บ้านทรายทองแห่งตระกูลสว่างวงศ์นะเว้ย!
“บอกว่าไม่ใช่ชายน้อย!” ผมแผดเสียงขึ้นมา รู้สึกคิดผิดชะมัดที่ให้มันดูหนังภาษาไทย ให้มันดูทีไร มันเอาภาษาไทยมาพูดมั่วทุกที
“ถ้ากวินทร์ไม่ใช่ชายน้อย งั้นพี่จะเรียกว่าชายกวินทร์ก็แล้วกัน ดีมั้ยคะ?”
เลิกคะๆ ขาๆ กับกูสักที! บอกแล้วไงว่ามึงไม่ใช่ชายกลาง!
“หยุดเลียนแบบไอ้ชายกลางในหนังเลย ฉันขนลุก” ผมว่าไปตามจริง
คีธเลิกคิ้วสูงพลันว่ายิ้มๆ
“ชายกวินทร์ไม่ชอบที่พี่พูดเพราะกับชายเหรอคะ”
“บอกให้หยุดไงเว้ย!” ผมตวาดใส่ เอาจริงๆ ก็ชอบนั่นแหละ แต่มันฟังแล้วทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้ที่จู่ๆ มนุษย์ต่าวดาวหน้าตาฝรั่งจ๋ามาพูดภาษาไทยคะๆ ขาๆ ใส่แบบนี้ ที่สำคัญ ผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาหวานแหววอะไรใส่แบบนี้ มันรู้สึกแปลก!
ทว่าการตวาดของผมเมื่อครู่ก็ทำให้คีธยอมหุบปากเงียบไปได้ ก่อนที่มันจะเหลือบไปมองหน้าจอโน้ตบุ๊กที่กำลังเล่นฉากหญิงเล็กเม้งแตกใส่พจมานด้วยเสียงแหลมๆ พลันหันกลับหาผมอีกครั้งพร้อมกับภาษาไทยประโยคใหม่
“งั้นฉันจะพูดแบบนี้กับหล่อนก็แล้วกัน นังกวินทร์”
หญิงเล็กก็ไม่ต้องไปเลียนแบบมันเว้ย! มึงกลับไปพูดภาษาอังกฤษเถอะกูขอร้อง!
ผมส่ายหน้าอย่างระอาพลันตรงไปพับฝาโน้ตบุ๊กปิด คีธมองตามผมอย่างงุนงงก่อนถาม
“ปิดทำไมล่ะนังกวินทร์ ไม่ดูต่อแล้วเหรอยะ”
กูบอกให้มึงเลิกเลียนแบบหญิงเล็กไง ไม่เข้าใจหรือไงวะ!
“พูดภาษาอังกฤษ” ผมว่าเสียงเรียบ สองมือนี่แทบจะประนมก้มกราบขอให้มันหยุดพูดเลย
คีธหัวเราะออกมาในจังหวะนี้ พลันดึงตัวผมเข้าไปกอด แล้วพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษดังเดิม
“ก็นึกว่ากวินทร์จะชอบซะอีก”
“ถ้านายจะเลียนแบบหญิงเล็กล่ะก็ ไปเลียนแบบไอ้ชายกลางจะดีกว่า” ผมบอกเสียงอู้อี้เพราะถูกมันกอดแน่นจนหายใจไม่ถนัดนัก
และเพราะผมพูดอย่างนั้น คีธก็เลยปล่อยให้ผมล้มตัวนอนข้างๆ แล้วมันก็ตะแคงหน้ามาถามผม
“ชอบให้พี่พูดคะขากับชายเหรอคะ”
กูปลงก็ได้เรื่องภาษาไทยของมึงเนี่ย อยากพูดอะไรก็เอาเลย ตามสบาย!
ผมกลอกตา ถอนหายใจตามไปด้วย คีธเอื้อมมือมาบีบแก้มผมเบาๆ ทันใด
“ถอนหายใจแบบนี้ระวังหน้าจะแก่เร็วนะคะชายกวินทร์”
“ฉันจะงีบสักหน่อย อย่ากวน” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ด้วยชักจะรำคาญขึ้นมา พลันพลิกตัวหนีไปอีกฝั่ง
หากแต่คีธไม่ยอมปล่อยให้ผมได้นอนสมใจหมาย ตวัดวงแขนมาโอบรอบเอวแล้วฝังหน้าลงมาบนหัวไหล่ผม
“ชายกวินทร์น่ารักจัง”
มึงพูดอย่างนี้ แสดงว่ามึงจะบุกกูอีกแล้วใช่มั้ย!
“ไม่เอาแล้วนะ ฉันเหนื่อย อยากนอน” ผมรีบดักคอ แต่เหมือนมันจะไม่เข้าใจ
พอสิ้นเสียงผมปุ๊บ มันก็จับผมพลิกมานอนหงาย แล้วลุกขึ้นมาคร่อมผมไว้ ผมย่นคิ้วเลยที่เห็นหน้าหล่อๆ ของมันบนตัว
“บอกแล้วไงว่าเหนื่อย! จะนอน!” ผมแหวใส่แทบจะในทันที แต่ก็ต้องเก็บความกรุ่นโกรธลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกันเมื่อคีธฉกจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ แล้วว่าขึ้น
“ถ้าชายกวินทร์เหนื่อยก็นอนเฉยๆ นะคะ เดี๋ยวพี่ชายคีธจะจัดการเอง” พูดจบก็ตามด้วยหยักยิ้มมุมปากน้อยๆ
ผมโคตรอยากจะด่ามันเลย แต่พอเห็นสีหน้าแบบนั้นแล้วก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“นะคะชายกวินทร์ นะ” มันยังคงพูดไม่หยุด ผมถึงกับต้องหลบตาเมื่อเห็นสายตาแพรวพราวของมัน
นะ...น่ารักฉิบหาย... ยะ...ยอมก็ได้แม่ง
“ครั้งสุดท้ายนะ ไม่เอาแล้ว” ผมว่าอุบอิบ
คีธพยักหน้ารัวๆ ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการกินหัวกินหางผมอีกครั้ง
 
สะโพกครากและเอวเดาะคือปัญหาสุขภาพที่ตามมาติดๆ หลังจากหมกตัวอยู่ในห้องกับคีธทั้งวัน พอถึงเวลามาทำงาน ผมก็แทบจะลากสังขารตัวเองมาที่สตูดิโอ ก่อนออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ เจอหน้าริชาร์ดกับแอสตัน พวกมันก็มองผมอย่างกะลิ้มกะเหลี่ยทันทีที่เห็นผมพยายามจะไต่บันไดลงมาด้วยความยากลำบาก แล้วก็ตามด้วยเสียงแซวไม่หยุดจนผมอยากจะจับพวกมันทุ่มลงมาจากบันไดให้รู้แล้วรู้รอด และผมก็เพิ่งมารู้ในตอนนี้นี่แหละว่าที่พวกมันมานอนค้างด้วยกันโดยเอาคีธมาฝากผม นั่นเป็นเพราะแผนของพวกมันที่ต้องการให้ผมหายโกรธคีธ
บอกเลยว่ากูจะโกรธให้หนักกว่าเดิมอีก โกรธพวกมึงด้วย เกือบทำกูเป็นอัมพาตแล้วเนี่ยเห็นมั้ย!
ดีที่เรี่ยวแรงที่เหือดหายไปได้รับการเติมเต็มด้วยการกินสารอาหารจากนิ้วชี้ของคีธ ผมเข้าใจในตอนนี้นี่เองว่าที่ริชาร์ดแวบหายไปกับแอสตันบ่อยๆ แล้วกลับมาโดยไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนใดๆ เป็นเพราะแอสตันเองก็ให้สารอาหารฟื้นฟูพละกำลังเหมือนกัน
แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก นอกจากงานที่รอให้ผมเริ่มอยู่ตรงหน้าทันทีที่ผมมาถึงสตูดิโอ งานในวันนี้ค่อนข้างเป็นงานวุ่นวายอย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ เพราะวันนี้นอกจากจะมีนักแสดงเข้าร่วมฉากเยอะแล้ว ยังมีสตั๊นแมนทีมใหม่ที่ผมจะต้องคอยดูแลบอกคิวระหว่างการถ่ายทำด้วย
พอคีธถูกพาไปแต่งตัวหลังจากที่บรูคลินมาตาม หมอนั่นถามคีธนิดหน่อยว่ากินอะไรมาหรือยัง ผมได้ยินแล้วก็รู้เลยว่ามันกำลังจะชวนคีธไปดูดปาก แต่ผมทำเป็นนิ่ง ขณะที่คีธเหลือบมามองหน้าผมแล้วปฏิเสธที่จะกินสารอาหารจากบรูคลิน ผมรู้ว่าคีธคงจะเกรงใจที่ต้องไปจูบกับบรูคลินอย่างนั้น ผมก็รู้สึกดีแหละที่มันแคร์ความรู้สึกผมขึ้นมาบ้าง แต่!
...ได้เวลาเอาคืนแบบนี้ ผมคงต้องยอมปล่อยให้พวกมันไปดูดปากกันแล้วล่ะ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ถือ ไปกินเถอะ” ผมว่าหน้าระรื่น คีธย่นคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงยอมง่ายๆ
มันคงจะไม่รู้สินะว่าผมรู้ว่าพวกไบโทปอย่างบรูคลินมันไวต่อการรับรสน่ะ
และพอผมคะยั้นคะยอให้พวกมันไปอีกครั้ง คีธถึงยอมเดินตามบรูคลินไปที่ห้องแต่งตัว ผมยืนรอดูผลงานอยู่อึดใจหนึ่ง พอเห็นบรูคลินเดินกลับออกมาพร้อมกับคีธด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมก็แสยะยิ้มทันที
เป็นไงล่ะมึงรสชาติของกู เข้มข้นดีมั้ยล่ะ!?
แล้วบรูคลินก็มองผมด้วยสายตาหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะชวนคีธไปแต่งหน้าแต่งตัว คีธทำท่าอิดออดแต่พอถูกผมโบกมือไล่ก็ยอมไปแต่โดยดี พอสองคนนั้นหายตัวไป ผมก็จัดการเริ่มงานของตัวเองทันทีโดยการตรงเข้าไปบอกคิวกับสตั๊นแมนทีมใหม่พวกนั้น และไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่สตั๊นแมนพวกนั้นมองมายังผมขณะที่ผมกำลังอธิบายงาน มันเหมือนสายตาของราชสีห์จ้องมองเหยื่อยังไงไม่รู้ สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าไอ้พวกนี้ต้องคิดอะไรกับผมแน่ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อผมบอกคิวกับพวกนั้นเสร็จ แต่พวกนั้นไม่ยอมจบ เดินเข้ามาคุยกับผมขณะที่ผมกำลังอ่านคิวนักแสดงในฉากต่อไปอยู่
“เฮ้” ใครบางคนเรียกความสนใจผมขึ้น ผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ผมเพิ่งจะบอกคิวไปเมื่อกี้
“ครับ?”
“นายชื่ออะไรเหรอ” แล้วมันก็เริ่มปฏิบัติการวุ่นวายกับชีวิตกวินทร์ทันที
“เควินครับ” ผมก็ตอบไปตามมารยาทนั่นแหละ แต่ใจนี่รำคาญมันขึ้นมาตงิดๆ เลย ยิ่งหันไปเห็นพวกเพื่อนมันที่ยืนอยู่เยื้องๆ ทางด้านหลังด้วยแล้ว ผมก็โคตรอยากจะเดินหนีไปชะมัด ขืนยืนคุยนานกว่านี้ มีหวังได้งานงอกยาวแน่
“เควินเหรอ... ฉันชื่อเดวิดนะ ยินดีที่ได้ร่วมงาน” คนตรงหน้าผมพูดขึ้นมาอีกครั้งก่อนเอื้อมมือมาให้ผมจับทักทาย
ผมเหลือบมองแล้วเอื้อมมือไปจับอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าพอจับมือมันปุ๊บ เดวิดก็จับมือผมแน่นจนผมต้องเป็นฝ่ายชักออก มันยิ้มเผล่แล้วยกมือข้างที่จับขึ้นมาดม พลางส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยให้
“หอม...”
หอมเตี่ยมึงสิ! นี่มึงเป็นโฮโมฯ หรือไงวะ!
ก็คงจะเป็นโฮโมฯ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะมาก้อร่อก้อติกกับผมเหรอ ผมรีบมองหาทางหนีทีไล่ทันควันก่อนที่พวกมันจะเริ่มปฏิบัติการเกี้ยวผมอีก เพราะแค่นี้พวกเพื่อนมันข้างหลังก็ส่งเสียงโห่แซวกันเกรียวแล้ว
“เดี๋ยวฉันขอตัวไปทำงานต่อก่อน...” ผมรีบตัดบท หากแต่พูดยังไม่ทันจบ เดวิดก็แทรกขึ้นมา
“มีแฟนหรือยังน่ะ”
นั่นไง จีบกูจริงๆ ด้วย!
“มะ...มีแล้ว” ผมตอบเสียงแผ่วด้วยไม่แน่ใจว่าคีธจะเรียกว่าเป็นแฟนได้หรือไม่ แต่ก็พูดไปด้วยหวังว่าเดวิดจะเลิกยุ่งกับผมแล้วปล่อยผมไปสักที
หากแต่มันไม่เลิก ยังถามต่ออีก
“ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ” พูดอย่างเดียวไม่ว่า ยังเดินเข้ามาใกล้อีก
ผมถอยหลังหนีทีละก้าว เกือบจะตอบออกไปแล้วหากไม่มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาก่อน
“ผู้ชาย”
ทุกคนหันไปมองก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือคีธในสภาพที่แต่งตัวพร้อมถ่ายทำแล้ว
“อย่าบอกนะว่าแฟนของเควินก็คือนาย?” เดวิดถาม ขณะที่คีธพยักหน้าน้อยๆ ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่แววตานี่ดูก็รู้เลยว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
“งั้นก็ขอโทษแล้วกันเพื่อน ไม่นึกว่าจะมีเจ้าของแล้ว ฉันก็แค่มาทักทายเฉยๆ” ว่าจบ เดวิดก็ตบบ่าคีธเบาๆ แล้วก็เดินจากไปทันใด
ผมมองตามแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รอดพ้นจากการถูกผู้ชายด้วยกันตามตื๊อมาได้ แต่ก็ต้องกลืนน้ำลายเอื้อกเมื่อเห็นว่าคีธยังจ้องหน้าผมเขม็งไม่เลิก
“อะไร” ผมถามออกมาแทบจะในทันใด ก่อนที่คีธจะว่านิ่งๆ
“เมื่อมีการผูกพันกับชาวยูนิกม่าเป็นครั้งแรก ฟีโรโมนในร่างกายของนายจะฟุ้งกระจาย”
“ถึงจะไม่มีอะไรกับนายมาก่อน ปกติฉันก็ฟีโรโมนฟุ้งอยู่แล้ว” ผมว่า ก็จริงอย่างที่ผมพูดนั่นแหละ ถึงจะไม่เคยมีอะไรกับคีธ ผมก็ถูกผู้ชายด้วยกันมาจีบบ่อยๆ
หากแต่คำพูดของผมทำให้หัวคิ้วของคีธกระตุก ก่อนมันจะเรียกผมเสียงเข้ม
 “กวินทร์”
ผมหันไปมองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรขณะที่กำลังจะเดินไปทำงานต่อ แต่มันไม่พูดนอกจากเรียกชื่อผมเท่านั้น
“กวินทร์”
“อะไร” ผมย่นคิ้วอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันเอาแต่เรียก ทว่าไม่พูดสักที
แต่คีธไม่ตอบผมว่ามีอะไรถึงได้เรียกนักหนา นอกจากจะตรงเข้ามาคว้าต้นแขนผมไว้แล้วเรียกชื่อผมอีกครั้ง
“กวินทร์”
อะไรของมึงล่ะเว้ย! มีอะไรก็พูดมาสิ!
ผมเกือบจะแหวใส่มันด้วยความรำคาญแล้ว ถ้าหากว่าไม่เห็นดวงตาสีเทาสว่างคู่สวยประกายวาบก่อนจะแปรเปลี่ยนมาเป็นสีดำทั้งเบ้า ผมกลืนน้ำลายเอื้อกทันที สัญชาตญาณบอกว่าผมไปทำอะไรให้มันไม่พอใจขึ้นมาซะแล้ว
แต่อะไรล่ะ!? ผมไปทำอะไรให้มันไม่พอใจวะ!? หรือจะเป็นเพราะผมคุยกับสตั๊นนั่นเมื่อกี้?
ดูท่าคีธก็คงไม่พร้อมจะบอกในตอนนี้ด้วยว่าผมไปทำอะไรให้ขุ่นเคือง เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่ง ผมโคตรอยากจะบอกมันเลยว่าให้ทำตาให้เป็นปกติเพราะเดี๋ยวจะถูกคนรอบข้างที่เดินพล่านไปมาเห็นเข้า แต่ไม่ทันจะได้พูด คีธก็บีบแขนผมแน่น ก่อนจะเรียกชื่อผมขึ้นมาอีกครั้ง
“กวินทร์...”
“มีอะไรก็พูดสิวะ!” ผมแผดเสียงใส่มันอย่างหมดความอดทนที่มันไม่พูดสักที ก่อนจะเงียบไปเมื่อประโยคถัดไปหลุดออกมาจากริมฝีปากหยักสวย
“ไม่ชอบให้ไปคุยกับคนอื่น... ผู้ชายคนอื่น”
อ๋อ ที่แท้ก็หึงกูล่ะสินะ
“แล้ว?” ผมเอียงคอ ปั้นสีหน้าท้าทายขณะที่คีธจ้องหน้าผมตาไม่กะพริบ
“ฉันไม่ชอบ”
หึงก็บอกว่าหึง ไม่ใช่บอกว่าไม่ชอบ แล้วก็ไม่ต้องเลยมึงน่ะ ทีมึงไปดูดปากกับไอ้บรูคลิน กูยังไม่ว่าอะไรเลย มึงก็ไม่มีสิทธิมาว่ากูเหมือนกัน ที่สำคัญ กูไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับพวกมันนะเว้ย พวกมันมาคุยกับกูเองต่างหาก!
ผมว่าคีธมันไม่สนใจหรอกว่าผมจะเป็นฝ่ายเข้าไปคุยหรือพวกนั้นจะเป็นฝ่ายมาคุยกับผม เพราะทันทีที่สิ้นเสียง มันก็จัดการลากผมลอยหวือไปตามทางเดินทันใด ผมเกือบจะถามมันแล้วว่าจะลากผมไปไหน แต่รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกเหวี่ยงเข้ามาในห้องแต่งตัวซึ่งเป็นห้องที่ผมเคยพลาดท่าเสียทีให้มันครั้งแรก ก่อนจะได้ยินเสียงล็อคประตูดังกริ๊กตามมา
ระ...หรือว่าไอ้คีธมันคิดจะเอาท์ดอร์!?
ไม่ต้องถามก็รู้ได้จากการกระทำ เพราะพอมันล็อคประตูเสร็จ มันก็หันมาจับผมที่กำลังจะแหกปากด่ามันให้หมุนตัวเข้าหากำแพง ก่อนจะดันให้เข้าไปแนบชิด พร้อมใช้มือข้างหนึ่งจับข้อมือผมทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ ขณะที่อีกมือจัดการดึงรั้งเสื้อผ้าบนตัวผมเต็มแรง
มึงอย่าฉีกเสื้อผ้ากูด้วยมือเปล่าสิโว้ย! ถูกมึงฉีกขาดไปหลายตัวแล้วเนี่ย กูยิ่งเอาเสื้อผ้ามาไม่เยอะอยู่ เห็นใจกูหน่อย!
โชคดีที่มันไม่ได้ฉีก แต่กระชากให้หลุดออกจากกายเท่านั้น ผมจะไม่ตกใจเลยถ้าเสื้อผ้าในส่วนที่มันกระชากให้หลุดจากเรือนร่างผมมันไม่ใช่กางเกง
“เดี๋ยว!” ผมฝืนตัวเอง พยายามจะหันหลังกลับมา แต่ก็โดนมันดันให้ชิดกับกำแพงอีก
แล้วมันก็ทำให้ผมต้องเบิกตาโตเมื่อมันเลื่อนใบหน้าเข้ามาข้างหูผม พร้อมว่าเสียงเรียบ
“กวินทร์เสียวดังไปเลย ทุกคนจะได้รู้ว่ากวินทร์เป็นของฉัน”
เดี๋ยวก่อนสิมึง! อย่าบอกกูนะว่ามึงจะสแตนด์ดิ้งเอาท์ดอร์แบบนี้จริงๆ!? ถามความสมัครใจกูบ้างสิโว้ย!
แต่ถามไปก็เสียแรงเปล่า ถึงผมจะไม่สมัครใจ ถ้าคีธมันจะทำ มันก็ไม่สนใจผมอยู่แล้ว และผมก็เกลียดตัวเองมากด้วยที่รู้ทั้งรู้ว่าจะถูกมันกระทำอย่างนั้น ก็ดันไปยอมมันเมื่อฝ่ามืออุ่นร้อนคลายจากข้อมือผมแล้วย้ายมาแตะยังส่วนอ่อนไหว
“ไม่ชอบให้กวินทร์ไปยุ่งกับคนอื่น กวินทร์เป็นของฉัน” คีธว่าเสียงเบาขณะที่ฝ่ามือเคลื่อนไหวอยู่บนช่วงล่างของผม
ผมเม้มปากแน่น พยายามไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไป คีธเห็นอย่างนั้น มันก็ยิ่งกระตุ้นผมมากขึ้นไปอีกจนผมเผลอส่งเสียงออกมา พอได้สติ ผมก็รีบดึงเม้มปากอีกครั้ง
“อย่ากลั้นไว้สิกวินทร์”
กูต้องกลั้นสิ! นี่มันกองถ่ายนะเว้ย แถมในห้องแต่งตัวที่เป็นเพียงผนังบางๆ อีก คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ถ้ากูส่งเสียงไป เค้าก็รู้กันทั้งบางสิวะว่ามึงกับกูทำอะไรกัน!
ผมเลยได้แต่อดทน ไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ออกมา คีธเลยเล่นใหญ่ จัดการแทรกกายเข้ามาในตัวผมให้ผมได้เกร็งตัวหนักขึ้นไปอีก
“ทำให้ทุกคนรู้ว่านายเป็นของฉัน” คีธว่าเสียงแผ่วก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวทีละน้อย
ไม่นาน จังหวะการเคลื่อนไหวของคีธก็เริ่มหนักหน่วงขึ้น ผมถึงกับแนบใบหน้าเข้ากับกำแพง มือข้างหนึ่งหาที่ยึดเป็นพัลวัน ขณะที่มืออีกข้างดึงมาปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้ส่งเสียงดังออกมา แต่มือทั้งสองก็ถูกคีธดึงไปขึงไว้กับกำแพงด้วยมือข้างเดียวขณะที่อีกมือนึงของมันยังคงวนเวียนกับส่วนล่างของผมอยู่ เลยกลายเป็นว่าผมไม่สามรถเก็บกลั้นเสียงอะไรหรือขัดขืนใดๆ ได้เลย มิหนำซ้ำ ไอ้ห้องแต่งตัวนี่ก็ไม่ใช่ห้องแต่งตัวแบบบิวท์อินกับสตูดิโอ แต่เป็นห้องแต่งตัวที่ถูกประกอบขึ้นด้วยผนังสมาร์ทบอร์ดซึ่งเป็นแผ่นไม้อัดซีเมนอเนกประสงค์ ที่ทางสตูดิโอใช้ห้องแต่งตัวแบบนี้เป็นเพราะมันง่ายต่อการรื้อถอนในกรณีที่ไม่ต้องการใช้งานอีก แต่ข้อเสียของมันก็คือ มันไม่เก็บเสียง และก็ไม่ได้แข็งแรงทนทานอะไรมากเมื่อถูกแรงกระเทือนปะทะ
แน่นอนว่าผนังที่ผมเกาะเป็นตุ๊กแกอยู่มันสั่นคลอนไปทั้งยวง ผมพยายามจะเกร็งตัวไว้ไม่ให้ทิ้งน้ำหนักลงไปบนผนังมาก แต่ก็เท่านั้นแหละ มันฝืนความวาบไหวที่เข้ามารุกรานร่างกายผมได้ซะทีไหน และคีธก็ทำให้ผมต้องระทวยหนักกว่าเดิมเมื่อมันเริ่มงับใบหูผมสลับกับพรมจูบทั่วลำคอไปด้วย
ผมเผลอครางออกมาอย่างไร้สติก็ตอนนี้ กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งไปหมดก่อนความวาบหวามจะจู่โจมหนักขึ้นจนผมรู้ตัวเลยว่าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“คีธ...” ผมครางเรียกชื่อคนข้างหลังก่อนที่ทุกความรู้สึกที่อัดอั้นจะถูกปลดเปลื้อง
คีธเองก็คงจะได้รับการผ่อนคลายเช่นกันถึงได้หยุดขยับกายได้ ก่อนจะตะกรองกอดผมไว้แน่นเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะทรุดลงไปบนพื้น
“กวินทร์เป็นของฉัน... คนเดียวเท่านั้น อย่าไปคุยกับใครอีกถ้าฉันไม่อนุญาต”
ผมพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่ขมับจะกระตุกขึ้นมา
“อย่าทำให้ฟีโรโมนในตัวนายฟุ้งกระจายด้วย ฉันไม่ชอบให้ใครมาเกาะแกะนาย”
มึงก็หยุดทำให้ฟีโรโมนกูฟุ้งกระจายยิ่งกว่าเดิมสิวะ!
ผมหันไปมองหน้าหล่อนั่นตาเขียว พลันผลักมันออก รีบแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
“นายก็หยุดทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ด้วย มีอะไรก็ให้กลับไปคุยกันที่ห้อง” ผมเลี่ยงจะไม่พูดว่า ‘ให้กลับไปทำที่ห้อง’ เพราะไม่อย่างนั้นไอ้คีธมันได้ใจแน่
แต่คำพูดของผมก็ทำให้คีธยิ้มออกมาหน่อยๆ ผมมองมันที่อยู่ในสภาพกึ่งเปลือยแล้วชี้นิ้วส่งๆ
“แต่งตัวซะ จะได้ออกไปทำงานต่อ”
คีธใช้เวลาไม่นานในการแต่งตัวให้เรียบร้อยเหมือนเดิม พอมันจัดการกับเครื่องแต่งกายตัวเองเสร็จ ผมก็เปิดประตูห้องแต่งตัวออกไป พลันผงะทันควันเมื่อเห็นว่าบริเวณหน้าห้องนั้นคลาคล่ำไปด้วยทีมงานในกองถ่ายที่พากันเงี่ยหูฟังเสียงจากในห้องที่ผมอยู่กันถ้วนหน้า บางคนก็หนัก ถึงขั้นเอาหูแนบ และพอเห็นผมโผล่หน้าออกมา ก็รีบทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แยกย้ายกันไปทำงานหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมยืนมองอย่างอึ้งๆ เท่านั้น
พะ...พวกมึงรู้กันทั้งกองถ่ายเลยใช่มั้ยเนี่ย!?
ได้สติอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงริชาร์ดที่ยืนกอดอกมองอยู่กับแอสตันไม่ไกลนักว่าขึ้น
“ดุเดือดมาก เป็นเอาท์ดอร์ที่ร้อนแรงเลยทีเดียว” พูดจบมันก็ยกนิ้วโป้งให้เป็นเชิงบอกว่า ‘เยี่ยมจริงๆ’
ผมยกมือลูบหน้าตัวเองทันทีที่พลาดไปทำอะไรอย่างนั้น ขณะที่คีธซึ่งเดินตามหลังออกมาหยักยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ข้างๆ ผม
“กวินทร์เป็นของฉัน”
มึงไม่พูด เค้าก็รู้กันไปทั้งหมู่บ้านแล้วโว้ย! มึงนี่มันจริงๆ หื่นกามได้ไม่ดูเวลาและสถานที่เลยไอ้คีธ กูตกเป็นจำเลยของสังคมเลยเห็นมั้ยเนี่ย!
“คราวหน้าถ้ากวินทร์คุยกับผู้ชายอื่นอีก ฉันจะประกาศความเป็นเจ้าของอีก” คีธว่าขึ้นเนือยๆ พลางหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าตาย ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นใดๆ ทั้งสิ้น
ผมมองมันตาเขียวก่อนจะทุบไปที่ไหล่เต็มแรง
ไม่มีครั้งหน้าแล้วกูพูดเลย ขืนมีอีก กูคงได้เอาท์ดอร์กับมึงอีกแน่ ไอ้หึงโหดเอ๊ย!
------------------------------
สงสารกวินทร์มาก ตกเป็นจำเลยของสังคมโดยไม่ได้ตั้งใจ 555
อย่าทำให้คีธหึงบ่อยๆ นะ เดี๋ยวสุขภาพเสีย เป็นอัมพาตขึ้นมาแล้วเดี๋ยวแม่ยกเสียใจ XD
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 03-01-2016 00:11:57
ฮาตอนคีธเรียนภาษาไทยจากหนัง  :jul3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 03-01-2016 00:45:11
หึงหื่นมาก เอ้ยยยย  หึงโหดมาาากกกก 5555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 03-01-2016 02:05:44
หึงน่ารักอะ   :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 03-01-2016 07:11:26
เมื่อไหร่คีธจะเลิกดูดปาก เอ๊ย
สารอาหารจากบรูคลินซะที
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 03-01-2016 10:46:28
กรี๊ดดดดด คีธหื๊ยหื่นนน อร๊ายยยย ชอบบบบ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 03-01-2016 11:43:34
คีธหึงสุดยอดดด เขารู้กันทั้งกองแล้ว5555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 03-01-2016 20:05:37
Episode 23: Alien’s gala dinner[1]
เรื่องที่ไม่ได้กินผู้หญิงในฮอลลีวูดสักคนอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกก่อนมาเหยียบที่นี่ ผมพอจะทำใจได้ แต่ไอ้เรื่องที่คนทั้งกองถ่ายรู้ว่าผมถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวหน้ามึนนั่นกินสนั่นลั่นทุ่งนี่ บอกตรงๆ เลยว่ารับไม่ได้อย่างแรง!
ก็ใครมันจะไปรับได้ ตอนแรกที่ผมมาที่นี่ ผมถูกเล่าลือว่าเป็นเสือผู้หญิงตัวอันตรายพอๆ กับซีเลนด้วยซ้ำ แต่ผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ กลับเป็นเกย์คู่กับไอ้คีธเสียอย่างนั้น ถึงผมเองก็ชอบคีธไปแล้วก็เถอะ แต่มาเจอแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนี่หว่า ผมไม่ใช่ไอ้ริชาร์ดนี่ถึงได้หน้าชื่นตาบาน ควงผัวออกนอกหน้านอกตาโดยไม่แคร์สายตาชาวบ้านได้ หมดกันชื่อเสียงเพลย์บอยที่สั่งสมมานาน จะกลับตัวกลับใจไปชอบผู้หญิงเหมือนเดิมก็รับรองได้เลยว่าคงไม่มีใครแลผมแล้ว
แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือตลอดการทำงานในวันนั้น ผมทำงานไม่เป็นสุขเลยสักนิด
มันจะไปทำงานเป็นสุขได้ยังไงก็ในเมื่อทุกคนมองผมด้วยสายตาประหลาดๆ ตลอดเวลาน่ะ! นี่ถ้าพวกมันไม่เกรงใจ คงจะถามด้วยล่ะสินะว่าคีธมันเด็ดยังไง ผมถึงได้เสียวดังเสียวเบาสลับกันจนผนังห้องแต่งตัวสะเทือนอย่างนั้น แถมคีธก็ตามติดผมเป็นตังเม ราวกับจะประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าผมเป็นของมันโดยสมบูรณ์แล้ว อันที่จริงมันไม่ต้องประกาศ ชาวบ้านเค้าก็รู้กันทั้งร้านตลาดแล้วล่ะ คิดแล้วก็ปวดหัวแท้ๆ ไม่น่าพลาดให้ไอ้คีธมันกระทำชำเราเลยให้ตาย!
กว่าจะเลิกงานก็แทบทำผมมุดหัวลงดินเป็นนกกระจอกเทศไปหลายสิบรอบ และพอได้ยินเสียงของผู้กำกับวิลล์สั่งให้แยกย้ายกลับไปพักผ่อนได้ ผมก็เกือบจะวิ่งสี่คูณร้อยกลับห้องทันที ทว่าคีธที่ยังตามผมไม่เลิกดันคว้ามือผมไว้เสียก่อน มิหนำซ้ำยังจับซะแน่น แล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าตาย
“เดินกลับห้องกัน”
มึงเดินไปคนเดียวเถอะไอ้คีธ! ไกลหลายกิโลฯ ขนาดนั้นน่ะ ที่สำคัญ กูไม่ได้อนุญาตให้มึงไปอยู่กับกูเลยนะเนี่ย มึงอย่ามามัดมือชกสิเว้ย!
ผมพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุม ทว่าหมอนั่นก็จับไว้แน่นจนผมต้องทำตาเขียวใส่แล้วออกคำสั่ง
“ปล่อย”
“ไม่” มันว่าเสียงเรียบ ทำให้ผมต้องแผดเสียงใส่เพราะมีคนมองดูเราสองคนอยู่เยอะแม้ว่าจะพยายามเหลือบๆ หางตามองก็ตาม
“แล้วจะจับทำไมวะ!”
“เป็นแฟนกันก็ต้องเดินจับมือกันสิ” แล้วมันก็ว่าให้ผมได้หน้าร้อนฉ่า พลันพยายามซ่อนใบหน้าที่คาดว่าน่าจะแดงเรื่อไปทางอื่นก่อนว่าอุบอิบ
“คะ...ใครบอกนายเนี่ยฮะ”
“ดูหนังมา วัฒนธรรมของมนุษย์โลกนี่”
“ไม่ใช่ซะหน่อย นายเข้าใจผิดแล้ว” ผมโกหกไปซะอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากให้คีธจับมือหรอกนะ แต่เพราะอายที่จะเดินจูงมือกับมันมากกว่า ลองคิดดูสิ ผู้ชายตัวใหญ่เบิ้มกับผู้ชายเอเชียที่สูงไล่พอๆ กันเดินควงกันกระหนุงกระหนิงไปตามถนน คนอื่นเห็นแล้วคงได้ขนลุกตาย
“แล้วฉันไม่ได้เป็นแฟนนายด้วย” ประโยคนี้ไล่ตามหลังออกมาเบาๆ
คีธย่นคิ้วเหมือนจะขัดใจไปนิดหนึ่ง แต่ก็แค่ครู่เดียว ก่อนจะกลายเป็นสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิม
“นั่นสินะ นายไม่ได้เป็นแฟน แต่เป็นเมียฉันนี่ ถ้าเป็นแฟนกันจับมือกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เป็นเมียก็คงจะไม่มีปัญหา”
มะ...มึงไปจำคำศัพท์นี้มาจากไหนวะ! ใครสั่งใครสอนให้เรียกกูว่าเป็นเมียมึงไม่ทราบ!
ผมกระชากมือตัวออกเองจากการเกาะกุมสุดแรงก็คราวนี้ หน้านี่ร้อนเห่อจนไม่รู้จะร้อนยังไง ขณะที่คีธยังคงมองผมอย่างสงสัยไม่เลิก
“หรือเป็นเมียจะไม่จับมือกัน แต่ทำแบบนี้” มันพูดแล้วก็ถือวิสาสะโอบไหล่ผมพลันดึงไปชิดตัวมันซะงั้น ผมเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ พร้อมๆ กับเสียงวี้ดว้ายเบาๆ ของสาวๆ ในกองถ่ายที่จ้องมองผมกับคีธอยู่นาน
“เป็นผัวเมียกันคงจะโอบกันได้”
นะ...นี่มันหนักกว่าจับมือไอ้เวรคีธ! มึงจะทำอะไรก็ปรึกษากูก่อนสิเว้ย!
“พอเลย ไม่ต้องมาจับมาโอบอะไรทั้งนั้นแหละ! จะเดินกลับห้องใช่มั้ย ถ้าจะเดินก็เดินเฉยๆ พอ!” ผมแหวใส่ก่อนผลักอกหมอนั่นออกห่าง
คีธยอมปล่อยแต่โดยดี ไม่พูดไม่ถามอะไรออกมาสักคำ เอาแต่ยิ้มน้อยๆ พลันยกนิ้วชี้เรียวมาจิ้มข้างแก้มผมเบาๆ
“แก้มแดงดีจังนะ”
กูรู้ว่าเมื่อกี้มึงน่ะแกล้งโง่! ที่แท้ก็อยากจะแกล้งให้กูเขินล่ะสิใช่มั้ย!?
ผมสะบัดหน้าหนี ขมุบขมิบด่ามันไปยาวเหยียด ตาก็มองหาริชาร์ดไปด้วย กะว่าจะกลับพร้อมกับมันด้วยอีกคนเพราะผมจะได้ไม่ต้องถูกคีธหยอกบ้าบอคอแตกแบบนี้อีก ทว่ามองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นไอ้เจ๊กหน้าเมากัญชาแม้แต่น้อย ให้เดานะ ป่านนี้มันคงควงไอ้แอสตันกลับห้องไปก่อนแล้ว
ไอ้ริชาร์ด...มึงนะมึง มีผัวแล้วลืมเพื่อนทุกที!
“งั้นก็กลับกันเถอะกวินทร์ วันนี้ดูท่าทางกวินทร์เหนื่อยๆ” คีธเรียกความสนใจจากผมไปอีกครั้ง
ผมโคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเลยว่าที่เหนื่อยเนี่ยก็เพราะมันนั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เวลาอย่างนี้รีบเอาตัวเองออกไปให้พ้นสายตาของพวกชอบสอดรู้สอดเห็นให้เร็วที่สุด ทว่าไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนไกล เสียงมุ้งมิ้งของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“ทะ...ท่านผู้พิทักษ์”
ผมได้ยินแล้วก็ไม่ต้องเลยว่าเป็นเสียงใคร... ก็เสียงของไอ้บรูคลินไงล่ะ!
คีธกับผมชะงักกึก หันไปมองด้านหลังก็เห็นบรูคลินยืนก้มหน้า เหลือบมองผมกับคีธด้วยท่าทางไม่มั่นใจอยู่ เห็นแล้วก็โคตรจะรำคาญ ทีตอนมันขู่ผมไม่ให้ไปยุ่งกับคีธนี่ทำเป็นกระด้างกระเดื่อง ทีตอนอยู่ต่อหน้าคีธ แม่งทำเป็นหน่อมแน้มบอบบางทันที มึงนี่มันเปรตแอ๊บแบ๊วจริงๆ!
คีธเลิกคิ้วสูงราวกับถามว่ามีอะไร ขณะที่ผมยกมือขึ้นกอดอก เอียงคอรอให้คนตรงหน้าพูดอย่างหงุดหงิด บรูคลินเหลือบมองผมสลับกับคีธไปมาเล็กน้อยก่อนจะปริปากออกมาเสียงแผ่วราวกระซิบ
“คือว่า... ฉันจะมาบอกข่าวเรื่องการชุมนุมของพวกเราที่อยู่ในดาวดวงนี้ พ่อกับแม่ฉันให้มาบอกท่านผู้พิทักษ์ว่าให้พาองค์ชายไปร่วมงาน แว่วมาว่าจะมีชาวยูนิกม่าจากรัฐอื่นมาร่วมงานด้วยคนนึง อยากให้องค์ชายกับท่านได้เจอ”
คีธที่ทำหน้านิ่งเรียบตอนเลิกเลิกคิ้วสูงทันควัน ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้บรูคลินแล้วว่าเสียงเบาบ้าง
“ที่ไหน เมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้ตอนสองทุ่ม ที่ชั้นใต้ดินของตึกรวมตัว ที่ตั้งของตึกบอกไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะพาไปเอง มันอยู่ในความดูแลของพวกเราชาวไบโทป”
คีธพยักหน้ารับ ผมเข้าใจแหละว่ามันน่าจะเป็นแหล่งซ่องสุมที่เป็นความลับเลยไม่ได้สนใจอะไร
“งานเลี้ยงใหญ่มั้ย”
“ไม่ครับ งานเล็กๆ พบปะสังสรรค์กันเฉยๆ” บรูคลินว่าก่อนจะถามคำถามใหม่อย่างกล้าๆ กลัวๆ “แล้วนี่...ท่านผู้พิทักษ์จะกลับเลยมั้ยครับ”
ผมเห็นแล้วก็หมั่นไส้ชะมัด แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้มันยังเป็นโฮสต์ให้คีธนี่นา ยอมไปก่อน ไว้ผมเป็นโฮสต์ให้คีธเมื่อไหร่แล้วถ้าไอ้บรูคลินมาเกาะแกะล่ะก็ ผมด่าไม่ไว้หน้าแน่
“เดี๋ยวจะกลับเลย” คีธว่า ผมก็เลยหมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้น ตั้งใจว่าจะกลับห้อง
ทว่าพอผมหมุนตัวเท่านั้นแหละ คีธก็ปรี่เข้ามาคว้าข้อมือผมไว้พลัน
“จะไปไหนน่ะกวินทร์”
“ก็กลับห้องน่ะสิ”
“กลับพร้อมกับฉันสิ”
ผมกับบรูคลินย่นคิ้วทันควันเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก่อนที่คีธจะเลื่อนมือจากข้อมือผมมาเป็นจับมือแทน
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะบูลิโอ เจอกันที่อพาร์ตเม้นต์ของกวินทร์ก็แล้วกัน มารับด้วย” ปิดท้ายด้วยการไปบอกลาบรูคลินหน้าตาเฉย
สาบานเลยว่าผมเห็นหน้าบรูคลินเหวอไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบปรับให้เป็นปกติแล้วพยักหน้ารับคีธช้าๆ
“ครับ...”
ผมลอบแสยะยิ้มทันควัน... โฮ่ย! สะใจชะมัดเลยโว้ย! รสชาติของการถูกขย้อนทิ้งทั้งๆ ที่ถวายตัวให้มันถึงปากเป็นยังไงล่ะไอ้เปรตวัดสุทัศน์!
ผมจูงมือคีธเดินอาดๆ ออกมาจากตรงนั้นเลย หน้านี่ยิ้มไม่หุบอย่างลืมตัวจนคีธสังเกตเห็นและทักขึ้น
“กวินทร์อารมณ์ดีอะไร เห็นยิ้มมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“ไม่มีอะไร ยิ้มไปเรื่อยเปื่อย” ผมตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากให้คีธมันรู้ว่าที่ผมยิ้มจนแก้มปริขนาดนี้ก็เพราะมันเลือกผม
แต่มันก็ดันไม่โง่เอาซะตอนนี้ รู้ทันผมขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ยิ้มเพราะฉันเลือกมากับนาย ไม่ได้ไปกับบูลิโอล่ะสิ”
ผมหุบยิ้มทันควันเลย
มึงนี่แกล้งโง่ให้รู้เวล่ำเวลาหน่อยเถอะ เวลาไม่สมควรโง่แม่งก็โง่ เวลาสมควรจะโง่ก็ดันฉลาดขึ้นมาเชียว
“ไม่ใช่” ผมยังคงปฏิเสธอยู่ คีธก็เลยถามไม่เลิก
“แล้วยิ้มทำไม”
“แล้วนายจะทำไมวะ ฉันยิ้มแล้วนายมีปัญหาหรือไง”
คีธส่ายหน้ารัวเมื่อเห็นผมเริ่มแหว ผมเกือบจะไม่สนใจมันอยู่แล้วเพราะมันไม่พูดอะไรออกมาอีก ทว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น มันก็ทำให้ผมต้องใจเต้นแรงขึ้นมาฉับพลัน
“กวินทร์ยิ้มเพราะมีความสุข ฉันก็ดีใจ แต่จะดีใจยิ่งกว่าถ้ายิ้มมีความสุขเพราะฉัน”
ผมมองหน้าคีธที่จ้องหน้าผมนิ่งแล้วก็หลบสายตา ให้ตายเถอะ ไอ้บ้านี่ก็ขยันหยอดจริงนะพักนี้ ของแบบนี้มันต้องให้พูดด้วยหรือไงว่ายิ้มเพราะอะไร ดูท่าทางก็น่าจะรู้แล้ว
“กลับกันเถอะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่มันสั่นเครือน้อยๆ ด้วยความตื่นเต้น
คีธหัวเราะในลำคอกับท่าทางขัดเขินของผมก่อนจะก้าวเดินไปพร้อมๆ กันโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก หัวใจผมค่อยๆ พองโตขึ้นทีละน้อยทุกครั้งที่ถูกมือใหญ่บีบมือตัวเองเบาๆ ในทุกย่างก้าวที่เดิน เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าการเดินกลับห้องแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันแม้ว่าจะต้องเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรก็ตาม
อยากให้เวลาหยุดเดินชะมัดเลยให้ตาย...
 
เชื่อมั้ยว่าการเดินจากสตูดิโอกลับมายังอพาร์ตเม้นต์เกือบสิบกิโลฯ ไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ดูเป็นระยะทางสั้นๆ ซะอีกเมื่อผมได้เดินข้างกับคีธเงียบๆ เพิ่งเข้าใจได้ในตอนนี้เองว่าความโรแมนติกมันเป็นยังไง ไม่ต้องพูด ไม่ต้องกระทำการใดๆ แต่สัมผัสได้เพียงแค่ใช้ความรู้สึก
แต่พอมาถึงอพาร์ตเม้นต์แล้ว ความโรแมนติกที่มีมาก่อนหน้าก็อันตรธานหายไปพลันเมื่อคีธตรงไปบอกแอสตันที่ขลุกอยู่ในห้องกับริชาร์ดว่าพรุ่งนี้จะมีงานชุมนุมของมนุษย์ต่างดาวแล้วจะมีชาวยูนิกม่ามาร่วมงานด้วย เท่านั้นแอสตันก็รีบถามหาร้านเช่าสูททันใด ผมอยากจะถามชะมัดว่ามันจะเช่าสูทไปทำไม เท่าที่ผมจำได้ บรูคลินบอกว่างานเลี้ยงนี่เป็นงานเล็กๆ นี่นา ก็ไม่น่าจะต่างจากงานปาร์ตี้ที่ผมกับริชาร์ดไปกันบ่อยๆ นัก แต่แอสตันก็ยืนกรานหนักแน่นว่าจะต้องเช่าสูท ริชาร์ดก็เลยพามันมาที่ร้านเช่าสูทที่อยู่ใกล้ๆ และแอสตันก็ไม่ได้เช่าแค่ของมันคนเดียวด้วย หากแต่รวมไปถึงของคีธ ของริชาร์ด แล้วก็ของผม
ผมงงไปหน่อยว่าพวกมันจะให้ผมกับริชาร์ดเช่าสูทไปด้วยทำไม แต่พอได้ยินคีธอธิบายแล้ว ความสงสัยก็มลายหายไปพลัน
“ไปในฐานะว่าที่แม่พันธุ์”
ว่าที่เมียก็บอกมาเถอะ ว่าที่แม่พงแม่พันธุ์อะไร ฟังแล้วนึกถึงแม่วัวชะมัด
ใจจริงผมก็ไม่อยากไปเท่าไหร่ มีแต่ไอ้ริชาร์ดนี่แหละที่กระดี๊กระด๊าอยากไปจนออกนอกหน้า ที่อยากไปก็เพราะ...
หนึ่ง... มันได้ควงออกงานกับแอสตันเป็นครั้งแรก
และสอง... มันจะไปดูสารพัดมนุษย์ต่างดาว
เหตุผลที่สองคือเหตุผลหลัก เหมือนว่าช่วงนี้มันจะทำใจให้คุ้นชินกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้วเลยกลับมาเป็นกูรูบ้าเอเลี่ยนเหมือนเดิม ยิ่งมีแอสตันคอยเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง ต่อมบ้ามันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นถึงขนาดพูดเพ้อเจ้อว่าสักวันมันจะเป็นผู้กำกับหนังแนวสัตว์ประหลาดบุกโลกที่โด่งดังให้ได้ ผมแอบเบ้ปากให้มันไปที
หนังสั้นของชมรมมึงเรื่องเจ้าชายต่างดาวหอยหลอดอะไรนั่นเอาให้จบก่อนเถอะ ถ่ายไปได้ไม่กี่ฉากก็ต้องลากสังขารมาที่แอลเอละ ป่านนี้รุ่นน้องพากับสาปส่งกันกระจายแล้วมั้ง
หลังจากเช่าชุดสูทอะไรเสร็จ พวกเราก็กลับมาพักผ่อน เตรียมพร้อมสำหรับไปทำงานวันใหม่ และพอเลิกงาน คีธกับแอสตันก็ลากผมกับริชาร์ดกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์อย่างรวดเร็วเพื่อมาเตรียมตัวให้พร้อม บอกตรงๆ เลยว่าตอนที่ผมได้เห็นคีธใส่ชุดสูทครั้งแรก ภาพมนุษย์ต่างดาวในชุดบอดี้สูทสีเทามันเลื่อมนี่หายวับไปกับตาเลยจนผมต้องเผลออุทานในใจ
ละ...หล่อฉิบ... ถ้ารู้ว่ามันใส่สูทขึ้นขนาดนี้ล่ะก็ ผมคงให้มันใส่ไปนานแล้ว
แอสตันเองก็ดูดีเช่นกัน ภาพเด็กหนุ่มวัยสิบแปดหายไป แทนที่ด้วยชายหนุ่มโตเต็มวัย แถมยังดูดีมีสง่าราศี สมเป็นเจ้าชายแห่งยูนิกม่าขึ้นมากโข
ดูดีหรือดูไม่ดีให้ดูที่สีหน้าไอ้ริชาร์ดได้ จากเมาๆ กัญชาอยู่นี่ตาสว่างเลย แถมมันยังจัดการลากผัวเข้าไปปล้ำในห้องหน้าตาเฉยทั้งที่เตรียมพร้อมจะไปกันแล้วแท้ๆ ผมถึงกับส่ายหน้าอย่างระอา ส่วนไอ้คีธพอเห็นเจ้านายไปเสพสมมันก็สะกิดชวนผมยิกๆ แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่เอาด้วยหรอก ขี้เกียจมาคอยระวังว่าสูทจะยับ
การกินริชาร์ดจานด่วนเสร็จสิ้นก่อนบรูคลินมาถึงพอดี หมอนั่นไม่ได้มาคนเดียว แต่พาน้องชายอย่างเบนมาด้วย พอเด็กนั่นเห็นริชาร์ดที่เดินออกมาจากห้องพร้อมกับแอสตันที่อยู่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงก็มุ่ยหน้าทันควันขณะที่ริชาร์ดลอยหน้าลอยตาประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมถึงกับหัวเราะในลำคอ
แหม ไอ้ริชาร์ด... มึงนี่ก็ร้ายไม่เบา ฤทธิ์เมียหลวงสินะ
และเพราะแอสตันกับคีธก็อยู่ตรงนั้น สองพี่น้องเปรตวัดสุทัศน์ก็เลยไม่กล้าทำอะไร ได้แต่พาพวกเราไปยังที่หมายตามที่รับปากไว้
ที่หมายที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงอยู่ในตรอกแคบๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พักของผมมากนัก ตลอดทางเดินที่พวกเราเดินเข้ามามันดูเปลี่ยวและร้างไร้ผู้คนเสีย ไฟก็ไม่มี จะมีก็แต่หลอดไฟส่องแสงริบหรี่ตรงหัวมุมถนนเท่านั้นที่พอสาดแสงให้เห็นทางบ้าง ถ้าจ้างให้ผมมาเดินคนเดียวในที่แบบนี้ตอนกลางคืนล่ะก็ ยังไงผมก็ไม่มาหรอก ถูกฆ่าหมกท่อน้ำไปก็คงจะไม่มีใครรู้แน่ เปลี่ยนขนาดนี้
บรูคลินและเบนเดินมาหยุดตรงหน้าตึกเก่าๆ แห่งหนึ่ง ก่อนที่บรูคลินจะเปล่งเสียงขึ้น
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ผมมองตึกนั้นแล้วก็ขมวดคิ้ว...เดี๋ยวนะ พวกมึงแต่งสูทกันเต็มยศเพื่อจะมางานเลี้ยงในตึกโกโรโกโสแบบนี้เนี่ยนะ อย่างกับตึกไว้พี้ยาของพวกเด็กวัยรุ่น ถ้าจะมางานเลี้ยงที่จัดในตึกแบบนี้ ไม่ต้องใส่สูทกันมาก็ได้เว้ย!
“ขอบใจนะบูลิโอ” แอสตันว่าขึ้นทำลายความเงียบ
บรูคลินค้อมตัวเล็กน้อยก่อนจะบอกลาเสียอย่างนั้น
“ชาวไบโทปเป็นเจ้าภาพจัดการชุมนุมในครั้งนี้ หม่อมฉันกับเบนลิโอคงต้องขอตัวไปดูแลความเรียบร้อย คงส่งฝ่าบาทได้เพียงเท่านี้ ฝ่าบาทกับท่านผู้พิทักษ์เดินเข้าไปข้างในแล้วลงไปชั้นใต้ดินนะพ่ะย่ะค่ะ ข้างหน้าทางเข้างานมีคนดูแลอยู่ หม่อมฉันบอกพวกนั้นแล้วว่าฝ่าบาทกับท่านผู้พิทักษ์จะมา”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปทำหน้าที่ของพวกนายเถอะ” แอสตันพยักหน้ารับ ก่อนที่สองพี่น้องพวกนั้นจะผายมือให้พวกเราเดินเข้าไปข้างใน
พอเข้ามาในตัวตึกปุ๊บ สองคนนั้นก็ขยายร่างใหญ่ขึ้นแล้วเดินหายวับไปในมุมมืด ก่อนที่ประตูตึกจะปิดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน ดีที่ไฟในตึกสว่างพอให้เดินคลำทางและมองเห็นหน้ากันและกันได้ ผมเลยมองหน้าคีธอย่างขอคำตอบว่าสองคนนั้นทำอะไร คีธอธิบายโดยไม่รอให้ผมพูด
“พวกไบโทปมีความสามารถพิเศษในการหลบซ่อนตัวน่ะ ที่ต้องซ่อนที่จัดงานก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา”
ผมพยักหน้า หายแปลกใจเลยว่าทำไมคีธกับแอสตันเคยบอกว่าไม่รู้จักว่าที่อยู่ของสองคนนั้นอยู่ที่ไหน ที่แท้มันก็ซ่อนบ้านของมันด้วยความสามารถพิเศษที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันทำกันยังไงนี่เอง
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วเมื่อแอสตันเดินนำไปยังบันไดซึ่งดูท่าจะเป็นทางลงไปชั้นใต้ดิน พอเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย สายตาก็ปะทะเข้ากับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์หลายคนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานเขื่องบานหนึ่ง คีธผละจากผม เดินตรงเข้าไปบอกพวกนั้นเสียงเรียบแทนแอสตัน
“เรามาร่วมงานชุมนุม”
ชายคนที่คีธพูดด้วยเหลือบตามองหน้าคีธเล็กน้อยก่อนว่าออกมา
“แสดงหลักฐานชาติพันธุ์”
คีธไม่ตอบโต้ใดๆ แอสตันเองก็เช่นกัน ขณะที่ผมรอดูสองคนนั้นแสดงหลักฐานชาติพันธุ์อะไรนั่นอย่างใจจดใจจ่อ หลักฐานชาติพันธุ์ก็น่าจะเป็นการแปลงร่าง เผยร่างที่แท้จริงอะไรเทือกนี้ตามการคาดเดาของผม แต่ผิดคาดเมื่อผมไม่เห็นสองคนนั้นทำอะไรสักอย่าง เพียงแค่ยืนเฉยๆ เท่านั้น
อึดใจเดียว ชายคนนั้นก็ว่าขึ้น
“ชาวยูนิกม่า... ขอต้อนรับสู่งานชุมนุมครับ”
ผมกับริชาร์ดมองหน้ากันเลยว่าหมอนั่นรู้ได้ไงว่าคีธกับแอสตันเป็นชาวยูนิกม่า ก่อนจะได้รับการแถลงไขเมื่อแอสตันพูดขึ้น
“กลิ่นน่ะ เผยกลิ่นให้รับรู้เฉยๆ พวกบอดี้การ์ดนั่นเป็นชาวโดรีล มีประสาทสัมผัสได้การรับกลิ่นดีไม่แพ้ชาวยูนิกม่า”
มาอีกแล้วมนุษย์ต่างดาวพันธุ์ใหม่ นี่ถ้าประตูเปิดเข้าไป คงจะได้อึ้งไปอีกยกใหญ่เพราะได้เห็นมนุษย์ต่างดาวมากมายจากทุกสารทิศในจักรวาลเลยล่ะมั้งเนี่ย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 03-01-2016 20:06:45
Episode 23: Alien’s gala dinner[2]

แต่ก่อนที่จะได้ไปอึ้งกับมนุษย์ต่างดาวหลากหลายชาติพันธุ์ ผมก็อึ้งงันกับสถานที่จัดการตรงหน้าเสียก่อนเมื่อประตูชั้นใต้ดินเปิดออกด้วยฝีมือของบอร์ดี้การ์ดร่างยักษ์ พอเห็นสภาพภายในแล้ว ผมก็อ้าปากค้างทันควันเมื่อเห็นว่าชั้นใต้ดินของตึกโกโรโกโสมีห้องบอลรูมหรูหราแฝงเร้นอยู่ภายใน ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างแต่งตัวหรูหราทั้งชายและหญิง มีบริกร มีอาหารแบบค็อกเทลเสิร์ฟ ไม่ต่างอะไรจากงานเลี้ยงของพวกไฮโซแม้แต่น้อย ตอนนี้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคีธถึงได้บอกให้ผมแต่งตัวดีๆ ถึงขนาดต้องลากกันไปเช่าสูทมาใส่
นี่มันงานกาล่าดินเนอร์ของมนุษย์ต่างดาวชัดๆ! ไหนมึงบอกว่าแค่งานชุมนุมมนุษย์ต่างดาวเฉยๆ ไงวะ กูก็นึกว่าปาร์ตี้กินเหล้าเมากัญชาอย่างที่กูกับไอ้ริชาร์ดเคยไปกันซะอีก!
ผมทำตัวไม่ถูกทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน ที่ทำตัวไม่ถูกไม่ใช่เพราะงานเลี้ยงที่เห็นอยู่มันหรูหราเกินกว่าคนชนชั้นกลางอย่างผมจะมีสิทธิเข้ามาเหยียบ แต่ทำตัวไม่ถูกเพราะผมรู้แก่ใจว่าคนที่รายล้อมผมอยู่ในตอนนี้มันไม่ใช่มนุษย์โลก แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวจากทั่วสารทิศในจักรวาลที่ย้ายมาพำนักอยู่ในโลกมนุษย์ต่างหาก ถึงทุกคนจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์โลก ทว่ามันก็เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละ ภายในหรือร่างจริงเป็นยังไงนี่ ผมไม่อาจรู้ได้เลย เผลอๆ อาจจะสีร่างกายสีม่วงเหมือนอาแปะลีโอนาร์โด ไม่ก็สูงเป็นเปรตเหมือนพวกพี่น้องไบโทปก็ได้
สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าพวกมันรู้ว่าผมเป็นมนุษย์โลกที่เข้ามาวุ่นวายการชุมนุมของพวกมัน พวกมันจะทำอะไรกับผมมากกว่า ก็งานนี่มันถูกเก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ?
ผมมองซ้ายขวาอย่างกระสับกระส่าย มือทั้งสองข้างซึมไปด้วยเหงื่อ ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าแม้ว่าแอร์ในห้องบอลรูมนี่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพก็ตาม ริชาร์ดที่เดินคู่กับแอสตันนำอยู่ข้างหน้าเองก็เช่นกัน ผมรู้ว่ามันประหม่าก็เพราะมันเริ่มยกมือขึ้นมากัดเล็บอย่างเมามันส์ หากแต่แอสตันที่เดินอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของริชาร์ดเสียก่อน ขณะที่หมอนั่นกำลังพยักหน้ารับบรรดามนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาทักทายโดยการค้อมศีรษะทำความเคารพด้วยได้กลิ่นของชาวยูนิกม่า ก่อนแอสตันจะละความสนใจจากการทักทายมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นมายกมือขึ้นไปดึงมือริชาร์ดออกจากปากแล้วจับไว้แน่น พลางมองหน้าริชาร์ดเป็นการปลอบโยนว่า ‘ไม่ต้องกังวล’ อะไรเทือกนั้น ริชาร์ดเลยพอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติขึ้นมาได้ ก่อนที่แอสตันจะจูงมือมันไปให้มนุษย์ต่างดาวตัวอื่นๆ ได้ทักทายอีก
ผมเห็นแล้วก็อดชื่นชมแอสตันไม่ได้เลย ขนาดมันดูเด็กและเอาแต่เล่นอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาเป็นงานเป็นการ มาดเจ้าชายก็ผุดพรายออกมาชัดเจนราวกับสั่งได้ แอสตันในตอนนี้ดูแตกต่างจากตอนมันเอาแต่เล่นกับตามก้นริชาร์ดต้อยๆ ราวฟ้ากับเหว
นี่สินะสายเลือดสีน้ำเงิน... สูงศักดิ์และสง่างาม ต่อให้แม่งหื่นกามก็ยังดูดี
ผมเผลอจ้องแอสตันกับริชาร์ดนานไปหน่อย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่แตะเข้ามาที่มือตัวเองเบาๆ ผมหันไปมองมือตัวเองที่ถูกเกาะกุมไว้แน่นก่อนจะมองเงยขึ้นมายังใบหน้าของเจ้าของมือ พอเห็นว่าเป็นคีธ ผมก็รู้เลยว่ามันจะต้องเลียนแบบเจ้านายมันแน่ๆ
แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อมันพูดขึ้นมา
“กวินทร์จะได้ไม่ต้องกังวล”
ผมโคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเลยว่าให้เลิกเลียนแบบไอ้แอสตันสักที แต่เพราะมือถูกกระชับเข้าไปจับแบบประสานนิ้วแนบแน่น ผมก็เลยไม่พูดอะไร ซึมซับความรู้สึกอุ่นใจนี้เอาไว้เงียบๆ ตามลำพัง
คีธนี่ก็มีมุมน่ารักเหมือนกันแฮะ...
แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ เพราะพอมันสอดนิ้วเข้ามากับนิ้วผมได้แนบสนิท มันก็จัดการขยับมือเล็กน้อยให้ฝ่ามือของผมกับมันกระทบกันเบาๆ เป็นจังหวะ ถ้าทำเพียงครั้งสองครั้ง ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่มันทำไม่หยุดจนผมต้องตวัดดวงตาไปมองมันอย่างหงุดหงิด
“เล่นอะไรของนายวะ” ผมแหวเสียงแผ่ว
คีธหันมามองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้และกระซิบออกมาเบาๆ อย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“ป้าบ...ป้าบ...ป้าบ...”
ผมได้ยินก็หน้าร้อนวาบขึ้นมาทันใดด้วยรู้ว่ามันหมายถึงอะไร
ป้าบเตี่ยมึงไอ้คีธ! นี่มึงจะทำให้กูหายกังวลหรือกังวลยิ่งกว่าเดิมว่าจะถูกมึงปล้ำวะเนี่ย! ตอนนี้มึงอยู่ในสถานะชาวยูนิกม่าผู้สูงศักดิ์ แถมยังเป็นผู้พิทักษ์และอยู่ในงานเลี้ยงนะเว้ย! มึงนี่ไม่ได้มีมาดผู้ดีอะไรเลยสักนิด ทีเรื่องแบบนี้ทำไมไม่เลียนแบบไอ้แอสตันบ้างวะไอ้หื่นคีธ!
หัวคิ้วผมกระตุกยิกๆ อยากจะด่ามันฉิบ แต่ก็กลัวว่าเดี๋ยวมนุษย์ต่างดาวตัวอื่นจะของขึ้นเพราะผมไปด่ากราดใส่ผู้สูงศักดิ์แห่งจักรวาลเข้า เลยได้แต่ปล่อยให้คีธมันกระทบฝ่ามือใส่ฝ่ามือผมเรื่อยๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าใส่มัน
แต่ครู่เดียวก็ต้องรีบเก็บอาการเมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายแอสตันเข้า ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับบรูคลินและเบนของชายคนนั้นทำเอาผมหยุดหงุดหงิดคีธ มองเขาด้วยความสนใจ และก็ต้องสนใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาพูดขึ้นมา
“องค์ชาย... กำลังรออยู่พอดี หม่อมฉันมีคนอยากให้ฝ่าบาทได้เจอ”
“ไปสิ เราก็ตั้งใจมาเจอนี่แหละ” แอสตันตอบรับ ก่อนจะเดินตามชายวัยกลางคนคนนั้นเข้าไปยังห้องซึ่งอยู่ทางด้านหลังห้องบอลรูมอีกชั้น
“นั่นพ่อของบูลิโอกับเบนลิโอ” คีธพูดขึ้นมาโดยไม่รอให้ผมถามขณะที่เรากำลังก้าวตามหลังแอสตันกับริชาร์ดไป
มิน่าล่ะ ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหน้าตาคล้ายกับสองพี่น้องเปรตนั่นจัง ที่แท้ก็หน่อเนื้อเชื้อไขกันนี่เอง
หากแต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ากับการที่ผมเดินผ่านประตูห้องด้านหลังมาแล้วได้เห็นกับมนุษย์ต่างดาวจำนวนหนึ่งนั่งหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็นั่งเล่นไพ่โป๊กเกอร์กันไปด้วย มองดูเผินๆ ก็เหมือนกับกิจกรรมที่พวกไฮโซชอบทำกันระหว่างงานเลี้ยงไม่ผิดเพี้ยน จะผิดก็ตรงที่พวกมันทุกคนเป็นมนุษย์ต่างดาวนี่แหละ
พ่อของสองพี่น้องไบโทปเดินมาหยุดที่โต๊ะตัวหนึ่งซึ่งมีมนุษย์ต่างดาวเพศหญิงนั่งอยู่ ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อของใครบางคนขึ้น เรียกความสนใจของคนทั้งโต๊ะมา
“เจเนซิส นี่คือคนที่ฉันอยากให้เจอ”
หญิงสาวผมบลอนด์ยาวหน้าตาสะสวยละสายตาจากแก้วไวน์ในมือหันมามองยังต้นเสียง ก่อนจะมองเลยไปยังแอสตันที่พ่อของสองพี่น้องไบโทปผายมือไปทางหมอนั่นอยู่ เท่านั้นดวงตาคมก็ประกายวาบอย่างตกใจ พลันริมฝีปากบางสวยก็เอ่ยชื่อจริงของแอสตันออกมา
“เจ้าชายแอสโซซิโอ! ท่านผู้พิทักษ์!” ไม่เพียงร้องเรียกชื่อจริงแอสตัน ยังหันมาเรียกคีธด้วย แถมยังรีบลุกพรวดขึ้นมาคุกเข่าทำความเคารพแอสตันอย่างรนๆ จนแอสตันหัวเราะออกมาน้อยๆ
“หม่อมฉันได้กลิ่นของชาวยูนิกม่า แต่ไม่ยักจะรู้ว่าเป็นกลิ่นขององค์ชายกับท่านผู้พิทักษ์ ขอฝ่าบาทอย่าให้ถือสากับความโง่เขลาของหม่อมฉันนะพ่ะย่ะค่ะ”
ผมย่นคิ้วเล็กน้อยกับหางเสียงของผู้หญิงคนนี้ที่ใช้หางเสียงแบบผู้ชาย พลันสังเกตเห็นว่าหล่อนไม่ได้ใส่ชุดราตรีอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆ ใส่กัน แต่เป็นชุดสูทแบบผู้ชาย
“ไม่เป็นไรหรอกเจเนซิส เราเองก็ไม่รู้ว่ากลิ่นชาวยูนิกม่าที่ได้กลิ่นมาตั้งแต่ทางเข้างานจะเป็นกลิ่นของเจ้าเหมือนกัน” แอสตันว่า พลันไหวมือน้อยๆ เป็นเชิงให้คนตรงหน้าลุกขึ้น ก่อนที่แอสตันจะหันมาแนะนำผู้หญิงคนที่ชื่อเจเนซิสให้ริชาร์ดรู้จัก
“นี่คือเจเนซิส ปราชญ์แห่งราชสำนักราชวงศ์ยูนิกม่า เป็นชายที่ได้ชื่อว่าปราดเปรื่องที่สุดในยูนิกม่าเลยนะ”
ผมอ้าปากค้างไปทันควันที่ได้ยินคำว่า ‘ชาย’ ออกมาจากปากของแอสตัน
อะ...อะไรนะ! นี่ผู้ชายเหรอ ทำไมเหมือนผู้หญิงจังวะ!?
แต่ก็คงจะเป็นผู้ชายจริงๆ แหละเพราะน้ำเสียงของเจเนซิสก็ห้าวอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเสียงของเด็กผู้ชายกำลังแตกหนุ่มก็ตาม
แล้วแอสตันก็ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างมากกว่าเดิมเมื่อหมอนั่นพูดลอยๆ ขึ้นมา
“แล้วก็ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่คนรักของคีทาเยด้วย... ไม่สิ อดีตว่าที่คนรักมากกว่า”
ผมหันขวับไปมองยังไอ้บ้าคีธที่ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวทันที
อ๋อ... นี่แฟนเก่ามึงล่ะสินะ โอ้โห...หงุดหงิดขึ้นมาเลย ทำไมต้องมาเจอแฟนเก่ามันด้วยวะ
“ไม่ได้เจอกันนานทีเดียวนะท่านผู้พิทักษ์” แถมไอ้บ้าเจเนซิสก็ยังทักคีธขึ้นมาอีก มิหนำซ้ำยังยื่นมือไปตรงหน้าทำท่าเหมือนจะจับทักทายด้วย
“เรียกชื่อเถอะ” คีธเองก็ว่าเนือยๆ แล้วปล่อยมือผม เอื้อมมือไปตรงหน้าแทน ผมมองก็รู้เลยว่าเดี๋ยวมันจะต้องเอานิ้วของเจเนซิสมาดูด เท่านั้นผมก็คว้ามือคีธไว้ทันควัน ก่อนจะดึงมาจับแน่นเหมือนเดิม สายตามองมันอย่างหงุดหงิดที่มันเกือบจะทำอะไรไม่ไว้หน้าผม คีธหันมามองเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา พลันกระซิบข้างหูผมเบาๆ
“แค่อดีตว่าที่คนรัก ไม่เคยเป็นคนรักเหมือนนายสักหน่อย ไม่เคยผูกพัน วางไข่หรือมีสัมพันธ์ทางกายใดๆ ด้วย แค่เคยชอบกัน”
แล้วกูถามหรือยัง!? กูก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็แค่ไม่ชอบให้มึงเที่ยวไปดูดนิ้วชาวบ้านไปทั่วหรือให้ใครต่อใครมาดูดนิ้วมึงต่างหากเว้ย!
และเพราะคีธพูดอย่างนั้น เจเนซิสก็เลยดึงมือกลับแล้วยิ้มออกมา
“คนรักของนายสินะคีทาเย แม่พันธุ์ใช่มั้ย”
“อืม” คีธขานรับ
เจเนซิสมองผมยิ้มๆ แล้วก็ว่าขึ้นมา
“ยินดีด้วย หวังว่าจะได้เห็นทายาทของนายเร็วๆ”
ฟังแล้วก็เหมือนแฟนเก่าของไอ้บ้าคีธอวยพรให้มีความสุขยังไงก็ไม่รู้ ผมนี่ดูเป็นตัวร้ายไปเลย แต่ก็ไม่ได้สนใจ ทำเมินเจเนซิสจนหมอนั่นหันไปสนใจริชาร์ดแทน
“แล้วนี่คงจะเป็นแม่พันธุ์ของฝ่าบาท? หม่อมฉันได้กลิ่นของฝ่าบาทจากตัวคนคนนี้”
“ใช่ ริชาร์ดเป็นแม่พันธุ์ของเรา”
พอแอสตันตอบรับ เจเนซิสก็ทำความเคารพริชาร์ดเหมือนกับที่ทำความเคารพแอสตันด้วย
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เจอว่าที่พระชายา”
ริชาร์ดหน้าแดงรื้นไปเลย พลันพยักหน้ารับหงึกหงัก เรียกให้เจเนซิสลุกขึ้น
ก็แอสตันมันเป็นเจ้าชายนี่หว่า ริชาร์ดมันจะถูกเรียกด้วยสรรพนามนี้ก็ไม่แปลก
พอเจเนซิสลุกขึ้น แอสตันก็ได้ทีถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทันใด
“ว่าแต่นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะเจเนซิส เราตามหาพรรคพวกตั้งนานไม่ยักจะเจอ แต่จู่ๆ ก็ได้เจอนาย เราว่ามันแปลก”
“หม่อมฉันมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวลือว่าองค์ชายอยู่ที่นี่ จริงๆ หม่อมฉันพักอยู่กับพวกไบโทปอีกกลุ่มที่วอชิงตัน เดินทางมาที่นี่ก็เพื่อพบฝ่าบาทอย่างเดียว ว่าแต่ฝ่าบาทเถอะพ่ะย่ะค่ะ ทำไมถึงเลือกที่จะอยู่ที่นี่ ได้ข่าวว่าตอนที่พระองค์ถูกไล่ล่าจากพวกเซนไทน์แล้วหนีรอดมายังดาวดวงนี้ ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ที่นี่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็เราได้ยินว่าชาวยูนิกม่ารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็เลยขอแรงจากพวกที่เราเจอในสถานที่ที่เราอยู่ในตอนแรกให้พามาส่งที่นี่น่ะ แล้วก็ได้มาพึ่งพาพวกไบโทปอีกที แต่อยู่มาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังไม่เจอพวกของเราสักคน มีแต่คีทาเยนี่แหละที่ได้มาเจอกันโดยบังเอิญ”
เจเนซิสพยักหน้ารับประหนึ่งเข้าใจว่าแอสตันกับคีธมีที่มาที่ไปยังไง ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“จริงอยู่ที่พวกเราเคยอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะพวกเซนไทน์เองก็บุกมายังดาวดวงนี้เหมือนกัน การอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จึงไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเรานัก พวกเราก็เลยต้องแยกย้าย กระจายกันไปอยู่ตามที่ต่างๆ”
“มิน่าล่ะ เราถึงหาใครไม่เจอ” แอสตันว่า
“ก็เจอหม่อมฉันแล้วนี่ไง คีทาเยอีกคน จริงๆ ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ตามหม่อมฉันมาที่นี่อีก เพียงแต่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง ไว้เลิกจากงานแล้ว หม่อมฉันจะพาองค์ชายกับคีทาเยไปหา พวกนั้นคงจะดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาท” เจเนซิสพูดยิ้มๆ ก่อนจะเบนสายตามามองยังคีธที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แล้วยาล่ะ”
สมองผมคิดวนกลับไปยังเรื่องยาที่คีธเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่เจอกันแรกๆ เลย ยาที่ว่าคงจะเป็นยาปรับสภาพร่างกายเพื่อให้อยู่ในโลกมนุษย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์แน่ๆ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อเจเนซิสตอบกลับมา
“กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต คาดว่าอีกไม่กี่อาทิตย์ก็น่าจะเสร็จสิ้น” ว่าจบก็เหลือบมามองผมน้อยๆ ก่อนยิ้มเผล่ “นายคงจะเบื่อกับการพึ่งพาโฮสต์แล้วสินะคีทาเย”
ผมคิ้วกระตุกทันควัน ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหมอนี่กำลังท้าทายผมอยู่ และผมก็เกือบจะหงุดหงิดคีธอยู่แล้วถ้ามันไม่พูดขึ้นมาก่อน
“เปล่าหรอก ฉันแค่กังวลว่าหากพวกเซนไทน์อยู่ในละแวกนี้แล้วเกิดการปะทะกันขึ้นมา โฮสต์ของฉันจะได้ไม่ต้องถูกเสี่ยงจับตัวไปต่อรอง” ว่าจบก็เหลือบมามองหน้าผม ผมเข้าใจได้ตอนนี้นี่เองว่าที่คีธอยากได้ยาที่ไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์ก็เพราะกลิ่นของคีธมันจะอยู่ในตัวผม ทำให้ง่ายต่อการถูกตามตัวได้แม้ว่าพวกยูนิกม่าจะซ่อนกลิ่นกายของตัวเองได้ก็ตาม
“แต่ถึงจะไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์ มันก็เสี่ยงต่อการถูกจับไปต่อรองอยู่ดี นายกับองค์ชายมีแม่พันธุ์แล้วนี่ กลิ่นจากการผูกพันมันลบเลือนไม่ได้ ลืมไปแล้วเหรอ” แล้วเจเนซิสก็พูดขึ้นให้ได้กังวลขึ้นมาอีก
คีธพยักหน้ารับช้าๆ ขณะที่แอสตันย่นคิ้วเล็กน้อยราวกับเพิ่งตระหนักได้ ก่อนที่เจเนซิสจะถอนหายใจออกมา
“แต่ในเมื่อผูกพันไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งสร้างทายาทตอนนี้จนกว่าเราจะมั่นใจได้ว่าการอยู่บนดาวดวงนี้มันปลอดภัยจริงๆ แล้วกัน ถ้าไม่ปลอดภัย เราคงต้องอพยพกันอีก ...อพยพไปพร้อมกับแม่พันธุ์ของนายกับแม่พันธุ์ขององค์ชาย”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกเลยเมื่อนึกว่าผมจะต้องย้ายสำมะโนครัวไปดาวดวงอื่นถ้าหากคีธอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ก่อนจะรีบส่ายหน้ารัว ให้คีธได้บีบมือผมแน่น
“ยังสรุปไม่ได้ว่าอยู่ได้หรือไม่ อย่าเพิ่งเป็นกังวล”
กูต้องกังวลสิ! ย้ายไปอยู่ต่างประเทศยังไม่เป็นเรื่องใหญ่เท่ากับย้ายไปอยู่ดาวอื่นเลยนะเว้ย! จะทำอะไรก็ถามความสมัครใจของกูก่อนบ้าง!
“งั้นก็รีบสรุปให้ได้แล้วกันว่าดาวดวงนี้ปลอดภัยสำหรับเราหรือไม่ เราไม่อยากจะอยู่แบบวิตกอย่างนี้เท่าไหร่นัก” แอสตันแทรกขึ้นให้เจเนซิสได้ขานรับ
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเชิญองค์ชายไปหารือกับพวกของเราในวันรุ่งขึ้น หม่อมฉันจะไปรับไปที่ชุมนุมลับของเรา”
พอได้ข้อตกลง ทั้งสามก็คุยกันจิปาถะไปเรื่อยเปื่อยอีกยาวเหยียด ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องปัญหาของพวกมันนี่แหละ ริชาร์ดก็แทนที่จะปลีกตัวมานั่งจ๋อง รอให้พวกมันคุยกันให้เสร็จเหมือนกับผม แต่มันดันเอากระดาษกับปากกาขึ้นมาจดโน่นจดนี่ บอกว่าเป็นไอเดียสำหรับทำหนังสั้นที่มันถ่ายทิ้งค้างไว้เป็นพัลวัน ทิ้งให้ผมนั่งน้ำลายบูดอยู่คนเดียวจนงานเลิก
 
วันรุ่งขึ้น คีธกับแอสตันขอลาหยุดกะทันหันหนึ่งวันเพราะต้องไปพบพรรคพวกตามที่นัดไว้กับเจเนซิส แน่นอนว่าผู้กำกับวิลล์หัวเสียมากที่จู่ๆ สตั๊นแมนที่ต้องถ่ายฉากสำคัญสำหรับวันนี้ไม่โผล่หัวมา มิหนำซ้ำ พระเอกของเรื่องก็ตามตัวไม่ได้มาหลายวันแล้วอีกต่างหาก ถ้านับดู รู้สึกว่าจะตามตัวไม่ได้ตั้งแต่ที่กลับมาจากถ่ายทำนอกสถานที่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วล่ะมั้ง
จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าตามไม่ได้หรอก ทุกคนในกองถ่ายรู้กันแหละว่าซีเลนพักอยู่ที่ไหนแต่ไม่ยอมมีใครไปตาม สาเหตุก็ไม่น่าถาม กลัวว่าหมอนั่นจะจับปล้ำน่ะ ถึงแม้ว่าพักหลังมันจะทำตัวดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาดแล้ว ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงไปตามตัวมันอยู่ดี ยิ่งไปตามถึงที่พักด้วยแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าถ้ามันคิดหื่นขึ้นมาจะเสร็จมันหรือไม่
และเพราะความที่ไม่มีคนไปตามนี่แหละ หวยก็เลยมาออกที่ผม ที่มาออกที่ผมก็เพราะผมเป็นคนลางานให้พวกแอสตันกับคีธ ผู้กำกับวิลล์ก็เลยให้ผมไปรับผิดชอบงานส่วนนั้นแทนขณะที่ริชาร์ดยังคงได้ทำงานในกองถ่ายเหมือนเดิมเพราะผู้กำกับวิลล์ตัดสินใจจะถ่ายฉากอื่นแทนไปก่อน
ผมก็เลยต้องมายืนอยู่ตรงหน้าเพนท์เฮ้าส์หรูหราราคาแพงหูฉี่ใจกลางฮอลลีวูดอย่างนี้ไง! แม่ง ซวยจริงๆ เลยพับผ่า!
ถึงจะไม่อยากเข้าไป แต่ผมก็ต้องทำเพราะถูกทั้งผู้กำกับวิลล์ขู่มาว่าถ้าตามตัวซีเลนได้ไม่สำเร็จ เขาจะไล่คีธกับแอสตันออกโทษฐานทำให้เสียงาน แถมด็อกเตอร์มาร์ตินก็ไม่ออกโรงปกป้องศิษย์รักอย่างผมเลยแม้แต่น้อย นอกจากเข้าข้างเพื่อนเท่านั้น ผมเลยต้องเดินเข้ามาติดต่อกับเคาน์เตอร์ที่ชั้นล่างเพื่อแนะนำตัวว่าเป็นใคร และขอขึ้นไปตามตัวซีเลน
ปกติเพนท์เฮ้าส์ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปได้ถ้าไม่มีเจ้าของห้องลงมารับหรือโทรสายตรงมาอนุญาต แต่สำหรับกรณีของซีเลนนี่ถือว่าเป็นกรณีพิเศษเพราะมีการทิ้งคีย์การ์ดสำรองไว้ที่เคาน์เตอร์ไว้ให้ทีมงานขึ้นไปตาม ทว่าดูเหมือนจะไม่เคยได้ใช้เพราะทุกคนรู้ว่าซีเลนเป็นคนยังไง ดูท่าพนักงานที่นี่ก็น่าจะรู้ดีพอๆ กับทีมงานในกองถ่ายรู้ด้วย และพอผมมาขอคีย์การ์ดห้องของซีเลน พนักงานพวกนั้นก็มองหน้าผมอย่างประหลาดใจ ก่อนพากันกระซิบกระซาบเบาๆ ไม่ให้ผมได้ยิน แต่ผมก็ดันหูดีได้ยินพวกนั้นพูดกันว่า ‘เสร็จซีเลนแน่ๆ’ ลอยมาตามลม
ใครจะไปยอมเสร็จมันกันวะ ถ้ามันคิดจะทำอะไรมิดีมิร้ายขึ้นมา ก็วิ่งป่าราบสิ จะอยู่ทำเพื่อ?
ผมขึ้นลิฟต์มาอยู่ตรงหน้าห้องซีเลนไม่กี่อึดใจให้หลัง พลันสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วกดออดเรียกซีเลน ที่ยังไม่ใช่คีย์การ์ดเปิดเข้าไปก็เพราะกลัวว่าจะถูกมันปล้ำนี่แหละ ให้มันโผล่หัวออกมาเองนี่ดีกว่าเป็นไหนๆ หากแต่กดหลายต่อหลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับจนผ่านไปเกือบสิบนาที ผมก็เลยรวบรวมความกล้า ใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไป
และวินาทีแรกที่สายตาผมมองเห็นภายในห้อง ผมก็ต้องย่นคิ้วยู่เมื่อเห็นสภาพห้องรกรุงรัง ไม่เหลือคราบเพนท์เฮ้าส์หรูสักนิด ผมค่อยๆ ก้าวเข้ามา กวาดตามองไปรอบๆ พลางร้องเรียกเจ้าของห้องไปด้วย
“ซีเลน...”
เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ผมเลยเดินไปดูทีละห้อง ตั้งแต่ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และไปจบลงที่ห้องนอน ก่อนจะเห็นร่างใหญ่กึ่งเปลือยของซีเลนนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง
เกือบเปลือยนี่คือยังใส่กางเกงอยู่น่ะ แต่เป็นกางเกงบ็อกเซอร์ และเพราะเป็นกางเกงบ็อกเซอร์บางๆ ผมก็เลยไม่เดินเข้าไป เอาแต่ร้องเรียกหมอนั่นอยู่ที่ประตูเท่านั้น
“ซีเลน ผู้กำกับวิลล์ให้ฉันมาตาม”
ซีเลนรู้ตัวว่าผมอยู่ที่นี่ก็ตอนนี้ ผงกหัวขึ้นมาจากหมอนเล็กน้อย พลันตะแคงข้างมามองผม
“กวินทร์เหรอ...” น้ำเสียงแหบพร่าที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาผมย่นคิ้ว
เสียงของซีเลนฟังดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงแปลกๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดของซีเลน มันซีดชนิดที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นใบหน้าของคนตายเลยก็ว่าได้ ทำเอาผมร้องออกมาเสียงดังทันควัน
“เฮ้ย! นายเป็นอะไรเนี่ย ไม่สบายหรือเปล่า” ผมรีบทรุดตัวลงนั่งข้างหมอนั่น ยกมือขึ้นอังหน้าผากซีเลนทันใด
ซีเลนหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วส่ายหน้า
“สบายดี”
สบายดีป้ามึงสิ อีกนิดเดียวมึงก็จะเน่าตายอยู่แล้วถ้ากูไม่เข้ามาเจอมึงก่อนเนี่ย!
แต่ก็น่าแปลกที่เนื้อตัวของซีเลนไม่ได้ร้อนหรือเย็นเลย เป็นอุณหภูมิปกติไม่ต่างจากผมแม้แต่น้อย เพียงแต่หน้าซีดจนน่ากลัวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้ เกิดมันเป็นอะไรร้ายแรงขึ้นมา ผมนี่แหละที่จะซวยเอา
“ไปโรง’บาลเถอะฉันว่า เดี๋ยวฉันเรียกรถพยาบาลให้” ผมทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงมากดเบอร์ฉุกเฉิน
ทว่าซีเลนก็เอื้อมมือมาคว้ามือผมไว้มั่น
“ไม่ต้อง...” แล้วก็ตามมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่ต้องบ้าบอคอแตกอะไร ถ้าเกิดนายเป็นอะไรไป ฉันนี่แหละที่จะซวย” ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ ซีเลนก็คว้ามือผมอีกรอบเช่นกัน ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง มองหน้าผมด้วยดวงตาปรือ
“บอกว่าไม่เป็นไร ฉันสบายดี”
“สบายดีคงไม่หน้าซีดขนาดนี้หรอก” ผมบ่นเสียงเขียว ก่อนที่ซีเลนจะทำให้ผมต้องย่นคิ้วหนักกว่าเดิม
“เป็นเพราะฉันหิวน่ะ เรื่องปกติ ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”
ถ้ามึงหิวแล้วหน้ามึงซีดเป็นไก่ต้มขนาดนี้ มึงก็ไปหาอะไรกินสิวะ! จะอดอาหารทำแป๊ะอะไร!
“งั้นนายจะกินอะไร เดี๋ยวฉันโทรสั่งมาให้” พอมันพูดมาอย่างนี้ ผมก็เสนอตัวจะช่วยมัน ทว่ามันกลับคว้ามือทั้งสองข้างของผมไปจับแล้วมองหน้าผมนิ่ง
“อะ...อะไร” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ สัญชาตญาณบอกเลยว่ามันต้องคิดอะไรไม่ดีแน่ๆ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันขยับริมฝีปากเบาๆ
“อยากกิน...นาย”
กินกูเตี่ยมึงสิ! เวลาอย่างนี้มึงยังจะมาคิดหื่นอีก!
ผมรีบชักมือออกทันใด แต่ซีเลนกลับกระชากคืนมาแล้วกดผมนอนลงบนเตียง ผมลืมตาโพลงเมื่อเห็นมันย้ายร่างขึ้นมาทาบทับผมเอาไว้ ในใจก่นด่าตัวเองทันทีว่าโง่ที่เข้ามาตามมันถึงในห้อง ดูมันทำสิ ขนาดหวังดีกับมัน มันยังคิดอกุศลกับผมได้
ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ไอ้เวรซีเลน!
“ขอกินนายหน่อยกวินทร์ ฉันคงจะอาการดีขึ้น”
มึงจะอาการดีขึ้นบ้าอะไร! ยิ่งไม่มีแรงแล้วมาออกแรง มึงได้คางเหลืองแน่!
“ไม่เอาเว้ย!” ผมดิ้นพราดๆ ขัดขืนซีเลนอย่างเต็มที่ขณะที่มันเริ่มพรมจูบลงมาที่ซีกแก้มผม
แต่ให้ตายเถอะ! ขนาดซีเลนดูเหมือนคนใกล้ตายอย่างนี้ มันยังมีแรงมากจนผมขัดขืนไม่ได้ ยิ่งผมดิ้น มันก็ยิ่งจับล็อคแน่นจนดิ้นต่อไม่ได้ แล้วมันก็ทำให้ผมต้องพยายามเอาตัวรอดสุดแรงเกิดอีกครั้งเมื่อมันขบลงมาที่ลำคอผมซะเต็มแรง
“เจ็บนะเว้ย!” ผมแหกปากลั่น ซีเลนก็เลยเลิกขบ เปลี่ยนมาเป็นดูดดังจ๊วบ
แต่จะกัดหรือจะดูด ผมก็ไม่โอเคทั้งนั้นแหละ! แค่ไอ้หื่นคีธคนเดียวก็เกินทนแล้ว ต้องมาเสียตัวให้ไอ้หื่นซีเลนอีกที่ฝันไปเลย!
“ปล่อยฉันนะเว้ยไอ้ซีเลน!”
ผมตะโกนใส่มันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับซีเลนเลยแม้แต่น้อย มันเอาแต่ซุกไซ้ใบหน้าเต็มใบด้วยหนวดเคราคร้ามครันไปทั่วลำคอผม ขณะที่มือมันข้างหนึ่งตรึงข้อมือผมไว้เหนือหัวแน่น และมืออีกข้างก็เลื่อนลงไปวุ่นวายกับเข็มขัดกางเกง ผมตาเหลือกทันทีที่ได้ยินเสียงเข็มขัดถูกปลดออกจากตัวพร้อมกับกางเกงยีนส์ที่ถูกดึงไปยังหน้าขา
ดะ...เดี๋ยว! มึงมีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา กูยังไม่พร้อมจะรับไอ้หื่นสองคนเข้ามาในชีวิตนะเว้ย!
“ซีเลน!”
ผมร้องเรียกชื่อมันจนเสียงแหบ ทว่าไอ้ซีเลนมันหื่นจนหน้ามืดไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะดึงกางเกงผมลงอย่างเดียว ยังสอดมือเข้ามาในกางเกงบ็อกเซอร์อีก ตอนนี้ไม่ต้องถามเลยว่ามันจับไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แถมร่างกายผมก็ตอบสนองกับการสัมผัสของมันอีก มันเลื่อนใบหน้าออกจากซอกคอผมไปครอบครองยอดอกใต้เสื้อยืดด้วย ผมนี่เกร็งจนไม่รู้จะเกร็งยังไงแล้ว
ไม่ได้เกร็งเพราะเสียวซ่านนะ แต่เกร็งเพราะขยะแขยงต่างหาก
ขะ...ขยะแขยงฉิบหายเลยโว้ย!
พอมันวุ่นวายกับร่างกายผมจนเป็นที่พอใจ มันก็เงยใบหน้าหื่นกามขึ้นมา เลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าผมแล้วกระซิบเสียงพร่า
“ขอกินหน่อยนะกวินทร์”
“ไม่เอาเว้ย!” ผมยังคงร้องห้าม แต่ก็เท่านั้นแหละ มันขยับใบหน้าเข้ามาใกล้แล้ว ผมรู้เลยว่าอันดับต่อไปจะต้องถูกมันจูบแน่ ผมเลยหลับตาปี๋ คิดว่าวันนี้คงจะไม่รอดแล้ว
หากแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อจู่ๆ ซีเลนก็ชะงักงันฉับพลัน
“กลิ่น... กลิ่นแรงมาก”
กะ...กลิ่นอะไรวะ
ไม่ทันจะได้ถาม ซีเลนก็ปล่อยมือจากผม ดันตัวขึ้นนั่ง ปล่อยให้ผมเป็นอิสระเสียอย่างนั้น
“ฉันกินนายไม่ได้กวินทร์ ขอโทษด้วย”
เรื่องที่มึงควรขอโทษน่ะคือเรื่องที่มึงพยายามกดกูต่างหากเว้ย! กูไม่ได้เต็มใจให้มึงกินเลยสักนิด อย่ามาเข้าใจผิดสิวะ!
“ถ้ากินนาย กลิ่นนายจะหายไป มันจะยากสำหรับฉัน” แล้วมันก็พูดอะไรไม่รู้ออกมาอีกยาวเหยียด
ผมไม่ได้สนใจฟังแล้ว รีบแต่งเนื้อแต่งตัว กระโดดลงจากเตียงไปด้วยความเร็วแสง
กูไม่อยู่แล้ว! อยู่ไม่ได้แล้ว! ต้องรีบหนีให้ไวที่สุดเลย!
แต่ถึงจะเร็วแค่ไหน ซีเลนก็เร็วกว่าอยู่ดี คว้าข้อมือผมไว้หมับแล้วว่าออกมาเสียงเรียบ
“ช่วยอะไรหน่อยสิ”
“อะไรอีก!” ผมเผลอตวาดลั่น ณ จุดนี้ไม่ต้องมีมารยาทอะไรกันแล้ว
“ช่วยโทรไปตามคนให้หน่อย เบอร์อยู่บนกระดาน ตามมาให้ครบทุกคนนะ” หมอนั่นว่าพลางพยักปลายคางไปยังกระดานไวท์บอร์ดเล็กๆ ที่อยู่บนผนังทางปลายเตียง
มันเป็นกระดานไวท์บอร์ดสำหรับจดตารางงาน แต่ดูเหมือนจะไม่มีงานอะไรสักอย่างถูกบันทึกไว้ มีแต่เบอร์โทรศัพท์และชื่อของผู้ชายเกือบสิบราย ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว รีบพยักหน้ารับทันใด
“เออ! เดี๋ยวจะโทรตามให้ ปล่อยได้แล้ว!”
ซีเลนปล่อยมือแต่โดยดี แล้วก็ทิ้งตัวนอนลงไปอีก ผมเลยรีบกดโทรหาคนตามเบอร์นั้นอย่างรวดเร็ว
แม่ง... ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้คนที่เพิ่งจะพยายามปล้ำกูมาหมาดๆ ด้วยวะ!
-----------------------------------
กวินทร์กับคีธมุ้งมิ้งกันน่าย้ากกกก >< แต่ดันมาเจอแฟนเก่าคีธอย่างเจเนซิสซะได้ แค่บรูคลินก็ปวดหัวพอละ มาเจอเจเนซิสอีก งานงอกคีธยาวเลยทีนี้ 555
ซีเลนก็กลับมาแบบยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล้ำกวินทร์รัวๆ เอิ๊กกก ตอนนี้โดนซีเลนปล้ำ ตอนหน้าก็ไปโดนคีธปล้ำเหมือนเดิมนะจ๊ะ คิคิ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.22]--02/01/59[หน้า6]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-01-2016 20:08:31
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.23]--03/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 03-01-2016 22:57:52
อร๊ายยยย ตอนแรกๆก็มุ้งมิ้งน่ารักดีหรอกนะ แต่ไหงมาตอนท้ายตอนนี่เหมือนทิ้งปมเอาไว้ให้งงเล่นเลยอ่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.23]--03/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 04-01-2016 00:20:18
ซีเลนกำลังจะเผยตัวจริงใช่มั้ยเนี่ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.23]--03/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 04-01-2016 19:42:33
อ่านรวด23ตอน
ปาดเหงื่อ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.23]--03/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 04-01-2016 20:00:46
Episode 24: Forgive me right now![1]
ตอนแรกว่าโทรตามคนให้เสร็จก็จะหนีกลับ แต่ไอ้ซีเลนก็ดันมาทำท่าเหมือนจะตายต่อหน้าต่อตา ผมก็เลยไม่ได้กลับ อยู่ดูมันเพราะกังวลว่าถ้ามันตายขึ้นมา ผมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมมันคนแรกอีก และพอคนของไอ้ซีเลนมา แทนที่ผมจะได้กลับก็ไม่ได้กลับ ต้องมาดูแลคนพวกนั้นที่ถูกอีก
ผมก็เพิ่งมารู้ตอนนี้นี่แหละว่าพวกผู้ชายหน้าตาดีที่ซีเลนเรียกมาไม่ได้มาที่นี่กันเป็นครั้งแรก ทว่ามากันเป็นประจำ ต่างจากปกตินิดหน่อยตรงที่จริงๆ แล้วซีเลนนิยมเรียกมาครั้งละคนสองคนมากกว่า ไม่ได้เรียกมาเป็นสิบแล้วให้มานั่งรอต่อคิวเรียงหน้ากันเข้าห้องไปให้มันกินแบบนี้ ทว่าถึงจะเรียกมาครั้งละคนสองคน แต่ก็เรียกมาเกือบทุกวัน จากที่ผมรู้อยู่แล้วว่าซีเลนมันหื่นกามแค่ไหน ตอนนี้ก็เลยบรรลุเลย
แม่งเป็นศาสดาของความหื่นกามจริงๆ!
และผมเพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าพวกคนที่ซีเลนเรียกว่าเป็นพวกนายแบบ ไม่ก็ดาราที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง เรียกได้ว่าบทที่ได้ก็เป็นพวกตัวประกอบเดินผ่านหน้ากล้องอะไรงี้ ส่วนพวกนายแบบก็เป็นพวกเดินแฟชั่นตามงานเล็กๆ ไม่ก็ถ่ายโฆษณาลงแทรกนิตยสารนิดๆ หน่อยๆ พวกนี้เลยจะมีงานพิเศษเลี้ยงชีพอีกงานซึ่งก็คือการขายตัว ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกที่รู้เรื่องนี้ด้วยก็พอจะรู้มาบ้างอยู่แล้วว่าวงการบันเทิงบางส่วนมันเน่าเฟะแค่ไหน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมไอ้ซีเลนมันถึงได้ฟาดแต่ผู้ชายด้วยกันนะทั้งที่มันเองก็เคยมีข่าวกับดาราสาวๆ มาตั้งหลายคน
หรือว่ามันจะยังไม่ได้แกรนด์โอเพนนิ่งว่าเป็นเกย์? แต่แม่งรู้กันไปทั่วทั้งวงการขนาดนี้แล้ว กูว่ามึงไม่ต้องแกรนด์โอเพนนิ่งอะไรแล้วมั้ง
กว่าซีเลนจะจัดการกับผู้ชายพวกนี้เสร็จสิ้น ผมก็เกือบหลับไปตั้งหลายครั้ง แต่เสียงครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ที่ดังออกมาจากห้องนอนของมันทะลุมาถึงห้องนั่งเล่นก็ทำให้ผมข่มตาหลับไม่ได้ จริงๆ ก็หลับไม่ได้อยู่แล้วล่ะเพราะผมต้องคอยลากสังขารไอ้พวกที่ผ่านศึกกับซีเลนมาดูแลต่อจนกว่าอาการเหนื่อยหอบปางตายจะทุเลาและจ่ายเงินให้พวกนั้นก่อนกลับบ้าน พอผู้ชายคนสุดท้ายออกจากห้องไป ผมก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
เกือบสิบชั่วโมงที่ผมอยู่ที่นี่ อยู่มาตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากถูกซีเลนปล้ำแล้วก็รอให้มันปล้ำผู้ชายคนอื่น... ตกลงมาตามมันหรือมาทำอะไรวะเนี่ย!
“เอ้ากวินทร์ ยังอยู่อีกเหรอ” เสียงแหบห้าวคุ้นหูทำให้ผมต้องหันขวับไปมองยังต้นเสียงทันควัน
อยู่เพราะมึงทำเรื่องให้กูต้องตามเก็บตามเช็ดเนี่ย ยังจะมีหน้ามาถามอีกไอ้เวร!
ผมหันไปส่งสายตาด่ามันเป็นนัยๆ แล้วก็ต้องรีบหันกลับเมื่อเห็นซีเลนเดินแก้ผ้าโทงๆ ออกมาจากห้องนอน แล้วก็เดินผ่านหน้าผมไปยังห้องครัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มะ...แม่ง... มึงทำอะไรก็เกรงใจสุขภาพตากูหน่อยเถอะ โผล่มาเป็นชีเปลือยแบบนี้ ต่อให้หล่อแค่ไหน มันก็ไม่น่าดูเว้ย แล้วก็นะ แค่เปลือยล่อนจ้อนก็แทบทำกูเก็บเอาไปฝันร้ายอยู่แล้ว นี่เนื้อตัวมึงยังเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลและคราบที่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคราบอะไรเต็มตัวไปหมดอีก มึงนี่มันเหลือเกินจริงๆ!
แต่ผมก็ได้แค่ตะโกนบอกมันอยู่ในใจเท่านั้นแหละ เพราะมันไม่คิดจะอายเลยแม้แต่น้อย เดินเข้าไปที่ห้องครัวแล้วก็เดินออกมาพร้อมกับขวดเครื่องดื่มชูกำลังในมือ มิหนำซ้ำยังมาทิ้งตัวนั่งข้างผมอีกทั้งที่ตัวมันยังคงมีคราบเปียกชื้นอยู่อย่างนั้นทั้งตัว ผมนี่รีบกระเถิบออกห่างแบบไม่รักษามารยาทเลย
ขยะแขยงฉิบ คราบของใครเป็นของใครบ้างก็ไม่รู้
“เอามั้ย”
“ไม่” ผมตอบทันควัน สีหน้าและสายตาบ่งบอกชัดเจนว่ารังเกียจมัน และมันก็คงจะรู้ด้วยถึงได้หัวเราะในลำคอออกมาแล้วพูดขึ้น
“ทำเป็นรังเกียจไป ให้ได้ลองกับฉันสักหน่อยเถอะแล้วจะติดใจเหมือนพวกนั้น”
ติดใจหรือติดเอดส์วะ มึงเล่นมั่วไม่เลือกขนาดนี้ แถมป้องกันเหมือนกูหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต่อให้กูชอบผู้ชายด้วยกันหรือมึงจะหล่อปานเทวดามากกว่านี้ขนาดไหน กูก็ไม่เอา!
“เลิกเล่นได้ละซีเลน ฉันไม่ได้มานี่เพื่อมาเล่นกับนาย” ผมแสร้งว่าเสียงเข้มให้ซีเลนหยุดก้อร่อก้อติกสักที เพราะมันไม่ได้แค่พูดสองแง่สองง่ามกับผมเฉยๆ แต่สายตามันที่มองผมก็บ่งบอกชัดเจนว่าต้องการอย่างที่พูดจริงๆ
“ถ้านายไม่ได้มาให้ฉันเชยชม แล้วนายจะมาทำไม” แล้วมันก็ว่าอย่างมั่นหน้า
ผมนี่หลุดเบ้ปากใส่มันเลย เกือบจะคว้าโคมไฟบนโต๊ะฟาดหน้ามันด้วยความหมั่นไส้แล้ว ดีที่ระงับอารมณ์ได้... ไม่ใช่ว่าระงับอารมณ์ได้หรอก แค่คิดว่าถ้าฟาดหน้ามันแล้ว ผมอาจจะโดนมันปล้ำอีกรอบเป็นค่าเสียหายที่ทำให้มันเสียโฉมน่ะ ผมเลยไม่เสี่ยงดีกว่า
“ฉันก็มาตามนายให้กลับไปทำงานน่ะสิ”
“ตามกลับไปทำงาน? นี่มันยังไม่ถึงคิวที่ฉันจะต้องถ่ายเลยไม่ใช่เหรอ วันหยุดน่ะวันหยุด” ซีเลนว่ายาว
ผมก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นวันหยุดพักของหมอนี่ แต่เพราะมันติดต่อไม่ได้นี่หว่า ผมถึงได้มาโผล่หัวอยู่ที่นี่ไง
“ก็นายเล่นหยุดแล้วไม่ติดต่อใครเลน ผู้กำกับวิลล์เค้าก็เลยเป็นห่วง เห็นว่าติดต่อนายไม่ได้เลยส่งฉันมาดูนี่แหละ” ผมว่าตามจริง
“อ้อเหรอ ก็นึกว่าอยากจะมีอะไรกับฉันซะอีกถึงได้มาหาถึงที่”
หันไปเอาโคมไฟฟาดหน้ามันแม่ง! โคตรจะหลงตัวเองจริงๆ เลยให้ตาย!
“เออ ก็อย่างที่ว่านั่นแหละว่าผู้กำกับวิลล์เค้าเป็นห่วงก็เลยส่งฉันมาดู ตอนนี้หมดธุระฉันแล้ว นายก็อย่าลืมคิวงานครั้งหน้าก็แล้วกัน” ผมรีบตัดบทด้วยไม่อยากจะอยู่คุยกับมันนานๆ เพราะเห็นสายตาของมันที่มองมายังผมแล้ว ผมก็รู้เลยว่ามันคงจะคิดสานต่อจากตอนก่อนหน้าแน่
แล้วผมก็คิดถูกเผง เพราะพอผมลุกขึ้นจากโซฟา มันก็คว้าแขนผมไว้หมับก่อนจะเหวี่ยงลงมากระแทกเบาะโซฟาเต็มแรงในสภาพล้มหงาย สัญชาตญาณเอาตัวรอดบอกให้ผมรีบลุกทันทีแต่ก็ไม่ไวเท่าไอ้หื่นซีเลนที่โถมตัวมาทาบทับผมเอาไว้แล้ว ผมเบิกตาโตจนไม่รู้จะเบิกยังไง และยิ่งเบิกหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงของมันแว่วเข้ามาในหู
“ถึงนายจะไม่ได้มาเพราะอยากมีอะไรกับฉัน แต่ฉันอยากมีอะไรกับนาย”
บ้านมึงเถอะไอ้ซีเลน! เมื่อกี้สิบคนมึงยังไม่พออีกเหรอวะ!
ไม่ทันจะได้ร้องห้ามใดๆ ซีเลนก็โน้มใบหน้าคร้ามมาซุกลงบนซอกคอผมแล้วพรมจูบไปแล้ว ผมพยายามจะเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ไม่พ้นด้วยถูกมันกอดไว้แน่น เลยได้แต่ดิ้นไปดิ้นมาในอ้อมกอดมันเท่านั้น ทว่าในระหว่างที่ผมกำลังถูกมันปล้ำอย่างเมาส์มันนี่เอง ผมเพิ่งสังเกตเอาในตอนนี้นี่แหละว่าซีเลนไม่ได้มีท่าทีจะเป็นจะตายอย่างตอนแรกที่ผมเข้ามาเจอมันเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนเพราะผ่านศึกรักมาอย่างหนักอย่างที่ควรจะเป็นด้วย และนั่นก็ทำให้ผมย่นหน้าทันควัน
“นายไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาเยอะแยะวะถึงได้หื่นกามไม่เลิกขนาดนี้”
ซีเลนชะงักกึก ถอนริมฝีปากออกจากซอกคอผมขึ้นมามองหน้าทันใด ก่อนจะยิ้มเผล่ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ความสามารถพิเศษ”
ความสามารถพิเศษอย่างนี้มึงไม่ต้องมาภูมิใจหรอก!
“ถามจริงจังเลยซีเลน อย่าเล่น ฉันอยากรู้จริงๆ ว่านายไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนาถึงได้มีความต้องการไม่รู้จบแบบนี้” ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อเห็นว่าซีเลนเอาแต่เล่นลิ้น
“มีมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เป็นพันธุกรรม ถึงได้บอกนี่ไงว่าเป็นความสามารถพิเศษ” หมอนั่นว่าขณะที่เริ่มไล่ต่ำลงไปยังหน้าอกผม
“ความสามารพิเศษผิดมนุษย์มนา อย่างนายน่ะไม่ใช่มนุษย์โลกแล้ว” ผมว่าออกไปลอนๆ
ซีเลนชะงักกึกทันใด ก่อนจะผละใบหน้าขึ้นมามองผมโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน ผมมองหน้ามันอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นเมื่อเห็นว่ามันเอาแต่มอง ไม่ยอมพูดอะไรสักที
“ซีเลน...”
“ว่า?”
“หรือว่านายจะไม่ใช่มนุษย์โลก?”
ไม่รู้ทำไมผมถึงถามไปแบบนี้ อาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งผมเคยเห็นเลือดของซีเลนเป็นสีเขียวอ่อนและสงสัยหมอนี่มาก่อนว่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกตัวก็ได้ แถมมนุษย์โลกนี่จะมีใครที่ไหนที่มีความต้องการสูงอย่างมันบ้าง มิหนำซ้ำพอมีเซ็กส์เสร็จ แทนที่จะเหนื่อยอ่อน กลับมีเรี่ยวแรงขึ้นมาไม่ต่างอะไรจากตอนปกติเลยแม้แต่น้อย ผมก็เลยอดคิดไม่ได้ว่าหมอนี่อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เก็บกักพลังงานในการดำรงชีวิตโดยการมีเซ็กส์ก็ได้
แต่มนุษย์ต่างดาวบ้าบอคอแตกอะไรมันจะไปมีเซ็กส์เพื่อสะสมพลังงานให้ร่างกายกันวะ มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้ว!
ซีเลนยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะว่าออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
“ฉันดูเหมือนมนุษย์ต่างดาวหรือไง มีส่วนไหนของใบหน้าฉันที่ดูผิดแผกจากมนุษย์โลกคนอื่นๆ บ้าง ไหนลองบอกมาซิ”
มันก็ไม่ผิดแผกไปจากชาวบ้านหรอกหน้ามึงน่ะ ที่ผิดแผกก็คือนิสัยหื่นกามของมึงต่างหาก
ผมยังไม่ทันจะได้ตอบ ซีเลนก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันก็แค่เป็นคนเซ็กส์จัด ไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาว” แล้วก็โน้มหน้าลงมาวุ่นวายกับแผงอกผมอีก
“แต่ไอ้นิสัยปล้ำชาวบ้านไปเรื่อยเปื่อยนี่มันไม่ใช่วิสัยของมนุษย์โลกแล้ว! นายเป็นมนุษย์ต่างดาวแหงๆ แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้วโว้ย! หยุดความคิดที่จะปล้ำฉันเดี๋ยวนี้เลย!” ผมโวยวายลั่นเมื่อรู้สึกได้ว่าซีเลนไม่ได้วุ่นวายกับแผงอกของผมอย่างเดียว มือมันก็เริ่มไปวุ่นวายกับช่วงล่างอีกด้วย ก่อนที่ผมจะดันหน้ามันออกจากตัวอย่างแรง
ซีเลนยอมถอยแต่โดยดี พลันหัวเราะหึที่เห็นผมพรึงเพริดก่อนจะประทับจูบลงมาบนแก้มผมเบาๆ
“ปล่อยก็ได้ ฉันก็ไม่อยากให้กลิ่นของนายหายไปเหมือนกัน” ว่าจบก็ลุกขึ้นนั่งเหมือนเดิม
ผมหายใจโล่งทันใด ข้องใจนิดหน่อยว่าเรื่องกลิ่นที่ซีเลนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นมันคืออะไร ทว่าผมก็ไม่อยู่รอถามอีกต่อไป ไม่แม้แต่จะรอคำตอบด้วยว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวแน่หรือเปล่าเพราะมันไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ หากแต่ตอนนี้มันไม่ได้สำคัญกับผมอีกแล้ว นอกจากพุ่งไปยังประตูห้องแล้วไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดเท่านั้น
“สักวันฉันจะมีอะไรกับนายให้ได้กวินทร์... สักวันที่ฉันจัดการธุระเสร็จ”
ซีเลนร้องไล่หลังมาให้ผมได้ยิน ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว วิ่งสี่คูณร้อยออกจากห้องมันไปชนิดหน้าตั้งอย่างรวดเร็ว
ต่อไปนี้ใครใช้ให้มาตามมันที่ห้องอีก ผมจะไม่มาอีกแล้ว สาบานได้เลย!
 
ผมไม่ได้แค่วิ่งสี่คูณร้อยออกจากห้องของซีเลน แต่ยังวิ่งอย่างต่อเนื่องจนมาถึงอพาร์ตเม้นต์ที่ตัวเองอยู่ด้วย พอเข้าห้องมาได้ ผมก็จัดการถอดเสื้อผ้าออก ตรงเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวเอาคราบโสมมของซีเลนออกทันใด บอกตรงๆ ว่าไม่เคยมีใครหน้าไหนทำให้ผมขยะแขยงได้ขนาดนี้มาก่อนเลย ขยะแขยงชนิดที่ว่าพอถูกมันจับตัวแล้ว ผมก็พานมาขยะแขยงตัวเองด้วย
กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เล่นเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง ผมส่องกระจกมองสภาพตัวเองที่มีหยาดน้ำพร่างพราวทั้งกายเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าบริเวณต้นคอมีรอยขบและดูดจากการถูกซีเลนปล้ำอยู่เป็นดวงเบ้อเร่อ แถมยังเห็นชัดชนิดเอาคอนซีลเลอร์โบกทับหรือใส่เสื้อปิดก็ปิดไม่มิดอีก ไปทำงานวันพรุ่งนี้มีหวังได้ถูกถามตายแน่ว่าไปโดนอะไรมา
“บ้าชะมัด” ผมพึมพำขณะใช้ปลายนิ้วลูบรอยนั้นเบาๆ ไปด้วย ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง แล้วออกไปแต่งตัวแทน
ช่างแม่งก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีอีกทีว่าจะปกปิดรอยนรกนี่ยังไง วันนี้เหนื่อยเต็มทนแล้ว โคตรอยากจะนอนเลย
พอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินมาที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่ม กะว่าจะเข้านอนตั้งแต่หัววันโดยไม่สนว่านี่เพิ่งจะหกโมงเย็นแม้แต่น้อย ทว่าพอหลับตาได้ไม่ถึงสิบห้านาที เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ปลุกให้ผมต้องฝืนลืมตาตื่นหันไปมองยังประตูอย่างหัวเสียทันใด
“ใคร!” แล้วก็ตามมาด้วยการร้องถามผสมตะคอกน้อยๆ ที่มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มารบกวนเวลานอนของผม
ซึ่งไอ้บ้านั่นก็คือ...
“ฉันเองกวินทร์”
ไอ้เวรคีธ!
ผมจำต้องทิ้งตัวลงจากเตียงมาเปิดประตูให้มัน เพราะรู้ว่าถ้าทำเป็นเมินอย่างที่ผมเมินริชาร์ดล่ะก็ คีธจะต้องพังประตูเข้ามาแน่ และแน่นอนว่าผมไม่อยากเสียเงินค่าซ่อมประตูให้กับทางอพาร์ตเม้นต์ก็เลยต้องยอมทำแบบนี้
“มีอะไร” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางมองคีธที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนทุกวันเล็กน้อย ต่างจากเดิมตรงที่วันนี้หมอนี่มีแจ็คเก็ตหนังสวมทับมาด้วย ดูดีชะมัด
“แวะมาหากวินทร์” หมอนั่นว่าเนือยๆ ให้ผมได้ย่นคิ้ว
“มาหาทำไม”
“คิดถึง”
“ไม่ต้องมาบอกว่าคิดถึงเลย ไอ้แอสตันมาหาริชาร์ด ก็เลยตามมาด้วยล่ะสินะ” ผมว่าอย่างรู้ทันด้วยเมื่อครู่ก่อนจะเปิดประตู ผมได้ยินเสียงประตูห้องริชาร์ดปิดแว่วๆ
คีธพยักหน้ารับอย่างไม่ปฏิเสธ
นั่นไง... สุดท้ายมึงก็ตามเจ้านายมึงมา แล้วพอเจ้านายมึงเจอเมียก็เฉดหัวมึงทิ้ง มึงเลยต้องมาขอพึ่งพาห้องกูเนี่ย
ผมบุ้ยปากอย่างระอา คนอย่างมันมีเหรอจะมีโมเม้นต์โรแมนติกเหมือนแอสตัน ทำได้อย่างเดียวก็แค่หื่นกับทำหน้าตายเท่านั้นแหละ
“งั้นก็เข้ามา” ผมผลักประตูเปิดออกให้อย่างไม่มีทางเลือก ไม่ใช่อะไรหรอก ผมไม่อยากเสียเวลาคุยกับมันน่ะ มันเสียเวลานอน
ทว่าคีธก็ทำให้ผมต้องชะงัก เงยมองหน้าหล่อนั่นทันใด
“ถึงจะตามองค์ชายมา ก็ตามมาเพราะคิดถึงกวินทร์จริงๆ”
ผมตาสว่างเลย หน้าร้อนผะผ่าวด้วย ก่อนจะเบือนหน้าหนีดวงตาคู่สวยอย่างรวดเร็ว
“อย่ามัวพูดมาก เข้ามาเร็วๆ”
คีธเดินเข้ามาในห้องแต่โดยดี พอปิดประตูได้ ผมก็เปิดสวิตซ์ไฟให้สว่าง ก่อนจะออกปากสั่ง
“นายจะทำอะไรก็ทำ แต่เบาๆ เสียงหน่อยล่ะ เดี๋ยวฉันจะนอน วันนี้เหนื่อย”
คีธไม่พูดอะไร เอาแต่มองผม ดูท่าทางหมอนี่คงจะเข้าใจว่าผมเหนื่อยจริงๆ จากสีหน้าและท่าทางของผม ผมเลยเดินกลับไปที่เตียง เตรียมจะล้มตัวนอนอีกครั้ง ทว่าพอเดินผ่านหน้าหมอนั่น คีธก็คว้าแขนผมไว้หมับ
“กวินทร์”
“มีอะไร”
“นี่รอยอะไร” คีธถามเสียงเข้ม เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเสียงเลยที่ผมได้ยินน้ำเสียงแบบนี้จากปากหมอนี่ และรอยที่คีธว่า มันก็คือรอยจ้ำช้ำเลือดช้ำหนองบนต้นคอผมนี่แหละ แถมมันไม่ว่าเปล่าด้วย ยังเอานิ้วจิ้มลงมาอีกด้วย
วะ...เวร...ผมก็ลืมไปสนิทเลยว่ามีไอ้รอยบ้านี่อยู่บนคอ
“ไม่มีอะไร” ผมรีบเบี่ยงคอหลบทันควัน หากแต่คีธไม่ยอมให้ผมหลบ คว้าไหล่ผมให้หันไปหาอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรได้ยังไง ก็ฉันเห็นอยู่”
“ประตูหนีบนิดหน่อยน่า”
สาบานเลยว่าเป็นคำแก้ตัวที่โคตรจะงี่เง่าเลย และผมก็มั่นใจด้วยว่าคีธคงไม่เชื่อ แต่ผมก็คิดผิดเมื่อมันมองผมนิ่งๆ แล้วพูดประโยคถัดไปออกมา
“งั้นครั้งหน้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
อย่าบอกกูนะว่ามึงเชื่อจริงๆ!?
ผมมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมานอกจากนี้ ถ้ามันจะเข้าใจอย่างนี้ล่ะก็ช่างมันเถอะ ดีแล้วล่ะที่ผมไม่ต้องบอกว่ารอยดูดกับรอยฟันนี่เป็นฝีมือของซีเลน ไม่อย่างนั้นมันคงจะได้จับผมประกาศความเป็นเจ้าของไปให้ชาวบ้านร้านตลาดรู้อีกแน่
ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะสบายใจ คีธที่เดินไปทรุดตัวนั่งบนเตียงก่อนก็ว่าออกมาเสียงเนิบๆ
“อย่าคิดว่าฉันโง่นะกวินทร์ นั่นไม่ใช่รอยประตูหนีบ”
แล้วเมื่อกี้มึงจะเออออห่อหมกทำป้ามึงเหรอ!
“ตกลงไปโดนอะไรมา” แล้วมันก็ถามขึ้นอีกครั้ง
ผมรีบหลบสายตาที่จ้องมองมายังผมอย่างอ่านไม่ออกทันควัน
“กะ...ก็โดน...อะ...เอ่อ...ช่างมันเถอะน่า นายนี่ถามมากน่ารำคาญชะมัด!” สุดท้าย ผมก็แสร้งหัวเสียใส่กลบเกลื่อน
คีธยังคงจ้องผมนิ่ง สายตาประกายกร้าวชัดเจนว่ากำลังจับผิด และมันก็รู้เสียด้วยว่ารอยที่อยู่บนต้นคอผมคือรอยอะไร
“โดนใครดูด บอกมา”
ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบากแทบจะในวินาทีนั้น
“กะ...ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร”
“ถ้าไม่บอก ฉันจะโกรธ”
“งั้นก็โกรธไปเลย ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งวะว่าไม่มีอะไร!” ผมเผลอขึ้นเสียงใส่คีธไปอีก นี่สินะ อาการกลบเกลื่อนของคนที่ทำความผิดมา ถึงมันจะไม่เนียน แต่ก็ยังดีกว่าให้คีธรู้แหละวะ ไม่อย่างนั้นก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าผมจะถูกทำอะไรถ้ามันหึงหน้ามืดขึ้นมา
หากแต่คีธไม่จบ พอผมเลี่ยงไม่ตอบ มันก็คว้าโทรศัพท์ที่ผมเคยซื้อให้ขึ้นมาตรงหน้าแล้วกำแน่นจนแตกดังเปรี๊ยะ
“โกรธ” ตามด้วยว่าเสียงเนือยๆ
โกรธก็โกรธ แต่อย่าทำลายข้าวของสิวะเฮ้ย!
บีบโทรศัพท์จนแหลกเสร็จก็เอาวางลงบนเตียงเหมือนเดิม สีหน้าก็ยังนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแม้แต่แววตา แต่ไม่รู้ทำไมว่าผมสัมผัสได้ว่ามันโกรธจริงๆ คงเป็นเพราะพอมันพูดจบ มันก็เบือนสายตาจากผมหันหนีไปทางอื่นล่ะมั้ง ผมถึงได้รู้สึกแบบนั้น
และบอกตรงๆ เลยว่าผมโคตรจะรู้สึกไม่ดีเลยให้ตาย
“คีธ...” ผมเรียกหมอนั่นให้หันมา ทว่ามันไม่ยอมหัน เอาแต่จ้องมองผนังนิ่ง ผมก็เลยลองเรียกอีกที
“คีธ...”
“...” ยัง...ยังเงียบอยู่
“คีธ... โกรธเหรอ”
“...” ไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ เสียงลมหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน
สงสัยจะโกรธจริงๆ แฮะ
“ขอโทษแล้วกัน” ผมพูดออกไปเบาๆ
คีธยังคงไม่หันมา นั่งนิ่งเป็นพระอิฐพระปูนราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด
ให้ตาย! ตัวเท่าหมีควายแต่มางอนเป็นเด็กๆ เนี่ยนะ!
แต่เรื่องนี้มันก็น่าโกรธจริงๆ นั่นแหละ ถ้าผมเป็นมัน ผมก็โกรธ แถมถ้ามันมาโกหกว่าโดนประตูหนีบ ผมคงจะกระโดดถีบมันสองขารวดไปแล้ว
เป็นอย่างนี้แล้วก็คงต้องง้อนั่นแหละ...
ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง เดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มัน แล้วชูนิ้วก้อยให้
“อย่าโกรธ ดีกัน”
คีธยังคงนิ่ง ไม่แม้แต่จะเหลียวมามองด้วยซ้ำ ไอ้ผมเองก็ไม่ใช่คนง้อใครเป็น ถึงจะผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่ผมก็ไม่เคยง้อใครนี่หว่า มีแต่ผู้หญิงมาง้อทั้งนั้น พอมาเจอแบบนี้ ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
จะให้ง้อแบบไหนกันล่ะเว้ย!
“ดีกันนะ...น้าๆๆ” งั้นใส่ความมุ้งมิ้งไปอีกนิด ความปัญญาอ่อนไปอีกหน่อย กระดิกนิ้วก้อยไปมาแล้วเอาหน้ายื่นไปคลอเคลียหลังมันด้วยเผื่อมันจะใจอ่อน
แต่บอกตรงๆ ว่าโคตรทุเรศสภาพตัวเองตอนนี้ชะมัดเลย!
“ดีกันเถอะนะคีธ” ผมยังคงพูดประโยคคล้ายๆ เดิม แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันหันมาได้เลย
ผมเลยดึงมือกลับมา ง้างหมัดใส่หลังมันไปนิดนึงโทษฐานหมั่นไส้ที่งอนนานเหลือเกิน แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนที่ผมจะคิดวิธีการง้อใหม่ออก
ปกติแล้วเวลาผมง้อสาวๆ เพื่อขอมีอะไรด้วย ผมก็แกล้งหอมแก้ม แกล้งพูดเอาใจนิดๆ หน่อยๆ มันก็ได้ผลนี่หว่า สงสัยต้องลอง
คิดได้อย่างนั้น ผมก็ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ ซีกแก้มของคีธแล้วประทับจูบลงเบาๆ ทีนึง
“ดีกันนะ” ตามด้วยเสียงแบบลั้นลาเต็มที่อีกหน่อย
คราวนี้ได้ผล คีธเหลือบหางตามามองเล็กน้อย ทว่าก็ยังนิ่งอยู่ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมก็เลยหอมแก้มไปอีกที
“อย่าโกรธนะ ฉันขอโทษ”
“...”
“นะๆๆ”
“...”
เพราะมันยังเงียบ ผมก็เลยหอมแถมไปอีกรอบ ทว่าไอ้การหอมแก้มเพื่อง้อมันเนี่ย โคตรจะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลย เพราะพอผมถอนริมฝีปากออกจากซีกหน้ามันปุ๊บ มันก็หันมาผลักอกผมออกห่างจนผมล้มหงายลงบนเตียง ก่อนที่มันจะโถมร่างขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ในชั่วพริบตา
ผมเบิกตาโพลงทันที และไม่ทันจะได้ถามว่ามันคิดจะทำอะไร มันก็พูดออกมาแล้ว
“แค่หอมแก้มแค่นี้ไม่ทำให้หายโกรธหรอก”
แล้วมึงจะเอาอะไรล่ะโว้ย!
แค่คิดในใจเท่านั้นแหละ ยังไม่ทันจะได้ถาม คีธก็ให้คำตอบออกมาแล้ว
“มีอะไรกันก่อน แล้วฉันจะยอมยกโทษให้”
มึงนี่มันหื่นได้ทุกสถานการณ์จริงๆ ไอ้คีธ! กูหอมแก้มมึงเพื่อง้อมึง ไม่ได้อ่อยมึงนะเว้ย!
ไม่ทันจะได้ร้องห้ามอะไร คีธก็กระชากเสื้อผมขาดออกจากกันแล้ว อย่าให้นับเลยว่าถูกมันฉีกเสื้อไปแล้วกี่ตัว แม่งเอะอะกระชากตลอด แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการแหกปากเมื่อคีธก้มหน้าลงมาพรมจูบบนหน้าอกผม
“ไม่เอาแบบนี้นะเว้ย!” ผมแหกปากใส่หน้าหมอนั่นทันที
คีธชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะเป็นฝ่ายทิ้งตัวลงนอน พร้อมกับฉุดให้ผมลุกขึ้น
แน่นอนว่าไม่ใช่ฉุดธรรมดา แต่เป็นการฉุดขึ้นมานั่งบนตัวมัน แถมมันยังกอดเอวผมด้วยสองแขนไว้แน่น
“ไม่เอาแบบนั้น งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน”
ออนท็อปกูก็ไม่เอา! มึงอย่าคิดว่ากูอยากจะรวมร่างกับมึงจนตัวสั่นสิวะ! กูแค่หอมแก้มง้อมึงเฉยๆ เว้ย!
ผมรีบกระเด้งตัวลุกออกจากตัวมันลงมายืนบนพื้นเลย คีธมองตามผมด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่นัก ขณะที่ผมว่ารนๆ
“อย่ามาตีเนียนนะเว้ย คิดว่าฉันจะยอมให้นายทำอะไรตามใจกับร่างกายหรือไง” ผมว่าเสียงแข็ง
คีธดันตัวขึ้นนั่ง มองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ
“ไม่ยอมให้ฉันทำ แต่ยอมให้คนอื่นทำน่ะเหรอ”
เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกที่ลำคอผมทันใด
มะ...แม่ง มึงก็พูดตรงเกินไป แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดด้วยเว้ย กูไม่ได้สมยอม กูโดนบังคับต่างหาก!
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมว่าอ้อมแอ้ม หลบสายตา ไม่กล้าสบตาคีธที่จ้องมาแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่ใช่ แล้วรอยนี่มันมาได้ยังไง”
ประหนึ่งกำลังถูกผัวจับได้ว่ามีชู้อยู่ก็ไม่ปาน ผมนี่ทำหน้าไม่ถูกเลยพอถูกคาดคั้น แถมยังพูดไม่ออกด้วยว่าไปได้ไอ้รอยนี้มาได้ยังไง
“ก็...”
“ก็อะไร”
“ก็...” ก็โดนไอ้ซีเลนมันดูดมายังไงเล่า!
อยากจะบอกมันฉิบเป๋ง แต่ถ้าบอกไป คีธมันคงไม่รอช้า ไปฆาตรกรรมไอ้ซีเลนอย่างแน่นอน แล้วทีนี้ผมก็จะได้มีผัวที่นอกจากจะเป็นเอเลี่ยนแล้ว ยังเป็นฆาตกรอีกด้วยเป็นของแถมเลยทีนี้ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าถ้าผมบอกไป มันจะทำร้ายจิตใจคีธนี่แหละ ผมไม่รู้หรอกนะว่าวัฒนธรรมมนุษย์ต่างดาวระหว่างคนคบกันมันเป็นยังไง แต่สำหรับมนุษย์โลกแล้ว ผมเชื่อได้เลยว่าการรู้ว่าคนที่ตัวเองชอบไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นไม่ว่าจะแบบตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น
แน่นอนว่าผมแคร์... แคร์ความรู้สึกมันนี่แหละถึงได้ไม่กล้าบอกอยู่เนี่ย!
และเพราะผมเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ คีธก็เลยโพล่งขึ้นมา
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”
ผมหันไปมองมันทันควันขณะที่มันลุกขึ้นยืนก่อนว่าออกมาอีกประโยค
“ฉันกลับล่ะ”
เอ้า! อะไรของมึงวะ ไม่คิดจะคาดคั้นกูอีกสักหน่อยเหรอ เผื่อกูกดดันแล้วจะได้ยอมบอก
ผมก็ได้แต่คิดเท่านั้นแหละ เพราะไม่ทันจะได้ปริปากพูดอะไร คีธก็เดินดุ่มๆ ไปยังประตูแล้วเปิดออกทันที
“เดี๋ยวสิคีธ” ผมร้องเรียก แต่คีธก็ไม่หันมา เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสียงประตูที่ปิดลงทำเอาผมใจหายวาบ รู้เลยว่าคีธโกรธจริง ไม่ใช่เล่นๆ แต่ก็ช่างแม่งเถอะ โกรธก็โกรธไป ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า คนที่ผิดน่ะคือไอ้ซีเลนต่างหาก... แต่ทำไมนะ ทำไมผมถึงรู้สึกไม่สบายใจเลยก็ไม่รู้
 

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.23]--03/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 04-01-2016 20:02:22
Episode 24: Forgive me right now![2]

ความไม่สบายใจเกาะกินใจผมตั้งแต่เมื่อคืนยันวันใหม่ ยิ่งต้องมาเจอคีธที่กองถ่ายในวันรุ่งขึ้นด้วยแล้ว ผมก็ทำหน้าไม่ถูก มิหนำซ้ำ หมอนั่นก็ยังเมินใส่ผมอีก เมินแบบชนิดที่ว่าคนอื่นๆ ยังดูออกเลยว่ามันเมิน
ก็แหงล่ะ เมื่อวานก่อนเพิ่งจะเอาท์ดอร์กันไปสนั่นลั่นทุ่ง ผ่านไปไม่กี่วันก็เย็นชาใส่กันซะแล้ว ใครดูไม่ออกก็ไปหาเขามาครอบเถอะ
“นายกับคีธทะเลาะอะไรกัน” แล้วริชาร์ดก็เป็นหน่วยกล้าตายเข้ามาถามผมทันทีที่เรามีเวลาว่างจากการทำงาน
ผมเงยหน้าขึ้นจากกระดาษคิวนักแสดงในมือขึ้นมามองมันอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะยืดคอให้มันดูรอยดูดบนต้นคอ
ริชาร์ดมองแล้วก็ย่นคิ้ว
“เมื่อคืนคีธอยากจะจัดหนักกับนายแบบซาดิสม์ แต่นายไม่ยอม คีธก็เลยงอน?”
ป้ามึงสิไอ้เห็บหมา! กูไม่ได้เป็นคนประเภทเดียวกันกับมึงนะเว้ย กูชอบแบบธรรมดา!
ผมนี่แทบจะฟาดกระดาษใส่หน้าไอ้เพื่อนเวรนี่เลย ริชาร์ดหัวเราะร่วนเมื่อเห็นว่าผมง้างมือขึ้นมาทำท่าจะฟาดมัน พลันยกมือปรา พอผมสงบลงได้ มันก็ถามขึ้นมาใหม่
“แล้วตกลงคีธงอนนายเรื่องอะไร”
“ฉันโดนไอ้ซีเลนดูดคอมา หมอนั่นเห็นแล้วถาม แต่ฉันไม่ได้บอก” ผมว่าไปตามจริง
ริชาร์ดพยักหน้าพลางร้องอ๋อทันควัน
“มิน่าล่ะถึงได้เฉยชาอย่างนั้น แล้วทำไมนายไม่บอกวะ”
ผมตวัดหางตามองมันเล็กน้อย พลันว่าอุบอิบ
“เป็นนาย นายจะกล้าบอกมั้ยล่ะ ขืนบอกไป กองถ่ายนี่ได้เสียพระเอกไปแน่ๆ”
“นายก็เลยเลือกที่จะเสียคีธไป?”
“ไม่ได้เลือกที่จะเสียใครไปทั้งนั้นแหละโว้ย ฉันแค่ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่” ผมแก้ความเข้าใจผิดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ริชาร์ดเหมือนจะเข้าใจขึ้นมา แต่มันก็พูดขึ้นให้ผมจุกอีก
“แล้วนายไม่แคร์ความรู้สึกคีธเหรอวะถึงทำแบบนี้”
“ก็เพราะแคร์นี่ไงถึงได้ไม่พูด” ประโยคนี้ผมพูดแทบจะไม่มีเสียง
ริชาร์ดยิ้มออกมาเลย ก่อนจะเดินมาเอาไหล่กระแซะไหล่ผมเป็นพัลวัน
“ระวังเท้อ คีธงอนนายนานๆ แบบนี้ ถ้านายไม่ทำอะไรสักอย่าง บรูคลินมันจะมาชุบมือเปิบไป”
ผมหันไปมองมันตาขวาง
ไอ้เวรนี่... พูดอะไรให้มันเข้าหูหน่อยไม่ได้หรือไง!
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงวะ” ผมเลยแหวมันไปที
“ก็ไปง้อสิ” ริชาร์ดว่าอย่างไม่ยี่หระ ผมนี่ย่นหน้าเลย
“คิดว่าฉันง้อคนเป็นหรือไง”
“ง้อไม่เป็นก็ต้องง้อ ไม่งั้นบอกตรงๆ เลยว่าไอ้บรูคลินมันฉวยโอกาสแน่” แล้วมันก็ย้ำขึ้นมาอีก
ผมก็รู้แหละว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆ โอกาสแบบนี้ก็คงเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผมกับคีธจะผูกพันกันไปแล้วก็เถอะ แต่สถานะมันก็ยังคลุมเครือ แถมบรูคลินก็ยังเป็นโฮสต์ให้หมอนั่นอยู่ โอกาสเปลี่ยนใจมันก็ยังมี ขนาดกับเจเนซิสที่เคยเป็นว่าที่คนรัก คีธมันยังเปลี่ยนใจมาเป็นผมได้เลย แล้วทำไมมันจะเปลี่ยนใจจากผมไปเป็นบรูคลินบ้างไม่ได้
คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัด และคงจะหงุดหงิดจนออกทางสีหน้าด้วย ริชาร์ดมันก็เลยตบบ่าผมเบาๆ
“คืนนี้กลับไปแล้วจัดการง้อเลย เดี๋ยวฉันกับแอสตันวางแผนล่อให้หมอนั่นไปที่ห้องนายให้”
มึงอย่ามาพูดเหมือนกูจะหลอกมันไปฟันสิวะ!
“ถ้าจะง้อก็ง้อที่นี่ก็ได้น่า” ผมสะบัดตัวออกจากการสัมผัสของริชาร์ด ทว่าริชาร์ดกลับมองผมด้วยสายตาเหยียดๆ
“นายนี่เป็นเพลย์บอยได้ยังไงวะ ไม่ได้รู้ศาสตร์ของการออเซาะซะเลย แค่ง้อด้วยคำพูดอย่างเดียวมันไม่พอหรอกเว้ย มันต้องแสดงออก ยิ่งเป็นคนนิ่งๆ อย่างคีธด้วยแล้วนะ ถ้าไม่แสดงออกให้ชัดเจนล่ะก็ รับรองว่าไม่หายงอนหรอก พอหายงอนแล้วค่อยบอกความจริง”
หัวคิ้วผมกระตุกทันควัน รู้เลยว่าริชาร์ดมันหมายความว่าอะไร
ก็จะหมายความว่าอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของการยั่วมันน่ะ!
แล้วก็จริงซะด้วย เพราะพอผมมองหน้าริชาร์ดอย่างขอคำตอบ ริชาร์ดก็เข้ามากระซิบผมเบาๆ
“กินเหล้าย้อมใจแล้วบุกเลย”
“ไอ้ริชาร์ด...” ผมถึงกับเบ้หน้าใส่มัน ริชาร์ดรีบจุ๊ปากทันใด
“อย่าไปกลัวสิวะ ทีกับสาวๆ นายยังทำได้ นี่ผัวนายนะเว้ย ช่ำชองอย่างนายน่ะไม่คณามืออยู่แล้ว”
กับผู้หญิงน่ะมันง่าย แต่นี่มันกับผู้ชายนะโว้ย กูไม่เคย!
ผมทำท่าจะแย้งมัน แต่ริชาร์ดมันก็ไม่สนใจจะฟังคำโต้แย้งของผมแล้ว นอกจากตบบ่าผมมาอีกครั้งแล้วทำหน้าหมายมั่นอย่างคาดหวังว่าผมจะทำได้สำเร็จ
“เดี๋ยวฉันจะไปบอกแอสตัน นายเตรียมใส่ชุดนอนไม่ได้นอนได้เลย รวบหัวรวบหางก่อนโดนไอ้ถึกบรูคลินงาบไปต่อหน้าต่อตา” ว่าจบแล้วมันก็เดินไปหาแอสตัน เล่าแผนการทันใด
ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองรัวๆ เลยเมื่อเห็นแอสตันเออออห่อหมกกับริชาร์ดไปด้วย
นี่พวกมึงคิดว่ากูเป็นคนยังไงวะ กูไม่ใช่คนขี้ยั่วเหมือนไอ้ริชาร์ดนะเว้ย!
 
ถึงปากจะบอกว่าไม่ใช่คนขี้ยั่ว แต่เชื่อมั้ยว่าพอกลับมาถึงห้อง ผมก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสำหรับการง้อไอ้บ้าคีธแล้วเรียบร้อย และแน่นอนว่าของทั้งหมดที่อยู่ในห้องผมไม่ได้มาจากผม แต่มาจากริชาร์ดทั้งนั้น ทั้งชุดนอนไม่ได้นอนบ้าบอคอแตกอะไรของมัน ทั้งเบียร์ แล้วก็... เอ่อ...เซ็กส์ทอย แม่งมาแบบจัดเต็มมาก มากจนผมนึกไม่ถึงเลยว่าแอสตันกับริชาร์ดจะมีรสนิยมอะไรแบบนี้
และผมก็ไม่ใช้หรอก ทั้งชุดนอนไม่ได้นอนแล้วก็เซ็กส์ทอย เก็บมันลงกระเป๋าที่ริชาร์ดมันจับยัดให้มา เหลือแต่เบียร์สองกระป๋องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเท่านั้นแหละ
ผมนั่งสั่นขาเป็นเจ้าเข้าอยู่บนเตียง รอเวลาที่คีธจะมาอยู่อึดใจหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ผมลุกพรวดไปเปิดประตูทันที พอเปิดมา ใบหน้านิ่งเรียบของคีธก็ปรากฎให้เห็น ก่อนที่หมอนั่นจะว่าขึ้นมาเนิบๆ
“ขออยู่ที่ห้องนายสักพัก องค์ชายทำธุระอยู่”
“ขะ...เข้ามาสิ” ผมว่าตะกุกตะกัก เปิดประตูอ้าออกให้คีธเข้ามาข้างใน
คีธยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนครั้งก่อนๆ ที่มาห้องผมไม่มีผิดเพี้ยน ผิดไปอย่างเดียวก็คือไม่ช่างพูดช่างถามอย่างเคย เอาแต่เงียบจนบรรยากาศมาคุเข้าครอบงำ ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ สะกดกลั้นความตื่นเต้นลงไปแล้วทำลายความเงียบขึ้น
“กะ...กินอะไรมาหรือยัง”
“กินจากบูลิโอมาแล้ว” คีธว่า
ผมนี่ชะงักเลย มองหน้ามันอย่างหงุดหงิดทันควัน
มึงไปดูดปากกับไอ้บรูคลินมาอีกแล้วสินะ! มึงนี่มัน...! เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ไอ้กวินทร์ มันเป็นโฮสต์ให้กัน ดูดปากกินสารอาหารเป็นเรื่องปกติ อย่าทำให้เรื่องบานปลาย สูดหายใจเข้าลึกๆ...
ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็สงบลงได้ ก่อนที่ผมจะแสร้งฉีกยิ้ม เดินไปคว้ากระป๋องเบียร์บนโต๊ะไปยื่นให้คีธที่นั่งไพล่ขาอยู่บนเตียง
“ดื่มมั้ย”
คีธเหลือบมองนิดหน่อยก่อนจะส่ายหน้า
“สักนิดน่า”
มันยังส่ายหน้าอยู่ ผมเลยคะยั้นคะยออีกครั้ง
“นิดนึง ดื่มกับฉัน”
“ไม่เอา ครั้งก่อนที่นายพยายามจะฆ่าฉันตอนฉันวางไข่ ฉันดื่มของพวกนี้เข้าไปเยอะแล้ว”
เออ ผมก็ลืมไปเลยว่าคีธมันขยาดพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แค่ไหน แผนแม่งพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มซะแล้วแฮะ
“งั้นฉันดื่มคนเดียวก็ได้” ผมว่าอย่างระอาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างมัน พร้อมกับเปิดกระป๋องเบียร์กระป๋องหนึ่งกระดกดื่มไปด้วย
ระหว่างดื่มก็เหลือบมองคีธเป็นพักๆ หมอนั่นยังคงทำหน้าเฉย ไม่เหลียวมองผมสักนิดเหมือนเดิม ถึงจะพูดคุยกับผมแต่มันก็คือการถามคำตอบคำมากกว่า ซึ่งไอ้การถามคำตอบคำมันก็คือการเมินเฉยตามสไตล์มันนี่แหละ ผมก็เลยรีบกระดกน้ำรสเฝื่อนให้หมดกระป๋อง แล้วตามด้วยการดื่มอีกกระป๋องเพื่อย้อมใจ
เอาวะ! มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องทำแล้ว!
“คีธ” ผมเริ่มโดยการเรียกชื่อมันพลางวางกระป๋องเปล่าลงบนพื้นข้างเตียง
คีธหันมาเลิกคิ้วสูงเป็นคำถามว่ามีอะไรให้ผมได้พูด
“ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”
รอบนี้มันไม่ตอบแต่หันหน้าหนีแทน ผมรู้เลยว่ามันยังโกรธอยู่
“เลิกโกรธได้แล้วน่า ข้ามวันแล้วนะ” ผมแสร้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ แต่คีธกลับตอบมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ถ้ากวินทร์ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ร่างกายของกวินทร์ จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
โอ้โห... โกรธหนักมาก
ผมเกือบจะหลุดหัวเราะกับท่าทางงอนเป็นเด็กๆ ของมันอยู่แล้วถ้ามันไม่พูดประโยคถัดมา
“และถ้ากวินทร์ไม่อยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันก็ไม่เป็นไร ผูกพันไปแล้วก็ยกเลิกได้ เดี๋ยวฉันจะไปหาแม่พันธุ์ใหม่เอง”
ผมเบิกตาโตพลันเมื่อได้ยินประโยคนี้ หน็อย...มึงจะฟันกูแล้วทิ้งเหรอไอ้คีธ!
ไม่ใช่แค่ใจหายวูบอย่างเดียว มือไม้ยังสั่นด้วย
แค่กูถูกดูดคอแค่นี้ มึงถึงกับจะหาเมียใหม่เลยเหรอ! มึงนี่มันจะเกินไปแล้ว!
ผมเดือดจนไม่รู้จะเดือดยังไง ประกอบกับฤทธิ์เบียร์กรึ่มๆ ด้วย ทำให้ผมผลักอกมันเต็มแรง
“อย่ามาพูดอย่างนี้นะเว้ย! เห็นฉันเป็นอะไรวะ!” แล้วก็ตามด้วยตะคอกไปอีกชุดใหญ่
คีธทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิดว่าตัวเองพูดอะไรออกมา แถมยังมีหน้ามาพูดย้ำอีก
“ก็ถ้ากวินทร์ไม่อยากเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันก็ไม่เป็นไร มีคนรออยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันอยู่”
เส้นความอดทนเส้นสุดท้ายของผมขาดดังผึง ความตั้งใจที่ว่าจะค่อยๆ ตะล่อมมันให้หายโกรธอย่างนุ่มนวลมลายหายไปพลัน ก่อนผมจะผลักอกมันอีกครั้งอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าคิดว่าฉันจะยอมง่ายๆ ล่ะก็ ฝันไปเลย!”
และก็ไม่ใช่แค่ผลักอย่างเดียว ผมยังรั้งใบหน้าคร้ามด้วยสองมือมาบดจูบอย่างหนักหน่วงอีกด้วย น่าเจ็บใจตรงที่คีธมันไม่ตอบสนองกับการจูบของผมแม้แต่น้อย เอาแต่ทำหน้านิ่งๆ จนผมชักหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นว่าผลักมันลงไปนอนราบ แล้วเอาตัวเองขึ้นมานั่งคร่อมร่างมันไว้อย่างไม่ทันจะได้คิดอะไรแม้แต่น้อย
“หายโกรธเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่หาย ฉันจะปล้ำนาย!”
นี่กูบ้าไปแล้ว! พูดอย่างนั้นออกไปได้ยังไงวะ!
คีธยังคงนิ่ง ไม่พูด ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ประหนึ่งท้าทายให้ผมทำ ผมก็เลยจัดการถอดเสื้อตัวเองออก เหลือแต่กางเกงขาสั้นที่สวมติดตัวอยู่ แถมยังไปกระชากเสื้อเชิ้ตของคีธจนกระดุมขาดสะบั้นออกจากกันอีก พอแผงอกแกร่งเผยสู่สายตา ผมก็ว่าเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ
“ฉันเตือนนายแล้วนะ”
“กวินทร์จะทำอะไรก็ทำ” คีธพูดขึ้นมาให้ผมได้กลืนน้ำลายเอื้อก
นะ...นี่มึงไม่คิดจะขัดขืนกูเลยใช่มั้ย? ไอ้กวินทร์เอ๊ย... มาถึงขั้นนี้คงจะถอยหลังกลับไม่ได้แล้วล่ะ
-------------------------------------
กวินทร์บุกค่าาาาาา บุกยันตอนหน้า บอกได้คำเดียวเลยว่า...ฮืมมมม (ฮืมอีกแล้ว 555)
เอาไปค่ะ ตอนหน้าคือฉากออนท็อปในตำนาน กร๊ากกก คีธงอนแบบนี้มันต้องเป็นแผนแน่ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-01-2016 22:26:06
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 04-01-2016 23:18:07
 :hao6: :hao6: :hao6: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 05-01-2016 02:10:50
โอยยยยย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 05-01-2016 03:03:17
ไปขู่เขาแบบนั้น เขาก็ได้กับได้สิค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 05-01-2016 10:58:19
ปล้ำคีธ  !!!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 05-01-2016 13:52:44
มันคือแผนน

แต่กวิน บางทีก็ปากหนักไป ถ้าอ่อนลงกว่านี้ ชีวิตคู่คงดี
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-01-2016 22:41:21
คีธค่ะจริงๆแกเลิกโกรธนานแล้วใช่มะ โหยยยยยยอยากถูกกวินทร์ปล้ำอ่ะดิ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 06-01-2016 20:32:59
Episode 25: Is Zylen an alien!?[1]
“ทำสิ” คีธพูดขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มองหน้ามันนิ่งๆ
ผมกลืนน้ำลายอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากหยักสวยเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เริ่มดุดันขึ้นตามลำดับ ทว่าคีธไม่ตอบสนองอะไรเลย เอาแต่นอนนิ่งเป็นท่อนซุง ผมเลยละริมฝีปากออกมามองหน้ามันอย่างหงุดหงิด
“อย่าเอาแต่นอนนิ่งสิ”
“กวินทร์จะทำอะไรก็ทำ” คีธยังพูดประโยคเดิมออกมาอีก ฟังยังไงก็รู้สึกว่านี่เป็นการยั่วโมโหผมชัดๆ
ผมเลยประทับจูบหนักหน่วงลงไปอีกครั้ง ไม่สนว่าคีธจะทำเฉยชาแต่อย่างใด
ทำนิ่งได้ก็แค่ตอนนี้แหละเชื่อเถอะ เจออดีตเสือผู้หญิงอย่างผมเข้าไปหน่อยแล้วจะหนาว!
ผมผละจากริมฝีปากเมื่อบดจูบเป็นที่พอใจแล้ว ไปพรมจูบยังซีกแก้มและไล่ไปยังลำคอของคีธแทน แต่ไม่ว่าผมจะใช้เทคนิคอะไร คีธก็ยังคงนิ่ง นิ่งแม้กระทั่งผมไล่ต่ำไปกลืนกินยอดอกของหมอนั่นแล้วก็ตาม จากตอนแรกที่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง ก็เริ่มชักจะไม่มั่นใจขึ้นมาซะแล้ว
แม่ง กูทำให้ขนาดนี้ ส่งเสียงออกมาสักแอะก็ไม่ได้!
ผมชักจะหัวเสีย วุ่นวายกับร่างกายมันไปก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าตายของมันที่จ้องผมนิ่งสลับกันไป
ทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย! เออ! คอยดูแล้วกันว่ากูจะทำให้มึงเสียวดังเสียวเบา เสียวเป็นการผันเสียงวรรณยุกต์ไทยเลยไอ้คีธ!
แล้วผมก็เสียสติเอาในตอนนี้ ดึงมือทั้งสองข้างมาจัดการปลดหัวเข็มขัดบนหน้าท้องเป็นลอนพลันถลกลง ก่อนจะละฝ่ามือไปลูบคลึงส่วนอ่อนไหวนั่น แต่แทนที่คีธจะส่งเสียงออกมา กลายเป็นว่ามีเสียงหัวใจผมที่เต้นไม่เป็นจังหวะดังขึ้นมาให้ได้ยินแทนเมื่ออุ้งมือสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ค่อยๆ ถูกปลุกขึ้นช้าๆ ก็รู้แหละว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ผมไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันนี่หว่ามันก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ ที่สำคัญ ตอนนี้ผมฝ่ายรุกด้วย ก็เลยไม่ได้แค่ใจเต้นอย่างเดียว มือไม้ก็พานสั่นเป็นเจ้าเข้าไปด้วย กระนั้นคีธก็ยังคงนิ่งอยู่ดี นิ่งจนผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปแล้ว
กะ...ก็ยังมีอีกอย่างให้ทำน่ะนะ มันก็คือการใช้...ปะ...ปาก...
แต่ว่า... จะให้ผมจริงๆ เหรอ?
ผมมองส่วนนั้นภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์อย่างชั่งใจ ใบหน้าร้อนผ่าวจนรู้เลยว่าป่านนี้มันคงจะแดงซ่านไปถึงไหนต่อไหนแล้ว และเพราะผมหยุด คีธที่เงียบอยู่นานก็ว่าขึ้นมา
“พอใจแล้วเหรอกวินทร์”
“ยะ...ยัง!” ผมว่าเสียงดังเล็กน้อย จริงๆ ผมอยากหยุดแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ทำไม ความอยากเอาชนะถึงได้มีมากกว่า แถมคีธมันยังยั่วยุผมอีก
“งั้นก็ทำที่กวินทร์อยากทำเถอะ”
พูดเหมือนมึงอยากให้กูทำแต่หน้าตามึงนี่เฉยชามากเลยนะ!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ไม่ได้อยากจะทำหรอก แต่อยากให้คีธกลับคืนสู่สภาพปกติมากกว่า ไม่ใช่มาโกรธมางอนกัน แถมมาพูดหน้าตาเฉยว่าจะไปหาคนมาเป็นแม่พันธุ์แทนผมอีก ถึงความผิดทั้งหมดมันจะเริ่มมาจากผมก็เถอะ แต่ผมก็ตั้งใจจะบอกความจริงหลังง้อเสร็จอยู่แล้ว ไม่น่ามาพูดใส่กันอย่างนี้เลยนี่หว่า
และเพราะถูกยั่วยุ ประกอบกับความอยากเอาชนะของผมเอง ผมก็จัดการปลดเปลื้องปราการด่านสุดท้ายออก พลันค่อยๆ ก้มหน้าต่ำลงไปจัดการกับสิ่งตรงหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างแกร่งก็เกร็งตัวนิดหน่อยเป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าคีธเองก็เริ่มมีอารมณ์ร่วมด้วยแล้วเหมือนกัน ผมเหลือบมองหน้าหมอนั่น ละริมฝีปากออกมายิ้มเผล่น้อยๆ
รู้สึกแล้วสินะไอ้ขอนไม้!
แต่พอคีธรู้สึกตัว มันก็ทำเป็นนิ่งอีก ผมก็เลยผละจากช่วงล่างหมอนั่นขึ้นมาจูบพรมซีกหน้าและใบหูพลางกระซิบบอกเบาๆ
“ขอโทษนะคีธ หายโกรธได้แล้วที่รัก”
พูดไปนี่ขนลุกไปเลยบอกตรงๆ แต่ก็ทำให้คีธหันมามองผมได้
“อะไรนะ”
“บอกว่าหายโกรธได้แล้วครับที่รัก”
โอ๊ย! ขนลุกโว้ย!
ทว่ามันได้ผล รอยยิ้มน้อยๆ ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าของคีธทันใด
“แค่นี้ยังไม่พอหรอกกวินทร์”
แล้วมันก็จัดการดันตัวเองขึ้นนั่งพร้อมกับผลักผมที่อยู่บนตัวมันลงไปนอนบนฟูกแทน ผมเบิกตาโต รู้เลยว่ามันจะทำอะไรต่อ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อจู่ๆ กางเกงขาสั้นที่อยู่บนตัวผมก็ถูกดึงออกแล้วขว้างไปกลางห้อง
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ” ผมรีบร้องห้ามเพราะยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรแม้ว่าก่อนหน้าผมจะเป็นฝ่ายยั่วยวนก็ตาม
แต่คีธมันไม่ฟังแล้ว มันจัดการลูบไล้ร่างกายผมอย่างโหยหา ส่วนผมก็จากที่ห้ามๆ อยู่ก็กลายเป็นอ้าแขนรับสัมผัสมันซะอย่างนั้น
บ้าจริงไอ้กวินทร์ ว่าจะปล้ำมันแล้วไหงกลายเป็นถูกมันปล้ำขึ้นมาได้วะ!
แล้วก็น่าหงุดหงิดหนักเมื่อคีธจัดการโถมร่างตัวเองเข้ามา ส่วนผมก็ดันไปเสียวเป็นเสียงผันวรรณยุกต์ไทยแทนมันซะได้ พลางตระกรองกอดร่างใหญ่บนร่างตัวเองไว้แน่นขณะที่คีธโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ
“กวินทร์นิสัยไม่ดีเลย ขี้โกหก”
“ขะ...ขอโทษ...อืม...” ผมพูดเป็นประโยคแทบจะไม่ได้ มีแต่มันนี่แหละที่ยังดูปกติอยู่
“คนขี้โกหกต้องถูกลงโทษรู้มั้ย”
“อืม...อาห์...” แม่ง...คำหลังไม่ได้ตั้งใจพูดแต่มันกลั้นไม่ไหว บัดซบจริง!
“เตรียมตัวไว้ให้ดี” คีธยังคงพูดต่อ แล้วผมก็รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ร่างถูกคีธยกขึ้นมานั่ง ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายล้มตัวลงไปนอนทั้งที่เราทั้งคู่ยังกอดก่ายกันแนบแน่นอยู่
ตอนแรกผมก็นึกว่าการลงโทษของมันจะเป็นแค่การถูกมันปล้ำจนหนำใจ แต่รู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าผมมานั่งอยู่บนตัวมันแล้ว แถมมันยังมีหน้ามาพูดหน้าตาเฉยอีก
“ทำให้ฉันพอใจซะกวินทร์”
นี่มึงจับกูมัดมือออนท็อปเหรอไอ้คีธ!
สิ้นเสียง ก็มีรอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าหล่อนั่นด้วย ผมเกิดฉลาดขึ้นมาทันควันเลยว่าไอ้ที่คีธทำเป็นเงียบ ทำเป็นโกรธผมนี่ต้องเป็นแผนการของหมอนี่แน่ๆ แล้วมันก็อาจจะร่วมมือกับริชาร์ดและแอสตันเพื่อแผนการจับผมออนท็อปนี่ด้วยก็ได้ ผมยู่หน้าใส่มันก่อนจะส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่เอา”
“ถ้าไม่ทำ ฉันก็ไม่หายโกรธ แม่พันธุ์ก็เตรียมหาใหม่เลย”
มึงไม่ต้องมาขู่กูเลย กูรู้หรอกว่ามึงมีแม่พันธุ์ได้แค่คนเดียวในชีวิต!
ให้ตายเถอะ ความฉลาดอะไรก็ประดังประเดมาเอาตอนนี้นี่แหละ ตอนแรกความหึงเข้าครอบงำจนกลายเป็นโง่ไง ถ้าตระหนักได้แบบนี้ตั้งแต่แรก ผมคงไม่บอกว่าจะปล้ำมันหรอก แล้วตอนนี้จะล้มเลิกสิ่งที่ทำไปแล้วก็ไม่ได้ มันสายไปแล้วไง มิหนำซ้ำ พอจะถอย ไอ้บ้าคีธก็เอามือมาตะครุบสะโพกผมไว้มั่นพลันยิ้มเผล่
“ทำสิ”
“มะ...ไม่เอา”
“อยู่ข้างบนแล้ว ยังไงก็ต้องทำ”
มะ...มึงนี่มัน...!
ถึงจะไม่ทำ คีธมันก็ตั้งท่าจะบรรเลงเองแล้ว ผมที่ทำท่าจะลุกหนี พอถูกมือใหญ่ที่จับสะโพกอยู่นำทางให้เคลื่อนที่ก็กลายเป็นว่าต้องไปตามแรงเคลื่อนไหวของมือใหญ่อยู่ตรงนั้น แถมยังถูกมือข้างหนึ่งของคีธที่ละออกจากสะโพกผมเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่มาวุ่นวายกับกลางลำตัวอีกด้วย
ความรู้สึกแปลกใหม่ทำเอาผมครางกระเส่าออกมาไม่ได้ศัพท์ และยิ่งดังมากขึ้นเมื่อมือใหญ่นั่นเร่งจังหวะมากขึ้น
มะ...ไม่ไหว...ทนไม่ไหวแล้ว...
ผมเกร็งสุดตัวเมื่อความรู้สึกวาบหวามจู่โจมชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว หัวสมองขาววาบพร้อมกับเรี่ยวแรงที่เหือดหายไปราวกับโดนสูบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนร่างของคีธอย่างหมดแรง ทว่าศึกครั้งนี้มันยังไม่จบ
ก็จะให้จบได้ยังไงในเมื่อผมเป็นฝ่ายเดียวที่พุ่งทะลุออกกาแล็กซี่ไปแล้ว แต่คีธมันยังติดแหง็กอยู่ที่ทางช้างเผือกเนี่ย!
และเพราะผมทิ้งตัวลงนอนบนมัน มันก็เลยจัดการอุ้มผมประหนึ่งลิงอุ้มลูกไปนั่งบนโต๊ะทำงาน ผมอ้าปากจะร้องบอกมันว่าให้อยู่แค่บนเตียงแต่ไม่ทันแล้ว แค่ส่งเสียงแอ๊ะ มันก็จัดการวางผมลงแล้วเริ่มบรรเลงขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ที่เตียงน่า” แล้วมันก็พูดอย่างรู้ทันว่าผมจะพูดอะไร
นี่ถ้ามีระเบียง มึงคงจะไม่รีรอพากูไปอาบลมห่มฟ้าแล้วสินะ!
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยอมให้มันทำตามใจชอบจนความร้อนรุ่มในกายผมก่อกำเนิดขึ้นมาอีก กลายเป็นว่าผมที่พุ่งทะลุไปยังกาแล็กซี่อื่นแล้วต้องนั่งยานกลับมารับมันที่ทางช้างเผือก แล้วไปที่กาแล็กซี่พร้อมกันใหม่อีกครั้ง
คีธหยุดเคลื่อนไหวร่างกายได้ก็ตอนที่ทั้งผมทั้งมันหายใจดังเฮือกเกือบจะพร้อมๆ กัน ผมหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดเลยแม้แต่น้อย มีแต่คีธนี่แหละที่ว่าออกมาเบาๆ
“อย่าให้ใครแตะต้องตัวนายอีก” ว่าจบก็จูบลงมาบนต้นคอผมซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกซีเลนดูด
ผมพยักหน้ารับช้าๆ พลางเค้นเสียงออกมา
“ขอโทษนะ”
“ไม่ได้โกรธแล้ว” คีธพึมพำเบาๆ ก่อนจะผละจากลำคอผมมาจูบหน้าผากแทน “แต่ชอบกวินทร์มากกว่าเดิมอีก”
ผมแอบอมยิ้มเลย แต่ก็ต้องรีบปั้นหน้าเรียบเฉยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้มันพูดกับผมไว้ว่าอะไร
“แล้วไหนว่าจะไปหาแม่พันธุ์ใหม่”
“ก็กวินทร์ทำท่าเหมือนไม่อยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้ฉัน”
“พูดหรือยัง” ผมกระชากเสียงน้อยๆ ให้คีธได้ยิ้มออกมาแล้วก็ประทับจูบบนเรียวปากผมเบาๆ
“ใครจะไปรู้ล่ะ ไม่เคยเห็นกวินทร์บอกว่าชอบฉันเลย แสดงออกก็ไม่เคย มีแต่ฉันที่บอกว่าชอบกวินทร์ แล้วก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้”
ผมนิ่งงันไป... ก็จริงอย่างที่คีธพูด ผมไม่เคยบอกมันสักครั้งเลยว่าชอบมันหรือเปล่า ก็มันน่าอายนี่นา อีกอย่าง ผมไม่ได้เป็นพวกโรแมนติกอะไรแบบนี้ด้วย เวลามีแฟนเมื่อหลายปีก่อนนี่ก็แทบนับครั้งได้เลยว่าผมบอกรักไปกี่ครั้ง แถมหลังๆ มีแต่ผู้หญิงที่นอนด้วยแล้วก็จบกัน เรื่องการบอกรัก บอกชอบนี่ลืมไปได้เลย
“กวินทร์ชอบฉันหรือเปล่า” แล้วคีธก็ถามขึ้นมาให้ผมได้มองหน้า
ผมสบดวงตาสีเทาสว่างนิ่ง ใจเต้นระทึกขึ้นมาฉับพลัน
ชอบ... โคตรชอบเลย ชอบจนไม่รู้จะชอบยังไงแล้ว อยากตะโกนบอกไปดังๆ ฉิบเป๋ง แต่สุดท้ายก็ได้แต่...
“ชะ...ชอบ...”
พูดอุบอิบอยู่ในลำคอ บ้าชะมัด...
“แล้วรักหรือเปล่า” คีธถามขึ้นมาอีก
ผมมองหน้ามันทันควัน
“รักเหรอ”
“ใช่ รัก... รักฉันหรือเปล่า”
เฮ้ยๆ ชอบนี่ไม่ได้หมายความว่ารักนะเว้ย มันคนละอย่างกัน มึงอย่ามาถามอะไรแบบนี้ตอนที่กูยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเองได้มั้ย ไอ้ความรู้สึกชอบน่ะมันแน่ใจอยู่ แต่รักนี่ไม่รู้เว้ย!
ผมอึกอักไป ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบยังไงดี และเพราะไม่พูด คีธก็เลยประกบปากจูบผมอีกครั้งอย่างแผ่วเบา
“คิดก่อนก็ได้กวินทร์”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะใจเส้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเสียงมันพูดขึ้นมา
“แต่ฉันรักกวินทร์นะ รักมาก รักคนเดียว ไม่เปลี่ยนใจ”
ดะ...เดี๋ยวๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ...
ผมอยากจะถามโคตรว่ามันรู้สึกแบบนี้กับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ปลายนิ้วเรียวก็แตะเข้าที่ลำคอผมเสียก่อน
“เพราะรักกวินทร์ ฉันเลยไม่ชอบเห็นกวินทร์เอาร่างกายไปให้ใครสัมผัส”
แล้วทีมึงล่ะ มึงยังเอาปากมึงไปดูดกับไอ้บรูคลินเลย!
ผมไม่อยากจะดูเหมือนคนงี่เง่าเลยไม่พูดประโยคที่คิดออกไป จนคีธพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วนี่จะบอกได้หรือยังว่ารอยนี่เป็นฝีมือของใคร”
“นายไม่ได้กลิ่นหรือไง” ผมถามไปแบบนี้เพราะตระหนักขึ้นมาได้ว่าคีธเป็นมนุษย์ต่างดาวประเภทประสาทสัมผัสดี ทั้งหูดี จมูกดี แค่กลิ่นของซีเลนที่เจอกันอยู่ทุกวันแค่นี้ ไม่น่าจะไม่ได้กลิ่น
ทว่าผมก็ต้องคิดผิดเมื่อคีธส่ายหน้า
“ไม่ได้กลิ่น”
 “หรือเป็นเพราะฉันอาบน้ำไปแล้ว นายเลยไม่ได้กลิ่น?” ผมย่นคิ้วทันควัน สันนิษฐานไปเองว่าคงเป็นเพราะเหตุผลนี้ ขณะที่คีธก็เริ่มย่นคิ้วขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่เกี่ยว ต่อให้นายอาบน้ำแล้ว กลิ่นของคนที่สัมผัสตัวนายก็จะยังอยู่ มันดูแปลกๆ ไงที่มีรอยแต่ไม่มีกลิ่น แถมนายก็ไม่ยอมบอก ฉันก็เลยต้องโกรธ”
ผมเข้าใจเหตุผลของคีธขึ้นมา ก่อนจะเอะใจแปลกๆ
คีธไม่ได้กลิ่นของซีเลน... ทำไมกันนะ...
“ตกลงเป็นกลิ่นของใคร” คีธถามขึ้นมาอีกเมื่อเห็นผมเอาแต่เงียบครุ่นคิดอยู่คนเดียว
“ซีเลน” ผมเลยตอบไปด้วยไม่เห็นว่าไม่มีเหตุผลอะไรต้องปิดบัง
“ซีเลนหรือใคร” แล้วคีธทำหน้างงโลกขึ้นมา
“ก็พระเอกหนังที่นายเล่นเป็นสตั๊นแมนเรื่องเดียวกันไง อย่าบอกนะว่านายจำไม่ได้”
คีธพยักหน้ารับเซื่องๆ ให้ผมได้ยกมือขึ้นกุมขมับ
“ปกติแล้วชาวยูนิกม่าไม่จดจำผู้คนด้วยการจดจำใบหน้าหรือชื่อ แต่จะจำกลิ่นเฉพาะตัวแทน ซีเลนนี่ฉันไม่เคยได้กลิ่นก็เลยจำไม่ได้”
“จริงๆ ซีเลนก็เคยจูบกับบรูคลินนะ ถ้าจำไม่ผิดก็ตอนที่บรูคลินเป็นโฮสต์ให้นายใหม่ๆ นี่แหละ นายจูบกับหมอนั่นก็ไม่ได้กลิ่นหรือไง” ผมนึกถึงภาพบรูคลินที่ถูกซีเลนขึงพืดในห้องพักนักแสดงขึ้นมาได้
คีธยังคงส่ายหน้าอยู่ ผมเลยรำพึงขึ้นมาเบาๆ
“แปลกแฮะ ทำไมนายถึงไม่ได้กลิ่นหมอนั่น หรือว่า... หมอนั่นจะเป็น...”
“มนุษย์ต่างดาว” ผมพูดยังไม่ทันจบ คีธก็แทรกขึ้นมา
บอกเลยว่าคีธคิดเหมือนผมเป๊ะ แล้วใบหน้าคีธก็ดูตึงเครียดขึ้นมาทันตา ก่อนจะว่าเสียงเข้มตามมาด้วย
“ต่อไปนี้อย่าเข้าใกล้ซีเลนอีกนะกวินทร์ อย่าเข้าใกล้จนกว่าฉันจะแน่ใจ”
“แน่ใจว่าอะไร”
“แน่ใจว่าถ้าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว หมอนั่นไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวอย่างพวกเซนไทน์”
ชื่อของมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์หนึ่งที่ผมไม่ได้ยินมานานทำให้ผมหูผึ่งด้วยจำได้ดีว่าเซนไทน์เป็นพวกศัตรูของยูนิกม่าอย่างคีธ และถ้าซีเลนเป็นเซนไทน์ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็เท่ากับว่าศัตรูอยู่เพียงใต้จมูกของคีธเท่านั้นเอง
“อย่าเข้าใกล้หมอนั่น” คีธย้ำคำ
ผมรีบพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนจะนึกถึงความผิดปกติของซีเลนขึ้นมาได้ ถ้าสมมตินะ... สมมติว่าซีเลนเป็นเซนไทน์ขึ้นมาจริงๆ พวกเซนไทน์นี่มันจะหื่นกามแบบซีเลนหรือเปล่าวะ?
“เออนี่คีธ ขอถามอะไรหน่อย” ผมไม่รอช้า เอ่ยปากขึ้นทันที
คีธมองหน้าผมเป็นเชิงให้ถามก่อนผมจะพูดต่อ
“พวกเซนไทน์นี่เป็นยังไง”
“โดยภาพรวมก็ไม่ต่างจากยูนิกม่าเท่าไหร่ สืบพันธุ์โดยการฝังไข่ในร่างโฮสต์แล้ววิธีการคลอดก็เหมือนกัน มีประสาทสัมผัสดีเหมือนกัน แต่เซนไทน์จะดีแค่เรื่องการดมกลิ่น แล้วก็สามารถซ่อนกลิ่นของตัวเองได้อย่างมิดชิด แม้แต่จมูกดีอย่างยูนิกม่าก็ไม่สามารถตามกลิ่นได้ ต่างกันก็ตรงที่วิธีการกินอาหาร และร่างกายแข็งแรงเกือบเทียบเท่าพวกไบโทป แต่พวกมันก็โหดร้ายป่าเถื่อน รุกรานทุกชาติพันธุ์เพื่อยึดครองประชากรขณะที่พวกยูนิกม่าเป็นมิตร”
“ยึดครองประชากร?” ผมสะดุดตรงประโยคนี้ คีธเลยอธิบายออกมา
“ใช่ พวกเซนไทน์จำเป็นต้องดำรงชีวิตโดยการดึงพลังงานจากสิ่งมีชีวิตอื่นมาเป็นพลังงานในการดำรงชีวิตของตัวเอง”
“เหมือนการกินสารอาหารน่ะเหรอ”
“ไม่เชิง พวกนั้นไม่จำเป็นต้องกินสารอาหารใดๆ แต่รับพลังงานโดยวิธีอื่น”
“วิธีอะไร”
“การผูกพัน... ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่ผูกพันจนถึงตาย นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกชาติพันธุ์ขยาดพวกเซนไทน์”
ผมถึงกับถลึงตา ยะ...อย่าบอกนะว่าที่ไอ้ซีเลนมันหื่นกามนี่เป็นเพราะมันดูดพลังงานจากคู่ขาของมัน? กะ...ก็ไม่แน่แฮะ อย่างวันนี้ที่ผมเห็น ตอนแรกมันทำท่าจะเป็นจะตาย แต่พอมันได้มีเซ็กส์แล้ว มันก็ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา หรือว่ามันจะเป็นเซนไทน์จริงๆ?
“ส่วนพวกเราชาวยูนิกม่าก็อย่างที่นายรู้ว่าพวกเราผูกพันกันได้แค่กับคู่ครองเท่านั้น และผูกพันได้เพียงคนเดียวตลอดชั่วชีวิต เราเลยต้องหนี แต่จริงๆ มันก็มีเหตุผลอื่นอีก” คีธอธิบาย เรียกความสนใจของผมไป
“เหตุผลอะไร บอกได้หรือเปล่า”
“กษัตริย์ของเผ่าเซนไทน์เสนอให้ปรองดองโดยการให้รัชทายาทของทั้งสองเผ่าผูกพันกัน”
“หมายความว่าเสนอให้แอสตันแต่งงานกับลูกของกษัตริย์เซนไทน์น่ะเหรอ”
“ใช่ กับเจ้าชายของเซนไทน์ ก็เลยเป็นเหตุผลที่เราต้องหนีมาที่นี่เพราะองค์ชายปฏิเสธการทาบทาม พวกนั้นก็เลยรุกรานเรา”
ผมนี่งงไปแวบนึงเลย ถ้าแต่งงานกันจริงๆ ฝั่งไหนมันจะเป็นรุก ฝั่งไหนมันจะเป็นรับวะ ไอ้แอสตันมันแสดงตัวชัดเจนว่าชอบเป็นฝ่ายจู่โจมขนาดนั้น ถ้าไปเจอเซนไทน์ มันก็คงจะต้องเป็นฝ่ายพ่อแน่ๆ
แต่ผมเดาผิดไป เพราะจู่ๆ คีธก็พูดขึ้นมาด้วยเห็นสีหน้าผมแสดงความสงสัยอย่างเต็มที่
“พวกนั้นต้องการให้องค์ชายแอสโซซิโอเป็นแม่พันธุ์”
ฟ้าผ่าทั่วจักรวาลแน่มึงถ้าไอ้แอสตันท้องเนี่ย!
ผมปวดหัวตึ้บยิ่งกว่าเดิม นึกภาพไม่ออกเลยว่าคนอย่างแอสตันมันจะไปเป็นเมียของใครได้ยังไง แต่คิดได้ไม่เท่าไหร่ คีธก็ยุติความคิดฟุ้งซ่านของผมขึ้นมาอีก
“เอาเป็นว่าตราบใดที่ฉันยังไม่แน่ใจว่าซีเลนเป็นเซนไทน์หรือมนุษย์ต่างดาวแน่หรือเปล่า นายต้องอยู่ให้ห่างจากซีเลนเอาไว้เข้าใจมั้ย อย่าเข้าใกล้หมอนั่น หรืออย่าให้หมอนั่นมาแตะเนื้อต้องตัวนายอีกเป็นอันขาด เพื่อความปลอดภัยของนาย เพราะถ้าซีเลนเป็นเซนไทน์จริง ป่านนี้มันคงรู้แล้วว่านายเป็นคนที่ยูนิกม่าผูกพันด้วย”
ผมพยักหน้ารับรัวๆ อีกครั้ง แววตาของคีธในตอนนี้ดูเป็นกังวลขึ้นมาอย่างชัดเจน ก่อนที่หมอนั่นจะโอบแขนกอดผมไว้แน่นทั้งที่เรายังคงค้างอยู่ท่าเดิมอย่างนั้น
“ฉันจะไม่ยอมให้นายเป็นอะไรไปแน่กวินทร์ ไม่มีทาง”
“ฉัน...ไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ผมพึมพำ กอดตอบมันเบาๆ พลางอมยิ้มน้อยๆ ด้วยรู้สึกดีที่ได้ยินคีธพูดแบบนั้น แล้วก็ต้องรู้สึกดียิ่งขึ้นไปใหญ่เมื่อคีธพูดขึ้นมาอีก
“ฉันรักนาย...กวินทร์ รักนาย...อยากมีลูกกับนาย... กับนายคนเดียว”
ขะ...เขินเว้ย!
จากตอนแรกที่ผมมั่นใจว่าแค่ชอบ แต่ไม่มั่นใจว่ารักหรือเปล่า ตอนนี้ชักจะเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาหน่อยๆ ซะแล้ว แต่ผมก็ยังปากหนัก ไม่พูดไป เอาแต่เบี่ยงประเด็นเป็นเรื่องอื่น
“ยูนิกม่าอย่างนายมีอายุมากกว่ามนุษย์โลกสองเท่าไม่ใช่หรือไง ถ้านายมีลูกกับฉันแล้วอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต สมมติว่าฉันตายตอนอายุแปดสิบตามค่าเฉลี่ยอายุมนุษย์โลก นายก็เพิ่งจะอายุร้อยสองเอง ค่าเฉลี่ยอายุนายก็น่าจะร้อยหกสิบ นั่นหมายความว่านายต้องอยู่คนเดียวนานเลยนะเว้ย”
“ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ฉันได้อยู่กับกวินทร์จนกว่ากวินทร์จะสิ้นใจก็พอ”
“ไร้สาระว่ะ”
“มันคือธรรมเนียมของชาวยูนิกม่า”
ผมไม่อยากจะพูดอะไรอีกเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคีธ เอาเถอะ ถ้าตั้งใจแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าผมมีลูกกับมันจริงๆ แล้วลูกดันมีอายุยืนเหมือนมัน ผมจะได้วางใจได้ว่ายังมีคนดูแลลูกอยู่ถ้าผมตายไปแล้ว
“แต่ถ้าฉันตายไปแล้ว นายอยากจะมีแม่พันธุ์คนใหม่ก็ได้นะ ฉันอนุญาต” อันนี้ผมพูดไปตามความเป็นจริง เพราะถ้าเป็นผมมีเมีย แล้วเมียตายไปก่อน ผมก็คงจะมีเมียใหม่
แต่คีธไม่ใช่อย่างนั้น มันส่ายหน้าทันทีที่สิ้นเสียงผม
“ชั่วชีวิตของฉันจะมีนายเพียงคนเดียว จะรักและดูแลนายเพียงคนเดียวแม้ว่านายจะหมดอายุขัยไปแล้วก็ตาม ฉันจะมีแค่นายเท่านั้นกวินทร์”
โอเค ไม่ใช่เรื่องไร้สาระแล้วล่ะ เรื่องจริงจังเลย แล้วผมก็อายขึ้นมาแบบจริงจังด้วย หัวใจชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูกจนผมเริ่มรู้สึกนิดๆ แล้วว่าผมคงจะไม่ได้แค่ชอบมันอย่างเดียวแล้ว แต่เริ่มตกหลุมรักมันขึ้นมาแล้วล่ะ
“กะ...ก็แล้วแต่” ผมหลบสายตาพลางว่าเบาๆ
คีธช้อนปลายคางผมให้หันไปมองแล้วจรดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ก่อนจะว่าให้ผมได้ใจเต้นไม่หยุด
“ลองผูกพันกันแบบคนรักมั้ย”
“ยะ...ยังไง”
“แบบที่คนรักเค้าแสดงความรักแก่กัน ปกติแล้วเวลาเราผูกพันกัน กวินทร์ดูเหมือนไม่เต็มใจทุกทีเลยนี่ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายบังคับกวินทร์ เลยอยากลองผูกพันแบบที่กวินทร์เต็มใจบ้าง”
ก็มึงบังคับกูจริงๆ นี่หว่า กูก็บ้าเองที่เผลอไปเคลิ้มกับมึง!
แต่ก็เอาเถอะ เสนอมาอย่างนี้แล้วมันก็... ก็... อืม ก็น่าลองเหมือนกันนะ
“ก็ได้” ผมว่าเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน
คีธหัวเราะในลำคอกับท่าทางกระมิดกระเมี้ยนของผม ก่อนจะอุ้มผมกลับมาเอนตัวลงนอนที่เตียง พลันพูดขึ้น
“ขออนุญาตผูกพันในฐานะคนรักนะกวินทร์”
“อืม”
คนรักก็คนรักวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว การเป็นคนรักของหมอนี่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ผมเองก็ชักอยากจะให้คีธเป็นคนรักของผมขึ้นมาจริงๆ แล้วเหมือนกันแฮะ
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.24]--04/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 06-01-2016 20:35:01
Episode 25: Is Zylen an alien!?[2]
เมื่อคืนนี้คีธทำผมแทบลุกไม่ขึ้นจากเตียง บอกตรงๆ ว่าการผูกพันกันในฐานะคนรักอะไรนี่ทำให้ผมเหนื่อยอ่อนยิ่งกว่าการผูกพันแบบธรรมดาซะอีก เพราะคีธแสดงออกชัดเจนเลยว่าต้องการผมแค่ไหน แถมมันยังหนักหน่วงยิ่งกว่าตอนผูกพันกันธรรมดาด้วย ผมก็เลยมาทำงานวันใหม่ด้วยสภาพสะโพกคราก หลังเดาะเอวเดาะอีกครั้ง แย่ไปกว่านั้นคือวันนี้คีธกับแอสตันลางานไปอีกวันเพราะเจเนซิสมาตามพวกนั้นถึงที่อพาร์ตเม้นต์ผมตั้งแต่เช้าด้วยธุระสำคัญว่าได้เบาะแสของเซนไทน์  ผมก็เลยไม่มีคนช่วยพยุงไปที่สตูดิโอ
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าได้เบาะแสอะไรยังไง ไม่ทันจะได้ถามอะไร พวกนั้นก็รีบไปกันเสียก่อน แว่วๆ ว่ามีข่าวลือว่ามีมนุษย์ต่างดาวพันธุ์หนึ่งตายจากการถูกเซนไทน์ดูดพลังงาน คีธก็เลยได้แต่ย้ำผมว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี อย่าเข้าใกล้ซีเลนก็เท่านั้น และแน่นอนว่าเรื่องของซีเลนก็รู้ถึงหูริชาร์ดกับแอสตันแล้ว ริชาร์ดก็เลยโดนใบสั่งมาอีกคนว่าอย่าเข้าใกล้ซีเลนด้วย
วันนั้นทั้งวัน ผมกับริชาร์ดเลยเกาะกันแจจนกระทั่งเลิกงาน ทุกอย่างก็ดูราบรื่นและปกติดี เว้นก็แต่สายตาที่บรูคลินมองผมมานี่แหละ วันนี้ดูมันหงุดหงิดงุ่นง่านแปลกๆ จนริชาร์ดยังต้องทักเลย
“ไอ้บรูคลินมันดูเหม็นหน้านายจังวะวันนี้”
“สงสัยคงเพราะฉันเป็นเมียคีธล่ะมั้ง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจนักขณะที่กำลังจัดเรียงเอกสารสำคัญ ริชาร์ดก็เลยจุ๊ปากให้ได้ยิน
“โหๆๆ เดี๋ยวนี้กล้าพูดเต็มปากเต็มคำนะว่าเป็นเมียมัน ยอมรับแล้วล่ะสิว่านายก็หลงมันอย่างที่มันหลงนายเหมือนกัน”
 “ก็ปฏิเสธไม่ได้แหละนะ”
ริชาร์ดหัวเราะร่วนขึ้นมาทันควันที่ได้ยินผมพูดประโยคนี้ ก่อนจะว่าให้ผมได้หงุดหงิดขึ้น
“เป็นไงล่ะฤทธิ์เดชชุดนอนไม่ได้นอนของฉัน ปริ่มเลยล่ะสิเมื่อคืนน่ะ”
ผมนี่แทบจะเอาเอกสารฟาดหน้ามันด้วยความหมั่นไส้เลย ริชาร์ดรีบเบี่ยงตัวหลบก่อนที่เสียงของด็อกเตอร์มาร์ตินจะดังขึ้นเรียกมันไปช่วยงานก่อนเลิกกอง
“เดี๋ยวค่อยมาเจอกันที่หน้าสตูดิโอแล้วกัน จะได้กลับพร้อมกัน”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ขณะที่มันเดินไปหาด็อกเตอร์มาร์ตินกับผู้กำกับวิลล์เพื่อนัดแนะเรื่องงานสำหรับวันต่อไป อีกอาทิตย์เดียวก็จะครบเดือนนึงที่มาช่วยงานที่นี่ แล้วก็จะได้เวลากลับนิวยอร์กแล้ว คิดๆ ไป ผมก็คิดถึงนิวยอร์กเหมือนกันนะ ที่คิดถึงนี่ไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นที่ที่ผมจะได้อยู่กับคีธโดยไม่มีมนุษย์ต่างดาวแฟนเก่าอย่างเจเนซิสและมนุษย์ต่างดาวที่จ้องจะงาบคีธอย่างบรูคลินอยู่ต่างหาก
กับเจเนซิสน่ะ ผมไม่ได้กังวลอะไรนักหรอกเพราะหมอนั่นค่อนข้างจะยึดถือธรรมเนียมของยูนิกม่าอย่างเคร่งครัด คงจะไม่เสนอตัวมาเป็นแม่พันธุ์ทั้งที่คีธเลือกผมแล้วหรอก แต่ไอ้บรูคลินนี่สิ ถึงมันยังรู้แต่ตราบใดที่มันยังดูดปากกันอยู่อย่างนี้ บรูคลินก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจแน่ แต่ก็ช่างเถอะ อีกวันสองวันก็จะได้เวลาที่คีธจะต้องวางไข่สร้างร่างใหม่แล้วนี่ เดี๋ยวผมก็ได้เป็นโฮสต์แทนละ
ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว พอเรียงเอกสารเสร็จก็เดินไปเข้าห้องน้ำก่อนเตรียมตัวกลับห้องบ้างเพราะคนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว ริชาร์ดเองก็อีกไม่นานคงจะคุยงานเสร็จ ทว่าในจังหวะที่ผมเดินเข้าไปล้างหน้าที่อ่าง เสียงประตูห้องน้ำปิดก็ดังขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นบรูคลินที่เดินตามเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ทำเอาผมย่นคิ้วมองมันทันที
“ทำอะไรของนาย”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” มันไม่ตอบคำถามผม แต่พูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน แถมครั้งนี้มันยังไม่ได้พูดจาแบบงุบงิบๆ ตามสไตล์มันอีก แต่พูดแบบชัดถ้อยชัดคำจนผมอดเอะใจไม่ได้เลยว่ามันจะต้องมีเรื่องอะไรมาให้ผมเดือดร้อนแน่ๆ และก็เดาได้เลยว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคีธแหงมๆ
“เรื่องอะไร”
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันพูดขึ้น
“ฉันเตือนนายแล้วใช่มั้ยเรื่องการยุ่งเกี่ยวกับท่านผู้พิทักษ์ นายรับปากฉันแล้วนี่ว่าจะไม่ยุ่ง แต่นี่อะไร เลยเถิดมาถึงผูกพันกันแบบนี้ มันไม่รักษาสัญญานี่หว่า”
“แล้วยังไง” ผมหันไปมองมันด้วยใบหน้าที่ยังพร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำ
“ฉันก็จะมาบอกให้นายเลิกยุ่งกับท่านผู้พิทักษ์”
ฟังแล้วก็ต้องย่นคิ้ว ไอ้บ้านี่พูดเอาแต่ได้ชะมัด ไม่ได้สนใจเลยสินะว่าไอ้พวกยูนิกม่ามันมีแม่พันธุ์ได้แค่คนเดียว แล้วก็ผูกพันได้แค่คนเดียวตลอดทั้งชีวิต ซึ่งสำหรับคีธ คนคนนั้นก็คือผม ผมเองก็เคยบอกไอ้บรูคลินไปแล้วนี่หว่าว่าเรื่องแบบนี้มันใครดีใครได้ แต่เหมือนมันจะจำไม่ได้แฮะ
“เรื่องแบบนี้มาบอกฉันไม่ได้หรอก ไปบอกคีธมันโน่น” ผมโบ้ยให้คนกลางซะอย่างนั้น แล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องน้ำไป ทว่าบรูคลินก็มาขวางหน้าไว้เสียก่อน
“ถอยไป” ผมว่าเสียงต่ำอย่างไม่พอใจนักกับท่าทางหาเรื่องของมัน กะว่าถ้ามีต่อยก็ต่อยอ่ะ
ทว่าก็ต้องรีบถอยหลังกรูดเมื่อเห็นว่าบรูคลินค่อยๆ ขยายร่างขึ้นทีละน้อย
เฮ้ยๆ มึงเล่นเอาร่างจริงมาแบบนี้ กูก็สู้ไม่ได้สิวะ ต่อให้เป็นตัวต่อตัวก็เถอะ แน่จริงมึงเอาร่างย่อส่วนมาเซ่!
คิดไปก็เท่านั้นแหละ ไอ้บรูคลินมันกลายเป็นเปรตวัดสุทัศน์ไปแล้วเรียบร้อย ส่วนผมนี่ก็ถอยไปติดขอบอ่างล้างหน้าเลย บรูคลินเดินตามเข้ามาพลางว่าพึมพำ
“ฉันเคยเตือนนายแล้ว เคยเตือนนายแล้วจริงๆ”
“จะ...ใจเย็นๆ มีอะไรก็คุยกันก่อน ถ้านายทำอะไรฉันแล้วคีธรู้ นายจะแย่เอานะเว้ย” ผมพยายามห้ามมัน แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเลยเพราะไอ้บ้านั่นยกแขนขึ้นมาพร้อมกับง้างหมัดด้วย
ผมมองหาทางหนีทีไล่ แต่ในห้องน้ำที่ถูกปิดตายแบบนี้มันจะหนีไปไหนได้ล่ะ ผมก็เลยทำได้แค่หลับตาปี๋ ภาวนาขอให้มันต่อยแค่หมัดเดียว แล้วก็อย่าต่อยหน้าก็พอ ทว่าในวินาทีที่มันปล่อยหมัดออกมา เสียงประตูห้องสุขาห้องหนึ่งถูกเปิดก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังหมับและเสียงแหบห้าวของใครบางคน
“รังแกคนตัวเล็กกว่าอย่างนี้ไม่น่ารักเลยจริงๆ นะ”
ผมลืมตาขึ้นทันควัน แล้วก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นคือ...
“ซีเลน!” ผมกับบรูคลินแทบจะตะโกนออกไปพร้อมกัน
ซีเลนไม่สะทกสะท้านอะไร นอกจากแสยะยิ้มแล้วกดแขนของบรูคลินให้ต่ำลง
“อย่ารังแกมนุษย์โลกสิ”
บรูคลินหน้าซีดไปเลยที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของซีเลน ผมเดาว่ามันคงจะตกใจที่ซีเลนรู้ว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาว ผมเองก็ตกใจ ไม่ได้ตกใจที่ซีเลนรู้ว่าบรูคลินเป็นมนุษย์ต่างดาวนะ แต่ตกใจที่รู้ว่าไอ้ซีเลนมันก็เป็นมนุษย์ต่างดาวนี่แหละ
ถ้ามันไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาว มันจะรู้ได้ไงว่าบรูคลินเป็นมนุษย์ต่างดาววะ!?
บรูคลินรีบผละออกจากซีเลนเลย ซีเลนหัวเราะกับท่าทางหวาดๆ นั่นก่อนจะยื่นนิ้วชี้ๆ ไปยังร่างของบรูคลิน
“ย่อส่วนก่อนออกไปด้วย เดี๋ยวคนอื่นตกใจ”
บรูคลินรีบย่อส่วนร่างตามที่ซีเลนว่า แล้วก็พุ่งออกจากห้องน้ำไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับซีเลนที่เดินไปล้างมือที่อ่างอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“เกือบไปแล้วนะ ถ้าฉันไม่มาช่วยนายไว้ได้ทัน นายได้หัวหลุดออกจากบ่าแน่”
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน” ผมไม่สนใจสิ่งที่ซีเลนพูด ถามในสิ่งที่คาใจออกไป
ซีเลนเหลือบมองผมนิดนึงก่อนจะถามคืน
“แล้วนายคิดว่าเป็นใครล่ะ”
“มนุษย์ต่างดาว... แต่เมื่อวานนายบอกฉันว่าไม่ได้เป็นนี่หว่า” ผมนึกถึงคำพูดของมันเมื่อวานได้ทันที
ซีเลนหัวเราะหึ สะบัดมือที่เปียกน้ำไปด้วย
“ใจจริงก็อยากจะโกหกต่อน่ะนะ แต่เห็นนายตกอยู่ในสถานการณ์คอขาดบาดตายก็เลยต้องแสดงตัว อย่างที่บอกว่าฉันอยากได้นายเลยไม่อยากให้นายบอบช้ำซะก่อน และใช่ ฉันเป็นมนุษย์ต่างดาว เป็นไง ตกใจมั้ยล่ะ ความจริงก็ไม่ใช่ความลับหรอกนะ แค่ฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกให้ใครรู้ เดี๋ยวจะตกใจกันไปซะก่อน แต่นายก็น่าจะชินแล้วนี่ เจอมนุษย์ต่างดาวออกจะบ่อยไม่ใช่เหรอ”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก ไม่ได้สนใจเลยว่ามันรู้ได้ไงว่าผมเจอมนุษย์ต่างดาวบ่อย นอกจากถอยห่างจากมันทันใดขณะที่ปากยังคงขยับเบาๆ
“นะ...นายเป็นพวกสายพันธุ์อะไร” ผมคิดไปแล้วแหละว่ามันคือเซนไทน์
ทว่าซีเลนไม่ตอบ นอกจากเดินเข้ามาหาผมแล้วแสยะยิ้มร้ายเท่านั้น
“อย่ารู้เลยดีกว่า มันไม่ส่งผลดีกับฉัน... ไม่ส่งผลดีกับนายด้วย”
“นายเป็น...เซนไทน์ใช่มั้ย” ถึงผมจะกลัว แต่ผมก็พูดไป
หากแต่ซีเลนไม่ตอบ โน้มใบหน้าเข้ามาเกือบชิดผมขณะที่ผมถอยกรูดไปจนติดกำแพงเป็นที่เรียบร้อย แล้วว่าขึ้นมา
“บอกแล้วว่าอย่ารู้เลย มันยังไม่ถึงเวลา เอาไว้ถึงเวลาที่นายมานอนแก้ผ้าบนเตียงฉันเมื่อไหร่ ตอนนั้นฉันจะบอกนายเอง” สิ้นเสียง มันก็จูบลงมาที่แก้มผมเบาๆ
ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัวเลย สัญชาตญาณร้องบอกเลยว่าอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบมันออกมาก่อนที่มันจะได้ทำอะไรไปมากกว่าการจูบอีก แล้ววิ่งตรงออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็วโดยมีเสียงของซีเลนดังไล่หลังมาให้ได้ยินแว่วๆ
“แล้วก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเชียวถ้านายยังรักชีวิต ให้รู้กันแค่นายกับบรูคลินเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ฉันจะฆ่าคนที่พูดเป็นคนแรก แล้วเอาศพมาปู้ยี่ปู้ยำให้หนำใจ”
มึงมันไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเฉยๆ แล้วไอ้ซีเลน! มึงมันเป็นไอ้โรคจิตด้วย แล้วคิดเหรอว่ากูจะเก็บเรื่องมึงไว้เป็นความลับ ฝันไปเลยมึง! ฝันไปเลย!
-------------------------------
SD หลังปกของเล่ม 1 มาแล้วล่ะตัวเอง แวะเข้าไปดูกันได้ที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/925833234139197/?type=3&theater
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.25]--06/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-01-2016 21:18:47
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.25]--06/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 06-01-2016 21:54:33
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.25]--06/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 06-01-2016 21:54:54
อ้างถึง
แล้วคิดเหรอว่ากูจะเก็บเรื่องมึงไว้เป็นความลับ ฝันไปเลยมึง! ฝันไปเลย!
ชอบประโยคนี้เลย โดนใจ! นายเอกฉลาดชาติเจริญจริงๆ
 :a1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.25]--06/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 06-01-2016 23:15:33
จับบักเลนคู่กะนุ้งบรูคกี้น่าจะเวิร์กนะคะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.25]--06/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 07-01-2016 18:29:34
Episode 26: I love you, Keith[1]
ผมไม่ใช่คนลักษณะเดียวกับนางเอกหนังไทยที่เวลาโดนตัวร้ายหรือนางร้ายขู่อะไรมาแล้วไม่เอาไปบอกพระเอก พอพ้นจากซีเลนมาได้ ผมก็พุ่งหลาวไปลากไอ้ริชาร์ดออกจากกองถ่าย กระโดดขึ้นแท็กซี่กลับอพาร์ตเม้นต์อย่างรวดเร็วโดยไม่ถามมันสักนิดว่าอยากจะขึ้นแท็กซี่มั้ยแต่อย่างใด และก่อนที่มันจะได้เปิดปากด่าผม ผมก็เล่าเรื่องที่ตัวเองโดนบรูคลินขู่ในห้องน้ำแล้วซีเลนมาช่วยไว้เป็นที่เรียบร้อย ริชาร์ดเลยเป็นคนแรกที่ได้รู้ว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว ดีที่คนขับแท็กซี่ไม่สงสัยว่าเรื่องที่ผมคุยกันเป็นเรื่องอะไรด้วยเห็นพวกผมออกมาจากกองถ่าย ก็คงจะนึกว่าผมกับริชาร์ดคุยกันเรื่องบทหนังล่ะมั้ง
และเพราะผมบอกริชาร์ดด้วยอารมณ์มั่นใจหนักแน่นว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงแท้แน่นอน ริชาร์ดก็เลยพยายามติดต่อแอสตันโดยการโทรเข้าโทรศัพท์มือถือที่ซื้อให้แอสตันไปตอนไหนก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกนอกจากขอให้คีธมาหาผมเร็วๆ ผมจะได้บอกเรื่องนี้เพราะผมคิดว่าซีเลนจะต้องเป็นพวกเซนไทน์อะไรนั่นแน่ๆ
ก็จะไม่ให้คิดได้ยังไง หื่นกามก็ที่หนึ่งขนาดนั้น แถมพอหลังมีอะไรเสร็จ มันก็ดันมีแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ตรงอย่างที่คีธเคยบอกผมทุกอย่าง ผมก็อดคิดไม่ได้สิว่ามันคงจะเป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้น่ะสิ
รอคีธกับแอสตันได้เกือบสองชั่วโมง พวกนั้นก็ปรากฎตัวให้เห็นหน้า ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการลากพวกมันเข้ามาในห้องโดยมีริชาร์ดตามมาติดๆ ทันใด ก่อนจะรีบเปิดปากเล่าทันควันเมื่อถูกถามว่ามีอะไรถึงได้เรียกพวกมันมาชนิดร้อนรนขนาดนี้
ผมเล่าหลักๆ แค่ว่าซีเลนเป็นคนบอกกับผมเองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ได้เล่าในส่วนของบรูคลินที่ตามเข้ามาขู่ผมเรื่องคีธเพราะต้องการสรุปเรื่องให้สั้นที่สุด ทว่าการที่เล่าไม่หมด คีธกับแอสตันก็เลยสงสัยว่าผมไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน ก่อนแอสตันจะเป็นฝ่ายถามขึ้น
“นายแน่ใจเหรอว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆ”
“แน่ใจสิวะ ก็มันเป็นคนบอกกับฉันเอง จะไม่แน่ใจได้ยังไง” ผมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก็มันน่าหงุดหงิดจริงๆ แหละที่บอกความจริงไปแล้วแต่ไม่มีคนยอมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เนี่ย
แอสตันฟังแล้วก็นิ่งคิดไป ผมเลยรีบพูดสำทับเสริมเหตุผลประกอบความน่าเชื่อถือ
“นายลองคิดดูแล้วกันนะว่าซีเลนมันแปลกๆ มั้ย คนบ้าอะไรถึงได้หื่นอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดฉันถูกใช้ให้ไปตามมันที่เพนเฮ้าส์ก็โดนมันดูดคอมาเพราะมันบอกหิวบ้อบอคอแตกอะไรสักอย่าง แถมมันยังให้ฉันตามคนมาให้มันมีอะไรด้วยอีกเป็นสิบ ที่สำคัญนะ ตอนแรกมันทำเหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ แต่พอได้มีเซ็กส์แล้วก็ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา พวกนายเองก็ไม่เคยได้กลิ่นมันไม่ใช่เหรอวะ อย่างนี้นายยังไม่ให้ฉันคิดอีกเหรอว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว น้ำหน้าอย่างมันนี่เซนไทน์แน่ๆ” ผมว่าอย่างมั่นใจ
แอสตันก็เลยหันไปมองหน้าคีธอย่างครุ่นคิด ดูท่าทางสองคนนี้ก็เริ่มจะเชื่อผมมากขึ้นแล้วเหมือนกัน แต่มันก็ยังอดไม่แน่ใจอยู่ไม่ได้จนแอสตันพูดขึ้น
“จริงๆ ก็ไม่ได้มีแต่พวกเซนไทน์นะที่กินอาหารด้วยวิธีนี้ พวกอื่นก็มี แต่เป็นพวกรักสงบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่นัก บางพวกก็เป็นพวกชาติพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ ค่อนข้างพบตัวยาก และมันก็ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียวที่ซ่อนกลิ่นของตัวเองได้นะ มีตั้งหลายสายพันธุ์ นับไม่ถ้วนเลยมั้ง ถ้าตัดสินว่าเป็นเซนไทน์กันด้วยวิธีการกินอาหารแบบนี้ เราว่าคงจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่”
“ที่องค์ชายตรัสก็ถูก ในเมื่อยังไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของซีเลนก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าเป็นเซนไทน์”
โอ๊ย! พวกมึงก็เชื่อกูกันหน่อยเถอะ กูอธิบายจนปากเปียกปากแฉะหมดแล้วเนี่ย!
“ถ้าซีเลนไม่ได้เป็นเซนไทน์แต่เป็นสายพันธุ์อื่น มันจะมาที่โลกทำไมวะ!” ผมตะเบ็งเสียงอย่างหมดความอดทน คีธถึงกับต้องปรามเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเดือด
“ใจเย็นๆ น่ากวินทร์”
“จะให้กูใจเย็นอะไรอีก นี่กูอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเอาเรื่องนี้มาบอกพวกมึงแท้ๆ พวกมึงกลับไม่เชื่อ ลองคิดดูแล้วกันว่าพวกรักสันติบ้าอะไรถึงได้ขู่ชาวบ้านว่าถ้าเอาเรื่องมันจะฆ่าแล้วเอาศพมาปู้ยี่ปู้ยำ ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามไอ้บรูคลินได้เลย!” ผมหงุดหงิดสุดขีด เกลียดที่สุดเลยตรงที่พูดอะไรแล้วไม่มีคนเชื่อเลยหลุดพ่นคำพูดออกมาเป็นภาษาไทยยาวเหยียดแถมหยาบคาย
คีธชะงักกึก ไม่ได้ชะงักเพราะที่ผมบอกว่าถูกซีเลนถูกฆ่า แต่ชะงักเพราะผมพูดชื่อของใครอีกคนนึงขึ้นมาต่างหาก
“บูลิโอก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“เออ!” ผมกระแทกเสียงตอบรับ
“รู้ได้ยังไง”
“ก็มันอยู่ในเหตุการณ์ มันจะไม่รู้ได้ยังไงวะ”
“บูลิโอไปช่วยกวินทร์จากซีเลน?” คีธเลิกคิ้วสูงนิดๆ ที่ได้ยินผมพูดอย่างนั้น
“ใครว่า มันต่างหากที่จะทำร้ายฉัน แล้วซีเลนก็มาช่วยฉันไว้ต่างหาก” ผมพึมพำเสียงแข็ง
คราวนี้ทั้งคีธ ทั้งแอสตันจ้องผมเขม็งเลย ก่อนที่สีหน้านิ่งเรียบของคีธจะดูเคร่งเครียดขึ้นมาน้อยๆ
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าบูลิโอจะทำร้ายกวินทร์”
ผมก็ลืมไปเลยว่าคีธยังไม่รู้ว่าบรูคลินกับเบนเคยมาขู่ผมกับริชาร์ดไว้ว่าจะทำร้ายหากไม่เลิกยุ่งกับพวกมัน และอย่างที่บอกว่าผมไม่ใช่คนที่มีลักษณะเหมือนนางเอกละครไทย โดนขู่มานี่ไม่ช่วยทำให้ผมเก็บเงียบไว้ได้หรอก ผมบอกหมดเปลือกหมดแหละ
“ก็มันเคยบอกว่าจ้องพวกนายอยู่นานแล้ว แล้วก็อยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้นายด้วยเลยขู่ไม่ให้ฉันไปยุ่งกับนาย แต่สุดท้ายนายก็มาได้กับฉันเนี่ย มันเลยมาขู่”
คีธย่นคิ้วยู่ สีหน้าดูเรียบเฉยแต่แววตาฉายประกายความโกรธขึ้งขึ้นมา ผมเห็นแล้วก็รีบยุยงไอ้แอสตันใหญ่
นี่แหละ โอกาสเอาคืนไอ้บรูคลินล่ะ อย่าคิดว่าจะขู่กูได้ง่ายๆ นะเว้ยไอ้เปรตวัดสุทัศน์!
“ไม่ใช่แค่ฉันที่โดนนะ ริชาร์ดก็โดนเบนขู่เหมือนกัน”
ทว่าพอผมหันไปบอกแอสตัน หมอนั่นก็ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ทันใด
“เรื่องนั้นเราจัดการแล้ว ไปคุยกับเบน บอกให้เลิกยุ่งกับริชาร์ดเรียบร้อยแล้ว” แล้วก็คว้าริชาร์ดที่ยืนอยู่ข้างๆ มากอด ส่วนริชาร์ดก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้
ผมเบ้หน้าใส่พวกมันทันที
พวกมึงนี่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันอย่างเป็นทางการมากอะไรมาก ไปจัดการกันตอนไหนวะ ทำไมกูไม่เห็นจะรู้เรื่อง!
ผมนี่หันไปมองไอ้บ้าคีธตาขวางเลย ขณะที่คีธมองไปยังแอสตันกับริชาร์ดด้วยสายตางุนงงไม่ต่างกัน อารมณ์แบบว่าทำไมมันไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรประมาณนั้น
ก็มึงมันมึน รู้ดีแต่เรื่องหื่น เรื่องอื่นไม่เคยรู้ไงไอ้คีธ! แถมก็ไม่ทำให้เคลียร์สักทีอีกต่างหาก เอาแต่บอกให้กูรอจนกว่ามึงจะวางไข่สร้างร่างใหม่เนี่ย ให้ตายเถอะ น่าหงุดหงิดชะมัด!
ผมคงจะเผลอทำหน้าบอกบุญไม่รับออกมาโดยไม่รู้ตัว คีธที่ละสายตาจากแอสตันมามองผมเลยลุกขึ้นมาคว้ามือผมไปจับอย่างถือวิสาสะพลัน
“ขอโทษนะกวินทร์” แล้วก็ยกมือผมขึ้นจูบหลังมือเบาๆ
จากที่หงุดหงิดๆ อยู่ก็ค่อยๆ อารมณ์ดีขึ้นมาที่ได้เห็นท่าทางเซื่องๆ และแววตาสำนึกผิดประดุจลูกหมาอย่างนั้น ผมไม่อยากจะใส่ใจมากถึงจะยังขัดใจอยู่เล็กๆ แต่ก็โบกมือปัดๆ ไป
“ช่างเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว หมาเห่าไม่กัด” ผมก็ว่าไปงั้น แต่จริงๆ ก็แอบหวั่นใจเหมือนกันว่าสักวัน บรูคลินคงจะหาโอกาสกลับมาเล่นงานผมแน่
และคีธเองก็ไม่ปล่อยให้เรื่องแล้วไปแล้วอย่างที่ผมว่า จับมือผมไว้แน่นแล้วหันไปบอกกับแอสตัน
“องค์ชาย...”
“ไปเถอะคีทาเย ไปจัดการให้เรียบร้อย เดี๋ยวจะไม่มีเวลา เราจะรออยู่กับริชาร์ดที่นี่” พูดยังไม่ทันจบ แอสตันก็สวนขึ้นมาราวกับรู้ว่าคีธจะพูดอะไร
คีธโค้งคำนับก่อนจะลากผมออกมาจากห้องโดยไม่บอกสักคำว่าจะไปไหน ผมเลยต้องโพล่งถามขึ้นเองระหว่างที่ถูกมันลากเดินไปตามถนน
“จะพาฉันไปไหนเนี่ย”
“ไปหาบูลิโอ”
“ไปหาทำไม” ผมย่นคิ้ว
“ไปเคลียร์” คีธว่ามาสั้นๆ
ผมรู้สึกได้ถึงฟีลที่ผัวพาเมียหลวงไปเคลียร์กับเมียน้อยขึ้นมาได้ลางๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร ลากคีธขึ้นแท็กซี่แทนเพราะดูท่าแล้วมันคงจะลากผมเดินไปจนถึงบ้านของบรูคลินแหงๆ ที่สำคัญ ผมก็ไม่รู้ด้วยว่าบ้านบรูคลินอยู่ที่ไหน คีธเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอยู่แถวไหน ผมก็เลยให้แท็กซี่ไปส่งบริเวณนั้นแทน
ไม่นานนัก เราก็มาถึงยังตรอกเล็กๆ มืดๆ แห่งหนึ่งที่มีอพาร์ตเม้นต์เก่าๆ อยู่ด้านในนั้น คีธเดินนำเข้าไป มือยังคงกระชับมือผมไว้แน่น ทว่าคีธไม่ได้เดินเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์นั้น แต่เดินเลยไปจนสุดซอยซึ่งเป็นทางตัน ก่อนจะหยุดยืนที่หน้าถังขยะใบใหญ่ ผมมองซีกหน้าคีธอย่างสงสัยว่ามันจะมาทำไมที่นี่ แต่ไม่ทันจะได้ถาม คีธก็ทำลายความเงียบขึ้นมาเสียก่อน
“บูลิโอ”
รอบข้างยังคงเงียบสนิท ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนผมต้องมองหน้ามันอีกครั้งขณะที่มันยังคงเรียกหาบรูคลิน
“บูลิโอ ฉันมาคุยธุระ”
“มันจะไปได้ยินนายเรียกได้ยังไงวะ” ผมพึมพำ คีธหันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ ให้แล้วเรียกหาบรูคลินอีก
“บูลิโอ” คราวนี้คีธส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมนิดนึง
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ช่างมึงแล้วกัน จะทำอะไรก็ทำ
ระหว่างที่รอให้คะเรียกหาบรูคลินอยู่หน้าถังขยะ ผมก็มองรอบๆ ตัวไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่ากำแพงของตึกที่อยู่ข้างๆ ค่อยๆ สั่นคลอนแล้วขยายออกเป็นวงกลมสีดำที่มีความสูงราวสองเมตร
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งสุดตัว รีบถอยไปหลบหลังคีธทันที ก่อนที่คีธจะหันมามองยังวงกลมสีดำนั่น จังหวะเดียวกันกับที่บรูคลินออกมาจากวงกลมสีดำนั่นพอดี
“มาหาถึงที่ มีธุระอะไรเหรอครับท่านผู้พิทักษ์” บรูคลินถามเสียงเบาขณะที่วงกลมสีดำนั่นค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นผนังตึกเหมือนเดิม
“หลุมดำน่ะ” คีธไม่ตอบคำถามของบรูคลินแต่ก้มลงมากระซิบบอกผมเบาๆ ด้วยเห็นว่าผมเอาแต่ตื่นตระหนก
ผมพยักหน้า นึกขึ้นมาได้ว่าพวกไบโทปอะไรนี่มีความสามารถพิเศษในการซ่อนตัว ที่แท้มันก็สร้างหลุมดำได้นั่นเอง แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจนักหรอกนอกจากมองหน้าบรูคลินที่มองผมกับคีธด้วยสายตาสงสัย ก่อนที่ผมจะกระทุ้งข้อศอกให้คีธรีบพูดธุระ
“ตกลงว่าท่านผู้พิทักษ์มีธุระอะไรกับฉันเหรอ” บรูคลินถามเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้ง คีธเลยได้พูดในตอนนี้
“ฉันจะมาเคลียร์เรื่องระหว่างเรา”
“เรื่องระหว่างเรา?”
“ฉัน นาย แล้วก็กวินทร์” คีธว่าเสียงเรียบๆ
เอาแล้ว! ฉากรักสามเส้ามาแล้ว! ปกติผมเคยแต่เป็นคนกลางเหมือนคีธไง แต่พอตอนนี้ต้องมาเป็นคนที่ให้คีธเลือก ผมก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ
“ทะ...ทำไมเหรอครับ” ดวงตาของบรูคลินประกายวาบเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก่อนที่มันจะหายไปในเสี้ยววินาที แทนที่ด้วยคำถามแทน
“ฉันมาเพื่อจะบอกว่าหน้าที่โฮสต์ของนายจะสิ้นสุดในอีกสองวัน ฉันจะกลับไปหากวินทร์” คีธว่าออกไปตรงๆ ผมเลยได้รู้ในตอนนี้ว่าอีกสองวันก็จะได้เวลาที่คีธจะสร้างร่างใหม่แล้ว
แต่เหมือนเรื่องนี้บรูคลินจะรู้อยู่แล้วมั้ง มันเลยแค่พยักหน้าแล้วว่าเสียงอุบอิบ
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว ท่านผู้พิทักษ์เคยบอกไว้แล้ว”
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความเศร้าในน้ำเสียงของมัน แต่ก็ช่างหัวแม่ง คีธมันเป็นของผมนี่หว่า!
ถึงจะน่าอายไปหน่อยที่ใช้คำนี้แต่มันคือเรื่องจริง ผมกับมันเป็นของกันและกันในทางพฤตินัยเรียบร้อย ถึงผมจะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่ารักมันก็เถอะ แต่ก็ถือว่าผมมีสิทธิมากกว่าและไม่จำเป็นต้องแคร์ไอ้เปรตวัดสุทัศน์ที่เอาแต่ตามคีธต้อยๆ แล้วมาขู่ผมอย่างพวกขี้แพ้เพราะคีธเลือกผมด้วย ผมก็นิสัยอย่างนี้แหละ ใครจะว่าอะไรก็ช่าง แต่มันคือเรื่องจริง
แล้วคีธก็ตอกย้ำบรูคลินขึ้นมาอีกโดยการพูดออกมาสั้นๆ
“แล้วก็อย่ายุ่งกับกวินทร์อีก”
“ยุ่ง? ปกติฉันก็ไม่เคยยุ่งอยู่แล้ว” บรูคลินว่าเนิบๆ
ผมนี่โคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเลยว่าไอ้ขี้โกหก! ...ไม่สิ ขี้โกหกมันยังน้อยไป ต้องด่ามันว่าตอแหล แต่ผมไม่เคยด่าใครด้วยคำนี้ไง รู้สึกเหมือนเป็นคำที่ผู้หญิงใช้ด่ากัน งั้นเก็บไว้ในใจแล้วกัน
“แล้วที่วันนี้นายไปขู่จะทำร้ายกวินทร์ถึงในห้องน้ำคืออะไร” คีธเองก็ว่าเสียงเนิบๆ เช่นกัน และสีหน้าก็ยังตายด้านเช่นเดิม แต่ดวงตาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังโกรธ
บรูคลินสะดุ้งน้อยๆ จนผมเห็นได้ก่อนจะหลบสายตาทันควัน
“คะ...คือ...”
คืออะไรของมึง! มึงก็บอกไปสิว่ามึงกะตบหัวกูหลุดแล้วเก็บไอ้คีธไว้เองน่ะ!
ผมคันปากยุบยิบเลย แต่ก็อดทน รอให้คีธเป็นคนจัดการ ดูซิว่ามันจะจัดการได้ดีมั้ย แต่ก็ตามแบบฉบับมันล่ะนะ เป็นคนพูดไม่แรง ทว่าตรง... ตรงชนิดแสกหน้าบรูคลินหงายไปเลย
“ยังไงก็ตาม ต่อจากนี้นายอย่าเข้าใกล้กวินทร์อีก กวินทร์เป็นแม่พันธุ์ของฉัน เป็นคนที่ฉันผูกพันด้วย อย่าให้เราต้องบาดหมางกันเพราะแบบนี้ ส่วนเรื่องการเป็นโฮสต์ของนาย ถึงจะเหลือเวลาอีกสองวัน แต่ฉันคงจะต้องขอให้สิ้นสุดตั้งแต่วันนี้ ต่อไปนี้ฉันจะไม่พึ่งพาสารอาหารจากนายอีกแล้ว ขอบใจมากที่คอยดูแล...บูลิโอ”
บรูคลินมองหน้าคีธอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะโพล่งออกมา
“ตะ...แต่ว่าท่านผู้พิทักษ์จำเป็นต้องกินสารอา...”
“แค่สองวัน ฉันอดได้” คีธพูดโดยที่ยังไม่สิ้นเสียงบรูคลินด้วยซ้ำ
แต่บรูคลินไม่ยอมแพ้ ช้อนตามองคีธด้วยสายตาที่ผมดูปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นสายตาตัดพ้อระคนขอร้อง
“แต่...แต่ว่าฉันหวังดีกับท่านผู้พิทักษ์มาตลอด”
หวังดีที่ว่าคงจะหมายถึงเรื่องที่มันแอบชอบคีธมาตั้งนมนานกาเลนั่นแหละ
และก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธเลิกคิ้วสูงให้มันได้พูดต่อ
“ฉันหวังว่าจะได้เป็นโฮสต์และเป็นคนที่ท่านผู้พิทักษ์ผูกพันด้วยตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรกบนดาวบ้านเกิดของฉัน แต่ว่าทำไมถึงเป็นมนุษย์โลกชาติพันธุ์ต่ำต้อยอย่างนั้นล่ะ ชาติพันธุ์ด้อยอย่างนั้นมีดีตรงไหน”
เฮ้ยๆ นี่มึงสู้ไม่ได้เลยเริ่มลามมาดูถูกชาติกำเนิดกูเหรอวะ!?
ผมเกือบจะของขึ้นแล้วถ้าคีธไม่พูดขึ้นมาซะก่อน
“ฉันมีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่เลือกกวินทร์”
บรูคลินสบตาคีธทันที ผมเองก็มองซีกหน้ามันเช่นกัน อยากรู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรถึงเลือกผม ก่อนที่ผมจะใจเต้นรัวเมื่อมันเผยอริมฝีปากตอบออกมา
“ฉันรักกวินทร์”
ถ้ามึงพูดอย่างนี้ มึงวิ่งไปต่อยหน้าไอ้บรูคลินเลยก็ได้นะ!
ผมหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงต่อเลยที่จู่ๆ มันก็ประกาศความรักต่อหน้าคนอื่น จริงๆ การที่ถูกมันเอาท์ดอร์จนคนรู้กันทั้งกองถ่ายนี่มันน่าอายกว่านะ แต่นี่มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงไง ผมก็เลยอดอายไม่ได้
“ขอร้อง อย่ายุ่งกับกวินทร์อีก” คีธย้ำคำอีกครั้งแล้วหันมามองหน้าผม
ผมหลบสายตามัน ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ทันทีด้วยสายตามันที่มองผมบ่งบอกชัดเจนว่ามันรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ มีแต่บรูคลินนี่แหละที่ไม่ได้ปีติยินดีอะไร ก้มหน้างุดแล้วพยักหน้ารับช้าๆ
“ครับ เข้าใจแล้ว”
“ขอบใจมาก”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะ” บรูคลินเป็นฝ่ายตัดบท ก่อนจะวางมือลงบนผนัง เปลี่ยนผนังให้เป็นหลุมดำอะไรนั่นอีกแล้วหายเข้าไปข้างใน
ผมกับคีธยืนนิ่ง มองดูกระทั่งหลุมดำนั่นกลับมาเป็นผนังตึกเหมือนเดิม ก่อนที่ผมจะลอบยิ้มออกมาอย่างกระหยิ่มใจ
เป็นไงล่ะมึง! เมียน้อยหรือจะสู้เมียหลวง! ให้รู้ซะมั่งว่าใครเป็นใคร!
“กวินทร์”
ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ของตัวเองเมื่อถูกคีธเรียก ก่อนรีบเก็บสีหน้า หันไปมองมัน
“อะไร”
“เคลียร์ให้แล้วนะ” คีธว่า
“เออ เห็นแล้ว” ผมทำเป็นกลอกตาไม่สนใจมัน
ทว่าคีธกลับคว้ามือผมขึ้นมาจูบแล้วว่าอีกครั้ง
“ขอโทษที่ไม่ได้เคลียร์ให้ทั้งที่ควรจะทำตั้งนานแล้ว”
“นายไม่รู้นี่หว่า ไม่เป็นไรหรอก เคลียร์แล้วก็แล้วกันไป” ผมว่าทั้งที่ใจก็อยากจะด่ามันเหมือนกันว่าเพราะมันไม่สนใจ เรื่องมันเลยเป็นแบบนี้ไง
แต่คีธก็ทำให้ผมต้องเก็บอาการหัวเสียลงไปเมื่อมันยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าผมเอาไว้ แล้วประทับจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ
“ฉันรักกวินทร์นะ”
“อะ...อืม” ผมใจเต้นระส่ำ ไม่กล้าสบดวงตาคู่สวยที่เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งเลยแม้แต่น้อย แถมจูบเสร็จแล้ว คีธก็ไม่ยอมปล่อย เอาแต่ค้างอยู่ท่านั้น ก่อนจะพูดประโยคเดิมขึ้นมาอีก
“รักกวินทร์”
“อืม”
“รักกวินทร์คนเดียว”
“...”
“รักกวินทร์ที่สุด”
กูรู้แล้ว มึงจะย้ำทำไมนักหนา หน้ากูร้อนยิ่งกว่าเตารีดแล้วเนี่ย!
ผมสะบัดหน้าออกจากการเกาะกุม แต่คีธไม่ยอมปล่อย ผมเลยมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง
“ปล่อยได้แล้ว”
“รักกวินทร์” และมันก็ยังพูดคำเดิมอยู่ ผมเลยชักจะหงุดหงิดละ
“รู้แล้ว จะพูดทำไมนักหนา”
“ก็รอให้กวินทร์พูดบ้าง” มันว่าออกมาหน้าซื่อๆ
ผมเลยเข้าใจในตอนนี้เองว่าที่ทำเป็นบอกรักผมหลายๆ รอบนี่มันหวังอะไร แต่ผมไม่บอกมันหรอก เรื่องอะไรจะบอกล่ะ ตกหลุมรักมันหน่อยๆ ยังไม่ได้หมายความว่าจะรักซะหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าบอกมันไป มันคงจะได้ใจ จับผมกดเอาๆ แน่
“กลับกันเถอะ” ผมเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ หากแต่คีธไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี แถมยังว่าด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ไม่กลับจนกว่ากวินทร์จะบอกว่ารักฉัน”
ก็กูไม่อยากบอก มึงจะมาบังคับกูทำไมเนี่ย!
ผมย่นคิ้วยู่ อยากด่ามันฉิบเป๋ง แต่ไม่ทันจะได้อ้าปากด่า คีธก็บดจูบลงมาบนเรียวปากผมอีกครั้ง แถมครั้งนี้ไม่ใช่การจูบแบบธรรมดา เป็นการจูบอย่างดูดดื่ม สัญชาตญาณบอกผมเลยว่ามันต้องการอะไร
ก็จะอะไรล่ะ มันก็จะเอาท์ดอร์อีกน่ะสิ แถมยังเป็นเอาท์ดอร์ท้ายซอยชนิดเปิดโล่ง ไม่มีอะไรบัง และอยู่หน้าบ้านอดีตเมียน้อยมันอีกด้วย ถึงกูอยากจะหยามหน้าไอ้บรูคลินแค่ไหน แต่มึงก็ไม่ต้องช่วยกูขนาดนี้ก็ได้ มันมากไป!
“ดะ...เดี๋ยว...”
ผมพยายามเปล่งเสียงบอกเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระขณะที่คีธสอดมือเข้ามาใต้เสื้อผม ไล่พรมจูบไปทั่วลำคออย่างกระหาย ก่อนที่จะดันผมไปพิงกับกำแพง ถลกเสื้อผมขึ้นเพื่อดูดกลืนยอดอก ผมเผลอกำเส้นผมนุ่มของคีธแน่น อดทนต่อความหวามไหวที่ประดังประเดเข้ามา ได้สติอีกครั้งเมื่อมือของคีธที่วุ่นวายกับการลูบไล้หน้าอกและหน้าท้องผมอยู่เริ่มเลื่อนลงต่ำไปยังขอบกางเกง
“บอกว่าเดี๋ยว” ผมกระชากเสียงเล็กน้อย คีธชะงัก มองหน้าผมทันใด
“มีอะไรเหรอกวินทร์”
มึงยังจะมีหน้ามาถามอีกว่ามีอะไร นี่มันกลางถนนนะเว้ย! ถึงจะเป็นกลางถนนแคบๆ เล็กๆ มืดๆ แต่กูก็ไม่อยากจะเอาท์ดอร์ในที่แบบนี้ ที่สำคัญ ใกล้ๆ กูกับมึงนี่มันถังขยะใบบักเอ้ก มึงช่วยสงสารจมูกกูด้วย!
“กลับไปทำที่ห้อง” ผมขี้เกียจอธิบายยาวเลยพูดสั้นๆ
แต่คีธไม่ฟัง ปลดตะขอกางเกงผมออกแล้วดึงลงต่ำให้ผมได้แหกปากขึ้นมาดังกว่าเดิมน้อยๆ
“ฉันไม่อยากทำตรงนี้!”
“แต่ฉันอยาก... อยากฟังเสียงของกวินทร์”
“ก็บอกให้กลับไปฟังที่ห้อง ฉันไม่อยากเอาท์ดอร์ในที่แบบนี้เว้ย” ผมยังคงยืนยันคำเดิม
คีธชะงักอีกครั้ง หยุดมือที่เตรียมจะกระทำชำเราผมทันใด ผมเกือบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วถ้ามันไม่พูดขึ้นมาหน้าตาย
“งั้นก็ไปทำที่รถกัน”
ผมเบิกตาโต มองตามไปยังรถอะไรนั่นที่คีธว่าทันที ก่อนจะเบิกตาโพลงหนักเมื่อเห็นว่ารถนั่นเป็นรถเก่าๆ ฝุ่นจับของใครก็ไม่รู้ที่จอดทิ้งร้างไว้อยู่ไม่ไกล ผมทำท่าจะร้องห้ามแต่ไม่ทันแล้ว คีธจัดการแบกหัวแบกท้ายผมไปที่รถเรียบร้อย ก่อนที่มันจะใช้มือข้างหนึ่งเปิดประตูเบาๆ ปรากฎว่ามันล็อค ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับคีธเพราะแค่มันลองเปิดอีกครั้งด้วยแรงที่มากกว่าเดิม ประตูรถโกโรโกโสก็เปิดผางออกมาทันที
คีธวางผมลงบนเบาะด้านหลังก่อนจะตามเข้ามานั่งแล้วปิดประตู ผมรีบหันไปทางประตูอีกข้างเตรียมจะหนี แต่คีธดันไวกว่า จับผมขึ้นมานั่งบนตักซะอย่างนั้น
“กวินทร์อยู่ข้างบนนะ”
“ใครบอกว่าจะทำวะ! ฉันจะกลับห้อง!” ผมโวยวายเลยที่จู่ๆ ก็ถูกมัดมือชก ทุบอกมันไปด้วยทีนึง
คีธรวบแขนทั้งสองข้างผมไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวทันใด
“ฉันไม่ให้กวินทร์กลับจนกว่ากวินทร์จะยอมบอกรักฉัน ไม่บอกก็ไม่ให้กลับ”
โห... มึงต่อรองมาอย่างนี้ กูก็บอกเลยแล้วกัน!
“รัก! รักมาก ปล่อยได้แล้ว!” ผมพูดโดยไม่ต้องคิด แต่คีธก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังจัดการถอดเสื้อผมออกอีก
“ไม่เอาแบบนี้ เอาหวานๆ” แล้วก็ว่าด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
มึงมันเจ้าเล่ห์ไอ้คีธ! ได้คีบจะเอาศอกเหรอวะ!
ผมสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง ตั้งสติก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิม
“รักนะ” ว่าแล้วก็ต้องหลบตา
อะ...อายฉิบเป๋ง...
“รักใคร” แต่มันไม่จบ ยังถามต่ออีก
ผมตวัดหางตาไปมองมัน โคตรอยากเอาหัวโหม่งหน้ามันเลยแต่คิดว่ามันคงจะไม่เจ็บ ก็คงไม่เจ็บนั่นแหละ ถึกขนาดนี้ มีแต่ผมนี่แหละที่เจ็บ ผมเลยเลือกวิธีที่ฉลาดกว่านั้นโดยการบอกรักมันแทน
“รักคีธ”
“ใครรักใคร”
มึงจะเอาอะไรนักหนาวะ!
“กะ...กวินทร์รักคีธ” สุดท้ายก็พูดอยู่ดีนั่นแหละ ไม่งั้นโดนมันจัดการกินหัวกินหางในรถนี่แน่
คีธยิ้มออกมาอย่างพึงใจ มีหัวเราะในลำคอด้วย ผมเกือบจะโล่งใจว่ารอดตัวแล้ว แต่เปล่า... เปล่าเลย มันยังไม่พอใจ มันยังจะเอาอีก
“แต่ฉันอยากฟังประโยคนี้ตอนกวินทร์เสียวดังมากกว่า”
นั่นไง! บอกแล้วว่ามึงน่ะเป็นพวกได้คีบจะเอาศอก!
“ไม่ต้องเลย!” ผมโวยวายอีกครั้ง ทว่าคีธก็ไม่ฟังแล้ว จัดการล็อคผมให้ตะแคงข้างเล็กน้อยเพื่อดึงกางเกงยีนส์ลง
ผมขัดขืนใดๆ ไม่ได้เลยด้วยพื้นที่ในนี้มันแคบ แถมยังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เคลื่อนไหวเพราะความเก่าของโช๊ครถอีก และพอจัดการกับผมได้ มันก็ปลดเข็มขัดกางเกงตัวเอง เตรียมพร้อมจะปฏิบัติการทันใด
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะคีธ” ผมรีบดักคอถึงจะรู้ว่าไม่รอดแน่
แต่คีธก็ไม่ฟังอยู่ดี จับผมขึ้นมานั่งคร่อมบนหน้าขามันอีกครั้งแล้วกระซิบเสียงพร่า
“บอกแล้วว่าจนกว่ากวินทร์จะบอกรักฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้กลับบ้าน”
พูดจบ มือใหญ่ก็แตะลงมายังส่วนอ่อนไหวของผมทันที ผมพยายามจะหนีแต่ก็ถูกมืออีกข้างรั้งเอวเอาไว้แนบชิดกับร่างของคีธ ไอ้คำสุภาษิตที่ว่าจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอดนี่ฉายแวบเข้ามาในหัวผมเลย ผมอยู่ในกำมือไอ้มนุษย์ต่างดาวหื่นกามนี่โดยแท้จริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ มาก มิหนำซ้ำ คีธยังทำให้ผมคลั่งกว่าเดิมโดยการจรดปลายลิ้นลงมาบนยอดอกผม เลียวนเบาๆ จนผมส่งเสียงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่ขัดขืนๆ ก็กลายเป็นว่าแอ่นรับสัมผัสวาบหวามเสียอย่างนั้น
เพลิงราคะถูกปลุกขึ้นมาจนผมไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป มือที่ดันหน้าอกคีธให้ออกห่าง บัดนี้กลายเป็นตระกรองกอดหมอนั่นแน่นขณะที่ถูกจัดการกับหน้าอกไม่ลดละ
“อา...คีธ...”
เอาอีกแล้ว... ครางร้องเรียกมันอีกแล้ว เกลียดตัวเองเป็นบ้าเลยให้ตาย
“บอกรักฉันสิกวินทร์” คีธว่าด้วยน้ำเสียงกระเส่าไม่แพ้กันทั้งที่ปากยังคงวนเวียนอยู่กับช่วงอกของผม
ผมเหมือนคนไร้สติ พูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
“รัก... รักนะคีธ”
“บอกสิว่าทนไม่ไหวแล้ว”
ทนไม่ไหวอะไรของมึง! มึงกะจะให้กูต้องการมึงแล้วร้องเรียกมึงอะไรประมาณนี้ใช่มั้ย!
ก็ใช่นั่นแหละ ผมเองก็เคยหยอกเล่นกับผู้หญิงที่เคยนอนๆ ด้วยมาก่อนเหมือนกัน ผมอยากจะปฏิเสธนะ แต่ตอนนี้ร่างกายมันปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว ความกำหนัดมันรุกรานผมมากเกินไป เห็นทีคงจะต้องยอมจำนน
“ทะ...ทนไม่ไหวแล้ว”
“ขอร้องสิ”
มึงพอซะทีเถอะ! กูทนไม่ไหวจนจะเป็นฝ่ายปล้ำมึงได้อยู่แล้วเนี่ย!
“ขอร้อง... ทำสักที” ผมกัดฟันแน่นขณะพูด ใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วยขณะที่คีธยิ้มเผล่แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“กวินทร์น่ารัก” ว่าจบก็จูบผมเบาๆ ทีนึง ก่อนจะใช้สองมือยกตัวผมขึ้น
ผมเกร็งตัวเล็กน้อยกับความรู้สึกเสียวซ่านที่แล่นพล่านทั่วกาย เมื่อทุกอย่างเข้าที่ คีธจึงเริ่มขยับมือที่เกาะสะโพกผมอยู่ให้เคลื่อนไหวช้าๆ และค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อถึงเวลา ส่วนมืออีกข้างก็ยังกุมส่วนอ่อนไหวของผมไว้มั่นและขยับตามจังหวะด้วยเช่นกัน
เสียงผมกับเสียงรถโยกดังประสานกันจนแทบจะเป็นเสียงเดียว ดีที่ซอยนี้เป็นซอยตันอย่างที่บอกในตอนแรก แถมยังไม่มีไฟ และรถนี่ก็จอดอยู่ในมุมที่โคตรจะมืดเลยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็น ถ้าจะมีใครมาเห็น คนนั้นก็คงจะเป็นไอ้บรูคลินนั่นแหละ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ความตื่นเต้นที่กระจายห้อมล้อมเราสองคนก็เหมือนใกล้จะสิ้นสุด ผมกอดคีธแน่นเมื่อความเสียวซ่านมากกว่าเดิมแล่นพล่านไปทั่วสพางค์กายให้ผมได้กระตุกเฮือก คีธก็กระตุกน้อยๆ เช่นกันก่อนจะหยุดมือที่เคลื่อนสะโพกผม ปล่อยให้ผมทิ้งตัวกอดร่างใหญ่พลางหายใจเหนื่อยหอบ คีธกอดผมตอบแน่นพลางว่าเสียงพร่า
“รักนะกวินทร์”
“อืม... รักเหมือนกัน” ผมว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ถึงจะไม่ใช่น้ำเสียงที่หวานชวนฝันอะไร แต่ดูเหมือนว่าคีธจะพอใจเพราะมันจับผมผละออกจากตัวเล็กน้อยแล้วประทับจูบเบาๆ
“ในที่สุดก็พูดซะทีนะ”
“ถ้าไม่พูด นายก็ไม่ปล่อยให้ฉันกลับ ฉันเลยต้องพูดนี่ไง วิธีของนายนี่มันสกปรกชะมัด” ผมแสร้งว่า ไม่ยอมสบตามันด้วย
คีธหัวเราะแล้วลูบเส้นผมของผมเบาๆ
“แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนปากแข็งอย่างกวินทร์บอกรักฉันได้”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไป คีธเลยกอดผมแน่นอีกครั้งพลางกระซิบบอกให้หัวใจผมพองโต
“ฉันรักกวินทร์นะ รักมาก รักกว่าใคร”
“ก็บอกแล้วไงว่ารู้แล้ว” ผมว่าอู้อี้ “ฉันก็รักนายเหมือนกัน”
ถึงตอนนี้ก็คงต้องยอมรับแล้วล่ะสินะความรู้สึกนี้เนี่ย
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.25]--06/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 07-01-2016 18:30:26
Episode 26: I love you, Keith[2]
เอาท์ดอร์เมื่อคืนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนักหรอกถ้าหากว่าในรถนั่นไม่มีฝุ่นจับเกรอะกรังจนเปื้อนเสื้อผ้าผมเต็มไปหมด กลับมาถึงอพาร์ตเม้นต์ ริชาร์ดกับแอสตันมันเลยรู้กันหมดเลยว่าผมกับคีธไปทำอะไรกันมา ผมก็ขี้เกียจหาข้ออ้างเลยยอมรับไป ริชาร์ดมันก็เลยแซวไม่เลิกจนถึงวันใหม่ ดีที่แอสตันมันไม่ตามมาแซวด้วยอีกคนเพราะมันต้องไปหาเจเนซิสเรื่องยาบ้าบอคอแตกอะไรของพวกมันก็ไม่รู้ และแน่นอนว่าการที่แอสตันไป คีธก็ต้องไปด้วย พวกมันก็เลยลางานกันอีก ครั้งนี้ลากันสองวันด้วย เห็นว่าต้องหารือเรื่องสำคัญอะไรกันสักอย่าง ผมก็ไม่รู้นักหรอก
ผมเลยมาทำงานกับริชาร์ดและยังคงเกาะกันเหนียวแน่นเหมือนเดิมเพื่อความปลอดภัย บรูคลินก็มาทำงานเช่นกันแต่หมอนั่นไม่มายุ่งกับผมแล้ว เรียกว่าไม่มองหน้าเลยดีกว่า บางครั้งเหลือบมองมาแบบไม่ได้ตั้งใจ มันก็ทำเป็นเมินอย่างรวดเร็ว
ดูมันทำสิ ทำอย่างกับผมไปฆ่าหมาบ้านมันตายยังงั้นแหละ แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่มายุ่งกันก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องจะถูกมันเอาร่างจริงมาตบหัวหลุดอีก ส่วนซีเลนก็ไม่มายุ่งกับผมเช่นกัน แค่มองๆ แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ผมเลยโล่งใจไปได้อีกวัน
ส่วนการทำงานวันนี้ก็เหมือนเดิม ต่างนิดเดียวตรงงานค่อนข้างหนักกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะเริ่มเข้าฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องแล้ว วันนี้เราก็เลยเลิกงานกันดึกเป็นพิเศษ ผมน่ะเสร็จงานตั้งนานแล้ว แต่ริชาร์ดที่จะต้องยวุ่นวายกับการถ่ายฉากแอคชั่นในวันพรุ่งนี้ยังต้องอยู่ต่อเพื่อวางแผนเรื่องการจัดตำแหน่งเอฟเฟ็กต์ระเบิด มันก็เลยบอกให้ผมกลับก่อนเพราะเห็นผมนั่งสัปหงกรอมันหลายรอบแล้ว ถึงจะไม่สมควรจะแยกกับมันนัก แต่ผมก็ยอมกลับมาก่อนเพราะเหนื่อยชนิดทนไม่ไหวจริงๆ
วันนี้ก็คงจะกลับแท็กซี่นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไร แท็กซี่ที่น่าจะพลุกพล่านกลับไม่มีเลยสักคัน ผมเลยตัดสินใจเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีแทน และไม่รู้อะไรดลใจผมให้ไม่เดินไปยังถนนเส้นใหญ่ แต่เดินไปยังถนนเส้นเล็กที่เป็นตรอกทะลุถึงกันได้แทน คงเป็นเพราะผมรู้ว่านี่เป็นทางลัดที่จะพาผมไปถึงที่หมายโดยไม่อ้อมล่ะมั้ง ผมเลยเลือกจะไปทางนี้
ทว่าการเลือกเดินไปตามเส้นทางนี้เหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดสักหน่อย เพราะพอผมเดินมาได้ถึงกลางทาง ผมก็รู้สึกเหมือนมีใครเดินตาม ตอนแรกก็คิดว่าคิดไปเอง แต่พอหันไปมอง ก็เห็นชายร่างใหญ่สามคนเดินตามมาติดๆ ผมเลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทว่าพวกมันก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนกัน ตอนนี้ผมเลยแน่ใจเลยว่าคนพวกนี้ต้องมาไม่ดีแน่
มันก็ต้องแน่อยู่แล้วล่ะ ถ้ามาดี มันคงไม่ตามติดผมชนิดเป็นเงาตามตัวแบบนี้หรอก
ผมตั้งท่าจะเลี้ยวออกจากตรอกนี้ตรงหัวมุมข้างหน้า ทว่ายังไม่ทันจะก้าวไปถึง ผู้ชายพวกนั้นก็ปรี่เข้ามาดักหน้าและล้อมผมไว้แล้วเรียบร้อย
“เฮ้ย จะทำอะไรเนี่ย”
ผมถามอย่างปัญญาอ่อนเลย แต่ไม่มีใครตอบ ผมเลยได้แต่ปรายตามองผู้ชายร่างยักษ์สามคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ การที่พวกมันโผล่มาดักหน้าดักหลังผมตอนกลางคืนในที่เปลี่ยวแบบนี้ ผมคิดได้ไม่กี่อย่างเท่านั้นแหละว่ามันต้องการจะปล้น ถึงจะได้เห็นหน้าตาพวกมันชัดๆ ตอนนี้และประจักษ์ได้ว่าพวกมันหน้าตาโคตรจะดีและหุ่นประหนึ่งนายแบบก็ตาม แต่มาล้อมหน้าล้อมหลังไว้แบบนี้มันต้องไม่มาดีแน่ ผมเลยทำท่าจะยื่นกระเป๋าเงินให้มันเพื่อเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณ หากแต่ไม่ทันจะได้สอดมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“กลิ่นของยูนิกม่า” ว่าพลางจ้องหน้าผมนิ่ง “ไม่เป็นโฮสต์ก็ต้องเป็นแม่พันธุ์”
ผมชะงักงัน กลืนน้ำลายเอื้อกเลย จากที่คิดว่าพวกมันจะต้องเป็นโจรบ้าห้าร้อยอะไรนี่ก็เปลี่ยนความคิดทันที
ไอ้พวกนี้ก็มนุษย์ต่างดาวเหรอวะ!? ช่วงนี้จะเจอมนุษย์ต่างดาวเยอะเกินไปแล้วนะเว้ยไอ้กวินทร์!
และการที่มันมาพูดว่ากลิ่นยูนิกม่าอะไรนี่ก็ทำให้ผมตระหนักได้ทันทีว่าพวกมันจะต้องเป็นศัตรูของคีธกับแอสตันแน่
ไอ้พวกเซนไทน์บ้าบอคอแตกนี่ยังไงล่ะ! และนี่ก็คงจะตามมาเพราะได้กลิ่นบ้าๆ อะไรนี่ล่ะสินะ!
สัญชาตญาณบอกให้ผมรีบหันหนี แต่พอผมตั้งท่าจะออกวิ่งก็ต้องชะงักเมื่อพวกมันวิ่งมาดักหน้าดักหลังผมเอาไว้เสียก่อน
“ไปกับพวกเราถ้าไม่อยากตาย เจ้ามนุษย์โลก”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก สายตามองคนพูดอย่างหวาดๆ จริงๆ แล้วก็ควรตามมันไปแต่โดยดีเพื่อรักษาชีวิต แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าการตามมันไปจะเป็นความคิดที่ดี ถ้าเกิดตามมันไป ผมว่ามันก็คงใช้ผมเป็นตัวล่อให้คีธออกมานั่นแหละ และพอคีธออกมา ผมก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะทำอะไรกับคีธ ที่แน่ๆ คือถ้าผมหมดประโยชน์เมื่อไหร่ พวกมันฆ่าผมทิ้งแน่
เพราะคิดแบบนี้ ผมก็เลยทำท่าจะหนีอีกรอบ หากแต่ก็ต้องชะงักงันอีกครั้งเมื่อถูกพวกมันดักทางไว้ ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อพวกมันว่าเสียงต่ำพร้อมกับกลายร่างเป็นร่างเดิมด้วย ผมมองชายทั้งสามที่แปลงร่างจากร่างมนุษย์ธรรมดาที่ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนทั่วไป กลายเป็นชุดเกราะสีดำเงาทั้งตัว มีหนามแหลมๆ ยาวประมาณข้อแขนงอกออกมากจากเกราะทางหัวไหล่ข้างละสามอัน นัยน์ตาดำสนิทจนมองไม่เห็นตาขาวอย่างสะพรึง และยิ่งสะพรึงมากขึ้นไปอีกเมื่อหนึ่งในนั้นว่าเสียงต่ำออกมา
“จริงๆ การหนีจะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้น แต่ไม่ต้องห่วง เมื่อข้ารู้ว่าใครที่เจ้าเป็นโฮสต์ให้เมื่อไหร่ เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”
เห็นมั้ยเล่าว่าสุดท้ายมันก็จะฆ่าผมเมื่อหมดประโยชน์ พล็อตหนังอมตะชัดๆ!
แล้วใครมันจะไปอยู่รอให้มันลากไปฆ่ากันล่ะ ไม่สนใจด้วยว่ามันอาจจะเพิ่งมาถึงโลกเพราะการพูดของมันยังเป็นสำนวนโบราณเหมือนกับที่คีธเคยพูดในตอนแรกแม้แต่น้อย และผมก็มั่นใจด้วยว่าตราบใดที่ผมยังมีประโยชน์อยู่ พวกมันก็ไม่ฆ่าผมหรอก นี่แหละโอกาสหนีเอาตัวรอดล่ะ!
ผมหาทางหนีอีกครั้งก่อนจะสบโอกาสวิ่งสี่คูณร้อย หากแต่วิ่งหน้าตั้งมาได้ยังไม่ถึงหัวมุมถนน ผมก็ต้องเบรคตัวโก่งเมื่อพวกมันกระโดดดึ๋งมาดักหน้าผมเอาไว้ได้อีกครั้งในการกระโดดเพียงครั้งเดียว
นี่พวกมึงเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือตั๊กแตน!?
ดูก็รู้เลยว่าหนีไม่รอดแล้วแน่ๆ หัวผมฉายภาพใบหน้าของคีธขึ้นมาทันใด ภาวนาในใจว่าขอให้มันรู้ว่าผมกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วรีบมาช่วยผมอย่างที่พระเอกหนังไทยทำๆ กัน
ก็มันมีประสาทสัมผัสดีนี่หว่า อย่างน้อยๆ ก็น่าจะได้ยินเสียงผมบ้างล่ะ
“ชะ...ช่วยด้วย!” ผมเลยตัดสินใจตะโกนสุดเสียงในตอนนั้น
พวกมนุษย์ต่างดาวตรงหน้าไม่สะทกสะท้าน กางเกราะทรงกลมบางอย่างออกมาจากทางด้านหลัง ผมได้ยินเสียงตัวเองสะท้อนกลับเข้าหูดังลั่นจนต้องยกมือขึ้นปิดหู ขณะที่พวกมันย่างเท้าสามขุมเข้ามาใกล้พร้อมกับเก็บเกราะทรงกลมนั่นลงไปเหมือนเดิม
“เกราะเก็บเสียง ต่อให้เจ้าตะโกนจนคอแตก ยูนิกม่าของเจ้าก็ไม่อาจได้ยิน”
อะ...ไอ้พวกนี้... คุณสมบัติมึงเยอะเกินไปแล้ว!
“ไปกับเรา อย่าให้ต้องใช้กำลัง” มันพูดขึ้นมาอีก
เหงื่อกาฬผมไหลพรากตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเป็นน้ำตกทันใด ใจคิดแล้วว่าคงไม่รอดแน่ๆ ทว่าในจังหวะที่พวกมันกำลังจะเอื้อมมือมาจับผม ร่างของใครบางคนก็พุ่งเข้าปะทะหนึ่งในสามคนตรงหน้าผมจนกระเด็นไปไกล ทั้งผม ทั้งมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นรีบมองไปยังตัวการ ก่อนที่ผมจะอ้าปากค้างขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าของคนทำขณะที่คนทำซึ่งจัดการน็อคดาวน์มนุษย์ต่างดาวตัวหนึ่งลงไปหมอบราบคาบแก้วกับพื้นลุกขึ้นมาพูดเสียงต่ำ
“นั่นคนของฉัน อย่าคิดจะแตะแม้แต่ปลายเล็บเชียว”
ซะ...ซีเลน!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 07-01-2016 19:51:48
อะไรยังไง   :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 07-01-2016 21:30:52
อาร๊ายยยยย ตกลงว่าซีเลนเป็นตัวไรกันแน่  :hao4:
รอลุ้นนนนน  :z3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 07-01-2016 21:47:20
ซีเลนแย่งบนพระเอกหลายรอบละ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 07-01-2016 23:08:23
คราวนี้ซีเลนจะเป็นพระเอก ถึงจะแอบเกีลยดตรงที่อ้างว่ากวินทร์เป็นของตัวเองก็เถอะ...
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 07-01-2016 23:57:27
ซีเลน แลดูเริ่มจะเด่นนำหน้าคีธแล้วนะ แอบคิดว่าซีเลนคงไม่ใช่พวกตัวร้าย แค่ดีไม่พอจะเป็นพระเอกเท่านั้นเอง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 08-01-2016 11:28:40
ติดตาม ๆๆๆชอบๆๆๆ
พล็อตเรื่องแปลกดี
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2016 00:44:34
ตอนพิเศษวันเด็กจ้า ตอนนี้บอกเลยว่าวุ่นวายมว้ากกกก กวินทร์นางวุ่นวายมาก เป็นขุ่นแม่ที่จู้จี้จุกจิกขี้โวยวาย ส่วนบักคีธก็...ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาคมพ่อบ้านใจกล้าจย้าาาา ฮาาา
----------------------------------

Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[1]
 
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเลิกตั้งหน้าตั้งตาคอยวันเด็กไปตั้งแต่ตอนอายุเท่าไหร่ ที่รู้ๆ ตอนนี้คือ วันเด็กก็คือวันธรรมดาอีกวันที่ผมต้องทำงาน ถึงแม้ว่าวันเด็กของอเมริกาจะเป็นวันอาทิตย์ที่สองของเดือนมิถุนายนก็เถอะ แต่โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่างผม ถ้าอยู่ในช่วงที่เปิดกล้องแล้ว วันไหนก็คือวันทำงานทั้งนั้น ยิ่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น และผมก็เป็นโปรดิวเซอร์ไฟแรงอยู่ในขณะนี้ด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าตอนนี้คิวทองแค่ไหน แทบไม่มีเวลาเจอหน้าลูกผัวเลยเถอะ
อย่าว่าแต่เจอหน้าลูกผัวเลย แค่เวลาจะหายใจหรือนั่งพักแบบสมองว่างๆ สักห้าหรือสิบนาทียังไม่มี
แต่ถึงผมจะมองว่าวันเด็กก็คือวันธรรมดา ทว่าสำหรับลูกๆ ผมอย่างคีตากับคินน์แล้ว วันพรุ่งนี้มันไม่ใช่วันธรรมดาๆ สองคนนั้นถามผมแทบทุกวันว่าเมื่อไหร่จะถึงวันอาทิตย์และมีสีหน้าตื่นเต้นระคนดีใจทุกครั้งที่ผมบอกจำนวนวันที่เหลืออยู่กลับไป ทั้งหมดก็เพราะเมื่อเดือนก่อน ผมดันไปรับปากลูกๆ ไว้ว่าจะพาไปเที่ยวธีมปาร์คตอนวันเด็ก เรื่องยุ่งยากมันก็เลยบังเกิด ผมต้องเปลี่ยนแพลนการทำงานตลอดอาทิตย์ใหม่ทั้งหมด ทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อที่จะขอลาหยุดในวันพรุ่งนี้
สุดท้ายเมื่อคืนก็ต้องทำงานล่วงเวลา กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปตีสาม กลับถึงบ้านตีสี่ แต่นรกคืออะไรรู้มั้ย... นรกก็คือพอหกโมงเช้าตรงเด๊ะ คีตากับคินน์ก็บุกเข้ามาในห้องนอน ปลุกผมที่เพิ่งจะนอนไปได้แค่สองชั่วโมงให้ตื่นทั้งๆ ที่ผมบอกลูกๆ ไปแล้วว่าจะออกจากบ้านตอนเก้าโมง เพราะธีมปาร์คเปิดสิบโมง ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง ไปสายหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ทว่าเหมือนไอ้ลูกพวกนี้จะนับเลขไม่เป็น
เลขเก้าคือเลขหกกลับหัวนะเว้ยไอ้เด็กพวกนี้!
“อืม... คีตา คินน์... พ่อจะนอน” ผมงึมงำ ตางี้เปิดไม่ขึ้นเลย มึนหัวมาก
แต่ทั้งคีตาทั้งคินน์ไม่มีใครฟัง ปลุกให้ผมตื่นอยู่นั่น
“แต่นี่มันเช้าแล้วนะฮะพ่อกวินทร์ ตื่นเร็วเข้า ไปเที่ยวกัน!” ผมไม่เห็นหน้าว่าใครพูด แต่เสียงร่าเริงแบบนี้ต้องเป็นเสียงของคินน์แน่ แถมปลุกผมอย่างเดียวยังไม่พอ เอามือเล็กๆ มาเขย่าไหล่ผมอีก
“ห้านาทีนะคินน์...” ผมว่าโดยไม่ลืมตา หากแต่คินน์ไม่สนใจฟังแม้แต่น้อย
“นาทีนึงของพ่อกวินทร์ก็คือหนึ่งชั่วโมง ห้านาทีก็ห้าชั่วโมง ผมไม่ให้พ่อกวินทร์นอนต่อหรอก ตื่นเดี๋ยวนี้!” ตอนนี้คินน์เริ่มโวยวายละ
ผมเลยพลิกตัวหนี ตลบผ้าห่มคุมโปงแล้วทำเป็นไม่สนใจ ทว่าการเมินหนีลูกก็เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้สำแดงฤทธาซะงั้น
“ถ้าพ่อกวินทร์ไม่ตื่น คินน์ก็จะไม่ให้นอน!” ว่าแล้วก็ปืนขึ้นเตียง ก่อนจะกระโดดไปมาพลางส่งเสียงร้องไปด้วย “พ่อตื่น! พ่อตื่น! พ่อตื่นเดี๋ยวนี้!”
คินน์คนเดียวคงจะไม่พอ ยังมีคีตาที่ยืนมองน้องชายป่วนผมอยู่นานสองนานขึ้นมาช่วยกระโดดปลุกผมด้วยอีกคน ผมเลยจำเป็นต้องดันตัวขึ้นนั่งเพราะสปริงเตียงมันเด้งกระแทกจนผมรำคาญจนชักทนไม่ไหว
“เออๆ! ตื่นแล้วๆ ไอ้เด็กพวกนี้นี่!” แล้วผมก็เผลอโวยวายโดยไม่รู้ตัว
แต่พอเห็นผมลุกขึ้นมานั่งได้ คีตากับคินน์ก็หยุด ก่อนทั้งคู่จะส่งยิ้มกว้างมาให้ผม
“พ่อกวินทร์ตื่นแล้ว เย่ๆ!” ตามมาด้วยไอ้ตัวแสบประจำบ้านที่ร้องเฮลั่น พลันเข้ามากอดผมแน่น
จากที่รำคาญอยู่เมื่อกี้ ผมก็เผลอยิ้มออกมากับความขี้อ้อนของคินน์อย่างเสียมิได้ ส่วนคีตาน่ะไม่หือไม่อือหรอก ทำหน้าอึนๆ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“แล้วพ่อคีธไปไหน” ผมถามหาใครอีกคนเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้างกายไร้เงาของร่างใหญ่
“พ่อคีธทำอาหารเช้าอยู่ฮะ” อันนี้คีตาตอบ ผมเดาในใจว่าคีธก็คงจะถูกลูกปลุกเหมือนกัน แต่คิดผิดถนัดเมื่อคีตาว่าขึ้นมาอีก “พ่อคีธไม่ว่างก็เลยให้ผมกับคินน์มาปลุกพ่อกวินทร์แทน”
อ๋อ! มึงนี่เองที่เป็นตัวการทำให้กูโดนลูกป่วนแต่เช้า!
หัวคิ้วผมย่นลงโดยอัตโนมัติ ไม่หงุดหงิดลูกละ หงุดหงิดไอ้เวรนั่น แม่ง รู้ทั้งรู้ว่าผมเพิ่งจะได้นอนตอนกี่โมง มันก็ยังมีหน้ามาปลุกผมอีก แต่ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ลุกๆ ไปเลยแล้วกัน
“โอเค งั้นเดี๋ยวพ่อไปล้างหน้าก่อน คีตาพาน้องไปที่ครัวไป”
คีตาพยักหน้า คินน์หอมแก้มผมส่งท้ายทีนึงก่อนเดินไปหาพี่ชายแล้วก็กอดคอกันออกจากห้องนอนไป
 
ผมใช้เวลาไม่นานในการจัดการธุระส่วนตัว พอแต่งตัวเสร็จก็ตรงไปที่ห้องครัวที่มีลูกๆ นั่งรอกินมื้อเช้าอย่างพร้อมหน้า ส่วนไอ้เวรคีธในผ้ากันเปื้อนแม่งก็ทอดเหวอะไรอยู่ไม่รู้ พอเห็นผมเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับก็ร้องทักทันที
“ตื่นแล้วเหรอกวินทร์ เมื่อคืนนอนสบายมั้ย”
มึงยังจะถามอีก! นอนไปแค่สองชั่วโมง มึงคิดว่ากูสบายมั้ยล่ะ!
“เอากาแฟมาแก้วนึง” ผมไม่ตอบ สั่งมันแทน
คีธพยักหน้า ปิดเตาแก๊สแล้วตักเบคอนใส่จานยกมาให้ผมพร้อมกับกาแฟดำแก้วเล็กๆ แก้วหนึ่ง ผมกระดกกาแฟอึ้กๆ คิดว่าวันนี้คงต้องพึ่งคาเฟอีนทั้งวัน ขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วของคินน์ดังไม่หยุดเมื่อตระหนักได้ว่าอีกไม่นานก็จะได้ไปเที่ยวแล้ว
“เค้าจะขึ้นรถไฟเหาะ แล้วก็ไวกิ้ง แล้วก็ถ่ายรูปคู่กับแดร็กคิวล่า คีตาจะเล่นอะไรมั่ง”
“อืม โกคาร์ทมั้ง” คีตาทำท่าคิดไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“โห เด็กอะ แต่ถ้าคีตาอยากให้เค้าเล่นเป็นเพื่อนก็ได้นะ เค้าจะเล่นกับคีตา”
คินน์พูดไปเรื่อยตามประสาเด็ก คีตาก็พยักหน้าเออออรับคำน้องไป ท่าทางเหมือนจะเฉยๆ แต่ผมสังเกตได้ว่าคีตาอมยิ้ม แววตาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ปกติแล้วคีตาไม่ค่อยแสดงสีหน้าเท่าไหร่ เหมือนกับคีธเด๊ะๆ ราวกับถอดแบบออกมา จนบางครั้งผมรู้สึกว่าคีตาโตเร็วเกินเด็กวัยสิบขวบไปหน่อย แต่วันนี้ดูมีความเป็นเด็กแฮะ ส่วนคินน์ก็เด็กนั่นแหละ เด็กกว่าเด็กอายุเก้าขวบทั่วไปด้วยมั้ง คิดแต่จะเล่นตลอดเวลา เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ผมก็ได้เห็นลูกๆ มีความสุขแล้วกัน คิดไม่ผิดที่ยอมหยุดงานมาให้เวลากับลูกแบบนี้
“รีบๆ กินเร็วเข้า จะได้ไปกัน ดูท่าทางวันนี้คนจะเยอะ รีบไปหน่อยก็ดี” ผมว่าพลางจิบกาแฟอึกสุดท้าย
เด็กทั้งสองพยักหน้าแล้วจัดการกับอาหารเช้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว คีธเดินมานั่งพร้อมกับอาหารเช้าของตัวเอง ก่อนจะเปรยกับผม
“ขอโทษนะกวินทร์ที่ปลุกแต่เช้า เห็นเด็กๆ ตื่นเต้นกันแล้วอดไม่ได้”
ผมพยักหน้าก่อนจะถาม “แล้วนี่ลูกก็ไปปลุกนายเหรอ”
คีธส่ายหน้าพรึ่บ “เปล่า ฉันไปปลุกลูก”
หัวคิ้วผมย่นลงทันที วางแก้วกาแฟเปล่ากระแทกบนโต๊ะดังปึง
กูว่ามึงนั่นแหละที่ตื่นเต้น ไม่ใช่ลูกตื่นเต้นหรอก มึงอย่าเอาลูกมาอ้างหน่อยเลยไอ้คีธ! มนุษย์ต่างดาวอย่างมึงคงไม่เคยมีวันเด็กล่ะสิท่า!
“เอากาแฟมาอีกแก้วซิ” ผมขี้เกียจจะด่ามันก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป
พอได้กาแฟแก้วใหม่มา ผมก็จัดการกระดกอึ้กๆ อีกครั้งจนคีธที่กำลังจิ้มเบคอนเข้าปากมองหน้า
“ดื่มแต่กาแฟไม่ดีนะกวินทร์ กินอย่างอื่นด้วยสิ”
“อย่ายุ่งน่า ก็คนมันง่วงนี่หว่า” ผมว่าเสียงขุ่น คีธก็เลยจัดการส่งเบคอนในมือมาตรงหน้าผมทันควัน
“กินซะ เดี๋ยวหิว”
“ไม่เอา” ผมปฏิเสธในทันที คีธก็เลยเรียกชื่อผมเสียงเรียบ
“กวินทร์ อย่าดื้อ เดี๋ยวไม่มีแรงเที่ยวหรอก ลูกๆ จะหมดสนุกเอา”
คราวนี้ไม่ใช่แค่คีธที่มองหน้าผม ลูกๆ ก็ละสายตาจากจานอาหารของตัวเองมามองหน้าผมและเข้าข้างคีธทันใด
“พ่อกวินทร์กินนะฮะ คินน์อยากให้พ่อกวินทร์เล่นกับคินน์ด้วย” แล้วก็ตามมาด้วยการออดอ้อน
คีตามองผมแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่ากินๆ ไปเถอะ ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงแล้วอ้าปากงับเบคอนนั่นอย่างไร้ทางเลือก
“พอใจยัง” ผมถามขณะปากยังเคี้ยวอยู่
ไม่มีใครตอบ นอกจากพากันยิ้มให้เท่านั้น พอกลืนลงคอไป คีธก็จิ้มไส้กรอกมาตรงหน้าผมอีก
“กินอีกสิ”
ผมอ้าปากเตรียมบอกว่าไม่เอาแล้ว อดนอนแล้วมันไม่อยากอาหาร ทว่าพอเห็นสายตาของคีตากับคินน์ที่มองมาอย่างกังวลว่าผมจะไม่มีแรงเที่ยว ผมก็ตัดใจไม่พูด งับไส้กรอกอย่างไม่มีทางเลือก ปากเคี้ยวไปก็ต่อรองกับคีธไปด้วย
“วันนี้นายขับรถนะ”
“ได้ แต่มีข้อแม้”
“อะไร” ผมเผลอเสียงเขียวใส่มันเลย แม่ง กูยิ่งเหนื่อยๆ อยู่ อย่ามาหาเรื่องให้กูเหนื่อยกว่าเดิมนะ
แต่ข้อต่อรองของคีธไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมเหนื่อยอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้แต่อย่างใด มันแค่เลื่อนจานอาหารของผมเข้าหาตัว แล้วก็หยิบเอาขนมปังปิ้งขึ้นมา
“กวินทร์ต้องกินเยอะๆ กินให้หมดจานรู้มั้ย”
“ก็นึกว่าเรื่องอะไร เออๆ กินก็กิน” ผมตอบรับอย่างโล่งอก แล้วก็งับขนมปังในมือมันอีก
ตอนนี้แหละที่คินน์พูดขึ้นมา “พ่อกวินทร์เหมือนเด็กเลยนะฮะ ต้องให้พ่อคีธป้อน คินน์ไม่ต้องให้ป้อน แสดงว่าคินน์เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
คีตาพยักหน้าเห็นด้วยเป็นพัลวัน ผมหัวเราะในลำคอทันใด
“ผู้ใหญ่เค้าไม่เที่ยวสวนสนุกกันหรอกนะ”
เท่านั้นแหละ ทั้งคู่จ้องหน้าผมนิ่งแล้วคินน์ก็หันหนีไปเลย มีแต่คีธนั่นแหละที่ทำลายความเงียบขึ้นมา
“แต่วันนี้เป็นวันเด็กนี่ คีตากับคินน์จะเป็นเด็กสักวันก็ได้” ลูกๆ มีสีหน้าดีขึ้น ยิ้มให้คีธกันใหญ่ที่คีธเข้าข้าง ก่อนที่มันจะหันมาบอกผมบ้าง “กวินทร์ก็เหมือนกัน เป็นเด็กบ้างสักวันก็ได้นะ”
แล้วก็ตามด้วยการมองแบบมีเลศนัย ผมฉุกใจขึ้นมาทันทีเลยว่ามันหมายความว่าอะไร ทว่าไม่ต้องพูด มันก็เอ่ยปากขึ้นมาซะแล้ว
“กินนมได้นะ”
นมที่ว่าของมันไม่ใช่นมวัวแน่นอน แต่เป็นนมมันนี่แหละ ผมเลยทุบมันไปดังปั้กท่ามกลางสายตางุนงงของลูกๆ ว่าผมทุบคีธทำไมทั้งที่แค่มันบอกให้กินนมเท่านั้น
แต่อย่ารู้แหละดีแล้วลูก รู้ความจริงว่าพ่อคีธหื่นแค่ไหนแล้วจะหมดศรัทธา
 
กว่าจะกินมื้อเช้าเสร็จ กว่าจะเตรียมนั่นเตรียมนี่ก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า สุดท้ายเราก็ออกจากบ้านเกือบๆ แปดโมง รถแวนครอบครัวถูกเอาออกมาใช้เป็นพาหนะของวันนี้ คีธประจำตำแหน่งคนขับ ลูกๆ นั่งเบาะหลังตามปกติ ส่วนผมก็นั่งข้างๆ คีธ ขึ้นรถได้ รัดเซฟตี้เบลท์เสร็จ ผมก็ตั้งท่าจะนอนทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแม้ว่าคีตาจะอ่านแผนที่จากในแท็บเล็ต บอกจุดหมายปลายทางให้คีธรู้ทั้งที่หน้ารถก็มีจีพีเอสอยู่แล้วแท้ๆ ส่วนคินน์ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไม่เลิกจนผมต้องดุถึงจะหยุดได้
สรุปก็คือ ธีมปาร์คที่เราจะไปคือธีมปาร์คที่เพิ่งเปิดใหม่ อยู่ห่างจากบ้านเราซึ่งอยู่ในละแวกฮอลลีวูดพอสมควร อย่างที่บอกแหละว่าใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงหลังจากคำนวณระยะทางโดยจีพีเอสแล้ว เพราะที่นั่นมันดันไปสร้างอยู่นอกเมือง แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าผมไม่สน ปล่อยให้ลูกๆ คุยกับคีธแล้วตัวเองก็นอนอย่างเดียว กระทั่งผ่านไปชั่วโมงเศษและพวกเรามาถึงครึ่งทาง เสียงจอแจของลูกทั้งสองก็ค่อยๆ เงียบลง มีแต่เสียงแอร์ดังหึ่งๆ ให้ได้ยินเท่านั้น
ได้นอนหลับลึกซะที...
ผมผ่อนลมหายใจ เคลิ้มๆ จนเกือบจะหลับลึกอยู่แล้ว เสียงกระเง้ากระงอดก็ดังขึ้นน้อยๆ พร้อมกับมือเล็กที่สะกิดไหล่ผมเบาๆ
"พ่อกวินทร์... คินน์หิว"
มาละไอ้ตัวงี่เง่าเบอร์หนึ่งประจำบ้าน ว่าจะนอนๆ ไม่ได้นอนอีกแล้วเนี่ย
"เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อดทนก่อน" ผมว่าส่งๆ ตาก็ปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็ทันสังเกตเห็นว่าแก้มใสของคินน์ป่องขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตามมาด้วยการแหกปากเสียงดัง
"คินน์หิว! คินน์จะกิน! คินน์หิวอะ! พ่อกวินทร์ใจร้าย! ทำไมไม่ยอมให้คินน์กิน! ฮือ...!"
โอย... ปวดหัว ไมเกรนกินไปครึ่งซีกแล้วเนี่ย ไอ้ลูกคนนี้ติดนิสัยขี้โวยวาย เอาแต่ใจนี่มาจากใครวะ!
ผมเปิดตาขึ้นมา หันไปมองก็เห็นคินน์ร้องไห้น้ำตาไหลพราก เลยมองเลยไปยังคีตาที่นั่งเล่นเกมจากแท็บเล็ตอยู่
"คีตาดูทีว่าท้ายรถมีอะไรให้น้องกินบ้าง เอายัดๆปากไป พ่อปวดหัว อยากนอน"
คีตาพยักหน้ารับ ปีนไปมองหลังรถก่อนจะหันกลับมาส่ายหน้าให้ผม
"ไม่มีของกินเลยฮะพ่อกวินทร์"
"คินน์ต้องอดตายแน่ๆ! พ่อกวินทร์ใจร้าย! คินน์หิวก็ไม่ให้คินน์กิน! ฮือ!"
ยังไม่ได้บอกสักคำเลยว่าไม่ให้กิน! แค่บอกว่าให้ทนไปก่อน มันจะถึงที่หมายปลายทางแล้วเนี่ยไอ้ลูกงี่เง่า!
ผมยกมือขึ้นคลึงขมับตัวเองไปมาอย่างหงุดหงิด จังหวะเดียวกับคีธที่ขับรถอยู่พูดขึ้นพร้อมมองคินน์ผ่านกระจกมองหลัง
"กินนี่ก่อนมั้ยคินน์"
ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่า 'นี่' ที่มันว่าคืออะไร ทว่าพอเหลือบไปเห็นมันยกนิ้วชี้ขึ้นให้ลูกดู ผมก็รีบคว้ามือมันหมับก่อนมันจะเอาของกินไม่ถูกหลักโภชนาการป้อนให้คินน์ที่พยักหน้าหงึกหงักตอบรับทั้งน้ำตา
คีธมองหน้าผมเหมือนกับจะถามว่าทำไม ผมเลยแหวออกไปทันที
"อย่ามาเอานิ้วสกปรกๆ ให้ลูกดูดนะเว้ยไอ้คีธ โน่น ปั๊มน้ำมันอยู่ข้างหน้า แวะปั๊มไป"
คีธพยักหน้า ตีไฟเลี้ยวเข้าชิดเลนนอกก่อนจะเลี้ยวเข้าปั๊มไป พอจอดรถหน้ามินิมาร์ทได้ คินน์ที่ยังโวยวายไม่เลิกก็ตบมือแปะ ยิ้มร่าขึ้นมาทันที ก่อนจะเป็นคนแรกที่โดดลงจากรถทันทีที่ผมอนุญาต ตามด้วยคีตาที่เดินตามไปติดๆ
เฮ้อ... เบาหูสักที
"กวินทร์จะเอาอะไรมั้ย" ส่วนคีธนี่พอลงจากรถได้ก็ถามผมที่ตั้งท่าจะงีบ
"เอากาแฟ"
"เช้านี้กวินทร์ดื่มไปสองแก้วแล้วนะ"
"งั้นก็ไม่ต้องซื้อ"
พอมันขัดมางี้ ผมก็ปฏิเสธไปด้วยอยากพักมากกว่า โบกมือไล่มันหย็อยๆ คีธไม่เร้าหรือ หายไปข้างในมินิมาร์ทแต่โดยดี
ทว่าการรอคอยสามพ่อลูกนั่นซื้อของกินช่างยาวนานนัก นานซะจนผมงีบไปตื่นนึงแล้ว พวกมันก็ยังไม่ออกมา เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าทั้งสามหายเข้าไปเกินสามสิบนาที ความเป็นห่วงก็แล่นพล่านเกาะกุมจิตใจทันที
คีธน่ะไม่ห่วงหรอก ที่ห่วงน่ะลูกๆ ต่างหาก
เท่านั้นผมก็รีบลงจากรถ ถลันเข้าไปในมินิมาร์ท มองหาลูกอย่างรวดเร็ว ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับร่างสูงของคีธยังโซนหนังสือเล็กๆ ด้านใน พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นมันถือหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ่านโดยมีคินน์กับคีตายืนประกบดูหนังสือเล่มนั้นอยู่ใกล้ๆ ด้วย
จากที่อยากจะบ่นมันว่าทำไมช้านักก็ไม่อยากบ่นละ เอาเถอะ อย่างน้อยๆที่มันช้าก็เพราะชวนลูกดูของที่เป็นประโยชน์นะ หากแต่ในจังหวะที่มันพลิกหน้าหนังสือ สายตาผมก็ปะทะเข้ากับรูปวาบหวิวของนางแบบในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเข้าอย่างจัง เท่านั้นผมก็รู้ได้เลยว่ามันเอาหนังสืออะไรให้ลูกดู
มึงจะชวนลูกดูนิตยสารปลุกใจเสือป่าทำไมไอ้คีธ! ลูกมึงเพิ่งจะเก้าขวบกับสิบขวบเองนะเว้ย!
ผมไม่รอช้า เดินเข้าไปตบกบาลมันทันที คีธกับลูกๆ หันมามองผมอย่างงงๆ ส่วนผมก็กอดอกมองพวกมันอย่างเอาเรื่อง
"อย่าเอาหนังสือพวกนี้ให้ลูกดูสิวะ ลูกยังเด็กนะ ดูเล่มอื่น!"
คีธเข้าใจได้ทันทีว่าเมื่อกี้ผมตบมันทำไม มันพยักหน้ารับน้อยๆ วางนิตยสารเล่มนั้นลงที่เดิม ก่อนจะหยิบเล่มใหม่ออกมาเปิดให้คีตากับคินน์ดูอีก แล้วหัวคิ้วผมก็ต้องกระตุกหนักเมื่อเห็นว่าเล่มที่มันหยิบมาใหม่ก็ไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมแม้แต่น้อย เพียงแค่เปลี่ยนจากผู้หญิงเป็นผู้ชายเท่านั้น
เปลี่ยนจากปลุกใจเสือป่าเป็นปลุกใจเสือไบก็ไม่ได้เว้ยไอ้เวรคีธ! มึงอย่าปลูกฝังให้ลูกมึงเป็นคนหื่นๆเหมือนมึงนะเว้ย!
ผมพุ่งไปกระชากหนังสือออกจากมือคีธแล้วเอาตีหัวมันไปทีนึง คีธทำหน้าเหมือนจะถามผมอีกรอบว่าตีทำไม ลูกๆ เองก็เช่นกัน แต่ผมไม่รอให้ถาม โบกมือไล่ทันควัน
“รีบไปเลือกของกินแล้วไปจ่ายตังค์ แล้วก็ออกเดินทางต่อได้แล้ว จะเที่ยวมั้ยเนี่ยฮะ ไม่เที่ยวก็กลับ!”
เท่านั้นแหละ ทั้งลูกทั้งผัวต่างพากันแยกย้ายโดยไว เหอะ ก็ลองไม่แยกย้ายดูสิ กูจะทิ้งแม่งให้เดินกลับบ้านทั้งหมดนั่นเลย
 
สถานการณ์กลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง และผมก็ได้หลับไปอีกงีบนึงแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อร่างกายอยู่ดี ทว่าก็ไม่ได้แย่เท่าตอนเช้า อย่างน้อยๆ ก็ทำให้มีแรงไปฝ่าฝูงชนที่แห่กันมาเที่ยวอย่างกับเปิดให้เข้าฟรีที่ยืนออกันอยู่ทางประตูทางเข้าเพื่อรอซื้อบัตรได้ ผมก็พอทำใจไว้แล้วล่ะว่าวันนี้คนจะต้องเยอะแน่ๆ เป็นธีมปาร์คเปิดใหม่ แถมมาเปิดใกล้ๆ วันเด็กอีกต่างหาก บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองจะหอบลูกเต้ามาเที่ยวก็ไม่แปลก
ผมเดินตามคีตากับคินน์ที่กอดคอเข้าไปข้างใน เด็กสองคนนั่นเห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ไปเต๊ะท่ากับตัวมาสคอตบ้าง หุ่นปูนปลาสเตอร์บ้าง ให้ผมถ่ายรูปให้จนมือแทบหงิก ผมฉุกคิดได้ก็ในตอนนี้ว่านี่เป็นการเที่ยวสวนสนุกครั้งแรกของสองคนนี้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยพามาเที่ยวที่อย่างนี้ด้วยซ้ำ เหตุผลก็คือพาเด็กเล็กๆ มาเที่ยวแล้วจะเสียเงินเปล่าเพราะเล่นเครื่องเล่นอะไรไม่ได้เลยน่ะ ส่วนไอ้คีธ...
อะ...เอ๊ะ หายหัวไปไหนของมันวะ
ผมมองซ้ายขวาหาตัวคีธที่เดินตามกันเข้ามาเป็นพัลวัน ทว่ามองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็น เลยบอกให้ลูกยืนรออยู่ที่เดิมก่อนเผื่อว่ามันจะกลับมา แล้วมันก็กลับมาอย่างที่คะเนไว้จริงๆ ด้วย แต่ไม่ได้กลับมามือเปล่า กลับมาพร้อมกับสายไหมสามแท่งในมือและขวดน้ำดื่ม
“นายหายหัวไปซื้อขนมเนี่ยนะ!” ผมถอดแว่นออก แหวใส่มันทันที
คีธพยักหน้ารับแล้วก็ส่งสายไหมให้คีตากับคินน์คนละแท่ง
“สีสวยดี ฉันไม่เคยกิน อยากให้ลูกลอง”
มึงก็บอกอยู่แหม็บๆ ว่าตัวเองไม่เคยกิน มึงอย่ามาอ้างว่าอยากให้ลูกลองนะเว้ย!
อยากด่าฉิบ ยิ่งนอนไม่พอ ยิ่งหงุดหงิดเป็นเท่าตัว แต่พอเห็นมันเลียสายไหมจนละลายติดปากพร้อมกับทำหน้าตกใจนิดๆ แล้ว ผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
น่ารักดีแฮะ ถ่ายรูปเก็บไว้ดีกว่า
แชะ!
คีธละสายตามามองผมที่ยกโทรศัพท์ถ่ายรูปมันเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมโดยไม่สนใจลูกๆ ที่ยืนแทะสายไหมอย่างเอร็ดอร่อยสักนิด
“ปากเลอะน่ะกวินทร์ เช็ดให้หน่อย”
“ก็เอาลิ้นเลียๆ สิวะ” ผมว่าเสียงขุ่นที่จู่ๆ มันก็มาอ้อน หากแต่คีธไม่หยุด ส่ายหน้าแล้วว่าเสียงเรียบ
“งั้นกวินทร์ก็เลียให้หน่อย”
มึงเห็นมั้ยว่าลูกอยู่ตรงนี้น่ะไอ้คีธ! ไม่ใช่แค่ลูกมึง แต่ยังมีลูกคนอื่นด้วย มึงอย่ามาชวนกูทำอนาจารกลางแจ้งนะเว้ย!
แต่คีธมันสนที่ไหน แค่ผมเบิกตาโต มันก็พุ่งเข้ามาจูบผมแล้ว รสหวานปะแล่มที่มาพร้อมกับรสจูบและสายตาของคนรอบๆ กายที่จับจ้องมาทำให้ผมหน้าร้อนฉ่าทันควัน ดีที่มันแค่จูบเฉยๆ ไม่ได้ล้วงลึกชอนไชอะไรเข้ามาในปากแล้วก็ผละไป ผมก็เลยไม่อายมาก จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกการจูบกันในที่สาธารณะเนี่ย ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำสำหรับคนชาตินี้ แต่ผมเป็นคนไทยไง ยังไงก็ทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆ
ที่สำคัญ พอคีธละริมฝีปากจากผมแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นคีตากับคินน์ที่มองผมกับคีธนิ่ง พร้อมกับทำสายตาเจ้าเล่ห์
“พะ...พ่อแค่กินสายไหมที่พ่อคีธป้อนให้” ผมรีบแก้ตัวก่อนลูกเข้าใจผิด
แต่สองคนนั้นกลับยักไหล่แล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนคินน์จะพูดขึ้น
“คินน์จะถือว่าไม่เห็นแล้วกันฮะ”
คีตาพยักหน้าตามน้องเป็นการใหญ่ ผมนี่หน้าร้อนไปถึงไหนต่อไหนเลย พลันหันไปมองคีธที่ทำหน้านิ่งตาเขียว
มึงนะมึง... ทำอะไรก็หัดเกรงใจลูกบ้างสิวะ!
ดีที่ความสนใจจากการเห็นพ่อๆ จูบกันเมื่อครู่ถูกดึงไปได้เมื่อคีตากับคินน์ได้ยินเสียงกรีดร้องของคนที่อยู่บนรถไฟเหาะใกล้ๆ ดังลอยมา เท่านั้นคินน์ก็หูตาแพรวพราว รีบหันมาร้องบอกผมกับคีธทันที
“พ่อกวินทร์ พ่อคีธฮะ! ไปเล่นไอ้นั่นกัน!” ว่าพลางชี้นิ้วเล็กๆ ไปที่รถไฟเหาะ
ผมเห็นแล้วก็เบ้หน้า บอกตรงๆ ว่าผมไม่ถูกกับเครื่องเล่นจำพวกนี้เท่าไหร่ ขึ้นทีไร อ้วกแตกอ้วกแตนทุกที ผมเลยรีบปฏิเสธไปก่อนจะถูกลูกๆ มาคะยั้นคะยอ
“ไปเล่นกับพ่อคีธนะ เดี๋ยวพ่อรอข้างล่าง”
คีธดูท่าทางไม่มีปัญหา มันก็คงไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ ยานอวกาศมันยังขับมาแล้ว กับอีแค่รถไฟเหาะนี่กระจอก
ทว่าการปฏิเสธของผมทำให้คินน์ยู่หน้า โวยวายใส่ผมทันใด
“ไม่เอาอะ! คินน์จะเล่นกับพ่อกวินทร์ด้วย ถ้าพ่อกวินทร์ไม่เล่น คินน์ไม่ยอม!” แล้วก็ตามมาด้วยการดีดดิ้นพล่านๆ
คีตาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน ดูก็รู้แหละว่าเข้าข้างน้อง แต่ไม่พูดอะไรออกมา คีธเห็นลูกกระทืบเท้าปึงๆ แล้วก็หันมาหาผมทันควัน
“กวินทร์...”
“อย่ามาตามใจลูกแถวนี้ บอกว่าไม่เล่นก็คือไม่เล่น” ผมดักคอทันควัน
คีธเลยหุบปากฉับ ไปจับตัวคินน์ที่งอแงไม่เลิกให้ยืนนิ่งๆ จังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์ผมมีสายเรียกเข้าพอดี พอปรายตามองก็เห็นว่าเป็นหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์ที่ทำงานร่วมกับผมอยู่ และวันนี้ผมก็มอบหมายหน้าที่ดูแลงานทั้งหมดให้หมอนั่น มันก็คงจะโทรมารายงานความคืบหน้าให้ผมฟังนั่นแหละ ผมก็เลยใช้โอกาสนี้บอกปัดลูกๆ ทันที
“ไม่ว่างด้วยตอนนี้ มีคนโทรมา” ว่าพลางชูโทรศัพท์
คินน์เม้มปากแน่น สีหน้าบ่งบอกเลยว่างอน ก่อนจะกระแทกเสียงใส่ผมแล้วถลาเข้าไปเกาะแขนคีธแน่น
“คินน์เล่นกับพ่อคีธก็ได้ พ่อกวินทร์ไม่น่ารัก ไม่รักแล้ว!”
“คร้าบๆ ท่านคินน์” ผมเออออส่งๆ ไป โบกมือเป็นสัญญาณให้คีธพาลูกไปต่อคิวเล่นเครื่องเล่นได้แล้ว
พอทั้งสามเดินไปต่อคิวซื้อบัตร ผมก็เลี่ยงมาคุยโทรศัพท์ คุยเสร็จก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คีธกับลูกๆ ขึ้นเครื่องเล่นพอดี ผมเลยไปยืนถ่ายวิดีโอไว้ พอพวกนั้นลงมา ผมก็ทำท่าจะโชว์วิดีโอให้ดู แต่คีตากับคินน์เมินผม จูงมือกันไปเล่นเครื่องเล่นอื่นแทน
“ลูกโกรธกวินทร์แล้วน่ะ” คีธที่เดินมาข้างหลังผมว่าขึ้นเบาๆ
ผมตวัดตาไปมองมันอย่างหงุดหงิด “รู้แล้วน่า”
“กวินทร์ไม่อยากให้ลูกงอนก็ไปเล่นกับลูกสิ”
“นายไม่เห็นหรือไงว่าเมื่อกี้มีคนโทรมาหาฉัน อย่ามาทำตัวงี่เง่าเป็นคินน์อีกคนนะเว้ย” ตอนนี้ผมชักรู้ละว่าคินน์ติดนิสัยเสียมาจากใคร
ก็จะใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้บ้าหน้าตายนี่!
คีธมองผมนิ่งๆ ก่อนจะถือวิสาสะมาแย่งโทรศัพท์ในมือผมไปแกะซิมการ์ดออก แล้วโยนทิ้งไปไหนสักที่ก็ไม่รู้
“เฮ้ย!” ผมแหกปากลั่นด้วยตกใจที่ไม่คิดว่าคีธจะทำแบบนี้ ก่อนจะแหวมันเสียงลั่น “รู้มั้ยว่าในซิมการ์ดนั่นมีเบอร์สำคัญอยู่น่ะ!”
คีธยังคงนิ่ง แถมตอกหน้าผมอีกด้วย
“มีอะไรสำคัญไปมากกว่าลูกอีกเหรอกวินทร์ แค่วันเดียว ให้เวลาลูกหน่อย พรุ่งนี้กวินทร์ก็ได้กลับไปทำงานแล้ว วันเดียวในหนึ่งปีที่ไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยว มีแต่ลูก กวินทร์ทำได้ใช่มั้ย”
ผมตระหนักได้ในตอนนี้ว่าผมทำอะไรพลาด เลยเบือนหน้าหนี ขยับปากพึมพำแทน
“ก็ได้อยู่หรอกถ้าไม่เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวน่ะนะ ฉันไม่อยากอ้วกแตกต่อหน้าลูก”
คีธยกยิ้มน้อยๆ วางมือลงบนหัวผมแล้วยีเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันบังให้”
สรุปคือไม่ว่ายังไงมึงก็จะลากกูขึ้นเครื่องเล่นหวาดเสียวนั่นให้ได้ใช่มั้ย!?
ไม่ทันได้ถาม คีธก็เปลี่ยนตำแหน่งมือจากหัวผมมาเป็นจับมือแทน แล้วลากไปหาลูกที่ยืนรออยู่หน้าซุ้มบัตรเครื่องเล่นไวกิ้งแล้ว
แม่ง... เอาก็เอาวะ เพื่อลูกนะไอ้กวินทร์ ท่องไว้... เพื่อลูก
 


 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.26]--07/01/59[หน้า7]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2016 00:45:50
Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[2]

“โอ้กกก!”
หายนะคืออะไร รู้ได้ก็ตอนลงมาจากไวกิ้งหลังถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมากว่าสิบรอบ ผมกอดถังขยะแน่นจนแทบจะรวมร่างกับมัน ขาก็ทรงตัวไม่อยู่ ดีที่มีคีธช่วยพยุงพร้อมลูบหลังให้ ผมเลยไม่ปล่อยให้หน้าตัวเองทิ่มลงไปข้างในได้
“พ่อกวินทร์ไหวมั้ยฮะ” คินน์ถามด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเมื่อผมผละมานั่งยังม้านั่งได้
ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง ก่อนรับขวดน้ำดื่มจากคีตามาจิบเล็กน้อยขณะที่คีตาเองก็มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน
หากแต่การไม่ตอบเป็นคำพูดของผม ทำให้ดวงตาคู่สวยของคินน์เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ
“คะ...คินน์ขอโทษ ฮือ...” แล้วก็ตามมาด้วยระเบิดเสียงร้องไห้ลั่น
กลายเป็นว่ากูทำลูกร้องไห้อีก เวรกรรมจริงๆ เลยไอ้กวินทร์!
“พ่อไม่เป็นไรลูก ไม่เป็น...โอ้ก!” ระลอกที่สองตามมาทันใด ผมนี่พุ่งไปเกาะถังขยะข้างๆ แทบไม่ทัน
คินน์ร้องไห้หนักกว่าเดิมอีกจนคีธต้องเข้าไปปลอบก่อนจะแหกปากหนักไปกว่านี้ ส่วนผมก็เหี่ยวเป็นผักเลย โลกงี้หมุนจนแทบทรงตัวไม่ไหว
“ถ้าพ่อกวินทร์เล่นเครื่องเล่นแบบนั้นไม่ได้ ผมกับคินน์เล่นแบบธรรมดาก็ได้นะครับ” คีตาที่ยืนมองอยู่นานเสนอความเห็นขึ้นมา
ผมพยุงตัวเองกลับมานั่งที่เดิม พยักหน้ารับน้อยๆ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมคีตากับคินน์ชอบเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว ก็เด็กพวกนี้มีสายเลือดมนุษย์ต่างดาวอยู่ในตัว ไอ้เรื่องอะไรพวกนี้ไม่กลัวอยู่แล้ว หากแต่ผมก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อคีธที่เช็ดคราบน้ำตาให้คินน์พูดขึ้น
“พ่อกวินทร์ไม่ชอบเครื่องเล่นหวาดเสียว แต่ถ้าเรื่องเสียวๆ ล่ะก็ พ่อกวินทร์ชอบ”
กูบอกว่าอย่าปลูกฝังให้ลูกเป็นคนหื่นๆ เหมือนมึงไงไอ้คีธ!
ดีที่คีตาไม่เข้าใจ ผมเลยรีบเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น คีตาเลยลืมคำพูดเมื่อกี้ของคีธได้
“แล้วคีตาโอเคเหรอถ้าเล่นเครื่องเล่นแบบธรรมดา ถ้าคีตาอยากเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวก็ไปเล่นกับน้องได้นะ เดี๋ยวพ่อรอ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ได้เล่นกับพ่อกวินทร์ พ่อคีธก็พอแล้ว ผมกับคินน์อยากให้เราเล่นด้วยกันมากกว่า เราไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมร่วมกันเลยนี่ พ่อกวินทร์งานยุ่งตลอด”
พอคีตาว่ามาอย่างนี้ ผมก็รู้สึกผิดอีกเป็นเท่าตัว แต่ก็ยิ้มให้ลูกแล้วพยายามดันตัวเองขึ้นยืน
“โอเค งั้นไปเล่นกันเถอะ”
ผมจูงคีตาเดินนำไป ทว่าเดินเป๋ เลยกลายเป็นว่าลูกต้องช่วงพยุงผมอีก สุดท้ายคีธก็มาช่วยพยุงอีกที เลยกลายเป็นว่าคีตาจูงมือข้างซ้ายของผม ส่วนคีธจูงมือข้างขวาและคินน์ก็จูงมือขวาของคีธ ดูเหมือนจะเป็นภาพครอบครัวที่น่ารักนะ แต่เปล่าเลย... พวกมันแค่กลัวว่าผมจะเดินๆ อยู่แล้วล้มหน้าคะมำเพราะยังเมาไวกิ้งไม่เลิกเท่านั้น
 
พวกเราเริ่มต้นเล่นเครื่องเล่นธรรมดาจากการขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน เคเบิลลอยฟ้า โกคาร์ท แล้วก็อื่นๆ ที่ไม่มีความหวาดเสียว จากตอนแรกที่ผมกลัวว่าลูกๆ จะไม่สนุกเพราะผม ทว่าพอผมเริ่มสนุกไปกับการเล่นของพวกนี้แล้ว ลูกๆ ก็พากันสนุกตาม ผมเลยเบาใจได้ ปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นเด็กอย่างเต็มที่
และเป็นเด็กยิ่งกว่าเดิมเมื่อคีตากับคินน์เดินผ่านซุ้มปาลูกโป่งชิงตุ๊กตา พอเห็นทั้งคู่มองชายหญิงคู่หนึ่งปาลูกดอกกันอย่างสนอกสนใจแล้ว คีธก็หยุดเดินบ้าง ก่อนจะไปซื้อบัตรอย่างรู้หน้าที่
“พ่อปาให้” แล้วมันก็เสนอตัว
เกมปาลูกโป่งก็ง่ายๆ เหมือนในงานวัดที่เมืองไทยนั่นแหละ มีอยู่ทั้งหมดสี่ดอก ต้องปาให้ลูกโป่งแตกทั้งสี่ดอกถึงจะได้รางวัล ปาแตกตามแถวที่กำหนด รางวัลก็จะใหญ่ขึ้น
หากแต่ไอ้เวรคีธกลับดับฝันลูกๆ หลังให้ลูกๆ เลือกแล้วว่าจะเอาตุ๊กตาตัวไหนด้วยการปาไม่เข้าสักดอก ไปซื้อบัตรมาใหม่ แม่งก็ยังปาไม่เข้าจนผมชักจะรำคาญ เข้าไปผลักมันออกจากตำแหน่งปาก่อนที่มันจะได้เริ่มปาลูกดอกชุดใหม่ทันที
“ถอย ฉันเอง”
“กวินทร์ทำได้เหรอ” มันเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เชื่อใจนัก ลูกๆ ก็พาลมองผมอย่างไม่เชื่อใจไปด้วย
ผมพ่นลมหายใจออกมา ยิ้มเผล่อย่างท้าทายทันที
“ดูถูกเด็กที่โตกับมาเกมปาลูกโป่งงานวัดเกินไปแล้ว”
คีธไม่ว่าอะไร ถอยออกมาให้ผมได้ถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนคว้าเอาลูกดอกมาเล็ง และ...
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
รางวัลใหญ่ออกทันที คินน์กระโดดดีใจจนตัวลอย ก่อนจะรับตุ๊กตามนุษย์ต่างดาวตัวใหญ่จากพนักงานมากอดแน่น คีตาเห็นน้องได้ ก็รีบรบเร้าให้ผมปาให้บ้าง
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
รอบสองก็ปาเข้าทุกดอกไม่มีพลาด คีตาเลยได้ตุ๊กตามนุษย์ต่างดาวแบบเดียวกับน้องไปเหมือนกัน ผมพ่นลมออกจากปากดังฟู่ หันมายักคิ้วให้คีธ
“เป็นไง”
“เก่ง” มันว่าแค่นี้ แล้วก็ดึงผมไปกอดแน่นหน้าตาเฉย “เก่งจนอยากผูกพันด้วย”
มึงอย่ามาเนียนหื่นกามใส่กูนะเว้ย!
ผมเอาหัวโหม่งมันอย่างรวดเร็ว แต่มันหลบได้แล้วก็ปล่อยผม ผมเลยว่ามันเสียงเขียว
“อย่ามาทำแบบนี้นะเว้ย”
“ก็กวินทร์เก่งนี่ อยู่ที่ไหนก็เก่ง อยู่บนเตียงก็...”
“อย่าพูด! จะเล่นต่อมั้ยฮะ ไม่เล่นก็กลับ!” ผมรีบขัดขึ้นก่อนมันจะได้พูดจบประโยค รีบคว้ามือลูกสองคนเดินหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
คีธหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินไล่ตามหลังมา
เราเล่นกันจนไม่มีอะไรให้เล่นอีก ผมไล่ให้คีตากับคินน์ไปเล่นเครื่องเล่นที่ยังไม่ได้เล่นจำพวกเครื่องเล่นหวาดเสียวก็ไม่ไป ยืนยันจะอยู่กับผมและคีธอย่างเดียว ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะกินมื้อเย็นกันก่อน แล้วค่อยไปดูขบวนพาเหรดที่จะมีขึ้นตอนหกโมงกัน แต่ก็แน่นอนแหละว่าไม่ได้มีแค่พวกผมที่รอดูขบวนพาเหรด ครอบครัวอื่นๆ ก็เช่นกัน และคนที่รอก็แย่งกันรุมซื้ออาหารกันเป็นพัลวันแม้ว่าจะเป็นขนมปังงี่เง่ายัดฮอทดอกและราดซอสมะเขือเทศกับมัสตาร์ดก็ตาม
“เดี๋ยวพ่อไปซื้อของกินมาให้ อยู่ตรงนี้กับพ่อคีธ อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวหลง” ผมเสนอ แล้วให้ทั้งสามนั่งรออยู่ที่โต๊ะกลางแจ้งเพื่อจองที่ก่อนจะไปเข้าคิวรอซื้อ
กว่าจะกลับมาได้พร้อมกับของกินก็เสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทว่าพอกลับมาที่โต๊ะ ทั้งลูกทั้งผัวก็หายหัวกันไปหมด มีครอบครัวอื่นมานั่งแทนที่ ผมเลยเข้าไปถามว่าเห็นคนของผมมั้ย ครอบครัวนั้นส่ายหน้ายิก บอกว่าก่อนที่จะมานั่งคือโต๊ะก็ว่างอยู่แล้ว ผมเลยรู้ได้ว่าไอ้คีธมันต้องพาลูกไปแน่ๆ
กูก็บอกอยู่ว่าให้นั่งรอจองที่ไว้ อย่าไปไหนเพราะเดี๋ยวหลง มึงนี่ก็พาลูกไปหลงอีก แม่งเอ๊ย!
อารมณ์เกือบจะดีเต็มร้อยอยู่แล้วเชียว กลายมาเป็นหงุดหงิดอีก ผมเลยตัดสินใจจะไปแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประกาศหา แต่ไม่ทันจะได้ก้าวไปไหน เสียงประชาสัมพันธ์ก็ดังขึ้นมาตามสายเสียก่อน
“ขออภัยในความไม่สะดวก คุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟ... คุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟ โปรดมาที่ประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ สามีและลูกๆ รอพบอยู่ที่นี่ แจ้งอีกครั้ง คุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟ โปรดมาที่ประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ...”
ผมกำฮอทดอกในมือแน่นเลย
ไอ้คีธมึง! พวกมึงต่างหากที่หลง ไม่ใช่กูเว้ย จะไปแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านชาวช่องเข้าใจว่ากูเป็นแม่โง่เง่าทำไมวะ! แล้วไอ้ที่ให้ประชาสัมพันธ์ประกาศว่าคุณนายเควินนี่หมายความว่าไง!
ผมหนีบของกินในอุ้งมือแน่น ก้าวพรวดๆ ไปยังซุ้มประชาสัมพันธ์ด้วยความเร็วแสง พอไปถึงก็เห็นพวกมันยืนหน้าสลอนอยู่ และพวกมันก็ยิ้มร่าทันทีเมื่อเห็นหน้าผม
“พ่อคีธ! พ่อกวินทร์มาแล้ว!”
ผมไม่ได้สนใจเสียงลูกๆ ที่ร้องเรียกผมอย่างดีใจ ไม่สนใจแม้แต่สีหน้างงๆ ของประชาสัมพันธ์สาวที่เห็นว่าคุณนายเควิน ซาเคมอร์ฟอะไรนั่นเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงด้วย ก่อนจะถลาเข้าไปยกขาถีบไอ้คีธยืนทำหน้าตายทันใด
“บอกให้นั่งรอๆ แล้วจะเดินมาที่นี่ทำไมเนี่ย!” แหวใส่แม่งด้วย หงุดหงิดจริงๆ หงุดหงิดโคตร มึงทำอะไรของมึงวะ!
“ก็เห็นกวินทร์หายไปนานเลยนึกว่าหลง”
พอคีธตอบมาแบบซื่อๆ ผมก็ปวดหัวหนึบขึ้นมาเลย
“ไม่ได้หลงเว้ย คนมันเยอะ มัวแต่ไปต่อแถวซื้ออยู่เนี่ย” แล้วผมก็ยื่นของกินในมือที่เละไปเพราะแรงขยุ้มของผมไปตรงหน้า
ซอสไหลเลอะง่ามนิ้วเล็กน้อย ก่อนที่คีธจะรับไปถือแล้วส่งให้ลูกคนละอัน
“มือเลอะแล้วนะ” แถมเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยอีกต่างหาก เปลี่ยนเรื่องไม่พอ ก้มหน้าลงมาเลียซอสที่เปรอะนิ้วผมอีกด้วย
ผมหน้าร้อนผ่าว รีบชักมือกลับ ทว่าคีธใช้มือข้างที่ว่างคว้าเอาไว้แล้วจัดการเลียจนหมดจด ไม่สนใจสายตาคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างงงๆ ปนขยะแขยงแม้แต่น้อย
“อะ...ไอ้คีธ หยุดเดี๋ยวนี้” ผมพูดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้
คีธไม่หยุด เลียจนเกลี้ยงก็ยังไม่พอ เอานิ้วไปดูดจ๊วบๆ อีกต่างหาก ผมเลยรีบชักมือออก มันยิ้มเผล่ทันที
“หิว”
“หิวก็กินของที่ซื้อมาให้สิวะ จะมาดูดนิ้วเพื่อ!?” คีธไม่ตอบ และผมก็ไม่รอให้มันตอบ แย่งฮอทดอกในมือมันมาแล้วยกขึ้นป้อนมันรัวๆ “เนี่ยฮอกดอกเนี่ย หิวก็รีบๆ กินไปเลย”
คีธไม่กิน เอี้ยวหน้าหลบแล้วโน้มใบหน้ามากระซิบข้างหูผมเบาๆ “อยากกินฮอทดอกของกวินทร์มากกว่า”
กะ...กูก็บอกอยู่ว่าอย่ามาหื่นกามข้างนอกบ้าน มึงฟังกูบ้าง!
ผมผลักหน้ามันออก เอาฮอทดอกยัดปากมันทันควัน คีธเคี้ยวไปยิ้มไป ลูกๆ ที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ก็มองพวกผมพร้อมอมยิ้มมีเลศนัยเช่นกัน จนผมต้องหันไปแหวทั้งคู่ด้วย
“ยิ้มอะไร รีบๆ กินไป จะได้รีบไปดูพาเหรด!”
คีตากับคินน์ไม่พูดอะไรสักแอะ ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างที่ผมว่า ทิ้งให้ผมยืนบ่นฟ้าบ่นฝน กลบเกลื่อนความเขินอายที่คีธก่อไว้เมื่อครู่ไม่เลิก
 

ขบวนพาเหรดเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของความสนุกที่สุดในวันนี้ ทั้งคีตาทั้งคินน์ชวนกันคุยเรื่องตัวละครที่เคยเห็นในหนังการ์ตูนต่างๆ ที่มาร่วมขบวนพาเหรดด้วยไม่เลิกตลอดทางกลับบ้าน คุยกันจนเหนื่อยก็พากันหลบคอพับคออ่อน ส่วนผม จากที่เหนื่อยในตอนแรกอยู่แล้ว ตอนนี้เหนื่อยกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ผล็อยหลับตามลูกไปบ้าง ปล่อยให้คีธขับรถไปคนเดียวกระทั่งถึงบ้าน
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คีธขับรถเข้าไปจอดในโรงรถที่บ้านแล้ว ผมปลดเซฟตี้เบลท์ ทำท่าจะลงจากรถไปอุ้มลูกขึ้นห้องนอน ทว่าคีธกลับเอื้อมมือมารั้งผมเอาไว้ ไม่ทันจะได้ถาม อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน
“กวินทร์รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวมา”
ผมไม่รู้หรอกว่ามันให้ผมรออยู่ที่นี่ทำไม แต่ก็ยอมรอเมื่อเห็นมันลงจากรถไปเปิดประตูเบาะหลัง อุ้มลูกทั้งสองคนขึ้นพาดบ่าคนละข้าง หิ้วตุ๊กตาไปด้วย ผมเลยหลับตาเอนตัวนอนอีกหน่อยด้วยยังไม่หายมึนหัวดี
อึดใจเดียว คีธก็กลับมาเปิดประตูรถฝั่งผม ช้อนตัวอุ้มผมไปบ้าง ผมก็ปล่อยให้อุ้มนั่นแหละเพราะคิดว่ามันจะอุ้มขึ้นไปส่งที่ห้องนอน แต่เปล่า... เปล่าเลย มันไม่ได้อุ้มไปส่งที่ห้อง แต่อุ้มไปนอนที่หลังรถแทนที่คีตากับคินน์ เปิดประตูรถทิ้งไว้ ก่อนจะตามมาด้วยการพาตัวเองเข้ามาขึ้นคร่อมผมไว้ ผมรู้เลยว่ามันจะทำอะไร รีบดันตัวขึ้นนั่งทันที
“คีธ... วันนี้เหนื่อย”
“วันนี้วันเด็ก” มันสวนกลับมาให้ผมย่นคิ้ว
“เกี่ยวอะไรกันวะ”
“ก็ขอคีธเป็นเด็กสักวัน”
ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่คำพูดมันน่ารักจังแฮะ เรียกแทนตัวเองว่าคีธเหรอ ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้ยินแบบนี้
“แล้วนายจะเอาอะไร เด็กชายคีธ” ผมเลยลองเล่นคืนบ้าง
คีธยิ้มเจ้าเลห์ขึ้นมา ยกปลายนิ้วขึ้นลูบหน้าท้องผมผ่านเสื้อก่อนจะลากขึ้นมาวางยังจุดอ่อนไหวบริเวณหน้าอก
“อยากกินนี่ แล้วก็...” แล้วก็ลากปลายนิ้วลงมาที่เป้ากางเกงผม “กินนี่”
หน้าผมร้อนผะผ่าวขึ้นมา เข้าใจละว่ามันอยากเล่นบทบาทอะไร แต่... ทำในรถนี่จะดีเหรอวะ ถึงจะเป็นรถแวนที่กว้างกว่ารถยนต์เก่าๆ ที่ผมเคยใช้เป็นสถานที่จัดแสดงหนังสดกับคีธ แต่มันก็น่าอึดอัดอยู่ดี ที่สำคัญ ผมไม่ชอบเอาท์ดอร์ ถึงจะเป็นโรงรถบ้านตัวเองที่มีประตูปิดแน่นหนาก็เถอะ
“งั้นก็ไปที่ห้อง...” ผมเสนอไป หากแต่พูดยังไม่ทันจบเลย คีธก็ประกบปากจูบลงมาแล้ว
ไออุ่นร้อนจากริมฝีปากหนาดูดกลืนเรียวปากผมอย่างโหยหา เราแลกกันลิ้มรสปลายลิ้นฉ่ำน้ำหวานกันจนเสียงลามกดังแว่วมาให้ได้ยิน ทว่าก็ไม่มีใครสนใจนอกจากตั้งหน้าตั้งตาแลกลิ้นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น
จากที่เหนื่อยๆ ตอนนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นอยากจะทำขึ้นมาละ คีธล้วงมือเข้าไปใต้สาบเสื้อผม ลูบเคล้นยอดอกไปมาจนลุกชูชัน ผมสะกดเสียงไว้ด้วยเกรงว่าลูกจะมาได้ยิน ทว่าคีธว่าออกมาอย่างรู้ทัน
“ล็อคประตูเข้าโรงรถไว้แล้ว ลูกก็หลับไปแล้ว ไม่ลงมากันหรอก ร้องออกมาเถอะ”
มึงนี่ก็รู้ทันตลอด!
ผมทำปากยื่นใส่เล็กน้อย ก่อนจะครางออกมาเมื่อคีธถลกปลายเสื้อขึ้นแล้วครอบครองยอดอกด้วยริมฝีปาก ปลายลิ้นตวัดไล้ไปมาอย่างกระหายจนผมต้องบิดตัวหนีจากสัมผัสรุกเร้า แต่น่าแปลกที่หน้าอกกลับขยับเข้าหาปลายลิ้นนั่นเสียอย่างนั้น
เนิ่นนานทีเดียวกว่าคีธจะยอมเลิกเล่นกับยอดอกของผม ดูดกลืนจนผมรู้สึกเจ็บแปลบน้อยๆ คาดว่ามันคงแดงจัดไปแล้วด้วย แต่กระนั้นผมก็ทำได้แค่ส่งเสียงอือออจนคอแหบแห้ง คีธถึงละริมฝีปากออกมาจูบต้นคอผมเบาๆ
“กินนมแล้ว ต่อมาก็กิน... ฮอทดอก”
ผมหน้าร้อนวาบ นึกถึงคำพูดของคีธที่พูดกับผมที่สวนสนุกทันใด ผมอยากจะห้าม แต่กางเกงยีนส์ก็ถูกดึงออกจากตัวไปอยู่ที่ข้อเท้าเสียแล้ว ก่อนจะตามด้วยใบหน้าคร้ามที่ไล่พรมจูบลงไปตั้งแต่ซอกคอ หน้าอก หน้าท้อง และส่วนนูนที่ดุนดันอยู่ใต้กางเกงบ็อกเซอร์
“อือ...”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อส่วนอ่อนไหวถูกสัมผัสด้วยการจูบ ถึงจะเป็นการจูบเพียงภายนอก แต่บอกได้เลยว่าผมรู้สึกเอามากๆ คีธเองก็ยังคงพรมจูบอยู่อย่างนั้น อ้าปากงับซ้ายทีขวาที ขบเม้มเบาๆ จนผมบิดเร่า กลั้นเสียงตัวเองไม่ไหวอีกด้วย
ทรมาน... ทรมานมาก อยากให้ทำเร็วๆ...
แต่ไม่ต้องพูด คีธก็รู้ใจ กำจัดปราการตรงหน้าออก ส่งฝ่ามือมาเกาะกุมตรงโคนแก่นกายไว้มั่นและค่อยๆ รูดขึ้นลงไปมาเบาๆ
“อืม... ทะ...ทำสักที” ผมทนไม่ไหวกับปฏิกิริยายั่วเย้า ร้องขอให้รีบๆ ทำ
คีธไม่ทำ เอาแต่รูดไปมาแล้วเพิ่มจังหวะแทน
“รู้สึกดีเหรอ”
“ถ้าไม่รู้สึกดีแล้วจะอยากให้ทำมั้ยล่ะ”
“งั้นรอก่อน ขอเล่นก่อน”
พอมันตอบกลับมา ผมก็ชักหงุดหงิดละ มึงนี่ก็เล่นเป็นเด็กเลย รีบๆ ทำสิเว้ย!
ปลายนิ้วโป้งแตะลงบนส่วนปลาย ลากวนเอาของเหลวสีใสชโลมอาบไปทั่ว ผมแอ่นตัวรับสัมผัสนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนตบะชักจะแตก ร้องสั่งออกมาอีก
“ถะ...ถ้าไม่ทำอะไรสักที ฉันจะไม่ให้ทำแล้วนะ”
ตอนนี้แหละที่คีธเลิกเล่น เผยอริมฝีปากมากลืนกินส่วนนั้นทีละน้อยจนสุดโคน ตวัดปลายลิ้นไปมาเพิ่มความเสียวซ่านให้กับผมอีกเป็นเท่าตัว
“อา... อือ...”
ผมเริ่มครางออกมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ละ ยิ่งครางหนักขึ้นไปอีกเมื่อคีธยกขาข้างหนึ่งของผมขึ้นจนเข่าชิดหน้าอก และส่งปลายนิ้วมาแตะยังส่วนบอบบางบริเวณช่องทางด้านหลัง
“ดะ...เดี๋ยวคีธ... เจล...”
แม่งไม่ทันละ ไม่ต้องใช้ละเจลอะไรนั่น คีธคายแก่นกายของผมออกมา จัดการชโลมนิ้วมือของตัวเองด้วยน้ำลาย แล้วค่อยๆ สอดเข้าไปทีละนิ้วช้าๆ
ผมเกร็งสุดตัว ความจุกเสียดอัดแน่นเข้ามาทำให้คีธต้องกระซิบบอกผมเบาๆ
“ผ่อนคลายหน่อยกวินทร์”
ผมเลยค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อ คีธเลยสอดนิ้วที่สองเข้ามาได้ ก่อนจะควานเนื้อนุ่มด้านในไปมาจนกระทั่งเจอจุดสำคัญและออกแรงดันมันน้อยๆ ผมเกร็งตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อความเสียวซ่านเข้าเล่นงาน ทีนี้เองที่คีธกลับมาจัดการครอบครองส่วนที่ชูชันอยู่ด้านหน้าด้วยปากอีกครั้ง
ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไหลซึมออกจากร่างกายตัวเองทีละน้อย จิตใต้สำนึกบอกชัดเจนเลยว่าอีกไม่นาน ผมก็จะอดทนไม่ไหวแล้ว ผมเลยรีบสะกิดคีธอย่างรวดเร็ว
“คะ...คีธ... จะไปแล้ว”
แทนที่คีธจะผละออกมาแล้วจัดการดันตัวเองเข้ามาในร่างผม กลับขยับริมฝีปากที่ง่วนอยู่กับกลางร่างกายผมอยู่เร็วขึ้นไปอีก
“อ๊า...”
พริบตาเดียว ผมก็ปลดปล่อยความวาบหวามทั้งหมดออกมา คีธก็ยังไม่ปล่อยผมให้เป็นอิสระอยู่ดี ดูดกลืนทุกหยาดหยดจนผมต้องเป็นฝ่ายบอกให้พอ
“นายไม่ทำหรือไง” พอหายใจเริ่มเข้าที่แล้วก็ถามคีธที่เลื่อนใบหน้ามาคลอเคลียอยู่ข้างแก้มผม
“ทำสิ” คำตอบของมันทำผมถามเสียงขุ่น
“แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ทำ”
“ก็อยากเล่นก่อน บอกแล้วไงว่าอยากกินกวินทร์ ตอนนี้ได้กินสมใจแล้ว”
“นายนี่มันบ้าจริงๆ” ผมหัวเราะน้อยๆ อย่างเอ็นดูที่คนตัวใหญ่จะมีโมเม้นต์อ้อนๆ แบบนี้สักที
คีธยิ้ม จูบผมเบาๆ
“พรุ่งนี้กวินทร์หยุดงานได้มั้ย”
“ทำไม คิดจะทำอะไรอีก” คราวนี้ไม่หัวเราะละ ชักไม่ไว้ใจมันแทน
ก็สมควรจะไม่ไว้ใจแหละเมื่อมันพูดมา
“เพราะคืนนี้จะเป็นวันเด็ก...ของฉันกับกวินทร์”
สรุปก็คือมึงจะปล้ำกูทั้งคืนจนกูไม่ได้นอน เสร็จแล้วกูก็จะไปทำงานไม่ไหว มึงเลยให้โทรไปลางานก่อนล่ะสินะ!
“ไม่ได้ งานฉันมันสำคัญ” ผมปฏิเสธเลย แต่คีธก็รีบทำตาลูกหมาส่งกลับมา
“กลางวันเป็นเวลาของลูก กลางคืนเป็นเวลาของพ่อคีธบ้างไม่ได้เหรอ”
นะ...น่ารัก... มึงน่ารักเกินไปแล้ว! หยุดทำตาอ้อนวอนแล้วก็พูดจาน่ารักๆ แบบนี้เดี๋ยวนี้!
ผมเงียบ ไม่ยอมตอบ จริงๆ คือชั่งใจอยู่ ทว่าพอคีธอ้อนขึ้นมาอีกครั้งก็ใจอ่อนยวบอย่างช่วยไม่ได้
“นะ... พ่อกวินทร์นะ ให้เวลาพ่อคีธหน่อยนะครับ”
มึงอ้อนเยอะไป! กูยอมแล้ว กูยอม!
“ได้ แต่เดี๋ยวไปเอาเบอร์ที่โน้ตบุ๊กก่อนนะ นายโยนซิมการ์ดฉันทิ้งไปแล้ว ไม่มีเบอร์”
คีธพยักหน้า ประทับจูบบนหน้าผากผมก่อนจะถอยตัวออกมาจากรถ แล้วมาช่วยพยุงผมลงมายืน ไม่ใช่ช่วยสิ เรียกว่าอุ้มดีกว่า อุ้มเข้าบ้านด้วยท่าทางร่าเริงสุดๆ เลยด้วย
“จะเล่นกับกวินทร์ทั้งคืน”
มึงนี่ลูกสองแล้วนะ ความหื่นไม่ได้ลดน้อยลงเลยจริงๆ!
แต่ก็เอาเถอะ ย้อนวัยกลับไปช่วงสมัยหนุ่มๆ บ้างก็ดี คิดถึงความเร่าร้อนตอนนั้นเหมือนกัน เอ... หยุดพรุ่งนี้อีกวันคงไม่พอ หยุดยาวถึงวันมะรืนดีมั้ยนะ วันเด็กปีนี้จะได้เล่นกับคีธนานๆ หน่อย
ไม่พอแฮะ หยุดแม่งทั้งอาทิตย์เลยแล้วกัน จะเล่นแล้วก็เล่นให้สุด ไหนๆ ก็เป็นเด็กแล้วนี่เนอะ
เอาล่ะเด็กชายคีธ มีเวลาเล่นกันทุกวันตั้งแต่เช้ายันมืดแล้วล่ะ!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 10-01-2016 10:53:22
อ๊ายยย พ่อคีธ กะ พ่อกวินทร์
ครอบครัวสุขสันต์~
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-01-2016 11:02:52
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 10-01-2016 12:02:03
 :m3: อร๊ายยยย น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 10-01-2016 13:30:15
อ่านตอนจบแล้วก็สงสัย ว่า สรุปแล้วใครกันแน่ ที่หื่น?
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 10-01-2016 14:48:25
พ่อกวินทร์นี่ไม่ค่อยหื่นนนน..เลยน่ะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 10-01-2016 14:50:46
พ่อคีธขอแค่คืนเดียวแต่พ่อกวินท์จัดให้เป็นอาทิตย์
ใครหื่นกันแน่5555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 10-01-2016 20:46:42
เด็กๆน่ารักดี  :L2:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-01-2016 21:06:20
ซีเลนเอาบทพระเอกไหม
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 10-01-2016 23:39:54
น่าร้ากที่สู้ดดดด
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-01-2016 00:27:48
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[1]

ผมยังงงอยู่ว่ามันโผล่มาที่นี่ได้ยังไง และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผมที่งง ไอ้มนุษย์ต่างดาวสองตัวที่เหลือเองก็งง แถมยังมองเพื่อนที่นอนแผ่สลึงอย่างไม่เชื่อสายตาอีกต่างหาก ซีเลนเองก็ร้ายกาจ แค่พุ่งชนมนุษย์ต่างดาวตัวนั้นล้มกระเด็นอย่างเดียวคงไม่สาแก่ใจ ยังเดินไปคร่อมตรงช่วงหัวแล้วทิ้งตัวลงนั่งจับล็อคด้วยท่าล็อคคอ เสียงดังกร๊อบลั่นมาให้ผมได้ยินรางๆ ทว่าทำให้ผมเสียวสันหลังวาบไปทั้งทรวงได้เลย
มะ...หมอนั่นฆ่ามนุษย์ต่างดาวตัวนั้นทิ้ง! พละกำลังของซีเลนนี่คงไม่ธรรมดาละ ขนาดไม่ได้อยู่ในร่างจริง ยังฆ่ามนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในจักรวาลได้ด้วยมือเปล่า นี่ถ้าคืนร่างจริงเมื่อไหร่ ไม่ต้องถามเลยว่าพละกำลังจะมากมายขนาดไหน!
พวกที่เหลือพอเห็นเพื่อนพ้องถูกฆ่าตายต่อหน้า สีหน้าฉงนก็หายไปพลัน กลายเป็นสีหน้าเคร่งเครียดแทน
“เจ้า...”
“อะไร เห็นหน้ากันแค่นี้ทำเป็นตกใจเลยเหรอ” ซีเลนว่าอย่างไม่ยี่หระ ลุกขึ้นมาพลางปัดฝุ่นออกจากเนื้อตัว
ไม่รู้ทำไมสัญชาตญาณของผมถึงได้บอกว่ามนุษย์ต่างดาวพวกนี้รู้จักซีเลนมาก่อน และก็จริงเสียด้วยเมื่ออีกฝ่ายร้องเรียกชื่อของแขกไม่ได้รับเชิญออกมา
“ซีเลน... เจ้าอย่ามายุ่ง”
นั่นไง รู้จักกันจริงๆ ด้วย แต่คงจะรู้จักในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักและคงจะไม่ได้รู้จักกันแบบญาติฉันท์มิตรแน่ๆ เพราะดูท่าทางเหมือนพวกมันพร้อมจะจู่โจมซีเลนถ้ายื่นมือเข้ามายุ่งยังไงก็ไม่รู้
“ไม่ยุ่งไม่ได้ กวินทร์เป็นคนของฉัน”
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันฉิบว่าไม่ใช่ แต่ในตอนนี้ สงบปากสงบคำไว้คงจะดีที่สุดแหละ
“งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” พูดจบ พวกมันสองตัวก็กางแขนออก หนามแหลมๆ เหมือนกับที่หัวไหล่ก็งอกยาวจากหลังมือทุกนิ้ว ให้เดา ผมก็คิดว่าคงจะเป็นอาวุธ
แต่ผมไม่สนใจจะถามหรือสงสัยอะไรอีกแล้ว นอกจากเหลือบไปมองซีเลนที่ดวงตาสีเทาเข้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งเบ้าขณะที่มันว่าออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“งั้นก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน” สิ้นเสียง ซีเลนก็ค่อยๆ คืนร่างเดิม
จะว่ายังไงดีล่ะ มันก็ยังเป็นซีเลนเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ตรงหัวไหล่และหลังมือของมันมีหนามแหลมออกมาเหมือนกับพวกเซนไทน์พวกนั้นไม่มีผิด ต่างกันก็คือหนามของซีเลนไม่ได้เป็นสีดำ แต่เป็นสีเทาเข้ม ผมเกือบจะคิดว่ามันเป็นพวกเดียวกันแล้วถ้าทันทีที่ซีเลนคืนร่างเสร็จ มันไม่พุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงน่ะ
ผมรีบวิ่งไปหาที่หลบทันทีด้วยเกรงจะถูกลูกหลง ที่หลบที่ว่าก็คือด้านหลังถังขยะใบโตนั่นแหละ คือผมก็ไม่ได้มีสติมากพอที่จะไปหาที่หลบที่ดีกว่านี้ แถมแถวนี้ก็ไม่ได้มีสถานที่ซ่อนตัวให้เลือกมากนักอีก แค่มีที่ให้หลบก็ถือว่าดีแล้ว
พอตั้งหลักได้ ผมก็พยายามควบคุมร่างกายตัวเองไม่ให้สั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น หัวใจก็เต้นแรงจนได้ยินเสียงรัวดังของมันอย่างชัดเจน
ให้ตายเถอะ ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องมาอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างนี้กับพวกมนุษย์ต่างดาวครั้งด้วยนะ!
ผมหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายต่อหลายครั้ง พยายามทำให้จิตใจสงบแล้วตั้งท่าจะดูการต่อสู้ของซีเลนกับพวกเซนไทน์นั่น กะว่าถ้าซีเลนพลาด ผมก็จะได้หนีทัน ทว่าพอชะโงกหน้าออกจากที่กำบังไปปุ๊บ ผมก็เห็นซีเลนกำลังจัดการมนุษย์ต่างดาวตัวสุดท้ายด้วยการใช้หนามที่หลังมือแทงกระซวกเข้าที่คอของอีกฝ่าย เลือดสีเขียวอ่อนไหลรินเป็นสายก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงลงไปกับพื้น
ซีเลนสะบัดมือเล็กน้อยจนเลือดนั่นกระเซ็นไปบนพื้นเป็นดวง ก่อนที่มันจะเก็บหนามลงไป คืนร่างเดิมกลายเป็นซีเลนคนเดิม
“กระจอกชะมัด” หมอนั่นพึมพำ ก่อนจะปรายตามองมายังผมที่ลอบมองมันอยู่ “ออกมาได้แล้วกวินทร์ ปลอดภัยแล้ว”
ปลอดภัยบ้านมึง! กูจะไม่ปลอดภัยเพราะมึงนี่แหละ!
ผมไม่ออก วางแผนจะหนีด้วยเพราะกลัวว่าไอ้ซีเลนจะเป็นพวกเซนไทน์อะไรนี่เหมือนกัน แต่พอผมทำท่าจะลุก ซีเลนก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับมันหรอกน่า ถ้าใช่แล้วจะมาฆ่าพวกมันเพื่อช่วยนายทำไม”
ผมชะงักกึกทันใด เออ...ก็จริงแฮะ ถ้ามันเป็นพวกเดียวกัน ไอ้พวกนั้นก็คงจะไม่บอกให้ซีเลนอย่ามายุ่งแน่ แต่มันจะเชื่อได้มั้ยล่ะในเมื่อพวกนั้นมันรู้จักซีเลน ถ้ารู้จักอย่างนี้ก็ต้องแสดงว่าถ้าซีเลนไม่เป็นคนดังของจักรวาลเหมือนคีธ ก็ต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเซนไทน์แน่ แต่จะอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าไม่ปลอดภัย หนีก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ผมตั้งท่าจะหนีอีกครั้ง ทว่าก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่คว้าเข้ามาที่ต้นแขนผมอย่างจัง พอหันไปเห็นว่าเป็นฝีมือของซีเลนที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้ ผมก็ร้องเสียงดังทันควัน
“เฮ้ย!”
“กลัวอะไรของนาย ถ้านายจะกลัวว่าจะถูกฉันฆ่า ไปกลัวว่าจะถูกฉันปล้ำดีกว่ามั้ง ช่วยแล้วยังจะหนีอีก ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ” หมอนั่นว่ายิ้มๆ
ก็จริงของมันนั่นแหละ ผมเลยรีบเก็บสีหน้าตื่นกลัวทันที
“ขะ...ขอบใจแล้วกัน” แต่ถึงจะเก็บสีหน้าตื่นกลัว ทว่ามันก็ยังออกมาทางน้ำเสียง
ซีเลนมองหน้าผม หยักยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็หัวเราะในลำคอ
“กลัวเหรอฮะ นี่กลัวอะไร กลัวโดนฆ่าหรือกลัวโดนปล้ำ?”
ทั้งสองอย่างนั่นแหละโว้ย ก็มึงมันไว้ใจไม่ได้นี่หว่า! แค่เป็นมนุษย์ต่างดาวหื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นสายพันธุ์อะไรก็น่ากลัวแล้ว นี่มึงยังจะมาฆ่ากันโชว์ต่อหน้ากูอีก เป็นใครก็กลัวทั้งนั้นแหละ!
ผมไม่ตอบออกมาเป็นคำพูด ซีเลนก็เลยปล่อยมือออกจากต้นแขนผมแล้วย้ายมาวางบนหัวแทน
“เพิ่งฆ่าพวกสวะมาสดๆ ร้อนๆ ฉันไม่มีอารมณ์กับนายหรอกน่า นายปลอดภัย สบายใจได้”
ท่าทางเป็นมิตรของซีเลนที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนทำเอาผมคลายความกังวลได้เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับมันช้าๆ ทั้งที่ตาทั้งสองยังคงจ้องจับผิดมันอย่างระมัดระวัง
“กลับบ้านได้แล้วไป พวกนี้มันโผล่มาอย่างนี้ แสดงว่าเดี๋ยวต้องมีโผล่มาอีก” ได้ทีมันก็สั่งใหญ่ แถมตามมาด้วยอธิบายอีกเมื่อเห็นว่าผมเหลือบมองไปยังร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ต่างดาวทั้งสามที่กองอยู่กับพื้นพวกนั้น
“ส่วนไอ้เศษซากพวกมัน นายก็ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเซนไทน์จะย่อยสลายไปเองภายในหนึ่งชั่วโมงหลังตาย”
ผมเผลอคิดไปเลยว่าซีเลนมันก็เป็นคนดีเหมือนกัน แต่มันก็ทำท่าทางเป็นคนดีได้แค่แวบเดียวเท่านั้น เพราะพอมันพูดประโยคนั้นจบปุ๊บ มันก็ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่ผมทันที
“หรือถ้านายไม่อยากกลับ เตียงฉันก็ยังว่าง อยากเห็นนายร้องทุรนทุรายเพราะฉันนานแล้ว”
มึงนี่มันหื่นได้ตลอดเวลาจริงๆ ด้วยสินะ!
ผมนี่อยากจะต่อยหน้ามันฉิบเป๋ง แต่ก็อดใจไว้ ถามเรื่องอื่นออกไปแทน
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน”
ซีเลนชะงักมือที่กำลังพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น หันมามองหน้าผมที่กำลังมองมันอย่างขอคำตอบทันใด
“ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวไง”
“รู้ว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่สายพันธุ์อะไร”
“นายจะอยากรู้ไปทำไมนักหนา” ซีเลนว่าพลางเหลือบมามองผม ก่อนจะทำท่าไม่สนใจ พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นต่อ
“อยากรู้สิ ก็ร่างจริงของนายเหมือนกับพวกนั้น นาย...เป็นเซนไทน์ใช่มั้ย” ประโยคหลังนี่ผมถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนักว่าสมควรถาม
ซีเลนเหลือบมามองผมอีกครั้งพลางหยักยิ้มให้
“ไม่ใช่หรอก”
“แต่ลักษณะร่างกายของนายมันเหมือนเซนไทน์...”
“ก็แค่ลักษณะของหนาม มีตั้งกี่ชาติพันธุ์ที่ร่างกายมีหนามแหลมเป็นอาวุธน่ะ ดูสีก็รู้แล้วว่าไม่ใช่” ซีเลนว่าไม่ยี่หระ
ทว่าผมยังคงข้องใจถึงจะจริงอย่างที่ซีเลนว่าก็เถอะ พวกเซนไทน์น่ะมีหนามเป็นสีดำ ส่วนของซีเลนเป็นสีเทา แต่ลักษณะภายนอกมันดูเหมือนกันอย่างกับพิมพ์เดียวกันเลยไง ผมเลยได้สงสัยแบบนี้
“แค่สีต่างกัน มันไม่ได้หมายความว่านายไม่ใช่เซนไทน์” ผมยังคงจับผิดไม่เลิกจนซีเลนต้องหยุดมือจากการพับแขนเสื้อ หันมามองหน้าผมและตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันไม่ใช่เซนไทน์”
“แต่ว่า...”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่พวกมัน”
ผมจ้องหน้าซีเลนนิ่ง... โอเค ในเมื่อยืนยันกันถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่ก็ไม่ใช่วะ
“งั้นนายเป็นพวกไหน”
“นายจะอยากรู้ทำไม”
“ก็ฉันอยากรู้”
“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับนาย ไม่ต้องรู้หรอก” ซีเลนก็ยังไม่บอกอยู่ดี
ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงบอก ไอ้ที่ไม่บอกนี่มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ ถึงไม่ยอมบอก และเชื่อเหรอว่าผมจะหยุดเค้นถามมันแค่นี้ ในเมื่อผมอยากรู้ ผมก็ต้องรู้ให้ได้
ทว่าพอผมเปิดปากจะถามอีก สายตาก็เหลือบไปเห็นของเหลวบางอย่างไหลซึมออกจากเสื้อบริเวณหน้าอกของซีเลน มองแวบเดียวก็รู้ว่ามันคือเลือดสีเขียวอ่อนอะไรนั่น ก่อนที่ผมจะชี้นิ้วไปยังจุดนั้นทันใด
“นาย...เลือดออก”
ซีเลนเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเลือดไหลก็ตอนนี้เหมือนกัน หมอนั่นละมือจากการพับแขนเสื้อไปถลกเสื้อขึ้นแทน ผิวเนื้อภายใต้เสื้อเชิ้ตที่ถูกของแข็งกรีดเป็นทางยาวปรากฎสู่สายตาและเกือบทำให้ผมเป็นลมเพราะบาดแผลค่อนข้างใหญ่พอสมควร ดีที่ปากแผลมันไม่ลึก เลือดเลยไม่ไหลทะลักเป็นน้ำตกแต่แค่ซึมๆ ออกมาราวกับถูกมีดบาดถากๆ เท่านั้น
“สงสัยจะพลาด ไม่รู้ตัวเลยแฮะ” ซีเลนพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังดึงเสื้อลงเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก
“ไปโรง’บาลมั้ย” ผมถามออกไปด้วยคำถามโง่ๆ รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันไม่ไปหรอก เลือดสีเขียวอย่างนั้นมันจะไปทำไม ชาวบ้านก็ได้รู้กันทั้งบางว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวพอดี
และซีเลนก็ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบพลางยิ้มรับ
“ เดี๋ยวก็หาย ร่างกายฉันรักษาตัวเองได้ แต่อาจจะใช้เวลาหน่อย น่าจะสักวันสองวันนะถ้าไม่ติดเชื้อ นายกลับบ้านได้แล้วไป” แล้วมันก็ไล่ผมสำทับอีก
ผมก็อยากจะกลับนั่นแหละ แต่พอเห็นซีเลนมาบาดเจ็บเพราะช่วยผม ผมก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาฉับพลัน ถึงมันจะหื่นและมั่วไม่เลือก แต่ดูท่าทางเนื้อแท้มันก็น่าจะเป็นคนดี ถ้ามันไม่ใช่คนดี มันก็คงไม่มาช่วยผมแบบนี้ ทำอะไรสักอย่างตอบแทนบุญคุณมันหน่อยแล้วกัน
“เดี๋ยวฉันไปที่ห้องนายแล้วกัน” ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น ซีเลนถึงกับมองหน้าผมเลย
“นายอยากมีอะไรกับฉัน?”
“จะไปทำแผลให้เว้ย เดี๋ยวแผลก็ติดเชื้อก่อนหรอก เลิกคิดหื่นๆ ซะที” ผมว่าเสียงเขียว ซีเลนร้องว้าออกมาอย่างเสียดาย
“ที่แท้ก็คิดจะตอบแทนบุญคุณด้วยการทำแผลล่ะสินะ แย่จัง ฉันก็นึกว่าจะตอบแทนด้วยร่างกาย กำลังหิวพอดี”
เดี๋ยวกูก็เปลี่ยนจากทำแผลมาเป็นกระซวกไส้มึงอีกคนซะหรอก!
“อย่ามัวพูดมาก ไปเร็วๆ เลือดไหลขนาดนั้น เดี๋ยวก็ตายก่อนแผลมันจะหายเองหรอก” ผมตัดบทเอาดื้อๆ
ซีเลนยักไหล่แล้วเดินนำไป ผมเดินตามแผ่นหลังมันไปเงียบๆ คิดในใจว่าการไปเพนท์เฮ้าส์ของซีเลนครั้งนี้จะต้องไม่ให้คีธรู้เป็นอันขาด ไม่ใช่ว่ากลัวคีธหึงแล้วจะเอาท์ดอร์อะไรหรอกนะ แต่ผมกลัวจะทำให้คีธไม่สบายใจมากกว่า
ทว่าความคิดของผมก็ต้องสะดุดลงเมื่อจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความหนักของท่อนแขนที่วางลงมาบนไหล่ผม พอเหลือบไปมองคนตัวการก็เห็นว่าเป็นซีเลนที่ถือวิสาสะมาโอบบ่าผมหน้าตาเฉย
“พยุงหน่อย เจ็บแผล” ว่าพลางยิ้มเผล่อย่างเจ้าเล่ห์
มึงมันขี้โกหก! หน้าตามึงไม่ได้บอกสักนิดว่าเจ็บ บอกแต่ว่ามึงหื่นเนี่ย!
ผมทำท่าจะดึงแขนมันออก แต่ซีเลนก็กระชับอ้อมแขนให้ร่างผมแนบชิดกับมันมากขึ้น ก่อนมันจะว่า
“ฉันบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตนายนะ เอาใจหน่อยสิ”
แม่ง พูดไม่ออกเลย มึงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ!
ผมส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าก็ยอมให้มันโอบไหล่แต่โดยดี แต่ก็ไม่วายสั่งมันเอาไว้ก่อนกันเหนียว
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนี้ก็อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวอีก”
ซีเลนไม่ตอบ ยักคิ้วให้แทน ผมก็เลยไม่รู้ว่ามันตกปากรับคำหรือเปล่า ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเรื่อง
“กลับกันเถอะ ฉันเหนื่อยละ หิวด้วย อยากจะมีเซ็กส์”
คะ...คิดถูกหรือเปล่าวะที่หลุดปากว่าจะไปทำแผลให้มันเนี่ย?

ตอนแรกเหมือนจะคิดผิดที่มาที่ห้องของซีเลน ซึ่งจริงๆ ก็คิดผิดนั่นแหละ เพราะพอมาถึง ซีเลนก็สั่งให้ผมโทรตามนายแบบคนหนึ่งที่รับจ็อบพิเศษมาให้ แผลเผลออะไรก็ไม่สนใจทำก่อน นอกจากแค่อาบน้ำ แล้วจัดการลากนายแบบนั่นเข้าไปกินหัวกินหางในห้องนอนโดยไม่สนใจผมที่นั่งรอมันหัวโด่อยู่ที่ห้องนั่งเล่นแม้แต่น้อย กว่ามันจะจัดการธุระปะปังเสร็จก็เล่นเอาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมเองก็ผล็อยหลับไปที่โซฟาตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่กดมายังข้างตัวจนโซฟายวบ
ผมกระเด้งตัวตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ที่เด้งตัวตื่นนี่ไม่ใช่อะไรนะ กลัวว่าถ้าไม่ตื่น ไอ้ซีเลนจะมาปล้ำผมต่อนี่แหละ และพอตั้งหลักได้ ผมก็เห็นซีเลนนั่งกระดกเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ข้างๆ พลางปรายตามองผมอย่างยั่วเย้า
“กลัวโดนปล้ำหรือไงถึงได้สะดุ้งตื่นซะใหญ่โตขนาดนั้น”
ผมอยากจะบอกว่าเออใส่หน้ามันแรงๆ ทว่าก็ได้แต่ลูบหน้าลูบตาไล่ความงัวเงีย แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“นายแบบนั่นล่ะ”
“กลับไปแล้ว เมื่อกี้” ซีเลนว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนวางขวดเครื่องดื่มชูกำลังลงบนโต๊ะแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟา
ผมชำเลืองมองบาดแผลบนหน้าอกของซีเลนที่บัดนี้เลือดหยุดไหลไปแล้ว มีแต่ร่องรอยบาดแผลที่เด่นเป็นสง่าเล็กน้อย ก่อนจะตระหนักได้ว่าผมควรจะรีบทำแผลให้มันแล้วรีบกลับก่อนที่มันจะมาปล้ำผมต่อ เท่านั้น ผมก็ออกปากทันใด
“กล่องยาอยู่ไหนล่ะ ฉันจะได้ทำแผลให้”
“ในชั้นเหนือกระจกในห้องน้ำน่ะ” ซีเลนชี้นิ้วส่งๆ
ผมรีบพุ่งไปยังพิกัดที่มันบอก คว้าเอากล่องยาที่บรรจุอุปกรณ์ทำแผลกลับมายังห้องนั่งเล่นและจัดการทำแผลให้มันทันใด ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ซีเลนจะมีกล่องยาติดบ้านเพราะก่อนหน้าที่มันจะมาเป็นพระเอก มันเคยเป็นสตั๊นแมน การที่สตั๊นแมนจะมียากับอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นอยู่ติดบ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วก็ไม่แปลกหนักเข้าไปอีกที่อุปกรณ์และยาพวกนั้นไม่มีร่องรอยของการเปิดใช้เลย คงจะอย่างที่มันบอกแหละว่าร่างกายมันรักษาตัวเองได้เลยไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้ถึงมันจะบอกว่าแผลมีโอกาสติดเชื้อก็ตาม
ผมเอาสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบาดแผลให้อย่างเบามือ ตาก็เหลือบมองหน้าซีเลนที่เอาแต่จ้องผมนิ่งไปด้วย จ้องอย่างเดียวไม่ว่า นี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนทำผมประหม่าอีก ผมเลยต้องถามมันออกมาเสียงเขียว
“ยิ้มบ้าอะไร”
“ก็นายน่ารักดี”
คำชมที่เหมือนกับคำชมที่คีธชอบพูดบ่อยๆ ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาน้อยๆ ด้วยความเขินอาย ไอ้ซีเลนนี่ปกติมันเคยแต่หื่นใส่อย่างเดียวไง มันไม่เคยพูดจาดีๆ ด้วยแบบนี้ ผมก็เลยประหม่าน่ะ ผมก็เลยรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนที่มันจะหาโอกาสลากเข้าเรื่องใต้สะดืออีก เพราะตอนนี้มันก็อยู่ในสภาพพร้อมจะลุยสนามรัก ถ้าไม่รีบเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวมันชมเสร็จก็ลากผมไปปล้ำแน่
และหัวข้อที่ผมเปลี่ยนเรื่องคุยก็คือเรื่องสายพันธุ์มนุษย์ต่างดาวของมันนี่แหละ ด้วยผมตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ผมยังไม่ได้คำตอบเลยว่ามันคือสายพันธุ์ไหนกันแน่
“ตกลงนายเป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์อะไรถ้าไม่ใช่เซนไทน์”
“นี่นายยังไม่จบอีกเหรอเนี่ยเรื่องนี้น่ะ” ซีเลนถึงกับหุบยิ้มเมื่อได้ยินคำถาม
“เออ ยังไม่จบหรอก ก็ฉันยังไม่ได้คำตอบเลยนี่หว่า” ผมว่าขณะเอาผ้าก๊อซปิดแผลให้มัน
“พวกมนุษย์โลกช่างสอด” ซีเลนพ่นลมหายใจออกมายาว ปากพึมพำด่าผมไปด้วย
ผมนี่อยากจะเอาแอลกอฮอล์ล้างปากมันชะมัดเลยให้ตาย
“ไม่สอดไม่ได้ ก็นายน่ะมันหื่นผิดมนุษย์มนา กินอาหารด้วยการมีเซ็กส์เหมือนพวกบ้ากามนี่มันก็ทำให้คนที่รู้จักนายจิตตกเหมือนกันนะเว้ย ตกลงนายเป็นสายพันธุ์อะไรกันแน่ ถ้าเป็นตัวอันตราย ฉันจะได้ไปบอกนาซ่าให้มาจัดการนายก่อนที่นายจะยึดครองโลก” ผมพูดไปเรื่อย
ซีเลนหัวเราะออกมาในตอนนี้ก่อนจะอธิบายความเข้าใจผิดของผม
“ไม่ได้กินอาหารด้วยการมีเซ็กส์ มีเซ็กส์นี่เพื่อเก็บพลังงานสะสมต่างหาก ฉันก็กินอาหารเหมือนมนุษย์โลกอย่างพวกนายนี่แหละ แต่การกินอาหารแบบนั้นมันทำให้สะสมพลังงานได้ไม่นาน การมีเซ็กส์เพื่อสะสมพลังงานมันเลยเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่การมีเซ็กส์ระหว่างสองเพศมันก็ต่างกันนะ มีเซ็กส์กับผู้หญิงจะเก็บพลังงานสะสมได้น้อยกว่าการมีเซ็กส์กับผู้ชาย ฉันก็เลยเลือกผู้ชาย”
ผมพยักหน้ารับ เข้าใจรายละเอียดมากขึ้นมานิดนึง ไม่แปลกใจละว่าทำไมมันถึงได้เรียกแต่ผู้ชายมาปรนเปรอทั้งที่ก่อนหน้ามันก็เคยมีข่าวกับดารานางแบบสาวๆ ออกจะบ่อย
“จะอะไรก็ช่างเถอะ ฉันแค่อยากรู้ว่านายเป็นพวกสายพันธุ์อะไรถึงได้ตามดมชาวบ้านไปทั่วอย่างนั้น” ผมนึกถึงตอนที่ซีเลนดมผมบ้าง ริชาร์ดบ้าง บรูคลินบ้าง แล้วก็พูดว่ากลิ่นแรงอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้เลยพูดออกไป
ซีเลนนิ่งไปครู่ มองหน้าผมพลางหยักยิ้มขึ้นมาน้อยๆ
“อยากรู้จริงๆ เหรอ”
“อยากสิ ไม่อยากจะถามหรือไง”
“มานั่งนี่สิ ฉันจะบอก” แล้วมันก็ตบพื้นที่บนโซฟาข้างๆ ตัวมัน เรียกให้ผมที่นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าทำแผลให้มันอยู่ไปนั่งตรงนั้น
ผมชั่งใจเล็กน้อยว่าควรไปนั่งมั้ย แต่ความอยากรู้มันมากกว่าความหวาดระแวง ผมเลยตัดสินใจลุกไป ทว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งที่สอง เพราะพอบั้นท้ายผมสัมผัสกับเบาะนุ่มปุ๊บ ซีเลนก็กดผมลงนอนปั๊บ
“เฮ้ย! ทำอะไรวะ!” ผมแหกปากลั่นโดยอัตโนมัติทันที ในหัวที่ด่าตัวเองเป็นพัลวันเลยว่าโง่ มีบทเรียนจากมันตั้งหลายครั้งแล้วก็ไม่จำ ยังจะพลาดท่าให้มันอีกจนได้
ทว่าซีเลนไม่ลงมือทำอะไร นอกจากหัวเราะในลำคอ ส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ผมเท่านั้น
“ก็จะบอกไงว่าฉันเป็นสายพันธุ์อะไร”
มึงก็นั่งบอกดีๆ สิเว้ย!
ผมกำลังจะบอกมันแบบนี้ แต่มันก็พูดขึ้นมาก่อน
“ฉันเป็นสายพันธุ์หายากและฉันเป็นคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์นี้”
ผมเก็บคำพูดที่จะไล่มันออกไปจากตัวผมทันใด ก่อนจะย่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อคำพูดของคีธกับแอสตันที่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่รับพลังงานโดยการมีเซ็กส์ให้ฟัง
“นายหมายถึง... นายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์งั้นเหรอ”
ซีเลนพยักหน้าเล็กน้อย
“แล้วทำไมถึงใกล้สูญพันธุ์ โดนล่า?”
“คิดว่าไงล่ะ” ซีเลนไม่ตอบแต่ถามผมกลับ
ผมเลยคิดเอาเองว่ามันคงจะโดนล่าเหมือนกัน และที่พวกเซนไทน์นั่นรู้จักซีเลนก็คงเพราะซีเลนได้ชื่อว่าเป็นคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ล่ะมั้ง ขนาดคีธเป็นผู้พิทักษ์ทั้งที่ไม่ได้เป็นแค่คนเดียว คนยังรู้จักกันทั้งจักรวาล แล้วประสาอะไรกับซีเลน รายนี้คนก็คงจะรู้จักกันทั้งจักรวาลเหมือนกันแหละ
แต่เอ... ถ้าซีเลนดังไปทั่วจักรวาลจริง ทำไมคีธกับแอสตันถึงไม่รู้จักซีเลนแต่เซนไทน์พวกนั้นถึงรู้จักล่ะ?
“แล้วชื่อสายพันธุ์ของนายคืออะไร” ที่ถามแบบนี้ ก็เพื่อผมจะเอาไปบอกคีธกับแอสตันได้ถูกนั่นแหละ
“ไม่มี” ทว่าคำตอบของซีเลนทำให้ผมต้องย่นคิ้วอีกครั้ง
“มันจะไม่มีได้ไงวะ ใครๆ เค้าก็มีกันแต่นายไม่มีเนี่ยนะ”
“ก็ไม่มี นายอยากตั้งให้มั้ยล่ะ ชาติพันธุ์พ่อรูปหล่อเป็นไง?”
ผมนี่อยากจะเอาหัวโขกหน้ามันเลย มึงนี่หื่นไม่พอ ยังจะหลงตัวเองอีก มั่นหน้าเหลือเกิน!
ถึงจะยังรู้ไม่ชัดเจนว่าซีเลนเป็นสายพันธุ์อะไรกันแน่ ผมก็ไม่อยากจะรู้อีกต่อไปละพอเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพถูกซีเลนเปลือยล่อนจ้อนคร่อมอยู่บนโซฟานานเกินไป เลยตัดบทเอาดื้อๆ
“โอเค ฉันเข้าใจละ ลุกออกไปได้แล้ว” พูดพลางทำท่าจะลุก แต่ซีเลนก็กดผมให้นอนลงมาอีก
“ฉันตอบคำถามนายไปแล้ว นายก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้ฉันด้วยสิ”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก รู้เลยว่าค่าเสียเวลาที่มันว่าคืออะไร แน่นอนว่าผมไม่ให้มันหรอก
“ปล่อยนะเว้ย! ถ้าคิดจะปล้ำล่ะก็ ฝันไปเลย!” ผมแหกปากลั่นอีกครั้ง ซีเลนส่งเสียงจุปากเป็นพัลวัน
“รู้น่า ก็ไม่ได้คิดจะปล้ำหรอก ก็แค่...” ว่าแล้วก็หยุดไป สายตาปรายมองใบหน้าผมไปทั่วให้ผมได้เสียวสันหลังขึ้นมาด้วยลุ้นว่ามันจะทำอะไร ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากผม
“แค่ขอจูบทีนึง”
“ไม่ได้”
ผมตอบโดยไม่คิดด้วยฉุกคิดได้ว่าถ้าซีเลนจูบผม คีธจะต้องรู้แน่เพราะอีกไม่กี่วัน ผมก็ต้องกลับไปเป็นโฮสต์ให้คีธ ถึงจะรู้ว่าคีธจะไม่ได้กลิ่นซีเลนก็เถอะ แต่กันไว้ก็ดีกว่าต้องไปตามแก้ทีหลังเปล่าวะ
ทว่าซีเลนไม่ฟัง แถมยังต่อลองมาอีก
“นิดเดียว ฉันอยากจะลองชิมริมฝีปากนายมานานแล้ว”
“อะไรของนายวะ ก่อนหน้านี้เห็นอยากได้ริชาร์ดไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาเป็นฉันเล่า!” ผมโบ้ยขี้ให้ไอ้ริชาร์ดเลย
ซีเลนนิ่งไปเล็กน้อย ทำท่าคิดไปครู่ก่อนจะว่าออกมา
“ก็จริง นั่นเพราะฉันได้กลิ่นจากริชาร์ดน่ะเลยสนใจ จริงๆ แล้วฉันสนใจนายมากกว่า สนใจนายตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้านายครั้งแรกแล้ว แต่ตอนนั้นนายไม่มีกลิ่นชัดเจนเท่ากลิ่นของริชาร์ด”
กลิ่นอีกแล้ว กลิ่นนี่คือกลิ่นยูนิกม่าใช่มั้ย?
ผมชักสงสัยขึ้นมาอีกแล้วว่าทำไมมันถึงได้มีปัญหากับกลิ่นของยูนิกม่าที่ติดกับตัวผมนัก แต่ก็ไม่กล้าถามด้วยกลัวว่าจะหลุดปากออกไปว่าเป็นโฮสต์ให้คีธ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่ามันมาดีหรือมาร้ายกันแน่ ผมก็ไม่ควรจะบอกว่ายูนิกม่าที่ผมเป็นโฮสต์ให้อยู่คือใคร ไม่งั้นความซวยจะตกอยู่ที่คีธ
“นายก็กลับไปตามริชาร์ดสิวะ” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการอย่างต่อเนื่องขณะที่ซีเลนตอบกลับมา
“ตอนนี้กลิ่นของนายชัดแล้ว ฉันเลยอยากตามนายมากกว่า”
“ไม่เอา!” ผมร้องลั่น ซีเลนไม่ฟังเลยสักนิด
“แค่จูบน่ากวินทร์ แค่จูบ”
“ไม่!”
“จุ๊ๆ นิดเดียว เป็นเด็กดี อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวรู้สึกดีเอง” มันปลอบประโลมผม โน้มน้าวด้วย ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่! บอกว่าไม่ ไม่เข้าใจหรือไงวะ!”
แต่ก็เท่านั้นแหละ พอเปิดช่องว่างปุ๊บ มันก็ฉวยโอกาสเข้าครอบครองริมฝีปากของผมเลย แถมไม่ได้เป็นการจูบแบบจุ๊บแล้วก็เลิกแล้วต่อกันด้วย แต่เป็นการจูบแบบเฟรนช์คิสชนิดดูดดื่ม ผมพยายามผลักไสแต่ก็เหมือนเรี่ยวแรงจะถูกสูบออกไปอย่างไรอย่างนั้น
ร่างกายผมอ่อนแรงไปเลยและก็คิดว่าถ้าซีเลนจะทำอะไรต่อจากนี้ ผมก็คงสู้ไม่ไหวด้วย แต่ดีที่ซีเลนทำแค่จูบจริงๆ ก่อนจะผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
“เด็กดี” มันว่าพลางคลายมือที่กดแขนผมอยู่มาปัดปอยผมที่ปรกหน้าผมอยู่เบาๆ
ผมอยากจะด่ามันเหลือเกินแต่หน้ามืดขึ้นมากะทันหัน แล้วก็หน้ามืดหนักเข้าไปอีกเมื่อมันพูดขึ้นมา
“ฉันชอบนายนะ แต่น่าเสียดายที่มีคนจับจองนายไว้แล้ว อ้อ แล้วก็จูบเมื่อกี้อาจจะมีกลิ่นของฉันติดไปนิดหน่อย ลืมเก็บกลิ่น”
มะ...หมายความว่ายังไงวะที่ว่าลืมเก็บกลิ่นน่ะ!?
“คนที่นายดูแลอยู่อาจจะได้กลิ่นฉันนะ บอกไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน”
ซีเลนพูดจบก็ลุกออกจากตัวผม ทิ้งให้ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่มันพูดเมื่อครู่
ซะ...ซวยแล้ว อย่างนี้คีธรู้แน่ว่าผมกับซีเลนทำอะไรกันมา มะ...มึงจงใจทำแน่ๆ เลยใช่มั้ยไอ้ซีเลน!
ผมอ้าปากจะด่ามัน แต่ซีเลนดันเดินไปเปิดประตูห้องแล้วพยักหน้าเชิญผมออกไปเป็นที่เรียบร้อย
“กลับไปได้แล้ว ดึกแล้ว ไม่ไปส่งนะ กลับเอง”
มึงนี่มัน…!
ผมฮึดฮัด หงุดหงิดขึ้นมาทันทีเลย ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปเมื่อเห็นซีเลนพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผมออกจากห้องมันอีกครั้ง
นี่ควรเป็นบทเรียนสุดท้ายที่ผมเรียนรู้จากซีเลนแล้วจริงๆ สาบานเลยว่าต่อไปนี้ ต่อให้มันมีพระคุณกับผมแค่ไหน ผมก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกแล้ว!
 

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-01-2016 00:30:14
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[2]
 
ผมทำงานไม่เป็นสุขเลยเมื่อวันใหม่มาถึงด้วยคิดว่าถ้าพรุ่งนี้คีธกลับมาวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่กับผม แล้วคีธรู้ว่าผมไปจูบกับผู้ชายคนอื่นที่คีธเคยกำชับนักหนาว่าอย่าไปเข้าใกล้ คีธจะรู้สึกยังไง อารมณ์ตอนนี้คือเหมือนเมียที่ไปมีชู้มาแล้วกลัวถูกผัวจับได้ฉิบเป๋ง แล้วเชื่อมั้ยว่าผมจิตตกทั้งวันจนริชาร์ดยังทัก แต่ผมไม่ได้บอกมันหรอก กลัวว่ามันจะไปบอกแอสตันแล้วคีธจะรู้เร็วกว่าเดิม ถ้าคีธจะรู้ ก็ให้รู้กันแค่กับผมสองคนดีกว่า
ส่วนซีเลนก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับผม ทำงานตามปกติ มีบ้างที่หันมาส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยกับส่งจูบให้เป็นพักๆ ผมก็ทำเป็นไม่สนใจมัน ไม่สนใจแม้แต่การแจ้งข่าวของผู้กำกับวิลล์ที่จู่ๆ ก็ตัดสินใจว่าจะจัดงานปาร์ตีที่บ้านเขาคืนวันพรุ่งนี้เพื่อเลี้ยงอำลาด็อกเตอร์มาร์ติน ผมกับริชาร์ดก่อนที่จะกลับนิวยอร์กอาทิตย์หน้าด้วยซ้ำ จนกระทั่งกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์หลังเลิกงาน นรกเริ่มต้นก็ตอนที่ผมนั่งรอการมาถึงของคีธหลังจากที่แอสตันโทรมาบอกริชาร์ดว่าจะเข้ามาหานี่แหละ
ผมคิดคำแก้ตัวเป็นพัลวัน ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก ผมสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรงก่อนลุกขึ้นไปเปิดประตูพร้อมฉีกยิ้มที่ดูยังไงก็น่าจะเป็นการฝืนยิ้มแบบสุดๆ เมื่อเห็นสีหน้านิ่งเรียบของคนที่ผมรอการมาถึง
“งะ...ไงคีธ” แล้วก็ตามด้วยการทักแบบโง่ๆ ออกไป
คีธเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าไม่ปกติของผมก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ทำหน้าแปลกๆ กวินทร์ไม่สบายเหรอ”
หน้าตากูคงจะดูผิดปกติมากเลยสินะถึงได้ทักแบบนี้น่ะ!
“เปล่า ฉันสบายดี” ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดด้วยไม่ต้องการให้มีพิรุธ
แต่การฝืนทำตัวปกติมันก็คือพิรุธนั่นแหละ แล้วก็ยิ่งพิรุธหนักขึ้นไปอีกเมื่อคีธทำจมูกฟุดฟิดแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ ผม
“กวินทร์... นี่มันกลิ่นใคร”
ระ...รู้แล้ว!
ผมรีบดึงคีธเข้ามาในห้อง จัดการปิดประตูแล้วดึงคีธที่ทำท่าจะถามผมอีกเดินมานั่งบนเตียงทันใดก่อนจะชิงเปิดปากอธิบายก่อน
 “คืองี้นะคีธ แบบว่า...” แล้วก็หยุดไปด้วยไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีที่ไม่ทำร้ายจิตใจคีธ
ก็แหม ก่อนหน้าจะจูบกับซีเลนวันเดียว ผมเพิ่งจะเอาท์ดอร์กับมันหน้าบ้านไอ้บรูคลินอยู่เลย ถ้าผมเป็นมันแล้วรู้ว่าคนรักของตัวเองทำแบบนี้ ผมก็ไม่โอเคเหมือนกันล่ะวะ
และเพราะผมมัวแต่อึกอัก คีธก็เริ่มย่นหัวคิ้วแล้วว่าเสียงต่ำ
“กลิ่นใคร”
“คะ...คือ...” ผมยังอึกอักอยู่ และเพราะอึกอักนี่แหละที่ทำให้ดวงตาคู่สวยของคีธแปรเปลี่ยนจากสีเทาสว่างเป็นสีดำทั้งเบ้า มิหนำซ้ำ มือทั้งสองข้างยังจับมาที่ต้นแขนของผมแล้วบีบแน่นอีก
“ฉันถามว่ากลิ่นของใครกวินทร์”
หะ...ให้กูตั้งสติแป๊บสิวะ!
“ถ้าไม่บอก ฉันจะฆ่านายโทษฐานที่หักหลังฉัน นี่เป็นธรรมเนียมของชาวยูนิกม่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ผ่านการผูกพันไม่แล้วไม่ซื่อสัตย์ต่ออีกฝ่าย จุดจบคือความตาย” แล้วก็ตามด้วยขู่สำทับมาอีกที
ผมรู้เลยว่ามันไม่ได้พูดขู่เล่นๆ ก็คีธมันเคยพูดเล่นกับใครซะที่ไหน ผมก็เลยรีบโพล่งบอกออกไปอย่างรวดเร็ว
“กลิ่นของซีเลน ตะ...แต่ฉันไม่ได้ยินยอมจูบกันมันนะ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรกับมันด้วย แค่ไปทำแผลให้มันเพราะมันมาช่วยฉันตอนถูกเซนไทน์ตามล่า แล้วก็ถามมันว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ไหนเท่านั้น มันก็เลยจูบแลกกับคำตอบที่ฉันอยากได้น่ะ”
คีธชะงัก คลายมือออกจากผมทันทีที่ผมพ่นความจริงออกมายาวเหยียด และดูเหมือนคีธจะไม่สนใจเรื่องที่ซีเลนจูบผมอีกต่อไปเมื่อได้ยินชื่อของศัตรูขึ้นมา
“พวกเซนไทน์มาตามล่ากวินทร์เหรอ”
“อะ...อืม ก็ฉันเดินกลับบ้านคนเดียว จู่ๆ พวกมันก็โผล่มาแล้วบอกว่าได้กลิ่นยูนิกม่าจากตัวฉันเลยบังคับให้ฉันไปด้วย พอฉันไม่ไปมันก็จะบังคับแต่ซีเลนโผล่เข้ามาช่วยก่อนน่ะ แต่ซีเลนไม่ใช่เซนไทน์นะ ฉันถามแล้ว เห็นบอกว่าเป็นพวกใกล้สูญพันธุ์อะไรสักอย่าง อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันรู้แล้วว่าซีเลนไม่ใช่เซนไทน์ กลิ่นไม่ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน” คีธค่อยๆ คลายหัวคิ้วขณะพูด
ผมพยักหน้า ก่อนจะถูกคีธรวบตัวไปกอดแน่นกะทันหัน
“ขอโทษนะกวินทร์”
ฮะ!? ขอโทษทำไมวะ
“ขอโทษที่ไม่ดูแลกวินทร์ให้ดีจนกวินทร์ตกอยู่ในอันตราย”
อ๋อ ที่แท้ก็เรื่องนี้...
“ไม่เป็นไร ฉันยังปลอดภัยดีอยู่ ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ไปยุ่งเกี่ยวกับซีเลนอีกทั้งที่นายสั่งห้ามแล้ว” ผมว่าอุบอิบในท้ายประโยค
คีธผละออกมาจากผม มองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร มันช่วยให้กวินทร์ปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของคีธฟังดูไม่โอเค ผมเลยยื่นมือไปแตะซีกแก้มของคีธเบาๆ
“คีธ... นายไม่โอเคใช่มั้ยที่รู้ว่าฉันจูบกับซีเลน”
คีธพยักหน้าช้าๆ ให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมามากกว่าเดิม แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นแหละเพราะคีธก็พูดขึ้นมาให้ผมเบาใจ
“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ว่ากวินทร์ไม่ได้เต็มใจ ถือว่าหายกันกับตอนที่ฉันจูบกับบูลิโอเพื่อกินสารอาหารก็แล้วกัน”
เออเนอะ ผมก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลยแฮะ
แม่ง มึงก็ให้กูจิตตกอยู่ได้ตั้งนาน กูแค่จูบกับซีเลนครั้งเดียว มึงจูบกับไอ้บรูคลินตั้งหลายครั้ง มึงสมควรจะต้องรู้สึกผิดมากกว่ากูอีก
 “งั้นก็ถือว่าฉันเอาคืนนายแล้วกัน” ผมเลยว่าออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แต่ฉันไม่ปล่อยให้กลิ่นของซีเลนอยู่บนตัวนายหรอกนะ”
“จะทำอะไรก็ทำเลยถ้างั้น ยอมทุกอย่าง” ผมแสร้งเอาใจคีธหน่อยๆ ใบหน้านิ่งเฉยของคีธเลยแต่งแต้มรอยยิ้มขึ้นมาได้
“พูดแล้วนะ” คีธว่าเสียงแผ่วก่อนจะประคองใบหน้าผมเข้ามาใกล้แล้วประทับจูบเบาๆ พลันผละออกมา
“ฉันไม่ชอบให้กลิ่นของใครอยู่บนตัวกวินทร์ กวินทร์เป็นของฉัน...คนเดียว” แล้วก็จูบลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนักหน่วงและดุดันกว่าครั้งแรกมาก
เราจูบกันเนิ่นนานจนคีธพอใจและมั่นใจว่ากลิ่นของซีเลนหายไปแล้ว ผมเองก็เกือบคิดแล้วว่าคีธคงจะพาผมไปท่องอวกาศอีก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ก่อนว่าคีธต้องวางไข่สร้างร่างใหม่ตอนที่หมอนั่นว่าออกมาเสียงอ่อย
“น่าเสียดายที่คืนนี้ผูกพันกันไม่ได้ ต้องสร้างร่างใหม่” ไม่ว่าเสียงอ่อยอย่างเดียว ทำตาเป็นลูกหมาน่าสงสารด้วย
“งั้นเดี๋ยวจะชดเชยให้วันหลัง”
พอผมพูดแบบนี้ คีธก็ยิ้มออกมาได้
“ขอรบกวนด้วยนะกวินทร์” พูดแค่นี้ ผมก็รู้เลยว่าคงจะถึงเวลาแล้ว
ผมพยักหน้า คีธเลื่อนใบหน้ามาจูบผมอีกครั้ง คราวนี้มีวัตถุทรงกลมขนาดเท่าเม็ดถั่วแมคคาเดเมียถูกส่งเข้ามาในปากผมด้วย พอคีธถอยออกไปก็เลื่อนริมฝีปากมาจูบหน้าผากผมเบาๆ
“แล้วเจอกันกวินทร์”
และนั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่คีธร่างเก่าจะทรุดฮวบไปบนเตียง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าตอนนี้ผมได้กลับมาเป็นโฮสต์ของหมอนี่และท้องหมอนี่อีกครั้งแล้ว
เอาเถอะ ถึงจะต้องพบกับความสยองตอนคลอดมันออกมาแต่ก็ถือว่าดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้โดยราบรื่นก็แล้วกัน
 
กว่าจะรอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง กว่าจะคลอด แล้วไหนจะร่างกายอ่อนเพลียหลังคลอดอีก ผมก็เลยปรึกษากับริชาร์ดที่โดนแอสตันวางไข่เหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะขอลาหยุดสักวัน โดยอ้างกับด็อกเตอร์มาร์ตินและผู้กำกับวิลล์ว่าทำงานหนักมาหลายคืนเลยทำให้ไม่ค่อยสบาย ถึงจะเป็นการโกหกโง่เง่า และสองคนนั้นก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง ทว่าก็ยอมให้ผมกับริชาร์ดหยุดด้วยเห็นว่าผมกับริชาร์ดตั้งใจทำงานกันมาโดยตลอด แล้วผมก็ไม่ลืมที่จะลาหยุดให้คีธกับแอสตันด้วย รอบนี้ผู้กำกับวิลล์ไม่ถามแล้วว่าสองคนนั้นลาหยุดเพราะอะไรอาจเป็นเพราะช่วงนี้ไม่มีคิวถ่ายทำที่ต้องใช้สตั๊นแมนสองคนนั้นแล้วก็ได้เลยไม่ใส่ใจนัก ทว่าผู้กำกับวิลล์กลับกำชับผมไว้ว่าถึงเขาจะยอมให้ผมกับริชาร์ดหยุด แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ขอลาหยุดไม่ได้ก็คือการไปร่วมงานปาร์ตีที่บ้านของเขาในคืนนี้ ผมกับริชาร์ดก็โอเคนั่นแหละ คนที่โอเคมากกว่าใครเพื่อนเลยคือริชาร์ด ดูเหมือนมันกระสันอยากจะปาร์ตีสุดเหวี่ยงหลังจากไม่ได้สัมผัสความสนุกมานานแล้วเหลือเกิน
หากแต่ตอนที่คลอดคีธกับแอสตันออกมา ริชาร์ดดันไม่สบายจริงๆ ซะนี่ แอสตันก็เลยไม่ไปงานปาร์ตีด้วย อยู่ดูแลริชาร์ดที่อพาร์ตเม้นต์แทน ผมเลยไปรับหน้าอย่างไม่อาจเลี่ยงโดยมีคีธตามติดไปด้วย
ผมมาถึงบ้านผู้กำกับวิลล์ในเวลาไม่นานนัก บ้านของเขาเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ตามประสาคนมีหน้ามีตาในวงการฮอลลีวูดนั่นแหละ งานปาร์ตีก็จัดที่ริมสระว่ายน้ำที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่นที่ดูเผินๆ เหมือนห้องโฮมเธียร์เตอร์หรูหราไม่มีผิด คนที่มางานก็เป็นพวกคนที่ทำงานในกองถ่ายที่โผล่หน้ามากันเกือบทุกคน วันนี้ทุกคนดูผ่อนคลายกันเป็นพิเศษ ดื่มกิน เต้นกันแหลกลานราวกับปล่อยผี ผมก็เอ็นจอยขึ้นมานิดๆ เมื่อเห็นบรรยากาศครื้นเครง จะรำคาญก็แต่คีธนี่แหละที่เดินตามติดผมเป็นเงาตามตัว แถมพอมีคนเข้ามาทัก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง คีธก็ออกอาการหมาหวงก้างขึ้นมาทันใด
อาการแบบ... จะกอดทักทายก็ไม่ให้กอด เข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งเมตรก็ไม่ได้อะไรอย่างนั้นน่ะ
แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันหรอก เข้าใจอยู่ว่ามันคงจะหึงเพราะเรื่องที่ผมไปจูบกับซีเลนเลยปล่อยเลยตามเลย ส่วนบรูคลินก็เหมือนจะไม่ได้มางานแฮะ ช่างหัวมันเถอะ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ไม่มาสิดี จะได้ไม่ต้องมาคอยรำคาญสายตามัน ซีเลนเองก็เหมือนจะไม่ได้มามั้ง รายนั้นไม่เห็นหัวตั้งแต่เข้างานมาแล้ว
งานปาร์ตีดำเนินไปเรื่อยๆ ผมดื่มกินไปตามประสา มีแต่คีธนี่แหละที่ไม่ยอมแตะของมึนเมาเลยนอกจากน้ำพันช์จนคนอื่นๆ แซวกันว่าคีธเป็นพวกรักสุขภาพ ผมล่ะไม่อยากจะบอกเลยว่าที่มันไม่แตะแอลกอฮอล์เพราะขยาดมากกว่า ไม่ได้รักสุขภาพอะไรหรอก
“เดี๋ยวฉันไปเอาเบียร์ก่อนนะ” ผมว่าขึ้นหลังจากที่ดื่มเบียร์กระป๋องที่สองหมดขณะที่เรากำลังนั่งดูการร้องเพลงคาราโอเกะของบรรดาทีมงานที่ผู้กำกับวิลล์ชวนเปลี่ยนกิจกรรมเมื่อครู่เพลินๆ
คีธพยักหน้าน้อยๆ ผมเลยลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ เดินไปยังตู้เย็นหลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ทว่าในจังหวะที่ผมก้มลงหยิบเบียร์ในตู้เย็น ผมก็รู้สึกได้ถึงใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ข้างประตูตู้เย็น พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นซีเลนที่ยืนยิ้มให้อยู่
“ไงกวินทร์ที่รัก”
มึงไม่ต้องมาที่รักเลย โผล่มาอย่างนี้ มึงต้องการอะไร!
ผมระแวงขึ้นมาฉับพลัน ไม่ทักทายมันตอบด้วยจนมันส่งเสียงตัดพ้อออกมาให้ได้ยิน
“ว้า ทักแล้ว เค้าไม่ทักกลับนี่รู้สึกแย่จังนะ”
“นายจะเอาอะไร” ผมกดเสียงต่ำถามทันที สายตาเหลือบไปยังคีธด้วยกลัวว่าคีธจะมาเห็นเข้าแล้วเป็นเรื่องใหญ่
ซีเลนยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที
“อยากให้ฉันบอกจริงหรือเปล่าล่ะว่าต้องการอะไร”
“ถ้าจะปล้ำฉันล่ะก็ ลืมไปได้เลย” ผมว่าอย่างรู้ทัน คนอย่างมันก็มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นแหละ
“ตอนนี้คนอื่นๆ เริ่มเมากันแล้ว ขึ้นไปข้างบนมั้ย เห็นมีห้องว่างอยู่” แล้วมันก็ชวนผมไปนัวเนียกับมันหน้าด้านๆ
กูก็เพิ่งจะบอกแหม็บๆ ว่าถ้าจะปล้ำกูล่ะก็ลืมไปได้เลย มึงนี่ฟังบ้างหรือเปล่าวะ!
“พอเลยซีเลน ฉันไม่ไป” ผมปฏิเสธไปตรงๆ แล้วทำท่าจะเดินกลับไปหาคีธ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อแขนข้างหนึ่งถูกซีเลนคว้าเอาไว้
“เอาน่า ลองสักครั้งจะติดใจ”
อะไรของมึงวะเนี่ย ตกลงมึงเป็นคนดีแน่หรือเปล่าวะ!
“ซีเลน... ปล่อย” ผมว่าเสียงต่ำ พยายามทำให้เบาที่สุดด้วยกลัวว่าคีธจะเห็น
แต่กลัวไปก็เท่านั้นแหละ คีธที่เห็นว่าผมไปเอาเบียร์นานเหลือเกินหันมามองเห็นว่าผมกำลังถูกซีเลนรั้งตัวไว้เรียบร้อยแล้ว และมันก็ไม่รอช้า รีบผุดลุกจากโซฟา ก้าวเร็วๆ เข้ามายืนข้างผมทันใด แถมยังไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร ประกาศความเป็นเจ้าของเอาโต้งๆ
“กวินทร์เป็นของฉัน”
“อ้อ นายนี่เองเจ้าของกลิ่นบนตัวกวินทร์” ซีเลนว่ายิ้มๆ ตอนนี้มันรู้ไปเรียบร้อยแล้วล่ะว่าคีธเป็นยูนิกม่า
ผมนี่ใจหายวาบเลย มีแต่คีธที่ยังคงนิ่งและพูดประโยคเดิมขึ้นมาอย่างไม่สนใจอะไรอีก
“กวินทร์เป็นของฉัน” สีหน้าของคีธยังนิ่งเรียบอยู่แต่สายตาประกายวาบไม่พอใจขณะที่มือข้างหนึ่งคว้าต้นแขนผมไว้แน่น
ซีเลนแสยะยิ้ม กระชับมือที่จับผมไว้อยู่แน่นกว่าเดิมพลันว่ายียวน
“กวินทร์อยู่กับฉันเมื่อคืนก่อน แถมเรายังทำอะไรๆ กันอีก กวินทร์ก็เป็นของฉันเหมือนกัน”
ผมล่ะอยากบอกเหลือเกินว่าที่กูอยู่กับมึงเมื่อคืนก่อนนั้นที่คือกูไปทำแผลให้มึงโว้ย ไอ้ทำอะไรๆ ของมึงก็ทำแผลนี่แหละ มึงอย่ามาพูดให้คีธเข้าใจผิดสิวะ!
แต่คีธคงไม่เข้าใจผิดหรอกเพราะผมบอกคีธไปหมดแล้ว คีธเลยได้แต่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วว่าเสียงเข้ม
“ปล่อยกวินทร์”
“ไม่ปล่อย” ซีเลนว่าพลางทำหน้ากวนประสาท
“ปล่อย”
“นายก็ปล่อยก่อนสิ”
“ถ้านายไม่ปล่อย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะซีเลน”
“โอ้ รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ ว่าแต่นายชื่ออะไรนะชาวยูนิกม่า ฉันลืมไปละ” ตอนนี้มันเปิดเผยเต็มที่เลยว่ามันรู้แล้วว่าคีธเป็นชาวยูนิกม่า แต่ดันไม่รู้จักว่าคีธเป็นผู้พิทักษ์ ดูท่าพวกมันคงจะได้แค่ดมกลิ่นแล้วแยกแยะได้ว่าเป็นสายพันธุ์ไหนเท่านั้นล่ะมั้ง แต่ไม่สามารถแยกกลิ่นเป็นคนๆ ได้
คีธก็ไม่บอกว่าตัวเองชื่ออะไร จ้องหน้าซีเลนนิ่งแล้วพูดคำเดิม
“ปล่อยกวินทร์”
“ถ้าไม่ปล่อย นายจะทำไม จะฆ่าฉันหรือไง”
“ก็คงจะอย่างนั้นถ้านายไม่ปล่อยกวินทร์ของฉัน”
“ลองดูมั้ยล่ะ ฆ่ากันให้รู้แล้วรู้รอด ใครชนะก็ได้กวินทร์ไป”
พวกมึงปล่อยกันทั้งคู่เลย! อย่ามาทำเหมือนกูเป็นของเล่นให้พวกมึงแย่งกันนะเว้ย!
ผมเกือบจะร้องบอกพวกมันไปแล้วหลังจากได้ยินซีเลนท้าทายคีธอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าผมกลัวว่าคีธจะสู้ไม่ได้หรอกนะ แต่กลัวว่าคนที่ซวยจะเป็นมนุษย์โลกอย่างผมกับคนอื่นๆ ที่โดนลูกหลงจากการตีกันของพวกมันนี่แหละ ดีที่เสียงร้องเรียกของด็อกเตอร์มาร์ตินที่กำลังกรึ่มได้ที่ดังขึ้นมาก่อน พร้อมกับกวักมือเรียกผมหย็อยๆ
“เควิน! ไหนมาร้องเพลงไทยให้ฟังหน่อยซิ!”
พอเห็นโอกาสทอง ผมเลยรีบฉวยโอกาสพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัดทันที ก่อนตรงไปยังบริเวณหน้าจอแอลซีดีระบบทัชสกรีน ก่อนจะไล่นิ้วเลือกเพลงไทยที่มีอยู่ในโปรแกรมคาราโอเกะนี่ ทว่าผมก็ไม่เจอเพลงร่วมสมัยเลยแม้แต่เพลงเดียว มีแต่เพลงเก่าๆ จำพวกเพลงรุ่นปู่รุ่นย่าอะไรแบบนี้ หนักไปทางเพลงของวงสุนทราภรณ์ด้วย แถมยังมีอยู่ไม่กี่เพลง
และก่อนที่ผมจะได้เบ้หน้ากับความเก่าของเพลง ผู้กำกับวิลล์ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เสียก่อน
“ฉันชอบเพลงยุคเก่า มันคลาสสิกดี”
ก็เหมาะกับอายุและหน้าตาคุณดี...ผู้กำกับวิลล์
ผมถอนหายใจน้อยๆ ไล่สายตาหาดูเพลงที่พอจะร้องได้อีกครั้ง ใจจริงก็ไม่อยากจะร้องหรอก แต่เพื่อหนีไอ้บ้าสองตัวนั่นไง หนทางนี้เลยน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“มีแต่เพลงคู่นี่ครับ” ผมร้องขึ้นเมื่อเห็นว่ารายชื่อเพลงทั้งหมดมีแต่เพลงจีบกันไปมา ก่อนผู้กำกับวิลล์ที่กระดกวิสกี้ลงคอจะหัวเราะ
“ฉันชอบเพลงพวกนี้ มันโรแมนติกดี”
โรแมนติกตรงไหนวะ!
โอเค สำหรับคนเจเนอร์เรชันก่อนอาจจะใช่ แต่สำหรับคนเจนวายอย่างผม มันไม่ใช่น่ะ
“งั้นผมก็คงจะร้องไม่ได้แล้วล่ะฮะ ไม่มีคู่” ผมว่าไปตามจริง
ผู้กำกับวิลล์โบกมือเป็นพัลวัน
“เฮ้ย ทำไมจะไม่ได้ นายก็ร้องสลับเสียงชายหญิงไปสิ”
มึงก็พูดเป็นเรื่องตลกเลยนะไอ้ผู้กำกับ! ทำอย่างกับกูมีความสามารถในการร้องเพลงสูงอย่างนั้นแหละ แค่ร้องถูกคีย์ก็ดีแล้ว!
ผมเบ้หน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว และเพราะผมเบ้หน้า ผู้กำกับวิลล์ก็เลยร้องถามดังลั่น
“มีใครรู้ภาษาไทยบ้างมั้ย”
คีธที่ยังคงยืนอยู่กับซีเลนเกือบจะเดินเข้ามาหาผมแล้ว ทว่าซีเลนไวกว่า รีบยกมือแล้วเดินหน้าตั้งเข้ามา
“ผมรู้ ได้ทั้งฟังพูดอ่านเขียน”
“เออดี งั้นร้องคู่กับเควินนะ ให้เควินร้องท่อนผู้หญิง แล้วนายร้องท่อนผู้ชาย”
ซีเลนหยักยิ้ม ไม่พูดอะไรนอกจากเดินไปคว้าไมโครโฟนมาให้ผม แล้วก็คว้าของตัวเองมาถือในมือ ผู้กำกับวิลล์กดรีโมตเลือกเพลงให้ผมเสร็จสรรพโดยไม่ถามความสมัครใจผมสักคำว่าอยากจะร้องเพลงนี้มั้ย เสียงอินโทรเพลงดังขึ้น ผมยังไม่ทันรู้ว่ามันเป็นอินโทรเพลงอะไรก็ตั้งท่าจะหันไปมองคีธเพราะผมคิดว่าคีธคงไม่โอเคแน่ที่เห็นผมร้องเพลงคู่กับซีเลน
มันก็ไม่โอเคอย่างที่ผมคิดนั่นแหละ เพราะแค่ผมทำท่าจะหันไป คีธก็โผล่มายืนข้างหลังผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะยื่นมือมาแย่งไมค์จากมือ พลันดึงผมออกห่างจากซีเลนไปหลบหลังตัวเอง ส่วนตัวเองก็ประจันหน้ากับซีเลนแทน
ผมอ้าปากทำท่าจะร้องห้าม ทว่าเนื้อเพลงท่อนแรกก็ปรากฎบนหน้าจอแอลซีดีเสียก่อน พร้อมกับเสียงซีเลนที่ร้องเพลงออกมาเป็นภาษาไทยแบบชัดถ้อยชัดคำ
“โอ้นวลละออง น้องจะเหนียมอายไปทำไม หันมาใกล้ๆ ซิ จะอายไปไหนกัน”
“อุ๊ยไม่เอา อุ๊ยไม่เอาเขารู้ทัน น้องอายพระจันทร์ ดูสิท่านกำลังมอง”
ผมอ้าปากค้างทันควัน ไม่ได้อ้าปากค้างเพราะเห็นมนุษย์ต่างดาวสองตัวร้องเพลงภาษาไทยประหนึ่งภาษาแม่นะ แต่เป็นเพราะตระหนักได้ว่าเพลงที่ผู้กำกับวิลล์เลือกนั้นเป็นเพลงอะไรต่างหาก
มึงจะเลือกเพลงจูบเย้ยจันทร์ทำไมเนี่ยไอ้ผู้กำกับ! ดูซิน่ะ พวกมันสองคนกลายเป็นคู่เกย์กันไปเรียบร้อยแล้ว!
คนอื่นๆ พากันหัวเราะร่วนพร้อมส่งเสียงเชียร์ดังลั่นที่เห็นพระเอกหนังกับสตั๊นแมนหนุ่มร้องเพลงคู่กันเสียงหวาน
“เอาอีกๆ! หวานอีก!” ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ตะโกนขึ้นมาให้ผมได้หันขวับไปมองยังต้นเสียง
นี่พวกมึงไม่ได้แหกตาดูเลยใช่มั้ยว่าพวกมันร้องเพลงไป พลางจ้องหน้ากันเขม็งอย่างกับจะฆ่ากันให้ตายอยู่เนี่ย!
เห็นสายตาที่มันสองคนมองกันแล้ว ผมก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาว่ามันจะฆ่ากันตายก่อนเพลงจบขึ้นมาจริงๆ แต่เปล่าเลย มันไม่ฆ่ากัน เอาแต่จ้องหน้ากันแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาร้องเพลงอย่างดุเดือด
“ถึงจะมองก็ไม่เห็นเป็นอะไร ท่านก็คงเป็นใจเพราะอยากให้เราสมปอง”
“นึกนึก เอาแต่ใจทำลำพอง แน่ะท่านมองทำยั่วยิ้มเป็นนัยนัย”
“จันทร์ไม่มองแล้ว จันทร์ไม่มอง”
“จันทร์ไม่มองน้องก็ไม่ให้”
“จันทร์ไม่มอง น้องอายอะไร”
“อายแก่ใจ เห็นดาวยังจ้อง”
“แน่ะเมฆมาทับ ดับแล้วเดือนดารา มาหอมหน่อยขวัญตา น้องเอยอย่ากลัวท่านเหลียวมอง”
“อุ๊ยว้าย ดูสิช้ำไปเป็นกอง”
“โธ่ อย่าร้องสิท่านจะเหลียวมองดูเรา”
ถึงตอนนี้ ผมอยากบอกเลยว่า...
พวกมึงฆ่ากันไปเลย! หยุดร้องกันซะทีเว้ย! ฟังแล้วกูจะอ้วก!
ขนลุกเลย บอกเลยว่าขนลุกไปทั้งตัวเลย เผลอนึกสภาพคีธกับซีเลนได้กันขึ้นมานิดๆ ด้วย แม่งสะพรึงมาก ไม่รู้ว่าใครจะรุกใครจะรับ ถ้ามันจะได้กันขึ้นมาจริงๆ นี่ ผมคงพูดได้เลยว่าสยองมาก ไอ้หื่นปะทะไอ้หื่นเนี่ย
กว่าเพลงจะจบ ผมก็หน้ามืดขึ้นมาหน่อยๆ พอเสียงตัวโน้ตตัวสุดท้ายสิ้นสุดลง เสียงโห่ฮาของคนอื่นๆ ก็ดังขึ้นกับเพลงรักแสนหวานของไอ้มนุษย์ต่างดาวสองตัวนี้ทันใด ซีเลนยักคิ้วให้คีธอย่างกวนโมโหก่อนจะวางไมโครโฟนแล้วทำท่าจะเข้ามาดึงผมออกจากคีธ คีธไวกว่า รีบกระชากผมมาแนบกับลำตัวท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่มองมาอย่างงงๆ ว่าจู่ๆ ก็เกิดอะไรขึ้น
ทั้งคู่จ้องหน้ากันนิ่งโดยไม่สนใจสายตาใคร ผมโคตรอยากจะสะกิดให้พวกมันเลิกทำแบบนี้สักทีเหลือเกิน ทว่าคีธก็พูดขึ้นมาก่อน
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน”
“แล้วนายล่ะเป็นใครชาวยูนิกม่า”
“ฉันถามนายก่อน”
“ฉันถามนายทีหลังแล้วจะทำไม”
ผมเห็นเลยว่าคีธสูดหายใจเต็มแรงราวกับกำลังจะหมดความอดทน แต่คีธก็ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร พูดอย่างอื่นออกมาแทน
“นายไม่ใช่เซนไทน์ กลิ่นของนายไม่ใช่”
“กวินทร์ก็น่าจะบอกนายแล้วนี่ว่าฉันเป็นใคร บอกหรือยังล่ะว่าฉันเป็นพวกใกล้สูญพันธุ์” ประโยคหลังนี่หันมาถามผม
ผมไม่หือไม่อือ ปล่อยให้คีธจัดการ
“บอกฉันมาว่านายเป็นใคร ไม่อย่างนั้นฉันไม่ไว้หน้านายแน่ นายไม่ใช่พวกรักสงบ”
ผมชะงักกึกกับประโยคนี้ ไม่รู้ว่าคีธพูดแบบนี้ทำไม อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของหมอนี่ก็ได้ที่ทำให้รู้สึกว่าซีเลนเป็นอย่างนั้น หากแต่ซีเลนยิ้มเผล่ เดินเข้ามาใกล้คีธแล้วว่าเสียงเบา
“อยากรู้เหรอ ถ้าอยากรู้ก็เอากวินทร์มาแลกสิ” ว่าแล้วก็เหลือบมองมาทางผม
ผมโคตรอยากจะด่าความหน้าด้านของมันเลย แล้วก็มั่นใจด้วยว่าคีธคงไม่ยอมแลกผมกับคำตอบบ้าๆ นั่นแน่ ก็คีธน่ะทั้งรักทั้งหวงผมอย่างกับอะไรดี ดูจากท่าทางที่นิ่งแล้วจ้องหน้าซีเลนนิ่งๆ ก็รู้แล้วว่าอีกเดี๋ยวก็จะปฏิเสธ เชื่อสิ เชื่อได้เลย
อึดใจเดียว คีธก็พูดออกมา
“ได้”
อะ...อะไรนะ! มึงเอากูไปแลกง่ายๆ แบบนี้เลยนี่นะไอ้คีธ!
ผมอ้าปากค้าง มองหน้าไอ้บ้าคีธทันควัน กำลังจะอ้าปากถามมันด้วยว่ามันกำลังทำบ้าอะไร แต่ไม่ทันจะได้ถาม คีธก็ดึงผมออกห่างตัวแล้วดันออกไปตรงหน้าซีเลนแล้ว
“เอาไปเลย”
อะไรของมึงวะเนี่ย! เมื่อกี้มึงยังว่ากูเป็นของมึงอยู่แหม็บๆ แค่มึงร้องเพลงคู่กับไอ้ซีเลนเพลงเดียว มึงก็จะเปลี่ยนใจจากกูไปหาไอ้หื่นซีเลนแล้วเหรอวะไอ้มนุษย์ต่างดาวใจง่าย!
----------------------------------------
หักมุมเอาตอนท้าย คีธไปคู่กับซีเลนซะ 555555555
เก๊าล้อเล่นนนน เดี๋ยวกลายเป็นนิยายวายสายบาระแทนถ้าสองคนนี้คู่กัน ฮาาา
มาทิ้งปริศนาซีเลนแล้วก็จากไป ตกลงนางเป็นใครถ้าไม่ใช่เซนไทน์ บอกไว้ก่อนเลยว่าตัวละครลับยังออกมาไม่หมดนะคะ เดี๋ยวแห่ยกโขยงกันมาอีกกกก บอกเลยเรื่องนี้มหากาพย์ดีๆ นี่เอง XD
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 13-01-2016 19:29:04
555ฮาตอนจบ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: Glitterycandy ที่ 13-01-2016 21:06:35
เอ้า คีธ ไหงงั้นอะ 555555555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 13-01-2016 23:12:04
แหม เพลงมันช่าง :m20:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-01-2016 00:11:14
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[1]
“เดี๋ยวสิเว้ย!”
ผมตวาดใส่คีธทันทีที่มันดันผมเข้าไปหาซีเลน พลันทำหน้าเหมือนจะถามมันด้วยว่ามันทำบ้าอะไร ก่อนหน้านี้ยังบอกผมกับซีเลนแหม็บๆ ว่าผมเป็นของมัน แถมตอนที่มันได้กลิ่นซีเลนที่จูบแล้วมันเอากฎของยูนิกม่าบ้าบอคอแตกที่ว่าถ้าผูกพันไปแล้ว แล้วอีกฝ่ายไม่ซื่อสัตย์ โทษคือความตายมาขู่นี่คืออะไรวะ มึงนี่มันกลับกลอกตลบแตลงฉิบ!
แถมไอ้บ้าซีเลนก็เร็วเลยเชียว พอเห็นคีธส่งผมให้ก็ทำท่าจะคว้าผมทันใด
“พูดง่ายดีนี่”
แต่พอมือของซีเลนกำลังจะจับผม คีธก็ดึงผมกลับไปอย่างรวดเร็วจนผมกระแทกกับแผงอกมันเต็มแรง
“แต่นายต้องบอกมาก่อนว่านายเป็นใคร”
ซีเลนชะงักกึก ผมก็ชะงัก ตอนนี้รู้ละว่าที่คีธพูดอย่างนั้น ไม่ได้จะยกผมให้จริงๆ แต่เป็นการเล่นตุกติกต่างหาก
มึงจะใช้แผนนี้ มึงก็ปรึกษากูก่อนสิเว้ย! ใจหายใจคว่ำหมด!
ผมแอบโล่งใจขึ้นมานิดนึงที่ไม่ได้ถูกยกให้ซีเลนจริงๆ ขณะที่ซีเลนหัวเราะในลำคอแล้วพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
“ไม่เคยรู้เลยว่าชาวยูนิกม่าจะต่อรองเก่ง” พูดจบ รอยยิ้มร้ายก็ปรากฎบนใบหน้า สาบานเลยว่าเป็นรอยยิ้มที่โคตรจะดูไม่เป็นมิตรตั้งแต่ผมเห็นมันยิ้มมาเลย มันเป็นรอยยิ้มแบบว่าพร้อมจะกระซวกไส้ไอ้คีธทันทีที่มันเผลออะไรแบบนั้นน่ะ
หากแต่คีธยังคงทำหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แถมยืนยันประโยคเดิมอีก
“อย่างที่บอก ถ้านายบอกว่านายเป็นใคร กวินทร์ก็จะเป็นของนาย”
มึงอย่ายกกูให้ชาวบ้านง่ายๆ อย่างนี้สิวะ! กูเป็นคู่ตุนาหงันของมึงนะเว้ย!
ปรี๊ดเลย บอกตรงๆ ว่าปรี๊ดเลย ถึงจะรู้ว่ามันเอาผมไปต่อรองเพื่อเล่นตุกติกก็เถอะ แต่นี่แม่งโคตรจะไม่แคร์ความรู้สึกของผมเลยสักนิด
ตกลงมึงรักกูจริงหรือเปล่าวะเนี่ย!
“ส่งกวินทร์มาก่อน แล้วฉันจะบอก” ซีเลนต่อรองบ้าง หากแต่คีธไม่โอเค
“บอกมา แล้วกวินทร์จะเป็นของนาย”
“อย่ามาเล่นลิ้นชาวยูนิกม่า ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ซีเลนเริ่มขู่ หน้ายังยิ้มอยู่แต่ดวงตาประกายกร้าว
“นายไม่ใช่พวกรักสงบ ไว้ใจไม่ได้ และฉันไม่เชื่อใจว่านายจะรักษาคำพูด”
“ลองดูสิว่าฉันจะรักษาคำพูดมั้ย ส่งกวินทร์มา”
“ไม่ ฉันพูดคำไหนคือคำนั้น บอกมาก่อนว่านายเป็นใคร”
“ถ้านายไม่ส่งกวินทร์มาก่อน อย่าหาว่าฉันไม่เตือน อย่าได้มาล้อเล่นกับฉันเชียวชาวยูนิกม่า” ซีเลนเริ่มว่าเสียงต่ำ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป ดูก็รู้ว่ามันชักจะหมดความอดทนกับคีธแล้ว
“ฉันว่าฉันพูดชัดเจนแล้ว บอกมา แล้วกวินทร์จะเป็นของนาย”
ส่วนคีธก็ยังกวนตีนไม่เลิก แถมทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อหลังจากที่ตกลงกันไม่ได้ และผมก็ไม่รอให้มันสองคนตกลงกันได้อีกต่อไปแล้ว สะบัดตัวหลุดออกจากการเกาะกุมของคีธ แผดเสียงใส่มันทั้งคู่ทันใดอย่างหมดความอดทนทันทีที่ได้ยินว่าไอ้คีธมันจะยกผมให้ซีเลนระลอกใหม่นี่แหละ
“พวกมึงหยุดเลย เลิกทำเหมือนกูเป็นของเล่นที่จะยกให้กันง่ายๆ ได้แล้ว!”
ผมแผดเสียงเป็นภาษาไทยล่ะ ที่ใช้ภาษาไทยเพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องและกำลังยืนมองอยู่รู้ว่าพวกผมมีปัญหาอะไรกัน แค่ลือกันทั้งกองเรื่องผมกับคีธเอาท์ดอร์กันในห้องแต่งตัวก็ว่าแย่ละ เดี๋ยวมันจะมีเรื่องคีธกับซีเลนแย่งผมไปมาหลังจากร้องเพลงคู่ให้ได้ลือกันอีก กันไว้ก่อนจะดีกว่า
พอตะคอกใส่มันสองคนเสร็จ ผมก็รีบหันไปบอกลาผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินโดยไม่สนว่าทั้งคู่พยายามถามผมว่ามีปัญหาอะไรกันแต่อย่างใด ก่อนผมจะรีบเดินออกมาจากจุดนั้นด้วยความรู้สึกเดือดดาลสุดๆ
กับซีเลนน่ะไม่ได้โกรธหรอก รู้อยู่ว่าไอ้บ้านี่มันเป็นคนยังไงและผมก็ไม่แคร์ด้วย แต่กับไอ้เวรคีธนี่สิ มันเป็นบ้าอะไรของมันวะ จู่ๆ พูดอย่างนี้ได้ยังไง!
ผมเดินพรวดพราดออกเลาะสระว่ายน้ำไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ตั้งใจจะดิ่งกลับอพาร์ตเม้นต์เลย ทว่าผมก็ต้องชะงักหลังจากเดินมาถึงขอบสระเพียงไม่กี่ก้าวเพราะมือใหญ่ของใครบางคนคว้าหมับที่แขนผมเอาไว้
“กวินทร์” ตามมาด้วยเสียงเรียกชื่อ
เจ้าของมือก็คือไอ้บ้าคีธนี่แหละ ผมหันไปมองมันตาขวางขณะที่มันทำหน้าตายเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
“ขอโทษ” แล้วมันก็ว่าเสียงแผ่ว
ผมสะบัดมือออกทันที ก่อนจะว่าช้าๆ
“ไปตายซะ” พูดจบก็เดินหนีอีกครั้ง คีธก็ยังตามมาคว้ามือผมไว้อีก
“กวินทร์”
“มึงเลิกยุ่งกับกูไปเลย จะไปตายที่ไหนก็ไป!”
โอเค ตอนนี้ผมสติแตก แหกปากด่าคีธเป็นภาษาไทยอย่างลืมตัว มือก็ยังสะบัดให้คีธปล่อย หากแต่ครั้งนี้คีธไม่ปล่อย จับผมไว้แน่นแล้วพูดประโยคเดิมออกมาอีก
“ขอโทษ”
“ถ้ามึงไม่มีคำพูดที่ดีกว่าคำว่าขอโทษ มึงก็ไม่ต้องพูด!”
ผมยังคงแผดเสียงลั่นเป็นภาษาบ้านเกิด คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นพากันโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ ก็คงจะเดากันได้แหละว่าผมกับคีธกำลังมีปัญหากัน แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว นอกจากความน้อยใจที่ประดังประเดเข้ามาเกาะกินใจผมจนผมอยากจะต่อยหน้าหล่อๆ ของไอ้มนุษย์ต่างดาวบ้านี่ให้หงายเก๋งสักครั้ง
ส่วนคีธก็มองหน้าผมด้วยสายตาสำนึกผิด ปากก็ว่าแก้ตัวไปเรื่อย
“ฉันขอโทษนะกวินทร์ มันก็แค่แผนต่อรอง” คีธพูดด้วยภาษาไทยเช่นเดียวกับผม คงเป็นเพราะเห็นผมพูดนั่นแหละถึงได้พูดตาม
แต่มันไม่สำคัญเว้ย! มึงเทกูหลายครั้งแล้ว ครั้งแรกก็จูบไอ้บรูคลินต่อหน้ากู ครั้งที่สองที่กูเจ็บใจไม่หายก็ตอนที่มึงเลือกไอ้บรูคลินทั้งที่กูถวายตัวเข้าปากมึงขนาดนั้น ครั้งนี้ก็มายกกูให้ไอ้บ้ากามซีเลนง่ายๆ อีก กูควรจะโกรธมึงจริงๆ จังๆ ได้แล้ว!
“ไปตายที่ไหนก็ไป” คราวนี้ผมว่าเสียงต่ำ ผลักอกมันเต็มแรง แต่มันไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด ผมก็เลยโวยวายอีกครั้ง
“ปล่อยสิโว้ย!”
“กวินทร์” คีธพยายามเรียกผมราวกับให้ผมตั้งสติ
แต่ใครมันจะไปตั้งสติได้วะ ก่อนหน้านี้แม่งยังมาหึงกูที่ถูกไอ้ซีเลนจูบอยู่เลย แล้วมึงก็มาทำเหมือนกูไม่สำคัญแบบนี้ กูก็ไม่ทนแล้วเหมือนกันเว้ย!
“ถ้ามึงไม่ปล่อย กูจะต่อยมึงให้คว่ำเลยไอ้คีธ!” ผมกลายเป็นคนหยาบคายโดยสมบูรณ์ ปากด่าคีธไม่พอ มืออีกข้างที่ไร้การพันธนาการก็ง้างขึ้นสูงขู่มันด้วย
คีธไม่สะทกสะท้าน แถมยังมีหน้ามาท้าผมอีก
“ถ้าการทำร้ายฉันมันจะทำให้กวินทร์รู้สึกดีขึ้นก็เอาเลย”
มึงอย่ามาพูดให้กูรู้สึกผิดก่อนจะได้ลงมือนะเว้ย! มึงทำร้ายจิตใจกูตั้งหลายครั้ง กูยังไม่ได้เอาคืนมึงเลยนะ!
ผมฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง ใจนี่คือปล่อยหมัดปะทะดั้งมันไปแล้ว แต่ร่างกายมันดันไม่ไปตาม ไอ้ที่ง้างๆ ตั้งท่าจะต่อยก็ใจอ่อน ลดมือลงแนบข้างลำตัวซะอย่างนั้น
แม่ง ไว้ให้กูเกลียดขี้หน้ามึงได้เมื่อไหร่ก่อน จะต่อยทบทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้คีธ!
ทว่าถึงผมจะไม่ต่อย แต่ก็มีคนมาจัดการให้แล้ว เพราะทันทีที่ผมลดมือลง ร่างใหญ่ของซีเลนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เดินอาดๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปล่อยหมัดปะทะซีกหน้าของคีธโดยที่หมอนั่นไม่ทันตั้งตัว
ผัวะ!
ตูม!
 พอหมัดปะทะข้างแก้ม คีธก็ปล่อยมือจากผมพลัน ที่ปล่อยมีนี่ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะมันเสียหลักตอนถูกต่อยแล้วกระเด็นตกสระน้ำไปต่างหาก
“เฮ้ยคีธ!” ผมร้องตกใจเสียงดังเมื่อเห็นว่าแวบหนึ่งก่อนที่มันจะร่วงลงไปในน้ำ เหมือนผมจะเห็นหัวมันโขกกับขอบสระอย่างแรงด้วย
ซึ่งไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่เห็น คนอื่นๆ ที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็เห็นเหมือนกัน พอคีธร่วงลงน้ำ ทุกคนก็พากันกรูออกมาข้างนอก ส่งเสียงโวยวายให้ทีมงานผู้ชายพาร่างคีธที่แน่นิ่งและค่อยๆ จมลงไปยังก้นสระขึ้นมาทันใด ส่วนพวกผู้หญิงก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลตามที่ผู้กำกับวิลล์ร้องบอก จากที่โกรธๆ คีธอยู่ ผมก็เป็นห่วงมันขึ้นมาทันควัน จะมีก็แต่ซีเลนนี่แหละที่หัวเราะในลำคอขึ้นมาเล็กน้อยพลันพึมพำให้ผมได้ยิน
“กวินทร์บอกให้ปล่อยเพราะกวินทร์จะมาเป็นของฉัน ไม่ได้ยินหรือไงชาวยูนิกม่า”
ใช่ที่ไหนเล่าไอ้ซีเลน! มึงอย่ามามโน!
ผมตั้งท่าจะด่ามันทันทีที่เห็นมันทำท่าไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่มันทำ หากแต่ไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ซีเลนก็หันมามองผมพลางเหยียดยิ้มร้าย
“ไม่มีปรสิตอวกาศมาขวางแล้ว ไปจัดการทำให้นายเป็นของฉันกันเถอะ” สิ้นเสียง มันก็พุ่งเข้ามาดึงแขนผมทันที
ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกมันกระชากตัวปลิวเข้าไปข้างในห้องนั่งเล่นทันใด ผมรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่อึดใจต่อไปนี้ ก็จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ มันก็จะปล้ำผมไง ร้ายกว่านั้นคือตอนที่ผมถูกมันดึงเข้ามาข้างใน คนอื่นๆ ก็ดันไม่ทันได้สนใจ มัวแต่สนใจคีธที่ยังอยู่ในสระด้วยความตื่นตระหนกกันอยู่ ผมเลยถูกซีเลนลากขึ้นไปชั้นบนอย่างง่ายดายโดยที่มันไม่ถามเจ้าของบ้านเลยว่าชั้นบนนี่อนุญาตให้ขึ้นมั้ย แต่ถึงจะขึ้นไม่ได้ มันก็ไม่สนใจหรอกนอกจากตั้งหน้าตั้งตาจะปล้ำผมให้ได้น่ะ
“เฮ้ยปล่อย!”
ผมร้องเสียงหลง ดิ้นขลุกขลัก หวังในใจว่าเสียงโวยวายของผมจะทำให้คนที่วุ่นวายอยู่ข้างขอบสระหันมาสนใจกันได้บ้าง ทว่าซีเลนก็จัดการสงบปากสงบคำผมโดยการหยุดลากแล้วเปลี่ยนมาอุ้มผมพาดบ่าแทนเมื่อผมเอาแต่ดิ้นไม่หยุด ไม่ยอมตามมันไปง่ายๆ
“ขัดขืนไปก็เหนื่อยเปล่า ไปเหนื่อยตอนที่นายอยู่ใต้ร่างฉันก็พอ” อุ้มผมพาดบ่าได้ก็กระซิบเสียงพร่าอย่างเจ้าเล่ห์
ใครจะไปเชื่อฟังมึงวะ!
“ปล่อยนะเว้ยไอ้ซีเลน!” ผมยังคงร้องลั่น มือทั้งสองรัวหมัดทุบแผ่นหลังมันเต็มแรง สายตาก็มองไปยังคีธที่จมอยู่ในสระว่ายน้ำไปด้วยอย่างเป็นห่วงขณะที่ทีมงานชายจำนวนหนึ่งทิ้งตัวลงไปในสระเพื่อพาคีธขึ้นมา
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เห็นคีธโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ผมก็ถูกซีเลนลากขึ้นมาถึงชั้นบนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะถูกโยนเข้าไปในห้องซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนแขกของผู้กำกับวิลล์
เสียงปิดประตูดังปังทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว รีบดันตัวเองขึ้นจากเตียงทันใด แต่ก็ไม่เร็วเท่ากับซีเลนที่จัดแจงถอดเสื้อผ้าตัวเองด้วยความไวแสง ก่อนมันจะกระโดดขึ้นมาบนเตียง กดผมลงนอนแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าผมด้วยอีกคนอย่างไม่แยแส
“มามีเซ็กส์กันกวินทร์”
จะ...ใจเย็นๆ ก่อนสิเว้ย!
“ไม่!”
ผมปฏิเสธลั่นทันควัน ทว่าร้องห้ามไปก็เท่านั้นแหละ ซีเลนมันก็เหมือนคีธ บ้ากามและชอบฉีกทึ้งเสื้อผ้าผมเหมือนกันไม่มีผิด ฉีกแม้กระทั่งปราการด่านสุดท้าย ในเมื่อไม่มีอะไรปกปิดอยู่บนตัวอีกต่อไป ผมเลยได้แต่คว้าผ้าห่มหมายจะเอามาคลุมตัว แต่ซีเลนก็รั้งข้อมือผมไว้ก่อนจะรวบแขนทั้งสองข้างของผมขึ้นเหนือหัวด้วยมือของมันเพียงข้างเดียว
“อยากจะกินนายมานานแล้ว” มันกระซิบเสียงพร่า พลางลากปลายคางไปยังหน้าอกผม
เคราสากๆ ที่สัมผัสกับผิวเนื้อแผ่วเบาทำเอาผมขนลุกชันไปทั้งตัว ผมเบือนหน้าหนีทันควันเมื่อลิ้นอ่อนนุ่มตวัดกลืนกินยอดอกอย่างกระหาย ขณะที่เนื้อตัวบิดเร่าเมื่อมืออีกข้างของซีเลนลูบไล้ลงมายังโคนขาด้านใน
บอกตรงๆ ว่ามันเป็นความรู้สึกเสียวซ่านที่โคตรจะขยะแขยงเลย เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้รังเกียจซีเลนหรอกนะ แต่ผมไม่ได้เต็มใจจะมีอะไรกับมันไง มันเลยขยะแขยงจนขนหัวลุกขนาดนี้เนี่ย
“อย่า! หยุดนะเว้ยซีเลน ฉันเป็นของคีธนะ!” ผมยังคงโวยวายอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ หากแต่ซีเลนไม่สนใจ พึมพำออกมาทั้งที่ริมฝีปากยังวนเวียนอยู่กับหน้าอกผม
“อีกไม่นานก็ไม่ใช่แล้ว มันยกนายให้ฉันแล้วนี่”
ก็จริง แต่คือกูไม่ได้เต็มใจไง! มึงอย่ามาคิดว่ากูเป็นสิ่งของที่ยกให้กันง่ายๆ สิวะ!
“แต่ไอ้บ้าคีธมันตุกติกกับนายนะเว้ยถึงได้พูดแบบนั้น นายก็เห็นแล้วนี่หว่าว่ามันพูดไม่จริง!” ผมอ้างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นพัลวัน ซีเลนก็ยังไม่สนใจเหมือนเดิม ก่อนที่มือซึ่งลูบไล้โคนขาผมอยู่จะแตะลงมายังจุดอ่อนไหวให้ผมสะดุ้งเฮือก
“บอกว่ายกให้ก็คือยกให้ คำว่าพูดเล่นไม่มีบัญญัติในชาติพันธุ์ของฉัน” ซีเลนว่าเสียงต่ำ
ตอนนี้แหละที่มันจับขาทั้งสองข้างผมแยกออกจากกัน พลันแทรกตัวเข้ามาระหว่างกลาง ผมรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ น้ำตาพานจะไหลออกมาดื้อๆ ทันใด
นี่กูไม่ได้เต็มใจเลยนะเว้ย มึงอย่าทำแบบนี้สิวะไอ้ซีเลน!
“หยุดเลยซีเลน! หยุด!”
ไม่ทันแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงวัตถุอุ่นร้อนบางอย่างมาถูไถบริเวณบั้นท้ายแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมไม่เคยรู้สึกอัปยศแบบนี้มาก่อนเลย ตอนที่ถูกคีธจูบครั้งแรกขณะที่ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกันก็ว่าอัปยศแล้ว แต่ถูกผู้ชายด้วยกันข่มขืนทั้งที่ผมไม่ยินยอมแบบนี้มันน่าอัปยศกว่าเป็นไหนๆ
ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้เพราะคำพูดพล่อยๆ ของไอ้คีธมันด้วยวะ!?
ถึงจะโกรธมันแทบตายที่ทำอะไรไม่ได้นึกถึงผม แต่สมองของผมกลับฉายภาพใบหน้าคีธขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ตายเถอะ อยากจะโกรธจะเกลียดมันแค่ไหน ทว่าสุดท้ายผมก็อยากเห็นหน้ามันในตอนนี้มากที่สุดอยู่ดี พลันริมฝีปากผมก็ขยับไปตามสัญชาตญาณเมื่อรู้สึกว่าซีเลนพร้อมที่จะรวมร่างกับผมแล้ว
“เป็นของฉันซะกวินทร์”
“คีธ! ช่วยด้วย!” ผมร้องเสียงดังออกมาโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ด้วยว่าคีธที่จมลงไปใต้สระน้ำจะเป็นตายร้ายดียังไงหรือได้ยินผมมั้ย ผมหวังแค่อย่างเดียวเท่านั้นว่าขอให้คีธโผล่หัวมาในตอนนี้
แล้วความหวังของผมก็เป็นจริงเมื่อประตูบานเขื่องถูกกระแทกเปิดด้วยฝีมือของใครบางคนทันทีที่สิ้นเสียงผม ซีเลนผละจากผมหันไปมองยังต้นเสียงทันที ก่อนจะเห็นว่าคนตัวการเป็นคีธที่อยู่ในสภาพเปียกซ่กไปทั้งตัวยืนจ้องหน้าซีเลนเขม็งอยู่ ส่วนผมก็ใจชื้นขึ้นมาทันควันที่ได้เห็นหน้าหมอนั่นในสภาพที่ปลอดภัยตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งที่ใจอยากจะวิ่งไปกระโดดถีบสองขารวดโทษฐานที่มันทำผมตกอยู่ในสภาพอุบาทว์แบบนี้ก็ตาม
“ฮู้ว อึดดีจริงๆ ชาวยูนิกม่า” ซีเลนยิ้มเผล่ ก่อนจะกระชากผมขึ้นมาจากเตียงแล้วกอดก่ายไว้แน่น
กอดอย่างเดียวยังไม่เท่าไหร่ นี่มันยังเลียลำคอผมด้วยพลางว่าอย่างท้าทาย
“ฉันเกือบจะได้กินกวินทร์ของฉันอยู่แล้วเชียว”
สายตาของคีธประกายวาววาบก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งเบ้าทันใด ผมเดาเลยว่าอีกเดี๋ยวคีธจะต้องเบรกแตกแน่ๆ แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อจู่ๆ คีธก็ถลาเข้ามากระชากผมออกจากซีเลนเต็มแรง ผมลอยหวือหล่นจากเตียงไปกระแทกพื้น ก่อนที่คีธจะเป็นฝ่ายกดซีเลนลงบนเตียง
ผมเผลอคิดไปทันทีว่าอีกไม่ถึงเสี้ยววินาที คีธจะต้องตะบันหมัดใส่ซีเลนไม่บันยะบันยังแน่ ทว่าผิดคาดเมื่อได้ยินเสียงคีธพูดออกมา
“กวินทร์เป็นของฉัน นายจะแตะต้องไม่ได้ ถ้านายอยากจะผูกพันกับกวินทร์นัก ก็มาผูกพันกับฉันนี่ซีเลน!”
เอ้าเฮ้ย! ไหงมึงพูดอย่างนี้เล่า! ผัวกูเป็นเมียไอ้ซีเลนแบบนี้ไม่เอานะเว้ย!
ซีเลนชะงักไปครู่เหมือนจะอึ้งไป แต่ก็ครู่เดียวจริงๆ ก่อนที่มันจะยิ้มออกมา
“ก็ไม่เลว ฉันก็ยังไม่เคยลองกับชาวยูนิกม่าเหมือนกัน จะบุกหรือจะอยู่รอรับมือล่ะ”
“ยังไงก็ได้ ขอแค่นายอย่าแตะต้องกวินทร์ก็พอ”
พอคีธว่ามาเนิบๆ ด้วยสีหน้าตายเหมือนเดิม แต่ดวงตายังประกายความไม่พอใจ ซีเลนก็เป็นฝ่ายหัวเราะในลำคอขึ้นมาน้อยๆ
“งั้นฉันจะบุกเอง”
“มา”
เดี๋ยวสิพวกมึง! กูยังจำเป็นอยู่มั้ยวะ ตอบเดี๋ยวนี้!
เพลงผัวข้อยเป็นเมียเขาของจินตหรา พูนลาภนี่ดังขึ้นมาในหัวผมเลย แล้วผมก็ต้องใจหายวาบไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยตอนเห็นซีเลนมันตวัดมือโอบรอบคอคีธที่คร่อมอยู่บนตัวมัน ทำท่าเหมือนจะเป็นฝ่ายพลิกสถานการณ์มาขึ้นคร่อมคีธไว้เองอีก ส่วนไอ้บ้าคีธก็ยังคงทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร จะมีก็แต่ซีเลนนี่แหละที่กระซิบออกมาเสียงต่ำ
“จะเอาให้ถึงตาย”
มึงก็โหดไปไอ้ซีเลน! ที่สำคัญ ไอ้คนที่มึงจะเอาให้ถึงตายเนี่ยผัวกูเว้ย! ผัวกู!
ขืนอยู่เฉยๆ มีหวังได้เห็นมนุษย์ต่างดาวร่างยักษ์ ตัวหนึ่งหน้ามึน ตัวหนึ่งเครายุ่บยั่บผสมพันธุ์กันต่อหน้าต่อตาแน่ ผมเลยไม่รอช้า รีบผุดลุกขึ้นถลาไปกอดเอวคีธจากด้านหลังเอาไว้ก่อนที่มันจะถูกซีเลนที่ตั้งท่าจะลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายจับกดลงไปนอนแทน
“อย่านะเว้ย คีธเป็นของฉัน!”
ทั้งคู่ชะงึกกึก หันมามองหน้าผมทันใด ซีเลนยังแค่มองนิ่งๆ มีคีธนี่แหละที่ครางเรียกชื่อผมออกมาด้วย
“กวินทร์... ถอยออกไป มันอันตราย”
มันจะอันตรายกับกูเพราะมึงสองคนทำกูตาบอดเนี่ยแหละไอ้คีธ!
“ไม่ถอย! หยุดทำบ้าๆ แบบนี้ซะที คิดอะไรของนายอยู่วะ!” ผมโวยวายไป สองแขนก็ยังโอบรัดเอวมันไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยปุ๊บแล้วมันโผเข้าหากันขึ้นมา มันจะเลยเถิดจนห้ามไม่ได้
ก็ใครอยากจะให้ผัวตัวเองไปเป็นเมียชาวบ้านกันวะ! ถึงจะไม่เคยพูดเต็มๆ ปากว่ามึงเป็นผัวกู แต่สถานะมึงมันใช่ มึงก็รู้อยู่แก่ใจ อย่าทำมึนไปเป็นเมียคนอื่นสิเว้ย!
“แต่ฉันจะปกป้องกวินทร์” คีธยังอ้างมาอีก โอเค ผมรู้มาว่าพวกเซนไทน์น่ะ เวลาดูดพลังงานจากอีกฝ่ายโดยการมีเซ็กส์ มันจะดูดพลังงานจนถึงตาย
แต่ไอ้บ้าซีเลนมันไม่ใช่เซนไทน์เว้ย! มึงอย่ามาทำเป็นเนียนเสียสละตัวเองเพราะมึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นรับหน่อยเลยไอ้คีธ!
“ถ้าจะปกป้องโดยสละร่างกายตัวเองให้ไอ้หื่นซีเลนมันปู้ยี่ปู้ยำแบบนี้ ฉันก็ไม่เอา! จะพูดจะทำอะไรก็คิดถึงใจคนที่รักนายบ้างสิวะ! ใครมันจะบ้ายอมเห็นคนที่ตัวเองรักไปมีอะไรกับคนอื่นได้หน้าตาเฉยกัน และถ้านายอยากจะถูกกดก็บอกฉัน เดี๋ยวฉันกดเอง ไม่ใช่ให้ไอ้บ้าหนวดเฟิ้มหื่นกามนี่มันกด! นายเป็นของฉันนะเว้ย!” ผมตะโกนสุดเสียง พ่นความในใจออกมายาวเหยียด ความรู้สึกเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกแย่งของเล่นเป็นยังไง ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันพร่างพรายเต็มหัวผมเลย
คีธนิ่งงันกว่าเดิมทันใด แถมยังมีหน้ามาครางเรียกชื่อผมราวกับตะลึงงันที่ผมบอกความในใจออกไปอีก
“กวินทร์...”
มึงไม่ต้องมากวินทร์เลย! มึงลุกออกจากไอ้เวรซีเลนเดี๋ยวนี้!
ผมไม่รอช้า เป็นฝ่ายดึงมันออกมาจากร่างของซีเลนทันใด ดีที่มันยอมลุกออกมาง่ายๆ แถมซีเลนก็ยอมปล่อยมือง่ายๆ ผมเลยไม่ต้องมาวิตกรอบสองว่าจะแย่งผัวจากมนุษย์ต่างดาวหื่นกามกลับมาได้มั้ย พอคีธลงมายืนบนพื้นได้ ผมก็ยอมคลายอ้อมกอดจากมัน พลางมองหน้ามันอย่างเอาเรื่องขณะที่หายใจหอบโยนด้วยความเหนื่อย
“กวินทร์... ฉัน...”
“ไม่ต้องมาฉันอย่างโน้นอย่างนี้เลย! กลับเดี๋ยวนี้!” แล้วผมก็เป็นฝ่ายลากมันออกมาจากห้อง
อยู่ไม่ได้แล้วที่นี่ อยู่ไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าอยู่ต่อนี่ ดูท่าทางไอ้คีธไม่ไปเป็นเมียไอ้ซีเลน มันก็คงจะกลายเป็นทรีซัมระหว่างผม คีธ แล้วก็ซีเลนนี่แหละ
“ไม่สนุกเลยแฮะ” เสียงของซีเลนที่นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง แสยะยิ้มร้ายอยู่บนเตียงดังมาให้ผมได้ยินนิดหน่อย แต่ผมไม่สนแล้ว สิ่งที่ผมสนคือพาคีธออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนมันจะเปลี่ยนใจไปสมยอมไอ้ซีเลนอีก
ทว่าไม่ทันจะได้เดินถึงประตู คีธก็กระตุกมือที่ผมจับอยู่แล้วหยุดเดินทันควัน
“กวินทร์”
“มึงหยุดทำไม มึงจะไปเป็นเมียไอ้ซีเลนใช่มั้ย ตอบมา!” ผมหันขวับไปแทบในวินาทีนั้น หลุดด่ามันออกมาเป็นภาษาไทยด้วย
นี่ไม่ใช่อาการหึงนะ แต่มันเป็นอาการไม่แน่ใจว่าไอ้คีธมันจะเอายังไงกับชีวิต บอกตรงๆ ว่าแค่รู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ผมก็คลั่งจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งถ้ามารู้ว่าไอ้ผู้ชายที่ผมมีใจให้นึกอยากจะเปลี่ยนสถานะจากรุกเป็นรับนี่ ผมคงจะยิ่งคลั่งมากกว่าตอนค้นพบตัวเองอีก
โชคดีที่ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เพราะที่คีธหยุดเป็นเพราะหมอนั่นเห็นว่าผมเปลือยเปล่าไปทั้งตัวต่างหาก
“อย่าออกไปในสภาพนี้ ฉันไม่อยากให้ใครเห็นร่างกายของกวินทร์ กวินทร์เป็นของฉัน”
ว่าจบ มันก็ลากผมไปยังประตูเลื่อนกระจกที่เป็นทางเชื่อมออกไปยังระเบียง พลันกระชากผ้าม่านผืนใหญ่ออกจากราวแล้วเอามาตลบพันร่างผมเอาไว้ พอพันผ้าม่านคลุมกายให้ผมได้เสร็จ มันก็ช้อนตัวผมขึ้นอุ้มในท่าอุ้มเจ้าสาวโดยไม่ให้ผมตั้งตัวทันใด ผมไม่ขัดขืน ปล่อยให้อุ้มแต่โดยดี กระทั่งมันอุ้มผมมาจนเกือบจะถึงประตู ซีเลนก็พูดขึ้นมาอีก
“ครั้งนี้ฉันจะปล่อยพวกนายไปก่อน แต่อย่าเผลอก็แล้วกัน เผลอเมื่อไหร่ กวินทร์เป็นของฉันแน่” แล้วมันก็เลียริมฝีปากอย่างยั่วเย้า
ผมนี่มองหาของใกล้มือเตรียมจะเอาขว้างใส่หน้ามันเลยโทษฐานที่มันทำให้ผมระแวงว่าจะถูกมันปล้ำ แถมยังต้องระแวงว่าคีธจะถูกมันปล้ำอีก ไอ้ซีเลนนี่แม่งมั่วไม่เลือกจริงๆ!
“ฝันไปเลย” คีธทิ้งท้ายไว้ด้วยน้ำเสียงกร้าวเล็กน้อย ก่อนจะปรับดวงตาให้เป็นปกติแล้วเดินออกมาข้างนอกอย่างรวดเร็ว
พอออกมาด้านนอก ก็เห็นบรรดาอเมริกันมุงอยู่ตรงบันได เงี่ยหูฟังสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในห้องอย่างพร้อมเพรียง ทว่าพอพวกนั้นเห็นคีธกับผมก็พากันแตกฮือเป็นผึ้งแตกรัง ปล่อยให้คีธอุ้มผมเดินผ่าลงบันไดมาเงียบๆ โดยไม่มีใครถามอะไร ไม่เว้นแม้แต่ผู้กำกับวิลล์และด็อกเตอร์มาร์ตินที่ทำหน้าเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่พูดอะไรจนคีธพาผมออกมาพ้นจากเขตตัวบ้าน
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Special Ep.]--10/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-01-2016 00:12:13
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[2]
เพราะหาแท็กซี่ไม่ได้เนื่องจากดึกมากแล้ว คีธเลยเดินอุ้มผมไปเงียบๆ ตามถนนที่มีแสงไฟสลัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมเหลือบมองหน้ามันตลอดทาง สังเกตเห็นว่าซีกหน้ามันข้างที่ถูกซีเลนต่อยเป็นปื้นแดงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนบริเวณมุมของหน้าผากก็มีรอยแดงและรอยแตกเล็กๆ เหมือนกัน คาดว่ารอยนี้น่าจะมาจากการที่มันพลาดตกลงสระแล้วหัวกระแทกขอบสระแน่ๆ ผมก็เป็นห่วงมันนั่นแหละ แต่อารมณ์คุกรุ่นที่เกิดจากคำพูดและการกระทำบ้าๆ ของมันยังคงอบอวลอยู่ในใจผม ทำให้ผมทำลายความเงียบขึ้นมา
“ปล่อย”
“หือ?”
“ปล่อยฉันลง ฉันจะเดินเอง” ผมว่าอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำ
คีธหยุดเดินทันใด ก้มลงมองหน้าผมแล้วปฏิเสธ
“ไม่ ฉันจะอุ้มกวินทร์ไปจนกว่าจะถึงที่หมาย”
“ไม่ต้องคิดจะมาทำดีกับฉันตอนนี้ มันสายไปแล้ว!” แล้วผมก็ตะคอกใส่มันขึ้นมา
คีธก็คงจะรู้แหละว่าผมหมายถึงอะไร มันจะหมายถึงอะไรได้ล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องที่จู่ๆ มันก็เอาผมไปเป็นเครื่องมือต่อรองให้ซีเลนบอกตัวตนที่แท้จริงโดยไม่ถามความสมัครใจผมก่อน แล้วก็เสนอตัวเองให้ซีเลนเพื่อปกป้องผมอีก คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัด นี่มันฉลาดเกินไปจนผมไม่เข้าใจระบบความคิดของมัน หรือมันโง่จนผมเข้าไม่ถึงกันแน่ก็ไม่รู้
ถึงจะตะคอกไปแบบนั้น คีธก็ไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดีนั่นแหละ เอาแต่มองหน้าผมนิ่งๆ ผมรู้เลยว่าเดี๋ยวมันก็จะมาใช้ส่งสายตาแบบลูกหมาทำให้ผมใจอ่อน ไม่โกรธมันอีก ผมเลยดิ้นเต็มแรงพลางร้องเสียงดัง
“บอกให้ปล่อย!”
คีธยอมวางผมลงบนพื้นแต่โดยดี พอเท้าทั้งสองสัมผัส ผมก็เดินพรวดๆ หนีมันเลย ส่วนคีธก็รีบร้องเรียกผมไว้ทันใด
“เดี๋ยวสิกวินทร์”
มึงไม่ต้องมาเดี๋ยวสิกวินทร์เลย กูโกรธ โกรธมาก! โกรธแบบที่ไม่เคยโกรธมึงแบบนี้มาก่อนเลยขอบอก!
“กวินทร์”
ยัง... มันยังร้องเรียกผมอยู่ แล้วก็เดินตามมาแบบติดๆ ด้วย
“กวินทร์...”
ผมไม่สน เอาแต่เดินจ้ำอ้าวหนีลูกเดียว
“กวินทร์...”
ไม่สน กูโกรธมากและหยิ่งมาก มึงกล้าดียังไงถึงได้ทำร้ายจิตใจกูแบบนี้! กูอุตส่าห์รักมึงแล้วแท้ๆ มึงนี่มัน...!
“กวินทร์...”
เพราะผมไม่ยอมหยุดเดินสักที คีธก็เลยเรียกแล้วคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วดึงเข้าไปกอดแนบอกไว้แน่น
“กวินทร์...”
ยัง...ยังเรียกอยู่ ถ้ามึงจะกอดกูแล้วพูดแค่ชื่อกูล่ะก็ มึงฝันไปเลยว่ากูจะยกโทษให้ สิ่งที่มึงทำมันมากเกินกว่าที่กูจะให้อภัยง่ายๆ เว้ย!
เหมือนคีธจะรู้เลยว่าผมคิดอะไร พอเห็นผมนิ่ง ยอมให้กอดง่ายๆ แต่ทำตัวแข็งทื่อไม่หือไม่อือ คีธก็ซุกใบหน้าลงมาบนเส้นผมของผมพลางว่าเบาๆ
“ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะชดเชยความผิดที่ทำให้กวินทร์โกรธได้นอกจากพูดคำว่าขอโทษ”
“ก็ไปเป็นเมียไอ้ซีเลนสิวะ กูจะได้หายโกรธ”
ผมประชดนะ ไม่ได้พูดจริงๆ แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะมาพูดภาษาอังกฤษอะไรกับมันด้วย อยากจะง้อกูก็ต้องพูดภาษาของกู!
ดีที่คีธมันไม่โง่ เชื่อไปตามที่ผมพูดอย่างคราวก่อนๆ ที่รู้ว่าครั้งนี้ผมประชด แล้วก็ไม่ได้โง่ที่จะมาถามผมว่าผมพูดภาษาไทยทำไมอีก พอได้ยินผมพูดภาษาไทย มันก็เปลี่ยนสวิตซ์ภาษา พูดภาษาเดียวกันออกมาทันที
 “อย่าพูดแบบนี้สิกวินทร์ ฉันรู้ว่านายไม่ได้อยากให้ฉันทำแบบนั้น”
“เออ กูไม่ได้อยากให้มึงทำ แต่มึงอยากทำไง” ผมยังหยาบคายไม่เลิก ตอนนี้ทุบอกมันไปเต็มแรงด้วย หมั่นไส้ฉิบเป๋ง
 “ก็ไม่ได้อยากทำ แต่พวกชาติพันธุ์ที่ดูดกลืนพลังงานโดยการผูกพัน ถึงจะเป็นพวกรักสงบแต่ส่วนใหญ่ก็อันตราย อีกอย่าง จากการที่ถูกซีเลนจู่โจมแบบไม่ได้ตั้งตัว มันก็ทำให้ฉันประเมินพละกำลังของมันได้คร่าวๆ ว่ามันมีกำลังพอๆ กันกับฉัน ซึ่งถ้ามันทำอะไรกวินทร์ขึ้นมาจริงๆ กวินทร์ต้านทานแรงมันไม่ไหวแน่ถ้ามันไม่ได้ทำกวินทร์แค่ครั้งเดียว ฉันกลัวว่ากวินทร์จะเป็นอันตรายก็เลยทำแบบนั้น”
ผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมตอนที่ซีเลนต้องการดูดกลืนพลังงานถึงได้เรียกผู้ชายมาทีเดียวหลายๆ คน ที่แท้ก็เพื่อกินทีละคน คนละครั้งนั่นเอง ดูท่ามันก็คงจะประเมินพละกำลังของมันไว้เหมือนกันว่าอันตรายต่อร่างกายมนุษย์โลก มันถึงได้ทำแบบนี้
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่คำพูดของคีธทำให้คิ้วผมย่นยู่จนผูกกันเป็นโบว์
“แล้วมึงไม่คิดบ้างหรือไงวะว่าวิธีของมึงโคตรจะงี่เง่าเลย กลัวมันทำอะไรกู มึงก็เลยเสนอตัวไปเองเนี่ยนะ ทำไมมึงไม่ต่อยมันเหมือนกับที่มันต่อยมึงวะ”
“ถ้าฉันทำอย่างนั้น มีหวังตัวตนของฉันคงได้ถูกเปิดเผยแน่ กวินทร์จินตนาการไม่ออกหรอกว่าถ้าฉันกับซีเลนสู้กันขึ้นมา มันจะรุนแรงขนาดไหน ฉะนั้นการปกป้องกวินทร์ด้วยวิธีนั้นเลยเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ทั้งฉัน ทั้งกวินทร์”
เออ ก็จริงอยู่ แค่โดนซีเลนต่อยทีเดียวยังกระเด็นกระดอนขนาดนั้น ถ้ามันสู้กันขึ้นมาจริงๆ คงไม่ต้องถามเลยว่าบ้านผู้กำกับวิลล์จะวินาศสันตะโรขนาดไหน
แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอกับการที่มึงขายกูกินแล้วก็เสนอตัวเป็นเมียไอ้ซีเลนหรอกเว้ย!
“แล้วไอ้เรื่องที่มึงยกกูให้ไอ้ซีเลนง่ายๆ เพื่อแลกกับคำตอบว่ามันเป็นตัวอะไรนี่ มึงจะแก้ตัวว่าไง” ผมถามเสียงเขียว
คีธผละออกจากผมมามองหน้าผมนิ่งๆ ทันใด
“ฉันไม่ได้คิดจะยกกวินทร์ให้จริงๆ หรอก แต่เพราะเห็นกวินทร์เป็นที่ต้องการของมัน ฉันก็เลยคิดจะใช้ต่อรอง”
มึงเห็นกูเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์จริงๆ ด้วยสินะ!
จากที่โกรธอยู่แล้ว ผมเลยโกรธยิ่งขึ้นไปใหญ่เลยที่มันสารภาพออกมาตรงๆ อย่างที่บอกแหละว่าผมไม่เข้าใจระบบความคิดของมนุษย์ต่างดาวบ้านี่จริงๆ ตอนที่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆ ผมว่าผมไม่เข้าใจระบบความคิดบางอย่างของคนอเมริกันเพราะต่างชาติ ต่างวัฒนธรรมแล้วนะ มาเจอต่างดาว ต่างกาแล็กซี่แล้วนี่มืดแปดด้านไปเลย
“กูไม่เข้าใจ” ผมครางออกมา จ้องหน้ามันเขม็งขณะที่คีธเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่าไม่เข้าใจอะไรให้ผมได้พูดต่อ “ไม่เข้าใจเลยว่ามึงคิดอะไรอยู่ กูเป็นใครสำหรับมึงวะคีธ ปากมึงก็บอกว่ารักกู ผูกพันกับกูได้แค่คนเดียว ใครไปมีคนอื่นถึงกับต้องโทษตาย แต่จู่ๆ มึงก็เอากูไปใช้เป็นเครื่องมือต่อรองอะไรไร้สาระหน้าตาเฉย แถมมึงยังจะหักหน้ากูด้วยการเสนอหน้าจะไปมีอะไรกับไอ้ซีเลนอีก กูไม่เข้าใจมึงเลย มึงรักกูยังไงของมึงเนี่ย เห็นกูรักมึงเข้าหน่อย มึงก็ทำกับกูแบบนี้เหรอวะ!” ผมพ่นความรู้สึกอัดอั้นออกมายาวเหยียด
มันเป็นความรู้สึกอึดอัดที่พูดไม่ถูกเลย วูบหนึ่งที่ผมรู้สึกไปนิดๆ ด้วยว่าคีธมันไม่ได้รักผมจริงๆ คีธเองก็ไม่ได้พูดแก้ตัวอะไรออกมา มีแต่ใบหน้านิ่งๆ กับดวงตาประกายเศร้าสร้อยดุจลูกหมา ผมกลอกตาในวินาทีนั้นเลย ก่อนจะดักคอออกมาทันควัน
“ถ้ามึงทำได้ดีแค่ทำหน้าน่าสงสารให้กูใจอ่อนกับพูดแค่ขอโทษล่ะก็ ไม่ต้องเลย กูไม่ต้องการ”
“กวินทร์...” คีธรีบเรียกผม แต่ผมก็แทรกขัดคอขึ้นมาอีก
“และถ้ามึงจะเรียกแค่ชื่อกูแบบนี้ก็ไม่ต้อง จบๆ กันไปเลย มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป ที่กูได้กับมึงถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่แล้วกัน” อันนี้ผมก็ประชดล่ะ ไม่ได้คิดจริง เกลียดตัวเองเหมือนกันที่จู่ๆ ก็น้อยใจมันขึ้นมา แถมยังยั้งตัวเองให้ไม่พูดหยาบคายไม่ได้อีกด้วย
แต่ผมก็ไม่สนใจแล้ว เดินหนีแม่งเลย หงุดหงิดว่ะ ทว่าเดินหนีก็เท่านั้นแหละ เพราะคีธมันเดินตามหลังผมต้อยๆ อยู่พักหนึ่ง
ไม่พักหนึ่งอ่ะ พักใหญ่เลยล่ะ แถมไม่พูดอะไรอีกจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังเล่นสงครามประสาทกับผม ผมเลยทำท่าจะหันไปด่ามันแล้วบอกให้มันหยุดเดินตามสักที ทว่าเสียงของมันก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“You gotta go and get angry at all of my honesty (นายจะต้องโมโหกับความจริงใจของฉันแน่ๆ)”
ไม่ใช่เสียงพูดธรรมดาซะด้วยแต่เป็นเสียงร้องเพลง ผมชะงักกึกเลยเมื่อได้ยินเพลง Sorry ของจัสติน บีเบอร์ดังออกมาจากปากมัน แต่ไม่ทันจะได้หันไปถามว่ามันคิดจะทำบ้าอะไร คีธก็ร้องท่อนต่อไปออกมา
“You know I try but I don’t do too well with apologies (นายรู้ว่าฉันพยายามแล้ว แต่ฉันก็ขอโทษได้ไม่เก่งนัก)”
นั่นไง มันเริ่มปฏิบัติการง้อแล้ว ไหนดูซิว่ามันจะทำได้ดีแค่ไหนเชียว
ผมแกล้งเดินหนีต่อ คีธก็เดินตามต่อ แล้วก็ร้องเพลงออกมายาว
“I hope I don’t run out of time, could someone call a referee? Cause I just need one more shot at forgiveness (ฉันหวังว่าฉันยังจะพอมีเวลาอยู่นะ ใครก็ได้เรียกกรรมการให้ฉันที เพราะฉันต้องการแค่โอกาสอีกสักครั้งเพื่อขอโทษ)”
“...”
“I know you know that I made those mistakes maybe once or twice. By once or twice maybe a couple a hundred times (ฉันรู้ว่านายรู้ว่าฉันทำพลาดอะไรไปบ้าง ครั้งหรือสองครั้ง แต่ครั้งหรือสองครั้งนั้นก็อาจจะเป็นสองร้อยครั้งแล้วก็ได้)”
“...”
ผมแสร้งไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ในใจจะคิดว่าเสียงของมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่ามันร้องเพลงเข้าขั้นดีเลยล่ะ น่าจะเป็นความสามารถพิเศษทางภาษาของมันล่ะมั้ง เหมือนกับที่พูดภาษาต่างๆ ได้ด้วยการฟังไม่กี่นาที การร้องเพลงถูกคีย์ถูกจังหวะก็คงจะเหมือนกันกับการเรียนรู้ภาษานั่นแหละ
แต่เดี๋ยวนะ พอกูบอกว่าถ้าจะทำตาเป็นลูกหมากับพูดแค่ขอโทษหรือเรียกชื่อกูก็ไม่ต้อง มึงก็เลยร้องเพลงง้อหรือไง มึงนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังอินเดียเหรอฮะ กูไม่เป็นนางเอกให้มึงได้วิ่งไล่ตามไปทั่วภูเขาทั้งลูกหรอกบอกไว้เลย
ทว่าพอผมเดินไม่หยุดและไม่สนใจมัน คีธก็เลยคว้าข้อมือผมไว้อีกครั้ง ดึงให้ผมหันหน้าไปมองมันพร้อมกับร้องเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง
“So let me, oh let me redeem, oh redeem, oh myself tonight cause I just need one more shot at second chances (ให้ฉันได้แก้ตัว ให้ฉันกู้ความเชื่อใจคืนมาในคืนนี้ได้มั้ยเพราะฉันแค่ต้องการโอกาสอีกสักครั้ง)”
ร้องจบท่อนนั้น มันก็ดันผมถอยหลังไปจนแผ่นหลังชิดกับกำแพงข้างถนนอย่างไม่ทันตั้งตัว คิ้วผมกระตุกทันควัน จิตใต้สำนึกบอกรัวๆ เลยว่ามันจะทำอะไร ยิ่งเห็นใบหน้ามันเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยแล้ว ผมก็รีบดันหน้าอกมันออกห่างเลย
“มึงอย่าคิดว่าปล้ำกูกลางถนนแล้วกูจะให้อภัยนะเว้ย กูจะโกรธหนักกว่าเดิมอีก!”
แต่คีธไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย ประกบริมฝีปากลงมาบนเรียวปากผมเบาๆ แล้วร้องต่อขณะที่สายตาจ้องผมนิ่ง
“Is it too late now to say sorry? Cause I’m missing more than just your body(มันสายเกินไปหรือยังที่ฉันจะขอโทษตอนนี้เพราะที่ฉันคิดถึง ไม่ใช่แค่ร่างกายของนาย)”
“สาย!” ผมโพล่งใส่มันทันที แต่มันทำเป็นหูทวนผม ไม่ได้ยินที่ผมพูด
“Is it too late now to say sorry? I know that I let you down. Is it too late to say I’m sorry now? (มันสายเกินไปหรือยังที่ฉันจะขอโทษตอนนี้ ฉันรู้ว่าฉันทำให้นายผิดหวัง แล้วมันสายเกินไปหรือยังที่ฉันจะขอโทษนายตอนนี้)
ร้องจบท่อนนั้น มันก็จรดริมฝีปากลงมาบนเรียวปากผมอีก
“ถอยออกไป!” ผมไม่ยอมให้มันง่ายๆ ดันอกมันออกห่าง แต่มันคว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วตรึงไว้กับกำแพง ก่อนละริมฝีปากออกมา พึมพำร้องเพลงต่อ
“I’ll take every single piece of the blame if you want me to but you know that there is no innocent one in this game for two (ฉันยอมรับทุกคำตำหนิจากนายถ้านายต้องการจะต่อว่า แต่นายรู้มั้ยว่าไม่มีคนที่ไม่เคยทำผิดในเกมสำหรับคนสองคนหรอก)”
มันคงจะหมายถึงตอนที่ผมไปยอมให้ซีเลนดูดคอกับจูบกับซีเลนมาล่ะสินะ นี่มึงจะง้อกู หรือจะสอนกูวะ!
“Can we both say the words and forget this (เรามาคุยกันดีๆ ได้มั้ยแล้วก็ลืมเรื่องนี้ไป)”
คีธสบตาผมอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ผมถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่คีธมองมันไม่ใช่สายตาแบบลูกหมาอ้อนวอน แต่เป็นสายตาสำนึกผิดจริงๆ ก่อนที่มันจะร้องเพลงท่อนสุดท้ายออกมา
“I’m sorry, sorry… (ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ)” ตามมาด้วยการจูบผมอีกครั้ง
จากตอนแรกที่ผมตั้งใจว่าจะโกรธมันไปนานๆ ตอนนี้ใจอ่อนยวบเป็นเทียนไขละลายเลย
มะ...แม่ง ทำไมมึงถึงง้อได้น่ารักจังวะ
“ขอโทษนะกวินทร์” ตอนนี้มันกลับมาพูดภาษาไทยอีกแล้ว
ผมหลบตามันทันใด ปากก็พูดไปด้วย
“ไม่”
“ยังไม่หายโกรธเหรอ เอาอีกเพลงมั้ย”
“ไม่ต้อง หายโกรธอยู่แต่แค่นิดเดียว” ผมว่าไปตามจริง ตาเหลือบกลับมามองมันขวางๆ ด้วย
คีธยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ประหนึ่งว่าใจชื้นขึ้นมาที่เห็นผมยอมอ่อนลง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปง้อที่เหลือต่อที่ห้อง” ว่าจบก็จูบลงมาบนหน้าผากผมเบาๆ
“จะปล้ำกูอีกแล้วล่ะสิ” ผมชิงพูดอย่างรู้ทัน คีธหัวเราะในลำคอน้อยๆ
“เปล่า จะร้องเพลงให้ฟัง เผื่อกวินทร์จะใจเย็นแล้วจะได้หายโกรธ”
ผมหลบตามันอีกครั้ง หัวใจพลันอุ่นร้อนขึ้นมาเลย ไม่ค่อยได้เห็นโมเม้นต์อบอุ่นของคีธแบบนี้แล้วพอมาเจอแบบกะทันหัน ผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ก็ชอบนะ ไม่ใช่ไม่ชอบ มันแบบ... รู้สึกดีเป็นบ้า
“กลับกันเถอะ” แล้วคีธก็ทำให้ผมต้องโวยวายอีกครั้งเมื่อจู่ๆ มันก็ช้อนตัวผมขึ้นอุ้มในท่าเดิม
“บอกแล้วไงว่าฉันเดินเองได้” ผมว่าเสียงเขียว
คีธไม่สน ออกเดินพร้อมพูดไปด้วย
“ในเมื่อกวินทร์ไม่เข้าใจว่าฉันรักกวินทร์ยังไง ฉันก็จะทำให้กวินทร์ดูว่าฉันรักกวินทร์ รักมาก รักจนอยากจะดูแลกวินทร์ไปตลอดชีวิต ต่อไปนี้ฉันจะดูแลกวินทร์เป็นอย่างดี แม้แต่ฝุ่นก็จะไม่ให้เปื้อนตัว”
หน้าผมร้อนขึ้นมาทันควัน มะ...มันพูดบ้าอะไรของมันวะ เหตุผลนี้เลยอุ้มผมแทนการปล่อยให้ผมเดินหรือไง
“มะ...ไม่เชื่อ” ผมก้มหน้างุด ปากก็ยังส่งเสียงเขียวๆ ออกมา
เหมือนคีธจะหัวเราะออกมาหน่อยนึงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“จะพิสูจน์ให้ดูตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ขอโทษอีกครั้งนะกวินทร์”
ผมไม่พยักหน้า ไม่ตอบรับอะไรสักอย่าง
เอาเถอะ ถือว่าง้อดี สร้างสรรค์ผลงานได้ดี ยอมอ่อนข้อให้มันสักหน่อยก็แล้วกัน
 
คีธอุ้มผมเดินกลับมาจนถึงอพาร์ตเม้นต์อย่างที่มันว่า ถึงจะเจอแท็กซี่วิ่งผ่าน มันก็ไม่ยอมให้ผมเรียก เอาแต่พูดว่าจะพิสูจน์ให้ดูว่ารักผมแค่ไหน ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ยอมหน้าด้านให้คนอื่นมองอย่างสงสัยว่าผมไปทำอะไรมาถึงได้มีผ้าม่านห่อตัวแล้วมีผู้ชายร่างยักษ์อุ้มเดินไปตามถนนหนทางแบบนี้ ก็ยังดีที่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางคืน และผมก็ยังพอจะซ่อนใบหน้าตัวเองด้วยการซุกแผงหน้าอกของคีธได้เลยทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าผมเป็นใคร มีแต่หน้าคีธเท่านั้นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก แต่เอาจริงๆ นะ ถึงคนอื่นจะเห็นหน้าก็ไม่รู้หรอกว่าผมกับคีธเป็นใคร ทุกคนที่มองพวกเราก็คนแปลกหน้าทั้งนั้นแหละ ถ้าเกิดมีใครจำได้ขึ้นมาว่าผมเป็นใคร ผมก็แก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการหนีกลับประเทศแม่งเลย
และเรื่องโกรธนี่ ความจริงผมหายโกรธตั้งแต่มันจูบหน้าผากผมแล้วแหละ แล้วก็ต้องขอซูฮกให้กับความอึดของมันด้วยที่อุ้มผมเดินมาเป็นหลายสิบกิโลเมตรอย่างนี้ถึงจะรู้ว่าร่างกายมันทรหดอดทนแค่ไหนก็ตาม ส่วนเรื่องเพลงของจัสติน บีเบอร์ ผมเพิ่งมารู้ระหว่างกลับห้องนี่แหละว่าคีธไปได้ยินมาจากทีมงานคนหนึ่งที่เป็นแฟนคลับของจัสตินเปิดเพลงนี้ฟังตอนพักในสตูดิโอบ่อยๆ ก็เลยจำเนื้อเพลงได้ ถึงจะเปิดฟังจากโทรศัพท์และมีหูฟังเสียบ แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ดี คีธก็เลยได้ยินอย่างชัดเจน
เห็นมั้ยล่ะ ผมบอกแล้วว่าการที่มันร้องเพลงได้ดีต้องเป็นเพราะความสามารถพิเศษของมันแน่
และพอกลับมาถึงห้อง คีธก็ไม่แม้แต่จะไปทักทายแอสตันที่ยังอยู่ดูแลริชาร์ดแม้แต่น้อย ตั้งหน้าตั้งตาพาผมเข้าห้อง เข้าห้องอย่างเดียวไม่พอ พาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำอาบท่าให้ด้วย ผมก็ปล่อยให้มันทำนั่นแหละ อยากจะรู้ว่ามันจะดูแลผมได้ดีอย่างที่พูดหรือเปล่า หากแต่การปล่อยให้มันอาบน้ำให้เหมือนจะคิดผิดสักเล็กน้อย เพราะมันไม่แค่ขัดถูเนื้อตัวไปทุกซอกทุกมุมอย่างเดียว มันยังจะปล้ำผมในห้องน้ำด้วย เพลงอะไรที่มันบอกจะร้องให้ฟังนี่คือลืมไปหมดแล้ว ผมก็ทำเป็นขัดขืนพอเป็นพิธีนั่นแหละ เล่นตัวหน่อยแต่ก็ยอม ช่วยไม่ได้ ก็มันน่ารักนี่หว่า อดใจไม่ไหวเหมือนกัน
“รักกวินทร์นะ” คีธว่าเสียงพร่าหลังจากจูบกับผมอย่างดูดดื่ม
“รักเหมือนกัน” ผมก็บ้าจี้ เผลอบอกรักตอบมันไปซะอย่างนั้นโดยลืมไปเสียสนิทว่ายังโกรธมันอยู่
“รักมาก รักที่สุด” คีธยิ้มออกทันที พลางพร่ำบอกรักผมไม่เลิก
“ทำสักที ทนไม่ไหวแล้ว” สุดท้ายก็เป็นผมที่รำคาญ ตัดบทเอาดื้อๆ
คีธพยักหน้า หยอกล้อกับร่างกายผมตามแบบฉบับของมัน หากแต่ครั้งนี้ออกจะรุนแรงและดุเดือดสักหน่อย อาจเป็นเพราะทะเลาะกันมาก่อนด้วยล่ะมั้ง เมคเลิฟครั้งนี้เลยร้อนแรงเป็นพิเศษ
ทว่าพอถึงวินาทีสำคัญที่ผมกับมันควรจะรวมกันเป็นหนึ่ง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะและอารมณ์รุ่มร้อนของผมให้ดับมอดทันใด ผมหันไปมองยังประตูอย่างหัวเสียขณะที่คีธมองอย่างสงสัย
“ใครวะ” ผมเปรยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
คีธส่ายหน้า ก่อนจะผละจากตัวผม
“อาจจะเป็นองค์ชาย”
“ถ้าเป็นไอ้แอสตันล่ะก็ ฉันฆ่ามันทิ้งแน่” ผมขู่ฟ่อ
คีธยีหัวผมพลางหัวเราะเบาๆ เล็กน้อยก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมท่อนล่างของตัวเองแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
หากแต่คนที่มาขัดความสุขนั้นไม่ใช่แอสตันอย่างที่คาดเดาไว้ ทว่าเป็นชายหนุ่มผมยาวหน้าหวานในชุดสูทที่ปรากฎให้เห็นอยู่หลังบานประตู หมอนั่นมองหน้าคีธเล็กน้อยก่อนมองเลยมายังผมที่ซุกตัวท่อนล่างอยู่ใต้ผ้าห่ม พลันว่าออกมา
“ขออภัยที่มาขัดจังหวะการผูกพันนะคีทาเย กวินทร์”
ไอ้เจเนซิส! เมียเก่าไอ้คีธนี่หว่า มึงมาได้ยังไง แล้วมึงมาทำไมวะ!
ผมย่นคิ้วยู่เลย ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่งที่เห็นหน้ามัน ก่อนที่คีธจะเป็นฝ่ายถามคำถามที่ผมอยากรู้
“มีอะไรเหรอเจเนซิส”
เจเนซิสละสายตาจากผมไปมองหน้าคีธ ก่อนถือวิสาสะแทรกตัวเข้ามาในห้องพร้อมปิดประตูเสร็จสรรพ
ผมเกือบจะด่ามันว่าไม่มีมารยาทอยู่แล้วถ้ามันพูดขึ้นมาก่อน
“มีเรื่องให้เราลำบากแล้วล่ะคีทาเย”
“อะไร” คีธถาม ผมเองก็พานอยากรู้ไปด้วย
เจเนซิสเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะว่าเสียงเครียดพร้อมกับสีหน้าเครียดไม่ต่างกัน
“พวกเซนไทน์แห่กันมาที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินแล้ว”
“ฉันรู้แล้วว่าพวกมันจะต้องแห่กันมา วันนี้พวกมันก็ตามจับตัวกวินทร์อยู่ พวกนั้นคงกำลังตามหาตัวพวกเราสักคนแล้วจับไปเค้นถามหาที่อยู่ขององค์ชาย” หัวคิ้วของคีธย่นยู่เล็กน้อยขณะพูด
“ใช่” เจเนซิสคราง ก่อนสีหน้าจะดูแย่ลงกว่าเดิม “แต่พวกมันไม่ได้มาแค่พวกลูกกระจ๊อก หมอนั่นก็มา”
คำว่า ‘หมอนั่น’ ทำเอาสีหน้าคีธดูไม่ดีไปด้วยอีกคนทันใด ส่วนผมก็หูผึ่งเลยด้วยอยากรู้ว่าหมอนั่นอะไรนี่เป็นใคร
“หรือว่า...
เจเนซิสพยักหน้า พลันว่าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเครียดอีกครั้ง
“องค์ชายแห่งเซนไทน์ตัวจริงเสียงจริง บุกมาที่นี่เองเลย เตรียมรับมือไว้ให้ดี”
--------------------------
บักคีธเป็นผู้ชายอบอุ่น แอร๊ยยยย >///< เดินตามหลัง ร้องเพลงง้อเมียต้อยๆ น่ารักน่าชังจริงๆ แต่เกือบเป็นเมียซีเลนนี่ก็ไม่ไหวนะ 5555
ตัวละครใหม่ใกล้โผล่มาอีกแล้วค่ะ ตัวตนที่แท้จริงของซีเลนก็ยังคงเป็นปริศนาเหมือนเดิม ฮาา ไม่รู้ว่านางจะเป็นตัวร้าย พระรอง หรืออะไรกันแน่ ปริศนามากๆ กำลังจะค่อยๆ เฉลยนะคะ แม่ยกใจร่มๆ เน้อ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.28]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 14-01-2016 01:14:03
เนื้อคู่ของซีเลนมาถึงแล้วววววววววววววววววววววววววววว

ป.ล. ลงยาว สะใจมาาากกก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.28]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 14-01-2016 18:04:35
เนื้อคู่ของซีเลนมาถึงแล้วววววววววววววววววววววววววววว

ป.ล. ลงยาว สะใจมาาากกก

 :katai2-1: :z1:

น่าคิดนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.28]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 14-01-2016 20:15:16
โห คีธ....มุขนี้คิดได้ไง ยอมพลีกายแทน  :jul3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.28]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-01-2016 21:02:42
Episode 29: Zylenata[1]
คีธยืนนิ่ง ไม่ถามสักแอะว่าเจเนซิสรู้ได้ไงว่าเจ้าชายแห่งเซนไทน์อะไรนี่บุกมาตามว่าที่เมียอย่างแอสตันด้วยตัวเอง เจเนซิสก็ไม่อธิบาย แต่ให้ผมเดานะ ผมว่าพวกมันคงจะมีสายคอยรายงานข่าวให้นี่แหละ ก็แหม... มนุษย์ต่างดาวอยู่บนโลกเยอะจะตาย แถมส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่หนีตายจากการไล่ล่าของเซนไทน์มาด้วย จะมาเป็นพันธมิตรกับชาติพันธุ์สูงศักดิ์อย่างยูนิกม่าก็ไม่แปลก แต่ประเด็นก็คือ... ไอ้เจ้าชายมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์หื่นโคตรบุกมาที่นี่แล้วยังไงต่อล่ะ? สู้เหรอ? หรือจะก่อสงครามกันโดยใช้โลกเป็นพื้นที่? แบบนี้ไม่เอานะเว้ย!
ไม่ทันจะได้ถาม คำถามของผมก็ได้รับการแถลงไขเมื่อคีธที่เงียบไปอึดใจหนึ่งทำลายความเงียบขึ้น
“จะไปเมื่อไหร่”
“เมื่อยานได้รับการพัฒนาเสร็จ ตอนนี้ฉันประสานงานกับพวกของเราที่ทำงานอยู่ในองค์การการบินและอวกาศฯ ของที่นี่แล้วว่าให้ลักลอบพัฒนาวิวัฒนาการยานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คิดว่าอย่างเร็วก็ไม่เกินสองอาทิตย์ งานนี้ฉันคุมเอง ระหว่างนี้พวกเราคงต้องหลบซ่อนตัวให้ดีก่อน”
ผมรู้ในตอนนี้นี่เองว่าเจเนซิสทำมาหากินอะไรอยู่ในโลกมนุษย์ ดูท่าทางมันน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในองค์การนาซาแหง ก็มันเป็นปราชญ์ที่ได้รับชื่อว่าฉลาดที่สุดในยูนิกม่านี่นา แถมตอนที่เจอคีธใหม่ๆ คีธก็เคยบอกแล้วด้วยว่าพวกมันมาพึ่งพามนุษย์โลก แลกกับการให้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ จะแทรกซึมตามองค์กรระดับโลกแบบนี้ก็ไม่แปลก
แต่! ไอ้ที่ถามเจเนซิสว่าจะไปเมื่อไหร่นี่มันหมายความว่าอะไรวะ!?
ผมมองไปยังคีธอย่างขอคำตอบทันที คีธเองก็หันมามองหน้าผมก่อนจะเดินมานั่งบนเตียงแล้วเปิดปากอธิบาย
“ถ้าพวกเซนไทน์มา เราก็จำเป็นต้องหนี”
“หนีทำไมวะ ก็สู้สิ”
“สู้ก็สู้ได้แต่คงจะไม่ไหว พวกเราเหลือกันอยู่ไม่มาก พวกเซนไทน์แห่กันมาอย่างนี้คงจะไม่ออมมือแน่ แล้วถ้าต้องสู้กันจริงๆ มันจะเดือดร้อนชาวเคราะห์สีน้ำเงินอย่างกวินทร์เอา”
ผมก็พอจินตนาการออกอยู่ว่าถ้าเกิดพวกมันใช้โลกเป็นสมรภูมิรบแย่งไอ้แอสตันกันมันจะพินาศขนาดไหน ที่สำคัญ ถ้าต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ คีธก็มีโอกาสจะถูกฆ่าเพื่อแย่งชิงแอสตันได้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้คีธไปนี่หว่า
“งั้นฉันจะไปด้วย” เพราะไม่อยากให้คีธไปจากผมนี่แหละ ผมเลยพูดออกมาไม่ทันคิด
คีธเลิกคิ้วสูงทันที ก่อนที่เจเนซิสจะแทรกขึ้น
“ไอ้ไปด้วยน่ะก็ไปได้ แต่ไม่รับประกันความปลอดภัยของนายนะ”
ผมตวัดหางตาไปมองมัน ก็เข้าใจอยู่ว่ามันคงจะหมายถึงเรื่องร่างกายของผมที่ไม่สามารถปรับตัวได้เหมือนพวกมัน ออกไปนอกโลกมีหวังได้ซี้แหงแก๋ ไอ้เรื่องที่จะไปด้วยนี่มันเป็นไปไม่ได้ชัดๆ
แต่ผมก็คิดผิดเมื่อเจเนซิสว่าลอยๆ ขึ้นมาอีก
“ยาปรับสมดุลร่างกายก็เพิ่งจะผลิตเสร็จพอดี กินเข้าไปสักเม็ด ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็น่าจะอยู่ในอวกาศได้สักหนึ่งเดือน”
ผมเบิกตาโตทันควัน มองเจเนซิสอย่างไม่เชื่อสายตาขณะที่หมอนั่นเหลือบมามองผมน้อยๆ
“งั้นก็มัวรออะไรอยู่ เอามาให้ฉัน ฉันจะได้หนีไปกับคีธ” ผมพูดออกมาโดยไม่อายปากเลยว่าจะหนีตามมันไป
“ก็บอกแล้วว่าจะไปก็ไปได้ แต่ไม่รับรองความปลอดภัย ไอ้ความปลอดภัยที่ว่าน่ะไม่ใช่เรื่องร่างกายนายอยู่ในอวกาศไม่ได้ แต่เป็นเรื่องนายจะมีชีวิตรอดจากการถูกเซนไทน์ตามล่าหรือเปล่านี่น่ะสิ คิดไม่ออกเลยนะว่าถ้านายถูกจับตัวไประหว่างที่หลบหนีอยู่ในอวกาศ คีทาเยจะลำบากแค่ไหน ไหนจะต้องปกป้ององค์ชาย ไหนจะแม่พันธุ์ สงสัยชีวิตจะลำบากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว” เจเนซิสหัวเราะในลำคอ
ผมเข้าใจได้ในตอนนี้เองว่าที่มันพูดไว้ก่อนหน้าหมายถึงอะไร ก่อนชะงักไปด้วยตระหนักได้ว่าที่เจเนซิสพูดก็ถูก ถ้าผมไปด้วยก็เหมือนจะเป็นตัวถ่วงเปล่าๆ แต่มันช่วยไม่ได้นี่หว่า ผมไม่อยากให้คีธไป บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมโคตรจะชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองเลย
ไอ้ความรู้สึกจะเป็นจะตายที่ไม่ได้อยู่ใกล้คนรักนี่ แค่คิดมันก็ทรมานแล้ว!
“กวินทร์” คีธคว้ามือผมมาบีบแน่นเมื่อเห็นว่าผมนิ่งไป ผมปรายตามองหน้ามันเล็กน้อยก่อนมันจะว่าขึ้น
“เดี๋ยวฉันก็กลับมา”
“เดี๋ยวกลับมานี่เมื่อไหร่” ผมถามเสียงเครียด
คีธส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนว่า “ไม่รู้ แต่ฉันจะกลับมา”
ถ้ากลับมาตอนกูแก่หง่อมไปแล้ว กูจะโกรธมึงมากไอ้คีธ! กูรู้หรอกว่ามึงคงไม่ไปแค่วันสองวันแน่!
แต่เอาเถอะ คิดแล้วก็ปวดหัว ผมไม่อยากจะสร้างความเครียดให้ตัวเองเท่าไหร่นักเลยโบกมือปัดๆ ไปแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน ซึ่งหัวข้อใหม่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของแอสตันนี่แหละ
“แล้วทำไมพวกนายไม่ยกแอสตันให้ทางนั้นไปเลยวะจะได้จบๆ ดองกันไปเลย จะได้ไม่ถูกล่าอีก”
สองคนนั้นเงียบไป มองหน้าผมที่พูดประโยคเมื่อครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วเจเนซิสก็เป็นคนอธิบาย
“ยกให้ไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกล่าหรอกนะ ทางเราเคยยกเจ้าหญิงให้กับกษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของพวกมันเพื่อสงบศึกตามข้อเสนอของมันแล้ว แต่ไม่ได้ผล”
“เจ้าหญิงเหรอ?” ผมเลิกคิ้วสูงขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินสรรพนามนั้น เจเนซิสพยักหน้าก่อนอธิบายต่อ
“อืม เจ้าหญิงซีเลนาตา รามูเอลี”
          ซีเลนาตา... ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ
          ผมนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนที่เจเนซิสจะดึงความสนใจของผมไปอีกครั้ง
“เสด็จป้าขององค์ชายน่ะ พี่สาวแท้ๆ ของพระบิดาองค์ชาย”
ผมร้องอ๋อขึ้นมา สลัดความสงสัยเรื่องชื่อคุ้นหูไปหมดสิ้น เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน
“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ยกป้าของแอสตันให้ทางนั้นแล้ว ทำไมพวกมันยังตามมารุกรานอีก”
“ก็กษัตริย์แห่งเซนไทน์รัชกาลก่อนใช้ข้ออ้างในการดองเป็นพระญาติกันมาบีบบังคับชาวยูนิกม่าให้ไปเป็นแหล่งพลังงานน่ะ พอพระบิดาของเจ้าหญิงซีเลนาตาซึ่งเป็นกษัตริย์ในรัชสมัยนั้นไม่ทรงยินยอม ทางนั้นก็สังหารองค์หญิง กษัตริย์เราเลยยกพลไปรบแต่ก็สิ้นพระชนม์ในระหว่างการปะทะกัน จากนั้นพระบิดาขององค์ชายซึ่งทรงพระเยาว์อยู่ในขณะนั้นก็ขึ้นมาเป็นรัชกาลใหม่แทน แต่เป็นกษัตริย์ใต้อำนาจการปกครองของเซนไทน์ เรียกง่ายๆ ก็คือเป็นกษัตริย์ของดาวที่เป็นเมืองขึ้นน่ะ พอองค์ชายแอสโซซิโนประสูติ กษัตริย์รัชกาลปัจจุบันของพวกมันก็ต้องการให้ดองกับเจ้าชายของมันอีก แต่พระบิดาขององค์ชายทรงไม่ยินยอม แล้วพวกเราก็เริ่มอพยพหนีการรุกรานของเซนไทน์มาตั้งแต่ตอนนั้น”
โอเค... ถึงเรื่องราวมันจะซับซ้อนแต่ผมก็พอจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่คาราคาซังมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ ลามมาถึงรุ่นพ่อแล้วก็มาลงที่รุ่นลูกอย่างแอสตัน ตอนนี้ผมเข้าใจละว่าทำไมต้องหนี ที่แท้พวกมันก็ไม่ต้องการให้คนสำคัญของพวกมันกลายเป็นเครื่องมือให้พวกเซนไทน์ใช้ต่อรองนี่เอง
“ถือว่าดีนะเนี่ยที่แอสตันมันหนีรอดจากการถูกไล่ล่ามาตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่ามีผู้พิทักษ์ดีได้มั้ยนะ เห็นนายบอกว่ารู้จักกับแอสตันมาตั้งแต่เด็ก ก็หมายความว่าเป็นผู้พิทักษ์ให้กับหมอนั่นมานานแล้วล่ะสิ” ผมแสร้งว่า เหลือบมองไปทางคีธด้วย
คีธพยักหน้า สีแววตาเจื่อนไปทันที เป็นแววตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
“ก็ไม่ได้ดีนักหรอก เคยมีพลาดอยู่ครั้งหนึ่งตอนองค์ชายมีพระชนมายุยี่สิบชันษา ฉันคลาดสายตาไปหน่อยเดียวก็ถูกองครักษ์ของเจ้าชายแห่งเซนไทน์จับไป เกือบจะช่วยมาไม่ได้เหมือนกัน”
ยี่สิบชันษานี่หมายถึงสิบขวบล่ะสินะ
“หมายความว่ายังไงที่ว่าถูกจับไปน่ะ” แต่ผมไม่สนใจ ย่นคิ้วถาม สังหรณ์ใจน้อยๆ ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ และค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าการที่แอสตันถูกจับไปต้องไม่ใช่การจับตัวไปเฉยๆ แน่ มันต้องมีเรื่องใต้สะดือมาเกี่ยวข้อง
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธพูดมา
“จับไปดูดพลังงานน่ะ พ่อฉันไปช่วยไว้ได้ ตอนกลับมานี่เรียกได้ว่าสภาพไม่น่าดูเลย เกือบจะเปลือย”
นั่นไง! คิดไว้ไม่มีผิด! ไอ้แอสตันมันเสียซิงตอนอายุสิบขวบสินะ!
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลยกวินทร์ องค์ชายยังบริสุทธิ์ แค่โดนจับแก้ผ้า” เจเนซิสรีบดักคอขึ้นมาเลยเมื่อเห็นผมทำตาโต พร้อมกับทำหน้าไม่สบอารมณ์ด้วย ผมก็เลยว่าเย้ามันเล่น
“แล้วนายเห็นหรือไงว่ามันยังไม่เสียเวอร์จิ้นด่านหลัง อยู่ในเหตุการณ์หรือไง เผลอๆ ตอนนั้นนายยังไม่ได้เข้ามาทำงานกับแอสตันเลยด้วยซ้ำมั้ง” ประโยคหลังนี่ผมคาดเดาน่ะ
“เจเนซิสเข้ามารับใช้องค์ชายตอนฝ่าบาทมีอายุสามสิบชันษา” แล้วคีธก็ตอบออกมาแบบไม่รู้ว่าผมไม่ได้อยากรู้ “แล้วองค์ชายก็ยังบริสุทธิ์ เห็นผู้ใหญ่ว่ากันว่าองค์ชายรับสั่งมาอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นยังไง ไม่มีใครรู้หรอก”
เจเนซิสค้อนประหลับประเหลือกให้คีธทันใดที่มันพร่ำบอกผมหมดเปลือกชนิดที่ผมไม่ได้เอ่ยปากถามสักแอะ
ส่วนผมน่ะเหรอ... ยิ้มเยาะใส่มันแม่ง  หึ! มึงเพิ่งจะเข้ามาทำงานตอนแอสตันอายุสิบห้าแท้ๆ ทำมาเป็นรู้ดี คีธมันทำงานกับแอสตันมาตั้งแต่เด็ก มันเองยังไม่แน่ใจเลย มึงทำมาเป็นแน่ใจ แหม... ไอ้เมียเก่า!
“จะอะไรก็ช่าง หน้าที่ของนายคือปกป้ององค์ชายนะคีทาเย ไม่ใช่มาเล่าเรื่องส่วนพระองค์ขององค์ชายให้คนไม่เกี่ยวข้องฟังอย่างนี้” พอสู้ผมไม่ได้ มันก็ไปวีนใส่คีธแทน คีธก็พยักหน้ารับไปตามเรื่อง ก่อนที่เจเนซิสจะพูดขึ้นอีก
“แต่งตัวแล้วไปเข้าเฝ้าองค์ชายกัน เรื่องนี้จะมัวรอช้าไม่ได้”
 
ผมใช้เวลาไม่นานก็แต่งตัวเสร็จแล้วก็ตามมนุษย์ต่างดาวสองตัวนี้มาหยุดที่หน้าห้องของริชาร์ด จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเสนอหน้ามาหรอกเพราะเจ้าพวกนี้จะมาคุยกับแอสตันเรื่องการอพยพ แต่ด้วยความที่มันเป็นห้องของริชาร์ดไง จะให้พวกมันไปเคาะเรียกก็เกรงใจเจ้าของห้อง อีกทั้งยังเสียมารยาทกับเจ้าชายของพวกมัน พวกมันก็เลยเอาผมมาเป็นกันชน
ผมเดินมาหยุดหน้าประตูห้อง ยกมือขึ้นยังไม่ทันได้เคาะ ประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือของแอสตันก่อนแล้ว เจเนซิสกับคีธรีบคำนับทักทายแอสตันทันใด ขณะที่แอสตันยิ้มเจื่อนๆ ให้สองคนนั้นพลางว่า
“เรื่องที่พวกนายคุยกัน เราได้ยินหมดแล้ว”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะอะไร คงจะใช้ความสามารถพิเศษเรื่องประสารทสัมผัสดีอะไรนี่อีกล่ะสิ
“เข้ามาก่อนสิ”
พอไม่เห็นว่ามีใครพูดอะไรออกมา แอสตันก็เปิดประตูให้กว้างขึ้นก่อนเดินไปทรุดตัวนั่งข้างเตียงที่มีริชาร์ดนอนซมอยู่ เจเนซิสกับคีธเดินมาหยุดตรงปลายเตียง ส่วนผมก็เดินตามมายืนอยู่ข้างๆ คีธ กระทั่งแอสตันเป็นฝ่ายถามขึ้น
“แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“คาดการณ์ว่าอีกสองอาทิตย์พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจเนซิสตอบ
แอสตันพยักหน้ารับ ใบหน้าน่ารักดูหนักใจขึ้นมากะทันหัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหนักใจเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องของริชาร์ด เห็นมันตอบรับเจเนซิสแล้วยกมือไปลูบผมริชาร์ดที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เบาๆ ผมก็อดสงสารมันขึ้นมาไม่ได้
อุตส่าห์หนีมามีเมียถึงโลกที่อยู่คนละกาแล็กซี่ ทั้งยังห่างจากดาวบ้านเกิดตัวเองตั้งสิบห้าพันล้านปีแสง ยังจะโดนว่าที่ผัวในอดีตมาตามตัวกลับไปอีก เป็นเจ้าชายที่ซวยจริงๆ เลยไอ้แอสตัน
“แล้วเราจะกลับมาอีกมั้ย” แอสตันถามคำถามที่ผมอยากรู้
“กลับมาแน่พ่ะย่ะค่ะ เราต้องกลับมา” คีธเป็นคนตอบ ผมหันไปมองหน้ามันที่มองผมอยู่เหมือนกันนิ่งๆ ความกังวลในตอนแรกที่กลัวว่าจะไม่ได้เจอคีธอีกหายไปเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาจริงจังคู่นั้น
ก็แน่ล่ะสิ ถ้ามึงไปแล้วไปลับ ไม่กลับมา กูจะแช่งให้มึงโดนพวกเซนไทน์จับทำเมียเหมือนไอ้แอสตันเลยคอยดู!
“ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่เมื่อไหร่ แต่ถึงยังไงก็คงต้องกลับ ก็ว่าที่พระชายาอยู่ที่นี่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เจเนซิสพูดเสริมอีก คราวนี้พอจะเรียกรอยยิ้มจากแอสตันได้บางๆ
เกือบลืมไปเลยว่าพวกมันผูกพันได้คนเดียว ผูกพันแล้วก็เหมือนเป็นเจ้ากรรมนายเวร ต้องตามติดสอยห้อยตามกันไปจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง แต่ก็ดี เวลาคีธหนีพวกเซนไทน์ไปที่อื่น ผมจะได้ไม่ต้องระแวงว่ามันจะไปจุดถ่านไฟเก่ากับเจเนซิสขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้ ที่สำคัญในตอนนี้คือผมควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกสองอาทิตย์กับคีธให้คุ้มค่าที่สุดก่อนหมอนี่จะหนีไปมากกว่า อาทิตย์หน้าผมก็ต้องกลับนิวยอร์กแล้ว ไว้คุยกับริชาร์ดให้มันอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยดีกว่า
หลังจากนั้นแอสตันก็คุยเรื่องแผนการหลบหนีกับเจเนซิสอีกโดยมีคีธยืนฟังอยู่เงียบๆ เสียงพูดคุยของพวกมันดูท่าจะรบกวนริชาร์ดที่นอนอยู่ให้ตื่นขึ้นมา หมอนั่นกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะขยับริมฝีปากแห้งผากเรียกชื่อผัวมันที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“แอสตัน...”
“ตื่นแล้วเหรอริชาร์ด” แอสตันละความสนใจจากเจเนซิสไปสนใจเมียตัวเองทันที
ริชาร์ดไม่ตอบ กวาดตามองมาทางพวกผมแล้วก็ย่นหัวคิ้วหน่อยๆ อย่างสงสัย เจเนซิสรีบยกมือขึ้นไขว้หน้าอก โค้งคำนับให้ ริชาร์ดแค่พยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถาม
“นี่มีเรื่องอะไรกัน ทำไมมาอยู่กันที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตาเลยล่ะ" ว่าพลางพยายามดันตัวขึ้นนั่ง
แอสตันที่ทำหน้าเครียดอยู่เมื่อครู่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนถลาเข้าไปประคองริชาร์ดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ และเพราะมันไม่พูด ริชาร์ดเลยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอแอสตัน มีเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงดูเครียดๆ”
“คือ...” แอสตันอึกอัก
ผมพอจะเข้าใจแหละว่ามันพูดยากที่จะบอกริชาร์ดว่าว่าที่ผัวที่ถูกยัดเยียดให้โดยไม่สมยอมตั้งแต่วัยเด็กมาตามตัวถึงที่ ใจจริงผมก็อยากจะบอกริชาร์ดแทนมันนะ แต่มันไม่ใช่เรื่องของผมไง ผมเลยเงียบปากไว้ให้แอสตันมันพูดเอง
แต่มันก็ไม่พูดอยู่ดี จนริชาร์ดชักจะย่นคิ้วแล้วถามออกมาอีก
“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน คอขาดบาดตายมากนักเหรอถึงไม่กล้าบอกฉัน” เหมือนริชาร์ดจะจับพิรุธได้
แอสตันพยักหน้าน้อยๆ แล้วหันมาส่งสายตาให้ผมที่ยืนอยู่กับคีธและเจเนซิสด้วยอารมณ์ประมาณว่าให้ช่วยหน่อย คีธกับเจเนซิสได้ทีก็หันมามองผมเลย
แหม พวกมึงนี่ ได้ทีโยนขี้ให้กูเลยนะ
“มีอะไรกันแน่เควิน” แถมริชาร์ดมันยังยิงคำถามใส่ผมอีก
ผมถอนหายใจจนไหล่ยกออกมาเล็กน้อย พวกมันคงเห็นว่าผมเป็นเพื่อนสนิทริชาร์ดนี่แหละถึงได้ผลักภาระมาให้ เอาวะ ในเมื่อโบ้ยหน้าที่ให้กันถึงขนาดนี้ จะช่วยก็แล้วกัน
“ริชาร์ด ตั้งใจฟังให้ดีนะ” ผมโพล่งขึ้นก่อนเดินเข้ามาหยุดที่ปลายเตียง
ริชาร์ดพยักหน้า สายตาจ้องผมเขม็งอย่างรอคำตอบ
“ฉันจะพูดให้นายเข้าใจแค่ประโยคเดียวแล้วก็ครั้งเดียว โอเคมั้ย” ผมย้ำอีกครั้ง ริชาร์ดเลยย่นคิ้วยู่ก่อนกระชากเสียงใส่
“บอกมาซะทีเถอะ”
ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ
“ผัว-ของ-ผัว-นาย-มา-ตาม-ผัว-นาย-กลับ-ไป-ผสม-พันธุ์”
“ฮะ!?” ริชาร์ดทำหน้าช็อกไปเลย หันไปหาแอสตันด้วยสีหน้าตื่นๆ ด้วย “หมายความว่าไงเนี่ยแอสตัน!” แล้วมันก็หันไปทำหน้าสับสนโลกใส่แอสตัน
“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น เข้าใจผิดแล้ว”
แอสตันส่ายหน้าเป็นพัลวัน ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย ขณะที่เจเนซิสถลาเข้ามากระชากคอเสื้อผมแล้วแหวใส่เสียงดัง
“พูดบ้าอะไรของนายเนี่ยกวินทร์! ไอ้เจ้าชายนั่นไม่ใช่ผัวขององค์ชายเว้ย!”
เอ้า กูจะไปรู้เหรอ ก็เห็นพวกมึงบอกว่าตอนเด็กๆ แอสตันมันถูกลากไปกดซึ่งก็ไม่รู้ว่าแม่งพลาดท่าเสียทีไปหรือยังด้วย แถมโตมาแล้วยังจะมาถูกตามล่ากลับไปเป็นเมียอีก กูก็แค่พูดให้ริชาร์ดมันเข้าใจง่ายๆ เฉยๆ มึงจะโมโหทำไมวะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.28]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-01-2016 21:03:29
Episode 29: Zylenata[2]
คีธรีบเข้ามาดึงเจเนซิสให้ปล่อยมืออกจากผม ก่อนจะแทรกตัวมายืนคั่นกลางพลางจัดคอเสื้อผมที่ถูกเจเนซิสดึงเมื่อครู่ให้เข้าที่ขณะที่หัวคิ้วมันย่นยู่ ส่วนเจเนซิสก็บ่นไม่หยุดปากกับคำพูดของผมเมื่อกี้
“พูดอย่างนั้นได้ไง พระเกียรติยศขององค์ชายได้เสื่อมเสียพอดี องค์ชายไม่ได้มีสัมพันธ์ใดๆ กับเจ้าชายนั่นสักหน่อย อย่ามาพูดเองเออเองสิวะ”
“นายไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แล้วนายรู้ได้ไงว่ามันไม่โดน มันอาจโดนเปิดบริสุทธิ์ไปแล้วก็ได้แต่ไม่ยอมบอก ใครจะไปรู้” ผมว่าลอยๆ ไปตามความจริง ทำให้เจเนซิสหันขวับมามองผมตาเขียวพลันแผดเสียงใส่
“กวินทร์!”
“อะไร”
“บอกว่าอย่าพูดให้พระเกียรติยศขององค์ชายเสื่อมเสีย!”
ผมยักไหล่ให้อย่างไม่ยี่หระ ส่วนริชาร์ดก็ทำหน้าเหมือนโลกแตกประหนึ่งถูกผัวนอกใจ แอสตันเห็นท่าไม่ดีเลยต้องยกมือห้ามทัพเป็นพัลวัน
“เอาน่าๆ ที่กวินทร์พูดก็ถูก ตอนนั้นไม่มีใครอยู่กับเรา จะไม่แน่ใจก็ไม่แปลก”
“เห็นมะ ฉันพูดผิดตรงไหน เจ้าตัวยังเห็นด้วยเลย” ผมได้ทีก็สำทับใหญ่ ก่อนที่เสียงแอสตันจะดังขึ้นมาอีก
“แต่เราไม่ได้ถูกเจ้าชายนั่นทำอะไร แค่เกือบเฉยๆ จริงๆ นะริชาร์ด เราไม่เคยผูกพันกับใครมาก่อน มีนายเป็นคนแรกจริงๆ” ประโยคหลังนี่หันไปแก้ตัวกับริชาร์ดที่ทำหน้าเมากัญชาไปแล้ว
“ไม่เข้าใจเลย นี่เรื่องบ้าอะไรเนี่ย” แล้วมันก็ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา พึมพำออกมาไม่ได้ศัพท์
เจเนซิสได้ทีเลยรีบอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว พอมันรู้ความจริงเหมือนกับที่ผมรู้ สีหน้าของมันก็ดีขึ้นทันตา ก่อนมันจะถอนหายใจออกมาเต็มแรง
“ตกใจหมด นึกว่านายจะเป็นทั้งรุกทั้งรับ”
ผมนี่อยากจะหัวเราะออกมาแรงๆ เลย แต่ก็รักษาหน้าเพื่อนไงเลยได้แต่อมยิ้มแล้วหันไปมองหน้าคีธที่กำลังจะละมือจากคอเสื้อผม คีธมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะว่าออกมาเป็นภาษาไทยเนิบๆ
“มีใครเคยบอกกวินทร์มั้ยว่ากวินทร์กวนตีน”
นี่มึงด่ากูเหรอไอ้คีธ!
รอยยิ้มบนหน้าผมหายวับไปกับตาเลย สะบัดตัวออกจากมันด้วย หน็อย! มึงเข้าข้างเมียเก่ามึงล่ะสินะ!
“แล้วเจ้าชายเซนไทน์นี่อายุเท่าไหร่เหรอ ฟังดูเหมือนจะอายุมากกว่าแอสตันเลย” งอนคีธได้ไม่เท่าไหร่ ริชาร์ดก็เรียกความสนใจของผมไป
“สี่สิบแปดเซนไทน์ เท่ากับยี่สิบสี่ปีมนุษย์โลกพ่ะย่ะค่ะ อายุของพวกเซนไทน์มากกว่ามนุษย์โลกสองเท่าเหมือนกับชาวยูนิกม่า” เจเนซิสตอบ
แหมไอ้ริชาร์ด ผัวของผัวมึงอายุมากกว่าซะด้วย สงสัยมึงต้องลำบากหน่อยนะ แย่งกันเลี้ยงต้อยขนาดนี้เนี่ย
ผมอยากจะล้อมันอยู่เหมือนกันนะ แต่จากที่โดนคีธด่าหน้าตายว่ากวนตีนแล้ว ผมก็เลยไม่พลั้งปากออกไป จะมีก็แต่เจเนซิสนี่แหละที่พูดไม่เลิก
“เอาเป็นว่าตอนนี้เพื่อความปลอดภัยขององค์ชายและว่าที่พระชายา ฝ่าบาททั้งสองพระองค์คงจะต้องยุติการเป็นโฮสต์ให้กันชั่วคราวก่อน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะตามกลิ่นมาได้ กลิ่นจากองค์ชายนี่หม่อมฉันไม่เป็นห่วงเท่าไหร่เพราะเก็บซ่อนได้ แต่กลิ่นขององค์ชายที่อยู่ในตัวของว่าที่พระชายานี่แหละที่หม่อมฉันเป็นห่วง”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง” ริชาร์ดถาม ดูท่าทางมันโคตรกระตือรือร้นที่จะปกป้องผัวมันเลย
ผมเข้าใจความรู้สึกมันเลยนะไอ้ความรู้สึกกลัวว่าผัวตัวเองจะไปเป็นเมียชาวบ้านเนี่ย ดูไอ้คีธเมื่อช่วงหัวค่ำเป็นตัวอย่าง ถ้าผมไม่ห้าม มันคงถวายตัวเป็นเมียไอ้ซีเลนไปแล้ว
“หม่อมฉันเตรียมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียง เจเนซิสก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง คว้าเอาตลับยาออกมาก่อนจะเปิดมันออกให้เห็นแคปซูลยาสีฟ้าใสด้านใน “ตลับนี้สำหรับองค์ชายกับคีทาเย กินยานี่เข้าไปแล้วจะอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์ประมาณสามเดือน”
ว่าจบก็ส่งตลับยานั้นให้แอสตันเม็ดหนึ่งแล้วค่อยเอามาให้คีธ ก่อนมันจะล้วงตลับยาอีกตลับขึ้นมาเปิด เผยให้เห็นเม็ดยาแคปซูลสีแดงใสอีกสองเม็ด
“ส่วนนี่เป็นยาระงับกลิ่นของชาวยูนิกม่าในตัวโฮสต์ ปกติแล้วถ้าไม่ได้เป็นโฮสต์กันแล้ว กลิ่นจะค่อยๆ เลือนหายไปเอง แต่ในกรณีที่ผูกพันกันไปแล้ว กลิ่นจะไม่หาย ต้องพึ่งพายา” พูดจบก็เดินเอายาไปให้ริชาร์ดและส่งให้ผม
ผมมองอย่างชั่งใจ ไม่รู้ว่าควรจะกินมันดีหรือเปล่า แต่ไอ้ริชาร์ดนี่สิ ไม่พูดพร่ำทำเพลง แค่เจเนซิสส่งให้ มันก็จับยายัดลงคอ กระดกน้ำตามอย่างง่ายดายโดยไม่สงสัยอะไรแม้แต่นิด
ออร่าหวงผัวมึงแรงมากไอ้เจ๊ก มีผัวเด็กก็ต้องหวงเป็นธรรมดาล่ะสินะ
“กวินทร์ก็กินสิ”
ผมได้สติอีกครั้งเมื่อคีธพูดขึ้น ผมชักสีหน้าใส่มันเล็กน้อย งอนอยู่นิดหน่อยที่มันด่าผมว่ากวนตีนแต่ก็ยอมยัดยาเข้าปากแต่โดยดี แล้วเดินไปเอาขวดน้ำดื่มที่ริชาร์ดซื้อมาทิ้งไว้ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นมากระดกดื่มอั้กๆ ขณะที่คีธกับแอสตันเองก็กินยานั่นเข้าไปเหมือนกัน
“แล้วก็จากนี้เราคงจะต้องพึ่งพาพวกไบโทปอีกครั้ง”
“อะไรนะ!” ไม่ใช่แค่ผมที่ร้องถาม ริชาร์ดเองก็ด้วย
อะไรของมันวะ อุตส่าห์สลัดพวกเปรตวัดสุทัศน์นั่นไปได้แล้วแท้ๆ ยังจะหนีพวกมันไม่พ้นอีกหรือไง!
“แค่ไปพึ่งพาขออาศัยอยู่ด้วยเท่านั้นน่ะ ไม่ได้ให้พึ่งพาเป็นโฮสต์ พวกนั้นมีความสามารถในการซ่อนตัวเลยว่าจะให้องค์ชายไปซ่อนตัวกับพวกนั้น” เจเนซิสเหมือนจะรู้ว่าผมกับริชาร์ดคิดอะไรเลยรีบพูดขึ้นมา
ผมถอนหายใจ กลอกตาอย่างเบื่อหน่ายขณะที่ริชาร์ดทำหน้าเบื่อโลก แต่มันทำใจได้เร็วกว่าผม เออออไปตามเรื่อง
“ช่วยไม่ได้ งั้นแอสตันก็ไปอยู่กับพวกนั้นก่อนแล้วกัน ไว้ฉันช่วยงานที่กองถ่ายเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปอยู่ด้วย” แล้วมันก็พูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยไม่รอให้ผมถามมันเลยว่าหลังจากช่วยงานด็อกเตอร์มาร์ตินเสร็จแล้วจะอยู่ที่นี่ต่อมั้ย
แอสตันยิ้มกว้างให้ริชาร์ดก่อนจะคว้ามือมาจูบ
“เราจะรอนะ”
คลื่นไส้ฉิบ ทำไมมันหวานจังวะ
มองแล้วก็เหลือบไปมองหน้าคีธ คีธยังคงทำหน้านิ่งอย่างเคย และมันคงจะรู้แหละว่าผมรอให้มันพูดและทำเหมือนแอสตัน แต่เปล่าเลย มันไม่ทำ เอาแต่มองหน้าผมจนผมเป็นฝ่ายละสายตาไปจากมันเอง
มึงจะหวานกับกูหน่อยก็ไม่ได้! กูก็อยากให้มึงปลอบใจกูเหมือนกันนะ!
“หมดธุระแล้ว หม่อมฉันคงต้องกราบบังคมลาก่อนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท มีธุระให้ต้องสะสางค้างอยู่” เจเนซิสตัดบทเอาดื้อๆ
แอสตันพยักหน้ารับทันใด
“ไปเถอะเจเนซิส ขอบใจมากที่มาส่งข่าว”
“พรุ่งนี้เช้า หม่อมฉันจะส่งคนมารับ” เจเนซิสทิ้งท้ายก่อนจะค้อมตัวคำนับแล้วออกจากห้องไป
หมดเรื่องแล้ว ผมเองก็จะกลับห้องเหมือนกันด้วยเหนื่อยล้าเต็มทนกับเรื่องที่ผจญมาทั้งวัน ประกอบกับหงุดหงิดไอ้บ้าคีธที่ด่าผมแล้วยังทำเฉย ไม่แยแสด้วย
ทว่าพอผมเดินพ้นจากห้องริชาร์ดได้ไม่เท่าไหร่ คีธก็ตามออกมาติดๆ ก่อนมันจะเป็นฝ่ายลากผมเข้าไปในห้องตัวเองแทน
“อะไรเนี่ย” ผมถามมันเสียงขุ่น สะบัดตัวหนีด้วย กะว่าจะเล่นตัวให้มันง้อซะหน่อย แต่ก็โดนมันดึงเข้าไปกอดแน่นทันทีที่ปิดประตู
“กวินทร์ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะกลับมา”
ผมนิ่งไปเลยที่จู่ๆ มันก็เกิดมาสวีทหวานกับผมโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ในเมื่อตอนแรกตั้งใจว่าจะงอนมัน ผมก็เลยไม่ยอมให้มันกอดง่ายๆ ทำเป็นสะบัดสะบิ้งหน่อยๆ ให้มันได้ง้อ
“ไม่ต้องกลับมาก็ได้ ฉันจะได้มีคนใหม่” จะบอกว่ามีผัวใหม่ก็เกรงใจ ตอนนี้ผมก็ยังลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะชอบผู้ชายหรือผู้หญิงดีถ้าคีธไม่กลับมา
หากแต่คีธก็ทำให้ผมต้องปิดปากเงียบเมื่อมันกระชับกอดผมแน่น
“ต้องกลับมาสิ หัวใจฉันอยู่ที่นี่” สิ้นเสียงก็ผละออกจากผมเล็กน้อย ยกมือขึ้นมาวางบนหน้าอกข้างซ้ายของผมแล้วว่ายิ้มๆ “อยู่ที่กวินทร์”
กะ...กูเขินแรงมาก!
อายม้วนไปเลย อายม้วนคืออะไร ดูท่าทางผมในตอนนี้ได้ ผมหน้าร้อนฉ่า หลบสายตามันรัวๆ ทำท่าผลักมันออกด้วย
“พะ...พูดบ้าอะไรของนาย”
“ไม่ได้พูดบ้าอะไร พูดว่าหัวใจของฉันอยู่ที่กวินทร์”
กูรู้แล้ว! กูแค่เขินเลยพูดไปอย่างนั้น แล้วมึงจะมาพูดซ้ำให้กูเขินมากกว่าเดิมทำไมเนี่ย!
คีธดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง คราวนี้ไม่กอดเฉยๆ แต่ประทับจูบเบาๆ บนหน้าผากผมด้วย
“รอนะ ฉันจะกลับมา จัดการเรื่องขององค์ชายเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาหากวินทร์แน่ ไม่นานหรอก”
“อืม”
“จากนั้นเราก็จะมีลูกกัน”
“อืม... เฮ้ย เดี๋ยวนะ!” ผมร้องเสียงดังเลย
“ตกใจอะไรกวินทร์ แค่บอกว่าเราจะมีลูกกัน” คีธไม่สะทกสะท้าน ยกยิ้มขึ้นมาด้วย
กูควรตกใจสิ จู่ๆ มึงก็มาชวนกูมีลูกเนี่ย!
“มีกี่คนดี สักสองคนดีมั้ย” แถมมันยังวางแผนคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยอีก
ผมอ้าปากจะห้ามไม่ให้มันคิดไปไกลเพราะผมยังไม่ได้ตกลงอะไรกับมันเลย แต่ก็ไม่ทันมัน มันพล่ามไปเรื่อยแล้วเรียบร้อย
“ลูกคนแรก ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็จะให้ชื่อคีตา แปลงมาจากชื่อฉันผสมกับภาษาไทย ส่วนคนที่สองจะให้ชื่อคินน์ เป็นชื่อของกวินทร์แบบสั้นๆ ในภาษาอังกฤษ”
มึงอย่ามาตั้งชื่อลูกเอาตามใจชอบสิวะ!
“กวินทร์ชอบมั้ย” ตบท้ายด้วยการถามผมหน้าระรื่น
“หยุดเพ้อเจ้อเลย ฉันจะนอนแล้ว” ผมยุติการพูดคุยเอาดื้อๆ ผลักมันออกห่างแล้วเดินหน้าร้อนมาที่เตียงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ไม่ใช่แค่หน้าแล้วล่ะที่ร้อน ร้อนไปทั้งตัวเลยเถอะ แถมไอ้คีธก็ไม่ปล่อยให้ผมได้นอนอย่างที่ตั้งใจไว้ด้วย แค่เห็นผมเดินหนี มันก็เดินตามมาติดๆ มิหนำซ้ำยังจับผมที่เพิ่งจะเดินมาถึงขอบเตียงกดลงบนฟูกอย่างไม่ทันตั้งตัวอีก ผมอ้าปากเตรียมจะถามมันว่าทำบ้าอะไร แต่มันก็พูดขึ้นมาก่อน
“มาทำลูกกันเถอะ”
มึงอย่ามาเนียนรวบหัวรวบหางกูนะเว้ย! อสุจิมันไม่ปฏิสนธิกับด่านหลัง! ที่สำคัญ เวลาพวกมึงมีลูกกัน พวกมึงผสมไข่กับน้ำเชื้อในร่างกายตัวเองแล้วค่อยเอามาป้อนอีกฝ่ายไม่ใช่หรือไง อย่าคิดว่ากูลืมสิวะ!
“คีธ...” ผมเรียกชื่อมันเสียงต่ำที่มันทำหน้าด้าน คีธไม่สนใจ ยิ้มเผล่แล้วฉกจูบผมเร็วๆ
“ก็แค่เลียนแบบมนุษย์โลกน่า จริงๆ อยากผูกพันกับกวินทร์ กวินทร์น่ารัก” สุดท้ายมันก็สารภาพออกมาตามตรง
จะด่ามันก็ไม่มีอารมณ์ด่าละเพราะพอมันพูดจบ มันก็จัดการทึ้งเสื้อผ้าผมทันใด ไอ้คำพูดมากมายที่อยู่ในหัวมลายหายไปทันทีเมื่อสัมผัสเร่าร้อนจากมันลูบไล้ไปทั่วร่างกาย
ชะ...ช่วยไม่ได้ ถือว่าเป็นการส่งท้ายก่อนที่มันจะไปอยู่กับพวกไอ้เปรตวัดสุทัศน์ก็แล้วกัน
 
เจเนซิสกับพลพรรคกว่าสิบคนมารับคีธกับแอสตันถึงอพาร์ตเม้นต์ผมแต่เช้า ที่แห่กันมาเยอะก็เพราะกลัวว่าระหว่างทางจะถูกพวกเซนไทน์โจมตี ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ปล่อยให้พวกมันทำหน้าที่กันไป มีร่ำลาคีธนิดหน่อยก่อนจะออกไปทำงาน ส่วนริชาร์ดก็ยังลางานเหมือนเดิมเพราะอาการป่วยของมันยังไม่ดีขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่นัก
พอมาถึงที่สตูดิโอ ด็อกเตอร์มาร์ตินก็ถามนิดหน่อยว่าริชาร์ดไปไหน ผมตอบไปตามความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ไม่มีแม้แต่จะถามด้วยว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น คนอื่นๆ ก็เช่นกัน แค่มองๆ ผมด้วยสายตาแปลกๆ เท่านั้น ผมเลยถือโอกาสบอกกับด็อกเตอร์มาร์ตินและผู้กำกับวิลล์ว่าคีธกับแอสตันขอลาออก อ้างเหตุผลไปว่าเป็นเพราะคีธทะเลาะกับซีเลนเมื่อคืน ทว่าเหมือนพวกเขาจะรู้อยู่แล้วเลยไม่ได้ว่าอะไร แถมยังจัดการหาสตั๊นแมนใหม่มาแทนสองคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยอีก
การทำงานก็เหมือนเดิมทุกวัน ผมก็ยังเจอกับซีเลนทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่ตอนเลิกงานที่มันเดินตามผมไม่เลิกตั้งแต่ผมเดินออกจากสตูดิโอมา มุ่งหน้าจะไปย่านไชน่าทาวน์เพราะจู่ๆ ไอ้บ้าริชาร์ดก็นึกอยากกินบะหมี่ผัดขึ้นมาแล้วโทรมาบอกผมให้ไปซื้อให้เมื่อช่วงเย็น กำชับมาอีกว่ามันยังไม่ได้กินอะไรทั้งวัน บอกให้มันกินเบอร์เกอร์ก็ไม่เอา อ้างว่าเอียนอาหารฝรั่ง ผมก็กลัวว่ามันจะตายก่อนเลยปฏิเสธมันไม่ลง สุดท้ายผมก็เลยเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินโดยมีซีเลนติดสอยห้อยตามมาด้วยดุจเหาฉลาม
ไอ้นี่ก็อีกคน หน้าด้านเหลือเกิน ไล่ก็ไม่ไป ไม่รู้มนุษย์ต่างดาวนี่หน้าด้านกันทุกตัวหรือเปล่า!
ร้ายกว่านั้นคือมันพูดประโยคเดิมไม่หยุดตั้งแต่ออกจากสตูดิโอ จนหัวคิ้วผมย่นยู่แทบจะผูกกันเป็นโบว์อยู่รอมร่อแล้ว
“ซื้อบะหมี่เสร็จแล้วไปที่ห้องฉันกันมั้ยกวินทร์”
“มึงเลิกชวนกูไปเอากับมึงซะทีเถอะไอ้ซีเลน กูเป็นของคีธ มึงไม่เข้าใจหรือไง”
ผมหมดความอดทน หันไปแผดเสียงใส่มันเป็นภาษาไทย ที่ใช้ภาษาบ้านเกิดก็ไม่มีอะไร กลัวคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยินแล้วจะทำท่าทางเหยียดเกย์อะไรประมาณนี้น่ะ ประเทศเสรีนี่ก็ไม่ได้เสรีจริงอย่างที่โฆษณาไว้สักเท่าไหร่หรอก พวกเหยียดเชื้อชาติ เหยียดสีผิว เหยียดเพศยังมีอยู่อีกเยอะ
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าที่ไอ้ซีเลนพูดในลำดับต่อไป
“เอ้า ก็ไม่รู้ ไม่เห็นได้กลิ่นหมอนั่นจากตัวนาย เลยนึกว่าเลิกเป็นของกันและกันไปแล้ว”
ผมฉุกคิดได้ตอนนี้นี่เอง สงสัยจะเป็นฤทธิ์ของยาที่เจเนซิสให้ผมกินเมื่อวานล่ะมั้ง ได้ผลเร็วจังแฮะ
“ยังไม่ได้เลิกกันเว้ย” ผมแผดเสียงใส่มันอีกครั้งแล้วก้าวหนีอย่างไว มุ่งตรงไปยังร้านขายอาหารจีนร้านหนึ่ง สั่งอาหารรนๆ แล้วยืนรอ
ระหว่างที่ยืนรอ ไอ้ซีเลนก็เข้ามากระแซะผมไม่เลิก เดี๋ยวจับเดี๋ยวคลำจนผมรำคาญ หันไปแผดเสียงใส่มันจนคอแทบแตก แต่มันก็ไม่หยุด ตามมาด้วยชวนผมไปนอนด้วยอีก
“เสร็จจากนี่แล้วไปกับฉันนะ ถ้าไม่อยากไปห้องฉันก็ไปที่โรงแรมแถวๆ นี้ก็ได้ ตอนเดินผ่านมาเมื่อกี้ฉันเห็นว่ามีโรงแรมห้าดาวอยู่ ห้องสวีทเลยเป็นไง”
“ไม่เอา! ดูปากกูนะไอ้เวรซีเลน... กู-ไม่-ไป-นอน-กับ-มึง! เคลียร์นะ!”
ผมยังคงโวยวายเป็นภาษาไทย มือก็ล้วงหยิบเงินจ่ายให้กับอาเจ้ที่ส่งกล่องบะหมี่ผัดให้ผมด้วย ทว่าซีเลนก็แย่งจ่ายเสียก่อน แย่งกล่องบะหมี่ไปถือด้วย มือข้างที่ว่างก็คว้าข้อมือผมหมับแล้วออกเดินไปหน้าตาเฉย
“โรงแรมอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่กี่ช่วงตึกเอง เดินนิดหน่อยเดี๋ยวก็ถึง”
กูบอกอยู่แหม็บๆ ว่ากูไม่ไปนอนกับมึง! มึงฟังกูอยู่มั้ยเนี่ย!
“ปล่อยนะเว้ย!”
ผมขัดขืนสุดกำลัง แต่จะไปสู้แรงอะไรไอ้มนุษย์ต่างดาวหื่นกามอย่างมันได้ รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนอยู่หน้าโรงแรมห้าดาวอะไรที่มันว่าแล้ว โรงแรมนี่เป็นโรงแรมกึ่งภัตตาคารอาหารจีน ดูจากการตกแต่งหรูหราตั้งแต่ภายนอกยันภายในก็รู้แล้วว่าคงจะแพงหูฉี่ และคนกระเป๋าแห้งกรอบอย่างผมก็ไม่มีปัญญามาพักหรอก ทว่าต่อให้มีโอกาสได้เข้าพัก ผมก็ไม่เอา โดยเฉพาะการเข้าพักกับไอ้หน้าหนวดที่พยายามดึงผมเข้าไปข้างในเนี่ย!
“บอกให้ปล่อย ไม่ได้ยินหรือไงวะ!” ผมแผดเสียงลั่น ไม่อายสายตาพนักงานโรงแรมที่มองอยู่เลยสักนิด มือข้างที่ไม่ถูกดึงก็เกาะเสาป้ายโรงแรมที่อยู่ข้างหน้าโรงแรมแน่นขณะที่ซีเลนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาดึงผมเข้าไปข้างในนั้น
“แป๊บเดียวน่า แป๊บเดียว ไม่กี่ชั่วโมง”
ไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่ไปเว้ย! อย่ามาเกลี้ยกล่อมกูซะให้ยากไอ้ซีเลน!
ผมออกแรงดึงตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุมเต็มที่ แล้วก็ได้ผลเมื่อตอนที่ผมดึงตัวออกมานั้น พนักงานโรงแรมเข้ามาถามซีเลนว่ามีปัญหาอะไรพอดี มันก็เลยปล่อยมือผมอย่างง่ายดาย หากแต่จังหวะที่ผมหลุดจากมันมานั้น ก็มีรถลีมูซีนคันหนึ่งมาจอดเทียบพอดีเช่นกัน ทำให้ผมเซไปกระแทกข้างรถเต็มแรง หัวเข็มขัดเจ้ากรรมก็ดันไปขูดข้างรถเป็นรอยถลอกหน่อยๆ ด้วย
พอผมตั้งหลักได้ คนบนรถในชุดสูทสีดำ ท่าทางเหมือนบอดี้การ์ดสองคนกรูกันลงจากรถทันใด ผมเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้เองว่าไม่ได้มีแค่คนพวกนี้ แต่ยังมีพวกคนชุดดำซึ่งดูเหมือนจะมาด้วยกันจากรถคันอื่นที่ขับตามหลังมาอีกสามคันกรูกันลงมาด้วย ผมใจแป้วไปทันที
นะ...นี่กูไปทำรถเจ้าพ่ออะไรสักอย่างเป็นรอยหรือเปล่าวะเนี่ย ดูบอดี้การ์ดพวกนั้นสิ แห่กันมาอย่างกับกูจะไปฆ่าเจ้านายมันอย่างนั้นแหละ!
“ขะ...ขอโทษครับ” ถึงจะเป็นเจ้าพ่อหรือคนใหญ่คนโตจากไหน แต่สิ่งที่ผมได้ดีที่สุดก็คือขอโทษไปก่อน จากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที
งะ...งานนี้จ่ายค่าเสียหายบานแน่!
ทว่าในวินาทีที่ผมเอ่ยคำขอโทษ กระจกหน้าต่างรถข้างที่ผมชนเมื่อครู่ก็ค่อยๆ เลื่อนลง เผยให้เห็นชายวัยไล่เลี่ยกับผมในชุดสูทลายทางประหนึ่งหลุดมาจากหนังมาเฟียเรื่องก็อดฟาเธอร์ ใบหน้าหล่อหากแต่ดูนิ่งขรึมทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายเอื้อกทันใด ก่อนที่หมอนั่นจะยกมือขึ้นโบกน้อยๆ เป็นสัญญาณให้บรรดาบอดี้การ์ดถอยห่างจากผม
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงอำนาจบางอย่างจากท่าทางของหมอนั่น ที่สำคัญ หมอนี่น่ะ นะ...น่ากลัวฉิบหาย
แต่มันก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาเมื่อริมฝีปากหนาขยับขึ้นเปล่งเสียงเบาๆ
“นิดหน่อย ไม่เป็นไร”
คงจะหมายถึงเรื่องที่ผมทำรถคันหรูของมันเป็นรอยนี่แหละ ผมรีบเซย์แต๊งค์กิ้วรัวๆ เลย ถึงหน้ามันจะหล่อและดูโฉด แต่ดูท่าทางจะเป็นคนดีแฮะ ไม่เอาเรื่องอย่างนี้คือคนดีศรีอเมริกามาก
พอสิ้นเสียงมัน บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็เดินมาเปิดประตูรถให้ ผมเลยได้เห็นรูปร่างของคนในรถเต็มสองตาว่าสูงใหญ่ไม่แพ้คีธกับซีเลนเลย
อย่างกับนายแบบเลยให้ตายเถอะ นี่เจ้าพ่อจริงๆ เหรอเนี่ย?
ผมยืนนิ่ง มองหมอนั่นค้างอย่างตะลึงงัน ยอมรับเลยว่าโคตรจะหล่อ และไม่ใช่แค่ผมที่ตะลึงนะ ซีเลนที่เพิ่งคุยกับพนักงานโรงแรมเสร็จแล้วหันมาสนใจผมก็ตะลึงไปเหมือนกัน ก่อนที่หมอนั่นจะคว้าแขนผมแล้วเดินออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว
“แพลนยกเลิก กลับ”
ผมไม่ถามหรอกว่าทำไมจู่ๆ มันถึงเปลี่ยนใจไม่ลากผมเข้าโรงแรม ก็คงจะกลัวว่าจะถูกเจ้าพ่อฆ่าทิ้งเพราะผมไปทำรถนั่นถลอกนั่นแหละ
หากแต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาสีเทาเข้มของชายคนนั้นมองมายังซีเลนแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยชื่อคุ้นหู
“ซีเลนาตา...”
อะ...อะไรนะ!? ซีเลนนาตา... หมอนั่นรู้ชื่อนี้ หรือว่านี่ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวอีก!? แล้วที่เรียกซีเลนด้วยชื่อนั้น ยะ...อย่าบอกนะว่า...
ผมหันไปมองซีเลนที่ลากผมจ้ำอ้าวหนีทันควัน ขณะที่ใบหน้าของมันไม่เหลือเค้าความอารมณ์ดีอยู่เลยแม้แต่น้อย
“อย่าหันไปมอง เดินให้เร็ว” มันว่ากับผมเท่านั้น ตอกย้ำความมั่นใจของผมเข้าไปอีกว่าจริงๆ แล้วซีเลนเป็นใคร
ตกลงไอ้ซีเลนมันจะเป็นเจ้าหญิงแห่งยูนิกม่าที่ถูกส่งไปแต่งงานกับเจ้าชายแห่งเซนไทน์ที่เจเนซิสเล่าล่ะสินะ! นี่มึงเป็นป้าไอ้แอสตันเหรอเนี่ย!?
--------------------------------------
หักมุมท้ายตอนจะโดนแม่ยกตบมั้ย 5555555
อย่าเพิ่งตกใจนะคะ ยังไม่ชัดเจน อย่าเพิ่งเชื่อนังกวินทร์นะ ฮาาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-01-2016 21:54:30
 :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 15-01-2016 00:01:15
เชื่ออ่ะ ซีเลน คงเป็นรุ่นลูก, มาเฟียคงเป็นพ่อ ที่ทำลูกหายไป.

อ้าว แล้วซีเลนจะคู่ใคร... สงสัยจะเป็นบูลิโอ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 15-01-2016 16:26:03
ใครอ่าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-01-2016 16:42:25
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: Zurruz ที่ 15-01-2016 22:50:17
เรื่องนี้สนุกมาก สนุกออก ทำไมมีคนติดตามไม่เยอะละ สนุกจริงๆนะ ภาษาก็ดี เชียร์ค่ะ สู้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 16-01-2016 00:46:44
 :jul3:
กวินทร์นี่.... เดาแต่ละที ไม่ธรรมดาจริงๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 16-01-2016 02:53:20
รอ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: pedchara ที่ 16-01-2016 04:12:04
อ่านแล้วสนุกมากเลย ใช้ภาษาง่ายๆ แต่น่าติดตามอ้า

หักมุมทีเราเงิบ 5555555

ขำนางกวินสุดล่ะ  นางเป็นพวกขี้โวยวายไม่รู้ตัวจริงๆ

คัมแบคเร็วๆนะคีธ :impress2:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 16-01-2016 11:41:20
สนุกมาก รอตอนต่อไปคะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 16-01-2016 16:46:03
อร๊ายย ลุ้นว่าองค์ชายที่ว่านั่นจะเป็นใครล่ะหนอ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 16-01-2016 22:19:57
Episode 30: You are my children’s father[1]
มิน่าล่ะทำไมถึงได้คุ้นชื่อซีเลนาตาอะไรนี่ตอนที่เจเนซิสพูดเหลือเกิน ก็มันคล้ายกับชื่อไอ้ซีเลนเหมือนเป็นชื่อเต็มอะไรประมาณนั้นเลยน่ะสิ ดูคีธสิ ชื่อเต็มคือคีทาเย ชื่อสั้นๆ คือคีธ แอสตันก็เหมือนกัน ชื่อเต็มๆ คือแอสโซซิโน ของซีเลนนี่ชื่อเต็มคงจะเป็นซีเลนาตาล่ะสินะ
ผมคิดเองเออเองไปเรื่อยเปื่อย หากแต่พอได้สติคิดทบทวนดูแล้วก็ไม่น่าใช่
ก็มันจะไปใช่ป้าแอสตันได้ยังไงในเมื่อมันเป็นผู้ชาย ที่สำคัญ เจเนซิสบอกว่าเจ้าหญิง เจ้าหญิงก็คงจะไม่หนวดเฟิ้มแถมหื่นกามอย่างนี้หรอก ตอนที่คิดว่ามันเป็นป้าของแอสตันนี่คือไม่ทันคิดไง เอ... หรือว่าจะเป็นผัวคนที่สองของเจ้าหญิง? แต่มันยังหนุ่มเกินไปนะ รู้สึกว่าในประวัติมันที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ มันบอกว่ามันอายุยี่สิบสองเท่ากับผม ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่ผัวป้าแอสตันเพราะตอนที่ป้าแอสตันถูกยกให้พวกเซนไทน์ แอสตันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ มันก็น่าจะยังไม่เกิดเหมือนกัน หรือว่าจะเป็นลูก? ไม่สิ ถ้าเป็นลูกก็เท่ากับว่ามันต้องเป็นเจ้าชายของยูนิกม่าด้วย แต่นี่พวกคีธไม่รู้จักมันก็ไม่น่าจะใช่
ตกลงมันเป็นใครกันแน่วะ!?
ยิ่งคิด หัวก็เหมือนจะระเบิด ความสงสัยพร่างพรายขึ้นในใจผมไม่หยุดหย่อนขณะที่ซีเลนก็เอาแต่เดินหน้าตั้ง โบกรถแท็กซี่แล้วจับผมยัดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะแทรกตัวเข้ามา ร้องสั่งให้คนขับรถมุ่งหน้าไปยังเพนท์เฮ้าส์มันทันใด
พอได้ยินว่าจุดมุ่งหมายที่จะไปคือห้องของมัน ผมก็รีบหันไปแหวใส่คนข้างๆ โดยพลัน
“ทำไมฉันต้องไปที่ห้องนายด้วย”
“ฉันก็แค่พานายไปที่ที่ปลอดภัยที่สุด อย่าเพิ่งถามมากน่า”
กูต้องถามสิก็ในเมื่อไอ้ที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่มึงว่าคือที่ที่กูเคยเกือบถูกมึงปล้ำมาหลายต่อหลายครั้งน่ะ!
ผมอยากจะท้วงชะมัดแต่พอได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของซีเลนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ผมก็ต้องกลืนคำก่นด่ามันลงไป เปลี่ยนไปเป็นการตั้งคำถามแทน
“แล้วทำไมนายต้องหนีคนพวกนั้น”
ซีเลนชะงัก รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
“คนพวกไหน”
“ก็ไอ้พวกเจ้าพ่อมาเฟียพวกนั้นน่ะ นายหนีทำไม”
“ก็นายทำรถมันเป็นรอยนี่หว่า ถึงฉันจะมีตังค์จ่ายค่าเสียหายให้นายได้ แต่ฉันก็ไม่ยอมถูกพวกมันจับไปทรมานแทนนายหรอกนะ” ซีเลนทำเป็นว่าติดตลก
ผมรู้ว่ามันไม่ได้หนีเพราะเรื่องนั้น ผมเลยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดชื่อที่เจ้าพ่อนั่นพูดออกมา
“ซีเลนาตา” ซีเลนสะดุ้งเลย ทำเอาผมที่เหลือบมองอยู่ยิ้มเผล่ “นายหนีพวกมันเพราะหัวหน้ามันพูดชื่อนี้”
 “ชื่ออะไรประหลาดชะมัด ไม่เคยเห็นจะได้ยิน” ซีเลนเอนตัวพิงเบาะแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่ผม
มึงไม่ต้องมาทำไก๋เลย! กูจับพิรุธมึงได้!
“ตกลงนายเป็นใครกันแน่ซีเลน เมื่อคืนที่คีธถามก็ยังไม่บอกเลยนะ”
“อ๋อ ที่แท้หมอนั่นก็ชื่อคีธ” ซีเลนคราง ก่อนจะหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม “ถ้านายอยากรู้ว่าฉันเป็นใครก็มาให้ฉันกินก่อนสิแล้วฉันจะบอก”
เอาอีกละ มันเอาอีกละ! มึงนี่หาโอกาสปล้ำกูตลอดเลยนะ!
“ไม่ตลกเลยซีเลน บอกมาซะที เล่นลิ้นอยู่ได้” ผมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ซีเลนยกมือขึ้นขยี้หูแล้วว่าอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็เคยบอกแล้วไงว่าฉันเป็นพวกใกล้สูญพันธุ์ ชื่อชาติพันธุ์ไม่มี”
“ไม่จริง ฉันว่านายต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงซีเลนาตาแน่ ไม่อย่างนั้นนายคงไม่รีบลากฉันเดินหนีคนพวกนั้นมาอย่างนี้หรอก ก่อนหน้านี้กระสันอยากจะพาฉันเข้าโรงแรมมากไม่ใช่หรือไง”
สิ้นเสียง ซีเลนก็เหลือบมามองหน้าผม ความขี้เล่นบนใบหน้าไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ก่อนมันจะว่ายาว
“ที่ฉันหนีเพราะฉันรู้ว่าพวกมันเป็นพวกเซนไทน์ต่างหาก แล้วนายก็เป็นคนที่ชาวยูนิกม่าที่ชื่อคีธอะไรนี่ผูกพันด้วย ถ้าพวกมันได้กลิ่นไอ้คีธจากตัวนาย พวกมันคงจะจับนายไปล่อไอ้บ้านั่นแน่ถึงนายจะไม่มีกลิ่นของยูนิกม่าแล้วก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้กลิ่นเลย ยังมีกลิ่นอยู่จางๆ ส่วนเรื่องเจ้าหญิงซีเลนาตาอะไรนั่นน่ะ เค้ารู้กันทั้งจักรวาล เล่าลือกันมานานละ ใครไม่รู้สิแปลก”
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงพิรุธจากซีเลนแม้ว่าสิ่งที่มันพูดจะมีเหตุและผลเหมาะสมก็ตาม และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ ผมเลยหันหน้าไปหามัน ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ซีเลน บอกมาว่านายเป็นใคร”
ซีเลนชำเลืองมองผมเล็กน้อยก่อนจะหยักยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่เคยเห็น หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเหยียดๆ ยังไงไม่รู้ ทว่าก็ไม่มีอะไรทำให้ผมสนใจได้เท่ากับสิ่งที่มันพูดออกมา
“เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ”
“นายหมายความว่า...”
“เดี๋ยวเปลี่ยนเส้นทางดีกว่า ไปทางถนนสายตะวันตกนะ ฉันเปลี่ยนใจละ”
ผมถามยังไม่ทันจบ ซีเลนก็โพล่งขึ้นเมื่อเห็นว่าคนขับรถทำท่าจะเลี้ยวไปทางขวาเมื่อถึงแยกแห่งหนึ่ง และทางที่มันบอกให้คนขับรถเลี้ยวไปก็คือทางที่มุ่งหน้าไปยังอพาร์ตเม้นต์ของผม ผมรู้เลยว่ามันกำลังพยายามหนี
หนีแบบนี้มันจะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่
แน่นอนว่าตลอดทางที่รถมุ่งหน้ามาที่อพาร์ตเม้นต์ ผมก็เค้นถามซีเลนเรื่องเดิมไม่หยุดปาก โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมันกับเจ้าหญิงซีเลนาตา ทว่ามันก็ไม่หลุดปากออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ไม่บอกด้วยว่ามันเป็นใคร กระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดยังหน้าอพาร์ตเม้นต์ ทำให้ผมต้องหุบปากฉับทันทีเมื่อมันขัดขึ้น
“ถึงแล้ว ลงไปซะ แล้วอย่าออกมาเพ่นพ่านตอนกลางคืน มันอันตราย พวกเซนไทน์แห่กันมาขนาดนี้แล้ว มันต้องมาตามหาชาวยูนิกม่าแน่”
“แต่นายยังไม่บอกเลยนะเว้ยว่านายเป็นใคร” ผมโวยวายเมื่อถูกมันดันออกจากรถแท็กซี่มายืนบนพื้นหน้าอพาร์ตเม้นต์ตัวเองอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไม่ต้องรู้หรอกน่า กลับเข้าห้องไปซะ” มันไม่สนใจ ยังดันผมไม่เลิก แถมยังจะดึงประตูปิดด้วย
ผมเลยรีบสะบัดตัวออก คว้าประตูรถเอาไว้ก่อนที่มันจะปิดทันควัน
“ถ้านายไม่บอก ฉันก็ไม่ไป”
ซีเลนมองผมนิ่ง สายตาวูบหนึ่งของมันประกายความรำคาญขึ้นมาแต่ก็ไม่พูดอะไร ล้วงกระเป๋าเงินออกมาจ่ายค่าแท็กซี่แล้วทิ้งตัวลงมายืนประจันหน้าผม
“ดื้อจริงเลยนะนายเนี่ย” แล้วมันก็บ่นพึมพำเมื่อรถแท็กซี่เคลื่อนที่ออกไปแล้ว
กูต้องดื้อสิวะ ก็มึงเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ แถมยังมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงซีเลนาตาจากการคาดเดาของกูอีก กูอยากรู้ บอกกูหน่อยเถอะ!
“ตกลงจะบอกได้หรือยัง” ผมถามย้ำขึ้นมาอีก
“เอ... บอกดีมั้ยน้า” ซีเลนทำท่าคิดแล้วยิ้มเผล่อย่างเจ้าเล่ห์ ผมรู้เลยว่าเดี๋ยวมันต้องเล่นลิ้นอีกแน่ แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อมันพูดขึ้นมา “หอมแก้มก่อนสิ แล้วจะบอก”
มึงอย่ามาตลกหื่นไอ้ซีเลน!
“เดี๋ยวถีบ อย่ามาเล่นลิ้น” ผมขู่ฟ่อ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรจะรำคาญมันเลย ไม่ขู่อย่างเดียว ยกขาขึ้นทำท่าจะถีบมันด้วย มันเลยทำหน้าเบื่อโลกทันใด
“นายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”
อารมณ์ขันหื่นๆ นี่มึงไม่ต้องเอามาใช้กับกูเลย!
“จะบอกหรือไม่บอก” ผมถามเสียงต่ำอีกครั้ง กะว่าถ้ามันไม่บอกก็จะหนีขึ้นห้อง ไม่สนใจมันละ
ซึ่งมันก็ไม่ยอมบอกอยู่ดีนั่นแหละ เอาแต่พูดว่า...
“อย่ารู้เลย มันไม่มีประโยชน์กับนาย”
งั้นก็ช่างหัวมึงเถอะ!
ผมพ่นลมหายใจใส่หน้ามันแรงๆ ก่อนจะหมุนตัว ทำท่าจะเดินเข้ามาข้างในอพาร์ตเม้นต์ หากแต่ไม่ทันจะได้เดินถึงประตู มือใหญ่ก็คว้าต้นแขนผมไว้มั่นก่อนจะดึงให้ผมหันไปมองหน้าเจ้าของ
“ที่ไม่บอกเป็นเพราะฉันเป็นห่วงนายหรอกกวินทร์ ไม่ใช่ไม่อยากบอก”
“จะมาไม้ไหนอีก” ผมว่าอย่างไม่ไว้ใจ แสดงออกทางสีหน้าด้วยว่าไม่ไว้ใจมันอย่างที่พูด
ก็ควรไม่ไว้ใจอยู่หรอก จู่ๆ มาบอกว่าเป็นห่วงอย่างนี้ มึงกำลังพัฒนาแผนการลากกูไปปล้ำอยู่ใช่มั้ย!?
ทว่าซีเลนไม่ตอบ เอาแต่มองผมนิ่งๆ ดวงตาสีเทาเข้มที่ฉายแววเจ้าเล่ห์และขี้เล่นตลอดเวลาดูจริงจังอย่างผิดปกติ ก่อนที่มันจะขยับริมฝีปากหนาเล็กน้อย
“เป็นห่วงจริงๆ”
“จะมาเป็นห่วงฉันเรื่องอะไรวะ”
“เรื่องที่นายใกล้ชิดพวกยูนิกม่า ระวังตัวไว้ พวกเซนไทน์ตามล่าพวกมันอยู่ ถ้านายยังใกล้ชิดกับชาวยูนิกม่าไม่เลิก วันข้างหน้านายจะเดือดร้อนเหมือนคืนนั้นอีก” มันหมายถึงคืนที่ผมถูกพวกเซนไทน์ตามล่าแล้วมันมาช่วยไว้ได้ทันนั่นแหละ
“เออ ขอบใจแล้วกัน” ผมตัดบทส่งๆ ดึงแขนออกจากการเกาะกุม แต่ซีเลนไม่ยอมปล่อย จับผมไว้อย่างเดิมให้ผมได้เลิกคิ้วสูงถามเสียงขุ่น
“อะไรอีก”
“ที่เป็นห่วงนี่เป็นเพราะฉันชอบนายหรอกนะ รู้เอาไว้ด้วย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันบอกชอบผม แต่ครั้งนี้กลับทำให้ผมใจเต้นขึ้นมา คงเป็นเพราะสายตาและสีหน้าจริงจังที่ไม่เคยเห็นของมันด้วยล่ะมั้งที่ทำให้ผมหวั่นไหวไปเล็กน้อย
“พะ...พูดอะไรของนายวะ” ผมเบือนหน้าหนี ย่นคิ้วถาม พยายามสงบใจที่เต้นระรัวเต็มที่
แม่ง... ทำไมถึงได้ใจเต้นไปกับไอ้มนุษย์ต่างดาวหนวดเฟิ้มหื่นๆ อย่างนี้ขึ้นมาได้วะ
แล้วมันก็ทำให้ผมใจเต้นหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันดึงตัวผมเข้าไปใกล้ แล้วโน้มหน้าเข้าชิด
“ก็บอกว่าชอบเฉยๆ ตกใจอะไร”
กูต้องตกใจสิเว้ย! อยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกมึงด้วยชื่อเจ้าหญิงแห่งยูนิกม่า แล้วมึงก็มาสารภาพรักกู แถมยังมาจูบกูอีก จะไม่ให้กูตกใจได้ยังไง!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายว่าตกใจอะไร ซีเลนก็ประกบปากจูบผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมลืมตาโพลง ผลักมันออกทันที แต่ซีเลนไม่ยอมปล่อย ดันผมถอยหลังไปจนชิดกำแพงแล้วจูบหนักหน่วงมากขึ้น จูบครั้งนี้ผมไม่ได้รังเกียจมันหรอก ออกจะเป็นจูบที่ดีด้วยซ้ำ แต่ผมมีคีธอยู่แล้วไง มาจูบกับไอ้บ้านี่อย่างนี้มันไม่โอเคเลยเว้ย และที่โคตรจะไม่โอเคยิ่งกว่าคือ...กูจะไปหวั่นไหวกับมึงทำไมเนี่ย!
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพุ่งเข้ามาทั่วจิตใต้สำนึกผมเลย ผมได้สติก็รีบผลักซีเลนออกห่างเต็มแรงทันควัน
“ยะ...หยุด!”
คราวนี้มันยอมปล่อยผมแต่โดยดี ผละออกมาเลียริมฝีปาก ทำหน้าเหมือนเพิ่งได้กินของอร่อยแล้วหยักยิ้ม
“พยศแบบนี้แหละถึงได้ชอบ”
แต่กูมีคู่ตุนาหงันของกูอยู่แล้วนะเว้ย!
“ไม่ตลกเลยซีเลน หยุดทำบ้าๆ แบบนี้ซะที นายก็รู้ว่าฉันกับคีธเป็นอะไรกัน ฉันมีคีธอยู่แล้วนะเว้ย” ผมว่าเสียงเครียด ข่มความร้อนรุ่มบนใบหน้าจากการจูบเมื่อครู่เป็นพัลวัน
หากแต่ซีเลนไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดสักนิด ยักไหล่ไม่ยี่หระน้อยๆ
“แต่นายก็ไม่มีกลิ่นของหมอนั่นแล้วนี่ ไม่มีกลิ่นก็แปลว่าไม่ได้ผูกพัน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน”
มึงมันหน้าด้านโคตร! กูก็บอกอยู่นี่ไงว่ากูมีคีธอยู่แล้ว มึงนี่มัน…!
ผมทำท่าจะด่ามัน ทว่าไม่ทันจะได้พูดสักแอะ เสียงของแขกไม่ได้รับเชิญก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“ถึงจะไม่มีกลิ่นก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน อย่ามายุ่งจะดีกว่านายน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน คนที่นายยุ่งด้วยไม่ใช่แม่พันธุ์ของชาวยูนิกม่าธรรมดา แต่เป็นถึงผู้พิทักษ์ อย่าเอาตัวเองมาเสี่ยงเจ็บตัวจะดีกว่า”
ทั้งผมทั้งซีเลนหันไปทางต้นเสียงทันที ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายอ้าปากค้างเมื่อเห็นหน้าของคนที่กอดอกยืนมองผมกับซีเลนด้วยสีหน้านิ่งเฉย
อะ...ไอ้เจเนซิส! มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?
ผมใจสั่นเลย ไม่รู้ว่าเจเนซิสจะเห็นตอนที่ผมถูกซีเลนจูบหรือเปล่า ถ้ามันเห็น รับรองเลยว่ามันต้องเอาไปบอกคีธแน่
ทว่าซีเลนไม่สนใจเรื่องนั้น มองหน้าเจเนซิสแล้วดวงตาก็ประกายวาว ก่อนจะครางออกมา
“นาย...” ครางอย่างเดียวไม่พอ ผละออกจากผม เดินเร็วๆ เข้าไปหาเจเนซิสด้วย แล้วถือวิสาสะคว้าแขนเจเนซิสหมับพลางยิ้มเผล่ “นายก็เป็นชาวยูนิกม่าสินะ น่ารักจัง ไปนอนกับฉันมั้ย”
เมื่อกี้มึงเพิ่งจะบอกว่าชอบกูอยู่แหม็บๆ พอมึงเห็นหน้าเมียเก่าไอ้คีธ มึงก็ชวนมันไปนอนด้วยทันทีเลยนะไอ้ซีเลน! แล้วเมื่อกี้กูจะหวั่นไหวกับมึงไปเพื่ออะไรวะ อารมณ์ชั่ววูบชัดๆ!
เจเนซิสดูเหวอไปนิดก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วคว้าข้อมือซีเลนพลิกไปอีกทางจนมือของหมอนั่นหลุดออกจากแขน
“อย่ามาวุ่นวาย”
“ฮู้ว แรงดีนี่ชาวยูนิกม่า ไม่คิดว่าพวกรักสงบจะแรงเยอะขนาดนี้” ซีเลนยอมปล่อยมือแต่โดยดี ทว่าไม่วายเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“แล้วนายเป็นใคร” เจเนซิสย่นคิ้ว ไม่ได้สงสัยว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่
ก็มันทักมาว่าเจเนซิสเป็นชาวยูนิกม่าขนาดนี้ก็คงจะรู้แล้วล่ะว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว
“เป็นผัวนายไง ไปที่ห้องฉันสิ” ส่วนซีเลนแม่งก็กวนตีน ไปย้อนอย่างนั้น หัวคิ้วเจเนซิสก็ย่นจนผูกกันเป็นโบว์ทันใด
“ระวังปากไว้ด้วย ชาวยูนิกม่าไม่ใช่คนที่นายจะมาพูดเล่นด้วยได้” นี่ก็คงจะหมายถึงความสูงศักดิ์ของชาติพันธุ์แหง
ทว่าซีเลนไม่แยแส หัวเราะในลำคอ แถมยังเอื้อมไปจับปลายคางเจเนซิสให้เชิดขึ้นสบตาอีก
“แค่หยอกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นซีเรียสไปได้ ถ้าจะซีเรียสก็ไว้ไปซีเรียสตอนอยู่บนเตียงฉันเถอะ“
“นาย...” เจเนซิสสะบัดหน้าหนี กัดฟันกรอดจนสันกรามนูน หากแต่ซีเลนไม่สนใจ หันมาทางผมที่ยืนมองอยู่แทน
“งั้นฉันส่งนายแค่นี้แล้วกันกวินทร์ กลับก่อน พรุ่งนี้มีถ่ายงานเช้า อย่าออกมาเพ่นพ่านล่ะ ระวังตัวไว้ด้วย” ว่าจบ มันก็เดินไปเลย ทิ้งให้ผมกับเจเนซิสมองไล่หลัง พอซีเลนหายไปลับสายตา เจเนซิสก็หันมาถามผมเสียงขุ่นทันที
“ไอ้บ้านั่นเป็นใคร”
“มนุษย์ต่างดาวชื่อซีเลน” ผมว่า
“รู้แล้วว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ฉันหมายถึงมันเป็นพวกไหน”
“ถ้าฉันรู้ ฉันก็บอกคีธไปนานแล้ว” ผมพึมพำใส่เจเนซิส ก่อนจะเป็นฝ่ายถามมันบ้าง “ว่าแต่นายเถอะ มาที่นี่ทำไม”
“มารับว่าที่พระชายาไปที่บ้านของบูลิโอ คำสั่งองค์ชายน่ะ องค์ชายติดประชุมกับเหล่าผู้พิทักษ์ มารับด้วยพระองค์เองไม่ได้ แล้วก็มารับนายด้วย คีทาเยฝากมา” มันว่า หัวคิ้วเริ่มคลายแล้ว เปลี่ยนมาเป็นกอดอกแทน “แต่บังเอิญมาเห็นนายนอกใจคีทาเยซะได้”
นี่มึงเห็นฉากจูบนั่นจริงๆ ด้วยสินะ!
ใจผมร่วงไปอยู่ตาตุ่มเลย ยิ่งเห็นสายตาจับผิดของมันที่มองมาด้วยแล้ว ประกอบกับมันเป็นแฟนเก่าคีธด้วย ผมก็สังหรณ์ใจขึ้นมาเลยว่าเดี๋ยวมันจะต้องเอาเรื่องที่เห็นไปฟ้องคีธแน่ เลยรีบหาข้อแก้ตัวเป็นพัลวันทันใด
“นะ...นายก็เห็นใช่มั้ยว่าฉันไม่ได้ยอมให้มันจูบ ไอ้บ้านั่นมันบังคับ”
“เห็น” เจเนซิสตอบรับเสียงเรียบ ผมเกือบจะโล่งใจอยู่แล้วเชียวถ้ามันไม่พูดประโยคถัดไปออกมา “แล้วก็เห็นนายหน้าแดงตอนมันบอกว่าชอบนายด้วย หวั่นไหวล่ะสิ”
มึงอย่ามารู้ดีไอ้เจเนซิส! นั่นมันอารมณ์ชั่ววูบเว้ย!
แทนที่ผมจะแก้ตัวว่าไม่ใช่ แต่ดูท่าจะเหนื่อยการเปล่า ผมก็เลยก้มหน้ายอมรับผิดไปแล้วขอร้องมันแทน
“ยะ...อย่าบอกคีธนะ ขอเลย”
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันไม่บอกหรอก”
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ทุกอย่างดูเหมือนง่าย จริงๆ เจเนซิสนี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ นึกว่าจะเป็นแฟนเก่าจำพวกชอบยุแยงซะอีก ทว่าก็โล่งใจได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละเมื่อประโยคต่อไปหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบนั่น
“แต่คีทาเยคงจะรู้ กลิ่นหมอนั่นในตัวนายนี่หึ่งเชียว”
ไอ้ซีเลน! มึงจะปล่อยกลิ่นใส่กูหาพระแสงของ้าวเหรอ! มึงเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือตัวสกั๊งค์วะ!?
“นายมียาติดตัวมาอีกมั้ย ขอฉันหน่อย” ผมรีบร้องถามมันทันที เจเนซิสหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ถ้านายหมายถึงยากลบกลิ่นที่ฉันให้นายกินเมื่อคืนวานล่ะก็มี แต่มันกลบได้เฉพาะกลิ่นของชาวยูนิกม่า ของชาติพันธุ์อื่นกลบไม่ได้ เสียของเปล่า”
ความหวังที่จะปิดเรื่องถูกซีเลนจูบไม่ให้คีธรู้พังทลายไปต่อหน้า ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เจเนซิส ขณะที่เจเนซิสเอาแต่มองผมแล้วว่าขึ้นมาลอยๆ
“โทษของการหักหลังตามกฎของชาวยูนิกม่าคือความตาย นายรู้ใช่มั้ย”
ก็รู้ไง กูถึงได้ถามหายาจากมึงอยู่เนี่ย!
ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเนซิสก็ถอนหายใจแล้วก็ว่าลอยๆ ขึ้นมาอีกระลอก
“คีทาเยนี่โชคร้ายจริงๆ นะที่ได้แม่พันธุ์ไม่ซื่อสัตย์ รู้อย่างนี้ ฉันยอมให้คีทเยผูกพันไปตั้งแต่ตอนนั้นน่าจะดี จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเราติดภารกิจระหว่างอพยพกันทั้งคู่เลยทำให้ห่างกันไปจนความรู้สึกมันเลือนหาย ไม่อย่างนั้นฉันคงจะเป็นแม่พันธุ์แทนนายแล้ว” พูดแล้วก็เหลือบมามองผมเชิงตำหนิ แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่ากับการที่มันพูดถึงความหลังระหว่างมันกับคีธนี่แหละ
“นายไม่ต้องมารื้อฟื้นอดีตเลย เลิกกันแล้วก็คือเลิกเว้ย ส่วนไอ้จูบกับซีเลนนั่น ฉันก็ไม่ได้เต็มใจ นายก็เห็น!” ผมโพล่งใส่มันทันควัน แต่เจเนซิสยังทำนิ่ง แถมยังตอกหน้าผมด้วย
“แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนตั้งแต่แรกนี่ เห็นยืนให้หมอนั่นจูบนิ่งเชียว พอได้สติถึงเห็นว่านายผลักออก”
ผมเถียงไม่ออกเลยว่าจริงที่ผมไม่ได้ขัดขืนซีเลนตั้งแต่แรกเหมือนทุกครั้ง ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า จู่ๆ ไอ้บ้านั่นก็ทำตัวเหมือนเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมา จะเคลิ้มตามก็ไม่แปลก แต่สุดท้ายกูก็ไม่เคลิ้มหรือเปล่าวะ แม่ง มึงนี่ได้ทีทับถมกูใหญ่เลยนะ!
ถึงผมอยากจะด่าเจเนซิสแค่ไหนที่มันดันรู้ทันผมแบบทะลุปรุโปร่ง แต่สุดท้ายผมก็ได้แต่มองหน้ามันแล้วว่าออกมาเบาๆ
“แล้วฉันควรทำไงดี”
“หาข้อแก้ตัวดีๆ ตอนเจอหน้าคีทาเยก็แล้วกัน” มันบอกสั้นๆ ก่อนจะพยักปลายคางไปข้างในอพาร์ตเม้นต์ “แล้วนี่จะพาฉันเข้าไปข้างในได้หรือยัง”
ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะล้วงเอาคีย์การ์ดมาแตะที่ประตูทางเข้าให้เจเนซิสเข้าไปข้างใน เจเนซิสไม่ได้สนใจผมแล้ว เอาแต่เดินไปยังห้องของริชาร์ด มีแต่ผมนี่แหละที่คิดวุ่นไม่ตกว่าจะหาข้อแก้ตัวอะไรมาล้างความผิดนี้ดี
จริงๆ ผมก็ไม่ได้กลัวว่าจะถูกคีธฆ่าหรอกนะ แต่กลัวคีธจะรู้สึกไม่ดีเพราะผมต่างหาก ผมโคตรจะแคร์มันเลยนะ แต่ให้ตายเถอะ นิสัยเพลย์บอยประเภทหวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าทางร่างกายนี่เลิกยากชะมัด
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 16-01-2016 22:21:04
Episode 30: You are my children’s father[2]
พอไปพาตัวริชาร์ดที่ดูเหมือนอาการป่วยจะดีขึ้นออกมาจากห้องได้ เจเนซิสก็ขับรถพาเราทั้งคู่มายังสถานที่ที่มีบ้านของบรูคลินกับเบนอยู่ข้างใน ผมไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนัก ไม่สนใจแม้กระทั่งรถเก่าที่จอดทิ้งไว้ซึ่งครั้งหนึ่งผมกับคีธเคยใช้เป็นสถานที่เริงรักด้วยซ้ำ ในหัวผมมีแต่ความกังวลเรื่องคีธอย่างเดียว จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ถามไม่หยุดว่าบ้านของบรูคลินอยู่ตรงไหน กระทั่งเจเนซิสร้องเรียกเจ้าของบ้านและริชาร์ดร้องเหวอขึ้นมาด้วยความตกใจ ผมถึงได้สติอีกครั้ง
“เชิญครับท่านปราชญ์” เบนเป็นคนออกมาต้อนรับ ก่อนมันจะมองเลยมายังริชาร์ดด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก “แล้วก็เชิญว่าที่พระชายาด้วย”
ฟังดูก็รู้ว่าไอ้เด็กมนุษย์ต่างดาวนี่มันกัดฟันพูด แต่ริชาร์ดไม่สน พอเจเนซิสผายมือให้เดินนำเข้าไป มันก็สลัดความป่วย เดินชูคอตั้งเป็นกิ้งก่าเข้าไปเลย
แหม มึงนี่หวงผัวมาก เจออริเข้าหน่อย ทำเป็นสตรองเกอร์
หลังจากเดินผ่านหลุมดำเข้ามาในบ้านของพวกไบโทปแล้ว ผมก็ตะลึงงันไปเล็กน้อยเมื่อเห็นบรรยากาศภายใน มันก็บ้านนี่แหละ แต่ค่อนข้างจะกว้างขวางและดูหรูหรากว่าที่ผมคาดการณ์ไว้มาก ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กๆ อะไรแบบนี้ซะอีก นี่มันคฤหาสน์ย่อมๆ เลยชัดๆ
เบนนำพวกผมมายังห้องนั่งเล่นซึ่งดูเผินๆ คล้ายกับห้องประชุม ก่อนจะขอตัวไปที่อื่น ผมมองเข้าไปข้างในห้องนั้นก็เห็นชายหนุ่มตัวไล่เลี่ยกับคีธกว่าสิบชีวิตนั่งรายล้อมโต๊ะทรงรีตัวหนึ่งอยู่โดยมีแอสตันนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ และคีธนั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของแอสตัน ทั้งหมดกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฟังคร่าวๆ เหมือนจะเป็นเรื่องการอพยพไปยังดาวดวงอื่นในอีกสองอาทิตย์ให้หลังนี่แหละ
หากแต่การประชุมก็ต้องชะงักลงเมื่อสายตาของแอสตันชำเลืองมาเห็นริชาร์ดที่โผล่หน้าเข้าไป
“ริชาร์ด!” แอสตันร้องเรียกชื่อเมียมันเสียงดัง ริชาร์ดยกมือขึ้นทักพร้อมยิ้มรับ ก่อนที่แอสตันจะประกาศยุติการประชุมเอาดื้อๆ
“คืนนี้เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน เราอยากจะใช้เวลาดูแลว่าที่ชายาของเรา”
ทุกชีวิตลุกขึ้นโค้งคำนับแอสตันอย่างว่าง่าย ส่วนผมก็ลอบเบ้ปากเล็กน้อยที่ได้ยินสรรพนามจากปากแอสตัน
หึ...ว่าที่ชายา ขนลุกตั้งแต่หัวไปยังซอกหลืบเลย
พอทุกคนแยกย้ายกันไป แอสตันก็เข้ามาประคองริชาร์ดที่ทำท่าเหมือนจะตายให้ได้แบบฉับพลันทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังเดินเชิดทันใด
“อาการดีขึ้นหรือยังริชาร์ด”
“ดีขึ้นนิดหน่อยแล้วล่ะ แค่ก...” ทำท่าเหมือนจะตายอย่างเดียวไม่พอ ไอโขลกเรียกความสงสารด้วย
ไอ้นี่ก็อีกตัว เห็นผัวแล้วโรคสำออยกำเริบเชียวนะมึง
“งั้นไปพักผ่อนเถอะ นี่ก็คงจะยังไม่ได้กินอะไรมาด้วยล่ะสินะ เดี๋ยวกินสารอาหารจากเราแล้วกัน”
ริชาร์ดพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนที่แอสตันจะหันไปบอกเจเนซิสว่าจะพาริชาร์ดไปที่ห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบน เจเนซิสแค่โค้งคำนับหน่อยเดียว แอสตันก็พยุงริชาร์ดไปเลย ในห้องก็เลยเหลืออยู่แค่ผม เจเนซิสและคีธที่ยังคงยืนอยู่ตรงเก้าอี้ที่เดิมเท่านั้น
“อะ...เอ่อ...ไง” พอความเงียบเข้าครอบงำ ผมก็เลยร้องทักคีธไป ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่ผมรู้แหละว่ามันไม่ปกติเพราะสายตาที่คีธมองมามันบ่งบอกชัดเจนว่ามันได้กลิ่นซีเลนจากตัวผมแล้ว สังเกตได้จากหัวคิ้วที่ขมวดลงเล็กน้อยของมันนี่แหละ
เจเนซิสก็คงจะรู้เหมือนกันกับผม มันเลยหันมาบอกผมเสียงกระซิบ
“ฉันไปทำธุระต่อก่อน ต้องคุยกับพวกไบโทปเรื่องการซ่อนตัว” พูดจบ มันก็จรลีออกนอกห้องไปเลย
ผมจะเรียกมัน บอกให้มันอยู่เป็นเพื่อนช่วยแก้ตัวก่อนก็ไม่ทัน ผมก็เลยต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วฉีกยิ้มโง่เง่าให้คีธไปอีกครั้ง
“วะ...วันนี้ประชุมหนักเลยนี่นานายน่ะ นะ...เหนื่อยมั้ย”
ปกติบ้านมึงสิไอ้กวินทร์ เสียงตะกุกตะกักแบบนี้ มีพิรุธชัดๆ!
คีธไม่พูดอะไร เดินเข้ามาหาผมแล้วคว้าแขนผมไปจับแน่น ผมสะดุ้ง กลืนน้ำลายเอื้อก แต่ยังทำเนียนอยู่
“อะ...อะไร คิดถึงฉันหรือไงถึงได้จับแน่นแบบนี้”
“กวินทร์” คีธไม่ตอบคำถามผมแต่เรียกผมแทน ผมเลยเลิกคิ้วสูง เกือบจะหลุดปากถามมันอยู่แล้วว่ามีอะไร แต่มันก็พูดออกมาก่อน “อยากตายเหรอ”
ฉะ...ฉิบหาย! กูยังไม่ทันได้แก้ตัวเลย มึงอย่ามึงขู่สิวะ!
“ฉะ...ฉันไม่ได้เต็มใจนะ ซีเลนมันบังคับ” ผมโพล่งออกไปทันควัน
คีธยังคงทำหน้าเรียบเฉย ตาก็ไม่กลายเป็นสีดำทั้งเบ้าอย่างที่ควรเป็น มีก็แต่สายตาที่จับจ้องผมดูหม่นประกายไปเล็กน้อย
“รู้ว่ากวินทร์ไม่เต็มใจ”
“ใช่” ผมพยักหน้ารับรัวๆ
“แต่ฉันเคยบอกกวินทร์แล้วนี่ว่าอย่าอยู่ใกล้มัน จำไม่ได้เหรอ”
กูไม่ได้เอาตัวเองไปใกล้มันเลย มีแต่มันนี่แหละมาใกล้กูเอง มึงอย่าเข้าใจผิดสิวะ!
“ฉันไม่ได้...” ผมอ้าปากจะแก้ตัว ทว่าคีธก็แทรกขึ้นมาอีก
“กวินทร์ ฉันมีเรื่องจะถาม”
ผมชะงักไป เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วสูงแทน ก่อนคีธจะพูดออกมา
“กวินทร์อยากจะอยู่กับฉันไปชั่วชีวิตหรือเปล่า”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ใจหายกับคำถามนี้ สัญชาตญาณบอกผมว่าคีธกำลังจะบอกเลิกผมยังไงก็ไม่รู้แฮะ
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันพูดต่อ
“ถ้ากวินทร์ไม่อยากอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต ซื่อสัตย์กับฉันคนเดียวไปชั่วชีวิต หรือมองฉันเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต ฉันจะปล่อยกวินทร์ไป”
มึงบอกเลิกกูจริงๆ ด้วยสินะ!
“พูดบ้าอะไรของนายเนี่ย ฉันพูดสักคำยังว่าไม่อยากอยู่กับนายไปชั่วชีวิตน่ะ!” ผมแหวใส่มันทันที แม่ง เห็นนิ่งๆ แบบนี้ ใครจะไปรู้วะว่ามันจะคิดมาก แค่จูบเองนะเว้ย แถมไม่ได้เต็มใจอีก มึงจะคิดมากทำไม
 “ถ้ากวินทร์อยากอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต แล้วทำไมนิสัยชอบไปแตะเนื้อต้องตัวใครต่อใครถึงเลิกไม่ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะกวินทร์ มันหลายครั้งแล้ว”
“ก็บอกว่าไม่ได้เต็มใจ มันบังคับฉัน พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ!” ผมแสร้งทำหงุดหงิดกลบเกลื่อนไป แต่เหตุผลที่มันบอกผมก็ทำให้ผมหน้าชาวาบ
“ถ้ากวินทร์ไม่เต็มใจตั้งแต่แรก กลิ่นของซีเลนจะไม่ชัดขนาดนี้”
มิน่าล่ะ เจเนซิสถึงบอกว่าได้กลิ่นซีเลนจากผมหึ่งเลย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าถ้ามีการต่อสู้ขัดขืน กลิ่นก็จะติดไม่เยอะเพราะทำไม่ถนัดนี่เอง บ้าฉิบ... ประเมินความสามารถด้านประสาทสัมผัสของมนุษย์ต่างดาวนี่ต่ำไปซะได้
“ฉันขอโทษ” ในเมื่อเถียงไม่ได้และไม่เห็นประโยชน์ของการเถียงข้างๆ คูๆ ผมเลยก้มหน้ายอมรับผิดไป
หากแต่คีธคงจะไม่พอใจ พูดเรื่องเลิกกันไม่หยุด
“ถ้ากวินทร์ไม่อยากเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันก็ไม่เป็นไร การไปจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินครั้งนี้ ฉันจะถือว่าเป็นการปล่อยกวินทร์ไป ส่วนเรื่องโทษของการทรยศอะไรนี่ กวินทร์ไม่ใช่ชาวยูนิกม่า ไม่รู้กฎของพวกเราก่อนหน้าที่จะผูกพันกับฉัน ฉันจะไม่ถือสาหาความ”
“ไหนนายว่าชาวยูนิกม่าผูกพันได้คนเดียว...” ผมครางออกมา
“ชีวิตของฉันจะผูกพันกับกวินทร์คนเดียว”
ถึงคำตอบจะไม่ตรงกับคำถามเท่าไหร่นัก แต่ผมก็เข้าใจได้ว่ามันคงจะหมายถึงต่อให้เลิกกันไปแล้ว มันก็จะไม่มีคนอื่นเพราะดันผูกพันกับผมไปแล้ว เลยมีคนอื่นไม่ได้นี่แหละ
“คิดเอาแล้วกันกวินทร์ว่าจะตัดสินใจยังไง ถ้ากวินทร์ไม่อยากอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต ฉันจะได้ไม่กลับมาที่นี่อีก แค่ไปจากที่นี่แบบกะทันหัน ทิ้งกวินทร์ไว้ที่นี่คนเดียวก็ว่าแย่แล้ว ฉันไม่อยากจะต้องคอยกังวลเรื่องกวินทร์นอกใจอีก”
ผมได้สติ เบนความสนใจมาที่คีธอีกครั้งเมื่อหมอนั่นพูดออกมาตรงๆ ว่ารู้สึกอะไร พูดเสร็จก็ปล่อยมือออกจากผมแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ผมมองแผ่นหลังกว้างแล้วก็ใจไม่ดีแปลกๆ แต่ผมเข้าใจมันนะ เข้าใจมันดีเลยล่ะ ก็คนอย่างผมมันมีประวัติไม่ดีมานี่หว่า แถมตลอดเวลาที่คบกับมันก็ทำตัวไม่ดีมาตลอด มันจะไม่ไว้ใจก็ไม่แปลก
ถ้าเป็นผมคนเดิมสมัยก่อน ผมคงจะไม่แคร์และปล่อยให้มันเดินจากไปเหมือนกับผู้หญิงที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตผมแล้ว แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่ ผมรู้ว่าผมรักคีธ และผมก็ไม่ปล่อยให้มันคิดเองเออเอง ทิ้งผมไปดื้อๆ แบบนี้แน่ เท่านั้นผมก็รีบตรงเข้าไปดึงแขนมันไว้ก่อนที่มันจะเดินพ้นธรณีประตู
“เดี๋ยวสิคีธ” คีธหยุดเดิน หันมามองผมเล็กน้อย ให้ผมได้พูดต่อ “ฉันอยากอยู่กับนายไปชั่วชีวิต”
ผมเปล่งประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่สีหน้าคีธดูเหมือนจะไม่เชื่อ ผมเลยต้องย้ำคำอีกครั้ง
“อยากจะอยู่กับนายไปชั่วชีวิตจริงๆ อยากมีลูกกับนายด้วย จะมีสองคนหรือจะมีเป็นโหลได้ แต่อย่าพูดกลายๆ เหมือนจะทิ้งฉันไป ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งไป แค่บอกว่าให้กวินทร์ตัดสินใจ” คีธว่า ทำเอาผมย่นหน้ายู่
“บอกให้ตัดสินใจก็คือบอกเลิกนั่นแหละเว้ย!” ผมแผดเสียง จ้องหน้ามันที่มองผมนิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันเลือกที่จะอยู่กับนายไปชั่วชีวิต ฉะนั้นนายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่นอกใจ ไม่สิ... สาบานเลย แล้วก็จะระวังตัวให้มากขึ้นด้วย ไม่ให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ เชื่อใจได้”
“กวินทร์มีอะไรมายืนยัน” มันก็ยังไม่เชื่ออยู่ ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นพลางว่าอุบอิบ
“ความรักของฉันไง ฉันรักนายนะคีธ รักนายมากขนาดนี้จะนอกใจนายได้ยังไง อยู่กับฉันเถอะนะ มีลูก มีครอบครัวด้วยกันเถอะ ฉันสาบานเลยว่าจะรักนายแค่คนเดียว คนเดียวตลอดชีวิตของฉัน”
“พูดจริง?”
“อะ...อืม พะ...พ่อของลูกฉันจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายเท่านั้น นายคนเดียว” พูดไป หน้าก็ร้อนฉ่าขึ้นมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างผมจะพูดอะไรเลี่ยนๆ ชวนคลื่นไส้แบบนี้
หากแต่การเผยความรู้สึกของผมออกมาโดยไม่ปกปิดกลับทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของคีธแต่งแต้มรอยยิ้มขึ้นมาได้น้อยๆ ก่อนที่มันจะดึงมือผมที่จับแขนมันอยู่ออก พลันดึงผมไปกอดแน่น
“กวินทร์พูดแล้วนะเรื่องมีลูกน่ะ เรื่องพ่อของลูกด้วย”
“อืม แต่นายต้องกลับมาหาฉันนะ”
“กลับมาแน่” คีธว่า ครู่หนึ่งผมสัมผัสได้ด้วยล่ะว่าน้ำเสียงมันแฝงความดีใจ แต่ความดีใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยมแทนเมื่อมันพูดประโยคถัดไป “และถ้าฉันจับได้ว่ากวินทร์ยอมให้ใครหน้าไหนแตะเนื้อต้องตัวอีก ฉันจะฆ่ากวินทร์”
ไหนมึงบอกว่ากูไม่ใช่ชาวยูนิกม่า มึงจะไม่ฆ่าแต่จะปล่อยกูไปไง!
ผมเกือบจะร้องท้วงอยู่แล้วถ้าหากมันไม่ผละผมออกจากอ้อมกอดแล้วว่าด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ฆ่าให้ตายคาเตียง”
อ๋อ นี่เหรอวิธีการฆ่าของมึง โหดมากไอ้คีธ... โหดและหื่นมาก
“เอาเถอะ” ผมว่าปัดๆ ระอากับความหื่นของมันเหลือเกิน แต่เพราะผมเออออไปกับมัน มันเลยได้ใจ
“บางครั้งก็อาจจะลากไปฆ่าที่อื่นที่ไม่ใช่เตียง”
มึงไม่ต้องคิดจะพากูไปเอาท์ดอร์เลย กูชอบแบบปกติ!
“ลามปามละ” ผมทุบไหล่มันไปเต็มแรง คีธหัวเราะในลำคอออกมา ก่อนจะจูบลงบนเรียวปากผมเบาๆ
“ต้องล้างกลิ่น”
ไม่ใช่แค่จูบ มันยังจัดการลากผมไปที่โซฟาด้วย ผมร้องลั่นเลยเมื่อถูกมันกดลงนอน ก็จะไม่ให้ร้องลั่นได้ยังไง นี่มันบ้านไอ้บรูคลิน แถมยังเป็นห้องนั่งเล่นเปิดโล่งด้วย ร้ายกว่านั้น พอผมแหกปากร้องห้ามคีธ บรูคลินที่ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนมาตั้งแต่แรกก็ทะเล่อทะล่าวิ่งเข้ามา พอเห็นว่าเป็นเสียงผมที่กำลังถูกคีธดึงทึ้งเสื้อผ้า มันก็ทำหน้าเจื่อนๆ ขอโทษขอโพยแล้วเดินกลับออกไปโดยไม่ลืมจะปิดประตูห้องให้ด้วย
ผมถอนหายใจ ครั้งก่อนก็เอาท์ดอร์หน้าบ้านมันครั้งนึงละ ตอนนี้นี่มาถึงในบ้านมันเลย มึงนี่ทำกูเป็นนางร้ายในละครหลังข่าวเลยนะไอ้คีธ โคตรจะหยามหน้าบรูคลินชะมัด แต่ช่างแม่งเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ปล่อยเลยตามเลยไปแล้วกัน
 
หลังจากปรับความเข้าใจกับคีธในสภาพล่อนจ้อนเสร็จ ผมก็เล่าเรื่องที่ผมไปเจอพวกเจ้าพ่อให้คีธฟัง บอกมันด้วยว่าเจ้าพ่อนั่นเรียกซีเลนว่าซีเลนาตาด้วย แล้วก็เพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้นี่เองว่าซีเลนมันรู้ว่าพวกนั้นเป็นเซนไทน์ได้ยังไงในเมื่อพวกคีธเคยบอกว่าพวกเซนไทน์ก็สามารถกลบกลิ่นตัวเองได้ ยิ่งมายังโลกก็ต้องยิ่งกลบกลิ่นเพื่อไม่ให้พวกยูนิกม่าที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไหวตัวทันแล้วหนีไปก่อน
ด้วยข้อสันนิษฐานนี้กับเหตุการณ์ที่ผมเจอมานี่เองที่ทำให้คีธไม่ไว้ใจซีเลนเข้าไปใหญ่ แถมบอกด้วยว่าวันพรุ่งนี้จะพาผมไปเคลียร์กับซีเลนแล้วถามให้ชัดๆ ไปเลยว่าตกลงซีเลนเป็นใครกันแน่ ตอนนี้คีธเองก็สงสัยเหมือนกันว่าซีเลนมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหญิงซีเลนาตา
หากแต่พอวันรุ่งขึ้นมาถึง คีธกลับติดธุรการวางแผนอพยพซะอย่างนั้นเพราะจู่ๆ ก็มีพวกผู้พิทักษ์ชุดใหม่แห่กันมาที่บ้านของบรูคลินโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า คีธก็เลยเปลี่ยนแผนว่าจะพาผมไปคุยกับซีเลนในตอนเย็นหลังเลิกกองแทน กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผมไปทำงานคนเดียวหรอกนะ ส่งเจเนซิสที่วันนี้ดันว่างงานตามติดไปด้วย ส่วนริชาร์ดแม่งก็ยังสำออยอ้อนผัวไม่เลิก สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทำงานเหมือนเดิม
เจเนซิสขับรถพาผมและบรูคลินมาที่กองถ่าย บอกเลยว่าบรรยากาศในรถโคตรจะมาคุเลย ไอ้เจเนซิสก็เมียเก่าคีธ ไอ้บรูคลินก็อดีตเมียน้อย แม่ง ใครจะไปคิดวะว่าวันนึงจะต้องมาอยู่กับพวกมันโดยไม่มีทางเลือกแบบนี้
“ฉันขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันหลังเลิกงาน” บรูคลินว่าเร็วๆ ทันทีที่เจเนซิสเอารถมาจอดยังลานจอดและดับเครื่องสนิท
ไม่มีใครได้ทันตอบรับมัน มันก็เดินลิ่วไปแล้ว เหลือแต่ผมกับเจเนซิสนี่แหละที่ยังคงนั่งอยู่ในรถ
“นายก็ไปทำงานได้แล้ว นำไปสิ” เจเนซิสทำลายความเงียบขึ้น ผมหันไปมองมันอย่างรำคาญทันใด
“นายรออยู่ในรถนี่แหละ ไม่ต้องตามมา เกะกะเวลาฉันทำงาน” ผมว่า จริงๆ ไม่ได้กลัวว่ามันจะมาเกะกะตอนผมทำงานหรอก แต่ผมไม่สบอารมณ์เวลาเห็นทั้งเมียเก่า ทั้งอดีตเมียน้อยของไอ้คีธในที่ทำงานของตัวเองมากกว่า
ทว่าเจเนซิสไม่สนใจ ปลดเซฟตี้เบลท์แล้วว่าเรียบๆ
“คีธไหว้วานมาว่าให้จับตาดูนายทุกฝีก้าว ฉันรับปากไปแล้วก็ต้องทำตาม” พูดจบ มันก็ลงจากรถไปทันที ปล่อยให้ผมเบ้ปากใส่มันรัวๆ
มึงจะหาเรื่องไปฟ้องไอ้คีธให้กูกับมันผิดใจกันล่ะสินะ กูรู้ทันมึงหรอก!
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ยอมให้มันตามเข้ามาในสตูดิโอนั่นแหละ ถูกผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินถามนิดหน่อยว่ามันเป็นใคร ด้วยความที่มันดูเหมือนผู้หญิง ผมก็เลยโกหกว่ามันเป็นคู่ควงใหม่ของผม คนอื่นๆ เลยไม่สงสัยอะไร จะมีก็แต่ซีเลนนี่แหละที่แม่งส่งจูบให้ทั้งผมทั้งเจเนซิสไม่หยุด มิหนำซ้ำ ยังไปก้อร่อก้อติกกับบรูคลินที่แวะเข้าไปแต่งหน้าให้มันด้วย
ไอ้นี่ก็อีกตัว กูไม่เข้าใจมึงเลยจริงๆ ว่ามึงเป็นบ้าอะไร คลำแล้วไม่เจอหางก็เอาหมดเลยนะ!
การถ่ายทำดำเนินไปตามปกติ เจเนซิสไม่ได้มารบกวนอะไรผม นอกจากนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่มุมสตูดิโอ จับจ้องผมทุกฝีก้าวอย่างที่ว่าเท่านั้น
เอาจริงๆ มันก็น่าหงุดหงิดปนน่ารำคาญนั่นแหละที่ตกเป็นเป้าสายตาตลอดเวลา แต่น่ารำคาญและชวนให้หงุดหงิดยิ่งกว่าก็ตอนที่ถึงเวลาพักแล้วไม่ได้พัก เพราะจู่ๆ ผู้สนับสนุนทุนในการถ่ายทำรายใหญ่ก็ขอเข้ามาดูการถ่ายทำซะอย่างนั้น เลยทำให้บรรดาทีมงานรีบจัดเตรียมการต้อนรับแบบหัวหมุน ปากก็พากันบ่นไปด้วยกับการเซอร์ไพรส์นรกนี่
การเตรียมตัวเสร็จสิ้นก่อนที่ผู้สนับสนุนจะโผล่หน้ามาแบบฉิวเฉียด ผมที่กำลังจะเดินไปนั่งถึงกับชะงักเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ในสูทสีดำห้าคนเดินเข้ามาในสตูดิโอและตามมาด้วยชายในชุดสูทลายสก็อตสีน้ำตาลอ่อน ผมไม่ได้สะดุดตาหมอนั่นเพราะแฟชั่นชุดสูทล้าสมัยนี่หรอกนะ แต่สะดุดตาเพราะหมอนั่นมันเป็นผู้ชายคนเดียวกับเจ้าของรถลีมูซีนที่ผมทำเป็นรอยน่ะสิ
มันไม่ใช่เจ้าพ่อแต่เป็นผู้สนับสนุนทุนเหรอเนี่ย! แถมยังเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย นะ...นี่มันเรื่องอะไรวะ!
สัญชาตญาณบอกผมให้รีบหนีเลย ก็จะไม่ให้หนีได้ยังไง ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกยูนิกม่า แถมยังมีไอ้ยูนิกม่าตัวเป็นๆ นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้อีก ถ้าพวกนั้นเป็นเซนไทน์อย่างที่ซีเลนว่า รับรองเลยว่างานงอกแน่
ผมรีบเดินเร็วๆ เข้าไปหาเจเนซิส หากแต่ไม่ทันจะได้ถึงตัว เสียงของด็อกเตอร์มาร์ตินก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เควินมานี่สิ เดี๋ยววิลล์จะแนะนำนายให้รู้จักกับคุณลาร์ค เผื่อในอนาคต เขาจะสนับสนุนนาย”
ผมยิ้มแห้งทันที ตาก็มองหาซีเลนไปด้วย แต่เหมือนไอ้บ้านั่นจะไหวตัวทัน ชิ่งหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ไอ้เจเนซิสก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว จะบอกมันตอนนี้ก็ไม่ได้ แถมปฏิเสธด็อกเตอร์มาร์ตินไม่ได้อีกต่างหาก
ซวยละไอ้กวินทร์ ดวงมึงจะสมพงษ์กับมนุษย์ต่างดาวอะไรขนาดนี้!
“มาสิเควิน ยืนนิ่งอยู่ได้” ด็อกเตอร์มาร์ตินเรียกซ้ำเมื่อเห็นผมไม่ขยับเขยื้อน ผมเลยต้องลากสังขารไปยืนอยู่ข้างเขา ขณะที่ไอ้มนุษย์ต่างดาวที่ชื่อลาร์คอะไรนี่ยืนฟังผู้กำกับวิลล์รายงานเรื่องความคืบหน้าการถ่ายทำอยู่
พอผมมาหยุดยืนตรงข้างหลังผู้กำกับวิลล์ปุ๊บ มันก็เหลือบมามองผมก่อนจะเอ่ยทักออกมา
“นาย... คนที่เจอเมื่อวาน”
“รู้จักกันเหรอครับ” ผู้กำกับวิลล์หยุดปากที่กำลังพล่ามทันควัน หันมามองผมแล้วถามลาร์คอย่างแปลกใจ
“ไม่รู้จักหรอก แต่เมื่อวานเจอกันโดยบังเอิญ” ลาร์คว่าสั้นๆ ให้ผู้กำกับวิลล์ได้ยิ้มร่า
“บังเอิญจริงๆ ด้วยนะครับ นี่ลูกศิษย์ของมาร์ติน มาช่วยงานผมน่ะ นี่คุณลาร์คนะเควิน ฝากเนื้อฝากตัวไว้สิ”
ยัดเยียดมาแบบนี้ ผมก็ต้องยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อจับทักทายกับมันตามมารยาทอย่างช่วยไม่ได้
“สะ...สวัสดีครับคุณลาร์ค ยะ...ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดไป ตาก็มองมันอย่างหวาดๆ
ลาร์คไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่แม้แต่จะจับมือผมด้วย แต่เดินเข้ามาใกล้ผมแทน ไม่ใช่ใกล้ธรรมดา แต่ใกล้จนแทบจะชิดจนผมต้องถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วมันก็ทำในสิ่งที่ทำให้ทุกคนตาค้าง
จะไม่ให้ตาค้างได้ยังไงก็ในเมื่อจู่ๆ มันก็คว้าคางผมไว้แน่นแล้วก้มหน้ามาดมจนปลายจมูกมันติดริมฝีปากผมอย่างนั้นน่ะ! มึงทำอะไรของมึงวะ!
“กลิ่นของซีเลนาตา” มันครางออกมา
ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมมันถึงไม่ได้กลิ่นคีธ เพราะหลังจากที่ผมมีอะไรกับคีธเมื่อวาน ผมก็กินยากลบกลิ่นอีกครั้ง แต่กลิ่นของซีเลนนี่ เจเนซิสบอกแล้วว่าถ้าไม่ใช่ชาวยูนิกม่า ยาจะไม่ช่วยกลบกลิ่น จะต้องใช้กลิ่นของคีธกลบเท่านั้น ทว่ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงถ้าปล่อยให้กลิ่นของคีธอยู่ในตัวผม ก็เลยต้องรอให้กลิ่นจางหายไปเอง
“ปล่อย!” ผมสะบัดตัวเต็มแรง เสียงดังใส่มันด้วย ทว่ามันไม่ปล่อย จับผมไว้แน่นอยู่อย่างนั้น ดมไม่เลิกด้วย
ผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินยังอึ้งอยู่เลยไม่ทันได้ห้าม จะมีก็แต่เจเนซิสที่ได้ยินเสียงร้องของผมเมื่อครู่รีบก้าวเร็วๆ เข้ามาคว้าข้อมือหมอนั่นแล้วดึงออกสุดแรง
“อย่ามายุ่งกับกวินทร์”
แรงของชาวยูนิกม่ายังคงมหาศาลเหมือนเดิม กระชากทีเดียว มือของลาร์คก็หลุดออกจากผม พวกบอดี้การ์ดของลาร์คก้าวเข้าหาเจเนซิสทันที ทว่าลาร์คยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงห้าม พวกนั้นก็เลยหยุดยืนนิ่งเหมือนเดิม
“นายคือ...”
“แฟนของกวินทร์” เจเนซิสอ้าง ตอนนี้เองที่ผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินรู้ว่าเจเนซิสเป็นผู้ชายเพราะได้ยินเสียงห้าวหลุดจากริมฝีปากแดงเฉียบนั่น
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่ลาร์คเอียงคอมองเจเนซิสอย่างมีเลศนัย
“ชื่อกวินทร์เหรอ... จะจำเอาไว้ ส่วนนาย... ฉันก็จะจำเอาไว้เหมือนกัน แฟนของกวินทร์”
เจเนซิสไม่อยู่พูดคุยใดๆ ต่อทั้งนั้น ลากผมออกมาจากตรงนั้นเลย พอพ้นจากสตูดิโอมาแล้ว จากลากเฉยๆ ก็กลายเป็นทั้งลากทั้งวิ่งราวกับถูกผีหลอก พอมาถึงรถ ก็จับผมโยนขึ้นไปแล้วรีบแทรกตัวเข้ามานั่งประจำที่คนขับ ไม่ต้องถามผมก็รู้ว่ามันหนีทำไม มันก็คงจะรู้ว่าพวกนั้นเป็นพวกเซนไทน์นั่นแหละ
แต่เปล่า ผมคิดผิดถนัด มันไม่ได้หนีเพราะรู้ว่าพวกนั้นเป็นเซนไทน์ ไม่ได้กลิ่นของพวกเซนไทน์ด้วยซ้ำ แต่หนีด้วยเหตุผลอื่นต่างหาก มารู้เอาก็ตอนที่มันเหยียบคันเร่งพาผมออกจากสตูดิโอนี่แหละ
“จำกลิ่นขององค์หญิงได้อย่างนี้ มันต้องเป็นเซนไทน์แน่ และต้องไม่ใช่เซนไทน์ธรรมดาด้วย” ถึงจะไม่ได้กลิ่นแต่มันก็เดาถูกนั่นแหละว่าเป็นพวกเซนไทน์ หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสงสัยเท่ากับคำว่า ‘เซนไทน์ไม่ธรรมดา’ ของมัน
“นายกำลังจะบอกว่าหมอนั่นเป็น...” ผมคราง มองหน้าเจเนซิสอย่างขอคำตอบขณะที่เราติดไฟแดงอยู่ทันที
“เชื้อราชวงศ์ชั้นสูงแห่งเซนไทน์”
“งั้นก็...”
“ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ไม่มีใครเคยเห็นหน้าพวกเชื้อราชวงศ์ชั้นสูงของเซนไทน์ทั้งนั้นแหละ ของทางยูนิกม่าด้วย เหตุผลเพื่อความปลอดภัยน่ะ แต่ฉันคิดว่าหมอนั่นอาจจะเป็น...เจ้าชายลาร์ซิโอนีย์ ที่ 8 เดาจากชื่อที่ใช้ในโลกมนุษย์กับข่าวกรองเรื่องเจ้าชายแห่งเซนไทน์บุกมาที่นี่น่ะนะ”
ถ้าเป็นอย่างที่เจเนซิสพูด งะ...งั้นไอ้เจ้าพ่อหน้าหล่อนั่นก็ผัวของแอสตันล่ะสินะ!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.29]--14/01/59[หน้า8]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 16-01-2016 22:24:22
เรื่องนี้สนุกมาก สนุกออก ทำไมมีคนติดตามไม่เยอะละ สนุกจริงๆนะ ภาษาก็ดี เชียร์ค่ะ สู้ๆๆๆ

น่าจะเพราะเป็นหน้าใหม่ที่นี่ แล้วส่วนใหญ่ไปตามกันที่เด็กดีน่ะค่า ที่นี่เลยดูร้างๆ ฮาา
แต่หนูแดงไม่ซีเรียสค่ะ อัพไปเรื่อยๆจนจบแหละเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.30]--16/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 16-01-2016 23:37:40
โคตรของโคตรค้างอ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.30]--16/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 17-01-2016 01:04:12
ตอนนี้มาฮาซีเลนแทน 5555 มั่วได้ใจ  :jul3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.30]--16/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: Zurruz ที่ 17-01-2016 01:32:05
ตลกกกก อ่านแล้วไม่เครียดดี แต่ก็รำคาญกวินทร์นะ ถถถถ เรื่องเยอะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.30]--16/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้กิ๊ก ที่ 17-01-2016 07:42:28
กรี๊ด สนุกมากๆๆๆๆ เมื่อไหร่จะมีน้องคินกับน้องคีตาน้อ รอๆๆๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.30]--16/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-01-2016 21:39:40
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[1]
“ริชาร์ด!”
ผมแหกปากลั่นทันทีที่โผล่หน้าเข้ามาในบ้านของบรูคลินได้ พลางกึ่งวิ่งกึ่งเดินหาตัวเพื่อนสนิทเป็นพัลวัน ไม่สนใจสายตาของพวกยูนิกม่าคนอื่นๆ หรือเจ้าของบ้านอย่างไบโทปที่มองมาอย่างสงสัยสักนิด ก่อนที่คีธซึ่งโผล่หน้ามาจากห้องนั่งเล่นจะชูนิ้วโป้งชี้เข้าไปข้างในห้องนั้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าคนที่ผมตามหาตัวอยู่ข้างใน
เท่านั้นผมก็ไม่รอช้า ถลาเข้าไปในห้องนั้นทันที หากแต่คีธคว้าไหล่ผมเอาไว้ก่อน พลันดึงมาถามเสียงเรียบ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอกวินทร์ เป็นอะไร ทำไมทำหน้าตาตื่น”
“เดี๋ยวค่อยอธิบายพร้อมกันทีเดียวได้มั้ย ขอเจอริชาร์ดก่อน”
คีธชั่งใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องนั้นโดยดี ผมมองปราดไปยังโซฟาก็เป็นริชาร์ดนอนตักแอสตันทำสำอิดสำออยให้แอสตันป้อนองุ่นให้กินอยู่ พอมันเห็นผม มันก็ละสายตาจากการมองหน้าแอสตันมามองผม
“มีอะไรเหรอเควิน เสียงดังเชียว”
ผมหายใจหอบหนักด้วยความเหนื่อย มองหน้ามันอย่างหมั่นไส้
เดี๋ยวเถอะมึง ทำเป็นสบายใจไปเถอะ เดี๋ยวรู้เลย!
“ริชาร์ด ฟังนะ” ผมเดินมาหยุดตรงหน้ามัน พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ
ริชาร์ดย่นคิ้วทันใด มันคงจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเลยดันตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ โดยมีแอสตันช่วยพยุง
“เรื่องใหญ่แล้วว่ะ”
“พูดมาสิ” ตอนนี้ริชาร์ดเริ่มย่นคิ้วละ แอสตันเองก็เหมือนกัน ก่อนมันจะเบิกตาโพลงเมื่อผมเอ่ยประโยคถัดไปออกมา
“ผัวของผัวนายมาตามผัวนายถึงที่สตูดิโอเลยเว้ย!”
“ว่าไงนะ!”
ริชาร์ดลุกผึงทันที สีหน้าสำอิดสำออยฉบับเห็บหมาแอ๊บแบ๊วหายไปกับตา ตอนนี้คือสวมวิญญาณเจ๊กเมากัญชาอย่างเต็มที่ แถมยังพุ่งเข้ามาหาผมชนิดลืมไปว่าเมื่อกี้มันพะเน้าพะนอผัวมันเพราะป่วยอยู่ ก่อนจะกระชากคอเสื้อผมทันใด
“ตอนนี้ไอ้เวรนั่นอยู่ไหน!”
ต่อมหึงผัวทำงานเร็วมากไอ้ริชาร์ด มึงอย่าเพิ่งขวิดกู รอไปขวิดไอ้เจ้าชายเซนไทน์เวรนั่นโน่น!
“อย่ากระชากคอเสื้อสิวะ เจ็บนะเว้ย” ผมแหวมันน้อยๆ มันเหมือนจะตั้งสติได้หน่อยนึงก่อนจะยอมปล่อยผมลง
“โทษทีว่ะ สติแตกไปหน่อย”
กูว่าไม่หน่อยแล้วไอ้เจ๊ก มึงสติแตกมากเลยแหละ กูสะกิดนิดเดียว มึงถึงกับของขึ้นขนาดนี้นี่ไม่ธรรมดาแล้ว
“แล้วตกลงตอนนี้มันอยู่ไหน” ริชาร์ดพูดเสียงเรียบซึ่งฟังยังไงก็ดูเหมือนจะพยายามข่มให้เป็นปกติ แต่มันไม่ปกติไง ใครๆ ฟังก็รู้ว่าตอนนี้มันเดือดดาลสุดๆ
“ฉันก็ไม่รู้ แต่เมื่อตอนบ่ายมันมาที่กองถ่าย แถมยังรู้จักกับผู้กำกับวิลล์อีก มันเป็นนายทุนหนังเรื่องที่เรากำลังถ่ายทำอยู่ว่ะ” ผมสรุปสั้นๆ
ริชาร์ดถึงกับกำหมัดแน่น สบถคำหยาบคายเป็นภาษาจีนออกมาด้วยจนแอสตันต้องลุกขึ้นมาประคองมันแล้วบอกให้มันใจเย็นๆ แต่ริชาร์ดไม่เย็นขึ้นเลย ดูจะเดือดหนักกว่าด้วย นี่ถ้าปล่อยให้มันเผชิญหน้ากับไอ้เจ้าชายนั่นล่ะก็ มีหวังมันคงจะได้กระโดดกัดคอหมอนั่นโดยไม่เกรงใจใครหน้าไหนแน่ แต่ก็ถือว่าดีสำหรับการปกป้องแอสตันไง เห็นมันฮึกเหิมอย่างนี้ ผมก็เลยเติมไฟใส่ให้ซะหน่อย เผื่อมันจะฮึกเหิมกว่าเดิม
“มันยังยกพวกมาอีกเป็นโขยงด้วยนะเว้ย ฉันว่าแอสตันคงไม่รอด ถูกลากกลับไปทำเมียแน่ๆ”
“อะไรนะ! ไอ้เวรนั่นกล้าดีเกินไปแล้ว! ฉันจะไปฆ่ามัน!” ริชาร์ดแผดเสียงลั่น แผดเสียงอย่างเดียวไม่พอ ทำท่าจะพุ่งไปเขย่าเบนที่ยืนดูอยู่ให้สร้างหลุมดำพามันออกไปนอกบ้านด้วยจนแอสตันต้องรั้งตัวไว้เป็นพัลวัน ผมถึงกับหลุดหัวเราะเลย
ฮึกเหิมมากไอ้ริชาร์ด เพื่อผัว กูจะสู้หลังชนฝาจริงอะไรจริง
ริชาร์ดอาละวาดไม่หยุด จนเจเนซิสที่เพิ่งจะเข้ามาในบ้านต้องรีบมาช่วยแอสตันกล่อมมันเป็นพัลวัน
“ว่าที่พระชายาทรงพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ ขออย่าได้ทรงเป็นกังวล พวกหม่อมฉันจะปกป้ององค์ชายเอง พระทัยเย็นๆ พ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้เหมือนริชาร์ดจะใจเย็นลงได้ ก่อนจะหันไปกอดแอสตันแน่นเหมือนจะร้องไห้ ขณะที่แอสตันก็กอดปลอบเมียเป็นพัลวันทั้งที่สีหน้ามันก็ดูไม่ได้ดีเลย ส่วนผมน่ะเหรอ... ลอบยิ้มกริ่มเล็กน้อยที่ยุเพื่อนสำเร็จ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนคีธมาหยุดยืนข้างหลังผมและวางมือลงบนหัวผมเบาๆ
“อย่ากวนตีนสิกวินทร์”
นี่มึงด่ากูว่ากวนตีนอีกแล้วนะไอ้คีธ! กูไม่ได้กวนตีน แค่ปลุกใจให้มันพร้อมรบป้องกันด่านประตูหลังของผัวมันเฉยๆ เว้ย!
“นายนี่มันจริงๆ เลยนะ!” พอปลอบริชาร์ดได้ เจเนซิสก็หันมาแหวใส่ผมอีกคน ก่อนจะพึมพำยาว “แค่คาดว่าเป็นราชวงศ์ชั้นสูงของเซนไทน์ แต่ไม่ได้มั่นใจว่าจะเป็นเจ้าชายของพวกมันสักหน่อย อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน”
ผมบุ้ยปากไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย กระทั่งแอสตันซึ่งปลอบเมียมันให้สงบสติอารมณ์จนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วพูดขึ้น
“ในเมื่อเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ ก็เอาเป็นว่าตอนนี้เราต้องระวังตัวกันมากกว่าเดิมแล้วกัน... พวกเราทุกคน” แอสตันจงใจเน้นคำว่า ‘พวกเราทุกคน’ อย่างชัดเจน แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้เป็นห่วงตัวเองเท่าไหร่นัก แต่เป็นห่วงพวกพ้องที่ต้องมาลำบากเพื่อปกป้องตัวเองมากกว่า
ชาวยูนิกม่าทุกชีวิตยกแขนขึ้นไขว้หน้าอกน้อยรับบัญชา แอสตันขอตัวพาริชาร์ดขึ้นไปที่ห้องนอนเพราะเหมือนริชาร์ดเริ่มจะแสดงความกังวลออกมาอีกแล้ว
กังวลหรือสำออยก็ไม่รู้ล่ะ ที่รู้ๆ ก็คือตอนนี้หน้ามันเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว
พอทั้งคู่ออกจากห้องนั่งเล่นไป คีธที่ยืนเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากถามเจเนซิส
“เจ้าชายนั่นโผล่มาไวเกินความคาดหมายไปหน่อย เป็นอย่างนี้แล้วนายมีแผนยังไง”
“ไม่มีแผนสำรอง ใช้แผนเดิมแต่อาจจะต้องระวังตัวมากขึ้นกว่านี้ นายคอยดูแลองค์ชายให้ดีๆ เถอะ ผู้พิทักษ์ส่วนพระองค์อย่างนายจากนี้คงจะลำบากแล้วล่ะ”
คีธพยักหน้ารับ สีหน้านิ่งเฉยแต่ความไม่สบายใจฉายออกมาจากแววตาอย่างเห็นได้ชัดเจน ผมไม่รู้หรอกว่าหมอนี่กังวลอะไรกระทั่งมันพูดขึ้น
“อาจจะต้องตามติดฝ่าบาททุกย่างก้าว แต่ยังวางใจไม่ได้”
“วางใจไม่ได้เรื่อง?” เจเนซิสถาม
“เรื่องของกวินทร์”
ผมมองหน้ามันทันควัน มาวางใจไม่ได้เรื่องกูทำไมวะ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่กูไปจูบกับไอ้ซีเลนเมื่อวาน?
“กับซีเลน” คีธว่าพลางมองหน้าผม
นั่นไง จริงซะด้วย กูก็บอกอยู่ปาวๆ ว่าจะรักจะมีแค่มึงคนเดียวตลอดชีวิต ยังจะไม่ไว้ใจกันอีกเหรอวะ!
ก็สมควรจะไม่ไว้ใจนั่นแหละ ลองคิดในมุมกลับกัน ถ้าคีธมีนิสัยเจ้าชู้มั่วไปเรื่อยเหมือนผมก่อนหน้า ผมก็คงไม่ไว้ใจมันเหมือนกัน
เจเนซิสมองมาที่ผมแล้วยักไหล่ไม่ยี่หระ “ก็พากันไปเคลียร์ซะสิ เห็นเมื่อวานบอกว่าจะไปเคลียร์อยู่เลยนี่ รีบๆ จัดการซะ จะได้เสร็จไปอีกเรื่อง”
คีธพยักหน้ารับคำ เอื้อมมือมาคว้ามือผมไปจับแน่นก่อนจะเดินนำลิ่วไปที่หน้าประตู
“ไปไหนเนี่ย” ผมร้องถาม
คีธตอบโดยไม่มองหน้า “ไปเคลียร์กับซีเลน”
“รู้ว่าจะไปเคลียร์ แต่จะไปเคลียร์ที่ไหน” ผมชักสีหน้าใส่เล็กน้อยขณะที่คีธร้องเรียกเบนที่อยู่ใกล้ๆ มาเปิดหลุมดำให้ก่อนจะหันมาตอบผม
“ที่ที่พักของซีเลน”
ผมฟังแล้วก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา พลันรีบดักคอไว้อย่างรวดเร็ว
“เคลียร์อย่างเดียวนะ ห้ามเอาท์ดอร์” ที่พูดแบบนี้ก็เพราะตอนที่มันลากผมมาเคลียร์กับบรูคลิน มันจับผมเอาท์ดอร์ที่รถเก่าหน้าบ้านบรูคลินน่ะ ผมก็เลยกลัวว่ามันจะทำแบบเดิมอีก
คีธยกยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าตกลงมันจะทำหรือไม่ทำกันแน่ แต่ดูรอยยิ้มมีเลศนัยของมันแล้ว ท่าทางมันจะทำแฮะ แม่ง หัวมันนี่มีแต่เรื่องหื่นๆ ตลอดเลยนะ!
 


 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.30]--16/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-01-2016 21:40:21
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[2]
พวกเรามาถึงหน้าเพนท์เฮ้าท์ของซีเลนในเวลาไม่นาน ผมค่อนข้างหงุดหงิดที่มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่หน้าตามติดมาด้วย เหอะ จะเป็นใครล่ะ ก็ไอ้เจเนซิสไง ถึงจะรู้ว่ามันถ่อตามมาด้วยเพราะต้องการจะรู้ตัวตนของซีเลนเนื่องจากติดใจที่ลาร์คมาดมกลิ่นซีเลนจากผมแล้วเอ่ยชื่อของเจ้าหญิงซีเลนาตาขึ้นมา กอปรกับที่ผมเล่าเรื่องที่ตอนลาร์คเห็นหน้าซีเลนแล้วเรียกชื่อเจ้าหญิงขึ้นมาด้วย เจเนซิสก็อดสงสัยไม่ได้เข้าไปใหญ่ว่าตกลงซีเลนเป็นใครกันแน่ และมีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าหญิงนั่นเพราะเท่าที่พวกยูนิกม่ารู้กันและยืนยันหนักแน่นก็คือ เจ้าหญิงซีเลนาตาไม่มีลูก ทว่าก็ไม่มั่นใจเพราะหลังจากที่ส่งเจ้าหญิงไปแต่งงานกับเจ้าชายเซนไทน์ที่ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน พวกยูนิกม่าก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของเจ้าหญิงอีกเลย มารู้อีกทีก็ตอนที่เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์แล้ว
ความจริงผมก็อยากรู้นะเรื่องของซีเลนเนี่ย แต่ทำไมมันไม่ไปหาจังหวะถามตอนอื่นที่ไม่ใช่ตอนที่ผมพาคีธมาเคลียร์กับซีเลนวะ มันต้องรู้แน่ๆ ว่าถ้าเคลียร์เสร็จแล้วผมกับคีธจะทำอะไรกัน เลยตั้งใจมาขัดขวาง หึ... แผนการมึงชั่วร้ายมากไอ้เมียเก่า ถ้ากูจะทำ กูก็ไม่สนใจมึงหรอกเว้ย!
“เดี๋ยวเข้าไปติดต่อพนักงานที่เคาน์เตอร์ข้างในว่ามาหาซีเลน ที่นี่เข้าง่าย พนักงานรู้กันกับกองถ่าย” ผมอธิบายลวกๆ ให้คีธกับเจเนซิสฟังหลังจากลงมาจากรถของเจเนซิสที่จอดเทียบอยู่ริมถนน
ทว่าไม่ทันจะได้เข้าไปข้างใน ร่างสูงคุ้นตาของซีเลนที่กำลังโอบเอวของชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ก็เดินผ่านหน้ามาพอดี หมอนั่นกำลังจะเข้าไปข้างใน ผมเลยรีบร้องเรียกไว้อย่างรวดเร็ว
“ซีเลน!”
ซีเลนชะงักขา หันมาทางต้นเสียง ก่อนสีหน้าหื่นๆ ของมันที่พะเน้าพะนอคู่ขาที่ผมไม่เคยเห็นหน้าจะกลายเป็นสีหน้าประหลาดใจ
“ว้าว เซอร์ไพรส์แฮะ โผล่มากันแบบนี้ อยากจะมีส่วนร่วมเหรอ เอาสิ แก๊งค์แบงก็ดี”
เลิกคิดหื่นสักวินาทีจะได้มั้ยวะ ไม่ได้มาแก๊งค์แบงโว้ย!
ผมยู่หน้าทันใด เจเนซิสก็ย่นหัวคิ้วยู่ แสดงออกมาทางหน้าตาชัดเจนว่าโคตรจะรังเกียจซีเลนเลย ส่วนคีธยังทำหน้าเฉยๆ เดินเข้าไปหาแล้วพูดเสียงเรียบ
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“เรื่อง?” ซีเลนเลิกคิ้วสูง
“เรื่องของกวินทร์”
พอคีธว่ามาอย่างนี้ ซีเลนก็หัวเราะในลำคอ ก่อนจะเบือนหน้าไปบอกกับคู่ขาที่พามาด้วย
“เดี๋ยวนายกลับไปก่อนนะ”
“เอ้า วันนี้ไม่ทำแล้วเหรอ” อีกฝ่ายถามหน้าซื่อ
“คุยธุระก่อน เดี๋ยวจะติดต่อไป” ซีเลนยิ้มก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปากของอีกฝ่าย นานทีเดียวที่มันจูบกันดูดดื่ม ส่งเสียงจ๊วบจ๊าบให้ผมกับเจเนซิสเบ้หน้าอย่างขยะแขยงไปตามๆ กัน
พอคนไม่เกี่ยวข้องจากไปแล้ว ซีเลนจึงหันมาสนใจคีธได้
“เอ้า ว่ามาสิว่าจะคุยอะไร อย่าบอกนะว่าจะเอาตัวเองมาให้ฉันกินแทนกวินทร์อีกรอบ?”
แน่นอนล่ะว่าไม่ใช่ แต่ถ้าขืนไอ้คีธพูดว่าใช่ล่ะก็ ผมจะวิ่งไปกระโดดถีบมันเลย
“อย่ามายุ่งกับกวินทร์อีก” คีธว่าเสียงเรียบ เป็นประโยคที่สั้นและได้ใจความมาก ผมหายใจโล่งนิดหน่อยที่มันไม่บ้าจี้ถวายตัวให้ไอ้ซีเลนอีก
แต่ซีเลนมันก็ไม่ฟังนั่นแหละ แถมยังยิ้มกวนประสาทอีกด้วย
“ถ้าไม่แล้วนายจะทำไม”
“ฉันขอเตือนอีกครั้งว่าอย่ามายุ่งกับกวินทร์อีก” คีธไม่ตอบคำถามนั่นแต่ออกคำสั่งแทน ตอนนี้ดวงตาของคีธประกายกร้าว ถึงจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งลูกตา แต่ผมก็รู้ว่าคีธกำลังโกรธ ผมไม่เคยเห็นสายตาก้าวร้าวแบบนี้มาก่อน บอกตรงๆ ว่าโคตรจะน่ากลัวเลย น่ากลัวกว่าตอนที่ตาเป็นสีดำทั้งเบ้าอีก
“นายคิดว่านายเป็นใครถึงมาสั่งฉันได้” ซีเลนหัวเราะขณะพูดราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องตลก
ผมลุ้นในใจว่าคีธคงจะไม่เปิดเผยตัวเองหรอกว่าเป็นใครเพราะมันค่อนข้างอันตราย ทว่าผิดคาด คีธกลับบอกชื่อตัวเองไปหน้าตาเฉย
“คีทาเย ซาเคมอร์ฟ ผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่า” ตบท้ายด้วยยศอีกต่างหาก
ผมหันไปมองเจเนซิสเลย ทำท่าจะถามว่าไม่เป็นอะไรเหรอที่คีธพูดไปอย่างนั้น ทว่าเจเนซิสพูดขึ้นมาก่อนราวกับรู้ทันว่าผมจะถามอะไร
“ก่อนหน้านี้ฉันบอกหมอนั่นไปแล้วว่านายเป็นโฮสต์ให้ผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่า บอกชื่อไปก็ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่ว่าคีธเป็นผู้พิทักษ์ของ...”
“เค้ารู้กันทั่วจักรวาล ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มันไม่รู้ว่าองค์ชายอยู่ไหนก็เบาใจได้”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็เบาใจ คีธคงจะดังอย่างที่อาแปะลีโอนาร์โดเคยบอก ดังในที่นี้ นอกจากภารกิจที่เคยทำมา ก็คงจะดังเพราะเป็นผู้พิทักษ์ให้แอสตันด้วยนี่แหละ แต่ถึงเจเนซิสจะคอนเฟิร์มว่าให้เบาใจได้ ทว่าผมก็ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าซีเลนมาดีหรือมาร้าย เปิดเผยตัวแบบนี้ ยังไงก็อันตรายอยู่ดีนั่นแหละ
หรือว่า... คีธจะยอมเสี่ยงให้ตัวเองเป็นอันตรายเพื่อผม? บะ...บ้าชะมัด ไม่เห็นจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงอย่างนั้นเลย
“อ๋อ คนดังแห่งจักรวาลนั่นเอง เอะใจตั้งแต่สาวน้อยคนนั้นบอกว่ากวินทร์เป็นคนของผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่าละ แต่ไม่ยักจะคิดว่าจะเป็นคนดังแบบนี้” ซีเลนยังคงเล่นลิ้นไปเรื่อย ไม่ฟังแต่อย่างใด แถมยังเรียกเจเนซิสว่าสาวน้อยอีก ทำเอาเจเนซิสสบถออกมาหยาบคาย
“สาวน้อยอะไร ไอ้ทุเรศ”
ผมว่าจริงๆ เจเนซิสก็เหมาะกับซีเลนนะ น่าจะได้ๆ กันไปเลย ซีเลนมันจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก แล้วผมจะได้เบาใจเรื่องคีธจะกลับไปหาเมียเก่าอย่างเจเนซิสด้วย
“ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่ายุ่งกับกวินทร์อีก ถ้ามีครั้งต่อไป ฉันจะไม่เตือนนายแล้ว” คีธว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ ดูก็รู้ว่ากำลังข่มขู่อีกฝ่าย
หากแต่ซีเลนก็ยังคือซีเลน ไม่ยี่หระไม่ว่า ยังไม่มีความเกรงกลัวใดๆ อีก ประจันหน้าอย่างเอาเรื่อง
“คิดว่าห้ามฉันได้ก็ลองดู ผู้พิทักษ์คนเก่ง ได้ข่าวว่าช่วงนี้กำลังลำบากนี่ พวกเซนไทน์ตามมาถึงที่นี่แล้ว เจอตัวองค์ชายพวกนายหรือยังล่ะ ระวังนะ องค์ชายจากเซนไทน์จะคว้าไปปู้ยี่ปู้ยำซะก่อน” ตบท้ายด้วยการยั่วเย้า
ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมซีเลนถึงรู้ นั่นก็เพราะเรื่องนี้มันลือกันไปทั่วในหมู่มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ที่นี่เลยไง ส่วนคีธก็ดูโกรธขึ้งขึ้นมาฉับพลัน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งเบ้าและดูท่าทางคงจะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังเพราะผมเห็นแขนล่ำนั่นสั่นนิดๆ และพูดย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง
“อย่ายุ่งกับกวินทร์”
“ไม่ ระวังไว้เถอะ พวกเซนไทน์มาจัดการนายเมื่อไหร่ ฉันจะลากกวินทร์มากินให้หนำใจ เอาให้ร้องขอชีวิตบนเตียงฉันไม่หยุดเลย” ซีเลนว่าหน้าด้านๆ ทีนี้แขนคีธข้างที่กำหมัดก็สั่นใหญ่เลย
ถึงจะไม่เคยเห็นคีธมีอาการ ผมเลยรีบพุ่งเข้าไปคว้าแขนข้างนั้นไว้ก่อนที่คีธจะได้ทำอะไร พลางส่งเสียงเรียกเพื่อดึงสติคีธด้วย
“คีธ ใจเย็นๆ”
แขนข้างนั้นหยุดสั่นได้ ทว่าคีธไม่หันมามองผม เอาแต่จ้องหน้าซีเลนก่อนที่หมอนั่นจะตัดบทเอาดื้อๆ
“หมดธุระแล้ว ฉันขอตัวก่อนแล้วกัน หิวแล้ว” แล้วหมอนั่นก็เดินหนีไปเฉยเลย
เจเนซิสเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินไปดักหน้า ซีเลนชะงัก ยิ้มเผล่ทันใด
“ว่าไงจ๊ะที่รัก อยากขึ้นห้องฉันไปด้วยกันเหรอ แหม ทำเป็นเล่นตัวนะตอนแรก ที่แท้ก็อยาก...”
“นายเป็นใครซีเลน” เจเนซิสไม่ได้ฟังที่ซีเลนพล่ามแม้แต่น้อย
ซีเลนทำหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมา “ถามอีกละ นี่กวินทร์ไม่ได้บอกนายหรือไงว่าฉันเป็นมนุษย์ต่างดาวพวกใกล้สูญพันธุ์”
“ฉันจะถามอีกครั้งว่านายเป็นใคร ทำไมพวกเซนไทน์ถึงเรียกนายว่าซีเลนาตา” เจเนซิสเองก็เปลี่ยนสีตาเป็นสีดำทั้งเบ้าเช่นกัน
ซีเลนมองแล้วก็หัวเราะน้อยๆ พลันเดินหนี ทว่าถูกเจเนซิสกระชากคอเสื้อเอาไว้ ถึงเจเนซิสจะมีรูปร่างเล็กกว่าซีเลนเล็กน้อย แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล ดึงซีเลนตัวปลิวได้อย่างง่ายดาย ซีเลนเองก็ใช่ว่าจะยอมถูกดึงง่ายๆ พอถูกกระชาก ก็หันกลับมาทางเจเนซิสอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งหมัดออกมาตรงหน้าเจเนซิส ถึงปลายหมัดจะอยู่ไกล แต่หนามแหลมคมที่พุ่งออกมาจากหลังมือก็ทำให้เจเนซิสผงะ ปล่อยมือจากซีเลนอย่างรวดเร็ว
“นาย...” ตามมาด้วยครางพร้อมสีหน้าอึ้งๆ
“ฉันไม่ใช่เซนไทน์ ไม่ต้องห่วง” ซีเลนดักคออย่างรู้ทัน ก่อนรีบเก็บหนามที่หลังมือลงไป แล้วเดินเข้าไปข้างในอีกรอบเมื่อเห็นว่าพนักงานข้างในเริ่มชะเง้อชะแง้ออกมาดูแล้วว่าข้างนอกมีเรื่องอะไรกัน
คีธกับเจเนซิสเลยรีบปรับสีตาให้เป็นปกติด้วย ก่อนเจเนซิสจะเดินเข้ามาหาคีธพลางบ่นเสียงเครียด
“นี่มันไม่ปกติ มีลักษณะร่างกายคล้ายเซนไทน์ แต่สีไม่ใช่”
“กลิ่นก็ไม่ใช่เซนไทน์ ไม่ได้มีกลิ่นของสายพันธุ์รุกรานอย่างเต็มที่ มีกลิ่นของสายพันธุ์รักสงบด้วย” อันนี้คีธพูด
“หรือหมอนั่นจะเป็นลูกครึ่งแบบครึ่งเซนไทน์ ครึ่งยูนิกม่าอะไรแบบนี้” ประโยคนี้ของผมแหละ สันนิษฐานไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ทว่ากลับทำให้คีธกับเจเนซิสมองผมขวับทันที
ผมประหม่าไปเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายออกมา “มันก็น่าคิดนะ หมอนั่นมีรูปร่างเหมือนเซนไทน์แต่สีไม่ใช่ แถมพวกเซนไทน์ก็ยังรู้จักอีก แล้วก็ยังเรียกว่าซีเลนาตาด้วย มาคิดดูดีๆ ชื่อของหมอนั่นก็คล้ายกับเจ้าหญิงของพวกนายนะ ซีเลนาตา... ซีเลน... อาจจะเป็นแม่ลูกกันก็ได้ แต่พวกนายไม่รู้อะไรงี้”
ฟังคำสันนิษฐานของผมแล้ว คีธกับเจเนซิสก็ทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนเจเนซิสจะส่ายหน้าเหมือนโลกแตก
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าหญิงไม่มีพระโอรสหรือพระธิดา...”
“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าตั้งแต่ยกเจ้าหญิงให้พวกเซนไทน์ไปก็ไม่มีใครรู้ข่าวคราวอีกเลย มารู้อีกทีก็ตอนตายแล้ว อาจจะมีก็ได้”
พอผมพูดแบบนี้ เจเนซิสก็เงียบไป พวกเราเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว ก่อนคีธจะทำลายความเงียบขึ้น
“กลับกันเถอะ เรื่องนี้ต้องเอาเข้าที่ประชุมด่วน”
เจเนซิสพยักหน้า ตรงไปที่รถแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนผมชักจะอึดอัด
พวกมึงจะเครียดกันไปไหนเนี่ย ก็แค่ถ้าซีเลนเป็นลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตาจริงอย่างที่ผมพูด มันก็เป็นเจ้าชายแห่งยูนิกม่าอีกคนก็เท่านั้นเอง ก็ลูกพี่ลูกน้องของแอสตันนี่หว่า มีเจ้าชายเพิ่มมาอีกคน ทำเป็นเครียดไปได้
แต่มาคิดๆ ดูแล้วก็สมควรจะเครียดแหละ คนอย่างซีเลนนี่ถ้าเป็นเจ้าชายขึ้นมาจริงๆ มันคงไล่ปล้ำข้าราชบริพารไปทั่ววังนะผมว่า เผลอๆ แม่งจะปล้ำไอ้แอสตันด้วย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
ทว่าระหว่างทางที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็คีธที่นั่งข้างผมบนเบาะหลังก็ดูหลุกหลิกขึ้นมา มองซ้ายขวาหน้าหลังเลิ่กลั่ก ไม่ต่างจากเจเนซิสที่มีท่าทางแปลกไปเหมือนกัน
“นั่งเฉยๆ สิวะ เป็นอะไร” ผมแหวออกไปโดยไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คีธรีบเอื้อมมือมาคว้าแขนผมแล้วพูดออกมาโดยไม่มองหน้า
“เงียบก่อนกวินทร์”
ผมเงียบตามสั่ง เจเนซิสเองก็หยุดรถกลางถนนฉับพลัน แถมหยุดกลางสี่แยกต่างหาก โชคดีที่ตอนนี้ดึกแล้ว รถราเลยไม่มีวิ่งเท่าไหร่นัก ไม่อย่างนั้นคงโดนด่าพ่อล่อแม่ไปแล้วจอดรถแบบนี้เนี่ย
“มีอะไร” และเพราะเงียบกันไปนานพอสมควร ผมเลยรู้สึกถึงความไม่ปกติ เอ่ยถามขึ้นมา
“มีคนตามเรามา” คีธว่าพลางขยับจมูกฟุดฟิด “กลิ่นของพวกเซนไทน์”
ผมใจหายวาบ รีบมองซ้ายขวาบ้างแต่ก็ไม่เห็นเงาของใครสักคน นอกจากถนนโล่งๆ เท่านั้น ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นเหล็กสีเงินวาววับคล้ายกับบั้งของเกราะอัศวินในสมัยโบราณพุ่งทะลุออกจากบริเวณหัวไหล่เป็นชั้นๆ ประมาณสามชั้นได้ ส่วนที่ท่อนแขนก็มีเหล็กสีเงินห่อหุ้มเช่นกัน เหมือนจะเห็นแวบๆ ว่าที่หน้าแข้งก็มี ผมเดาเอาเลยว่านี่คงจะเป็นร่างจริงของพวกยูนิกม่า
คีธเองก็เช่นกัน พอเห็นเจเนซิสคืนร่าง มันก็คืนร่างบ้าง ผมมองคีธตาค้าง
ทะ...เท่ชะมัด หล่อมากด้วยเวลาอยู่ในร่างจริง อย่างกับหลุดออกมาจากหนังไซไฟ แต่เดี๋ยวนะ... ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาชื่นชมความหล่อของมันนี่หว่า ต้องระวังตัวสิ ระวังตัว!
“ถ้าดูท่าทางไม่ค่อยดี กวินทร์รีบหนีไปเลยนะ ขับรถเป็นใช่มั้ย” คีธพูดขึ้นอีกครั้ง
ผมพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนที่เจเนซิสจะถามแทรกขึ้นมา
“เอาไงต่อ”
“ขับไปต่อ ช้าๆ”
เจเนซิสเหยียบคันเร่งจะไปต่อ ทว่าไปได้ไม่ถึงห้าสิบเมตร หลังคารถก็มีของหนักๆ กระแทกลงมาดังปังจนมันบุบไป ผมร้องลั่นอย่างตกใจ ดีที่ไม่ได้รับอันตรายเพราะคีธรู้ทันก่อน พุ่งเข้ามากอดผมไว้แน่นแล้วพลิกตัวมากระแทกประตูฝั่งผมให้เปิดออก ก่อนพากันกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นถนนเรียบ พอตั้งหลักได้ คีธก็คลายอ้อมกอดออกจากผมและถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยทันที
“ไม่เป็นอะไรนะกวินทร์”
ผมพยักหน้า ใช่... ผมไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีบาดแผลหรือรอยขีดข่วนสักนิด นอกจากเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าไม่ใช่แค่แขนกับขาของคีธเท่านั้นที่มีเกราะสีเงินห่อหุ้ม แต่บริเวณแผ่นหลังและหัวก็มีเช่นกัน ครู่เดียวก็หายไปราวกับควบคุมได้ เจเนซิสเองก็รอดออกมาจากรถคันนั้นได้อย่างหวุดหวิดเช่นกัน หมอนั่นม้วนหน้าหลังจากกระโดดออกจากรถแล้วมาหยุดคุกเข่าตรงข้างๆ ผมกับคีธ พลันรีบดันตัวขึ้น มองไปยังจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
“พวกเซนไทน์” แล้วก็ครางเมื่อเห็นว่ามีเซนไทน์ตัวหนึ่งยืนจังก้าอยู่บนหลังคารถบุบบี้
เซนไทน์ตัวนั้นแสยะยิ้มร้าย ผมจำหน้ามันได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อนตอนเจอกับลาร์ค ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดของลาร์ค และก็จริงอย่างที่ผมคิดเพราะพอไอ้บ้าบนหลังคารถนั่นแสยะยิ้ม ตัวอื่นๆ ก็โผล่หน้ามารายล้อมพวกผมเอาไว้โดยที่ผมไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน แต่เห็นหน้าพวกมันแล้ว ผมก็มั่นใจขึ้นมาแล้วล่ะว่าเป็นคนของลาร์คจริงๆ ก็ไอ้พวกนี้นี่ผมเคยเห็นหน้ามาก่อนแล้วทั้งนั้นนี่นา
คีธรีบดันตัวผมไปข้างหลัง ตาก็มองรอบๆ ไปด้วยอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ตัวบนหลังคารถจะเปล่งเสียงออกมา
“ตอนแรกแค่กะว่ามาตามตัวคนของซีเลนเท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้เจอชาวยูนิกม่าด้วย ผลงานดีแบบนี้ องค์ชายต้องปลาบปลื้มพระทัยแน่ๆ”
มันคงหมายถึงการจับชาวยูนิกม่าไปเค้นหาที่อยู่ของแอสตันนั่นแหละ แต่ไอ้ที่มันว่าคนของซีเลนนี่คืออะไรวะ!?
มารู้เอาว่าคนของซีเลนที่มันว่าคืออะไรก็ตอนคีธพูดนี่แหละ
“กวินทร์ไม่ใช่คนของซีเลน พวกนายตามผิดคนแล้ว”
นี่มันหมายถึงกูเรอะ!?
ผมเบิกตาโพลง เหวอรับประทานไปเลย ไม่รู้ว่าตัวเองไปเป็นคนของไอ้หื่นนั่นตั้งแต่ตอนไหน
ไอ้ตัวบนหลังคาก็กระโดดลงจากรถ พูดพลางลูบหนามบนหลังมือตัวเองไปด้วย
“ผิดหรือไม่ผิดไม่รู้หรอก แต่กลิ่นของซีเลนอยู่ในตัวของเจ้าสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยนั่น องค์ชายเลยมีรับสั่งให้มาจับตัวไป ถ้าจะโทษก็โทษซีเลนเถอะนะที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยาก พวกฉันไปตามซีเลนดีๆ แล้ว แต่ซีเลนไม่ยอมตามมา แถมยังถูกฆ่าไปอีกหลายคน เฮ้อ พวกดื้อด้าน ยังไงก็ดื้อด้านอยู่วันยังค่ำ” มันว่ายาว
ผมไม่เข้าใจนักว่ามันหมายความว่าอะไร ไม่สนใจสำนวนการพูดของมันที่เริ่มเป็นปัจจุบันแล้วด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าไอ้พวกนี้มันปรับตัวได้เร็ว ที่รู้ๆ คือไอ้ซีเลนมันทำผมซวย กลิ่นของคีธไม่มีเพราะยา แต่ไอ้กลิ่นของซีเลนนี่ไม่หายไปเพราะยาด้วย ต้องรอให้มันเลือนหายไปเอง แต่มันยังไม่เลือนไง แม่งเอ๊ย ไอ้ซีเลนนะไอ้ซีเลน มึงจะมาจูบกูหามะเขือเผาอะไรวะ!
“มากับเราดีๆ เราจะไม่ทำร้ายพวกแกในตอนนี้” มันยังต่อรองอยู่
แต่คนอย่างคีธมีเหรอที่จะยอม คีธยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ก่อนหอกด้ามยาวสีเงินที่มีคมโลหะทั้งสองด้านจะปรากฏออกมาจากฝ่ามือ เจเนซิสก็เช่นกัน ผมเลยรู้ว่านี่คืออาวุธของพวกยูนิกม่า
อีกฝ่ายเห็นท่าทางของคีธกับเจเนซิสที่ตั้งท่าพร้อมสู้ก็หัวเราะในลำคอขึ้นมา ถึงคีธจะไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่พวกมันก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าคีธไม่ยอม มันก็เลยว่าเสียงต่ำออกมา
“อุตส่าห์ใจดีแล้วเชียว ช่วยไม่ได้แฮะ จัดการ!” ปลายประโยคแผดเสียงขึ้นก่อนพวกเซนไทน์จะกระโจนเข้ามาหาคีธกับเจเนซิสทุกทาง
“วิ่งไปกวินทร์! วิ่ง!” คีธร้องบอกผม ออกแรงผลักแผ่นหลังผมให้ออกห่างซะกระเด็นอีกด้วยจนผมล้มกลิ้งไม่เป็นท่า แต่การผลักเมื่อครู่ก็ทำให้ผมลอยลิ่วออกมาจากวงล้อมได้
ผมกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วกายจากการกระแทกพื้นเมื่อครู่ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าคีธกำลังกันพวกเซนไทน์ให้ผม ก่อนที่เสียงของคีธจะดังแว่วขึ้นมาอีกหลังจากใช้หอกในมือแทงเข้ากลางลำตัวของเซนไทน์ตัวหนึ่งเข้าอย่างจัง
“วิ่งไปเร็วเข้า!”
ผมจ้ำไม่คิดชีวิตเลยตอนนี้ คีธกับเจเนซิสเองก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมวิ่งหนีไปตามลำพัง เพราะพวกเซนไทน์เห็นผมหนีก็พยายามตามมาด้วย คีธกับเจเนซิสเลยตามสกัดทุกทิศทาง ทว่าจำนวนของเซนไทน์กว่าสิบชีวิตก็ไม่สามารถทำให้คีธกับเจเนซิสต่อกรได้ไหว สำหรับคีธน่ะไม่เท่าไหร่ หมอนี่เก่งสมชื่อผู้พิทักษ์ชื่อกระฉ่อนจริงๆ พริบตาเดียวก็กำจัดเซนไทน์ไปได้หลายตัว ไอ้ตัวถ่วงนี่คือเจเนซิส กว่าจะกำจัดได้แต่ละตัว คีธต้องเข้าไปช่วยอยู่หลายต่อหลายครั้ง เลยทำให้เซนไทน์บางตัวใช้โอกาสที่คีธเปิดช่องว่างตามผมมาติดๆ พริบตาเดียวก็มาสกัดด้านหน้าผมไว้ได้แล้ว
ผมชะงักขากึก เซล้มไปทันใดเมื่อเซนไทน์ตัวหนึ่งโผล่มาแบบกะทันหัน ก็ไอ้ตัวที่อยู่บนหลังคารถนั่นแหละ ดูท่าทางมันน่าจะเป็นหัวหน้าแหงๆ
“ตามเรามาซะดีๆ ถ้าไม่อยากตาย” มันขู่
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับซีเลน!” ผมรีบร้องบอกเพราะรู้ว่ามันเข้าใจผิด
แต่มันไม่ฟัง ยกมือที่มีหนามยาวและแหลมขึ้นสูงพลางว่า
“ถ้าไม่อยากถูกเสียบก็ตามมา”
มึงฟังกูสิเว้ย! กูไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้เวรนั่น!
ผมรีบหันหนีไปอีกทาง ตั้งท่าจะวิ่งแต่ก็มีเซนไทน์อีกสามตัวมาดักไว้รอบทุกทิศ ผมมองหน้าพวกมันแล้วขาก็ก้าวไม่ออกขึ้นมา ไอ้ตัวที่มาดักหน้าผมตอนแรกเลยว่าขึ้น
“สงสัยต้องใช้กำลัง บาดเจ็บสักหน่อยคงจะง่ายขึ้น หนีเหลือเกิน ต้องทำให้อวัยวะที่ใช้หนีใช้การไม่ได้”
ผมใจสั่นวูบ มองไปยังมือของพวกมันที่ทำท่าจะแทงขาผมแล้วปากก็ร้องเรียกคีธไปโดยอัตโนมัติ
“คีธ!”
“กวินทร์!”
คีธที่กำลังถูกรุมสะบัดหอกทีเดียวก็แทงเซนไทน์ที่รายล้อมไว้ได้ทุกตัว ก่อนจะพุ่งมาหาผม ทว่าก็โดนอีกตัวหนึ่งตะครุบไว้ได้ก่อน ผมได้ยินคีธสบถหยาบคายลั่น ไม่เคยได้ยินคีธพูดจาแบบนี้มาก่อนเลย แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจแล้ว ไอ้เจเนซิสก็ถ่วงฉิบเป๋ง เดี๋ยวล้มลุกคลุกคลานอะไรของมันไม่รู้
นี่ต้องเป็นแผนสำออยของมึงแน่ๆ กะว่าให้กูถูกฆ่าตายแล้วมึงจะทวงตำแหน่งเมียคืนล่ะสินะ!
เมื่อเห็นว่ากว่าคีธจะเข้ามาช่วยได้ ผมคงต้องเสียขาไปก่อน ผมเลยหาทางหนีเองโดยการตัดสินใจวิ่งผ่าพวกมันออกไป แต่นี่ไม่ใช่หนังการ์ตูน ไม่มีทางที่จะง่ายอย่างที่ผมคิด แค่วิ่งเท่านั้น หนามคมๆ ก็ครูดแผ่นไหล่ผมเฉียดๆ ถึงจะไม่แรงมากแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้ผมเป็นอย่างดีจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนอนคว่ำบนพื้น แย่กว่านั้นคือผมใจเสาะขึ้นมาเมื่อเห็นหยดเลือดสีแดงของตัวเองไหลอาบท่วมแขนและหยดลงพื้น
กะ...กูกลัวเลือด!
อันนี้เรื่องจริง ไม่ได้สำออย เห็นแล้วลมจะใส่ หากแต่ไม่ทันจะได้หน้ามืดเป็นลม ผมก็ได้ยินเสียงดังแหมะเหมือนของเหลวบางอย่างกระเซ็น ตามมาด้วยเสียงดังตุ้บของวัตถุขนาดใหญ่ที่หล่นลงข้างกาย พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นร่างไร้วิญญาณของเซนไทน์ตัวที่ข่วนหลังผมเมื่อครู่ถูกแทงจนเลือดสาด ผมทำท่าจะรีบลุกขึ้น ทว่าไม่ทันจะได้ดันตัวเอง ร่างใหญ่ของใครบางคนก็คร่อมผมเอาไว้ด้วยท่าคุกเข่า ก่อนที่เสียงของใครคนนั้นจะดังขึ้น
“ถ้าพวกแกแตะตัวกวินทร์อีกนิดเดียว ฉันจะฆ่าไม่ให้เหลือ!”
ผมรีบเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันควันด้วยคุ้นหูมาก พอเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของเจ้าของเสียงแล้วก็อ้าปากค้างตามมา
“ซะ...ซีเลน!”
ตอนนี้มันก็อยู่ในร่างเดิมเช่นกัน แต่ซีเลนไม่หือไม่อือกับเสียงของผม เอาแต่มองพวกเซนไทน์ด้วยแววตาก้าวร้าวทำให้เซนไทน์ทั้งหลายที่มีชีวิตรอดหยุดกึก แต่คีธไม่หยุดด้วย พอพวกมันเปิดจังหวะ คีธก็จัดการฆ่าพวกที่อยู่รอบๆ อย่างรวดเร็ว จะมีก็แต่ตัวซึ่งเป็นหัวหน้าพวกมันที่อยู่ตรงหน้าผม และอีกสองตัวที่ยังรอดชีวิต ตอนนี้ถือว่าพวกเราแฟร์ๆ กันแล้วล่ะ
“ถ้านายยอมตามพวกเรามาตั้งแต่แรก เรื่องก็คงไม่ยุ่งยากอย่างนี้” มันยังคงว่าหน้าระรื่นราวกับตัวเองอยู่เหนือกว่า
ซีเลนไม่ตอบรับ พยุงผมลุกขึ้นยืนแล้วผลักให้ไปหลบข้างหลังเต็มแรง ดีที่คีธถลาเข้ามารับผมไว้พอดี ไม่อย่างนั้นผมได้ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าแน่
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกนาย” ซีเลนว่าเสียงกร้าว ปกติซีเลนก็ไม่ใช่คนที่จะโมโหอะไรง่ายๆ นี่เลยเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหมอนี่โกรธเช่นกัน
คนฟังหัวเราะ ยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปเล็กน้อยพลางว่าไม่ยี่หระ
“ถึงจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวแต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่านายเกี่ยวข้องเต็มๆ เลยล่ะ”
ซีเลนยังเงียบ แต่ผมนี่หูผึ่งไปแล้ว แน่นอนว่าคีธกับเจเนซิสเองก็เช่นกัน
“ไม่เกี่ยว” แล้วซีเลนก็ว่าเสียงเข้มให้อีกฝ่ายหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ก็นายน่ะเป็น...”
“บอกว่าไม่เกี่ยวไง!” ซีเลนตะคอกลั่น ฝ่ายนั้นผงะไปเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ยอมหยุด ว่ายั่วโมโหออกมาอีก
“รับพระบัญชา... องค์ชายแห่งเซนไทน์ลำดับที่สอง” ตามมาด้วยการโค้งคำนับ
ผมอ้าปากค้างทันใด เจเนซิสเองก็เช่นกัน มีแต่คีธที่ทำหน้าตายเหมือนเดิมแต่ตานี่เบิกโตไปแล้ว
ซีเลนกัดฟันแน่น แผดเสียงกร้าวทันใด
“อย่ามาเรียกฉันแบบนี้นะเว้ย!” แล้วก็สติแตก ฆ่าเซนไทน์สองตัวที่อยู่ข้างๆ ในพริบตา
ผมตะลึงงันกับความว่องไวของซีเลน ถึงจะรู้ว่าซีเลนเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจากการที่มันเคยมาช่วยผมจากพวกเซนไทน์ครั้งก่อน แต่พอเห็นแบบนี้แล้วก็อดตกใจไม่ได้ และก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อมันฆ่าสองตัวนั้นเสร็จแล้ว มือของมันก็ปรากฏหอกแบบเดียวกับที่คีธและเจเนซิสใช้ขึ้นมาก่อนออแรงขว้างไปปักทะลุหัวไหล่ของเซนไทน์ตัวที่เป็นหัวหน้าซึ่งทำท่าจะหนีไปทันใด
เซนไทน์ตัวนั้นล้มไถลไปกับพื้น เลือดสีเขียวอ่อนทะลักออกจากปาก ซีเลนเดินอาดๆ เข้าไปกระชากหอกออกจากร่างของหมอนั่น มือข้างหนึ่งบีบแก้มเจ้าของใบหน้าคร้ามแน่น พลางว่าเสียงต่ำน่ากลัว
“ฉันจะไว้ชีวิตแก แต่ไสหัวไปบอกเจ้านายของแกว่าอย่ามายุ่งกับฉันอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น!” ว่าจบก็สะบัดมือออก
เซนไทน์นั่นบ้วนเลือดลงพื้น สีหน้ายังคงแสยะยิ้ม “รับพระบัญชา”
ซีเลนทำท่าเหมือนจะเดือดดาลขึ้นมาอีกรอบ แต่อีกฝ่ายเร็วกว่า กระโดดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยภายในเสี้ยววินาที เหลือแต่พวกผมที่ยืนมองซีเลนตาไม่กะพริบและเศษซากของเซนไทน์เกลื่อนกลาดเต็มพื้นถนนเท่านั้น
ใช้เวลานานเลยทีเดียวกว่าซีเลนจะสงบสติอารมณ์ได้ พอสงบลงก็คืนร่างเป็นมนุษย์เหมือนเดิม หันมาบอกผมส่งๆ
“รีบหนีไปซะ พวกนั้นไม่หยุดแค่นี้แน่” สิ้นเสียงก็ทำท่าจะเดินหนีไป
เจเนซิสรีบเดินเข้าไปคว้าแขนของซีเลนไว้ทันที พอซีเลนหันมาก็ถามออกไปอย่างไม่รั้งรอ
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน”
“ก็บอกแล้วไงว่าเป็นพวกสูญ...”
“องค์ชายลำดับที่สองแห่งเซนไทน์ หมายความว่ายังไง”
ซีเลนที่ทำท่าจะตอบในตอนแรกหุบปากฉับเมื่อเจเนซิสแทรกขึ้น และทำท่าเหมือนจะไม่ตอบด้วยเพราะหมุนตัวเดินหนี หากแต่คีธผละออกจากผมไปดักหน้าเอาไว้ เจเนซิสเลยโพล่งขึ้นมาอีก
“เป็นเจ้าชายแห่งเซนไทน์ แต่มีร่างกายกึ่งเซนไทน์ กึ่งยูนิกม่า แถมชื่อคล้ายกับเจ้าหญิงซีเลนาตาของพวกเราอีก นายจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง”
หมอนั่นคงจะหมายถึงสีของซีเลนที่เป็นสีเทา แล้วก็อาวุธที่ซีเลนใช้ล่ะมั้ง ตอนนี้ผมคิดไปแล้วล่ะว่าซีเลนเป็นลูกครึ่งแน่ๆ เซนไทน์มีร่างกายสีดำ ยูนิกม่ามีร่างกายสีเงิน ผสมๆ กันออกมาแล้วก็เป็นสีเทาๆ อย่างซีเลนนี่แหละ ที่อยากรู้กว่านี้ก็คือ มันใช่ลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตาแน่หรือเปล่า
ทุกคนมองหน้าซีเลนอย่างขอคำตอบ ซีเลนเลยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“คงจะปิดไม่ได้อีกแล้วสินะ บอกก็ได้”
เจเนซิสยอมปล่อยมือออกจากซีเลนในตอนนี้ สายตาจับจ้องซีเลนอย่างลุ้นระทึก ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะขยับขึ้นเบาๆ
“เจ้าหญิงซีเลนาตาของพวกนาย... เป็นแม่ฉัน”
เจเนซิสกับคีธเบิกตาโต ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาฉับพลัน จะโค้งคำนับก็ทำไม่ลง จะพูดก็พูดไม่ออก เอาแต่ยืนนิ่งจนผมที่ยืนมองอยู่แทรกเข้าไปกลางวง ประจันหน้ากับซีเลนแทน
“นายต้องเล่าทุกอย่างให้พวกเราฟัง เดี๋ยวนี้!”
-------------------------------------------------------
กวินทร์ยังคงกวนไม่เลิก เค้าออกจะเครียดกัน 555
ซีเลนนี่ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวหื่นๆ ธรรมดาๆ นะ เป็นถึงเจ้าชายเชียว เป็นทั้งเจ้าชายแห่งเซนไทน์ ทั้งเจ้าชายแห่งยูนิกม่าด้วย ลำบากคีธละทีนี้ ถ้าซีเลนจะเอากวินทร์ก็คงขัดคำสั่งไม่ได้ กร๊ากกกก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.31]--16\7/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 17-01-2016 22:13:51
อ้างถึง
“อย่ากวนตีนสิกวินทร์”
:jul3:
รู้สึกเหมาะที่สุด
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.31]--16\7/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 17-01-2016 22:41:13
ลุ้นๆ  :katai3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.31]--16\7/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 17-01-2016 23:15:17
ลุ้นระทึกแบบฮาๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.31]--17/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 19-01-2016 19:31:39
ว้าวววว เหมือนได้ดูหนังไซไฟน์ประมาณ the guardian of the galaxy
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.31]--17/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 20-01-2016 19:14:15
Episode 32: Genesis is a prince[1]
ใจผมอยากกลับไปที่แหล่งกบดานของพวกยูนิกม่าเพราะกลัวว่าเซนไทน์จะตามมาอีก แต่อาการบาดเจ็บของผมทำให้คีธร้องขอซีเลนให้พาไปที่ห้องเพื่อทำแผลก่อน ซีเลนมันเคยปฏิเสธคนที่ขอมาที่ห้องมันซะที่ไหน หื่นๆ อย่างมันก็ต้องตอบรับหมดอยู่แล้ว ขนาดหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ มันยังไม่วายพูดทีเล่นทีจริงกับคีธอีก
“ไว้กวินทร์เผลอแล้วเจอกันนะคีธ ไม่สิ คีทาเย”
เหอะ เจอกันปู่มึงสิไอ้ซีเลน! อย่าคิดว่าช่วยชีวิตกูไว้แล้วจะมาชิงคนของกูไปง่ายๆ นะเว้ย!
ดีที่คีธมันไม่ได้บ้าจี้แบบเห็นซีเลนมีพระคุณเลยถวายตัวให้ไปปู้ยี่ปู้ยำ เอาแต่เงียบแทน ถ้าเป็นเวลาปกติ คีธมันคงสวนคืนไปแล้ว แต่นี่รู้ว่าซีเลนมันเป็นเจ้าชายอีกพระองค์ของพวกเซนไทน์และยูนิกม่า ก็เลยพูดไม่ออก ปล่อยให้ซีเลนพล่ามไปตามเรื่องขณะที่ผมนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา รอให้เจเนซิสทำแผลให้
“หลังกวินทร์นี่ข๊าวขาว นุ่มมืออีกต่างหาก เสียดายที่มีแผลซะละ” มันว่าพลางเอื้อมมือมาจะจับแผ่นหลังของผมที่ไร้เสื้อ
ทว่าคีธไวกว่า คว้ามือซีเลนหมับ มองหน้าด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่นัก ปากก็เรียกซีเลนไปด้วย
“องค์...ชาย...”
ฟังก็รู้เลยว่ามันกัดฟันพูด ไอ้ซีเลนได้ทีก็เอาใหญ่ ยิ้มเผล่แล้วเหลือบมองมือตัวเองที่ถูกคีธจับอยู่สลับกับมองหน้าคีธ
“กล้าขัดใจองค์ชายเหรอ”
ผมลุ้นระทึกว่าคีธจะเอายังไง สุดท้ายมันก็ยอมปล่อยแล้วว่าเสียงเรียบ
“ฝ่าบาทคงห่างการอบรมจากราชสำนักไปนาน คงไม่รู้ธรรมเนียมของชาวยูนิกม่าว่าเราจะไม่ยุ่งกับแม่พันธุ์หรือโฮสต์ของกันและกัน”
“ใครสนล่ะ ฉันไม่ใช่ยูนิกม่าแท้ๆ ซะหน่อย” ซีเลนยังกวนประสาท แถมยังยั่วโมโหคีธด้วยการดึงเจเนซิสที่นั่งอยู่ปลายเท้าผมให้ลุกขึ้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแทนที่ “เดี๋ยวฉันทำแผลให้กวินทร์เอง”
ว่าจบก็หันไปหลิ่วตาให้คีธเล็กน้อย พลางเอาอุปกรณ์ทำแผลมาไว้ในมือ
หัวคิ้วของคีธย่นยู่ทันที มือทั้งสองข้างก็กำแน่น ดูก็รู้เลยว่ามันโคตรจะหงุดหงิดเพราะทำอะไรไม่ได้ และก่อนที่มันจะได้ต่อยหน้าไอ้องค์ชายหื่นกามที่จู่ๆ ก็กลายมาเป็นเจ้านายมันแบบไม่ทันตั้งตัว ผมก็รีบดันตัวขึ้นแล้วพูดใส่หน้าซีเลนเสียงแข็ง
“ลุกไป”
“เอ้า ลุกขึ้นมาทำไมล่ะกวินทร์ นอนลงไปสิ เดี๋ยวฉันทำแผลให้ ...จะทำอย่างเบามือจนไม่รู้สึกเลย” ปลายประโยคว่าสองแง่สองง่ามตามประสา แต่ผมไม่สนุกกับมันด้วย พูดเสียงแข็งอีกครั้ง
“บอกให้ลุกไป แผลนี่ฉันจะให้คีธทำ”
“จุ๊ๆ ไม่เอาน่า อย่าดื้อสิกวินทร์คนน่ารัก ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะเบามือ” ซีเลนไม่ยอมหยุด แถมยังกดผมนอนดังเดิมอีก
มึงหน้าด้านเกินไปแล้วไอ้ซีเลน! ยั่วโมโหไอ้คีธมันอยู่ได้ เดี๋ยวมันก็หาว่ากูยอมให้มึงแตะเนื้อต้องตัวแล้วก็มาฆ่ากูจนได้หรอก!
 “อย่ามาแตะตัวฉันนะเว้ย! บอกแล้วไงว่าให้คีธทำ!”
ผมเลยต้องแสดงให้คีธเห็นหน่อยว่าคือกูขัดขืนแล้วนะ แต่ไอ้ซีเลนมันไม่ยอมปล่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันได้มาฆ่าผมจริงๆ แน่ ทั้งเตะขา ทั้งถีบ ทั้งสะบัด คีธกับเจเนซิสไม่ห้ามผมสักนิดที่ทำกับเจ้าชายของพวกมันแบบนี้ ส่วนซีเลนก็ยังดึงดันจะทำแผลให้ผมให้ได้
“อยู่นิ่งๆ น่า เดี๋ยวดีเอง” พูดอย่างเดียวไม่พอ แม่งกดผมลงนอนแล้วโถมตัวทับลงมาอีก
นี่ต่อหน้าต่อตาผัวกูนะเว้ย! เดี๋ยวไอ้คีธมันก็ได้ก่อกบฏหรอก!
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด พอซีเลนคร่อมผมปุ๊บ คีธก็เข้ามากระชากคอเสื้อซีเลนแล้วดึงออกจากผมปั๊บ ไวกว่านั้นคือดึงผมให้ลุกจากโซฟาแล้วรวบเข้ามากอดแน่นด้วยแขนข้างเดียวอีกด้วย
“องค์ชาย...” ตามด้วยเรียกซีเลนเสียงเรียบประหนึ่งเตือน
ซีเลนลุกขึ้นนั่ง เสยปอยผมที่ปรกหน้าแล้วหัวเราะในลำคอ
“เออๆ ไม่ยุ่งก็ได้ หยอกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นหวง”
นิดหน่อยบ้านมึงสิไอ้ซีเลน! นี่ถ้ามึงปล้ำกูได้ มึงคงทำไปแล้ว!
“หม่อมฉันว่าเราอย่าเพิ่งมาเล่นกันอยู่เลย นี่เรื่องใหญ่ หม่อมฉันอยากฟังจากองค์ชายว่าตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่”
เจเนซิสห้ามทัพโดยการถามเรื่องที่ตัวเองอยากรู้ ผมก็อยากรู้ คีธก็เช่นกัน คาใจมานานละเรื่องซีเลนเนี่ย
ซีเลนพ่นลมหายใจออกมา ทิ้งอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่ในมือแล้วยกมือทั้งสองข้างมาประสานไว้ที่ท้ายทอย วางท่าทางสบายๆ ขณะพูด
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันก็แค่เป็นลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตาของพวกนายที่เกิดจากกษัตริย์เซนไทน์รัชกาลปัจจุบันก็เท่านั้น แล้วก็เป็นลูกครึ่งอย่างที่พวกนายเห็น”
ทุกคนที่ฟังย่นคิ้วไปกับการเล่าแบบกำปั้นทุบดินของมัน ดูท่าทางมันไม่ค่อยอยากจะพูดถึงอดีตของตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ผมจับจุดอ่อนมันได้ไง ในเมื่อมันไม่อยากเล่า ก็ต้องมีข้อต่อรองกันหน่อย
“เล่าให้ละเอียดสิวะ เอาข้อมูลมาแลกกับเจเนซิส หมอนั่นจะไปนอนกับนายคืนนึงถ้านายยอมเล่าแบบหมดเปลือก กระซิบบอกฉันมาแล้วตอนเดินกลับมาที่นี่”
เจเนซิสหันขวับมามองผมที่จู่ๆ ก็เอามันไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน แถมยังอ้าปากทำท่าเหมือนจะปฏิเสธด้วยว่ามันไม่ได้พูดอะไรออกมาสักแอะ โดยเฉพาะเรื่องการเสนอตัวให้ซีเลนเนี่ย แต่ใครจะสนล่ะ ได้กับซีเลนไปก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องถ่านไฟเก่าของมันกับคีธจะประทุขึ้น
“เหรอ... น่าสนใจดีนี่” ส่วนซีเลน พอได้ยินอย่างนั้นก็มองเจเนซิสตาเยิ้มเชียว เจเนซิสกลืนน้ำลายเอื้อก สายตาที่เหลือบมองผมดูอาฆาตมาดร้ายสุดชีวิต ทว่าก็ถูกเบนความสนใจไปเมื่อซีเลนเปิดปากขึ้น
“ก็อย่างที่รู้กันแหละว่าฉันเป็นลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตา ฉันเองก็มีชื่อเต็มๆ ว่าซีเลนาตา พ่อตั้งให้น่ะ ส่วนพ่อกับแม่ฉันก็แต่งงานกันโดยไม่ได้รักกันเพราะเหตุผลทางการเมือง... ไม่สิ ต้องพูดว่าพ่อฉันรักแม่ แต่พ่อมีมเหสีอยู่แล้วซึ่งก็คือแม่ของลาร์ซิโอนีย์ แม่ก็เลยเป็นได้เพียงตัวประกันจากยูนิกม่าเท่านั้น ถึงจะเป็นตัวประกัน ทว่าตอนฉันเกิดมา ฉันก็ได้รับการศึกษาและการเลี้ยงดูเหมือนลาร์ซิโอนีย์ทุกอย่างนะ ทั้งด้านการรบ การเมืองการปกครอง และอื่นๆ แต่ฉันเหนือกว่าลาร์ซิโอนีย์หน่อยตรงที่ฉันเก่งเรื่องบู๊มากกว่าหมอนั่นที่เก่งเรื่องบุ๋น คงเพราะฉันเป็นลูกครึ่งเลยมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าหมอนั่นล่ะมั้งเลยถนัดด้านนี้”
“งั้นก็แสดงว่านายเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่สอง?” ผมถาม
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ถ้าจู่ๆ ปู่ฉันไม่บ้าเอาแม่ไปต่อรองกับตาซึ่งเป็นกษัตริย์ของยูนิกม่าขึ้นมาแลกกับการใช้ชาวยูนิกม่าเป็นพลังงานจนแม่ถูกฆ่าล่ะก็ ฉันก็คงจะได้ตำแหน่งนั้น” ซีเลนหยุดพูดไป แววตาขี้เล่นประกายวาวเล็กน้อยราวกับถูกกลบด้วยน้ำตา น้ำเสียงก็ฟังดูเศร้าแปลกๆ ทว่าผมก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่ซีเลนจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ แม่ถูกฆ่าทั้งคนนี่
ถึงจะดูเหมือนไม่ควรถาม แต่ผมก็ยังอยากรู้รายละเอียดลึกลงไปกว่านี้ หากแต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นคนถาม เป็นเจเนซิสที่เอ่ยขึ้นเสียงเบา
“หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทและพระมารดาเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
ซีเลนชำเลืองมองหน้าเจเนซิสเล็กน้อย แสยะยิ้มเศร้าๆ ออกมาก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าต่อ
“พอตาไม่ยอม ปู่ก็พาฉันกับแม่ไปขังไว้ในคุกใต้ดิน พวกเราสองแม่ถูกขังอยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ฉันก็จำไม่ได้นัก ตอนนั้นฉันเพิ่งจะสี่ขวบ รู้ตัวอีกทีก็มีทหารของเซนไทน์เข้ามาที่ห้องขัง แล้วแม่ก็ถูกฆ่าอย่างทารุณ ฉันเองก็ถูกฆ่าเหมือนกัน น่าเสียดายที่ดันไม่ตาย แต่ก็เจ็บหนักเอาการ นอนจมกองเลือดข้างศพแม่อยู่อย่างนั้นเกือบอาทิตย์ มาถูกพาตัวออกไปก็ตอนที่พ่อรู้ว่าแม่กับฉันถูกปู่พาไปฆ่า ก่อนพ่อจะพาฉันหนีไปอยู่ที่ดาวดวงอื่นแล้วส่งคนไปเลี้ยงดูฉันแทนที่นั่น เลี้ยงแบบ...พ่อไม่เคยโผล่หัวมาดูดำดูดีเลยน่ะ มีอะไรก็ส่งคนมารายงานอย่างเดียว”
ฟังแล้วผมก็สงสารซีเลนขึ้นมาจับใจ ตอนที่แม่มันถูกฆ่า มันเพิ่งจะสองขวบมนุษย์โลกเองด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนหื่นๆ ไม่เอางานเอาการอย่างมันจะมีอดีตน่าเศร้าขนาดนี้
“แล้วที่องค์ชายมาที่นี่ องค์ชายหนีมาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เจเนซิสถามอีกครั้งราวกับรู้ทัน
“ก็ต้องหนีสิ ใครจะไปทนอยู่กับพวกที่ฆ่าแม่ตัวเองได้กัน ถึงพ่อจะรักแม่และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของปู่ก็เถอะ แต่พอฉันได้ยินว่าปู่ตายและพ่อขึ้นครองราชย์ แถมยังออกคำสั่งให้พวกทหารตามล่าตัวแอสโซซิโนให้มาแต่งงานกับลาร์ซิโอนีย์ ฉันก็รับไม่ได้ เลยมาที่นี่อย่างที่พวกนายเห็นนั่นแหละ นับๆ ดูก็น่าจะสองปีได้แล้วมั้ง”
สองปี... ถ้าจำไม่ผิดก็ช่วงเดียวกับที่คีธเดินทางร่อนเร่อยู่ในอวกาศเลยนี่นา ตอนนั้นมันคงอายุยี่สิบปีมนุษย์โลกล่ะมั้ง
“งั้นก็แสดงว่าที่ฝ่าบาทมาที่นี่ เป็นการมาตามหาองค์ชายแอสโซซิโน?” คราวนี้คีธเป็นฝ่ายถาม
ซีเลนพยักหน้าพลางยิ้ม “ใช่ แต่ก็แค่มาช่วยพาแอสโซซิโนหนีจากพวกเซนไทน์ก็เท่านั้นแหละนะ ไม่ได้มาตามให้ลาร์ซิโอนีย์”
“พาหนีทำไม” ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น
ซีเลนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ “พาหนี... เพราะไม่อยากให้ลูกที่เกิดมาระหว่างแอสโซซิโนกับลาร์ซิโอนีย์มีชะตากรรมเหมือนฉันน่ะสิ อีกอย่าง แอสโซซิโนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน”
“แต่ลาร์คก็เป็นพี่น้องนายไม่ใช่เหรอ” ผมสวนขึ้น
“ถ้านับตามศักดิ์แล้ว หมอนั่นมีศักดิ์เป็นพี่นะ อายุห่างกันสี่ปีเซนไทน์ แต่ถ้าจะให้นับญาติด้วยล่ะก็ เหอะ ไม่เอาล่ะ นับญาติกับทางยูนิกม่าดีกว่า แค่คิดว่าในตัวฉันมีสายเลือดของเซนไทน์อยู่ ฉันก็ขยะแขยงตัวเองจะแย่แล้ว”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก นอกจากผมที่ได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจได้ว่าการกระทำแปลกๆ ทุกอย่างของซีเลนตั้งแต่ที่ผมเจอหน้ามันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ก็เพื่อหาเบาะแสของชาวยูนิกม่าและตามตัวแอสตันนั่นเอง งั้นก็แสดงว่ามันอยู่ข้างเดียวกับแอสตันน่ะสิ
เจเนซิสกับคีธก็คงคิดเช่นนั้น ทั้งคู่ก็มองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะพร้อมใจกันคุกเข่าคำนับซีเลนโดยไม่ได้นัดหมาย
“เช่นนั้นก็ต้อนรับกลับสู่ยูนิกม่าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจเนซิสกล่าวโดยที่คีธไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ
ซีเลนหัวเราะลั่นทันใด “ไม่ต้องมาเรียกฉันฝ่าบงฝ่าบาทอะไรหรอก ขนลุกว่ะ เรียกธรรมดานี่แหละ ฉันไม่คิดจะกลับไปเป็นเจ้าชายหรอกนะ ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม เป็นซีเลนแบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องคิดอะไร สบายใจดี”
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความเหงาของมันจากน้ำเสียงนั่น ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจเมื่อคีธพูดขึ้น
“ถึงอย่างนั้น หม่อมฉันก็ต้องปฏิบัติกับฝ่าบาทเฉกเช่นเชื้อราชวงศ์พระองค์อื่น และจะเป็นพระกรุณาอย่างมากหากฝ่าบาททรงตามพวกเราไปที่พำนักของพวกเรา”
“ที่พำนักเหรอ?” ซีเลนเลิกคิ้วสูง ให้เจเนซิสเป็นคนตอบ
“ที่ซ่อนขององค์ชายแอสโซซิโนพ่ะย่ะค่ะ”
ซีเลนร้องอ๋อ ก่อนตอบตกลง “เอาสิ ฉันก็อยากเจอลูกพี่ลูกน้องตัวเองเหมือนกัน ดูซิว่าจะหล่อสู้ฉันได้หรือเปล่า” ว่าจบ มันก็ลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา
คีธกับเจเนซิสลุกขึ้นยืน ก่อนเจเนซิสจะร้องสั่ง “ทำแผลให้กวินทร์เร็วเข้า เราจะได้ไปกัน”
คีธพยักหน้า ดึงผมให้ลงไปนั่งบนโซฟาอีกครั้งแล้วดันให้ผมนอนคว่ำ จัดการทำแผลให้ทันใด มือของคีธเบาจนผมแทบไม่รู้สึก ผมเลยใช้เวลาตอนนี้ครุ่นคิดเรื่องของซีเลนไปด้วย ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าซีเลนรู้ได้ยังไงว่าผมกับพวกคีธถูกเซนไทน์ตามมา เท่านั้นก็ร้องถามออกไปทั้งที่ยังนอนอยู่ท่าเดิม
“ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงน่ะว่าฉันถูกพี่ชายนายส่งคนมาตาม”
“เสียงของนายไงล่ะ ตอนนายร้องเรียกคีธน่ะ ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย”
“หือ?”
“ความสามารถพิเศษของยูนิกม่า” คีธว่า ผมพยักหน้าเออออ เกือบลืมไปเลยว่าซีเลนมันเป็นลูกครึ่ง มันจะมีความสามารถพิเศษของทั้งสองสายพันธุ์ก็ไม่แปลก
“งั้นก็แสดงว่าที่นายตามมาถูกก็เพราะ...”
“กลิ่นของฉันที่อยู่ในตัวนาย” ซีเลนชิงตอบก่อนที่ผมจะพูดจบ
คีธชะงักมือที่กำลังเช็ดคราบเลือดแห้งกรังให้ผมอยู่ทันใด สูดลมหายใจเข้าปอดราวกับกำลังสงบสติอารมณ์ แหม หึงล่ะสินะ ก็มีกลิ่นของคนที่มันสั่งหนักหนาว่าไม่ให้ผมเข้าใกล้อยู่ในตัวผมนี่ หึงก็ไม่แปลก
ผมยิ้มกริ่มที่ได้เห็นท่าทางหึงหวงของคีธที่นานๆ จะโผล่มาให้เห็นที แล้วทำเป็นไม่สนใจ ถามซีเลนต่อ
“แล้วนายจะมาช่วยฉันทำไม ไม่เกี่ยวกับนายแท้ๆ”
“ก็ไม่ได้อยากช่วยหรอก ขี้เกียจมีเรื่องกับลาร์ซิโอนีย์ แต่เพราะฉันชอบนายไงเลยต้องช่วย บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าอยากกินๆ ยังจำไม่ได้อีกหรือไง”
คราวนี้คีธเช็ดแผลผมซะอย่างแรงจนผมร้องโอ๊ยเลย พอหันจะไปแหวมัน คีธก็ดึงผมขึ้นนั่งแล้วดึงเข้ามาชิดอกตัวเอง หันไปมองหน้าซีเลนอย่างเอาเรื่อง
“หม่อมฉันคงต้องขอย้ำฝ่าบาทอีกทีว่าตามธรรมเนียมของชาวยูนิกม่า เราจะไม่ยุ่งกับแม่พันธุ์และโฮสต์ของกันและกัน”
“เออๆ รู้แล้ว นายนี่ก็หวงจริง ไม่ทำหรอกน่า” ซีเลนทำหน้ารำคาญ โบกมือใส่คีธเป็นพัลวัน ทว่าก็ไม่วายทิ้งท้ายให้คีธได้ส่งเสียงจึ๊ในลำคอ “แต่ถ้านายเผลอล่ะก็ไม่แน่”
ตอนนี้สีหน้าคีธออกหมดเลยว่าหึงผมแค่ไหน แล้วก็ดูโกรธแค้นที่ทำอะไรซีเลนไม่ได้เหมือนเดิมเพราะมันดันเป็นเจ้าชายด้วย มันก็เลยหันมาเล่นงานผมแทน
“ถ้ากวินทร์ยอมให้องค์ชายแตะเนื้อต้องตัวล่ะก็...ตาย”
เอ้า! แล้วถ้ามันใช้กำลังกดกูเล่า! คิดถึงข้อนี้ด้วยสิวะ!
ผมบุ้ยปากด่ามันเบาๆ ไม่นานก็ต้องลอบยิ้มออกมาแล้วฝังจมูกลงบนแก้มมันอย่างหมั่นเขี้ยวแทน
น่ารักฉิบ... หึงกูอีกสิ เอาอีก กูชอบ
“นี่ไม่ใช่เวลามาอ่อยนะกวินทร์ รีบๆ ให้คีทาเยทำแผลให้เสร็จเร็วๆ เข้า จะได้ไปกัน” เจเนซิสเห็นผมทำอย่างนั้นก็ขัดขึ้นมาเลย
ผมเลยหันไปขมุบขมิบปากด่ามันด้วยอีกคน พลันปล่อยให้คีธปิดผ้าก๊อซที่หลัง ดีที่แผลนั่นไม่ได้ลึกมากเลยไม่ต้องไปโรงพยาบาลให้ยุ่งยาก ใช้เวลาทำแผลไม่นานก็เสร็จสิ้น ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทางไปยังบ้านของพวกไบโทป
 
พวกเรามาถึงตรอกที่เป็นแหล่งกบดานในเวลาไม่นานและไม่มีเซนไทน์ตัวไหนโผล่มาตามล่าอีก เจเนซิสร้องเรียกอยาครู่หนึ่ง หลุมดำก็ปรากฏให้เห็นที่ข้างกำแพงเก่าๆ ที่เดิม ทว่าพอบรูคลินที่เป็นคนเปิดประตูให้เห็นหน้าซีเลนที่โบกมือทักเท่านั้น มันก็รีบปิดหลุมดำทันที ดีที่เจเนซิสร้องห้ามไว้ได้ทันและอธิบายคร่าวๆ ว่าซีเลนมาดี รวมถึงได้คีธยืนยัน บรูคลินเลยยอมให้ซีเลนเข้ามาข้างในได้แม้ว่าสีหน้ามันจะบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรไม่ไว้ใจซีเลนเลยก็ตาม
และแน่นอนว่าพอซีเลนเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่มีแอสตันกับริชาร์ดนั่งประชุมอยู่กับผู้พิทักษ์และชาวยูนิกม่าคนอื่นๆ ริชาร์ดก็มีสีหน้าตระหนกตกใจไปเหมือนกัน ส่วนแอสตันก็ตั้งท่าหวงก้างทันทีเพราะมันจำได้ดีว่าซีเลนเคยไล่ตามก้นริชาร์ดต้อยๆ เพื่อจะปล้ำ แต่พอเจเนซิสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังและบอกว่าซีเลนเป็นพระญาติผู้พี่ของแอสตัน ท่าทางเหมือนหมาหวงเจ้าของของแอสตันก็หายไป
จริงๆ จะเรียกว่าหายก็ไม่ได้หรอก เรียกว่าไม่มั่นใจแต่เอนอ่อนลงมากกว่าด้วยเชื่อในคำพูดของเจเนซิส ทว่าพอซีเลนยืนยันโดยการคืนร่างเดิมให้ดูแล้ว แอสตันก็อดเชื่ออย่างสนิทใจไม่ได้ว่าซีเลนคือลูกของป้ามันจริงๆ อย่างที่ว่า ก็จะไม่ให้เชื่อได้ยังไงล่ะ ถึงจะเป็นลูกครึ่งแต่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับยูนิกม่าผสมเซนไทน์อย่างนั้น ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว
“สะ...เสด็จพี่” แอสตันครางราวกับสติหลุด ก่อนจะผายวงแขนออกแล้วตรงเข้าไปสวมกอดซีเลนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ยินดีต้อนรับกลับสู่ยูนิกม่า”
มึงไม่ต้องบอกว่ายินดีต้อนรับหรอกไอ้แอสตัน กูว่ามึงไม่ได้เต็มใจให้มันกลับมาเท่าไหร่เลยนะ รู้นะเว้ยว่ามึงกลัวว่าเมียมึงจะโดนมันปล้ำ
“ดีใจที่ได้เจอนายเหมือนกันแอสโซซิโน หน้าตาน่ารักอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ลาร์ซิโอนีย์ถึงได้อยากได้ตัวนายไปเป็นเมียนัก ถ้าไม่ติดว่าเราเป็นญาติกัน ฉันจะชวนนายขึ้นเตียง” ซีเลนกอดตอบ ทักทายด้วยประโยคที่ริชาร์ดโคตรไม่อยากจะได้ยินที่สุดด้วย
และเพราะซีเลนพูดประโยคนี้ ริชาร์ดที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกก็พุ่งเข้าไปแทรกกลางระหว่างผัวมันกับซีเลนทันที แล้วทำหน้าเมากัญชาใส่ซีเลนด้วย แต่ซีเลนไม่สนใจ เห็นหน้าริชาร์ดก็ยิ้มเผล่
“ว่าไงริชาร์ด กอดกับแอสโซซิโนหน่อยเดียวเอง แค่นี้หึงฉันเหรอ”
มันไม่ได้หึงมึงเว้ย! มันกลัวมึงปล้ำผัวมันต่างหาก!
เจเนซิสเล่าเรื่องที่พวกเราถูกเซนไทน์ตามล่าตบท้ายให้ทุกคนฟัง ก่อนแอสตันจะเข้าเรื่องซีเรียสอีกครั้ง
“งั้นเราต้องระวังตัวขึ้นให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะนายนะกวินทร์ พวกมันมาตามตัวนายเพื่อจะเอานายไปต่อรองกับเสด็จพี่อย่างนี้ เราว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว” แอสตันหันมาบอกผม ผมเลยว่าเหน็บไป
“ถ้าไอ้เสด็จพี่เฮงซวยของนายไม่มาบังคับจูบฉันล่ะก็ ฉันคงไม่ซวยอย่างนี้หรอก”
“กวินทร์... อย่าจาบ...” คีธที่อยู่ข้างหลังผมโพล่งขึ้นด้วยเสียงกระซิบ ทว่าพูดไม่ทันจบประโยค หมอนั่นก็หยุดไปแล้วว่าออกมาเบาๆ “ช่างเถอะ ด่าได้ตามสบาย”
มึงกระดากใจที่จะปกป้องไอ้ซีเลนมันล่ะสินะ กูรู้ คู่อริของมึงนี่!
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันไปคุยกับลาร์ซิโอนีย์เองว่าอย่ามายุ่งกับกวินทร์ จริงๆ หมอนั่นก็แค่อยากให้ฉันมาช่วยงานก็เท่านั้น งานที่ว่าก็ตามหานายนั่นแหละแอสโซซิโน แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้วแฮะ อยากนอนจัง หิวด้วย อยากหาคนมาป้อนพลังงาน” ซีเลนว่าด้วยท่าทางสบายๆ สายตาก็มองปราดไปยังเจเนซิสด้วย
คงได้เวลาทวงข้อแลกเปลี่ยนแล้วสินะ... ข้อแลกเปลี่ยนอะไรน่ะเหรอ? ก็ไอ้ข้อแลกเปลี่ยนที่ผมบอกมันว่าเจเนซิสจะยอมนอนกับมันคืนนึงแลกกับการที่มันเล่าอดีตของมันให้ฟังไง
เจเนซิสเหมือนจะรู้ตัว กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ก่อนจะทำตัวยุ่งขึ้นมากะทันหัน
“มะ...หม่อมฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องให้สะสาง เมื่อช่วงบ่ายพวกที่อยู่ในนาซ่าโทรมาปรึกษาเรื่องพัฒนาระบบควบคุมยาน มะ...หม่อมฉันคงต้องขอตัวไปตรวจสอบข้อมูลก่อน บะ...บรูคลิน นายเป็นเจ้าบ้าน ฝากปรนนิบัติองค์ชายด้วย” แล้วมันก็โยนหน้าที่ไปให้บรูคลินที่ยืนเซื่องๆ อยู่ไม่ไกลทันใด
บรูคลินเบิกตาโพลง อ้าปากจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันแล้ว เจเนซิสพูดจบก็พุ่งออกจากบริเวณนั้นไปด้วยความเร็วแสง ริชาร์ดเองก็ถลาเข้าไปหลบหลังแอสตันด้วยกลัวว่าความซวยจะตกมาที่มัน ส่วนผมก็ถูกคีธรวบเอวไว้
หึ... กลัวกูจะถูกไอ้ซีเลนลากไปปล้ำล่ะสิ
ดีที่ซีเลนมันไม่หน้ามืดมาคว้าริชาร์ดหรือผมไปแทน พอเจเนซิสโยนมาให้บรูคลิน มันก็จ้องบรูคลินตาวาว พลางว่าออกมา
“ว่าไงช่างแต่งหน้า ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ” แล้วมันก็เดินไปโอบเอวบรูคลินหน้าตาเฉย
บรูคลินสะดุ้งเฮือก พยายามเสือกไสซีเลนที่เอาหน้าเต็มไปด้วยเคราซุกไซ้ที่ซอกคอออกห่าง ส่งสายตามาขอความช่วยเหลือจากทุกคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วย ทว่าใครจะไปช่วยมัน นั่นองค์ชายแห่งยูนิกม่าเลยนะ ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าชายที่มีสิทธิในบัลลังก์ก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเป็นองค์ชาย ทุกคนเลยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ส่วนผมน่ะเหรอ...
หึๆ ภาวนาขอให้มันโดนจัดหนักทั้งคืนเลยล่ะ!
จังหวะเดียวกันเอง เบนที่ไปเตรียมห้องนอนให้ซีเลนก็โผล่เข้ามาพอดี พอเห็นพี่ชายถูกไอ้หื่นซีเลนลวนลามก็ชะงักกึก สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าตกใจสุดอะไรสุด ซีเลนเองก็ชะงักไปเหมือนกัน มองหน้าเบนอย่างกะลิ้มกะเหลี่ยทันใด
“หน้าตาคล้ายช่างแต่งหน้าเลยแฮะ หรือนี่จะเป็น... น้องชายนาย?”
บรูคลินไม่ตอบ เหลียวไปมองเบน ขยิบตาให้เป็นสัญญาณให้เบนหนีไป แต่ไอ้เด็กเบนดันซื่อเกินเหตุ ตอบรับซีเลนซะอย่างนั้น
“พะ...พ่ะย่ะค่ะ”
“ดีเลย จะได้ควบทั้งพี่ทั้งน้อง หิวจัดพอดี” ซีเลนว่าเองเออเองอย่างเดียวไม่พอ ยังลากบรูคลินถลาเข้าไปโอบเอวเบนด้วยอีกคน กว่าเบนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ถูกซีเลนมันลากไปชั้นบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่ามึงพรากผู้เยาว์นะไอ้ซีเลน ส่วนไอ้บรูคลินน่ะมึงพรากผู้เฒ่า เห็นมันบอกคราวก่อนว่ามันอายุมากกว่ากูกับมึงปีนึง แต่พอเหลียวไปเห็นสีหน้าของริชาร์ดที่ดูสะใจแล้ว ผมก็หุบปากเงียบ
เอาเถอะ ถือว่ายืมมือซีเลนมันจัดการก็แล้วกัน
ขอให้โดนกินอย่างสาสมไอ้สองพี่น้องเปรตวัดสุทัศน์!
 

หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.31]--17/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 20-01-2016 19:15:09
Episode 32: Genesis is a prince[2]
ผมยังคงต้องไปทำงานในวันรุ่งขึ้น คีธมาไม่ได้เพราะติดประชุมเรื่องแผนการเดินทางไปที่วอชิงตันในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อเตรียมพร้อมอพยพก่อนยานจะได้รับการพัฒนาเสร็จสิ้น ริชาร์ดก็ไม่มาทำงานอีกเช่นเคย ตอนนี้มันโกหกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ไปละหลังจากหยุดมานานจนด็อกเตอร์มาร์ตินเริ่มสงสัย ดีที่วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้าย ด็อกเตอร์มาร์ตินก็เลยไม่ว่าอะไร หนำซ้ำจะไปเยี่ยมริชาร์ดอีก ผมเลยรีบบอกว่าพ่อแม่มันมารับกลับไปรักษาตัวที่นิวยอร์กแล้ว ถึงจะโกหกไม่เนียนแต่ด็อกเตอร์มาร์ตินก็ยอมเชื่อเพราะมีเรื่องสำคัญมากกว่าให้สนใจ
เจเนซิสก็ยังมาเฝ้าผมอย่างเคยตามคำสั่งของคีธ วันนี้มันขับรถคันใหม่มา ผมเพิ่งรู้ในตอนนี้นี่แหละว่าพวกยูนิกม่ามีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในโลกมนุษย์เป็นจำนวนมหาศาล อารมณ์เหมือนมาทำธุรกิจผิดกฎหมายที่นี่ชะมัด แต่ไม่ใช่ เป็นเงินที่พวกมันรวบรวมมาจากการแฝงตัวเข้าไปทำงานตามองค์กรชั้นนำระดับโลกต่างๆ ทั้งสิ้น
ซีเลนกับบรูคลินก็มาทำงานพร้อมผมเช่นกัน ระหว่างทางที่นั่งรถมา บรูคลินไม่พูดอะไรสักแอะ ส่วนซีเลนก็เล้าโลมนัวเนียบรูคลินไม่เลิก มันเกือบจะกดไอ้เปรตนั่นในรถแล้วด้วยถ้าเจเนซิสไม่ขัดขึ้นก่อน
“กรุณาวางพระองค์ดีๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ การผูกพันหาใช่เรื่องควรเปิดเผย”
นั่นแหละ บรูคลินเลยรอดจากการถูกปล้ำมาหวุดหวิด แต่ตอนลงจากรถ ผมก็เห็นมันเดินกะเผลกอย่างทุลักทุเล มือข้างหนึ่งประคองสะโพกขณะเดินไปด้วย เท่านั้นผมก็รู้เลยว่าเมื่อคืนซีเลนคงไม่ได้ปราณีแน่
ความจริงรู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงครวญครางดังแว่วมาจากห้องของซีเลนแล้วล่ะ ทั้งบรูคลินทั้งเบน ร้องประสานกันอย่างกับหมาหอน ทำเอาคนในบ้านสยองขวัญสั่นประสาทไปตามๆ กันเลยเพราะจินตนาการไม่ออกว่าซีเลนมันทำอะไรบ้าง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจ นอกจากทำงานให้เสร็จๆ ไป พอเลิกงานก็บอกลาด็อกเตอร์มาร์ตินกับผู้กำกับวิลล์ รวมถึงทีมงานคนอื่นๆ เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องแยกจากกันแล้ว ผู้กำกับวิลล์ชวนผมไปร่วมปาร์ตีที่บ้านเขาเพื่อส่งท้ายเหมือนเคย แต่ผมปฏิเสธไปเพราะอยากใช้เวลากับคีธมากกว่าโดยอ้างว่าดึกแล้ว อยากพักผ่อน
และเพราะคิดว่าอยากให้เวลากับคีธ ตอนขากลับจากสตูดิโอก็เจอคีธสมใจอยาก หมอนั่นมายืนรอรับผมอยู่ข้างรถของเจเนซิส พอเห็นหน้าผมก็ตรงเข้ามากอด ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมประหลาดใจขึ้นมา
“เป็นอะไรของนายเนี่ย จู่ๆ ก็กอด”
“คิดถึงกวินทร์... กวินทร์ของฉัน” คีธว่าพึมพำในประโยคแรก แต่ประโยคหลังพูดด้วยน้ำเสียงปกติราวกับต้องการให้เจเนซิสได้ยินด้วย ส่วนผมก็หน้าร้อนเห่อขึ้นมา
อะ...อะไรของมันวะ รู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าทำแบบนี้โคตรจะน่ารักเลย
แล้วผมก็รู้สาเหตุที่มันทำอย่างนี้ตอนหันไปเห็นซีเลนที่เดินมาสมทบทางด้านหลัง
โถ... ที่แท้มึงก็แสดงความเป็นเจ้าของให้ซีเลนมันรู้นี่เอง กูก็นึกว่าจะโชว์ออฟไอ้เจเนซิสมันแบบมารับอะไรงี้ จริงๆ คือกลัวกูจะถูกซีเลนมันทำมิดีมิร้ายตอนมึงเผลอสินะ
“เอ้า มัวพลอดรักกันอยู่นั่น รีบกลับได้แล้ว” เจเนซิสว่าอย่างระอาพลางมองมาที่ผมกับคีธที่กอดกันไม่เลิก
คีธผละออกจากผม พยักหน้ารับ ส่วนผมก็เบ้ปากเป็นวงสวิงให้เจเนซิสรัวๆ
อิจฉากูล่ะสิไอ้เมียเก่า! ตอนพวกมึงคบกัน คีธไม่เคยทำกับมึงอย่างนี้สินะ! เหอะ ไอ้ขี้อิจฉา!
ผมขึ้นรถไปอย่างว่าง่ายเมื่อคีธเปิดประตูให้ วันนี้ซีเลนก็จะไปนอนค้างที่บ้านของพวกบรูคลินเหมือนกัน เหตุผลก็คือแอสตันต้องการให้ซีเลนรับรู้แผนการอพยพด้วย แต่ผมรู้ว่าที่ซีเลนยอมมา มันไม่ได้อยากจะมาฟังแผนอะไรนี่หรอก อยากมาเพราะบรูคลินกับเบนมากกว่า ส่วนบรูคลินน่ะเหรอ... แม่งแกล้งหาเรื่องกลับบ้านดึก ไปร่วมงานปาร์ตีกับทีมงานที่บ้านผู้กำกับวิลล์ ดูก็รู้ว่ามันกลัวจะถูกซีเลนปล้ำ
กูบอกมึงเลยไอ้บรูคลิน ยังไงมึงกลับมาก็ต้องโดน จะช้าจะเร็วมึงก็โดนทั้งนั้น ไม่รอดเงื้อมมือไอ้ซีเลนหรอก
เจเนซิสขับรถไปตามถนน คืนนี้ถนนหนทางก็ดูไร้รถราเช่นเคย เว้นก็แต่บรรดารถหรูที่ขับตามหลังมาเท่านั้น ตอนแรกผมก็ไม่สนใจหรอกแต่จู่ๆ พวกรถนั่นก็ขับมาเบียดเอาๆ จนผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนท้ายรถเจเนซิสเต็มรัก
“เฮ้ย! อะไรวะ!”
ไม่มีใครให้คำตอบ นอกจากพากันคืนร่างเดิม ผมหันไปเห็นก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากพลัน
ยะ...อย่าบอกนะว่า...
“พวกเซนไทน์...” คีธคราง
อีกแล้วเหรอเนี่ย! อะไรของพวกมันหนักหนาวะ ตามติดเป็นเจ้ากรรมนายเวรเลยเว้ยเฮ้ย!
เจเนซิสเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นกว่าเดิมจนผมตัวแทบปลิว ดีที่คีธกอดผมไว้แน่น ผมเลยไม่โคลงเคลงเท่าไหร่นัก แต่ถึงจะเหยียบคันเร่งหนีแทบเป็นแทบตายแค่ไหน สุดท้ายก็ถูกบรรดารถหรูพวกนั้นไล่ต้อนมายังถนนแคบๆ แห่งหนึ่งจนได้
ความมืดของถนนและความเปลี่ยวทำให้ทุกชีวิตในรถมองหน้ากันเป็นการให้สัญญาณว่าไม่ควรอยู่ในรถนาน เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกเซนไทน์ล้อมเอาได้ มีแต่ผมนี่แหละที่คิดไม่ทันพวกมัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกคีธดึงลงจากรถแล้ว
ทว่าพวกเซนไทน์ก็เร็วพอกัน ไม่ทันที่พวกผมจะได้หนี พวกมันก็ลงมาจากรถพร้อมกับคืนร่างเดิม วันนี้พวกมันไม่ได้มาแค่สิบกว่าชีวิต แต่มาถึงยี่สิบ ไม่สิ...อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าคะเนจากจำนวนรถที่จอดล้อมรอบพวกเราจนแน่นเต็มซอยแล้ว
ผมตัวสั่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน คีธจับมือผมไว้แน่น ดันไปหลบข้างหลังพลางว่าเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวกวินทร์ ไม่ต้องกลัว”
กูควรกลัว! เมื่อวานพวกมันเพิ่งจะเฉาะหลังกูไปเอง มึงยังจะบอกให้กูไม่ต้องกลัวอีกเหรอ!
“พวกมันมาตามฉัน คงจะตามกลิ่นฉันจากตัวนายมา ไม่ต้องห่วง ฉันจะยอมไปกับมัน” ซีเลนเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของผมก็พูดขึ้นมาบ้าง
ผมเกือบจะโล่งใจได้แล้วถ้าหากว่าไม่เห็นรถลีมูซีนสีขาวแล่นฝ่าเข้ามาจอดเทียบข้างฟุตปาธ ก่อนที่เซนไทน์หัวหน้าตัวเมื่อวานที่ถูกซีเลนแทงไหล่ไปจะลงมาจากรถและเปิดประตูให้ใครบางคนก้าวลงมา
สีหน้านิ่งเรียบทว่าน่าเกรงขามทำให้ผมจำได้ทันทีว่าหมอนี่คือลาร์ค มันยังคงใส่สูทล้าสมัยเหมือนเคย รอบนี้เป็นสูทสีขาวกับกางเกงสแล็คขากระบอก แต่ถึงจะเป็นแฟชั่นล้าสมัย มันก็ยังดูดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ลงจากรถได้ มันก็พูดภาษาอะไรไม่รู้ที่ผมไม่รู้จัก
“ฉันไม่พูดภาษาของเซนไทน์” ซีเลนสวนขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษ ลาร์คชะงักแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“กว่าจะตามตัวได้นะซีเลนาตา ต้องให้วุ่นวาย”
“ฉันจะบอกนายอีกครั้งว่าฉันไม่ไปกับนายหรอกนะลาร์ซิโอนีย์”
เอ้า! เมื่อกี้มึงยังบอกกูอยู่แหม็บๆ ว่ามึงจะยอมไปกับมัน ทำไมตอนนี้มาเปลี่ยนใจวะ!
ผมโคตรอยากจะท้วงเลย ทว่าลาร์คก็พูดขึ้นมาก่อน
“จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจมาตามนายหรอก รู้อยู่ว่าคำตอบของน้องชายที่รักจะเป็นยังไง ฉันเลยมาตามอย่างอื่น”
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคำพูดนี้ ยิ่งลาร์คพูดจบแล้วปราดตามองมายังคีธด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งใจไม่ดี
“เมื่อคืนคนของฉันบอกว่าเจอชาวยูนิกม่า แถมดูเหมือนชาวยูนิกม่าที่เจอจะเป็นผู้พิทักษ์ชื่อระบืออีกด้วย”
นะ...นั่นไง คิดอยู่แล้วเชียวว่ามันจะต้องไม่ชอบมาพากลแน่ แต่ไอ้ลาร์คมันรู้ได้ไงวะว่าคีธเป็นผู้พิทักษ์น่ะ หรือว่ามันก็มีสายมนุษย์ต่างดาวพันธุ์อื่นคอยบอกข่าวเหมือนกัน?
“ฝีมือการต่อสู้เฉพาะตัว ไม่ว่าเซนไทน์คนไหนก็จำได้ เรียกว่าเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักรบเซนไทน์เลยนะ คีทาเย ซาเคมอร์ฟ”
ไม่ต้องถาม ผมก็ได้คำตอบ ดูท่าทางพวกมันคงจะปะมือกับคีธมาหลายต่อหลายครั้งแล้วถึงได้รู้
ตอนนี้หัวคิ้วของคีธเองก็ขมวดมุ่นไปเช่นกัน ก่อนริมฝีปากหนาจะขยับขึ้น
“แกต้องการอะไร”
“เจ้าชายของแก” ลาร์คว่าพลางแสยะยิ้ม ถึงรอยยิ้มจะทำให้ใบหน้าเคร่งขรึมดูดี แต่ก็ดูเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายไปด้วยพร้อมๆ กัน
คีธยกมือขึ้น หอกอย่างที่ผมเห็นเมื่อวานก็ปรากฏขึ้นในมือ พลางว่าเสียงต่ำ
“ไม่มีทาง”
เห็นอย่างนั้น ผมก็รู้เลยว่าอีกเดี๋ยวมันจะต้องตะลุมบอนกันแน่ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธผลักผมกระเด็นออกจากวงล้อม จังหวะเดียวกับที่ลาร์คไหวปลายนิ้วชี้เบาๆ พร้อมกับสั่งว่าให้จัดการ
“หนีไปซะกวินทร์!”
ถึงจะไม่ได้หลุดพ้นจากวงล้อมของเซนไทน์มาดีเท่าไหร่นัก ผมก็ไม่สน รีบดันตัวขึ้นแล้วออกวิ่งไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้พวกคีธรับมือกับพวกเซนไทน์ไป แต่พวกเซนไทน์มันเป็นพวกนักล่า และผมก็เป็นเพียงมนุษย์โลกที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แค่วิ่งไปไม่ถึงร้อยเมตร ก็ถูกเซนไทน์รุมจับตัวได้ง่ายๆ
ไม่ใช่จับอย่างเดียวด้วย เรียกว่าไอ้ตัวไหนสักตัวมันกระโดดถีบผมจากด้านหลังจนผมล้มคะมำไปกับพื้น แล้วมันก็มานั่งทับ รอให้พรรคพวกมาจับผมลุกขึ้นดีกว่า
“ปะ...ปล่อย!” ผมข่มความจุกเสียดจากการถูกถีบเมื่อครู่แผดเสียงใส่พวกมันที่รุมกันจับผม
แต่ก็เสียแรงเปล่า มันลากผมกลับมาที่เดิมขณะที่คีธกำลังสู้กับเซนไทน์อย่างบ้าคลั่งข้างๆ ซีเลน ส่วนเจเนซิสก็เป็นตัวถ่วงเหมือนเดิม สำอิดสำออยให้คีธกับซีเลนช่วยกันปัดป้องให้เมื่อเห็นมันเปิดช่องว่าง
มาหาว่ากูขี้อ่อย มึงน่ะขี้อ่อยกว่ากูอีก อย่ามาทำเป็นกระแดะ ต่อสู้ไม่เก่งนะเว้ย!
คิดๆ ดูแล้ว มันก็คงจะต่อสู้ไม่เก่งจริงๆ นั่นแหละ ก็มันถนัดแต่การใช้สมองนี่หว่า แถมใครที่ไหนมันจะไปเก่งทุกด้าน
แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่ผัวกูตกที่นั่งลำบากอย่างนี้เว้ย! ถ้ามึงสู้ไม่ไหว ก็ปล่อยให้พวกมันฆ่าไปเลยสิวะไอ้ตัวถ่วง!
แถมไม่เพียงเจเนซิสจะถ่วงแล้ว ผมก็ดันเป็นตัวถ่วงด้วยเมื่อลาร์คลากผมไปล็อคคอทันทีที่พวกลูกน้องมันจับตัวมาให้
“ปล่อยนะเว้ย!”
ผมตะโกนสุดเสียง เรียกให้คีธที่กำลังแทงหอกใส่เซนไทน์ตัวหนึ่งเหลียวมามองทันควัน ก่อนมันจะเบิกตาโต ร้องเรียกชื่อผมลั่นเช่นกัน
“กวินทร์!”
“ถ้าอยากจะคุยกันดีๆ ก็ได้ ฉันไม่ใช่พวกชอบใช้กำลังเท่าไหร่นัก” ลาร์คว่านิ่งๆ
แต่คือกูไม่เห็นมึงจะไม่ชอบใช้กำลังอย่างที่มึงพูดเลยไอ้ลาร์ค มาถึงก็สั่งลูกน้องใส่พวกกูเอาๆ บ้านมึงเรียกว่าไม่ชอบใช้กำลังเหรอ!
คีธยอมลดมือที่ถือหอกลงทันที ซีเลนที่เห็นคีธนิ่งไปแบบนั้นก็ไม่ยอมหยุด เจเนซิสก็เช่นกัน จนลาร์คต้องพูดขึ้นมาอีก
“เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่า ข้อเสนอง่ายๆ บอกมาว่าเจ้าชายของพวกแกอยู่ไหน แลกกับชีวิตของมนุษย์นี่ ถ้าเห็นว่าข้อเสนอของฉันมันไม่น่าสนใจ ฉันจะได้กำจัดมนุษย์นี่ทิ้ง”
คราวนี้ซีเลนหยุดเลย เจเนซิสยังคงสู้ต่อ ซีเลนเลยหันไปส่งสายตาให้หยุดเป็นการสั่ง มันถึงหยุดได้
มึงนี่หาเรื่องให้กูตายเร็วตลอดเลยนะไอ้เจเนซิส!
ถึงพวกนั้นจะหยุด ผมนี่แหละที่ไม่หยุด ดิ้นพล่านแถมยังตะโกนไม่เลิกด้วย
“ปล่อยฉันนะเว้ย! ตามหาเจ้าชายพวกมันไม่เจอก็หาเมียใหม่ไปสิวะ!” แล้วก็ตามมาด้วยคำก่นด่าอีกสารพัด
แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไอ้เจ้าชายเซนไทน์บ้านี่ก็ล็อคคอผมแน่นจนกระดิกไม่ได้ ต่อให้ดิ้นแทบเป็นแทบตาย มันก็แทบไม่ขยับเลย ทว่าดูเหมือนจะสร้างความรำคาญให้ลาร์คได้เป็นอย่างดีเพราะสีหน้ายิ้มเย้ยของมันหายไป ก่อนมันจะตะคอกใส่ผมมาทีนึง
“หยุดส่งเสียงดังน่ารำคาญได้แล้ว!” รัดคอผมแน่นกว่าเดิมด้วยอ้อมแขนแกร่งด้วย
ไอ้ที่ดิ้นๆ อยู่เมื่อกี้ก็ชะงักกึกเลยเพราะหายใจไม่ออก กลายมาเป็นดิ้นพราด โกยอ็อกซิเจนเข้าปอดแทน คีธที่เห็นผมตกอยู่ในสภาพนั้นกัดฟันแน่นแล้วแค่นเสียงออกมา
“แก...”
แค่นเสียงอย่างเดียวไม่พอ พุ่งเข้ามาพร้อมกับหอกในมือ ทว่าไม่ทันจะได้เข้าถึงตัว ก็ถูกบรรดาเซนไทน์องค์รักษ์พุ่งเข้ามาแล้วจัดการแทงหนามที่อยู่บนหลังมือเข้าใส่ทั่วร่าง หนักสุดเห็นจะเป็นที่หน้าท้อง ผมไม่รู้ว่าถูกแทงจังๆ หรือเปล่าแต่เลือดสีเขียวอ่อนที่ไหลทะลักซึมเนื้อผ้าก็ทำให้ผมเบิกตาโต น้ำตามากมายเอ่อปริ่มขอบตาและไหลพรากอาบข้างแก้มอย่างไม่รู้ตัว ซีเลนกับเจเนซิสที่ถูกยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พอองค์รักษ์เซนไทน์พวกนั้นผละออกจากคีธที่ทรุดตัวนั่งคุกเข่าด้วยความเจ็บปวดแล้ว เจเนซิสก็รีบถลาเข้าไปดึงคีธออกห่างจากพวกนั้นทันที ขณะที่ซีเลนขบกรามแน่นอย่างโกรธเกรี้ยว ว่าเสียงต่ำใส่ลาร์คทันใด
“หยุดการกระทำต่ำทรามของนายซะลาร์ซิโอนีย์”
“เป็นเพียงน้องจะมาสั่งพี่งั้นหรือซีเลนาตา อยากมีอำนาจสั่งการก็กลับมาเป็นมือขวาให้ฉันสิ”
“ไม่มีทาง!” ซีเลนตะโกนปฏิเสธแทบจะทันใด
 “งั้นนายก็ไม่มีสิทธิสั่งการใดๆ น่าเสียดายนะ คนฝีมือดีอย่างนายน่าจะทำประโยชน์ให้ราชวงศ์ได้มากกว่านี้แท้ๆ”
“ให้ไปเป็นพวกเดียวกับคนที่ฆ่าแม่ตัวเอง จะตลกไปหน่อยมั้ย!”
ลาร์คยักไหล่เล็กน้อยประหนึ่งเสียดาย ไม่ได้พูดอะไรกับซีเลนต่อ เพียงแค่พยักหน้าให้เหล่าเซนไทน์ไปจับเจเนซิสกับซีเลนเอาไว้ ทั้งคู่ยอมให้ถูกจับอย่างง่ายดายเพราะเซนไทน์บางส่วนทำท่าเหมือนจะจู่โจมคีธอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่ลาร์คจะเบนเข็มไปเล่นงานคีธต่อ
“เอาล่ะท่านผู้พิทักษ์คีทาเย ซาเคมอร์ฟ ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าเจ้าชายของพวกแกอยู่ที่ไหน”
คีธไม่พูด เอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายลูกเดียว สีหน้าฉายแววความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน ทว่าอะไรก็ไม่ทำให้ผมหวั่นใจเท่าสายตาลังเลของคีธที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะบอกว่าแอสตันอยู่ที่ไหนเพื่อแลกกับชีวิตผมดีหรือไม่ ผมรู้ว่าคีธจะต้องเลือกผมแน่ และถ้ามันเลือกผม ยูนิกม่าทั้งหมดก็จะซวยทันที
เพราะครุ่นคิดตัดสินใจนาน ลาร์คก็เลยถามอีกรอบ คราวนี้ไม่ได้ถามอย่างเดียว แต่ใช้หนามที่ปรากฏบนหลังมือมาจ่อลำคอผมด้วย น้ำตาที่ไหลอาบหน้าเพราะคีธเมื่อกี้หยุดไหลทันทีด้วยความกลัวตาย
“ฉันเป็นพวกไม่ชอบรอนาน จะบอกก็รีบบอก มัวชักช้า เดี๋ยวฉันรำคาญก็พลาดฆ่าเจ้ามนุษย์นี่ซะหรอก” ไม่ได้ขู่อย่างเดียว แต่ยังเอาปลายหนามลากครูดไปกับคอหอยผมจนเลือดไหลซิบอีกด้วย
“กวินทร์...” เป็นคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของคีธ ก่อนคีธจะหลับตาแล้วว่าออกมาเบาๆ “ฉันจะบอก”
“คีทาเย! คิดจะทำบ้าอะไรน่ะ! นายเป็นผู้พิทักษ์นะ! นั่นก็แค่ชีวิตชาติพันธุ์ชั้นต่ำคนเดียว จะเอามาแลกกับชีวิตองค์ชายได้ยังไง!” เจเนซิสแหกปากขึ้นมาเลย สีหน้าดูตกตะลึงที่จู่ๆ คีธก็หักหลังเอาดื้อๆ
ส่วนไอ้เจเนซิส... นี่มึงอยากให้กูตายแล้วมึงจะมาทวงตำแหน่งเมียคืนจริงๆ ด้วยสินะ!
จากที่ตกใจเพราะคีธ ตอนนี้ผมชักจะหงุดหงิดเพราะไอ้เวรเจเนซิสละ แต่ก็ใจเย็นลงได้เมื่อได้ยินเสียงของคีธดังขึ้นอย่างหนักแน่น
“ชาติพันธุ์ชั้นต่ำคนนั้น คือคนที่ฉันรัก ฉันจะไม่ยอมเสียกวินทร์ไปเด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ก็จะไม่ยอมเสียไป”
“อะ...ไอ้คนทรยศ! ฉันมองนายผิดไปจริงๆ!” เจเนซิสก่นด่าคีธไม่หยุด
ทว่าคีธไม่สะทกสะท้าน แววตามันบ่งบอกชัดเจนว่าพูดจริง แต่ถ้ามันทำแบบนั้น ก็เท่ากับว่าริชาร์ดจะต้องเป็นม่ายร้างผัว ซึ่งมันเป็นเพื่อนสนิทผมไง ถึงผมจะหมั่นไส้มันบ่อยๆ ที่อี๋อ๋อกับแอสตันเกินเหตุ ทว่าผมก็ไม่ได้อยากจะเห็นมันเสียใจนี่หว่า
เท่านั้นความคิดบางอย่างก็ผุดพรายขึ้นในหัวผมทันควัน ก่อนผมจะโพล่งไปทันทีที่ลาร์คพูดขึ้นมา
“งั้นก็บอกมาว่าเจ้าชายแอสโซซิโนอยู่ที่ไหน”
“อยู่นั่น!”
ลาร์คชะงักไปนิด หลุบตาต่ำมองหน้าผมที่พยายามพยักปลายคางไปข้างหน้า
“อยู่นั่น?”
“เออ! นั่นแหละ เจ้าชายอะไรที่นายตามหาน่ะอยู่นั่น! ตรงหน้านายเลยเนี่ย!”
ลาร์คมองตามแล้วก็หยุดสายตาที่เจเนซิส ขณะที่เจเนซิสอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจู่ๆ เหตุการณ์จะกลับตาลปัตรแบบนี้
“นายกำลังจะบอกว่าชาวยูนิกม่าที่ชื่อเจเนซิส...คือเจ้าชายแอสโซซิโน?”
“ใช่! เจเนซิสเป็นนามแฝงของมันในโลกมนุษย์ไง มันเอาไว้ใช้ตบตานาย ฉันเป็นโฮสต์ให้มัน ฉันรู้” ผมสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะราวกับนักเขียนบทมืออาชีพ ตอนนี้เองที่คีธกับซีเลนมองผมอย่างตะลึงงันเช่นกัน ส่วนเจเนซิสน่ะเหรอ... พูดไม่ออกไปแล้ว
“แต่... เจ้าชายแอสโซซิโนไม่ได้มีผมสีนี้”
“กะ...ก็ย้อมผมไงย้อมผม บอกแล้วว่ามันพยายามตบตานาย มันก็ย้อมผมสิ!” ผมรีบบอกตะกุกตะกักเมื่อเห็นลาร์คลังเล แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันลังเลน้อยลงแม้แต่นิดเดียว ยังสงสัยออกมาอีก
“เท่าที่จำได้ หน้าตาไม่สะสวยขนาดนี้”
“ศัลยกรรมก็มีหรือเปล่าวะ ไม่เคยดูหนังแนวสายลับหรือไงที่ตัวเอกศัลยกรรมปกปิดตัวเองน่ะ ไอ้เจเน... เอ้ย เจ้าชายแอสโซซิโนมันทำศัลยกรรม! แถมตอนนั้นที่นายเจอมัน มันก็เพิ่งจะสิบขวบเอง โตขึ้นแล้วหน้าก็เปลี่ยนสิเว้ย! ศัลยกรรมด้วย!”
ได้ผลหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลาร์คมันไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาเลย เอาแต่จ้องเจเนซิสที่อ้าปากหวอไม่เลิกอย่างพินิจ ผมเลยรีบขยิบตาให้เจเนซิสว่าให้เออออไป เจเนซิส่ายหน้าน้อยๆ ผมเลยขยิบตารัวๆ ประหนึ่งสันนิบาตรับประทานทันที
มึงก็ตอบรับไปก่อนไอ้เจเนซิสถ้าไม่อยากตายหองกันหมด กูอุตส่าห์จับคู่ให้มึงแล้ว เป็นถึงองค์ชายเชียวนะ เอาๆ ไปก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ไม่งั้นไอ้แอสตันได้เป็นเมียมันจริงๆ กูไม่รู้ไม่เห็นกับพวกมึงจริงๆ นะ จะมาโทษกูว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้คีธมันแพร่งพรายความลับไม่ได้นะโว้ย!
“ตอนที่เจอกันครั้งแรก หมอนั่นบอกว่าเป็นแฟนนาย”
 “ก็นายมาจับฉันดมปาก ในฐานะที่ฉันเป็นโฮสต์ให้มัน มันก็ต้องปกป้องสิวะ!” ผมก็มั่วไปเรื่อย
ตอนนี้ลาร์คทำหน้าเหมือนจะเชื่อขึ้นมานิดนึง
“งั้นเหรอ” แต่ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจอยู่ดี
มึงนี่ก็สงสัยเยอะจริงไอ้ลาร์ค! เชื่อๆ กูไปเถอะ!
ผมเลยหันไปส่งสายตาให้เจเนซิสอีกครั้ง กะพริบตาจนหนังตาแทบเป็นตะคริวกว่าเจเนซิสจะยอมเอ่ยปากออกมาได้
“ชะ...ใช่ ฉะ...ฉันนี่แหละ จะ...เจ้าชายแอสโซซิโน รามูเอลี ที่แปด ที่นายตามหา” ว่าพลางเชิดหน้าขึ้น วางท่าประหนึ่งชนชั้นสูงเต็มที่ ทว่าน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ
มันคงกลัวขี้กลากกินกบาลที่อ้างตัวไปแบบนั้น แต่มันคงคิดแล้วล่ะว่าดีกว่าให้คีธบอกว่าแอสตันอยู่ที่ไหน
พอเจเนซิสตอบรับ ลาร์คก็เหวี่ยงผมทิ้งดุจขยะเปียกทันที ก่อนก้าวพรวดเข้าไปหาเจเนซิสและยกมือขึ้นบีบปลายคางมนนั่นพลิกไปมา
“ตามหาตัวตั้งนาน แม่พันธุ์ของฉัน ไม่คิดว่าโตขึ้นมาแล้วจะน่ารักขนาดนี้”
กูพูดตั้งนานแม่งไม่เชื่อ พอไอ้เจเนซิสพูดออกมาประโยคเดียว มึงเชื่อเป็นตุเป็นตะเลยนะไอ้ลาร์ค!
ผมบุ้ยปากด่ามันพึมพำ ส่วนเจเนซิสก็ทำหน้าเหม็นขี้ขึ้นมาฉับพลัน ก่อนผมจะรีบคลานไปหาคีธแล้วพูดแบบไม่มีเสียงไปให้เจเนซิสพอจับใจความได้ว่า ‘ให้ต่อรอง’ มันก็เลยหันไปสบตาลาร์คที่มองมันอย่างแพรวพราวอีกครั้ง
“ได้ตัวฉันไปแล้ว ก็ปล่อยตัวคนของฉันไปซะ”
“ได้ ถือว่าเป็นของขวัญการพบกันอีกครั้ง แต่ถ้าพวกมันโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยไว้แน่” ว่าจบ ลาร์คก็หันไปมองข้าราชบริพารตัวเอง
เท่านั้นไอ้พวกนั้นก็ปล่อยตัวซีเลน เขยิบห่างออกจากคีธและผมทันที ก่อนที่ลาร์คจะปล่อยมือจากเจเนซิสแล้วออกคำสั่ง
“พาไปที่โรงแรม”
สิ้นเสียง พวกเซนไทน์ก็จับเจเนซิสเอามือไพล่หลังแล้วดันให้ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ทันที ผมมองตาม เจเนซิสดูหวาดหวั่นแต่ก็พยายามเก๊กมาดชนชั้นสูง ในจังหวะที่มันเดินผ่านผมไป ผมพูดไม่มีเสียงให้มันพอจับใจความได้อีกครั้ง
‘เดี๋ยวจะบอกแอสตันให้ส่งคนไปช่วย’
เจเนซิสพยักหน้า ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะหายเข้าไปในรถ และหายไปจากบริเวณนั้นในชั่วพริบตาราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมรีบพยุงคีธให้ลุก แต่ไม่ไหว คีธตัวใหญ่เกินไปเลยพากันทรุดลงนั่งอีก
“เจ็บมากมั้ยคีธ” ผรีบถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดของคีธ
คีธส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ผมบางๆ “เจ็บแค่นี้เดี๋ยวก็หาย ร่างกายฉันรักษาตัวเองได้ กวินทร์ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
สิ้นเสียงก็ยกมือมาแตะลำคอผมบริเวณที่ถูกกรีด ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความเจ็บแปลบแล่นพล่านเข้ามา คีธย่นหัวคิ้วแล้วว่าเสียงแผ่ว
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษอะไร”
“ขอโทษที่ดูแลกวินทร์ไม่ดี ทำให้กวินทร์เจ็บตัว”
ผมพูดไม่ออก เอาแต่มองหน้าคีธอย่างเดียวเท่านั้น
มะ...มึงนี่มันบ้าจริงๆ ตัวเองมีแผลเต็มตัวอย่างนี้ ยังจะมาเป็นห่วงคนอื่นอีก!
ก้อนอะไรบางอย่างไหลขึ้นมาจุกอกผมจนผมเกือบจะร้องไห้ ทว่าไม่ทันได้ร้อง ซีเลนที่ยืนมองอยู่ก็ส่งเสียงจึ๊ในลำคอ แล้วถลันเข้ามาพยุงคีธให้ลุกขึ้นด้วยการเอาแขนคีธพาดไหล่
“อย่ามาทำให้ฉันอยากปล้ำกวินทร์ตอนนี้ ไม่งั้นฉันไม่ไว้หน้านายแน่”
ไอ้ที่จะร้องไห้เมื่อกี้นี่หายไปเลย ผมตวัดหางตามองซีเลนอย่างขุ่นเคืองที่มันพูดอะไรหื่นๆ ไม่รู้เวล่ำเวลา แต่พอเห็นมันพาคีธเข้าไปนั่งในรถข้างคนขับแล้วหันมาเรียกผม ผมก็ลืมความขุ่นเคืองไปเสียสนิท รีบตรงไปประจำตำแหน่งคนขับ ก่อนจะขับพาพวกมันสองคนกลับมาที่แหล่งกบดานอย่างรวดเร็ว
----------------------------------------
กวินทร์ผู้ช่วยชีวิตแอสตันและชาวยูนิกม่าทั้งปวง 5555555 เค้าเครียดกัน แล้วดูนาง กร๊ากกก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.32]--20/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 20-01-2016 21:43:15
อรั้ย เบนนี่ บรู้คกี้>> เมียซีเลน
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.32]--20/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 20-01-2016 21:50:17
 :jul3:
เจเนซิส ซวยเลย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.32]--20/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 21-01-2016 13:23:53
เควินผู้ไม่เคยหมดความเกรียนนน  :laugh:  :laugh:

ปล. เราไปติดตามในเด็กดีก่อนอ่ะ ก็ที่นู่นอัพตอนใหม่เร็วกว่านี่  :mew2:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.32]--20/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-01-2016 23:36:59
Episode 33: Our first baby is Keta[1]
ผมมาฉุกคิดได้ก็ตอนถึงที่กบดานว่าจริงๆ แล้ว พวกยูนิกม่าน่ะรักษาแผลด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้น คีธมันคงไม่ขอผมวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ในตอนที่เจอกันครั้งแรกเพราะมันถูกมีดแทงหรอก ที่มันบอกผมไปอย่างนั้นก็แค่ต้องการให้ผมสบายใจเท่านั้น จะมีก็แต่พวกเซนไทน์สายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่มีความสามารถในการรักษาร่างกายตัวเองได้ในระยะเวลาอันสั้นสำหรับกรณีที่ไม่ถูกทำร้ายโดนจุดตาย
พอรู้อย่างนั้น ผมก็ด่าคีธเปิงเลย หมอนั่นก็ทำได้แค่ทำหน้าอึนๆ แล้วก็เอาแต่พูดว่า ‘ฉันไม่เป็นไร’ อย่างเดียวทั้งที่เลือดท่วมตัว
ไม่เป็นไรป้ามึงเถอะ เลือดชั่วออกมาเยอะขนาดนี้ มึงเปิดร้านขายลาบเลือดได้เลย
ผมทั้งหงุดหงิด ทั้งเป็นห่วง ก่นด่ามันไม่หยุด ขณะที่มันถูกยูนิกม่าสักคนทำแผลให้อยู่ มาหยุดด่ามันได้ก็ตอนที่แอสตันถามหาเจเนซิส แล้วคีธเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังนั่นแหละ เล่าละเอียดยิบแม้แต่ตอนที่ผมอ้างว่าเจเนซิสเป็นแอสตันภาคผ่าตัดศัลยกรรม ทำเอาคนอื่นๆ มองผมด้วยสายตาแปลกๆ ทันที
กะ...ก็มันช่วยไม่ได้นี่หว่า อยู่ในสถานการณ์จวนตัวอย่างนั้นก็ต้องเอาตัวรอดก่อนสิโว้ย!
ดีที่แอสตันไม่ได้กล่าวโทษอะไรผม เพียงปั้นหน้าเครียด แล้วตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาใครทั้งนั้น
“เราต้องไปช่วยเจเนซิส”
“แต่การที่เราจะบุกไปยังรังของพวกเซนไทน์ มันเป็นการเสี่ยงอย่างมากนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ใครบางคนเอ่ยขึ้น ทำเอาแอสตันหันไปมองอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“แล้วนายจะให้เราทิ้งเจเนซิสไว้กับพวกเซนไทน์ทั้งที่เจเนซิสเสียสละตัวเองเพื่อเรางั้นเหรอ”
แอสตันว่ามางี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ นอกจากน้อมรับคำสั่ง ส่วนผมก็ปิดปากเงียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น จะมีก็แต่ไอ้ริชาร์ดนั่นแหละที่เข้ามากระแซะผม แล้วถามเบาๆ
 
 
“นายตั้งใจส่งเจเนซิสไปให้พวกนั้นเพราะถ้าเจเนซิสมีคู่ผูกพันแล้ว นายจะได้ไม่ต้องกังวลว่าถ่านไฟเก่าจะปะทุขึ้นใช่มั้ย”
ผมหันขวับไปตีปากมันเลย ดีที่ริชาร์ดร้องไม่ดังนักเลยไม่มีใครทันสังเกตเห็น ก่อนผมจะกัดฟันว่าเสียงเบาพอๆ กัน
“ใช่ซะที่ไหน ฉันแค่หาทางเอาตัวรอดเฉยๆ เว้ย”
“ก็ไม่เห็นต้องโกหกว่าเจเนซิสเป็นเจ้าชายยูนิกม่านี่หว่า ฉันว่านี่เป็นแผนกำจัดเมียเก่าของผัวนายแน่ๆ เล่นสกปรกว่ะนายน่ะ ไอ้เควินจอมขี้โกง ขี้โกงไม่พอ ขี้โกหกด้วย” ริชาร์ดยังคงจ้องจับผิด ตอนนี้ผมชักอารมณ์เสียมากกว่าเดิมละ
“ถ้านายยังพูดแบบนี้อีก ไว้ครั้งหน้าฉันเจอพวกมันอีกเมื่อไหร่ จะบอกที่อยู่แอสตันให้ซะเลย ผัวนายจะได้กลายเป็นเมียมันแทนเจเนซิส”
พอว่าอย่างนี้ ไอ้สีหน้าจับผิดก็หายไปทันตา ก่อนจะกลายเป็นคำชมแทน
“ทำได้ดีมาก เหมาะสมที่เป็นเมียผู้พิทักษ์ของเจ้าชายแห่งยูนิกม่า จะขอให้แอสตันมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้คีธนะ”
มึงไม่ต้องมาพลิกลิ้นเลยไอ้ริชาร์ด! เมื่อกี้ยังด่ากูอยู่แหม็บๆ พอเป็นเรื่องของผัวมึงหน่อยนี่ เห็นดีเห็นงามกับกูเชียว!
ทั้งห้องนั่งเล่นซึ่งใช้เป็นที่ประชุมเงียบไปราวกับกำลังคิดหาวิธีช่วยเจเนซิสกันอยู่ จนซีเลนที่นั่งไขว่ห้างเอ่ยขึ้นหลังจากที่มันลากบรูคลินกับเบนมานั่งนัวเนียอยู่นาน
“ถ้านายจะไปช่วยเจเนซิสคนสวยนั่น คิดว่าจะไปช่วยยังไง บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าคิดจะบุกไปชิงตัวล่ะก็ฝันไปเลย พวกนายสู้เซนไทน์ไม่ได้หรอก ถึงจะไม่ได้บุก แต่เข้าไปเฉยๆ ก็ไม่รอด”
เหมือนพวกยูนิกม่าเองก็ฉุกคิดถึงความจริงข้อนี้ว่าถึงร่างกายจะสูงใหญ่พอๆ กันและพละกำลังก็พอๆ กัน แต่ความป่าเถื่อนของเซนไทน์นั้นแข็งแกร่งกว่ามาก ที่สำคัญคือพวกเซนไทน์รักษาบาดแผลตัวเองได้ด้วยในกรณีฆ่าไม่ตาย ดูยังไง ยูนิกม่าก็เสียเปรียบที่จะบุกเข้าไปชิงตัวเจเนซิสทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่แต่จะเสียเปรียบ แอสตันอาจจะเสียซิงด้วยถ้าลาร์ครู้ว่าเจ้าชายเซนไทน์ที่มันได้ไปเป็นตัวปลอม
“แล้วเสด็จพี่มีความคิดดีๆ มั้ยพ่ะย่ะค่ะ” แอสตันเป็นคนถาม
“จริงๆ ก็มี”
พอซีเลนพูดอย่างนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปยังมันทันที ซีเลนปล่อยสองพี่น้องไบโทปให้เป็นอิสระในตอนนี้ พอหลุดจากอ้อมแขนซีเลนได้ ทั้งบรูคลิน ทั้งเบนก็จ้ำอ้าวออกจากห้องนั่งเล่นไปทันที แต่ไม่มีใครสนใจ เอาแต่จ้องหน้าซีเลน รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ยังไงเหรอพ่ะย่ะค่ะ” แอสตันถามอีกครั้งเมื่อเห็นซีเลนไม่พูดสักที
ซีเลนแสยะยิ้ม ขยับตัวนั่งสบายๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มที่ฉาบพรายบนใบหน้าคร้ามนั่นดูเจ้าเล่ห์นัก เจ้าเล่ห์จนเสียวสันหลัง ยิ่งมันชำเลืองมามองผม ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลเข้าไปใหญ่ รู้สึกราวกับว่าความซวยจะบังเกิดกับผมในไม่อีกอึดใจอย่างไรอย่างนั้นแหละ
และก็จริงเสียด้วยเมื่อมันพูดขึ้น
“ส่งกวินทร์ไปสิ กวินทร์บอกกับลาร์ซิโอนีย์ว่าเป็นโฮสต์ให้เจเนซิส น่าจะเข้าไปได้ ไม่น่ามีปัญหา”
มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยไอ้ซีเลน! จะส่งกูเข้าไปช่วยเมียเก่าไอ้คีธทำเพื่อ!?
ผมอ้าปาก ตั้งท่าจะด่ามันเลย แต่ไม่ทันจะได้ด่า แอสตันก็แทรกขึ้นมาก่อน
“แต่กวินทร์ไม่น่าจะช่วยเจเนซิสได้นะเสด็จพี่ กวินทร์เป็นเพียงชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน”
ผมพยักหน้าหงึกหงักให้กับคำพูดของแอสตัน ส่งกูเข้าไปคือส่งกูไปตาย มึงจงรู้ไว้
หากแต่ซีเลนมันไม่ฟัง ยักคิ้วแล้วพูดออกมาเรื่อยเปื่อย
“ก็จะให้ไปช่วยออกมาทำไมล่ะ เจเนซิสเป็นปราชญ์แห่งยูนิกม่า ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดบนดาวไม่ใช่เหรอ ฉลาดๆ อย่างนั้นน่าจะหาวิธีเอาตัวรอดได้ ที่ให้ส่งกวินทร์เข้าไปน่ะ แค่จะให้กวินทร์ไปถามเจเนซิสว่าหลังจากนี้พวกนายควรทำยังไงต่างหาก”
“ไม่ว่ายังไงก็อันตรายต่อกวินทร์” คีธโพล่งขึ้นมาแทบจะในทันใดขณะที่แผลในจุดสุดท้ายถูกปิดเสร็จ ทว่าพอถูกสายตาของซีเลนจ้องมอง ริมฝีปากหนาก็ขยับอีกครั้ง “...พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้าจะกระดากปากขนาดนี้ กูว่ามึงไม่ต้องให้เกียรติมันก็ได้นะ
“แล้วจะให้กวินทร์เข้าไปคนเดียวทำไม ส่งคนไปด้วยสิ”
“จะส่งใครไปวะ นายก็พูดเองอยู่แหม็บๆ ว่าถ้ายูนิกม่าเข้าไปจะไม่รอด” คราวนี้เป็นผมบ้างละที่ถามมันเสียงแข็ง
ซีเลนเหลียวมามองหน้าผมแล้วยิ้มเผล่ “แต่ถ้าเป็นลูกครึ่งยูนิกม่า-เซนไทน์ก็ไม่เป็นไรมั้ง”
“ถ้าไปกับนาย ฉันก็ไม่ไปเว้ย แล้วมันเรี่องอะไรที่ฉันจะต้องเป็นตัวแทนของพวกยูนิกม่าเข้าไปคุยกับเจเนซิสวะ!” ผมเริ่มโวยวายขึ้นมาแล้วที่ถูกมัดมือชกโดยไม่มีใครถามความเห็นอย่างนี้
ทว่าการที่ผมโวยวายขึ้นมา กลับทำให้ถูกแอสตันตอกซะจนพูดไม่ออก
“ก็นายเป็นคนทำให้เจเนซิสถูกจับไป เป็นคนไปหาเจเนซิสน่ะถูกแล้ว”
“แต่ว่า...”
“หรือนายไม่รู้สึกผิดอะไรเลยที่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เจเนซิสตกอยู่ในสภาพนี้ ลองคิดดูนะกวินทร์ ถ้ามีใครสักคนยัดเยียดให้นายไปเป็นคู่ผูกพันของคนศัตรูนาย นายจะรู้สึกยังไง”
พูดยังไม่ทันจบเลย แอสตันก็แทรกขึ้นมาอีก แถมเป็นการแทรกที่ทำให้ผมหุบปากฉับ หน้าม้านไปทันตา ผมเลยรีบเบนสายตาไปยังริชาร์ดเพื่อขอความช่วยเหลือทันที แต่ไอ้เพื่อนเปรตนั่นดันเสมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะอย่างนั้น
มึงอย่ามาทำเป็นเมินกูนะเว้ย! นี่กูเพิ่งจะช่วยผัวมึงให้รอดตายจากการถูกไอ้ลาร์คทะลวงมานะ!
ด่ามันไปก็เท่านั้นแหละ ผัวมันรอดแล้วนี่ ริชาร์ดมันไม่สนหรอก ผัวกับเพื่อนก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าคนอย่างมันน่ะต้องเลือกผัวอยู่แล้ว แม่ง... ไอ้แอสตันมีเมียน้อยขึ้นมา อย่ามาน้ำตาเช็ดหัวเข่าให้กูเห็นเชียวนะ กูจะซ้ำให้จมดินเลย!
“ที่กวินทร์ทำอย่างนั้นก็เพื่อปกป้องฝ่าบาท การส่งกวินทร์ไป ยังไงหม่อมฉันก็ไม่เห็นด้วย” มีแต่คีธเท่านั้นแหละที่ยังเข้าข้างผม แต่เสียงเล็กๆ ของผู้พิทักษ์จะไปเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจอะไรของเจ้าชายได้ ยิ่งถูกแอสตันสวนคืนมาแล้ว คีธก็เงียบไปทันตา
“หรือนายอยากให้กวินทร์ได้ชื่อว่าเป็นคนใช้แผนสกปรกกันล่ะคีทาเย”
คีธจ้องหน้าแอสตันนิ่งก่อนจะเบือนสายตามาทางผม มองด้วยสายตาเป็นห่วง ส่วนผมนี่ขมุบขมิบปากด่าไอ้เวรแอสตันเป็นพัลวันเลย
มึงอย่ามาหาว่ากูเป็นคนขี้โกงอีกคนนะเว้ย! รู้งี้ปล่อยแม่งให้โดนลาร์คลากไปกระทำชำเราซะก็ดี กูไม่น่าช่วยมึงเลย!
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ มีฉันไปด้วยทั้งคน ไม่ต้องห่วงหรอก” สุดท้ายแล้ว ซีเลนก็สรุปเองเออเองโดยที่คนซวยอย่างผมยังไม่ได้ตกปากรับคำสักนิด
พอผมจะทำท่าท้วงขึ้นมาอีก ก็เหลือบเห็นคีธพยักหน้าให้น้อยๆ เป็นสัญญาณว่าให้ยอมตกลงไป ผมก็เลยพ่นลมหายใจออกมา
“เออๆ ก็ได้ๆ ถือว่าไถ่โทษที่ทำให้เจเนซิสมันได้ผัวแบบไม่ได้ตั้งใจแล้วกัน”
“ขอบใจมากกวินทร์” แอสตันยิ้มให้ผม
แต่ผมยังด่ามันในใจอยู่ ลามไปด่าริชาร์ดที่ยืนพะเน้าพะนอผัวมันอยู่ใกล้ๆ ด้วยที่มันไม่ช่วยผม ก่อนจะถูกเบนความสนใจไปเมื่อยูนิกม่าคนหนึ่งที่ทำแผลให้คีธพูดขึ้นมา
“บาดแผลบนร่างกายท่านไม่ได้ร้ายแรงนัก แต่อาจจะต้องใช้เวลารักษานานหน่อย ระยะนี้ขอให้ท่านอย่าเพิ่งใช้ร่างกายต่อสู้แล้วกัน เดี๋ยวแผลจะสมานกันช้ากว่าเดิม”
“งั้นคีทาเยก็ไปพักเถอะ นายต้องดูแลตัวเอง”
คีธพยักหน้ารับคำสั่งแอสตัน ก่อนจะดันตัวขึ้นยืน ผมรีบพุ่งไปประคองมันอย่างรวดเร็วทั้งที่มันก็เคลื่อนไหวได้ตามปกตินั่นแหละ แต่คนมันเป็นห่วงนี่หว่า เลือดท่วมแถมทั้งตัวก็มีแต่แผล ใครไม่เป็นห่วงก็บ้าแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกกวินทร์ สักอาทิตย์นึงก็หาย ร่างกายของชาวยูนิกม่ารักษาตัวเองได้เร็วกว่าชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินหลายเท่าตัวนะ” คีธว่าเมื่อเห็นผมเอาแขนมันข้างหนึ่งไปพาดคอตัวเอง แล้วตั้งท่าจะลากไปที่บันได้
หากแต่ผมไม่สนใจ หันไปมองมันตาเขียว
“หายช้าหรือหายเร็วก็ไม่ใช่ข้ออ้างเว้ย คนเค้าเป็นห่วง อย่ามาพูดให้เสียน้ำใจสิวะ”
คีธยิ้มออกมาเล็กน้อยทันควัน “กวินทร์เป็นห่วงฉันเหรอ”
“เออ”
“น่ารัก... อยากให้เป็นห่วงบ่อยๆ”
หน้าผมร้อนผ่าวก็เพราะคำพูดนี้แหละ หันหน้าหนีจากมันแล้วว่าอุบอิบ
“พะ...พูดมาก รีบๆ ขึ้นไปนอนได้แล้ว”
เสียงหัวเราะในลำคอดังมาให้ผมได้ยินหน่อยๆ ก่อนที่ร่างใหญ่จะก้าวเดินช้าๆ ตั้งใจให้ผมช่วยประคองทั้งที่มันก็เดินเองได้สะดวกดีเหมือนตอนไม่ได้บาดเจ็บไม่มีผิดเพี้ยน ผมเองก็บ้าจี้ประคองมันไม่เลิกจนถึงห้อง
ช่วยไม่ได้ จู่ๆ ก็อยากจะดูแลขึ้นมานี่นา...
 
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องนอนที่บรูคลินจัดไว้ให้ ผมก็ชี้นิ้วสั่งให้คีธไปนอนทันที คีธมันก็ดื้อด้าน ไม่ยอมไปสักที เอาแต่ลูบๆ คลำๆ ใต้เสื้อผมอยู่ได้จนผมต้องตวาดมันลั่นแล้วขู่ว่าจะไม่ให้มันแตะเนื้อต้องตัวอีก มันถึงยอมไปทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงได้
ทว่าพอมันนอนแผ่ปุ๊บ ผมนี่แหละที่กลายเป็นฝ่ายอยากแตะเนื้อต้องตัวมันขึ้นมาแทนเมื่อเห็นแผงอกแกร่งที่มีซิกส์แพ็คโชว์หราให้เห็น กางเกงวอร์มขายาวที่เกาะอยู่ช่วงสะโพกก็เผยให้เห็นวีเชฟน้อยๆ ทำเอาผมกลืนน้ำลายเอื้อก ยิ่งเนื้อตัวมันมีร่องรอยฟกช้ำนิดๆ กับผ้าปิดแผลบางแห่งด้วยแล้ว ผมก็ใจเต้นตุ้บๆ เลย
ไม่ใช่ใจเต้นเพราะเห็นมันบาดเจ็บแล้วอารมณ์ซาดิสม์กำเริบนะ ผมแค่คิดว่าเวลามันอยู่ในสภาพนี้ ดูแล้วเหมือนพวกแบดบอยที่ผ่านการต่อยตีมาหมาดๆ ชะมัด เซ็กซี่เป็นบ้า
แล้วคีธก็ทำให้ฟีโรโมนในตัวมันเพิ่มขึ้นอีกเมื่อมันหันเสี้ยวหน้ามามองผมที่จ้องมันตาไม่กะพริบ พร้อมกับยกมือเสยปอยผมที่ปรกหน้าอยู่ขึ้นไปด้วย
“มีอะไรหรือเปล่ากวินทร์”
ซะ...เซ็กแอพพึลสูงโคตรๆ ทนไม่ไหวแล้ว… อยากปล้ำ... ไม่สิ อยากอ้อนดีกว่า
ผมไม่ตอบ เดินตรงไปหามันก่อนจะขึ้นไปนั่งคร่อมส่วนล่างมันไว้โดยไม่บอกกล่าว คีธดูแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ก็ถูกผมบุก แต่ก็ไม่ได้บอกปัดหรืออะไร แค่ย่นคิ้วอย่างสงสัยเท่านั้น
“ไม่สบายเหรอ” ยกมือมาอังหน้าผากผมด้วย
บางทีกูก็อยากอ้อนบ้างหรือเปล่าวะ ทำไมต้องคิดว่าถ้ากูทำอะไรแปลกๆ ที่ไม่เคยทำนี่คือป่วยฮะ!
ผมสะบัดหน้าหนี ย่นปากใส่มันนิดๆ พลันวางมือทั้งสองข้างลงบนหน้าท้องมันบริเวณที่ถูกแทง
“ตรงนี้เจ็บหรือเปล่า”
คีธส่ายหน้า
“แล้วถ้ากดหรือโดนกระแทกจะเจ็บมั้ย”
“กวินทร์ถามทำไม”
ก็กูอยากรู้อ้ะ! เผื่อการอ้อนของกูมีผลต่อบาดแผลมึง กูจะได้ระวังไง!
ผมเม้มปากแน่น ไม่ตอบอยู่ดี แต่เหมือนคีธจะรู้ละว่าผมถามทำไม หมอนั่นยกยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนมือมาประคองแก้มผมเบาๆ
“ไม่เจ็บหรอก เรี่ยวแรงของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเบายิ่งกว่าแก๊สไฮโดรเจนหรือฮีเลียมซะอีก”
“แน่ใจนะ” ผมถามเพื่อความมั่นใจ
คีธพยักหน้าอีกครั้ง ผมเลยโน้มตัวลงไปเอาหัวอิงกับหน้าอกแกร่ง สองแขนก็สอดเข้าใต้แผ่นหลัง โอบกอดเอาไว้ด้วย คีธก็กอดผมตอบ เรากอดกันอยู่พักใหญ่จนผมชักจะอึดอัดละที่มันเอาแต่กอด ไม่พูดอะไรสักที จนผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา
“นี่คีธ”
“หืม?”
“ทำกันมั้ย” ฟังดูบ้าๆ ที่ชวนคนเจ็บมาทำอะไรแบบนี้
หากแต่คีธมันก็คือคีธ และเป็นไอ้มนุษย์ต่างดาวหื่นกามอยู่วันยังค่ำ พอผมถามแบบนั้นมันก็ตอบรับแบบไม่คิด
“กวินทร์อยากทำก็ทำเถอะ”
ผมผละใบหน้าออกจากแผ่นอก เปลี่ยนมาเป็นยื่นหน้าเข้าไปจูบแทน คีธประคองใบหน้าผม จูบตอบแผ่วเบากระทั่งความร้อนรุ่มในกายค่อยๆ แผ่ขยายออกมาจนผมรู้สึกได้ ผมบดจูบเนิ่นนาน ลืมไปสนิทเลยว่าต้องระวังแผลบนตัวมันทั้งที่มันบอกแล้วว่าไม่เจ็บ แต่จริงๆ ผมคิดว่าเจ็บนั่นแหละ ทว่ามันไม่บอกผมเท่านั้นเอง แต่ช่างมัน ตอนนี้ลืมไปแล้ว แกล้งลืมแม่ง มีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่ากลัวมันเจ็บแผล
หากแต่พอผมดุนปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย คีธก็ดันหน้าผมออกห่างเล็กน้อยแล้วเล่นปลายผมตรงจอนที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มผมไปมา
ผมสะบัดหนี ยื่นหน้ามาจูบมันอีกครั้ง แต่มันก็ดันพูดขึ้นก่อน
“ผมยาวแล้วนะกวินทร์”
มันใช่เรื่องที่จะมาทักตอนนี้มั้ยวะไอ้คีธ! ไม่เห็นเหรอว่ากูทำอะไรอยู่!
ผมย่นคิ้วขณะที่คีธเสยปอยผมที่ปรกหน้าผมอยู่ไปทัดหู ทัดอย่างเดียวไม่พอ ยังใช้มืออีกข้างมาจับปอยผมอีกฝั่งพลิกไปพลิกมาจนผมต้องตีหน้ายุ่ง จริงๆ มันก็ไม่ได้ยาวกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก ด้านหลังก็ยังระต้นคอนั่นแหละ แค่ผมด้านหน้ามันยาวปิดหน้าเท่านั้นเอง แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่มันมาขัดจังหวะการรุกของผม ทำให้ผมต้องถามมันเสียงขุ่น ทว่าไม่ได้ปัดป้องมือใหญ่ที่คลอเคลียอยู่บนใบหน้าออก
“ทำอะไรเนี่ย”
“มัดผมมั้ยกวินทร์” คีธเสนอตัวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
 “ไม่มียางรัด”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องใช้”
“เออๆ จะทำอะไรก็ทำ” ตอนนี้ผมหมดอารมณ์ละ ว่าเสียงขุ่นใส่แล้วก็ดันตัวขึ้นนั่ง
“หันหลังสิ” คีธลุกขึ้นมาแล้วออกปากสั่ง
ผมหันหลังให้มัน ครู่เดียวก็รู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่แบ่งเส้นผมด้านหลังออกเป็นช่อๆ ก่อนจะขยับไปขยับมา ไม่กี่อึดใจก็เสร็จสิ้น ผมเหลียวไปมองกระจกที่แปะหราอยู่บนประตูตู้เสื้อผ้าปลายเท้า หันซ้ายหันขวาไปมา มองทรงผมแบบมัดรวบครึ่งหัวอย่างที่ผมทำบ่อยๆ อย่างชื่นชม ที่ชื่นชมเพราะมันไม่ได้ยุ่งเหยิงเหมือนอย่างที่ผมทำ มันเป็นการเก็บผมแบบไขว้แล้วขมวดเก็บเป็นมวยโดยที่ไม่ต้องใช้อะไรมารัด ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นทรงอะไร แต่ถือว่างานเนี้ยบเลยทีเดียว
“ฝีมือดีนี่นา” ผมว่าขณะที่สายตายังจับจ้องเงาของตัวเองในกระจกไม่เลิก
“อืม”
“ไปหัดมาจากไหนน่ะ” อันนี้ผมถามแบบไม่ได้ใส่ใจนัก
“เจเนซิสสอน เคยทำให้เจเนซิสบ่อยๆ น่ะ”
คราวนี้แหละผมหันขวับมามองหน้ามันเลย จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วในตอนแรก ตอนนี้เลยหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่ ผมกระชากปมมวยผมออกทันใด คีธมองนิ่งๆ แล้วก็ถามอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“เอาออกทำไมน่ะกวินทร์”
มึงยังต้องถามอีกเหรอ! มึงเอาสิ่งที่มึงทำกับแฟนเก่ามาทำกับกูได้ไงไอ้คีธ!
ผมไม่พูด พ่นลมหายใจใส่มันแรงๆ อยากจะตบมันให้คว่ำสักที แต่เห็นบรรดาผ้าพันแผลบนตัวมันแล้วก็ได้แต่อดใจไว้ แล้วตัดบทเอาดื้อๆ
“คืนนี้ฉันจะไปนอนกับริชาร์ด”
ตัดบทด้วยการงอนแล้วหนีแม่ง ขนาดส่งไอ้เจเนซิสไปเป็นเมียพี่ไอ้ซีเลนแล้ว มึงยังจะลากมันมาทำให้กูหึงอีก!
คีธคว้าข้อมือผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะลุกจากเตียงแล้วว่ายิ้มๆ
“อย่าไปรบกวนเวลาส่วนพระองค์ขององค์ชายกับพระชายาสิ”
ผมเกือบจะอ้าปากสวนไปแล้วว่า ‘ก็กูไม่อยากนอนกับมึง’ แต่ทำได้แค่คิด คีธก็พูดออกมาอีก
“ไม่ต้องห่วงน่ากวินทร์ กับเจเนซิสน่ะไม่มีอะไรมานานแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วด้วย แค่เพื่อนร่วมงาน แต่ถ้ากวินทร์โกรธ ฉันก็ขอโทษ ต่อไปนี้ฉันจะทำผมให้กวินทร์แค่คนเดียวนะ”
“แล้วถ้าฉันตัดผมสั้น นายจะไปทำผมให้ใคร” ผมว่าเสียงแข็ง เผลอทำแก้มป่องไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็ตอนเห็นหน้าตัวเองเหมือนปลาทองสะท้อนกับกระจกเงาแล้ว
คีธหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ถ้ากวินทร์ผมสั้น ฉันก็จะหวีผมให้กวินทร์ ไม่ทำผมให้ใครหรอก”
“แล้วถ้าตัดเกรียนจนหวีไม่ได้ล่ะ”
“งั้นก็จะสระผมให้”
“ถ้าหัวล้าน?”
“จะช่วยขัดให้เงาวับเลยดีมั้ย”
ผมหลุดหัวเราะออกมาลั่น จากที่โกรธในตอนแรกก็ผ่อนคลายโทสะลง คิดดูแล้วไอ้อาการหึงหวงแฟนเก่านี่มันโคตรจะเด็กอนุบาลเลยให้ตาย เกลียดตัวเองตรงที่พอยิ่งรักมันมากขึ้น ก็ยิ่งทำตัวงี่เง่าอย่างที่ไม่เคยทำนี่แหละ
“ไม่โกรธแล้วใช่มั้ย”
พอมันถามขึ้นมาอีก ผมก็รีบหุบปากที่พ่นเสียงหัวเราะอยู่ฉับ ปั้นหน้าประหนึ่งยังโกรธอยู่ทันควัน
“ยังโกรธอยู่” แล้วตามมาด้วยว่าเสียงแข็ง
“กวินทร์อยากให้ง้อยังไง ร้องเพลง?” คีธถามอย่างรู้หน้าที่ ใจจริงผมก็อยากฟังมันร้องเพลงนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่อยากทำมากกว่า
“นอนลงไป” ผมออกคำสั่ง
คีธเลิกคิ้วมองผมอย่างมีเลศนัยเล็กน้อยก่อนจะยอมเอนกายนอนราบดังเดิมแต่โดยดี ผมจัดการตามไปขึ้นคร่อมไว้ คีธยกมือขึ้นมาโอบรอบคอผม ทำท่าจะดึงไปจูบแต่ผมสะบัดทิ้ง มันทำหน้างงๆ ทว่าก็เข้าใจได้ในไม่อีกกี่วินาทีให้หลังเมื่อผมจรดริมฝีปากลงบนยอดอกสีชมพูเรื่อข้างหนึ่งตรงหน้า
เมื่อตุ่มเล็กๆ หายเข้าไปในริมฝีปากผมแล้ว ผมก็ใช้ปลายลิ้นดุนดันไปมา กะกระตุ้นอารมณ์มันเหมือนกับที่มันทำให้ผมสักหน่อย ผมค่อนข้างมั่นใจว่าฝีมือเรื่องอย่างว่าของตัวเองไม่เป็นรองใคร
คราวนี้เถอะไอ้คีธ มึงได้เสียงดังเสียวเบาแทนกูแน่...
ทว่าก็ต้องผิดหวังเมื่อคีธไม่ส่งเสียงออกมาเลยสักแอะ แม้ว่าผมจะทั้งขบเม้มขบกัด มันก็เอาแต่นอนมองหน้าผมนิ่งๆ จนผมต้องเหลือบตามองมันอย่างหงุดหงิด
“อำไอ (ทำไม)” ผมถามทั้งที่ปากยังคงกลืนกินยอดอกข้างนั้นอยู่
คีธยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางวางมือลงบนหลังหัวผมเบาๆ
“กวินทร์เหมือนเด็กเลย”
“...”
“เหมือนเด็กเล็กๆ ที่กำลังหิว ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเรียกว่าอะไรนะ... ทารก?”
มึงอย่ามาหาว่ากูเป็นเด็กนะเว้ย! แล้วกูก็ไม่ได้หิวนมมึงด้วย กูจะรุกมึงต่างหาก!
ผมหงุดหงิดอีกละ เอาเถอะ ถ้าส่วนนี้ไม่ทำให้มันมีอารมณ์ได้ ผมก็จะไปจัดการส่วนอื่น หากแต่พอผมทำท่าจะผงกหัวขึ้นและเลื่อนไปด้านล่าง ฝ่ามือใหญ่ที่รั้งท้ายทอยผมอยู่ก็ออกแรงกดจนปลายจมูกผมแนบกับหน้าอกของคีธแน่น มือของมันอีกข้างก็โอบแผ่นหลังผมไว้ ลูบเบาๆ แถมยังโยกตัวไปมาอีกต่างหาก
“โอละเห่ โอ้โอ๋ละหึก ดวงใจคนดี ลูกจ๋า...”
มึงอย่ามาร้องเพลงกล่อมลูกของแม่นาคพระโขนง เวอร์ชันทราย เจริญปุระให้กูฟังนะเว้ย! กูไม่ใช่ไอ้แดงลูกแม่นาค ไม่ใช่ลูกมึงด้วย! แล้วนั่นก็หนังโคตรจะเก่าเลย ตั้งแต่ปี 1999 มึงไปดูมาจากไหนวะ!
ขัดอารมณ์กูจริงจังเหลือเกิน ผมชักจะหมดอารมณ์ละ ไอ้ที่เห็นมันเซ็กซี่ในตอนแรก ตอนนี้เห็นมันปัญญาอ่อนเป็นที่เรียบร้อย ผมเลยผละออกจากมัน ทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ อย่างหัวเสีย
“ไม่ทำต่อแล้วเหรอกวินทร์”
“ใครมันจะไปมีอารมณ์วะ โดนนายขัดทุกช่วงอย่างนั้นน่ะ” ผมว่าเสียงขุ่น คีธหัวเราะออกมา ก่อนจะตะแคงหน้ามามองผม
“คราวนี้ไม่ขัดละ มาสิ”
“ไม่”
ผมปฏิเสธโดยไม่คิด แต่คีธมันฟังมั้ยล่ะ... ไม่ฟัง ไม่ฟังไม่ว่า นี่ยังมายื่นมือมาดึงผมที่นอนอยู่ขึ้นไปคร่อมบนตัวมันอีกรอบด้วย
“ขอแก้ตัวใหม่”
“บอกว่าไม่ไง!”
ไม่บ้าอะไร... คีธมันโน้มลำคอผมไปจูบเรียบร้อย จากที่ว่าจะล้มเลิกความตั้งใจแล้ว สุดท้ายก็ต้องเริ่มต้นใหม่จนได้ แถมตอนนี้คีธไม่ได้เล่นๆ อย่างในตอนแรก จูบผมดุเดือดราวกับจะกลืนกินผมไปทั้งตัว ผมหายใจหอบฮั่ก ยอมยกธงขาว ผละออกจากมันมาหายใจแทน
“มาสิกวินทร์” ยัง...ยังเรียกร้องอยู่

 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.32]--20/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-01-2016 23:37:48
Episode 33: Our first baby is Keta[2]
ตอนนี้สีหน้ามันเซ็กซี่สุดๆ ไปเลย ผมชักจะอดใจไม่ไหวขึ้นมาอีกแล้ว คว้าปลายเสื้อตัวเองแล้วดึงให้พ้นจากตัว ก่อนจะก้มลงไปละเลงปลายลิ้นบนยอดอกของคีธอีกครั้ง คีธไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบสนอง ทำเพียงลูบท้ายทอยผมไปมาเท่านั้น จริงๆ ไม่ได้ลูบแค่ท้ายทอย มืออีกข้างก็ลูบแผ่นหลัง วนมาลูบหน้าอก ปลุกความวาบหวามบริเวณส่วนอ่อนไหวเล็กๆ ทั้งสองข้างให้ตั้งชันด้วย หนำซ้ำยังลูบไปยังบั้นท้าย เคล้นคลึงไปมาราวกับจงใจกระพือไฟราคะในตัวผม ร้ายกว่านั้นคือการที่มันเลื่อนมือมายังส่วนหน้า ลูบคลำแก่นกายของผมที่ตื่นตัวน้อยๆ ให้ผงาดง้ำขึ้นมา
“อือ...” ผมเผลอส่งเสียงออกมาทั้งที่ปากยังวนเวียนอยู่ยังหน้าอกคีธอยู่ และส่งเสียงมากขึ้นไปใหญ่เมื่อมือใหญ่ปลดตะขอกางเกงผมออกและสอดเข้ามาแตะส่วนอุ่นร้อนไปมา
“อืม...คีธ...อย่าเพิ่ง...”
ห้ามไม่ทันละ มันล้วงลึกถึงไส้ในเป็นที่เรียบร้อย แถมยังแตะไล้วนบนส่วนปลายอ่อนไหว ผมละริมฝีปากออกจากยอดอก ซุกหน้าเข้ากับซอกคอ ครางเสียงกระเส่าทันใด
“คะ...คีธ... หยุดก่อน...”
“กวินทร์รู้สึกไม่ดีเหรอ” คีธถามเสียงพร่าข้างหูผมเช่นเดียวกัน ผมส่งเสียงหนักขึ้นไปอีกเพราะตอนถาม มันดันขยับมือรูดส่วนนั้นขึ้นลงเร็วขึ้นจนผมต้องเกร็งตัวแข็ง พร้อมกับข่มใจเปล่งเสียงออกมา
“ปะ...เปล่า...”
“แล้วให้หยุดทำไม”
ยัง... มันยังไม่หยุดมือ ขยับเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ตอนนี้ผมจิกเล็บลงบนต้นแขนล่ำอย่างอดทนสุดชีวิตแล้วล่ะ
“ฉะ...ฉันอยากทำเอง อา...”
พอได้ยินผมพูดอย่างนั้น คีธก็ผ่อนแรงลงได้ เปลี่ยนมาเป็นรั้งผมเข้าไปจูบแทน
“เอาสิ” ผละออกแล้วก็บอกอย่างนั้น
ผมเลยดันตัวขึ้นคุกเข่า ดึงกางเกงลงแล้วกำจัดไปให้พ้นจากตัว กำจัดของตัวเองเสร็จก็ทำท่าจะไปดึงกางเกงคีธบ้าง ทว่าไม่ทันจะได้ขยับตัว เอวผมก็ถูกมือใหญ่ทั้งสองข้างรั้งเข้าหา กว่าผมจะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัว แก่นกายก็หายเข้าไปในโพรงปากของคีธที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
“ดะ...เดี๋ยวคีธ... บอกว่าจะทำเองไง...อื้อ...”
คีธไม่ฟังแล้ว ผมกำมือแน่น ชักจะทรงตัวไม่อยู่ เลยต้องยกดันไว้กับกำแพงแทน สภาพในตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมคร่อมอยู่ตรงใบหน้าหล่อนั่นขณะที่เจ้าของใบหน้าวุ่นวายกับส่วนแข็งขันของผมอยู่
เสียงกระเส่าและเสียงหายใจหอบดังออกจากปากผมไม่หยุดเมื่อความเสียวซ่านเข้าเล่นงาน และดังขึ้นไปอีกทันทีที่ช่องทางด้านหลังรู้สึกถึงความคับแน่นจากนิ้วมือของอีกฝ่าย
ตอนนี้ถึงจะทรงตัวด้วยการยันตัวเองไว้กับกำแพงก็ชักจะไม่ไหวละ ผมพยายามดึงตัวออกจากคีธ หากแต่คีธไม่ยอมปล่อย กระทั่งผมรู้สึกได้ว่าอีกไม่นานก็จะไปแล้วเลยรีบทุบมันเป็นพัลวัน
“ยะ...อย่า...อย่าเพิ่งนะ ฉันไม่อยากไปตอนนี้”
คีธรู้ว่าผมหมายความว่ายังไง เลยปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมหายใจหอบ มองหน้ามันอย่างเอาเรื่องที่ผมบอกว่าจะทำเอง แต่ดันถูกมันกระทำซะอย่างนั้น แต่มันจะไปสนใจอะไรล่ะ จับผมนั่งพับขาแล้วส่งความคับแน่นเข้ามาในกายผมแทน
เสียงกระเส่าจากผมดังขึ้นอีกครั้ง คีธค่อยๆ ขยับสะโพกผมไปมาช้าๆ ด้วยมือข้างเดียว อีกมือก็จับส่วนอุ่นร้อนกลางร่างของผมไว้ ก่อนจะเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนัก หัวสมองผมก็พร่างพรายไปด้วยเม็ดสีหลากสีสัน ผมไม่รู้หรอกว่าอีกกี่นาทีหลังจากนั้นกว่าคีธจะตามมา ที่รู้ๆ คือพอเราทั้งคู่หยุดเคลื่อนไหวแล้ว ผมก็ทรุดตัวลงนอนราบบนแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ อย่างเหนื่อยอ่อนเท่านั้น
มือใหญ่ลูบหลังผมอย่างเบามือ เสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้น กระตุ้นไม่ให้ผมหลับไปด้วย
“กวินทร์รู้มั้ยว่าทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้ฉันอยากมีลูกกับกวินทร์มากขึ้นนะ”
“อืม”
“กวินทร์อยากมีลูกกับฉันมั้ย”
“อืม” ผมขานรับอย่างไม่ใส่ใจนัก คือเหนื่อยไง พูดอะไรไปก็ไม่ได้สนใจแล้ว
หากแต่การขานรับพล่อยๆ ของผมเมื่อครู่ทำให้คีธพลิกตัว ดันผมลงนอนแล้วขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้
“กวินทร์...”
“อะไร” ผมชักไม่ไว้ใจมันละตอนนี้ เห็นสีหน้าจริงจังก็รู้เลยว่ามันต้องคิดจะทำอะไรนอกเหนือจากแค่พูดแน่ๆ
“ขยายพันธุ์กันเถอะ”
นั่นไง! กูว่าแล้วไม่มีผิด! ไหนมึงบอกว่ามีลูกตอนนี้ไม่ได้เพราะกลัวลูกจะเป็นอันตรายยังไงวะ!
“เดี๋ยวๆๆ!” ผมร้องลั่นเลยทันทีที่เห็นคีธโน้มหน้าลงมาใกล้ ทำท่าจะจูบ ดันหน้ามันซะอย่างแรงด้วยจนริมฝีปากหนาที่ปิดสนิทอยู่เผยอออกมาเล็กน้อยให้ผมได้เห็นวัตถุทรงกลมสีส้มใสๆ ในปากมัน เท่านั้นผมก็รู้เลยว่านั่นคงจะเป็นไข่มนุษย์ต่างดาวแน่นอน
คีธทำท่าเหมือนกลืนลงไปก่อนจะพูด “ทำไม”
“ไหนนายว่ามีลูกตอนนี้ไม่ได้ไง นี่อะไรวะ จู่ๆ ก็นึกวางไข่ ให้ฉันเตรียมตัวเตรียมใจก่อนสิ!” ผมแหกปากโวยวายโดยไม่รอให้ใครมาตัดริบบิ้น
คีธก็คงจำได้แหละว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ มันเลยจ้องหน้าผมนิ่ง ว่าออกมาเนิบๆ
“กวินทร์ไม่อยากมีลูกกับฉัน?”
“ไม่ใช่ไม่อยาก แต่พวกเซนไทน์...”
“ฉันจะปกป้องลูกของเราเอง” พูดยังไม่ทันจบ คีธก็สวนขึ้นมาละ ทำเอาผมย่นคิ้วยู่
“แต่เดี๋ยวนายก็ต้องไปจากโลกไม่ใช่เหรอวะ ถ้านายวางไข่ทิ้งไว้ ฉันก็ท้องลูกไม่มีพ่อน่ะสิ” บอกตรงๆ กระดากใจมากที่ต้องเรียกมันว่าพ่อของลูก ใครจะไปคิดไปฝันวะว่าวันนึงจะมีผัวเป็นตัวเป็นตน ทั้งที่เมื่อก่อนผมเป็นแต่ฝ่ายเป็นผัวชาวบ้านเนี่ย
คีธยังคงจ้องหน้าผมนิ่งอยู่ ลูบหัวผมเบาๆ ด้วย ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา
“ฉันบอกกวินทร์แล้วใช่มั้ยว่าจะกลับมา”
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“ตอบไม่ได้เหมือนกัน”
คำตอบของมันแทบทำให้ผมอยากด่า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมันพูดขึ้นมาอีก
“แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมา ฉันจะกลับมา”
“ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง ถ้านายไม่กลับมา ฉันก็กลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวสิวะ” ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแม่นะพูดตรงๆ เอาเป็นว่าเรียกตัวเองเป็นพ่ออีกคนแล้วกัน
“ชาวยูนิกม่าพูดคำไหนคำนั้น ทั้งชีวิตผูกพันได้แค่คนเดียว” แล้วก็เลื่อนมือมาวางบนหน้าอกข้างซ้ายผม “หัวใจของฉันก็อยู่ที่กวินทร์คนเดียวและตลอดไป ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะกลับมาหา จะกลับมาหากวินทร์กับลูก ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็จะมา ดังนั้น... ขยายพันธุ์กันเถอะกวินทร์”
เกือบจะซึ้งอยู่แล้ว มันไม่ซึ้งตรงที่มึงพูดว่าขยายพันธุ์นี่แหละ!
แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมหุบปากเงียบสนิทได้ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะยิ่งได้เห็นแววตาจริงจังคู่นั่น ผมเชื่อนะว่าคีธจะกลับมา ทว่าประเด็นก็คือไม่อยากท้องโย้ตามลำพังน่ะสิ ถ้าเกิดคลอดก่อนมันกลับมานี่จะทำยังไง ใครจะเลี้ยงลูก แล้วใครจะช่วยผมดูแล ไม่เคยมีลูก แถมเป็นลูกมนุษย์ต่างดาวอีก มันเลี้ยงไม่เหมือนมนุษย์นะเว้ย!
ดูเหมือนคีธจะดูออกว่าผมกังวลอะไรเลยประทับจูบลงมาบนหน้าผากผมทีหนึ่งก่อนว่า
“ฉันจะไปฝากฝังท่านผู้เฒ่าลีโอเธให้ช่วยดูแลกวินทร์กับลูก ไม่ต้องห่วง ชาวโอนิซิสมีอารยธรรมสูงและทรงความรู้ วางใจได้ว่าท่านผู้เฒ่าจะช่วยดูแลลูกของเราได้”
ผมนึกถึงหน้าอาแปะลีโอนาร์โดขึ้นมาทันที เกือบจะลืมไปแล้วว่านั่นก็มนุษย์ต่างดาวเหมือนกัน
“มีลูกกันเถอะกวินทร์”
ผมได้สติอีกครั้งเมื่อถูกย้ำ โอเค... ตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรยอมให้มันวางไข่มั้ย แต่ยอมรับแหละว่าครึ่งหนึ่ง ใจนี่ยอมให้มันวางไข่ไปแล้วเรียบร้อย
หากแต่ไม่กี่วินาทีให้หลังที่คีธก้มหน้าลงมาจูบแนบเรียวปากเบาๆ ผมก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าอยากมีลูกหรือไม่อยาก
“ฉันรักกวินทร์นะ รักมาก และจะรักลูกของกวินทร์ด้วยเหมือนกัน”
ทะ...ทำลูกก็ทำวะ!
“สัญญานะ?”
“สัญญา” คีธรับปาก
ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยักหน้าให้มันเป็นสัญญาณ คีธฉีกยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาหาผมเรื่อยๆ ประทับจูบแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ วัตถุทรงกลมก็ถูกส่งเข้ามาในปากผม ปลายลิ้นของคีธดุนเข้ามาลึกราวกับกลัวว่าผมจะคายมันทิ้ง และยอมถอยออกไปเมื่อเห็นว่าผมกลืนลงคอไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงจะวางไข่เรียบร้อย คีธก็ไม่ยอมละออกจากริมฝีปาก ละเลียดจูบอยู่เนิ่นนานก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
“คีตา...” และนั่นก็เป็นคำพูดแรกที่หลุดจากปากคีธทันทีที่เราผละออกจากกัน
“ใคร” ผมย่นคิ้วน้อยๆ คีธยังยิ้มกว้างอยู่
“ลูกของเรา...ลูกคนแรก”
ผมจ้องตาคีธนิ่ง ในแววตาคู่นั่นประกายความดีใจอย่างประหลาด ผมเองก็อดตื้นตันไปด้วยไม่ได้ เผลอยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองโดยอัตโนมัติ
ไข่ของคีธอยู่ในตัวผมอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ไข่ในการสร้างร่างใหม่ แต่เป็นไข่สำหรับการขยายพันธุ์ และเป็นไข่ที่บรรจุสิ่งมีชีวิตน้อยๆ ที่ชื่อว่าคีตาอยู่... ไข่ที่บรรจุชีวิตลูกของผมกับคีธ
“รักนะกวินทร์... รัก...” คีธรวบผมไปกอดแน่น พร่ำออกมาไม่หยุดปาก
ผมหัวเราะกับท่าทางดีใจที่แสดงออกมาแบบไม่สุดทันใด ก็ตามแบบฉบับคีธนั่นแหละ มันเป็นคนนิ่งๆ อึนๆ นี่หว่า จะให้แหกปากร้องดีใจก็ใช่เรื่อง ผมก็เลยกอดตอบ พร่ำบอกความรู้สึกในใจเหมือนกัน
“รักนายเหมือนกัน แต่ตอนนี้จะรักน้อยลงละ”
คีธชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองผมเป็นเชิงถาม ผมเลยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้มัน
“อะไร มีปัญหาหรือไงถ้าฉันจะรักนายน้อยลงแล้วจะแบ่งไปให้คีตาน่ะ”
คีธส่ายหน้าพรืด หัวเราะออกมาบ้าง “ไม่มีปัญหา แต่ฉันไม่รักกวินทร์น้อยลงหรอกนะ จะรักให้มากขึ้น แล้วก็จะรักคีตาให้เท่ากวินทร์เหมือนกัน”
“เรื่องของนายเว้ย” ผมแสร้งเสียงดังหนีอาย เบือนหน้าหนีด้วย เดาว่าตอนนี้หน้าคงจะแดงไปไหนต่อไหนแล้ว
คีธไม่ว่าอะไร แค่ดันตัวลงต่ำ วางหัวตะแคงข้างบนหน้าท้องผมแล้วนอนนิ่ง มือก็ลูบซิกส์แพ็คผมไปมาด้วย ผมเห็นแล้วก็ไม่พูดอะไร แค่รู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกผู้ชายมาทำประหนึ่งผมเป็นผู้หญิงท้องอย่างนั้น แต่เอาเถอะ ตอนนี้มีความสุขก็ดีแล้ว
คีธน้อย... ความรู้สึกของแม่ตอนท้องผมก็คงจะเป็นแบบนี้สินะ

 
วันใหม่มาถึงก็ไม่มีใครพูดพร่ำทำเพลง จัดการให้ซีเลนพาผมไปหาเจเนซิสตามที่ตกลงกันไว้เมื่อคืนทันใด คีธดูเป็นห่วงผมมากกว่าปกติ มากจนคนอื่นๆ ผิดสังเกตทั้งที่ผมกินยาระงับกลิ่นของคีธเอาไว้แล้วเพราะคีธบอกว่าถ้าตั้งท้อง กลิ่นที่มาจากไข่ก็จะเผยออกมาเลยต้องกันไว้ก่อน และทั้งผมทั้งคีธก็ไม่มีใครปริปากบอกเรื่องที่เราทำการขยายพันธุ์คีธน้อยแต่อย่างใดเพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นกังวล สำคัญเหนืออื่นใดคือไม่ต้องการให้เรื่องนี้หลุดไปถึงหูพวกเซนไทน์หากมีการนองเลือดขึ้นมาในกรณีที่พาแอสตันหนีไม่สำเร็จ
ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คีธห่วงที่สุดในเวลานี้ สิ่งที่ห่วงที่สุดก็คือกลัวไอ้ซีเลนมันจะปล้ำผมเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองต่างหาก ดีที่มันไม่ทำ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถมาที่โรงแรมแถวไชน่าทาวน์ที่ผมเคยเกือบถูกมันลากเข้าไปพลางบ่นเรื่องบรูคลินกับเบนชอบหนีหน้ามันตลอดทางอย่างเดียว ผมล่ะอยากจะบอกให้มันรู้ตัวเหลือเกินว่าที่สองเปรตนั่นหนีมันก็เพราะความหื่นของมันนั่นแหละ แต่ก็เงียบไว้ ช่างแม่ง ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย
ซีเลนใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงยังจุดหมาย พวกบอดี้การ์ดซึ่งผมจำได้ดีว่าเป็นพวกเซนไทน์มองซีเลนที่เดินขนาบข้างผมเข้าไปในโรงแรมอย่างไม่ไว้ใจทันที ก่อนจะมาขวางหน้าด้วยเมื่อเห็นว่าซีเลนตรงไปยังเคาน์เตอร์แล้วสอบถามห้องของลาร์ค
“ฉันแค่จะมาหาพี่ชายฉัน แล้วก็พาโฮสต์ของพระชายาพี่ชายฉันมาให้ได้ดูดสารอาหารด้วย พวกนายมีปัญหาอะไร ถ้าพวกนายมีปัญหาก็เตรียมตัวโดนฆ่าได้เลย ข้อหาทำพระชายาอดอาหารตาย”
พอซีเลนพูดแค่นี้ พร้อมทำหน้ากวนบาทา พวกนั้นก็ยอมเปิดทางแต่โดยดี นำขึ้นไปยังห้องของลาร์คด้วยเถอะ
ผมกับซีเลนถูกพวกบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังขึ้นมายังชั้นบนสุดของโรงแรม ห้องของลาร์คเป็นห้องสวีท และข้างบนชั้นนั้นก็ไม่มีแขกคนอื่นพักอยู่เลย มีแต่ลาร์ดเท่านั้น พูดตรงๆ ก็คือมันเหมาห้องสวีททั้งชั้นสำหรับมันคนเดียวนั่นแหละ ผมไม่แปลกใจนักหรอกว่าพวกมันไปเอาเงินมาจากไหนกันเยอะแยะ
มีปัญหาสนับสนุนงบถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ ก็แน่นอยู่แล้วล่ะว่ามันคงจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่นี่เหมือนกับที่พวกยูนิกม่าทำนั่นแหละ
ผมกับซีเลนถูกนำทางมาหยุดยังหน้าห้องห้องหนึ่ง บอดี้การ์ดคนที่ผมจำได้ดีว่าถูกซีเลนทำร้ายและเป็นหัวหน้าพวกเซนไทน์เข้าไปรายงานลาร์คครู่หนึ่ง ไม่นานมันก็เปิดประตูออกมาพยักหน้าเป็นเชิงให้พวกผมเข้าไป
พอเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับลาร์คในชุดสูทลายตารางหมากรุกสีเทาเชยๆ เหมือนเดิม หมอนั่นยืนทอดสายตามองออกไปนอกแผ่นกระจกบานใสที่ติดตั้งแทนกำแพงให้เห็นทิวทัศน์ละแวกนั้นสุดลูกหูลูกตา ก่อนมันจะหันมามองผมกับซีเลนแล้วเอ่ยปากทัก
“มาถึงที่แบบนี้ คงมาหาพระชายาของฉันสินะ”
ผมไม่ตอบ มีแต่ซีเลนเท่านั้นที่ยักคิ้วแล้วว่ากวนๆ
“นอกจากนั้น ฉันก็มาหาพี่ชายด้วย มีอะไรอยากคุยด้วยหน่อย”
“นั่งก่อนสิ” ลาร์คเดินมายังโซฟา ผายมือให้ซีเลนนั่ง หากแต่ซีเลนไม่นั่ง เสนออย่างอื่นแทน
“เรื่องสำคัญ ฉันไม่สะดวกใจจะคุยในที่มีคนเยอะๆ” มันหมายถึงพวกบอดี้การ์ดที่ยืนกันหน้าสลอนรอบห้องนั่นแหละ
ลาร์คพยักหน้า โบกมือเล็กน้อย พวกนั้นก็ออกไป เหลือเพียงแค่ผม ซีเลนกับลาร์คเท่านั้น
“ทีนี้ก็พูดมาได้แล้ว”
แต่ซีเลนก็ยังไม่ยอมนั่ง ยังพูดต่อ “ไม่สะดวกใจให้ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินได้ยินด้วย”
ลาร์ครู้ว่าซีเลนหมายความว่ายังไง แต่ไม่ไล่ผมออกจากห้องเพราะรู้ว่าผมมาที่นี่ทำไม ชี้ไปทางประตูห้องนอนข้างๆ แทน
“แอสโซซิโนอยู่ในนั้น เข้าไปสิ”
ผมพยักหน้าแล้วดิ่งเข้าไปในห้องนั้นทันที ความจริงแล้วสิ่งที่ซีเลนพูดน่ะมันเป็นแผน มันไม่ได้มีอะไรจะคุยกับลาร์คหรอก แค่จะดึงความสนใจและถ่วงเวลาให้ผมได้คุยกับเจเนซิสเท่านั้น และที่ผมไม่กังวลว่าลาร์คจะได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับเจเนซิส นั่นเป็นเพราะว่าผมรู้ว่าพวกเซนไทน์ไม่ได้มีประสาทสัมผัสด้านการฟังดีนัก เทียบเท่ากับมนุษย์ด้วยซ้ำ ที่มีดีก็คือด้านการรับกลิ่นอย่างเดียว
หากแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่ผมเข้ามาในห้อง จัดการปิดประตูและล็อคเรียบร้อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างเปล่าเปลือยของเจเนซิสบนเตียงสี่เสาแบบโรมัน ปูด้วยผ้าสักหลาดสีแดงสดในสภาพอิดโรยและนอนคว่ำหน้าอยู่
ผมชะงักกึก ก้าวขาไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ก็ต้องกลั้นใจก้าวไปพร้อมกับกลืนน้ำลายไปด้วย แล้วก็ต้องตกใจหนักขึ้นไปใหญ่เมื่อเห็นว่าผิวขาวนวลของเจเนซิสเต็มไปด้วยร่องรอย...
ร่องรอยแบบ...รอยกัด? รอยข่วน? รอยดูด? ระ...รอยอะไรก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ คือมีเต็มตัว ทำเอาผิวสวยนั่นเป็นรอยจ้ำแดงและช้ำไปทั้งตัว
“สะ...ไสหัวไป...”
เสียงเจเนซิสดังขึ้นแผ่วเบาและแห้งผาก มันคงคิดว่าผมเป็นลาร์คล่ะมั้ง ผมทรุดตัวลงนั่งข้างมัน ยื่นมือไปแตะแขนเล็กน้อย
“เจเนซิส...”
เจเนซิสกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามามองผมและครางเรียกชื่อผมออกมา
“กวินทร์...”
“นาย...โอเคมั้ยวะ” โคตรเป็นคำถามที่โง่เง่าเลยเถอะ เห็นสภาพมันก็น่าจะรู้แล้วล่ะว่ามันไม่โอเค ความรู้สึกผิดบาปที่ส่งมันให้ลาร์คที่ประดังประเดเข้ามาในจิตใต้สำนึกผมเลย
หากแต่เจเนซิสไม่ได้ดูขุ่นเคืองผมสักนิด แววตาของมันยังคงเป็นเจเนซิสคนเดิม แถมมันยังเป็นห่วงผมให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่าเดิมอีก
“มาทำไมกวินทร์”
“มาช่วยนายน่ะสิ” ผมว่าไปตามจริง ถึงจะไม่ใช่เป้าหมายของแผนในตอนแรก แต่เห็นสภาพมันแบบนี้แล้ว ผมก็โคตรอยากจะพามันออกไปจากที่นี่แทนที่จะมาถามว่าควรช่วยแอสตันยังไงชะมัด
ทว่าเจเนซิสไม่สนที่ผมพูด ดันตัวขึ้นด้วยแขนอันสั่นเทาจนผมต้องปรี่เข้าไปช่วยประคองให้นั่ง
“รีบกลับไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาย” พอนั่งได้ก็ออกปากไล่ผม
ผมส่ายหน้าดิก ตอนนี้ได้เห็นลำตัวส่วนหน้ามันชัดๆ แล้วก็ต้องเบ้หน้าออกมา ข้างหลังนี่ว่าช้ำเยอะแล้วนะ ข้างหน้านี่ช้ำเยอะกว่าอีก ไอ้ตัวส่วนร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มนี่คงไม่ต้องถามเลยมั้งว่าช้ำขนาดไหน
ไอ้บ้าลาร์คนี่มันเจ้าชายหื่นสายเอสนี่หว่า!
“นาย...โดนมันทำอะไรบ้างวะ” สุดท้ายผมก็อดอยากรู้ไม่ได้ ไม่ใช่อยากรู้ว่าลาร์คมันลีลาเป็นแบบไหนนะ แต่คืออยากรู้ว่ามันทำยังไงถึงได้ช้ำเลือดช้ำหนองแบบนี้ต่างหาก
“หลายอย่าง อยากโดนมั้ยล่ะ” เจเนซิสแม่งก็กวนตีน ถามดีๆ ดันยอกย้อนซะงั้น ผมเลยรู้ตอนนี้ว่ามันเองก็คงเคืองผมอยู่เหมือนกัน เลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่มันจะทำให้ผมเป็นผู้ต้องหาพยายามยืมมือคนอื่นฆ่ามัน
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน คุยกันนาน เดี๋ยวพวกมันสงสัย คืองี้... แอสตันให้มาถามว่ามันควรทำยังไงต่อไปน่ะ” ผมว่ารวบๆ
เจเนซิสไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าผมหมายถึงอะไร ตอบกลับมาแทบจะในทันที
“หนี... ไปที่วอชิงตันให้เร็วที่สุด ประสานกับพวกเราทางฝั่งนั้นเอาไว้ ฉันจัดเตรียมสถานที่หลบซ่อนไว้ให้แล้ว และไปจากโลกทันทีที่ยานเสร็จ”
“แล้วนายล่ะ...” ผมอดเป็นห่วงมันไม่ได้ นี่ขนาดลาร์คยังไม่รู้ว่าเจเนซิสเป็นเจ้าชายตัวปลอม มันยังโดนหนักขนาดนี้ ถ้ารู้ขึ้นมานี่นึกไม่ออกเลยว่าจะโดนหนักขนาดไหน
หากแต่เจเนซิสไม่ยี่หระ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ทูลองค์ชายด้วยว่าไม่ต้องห่วงฉัน ฉันเอาตัวรอดเองได้ ทางนี้ฉันจะถ่วงเวลาไว้เอง ไปเจอกันที่ดาวที่องค์ราชาประทับอยู่ ฉันจะตามไปทีหลัง”
“แต่นาย...”
“ทำตามที่ฉันบอก เพื่อความปลอดภัยขององค์ชาย”
ผมยังพูดไม่ทันจบเลย เจเนซิสก็แทรกซะละ ผมเข้าใจความจงรักภักดีของมันนะ แต่เห็นมันเสียสละตัวเองแบบนี้แล้วก็ทนไม่ไหวว่ะ ถึงเรื่องทั้งหมดจะเกิดเพราะผมก็เถอะ
เจเนซิสเห็นสีหน้ากังวลของผมก็ดูออกว่าผมคิดอะไร หยักยิ้มขึ้นมาแล้วปลอบผมซะงั้น
“บอกว่าไม่ต้องห่วง”
แต่คือมึงรับวิกฤตเองไง มึงจะยินดีเพื่ออะไรวะ!
ผมทำท่าจะแย้งอีก คือจะแย้งให้มันหาทางหนีไปตั้งแต่ตอนนี้นั่นแหละ ทว่าเจเนซิสไม่เปิดโอกาสให้ผมพูด ดันตัวลุกจากเตียงพร้อมผ้าห่มคลุมท่อนล่างไปที่ประตู
“ทำตามที่ฉันบอกกวินทร์ ฉันฉลาดที่สุดในยูนิกม่า เชื่อฉันแล้วทุกอย่างจะดี นายก็ไปได้แล้ว อยู่ที่นี่นานๆ ไม่ปลอดภัยสำหรับนาย สำหรับเจ้าชายด้วยถ้านายยังอยู่ที่นี่”
มันคงหมายถึงถ้าเกิดผมอยู่ในสถานการณ์จวนตัวอีก ผมคงจะใช้แผนการชั่วๆ โบ้ยความซวยไปให้คนอื่นแทนสินะ
ถึงจะน่าหงุดหงิดแต่ก็เอาเถอะ ไม่เถียงเพราะมันจริง และผมก็ชักทนไม่ไหวที่เห็นมันเอาแต่ห่วงแอสตันจนลืมห่วงตัวเองแบบนี้
“แต่ว่านายอยู่ในอันตรายนะเว้ย โดนซะช้ำไปทั้งตัวแบบนี้ เดี๋ยวก็ตายก่อนหรอก” ว่าพลาง ตาก็มองร่างกายของเจเนซิสไปด้วย
แต่เจเนซิสมันห่วงตัวเองซะที่ไหนล่ะ แอสตันสำคัญกว่าชีวิตมันอีก
“ฉันเอาตัวรอดได้ อันที่จริงต้องขอบคุณนายซะอีกนะกวินทร์ที่คิดแผนนี้ขึ้นมา องค์ชายเลยรอดพ้นจากวิกฤต ไม่อย่างนั้น องค์ชายต้องแย่แน่”
โอ๊ย! หงุดหงิด! มึงจะจงรักภักดีไปไหนวะ! หงุดหงิดโว้ย!
ผมอยากจะเถียงมันใจจะขาดว่าแอสตันมันไม่ได้สำคัญเท่าชีวิตของมันนักหรอก ทว่าเจเนซิสก็เปิดประตูก่อนแล้ว ผมเลยต้องหุบปากด้วยเกรงว่าลาร์คจะได้ยิน
“ไปได้แล้ว ขอบคุณที่เสียสละเวลามาให้ฉันได้กินสารอาหาร” แล้วมันก็สวมบทบาทเจ้าชายยูนิกม่ากะทันหัน
ผมยังตามไม่ทันก็ถูกมันดันออกมาจากห้องแล้ว ประตูปิดลง ลาร์คกับซีเลนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาหันมามองผมเป็นตาเดียว ก่อนซีเลนจะทำลายความเงียบขึ้น
“เสร็จแล้วเหรอ”
“อืม”
“ดี เสร็จแล้วก็กลับ ไว้คุยกันใหม่นะลาร์ซิโอนีย์” ซีเลนลุกขึ้นยืน ลาร์คลุกขึ้นยืนตามไปด้วย
“อืม ฉันหวังว่านายคงจะตัดสินใจได้ในเร็วๆ นี้ อาณาจักรของเราต้องการคนเก่งอย่างนาย”
ให้เดานะ ลาร์คคงจะชวนซีเลนให้กลับไปอยู่ด้วยนั่นแหละ ซีเลนไม่ไป รู้กันอยู่แล้ว แต่สวมบทบาทเออออไปตามเรื่อง
“ขอคิดก่อน แล้วจะให้คำตอบ” ว่าจบก็เข้ามาโอบไหล่ผม ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
หากแต่ก็ต้องก้าวแล้วหยุดเมื่อลาร์คเรียกผมไว้
“กวินทร์...”
ผมสะดุ้งเลย ใจคิดไปแล้วว่ามันจะได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับเจเนซิส แต่เปล่า พอหันไปมองมัน มันแค่พูดกับผมด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเท่านั้น
“เรื่องรอยบนตัวแอสโซซิโนต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ”
มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก มึงไปขอโทษไอ้เจเนซิสโน่น! ทำมันช้ำขนาดนั้น ยัดน้ำใบบัวบกเป็นแท็งค์ก็เอาไม่อยู่แล้ว!
ผมพยักหน้าให้มันไปงั้นแหละ จังหวะเดียวกับที่ลาร์คเดินเข้ามาเปิดประตูให้ผมกับซีเลนพอดี ผมเลยได้เห็นว่าบริเวณข้อมือใต้แขนเสื้อสูทนั่นก็มีรอยช้ำเหมือนกัน และดูท่าทางจะช้ำกว่าเจเนซิสด้วยซ้ำ ผมเลยรีบปราดตาขึ้นไปมองหน้ามัน ตอนนี้แหละถึงได้สังเกตเห็นว่าบริเวณต้นคอ ข้างกกหู และไหปลาร้าของมันก็มีรอยช้ำเลือดช้ำหนองพอกัน
“กลับดีๆ”
ไม่ทันจะได้สำรวจไปมากกว่านี้ ลาร์คก็ส่งแขกเรียบร้อย ผมเลยรีบก้าวตามซีเลนออกมาด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
ไม่ใช่แค่ไอ้ลาร์คที่ซาดิสม์นะ กูว่ามึงก็ซาดิสม์ไอ้เจเนซิส มาโซคิสด้วยเถอะพวกมึงสองคนน่ะ มิน่าล่ะทำไมมึงถึงไม่ยอมหนี ไม่ใช่เพราะช่วยแอสตันหรอก กูว่ามึงติดใจแน่ๆ ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก ดีแล้วที่มึงไม่ได้ผูกพันกับคีธ ถ้ามันผูกพันกัน นึกสภาพคีธตอนโดนมันมัดแล้วเอาแส้ฟาดแล้วขนหัวลุกเลย
เอาเป็นว่าพวกมึงเหมาะสมกันแล้วล่ะ เหมาะสมกันจริงๆ...
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.33]--21/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 22-01-2016 01:31:34
 :jul3: โอ๊ย ฮาอ่ะ
กำลังจะสงสารเจเนซิสอยู่ละ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.33]--21/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 22-01-2016 02:02:52
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดด ท้องแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.33]--21/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-01-2016 22:27:40
ลูกคนแรกกน้องคีตาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.33]--21/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-01-2016 22:34:04
Episode 34: Almost about time to leave[1]
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเจเนซิสเป็นไงบ้าง” ผมทำลายความเงียบขึ้นหลังจากเราออกจากโรงแรมมา แล้วซีเลนก็เงียบ ไม่พูดไม่จา เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถตั้งแต่ตอนนั้นจนพวกเรามาติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกก่อนจะเลี้ยวไปบนถนนที่นำไปยังแหล่งกบดานของพวกยูนิกม่า
“ไม่ล่ะ รู้อยู่แล้ว” ซีเลนพูดโดยไม่มองหน้าผม ผมเลยหัวเราะหึใส่มัน
“พี่น้องกันน่ะเนอะ ไม่รู้ก็แปลก ขนาดลูกครึ่งเซนไทน์อย่างนายยังหื่นไม่เลือกหน้าขนาดนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าพี่ชายนายที่เป็นเซนไทน์แท้ๆ จะหื่นขนาดไหน”
หัวคิ้วของซีเลนย่นไปเล็กน้อย เห็นแล้วผมก็ฉุกคิดได้ว่ามันไม่พิสมัยการนับญาติกับลาร์คเท่าไหร่นัก ที่มันยอมคุยดีด้วยตอนที่ไปหาเจเนซิสก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น ผมเลยอ้าปากทำท่าจะขอโทษ ทว่ามันก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ก็จริง พวกเซนไทน์ส่วนใหญ่ยั้งพละกำลังของตัวเองไม่ค่อยเป็น ยิ่งเจอคนถูกใจ ยิ่งห้ามใจตัวเองใม่ค่อยได้ ขนาดฉันยังยั้งไม่ค่อยอยู่เลย เจเนซิสคนสวยจะช้ำไปทั้งตัวก็ไม่แปลก” คราวนี้ซีเลนชำเลืองมามองผมเล็กน้อย “แต่ดูท่าเจเนซิสก็คงจะชอบ ฉันเห็นว่าลารค์เองก็มีรอยช้ำเหมือนกัน คงจะเข้าขากันดี”
“คงจะอย่างนั้น” ผมหัวเราะแห้งเลยทันทีที่นึกถึงร่องรอยบนตัวลาร์ค
“แต่ถ้าเป็นนาย ฉันจะเบาแรงให้ สนใจมั้ยล่ะ” แล้วไอ้เวรซีเลนแม่งก็มาก้อร่อก้อติกผมตบท้ายตามเคย
ผมมองหน้ามันที่ยิ้มเผล่พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วร่างผมตาขวาง มึงนี่มันหื่นได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ ไอ้หื่นกาม!
“ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งวะว่าให้ตาย ฉันก็ไม่ไปนอนกับนายหรอกเว้ย ให้นอนกับนายนี่ ยอมเสื่อมสมรรถภาพดีกว่า”
“ลองสักครั้งจะติดใจ รับรองว่าจะทำให้ลืมท่านผู้พิทักษ์คีทาเยนั่นไปเลย”
“หยุดหื่นแล้วเตรียมตัวสักที จะไฟเขียวแล้วเนี่ย!” ผมเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
พอไฟแดงตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว ซีเลนก็เหยียบคันเร่งไปตามคันอื่นๆ ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวตรงแยก ผมย่นคิ้วจนหัวคิ้วชนกันเมื่อเห็นมันเลี้ยวไปคนละทางกับทางที่ไปบ้านพวกไบโทป
“เฮ้ยๆ บ้านไอ้บรูคลินไปทางโน้น นายจะไปไหนของนายน่ะ”
“โรงแรม”
“ไปโรงแรมหาป้ามึงเหรอ! เลี้ยวรถกลับเดี๋ยวนี้!” ผมโวยวายลั่น ภาษาไทย-ภาษาอังกฤษนี่ปนกันมั่วไปหมด แต่ซีเลนมันก็ฟังออกนั่นแหละ หันมาแสยะยิ้มให้ผมอย่างเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก
“ก็นายบอกเองนี่นาว่าอยากนอนกับฉัน”
“บอกตอนไหนวะ!” ผมแหกปากดังกว่าเดิม ใจนี่โคตรอยากจะแย่งพวงมาลัยมันมาหักกลับรถเลยถ้าไม่กลัวตายน่ะนะ
ส่วนไอ้ซีเลนก็ยังคงตีมึนไม่เลิก “ก็นายไม่ปฏิเสธตอนฉันบอกว่าลองสักครั้งจะติดใจ นั่นก็หมายความว่านายตอบรับแล้ว”
บ้านมึงเถอะ! กูไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะกูไม่อยากคุยเว้ย!
“กลับรถเดี๋ยวนี้” ผมว่าเสียงต่ำ ชักไม่สนุกกับมันละ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันฟังได้เลย แถมยังว่าขึ้นมาหน้าด้านๆ
“เอาน่า เดี๋ยวคีธไปจากที่นี่ นายก็ได้กับฉันอยู่ดี ร่นเวลาให้เร็วกว่าเดิมหน่อยก็ไม่เป็นไร”
ใครจะไปได้กับมึง!
ผมนี่ทึ้งหัวตัวเองไปมาอย่างบ้าคลั่งรัวๆ ตอนแรกก็คิดอยู่แล้วล่ะว่ามากับซีเลนคงจะไว้ใจไม่ได้ถึงมันจะไว้ใจได้ในเรื่องของการปกป้องผมจากพวกเซนไทน์ก็เถอะ แต่ปกป้องผมจากความหื่นของมันนี่ฝันไปเลย แม่งเอ๊ย คิดผิดชัดๆ ที่ยอมมากับมันเนี่ย!
“กลับรถ!” และเพื่ออธิปไตยของตัวเอง ผมก็โวยวายอีกครั้ง คราวนี้ไม่โวยวายเปล่า ทุบมันด้วย ทุบไม่พอ ยกขาถีบอีก
แต่มันไม่สะทกสะท้าน จับข้อเท้าผมที่ยกขึ้นถีบมันค้างไว้กลางอากาศเสียอย่างนั้น ซ้ำยังหันมามองตรงเป้าผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“ท่านี้ก็ดี”
ดีพร่อม! มึงอย่ามาคิดท่วงท่าลีลาเอาเองตามใจชอบสิวะ!
ผมพยายามดึงขาตัวเองกลับมา คว้าอะไรใกล้มือได้คือขว้างใส่มันเต็มเหนี่ยว ซีเลนก็กลับรถไป หลบการประทุษร้ายของผมไป โคตรจะอันตรายเลย แต่ที่อันตรายกว่าก็คือถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมโดนมันปล้ำแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือถ้าผมพลาดท่าเสียทีให้มัน แล้วไข่คีตาที่อยู่ในท้องผมล่ะจะเป็นยังไง ไม่โดนมันทำแตกเป็นไข่ไก่เลยเรอะ!
“หาโรงแรมไม่ได้เลยแฮะ โมเต็ลแล้วกัน”
โรงแรมก็ว่าแย่แล้ว นี่แย่หนักกว่าตรงที่มันดันจะพาผมเข้าโมเต็ล ภาษาไทยบ้านๆ คือม่านรูด...
มึงนี่บ้าถึงขนาดลากกูเข้าม่านรูดเลยเหรอวะไอ้ซีเลน!
“จะโรงแรมหรือโมเต็ลก็ไม่ไปเว้ย! ปล่อยสิวะไอ้ซีเลน!” ผมยังคงตะโกนไม่เลิก ตะโกนหนักกว่าเดิมเมื่อสายตาเหลือบเห็นป้ายโมเต็ลตรงหน้าไม่ไกล
การดิ้นรนสู้กับความหื่นกามของมันยังคงดำเนินต่อไป เกือบจะแพ้มันอยู่แล้วเมื่อมันเลี้ยวรถเข้ามายังทางเข้าโมเต็ลนั้น ทว่าก็ต้องเบรคจนหัวทิ่มทันทีที่ถูกมอเตอร์ไซต์ช็อปเปอร์คันหนึ่งขับปาดหน้าเข้ามากะทันหัน ผมรีบตั้งหลัก มองไปตรงหน้าก็เห็นว่าคนขับช็อปเปอร์คันนั้นคือคีธที่อยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตหนัง เท่านั้นผมก็ไม่รอช้า รีบปลดเซฟตี้เบลท์ กระโดดผลุงออกจากรถไปหามันทันที
“คีธ!” เรียกมันด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ด้วย
คีธพยักหน้าให้ผม เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนดึงผมไปหลบข้างหลังแล้วตัวเองก็เดินเข้าไปหาซีเลน
“มาขวางซะได้” ซีเลนแม่งก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักอย่าง ลงจากรถมาทำหน้าเสียดายจนคีธเดินไปหยุดตรงหน้า
“องค์ชาย... ต่อไปนี้จะทรงมายุ่งกับกวินทร์ไม่ได้อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ กวินทร์ไม่ใช่คนของฝ่าบาท” คีธเข้าเรื่องโดยไม่รอให้ใครเปิดพิธี
“รู้ แต่ถ้าองค์ชายจะเอา นายจะขัดได้หรือไง” ซีเลนยักไหล่ไม่ยี่หระ ส่วนผมนี่ก็อยากจะพุ่งไปกระโดดถีบมันสองขารวดเลย หน้าด้านจริงๆ ให้ตาย
แต่แทนที่คีธจะยอมหรือเงียบอย่างทุกที คีธกลับกระชากคอเสื้อซีเลนขึ้นมาแล้วว่าเสียงต่ำ
“ขัดได้หรือไม่ได้ ฝ่าบาทก็จะรู้เอง”
“โฮ่ ดูท่าทางอยากจะมีเรื่อง” ซีเลนเหยียดยิ้มร้าย มองหน้าคีธอย่างท้าทายด้วย
“มีเรื่องแน่ถ้าฝ่าบาทยังยุ่งกับกวินทร์... และลูกของหม่อมฉัน” คีธก็ไม่น้อยหน้า ว่าเสียงเรียบแต่ดวงตาประกายกร้าว
ผมลุ้นในใจว่ามันจะต่อยกันมั้ย แต่ผิดคาด เพราะทันทีที่คีธพูดจบ ซีเลนก็ทำหน้าเหวอรับประทานไปทันตา
“ลูก... นายหมายถึง... กวินทร์ท้อง?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เท่านั้น ซีเลนก็ดึงมือคีธออกจากตัว ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเบื่อโลก
“หมดความน่าสนใจไปทันตาเลยแฮะ เออๆ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ฉันก็ไม่ชอบยุ่งกับคนมีลูกแล้วเหมือนกัน ให้ตาย...กลับไปหาบรูคลินกับเบนก็ได้วะ”
ฟังแล้วก็โล่งใจที่จะรอดจากการถูกมันปล้ำหลังจากนี้ แต่อีกใจก็หงุดหงิดมันเหมือนกัน
ไอ้ที่บอกว่าหมดความน่าสนใจเพราะมีลูกนี่หมายความว่าไงวะ!
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สำหรับเรื่องของเจเนซิส แล้วก็เรื่องของกวินทร์”
“เออ ช่างเถอะ ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบยุ่งกับคนมีลูกแล้ว แล้วเรื่องกวินทร์ท้องนี่ พวกนั้นรู้กันหรือยัง”
คีธส่ายหน้าเป็นคำตอบ ซีเลนส่งเสียงหัวเราะในลำคอขึ้นมา
“ถ้ารู้นี่ได้เป็นเรื่องใหญ่แน่”
“หม่อมฉันก็หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเก็บเป็นความลับ ทั้งกับพวกเรา และกับเซนไทน์” คีธว่าดักคอทันใด
“เออๆ ไม่ใช่เรื่องของฉันก็ไม่อยากจะยุ่งนักหรอก ไม่ต้องห่วง ว่าแต่พวกนายเถอะ กวินทร์ท้องแบบนี้ แล้วนายจะไม่อยู่ ถ้ากวินทร์คลอดออกมา ใครจะเลี้ยงลูก”
พอซีเลนถามแบบนี้ ผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตอนถูกคีธวางไข่ ผมไม่ได้ถามเลยนี่หว่าว่าจะต้องตั้งท้องกี่เดือน ท้องแล้วนมจะตั้งเต้าขึ้นมา จะมีน้ำนมมั้ย และอีกสารพัดคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวผมในตอนนี้ เพราะคีธบอกแค่ว่าฝากลูกไว้ให้อาแปะเลี้ยงได้ แต่ไอ้ตอนเป็นทารกนี่สิ ใครจะเลี้ยง อย่าบอกนะว่าผมจะต้องหอบไปเลี้ยงที่มหา’ลัยด้วย?
คีธเองก็ดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ หันมามองหน้าผมก่อนจะหันกลับไปพูดกับซีเลน
“องค์ชายจะไม่ทรงเสด็จไปกับพวกหม่อมฉันใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ฉันไม่ชอบตระเวนเร่ร่อนไปมาสักเท่าไหร่ อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว”
“เช่นนั้นถ้าหม่อมฉันจะฝากลูกให้ฝ่าบาททรงช่วยกวินทร์เลี้ยง ฝ่าบาทจะทรงเมตตาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ผมเบิกตาโพลงทันที แค่มันบอกว่าให้อาแปะขายบะหมี่เลี้ยง ผมก็คิดหนักแล้วนะ นี่มันยังจะให้ไอ้หื่นกามซีเลนมาช่วยเลี้ยงอีก ลูกกูจะโตมาเป็นคนยังไงวะเนี่ย! แถมเมื่อกี้มึงก็เพิ่งจะกระชากคอเสื้อมันไปเองนะเว้ย ฝากเลี้ยงลูกหน้าตาเฉยแบบนี้ มึงมีสามัญสำนึกบ้างมั้ยวะ!
ซีเลนทำหน้าประหลาดใจไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาพร้อมยกนิ้วชี้
“นายหมายถึงให้สารอาหารสินะ”
พอคีธพยักหน้า ผมก็ยิ่งเต้นเร่าขึ้นไปอีก
นี่มึงอย่ามาให้ลูกกูไปดูดนิ้วของมันสิวะ! นิ้วไม่ผ่านการตรวจสอบจากกรมอาหารและยา แถมเป็นนิ้วของไอ้หื่นกาม มึงคิดว่าลูกจะคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกมั้ยไอ้คีธ!
แต่ไม่ทันละ เตือนอะไรมันไม่ทันละ แค่คีธพยักหน้า ซีเลนก็รับปากเรียบร้อย
“ได้ ไม่มีปัญหาถ้าแค่นั้นน่ะนะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องกวินทร์ อย่างที่บอกว่าหมดความสนใจไปละ น่าเสียดายชะมัด ยังไม่ได้กินเลย” แล้วมันก็บ่นต่อท้าย หากแต่คีธทำเป็นไม่ได้ยิน
“ขอบพระทัยฝ่าบาทอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างระอา ส่วนซีเลนก็พยักหน้า บอกลาคีธแล้วขึ้นรถขับออกไป ทิ้งท้ายว่าจะกลับไปที่แหล่งกบดานก่อนเพราะจะไปหาบรูคลินกับเบน ปล่อยให้ผมยืนอยู่กับคีธตามลำพัง คีธหันมาให้ความสนใจผมในตอนนี้ ผมเลยได้โอกาสจวกมันเลย
“คิดบ้าอะไรของนายอยู่ถึงได้ให้ไอ้บ้านั่นมาช่วยเลี้ยงลูกน่ะฮะ ฉันไม่เอาด้วยนะเว้ย”
“ก็กวินทร์ไม่มีน้ำนม”
“เดี๋ยวไปซื้อมาชง ฉันจะเลี้ยงเอง”
“สารอาหารที่ได้จากร่างกายของชาวยูนิกม่าดีต่อสภาพร่างกายทารกชาวยูนิกม่ามากกว่าอาหารสังเคราะห์ อีกอย่าง องค์ชายก็ตรัสแล้วว่าหมดความสนใจในตัวกวินทร์แล้ว คงจะไว้ใจได้”
ไว้ใจได้เตี่ยมึงสิ เมื่อกี้มันยังจะลากกูเข้าม่านรูดอยู่แหม็บๆ มึงไม่เห็นหรือไงวะ!
ผมทำท่าจะท้วงอีก แต่คีธก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ถ้ากวินทร์ไม่ไว้ใจองค์ชาย ก็ไว้ใจฉัน สิ่งที่ฉันตัดสินใจคือฉันมั่นใจแล้วว่าปลอดภัยกับกวินทร์และลูก”
พูดมาอย่างนี้ ผมก็เถียงต่อไปออก เออออรับปากส่งๆ ไป
“ก็ได้ๆ แต่ถ้าคีตาเป็นอะไรขึ้นมา บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่เอานายไว้แน่”
“อืม”
“เอ้อ ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนละเรื่องท้องเนี่ย เวลานายวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่นี่ใช้เวลา 48 ชั่วโมงใช่มั้ย แล้ววางไข่เพื่อใช้ทายาทนี่ใช้เวลากี่ชั่วโมง 48 ชั่วโมงเหมือนกันป่ะ?” ผมนึกเรื่องนี้ได้ฉับพลัน ทว่าการส่ายหน้าเป็นคำตอบของคีธทำให้ผมหวั่นใจเล็กน้อยยามนึกถึงตัวเองอุ้มท้องเหมือนผู้หญิงเป็นระยะเวลานาน ก่อนจะถามออกไปอีกครั้ง “แล้วมันกี่ชั่วโมง”
“ปกติแล้ว พวกสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ฮิวมานอยด์จะมีระยะเวลาในการตั้งครรภ์สร้างทายาทพอๆ กัน ระยะเวลาเฉลี่ยนอยู่ที่ 8 เดือน ถึง 1 ปี สำหรับชาวยูนิกม่าจะใช้เวลาราว 8 เดือน ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินใช้เวลา 9 เดือน ก็คงจะราวๆ 8-9 เดือนนี่แหละ”
“อะไรนะ!” ผมร้องลั่น มือไม้สั่นขึ้นมา ขณะที่คีธทวนคำตอบอีกครั้ง
“ประมาณ 8-9 เดือน”
คุณพระ! แค่คิดว่าจะต้องอุ้มท้องก็หนักใจแล้ว ตอนที่ท้องให้มันสร้างร่างใหม่นี่ ผมไม่กล้าออกไปไหนเลยนะทั้งที่ใช้เวลาแค่ 48 ชั่วโมงแท้ๆ แต่นี่ตั้ง 8-9 เดือน มึงไม่คิดจะให้กูได้ออกไปไหนเลยใช่มั้ย!?
คิดเท่านั้น ผมก็หันไปเอานิ้วล้วงคอทันที กะสำรอกไข่ออกมา คีธเห็นก็ย่นคิ้ว
“กวินทร์ทำอะไรน่ะ”
“เอาไข่ออกสิวะ! อ้อก...” แล้วก็เอานิ้วล้วงคอให้อ้วกออกมาอีก ทุเรศตัวเองมาก แต่ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ว่ะถ้าจะต้องมีท้องโตๆ อยู่เกือบปีขนาดนั้นน่ะ
ทว่าคีธไม่แยแส มองผมนิ่งๆ แล้วก็ว่าเนิบๆ “ป่านนี้ไข่ฝังที่กระเพาะไปแล้ว เอาออกมาด้วยวิธีนั้นไม่ได้หรอก”
“งั้นฉันจะกินยาถ่ายเหมือนริชาร์ด!” ผมหยุดล้วงคอ หันไปโวยวายใส่มัน แต่คีธยังคงทำเฉย
“ถ้าไข่ฝังตัวไปแล้วก็หมดสิทธิ์นะกวินทร์”
“แล้วนายจะให้ฉันเดินท้องโตโชว์โลกหรือไงวะ! ตลกไปหน่อยแล้ว!” ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเกิดท้องโตขึ้นมา แล้วผมจะต้องออกไปข้างนอก ผมจะซ่อนท้องนี่ยังไง
คีธคงจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เลยเสนอความเห็นขึ้นมา “กวินทร์ก็ใส่ชุดคลุมท้องสิ”
“จะใส่ยังไง ฉันเป็นผู้ชายหรือเปล่าวะ!”
“แต่งหญิงไง”
ผมค้อนมันประหลับประเหลือกเลย
มึงอย่าพูดเป็นหนังการ์ตูนนะไอ้คีธ ถึงกูจะไม่ได้ดูมาดแมนอะไรเท่ามึง แต่คือโครงหน้ากูยังไงก็ดูเป็นผู้ชายไง แต่งหญิงทีนี่คงดูไม่จืด ชีเมล (Shemale) ดีๆ นี่เอง ไม่ใช่ชีเมลธรรมดาด้วย ชีเมลตั้งท้อง มึงเอ๊ย... จะแต่งหญิงทั้งที ทำไมกูต้องแต่งเป็นผู้หญิงท้องวะ!
หากแต่คีธก็ทำให้ความกังวลของผมอันตรธานหายไปเมื่อมันเดินเข้ามาวางมือลงบนกระหม่อมผมแล้วลูบเบาๆ
“เอาน่ากวินทร์ ไม่กี่เดือน ที่อยู่ในท้องกวินทร์น่ะก็คือลูกของเรานะ”
ผมนิ่ง มองหน้ามันครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจยาว
“เออ ก็ได้วะ เห็นแก่คีตาหรอกนะถึงได้ยอม”
คราวนี้คีธยิ้มออก ดึงผมเข้าไปประทับจูบบนหน้าผากทีหนึ่งเบาๆ ผมก็เลยยิ้มกลับบ้าง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเหลือบเห็นรถมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ข้างๆ ผมไม่ถามหรอกว่ามันไปเอารถมาจากไหน ก็คงจะพวกยูนิกม่าซื้อมานั่นแหละ ขนาดรถคันเก่าของเจเนซิสพัง วันใหม่มันยังไปซื้อมาได้เลย แถมซื้อเงินสดด้วย บอกแล้วว่าพวกนี้น่ะเงินเยอะจะตาย ผมเลยสงสัยเรื่องอื่นแทน
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่”
“ได้ยินเสียงกวินทร์กับองค์ชายคุยกัน พอได้ยินองค์ชายตรัสว่าจะพากวินทร์เข้าโรงแรมก็เลยรีบมา”
“อ๋อ มิน่าล่ะถึงตามมาถูก”
คีธพยักหน้าแล้วพูดต่อ “จริงๆ ตามมาตั้งแต่ตอนกวินทร์ออกจากบ้านตอนเช้าแล้ว”
“แสดงว่า... เป็นห่วงเหรอ” ผมอมยิ้มเล็กน้อยขณะถาม แล้วก็ต้องหลุดยิ้มกว้างจนได้เมื่อคีธตอบกลับมา
“ห่วงสิ ห่วงคีตาด้วย ไม่เป็นห่วงกวินทร์กับคีตาแล้วจะให้ห่วงใคร”
เหอะ... มึงมันบ้า อย่ามาทำให้กูเขินนะเว้ย!
หน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมา ยิ่งถูกคีธลูบผมไม่หยุดด้วยแล้วยิ่งร้อนหนักขึ้นไปอีก ผมเลยสะบัดหน้าออกจากมัน จังหวะนั้นนึกถึงเจเนซิสขึ้นมาได้ จะว่าไปยังไม่ได้บอกเลยแฮะว่าสรุปแล้วได้เรื่องอะไรบ้าง
คิดได้เท่านั้น ผมก็เอ่ยปากออกไป
“เอ้อ วันนี้ที่ไปคุยกับเจเนซิสน่ะ หมอนั่นบอกว่า...”
“รู้แล้ว ได้ยินหมดแล้ว” แล้วคีธก็โพล่งแทรกขึ้นมาทั้งที่ผมพูดยังไม่ทันจบ ผมเลยย่นคิ้วให้มันได้พูดต่อ “ฉันไปหลบรอกวินทร์อยู่แถวๆ โรงแรมนั่นก็เลยได้ยินน่ะ อย่าลืมสิว่าฉันเป็นยูนิกม่า”
ผมตระหนักได้ในตอนนี้นี่เองว่าพวกมันประสาทสัมผัสดียิ่งกว่าอะไร แต่ถ้ามึงจะดักฟังแล้วได้ยินชัดเจนขนาดนั้น ทำไมพวกมึงไม่อยู่ที่บ้านแล้วพูดถามกันโดยใช้ประสาทสัมผัสฟังเอาวะ จะให้กูแบกหน้าไปหามันถึงที่รังเซนไทน์ทำไม!
ผมมองมันตาขวาง เหมือนคีธจะรู้ว่าผมคิดอะไรเลยชิงพูดก่อน
“องค์ชายแอสโซซิโนมีพระประสงค์ให้กวินทร์ไปดูสภาพของเจเนซิสน่ะ”
“เละ บอกได้เลยคำเดียวว่าเละ” ผมสวน
“ก็พอรู้อยู่แล้ว” คีธว่าก่อนจะเดินไปคว้าหมวกกันน็อคที่ล็อคอยู่ท้ายรถขึ้นมายื่นให้ผม “ใส่สิกวินทร์ จะได้กลับกัน”
ผมรับมาสวม คีธตามมาล็อคสายหมวกใต้คางให้ผม ก่อนจะสวมของตัวเองบ้าง แล้วขึ้นคร่อมรถ พยักหน้าให้ผมตามมาซ้อน ผมก้าวขึ้นไปคร่อมได้ไม่ถึงอึดใจ มือใหญ่ก็ดึงมือผมไปสวมกอดเอว ผมกำลังจะอ้าปากถามว่ามันจะทำอะไร คีธก็หันมาบอกก่อนแล้ว
“เกาะไว้แน่นๆ เดี๋ยวคีตาตกรถ”
ผมหัวเราะ ทุบมันไปที รู้สึกว่าตั้งแต่วางไข่คีตาไปนี่ มันดูแลผมดีขึ้นเยอะเหลือเกิน
“ขี่ไปได้แล้ว มัวแต่พูดมากอยู่นั่น เดี๋ยวทุบแม่ง” แล้วผมก็แก้เขินด้วยการขู่ทำร้ายร่างกายมัน
คีธไม่ว่าอะไร สตาร์ทรถแล้วขับออกไป มือก็เอื้อมมาจับมือผมที่เกาะเอวมันอยู่เป็นระยะราวกับเช็คว่าผมยังอยู่ ผมเห็นแล้วก็อดโน้มตัวไปข้างหน้า กอดเอวมันแน่นขึ้นอย่างเสียมิได้ เอาหน้าอิงแผ่นหลังกว้างไปด้วย คีธสะดุ้งเล็กน้อย ตามด้วยแผ่นหลังกระเพื่อมเบาๆ ราวกับหัวเราะ
หมั่นไส้มันเหมือนกันที่ทำท่าเหมือนมีความสุข แต่ช่างมันเถอะ ผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน ยอมเป็นแว้นซ้อนท้ายแว้นมนุษย์ต่างดาวให้วันนึงก็แล้วกัน
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.33]--21/01/59[หน้า9]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-01-2016 22:35:17
Episode 34: Almost about time to leave[2]

เรื่องของเจเนซิสถูกเล่าให้ชาวยูนิกม่าทุกคนฟังทันทีที่พวกเรามาถึงที่หมาย ทุกคนเลยมีมติกันว่าจะพาแอสตันไปที่วอชิงตันในวันรุ่งขึ้น การหาตั๋วเครื่องบินไปวอชิงตันสำหรับคนกว่าสิบชีวิตไม่ยากนักสำหรับพวกมนุษย์ต่างดาวนี่ เพราะในบริษัทสายการบินหลายแห่งก็มีมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวทำงานอยู่ เลยไม่เป็นที่น่ากังวลนัก จะมีก็แต่แอสตันนี่แหละที่ดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ที่จะต้องหนีไปก่อนตามคำแนะนำของเจเนซิสทั้งที่ตัวคนแนะนำยังติดอยู่ในรังของเซนไทน์ แถมยังเป็นตัวตายตัวแทนตัวเองอีกด้วย
เอาจริงๆ ผมก็ไม่สบายใจเหมือนกัน แต่พอคิดถึงความปลอดภัยของประตูหลังผัวเพื่อนแล้ว ผมก็ช่วยริชาร์ดยุแอสตันให้ทำตามแผนของเจเนซิสอย่างไม่มีทางเลือก สุดท้ายแอสตันก็ตกลง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเรามาอยู่ที่สนามบินกลางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในคืนวันใหม่
การที่ผมกับริชาร์ดติดสอยห้อยตามมาด้วย อันนี้ไม่แปลกใจเพราะรู้กันอยู่แล้วว่าผมกับริชาร์ดเป็นคู่ผูกพันของแอสตันกับคีธ จะมาส่งก็ไม่แปลก ซีเลนตามมาด้วยก็ไม่แปลกเช่นกันเพราะมันได้ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของแอสตัน มันก็คงอยากจะมาส่งบ้าง แต่ไอ้การที่เห็นบรูคลินกับเบนมาด้วยโดยที่พ่อแม่มันไม่มานี่แหละที่ทำให้ผมกับริชาร์ดไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
พวกมึงไม่ต้องมากันก็ได้นะอันที่จริง จะตามกันมาทำไมวะ เกะกะลูกตาฉิบ!
หงุดหงิดได้แป๊บเดียว พอเห็นซีเลนมันทิ้งกระเป๋าตัวเองให้ยูนิกม่าคนหนึ่งถือแล้วตัวเองก็เดินไปโอบไหล่บรูคลินกับเบนนวยนาดไปที่หน้าสนามบิน ผมก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าพวกมันคงจะตามซีเลนมา เกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้พวกมันเป็นเมียไอ้หื่นซีเลนเป็นที่เรียบร้อย ได้ทั้งเซนไทน์ ได้ทั้งยูนิกม่าแบบทูอินวัน สมใจอยากพวกมึงมั้ยล่ะ
มารู้อีกทีว่าพวกมันไม่ได้ตามซีเลนมาอย่างที่ผมคิดก็ตอนที่มีพวกไบโทปขับรถมารับพวกเราที่หน้าสนามบินนั่นแหละ จริงๆ แล้วที่พวกมันมาก็เพื่อเป็นตัวแทนในการส่งการดูแลต่อให้พวกไบโทปอีกกลุ่มซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของมัน ผมเลยได้รู้ชาติกำเนิดของบรูคลินกับเบนในตอนนี้ว่าพวกมันเองก็ไม่ใช่ไบโทปธรรมดาๆ แต่เป็นถึงลูกหลานคนใหญ่คนโตของดาวเลยทีเดียว พูดง่ายๆ ก็คือไอ้ดาวไบโทปเนี่ยมันมีตระกูลใหญ่สี่ตระกูลปกครอง คล้ายกับกษัตริย์แต่ไม่ใช่ มันเรียกว่าตระกูลผู้นำแห่งดาว ผู้นำตระกูลก็เป็นคนรุ่นปู่ของพวกมัน ดังนั้นบรูคลินกับเบนก็มีสถานะไม่ต่างจากเจ้าชายไปด้วย พอรู้ปุ๊บ ผมกับริชาร์ดนี่เบ้ปากใส่พวกมันแทบไม่ทันเลย
แม่ง น่าหงุดหงิดว่ะ ทำไมมีแค่กูกับริชาร์ดเป็นมนุษย์โลกต่ำเตี้ยเรี่ยดินกันอยู่สองคนวะ!
แต่แล้วความหงุดหงิดของผมก็หายไปเมื่อพวกยูนิกม่าที่มาสมทบยังบ้านญาติของสองพี่น้องเปรตนั่นชวนให้แอสตันไปที่องค์การนาซาซึ่งอยู่ไม่ไกลเพื่อรายงานความพร้อมของยานสำหรับหลบหนีที่จะเสร็จสิ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แน่นอนแหละว่าผมกับริชาร์ดก็ต้องตามไปด้วย ริชาร์ดนี่ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยเมื่อรู้ว่เดี๋ยวมันก็ต้องแยกจากกับแอสตันแล้ว ส่วนผมน่ะเหรอ... ก็จ๋อยนั่นแหละ แต่ยังเก็บอารมณ์อยู่ไง ไม่เหมือนริชาร์ดที่เกาะแขนผัวเด็กแน่นไม่ยอมปล่อย เหมาะสมกับฉายาเห็บหมาที่ผมตั้งให้มันจริงๆ อีกนิดเดียวมันก็จะฝังตัวลงไปในรูขุมขนผัวมันได้อยู่แล้ว เกาะแน่นขนาดนั้นน่ะ
พวกเราไม่ได้ถูกพาไปที่ห้องสร้างยานอย่างที่ผมเข้าใจในตอนแรก แต่ถูกพามายังห้องหนึ่งที่มีผู้คนราวร้อยกว่าชีวิตส่งเสียงโหวกเหวกไปมา ถึงจะไม่ใช่เสียงโหวกเหวกแบบตะโกน แต่การคุยกันเสียงขรมกับบรรยากาศวุ่นวายก็ทำให้ผมปวดหัวขึ้นมานิดๆ ทว่าอะไรก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจได้เท่ากับจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าราวกับเป็นกำแพง บนจอมีจุดสีแดง เขียว เหลือง และอีกสารพัดสัญลักษณ์ที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เหมือนจะเคยเห็นตามหนังแนวไซไฟมาก่อน มานึกขึ้นได้ว่าเรียกว่าอะไรก็ตอนที่ริชาร์ดเลิกเกาะผัวมัน กระซิบข้างๆ ผม
“ห้องปฏิบัติการควบคุมการบิน”
เออ นั่นแหละ ผมก็นึกไม่ออก แต่หันไปมองหน้าริชาร์ดแล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นสายตามันประกายวาบราวกับเด็กเห็นของเล่นน่าสนใจ
เมื่อกี้มึงยังจ๋อยเป็นเห็บขาดเลือดอยู่เลยไม่ใช่หรือไงวะ พอเห็นของน่าสนใจกว่า มึงก็ถีบหัวส่งผัวมึงเลยนะไอ้เจ๊ก!
แต่ก็เข้าใจมันนั่นแหละ ยิ่งคนบ้าหนังแนวไซไฟ-วิทยาศาสตร์อย่างมันด้วย มาเจออะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะตื่นเต้น ยิ่งเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาเข้าไม่ได้ง่ายๆ มันก็คงกะจะกอบโกยรายละเอียดทุกอย่างไปเต็มที่
ทว่าสิ่งที่ผมสนใจกลับไม่ใช่การปฏิบัติงานของพนักงานพวกนี้ แต่เป็นชายวัยกลางคนร่างสูงที่สั่งการคนอื่นอยู่มากกว่า หมอนั่นชะงักไปนิดเมื่อยูนิกม่าที่นำพวกผมมาเดินเข้าไปกระซิบบางอย่าง พอหันกลับมาเห็นแอสตัน สีหน้าเคร่งเครียดก็ฉายแววดีใจเต็มเปี่ยมก่อนจะรีบตรงเข้ามาทำความเคารพแอสตันทันที
“อะ...องค์ชาย ไม่ได้เจอตั้งนาน ทรงสบายดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เราสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วงท่านเจโรว์”
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ชื่อเจโรว์ใกล้ๆ ถึงจะเป็นการเจอหน้ากันครั้งแรกของผมกับหมอนี่ แต่ผมมั่นใจได้เลยว่าหมอนี่จะต้องข้องเกี่ยวกับคนที่ผมรู้จักแน่ๆ
ก็จะไม่ให้ข้องเกี่ยวได้ยังไง ถ้าคนที่ชื่อเจโรว์อะไรนั่นเหมือนเจเนซิสอย่างกับแกะ! อีแบบนี้ต้องเป็นญาติกันแน่ๆ!
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธที่ยืนอยู่เยื้องๆ ผมว่าขึ้นเบาๆ
“ท่านพ่อของเจเนซิสน่ะ ได้ยินว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ไม่กี่วันก่อน ตอนแรกมีแผนว่าจะมาช่วย แต่ตอนนี้มาทำหน้าที่แทนเจเนซิสแล้วเพราะเจเนซิสไม่อยู่”
นั่นไง! ซวยแล้วกู ถ้าแม่งรู้ว่าผมเอาลูกมันไปขายให้พวกเซนไทน์ มันจะจับผมยัดเข้าจรวดแล้วปล่อยออกนอกโลกแบบไปแล้วไปลับหรือเปล่าวะ
ผมใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ขึ้นมากะทันหัน ขณะที่เจโรว์ก็เอ่ยปากถามหาลูกชายเมื่อไม่เห็นว่าอยู่ที่นี่ดว้ย
“แล้วเจเนซิส...”
“เจเนซิสถูกพวกเซนไทน์จับไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเรา เราต้องขออภัยท่านด้วย”
สีหน้าของเจโรว์ดูหม่นไปเล็กน้อย หากแต่พยักหน้าแล้วฝืนยิ้มออกมา
“หม่อมฉันพอจะทราบมาบ้างแล้วเรื่องลูกชาย ไม่เป็นไร ถือว่าลูกหม่อมฉันทำสิ่งที่สมควรแล้วแม้ว่าจเป็นเรื่องไม่ได้ตั้งใจก็ตาม” ว่าจบก็ปราดมองมายังผมราวกับรู้ว่าใครเป็นตัวการอย่างไรอย่างนั้น
ผมก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ เสมองไปทางอื่น ทำไม่รู้ไม่เห็นไปเรื่อยสิ เรื่องอะไรจะไปยอมรับล่ะว่าเป็นตัวการ ดีที่เจโรว์ไม่ได้ใส่ใจมากนัก นอกจากผายมือเชื้อเชิญให้แอสตันเดินไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีแผงจออะไรบางอย่างฝังอยู่ ก่อนจะเริ่มอธิบายยาว
“ตามกำหนดการเดิมที่เจเนซิสวางไว้คือเราจะอพยพไปที่ดาว R18 ในอีกสองอาทิตย์ซึ่งก็หมายถึงอีกห้าวันข้างหน้า หม่อมฉันเช็คระยะการเดินทางจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินไปที่นั่นแล้ว คำนวณได้ทั้งสิ้นสิบพันล้านปีแสง รูหนอนที่ใกล้กับดาว R18 มีระยะทางทั้งสิ้นสามหมื่นปีแสง เทียบกับความเร็วของยานที่สร้างขึ้นที่นี่ เรียกได้ว่าวิวัฒนาการไม่อาจเทียบเท่ากับยานที่สร้างขึ้นที่ยูนิกม่าได้ การเดินทางจึงอาจจะล่าช้าไปกว่าปกตินัก เราคงต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายปีเลยทีเดียวกว่าจะถึง คำนวณคร่าวๆ คงจะเกือบสองปีได้”
ฟังแล้ว ผมก็อ้าปากค้าง ไม่ได้อ้าปากค้างเพราะชื่อดาว R18 ที่ฟังยังไงก็เหมือนกับชื่อย่อของ Rate 18+ หรอกนะ แต่เป็นเพราะระยะเวลาในการเดินทางของพวกมันต่างหาก ส่วนริชาร์ดที่ลั้นลาอยู่เมื่อกี้ก็มีสีหน้าช็อคไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก แอสตันเองก็ดูไม่ค่อยดี มีแต่คีธเท่านั้นนั่นแหละที่ยังนิ่งอยู่ ก่อนที่เจโรว์จะพูดขึ้นอีก
“หม่อมฉันจึงอยากเตือนองค์ชายไว้ว่าการอพยพครั้งนี้เสี่ยงต่อการถูกพวกเซนไทน์ตามมาทัน เราจะรอช้าไม่ได้ รออีกห้าวันก็ยังถือว่าช้าไป หม่อมฉันเลยเร่งรัดทุกอย่างให้เสร็จสิ้นและพร้อมเดินทางในอีกสามวัน ขอให้องค์ชายทรงเตรียมพร้อม”
“สามวัน... เร็วไปมั้ยท่านเจโรว์” แม้แต่แอสตันเองก็ยังใจหาย
ทว่าเจโรว์กลับส่ายหน้า “เรารอไม่ได้”
“แล้วเจเนซิส...”
“รายนั้นไม่ต้องห่วงพ่ะย่ะค่ะ ไว้เจเนซิสหาทางหนีออกมาจากพวกเซนไทน์ได้เมื่อไหร่ จะตามไปสมทบทีหลังพร้อมกับหม่อมฉันและพวกเราที่เหลือ... ถ้าหนีออกมาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ปลายประโยคเน้นย้ำคำว่า ‘ถ้า’ ชัดเจน เหลือบมามองผมด้วย ผมเลยรีบหันหนี
รู้ละว่าไอ้เจเนซิสติดนิสัยชอบเหน็บแบบนิ่งๆ มาจากใคร พ่อมันนี่เอง...
แอสตันทำท่าจะต่อรองอีก ดูท่าทางมันก็ไม่อยากจะไปจากที่นี่เร็วกว่ากำหนดการเดิมนัก ทว่าริชาร์ดก็แตะบ่ามันเสียก่อน พร้อมกระซิบบอกด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกแอสตัน เพื่อความปลอดภัยของนาย ไปเถอะ ฉันจะรอ”
แอสตันก็เลยไม่พูดอะไรอีก พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก ส่วนผมก็ใจหายหนักกว่าเดิมที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้
ไม่เป็นไรบ้านมึงสิไอ้ริชาร์ด! มึงไม่ได้ท้องนี่ คือกูท้อง! กว่าพวกมันจะไป กว่าพวกมันจะกลับ มันไม่ได้ไปแค่วันสองวัน ไปกันเป็นปีๆ แล้วไหนพวกมันจะต้องรอให้เหตุการณ์สงบก่อนถึงจะกลับมาที่นี่ได้อีก แม่งไม่เป็นสิบๆ ปีเลยเหรอวะ คิดถึงกูบ้างสิเว้ย!
ผมชักควบคุมตัวเองไม่อยู่ละ กระสับกระส่าย ซ้ำยังหงุดหงิดจนคีธที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องมาจับมือผมเอาไว้ ผมมองหน้ามันแล้วก็นิ่งลงได้บ้าง แต่คำพูดของมันหลังจากนี้กลับทำให้ผมใจไม่สงบเลย
“ไม่ต้องกลัวนะกวินทร์ นานแค่ไหน ฉันก็จะกลับมา ต่อให้อีกกี่สิบปีก็จะกลับมา”
ถ้ามึงกลับมาตอนกูใกล้ตาย กูจะโกรธมึงมาก! จะจองล้างจองผลาญมึงทุกชาติด้วย!
ผมพยักหน้าส่งๆ ไปด้วยไม่อยากจะจิตตกไปมากกว่านี้ คีธก็เลยไปฟังเจโรว์อธิบายแผนการเดินทางต่ออีกยาวเหยียด สิ่งที่หลุดออกจากปากหมอนั่นต่อจากนี้ บอกเลยว่าไม่เข้าหูผมสักนิด ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่จิตใจว้าวุ่นเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่นได้ ทว่าก็ได้แต่ทำนิ่ง รอจนพวกมันคุยธุระกันเสร็จเท่านั้น
 
ไม่อยากให้ไปเลย... ไม่อยากให้ไป...
ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดจนผมแทบไม่รับรู้อะไร กระทั่งกลับมาถึงบ้านญาติของพวกบรูคลิน คีธก็ขอตัวพาผมแยกกับคนอื่นๆ ไปพักผ่อนทันทีด้วยเห็นสีหน้าผมไม่ดีนัก มันก็คิดว่าคงเป็นผลจากการตั้งท้องของผมนั่นแหละที่ทำให้ผมดูไม่ค่อยโอเค แต่จริงๆ ไม่ใช่ เป็นเพราะผมทำใจไม่ได้เรื่องที่มันจะไปจากผมต่างหาก
ผมเอนกายนอนบนเตียง ทอดมองยังร่างใหญ่ที่กำลังถอดเสื้อโชว์แผ่นหลังอยู่ทางปลายเท้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายปวดหนึบ ไม่เคยคิดเลยว่าการจากลามันจะทำให้ทรมานได้ถึงขนาดนี้แม้ว่าจะเพียงแค่คิดก็ตาม ผมก็เลยพยายามไม่คิด แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ผุดลุกจากเตียง เดินเข้าไปหาคีธขณะที่มันหันมามองผมพอดี
“ทำไมไม่นอนล่ะกวินทร์”
ผมไม่สน สวมกอดมันทันใด คีธดูงุนงงเล็กน้อย แต่ก็กอดผมตอบ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยผมด้วย
“เป็นอะไรหืม?”
ผมไม่พูด เอาแต่ซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง คีธเลยต้องถามขึ้นมาอีก
“เป็นอะไรเหรอกวินทร์”
“ไม่อยากให้ไป” ผมว่าเสียงอู้อี้ คีธเลยรู้ทันทีว่าที่ผมเงียบมาตลอดตั้งแต่อยู่ที่นาซาจนกลับถึงที่นี่เป็นเพราะเรื่องของมัน มันก็เลยดึงผมผละออกเล็กน้อย ช้อนปลายคางขึ้นแล้วจูบผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“ฉันก็ไม่อยากไปเหมือนกัน”
“นายก็ไม่ต้องไปสิ”
“ไม่ได้ มันจำเป็น”
ผมย่นคิ้วทันทีที่ได้ยินมันว่าอย่างนี้ นิสัยเอาแต่ใจก็พาลกำเริบขึ้นมาด้วย
“แต่ฉันกับคีตาอยู่ที่นี่นะ นายจะทิ้งไปปกป้องผัวไอ้ริชาร์ดหรือไง ถามจริงเถอะ มันสำคัญอะไรนักหนาเนี่ยไอ้แอสตันน่ะ สำคัญกว่าฉัน สำคัญกว่าคีตามากเลยหรือไงฮะนายถึงยอมทิ้งไปแบบนี้ได้!”
คีธนิ่ง มองผมราวกับรอให้ผมหยุดโวยวาย จนผมถอนหายใจเต็มแรงแล้วเงียบ มันถึงพูด
“ฉันเป็นผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่านะกวินทร์ เป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชาย ถึงจะไม่อยากไป ไม่อยากทำ หรืออยากอยู่กับกวินทร์และคีตามากแค่ไหน แต่ก็ทิ้งหน้าที่ไม่ได้ ถ้าฉันทิ้งหน้าที่แล้วเลือกกวินทร์กับลูก นั่นก็หมายความว่าองค์ชายมีสิทธิ์ถูกจับไป และจากนั้นชาวยูนิกม่าก็จะตกอยู่ใต้เบี้ยล่างของเซนไทน์ ทีนี้ก็จะไม่ใช่แค่ยูนิกม่าเท่านั้นแล้วที่เดือดร้อน มันจะลามไปถึงชาติพันธุ์อื่นๆ รวมถึงกวินทร์กับลูกด้วย ลองคิดดูว่ายูนิกม่าที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งพอๆ กับเซนไทน์ยังถูกกำราบ ชาติพันธุ์อื่นๆ จะเหลือรอดเหรอ”
ผมเงียบ ก็รู้อยู่หรอกว่าพวกเซนไทน์เป็นพวกนักล่าที่ไม่รู้จักพอ น่ากลัวก็จริง แต่ยังไงผมก็ไม่อยากให้คีธไปอยู่ดีนี่หว่า จะว่าเห็นแก่ตัวก็เอาเถอะ อยากอยู่กับคนที่รัก ไม่อยากจากกันมันก็เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่าวะ
“ที่ฉันทำ ไม่ได้ทำเพื่อชาวยูนิกม่าอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อกวินทร์กับลูกด้วย ฉันกำลังปกป้องกวินทร์กับลูกอยู่นะ” เพราะผมไม่พูด มันก็เลยพูดขึ้นมาอีก
คราวนี้ผมฟังต่อไม่ไหวละ น้ำตาจะไหล ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่พาไปส่งโรงเรียนวันแรกแล้วถูกหลอกเดี๋ยวมารับแต่จริงๆ กว่าจะมารับก็เย็นย่ำยังไงยังงั้น
“ก็...ก็ไม่อยากให้ไปนี่หว่า...” ผมว่าเสียงสั่น น้ำตาเอ่อปริ่มขอบตา เกือบจะไหลลงมาอยู่แล้วถ้าไม่สะกดกลั้นไว้
คีธยกมือประคองหน้าผม สายตาที่มองผมก็ดูเจ็บปวดไม่แพ้กัน ก่อนจะดึงผมไปกอดแน่น
ผมซุกหน้าลงบนแผ่นอก ปล่อยให้อ้อมแขนใหญ่กอดอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว พอผละจากกัน คีธก็ช้อนตัวผมกลับมานอนที่เตียง ตามขึ้นมานอนข้างๆ พรมจูบแผ่วเบาไปทั่วใบหน้า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันกำลังบอกว่ารักผมมากแค่ไหนอยู่ ก่อนมันจะเลื่อนต่ำลงไปทิ้งหัวลงแนบบนหน้าท้องผม พูดขึ้นมาเบาๆ
“พ่อคีธจะกลับมานะคีตา รอพ่อด้วย เป็นเด็กดีให้แม่กวินทร์นะ”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับสรรพนามที่มันใช้เรียกตัวเองกับผม ก่อนผมจะดึงหูมันไปที
“แม่กวินทร์อะไรของนาย ฉันเป็นผู้ชายก็ต้องเรียกว่าพ่อเว้ย”
“แต่กวินทร์เป็นคนคลอด...”
“ตอนนายกลับมา นายก็ต้องเป็นคนป้อนนม ทำไมไม่ให้เรียกนายว่าแม่ล่ะวะ แม่คีธ...” นมที่ว่า ผมหมายถึงสารอาหารจากนิ้วมันนั่นแหละ
คีธยกยิ้มเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วแนบหัวลงบนหน้าท้องผมอีกครั้งพร้อมกับพูดประโยคเดิม
“พ่อคีธจะกลับมานะคีตา รอพ่อด้วย เป็นเด็กดีให้พ่อกวินทร์นะ”
“เออ ค่อยฟังรื่นหูหน่อย” ผมว่าติดตลก
คีธผงกหัวขึ้นมา คราวนี้ประกบจูบปากผมอย่างดูดดื่ม เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะผละออกมาแล้วจ้องตาผมนิ่ง
“ฉันจะกลับมานะกวินทร์ ได้โปรด... ช่วยรอจนกว่าจะถึงวันนั้น รอฉัน ฉันสัญญาว่าจะกลับมา”
ดูท่าทางผมคงจะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้นอกจากการรอแล้วล่ะ จึงได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วตอบรับมันไป
“อืม จะรอ”
คีธยิ้มออกได้เล็กน้อย แล้วจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากผม “ฉันรักกวินทร์ รักที่สุด...”
ผมไม่ได้บอกรักตอบ ทำเพียงแค่ตวัดมือโอบกอดร่างใหญ่ไว้เท่านั้น
เกลียดสถานการณ์บีบคั้นแบบนี้ เกลียดความรู้สึกแบบนี้ชะมัดเลยให้ตายเถอะ...
-----------------------------------------------
ตอนนี้ไม่ได้อัพตัวอย่างไว้ก่อน ประเด็นคือขี้เกียจ เอาเต็มตอนไปเลยแล้วกัน ฮาาา
เรื่องนี้เหลืออีก 2 ตอนก็จะจบแล้วนะคะ มีบทส่งท้ายอีก 2 ตอนด้วยเช่นกัน จริงๆ มีตอนพิเศษ 10 ตอน  (คีธ-กวินทร์ 4 ตอน/ แอสตัน-ริชาร์ด 2 ตอน/ ซีเลน-สองเปรต 2 ตอน/ ลาร์ค-เจเนซิส 2 ตอน) แต่จะไม่อัพนะ อัพถึงแค่บทส่งท้ายเท่านั้น ใครอยากอ่าน ไปตามฉบับหนังสือเอาเน้อ
หลังจากอัพจบแล้วก็จะอัพตัวอย่าง Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน ต่อนะคะ อัพไม่จบเช่นกัน บอกไว้ก่อนเลย จะอัพแค่พาร์ทละ 3 ตอนเท่านั้น (มีพาร์ทของคีตา แล้วก็พาร์ทของคินน์) แล้วก็อัพก็อัพตัวอย่าง Alien's Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน ตอนนึง หมดจากนี้ก็จบอย่างเป็นทางการแล้วจ้า อาจจะมีแวบมาอัพตอนพิเศษตามโอกาสเทศกาลบ้าง (ขึ้นอยู่กับอารมณ์คนเขียนนะ อารมณ์ดีก็ดีไป ขี้เกียจก็บายยยย 555)

ปล.สนใจหนังสือ เข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.34]--22/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 22-01-2016 23:14:18
สนใจหนังสือออออ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.34]--22/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 22-01-2016 23:33:34
 :katai2-1: :pig4:

จองหนังสือไว้แล้ว ขอเก็บเงินแป๊บนะ 5555555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.34]--22/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-01-2016 23:42:26
สนใจหนังสือออออ

เข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.34]--22/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 23-01-2016 19:53:05
Episode 35: Ambassador of Uniquema[1]
ผมกับคีธใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดราวกับถูกกาวตราช้างทาติดตัวกันไว้ ติดกันหนึบถึงขนาดพัฒนาระดับการกระชับความสัมพันธ์ด้วยการอาบน้ำพร้อมกันแล้ว ถึงจะเคยเห็นร่างเปลือยกันและกันมาหลายครั้งแล้ว เอาจริงๆ ผมก็ยังเขินอยู่ดีนั่นแหละ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถือคติด้านได้อายอดเพราะอยากจะอยู่กับคีธให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนที่มันจะไปจากโลก
ทว่าถึงจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน ทุกที่ ทุกเวลา แต่ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับคีธมากนัก หนึ่งคือไม่รู้จะคุยอะไร และสอง ผมกลัวว่าถ้าคุยไปจะหลุดถามโน่นถามนี่แล้วอารมณ์ของผมแปรปรวนหนักปกติ เลยได้แต่เงียบแล้วใช้ภาษากายคุยกันเท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่านะ ผมหมายถึงการสัมผัสตัวกันด้วยการกอด การจูบอะไรเทือกนี้ต่างหาก
ส่วนริชาร์ดกับแอสตันเองก็ตัวติดกันไม่ต่างกัน แต่คู่นี้ดูอาการหนักกว่าคู่ผมหน่อยเพราะทุกครั้งที่ผมเจอหน้าริชาร์ด ตาของหมอนั่นจะแดงแถมบวมตลอดเวลา ดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมไม่แปลกใจนักหรอกที่รู้ว่ามันร้องไห้ ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเพื่อนผมคนนี้เป็นพวกอารมณ์อ่อนไหว แต่ผมไม่ใช่ไง ถึงจะเป็นพวกอารมณ์ลมพัดลมเพ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ผมก็ควบคุมอารมณ์เศร้าได้ดีกว่ามันเยอะ ที่ต้องควบคุมก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ผมแค่ไม่อยากให้คีธจดจำผมก่อนจากไปในภาพบ้าๆ บอๆ น่ะ ที่สำคัญ ผมกลัวว่าอาการหงุดหงิดง่ายของผมจะทำให้คีตาที่อยู่ในท้องได้รับผลกระทบไปด้วย เคยอ่านบทความเจออยู่เหมือนกันว่าอารมณ์ของแม่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกในครรภ์ ผมเลยพยายามเพลาๆ นิสัยหงุดหงิดง่ายลงไป
แต่ก็เป็นการยากพอสมควร เพราะพอเข้าวันที่สอง ผมก็เริ่มหัวเสียเมื่อตระหนักได้ว่าคีธจะต้องออกเดินทางไปดาว R18 บ้าบอคอแตกอะไรนั่นแล้ว คีธคงรู้ว่าผมอารมณ์ไม่ค่อยดี เช้านี้ก็เลยไม่เซ้าซี้ มากอด มาหอมอะไรมากมายอย่างเคย แค่มอร์นิงคิสแล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปที่นาซาตามกำหนดการนัดหมายของพ่อเจเนซิสที่ต้องการให้พวกยูนิกม่าทุกคนไปทดลองการประจำการยานที่จะใช้เดินทาง
ผมมองคีธที่สวมชุดบอดี้สูทสีเงินอย่างที่เคยเห็นที่ผับ ชุดนี้เป็นชุดต้านแรงโน้มถ่วงเวลาเดินทางในอวกาศและรักษาสมดุลร่างกาย คีธยังคงดูดีเหมือนเดิมถึงจะใส่ชุดประหลาดๆ หนำซ้ำวันนี้ยังดูหล่อกว่าปกติด้วย สงสัยเป็นเพราะจะจากกัน ผมเลยนึกรักมันกว่าปกติล่ะมั้ง มันถึงได้หล่อในสายตาผมขนาดนี้
"กวินทร์"
 จู่ๆ คีธก็เรียกผมหลังจากที่แต่งตัวเสร็จและหันมามองขณะที่ผมจ้องมันตาไม่กะพริบพอดี ผมเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร คีธเดินเข้ามาดึงผมเข้าไปกอดแน่นและจูบบนหน้าผาก
"ฉันรักกวินทร์ รอนะ ไม่ว่ายังไงก็จะกลับมา"
ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่มันพูดประโยคนี้ เรียกว่าวันๆ นึง พูดนับครั้งไม่ถ้วนเลยดีกว่า ผมก็พยักหน้าอือออไปอย่างเคย ก่อนจะถูกมันฉกจูบบนริมฝีปากอีกครั้ง
"รักคีตาด้วย รักที่สุด รักทั้งสองคน" พูดจบ มือก็ยื่นมาลูบท้องผมราวกับกำลังพูดกับลูก ก่อนทิ้งตัวลงไปคุกเข่า เอาหูแนบท้องผมพลางลูบไปมา
ถึงจะรำคาญบ้างแต่ผมก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้มันลูบท้องอยู่อย่างนั้น ผมก็เล่นเส้นผมมันไปตามเรื่อง พอจะคลายความหงุดหงิดงุ่นง่านก่อนหน้าไปได้บ้าง หากแต่ครั้งนี้มันใช้เวลาคุยกับลูกได้เพียงครู่เดียว เสียงเอะอะโวยวายจากชั้นล่างก็ดังขึ้นมาชนิดฟังไม่ได้ศัพท์ สัญชาตญาณบอกเลยว่ามีเรื่องชวนปวดหัวมาอีกแล้ว พอผมมองหน้าคีธ คีธก็รีบผุดลุกขึ้นยืน เปิดประตูออกไปดูสถานการณ์ทันใด
"เกิดอะไรขึ้น" มันร้องถามเพื่อนที่เป็นผู้พิทักษ์เหมือนกันซึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินขึ้นมาชั้นบนพร้อมกับญาติสองพี่น้องเปรตพอดี
"ท่านปราชญ์กลับมาแล้วน่ะ"
พออีกฝ่ายตอบ คีธก็ย่นคิ้วยู่ ส่วนผมก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ
จะ...เจเนซิสกลับมาแล้ว มันหนีไอ้เซนไทน์ขาโหดนั่นมาได้ยังไงวะ?!
ไม่ใช่ไม่ดีใจนะที่เห็นมันกลับมาได้ แต่สงสัยน่ะว่าผมออกมาได้ยังไง เท่าที่ดู โรงแรมนั่นถูกล้อมไปด้วยเซนไทน์หลายสิบกว่าชีวิต ขนาดคนต่อสู้เก่ง ผมว่ายังหนีออกมายากเลย แล้วคนต่อสู้ไม่เก่งอย่างมันจะใช้วิธีไหน เอาร่างกายเข้าหลอกล่อให้พวกมันตายใจ หรือติดสินบนพวกบอดี้การ์ดด้วยร่างกายวะ?
ยังไม่ทันจะคิดออก ยูนิกม่าสองคนที่พยุงร่างของเจเนซิสก็ปรากฏให้เห็นจากบันไดด้านล่าง ก่อนพวกนั้นจะช่วยพยุงขึ้นมา ส่วนพวกที่ขึ้นมาก่อนก็กุลีกุจอไปเตรียมห้องพักให้เป็นการใหญ่
ผมเลยละความสนใจไปยังเจเนซิสที่สวมชุดสูทหลวมโพรก มองแวบเดียวก็รู้เลยว่าสูทนี้ต้องเป็นของลาร์คแน่ แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมสนใจได้เท่ากับสีหน้าอิดโรยของมันกับสภาพเหมือนผักเหี่ยว
“เจเนซิส...” ผมครางเรียกอย่างเผลอตัวทันทีที่มันถูกพยุงผ่านหน้าผม
เจเนซิสชำเลืองมองผมเล็กน้อยด้วยสายตาเหนื่อยอ่อน พยักหน้ารับอีกนิดเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามันโอเค แต่จากที่ดูแล้ว ผมว่ามันไม่โอเคว่ะ พวกรอยช้ำเขียวๆ ม่วงๆ น่ะไม่เท่าไหร่ เท่าที่สังเกตเห็นเหมือนจะเป็นรอยช้ำเดิมที่เริ่มจางลง แต่รอยช้ำเป็นจ้ำแดงคล้ายกับรอยคิสมาร์กกลับขึ้นมาแทนที่รอยอื่นๆ จนเต็มไปทั่วทุกอณูผิวหนังนี่สิ เห็นก็รู้เลยว่ารับศึกหนักบนเตียงไม่ว่างเว้นแน่ๆ
โถ... กูส่งมึงไปเป็นจำเลยรักเจ้าชายเซนไทน์แท้ๆ ขอโทษนะเจเนซิส ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ว่ะ
เจเนซิสถูกหามผ่านหน้าไป แอสตันกับริชาร์ดก็ถูกตามออกจากห้องมาพอดี ก่อนจะรีบตามหลังเจเนซิสไป ผมเองก็ไม่รอช้า ตามพวกมันไปด้วย ตบท้ายด้วยคีธที่เดินหน้านิ่งๆ เข้ามา
เจเนซิสถูกวางลงบนเตียงก่อนยูนิกม่าคนหนึ่งซึ่งครั้งก่อนเคยทำแผลให้คีธจะเข้ามาปลดกระดุมเสื้อสูท จัดการดูแผลให้ ครู่เดียวก็หันมาบอกกับแอสตันที่มีสีหน้าเป็นห่วง
“ท่านปราชญ์ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ มีบาดแผลเพียงเล็กน้อย ส่วนที่เหลือก็เป็นรอยจ้ำแดงๆ เท่านั้น ไม่อันตรายใดๆ มีเพียงอย่างเดียวที่ดูหนักที่สุดก็คือร่างกายอ่อนแอมาก ให้พักเต็มที่สักคืนก็จะดีขึ้น”
แอสตันพยักหน้ารับ มีสีหน้าดีขึ้น ผมก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่หมอยูนิกม่าพูดอย่างนี้ ก็มันไม่ได้โดนทำร้ายนี่หว่า บอกแล้วว่าแค่รับศึกบนเตียงหนักไปหน่อยเท่านั้นเอง
ทว่าเจเนซิสมันกลับไม่ยอมพักอย่างที่หมอพูด พยายามดันตัวลุกขึ้นนั่ง ปากก็เรียกผู้เป็นนายไปด้วย
“อะ...องค์ชาย”
“ไม่ต้องลุกเจเนซิส นอนลงไปเถอะ” แอสตันแทรกขึ้นก่อนที่เจเนซิสจะได้นั่งเต็มตัว เจเนซิสก็เลยทิ้งตัวนอนลงไปอีกครั้ง ปากก็พูดไปด้วย
“หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยที่มาช้า”
ผมส่ายหน้า นี่มึงยังจะห่วงไอ้แอสตันอีก มึงห่วงตัวเองก่อนเถอะ โดนรีดน้ำจะหมดตัวแล้วมั้งนั่นน่ะ
“แค่เราเห็นนายกลับมาอย่างปลอดภัย เราก็พอใจแล้ว เราต่างหากที่ต้องขอโทษที่เป็นเหตุทำให้นายเดือดร้อน” แอสตันคิดเช่นเดียวกับผม พูดไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
หากแต่เจเนซิสคลี่ยิ้มบาง ว่าด้วยน้ำเสียงแผ่ว “เพื่อฝ่าบาทแล้ว หม่อมฉันเต็มใจพ่ะย่ะค่ะ”
กูว่าตอนแรกมึงไม่ได้เต็มใจหรอก มึงเพิ่งจะมาเต็มใจตอนมึงได้ทำกิจกรรมโลดโผนกับไอ้ลาร์คนั่นแหละกูว่า ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดี กูเห็นหรอกนะว่าคู่ขามึงก็เยินพอกัน ติดใจก็บอก ไม่ใช่มาบอกว่าทำเพื่อผัวเพื่อนกู
แอสตันไม่ว่าอะไรต่อ พยักหน้ารับ มองเจเนซิสครู่หนึ่งก็อดใจถามไม่ได้
“ว่าแต่... นายหนีพวกเซนไทน์ออกมาได้ยังไง ได้ยินกวินทร์บอกว่าพวกมันคุ้มกันอย่างแน่นหนาไม่ใช่เหรอ”
คำถามนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้เหมือนกัน คนอื่นๆ ก็คงอยากรู้ เพราะพอแอสตันถาม ทุกชีวิตก็หุบปากสนิท รอให้เจเนซิสพูด ทว่าเจเนซิสกลับไม่พูด เสมองไปทางอื่นราวกับต้องการปกปิดอะไรไว้จนแอสตันต้องถามออกมาอีก
“ว่าไงล่ะ นายหนีออกมาได้ยังไง”
“มันก็ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันว่าวิธีการหนีของหม่อมฉันไม่ใช่เรื่องที่ฝ่าบาทควรใส่พระทัย สิ่งที่ฝ่าบาทควรสนพระทัยคือเรื่องการอพยพหนีในวันพรุ่งนี้มากกว่า หม่อมฉันหนีออกมาแบบนี้ เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นาน พวกมันจะต้องตามมาแน่” แล้วมันก็ย้อนแอสตันเสียอย่างนั้น
แอสตันก็บ้าจี้ มันไม่ยอมตอบก็ดันไม่เซ้าซี้ เออออไปตามเรื่อง
“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่านายปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ผมลอบบุ้ยปาก เดาในใจเลยว่าวิธีที่เจเนซิสใช้จะต้องเป็นวิธีที่มันกระดากใจจะพูดแหงๆ และบทสนทนาก็ควรจะจบลงที่เจเนซิสถูกปล่อยให้พักผ่อนแท้ๆ ทว่าริชาร์ดที่ยืนมองอยู่นานก็พาลสงสัยขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นหมอยูนิกม่าพยุงเจเนซิสขึ้นนั่งเพื่อจะให้กินยาอะไรบางอย่าง
“สะโพกเป็นอะไรน่ะเจเนซิส”
ผมปราดมองไปที่มือของเจเนซิสซึ่งประคองสะโพกทันที เจเนซิสมีสีหน้าหม่นไปทันตา คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
“หรือว่านาย...” ริชาร์ดคราง ทำท่าเหมือนจะถามต่อ ผมเลยรีบกระทุ้งศอกใส่มันให้หุบปาก ตอนนี้เองที่มันเหมือนจะรู้สึกตัวในไม่กี่นาทีให้หลังว่าถามอะไรไม่ควรถามออกไป
ก็ควรจะรู้แหละ อาการนี้มันเป็นอาการเดียวกับที่มันเคยเป็นตอนมีอะไรกับแอสตันครั้งแรกนี่หว่า สะโพกครากน่ะ สะโพกคราก แต่ของเจเนซิสนี่ควรเรียกว่ากึ่งอัมพฤกษ์ ถ้าปล่อยมันไว้กับไอ้ลาร์คอีกวัน รับรองเลยว่านอนติดเตียงไปตลอดชีวิตแน่
“เอ่อ...ขอโทษนะที่ถามแบบนั้น” แล้วริชาร์ดก็ทำสีหน้ารู้สึกผิด เจเนซิสยังคงฝืนคลี่ยิ้ม
“ไม่ต้องทรงกังวลพ่ะย่ะค่ะพระชายา หม่อมฉันสบายดี”
สบายดีแป๊ะอะไร มึงกลายเป็นเมียไอ้ลาร์คตลอดชีวิต มีผัวไม่ได้อีกชั่วกัปชั่วกัลป์นะเว้ย ยังจะมีหน้ามาบอกว่าไม่เป็นไรอีก!
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันอย่างนี้ฉิบเป๋ง แต่คิดๆ ดูแล้วก็ไม่เอาดีกว่า ก็ผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันได้ผัวแบบไม่ทันตั้งตัวนี่นา เงียบๆ ไว้ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้น่ะดีแล้ว
“ปล่อยให้เจเนซิสได้พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทาง เดี๋ยวจะลำบาก” แอสตันตัดบทเอาดื้อๆ
ไม่มีใครขัด ทำตามที่แอสตันว่าแต่โดยดี จังหวะเดียวกับที่เจโรว์วิ่งหน้าตาตื่นมาหาลูกชายพอดี ผมเลยรีบชิ่งก่อนที่เจเนซิสมันจะฟ้องพ่อมันว่าผมยัดเยียดผัวให้
คงต้องบอกกันอีกทีว่ากูไม่ได้ตั้งใจนะ แค่แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า แต่จริงๆ ได้ผัวเป็นเจ้าชายก็ไม่เลวนะเว้ย ถึงจะเป็นเจ้าชายหื่นกามก็เถอะ คิดในแง่ดีว่ายกระดับจากเกือบจะเป็นว่าที่เมียผู้พิทักษ์มาเป็นรัชทายาทผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์ก็แล้วกัน
 
ถึงผมในแง่ดีอย่างนั้น แต่สาบานเลยว่าผมไม่ได้รู้สึกดีที่เห็นเจเนซิสอยู่ในสภาพนี้แม้แต่น้อย ดีที่อีกวันมันก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แบบว่าเดินเหินได้ตามปกติน่ะ ส่วนเนื้อตัวก็ยังมีรอยจ้ำเหมือนเดิม หากแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ กับการอพยพในครั้งนี้แต่อย่างใด ผมก็ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจมันด้วย นอกจากซึมกะทือตั้งแต่เช้า
จริงๆ ต้องบอกว่าตั้งแต่เมื่อคืนจะดีกว่า พอผมคิดว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่คีธจะได้อยู่กับผมแล้ว ผมก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ไม่รู้จะพูดอะไรกับคีธด้วย ก็ได้แต่เงียบเช่นกัน คีธก็ทำได้แค่กอดผมไว้โดยไม่พูดไม่จา พรมจูบไม่เลิกจนกระทั่งเช้า เลยกลายเป็นว่าทั้งผมทั้งมันไม่ได้นอนกันทั้งคู่
บอกตรงๆ เลยว่าผมใจหาย ถึงจะเตรียมใจมาบ้างแล้วแต่ก็ยังคุมอารมณ์ตรงนี้ไม่ได้ ยิ่งพอถึงเวลาที่คีธต้องไปและเห็นคีธสวมบอดี้สูทเตรียมพร้อมไปยังจุดนัดรวมที่นาซาด้วยแล้ว ผมก็ชาวาบไปทั้งร่าง อยากจะเข้าไปกอด อยากจะรั้งไม่ให้ไป แต่ร่างกายกลับไม่ขยับตาม เอาแต่นิ่งมองจนกระทั่งคีธแต่งตัวเสร็จและพาผมมาที่นาซาด้วย
ซีเลนกับสองพี่น้องเปรตนั่นก็มาส่งพวกยูนิกม่าเช่นกัน ส่วนริชาร์ดก็ยังคงร้องไห้อีกเช่นเคย วันนี้ตาบวมแดงกว่าเดิมด้วยซ้ำ แถมยังควงแขนผัวเด็กไม่ห่าง ส่วนผม... ปกติก็ไม่ค่อยได้จับมือกับคีธหรอก แต่วันนี้เราจับมือกันเดินไปตลอดทาง แม้แต่ตอนที่เจโรว์กับเจเนซิสนัดแนะเรื่องแผนการปล่อยยาน พวกเราก็ยังจับมือกันแน่น
เสียงของเจโรว์ที่อธิบายว่าจะแสร้งทำให้การปล่อยยานล้มเหลวนั้นแทบไม่เข้าหัวผมเลยสักนิด แต่ก็พอจับใจความได้ว่าพวกมันจะปล่อยยานไปถึงชั้นบรรยากาศชั้นบนสุดของโลก แล้วจะทำการระเบิดส่วนท้ายของยานออก ลวงเป็นว่ายานระเบิดเพื่อไม่ให้มนุษย์โลกสงสัยว่าทำไมไม่สามารถจับสัญญาณของยานได้ แล้วให้ส่วนหัวของยานไปต่อยังที่หมาย ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก นอกจากบีบมือของคีธแรงขึ้นเมื่อมันถูกเรียกให้เข้าไปประจำการยังยานในจุดปล่อยยานซึ่งเป็นลานกว้าง ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งมนุษย์ต่างดาวพันธุ์อื่นๆ ที่ผมไม่รู้จักที่ถูกเกณฑ์มาช่วยในปฏิบัติการพาแอสตันหนีด้วยซ้ำ
ริชาร์ดเองก็เช่นกัน กูรูเอเลี่ยนอย่างมันพอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็เอาแต่ร้องไห้บ่อน้ำตาแตก ไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรทั้งนั้น โผกอดแอสตันแน่น ขณะที่แอสตันเองก็กอดตอบแน่นไม่แพ้กัน ผมมองแล้วก็พาลอยากจะร้องไห้ขึ้นมาบ้าง แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด มีแต่ความรู้สึกคับแน่นในอกเท่านั้นที่ทำให้ผมเกือบหายใจไม่ออก
ยังไงก็ไม่อยากให้ไป... ไม่อยากให้คีธไปเลย
“กวินทร์...” คีธเรียกผมเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยมือขณะที่พวกยูนิกม่าคนอื่นๆ ทยอยเข้าไปประจำการในยานเป็นที่เรียบร้อย
ผมหันไปมองหน้าคีแล้วก็ต้องเม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจถามมันอีกที
“คีธ... นายไม่ไปไม่ได้เหรอ อยู่กับฉัน อยู่กับคีตาที่นี่ ไม่ต้องเป็นผู้พิทักษ์แล้วไม่ได้หรือไง”
สายตาของคีธแลดูเจ็บปวด มันก็คงอยากจะพูดเหมือนกันแหละว่าทำไม่ได้ แต่ไม่พูด เอาแต่พ่นลมหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าแทน ท่าทางของมันทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายผมปวดหนึบขึ้นไปอีก พลันพึมพำออกมาเบาๆ
“ยังไงก็ต้องไปสินะ”
“ฉันจะกลับมานะกวินทร์ ไม่ต้องห่วง” แล้วคีธก็ทำได้ดีที่สุดคือการพูดประโยคเดิมซ้ำๆ
บอกเลยว่าผมไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากให้มันพูดอีกว่ามันจะกลับมาเพราะผมไม่ได้อยากให้มันไป จะไปเร็วหรือไปช้าก็ไม่อยากให้ไปทั้งนั้น ผมอยากให้มันอยู่ที่นี่ ไม่งั้นก็ให้ผมไปด้วยก็ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง
ให้ตายเถอะ... เกลียดการจากลาชะมัดเลย
“กวินทร์...ฉันต้องไปแล้ว” คีธเตือนผมอีกครั้งเมื่อผมไม่ยอมปล่อยมือ
ผมยังคงยืนนิ่ง ไม่อยากปล่อยมือเลย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนน พยักหน้าแล้วคลายฝ่ามือออกแต่โดยดี
“ดูแลตัวเองด้วย” และนี่คือประโยคสุดท้ายที่หลุดออกจากปากผม ผมไม่กล้าจะบอกรักมันเพราะกลัวว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เหมือนริชาร์ด
คีธดึงผมเข้าไปจูบริมฝีปากและหน้าผาก บอกรักเป็นครั้งสุดท้าย
“ฉันรักกวินทร์นะ รักคีตาด้วย”
“อืม” ผมครางรับ ตอนนี้เสียงเริ่มสั่นจนต้องแสร้งมองไปทางอื่นด้วยไม่อยากให้น้าไหลออกมา ก่อนจะผละออกจากมันโดยเร็ว
ส่วนริชาร์ดก็จำต้องผละจากแอสตันเหมือนกันเมื่อเจเนซิสมาตามให้แอสตันเข้าไปด้านในได้แล้ว ผมเสมองเพื่อนแล้วก็หันกลับมามองคีธที่ยืนมองผมอยู่ด้วยสายตาเป็นห่วง
“นายก็ไปเถอะ... คนอื่น... เข้าไปกันหมดแล้ว” ผมว่าเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ รู้สึกได้ว่าเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกที่คอ
คีธทำท่าจะคว้าผมเข้าไปกอด แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงถอยหนี คงจะเป็นเพราะกลัวว่าถ้าถูกมันกอดอีกครั้ง ผมจะร้องไห้ก็ได้มั้ง อย่างที่บอกว่าผมไม่อยากให้มันจดจำภาพผมแบบไม่ค่อยดีก่อนจาก ดังนั้นผมจึงไม่อยากร้องไห้ให้มันเห็น ให้มันเห็นด้านที่เข้มแข็งจะดีกว่า เวลามันไป จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าผมจะอยู่ได้มั้ยอะไรเทือกนี้
“กวินทร์...” คีธเรียก ดูท่าทางมันอยากจะกอด แต่ผมกลับตอบมันเสียงเรียบ
“ไปได้แล้ว คนอื่นรออยู่”
คีธยังไม่ไป มองหน้าผมอยู่นาน จนซีเลนที่ยืนมองอยู่กับสองพี่น้องไบโทปต้องแทรกขึ้น
“ไปเถอะนายน่ะ เดี๋ยวฉันช่วยดูแลกวินทร์ให้ ลูกนายด้วย พวกนี้ก็จะช่วยดูแลเหมือนกัน” ว่าพลางหันไปทางบรูคลินกับเบน สองคนนั้นก็พยักหน้าให้คีธเป็นเชิงว่าไม่ต้องเป็นห่วง
คีธจำใจพยักหน้า ก่อนทำความเคารพซีเลน
“ขอบพระทัยองค์ชายที่เมตตา”
ขอบคุณเสร็จก็สบตาผม ก่อนจะหันหลังให้ผมเมื่อได้ยินเสียงเจเนซิสร้องเร่ง ผมเห็นแผ่นหลังกว้างค่อยๆ ก้าวจากไปแล้วก็เข่าแทบทรุด อยากจะวิ่งเข้าไปลากมันออกมาแล้วพามันวิ่งหนีชะมัด ช่างหัวผัวไอ้ริชาร์ดมันเถอะ จะโดนเซนไทน์จับทำเมียหรืออะไรก็ช่าง ขอแค่ผมได้มีคีธอยู่ข้างตัวก็พอแล้ว ใครจะว่าเห็นแก่ตัวก็เอาเลย
แต่... ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่มองคีธเดินจากไปเงียบๆ
คีธหันมามองผมอีกครั้งทันทีที่ก้าวเท้าเกือบถึงประตูยาน ผมมองตอบแล้วก็หลับตานิ่ง ข่มใจตัวเองไม่ให้วิ่งเข้าไปกอดมันอย่างเต็มที่ เจเนซิสที่ยืนรอปิดประตูยานอยู่พยักหน้าเป็นสัญญาณบอกคีธว่าถึงเวลาแล้ว
ทว่ายังไม่ทันที่คีธจะได้เดินเข้าไปข้างใน เสียงระเบิดดังตูมจากอาคารหลังหนึ่งซึ่งไม่ไกล เรียกว่าใกล้เลยจะดีกว่าเพราะเศษซากอาคารเหล่านั้นกระเด็นกระดอนมาถึงบริเวณที่ผมยืนอยู่ด้วย พวกมนุษย์ต่างดาวพันธุ์อื่นๆ ที่มาช่วยหนีตายกันอย่างรวดเร็ว จะมีก็แต่ผมกับริชาร์ดนี่แหละที่หนีไม่ทัน ทว่าพริบตาเดียว ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกระชากบางอย่างที่ฉุดผมตัวลอยก่อนจะกระแทกลงไปบนพื้น เสียงดังเคร้งของเศษอิฐกระเด็นใส่เหล็กดังขึ้นใกล้ๆ ผมตั้งสติได้จึงเห็นว่าต้นเหตุของเสียงนั้นมาจากการที่ชิ้นส่วนของอาคารตกกระทบแผ่นหลังของคีธซึ่งบัดนี้มีเกราะสีเงินกางสยายบังผมอยู่นั่นเอง ขณะที่มันอยู่ในท่าคร่อมผมเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะกวินทร์”
ผมพยักหน้าให้เป็นคำตอบอย่างเหวอๆ ด้วยจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะฉุกคิดถึงริชาร์ด
“แล้วริชาร์ด...”
“พระชายาทรงปลอดภัย” คีธว่า เบือนสายตาไปข้างๆ พอผมหันไปมองบ้างก็เห็นว่ามันถูกซีเลนกับพวกไบโทปคร่อมบังสะเก็ดระเบิดให้อยู่เหมือนกัน ผมเลยโล่งใจไป
พอทุกอย่างสงบลง คีธก็พยุงผมให้ลุกขึ้นยืน
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” และนี่คือคำถามแรกทันทีที่ผมทรงตัวได้
คีธส่ายหน้า หากแต่ครู่เดียวก็คว้าตัวผมเข้าไปใกล้ สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาฉับพลัน พวกยูนิกม่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในยานก็พากันกรูออกมาอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังเรียกแอสตันที่วิ่งเข้าไปประคองริชาร์ดเสียงหลง
“องค์ชาย เสด็จมาตรงนี้เร็วเข้าพ่ะย่ะค่ะ!”
แอสตันไม่รอช้า ลากริชาร์ดเข้าไปกลางวงผู้พิทักษ์อย่างรวดเร็ว ริชาร์ดเองก็ดูไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ทำท่าจะถามแต่แอสตันก็คว้ามันเข้าไปกอดเสียก่อนเลยไม่ได้คำตอบ ทว่าไม่ต้องตอบให้ยุ่งยาก ผมก็พอจะเดาได้ละว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหูได้ยินเสียงระเบิดของอาคารอีกแห่งดังตามมาพร้อมกับเสียงสัญญาณเตือนภัย
เกราะสีเงินปรากฏทั่วร่างของคีธอีกครั้ง มีเพียงบริเวณใบหน้าเท่านั้นที่ไม่มีแผ่นเกราะ มือก็ปรากฎหอกอย่างที่ผมเคยเห็นด้วย และไม่ใช่แค่มันเพียงคนเดียวที่คืนร่างเดิม ยูนิกม่าทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แอสตันก็เช่นกัน ริชาร์ดดูตื่นเต้นกว่าปกติ และก็ต้องตื่นเต้นยิ่งกว่าเมื่อหูทั้งสองได้ยินเสียงดังฟึ่บฟั่บเหมือนมีตัวอะไรกระโดดไปมา ใจผมเดาได้เลยทันทีว่าไอ้ต้นเสียงกระโดดเมื่อครู่จะต้องเป็นต้นเหตุของการระเบิดของอาคารเมื่อครู่ด้วย
เดาได้ยังไม่ทันจบดี ต้นตอตัวทำเสียงก็ปรากฎตัวให้เป็นเป็นตัวเป็นตนหลังม่านควันที่ลอยตัวสูงขึ้น ผมเพ่งมองไปเห็นชายร่างสูงในชุดเกราะสีดำคุ้นตาหลายสิบชีวิต ไม่สิ... ไม่ใช่หลายสิบ เป็นร้อยเลยดีกว่า พวกนั้นวิ่งเข้ามารายล้อมพวกเราไว้ คีธรีบดึงผมถอยไปรวมกับพวกแอสตันทันที ขณะที่พวกยูนิกม่าเตรียมพร้อมรับมือกับเซนไทน์ที่บุกมากะทันหันอย่างรวดเร็ว
“องค์ชาย ระวังพระองค์ไว้นะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งร้องบอกแอสตัน
ผมนี่อยากจะหันไปบอกมันเหลือเกินว่าที่พวกเซนไทน์บุกมาอย่างนี้ มันคงไม่ได้มาตามหาแอสตันหรอก มันมาตามตัวเจเนซิส! ผมโคตรมั่นใจเลยเพราะผมเหลือบเห็นสีหน้าของเจเนซิสที่ยืนอยู่ใกล้กับแอสตันมีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาฉับพลัน
ก็มึงหนีผัวมา ผัวมึงมาตามก็ถูกแล้ว!
และก็จริงอย่างที่ผมคิดเสียด้วยเมื่อกลุ่มเซนไทน์อีกกลุ่มปรากฏให้เห็น แต่อะไรก็ไม่เด่นเท่าเซนไทน์ตัวที่เดินอยู่ตรงกลางด้วยท่าทางดุจเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ก็ไอ้ลาร์คนั่นแหละ ตอนนี้สีหน้ามันบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรไม่สบอารมณ์เลยที่เมียหนีมา ปกติมันก็น่ากลัวอยู่แล้วนะ ตอนนี้ที่มันอยู่ในร่างเดิมยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
แล้วมันก็เพิ่มความน่ากลัวขึ้นไปอีกเมื่อมันเดินแหวกลูกน้องที่ล้อมเราอยู่เข้ามา ตะโกนเสียงกร้าวราวกับว่ากลัวคนอื่นจะไม่ได้ยิน
“คิดว่าหนีฉันมาแบบนี้จะหนีรอดหรือไง แอสโซซิโน!”
ยูนิกม่าทุกชีวิตสะดุ้งเฮือก สะดุ้งหนักที่สุดคือแอสตันที่อยู่ตรงกลางพร้อมมีริชาร์ดเกาะแน่นเป็นเห็บ คือทุกคนที่ไม่ใช่เซนไทน์ก็รู้นั่นแหละว่าลาร์คหมายถึงเจเนซิส เพราะตอนที่มันพูด มันเอาแต่มองหน้าเจเนซิสที่ทำหน้าตกใจประหนึ่งเห็นผี ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ในชั่วพริบตา
ตอนนี้คงใช้คำว่า ‘แอสตัน ผัวมาตาม!’ ไม่ได้แล้วล่ะ ต้องบอกว่า ‘เจเนซิส ผัวมาตาม!’ แม่ง มาตามคนเดียวก็ไม่ได้ แห่กันมาเป็นฝูง แถมยังระเบิดอาคารเป็นการขู่อีกต่างหาก
มึงนึกว่าเป็นตัวร้ายในละครของอาหลองหรือไงวะถึงได้ระเบิดภูเขา เผากระท่อมหน้าตาเฉยเนี่ย! มึงอยากได้เมียมึงคืนก็บอกดีๆ กูจะเอาใส่พานประเคนให้เลย อย่าทำลายโลกกูนะเว้ย!
ทว่าเจเนซิสก็ยังคงทำเฉย เฉยจนผมอยากเข้าไปกระโดดเตะก้านคอมันให้สลบแล้วจับส่งใส่มือลาร์ค บอกให้มันเอาไปแล้วไสหัวไปให้ไวเหลือเกินก่อนที่ลาร์คจะตัดสินใจระเบิดอะไรขึ้นมาอีก แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละเพราะลาร์คมันพูดขึ้นมาก่อน
“เดินมาหาฉันเดี๋ยวนี้แอสโซซิโน ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!” มันยังคงออกคำสั่ง
เจเนซิสแม่งก็หน้าด้าน ผัวมาตามขนาดนี้ยังทำเฉย เฉยจนคนอื่นๆ เริ่มเลิ่กลั่กกันละว่าจะเอายังไงต่อดี คนอื่นที่ว่าก็คือผมกับริชาร์ดนี่แหละ นับบรูคลินกับเบนที่อยู่ในร่างเปรตวัดสุทัศน์เข้าไปด้วยก็แล้วกัน ให้เดานะ ริชาร์ดมันก็คงจะกลัวว่าถ้าเจเนซิสไม่ทำตามสั่ง ผัวมันจะถูกลากไปแทน ส่วนผมก็เลิ่กลั่กเพราะกลัวว่าพวกเซนไทน์จะบ้าคลั่งทำร้ายขึ้นมา แล้วผมจะซวยไปด้วย ซวยแค่ผมคนเดียวยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ในร่างกายผมไม่ได้มีแค่คนเดียวแล้วไง ยังมีคีตาด้วย ถ้าถูกลูกหลงแล้วไข่คีตาแตกขึ้นมาจะทำยังไง!
“มันมาตามถึงขนาดนี้แล้วก็ไปสิวะ” แล้วผมก็อดไม่ได้ กระซิบเสียงเบาใส่ แต่บังเอิญอยู่ข้างหลังแอสตันกับเจเนซิสพอดี ริชาร์ดมันก็เลยเข้าใจว่าผมหมายถึงให้ผัวมันออกไป มันเลยหันหน้ามามองผมตาขวาง
“เควิน... นายก็ส่งคีธไปสิ” แถมยังมีหน้ามายอกย้อนผมเสียงแข็งอีก ผมนี่จึ๊ปากใส่มันอย่างหงุดหงิดเลย
กูไม่ได้หมายถึงผัวมึง กูหมายถึงไอ้เจเนซิส! มึงนี่ดูรอยช้ำบนตัวมันแล้วยังไม่รู้อีกเหรอวะว่ามันโดนไอ้ลาร์คปู้ยี่ปู้ยำมาขนาดไหน ฟิฟตี้เฉดออฟลาร์ค ฉบับโคตรซาดิสม์ชัดๆ แต่คือมันก็ชอบไง ไม่งั้นไอ้ลาร์คก็คงไม่ช้ำพอๆ กันหรอก อย่างผัวมึงน่ะ หน่อมแน้มขนาดนี้ โดนแส้ฟาดทีเดียวก็ตายคาเตียงแล้ว! สติโว้ยสติ! มึงจงตั้งสติ อย่าหวงผัวจนพาลเพื่อนนะไอ้เจ๊ก!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.34]--22/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 23-01-2016 19:54:24
Episode 35: Ambassador of Uniquema[2]
พูดถึงเรื่องช้ำ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าบริเวณไหล่ข้างซ้ายของลาร์คมีรอยถูกแทงอยู่ คือมันก็ใส่เกราะนั่นแหละ แต่ลักษณะเกราะดูเหมือนแตกและมีของเหลวไหลซึมออกมาจากช่องเกราะที่แตกนั้น ผมย่นคิ้วอย่างสงสัยว่าอะไรจะไปทำให้เกราะของพวกมันแตกได้
แต่สงสัยได้ไม่นาน ลาร์คมันก็ให้คำตอบโดยไม่ต้องถาม
“ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าถ้าจะฆ่าฉัน ต้องฆ่าให้ตาย ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ปล่อยนายไป จำไม่ได้หรือไงแอสโซซิโน!”
แอสตันสะดุ้งอีก สะดุ้งทุกครั้งที่ถูกเรียกชื่อนั่นแหละทั้งที่มันก็รู้ดีแก่ใจว่าไม่ได้หมายถึงมัน เจเนซิสเองก็เบือนหน้าหนี ริมฝีปากเม้มนิ่ง ผมมองอย่างจับผิดทันที
รอยเกราะที่แตกนั่นคงเป็นฝีมือมึงสินะไอ้เจเนซิส ไอ้เมียชั่ว! ทำเป็นฆ่าไม่ตายเพราะมึงรู้ว่ามันจะมาตามล่ะสิ ติดใจมันก็บอกมา!
และเพราะเจเนซิสยังคงทำเฉยเมย ลาร์คก็เลยสติแตก จ้องเจเนซิสตาเขม็งก่อนจะว่าเสียงต่ำ
“ฉันจะให้เวลานายก้าวออกมาแค่นับสามเท่านั้น...หนึ่ง...” แล้วมันก็เริ่มนับแบบไม่ถามความเห็นชาวบ้านสักคำ
เจเนซิสดูตระหนกขึ้นมาในตอนนี้ หากแต่ก็ยังเฉย ...เฉยจนน่าโดนถีบ!
“สอง...”
“เจเนซิส ไปสิวะ” ผมกระซิบบอกมัน อยากจะดันหลังมันให้ออกไปจากวงด้วย แม่ง ไม่ยอมไปแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้ซวยกันหมดหรอก
แต่มันไม่ฟัง ยูนิกม่าคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครยุให้มันไป เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนตั้งท่ารอรับการโจมตีอย่างเดียว แอสตันรีบหันไปว่าเสียงเบากับซีเลนกับพี่น้องไบโทปที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที
“เสด็จพี่ หม่อมฉันฝากริชาร์ดด้วย”
ซีเลนพยักหน้า ก่อนริชาร์ดจะถูกดันหลังให้เข้าไปหาซีเลน คีธเห็นอย่างนั้นก็ดันผมไปอยู่กับริชาร์ดด้วย ก่อนจะว่าเสียงเบา
“ฝากกวินทร์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“บรูคลินดูกวินทร์ เบนดูริชาร์ดแล้วกัน ฉันจะคอยระวังหลังให้” แล้วซีเลนก็ออกคำสั่งกับเมียๆ ตัวเอง
ผมเบ้ปากรัวๆ ทำไมจะต้องให้อริเก่ามาปกป้องด้วยวะ! แต่ไม่มีทางเลือกละ เพราะแค่ผมเดินเข้าไปหาบรูคลิน ลาร์คก็นับสามพอดี
“สาม!”
สิ้นเสียงเท่านั้น บรรดาเซนไทน์ที่รายล้อมอยู่ก็พร้อมใจกันกรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกยูนิกม่าก็ไม่น้อยหน้า ดาหน้าเข้าไปรับมือเหมือนกัน แต่ทำได้ไม่เต็มที่นักเพราะต้องปกป้องแอสตันด้วย แอสตันเองก็สู้นั่นแหละแต่ดูท่าจะมีฝีมือไม่เก่งเท่าพวกผู้พิทักษ์ ส่วนเจเนซิสนี่ก็สู้เหมือนกัน ทว่าพวกเซนไทน์ไม่ทำร้ายเจเนซิส แค่จ้องจะจับเป็นเท่านั้น
แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว วิ่งหน้าตั้งทันทีที่คีธบอกให้วิ่งโดยมีบรูคลินวิ่งตามมาติดๆ ริชาร์ดเองก็วิ่งไปกับเบน ส่วนซีเลนก็คอยระวังหลังให้เพราะพวกเซนไทน์ไม่ได้เล่นงานแค่พวกยูนิกม่าเท่านั้น เล่นงานพวกเราด้วย ผมเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้เองว่าพวกเซนไทน์ไม่ยอมฆ่ายูนิกม่าอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อมีโอกาส ทำแค่ทำร้ายให้หมอบไปเท่านั้น กระนั้นก็ไม่สำคัญอยู่ดีเมื่อซีเลนตะโกนขึ้น
“พากวินทร์กับริชาร์ดกลับไปก่อน เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับลาร์ซิโอนีย์!”
มันก็คงจะไปเจรจาต่อรองให้พี่ชายมันหยุดวีรกรรมชิงเมียนั่นแหละ บรูคลินกับเบนพยักหน้ารับรัวๆ ร้องบอกให้ผมกับริชาร์ดวิ่งตามไปอีกทาง ทว่าวิ่งมาได้ไม่เท่าไหร่ พวกเราก็โดนเซนไทน์สกัดข้างหน้า บรูคลินกับเบนชะงักกึก ถอยมาบังผมกับริชาร์ดเอาไว้ราวกับจะช่วยป้องกัน
“ถ้าฉันสู้ไม่ได้ ก็วิ่งหนีไปเลยนะ” บรูคลินบอกผมโดยไม่มองหน้า
กูรู้อยู่แล้วล่ะว่าพวกมึงสู้ไม่ได้แน่ ไม่งั้นพวกมึงจะกลัวเซนไทน์จนต้องอพยพหนีมาเหรอ ส่วนไอ้เรื่องวิ่งนี่ก็ไม่ต้องบอก มึงโดนพวกมันรุมเมื่อไหร่ กูก็เผ่นแน่บก่อนล่ะ!
แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเซนไทน์จู่โจมบรูคลินกับเบนโดยไม่ทันที่สองคนนั้นจะตั้งตัว ผมก็ใส่เกียร์หมาวิ่งไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องเรียกริชาร์ดให้วิ่งตามมาด้วย ทว่าไอ้บ้าริชาร์ดแม่งดันทำตัวงี่เง่าเอาตอนนี้ วิ่งอยู่ดีๆ สะดุดหกล้ม เลยกลายเป็นว่ามันถูกเซนไทน์จับได้ก่อนคนแรก พอผมหันไปมองมันอย่างตกใจ ผมก็เลยซวย โดนจับไปอีกคน
ทำอะไรของมึงเนี่ยไอ้ริชาร์ด! มันใช่เวลาจะมาหกล้มมั้ย!
หงุดหงิดเลย... แม่งหงุดหงิดเลย ที่หงุดหงิดก็เพราะรู้น่ะว่าที่พวกเซนไทน์มาจับตัวผมกับริชาร์ดเนี่ย ก็หวังจะเอาใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง ถึงจะเป็นมนุษย์โลกธรรมดาในสายตาพวกมัน แต่เห็นพวกผมมาอยู่ในกลุ่มพวกยูนิกม่า พวกมันก็เดาได้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมีความสำคัญอะไรบางอย่างกับอีกฝ่ายแน่
ลาร์คแสยะยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกน้องพาผมกับริชาร์ดกลับมายืนในบริเวณที่มันยืนอยู่ ก่อนมันจะประกาศกร้าวอีกครั้ง
“ถ้าไม่อยากให้โฮสต์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พวกนี้ตาย ก็ส่งตัวแอสโซซิโนมา!”
เท่านั้นแหละ ทุกชีวิตชะงักกึกเลย คนที่ดูเดือดร้อนที่สุดคือแอสตันที่ร้องลั่นอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าเมียมันถูกจับ
“ริชาร์ด!”
แล้วก็ตามมาด้วยคีธที่เบิกตาโพลงทันทีที่เห็นผมถูกจับไปอีกรอบหลังจากที่เคยถูกจับเป็นตัวประกันไปครั้งนึงแล้ว
มึงไม่ต้องมามองกูเลยไอ้คีธ มึงไปโทษไอ้ริชาร์ดโน่น กูไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองโดนจับนะเว้ย!
“ส่งแอสโซซิโนมา” ลาร์คว่าขึ้นอีกครั้งขณะที่ทุกคนยังอึ้งอยู่
บรรยากาศกดดันไหลเวียนเข้ามาทันที แอสตันย่นคิ้วยู่ ก่อนจะสะกิดไหล่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่ยืนขวางหน้าอยู่
“องค์ชาย...” คนถูกสะกิดครางเมื่อเห็นว่าแอสตันจะเดินออกจากวง
“นั่นพระชายาของเรา เราจะไป” แอสตันว่าหนักแน่น ทำท่าจะเดิน ทว่าคีธก็เข้ามาขวาง
“องค์ชาย... พระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“จะให้เราใจเย็นอีกได้ยังไงคีทาเย! นั่นคนของเรา! คนรักของเรา!” แอสตันคลั่งไปเล็กน้อย คีธก็เลยยอมถอย ปล่อยให้แอสตันเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าลาร์ค
ลาร์คงุนงงไปครู่เมื่อเห็นว่าคนที่เดินออกมาไม่ใช่เจเนซิสอย่างที่คิด ทว่าปากก็ครางเรียกชื่อจริงแอสตันไปด้วย
“แอสโซซิโน?”
“ใช่ ฉันนี่แหละแอสโซซิโน รามูเอลี ที่ 8 ที่นายตามหา” แอสตันว่าด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สายตาปรายมามองยังริชาร์ดที่มองมันอย่างเป็นห่วง ก่อนจะว่าขึ้นมาอีกครั้ง “ได้ฉันไปแล้วก็ปล่อยตัวริชาร์ดซะ”
ลาร์คนิ่ง เหมือนมันรู้แล้วล่ะว่าแอสตันคือคนที่มันตามหามานานแสนนาน และคือคนที่มันเคยฉุดไปปล้ำตอนเด็กๆ แต่มันกลับไม่สั่งให้พวกเซนไทน์มาจับแอสตัน ย่นคิ้วมองอย่างไม่สบอารมณ์เท่านั้น
“หน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากตอนเด็กมากนัก แต่ฉันไม่ได้ต้องการตัวนาย ฉันต้องการตัวพระชายาของฉัน”
“พระชายา?”
“เจเนซิส”
คำตอบของลาร์คทำเอาทุกคนหันไปมองเจเนซิสที่ยืนนิ่งอยู่ทันที เจเนซิสรีบหันหนี ผมเห็นแล้วก็อยากจะแหกปากใส่มันเหลือเกินว่า ‘มึงอย่าทำเป็นเล่นตัวนะเว้ย! ผัวมาตามแล้วก็รีบๆ กลับไป มันลำบากพวกกูเนี่ย!’
ทว่าแอสตันเองก็ไม่ต้องการให้เจเนซิสมารับเคราะห์เพราะตัวเองอีก เลยโพล่งขึ้นมา
“นั่นเป็นปราชญ์ของเรา คนที่นายตามหาคือเรา ดังนั้นก็พาเราไป ไม่ใช่คนอื่น”
ริชาร์ดทำหน้าเหมือนเห็นผีที่ผัวตัวเองพูดแบบนี้ คราวนี้ผมอยากจะด่ามันบ้างแล้วล่ะว่า ‘เป็นเพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้ผัวมึงซวย มึงจะวิ่งหกล้มหาพระแสงของ้าวทำไม!’
โอย...หงุดหงิด ทำไมมันไม่ได้ดั่งใจสักคนเลยวะ!
ลาร์คเองก็คงจะหงุดหงิด มันเดินเข้าไปหาแอสตันแล้วว่าหน้าเครียด
“ตอนแรกฉันต้องการนาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ฉันอยากได้ ‘เมีย’ ฉันคืน!”
เน้นคำว่า ‘เมีย’ ชัดถ้อยชัดคำมาก แอสตันยังคงเฉย แถมยืนกรานคำเดิมอีกว่าจะไม่ยกเจเนซิสให้
“อย่าลากคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยว พวกนายต้องการเรา ก็พาเราไป”
ตอนนี้ริชาร์ดลมจะใส่ไปเรียบร้อยที่ผัวมันถวายตัวเป็นเมียให้ลาร์ค ผมพอจะเข้าใจแอสตันนั่นแหละว่ามันพยายามปกป้องทั้งริชาร์ด ปกป้องทั้งเจเนซิสและยูนิกม่าคนอื่นๆ ในฐานะเจ้าชาย
แต่มึงฟังไม่รู้เรื่องหรือไงว่าไอ้ลาร์คมันไม่อยากได้มึงเว้ย! มันจะเอาเจเนซิส มึงก็ส่งๆ ไปให้มันซะที กูโดนจับจนตะคริวจะกินทั้งร่างอยู่แล้วเนี่ย!
ลาร์คชักจะหัวเสียหนัก กระชากแอสตันเข้ามาใกล้อย่างแรง พวกผู้พิทักษ์ยูนิกม่าฮึดฮัดขึ้นมาทันทีที่เห็นเจ้านายตัวเองถูกทำร้าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพวกเซนไทน์ที่ประจันหน้าอยู่ก็พร้อมจะจู่โจมเช่นกัน ก่อนเสียงของลาร์คจะดังขึ้น
“ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของการเกี่ยวดองกันระหว่างเซนไทน์และยูนิกม่าแล้ว ฉันไม่ได้ต้องการนาย”
“แล้วนายจะต้องการเจเนซิสไปทำไม” แอสตันถามย้อนอย่างไม่เกรงกลัว คำตอบก็ได้เช่นเดิม
“ฉันต้องการเมียฉันคืน”
เจเนซิสก้มหน้าเลยคราวนี้ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ากระอักกระอ่วนแค่ไหน ส่วนผมก็เริ่มหงุดหงิดแทนลาร์คละ
มึงไปหาผัวมึงซะที เล่นตัวอยู่ได้ กูรำคาญแล้วนะเว้ย!
“เราคงจะต้องปฏิเสธ เจเนซิสเป็นของนายเพราะปกป้องเรา เราคงจะให้เจเนซิสไปอีกไม่ได้” แอสตันแม่งก็ยืนกรานคำเดิม
ตอนนี้ลาร์คผลักแอสตันเสียกระเด็น คีธรีบถลาเข้ามาฉุดแอสตันลุกขึ้นโดยไม่เกรงกลัวพวกเซนไทน์ที่ทำท่าจะจู่โจมสักนิด ผมใจหายวาบด้วยกลัวว่ามันจะถูกทำร้าย ดีที่ไม่มีอะไร นอกจากลาร์คที่แผดเสียงอย่างเหลืออด
“ถึงนายจะไม่ให้ ฉันก็จะเอาเจนิสคืน เจนิสเป็นของฉัน!”
เจนิส... เดี๋ยวนะ พวกมึงไปอยู่ด้วยกันไปกี่วันนี่สนิทกันถึงขนาดเรียกชื่อเล่นแล้วเหรอวะ!?
แล้วลาร์คก็หันไปเล่นงานเจเนซิสแทนเมื่อทำอะไรแอสตันไม่ได้ด้วยการออกคำสั่งเสียงลั่น
“กลับมานี่เดี๋ยวนี้เจนิส!”
“ทำไมฉันต้องกลับไปหาคนที่จ้องจะทำลายพวกฉันด้วย!” เจเนซิสตะโกนกลับ
“ก็นายเป็นของฉัน!” ลาร์คเองก็แหกปากใส่เช่นกัน
“ฉันไม่ใช่ของนาย!”
“ถ้าไม่ใช่ของฉัน แล้วนายจะเป็นของใคร พวกยูนิกม่าผูกพันได้คนเดียว นายผูกพันกับฉันไปแล้ว ยังไงนายก็เป็นของฉัน!”
ผมล่ะอยากให้มันไปคุยกันสองคนฉิบเป๋ง เถียงกันไปมาข้ามหัวชาวบ้านแบบนี้ เหมือนผัวเมียทะเลาะกันในตลาดไม่มีผิด แถมยังขุดเรื่องในมุ้งออกมาเถียงกันโดยไม่อายอีกต่างหาก ตอนนี้ก็เลยรู้กันทั้งบางเลยว่าเจเนซิสเสร็จลาร์คไปแล้ว
หนักว่านั้นคือเจเนซิสสบถหยาบคาย แล้วสวนคืนอย่างไม่แคร์
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่ของนาย! ถ้าต้องเป็นของนาย ฉันยอมตายดีกว่า!”
มึงนี่ก็เล่นตัวจริงโว้ย! กูนี่รำคาญจนอยากจะเข้าไปลากมึงมาให้มันจะแย่แล้ว เลิกเล่นตัวซะที!
ไม่ใช่แค่ผมที่รำคาญ ลาร์คก็รำคาญเมียตัวเองเช่นกัน นอกเหนือจากรำคาญคือโกรธจนตัวสั่น ผมเห็นมือทั้งสองของมันกำแน่น ก่อนมันจะกระโดดตัวลอยในอากาศและพุ่งเข้าไปหาเจเนซิสด้วยความเร็วชนิดจับตามองไม่ทัน รู้ตัวอีกที เจเนซิสก็อยู่ในอุ้งมือของมันแล้ว
เจเนซิสตกใจ รีบผลักลาร์คออก ทว่ากลับถูกจับต้นแขนแน่น
“ปล่อย...”
“ฉันจะปล่อยเมียตัวเองได้ยังไง” ลาร์คทำทุกคนอึ้งด้วยการพูดเสียงต่ำ ต่ำแบบ...ฟังยังไงก็ดูอ่อนโยน แต่หน้าตามันไม่ใช่เลย หน้าตานี่บ่งบอกชัดเจนว่าพร้อมฆ่าเมียตัวเองมาก ท่าทางมันก็ไม่ใช่ อีกนิดเดียวมันจะหักกระดูกไอ้เจเนซิสแล้วชัดๆ
เจเนซิสเบ้หน้าเหยเกด้วยเจ็บปวดจากแรงบีบ แต่ก็ยังกัดฟันพูด
“ฉันไม่ใช่เมียนาย ปล่อย!” พูดจบก็เริ่มดีดดิ้น
พวกยูนิกม่าคนอื่นตั้งท่าจะเข้ามาช่วย ทว่าแค่ลาร์คชำเลืองสายตาไปมองนิดเดียว พวกเซนไทน์ก็กรูกันเข้ามาล้อมมันกับเจเนซิสไว้ กันไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งทันที
ลาร์คหันกลับมามองหน้าเจเนซิสอีกครั้ง ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะช็อคโลกด้วยการเอ่ยประโยคที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้นมา
“หยุดหนีซะทีเจนิส นายกำลังท้องอยู่นะ จะพาลูกหนีพ่อได้ยังไง ถึงนายจะบอกว่าไม่ใช่เมียฉัน แต่ในท้องนายน่ะ มันลูกของฉัน! ได้ยินมั้ยว่าในท้องนายน่ะลูกฉัน!”
เจเนซิสเบิกตาโพลง ไม่อยากจะเชื่อว่าลาร์คจะพูดแบบนี้ คนอื่นๆ ก็นิ่งค้างอย่างตกตะลึงเช่นกันด้วยไม่คาดคิดว่าการที่เจเนซิสถูกผูกพัน มันจะโดนวางไข่ด้วย ส่วนผมก็อ้าปากค้างไปเรียบร้อย
ผัวมึงไม่ได้มาตามแค่เมียอย่างมึงอย่างเดียวแล้วไอ้เจเนซิส มาตามลูกด้วย นี่มึงหอบลูกหนีผัวมาเลยเหรอวะ!
“กลับมาหาฉัน ฉันรับปากว่าจะดูแลนายกับลูกเป็นอย่างดี แต่ถ้านายไม่กลับมา รับรองเลยว่าพวกยูนิกม่านี่ตายหมดแน่” ลาร์คว่าขึ้นอีกครั้ง ยอมปล่อยแขนของเจเนซิส
ทว่าแทนที่เจเนซิสมันจะยอม มันกลับเรียกอาวุธออกมา คราวนี้ไม่ใช่หอกอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นมีดสั้นก่อนที่มันจะเอาจ่อคอตัวเอง
“งั้นนายก็จะได้กลับไปแค่ศพฉันเท่านั้น”
ลาร์คตาค้าง ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที ผมนี่อยากจะด่ามันฉิบ
ผัวมึงยอมถึงขนาดนี้ มึงก็กลับไปสิวะ จะขู่มันทำเพื่อ!?
“เอามีดออกจากคอเดี๋ยวนี้เจนิส นายอยากได้อะไรก็บอกมา ฉันจะทำให้” แล้วปฏิบัติการต่อรองกับเมียก็เริ่มขึ้น
เจเนซิสพูดอย่างไม่ใช้เวลาคิด “ปล่อยพวกเราไป แล้วอย่าตามพวกเราอีก”
“แล้วลูก...”
“ฉันจะเลี้ยงเอง”
มึงจะให้ลูกมึงไม่มีพ่อหรือไง! มันใช่เวลาจะมาหยิ่งมั้ยวะ!
“แต่นั่นลูกฉัน” ลาร์คก็ไม่ยอม เจเนซิสเลยยื่นคำขาด
“งั้นก็เอาไปแค่ศพ ทั้งฉัน ทั้งลูก”
ลาร์คกำมือแน่น ผมลุ้นให้มันตบเมียมันโทษฐานหมั่นไส้สักที แต่น่าผิดหวังที่มันไม่ตบ ยืนนิ่งราวกับสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันรักนายนะเจนิส อย่าทำแบบนี้”
ตอนนี้เองที่ผมเห็นแววตาของเจเนซิสแข็งกร้าวลงเล็กน้อย มันเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อดวงตาเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ ตอนนี้ผมชักทนไม่ไหวละ รำคาญชะมัด
ทุกคนถอย! กวินทร์จัดการเอง!
“เลิกหยิ่งซะทีเจเนซิส ลาร์คมันอุตส่าห์ตามมาง้อถึงขนาดนี้ทั้งที่นายพยายามฆ่ามัน แถมหอบลูกหนีมาขนาดนี้ ก็ยอมๆ ไปสักที ถือว่าเป็นโอกาสเป็นทูตสานสัมพันธไมตรีระหว่างสองดาวไปเลย!” สุดท้ายผมก็แหกปากแทรกออกมา
ทุกสายตาหันมามองผมราวกับไม่เข้าใจ ผมก็เลยขยายความ
“ก็ไหนๆ เจเนซิสก็ท้องแล้ว แถมลาร์คก็บอกว่ารักมันอีก ก็ให้มันเป็นทูตสานสัมพันธไมตรีไปเลยสิ ใช้ลูกมันเป็นทูตก็ได้ พวกนายจะได้เลิกตีกันซะที ถามจริงเถอะ พวกนายนี่เคยเจรจาสงบศึกกันบ้างมั้ยฮะ หรือเอาแต่ไล่ล่ากันอย่างเดียว มีอารยธรรมก็คุยกันสิเว้ย จะเสียเลือดเสียเนื้อไปทำไม คุยสิคุย!”
ซีเลนเหมือนจะเข้าใจเป็นคนแรก มันที่ยืนดูอยู่นานเลยพูดขึ้น
“ก็ไม่เลวนะ จะว่าไปตอนที่แม่ฉันถูกพาตัวไปแต่งกันพ่อ แม่กับฉันเป็นได้แค่ตัวประกันเอง ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นทูตจากยูนิกม่า ก็น่าจะมีสิทธิมีเสียงใช่มั้ย นายก็ใช้โอกาสต่อรอง ห้ามไม่ให้พวกเซนไทน์รุกรานไปเลยสิเจเนซิส”
ผมมองซีเลนที่ยิ้มเผล่อยู่ ไม่อยากจะเชื่อว่าหื่นๆ อย่างมันจะฉลาดเหมือนกัน หากแต่แอสตันไม่เห็นด้วย มันคงกลัวว่าเจเนซิสจะลำบากอีกนั่นแหละ
“แต่ว่าเสด็จพี่ เจเนซิสจะเดือดร้อน...”
“ให้หมอนั่นตัดสินใจ ไม่ใช่นาย” ซีเลนสวนก่อนที่แอสตันจะพูดจบดีด้วยซ้ำ ก่อนจะหันไปพูดกับเจเนซิส “นายก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาไง ถึงลาร์คจะเป็นเซนไทน์และมันก็ไม่ใช่คนดีนัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ฉันก็ไม่ได้ชอบมันหรอกนะ แค่เห็นโอกาสที่พวกนายจะไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนอีกต่อไปเท่านั้น”
คำพูดของซีเลนมีเหตุผล เจเนซิสเลยละปลายมีดออกจากคอ นิ่งคิดไปครู่ ขณะที่ลาร์คหันมาพยักหน้าให้ซีเลนเล็กน้อยราวกับขอบคุณ ส่วนซีเลนก็ยิ้มเผล่เป็นการตอบรับ ผมเลยรู้ในตอนนี้ว่ามันสองคนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แย่เท่าไหร่นัก ก็เห็นมันเคยเล่าอยู่ว่าโตมาด้วยกัน ถึงจะแยกกันอยู่แต่ลาร์คก็แวะเวียนไปหามันบ่อยๆ ที่ซีเลนไม่ชอบก็มีแค่เรื่องเดียวคือการถูกนับรวมเป็นเซนไทน์เท่านั้น
“ตกลงว่ายังไงเจนิส คำตอบของนาย...” พอเจเนซิสไม่ตอบสักที ลาร์คก็เลยถามซ้ำ
เจเนซิสสบตาลาร์คนิ่ง ไม่ยอมพูดจนลาร์คต้องย้ำ
“ฉันรักนายเจนิส รักจริงๆ ถึงจะเพิ่งเจอได้ไม่กี่วัน แต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันรู้สึกกับนายยังไง ให้โอกาสฉัน ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับนายได้”
สัญญาอะไรวะ... ต่อมเผือกนี่ทำงานทันที ยิ่งเห็นเจเนซิสมองลาร์คอย่างสับสนด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่มีใครให้คำตอบ เจเนซิสก็ตอบรับออกมาแล้ว
“งั้นทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของฉัน”
“ได้” ลาร์ครับคำทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเงื่อนไขที่ว่าคืออะไร สีหน้าแสดงออกว่าดีใจทันทีที่เห็นเจเนซิสยอมเอนอ่อน
เจเนซิสสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเหลือบมองมาทางแอสตันราวกับขออนุญาตทำตามความคิด แอสตันเพียงพยักหน้าให้เป็นสัญญาณ เจเนซิสก็พูดขึ้นต่อ
“ถ้าอย่างนั้นก็มาคุยเรื่องสนธิสัญญาสงบศึกกัน...เจ้าชายลาร์ซิโอนีย์แห่งเซนไทน์”
เออ! มึงก็สักทีเถอะ กูล่ะลุ้นให้มึงเลิกหยิ่งจนเบื่อแล้ว!
ลาร์คเผยอยิ้มออกมาในตอนนี้ บอกเลยว่าตอนมันยิ้มนี่ดูดีชะมัด ความน่ากลัวลดลงหนึ่งระดับ ก่อนมันจะโค้งรับเมียมัน
“งั้นก็เชิญว่ามาได้เลย ท่านทูตแห่งยูนิกม่า”
------------------------------------------
เหลืออีกตอนก็จะจบแล้วนะคะ มีบทส่งท้ายยาวๆ อีก 2 ตอนเน้อ อย่าลืมๆ
กวินทร์นี่ก็ผู้กำกับชะตากรรมมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ความเห็นของนางคือที่สิ้นสุด กร๊ากกกก
ใครยังตามอยู่ ส่งฟีดแบ็คกันหน่อยน้า ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 23-01-2016 20:29:23
กรีดดดดด กรี้ดดดดดดด เจนีสป่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากเห็นฉากคลอดตุง แต่คงไม่มี :hao5:
ไปทำอะไรกันอีท่าไหนน้อ ลาร์คถึงติดใจ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 23-01-2016 21:16:49
ฮาความคิดกวินทร์อ่ะ
 :jul3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 23-01-2016 21:30:40
เจเนซิสท้องงงง!!!  o22

ถ้าไม่มีกวินทร์เรื่องนี้ไม่จบนะเนี่ยยยยยยย  :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: Zurruz ที่ 23-01-2016 22:51:26
คือ เรื่องมันจะไม่ตลกเลยถ้าไม่ได้เล่ากวินทร์ ติ๊งต๊องชิบหาย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 23-01-2016 23:53:57
กว้นทร์แมร่งฮาได้ใจ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-01-2016 00:19:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-01-2016 01:38:51
กรีดดดดด กรี้ดดดดดดด เจนีสป่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากเห็นฉากคลอดตุง แต่คงไม่มี :hao5:
ไปทำอะไรกันอีท่าไหนน้อ ลาร์คถึงติดใจ

มีฉากคลอดอยู่ในบทส่งท้ายนะตัวเอง ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 24-01-2016 03:30:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 24-01-2016 11:51:42
กรีดดดดด กรี้ดดดดดดด เจนีสป่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากเห็นฉากคลอดตุง แต่คงไม่มี :hao5:
ไปทำอะไรกันอีท่าไหนน้อ ลาร์คถึงติดใจ

มีฉากคลอดอยู่ในบทส่งท้ายนะตัวเอง ^^

เย้ๆๆๆๆ ปูเสื่อรอดูค่าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 24-01-2016 13:55:05
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 24-01-2016 14:43:43
ฮ่ะฮ่ะ เกือบจะจบแล้วกวินทร์ก็ยังคงเป็นตัวเอกที่ จะบอกว่าไงดี ดูอารมณ์ดีแต่นิสัยเสีย น่ารังเกียจอยู่สักหน่อย คงเส้นคงวาในการเห็นแก่ตัวดียิ่ง เหยียดเพื่อน(?) ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนบัดนี้  ฮ่ะฮ่ะนี่มันคนจริงๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 24-01-2016 16:12:15
ถ้าไม่มีกวินทร์คงก็ไม่จบจริงๆนะนี่  o13
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-01-2016 18:25:43
Episode 36: My smelly hubby is back[1]
สรุปแล้วพวกมันก็ยอมคุยกันดีๆ หลังจากที่ผมยื่นข้อเสนอให้ แต่ถึงอย่างนั้น นาซาก็ต้องเสียอาคารปฏิบัติการไปถึงสองอาคารจากการระเบิดตามคำสั่งของไอ้บ้าพลังลาร์คที่เรียกร้องความสนใจจากเมียด้วยการทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แล้วผมก็เพิ่งมารู้เอาตอนที่พวกมันแห่กันไปบ้านพวกไบโทปเพื่อตกลงเรื่องสนธิสัญญาสงบศึกว่าที่เจเนซิสหนีออกมาจากรังรักนั่นได้ เป็นเพราะลาร์คมันท้าให้เจเนซิสฆ่ามันแล้วหนีมาตอนที่พวกมันมีอะไรกัน
พูดยังไงดีล่ะ ดีเทลก็คือไอ้ลาร์คถูกเจเนซิสยั่วเลยยอมหลวมตัวให้เจเนซิสมัดตัวเองไว้กับเตียงเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะจัดหนักจัดเต็มให้หลังจากที่มันจัดเต็มใส่เจเนซิสอย่างไม่ปราณีแล้ว และที่มันพูดว่าให้ฆ่ามันก็เพราะเล่นไปตามบทมาโซคิสเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจเนซิสมันจะทำจริง เผลอปุ๊บก็แทงฉึก แถมยังเอาชุดลาร์คมาใส่ เดินไปบอกลูกน้องผัวหน้าตาเฉยด้วยว่าจะออกไปซื้อเซ็กส์ทอยมาบำเรอผัว ถามว่าลูกน้องผัวรู้มั้ยว่ามันโกหก? ตอบเลยว่ารู้ แต่เพราะพวกมันก็รู้ว่าเจเนซิสถูกวางไข่และมีสถานะไม่ต่างจากเจ้านายมันอีกคนแล้วไง พวกมันก็เลยไม่กล้า ปล่อยให้ออกมาง่ายๆ ซะงั้น ส่วนเรื่องลูก... ได้ยินว่าก่อนที่ลาร์คมันจะยอมให้เจเนซิสจับมัด มันวางไข่ไปก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงเอง
ผมก็ได้แต่ภาวนาแหละว่าลูกของไอ้ผัวเมียคู่ซาดิสม์-มาโซคิสคู่นี้จะไม่บ้าพลังเหมือนพวกมัน
“ว่ามาสิเจนิส อยากได้อะไร” ลาร์คที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตรงข้ามกับเจเนซิสเอ่ยขึ้น ข้างหลังมันมีพวกเซนไทน์ล้อมรอบอยู่ไม่ต่างจากเจ้าพ่อเลยแม้แต่น้อย
ส่วนเจเนซิส และพวกยูนิกม่าคนอื่นๆ ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัน เจเนซิสกอดอก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูด คราวนี้มันไม่จำเป็นต้องถามความเห็นแอสตันใดๆ เพราะได้รับอนุญาตมาเรียบร้อย จริงๆ ก็คือตกลงกันก่อนหน้านี้มาแล้วเรียบร้อยน่ะ
“สนธิสัญญาคร่าวๆ มีรายละเอียดอยู่สามข้อ ข้อหนึ่ง... ห้ามพวกเซนไทน์รุกรานชาวยูนิกม่าอีก ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม”
“พระชายาของฉันเป็นชาวยูนิกม่านี่นะ ก็คงต้องตามนั้น” ลาร์คตอบรับ ผายมือเล็กน้อยเป็นเชิงให้เจเนซิสพูดต่อ
“ข้อสอง...เซนไทน์จะต้องยุติการรับพลังงานด้วยการผูกพัน ถ้าจะผูกพัน จะผูกพันได้เพียงคนเดียวเท่านั้นชั่วชีวิต”
ข้อนี้ทำเอาพวกเซนไทน์ที่อยู่ด้านหลังลาร์คทำหน้าเครียดกันขึ้นมา อย่าว่าแต่พวกเซนไทน์เลย ซีเลนที่มีเลือดเซนไทน์ครึ่งนึงยังทำหน้าเหม็นเบื่อ ทำให้เจเนซิสแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ในเมื่อกินอาหารทางปากก็รับพลังงานได้ แล้วจะรับพลังงานด้วยการผูกพันไปทำไม มันเป็นอันตรายต่อคู่ของพวกนาย นายก็รู้ เพื่อความสันติ พวกนายต้องยุติการรับพลังงานแบบนั้น”
“แต่มันเป็นหนทางที่ทำให้พวกเรารับพลังงานได้มากกว่าการกินอาหารและกักตุนพลังงานได้นานกว่า”
“ไม่ตอบรับก็ไม่ต้องคุย แล้วรับศพฉันไป” เจเนซิสขู่ฆ่าตัวเองอีกรอบ ไม่ขู่เปล่า มือก็ปรากฏมีดสั้นออกมาด้วย
ลาร์ครีบยกขาที่ไขว่ห้างลง ยกมือขึ้นพร้อมสีหน้าตื่นน้อยๆ
“ตกลง ฉันจะพยายาม เจ้าพวกนี้ก็จะพยายามด้วย” หมายถึงเซนไทน์คนอื่นๆ น่ะ
เจเนซิสก็เลยเอามีดเก็บเข้าไปได้
“ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับพวกนาย ฉันเลยมีโครงการว่าจะผลิตยาลดความต้องการพลังงานของพวกนายลง จะได้ไม่มีปัญหาคุ้มคลั่งเพราะอดทนนานๆ ทีหลัง”
ลาร์คถอนหายใจยาวราวกับว่าปฏิเสธไม่ได้ ได้แต่โบกมือให้เจเนซิสพูดต่อ
“และข้อสาม...ฉันจะไม่ไปอยู่กับนายในฐานะตัวประกัน แต่จะไปเป็นพระชายาของนาย ดังนั้น ฉันก็จะมีอำนาจเท่าเทียมนาย เวลานายจะทำอะไรก็ต้องปรึกษาและขอความเห็นจากฉันก่อน ถ้าฉันไม่เห็นด้วย ก็คือห้ามทำ”
“มันมีที่ไหนที่พระสวามีจะฟังคำทัดทานของพระชายาบ้างน่ะฮะ” ลาร์คย่นคิ้ว น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าเริ่มหงุดหงิดละ
ทว่าเจเนซิสไม่สน เชิดหน้าขึ้นแล้วว่า
“งั้นก็ไม่ต้องเจอทั้งฉัน ทั้งลูกของนาย”
ลาร์คนิ่งไป ทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อยก่อนจะตอบรับโดยง่าย
“ก็ได้ๆ ให้ตายเถอะ... ฉันไม่น่ารีบร้อนวางไข่ใส่นายเลยจริงๆ”
พอมันพึมพำมาแบบนี้ ผมก็แสยะยิ้มเลย
เหอะไอ้ลาร์ค มาอย่างเจ้าพ่อ กลับอย่างทาสเมีย ทุเรศชะมัด
“ที่เหลือก็ไว้ไปทูลขอคำปรึกษาจากฝ่าบาทอีกที ยังมีกฎอีกหลายข้อที่เราจำเป็นต้องร่างขึ้นเพื่อตกลงในสนธิสัญญา”
เจเนซิสว่าด้วยน้ำเสียงพอใจที่ข่มผัวได้ ส่วนฝ่าบาทที่มันว่าก็ไม่ใช่แอสตันหรอก แต่เป็นพ่อของแอสตันที่ซ่อนตัวอยู่ที่ดาว R18 ที่ต้องไปคุยก็เพราะแอสตันมีสถานะเป็นแค่เจ้าชายรัชทายาท ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ลาร์คเองก็เช่นกัน บัลลังก์เซนไทน์ยังมีพ่อมันปกครองอยู่ จะทำอะไรโดยพละการไม่ได้ แต่ถึงจะตัดสินใจอะไรเด็ดขาดไม่ได้ ก็ดูเหมือนว่ามันก็พอมีอำนาจมากอยู่เหมือนกันที่จะทำอะไรโดยพละการ
และดูท่าจะทำตามใจมันได้เสียด้วยเพราะซีเลนกระซิบบอกพวกเราก่อนที่จะคุยกับลาร์คไว้ว่า การปกครองของเซนไทน์ภายใต้อำนาจพ่อมันนั้นแตกต่างจากตอนที่ปู่มันปกครองอยู่มาก ปู่มันจะเป็นพวกเอะอะก็ฆ่าทิ้ง เอะอะก็ทำสงคราม แต่พ่อมันจะเน้นการประนีประนอม เหตุก็เพราะพ่อมันรักแม่ของซีเลนหรือเจ้าหญิงซีเลนาตานั่นเอง พอขึ้นครองบัลลังก์เมื่อห้าปีก่อน ก็พยายามที่จะเจรจากับยูนิกม่าอยู่หลายครั้งเพื่อความสมานฉันท์ ซึ่งวิธีก็คือการให้ลาร์คมันแต่งงานกับแอสตันนั่นแหละ แต่ด้วยความเป็นเซนไทน์เลยเข้าหาอย่างอ่อนโยนไม่เป็น พวกยูนิกม่าก็เลยคิดว่าการที่พวกเซนไทน์ตามมาอย่างนี้คือการไล่ล่า เลยหนีหัวซุกหัวซุน สุดท้ายก็ไม่ได้คุยกันสักที จนกวินทร์คนนี้ต้องจัดการเปิดเวทีให้
ถามว่าใช่เรื่องของกวินทร์มั้ย... ไม่ใช่เลย! แต่กูดันกลายมาเป็นคนสงบศึกดาวพวกมันให้ซะนี่ พวกมึงนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีอารยธรรมและไอคิวสูงกว่ามนุษย์โลกอย่างกูจริงเหรอวะ!? แต่ละตัวแม่งไม่เต็มเต็งกันทั้งนั้น!
โอย... หงุดหงิดอีกละ รู้สึกช่วงนี้หงุดหงิดบ่อยเหลือเกิน
เอ้อ... จะว่าไป หลังจากที่ทุกคนรู้ว่าเจเนซิสท้อง คนอื่นๆ ก็รู้แล้วนะว่าผมเองก็ท้องเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะผมบอกหรอก โน่น คนที่บอกน่ะคีธโน่น อารมณ์คุณพ่อเห่อลูกมาก แม่งพูดไม่หยุด พูดจนน่ารำคาญ ถึงตอนนี้ก็ยังพูดอยู่ พูดจนแม่งจะรู้กันไปทั่วจักรวาลแล้ว!
“กวินทร์ท้องพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” แล้วมันก็โน้มตัวลงมากระซิบบอกแอสตันที่นั่งอยู่เยื้องๆ กับเจเนซิสขณะที่มันกับผมยืนอยู่ด้านหลังโซฟา
“เรารู้แล้ว บอกเราหลายรอบแล้วคีทาเย” แอสตันพูดเนิบๆ ไม่แน่ใจว่ารำคาญหรือระอา แต่ให้เดานะ ผมว่ามันรำคาญ
ผมเกือบจะอ้าปากบอกให้มันเลิกป่าวประกาศสักที ทว่ามันก็พูดขึ้นมาก่อน
“แต่ที่เจเนซิสบอกว่าเราจะต้องไปที่ดาว R18 นั่นก็หมายความว่าหม่อมฉันจะต้องทิ้งกวินทร์ไว้ที่นี่ชั่วคราวใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
ผมฉุกคิดได้ทันที รีบมองหน้าคีธด้วย คีธก็มองหน้าผม สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากไป
“อืม ในฐานะผู้พิทักษ์ของเรา นายก็ต้องไปล่ะนะ”
อะไรวะ! เคลียร์กันได้แล้วยังจะต้องไปอีกหรือเนี่ย!
ผมตั้งท่าจะวีน คีธก็ดึงผมออกมาจากวงสนทนาก่อน
“ไม่ต้องห่วงนะกวินทร์ ถึงจะต้องไป แต่คงจะไปไม่นาน”
“ไม่นานบ้านนายเถอะ กว่าจะไปถึงก็เกือบสองปี กว่าจะกลับมาอีกก็เกือบสองปี นี่ยังไม่นับรวมเวลาที่นายต้องรอพวกมันตกลงกันได้อีกนะ คีตาเรียนชั้นประถมก่อนพอดี” ผมก็เลยวีนใส่มันแทน
คีธทำหน้านิ่ง แต่ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยราวกับอึดอัดใจเหมือนกันที่จะต้องทิ้งผมไว้ทั้งที่อุตส่าห์เคลียร์ทุกอย่างได้แล้ว ถึงจะยังไม่เรียบร้อยก็เถอะ
“ยังไงฉันก็จะกลับมา ไม่นานหรอก ขอให้รอนะกวินทร์” สุดท้ายแล้วมันก็ทำอะไรดีไปกว่าพูดประโยคที่ผมได้ยินไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วก็ไม่รู้
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไปด้วยไม่อยากจะหัวเสียไปมากกว่านี้
“เออๆ กลับมาด้วยก็แล้วกัน”
คีธยกยิ้มขึ้นมาได้ ดึงผมเข้าไปจูบหน้าผากแล้วบีบปลายจมูกเบาๆ ผมสะบัดหนีที่จู่ๆ ก็ถูกหยอก
“อะไรเนี่ย!” แหวใส่ไปด้วย คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ มึงก็ยังจะมาเล่น!
แต่มันไม่หือไม่อือ ยิ้มอย่างเดียว แถมมือก็ยังเอื้อมมาดึงแก้มผมอีกต่างหาก
“ฮอร์โมนเปลี่ยนไวนะ เพิ่งจะวางไข่ไปไม่กี่วันเอง พยายามอย่าหงุดหงิดบ่อยนะ มันไม่ดีต่อคีตา”
ผมชะงัก หัวคิ้วย่นยู่
อย่าบอกนะว่าที่ผมหงุดหงิดบ่อยกว่าปกติเป็นเพราะท้องเนี่ย? ไวไปมั้ยวะ ยังไม่ถึงอาทิตย์เลยนะเว้ย!
“ประสาทสัมผัสชาวยูนิกม่าค่อนข้างไว เวลาท้องลูกของชาวยูนิกม่า แม่พันธุ์ก็จะมีประสาทสัมผัสกับปฏิกิริยาตอบสนองไวไปด้วยไม่ว่าแม่พันธุ์จะเป็นชาติพันธุ์ไหนก็ตาม เรื่องปกติ” แล้วคีธก็อธิบายโดยที่ไม่รอให้ผมถาม
งั้นที่ผมหงุดหงิดเพราะเห็นเจเนซิสมันเล่นตัวไม่เลิกจนต้องออกโรงแทนนี่ก็คงเป็นเพราะฮอร์โมนคนท้องสินะ จะเรียกว่าความหงุดหงิดของผมมีประโยชน์ดีมั้ยเนี่ย
“อย่าหงุดหงิดบ่อยนะ” ตบท้ายด้วยการสั่งและจูบผมอีกที ผมเลยพยักหน้าให้มันไป
จะพยายามก็แล้วกัน ปกติก็เป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่แล้ว สงสัยหลังจากนี้จะเป็นหนักกว่าเดิมแน่
 
การเดินทางไปยังดาว R18 อะไรนี่เริ่มต้นขึ้นในอีกวันหนึ่ง พวกยูนิกม่าตัดสินใจไม่เดินทางด้วยยานอวกาศที่สร้างขึ้นบนโลกเพราะลาร์คบอกว่ามันเดินทางช้า สู้ยานของพวกเซนไทน์ไม่ได้ที่มีความเร็วมากกว่าหลายเท่าตัว และไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านตัวหนอนอย่างเดียวเพราะสามารถทำการวาร์ปได้ นับเป็นวิวัฒนาการการเทคโนโลยีของพวกเซนไทน์ที่พวกยูนิกม่าไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้พวกยูนิกม่าก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกมันถึงถูกตามได้เร็วนัก นั่นก็เพราะยานอวกาศของพวกมันต่างชั้นกันมากนั่นเอง
และยานของพวกเซนไทน์ก็มีอยู่ในนาซานี่แหละ ในนาซาเองก็มีเซนไทน์แฝงตัวมาทำงานอยู่แหมือนกัน แต่ปิดบังตัวเองไม่ให้พวกยูนิกม่ารู้และเรียนๆ ทำเป็นพวกมนุษย์ต่างดาวที่เข้าข้างยูนิกม่าไปเพื่อเป็นหนอนบ่อนไส้ ส่งข่าวให้ลาร์ค
มิน่าล่ะ ทำไมลาร์คมันถึงรู้ว่าเมียมันหนีมาที่ไหน ที่แท้ก็มีสปายตามเมีย มึงนี่มันโคตรเจ้าพ่อจริงๆ!
เจเนซิสก็ทำเป็นงอนผัวพอเป็นพิธีที่รู้ว่ามันถูกลูกน้องผัวซึ่งแฝงตัวเป็นมนุษย์ต่างดาวอื่นๆ มาทำงานในทีมตัวเองหลอก แต่พอโดนผัวง้อ โดนบอกรักหน่อย มันก็หาย ยอมขึ้นยานตามผัวมันไปแต่โดยดี
หมั่นไส้โคตร... แต่สงสัยมากกว่าว่ามันไปรักกันตอนไหนและอีท่าไหน เท่าที่จำได้ เจเนซิสมันเพิ่งจะไปเป็นทาสในเรือนรักไม่กี่วันเองแท้ๆ ออกมาอีกที ทั้งท้อง ทั้งผัวรักผัวหลง ...พวกมึงคงจะสปาร์กกันเพราะเป็นขาโหดเรื่องบนเตียงเหมือนกันล่ะสินะ คนนึงก็โหดโดยสันดาน อีกคนก็ทำงานด้านสมองมากจนเครียดเก็บกด เอาเถอะ... พวกมึงก็เหมาะสมกันดีแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้อยู่ดีนั่นแหละว่าจะต้องใช้เวลาในการเดินทางและเวลาในการเจรจาสนธิสัญญานานเท่าไหร่กว่าจะเสร็จสิ้น เรื่องนี้ผมหยุดคิดไปแล้วล่ะ คิดแล้วประสาทจะเสีย ยังไงมันก็ต้องไปอยู่ดี
ส่วนริชาร์ดแม่งก็บ่อน้ำตาแตกเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ถึงจะรู้ว่าแอสตันไม่ได้ถูกจับเป็นเมีย แต่ต้องจากกัน โรคสำออยก็กำเริบ และผมก็มารู้เอาตอนมันละล่ำละลักบอกลาผัวมันนี่แหละว่ามันก็ท้อง ประเด็นคือเพิ่งโดนแอสตันวางไข่เมื่อวาน แถมมันยังเป็นคนขอให้ผัวมันวางไข่ด้วย
เห็นกูกับไอ้เจเนซิสนำหน้าไปหน่อยไม่ได้เลยนะ ไอ้เจ๊กขี้อิจฉา!
แอสตันก็ฝากซีเลนให้ช่วยดูแลริชาร์ดด้วยอีกคนเพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ซีเลนก็เลยตัดปัญหาโดยการมอบหมายหน้าที่ให้บรูคลินดูแลผม และเบนดูแลริชาร์ดระหว่างช่วงก่อนคลอดเพราะมันคงจะดูแลสองคนในทีเดียวไม่ไหว มันจะมาช่วยดูก็ตอนที่คลอดแล้ว มาช่วยป้อนสารอาหารนั่นแหละ ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันหมดความสนใจในตัวผมกับริชาร์ดด้วยเหตุผลว่าท้องไปแล้วไง มันก็เลยไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้นัก
ถึงผมอยากจะด่ามันที่ให้อริเก่าอย่างบรูคลินมาดูแล แต่ผมก็อดใจไว้ไปด่ามันทีหลังเพราะคีธจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว
“ฉันจะไปแล้วนะกวินทร์” คีธเรียกความสนใจของผมไปหลังจากที่ผมเอาแต่มองบรรดายูนิกม่ากับเซนไทน์ทยอยขึ้นยานหลายลำอย่างเหม่อลอย
ผมหันมามองหน้ามันก่อนจะยอมปล่อยมือใหญ่ที่จับอยู่ออก
“อืม ดูแลตัวเองด้วย” ในที่สุดก็ต้องพูดคำนี้อีกครั้ง
คีธคลายมือก็จริง แต่พอคลายมือปุ๊บ ก็คว้าผมเข้าไปกอดปั๊บ ซุกหน้าลงบนกระหม่อมของผมด้วย
“ฉันจะคิดถึงกวินทร์กับคีตาทุกวัน”
“อืม”
“จะรักกวินทร์กับคีตาให้มากขึ้นทุกๆ วันด้วย รอฉันกลับมานะกวินทร์”
“อะ...อืม”
ผมทำได้แค่ตอบรับมันสั้นๆ ไม่กล้าพูดอะไรเยอะเพราะกลัวว่าจะร้องไห้เป็นเผาเต่าเหมือนริชาร์ด บอกแล้วว่าเกลียดการจากลา ถึงจะเป็นการจากลาด้วยดี แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่ดี โดยเฉพาะการไปแบบไม่รู้กำหนดกลับเนี่ย
คีธจูบผมแล้วย่อตัวนั่งคุกเข่า ยกมือขึ้นวางบนหน้าท้องผมแล้วเอาหูแนบ
“พ่อคีธจะรีบกลับมานะ อย่าดื้อกับพ่อกวินทร์มากนะคีตา รักลูกนะ”
ผมมือไม้สั่นขึ้นมาตอนได้ยินมันพูดกับลูกนี่แหละ สั่นจนผมต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น เพราะการบอกลาของมันทำให้ผมนึกถึงวัยเด็กของผมสักอายุราวๆ ห้าขวบตอนที่พ่อผมบอกว่าจะกลับมาทั้งที่วันที่พ่อไป คือวันที่พ่อออกจากบ้านหลังหย่ากับแม่ นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผมเกลียดการจากลา โดยเฉพาะการจากลาแบบไม่รู้กำหนดกลับแบบนี้
ผมกลัว...กลัวว่าคีธจะไม่กลับมาเหมือนพ่อผม กลัวว่าคีตาจะตั้งคำถามเหมือนกับที่ผมถามแม่บ่อยๆ ว่าพ่อไปไหน ยิ่งไปกว่านั้นคือ... ผมกลัวการต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีคีธ ผมรู้แล้วว่าตอนนี้ผมต้องการคีธมากแค่ไหน
ต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใด หมอนี่เป็นสิ่งมีค่าสำหรับผม...
“ฉันต้องไปแล้วล่ะกวินทร์” คีธยืนขึ้น บอกลาผมอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมไม่ตอบสนองใดๆ มองหน้ามันนิ่ง ขอบตาก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนจากของเหลวที่ไหลปริ่มมาคลอ หากแต่ยังควบคุมไม่ให้มันไหวออกมาได้ ทว่าพอคีธหันหลังให้และก้าวเดินไปยังทางขึ้นยาน ผมก็ไม่อาจควบคุมน้ำตาได้อีกต่อไป ปล่อยให้ไหลอาบแก้ม ปากก็เรียกชื่อคนตัวใหญ่ออกไปโดยอัตโนมัติ
“คีธ!”
คีธหันกลับมา ผมออกวิ่งเข้าไปหามันพอดี ก่อนจะโผเข้ากอดแน่น
“กะ...กลับมานะ ยังไงก็ต้องกลับมา...” ผมละล่ำละลักบอก หน้าก็ซุกลงบนแผ่นอกมันด้วย
คีธกอดผมตอบแน่น หัวเราะในลำคอกับท่าทางงอแงเหมือนเด็กๆ ของผมเล็กน้อย
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง ยังไงฉันก็จะกลับมาแน่”
“คะ...คำพูดปากเปล่ามันเชื่อได้ที่ไหนกันเล่า!” ผมเริ่มโวยวาย ร้องไห้ไม่หยุด
คีธปล่อยให้ผมร้องจนพอ พอน้ำตาหยุดไหลแล้ว มันก็ดึงร่างผมออกห่างเล็กน้อย วางมือลงบนหน้าอกข้างซ้ายของผมเบาๆ
“หัวใจฉันอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะไม่กลับมาได้ยังไง ไม่ต้องกังวลนะ ฉันกลับมาหากวินทร์กับคีตาแน่ โอเคมั้ย”
“อะ...อืม” ผมปาดคราบน้ำตาออกจากข้างแก้ม คีธช่วยจูบซับเบาๆ ปากก็บอกรักผมไปด้วย
“ฉันรักกวินทร์นะ รักที่สุด”
“รัก...รักเหมือนกัน กลับมาเร็วๆ กลับมาให้ทันก่อนคีตาเข้าอนุบาลด้วย” ผมสั่งตบท้าย
คีธพยักหน้า ยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ จูบหน้าผากผมส่งท้ายแล้วก็ผละจากผมไปขึ้นยานเมื่อได้ยินเสียงของยูนิกม่าคนหนึ่งร้องเรียก
มันโบกมือให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหายเข้าไปในยาน ส่วนผม ริชาร์ด ซีเลนและเมียๆ ของมันก็ถูกไล่ออกมาจากบริเวณจุดปล่อยยานให้มาอยู่ในที่ปลอดภัย
ยานทรงจานบินขนาดใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะหายวับไปด้วยความเร็วแสงชนิดมองตามไม่ทัน ท้องฟ้าขมุกขมัวด้วยฝุ่นเมื่อครู่กลับกลายเป็นท้องฟ้าสีใสอีกครั้ง ผมยังคงเงยหน้ามองฟ้าครามอยู่อย่างนั้น ในใจก็ภาวนาไม่หยุดว่าขอให้คีธกลับมาเร็วๆ
ถ้าเป็นไปได้ กลับมาก่อนคีตาจะคลอดก็ดี...
 
หลังจากคีธกับพวกยูนิกม่าไปจากโลก ผมกับริชาร์ดก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ก็ไปเรียนอย่างเคยนั่นแหละ ตอนนี้พวกผมขึ้นปีสองของชั้น ป.โท แล้ว ซีเลนเองก็ยังมีถ่ายหนังเรื่อยๆ แถมยังอยู่คนละรัฐ นานๆ ทีจะได้เจอกันตอนมันว่าง ส่วนใหญ่ผมจะเจอกับบรูคลินและเบนที่แวะมาเยี่ยมมากกว่า แต่ก็ไม่นับว่าบ่อยเท่าไหร่นักเพราะพวกมันก็ติดธุระส่วนตัวเหมือนกัน ที่สำคัญคือ... พวกมันก็ท้อง มาท้องตอนที่ผมกับริชาร์ดท้องกันไปได้สี่เดือนแล้ว แถมท้องพร้อมกันด้วย ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกที่พวกมันท้อง ก็เห็นตัวติดกับซีเลนตลอดเวลาอย่างนั้น ที่แปลกใจก็คือ พวกมันจับไอ้หื่นซีเลนอยู่หมัดได้ยังไงมากกว่า
อืม... เอาจริงๆ จะว่าจับอยู่หมัดก็ไม่เชิงนะ ก็ยังเห็นซีเลนมันมีข่าวซุบซิบกับดาราหนุ่มบ้าง ดาราสาวบ้างเป็นครั้งคราวอยู่เลย แต่ก็ดูเพลาๆ ลงกว่าเมื่อก่อนเยอะ ให้เดานะ สองพี่น้องเปรตนี่ต้องบังคับซีเลนให้วางไข่ใส่พวกมันแน่ ไม่ใช่ซีเลนที่อยากวางไข่หรอก ก็พวกมันอยากจะท้องลูกของยูนิกม่าหนักหนานี่หว่า
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของผมหรอก หงุดหงิดนิดหน่อยที่ลูกพวกไอ้มนุษย์ต่างดาวพวกนี้นี่มาเกิดไล่ๆ ลูกผมหมดต่างหาก ที่หงุดหงิดก็เพราะพอคิดๆ ดูว่าถ้าลูกพวกมันเกิดมา แม่ง พวกมันได้สถานะเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงกันทั้งนั้น เพราะมีพ่อเป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งนั้น ลูกเจเนซิสแม่งก็ได้เป็นเจ้าชายเซนไทน์ ลูกริชาร์ดก็เจ้าชายยูนิกม่า ลูกสองพี่น้องเปรตนั่นก็เจ้าชายเหมือนกัน แถมเป็นเจ้าชายทั้งสองดาวด้วยเพราะพ่อมันเป็นลูกครึ่ง มีแต่ลูกผมนี่แหละที่พ่อเป็นผู้พิทักษ์
หงุดหงิดว่ะ! ทำไมลูกกูถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่คนเดียววะ!
ผมก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครหรอกนะ กลัวว่าเดี๋ยวพวกมันจะฉุกคิดได้เหมือนผมแล้วจะยุให้ลูกพวกมันมาข่มลูกผม ดีที่พวกมันก็ไม่อยู่ให้ผมพูดเรื่องนี้ด้วย อย่างที่บอกว่านานๆ ทีจะได้เจอสองพี่น้องไบโทป ส่วนริชาร์ดก็ไม่ว่างอยู่ตลอดเวลา ...จะว่าไม่ว่างก็ไม่ถูก เรียกว่ามันทำตัวให้ไม่ว่างดีกว่า เพราะพอมันว่างทีไร มันก็คิดถึงผัวมัน คร่ำครวญร้องไห้ไม่เลิกจนผมประสาทจะเสียทุกที ผมก็เลยไล่มันไปทำงานของชมรมบ้าง ทำหนังบ้าง ติวให้รุ่นน้องบ้าง จะได้ไม่จิตตก ซึ่งก็ดีขึ้นนั่นแหละ... ดีขึ้นนิดนึง
นี่ผัวมันเพิ่งจะไปได้ไม่ถึงสี่เดือนเต็มยังเป็นได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าไปนานกว่านี้ มันจะคลั่งมากขึ้นกว่าเดิมขนาดไหน
อย่าว่าแต่มันคลั่งเลย ผมก็เป็น เดาว่าน่าจะเป็นเพราะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงเลยทำให้อารมณ์อ่อนไหวง่าย ผมก็มีบ้างเหมือนกันที่คิดถึงคีธจนแอบร้องไห้คนเดียวตอนกลางคืน และเพราะเป็นแบบนี้ ผมก็เลยรีบไปหาอาแปะลีโอนาร์โดตามที่คีธเคยบอกไว้ มารู้ทีหลังว่าคีธส่งข่าวมาบอกอาแปะไว้ล่วงหน้าแล้วว่าขอฝากฝังผมเอาไว้ ผมก็เลยหลุดรอดจากอาการซึมเศร้าที่เป็นผลกระทบจากการตั้งท้องมาได้
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.35]--23/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-01-2016 18:26:52
Episode 36: My smelly hubby is back[2]

ที่หลุดมาได้ก็เพราะผมมาหาอาแปะทุกวันแล้วขอให้อาแปะแปลงร่างเป็นคีธให้ดูน่ะ เกือบจะลืมไปแล้วว่าชาวโอนิซิสอย่างอาแปะแปลงร่างเลียนแบบได้ ผมก็เลยได้เห็นหน้าคีธทุกวัน ถึงจะเป็นคีธจีนเสิ่นเจิ้นแต่ก็พอทำเนาได้
และวันนี้ผมก็มาที่ร้านบะหมี่ของอาแปะอย่างเคย แต่มาตั้งแต่หัวค่ำหน่อยเพราะเกิดคิดถึงคีธขึ้นมากะทันหัน อันที่จริงคิดถึงตั้งแต่ตอนอยู่ที่มหา’ลัยแล้ว คิดถึงจนทนไม่ไหวเลยต้องโดดคาบสุดท้ายกลับมาที่ห้อง รอให้อาแปะเปิดร้าน พอได้เวลาก็รีบพุ่งมาที่ร้านเลย คงเป็นเพราะท้องเริ่มโต ฮอร์โมนเริ่มทำงานพุ่งพล่านมากขึ้นล่ะมั้ง อารมณ์ผมถึงได้อ่อนไหวขนาดนี้
ก็เจ็ดเดือนแล้วนี่นา อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว ยิ่งคีธไม่อยู่ด้วยแบบนี้ ผมยิ่งอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เข้าไปใหญ่
พอมาถึงร้านก็เป็นอย่างที่คิดว่าร้านอาแปะยังไม่เปิด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้อยู่แล้วล่ะว่ายังไม่เปิดเวลานี้ หมายถึงเปิดขายน่ะนะ แต่ประตูร้านเปิดแง้มไว้อยู่ก็แสดงว่ากำลังเตรียมของไว้ขายละ ผมก็เลยถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ ปากก็ร้องเรียกหาอาแปะไปด้วย
“อาแปะ ผมมาแล้ว รีบมาแปลงร่างให้ดูหน่อย”
เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากอาแปะ อย่าว่าแต่เสียงเลย สารร่างก็ยังไม่เห็น ผมย่นคิ้ว ร้องเรียกอาแปะอีกครั้ง
“แปะ! ทำไรอยู่เนี่ย ออกมาเร็วๆ เข้า เดี๋ยวผมหงุดหงิดขึ้นมา มันไม่มีต่อลูกในท้องนะเว้ย!” ผมเริ่มอ้างไปเรื่อย หงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ ปกติก็เป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่แล้ว ยิ่งท้องยิ่งขี้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอาแปะอยู่ดี แถมลูกจ้างอาแปะที่ชื่อโดมินิคก็ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมขอให้มันแปลงร่างเลียนแบบคีธให้แทนอาแปะไปเรียบร้อยแล้ว
“แปะ! เรียกหลายรอบแล้วนะ” ผมชักจะหัวเสีย เลยลุกขึ้น กะว่าจะเข้าไปตามที่หลังร้าน
หากแต่พอลุกเท่านั้น ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มก็ปรากฏให้เห็น ผมตกใจเล็กน้อยที่เห็นคีธในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ แต่ก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่คีธตัวจริง เป็นเพียงร่างเลียนแบบที่อาแปะทำให้ผมเพื่อไม่ให้ผมอารมณ์แปรปรวนหรือเหงาจนเกินเหตุจนมีผลเสียต่อคีตาเท่านั้น
“เรียกตั้งนาน กว่าจะออกมาได้ ทำอะไรอยู่ ล้างจานเหรอ?” ผมถามยาวเป็นชุด
อาแปะไม่ตอบ ทำหน้านิ่งๆ ยืนมองผม จนผมตบโต๊ะเป็นสัญญาณนั่นแหละถึงจะเดินเข้ามาได้
“เอ้า มัวมองอะไรอยู่ล่ะแปะ มานั่งสิ”
อาแปะเดินเข้ามาแต่โดยดี ผมก็ออกปากถามไปเรื่อยเปื่อย
“แล้วนี่โดมินิคไปไหน ไม่เห็นมาช่วยงาน วันนี้หยุดเหรอ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบ ผมรู้สึกแปลกๆ ที่วันนี้อาแปะไม่พูดมากอย่างเคย เกือบจะถามออกไปแล้วถ้าหากว่าในจังหวะที่อาแปะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม กลิ่นบางอย่างก็ไหลเข้ามาเตะจมูกเข้าอย่างจัง มันเป็นกลิ่นแบบ... ผมก็อธิบายไม่ถูก ไม่ได้ฉุน ไม่ได้เหม็น แต่ชวนคลื่นเหียน
ตอนแรกผมนึกว่าคิดไปเอง ทว่าพอเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อาแปะมากขึ้น ผมก็เกือบจะพ่นของในกระเพาะออกมาทันที
“อุ้ก... แปะ! ไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมเหม็นขนาดนี้!”
“เหม็นเหรอ?” อาแปะถามกลับ ผมยกมือป้องจมูก ถอยผงะออกห่าง
“อย่าเข้ามาใกล้นะเว้ย ถอยไปไกลๆ จะอ้วก!” ผมรีบโวยวายเมื่อเห็นว่าอาแปะพยายามจะเข้ามาใกล้ อาแปะก็เลยชะงัก ยอมนั่งอยู่เฉยๆ แต่โดยดี
วะ...วันนี้อาแปะไปทำอะไรมาวะ แม่ง เหม็นชะมัด เหม็นแบบชวนพะอืดพะอมจะอ้วกมาก
และเพราะผมทำท่าเหมือนจะสำรอกให้ได้ อาแปะก็เลยยกแขนตัวเองขึ้นดมรักแร้พิสูจน์กลิ่น แต่ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่กลิ่นรักแร้ มันเป็นกลิ่นประจำตัวอาแปะนั่นแหละ แต่เอ... ปกติแล้ว อาแปะไม่มีกลิ่นแบบนี้นี่นา
“วันนี้ไม่ไหวว่ะแปะ ขนาดปิดจมูกแล้วยังได้กลิ่นเลย มึนหัวแล้วเนี่ย เดี๋ยวผมกลับไปนอนก่อนดีกว่า คลื่นไส้ฉิบเป๋ง” ผมเลยตัดบทเอาดื้อๆ แค่ได้เห็นหน้าเลียนแบบคีธฉบับจีนเสิ่นเจิ้นไม่ถึงสิบนาทีก็พอใจแล้ว ไม่ต้องพูดคุยอะไรเหมือนวันอื่นๆ หรอก กลิ่นแม่งโคตรไม่ไหวจะเคลียร์
ทว่าพอผมลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกจากร่าง ร่างเล็กของชายชราชาวเอเชียก็ปรากฏให้เห็นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มเชื้อชาติเดียวกัน ก่อนฝ่ายนั้นจะทักผมเมื่อเห็นว่าผมรีบร้อนเดินออกมา
“เอ้า อาเควิน จะกลับแล้วเหรอ”
อะ...อาแปะ! ทำไมมาอยู่นี่ได้วะ แล้วไอ้บ้าที่หน้าเหมือนคีธเมื่อกี้เป็นใคร?
ผมอ้าปากค้าง เหวอรับประทานกลางอากาศด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ยิ่งหันไปมองด้านหลังแล้วเห็นผู้ชายที่หน้าเหมือนคีธเด๊ะๆ นั่งนิ่งมองผมอยู่ที่เดิมด้วยแล้ว ผมก็รีบหันกลับมามองอาแปะอย่างขอคำตอบทันที
“แปะ... นี่มันอะไร...”
อาแปะเหมือนจะนึกขึ้นได้ในตอนนี้ ก่อนจะให้คำตอบออกมา
“อ้อ อั๊วก็ลืมบอกลื้อไปว่าท่านผู้พิทักษ์กลับมาแล้ว ตอนแรกกะว่าจะให้อาโดมินิคไปบอกที่ห้อง แต่นึกว่าลื้อยังไม่กลับก็เลยรอให้ลื้อมาเจอเอง ไม่คิดว่าจะมาแต่หัววันอย่างนี้”
แล้วทำไมมึงไม่โทรมาบอกวะไอ้แปะ! มึงก็มีเบอร์กูไม่ใช่หรือไง!
ผมแทบจะปรี่เข้าไปเอาพุงคีตาตบอาแปะให้สลบ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ สิ่งที่สำคัญกว่านี้ก็คือ... คีธกลับมาแล้ว! กลับมาแล้วจริงๆ! และยืนอยู่ข้างหลังผมในตอนนี้!
ผมรีบหันกลับไปอีกครั้ง คีธที่นั่งปั้นหน้านิ่งอยู่เผยอยิ้มออกมาราวกับขบขันกับท่าทางผมเสียเต็มประดา ก่อนจะว่าขึ้นมาเบาๆ
“ฉันกลับมาแล้วกวินทร์”
“คีธ...” ผมครางชื่อมันออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ความคิดถึงไหลแล่นปรี่จนน้ำตารื้นปริ่ม
ไม่ใช่แค่รื้นอย่างเดียวแล้ว ตอนนี้ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัวเลยเถอะ
“ไอ้เวรคีธ... กลับมาแล้วทำไมไม่ไปหาฉันที่ห้อง มาหาอาแปะก่อนทำไม” แล้วผมก็ด่ามันพลางสะอึกสะอื้นไปด้วย มือก็ยกเช็ดน้ำตาเป็นพัลวัน
“เซอร์ไพรส์น่ะ” คีธว่า
“เซอร์ไพรส์ทำไมวะ เดี๋ยวฉันก็ช็อคจนแท้งหรอก” ผมพูดไปเรื่อย ยังร้องไห้อยู่
คีธเห็นผมเอาแต่ร้องไห้ไม่เลิกก็หัวเราะ ลุกขึ้นมาทันที
“ขอโทษนะกวินทร์ อย่าโกรธนะ”
จริงๆ ก็ไม่ได้โกรธมันหรอกนะที่มันกลับมาโดยไม่ได้บอก ดีใจซะมากกว่า แต่ฟอร์มเยอะไง ก่อนจะดีใจต้องขอด่าก่อน หากแต่พอเห็นมันเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมก็ไม่วางฟอร์มอีกต่อไป ถลาเข้าไปกอดมันทันที
“โคตรคิดถึงเลย...คิดถึง...” ผมพร่ำบอก ซุกหน้าลงบนหน้าอกมัน เอาเสื้อมันซับน้ำตาน้ำมูกด้วย
คีธก็กอดผมตอบแน่น ซุกหน้าลงบนเรือนผมของผมเช่นกัน
“ฉันก็คิดถึงกวินทร์เหมือนกัน คิดถึงคีตาด้วย”
“อย่าไปไหนอีกนะเว้ย ถ้านายไปอีก รับรองเลยว่าครั้งหน้า ฉันจะพาคีตาหนีจริงๆ ด้วย” แล้วผมก็เริ่มงอแง อันที่จริงเป็นนิสัยเสียของผมน่ะเวลาไม่ได้ดั่งใจ
ดีที่คีธไม่ว่าอะไร เอาแต่กอดผมแล้วก็หัวเราะน้อยๆ เท่านั้น
“ถ้ากวินทร์พาคีตาหนี ฉันจะไปตาม ไม่ต้องห่วง”
พูดอย่างนี้ แสดงว่าเดี๋ยวมึงก็ต้องทิ้งกูกับลูกไปอีกใช่มั้ย!?
ผมตั้งท่าจะแหวใส่มันทันที หากแต่แค่ตั้งท่าจะอ้าปากเท่านั้น คีธก็คลายมือจากกอดผมมาประคองใบหน้าแทน
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันรักกวินทร์ขนาดนี้ จะทิ้งกวินทร์ไปอีกได้ยังไง” พูดเท่านั้น ก็ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ ทำท่าจะจูบผมโดยไม่แคร์สายตาของอาแปะกับลูกจ้างที่ยืนมองอยู่สักนิด
ผมเองก็ไม่สนแล้วเหมือนกัน อยากมองก็ให้มองไป เผยอปากรอรับจูบเต็มที่
“สัญญานะว่าจะไม่ไปไหนอีก”
“อืม สัญญา”
คีธแตะริมฝีปากลงมาเบาๆ ผมเกือบจะดีพคิสกับมันแล้ว แต่จู่ๆ กลิ่นชวนคลื่นเหียนก็ไหลประดังประเดเข้ามาอีก ทำให้ผมรีผลักมันออก ยกมือขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว
“อ่อก... ถอยไปไอ้คีธ ถอยไปเลย เหม็น!”
คีธดูงงๆ แต่ก็ถอยออกไปโดยดี ส่วนผมก็หันไปอ้วกลมอ้วกอากาศเป็นพัลวัน ตอนนี้หน้ามืดมาก คลื่นไส้จนยืนแทบไม่อยู่เลยต้องพยุงตัวเองไปนั่งอย่างทุลักทุเล คีธทำท่าจะเข้ามาช่วยผมอีก แต่แค่มันขยับตัว กลิ่นของมันก็โชยมาตามลม ทำให้ผมรีบยกมือห้ามมันอย่างรวดเร็ว
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย อย่าเข้ามานะเว้ย! อุ้ก...”
จะอ้วกอีกรอบ... คีธเลยยืนนิ่ง ปล่อยให้อาแปะกับโดมินิคเข้ามาดูผมแทน
“เอ... แปลกแฮะ ปกติลื้อไม่เคยแพ้ท้องเพราะเหม็นอะไรนี่นา นี่อั๊วก็ไม่ได้กลิ่นอะไรด้วย ลื้อเหม็นอะไรเนี่ย” อาแปะเปิดฉากถามทันทีที่เห็นผมอาการดีขึ้น
ผมส่ายหน้า เช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาจากการสำรอกเมื่อครู่
“ไม่รู้เหมือนกันแปะ จู่ๆ ก็เหม็น โดยเฉพาะเวลาคีธมันอยู่ใกล้ๆ เนี่ย”
คำพูดของผมทำเอาอาแปะนิ่ง มองหน้ากับโดมินิคราวกับเห็นพ้องต้องกัน ก่อนจะพูดออกมา
“หรือว่าลื้อจะแพ้ท้อง?”
“หมายความว่า?”
“ก็อั๊วเคยได้ยินมาว่าบางครั้งคนท้องก็จะมีอาการแพ้ท้องแบบเหม็นสามีน่ะ สงสัยลื้อก็น่าจะเป็นอาการเดียวกัน”
อย่าบอกนะว่ากูเหม็นผัวตัวเอง!?
ผมชะงัก เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ไม่ยักจะรู้ว่ามันรุนแรงขนาดนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันมีจริงด้วย นึกว่าแค่เรื่องขำๆ แต่ตอนนี้ต้องเชื่อแล้วล่ะ แค่มันมายืนห่างหนึ่งช่วงแขน ผมก็เหม็นจนปวดหัว
อย่าว่าแต่หนึ่งช่วงแขนเลย สองช่วงแขนก็ยังได้กลิ่น ได้กลิ่นจนหงุดหงิดไปหมดแล้วเนี่ย
“น่าจะเป็นเพราะตั้งท้องลูกของชาวยูนิกม่า ประสาทสัมผัสก็เลยดีกว่าปกติ” แล้วโดมินิคก็เปรยขึ้นมา
ผมเลยเข้าใจในตอนนี้นี่เองว่าทำไมจมูกถึงรับกลิ่นได้ดีนัก ก่อนที่คีธจะเดินเข้ามาใกล้ คว้าแขนผมหมับทันใด
“งั้นกวินทร์ก็กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจะแย่เอา”
กูจะแย่เอาเพราะมึงเนี่ยแหละ อย่าเข้ามาใกล้กูนะเว้ย! กูเหม็น!
“อ่อก...” ผมทำท่าจะอ้วกอีกเลยรีบผลักมันออก แต่คีธไม่ยอมปล่อย ยิ่งเห็นผมจะอ้วก ก็เข้ามาลูบหัวลูบหลัง
นี่มึงเข้าใจมั้ยเนี่ยว่ากูเหม็นมึง! ถอยออกไปห่างๆ สิวะ!
“ถะ...ถอย...อ้วก...” พูดยังไม่ทันจบ ก็อ้วกลมออกมาอีก
คีธเห็นท่าทางผมไม่ดีก็ช้อนตัวผมขึ้นอุ้ม ก่อนจะรีบหันไปบอกอาแปะทันใด
“ฉันต้องขอตัวพากวินทร์กลับไปพักผ่อนก่อน ไว้เจอกันท่านผู้เฒ่าลีโอเธ ขอบคุณที่ดูแลกวินทร์เป็นอย่างดี”
“ไม่เป็นไรๆ ท่านผู้พิทักษ์รีบพาอาเควินไปเถอะ”
แทนที่จะช่วยกันห้าม ดันสนับสนุนให้คีธมันอุ้มผมออกไปอีก ผมก็ดิ้นพล่านเลยทีนี้ ยิ่งอยู่แนบอกมัน ยิ่งเหม็นจนทนไม่ไหว ทว่าคีธก็ไม่ยอมปล่อย เอาแต่พูดเสียงเรียบ
“อดทนหน่อยนะกวินทร์ ทนกลิ่นฉันหน่อย ฉันไม่อยากให้กวินทร์เดินเอง เดี๋ยวจะล้ม ไว้กลับถึงห้องแล้ว ฉันจะไม่เข้าใกล้กวินทร์เลย สัญญา”
พอมันพูดมาอย่างนี้ ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้ ยอมให้มันอุ้มแต่โดยดี ขณะที่มือก็ยกปิดปากปิดจมูกเอาไว้ แต่ท้องลูกชาวยูนิกม่าไง ต่อให้ปิดปากปิดจมูกมิดชิดแค่ไหน กลิ่นก็ยังเล็ดลอดมาให้ได้กลิ่นอยู่ดี ตอนนี้ผมชักทนไม่ไหวละ ทุบอกมันเป็นพัลวัน
“ปล่อยฉันลง ไม่...ไม่ไหวแล้ว อึ่ก...”
ไม่ไหวจริงๆ คราวนี้ไม่ใช่อ้วกลมด้วย ของจริงเป็นต่อนๆ ไหลมากระจุกอยู่ตรงคอหอย คีธแม่งก็ไม่ยอมปล่อย ผมก็เลยพ่นใส่มันเต็มที่ เสื้อขาวของมันเต็มไปด้วยอาหารกลางวันของผมเป็นที่เรียบร้อย
“ขอโทษนะ ทนไม่ไหวจริงๆ ว่ะ โคตรเหม็นเลย” ผมมองคราบอารยธรรมแล้วก็ทำหน้าแหยๆ
คีธไม่ว่าอะไร ยิ้มแล้ววางผมลง ก่อนจะถอดเสื้อตัวเองออก ขว้างทิ้งใส่ถังขยะใกล้ๆ
“กวินทร์เหม็นฉันแบบนี้ แสดงว่าคีตาเป็นเด็กผู้ชาย”
จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็ช่างแม่งก่อนเถอะ! ตอนนี้กูอยากกลับห้อง มึนหัวจะตายอยู่แล้ว!
ผมพยักหน้าส่งๆ เดินไปเกาะเสาไฟฟ้าใกล้ๆ รอให้ความวิงเวียนหายไปแล้วกะว่าจะออกเดินอีกครั้ง แต่แค่จับเสาไฟฟ้าได้เท่านั้นแหละ คีธมันก็เข้ามาอุ้มผมอีก กลิ่นชวนคลื่นเหียนไหลเวียนมาอีกครั้งจนผมต้องรีบทุบมัน
“ปะ...ปล่อย! เหม็น!”
“บอกแล้วว่าจะปล่อยตอนถึงห้องแล้ว กวินทร์อ่อนแอขนาดนี้ จะปล่อยให้เดินเองได้ยังไง” แล้วมันก็ว่าขึ้น ออกเดินไปโดยไม่แคร์ว่าสีหน้าผมตอนนี้ดูเหมือนจะตายหรือไม่แต่อย่างใด
ผมก็ชักจะทนไม่ไหว ถึงจะรู้ว่ามันหวังดีแต่ก็ทนไม่ไหว ดีดดิ้น เหวี่ยงแขนขาไปมาสุดฤทธิ์
“แต่กูไม่ไหวแล้วโว้ย! มึงมันโคตรเหม็นเลยไอ้คีธ!” ตามด้วยคำหยาบภาษาไทยอย่างเหลืออด
คีธชะงักกึก มองผมด้วยสายตาดุๆ ทันที
“กวินทร์... อย่าพูดคำหยาบ เดี๋ยวคีตาจำ ลืมไปแล้วหรือไงว่าชาวยูนิกม่าประสาทสัมผัสดี จดจำได้ไว อย่าสอนอะไรไม่ดีให้ลูกสิ”
มึงไม่อยากให้กูทำอะไรแย่ๆ ก็ปล่อยกูลงสิโว้ย!
“แล้วฉันก็ไม่ปล่อยให้กวินทร์เดินเองหรอกนะ บอกแล้วว่าจะอุ้ม” มันพูดอย่างกับรู้ว่าผมจะพูดอะไรต่ออย่างนั้นแหละ
ผมเลยชักสีหน้าใส่มันทันควัน “ก็ฉันเหม็นนี่หว่า นายจะให้ฉันฝืนทำไมวะ เดี๋ยวก็อ้วกอีกหรอก อ้วกบ่อยๆ มันทรมาน! ร่างกายสูญเสียเกลือแร่กับน้ำด้วย ไม่ดีกับลูกนะเว้ย!”
“ฉันรู้ ไว้กลับไปถึงห้องแล้วกินสารอาหารจากฉันแล้วกัน”
“จะทำให้มันยุ่งยากทำไม ปล่อยฉันเดินก็สิ้นเรื่อง!”
“บอกแล้วว่าไม่อยากให้เดิน เดี๋ยวล้ม”
ผมกลอกตา หมดปัญญาจะต่อล้อต่อเถียงกับมันละ แค่ไม่เจอกันไม่กี่เดือน แม่งดื้อด้านขึ้นเป็นกอง
“นายจะทรมานฉันทำไมวะ”
“ฉันแค่ห่วงกวินทร์กับคีตาต่างหาก ไม่ได้ทรมาน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ให้ฉันได้ทำหน้าที่ที่ควรจะทำเถอะ ฉันรักกวินทร์หรอกถึงได้ทำแบบนี้ คิดถึงมากด้วย เจอหน้ากันแต่จับตัวไม่ได้นี่น่าจะทรมานกว่านะ”
พอมันพูดมาแบบนี้ ผมก็กลอกตา ว่าจะไม่ยอมมันอยู่แล้วเชียว ได้ยินแบบนี้ก็ใจอ่อนยวบ ก็จริงอย่างที่มันพูดนั่นแหละ เจอหน้ากันแต่แตะต้องตัวกันไม่ได้นี่น่าอึดอัดจะตาย ผมเองก็อยากจะกอดมันแน่นๆ เหมือนกันถ้าไม่ติดว่ากลิ่นของมันตอนกอดนี่รุนแรงมากเกินจะรับไหวน่ะนะ
“เร็วๆ แล้วกัน ฉันทนกลิ่นนายได้ไม่นานหรอกนะ” สุดท้ายผมก็ออกคำสั่ง ยกมือขึ้นป้องจมูกกับปากไปด้วย
พอเห็นผมยอมปล่อยให้มันอุ้มแต่โดยดี มันก็ยิ้มกว้าง ยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ยังทำสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นอีก นั่นก็คือการโน้มหน้าลงมาจูบผมพร้อมบอกรัก
“กวินทร์น่ารัก รักที่สุด”
“อะ...อ่อก...” ของในกระเพาะก๊อกที่สองไหลมาจุกคอเลย
มึงจะจูบกูหาปู่มึงเหรอไอ้คีธ! ก็บอกว่าเหม็นๆ มึงไม่เข้าใจหรือไง!
“ไป...ไปเร็วๆ เข้า จะอ้วก...” ผมพูดติดๆ ขัดๆ คุมสติตัวเองไม่ให้สำรอกออกมาอย่างเต็มที่
แต่ไอ้บ้าคีธมันดันไม่รีบไป ประทับจูบลงมาอีก คราวนี้แหละ ผมทนไม่ไหวละ ดิ้นเป็นปลาขาดน้ำจนหลุดจากอ้อมแขนมันมายืนบ่นพื้น ก่อนจะ...
“โอ้ก!”
“กวินทร์!” คีธทำหน้าตกใจสุดขีดที่เห็นผมเซถลาไปเกาะเสาไฟฟ้าต้นเดิมแล้วตั้งหน้าตั้งตาอ้วก ก่อนจะรีบปรี่เข้ามาลูบหลัง “เป็นอะไรมากมั้ยกวินทร์”
มึงยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ! กูบอกว่าเหม็นมึงเนี่ย มึงจะเข้ามาใกล้กูอีกทำไม!
“ถะ...ถอย...อ้วก!” ก๊อกที่สามมาแบบไม่รอจังหวะให้หายใจ
สีหน้าคีธตอนนี้ดูเหรอหราอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปากก็ยังร้องถามผมไม่เลิก
“อยากให้ฉันช่วยอะไรมั้ยกวินทร์”
มึงช่วยถอยไปห่างๆ กูเดี๋ยวนี้เลย!
คีธมันก็คือคีธนั่นแหละ หน้ามึนไม่เลิก ขนาดเห็นผมจะตายให้ได้เพราะเหม็นมันอย่างนี้แล้ว มันก็ยังไม่ถอยห่างจากผม หนำซ้ำยังอุ้มผมขึ้นอีกรอบ แล้วออกวิ่งไม่คิดชีวิตอีกต่างหาก
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็ถึงห้องแล้ว”
กูจะตายก่อนกลางทางก็เพราะมึงนี่แหละ! หยุดอุ้มกูวิ่งแล้วส่งกลิ่นใส่กูเดี๋ยวนี้!
มะ...ไม่ไหว หยุดหายใจไปสักแป๊บ คีธแม่งก็วิ่งไม่ลืมหูลืมตา ปากก็ยังมีหน้ามาพูด
“ฉันรักกวินทร์ ฉันจะไม่ยอมให้กวินทร์เป็นอะไรไปเด็ดขาด”
กูก็รักมึงนะ แต่กูเหม็นมึงมากไอ้คีธ! ปล่อยกูลงแล้วไสหัวไปไกลๆ กูเดี๋ยวนี้!
“อ่อก...”
มาอีกรอบแล้ว ตายแน่... กูตายแน่ ได้ตายก่อนคลอดแน่ มึงอย่ามาทำกูแท้งตอนนี้นะโว้ย!
หะ...ให้ตาย ทำไมโม้เม้นต์ที่มันกลับมาหลังจากไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือนถึงได้ไม่ชวนให้น่าประทับใจเลยสักนิดวะ! แต่ก็เอาเถอะ มันกลับมาก็ดีแล้ว การรอคอยของผมจะได้สิ้นสุดสักที ถึงจะต้องแพ้ท้องเพราะเหม็นมันไม่หยุดอย่างนี้ก็เถอะ
ในที่สุดก็ได้มาอยู่กันพร้อมหน้าสักทีนะ...
คิดถึงที่สุดเลย...คีธ
----------------------------------------------------
เอ้า จบจ้าาาา ตอนจบก็ยังเกรียนกันทั้งคู่ 555 แต่ยังไม่จบดีนะ คีตายังไม่คลอด ไข่หนูคินน์ยังไม่ได้วาง เราก็ยังจะไม่จบ อิอิ
หลังจากคีตาคลอดกับวางไข่หนูคินน์แล้วก็มาต่อกันที่ตัวอย่างภาคลูกๆ นะจ๊ะ เสร็จแล้วก็ตัวอย่างเล่มสเปเชียลที่สองคนนี้ไปฮันนีมูนกันจ้า รอหน่อยๆ กำลังทยอยเขียนละ XD
ปล.ส่งฟีดแบ็กกันหน่อยนะค้า แอบมาอัพถี่เหมือนกันนะช่วงนี้ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปเน้อ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.36]--24/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 24-01-2016 18:59:47
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.36]--24/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: Zurruz ที่ 24-01-2016 19:02:08
ตลกอะ 5555 7 เดือนยังแพ้อีกเหยออออ ขำตรงให้แปะกับโดมินิคแปลงร่าง โอ้โห
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.36]--24/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 24-01-2016 19:46:28
อรั้ย ท้องกันถ้วนหน้า เหล่าสามีเตรียมรับภาระทีกำลังมาน้าาาา :hao7:

อยากอ่านสเปเชี่ยลคู่ เอ้ย ทรีซัม บักเลน&บลู้คกี้เบนนี่ จังเลยค่ะ :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.36]--24/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 24-01-2016 22:33:05
แพ้ท้องตอน7เดือน แล้วยังเหม็นคีธอีกกกกกกกกกกกกกกก

กวินทร์ดูลำบากลำบน น่าสงสารเขานะคะ  :m20: :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.36]--24/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 25-01-2016 01:27:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Ep.36]--24/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-01-2016 19:44:48
Epilogue
พอเข้าเดือนที่เก้า อาการแพ้ท้องเพราะเหม็นไอ้บ้าคีธก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจว่ามันหายไปได้ยังไงทั้งที่เดือนก่อนๆ นั้นเกือบจะทำผมตายให้ได้ เพราะอย่างไรเสีย ผมก็รอดพ้นจากขุมนรกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอ้คีธได้สักที ตอนนี้เราก็เลยกลับมาแตะเนื้อต้องตัว อยู่ใกล้ชิดกันได้เหมือนเดิม
แตะเนื้อต้องตัวกับใกล้ชิดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการมีอะไรกันนะ ผมหมายถึงการกอด การจูบปกติต่างหาก ใครมันจะบ้ามามีอะไรกันตอนท้องแก่ขนาดนี้ แน่ล่ะว่าผมคนนึงที่ไม่บ้า แต่ไอ้คีธนี่ก็ไม่แน่ มันก็มีมาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ อยู่เหมือนกัน ทว่าพอโดนผมด่าไปว่ามันอันตรายต่อคีตา มันก็หยุดอาการอยากลากผมขึ้นเตียงได้ เปลี่ยนมาเป็นเอาใจผมแทน การเอาใจก็คือการซื้อของหวานมาประเคนให้ผมกินนี่แหละ ผมคงลืมบอกไปสินะว่าตั้งแต่ท้องคีตานี่ ผมชอบกินของหวานมากเป็นพิเศษ มากถึงขนาดสามารถกินไอศรีมถ้วยใหญ่ๆ ไซส์ครอบครัวได้คนเดียวแบบทีเดียวหมดเลยล่ะ ในตู้เย็นเลยต้องมีของหวานจำพวกไอศกรีมกักตุนไว้ตลอดเวลา เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าของขาดแต่ผมอยากกินขึ้นมาเมื่อไหร่ รับรองเลยว่าระเบิดลงไอ้คีธแน่
มันก็เป็นผลพวงจากการท้องแหละนะไอ้อารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ ของผมเนี่ย ดีที่คีธเข้าใจและไม่ว่าอะไร ดูแลผมเป็นอย่างดี แทบจะทำทุกอย่างให้ประหนี่งผมเป็นง่อยด้วยซ้ำ นี่ถ้าผมไม่ห้าม มันคงจะอุ้มผมไปส่งที่มหา’ลัยตอนมีเรียนด้วยแล้ว
ผมก็ยังไปเรียนตามปกติ ไม่ได้สนว่าท้องแก่ใกล้คลอดแล้วแต่อย่างใด ถึงคีธมันจะอยากให้หยุดเรียนสักพักจนกว่าจะคลอด แต่ผมไม่อยากเสียเวลาเพราะนี่ก็ใกล้จะสอบปลายภาคของเทอมหนึ่งในชั้นปีสองแล้ว เหลืออีกเทอมเดียว ผมก็จะเรียนจบ ถ้ามัวแต่หยุด เดี๋ยวก็ไม่จบกันพอดี
ริชาร์ดเองก็ไม่หยุดเรียนเช่นกันถึงแอสตันจะร้องขอ ยังมาเรียนตามเดิม หมอนั่นก็ใกล้คลอด แต่ก็ยังทำทุกอย่างตามปกติเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ สงสัย จะมีก็แต่ทักบ้างว่าช่วงนี้ทั้งผมทั้งมันดูลงพุงกว่าเดือนก่อนๆ ผมกับมันก็ได้แต่อ้างไปเรื่อยว่าเรียนหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การนับวันรอที่จะเห็นหน้าคีตาต่างหาก
ทว่าเหมือนคีตาจะยังไม่อยากออกมาดูโลกสักเท่าไหร่ เข้าเดือนที่เก้าแล้วก็ยังไม่เห็นจะมีวี่แววว่าจะปวดท้องคลอดแต่อย่างใดเลย ทำเอาผมทั้งกังวล ทั้งวิตกจริตด้วยกลัวว่าลูกจะเป็นอะไร วิตกถึงขนาดละเมอตื่นขึ้นมาดึกๆ เพราะฝันว่าตัวเองคลอดบ่อยๆ ด้วย แต่พอคีธบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่ตัวอ่อนจะยังไม่ยอมออกมาถ้าเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ผมก็พอจะเบาใจไปได้บ้าง
ก็แค่ ‘บ้าง’ ลึกๆ ในใจก็ยังวิตกอยู่ดี ช่วยไม่ได้ คนมันไม่เคยมีลูกนี่หว่า แถมมีลูกแบบท้องเองด้วย ท้องอย่างเดียวไม่ว่า ท้องลูกมนุษย์ต่างดาวอีก ใครไม่วิตกก็บ้าแล้ว!
“กวินทร์ กินไอติม” คีธร้องเรียกผมให้หันไปหลังจากมันยุติความวิตกจริตของผมที่เอาแต่ถามมันว่าทำไมคีตาไม่คลอดสักทีให้มานั่งจ๋องอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นได้ ก่อนจะยื่นช้อนที่ตักไอศตรีมช็อกโกแล็ตพูนช้อนส่งมาตรงหน้าผม
ผมมองเล็กน้อยแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่เอา ไม่อยากกิน”
“สักหน่อยน่า ของชอบกวินทร์ไม่ใช่เหรอ” คีธคะยั้นคะยอ ผมก็ยังส่ายหน้าเหมือนเดิม
“อยู่ในอารมณ์อย่างนี้ ใครมันจะไปกินลงวะ” อารมณ์ที่ว่าก็คืออารมณ์วิตกไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ
คีธก็เลยยื่นมือข้างที่ว่างมาลูบหัวผม ก่อนจะหลอกล่ออีก
“ถ้าไม่กิน คีตาจะหิวนะ”
พอถูกมันใช้ลูกล่อหลอกแบบนี้ ผมก็เผลอยิ้มออกมา ตอบรับมันไปจนได้
“กินก็กิน” แล้วก็อ้าปากงับช้อนที่มันส่งมาให้
“เด็กดี” มันลูบหัวผม ทำอย่างกับผมเป็นหมา แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆ การกระทำของมันก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามันเองก็แคร์ผมเหมือนกัน
คีธมองหน้าผมที่กลืนไอศกรีมรสหวานลงคอพลางอมยิ้ม ก่อนจะทิ้งช้อนลงในถ้วยไอศกรีมในมือ แล้วยื่นมือมาแตะบนมุมปากผมเบาๆ
“เลอะแล้ว ค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งหรอก”
ผมรู้ว่ามันเช็ดคราบไอศกรีมให้ผม เช็ดแล้วยังมีหน้าเอานิ้วที่เช็ดเมื่อครู่กลับไปเลียอีกด้วย ผมมองแล้วก็บุ้ยปากใส่อย่างเขินๆ
มึงน่ารักเกินไปแล้ว...
“ป้อนฉันบ้างสิ”
แล้วมันก็เสนอหน้าขึ้นมา ส่งถ้วยไอศกรีมในมือมาให้ผม ตอนนี้มันกินอาหารได้เหมือนมนุษย์โลกทั่วไปโดยไม่ต้องพึ่งพาสารอาหารจากโฮสต์เหมือนก่อนแล้วล่ะ รวมถึงการวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ด้วย พวกมันไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์แล้ว แค่กินยา ก็สามารถอยู่ได้นานเป็นปีแต่ต้องกินยาตลอดเมื่อถึงกำหนด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโครงการยารักษาสภาพร่างกายของเจเนซิสที่ทำขึ้นตามคำสั่งของแอสตันนั่นแหละ เหตุผลก็คือพวกยูนิกม่าที่อยู่ที่นี่จะได้อยู่อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องหาโฮสต์ไม่ได้ ซึ่งมันก็ดีกับผมนั่นแหละ ขืนต้องให้มันมากินสารอาหารแล้วต้องให้มันวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ตอนท้องด้วย มีหวังผมได้ตายก่อนจะคลอดคีตาพอดี
“เร็วสิ ป้อนฉันบ้าง” คีธเร่งเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มอง ไม่ยอมรับถ้วยไอศกรีมในมือไปสักที
ผมส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างรำคาญ ปากก็ว่ามันไปด้วย
“ไหนว่าไม่มีใครแย่งไงวะ แล้วไอ้ตัวที่นั่งหน้าแป้น บอกให้ฉันป้อนนี่มันหมายความว่าไง”
คีธหัวเราะขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองพูดอะไรไป ก่อนจะทำตาลูกหมาใส่
“คำเดียวนะ”
“ไม่ได้ บอกว่าไม่แย่งก็คือห้ามกินเว้ย นี่มันของฉันกับคีตา ไม่ใช่ของนาย” ผมชิงถ้วยไอศกรีมในมือมันมา ตักเข้าปากแล้วลอยหน้าลอยตาใส่มัน
ทว่าจังหวะที่ลอยหน้าลอยตายั่วมันนี่แหละ มันก็ฉกจูบลงมาบนริมฝีปากผมเสียอย่างนั้น แถมยังมีหน้าเอาลิ้นดันเข้ามาลิ้มรสไอศกรีมในปากผมด้วย ผมจะผลักมันออกก็กลัวถ้วยไอศกรีมที่ถืออยู่ในมือจะหก สำคัญกว่านั้นคือกลัวว่าคีตาจะได้รับการกระทบกระเทือนจึงยอมให้มันลิ้มรสหวานเย็นอยู่อย่างนั้น กระทั่งมันตักตวงจนหมดจึงผละออกไปเอง
“อร่อยจัง”
ตอนนี้แหละที่ผมสบโอกาส เตะขามันไปที
“อย่าแย่งลูกกินสิวะ!”
“นิดเดียวน่า คีตาไม่ว่าอะไรหรอก” คีธหัวเราะ หน้าตาบ่งบอกชัดเจนเลยว่ามีความสุขกับการได้แกล้งผมกับลูก
“ว่าหรือไม่ว่าเดี๋ยวรู้ ระวังเถอะ ลูกจะเกลียดนาย” ผมบุ้ยปากใส่มัน ตักไอศกรีมเข้าปากแล้วก็บ่นต่ออีกยืดยาว
คีธไม่พูดอะไร ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยผม อีกมือก็ลูบท้องผมไปด้วย
“คีตาไม่ว่าอะไรพ่อคีธเนอะ คีตารักพ่อคีธ”
เห็นแล้วก็หมั่นไส้ มึงนี่คิดเข้าข้างตัวเองตลอด มีเด็กที่ไหนบ้างวะที่ไม่โวยวายเวลาโดนผู้ใหญ่แย่งขนมกิน ถึงจะยังอยู่ในท้องก็เถอะ แต่เป็นลูกชาวยูนิกม่านี่ ประสาทสัมผัสต้องดี รู้ว่าพ่อคีธบ้าบอคอแตกนี่แย่งของกินอยู่แล้ว
และดูเหมือนว่าการคาดเดาของผมจะจริงเสียด้วย เพราะแค่คีธพูดจบและลูบหน้าท้องผมไปมา ผมก็เกิดปวดท้องหนึบขึ้นมากะทันหัน ปวดหน่วงๆ แบบเดียวกับที่ปวดท้องตอนจะคลอดคีธเลย สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าคีตาได้เวลาจะลืมตาขึ้นมาดูโลกแล้ว
เท่านั้นผมก็รีบวางถ้วยไอศกรีมลง มือก็คว้าไหล่คีธที่อยู่ใกล้ๆ ไปบีบแน่น
“คะ...คีธ”
“หืม?”
“เจ็บ...เจ็บท้อง” ผมกัดฟันพูด ข่มความเจ็บปวดสุดฤทธิ์
คีธที่ทำหน้านิ่งเมื่อครู่เบิกตาโพลง ก่อนจะรีบช้อนตัวผมขึ้น ปรี่เข้าไปในห้องนอน วางผมลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็เริ่มโวยวายเป็นคนบ้าเมื่อหน้าท้องรู้สึกปวดหนึบจนแทบทนไม่ไหว
“เจ็บ...เจ็บฉิบหาย โอ๊ย! เจ็บ!”
คีธไม่รอช้า ฉีกเสื้อผมออกด้วยสองมือ ผมอยากจะด่ามันเหมือนเกินที่มันขยันฉีกเสื้อผ้าผมจริง แต่ตอนนี้ไม่มีแรงหรือสติจะด่าอะไรแล้ว
“ปวดแค่ตอนจะคลอดเท่านั้นกวินทร์ เดี๋ยวพอน้ำเมือกไหลก็ไม่เจ็บแล้ว รอก่อน” คีธพยายามให้ผมใจเย็นด้วยการปลอบ
ผมก็รู้แหละว่าไอ้น้ำเมือกที่จะไหลออกมาจากสะดือมันมีฤทธิ์ทำให้ไร้ซึ่งความเจ็บปวด แต่ก่อนที่มันจะไหล คือมันเจ็บไง เจ็บจนจะตายอยู่แล้ว!
คีธก็ทำอะไรได้ไม่มากนักนอกจากจับมือผมแน่น ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง สายตาจับจ้องยังหน้าท้องที่ขยับไปมาเล็กน้อยอย่างลุ้นระทึก ให้เดานะ มันคงจะลุ้นให้ลูกเตรียมพร้อมจะออกมาจากผมนั่นแหละ
ผมก็ได้แต่กัดฟันแน่น รอให้ความเจ็บปวดหายไป ไม่นาน ของเหลวสีใสก็ไหลซึมออกมาจากสะดือ อาการปวดท้องเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ทุเลา ก่อนจะหายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่น่าแปลกคือ สะดือผมไม่ขยายตัวออกเองเหมือนตอนที่คลอดคีธเลยสักนิด ผมเลยมองหน้ามันอย่างสงสัย
“คีธ...”
“ตัวอ่อนที่เกิดจากการขยายพันธุ์จะออกมาเองไม่ได้ถ้าไม่ช่วยพาออกมา” คีธตอบโดยไม่รอให้ผมถาม
“แล้วจะรออะไรล่ะ รีบทำสิ” ผมก็เลยรีบบอกรนๆ ให้มันจัดการ ใจนี่เต้นตึกตักไปแล้วที่อีกไม่กี่นาทีให้หลัง ผมจะได้เห็นหน้าลูกของผม
คีธพยักหน้า วางมือทั้งสองข้างลงบนหน้าท้องผม หัวคิ้วย่นยู่ราวกับกำลังรอจังหวะอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะเลื่อนปลายนิ้วมาระหว่างสะดือ และ...
ครืด...
แหกสะดือกูหน้าตาเฉย!
ไอ้เวรคีธ! มึงเคยแหกจากข้างในไม่พอ ยังจะแหกจากข้างนอกอีกเหรอวะ!
ผมเบิกตาโพลงอย่างตกใจด้วยไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้ ถึงจะไม่เจ็บแต่ก็ทำให้ผมแทบช็อก ช็อกหนักยิ่งกว่าก็ตอนของเหลวสีใสนั่นไหลพลั่กเป็นน้ำตกทันทีที่สะดือถูกแหวกออก
“อาจจะรู้สึกแปลกๆ หน่อยนะกวินทร์ ฉันจะรีบทำให้เร็ว”
มันแปลกตั้งแต่มึงแหวกสะดือกูแล้วไอ้คีธ! นี่ถ้ากูไม่เห็นกับตาว่าไอ้ที่มึงใช้นิ้วแหวกเมื่อกี้เป็นสะดือกู กูก็คงนึกว่าเป็นหลุมดำไปแล้ว!
“ทะ...ทำสักที” ผมว่าเสียงสั่น ความตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าลูกนี่หายไปกับตาเลย ตอนนี้ขออย่างเดียวคือให้มันรีบๆ เอาคีตาออกมา
และคีธก็ตอบสนองความต้องการของผมโดยไม่รอให้เร่งด้วยการเอามือข้างหนึ่งล้วงลงไปในสะดือผมทันใด ผมหงายหลังลงกับหมอน หน้ามืดขึ้นมากะทันหัน ไม่กล้าแม้แต่จะมองเลยว่ามันทำอะไร แต่ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขยุกขยิกอยู่ในท้องตัวเองก็ทำให้ผมอดไปมองไปได้ พอมองปุ๊บ ก็เห็นคีธมันเอามืออีกข้างสอดลงไปในตัวผมเหมือนกัน และนั่นก็ทำให้ผมอยากจะเป็นลมขึ้นมา
“ระ...เร็วๆ” ผมร้องเร่ง รู้สึกว่าตัวเองจะรับกับสภาพชวนขนหัวลุกแบบนี้ต่อไปไม่ไหวละ
ทว่าคีธไม่ตอบรับใดๆ ย่นคิ้วจนขมวดกันเป็นปม ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ คลาย หันมามองผมด้วยแววตาประกายวาว
“กะ...กวินทร์... มือ...มือคีตา...” คีธว่าอย่างตื่นเต้นทันทีที่มันคว้ามือลูกได้หลังจากมันเอามือตัวเองควานลงไปหาในสะดือผม แถมยังยิ้มกว้างอีก แต่คือแบบ...
มึงช่วยดูกูด้วยได้มั้ยว่ากูอยู่ในอารมณ์ไหน! มึงรีบๆ เอาลูกออกมาแล้วเอามือออกจากสะดือกูสักที กูจะเป็นลมอยู่แล้ว!
เป็นลมจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น เห็นมันตั้งหน้าตั้งตาล้วงพุงตัวเอง แถมมีเสียงเฉอะแฉะจากน้ำเมือกสีใสที่ไหลจากสะดือมาให้ได้ยินด้วย ผมก็มึนหัวขึ้นมากะทันหัน โลกเกือบจะดับวูบอยู่แล้วถ้าหากว่ามันไม่พูดเรียกสติผมขึ้นมาอีก
“คีตาดูท่าจะตัวใหญ่ สงสัยต้องมุดลงไป”
แค่มือมึงล้วงลงไปยังไม่พอ มึงยังจะมุดสะดือกูอีกเหรอไอ้คีธ! หยุดเลย มึงหยุดเลย! รีบๆ เอาลูกออกมาได้แล้วเว้ย กูลุ้นจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!
ดีที่มันไม่มุดอย่างที่มันพูด แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ล้วงแขนลึกลงไปเกือบครึ่ง ผมเห็นแล้วก็เบิกตาโตอย่างตกใจ ไอ้ตัวที่อยู่ข้างในก็จะออก ไอ้ตัวที่อยู่ข้างนอกก็จะเข้า อะไรของพวกมันกันวะ!?
“อืม... ติดจริงๆ ด้วย ทนหน่อยนะกวินทร์ เดี๋ยวฉันจะลองล้วงให้ลึกกว่านี้”
“ดะ...เดี๋ยว...”
ผมไม่ทันจะได้ตอบรับเลย มันก็ล้วงลงไปแล้ว คราวนี้ล้วงลึกลงไปจนเกือบถึงข้อศอก ผมเบิกตาโพลงหนักกว่าเดิมอีก
นี่มันหนังสยองขวัญเวอร์ชันไอ้คีธกับลูกมันชัดๆ! กูคิดผิดหรือคิดถูกที่ให้มึงมาทำคลอดให้เนี่ย! รีบๆ ออกมาทั้งพ่อทั้งลูกเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!
“มะ...ไม่ไหวแล้ว” ตอนนี้ผมสั่นไปทั้งตัวเลย โคตรจะกลัวมันเลยให้ตาย
“ไม่ต้องห่วง ร่างกายชาวยูนิกม่าย่อส่วนเวลาอยู่ในร่างโฮสต์ได้ ถึงจะล้วงลงไปลึก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายกับอวัยวะภายในของกวินทร์หรอก มันย่อส่วน”
กูไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียวเลยไอ้คีธ! กูกลัวมึง รีบๆ เอาทั้งมึงทั้งลูกออกมาได้แล้ว!
ผมหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน สายตาที่มองภาพตรงหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ แต่คีธก็ไม่หยุด ล้วงพุงผมอย่างเมามันส์อยู่นานสองนาน ครู่เดียว ผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างหลุดออกมาจากท้องผม ผมเลยข่มใจไม่ให้สติดับวูบ ผงกหัวขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วก็ต้องนิ่งค้างเมื่อเห็นว่ามีร่างของทารกออกมาจากหน้าท้อง
“คะ...คีตา...”
ผมครางอย่างไม่เชื่อสายตา จังหวะเดียวกันกับที่คีธพาร่างของลูกออกมาพ้นตัวผมพอดี มันอุ้มลูกไปเปิดตู้เสื้อผ้าใกล้ๆ เอาผ้าอ้อมเด็กที่ซื้อมาเก็บไว้ล่วงหน้ามาเช็ดคราบน้ำเมือกออกจากใบหน้าและเนื้อตัว เท่านั้นเสียงร้องของทารกก็ดังแว่วมาให้ผมได้ยิน ผมชะงักงัน ไม่สนใจหน้าท้องของตัวเองที่กลับสู่สภาพปกติเหมือนตอนก่อนท้องแต่อย่างใด เอาแต่จ้องคีธที่อุ้มลูกเดินมานั่งข้างเตียงเหมือนเดิมเท่านั้น
คีธยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ ก่อนจะประคองคีตาให้ผมอุ้ม
“เด็กผู้ชาย” ตามมาด้วยบอกเพศ
ผมค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทาไปรับลูกมาอุ้มด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันทั้งดีใจ ตกใจ ตื้นตันใจ และอื่นๆ ผสมปนเปกันไปหมดจนผมอธิบายไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกันแน่ ที่แน่ๆ ก็คือจู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลอาบหน้าโดยไม่รู้ตัว ยิ่งมองเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของคีตาที่ดูเหมือนจะถอดแบบผมมา ผมก็พูดไม่ออกราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คีธลูบกระหม่อมผมเบาๆ นี่แหละ
“เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเลี้ยงลูกเอง”
ผมรู้ว่ามันหมายถึงสารอาหารที่มาจากนิ้วมันที่จะใช้ป้อนแทนนม
ผมพยักหน้า ไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มทั้งน้ำตา ปลายนิ้วก็ลูบพวงแก้มใสจนเกือบเห็นเส้นเลือดของคีตาไปด้วย
“ละ...ลูกของฉัน” ผมครางออกมาอย่างกับผู้หญิงที่เพิ่งเป็นแม่ไม่มีผิด
คีธหัวเราะในลำคอ แล้วก็โน้มหน้ามาจูบหน้าผากผม
“ลูกของฉันด้วย... ลูกของเรา”
ผมมองหน้ามัน พยักหน้าให้รัวๆ น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหลจนคีธต้องหัวเราะ
“อะไรเนี่ยกวินทร์ ร้องทำไม”
“มะ...ไม่รู้ มันไหลออกมาเอง” ผมว่าไปตามความจริง ก่อนจะเรียกชื่อคนตรงหน้าเมื่อเห็นว่ามันทำท่าหยอกคีตาที่หยุดร้องและเริ่มนิ่งไปแล้ว
“นี่คีธ...”
“หืม?”
“ขอบคุณนะ”
คีธชะงัก ดูเหมือนไม่เข้าใจว่าผมขอบคุณเรื่องอะไร ผมก็เลยต้องพูดต่อ
“ขอบคุณที่ทำให้ฉันมีความสุข ขอบคุณที่อยู่กับฉันทั้งที่ฉันทำตัวไม่ค่อยดีกับนาย” ผมว่าอ้อมแอ้ม คีธก็เลยหัวเราะ
“ฉันรู้อยู่แล้วว่ากวินทร์นิสัยเสีย”
เอ้า เดี๋ยว! มึงต้องบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ฉันรักกวินทร์’ อะไรแบบนี้สิ มึงจะมาเห็นด้วยทำไม!
ผมทำปากยื่นใส่มันทันทีที่มันดันพูดไม่ตรงสคริปต์ที่ผมต้องการได้ยิน แต่ครู่เดียวก็ต้องยิ้มออกเมื่อมันพูดต่อ
“แต่ฉันก็รักกวินทร์” แล้วก็ตามมาด้วยจูบเบาๆ “ขอบคุณกวินทร์สำหรับทุกอย่างเหมือนกัน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันในวันนั้น แล้วก็ขอบคุณที่ให้ฉันวางไข่ ทั้งวางไข่สร้างร่างใหม่ แล้วก็วางไข่สร้างคีตา”
ผมพยักหน้ารับ ยิ้มให้มันกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา มือก็ปาดน้ำตาไปด้วย แต่ปาดยังไงก็ไม่แห้งสักที จนคีธต้องมาช่วยปาดอีกคน
“หยุดร้องได้แล้ว ขี้แยเป็นเด็กเลย”
“ไม่ได้ขี้แยเว้ย” ผมเถียง คีธเลยชะงัก
“แล้วร้องทำไม”
“ฉัน...ฉันร้องเพราะมีความสุขต่างหาก” ผมยอมรับไปตรงๆ
คีธก็เลยโน้มใบหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง ครั้งนี้เราจูบกันเนิ่นนานกว่าจะผละออกจากกัน ถึงจะผละแล้วแต่คีธก็ยังใช้ปลายจมูกคลอเคลียกับปลายจมูกผมอยู่ ปากก็กระซิบบอกไปด้วย
“ฉันก็มีความสุข มีความสุขที่มีกวินทร์อยู่แบบนี้ มีความสุขที่มีคีตาด้วย”
“ฉัน...ก็เหมือนกัน” ผมตอบรับ ตอนนี้ไม่เก็บงำความรู้สึกใดๆ แล้ว
มันมีความสุขจริงๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าการมีครอบครัว มีลูก มันจะทำให้หัวใจพองโตได้ถึงขนาดนี้ ถึงตอนคลอดมันจะไม่ชวนให้พิสมัยเลยก็เถอะ แต่ผลที่ออกมาก็ทำให้ผมยิ้มได้ไม่หุบเลยทีเดียว
ผมเหลือบสายตามามองหน้าคีตาที่หลับตาพริ้มในอ้อมแขนอีกครั้ง ก่อนจะถูกเบนความสนใจไปเมื่อคีธชูนิ้วชี้มาจ่อตรงหน้า
“เพิ่งคลอด ร่างกายจะอ่อนแอ อยากดูดมั้ย”
ผมหลุดหัวเราะลั่น จริงสินะ เกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนที่คลอดมันครั้งแรก ผมมีอาการเป็นยังไง ก่อนจะพยักหน้าแล้วอ้าปากรอ
“ป้อนหน่อย”
คีธพยักหน้า ยื่นมือมารับลูกจากผมไปอุ้มด้วยแขนข้างเดียว พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงให้นอนราบลงไป ก่อนจะส่งปลายนิ้วชี้มาเข้าปากผม รสหวานปะแล่มจากของเหลวไหลลงคออีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด ดูดกลืนราวกับเป็นน้ำหวานจากดอกไม้ก็ไม่ปาน มือทั้งสองข้างก็จับมือของคีธที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้ด้วย ก่อนจะเหลือบไปมองคีธเมื่อเห็นมันขยับเข้ามาใกล้ แล้วประทับจูบลงกลางหน้าผากผมโดยไม่พูดอะไร ผมเลยเป็นฝ่ายละริมฝีปากออกจากนิ้วมันแล้วพูดแทน
“คีธ... รักนะ รักมากที่สุด”
คีธยิ้ม ไม่พูดอะไร ส่งปลายนิ้วเข้าปากผมอีกครั้ง แต่ถึงมันจะไม่พูดอะไร ผมก็รู้คำตอบอยู่แล้วล่ะว่ามันรักผมมั้ย
ก็ต้องรักสิ... ถ้าไม่รัก มันจะมาอยู่ตรงนี้ทำบ้าอะไร ที่สำคัญ ถึงต่อไปนี้มันจะไม่บอกรักผมแล้ว ผมก็รู้ว่ามันรัก
ก็จะไม่รู้ได้ไงล่ะในเมื่อสักขีพยานความรักของมันนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนมันทั้งคน
แบบนี้ต้องเรียกว่ามันรักผมมากแล้วล่ะ...
 
หลังจากคลอดคีตา หน้าที่เลี้ยงลูกทั้งหมดก็ตกไปอยู่ที่คีธอย่างเต็มตัว จริงๆ จะว่าเต็มตัวนักก็ไม่ถูก เรียกว่าผลัดกันจะดีกว่าแค่คนที่เลี้ยงลูกหลักๆ เป็นมันเท่านั้นเอง ผมจะมาช่วยเลี้ยงบ้างก็ตอนที่มันมีถ่ายแบบ
ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าตอนนี้คีธได้งานเป็นนายแบบของแบรนด์ชั้นนำแบรนด์หนึ่งล่ะ แถมตอนนี้ก็กำลังเป็นดาวรุ่งสุดๆ ด้วย ผมเลยไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับพวกเราเท่าไหร่นัก และที่มันเป็นนายแบบได้ก็เพราะการแนะนำของซีเลนนี่แหละ ทำเอาผมอดคิดไม่ได้เลยว่าถึงมันจะหื่นกาม แต่มันก็เป็นคนดีเหมือนกัน
และตอนนี้ ผมกับคีธก็ย้ายมาอยู่บ้านเช่าแทนอพาร์ตเม้นต์เล็กๆ นั่นแล้ว ตอนแรกคีธกะว่าจะซื้อบ้านแต่ถูกผมเบรกไว้เพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะต้องไปอยู่ที่ไหน เลยได้แค่ซื้อรถเท่านั้น ส่วนเรื่องที่มันมีสิทธิ์ซื้อบ้านได้ ก็เป็นเพราะตอนนี้มันได้สัญชาติเป็นชาวอเมริกันแล้วน่ะ อย่าถามนะว่ามันได้สัญชาติได้ยังไงทั้งที่เป็นมนุษย์ต่างดาว ...เคยบอกแล้วนี่นาว่าพวกองค์กรชั้นนำต่างๆ มีมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวเข้าไปทำงานอยู่เยอะ การขอสัญชาติก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอกแค่แสดงตัวว่าเป็นชาวยูนิกม่าผู้สูงส่งน่ะ
ส่วนพวกริชาร์ดกับสองพี่น้องเปรตนั่นก็คลอดลูกแล้วเหมือนกัน แน่นอนล่ะว่าคนเลี้ยงลูกก็เป็นแอสตันกับซีเลน ก็พวกมันป้อนสารอาหารให้ลูกได้นี่นา เป็นหน้าที่ของพวกมันก็ถูกแล้ว สำหรับแอสตันนี่ดูไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นัก ที่เปลี่ยนก็คือริชาร์ดมากกว่า เพราะพ่อแม่มันเป็นคนจีนหัวโบราณ แถมยังเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด พอรู้ว่าลูกชายคนเดียวมีลูก แถมเป็นเกย์อีก ก็ทะเลาะกับมันยกใหญ่ ริชาร์ดก็เลยตัดสินใจย้ายออกมาอยู่กับแอสตันตามลำพัง ซึ่งบ้านของพวกมันก็อยู่ข้างๆ บ้านผมนี่แหละ ส่วนซีเลนก็เบาเรื่องข่าวฉาวไปเยอะ ทว่าก็ยังมีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ข่าวฉาวของมันก็คือการที่มันมีลูกซึ่งเกิดจากการอุ้มบุญมากกว่า แถมมีเมียเป็นผู้ชายตั้งสองคน เรียกได้ว่าเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ ของวงการฮอลลีวูดในตอนนี้ไปเลย
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของผม สิ่งที่ผมต้องทำและสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการสอบธีสิสเพื่อทำเรื่องขอจบปริญญาโทมากกว่า ผมกับริชาร์ดก็เลยหัวหมุนกันใหญ่ โดยเฉพาะวันนี้ซึ่งเป็นวันชี้ชะตาเลยว่าผมกับมันจะเรียนจบหรือไม่
ผมหอบเอกสารสำคัญเต็มสองแขน เตรียมตัวไปมหา’ลัย แต่ก็ไม่ลืมที่จะทักทายคีตาซึ่งถูกคีธอุ้มอยู่
“พ่อกวินทร์ไปแล้วนะครับคีตา” พูดจบก็หอมแก้มยุ้ยๆ ไปเต็มรัก
คีตาส่งเสียงหัวเราะอ้อแอ้อย่างชอบใจ ตอนนี้คีตาอายุห้าเดือนแล้ว ร่างกายดูโตกว่าเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสักเล็กน้อย แต่ก็ยังน่ารักและเป็นเจ้าจิ๋วสำหรับผม
พอเห็นลูกหัวเราะร่วน ผมก็อดใจหอมแก้มหอมๆ นั่นไปอีกรอบไม่ได้
“อวยพรให้พ่อสอบผ่านด้วยนะคีตา ไหน มาให้พ่อหอมแก้มเอาโชคอีกทีซิ จุ๊บ...”
จากที่ว่าจะหอมแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นว่าผมฟัดแก้มลูกไปแล้วเรียบร้อย คีธที่ยืนมองอยู่ถึงกับต้องพูดขึ้นมา
“แล้วไม่หอมแก้มพ่อคีธเอาโชคบ้างเหรอ”
ผมหยุดหอมแก้มคีตา มองหน้ามันเลย
“อย่าบอกนะว่าอิจฉาลูก?”
“เปล่า แค่อยากให้กวินทร์หอมแก้มฉันบ้าง” มันว่าหน้าตาย ทำเอาผมอยากแกล้งขึ้นมา
“ไม่ได้เว้ย หอมแก้มนี่สงวนไว้ให้คีตาคนเดียว”
สายตาของคีธดูเบื่อโลกไปแวบหนึ่ง เรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ทันที
“สำหรับพ่อคีธต้องนี่...” แล้วผมก็ขยับเข้าไปจูบริมฝีปากหยักหนาแทน “อันนี้สงวนไว้ให้พ่อคีธคนเดียว”
พอผละออกมาก็พูด คีธยิ้มออกก่อนจะเข้ามาจูบผมอีกครั้ง
“ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยวสาย” ผมว่าพลางดูนาฬิกาบนผนัง
คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผมบอกลาลูกอีกครั้ง ก่อนจะหอบข้าวของพุ่งออกไปที่โรงรถข้างบ้าน
รถเคลื่อนออกจากโรงรถ แล่นออกไปยังถนนซึ่งทอดตัวยาวอยู่หน้าบ้าน ทว่าถึงจะรีบร้อนเพียงใด ผมก็จำต้องชะลอรถเมื่อรถเคลื่อนตัวมาเทียบยังบริเวณสนามหน้าบ้าน สายตาก็เหลือบมองไปยังประตูบ้านโดยอัตโนมัติ ร่างใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นยืนอยู่ตรงหน้าประตู ในอ้อมแขนอุ้มทารกแก้มป่องตัวน้อย ก่อนที่คนหน้าตายนั่นจะเล่นสนุกด้วยการจับมือเล็กๆ ของลูกขึ้นมาโบกในอากาศเบาๆ เป็นการบ๊ายบาย
ผมเห็นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เปิดกระจกรถแล้วตะโกนกลับไป
“พ่อกวินทร์จะรีบกลับมา รอกินมื้อเย็นด้วยกันนะ”
คีธพยักหน้า คีตาส่งเสียงหัวเราะ ผมเลื่อนกระจกขึ้นปิดแล้วเหยียบคันเร่งออกไปด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม
ดูท่าวันนี้ผมคงจะสอบผ่านธีสิสได้ง่ายๆ เสียแล้วล่ะ อืม... ถ้าสอบผ่าน สงสัยคงต้องยกเลิกนัดกับพวกเพื่อนๆ ที่จะไปฉลองกันหลังสอบธีสิสแล้วล่ะ ดันนัดซ้อนไปเสียแล้ว
ไปฉลองกันตามประสาพ่อ-พ่อ-ลูกแล้วกัน
ชักจะอดใจรอกลับมาเจอสองพ่อลูกนั่นที่บ้านไม่ไหวแล้วสิ...
-----------------------------------------
มาตามสัญญา จบแล้ววด้วย แต่ยังไม่จบดีนะคะ ยังเหลือ Extra อีกตอน หนูคินน์ยังไม่โผล่มา จะจบได้เยี่ยงไรรรรร บอกเลยว่าตอน Extra นี่เกรียนหนักกว่าเดิมอีก 555
ส่งฟีดแบ็กกันได้นะค้า อย่าเพิ่งหายไปไหนกันเน้อ ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Epilogue]--26/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 26-01-2016 20:25:44
มารอจ้า
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Epilogue]--26/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-01-2016 20:48:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Epilogue]--26/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: Candy CAT ที่ 26-01-2016 22:03:10
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Epilogue]--26/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 26-01-2016 23:06:22
ครอบครัวสุขสันต์จริงๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Epilogue]--26/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 27-01-2016 10:16:03
น้องคีตาน่ารักกก
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Epilogue]--26/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-01-2016 17:37:30
Extra: Kinn is our second kid[1]
กว่าจะเรียนจบ เลือดตาก็แทบกระเด็น เรียนจบแล้วต้องหางานทำนี่ เลือดตากระเด็นยิ่งกว่า โชคดีที่ผมกับริชาร์ดพอจะมีเส้นสายจากการช่วยงานด็อกเตอร์มาร์ตินมาอยู่บ้าง พอเรียนจบก็เลยโดนทาบทามให้ไปช่วยงานที่กองถ่ายฮอลลีวูดโดยต้องเตะฝุ่น รอหางานอย่างที่ควรจะเป็น คีธก็ได้งานเพิ่มนอกจากนายแบบคือกเป็นสตั๊นแมน และตัวประกอบหนังฟอร์มยักษ์อีกหลายเรื่อง แอสตันก็เช่นกัน แต่รายนี้ได้รับบทหลักในเรื่องเลย คนดันมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ริชาร์ดนี่แหละ ตอนนี้หมอนั่นก็ได้เป็นผู้กำกับหน้าใหม่ของวงการที่น่าจับตามองทีเดียว ส่วนผมก็ได้ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ค่ายหนังอย่างที่ตั้งใจไว้ เรียกได้ว่าหนทางในการเริ่มอาชีพค่อนข้างสวยหรูทีเดียว
และเพราะทำงานที่กองถ่ายฮอลลีวูดกันหมด แอสตันก็เลยชวนให้คีธมาซื้อบ้านอยู่ที่แอลเอ ผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ซื้อก็ซื้อ ครอบครัวจะได้ลงหลักปักฐานมั่นคงด้วย ซึ่งแน่นอนว่าใช้เงินคีธซื้อ
ทว่าถึงจะอยู่ในแอลเอเหมือนกัน ซ้ำยังทำงานอยู่ในละแวกเดียวกัน แต่ผมก็ไม่ได้เจอหน้าริชาร์ดกับแอสตันบ่อยหนัก เรียกว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อสองเดือนก่อน ผมไม่เคยไปเหยียบบ้านมันเลยดีกว่า งานเลี้ยงฉลองบ้านใหม่มันก็ไม่ได้ไป อันที่จริงมันไม่ได้จัดด้วยซ้ำ เหตุผลก็คือยุ่งจนไม่มีเวลา นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่พอถึงวันหยุด ผมก็นัดกับมันว่าจะไปเที่ยวหาที่บ้านเนื่องจากไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร
คีธขับรถมายังที่หมายตามกลิ่นของแอสตันที่ปล่อยมานำทาง พอถึงหน้าบ้าน ก็เห็นแอสตันยืนต้อนรับอยู่หน้าบ้านพร้อมกับลูกของมันแล้ว
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคีทาเย” นี่เป็นคำทักทายแรกของแอสตันที่ทักคีธทันทีที่พวกเราลงจากรถ
คีธอุ้มคีตา เดินเข้าไปพยักหน้าทักทายผู้เป็นนายเล็กน้อย
“ทรงสบายดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม สบายดี นายก็คงจะสบายดีเหมือนกันสินะ หน้าตาดูอิ่มเอิบเชียว” แอสตันทักกลับ คีธเพียงพยักหน้าให้ ก่อนที่แอสตันจะเบือนความสนใจมายังคีตาที่เกาะคอคีธแน่น
“นี่คีตาสินะ สวัสดี...” แล้วก็เอื้อมมือมาจับแขนอวบๆ ของคีตาเป็นเชิงทักทาย
คีตาหันมามอง แววตาดูสงสัยเล็กน้อยว่าแอสตันเป็นใคร ก่อนที่ผมจะร้องบอก
“คีตา ‘ธุจ้าสิครับ” ผมพูดเป็นภาษาไทย
ที่พูดเป็นภาษาไทยก็เพราะว่าต้องการให้คีตาได้เรียนรู้อีกภาษานี่แหละ เหมือนคีธจะบอกว่าพวกลูกครึ่งยูนิกม่า บางทีก็ไม่ได้ความสามารถของยูนิกม่าทั้งหมดมา และดูจากพัฒนาการของคีตาแล้ว เรื่องภาษานี่น่าจะมีปัญหาเพราะไม่ค่อยส่งเสียงหรืออ้อแอ้อะไรเท่าไหร่ แต่เรื่องพละกำลังนี่ไม่มีปัญหา ซื้อของเล่นมาให้ทีไรก็ทำพังหมดทั้งที่เล่นไปไม่ถึงครึ่งวันดีทุกที จนหลังๆ นี่ผมไม่ซื้อให้แล้ว ให้เล่นกับคีธไปแทน และที่ทำให้ผมมั่นใจว่าคีตามีความสามารถเรื่องพละกำลังเหมือนยูนิกม่าก็เพราะบางครั้ง คีตาก็เปลี่ยนร่างเป็นยูนิกม่าเต็มตัวได้นี่แหละ แถมทักษะด้านการฟังก็ดีจนผมต้องคอยระวังจะส่งเสียงดังเวลาอยู่บนเตียงกับคีธบ่อยๆ ด้วย
สิ่งที่ผมพูดเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้คีตาขยับได้เลย ผมเลยต้องพูดอีกครั้งเพื่อย้ำ
“’ธุจ้าเร็วครับ”
ตอนนี้คีตาเหมือนจะเข้าใจ เลยดึงมือออกจากคอคีธมาประนมสวัสดีแบบเก้ๆ กังๆ เรียกรอยยิ้มของแอสตันได้เป็นอย่างดี
“สวัสดีคีตา ตัวใหญ่จังเลยนะ” ใหญ่จริงอย่างที่แอสตันว่า ยิ่งพอเทียบกับลูกของริชาร์ดกับแอสตันที่ยืนเกาะขาพ่อตัวเองแน่น มองผมกับคีธอย่างหวาดๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งมั่นใจว่าคีตาตัวใหญ่กว่าเด็กปกติ
“แล้วนี่... อาร์ทูโรใช่มั้ย” ผมถาม จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อเรียกยากของลูกพวกมันมาจากภาษายูนิกม่า พลันพยักปลายคางไปยังเด็กชายตัวเล็กที่หน้าตาเหมือนริชาร์ดอย่างกับแกะ
ผมแอบขัดใจนิดหน่อยที่ลูกของพวกมันดันหน้าตาไม่ได้น่ารักอย่างแอสตัน แต่ไปออกทางไอ้เจ๊กอย่างริชาร์ด ถึงจะดูเป็นลูกครึ่งเหมือนกับคีตา แต่ใบหน้าออกโซนเอเชียค่อนข้างมากก็นับว่าดูขัดหูขัดตาพอสมควร
“ทักทายลุงกวินทร์สิอาร์” แอสตันดึงแขนอาร์ทูโรให้ออกมาจากการหลบหลังตัวเอง
จากที่ยิ้มๆ อยู่ ผมชะงักกึก มองแอสตันตาขวางเลย
ลุงบ้านมึงสิไอ้แอสตัน! กูอายุเท่าเมียมึง จะมาลุงได้ไง ที่สำคัญ กูเพิ่งจะยี่สิบสาม อย่ามายัดเยียดความแก่ให้กูนะเว้ย!
ผมถึงกับกำมือแน่น ไอ้เด็กนั่นก็ไม่ยอมออกมาจากหลังพ่อตัวเอง พอถูกดึงมือก็สะบัดออก หลบหลังพ่อ มองหน้าพวกผมอย่างหวาดๆ อีกครั้ง
“อาร์ไม่ค่อยชินกับคนแปลกหน้าน่ะ”
เออสิ! โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่มองหน้าพ่อมันอย่างกับจะงาบหัวอย่างกูเนี่ย! เด็กมันไม่กลัวก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว!
เห็นแก่เด็กหรอกนะ ผมถึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเปลี่ยนเรื่องแทนก่อนที่จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้
“นายจะให้ฉันยืนอยู่หน้าบ้านอีกนานแค่ไหน พาเข้าไปข้างในได้แล้ว”
คีธหันมามองผมเล็กน้อย ปากก็จะบอกว่าอย่าละลาบละล้วงเจ้านายมัน แต่ผมไม่สน พอแอสตันหัวเราะแล้วเปิดประตูบ้านให้กว้างขึ้น ผมก็พุ่งพรวดเข้าไปเลย
บ้านริชาร์ดก็ลักษณะคล้ายๆ กับบ้านผม เป็นบ้านทาวโฮมสองชั้น เหมาะสำหรับครอบครัวเล็กๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนัก นอกจากทำจมูกฟุดฟิดตามกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาจากในครัว พอเดินไปที่หน้าครัว ริชาร์ดก็โผล่หน้าออกมาพอดี
“เอ้า มาได้จังหวะพอดีเลย ฉันเพิ่งจะอบลาซานญ่าเสร็จเมื่อกี้เอง มากินด้วยกันสิ”
ผมตอบรับ ก่อนที่ริชาร์ดจะทักทายคีธกับคีตาพอเป็นพิธี แล้วก็ชวนพวกเราไปที่โต๊ะอาหาร จัดมื้ออาหารให้ คีตากับอาร์ทูโรก็ถูกจับนั่งเก้าอี้เด็ก เตรียมกินอาหารด้วยเหมือนกัน
บทสนทนาของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานดังขึ้นไม่หยุด จากตอนแรกที่ผมหงุดหงิดผัวไอ้ริชาร์ด ตอนนี้ก็เริ่มผ่อนคลายละ กลายเป็นความสนุกสนานแทน แอสตันเล่าให้ฟังว่าเจเนซิสกับลาร์คเองก็คลอดลูกแล้วเหมือนกัน เป็นเด็กผู้ชายและหน้าตาถอดแบบจากเจเนซิสมาเด๊ะๆ ซ้ำยังได้รับสมญานามว่าเป็นทูตตัวน้อยประจำยูนิกม่าและเซนไทน์อีกต่างหาก โดยเฉพาะพวกเซนไทน์ที่รักและชื่นชมเจ้าชายองค์น้อยนี่เป็นพิเศษ ทางยูนิกม่าก็เลยสบายใจไปได้ว่าจูเลียนจะเป็นกันชนไม่ให้เซนไทน์มารุกรานได้อีกนาน ส่วนพวกเมียๆ ของซีเลนก็คลอดลูกแล้วเหมือนกัน ผู้ชายทั้งคู่ ลูกที่เกิดจากบรูคลินเหมือนจะชื่อ เซซิล ส่วนที่เกิดกับเบนชื่อ เบลค
ผมเกือบจะไม่สนใจอยู่แล้วเพราะรู้ข่าวเรื่องลูกๆ ของซีเลนมานานแล้ว ถ้าริชาร์ดไม่พูดขึ้นมาว่าลูกๆ ของซีเลนก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชายเหมือนกัน เป็นทั้งเจ้าชายของเซนไทน์และยูนิกม่า ผมก็เลยอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้
แม่ง ทำไมลูกของไอ้หื่นกามกับเปรตพวกนั้นถึงได้สูงส่งกว่าลูกผมนักวะ หมั่นไส้ฉิบ!
แต่หมั่นไส้ลูกๆ ซีเลนได้ไม่นาน ก็ต้องมาหมั่นไส้ลูกริชาร์ดอีกเมื่อเห็นว่าระหว่างที่กินอาหารกันอยู่นั้น อาร์ทูโรกับคีตาเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันตามประสาเด็ก จริงๆ ถ้าเป็นตามประสาเด็กปกติ ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่นี่คือมันดูออกว่าอาร์ทูโรกำลังข่มลูกผมอยู่ ยิ่งเห็นตอนที่ริชาร์ดยื่นจานใส่คุกกี้ให้ทั้งคู่คนละใบ แล้วอาร์ทูโรพุ่งเข้ามาแย่งคุกกี้จากในจานลูกผมทั้งที่ของตัวเองยังไม่ได้แตะสักชิ้น ผมก็ปรี๊ดขึ้นมาทันที
แต่เด็กก็คือเด็ก ผมไม่อยากจะถือสามาก ข่มใจแล้วว่าออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อย่าแกล้งคีตาสิอาร์ ของตัวเองก็มีไม่ใช่เหรอครับ” ว่าแล้วก็ดึงขนมในมือเล็กกลับไปวางในจานของคีตาเหมือนเดิม
อาร์ทูโรตวัดดวงตาหรี่เล็กมามองผมขวางๆ ก่อนจะสะบัดสะบิ้งจนน่าตบให้คว่ำ เอื้อมมือมาแย่งคุกกี้ของคีตาอีก
“ไม่เอาสิอาร์ แบ่งให้คีตากินบ้าง” ริชาร์ดเห็นท่าทางลูกตัวเองอย่างนั้นก็ดุขึ้นมาบ้าง แต่ก็ดุแบบขอไปทีแหละนะ และก็ไม่ได้ทำให้อาร์ทูโรหยุดได้เลย ผมก็เลยคว้ามือเล็กนั่นออกจากจานคุกกี้ จับอาร์ทูโรให้นั่งประจำที่ตัวเองดีๆ เหมือนเดิม
“อ๊าๆ!” อาร์ทูโรส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยขัดใจ แล้วก็เอื้อมมือมาแย่งขนมของคีตาอีกครั้ง คีตาก็นั่งเฉย ปล่อยให้อาร์ทูโรแย่ง มองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งๆ ไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น
หนักกว่านั้นคือพออาร์ทูโรคว้าคุกกี้ได้ และพอผมร้องเตือนแอะเดียว อาร์ทูโรก็ขว้างคุกกี้ใส่หน้าผากคีตา ผมถึงกับกำมือแน่น
เดี๋ยวกูก็ตบคว่ำซะหรอกไอ้ลูกเจ๊ก! แกล้งลูกกูเหรอ!
หายใจเข้าออก นับหนึ่งถึงสิบช้าๆ ข่มใจไม่ให้รังแกเด็กเป็นพัลวัน สายตาก็เหลือบมองคีตาที่นั่งนิ่งเหมือนเดิม มองอาร์ทูโรราวกับไม่เข้าใจว่าอาร์ทูโรขว้างคุกกี้ใส่ตัวเองทำไม ก่อนจะหยิบคุกกี้ชิ้นนั้นที่ตกอยู่ตรงหน้าขึ้นมาส่งให้อาร์ทูโรอีก ส่วนลูกไอ้เจ๊ก... พอรับคุกกี้ไปได้ก็ขว้างใส่หน้าลูกผมอีกครั้ง แล้วก็ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ คีตาก็ทำหน้านิ่งๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
เห็นลูกตัวเองแล้วผมก็ถอนหายใจ นี่ก็เหมือนคีธอย่างกับถอดแบบกันออกมา ทั้งที่หน้าตาคล้ายกับผมมากกว่าคีธแท้ๆ แต่ดันนิสัยเหมือนคีธเสียได้ สงสัยจะเป็นเพราะคีธเป็นคนเลี้ยงล่ะมั้ง ถึงได้มึนๆ อึนๆ ตามกันไปแบบนั้น
“อย่าทำแบบนี้สิ ไม่น่ารักเลยลูก” ริชาร์ดเห็นลูกตัวเองเกเรก็ลุกขึ้นมาปราม ดึงคุกกี้ชิ้นใหม่จากมือเล็กที่อาร์ทูโรตั้งใจจะขว้างใส่คีตาอีกออกไปวางใส่ในจานเหมือนเดิม
พอถูกขัดใจก็เบะปากเป็นเป็ด น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะ ก่อนจะแหกปากร้องไห้จ้าขึ้นลั่น
“แง!”
เส้นประสาทตรงขมับผมกระตุกยิกๆ ผมไม่ชอบเสียงร้องของเด็ก มันน่ารำคาญ ดีที่คีตาแทบไม่เคยร้องงอแง นานๆ ทีจะมีร้องบ้าง ผมก็เลยไม่ชินกับเสียงแหลมๆ นี้
และพอลูกมันร้อง ริชาร์ดก็คว้าคุกกี้อันเดิมที่หยิบใส่จานเมื่อกี้มาคืนลูกตัวเองทันใด
“โอ๋ๆ นะ อย่าร้องนะครับคนดี ไม่ร้องนะ อ่ะ พ่อเอาให้แล้ว”
ไอ้ริชาร์ด! มึงอย่าสปอยล์ลูกด้วยการยุให้ลูกมึงเอาขนมปาใส่ลูกคนอื่นสิวะ!
ผมเห็นก็ไปแย่งคุกกี้จากอาร์ทูโรก่อนที่จะได้ปาใส่คีตาออก คราวนี้เด็กนั้นร้องไห้หนักกว่าเดิม แหกปากลั่นจนผมอยากจะจับมาเขย่าให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้รู้เลยว่าริชาร์ดมันเลี้ยงลูกแบบตามใจ ยิ่งเห็นแอสตันเข้ามาอุ้มอาร์ทูโรที่ร้องไม่หยุดโยกตัวโอ๋ไปมาด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งหงุดหงิด
พวกมึงเลี้ยงลูกประสาอะไรกันวะ! ตามใจเกินไปแล้ว!
“พวกนายตามใจอาร์มากไปหรือเปล่าวะ” แล้วผมก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้
สองผัวเมียนั่นชะงักจากการโอ๋ลูกหันมามองหน้าผมทันใด ก่อนริชาร์ดจะยิ้มแห้งๆ
“ก็รู้อยู่หรอกว่าเลี้ยงตามใจน่ะ ช่วยไม่ได้ อาร์น่ารักนี่นา”
น่ารักกับผีสิ! หน้าตาก็กวนโอ๊ย นิสัยยังไม่ดีอีก ลูกมึงไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนนะเว้ย!
“แต่สนับสนุนให้ลูกรังแกเด็กคนอื่นนี่มันไม่ใช่เรื่องแล้วนะเว้ย” ผมว่าไปตามจริง ริชาร์ดก็ยิ้มแหยยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าไม่ทำแบบนั้น อาร์ก็ร้องไม่หยุด ไม่เป็นไรหรอก คีตาใจดีเนอะ ไม่ถือสาใช่มั้ยครับคีตา” แล้วมันก็หันไปขอความเห็นคีตาที่นั่งมองเหตุการณ์หน้าตาย
ผมถึงกับหันไปคว้าถาดลาซานญ่า ทำท่าจะฟาดริชาร์ด มันเลยรีบยกมือป้อง ปากก็หัวเราะไปด้วย
“เฮ้ยๆ ล้อเล่นๆ นี่ก็คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ ใครจะให้ลูกตัวเองไปแกล้งคีตากันล่ะ”
ก็มึงนี่แหละที่ให้ลูกมึงมาแกล้งลูกกูเนี่ย!
คีธเห็นผมเอาจริงก็เลยคว้าข้อมือผมที่ถือถาดลาซานญ่าอยู่ให้วางลง ก่อนจะดึงผมนั่งลงด้วย
“ใจเย็นก่อนกวินทร์ พระชายาทรงตรัสล้อเล่น”
“จะไปเข้าข้างมันทำไม เข้าข้างครอบครัวตัวเองสิวะ” ผมแหวใส่ คีธทำหน้าตายเหมือนกับคีตาไม่มีผิด ส่วนริชาร์ดก็หัวเราะหนักขึ้น จังหวะเดียวกับที่อาร์ทูโรกระจองอแง คว้าเอาขวดนมบรรจุน้ำส้มของคีตาที่วางอยู่ใกล้ๆ ไปถือ พอแอสตันที่อุ้มอยู่ดึงออกจากมือเล็ก อาร์ทูโรก็ร้องดังกว่าเดิม คราวนี้ไม่ร้องอย่างเดียว ดีดดิ้นพล่านๆ ในอ้อมกอดพ่อมันด้วย เห็นแล้วผมก็หัวเสีย แถมริชาร์ดยังโอ๋ลูกด้วยการไปเปิดตูเย็น เอาน้ำส้มเทใส่ขวดนมขวดใหม่มาให้อีก แต่อาร์ทูโรไม่เอา ร้องจะเอาขวดนมของคีตาให้ได้ คีตาเห็นแบบนั้นก็หยิบขวดนมตรงหน้าตัวเองส่งให้ เป็นสัญญาณว่า ‘ให้’
“ให้อาร์เหรอครับ” ริชาร์ดถาม
คีตาพยักหน้า ริชาร์ดก็เลยรับขวดนมไปให้อาร์ทูโรถือ ตอนนี้แหละที่เสียงแหลมๆ นั่นเงียบลงได้
ผมเห็นแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะว่าเปรยขึ้นมา
“ฉันว่าพวกนายเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉันมากเกินไปว่ะ ระวังเถอะ ลูกจะเสียคน แล้วนี่ถึงกับมาแย่งของกินลูกฉัน มันหมายความว่าไงวะ”
ถึงผมจะรู้ว่าอาร์ทูโรมีศักดิ์เป็นเจ้าชาย จะโดนเลี้ยงแบบตามใจก็ไม่แปลกก็เถอะ แต่ก็อดจะด่าสองผัวเมียนี่ไม่ได้ แอสตันกับริชชาร์ดยิ้มเจื่อน ก่อนคีธจะโพล่งขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอกน่ากวินทร์ คีตาเป็นลูกผู้พิทักษ์ ยังไงก็มีหน้าที่เสียสละให้องค์ชายอยู่แล้ว เรื่องปกติ”
ผมชะงัก หันไปมองหน้าคีธตาเขียวทันควัน ไม่ได้ตาเขียวเพราะมันเข้าข้างอาร์ทูโรนะ แต่ตาเขียวเพราะมันจะให้ลูกไปรับใช้ไอ้เด็กเอาแต่ใจนี่ต่างหาก
“ใครว่าฉันจะให้คีตาเป็นผู้พิทักษ์วะ เรื่องเถอะ ฉันจะปั้นลูกให้เป็นดาราเด็กเว้ย!”
“แต่คีตาเป็นลูกผู้พิทักษ์...”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการให้คีตาไปดูแลเด็กเจ๊กนิสัยเสียนี่วะ!” ผมเริ่มลามไปแขวะลูกเจ้านายมัน
คีธเลยรีบหันไปค้อมหัวให้เป็นเชิงขอโทษ ริชาร์ดกับแอสตันไม่ถือสาเพราะรู้ว่าลูกตัวเองเป็นไง ก่อนคีธจะพูดกับผมอีกครั้ง
“คีตาโตขึ้นเมื่อไหร่ จะต้องไปดูแลองค์ชาย”
“บอกแล้วไงจะปั้นให้เป็นดาราเด็ก นายอยากเป็นก็เป็นไปคนเดียวสิโว้ย!” ตอนนี้ผมเริ่มโวยวายเสียงดังเมื่อคีธเอาแต่ดึงดันว่าจะให้ลูกไปดูแลไอ้เด็กหน้าตาบอกบุญไม่รับนั่น
พอเห็นผมไม่ยอม มันก็คว้ามือผมมาจับแน่น ก่อนเรียกชื่อ
“กวินทร์...”
“ไม่ต้องมากวินทร์เลย ยังไงฉันก็ไม่ยอม ฝันไปเถอะ” พูดจบก็ลากเก้าอี้คีตาเข้ามาใกล้ๆ ราวกับกลัวว่าคีธมันจะแย่งลูกไป
ริชาร์ดกับแอสตันถึงกับหัวเราะกับท่าทางแข็งข้อของผม
“ถ้าจะแย่งลูกกันอย่างนี้ นายก็ทำอีกคนไปเลยสิวะ คนนึงให้เป็นผู้พิทักษ์ อีกคนก็ปั้นให้เป็นดารา จะได้ไม่ต้องแย่งกัน” ริชาร์ดเสนอความคิดขึ้นมา
คีธหันไปมองหน้าริชาร์ด เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่จะวางไข่คีตาเคยพูดไว้ว่าอยากมีลูกสองคน ผมก็จำได้แต่ไม่สนใจ สนใจแต่สิ่งที่ริชาร์ดพูดนั่นแหละ
“ถึงจะมีลูกสองคน ฉันก็ไม่ให้ไปเป็นผู้พิทักษ์ ดูแลลูกนายหรอก นิสัยเสียอย่างนั้นจะได้พาลูกฉันเสียคนตามไปด้วย” ตบท้ายด้วยการแขวะอีกที
อาร์ทูโรที่เงียบปากไปแล้วเริ่มเบะขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกผมว่า ยิ่งเห็นสายตาดุๆ ของผมด้วยแล้ว ก็เริ่มบรรเลงเสียงร้องไห้อีกครั้ง แอสตันเลยต้องขอตัวพาลูกไปโอ๋ที่ห้องนั่งเล่นแทน ริชาร์ดเดินเข้ามานั่งข้างผม ชวนคุยไปเรื่อยหลังจากที่ผัวมันออกจากครัวไป
“ไม่ดูแลก็ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้ลูกนายมาดูแลลูกฉัน แต่ฉันแค่เสนอความคิดให้พวกนายเฉยๆ จะได้ไม่ต้องแย่งลูกกัน คนนึงก็ให้คีธไป อีกคน นายก็เอาไป”
“นายอยากมีก็มีเองสิ คลอดแค่คนเดียวก็สยองขวัญจะแย่แล้ว ให้คลอดอีกคนล่ะก็ไม่เอาหรอก” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจ ป้อนขนมคีตาไปเรื่อย ส่วนริชาร์ดก็หัวเราะลั่นเมื่อได้ยินผมพูดเรื่องคลอด
“เออ ก็สยองจริงแหละ ตอนฉันคลอดอาร์นี่ถึงกับเป็นลมไปเลย แต่ก็เอาเถอะ ตัดสินใจเองแล้วกัน แต่ฉันว่าพวกนายน่าจะมีลูกสักสองคนนะ ไม่งั้นนายก็ครองลูกคนเดียว ไม่แฟร์กับคีธนะเว้ย”
ไม่แฟร์นี่คงจะหมายถึงเรื่องที่ผมตัดสินใจเรื่องลูกโดยไม่ถามความเห็นคีธล่ะมั้ง แต่ผมก็ไม่สนใจ ชวนคุยเรื่องอื่นไปแทนเพราะไม่อยากจะหัวเสียเรื่องเด็กๆ เท่าไหร่นัก
เราพูดคุยกันอย่างออกรสอีกครั้ง ผมเหลือบเห็นสายตาคีธที่มองผมเป็นระยะอย่างสงสัยราวกับว่ามันมีอะไรในใจ เดาเลยนะว่ามันต้องคิดเรื่องที่จะมีลูกอีกคนกับผมแน่ๆ
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Epilogue]--26/01/59[หน้า10]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-01-2016 17:38:17
Extra: Kinn is our second kid[2]
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อพวกเรากลับมาถึงบ้าน หลังจากที่มันอุ้มคีตาไปนอนที่ห้องเรียบร้อยแล้ว มันก็จัดการลากผมเข้าห้องนอนอย่างไม่รีรอ ผมพยายามร้องถามมันว่าจะทำอะไร แต่ก็โดนมันผลักลงบนเตียง กระชากเสื้อผ้าออกจากตัว เตรียมกินเป็นที่เรียบร้อย
“อะ...อะไรของนายเนี่ย ทำไมจู่ๆ ถึง...อา...” ผมพยายามร้องถามขณะที่ถูกปลายลิ้นอุ่นร้อนรุกรานบริเวณยอดอก แต่ถามได้ไม่ทันจบประโยค คำพูดมากมายก็หายไปเมื่อริมฝีปากเข้าครอบครองส่วนอ่อนไหวสีชมพูนั่น
“คีธ...”
ยิ่งผมเรียกชื่อ คีธก็ยิ่งกดจมูกตัวเองลงบนยอดอกผมมากขึ้น จากแค่โล้มไล้ด้วยปลายลิ้น ก็เริ่มซุกซนด้วยการขบเม้มด้วยฟันสลับไปมา ผมเลยยุติความคิดที่จะถาม ปล่อยตัวปล่อยใจให้คีธเล่นสนุกกับร่างกายตัวเองตามใจ
คีธผละริมฝีปากจากหน้าอก ไล่พรมจูบลงต่ำไปเรื่อยๆ จนถึงกลางลำตัว มือข้างหนึ่งกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมเอาไว้ มืออีกข้างก็ลูบไล้โคนขาด้านในไปมา
ผมผงกหัวขึ้นมามองคีธเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าคีธเอาแค่หยอกเย้ายอดแก่นกายด้วยปลายนิ้วจนของเหลวไหลซึมออกมาไม่หยุด คีธยิ้มให้ผมก่อนที่จะโน้มใบหน้าลงจุมพิตปลายยอดเบาๆ ผมกระตุกเฮือก และกระตุกหนักขึ้นไปอีกเมื่อคีธจัดการครอบครองส่วนนั้นด้วยโพรงปาก
“คีธ... อา...” ผมครางออกมาไม่ได้ศัพท์ แต่ก็พยายามจะไม่ส่งเสียงดังมากด้วยเกรงว่าจะทำคีตาตื่น
แต่ถึงจะบังคับไม่ได้ส่งเสียงดังอย่างไร ผมก็หลุดออกมาจนได้ สุดท้ายก็เลยต้องยกมือขึ้นปิดปาก ช่วยไม่ให้ส่งเสียงมากกว่าเดิมขึ้นอีกอย่าง
“พะ...พอแล้ว อื้อ...”
ผมกำเส้นผมของคีธที่ยังวุ่นวายกับกลางลำตัวของผมไม่หยุด สะโพกกระถดถอยหนีแต่ก็ไม่อาจหนีได้ ยิ่งหนี คีธก็ยิ่งรุกล้ำจนผมต้องเอ่ยปาก
“ฉะ...ฉันอยากทำบ้าง”
คราวนี้คีธยอมหยุด ชำเลืองสายตามามองใบหน้าผมพลางหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยอมถอนโพรงปากออกจากแก่นกายผม
“มาสิ” แล้วก็ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ พร้อมกับร้องเรียก
ผมลุกขึ้นนั่ง ขยับเข้าไปใกล้และยื่นมือไปปลดตะขอกางเกงของคีธออก ส่วนแข็งขันดันเนื้อผ้ากางเกงบ็อกเซอร์ออกมาให้เห็นเป็นทรงนูน ผมยื่นมือไปแตะก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน ก่อนจะจัดการปลดเปลื้องมันออกมาสัมผัสอากาศด้านนอก โน้มใบหน้าลงไปจัดการอย่างเดียวกับที่คีธทำให้ผมบ้าง
ครู่เดียว ผมก็ได้ยินเสียงหายใจหอบน้อยๆ จากร่างใหญ่ขึ้นมา รวมถึงรู้สึกถึงมือใหญ่ที่ลูบอยู่หลังท้ายทอยด้วย ผมเร่งจังหวะขึ้นด้วยอยากจะรังแกคีธอย่างที่ถูกคีธรังแกบ้าง ทว่าคีธไม่ยอมให้ผมได้ทำตามใจได้ดีนัก เลื่อนมือมารุกรานช่องทางด้านหลังของผมขณะที่ผมอยู่ในท่าคุกเข่าก้มโค้งตรงหน้ามัน
“อือ... อย่าเพิ่ง”
ผมพยายามร้องห้าม แต่ก็เท่านั้นแหละ คีธไม่สน ใช้สารอาหารที่อยู่ปลายนิ้วแทนเจล ลูบไปมาบริเวณปากทางก่อนจะส่งนิ้วเข้าไปทีละน้อย จากนิ้วเดียวก็กลายเป็นสองนิ้ว ไม่นานการเคลื่อนไหวยากลำบากก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น ร่างกายผมตอบสนองเป็นสัญญาณว่าพร้อมแล้ว คีธจึงดึงผมออกจากตัวเอง ดันให้นอนราบไปบนเตียง พอผมนอน คีธก็จับให้ผมนอนคว่ำ มือใหญ่รั้งสะโพกผมให้ยกขึ้นสูงเล็กน้อย ผมเบิกตาโพลง หันไปมองมันทันทีที่จู่ๆ ก็ถูกจับให้อยู่ท่านี้
“เฮ้ยคีธ ท่านี้มันไม่โอ...อา...” ผมร้องบอก
แต่คีธก็ไม่ฟัง ขยับตัวเข้ามา แทรกส่วนอุ่นร้อนเข้ามาในกายผม ผมเลยต้องก้มหน้าลงบนฟูก ข่มกลืนความอัดแน่นที่ถูกส่งเข้ามาในตัวแทน ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงร่างใหญ่ถึงส่วนลึก ครั้งนี้รู้สึกมากกว่าที่เคย ยิ่งรู้สึกมากขึ้นไปใหญ่เมื่อมือของคีธเอื้อมมือเกาะกุมกลางลำตัวของผมและรูดรั้งไปมาด้วย
มือทั้งสองของผมกำผ้าปูที่นอนแน่น ปากก็กัดหมอนไปด้วยเพราะเกรงว่าจะทำเสียงดัง แต่คีธก็ทำให้ผมต้องครางออกมาอย่างลืมตัวจนได้เมื่อมันเร่งจังหวะขึ้น ความวาบหวามประเดประดังเข้ามาจนผมไม่อาจทรงตัวได้อยู่พร้อมกับของเหลวข้นที่ไหลท่วมมือคีธ คีธเองก็เช่นเดียวกัน พอเห็นผมไปถึงฝั่งก็ตามมาติดๆ ก่อนเสียงลมหายใจเหนื่อยหอบของมันจะดังขึ้นประสานกับเสียงหายใจของผม
ไม่ใช่แค่เมื่อครู่ที่เรามีเซ็กส์กันด้วยท่าทางใหม่ หลังจากนั้น คีธก็จับผมลองสิ่งใหม่ๆ อีกหลายอย่าง เรียกได้ว่าแทบไม่มีมุมห้องตรงไหนเลยที่ไม่ได้ผ่านพวกผม ผ่านไปค่อนคืน ผมก็ชักจะไม่ไหว ฟุบหน้าลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากมีอะไรอย่างดุเดือดกับมันชนิดแทบไม่ได้หยุดพัก
“รักนะกวินทร์” คีธกระซิบบอกผมขณะที่ตระกรองกอดผมไว้แน่น
“รักเหมือนกัน” ผมตอบรับโดยไม่ลืมตา
“วันนี้กวินทร์ชอบมั้ย”
ผมรู้ว่ามันหมายถึงเซ็กส์วันนี้นี่แหละ ผมเลยพยักหน้ารับให้มัน
“อืม แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ดุเดือดเกิน” อันนี้คือความจริง ดุเดือดเกินไป รอบแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่รอบสอง สามและสี่นี่ผมจะตายเอา ผมรู้เลยว่าพวกยูนิกม่านี่บางทีก็ยั้งพละกำลังของตัวเองไม่เป็นพอๆ กับเซนไทน์นั่นแหละ
“ขอโทษนะ” คีธว่าเบาๆ แล้วจูบหน้าผากผม
ผมไม่ได้ตอบรับอะไร อยากจะนอนอย่างเดียว ร่างกายตอนนี้เรียกร้องที่จะหลับให้ได้ ทว่าพอเคลิ้มๆ คีธก็เรียกขึ้นมาอีก
“กวินทร์”
“อะไร” ผมกระชากเสียงเล็กน้อยอย่างรำคาญ แต่ก็ต้องหยุดเมื่อมันพูดประโยคถัดไปออกมา
“ตอนนี้เรามีคีธน้อยแล้วนะ แล้วกวินทร์น้อยล่ะ กวินทร์อยากมีมั้ย”
ผมลืมตาขึ้นมามองหน้ามันทันที รู้เลยว่ามันหมายถึงอะไร
มึงจะวางไข่ใส่แล้วแหกสะดือกูเอาลูกออกมารอบสองเหรอไอ้คีธ! นี่คงจะหลงไปกับคำยุแยงของไอ้ริชาร์ดล่ะสิ แล้วที่มึงมีอะไรกับกูแบบดุเดือดเมื่อกี้ก็คงจะหาจังหวะตะล่อมขอกูวางไข่ด้วยล่ะสินะ!
“พอเลย มีคนเดียวก็พอแล้ว ไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธ คิดถึงตอนคลอดคีตาก็ขยาดขึ้นมา
แต่คีธมันฟังมั้ยล่ะ... ไม่ ไม่ฟังแล้วยังเอาหัวมาวางตะแคงบนอกผม ส่งเสียงออดอ้อนอย่างที่ไม่เคยทำอีก
“พ่อกวินทร์... พ่อคีธอยากได้กวินทร์น้อย”
มึงอย่ามาทำตัวปัญญาอ่อนแถวนี้นะเว้ย! คิดว่าทำตัวน่ารักแล้วกูจะยอมใจอ่อนหรือไงวะ!
“ไม่” ผมข่มใจ ปฏิเสธมันไปอีกรอบ คราวนี้คีธทำแก้มป่องๆ ขึ้นมา มองดูแล้วอย่างกับแก้มยุ้ยๆ ของคีตาไม่มีผิด
“นะ พ่อกวินทร์นะ พ่อคีธอยากได้กวินทร์น้อย คีตาจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย คีตาก็บอกว่าอยากมีน้อง”
มึงไม่ต้องเอาคีตามาอ้างเลย มึงอยากได้เองทั้งนั้น ลูกไม่ได้พูดสักแอะว่าอยากมี อย่าว่าแต่พูดเลย เรียกพ่อยังไม่เรียกด้วยซ้ำ!
“ก็บอกว่าไม่ นายอย่าไปหลงกับคำพูดริชาร์ดสิวะ มันลำบากฉันนะเว้ย” ผมเริ่มโวย ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้วที่มันฟังริชาร์ดเกินเหตุ
มันก็ไม่ฟังอยู่ดีนั่นแหละ ทำแก้มป่องกับแววตาออดอ้อนเป็นลูกหมาไม่ได้ผลแล้ว ก็เลยเปลี่ยนสายตาเป็นสายตาน่าสงสารแทน
“ก็พ่อกวินทร์ชอบตัดสินใจเรื่องลูกคนเดียวตลอดเลยนี่นา พ่อคีธก็อยากจะตัดสินใจเรื่องลูกบ้าง”
มึงมาพ่อคีธ พ่อกวินทร์อะไรอยู่ได้ รู้มั้ยว่ามันนะ...น่ารัก
ผมเข้าใจเหตุผลมันนั่นแหละ แต่ไม่อยากคลอดลูกนี่หว่า เลยหันหนีโดยไม่พูดอะไรแทน แต่คีธก็ไม่หยุด ขยับใบหน้ามาใกล้ผมแล้วขอร้องอีกครั้ง
“นะครับพ่อกวินทร์ นะๆ พ่อคีธสัญญาว่าจะไม่รักพ่อกวินทร์น้อยลง ไม่รักคีตาน้อยลงด้วย แต่จะรักให้มากขึ้น แล้วก็รักคินน์ให้มากๆ ด้วย วางไข่คินน์กันเถอะนะ”
ฟังคำพูดอ้อนๆ ของมันแล้ว ผมก็ขนลุกแปลกๆ แต่มันก็น่ารักแปลกๆ เหมือนกัน ยิ่งมันพูดชื่อลูกคนที่สองที่มันตั้งเองไปมาแบบนี้ด้วยแล้ว ใจผมก็อ่อนยวบทันที
“นายนี่มันดื้อด้านชะมัด เออๆ มีก็มี”
คีธยิ้มกว้างจนเห็นฟัน ประทับจูบผมอย่างไม่รอช้า ส่งไข่คินน์เข้ามาในปากผมทันทีทันใดด้วย ราวกับว่าถ้าชักช้ากว่านี้ผมจะเปลี่ยนใจ ผมหัวเราะในลำคอ ยอมกลืนไข่ลูกคนที่สองที่มันใช้ลิ้นดุนเข้ามาลงคอไปแต่โดยดี พอจัดการวางไข่เรียบร้อย คีธก็ผละออกมาจูบพรมหน้าผมไปทั่วจนน่ารำคาญ ผมผลักหน้ามันออกแล้วแหวใส่
“อะไรของนายนักหนาเนี่ย ทำอย่างกับไม่เคยมีลูก ลูกก็มีคนนึงแล้ว ยังจะตื่นเต้นอยู่ได้”
“ตื่นเต้นสิ ก็คีตาน่ะคีธน้อย แต่คินน์คือกวินทร์น้อยนี่นา ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว”
ผมเห็นมันดีใจจนออกนอกหน้าก็ชักจะหมั่นไส้ ดีดหน้าผากมันไปที แต่มันก็ไม่สนใจ กอดผมแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก
“ขอบคุณนะกวินทร์ ฉันมีความสุขมาก”
ผมก็อยากจะบอกว่าผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าเหมือนตอนท้องคีตา แต่ผมก็อดใจรอดูหน้าลูกคนนี้แทบไม่ไหว ทว่าพอคิดถึงตอนแพ้ท้องแล้วก็ต้องถอนหายใจ อดขู่คีธไปอีกครั้งไม่ได้
“บอกไว้ก่อนนะว่าถ้ารอบนี้นายทำฉันเหม็นล่ะก็ ไม่ต้องคิดจะได้แตะตัวฉันอีกเลย”
คีธพยักหน้า ทำปากยื่นราวกับยอมจำนน ผมเลยหัวเราะกับท่าทางนั้นก่อนที่คีธจะเลื่อนใบหน้าไปนอนแนบบนหน้าท้องผม
“คินน์อย่าเหม็นพ่อคีธนะครับ เดี๋ยวพ่อกวินทร์ไม่ให้พ่อคีธเล่นกับหนู”
ผมหัวเราะหนักขึ้นไปอีก ยื่นมือไปลูบหัวมันเบาๆ ปากก็พูดไปด้วย
“แล้วนายก็ทำใจไว้เลยนะว่าฉันจะรักนายน้อยลงกว่าเดิมอีกเยอะ เพราะจะแบ่งไปรักคินน์ด้วย เตรียมตัวเป็นมนุษย์ต่างดาวหัวเน่าได้”
คีธเงยหน้าขึ้นมองผมยิ้มๆ “รู้อยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก รักฉันน้อยลงก็ได้ แต่รักนานๆ นะกวินทร์”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าคีธมันน่ารักเป็นพิเศษ เห็นแล้วก็อดดันตัวขึ้นมากอดมันไม่ได้ มันดูงงๆ ไปเหมือนกันที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ก่อนที่ผมจะว่าเสียงเบา
“รักนานแน่ รักตลอดไป สัญญา”
คีธกอดผมตอบแน่นอยู่ครู่หนึ่ง พลันช้อนปลายคางผมให้สบตามัน สายตามันตอนนี้บ่งบอกชัดเจนว่ามีความสุขเพียงใด ก่อนที่มันจะจรดริมฝีปากลงมาบนเรียวปากผม กระซิบบอกด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ต่างกัน
“ฉันก็จะรักกวินทร์ตลอดไปเหมือนกัน รักคีตากับคินน์ด้วย เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะไม่รักตลอดไปได้ไง”
ผมยิ้ม ไม่ตอบรับใดๆ นอกจากซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้างเท่านั้น
อือ... มีความสุข การเป็นครอบครัวนี่มันมีความสุขแบบนี้นี่เองสินะ
ชักจะรอให้คินน์ออกมาดูโลกไม่ไหวแล้วแฮะ...

The End
--------------------------------------------
จบอย่างเป็นทางการแล้วค่ะสำหรับเนื้อเรื่องหลัก แล้วจะมาทยอยอัพตัวอย่างของตอนพิเศษทุกตอนให้ (อัพแค่บางฉากเท่านั้น เรียกน้ำย่อย ใครอยากอ่านเต็มๆ ให้ไปจองหนังสือ) แล้วก็อัพตัวอย่างเล่ม Alien's Kids กับ Alien's Honeymoon ด้วย

ปล.อย่าลืมจองหนังสือเค้าน้า จองได้ถึงวันที่ 15 มี.ค.59 นะจ๊ะ รายละเอียดเพิ่มเติม ตามเข้าไปที่แฟนเพจเน้อ https://web.facebook.com/NooDangzzz/
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Extra]--27/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-01-2016 20:59:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Extra]--27/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 27-01-2016 21:18:19
อยากรู้ว่าสุดท้ายเด็กๆมีใครได้เป็นผู้พิทักษ์ให้อาร์ทูโรไหม555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Extra]--27/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-01-2016 21:20:28
อยากรู้ว่าสุดท้ายเด็กๆมีใครได้เป็นผู้พิทักษ์ให้อาร์ทูโรไหม555

บอกไว้ก่อนเลยแล้วกันว่าคีตาได้เป็นจ้า ส่วนคินน์ก็ได้เป็นขุ่นเมียของลูกๆซีเลนนะ คู่นี้3P ไปติดตามใน side story เล่มลูกได้จ้า
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Extra]--27/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 27-01-2016 21:21:15
น่ารัก  :mew1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Extra]--27/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 27-01-2016 22:21:36
กวินทร์นี่เกรียนเสมอต้นเสมอปลายดีจริงๆ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Extra]--27/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-01-2016 20:31:12
ตัวอย่างตอนพิเศษ: แก๊งเกรียนเอเลี่ยน [1]

ตอนแรกว่าจะเริ่มอัพอาทิตย์หน้าค่ะ แต่อดใจไม่ไหว เอาตัวอย่างไปก่อนตอนนึงแล้วกัน
หนูแดงจะอัพตัวอย่างตอนพิเศษให้อ่านกันทุกตอนนะคะ เผื่อคนที่ยังไม่ได้จองหนังสือจะอยากรู้ว่าแต่ละตอนในตอนพิเศษมีเนื้อหาเป็นยังไง แต่ก็แค่ฉากนึงเท่านั้นแหละเนอะ

ประเดิมตัวอย่างตอนพิเศษแรกในเล่มหลักของคีธกับกวินทร์เลยจ้า ขุ่นแม่ พี่แก้ว พี่กิ่ง ของวินนี่ออกโรงแล้วววว
---------------------------------------------------

Special Episode [Kieth & Kawin 1]: Mom, I have a…husband

พอได้เวลา ผมก็ห้อตะบึงมาที่สนามบินด้วยความเร็วแสง จอดรถได้ก็ไม่รอช้า กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปยังบริเวณจุดรอผู้โดยสารขาออก สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ ตัว หาคนคุ้นตาพร้อมกับหายใจหอบเหนื่อยจากการวิ่งเมื่อครู่ไปด้วย
กวาดมองได้ไม่เท่าไหร่ ใจก็เต้นระทึกเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างของผู้หญิงสามวัย สามคนเดินนวยนาดเข้ามาใกล้ คนหนึ่งเป็นสาววัยกลางคน ตีกระบังลมโต้ทอร์นาโดในอเมริกามาแต่ไกล เครื่องเพชรก็แวววาวเต็มตัวประหนึ่งดั่งคุณหญิงคุณนายไฮโซไม่มีผิด คือก็ดูดีอยู่หรอก แต่พอมาแต่งแบบนี้ในอเมริกาแล้ว ดูแหม่งๆ ยังไงไม่รู้ ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวใบหน้าอ่อนหวาน แต่งตัวก็อ่อนหวาน ลูกไม้ระบายจับจีบรอบชายกระโปรง ดูเผินๆ อย่างกับพจมานหลุดออกมาจากบ้านทรายทองก็ไม่ปาน ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนกับผู้หญิงคนที่สองไม่มีผิด แต่งตัวด้วยแบรนด์เนมทั้งชุดราวกับหลุดออกมาจากแฟชั่นโชว์
สามคนนั้นดูโดดเด่นกว่าชาวบ้านชาวเมืองในสนามบินมาก โดดเด่นถึงขนาดพวกฝรั่งถึงกับหยุดยืนมองตามกันเป็นทิวแถว ไม่ใช่ว่าหยุดยืนเพราะดูดีหรือเพราะเป็นเอเชียหรอกนะ แต่หยุดยืนดูด้วยสีหน้าระบายคำถามว่าพวกนี้หลุดมาจากสวนสัตว์ไหนต่างหาก
ที่สำคัญ สามคนนั้นน่ะ... แม่กับพี่สาวทั้งสองของผมเอง
เห็นทั้งสามมองซ้ายขวาหาผม ผมก็รีบหันหนี ตอนแรกกะว่าจะทักแต่ตอนนี้ไม่เอาละ กลัวจะเด่นจนถูกมองตามไปด้วย เลยตัดสินใจว่าจะออกไปที่ลานจอดรถแล้วค่อยโทรบอกให้พวกนั้นตามออกมา หากแต่พอจะก้าวเดิน เสียงแจ๋นๆ ของสาวที่อาวุโสที่สุดก็ดังเรียกไว้ทันที
“วินนี่! นั่นลูกจะไปไหนน่ะ!”
ผมชะงักกึก รู้สึกได้ถึงสายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องมายังผมในเสี้ยววินาที ตอนนี้จะหนีก็หนีไม่ได้ละ เลยได้แต่หันไปยิ้มแหยๆ ให้แม่ที่เดินเร็วๆ เข้ามาหาผมแทน
“วะ...หวัดดีฮะแม่” ผมทักกลับ
แม่เดินมาหยุดตรงหน้าก่อนจะพุ่งเข้ามากอด แล้วคว้าเอาหน้าผมไปหอมซ้ายขวาหลายฟอด
“ว่าไงเจ้าตัวดี ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องเลยนะ รู้มั้ยว่าแม่คิดถึงเนี่ย” หอมเสร็จก็ว่าเชิงเอ็ด แต่ไม่ได้จริงจังนัก แล้วก็ตามมาด้วยหอมอีกระลอกจนผมต้องรีบดันแม่ออกห่าง
“แม่พอแล้ว หอมหนูจนแก้มจะช้ำหมดแล้วเนี่ย”
“ดีสิ เอาให้ช้ำไปเลย โทษฐานที่ไม่ยอมกลับบ้านมาให้แม่เห็นหน้าตั้งหลายปี แม่เลยต้องให้พี่แก้ว พี่กิ่งพาแม่มาหาลูกถึงที่เนี่ย”
แม่ทำปากยื่นๆ หันไปทางหญิงสาวแต่งตัวหวานที่เดินมาสมทบแล้วยิ้มให้ผม เธอชื่อแก้วตา เป็นพี่สาวคนโต อายุห่างจากผมสิบเอ็ดปี ตอนนี้เธอก็อายุสามสิบหกแล้วล่ะเพราะปีนี้ผมอายุยี่สิบห้าแล้ว ส่วนหญิงสาวอีกคนที่ลากกระเป๋าเข้ามาด้วยสีหน้าเหวี่ยงๆ นั่นคือพี่กิ่ง หรือกิ่งแก้ว คนนี้ก็อายุมากกว่าผมเก้าปี ตอนนี้ก็น่าจะสามสี่
แต่เรื่องอายุมันไม่สำคัญเท่ากับการที่จู่ๆ แม่กับพี่ๆ ของผมก็มาโผล่ในแอลเอแบบกะทันหัน ชนิดโทรมาบอกก่อนขึ้นเครื่องจนผมต้องรีบเคลียร์งานทั้งหมดเพื่อมารับนี่แหละ
“เป็นไงบ้างวินนี่ สบายดีนะ” พี่แก้วเป็นคนทัก เธอคลี่ยิ้มใจดีให้ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่แก้วดูอำมหิตยังไงพิกล อาจเป็นเพราะผมรู้ดีอยู่แล้วก็ได้ว่าพี่แก้วน่ะ ถึงจะเป็นพี่สาวใจดีแต่ก็เป็นคนระเบียบจัดและเฮี้ยบไม่เบา บางทีการยิ้มอ่อนๆ ของเธอก็หมายถึงการเตรียมตัวจัดการผมในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าเช่นเดียวกัน
ทว่าผมก็ทำเนียนไป ไม่กระโตกกระตาก นอกจากตอบรับ
“สบายดีครับ”
“มันก็ต้องสบายดีอยู่แล้วล่ะ ถ้าไม่สบายดี มันก็คงแจ้นกลับมาบ้านมาตั้งแต่เรียนจบแล้ว นี่อะไร เรียนจบแล้วก็ไม่ยอมกลับ อยู่ลากยาวถึงสองปี ไอ้อยู่ยาวน่ะไม่เท่าไหร่ แต่อยู่ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมแม่ เยี่ยมพี่เลยนี่มันน่านัก” พอผมพูดจบ เสียงแปร๋นๆ ของพี่กิ่งก็ดังขึ้นมาทันใด พร้อมตวัดดวงตาคมมามองผมอย่างตำหนิด้วย
ผมไม่ถือสากับคำก่นว่าของเธอเพราะผมก็ผิดจริงที่ไม่กลับไปเยี่ยมเยียนที่บ้านบ้าง แต่ผมก็มีเหตุผลนี่หว่า ลูกก็ยังเล็กอยู่ทั้งสองคน แถมผัวก็ปัญญาอ่อน จะปล่อยให้มันดูแลลูกคนเดียวก็ไม่ไว้ใจมันอีก อีแบบนี้จะกลับได้ไง
“อย่าไปว่าน้องเลยกิ่ง สงสัยอเมริกาจะมีอะไรดี วินนี่ถึงได้ติดใจ” แม่ห้ามทัพด้วยน้ำเสียงขำๆ
พี่กิ่งกับพี่แก้วก็เลยหัวเราะตามไปด้วย มีแต่ผมนี่แหละที่หัวเราะไม่ออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอ้ของที่ผมติดใจนี่คือลูกกับผัว
ละ...ลืมไปซะสนิทเลยว่าตอนที่แม่โทรมาบอกว่าจะมา ผมลืมเก็บลูกเก็บผัวไว้ในที่ปลอดภัย มัวแต่เคลียร์งานด่วน ยะ...อย่างนี้ตายแน่
“แล้วนี่เราจะยืนคุยกันตรงนี้อีกนานมั้ย พาพี่กับแม่ไปบ้านสิ เหนื่อยจะแย่ อยากพักแล้ว” พี่กิ่งพูดขึ้นมาอีก แล้วก็ส่งกระเป๋าลากใบใหญ่ให้ผม
ผมเก้ๆ กังๆ ขึ้นมา... ถะ...ถ้าสามคนนี้ไปที่บ้าน รับรองเลยว่าจะต้องรู้เรื่องที่ผมแอบมามีครอบครัวโดยไม่บอกแน่ แล้วพอรู้ ผมก็คงจะต้องโดนด่าเปิง ไม่ก็โดนลากกลับไทยแบบไม่มีข้อโต้แย้งแหงๆ ทะ...ทำไงดี
ผมยืนครุ่นคิดทันใดว่าควรจะทำยังไงต่อจากนี้ดี ท่าทางอึดอัดใจของผมทำให้พี่แก้วผิดสังเกต ก่อนจะเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่าวินนี่ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
คราวนี้ แม่กับพี่กิ่งหันมาจ้องผมเขม็ง ผมเลยยิ่งอึกอักเข้าไปใหญ่ จนแม่ต้องออกปากถามสมทบอีกคน
“มีอะไรอยากบอกแม่หรือเปล่าลูก”
แม่เป็นคนที่อ่านผมออกเสมอ พอถามมาแบบนี้ ผมก็ตัดสินใจทันทีเลยว่าควรต้องบอกความจริงไปก่อนที่ทั้งสามจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง พูดง่ายๆ คือรีบๆ เคลียร์ตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่มันจะเป็นเรื่องใหญ่บานปลายนี่แหละ
เท่านั้น ผมก็เผยอปากบอกความจริงออกมา
“แม่ครับ คือว่าหนู...” พูดได้ไม่จบประโยคก็ต้องเงียบ ไอ้การบอกความจริงว่าผมมีลูกแล้วนี่มันยากชะมัด
 “หนูอะไรลูก” สุดท้ายแม่ที่รอฟังอยู่ก็ต้องกระตุ้นให้ผมพูด
“หนู...” ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะโพล่งออกมาเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “หนูมีลูกแล้วนะครับ”
ทั้งแม่ ทั้งพี่ๆ ต่างเงียบนิ่ง มองหน้าผมด้วยดวงตาเบิกโต แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนพี่กิ่งจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง
“ก็กะไว้อยู่แล้วล่ะว่าที่แกไม่กลับบ้านก็เพราะไปไข่ไว้ที่ไหน นิสัยเสีย เจ้าชู้ มั่วไม่เลือกอย่างแกตั้งแต่อยู่ไทยแล้วด้วย ฉันพอจะเดาออกตั้งแต่ตอนแกมาเรียนที่นี่ใหม่ๆ แล้ว”
สิ้นเสียง แม่กับพี่แก้วก็พากันหัวเราะ แล้วแม่ก็พูดขึ้นมาอีก
“ไม่เป็นไรหรอก วินนี่เรียนจบแล้วนี่ หมดห่วงแล้ว จะมีลูก แม่ก็ไม่ว่าอะไร”
พี่แก้วพยักหน้าสมทบให้แม่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลย ยิ่งโดนถามคำถามต่อมา ผมยิ่งไม่สบายใจหนักขึ้นไปอีก
“แล้วลูกของวินนี่อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“สามขวบ”
ทุกคนเบิกตาโพลงทันใด
“แสดงว่าวินนี่มีลูกตั้งแต่ตอนเรียน?” แม่ถาม
ผมพยักหน้า แม่ชักสีหน้าใส่เล็กน้อย ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างระอา
“ลูกนี่จริงๆ เลยน้า”
“นั่นลูกคนแรกนะครับแม่” แล้วผมก็บอกความจริงไปอีกอย่าง คราวนี้แม่ถลึงตาใส่ผมเลย
“หมายความว่าวินนี่มีลูกสองคน?” พี่แก้วเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง ผมก็พยักหน้าอีก
“คนเล็กสองขวบน่ะ”
ตอนนี้แม่ถลาเข้ามาหยิกผมละ แต่หยิกไม่แรงนัก มีตีสำทับมาอีกทีอย่างหมั่นไส้
“เกเรจริงๆ นี่ถ้าลูกมีหลานให้แม่แต่เรียนไม่จบล่ะก็ แม่จะตีให้หลังอานเชียว”
เหมือนจะดุแต่น้ำเสียงก็ไม่ได้ดุอย่างจริงจังนัก ผมเลยเบาใจขึ้นมาได้นิดหน่อย ยิ่งเห็นแม่เผยอยิ้มแล้วถามเรื่องลูกๆ ผมด้วยแล้ว ผมก็รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกยังไงยังงั้น
“แล้วนี่หลานๆ ชื่ออะไรกันบ้างล่ะ”
“คีตากับคินน์ครับ”
“น่ารักเหมือนวินนี่มั้ย”
“ลูกครึ่งด้วยใช่หรือเปล่า”
พี่กิ่ง พี่แก้วทำหน้าตาตื่นเต้นทันใด แย่งกันถามจนผมไม่รู้ว่าจะตอบใครก่อนจึงได้แต่พยักหน้ารับไป แล้วทั้งสองก็กรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุดว่าอยากเห็นหน้าหลาน แม่เลยต้องปรามก่อนจะหันมาทางผมด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ
“จริงๆ แม่ก็อยากเห็นหน้าหลานๆ เหมือนกันนะ อยากรู้ว่าจะหน้าตาน่ารักเหมือนวินนี่ตอนเด็กๆ มั้ย ไปเถอะ รีบพาแม่ไปบ้านเร็ว”
ลูกผมก็ต้องน่ารักเหมือนผมอยู่แล้ว ไม่เหมือนผมแล้วจะให้ไปเหมือนใครล่ะ หากแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาก็คือ ผมบอกเรื่องลูกๆ ไปแล้ว และทุกอย่างก็ผ่านฉลุย แต่ยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอก แถมยังเดาไว้ในใจเองด้วยว่าคงจะไม่ผ่านแน่ ซึ่งนั่นก็คือเรื่องคีธนี่แหละ
ให้ตาย... ผมจะบอกแม่กับพี่ๆ ยังไงว่าผมไม่ได้มีเมีย แต่ผมมีผัวเนี่ย! บอกไปแล้วจะโดนกระทืบมั้ย!?
ผมมองทั้งสามคนที่กระตือรือร้นอยากเห็นหน้าคีตากับคินน์สุดฤทธิ์แล้วก็ใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าไปที่บ้าน ยังไงก็ต้องเจอคีธ เอาเป็นว่าผมรีบบอกไว้ก่อนดีกว่า จะได้ทำใจกันตั้งแต่เนิ่นๆ
หากแต่พอผมทำท่าจะเรียกแม่กับพี่ๆ เพื่อบอกความจริง พี่กิ่งก็โพล่งขึ้นมาก่อนราวกับเพิ่งนึกออกว่าลืมอะไรไป
“เออ แล้วเมียวินนี่เป็นคนที่ไหน คนอเมริกันใช่หรือเปล่า”
“ครับ”
“สาวแหม่มผมทอง ตาฟ้าด้วยป่ะ?”
ผมส่ายหน้า
“งั้นก็สาวผิวสีทรงโตล่ะสินะ สเป็กวินนี่ไม่ใช่เหรอ อึ๋มๆ น่ะ”
อึ๋มบ้าอึ๋มบออะไร มีแต่กล้ามเนื้อกับความหื่นทั้งนั้นแหละไอ้คีธน่ะ!
ผมทนให้พี่กิ่งเดาไปเรื่อยไม่ไหวอีกต่อไป ส่ายหน้าแล้วก็ออกปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่ พี่แก้ว พี่กิ่ง ฟังหนูนะ”
ทุกคนชะงัก จ้องหน้าผมอย่างสงสัย ผมเลยรีบชิงพูดต่อ
“หนูไม่ได้มีเมีย”
จากสีหน้าสงสัยในตอนแรกก็ดูสงสัยมากกว่าเดิมอีก
“ไม่ได้มีเมีย... แล้วลูกๆ นี่จะเป็นลูกของวินนี่ได้ไง” พี่แก้วถามหน้าเครียดทันใด
“คีตากับคินน์ก็ลูกของหนูนี่แหละ แต่หนูไม่ได้มีเมีย”
ทุกคนสงสัยหนัก ผมลำบากใจที่จะพูดด้วย ทว่าพี่กิ่งเหมือนจะจับทางได้ว่าผมหมายถึงอะไร เท่านั้นก็ทำหน้าตกใจ ก่อนจะมองหน้าแม่กับพี่แก้วซึ่งสบตากันฉับพลันราวกับรู้ทันว่าความจริงมันเป็นยังไง ก่อนพี่กิ่งจะครางออกมา
“อย่าบอกนะว่าวินนี่มี...ผะ...” แล้วก็เงียบไป คล้ายไม่กล้าเอ่ย
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด พยักหน้าช้าๆ พูดออกมาราวกับไม่กลัวตาย
“หนูไม่ได้มีเมีย... หนูมีผัว...”
“วะ...วินนี่!” แม่อุทานลั่น สีหน้านี่ตกใจยิ่งกว่าเห็นผีอีกที่รู้ว่าลูกชายตัวเองมีผัวแทนที่จะมีเมีย ก่อนจะหงายท้องตึง จนพี่แก้วกับพี่กิ่งต้องเข้าไปประคองอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องเรียกแม่ที่หน้าซีดเผือดไปด้วย
“แม่! ทำใจดีๆ ไว้นะคะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ!”
“มะ...แม่หัวใจจะวาย พาแม่ไปโรง’บาลที” แม่ยังพูดได้ แต่คือร่วงลงไปกับพื้นแล้ว
ผมถลาเข้าไปประคองแม่อีกคนขณะที่รอบข้างเริ่มวุ่นวายเพราะจู่ๆ ก็มีมนุษย์ป้าบ้าเครื่องเพชรเป็นลมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ใจก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกอกตัญญูขึ้นมาทันใด
นะ...หนูแค่มีผัวนะแม่ ใจเย็นๆ ก่อน แค่มีผัวเฉยๆ เอง! จะตกใจอะไรขนาดนี้เนี่ย!
-----------------------------------
ยังมีหน้ามาพูดว่าแค่มีผัวเฉยๆ เอง ขุ่นแม่ช็อกไปเรียบร้อยแล้วนังกวินทร์!! 555
กวินทร์มีชื่อเล่นว่าวินนี่นะคะ มีแค่แม่กับพี่ๆ ของนางเท่านั้นที่เรียก ส่วนนางก็เรียกแทนตัวเองว่าหนูกับแม่แล้วก็พี่ๆ นะ ลูกคนเล็กโดนสปอยล์ สปอยล์หนักมาก รู้ตัวอีกทีก็มีผัวให้ขุ่นแม่ไปแล้ว ฮาาา
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.01]--28/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-01-2016 22:20:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.01]--28/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 28-01-2016 22:28:19
ต๊ายยยยย มีผัวแบบนี้ ขี้คร้านคุณหญิงทั้งสามเห็นความหล่อแล้วจะหลงงงงงงง  :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.01]--28/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 28-01-2016 23:46:04
 :m20:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.01]--28/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 29-01-2016 16:33:03
 :m20: :m20: ขุ่นแม่เป็นลมไปแล้วววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.01]--28/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 30-01-2016 10:41:58
รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.01]--28/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 30-01-2016 20:38:27
ตัวอย่างตอนพิเศษ
แก๊งเกรียนเอเลี่ยน [2]
มีครอบครัวกวินทร์แล้ว ครอบครัวคีธก็ต้องโผล่มา 555
ตอนนี้เป็นคิวของขุ่นพ่อของคีธค่ะ ความมึนพอกัน ความเผด็จการก็มี
ส่วนความเกรียน... อันนี้ยังต้องถามอีกเหรอว่ามีมั้ย กร๊ากกกก
เป็นตัวอย่างสั้นๆ ค่ะ ไม่ยาวมาก ตอนพิเศษที่ 3-4 ก็ยังเป็นตอนพิเศษของคีธกับกวินทร์นะคะ
แต่ตอนที่ 4 จะพิเศษหน่อยตรงที่คีธเป็นคนบรรยายนะตัว รออ่านตัวอย่างกันเน้อ

--------------------------------------------------

Special Episode [Kieth & Kawin] 2: Father-in-law vs Son(?)-in-law

พอเปิดประตูบ้านเข้าไป ร่างสูงใหญ่ของคีธก็ปรากฏตรงหน้าแบบเหมาะเจาะ ผมผงะไปเล็กน้อยด้วยตกใจ ก่อนจะแผดเสียงใส่มันที่ทำให้ผมตกใจแบบนี้
“นายจะมายืนหลังประตูทำซากอะไรวะ ตกใจหมด”
จากที่หงุดหงิดจากความเหนื่อยหลังเลิกงานอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ผมบ่นมันต่ออีกนิดหน่อย ยื่นสัมภาระที่หอบอยู่และกระเป๋าสะพายให้มันรับ
ทว่ามันก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ผมตั้งท่าจะถามมันว่ายืนทำซากอะไรอยู่ตรงนั้น แต่ก็ฉุกใจคิดได้ก่อนว่าวันนี้เงียบผิดปกติ ที่เงียบก็คือไม่มีเสียงคีตากับคินน์ดังมาให้ผมได้ยินนี่แหละ ปกติแล้วเวลาผมกลับมาบ้าน คีตากับคินน์ก็จะวิ่งออกมาต้อนรับ แต่วันนี้ไม่มี
ไม่ใช่ไม่มี ไม่อยู่ในบ้านดีกว่า เท่านั้นผมก็ใจหายวูบ หันไปร้องถามคีธทันใด
“ลูกไปไหนน่ะคีธ”
คีธไม่ตอบ มองหน้าผมนิ่ง มือก็ยังถือข้าวของของผมอยู่อย่างนั้น ผมเห็นท่าทางมึนอึนของมันแล้วก็หงุดหงิดหนัก ตะคอกใส่มันทันใด
“ฉันถามว่าลูกไปไหน ไม่ได้ยินหรือไงวะ!”
ยัง... มันยังนิ่งอยู่ ตอนนี้ผมอยู่ไม่สุขละ จะยืนนิ่งก็ช่างหัวมัน ตอนนี้ต้องตามหาลูกก่อน เท่านั้นผมก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องนั่งเล่น พอไม่เห็นร่างของเด็กสองคน ผมก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนของบ้าน เข้าไปดูในห้องนอนของทั้งคู่และห้องนอนของผม แต่ก็ไร้วี่แวว ผมเลยรีบทิ้งตัวลงจากบันได ปรี่เข้ามาหาคีธอีกครั้ง
“คีธ ตกลงคีตากับคินน์ไปไหน”
คีธก็ยังนิ่งเหมือนเดิม นิ่งจนผิดปกติ ผมหรี่ตาลง ชักไม่ไว้ใจมันขึ้นมา
ยะ...อย่าบอกนะว่าตอนผมไปทำงาน มันจะเอาลูกไปทิ้ง?
ไม่หรอกมั้ง ลูกมันทั้งคน ไม่ใช่ลูกหมาสักหน่อย แถมมันก็เป็นคนเลี้ยงเองกับมือ มันคงไม่เอาไปทิ้งง่ายๆ อย่างนั้นหรอก แล้วนั่นก็ลูกมนุษย์ต่างดาวด้วย ถึงจะถูกทิ้ง ยังไงก็หาทางกลับบ้านได้อยู่ดีนั่นแหละ
แต่ก็ยังน่าสงสัย สงสัยไอ้บ้าคีธเนี่ย ทำไมวันนี้มันใส่ชุดบอดี้สูทที่เป็นชุดปฏิบัติการบนยานวะ?
ผมหรี่ตาจับผิดมากขึ้นไปอีก มันก็มองผมตอบนิ่งเช่นกัน ตอนนี้แหละที่ผมสังเกตเห็นว่าบริเวณหางตาของมันมีรอยย่นปรากฎให้เห็น
ตะ...ตีนกา ไอ้คีธ... กูออกจากบ้านไปทำงานไม่กี่ชั่วโมง ทำไมมึงแก่เร็วจังวะ!
นอกจาบริเวณหางตาแล้ว ร่องแก้มก็มีรอยย่น สังเกตดีๆ เส้นผมก็มีผมหงอกแซมด้วย จากที่ใจหายเรื่องลูกหาย ก็ใจหายเรื่องผัวแก่ชั่วพริบตาไปด้วยอีกเรื่อง
มึงเพิ่งจะยี่สิบสามนะเว้ย! อย่าบอกนะว่านี่เป็นเรื่องปกติของพวกยูนิกม่าที่มีลูกมีเมียปุ๊บก็แก่ปั๊บเนี่ย!
ถึงมันจะดูแก่ แต่ร่างกายก็ยังกำยำเหมือนเดิมไม่มีผิด ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่โอเคแหละ ใครจะไปโอเควะ ตื่นเช้าไปทำงานดีๆ กลับมาอีกที ผัวแก่แบบไม่ทันตั้งตัว ช่วยเว้นจังหวะให้กูทำใจก่อนสิวะ!
“คีธ... เกิดอะไรขึ้นกับนาย” ถึงจะตกใจเรื่องมันแก่ แต่ผมก็เป็นห่วงมันมากกว่า
แต่คีธไม่ตอบคำถามผม เรียกชื่อผมออกมาแทน
“กวินทร์...” แล้วก็ชี้นิ้วมาทางผมด้วย
“อะไร”
“เมียคีทาเย?”
“ความจำเสื่อมหรือไง เมื่อคืนก็เพิ่งจะมีอะไรกันไป ใช่เมียมั้ยล่ะ”
“มีอะไรกัน... ผูกพันน่ะเหรอ”
ไม่เป็นห่วงมันละ หงุดหงิดหนักกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว
นี่มึงแก่ไม่พอ มึงยังจะเป็นอัลไซเมอร์อีกเหรอไอ้คีธ!
ผมย่นคิ้ว ปัดมือมันที่ยังชี้หน้าผมอยู่ออกจากตรงหน้า แล้วแผดเสียงใส่
“เออสิวะ หิ้วฉันไปทำในครัวตั้งหลายรอบ อย่ามาทำเป็นจำไม่ได้นะเว้ย!”
คีธไม่พูดอะไร มีแค่หัวคิ้วเท่านั้นที่ย่นยู่ไปเล็กน้อย ผมเองก็ไม่สนใจมันละ อยากรู้มากกว่าว่าลูกไปไหน ผมเลยต้องถามอีกครั้ง
“แล้วนี่จะบอกฉันได้หรือยังว่าคีตากับคินน์ไปไหน”
คีธมองผมแล้วก็ทำเป็นเสมองไปทางอื่น คือมองข้าวของของผมที่มันถืออยู่ในมือนั่นแหละ ท่าทางไม่หือไม่อือของมัน ทำเอาฟางเส้นสุดท้ายในต่อมความอดทนของผมขาดสะบั้น ผมปรี่เข้าไปแย่งแฟ้มใส่งานในมือมัน ยกขึ้นมาฟาดเข้าที่ท้ายทอยอย่างเหลืออด
“อย่ามาทำเป็นเมินฉันนะไอ้มนุษย์ต่างดาว! บอกมาว่าลูกไปไหน!”
คีธจ้องผมเขม็ง ในแววตามีความงุนงงซ่อนอยู่ราวกับไม่เข้าใจว่าผมตบกบาลมันทำไม
กูจะตบมึงให้กบาลแยกด้วยถ้ามึงไม่ยอมบอกสักทีว่าลูกกูอยู่ไหนเนี่ยไอ้คีธ!
ไม่ได้คิดในใจอย่างเดียวด้วย เอาจริง! แค่มันมองกลับมาโดยไม่มีคำตอบให้ ผมก็ง้างมือขึ้น เตรียมจะฟาดกะโหลกมันอีก
ทว่าในจังหวะที่ผมยกมือขึ้น ประตูบ้านที่ปิดอยู่ก็เปิดเข้ามาด้วยฝีมือของใครบางคน ผมชะงัก มองไปยังเจ้าตัว ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่ามีสามชีวิตโผล่พรวดเข้ามา
“เย่ๆ! ป้อกวินทร์กลับมาแย้ว!” ตามด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของคินน์ และรอยยิ้มของคีตาที่ประดับอยู่มุมปากเป็นการทักทายผม
อันที่จริงผมควรจะโล่งใจที่เห็นลูกตัวเองที่ตามหาอยู่นานสองนานโผล่มาให้เห็น แต่เปล่าเลย ไม่โล่งใจสักนิด ไม่โล่งใจไม่พอ ตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นคนที่สามที่หิ้วถุงกระดาษบรรจุของกินจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาเต็มสองมือ
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะกวินทร์” แล้วก็ถามผมด้วย แต่ผมไม่ตอบสนอง นอกจากเรียกมันดังลั่น
“อะ...ไอ้คีธ!”
ไอ้คีธจริงๆ ตัวเป็นๆ ไม่อิงนิยาย แถมไม่แก่ด้วย ตีนกาไม่มี ผมหงอกไม่มี
ละ...แล้ว... ไอ้คีธหน้าแก่นี่มันใครวะ!?
ช็อกซีนีม่าไปเลย ช็อกหนักกว่าเมื่อคีธมันละสายตาจากผมไปมองคีธหน้าแก่นั่น แล้วทักขึ้น
“แล้วท่านพ่อมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
พะ...พ่อ...
เมื่อกี้กูตบหัวพ่อไอ้คีธเหรอวะ!?
แฟ้มที่อยู่ในมือร่วงหล่นกระแทกพื้นทันใด คีตากับคินน์มองผมอย่างงงๆ ประหนึ่งว่าทำไมผมถึงได้มีท่าทางแปลกๆ ทั้งที่ปกติ ผมต้องกอดและหอมลูกทั้งสองทันทีที่เห็นหน้า หากแต่คีธสังเกตเห็นความผิดปกติของผม เลยพยักหน้าเป็นสัญญาณให้คีตากับคินน์เข้าไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อน ส่วนผมก็ยกมือขึ้นคลึงขมับที่ปวดหนึบไปมา
มะ...แม่ง นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นพ่อมัน ผมคงจะเข้าใจว่าเป็นคีธอีกนาน เหมือนโคตร เหมือนมาก เหมือนอย่างกับใช้แม่พิมพ์เดียวกัน อันที่จริงเป็นพ่อลูก ถึงจะเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เหมือนราวกับจับวางแบบนี้ไม่ใช่หรือไง!?
ส่วนพ่อคีธที่โดนลูกชายถามก็ว่าออกมาเนิบๆ เป็นคำตอบ
“ข้าได้ยินเสียงพาหนะที่หน้าที่พักเจ้า ก็เลยออกมาดู”
ใช่เลย... พูดจาโบราณแบบนี้ใช่เลย พ่อไอ้คีธไม่ผิดตัวแน่ แล้วที่ตบกบาลดังป้าบ ก็พ่อมันนี่แหละชัวร์ๆ
แต่... ทำไมมึงไม่บอกกูก่อนวะว่าพ่อมึงจะมาเที่ยวหาเนี่ย! เซอร์ไพรส์ทำซากอ้อยอะไร! กูตบกบาลพ่อมึงเกือบแยกเลยเห็นมั้ย! ที่สำคัญ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ทำไมมึงไม่เคยบอกกูเลยวะว่ามึงยังมีพ่อแม่อยู่ กูก็นึกว่าตายไปหมดแล้ว ไอ้เวรคีธ!
รู้สึกผิดทันที ความประทับใจแรกพบก็ไม่มีทั้งนั้น ผมเลยทำได้แค่ก้มหัวขอโทษขอโพย
“ขะ...ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะเป็น...เอ่อ...คุณพ่อของคีธ...”
พ่อคีธไม่ตอบรับผม แค่มองแล้วก็หันไปหาลูกชาย
“ซื้อของมาแล้ว?”
“ขอรับ”
“อืม”
“ท่านพ่อหิวหรือยัง”
“อืม”
“งั้นเดี๋ยวลูกไปทำอะไรให้กิน”
“อืม”
“คุยกับกวินทร์ไปก่อน”
“...”
แล้วมันก็เดินมาตบบ่าผมเป็นเชิงว่ารับหน้าให้ที ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับพ่อมันอยู่อย่างนั้น
ไอ้คีธมึง! ไม่คิดจะถามกูหน่อยเหรอว่าเมื่อกี้กูทำอะไรกับพ่อมึงไว้บ้าง อย่ามาทิ้งกูอย่างนี้นะเว้ย!
ไม่ทันแล้ว มันหายเข้าไปในครัวแล้ว ในเมื่อหนีไม่ได้ ผมก็ต้องยอมรับหน้าไปอย่างไม่มีทางเลือก
“คะ...คุณพ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผมขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อ...”
“รู้แล้วว่าชื่อกวินทร์” อีกฝ่ายขัดขึ้นแทบจะในทันใด ผมเลยชะงักกึก
สะ...สายตาที่มองมานี่อ่านไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่ แต่สีหน้านิ่งเรียบเหมือนคีธนั้นก็ทำให้ผมอึดอัดขึ้นมาไม่น้อย เลยได้แต่หัวเราะแห้งๆ
“คีธคงบอกแล้วสินะครับ”
“เปล่า”
“อ้าว”
“เจเนซิสบอก” อีกฝ่ายตอบ ตามด้วยประโยคถัดมา “ได้ยินว่าคีทาเยมีคู่ผูกพัน ข้าก็นึกว่าเป็นเจเนซิส อุตส่าห์รีบถ่อไปหา ที่ไหนได้ กลายเป็นพระชายาของเจ้าชายเซนไทน์ไปแล้ว ส่วนลูกข้ากลับได้ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินต่ำต้อยมาเป็นคู่ผูกพัน ช่างน่าเสียดาย เจเนซิสดีกว่าแท้ๆ”
ผมกำมือแน่นทันควัน ปากยังยิ้มอยู่ แต่ในใจนี่กระโดดถีบพ่อผัวไปแล้ว
“คุณ...พ่อ...” แค่นเสียงเตือนด้วยว่าอย่าพูดอะไรให้ผมได้หงุดหงิดไปมากกว่านี้ พูดง่ายๆ ก็คือขอให้รักษามารยาทนั่นแหละ
ทว่าพ่อคีธแม่งก็มึน ไม่มึนอย่างเดียว ไม่สนสายตาเขียวๆ ของผมด้วย พูดออกมาหน้าตาเฉย
“สงสัยต้องไปชิงตัวเจเนซิสกลับคืนมาให้คีทาเยซะแล้ว”
ไอ้เจเนซิสมันแต่งงาน  มีลูกมีผัวไปแล้ว จะไปลากมันมาทำด๋อยอะไรฮะ! ขึ้นเลย กูขึ้นเลย! โผล่มาที อย่ามาทำครอบครัวกูร้าวฉานนะเว้ยตาแก่!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.02]--30/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 30-01-2016 20:55:42
เขามีแต่ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ กวินทร์จัดพ่อผัวซะงั้น   :jul3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.02]--30/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 31-01-2016 02:13:00
เอาแล้วสิ ศึกพ่อผัวลูกสะใภ้
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.02]--30/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 31-01-2016 04:58:12
จองหนังสือได้ที่เว็ปไหนอ่อ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.02]--30/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 31-01-2016 08:17:51
จองหนังสือได้ที่เว็ปไหนอ่อ

เข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.02]--30/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 31-01-2016 11:54:55
 :m20: :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.02]--30/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 31-01-2016 20:13:59
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [3]
มาแล้วค่ะตัวอย่างตอนพิเศษตอนที่ 3 ของคีธกับกวินทร์
ตอนนี้คือเด็กๆ ลูกๆ ของแก๊งเกรียนฯ มารวมตัวกันที่บ้านกวินทร์พร้อมหน้าพร้อมตามาก
แถมยังกดขี่ลูกนางอีก ขุ่นแม่ก็เลยต้องออกโรง 555
ตอนเต็มๆ มีอยู่ในหนังสือเช่นเดิมค่ะ อีกสัก 3-4 วันจะมาอัพตัวอย่างตอนที่ 4 นะ
บอกไว้ก่อนเลยว่าตอนที่ 4 เป็นคีธบรรยายแหละ หิหิ

------------------------------------------------
แปะตัวอย่าง

Special Episode [Kieth & Kawin] 3: Half-Alien kids are all trouble


“งั้นฝากลูกด้วยนะกวินทร์”
เจเนซิสพูดเสร็จ พวกมันก็จรลีออกจากบ้านผมไปเลย ทิ้งเด็กเปรตสามคนให้ยืนโบกมือลาพ่อแม่มันตาแป๋ว ส่วนผมก็รีบร้องเรียกขณะที่พวกมันพากันขึ้นรถ
“เอ้าเฮ้ย! เดี๋ยว!”
เรียกไม่ทันละ ขับรถกันออกไปละ ผมเลยได้แต่สบถไล่หลัง ด่าพวกมันพึมพำ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเหลือบมาเห็นจูเลียน เซซิลและเบลคยืนมองอยู่ ผมเลยรีบหุบปาก ปั้นหน้ายิ้มให้เด็กสามคนนั้น
“งั้นก็เข้าไปเล่นกับคีตา กับคินน์เถอะ สองคนนั้นอยู่ในห้องนั่งเล่นแน่ะ”
พอผมบอก พี่ใหญ่อย่างเซซิลก็ขยับแว่นตาไร้กรอบบนใบหน้า พยักหน้าเรียกเบลคที่ทำท่ากระตือรือร้นสุดฤทธิ์ให้เดินตามไป ส่วนจูเลียนก็หันมาโค้งพร้อมยิ้มให้ผมเป็นการขอบคุณ ปากก็พูดให้ได้ยินแว่วๆ มาด้วยว่า ‘ขอบคุณครับคุณลุงกวินทร์’
คุณลุงกวินทร์อะไรไอ้ลูกเมียเก่าไอ้คีธ! กูอายุเท่าแม่มึงนะเว้ย ลุงเลิงบ้าอะไร!
ผมพยายามจะไม่ถือสาเด็กเพราะเห็นว่าพวกนั้นอายุแค่สิบขวบ ยังไร้เดียงสาอยู่ แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะคิดว่าพวกมันโดนพ่อแม่มันเป่าหูเรื่องผมมา ทว่าก็สลัดความคิดนั้นออกไปได้เมื่อได้ยินเสียงจูเลียนร้องทักคีธที่อยู่ในห้องนั่งเล่น แล้วขออนุญาตรบกวน ขณะที่เซซิลกับเบลคเดินหน้าตั้งเข้าไปโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ จะมีก็แต่เสียงของเบลคเท่านั้นที่ดังเอะอะมาให้ได้ยินทันทีที่เห็นหน้าคีตา
คือ...ลูกไอ้เจเนซิสกับไอ้ลาร์คเนี่ย ดูเป็นผู้เป็นคนที่สุดเลยนะ หน้าตาก็ดี ถอดแบบเจเนซิสมาเด๊ะๆ แต่ก็ยังดูมีความเป็นชายเหมือนกับลาร์ค ไมได้ดูคล้ายผู้หญิงเหมือนแม่มันไปหมด กิริยามารยาทก็ดี ต่างจากลูกไอ้ซีเลนกับสองพี่น้องเปรตนั่นลิบลับ เซซิลที่เป็นลูกของซีเลนกับบรูคลิน ถึงจะเป็นเด็กเงียบขรึม ท่าทางฉลาด แต่ก็ดูชอบบงการและเจ้าเล่ห์ไม่น้อย เห็นแวบเดียวก็รู้เลยว่าเจ้าเล่ห์เหมือนพ่อมันไม่มีผิด ส่วนเบลคที่เป็นลูกของซีเลนกับเบนนี่ก็ดูเป็นพวกบ้าพลัง เอะอะก็เล่นซน เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกไปหมด ดูยังไงก็ลูกไอ้ซีเลนชัดๆ ก็ถอดแบบจากพ่อมันมาทั้งคู่นั่นแหละ แค่ถอดบุคลิกมาคนละด้านเท่านั้นเอง
แต่ก็ช่างมัน ลูกพวกมัน ไม่ใช่ลูกผม
ผมปิดประตูบ้าน ตั้งท่าจะเดินตามเข้าไปบ้าง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นกะทันหัน พอไปเปิดประตู ก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งทันทีที่เห็นริชาร์ดกับแอสตัน พร้อมลูกของพวกมันยืนอยู่หน้าบ้าน
“ไงเควิน ฉันเอาอาร์มาฝากตามที่บอกน่ะ”
พวกมึงเห็นบ้านกูเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กหรือไงวะเฮ้ย!
อยากจะด่ามันเหลือเกิน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นหลายอาทิตย์ ริชาร์ดบอกผมแล้วว่าจำเป็นต้องเอาลูกมาฝากเพราะพวกมันจะต้องบินไปถ่ายทำหนังฟอร์มยักษ์ที่รัฐอื่น เลยไม่มีคนดูแลลูก ซึ่งผมก็รับปากไปแล้ว แต่...
ทำไมมันจะต้องมาตรงกับวันที่ไอ้พวกมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นเอาลูกมาฝากไว้เหมือนกันวะ!
ผมพยายามสงบสติอารมณ์ เปิดประตูบ้านให้กว้างขึ้น พยักหน้าเรียกอาร์ทูโรแต่โดยดี
“เข้ามาสิ”
“อยู่กับลุงเควิน อย่าดื้อนะลูก” ริชาร์ดเองก็สั่งลูกทันใด สั่งเสร็จก็หอมแก้มไปอีกฟอดใหญ่ ก่อนจะหันมาบอกผม “ฝากด้วยนะเควิน”
“เออ นายจะไปไหนก็รีบไปเถอะ” ผมไม่พูดอะไรให้มากความ แค่เห็นเด็กยั้วเยี้ยก็เหนื่อยแล้ว ขี้เกียจเหนื่อยกว่าเดิมเพราะพล่ามไร้สาระกับริชาร์ดอีก
พอผมรับปาก ริชาร์ดกับแอสตันก็สั่งเสียลูกมันยกใหญ่ ก่อนจะพากันวิ่งไปขึ้นรถตัวเองเมื่อมีเสียงเรียกเข้าจากทีมงานที่โทรมาตามให้มันไปขึ้นเครื่องบินให้ทันเวลา
ทันทีที่รถแวนครอบครัวนั่นห่างจากหน้าบ้านผมไป ผมก็เหลือบมองยังไอ้เด็กเจ๊กที่ทำหน้านิ่งบูดบึ้งไม่เลิกตั้งแต่เมื่อกี้อย่างระอา
ไอ้เด็กนี่แม่งก็หน้าตาบอกบุญไม่รับตั้งแต่เด็ก ดีนะที่โตขึ้นมาแล้วไม่งี่เง่าเหมือนตอนเด็กๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมคงได้ประสาทเสียแน่ แต่ก็ยังมีความกวนอารมณ์อยู่ กวนอารมณ์ในที่นี้ก็คือการที่มันชอบทำหน้าเชิดๆ แล้ววางท่าทางหยิ่งยโสจนน่าหมั่นไส้นี่แหละ
“ว่าไง กินอะไรมาหรือยัง” แล้วผมก็ทักขึ้น
เด็กนั่นเหลือบมามองหน้าผม แล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ
“แล้วหิวหรือเปล่า”
คำตอบยังคงเป็นการส่ายหน้าเหมือนเดิม ผมเลยไม่ถามต่อ ขยับให้เด็กนั่นเข้ามาข้างในบ้านแทน
“คีตาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นน่ะ ถ้าไม่หิวก็ไปเล่นกับคีตาไป พวกจูเลียน เซซิลกับเบลคก็อยู่ เข้าไปเลย”
ไม่ต้องอธิบายว่าชื่อของเด็กอีกสามคนนั่นเป็นใคร พวกมันรู้จักกันอยู่แล้ว ก็ญาติพี่น้องกันทั้งนั้นนี่นา ไม่รู้จักก็แปลก
อาร์ทูโรพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปสมทบกับเด็กคนอื่นๆ ที่เล่นตัวต่อเลโก้กันเสียงดัง
พอคนใหม่เข้ามา พวกเด็กๆ ก็ชะงัก หันมามองหน้าอาร์ทูโรเล็กน้อย ทักตามมาอีกนิดแล้วก็เล่นต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เองที่ผมเห็นว่าคินน์ก็มาสมทบ เล่นกับพวกพี่ๆ ด้วย จะมีก็แต่คีตานี่แหละที่เห็นอาร์ทูโรแล้วก็ยิ้มร่าอย่างที่นานๆ ทีจะได้เห็นที ตามมาด้วยน้ำเสียงลิงโลด
“องค์ชาย!”
“ไงคีตา” อาร์ทูโรเองก็ร้องทักคีตาเช่นกัน
คีตาทิ้งตัวต่อ วิ่งถลาเข้ามาคุกเข่าทำความเคารพทันควัน
“องค์ชายจะเสด็จมา ไม่เห็นบอกกล่าวหม่อมฉันล่วงหน้าเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“เราก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่เราจะพาเรามาหานายกะทันหันแบบนี้เหมือนกัน”
อาร์ทูโรว่าเสียงเนือยๆ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเอือมระอากับการกระทำของริชาร์ดกับแอสตันแค่ไหน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกมันเอาลูกมาฝากไว้กับผม นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จนอาร์ทูโรจะกลายเป็นลูกผมกับคีธอีกคนไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ช่วยไม่ได้ งานของพวกมันไม่ใช่งานอยู่กับที่นี่นา ช่วยเหลืออะไรได้ก็ช่วยไปก่อนแล้วกัน พวกมันกำลังขาขึ้น
“แล้วองค์ชายจะอยู่ที่บ้านหม่อมฉันนานเท่าไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่รู้สิ เกือบเดือนมั้ง เห็นพ่อๆ เราว่างี้” อาร์ทูโรว่าก่อนจะปรายตามองคีตาที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่แล้วกวักมือน้อยๆ “ลุกขึ้นได้แล้วท่านผู้พิทักษ์”
คีตารีบเด้งผึงขึ้นมาทันใด พร้อมกับยิ้มกว้าง
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ผมนี่ถึงกับยกมือขึ้นยีหัวเลยเมื่อได้ยินสรรพนามที่เด็กสองคนนี้เรียกกัน
ใช่... ลูกผมน่ะเป็นผู้พิทักษ์ให้ลูกริชาร์ดกับแอสตันที่มีศักดิ์เป็นองค์รัชทายาทแห่งยูนิกม่าในนาม ‘อาร์ทูโร รามูเอลี ที่เก้า’ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วย แต่ด้วยความที่คีธมีศักดิ์เป็นผู้พิทักษ์ให้แอสตัน ลูกผมก็เลยถูกมัดมือชกสืบทอดตำแหน่งไปด้วยโดยปริยาย ตอนแรกผมก็เป่าหูคีตานะว่าให้ปฏิเสธไป แต่ไม่รู้เป็นไงมาไง ไอ้ลูกบ้านี่ถึงได้ชอบตำแหน่งนี้ขึ้นมาได้ซะงั้น
ที่ผมไม่อยากให้คีตารับตำแหน่งนี้ก็เพราะผมตั้งใจว่าจะปั้นลูกตัวเองให้เป็นดาราเด็กน่ะ แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่าคีตาคงจะไม่สน ผมก็เลยวางมือ ไปตั้งใจจะปั้นคินน์แทน ทว่าคินน์ก็เพิ่งจะเก้าขวบ แถมความงี่เง่าก็ไม่เป็นรองใคร เลยปั้นกันไม่ได้ง่ายๆ ต้องรอให้โตกว่านี้อีกหน่อยถึงค่อยจับมาคุยกันอีกที
“แล้วเราจะเล่นอะไรกันดีพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” คีตาทำลายความเงียบขึ้นมา ดึงความสนใจของผมไปทางลูกชายตัวเองอีกครั้ง
“แล้วนายอยากจะเล่นอะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้ที่องค์ชายปรารถนา”
อาร์ทูโรยืนนิ่งคิดไปเล็กน้อย เหลือบมองไปทางคนอื่นๆ ที่นั่งเล่นตัวต่อกันแล้วก็ว่าขึ้นมา
“เราไม่อยากเล่นต่อเลโก้ เบื่อแล้ว”
“เช่นนั้นองค์ชายอยากเล่นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
ผมเกือบจะไม่สนใจแล้วปล่อยให้ลูกๆ เล่นกันไปตามประสาเด็กอยู่แล้ว ถ้าเกิดอาร์ทูโรมันไม่พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“งั้นมาเล่นเป็นโฮสต์กัน”
ผมนี่ชะงักเลย หันไปมองลูกตัวเองที่พยักหน้าหงึกหงึกเห็นดีเห็นงานด้วยตาโต แล้วก็ไม่ใช่ผมเท่านั้นที่ชะงักด้วย เด็กคนอื่นๆ ก็ชะงัก ทิ้งตัวต่อเลโก้ทันใด ก่อนเบลคจะร้องลั่นอย่างเห็นด้วย
“เล่นๆ! เล่นด้วย! เซซิล จูเลียน คินน์ เล่นด้วยกัน!”
เด็กๆ คนที่ถูกชวนก็พยักหน้าเออออไป เซซิลน่ะตามเบลคเพราะตัวเองก็เบื่อการเล่นแบบเด็กๆ เหมือนกัน จูเลียนนี่เออออตามคนอื่นเพราะไม่ค่อยมีปากมีเสียง เป็นพวกอะไรก็ได้ ส่วนคินน์... เห็นพี่ๆ เล่นอะไร ก็เล่นตามไปหมดนั่นแหละ
ผมก็ไม่อยากจะให้พวกเด็กนี่เล่นเป็นโฮสต์บ้าบอคอแตกอะไรนี่หรอก ทว่าพอเห็นคีธนั่งจ้องจอโทรทัศน์อยู่ใกล้ๆ กับเด็กพวกนั้นแล้ว ผมก็พอเบาใจได้ว่าถ้าพวกมันเล่นอะไรแผลงๆ กันขึ้นมา อย่างน้อยๆ คีธก็คงจะห้ามได้ ผมเลยละความสนใจ ตั้งใจจะกลับไปทำงานที่ห้องของตัวเองอีกครั้ง
หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเด็กพวกนั้นดังแว่วเข้ามาในหู
“ใครจะเป็นโฮสต์ ใครจะเป็นชาวยูนิกม่าล่ะ” จูเลียนถาม
“เราจะเป็นชาวยูนิกม่า” อาร์ทูโรบอก
“พวกเราก็จะเป็นชาวยูนิกม่า” เบลคชี้ตัวเองแล้วก็ชี้ไปที่เซซิล "นายก็ด้วยจูเลียน"
จูเลียนพยักหน้า ก่อนเซซิลจะว่าขึ้นบ้างพลางดันแว่นบนปลายจมูก
“งั้นก็เหลือแค่คนเป็นโฮสต์อย่างเดียวแล้วสินะ นายกับคินน์ก็เป็นโฮสต์ไปแล้วกัน”
คีตาหน้าตึงทันที ขณะที่คินน์ก็เบะปากด้วยไม่อยากเป็นโฮสต์ ก่อนจะเดินไปเกาะพี่ชาย ให้พี่ชายช่วยพูด
“แต่หม่อมฉันไม่อยากเป็นโฮสต์ หม่อมฉันอยากเป็นชาวยูนิกม่า คินน์ก็เหมือนกัน” คีตาช่วยน้อง
หากแต่ไอ้พวกเด็กเวรนั่นมองหน้ากัน แล้วก็ให้อาร์ทูโรเป็นคนสั่งการ
“นี่คือคำสั่งของเรา! ถ้านายไม่ยอมเป็นโฮสต์ก็ไม่ต้องเล่น!”
ไม่ใช่แค่พูด พร้อมใจกันเมินลูกๆ ผมด้วย คีตากับคินน์ก็หน้าจ๋อยไปเลย ก่อนคีตาจะตอบรับเสียงอ่อย
“พ่ะย่ะค่ะ”
พอคีตายอมจำนนได้ อาร์ทูโรก็เดินไปนั่งที่โซฟาข้างๆ คีธ ก่อนจะกวักมือเรียกคีตา
“มานี่สิ มาให้เราวางไข่ เราจะวางไข่ก่อน จูเลียนค่อยวางทีหลัง”
จูเลียนยักไหล่ ยืนมองนิ่ง ส่วนคีตาเดินอาดๆ ไปนั่งข้างๆ ก่อนจะถูกอาร์ทูโรผลักให้นอนราบไปกับโซฟา แล้วก็โถมตัวลงมาใกล้เสียจนหน้าห่างกันเพียงคืบ
“เราจะวางไข่แล้วนะ”
พะ...พวกมึงเล่นอะไรกันให้สมกับเป็นเด็กอายุสิบขวบหน่อยเว้ย!
ขณะที่คินน์ก็ถูกลูกๆ ไอ้เวรซีเลนพุ่งเข้ามาจับแขนไว้คนละข้าง ลากไปที่โซฟายาวอีกตัวใกล้ๆ แล้วจับกดลงนอนทันใด
“ฉันวางก่อน แล้วนายค่อยวาง” เซซิลว่า เบลคพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
“ก็ได้ คราวนี้ฉันจะเสียสละให้นายก่อน”
“มะ...ไม่เอา” คินน์ทำหน้าเหลอหลา เหมือนจะร้องไห้ด้วย
ตอนนี้ผมรีบส่งสัญญาณให้คีธผ่านทางสายตาเป็นเชิงให้รีบหยุดพฤติกรรมบ้าๆ ของเด็กพวกนั้นทันที แต่ไอ้บ้าคีธแม่งก็เอาแต่ดูทีวี จนผมต้องถอดรองเท้าแตะขว้างใส่มัน มันถึงหันมามองผมในตอนนี้
“มีอะไรเหรอกวินทร์”
มึงยังจะมีหน้ามาถามว่ามีอะไรอยู่อีก! ลูกมึงโดนลูกไอ้มนุษย์ต่างดาวเวรพวกนั้นกดอยู่ข้างๆ ตัวมึงน่ะเห็นมั้ยนั่น! กดทั้งคนเล็ก คนโต มึงจะยังทำเฉยอีก!
ผมส่งสัญญาณให้คีธอีกครั้ง ตอนนี้เหมือนมันจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะหันไปทางเด็กพวกนั้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“ทำอะไรกันอยู่เหรอพ่ะย่ะค่ะเหล่าองค์ชาย”
อาร์ทูโรชะงักจากการตั้งท่าจะดูดปากลูกผม หันมามองคีธด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ก็จะวางไข่ไงล่ะคีทาเย”
ลูกมึงนี่ไม่มีสัมมาคารวะเลยไอ้ริชาร์ด! มาเรียกชื่อผู้หรับผู้ใหญ่เฉยๆ ได้ยังไง!
เซซิลกับเบลคเองก็เช่นกัน หันขวับมามองหน้าคีธแล้วก็ว่าออกมาหน้าตาเฉย
“อย่ากวนสิ ไม่เห็นหรือไงว่ากำลังทำอะไรอยู่” เซซิลเริ่มก่อน
“ไร้มารยาท เป็นแค่ผู้พิทักษ์แต่ไร้มารยาท” แล้วก็ตามด้วยเบลค
ผมถึงกับกำมือแน่น ขณะที่จูเลียนก็ได้แต่ยืนมองเหมือนเดิม แล้วก็หัวเราะราวกับเห็นเรื่องสนุก แล้วก็นะ แทนที่ไอ้เวรคีธมันจะห้าม มันดันพยักหน้ารับน้อยๆ แล้วพูดว่า...
“งั้นก็เชิญองค์ชายทั้งหลายทรงเกษมสำราญต่อเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
มึงจะส่งเสริมทำเตี่ยมึงเหรอ! ลูกมึงกำลังโดนกดนะเว้ย! ห้ามสิห้าม!
ผมไม่รอให้คีธเป็นฝ่ายห้ามอีกต่อไป เดินอาดๆ เข้ามาแล้วคว้าแขนคีตาขึ้นนั่งทันใด ก่อนจะพุ่งไปตบกะโหลกไอ้ลูกพี่น้องเปรตนั่นที่ทำคินน์ร้องไห้จ้าไปแล้วคนละที ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดที่เอว
“ไปเล่นอย่างอื่นกัน อย่ามาเล่นแบบนี้” แล้วก็ตามมาด้วยดุเสียงเข้ม
คีตามองหน้าผมเหมือนจะขอคำตอบว่าทำไมถึงเล่นไม่ได้ ขณะที่เด็กพวกนั้นมองผมอย่างขุ่นเคืองที่ผมขัด
“ห้ามเล่นแบบนี้กันอีกเด็ดขาด เข้าใจมั้ย” ผมย้ำอีกครั้งเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับอีก
กระทั่งคีตาทนไม่ไหว ถามออกมาจนได้
“ทำไมล่ะครับ”
ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบแล้วโบกมือไล่แทน
“เอาเป็นว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะมาเล่นอะไรแบบนี้ ไปเล่นอย่างอื่นกันไป ถ้าไม่เล่นอย่างอื่น ก็ไม่ต้องเล่นด้วยกันอีก”
พอผมพูดเท่านี้ อาร์ทูโรก็ย่นคิ้วใส่ผมก่อนจะเดินสะบัดสะบิ้งหนีออกไปนอกห้องนั่งเล่น เซซิลกับเบลคก็โวยวายให้ผมได้ปรี่เข้าไปตบกบาลอีกคนละผัวะ พวกนั้นเลยกระทืบเท้าปึงตามอาร์ทูโรออกไปบ้าง เหลือแต่จูเลียนที่มองลูกพี่ลูกน้องตัวเองแล้วก็ยิ้มแห้งๆ ก่อนก้มหัวให้ผมเป็นเชิงขออนุญาตแล้วก็ตามคนอื่นๆ ออกไปบ้าง
ผมถอนหายใจกับไอ้เด็กพวกนั้นที่ถูกสปอยล์เพราะเป็นเจ้าชาย แต่ขอโทษเถอะ มาอยู่กับผมก็ต้องอยู่ในกฎของผม จะมาขัดคำสั่งไม่ได้
คีตาทำท่าจะวิ่งตามอาร์ทูโรกับคนอื่นๆ ไป แต่ผมก็คว้าแขนเอาไว้ก่อน
“เราต้องคุยกันคีตา”
“อะไรเหรอครับ” คีตาหันมาทำตาแป๋ว ผมนี่สวมวิญญาณยักษ์ทันทีทันใดเลย
“ทีหลังถ้าอาร์ทูโรชวนเล่นเป็นโฮสต์อีก ห้ามเล่นรู้มั้ย ถึงจะเป็นคนอื่นก็เล่นด้วยไม่ได้ ห้ามเด็ดขาด แล้วก็ห้ามให้คนอื่นมาเล่นแบบนี้กับน้องด้วย” ผมเอี้ยวใบหน้าไปยังคินน์ที่ยังสะอึกสะอื้นไม่เลิก ดูท่าจะตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกเด็กสองคนนั่นขึงพืดล่ะมั้ง
“ทำไมล่ะครับ” คีตาย่นคิ้วยู่
“เอาเป็นว่าห้ามเล่นก็แล้วกัน” ผมตอบปัดๆ
คีตาทำหน้างุนงง ดูก็รู้ว่าอยากได้คำตอบ แต่จะให้ผมอธิบายยังไงล่ะว่าการจูบกันแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่เด็กอายุสิบขวบควรจะทำ ที่สำคัญ ถ้าจูบกันขึ้นมาแล้วเกิดไอ้เด็กพวกนั้นมันวางไข่สร้างทายาทล่ะ ลูกผมไม่ต้องท้องตั้งแต่ตัวเท่าลูกหมาเหรอ!?
และเพราะผมไม่ตอบ คีตาก็เลยหันไปขอคำตอบจากคีธแทน
“ทำตามที่แม่ว่านั่นแหละ อย่าดื้อ”
กูบอกมึงหลายครั้งแล้วว่าอย่าให้ลูกเรียกกูว่าแม่! มึงเป็นคนป้อนนม มึงก็ให้ลูกเรียกมึงว่าแม่สิวะ! กูเป็นพ่อเว้ย! พ่อ!
“ทำไมล่ะครับ” คีตานี่ก็เป็นเด็กช่างซักช่างถามเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกผมล่ะก็ ผมคงจะตบกะโหลกเปิดโทษฐานที่ถามเซ้าซี้ไปแล้ว
และคีธก็ทำหน้าที่พ่อที่ดีในตอนนี้ พอเห็นคีตาจะเอาคำตอบให้ได้ มันก็คว้าไหล่ลูกเข้าไปจับแล้วว่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าคีตาจะเล่นแบบนั้น คีตาต้องจำไว้นะว่า...”
“ว่า...?”
“คีตาต้องเป็นฝ่ายกดเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร คีตาก็ต้องเป็นฝ่ายกดเท่านั้น อย่าเป็นฝ่ายถูกกดเด็ดขาด”
มึงสอนลูกอะไรของมึงอย่างนั้นไอ้เวรคีธ! อย่าสอนให้ลูกเป็นคนหื่นกามเหมือนมึงสิเว้ย! จะเป็นคนกดหรือคนถูกกด มันก็ไม่ควรจะเล่นทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะเล่นกับไอ้พวกลูกมนุษย์ต่างดาวเนี่ย ห้ามเด็ดขาดเลย! ห้ามเด็ดขาด! เดี๋ยวพวกมันก็วางไข่ใส่ลูกมึงหรอก!
--------------------------------------
วิญญาณขุ่นแม่หวงลูกเข้าสิงมาก แล้วตบกบาลลูกๆ ซีเลนนี่คือกะเอาคืนที่เคยถูกแม่ๆ พวกเด็กๆ กระทำมาก่อนใช่มั้ย กร๊ากกกก กวินทร์ผู้ตบทั้งเด็กและพ่อผัวอย่างหน้าตาเฉย XD
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 01-02-2016 01:06:12
น่ารักดี ชอบๆๆ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 01-02-2016 01:21:40
กวินทร์ฮามากอ่ะ  :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-02-2016 01:31:26
555555 น่าสงสารคุณแม่อย่างกวินทร์จริงๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 01-02-2016 23:48:41
 :laugh: ชีวิตกวินทร์น้อยผู้น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-02-2016 00:34:40
คีธสอนถูกแล้วค่ะ5555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 02-02-2016 21:33:12
เอาความจริง แอบไม่ชอบไม่พวกเจ้าชายตัวน้อยด้วยเหมือนกัน เป็นเราจะถีบแมร่งเลย มาเล่นแผลงๆกับลูกเนอะกวินทร์ เอาเป็นว่าตอนต่อไปขอให้ไอ้พวกเจ้าชายทั้งหลาย มันมาหลงรักคีตากับคินท์จนยอมทุกอย่างละกัน แอบเคือง  ช่วยหาตำแหน่งอะไรให้ลูกน้อยทั้ง2หน่อยยยยยย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 02-02-2016 21:40:51
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [4]
ตัวอย่างตอนพิเศษของคีธกับกวินทร์ตอนสุดท้ายค่ะ ตอนนี้เป็นบักคีธมาบรรยายนะ
เรามาทำความเข้าใจระบบความคิดและความหื่นของนางกัน 555
อยากจะบอกว่าเวลาที่เขียนบักคีธบรรยายทีไรเนี่ย เขียนยากทุกทีเพราะต้องคอยระงับไม่ให้เกรียนมากเหมือนกวินทร์ เพราะบักคีธนางเป็นคนนิ่งๆ
(แต่ความหื่นชัดเจนมาก ชัดเจนกว่ากวินทร์เยอะมาก กร๊ากกกก)
ตัวอย่างตอนพิเศษตอนหน้าจะเป็นของริชาร์ดกับแอสตันแล้วนะคะ
ตามด้วยซีเลนกับสองพี่น้องเปรต แล้วก็เจเนซิสกับลาร์คโอปป้าที่ทุกท่านรอคอย ฮาาา
รอกันเน้อ
------------------------------------------------
Special Episode [Kieth & Kawin] 4: Super jealous hubby

ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวกวินทร์มีกลิ่นแปลกๆ
กลิ่น...ที่ผมไม่คุ้นเคย
กลิ่น...ที่ผมไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
กลิ่น...ของใครบางคน
กลิ่น...ของผู้ชายอื่น
ผู้ชายหรือผู้หญิง อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่สัญชาตญาณของผมบอกว่ามันต้องเป็นกลิ่นผู้ชาย เพราะผมได้กลิ่นอายของนักล่าลอยโชยมาอ่อนๆ ซึ่งส่วนใหญ่เพศหญิงจะไม่มีกลิ่นแบบนี้หากไม่นับพวกเผ่าพันธุ์รุกราน
และผมก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่าต้องเป็นกลิ่นผู้ชายแน่ๆ เมื่อกวินทร์โน้มตัวมาหยิบแก้วกาแฟบนโต๊ะขณะที่ผมนั่งอยู่ไม่ไกล
“เดี๋ยวฉันจะไปแล้ว วันนี้อาจกลับดึกหน่อยนะ ต้องไปช่วยงานกองถ่าย”
“เป็นโปรดิวเซอร์ ทำไมต้องเข้ากองถ่าย” ผมลองถามดู ตั้งใจจับผิดนั่นแหละเพราะผมรู้ว่ากวินทร์ทำงานด้านประสานงานเป็นส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องออกกอง แต่ก็ถามด้วยน้ำเสียงปกติด้วยต้องการจะจับพิรุธ
กวินทร์ชะงัก วางแก้วกาแฟที่กระดกไปอึกหนึ่งลง เหลือบมามองผมแล้วว่าเร็วๆ
“ก็คนมันขาด ฉันก็ต้องไปช่วย”
“ทีมงานไม่มีเหรอ หนังฮอลลีวูดน่าจะมีงบจ้างทีมงานอยู่แล้วนี่ โปรดิวเซอร์ต้องลงกองเองทำไม”
คราวนี้สายตาของกวินทร์ที่มองผมเหลือบไปยังสองนาฬิกาแวบหนึ่ง เป็นสัญญาณให้ผมรู้ทันทีว่ากวินทร์กำลังเริ่มคิดหาคำโกหก
“ก็... หนังคราวนี้มันฟอร์มเล็ก ผู้กำกับวิลล์ขอมา ฉันเลยต้องไป”
โกหก... มองหน้าก็รู้เลยว่าโกหก ระดับน้ำเสียงก็สูงกว่าปกติด้วย ถึงกวินทร์จะพยายามบังคับให้เป็นโทนเดิมก็เถอะ แต่อย่าลืมสิว่าประสาทด้านการฟังของผมดีกว่าชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินหลายเท่านะ
ผมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่มองหน้ากวินทร์เท่านั้น ตอนนี้เองที่กวินทร์เริ่มดูเลิ่กลั่ก วางแก้วกาแฟลง คว้ากระเป๋าเอกสารก่อนส่งเสียงหงุดหงิดมา
“ฉันต้องไปแล้ว นายถามอะไรเนี่ย จุกจิกชะมัด เดี๋ยวก็สายกันพอดี คีตา คินน์ มาให้พ่อจุ๊บหน่อยเร็ว” แล้วกวินทร์ก็โน้มตัวไปจูบหน้าผากคีตาที่นั่งกินขนมปังปิ้งอยู่ ก่อนจะกอดคินน์ที่ทิ้งตัวลงจากเก้าอี้เข้าไปหา
ล่ำลาลูกๆ เสร็จก็ตั้งท่าจะออกไปจากครัว ผมรีบลุกขึ้น ตรงไปคว้าแขนกวินทร์เอาไว้ก่อน
“จูบลาฉันด้วยสิ”
“นายเป็นเด็กหรือไง ต้องจูบลาเนี่ย” กวินทร์หงุดหงิดใส่ผมอีกแล้ว
ทำไมล่ะ ปกติก็จูบกันก่อนไปทำงานนี่ มีเดือนนี้นี่แหละที่กวินทร์ไม่จูบลาผมเลย
...ไม่จูบเลย ตั้งแต่มีกลิ่นของใครคนนั้นติดตัวมา
“จูบหน่อย เดี๋ยวก็สายหรอก” ผมบอก กวินทร์ชักสีหน้ารำคาญเล็กน้อย ก่อนจรดริมฝีปากลงมาบนเรียวปากผมเร็วๆ
“แค่นี้พอ ฉันไปละ เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารเผื่อนะ กลับดึก พาลูกกินแล้วเข้านอนก่อนได้เลย” ว่าจบ ก็พุ่งออกจากบ้านไปเลย
ผมมองตามแล้วก็กอดอกครุ่นคิด กวินทร์แปลกไปจริงๆ ด้วย อย่างนี้คงจะมี...
“พ่อกวินทร์มีกลิ่นแปลกๆ”
คิดยังไม่ทันจบ เสียงของคีตาก็เรียกความสนใจของผมไปเสียก่อน พอผมหันไปมองก็เห็นว่าคีตาเองก็กอดอกอยู่เหมือนกัน
“พ่อคีธได้กลิ่นมั้ยครับ” ผมพยักหน้า คีตาเลยพูดต่อ “กลิ่นผู้ชายด้วย พ่อกวินทร์มีชู้แน่ๆ”
ผมก็คิดอย่างนั้น และยิ่งมั่นใจกว่าเดิมเมื่อลูกชายคนโตที่มีประสาทสัมผัสด้านการรับกลิ่นดีไม่แพ้ชาวยูนิกม่าแท้ๆ ก็ยืนยันอย่างนั้น คีตาคงจะได้กลิ่นตอนที่กวินทร์จูบหน้าผากล่ะมั้ง
“คินน์ได้กลิ่นหรือเปล่า” คีตาหันไปถามน้องที่คนซีเรียลในชามเล่น
คนถูกถามส่ายหน้าพรืด ผมไม่สงสัยหรอกว่าทำไมคินน์ถึงไม่ได้กลิ่น ก็คินน์ไม่ได้ความสามารถด้านนี้มา ได้แต่ความสามารถด้านภาษากับการจำแนกเสียง ต่างจากคีตาที่ได้ด้านพละกำลังกับการได้กลิ่น มีเรื่องการได้ยินด้วย แต่ไม่ได้ดีเท่าคินน์
“คินน์นี่จมูกไม่ดีเลยนะ” คีตาพึมพำเบาๆ ให้คินน์ให้ทำแก้มป่อง
ผมยกมือแตะบ่าลูกชายคนต่อก่อนที่รายนั้นจะทำน้องร้องไห้
“วันนี้คีตาพาคินน์ไปโรงเรียนได้มั้ย” ที่ถามอย่างนี้เพราะปกติแล้วผมจะขับรถไปส่ง
ดวงตากลมโตของคีตาประกายวาวทันทีที่ได้ยินผมพูดอย่างนั้น
“พ่อคีธจะให้ผมไปโรงเรียนเองเหรอครับ!?”
“อืม พาคินน์ไปส่งที่ห้องเรียนด้วย”
“ได้สิ! ผมไปเองได้!” คีตาตอบรับทันที คินน์ก็พลอยดีใจกระโดดโลดเต้นตามพี่ชายไปด้วย
ที่ดีใจนี่ก็ไม่ใช่อะไรหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่คีตากับคินน์จะได้ไปโรงเรียนด้วยตัวเองน่ะ ความจริงแล้วทั้งคู่ก็น่าจะไปโรงเรียนเองได้แล้ว คีตาอายุสิบขวบ คินน์ก็เก้าขวบ โรงเรียนก็อยู่ไม่ไกลจากบ้าน เดินไปสิบห้านาทีก็ถึง แต่กวินทร์ไม่ยอมปล่อยให้ลูกไปเองเพราะเป็นห่วงว่าจะถูกลักพาตัว เหตุผลก็ไม่มีอะไร แค่กวินทร์คิดว่าลูกๆ ของเราหน้าตาน่ารักจนน่าขโมยเท่านั้น บอกตรงๆ ว่าผมไม่ค่อยเข้าใจระบบความคิดของกวินทร์เท่าไหร่นัก ลูกชาวยูนิกม่า ไม่ว่าอย่างไรก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่ไม่อยากให้กวินทร์โกรธก็เลยต้องไปรับ-ส่งตลอดอย่างที่เห็น
“งั้นวันนี้คีตากับคินน์ไปโรงเรียนเองนะ” ผมสรุปอีกครั้ง
คีตากับคินน์พยักหน้ารัว ก่อนคีตาจะถามขึ้นมา
“แล้วพ่อคีธจะไปไหนเหรอครับถึงได้ให้ผมกับคินน์ไปโรงเรียนเอง”
“จะไปไหนล่ะ ก็ไปจับชู้พ่อกวินทร์ไง” คินน์เป็นคนตอบ
ผมมองแล้วก็พยักหน้ารับ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่คินน์จะรู้ รายนี้เป็นพวกหัวไว ต่างจากคีตาที่คิดช้า-ทำช้า ส่วนคีตาก็ย่นคิ้วทันทีที่ได้ยิน สีหน้าเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาเล็กน้อย
“เอากองกำลังสำรองมั้ยครับพ่อ”
ผมหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
“ไปโรงเรียนเถอะ เดี๋ยวพ่อจัดการเอง”
คีตาตะเบ๊ะรับ เร่งให้คินน์จัดการอาหารเช้าให้เสร็จไวๆ ผมรอจนลูกๆ ออกจากบ้าน ตัวเองถึงออกจากบ้านบ้าง วันนี้ผมไม่ขับรถยนต์อย่างเคย แต่ปัดฝุ่นรถช็อปเปอร์ที่องค์ชายแอสโซซิโนพระราชทานให้มาใช้เพื่อความคล่องตัว สตาร์ทเครื่องวอร์มพักหนึ่งด้วยไม่ได้ใช้มานาน พลางตั้งสมาธิไปด้วยเพื่อค้นหากลิ่นของกวินทร์ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน พอจับจุดได้ ผมก็ยกขาขึ้นสับเกียร์ บิดคันเร่งออกไปยังที่หมายทันที
 
โรงแรมระดับสามดาว... คือที่หมายที่ผมมาถึง กลิ่นของกวินทร์ชัดเจนยามอยู่ที่นี่ ผมเดาเอาว่าวันนี้กองถ่ายของด็อกเตอร์มาร์ตินคงจะมาใช้สถานที่ถ่ายทำที่นี่ แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ทำไมหนังฮอลลีวูดจะต้องมาถ่ายทำที่สถานที่จริงด้วย ถ้าต้องการใช้สถานที่เป็นโรงแรม ที่สตูดิโอก็จัดฉากถ่ายทำได้แท้ๆ
แบบนี้ต้องเป็นกวินทร์ที่มาเจอกับชู้แน่ๆ
ผมสงบใจที่ร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างใจเย็น ก้าวเข้าไปข้างใน ท่าทางสงบนิ่งและไม่แปลกแยกทำให้ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่นี่เข้าใจว่าผมเป็นแขกคนหนึ่งของโรงแรม นี่เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้จากการอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งนั่นก็คือการทำตัวกลมกลืน หากกลมกลืนก็จะไม่มีใครสงสัย ผมเลยผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ
ผมขึ้นลิฟต์ ยืนนิ่งอยู่ครู่ จมูกก็ดมหากลิ่นกวินทร์ไปด้วยว่าอยู่ชั้นไหน ก่อนจะกดหมายเลขแปดบนแผงควบคุมและก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการ
การหาตัวกวินทร์ไม่ยากเท่าไหร่นัก พอขึ้นมาถึงชั้นแปด กลิ่นของกวินทร์ก็ชัดเจนจนผมใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เจอห้องที่กวินทร์อยู่
แต่...
กวินทร์ไม่ได้อยู่คนเดียว
ไม่ได้มีกลิ่นกวินทร์แค่คนเดียว
มีกลิ่นของผู้ชายคนนั้นด้วย... ชัดเจนมาก ชัดเจนจนผมแน่ใจว่าต้องอยู่ด้วยกันแน่ๆ
และความมั่นใจของผมก็ทวีคูณขึ้นเป็นกองเมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงคุ้นหูของกวินทร์ดังแว่วมา
“อืม... อา... เฟร็ด ตรงนั้นมัน...อา...”
กวินทร์กำลังผสมพันธุ์กับชู้!
ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมเต้นตูมตามราวกับดาวยักษ์สีแดงที่กำลังจะเกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์โนวา ผมใจเย็นไม่ไหวอีกต่อไป ยื่นมือไปจับที่ที่จับบนประตู ก่อนจะออกแรงเล็กน้อยหักมันทันใด เสียงดังปี๊บของประตูอิเล็กโทรนิกส์ดังสั้นๆ พอผมผลักบานประตูเข้ามา กวินทร์ที่นอนเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียงโดยมีชายร่างใหญ่พอๆ กับผมคร่อมอยู่ก็ลุกพรวดทันใด
“คีธ! มาได้ไงเนี่ย!”
“ตามกลิ่นมา” ผมว่าเสียงเรียบ ตาปรายมองไปยังชายคนนั้นที่มองผมอย่างตกใจ ก่อนจะถูกกวินทร์ผลักออกเต็มแรง
ผลักผู้ชายคนนั้นออกได้ ก็ปรี่เข้ามาหาผม ถามเสียงดังอีกต่างหาก
“แล้วคีตากับคินน์ล่ะไปไหน อย่าบอกนะว่าให้ลูกหยุดเรียนเพราะมาตามฉัน!?”
“เปล่า ให้ไปโรงเรียนเอง”
ฝ่ามือกวินทร์ฟาดลงมาข้างกระหม่อมผมทันใด ตามมาด้วยเสียงตะคอกอีกต่างหาก
“จะบ้าหรือไงไอ้คีธ! ให้ลูกไปโรงเรียนเองอย่างนั้น ถ้าโดนลักพาตัวมาจะทำยังไงวะ!”
ผมมองกวินทร์ที่โวยวายไม่หยุดนิ่งๆ ความกรุ่นโกรธเมื่อครู่หายไปแล้วล่ะ กลายเป็นความสำนึกผิดแทน ไม่ใช่เพราะผมปล่อยลูกๆ ไปโรงเรียนเองจนโดนกวินทร์สวดยาวอย่างนี้หรอกนะ แต่เป็นเพราะในห้องนี้ไม่ได้มีแค่กวินทร์กับผู้ชายคนนั้นเพียงสองคน แต่เต็มไปด้วยทีมงานกองถ่าย ทั้งตากล้อง ช่างไฟ ช่างแต่งหน้า สต๊าฟฝ่ายต่างๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้กำกับวิลล์ที่นั่งอยู่หลังจอมอร์นิเตอร์และกำลังมองมาทางผมอย่างงุนงง
กลิ่นผู้ชายคนนั้นที่ผมได้กลิ่นจากกวินทร์ คงจะมาจากการถ่ายหนังสินะ
“ขอโทษครับ” เท่านั้น ผมก็เลยชิงขอโทษไปก่อน ไม่ได้ขอโทษกวินทร์ ขอโทษผู้กำกับวิลล์กับทีมงานที่ผมไม่ทันเช็คให้ดีก่อนว่ามีกลิ่นคนอื่นอยู่ในห้องด้วย แค่ได้กลิ่นกวินทร์กับผู้ชายคนนั้นก็บุกเข้ามาแล้ว ทำให้กองถ่ายขัดข้องชั่วขณะ
แต่กวินทร์คิดว่าผมขอโทษ ชักสีหน้าใส่ผมแล้วตบกระหม่อมซ้ำลงมาอีกที
“ขอโทษแล้วมันหายมั้ยวะ ถ้าลูกหายไปจะทำยังไง!”
“ถ้ากวินทร์บอกกับฉันตรงๆ ว่าที่ต้องออกกองกับผู้กำกับวิลล์เป็นเพราะต้องมาเป็นสแตนด์อินให้นักแสดงที่กำลังป่วยอยู่ ฉันก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก” ผมสวนกลับไป
ที่รู้ว่ากวินทร์มาเป็นสแตนด์อินแทนก็เพราะเมื่อกี้ผมได้ยินทีมงานสองคนตรงมุมห้องกระซิบกระซาบกันน่ะ พวกนั้นกระซิบว่า ‘สามีคุณเควินต้องเอาเรื่องแน่ๆ คุณเควินซวยจริงๆ มาเป็นสแตนด์อินแบบโดนบังคับแล้ว ยังจะถูกสามีโกรธอีก งานนี้ครอบครัวร้าวฉานแน่’
ทว่ากวินทร์ทำหน้าตกตะลึงที่ได้ยินผมพูดประโยคนั้น ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น พูดเสียงเบาประหนึ่งเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด
“ถ้าบอกนายไปตรงๆ ว่าฉันมาทำแบบนี้กับคนอื่น นายก็ไม่ยอมน่ะสิ จะเอาสแตนด์อินมาแทนก็หาไม่ทัน คนที่ยอมเล่นเป็นเกย์คู่ขาพระเอกนี่มันหายากนะ มีเวลาไม่ถึงสองวันดีอย่างนั้นน่ะ ฉันก็เลยต้องมารับหน้าที่แทนไปก่อนเพราะผู้กำกับวิลล์บอกว่าท่าทางฉันได้อย่างที่เห็นนี่แหละ” โบ้ยไปให้ผู้กำกับวิลล์ที่ยิ้มหน้าระรื่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้นด้วย
ผมไม่ถือสาหรอก รู้อยู่ว่าที่กวินทร์มีงานทำ ได้เป็นโปรดิวเซอร์มือดีที่มีงานชุกขนาดนี้ได้ เป็นเพราะผู้กำกับวิลล์ให้โอกาสทั้งนั้น แต่มันก็น่าโมโหตรงที่กวินทร์เป็นเมียผมแท้ๆ ดันมามีความลับกันซะได้ ไม่รู้หรือไงว่าผมเป็นคนยังไง เรื่องแค่นี้ไม่โกรธหรอก ก็แค่หึง แล้วก็จะปล้ำให้สาสมเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่พูด เกิดสงสารกวินทร์ขึ้นมา ยกมือขึ้นลูบไหล่เปลือยของเขาเล็กน้อย แล้วพยักหน้าให้
“ไม่เป็นไร กวินทร์ไม่ต้องห่วง ฉันไม่โกรธ”
“จริงเหรอ”
ผมพยักหน้าอีกที “แต่ขอคุยกับผู้กำกับวิลล์หน่อย”
พูดจบ ผมก็เดินไปหาอีกฝ่ายทันที ผู้กำกับวิลล์ก็เหมือนจะเตรียมตั้งรับอยู่แล้ว ผมเลยไม่รีรอ พูดออกไปทันใด
“ผมขอให้เป็นเทคสุดท้าย ถ้าไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน หาสแตนด์อินอื่น”
“สามีเควินมาตามถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าฉันดันทุรังสั่งเทคใหม่ เห็นทีคงจะโดนต่อยหน้าบี้ซะมั้ง” เขาว่าขำๆ
ผมไม่ขำด้วย ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขา แล้วพยักหน้าให้เขาเป็นเชิงว่าให้รีบสั่งถ่ายต่อเร็วๆ
“โอเค งั้นเริ่มกันใหม่อีกทีนะ เอาสปริงเกอร์ไปฉีดหน้าให้พระเอกหน่อยซิ แล้วก็ฉีดให้เควินหน่อย ขออิมเมจแบบเหงื่อชุ่ม ไม่ต้องชุ่มมากนะ”
ช่างแต่งหน้าคว้าขวดสปริงเกอร์บรรจุน้ำไปฉีดหน้าพระเอกที่ในเรื่องชื่อว่าเฟร็ดทันที ก่อนจะไปฉีดให้กวินทร์ สีหน้าของกวินทร์ตอนนี้ดูไม่ดีเลยสักนิด ดูซีด... ไม่สิ ดูอย่างกับคนตาย ขาวจนไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย
“โอเค นับสามแล้วเริ่มกันใหม่นะ ไปนอนบนเตียงเตรียมเข้าฉาก... สาม สอง หนึ่ง แอคชัน!”
การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พระเอกของเรื่องซุกไซ้ใบหน้าลงบนลำคอของกวินทร์ ไล่พรมจูบไปทั่วหน้าและลำคอ ก่อนลงต่ำมายังหน้าอก ผมมองแล้วก็ยกมือขึ้นป้องปาก พยายามสงบสติอารมณ์ให้ไม่พุ่งไปจับหมอนั่นเหวี่ยงออกจากหน้าต่างชั้นแปดไปโหม่งพื้นด้านล่าง ส่วนกวินทร์ก็ส่งเสียงอืออาออกมาบ้างเป็นฟีลลิงของตัวละคร แต่ผมสัมผัสได้ถึงความเกร็งตลอดการถ่ายทำ
เกร็งจนน่ากลัวว่าจะเป็นตะคริวอีกไม่ช้านี้
“เควินทำไมเกร็งจังวะ เฮ้ย คัตๆๆ! เกร็งขนาดนี้มันใช้ไม่ได้ เทคที่แล้วยังเล่นดีกว่าอีกนะเควิน!” ผู้กำกับวิลล์ก็คิดเช่นนั้น ดูการถ่ายทำผ่านจอมอร์นิเตอร์แล้วก็สั่งคัทลั่น
“ขอโทษครับ” กวินทร์รีบผุดลุกขึ้นนั่ง ขอโทษขอโพยอย่างน่าสงสาร
ผมรู้หรอกว่าที่กวินทร์เกร็งขนาดนี้ เป็นเพราะผมมานั่งดูการถ่ายทำอยู่ด้วย แต่ผมไม่พูดอะไร ดูซิว่ากวินทร์จะทำยังไงต่อไปในเมื่อเมื่อกี้ผมบอกผู้กำกับวิลล์ว่าให้แค่เทคเดียวเท่านั้น
ทว่าผู้กำกับวิลล์ก็หันมาหาผมเสียก่อน และออกปากขอ
“ฉันขออีกเทคได้มั้ย เทคเดียว”
ผมหันไปมอง พยักหน้าให้น้อยๆ
“อีกหลายเทคก็ได้”
“พูดจริง?” ผู้กำกับวิลล์ทำหน้าไม่เชื่อ
“ครับ แต่มีข้อแม้”
“ว่ามา”
“ผมจะเป็นสแตนด์อินให้พระเอกเอง”
ผู้กำกับวิลล์หัวเราะลั่นทันที ก่อนจะพูดเสียงดัง “ตกลง! ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรนะ แค่เมคเลิฟช่วงบน ช่วงล่างไม่ต้องถอด ต้องอธิบายเพิ่มเติมมั้ยเนี่ย”
“ไม่ต้องครับ” ไม่ต้องจริงๆ นั่นแหละ ของแบบนี้ ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง
“งั้นก็เริ่มเลย”
พระเอกคนนั้นถอยฉากออกมาทันทีที่ถูกเรียก เหลือแค่กวินทร์ที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ผมเดินเข้าไปหา ถอดเสื้อออก เหลือแต่กางเกงยีนส์เท่านั้นที่ปกปิดร่างกายอยู่
“คะ...คีธ อย่าทำอะไรนอกบทนะ” กวินทร์สั่งผมเสียงเบาทันทีที่ผมนั่งลงบนเตียง
ผมไม่ตอบ หยักยิ้มให้เล็กน้อย
“ไม่นอกบทแน่นอน”
“สาบาน?”
“ไม่” ผมเล่นลิ้น กวินทร์ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ ตะโกนใส่ผมลั่น
“ไอ้คีธ!”
“เริ่มเลยนะ สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!”
จังหวะเดียวกับที่ผู้กำกับวิลล์สั่งเทคพอดี เท่านั้นผมก็ผลักกวินทร์ลงบนเตียง กวินทร์ดิ้นพล่าน พยายามจะลุกหนี แต่ไม่ทัน ผมขึ้นมาคร่อมไว้แล้วเรียบร้อย ซุกหน้าลงบนลำคอ ลากริมฝีปากไปบนผิวนุ่มนั่นเบาๆ
“ยะ...อย่านอกบท” เสียงกระซิบของกวินทร์ยังดังมาให้ได้ยิน
แต่... ใครจะฟังล่ะ แค่พูดมาปุ๊บ ผมก็เงยหน้าขึ้น แสยะยิ้มให้
“โทษฐานโกหก...จะเอาให้ตายคาเตียง”
แคว่ก!
ตามมาด้วยกระชากกางเกงยีนส์ที่สวมอยู่บนตัวกวินทร์ขาดสะบั้นออกจากกัน ทุกชีวิตมองผมที่ฉีกผ้าหนาๆ ด้วยมือเปล่าได้อย่างไม่เชื่อสายตา ขณะที่กวินทร์อ้าปากค้างและแหกปากลั่นเป็นภาษาไทย
“ทำบ้าอะไรของมึงเนี่ย! หนังโรแมนติกเว้ย! หนังโรแมนติก! ไม่ใช่หนังโป๊เกรดบีนะเว้ย จะฉีกกางเกงกูหาเตี่ยมึงเหรอไอ้คีธ! แค่ภายนอก มึงไม่ต้องจริงจัง! อยากจริงจังค่อยกลับไปทำที่บ้าน ไม่ต้องโชว์!”
ไม่รู้ล่ะ ไม่ฟังด้วย ถือว่ามีความลับกับผม แถมทำผมหึงหน้ามืด ระแวงไปหลายวันขนาดนี้ จะเป็นหนังรักโรแมนติกหรือหนังโป๊เกรดบี ยังไงกวินทร์ก็ต้องโดนทำโทษ
เอาให้เห็นกันทั้งบางว่ากวินทร์เป็นของใคร!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.03]--31/01/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 02-02-2016 21:46:44
เอาความจริง แอบไม่ชอบไม่พวกเจ้าชายตัวน้อยด้วยเหมือนกัน เป็นเราจะถีบแมร่งเลย มาเล่นแผลงๆกับลูกเนอะกวินทร์ เอาเป็นว่าตอนต่อไปขอให้ไอ้พวกเจ้าชายทั้งหลาย มันมาหลงรักคีตากับคินท์จนยอมทุกอย่างละกัน แอบเคือง  ช่วยหาตำแหน่งอะไรให้ลูกน้อยทั้ง2หน่อยยยยยย

บรรดาเจ้าชายจะไปสยบให้หนูคีตากับหนูคินน์ในเล่ม Mini novel: Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน ค่า เดี๋ยวมาอัพตัวอย่างให้อ่านชิมลางกันน้า XD
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.04]--02/02/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 03-02-2016 18:43:18
กวินทร์ไม่รอดจริงๆล่ะคราวนี้  :z1: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.04]--02/02/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 03-02-2016 19:47:31
เอาไว้มาเล่นจริงที่บ้านก็ได้มั๊ง คีธ   :z1: :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.04]--02/02/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 04-02-2016 08:06:51
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.04]--02/02/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 04-02-2016 10:45:02
ตายแน่กวินทร์เอ๋ย ตายคาอกคีทนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.04]--02/02/59[หน้า11]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 05-02-2016 22:29:09
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [5]
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนฯ ตอนใหม่มาแล้วค่า เป็นตอนของแอสตันกับริชาร์ดนะ
อันนี้เป็นตอนย้อนอดีตไปตอนที่ทั้งคู่ได้กันครั้งแรกค่ะ แล้วก็ตอนหนังสดในตำนาน 555
เล่าย้อนอดีตแค่นั้นค่ะ ส่วนครึ่งหลังก็เป็นเนื้อหาใหม่นะ
ใหม่ยังไงไม่บอก ไปตามหนังสือเอานะจ๊ะ XD
--------------------------------------------------


Special Episode 05 [Aston & Richard]: When a prince crushes on me
พอเปิดประตูมาเห็นหน้าแอสตัน ผมก็รู้ทันทีเลยว่าไอ้เวรเควินมันเล่นผมแล้ว
“ไงริชาร์ด”
ไงบ้าไงบออะไร! ฝันแน่ๆ นี่ต้องฝันไปแน่ๆ!
ฝันหรือไม่ฝันก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ คือผมปล่อยโทรศัพท์ในมือทิ้ง ผลักประตูปิดด้วยความไวระดับพระกาฬ แต่แอสตันมันเป็นมนุษย์ต่างดาวไง มีพละกำลังมากกว่าด้วย แค่ผมผลักประตูปิด ประตูยังไม่ทันจะล็อค มันก็ผลักคืนมาแล้วก็แทรกตัวเข้ามาในห้องแล้ว
เสียงประตูปิดดังกริ๊กทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย ถอยกรูดไปมองซ้ายขวา หาอะไรมาไว้ป้องกันตัวทันที แต่ที่นี่ไม่ใช่อพาร์ตเม้นต์ที่นิวยอร์กของผมไง เลยไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ที่จะเอาไว้ป้องกันตัวเองได้เลยสักนิด เท่าที่เห็นก็มีแต่กระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นเท่านั้น
“คิดถึงจังเลยริชาร์ด” แล้วมันก็โพล่งขึ้นมา ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ด้วย
ถ้าเป็นก่อนที่ผมจะรู้ว่ามันไอ้เด็กเวรนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวและจัดการวางไข่ใส่ผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็คงจะคิดว่ารอยยิ้มนี่โคตรจะน่ารักเลย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ยิ้มมาอย่างนี้ ต้องมีแผนอะไรแน่
“นะ...นายจะเอาอะไร” ในเมื่อหาของมาใช้เป็นอาวุธไม่ได้ ผมก็รีบวิ่งไปหลบหลังเก้าอี้ สองมือจับพนักพิงมั่น กะว่าถ้ามันพุ่งเข้ามา ก็จะฟาดมันด้วยเก้าอี้นี่แหละ
แต่แอสตันไม่หือไม่อือกับท่าทางหวาดกลัวของผม มองแล้วก็ยิ้มไม่เลิก
“ไม่ได้เอาอะไร แค่บอกว่าเราคิดถึงนายเฉยๆ” แล้วก็ตามมาด้วยภาษาจีน “หว่อเสียงหนี่ (คิดถึงจัง)”
ผมไม่บ้าจี้ไปกับมัน ระแวงมันมากกว่าเดิมอีก เท่าที่เห็น มันไปมีโฮสต์ใหม่เป็นไอ้เด็กเปรตที่ชื่อเบนแล้วนี่นา จะมารุงรังกับผมอีกทำไม!
“ถะ...ถอยออกไปเลย ฉันไม่สนุกด้วยนะ” ผมร้องขู่ ทำท่าจะยกเก้าอี้ฟาดมันด้วยจริงๆ ถ้ามันก้าวเข้ามาใกล้
ทว่าแอสตันกลับไม่ยี่หระ เอียงคอมองผม ทำปากยื่นๆ แล้วก็พูดออกมา
“ริชาร์ดใจร้ายจัง เราคิดถึงนายจะตาย ยังใจร้ายกับเราอีก” ตอนนี้มันเริ่มพูดภาษาจีนแล้วล่ะ
บอกตรงๆ เลยว่าผมไม่ได้ดีใจหรือใจอ่อนกับการที่มันพูดภาษาบ้านเกิดกับตัวเองสักนิด ก่อนจะรีบร้องห้ามเมื่อเห็นมันย่างสามขุมเข้ามาหา
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย อย่าเข้ามา!”
แอสตันฟังซะที่ไหนล่ะ ยิ่งห้ามก็ยิ่งก้าวเข้าใกล้ ผมเลยรีบมองหาลู่ทาง ก่อนจะสบโอกาสวิ่งหนีเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ทว่าวิ่งเข้าไปได้แค่ขาข้างเดียว ขาอีกข้างก็ถูกคว้าเอาไว้จนล้มคว่ำไปกับพื้น แรงกระแทกบนพื้นกระเบื้องทำเอาผมเบ้หน้าเหยเก หันไปมองก็เห็นว่าสาเหตุที่ผมล้มไม่เป็นท่า เป็นเพราะถูกแอสตันสไลด์พุ่งเข้ามาคว้าข้อเท้าไว้
“เราคิดถึงนายจริงๆ”
คิดถึงก็คิดถึงเฉยๆ ไม่ต้องทำร้ายร่างกายกันได้มั้ยเล่า!
อันตรายแล้ว อันตราย ไอ้เจ้าชายต่างดาวนี่มันดูท่าจะออมแรงไม่เป็นด้วยแฮะ ขืนยอมให้มันแตะเนื้อต้องตัวไปมากกว่านี้ รับรองเลยว่ามันจะต้องฆ่าผมทิ้งแน่ๆ แค่โดนมันวางไข่กับสูบสารอาหาร ผมก็รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นแล้ว!
ยิ่งคิด ความกลัวก็ยิ่งเข้าครอบงำ ผมลืมสิ้นความกลัวทั้งหมด สะบัดขาหนีจากการเกาะกุม ปากก็ร้องโวยวายไปด้วย
“ปล่อยนะเว้ยไอ้มนุษย์ต่างดาว! บอกให้ปล่อย!”
พยายามจะใช้ขาข้างที่ว่างอยู่ถีบมันให้มันปล่อย ทว่าการกระทำนั้นช่างเป็นความโง่เขลา แค่ยกขาถีบโดนอกมันไปที มันก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่คว้าข้อเท้าผมหมับ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมโดนมันจับข้อเท้าทั้งสองข้างไปแล้ว
“ยอมให้จับตัวง่ายๆ แบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง”
เดี๋ยว! ไม่ได้ให้จับเว้ย! นี่คือการดิ้นรนเอาตัวรอด เห็นท่าทางแล้วไม่รู้หรือไงวะ!
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรสักแอะ แอสตันก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน
“อย่ามัวมานอนหน้าห้องน้ำเลย ไปนอนบนเตียงเถอะ”
“เดี๋ยว! เหวอ!”
ผมร้องได้เท่านั้นแหละ ก่อนที่ตัวจะลอยหวือขึ้นในอากาศและหล่นกระแทกฟูกเตียงเต็มแรง ที่ลอยหวือเป็นเพราะไอ้บ้าแอสตันจับข้อเท้าผมแล้วออกแรงเหวี่ยงมายังเตียงน่ะ
หะ...ให้ตาย อุ้มก็ได้ ไม่ก็บอกให้เดินก็ได้ อย่าคิดว่าฉันจะถึกเหมือนมนุษย์ต่างดาวอย่างนายนะเว้ย!
ถึงใต้ร่างจะเป็นฟูกนุ่ม แต่โดนกระแทกไปเต็มแรงก็เล่นเอาจุกไปเหมือนกัน กระนั้นผมก็พยายามจะลุกขึ้นหนีตายอีก ทว่าแอสตันไวกว่า พุ่งเข้ามาคร่อมร่างผมเอาไว้ ถือวิสาสะหอมแก้มซ้ายขวาอีกด้วย
“คิดถึงจัง”
ผมเบิกตาโตเลย ส่วนมันก็พร่ำบอกว่าคิดถึงไม่เลิก จนตอนนี้ผมชักจะรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นบ้าละ
“พูดอะไรบ้างสิริชาร์ด อย่าเอาแต่มองเราตาค้างแบบนั้น เราคิดถึงนายนะ”
แล้วจะให้ฉันพูดอะไรเล่า! มาถึงแม่งก็พูดแต่คิดถึงๆ จับกดอีกต่างหาก ตั้งตัวไม่ทันนะเว้ย!
“พูดสิริชาร์ด พูดอะไรกับเราหน่อย”
พอเห็นผมไม่ยอมพูดสักที แอสตันก็คะยั้นคะยออีกครั้ง ดวงตาสีเทาสว่างของมันที่จ้องหน้าผมอยู่ดูเว้าวอนเหลือเกิน ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ดี ตอนนี้คือกลัวมันจับจิตจับใจมาก และก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมันประทับจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ ทีหนึ่ง ปากก็พึมพำไปด้วย
“ริชาร์ด... รู้มั้ยที่เราคิดถึงนายมากขนาดนี้เป็นเพราะเราชอบนาย”
วะ...เวรแล้ว อะไรวะเนี่ย!
ผมเบิกตาโตยิ่งกว่าเดิม สมองเหมือนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนไม่ทำงาน
“พูดอะไรบ้างสิริชาร์ด”
เพราะผมเอาแต่เงียบ แอสตันก็เลยใจเสีย ดูได้จากสีหน้ากระอักกระอ่วนของมัน คือเอาตรงๆ นะ ที่ผมนิ่งจนพูดไม่ออกเนี่ย เป็นเพราะไม่เชื่อหูว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังสารภาพรักกับผม ที่สำคัญ มันดันเป็นผู้ชาย และเป็นเด็กอายุสิบแปดที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถ้าผมได้กับมันไปนี่จะไม่โดนข้อหาพรากมนุษย์ต่างดาวผู้เยาว์หรือไงวะ!
“ริชาร์ด... พูดอะไรหน่อย”
ผมเงียบจนแอสตันเริ่มกังวล ยื่นมือมาแตะข้างแก้มผมเบาๆ เป็นการเรียกสติ ผมสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง มองหน้ามันอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะตัดสินใจเปล่งเสียงออกมา
“อะ...แอสตัน...”
“หืม?”
“กะ...กัญชา... ขอกัญชา”
แอสตันชะงักไป ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ ส่วนผมก็มือไม้สั่นขึ้นมากะทันหัน
มะ...ไม่ได้ลงแดงนะ แต่แค่คิดว่าควรดูดเพื่อให้หลับๆ ไป ฝันร้ายตรงหน้าจะได้หายไปสักที
หากแต่แอสตันไม่ยอมหยิบซองบุหรี่ยัดไส้กัญชาที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงให้ผม แค่เหลือบไปมองแล้วก็ยิ้มเผล่
“เรามีของดีกว่ากัญชาให้นายดูดนะริชาร์ด”
“อะ...อะไร”
โคตรไม่ไว้ใจมันเลย ยิ่งมันพูดมาอย่างนี้ก็ยิ่งระแวง แล้วก็ระแวงหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันคว้ามือผมที่ถูกจับอยู่ลงต่ำ ก่อนจะแตะหมับลงบนอะไรบางอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็นผ้า... ผ้ายีนส์...
เดี๋ยว… ผ้ายีนส์... มันเป้ากางเกงไอ้เด็กเวรนี่นี่หว่า!
“ทำอะไรของนายเนี่ย!”
ผมรีบชักมือออกทันที แต่แอสตันไม่ยอมปล่อย จ้องหน้าผมแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ก็นายร้องหากัญชา ฉันก็เสนอของดีกว่าให้ไง... บ้องกัญชา”
ฟังแล้วก็ถลึงตาใส่มันเต็มที่ ถลึงตาหนักกว่าเดิมเมื่อบ้องกัญชาของแอสตันเริ่มขยายตัวตามธรรมชาติ
บะ...บ้องกัญชาหรือท่อประปา ทำไมมันมโหฬารอลังการอย่างนี้!
โอย...มะ...ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องเอากัญชาแล้ว เอาอะไรก็ได้ที่ดูดฟืดเดียวแล้วหลับยาวๆ ไปเลย ไม่อย่างนั้นดูท่าผมคงจะได้ดูดของดีของมันแน่
แต่ไม่ทันละ แค่คิดไม่ทันจบดี แอสตันก็รูดซิปลง จับมือผมสอดเข้าไปด้านในจนไอร้อนจากผิวเนื้อใต้บ็อกเซอร์สัมผัสอุ้งมืออย่างชัดเจน
“ดูดสิริชาร์ด นี่พิเศษสำหรับนายเลยนะ”
หะ...ให้ดูดท่อประปาแบบนี้ ได้เสียเป็นผัวเมียกับเควินยังจะดีกว่าอีกเว้ย!
------------------------------------
ได้เสียเป็นผัวเมียกับกวินทร์สิหายนะ ไม่รู้ใครจะผัว ใครจะเมีย
กวินทร์เป็นเมียก็แย่ เป็นผัวก็แย่นะ ริชาร์ดโดนข่มตาย 555
รออ่านตัวอย่างตอนพิเศษของริชาร์ดกับแอสตันตอนหน้าอีกตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.05]--05/02/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 05-02-2016 23:31:31
โดนท่อประปาอย่างนี้มิน่าล่ะ...  :z1: :laugh: :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.05]--05/02/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 09-02-2016 20:59:47
ต๊ายตาย ท่อประปามีหลายขนาดนะจ๊ะริชาร์ด ของแอสตันนี่ขนาดกี่หุนล่ะตัวเอง :laugh:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.05]--05/02/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 01-03-2016 23:44:01
ตัวอย่างตอนพิเศษ
แก๊งเกรียนเอเลี่ยน [6]


หายไปปิดต้นฉบับเรื่องอื่นมา ตอนนี้กลับมาแล้วค่า ยังติดปิดต้นฉบับให้ทันงานหนังสืออยู่อีกเรื่องนะ แต่จะพยายามมาอัพเดตตัวอย่างตอนพิเศษเรื่อยๆ ค่ะ ยังไม่หายไปไหนเน้อ
ส่วนตัวอย่างตอนพิเศษตอนหน้าก็เป็นตอนพิเศษของซีเลนกับสองพี่น้องเปรตแล้วน้า จากนั้นก็เจเนซิสกับลาร์คโอป้าตามระเบียบ (คู่หลังสุดนี่คือคู่ที่รอคอย 555)
รอติดตามกันนะคะ
ปล.กระซิบบอกกันหน่อยว่าใครที่สั่งจองแก๊งเกรียนฯ รอบแรก หนูแดงมีเซอร์ไพรส์นะ แต่ขออุบไว้ก่อนเน้อ
-------------------------------------


[Sample] Special Episode 06 [Aston & Richard]: Big surprise with pajamas

ปกติแล้วแอสตันไม่ใช่คนเงียบขรึมแบบนี้ แต่พักนี้ค่อนข้างจะเงียบ
เงียบจริงๆ เงียบผิดปกติ ขนาดผมทัก...
“อรุณสวัสดิ์ที่รัก...”
แค่นั้น... ยังเดินหนีผมเลย
จริงๆ ก็ไม่เรียกว่าเดินหนีหรอก เรียกว่าเมินมากกว่า เมินแบบถามคำตอบคำด้วย เป็นอะไรก็ไม่พูด เอาแต่บอกว่า ‘ช่างมันเถอะ เราไม่ได้เป็นอะไร’ ผมเลยต้องมานั่งคิดหัวแทบแตกว่าก่อนหน้านี้ได้ไปทำอะไรให้แอสตันโกรธหรือเปล่า แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ก็ช่วงนี้ผมกับแอสตันตัวติดกันหนึบเป็นกาวสองหน้าทุกวันเลยนี่นา ผมไปทำงานที่กองถ่าย แอสตันก็ไปด้วยเพราะมีฉากต้องถ่ายทำ จะว่าผมไปกิ๊กกั๊กกับใครหรือทำให้แอสตันเข้าใจผิดก็ไม่มีซะด้วย
ก็แน่ล่ะ ผมไม่ใช่เควินซะหน่อยที่จะได้มั่วไปเรื่อยอย่างนั้นน่ะ ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้มั่วเพราะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เถอะ
แต่เอ... ตกลงผมทำอะไรให้แอสตันโกรธกันนะ
“ผู้กำกับครับ นักแสดงพร้อมเข้าฉากแล้ว” เสียงของลูกมือในกองถ่ายดังขึ้น เรียกให้ผมที่นั่งขบคิดอยู่หลุดออกจากภวังค์ พยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าเริ่มได้
เท่านั้น บรรดานักแสดงก็มารอเตรียมความพร้อมเข้าฉาก ผมอธิบายนิดหน่อยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง จริงๆ ฉากที่กำลังจะถ่ายทำนี่ก็ไม่มีอะไร แค่ฉากเลิฟซีนของพระ-นางธรรมดาๆ แต่ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายมาหลายวันแล้ว ปัญหาก็คือนักแสดงที่มารับบทนางเอกยังเป็นหน้าใหม่ ไม่สันทัดกับการเข้าฉากแบบนี้
ผมก็ติวคิวแสดงให้ไปตามเรื่อง สายตาก็เหลือบมองแอสตันที่นั่งรอเข้าฉากต่อไปไปด้วย หมอนั่นทำหน้านิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ จนผมเกือบจะคิดไปแล้วว่าหมอนี่เป็นคนเงียบขรึมแบบคีธ แต่จริงๆ ไม่ใช่ไง แอสตันเป็นคนยิ้มง่าย พอมาเงียบใส่แบบนี้ ผมก็กังวลขึ้นมาไม่ได้
เป็นอะไรของหมอนี่กันนะ
“ทราบแล้วครับผู้กำกับ เดี๋ยวผมจะช่วยเธอบิวท์อารมณ์เอง”
ผมได้สติอีกครั้งก็ตอนนักแสดงนำชายขานรับที่ผมสั่งไปเมื่อครู่ ก่อนหันไปยิ้มกับนักแสดงนำหญิงที่ยิ้มแหยให้ผม
“หวังว่าวันนี้คงจะผ่านฉลุยนะ จะได้ถ่ายฉากอื่นกันต่อซะที” ผมว่า ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่
พอสั่งคัท การแสดงก็เริ่มดำเนินไปทันที เริ่มจากนักแสดงชายเริ่มจูบนักแสดงหญิง พาไปที่เตียงและเริ่มบรรเลงบทเลิฟซีน ผมมองการแสดงผ่านจอมอร์นิเตอร์แล้วก็ต้องย่นคิ้วด้วยความหงุดหงิด ฝ่ายชายน่ะแสดงดีไม่มีพลาดสักจุด ที่หงุดหงิดเลยเป็นเพราะฝ่ายหญิงที่เอาแต่ประหม่าจนภาพออกมาไม่เป็นธรรมชาติ สุดท้ายแล้ว ผมก็ต้องสั่งคัท
“คัทๆ! พอก่อน เล่นแข็งทื่อมากเลยให้ตาย เธอเป็นนางเอกหรือท่อนไม้กันแน่เนี่ย ฉากนี้ถ่ายกันมาหลายวันแล้วนะอลิซ เอาให้ผ่านซะทีเถอะ” ผมว่าอย่างหัวเสีย เดินเข้าไปหานักแสดงทั้งคู่ขณะที่ฝ่ายหญิงทำหน้าจ๋อยขึ้นมา
“ขอโทษค่ะ” แล้วก็ตามมาด้วยทำหน้าจะร้องไห้
ผมเห็นแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ เมื่อวานเธอก็ทำแบบนี้ หนักสุดเลยคือระเบิดร้องไห้กลางกองถ่ายโดยอ้างว่าผมกดดันมากเกินไป จบลงที่การถ่ายทำดำเนินต่อไปไม่ได้ ต้องเก็บข้าวของไปรอถ่ายวันอื่นแทน ทว่าไอ้วันอื่นที่ว่าก็คือวันนี้นี่แหละ ดูท่าทางจะถ่ายต่อไปไม่ได้อีกแล้วด้วยเมื่อผมเห็นว่าเริ่มมีหยดน้ำตาเม็ดใสร่วงเผาะจากดวงตาคู่สวย
“ขอ...ขอโทษจริงๆ ค่ะ” เธอเริ่มสะอึกสะอื้นละ
ผมเห็นแล้วก็ยกมือเป็นเชิงไม่เป็นไร รีบคลายความหัวเสียก่อนที่เธอจะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังจนงานไม่เดินอีก
“ไม่ต้องร้อง แค่นี้เอง เอางี้ เดี๋ยวฉันสาธิตให้ดู แล้วเธอทำตามโอเคมั้ย มีตัวอย่างให้ดูแล้วจะได้เล่นตามได้ง่ายๆ” ผมเสนอขึ้นมา
อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ทันที พยักหน้าหงึกหงักเป็นพัลวันด้วย
“หมายถึงผู้กำกับจะเข้าฉากเลิฟซีนกับผมเหรอครับ” นักแสดงชายเป็นคนถาม ผมเลยพยักหน้า
“อือ ไม่มีทางเลือกแล้วนี่”
“แต่เมื่อวาน เราก็ทำนะ เมื่อวานก่อนก็ด้วย”
ผมนิ่งไป จริงอย่างที่หมอนี่พูด สาธิตให้ดูหลายรอบจนจะได้เสียเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว ยัยนักแสดงนี่ก็ยังเล่นได้ไม่ดีตามที่ผมต้องการเลยเถอะ แต่ช่วยไม่ได้ หลุดปากออกไปแล้วก็ทำๆ ไปให้จบๆ แล้วกัน
“มาทำอีกครั้งแล้วกัน จะได้เสร็จกันซะที” ผมว่าปัดๆ นักแสดงชายก็เลยพยักหน้าโอเค
แค่นั้น ผมก็เรียกให้นักแสดงหญิงลุกขึ้น พลันเป็นฝ่ายทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแทนที่ แล้วก็เรียกให้นักแสดงชายมาคร่อมตัวเอาไว้
“มันก็ไม่ยากนะฉากเลิฟซีนเนี่ย แค่เธอทำให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ตอบสนองกับสัมผัสให้เหมือนกับเวลามีอะไรกันจริงๆ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว” แล้วผมก็กวักมือเรียกให้นักแสดงชายโผเข้าหา
หมอนั่นกดผมลงบนเตียง ลากไล้จูบลงบนต้นคอ ส่วนผมก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้แสดงท่าทางออกมาตามธรรมชาติ เสียงอืออาหลุดจากริมฝีปากผมอย่างเผลอตัว ผมก็ไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นผู้กำกับกระโจนลงมาสาธิตด้วยตัวเองแบบนี้เท่าไหร่หรอก หนำซ้ำนักแสดงที่ประกบคู่ด้วยก็เป็นผู้ชาย ทีมงานที่สนิทกับผมรู้กันดีอยู่แล้วว่าผมมีรสนิยมยังไงเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่ทีมงานหน้าใหม่บางคนเท่านั้นที่ยืนมองตาค้าง
นอกจากทีมงานหน้าใหม่ก็มีแอสตันอีกคนที่มองมาที่ผมอย่างตกใจ ก่อนใบหน้าน่ารักจะกลายเป็นปั้นปึ่งทันตา
อ้อ! ผมนึกออกแล้วล่ะว่าแอสตันเมินผมทำไม สงสัยต้องเป็นเรื่องนี้แน่
หึงล่ะสินะ...
คิดได้อย่างนั้น ผมก็ตั้งท่าบอกให้นักแสดงหยุดสาธิต แต่ก็ไม่ทันเพราะแอสตันลุกพรวดเข้ามาหาแล้ว หน้าตาของหมอนั่นตอนนี้ดูเกรี้ยวกราดจนน่ากลัว ผิดกับแอสตันคนเดิมลิบลับ มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กระชากคนบนตัวผมออก เหวี่ยงไปอีกทางแล้วดึงผมขึ้นจากเตียงทันใด
“ริชาร์ด!” แผดเสียงใส่ผมด้วย ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้มาก่อน ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงของแอสตันดังขึ้นมาอีก “กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”
ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ลากผมออกมาจากกองถ่าย ตรงไปยังลานจอดรถโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากผมที่ร้องบอกตลอดทางว่าทิ้งงานไม่ได้เลยสักนิด พอเปิดรถได้ก็เหวี่ยงผมขึ้นไป ปิดประตูกระแทกใส่แล้วก็เดินมาขึ้นรถฝั่งคนขับ สตาร์ทเครื่องแล้วห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
“ใจเย็นๆ ก่อนนะแอสตัน มันก็แค่ถ่ายหนัง” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมให้แอสตันหายขุ่นมัว ยอมรับเลยว่ายังตกใจอยู่ที่เห็นแอสตันเป็นแบบนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมายันมีลูก ผมไม่เคยเห็นแอสตันโกรธแบบนี้มาก่อนเลย นี่นับว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
ทว่าแอสตันก็ยังไม่หยุดเกรี้ยวกราด เหยียบคันเร่งมากขึ้นกว่าเดิม ขับฉวัดเฉวียนตัดหน้าคันโน้นที คันนี้ทีจนผมต้องร้องลั่น
“แอสตัน! บอกแล้วไงว่ามันก็แค่ถ่ายหนัง! อย่าคิดมากได้มั้ย แล้วก็ขับรถดีๆ ด้วย พวกเรามีลูกแล้วนะ เดี๋ยวอาร์ก็เป็นเด็กกำพร้าหรอก!”
แอสตันเหลือบมามองผมเอาตอนนี้ ชะลอรถเข้าข้างทางแล้วก็จอด ทำให้ผมหายใจได้โล่งขึ้น
“เรารู้ว่าเป็นการถ่ายหนัง แต่นายเป็นผู้กำกับไม่ใช่เหรอ จะลงไปแสดงเองทำไม” เป็นประโยคแรกที่แอสตันยอมเอ่ยปากกับผมก่อน
ผมหันไปมองแล้วก็ยกมือเสยปอยผมที่ปรกใบหน้ายุ่งเหยิงจากการถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาในรถเมื่อครู่
“นายก็เห็นนี่ว่าแม่นั่นแสดงไม่ได้เรื่องเลย ฉันเลยต้องลงไปสาธิต มันเป็นเรื่องปกติของผู้กำกับอยู่แล้ว”
“แต่มันหลายครั้งแล้วนะริชาร์ด เมื่อวานก็ทีนึง เมื่อวานก่อนก็เหมือนกัน นายจะให้เราคิดยังไง ลองให้นายเป็นเราดูบ้างมั้ย จะได้รู้ว่าเรารู้สึกยังไงที่ชายาของเรามีกลิ่นชายอื่นติดตัวกลับบ้านทุกวัน” แอสตันว่า ถึงสีหน้าจะคลายความกรุ่นโกรธลงบ้างแล้วแต่ก็ยังดูโกรธอยู่
ผมพูดอะไรไม่ออกในตอนนี้ เข้าใจอยู่ว่าประสาทสัมผัสของแอสตันดี ถ้าเป็นผม ได้กลิ่นคนอื่นบนตัวคนรักของตัวเองก็ไม่โอเคเหมือนกันนั่นแหละ
และเพราะคิดย้อนแล้วว่าถ้าเป็นผม ผมก็ไม่โอเค ผมเลยเดินหน้าง้อทันทีอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“ฉันขอโทษนะแอสตัน สัญญาว่าครั้งหน้าจะไม่มีอีกแล้ว”
หัวคิ้วย่นยู่ของแอสตันคลายออกจากกันทันตา ดูก็รู้เลยว่าอีกนิดเดียวก็จะกลับมาเป็นแอสตันคนเดิมแล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นนิ่งอยู่ ผมเลยรีบเดินหน้าง้อต่อทันทีด้วยเห็นว่าคงจะง้อไม่ยากนัก
“นะแอสตัน ขอโทษจริงๆ คราวหน้าฉันจะระวังตัวกว่านี้ อย่าโกรธเลยนะ”
แอสตันชำเลืองดวงตากลมสวยมามองผมเล็กน้อย ผมยิ้มให้ แอสตันก็เลยว่าขึ้น
“แล้วนายจะชดใช้ให้ความรู้สึกเรายังไง”
พูดมาอย่างนี้ ผมก็รู้เลยว่าแอสตันต้องการอะไร ผมก็เลยขยับเข้าไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“กลับไปบ้านก่อนแล้วจะรู้เอง รับรองว่าจะชดใช้ให้สมกับที่ทำนายรู้สึกไม่ดีแน่”
ริมฝีปากหนาหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้เพราะแอสตันรู้ดีว่าผมหมายถึงเรื่องบนเตียง
“นายนี่นะ ทำเราใจอ่อนทุกทีเลย”
“ก็นายรักฉันนี่” ผมว่ะพลางเชิดจมูกขึ้น
“อืม นั่นสินะ ถ้าไม่รักจะหวงถึงขนาดนี้เหรอ” คราวนี้แอสตันเป็นฝ่ายหันมาหาผมแล้วคว้าต้นคอผมโน้มเข้าไปใกล้ ประกบจูบเบาๆ พลางพึมพำออกมา “ถึงจะไม่มีอะไรให้น่าหึงน่าหวงเลยก็เถอะ แต่เราก็หึงและหวงนายที่สุดเลยริชาร์ด”
เดี๋ยวนะ... ไอ้ที่ว่าไม่มีอะไรให้น่าหึงน่าหวงนี่หมายความว่าอะไรวะ!?
ผมพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะคลายความหัวเสียเมื่อครู่ได้ทันทีที่แอสตันจรดริมฝีปากลงมาบนหน้าผากผม แล้วไล่ไปยังซีกแก้ม ลามเลียไปยังต้นคอ ดูท่าจะมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าดังเบาๆ
“แต่เรารอจนถึงเวลากลับบ้านไม่ไหวแล้วสิ”
นั่นไง เริ่มเรื่องแบบนี้ทีไร มนุษย์ต่างดาวพวกนี้อดใจกันไม่เป็นทุกที
“นี่มันข้างถนนนะ แถมยังตอนกลางวันอีกต่างหาก” ผมรีบร้องท้วงทันทีที่รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือลูบเข้ามาใต้เสื้อ แต่แอสตันก็ไม่หยุด
“แต่เราทนไม่ไหวแล้ว ทนเห็นคนอื่นแตะตัวนาย เราก็อยากจะล้างกลิ่นนั้นออกไปให้หมดเร็วๆ”
ดูท่าจะไม่ไหวจริงๆ เพราะพูดไป มือก็เริ่มจับโน่นจับนี่บนตัวผมสะเปะสะปะ ซ้ำยังพยายามจะจรดริมฝีปากลงมาบนยอดอกผมอีก ผมเลยต้องรีบคว้ามือไว้ก่อนที่มันจะดันผมให้เอนราบพิงกับประตูรถอีกฝั่ง
“เราต้องกลับไปถ่ายหนังกันต่อนะ” ผมว่าเสียงเข้มเล็กน้อย แอสตันเลยผละออกจากการวุ่นวายกับร่างกายผมเล็กน้อย
“ไม่ต้องถ่ายได้มั้ย”
“ไม่ถ่ายก็ตกงานสิ ตกงานขึ้นมาแล้วอาร์จะทำยังไง อาร์ยังต้องกินต้องใช้นะ” ผมอ้าง แต่แอสตันก็ยังไม่หยุด
“ไม่เป็นไร ชาวยูนิกมามีทุนเยอะ เดี๋ยวเราไปเบิกมาใช้ส่วนตัว”
อันนี้ผมไม่เถียงว่าพวกยูนิกมามีทุนสำหรับไว้ใช้จ่ายในโลกมนุษย์เยอะเข้าขั้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกได้จริง แต่จะให้มาทำแบบนี้ข้างถนนที่มีรถผ่านไปมา แถมยังกลางวันแสกๆ นี่ก็ไม่ไหวเหมือนกันเว้ย!
ผมรีบดันหน้าแอสตันที่โน้มเข้ามาใกล้หน้าอกออกอย่างรวดเร็ว แอสตันเหลือบมองผมด้วยสายตาขัดใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยปาก
“ริชาร์ด... เราทนไม่ไหว...”
“แต่ถ้าอดใจรอกลับไปทำที่บ้านนี่ ฉันมีเซอร์ไพรส์นะ” ผมโพล่งขึ้นก่อนที่แอสตันจะพูดจบ
แอสตันเลิกคิ้วไปนิด “เซอร์ไพรส์?”
“อื้อ เซอร์ไพรส์”
“เซอร์ไพรส์อะไร”
“ชุดนอนไม่ได้นอน”
หมายถึงชุดนอนจำพวกตาข่าย ไม่ก็ซีทรูน่ะ ผมมีอยู่ติดบ้านหลายชุด เอาไว้ใส่เพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กันและกันเวลาใช้เวลาร่วมกัน แน่นอนว่ามันไม่ใช่ชุดนอนไม่ได้นอนของผู้หญิง สมัยนี้ของผู้ชายก็มีขายกันให้เกลื่อนบนอินเทอร์เน็ตแล้วเถอะ ผมเคยลองใช้กับแอสตันครั้งนึงตอนเราคบกันแรกๆ หลังจากนั้นก็ใช้มาตลอดเวลาเพราะแอสตันบอกว่ามันเร้าใจดี
และเพราะแอสตันไม่พูดอะไรต่อ ผมก็เลยเสริมขึ้น
“ชุดใหม่ด้วยนะ บันนีบอย เพิ่งส่งมาถึงบ้านเมื่อวานนี้ ว่าจะบอกนายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่นายมัวโกรธอยู่ก็เลยไม่ได้คุยกัน”
พูดแค่นี้ แอสตันก็ชะงักกึก ไอ้ที่พยายามจะกินหัวกินหางผมให้ได้เมื่อครู่ก็ถอยผละไปทันใด
“ก็ได้ เห็นแก่ชุดบันนีบอยนั่นหรอกนะถึงได้ยอม” แล้วก็กลับไปนั่งประจำที่คนขับเหมือนเดิม
ผมหัวเราะออกมาน้อยๆ นี่แหละแอสตัน ตัวจริงต้องพูดง่ายแบบนี้แหละ
แอสตันสตาร์ทรถอีกครั้ง กลับรถขับกลับไปที่กองถ่ายตามเดิม ปากก็พูดไม่หยุดว่าให้ผมรีบถ่ายทำให้เสร็จไวๆ จะได้รีบกลับบ้าน ผมก็ตอบรับไปตามเรื่อง พอถึงกองถ่าย ก่อนจะลงจากรถ แอสตันก็คว้าแขนผมไว้
“ริชาร์ด”
“หือ?”
“คือว่า... ชุดบันนีบอยน่ะ มีหูกระต่ายด้วยใช่มั้ย” ถามยิ้มๆ พลางทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ย ยิ่งพอผมพยักหน้าให้ ก็ยิ่งยิ้มเผล่ไม่หยุดเข้าไปใหญ่
“งั้นรีบไปทำงานกันเถอะ เราอยากล่ากระต่ายจะแย่อยู่แล้ว”
เห็นท่าทางร่าเริงแบบนั้นแล้ว ผมก็รู้เลยว่าสงสัยคืนนี้ผมคงไม่ได้นอนแน่
เอ... นี่ถ้าบอกว่านอกจากชุดบีนนีบอยแล้ว ชุดเหมียวน้อยขนฟู กับชุดนางพยาบาลก็มี สงสัยแอสตันคงจะไม่รอช้าที่จะลากผมกลับบ้านแหง
เอาไว้บอกที่บ้านแล้วกัน เซอร์ไพรส์รอบสอง เอ้อ...อันที่จริงก็มีของเล่นด้วยนะ ถ้าบอกไปต้องตกใจแน่ ก็เราไม่เคยลองใช้ของเล่นกันเลยนี่นา
งั้นคืนนี้จะจัดเซอร์ไพรส์ไถ่โทษชุดใหญ่ให้ลืมไม่ลงเลยแล้วกัน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.06]--01/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 02-03-2016 17:37:46
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [7]

ตัวอย่างตอนพิเศษของซีเลนกับสองพี่น้องเปรตมาแล้วจ้า
ไม่รู้ทำไมยิ่งเขียนซีเลน แล้วกลับไปอ่านเนื้อเรื่องหลักที่เขียนจบไว้แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าซีเลนนี่ไม่ได้หื่นธรรมดา แถมโรคจิตอีก (เกรียนอีกต่างหาก ตัวเกรียนอันดับสองรองจากกวินทร์เลยนะเนี่ย 555)
ตอนพิเศษของซีเลนคนหื่นรับรองว่าต้องแซ่บค่ะ จริงๆ ตัวอย่างตอนนี้เคยอัพให้อ่านไปแล้ว แต่หนูแดงเอามาอัพใหม่นะ ไปแก้ไขเนื้อหามานิดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัพตัวอย่างตอนพิเศษตอนที่ 2 ของซีเลนให้นะคะ 

---------------------------------------------
Special Episode 07 [Zylen & Brooklyn & Ben]: Half-blood prince & Hulk brothers

ผมเหลือบมองร่างบางของสองพี่น้องบรูคลินและเบนที่นอนคว่ำหน้าหมดเรี่ยวแรงในสภาพเปลือยเปล่าบนเตียงไซส์คิงเบดของผมอย่างพึงใจ ก่อนแสยะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงครางโอดโอยดังออกมาจากริมฝีปากสีสวยของบรูคลินซึ่งอยู่ห่างเพียงช่วงแขน แล้วตามมาด้วยการครางเรียกน้องชายที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆ เสียงแผ่ว
“บะ...เบนลิโอ...” บรูคลินพยายามเอื้อมมือไปแตะยังซีกหน้าเหนื่อยอ่อนของเบน หากแต่ผมไม่ยอมให้หมอนั่นได้ทำง่ายๆ คว้ามือบางนั่นไว้ก่อนที่จะสัมผัสบนพวงแก้มใสนั้น
“ทำไม เป็นห่วงน้องชายเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก น้องของนายได้รับการปรนเปรอจากฉันเป็นอย่างดีไม่แพ้กับนาย รับรองว่าปลื้มปริ่มจนแน่นอกแน่นอน” ผมว่าเสียงเจ้าเล่ห์พลางพูดถึงบทรักชนิดฮาร์ดคอร์ที่เพิ่งจะจบลงไปเมื่อครู่
จริงๆ แล้วก็เป็นบทรักธรรมดานี่แหละ ...ธรรมดาสำหรับผม แต่คงจะไม่ธรรมดาของสองพี่น้องไบโทปคู่นี้
บรูคลินตวัดดวงตาปรือมองผมอย่างกรุ่นโกรธ คงจะไม่ได้โกรธเพราะตระหนักได้ว่าผมทำอะไรกับหมอนี่ แต่โกรธเพราะผมไม่ได้ทำกับหมอนี่คนเดียว ทว่าลงมือกับน้องชายวัยกระเตาะที่ผมหิ้วติดมือขึ้นมาบนห้องด้วยต่างหาก
ก็มันช่วยไม่ได้ ผมอดอยากปากแห้งจากกวินทร์มานี่นา อยากจะกินกวินทร์มาตั้งนานแล้วแต่ดันมีไอ้บ้าผู้พิทักษ์นั่นมาขวางตลอด พอมาเจอสองคนนี้ที่แหล่งกบดานยูนิกมา เลยต้องหาที่ระบายกันหน่อย ถึงจะไม่ได้ดูน่าอร่อยเท่ากวินทร์ แต่ก็นับว่าทั้งคู่ทำผมอิ่มท้องไม่น้อย
ไม่สิ... ยังไม่อิ่ม ผมยังกินได้อยู่นะอันที่จริง
 “ไปตายซะซีเลน” บรูคลินรู้ว่าสู้ผมไม่ได้จึงได้แต่ก่นด่า ไม่เรียกว่าองค์ชายอย่างที่ควรจะเป็นด้วย
ผมหยักยิ้ม ชอบเหลือเกินที่ได้เห็นคนอ่อนแออย่างบรูคลินแข็งขืนแบบนี้ และการที่ถูกดวงตาคู่สวยจ้องมองอย่างเคียดแค้น มันก็ทำให้ความกำหนัดในกายผมคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง และทำท่าว่าจะปะทุออกมาให้ได้จนผมต้องเขยิบเข้าไปคร่อมร่างหมอนั่นเอาไว้จากด้านหลัง ก้มลงจูบแผ่วเบาที่ใบหูพลันกระซิบเสียงเบา
“ถ้าอยากให้ฉันตาย ก็ไปส่งฉันที่สวรรค์อีกรอบสิ” พูดจบ ผมก็ลากลิ้นไล่ลงมาตามลำคอระหง
บรูคลินเกร็งตัวแข็ง พยายามจะดันผมออก แต่ไม่ทันแล้ว ผมตวัดสองมือพยุงเอวได้รูปให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะโถมร่างลงไปในพริบตา
เสียงครวญครางดังออกจากกลีบปากบางจนน่ารำคาญ ไม่แน่ใจว่าครวญครางเพราะสุขสมหรือเจ็บปวดกันแน่ แต่ผมก็ไม่สนใจ กดท้ายทอยคนใต้ร่างให้ฟุบหน้าไปกับฟูกเพื่อเก็บเสียงพลางเคลื่อนไหวลำตัวไปด้วย หากแต่ก็ต้องรำคาญขึ้นมาอีกเมื่อได้ยินเสียงของเบนที่เริ่มจะได้สติขึ้นมาแล้วดังขึ้นมาบ้าง
“ไอ้สารเลว... ปล่อยพี่ฉันนะ” รายนี้ก็ไม่เรียกผมว่าองค์ชายอย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังดันตัวเองขึ้นมารัวกำปั้นใส่ผมเป็นพัลวันด้วย
ผมย่นคิ้วยู่ ละมือจากท้ายทอยของบรูคลินมาผลักเบนเต็มแรงจนเด็กนั่นล้มหงายไปอีกครั้ง เบนพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ผมไวกว่า รั้งเอวบรูคลินไปคร่อมหน้าขาของเบนเอาไว้ขณะที่ผมยังคงฝังตัวอยู่ในร่างของหมอนั่น
เบนเบิกตาโตที่เห็นพี่ชายอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกเลยว่าสีหน้าอย่างนั้นทำให้ผมยิ่งอยากจะทำให้พรึงเพริดขึ้นไปอีก ก่อนที่ผมจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่คว้าที่ส่วนอ่อนไหวของเบน พลางยกยิ้มขึ้นมา
“ฉันปล่อยแน่...นายทั้งคู่ แต่จะปล่อยก็ตอนที่พวกนายทำให้ฉันพอใจได้แล้ว” ว่าจบ ผมก็ขยับมือเล็กน้อย
เบนขืนตัวแต่ก็ไม่สามารถหนีออกไปได้เพราะผมกดร่างบรูคลินให้แนบลงไปบนหน้าขาเล็กนั้น
“นายมันเลว... ปล่อยฉัน...ปล่อยพี่ชายฉันด้วย” เบนว่าเสียงเครือสลับกับครางกระเส่า ใบหน้าแดงซ่านบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้อยากให้ผมปล่อยอย่างที่พูดเลย
ถึงจะอยากให้ปล่อย ผมก็ไม่ปล่อยหรอก ด้วยตอนนี้สีหน้าและน้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากสองพี่น้องนี่เร้าใจชะมัด และผมก็อยากทำให้เบนดูเร้าใจขึ้นไปอีก เร้าใจให้เทียบเท่ากับบรูคลินที่ครางไม่ได้ศัพท์อยู่
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะปล่อยไปตอนที่พวกนายทำให้ฉันพอใจได้แล้ว ไม่ต้องห่วงเด็กน้อย ฉันจะทำให้ทั้งนาย ทั้งบรูคลินกระอักความสุขจนตาย”
สิ้นเสียง ผมก็โน้มหน้าผ่านแผ่นหลังบรูคลินไปจัดการกับช่วงล่างของเบนอย่างแผ่วเบา เบนสะดุ้งสุดตัว พยายามดันหน้าผมออกแต่ก็เท่านั้นแหละ ในตอนนี้ทั้งสองคนต่างไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขัดขืนผมอีกแล้ว แม้แต่บรูคลินเองที่เห็นน้องชายถูกรังแกจากผมต่อหน้าต่อตาก็ไม่อาจช่วยได้ถึงจะพยายามขืนตัวขึ้นมาดันให้ผมผละออกจากเบนก็ตาม
 “ปะ...ปล่อย...” เบนส่งเสียงกระเส่าออกมา แต่ผมก็ยังไม่ยอมละใบหน้าออก แถมยังใช้มือข้างที่ว่างมาเกาะกุมกับส่วนอ่อนไหวของบรูคลินที่อยู่ใต้ร่างด้วยจนเสียงของสองพี่น้องดังระงมไปทั่วห้อง
นี่แหละความสนุกของการได้รังแกคนอ่อนแอกว่าล่ะ ให้ตาย... สายเลือดเซนไทน์ในร่างกายผมชักเดือดพล่านแล้วสิ
เล่นสนุกับร่างกายสองพี่น้องคู่นี้ได้ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็กระตุกเฮือก เป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าทั้งคู่ถูกดูดพลังงานไปอีกระลอกแล้ว
ผมจึงจัดการปลดปล่อยตัวเองบ้าง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาพลางหายใจหอบน้อยๆ ต่างจากสองคนนั่นที่หายใจแรงราวกับขาดอากาศหายใจ
ไม่อยากจะบอกเลยว่าแค่นี้ไม่ได้ทำให้ผมสะดุ้งสะเทือนสักนิด ผมอยากจะเล่นสนุกกับสองคนนี้ต่อด้วยซ้ำ แต่ก็เอาเถอะ เห็นท่าทางอ่อนแรงของทั้งคู่แล้วก็พอจะเดาได้ว่าร่างกายบอบบางนั่นคงจะรับไม่ไหว เดี๋ยวทำตายคามือขึ้นมาในบ้านของพวกมันแบบนี้ มีหวังผมได้ถูกฆ่าในฐานะตัวอันตรายแน่ ถึงจะมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายอันดับที่สองของยูนิกมาก็เถอะ แต่ยังไงผมก็มีเชื้อสายเซนไทน์ ทำตามใจตัวเองแบบนั้น เดี๋ยวได้ซวยกันพอดี ปล่อยให้พักก่อนก็แล้วกัน ร่างกายฟื้นตัวเมื่อไหร่ ค่อยมาเล่นสนุกใหม่
“พักผ่อนกันตามสบาย เดี๋ยวฉันจะไปอาบน้ำ” ผมว่าส่งๆ ก่อนลุกขึ้นจากเตียง
สายตาของสองพี่น้องมองตามอย่างเคียดแค้น ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจอะไร หากแต่พอผมหันหลังให้ทั้งคู่แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว เสียงเข้มที่ดังมาจากทางด้านหลังก็ทำให้ผมต้องชะงัก หันไปมองยังต้นเสียงอีกรอบ
“ฉันจะไม่ยอมนายอีกต่อไปแล้วซีเลน ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว! พอกันที!” มันเป็นเสียงของบรูคลินที่พยายามดันตัวขึ้นนั่ง
ลุกขึ้นนั่งอย่างเดียวไม่พอ ร่างยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ประเมินจากสายตาก็น่าจะราวๆ สองเมตร ก็ขนาดปกติของพวกไบโทปในร่างจริงนั่นแหละ ส่วนเบนพอเห็นพี่ชายคืนร่างเดิมอย่างนั้นก็ทำตามบ้าง ตอนนี้ทั้งคู่เลยกลายเป็นผู้ชายร่างยักษ์เต็มตัว ตัวใหญ่กว่าผมซะอีก
“ฉันเอานายตายแน่ซีเลน” เบนขู่เสียงเข้ม ขณะที่บรูคลินส่งสายตาแข็งกร้าวมาให้
แต่คิดเหรอว่าผมจะกลัว ไบโทปยังไงก็เป็นไบโทป จะมาสู้อะไรครึ่งยูนิกมา-ครึ่งเซนไทน์อย่างผมได้ สายเลือดชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลไหลเวียนในตัวผมเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เห็นทั้งคู่แล้วก็หลุดยิ้มเผล่ออกมาราวกับเห็นเรื่องสนุก ก่อนจะเลียริมฝีปากแผล่บทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าพวกไบโทปนั้นอึดและถึกขนาดไหน
ก็ต้องอึดและถึกมากอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเซนไทน์จะล่าไปเป็นแรงงานทาสทำไมกัน
“คืนร่างแบบนี้ก็เจ๋งดีนี่ ฉันก็อยากจะลองมานานแล้วว่าพวกไบโทปอึดจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า” ผมหยอกล้อ พลันกระดิกนิ้วท้าทายสองพี่น้องนั่น “เข้ามาเลย ไม่ต้องเรียงคิว”
บรูคลินกับเบนกำมือแน่นทันที ตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจมในขณะที่ผมเดินไปทิ้งตัวนอนบนเตียง รอการโจมตีนั้น
หึ... งานนี้สนุกแน่!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.07]--02/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: Zurruz ที่ 02-03-2016 21:44:25
ซีเลน นายจะหื่นเบอร์นี้ไม่ได้นะ ฮือออออออออ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.07]--02/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 02-03-2016 23:21:57
นายคงจะกดร่างถึกของพี่น้องไบโทปใช่ไหม คงไม่คิดเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง แต่เอาจริง?
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.07]--02/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 03-03-2016 12:20:38
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.07]--02/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 03-03-2016 21:21:38
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [8]

ตัวอย่างตอนพิเศษของซีเลนกับสองพี่น้องเปรต ตอนที่ 2 ค่ะ จริงๆ ตอนนี้เน้นไปที่ซีเลนกับสองพี่น้องนั่นนะ แต่รู้สึกว่าอยากเอาโม้เม้นต์พ่อลูกของซีเลน เซซิลกับเบลคมาให้อ่านกันดู บอกเลยว่าสองคนนี้หื่นได้พ่อมันมานี่แหละ คินน์น้อยน่าสงสารมาก โดนลูกไอ้หื่นรุม พ่อกวินทร์รู้เมื่อไหร่นี่ได้ตามมาแหกอกลูกซีเลนแน่นอน 555
พรุ่งนี้เป็นตัวอย่างตอนพิเศษของเจเนซิสกับลาร์คโอป้านะคะ รอกันเน้อ
------------------------------------------------

[Sample] Special Episode 08 [Zylen & Broolyn & Ben]: I will teach you how to eat your cake

“เดี๋ยวพวกแกลงกันตรงนี้แล้วกัน รถมันเยอะ เข้าไปจอดข้างในลำบาก” ผมบอกลูกๆ โดยมองผ่านกระจกมองหลัง
เซซิลกับเบลคพยักหน้ารับราวกับเป็นเรื่องปกติ จริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกตินั่นแหละ เพราะถ้าผมมาส่งสองคนนี้ที่โรงเรียนทีไร ผมก็ไม่เคยพาพวกมันเข้าไปส่งถึงหน้าประตูโรงเรียนเลยสักครั้ง อย่างดีก็ใกล้ๆ ทางเข้าโรงเรียนแล้วก็ขับรถวนออกเลย
ดีที่พวกลูกชายผมไม่เป็นพวกเรื่องมาก พอชะลอรถจอดเทียบริมถนน เด็กสองคนนั้นก็จัดการสะพายกระเป๋าเป้ ตั้งท่าจะเปิดประตูลงไป ทว่าระหว่างที่รอลูกๆ ลงจากรถ จมูกผมก็ได้กลิ่นของใครบางคนขึ้นมาซะก่อน
กลิ่นที่คุ้นเคย...
กลิ่นของ...กวินทร์!
ผมสอดส่ายสายตามองหาทันที ก่อนจะเห็นรถแวนคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าไป ตรงตำแหน่งคนขับคือผู้ชายที่ผมไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่แล้ว ที่ไม่ได้เจอหน้าก็เพราะปกติไอ้เวรคีธมันเป็นคนมารับ-ส่งลูกๆ พวกมันน่ะ สงสัยวันนี้มันจะไม่ว่าง กวินทร์ถึงโผล่หน้ามาได้
แหม ไม่ได้เจอซะนาน คงต้องไปทักทายกันหน่อย
“เซซิล เบลค อย่าเพิ่งลง” ผมร้องบอกลูกทันที
เบลคที่เอื้อมมือไปเกือบจะเปิดประตูแล้วหันมามองผมอย่างสงสัย ขณะที่เซซิลกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไม แต่ผมก็เหยียบคันเร่งออกไปแล้ว เหยียบเต็มแรงซะด้วยเพราะกลัวว่าจะขับตามไม่ทัน ส่งผลให้ลูกๆ ของผมรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดตัวอย่างรวดเร็ว
“พ่อจะไปไหนเนี่ย!” ไอ้ตัวขี้โวยวายอย่างเบลคส่งเสียงร้องขึ้นมา สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าหงุดหงิดสุดกำลัง แถมยังดูกวนโอ๊ยอีกต่างหาก
เห็นแบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงได้เป็นนักกีฬาตัวเต็งประจำโรงเรียน แล้วถูกเชิญผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมบ่อยๆ ในโทษฐานชอบแกล้งเพื่อน
แต่ผมก็ยังไม่ตอบอยู่ดี จนเซซิลที่นั่งมองอยู่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“พ่อ... กำลังตามใครอยู่” ว่าพลางดันแว่นบนสันจมูกขึ้นให้เข้าที่
ผมเหลือบมองกระจกมองหลังอีกครั้ง เห็นสีหน้าของไอ้ลูกคนนี้ก็รู้เลยว่ามันรู้ทัน ไม่นาน เบลคที่ทำหน้าหงุดหงิดก็ร้องอ๋อขึ้นมาบ้างราวกับว่ารู้แล้วว่าผมกำลังทำอะไร
“ตามกลิ่นลุงกวินทร์นี่เอง” แล้วเบลคก็ว่าขึ้นมา
ตอนนี้แหละที่เซซิลพ่นลมหายใจออกมา แล้วคว้าโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง
“จะโทรไปฟ้องพ่อบรูคลิน”
“เอ้อ โทรไปฟ้องพ่อเบนด้วย” เบลคคว้าโทรศัพท์ออกมาบ้าง ทำเอาผมเบรกรถดังเอี๊ยดจนลูกสองคนนั้นหัวแทบทิ่ม
หยุดรถได้ก็หันไปมองพวกลูกบ้าด้วยสายตาขุ่นๆ
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ไม่งั้นอย่าหาว่าพ่อไม่เตือน”
แต่สองคนนั้นไม่ได้มีความเกรงกลัวผมเลยสักนิด เบลคเหยียดยิ้มขึ้นมา ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นแล้วว่าด้วยท่าทางยียวน
“ผมว่าผมกลัวพ่อเบนกับพ่อบรูคลินมากกว่าพ่อนะ”
“พ่อก็รู้ว่าเวลาทั้งคู่คืนร่างเดิมมันน่ากลัวแค่ไหน ถ้าพวกผมยอมไปกับพ่อแล้วสองคนนั้นจับได้ พวกผมก็ซวยสิ” คราวนี้เซซิลเป็นคนพูดบ้าง
เบลคพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไขเลย ผมถึงกับเม้มปากแน่น คิดถึงตอนสองพี่น้องนั่นคืนร่างแล้วลงโทษผม แค่นี้ก็เสียวไส้ขึ้นมาแล้ว ขนาดไม่ได้ลงโทษ แค่ร่วมรักกันตามปกติ ผมยังไม่อยากจะให้สองคนนั้นคืนร่างเดิมสักนิด ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะพวกคนอึดๆ เนี่ย แต่นี่มันอึดเกิน อึดซะอย่างกับว่าจะสูบผมให้แห้งตายยังไงยังงั้น โชคดีที่พวกลูกๆ ไม่ได้รับกรรมพันธุ์จากพวกไบโทปมามาก ส่วนใหญ่ได้ความสามารถพิเศษของยูนิกมากับเซนไทน์มา ส่วนความสามารถพิเศษของไบโทป อย่างดีก็แค่ร่างกายแข็งแกร่งกว่าพวกลูกครึ่งยูนิกมากับพวกลูกครึ่งเซนไทน์ทั่วๆ ไป ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมคงประสาทเสียตายแน่ที่มีทั้งเมียทั้งลูกเป็นพวกยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลอย่างนั้น
และเพราะพวกลูกมีความสามารถพิเศษของยูนิกมากับเซนไทน์ ประสาทสัมผัสก็เลยดีไปด้วย ถึงจะไม่เท่ากับพวกยูนิกมาหรือเซนไทน์แท้ๆ เรียกว่าเป็นเศษเสี้ยว แต่ก็ถือว่าจมูกดีพอตัว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้กลิ่นกวินทร์ที่ขับรถผ่านหน้าไปหรอก
“พ่อมีทางเลือกสองทาง... ตามลุงกวินทร์ไป กับกลับรถไปส่งผมกับเบลคที่โรงเรียนก่อนจะสาย ไม่งั้นผมโทรบอกพ่อบรูคลินแน่” เซซิลว่าขึ้นมาอีก ส่วนเบลคก็กดเบอร์เบนขึ้นมาโชว์หราให้ผมดูเป็นการบอกว่าเอาจริงแล้วเรียบร้อย
ผมจึ๊ปากอย่างขัดใจ ใจอยากจะตามกวินทร์ไปชะมัด แต่ตามไปก็ไม่ได้จะตามไปปล้ำหรืออะไรหรอก แค่อยากไปทักทายเท่านั้น ทว่าพอโดนลูกๆ ขู่มาแบบนี้ ผมก็ยอมเลี้ยวรถกลับแต่โดยดี
“ก็ได้ๆ พวกแกนี่มันตัวขัดลาภปากจริงๆ” ผมบ่นไปเรื่อย คิดไม่ออกเลยว่าคนอย่างผมที่มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายทั้งของยูนิกมาและเซนไทน์มาตกอยู่ใต้อำนาจลูกเมียอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
พอผมกลับรถได้ ขับกลับไปทางเดิม เซซิลกับเบลคก็เก็บโทรศัพท์เข้าที่เดิมแล้วก็เงียบกันยาว กระทั่งถึงหน้าโรงเรียน ผมจึงออกปากไล่พวกมันอย่างหัวเสีย
“ลงไปได้แล้ว แล้วเรื่องนี้ก็อย่าเอาไปบอกบรูคลินกับเบนเข้าใจมั้ย”
“ค่าปิดปาก” เบลคแบมือมาหาผมทันที พอเหลียวไปมองก็เห็นเด็กนั่นยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ “ไม่มีค่าปิดปากก็ไม่เหยียบให้นะพ่อ”
ไอ้ลูกคนนี้มันเจ้าเล่ห์เหมือนใครกันวะ!
ผมพ่นลมหายใจออกมา ก่อนล้วงเอาเงินให้ไปสิบเหรียญ แต่เบลคก็ยังไม่ดึงมือกลับไป เอ่ยขึ้นมาอีก
“สิบเหรียญต่อการปิดความลับพ่อเบน พ่อบรูคลินไม่เกี่ยว”
ผมเลยต้องหยิบเงินให้มันไปเพิ่มอีกสิบเหรียญ แล้วก็จัดการยื่นให้เซซิลที่นั่งมองอยู่ด้วยก่อนที่มันจะโพล่งขึ้นมาว่าเบลคได้คนเดียว แต่มันไม่ได้ มันจะไปฟ้องสองพี่น้องนั่น
พอจัดการจ่ายค่าปิดปากลูกเจ้าเล่ห์สองคนนั่นเสร็จ ผมก็ออกปากไล่อีกครั้ง
“พวกแกลงไปได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก”
แต่พวกมันก็ยังไม่ลง นั่งมองผมอยู่นั่นจนผมต้องถาม
“มีอะไร”
“ทำไมพ่อถึงได้ติดใจลุงกวินทร์นัก คนอย่างนั้นมีอะไรดีเหรอ” เซซิลเป็นคนถาม
“นั่นสิ เห็นพ่อเบนกับพ่อบรูคลินเคยบอกว่าก่อนหน้าที่จะมาอยู่กินกับพ่อทั้งสอง พ่อเคยชอบลุงกวินทร์นี่” เบลคเสริมขึ้นมาบ้าง
ผมไม่แปลกใจนักหรอกว่าทำไมลูกสองคนนี้มันถึงรู้เรื่องผมกับกวินทร์ ก็บรูคลินกับเบนเล่าให้ฟังจนหมดเปลือกเลยน่ะสิ แถมกวินทร์เองก็พูดค่อนแคะเรื่องอดีตทุกครั้งที่เราเจอกัน ผมเลยไม่อธิบายเพิ่ม นอกจากประมวลผลหาข้อดีของกวินทร์แทน
...อืม ไม่มีเลยแฮะ คนอย่างกวินทร์นี่หาข้อดีไม่เจอเลย นอกจากเรื่องน่ากินอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะผมเงียบไป เซซิลก็เลยว่าขึ้นมาอีก
“ว่าไงล่ะครับ ตกลงลุงกวินทร์มีอะไรดี”
“น่ากิน” ผมตอบไปตามตรง
เซซิลกับเบลคเลยทำหน้าปูเลี่ยนทันใด
“เหย อย่างนั้นน่ะนะน่ากิน ดุอย่างกับอะไร ปากก็ไม่ดีอีก ล่าสุดที่เจอกันนี่ แค่เล่นพิเรนทร์กับคีตาหน่อยเดียว ด่าจะเปิง” เบลคทำท่าขนลุกขนพอง
“นั่นสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าลุงคีธจะเอาคนอย่างนั้นเป็นคู่ชีวิต” เซซิลเสริมทันที
ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน คีธมันมีอะไรดีกว่าที่จะมาคู่กับกวินทร์เยอะ ผมเองก็ไม่คิดจะคู่กับกวินทร์เหมือนกันแหละ แค่ติดใจอยู่เรื่องเดียวคือกวินทร์ดูน่ากินเท่านั้น ถึงเราทั้งคู่จะมีลูกและลูกๆ โตถึงสิบขวบแล้ว กวินทร์ก็ยังดูน่ากินในสายตาผมไม่เปลี่ยนแปลง
โอเค ยอมรับก็ได้ว่าดูน่ากินน้อยลงกว่าเดิมโข ก็เพราะมีลูกแล้วน่ะ ความน่าสนใจเลยหมดไป บรูคลินกับเบนยังดูน่ากินกว่าอีก แต่ที่ผมติดใจก็เพราะกวินทร์เป็นคนแรกที่ผมอยากกินแล้วไม่ได้กินน่ะ มันเลยค้างคาในใจจนถึงตอนนี้
“ถามจริงนะพ่อ” จู่ๆ เซซิลก็ทำลายความเงียบขึ้นมาเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร พอผมหันไปมอง เซซิลก็ว่าต่อ “พ่อไม่รักพ่อบรูคลินกับพ่อเบนเหรอถึงได้ฝังใจกับลุงกวินทร์ขนาดนี้”
คำถามนี้ผมตอบได้เลยแบบไม่ต้องคิด
“รักสิ รักมากด้วย”
“แล้วจะฝังใจกับลุงกวินทร์ทำไม” เบลคถามบ้าง
“พวกแกเคยอยากกินอะไรแล้วไม่ได้กินมั้ย นั่นแหละ  มันเลยฝังใจ”
ไม่ต้องอธิบายมาก ลูกๆ ก็เข้าใจได้ดีว่าผมหมายถึงอะไร ก็ลูกเสี้ยวเซนไทน์นี่นะ รู้อยู่แล้วล่ะว่าบรรพบุรุษกินอาหารกันยังไง ถึงพวกมันจะกินอาหารเหมือนมนุษย์โลกปกติก็เถอะ
“แต่ก็ไม่เห็นจะต้องฝังใจขนาดนั้น” เบลคยังเหมือนไม่เคลียร์เท่าไหร่ พึมพำขึ้นมา ผมเลยถามกลับ
“พวกแกก็ลองคิดดู พวกแกชอบกินเค้กมาก แล้วมีเค้กชิ้นโตวางอยู่ตรงหน้า อยากจะคว้ามากินใจจะขาด แต่ก็ไม่ได้กินเพราะมีคนมาขวาง เป็นแบบนี้พวกแกไม่คิดว่ามันน่าเจ็บใจหรือไง”
“ไม่ ก็ผมไม่ได้ชอบกินเค้ก” เซซิลสวนมาแทบจะในทันใด เบลคก็พยักหน้าหงึกหงัก
“มันเป็นการเปรียบเทียบ” ผมว่าเสียงต่ำ หงุดหงิดเล็กน้อยที่ลูกสองคนนี้เข้าใจอะไรยากเหลือเกิน ก่อนจะคิดหาทางอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น
“งั้นเอาใหม่ สมมติว่าพวกแกไปชอบเด็กน่ารักคนนึง แล้วพวกแกอยากเล่นกับเด็กนั่นมาก แต่แม่ของเด็กนั่นไม่ยอมให้พวกแกเล่นด้วย แถมไล่ตะเพิดอีก พวกแกคิดว่าจะเจ็บใจแล้วฝังใจที่ไม่ได้เล่นด้วยมั้ย”
“เจ็บใจสิ!” เซซิลกับเบลคตะโกนขึ้นมาพร้อมกันทันใด
ผมงงไปครู่ที่จู่ๆ ก็เห็นลูกๆ แสดงท่าทางฉุนเฉียวฉับพลัน แล้วก็พากันพูดอะไรที่ไม่รู้เรื่องขึ้นมา
“เด็กนั่นน่ะน่ารักจะตาย อยากจะฟัดแรงๆ อยากจะทำให้ร้องไห้ชะมัด” เบลคพูดพลางกอดกระเป๋าเป้นักเรียนตัวเองแน่น ทำท่าเหมือนอยากจะกอดเด็กที่ว่านั่นจริงๆ
“ฉันอยากจะหยิกแก้มย้วยๆ นั่นเหมือนกัน อยากจะรู้ว่าเวลาทำหน้าเบ้จะเป็นยังไง แต่พ่อหมอนั่นก็ขัดขวางจริง” เซซิลเองก็ดูหัวเสียไม่แพ้กัน
แล้วสองพี่น้องนั่นก็หันไปพยักเพยิดให้กันเป็นการใหญ่ จนผมชักสงสัยขึ้นมาละว่าพูดถึงใครกัน
“เด็กนั่น... ใคร”
พอผมถามปุ๊บ ทั้งคู่ก็ชะงักปั๊บแล้วก็ตอบเสียงดังพร้อมกัน
“คินน์น้อย!”
ใครวะคินน์น้อย?
ผมนิ่งคิดไปครู่ก่อนที่ใบหน้าของเด็กชายวัยอ่อนกว่าลูกๆ ผมปีนึงจะแวบเข้ามาในหัว
คินน์น้อย... ลูกคนเล็กของกวินทร์กับคีธนี่นา
เท่านั้นผมก็หยักยิ้มออกมาทันที ก่อนจะขัดสองคนนั้นทันใด
“แล้วจะรออะไรล่ะ อยากกินก็กินไปเลยสิ”
เซซิลกับเบลคชะงักกึก มองหน้าผมอย่างไม่เชื่อหู ผมเลยต้องย้ำอีกรอบ
“อยากกินก็กินไปเลย เมื่อกี้พ่อพูดอย่างนี้”
“แต่ว่าลุงกวินทร์เค้าหวง” เซซิลว่าเสียงเบา
“โดนสั่งห้ามว่าห้ามเข้าใกล้ด้วยเพราะพวกผมชอบแกล้ง” แล้วเบลคก็เสริม
ถ้าแค่กวินทร์หวงล่ะก็ ผมมีวิธีรับมืออยู่แล้ว มันจะไปยากอะไร ก็แค่ให้บรูคลินกับเบนไปเคลียร์ในร่างจริงแค่นั้น กวินทร์ก็ไม่กล้าหือแล้ว ผมก็เลยบอกลูกไปว่า...
“เดี๋ยวพ่อจัดการเอง กินไปเลย”
“แต่ว่าพ่อ...”
“เซซิล เบลค... กิน...แรง...แรง” ผมย้ำทีละคำ
เซซิลที่อ้าปากจะให้เหตุผลถึงกับเงียบ ก่อนจะหันไปมองหน้าเบลคที่ทำหน้าอึ้งอยู่ ชั่วขณะเดียวสองคนนั้นก็ยิ้มเผล่ขึ้นมาบ้าง แล้วก็รับปากเสียงเข้มพร้อมกัน
“ทราบแล้วเปลี่ยนครับพ่อ”
นี่สิถึงเรียกว่าลูกผม ผมถึงกับแสยะยิ้มออกมากับความตั้งใจใหม่ทันใด
หึ... ในเมื่อรุ่นพ่อไม่ได้กิน ก็ให้รุ่นลูกกินแล้วกัน ความฝังใจของผมจะได้หมดไปซะที
จากนี้พ่อจะสอนเองว่าถ้าจะกินเค้กนั่นจะต้องทำยังไง รับรองว่าลูกกวินทร์หนีลูกผมไม่รอดแน่
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.07]--02/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 03-03-2016 22:25:10
Zylen  บักห่า จะมาสอนลูกแบบนี้ได้ไง!!!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.07]--02/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 04-03-2016 22:22:00
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [9]
ตัวอย่างตอนพิเศษของลาร์คโอป้ากับเจเนซิสตอนแรกค่ะ จริงๆ ตอนนี้เคยอัพให้อ่านตัวอย่างกันไปแล้วนะ แต่มาอัพเดตอีกทีเพื่อความเข้าใจตรงกันว่ามันเป็นตอนพิเศษอยู่ตรงนี้นะๆๆๆ เป็นการเล่าย้อนเหตุการณ์นิดนึงค่ะว่าสองคนนี้มารักกันได้ยังไง
ส่วนตัวอย่างตอนพิเศษของคู่นี้ตอนที่ 2 มาพรุ่งนี้นะคะ ยังรับประกันความ SM ของคู่นี้เช่นเดิม อิอิ
-----------------------------------------------

Special Episode 09 [Larc & Genesis]: Violent couple

อาหารมื้อหรูของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินถูกนำมาเสิร์ฟถึงในห้องที่ถูกเนรมิตเป็นห้องอาหารสุดหรูและส่วนตัวสำหรับผมกับลาร์ซิโอนีย์ กลิ่นหอมฉุยของอาหารหลากหลายชนิดลอยมาแตะจมูกผมตั้งแต่ยังอยู่ในฝาครอบ แต่ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง เอาแต่จ้องหน้าลาร์ซิโอนีย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง ขณะที่มันพยักหน้าบอกให้บริกรกับพวกองครักษ์ออกจากห้องไปเพราะต้องการจะใช้เวลาอยู่กับผมสองคน
หมอนั่นหยิบส้อมกับมีดขึ้น หั่นสเต็กแกะในจานตรงหน้าตัวเองแล้วส่งเข้าปากด้วยท่าทางสง่างาม ดูยังไงก็สมกับเป็นชนชั้นสูงของเซนไทน์ ตอนแรกผมคิดว่าพวกเซนไทน์จะกินมูมมามซะอีก ที่คิดแบบนี้ก็เพราะสังเกตจากการที่มันกินพลังงานจากผมเมื่อคืนน่ะนะ แต่ผมคิดผิด ลาร์ซิโอนีย์ดูเป็นเจ้าชายที่เพียบพร้อมมากๆ พูดตรงๆ นะ ถ้ามันไม่ได้เป็นพวกชาติพันธุ์รุกรานที่จ้องจะข่มเหงชาติพันธุ์อื่นตลอดเวลา หมอนี่ก็ดูเหมาะสมกับองค์ชายอยู่ไม่น้อย ทั้งชาติตระกูล ทั้งกิริยามารยาท ดูยังไงก็รู้ว่าผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดีชัดๆ
และเพราะผมเอาแต่จ้องมัน ไม่ยอมแตะอาหารตรงหน้าตัวเอง ลาร์ซิโอนีย์ก็เลยเหลือบตามามองผม แล้วเอ่ยขึ้น
“กินสิองค์ราชินี”
“อย่ามาเรียกฉันว่าราชินี”
“งั้นก็พระชายาของฉัน”
“อย่าเรียกอย่างนั้นด้วย”
“เรียกชื่อมนุษย์โลกของนายแล้วกัน ชื่ออะไรนะ... อ้อ เจเนซิส... เจนิสดีกว่า เจนิสของฉัน” มันไม่สะทกสะท้าน ยิ้มมุมปากแล้วก็วางอุปกรณ์การกินในมือลง เปลี่ยนไปคว้าแก้วไวน์ขึ้นมาแกว่งไปมา
“ตอนที่ฉันเจอกับนายครั้งแรก ฉันจำได้ว่านายเป็นคนอ่อนโยนกว่านี้”
คงจะหมายถึงตอนที่มันพาองครักษ์มาลักพาตัวองค์ชายขณะพระชนมายุยี่สิบปียูนิกม่าแน่ๆ ตอนนั้นมันก็น่าจะสามสิบสองปีเซนไทน์ อายุมนุษย์โลกก็สิบหก ตอนนี้มันก็คงจะอายุยี่สิบสี่แล้วสินะ
“เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน” อันนี้ผมไม่ได้พูดนะ ลาร์ซิโอนีย์เป็นคนพูด ผมก็เลยสวนไป
“แต่ความเกลียดชังนายของฉันไม่เคยเปลี่ยน”
เรียวคิ้วสวยของคนฟังเลิกขึ้นสูงเล็กน้อย สบตาผมที่มองเขม็งอย่างท้าทาย
“เดี๋ยวก็รู้ว่าเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เมื่อก่อนฉันไม่ได้ชอบนาย ยังเปลี่ยนมาชอบนายได้เลย นายเองก็คงจะเหมือนกัน”
ผมเลยรู้ในตอนนี้ว่าลาร์ซิโอนีย์ชอบองค์ชายมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว นี่ถ้ามันรู้ว่าผมเป็นเจ้าชายยูนิกม่าตัวปลอม สงสัยมันคงจะคลั่งน่าดู แต่ก็นะ... มันชอบองค์ชายประสาอะไรของมันวะ ขนาดเป็นตัวปลอม มันยังไม่รู้เลย
“กินซะ” แล้วมันก็ขัดความคิดของผมด้วยการออกคำสั่งอีกครั้ง ปลายคางก็พยักมาเป็นสัญญาณให้ผมจัดการสเต็กตรงหน้าด้วย
ผมก็ปฏิเสธเหมือนเดิมนั่นแหละ
“ไม่”
“บอกให้กิน”
“ก็บอกว่าไม่!”
“ให้เวลาจับมีดกับส้อมแค่สามช่วงลมหายใจ ไม่อย่างนั้น ฉันจะกินนายแทนสเต็กนี่” มันไม่ฟังผมเลยสักนิด ออกคำสั่งเป็นว่าเล่นอีกด้วย สามช่วงลมหายใจก็หมายถึงนับหนึ่งถึงสามนั่นแหละ
ผมยังทำเฉย ลาร์ซิโอนีย์ก็เลยเริ่มนับ
“หนึ่ง...”
“...”
“สอง...”
“ฉันไม่หิว”
“สาม...”
นับจบปุ๊บ ก็วางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะดังปึง ผมเห็นแล้วก็รู้เลยว่ามันจะทำอะไรต่อ เลยรีบคว้ามีดหั่นสเต็กขึ้นมาถือ ไม่ได้ถือขึ้นมาจะกินนะ จะเอาไว้ป้องกันตัวเองนี่แหละเพราะตอนนี้จะให้ผมคืนร่างเดิมก็ไม่ไหว เรี่ยวแรงเหลือน้อยเกินไป
ทว่าท่าทางของผมกลับทำให้ลาร์ซิโอนีย์หัวเราะหึในลำคอ พลันออกคำสั่งและคว้าแก้วไวน์ขึ้นมาแกว่งอีกครั้ง
“กินซะ แค่กินอาหาร ต้องให้บังคับ”
ผมจึ๊ปาก ให้ตาย... พลาดท่ามันจนได้ เจ้าเล่ห์ชะมัด ชักจะหงุดหงิดละ
เพราะหงุดหงิดนี่แหละ ผมก็เลยแผดเสียงใส่มันลั่น
“ก็บอกว่าไม่หิว ไม่เข้าใจหรือไง!” แผดเสียงอย่างเดียวไม่พอ ขว้างมีดในมือไปใส่มันด้วย
มีดลอยผ่านตัวมันไปตกบนพื้นดังเคร้ง ทว่าคมมีดเฉียดข้างโหนกแก้มมันไป เลือดสีเขียวอ่อนเหมือนกับเลือดของผมไหลออกจากรอยแผลนั้น ลาร์ซิโอนีย์เหลือบมองผม วางแก้วไวน์ลง ยื่นมือไปแตะเลือดมาดู ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดมือมาซับเล็กน้อย
“ฉันให้เกียรตินายสุดๆ แล้วนะเจนิส แต่นายมันดื้อด้าน ไม่มีความน่ารักเหมือนตอนเด็กสักนิด ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงด้วยว่ามเหสีต้องอยู่ต่ำกว่าสวามี สงสัยจะห่างการอบรมจากราชสำนักไปนาน”
ผมไม่ตอบโต้ มองมันเขม็ง แต่ในใจนี่รู้แล้วล่ะว่ามันคิดจะทำอะไร เห็นสายตานักล่าของมันที่ประกายขึ้นมาก็รู้ เท่านั้นผมก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ กะหนีไปตั้งหลักในห้องก่อน
แต่ไม่ทัน แค่ลุกเท่านั้น ลาร์ซิโอนีย์ก็รีบลุกมาดักผมไว้ก่อน จับต้นแขนผมไว้ด้วยสองมือ ดันไปกระแทกกับขอบโต๊ะเต็มแรง ผมข่มเสียงไม่ได้ร้องโอยออกมา ลาร์ซิโอนีย์ดันผมให้ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ ไม่สนใจความเจ็บปวดของผมสักนิด ผมขัดขืนแต่ก็ถูกกดลงนอนบนนั้นอยู่ดีหลังจากที่มันปล่อยมือข้างหนึ่งไปกวาดอาหารบนนั้นจนจานชามตกกระทบพื้นแตกดังเพล้ง
ผมถูกกดจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ ขณะที่ใบหน้าคร้ามของหมอนั่นก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มร้าย
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้านายไม่กินสเต็ก ฉันจะกินนายแทนสเต็ก เห็นทีคงจะรอให้แผลบนตัวนายหายไม่ได้แล้วมั้ง”
ผมกลืนน้ำลาย พยายามเบี่ยงหน้าตัวเองที่อยู่ใกล้หน้ามันออกห่าง ข่มความหวาดหวั่นไว้อย่างสุดความสามารถด้วย
“ถะ...ถอยไป”
แต่มันฟังมั้ยล่ะ... ไม่ แถมยังกระชากเสื้อคลุมบนตัวผมขาดสะบั้นอีก ผมเบิกตาโพลง รู้ตัวอีกที ร่างกายเปล่าเปลือยก็อยู่ตรงหน้ามันที่พร้อมจะงาบผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว
“จะทั้งกิน ทั้งอบรมให้สมเป็นพระมเหสีของฉันจนลุกไม่ขึ้นเลย... เจนิสเด็กดื้อ”
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.09]--04/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 05-03-2016 08:12:30
 :z1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.09]--04/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 05-03-2016 12:22:22
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.09]--04/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 05-03-2016 13:55:20
ซีเลน นังพ่อเลว
   เฮียลาร์ค คนเถื่อน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.09]--04/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 05-03-2016 23:53:00
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [10]
ตัวอย่างตอนพิเศษของลาร์คโอป้ากับเจเนซิสตอนที่ 2 ค่ะ เป็นตอนพิเศษตอนสุดท้ายแล้วนะ ทั้งหมดอยู่ในเล่มหลักนะคะ ใครอยากอ่านเต็มๆ ตอนก็ไปตามหนังสือเอาเน้อ
ตอนหน้าจะเริ่มอัพตัวอย่างเล่ม Mini novel: Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน นะคะ จะอัพแค่บทนำ+2ตอนแรกเต็มๆ เท่านั้น เริ่มที่คู่ของคีตากับอาร์ทูโรก่อน แล้วจากนั้นถึงจะอัพคู่ของคินน์กับลูกๆ ซีเลนนะ หลังจากนั้นก็จะอัพ Side story: Alien's Prince เจ้าชายของเอเลี่ยน ที่เป็นเล่มทำแจกฟรีสำหรับคนที่สั่งซื่อนิยายเข้ามา จะอัพลงในเว็บให้อ่านจนจบเช่นกัน (มีประมาณ 3 ตอนได้)
รอกันก่อนเน้อ เดี๋ยวจะทยอยมาอัพให้ค่า
----------------------------------------------
Special Episode 10 [Larc & Genesis]: Hit me hard in the bed

“พระมเหสี! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงร้องโวยวายของอำมาตย์เรียกให้ผมที่กำลังประดับมงกุฎเล็กๆ ลงบนหัวของจูเลียนในห้องหันไปมองยังต้นเสียงทันที พอเห็นชายร่างใหญ่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมก็ย่นคิ้วยู่
“อย่ามาเรียกฉันว่าพระมเหสีนะ” นั่นคือประโยคแรกที่ผมพูด
ไม่ชอบให้เรียกแบบนี้เลยให้ตาย ถึงจะรู้ว่าเป็นตำแหน่งของผมก็เถอะ แต่ยังไงผมก็เป็นผู้ชาย เรียกชื่อเฉยๆ ยังจะดีซะกว่าอีก
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” อำมาตย์ผู้นั้นชะงักกึก ยืนตรงแล้วโค้งให้ผมเป็นพัลวัน
ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ก่อนจะถามขึ้น
“แล้วนี่มีอะไรถึงได้วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา”
พอถามแบบนี้ อำมาตย์คนนั้นก็ทำท่าลุกลี้ลุกลนขึ้นมาอีก ไม่ใช่แค่ท่าทางด้วย น้ำเสียงก็ร้อนรนไม่แพ้กัน
“คือว่าฝ่าบาท...ฝ่าบาททรง...ทรง...นักระบำ...นักระบำทั้งกลุ่ม...”
“นี่... ใจเย็นๆ ก่อนได้มั้ย ค่อยๆ พูด ฟังไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย” ผมรีบปรามให้อำมาตย์ตั้งสติ
อำมาตย์เลยสูดหายใจเข้าเต็มปอด ค่อยๆ ผ่อนออกมาแล้วว่าขึ้นอีกครั้ง
“ตั้งใจฟังให้ดีน่ะพ่ะย่ะค่ะ... คือว่าฝ่าบาทลาร์ซิโอนีย์...เอ่อ...” แล้วก็หยุดไป เหมือนกับว่าไม่อยากจะบอก
เห็นแล้วก็ยิ่งรำคาญ ผมเลยต้องกดเสียงต่ำถาม
“ลาร์ซิโอนีย์ทำไม”
ถามแค่นั้น คนตรงหน้าผมก็มีสีหน้าไม่ดียิ่งกว่าเดิมอีก เห็นก็รู้เลยว่าลาร์ซิโอนีย์จะต้องทำเรื่องไม่ดีมาแน่ แต่ผมจับใจความไม่ได้เลยว่ามันไปทำอะไร กระทั่งคนมาบอกข่าวโพล่งขึ้นมา
“ฝ่าบาทลาร์ซิโอนีย์ทรงทำกับนักระบำทั้งกลุ่มรุนแรงมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำอะไรรุนแรงนะ!” ผมถึงกับลุกพรวด ทำเอาจูเลียนกับเหล่านางกำนัลตกใจกับท่าทีแข็งกร้าวของผมทันใด แต่ผมไม่ได้สนใจแล้ว ในหัวตอนนี้คิดไปแล้วว่าสิ่งที่ไอ้บ้าลาร์ซิโอนีย์ทำคือเรื่องอย่างว่า อะไรไม่ว่า มาทำกับนักระบำที่จะมาทำการแสดงในวันเกิดลูก แถมยังทำรุนแรงทั้งกลุ่มอีก
มันจะมากไปแล้ว!
ผมเผลอกำมือแน่น หายใจแรงขึ้นมาอย่างหัวเสียทันใด ได้สติอีกทีก็ตอนที่จูเลียนเข้ามาคว้าข้อมือผมไว้
“เสด็จพ่อเจนิส...”
ผมเหลือบไปมองก็เห็นจูเลียนจ้องผมราวกับบอกว่าให้ใจเย็นๆ ผมก็อยากจะใจเย็นนั่นแหละ แต่ตอนนี้ใจเย็นไม่ได้แล้ว
หน็อย... ไอ้พวกเซนไทน์ เผลอหน่อยเป็นไม่ได้ จะต้องกินอาหารด้วยวิธีผูกพันตลอด อุตส่าห์คิดค้นยาที่ทำให้กินอาหารตามปกติได้แล้ว ซ้ำยังตรากฎหมายห้ามกินอาหารด้วยวิธีนี้ไม่ว่าจากชาติพันธุ์ไหนก็ตาม ก็ยังจะมีเรื่องแบบนี้หลุดออกมาอีก ส่วนไอ้ลาร์ซิโอนีย์ ถึงมันจะไม่เคยกินอาหารด้วยวิธีนี้ตั้งแต่แต่งตั้งผมเป็นคู่ชีวิตขึ้นมา แต่จู่ๆ มาทำบบนี้ มันหยามหน้ากันไปหน่อยล้ว ที่สำคัญ ทำไมต้องมาทำแบบนี้ในวันเกิดลูกด้วย!
“จูเลียน ไปเอาแส้มา” ผมระงับความกรุ่นโกรธสุดกำลัง ปากก็ร้องสั่งเด็กชายวัยสิบปีข้างๆ
“แส้?” จูเลียนทำหน้างงไปครู่ ให้ผมได้พูดอีก
“แส้ที่ลูกใช้ฟาดปรสิตอวกาศเวลาฝึกขี่มันน่ะ”
จูเลียนร้องอ๋อนิดหน่อย ก่อนวิ่งไปหยิบแส้หนังซึ่งทำจากผิวหนังของปรสิตอวกาศที่พันกันเป็นม้วนมาส่งให้ผม ผมรับมาแล้วหันไปมองยังอำมาตย์ทันที
“ลาร์ซิโอนีย์อยู่ที่ไหน พาฉันไปหามันเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่าพระมเหสี...แส้นั่น...” อำมาตย์ทำหน้าแหยงขึ้นมา
ผมรู้ว่าที่ทำหน้าแบบนั้นเป็นเพราะแส้นี่ค่อนข้างจะเหนียวและมีความรุนแรงเวลาถูกฟาดเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นเส้นเล็กๆ แต่อานุภาพของมันก็สามารถทำให้เกราะของพวกถึกๆ อย่างเซนไทน์แตกได้เหมือนกันหากฟาดด้วยความรุนแรงระดับหนึ่ง
ก็แน่ล่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะถูกทำขึ้นมาใช้ฟาดปรสิตอวกาศเหรอ พวกนั้นชั้นผิวหนังหนาและแข็งกว่าพวกเซนไทน์เยอะ เจอฟาดเข้าไปก็ต้องเจ็บกันอยู่แล้ว
แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อมันมาทำทุเรศแบบนี้ในงานวันเกิดลูก มันก็ต้องเจอผมสักหน่อย
“บอกให้พาไป!” ผมตวาด สะบัดแส้ฟาดลงพื้นดังเปรี๊ยะด้วย
อำมาตยเลยรีบพยักหน้ารนๆ แล้วนำผมไปยังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว จูเลียนทำท่าจะตามไป ผมเลยหันไปห้ามไว้ได้ก่อน
“ลูกไม่ต้องไป”
“ทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“พ่อไม่อยากให้ลูกเห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็น” ผมว่า
จูเลียนทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ตอแยถามอะไรต่อ ยอมเดินกลับไปหานางกำนัลที่กวักมือเรียกอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ผมตามอำมาตย์ไปยังท้องพระโรง
พอถึงยังท้องพระโรง เสียงเอะอะมะเทิ่งก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน เสียงที่ได้ยินก็เป็นเสียงโวยวายของลาร์ซิโอนีย์ที่ดังลั่นอย่างไม่พอใจ ส่วนเสียงที่เหลือก็เป็นเสียงของเหล่านักระบำที่ร้องขอชีวิต ได้ยินแล้วผมก็รีบคืนร่างเดิม อำมาตย์หันมามองผมแล้วก็ทำหน้าตาตกใจเข้าไปใหญ่ด้วยรู้ว่าหากเมื่อไหร่ที่ผมคืนร่างของชาวยูนิกมา นั่นหมายถึงศึกในราชสำนักได้เริ่มขึ้นแล้ว
“หม่อมฉันว่าพระมเหสีทรงพระทัยเย็นๆ ก่อน” แล้วก็รีบมาห้ามผมก่อนที่ผมจะได้เดินเข้าไปข้างใน
ผมตวัดสายตาขุ่นๆ ไปให้ พูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“ถอยไป”
แค่นั้น อำมาตย์ก็ยอมถอยร่นไปโดยดี ผมเลยได้เดินเข้ามาด้านในโดยไม่มีใครขวาง
ทันทีที่เข้ามา ซากปรักหักพังของบรรดาข้าวของที่ประดับประดาสำหรับวันเกิดจูเลียนก็ปรากฏสู่สายตา ทำให้ผมหัวเสียขึ้นไปใหญ่ หัวเสียมากกว่าเดิมเมื่อเห็นลาร์ซิโอนีย์ในร่างเดิมของเซนไทน์กำลังกำลำคอของนักระบำซึ่งเป็นชาวยูนิกมาเช่นเดียวกับผม และข่มขู่อยู่ ขณะที่นักระบำคนอื่นๆ ถอยร่นไปหลบมุมในสภาพสะบักสะบอม
“แค่ระบำให้แข็งแรงกว่าที่เป็นอยู่ ลูกฉันเห็นแล้วจะได้ตื่นเต้น ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็คงไม่ต้องถามกันแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“มะ...หม่อมฉันผิดไปแล้ว อะ...อภัยให้หม่อมฉันด้วย” อีกฝ่ายยกมือจับแขนของลาร์ซิโอนีย์ที่กำลำคออยู่
ผมเห็นแล้วก็เข้าใจได้ว่าที่ลาร์ซิโอนีย์ทำ ไม่ใช่การผูกพันกับนักระบำอย่างรุนแรงในวันเกิดลูกแต่อย่างใด แต่เป็นการไม่พอใจที่นักระบำพวกนี้ทำตามสั่งของตัวเองไม่ได้ต่างหาก เท่านั้นผมก็โล่งใจไปนิด แต่ก็ยังโกรธอยู่ดีที่ไอ้บ้านี่ใช้กำลังข่มขู่คนอ่อนแอกว่าตลอด ยิ่งกว่านั้น คนที่มันกำลังข่มขู่เป็นชาติพันธุ์เดียวกับผม ผมก็เลยรีบเดินรี่เข้าไปหา สะบัดแส้ในมือฟาดใส่หลังมันเต็มแรง
เพียะ!
“อ๊ะ!” ลาร์ซิโอนีย์ถึงกับสะดุ้งสุดตัว มือปล่อยจากลำคอยูนิกมาคนนั้นทันที แต่ก็ยังไม่ปล่อย พอเห็นยูนิกมาคนนั้นหนีก็รีบตะครุบไว้ ก่อนหันมามองผมด้วยสายตาแข็งกร้าว
“เจนิสของฉัน...”
“เจนิสของฉันบ้าอะไร คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่!” ผมแหวใส่แทบจะในทันใด
“สั่งสอนไอ้พวกไร้สมอง” แล้วมันก็ตอบในทันทีเช่นกัน
ผมมองไปยังภาพตรงหน้า ดูยังไงก็ไม่เป็นการสั่งสอนสักนิด นี่มันกำลังจะก่อเหตุฆาตกรรมชัดๆ ยิ่งเห็นสายตาเว้าวอนของนักระบำมองมาที่ผมอย่างขอความช่วยเหลือด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าไอ้บ้าเซนไทน์นี่มันไร้สมองยิ่งกว่าที่มันด่าคนอื่นซะอีก
“แล้วทำไมต้องใช้กำลัง” ผมกลั้นใจถามไปก่อนจะระเบิดอารมณ์
“ก็พวกมันไม่ฟัง บอกกี่ครั้งก็ทำไม่ได้ พวกมันตั้งใจจะทำให้ของขวัญที่ฉันตั้งใจให้จูเลียนเห็นพัง” พูดอย่างกับเด็กถูกขัดใจ เห็นล้วก็หงุดหงิดชะมัด นี่มันใช่กษัตริย์เซนไทน์จริงหรือเปล่าวะเนี่ย ปัญญาอ่อนเหลือเกิน!
ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนโบกมือเป็นสัญญาณให้นักระบำออกไปจากท้องพระโรงก่อน เท่านั้นทุกคนก็รีบกรูกันออกไป เหลือแต่คนที่ยังอยู่ในเงื้อมมือลาร์ซิโอนีย์นี่แหละที่หนีไปไหนไม่ได้ ผมเลยต้องพูดขึ้น
“ปล่อยได้แล้ว” แล้วก็ตรงไปคว้ามือมันให้ปล่อย แต่มันก็ไม่ปล่อย แถมยังมีหน้าพูดหน้าตาเฉยอีก
“ฉันจะไม่ปล่อยจนกว่าจะได้มีมันคนใดคนหนึ่งทำตามคำสั่งฉันได้”
ฟังแล้วก็หงุดหงิดชะมัด ถ้าอยากให้ได้ดั่งใจก็ไปให้พวกเซนไทน์มาเต้นระบำให้ดูสิวะ มาใช้พวกยูนิกมาทำไม!
“ปล่อย” ผมสั่งอีก ทว่าก็เหมือนเดิม
“ไม่ บอกแล้วว่ามันจะต้องทำตามคำสั่งฉันให้ได้”
“บอกให้ปล่อย!” ตอนนี้เหมือนผมจะขาดสติ ตะคอกแล้วจัดการเอาแส้ฟาดลงไปบนแขนข้างที่มันจับนักระบำอยู่สุดแรง
เสียงแส้ฟาดดังเพียะลั่นไปทั่ว ลาร์ซิโอนีย์ร้องโอยออกมาทีหนึ่ง มือหลุดจากนักระบำทันใด พอเป็นอิสระได้ นักระบำก็รีบวิ่งมาทางผม
“กลับไปได้เลย ไม่ต้องแสดงแล้ว แล้วฉันจะชดเชยทุกอย่างให้ทีหลัง” ผมว่า นักระบำพยักหน้าแล้วก็วิ่งออกไป
เห็นผมทำตามใจตัวเองอย่างนั้น ลาร์ซิโอนีย์ก็โวยวายขึ้นมา
“แล้วของขวัญวันเกิดจูเลียนล่ะ!”
“ของขวัญแบบนี้ ลูกไม่อยากได้หรอก” ว่าแล้ว ผมก็เดินหนี
อุตส่าห์สั่งสอนไม่ให้ลูกเป็นคนบ้าอำนาจ บ้ากำลังแล้ว ไอ้เวรนี่ยังจะมาปลูกฝังลูกแบบนี้อีก
และเพราะผมเดินหนี ลาร์ซิโอนีย์เลยไม่พอใจ เดินเร็วๆ เข้ามาหาผม ปากก็ร้องเรียกไปด้วย
“เดี๋ยวสิเจนิส...”
เพียะ!
ก่อนที่จะคว้าผมได้ ผมก็กระโดดหนีไปอีกทางเสียก่อน แล้วตามมาด้วยการฟาดแส้ใส่มือมัน
“อารมณ์ไม่ดี อย่ามาจับ”
ลาร์ซิโอนีย์ชะงักกึก ยกมือข้างที่ไม่โดนฟาดมาลูบหลังมือตัวเองที่มีเกราะสีดำหุ้มอยู่เบาๆ บริเวณเกราะนั้นมีรอยแตกนิดหน่อย ผมเห็นแล้วก็ตกใจไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าการฟาดเบาๆ จะทำให้เกิดรอยร้าวง่ายขนาดนี้ แส้หนังปรสิตอวกาศนี่มันอานุภาพร้ายแรงจริงๆ ด้วย
ผมตั้งท่าจะเดินหนีไปอีก แต่พอเห็นคนตัวใหญ่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ผมก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา
ก็ต้องเป็นห่วงสิ ฟาดไปตั้งหลายที แถมล่าสุดยังฟาดซะเกราะร้าวขนาดนั้น มันจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย
“ลาร์ซิโอนีย์...เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมเลยทิ้งแส้ลง เดินเข้าไปหา คว้ามือมันมาประคองดูบ้าง
มันไม่พูดอะไร มองหน้าผมด้วยสายตานิ่งเรียบ แล้วก็คว้ามือผมที่จับมือมันอยู่ไปแนบข้างแก้ม
“เปลี่ยนแส้ได้มั้ย” จู่ๆ มันก็ว่าขึ้นมา
“ฮะ?”
“ฉันถามว่าเปลี่ยนแส้ได้มั้ย แส้นั่นมันแรงไป เอาแบบพอเจ็บนิดๆ ก็พอ”
“นายหมายความว่าไงเนี่ย” ผมถึงกับเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินมันพูดแปลกๆ แล้วก็ต้องประจักษ์เมื่อมันพูดขึ้นมาอีก
“ก็หมายความว่า... ฉันอยากถูกนายเอาแส้ตีน่ะ แต่ขอเป็นแส้แบบไม่เจ็บมาก แส้เมื่อกี้นี้ถ้าพลั้งมือไปถึงตายได้เลยนะ ถ้าจะทำโทษก็ขอแส้อื่น” ไม่พูดอย่างเดียว ทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยด้วย เป็นสายตาที่มีผมเพียงคนเดียวที่ได้เห็นเท่านั้น
แล้วก็ต้องผมหน้าร้อนวูบขึ้นมาเมื่อมันพูดขึ้นมาอีก “แล้วก็...ไปฟาดบนเตียงเถอะนะ”
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.10]--05/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 06-03-2016 12:50:14
เฮียแกจะหื่นไปไหน ดูด้วยนั่นแส้อะไร เอาไว้ฟาดปรสิตอวกาศเลยนะเฮีย!   เจนิสคงเพลียใจ(เพลียกาย)
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.10]--05/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-03-2016 15:25:53
ลาร์ซิโอนีย์คะ555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[Mpreg][Sample special ep.10]--05/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 13-03-2016 20:10:10
[ตัวอย่าง] Alien's Honeymoon

มาตามสัญญาค่ะ เป็นตัวอย่างเล่ม 'Special Limited Edition: Alien's Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน' นะคะ
หนูแดงจะอัพเต็มๆ ตอนแค่บทนำกับตอนที่ 1 เท่านั้น เพราะเล่มนี้มี 4+1 ตอน ไว้ให้อ่านเรียกน้ำย่อยกันจ้า ใครสนใจก็ไปจับจองได้นะ เล่มนี้จะจัดพิมพ์แค่รอบจองแรกเท่านั้น รอบสต็อก รอบตำหนิ รอบรีปริ๊นท์ไม่ทำแล้วนะคะ เลื่อนเวลาการจองกับโอนให้ถึงวันที่ 30 มี.ค.แล้ว รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม เข้าไปอ่านที่นี่นะคะ >> รายละเอียดการจองแก๊งเกรียนเอเลี่ยน
------------------------------------------------

Alien’s Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน: หนูแดงตัวน้อย
 
Prologue

ผมกับคีธใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาได้ระยะนึงแล้ว
ไม่สิ ต้องไม่ใช่ระยะนึง หลายปีเลยล่ะ เพราะตอนนี้เรามีลูกๆ ของเราอย่างคีตากับคินน์ก็อายุได้หลายขวบแล้ว
คีตาสิบขวบ คินน์เก้าขวบ...

อืม... ดูท่าแบบนี้ไม่เรียกว่าระยะนึงแล้วล่ะ เรียกว่าอยู่ด้วยกันมากว่าสิบปีแล้ว แต่ว่าเราเพิ่งจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เหตุผลที่จัดงานแต่งกับจดทะเบียนช้าก็ไม่มีอะไร ผมแค่อยากให้ลูกๆ โตพอที่จะเข้าร่วมและจดจำการแต่งงานของพ่อๆ ได้เท่านั้น

ซึ่งผลมันก็ออกมาดี คีตากับคินน์ดูตื่นเต้นกับงานแต่งมากกว่าตัวผมกับคีธเองเสียอีก ทุกอย่างจบลงด้วยความเรียบร้อย แต่ปัญหามันเกิดขึ้นหลังจากงานแต่งสิ้นสุดลง และไอ้เจ๊กริชาร์ดมันมากรอกหูผมว่าหลังแต่งงาน ก็ควรจะหาสถานที่โรแมนติกไปฮันนีมูนกัน มันบอกว่าจะได้เป็นความทรงจำดีๆ ระหว่างผมกับคีธ และเป็นการประสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย เพราะมันเห็นผลมาแล้วหลังจากแต่งงานและไปฮันนีมูนกับแอสตันเมื่อหลายปีก่อน

ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่พอเห็นคีธที่วันๆ เอาแต่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน มีงานเมื่อไหร่ก็ค่อยออกไปทำอย่างนี้ ผมก็อดสงสารมันขึ้นมาไม่ได้ มันอุตส่าห์ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนมาใช้ชีวิตอยู่กับผมทั้งที เห็นมันอุดอู้อยู่แต่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูกงกๆ ประหนึ่งขี้ข้ามาเป็นสิบปีแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะวางแผนหาวันเวลาว่างของตัวเอง ชวนมันไปฮันนีมูนกัน

แน่นอนว่าลูกๆ นี่ ผมฝากให้ริชาร์ดช่วยดูแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะลูกมันจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย ทว่าปัญหาใหญ่หลวงกว่าเรื่องฝากลูกนั้นก็คือ...

ผมไม่รู้ว่าจะพามันไปฮันนีมูนที่ไหนมากกว่า

ผมวางบรรดาโบชัวร์แพ็คเกจฮันนีมูนที่ปริ๊นท์ออกมาจากอินเทอร์เน็ตลงบนโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อน ที่ไหนๆ ก็ไม่เห็นว่าจะดูพิเศษสำหรับผมเลยสักที่ ถึงจะเป็นที่ยอดนิยมสำหรับคู่รักก็เถอะ แต่ไม่รู้ทำไมมันช่างธรรมดาสำหรับผมเหลือเกิน

ก็ผมแพลนไว้น่ะว่าสถานที่ที่ผมจะไปกับคีธ มันต้องพิเศษสุดๆ ชนิดที่ว่าไปถึงแล้วต้องร้องว้าว และต้องเป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนไปเยอะ

อย่างว่านะ มีผัวเป็นมนุษย์ต่างดาว จะไปฮันนีมูนทั้งที มาเอาที่ธรรมดาๆ ได้ยังไง

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็เลือกไม่ได้ว่าควรจะไปที่ไหนดี สุดท้ายก็จำใจต้องลุกจากโต๊ะทำงาน เดินไปหาคีธที่อยู่ในห้องนั่งเล่นกับลูกๆ ก่อนจะกวักมือเรียกมันออกมาคุยเป็นการส่วนตัวในห้องครัว

คีธทำหน้างุนงงนิดหน่อยที่เห็นผมทำหน้าเครียด ก่อนจะทักออกมาทันทีที่เราทรุดตัวลงนั่งยังโต๊ะอาหารได้
 “มีอะไรหรือเปล่ากวินทร์ สีหน้าดูไม่ค่อยดี”
“คิดไม่ตกนิดหน่อย” ผมว่า
“เรื่อง?”
“ฮันนีมูน”

คีธคลายหัวคิ้วที่ย่นยู่ออกราวกับว่าเบาใจที่รู้ว่าเรื่องที่ผมคิดไม่ตกไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ก่อนจะเปิดโอกาสให้ผมได้พูดต่อ
“ฉันกำลังคิดว่าจะไปฮันนีมูนกับนายที่ไหนดีน่ะ แต่เลือกสถานที่ยังไม่ได้ เลยว่าจะมาถามนายนี่แหละว่านายอยากไปไหน”
“ถ้ามันลำบาก ก็ไม่ต้องไปก็ได้” คีธว่าพลางเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วบีบเบาๆ สายตาที่มันมองมาบ่งบอกชัดเจนว่ามันโอเคถ้าไม่ได้ไปฮันนีมูน
แต่ผมไม่โอเคไง คือตัดสินใจไปแล้วว่าจะพามันไปก็คือพาไป ไม่มีมาเปลี่ยนใจทีหลัง
“ฉันจะไป นายจะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองนานแล้ว ฉันเองก็ทำแต่งาน ยุ่งทุกวัน อยากจะมีเวลาให้นายบ้าง ส่วนลูกๆ ก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวไปฝากไว้บ้านไอ้ริชาร์ด” ผมว่าเสียงขุ่น
คีธเหมือนจะตระหนักได้ในตอนนี้ พยักหน้าแล้วคลายมือออกจากผม ทำท่าครุ่นคิดไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมา
“งั้นกวินทร์ก็เลือกเถอะว่าอยากไปไหน ฉันไปไหนก็ได้ ขอให้มีกวินทร์อยู่ด้วย”
มันก็ยังน่ารักแบบนี้ตลอดจนผมเผลอยกมุมปากยิ้มออกมานิดหน่อย พลันถอนหายใจออกมา
“ก็เพราะไม่รู้ว่าจะพานายไปไหน ฉันเลยต้องมาถามนายไง”

คีธพยักหน้าอีกครั้งแล้วก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมเราอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“นายอยากไปฮันนีมูนที่ไหน”
คิดว่าถามคีธน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพราะหัวผมในตอนนี้ตันไปหมดแล้ว
“กวินทร์ถามจริงหรือเปล่า” คีธเลิกคิ้วสูงขึ้นมาเล็กน้อย แววตาแพรวพราวราวกับตื่นเต้น
ผมรู้เลยว่ามันเองก็อยากไป เลยย้ำคำอีกครั้ง
“ถามจริง”
“ถามจริงๆ นะ” ยัง... มันยังถามไม่เลิก
“เออ เลือกสิว่าอยากไปฮันนีมูนกับฉันที่ไหน” ผมกระชากเสียงหน่อยๆ ที่มันไม่เชื่อคำพูดผมสักที

ตอนนี้คีธยิ้มออกมาเลย พลันว่าออกมาโดยแทบไม่หยุดคิด
“อยากไปมีอะไรกับกวินทร์ที่... กาแล็กซี่แอนดรอมิดา”

แอนดรอมิดาบ้านมึงสิไอ้คีธ! สติ! ตั้งสติ! กูไม่มีทางไปมีอะไรกับมึงในอวกาศหรอกเว้ย!

ผมแทบจะคว้าขวดเกลือที่วางอยู่บนโต๊ะปาใส่หัวมัน แต่ไม่ทันแล้ว พอมันพูดจบก็ลุกขึ้นพรวด ทำท่าลุกลี้ลุกลน ปากก็พึมพำไปด้วย
“ท่านเจโรว์...ต้องติดต่อท่านเจโรว์ ไม่สิ พระมเหสีเจเนซิสต่างหาก ยานเซนไทน์เร็วกว่า ใช้อันนี้ดีกว่า...”

แล้วก็หายออกจากห้องครัวไป เดาว่ามันคงจะไปโทรหาเจเนซิสด้วยการใช้แผ่นฟิล์มรับประสาทสัมผัสที่ใช้แปะขมับแล้วก็ติดต่อกันได้ด้วยการส่งโทรจิตเพื่อขอยืมยานแน่ ผมเลยรีบลุกตามมันไปก่อนที่มันจะเจรจากับทางนั้นเสร็จสิ้น

เรื่องอะไรจะต้องไปมีอะไรกับมันในอวกาศเล่า! บอกแล้วไงว่ากูชอบแบบธรรมดาสามัญ อยู่แค่บนเตียงก็พอเว้ย ไม่พอก็ไปที่ระเบียง ห้องครัวห้องน้ำก็มี มึงไม่ต้องทะลุออกนอกโลกได้มั้ยไอ้คีธ!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:บทนำ]--13/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 13-03-2016 22:00:24
 :m3: อร๊ายยยยย กวินทร์จ๊ะ สามีเธอนี่น่า(ลัก)ซะจริงๆเลย
รอรวมเล่มจ้าคนแต่งจ๋า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:บทนำ]--13/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-03-2016 20:00:05
[ตัวอย่าง] Alien's Honeymoon

ตัวอย่างตอนแรกมาแล้วค่ะ จะอัพตัวอย่างตอนที่ 2 ให้อ่านชิมลางกันอีกครึ่งตอนนะคะ ที่เหลือไปตามหนังสือเอาเน้อเพราะเล่มนี้ค่อนข้างสั้นนิดนึง เล่มนี้คือคีธกับกวินทร์คนเดิม เพิ่มเติมคือความเกรียนและหื่น 555
---------------------------------------------

[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[1]

[Kawin’s Part]

ผมว่าผมคิดผิดอย่างแรงเลยที่เสนอหน้าไปถามไอ้คีธมันว่าอยากไปฮันนีมูนที่ไหน ยังไม่ทันได้ตกลงด้วยซ้ำว่าจะไปที่กาแล็กซี่แอนดรอมิดากับมันมั้ย มันก็จัดการติดต่อเจเนซิส ขอยืมยานขนาดเล็ก ยืมชุดบอดี้สูทสำหรับปฏิบัติการในยาน รวมถึงขอร้องให้เจเนซิสผลิตยาสำหรับปรับสภาพร่างกายผมให้เหมาะสมกับการออกนอกโลกไปกับมันด้วย

ตอนแรกผมก็หวังในใจว่าเจเนซิสคงจะทำไม่สำเร็จ เพราะสิ่งที่คีธขอนั้นจำเป็นต้องทำใหม่หมด ทั้งชุดบอดี้สูท ทั้งยาอะไรนั่นที่ไม่มีตั้งแต่แรก ด้วยของพวกนั้นล้วนทำมาเพื่อให้ชาวยูนิกมาใช้เท่านั้น ทว่าผมกลับคิดผิด แค่ใช้เวลาเพียงสองอาทิตย์ ของที่คีธอยากได้ก็ถูกส่งตรงจากเซนไทน์มาที่นาซาเป็นที่เรียบร้อย แถมยังกำชับให้เจโรว์ พ่อของเจเนซิสที่ยังอยู่ที่นี่ช่วยดูแลเตรียมความพร้อมให้ผมอีก กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเลยปฏิเสธคีธไม่ได้เลย

พวกมึงไม่ต้องสนับสนุนให้มันไปมีอะไรกับกูที่กาแล็กซี่อื่นกันได้มั้ยเล่า!

ผมล่ะอยากจะด่าพวกมันฉิบ แต่พอได้ยินเจเนซิสมันโทรทางไกลด้วยแผ่นชิปโทรจิต พร้อมอวยพรขอให้มีช่วงเวลาดีๆ ผมก็ด่าไม่ออก ยิ่งได้เห็นสีหน้าคีธซึ่งปกติจะนิ่งเรียบตลอดเวลายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเป็นบ้าเป็นหลัง นับวันรอคอยที่จะได้ไปฮันนีมูนกับผม ผมก็ยิ่งด่าไม่ลงใหญ่

สุดท้ายก็ต้องไปกับมันล่ะ...

แต่ก่อนถึงวันเดินทางอาทิตย์นึง ผมต้องไปที่นาซาเพื่อฝึกการใช้ชีวิตบนยานขณะเดินทางภายใต้การดูแลของเจโรว์ เหตุผลที่ต้องฝึกก็คือผมเป็นมนุษย์โลกคนแรกที่ได้ขึ้นยานเซนไทน์ที่มีการเคลื่อนที่รวดเร็วพอๆ กับความเร็วแสง จึงมีความเป็นไปได้ที่ร่างกายผมอาจได้รับผลกระทบหากไม่ปรับให้ชินล่วงหน้าเสียก่อน แม้ว่าจะมีชุดบอดี้สูทช่วยปรับสมดุลร่างกายให้เป็นปกติแล้วก็ตาม แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่มีมนุษย์โลกใส่ชุดนี้ ดังนั้นจึงไม่มีการรับรองผลใดๆ ทั้งสิ้นว่าจะไม่มีผลข้างเคียงหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผมเลยต้องเอาคีตากับคินน์ไปฝากไว้ที่บ้านริชาร์ดตั้งแต่ก่อนไปฝึก แล้วแทนที่ริชาร์ดกับแอสตันมันจะปฏิเสธ อ้างว่ายุ่งหรืออะไรก็ได้ ผมจะได้เอาไปเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธคีธว่าไม่ไปฮันนีมูนกับมันที่นั่น แล้วหาที่ฮันนีมูนที่อื่นบนโลกแทน ทว่าไอ้เพื่อนเวรกับผัวมันดันไม่ห้ามสักแอะ ส่งเสริมอีกต่างหาก โดยเฉพาะริชาร์ดที่พร่ำบอกผมไม่หยุดว่ากลับมาเมื่อไหร่ ให้มาเล่าประสบการณ์การมีเซ็กส์ในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงให้ฟังด้วย

บ้านมึงเถอะ! มึงคิดเหรอว่ากูจะทำอย่างนั้นน่ะ!

...บอกเลยว่ามีความเสี่ยง

ถึงผมจะคิดว่าไม่มีทางทำ แต่แค่ไปฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงภายในศูนย์ปฏิบัติการการบินพร้อมกับคีธ ไอ้บ้าคีธก็ตั้งท่าจะปล้ำผมทุกทีที่พ้นสายตาคนอื่น ดีนะที่ฝึกกับพวกยูนิกมา ไอ้พวกนี้มันประสาทสัมผัสดี แค่ได้ยินผมโวยวายนิดเดียว เจโรว์ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ก็ปรามคีธไว้แล้วด้วยไม่ต้องการให้การฝึกเสียเรื่อง ผมเลยรอดตัวจากการโดนไอ้เวรคีธทำการหื่นกามในขณะที่ตัวลอยเคว้งอยู่ในอากาศไป

และโชคดียิ่งกว่าที่พอถึงวันเดินทางจริง ผมไม่ต้องลอยเคว้งอยู่ในยานอย่างที่ฝึกมาตลอดอาทิตย์ ไอ้การฝึกนั่นเป็นไปเพื่อหากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นบางส่วนของยานไม่ทำงานแล้วมีการเปิดระบบให้ทุกอย่างอยู่ใต้ภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ผมจะได้ไม่มีปัญหา แต่ผมก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะตอนเดินทางจริง มันเป็นการนั่งเก้าอี้ประจำการ รัดเข็มขัดล็อคกับเก้าอี้เหมือนกับนั่งรถยนต์เด๊ะๆ ก่อนที่ยานจะออกเดินทางด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และแน่นอนว่าผมก็ไม่ได้กลัวเท่าไหร่กับการต้องออกไปนอกโลกอย่างนี้ ด้วยตระหนักดีกว่าชุดบอดี้สูทกับยาที่เจเนซิสคิดค้นมาให้ผมกินช่วยปรับสภาพร่างกายของผมในระดับที่เรียกว่าปลอดภัยไร้ห่วงแล้ว

แม้จะยังไม่รู้ถึงผลข้างเคียงกับประสิทธิภาพการทำงานของมัน แต่ก็นับว่าทำงานได้ดีเพราะตอนที่ยานออกเดินทางด้วยความไวแสง ผมไม่มีอาการอะไรเลย ออกจะปรับตัวได้เร็วกับการเคลื่อนที่ชนิดวาร์ปแบบนี้ด้วยซ้ำ

ทว่าพอผ่านไปสักพักเท่านั้นแหละ ของที่กินเข้าไปก่อนขึ้นยานก็ตีดันกระเพาะขึ้นมาจนเกือบจะอ้วกเกลื่อนยานไปหลายรอบ

ไม่เกือบล่ะ... อ้วกเลยเถอะ โคตรวิกฤตเลยเนี่ย!

รู้เลยว่านี่คือผลจากการทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพของยา

ไหนมึงกับพ่อมึงบอกว่าปลอดภัยไร้ห่วงไงวะไอ้เจเนซิส! กูว่าแล้วเชียวว่าเมียเก่าอย่างมึงมันไว้ใจไม่ได้ กะจะขัดขวางการฮันนีมูนของกูกับคีธแบบเนียนๆ ล่ะสินะ!

อาการของผมไม่ค่อยดี คีธเลยต้องคอยดูแลตลอดการเดินทางไปยังกาแล็กซี่แอนโดรมิดา ผมไม่รู้เลยว่าเราใช้เวลาเดินทางกันนานแค่ไหนด้วยเอาแต่หลับตลอดทางเพราะมึนหัว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถึงยังเอเลี่ยนพอร์ท ดาวซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในกาแล็กซี่แอนโดรเมดา

ผมสงสัยเล็กน้อยที่เห็นดาวดวงนี้อึมครึมคล้ายกับช่วงโพล้เพล้บนโลกทั้งที่คีธบอกว่ามันเพิ่งจะเป็นเวลาเที่ยงของที่นี่ มารู้อีกทีก็ตอนคีธอธิบายว่าเพราะดาวดวงนี้อยู่ห่างไกลจากส่วนที่สว่างที่สุดของกาแล็กซี่พอสมควร เลยทำให้ดาวดวงนี้มืดครึ้มตลอดเวลา แต่ถือว่าเป็นดาวที่มีสภาวะทางชั้นบรรยากาศปลอดภัยที่สุดแล้วหากเทียบกับดาวดวงอื่นๆ ในละแวกนี้ ถึงได้ถูกเลือกให้เป็นดาวเมืองท่า

กระนั้นก็ไม่ได้มีความปลอดภัยสำหรับมนุษย์โลกอย่างผม ออกมาสัมผัสอากาศของดาวดวงนี้แล้ว ผมก็ยิ่งมึนหัวเข้าไปใหญ่ คีธบอกว่าอาจเป็นเพราะความกดอากาศของดาวดวงนี้ต่ำ ผมที่ยังไม่หายมึนจากการถูกวาร์ปเลยมีปฏิกิริยาอ่อนแอ แต่ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก ไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง พักสักหน่อยคงจะดีขึ้น

...ดีขึ้นบ้านมึงเถอะไอ้คีธ กูหันไปอ้วกอีกรอบแล้วเนี่ย!

ทั้งหงุดหงิดไอ้เจเนซิสที่เหมือนจงใจแกล้งให้ผมตกอยู่ในอาการแสนจะทรมาน ทั้งหงุดหงิดไอ้คีธที่นึกบ้าอะไรไม่รู้ถึงได้อยากมาฮันนีมูนที่นี่ ถึงจะรู้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วก็เถอะว่ามันต้องการให้ผมได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นอะไรใหม่ๆ และหลากหลายอย่างที่ไม่เคยเห็น ที่สำคัญ มันอยากมีช่วงเวลาดีๆ กับผมในช่วงฝนดาวตกที่กำลังจะมาถึงในวันมะรืนก็ตาม

และใช่... มันเลือกมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวมาว่าที่กาแล็กซี่นี้จะมีปรากฏการณ์ฝนดาวตกครั้งใหญ่ในรอบหลายศตวรรษ มันก็เลยอยากให้ผมได้เห็นน่ะ มันบอกว่าโรแมนติกดี

พอตระหนักถึงเหตุผลนี้ ผมก็เลยกลืนคำด่าลงไป ผมเองก็อยากจะมีช่วงเวลาดีๆ กับมันเหมือนกันแม้จะคิดว่าการหลวมตัวมากับมันที่นี่โคตรจะเป็นเรื่องงี่เง่าเลย

เอาเถอะ แค่สามวันเอง อดทนหน่อยก็แล้วกัน

ส่วนไอ้เรื่องชื่อดาวเอเลี่ยนพอร์ทนี่ ตอนแรกที่คีธบอก ผมก็แปลกใจเหมือนกันนะว่าทำไมถึงมีชื่อนี้ พอได้มาเห็นกับตาตัวเองก็ไม่แปลกใจละ แม่งมีมนุษย์ต่างดาวมากหน้าหลายตามาก ถึงจะเป็นสปีชีส์ฮิวมานอยด์ที่มีสองมือสองขาเหมือนกับมนุษย์โลก แต่ขนาดตัว สี และรูปร่างหน้าตาก็แตกต่างกันออกไป จนผมเกือบจะหายมึนหัวฉับพลัน แปรเปลี่ยนเป็นกังวลขึ้นมาแทน

จะไม่ให้กังวลได้ไงวะ เป็นมนุษย์โลกคนเดียวท่ามกลางมวลหมู่มนุษย์ต่างดาวสารพัดสายพันธุ์ แถมยังได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่ล้าหลังโคตรๆ อีก ถูกพวกมันมองมาแบบแปลกๆ ประหนึ่งอยากจะถามว่ามนุษย์โลกอย่างผมมาโผล่หัวอยู่ที่นี่ได้ยังไง ผมก็ต้องกังวลอยู่แล้ว

“ไม่ต้องกังวลนะกวินทร์ มากับฉัน ไม่มีอะไรต้องให้กังวลทั้งนั้น”

เพราะผมแสดงอาการผ่านสีหน้าออกมาชัดเจน คีธที่เดินขนาบข้างพาผมไปขึ้นยานเคลื่อนที่ทางบกที่ทางโรงแรมซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเรียกเป็นภาษาเอเลี่ยนว่าอะไรส่งมารับก็ว่าขึ้น

ผมพยักหน้าให้มันแล้วเบนความสนใจไปที่ยานนั่นแทน มันก็คล้ายๆ กับรถสปอร์ตเปิดประทุนน่ะนะ เพียงแต่ไม่มีล้อ และขับเคลื่อนไปบนอากาศได้เท่านั้น ได้ยินคีธบอกว่าที่ดาวนี่มีกฎหมายควบคุมการบินห้ามบินสูงเกินกี่เมตรๆ ด้วย แล้วที่มันบอกว่าไม่ต้องกังวลก็เป็นเพราะทั้งผม ทั้งมันได้รับการต้อนรับจากพนักงานโรงแรมเป็นอย่างดีราวกับเป็นคนสำคัญ

เกือบจะลืมไปแล้วว่ามันเป็นผู้พิทักษ์คนดังของจักรวาล แถมยังเป็นชาวยูนิกมาที่มนุษย์ต่างดาวยกย่องให้เป็นชนชาติชั้นสูงและเกรงอกเกรงใจกันถ้วนหน้าอีก จะต้องไปกังวลเรื่องอะไรล่ะ

ผมก็เลยวางตัวตามสบาย หากแต่วางตัวสบายได้ไม่นาน อาการมึนหัวก็ทำให้ผมหมดความตื่นเต้นด้วยมันทำให้ร่างกายผมเหนื่อยล้ามากกว่าเดิม หัวนี่อยากจะเอาลงไปแนบกับหมอนให้ได้ทั้งที่ผมควรจะตื่นเต้นเมื่อเรามาถึงยังห้องพักและพบกับความอลังการของห้องนี้

จะว่ายังไงดีล่ะ มันเป็นห้องพักแบบที่ไม่มีในโลกมนุษย์น่ะ แบบว่าพอเดินเข้ามาในห้องปุ๊บ ปิดประตูปั๊บ ไอ้ห้องทรงกลมคล้ายลูกบอลก็ยื่นออกไปจากตัวอาคารคล้ายกับกิ่งก้านของต้นไม้โดยอัตโนมัติ บานหน้าต่างที่มองเห็นได้จากด้านในเพียงด้านเดียวก็ทำให้มองวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศ ส่วนเพดานด้านบนก็เป็นกระจกแบบมองเห็นด้านเดียวเช่นกัน เงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นแสงสีของดวงดาวสารพัดเปล่งประกาย

ทว่าผมมองได้ครู่เดียวก็กระโจนขึ้นเตียงทันที ขณะที่คีธติดต่อหาเจเนซิสเพื่อถามว่าควรทำยังไงกับผมดี เจเนซิสให้คีธป้อนยาปรับสมดุลร่างกายอีกเม็ดแล้วให้นอนพักก่อน ผ่านไปหลายชั่วโมงทีเดียว ผมถึงมีอาการดีขึ้น

“เป็นไงบ้างกวินทร์ หายมึนหัวหรือยัง” คีธที่นอนอยู่ข้างๆ บนเตียงถามขึ้นทันทีที่ผมเปิดเปลือกตาขึ้นหลังจากงีบหลับไปครู่ใหญ่เมื่อกี้
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว มึนหัวอยู่นิดหน่อย แต่น่าจะออกไปเดินเที่ยวกับนายได้” ผมพยักหน้ารับ
“นึกว่ากวินทร์จะไม่ไหวซะแล้ว” คีธยิ้มบางๆ สีหน้าดูดีใจที่แผนการฮันนีมูนที่มันเตรียมไว้เป็นอย่างดีไม่ล่มเพราะผม
ผมเห็นมันมีสีหน้าระรื่นทันตาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ แกล้งถามยียวน
“ถ้าฉันไม่ไหว นายจะทำยังไงฮะ”
“ก็คงต้องพากวินทร์กลับดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ขืนให้กวินทร์อยู่ต่อ มันจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย”

ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าคำตอบของมันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ถึงจะยังไม่กลับมาเต็มร้อย ทว่าผมก็ไม่ยอมให้ทุกอย่างล่มเพราะผมหรอก ก็มันตั้งใจเตรียมการทุกอย่างขนาดนี้ ผมจะมาป่วยให้มันใจเสียได้ยังไง

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ผมเลยบอกให้มันคลายกังวล
มันทำสีหน้านิ่งเรียบ หากแต่ดูแววตาก็รู้ว่าเป็นห่วงอยู่ ผมเลยดันตัวขึ้นนั่ง โน้มหน้าไปจูบมันเบาๆ
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร อย่ามากังวลไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวฉันก็หมดสนุกพอดี นี่ฮันนีมูนนะ ฉันจะมาป่วยให้นายอดทำเรื่องที่อยากทำกับฉันได้ไง” จูบเสร็จก็แกล้งดุมันนิดๆ คีธก็เลยยิ้มออก

แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่พูดอย่างนั้น พอสิ้นเสียง ใบหน้ามันก็มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์โผล่ขึ้นมาทันที
“นั่นสินะ ฮันนีมูน...ก็ต้องทำเรื่องที่อยากทำกับกวินทร์สิเนอะ”

เรื่องที่มึงอยากทำก็เรื่องอย่างว่าล่ะสิ กูรู้หรอก!

ไม่ต้องถามก็รู้คำตอบเลย แค่สิ้นเสียงมันเท่านั้น มันก็ลุกขึ้นมาคร่อมตัวผมเอาไว้ ดันผมแนบลงไปบนเตียงด้วยความเร็วแสงชนิดผมตั้งตัวไม่ทัน แถมยังไม่ทันจะได้ร้องห้ามด้วย มันก็ประทับจูบลงมาบนเรียวปากผมแล้ว บดจูบแผ่วเบาก่อนเพิ่มระดับความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนผมแทบหายใจไม่ทัน มือไม้ก็จัดการกดปุ่มอะไรสักอย่างบนชุดบอดี้สูทที่ผมสวมอยู่ให้คลายตัวออกเพื่อง่ายต่อการถอด

พริบตาเดียว บอดี้สูทช่วงบนก็ถูกแหวกออกจากกัน เผยให้เห็นหน้าอกของผมแล้ว ฝ่ามืออุ่นร้อนวางนาบลงมาบนแผ่นอกก่อนลูบไล้ไปยังตุ่มไตจนกระทั่งมันชูชันขึ้นมา และคีธก็ทำให้มันชูชันยิ่งกว่าเดิมด้วยการบดเบียดปลายนิ้วกระตุ้นจนผมหลุดปากคราง

“อา...คีธ...”
เป็นประโยคเดิมๆ ที่ติดปากผมเวลาเรามีอะไรกัน คีธไม่เคยบ่นว่าเบื่อ มีแต่บอกว่าชอบฟัง และดูท่าทางเสียงของผมเมื่อครู่จะไปกระตุ้นความกำหนัดของมันให้มากขึ้น เพราะมันเริ่มจูบผมอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ดีที่มันถอยออกห่าง ไล่จูบลงไปยังกกหูและลำคอก่อน ไม่งั้นผมคงได้เป็นลมแน่

ปลายลิ้นร้อนไล้โลมลงต่ำไปยังไหปลาร้า และลากยาวไปยังยอดอกทั้งสองข้าง ความซาบซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างผมให้ได้เกร็งตัวแข็ง สองมือกำเส้นผมนุ่มของคนตัวใหญ่ผมร่างตัวเองแน่น ตามมาด้วยเสียงหายใจหอบหนักราวกับจะตายให้ได้

ทะ...ทำไมวันนี้มันดุเดือดจังวะ หรือว่าเพราะเป็นฮันนีมูน บรรยากาศได้ มันเลยหื่นกว่าปกติ?

คงจะเป็นอย่างนั้นแหละผมว่า ทั้งจูบ ทั้งขบเม้มอย่างหื่นกระหายราวกับไม่เคยได้เสียกันมาก่อนทั้งที่ทำกันจนลูกๆ เรียนประถมหมดแล้ว แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนดุดันและรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย

ดุดันและรุนแรงจริงๆ ยิ่งตอนมันเลื่อนมือไปสัมผัสยังแก่นกายของผม กระตุ้นเร้าให้น้ำสีใสซึมออกมา ผมก็รู้เลยว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน ผมคงได้เอวเดาะ สะโพกครากกันไปข้างแน่

“อื้อ...คีธ...จะ...ใจเย็นๆ” ผมถึงกับต้องร้องบอกมันเมื่อมันจัดการทุกอย่างรวดเร็วเกินไป

เสี้ยววินาทีเดียว จากที่สัมผัสด้วยมืออยู่ ตอนนี้ส่วนกลางลำตัวของผมหายเข้าไปในปากมันแล้ว ทว่าคีธไม่ฟังสักนิด เงยหน้าฉ่ำปรือไปด้วยแรงพิศวาสขึ้นมองผมเล็กน้อย ก่อนจะกดปุ่มบนบอดี้สูทให้คลายตัวแล้วจัดการดึงเสื้อผ้าออกจากตัวบ้าง ผมมองมันได้แป๊บเดียวก็มาอยู่ในท่วงท่าพร้อมจะถูกเผด็จศึกเรียบร้อย

“ฉันว่านายจะรีบร้อนเกินไปแล้วนะ” ผมว่า
ไม่ใช่ว่าผมไม่พร้อม ร่างกายพร้อมสำหรับการเป็นหนึ่งเดียวกับมันแล้วล่ะ แต่กลัวว่ามันจะจัดหนักให้ผมตั้งแต่วันแรกจนผมไม่มีเรี่ยวแรงไปเที่ยวกับมันต่อต่างหากน่ะ ก็ตอนนี้ยังมึนหัวไม่หายเลย เริ่มวิ้งขึ้นมาอีกแล้วด้วยเนี่ย สงสัยคงจะเป็นเพราะหายใจถี่จนขาดออกซิเจนเมื่อกี้นี้

“ฉันรอจะกอดกวินทร์ไม่ไหวแล้ว”

มันดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ ด้วยแฮะ ผมก็ไม่อยากจะห้ามมันหรอกนะ เห็นมันส่งสายตาอ้อนวอนเป็นลูกหมาพร้อมเสียงกระเส่ามาแบบนี้ ใจผมก็อ่อนยวบ ยิ่งร่างกายพร้อมจะรวมร่างกับมันแล้ว ยิ่งไม่ต้องถามว่าพร้อมแค่ไหน

มาเลย มึงมา เอวจะเดาะ สะโพกจะครากก็ให้มันเป็นไป!

หากแต่พอคีธโถมตัวเข้ามาในร่างกายผมและเริ่มเคลื่อนไหว ความมึนหัวก็ก่อตัวมากขึ้น กอปรกับการหายใจหอบถี่ที่ทำให้รับออกซิเจนไม่พอก็จู่โจมจนอารมณ์กลัดมันของผมค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นผมต้องเบ้หน้าเหยเกออกมา ปากก็ไม่พูดให้มันหยุดหรอกด้วยไม่อยากจะขัดใจมัน ทว่ามันดันสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของผมได้เสียก่อน มันก็เลยหยุดเคลื่อนไหวโดยที่ผมไม่ได้ขอ

“เป็นอะไรหรือเปล่ากวินทร์ สีหน้าไม่ค่อยดี” ถามขึ้นมาด้วย
“ไม่...ไม่เป็นไร ทำต่อเถอะ” ผมรีบปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่จะเป็นลมให้ได้อยู่รอมร่อ เหงื่อกาฬไหลอาบชุ่มไปทั่วตัว
ทว่าถึงผมจะแสร้งทำสีหน้าให้เป็นปกติได้ แต่ก็ไม่สามารถปรับสีของใบหน้าที่ซีดขาวให้เป็นปกติได้ คีธมองผมอยู่ครู่หนึ่งก็เป็นฝ่ายถอนตัวออก ขณะที่ผมเลิกคิ้วสูง

“เอ้า หยุดทำไม”
“กวินทร์ไม่สบายขนาดนี้ จะให้ฉันฝืนกวินทร์ได้ยังไง” มันว่า ยื่นมือมาดันไหล่ผมที่พยายามจะลุกขึ้นนั่งให้ลงไปนอนเหมือนเดิม ดันอย่างเดียวไม่พอ จัดท่าทางให้ได้นอนสบายๆ อีก ผมนี่มองมันอย่างสำนึกผิดเลย
“คีธ...”
“กวินทร์ พักซะ” คีธตัดบทก่อนที่ผมจะได้พูดจบด้วยซ้ำ ผมเลยต้องพูดขึ้นมาอีก
“คีธ ฉันไม่เป็นอะไร ทำเถอะ เดี๋ยวฮันนีมูนจะกร่อยเอา”
“มันจะกร่อยกว่าถ้าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้กวินทร์ไม่สบาย พักก่อน ไว้อาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”

พูดมาอย่างนี้ ผมก็จะโวยวายว่ามาแค่สามวัน ถ้าหากผมไม่หาย ก็เท่ากับว่าเสียเวลาไปฟรีๆ หากแต่พอถูกมันโน้มหน้าลงมาจูบหน้าผาก คำโวยวายที่ตั้งใจจะโพล่งไปเมื่อครู่ก็อันตรธานหายไปหมดเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้า
“นอนซะกวินทร์ ตื่นมาแล้ว ฉันจะพาออกไปเดินเล่น”
เนี่ย! ก็มันเป็นซะแบบนี้ ใจดีกับผมเกินไป ตามใจผมเกินไปด้วย แล้วจะไม่ให้ผมรู้สึกผิดได้ยังไง อุตส่าห์ตั้งใจมาฮันนีมูนเพื่อสร้างช่วงเวลาดีๆ กับมันและตั้งใจให้มันได้พักแท้ๆ ไหงกลายเป็นแบบนี้ได้วะ!
 


หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:บทนำ]--13/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-03-2016 20:00:57
[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[2]

ถึงจะอยากเถียงแทบตายว่าฮันนีมูนครั้งนี้สำคัญแค่ไหน แต่ร่างกายผมก็ไม่ยอมให้ผมได้อยู่เถียงต่อเลย เพียงถูกคีธลูบหัวกล่อมให้หลับ ผมก็เข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย ตื่นมาอีกทีก็ตอนหัวค่ำแล้ว คีธก็เลยพาผมลงมาหาอะไรกินที่ล็อบบี้โรงแรม อาหารของพวกมนุษย์ต่างดาวนี่ ผมไม่รู้หรอกว่าทำมาจากอะไร แต่ก็ถือว่ากินได้ แบบว่าเชื่อคีธน่ะ แค่คีธบอกว่าอะไรที่มนุษย์โลกอย่างผมกินได้ ผมก็กินหมด

ส่วนไอ้อาการเวียนหัว ตอนนี้ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้วล่ะ แต่ยังมีมึนๆ อยู่บ้าง ทว่ารอบนี้ผมไม่บอกมันหรอกตอนที่มันถามว่าอาการเป็นยังไงเพราะอยากจะไปเดินเล่นข้างนอกมากกว่า ได้แต่บอกว่าหายเป็นปลิดทิ้ง ก็ขืนบอกว่ายังมึนอยู่ เดี๋ยวมันได้ลากผมขึ้นห้องทันทีที่กินมื้อเย็นเสร็จแน่ เป็นอย่างนั้นก็หมดสนุกพอดี

แต่ผมจะไปโกหกอะไรมันได้ แค่มันเห็นสีหน้าฝืนๆ ของผม มันก็รู้แล้วว่าผมอยู่ในอาการแบบไหน เท่านั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาจะลากผมกลับขึ้นห้องให้ได้ทั้งที่ผมเพิ่งจะร้องบอกมันไปเมื่อกี้ว่าอยากไปเที่ยว ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้อง แล้วมันฟังมั้ย... ไม่ ช้อนผมขึ้นอุ้มในอ้อมแขนเรียบร้อย

“ฉันอยากเที่ยวนะเว้ย มาตั้งไกล ให้มานอนอยู่แต่ในห้อง ฉันไม่เอา!” สุดท้ายผมก็โวยวายจนได้ ทำเอาแขกโต๊ะอื่นที่อยู่ในล็อบบี้หันมามองเป็นตาเดียว
“แต่กวินทร์ป่วย...”
“ก็นี่มันฮันนีมูน ถึงจะป่วย ฉันก็อยากเที่ยว อย่างน้อยๆ ก็ไปนั่งเล่นที่เลาจน์ก็ได้ ฉันอยากไปดูว่ามนุษย์ต่างดาวอย่างพวกนายเที่ยวกลางคืนกันยังไง!” ผมบุ้ยปากไปยังทางเข้าเลาจน์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากล็อบบี้มากนัก

เป็นเลาจน์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงเพลงลอยมากับบรรยากาศมืดๆ ผมก็คิดเอาเองแล้วว่าใช่ คีธปรายตามองไปครู่หนึ่ง ทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ผมก็เลยชิงพูดขึ้นก่อน

“นะ ฉันอยากเที่ยวจริงๆ” ไม่ใช่พูดหรอก อ้อนดีกว่า
คีธเลยยอมจำนนแต่โดยดีด้วยร้อยวันพันปี ผมไม่ทำท่าทางอ้อนมันแบบนี้ แต่ก็ไม่วายกำชับให้ผมได้บุ้ยปาก
“ให้เวลาชั่วโมงเดียว”
“เออ ไอ้เผด็จการ” ผมค่อนขอด ก่อนมันจะปล่อยผมลงยืนบนพื้นแล้วพาเข้าไปข้างในนั้น
 



ด้านในก็คล้ายๆ กับเลาจน์ในโลกมนุษย์ เพียงแต่ดนตรีและบรรยากาศมันค่อนข้างจะแปลกหูแปลกตาสำหรับผม แปลกยิ่งกว่าก็คือเครื่องดื่ม มันไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ผมเลยปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าไม่ดื่ม แค่จะมานั่งชมบรรยากาศเท่านั้น ดูเหมือนคีธจะชอบเสียด้วยที่ผมว่าอย่างนี้

ก็มันน่ะเกลียดการดื่มอย่างกับอะไรดี แบบว่ามันมีความหลังฝังใจตั้งแต่ที่ผมเคยพยายามจะทำแท้งมันสมัยยังไม่ได้รักกันด้วยการดื่มเหล้าเยอะๆ น่ะ

ผมนั่งดูมนุษย์ต่างดาวหน้าตาแปลกๆ เต้นกันสุดเหวี่ยงไปเรื่อย นั่งสักพักก็เริ่มมึนหัวมากขึ้น ผมเลยทำท่าจะบอกคีธว่าไม่ไหว ให้พาผมกลับขึ้นห้อง หากแต่ไม่ทันที่จะได้เรียกมัน เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ท่านผู้พิทักษ์คีทาเย”
“ฟิลลิเอีย” คีธทักกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้หญิงที่มีร่างกายสีฟ้า สวมเสื้อผ้าดูคล้ายกับชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาหา ก่อนที่ยัยนั่นจะเดินเข้ามานั่งข้างคีธอย่างถือวิสาสะ

เฮ้ยๆ จะมากไปแล้ว กูก็นั่งอยู่ตรงนี้เนี่ย ช่วยเกรงใจกูด้วย!

ผมส่งสายตาดุๆ ให้คีธมันรัวๆ เป็นสัญญาณให้มันถอยออกห่างจากยัยนั่น ทว่ายัยหน้าฟ้าก็โพล่งขึ้นมาก่อน

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ บังเอิญจังเลยที่ได้เจอท่านที่นี่ เอ...ได้ข่าวว่ามีแม่พันธุ์เป็นชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน คงจะเป็นคนนี้ล่ะสิ” พูดแล้วก็ปรายตามองมาทางผม ส่วนคีธก็พยักหน้า
“อืม ชื่อกวินทร์”
“รู้แล้วล่ะ เจเนซิสบอกแล้ว อ๊ะ ไม่สิ องค์ราชินีแห่งเซนไทน์ต่างหาก”

ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่จู่ๆ ยัยคนที่ชื่อฟิลลิเอียอะไรนี่พูดถึงเจเนซิสขึ้นมา หากแต่หงุดหงิดได้ไม่เท่าไหร่ คีธก็ขยับมานั่งข้างผมแล้วแนะนำตัวยัยนั่นขึ้นมาก่อน
“ฟิลลิเอียเป็นชาวดาวโพชัน เป็นดาวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รักษาและเป็นแหล่งวิทยาการทางการแพทย์ที่สำคัญของจักรวาล เป็นสหายเก่าของฉัน เคยไปรบด้วยกันตอนสงครามปราบปรสิตอวกาศเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ฟิลลิเอียอยู่กองคลังแพทย์ ฉันอยู่กองรบ”

ฟิลลิเอียยิ้มรับให้กับการแนะนำตัวนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นไขว้ที่หน้าอก ก้มหัวให้ผมนิดนึง
“ยินดีที่ได้รู้จักแม่พันธุ์ของท่านผู้พิทักษ์”
ผมเลยเงอะๆ งะๆ ขึ้นมา ก้มหน้าทักทายกลับไปบ้างให้ยัยนั่นได้หัวเราะคิกออกมา
“น่ารักจัง”
โดนผู้หญิงชมแบบนี้หลังจากไม่ได้ถูกผู้หญิงชมมาหลายปีก็เขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแฮะ ผมเลยยิ้มแก้เขินให้ไป ทว่าคีธกลับทำหน้าเข้มขึ้นมาฉับพลัน หากแต่ฟิลลิเอียไม่ทันสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ ชวนคุยขึ้นมา

“แล้วนี่มาทำอะไรกันที่นี่เหรอท่านผู้พิทักษ์ ได้ยินว่าท่านไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินแล้วนี่”
“ฮันนีมูน” คีธว่าเสียงเรียบ แววตาบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์สุดๆ
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ามันน่าจะมีเรื่องไม่ชอบใจบางอย่างกับฟิลลิเอีย ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ครุ่นคิด มันก็ตัดบทเอาดื้อๆ
“ฉันคงต้องขอตัวก่อน กวินทร์ไม่ค่อยสบาย จะพาไปพัก”
ผมถูกดึงให้ลุกขึ้นในทันที ส่วนฟิลลิเอียก็รีบแทรกเมื่อเห็นว่าคีธกำลังจะพาผมไป

“ถ้าไม่สบาย ทำไมไม่ถามฉันล่ะ ลืมไปแล้วเหรอท่านผู้พิทักษ์ว่าชาวโพชันเชี่ยวชาญทางการแพทย์แค่ไหน แค่เวียนหัวจากการที่ร่างกายปรับสมดุลให้เข้ากับชั้นบรรยากาศของที่นี่ แค่นี้รักษาได้อยู่แล้ว”

คีธหยุดชะงักทันทีที่ฟิลลิเอียรู้อาการป่วยของผมทั้งที่ไม่ได้บอก ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ขณะที่คีธโพล่างถามคนที่ยิ้มกริ่มไปแล้ว
“มียา?”
“มี แต่ไม่ใช่สำหรับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินนะ ไม่รับประกันว่าจะได้ผล ไม่เคยใช้กับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินมาก่อนเหมือนกัน”

แล้วจะพูดทำไมวะ!

คีธก็คงจะคิดเหมือนผมว่าไร้ประโยชน์เลยลากผมไปอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักอีกเมื่ออีกฝ่ายว่าไล่หลังมา
“แต่มีตัวยาใหม่ที่ยังไม่เคยลอง ยาตัวนี้เป็นตัวยาปรับสมดุลร่างกายที่มีมวลเหมาะสมกับร่างกายของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ถึงจะไม่ได้คิดค้นมาเพื่อชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน แต่ก็คิดว่าน่าจะทำให้ช่วยหายเวียนหัวได้ อาจมีผลข้างเคียงนิดหน่อย ไม่ก็อาจทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพนัก บวกลบคงทำงานได้ไม่เต็มที่ไม่เกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

มาอีกละไอ้ผลข้างเคียงกับทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเนี่ย!

“แต่รับประกันว่าประสิทธิภาพดีกว่ายาที่องค์ราชินีให้แม่พันธุ์ของท่านกินแน่นอน”
พูดมาอย่างนี้ คีธก็หูผึ่ง มันคงอยากให้ผมหาย หรือไม่ก็ทำให้ผมมีอาการดีขึ้นกว่านี้ เลยไม่รอช้าที่จะต่อรอง
“ราคาเท่าไหร่”
ฟิลลิเอียหยักยิ้ม ไม่ตอบในทันใด เหลือบมามองผมแล้วยิ้มยิงฟันออกมา
“แลกกับรสจูบของแม่พันธุ์ท่านสักครั้ง ที่เหลือไม่คิดค่าใช้จ่าย”

คีธไม่พูดอะไร แต่มีลอบพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วก็ลากผมไปอีกทาง ผมย่นคิ้วด้วยรู้ว่ามันคงจะหึงที่ฟิลลิเอียพูดแบบนี้ แต่ผมก็อยากหายจากอาการเวียนหัวนี่หว่า จะได้เที่ยวกับมันให้คุ้มค่ากับการมาฮันนีมูนตั้งไกลหลายพันปีแสงอย่างนี้

“คีธ” ผมเลยรีบรั้งมือมันที่จูงผมอยู่ไว้ทันทีที่พ้นออกมาจากเลาจน์แล้ว
มันหันมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะว่าขึ้นมาอย่างรู้ทัน
“ถ้ากวินทร์จะบอกว่าจะจูบกับฟิลลิเอียเพื่อแลกกับยาล่ะก็ หยุดคิดได้เลย”
“อย่าเพิ่งมาหึงไม่เข้าเรื่องน่า ฉันอยากหายนี่หว่า จะได้ใช้เวลากับนายได้เต็มที่ไง อีกอย่าง ฟิลลิเอียก็เป็นผู้หญิง แค่จูบคงไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดตามที่ใจคิด

ทว่ากลับทำให้หัวคิ้วของคีธย่นยู่ยิ่งกว่าเดิมอีก
“กวินทร์... ฟิลลิเอียไม่ใช่ผู้หญิง”
“เอ้า แล้วเป็นผู้ชาย?” ผมทำหน้าเหรอหรา ก็เห็นอยู่โต้งๆ ว่ามีร่างกายเป็นผู้หญิง ทรวดทรงก็ใช่ มีหน้าอกหยุ่นๆ ด้วยเถอะ ไม่ใช่ผู้หญิงตรงไหน
มันเงียบไปครู่ แล้วก็อธิบายออกมา
“ชาวโพชันไม่มีเพศที่ชัดเจน ดังนั้นฟิลลิเอียจึงเป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย”

ผมเหวอหนัก ชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียวกว่าจะเข้าใจได้ว่าคีธหมายความว่าอะไร
“งั้นก็หมายความว่า...ช่วงบนเป็นผู้หญิง ส่วนช่วงล่าง...”

มีปิกาจูใช่มั้ย?

อยากจะถามแบบนี้ชะมัด แต่พูดยังไม่ทันจบเลย คีธก็พยักหน้าขึ้นมาก่อน

“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากให้กวินทร์ไปยุ่งเกี่ยวกับฟิลลิเอีย เข้าใจหรือยัง”
ผมพยักหน้ารัวๆ

กะ...เกือบไปแล้วไอ้กวินทร์ เกือบเผลอตัวไปจูบกับสาวดุ้นแลกยาแล้วมั้ยล่ะ!

“แล้วก็อย่าเข้าใกล้ฟิลลิเอียถ้าไม่จำเป็น รู้มั้ย”
“ทำไม” ผมสลัดความคิดเมื่อครู่ทิ้ง ทำหน้าสงสัยขึ้นมา
“ฉันเป็นห่วง” คีธตอบแบบกำปั้นทุบดิน

ผมอยากจะถามต่อว่าเพราะอะไร แต่ความวิงเวียนก็แปรผันเป็นอาการปวดหัวเสียก่อน ผมเลยพยักหน้าเออออไป ก่อนร้องขอให้คีธรีบพากลับห้องด้วยอยากพักเต็มทนจนลืมเรื่องของมนุษย์ต่างดาวสาวดุ้นไปหมดสิ้น

ดูท่าฮันนีมูนครั้งแรกในชีวิตของผมกับคีธคงจะล่มไปเป็นท่าแล้วแฮะถ้าขืนผมยังเป็นแบบนี้ต่อไป

ให้ตาย... ทำไมต้องมาเป็นอะไรอย่างนี้ในช่วงเวลาดีๆ ด้วยนะ!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:Ep.01]--26/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-03-2016 21:17:24
ชอบ พล๊อตเรื่องแปลกไม่เหมือนใคร สนุก  :katai2-1: ภาษาสละสลวย ไม่เห็นคำผิดเลย :mew1:
ชื่นชมไร้ทมากๆ เขียนเก่งมาก อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ  :L1:
อ่านแล้วให้ฟีล เป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาวจริงๆ  :katai2-1:
ชอบกวิน คีธ เด็กๆ   :mew1: กวินน่าจะมีลูกเพิ่มนะ
รอ ตอนใหม่  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:Ep.01]--26/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 28-03-2016 00:46:53
พี่หนูแดง เมื่อไหร่จะอัพเดทเรื่องอื่นบ้างค๊าาา รอนานแล้วน้าาาา
 :mew6:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:Ep.01]--26/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-03-2016 01:48:21
พี่หนูแดง เมื่อไหร่จะอัพเดทเรื่องอื่นบ้างค๊าาา รอนานแล้วน้าาาา
 :mew6:

เรื่องอื่นพวกเถาวัลย์ อะมีบานี่มาตอนช่วง พ.ค.นะคะ รอก่อนน้า
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:Ep.01]--26/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-03-2016 19:08:40
[ตัวอย่าง] Alien's Honeymoon

ตัวอย่างตอนที่ 2 ค่ะ ตอนนี้จะอัพให้แค่ 50% ที่เหลือก็ไปตามในหนังสือเอานะเพราะมันสั้น
แต่รับประกันความกร๊าวใจ ใครที่ว่าบักคีธหื่นๆ นี่ มาเจอกวินทร์ในเล่มสเปเชียลสักหน่อย แล้วจะรู้ว่านางนี่ยิ่งกว่าปั๋วอีก 555
--------------------------------------------

Episode 02: Love potion

แทนที่ได้นอนแล้วอาการจะดีขึ้น ดันมาแย่กว่าเดิมจนลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว มึนหัวมากจนแทบขยับตัวไม่ได้ ข้ามคืนแล้วก็ยังเหมือนเดิม เดือดร้อนให้คีธต้องรีบติดต่อไปยังเจเนซิส หาวิธีแก้ปัญหาอีก แต่เจเนซิสก็ช่วยอะไรได้ไม่มากด้วยไม่เคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

ก็แน่ล่ะ ผมเป็นมนุษย์โลกคนแรกที่มันคิดค้นยาปรับสมดุลร่างกายให้นี่หว่า มันรู้ก็แปลกแล้ว

เจเนซิสเลยบอกกับคีธว่าจะช่วยหาวิธีแก้ไขให้เร็วที่สุด โดยการปรับคุณภาพยาแล้วจะรีบติดต่อกลับมา ระหว่างนี้ก็ให้คีธไปหาของที่พอจะเอามาเยียวยาอาการผมได้ก่อน ผมก็ไม่รู้หรอกว่าของที่ว่านั่นคืออะไร แว่วว่าเป็นพวกวัตถุดิบที่มีสรรพคุณในการช่วยปรับสมดุลร่างกายที่ใช้กับพวกมนุษย์ต่างดาว เจเนซิสเลยประมวลข้อมูลของวัตถุดิบพวกนั้นที่พอจะเข้ากับมวลร่างกายผมให้คีธ ผมก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง ไอ้พวกชื่อยากๆ แบบนั้นน่ะ จำไม่ได้หรอก

“เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอก กวินทร์นอนพักนะ”
สุดท้ายคีธก็จะไปตามที่เจเนซิสแนะนำ ผมเห็นสีหน้าเป็นกังวลของมันแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่มาป่วยระหว่างฮันนีมูนอย่างนี้ ผมเลยกัดฟันดันตัวขึ้นนั่ง คว้าข้อมือของมันไว้
“ไม่ต้องไปหรอก ฉันไม่เป็นอะไร เดี๋ยวก็หาย”

ร่างกายน่ะตรงกันข้ามกับที่พูดเลย ไม่เป็นอะไรบ้าอะไร ถ้ากลับโลกตอนนี้ได้ ผมก็อยากจะกลับเดี๋ยวนี้เลยเหมือนกัน แต่เพราะเป็นห่วงความรู้สึกไอ้คนข้างหน้าเนี่ยถึงได้กัดฟันทนอยู่ ไม่ยอมพูดว่าอยากกลับโลกน่ะ

โกหกไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า แค่มองหน้าผม คีธก็รู้แล้วว่าผมเป็นยังไง
มันทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ดึงแขนข้างที่ถูกผมจับอยู่ออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบกระหม่อมผมอย่างเบามือแทน
“อย่าฝืนเลยกวินทร์”
“แต่เรามาฮันนีมูนกันนะ” ผมหลุดปากออกไปจนได้ ยิ่งมองหน้ามันแล้วก็ยิ่งสงสาร มันอุตส่าห์เฝ้ารอคอยที่จะมาฮันนีมูนด้วยกัน แต่ผมดันมาเป็นแบบนี้นี่ไม่โอเคเลยแฮะ
หากแต่คีธก็ยังเป็นคีธ มันไม่เคยโทษอะไรผมเลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน แค่หยักยิ้มให้บางๆ แล้วเลื่อนมือลงมาลูบที่ซีกแก้ม
“ไม่เป็นไรหรอกกวินทร์ ไม่สบายก็คือไม่สบาย พักซะ ใช่ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแค่ตอนนี้สักหน่อย ยังอยู่ด้วยกันอีกนาน จะฮันนีมูนอีกเมื่อไหร่ก็ได้”

ไม่โทษน่ะใช่ แต่แม่งทำให้ผมรู้สึกผิดจังๆ เลยเถอะ

ผมคิดจะหาข้ออ้างไม่ให้มันออกไปข้างนอกอีก อยากให้มันอยู่ด้วยแล้วกะจะฝืนทำตัวร่าเริงให้มันสบายใจ ทว่ายังไม่ทันจะได้คิดออก คีธก็ตัดบทเสียแล้ว
“เดี๋ยวฉันออกไปข้างนอกก่อน อาจจะกลับมาช้าหน่อย กวินทร์พักผ่อนเยอะๆ”
พูดจบก็เดินออกจากห้องไปเลย ทิ้งให้ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง มือก่ายหน้าผากด้วยคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี

ฟิลลิเอีย...

จู่ๆ ชื่อนี้กับใบหน้าสะสวยของมนุษย์ต่างดาวสาวดุ้นก็ปรากฏขึ้นในภวังค์ความคิด

ใช่สิ ยัยนั่นบอกว่ามียาอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมมีอาการดีขึ้นได้อยู่ ถ้าไปขอความช่วยเหลือจากยัยนั่น แลกกับการจูบก็คงจะได้ ถึงจะต้องจูบกับสาวดุ้นก็เถอะ แต่ก็เอาวะ เพื่อคีธ!

ตัดสินใจแล้วก็รออยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าคีธไปไกลจากโรงแรมที่พักอยู่แล้ว ถึงจะรู้ว่ามันประสาทสัมผัสดีและสามารถได้ยินเสียงพูดคุยของผมกับฟิลลิเอียก็เถอะ แต่เวลาที่มันยุ่งๆ แบบนี้ มันคงไม่มีสมาธิจะมาเพ่งกสินฟังหรอก
เท่านั้นผมก็ฝืนลุกขึ้นจากเตียง ค่อยๆ พาตัวเองลงมายังล็อบบี้ชั้นล่าง กะว่าจะสอบถามกับพนักงานโรงแรมว่าฟิลลิเอียพักอยู่ห้องไหน จะได้ไปหา หากแต่ก็เจอกับยัยนั่นเข้าให้ก่อน

ผมตั้งท่าจะร้องทัก ทว่าฟิลลิเอียกลับหันมาสบตาผมพอดี พลางยิ้มให้ ผมก็เลยตัดสินใจจะพูดเรื่องที่ต้องการคุยทันควัน แต่ไม่รู้ทำไมยัยมนุษย์ต่างดาวนี่ถึงได้ดูออกว่าผมอยากจะพูดอะไร ชิงพูดขึ้นมาก่อนอีก
“ถ้าจะคุย ก็ไปคุยที่ห้องฉัน มันเก็บเสียง ท่านผู้พิทักษ์จะได้ไม่ได้ยิน” พูดจบก็ผายมือไปยังลิฟต์
ผมเลยรู้ในตอนนี้ว่าห้องทุกห้องของโรงแรมมันเก็บเสียง ต่อให้เป็นชาวยูนิกมาหรือมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ไหนก็ตามที่มีประสาทสัมผัสดีก็ไม่สามารถแอบลอบฟังได้ แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เดินเข้าไปในลิฟต์ ตามมาด้วยยัยนั่น ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไปยังห้องพักของเจ้าหล่อน
 



เสียงประตูอัตโนมัติของห้องพักปิดลง ฟิลลิเอียส่งสัญญาณให้ผมไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ ความวิงเวียนทำให้ผมเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก นั่งได้ ยัยนั่นก็โพล่งขึ้นมาเลย

“ลำบากหน่อยนะ ที่นี่ความกดอากาศไม่เหมาะสมกับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเท่าไหร่ คงจะทรมานน่าดูสินะ”
“ก็เลยจะมาขอให้ช่วยนี่ไง” ผมว่าเสียงแผ่ว ทำให้อีกฝ่ายยักไหล่
“ก็กะไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมา นี่ท่านผู้พิทักษ์คงจะไม่รู้ด้วยล่ะสิ”
ผมพยักหน้า ฟิลลิเอียเลยยิ้มกว้าง
“ดีแล้วล่ะที่ไม่บอก ไม่อย่างนั้น ฉันได้ถูกท่านผู้พิทักษ์เล่นงานตายแน่” รูปประโยคดูเหมือนจะหวั่นเกรงคีธ แต่น้ำเสียงน่ะไม่ใช่เลย เหมือนกำลังจะได้ทำเรื่องสนุกมากกว่า
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ในตอนนี้แค่อยากจะหายจากอาการบ้าๆ นี่อย่างเดียวเท่านั้น
“เอายามาสักที จะได้จูบๆ แลกกันไป”
“ใจร้อนจังแฮะ” ยัยนั่นว่า ทว่าก็เดินไปหยิบยาที่ว่านั่นจากกล่องบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะให้ผมแต่โดยดี

เม็ดยาสีฟ้าทรงกลมบนฝ่ามือบางถูกยื่นมาตรงหน้าผม ผมเตรียมจะเอื้อมมือไปหยิบ ทว่ายัยนั่นก็กำมือแล้วดึงกลับไปก่อน
“อะไรของเธอ” ผมว่าเสียงเขียวขึ้นมาด้วยหงุดหงิด ลางสังหรณ์บอกขึ้นมาเลยว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวเวรนี่ต้องเล่นลิ้นแน่ๆ
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด เมื่อมันพูดออกมา
“แค่จะบอกว่าไม่ต้องแลกยากับจูบก็ได้ แต่ต้องรับปากว่าถ้ามีผลข้างเคียงอะไร ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ก็ห้ามมาเอาเรื่องเพราะนายเป็นคนมาขอยาจากฉันเอง โอเคมั้ย”

ฟังอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากจะตอบว่าโอเคเลย แค่ยาของไอ้เจเนซิสก็ทำให้ผมขยาดกับคำว่าผลข้างเคียงแล้ว ยังจะต้องมาเจอยาของมนุษย์ต่างดาวกระเทยนี่อีกเหรอวะ!?

ผมเลยนั่งคิดไปครู่ว่าควรจะตอบรับมันดีหรือไม่ เพราะถ้าผลที่ออกมาหลังจากกินยาเข้าไปมันไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม ผมนี่แหละที่จะได้รับผลกระทบของมันเต็มๆ
ทว่าผมเงียบนานไปหน่อย ฟิลลิเอียจึงว่าขึ้นเรียกความสนใจของผมไป

“ถ้าไม่เอาก็ได้นะ ไม่ได้บังคับ ที่ฉันบอกว่าไม่รับผิดชอบถ้ามีผลข้างเคียงก็เพราะยังไม่เคยทดลองใช้กับใครที่ไหนน่ะ ที่เสนอให้ก็แค่เห็นว่ามันมีมวลเหมาะสมกับร่างกายของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินอย่างที่เคยบอก ดังนั้นฉันจึงไม่รับผิดชอบถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหายก็ดีไป แต่ถ้าไม่หาย อย่างร้ายก็คงจะมึนหัวมากกว่าเดิม”
“มึนหัวมากกว่าเดิมคือผลข้างเคียงที่สุดแล้วใช่มั้ย” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่ฟิลลิเอียพยักหน้า
“อืม มันไม่ใช่ยาอันตรายนี่นา ถ้ามีอาการก็รอเวลา เดี๋ยวมันก็หายไปเองตอนยามันเสื่อมฤทธิ์ มันก็แค่ยา...”
“งั้นเอา!” ผมโพล่งขึ้นทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ ข่มความมึนลุกขึ้นไปแย่งยาจากมือมันด้วยเถอะ

ฟิลลิเอียมองผมอย่างอึ้งงันเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วตรงไปรินน้ำใส่แก้วให้ทันทีที่เห็นผมส่งยาเม็ดนั้นเข้าปาก
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันไม่รับผิดชอบนะ” ยังกำชับส่งท้ายมาอีก
แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้วล่ะ รับแก้วน้ำจากยัยนั่นมาได้ก็กระดกอึ้กลงคอไปจนหมดแก้ว แล้วก็เหมือนกับปาฏิหาริย์ เพราะทันทีที่ยาเม็ดนั้นถูกส่งลงท้องไป ความร้อนวูบวาบส่งผ่านไปทั่วร่างกายจนผมต้องกำมือแน่น ทว่าครู่เดียวก็หาย และไม่ถึงห้านาทีดี อาการวิงเวียนของผมที่เหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ในตอนแรกก็ค่อยๆ เลือนหายเป็นปลิดทิ้ง

ผมเบิกตาโต มองหน้าฟิลลิเอียอย่างตะลึงงัน ขณะที่อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอก ยิ้มเผล่พลางพึมพำไปด้วย
“ออกฤทธิ์เร็วกว่าที่คิดแฮะ สงสัยจะแรงไปสำหรับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน”
ผมไม่เข้าใจหรอกว่าที่แรงไปอะไรนั่นหมายความว่ายังไง รู้อย่างเดียวว่าตอนนี้โคตรจะดีใจเลยที่อาการเวรนั่นหายไปได้สักที ผมจะได้ใช้เวลากับคีธอย่างเต็มที่
“สรุปไม่ต้องจูบแลกยา ไม่ต้องจ่ายตังค์ใช่มั้ย” จบเรื่องแล้วผมก็รีบตัดบท ตั้งใจจะรีบกลับไปรอคีธที่ห้อง
ฟิลลิเอียพยักหน้ารับ เท่านั้นผมก็กระเด้งตัวลุกขึ้นผึง บอกลาทันควัน
“งั้นก็ขอบคุณมาก ฉันไปล่ะ”
“อย่าลืมนะท่านแม่พันธุ์ว่าฉันไม่รับผิดชอบ” ฟิลลิเอียว่าไล่หลังมา
ผมพยักหน้าเออออไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจยัยนั่นแล้ว คนที่ควรสนใจคือคีธต่างหาก เสียเวลาทำเรื่องสนุกๆ ด้วยกันไปตั้งหนึ่งวัน อย่างนี้มันต้องชดเชย
 



ชดเชยที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องบนเตียงนะ ผมหมายถึงการออกไปเที่ยวชมดาวข้างนอกต่างหาก
ผมนั่งๆ นอนๆ รอคีธกลับมาที่ห้องอย่างตื่นเต้นกับแผนการต่างๆ ที่วาดภาพขึ้นในหัว แต่เพียงเวลาผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมง ความตื่นเต้นก็ทวีมากขึ้นจนพานทำให้เหงื่อกาฬทั่วกายผมผุดพรายขึ้นมา เหงื่ออย่างเดียวยังไม่พอ ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนวูบวาบที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกายอีก ใจก็เต้นแรงขึ้นราวกับจะระเบิดออกมาข้างนอกให้ได้ อะไรไม่ว่า ไอ้ส่วนนั้นของผมก็ดัน...มะ...มีอารมณ์...

จะว่ายังไงดี มันเกิดรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมาน่ะ แล้วก็มีการตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อยด้วย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีอาการแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ ผมคิดถึงการมีอะไรกับคีธใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝนดาวตกที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ก็ได้เลยเกิดอารมณ์ขึ้นมา

แต่ก็แค่คิดว่าคีธจะมีอะไรกับผมในวันนั้นเท่านั้นเองนะ ไม่ได้จินตนาการออกมาเป็นภาพเลยสักนิด มันจะไปมีอารมณ์ได้ยังไง!
คิดแล้วก็สับสนตัวเอง หากแต่สับสนได้ไม่เท่าไหร่ ความกำหนัดก็พวยพุ่งขึ้นราวกับภูเขาไฟประทุ ครั่นเนื้อครั่นตัวจนไม่อาจทนกับความรู้สึกนี้ได้อีกต่อไป ครั้นจะรอให้คีธกลับมาก่อนแล้วทำด้วยกัน ผมก็รอไม่ไหว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเลื่อนมือสั่นเทาไปกดปุ่มบนบอดี้สูทเพื่อปลดมันออกจากร่างกาย

ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งแหวกสาบเสื้อไปลูบแผงหน้าอกตัวเอง ผิวเนื้อร้อนผะผ่าวกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติตอกย้ำให้รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แค่มือตัวเองแตะถูกส่วนอ่อนไหวบนหน้าอก ผมก็ดันสะดุ้งขึ้นมา ซ้ำยังเผลอส่งเสียงครางในลำคอออกมาด้วย

ระ...รู้สึกดีแฮะ

ผมเลยกระตุ้นตัวเองมากขึ้นอีก สอดมือลงต่ำไปยังแก่นกายกลางลำตัว หากแต่พอถูกฝ่ามือสัมผัส ผมก็แอ่นตัวขึ้นมาราวกับไม่สามารถควบคุมได้

อ่อนไหวกว่าปกติไปทุกส่วนเลยตอนนี้ ไม่ว่าจะสัมผัสตรงไหนก็รู้สึกไปหมด รู้สึกอย่างรุนแรงเสียด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การกระตุ้นตัวเองยังทำให้ผมอดใจไม่ไหว ต้องการจะปลดปล่อยให้เร็วที่สุดอีกต่างหาก

ผมเลยจัดการถอดบอดี้สูทส่วนบนออก ดึงร่นไปยังบั้นท้าย มือก็วุ่นวายอยู่กับการสร้างความหฤหรรษ์ให้ตัวเองไป ปากก็ครวญครางไม่หยุด ถึงจะพยายามเก็บเสียงแค่ไหน แต่ในตอนนี้ผมไม่สามารถระงับความต้องการของตัวเองได้อีกแล้ว
ถ้าคีธกลับมาตอนนี้เลยก็ดีสินะ ผมจะได้ไม่ต้องจัดการอะไรๆ เองทั้งหมดแบบนี้...

แม้ในหัวจะคิดอย่างนี้ ทว่าก็ยังไม่หยุดมือ ซ้ำสวรรค์ยังเห็นใจผมชนิดไม่ให้ตั้งตัวด้วยการส่งไอ้คีธกลับมาแบบรวดเร็วทันใจอีกด้วย

ผมหันไปมองยังประตูอัตโนมัติซึ่งส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนปลดล็อคเข้ามาแทบไม่ทัน แล้วก็ต้องทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือคีธ มือไม้ที่อยู่บนกายชะงักพลันทันใด ส่วนคีธเองก็ชะงักเช่นกัน มองมาที่ผมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนอยู่กับหัวเตียงในสภาพชันเข่าขึ้น เสื้อผ้าหลุดลุ่ยและมืออยู่ในส่วนที่ไม่ควรอยู่ด้วยสายตาตะลึงงัน

แค่นั้นยังตะลึงงันไม่พอ ส่งเสียงเรียกชื่อผมอย่างไม่เชื่อสายตาอีก
“กวินทร์... ทำอะไรอยู่น่ะ”

ฉะ...ฉิบหายแล้ว! ทำไมมึงดันกลับมาตอนที่กูอยู่ในสภาพนี้พอดีเลยวะ! หลุมอุกกาบาตอยู่ไหน กูจะมุดหนีผัวไปหลบอายเดี๋ยวนี้!
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:Ep.02]--28/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 28-03-2016 19:55:48
ค้างงงงงะ :z3:  รอบชอบเรื่องนี้มากทุกอย่างมันดูล้ำฝุดๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Honeymoon:Ep.02]--28/03/59[หน้า12]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-03-2016 20:26:31
ค้างงงงงะ :z3:  รอบชอบเรื่องนี้มากทุกอย่างมันดูล้ำฝุดๆ

ตามต่อได้ในฉบับหนังสือนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Kids:Prologue]--05/04/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-04-2016 21:36:13
อาร์ หรือ คีตา ใครเมะ กันแน่ :katai1:
 รอ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.Alien's Kids:Ep.02]--23/04/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 29-04-2016 13:07:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คินน์: Ep.01]-07/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Ple ที่ 12-05-2016 21:37:35
สนุกมากมายค่ะ เสียดายที่จองหนังสือไม่ทันแล้ว คงต้องไปสอยตามร้านหนังสือแทน
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คินน์: Ep.01]-07/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-05-2016 22:10:49
สนุกมากมายค่ะ เสียดายที่จองหนังสือไม่ทันแล้ว คงต้องไปสอยตามร้านหนังสือแทน

หลังไมค์มาที่เพจนะคะ https://www.facebook.com/NooDangzzz/
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คินน์: Ep.01]-07/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 13-05-2016 12:52:15
เกลียดกวินทร์มากสุด มีความเพ้อเจ้อแบบไม่แสดงออกรุนแรงมาก
มีความสตรองและความเกรียนไม่น้อยไปกว่ากัน
นี่ถ้ามันไม่ได้เป็นนายเอก หล่อนก็ไม่น่าจะอยู่รอดในเล้านี้ได้อีกต่อไป555555555
ขอบคุณสำหรับความรั่วค่าา ♥
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คินน์: Ep.01]-07/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-05-2016 06:06:46

เอาต้นฉบับเล่มนี้ไปรีไรท์มาใหม่ค่ะ รีไรท์ที่เหมือนจะเขียนใหม่ทั้งเรื่อง 555 ปรับพล็อตใหม่ ปรับคาแรคเตอร์ตัวละครใหม่หมด ไปอ่านเองแล้วเห็นข้อผิดพลาดกับความไม่สมเหตุสมผลเยอะ หนูแดงเลยตัดสินใจรื้อใหม่ทั้งเรื่องเลยค่ะ
อันนี้จะเอาลงให้อ่านพาร์ทละ 4 ตอนเช่นเคย จะทยอยมาอัพให้นะคะ
------------------------------------------
[Kyta’s Part]
 
Prologue

ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาว...
ครับ ฟังไม่ผิดหรอก ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ยูนิกมาที่ว่ากันว่าเป็นชาติพันธุ์ฮิวมานอยด์ที่สูงส่งในอันดับต้น ๆ ของจักรวาล สูงส่งขนาดที่ไปที่ไหนก็ต้องมีคนรู้จักและให้ความเคารพยำเกรง ทว่าอีกสายเลือดหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกายผมกลับเป็นเลือดของมนุษย์โลก หรือที่รู้จักกันไปทั่วทั้งอวกาศว่าชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ฮิวมานอยด์ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดในอวกาศ พูดง่าย ๆ ก็คือล้าหลัง ถ้าเทียบกับชาติพันธุ์บนโลก ก็ออกแนวคนป่า มีอารยธรรมแต่ไม่เจริญอะไรเทือกนั้น
ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจนัก เพราะไม่ว่าอย่างไร ผมก็ได้รับการเคารพยกย่องจากชาติพันธุ์อื่นอย่างที่ลูกหลานชาวยูนิกมาควรจะเป็น
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็พ่อฝั่งที่เป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างพ่อคีธเป็นชาวยูนิกมาน่ะสิ ไม่ใช่ชาวยูนิกมาธรรมดาด้วยนะ เป็นถึงผู้พิทักษ์ขององค์ราชารัชกาลปัจจุบันแห่งยูนิกมา ทั้งยังมีวีรกรรมที่เรียกได้ว่าสร้างประโยชน์แก่มวลสิ่งมีชีวิตในอวกาศมามาก ผมซึ่งเป็นลูกก็เลยได้รับการพูดถึงไปด้วย แต่ไม่ได้ถูกพูดถึงในฐานะลูกคนแรกของเขา
ถูกพูดถึงในฐานะผู้พิทักษ์ของเจ้าชายอาร์ทูโร รามูเอลี ที่เก้า ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์เดียวและมีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ต่อจากองค์ราชาพระองค์ปัจจุบันต่างหาก
ถ้าถามว่าผมมาเป็นผู้พิทักษ์ได้ยังไง อาจจะต้องบอกว่ามันเป็นการสืบทอดตำแหน่งทางสายเลือด และแน่นอนแหละว่าพ่อผมอีกคนอย่างพ่อกวินทร์ซึ่งเป็นมนุษย์โลกไม่เห็นด้วยอย่างแรงกล้า ไม่สนับสนุนให้ผมไปทำหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวกับผู้พิทักษ์เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเจ้าชายอาร์ทูโร หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า อาร์ จะเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อกวินทร์ก็ตาม
และเพราะเหตุนี้ ผมเลยไม่ได้เจอกับองค์ชายอีกเลยตั้งแต่ที่เราแยกกันเมื่อตอนผมอายุสิบขวบ ได้ยินลุงแอสตันกับลุงริชาร์ดบอกว่าส่งอาร์ไปเรียนรู้อารยธรรมของชาวยูนิกมากับองค์ราชาพระองค์ก่อน
แล้วก็ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมถึงเรียกเจ้าชายอาร์ทูโรว่าอาร์เฉย ๆ แล้วเรียกองค์ราชารัชกาลปัจจุบันกับพระชายาว่าลุงอย่างสนิทสนม นั่นเป็นเพราะพ่อกวินทร์สั่งห้ามน่ะครับ ที่สั่งห้ามเป็นเพราะพ่อกวินทร์กลัวว่าผมจะถูกแบ่งลำดับชั้นแล้วจะถูกข่มอะไรประมาณนั้น แรก ๆ ผมก็ไม่กล้าทำตามพ่อกวินทร์เหมือนกันด้วยพ่อคีธไม่เห็นด้วย แต่พอลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันเอ่ยปากอนุญาตด้วยไม่ได้คิดอะไรมาก ผมเลยเรียกทั้งหมดด้วยสรรพนามนี้มาตลอด
หากแต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับตอนที่ผมอายุสิบแปดเช่นตอนนี้ เพราะตอนนี้ผมกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก
มองเผิน ๆ ก็เหมือนจะไม่มีปัญหาเพราะผมใช้ชีวิตเหมือนเด็กไฮสคูลมนุษย์โลกทั่ว ๆ ไป ที่พอเรียนจบไฮสคูลแล้วก็เลือกทางเดินของชีวิตตัวเองว่าจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือจะไปทำงาน ใจจริงผมอยากจะทำงานด้วยผมไม่ใช่คนหัวดีสักเท่าไหร่ เป็นสตั๊นแมนของกองถ่ายฮอลลีวูดอย่างพ่อคีธก็ได้ ผมเองก็มีเส้นสายและพอจะมีแมวมองมาติดต่ออยู่เหมือนกันด้วยพ่อคีธเทรนผมให้รู้จักศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ทว่าพ่อกวินทร์ที่ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ค่ายหนังกลับไม่เห็นด้วย สนับสนุนผมให้เรียนต่อเสียอย่างนั้น เหตุผลก็เพราะว่า...
ผมเป็นตัวอันตรายสำหรับคนอื่น
ฟังเหมือนเป็นเรื่องน่ากลัว ทว่าจริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้ไปทำร้ายอะไรใครอย่างนั้นหรอกนะ เพียงแต่ด้วยความที่ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาว ผมจึงได้ความสามารถและทักษะพิเศษบางอย่างที่ชาวยูนิกมาติดตัวมาด้วย ซึ่งนั่นก็คือประสาทสัมผัสที่ดี ทั้งหู ตา จมูก ที่รับรู้ได้ไวและมากกว่ามนุษย์โลกทั่วไป และการที่มีพลังกายมากผิดปกติ
จริง ๆ พ่อคีธใช้คำว่า ‘แข็งแรงสมบูรณ์สมเป็นชาวยูนิกมา’ แต่ในสายตาพ่อกวินทร์ เขาว่ามันผิดปกติน่ะ นั่นก็เพราะผมยังยั้งแรงของตัวเองไม่ค่อยได้ในบางครั้ง เขาเลยกลัวว่าถ้าผมไปทำงาน ผมอาจจะทำอันตรายให้คนอื่นได้ อะไรไม่ว่า เขากลัวผมจะถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจอะไรประมาณนั้น ทำให้การที่จะไปเป็นสตั๊นแมนถูกปัดตกไป และกลายเป็นถูกส่งตัวเข้ามหาวิทยาลัยแทน
สงสัยใช่มั้ยล่ะว่าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยมันช่วยให้ผมไม่ไปเป็นตัวอันตรายสำหรับคนอื่นได้ยังไง
ผมจะบอกให้ จริง ๆ แล้วในดาวเคราะห์ดวงนี้ มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่มากมาย หลายเชื้อชาติ หลายสายพันธุ์ ซ้ำยังแทรกซึมเข้าไปทำงานในองค์กรระดับโลกอีกเพียบ ดังนั้นการที่จะมีลูกหลานของมนุษย์ต่างดาวมาเพ่นพ่านแฝงตัวกับมนุษย์โลกแท้ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และเพราะเหตุผลนี้ ทำให้มนุษย์ต่างดาวที่แฝงตัวเคลื่อนไหวอยู่ในองค์กรการศึกษาก่อตั้งชมรมหรือกลุ่มสำหรับรวบรวมลูกหลานมนุษย์ต่างดาวเอาไว้ด้วยกัน
นั่นแหละ ผมเลยถูกส่งตัวเข้ามหาวิทยาลัยล่ะ... มหาวิทยาลัยที่มีกลุ่มองค์กรสำหรับดูแลลูกหลานมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ
องค์กรที่มีชื่อว่า ‘เอเลี่ยนคิดส์’
พ่อกวินทร์เชื่อว่านอกจากผมจะไม่ไปทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายแล้ว ผมเองยังจะปลอดภัยด้วยหากอยู่ที่นี่ ผมเลยไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร ในเมื่อเขาอยากให้ผมเรียนต่อก็ไม่มีปัญหา ก็พ่อกวินทร์เป็นคนที่รักและห่วงลูก ๆ มากกว่าใครอยู่แล้วนี่นา เชื่อเถอะว่าเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผมแล้ว
“คีตา เดี๋ยวไปเอากระเป๋าหลังรถแล้วเช็คก่อนนะว่าเอาของที่จำเป็นมาครบมั้ย ถ้าไม่ครบ เดี๋ยวพ่อกลับไปเอามาให้วันหลัง”
พ่อกวินทร์ว่าขึ้นหลังจากที่พ่อคีธขับรถแวนครอบครัวประจำบ้านเรามาถึงยังมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะลงจากรถไปจัดการตามที่พ่อกวินทร์สั่ง ไม่นาน พ่อ ๆ ทั้งคู่ก็ลงจากรถตามมาบ้าง มายืนมองผมเปิดกระเป๋าสัมภาระที่พ่อกวินทร์จัดให้เมื่อหลายวันก่อนเพื่อเช็คของเงียบ ๆ
“ไง ตกลงไม่ลืมอะไรนะ”
“ไม่ลืมครับ” ผมตอบรับ สงสัยว่าพ่อกวินทร์จะลืมไปแล้วว่าเป็นคนจัดกระเป๋าให้ผม ถ้าลืมอะไรก็แปลกแล้วล่ะ
“ไม่ลืมก็ดี จะได้ไม่ต้องพะว้าพะวงอะไร” พ่อกวินทร์ว่าไปตามเรื่อง ทำให้พ่อคีธที่ยืนมองอยู่นานแทรกขึ้นมา
“คนที่พะว้าพะวงน่ะ กวินทร์ต่างหาก”
ผมเห็นด้วยกับพ่อคีธอย่างแรง ก่อนจะรีบย้ายฝั่งเมื่อเขาถูกพ่อกวินทร์หันไปต่อยหน้าอกดังอั้ก ถึงจะรู้ว่าแรงของพ่อกวินทร์ไม่ทำให้พ่อคีธสะทกสะท้านได้ แต่ผมก็ไม่เสี่ยงเข้าข้างพ่อคีธหรอก ขืนโดนพ่อกวินทร์บ่นไปด้วยขึ้นมา มีหวังหูชาแน่
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันเป็นห่วงลูกฉัน นายมีปัญหาอะไร”
ไม่ใช่แค่ต่อยอย่างเดียว ตอนนี้ทำท่าหาเรื่องด้วย พ่อคีธทำหน้านิ่ง ๆ แล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
“ไม่มีปัญหาอะไรก็หุบปาก”
พ่อคีธหุบปากสนิทเลย
เป็นไงล่ะ พ่อบ้านใจกล้า เป็นผู้พิทักษ์ชื่อดังที่มีแต่คนทั่วจักรวาลหวั่นเกรงก็เท่านั้น โดนพ่อกวินทร์สวนเข้าหน่อยก็ไปไหนต่อไม่ถูกแล้ว
ผมแอบขำพ่อทั้งสองในใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ผมค่อนข้างจะเป็นพวกแสดงสีหน้ายากสักหน่อย ทั้งนี้ก็ต้องโทษพ่อคีธนั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ตอนเด็ก ๆ พ่อคีธเคยสอนว่าการเป็นผู้พิทักษ์ต้องไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ให้คนที่เราดูแลอยู่ลำบากใจ ดังนั้นผมเลยเป็นพวกเก็บอาการตั้งแต่นั้นเรื่อยมา แน่นอนล่ะว่าพ่อกวินทร์ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ก็พ่อกวินทร์น่ะ เป็นพวกที่รู้สึกอะไรแล้วก็แสดงออกมาเลยมากกว่า เหมือนกับคินน์ไม่มีผิด
เอ้อ คินน์นี่คือน้องชายผมน่ะ เราอายุห่างกันปีนึง แต่คินน์ไม่ได้อยู่กับเราตั้งแต่อายุเก้าขวบแล้ว ถูกพ่อกวินทร์ส่งไปอยู่กับย่าและป้า ๆ ที่ประเทศไทยด้วยเหตุผลว่าถูกเพื่อนซึ่งเป็นลูก ๆ ของเพื่อนพ่อ ๆ อีกทีแกล้งจนเข้าขั้นวิกฤต เลยให้ไปเจอสังคมดี ๆ ที่ทำให้คินน์หายจากอาการหวาดผวาได้
ผมยืนมองพ่อกวินทร์บ่นพ่อคีธต่ออีกยาวเหยียด จากเรื่องที่ขัดคอพ่อกวินทร์เมื่อครู่นี้ ตอนนี้เริ่มกลายเป็นเรื่องงานบ้านที่พ่อคีธยังทำไม่เสร็จ เรื่องงานสตั๊นแมนที่พ่อคีธไปรับทั้งที่พ่อกวินทร์บอกแล้วว่าให้อยู่บ้านเฉย ๆ ด้วยช่วงนี้พ่อคีธขยันทำงานเกินไป สาเหตุก็มาจากมีอยู่ช่วงนึงที่พ่อกวินทร์ป่วยนั่นแหละ พ่อคีธเลยรับหน้าที่หาเงินเข้าบ้านแทน แล้วตอนนี้ก็เริ่มลามไปบ่นเรื่องอื่น ๆ จนลืมไปแล้วว่าอันที่จริง พวกเขามาส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยวันแรก ไม่ได้มาเปิดฉากบ่นกันโชว์ในที่สาธารณะ
และดูท่าพ่อกวินทร์คงจะบ่นอีกนานแน่ถ้าหากว่าโทรศัพท์ของเขาไม่ดังขึ้นมาก่อน พ่อกวินทร์ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงได้ ก็ย่นคิ้ว พึมพำเบา ๆ เป็นภาษาไทย
“ไอ้เจ๊กนี่หว่า โทรมาทำไมวะ”
บ่นแต่ก็รับ ส่วนไอ้เจ๊กนี่ เป็นฉายาของลุงริชาร์ดที่พ่อกวินทร์ใช้เรียกบ่อย ๆ ผมได้ยินลุงริชาร์ดถามว่าพวกเราอยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่ที่มหาวิทยาลัยของผม ลุงริชาร์ดก็บอกให้รอก่อนเพราะกำลังมุ่งหน้ามาหา พอพ่อกวินทร์ถามว่ามาหาทำไม อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ ได้แต่บอกให้รอเท่านั้น พ่อ ๆ ของผมจากที่ตั้งใจว่าจะส่งผมแล้วกลับ กลายเป็นว่าต้องรอลุงริชาร์ดอีก
รออยู่สักพัก พ่อกวินทร์ก็บ่นอีกพักใหญ่ ลุงริชาร์ดถึงโผล่มา แต่เป็นถึงพระชายา จะให้โผล่มาแบบธรรมดาได้ยังไง มีลุงแอสตันตามมา แถมผู้พิทักษ์อีกเป็นพรวน ดูอย่างกับเป็นขบวนของคนใหญ่คนโตที่ไหนสักที่ ทำเอาคนรอบข้างมองไปยังรถคันหรูสองสามคันที่เรียงรายมาจอดในลานจอดรถเป็นตาเดียว
“แค่แวะมาหาแค่นี้ เอาซะเว่อร์” พ่อกวินทร์ยังบ่นเป็นภาษาไทยไม่เลิก ขณะที่พ่อคีธเอ่ยปากขึ้นมา
“อย่าจาบจ้วงพระชายาสิกวินทร์”
“ช่างหัวพระชายาเถอะ มันเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะพูดกับมันยังไงก็ได้”
นั่นแหละ พ่อคีธเลยเงียบไปอีกรอบ ปล่อยให้ผมอดขำกับสีหน้าของพ่อคีธที่ดูคล้ายจะไม่พอใจ แต่ทำได้แค่ขมวดหัวคิ้วเล็ก ๆ ไม่ได้
ผมเบนความสนใจไปยังรถพวกนั้นอีกครั้งเมื่อผู้พิทักษ์คนหนึ่งลงจากรถมาเปิดประตูรถให้กับลุงริชาร์ดและลุงแอสตัน เห็นแล้ว ผมก็รีบตรงเข้าไปทักทายโดยไม่รอให้พ่อ ๆ บอก ทำเอาลุงริชาร์ดชมผมเป็นการใหญ่
“เจอกันครั้งไหนก็ยังวางตัวได้น่ารักตลอดเลยนะคีตา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเควินถึงได้ภูมิใจนักหนาว่ามีลูกดี”
“ก็แน่ล่ะ ลูกฉันก็ต้องดีเหมือนฉันสิวะ” พ่อกวินทร์ยืดอกรับเสียอย่างนั้น ก่อนดึงผมเข้าไปยืนข้าง ๆ พร้อมทำหน้าภูมิใจสุดฤทธิ์ ขณะที่ลุงริชาร์ด ลุงแอสตันและพ่อคีธต่างมองหน้ากันราวกับระอา
คือ...ผมก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าก่อนที่ผมเกิด พ่อกวินทร์เคยสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้บ้าง เห็นพวกยูนิกมาเคยพูดกันอยู่ว่าพ่อกวินทร์เป็นชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่โผล่ไปที่ไหน ที่นั่นป่วนไปหมด แม้ว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ดาวยูนิกมากับดาวศัตรูปรองดองกันได้ก็ตาม ที่ทำหน้าระอากันอย่างนั้น คงเป็นเพราะจู่ ๆ ก็พร้อมใจกันนึกถึงอดีตแหง
ทว่าก็ไม่ได้มีใครสนใจอะไรนัก นอกจากพ่อกวินทร์ที่ถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นเพื่อน ๆ มาโผล่ตรงนี้
“แล้วพวกนายมาที่นี่ทำไมวะ ไหนว่ามีธุระต้องไปวอชิงตันหลายวัน แล้วไหงมาโผล่หัวอยู่นี่”
ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันแวะมาที่บ้านของพวกเราเพื่อทานมื้อค่ำ แล้วบอกว่าอาทิตย์นี้ต้องไปจัดการธุระสำคัญที่รัฐอื่น คือพวกเราอยู่ในแอลเอน่ะ ลุง ๆ ก็อยู่บ้านใกล้ ๆ พวกเรา ถึงจะไม่ได้ใกล้มาก แต่ก็ไปมาหาสู่กันบ่อย
หากแต่ลุงริชาร์ดไม่ตอบ ยกยิ้มขึ้นมาจนตาหยีแล้วถามกลับหน้าตาเฉย
“ทายสิว่าทำไมฉันมาอยู่นี่”
“ใครจะไปรู้กับมึงวะ” พ่อกวินทร์พ่นคำหยาบภาษาไทยออกมาทันที
ความจริงชาวยูนิกมามีความสามารถพิเศษในการพูดได้หลายภาษาด้วย แต่ผมไม่ได้ความสามารถพิเศษด้านนั้นมา ทว่าก็พอจะฟังออกอยู่บ้างว่าพ่อกวินทร์พูดอะไรเวลาเขาพูดภาษาบ้านเกิด
ก็เวลาเขาอารมณ์เสียหรือบ่นอะไร เผลอหลุดพูดภาษาไทยออกมาทุกทีเลยนี่นา ผมก็ต้องฟังออกบ้างแหละ
“ทายสิ” ลุงริชาร์ดว่าขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าพ่อกวินทร์ไม่พูดอะไรสักที
พ่อกวินทร์นิ่งไป ก่อนจะเอ่ย
“นายได้งานโปรเจ็กต์ใหม่ที่อยากทำ?” หมายถึงโปรเจ็กต์หนังน่ะ ลุงริชาร์ดเองก็ทำงานบริษัทเดียวกับพ่อกวินทร์ เพียงแต่มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับ
“ไม่ใช่” ส่วนลุงริชาร์ดก็ทำหน้าทะเล้นเมื่อพ่อผมทายไม่ถูก ก่อนพ่อกวินทร์จะพูดขึ้นมาอีก
“แอสตันวางไข่ใส่นายอีกรอบ จะมีลูกคนที่สอง?”
“ไม่ใช่”
“ซื้อชุดนอนไม่ได้นอนมาเซอไพรส์แอสตันอย่างที่ชอบทำ? ทำไม พักนี้มันหมดน้ำยาเหรอวะ”
“ไม่ใช่!”
ทายไปเรื่อย ไม่ถูกไม่พอ เริ่มเลอะเทอะไปเรื่อยจนลุงริชาร์ดหุบยิ้ม แผดเสียงออกมาดังลั่นเมื่อพ่อกวินทร์โพล่งออกมากลางวง ทำเอาบรรดาผู้พิทักษ์เสมองไปทางอื่นกันเป็นพัลวันทันทีที่รู้ว่าเจ้านายของตัวเองมีรสนิยมยังไง ขณะที่ลุงแอสตันหัวเราะร่วน ส่วนพ่อคีธก็เข้ามาจับแขนพ่อกวินทร์ไว้เป็นเชิงเตือนว่าอย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยอีก
“แล้วอะไรล่ะวะ”
ตอนนี้พ่อกวินทร์เริ่มหงุดหงิดแล้วล่ะ ก่อนลุงริชาร์ดที่เพิ่งปรับสีหน้าเขินอายให้เป็นปกติได้จะกระแอมไอแล้วว่าออกมา
“ฉันพาใครบางคนมาต่างหาก”
“ใครบางคน?”
พ่อกวินทร์ทำหน้าสงสัย ผมเองก็เช่นกัน เกือบหลุดถามลุงริชาร์ดออกไปแล้วว่าใคร หากแต่จมูกผมก็ได้กลิ่นของใครบางคนจากในรถตรงหน้าขึ้นมาก่อน
“องค์ชายอาร์ทูโร”
ไม่ต้องรอให้ลุงริชาร์ดบอกว่าใคร พ่อคีธก็พูดออกมาแล้ว รายนี้ก็คงได้กลิ่นเดียวอย่างที่ผมได้กลิ่นเหมือนกัน ส่วนลุงริชาร์ดก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ
“ปิ๊งป่อง ถูกแล้ว ที่ฉันไปวอชิงตันมา ก็ไปรับอาร์มานี่แหละ”
พูดแล้วก็ทำท่าทางตื่นเต้น ผมเข้าใจว่าคงเพราะไม่ได้เจอลูกนานหลายปี พอเจอกันเลยดีใจเป็นพิเศษ เว้นแต่พ่อกวินทร์ที่พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“ลูกไอ้เจ๊กนี่เอง นึกว่าอะไร”
พ่อกวินทร์จะไม่ตื่นเต้นก็ไม่แปลก จำได้ว่าเขาไม่ค่อยชอบหน้าอาร์เท่าไหร่นัก ส่วนผมน่ะตื่นเต้นขึ้นมาที่จะได้เจออาร์ ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแปดปีแล้วนี่นา ผมในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ ยังไงก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว อันที่จริง ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าอาร์จะมาเพราะพ่อคีธแอบบอกโดยที่พ่อกวินทร์ไม่รู้ แบบว่า...พวกเราวางแผนกันน่ะว่าผมต้องดูแลอาร์ในฐานะผู้พิทักษ์ตอนที่อาร์กลับมายังโลก และเราก็รู้กันว่าพ่อกวินทร์ต้องไม่ยอมแน่ เลยตัดสินใจมัดมือชกอย่างที่เห็น แต่ดูแล้วท่าทางตอนนี้พ่อกวินทร์จะยังไม่รู้ตัว
ลุงริชาร์ดส่งซิกให้ผมกับพ่อคีธเล็กน้อย ก่อนไปเรียกอาร์ลงจากรถ ผมมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสันทัดที่เดินลงมาด้วยใจเต้นระทึก พอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ตะลึงงันไปเล็กน้อยกับท่วงท่าสง่างามสมเป็นเชื้อราชวงศ์
ความจริงแล้ว อาร์ดูไม่ต่างจากตอนเด็กเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าออกไปทางโซนเอเชียเหมือนกับลุงริชาร์ดยังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม ทว่าแฝงไปด้วยความหยิ่งผยองตามแบบฉบับของชนชั้นสูง แต่ดูเหมือนว่าจะหยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่เขาสบตากับผมและพ่อ ๆ เขาก็เสมองไปทางอื่น เชิดใบหน้าขึ้นราวกับว่าไม่เห็นพวกผมอยู่ตรงนี้
ผมว่าเขาหล่อนะ หล่อมากเลยล่ะ มีเสน่ห์ด้วย แต่พ่อกวินทร์ไม่คิดอย่างนั้น ไม่สนใจว่าการที่อาร์มีทีท่าเฉยเมยนั่นเป็นเพราะเขาเป็นเจ้าชายด้วย พอเห็นอาร์ไม่ทัก ก็บ่นออกมาอีกแล้ว
“ลูกไอ้เจ๊กนี่หน้าตาเหม็นข้าวหมาบูดตั้งแต่เล็กยันโต ยิ่งโต ยิ่งหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วนี่เจอหน้าผู้ใหญ่ยังจะไม่ทักทายอีก เสียมารยาท”
ก็จริงอย่างที่พ่อกวินทร์ว่า ถึงจะเป็นเจ้าชาย แต่อาร์ก็ยังเด็กกว่าอยู่ดี ซึ่งสมควรจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน และถึงพ่อกวินทร์จะบ่นออกมาเป็นภาษาไทย ทว่าลุงริชาร์ดคงจะรับรู้ได้ เลยสะกิดให้อาร์ทักทาย
“ทักทายลุง ๆ เขาสิครับอาร์”
อาร์เหลือบมองหน้าคนพูด ก่อนสลับมามองหน้าลุงแอสตัน พอเห็นลุงแอสตันพยักหน้าเป็นเชิงให้ทำตามที่พ่ออีกคนว่า เขาก็ค้อมตัวลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรทั้งที่ควรจะเอ่ยปากว่า ‘สวัสดีครับ’ หรือเข้ามาจับมือทักทาย ไม่ก็เข้ามาดูดนิ้วอีกฝ่ายตามการทักทายแบบฉบับชาวยูนิกมาแท้ ๆ
ดูท่าทางจะถูกอบรมให้วางตัวอยู่คนละระดับกับคนที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์มากไปหน่อยถึงได้มีทีท่าแบบนี้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้พ่อกวินทร์เลิกค่อนแคะได้ ก่อนเขาจะหันไปถามลุงริชาร์ดอีกครั้ง
“นายแวะมาหาฉันแค่จะเอาลูกหน้าบูดของนายมาอวดว่ากลับมาที่โลกแล้วแค่นี้น่ะนะ เสียเวลาว่ะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังวุ่นวายกับการส่งคีตาเข้าบ้านพักนักศึกษาอยู่” พูดพลางพยักปลายคางมาทางผมที่ถือกระเป๋าลาก
อึดใจเดียว ลุงริชาร์ดก็ทำพ่อกวินทร์เบิกตาโตเมื่อเอ่ยขึ้นมา
“ใครว่าฉันจะเอาอาร์มาอวดว่ากลับมาแล้วล่ะ ฉันเอาอาร์มาส่งเข้าหอพักด้วยเหมือนกันต่างหาก”
“ฮะ? หมายความว่าลูกนายจะมาเรียนที่นี่เหรอ”
“อื้ม อายุครบสิบแปดแล้วนี่ ทางพ่อของแอสตันอนุญาตให้ออกมาหาประสบการณ์นอกวังได้แล้ว ฉันก็เลยเรียกให้อาร์กลับมาน่ะ”
สารภาพออกมาแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และเป็นไปตามการคาดการณ์ของผมด้วยว่าพ่อกวินทร์จะต้องตกใจ ส่วนเรื่อที่ลุงริชาร์ดพูดเมื่อครู่ ความจริงแล้ว ชาวยูนิกมาจะมีอายุมากกว่ามนุษย์โลกอยู่สองเท่า แต่สำหรับลูกครึ่งมนุษย์โลกอย่างพวกเราจะมีอายุเทียบเท่ากับมนุษย์โลกตามปกติเพราะร่างกายโตไวกว่าชาวยูนิกมา ไม่อย่างนั้น อาร์คงไม่ได้ออกจากวังมาหรอก เพราะถ้าเทียบอายุของชาวยูนิกมาแล้ว สิบแปดปียูนิกมาเท่ากับเก้าปีมนุษย์โลกเอง
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่จู่ ๆ พ่อคีธก็แทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“งั้นกลับมาอย่างนี้ ก็แสดงว่าคีตาต้องรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ให้องค์ชายอาร์ด้วยล่ะสิ” เป็นการพูดที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น แต่พูดเพื่อเป็นการเกริ่นให้พวกเราเตรียมพร้อมรับมือกับการโวยวายของพ่อกวินทร์น่ะ
และก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะพอสิ้นเสียงพ่อคีธเท่านั้น พ่อกวินทร์ก็ถลึงตา แล้วจัดการลากผมไปขนาบข้างทันที
“เรื่องเถอะ! มันใช่เรื่องอะไรที่ลูกฉันต้องไปดูแลไอ้เด็กหน้าบอกบุญไม่รับนี่มั้ย คีตามาเรียนเว้ย ไม่ได้มาเป็นคนรับใช้ ฝันไปเลย!”
“เป็นผู้พิทักษ์ ไม่ได้เป็นคนรับใช้” พ่อคีธแก้คำพูดให้ ทว่าพ่อกวินทร์ก็ไม่สน
“จะเป็นอะไรก็ช่าง แต่จู่ ๆ จะโผล่มาแล้วลากลูกฉันไปทำโน่นทำนี่โดยไม่ถามความเห็นฉันก่อนล่วงหน้าแบบนี้ ฉันไม่อนุญาตเว้ย!”
“แต่คีตาเป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชายอาร์”
“แต่นี่ลูกฉันเว้ย ลูกคนอื่นจะเป็นไงก็ช่างหัวมัน ดูแลตัวเองสิวะ มาเดือดร้อนลูกฉันทำไม!”
เอาแล้ว เริ่มปฏิบัติการโวยวายหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว และดูท่าจะลามไปมากกว่านี้ด้วยถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมเลยเอื้อมมือไปจับมือพ่อกวินทร์ที่จับแขนผมอยู่เป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็น ๆ ก่อนว่า
“พ่อกวินทร์... ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วยดูแลก็ได้”
แต่พ่อกวินทร์ก็คือพ่อกวินทร์ ถ้าไม่ยอมก็หมายถึงไม่ยอม จากที่โวยคนอื่นอยู่ ก็กลายมาโวยผมด้วยเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องมาทำเป็นพ่อพระ อยู่เฉย ๆ ไปเลยคีตา พ่อจัดการเอง”
นี่แหละพ่อกวินทร์ อะไรที่เกี่ยวกับลูก ออกโรงปกป้องหมดแหละ
แล้วก็เข้าไปโวยวายกับลุงริชาร์ด ลุงแอสตันว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ผมไปเป็นผู้พิทักษ์คอยดูแลอาร์อย่างแน่นอน แต่ลุง ๆ ไม่ได้อยากให้ผมมาเป็นผู้พิทักษ์หรอกจากที่คุยกันผ่านพ่อคีธในตอนแรก แค่อาร์ไม่ได้อยู่ที่โลกนาน และเรียนคณะเดียวกับผม ซ้ำยังอยู่บ้านพักนักศึกษาเดียวกัน ลุง ๆ เลยอยากให้ผมคอยแนะนำอะไร ๆ ให้อาร์หน่อยก็เท่านั้น ทว่าพ่อคีธไม่คิดอย่างนั้นไง การดูแลก็คือหน้าที่ของผู้พิทักษ์ จะมาดูแลนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ ต้องทำอย่างเต็มที่
ผมก็เออออตามพ่อคีธไป รู้และเตรียมใจมาอยู่แล้วว่าสักวันต้องดูแลอาร์ เลยไม่ได้ปฏิเสธอะไร อีกอย่าง ผมกับอาร์ก็เคยเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จะมีก็แต่พ่อกวินทร์ที่ยังยืนกรานคำเดิมว่าไม่ยอม ยืนเถียงกันไป เถียงกันมา ผมก็สังเกตเห็นว่าใบหน้านิ่งเรียบของอาร์เริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาให้เห็น เรียวคิ้วสวยเริ่มย่นยู่ แขนเรียวทั้งสองข้างก็ยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจอย่างรำคาญ ก่อนเปล่งเสียงขึ้นแทรก
“ไม่ต้องให้ใครมาดูแลทั้งนั้นแหละครับ ผมอยู่เองได้”
พูดเท่านี้ ทุกคนก็เงียบ หันไปมองต้นเสียงทันใด ทว่าอาร์กลับไม่สนใจ คว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองที่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งถืออยู่มา แล้วบอกกับลุง ๆ
“ถ้าพ่อ ๆ ไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”
จากนั้นก็เข้าไปสวมกอดลุง ๆ โดยที่ลุง ๆ ไม่ทันตั้งตัว ก่อนเดินจากไปท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน พอตั้งสติได้ พ่อกวินทร์ก็แขวะมาอีก
“ไอ้ลูกเจ๊กนี่มันอัธยาศัยแย่ไม่เปลี่ยนเลยแฮะ”
จริงอย่างที่พ่อกวินทร์ว่า มาก็ไม่ทัก ไปก็ไม่ลา ปล่อยให้ลุง ๆ ยิ้มตามหลังแห้ง ๆ
ส่วนผมก็เดาได้ว่าเดี๋ยวพ่อกวินทร์จะต้องบ่นต่อเรื่องอาร์แน่ ๆ และถ้าขืนผมยังอยู่ตรงนี้ต่อ มีหวังคงหาทางปลีกตัวไปจัดการเรื่องตัวเองไม่ได้แหง เลยตัดบทก่อนที่พ่อกวินทร์จะได้พูดอะไร
“งั้นผมไปบ้างดีกว่า ขอบคุณที่มาส่งครับพ่อกวินทร์”
แล้วก็เข้าไปสวมกอดพ่อกวินทร์แน่น ๆ ทีนึง กะให้พ่อกวินทร์อารมณ์ดีด้วยปกติแล้ว ผมไม่ค่อยเข้าหาพ่อกวินทร์เท่าไหร่เพราะต้องรักษามาดผู้พิทักษ์อย่างที่พ่อคีธสอน ซึ่งก็ได้ผล พ่อกวินทร์กอดผมตอบ หยุดบ่นฉับพลัน ปรี่เข้ามาหอมแก้มผมซ้ายขวาอีกหลายฟอดกว่าจะปล่อยได้ รวมถึงสั่งโน่นนี่ไปเรื่อย ตบท้ายด้วยการบอกว่า...
“อย่าไปยุ่งกับลูกไอ้เจ๊กเชียว ถ้ามันบังคับข่มเหงอะไร คีตาต้องรีบโทรมาฟ้องพ่อนะรู้มั้ย เดี๋ยวพ่อไปตบกบาลสั่งสอนมันเอง”
ผมพยักหน้าไปตามเรื่อง เผลอนึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่ผมกับอาร์เล่นวางไข่กัน แล้วอาร์พยายามกดผมจนถูกพ่อกวินทร์ตบกะโหลกเสียงดังสนั่นขึ้นมา ขำในใจอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยไปกอดลาพ่อคีธและบอกลาลุง ๆ บ้าง ตอนที่ผมจะผละออกมา พ่อคีธก็อาศัยจังหวะที่พ่อกวินทร์เผลอส่งแผ่นชิปสื่อสารให้ผม มันเป็นแผ่นชิปสื่อสารจากยูนิกมาที่เอาแปะตรงขมับก็ส่งโทรจิตสื่อสารกันได้ ตอนแรกพ่อกวินทร์ไม่ให้เอามันมา ด้วยไม่ต้องการให้ผมติดต่อกับพ่อคีธโดยที่เขาไม่รู้ เหมือนกับว่าเขาพ่อจะรู้มาบ้างแล้วล่ะว่าตามกฎมณเฑียรบาลของชาวยูนิกมา หากเจ้าชายรัชทายาทอายุครบสิบแปดปี ก็จะออกจากวังได้ เขาเลยกลัวว่าอาร์จะกลับมายังโลกแล้วผมจะถูกจับให้กลับไปรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์
แต่ไม่ทันแล้วล่ะ เราเตรียมการกันมาตั้งนานแล้ว และคงไม่มีใครกล้าหลุดปากบอกพ่อกวินทร์ในตอนนี้แน่ว่ามันเป็นแผน ไม่อย่างนั้น ราชวงศ์ยูนิกมาล่มสลายแน่นอน
ผมรับแผ่นชิปนั้นมาแล้วรีบยัดลงกระเป๋ากางเกง ปล่อยให้พ่อกวินทร์สั่งลาอีกนิดหน่อยก่อนทั้งพ่อ ๆ และลุง ๆ จะขึ้นรถขับออกไปนอกมหาวิทยาลัย ทิ้งให้ผมยืนส่งจนรถของพวกเขาหายไปลับสายตา
ผมคว้ากระเป๋าตัวเอง เตรียมตัวจะเดินไปที่บ้านพักนักศึกษาบ้าง ทว่าเสียงเรียกเข้าของชิปสื่อสารก็ส่งสัญญาณเตือนขึ้นมาเสียก่อน ผมล้วงออกจากกระเป๋ามาแปะที่ขมับ ก่อนเสียงของลุงริชาร์ดจะดังมาให้ได้ยิน
‘ขอฝากอาร์ด้วยนะคีตา อาร์ไม่ได้อยู่ที่โลกนาน พฤติกรรมเลยอาจจะแปลก ๆ ไปบ้าง ยังไงก็ช่วยดูด้วยนะ ลุงกลัวว่าอาร์จะอยู่ไม่ได้ ไม่ต้องดูในฐานะผู้พิทักษ์ก็ได้ ถือว่าดูในฐานะเพื่อนสมัยเด็กแล้วกัน ช่วยลุงหน่อย อดทนอาร์นิดนึงนะ’
‘ครับ ผมจะดูแลให้’
ผมรับปากโดยไม่ได้คิดอะไรมากทั้งที่รู้สึกแปลก ๆ ตอนได้ยินลุงริชาร์ดบอกว่าให้อดทนอาร์นิดนึง แล้วก็ตัดสัญญาณไป
อดทนเหรอ? หมายถึงนิสัยหยิ่ง ๆ ของอาร์หรือเปล่านะ?
เอาเถอะ ถึงจะหยิ่ง แต่ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงสำหรับการดูแลเท่าไหร่ ยังไงผมก็เป็นผู้พิทักษ์ให้กับอาร์อยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็ค่อยโทรไปปรึกษาพ่อคีธแล้วกัน เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ อย่าให้พ่อกวินทร์รู้ว่าผมกลับมาเริ่มหน้าที่ผู้พิทักษ์ให้อาร์ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนที่จะถูกพ่อกวินทร์ตบกะโหลกแยกคงหนีไม่พ้นผมกับพ่อคีธนี่แหละ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Prologue]-14/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: Silver Fish ที่ 15-05-2016 23:56:52
ร้ายจริงๆเคะเราเนี่ย5555555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Prologue]-14/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-05-2016 09:15:19
 :katai2-1: มาต่อแล้ว ดีใจจัง :mew1:
กวินทร์ ยังเก่ง น่ารัก รักลูก ปกป้องลูก  ขึ้บ่น เหมือนเดิม
อาร์ ก็ยังหน้าบูด หยิ่งในเชื้อสายราชวงศ์เหมือนเดิม
ชอบ รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Prologue]-14/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 16-05-2016 19:33:35
 o13
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Prologue]-14/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 17-05-2016 00:19:25
คีตาหนูเมะใช่ไหมลูก  :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Prologue]-14/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 18-05-2016 21:14:21
 o13
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Prologue]-14/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 23-05-2016 06:08:44
ตัวอย่างตอนแรกมาแล้วค่ะ รีไรท์มาแล้วเนื้อหาเปลี่ยนจากเดิมเกือบทั้งเรื่อง 555 แต่พล็อตหลักก็ยังอยู่เหมือนเดิมนะคะ ยังไม่ไฟนอลเช่นเดิม ต้องรีไรท์ซ้ำอีกที แต่คีตาในเวอร์ชันนี้จะดูอ่อนโยนกว่าเวอร์ชันแรกที่มึนๆ อึนๆ สักหน่อย ส่วนอาร์ก็... ก็น่าหมั่นไส้เหมือนเดิม ฮา เซซิลกับเบลคยังไม่โผล่มาในพาร์ทของคีตา รู้สึกว่าพอมีตัวละครสำคัญๆ หลายตัวแล้วกระจายบทยาก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องไม่ยาวมากด้วยแล้ว ยิ่งยากเลยยกไปให้มาในพาร์ทของคินน์ทีเดียวเลย
ไว้ตอนที่ 2 จะทยอยมาอัพนะคะ
------------------------------------------


Episode 01: The egg from the prince[1]


บ้านเอเลี่ยนคิดส์มีลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวเกลื่อนกลาดอย่างที่ผมคิด พอย่างเท้าเข้ามาในบ้าน บรรดาพวกลูกครึ่งเหมือนกับผมก็แสดงอภินิหารกันยกใหญ่ ให้รู้กันว่าเป็นลูกครึ่งอะไรบ้าง บ้างก็คืนร่างเดิม บ้างก็แสดงความสามารถพิเศษที่สายพันธุ์ของตัวเองมี แต่ผมไม่ได้สนใจนัก และไม่สนใจที่จะแสดงความสามารถพิเศษของตัวเองออกมาด้วย เพราะสิ่งที่ผมสนใจก็คือแผ่นหลังของคนที่เดินนำผมมาก่อนหน้านี้มากกว่า
อาร์ตรงเข้าไปนั่งบนโซฟาที่อยู่กลางบ้านโดยไม่พูดกับใครสักคำ ไม่สนแม้แต่จะทักทายประธานบ้านที่เดินมาแนะนำตัวเองเมื่อครู่ว่าชื่อมิเกลและเป็นลูกครึ่งอะไรสักอย่าง ยิ่งพอมิเกลเดินเข้าไปถามเซ้าซี้ว่าอาร์เป็นลูกครึ่งอะไร อาร์ก็ให้คำตอบโดยการเปิดเผยตัวเองโดยการปล่อยกลิ่นของชาวยูนิกมาออกมาทั้งที่ปกติแล้ว พวกเราจะเก็บซ่อนกลิ่นนี้ไว้ ทำให้บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้หายไปทันตา ก่อนจะตามมาด้วยการทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียงเมื่อรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของอาร์คือใคร
ก็แน่ล่ะว่าเป็นลูกครึ่งชาวยูนิกมาผู้สูงส่ง แต่สูงส่งกว่าเมื่อกลิ่นของอาร์ไม่ได้เหมือนชาวยูนิกมาทั่วไป แต่มีกลิ่นของเชื้อพระวงศ์ด้วย ทุกคนจะรีบให้ความเคารพก็ไม่แปลก
เพราะอาร์ทำแบบนี้ ผมเลยได้แต่แค่นยิ้มให้กับคนอื่น ๆ ที่หันมามองผมเป็นเชิงว่าทำไมผมถึงไม่ทำความเคารพอาร์เหมือนกับพวกนั้น แล้วทุกคนก็ประจักษ์ได้เมื่อจู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างามไม่แพ้กับอาร์โผล่มาจากด้านในของบ้าน พร้อมกับเอ่ยปากทักอาร์อย่างเป็นมิตร
“ก็นึกว่าใครมา ที่แท้ก็ญาติผู้น้องของฉันนี่เอง” ชายคนนั้นว่าขณะยกมือทั้งสองข้างรวบผมยาวปะบ่าสีบลอนด์สว่างขึ้นเป็นหางม้า พออาร์หันไปมองก็หยักยิ้มกว้างให้
ผมมองปราดเดียวก็จำได้เลยว่านั่นคือจูเลียน เจ้าชายรัชทายาทแห่งเซนไทน์ที่เป็นพระโอรสพระองค์เดียวของกษัตริย์เซนไทน์และลุงเจเนซิส แฟนเก่าของพ่อคีธ รายนี้ก็เป็นเพื่อนผมสมัยเด็กเหมือนกัน ผมเลยไม่เคยใช้คำคนละระดับด้วย แต่เราไม่ได้เจอกันนานหลายปีพอ ๆ กับที่ผมไม่ได้เจออาร์แล้วล่ะ นั่นก็เพราะจูเลียนไม่ได้อาศัยอยู่บนโลก แต่อาศัยอยู่ที่ดาวเซนไทน์เพื่อเรียนรู้การเป็นกษัตริย์อย่างที่บรรดาเจ้าชายทำกัน และที่มาโผล่ที่นี่ได้ คงเป็นเพราะเหตุผลเดียวกับอาร์นี่แหละ
อาร์เห็นจูเลียนยิ้มให้ก็ทำเพียงพยักหน้า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ซ้ำยังเมินเสมือนจูเลียนเป็นอากาศธาตุ ทำเอาจูเลียนยิ้มแหย ผมเลยเข้าใจได้ว่าอาร์น่ะไม่ได้หยิ่งแค่กับคนต่ำศักดิ์กว่าหรอก ขนาดคนมียศถาบรรดาศักดิ์เท่าเทียมกัน ยังหยิ่งใส่เลย ก่อนผมจะยิ้มบาง ๆ ให้จูเลียนบ้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองมาทางผม
“นายตามมาเป็นผู้พิทักษ์ให้อาร์เหรอ” จูเลียนถามอย่างรู้ทัน คงจะรู้เพราะลุงเจเนซิสบอกแน่ เห็นพ่อคีธบอกว่าลุงเจเนซิสเป็นคนเสนอแผนการหลอกพ่อกวินทร์นี้ให้ลุงแอสตันน่ะ
ผมพยักหน้า จูเลียนเลยตบบ่าผมดังปุ
“งั้นคงต้องทำใจหน่อยนะ ดูท่าทางอาร์จะยังปรับตัวไม่ได้ กว่าจะคุ้นชินคงอีกนาน”
ผมพยักหน้า อยากจะย้อนถามเหมือนกันว่าแล้วเขาทำยังไงถึงปรับตัวได้เร็วขนาดนี้ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานพอกันกับอาร์ หากแต่ไม่ทันจะได้ถาม เสียงของอาร์ก็เรียกความสนใจจากผมไปแล้ว
“ห้องของเราอยู่ไหน” อันนี้หันไปถามมิเกล
มิเกลที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่รีบกุลีกุจอตอบทันใด
“คะ...คือว่าเรื่องห้องพักนี่ เราต้องให้น้องใหม่จับสลากเลือกน่ะเพคะ ต้องรอให้คนมาครบกันก่อน ตอนนี้ยังมาไม่ครบ ยังจะจัดห้องบรรทมให้ฝ่าบาทไม่ได้”
ตอบไปอย่างนี้ สีหน้าเรียบเฉยของอาร์ก็เผยความไม่พอใจออกมาทันที ทำเอาคนถูกถามมีสีหน้าเจื่อนไปทันตา เจื่อนเพราะกังวลว่าใช้ภาษาคนละระดับไม่ถูกไม่พอ ยังจะเจื่อนหนักกว่าเดิมเมื่ออาร์พูดออกมาสั้น ๆ อีก
“แต่เราเหนื่อยแล้ว เราอยากพัก”
“แต่ว่า...”
พูดแค่นั้นก็ต้องเงียบไปเมื่อถูกดวงตาหรี่เล็กมองเขม็ง เป็นสายตาที่ใครมองก็รู้ว่าเป็นความไม่พอใจอย่างสุดซึ้ง แม้อาร์จะไม่พูดอะไร แต่ก็สร้างความหวาดเกรงให้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ทำเอาจูเลียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมว่าเบา ๆ
“ใช้สายตาของผู้มีอำนาจได้ดีกว่าฉันซะอีก”
ผมพอจะเข้าใจว่าจูเลียนหมายถึงพวกเชื้อพระวงศ์จะมีความสามารถพิเศษในการแสดงอำนาจแบบที่ไม่ต้องพูดอะไร ก็สามารถแผ่รัศมีความน่าเกรงขามออกมาได้อะไรประมาณนั้น แต่สำหรับคนที่คุ้นชินกับเชื้อพระวงศ์อย่างผม ผมกลับมองว่ามันเป็นสายตาของคนเอาแต่ใจมากกว่า เพราะผมไม่เคยเห็นลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันมองใครด้วยสายตาแบบนี้เลย แม้แต่จูเลียนตอนเด็กที่เจอกันก็ไม่เคย รวมถึงลุงเจเนซิส ลุงซีเลน หรือจะเป็นลูก ๆ ของลุงซีเลนอย่างเซซิลกับเบลคที่ตอนนี้อยู่ที่ฝรั่งเศสซึ่งมีสายเลือดสีน้ำเงินเหมือนกัน ก็ไม่เคยมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้ จะมีก็แต่อาร์ที่ทำอย่างกับว่าคนอื่นต่ำชั่นกว่า
คงเพราะเหตุนี้ ลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันถึงได้เป็นห่วงจนต้องขอให้ผมมาดูแลล่ะมั้ง
และเพราะอาร์ไปมองมิเกลอย่างนั้น เธอก็เกิดเกรงใจขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้อย่างไม่มีทางเลือก
“ชะ...เช่นนั้นฝ่าบาทมีรูมเมทหรือยังเพคะ ถ้ามีรูมเมทแล้ว หม่อมฉันจะจัดห้องบรรทมให้”
“ยังไม่มี” อาร์ตอบ ทำให้มิเกลลุกลี้ลุกลนขึ้นไปอีก
“ถ้ายัง หม่อมฉันคงต้องรบกวนฝ่าบาททรงหารูมเมทก่อน แบบว่า...ห้องนึงต้องอยู่กันสองคนน่ะเพคะ ไม่อย่างนั้น ห้องจะไม่พอสำหรับนักศึกษาใหม่คนอื่น”
“งั้นก็หาให้เราสิ”
งานงอกที่มิเกลทันที มิเกลทำหน้าหนักใจ และดูเหนื่อยใจมากขึ้นไปด้วยเมื่อหันไปมองยังนักศึกษาใหม่คนอื่น ๆ เพื่อหารูมเมทให้อาร์แล้ว ทุกคนก็พากันหลบสายตา บ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากร่วมห้องกับคนบนโซฟาที่นั่งแกะขี้เล็บตัวเอง คงเพราะไม่อยากอึดอัดหรือถูกอาร์ข่มล่ะมั้ง
สุดท้าย หวยเลยมาออกที่จูเลียนเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทว่าพอมิเกลกำลังจะเอ่ยปาก จูเลียนก็ยกมือขึ้น ออกปากปฏิเสธก่อนแล้ว
“ฉันมีรูมเมทแล้วน่ะ ขอโทษนะ” แล้วก็พุ่งไปคว้าใครก็ไม่รู้ที่อยู่ใกล้ ๆ เสียอย่างนั้น
ผมดูหน้าเหวอ ๆ ของใครคนนั้นก็พอจะรู้ได้ว่าจูเลียนไม่ได้ตกลงจับคู่กับหมอนั่นตั้งแต่แรกหรอก ทว่าพอจะถูกยัดเยียดอาร์ให้ ก็ทำเป็นเหมือนว่าตัวเองไม่ว่างขึ้นมาทันที ผมเลยเผลอถอนหายใจไม่ได้
ดูสิ ขนาดลูกพี่ลูกน้องอย่างจูเลียนยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย ขนาดได้ข่าวว่าเจอกันบ่อยก่อนมาที่โลกด้วยนะ แสดงว่าฤทธิ์เดชของอาร์คงจะเหลือทนจริง ๆ ถึงขนาดจูเลียนทนไม่ได้เนี่ย
ในเมื่อไม่มีใครยอมคู่กับอาร์สักที อาร์ที่รอได้ไม่ถึงห้านาทีก็ร้องถามด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญนิด ๆ
“ได้หรือยังรูมเมทน่ะ เราบอกแล้วไงว่าเหนื่อย อยากพัก”
เท่านั้น มิเกลก็เลิ่กลั่กเป็นการใหญ่ เห็นแล้วผมก็สงสาร เลยรีบออกปากก่อนที่จะได้เห็นเธอร้องไห้
“ฉันเป็นรูมเมทให้อาร์เอง”
สิ้นเสียงก็รู้สึกเหมือนสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังผมประกายวาวราวกับเห็นแสงแห่งความหวัง ความจริงพวกนี้ก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่ายังไงผมก็ต้องเป็นรูมเมทให้อาร์ ก็ผมเป็นผู้พิทักษ์นี่นา จะอยู่ห่างจากคนที่ตัวเองดูแลได้ไง
“งั้นก็เอากุญแจห้องไปเลย ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องอยู่ริมสุดระเบียงฝั่งขวานะ นาย...”
“คีตา” บอกชื่อไปสั้น ๆ มิเกลก็วางกุญแจแหมะลงบนมือผมทันใด
“ฝากด้วยนะคีตา ดูแลองค์ชายดี ๆ ล่ะ”
แล้วก็ดุนหลังผมให้เข้าไปหาอาร์เป็นการใหญ่ ผมรำคาญนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เข้าใจอยู่ว่าเธอคงอยากให้อาร์รีบไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนที่บรรยากาศจะกร่อยไปกว่าเดิม ผมเลยเดินเข้าไปหาอาร์ ตั้งท่าจะบอกว่าให้ขึ้นไป ทว่าไม่ทันจะได้พูด อาร์ก็ลุกขึ้นเดินนำไปแล้ว อะไรไม่ว่า ทิ้งกระเป๋าสัมภาระตัวเองไว้ให้ผมขนอีกต่างหาก
“ตามมาเร็ว ๆ เราอยากนอน”
ผมลอบพ่นลมหายใจนิดหน่อย คว้ากระเป๋าเป้ใบเขื่องของอาร์ขึ้นสะพายหลัง แล้วตามขึ้นไป หัวก็คิดไปเรื่อย
ดูท่าทางจะไม่ได้หยิ่งอย่างเดียวแล้วล่ะ น่าจะเอาแต่ใจตัวเองแบบสุดกู่ด้วย แค่นี้ก็เริ่มออกลายแล้ว เห็นทีผมคงต้องเตรียมรับมืออย่างจริงจังแล้วล่ะ
 
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงได้ไม่อยากให้ผมยุ่งกับอาร์นัก ซ้ำยังกำชับอีกว่าถ้าอาร์กดขี่ข่มเหงอะไรผมก็ให้รีบบอก จะรีบมาจัดการให้ ก็ดูสิ ขนาดแทบไม่ได้คุยกัน แต่พอเข้ามาในห้องได้ปุ๊บ อาร์ก็ออกคำสั่งให้ผมเลื่อนเตียงของผมเข้าไปชิดกับเตียงของตัวเอง ตอนแรกผมก็นึกว่าจะให้นอนคู่กัน แต่ไม่ใช่ เขาอยากได้เตียงที่ใหญ่ขึ้นเพราะเตียงเดี่ยวของบ้านพักนักศึกษามันเล็กไปสำหรับเจ้าชายอย่างเขา เขาบอกว่ามันไม่ชินเพราะไม่เคยนอนเตียงเล็กแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ผมมองดูแล้ว ตัวขนาดอาร์นี่ เตียงเดี่ยวก็ใหญ่เหลือเฟือแล้ว ถ้าจะนอนไม่พอก็น่าจะเป็นผมมากกว่า
ทว่าผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ผมไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้ว ให้ไปนอนที่โซฟาที่อยู่ตรงมุมห้องก็ได้ ถึงจะเล็กไปหน่อย แต่ก็โอเค ผมนอนตรงไหนก็ได้ ยังไงก็เป็นผู้พิทักษ์อยู่แล้ว พ่อคีธก็สอนมาแล้วนี่นาว่ามีหน้าที่ต้องดูแลอาร์ให้ดีที่สุด อะไรเสียสละให้ได้ก็ต้องให้ แม้แต่ชีวิตก็ต้องให้ได้เช่นกัน
ถ้าพ่อกวินทร์ไม่มาแหกอกเสียก่อนน่ะนะ...
เลื่อนเตียงให้อาร์เสร็จ อาร์ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวนอน ก่อนผล็อยหลับไปในเวลาเพียงไม่กี่นาที สงสัยจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางเลยทำให้หลับง่ายขนาดนี้ ผมเลยไม่ได้ใส่ใจ ปล่อยให้อาร์พักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนตัวเองก็ลงไปข้างล่างเมื่อหูได้ยินใครบางคนพูดว่าให้นักศึกษาใหม่เริ่มการแนะนำตัว ผมเลยคิดว่าลงไปร่วมกับคนอื่นดีกว่า จะได้รู้จักคนเพิ่ม เผื่อในอนาคตจะได้แนะนำให้อาร์รู้จักด้วย
การแนะนำตัวและทำความรู้จักกันแบบมีขั้นตอนเริ่มกลายเป็นการพูดคุยตามอัธยาศัยเมื่อมิเกลให้จับคู่รูมเมทและจับสลากเพื่อเลือกห้องพัก แล้วก็เริ่มเลยเถิดเป็นการปาร์ตีของมึนเมาเมื่อฟ้าเริ่มพลบค่ำ ความจริงแล้วผมไม่อยากดื่มเท่าไหร่ พ่อคีธเคยบอกไว้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้เป็นภัยถึงชีวิตได้ ผมก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าเป็นภัยถึงชีวิตยังไง เท่าที่ผมเคยดื่มกับเพื่อนในงานเลี้ยงตอนเรียนจบไฮสคูล อย่างมากมันก็ทำให้เมาค้างยันวันใหม่ก็เท่านั้นหากดื่มมากเกินไป และพอพ่อคีธพูดอย่างนั้น พ่อกวินทร์ได้ยินทีไรก็หัวเราะออกมายกใหญ่ พร้อมกับอธิบายให้ผมฟังว่าพ่อคีธมีอดีตฝังใจกับเครื่องดื่มจำพวกนี้ ผมอยากถามเหมือนกันว่ามีอดีตยังไง แต่เหมือนพ่อคีธไม่อยากพูดถึงก็เลยไม่เคยถามสักที
ทว่าตอนนี้ เครื่องดื่มที่พ่อคีธขยาดที่สุดอยู่ในมือผมแล้วล่ะ ผมเลือกดื่มเบียร์เพราะคิดว่ามันน่าจะทำให้มึนเมาน้อยกว่าพวกวอดก้าหรือบรั่นดีที่คนอื่นกระดกดื่มกันเพียว ๆ และแน่นอนว่าผมไม่ลงไปเล่นเกมแข่งดื่มอะไรกับใครด้วยเพราะไม่อยากจะเมาหัวทิ่มจนไปเรียนไม่ได้ตั้งแต่วันแรกซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ ดื่มไปก็นั่งฟังคนอื่นคุยกันไป ไม่ค่อยมีปากเสียงกับใครเท่าไหร่นัก การชวนคนอื่นคุยไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไหร่ นั่งฟังเงียบ ๆ น่ะดีแล้ว จะมีก็แต่ตอบรับจูเลียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้างเท่านั้น
“นายนี่พูดน้อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” จูเลียนว่าเมื่อเห็นว่าผมถามคำตอบคำตลอดเวลา ผมเลยยักคิ้วให้เป็นการตอบรับ ทำเอาอีกฝ่ายตีเข้ามาที่บ่าผมเบา ๆ
“นายพูดน้อย อาร์ก็พูดน้อย อยู่ด้วยกัน สงสัยห้องพวกนายสงบสุขแน่ถ้าอาร์ไม่ออกอาการเอาแต่ใจซะก่อนน่ะนะ รายนั้นน่ะ เอาแต่ใจทีไร ทำคนติดตามผวาทุกที เอาแต่ใจมาก ขนาดฉันยังไม่ค่อยอยากคุยด้วยเลยตอนหมอนั่นเอาแต่ใจ กลัวโดนลูกอาละวาด”
นั่นไง เหมือนที่ผมเคยบอกว่าจูเลียนคงจะรู้ดีว่าอาร์เป็นคนแบบไหน ตอนอยู่ที่ดาวบ้านเกิดพ่อ ๆ คงจะได้เจอกันบ่อยแน่
“ว่าแต่ตอนนี้อาร์อยู่ไหนล่ะ ทำไมไม่ลงมาปาร์ตีกับคนอื่น”
“นอนน่ะ” ผมว่าสั้น ๆ ทำเอาจูเลียนย่นคิ้ว
“เฮ้ย มานอนอะไรตอนนี้ เดี๋ยวค่อยนอนใหม่ตอนกลางคืนก็ได้ ไปลากหมอนั่นมาร่วมวงกับคนอื่นก่อนไป” จูเลียนไล่ผมเมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น ผมเลยต้องรีบชี้แจง
“เห็นว่าเดินทางมาเหนื่อยเลยไม่อยากกวน ปล่อยให้พักเถอะ เดี๋ยวก็ได้หงุดหงิด”
พูดไปอย่างนี้ จูเลียนก็ทำท่าเหมือนจะคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าอาร์ถูกกวนจะเป็นยังไง เลยย่นปาก ทำหน้าเหมือนกับว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ทว่าก็ยังหลุดปากพูดออกมา
“ก็นะ ขนาดหมอนั่นตอนอารมณ์ปกติยังไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ ถ้าอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อไหร่ มีหวังปาร์ตีได้หมดสนุกแน่ ให้นอนต่อไปก็แล้วกัน แต่ก็น่าเสียดาย น่าจะมาร่วมวงกับคนอื่นเค้าหน่อย จะได้ฝึกทักษะการเข้าสังคม ได้ยินพ่อเจเนซิสของฉันบอกว่าพ่อ ๆ ของหมอนั่นกังวลเรื่องการเข้าสังคมนี่นา ไม่มาเข้าร่วมแบบนี้ จะไปฝึกการเข้าสังคมได้ยังไง”
คำพูดของจูเลียนมีเหตุผล พอผมมองหน้า จูเลียนก็ส่งยิ้มให้เป็นเชิงถามว่า ‘จริงมั้ย?’ ผมเลยตอบรับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับอาร์เช่นเดียวกัน
“งั้นเดี๋ยวฉันไปตามอาร์มาแล้วกัน”
จูเลียนส่งยิ้มให้ผมราวกับบอกว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว ทว่าพอผมลุกขึ้นเดินไปยังทางขึ้นชั้นสองเท่านั้น ร่างของอาร์ก็ปรากฏให้เห็นบนบันได ผมเลยถอยมาให้เขาได้เดินผ่านหน้าไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นความอึกทึกคึกโครมภายในโถงของบ้าน ก่อนจะหันมาถามผมเสียงขุ่น
“นี่ทำอะไรกันอยู่”
“ปาร์ตีต้อนรับนักศึกษาใหม่” ผมว่า หัวคิ้วอาร์ก็ย่นยู่พลัน
“น่ารำคาญ ไร้อารยธรรม” ไม่พูดอย่างเดียว สีหน้าก็แสดงออกมาชัดเจนด้วยว่าไม่พอใจ
ก็นะ งานเลี้ยงของคนทั่วไปกับงานเลี้ยงของบรรดาเชื้อราชวงศ์มันต่างกันนี่นา คนทั่วไปก็เน้นสนุกสนานเละเทะไปตามเรื่อง ส่วนพวกเชื้อราชวงศ์ก็เป็นงานแบบมากพิธีรีตอง อาร์คงจะชินกับงานเลี้ยงแบบนั้นมากกว่าถึงได้เกิดอาการไม่ชอบใจแบบนี้
แล้วผมก็เบี่ยงประเด็นด้วยไม่อยากให้อาร์โผล่ไปทำงานเลี้ยงของคนอื่นกร่อย
“แล้วนี่ตื่นมาทำไม หิวเหรอ” ที่ถามอย่างนี้เพราะเห็นว่าอาร์ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่มาถึงที่นี่น่ะ
อาร์ส่งเสียงอือในลำคอเป็นการตอบรับ ผมเลยพยักหน้าเรียกอาร์ให้ตามไปที่ห้องครัว จัดการเอาขนมปังมาทำแซนวิซแบบง่าย ๆ ให้กินด้วยไม่เหลืออะไรให้เขากินแล้ว ปกติแล้ว ชาวยูนิกมาจะไม่กินอาหารของมนุษย์โลก จำเป็นต้องกินยาปรับสภาพถึงจะรับอาหารของมนุษย์โลกไปผ่านกระบวนการดูดซึมให้กลายเป็นสารอาหารได้ แต่เพราะพวกผมเป็นลูกครึ่งเลยไม่จำเป็นต้องกินยาพวกนั้น แค่กินอาหารแบบปกติก็ได้รับสารอาหารแล้ว
อาร์จัดการแซนด์วิซโดยเวลาไม่กี่นาที ดูท่าทางจะหิวมาก กินเสร็จก็เดินไปล้างมือ แล้วก็ทำท่าจะเดินกลับขึ้นห้องไปอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะขอบคุณผมสักนิด ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็เจ้าชายนี่นะ มีเจ้าชายที่ไหนขอบคุณข้าราชบริพารบ้างล่ะ ยิ่งกับเจ้าชายที่หยิ่งยโสอย่างอาร์ด้วยแล้ว ไม่ต้องไปหวังอะไรเลย
ผมเลยทำท่าจะเดินกลับไปยังโถงกลางบ้านอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักขาเมื่อหูได้ยินเสียงของลูกครึ่งคนหนึ่งที่เมาได้ที่โวยวายเสียงดัง โวยวายไม่พอ ยังเข้าไปเกาะแกะอาร์อีก ไม่ได้เกาะแกะเพราะเห็นว่าอาร์หน้าตาดีหรืออะไรด้วยนะ แต่ไปเกาะแกะอาร์เพราะเห็นว่าอาร์ไม่มาเข้าร่วมวงต่างหาก
“เฮ้ย จะไปไหน ปาร์ตียังไม่เลิกเลย จะหนีไปนอนแล้วเหรอวะ เอิ๊ก” คนเมาพูด คว้าต้นแขนอาร์ไว้อีก อาร์เลยชักสีหน้าใส่ ก่อนว่าเสียงเรียบ
“ปล่อย” แล้วก็สะบัดออก หากแต่อีกฝ่ายไม่ปล่อย ถลาเข้าไปใกล้อีกต่างหาก
“กลัวเมาล่ะซี่ แหม เป็นถึงเจ้าชายแห่งยูนิกมา มากลัวมงกลัวเมา ใจเสาะนี่หว่า ทำเป็นวางท่าสูงส่ง เฮอะ ถ้าแน่จริงก็มาดวลดวดวอดก้ากันสิ รับรองเลยว่าฉันจะถล่มนายให้คว่ำ”
เริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้วด้วย อะไรไม่ว่า มีการดูหมิ่นเกียรติของอาร์ในฐานะเจ้าชายอีกต่างหาก ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าพูดไปเพราะเมา แต่ก็ทำให้สีหน้าของอาร์โกรธขึ้งขึ้นมาทันตา และผมก็ไม่รอช้าที่จะรีบโผล่หน้าออกจากห้องครัวไปยุติเหตุการณ์นั้นในฐานะผู้พิทักษ์ทันใด ไม่ใช่ว่ากลัวอาร์จะเป็นอันตรายหรอกนะ ได้กลิ่นลูกครึ่งพวกนั้นแล้วก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นพวกรักสงบเข้าขั้นขี้ขลาด แต่กล้าพูดเพราะเมาไม่ได้สติ ผมกลัวว่าอาร์จะอาละวาดมากกว่า
ก้าวเร็ว ๆ ไปถึงยังจุดเกิดเหตุได้ ก็รีบกระชากมือของลูกครึ่งคนนั้นออกห่าง ปากก็เตรียมจะอ้า ไล่อีกฝ่ายไป ทว่าอาร์ก็แทรกขึ้นมาโดยไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว
“นายหมิ่นเกียรติของเรามากเกินไปแล้วพวกสายพันธุ์ชั้นต่ำ ได้! ในเมื่อท้าทายกันถึงขนาดนี้ ก็จะได้รู้กันว่าใครกันแน่ที่ใจเสาะ”
ผมหันขวับไปมองอาร์ทันที ปากจะร้องห้ามไม่ให้อาร์ทำอะไรแบบนั้น แต่อาร์ก็ผลักผมออก ความจริงแรงผลักของเขาไม่มากพอที่จะดันผมออกจากตรงนั้นได้หรอก แต่เพราะผมไม่ยอมขยับเขยื้อน อาร์เลยว่าเสียงแข็งใส่ผม
“ถอยไปคีตา ถ้าไม่อยากให้เราโมโหไปมากกว่านี้จนบ้านนี้อยู่กันไม่เป็นสุขล่ะก็ อย่ามาขวาง”
นั่นแหละ ผมเลยต้องรีบเปิดทางให้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอาร์สร้างเรื่องให้คนอื่นปวดหัวกันยกแผง
 
พออาร์เข้ามาในโถงบ้านได้ ทุกคนที่ครื้นเครงอยู่ก็หยุดทุกการเคลื่อนไหวทันที พูดตรง ๆ ว่าแค่โผล่หน้าบูด ๆ มา ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร บรรยากาศก็กร่อยไปทันตาแล้ว ส่วนอาร์ เดินเข้ามาได้ก็ทรุดตัวลงนั่งลงตรงข้ามกับคนท้าคนนั้น ผมเดินไปหยุดข้างหลังอาร์ กะว่าถ้ามีอะไรนอกเหนือจากสถานการณ์ปกติเกิดขึ้นก็จะได้ห้ามทัพได้ทัน
ทุกคนดูงุนงงกันสักหน่อยว่าอาร์กับลูกครึ่งคนนั้นจะทำอะไร ทว่าจูเลียนที่มีความสามารถพิเศษในด้านประสาทสัมผัสเหมือนกันกับผมก็อธิบายให้ทุกคนฟังแล้วว่าอาร์กับลูกครึ่งนั่นจะท้าดวดวอดก้ากัน ผมเลยไม่ต้องพูดอะไร แค่ยืนดูการดวลอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
มิเกลในฐานะประธานบ้านอาสาเข้ามาเป็นกรรมการตัดสิน ก่อนอธิบายกติกาคร่าว ๆ ว่าให้ดวดวอดก้าทีละช็อตพร้อมกัน ใครดื่มได้เยอะที่สุดและไม่หลับไปก่อน คนนั้นก็เป็นผู้ชนะ ไม่กี่อึดใจ การประลองก็เริ่มขึ้น
ตอนแรกบรรยากาศของบ้านก็ดูอึมครึม แต่พออาร์เริ่มดื่มและอีกฝ่ายที่เมาได้ที่อยู่แล้วดื่มไป โวยวายไป การส่งเสียงเชียร์ก็เริ่มดังขึ้นมาเพราะคู่ต่อสู้ของอาร์นั้นได้ชื่อว่าคอแข็งพอสมควร ยิ่งเห็นว่าอาร์ที่ดื่มไป ทำหน้าปูเลี่ยนไปไม่ยอมแพ้ จากความอึมครึมก็กลายเป็นความสนุกสนานขึ้นทันตา ถึงขนาดมีการเดิมพันด้วยว่าใครจะชนะ แต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นอาร์ดื่มเข้าเยอะ ๆ อย่างไม่ยอมแพ้แล้ว ผมก็เกิดกังวลขึ้นมา
ก็น่าทำให้ผมกังวลจริง ๆ แหละ เพราะพออาร์เริ่มยกช็อตที่สิบขึ้นดื่มด้วยท่าทางโงนเงนและสายตาปรือเกือบจะหลับให้ได้ เขาก็เริ่มออกอาการโวยวาย หงุดหงิดใส่ทุกคนที่เข้ามาใกล้ แค่นั้นไม่พอ ยังเที่ยวดูถูกค่อนแคะลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์อื่นไปทั่วว่าต่ำชั้นกว่า ขนาดจูเลียนยังโดนไม่เหลือ โชคดีที่คู่แข่งของอาร์ล้มฟุบไปเสียก่อน ผมเลยไม่รอช้าที่จะยุติเรื่องราวทั้งหมดก่อนอาร์จะได้ด่าว่าเสียเทเสียคนอื่นไปทั่วมากกว่านี้ด้วยการพุ่งเข้าไปจับอาร์ยกขึ้นพาดบ่า ขณะที่เขาเริ่มหันมาเล่นงานผมแล้ว
“นายก็เหมือนกัน! อึ้ก! ไอ้ผู้พิทักษ์เฮงซวย เราบอกแล้วว่าไม่ต้องการ พ่อ ๆ ก็ยังจะส่งมาอีก น่ารำคาญ!”
เริ่มเสียงดังแล้วด้วย ผมเลยมองไปทางจูเลียนเป็นเชิงว่าขอตัวก่อน ขณะที่จูเลียนโบกมือไล่ให้ผมรีบ ๆ พาอาร์ไป ผมเลยหมุนตัว ขึ้นไปยังชั้นสองทันที
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Prologue]-14/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 23-05-2016 06:09:18
Episode 01: The egg from the prince[2]

เข้ามาในห้องได้ก็จัดการวางอาร์ลงบนเตียง อาร์ยังคงก่นด่าผมไม่หยุด จากที่ว่าผมเป็นผู้พิทักษ์เฮงซวย ตอนนี้เริ่มลามไปค่อนขอดพ่อกวินทร์ละ ก็รู้อยู่แหละว่าอาร์กับพ่อกวินทร์ไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้ว แต่มาว่าพ่อกวินทร์ไม่หยุดปากแบบนี้ ผมก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน สุดท้ายเลยต้องออกปากดุจนได้
“อาร์ พูดแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ นั่นพ่อฉัน”
อาร์เหมือนจะยังมีสติอยู่ ตวัดดวงตาเรียวเล็กมามองผม แล้วว่าเสียงแข็ง
“ก็เราพูดเรื่องจริง พ่อกวินทร์ของนาย อะไร ๆ ก็ว่าเรา ยังไม่ได้ทำอะไรให้ก็ว่า พูดความจริงแล้วนายจะทำไม เป็นแค่ผู้พิทักษ์ มีปัญหาอะไรไม่ทราบ!” เริ่มเสียงดังอีกแล้ว
ซึ่ง... ที่อาร์ว่ามามันก็ถูกแหละ พ่อกวินทร์ก็ชอบว่าอาร์โดยไม่มีเหตุผลเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ยังไงพ่อกวินทร์ก็อายุมากกว่านี่นา ถึงจะเป็นเจ้าชาย ยังไงก็ต้องให้ความเคารพอยู่ดี
ผมเลยเดินเข้าไปใกล้อาร์ ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วว่าอย่างใจเย็น
“แต่ถึงอย่างนั้น นายก็ไม่ควรมาพูดอย่างนี้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นพ่อของฉัน แล้วฉันก็เป็นลูกด้วย ได้ยินแล้วมันก็ไม่โอเคเท่าไหร่ อีกอย่าง นายเป็นถึงเจ้าชาย เจ้าชายเค้าไม่มาพูดว่าใครไปทั่วอย่างที่นายทำหรอก”
ให้เหตุผลไป หวังว่าอาร์คงจะเข้าใจ เอาเรื่องฐานะมาพูดด้วย แต่อาร์กลับไม่หยุด ดันตัวขึ้นนั่ง คว้าคอเสื้อผมเข้ามาใกล้ แล้วว่าเสียงห้วน
“แต่พ่อของนาย...อึ้ก พ่อของนายก็ต้องตระหนักด้วยว่าเราเป็นใคร เราไม่ใช่คนที่พ่อของนายจะมาพูดจาละลาบละล้วงได้ เข้าใจมั้ย”
นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าที่พ่อกวินทร์ค่อนแคะอาร์ทันใด ก็นะ ถึงจะเป็นเจ้าชาย แต่อาร์ก็เป็นลูกชายเพื่อนสนิทของพ่อกวินทร์นี่นา พ่อกวินทร์เลยไม่ได้สนใจอะไร
อย่าว่าแต่ไม่สนใจอาร์เลย กับคนอื่นก็ไม่สนใจเถอะ อย่างลุงแอสตันที่ตอนนี้เป็นถึงกษัตริย์แห่งยูนิกมา พ่อกวินทร์ยังไม่สนเลย กษัตริย์แห่งเซนไทน์ยังไม่สน ไหนจะคนอื่น ๆ ที่เป็นเชื้อพระวงศ์ญาติผู้ใหญ่ของอาร์อีก แล้วประสาอะไรกับอาร์ล่ะ
ผมเลยตั้งท่าจะอธิบายว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงพูดจาแบบนั้น แบบว่า...นิสัยของพ่อกวินทร์เป็นแบบนั้นน่ะ มันแก้ไม่ได้
ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร อาร์ที่ดึงผมเข้าไปใกล้กว่าเดิม จ้องตาผมเขม็งแล้วพึมพำออกมา
“เพราะพ่อกวินทร์ของนาย เราเลยไม่ได้วางไข่นายเลยเห็นมั้ย”
“วางไข่?” ผมเผลอย่นคิ้วทันควัน นึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่ผมเลยเล่นวางไข่กับอาร์แล้วถูกพ่อกวินทร์ขวางทันที
อย่าบอกนะว่าที่อาร์เริ่มไม่ถูกกับพ่อกวินทร์เป็นเพราะเรื่องตอนนั้น?
แต่มันก็สมควรที่พ่อกวินทร์จะห้ามแล้วล่ะ ถ้าพลาดขึ้นมา มีหวัง ผมกับอาร์ได้เดือดร้อนแน่ถ้าต้องเป็นคุณพ่อตั้งแต่อายุสิบขวบ
เป็นคุณพ่อวัยใสตั้งแต่อายุเท่านั้น ยังไงมันก็ไม่โอเคอยู่แล้วล่ะ
แม้แต่ตอนนี้ที่อายุสิบแปดแล้ว มันก็ไม่โอเค ยังเรียนอยู่อย่างนี้ ถ้าพลาดเรื่องอย่างนั้น มีหวังพ่อกวินทร์ได้เฉาะหัวผมแน่
ทว่าการที่ผมไม่ได้เอะใจกับคำพูดของอาร์ เอาแต่เงียบ ทำให้อาร์ได้พูดขึ้นมาอีก
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เราได้เป็นเจ้าของนายไปตั้งนานแล้ว”
ผมไม่เข้าใจว่าอาร์หมายถึงอะไร และอาร์ก็ไม่ปล่อยให้ผมใช้เวลาทำความเข้าใจด้วย แค่พูดจบ ก็เลื่อนใบหน้ามาจูบผมเสียอย่างนั้น ด้วยความที่ผมตกใจ ผมเลยไม่ได้ตอบรับการจูบของอาร์ ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างอึ้งงัน ไม่คิดว่าอาร์จะทำแบบนี้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกอาร์ขึ้นมานั่งคร่อมบนตัว ประคองใบหน้าผมจูบอย่างดูดดื่มไปเรียบร้อยแล้ว
รสจูบของอาร์ที่เจือไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์กระตุ้นให้ความกำหนัดของผมพวยพุ่งขึ้นมาตามประสาชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาและความมีเสน่ห์ของคนตรงหน้าทำให้ผมยอมอีกฝ่ายโดยไม่ยาก แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมจูบกับผู้ชายด้วยกันก็ตาม แต่ความจริง ผมก็ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องจูบกับเพศไหน เพศไหนผมก็จูบได้ทั้งนั้นถ้าหากว่าผมรักหรือชอบ แต่สำหรับอาร์นี่พูดไม่ถูกว่าชอบหรือเปล่า ก็นิสัยอย่างนี้ แถมไม่ได้เจอกันตั้งนาน ความผูกพันมันก็ลดน้อยถอยลงไปตามเวลาอยู่แล้ว ที่รู้ตอนนี้มีอย่างเดียวคือ...
จูบของอาร์ให้ความรู้สึกดีชะมัด
พอเริ่มได้สติ จากฝ่ายที่เป็นยอมให้จูบก็เริ่มตอบสนองอาร์บ้างแล้ว ผมต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการไม่จับอาร์พลิกให้นอนราบบนเตียง แล้วทำอะไรต่อมิอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ และเพราะผมไม่ทำ อาร์ก็เลยจะการดันผมลงนอนแทน ซ้ำยังเลิกชายเสื้อฮู้ดผมขึ้น สอดมือเข้าไปลูบไล้ยอดอกใต้เสื้ออีกต่างหาก
ผม...ผมว่าผมชักไม่ไหวแล้วแฮะ ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ มีหน้าที่ดูแลเจ้าชาย แต่ถูกเจ้าชายทำแบบนี้ ผมก็มีอารมณ์เหมือนกันนะ
มือที่อยู่เฉย ๆ เลยไปเคล้นคลึงบั้นท้ายของอาร์โดยไม่ได้ตั้งใจ อาร์สะดุ้งเล็กน้อย ลืมตาจ้องผมเขม็งทั้งที่ยังจูบอยู่ ก่อนจะผละริมฝีปากออก แล้วว่าดุ ๆ
“นายไม่มีสิทธิแตะต้องตัวเรา เราเท่านั้นที่มีสิทธิแตะต้องตัวนาย นายต้องเป็นฝ่ายรับรองเราเท่านั้น”
ได้ยินอย่างนี้ คำพูดของพ่อคีธที่ครั้งหนึ่งเคยบอกผมว่า ‘คีตาต้องเป็นฝ่ายรุกเท่านั้น’ ก็แวบเข้ามาในหัวทันที ผมก็ไม่อยากเป็นนักหรอกฝ่ายรับรองอะไรนั่นน่ะ ดูท่าทางไม่สนุกเลย อีกอย่าง ขนาดตัวผมก็ไม่เหมาะให้เป็นฝ่ายรับด้วย ตัวใหญ่กว่าอาร์ขนาดนี้ อาร์จะมากอดผมทั้งตัวได้ยังไง สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าผมยอม เราจะต้องมีอะไรเลยเถิดกันแน่ ซึ่งมันก็คือการผูกพัน
กฎของชาวยูนิกมาคือ ผูกพันได้แค่คนเดียวเท่านั้น และจะเป็นคนเดียวตลอดชีวิต!
การตระหนักได้ถึงกฎข้อนั้นทำให้ผมคืนสติ เก็บความต้องการตามธรรมชาติลงไปเป็นพัลวัน
ก็ใครมันจะยอมให้อาร์ผูกพันกับผมล่ะ ถ้าผมยอม มีหวังพ่อกวินทร์ได้ทำราชวงศ์ยูนิกมาล่มสลายแน่ นี่ไม่ได้กลัวว่าอาร์จะต้องผูกพันกับผมเพราะไม่ได้ตั้งใจเลยนะ กลัวพ่อกวินทร์ล้วน ๆ
ผมเลยรีบดึงมือของอาร์ที่วุ่นวายอยู่ใต้เสื้อผมออก ปากจะบอกแล้วว่าเราไม่ควรทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ แต่อาร์ก็ทำให้ผมต้องกลืนคำพูดที่ตั้งใจจะพูดลงไป ก่อนเขาจะว่าออกมา
“นายจะต้องเป็นของเราคีตา เป็นของเรา เราจะไม่ยอมให้พ่อกวินทร์ของนายมาขัดขวางอีกแล้ว”
สิ้นเสียง ก็ประกบปากจูบผมอีกครั้ง ผมยังไม่เข้าใจว่าอาร์ต้องการอะไร แล้วก็คิดไม่ออกหนักไปใหญ่เมื่อจูบของอาร์เริ่มรุนแรงมากขึ้น ชวนให้ผมเคลิ้มไปครู่หนึ่ง ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสของวัตถุทรงกลมขนาดเล็กที่ส่งเข้ามาในปาก จิตใต้สำนึกของผมบอกทันทีว่ามันคือไข่
ไข่จากอาร์!
เท่านั้นผมก็รีบผุดลุก จะผลักอาร์แล้วคายไข่ทิ้งทันใด ทว่าอาร์รู้ทัน สวนหมัดเข้ามาที่หน้าท้องผมเสียเต็มแรง แรงปะทะแบบไม่ทันตั้งตัว แม้จะไม่แรงพอทำให้ผมเจ็บ แต่ก็ทำให้ตกใจจนเผลอกลืนไข่ลงไปได้
ผมเบิกตาค้าง ขณะที่อาร์ถอนริมฝีปากออกมา ว่าพึมพำพร้อมด้วยตาปรือ ๆ
“เป็นของเราซะคีตา...เป็นของเรา”
จากนั้นก็ฟุบหลับบนตัวผมไปเลย ทิ้งให้ผมมองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจู่ ๆ จะถูกอาร์ทำแบบนี้
หะ...ให้ตาย อะไรเนี่ย! ทำไมจู่ ๆ มาวางไข่ใส่ผม
ทะ...ทำไมกัน!?!
 
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.01]-23/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: wanderer ที่ 25-05-2016 21:53:00
น่าสนใจตอนต่อไปมาก
คีตาจะทำยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.01]-23/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 06-06-2016 11:34:11
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.01]-23/05/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-06-2016 09:14:46

หายไปนาน เพิ่งเคลียร์เล่มอื่นๆ เสร็จ เคลียร์ไฟนอลเตรียมตัวเอาเข้าโรงพิมพ์แล้วค่ะ ตอนนี้วนกลับมาเร่งรีไรท์เรื่องนี้ เอาตัวอย่างตอนใหม่มาโพสต์ให้อ่านชิมลางกันก่อนค่ะ ยังไม่ไฟนอลเช่นเคยเพราะต้องปรู๊ฟพิสูจน์อักษรกับเช็คอะไรหลายๆ อย่างอีกก่อนส่งเข้าโรงพิมพ์
ส่วนเล่มเจ้าชายที่เป็นเรื่องราวของจูเลียน หนูแดงจะมาโพสต์ให้อ่านกันตอนที่ส่งหนังสือให้คนที่จองหนังสือครบแล้วนะคะ รอกันก่อนเน้อ XD
------------------------------------------

Episode 02: I am pregnant with your baby!


คิดถึงสาเหตุที่อาร์มาวางไข่ใส่ผมทั้งคืนจนไม่ได้นอนเลยแม้แต่งีบเดียว สรุปเอาเองได้ว่าที่อาร์ทำแบบนี้ คงเป็นเพราะเมาและเพราะจิตใต้สำนึกลึก ๆ แล้วอยากเอาชนะพ่อกวินทร์จากปมในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยถูกพ่อกวินทร์สั่งห้ามเล่นวางไข่ เลยเผลอทำแบบนี้กับผม แต่นั่นไม่สำคัญแล้ว สำคัญที่สุดในตอนนี้คือผมจะทำยังไงกับไข่ของอาร์ที่อยู่ในตัวมากกว่า
และผมจะไม่มานั่งกลุ้มแบบนี้เลยถ้าหากว่าไข่นั่นเป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ตามที่ชาวยูนิกมารุ่นพ่อคีธทำกันเมื่อสมัยที่ยังไม่มียาปรับสมดุลร่างกาย แต่ตอนนี้มันมีแล้วไง แค่กินยา ต่อให้อยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวไหน มันก็ไม่จำเป็นต้องวางไข่เพื่อการสร้างร่างใหม่ ยืดอายุชีวิตให้ยาวนานขึ้นอีกแล้ว ดังนั้นไข่ของชาวยูนิกมาที่จะวางใส่อีกฝ่ายจะมีแค่อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือ...
ไข่สำหรับการสร้างทายาท
คิดไปอย่างนั้นเรียบร้อยแล้วทั้งที่จริง ไข่ที่อาร์วางมามันอาจจะเป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไง ชาวยูนิกมาก็ยังสร้างไข่ประเภทนั้นได้อยู่แม้ว่าจะเป็นลูกครึ่งก็ตาม แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้เลยด้วยไม่รู้แน่ว่าไข่นั่นมันผสมน้ำเชื้อหรือไม่ ถ้าผสม ก็เท่ากับว่าไข่ที่อยู่ในตัวผมตอนนี้คือลูกของผมกับอาร์ ยังไงก็ทำลายทิ้งไม่ได้
และยิ่งกังวลหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นคนตัวการนอนหลับอุตุ ส่งเสียงกรนคร่อกโดยไม่สนใจผมที่นั่งมองเขาอย่างเป็นกังวลจนฟ้าสางเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุด ผมก็ทนความวิตกกังวลนี้ไม่ไหว ลุกขึ้นไปค้นเอาแผ่นฟิล์มสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋าสัมภาระมาแปะที่ขมับ หมายจะติดต่อหาพ่อคีธเพื่อขอคำปรึกษา หากแต่พอแปะแผ่นฟิล์มปุ๊บ พ่อกวินทร์ก็ดันโทรวิดีโอคอลมาเข้าโทรศัพท์ผมเสียก่อน ทำให้ผมรีบแกะแผ่นฟิล์มออก แล้วเปลี่ยนไปรับสายพ่อกวินทร์อย่างรวดเร็ว
[อรุณสวัสดิ์คีตา ชีวิตหนุ่มมหา’ลัยวันแรกเป็นไงบ้าวง]
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย น้ำเสียงสดใสของพ่อกวินทร์ก็ดังขึ้นก่อนแล้ว ผมเลยรีบคว้าเอาหูฟังมาเสียบเพื่อไม่ให้เสียงนั้นรบกวนอาร์ ก่อนตอบรับไป
“ดีครับ สนุกดี”
[พูดอย่างนี้แสดงว่าเมื่อคืนมีปาร์ตีรับน้องใหม่ใช่มั้ย]
ผมพยักหน้ารับ พ่อกวินทร์เลยถามต่อ
[แล้วลูกพ่อเมาหัวทิ่มไม่เป็นท่าหรือเปล่า มีสาว ๆ มาจีบมั้ย อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนสอยสาวมหา’ลัยไปแล้ว?]
ตอนถาม พ่อกวินทร์ก็ทำหน้าดุไปด้วย ผมเลยรีบปฏิเสธด้วยไม่อยากให้เขากังวลอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“ไม่เมาครับ ไม่มีสาว ๆ มายุ่งด้วย”
แต่ปฏิเสธไปก็เท่านั้นแหละ ผมสนิทกับพ่อกวินทร์ แค่มองสีหน้าผม เขาก็ดูรู้แล้วว่าผมผิดปกติไป ก่อนจะเงียบ จ้องหน้าผมเขม็งแล้วถามขึ้นมาใหม่
[ถ้าไม่ได้เมา ไม่ได้หิ้วสาวไปสนุกจนหมดแรง แล้วนี่ทำไมหน้าตาดูเหนื่อย ๆ ]
ถามมาแค่นี้ก็เล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบ ไม่กล้าพูดเลยว่าที่ดูอิดโรยอย่างนี้เป็นเพราะไม่ได้นอนทั้งคืนด้วยเอาแต่คิดมากเรื่องถูกอาร์วางไข่ หากแต่การไม่ตอบรับในทันที ทำให้พ่อกวินทร์จับผิดผมมากขึ้น ก่อนจะว่าเสียงต่ำ
[คีตา มีอะไรปิดบังพ่ออยู่]
เท่านั้น ผมก็รีบส่ายหน้าทันที พลันรีบเบี่ยงประเด็นอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีครับ ผมก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
[เรื่อยเปื่อยที่ว่าน่ะคืออะไร]
นั่นไง เผยพิรุธให้พ่อกวินทร์เห็นแล้วแหง ๆ เขาถึงได้คาดคั้นจับผิดผมอย่างนี้ ผมรีบมองหาพ่อคีธบนหน้าจอโทรศัพท์ทันควัน กะว่าจะส่งสายตาเป็นเชิงขอให้เขาช่วย ทว่าพ่อกวินทร์ก็รู้ทันว่าผมมองหน้าใคร เลยโพล่งขึ้นมาอีก
[ถ้ามองหาพ่อคีธล่ะก็ ตอนนี้ไม่อยู่หรอก เมื่อเช้าเพิ่งจะออกกองไปเอง]
นึกขึ้นมาได้ฉับพลันว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน เห็นพ่อ ๆ พูดกันอยู่ว่าพ่อคีธรับงานสตั๊นแมนให้กองถ่ายของหนังฮอลลีวูดเรื่องหนึ่งไป ป่านนี้คงจะกำลังยุ่งอยู่ งั้นเอาไว้หาจังหวะเหมาะ ๆ แล้วค่อยหาทางติดต่อพ่อคีธไปอีกครั้งก็แล้วกัน เขาน่าจะพกแผ่นฟิล์มสื่อสารติดไปด้วย
หากแต่การที่ผมเงียบคิดแผนการติดต่อพ่อคีธอยู่นาน ทำให้พ่อกวินทร์เอียงคอมองผมอย่างจับผิดอีกครั้ง ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
[แล้วตกลงจะบอกพ่อได้หรือยังว่าเรื่องที่คีตาคิดเรื่อยเปื่อยคืออะไร]
ผมอยากจะตอบปฏิเสธไปเหลือเกินว่าไม่มีอะไร ทว่าพ่อกวินทร์ก็แทรกขึ้นมาก่อน
[ทำหน้าตาอมทุกข์แบบนี้ พ่อเป็นห่วงนะ]
คำว่า ‘เป็นห่วง’ คำเดียว กับสายตาที่มองผมด้วยความรัก ทำให้ผมไม่อาจจะเลี่ยงเขาได้ ยอมปริปากออกไปแต่โดยดี
“ผมแค่กำลังสงสัยว่าตอนพ่อท้องผม พ่อมีอาการบ้างก็แค่นั้นน่ะครับ”
ถามไป พ่อกวินทร์ก็ทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันตา
[อาการที่ว่า หมายถึงอาการอะไร]
“ก็...แพ้ท้องอะไรพวกนั้น”
ผมว่าเสียงเบา พ่อกวินทร์ก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก
[ถามทำไมน่ะคีตา]
ผมเงียบ ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไร และที่ถามไปอย่างนั้นก็เพราะคิดว่าถ้ามีอาการอะไรแปลก ๆ ที่บ่งบอกไปในทางแพ้ท้องเกิดขึ้นกับผม ผมจะได้ทันสังเกตตัวเอง
ความเงียบของผมทำให้หัวคิ้วพ่อกวินทร์ก็ยิ่งย่นอยู่ไปใหญ่ เห็นสีหน้าไม่สบายใจของพ่อกวินทร์แล้ว ผมก็อยากจะบอกความจริงให้รู้แล้วรู้รอดว่าผมโดนอาร์ทำอะไรมา แต่ก็ยั้งปากไว้ด้วยรู้ว่าถ้าพ่อกวินทร์รู้ เรื่องราวมันจะบานปลายใหญ่โตขนาดไหน
ก็นะ ลูกชายเพิ่งจะออกจากบ้านมาใช้ชีวิตเองแค่วันเดียวก็โดนวางไข่แล้ว ยังไงพ่อกวินทร์ก็ต้องตามมาแหกอกอาร์แน่ อะไรไม่ว่า ผมล่ะกลัวพ่อกวินทร์จะสร้างความเดือดร้อนให้ราชวงศ์ยูนิกมาด้วยถ้าหากเขาพลั้งมือฆ่าอาร์ตายคามือน่ะ
ผมกะว่าจะตัดสาย อ้างว่ามีเรียนเพื่อยุติสายตาจ้องจับผิดนั้น ทว่าจู่ ๆ พ่อกวินทร์ก็ทำหน้าตกใจขึ้นมากะทันหัน ตามมาด้วยแหกปากโวยวายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
[ยะ...อย่าบอกนะว่าคีตาไปทำลูกไอ้เจ๊กมันท้อง!? คีตา! ไปอยู่ที่อื่นวันเดียวเองนะเว้ย! จะไปทำคนอื่นท้องไม่ได้ โดยเฉพาะลูกไอ้เจ๊ก อย่าไปดึงเอามันมาเป็นทองแผ่นเดียวกันสิเว้ย!]
มะ...ไม่ใช่! ลูกไอ้เจ๊กมันทำผมท้องต่างหาก!
[มึงตายแน่ไอ้ลูกเจ๊ก!]
พ่อกวินทร์ขู่สำทับมาอีก อันนี้ไม่ได้พูดกับผมหรอก เหมือนบ่นอยู่คนเดียว แต่ก็ทำให้ผมเบิกตาโพลง เสียวสันหลังวาบขึ้นมาฉับพลัน
นี่ขนาดเขาเข้าใจว่าผมไปวางไข่ใส่อาร์นะ ยังโหดได้ขนาดนี้ ถ้ารู้ความจริงว่าอาร์เป็นคนวางไข่ใส่ผม ก็เตรียมเกิดสงครามอวกาศได้เลย
“พะ...พ่อ ตั้งสติก่อนนะครับ ผมกับอาร์ไม่ได้มีอะไรกัน ไม่ต้องห่วง”
ผมรีบร้องบอกเมื่อเห็นว่าพ่อกวินทร์โวยวายมาให้ได้ยินแว่ว ๆ ว่าจะบุกมามหาวิทยาลัย แล้วทำท่าจะตัดสาย เสียงของผมทำให้พ่อกวินทร์พอจะตั้งสติขึ้นมาได้ ก่อนถามผมเสียงเครียด
[คีตาแน่ใจนะว่าไม่ได้ไปทำอะไรลูกไอ้เจ๊กมัน]
“แน่ใจครับ”
[แล้วมันก็ไม่ได้มาทำอะไรหนูใช่มั้ย]
“คะ...ครับ” รอบนี้ผมตอบได้ไม่เต็มเสียงแหละ
แต่ก็สบสายตาพ่อกวินทร์ตรง ๆ เป็นเชิงว่า ‘ผมพูดจริง’ พ่อกวินทร์เลยจ้องผมได้ครู่เดียว พลันล้มเลิกความตั้งใจไป
[งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย พ่อก็นึกว่าที่ถามเรื่องอาการแพ้ท้องเป็นเพราะคีตาไปวางไข่ใส่ไอ้เด็กบ้านั่น]
“ที่ถามก็เพราะผมแค่อยากรู้เฉย ๆ น่ะ พอดีเมื่อคืนมีเพื่อนถามน่ะครับ” ผมโกหกหน้าตายเมื่อนึกข้ออ้างขึ้นมาได้ฉับพลัน
พ่อกวินทร์ก็ทำท่าไม่เชื่อไปตามประสา ทว่าพอเห็นผมยิ้มให้น้อย ๆ เขาก็ถอนหายใจ แล้วเปิดปากเล่าทุกอย่างที่ผมสงสัยออกมาเป็นฉาก ๆ
 
กว่าจะวางสายจากพ่อกวินทร์ได้ก็ปาไปเป็นชั่วโมง เขาเล่าเรื่องอาการแพ้ท้องตอนท้องผมให้ฟังคร่าว ๆ ที่เหลือก็บ่นโน่นนี่ไปเรื่อย มีสั่งห้ามผมอีกชุดใหญ่ว่าอยู่ที่บ้านพักนักศึกษา ห้ามผมก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เอาแต่จับใจความเรื่องอาการแพ้ท้องที่พอจะสรุปได้ว่า ตอนเขาท้องผม เขามีอาการอยากกินของหวานตลอดเวลา อารมณ์แปรปรวน และที่สำคัญคือเหม็นกลิ่นตัวพ่อคีธ
ฟังดูเหมือนจะไม่หนักหนา และอาการนี้ก็ไม่ได้เกิดกับทุกคนเพราะพ่อกวินทร์บอกว่าลุงริชาร์ดไม่มีอาการอะไรตอนท้องอาร์ และพ่อกวินทร์เองก็ไม่มีอาการแพ้ท้องใด ๆ ด้วยตอนท้องคินน์ ซึ่งก็หมายความว่าถ้าหากผมท้องลูกของผมกับอาร์จริง ก็เป็นไปได้ว่าผมอาจจะไม่มีอาการใด ๆ คงต้องสังเกตจากหน้าท้องที่ขยายตัวอย่างเดียวแทน
แต่ชาวยูนิกมาก็ตั้งท้องตั้งเก้าเดือนเหมือนกับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินนี่นา กว่าจะเห็นว่าหน้าท้องเริ่มขยาย ก็คงจะต้องรอให้ผ่านไปก่อนสามสี่เดือนล่ะมั้ง
จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้ผมควรปรึกษากับพ่อคีธต่างหาก
เท่านั้น ผมก็ไม่รอช้า รีบคว้าแผ่นฟิล์มมาแปะขมับ ติดต่อหาพ่อคีธทันที แต่อย่างที่รู้กันว่าพ่อคีธไปทำงาน เขาจึงไม่ตอบรับสัญญาณของผมเลยแม้แต่น้อย ติดต่ออยู่หลายครั้งจนชักหัวเสีย หงุดหงิดกับความเป็นลูกครึ่งยูนิกมาของตัวเองที่ความสามารถพิเศษในการฟังมีเพียงครึ่งหากเทียบกับยูนิกมาแท้ ๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมคงจะคุยกับพ่อคีธผ่านการฟังในระยะไกลไปนานแล้ว
พยายามติดต่อพ่อคีธจนกระทั่งอาร์ซึ่งนอนอยู่เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา เห็นอย่างนั้น ผมเลยเก็บแผ่นฟิล์มลงใต้หมอน สายตาจับจ้องไปยังอาร์ที่ยกมือขึ้นคลึงศีรษะ ปรือตาขึ้นมองผมด้วยสายตางัวเงีย
“อา... ปวดหัวจังเลยให้ตายเถอะ” เขาพึมพำตามลำพัง
ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อคืนเล่นกระดกดื่มแบบไม่ยั้งเลยนี่นา ไม่เมาค้างก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ผมมองอาร์นิ่ง ๆ ก่อนฉุกคิดขึ้นมาว่าในเมื่อติดต่อพ่อคีธยังไม่ได้ ผมก็น่าจะลองคุยกับอาร์ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน เราจะได้หาทางออกด้วยกัน ทว่าอาร์ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลยสักนิด จู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นในอากาศเป็นเชิงห้ามขึ้นมา
“ถ้านายคิดจะมาบ่นอะไรเราตอนนี้ในฐานะผู้พิทักษ์ล่ะก็ ลืมไปได้เลย เราไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น”
ผมเลยได้แต่อ้าปากค้าง
ไม่ได้จะบ่นสักหน่อย แค่จะบอกว่าเมื่อคืนถูกนายวางไข่ แล้วฉันก็ตั้งท้องลูกของเราเฉย ๆ
แต่อาร์ฟังมั้ยล่ะ ...ไม่เลย พยายามดันตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินโงนเงนไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ กลับเข้ามาในห้องได้ ก็เปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากระเป๋าสะพาย เดินออกไปนอกห้องหน้าตาเฉย
ผมมองเขาแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ ทว่าก็ได้ยินเสียงเขาลอยแว่วมาให้ได้ยินแม้จะออกนอกห้องไปแล้วก็ตาม
“วันนี้มีปฐมนิเทศที่ตึกคณะ อย่าไปสายจะดีที่สุด นายเองก็รีบตามมาซะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมายาว พอจะเข้าใจว่าทำไมอาร์ถึงได้ฝืนสังขารตัวเองไปเรียนอย่างนั้น
ก็เป็นเจ้าชายนี่ เป็นอาร์ก็เป็นเจ้าชายที่เนี้ยบเสียขนาดนั้น เรื่องเวลาหรือกำหนดการอะไรที่นัดหมายไว้แล้วถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอะไรคอขาดบาดตาย ก็ไม่มีทางที่จะยกเลิกกำหนดการง่าย ๆ หรอก
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการไปเรียนก็คือ เขาควรจะรู้ว่าเมื่อคืนเขาวางไข่ผมต่างหากเล่า!
ให้ตาย ดูจากท่าทางแล้ว อาร์น่าจะจำไม่ได้แหงเลย งั้นไว้ไปหาโอกาสบอกทีหลังก็แล้วกัน
ผมลุกจากเตียงไปจัดการตัวเองบ้าง คว้าเสื้อฮู้ดแขนยาวตัวเก่งมาสวม ถือกระเป๋าเป้ออกจากห้องไป ทว่าในจังหวะที่ผมออกจากห้องนั้น จูเลียนซึ่งพักอยู่ห้องติดกันก็โผล่หน้าออกมาพอดี เขายิ้มทักผมกว้าง ผมเลยยกมือเป็นเชิงทักทายตอบ
เกือบจะเดินผ่านจูเลียนไปเฉย ๆ แล้วด้วยไม่รู้จะคุยอะไร หากแต่จูเลียนที่กำลังปิดประตูห้องก็โพล่งขึ้นมาก่อนโดยไม่มองหน้าผม
“กลิ่นของอาร์หึ่งเลยนะ เมื่อคืนทำอะไรกันมาเหรอ”
ผมหันมองหน้าเขาทันที
จริงสิ ผมก็ลืมไปว่าจูเลียนมีความสามารถพิเศษของยูนิกมาครบทุกประการ ซ้ำยังมีความสามารถพิเศษของเซนไทน์อีก จะประสาทสัมผัสดีจนได้กลิ่นของอาร์ในตัวผมก็ไม่แปลก
ผมเงียบ ไม่ได้ให้คำตอบ ส่วนจูเลียนก็ยิ้มให้ผมอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย ดูท่าทางคงจะคิดไปแล้วว่าผมกับอาร์ผูกพันกันแน่ ก่อนเขาจะเดินเข้ามาหาผม แล้วทำจมูกฟุดฟิด
“แต่ไม่ได้มีแค่กลิ่นของอาร์อย่างเดียวแฮะ มีกลิ่นอย่างอื่นด้วย กลิ่นแปลก ๆ ไม่คุ้นเลย”
ผมว่าเขาคงหมายถึงกลิ่นของไข่ลูกผมที่อยู่ในตัว แต่ผมก็ไม่พูดอยู่ดี กระทั่งใบหน้าของจูเลียนที่ยกยิ้มอยู่แปรเปลี่ยนเป็นตกใจขึ้นมาทันทีที่เขาตระหนักได้ว่ามันคือกลิ่นอะไร
“ดะ...เดี๋ยว! นี่มันมีกลิ่นของเยื่อหุ้มไข่ด้วย ยะ...อย่าบอกนะว่า...” พูดแล้วหยุดไปแค่นั้น
ผมไม่เคยได้กลิ่นแบบนั้นมาก่อนหรอกถึงจะจมูกดีก็เถอะเพราะไม่เคยเห็นใครถูกวางไข่เลยนี่ แต่จูเลียนคงจะคุ้นชินกับกลิ่นอย่างนี้เพราะอยู่ในดาวเซนไทน์ที่มีการสืบพันธุ์ไม่ต่างจากชาวยูนิกมามานาน
พอเห็นว่าปิดบังคงจะไม่ได้แล้ว ผมเลยพยักหน้ารับให้จูเลียนได้เบิกตาโตขึ้นไปอีก
“เฮ้ย จริงดิ นี่นายท้องลูกของอาร์เหรอ!? ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”
จูเลียนตกใจจนถลาเข้ามาเกาะไหล่ผมเขย่า ไม่แม้แต่จะฉุกใจคิดด้วยว่าไข่ที่อาร์วางใส่ผมอาจจะเป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ก็ได้
แต่ก็นะ... เขาคงรู้แหละว่าสมัยนี้ไม่มีชาวยูนิกมาคนไหนวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่กันแล้ว มีแต่วางไข่เพื่อสร้างทายาทเท่านั้นถึงได้พูดออกมาแบบนี้
ผมมองเขานิ่งอยู่ครู่เป็นเชิงให้สงบสติอารมณ์ก่อน ครู่หนึ่ง เขาก็ปล่อยมือออกจากผมราวกับตั้งสติได้
“ขอโทษที สติแตกไปหน่อย ตกใจน่ะ ไม่คิดว่านายกับอาร์จะมีความสัมพันธ์มากกว่าเจ้าชายกับผู้พิทักษ์แบบนี้”
ผมว่าเขาเข้าใจผิดไปไกลแล้วล่ะ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นสักหน่อย แก้ตัวก่อนดีกว่า
“เปล่า ก็ยังเป็นเจ้าชายกับผู้พิทักษ์เหมือนเดิม”
“เอ้า แล้วอาร์วางไข่ใส่นายทำไม”
“เมาน่ะ” ผมว่าสั้น ๆ
จูเลียนทำหน้าแปลกใจขึ้นมาอีก ผมเลยอธิบายไปตามเรื่อง
“ก็หลังจากที่เล่นเกมจนเมา ฉันก็พาอาร์กลับมาที่ห้อง จากนั้นอาร์ก็จูบฉัน แล้วก็วางไข่อย่างที่เห็น”
ฟังแล้ว จูเลียนก็ทำท่าไม่อยากจะเชื่อหู แต่เพราะเห็นผมนิ่ง เขาเลยสงบลง
“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะ นายยังทำท่าสบายใจอยู่ได้ แล้วนี่บอกอาร์หรือยังว่านายท้อง?”
ผมส่ายหน้า จูเลียนถามขึ้นมาอีก
“แล้วพ่อ ๆ ของนายล่ะ รู้หรือยัง”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของจูเลียนสั่นไปเล็กน้อยตอนพูดประโยคนี้
สงสัยจะกลัวพ่อกวินทร์แหง
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อผมส่ายหน้า เขาก็ถอนหายใจออกมายาวอย่างโล่งอก
“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อาร์โดนลุงกวินทร์กินหัวแน่”
นั่นไง บอกแล้วว่ากลัวพ่อกวินทร์ คิดผิดเสียที่ไหน จะว่าไป พ่อกวินทร์นี่ก็เจ๋งเหมือนกันนะ เป็นคนธรรมดาที่แม้แต่บรรดามนุษย์ต่างดาวสูงศักดิ์ยังเกรงกลัวเนี่ย
และเพราะจู่ ๆ จูเลียนก็มารู้เรื่องระหว่างผมกับอาร์ เขาก็เลยช่วยผมหาทางออกเสียอย่างนั้น
“เอาเป็นว่าตอนนี้นายไปบอกอาร์ก่อนแล้วกันว่านายท้อง เดี๋ยวที่เหลือค่อยมาหาทางคิดกัน”
ผมพยักหน้าเออออไป ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่อย่างน้อยก็มีจูเลียนรู้เรื่องอีกคน เพราะดูท่าทางแล้ว เขาน่าจะให้คำปรึกษาที่ดีได้ ถึงแม้ว่าผมอยากจะได้คำปรึกษาจากพ่อคีธมากกว่าก็ตาม
 
หากแต่การหาโอกาสบอกอาร์เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทันทีที่ผมมาเข้าร่วมปฐมนิเทศ รอบข้างก็เต็มไปด้วยนักศึกษาชั้นปีหนึ่งคนอื่น ๆ ของคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ผมไม่สามารถเข้าถึงอาร์ได้ในทันทีด้วยเขานำมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น การปฐมนิเทศก็ยาวนานต่อเนื่องจนถึงเที่ยง ผมซึ่งไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนก็เผลอสัปหงกไปอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่การปฐมนิเทศสิ้นสุดลง
เสียงพูดคุยจอแจของบรรดานักศึกษารุ่นเดียวกับผมที่ทำความรู้จักกันปลุกให้ผมตื่นจากนิทรา รีบสอดส่ายสายตามองหาอาร์ทันใด แต่เหมือนผมจะช้าไปเพราะตอนนี้ นักศึกษากว่าครึ่งได้ทยอยออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว แน่นอนว่ารวมถึงอาร์ด้วย
เท่านั้น ผมก็ไม่รอช้า รีบผุดจากที่นั่ง แล้วรีบดมกลิ่นตามหาอาร์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะค้นพบว่าเขามุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร
ผมรีบสาวเท้าก้าวตามมา เจอกับจูเลียนระหว่างทางเดินไปโรงอาหารด้วย รายนั้นก็เพิ่งจะปฐมนิเทศคณะเสร็จเหมือนกัน เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าเขาเรียนคณะรัฐศาสตร์ แต่ผมไม่สนใจนักนอกจากตอบคำถามเขาที่ถามว่าผมว่าได้บอกอาร์เรื่องถูกวางไข่หรือยัง พอผมส่ายหน้า จูเลียนก็รีบเร่งผมให้ไปหาอาร์อย่างรวดเร็ว
เข้ามาในโรงอาหารได้ ผมก็รีบดมกลิ่นหาอาร์ท่ามกลางผู้คนคลาคล่ำอย่างรวดเร็ว ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับร่างของอาร์ซึ่งกำลังร่วมโต๊ะอาหารกับเพื่อนในคณะที่เพิ่งทำความรู้จักกันในงานปฐมนิเทศเมื่อครู่อยู่
น่าดีใจนะที่ได้เห็นอาร์ผูกมิตรกับชาวบ้านทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นเยอะ
ยังไงก็ต้องรีบบอกอาร์ให้ได้ว่าผมท้องลูกของเขา จะได้รีบมาช่วยกันแก้ปัญหา
“ไปสิ เดี๋ยวฉันจะตามไปคุยด้วยทีหลัง พวกนายไปคุยกันเองก่อน” จูเลียนเร่งเร้า
ผมพยักหน้า ก่อนจะแยกกับจูเลียนที่เดินไปเลือกชุดอาหาร เดินตรงเข้าไปหาอาร์ทันที มาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะได้ ผมก็ไม่รอช้า เรียกชื่อคนตรงหน้าที่กำลังตักอาหารเข้าปากทันควัน
“อาร์”
คนถูกเรียกชะงักช้อนที่กำลังจะส่งเข้าปาก เหลือบมองมายังผมด้วยสายตาขุ่นมัว
“ไม่เห็นหรือไงว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เสียมารยาท”
เสียมารยาทจริงอย่างที่เขาบอก การขัดจังหวะเวลาส่วนตัวของเจ้าชายไม่ใช่สิ่งที่ผู้พิทักษ์ควรกระทำเลยสักนิด แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ก็บอกแล้วว่าผมมีเรื่องสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดจะมาบอกเขาน่ะ
พอเห็นเขาเมินผม ทำท่าจะตักอาหารเข้าปากอีกครั้ง ผมก็เรียกขึ้นมาอีก
“อาร์”
“อะไร” คราวนี้ อาร์ว่าเสียงเขียวตามมาด้วย บ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจสุด ๆ
ส่วนผมเองก็ยังไม่หยุด ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
“คุยอะไร” เขาว่าโดยไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ
“ไปที่อื่นได้มั้ย เรื่องสำคัญ” ที่ว่าอย่างนั้นเป็นเพราะผมเห็นว่าที่โต๊ะนั่นมีเพื่อนร่วมคณะคนอื่น ๆ นั่งอยู่
ผมไม่อยากให้เขาเสียหน้าน่ะ ถึงจะไม่ต้องเรียกอย่างถือยศศักดิ์แล้ว แต่ยังไง เขาก็ยังเป็นเจ้าชาย ผมยังต้องให้เกียรติอยู่วันยังค่ำ
หากแต่อาร์ไม่ฟัง กลับตวัดดวงตาเรียวมามองอย่างรำคาญ ก่อนจะทำท่าไม่สนใจ หันไปจดจ่อกับอาหารตรงหน้า แล้วว่าเสียงเรียบ
“มีอะไรก็พูดตรงนี้ ฉันไม่ว่าง”
เอาล่ะ เขาทำให้ผมไม่มีทางเลือกแหละ อุตส่าห์คิดว่าจะไม่ทำให้เขาอับอายแล้วนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ พูดเลยก็แล้วกัน
“ฉันท้อง”
“!?”
“นายทำฉันท้อง” ว่าย้ำอีกทีเมื่อเห็นว่าอาร์ไม่ตอบอะไรกลับมา
เคร้ง!
ตอนนี้ช้อนและส้อมที่อยู่ในมืออาร์ร่วงกระแทกจานทันที เขาหันมามองผมตรง ๆ ด้วยดวงตาเบิกโพลง พลันว่าอย่างไม่เชื่อหู
“เมื่อกี้นาย...ว่าไงนะ”
“ฉันบอกว่าฉันท้อง นายทำฉันท้อง” ผมย้ำคำ
คนอื่น ๆ ที่ร่วมโต๊ะอาหารที่อึ้งไปก่อนหน้าพากันหัวเราะร่วนยกใหญ่เมื่อตั้งสติได้ด้วยคิดว่าผมเล่นมุขตลกโง่ ๆ
ก็นะ คนพวกนั้นเป็นชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินนี่ ยังไงเพศชายก็ตั้งท้องไม่ได้ ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ต่างดาวหรือลูกครึ่งอย่างพวกผม เว้นก็แต่อาร์ที่เริ่มได้สติขึ้นมา พลันสีหน้าก็ดูเคร่งเครียด
“นี่นายกำลังจะบอกว่าฉันวางไข่ใส่นายอย่างนั้นเหรอ!”
ทำหน้าเครียดไม่พอ น้ำเสียงก็ดังขึ้นด้วยจนฟังดูกึ่งตะคอก พอเห็นผมพยักหน้า เขาก็ลุกขึ้นยืนประจันหน้าผม แผดเสียงใส่อย่างหัวเสีย
“ไม่ตลกเลยนะคีตา! เป็นแค่ผู้พิทักษ์ อย่ามาบังอาจล้อเล่นกับเราแบบนี้!”
ตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจเราแล้วล่ะว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ดูท่าอาร์ก็ไม่สนใจแล้ว ผมเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าอาร์จะเอายังไงกับลูกในท้องผมมากกว่า ผมก็อยากจะบอกเขานะว่าไม่ได้ล้อเล่น อยากจะให้เขาพิสูจน์ด้วยการดมกลิ่นด้วยว่าในตัวผมด้วยซ้ำ ตัวผมยังมีกลิ่นของเขาซึ่งเกิดจากการจูบของเขาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นของเยื่อหุ้มไข่ที่มีกลิ่นของเขาด้วยก็อยู่ในตัวผม ทว่าอาร์ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในด้านประสาทสัมผัส เท่าที่ได้ยินมา เห็นว่ามีก็แต่ความสามารถพิเศษทางด้านภาษา ผมเลยจนปัญญาที่จะให้เขาพิสูจน์ได้ว่าผมพูดเรื่องจริง
หากแต่พระเจ้าคงจะเข้าข้างผม เพราะพอสิ้นเสียงอาร์เท่านั้น จูเลียนที่เดินถือจานอาหารผ่านมาพอดีก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ให้ได้ยินราวกับไม่ได้ตั้งใจ
“คีตาพูดเรื่องจริง หมอนี่ท้องลูกของนาย กลิ่นของนายในตัวคีตานี่ฉุนกึ้กเชียว”
พูดจบ ก็เดินจากไป ทิ้งให้อาร์อ้าปากค้าง
ส่วนผม... ยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าดูอ่อนโยนที่สุดเป็นการปลอบให้อาร์ใจเย็น
ยิ้มอย่างเดียวคงจะไม่พอ งั้นพูดเรื่องที่ทำให้ผ่อนคลายไปด้วยก็แล้วกัน
“แล้ว...เราจะตั้งชื่อลูกของเราว่าอะไรดี”
“มันใช่เรื่องจะมาถามตอนนี้มั้ยวะ ตั้งชื่อลูกอะไรนี่เอาไว้ทีหลังก็ได้เว้ย!”
อาร์โวยวายใส่ผมกะทันหัน หยาบคายด้วย เป็นคำพูดที่ไม่ควรจะหลุดออกมาจากปากเจ้าชายเลย
แต่เอ... คำพูดของผมเมื่อครู่สงสัยจะไม่ผ่อนคลายแฮะ ถึงอย่างนั้น ยังไงลูกก็ต้องมีชื่อนะ จะตั้งก่อนคลอดมันจะเป็นอะไรไป ไม่เห็นต้องตะคอกเลย ผมถามอะไรผิดไปตรงไหนกัน?
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.02]-12/06/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 14-06-2016 03:34:51
ตัวอย่างตอนใหม่มาแล้วค่ะ เห็นหลายคนยังงงๆ กันอยู่ว่าตกลงคีตาเป็นเมะหรือเป็นเคะกันแน่ ย้ำกันอีกทีนะคะว่า "คีตาเป็นเมะ" เน้อ แค่ถูกลูกไอ้เจ๊กมันวางไข่เฉยๆ เดี๋ยวตอนหน้าคีตาจะเริ่มตีตื้นขึ้นมาละ อิอิ
ตอนหน้าจะเป็นตัวอย่างพาร์ทคีตาตอนสุดท้ายที่หนูแดงอัพให้อ่านนะคะ ที่เหลือต้องไปอ่านเอาในหนังสือเพราะเล่มนี้หนูแดงไม่ได้เขียนตอนพิเศษ เลยไม่ได้ลงให้จนจบ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยจ้า
------------------------------------------
Episode 03: Father or mother?

แต่คิด ๆ ดูแล้ว ที่อาร์พูดก็ถูก ผมไม่ควรมากังวลเรื่องยังไม่ได้ตั้งชื่อลูก ตอนนี้ที่น่ากังวลควรเป็นเรื่องที่ว่าผมกับอาร์จะทำยังไงกับไข่ในตัวผมมากกว่า
ผมนิ่ง รอดูว่าอาร์ที่กำลังกระสับกระส่ายจะทำยังไงต่อไป แต่ครู่เดียวเขาก็ตั้งสติได้ ก่อนจะถามผมเสียงเครียด
“นี่พูดจริงใช่มั้ย? ไม่ได้ล้อเราเล่นนะ?”
ผมพยักหน้า คราวนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าผมไม่ใช่คนที่จะมาพูดเล่นอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยเป็นผู้พิทักษ์ และมีจูเลียนมายืนยันเมื่อครู่ด้วยก็ได้ อาร์เลยยื่นมือมาคว้าแขนผม แล้วลากออกจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว
ลากผมอย่างเดียวไม่พอ ยังลากจูเลียนที่กำลังจัดการอาหารกลางวันของตัวเองกลับมายังบ้านพักด้วย จูเลียนบ่นกระปอดกระแปดนิดหน่อยที่ยังไม่ทันจะได้กินอาหารสักคำก็โดนลากมาช่วยแก้ปัญหาแล้ว หากแต่อาร์ไม่สน ดันผมกับจูเลียนเข้ามาในห้องได้ ก็ล็อคประตู กอดอก ถามเสียงเครียด
“อธิบายมาซิคีตาว่าเมื่อไหร่ ยังไง”
“อะไรคือเมื่อไหร่ ยังไง”
“เราหมายถึงเราไปวางไข่ใส่นายเมื่อไหร่ แล้วก็วางไข่ได้ยังไง ทำไมถึงมาเข้าใจอะไรยากตอนนี้ฮะ” ปลายประโยคกระชากเล็กน้อยคล้ายหงุดหงิดที่ผมแสร้งโง่
ความจริงผมไม่ได้แกล้งโง่นะ ผมแค่อยากให้อาร์ใจเย็นลงก่อนจะคุยกันเฉย ๆ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ควรจะมาใจเย็นแล้วก็เถอะ แต่ใจร้อนไปมันจะได้อะไรล่ะ ค่อย ๆ คุยกันแหละดีแล้ว พ่อคีธก็สอนผมมาอย่างนี้เพราะเวลามีเรื่องอะไร เขาก็เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหวก่อนตลอด
ถ้าไม่ใจเย็น แล้วจะอยู่กับพ่อกวินทร์ที่ใจร้อนขนาดนั้นได้หรือไง
จูเลียนหัวเราะนิดหน่อย พลันกระทุ้งข้อศอกใส่ผมเป็นเชิงให้เปิดปากเล่าเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มองหน้าอาร์
“ก็เมื่อคืนนี้นายท้าดวลดื่มวอดก้าจนเมา ฉันเลยพานายขึ้นมานอน จากนั้นนายก็ดึงฉันเข้าไปจูบ แล้วก็วางไข่”
อาร์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อที่ผมพูดฉับพลัน
“จู่ ๆ ก็ดึงไปจูบเนี่ยนะ”
ผมพยักหน้า เขายิ่งทำหน้าไม่เชื่อเข้าไปใหญ่
“ไม่มีเหตุผลเลย ทำไมจู่ ๆ เราจะต้องดึงนายเข้าไปจูบด้วย”
ผมคิดว่าเขาคงจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักหรอก จะไปเอาอะไรมากกับคนเมาล่ะ ก็เลยพูดลอย ๆ
“ฉันก็ไม่รู้ ก่อนจูบ นายบอกว่าเพราะพ่อกวินทร์ นายเลยไม่ได้วางไข่ใส่ฉัน แล้วที่เหลือก็เป็นอย่างที่เห็น”
พูดไปอย่างนั้น จูเลียนก็ทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันใด ขณะที่อาร์เริ่มหน้าแดงรื้นขึ้นมา
“หมายความว่ายังไงที่ว่าเป็นเพราะลุงกวินทร์เลยไม่ได้วางไข่น่ะ”
ผมกำลังจะบอกให้จูเลียนหันไปถามอาร์ แต่อาร์ก็โพล่งขึ้นมาก่อนแล้ว
“จะ...จะอะไรก็ช่าง! เอาเป็นว่าพวกเรารีบมาช่วยกันคิดกันก่อนว่าจะเอาไงต่อไปก่อน เรื่องอื่นช่างมัน!”
ไม่รู้ทำไมอาร์จะต้องโวยวายด้วย แต่ก็เอาเถอะ เขาคงไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ ดีนะที่ผมไม่เล่าว่านอกจากจูบแล้ว เขาก็พยายามจะปล้ำผมด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คงได้โวยวายมากกว่านี้แน่
“งั้นอันดับแรกเลย นายต้องคิดให้ออกว่าไข่ที่นายวางใส่คีตาไป เป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่หรือไข่ผสมน้ำเชื้อ ถ้าเป็นไข่เปล่า ๆ นั่นก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าเป็นไข่ผสมน้ำเชื้อล่ะก็ เรื่องใหญ่แน่” จูเลียนเสนอขึ้นมา
อาร์นิ่งคิดไป อย่างที่บอกว่าผมคิดว่าเขาจำไม่ได้ เขาเลยไม่ตอบในทันที ให้จูเลียนได้ถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไง ตกลงได้ผสมน้ำเชื้อหรือเปล่า”
“ระ...เราจำไม่ได้” อาร์ว่าออกมาตามตรง ใบหน้าเรื่อแดงก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
จูเลียนถอนหายใจจนไหล่ยกน้อย ๆ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ คงต้องรอดูอาการของคีตาต่อไป เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากลิ่นของไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ของพวกยูนิกมาต่างหรือเหมือนกับไข่สำหรับการสร้างทายาทยังไง จากนี้ก็คงต้องเสี่ยงดวงกันละ”
อาร์หน้าซีดไปทันตาเมื่อได้ยินอย่างนั้น ผมเองก็จนปัญญาจะช่วย ขนาดผมยังเอาตัวเองไม่รอด
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ใต้แรงกดดันมหาศาลอย่างไร้เหตุผลเพราะไม่มีใครพูดอะไร ทำเอาจูเลียนซึ่งเป็นคนกลางทำลายความเงียบขึ้นมาราวกับอดทนไม่ได้
“อย่าเพิ่งเครียดกันน่า มันอาจจะเป็นไข่เปล่า ๆ ก็ได้ แต่เตรียมตัวรับมือไว้ก่อนก็ดี เผื่อว่าจะเป็นลูกของพวกนายจริง ๆ แล้วนี่พวกนายตกลงกันหรือยังว่าใครจะเป็นพ่อเป็นแม่?”
ผมสัมผัสได้เลยว่าจูเลียนพยายามจะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น และผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอสิ้นเสียง ผมก็ยกมือทันใด
“เป็นพ่อ”
อาร์ตวัดดวงตาเรียวมาทางผมฉับพลัน ก่อนจะตรงมาคว้ามือผมลง
“เป็นพ่ออะไร เราต่างหาก”
“แต่ฉันยกมือก่อน”
“นายเป็นคนตั้งท้องก็เป็นแม่สิ!”
อุตส่าห์ให้เหตุผลแล้ว แต่อาร์ก็ไม่ยินยอมจะรับตำแหน่งแม่ ซึ่งที่เขาพูดก็ถูก ผมเป็นคนตั้งท้องก็มีแนวโน้มที่จะเป็นฝ่ายแม่
ก็นะ ถ้าผมยอมรับบทบาทนั้น ก็เท่ากับว่าถ้าผมกับอาร์ต้องผูกพันกันขึ้นมาสักวัน ผมต้องเป็นฝ่ายรับรองความต้องการ แต่พ่อคีธเคยพูดไว้นี่ว่าผมจะต้องเป็นฝ่ายกดเท่านั้น แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปยอมล่ะ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าชายก็เถอะ ครั้งก่อนผมก็ยอมไปทีหนึ่งแล้วถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ คราวนี้ ผมไม่ยอมหรอก
ผมก็เลยหันไปมองหน้าอาร์ด้วยสายตาจริงจัง ทำให้อาร์ถามผมเสียงแข็ง
“อะไร ไม่พอใจหรือไง”
ผมพยักหน้า อาร์ถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นกอดอก
“แล้วนายจะเอายังไง”
ผมยกกำปั้นข้างหนึ่งขึ้นสูง อาร์เลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัย พลันเปลี่ยนเป็นย่นคิ้วฉับพลันเมื่อผมว่าออกมา
“เป่ายิงฉุบ ใครชนะได้เป็นพ่อ”
“นี่นายอายุสิบขวบหรือไง เราไม่เป่าอะไรทั้งนั้น!”
โวยวายมางี้ ผมก็ชักขัดใจ ยิ่งอาร์พูดขึ้นมาอีก ผมก็เผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เราจะเป็นพ่อ”
โอเค อยากเป็นก็เป็น แต่พิจารณาจากรูปร่างที่ตัวสูงแค่ระดับสายตาผมแล้ว ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเขาจะเอาอะไรมาปกป้องลูกของเราถ้าเกิดมีเรื่องคอขาดบาดตายขึ้นมา
“แต่เราจะรับเป็นพ่อก็ต่อเมื่อนายมีลูกของเราในตัวนายจริง ๆ ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าไข่ของเราที่อยู่ในตัวนายเป็นไข่ผสมน้ำเชื้อ เราก็ยังไม่รับเป็นพ่อหรอกนะ”
อาร์สำทับปิดท้าย ทำเอาทั้งผม ทั้งจูเลียนหันไปมองขวับ ขณะที่อาร์เบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับทำสีหน้ารำคาญ
เออ ช่างเถอะ ไม่รับตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่อยากให้อาร์มายอมรับเป็นพ่อหรอก ผมอยากเป็นฝั่งพ่อเองมากกว่า ที่สำคัญ พวกเราก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าไข่ในตัวผมเป็นไข่ทายาทจริงหรือเปล่า เรื่องอื่นก็ยังไม่ต้องไปกังวลหรอก
อะไรไม่ว่า จู่ ๆ อาร์ก็พูดขึ้นมาอีกให้ผมได้ขมวดคิ้วด้วย
“แต่ถ้าในตัวนายมีลูกของเราจริง บอกไว้ก่อนนะว่าเราจะยอมรับลูกของเรามาดูแลเท่านั้น สำหรับนาย เป็นผู้พิทักษ์ยังไงก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เราไม่รับมาเป็นพระชายาหรอกนะ เรากับนายมันคนละชนชั้นกัน”
ตามใจเถอะ ไม่ได้ผูกพันกันนี่ และผมก็ไม่อยากเป็นทั้งแม่พันธุ์ ทั้งพระชายาด้วย
อา... ผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงไม่อยากให้ผมมารับหน้าที่ดูแลอาร์ในฐานะผู้พิทักษ์ กลัวถูกข่มอย่างนี้นี่เองสินะ
 
เพราะไม่รู้ว่าเป็นไข่สำหรับสร้างทายาทจริงหรือเปล่า จูเลียนเลยอาสาติดต่อไปยังลุงเจเนซิสให้เพื่อถามหาข้อมูล แต่ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์แกล้งหรือยังไง ลุงเจเนซิสมีกิจธุระให้เดินทางไปยังดาวอื่นอีก เลยทำให้ติดต่อไม่ได้ ครั้นจะติดต่อไปยังลุงแอสตัน อาร์ก็ไม่อนุญาตด้วยเกรงว่าเรื่องที่เขาทำกับผมจะทำให้เกียรติของลุงแอสตันในฐานะกษัตริย์เสื่อมเสีย ส่วนพ่อกวินทร์...
ไม่ต้องให้อาร์สั่งห้าม ผมก็ไม่มีวันบอกเขาหรอก ไม่งั้นได้มีระเบิดลงมหาวิทยาลัยแน่
หลังจากที่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ได้แต่รอดูอาการของผมเท่านั้น จูเลียนก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ผมกับอาร์ก็ไม่คุยอะไรกันต่อจากนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่คุย ผมทำตัวตามปกติแหละ จะมีก็แต่อาร์เท่านั้นที่ไม่ยอมเปิดปากคุยกับผม
ไม่คุยไม่พอ ยังจะเป็นฝ่ายรู้สึกกดดันเองด้วยทั้งที่มีแต่เขาที่ทำให้บรรยากาศมันแย่ สุดท้ายเขาก็ย้ายไปนอนห้องจูเลียน ทิ้งให้ผมนอนอยู่ที่ห้องคนเดียว
ความจริงผมกะว่าจะหาจังหวะถามเขาสักหน่อยว่าที่เขาพูดก่อนจะวางไข่ใส่ผมว่า เป็นเพราะพ่อกวินทร์ เขาเลยไม่ได้วางไข่ใส่ผมอะไรนั่น มันหมายความว่ายังไง แต่ในเมื่อลงเอยอย่างนี้ ก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน ไว้หาโอกาสถามคราวอื่นก็ได้
และแน่นอนว่าคืนนี้ผมก็นอนไม่หลับอีกเช่นกัน จากที่คิดว่าอ่อนเพลียแล้วน่าจะหลับได้ง่าย ๆ แต่เอาเข้าจริง ลึก ๆ ในใจผมก็เป็นกังวลจนข่มตาไม่ลง รุ่งเช้าผมเลยไปเรียนวันแรกด้วยท่าทางสะโหลสะเหล จูเลียนซึ่งออกจากห้องมาพร้อมอาร์ เห็นผมแล้วก็ร้องถามอย่างเป็นห่วงด้วยเขาเห็นว่าสีหน้าผมดูไม่ดี ผมก็ปฏิเสธไปตามเรื่องว่าไม่เป็นอะไร ส่วนอาร์ก็ไม่ต้องถามถึง ไม่แม้แต่ละแลตามองผมเลยเถอะ เดินพรวด ๆ ไปที่ตึกเรียนโดยไม่รอผมสักนิด
เห็นท่าทางอย่างนั้น ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ แต่ผมก็ไม่ได้มีจิตวิญญาณเสียสละอะไรขนาดนั้นเพราะไม่ได้เกิดและเติบโตที่ยูนิกมา การสั่งสอนเพื่อรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ก็ล้วนผ่านทางพ่อคีธทั้งนั้น ไม่ได้รับการอบรมอย่างจริงจังเหมือนผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ เลยทำให้ผมไม่อยากจะตามอาร์ไปสักเท่าไหร่นัก แต่มันเลี่ยงได้มั้ยล่ะ...ไม่
ก็ตอนที่ลงทะเบียนเรียน นอกจากจะเรียนคณะเดียวกันแล้ว พ่อคีธยังจัดการจับผมยัดลงวิชาเรียนเหมือนกับอาร์ทุกวิชาอีก เท่ากับว่าไม่ว่าจะตื่น จะนอน จะไปเรียน หรือจะทำอะไร ล้วนแล้วผมต้องตามติดอาร์ทั้งสิ้น
ถ้ารู้อย่างนี้นะ ผมคงไม่เออออไปกับพ่อคีธแต่แรกหรอก คิดผิดชะมัด
เดินเข้ามาในห้องเรียน ก็เห็นอาร์ไปยืนรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ร่วมชั้น ผมที่ตามเข้าไปทีหลังประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นว่าห้องเรียนนี้ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ก่อนจะฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่ามันเป็นคลาสเรียนการแสดงละครเวที เลยกระเถิบไปยืนหลบมุมด้วยเกรงว่ารูปร่างสูงใหญ่ของผมจะบดบังคนอื่น
ไม่นาน อาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามาอธิบายวิธีการเรียนวิชานี้ รวมถึงสอนทักษะพื้นฐานการแสดงต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ ผมก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้างด้วยรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมา
ไม่ได้นอนมาสองคืนติดกันก็ต้องอ่อนเพลียอยู่แล้ว แต่ไม่ควรจะอ่อนเพลียถึงขนาดตาจะปิดขนาดนี้ ผมรู้ลิมิตร่างกายตัวเองดีว่าการไม่ได้นอนหลายคืนติดกัน ไม่ได้ทำให้ลูกครึ่งยูนิกมาที่ได้รับความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายมาสะทกสะท้านได้หรอก
แต่คราวนี้มันแปลก...
หรือจะเป็นเพราะผมท้อง?
เดี๋ยว... อาจจะไม่ใช่ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นไข่อะไรนี่ มันอาจจะเป็นเพราะความเครียดระคนความกังวลก็ได้ที่ทำให้ผมอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ก็ผมแทบไม่เคยเครียดเลยนี่ มาเจอเรื่องใหญ่แบบนี้ อาจคิดมากจนร่างกายปรับสภาพรับความเครียดไม่ทันก็ได้
จากตอนแรกที่คิดว่าทนได้ ตอนนี้ผมเริ่มวิงเวียนขึ้นมาน้อย ๆ แล้ว ดีที่อาจารย์จบคลาสเร็วเพราะเป็นคาบแรก ผมเลยตั้งใจว่าจะรีบกลับไปพักผ่อน ทว่าผมก็กัดฟันทนต่อด้วยจู่ ๆ อาจารย์ก็ให้นักศึกษารุ่นพี่ที่เรียนวิชานี้ด้วยเข้ามาคัดเลือกตัวนักแสดงที่เป็นโครงการให้พวกปีหนึ่งทำร่วมกันเสียอย่างนั้น
ผมหลบไปยืนที่มุมห้อง ปล่อยให้บรรดารุ่นพี่เลือกนักแสดงไป เห็นแวบ ๆ ว่าอาร์ก็ถูกรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งทาบทามให้ไปรับบทเป็นตัวร้ายอย่างทิบอลท์ในเรื่อง ‘โรมิโอกับจูเลียต’ ด้วย
เหลือบไปมองก็เห็นสีหน้าของเรียบเฉย หากแต่แววตาส่อชัดเจนว่ารำคาญ ผมว่าเขาต้องไม่ตกปากรับคำแน่ แต่เอาจริง ๆ ผมว่าเขาก็เหมาะกับบทนี้ดีนะ หน้าตาดูร้ายกาจ ชวนให้น่าหมั่นไส้ใช่เล่น
นึกขำทั้งที่สังขารตัวเองก็ไม่ค่อยจะดี ผมเลยยกมือขึ้นคลึงขมับไปมาเพื่อบรรเทาอาการมึนหัว หากแต่ผมเองก็ไม่รอดจากสายตารุ่นที่เดินเข้ามาหาผม พร้อมกับพ่นคำถามเป็นการใหญ่
“นายชื่ออะไร” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น
ผมเหลือบมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสันทัดพอกันกับอาร์ตรงหน้า หน้าตาเขาก็น่ารักดี ดูสำอาง แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาสนใจอะไรแล้ว ได้แต่ตอบส่ง ๆ
“คีตา”
“โอเคคีตา ฉันว่ารูปร่างนายดีมากเลยนะ บุคลิกก็ได้ หน้าตาก็ดี สนใจมาออดิชันรับบทเป็นโรมิโอมั้ย”
“ไม่”
ผมตอบโดยไม่หยุดคิด ทำเอาคนถามชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเขาจะหัวเราะแล้วตีแขนผมเบา ๆ
“ไม่เอาน่า อย่าปฏิเสธไร้เยื่อใยแบบนี้สิ ลองดูหน่อยมั้ย ฉันว่านายน่าจะผ่านได้ง่าย ๆ เลยนะ หล่อขนาดนี้”
“ไม่เอา”
ผมปฏิเสธอีก แล้วเขาก็คะยั้นคะยออีก อ้างเหตุผลนี่นั่นมาพูดให้ผมรำคาญขึ้นมาตงิด ๆ พูดคนเดียวไม่พอ ลากเพื่อนมาช่วยกันเกลี้ยกล่อมผมด้วย
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รำคาญคนพวกนี้จนเกือบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ พลันรีบตอบรับไปส่ง ๆ ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว
“ก็ได้ แล้วก็เงียบกันหน่อย ฉันปวดหัว”
เท่านั้น เสียงจอแจเมื่อครู่ก็เงียบลง รุ่นพี่คนอื่น ๆ พากันแยกย้ายไปคุยกับรุ่นน้องที่ทาบทามไว้ต่อ จะมีก็แต่ผู้ชายคนนั้นที่หัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ
“มนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเลยนะคีตา โดนรุมแล้วเกร็งหรือไง”
ผมไม่ตอบ เอาแต่มองหน้าเขา เขาเลยพูดขึ้นมาอีก
“งั้นสุดสัปดาห์นี้เจอกันที่ห้องชมรมละครเวทีนะ เวลาก็ตามที่ระบุในกำหนดการ ถ้ามีอะไรสงสัยก็โทรหาฉันได้ ฉันเขียนเบอร์ลงไปให้แล้ว” ว่าแล้วก็ยัดแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ลงมาในมือผม
ผมยกขึ้นปรายตาดูก็เลยรู้ว่าเขาชื่อโทนี่ ก่อนเขาจะยื่นมือมาให้ผมจับทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคีตา”
“อืม”
ผมไม่จับมือ ขานรับแค่นั้น โทนี่ก็เลยดึงมือกลับไปอย่างเก้อ ๆ แล้วตัดบท
“งั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกัน หวังว่านายจะมาตามนัดนะ”
ผมพยักหน้าน้อย ๆ พอรอดพ้นจากการถูกรุมแล้ว ผมก็ตัดสินใจจะกลับไปพักที่ห้องโดยไม่สนใจจะเข้าเรียนในคาบบ่ายแต่อย่างใด ไม่สนใจแม้แต่อาร์ที่ยังถูกรุ่นพี่รุมเหมือนกับผมก่อนหน้าด้วย เดินออกจากห้องไปทันที
 
ระหว่างทางที่เดินกลับ ผมไม่อาจเดินทรงตัวให้ตรงได้เลย เดินไปก็เซไปจนต้องหยุดพักเป็นระยะ ๆ ในใจคิดจะเรียกให้จูเลียนมาช่วยแล้ว แต่ก็เกรงใจด้วยจูเลียนเป็นถึงเจ้าชาย แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนเขาเท่าไหร่นัก แต่ร่างกายผมมันไม่ไหวจริง ๆ ผมเลยค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปยังม้านั่งตัวหนึ่ง กะว่าจะพักก่อนแล้วค่อยออกเดินต่อ ตอนนี้มึนหัวมากจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว
ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินไป จู่ ๆ ร่างของใครบางคนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมต้องทอดสายตาไปมอง พอเห็นว่าเป็นอาร์ที่มองผมด้วยสีหน้านิ่งเฉย ผมก็กัดฟันเดินตรงไปเกาะเสาป้ายบอกทางที่อยู่ใกล้ ๆ แทน
“ไม่เข้าเรียนคาบบ่ายหรือไง” เขาเป็นฝ่ายชิงถามผมก่อน
ผมพยักหน้า ก่อนเขาจะว่าเสียงต่ำ
“ไร้ความรับผิดชอบ”
ครับ... จะว่าอะไรก็เอาเถอะ ผมไม่สนใจแล้ว อยากกลับไปพักจะแย่แล้วล่ะ
“ถ้าจะบ่นตอนนี้ล่ะก็ เอาไว้คราวหลังนะพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ผมแสร้งว่าด้วยรำคาญ
แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ขี้รำคาญง่ายขนาดนี้ทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นเลย ซ้ำยังแสร้งเรียกอาร์ด้วยสรรพนามเป็นทางการราวกับประชดประชันอีก
อาร์ทำหน้าไม่พอใจ คงคิดอยากจะต่อว่าผมเหมือนกัน แต่เพราะจู่ ๆ ผมที่ยันตัวเองไว้ก็เกิดหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ทำให้แข้งขาอ่อนขึ้นมาจนเกือบล้ม อาร์เลยร้องถามผมด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรน่ะคีตา หน้าซีดมากเลยนะ ไหวหรือเปล่า”
สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเขาแฝงความเป็นห่วง เพียงแต่เขายังยืนมองผมอยู่ที่เดิมเท่านั้น
ผมส่ายหน้า ว่าเสียงเบาไปตามตรง
“ไม่เป็นไร นายกลับไปเรียนเถอะ ฉันไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว อยากจะกลับไปนอนหน่อย”
อาร์ไม่ซักถามใด ๆ ต่อ เหมือนเรื่องจะจบแค่นี้ด้วยเพราะพอสิ้นเสียง ผมก็ตั้งสติ ออกเดินต่อ อาร์มองตามหลังผม ไม่พูดหรือตามมาแต่อย่างใด
หากแต่ก้าวไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ความมึนงงก็ประดังประเดขึ้นมาฉับพลัน มากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวอีก ผมรู้ตัวแล้วว่าฝืนร่างกายตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป รีบอ้าปากจะร้องเรียกจูเลียน แต่ก็ไม่ทันเพราะเสี้ยววินาทีเดียว ความหนักอึ้งก็หล่นมาปะทะร่างผม ทำให้ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว มีเพียงเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนสติจะดับวูบไปเท่านั้น
“คีตา!”
...เสียงเรียกของอาร์
 
เปลือกตาหนักมาก...
แต่ผมก็ฝืนลืมตาตื่นด้วยรู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผมหลับไม่ได้สตินั้น มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ และพอผมลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าข้างกายผมมีอาร์นั่งมองอยู่ไม่ห่าง สีหน้าเคร่งเครียดของเขาในตอนแรกดูผ่อนคลายไปถนัดตาทันทีที่เห็นว่าผมรู้สึกตัวแล้ว
“ตื่นสักที นึกว่านายจะตายซะแล้ว”
แล้วสีหน้าผ่อนคลายกลายเป็นสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ  ผมไม่ได้สนใจ กวาดตามองไปรอบห้อง พอเห็นบรรยากาศคุ้นเคยก็ว่าเบา ๆ
“ที่นี่มัน...”
“ห้องพัก” อาร์ตอบแทนทั้งที่ผมยังถามไม่จบ
สังเกตบรรดาข้าวของและเฟอร์นิเจอร์แล้วก็เป็นห้องพักของผมกับอาร์จริง ๆ ด้วย แต่นั่นไม่น่าแปลกใจเท่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงมากกว่า ก็ตอนผมไม่ได้สติ ตอนนั้นผมยังอยู่ข้างนอกอยู่เลยนี่
อย่าบอกนะว่าอาร์พามา?
ผมหันไปมองอาร์อย่างขอคำตอบทันที หากแต่อาร์พูดเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น
“นายอดนอนจนร่างกายรับไม่ไหวล่ะมั้ง จู่ ๆ ถึงได้เป็นลมอย่างนั้น ฉันเห็นสีหน้านายดูไม่ดีตั้งแต่ในคลาสแล้ว รู้ตัวว่าร่างกาอ่อนแอแล้วจะฝืนทำไม แต่ฟื้นก็ดี ฉันจะได้ไปทำอย่างอื่นได้สักที ไม่งั้นก็ต้องมานั่งกังวลว่าลุงกวินทร์จะรู้แล้วมาโทษว่าฉันเป้นต้นเหตุที่ทำให้นายไม่สบายไม่เลิก แถมนี่ต้องโดดเรียนคาบบ่ายมาดูแลนาย มันไม่ใช่หน้าที่ของฉันเลยนะ”
ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากรู้
“นายเป็นคนพาฉันกลับมาเหรอ”
อาร์ชำเลืองมามอง ก่อนจะรีบลุกจากเก้าอี้ข้างเตียง
“จะใครพามาก็ไม่เห็นจะสำคัญ”
พูดไป จู่ ๆ ซีกหน้าเขาก็แดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมมองก็รู้เลยว่าฝีมือเขานั่นแหละ ก็ตัวของผมตอนนี้มีกลิ่นเหงื่อของเขาติดมาด้วยนี่นา แถมตอนนั้นก็มีเขาอยู่ในเหตุการณ์แค่คนเดียวด้วย ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร
การไม่ยอมรับอะไรง่าย ๆ ก็เป็นสไตล์ของอาร์แหละนะ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนกันที่รู้ว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นห่วงผม
พูดว่าเห็นสีหน้าผมไม่ดีตั้งแต่ในคลาสเรียนอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเขาสนใจผมน่ะ เพียงแต่ไม่แสดงออกก็เท่านั้น สำคัญกว่านั้นคือ ผมตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะ ทว่าเขาอุตส่าห์พยายามลากร่างไร้สติของผมกลับมาถึงที่ได้นี่ แสดงว่าต้องเป็นห่วงมากแน่ ๆ
ผมก็เลยออกปากไปตามอย่างที่ควรจะทำ
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”
อาร์หันกลับมามอง พลางว่าเนิบ ๆ
“หน้าที่ของเจ้าชายนี่ จะห่วงข้าราชบริพาร มันแปลกตรงไหน”
“หน้าที่ของพ่อด้วย ห่วงลูกกับแม่ก็ไม่แปลกเหมือนกันเนอะ”
อันนี้ผมพูดไม่ทันคิด หากแต่เรียกสีแดงระเรื่อบนใบหน้าของอาร์ที่หายไปแล้วกลับคืนมาได้อีกระลอก ก่อนเขาจะเม้มริมฝีปากแน่น แล้วว่าออกมา
“พะ...พ่ออะไร! ก็เราบอกแล้วนี่ว่าจะรับเป็นพ่อถ้าหากนายท้องลูกของเราจริง ตอนนี้ยังไม่รู้สักหน่อยว่าท้องจริงมั้ย อย่าพูดไปเรื่อย!”
ผมยักคิ้วให้ อาร์ทำท่าอึกอัก แล้วก็รีบพุ่งไปที่ประตู คงจะรีบหนีไปที่ห้องจูเลียนเหมือนเคย ผมไม่ห้าม ไม่มีแรงจะห้ามด้วยร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่อีกนิดหน่อย
ทว่าในจังหวะที่อาร์เปิดประตูห้อง เขาก็พูดขึ้นมาเบา ๆ พอให้ผมได้ยิน
“ตะ...แต่ถ้านายท้องลูกของฉันจริง ๆ ก็ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย ฉันเป็นห่วง... คะ...คือ...เป็นห่วงลูกของเรานะ ไม่ได้เป็นห่วงนาย”
สิ้นเสียงก็ผลุบหายออกไปด้วยความเร็วแสง
ผมมองเพดานเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะออกมาที่จู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่าเขาน่ารักแปลก ๆ
วันนี้อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ทั้งวันเลยแฮะ เมื่อเช้ายังรู้สึกว่าอาร์น่ารำคาญอยู่เลย ตอนนี้กลับคิดว่าเขาน่ารักขึ้นมาเสียแล้ว
ทำตัวแบบนี้ค่อยเหมาะสมกับบทบาทพ่อหน่อย...
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.02]-12/06/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-06-2016 07:22:42
ตัวอย่างตอนสุดท้ายของพาร์ทคีตาที่เอาลงให้อ่านนะคะ ที่เหลืออีก 4 ตอนต้องไปตามในหนังสือเอานะ บอกเลยว่าคู่นี้มุ้งมิ้งน่ารัก อาร์ที่เห็นหยิ่ง ๆ นิสัยไม่ค่อยดี แต่จริง ๆ แล้วนางน่ารักนะ โดนคีตาปราบซะเชื่อง อิอิ
------------------------------------------
Episode 04: Our deep kiss


ตอนแรกผมคิดว่าที่มึนหัว มันเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่หลังจากที่ผมนอนหลับติดต่อกันสิบกว่าชั่วโมง อาการนั่นก็ยังไม่หายไป ซ้ำยังจะมากขึ้นไปอีกเมื่อผ่านมาเกือบสุดสัปดาห์ จนผมชักมั่นใจแล้วล่ะว่ามันไม่ได้เป็นผลมาจากการอดนอนสองคืนติดต่อกัน มันน่าจะมาจากเหตุผลอื่น
ผมกับจูเลียนเลยต้องมานั่งพินิจพิเคราะห์ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับตัวผมใช่อาการแพ้ท้องจริงหรือเปล่า แต่จากที่คุยกันแล้ว จูเลียนก็มีความเห็นว่าไม่น่าจะใช่ ด้วยอาร์เพิ่งวางไข่ใส่ผมไปเมื่อวานซืน อาการแพ้ท้องไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
“ไว้ฉันจะพยายามติดต่อเสด็จพ่อเจนิสให้ได้ไวที่สุดก็แล้วกัน ตอนนี้นายก็ทำใจให้สบายก่อน อาจจะไม่มีอะไรก็ได้” จูเลียนปลอบผมในที่สุดหลังจากพวกเราจนปัญญากับการคิดหาต้นเหตุแล้วว่ามันมาจากอะไรกันแน่
ผมพยักหน้า ลุกขึ้นจากเตียงของรูมเมทจูเลียน กะจะกลับห้องตัวเองไปพัก วันนี้ผมกะจะไม่คัดตัวนักแสดงละครเวทีอะไรนั่นที่รุ่นพี่เคยมาทาบทามไว้ล่ะ รู้สึกว่ามันไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตเท่าไหร่ ทว่าจูเลียนก็พูดขึ้นมาก่อน
“แล้วนายไม่ไปคัดเลือกตัวนักแสดงเหรอ”
“อืม” ผมครางรับ ทำเอาจูเลียนเลิกคิ้วสูงมองผม
“ไม่ไปจริง ๆ เหรอ อาร์มารออยู่ข้างล่างแล้วนะ”
พูดมาอย่างนี้ เลยกลายเป็นผมที่ขมวดคิ้ว จูเลียนเลยแสร้งมองไปทางหน้าต่าง ให้ผมได้เดินไปชะโงกดู พอเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นของอาร์กับเสียงฝีเท้าก็ดังลอยขึ้นมาให้ได้ยิน
อืม... อาการวิงเวียนนี่ทำให้ประสาทสัมผัสผมแย่ลงไปหลายเท่าเลยแฮะ
มองจากตรงหน้าต่างนี่ไม่เห็นอาร์หรอก แต่ก็รับรู้ได้ว่าเป็นเขา ก่อนที่จูเลียนจะเอนตัวลงนอนบนเตียงแล้วพูดลอย ๆ
“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวหมอนั่นก็ขึ้นมาโวยวายโทษฐานที่แม่พันธุ์ปล่อยให้รอหรอก”
ผมไม่ค่อยชอบคำว่า ‘แม่พันธุ์’ ที่หลุดออกจากปากจูเลียนสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พยักหน้ารับ เดินตรงไปยังประตู หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายว่าขึ้นมาอีก
“ว่าแต่นายน่ะ จะยอมเป็นแม่พันธุ์ให้อาร์จริง ๆ เหรอ”
“แล้วนายคิดว่าอาร์จะยอมเป็นแม่พันธุ์หรือไง ตอนนี้ฉันก็ท้องลูกของหมอนั่นแล้วนี่ มีทางเลือกอีกมั้ยล่ะ”
คำพูดของผมทำเอาจูเลียนหัวเราะร่วน ดันตัวขึ้นมานั่งทันควัน
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไอ้ที่โดนวางไข่ไปแล้วก็แล้วไป ที่ฉันหมายถึงน่ะ คือเรื่องผูกพันกันต่างหาก ฉันหมายความว่านายจะยอมเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ให้อาร์เหรอ”
ผมนิ่งงัน ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ก็อย่างที่บอกว่าพ่อคีธบอกให้ผมเป็นฝ่ายกด แต่ถึงพ่อคีธจะไม่พูด ผมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์หรอก ผมอยากจะเป็นฝ่ายกระทำมากกว่า ก็อย่างว่า ผมมีสัญชาตญาณดิบมากกว่าอาร์เยอะ ถ้าเทียบเรื่องขนาดตัวด้วย ตัวผมก็ใหญ่กว่าอาร์ตั้งเยอะอยู่ดี จะให้ถูกกระทำ มันก็เหมือนหมาชิวาว่าพยายามผสมพันธุ์กับหมาร็อตไวเลอร์นั่นแหละ นึกภาพแล้วชวนให้ขมวดคิ้วชะมัด
เอ... จะว่าไปแล้ว ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เพศเมียมักตัวใหญ่กว่าเพศผู้นี่นา ยอมไปก็คงไม่เสียหายมั้งถ้าเกิดจะต้องผูกพันกันขึ้นมาจริง ๆ
แต่ผมว่าคงไม่ได้ผูกพันกันหรอก ก็อาร์ไม่ชอบขี้หน้าผมอย่างกับอะไรดี แล้วผมก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไรอาร์เป็นพิเศษเหมือนตอนเด็ก ๆ แล้วด้วย ถ้าเป็นตอนเด็ก ผมคงไม่รีรอให้อาร์ได้ทำตามใจถ้าเกิดอาร์เลือกผมขึ้นมา ก็ตอนนั้นยังไร้เดียงสานี่นา ยิ่งถูกพ่อคีธกรอกหูด้วยว่าการเป็นผู้พิทักษ์ให้องค์ชายถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของการเป็นชาวยูนิกมา ผมก็คล้อยตามไปโดยปริยาย ทว่าไม่ใช่ในตอนที่ผมรู้แล้วว่าการยอมให้อาร์นั้น ผมจะถูกกดขี่เพียงใด
ถึงอย่างนั้น ผมก็พยักหน้ารับให้กับคำถามของจูเลียนไปด้วยไม่อยากคิดอะไรให้วุ่นวาย ทำให้จูเลียนร้องเฮ้ยเสียงดัง
“นี่พูดจริง? นายจะยอมให้อาร์ทำเนี่ยนะ”
“คิดว่าฉันเลือกได้หรือไง เป็นแค่ผู้พิทักษ์ ถ้าอาร์สั่งแล้วพ่อ ๆ ของฉันรู้ พ่อคีธคงจะเห็นดีด้วย”
พูดไปอย่างนี้ จูเลียนก็ยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้า
“ไม่รู้สินะ ฉันว่านายเหมาะจะเป็นฝ่ายพ่อมากกว่า ร่างกายก็แข็งแรงกว่า อีคิวก็สูงกว่า มาดก็ให้ ส่วนอาร์... อย่าให้พูดเลย”
“นึกว่าฉันไม่อยากเป็นหรือไง” ผมพึมพำ
จูเลียนได้ยินก็หัวเราะ ว่าขำ ๆ ทันที
“อยากเป็นก็เป็นสิ จะรออะไร”
ผมเลิกคิ้ว จูเลียนเลยขยายความออกมา
“ก็ถ้าสมมติว่าสักวันพวกนายต้องผูกพันขึ้นมาจริง ๆ นายก็พลิกบทบาทเลย ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากพวกนายสองคน ถ้าอาร์อยากจะให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่อก็ให้คนอื่นเข้าใจอย่างนั้นไป ส่วนหลังฉาก พวกนายก็สลับบทบาทกันเอง ง่ายจะตาย”
ผมว่าจูเลียนกำลังปลุกปั่นผมอยู่ล่ะ ดูท่าทางจะสนุกกับการยุให้ผมทำตามอย่างที่เขาว่าด้วย คงจะวางแผนแกล้งอาร์เพราะหมั่นไส้ล่ะสินะ ยอมรับว่าแผนของเขาน่าสนใจ แต่ผมไม่เอนอ่อนไปตามด้วยหรอก ไร้สาระน่ะ
ผมพยักหน้าไปตามเรื่องอีกเช่นเคย แล้วตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง จูเลียนก็พูดทิ้งท้ายไว้ให้ผมได้คิดใคร่ครวญไม่หยุดอีก
“ความจริงแล้วที่อาร์พยายามทำตัวอยู่เหนือนายน่ะมันก็มีเหตุผล อาร์ไม่ได้อยากจะเป็นพ่ออะไรจนตัวสั่นหรอก เชื่อฉันสิ อาร์แค่อยากให้พ่อกวินทร์ของนายยอมรับก็เท่านั้น”
“ยอมรับเรื่องอะไร” ผมหันไปถาม
“ไม่รู้สิ ไว้รออาร์บอกเองแล้วกัน” จูเลียนยักไหล่ราวกับไม่รู้เรื่อง
ผมรู้ว่าเขารู้ ทว่าไม่อยากบอกผมด้วยกลัวจะผิดใจกับลูกพี่ลูกน้องตัวเองล่ะมั้ง ผมเลยไม่ใส่ใจ เบือนหน้ากลับมายังประตู เดินออกจากห้องลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
 
อาร์ที่ยืนรอผมอยู่นานทำหน้าบูดใส่คนรอบข้างไปเรียบร้อย ยิ่งเห็นหน้าผมที่เพิ่งโผล่มา ใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ยิ่งดูไม่รับแขกเข้าไปใหญ่ ซ้ำริมฝีปากบางยังเผยอขึ้นบ่นผมด้วย
“มัวทำอะไรอยู่ ให้เรารอตั้งนาน มันใช่เรื่องที่เจ้าชายอย่างเราจะต้องมายืนรอผู้พิทักษ์มั้ย”
“แล้วใครให้นายมารอล่ะ” ผมย้อนกลับไปตามจริง ก็นะ อาร์ไม่ได้สั่งผมก่อนออกจากห้องไปเมื่อเช้านี่ว่าจะกลับมาที่บ้านพัก แล้วให้ผมมารอ จะมีก็แต่เตือนผมให้รู้ว่าวันนี้มีนัดคัดเลือกนักแสดงละครเวทีก็เท่านั้น
ถูกย้อนไปอย่างนั้น อาร์ก็หน้าม้าน รีบกลบเกลื่อนด้วยการทำหงุดหงิดใส่
“จะใครให้มารอก็ไม่ใช่เรื่องของนายที่ต้องรู้ ไปได้แล้ว เสียเวลากันไปมากแล้วเนี่ย!”
ผมกลอกตา ส่วนอาร์ก็ก้าวพรวด ๆ เดินไปเลย ผมแอบสงสัยนิดหน่อยว่าเขาจะกลับมาที่บ้านพักทำไมเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนที่อาร์ออกไปเมื่อเช้า เขาก็ไปที่ชมรมแล้ว
จะกลับมาอีกให้เสียเวลาเพื่อ?
ไม่ทันจะได้เอ่ยปากถาม อาร์ที่เดินนำไปก่อนก็หันมาทันทีที่รู้สึกตัวว่าผมยังไม่ยอมออกเดิน
“นี่ ตามมาได้แล้ว เราอุตส่าห์กลับมารับแล้วยังจะลีลาท่ามากอีก”
“มารับฉัน? ทำไม?”
คราวนี้อาร์ถึงกับสาวเท้าเร็ว ๆ กลับมาหาผม คว้าแขนหมับแล้วดึงให้โน้มตัวลงไปเล็กน้อย พลางกระซิบเสียงเข้ม
“แล้วจะให้เราปล่อยให้ลูกอยู่กับคนเงอะ ๆ งะ ๆ ที่วัน ๆ เอาแต่มึนหัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ยังไง บอกแล้วไงว่าฉันเป็นห่วง”
“หืม?”
ส่งเสียงไปแค่นั้นพร้อมสีหน้าสงสัย อาร์ก็ลุกลี้ลุกลนทันที
“ปะ...เป็นห่วงลูก ไม่ได้เป็นห่วงนาย อย่าเข้าใจผิด” พูดไป ซีกหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นมา
เห็นแล้วผมก็นึกขำที่เขากระดากอายกับเรื่องแค่นี้ ก็นะ เป็นพวกปากแข็งนี่นา เวลาแสดงออกอะไรก็คงจะรู้สึกแปลก ๆ ไม่น้อยแหละ แล้วก็น่าจะเป็นห่วงผมด้วย ไม่ใช่แค่ห่วงลูกอย่างเดียว แค่ไม่ยอมรับก็เท่านั้น
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าอาร์น่ารักขึ้นมา ยกมือขึ้นวางบนกระหม่อมอย่างลืมตัว พูดเบา ๆ
“ขอบใจ”
อาร์ดูตะลึงไปนิด ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วออกสียิ่งกว่าเดิม ก่อนจะรีบสลัดมือผมออก
“บังอาจเกินไปแล้ว! นี่เจ้าชายนะ!”
ก็บอกแล้วไงว่าลืมตัว แต่ไม่ได้พูดหรอก ยิ้มให้บาง ๆ เท่านั้น อาร์เลยรีบเก็บสีหน้าเขินอาย คว้าแขนผมแล้วออกเดิน
“ไปได้แล้ว มัวทำเสียเวลาอยู่ได้!”
 
ลากผมมาถึงห้องชมรมก็บ่นกระปอดกระแปดใส่ผมตลอดทาง ความจริงก็ไม่ใช่บ่นหรอก ออกแนวต่อว่ามากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ผมทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ไม่ได้เรื่อง ทั้งที่ต้องคอยดูแลเขา กลายเป็นว่าเขาต้องมาดูแล ซ้ำยังทำให้เขาเป็นห่วงไข่ของลูกเราที่อยู่ในท้องผมอีกเพราะผมมึนหัวตลอดเวลา
ก็นะ ใครมันจะไปควบคุมได้กันไอ้อาการแบบนี้น่ะ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากจะมึนหัวเหมือนกันนั่นแหละ
เข้ามาอยู่ในห้องชมรมได้ ผมก็ถูกรุ่นพี่ที่ชื่อโทนี่ลากไปลงทะเบียนว่ามาเข้ารับการคัดเลือก ส่วนอาร์ก็ถูกลากไปอีกฝั่งที่รวมว่าที่นักแสดงบทของทิบอลท์
การคัดเลือกดำเนินไปเรื่อย ๆ ผมก็แสดงไปตามบทบาที่ได้รับมาก่อนหน้า พูดก็ไม่ได้ตรงตามสคริปต์อะไรหรอก เพียงแต่บทที่ผมออดิชันนั้นเป็นบทที่ต่อสู้กับทิบอลท์ในตลาด จำเป็นต้องใช้ดาบ สำหรับคนที่ถูกฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กอย่างผม การแอคติ้งอะไรแบบนี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว ผมเลยได้รับบทโรมิโอมาโดยไม่ยุ่งยากอะไรมากมายทั้งที่ผมเองก็ไม่ได้อยากจะแสดงเท่าไหร่ ส่วนบททิบอลท์นั้น อาร์ก็เหมือนจะได้รับเช่นกัน รายนั้นก็ไม่ได้พูดตามบท เพียงแต่สำนวนการยั่วโมโหและน้ำเสียง ผสมสีหน้าโดยรวม ดูแล้วน่าหมั่นไส้ตามคาแร็คเตอร์ตัวละคร เขาก็เลยได้รับบทนี้ไป
และแทนที่คัดเลือกตัวนักแสดงเสร็แล้วแทนที่จะได้กลับ พวกนักแสดงที่ได้รับการคัดเลือกยังต้องอยู่ต่อเพื่อนัดหมายวันซ้อมตามกำหนดการอีก ซ้ำยังมีการทำกิจกรรมเพื่อกระชับมิตรอะไรด้วยก็ไม่รู้ ผมที่เริ่มมีอาการวิงเวียนขึ้นมาก็ชักจะเริ่มไม่สบอารมณ์ ถลาไปนั่งพิงกำแพง หลบมุมก็แล้ว ยังไม่พ้นถูกรุ่นพี่มารุมล้อม เรียกให้ไปทำกิจกรรมโน่นนี่ร่วมกับคนอื่น ๆ พอปฏิเสธ พวกรุ่นพี่ก็จะส่งโทนี่มากระแซะจนผมอดรำคาญไม่ได้
ให้ตายเถอะ ผมเริ่มชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ขนาดปล่อยให้พักเบรกกันห้านาที โทนี่ก็ยังตามติดผมไม่เลิกจนผมต้องออกปาก
“โทนี่ ขอฉันอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ย”
“ทำไมล่ะ รำคาญฉันเหรอ”
ผมไม่รีรอที่จะพยักหน้าให้กับคำถามทีเล่นทีจริงของเขาเลย เขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับคำตอบของผมเป็นเรื่องล้อเล่น
“นายนี่แหย่ซะจนฉันเกือบเสียหลักเลยนะ ไม่เอาน่า อย่าเย็นชานักเลย เดี๋ยวเราก็ต้องเจอกันบ่อย ๆ ผูกมิตรกันไว้ก่อนน่ะดีแล้ว ฉันได้รับหน้าที่ดูแลการฝึกซ้อมบทโรมิโอให้นายนะ จำไม่ได้เหรอ”
จำได้ แต่ใครมันจะไปสนกัน โลกหมุนคว้างขนาดนี้ ผมอยากกลับไปนอนมากกว่า แต่ในเมื่อหนีไม่ได้ ผมเลยแสร้งทำหูทวนลม ปล่อยให้สิ่งที่โทนี่พูดลอยผ่านเข้ามาในหูแล้วก็ผ่านไป ทว่าการได้ยินเสียงเขา ก็เหมือนจะทำให้ผมปวดหัวมากขึ้นยังไงก็ไม่รู้
พูดมากเสียจนเส้นประสาทของผมจะขาดออกจากกันเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว
“โทนี่...ฉันไม่...” ผมตัดสินใจจะบอกเขาว่าผมทนฟังเสียงเขาต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
หากแต่พูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็ร้องอ๊ะขึ้นมา พลันขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ยกมือขึ้นปัดปอยผมของผมขึ้นอย่างถือวิสาสะ
“ผมหน้านายยาวแล้วนะ บังหน้าบังตาหมดแล้ว ก่อนแสดงจริง ฉันคงต้องไล่ให้นายไปตัดผมแล้วล่ะ”
ถ้าเป็นเวลาปกติที่ผมมีสติสัมปชัญญะเต็มร้อย เขาไม่มีวันได้เข้าใกล้ผมถึงขนาดนี้แน่ ผมคงจะปัดป้องออกก่อน แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ถูกจับอย่างนั้น ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ทว่าดูเหมือนจะทำให้โทนี่ได้ใจ เขาเลยเลื่อนฝ่ามือมาลูบข้างแก้มผมด้วย
“ผิวเนียนดีนะ”
สัญชาตญาณบอกผมว่าเขาคิดอะไรกับผมเกินรุ่นน้องแน่ ฟังน้ำเสียง เห็นสีหน้ากับแววตาก็รู้ ก็ไม่อยากจะอะไรหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกตั้งแต่มาเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีคนส่งสายตาอย่างนี้ให้ผม รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าตัวเองค่อนข้างเป็นที่นิยมจากคำพูดของจูเลียนที่พูดขึ้นหลังจากเพื่อนของเขาในคณะพยายามทำความรู้จักผมผ่านเขา
จะว่าไปจูเลียนเองก็ฮ็อตไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน อาร์ก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนอาร์จะไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งด้วยสักเท่าไหร่ ชื่อเสียงเลยไปในทางไม่ค่อยดี ค่อนออกไปเป็นการถูกปรามาสว่าหยิ่ง ส่วนผม...ก็อย่างที่รู้กันว่าผมสนใจใครที่ไหน
และเป็นเพราะผมยอมปล่อยให้โทนี่ลูบใบหน้า เขาก็เลยลากปลายนิ้วลงมาแตะบนริมฝีปาก ไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา ผมเหลือบสายตามองก็รู้เลยว่าอีกไม่กี่อึดใจ เขาจะต้องจูบผมแน่
“อย่าแม้แต่จะคิด” ผมรีบดักคอทันทีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หากแต่โทนี่ไม่สนแล้วมั้ง แค่หัวเราะในลำคอเท่านั้น
“นิดหน่อยน่า ไม่เสียหายหรอก”
พูดแค่นั้นก็เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม ผมยกมือขึ้นทำท่าจะผลัก แต่เรี่ยวแรงที่มีก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซ้ำยังวิงเวียนมากกว่าเดิมจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
อา...สงสัยคงต้องปล่อยเลยตามเลยไปยาว ๆ
ชั่วขณะหนึ่งที่ผมไม่ได้สนใจริมฝีปากบางของโทนี่ที่เกือบจะแตะริมฝีปากผมนั้น จู่ ๆ ก็มีใครบางคนมากระชากคนที่พยายามจะขโมยจูบผมออกห่างเต็มแรง เสียงร้องดังโอยของโทนี่ที่โดนเหวี่ยงไปอีกมุมดังขึ้น ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเพ่งสายตาพร่ามัวมองคนตัวการ ทว่าเสียงคุ้นหูก็ดังมาให้ได้ยินก่อนแล้ว
“คีตาเป็นของเรา อย่ามายุ่ง!”
อาร์นั่นเอง...
เสียงมาก่อน กลิ่นค่อยตามมาทีหลังเมื่อเขาถลาเข้ามาคว้าแขนผมขึ้นพาดบ่า พยุงให้ลุกขึ้นแล้วรีบพาตัวออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของคนในชมรม
 
อาร์ใช้ความอดทนและพยายามเป็นอย่างมากในการลากผมกลับบ้านพัก ถึงห้องได้ จัดการจับผมนอนลงบนเตียงเรียบร้อย เขาก็หายใจหอบจนตัวโยน ผมชำเลืองมองคนตัวเล็กกว่าที่สวมเสื้อผ้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งตัวนิ่ง ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะแหวใส่ผมเสียงดัง
“นายนี่สร้างเรื่องให้เราตลอดเลยนะ!”
ผมว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่จะถูกจูบ แล้วเขาก็มาขวาง จนสุดท้ายก็ลากผมกลับบ้านเท่านั้นเอง อยากจะแก้ต่างเหมือนกัน แต่ช่างเถอะ ขอนอนก่อนดีกว่า ตอนนี้มึนหัวมากจนแทบจะปริปากพูดไม่ไหวแล้ว
แต่อาร์ก็ไม่ยอมให้ผมได้พัก ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ถามผมเสียงแข็ง
“เมื่อกี้ถูกทำหรือเปล่า?”
“หือ?”
“เราหมายถึงว่านายถูกไอ้บ้านั่นจูบหรือเปล่า อย่ามาทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องง่าย ๆ ได้มั้ย!”
ขึ้นเสียงใส่ผมอีกแล้ว จะโกรธอะไรเนี่ย คนจะถูกจูบไม่ใช่เขาสักหน่อย
ผมส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นคำตอบ ทำท่าจะปิดเปลือกตา หลับหนีไปดื้อ ๆ ทว่าอาร์ก็รั้งใบหน้าผมให้หันไปสบตาเขา
“พูดจริงใช่มั้ย”
“ถ้าไม่เชื่อ นายก็ลองดมดูสิว่ามีกลิ่นของหมอนั่นหรือเปล่า”
ดมไปก็ไม่ได้กลิ่นหรอก อาร์ไม่มีประสาทสัมผัสดีขนาดจะได้กลิ่นใครต่อใครนี่
เรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่นอย่างหงุดหงิดที่ผมพูดไปอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจว่าทำให้เขาหัวเสียเท่าไหร่ หลับตาลงอีกครั้ง หากแต่เงาทะมึนที่ทาบทับลงมาให้สัมผัสได้ก็ทำให้ผมรีบเด้งตัวขึ้นตามสัญชาตญาณป้องกันตัวเอง ก่อนจะผงะไปเล็กน้อยทันทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าเงานั้นเป็นเงาของอาร์ที่ชะโงกหน้าลงมาใกล้ผมพอดี
แต่ผงะไปก็เท่านั้น หลบไปทันแล้ว ริมฝีปากของผมกับอาร์ประทับเข้าหากันอย่างเหมาะเจาะ อาร์ดูตะลึงงัน พลันรีบถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว
“นะ...นาย!”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย นายชะโงกหน้าเข้ามาเอง” ผมรีบว่าเสียงเนือย รู้ว่าเดี๋ยวอาร์จะต้องโทษว่าเป็นเพราะผมแน่ เราถึงได้จูบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
อาร์รู้ตัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดเลยหุบปากเงียบ พ่นลมหายใจแรง ๆ แล้วหันหนีผมอย่างรวดเร็ว โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ผมได้ออกปากถาม
“แล้วนายจะเอาหน้ามาใกล้ฉันทำไม คิดจะทำอะไร”
ไอ้ใบหน้าที่เบือนหนีอยู่เปลี่ยนสีทันควัน ก่อนเจ้าตัวจะว่าเสียงแข็ง
“ไม่ได้จะทำอะไร”
“ถ้าไม่ได้จะทำอะไร จะเอาหน้ามาใกล้ทำไม”
“เราก็แค่จะลองดมดูว่านายมีกลิ่นของไอ้บ้านั่นติดมาหรือเปล่าเฉย ๆ ก็เท่านั้น!”
คราวนี้หันมาแว้ดใส่ผมตรง ๆ หน้าก็แดงเรื่อไปหมด ผมว่าเขาพูดจริง แต่ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองไม่ได้จมูกดีขนาดนั้น
การกระทำของเขาทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาทั้งที่ยังวิงเวียนอยู่
ให้ตาย... ดันเผลอมองว่าอาร์น่ารักไปเสียได้ ท่าทางก้าวร้าวเอาแต่ใจอย่างนี้ ดูน่ารักไปได้ยังไงกันนะ
“ได้กลิ่นมั้ยล่ะ” ถึงจะเวียนหัว ก็ดันนึกอย่างแกล้งขึ้นมา
แน่นอนว่าต้องไม่ได้กลิ่นอยู่แล้ว แต่อาร์ไม่ตอบอะไร เอาแต่ทำหน้าปั้นปึ่งใส่ผม ดูเหมือนจะเผลอทำแก้มป่องขึ้นมาด้วย
เป็นผมคนเดียวหรือเปล่านะที่จู่ ๆ ก็เห็นมุมน่ารักของอาร์ขึ้นมา ว่าแต่...ทำไมอาร์ถึงได้มาทำตัวน่ารักให้ผมเห็นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุอย่างนี้ด้วย?
ไม่คิดอะไรให้วุ่นวายแล้วล่ะเมื่ออาร์ทำลายความเงียบขึ้นมาหลังจากถูกผมจับจ้องอยู่นาน
“เราจะกลับไปที่ชมรม นายนอนพักไปก็แล้วกัน”
ไม่รู้ทำไมผมถึงเอื้อมมือไปคว้าแขนเขาให้หยุด อาร์หันมามองผมด้วยสีหน้าสงสัย ไม่ทันจะได้ถามอะไร ผมก็ดึงเขานั่งลงเหมือนเดิม กลั้นใจพูดทั้งที่หัวสมองมึนงงจนแทบจะดับวูบให้ได้อยู่รอมร่อ
“ถ้าเมื่อกี้ดมแล้วไม่ได้กลิ่น ก็ลองดมใหม่ดูสิ”
“จะล้อเราเล่นหรือไง ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเราประสาทสัมผัสไม่ได้ดีเท่านาย”
แหวออกมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้รำคาญเสียงเขาหรอก นอกจากเปลี่ยนตำแหน่งมือที่จับแขนเขาอยู่มาช้อนใต้ลำคอด้านหลัง พลันออกแรงดึงให้เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้
“ลองดมดู” ว่าสั้น ๆ แล้วออกแรงมากกว่าเดิม
อาร์แข็งขืน แต่ก็สู้แรงผมไม่ได้ กระทั่งในที่สุด ริมฝีปากของเราสองคนก็สัมผัสกันอีกครั้ง ไม่เพียงแต่สัมผัสเฉย ๆ ผมยังเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อย ลองลิ้มรสจากคนตรงหน้าแผ่วเบา อาร์เกร็งตัวแข็ง ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ เอาแต่จ้องผมตาค้างอย่างอึ้งงัน
ในเมื่อไม่ปฏิเสธ ผมก็ถือว่าตอบรับก็แล้วกัน...
เท่านั้น จากลิ้มรสทีละน้อย ผมก็กดท้ายทอยอีกฝ่ายให้แนบชิดมากขึ้น บดจูบหนักหน่วงราวกับกลัวว่าอาร์จะหนีไป สองมือของอาร์พยายามดันอกผมออกห่าง แต่ยิ่งผลักไส ผมก็ยิ่งบดจูบมากขึ้น ได้จังหวะก็แทรกลิ้นเข้าไปตวัดชิมรสหวานจากโพรงปากของคนตรงหน้า นาทีนี้เหมือนอาร์จะตัวร้อนรุ่นขึ้นมาราวกับจะละลาย แต่ผมไม่สนแล้ว ต่อให้ต้องทำเจ้าชายรัชทายาทแห่งยูนิกมาละลายคามือ ผมก็ไม่ยอมเสียโอกาสที่จะได้ชิมรสหวานล้ำนี้แน่
เนิ่นนานทีเดียวที่ผมมอบจุมพิตให้เขาอยู่อย่างนั้น กระทั่งเริ่มรู้สึกตัวว่าอีกไม่นานจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ ถึงได้ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ หลุดจากเงื้อมมือผมได้ อาร์ก็หายใจหอบ สีหน้าดูตระหนก หากแต่ก็แดงแปร๊ดลามไปถึงคอ ดูท่าทางจะสับสนว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ผมเองก็สับสนเช่นกันที่นึกยังไงก็ไม่รู้ ไปจูบอาร์เสียอย่างนั้น แต่ด้วยความที่ได้สติก่อน ผมเลยรีบออกปากไล่เขา
“จะกลับไปที่ชมรมไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ”
อาร์เม้มปากแน่น มองผมราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด หันหลังให้แล้วรีบเดินออกจากห้องไป ทิ้งเสียงดังตึกตักจากก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่เต้นระรัวเร็วไว้ให้ผมได้ยินเพียงเท่านั้น
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เขาหรอกที่ใจเต้นแรงขนาดนั้น... ผมเองก็เช่นกัน
อา... จูบเมื่อกี้นี้รู้สึกดีชะมัดเลย
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.04]-22/06/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: eddiam ที่ 08-07-2016 23:04:12
ตกลง หนังสือส่งเมื่อไหร่หรอคะ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.04]-22/06/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 09-07-2016 19:10:36
ตกลง หนังสือส่งเมื่อไหร่หรอคะ

รบกวนเข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ ส่วนใหญ่หนูแดงจะอัพเดตทางหน้าเพจค่ะ ไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี่น้า https://www.facebook.com/NooDangzzz/posts/1026926854029834
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.04]-22/06/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: Kisa ที่ 05-09-2016 20:49:46
ยังสนุกมากกกกกก เหมือนเดิมเลยค่าาา  o13 สัมผัสได้ว่า อาร์เป็นเคะน้อยหอยสังฆ์อย่างแน่นอน  :z1:

แต่! แต่!!!

ก็ชอบที่คีตาเป็นเคะมากกกกกกก  :hao6: เช่นกัน 55555555555 ลุ้นๆต่อไป  :katai1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[ตย.เล่มลูก:คีตา: Ep.04]-22/06/59[หน้า13]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 30-10-2016 18:41:49
เปิดขายหนังสือซีรีส์ 'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน' รอบปกติแล้วค่ะ
รายละเอียดอื่นๆ อ่านเพิ่มเติมที่นี่นะคะ
https://www.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/1111796852209500/?type=3&theater
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-10-2016 20:32:27
ดีใจ ไร้ท มาต่อ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คีตา ค่อนข้างช้า
อาจเพราะใจยอมรับว่าเป็นผู้พิทักษ์อาร์
ผลเลยถูกวางไข่ไปซะแล้ว
แม้อาร์ จะเอาแต่ใจ แต่ก็แคร์ตีตาเหมือนกัน
ไม่ยอมให้โทนี่จูบคีตา
ส่วนคีตา ก็เห็นความน่ารักของอาร์ แล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 02-11-2016 11:01:50
 :3123:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 19-11-2016 18:03:45
 :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 15-01-2017 20:05:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-01-2017 17:20:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 26-01-2018 16:04:07
สนุกดี  o13

แต่ก็จะงงหน่อย ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 03-02-2018 19:20:36
เป็นเรื่องที่ดี แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ลงที่เล้าทั้งหมด

สนุกมากจริงๆ ขอบคุณเรื่องดีๆ
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 12-07-2021 19:38:03
สนุกมากครับเรื่องนี้ เกรียนดี 555
หัวข้อ: Re: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 17-07-2021 16:21:03
เนื้อเรื่องสนุกมากเลยค่ะ
แต่มีบางช่วงบางตอนที่เราไม่ชอบนิสัยกวินท์
แล้วยิ่งมาอ่านตอนพิเศษของคีตา
เราไม่ชอบอาร์เลย อาจจะไม่ชอบอาร์ตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว ไม่รู้สิ
แต่ชอบเนื้อเรื่องมากค่ะ สนุกดี